รถยนต์เคลื่อนตัวเข้าสู่รั้วบ้านของผมก็เป็นเวลามืดค่ำทั้งที่จริงมันไม่ได้ใช้เวลาเดินทางนานขนาดนั้นแต่เพราะเต้ยพาแวะกินข้าวก่อนมาส่งผม
“ไม่ให้ค้างด้วยจริง ๆ เหรอ”
“กลับไปนอนบ้านตัวเองให้พ่อกับแม่ชื่นใจหน่อยเต้ย นาน ๆ จะกลับที”
“ก็ไม่อยากห่างกันนี่” เต้ยงอแง มองหน้าบ้านที่เปิดไฟสว่าง แม่เปิดประตูออกมาดู สีหน้างุ่นงงเพราะไม่ใช่รถที่คุ้นตานัก เต้ยเปิดประตูลงไปยกมือไหว้แม่ของผม
“พาตัวเล็กมาส่งครับ”
“อ่อ เพื่อนเจ้าอ้วนเหรอลูก” แม่ยิ้มรับ “เข้าบ้านกันก่อนไหม มาเหนื่อย ๆ” มีเหรอที่เต้ยจะไม่โดดรับคำเชิญ เจ้าตัวยิ้มแป้นเดินอ้อมไปหลังรถหิ้วสัมภาระกับของฝากถุงใหญ่ติดมือมาด้วย
“เหนื่อยไหมเรา” แม่เอ่ยถาม “เพื่อนกินข้าวมาหรือยัง”
“ผมพาตัวเล็กแวะทานมื้อเย็นมาแล้วครับ”
“อ๋อ พาแวะทานมาแล้ว” แม่กระซิบทำหน้าล้อเลียน “เพื่อนใช่ป่ะ”
“ก็ เพื่อนแหละ”
“จ้ะ”
เต้ยดูเกร็งจนผมอดเอ็นดูไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ผม อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เต้ยได้มาบ้านผม
“ชื่อเต้ยใช่ไหม ขอบใจมากที่พาลูกแม่มาส่ง บ้านอยู่แถวไหนละ” แม่ชวนคุยตอนที่จัดการของฝากในครัว
“ในตัวอำเภอนี่แหละครับ”
“งั้นพักสักหน่อยค่อยกลับแล้วกันเนาะ อันนี้พ่อชอบปลาหวานแดงโรยงา” เต้ยยิ้มกว้างที่ของฝากจากระยองถูกใจคนในบ้านผม
ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีใครสนใจผมเลยสักนิด คุ้กกี้ที่ผมซื้อมาถูกเมินเพราะพ่อกับแม่ถูกใจของฝากจากระยองมากกว่า
“มีกระปิด้วยพ่อ เดี๋ยวทำน้ำพริกกระปิไปวัดกันดีกว่า”
เต้ยนั่งดูทีวีกับผมจนละครหลังข่าวจบทั้งที่เคยออกปากว่าไม่ชอบดูทีวี พ่อกับแม่เข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ผมมองหน้าคนนั่งข้างกัน หยิบปลาเส้นที่ตัวเองซื้อมาเป็นของฝากใส่ปาก
“จะกลับกี่โมง” ผมเอ่ยถามเหลือบดูนาฬิกาบนทีวี
“ยังไม่อยากกลับเลยอะทำไงดี”
“อย่ามาเนียนน่าเต้ย ดึกแล้วนะขับรถมาทั้งวันรีบกลับไปพักเถอะ”
“ขอค้างด้วยไม่ได้เหรอ” เต้ยอ้อนทิ้งตัวลงนอนบนตักผม
“กลับไปให้พ่อกับแม่เห็นหน้าบ้าง” ผมลูบหัวเต้ยเบา ๆ
“อ้วนทนได้ไงอะ”
“ทนอะไร”
“ทนคิดถึงเต้ยมาตั้งหลายปี ทนได้ไงครับ”
“เต้ย ถามอะไรอย่างนั้นเล่า”
“แค่จะให้เต้ยกลับบ้านแบบไม่มีอ้วนก็จะขาดใจแล้ว”
“แล้วตอนอยู่ระยองทนได้ไง อย่ามาอ้าง” เต้ยหลุดหัวเราะ ซุกหน้าลงกับพุงเหลว ๆ ของผม แล้วใช้ปากงับเบา ๆ
“กลับบ้านไปอย่าดื้อ เราจะได้เข้านอนด้วย ถ้ากลับดึกหลับในจะอันตราย”
“ตอนนี้เต้ยก็ง่วงแล้วเนี่ย จะกลับไหวได้ไง ขอค้างด้วยคนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ออกแต่เช้า” เต้ยต่อรอง ผมมองหน้าเต้ยแล้วต้องหันมองไปทางอื่น ไม่อยากสบตาเต้ยนาน ๆ เพราะกลัวใจอ่อน
“เป็นห่วงเต้ยไม่ใช่เหรอ บ้านเต้ยอยู่ตั้งไกล ขอค้างด้วยสักคืนนะ”
“แต่ว่า”
“เพื่อนยังไม่กลับเหรอ” เสียงแม่ทักจากด้านหลัง ผมสะดุ้งหันกลับไปมอง “อ้าวมานอนอะไรตรงนี้ พาเพื่อนไปนอนไปมันดึกแล้ว”
เลิ่กลั่กกันไปหมด เต้ยเองก็เก้ ๆ กัง ๆ ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง แต่แม่แค่ยิ้มให้
“ไปเก็บรถให้เรียบร้อยไปเต้ย พรุ่งนี้ค่อยกลับแล้วกัน ขับรถเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว มันอันตราย” แม่สรุปให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องนอนไปเหมือนเดิม
เต้ยยิ้มกว้างให้ผม กลับออกไปเลื่อนรถใหม่แถมยังไล่ให้ผมพาเข้าห้องอีก
คนไม่อยากกลับบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดสบาย ๆ สำหรับนอนเอนตัวลงกับหมอนเล่นมือถือสบายอกสบายใจ
“สงกรานต์เล่นน้ำที่ไหน” เต้ยเอ่ยถามถึงโปรแกรมในวันหยุดที่จะถึงนี้
“อายุปูนนี้แล้วจะเล่นน้ำเป็นเด็ก ๆ”
“แล้วจะทำไรละ” เต้ยดึงผมเข้าไปกอด ยกผ้าห่มคลุมให้
“เดี๋ยวต้นมันก็คงนัดไปฉลองพร้อมพวกเพื่อน ๆ แหละ”
“เต้ยจะมารับ”
“เต้ยไม่ไปฉลองกับพวกเพื่อน ๆ เหรอ”
“มันก็กลุ่มเดียวกันอะ เรียนห้องเดียวกัน” เต้ยกดจมูกลงกับซอกคอผม ขบเบา ๆ แถมใช้ลิ้มตวัดไปมาจนผมตัวสั่นเกร็งตัวหายใจติดขัด
“เราหมายถึงพวกรุ่นพี่ที่เต้ยชอบไปเตะบอลด้วยกัน ไปกินเหล้าหลังเลิกเรียนอีก”
“พอจบก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว มันไม่สนิทเหมือนเดิมแล้วอะสิ” เต้ยยังไม่หยุดคลอเคลียผม มือเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อ
“เต้ย” ผมปรามพยายามรั้งมือเต้ยไว้ไม่ให้ซนไปกว่านี้
“อย่าขัดใจเต้ยได้ไหม” คนดื้อกระซิบ ฟันคมกัดเบา ๆ ลงที่ใบหูผม ตามด้วยล้นชื้นแฉะแต่กลับอุ่บวาบยามมันลากไล้ไปตามใบหู หวาบหวามจนผมต้องเอียงหน้าใบมา ครางเบา ๆ ด้วยความสยิว
“เมื่อคืนกก็เพิ่งทำไปนะเต้ย” ผมแย้ง มองหน้าคนหื่น
“เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคือ วันนี้คือวันนี้” เอากับเขาสิ แถไปเรื่อย “หรือตัวเล็กไม่ชอบ”
“ใครบ้างไม่ชอบ”
“นั่นไงตัวเองก็ชอบ จะขัดใจทำไมครับ” เต้ยก้มลงประกบปาก สอดลิ้นเข้ามาตวัดกันไปมา มืออีกข้างสอดลงไปในกางเกงนอนของผม
“มือไวจริง” เต้ยไม่พูดอะไรผละจากปากวกกลับมาที่ใบหูอีกรอบ “อย่าเลีย”
“ทำไม” เสียงกระเซ่าเอ่ยถาม
“เดี๋ยวเคลิ้ม”
“นี่ยังไม่เคลิ้มอีกเหรอ”
“ใกล้แล้ว”
“ยอมเต้ยนะ” เต้ยถอดกางเกงนอนผมออก เลิกเสื้อขึ้นไปกองไว้บนอก
“ถ้าเราไม่ยอมเต้ยจะบังคับหรือเปล่า” เต้ยก้มลงกดจมูกลงกับแก้มผม
“ยอมเต้ยเถอะนะ เต้ยอุตส่าห์ขับรถตั้งไกล ให้รางวัลเต้ยนะ” สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ให้กับลูกอ้อนของเต้ย
“ใส่ให้เต้ยนะ” ซองสีเหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ ถูกยื่นมาให้ ผมรับมาถือไว้ ผลิกดูไปมา
“กลิ่นสตอร์เบอร์รี่ ไซส์ 56 โห่โตขึ้นเยอะก็ว่าทำไมจุก”
“อ้วนทะลึ่ง”
“ใครทะลึ่ง ที่ให้ใส่ให้เนี่ย อยากอวดก็บอกมาเหอะ”
“บ้า ใครเขาคิดแบบนั้น” เต้ยผลักผมลงนอนราบกับเตียงหมอนใบโตถูกดึงมารองสะโพก
“เบาหน่อยนะ พ่อกับแม่นอนหลับหมดแล้ว”
“เต้ยเคยรุนแรงด้วยเหรอ ถ้าอ้วนไม่ขอให้เอาแรง ๆ”
เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะได้ใจใหญ่
เสียงประกาศเชิญชวนให้ชาวบ้านเข้าวัดทำบุญปลุกผมตั้งแต่ตีห้า
เสียงดังกุกกักในครัวทำให้ผมสาวเท้าเดินเข้าไปดู กลิ่นข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ กรุ่นไปทั่วทั้งครัว
“ตื่นเร็วจังแม่” ผมทัก ขยับเข้าไปใกล้ กวาดตามองวัตถุดิบมากมายบนโต๊ะ
“ให้หนูช่วยอะไรบ้าง”
“ล้างผักแล้วหั่นเป็นชิ้นเอาไว้กินกับน้ำพริกกะปิ” แม่สั่งหันกลับไปทอดปลาหวานแดงโรยงานของฝากจากเต้ย
รายนี้ก็อาการหนัก เมื่อก่อนไล่เอา ๆ เข้าใกล้ตัวหน่อยทำรังเกียจพอตอนนี้ไล่เท่าไหร่ไม่เห็นจะฟังกัน
เมื่อวานหลังจากกลับถึงบ้านไม่ทันจะครบชั่วโมง ก็โผล่มานอนแผ่หราอยู่กลางบ้าน แถมยังพกเสื้อผ้ามาอีก ผมทั้งดุทั้งกล่อมให้กลับไปนอนค้างที่บ้านตัวเองนั้นแหละถึงยอมกลับไปตอนสี่ทุ่ม
ทำตัวเป็นเด็ก
“ก็ที่บ้านไม่มีอะไรให้ทำ” เต้ยเถียง
“แล้วบ้านเรามีอะไรให้เต้ยทำ”
“มีอ้วนไง ยอมให้ทำไหม” เป็นอันจบบทสนทนา
“แล้วเพื่อนเรานะ วันนี้จะมาไหม แม่จะได้ทำกับข้าวเผื่อ” แม่เอ่อยถาม ตักปลาหวานที่ทอดจนสุกขึ้นพัก
“ไม่รู้ เต้ยไม่ได้บอก” ผมเหลือบมองแม่ รายนั่นจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“มีความสุขใช่ไหม” ผมชะงัก แม่ยิ้มให้อย่างโอนโยน
“อือ หนูมีความสุข”
“ดีแล้ว แม่กับพ่อจะได้หายห่วง”
บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบในวัดป่ากลับครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาทำบุญ สีหน้ายิ้มแย้มของผู้คนในวัดทำเอาผมยิ้มตาม
‘พระสวดนาน’
ผมก้มลงอ่านข้อความจากเต้ย ที่พาครอบครัวไปทำบุญที่วัดในตัวอำเภอ
‘นั่งจนขาชา’
‘ขี้บ่นระวังขี้กลากจะกินหัวเอานะเต้ย’
‘คิดถึงอ้วนแล้วเนี่ย’
‘อยากทำบุญด้วยกันอะ ชาติหน้าจะได้เจอกันอีก’
ผมอมยิ้มกับข้อความบ่นแถมยังดูเอาแต่ใจของคนอายุจะ 30 ในอีกไม่กี่ปี
‘เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้ว ทนหน่อยนะ’
เต้ยเงียบไปไม่ได้จอบอะไรกลับผมเลยเก็บมือถือลงกระเป๋า มองหาพ่อกับแม่ที่เพิ่งออกมาจากโบสถ์หลังฟังพระท่านเทศน์จบด้วยกัน
“ไปสรงน้ำพระกันก่อนลูก” แม่เอ่ยชวน
พระพุธทรูปองค์เล็กถูกจัดไว้ตรงลานกว้างให้คนได้สรงน้ำ ข้างกันมีอ่างน้ำมนต์ขนาดใหญ่ลอยด้วยดอกไม้และว่านหอม
หลังสรงน้ำพระเสร็จแม่กรอกน้ำมนต์ใส่ขวดเล็กส่งให้
“เอาไว้อาบ จะได้ร่มเย็น” ผมรับมาถือไว้แบบงง ๆ
“ต้องอาบเหรอ” ผมถามมองของในมือ
“เอาไว้รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ก็เอาไป ตอนเย็นไปบ้านเพื่อนไม่ใช่เหรอ เจอพ่อแม่เขาก็ควรทำ เราเป็นเด็กเคารพผู้ใหญ่แหละดี เขาจะได้รัก” ผมยิ้มให้แม่เก็บขวดน้ำมนต์ลงใส่กระเป๋า
“แล้วจะกลับบ้านไหมคืนนี้” พ่อถาม
“คงกลับมั้ง ถ้าไม่เมา”
“แล้วค้างที่ไหนบ้านเจ้าต้นหรือเจ้าเต้ย” ผมเกาแก้มย้วย ๆ ตัวเองแก้เก้อเพราะไม่รู้จะตอบคำถามนั่นยังไง
จะต้นจะเต้ยยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น
“บ้านเพื่อนหนูมีตั้งหลายคน ไม่รู้ว่าจะไปจบตรงไหน พ่อถามทำไม ปกติไม่เห็นจะสนใจ”
“อ้าวลูกเต้าทั้งคน จะหลับจะนอนที่ไหนก็อยากรู้สิ”
“บ้านต้นแหละไม่มั้งไม่เคยค้างบ้านคนอื่น”
“จะค้างที่ไหนก็ทำตัวดี ๆ รู้จักช่วยงานเขาบ้าง” ผมเหลือบมองพ่อ ที่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจให้สอนมารยาทผม
ปกติไม่เห็นจะสนใจกัน
“หนูรู้”
“ดีแล้ว”
ผมขับรถพาพ่อกับแม่กลับบ้านหลังจากทำบุญเสร็จ แต่ก็ยังช้ากว่าเต้ยอยู่ดี
“เช้าถึงเย็นถึง” พ่อบ่น
ผมถอนหายใจมองเต้ยยิ่มแป้นยกมือไหว้พ่อกับแม่ผม แถมยังอาสาหิ้วของที่เอากลับจากวัดเข้าบ้านให้อีกต่างหาก
“วัดบ้านเสร็จเร็วนะครับ” เต้ยเล่า คุยกับแม่เดินหายเข้าไปในครัว
เมื่อเช้ามันยังบ่นว่าพระสวดช้าอยู่เลย
“จะไปกันตอนไหนละ” พ่อเอ่ยถาม
เต้ยเดินออกมาจากครัวในมือถือกะละมังใส่น้ำมาด้วย บนหัวเป็นกะละมังใบเล็กคว่ำไว้
“นัดกันไว้ตอนเย็นเลยครับ” เต้ยตอบคำถาม วางกะละมังใบเล็กในมือลงบนโต๊ะ แม่ตามออกมานั่งลงข้างพ่อ
“ผมมาขอรดน้ำขอพรจากพ่อแม่ครับ” เต้ยบอก เรียกสติผมให้หลุดจากภวังค์ เลื่อนตัวเองลงไปนั่งพับเพียบข้างกัน
“ไอ้ลูกจริง ๆ มันไม่คิดจะทำหรอก”
“ใครบอกหนูไม่คิด แต่เพิ่งกลับจากวัดยังไม่หายเหนื่อยเลยยังไม่ทำ หนูเตรียมไว้แล้วเหมือนกัน” ผมแก้ตัว
เต้ยตักน้ำอบกลิ่นหอมลอยด้วยดอกมะลิกับว่านหอมส่งให้ผม ก่อนเจ้าตัวจะหันไปเอากะละมังเปล่ามารองเท้าพ่อ
“ขอให้พ่อแข็งแรง อยู่กับหนูไปนาน ๆ แล้วก็รักหนูให้มาก ๆ” พ่อหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ผมค่อย ๆ เทน้ำในขันใบเล็กรดมือพ่อ อีกครึ่งขันรดเท้าจนหมดแล้วก้มลงกราบ
“ใครเขาอวยพรแบบนั่นกัน” พ่อว่า มือที่เปียกชุ่มตบลงเบา ๆ ที่หัว “ขอให้เจริญ ๆ นะ เป็นเด็กดีแบบนี้ตลอด พ่อภูมิใจในตัวลูกนะตัวเล็ก” ผมยิ้มให้พ่อ ความอบอุ่นแผ่ซ่านในอกรับรู้ความรักของพ่อที่มีให้ผมมาโดยตลอด
เต้ยตักน้ำขึ้นมาอีกขัน
“สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ขอให้คุณพ่อสุขภาพร่างการแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของตัวเล็กไปนาน ๆ นะครับ” ผมหันมองคนข้าง ๆ ที่ก้มลงกราบเท้าพ่อผมไม่ต่างจากที่ผมทำเลยสักนิด
“อายุมั่นขวัญยืนนะ” พ่ออวยพรสั้น ๆ
เต้ยตักน้ำอบส่งให้ผมอีกขัน ย้ายกะละมังไปรองเท้าแม่บ้าง
“ขอให้แม่สุขภาพร่างกายแข็งแรง อยู่กับหนูไปนาน ๆ เหมือนพ่อนะ” ผมทำเหมือนที่ทำกับพ่อ แม่ยิ้ม รองน้ำอบในมือพรมลงบนหัวผมเหมือนกัน
“ขอให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีแต่คนรักนะลูก” แม่อวยพร
เต้ยตักน้ำอบรดลงบนมือแม่ผม ปากอวยพรไปด้วย
“สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับ ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะครับ”
หลังจากรดน้ำขอพรพ่อกับแม่เสร็จเต้ยดึงฝ้ายสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อส่งให้พ่อกับแม่
“ผมได้มาจากวัดผูกให้ผมกับตัวเล็กได้ไหมครับ” เต้ยบอก
“ได้สิ” พ่อรับฝ้ายสีขาวไปถือ มือสั่นน้อย ๆ หันมามองผม สลับกับเต้ย
“อ้วนยื่นแขนไปสิ”
ผมยื่นแขนขวาไปให้พ่อ มีเต้ยแตะประคองไว้
“มาเด้อขวัญเอ้ย ขอให่มีแต่ควมสุขควมเจริญ ขวัญเจ่าอยู่ไสกะขอให่กลับมา มาอยู่เป็นแก้วตาดวงใจ” ผมยิ้มให้พ่อก้มลงกราบอีกรอบมองฝ้ายสีขาวที่ข้อมือ พ่อหันไปหาเต้ย วางฝ้ายสีขาวลงบนข้อมือ เอ่ยอวยพรเต้ยบ้าง
“มาเด้อขวัญเอ้ย ขอให้เป็นคนฮู้ผู้ดี ดูแลรักษาแก้วตาดวงใจดี ๆ เด้อ” เต้ยยิ้มกว้างก้มลงกราบพ่อผมอีกรอบ
“แม่อวยพรไม่เก่งเหมือนพ่อ” แม่หัวเราะน้อย ๆ
“นี่พ่อเก่งแล้วเหรอ พ่อก็ว่าพ่อมั่วไปเรื่อยแล้วนะ” แต่คนถูกอ้างว่าอวยพรเก่งกลับบอกว่าอย่างนั้น
“แต่แม่ขอให้ลูกแม่มีความสุขในทุก ๆ วัน ดูแลกันดี ๆ นะลูก มีปัญหาอะไรต้องคุยกัน อย่าปล่อยไว้นาน” แม้จะงง ๆ กับคำอวยพรของแม่ ผมว่ามันชักจะเหมือนอวยพรให้คู่แต่งงานเข้าไปทุกที
“แม่หนูว่า” มันเร็วไป
“อย่าขัดแม่สิ” เป็นอันต้องกลืนคำพูดลงคอ
“มาเต้ยบ้าง”
“ครับ
“ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญนะลูก แม่ฝากลูกแม่ได้ใช่ไหม เต้ยจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังใช่ไหมลูก”
“แม่” ผมครางอย่างอ่อนใจ
“ครับเต้ยสัญญาเลย” นี่ก็อีกคน ไปเออออได้ไง
หลังอวยพรเสร็จพ่อกับแม่ก็ทิ้งผมไว้ที่บ้านกับเต้ย ไม่เอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของเรา แม่ทำเพียงเก็บของบอกว่าจะไปบ้านญาติ แล้วหายกันออกไปเลย
“เต้ยว่าพ่อกับแม่รู้เรื่องของเราไหม” ผมเอ่ยากถามคนข้าง ๆ จัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเผื่อค้างคืนสักที่
“ไม่รู้มั้งอวยพรขนาดนี้แล้ว เต้ยก็ทิ้งตัวเล็กไม่ได้แล้วสิแบบนี้” เต้ยหัวเราะเบา ๆ กลิ้งไปมาบนเตียงของผม ในมือถือมือถือแชทกับพวกเพื่อน ๆ
“เพราะเต้ยเลย ทำให้แม่จับได้”
“เต้ยทำตอนไหน” เต้ยหน้ามุ้ย วางเครื่องมือสื่อสารลงข้างตัวแล้วกลับมาลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“ก็วันแรกที่เต้ยหนุนตักเราแล้วแม่มาเห็น”
“แล้วพ่อแม่รู้มันไม่ดียังไง”
“กลัวเขาเป็นห่วงไง”
“แต่พ่อแม่ตัวเล็กก็ไม่เห็นพูดอะไร” เต้ยเลิกคิ้วมอง ผมจับเสื้อผ้าที่เต้ยทิ้งไว้ในตู้โยนไปให้บนเตียงพร้อมกับเป๋ใบเล็ก
“เอามาทำไม” เต้ยถาม
“เอากลับไปสิ จะเอามาทิ้งไว้ทำไม”
“ก็เวลามาค้างจะไม่ไม่ต้องเอามาไง เอาทิ้งไว้นี่แหละ” เต้ยไม่ยอมทำตามผมเลยต้องขยับไปนั่งลงบนเตียงพับเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลงในเป้
เต้ยทิ้งตัวลงนอนกับตัก ลืมตาแป๋วจ้องผมไม่วางตา
“โกรธเหรอ” เต้ยถาม
“ทำไมต้องโกรธละ”
“พ่อแม่รู้นะดีแล้ว เต้ยจะได้ไม่กล้านอกใจตัวเล็กไง”
“นี่ตั้งใจจะนอกใจกันเหรอ”
“ไม่ใช่สิ แค่บอกว่า”
“ว่า”
“นึกไม่ออกแล้ว”
“เต้ย นิสัยไม่ดี” ผมฟาดมือลงบนแขนเต้ยเบา ๆ เจ้าตัวหัวเราะร่วนพออกพอใจ
“เหลือพ่อแม่เต้ย ไปรดน้ำดำหัวเขาก่อนไหม” เต้ยถาม
“ไปสิ” ไม่จำเป็นต้องลังเลเสียเวลาคิด
“จะแนะนำตัวเล็กว่าไงดี” เต้ยถาม ลุกขึ้นนั่งจับเสื้อผ้าของตัวเองที่ผมพับใส่กระเป๋าออก
“เต้ยจะเอาไปไหน”
“บอกว่าทิ้งไว้นี่ก็คือทิ้งไว้นี่” คนดื้อเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ในตู้ตามเดิม
“บอกมาว่าจะให้เต้ยแนะนำตัวเล็กกับพ่อแม่ว่ายังไง”
“ก็บอกว่าเมียสิ”
“โอ้โห่ ทีตัวเองไม่ยอมบอกอะไรพ่อแม่ ที่กับเขานี่ไม่ห่วงว่าจะโดนพ่อแม่เอามีดฟันหัวเหรอ ที่อยู่ ๆ พาเมียเข้าบ้านนะ” สีหน้ากับแววตาที่เต้ยแสดงออกไม่ได้กังวลกับเรื่องที่พูดเลยสักนิด ตรงกับข้ามมันกับพราวระยับดูถูกอกถูกใจเจ้าตัว
“บอกว่าเพื่อนก็ได้”
“บอกว่าเมียอะดีแล้ว” นั่นปะไร “ค้างบ้านเต้ยนะ”
“เคยขัดได้ที่ไหน”
เต้ยหัวเราะร่วน
ผมที่ครั้งหนึ่งไม่เคยคิดว่าจะมีความสุขอย่างนี้
ขอบคุณคนในความคิดถึงที่วันนี้เดินทางมาถึงปลายทางของมัน
ปลายทางของความคิดถึง ที่ผมไม่ต้อง เอาแต่คิดถึง...เขา...อีกต่อไปแล้ว
-END-
ขอบคุณทุก ๆ การติดตามนะคะ
ตอนแรกจะเขียนตอนเดียวจบค่ะ
เป็นเรื่องคนรักระยะไกล แต่ไม่ดราม่า
เป็นรักที่มีแล้วต้องทำให้เรามีพลัง แม้จะต้องทนคิดถึงกันบ้าง
กับอีกสาเหตุคือช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ได้กลับบ้านไปเจอคนที่แอบชอบนะคะ
เลยอยากเขียนถึงเขา แม้ชีวิตจริงจะไม่ได้สมหวัง แต่ เต้ย-ตัวเล็ก ในใจเราเขาสมหวังรวมทั้งในเล้าด้วย
แด่หัวใจทุกดวงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง
คิณทรธ