☘ ป่าห่มรัก ☘ [26] #ป่าห่มรัก [12.08.62] P.23 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☘ ป่าห่มรัก ☘ [26] #ป่าห่มรัก [12.08.62] P.23 [END]  (อ่าน 194287 ครั้ง)

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เราต้องแก้แค้นนะน้องเนตร อย่าไปยอม :pig4:

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :hao7:ปักหมุดรอคนขี้แกล้งแล้วคนโดนแกล้งที่น่ารัก

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
คนขี้แกล้ง เนตรอย่าไปยอมมมม  แก้แค้นกันไปมาเดี๋ยวก็รักกันนน  :laugh:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไปแกล้งเขาอีกคุณผู้ช่วย  :hao7:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
[ 03 ]

แสงสุดท้ายของวันซึ่งกำลังจะลับขอบฟ้าไปนั่นพาให้อุณหภูมิรอบกายค่อยลดต่ำลง ฝูงนกพากันบินกลับเข้ารังเป็นฝูงใหญ่ เสียงใบไม้ไหวตามแรงลมนั่นบ่งบอกว่าลมหนาวต้นฤดูกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า นัยน์ตาคู่คมกวาดตามองไปยังลำธารใกล้ๆ แล้วเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่มาที่นี่ใหม่ๆ แล้วถูกบรรดาลูกน้องและเพื่อนร่วมงานแกล้งให้มาอาบน้ำที่เย็นจัดในลำธาร ตอนนั้นปลาน้อยใหญ่พากันแหวกว่ายเต็มไปหมด ต่างจากวันนี้ที่ความสมบูรณ์ทางธรรมชาติเริ่มถดถอยเพราะฝีมือมนุษย์

ความอุสมสมบูรณ์ของดอยห่มรักแปรผันไปตามน้ำเงินของผู้มีอิทธิพล

เพลิงถอนหายใจแรงๆ ก่อนสะบัดศีรษะไล่ความคิดกังวลจากภาระงานอันหนักหน่วงให้หลุดพ้นออกไปจากความนึกคิด จังหวะนั้นเสียงอลูมิเนียมกระทบกันก็ดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะชอบใจของชายวัยดึกสองคนดังมาจากข้างบ้านพัก

เพลิงมุ่นหัวก่อนจะสาวเท้าไปยังที่มาของเสียง เย็นๆ แบบนี้นอกจากเจ้าหน้าที่ซึ่งพักอยู่บริเวณที่พักในอุทยานก็ไม่มีใครหรอก ชายหนุ่มกวาดตามองไปตามอาคารลักษณะคล้ายห้องแถวกึ่งไม้กึ่งปูนชั้นเดียวในสภาพที่ค่อนข้างเก่าแล้ว ชายคาด้านข้างทำยื่นเกาะออกไปเป็นพื้นที่ครัวขนาดเล็ก

สภาพที่เห็นนั่นชินตาสำหรับคนมองแล้ว แต่หากคนนอกมาเห็นคงคาดไม่ถึงหรอกว่านี่คือที่อยู่ที่กินของเจ้าหน้าที่ป่าไม้นับสิบๆ นาย เคยมีคนพูดว่าบ้านของพวกเราใหญ่โตเพราะกินพื้นที่ป่าไม้หลายร้อยล้านไร่ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งต้องรับผิดชอบพื้นที่เกินสองแสนไร่ต่อคน ภาระนั้นว่าหนักหนาแล้ว แต่ความเป็นอยู่และสวัสดิการที่ได้รับมาหนักหนายิ่งกว่า

ถึงจะหนักแต่ไม่มีใครปริปากบ่น ตรงกันข้ามยังคงรับสภาพและยิ้มรับทุกๆ วันเฉกเช่นชายวัยกลางคนสองคนตรงหน้านี้

“อ้าวผู้ช่วย” ‘ลุงแสวง’ พนักงานจ้างประจำที่อุทยานกวักมือเรียกเขาไหวๆ “ผมทำน้ำพริกปลาทูครับ มีผักลวกง่ายๆ กับไข่ต้ม”

“ตามสบายครับลุง”

“มาเถอะผู้ช่วยกินข้าวด้วยกัน”

คราวนี้ ‘ลุงปอธี’ พรานป่าที่รู้จักมักคุ้นกันดีรีบเอ่ยชวนอีกแรง

“วันนี้ไม่มีคนอยู่หรอกครับ กลับบ้านไปบ้านส่วน ที่เหลือก็ไปงานศพไอ้ศักดิ์มัน”

เพลิงถอนหายใจเพราะก่อนหน้านี้กะว่าจะผลัดผ้าไปงานศพของลูกน้องคนนี้เหมือนกัน ‘ศักดิ์’ เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่สายตรวจที่ออกลาดตระเวนพื้นที่ป่าในเขตอุทยานด้วยกันเมื่อเดือนก่อน แต่โชคร้ายที่ตอนออกจากป่าดันโดนไข้ป่าเล่นงาน ทำให้ป่วยซมอยู่หลายวันก่อนจะเสียชีวิต แน่นอนว่าครอบครัวศักดิ์ที่ขาดเสาหลักของบ้านน่าสงสารจนเพลิงนึกเวทนา

“ผมก็จะไปงานศักดิ์เหมือนกันครับ”

“งั้นมากินข้าวด้วยกันก่อนผู้ช่วย”

สุดท้ายเพลิงทนรบเร้าไม่ไหว ชายหนุ่มเลยเดินกลับไปที่พักเพื่อเอาของกินและของแห้งสารพัดสิ่งที่ป้าวดีบังคับให้นำกลับมาด้วยเพื่อแบ่งคนมีน้ำใจชวนกินข้าว บ้านพักของเพลิงตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อันที่จริงบ้านพักของเขาเมื่อก่อนถูกเรียกว่า ‘กระท่อมท้ายป่า’ ด้วยเพราะมันเป็นบ้านไม้คร่ำครึที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ดีว่ามีพื้นที่พอใช้เป็นห้องครัวขนาดย่อมๆ ให้พอหุงหาอาหารได้ง่ายๆ และมีห้องน้ำให้ในตัว เรือนไม้ขนาดย่อมนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ตัวโตๆ อย่างเขานอนคนเดียว เพลิงซ่อมแซมประตูหน้าต่างและหาเตียงมือสองมาตั้งพร้อมกับมุ้งสี่สาย บ้านพักผู้ชายดิบๆ อย่างเขาจึงไม่มีของมีค่าอะไรนอกจากกรอบรูปของแม่ที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง จะเรียกซอมซ่อคงไม่ผิด แต่เขากลับชอบเพราะบ้านหลังดังกล่าวอยู่ใกล้ลำธาร ตอนกลางคืนได้ยินเสียงน้ำไหลคล้ายเสียงดนตรีกล่อมนอน

“หอบหิ้วอะไรมาเยอะแยะล่ะผู้ช่วย”

ลุงแสวงกุลีกุจอมาช่วยหิ้วของกินในมือ

“หมูฝอย ไข่เค็มกับไส้อั่วครับ”

“เยอะขนาดนี้จะกินยังไงไหวล่ะ”

“เอาไปแบ่งๆ กันครับลุง” เพลิงทรุดลงนั่งขัดสมาธิใกล้ๆ กับพรานปอธีทันเห็นแกกำลังซดกาแฟเสียงดังโฮกด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

“กาแฟทรีอินวันนี่มันรสชาติถูกปากลุงจริงๆ ผู้ช่วย”

เพลิงยิ้มขันเพราะเห็นท่าทางคนพูดดูจะถูกปากดังว่า

“เดี๋ยวยังไงก่อนกลับเข้าหมู่บ้านลุงแวะไปเอาไอ้กาแฟนี่ที่บ้านพักผมนะครับ ไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้ได้มาเยอะเลย”

ป้าวดีนั่นแหละแพ็คใส่กล่องมาให้อย่างดี แต่เพลิงดันกินแต่กาแฟดำ ไอ้พวกทรีอินวันอะไรนี่ดูเหมือนจะไม่ถูกโรคกัน

“แหมเสียดายวันนี้ไอ้เต็งมันกลับหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงมีกับแกล้มกินกับข้าวสักหน่อย”

พรานป่าถูมือไปมาตอนที่พูดถึงหลายชายซึ่งเป็นลูกจ้างในอุทยาน นั่นแหละเพลิงถึงได้สังเกตว่าวันนี้มันเงียบผิดปกติเพราะเจ้าเด็กนั่นกลับบ้านนี่เอง เจ้าเต็งหลานลุงปอธีเป็นเด็กหนุ่มที่แกเอามาฝากทำงานด้วย ท่าทางขยันแต่ซุกซนไปตามเรื่องประสานั่นแหละ เจ้านั่นชอบหาเมนูพิสดารมาให้ลิ้มลองเป็นประจำซึ่งทำให้เพลิงนึกขยาดอยู่บ่อยหลัง ก็แน่ล่ะสิทั้งต้มยำงูหรือกระปอมทอดนั่นมันน่ากินซะที่ไหนกันเล่า

“พรุ่งนี้คงมาแล้วมั้ง เห็นว่าไปรับนังเนียงรอไปสมัครเรียนในเมืองไม่ใช่เรอะ”

ลุงแสวงเอ่ยขึ้น ขณะเพลิงนั่งรับฟังเงียบๆ

“เห็นว่าอย่างนั้นนะ พรุ่งนี้มันจะพาน้องสาวไปในเมือง กว่าจะกลับก็คงค่ำ” ท้ายประโยคพรานปอธีหันมาทางเขา “อาจจะต้องให้เนียงรอมันนอนที่บ้านพักกับไอ้เต็งสักคืนนะผู้ช่วย มะรือมันคงกลับกันแต่เช้า”

แกเอ่ยปากขออนุญาตเพราะรู้ดีว่าบ้านพักเจ้าหน้าที่นั้นคนนอกไม่ควรเข้ามายุ่งย่าม

“ครับ ถ้าไม่สะดวกยังไงไปนอนบ้านพักผมก็ได้ เพราะบ้านพักเจ้าหน้าที่ติดๆ กัน มันมีแต่ผู้ชาย เผื่อหลานสาวลุงไม่สะดวกใจ”

แกยิ้มเผล่แววตาวิบวับตอนที่สบตากันนั่นทำเอาเพลิงเกือบสำลักข้าว

“เอ่อ ผมหมายถึงเดี๋ยวผมมานอนห้องเจ้าเต็ง ส่วนบ้านผมให้เต็งอยู่กับเนียงรอ”

“ผู้ช่วยจะอยู่บ้านเดียวกับหลานสาวผม ผมก็ไม่ว่าหรอกครับ”

แกสัพยอกเข้าให้เล่นเอาลุงแสวงหัวเราะครืนๆ ขณะที่เพลิงแค่ส่ายหัวยิ้มๆ หมัดนี่ของลุงปอธีเล่นฮุกเต็มแรงขืนเพลิงเล่นด้วยคงไม่แคล้วได้ถูกจับคู่ตามที่แกคาดหวังเอาไว้ เพลิงพอจะรู้ว่าหลานสาวแกคิดยังไงกับตนเอง ก็ตามประสาเด็กสาวที่เริ่มแตกเนื้อสาวนั่นแหละ ยิ่งผู้เป็นลุงเปิดทางให้เต็มที่ขนาดนี้หากเพลิงเล่นด้วยคงเข้าทางกัน แค่แย็บๆ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเด็กสาววัยสิบห้านั่นเพลิงก็ปวดหัวแล้ว เอาจริงเขาไม่ได้ปิดกั้นหัวใจตัวเองหรอก แต่จะให้เลี้ยงต้อยเด็กสาวมันคงกระอักกระอ่วนใจน่าดู

“ผมยังไม่อยากติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์น่ะสิครับ”

“ถ้าเด็กยินยอมล่ะผู้ช่วย”

ลุงแสวงเอ่ยแซว เพลิงถึงกับส่ายหน้าหวือ

“แค่ลาดตระเวนในป่าก็เหนื่อยแล้วลุง” เพลิงพูดยิ้มๆ “แล้วอีกอย่างนะ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนอยากจะฝากชีวิตไว้ที่ผมกันเล่า ชีวิตแบบนี้มันไม่ได้สะดวกสบายอะไรนักหรอกจริงมั้ยลุง”

ลุงแสวงยิ้มจางๆ ต่างจากแววตาที่อ่อนแสงลง

“นั่นสินะ จะมีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนยอมจมปลักกับคนที่ดูแลครอบครัวไม่ได้” แกพึมพำ “อยู่เป็นโสดตัวคนเดียวอย่างผู้ช่วย ผมว่าโชคดีแล้ว”

เพลิงถอนหายใจแรงๆ ตอนที่พิจารณาใบหน้าลุงแสวง ก่อนหน้านี้แกเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยหนุ่มๆ แต่งงานกับเมียจนมีลูกกันสองคน แต่เมียแกทนกับภาระงานของแกไม่ไหว ก็อาชีพผู้พิทักษ์ป่าเวลาไปลาดตระเวนทีหายไปเกือบอาทิตย์ บางทีเป็นเดือนถึงจะได้กลับบ้านไปเจอหน้าลูกเมีย แน่นอนว่าคนเป็นเมียย่อมกังวลและว้าเหว่เมื่อเสาหลักหายไปนานขนาดนั้น และคงไม่ผิดอะไร หากเธอจะตัดสินใจขอเลิกราพร้อมกับหอบลูกสองคนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่

นับแต่นั้นมาแกจึงอยู่ตัวคนเดียว หัวหน้าของเพลิงบอกว่าลุงแสวงแกทำงานที่อุทยานตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จนใกล้วัยเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ตั้งแต่เพลิงมาทำงานที่นี่ยังไม่เคยพบหน้าคาตาลูกกับเมียของแกสักที เห็นเจ้าหน้าที่คนอื่นบอกว่านานๆ ลูกสาวทั้งสองคนจะแวะมาเยี่ยมเยียนสักที นั่นคงทำให้คนสูงอายุเหงาไม่น้อย

แวบหนึ่งเขานึกถึงคนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายเธอก็ขอเลิกราเพราะทนไม่ไหวกับความยากลำบากที่เราต้องเผชิญ ก็สมควรที่เธอเลือกจากไป เพลิงไม่เคยนึกโกรธอดีตคนรัก ตรงกันข้าม เขาดีใจกับเธอด้วยซ้ำที่เธอเลือกสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ในเมื่อเขาเองก็ยอมรับว่าดูแลเธอได้ไม่ดีก็สมควรที่จะปล่อยให้เธอเจอกับคนดีๆ ที่สามารถดูแลและฝากชีวิตได้

“งั้นฉลองให้กับคนโสดอย่างเราๆ กันหน่อยครับ” ลุงปอธีพรานสันโดษยกแก้วพลาสติกใส่น้ำขึ้นชูหมายจะทำให้ลุงแสวงเพื่อนรักของแกลดความเศร้าหมองในใจ

“แหมชีวิตโสดนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง”

ลุงแสวงค่อยยิ้มออก

“เกิดมาคนเดียว ถ้าจะตายคนเดียว มันจะแปลกอะไรเล่า”

เพลิงคิดตามคำพูดของพรานป่า นั่นเป็นสัจธรรมของมนุษย์ ถึงเราจะเกิดมาจากครอบครัวที่เพียบพร้อมมากแค่ไหน วาระสุดท้ายของชีวิตย่อมจากไปตัวคนเดียว แม้แต่เสื้อผ้า อาหารหรือทรัพย์สินเงินทองกองเท่าภูเขาก็เอาไปไม่ได้ ชีวิตเขาเองคงเป็นอย่างนั้น การอยู่ตัวคนเดียวไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหา ป้าวดีกับลุงทัศน์ก็มีธามดูแล ซ้ำมารดาผู้ให้กำเนิดเขาก็ล่วงลับไปนานแล้ว ส่วนบิดา...

คิดมาตรงนี้ใบหน้าผ่อนคลายของเพลิงก็เครียดขมึงขึ้นมาทันที พาลให้นึกถึงธุระที่ไปจัดการเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ธุระซึ่งเกี่ยวข้องกับบิดาผู้ให้กำเนิดที่เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยว

‘บ้านพร้อมที่ดินนั่นเป็นของแก’

บทสนทนาในวันนั้นสว่างขึ้นในหัว

มารดาของเพลิงเป็นภรรยารองของผู้ดีมีอันจะกิน ครอบครัวทางบิดาเพลิงเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูง แน่นอนว่าการที่มีแม่และเพลิงเข้ามาเป็นส่วนเกินย่อมไม่เป็นที่ยอมรับ ตั้งแต่เด็กจนโตเพลิงอาศัยอยู่กับแม่ที่บ้านหลังหนึ่งแถบปริมณฑล โดยที่นานๆ ครั้งบิดาจะแวะมาเยี่ยมสักที เพลิงแอบเห็นแม่ร้องไห้แทบทุกวัน แม่ทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกนั้นจนกระทั่งเพลิงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็จากไปเพราะโรคร้าย 

ตั้งแต่นั้นเพลิงจึงเข้าไปอยู่ในความอุปการะของลุงกับป้า ถึงแม้บิดาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ค้านอำนาจของบ้านใหญ่ไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านจากไปอย่างกะทันหันเพราะโรคส่วนตัว เพลิงไม่คิดหวังจะได้อะไรจากบิดาหรอก เพราะระหว่างเขากับพ่อมันห่างเหินกันมาก เพลิงเป็นคนหัวดื้อและชอบต่อต้านบิดา ไม่เหมือนพี่ชายต่างมารดาที่เกิดจากภรรยาหลวงซึ่งทำทุกอย่างได้อย่างใจ เมื่อสิ้นบุญบิดาแล้วสายสัมพันธ์ของเพลิงกับครอบครัวทางบิดาก็ขาดลง ซึ่งมันไม่ได้ต่างจากที่แล้วมาหรอก ในเมื่อเพลิงรู้ตัวดีว่าเขาไร้ตัวต้นสำหรับคนที่นั่นมานานแล้ว

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ทนายความประจำตระกูลติดต่อมาว่าพี่ชายต่างมารดาอยากให้เพลิงไปพบ เพราะก่อนตายบิดาระบุในพินัยกรรมว่าบ้านซึ่งเพลิงอาศัยอยู่ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งแม่เสียตกเป็นของเขา การเข้ากรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนจึงเป็นการพบเจอกับพี่ชายต่างมารดาในรอบหลายสิบปี

‘บ้านและที่ดินนั่นเป็นของแก’

‘ผมไม่รับ’


ฝ่ายนั้นมองเขาหัวจรดเท้าแล้วแค่นยิ้ม เพลิงรู้ดีว่าฝ่ายนั้นชังน้ำหน้าเขาไม่น้อย ในเมื่อเขาคือผลผลิตที่เป็นหนามยอกอกทิ่มแทงใจภรรยาหลวงของพ่อ แน่นอนว่าเพลิงเองก็ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยหลังจากคุยกันไปสักพัก จะเรียกว่าคุยคงไม่ถูกนัก เรียกว่านั่งฟังฝ่ายนั้นเย้ยหยันน่าจะถูกกว่า

‘ฉันกำลังจะแต่งงาน’

‘...’

‘แค่บอกให้แกรับรู้ไว้เฉยๆ แต่ฉันไม่เชิญแกหรอกนะ เจ้าสาวฉันเป็นเขาลูกผู้ดีเก่า เขาคงไม่ยินดีถ้าหากลูกนอกสมรสของพ่อจะมาร่วมงาน’


ตอนนั้นเพลิงรับฟังเฉยๆ ทั้งที่ในใจอดนึกถึงผู้ชายหน้าร่างสูงโปร่งคนหนึ่งไม่ได้ ผู้ชายที่อยู่เคียงข้างพี่ชายต่างมารดา เมื่อหลายปีก่อนตอนงานศพบิดา เพลิงบังเอิญไปแอบเห็นพี่ชายต่างมารดากับหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง คราแรกเขาเข้าใจว่าทั้งคู่คงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ถ้าหากว่าเพลิงไม่บังเอิญไปเห็นความสนิทสนมของทั้งคู่ที่ดูเกินเลยระหว่างพี่น้อง

แน่นอนว่าครอบครัวบิดาไม่มีใครรู้ว่าพี่ชายต่างมารดามีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน และก็ไม่ใช่เรื่องของเพลิงที่จะป่าวประกาศไปทั่ว เขาจึงผ่านเลยเหตุการณ์นั้นไป ถ้าหากว่าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนจะไม่พบเจอคนของพี่ชายต่างมารดาในสภาพเมามาย

‘นอนกับผมมั้ย’

ถ้าให้เดาสาเหตุนั้นคงมาจากการที่พี่ชายต่างมารดาจะแต่งงาน แวบหนึ่งเพลิงนึกเวทนาคนถูกกระทำ การกระทำไร้สติของคนเมานั่นทำให้เขานึกสงสารนัยน์ตากลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา สีหน้าท้อแท้สิ้นหวังนั่นเขายังจำได้ไม่ลืม

แต่อย่างไรก็ช่าง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเพลิงอยู่ดี เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นพอๆ กับที่รักความสันโดษดังนั้นคำตอบที่เพลิงกล่าวแก่พี่ชายต่างมารดาในวันนั้นก่อนจากกันคือ

‘วางใจเถอะ ผมไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับคุณและครอบครัวอันสูงส่งของคุณเลยสักครั้ง คุณเตวิช’


☘☘☘☘

“เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”

รเณศพยักหน้าน้อยๆ ป้าอนงค์ทรุดตัวนั่งยกมือตบอกตกใจหลังที่เขาเล่าให้ฟังว่าพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุจากเขาไปหลายปี ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนนิ่งไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ

“เสียดาย”

แกพึมพำ

“ตาแกน่ะ เขารอนงนุชกลับมาตลอด ก่อนที่ตาจะเสีย เขาบอกว่ารู้สึกผิดที่กีดกันพ่อกับแม่เราจนทั้งคู่หนีไปแบบนั้น”

รเณศน้ำตาซึม

“ไม่นึกเลยว่านงนุชกับประวิทย์จะจากไปหลายปีแล้ว” ป้าอนงค์เสียงสั่น “ตอนที่นุชมันหนีไปสี่ห้าปีแรกมันก็เขียนจดหมายมาหาฉันอยู่หรอก แต่ตอนนั้นตาแกยังโกรธมันอยู่ ฉันเลยไม่ได้บอกใคร เพราะกลัวตาแกตามไปเอาเรื่องประวิทย์มัน ฉันเลยซ่อนจดหมายนั่นไว้ สงสัยว่าซ่อนดีเกินไปถึงหาไม่เจอสักที ฉันเลยขาดการติดต่อแม่แกไป จนกระทั่งตาเสียเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นแหละ ถึงได้เจอกับจดหมายนั่น ฉันเลยรีบเขียนไปหามันเพราะก่อนเสียตาแกเขาแบ่งทรัพย์สินส่วนที่เป็นของนังนุชเอาไว้ให้ แกคงสำนึกผิดที่ทำให้นุชมันจากไปแบบนั้น”

“ผมขอโทษแทนพ่อกับแม่ด้วยครับ”

“ไฮ้!”

ป้าแกโบกมือไหวๆ

“มันเป็นเรื่องของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ แกจะเกี่ยวอะไรล่ะ เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว ยิ่งตอนนี้ทั้งพ่อทั้งแม่และตาแกก็จากไปหมดแล้ว จะเหลือแต่คนที่อยู่นี่แหละว่าจะเอายังไง”

รเณศส่ายหัวไปมาเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะจัดการกับชีวิตของตัวเองต่อจากนี้ยังไง

“เอาเถอะ แกมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าว พักให้สบายก่อนถ้าสะดวกวันไหน ฉันจะพาไปเซ็นรับมรดกในส่วนของแม่แก ว่าแต่แกลางานมากี่วันล่ะ แล้วจะกลับวันไหน”

“ป้าครับ”

ป้าอนงค์ทำหน้างงๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของรเณศ

“ถ้าผมจะขออยู่...” ริมฝีปากบางเม้มแน่น “ถ้าผมจะขออยู่ด้วย”

“หือ?”

“ขอผมอยู่ด้วยได้มั้ยครับ”

ป้าอนงค์มุ่นหัวคิ้ว

“แล้วงานการแกล่ะ”

รเณศหลุบตามองพื้นท่าทางอึดอัดใจนั่นทำให้คนที่ผ่านโลกมาก่อนพอจะเข้าใจอะไรได้รางๆ

“เอาเถอะ เรื่องนั้นค่อยว่ากัน ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนไป”

“ครับ”

.

.

ไร่ปลายดอยของตากินพื้นที่ราวๆ ห้าสิบกว่าไร่ เป็นพื้นที่เกษตรแบบผสมผสานส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นไร่ผลไม้ขนาดใหญ่ ป้าอนงค์เล่าว่าที่ดินนี่เป็นของบรรพบุรุษมาแต่เก่าก่อน ลูกหลานจึงทำเกษตรกันมาตลอด หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้วรเณศก็ถูกเจ้าของบ้านไล่ให้ไปนอนพักผ่อน อีกอย่างเย็นนั้นป้าอนงค์แกบอกว่าจะไปงานศพของคนรู้จักในหมู่บ้าน

รเณศงีบหลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทางตอนหัวค่ำก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้โยเยของเด็กน้อยฟังแล้วคล้ายกับว่าต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เกือบสามทุ่มตอนที่เขางัวเงียผุดลุกขึ้นมาออกจากห้องมาหยุดยืนอยู่กลางบ้านซึ่งเป็นชานไม้เปิดโล่ง แสงไฟสลัวบวกกับเสียงจิ้งหรีดร้องกันระงมนั่นบ่งบอกว่าที่นี่อยู่ห่างไกลจากตึกระฟ้าสูงใหญ่ที่เขาเคยอาศัย

ร่างสูงโปร่งเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงดาวระยิบระยับนั่นชวนมอง หากอยู่ในเมืองใหญ่คงยากที่จะมองเห็นดวงดาว แต่บัดนี้ในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญเขากลับมองเห็นดวงดาวนั่นได้เต็มตา

‘นั่นดาวตก พี่เตดูสิ ดาวตก ตื่นเต้นจัง’

‘อะไรกันเล่าก็แค่ดาวตก’

‘หยุดพูดไปเลย เนตรจะหลับตาอธิษฐานขอพร’

‘...’

‘เนตรขออะไรเหรอ’

‘ไม่บอกหรอก’

‘โธ่เนตร บอกพี่เถอะน่า

‘ฮื่อ ผมขอให้พี่เตพาเนตรมาดูฝนดาวตกอีก’

‘มักน้อยจริงเรา’

เปล่าหรอก

รเณศไม่ได้มักน้อยแต่รู้ว่าสิ่งที่คาดหวังในตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ต่างหาก เพราะหากเขาขอได้ เขาก็ขอให้

“ขอยืนเคียงข้างพี่เตในฐานะคนรักได้มั้ย”

ไม่ได้!

และไม่มีทางเป็นจริงได้

รเณศหลับตานิ่งปล่อยน้ำตาให้ไหลริน

“แงๆๆ”

เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรีบปาดน้ำตาลวกๆ มองซ้ายมองขวาแล้วนึกระแวดระวังเพราะบนเรือนนี้นอกจากป้าอนงค์ที่ไปงานศพก็มีแค่รเณศคนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มยืนเงี่ยหูฟังเสียงร้องไห้ได้พักหนึ่งก่อนจะได้คำตอบว่าเสียงนั้นมันดังมาจากบริเวณใต้ถุนบ้าน

ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็นึกสงสัยแต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกฝ่ายหลังจะมีอิทธิพลมากกว่า เขาจึงตัดสินใจถือไฟฉายติดตัวลงมาหนึ่งกระบอก บริเวณใต้ถุนบ้านเยื้องไปด้านหลังนั่นป้าอนงค์บอกว่าเป็นห้องพักของ ‘ป้าสมัย’ คนสนิทของป้าอนงค์ที่ทำงานกับตามาตั้งแต่สมัยแกสาวๆ และป้าสมัยคนนี้ยังเป็นป้าแท้ๆ ของเจ้าเปลวเด็กหนุ่มสารถีของรเณศวันนี้อีกด้วย

เขาเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าห้องป้าสมัย ก่อนจะแน่ใจว่าเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังมาจากที่นี่แน่นอน หลังจากเคาะประตูอยู่นานไม่มีคนเปิด รเณศเลยถือวิสาสะผลักประตูบานไม้เข้าไปเบาๆ ก่อนจะยืนตะลึงเมื่อเห็นทารกวัยแบเบาะในชุดนอนเนื้อนิ่มกำลังนอนดิ้นแผดเสียงร้องไห้อยู่กลางเตียง

“ชูว์!”

รเณศตรงเข้าไปช้อนตัวเด็กน้อยก่อนจะค่อยประคองศีรษะอย่างแผ่วเบาขึ้นแล้วจับโยกตัวไปมา ไม่นานเด็กน้อยก็เงียบเสียงลง คนต่างถิ่นอมยิ้มอย่างพอใจ

รเณศชอบเด็ก

เขาเคยมีความฝันว่าอยากมีลูก แต่เพราะรสนิยมทางเพศเป็นแบบนี้ เรื่องจะสร้างครอบครัวจนมีลูกเป็นของตัวเองจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งตอนที่คบหากับเตวิชเขาเคยเกริ่นว่าอยากจะรับเลี้ยงเด็กสักคน แต่อดีตคนรักรุ่นพี่ไม่ชอบเด็ก ซ้ำความสัมพันธ์ที่หลบๆ ซ่อนๆ แบบนั้นเขาคงไม่มีปัญหารับผิดชอบชีวิตน้อยๆ สักเท่าไหร่

“อ้าวคุณ”

ป้าสมัยเจ้าของห้องทำหน้างงที่เห็นรเณศอุ้มทารกน้อยอยู่กลางห้อง

“เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ” เขาก้มศีรษะลงเป็นเชิงขอโทษ “พอดีผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เลยเดินมาดู”

“ไม่เป็นไรจ๊ะคุณ”

ป้าแกยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ “ท่าทางคุณเลี้ยงเด็กคล่องนะจ๊ะ ดูสิแก้มใสเงียบเสียงเชียว เมื่อกี้แหกปากร้องเสียงดังลั่น แต่พอดีป้าเก็บของอยู่ในครัว”

“ชื่อแก้มใสเหรอครับ”

รเณศเขี่ยแก้มสีแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศแล้วนึกเอ็นดู ยิ่งดวงตาใสแจ๋วจ้องมองกันแบบนั้น เขายิ่งนึกเอ็นดูเข้าไปใหญ่

“ใช่จ๊ะ ลูกสาวเจ้าเปลวมัน”

“หือ?”

รเณศทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะให้เดาอายุของเปลวแล้วไม่น่าจะถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ เด็กขนาดนั้นมีลูกแล้วหรือนี่ ป้าสมัยหัวเราะร่วนเมื่อรเณศทำหน้านิ่ว

“มันทำสาวท้องตั้งแต่ม.ปลายแล้วคุณ” แกพูดยิ้มๆ แต่สีหน้าดูไม่สดใสนัก “เด็กผู้หญิงนั่นก็สิบเจ็ดเห็นจะได้ เกิดชอบพอกัน ก็ลักลอบคบหา สุดท้องก็ท้องโต ไอ้เปลวเลยต้องออกจากโรงเรียนมาหางานทำเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่เคราะห์ซ้ำ พอคลอดแล้วนังผู้หญิงมันก็ทิ้งไปตั้งแต่แก้มใสมันยังไม่ถึงสามเดือนเลยด้วยซ้ำ”

รเณศถอนหายใจแรงๆ นึกเวทนาหนูน้อยในอ้อมแขน ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ ริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังดูดนิ้วตัวเองท่าทางชอบอกชอบใจ ระหว่างนั้นป้าสมัยแกก็เดินชงนมให้หลาน

“เออ นี่ซองนมผงใช่มั้ยคุณ”

เขาขยับเข้าใกล้ช่วยดูให้

“ใช่ครับ”

“เออแหนะ สายตาป้าที่มันชักเลือนราง”

“ปกติป้าเลี้ยงคนเดียวเหรอครับ”

“ก็ถ้าวันไหนพ่อมันไม่ออกลาดตระเวนหรือติดงานที่อุทยาน มันก็เลี้ยงของมันเองนั่นแหละ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยว่างหรอก ป้าเองก็สงสารมันพ่อลูกเลยช่วยดูให้”

รเณศพยักหน้าหงึกหงักเพราะเพิ่งจะทราบว่าเปลวเองก็ทำงานเป็นลูกจ้างที่อุทยานใกล้บ้านด้วย

“นี่ดีว่าผู้ช่วยเขาใจดีชวนไอ้เปลวมันไปทำงานด้วย ไม่งั้นล่ะก็คงอดอยากกันทั้งพ่อทั้งลูก”

“วันหลังป้าเอาแก้มใสไปเลี้ยงบนเรือนได้นะครับ เผื่อผมช่วยดูให้”

แกยิ้มกว้างก่อนจะรับเอาหนูน้อยไปนอนดูดนม ตอนนั้นแหละรเณศถึงเพิ่งจะรู้สึกว่าขนลุกเนื่องจากสภาพอากาศตอนกลางคืนที่ค่อนข้างหนาว “กลางคืนมันหนาวแบบนี้แหละคุณ ไร่นี้ตรงท้ายไร่มันติดกับเขตอุทยาน กลางคืนถ้าได้ยินเสียงสัตว์ร้องไม่ต้องตกใจหรอกนะ”

เขากระชับอ้อมกอดตัวเองให้แน่นขึ้น

“เสียงมันดังอยู่ในป่าโน่น ไกลอยู่หรอก แต่กลางคืนมันเงียบ เลยได้ยินชัด คุณไม่ต้องกลัวหรอกนะ”

รเณศเหม่อมองไปในความมืดมิดนั่น ที่นี่ทั้งมืดทั้งเงียบเหงา แต่เขากลับรู้สึกสบายใจต่างจากตึกสูงใหญ่หนาแน่นไปด้วยผู้คน เป็นเมืองหลวงที่ผู้คนไม่เคยหลับใหล และมุมๆ หนึ่งในอดีตนั่นรเณศต้องอยู่อย่างเดียวดายเฝ้ารอคนรักเหมือนคนโง่งม

เขากระพริบตาถี่ก่อนจะสูดอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่เข้าจนเต็มปอด

☘☘☘☘

(มีต่อ)

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17

หลังจากเล่นกับเด็กน้อยอยู่พักใหญ่เขาจึงตัดสินใจจะเดินกลับขึ้นบ้าน แต่จังหวะนั้นแสงไฟดวงใหญ่สองดวงก็สาดส่องมากระทบใบหน้าทำให้รเณศต้องยืนหลบมุมเสา และไม่นานเสียงเครื่องยนต์สองล้อก็มาจอดหยุดอยู่หน้าบ้าน

“ขอบใจมากพี่เพลิง”

รเณศชะงักปลายเท้าที่หมายจะเดินออกไป ตอนที่ชะโงกหน้าไปเห็นเปลวซึ่งกำลังก้าวลงจากท้ายเบาะที่ซ้อนผู้ชายคนนั้น

“พี่จะเข้าไปหาแก้มใสด้วยกันมั้ย”

ฝ่ายนั้นส่ายหัว

“ไม่ล่ะ กูไปงานศพมา น้ำท่ายังไม่ได้อาบ ไม่อยากไปหาเด็กอ่อน เดี๋ยวลูกมึงป่วยไข้ไปซะเปล่าๆ”

รเณศแอบยืนฟังอย่างถือวิสาสะ

“เออพี่ ที่พูดว่าจะส่งเสียลูกพี่ศักดิ์จนจบอ่ะ พี่พูดจริงเหรอ”

ใบหน้าคมคายพยักหน้าหงึกๆ

“ขาดเสาหลักไปอย่างนั้นคงลำบาก ถ้าเด็กสองคนนั่นได้เรียบจนจบจะได้ดูแลตัวเองกับแม่เขาได้”

“พี่ศักดิ์นี่แกโชคดีเนอะ ถึงตัวจะตายแต่เจ้านายยังไม่ทอดทิ้งลูกเมีย”

“มีอะไรก็ช่วยๆ กันไป”

ฝ่ายนั้นทำเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ทำให้คนฟังคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้

หมอนั่นจะส่งเสียลูกของลูกน้องงั้นหรือ?

รเณศหูฝาดไปแน่ๆ ท่าทางไม่เป็นมิตรแบบนั้นน่ะเหรอจะอุปการะคนอื่น เขาส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ หลังจากรอให้บทสนทนาของสองคนนั้นเงียบลงพร้อมเสียงฝีเท้าของคนที่ขยับห่างไปเรื่อยๆ รเณศจึงออกมาจากที่ซ่อน

มอ’ไซค์คลาสสิกยังจอดอยู่ที่เดิมแต่เจ้าของรถไม่อยู่แล้ว

“หายไปไหน”

“อยู่ข้างหลังคุณไง”

รเณศสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอยหลังหนีไปหลายก้าวเมื่อเห็นกลับไปเห็นร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกอยู่เบื้องหลัง

“กลางค่ำกลางคืนทำไมไม่หลับไม่นอน มาแอบฟังคนอื่นเขาคุยกันทำไม”

“ผมเปล่า”

รเณศสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อไม่อาจสบสายตากับแววตาดุดันคู่นั้นได้ ชุดผ้าสีดำสนิททั้งตัวอยู่ในตัวคนตรงหน้ายิ่งส่งเสริมให้บุคลิกดูดุดันมากยิ่งขึ้นจนเขามองนึกกริ่งเกรง

ตัวโตอย่างกะตึกไม่พอ หน้ายังดุอย่างกับเสือ

“งู”

“อะไรนะ”

รเณศยืนตะลึง

“งูอยู่ข้างหลังคุณ”

เขาไม่รอให้หมอนั่นพูดซ้ำอีกรอบ รเณศกระโจนเข้าหาเพลิงแทบจะทันที แน่นอนว่าอารามตกใจนั่นทำให้เขาสะดุดพื้นดินระดับก่อนจะถลาไปหาอีกฝ่าย ดีว่าฝ่ายนั้นเอื้อมมือไปคว้าเอวเขาเอาไว้ไม่อย่างนั้นหน้าคงจูบดินไปแล้ว

“คุณ”

“...”

“มันไปรึยัง”

รเณศกลัวจนตัวสั่น

“ผมมีเรื่องจะบอก”

“ระ เรื่องอะไร”

 รเณศเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย ระยะห่างระหว่างเราจึงใกล้แค่คืบ ไม่แปลกหากเขาจะเห็นดวงตาสีดำสนิทของฝ่ายนั้นแค่คืบ และเป็นคืบที่เขานึกเก้อกระดากขึ้นมา

“ผมเข้าใจผิด”

“ว่าไงนะ”

ฝ่ายนั้นบุ้ยปากไปด้านหลัง

“ผมเข้าใจผิด”

“...”

“ก็แค่กะปอมน่ะไม่ใช่งู”

รเณศโกรธหน้าดำหน้าแดงเพราะหลงกอดอีกฝ่ายเต็มแรง หน้าที่ร้อนวูบวาบเพราะความอายนั่นทำเอาเจ้าตัวนึกอยากทึ้งหัวตัวเองแรงๆ

“คุณหลอกผม”

เพลิงยักไหล่

สองครั้งแล้วที่รเณศถูกไอ้ผู้ช่วยคนดีของใครต่อใครแกล้งเอา

“ผมไม่ได้แกล้งคุณ”

“คุณแกล้ง”

รเณศตาลุกวาว

“ถ้ามันทำให้คุณคิดแบบนั้น ก็ขอโทษด้วยครับคุณรเณศ...หลานป้าอนงค์”

เพลิงโคลงศีรษะ

“โอ๊ย”

คนถูกแกล้งจึงกระแทกส้นใส่ปลายเท้าของอีกฝ่ายแล้ววิ่งหนีขึ้นเรือนไปทันที เขาจึงไม่ทันได้เห็นแววตาดุดันอ่อนแสงลง ซ้ำใบหน้าคมคายนั่นยังมีรอยยิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก

ยิ้มงั้นเหรอ?

เพลิงเหมือนจะได้สติว่าตัวเองกำลังยิ้ม ใช่ เขากำลังยิ้ม

‘เพลิง พงพนา’ กำลังยิ้มหัวให้กับคนขี้โมโหนั่น

☘☘☘☘
พี่เพลิงยิ้มแล้ว ฮี่ๆๆๆๆ
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่อ่านแล้วคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันน้า เราอ่านทุกความเห็นเลย
ใครหวีดในทวิตฝากติดแท็ค #ป่าห่มรัก ด้วยน้า

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
คุณพี่เพลิงขี้แกล้ง​   

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ตอนแรกก็ว่าโลกกลมแล้ว แต่นี่กลมกว่าเดิมอีก เพลิงดันเป็นน้องต่างแม่แฟนเก่าของเนตรอีกต่างหาก แถมยังเป็นคนขี้แกล้งมากด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ fun_la_ong

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่เพลิงอย่าแกล้งน้องงงงงงงง

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ชอบพี่เพลิง

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ชอบแกล้ง ก็เพราะสนใจเขาล่ะสิพี่เพลิง  :hao7:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณผู้ช่วย  :hao3:
โลกกลมมากกลมจนน่ากลัว

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
พี่เพลิงแกล้งน้องทุกตอนเลย :hao6:

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
พี่เพลิงคนขี้แกล้งงงง

 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ แก้มกลม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากให้มีโมเม้นท์ น้องแก้มใส คุณแม่(บุญธรรม)เนตร คุณพ่อ(บุญธรรม)เพลิงเยอะๆ
จังเลย

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สนุก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
[ 04 ]


เสียงโหวกเหวกของเจ้าบ้านคละเคล้าไปกับเสียงเคาะกระทะยามเช้าปลุกให้รเณศตื่นเต็มตา ร่างสูงโปร่งผุดลุกขึ้นแล้วชะโงกหน้าจากหน้าต่างออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก บ้านเรือนไทยหลังนี้ปลูกอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่จึงดูร่มรื่นน่าอยู่อาศัยมากๆ ป้าอนงค์เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนที่นี่ครึกครื้นไม่น้อย ตอนที่ตายังอยู่มักมีคนรุ่นเดียวกับตาพากันมากินกาแฟและนั่งโขกหมากรุกคุยเรื่องสัพเพเหระ รวมถึงข่าวสารบ้านเมือง แต่พอสิ้นบุญตาแล้วผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นราวคราวเดียวกันก็มาล้มป่วยและเสียตามกันไปติดๆ บ้านหลังนี้จึงเงียบเหงาลงถนัดตา

“แกงส้มดอกแคนะพี่อนงค์”

“เอาสิมีปลาช่อนอยู่ไม่ใช่รึ”

“มีๆ ฉันอุ่นไส้อั่วที่ซื้อจากในเมืองเพิ่มด้วยนะ”

“เออแหน่ะ ไม่รู้ว่าคนกรุงเขาจะกินได้มั้ยน่ะสิ ทอดไข่เจียวเพิ่มอีกสักจานเถอะ” รเณศโผล่หน้าเข้าไปในครัวทันได้ยินประโยคนั้นพอดี

“ผมกินได้ครับ ไม่ต้องเจียวไข่เพิ่มหรอก”

ป้าอนงค์ชะงักมือที่กำลังเด็ดผักก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น “มีแต่อาหารพื้นๆ ทั้งนั้น เจียวไข่เพิ่มอีกสักจานเป็นไร”

รเณศยิ้มกว้างพอจะรู้ว่าป้าอนงค์แกเป็นคนปากร้ายใจดี

“งั้นผมเจียวไข่ให้นะครับ”

“ทำเป็นหรือเรา”

แกทำหน้าประหลาดใจ

“พอทำได้ครับ”

“อย่าทำครัวฉันไหม้แล้วกัน”

ป้าสมัยหัวเราะ

รเณศยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไข่สามสี่ฟองมาตอกใส่ชาม เขาเหยาะน้ำปลาและผงปรุงรสเล็กน้อย ก่อนจะตีให้เข้ากัน

“แหม คุณเขานี่ท่าทางคล่องแคล่วอยู่นะพี่อนงค์”

“เคยช่วยแม่ทำกับข้าวตอนเด็กๆ ครับ”

รเณศยิ้มจางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ลูกมือมารดา

“นังนุชมันทำกับข้าวอร่อย” ป้าอนงค์พูดเสียงแผ่ว “แกงส้มดอกแคนี่เมนูเด็ดเลยล่ะ”

“จริงครับ”

รเณศพยักหน้าเห็นด้วย “ทำทีไรพ่อแทบจะยกหม้อซดน้ำเลย”

“เหมือนตาแก”

“ยังไงครับ”

เขาทำหน้าสนใจ

“ยกหม้อซด/ยกหม้อซดเหมือนกัน”

รเณศชะงักตอนที่พูดประโยคเดียวกับเจ้าของบ้าน ป้าอนงค์ทำหน้าไม่ถูกก่อนจะเบือนไปทางอื่นแล้วยิ้มน้อยๆ ความรู้สึกขัดๆ เขินๆ เพราะความไม่คุ้นเคยจึงเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด

“กลิ่นอะไรไหม้”

ป้าสมัยร้องทัก เขาจึงสะดุ้งโหยงรีบหันขวับไปที่เตาแก๊ส

“ตายห่า”

รเณศตาเบิกโพลงตอนที่เห็นไข่เจียวกลายเป็นสีคล้ำ

“อะไรกันล่ะนั่น”

“ไข่ไหม้ครับ”

“นั่นปะไร”

ป้าอนงค์ส่ายหัว

.

.

“อร่อยครับ”

รเณศยิ้มตาหยีหลังจากที่ซดน้ำแกงส้ม รสชาติที่ได้กินนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากฝีมือของแม่ที่เขาเคยกินมาก่อน

“วางเจ้าแก้มลงก่อน แล้วมากินข้าวกันสมัย”

ป้าอนงค์กวักมือเรียกป้าสมัยที่กำลังกล่อมหนูน้อยซึ่งนอนดูดนมขวดอยู่

“ป้าอนงค์ ป้าอนงค์”

จังหวะที่ป้าสมัยกำลังวางหนูน้อยใส่เปล เสียงเรียกเจ้าบ้านก็ดังมาจากหน้าเรือนไทย

“ใครกันล่ะนั่น”

“ป้าอนงค์ช่วยที”

รเณศขยับตามเจ้าบ้านซึ่งก้าวฉับๆ ลงบันไดบ้านอย่างกระฉับกระเฉงผิดกับรูปร่างสูงท้วม

“มีเรื่องอะไรกัน”

“ช้างจ๊ะช้าง”

แขกที่มาเยือนไม่ทันตั้งตัวละล้ำละลักบอก ท่าทางดูตระหนกตกใจ

“ทำไม”

เจ้าของบ้านมุ่นหัวคิ้ว

“ช้างป่าลงมากินสัปปะรดท้ายไร่ ตอนนี้เสียหายไปเยอะแล้ว ช่วยฉันทีป้าอนงค์”

ไม่รอให้ต้องพูดซ้ำสอง ร่างท้วมของเจ้าบ้านรีบหันไปสั่งป้าสมัยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดตามแบบฉบับสาวโสด

“โทรตามผู้ช่วยเร็วเถอะแม่สมัย”

สั่งเสร็จแล้วแกก็เดินตามคนทุกข์ใจนั่นไปติดๆ รเณศทำอะไรไม่ถูกเพราะยังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเห็นญาติผู้ใหญ่เดินดุ่มๆ ไปท้ายไร่แบบนั้น เขาจึงอดห่วงไม่ได้เลยสาวเท้าตามไปติดๆ

“รอผมด้วยครับ”

☘☘☘☘



เสียงร้องแปร๋นๆ ดังกึกก้องของสัตว์ใหญ่ทำเอาคนเมืองกรุงนึกขยาดกลัว ขนาดว่าไม่เห็นตัว ฟังแต่เสียงของมันเท่านั้นก็สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แล้ว รเณศขยับเข้าไปชิดป้าอนงค์จนแกหันมามองอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มเลยยิ้มแหยๆ เป็นคำตอบให้กับผู้สูงวัย

“ตามมาทำไมกันล่ะเนี่ย”

“ก็ผมเป็นห่วงป้า”

แกถอนหายใจเฮือกใหญ่

“งั้นอย่าเดินทะเล่อทะล่าไปไหนตามลำพังล่ะ”

รเณศพยักหน้าหงึกหงักรับคำ

ป่าสัปปะรดประมาณการณ์จากสายตานั่นไม่ต่ำกว่าห้าไร่ ซ้ำผลผลิตของมันกำลังออกผลให้เก็บกิน แต่ภาพที่เห็นคือช้างป่าโขลงใหญ่นับสิบตัวกำลังเดินลุยสวนสัปปะรดและกัดกินผลผลิตนั่นอย่างสบายใจเฉิบ ทั้งกินทั้งเหยียบจนต้นสัปปะรดล้มระเนระนาดราบเป็นหน้ากอง

รเณศสังเกตว่าท้ายสวนนั่นเป็นแนวรั้วมีหลอดไฟล้มลงกับพื้นเป็นแนวยาว บ่งบอกว่าแนวกั้นที่ชาวบ้านทำไว้ถูกทำลายลงแล้ว ระหว่างนั้นเจ้าของสวนและญาติพี่น้องจำนวนหนึ่งกำลังเหนี่ยวหนังสติ๊กที่ใส่อาวุธเป็นอะไรสักอย่างสีดำๆ ยิงใส่ก้นช้าง แต่ดูเหมือนมันจะแค่ทำหน้ารำคาญก่อนจะยกหางปัดกระสุนที่ว่านั่นลงพื้น

“มันไม่เจ็บเลยเหรอครับนั่น”

“กระสุนดินเหนียวน่ะ” ป้าอนงค์อธิบาย “แรกๆ มันก็ได้ผลอยู่หรอก หลังๆ มาเจ้าพวกนั้นมันดันฉลาดรู้ทันคนว่ากระสุนดินเหนียวนั่นทำอะไรมันไม่ได้”

“หวอออออออออออ”

เสียงไซเรนดังกึกก้องทำเอาสัตว์ใหญ่ตกใจ พวกมันกระพือหูแล้วเดินวนไปวนมาก่อนจะเริ่มขยับถอยหลัง แต่นั่นทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นลูกหลานเจ้าของสวนที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงช้างป่าเผลอขยับเข้าไปใกล้พวกมัน สถานการณ์ตรงหน้าชวนหวาดเสียวจนรเณศเผลอลืมหายใจ ทันใดนั้นเหมือนมีอะไรแวบๆ คล้ายคนวิ่งผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว

ปังๆๆ

เสียงประทัดดังรัวในระยะประชิด

“ระวัง”

น้ำเสียงดุดันตะโกนบอกทำให้เด็กน้อยที่ว่าซึ่งกำลังยืนเบะปากร้องไห้ถูกใครบางคนในชุดลายพรางตวัดขึ้นอุ้มแล้วพาออกมาจากรัศมีที่เป็นจุดอันตราย รเณศเกือบลืมหายใจมองเหตุการณ์ชวนระทึกนั่นอย่างใจจดใจจ่อ เพลิงอุ้มเด็กน้อยแนบอกไปคืนญาติ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางเกือบสิบนายก็เดินกระจายอยู่รอบๆ ในระยะที่ปลอดภัย ในมือพวกเขามีโทรโข่งอันใหญ่ที่เปิดเสียงไซเรน

โขลงช้างป่าเริ่มขยับถอยหลังไปเพราะเสียงประทัด พวกมันเดินวนไปวนมาพักหนึ่งก่อนจะพากันหันหลังกลับ รเณศเห็นร่างสูงของใครบางคนเดินตามหลังช้างไปเรื่อยๆ ก่อนที่คนในเครื่องแบบลายพรางนั่นจะตะโกนบอกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ

“ระวังๆ อย่าไปใกล้มันมาก”

เกือบสิบนาทีหลังจากฝูงช้างหายเข้าป่าไป รเณศได้ยินเสียงสะอื้นจากเจ้าของสวนหลังจากที่เห็นสภาพสวนสัปปะรดราบเป็นหน้ากอง ป้าอนงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปปลอบใจเจ้าทุกข์ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางก็เดินสำรวจพื้นที่เสียหาย

“ขอบคุณผู้ช่วยมากนะจ๊ะที่ช่วยหลานป้าไว้”

ป้าเจ้าสวนยกมือไหว้หมอนั่นปลกๆ ตอนที่กอดเด็กน้อยขวัญเสียที่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่

“ผู้ช่วยเลือดออกนี่”

ป้าอนงค์ร้องเมื่อเห็นเลือดออกบริเวณศอก

“คงเกี่ยวกับกิ่งไม้มั้งครับ”

“งั้นไปทำแผลที่บ้านป้าก่อนเถอะ จะได้อยู่กินข้าวเช้าด้วยกัน”

เพลิงเหลือบตามาทางรเณศซึ่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงหน้า

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”

“เอาน่าผู้ช่วย ยังไงป้าก็ต้องฝากปิ่นโตกับเจ้าเปลวไปให้ผู้ช่วยอยู่แล้ว กินข้าวด้วยกันซะที่บ้านเลยเป็นไร”

เพลิงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะปกติชีวิตชายโสดอย่างเขามีอะไรก็กินไปตามมีตามเกิด ป้าอนงค์คงนึกเห็นใจถึงได้มีน้ำใจแบ่งปันกับข้าวกับปลา จนสุดท้ายเพลิงตัดสินใจผูกปิ่นโตอาหารมาเรื่อย

“ยังไงเดี๋ยวผมขอเคลียร์พื้นที่กับเจ้าหน้าที่ก่อนแล้วจะตามไปนะครับ”

“รีบมาทำแผลนะผู้ช่วย”

รเณศเผลอเหลือบมองข้อศอกที่มีรอยขูดเป็นทางยาวจนมีเลือดไหลซิบ แผลขนาดนั้นคงเจ็บไม่น้อย คนมองแอบนิ่วหน้าก่อนจะชะงักกึกเมื่อใบหน้าคมคายนั่นหันมาทางเขาแล้วตรงๆ รเณศรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนตอนที่มองแผลอีกฝ่าย

ยอมรับว่านึกกังวลกับบาดแผลนั่นตามประสาคนขี้สงสาร

“รเณศ”

“...”

“รเณศ”

ป้าอนงค์ขยับมาหยุดตรงหน้าตอนที่เราทั้งคู่เดินมาถึงบ้านเรือนไทย

“คะ ครับ”

“เหม่ออะไรกัน”

รเณศเกาหัวแก้เก้อ

“ผมสงสัยน่ะครับว่าทำไมช้างป่าถึงลงมาบุกรุกสวนสัปปะรด”

ป้าแกร้องอ๋อ

“ก็เมื่อก่อนหน้าน่ะสิ ชาวบ้านบุกรุกที่อุทยานขึ้นไปปลูกพืชผลทำมาหากิน ตอนนั้นสัปปะรดมันราคาดี คนก็แห่ปลูกกัน แต่พอช่วงที่ราคาตก ขายไม่ออกผลผลิตก็เน่าคาไร่ ช้างมันได้กลิ่นก็ตามมากินเอาน่ะสิ กินไปกินมาชักติดใจมาบุกรุกแทบทุกปี ไอ้ชาวบ้านนี่ก็กระไรพอผลผลิตมันมีราคาขึ้นมาก็เข้าไปทำมาหากิน”

รเณศพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วไร่เราไม่โดนช้างป่ารุกบ้างเหรอครับ”

ป้าอนงค์ส่ายหัว

“ท้ายไร่เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ตั้งแต่สมัยตาแกยังอยู่ก็ปล่อยให้พืชมันขึ้นตามธรรมชาติ หากพ่อพลายแม่พังเขาจะมาเยี่ยมเยียนคงไม่เสียหายอะไร เมื่อก่อนตาแกเขาเคยเลี้ยงผึ้งไว้ขายที่ท้ายไร่ ช้างน่ะมันกลัวผึ้งเลยไม่เข้ามาใกล้ อีกอย่างท้ายไร่น่ะมีแต่ไผ่หนามที่ตาแกปลูกทิ้งไว้ โดนหนามมันทีเจ็บน่าดูเลยล่ะ ยิ่งถ้ากิ่งหรือแขนงมันแตกมานะ อย่าว่าแต่ช้างเลย คนก็ยังกลัวหนามมัน”

“คุณตาเก่งจังเลยครับ”

“ไล่ช้างแบบภูมิปัญญาชาวบ้านน่ะ”

รเณศคิดตามแล้วนึกสนุก แวบหนึ่งเขานึกถึงสมัยเรียนที่ต้องเรียนเกี่ยวกับสมุนไพรที่ใช้รักษาแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน วิชาที่ลงเรียนพร้อมกับเตวิชและชินกร

..เตวิช..

ชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ความรู้สึกเบิกบานยามเช้าเป็นอันสะดุดลง คนมีอดีตรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้น เพราะต่อให้เขาคิดถึงอีกฝ่ายมากเพียงใด มันก็แค่ความคิดถึงที่ครอบครองไม่ได้อยู่ดี

“เอ่อป้าอนงค์ครับ”

“มีอะไรอีกล่ะ”

“ถ้าผมจะเข้าไปในเมืองไปทำธุระ”

นอกจากเตวิชแล้วชินกรยังเป็นอีกคนที่เขานึกถึง ฝ่ายนั้นย้ำนักย้ำหนาว่าหาถึงที่หมายให้โทรบอกข่าวกัน แต่รเณศตัดสินใจหักซิมอันเก่าทิ้งไปตั้งแต่อยู่ที่สนามบินแล้ว ตั้งใจว่าถึงที่นี่จะซื้อซิมใหม่ใช้เพราะตัดใจทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

“แกรีบมั้ยล่ะ”

“ไม่ครับ”

“สุดสัปดาห์ฉันจะไปดูตลาดผลไม้ในเมือง ถ้าธุระแกไม่รีบ ค่อยไปกับฉัน”

สุดสัปดาห์ก็อีกสี่วันเท่านั้น คงไม่ทำให้ชินกรผลุนผลันไปแจ้งความว่าเขาหายตัวไปหรอกนะ

“ฉันว่าจะพาแกไปดูตึกแถวในตลาดด้วย”

“ทำไมเหรอครับ”

ป้าอนงค์หันมามองหน้าผมตรงๆ

“แกจบเภสัชฯ มาไม่ใช่เหรอ แล้วตึกแถวที่ว่านั่นมันก็ยังว่าง ถ้าแกอยากเปิดร้านขายยาฉันจะช่วย”

รเณศทำตาโต

“แกมาอยู่ที่นี่เฉยๆ ไม่ได้หรอก มันต้องมีอะไรทำ จะทำสวนผลไม้กับฉัน แกจะไหวเหรอ”

“ผมไม่มีทุนเปิดร้านขายยาหรอกครับ”

รเณศส่ายหัว

“ก็ฉันบอกนี่ไงว่าจะออกทุนให้”

“ป้าอนงค์”

รเณศน้ำตารื้อตั้งแต่สิ้นบุญของพ่อกับแม่ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ คราแรกหมายจะฝากชีวิตไว้ในมือคนรักก็ต้องพลาดหวัง ชายหนุ่มเหมือนคนเรือแตกไร้หลักยึด ตอนที่คล้ายจะจมลงกลับมีมือของป้าอนงค์ฉุดรั้งขึ้นมา

พี่สาวของแม่ไม่เคยเอ่ยปากบอกตรงๆ ว่าอนุญาตให้รเณศอยู่ด้วย แต่การกระทำวันนี้กลับบอกชัดแล้วว่าป้าอนงค์คือคนปากร้ายแต่ใจดีอย่างแท้จริง

☘☘☘☘


เครื่องยนต์สี่ล้อจอดสนิทหน้าเรือนไทยดับลงพร้อมกับเสียงเห่าเกรียวกราวของเจ้าสัตว์สี่เท้า เรียกให้ป้าอนงค์ขยับตัวลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง

“ผู้ช่วยมาแล้ว เจ้าเนตรไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมาเร็ว”

รเณศเบะปาก แต่ก็ยอมจำนนเดินเลี่ยงไปหยิบกล่องปฐมพยาบาล พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่ในชุดลายพรางเดินพ้นหัวบนไดบ้านมา เพราะส่วนสูงที่เกินมาตรฐานไปไกลทำให้ตอนที่ผ่านบันไดขั้นสุดท้ายมานั่นต้องค่อมตัวให้ลอดผ่านซุ้มประตู

“ตัวอย่างกับเปรต”

รเณศบ่นกระปอดกระแปด

“บ่นอะไรฮึเรา”

ป้าอนงค์ถามขึ้น

“เปล่านี่ครับ”

แกทำหน้าฉงน

“เอาเถอะยังไงฝากทำแผลให้ผู้ช่วยหน่อยนะ” คนฟังเดินหน้าบอกบุญไม่รับไปยังแขกตัวยักษ์ซึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงชานบ้าน ให้ตายเถอะ ป้าอนงค์ก็ดันเดินไปช่วยป้าสมัยยกกับข้าวข้างล่างอีก

หลานเจ้าบ้านพยายามทำหน้านิ่งตอนที่เดินถือกล่องปฐมพยาบาลมาหยุดอยู่ตรงหน้าแขกที่เขาไม่อยากจะต้อนรับ

“จะทำอะไร”

น้ำเสียงดุดันถามขึ้นตอนที่เขาเอื้อมมือไปใกล้กับบาดแผลตรงศอก รเณศเหลือบตามองใบหน้าคมคายแวบหนึ่งก่อนจะทำหูทวนลม

“โอ๊ะ”

มือที่ถือสำลีชุบแอลกอฮอล์ชะงักกึกเพราะถูกมือใหญ่เกือบเท่าตัวกำรอบ

“ปล่อย”

“เพิ่งรู้ว่าหลานป้าอนงค์เป็นใบ้”

รเณศค้อนให้

“จะทำแผล”

เพลิงพยักหน้าหงึกๆ ทอดสายตามองคนตรงหน้าตั้งใจทำแผลให้อย่างเบามือ ภาพใบหน้าขาวที่กำลังจดจ่ออยู่กับแผลที่โดนกิ่งไม้ข่วนเป็นทางยาวนั่นทำเอาคนมองใจกระตุกก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อถูกจิ้มแรงๆ ที่แผล

นัยน์ตากลมโตไหวระริกราวกับขบขับแม้จะพยายามเก็บอาการมากเพียงใด แต่คนถูกแกล้งก็จับสังเกตได้ เพลิงจ้องใบหน้าขาวนิ่งทั้งๆ ที่รู้เต็มอกถูกแกล้งทำแผลแรงๆ ถึงจะรู้สึกเจ็บไม่น้อยแต่เพลิงก็ไม่ได้ปริปากอะไรนอกจากเม้มปากแน่น จนสุดท้ายรเณศยอมรามือไปเอง

“พอใจแล้วเหรอ”

เสียงทุ้มดังขึ้นตอนที่รเณศผ่อนแรงลง เล่นเอาคนถูกถามถึงกับหน้าม้าน

“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”

มือหนาขยับมาจับข้อมือรเณศอีกครั้ง

“เจ็บ”

เพลิงพูดเบาๆ เรียกให้คนเมืองเผลอยิ้มเพราะรู้สึกดีไม่น้อยที่ทำให้คนตรงหน้าหลุดมาด

“เจ็บมั้ย?”

“ห่ะ!”

รเณศทำหน้ามึนงง

“ผมหมายถึงนิ้วมือของคุณที่กดแผลผมแรงๆ น่ะเจ็บมั้ย”

แม่งงงงงงง

รเณศนั่งหน้าตูมทำปากขมุบขมิบ แล้วลงมือทำแผลต่อท่ามกลางเสียงแผ่วๆ ในลำคอคล้ายเสียงหัวเราะของคนตรงหน้า

“บ่นอะไร”

“หูหาเรื่อง”

รเณศเงยหน้าขึ้นก่อนจะชะงักกึกเมื่อสบสายตากับแววตาสีดำสนิทที่ไหวระริกคล้ายกับจะหยอกกัน แวบหนึ่งคนเมืองรู้สึกเก้อกระดากจนต้องเบือนหน้าหนี จังหวะนั้นแหละเขาถึงเพิ่งจะสังเกตเครื่องแบบชุดลายพรางที่คนตรงหน้าสวมใส่ เครื่องแบบที่คล้ายกับชุดทหารแต่ลายพื้นหลังเขียวน้ำตาลนั่นมีรูปต้นไม้และนก แวบหนึ่งเขานึกถึงสารคดีเกี่ยวกับป่าไม้ซึ่งเคยดูผ่านๆ ที่เปิดเผยถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของทั้งสัตว์ป่าและเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สะดวกสบายมากนัก

หึ คนตรงหน้านี่คงไม่พ้น...

“พวกกินอุดมการณ์”

เพลิงเลิกคิ้วสูง

“อุดมการณ์มันก็แค่คำสมมุติ”

“แต่ก็มีคนยึดถือ”

รเณศท้วง เรียกรอยยิ้มมุมปากจากคนเจ็บ

“คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตมั้ยล่ะ”

รเณศกัดปากจนเจ็บเมื่อถูกถามแบบนั้น เสี้ยววินาทีนั้นเขาอดนึกถึงอดีตคนรัก เป้าหมายหนึ่งเดียวที่พลาดหวังไปแล้ว ร่างสูงโปร่งเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น

“เป้าหมายและความฝันของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก บางคนแค่กินอิ่มนอนหลับก็พอใจแล้ว ขณะที่บางคนมีเงินเป็นร้อยล้านยังไม่หยุดที่ขวนขวาย โลกใบนี้มันไม่มีขาวไม่มีดำที่แท้จริงหรอก อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนต่างหาก”

“ความฝันของคุณอาจเพียงแค่มีใครสักคน” แวบสีดำสนิทจ้องรเณศนิ่งจนเขารู้สึกสะอึกในใจ “ขณะที่ความฝันของผมอยู่ที่ผืนป่าแห่งนี้”

“กับงานที่อันตรายแบบนี้น่ะเหรอ”

รเณศบุ้ยปากไปที่แผลตรงศอก

“ใช่”

เพลิงพูดเสียงเรียบ

“คงไม่ได้แก่ตายเหมือนคนอื่นเขาหรอก”

รเณศอดค่อนขอดใส่ไม่ได้

“ก็ถูกของคุณ” เพลิงพูดยิ้มๆ

“วันหนึ่งผมอาจเป็นไข้ป่าตาย ระหว่างลาดตระเวนอาจปะทะกับพรานป่า ผู้มีอิทธิพลหรือกลุ่มผู้กระทำผิดแล้วโดนยิงตาย ถ้าโชคร้ายหน่อยคงโดนช้างป่าเหยียบตายเข้าสักวันหนึ่ง”

รเณศกัดปากจนเจ็บเมื่อคนตรงหน้าพูดถึงความเป็นความตายได้อย่างหน้าตาเฉย ต่างจากคนฟังที่ใจวูบโหวงบอกไม่ถูก

“พวกกินอุดมการณ์”

“ผิดแล้ว”

เพลิงส่ายหัว

“คุณอาจเรียกสิ่งนั้นว่าอุดมการณ์ แต่ผมขอเรียกมันว่าความรัก”

‘ความรัก’

รเณศทำหน้าฉงน อุดมการณ์รักในอาชีพแบบไม่คิดถึงชีวิตแบบนั้นน่ะเหรอเรียกความรัก เหอะ เขาส่ายหน้าไปมารับไม่ได้กับความคิดนั้น

ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนแบบไหนกันแน่!

ผู้ชายปากร้ายที่ผับ ผู้ชายที่ดูดุดันน่ากลัวแต่กลับมีคำพูดฉุกสติเขาในวันนั้น และเป็นผู้ชายขี้แกล้งหาตัวจับยาก เป็นผู้ช่วยฯ ที่ใครต่อใครต่างสรรเสริญเยินยอ ทั้งที่บุคลิกนั่นห่างไกลจากคำว่าน่าเข้าหาแต่กลับเป็นคนๆ เดียวที่ออกปากว่าจะอุปการะลูกของลูกน้อง

ทุกอย่างขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

รเณศสะบัดหัวแรงๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเอาใจไปจดจ่อกับเรื่องคนอื่นมากเกินไปแล้ว

“เสร็จแล้ว”

รเณศเอ่ยขึ้นหลังจากปิดแผลด้วยผ้าก๊อช

“ขอบคุณ”

รเณศยักไหล่

“ถ้าป้าอนงค์ไม่สั่ง อย่าหวังว่าผมจะทำให้เลย”

“เปล่า”

“ผมขอบคุณผ้าก๊อช”

เพลิงพูดหน้าตาย

รเณศอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะทำหน้าบึ้งเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องอย่างมีอารมณ์

“ขอบคุณแอลกอฮอล์ล้างแผล”

“...”

“ขอบคุณเบตาดีน”

“...”

“ขอบคุณ...”

เพลิงขอบคุณไปเรื่อย จนรเณศโกรธจนควันออกหู

“กล่องปฐมพยาบาล”

คนเมืองกระแทกเสียงตอบอย่างหมั่นไส้

“เปล่า”

เพลิงกอดอก

“ขอบคุณคุณ”

รเณศชะงักกึกก่อนจะเหลือบตามองเจ้าของเสียงทุ้ม

“ขอบคุณครับ” เพลิงกดยิ้มมุมปาก “คุณรเณศ”

เจ้าของชื่อยืนอึ้ง ใบหน้าร้อนวูบวาบเมื่อเจอสายตาสีดำสนิทจ้องมองกันตรงๆ ทั่วร่างกายเหมือนจะสั่นไหวจนเก้อกระดาก

รเณศรู้สึกปั่นป่วน ขณะที่เพลิงอยากทำมากกว่ากดยิ้มมุมปาก


☘☘☘☘

ขอบคุณไปเรื่อย อ้อมโลกจังผู้ช่วย ฮ่าๆๆๆ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2019 10:38:17 โดย [Karnsaii] »

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
แหมคุณผู้ช่วยขี้แกล้ง​ จะยิ้้มก็ยิ้มเถอะจ้า

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า :L2:

ออฟไลน์ แก้มกลม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณผู้ช่วยเริ่มจะขายอ้อยเป็นอาชีพเสริมแล้วหรือจ้ะ o18

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ผู้ช่วยอ่ะ เราเขินะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
หยอดเก่งนะ อีเพลิง

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ขี้แกล้งจังเลยนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไหงผู้ช่วยเพลิงผู้เคยคบแฟนหญิง  ถึงมารู้สึกสนุก อยากแกล้งนุ้งเนตรตลอดเวได้เนี่ย

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แพรวพราวไปหมดเลยนะผู้ช่วยยยยยย  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด