งานเย็นย้ายกลับมาจัดที่บ้านเจ้าบ่าว สนามฟุตบอลโรงเรียนเก่าคือสถานที่จัดงาน อากาศเย็นหลังตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักในความคิดผม ผมเดินทอดน่องไปตามทางเดินในโรงเรียน ไฟส่องสว่างที่มีติดบ้างไม่ติดบ้างไม่ได้เป็นปัญหากับคนไม่กลัวผีอย่างผม
แค่อยากมารำลึกความหลังที่ไม่ได้มาเสียนาน นานจนจำไม่ได้แล้วว่ากลับมาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เสียงเครื่องมือสื่อสารสั่นครืดคราดในกระเป๋ากางเกง คงจะเป็นพวกเพื่อน ๆ ที่ส่งข้อความมาตามให้กลับไปในงาน เพราะหลังจากมาถึงงานพร้อมบ่าวสาว ผมก็ช่วยดูความเรียบร้อยให้ จนกระทั่งแขกเหรื่อทยอยกันเข้างาน ต้นกับเจ้าสาวหมาด ๆ จึงต้องไปรับแขก ผมที่ไม่มีอะไรทำแล้วเลยขอปลีกตัวออกมาเดินเล่น ปล่อยพวกที่เหลือฉลองกันต่อ
ตึก 8 อาคารเรียน 4 ชั้นตรงหน้าคือสถานที่ที่ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่ช่วง ม. ปลาย มันไม่ได้ดูเก่าอย่างที่คิดตรงกันข้าม สีขาวสะอาดตาใหม่เอี่ยมเพราะอาคารเรียนเพิ่งทาสีใหม่ ต้นไม้ถูกลงเพิ่ม หลายอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จะมีก็แต่ใจผมคนนี้ละมั้งที่แทบจะไม่เปลี่ยนเลย เพราะคนคนนั้นไม่เคยหายไปจากห้วงความคิดถึง
ผมยกมือถือขึ้นถ่ายภาพอาคารเรียน ตั้งใจว่าจะเอาไว้เช็คอินขำ ๆ
“มาอยู่ที่นี่เองเหรอ เต้ยหาตั้งนาน” เสียงทุ้มดังใกล้ ๆ พร้อมกับมือที่แตะลงบนหลังเบา ๆ ทำเอาคนไม่กลัวผีอย่างผมสะดุ้ง
“ตกใจหมด มาเงียบ ๆ”
“ไม่อยากกวนไง เลย...” เต้ยชะงักค้างไปเหมือนหาคำพูดไม่เจอ
“เลย”
“เลยแอบดู”
“แต่ก็มาทำให้ตกใจ”
“เต้ยเปล่า”
“แล้วทำเป็นมาบอกหาตั้งนาน หรือจริง ๆ แอบเดินตามมาตั้งนานแล้วกันแน่”
คนข้าง ๆ ถอนหายใจ ยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเอง
“กลัวบางคนแอบหนีกลับบ้านไปอีก เลยตามมาดู”
“จะกลับได้ไงงานยังไม่เลิกเลย ต้นเสียใจแย่”
“ตอนปัจฉิมงานก็ยังไม่เลยเลย เต้ยเสียใจเหมือนกันนะ” เต้ยคว้ามือผมไปกุม นิ้วยาว ๆ ของมันลูบเบา ๆ ที่ข้อมือ “นึกว่าโกรธจนดึงทิ้งไปแล้ว”
“ไม่ได้โกรธ” เต้ยยิ้ม แววตาดูเจ้าชู้แบบที่เจ้าตัวไม่เคยใช้มันกับผม ทำเอาใจผมสั่นรัวจนเจ็บไปหมด
“ทำไมหนีมาเดินมืด ๆ คนเดียว”
“เดินระลึกความหลังมั้ง แล้วเต้ยละตามเรามาทำไม ทำไมไม่อยู่กินเหล้ากับพวกนั้น”
“ถ้าบอกว่าตามมาจีบ จะเชื่อกันหรือเปล่า”
จีบเหรอ
ผมส่ายหน้าไปมา ไม่กล้ามองกันตรง ๆ
“เต้ยพูดจริงนะ เรื่องจีบนะ” น้ำเสียงจริงจังที่เต้ยใช้ บ่งบอกว่าเจ้าตัวจริงจังกับคำพูด ไม่ใช่การหยอกล้อให้ดีใจเล่น ๆ เหมือนอย่างเคย
“ทำไม ทีเมื่อก่อน”
“เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้” เต้ยขัด “มองหน้าเต้ยหน่อยอ้วน”
“เมื่อก่อนเราตามจีบเต้ยจะเป็นเป็นจะตาย แต่ไม่เคยแล มาตอนนี้บอกจะจีบเราใครจะเชื่อละ”
“แล้วต้องทำยังไงละ ถึงจะยอมเชื่อ” ผมค่อย ๆ ดึงมือตัวเองกลับ หันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปในงาน ในหัวเอาแต่คิดวนเวียนถึงคำพูดจากปากของเต้ย
ไม่ใช่ไม่ดีใจที่โดนบอกว่าจะจีบ แต่มันเชื่อถือได้แค่ไหน กับคนที่ไม่เคยมองกันแบบนั้น
“มาซะที นี่พวกกูกินกันจนจะหมดกลมแล้วเนี่ย” ผมนั่งลงร่วมโต๊ะกับพวกเพื่อน ๆ รับแก้วเหล้ามาถือ
“ได้อะไรมาบ้างไปเดินรอบโรงเรียน”
“ได้ถ่ายรูปตึก 8 มารูป” พวกมันหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบ
“แล้วนี่เห็นไอ้เต้ยไหม มันบอกจะไปห้องน้ำแล้วหายหัวไปเลย ไม่ใช่หนีกลับไปแล้วนะ” ผมได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบคำถามนั้น ยกเหล้าขึ้นจิบ มองบ่าวสาวกำลังตอบคำถามพิธีกรบนเวที
อาหารมากมายตรงหน้าไม่ได้พร่องลงเลยสักนิดสวนทางกับของมึนเมาที่กลมที่สองเหลือเพียงครึ่งขวด ผมมองสีหน้าแต่ละคนที่ดื่มกันเอาเป็นเอาตายแล้วนึกสงสารไอ้ต้นมัน กลัวว่าจะต้องเก็บซากพวกเพื่อน ๆ แทนที่จะได้เข้าหอ
“อย่ากินเยอะสิเดียวเมา” ผมหันไปมองคนที่มายืนข้างหลัง ในมือมันถือเก้าอี้พลาสติกมาด้วย เจ้าตัวจัดแจงวางมันลงข้าง ๆ แล้วนั่ง ยกมือขึ้นพาดมาที่เก้าอี้ที่ผมนั่ง
“ยังไงกันเต้ยยังไง ใจอ่อนกับอ้วนมันแล้วเหรอ” เพื่อน ๆ แซว
“พูดมากพวกมึง” คนที่อยู่ ๆ ก็โผล่มา ยกแก้วของผมไปชนแก้วกับพวกขี้เมาในโต๊ะก่อนจะวางลงที่เดิม “กินเข้มจังอ้วน ขอเหล้าบาง ๆ” เต้ยก้มลงกระซิบ
“ไปเอาแก้วตัวเองมาสิ”
“ไม่อะ อ้วนนะพอแล้วเต้ยกินเอง นะเต้ยขอ”
เต้ยขอ ผมก็เลยต้องยอมทำตาม แก้วของผมถูกเปลี่ยนเป็นแก้วของเต้ย ผมไม่รู้ว่าเต้ยหายไปไหนหลังจากผมทิ้งมันไว้ที่ตึก 8
“สรุปพวกมึงนี่ยังไงว่ะ เดี๋ยวตีกันร้องไห้ เดี๋ยวหนีตามกันไป กลับมาสวีทกันอีก พวกกูลุ้นนะเว้ย” ใครสักคนเอ่ยปากแซวพวกที่เหลือหัวเราะเห็นด้วย
“ก็เหมือนเดิมอะ” ผมตอบ หันมองคนข้าง ๆ ไม่มีอะไร เหมือนเมื่อก่อนแหละ
“จีบติดไหมเต้ย” พวกมันถามต่อ
“ยัง แต่คนอย่างไอ้เต้ยนะ แค่นี้ไม่คณามือมันหรอก” เสียงโห่แซวดังรอบโต๊ะ ตามมาด้วยเสียงชนแก้วกันของพวกมัน
เกรงใจหน่อย กูก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน
เรื่องของผมกับเต้ยถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นเหมือนพวกมันไม่เคยพูดเรื่องนี้กันมาก่อน
“เมาไหม” เต้ยกระซิบถาม
“ไม่อะ กินไปนิดเดียว”
“แต่เต้ยเมา ขับรถเป็นไหม”
“รู้ว่าเมาก็หยุดกินสิ”
“หยุดได้ไง เสียใจอยู่ อ้วนไม่ยอมเชื่อเต้ย” เต้ยยกเหล้าขึ้นกินจนหมดแก้วประกอบคำพูด “โคตรเข้ม” เจ้าตัวบ่น “อ้วนหนักมือขึ้นแล้วนะ”
ผมรับแก้วเปล่าจากเต้ยชงเหล้าให้อีกครั้ง
“เต้ยพูดจริงนะ อ้วนเชื่อเต้ยนะ ไม่หลอก” ผมหันมองคนที่ตาเยิ้มไปหมดเพราะเหล้า มันดูสวยจนผมไม่อยากละสายตา
“อยากจูบเต้ยเหรอ” เต้ยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แต่ผมเบี่ยงหนี ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ “สักแก้วไหมเผื่อใจอ่อน”
“ไม่ได้ผลหรอก”
“สักนิดก็ไม่เหรอ” เต้ยถามต่อ ยื่นแก้วมาตรงหน้า
“ไหนใครขอให้หยุดกิน ก็ทำให้แล้ว นี่ยังมาบังคับกันอีก” ผมดันแก้วกลับ
“ดีแล้วอย่ากินเลยมันไม่ดี” คำพูดเหมือนสั่งสอนเด็ก ๆ หลุดจากปากเต้ย ก่อนเจ้าตัวจะหันไปชนแก้วกับคนอื่น ๆ แล้วยกจนหมดแก้วอีกรอบ
เวลาล่วงเลยมาเกือบตีสอง แขกผู้ใหญ่ในงานกลับกันตั้งแต่สองทุ่ม ที่เหลือจึงเป็นบรรดาเพื่อน ๆ บ่าวสาวที่ยังมั่นคงกับการฉลองแต่งงานให้กับบ่าวสาว ต้นเองหลังจบพิธีการบนเวที ถ่ายรูปกับแขกในงาน ก็มาทิ้งตัวชนแก้วกับขี้เมาพวกนี้ จนสภาพเละเทะไม่ต่างกัน
ผมกับพวกผู้หญิงที่ยังพอมีสติต้องช่วยกันแบกพวกมันขึ้นรถ ใครที่หนีบเมียมาด้วยก็สบายหน่อย กว่าจะเคลียกันเสร็จก็เล่นเอาเหงื่อท่วมทั้งที่อากาศหนาวจะตาย จากทีแรกจะทยอยส่งพวกมันกลับบ้านเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นฝากพวกมันไว้บ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่สุดเพราะกลัวอันตรายถ้าจะขับรถพาขี้เมาทอยอยส่งบ้าน ก็คนที่เหลือสติไม่เต็มเต็งกันทั้งนั้น
“กลับบ้านเต้ยไหม” ก่อนจะเมาคอพับเต้ยเอ่ยถาม บ้านที่ผมไม่เคยไปสักครั้ง
ผมมองคนเมาที่หลับตาพริ้ม ดีที่เต้ยพอจะเดินเองได้ไม่ถึงกับต้องแบกเหมือนคนอื่น รถยนต์ของเต้ยแล่นเข้าไปจอดหน้าบ้านต้นผมเลยหันไปเขย่าปลุกคนที่หลับมาตลอดทาง
“ถึงบ้านแล้วเหรออ้วน”
“บ้านต้นนะ”
“จะมากวนมันต้นมันทำไม คืนนี้มันเข้าหอนะ” เต้ยหน้ามุ้ย ยกมือนวดขมับ “ให้เวลามันสวีทกับเมียมันบ้าง”
“ก็ไม่มีที่ไป”
“บ้านเต้ยไงครับ”
“ไม่เคยไป”
“สาบานว่าไม่รู้บ้านเต้ยอยู่ตรงไหน” ผมพูดไม่ออก “เต้ยรู้ว่าอ้วนรู้ กลับบ้านเต้ยกันนะ เต้ยไม่ทำอะไรหรอกสาบาน”
“ไม่ได้กลัวเรื่องนั้น” มันแค่ มันแค่ไม่แน่ใจว่าเต้ยอยากให้ผมไปบ้านเจ้าตัวจริง ๆ
บ้านสองชั้นกึ่งไม้กึ่งปูนหลังเล็กในชุมชนนอกเขตอำเภอสถานที่ที่ผมเคยได้แต่แอบมองแต่ไม่มีโอกาสได้มาเหยียบมัน เต้ยงังเงียตื่น มองไปยังบ้านตัวเองแล้วหันมาหาผม
“เข้าบ้านกัน” คนเมาเดินเซเล็กน้อยไขกุญแจเปิดบ้านให้ แสงสว่างจากแฟลชมือถือส่องนำทาง เจ้าของบ้านพาเดินขึ้นไปบนชั้น 2 ก่อนจะไขกุญแจห้อง “เร็วอ้วน เต้ยง่วง”
ผมเดินเข้าไปด้านในเต้ยพาเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียง จับยัดผ้าห่มใส่มือแล้วล้มตัวลงนอน
“ต้องนอนกอดไหม”
“ก็ไม่ขนาดนั้น” ผมนอนมองเพดานคลี่ผ้าห่มผืนหนาที่เจ้าของห้องให้มากางห่ม ห้องมืดเกินกว่าที่ผมจะได้สำรวจข้าวของภายในห้อง
“ตื่นเต้นเหรอ” เต้ยขยับเข้ามาใกล้ ไหนใครบอกว่ามันง่วงนะ ทำไมไม่หลับไม่นอนเสียที
“จะต้องตื่นเต้นอะไร” เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอดังให้ได้ยิน
“แต่เต้ยตื่นเต้นว่ะ ใจสั่นไปหมด ได้นอนข้าง ๆ คนที่ชอบ”
“เต้ย ถามจริง ๆ นะ”
“อืม”
“เต้ยชอบเราเพราะอะไร”
เต้ยเปลี่ยนเป็นนอนหงายมองเพดาน
“อ้วนน่ารักขึ้นมั้ง” ผมเงียบกับคำตอบ
“ชอบคนที่หน้าตาว่างั้น” ผมถาม
เจ้าของห้องเปลี่ยนเป็นคะแคงข้างมาทางผมขยับเข้ามาใกล้ จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ
“อืม ยอมรับ”
“แย่ว่ะ”
“แล้วอ้วนละ เมื่อก่อนชอบเต้ยตรงไหนครับ บอกสิว่าไม่ใช่เพราะเต้ยหล่อ” เหมือนโดนตบจนหน้าชาไปทั้งแถบ
“ก็ มันก็ใช่”
“นั่นไง ต่างจากเต้ยตรงไหน เมื่อก่อนเต้ยคิดนะว่าถ้าอ้วน ผอมกว่านี้เต้ยคงคบกับอ้วนไปแล้ว”
“พอผอมก็เลยจีบเหรอ”
“อืม รู้แบบนี้แล้วเกลียดเต้ยไหม” นิ้วเย็น ๆ ลูบแก้มผมแผ่วเบา “แต่เต้ยจริงจังนะ เต้ยเลิกนิสัยไม่ดีคบคนไปทั่ว มั่วไปเรื่อยแบบนั้นนานแล้วนะ”
“เชื่อได้เหรอเต้ย”
“พิสูจน์สิ ลองคบกับเต้ย เป็นแฟนกัน”
“ง่ายขนาดนั้นเชียว”
“แล้วเราจะเสียเวลากันทำไมละอ้วน อ้วนชอบเต้ยมานานแค่ไหนแล้ว อ้วนไม่อยากมีความสุขเหรอ ถามตัวเองดี ๆ นะ ถ้ายังชอบเต้ยจริง ๆ เต้ยพร้อมจะเป็นของอ้วนเลย เว้นเสียแต่ว่า อ้วนไม่ได้ชอบเต้ยอีกแล้ว เต้ยก็จะไม่บังคับ”
“ขอเราคิดดูก่อน”
“เล่นตัวว่ะ” เต้ยดึงผมเข้าไปกอด กลิ่นเหล้าโชยเบา ๆ มาจากเจ้าตัว
“แล้วจะทำไมละ”
“ไมทำไมครับ ขนาดนี้แล้วชอบหมดแหละ”
“ไหนบอกง่วงนอนไป” ผมผลักเจ้าของบ้านเบา ๆ แต่คนที่กอดผมแน่นขืนตัวไว้
“นอนกอดกันแบบนี้ทังคืนได้ไหม” เต้ยกระซิบถาม ซุกหน้าลงกับอกผม “หอม”
การกระทำที่ผมไม่เคยได้รับมันจากเต้ย สั่นคลอนความรู้สึกจากที่ตั้งใจจะไม่ใจอ่อน ตอนนี้กลับอ่อนยวบจนไม่เหลือกำแพงใด
“อึดอัดจะตาย”
“ไม่สักหน่อยอบอุ่นดี อีกอย่าง เต้ยแค่อยากแน่ใจ ว่าตื่นมาแล้วอ้วนจะไม่หนีเต้ยไปไหน”
“เด็ก”ผมว่า แต่เต้ยหัวเราะ
“ยอมรับ ก็มันฝังใจนี่ กลัวไปหมด นี่อ้วนยอมมาค้างด้วยก็แทบไม่อยากเชื่อตัวเองแล้ว เต้ยนึกว่าตัวเองฝันอยู่ด้วยซ้ำ”
“อืม นอนเถอะ พรุ่งนี้เผื่อต้นมันโทรให้ไปช่วยเคลียของ” ผมหลับตาลงขยับเปลี่ยนท่านอนให้ถนัด ๆ ตื่นมาจะได้ไม่เมื่อยตัว คนที่กอดผมแน่นคลายออกเล็กน้อย ขยับหน้าไปมาบนอกผมเหมือนเด็ก ๆ
“ฝันดีนะตัวเล็ก”
ตัวเล็ก ชื่อของผม ชื่อที่จำไม่ได้แล้วว่ามีคนเรียกมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แม้แต่พ่อกับแม่ก็เรียกชื่อที่ทุกคนเรียกติดปากว่าอ้วน ผมเองก็แทบจะหลงลืมมันไปด้วยซ้ำ
“อืม ฝันดีเต้ย”
เจอกันตอนหน้านะคะ
:pig2: :pig4: :pig2:
แด่หัวใจทุกดวงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง
คิณทรธ
บรรยากาศของวันแห่งความรักอบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดอกกุหลาบสีแดงสัญลักณ์ของความรักถูกประดับไปตามห้างร้านต่าง ๆ โปรโมชั่นสำหรับคู่รักถูกติดหราเชิญชวนคนมีคู่ให้เลือกมาใช้เวลาร่วมกันในวันพิเศษ
ผมมองกลุ่มเพื่อนที่นัดกันกินเหล้าตามประสาคนโสดประชดชีวิต
ทีแรกเต้ยเองก็ดึงดันจะมาด้วยกัน ยิ่งผมบอกว่าคืนนี้เป็นปาร์ตี้คนโสดก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่พอใจใหญ่ แต่สุดท้ายพอบอกเหตุผลว่าเพื่อนเพิ่งอกหักผมต้องปลอบใจเพื่อนไม่สะดวกเทคแคร์ถ้าหากเต้ยจะมาด้วย เจ้าตัวเลยยอมถอย เลิกตื้อจะตามมาร้านเหล้าด้วยกัน
แต่ก็ตามมาส่งถึงร้านเหล้าอยู่ดี
บรรยากาศเสียงดังภายในร้านเชิญชวนให้ลูกค้าภายในร้านขยับร่างกายไปมา ผมมองดูเพื่อนที่ยกเหล้าขึ้นจิบ พร้อมส่งสายตาให้กับโต๊ะข้าง ๆ
ไม่มีเคล้าลางของความเสียใจสักนิด หันไปสบตากับเพื่อนคนอื่นที่ตั้งใจมาปลอบคนอกหักในวันแห่งความรัก ก็ทำหน้าเหม็นเบื่อไม่ต่างกัน
“มันโดนทิ้งจริงเหรอว่ะ”
“ร่านเว่อร์”
“กูว่ามันเทเขาแหละ ดูจากสภาพการณ์แล้ว”
เสียงนินทากันอย่างเปิดเผยส่งผลให้เจ้าตัว หันหน้ามามอง
“กูได้ยินนะพวกมึง”
“ก็นินทาให้ได้ยิน” นี่ก็เผ็ดพอกัน “สรุปอกหักยังไง เห็นอ่อยไปครึ่งร้านแล้ว” ใครสักคนถาม ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“คนเราอย่าจมปลักอยู่กับอดีต แคร์ทำไมคนไม่รักเรา ถ้ามัวแต่เศร้าจะพลาดของดี ๆ หมดสิ” โอเคผมนับถือในอุดมการณ์ของเพื่อน
“พวกมึงชน” ผมชนแก้วเฮฮาไปกับพวกมันที่นาน ๆ จะเจอกันที ด้วยเพราะตารางงานอันแน่นเอี้ยดทำให้การนัดเจอกันเป็นเรื่องยาก นี่ถ้าวันนี้ใครสักคนไม่อกหักก็คงไม่ได้รวมตัวกันเพื่อมาปลอบใจเพื่อน
“พวกมึง คนนั้น” เป้าหมายใหม่ถูกพูดถึงอีกครา พวกมันทั้งหมดต่างจับจ้องไปทิศทางเดียวกัน
“คมเข้ม”
“เขามองมาด้วยมึง”
“เขาต้องสนใจกูแน่ ๆ”
“คนนั้นเหรอกูเห็นเขามองมาโต๊ะเราตลอด แต่ไม่เห็นเข้ามาทักสักที มึงว่าเขาเล็งใคร” เสียงคุยกันอย่างจริงจังเรียกความอยากรู้อยากเห็นของผมบ้าง ทั้งที่สัญญากับตัวเองว่าจะไม่นอกลู่นอกทาง จะไม่มองใคร
แต่สุดท้ายก็ทนความอยากรู้ไม่ได้ ผมเลยหันกลับไปมองยังทิศที่พวกเพื่ิอน ๆ พยายามส่งสายตาหวานหยดไปอ่อย แถมยังยกแก้วขึ้นชนกลางอากาศไม่หยุด
ทันทีที่ผมสบตากับหนุ่มหล่อคมเข้มที่พวกเพื่อน ๆ พูดถึง เจ้าตัวก็ยิ้มมุมปากยกแก้วขึ้นชนให้ผม
“อ้าวเกมล่ะ อีอ้วนคาบไปแดก” พวกนั่นบ่น
“เพื่ิอนนะ ชื่อเต้ย มีแฟนแล้ว”
“ก็นึกว่าอ่อย ที่ไหนได้ มองเพื่อนนี่เอง นกยกฝูงจ้า” พอหมดความสนใจจากเต้ยพวกเธอทั้งหลายก็หาเป้าหมายใหม่เพื่อสานสัมพันธ์ต่อ
“เห็นมองมานานแล้ว แกลุกไปทักเขาไหมอ้วน”
“ไม่รู้จักใครเลย เขามากับเพื่อนเขา”
“อ่อ ดูเขาอยากคุยกับแกนะอ้วน” ผมหันกลับไปมองเต้ย เจ้าตัวยังคงฉีกยิ้มให้ผม ยกแก้วเหล้าชนลมชนอากาศอยู่อย่างนั้น
“งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนแล้วกัน”
“อ้าว เป็นงั้นไป” ทุกคนดูงุ่นงง จนไม่มีใครตั้งสติพอจะรั่งผมไว้สักคน
ผมสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะที่เต้ยนั่งอยู่กับเพื่อนอีกสองคน ทุกคนดูแปลกใจกับการปรากฏตัวของผม
“เพื่อนเหรอแนะนำหน่อยสิ” ผมเอ่ยปากถาม ยิ้มให้กับคนทั้งคู่
“นี่ตัวเล็ก กูกำลังจีบเขาอยู่” เพื่อนเต้ยแซวเจ้าตัวเสียงดังชอบอกชอบใจที่เพื่อนประกาศชัดถึงสถานะของผม
“ส่วนนี่เพื่อนเต้ยสมัยเรียนมหาลัย” ผมพยักหน้าทักทายคนทั้งคู่อีกครั้ง
“ไม่บอกชื่อพวกกูด้วยละ” หนึ่งในสองคนทั้งท้วง ทำหน้าล้อเลียนเต้ย
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก พวกมึงไม่ได้สำคัญ”
“ไอ้เต้ยแม่งหวงก้าง” เพื่อนเต้ยบ่น ชกเบา ๆ ที่แขนหยอกล้อกัน
“จะกลับแล้วเหรอ” เต้ยถามแต่ผมยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าตัวก็หยิบเงินออกมานับก่อนจะวางแบงค์สีแดงสามใบลงให้เพื่อน
“เห้ยไม่เป็นไรกูเลี้ยง เก็บตังค์ไว้จีบแฟนมึงนู้น” เพื่อนเต้ยว่า ก่อนจะยัดเงินคืนเจ้าของ
“ยินดีที่รู้จักนะตัวเล็ก”
“ครับเช่นกัน”
“พอ ๆ เลิกคุย ไปกลับ” เต้ยหันไปแท็กมือกับเพื่อนร่ำลากัน แต่ก่อนไปหนึ่งในสองของเพื่อนเต้ยหยิบดอกกุหลายสีแดงสดในแก้วที่ทางร้านประดับบนโต๊ะส่งให้ผม
“สุขสันต์วันแห่งความรักครับ ถ้ารอให้ไอ้เต้ยมันให้คงรอจนแก่ตายก่อน” ผมหัวเราะเห็นด้วยกับคำพูดของพวกเพื่อน ๆ เต้ย
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เอาของจากพวกมันทำไม อยากได้ทำไมไม่บอกเต้ย” เต้ยหน้ามุ้ยมองกุหลาบสีแดงสวยสดในมือสลับกับหน้าผมไปมา
“ต้องขอเหรอ ไม่ใช่คนจีบต้องให้เหรอ”
“ก็ปกติไม่เคยทำนี่ มีแต่คนมาจีบ”
“จ้ะ พ่อรูปหล่อ” ผมประชด
เต้ยดันหลังผมให้เดินจากมาแต่ก่อนออกไปไม่วายแวะที่โต๊ะของเพื่อน ๆ ผมอีก
“กูกลับนะพวกมึง ดูแลตัวเองดี ๆ” ผมเอ่ยปากลา ควักเงินค่าเหล้าแต่ไม่ทันเต้ยเจ้าตัวถือเงินอยู่ก่อนแล้วเลยวางลงบนโต๊ะจ่ายแทนผมไปก่อน
“กูว่าแล้ว”
“บอกมีแฟนแล้ว ๆ กูว่าอีอ้วนนี่แหละแฟนเขา”
“หวงก้าง” ผมยิ้มขำกับคำหยอกล้อของเพื่อน ๆ พวกมันเองก็ไม่ได้จริงจังนัก
“สักแก้วไหม” เพื่อนผมส่งแก้วเหล้าให้เต้ยพร้อมตาหวานฉ่ำ มันไม่ได้อ่อยแต่มันเมา
“ไม่ดีกว่าครับ ผมต้องขับรถกลับบ้านด้วย เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุจะแย่เอา”
“ใส่ใจเก่ง อิจฉาโว้ยย มา ๆ กูกินแทนเอง เอาให้ตายตรงนี้เลย” เสียงหัวเราะดังครื้นเคร้งผสมกับเสียงดังกระทบกันของแก้วเหล้า ดูท่าว่าคืนนี้ของพวกมันจะยังอีกยาว
ผมลาเพื่อนอีกสองสามรอบพวกมันถึงได้ปล่อยออกมาจริง ๆ สักที สุดท้ายเตียก็ต้องกินเหล้ากับพวกมันไปอีกแก้วนั่นล่ะ
เต้ยขับรถกลับคอนโดผมทันทีที่ออกจากร้าน สองข้างทางยังคงคึกคักไปด้วยผู้คนแม้เวลาจะล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้วก็ตาม
“เล็กหิวไหม” ชื่อที่ตกลงกันว่าจะใช่แทนชื่อเต็ม ตัวเล็ก ถูกเอื้อนเอ่ย
“ไม่อะ กินกับแกล้มไปเยอะอยู่ เต้ยละหิวไหม”
“เต้ยก็กินกับแกล้มจนอิ่มเหมือนกัน”
“อยู่ในร้านด้วยไม่เห็นบอกกันเลย ปล่อยให้พวกเพื่อน ๆ อ่อยตั้งนานสองนาน”
“เห็นเล็กสนุกกับเพื่อนเลยไม่อยากกวน เต้ยบังเอิญเจอพวกเพื่อน ๆ ตอนจะกลับพอดีหลังจากส่งเล็กเข้าร้าน พวกมันเลยชวนกินด้วยกัน เต้ยต้องมารับเล็กอยู่แล้วก็เลยนั่งรอในร้านมันเสียเลย”
“อือ”
“เมาหรือเปล่า”
“ไม่หรอก แค่กึ่ม ๆ” ผมหันมองหน้าคนขับรถ แสงไฟสีส้มสาดส่องเข้ามากระทบซีกหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มติดมุมปาก
หล่อ
วันนี้เต้ยหล่อเป็นพิเศษ
ทั้งที่บอกว่าไม่เมาแต่เต้ยก็ประคองผมไม่ต่างจากคนเมา แขนแข็งแรงกระชับผมแนบชิดไปกับลำตัวเดินเข้าไปในลิฟต์
“มองหน้าเต้ยมีอะไรหืม” เต้ยถามเมื่อเราเข้ามาในลิฟต์แล้ว
“มองคนฉวยโอกาส” เต้ยยิ้มกว้างไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับคำต่อว่าของผม
“ก็เห็นอยู่เฉยให้กอด ก็นึกว่าเต็มใจ”
“ปล่อยได้แล้วถึงบ้านแล้ว”
“ยังไม่อยากปล่อยเลย อยากอยู่แบบนี้นาน ๆ”
“เต้ย”
“ครับ” เต้ยครางรับ ดันผมเข้าชิดกำแพง โน้มหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะฉกปากลงประกบริมฝีปากผมรวดเร็ว ร้อนแรงแต่กลับนุ่มนวนจนพาลใจสั่น รสเหล้ายังคลุ้งในปาก ลิ้นนุ่มของเต้ยสอดเข้าตวัดในปากให้ผมดูดกลืนความนุ่มหยุ่นเสียจนเพลิดเพลินจวบกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 7 เต้ยถึงได้ผละออก จับจูงผมที่สติหลุดลอยไปไกลตรงเข้าห้อง
ข้าวของรวมถึงเสื้อผ้าถูกปล่อยทิ้งไว้บนพื้นข้างเตียง
เต้ยโถมตัวเข้าใส่ทันทีที่หลังผมแตะเตียง ปากพรมจูบซุกไซร้ซอกคอผมไม่หยุด สติที่จะใช้ห้ามปรามเลือนรางไปกับรสสัมผัส
“ตัวเล็ก” เต้ยกระซิบริดริมหู ตวัดลิ้นเลียใบหูผม
“ยังซิงอยู่ไหม” เต้ยถามเอื้อมมือหยิบกล่องถุงยางอนามัยจากในกระเป๋ากางเกงออกมาฉีก สวมลงไปบนน้องชายที่แข็งพร้อมรบ
“ไม่แล้ว เต้ยอยากได้เหรอ” เต้ยยิ้มส่ายหัวไปมา ก่อนจะโน้มลงมาใกล้
“ไม่ใช่แบบนั้น แค่ถามดูว่าที่ผ่านมาตัวเล็กของเต้ยใช้ชีวิตคุ้มหรือเปล่า กลัวว่าตัวเล็กจะเอาแต่รอเต้ยจนไม่รู้จักหาความสุข”
“สำคัญตัวผิดไปแล้วเต้ย ใครจะรอ”
“ดี งั้นมาดูกันว่าระหว่างคนที่ผ่านมากันเต้ย ตัวเล็กชอบใครมากกว่า”
มันก็ต้องเป็นเต้ยอยู่แล้ว ผมตอบคำถามนั้นในใจ และยิ่งเต้ยแสดงมันให้ผมเห็นกับตา ผมก็ยิ่งแน่ใจในคำตอบ
เพราะความสุขที่ได้จากเต้ยมันสุขจนล้นทะลัก…หัวใจ
เขียนเพราะคิดถึงคนที่เราเคยชอบตอนเด็ก ๆ
เขียนแก้ช้ำในเพราะตอนนี้มันแต่งงานไปแล้ว ฮ่าาา ๆๆ
แด่หัวใจทุกดวงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง
คิณทรธ
:mew6:
.
.
.
ขอบคุณที่ผ่านเข้ามานะคะ
ทักทายคุณ ืniyataan และคุณ yunnutjae สวัสดีปีใหม่คะ ช้าไปหลายวันเลย
รถยนต์เคลื่อนตัวเข้าสู่รั้วบ้านของผมก็เป็นเวลามืดค่ำทั้งที่จริงมันไม่ได้ใช้เวลาเดินทางนานขนาดนั้นแต่เพราะเต้ยพาแวะกินข้าวก่อนมาส่งผม
“ไม่ให้ค้างด้วยจริง ๆ เหรอ”
“กลับไปนอนบ้านตัวเองให้พ่อกับแม่ชื่นใจหน่อยเต้ย นาน ๆ จะกลับที”
“ก็ไม่อยากห่างกันนี่” เต้ยงอแง มองหน้าบ้านที่เปิดไฟสว่าง แม่เปิดประตูออกมาดู สีหน้างุ่นงงเพราะไม่ใช่รถที่คุ้นตานัก เต้ยเปิดประตูลงไปยกมือไหว้แม่ของผม
“พาตัวเล็กมาส่งครับ”
“อ่อ เพื่อนเจ้าอ้วนเหรอลูก” แม่ยิ้มรับ “เข้าบ้านกันก่อนไหม มาเหนื่อย ๆ” มีเหรอที่เต้ยจะไม่โดดรับคำเชิญ เจ้าตัวยิ้มแป้นเดินอ้อมไปหลังรถหิ้วสัมภาระกับของฝากถุงใหญ่ติดมือมาด้วย
“เหนื่อยไหมเรา” แม่เอ่ยถาม “เพื่อนกินข้าวมาหรือยัง”
“ผมพาตัวเล็กแวะทานมื้อเย็นมาแล้วครับ”
“อ๋อ พาแวะทานมาแล้ว” แม่กระซิบทำหน้าล้อเลียน “เพื่อนใช่ป่ะ”
“ก็ เพื่อนแหละ”
“จ้ะ”
เต้ยดูเกร็งจนผมอดเอ็นดูไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ผม อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เต้ยได้มาบ้านผม
“ชื่อเต้ยใช่ไหม ขอบใจมากที่พาลูกแม่มาส่ง บ้านอยู่แถวไหนละ” แม่ชวนคุยตอนที่จัดการของฝากในครัว
“ในตัวอำเภอนี่แหละครับ”
“งั้นพักสักหน่อยค่อยกลับแล้วกันเนาะ อันนี้พ่อชอบปลาหวานแดงโรยงา” เต้ยยิ้มกว้างที่ของฝากจากระยองถูกใจคนในบ้านผม
ตั้งแต่มาถึงยังไม่มีใครสนใจผมเลยสักนิด คุ้กกี้ที่ผมซื้อมาถูกเมินเพราะพ่อกับแม่ถูกใจของฝากจากระยองมากกว่า
“มีกระปิด้วยพ่อ เดี๋ยวทำน้ำพริกกระปิไปวัดกันดีกว่า”
เต้ยนั่งดูทีวีกับผมจนละครหลังข่าวจบทั้งที่เคยออกปากว่าไม่ชอบดูทีวี พ่อกับแม่เข้านอนตั้งแต่ยังไม่สามทุ่ม ผมมองหน้าคนนั่งข้างกัน หยิบปลาเส้นที่ตัวเองซื้อมาเป็นของฝากใส่ปาก
“จะกลับกี่โมง” ผมเอ่ยถามเหลือบดูนาฬิกาบนทีวี
“ยังไม่อยากกลับเลยอะทำไงดี”
“อย่ามาเนียนน่าเต้ย ดึกแล้วนะขับรถมาทั้งวันรีบกลับไปพักเถอะ”
“ขอค้างด้วยไม่ได้เหรอ” เต้ยอ้อนทิ้งตัวลงนอนบนตักผม
“กลับไปให้พ่อกับแม่เห็นหน้าบ้าง” ผมลูบหัวเต้ยเบา ๆ
“อ้วนทนได้ไงอะ”
“ทนอะไร”
“ทนคิดถึงเต้ยมาตั้งหลายปี ทนได้ไงครับ”
“เต้ย ถามอะไรอย่างนั้นเล่า”
“แค่จะให้เต้ยกลับบ้านแบบไม่มีอ้วนก็จะขาดใจแล้ว”
“แล้วตอนอยู่ระยองทนได้ไง อย่ามาอ้าง” เต้ยหลุดหัวเราะ ซุกหน้าลงกับพุงเหลว ๆ ของผม แล้วใช้ปากงับเบา ๆ
“กลับบ้านไปอย่าดื้อ เราจะได้เข้านอนด้วย ถ้ากลับดึกหลับในจะอันตราย”
“ตอนนี้เต้ยก็ง่วงแล้วเนี่ย จะกลับไหวได้ไง ขอค้างด้วยคนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ออกแต่เช้า” เต้ยต่อรอง ผมมองหน้าเต้ยแล้วต้องหันมองไปทางอื่น ไม่อยากสบตาเต้ยนาน ๆ เพราะกลัวใจอ่อน
“เป็นห่วงเต้ยไม่ใช่เหรอ บ้านเต้ยอยู่ตั้งไกล ขอค้างด้วยสักคืนนะ”
“แต่ว่า”
“เพื่อนยังไม่กลับเหรอ” เสียงแม่ทักจากด้านหลัง ผมสะดุ้งหันกลับไปมอง “อ้าวมานอนอะไรตรงนี้ พาเพื่อนไปนอนไปมันดึกแล้ว”
เลิ่กลั่กกันไปหมด เต้ยเองก็เก้ ๆ กัง ๆ ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง แต่แม่แค่ยิ้มให้
“ไปเก็บรถให้เรียบร้อยไปเต้ย พรุ่งนี้ค่อยกลับแล้วกัน ขับรถเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว มันอันตราย” แม่สรุปให้เสร็จสรรพก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องนอนไปเหมือนเดิม
เต้ยยิ้มกว้างให้ผม กลับออกไปเลื่อนรถใหม่แถมยังไล่ให้ผมพาเข้าห้องอีก
คนไม่อยากกลับบ้าน อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดสบาย ๆ สำหรับนอนเอนตัวลงกับหมอนเล่นมือถือสบายอกสบายใจ
“สงกรานต์เล่นน้ำที่ไหน” เต้ยเอ่ยถามถึงโปรแกรมในวันหยุดที่จะถึงนี้
“อายุปูนนี้แล้วจะเล่นน้ำเป็นเด็ก ๆ”
“แล้วจะทำไรละ” เต้ยดึงผมเข้าไปกอด ยกผ้าห่มคลุมให้
“เดี๋ยวต้นมันก็คงนัดไปฉลองพร้อมพวกเพื่อน ๆ แหละ”
“เต้ยจะมารับ”
“เต้ยไม่ไปฉลองกับพวกเพื่อน ๆ เหรอ”
“มันก็กลุ่มเดียวกันอะ เรียนห้องเดียวกัน” เต้ยกดจมูกลงกับซอกคอผม ขบเบา ๆ แถมใช้ลิ้มตวัดไปมาจนผมตัวสั่นเกร็งตัวหายใจติดขัด
“เราหมายถึงพวกรุ่นพี่ที่เต้ยชอบไปเตะบอลด้วยกัน ไปกินเหล้าหลังเลิกเรียนอีก”
“พอจบก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว มันไม่สนิทเหมือนเดิมแล้วอะสิ” เต้ยยังไม่หยุดคลอเคลียผม มือเริ่มล้วงเข้าไปในเสื้อ
“เต้ย” ผมปรามพยายามรั้งมือเต้ยไว้ไม่ให้ซนไปกว่านี้
“อย่าขัดใจเต้ยได้ไหม” คนดื้อกระซิบ ฟันคมกัดเบา ๆ ลงที่ใบหูผม ตามด้วยล้นชื้นแฉะแต่กลับอุ่บวาบยามมันลากไล้ไปตามใบหู หวาบหวามจนผมต้องเอียงหน้าใบมา ครางเบา ๆ ด้วยความสยิว
“เมื่อคืนกก็เพิ่งทำไปนะเต้ย” ผมแย้ง มองหน้าคนหื่น
“เมื่อคืนก็ส่วนเมื่อคือ วันนี้คือวันนี้” เอากับเขาสิ แถไปเรื่อย “หรือตัวเล็กไม่ชอบ”
“ใครบ้างไม่ชอบ”
“นั่นไงตัวเองก็ชอบ จะขัดใจทำไมครับ” เต้ยก้มลงประกบปาก สอดลิ้นเข้ามาตวัดกันไปมา มืออีกข้างสอดลงไปในกางเกงนอนของผม
“มือไวจริง” เต้ยไม่พูดอะไรผละจากปากวกกลับมาที่ใบหูอีกรอบ “อย่าเลีย”
“ทำไม” เสียงกระเซ่าเอ่ยถาม
“เดี๋ยวเคลิ้ม”
“นี่ยังไม่เคลิ้มอีกเหรอ”
“ใกล้แล้ว”
“ยอมเต้ยนะ” เต้ยถอดกางเกงนอนผมออก เลิกเสื้อขึ้นไปกองไว้บนอก
“ถ้าเราไม่ยอมเต้ยจะบังคับหรือเปล่า” เต้ยก้มลงกดจมูกลงกับแก้มผม
“ยอมเต้ยเถอะนะ เต้ยอุตส่าห์ขับรถตั้งไกล ให้รางวัลเต้ยนะ” สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ให้กับลูกอ้อนของเต้ย
“ใส่ให้เต้ยนะ” ซองสีเหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ ถูกยื่นมาให้ ผมรับมาถือไว้ ผลิกดูไปมา
“กลิ่นสตอร์เบอร์รี่ ไซส์ 56 โห่โตขึ้นเยอะก็ว่าทำไมจุก”
“อ้วนทะลึ่ง”
“ใครทะลึ่ง ที่ให้ใส่ให้เนี่ย อยากอวดก็บอกมาเหอะ”
“บ้า ใครเขาคิดแบบนั้น” เต้ยผลักผมลงนอนราบกับเตียงหมอนใบโตถูกดึงมารองสะโพก
“เบาหน่อยนะ พ่อกับแม่นอนหลับหมดแล้ว”
“เต้ยเคยรุนแรงด้วยเหรอ ถ้าอ้วนไม่ขอให้เอาแรง ๆ”
เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะได้ใจใหญ่
เสียงประกาศเชิญชวนให้ชาวบ้านเข้าวัดทำบุญปลุกผมตั้งแต่ตีห้า
เสียงดังกุกกักในครัวทำให้ผมสาวเท้าเดินเข้าไปดู กลิ่นข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ กรุ่นไปทั่วทั้งครัว
“ตื่นเร็วจังแม่” ผมทัก ขยับเข้าไปใกล้ กวาดตามองวัตถุดิบมากมายบนโต๊ะ
“ให้หนูช่วยอะไรบ้าง”
“ล้างผักแล้วหั่นเป็นชิ้นเอาไว้กินกับน้ำพริกกะปิ” แม่สั่งหันกลับไปทอดปลาหวานแดงโรยงานของฝากจากเต้ย
รายนี้ก็อาการหนัก เมื่อก่อนไล่เอา ๆ เข้าใกล้ตัวหน่อยทำรังเกียจพอตอนนี้ไล่เท่าไหร่ไม่เห็นจะฟังกัน
เมื่อวานหลังจากกลับถึงบ้านไม่ทันจะครบชั่วโมง ก็โผล่มานอนแผ่หราอยู่กลางบ้าน แถมยังพกเสื้อผ้ามาอีก ผมทั้งดุทั้งกล่อมให้กลับไปนอนค้างที่บ้านตัวเองนั้นแหละถึงยอมกลับไปตอนสี่ทุ่ม
ทำตัวเป็นเด็ก
“ก็ที่บ้านไม่มีอะไรให้ทำ” เต้ยเถียง
“แล้วบ้านเรามีอะไรให้เต้ยทำ”
“มีอ้วนไง ยอมให้ทำไหม” เป็นอันจบบทสนทนา
“แล้วเพื่อนเรานะ วันนี้จะมาไหม แม่จะได้ทำกับข้าวเผื่อ” แม่เอ่อยถาม ตักปลาหวานที่ทอดจนสุกขึ้นพัก
“ไม่รู้ เต้ยไม่ได้บอก” ผมเหลือบมองแม่ รายนั่นจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“มีความสุขใช่ไหม” ผมชะงัก แม่ยิ้มให้อย่างโอนโยน
“อือ หนูมีความสุข”
“ดีแล้ว แม่กับพ่อจะได้หายห่วง”
บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบในวัดป่ากลับครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาทำบุญ สีหน้ายิ้มแย้มของผู้คนในวัดทำเอาผมยิ้มตาม
‘พระสวดนาน’
ผมก้มลงอ่านข้อความจากเต้ย ที่พาครอบครัวไปทำบุญที่วัดในตัวอำเภอ
‘นั่งจนขาชา’
‘ขี้บ่นระวังขี้กลากจะกินหัวเอานะเต้ย’
‘คิดถึงอ้วนแล้วเนี่ย’
‘อยากทำบุญด้วยกันอะ ชาติหน้าจะได้เจอกันอีก’
ผมอมยิ้มกับข้อความบ่นแถมยังดูเอาแต่ใจของคนอายุจะ 30 ในอีกไม่กี่ปี
‘เดี๋ยวตอนเย็นก็เจอกันแล้ว ทนหน่อยนะ’
เต้ยเงียบไปไม่ได้จอบอะไรกลับผมเลยเก็บมือถือลงกระเป๋า มองหาพ่อกับแม่ที่เพิ่งออกมาจากโบสถ์หลังฟังพระท่านเทศน์จบด้วยกัน
“ไปสรงน้ำพระกันก่อนลูก” แม่เอ่ยชวน
พระพุธทรูปองค์เล็กถูกจัดไว้ตรงลานกว้างให้คนได้สรงน้ำ ข้างกันมีอ่างน้ำมนต์ขนาดใหญ่ลอยด้วยดอกไม้และว่านหอม
หลังสรงน้ำพระเสร็จแม่กรอกน้ำมนต์ใส่ขวดเล็กส่งให้
“เอาไว้อาบ จะได้ร่มเย็น” ผมรับมาถือไว้แบบงง ๆ
“ต้องอาบเหรอ” ผมถามมองของในมือ
“เอาไว้รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ก็เอาไป ตอนเย็นไปบ้านเพื่อนไม่ใช่เหรอ เจอพ่อแม่เขาก็ควรทำ เราเป็นเด็กเคารพผู้ใหญ่แหละดี เขาจะได้รัก” ผมยิ้มให้แม่เก็บขวดน้ำมนต์ลงใส่กระเป๋า
“แล้วจะกลับบ้านไหมคืนนี้” พ่อถาม
“คงกลับมั้ง ถ้าไม่เมา”
“แล้วค้างที่ไหนบ้านเจ้าต้นหรือเจ้าเต้ย” ผมเกาแก้มย้วย ๆ ตัวเองแก้เก้อเพราะไม่รู้จะตอบคำถามนั่นยังไง
จะต้นจะเต้ยยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น
“บ้านเพื่อนหนูมีตั้งหลายคน ไม่รู้ว่าจะไปจบตรงไหน พ่อถามทำไม ปกติไม่เห็นจะสนใจ”
“อ้าวลูกเต้าทั้งคน จะหลับจะนอนที่ไหนก็อยากรู้สิ”
“บ้านต้นแหละไม่มั้งไม่เคยค้างบ้านคนอื่น”
“จะค้างที่ไหนก็ทำตัวดี ๆ รู้จักช่วยงานเขาบ้าง” ผมเหลือบมองพ่อ ที่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจให้สอนมารยาทผม
ปกติไม่เห็นจะสนใจกัน
“หนูรู้”
“ดีแล้ว”
ผมขับรถพาพ่อกับแม่กลับบ้านหลังจากทำบุญเสร็จ แต่ก็ยังช้ากว่าเต้ยอยู่ดี
“เช้าถึงเย็นถึง” พ่อบ่น
ผมถอนหายใจมองเต้ยยิ่มแป้นยกมือไหว้พ่อกับแม่ผม แถมยังอาสาหิ้วของที่เอากลับจากวัดเข้าบ้านให้อีกต่างหาก
“วัดบ้านเสร็จเร็วนะครับ” เต้ยเล่า คุยกับแม่เดินหายเข้าไปในครัว
เมื่อเช้ามันยังบ่นว่าพระสวดช้าอยู่เลย
“จะไปกันตอนไหนละ” พ่อเอ่ยถาม
เต้ยเดินออกมาจากครัวในมือถือกะละมังใส่น้ำมาด้วย บนหัวเป็นกะละมังใบเล็กคว่ำไว้
“นัดกันไว้ตอนเย็นเลยครับ” เต้ยตอบคำถาม วางกะละมังใบเล็กในมือลงบนโต๊ะ แม่ตามออกมานั่งลงข้างพ่อ
“ผมมาขอรดน้ำขอพรจากพ่อแม่ครับ” เต้ยบอก เรียกสติผมให้หลุดจากภวังค์ เลื่อนตัวเองลงไปนั่งพับเพียบข้างกัน
“ไอ้ลูกจริง ๆ มันไม่คิดจะทำหรอก”
“ใครบอกหนูไม่คิด แต่เพิ่งกลับจากวัดยังไม่หายเหนื่อยเลยยังไม่ทำ หนูเตรียมไว้แล้วเหมือนกัน” ผมแก้ตัว
เต้ยตักน้ำอบกลิ่นหอมลอยด้วยดอกมะลิกับว่านหอมส่งให้ผม ก่อนเจ้าตัวจะหันไปเอากะละมังเปล่ามารองเท้าพ่อ
“ขอให้พ่อแข็งแรง อยู่กับหนูไปนาน ๆ แล้วก็รักหนูให้มาก ๆ” พ่อหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ผมค่อย ๆ เทน้ำในขันใบเล็กรดมือพ่อ อีกครึ่งขันรดเท้าจนหมดแล้วก้มลงกราบ
“ใครเขาอวยพรแบบนั่นกัน” พ่อว่า มือที่เปียกชุ่มตบลงเบา ๆ ที่หัว “ขอให้เจริญ ๆ นะ เป็นเด็กดีแบบนี้ตลอด พ่อภูมิใจในตัวลูกนะตัวเล็ก” ผมยิ้มให้พ่อ ความอบอุ่นแผ่ซ่านในอกรับรู้ความรักของพ่อที่มีให้ผมมาโดยตลอด
เต้ยตักน้ำขึ้นมาอีกขัน
“สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ขอให้คุณพ่อสุขภาพร่างการแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของตัวเล็กไปนาน ๆ นะครับ” ผมหันมองคนข้าง ๆ ที่ก้มลงกราบเท้าพ่อผมไม่ต่างจากที่ผมทำเลยสักนิด
“อายุมั่นขวัญยืนนะ” พ่ออวยพรสั้น ๆ
เต้ยตักน้ำอบส่งให้ผมอีกขัน ย้ายกะละมังไปรองเท้าแม่บ้าง
“ขอให้แม่สุขภาพร่างกายแข็งแรง อยู่กับหนูไปนาน ๆ เหมือนพ่อนะ” ผมทำเหมือนที่ทำกับพ่อ แม่ยิ้ม รองน้ำอบในมือพรมลงบนหัวผมเหมือนกัน
“ขอให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีแต่คนรักนะลูก” แม่อวยพร
เต้ยตักน้ำอบรดลงบนมือแม่ผม ปากอวยพรไปด้วย
“สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับ ขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงนะครับ”
หลังจากรดน้ำขอพรพ่อกับแม่เสร็จเต้ยดึงฝ้ายสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อส่งให้พ่อกับแม่
“ผมได้มาจากวัดผูกให้ผมกับตัวเล็กได้ไหมครับ” เต้ยบอก
“ได้สิ” พ่อรับฝ้ายสีขาวไปถือ มือสั่นน้อย ๆ หันมามองผม สลับกับเต้ย
“อ้วนยื่นแขนไปสิ”
ผมยื่นแขนขวาไปให้พ่อ มีเต้ยแตะประคองไว้
“มาเด้อขวัญเอ้ย ขอให่มีแต่ควมสุขควมเจริญ ขวัญเจ่าอยู่ไสกะขอให่กลับมา มาอยู่เป็นแก้วตาดวงใจ” ผมยิ้มให้พ่อก้มลงกราบอีกรอบมองฝ้ายสีขาวที่ข้อมือ พ่อหันไปหาเต้ย วางฝ้ายสีขาวลงบนข้อมือ เอ่ยอวยพรเต้ยบ้าง
“มาเด้อขวัญเอ้ย ขอให้เป็นคนฮู้ผู้ดี ดูแลรักษาแก้วตาดวงใจดี ๆ เด้อ” เต้ยยิ้มกว้างก้มลงกราบพ่อผมอีกรอบ
“แม่อวยพรไม่เก่งเหมือนพ่อ” แม่หัวเราะน้อย ๆ
“นี่พ่อเก่งแล้วเหรอ พ่อก็ว่าพ่อมั่วไปเรื่อยแล้วนะ” แต่คนถูกอ้างว่าอวยพรเก่งกลับบอกว่าอย่างนั้น
“แต่แม่ขอให้ลูกแม่มีความสุขในทุก ๆ วัน ดูแลกันดี ๆ นะลูก มีปัญหาอะไรต้องคุยกัน อย่าปล่อยไว้นาน” แม้จะงง ๆ กับคำอวยพรของแม่ ผมว่ามันชักจะเหมือนอวยพรให้คู่แต่งงานเข้าไปทุกที
“แม่หนูว่า” มันเร็วไป
“อย่าขัดแม่สิ” เป็นอันต้องกลืนคำพูดลงคอ
“มาเต้ยบ้าง”
“ครับ
“ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญนะลูก แม่ฝากลูกแม่ได้ใช่ไหม เต้ยจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังใช่ไหมลูก”
“แม่” ผมครางอย่างอ่อนใจ
“ครับเต้ยสัญญาเลย” นี่ก็อีกคน ไปเออออได้ไง
หลังอวยพรเสร็จพ่อกับแม่ก็ทิ้งผมไว้ที่บ้านกับเต้ย ไม่เอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของเรา แม่ทำเพียงเก็บของบอกว่าจะไปบ้านญาติ แล้วหายกันออกไปเลย
“เต้ยว่าพ่อกับแม่รู้เรื่องของเราไหม” ผมเอ่ยากถามคนข้าง ๆ จัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเผื่อค้างคืนสักที่
“ไม่รู้มั้งอวยพรขนาดนี้แล้ว เต้ยก็ทิ้งตัวเล็กไม่ได้แล้วสิแบบนี้” เต้ยหัวเราะเบา ๆ กลิ้งไปมาบนเตียงของผม ในมือถือมือถือแชทกับพวกเพื่อน ๆ
“เพราะเต้ยเลย ทำให้แม่จับได้”
“เต้ยทำตอนไหน” เต้ยหน้ามุ้ย วางเครื่องมือสื่อสารลงข้างตัวแล้วกลับมาลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“ก็วันแรกที่เต้ยหนุนตักเราแล้วแม่มาเห็น”
“แล้วพ่อแม่รู้มันไม่ดียังไง”
“กลัวเขาเป็นห่วงไง”
“แต่พ่อแม่ตัวเล็กก็ไม่เห็นพูดอะไร” เต้ยเลิกคิ้วมอง ผมจับเสื้อผ้าที่เต้ยทิ้งไว้ในตู้โยนไปให้บนเตียงพร้อมกับเป๋ใบเล็ก
“เอามาทำไม” เต้ยถาม
“เอากลับไปสิ จะเอามาทิ้งไว้ทำไม”
“ก็เวลามาค้างจะไม่ไม่ต้องเอามาไง เอาทิ้งไว้นี่แหละ” เต้ยไม่ยอมทำตามผมเลยต้องขยับไปนั่งลงบนเตียงพับเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นลงในเป้
เต้ยทิ้งตัวลงนอนกับตัก ลืมตาแป๋วจ้องผมไม่วางตา
“โกรธเหรอ” เต้ยถาม
“ทำไมต้องโกรธละ”
“พ่อแม่รู้นะดีแล้ว เต้ยจะได้ไม่กล้านอกใจตัวเล็กไง”
“นี่ตั้งใจจะนอกใจกันเหรอ”
“ไม่ใช่สิ แค่บอกว่า”
“ว่า”
“นึกไม่ออกแล้ว”
“เต้ย นิสัยไม่ดี” ผมฟาดมือลงบนแขนเต้ยเบา ๆ เจ้าตัวหัวเราะร่วนพออกพอใจ
“เหลือพ่อแม่เต้ย ไปรดน้ำดำหัวเขาก่อนไหม” เต้ยถาม
“ไปสิ” ไม่จำเป็นต้องลังเลเสียเวลาคิด
“จะแนะนำตัวเล็กว่าไงดี” เต้ยถาม ลุกขึ้นนั่งจับเสื้อผ้าของตัวเองที่ผมพับใส่กระเป๋าออก
“เต้ยจะเอาไปไหน”
“บอกว่าทิ้งไว้นี่ก็คือทิ้งไว้นี่” คนดื้อเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ในตู้ตามเดิม
“บอกมาว่าจะให้เต้ยแนะนำตัวเล็กกับพ่อแม่ว่ายังไง”
“ก็บอกว่าเมียสิ”
“โอ้โห่ ทีตัวเองไม่ยอมบอกอะไรพ่อแม่ ที่กับเขานี่ไม่ห่วงว่าจะโดนพ่อแม่เอามีดฟันหัวเหรอ ที่อยู่ ๆ พาเมียเข้าบ้านนะ” สีหน้ากับแววตาที่เต้ยแสดงออกไม่ได้กังวลกับเรื่องที่พูดเลยสักนิด ตรงกับข้ามมันกับพราวระยับดูถูกอกถูกใจเจ้าตัว
“บอกว่าเพื่อนก็ได้”
“บอกว่าเมียอะดีแล้ว” นั่นปะไร “ค้างบ้านเต้ยนะ”
“เคยขัดได้ที่ไหน”
เต้ยหัวเราะร่วน
ผมที่ครั้งหนึ่งไม่เคยคิดว่าจะมีความสุขอย่างนี้
ขอบคุณคนในความคิดถึงที่วันนี้เดินทางมาถึงปลายทางของมัน
ปลายทางของความคิดถึง ที่ผมไม่ต้อง เอาแต่คิดถึง...เขา...อีกต่อไปแล้ว
-END-
ขอบคุณทุก ๆ การติดตามนะคะ
ตอนแรกจะเขียนตอนเดียวจบค่ะ
เป็นเรื่องคนรักระยะไกล แต่ไม่ดราม่า
เป็นรักที่มีแล้วต้องทำให้เรามีพลัง แม้จะต้องทนคิดถึงกันบ้าง
กับอีกสาเหตุคือช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ได้กลับบ้านไปเจอคนที่แอบชอบนะคะ
เลยอยากเขียนถึงเขา แม้ชีวิตจริงจะไม่ได้สมหวัง แต่ เต้ย-ตัวเล็ก ในใจเราเขาสมหวังรวมทั้งในเล้าด้วย
แด่หัวใจทุกดวงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง
คิณทรธ
:mew6: