[End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]  (อ่าน 16234 ครั้ง)

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 17 -


[ไออุ่น]

       การรอคอยมันแสนทรมาน ทุกวินาทีใจร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา ความกังวลเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ความมั่นใจถดถอยทุกนาที

       ความเลวร้ายที่เราต้องเผชิญมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน ใครเป็นคนผิด นักวิจัยที่ทำให้เกิดซอมบี้เหรอ การที่รัฐบาลควบคุมการแพร่เชื้อไม่ได้เหรอ เพราะตอนนี้ผู้นำของเราแย่เหรอ หรือผิดที่เราไม่มีอำนาจมากพอกันแน่?

       ตอนนี้เวลา 18.36 น. ผมนั่งที่หน้าบ้านเพื่อรอผู้กองกับมา วันทั้งวันใจผมสงบไม่ได้เลย ความกังวลใจ ความเป็นห่วงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เมื่อไหร่ผู้กองจะกลับมา

       “อีอุ่น เริ่มมืดแล้วเข้าไปรอข้างในเถอะ ข้างนอกยุงมันเยอะ กูสงสารยุงที่ต้องกินเลือดมึง เข้ามาได้แล้ว!” ผมจำใจต้องเดินเข้าไปในบ้านทั้งที่ต้องการจะรออยู่หน้าบ้านแท้ๆ

       ผมเดินเข้ามาทุกคนนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้ากังวล ซึ่งแตกต่างจากตอนเช้ามาก เพราะตลอดทั้งวันเราแทบไม่ได้ยินข่าวผู้กองเลย

       “เราไปหาผู้กองที่บ้านผู้นำได้ไหม” ผมรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มันนานเกินไป

       “เราเข้าไปไม่ได้ครับ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า” หมู่เทนตอบผม แค่ไปหาต้องได้รับอนุญาตด้วยเหรอ

       “ก็ขับรถเข้าไปเลยไง จะยากอะไร” แมนนี่พูดขึ้นมา ผมรู้ว่าแมนนี่อยากช่วยผม

       “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ ถ้าเราบุกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เราโดนยิงก่อนไปถึงตัวบ้านแน่ๆ ที่นั้นมีทหารเฝ่าอยู่เยอะมาก มีกำแพงสูงล้อมรอบ ข้างในมีโกดังขนาดใหญ่เพื่อเก็บอาวุธ คนนอกแทบจะเข้าไปไม่ได้เลย” ยิ่งได้ยินใจผมมันยิ่งร้อนรน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะมีใครช่วยผู้กองได้บ้าง ไม่มีเลย แล้วผมจะทำยังไง

       “เราฆ่าผู้นำก็จบเรื่อง” ไอ้น้องริวพูดขึ้นมาอย่างคาดหวัง มันก็จริง ถ้าผู้นำตายก็จบเรื่อง

       “ในเมื่อเราเข้าใกล้ตัวไม่ได้ จะฆ่าได้ยังไงละครับ และอีกอย่าง ถ้าผู้นำตายไป รองผู้นำขวา ซ้าย ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำแทนอยู่ดี มีทางเดียวคือกำจัดไปให้หมดในครั้งเดี๋ยว เพราะถ้าพลาดโดนเอาคืนแน่ และถ้าโดนเอาคืนเราก็รอดยาก เรื่องนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย” ความหวังของเราเป็นเพียงแค่แสงริบหรี่จนแทบมองไม่เห็น ทำไมคนเลวต้องมีอำนาจ ทำไมคนเลวต้องมีพร้อมทุกอย่างยกเว้นจิตสำนึกถูกผิด ทำไมคนเลวต้องชนะ?? ทำไม

       “เราต้องอยู่ในสภาพนี้ต่อไปใช่ไหม หดหู่จัง” แมนนี่พูดขึ้น โคตรน่าหดหู่อย่างที่แมนนี่พูดนั้นแหละ

       เรานั่งอยู่เงียบๆ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม แต่ทุกคนยังรอกันอยู่ ไม่เว้นแม้แต่มิดไนท์ ทั้งที่ปกติจะหลับแล้วแท้ๆ แต่วันนี้ก็ยังเล่นอยู่ไม่ไปไหน เหมือนเขารู้ว่าต้องรอใคร

       เสียงรถดังขึ้นทางหน้าบ้าน ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงออกไปหน้าบ้านทันที รถที่ขับเข้ามาไม่ได้มีแค่คันเดียว แต่มีถึงสองคัน คันแรกเป็นรถกระบะของผู้กองแน่ๆ ส่วนคันที่สองเป็นรถกระบะเช่นกัน แต่มีทหารนั่งอยู่บนกระบะหลังสามนาย ดูแล้วเป็นพวกของผู้นำแน่ๆ มาทำไม

       ผมเลิกสนใจคนอื่น วิ่งตรงไปหาผู้กองทันที เมื่อผู้กองก้าวขาลงจากรถผมจับแขนเขาไว้ เพื่อให้รู้ว่าผมอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ ความเขินอายหายไปตั้งแต่ผมนั่งรอแล้ว

       “พี่ธามเป็นอะไรไหม มันทำอะไรพี่หรือเปล่า” ผมถามเขาเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน เจ้าตัวกุมมือผมที่กำลังจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมคิดมาก แต่ผมเป็นห่วงหนินา

       “พี่ไม่เป็นอะไรครับ ไม่ได้ต้องคิดมาก ดูสิคิ้วจะผูกกันอยู่แล้ว” ผู้กองพูดพร้อมใช้มือข้างนึงประคองแก้มผมไว้ อีกข้างนวดหว่างคิ้วผมเบาๆ และก้มลงจูบหน้าผากผมเร็วๆ แล้วผละออก

       “ไปเถอะครับ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังทีหลังนะ” ผู้กองพูดกับผมพร้อมหันไปมอง พวกทหารที่ลงจากรถแล้วเดินตรงไปทางบ้าน ผมไม่รู้ว่าผู้กองทำหน้ายังไง เพราะเขาหันหลังให้ไฟ แต่ผมเดาว่าสีหน้าผู้กองต้องกังวลมากแน่ เพราะพวกทหารที่มาไม่น่าจะเป็นมิตรเท่าไหร่

       ผมเดินตามแรงจูงที่ผู้กองกำลังจูงมือผมไปทางเข้าบ้าน ทุกคนในบ้านยืนออกันอยู่หน้าประตูปิดทางเข้าออก

       “จะเข้าไปทำไม?” หมู่นายพูดขึ้นพร้อมยืนเผชิญหน้ากับทหารห้านาย พวกมันมองเราอย่างเหยียดหยันไม่เป็นมิตร ส่อเจตนาอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาดีแน่ๆ

       “ถามหัวหน้าพวกมึงดูสิ ทำผิดอะไรมา แล้วได้รับโทษยังไง ฮาๆๆๆ” เสียงหัวเราะเยาะ มันทำให้เท้าผมกระตุก อยากเสยปลายคางพวกมันจริงๆ ดูแล้วคนอื่นก็คงคิดเหมือนผม

       “หัวหน้ามึงตายหรือไงคะ หัวเราะอยู่ได้” แมนนี่พูดขึ้นอย่างเหลืออด

       “หัวหน้ากูไม่ตายหรอก แต่คนที่จะตายคือมึงต่างหากอีตุ๊ด” มันพูดพร้อมสาวเท้าเดินเข้ามาหาแมนนี่ หมู่เทน หมู่นายดึงแมนนี่ให้มายืนด้านหลังแล้วยืนบังไว้ แต่ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น ผู้กองจึงห้ามเอาไว้ก่อน

       “หยุด!! มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป แล้วรีบกลับไปซะ” ผู้กองพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์

       “เป็นแค่คนทรยศ กล้ามาสั่งพวกกูเหรอ!”

       “อยากดูไหมว่าผู้นำรู้ว่าพวกมึงไม่ทำตามคำสั่ง จะโดนอะไรบ้าง” ผู้กองพูดขึ้นนิ่งเหมือนเดิม

       “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง โดนเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ กูฆ่ามึงแน่ จำไว้!” พวกมันพูดจบแล้วเดินกระแทกไหล่พวกเราเข้าไปในบ้านทันที ผมรีบดึงมิดไนท์ให้พ้นทางพวกมันทันพอดี แม่งเด็กยืนอยู่ตรงนี้ ยังมีหน้าเดินกระแทกเข้าไปในบ้านอีก อยากเข้าก็บอกดีๆ สิวะ จะได้หลบให้ แม่ง!!

       ผู้กองอุ้มเจ้าตัวเล็กที่ผมกำลังกอดอยู่ขึ้นแนบอก ผมจึงได้มีโอกาสได้เห็นหน้าผู้กองชัดๆ หน้าหล่อคม ตอนนี้มีสีม่วงช้ำแต่งแต้มใบหน้า ใต้ตา มุมปากแก้มฝั่งขวา ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย

       “มันเข้าไปทำไมวะ ธาม” หมวดโฟรคพูดขึ้นพร้อมหันไปมองพวกทหารที่กำลังอยู่ในบ้าน

       “พวกมันได้รับคำสั่งให้มาขนเสบียงเรา” ผู้กองตอบสั้นๆ แต่สีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” ถึงหน้าจะนิ่งแค่ไหน แต่แววตาก็เศร้าอย่างเห็นได้ชัด ผมเดินไปด้านหลังผู้กองแล้วใช้สองแขนโอบกอดเขาจากด้านหลัง พร้อมใช้ใบหน้าแนบไปกับแผ่นหลังแก่ง ผมไม่สนใจสายตาคนอื่นแล้วตอนนี้ที่ผมสนใจคือความรู้สึกของผู้กอง ผมไม่อยากให้เขาเศร้าแล้วโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะผมรู้ว่าบทลงโทษมันไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ

        “ไม่ต้องคิดมาก มึงทำดีที่สุดแล้ว แค่หาอาหาร ทะเลก็อยู่หน้าบ้านนี้เอง เรื่องเล็กน่า” หมวดโฟรคพูดขึ้น ผู้กองเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย แต่ใช้มือที่กำลังลูบหลังมิดไนท์ก่อนหน้านี้มาลูบแขนผมที่กำลังกอดเอวเขาเบาๆ

       “มันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวค่อยคุย” ต้องรอให้พวกมันกลับก่อนสินะ

       “อือค่อยคุย แต่กูเกลียดขี้หน้าพวกห่านี่ชิบหาย อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วกัน กูไม่เอาไว้แน่” ผมบอกแล้วไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่เท้ากระตุก แต่หมวดโฟรคคงหนักกว่าผม ปืนกระตุกเลยทีเดียว

       พวกมันขนอาหารทุกอย่างขึ้นรถไป เน้นครับว่า ทุกอย่าง! มันแทบไม่เหลืออะไรไว้ให้พวกเราเลย ตลกไหมครับ ปลูกก็ปลูกเอง ดูแลเอง เก็บเอง แต่ไม่ได้กิน ชีวิตมันช่างอนาถจริงๆ

       หลังจากพวกมันกลับไปแล้ว เราจึงมานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่นโดยมีมิดไนท์หลับอยู่บนตักผู้กอง น้องคงง่วงมากเพราะหลับตั้งแต่ผู้กองอุ้มไว้แล้ว

       “ที่ว่าไม่ได้มีแค่นี้ มันมีอะไรอีก” หมวดโฟรคถามเข้าประเด็นทันทีเมื่อเรานั่งลง

       “ข้าวนาปรังรอบหน้าให้เอาเข้าโกดังหมด ไม่แจกจ่าย และเราไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ด้วย” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

       “ได้ยังไงครับ ชาวบ้านจะกินอะไร” ไอ้น้องริวพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้องคงสนิทกับคนในค่ายต่างๆ พอสมควร เพราะมันเป็นเด็กอัธยาศัยดี

       “แล้วพืชผักอย่างอื่นๆ หละ” เมื่อผู้กองเงียบ หมวดจึงถามสิ่งที่อยากรู้ต่อ

       “สองเดือนแรกส่งเข้าโกดัง หลังจากนั้นเอาไปให้ค่ายต่างๆ ได้ แต่…แค่ 10% เท่านั้น” บ้าไปแล้ว พวกมันบ้าไปแล้ว ผมรู้แล้วว่าทำไมผู้กองถึงรู้สึกผิดขนาดนี้ ผมช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย สิ่งที่ทำได้ มีแค่ดึงมือหนานั้นมากุมด้วยสองมือผมแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าผมอยู่ข้างๆ เขา ผู้กองบีบมือผมกลับมาเบาๆ เช่นกัน

       “พวกมันบ้าไปแล้วแน่ๆ” หมวดโฟรคพูดขึ้นอย่างหัวเสีย ผมก็คิดเหมือนเขาไอ้แก่ลงพุงคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เก็บไว้เยอะขนาดนั้นขอให้พุงมันแตกตายไปเลย สลัดผักเอ้ย!!

       “แล้วพวกเราจะกลับไปกาญจนบุรีตอนไหนครับ” หมู่นายถามขึ้นมาบ้าง

       “อีกสองถึงสามอาทิตย์ ฉันต้องทำงานให้พวกมันก่อน ถ้าทำถูกใจพวกมันจะเพิ่มการส่งพืชผักให้ค่ายเป็น 20%”

       “ทำอะไรครับ” ผมทนความสงสัยไม่ไหวจึงถามออกไป

       “ทุกอย่างที่สั่ง ดูแลการขนส่งอาหารทะเล ดูแลทุกอย่างที่โดนสั่งเพื่อให้พวกมันพอใจ” ผมไม่อยากให้เขาทำเลย แต่ด้วยผลที่เราต้องการ ก็ต้องปล่อยให้เขาทำสินะ ประจบสอพลอสินะ คือสิ่งที่พวกมันต้องการจากเรา

       “กูไม่ชอบหรอกที่มึงต้องทำแบบนั้น  แต่เป็นทางเดียวแล้วสินะ ที่เราทำได้” หมวดโฟรคตบบ่าผู้กองเพื่อให้กำลังใจ

       “แล้วถ้าเราแอบเอาไปส่งเหมือนครั้งที่แล้วหละครับ” ไอ้น้องริวพูดขึ้นมาอย่างคาดหวัง

       “พวกมันจะส่งคนไปกับเราด้วย” เล่นกันขนาดนี้เลยเหรอ

       “ถึงกับต้องส่งคนไปคุมเลยเหรอ แม่ง!” หมวดโฟรคหัวเสียมากเมื่อได้ยิน

       “แล้วใครเป็นคนบอกเรื่องเสบียงเหรอครับ” ลมหนาวถามขึ้นมาจากที่นั่งฟังเงียบๆ

       “ไม่เห็นต้องถามเลยค่ะ น้องลมหนาว ยังไงก็ต้องเป็นยัยชะนีโรสแน่นอนอยู่แล้ว” แมนนี่ตอบขึ้นมาก่อน ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

      “ไม่รู้” ผู้กองพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องค่ายที่ชุมพรอาจเป็นโรส แต่เรื่องค่ายอื่นๆ ไม่รู้ว่าใคร เพราะเธอไม่น่าจะรู้เรื่องนี้” ถ้าไม่ใช่โรส ก็เป็นคนใน ไม่ใช่มั้ง คงไม่มีหนอนบ่อนไส้มั้ง

       “หนอนบ่อนไส้เหรอ เรามีแต่คนกันเองนะ ทุกคนเหมือนญาติพี่น้องกัน ไม่หรอก” หมวดโฟรคเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับเรา

       “ระวังตัวไว้ แต่อย่าระแวงกันเอง เรามีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาระแวงกันเองทุกอย่างยิ่งแย่” ก็จริงอย่างที่ผู้กองว่า เราจะมาคอยแต่ระแวงกันเองไม่ได้หรอก

       “แล้วมันทำอะไรมึงบ้าง หน้าเยินใช่เล่นนี้หว่า” สิ้นเสียงหมวดโฟรคทุกคนหันมาให้ความสนใจกับหน้าผู้กองทันที ผมว่าพวกเขาคงเห็นกันแล้วแต่ไม่กล้าถามมากกว่า

       “นิดหน่อย เรื่องนี้ไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดได้หรอก มันรู้ดีว่าอะไรทำให้ฉันเจ็บปวดได้ แล้วมันก็ทำแล้ว ฉันช่วยทุกคนไม่ได้ พวกเขาต้องอดอยาก” น้ำเสียงเศร้าที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครได้เห็น ยกเว้นผม สีหน้านั้นได้แสดงออกให้ทุกคนได้เห็น ผู้กองเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ผมไม่สามารถช่วยอะไรผู้กองได้เลย แค่กำลังใจจากผมมันไม่พอให้ผู้กองดีขึ้นได้เลย

       “คิดไปก็ปวดหัว แยกย้ายไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่” ผมเห็นด้วยกับหมวดโฟรคนะ นั่งเครียดไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ไปนอนหลับให้สมองปลอดโปร่งแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาคิดกันใหม่ดีกว่า


       เราได้แยกย้ายกันไปเมื่อ ไม่มีใครคิดหาทางออกได้แล้ว เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะออกไปหาปลากันแต่เช้า เพราะไม่มีอะไรให้กินแล้ว ผู้กองกับหมู่เทนจะออกไปทำงานตามคำสั่งของไอ้ผู้นำลงพุง ดีที่พวกเรามีทักษะการหาปลาจากกาญจนบุรีมาบ้างแล้ว ไม่งั้นแย่แน่ แต่ทักษะที่ว่าก็แค่ตกปลาแค่นั้นแหละ นอกจากนี้คงต้องถามชาวบ้านแถวนี้เอา ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมช่วยเราไหม ผมหวังว่าพวกเขาจะยอมช่วยเรานะ

       ผมกลับเข้ามาในห้องกับผู้กองสองคน หลังจากไปส่งมิดไนท์เข้านอนที่ห้องลมหนาวมาแล้ว ผู้กองยังมีสีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ยืนเหม่อคิดอะไรอยู่ที่ระเบียงห้อง เขาแทบไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของผมเลย

       ผมเดินเข้าไปสวมกอดผู้กองจากด้านหลัง เขาสดุ้งนิดหน่อยแล้วดึงมือผมออก พร้อมหันหน้ามาหา

       “ขอโทษนะครับที่ทำให้เรากับน้องๆ ต้องลำบาก ถ้าอยู่ที่นู้นแต่แรกคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้” มือหนาลูบที่ใบหน้าผมเบาๆ แทนการปลอบโยน

       “ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ผมอยากมาเองนะ ทั้งที่ผู้กอ... พี่ธามเตือนแล้วแท้ๆ แล้วเรื่องอาหารก็ไม่ต้องคิดมากด้วย เรื่องแค่นี้เอง เราหาได้อยู่แล้ว เชื่อมือเราเถอะน่า ผมรู้ว่าพี่เครียดหลายเรื่อง ผมจะบอกให้พี่อย่าคิดมากก็คงเป็นไปไม่ได้ งั้นขอแค่พี่ไม่คิดเรื่องพวกเราก็พอ ตัดเรื่องพวกเราออกจากความคิดได้เลย พวกเราไม่เป็นไร” จะให้ผมพูดดีๆ มีสาระมันยาก แต่ผมก็พยายามสื่อทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไปให้ผู้กองได้รับรู้เท่าที่ผมจะสื่อออกไปได้

       “ขอบคุณครับ วันนี้น่ารักจัง” แล้ววันอื่นผมไม่น่ารักเหรอวะ สงสัยหน้าผมมันจะสื่อออกมาชัดเจนไปหน่อยผู้กองจึงพูดแบบนี้ขึ้นมา “ทุกวันก็น่ารัก แต่วันนี้น่ารักเป็นพิเศษไงครับ”

      แม่ง ถ้าไม่ใช่เวลาน่าสิ่วหน้าขวานจะเขินตัวบิดแล้วนะ วันนี้เลยเอาแค่หน้าแดงๆ พอ

       “ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่่ขอให้รู้ไว้ว่าผมอยู่ข้างๆ พี่เสมอ พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีผม มิดไนท์ ลมหนาว และคนอื่นๆ ที่เป็นครอบครัวของพี่ เราทุกคนเป็นห่วงพี่” ผมกลืนความเขินลงไปแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เขาได้รับรู้

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ” ริมฝีปากหนาประทับลงบนริมฝีปากผมเบาๆ อย่างไม่มีการล่วงล้ำใดๆ แต่ใจผมก็ไม่วายเต้นแรงอยู่ดี ผมค่อยๆ ลูบที่ใบหน้าหล่อคมที่ตอนนี้เขียวช้ำไปหมด

       “เจ็บมากไหมครับ” ผู้กองสายหัวแทนคำตอบ “แล้วมีที่อื่นอีกไหม” ผมว่าต้องมีที่ที่เรามองไม่เห็นอีกแน่ พวกเลวนั่นไม่ชกแค่หน้าหรอก

       ผู้กองไม่ตอบแต่เลิกเสื้อขึ้นให้ผมดู ทันที่ที่ผมเห็นน้ำตาผมมันแทบจะไหลออกมา

       “ไม่เอา ไม่ทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่ไม่เป็นอะไรสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่เจ็บเลย โอ้ย!!” ไหนว่าไม่เจ็บเอามือจิ่มนิดเดียวก็ร้องยังกับควายออกลูกแล้ว โกหกกันชัดๆ เลย

       “โกหก!!! เขียวช้ำขนาดนี้ไม่เจ็บได้ยังไง ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ไอ้อ้วนลงพุงเอ้ย!!” ข้างนอกว่าเยินแล้ว แต่ข้างในหนักกว่าอีก เขียวช้ำจนแทบไม่มีที่ว่างเลย แล้วยังมีหน้ามาโกหกว่าไม่เจ็บอีก ช้ำขนาดนี้ไม่ช้ำในตายก็ดีแค่ไหนแล้ว!!

       “พี่ไม่ได้โกหกพี่ทนได้จริงๆ ครับ” ยังมีหน้ามาพูดอีก

        “เงียบไปเลย!! แล้วรีบไปอาบน้ำ! จะทายาให้” แล้วทำไมท้ายประโยคผมต้องเสียงอ่อนลงแบบนั้นด้วย

       “น่ารักจัง”

       “ซิ”

       “หึหึ เดี๋ยวพี่ออกมาให้ทายานะครับ มีคนทายาให้แบบนี้ต้องหายเร็วแน่เลย” ทำมาเป็นพูดดี ซิ!! มีคนเจ็บที่ไหนเขายิ้มล่าแบบนี้บ้าง

        แต่ก็ดีอย่างน้อยก็ทำให้ผู้กองเลิกคิดเรื่องนั้นได้ แค่ชั่วคราวก็ยังดี

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
(ต่อตอนที่ 17)



       กว่าจะได้นอนก็ปาไปเที่ยงคืน การทายาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจากที่เห็นแล้วยังมีเพิ่มช่วงขาอีก ถามผู้กองว่าพวกมันทำอะไรบ้างก็ไม่ยองตอบ พูดไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อยจนผมเลิกถามไป ผมมองเห็นแผลเมื่อไหร่ก็อยากร้องไห้ทุกที มันไม่มีทางแก้ไขเรื่องนี้ได้จริงๆ เหรอ

       “ทำไมยังไม่นอนครับ คิดอะไรอยู่หืม...” บอกให้คนอื่นนอนพักผ่อนก่อนอย่าคิดมากค่อยไปคิดวันพรุ่งนี้ แต่ตัวเองดันคิดเองซะนี้ เฮ้อ...แล้วใครมันจะอดคิดได้หละ

       “ผู้คนจะต้องอดอยากอย่างนี้จริงๆ เหรอครับ แล้วพี่ธามต้องคอยไปรับใช้พวกมันด้วย เราไม่มีทางแก้ไขมันได้จริงๆ เหรอ ทำไมคนนั้นต้องบอกเรื่องเสบียงกับพวกเลวนั้นด้วย โลกเราตอนนี้มันยังเลวร้ายไม่พอเหรอครับ ทำไมต้องซ้ำเติมกันด้วย แล้ว...”

       “พอแล้วครับ พอแล้ว บอกพี่ไม่ให้คิดแต่เราดันคิดซะเอง เลิกคิดได้แล้วครับ เรื่องพรุ่งนี้ปล่อยให้มันเป็นพรุ่งนี้ไป วันนี้ได้เวลานอนแล้วครับ นอนได้แล้วนะ” เฮ้อ...คิดไปก็ปวดหัวเฉยๆ ไม่มีทางออกอะไรเลย กูขอแช่งให้แม่งไหลตายทั้งหมดเลยคืนนี้ สาธุ!!!

       “ก็ได้ครับ เฮ้อ...ขอกอดหน่อย” ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ต้องใช้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าที่สุด ขออ้อนสักหน่อยเหอะ

       “ไม่เห็นต้องขอเลย พี่ก็เป็นของอุ่นอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็เชิญเลย”

       “ขอถีบได้เปล่า” ก็บอกว่าทำอะไรก็ได้หนิ

       “เอาสิ ให้ถีบเลย ถ้าอุ่นต้องการ” ใจดีแปลกๆ นะ “แต่พี่ขอเอาคืนสักน้ำสองน้ำนะ”

       อะไรคือน้ำสองน้ำ โว้ย!!! ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไอ้หื่นเอ้ย!!

       “พอแล้วเลิกพูดเรื่องไร้สาระ นอนได้แล้ว นอน!!” เลิกพูดเถอะครับ ก่อนที่ผมจะเสียเปรียบ

       “หึหึ ครับๆ นอนก็นอน ฝันดีนะครับ จุ๊บ” ผู้กองจูบที่ปากผมเบาๆ เพื่อบอกฝันดี แล้วผมจะน้อยหน้าได้ไง นี่ผมไออุ่นนะ ไออุ่น

       “ฝันดีเช่นกันครับ จุ๊บ” เหนือกว่าครับ เหนือกว่า ผมจูบที่หน้าผากผู้กองเบาๆ จากแสงไฟระเบียงที่ส่องเข้ามา ผมเห็นผู้กองยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ทำเมื่อกี่

       ริมฝีปากหนาแตะเบาๆที่ริมฝีปากล่างของผม คอยเม้มคลึงจากปากล่างไปบน มือหนาประครองเอวผมไว้ อีกมือจับใบหน้าผมให้เงยขึ้นในองศาที่เหมาะ พร้อมสอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปาก มือที่จับเอวผมค่อยๆ ไล้ขึ้นมาตามแผ่นหลังด้านในเสื้อ มือหนาที่สัมผัสโดนผิวกายมันร้อนดั่งมีไฟฟ้าสถิต

       ลิ้นร้อนไล่ต้อนไปจนทั่วโพรงปาก พร้อมสำรวจทุกที่ที่ไปถึง มือหนาค่อยๆ เลิกเสื้อผมมากองไว้ใต้คอ ริมฝีปากหนาละจากปากผม เพื่อลิ้มชิมรสเม็ดทับทิมที่กำลังเต่งตึงจากฝีมือของเจ้าตัว สัมผัสแรกดั่งมีสายฟ้าแล่นผ่าน มันแปลบจนใจผมกระตุก ความเสียวซ่านทำให้เสียงครางผมหลุดออกมา

       ริมฝีปากร้อนค่อยๆ ขบเม้นจากหน้าอก ขึ้นมาบริเวณคอ พร้อมถอดเสื้อผมออกจนพ้นตัว ผมมองผู้กองที่กำลังถอดเสื้อของตัวเองอยู่ ด้วยห้องที่ปิดไฟจนมืด มีเพียงแสงสว่างจากระเบียงที่คอยส่องให้เราสองคนได้สบตากัน ในความเลือนรางผมกลับสามารถมองเห็นแววตาผู้กองได้อย่างชัดเจน สายตาที่แสดงออกถึงความรักและความต้องการ มือหนาค่อยๆ ถอดกางเกงตัวเองออกโดยที่ยังสบตาผมอยู่ มือหนาไล้มาจับที่ขอบกางเกงของผมหลังจากถอดของตัวเองเสร็จ

       “พี่ขอนะครับ” ในคำว่าขอ มันมีความหมายในทางไหนผมรู้ดี ผมได้แต่ถามตัวเองว่าพร้อมหรือยังพร้อมที่จะให้ผู้กองหรือยัง ถ้าผมให้แล้วผมจะต้องเสียใจีภายหลังไหม แล้วถ้าไม่ทำ แล้วเราไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันแบบนี้อีกหละผมจะเสียใจแค่ไหน

       “ครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบ ถึงไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็ไม่อยากเสียใจภายหลัง เพราะผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอมีความทรงจำดีๆ ในวันนี้ก่อนก็แล้วกัน

       หลังจากได้ยินคำตอบมือหนาก็ดึงกางเกงผมจนพ้นตัวทันที ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเราแนบชิดกันจนไม่เหลือพื้นที่ให้อะไรแทรกเข้ามาได้ ริมฝีปากเราเชื่อมต่อกันด้วยความร้อนแรง ปากหนาคอยดูดดุนลิ้นผม พร้อมมือที่กำลังบี้เม็ดทับทิม ทันทีที่ปากหนาผละออกไปเสียงครางของผมก็หลุดออกมาทันที

       “อะ อือ อืม... อ๊า!” ความเสียวซานยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อริมฝีปากหนาค่อยๆ เลื่อนลงด้านล่าง จากคอ มาอก เลื่อนลงมาถึงท้องน้อย ทุกการสัมผัสร้อนผ่าวดั่งีต้องเปลวไฟ ริมฝีปากหนายังเลื่อนต่ำลงไปอีก จะไปตรงไหนกันแน่

       “ยะ อย่า อะ มะ มัน สกปรก อ๊า” ไม่ทันครับ ไม่ทันแล้ว ลิ้นร้อนแตะที่ปลายน้องชายผมเบาๆ แต่ความเสียวซานมันไม่ได้เบาด้วย มันเสียวยิ่งกว่ามือซะอีก  ลิ้นร้อนค่อยๆ ไล่จากโคนจนถึงปลายยอด ความเสียวแล่นแปลบเข้าโจมตีไม่หยุดหย่อน ผมแทบหยุดหายใจเมื่อผู้กองครอบปากลงบนแก่นกายของผม

       “อะ อ๊า อืม เสียว อะ มันเสียว อ๊า!!”  ผู้กองค่อยๆ ขยับขึ้นลง พร้อมดูดดึงแรงๆ จนผมแทบเสร็จ ผมจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วมันเสียวเกินไป ปากผู้กองมันร้อนและนุ่มมากเลย

       “อะ อือ ยะ หยุด ทะ ทำไม” เมื่อผมใกล้จะถึงเส้นชัยผู้กองดันหยุดดื่อๆ ทำให้ผมแทบอยากจะร้องไห้ พึ่งยรู้สึกเหมือนตกเหวก็ครั้งนี้แหละ ขึ้นไปจนเกือบสุด ก็ล่นลงมาดื่อๆ เลย ผมไม่เข้าใจผู้กองจริงๆ ผมจะร้องไห้แล้วนะ มันทรมานมากเลย

       ผู้กองไม่ตอบแต่พลิกผมให้อยู่ในท่าคลานเข่า ผมว่ามันแปลกๆ นะ แต่เพราะความทรามานมันทำให้สมองผมตื้อไปหมด

       “อะ ไม่ มัน สะ สกปรก ตรงนี้ มะ ไม่ได้” แล้วก็ไม่ทันเหมือนเดิม เพราะลิ้นร้อน ทรอดแทรกเข้าไปในช่องทางด้านกลังของผมแล้ว มันเสียวไม่ต่างจากด้านหน้าเลย ผมเพิ่งรู้ว่าข้างหลังเสียวได้ขนาดนี้ ผมครางไม่หยุดเลย พรุ่งนี้ต้องเสียงแหบแน่ๆ สักพักผู้กองยืดตัวขึ้นไปเอาอะไรสักอย่างที่ลิ้นชัก เสียงเปิดฝาอะไรสักอย่างดังขึ้น พร้อมสัมผัสเย็นๆ ที่ช่องทางด้านหลัง

       “เจ็บหน่อยนะครับ” เจ็บอะไร...อือ รู้แล้วว่าเจ็บอะไร นิ้วของผู้กองค่อยๆ เข้ามาในตัวผมหนึ่งนิ้ว มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ แต่มันรู้สึกแปลกๆ มากกว่า ผมไม่มีสิทธิ์ตอบอะไรเพราะปากหนาปิดปากผมอยู่ จากหนึ่งนิ้วเพิ่มมาสองนิ้ว แล้วตามด้วยสามนิ้ว ความคับแน่นจุกเสียดเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความเสียว จนผมเริ่มจะขึ้นจุดสูงสุดอีกครั้ง และก็หล่นลงมาอีกครั้ง

       “ฮึก ละเล่น อะไร เนี่ย อึก” ร้องไห้แม่งเลย มันอึดอัดอะ เล่นอะไรเนี่ย มันใช่เวลามาแกล้งกันไหม

       “ชู! ไม่ร้องนะครับ ผ่อนคลายไว้ พี่พาเราไปถึงแน่ๆ ผ่อนคลายนะ” ผ่อนคลายอะไรอีก อึดอัดจะแย่  อยากปล่อย

       “โอ้ย!! จะ เจ็บ มันเจ็บ เอาออกไป” เจ็บมากเลย ของตัวเองก็ใหญ่ แล้วยังเข้ามาทีเดียวจนสุดอีก นี่ครั้งแรกนะโว้ย ฮือ...เจ็บแม่ง มีไหมคำว่าอ่อนโยน เสียบเข้ามาได้

       “ขะ ขอโทษ ก็พี่เห็นเราร้องไห้อยากถึงนี่ เลยรีบ อือ...คับจังวะ ร้อนด้วย อืม...” พูดจบแล้วแม่งก็คราง ใช่ไหม มันใช่ไหม ถึงอยากเสร็จแค่ไหนก็ต้องอ่อนโยนเปล่าวะ นี่ครั้งแรกนะเว้ย เลือดออกแล้วแน่เลย

       แล้วผู้กองก็ค่อยขยับเบาๆ ตอนแรกจากเจ็บๆ เริ่มมีความรู้สึกอื่นเข้ามาปะปนแล้ว ผู้กองกอดผมจากด้านหลังด้วยแขนข้างเดียว  พร้อมแรงกระแทรกที่เริ่มแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

       “อืม อือ...” เสียครางต่ำของผู้กอง ทำให้ผมยิ่งเสียวมากขึ้น ความเจ็บเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ แขนแกร่งของผู้กองรั้งร่างของผมให้ลุกขึ้นนั่งในท่านั่งคุกเข่า พร้อมมืออีกข้างที่รั้งครางผมให้หันไปรับจูบร้อนแรงนั้น ลิ้นเราเริ่มเกี่ยวกะหวัดกันไปมา พร้อมด้านล่างที่กระแทกเข้าออกเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งของผู้กองบี้เม็ดทับทิมของผม มันทำให้ความเสียวเพิ่มมากขึ้นไปอีก

       “เด็กดี เรียกชื่อพี่ อืม หน่อยครับ อ๊า...” ทำไมต้องครางแบบนั้นด้วย ยิ่งได้ยินอารมณ์ผมมันยิ่งพุ่งขึ้น

       “พะ พี่ ธาม อ๊า สะ เสียว น้องเสียว อ๊า” พูดไม่ไหวแล้วครับ

       “หืม...แน่นจริงๆ อ๊า อุ่น อืม” ธามน้อยที่กำลังเข้าออกช่องทางด้านหลังผม มันเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมปากของผู้กองที่ขบเม้นไปทั่วแผ่นหลัง

       ผมจะไม่ไหวแล้ว มันอัดอั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมจะไปแล้ว

        “อือ อ๊า!!!” ในที่สุดผมก็พ้นน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนได้ เสียวมากอย่างที่ไม่เคยเป็นทั้งที่ไม่ได้แตะข้างหน้าเลย ความรู้สึกที่ผมได้รับรู้เป็นครั้งแรก เป็นรับมันก็ไม่แย่นะ

        แต่แรงกระแทกไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งเร็วและแรงขึ้นอีก พร้อมเสียงครางต่ำๆ ของผู้กองที่ข้างหูผม มันทำให้ผมมีอารมณ์อีกครั้ง

       “จะไป อือ...” ผมรู้สึกถึงความร้อนวาบในช่องทางด้านหลังของตนเอง พร้อมแรงกระตุกของธามน้อยที่อยู่ในตัวผม ผมฟุบลงไปกับที่นอนพร้อมกับผู้กองที่ทับผมอยู่ด้านบน ทั้งที่ยังไม่ได้ถอดไอ้นั้นออกจากตัวผมเลย อึดอัดชะมัด

       “พี่รักอุ่นนะครับ” ผู้กองพูดพร้อมกับหอมที่หัวผมเบาๆ มันทำให้หัวใจผมอุ่นวาบ ผมเป็นของผู้กองแล้วจริงๆ เราเป็นของกันและกันแล้ว แต่อย่าพูดเรื่องผัวเมียนะ มันกระดากหู

       “ผมก็ ระ รักพี่ธาม” งือ เขินเว้ยย แต่อึดอัด “อะ เอาออกได้ไหม อะ อึดอัด” แล้วจะขยับทำไมเนี่ย มันเสียวนะ งือ...

       “ก็ได้ครับ...แต่มันไม่จบแค่รอบเดียวหรอกนะ” หะ อะไรนะ อะไรคือไม่จบที่รอบเดียว

       แล้วผมก็ได้คำตอบเมื่อผู้กองกินผมไปตั้งสามรอบ กี่ท่านั้นไม่ได้นับ อยากจะบอกว่าครั้งที่สองที่สามยิ่งนานขึ้นเรื่อย ๆ จะอึดอะไรขนาดนั้น เมื่อความเสียวจบลง ความเจ็บก็ตามมา จะบ้าตาย เป็นรับทำไมมันเจ็บแบบนี้ อยากเป็นรุก งือ...


       ตอนเช้าที่แสน...ปวดตัว ปวดไปหมดอย่างกับโดนรถทับมา ขยับนิดเดียวความเจ็บแล่นแปลบไปถึงสะโพก แล้วทำไมห้องมันว่างเปล่าขนาดนี้ ผู้กองไปไหนนะ ผมมองหารอบห้องแล้วก็ไม่เจอ เขาไปไหนของเขา

       ผมค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ นี่มันเที่ยงแล้วหนิ นอนอะไรขนาดนั้น ผมค่อยๆ เดินไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ ทุกก้าวที่เดินน้ำตาแทบเล็ด เจ็บมาก... มีกระดาษโน้ตติดอยู่บนประตูน้องน้ำ มันเขียนว่า

       “พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลไออุ่น ผู้นำเรียกพี่เข้าไปหา พี่อยากอยู่กับเรามากจริงๆ แต่ทำไม่ได้ เจ็บมากไหม” เจ็บสิถามมาได้ ลองโดนบ้างไหมหละ พอแล้วๆ อ่านต่อๆ “พี่บอกทุกคนแล้วว่าอุ่นไม่สบายไม่ต้องขึ้นไปปลุก ให้ทำอาหารขึ้นไปให้ตอนเที่ยง พี่ไปขอร้องผู้นำเลยได้ข้าวสารมาแลกกับพี่ต้องเข้าไปทำงานทุกวัน ถ้าพี่ทำงานเสร็จ พี่จะรีบกลับไปหานะครับ รักไออุ่น จาก ธาม” จะโกรธก็โกรธไม่ลง เฮ้อ...อยากฆ่าไอ้พวกผู้นำจริงๆ แต่ตอนนี้เจ็บก้นมาก ขอไปนอนแช่น้ำอุ่นก่อนนะ ไม่ไหวแล้ว


+   +   +   +


       จากวันนั้นผมกับผู้กองก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ผู้กองจะเข้ามาตอนดึกๆ แล้วออกไปแต่เช้าตรู่ เป็นแบบนี้มาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ส่วนผมก็โดนแมนนี่ล้อตั้งแต่ขึ้นมาเห็นสภาพผมแล้ว หมดกันความแมนของผม พวกเรามีข้าวกินแล้ว เพราะผู้กองไปขอร้องไอ้พวกผู้นำแลกกับต้องทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ ยันมืดค่ำ พวกเราก็ไม่ค่อยว่างเหมือนกัน โดนใช้งานให้มาแยกปลาที่ท่าเรือ มีผม แมนนี่ ไอ้เด็กริว ส่วนหมวดโฟรคผมขอร้องให้เขาช่วยดูแลเด็กๆ ที่บ้าน ผมไม่ไว้ใจให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง หมู่นาย หมู่เทน และจ่าที่กลับมาทำงานแล้ว อยู่ช่วยงานผู้กอง

       วันละครั้ง ผมจะเห็นผู้กองแวะมาที่ท่าเรือเพื่อตรวจเช็คสินค้า พร้อมกับคุณโรสที่ผู้กองบอกว่าผู้นำแต่งตั้งให้เธอคอยจับตาดูผู้กอง แต่ผมว่าไม่ใช่แค่จับตาดูแน่ ควงแขนกันมาขนาดนั้น ถึงผู้กองจะบอกกับผมว่าไม่คิดอะไร และก็ห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ฟัง ผมไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิงเลย แต่เห็นแล้วมันเจ็บชะมัด ผมที่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับผู้กอง ส่วนคุณโรสตามผู้กองไปได้ทุกที่ แถมยังเดินควงแขนกันด้วย เป็นภาพที่เจ็บดี

       วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอเดินควงผู้กองเข้ามา ผมไม่อยากมองภาพนั้นจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

       “ไหวไหมพี่อุ่น” ไอ้เด็กริวถามขึ้นเบาๆ ไม่ไหวก็ต้องไหววะริว ทำอะไรไม่ได้หนิ ก็ไอ้ผู้นำอ้วนลงพุงสั่งให้ไปด้วยกัน แต่จำเป็นต้องใกล้ชิดกันขนาดนี้ไหม

       “กูว่าตบเลย แค่ให้จับตาดู จำเป็นต้องเดินควงขนาดนี้เหรอ แรด!!” อย่ายุสิ กูไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง กูผู้ชายแมนๆ เว้ย แต่ผู้ชายแมนๆ ก็เจ็บเป็น

       “เป็นไงบ้างอุ่น เหนื่อยไหมครับ” ผมยังไม่ทันได้ตอบเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาก่อน

       “ยี่ เหม็น!! ออกไปจากที่นี้เถอะค่ะ ไม่อยากอยู่กับพวกชั้นต่ำ” นี่พวกผมเป็นพวกชั้นต่ำไปแล้วเหรอ

       “ถ้าเป็นคนชั้นสูงแล้วจิตใจต่ำช้าแบบนี้ ขอเป็นคนชั้นต่ำดีกว่ายะ” แมนนี่ตอบกลับไปทันที ถ้าผมสะใจจะผิดไหมนะ หึหึ

       “กรีส!!! นี่แกกล้าว่าฉันเหรอพวกชั้นต่ำ” โอ้ยเสียงสบแก้วหูชะมัดเลย

       “พอเถอะ ถ้าไม่ชอบก็ออกไปรอข้างนอก” ผู้กองพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งไร้อารมณ์

       “ถ้าจะไปพี่ธามต้องไปกับโรสด้วย” พี่ธาม? เหรอ ทำไมถึงเรียกกันสนิทสนมแบบนี้

       “ออกไปรอข้างนอก จะคุยกับไออุ่น” ยังดีที่ผู้กองไม่สนใจ แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันแน่

       “ถ้าไม่ไป โรสบอกผู้นำแน่ๆ พี่ธามก็รู้ว่าผู้นำเชื่อโรสขนาดไหน ถ้าไม่อยากลำบากออกไปกับโรสดีกว่า” เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหนือกว่า ผู้กองคงไม่ออกไปกับเธอใช่ไหม

       “เดี๋ยวเราค่อยกับไปคุยกันที่บ้านนะอุ่น เชื่อใจพี่นะ พี่รักอุ่นนะ” แล้วผู้กองก็เดินออกไป ผมเชื่อใจนะ แต่ก็เจ็บ

       ผู้กองบอกค่อยกลับมาคุย แต่เขาไม่ได้กลับบ้านมาสองคืนแล้ว เจอกันที่ท่าเรือก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ผมเหงา ผมเจ็บที่อก ทำไมทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ มิดไนท์ถามหาผู้กองผมก็บอกกับแกได้แค่ว่าป๊าไปทำงาน เพราะผมไม่รู้อะไรมากกว่านี้แล้ว หมู่นาย หมู่เทนที่กลับมาบ้านทุกวันยังให้คำตอบผมไม่ได้เลย บอกแค่ว่าผู้กองทำงานไม่ว่าง ในสถานการณ์แบบนี่มันมีงานมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทำไมคนอื่นถึงมาพักได้ แล้วทำไมผู้กองถึงมาไม่ได้...



........................
.................
.........


     ตอนนี้เป็น NC แรก ไม่เคยเขียนเลย โปรดอย่าคาดหวังใดๆ กลับ nc ข้าเลย

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เป็นไงล่ะอุ่น ไม่เอายัยโรสไปเป็นอาหารซอมบี้ตั้งแต่แรก เป็นไงล่ะ.....
งูพิษก็ยังเป็นงูพิษยังวันยังค่ำ :katai1:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 18 -


[ไออุ่น]


       แม้เราจะอิ่มท้องมากแค่ไหน สารอาหารทั้งหลายก็ไม่สามารถมา เติมเต็มใจที่ห่อเหี่ยวเราได้เลย สุขกายแต่ไม่สบายใจ ยิ้มทั้งที่ข้างในอยากร้องไห้ เข้มแข็งทั้งที่อยากจะอ่อนแอ ความรู้สึกที่กำลังจะดิ่งลงเหว ต้องการใครคนนั้นมาฉุดดึงขึ้นไป ไม่ใช่ใครสักคนแต่เป็นใครคนนั้น...

        เราอยู่ที่นี่มาเกือบสัปดาห์แล้ว กิจวัตรที่ทำก็เดิมๆ คือไปท่าเรือเพื่อคัดแยกปลา กลับมาก็เล่นกับมิดไนท์แล้วนอน ตื่นมาวันใหม่ก็ไปนำงานวนลูปอยู่อย่างนั้น

       การทำงานไม่ได้ทำให้ผมหนักใจมากนัก เพราะงานก็ไม่ได้หนักอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นที่ทำงานก็แทบไม่มีเสียงหัวเราะอยู่เลย ทุกคนต่างมีเรื่องที่ต้องคิด ต้องกังวล ความสุขเสียงหัวเราะแทบหาไม่ได้

       ผมได้ยินมาว่าเมื่อวานพวกทหารได้นำผักที่เน่าไปทิ้ง ใกล้กับที่เรากำลังทำงาน ผมได้ยินเรื่องนี้แล้วสังเวชใจมาก แทนที่จะเอาไปแจกชาวบ้านแต่กลับเอามาเก็บไว้รอวันที่มันเน่าแล้วเอาไปทิ้ง ปล่อยให้ผู้คนอดอยากอย่างไม่สนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย นอนเสพสุขอยู่คฤหาสน์หลังโตล้อมรอบด้วยกำแพงสูงที่มีทหารเฝ้าอยู่มากมายตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ที่คอยปนเปรอ ชีวิตที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนในชาติ

       เราที่ทำงานแลกอาหาร กายอิ่มแต่ใจแห้งแล้ง ความสุขเลือนหายไปในทุกวัน ผมเข้าใจเลยทันทีว่าทำไมคนบนเกาะถึงเป็นแบบนี้ ความกังวล ความกดดัน ความเครียดหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นแบบนี้

       ตอนนี้ผม ไอ้ริว แมนนี่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หมวดโฟรครับหน้าที่ดูแลเด็กเช่นเคย เช่นเดียวกับหมู่เทน หมู่นายที่ทำงานออกตรวจพื้นที่ให้ไอ้พวกผู้นำ

        ส่วนผู้กองนั้นเหรอ...ผมไม่รู้สิ ผมแทบไม่รู้ว่าเขาไปไหนทำอะไร นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมยอมให้เขาหมดทั้งตัวและหัวใจ ตื่นเช้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมแทบไม่ได้เจอหน้าผู้กองเลย ตอนแรกก็เข้าใจว่าทำงาน แต่นานเข้าความคิดหลายๆ อย่างก็เริ่มเข้ามาแทรกซึม ผมยอมรับว่าเริ่มระแวง เริ่มกลัว ผมมอบทุกอย่างให้เขาแล้วหนิ หรือผู้กองไม่ต้องการผมแล้ว เพราะได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผมก็หมดค่า ผมพยายามที่จะไม่คิดในแง่ร้าย แต่มันก็ทำไม่ได้ บางครั้งความคิดแบบนี้มันก็แวบเข้ามาในหัวของผม ดังเช่นตอนนี้ พยายามที่จะไม่คิดยังไงใจมันก็คิดอยู่ดี

       ผมได้แต่ถามข่าวคราวของผู้กองจาก หมู่ทั้งสอง ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมได้เลย ตอบได้แต่ว่าผู้กองทำงาน โดยมีคุณโรสเป็นคนคุมเพื่อรายงานผู้นำ ผมไม่รู้ว่างานที่ว่าเป็นงานอะไร ทำไมถึงกลับมานอนที่บ้านไม่ได้ งานมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเพราะไม่อยากกลับกันแน่

         จะว่าผมน้อยใจก็ไม่ผิดมากหรอก ลองเป็นคุณ คุณก็คงน้อยใจ และกลัวไม่ต่างจากผม เขาหายไปหลังจากที่ได้ผมแล้ว ผมนอนเจ็บไข้ขึ้นก็ไม่ได้มาดูแลเลยแม้แต่น้อย แรกๆ คุณอาจจะเข้าใจ ไม่คิดอะไร แต่เมื่อเวลามันนานไปความกลัวมันก็จะเข้ามากัดกินใจคุณเช่นกัน

       ขอสักครั้งเถอะ ขอให้ผมมีเวลาได้คุยกับผู้กอง เพื่อให้ความค้างคาใจนี้มันหมดไป ผมไม่ชอบตัวผมในตอนนี้เลย ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่ก่อนผมร่าเริงแม้จะมีเรื่องเครียดขนาดไหน ผมก็ยังสนุกได้ แต่ตอนนี้ความสนุก ความสุขในตัวผมแทบไม่มีเลย จากคนที่ไม่คิดอะไรมาก กลับคิดมากอย่าที่ไม่เคยเป็น คนที่เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก กลับต้องปั้นหน้ายิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

       ผมไม่ชอบตัวผมตอนนี้เลย

        เรากลับมาบ้านด้วยสภาพที่เหม็นคาวปลา เสื้อผ้าสกปก ในมือถือถุงปลาที่แบ่งกลับมาได้ไม่กี่ตัวเพื่อเป็นกับข้าวของวันพรุ่งนี้ ผมต้องปั้นหน้ายิ้มเมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ยิ้มทั้งที่ไม่มีความสุข...

       “มัม!! มัมกลับมาแล้ว น้องไนท์คิดถึงงงงง” ลากเสียงยาวไปอีก ลูกใครวะ

       “ครับมัมกลับมาแล้ว แต่กอดน้องไนท์ไม่ได้นะครับ เพราะมัมเปื้อน และเหม็นด้วย” ถึงอยากกอดแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้เพราะสภาพของผมมันไม่เอื้ออำนวยจริงๆ

       “งือ มัมเหม็นจริงด้วย” เจ้าตัวย่นจมูกเมื่อมายืนอยู่ใกล้ตัวผม อือหือ ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันเลย เออ แต่ผมก็เหม็นจริงๆ นั้นแหละ

       “งั้นมัมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า จะได้ตัวหอมแล้วมากอดน้องไนท์ดีไหม”

       “ดีคราฟ น้องไนท์อยากกอดมัม” เมื่อฟังจบผมก็เผลอยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ผมไม่ต้องฝืน น้องๆ เป็นเหมือนยาที่ช่วยเยียวยาผม ในยามที่ผมอ่อนแอ แค่รอยยิ้มพวกเขาก็ทำให้ผมยิ้มตามได้แล้ว ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

       เมื่ออาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จพวกเราถึงได้ลงมานั่งกินข้าวด้วยกัน หมู่เทน กับหมู่นายก็กลับกันมาแล้ว บรรยายกาศบนโต๊ะอาหารจึงไม่เงียบเหงาเท่าไหร่

       “แล้วทำไมแกสองคนไม่ไปงานเลี้ยงวะ” งานเลี้ยงอะไร

       “พวกเราไม่ได้รับเชิญนี่ครับ เป็นแค่คนนอก ทหารกระจอกๆ พวกเขาไม่เชิญเราไปร่วมหรอก” หมู่นายพูดขึ้นท่าทีไม่แยแส “แต่ก็ดีแล้วหละครับที่ไม่เชิญ เพราะพวกเราก็ไม่อยากไปเหมือนกัน” ผมได้แต่นั่งฟังบทสนทนาเงียบๆ

       “แล้วหมวดรู้ได้ไงครับ” หมู่เทนถามหมวดขึ้นมาบ้าง

       “พอดีรู้จากจ่านนท์หนะ แกแวะมาหาตอนเที่ยง เลยเล่าให้ฟัง” หมวดตอบกลับไปอย่างไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่

       “งานเลี้ยงอะไรกันคะ” ดูเหมือนคนที่ทนความสงสัยไม่ได้คนแรกคือแมนนี่ที่โพลงถามออกไป

       “งานเลี้ยงวันเกิดผู้นำหนะครับ” เป็นหมู่นายที่ตอบความสงสัยของพวกเรา

       “ได้ยินว่าจัดใหญ่โตเลยหละ แต่ชวนแค่พวกของตัวเองนะ สงสัยกลัวโดนลอบฆ่า หึ” หมวดโฟรคพูดขึ้นด้วยท่าทีที่เกลียดชัง ผมก็เกลียดพวกมันไม่ต่างจากหมวดโฟรคหรอกครับ

       “วันเกิดเหรอ ไม่เห็นน่ายินดีตรงไหน คนแบบนี้ไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ ถ้าเป็นวันตายพวกมันก็ว่าไปอย่าง จะร่วมเฉลิมฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่เลย” ผมจะร่วมฉลองด้วย เดี๋ยวจะขึ้นไปเป็นแดนเซอร์บนเวทีให้เลยอย่างไม่คิดเงิน

       “ผู้กองไปร่วมงานด้วยเหรอครับ” ทุกคนทำสีหน้าสงสารผม เมื่อผมพูดถึงผู้กอง สงสารผมทำไม ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่เจ็บปวดและกลัวเป็นบางครั้งเอง

       “มันต้องไปร่วมอยู่แล้วแหละ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับพวกนั้น ถ้าไม่ไปเดี๋ยวก็โดนเล่นงานอีก มันไม่อยากให้พวกเราซวยไปด้วยเลยต้องทำ” ผมเข้าใจ เข้าใจเรื่องนี้ แต่เรื่องอื่น?

       “เอาน่าเดี๋ยวก็เจอกัน เราอยู่ที่นี้ไม่ถึงเดือนสักหน่อย” แมนนี่พูดปลอบผม ไม่มากที่แมนนี่จะพูดกับผมดีๆ โดยที่ไม่กวน ผมต้องอัดเสียงเก็บไว้หรือเปล่าเนี่ย เผื่อไม่ได้ยินอีก ขอสักหน่อยเถอะ เพื่อคลายความตึงเครียดภายในใจ ทำให้ก้อนดำๆ ในใจมันจางไป ถึงไม่สลายไป ขอแค่ให้สีมันจางลงบ้างก็ยังดี

       หลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ ผม แมนนี่ ไอ้ริว ลมหนาว น้องมิว และมิดไนท์  ก็มานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่น เพื่อคุยกัน เล่นกัน เราไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ และเมื่อมีเวลาเราจึงอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด
       
       “อันนี้รูปอะไรครับ” ผมถามมิดไนท์ที่กำลังนั่งทาสีกับลมหนาวที่พื้น

       “รูปข้าวเหนียว กับข้าวเจ้าคราฟ น้องไนท์คิดถึงพวกมัน” เจ้าตัวพูดพร้อมชี้ชวนให้ผมดูไอ้รูปยักๆ ยือๆ ในกระดาษ

        “วาวสวยมากเลย” ชมเขาสักหน่อยครับ จะได้มีกำลังใจวาดต่อ

      “แน่นอนอยู่แล้ว ก็น้องไนท์วาดนิคราฟ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มโชว์ฟันหลอที่เพิ่งหลุดออกเมื่อสามวันที่แล้ว อือหือ ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเท่าไหร่เลย

       ไม่มีอะไรจะตอบโต้กลับความหลงตัวเองของลูกผมได้ เลยได้แต่เงียบดูเจ้าตัววาดรูปไป

       บรื้น บรื้น

       เสียงรถที่วิ่งเข้ามาหน้าบ้านทำให้ผมเด่งตัวขึ้นในทันที พร้อมวิ่งออกไปข้างนอก ผมจำเสียงรถผู้กองได้ ผู้กองต้องกลับมาแล้วแน่ๆ เลย หลังจากไม่ได้กลับมานาน ผมจะไม่โกรธถ้าผู้กองมีเหตุผลดีๆ และรับปากว่าจะทำตัวดีๆ

       ผมวิ่งออกมาถึงประตู เมื่อเปิดออกไปก็เจอกับรถของผู้กองที่จอดเทียบหน้าบ้าน ประตูรถถูกเปิดออกมา คนในรถก้าวออกมาอย่างช้าๆ เมื่อประตูรถถูกปิดลง ผมจึงรู้ว่าคนที่มาไม่ใช่ผู้กอง แต่เป็นจ่านนท์ที่ขับรถผู้กองมา สีหน้าแห่งความคาดหวังของผมเหี่ยวเฉาหลงในทันที

       “จ่ามาตอนมืดๆ แบบนี้มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามออกไป แม้ใจจะห่อเหี่ยวแค่ไหนก็ตาม

       “ผู้กองใช้ให้มารับไออุ่นไปงานเลี้ยงหนะ” เพราะไฟหน้าบ้านสาดแสงไปไม่ถึงบริเวณที่จ่าอยู่ ผมจึงไม่รู้ว่าแกทำหน้ายังไงได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ว่าแต่ทำไมต้องมารับผมไปงานเลี้ยงด้วย

       “ทำไมผมต้องไปหละครับ” ผมไม่เห็นเหตุผลที่ผมต้องไปอยู่ที่นั้นเลย ขนาดหมู่เทน หมู่นายที่เป็นทหารยังไม่ได้รับเชิญให้ไปเลย ทำไมผมถึงได้รับเชิญหละ

       “ผู้กองคิกถึงไออุ่น อยากให้ไปอยู่ข้างๆ ด้วยในงานคืนนี้ เลยให้มารับหนะ” โอเค เหตุผลก็พอเข้าใจ เข้าใจเพราะใจผมอยากเจอผู้กองหนะ ผมอยากคุยกับเขา ผมอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขาสบายดีไหม ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า และที่สำคัญ ยังคิดถึงและรักกันอยู่ไหม ถ้าไม่ไปวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะได้มีโอกาสคุยกับผู้กอง เพราะเขาไม่กลับมาเลย...ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไป

       “แล้วต้องแต่งตัวยังไงครับ” ผมไม่อยากเป็นจุดเด่นมากนัก การแต่งตัวให้กลมกลืนคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

       “แต่งกึ่งทางการก็ได้ ไม่ต้องเนี้ยบมากนัก แต่ก็ไม่สบายมากเกินไป” โอเค แค่เสื้อเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็คก็คงได้  “เดี๋ยวผมมา ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว”

         “จะไปจริงเหรอ” เมื่อเดินเข้ามาก็เจอกับกลุ่มคนที่ยืนออกันที่ประตูทางเข้า นำทีมโดยแมนนี่ที่ถามผมอยู่ตอนนี้

       “อยากเจอผู้กอง” ผมพูดสั้นๆ ไม่ได้ขยายความอะไรมากมาย ก็ผมอยากเจอผู้กองจริงๆ หนิ

       “เออ ยังไงกูก็ห้ามไม่ได้หนิ ระวังตัวด้วยแล้วกัน”

       “ไม่ต้องห่วง กูจะระวังตัวเองอย่างดีเลย” แค่ไปงานเลี้ยงคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกมั้ง แถมยังไปกับจ่านนท์ด้วย ไว้ใจได้อยู่แล้ว

       เมื่อทุกคนฝากฝังผมไว้กับจ่าเสร็จก็ได้เวลาออกรถสักที รถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อไปคฤหาสน์ของพวกผู้นำ เมื่อแสงไฟในรถเปิดขึ้น ผมจึงได้มีโอกาสได้มองหน้าจ่าอย่างชัดๆ จึงเห็นสีหน้าลำบากใจที่พยายามกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าปกติ แต่ก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาผมได้ จ่ากำลังกังวลอะไร

       “ผมไม่ค่อยได้เจอจ่าเลย ตอนนี้จ่าทำอะไรอยู่ครับ” ผมถามขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป

       “ช่วยงานผู้กองหนะ” ไม่น่ารถของผู้กองจึงมาอยู่ที่จ่าได้ แต่จ่าดูแปลกไปมาก ไม่ขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน เหมือนกังวลอะไรอยู่ตลอดเวลา หรือจะเครียดแบบผม คงใช่ สถานะการณ์แบบนี้จะให้อารมณ์ดีมีความสุขคงยาก

       ผมถามไถ่ผู้กองไป พร้อมพูดคุยเรื่องต่างไป จนเรามาถึงคฤหาสน์จนได้ ครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาที่นี่ ข้างในใหญ่มาก กำแพงก็สูงมากด้วย ข้างในมีคฤหาสน์ที่อยู่ในรั่วเดียวกันสองหลัง ด้านหลังจะมีบ้านพักอยู่จำนวนหนึ่ง และโกดังขนาดใหญ่ จนผมตลึงที่ทุกอย่างมารวมกันอยู่ในรั่วเดียวกัน

       “ถึงแล้ว ตามมา” ผมลงจากรถแล้วเดินตามจ่าไป ทางด้านหลัง ทำไมต้องไปด้านหลังด้วย

        “ทำไมไม่เข้าข้างหน้าหละครับ” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

       “ผู้กองบอกให้เข้าด้านหลังครับ จะได้ไม่ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับคนพวกนั้น” ก็มีเหตุผลดี แล้วผมก็ไม่อยากปั้นหน้ายิ้มให้พวกมันด้วย เกลียดขี้หน้า

       ผมเดินตามผู้กองไปถึงคฤหาสน์ที่หลังเล็กกว่าเล็กน้อย ที่นี่ไม่ค่อยมีคน เพราะคนอื่นอยู่ในงานเลี้ยงในคฤหาสน์อีกหลัง ผมเดินตามจ่าขึ้นไปชั้นสองของบ้าน จนถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง สงสัยผู้กองที่อยู่ที่น้องนี้แน่เลย ตลอดเวลาที่ไม่กลับบ้านคงพักอยู่ที่นี่สินะ

       “เปิดเข้าไปเลย ผู้กองรออยู่ด้านใน” จ่าเดินมาถึงหน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิด แต่ดันหลีกทางให้ผมเปิด แปลกคนจริงๆ ถึงก่อนแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดประตู

       ผมคค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป ข้างในมืดมาก แต่มีเสียงอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง คงเป็นผู้กองกำลังทำอะไรอยู่มั้ง แต่ทำไมไม่เปิดไฟ ผมหันไปเห็นสวิตซ์ไฟเรืองแสงหน่อยๆ อยู่ใกล้ไ ประตูที่ผมเปิดออก จึงเอื่อมมือไปกดเปิดไฟ

       ทันทีที่ไฟในห้องสว่าง ภาพที่่อยู่ข้างหน้าก็ปรากฏขึ้นในกรอบสายตาผมทันที ภาพที่ชายหญิงสองคนกำลังกอดจูบกันอยู่บนเตียงอย่างเร้าร้อน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยทั้งสองฝ่าย ปากที่เชื่อมต่อกัน มือที่กำลังลูบไล้ไปทั่ว เสียงครางที่หลุดออกมาจากฝ่ายหญิง ภาพและเสียงทั้งหมดมันทำให้ใจผมมันเย็นเชียบ ชาไปทั้งตัว ผมได้แต่ยืนเงียบพูดอะไรออกมาไม่ได้ มันจุกอยู่ที่นี่ ที่อกซ้ายผมนี่ ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่มีเสียง

       ทั้งสองรู้ถึงการเข้ามาของคนนอก แค่คิดก็เจ็บปวดกับคำนี้ พวกเขาหยุดการกระทำแล้วหันมามองที่ที่ผมยืนอยู่

       “กรีส!! แกเข้ามาได้ยังไงยะ แล้วเข้ามาทำไม ไม่เห็นหรือไงยะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่” เห็นสิ เห็นเต็มตาเลยหละ ผมไม่ได้ตอบคำถามเธอ เพราผมกำลังจ่องอีกคนอยู่

        “นี่มันอะไร ไออุ่น นี่มันอะไรวะเนี่ย!!” ผมไหมที่ต้องถามว่านี่มันอะไร ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ถึงผมเป็นผู้ชายที่ดูเข้มแข็งแต่ผมก็มีหัวใจนะ ผมเจ็บเป็น ผมเสียใจเป็น แล้วมันก็ทรมานมากด้วย

       “หึ!! นี่สินะงานที่ต้องมาทำ จนไม่มีเวลากลับบ้าน สนุกไหมที่ทิ้งให้ผมเจ็บคนเดียว!! สนุกไหมที่เห็นผมต้องรอ!! แล้วสนุกไหมที่เห็นผมเจ็บปวด” เสียงผมแผ่วลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบในประโยคสุดท้าย นี่สินะความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก หึ เจ็บเชี่ย ๆ เลย

        “มันไม่ใช่แบบนั้นนะ!! พี่ไปทำงานจริงๆ แล้วเรื่องนี้ โถ่เว้ย อะไรวะเนี่ย” แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ใช่ “หยุดร้องเถอะนะครับ พี่ปวดใจไปหมดแล้ว หยุดร้องเถอะนะ”

         ผมเบี่ยงตัวหนีมือที่ยื่นมาหมายจะเช็ดน้ำตาให้ เจ้าของมือหนาชะงักค้างกลางอากาศ แล้วทำสีหน้าลำบากใจ ผมก้าวถอยหลังออกมาจากห้อง แต่ละก้าวช่างเจ็บปวด ภาพคนข้างหน้าเรือนรางเพราะน้ำตาที่กำลังไหลรินจากตาของผม

       “อย่าไป ฟังพี่ก่อน” ผมอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ภาพคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันบนเตียงยังติดตาผมอยู่

       “ตอนผมอยู่รอพี่ พี่ก็ไม่สนใจ หรือเพราะได้ผมแล้ว เลยทิ้งคว้าง แล้วตอนนี้จะมารั้งผมไว้ทำไม ผมยังมีประโยชน์อะไรอีกเหรอ ยังมีอะไรอีกที่พี่ยังไม่ได้จากผม” พูดไปน้ำตาของผมก็ไหลไป ถึงแม้ไม่มีเสียงร้องไห้ก็ตาม ภาพที่เจอมันทำให้ผมจุกจนร้องออกมาไม่ได้

       ผมวิ่งออกมาเพราะทนมองหน้าพวกเขาทั้งสองไม่ไหวอีกแล้ว เจ็บ มันเจ็บมาก

       “จะไปไหนค่ะ เรายังทำอะไรไม่เสร็จเลยนะ” ผมวิ่งหนีจากคำพูดเหล่านั้น ผมไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้ยินมันเลย

       ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมาทางไหน ที่นี่มันกว้างมาก และน้ำตาที่ไหลออกมามันทำให้ผมมองสิ่งต่างๆ ยากขึ้นไปอีก ผมนั่งลงที่พุ่มไม้สักพุ่มในคฤหาสน์แห่งนี้ ผมนั่งกอดตัวเองเพื่อหวังว่าความเจ็บปวดนี้จะลดลงบ้าง แต่ไม่เลยมันไม่ลดลงเลย ผมยังเจ็บปวดอยู่เหมือนเดิม ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ รักผมจริงๆ หรือแค่อยากลอง สุดท้ายแล้วผู้กองก็กลับไปหาผู้หญิงสินะ ผมมันแค่เด็กผู้ชายที่ไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ไม่ได้สวย ผมยาว อ้อนแอ้นอรชร เสียงหวาน ผมเป็นแค่ของแปลกที่ผู้กองอยากลองสินะ

       ยิ่งคิดผมยิ่งเจ็บปวด ผมจึงเลือกที่จะพยุงตัวเองขึ้น แล้วออกไปจากที่นี่ ผมเดินหาทางออกพร้อมน้ำตาที่รินไหลตลอดทาง

       “เฮ้ย แกเป็นใครวะ เข้ามาได้ไง” เสียงหนึ่งร้องทักผมขึ้นจากด้านหลัง ผมจึงหันกลับไปดูเป็นทหารสี่นายยืนจ้องผมอยู่ พร้อมยกปืนขู่

       “สวยนี่หว่า จำได้ลางๆ ว่าเป็นเด็กไอ้ผู้กองหน้านิ่งนั้นหนิ แล้วมายืนร้องไห้อะไรตรงนี้ หรือโดนมันทิ้งมา ฮาๆ” เห็นกูร้องไห้นี่ขำมากไหม ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพราะผมก็จุกกับคำพูดพวกมันเหมือนกัน

       “ถ้าอกหัก ให้พวกพี่ดามใจให้ไหมจะ รับรองว่าสุขจนลืมไอ้ผู้กองมันไปแน่ เดี๋ยวพี่จะทำให้ครางไม่หยุดเลย” ผมมองพวกมันอย่างรังเกียจ พวกสวะในคราบคนดีนี่

       “อย่ามายุ่ง” ผมเดินหนีไม่สนใจพวกมัน

       “เดี๋ยวจะไปไหน มาสนุกด้วยกันก่อนสิ” มันดึงแขนผมเข้าหาตัว ผมยื้อไว้สุดชีวิต ไอ้พวกบ้านี่ก็ไม่ยอมปล่อย มันดันผมลงนอนที่พื้นหญ้าข้างพุ่มไม้ แล้วล็อกแขนผมไว้คนละข้าง ผมดิ้นสุดกำลังแต่มันก็ไม่หลุด ไม่นะมันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ ที่เป็นอยู่ผมยังเจ็บไม่พอใช่ไหม ต้องให้ผมเจ็บอีกขนาดไหนถึงจะพอ...

       “ปล่อย ไอ้ชั่ว ปล่อยกูสิวะ ปล่อย!!” ผมตะโกนสุดเสียง มันจึงปิดปากผมไว้ “อือ อื้อ” ผมไม่สามารถส่งเสียงได้เลย

       มันปลดกระดุมผมออกจนหมด ผมยายามดิ้นแล้ว พยายามแค่ไหนมันก็ไม่หลุด ผมขยะแขยงจนแทบจะอ้วกกับสัมผัสที่ได้รับ ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก

       “ขาวจังวะ แม่ง กูขอคนแรกวะเว้ย” ไอ้คนที่อยู่ช่วงขาผมพูดขึ้นพร้อมมือที่กำลังปลดกางเกงผม ไม่ๆ มันต้องไม่เป็นแบบนี แม่ พ่อ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ถ้าจะโดนแบบนี้ให้ผมตายซะยังจะดีกว่า ฮึก ช่วยผมด้วย

       “น่าเอาขนาดนี้เองสอนะ ไอ้ผู้กองถึงเลยเปลี่ยนรสนิยม แมงขาวจริงๆ” ไม่เอา ผมไม่เอาแบบนี้ ฆ่าผมที ผมไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้

       กางเกงผมกำลังเลื่อนลงไป พร้อมกับหัวใจของผมที่กำลังแหลกสลาย พวกมันพยายามจะจูบผมแต่ผมเบี่ยงหน้าหนี กางเกงผมกำลังเลื่อนลงแล้ว ไม่นะ ไม่ๆๆๆ

       “หยุด!!!” เสียงหนึ่งดังเข้ามา ทำให้ทุกการกระทำหยุดชะงักข้าง

       “ท่านรองผู้นำ” พวกมันเรียกคนที่กำลังมาใหม่

       “พวกมึงกำลังทำอะไร” คนมาใหม่ถามขึ้นมา

       “กำลังจะเอามันครับ” ทันทีที่ได้ยิน ผมก็สะอื้นออกมา ฮึก ฮึก ชีวิตผมแม่งโคตรเชี่ยเลย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

       “ปล่อยมัน แล้วพวกมึงไปซะ” เขาจะช่วยผมจริงๆ เหรอ หรือคิดจะทำอะไร

       “แต่...” พวกมันยังพูดไม่จบเขาคนนั้นก็โพลงขึ้นมาก่อน

       “กูซื้อพวกขาย ไว้ให้พวกมึงข้างในแล้ว ไปเอาสิ” พูดชิวๆ เหมือนพูดถึงดินฟ้าอากาศ

       “จริงเหรอครับ งั้นพวกเรารีบเข้าไปเลือกกันเถอะ ส่วนมันท่านรองก็จัดการต่อได้เลยนะครับ หึหึ” มันส่งเสียงหน้ารังเกียจเสร็จก็เดินออกไปจากบริเวณนี้ทันที

       “ลุกไหวไหม” เขาส่งมือมา แต่ผมสะดุ้งแล้วกระเถิบตัวหนีเขาออกมา “ฉันไม่ทำอะไรหรอก ดูไม่ได้ขนาดนี้ใครจะทำอะไรลง” เขาส่ายหน้าให้กับสภาพผม

       “ช่วยผมทำไม”

       “สงสาร” แล้วทำไมชาวบ้านไม่รู้จักสงสารพวกเขาบ้าง ผมได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป แค่ที่โดนนี่ก็หนักมากแล้ว ผมไม่อยากโดนอะไรอีกแล้ว “แต่งตัวดีๆ จะไปส่ง”

       ผมเชื่อเขาได้ใช่ไหม แต่ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วหนิ อยู่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย สู่ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ผมจึงพยักหน้าตอบ แล้วหอบสังขานของตัวเองตามผู้กองแบล็คมือซ้ายของไอ้ผู้นำไป มันพาผมขึ้นรถแล้วขับออกไป มันไม่ได้ถามว่าผมพักอยู่ที่ไหน แต่ขับตรงไปบ้านพักเลย เพราะผมจำทางได้

       “แล้วมาที่นี่ทำไม มันนอันตราย ไอ้ผู้กองทำไมไม่ดูแลเด็กตัวเองเลย” เมื่อผู้กองแบล็คพูดถึงพี่ธาม ภาพที่ผมไม่อยากจำก็โผล่ขึ้นมาในหัวผมทันที ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งเงียบๆ จนมาถึงที่บ้าน

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาอย่าจริงใจ เรื่องเกียจก็เรื่องเกียจ เรื่องนี้มันก็อีกเรื่องนึง เขาช่วยผมไว้จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ

       “ทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไปหรอกนะ แล้วก็ระวังตัวเองด้วยหละ อย่าไปเดินเพ่นพ่านแบบวันนี้อีกนะไอ้ตัวเล็ก” เขาพูดบอดผมแล้วขับรถออกไปทันที ไม่รอให้ผมได้ตอบ หรือพูดอะไรเลย

       ผมได้แต่เดินเข้าห้องนอนเงียบๆ พร้อมล็อคห้องไม่ให้ใครเข้ามาได้ เข้ามาถึงห้องแล้วขาผมมันก็ทรุดลงทันที น้ำตาที่พึ่งหยุดไหลไปก็กลับมาไหลอีกครั้งพร้อมเสียงสะอื้น ฮึก ฮึก

       เจ็บปวด…


ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ จากคนเขียนมือใหม่ ไม่กล้าบอกว่านักเขียนกระดากปาก อิอิ

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :angry2:ฉันเกลียดๆๆๆอีผู้นำจริง ช่วยส่งผลซุ่มยิงไปลอบสังหารมันที :angry2:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รอคำอธิบายดีๆจากอีพี่ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
งูพิษก็เป็นงูพิษยังวันยังค่ำ ยัยโรส แกวางยาผู้กองชิมิ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 19 -


[ธาม]


       อำนาจ เป็นคำที่ไม่เคยคิดจะสนใจ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยต้องการ แต่สิ่งที่ไม่สนใจและไม่ต้องการกลับมาทำร้ายผม และคนที่ผมรัก โดยที่ผมช่วยอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเพราะอำนาจทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนี้ หรือเพราะพวกเป็นแบบนี้อยู่แต่แรกแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ที่ยืนมองผู้คนอดอยากแล้วไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือทั้งที่เป็นหน้าที่ของวกเขาเอง

        ตลอดระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดี และไม่ดี หลายเรื่องแก้ไขได้ และอีกหลายเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

        ผมทำงานทุกวัน แทบไม่มีเวลาพัก ถึงงานบางอย่างอาจเป็นแค่งานเล็กๆ ที่ผมไม่มีหน้าที่ต้องทำ ก็โดนสั่งให้ทำ ทำทุกอย่าที่ได้รับคำสั่ง เพื่อหวังว่าทุกคนจะสบายขึ้น ทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็นจนไม่มีเวลาที่จะกลับบ้าน ผมคิดถึงทุกคน คิดถึงมิดไนท์ และที่สำคัญคิดถึงไออุ่น

        เสียง และภาพที่เราอยู่ด้วยกันยังชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด คืนที่ผมได้กอดเขาเป็นคืนที่ผมมีความสุขที่สุด และเป็นคืนสุดท้ายที่เราได้นอนกอดกันแบบนั้น ผมอยากดูแลอุ่นหลังจากตื่นมา แต่ก็ทำไม่ได้ นั้นเป็นสิ่งที่รู้สึกเสียใจมาก อุ่นต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ ที่ตื่นมาแล้วไม่เจอผม

       ผมพยายามที่จะเข้าไปคุยกับอุ่นเมื่อเจอเจ้าตัวในเวลางาน แต่โรสก็คอยขัดอยู่เรื่อย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำเชื่อคำพูดของเธอผมไม่มีวันทำตามที่เธอพูดแน่นอน รู้ว่าไออุ่นน้อยใจ ผมเข้าใจ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งยังอยากรู้เรื่องอะไรอีกหลายอย่าง และอยากให้ผู้นำเชื่อใจผมด้วย เลยต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ไปก่อน เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้วอุ่นต้องเข้าใจ จึงปล่อยไป รอเวลาที่จะอธิบายทีหลัง...

       ...แต่ผมช้าไป อุ่นไม่เชื่อใจผมอีกต่อไป และคงเกลียดผมไปแล้ว... เหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง มันเริ่มจากตรงไหนกัน

+  +  +

       ผมอาบน้ำแต่งตัวเข้างานไปปกติ แต่ด้วยบรรยากาศที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย พวกเขาพาผู้หญิงหลายคนเข้ามาภายในบริเวณงาน มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นยันผู้ใหญ่ ที่เข้ามาปนเปอเหล่าทหารในคฤหาสน์หลังโต ผมทนดูไม่ได้จริงๆ จึงปลีกตัวออกมาอยู่ที่ห้องพักของตนเองที่คฤหาสน์อีกหลัง

       อยู่ที่นั้นได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตู คนที่มาคือจ่านนท์ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รับเชิญทั้งที่ หมู่นายกับหมู่เทนไม่ได้รับเชิญให้มางานนี้เลย เขาเข้ามาพร้อมเบียร์เย็นๆ กระป๋องหนึ่งที่เปิดมาพร้อมแล้วยื่นมาให้ พร้อมกับบอกว่าจะพาไออุ่นมาหาผม เพราะไออุ่นคิดถึงผมมากจนขอให้เขาพามาหา ผมไม่อาจปฏิเสธได้เพราะขีดความอดทนผมก็ถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน จึงยอมตกลงไป

       หลังจากที่จ่าออกไปรับไออุ่นผมดื่มเบียร์หมดกระป๋องก็รู้สึกง่วง เพราะนอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายวัน ผมจึงใช้โอกาศนี้ในการงีบหลับสักพักโดยปิดไฟในห้องทั้งหมด ระหว่างที่กำลังหลับ ผมรู้สึกร้อนรุ่มแบบแปลกๆ จนทำให้ต้องตื่นขึ้นมา มันร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ รู้สึกต้องการเป็นอย่างมาก ความเป็นชายผมตื่นขึ้นมาแล้ว มันปวดหนึบไปหมด ผมต้องการอะไรสักอย่างมาดับความร้อนนี้

       สะติแทบจะไม่เหลือ เพราะความต้องการที่มากล้นอย่าไม่เคยเป็น ทำไมเป็นแบบนี้ ผมเป็นอะไร...

       ในความมืดผมรู้สึกถึงร่างหนึ่งที่กำลังเบียดกายเข้าหา สัมผัสที่เกิดขึ้นมันร้อนวูบวาบแทบทนไม่ไหว ความต้องการอยู่เหนือทุกสิ่ง ห้ามตัวเองไม่ได้ ทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ ไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิด

       ปั๊ก! ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้นมาทันที พร้อมกับตาผมที่สว่างขึ้นมาด้วย ทุกอย่างมีคนจงใจให้มันเกิดขึ้น แต่ผมยังไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้ในตอนนี้ เพราะอาการที่กำลังเป็นอยู่

       เสียงกรีสจากคนที่อยู่ข้างตัวทำให้ต้องมองไปที่หน้าประตู ใจผมมันเย็นเชียบขึ้นมาทันที ไออุ่น กับสายตาเจ็บปวด และผิดหวังที่มองมายังผม อยากอธิบายทุกอย่างให้น้องฟัง แต่ก็ไม่สามารถเรียบเรียงเหตุการณ์อะไรได้เลยในตอนนี้สมองผมมันตื้อมาก

       น้องต่อว่าทั้งน้ำตาที่รินไหล หัวใจผมมันปวดหนึบ ผมมันเลวที่ทำให้น้องต้องเสียใจ ทำให้ไออุ่นต้องร้องไห้ มือที่ยื่นไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ แต่น้องเบี่ยงตัวหนี นี่ผมโดนเกลียดแล้วใช่ไหม น้องกำลังเดินจากไป หัวใจที่เย็นเชียบร้อนรนขึ้นมาทันที ผมขอให้น้องไม่ไป แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือคำพูดที่แสนเจ็บปวดของน้อง ผมอยากบอกน้องว่าสิ่งที่เจ้าตัวคิดมันไม่จริง และไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะน้องวิ่งหนีผมไปแล้ว

       ผมกำลังก้าวขาออกไปเพื่อจะตามน้อง แต่ก็มีแขนใครคนหนึ่งดึงรั้งผมไว้ก่อน

       โรส ผมไม่รู้ว่าเธอทำไปเพราะอะไร ชอบผมจริงๆ หรืออยากแก้แค้นไออุ่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไร ผมก็ไม่มีวันอภัยให้เธอแน่ๆ ผมไม่สามารถอภัยให้คนที่เป็นสาเหตุให้ไออุ่นร้องไห้ได้

       ผมทิ้งทุกอย่างไว้แล้วเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอยู่เป็นเวลานาน ผมไม่สามารถทำอะไรในสภาพนี้ได้จริงๆ ใช้เวลานอนพักหลังจากออกจากห้องน้ำสักพักกว่าจะดีขึ้น ผมออกไปตามหาไออุ่นจนได้รู้ว่าน้องกลับไปถึงบ้านแล้ว และยังได้รู้เรื่องเลวๆ ของคนบางพวกที่พยายามทำกับน้องด้วย สาบานว่าผมจะไม่ปล่อยมันไปแน่ๆ กล้าดียังไงมายุ่งกับลมหายใจของผม

       รู้ดีว่าไปหาน้องตอนนี้น้องคงไม่ฟังแน่ๆ ผมจึงอยู่จัดการอะไรทางนี้ดีกว่า รอให้แน่ใจอะไรมากกว่านี้ และรู้เรื่องราวทุกอย่างให้กระจ่างชัดซะก่อนค่อยไปอธิบายให้น้องฟัง ตอนนี้เลยได้แต่ฝากให้ไอ้โฟรคดูแลน้องแทนไปก่อน

        การที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งคำตอบของคำถามที่อยู่ในใจที่มีมานาน คนที่ทรยศ ผมรู้แล้วว่าเป็นใคร ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เราไว้ใจที่สุดจะทำร้ายเราได้ ผมคิดมาตลอดว่าเขายืนอยู่ข้างหลังผมเพื่อคอยดูแล และเฝ้าระวังหลังให้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ เขาอยู่ข้างหลังผมเพื่อถือมีดรอเวลามาแทงผมต่างหาก

       ขนาดเขาที่ผมไว้ใจที่สุดยังหักหลังได้ แล้วยังจะเชื่อใจใครได้อีก...

      ผมได้แต่คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เผชิญมาด้วยกัน ผมเคยทำอะไรผิดผลาดที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า หรือเผลอทำอะไรที่ไม่ดีต่อเขาไหม คิดเท่าไหร่ผมก็คิกไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราอยู่กันเหมือนญาติพี่น้อง รักและดูแลกันอย่างดีมาตลอด แล้วสุดท้ายทำไมถึงเป็นแบบนี้

       ทำไม...

       ทำไม จ่านนท์ถึงทรยศความรักความเชื่อใจของเราได้ ทำไมกัน?

       ทั้งเรื่องส่งข่าวทุกอย่างมารายงานผู้นำ และเรื่องที่ทำให้ไออุ่นเกลียดผม เขาเป็นคนทำมันด้วยตัวของเขาเอง ส่วนโรส ผมไม่ไว้ใจเธอแต่แรกแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร แต่ใช่ว่าผมจะให้อภัยเธอได้

       ผมมาทำงานอย่างคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ทำทุกอย่างตามที่ได้รับคำสั่งมาไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ทำงานอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ทุกเรื่องดูจะเลวร้ายขึ้นทุกวัน ชาวบ้านที่อดอยาก อาหารทะเลที่ไม่ยอมส่งไปแจกแต่เก็บไว้ที่โกดังแช่เย็น จนตอนนี้ห้องแช่เย็นแทบไม่มีพื้นที่จัดเก็บแล้ว อยากจะเอามันไปให้ชาวบ้านแค่ไหนก็ทำไม่ได้

       วัคซีนที่ได้รับมาใหม่ก็เก็บเข้าโกดัง ไม่นำออกไปแจกตามค่ายต่างๆ ที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ ของทุกอย่างโดนเก็บเข้าโกดังโดยไม่มีการแจกจ่าย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปหายนะคงมาเยือนเราในอีกไม่ช้า

+   +   +   +     +


       วันนี้เป็นวันที่สองแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมยังทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักเหมือนเดิม และไม่มีโอกาศได้กลับบ้านเลย ไม่รู้ป่านนี้ไออุ่นจะเป็นยังไงบ้าง หยุดร้องไห้หรือยังนะหัวใจของผม แล้วไอ้ตัวแสบจะลืมหน้าปะป๊าของเขาหรือยัง

       ผมทำเป็นไม่รู้เรื่องที่จ่านนท์ทำ ทำตัวกับเขาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยังไม่อยากให้เขารู้ ว่าผมรู้แล้วว่าเขาทรยศ ถ้าเราจะล่าเหยื่อเราไม่ควรทำให้มันรู้ตัวก่อน

       ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในคฤหาสน์หลังโตเพื่อรับคำสั่งจากผู้นำ ในห้องมีทหารยศสูงอยู่หลายนาย งานนี้ต้องเป็นงานใหญ่แน่ๆ

       “มาครบแล้วใช่ไหม ฉันจะได้พูดสักที รอนานแล้วฉันเซ็ง” เป็นไอ้แบล็คที่เปิดปากพูดเป็นคนแรก

      “อีกหกวันจะถึงวันเกิดฉัน ฉันอยากจัดงานที่เรือยอร์ช เอาแบบหรูๆ อาหารชั้นดี” มันยังพูดไม่จบก็โดนไอ้กองทัพพูดขัดขึ้นเสียก่อน

       “นารีด้วยนะเว้ย หาคนใหม่ๆ มาบ้าง คนเก่ากูเบื่อแล้ว เด็กๆ เอาะๆ ยิ่งดี” แค่ได้ยินสิ่งที่มันพูดใจผมมันหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากเห็นเด็กผู้หญิงต้องมาทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่เด็กนะ แต่ทุกคนต่างหาก ผมไม่ต้องการเห็นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกคนเป็นคนมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่คอยทำตามคำสั่งที่ชั่วช้านั้น

      “ผมเห็นที่บ้านผู้กองธามมีเด็กผู้หญิงน่ารักๆ อยู่นิครับ” แค่ได้ยินใจผมมันก็กระตุก ปรายนิ้วเย็นเชียบกับคำพูดของไอ้เลวนั้น มันเป็นทหารคนสนิทของพวกผู้นำ ผมรู้ว่ามันเกลียดผม แต่มันก็ไม่น่าลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวแบบนี้ สงสัยไม่อยากตายดี

       “เธอเป็นน้องสาวผม ผมจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอเด็ดขาด” ผมพูดขึ้นอย่างหนักแน่น ใช้งานผมยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่มายุ่งกับครอบครัวของผม

       “มึงกล้าขัดใจนายเหรอ” มันยังไม่ยอม ยังพูดขึ้นมาอีก ผมกำมือแน่นอย่างอดทน อดทนที่จะไม่ลุกขึ้นไปเป่าสมองมัน

       “หยุดพูดได้หรือยัง ขัดกูอยู่ได้  เดี่ยวกูให้เอาพวกยายแก่ๆ ขึ้นมาแทนซะหรอก” พวกมันรีบหุบปากทันทีที่ไอ้แบล็คพูดจบ “ฮาๆๆ พวกมึงกลัวยายแก่ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ เงียบเชียวนะมึง”

       พวกมันไม่มีใครสำนึกในสิ่งที่ตนทำว่าถูกต้องหรือเปล่า เอาแต่หัวเราะ ดั่งเป็นเรื่องขบขัน พวกมันจบประเด็นเรื่องเด็กแแล้วพูดเรื่องอื่นๆ ต่อ

        “เฮ้ย!! อาหารรสชาติต้องเลิศนะพวกมึง งานวันเกิดกูนะเว้ยไม่ใช่งานไก่กา ไม่ต้องกักวัตถุดิบหละ เอาให้เต็มที่” พวกมันใช้ของทุกอย่างอย่างฟุ่มเฟือย ไม่เห็นใจคนที่ไม่มีกินเลยแม้แต่น้อย

       “ไอ้ เฮ้ย! ผู้กองธามเขาไม่อกแตกตายเหรอครับที่เราใช้ของฟุ่มเฟือยขนาดนี้” ถ้อยคำมันเหมือนจะดี แต่ไม่ใช้  น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นใช้ถากถางเยาะเย้ยอยากเห็นได้ชัด

       “ก็กูรวยจะให้ใช้ประหยัดมันก็ไม่สมหน้าตาปะวะ ยังไงก็ทนๆ หน่อยละกันนะเพื่อนรัก ฮาๆ” พวกมันหัวเราะเหมือนกำลังดูเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปราน เรื่องเจ็บปวดของผมคงเป็นเรื่องสนุกของพวกมันสินะ

       ประชุมจริงๆ แค่ครึ่งชั่วโมง ส่วนอีกครึ่งชั่วโมงพวกมันใช้ถากถางผม งานเกือบทุกอย่างผมเป็นคนจัดการ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ตกแต่งสถานที่ และอะไรจิปาถะมากมาย จนผมหัวหมุนไปหมด  มันไม่ใช่งานที่ผมถนัดเลยสักนิด เฮ้อ...ผมคิดถึงไออุ่นจัง ไม่ว่าผมจะทำอะไร หน้าน้องก็จะโผล่เข้ามาในหัวผมตลอด คิดถึงจัง...


………………


       วันนี้เป็นสามวันก่อนงานจะเริ่ม เป็นวันที่ผมมีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะต้องคุยเรื่องงานเลี้ยงกับเหล่าทหารของผม ทุกคนต้องขึ้นไปบริการและอำนวยความสดวกบนเรือ ซึ่งเป็นคำสั่งของไอ้แบล็ค ที่มันต้องการจะใช้คนของผมโดยให้คนของตนเองได้พัก และสนุกกับงานเลี้ยง พวกเราทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนใช้

       การกลับบ้านมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผมจะได้เจอไออุ่นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมไม่รู้จะอธิบายกับน้องยังไง ในเมื่อผมไม่มีหลักฐานหรือพยานอะไรมายืนยันได้เลย

       น้องจะคุยด้วยไหมนะ จะยอมฟังกันบ้างหรือเปล่า ยังรักกันอยู่ไหม?

       รถจอดสนิทอยู่หน้าบ้านริมทะเล พร้อมกับใจที่เต้นรัว อยากเจอหน้าอยากอธิบาย ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็กลัว กลัวว่าน้องจะไม่ฟัง และที่สำคัญกลัวน้องจะเลิกรักผมแล้ว

       ขาที่ค่อยๆก้าวลงจากรถ ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ระคนตื่นเต้น อยากเจอหน้า อยากกอด ไม่อยากไปไหนไกล คิดถึง...

       “อ้าวไอ้ธามกลับมาได้แล้วเหรอวะ” ไอ้โฟรคทักผมขึ้น เมื่อผมกาวหน้าเข้าบ้านไป มันเป็นอีกคนนึงที่ผมเล่าทุกเรื่องให้ฟัง เพราะผมมั่นใจว่ามันไม่หักหลังผมแน่ ผมเชื่ออย่างนั้น

       ถึงมันจะรู้เรื่องทุกอย่าง มันก็ไม่สามารถเล่าทุกเรื่องให้ทุกคนฟังได้ เพราะบางเรื่องคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพื่อไม่ให้เรื่องมันรั่วไหลไปจนพวกมันไหวตัวทันซะก่อน มันจึงได้แต่บอกให้ทุกคนเชื่อใจผม ว่าผมไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน

       แต่เมื่อพูดไปโดยไม่มีหลักฐาน หรือมีเหตุผลดีๆ มาลองรับ จะให้ทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจคงเป็นไปได้ยาก

       “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง และคนของเรา มึงเรียกรวมทหารทุกคนให้มารอที่ห้องโถง อีกหนึ่งชั่วโมงจะประชุม” ผมบอกให้มันเรียกรวมทหารของเราที่กระจัดกระจายแฝงตัวอยู่กับชาวบ้านมาเพื่อประชุม แต่ก่อนที่จะประชุมผมขอไปหาไออุ่นก่อน แค่หนึ่งชั่วโมงก็ยังดี

       “แค่ชั่วโมงจะทันเหรอวะ” อะไร ทหารของเราก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่มากนัก ต้องใช้เวลาเรียกนานอะไรขนาดนั้น

       “แค่เรียกรวมคน ต้องใช้เวลานานอะไรนัก”

       “กูหมายถึงเวลาในการง้อเมียมึงต่างหาก แค่ชั่วโมงพอเหรอวะ” ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงหน้าบ้านกับคำว่าเมียผมแล้ว แต่เพราะปัญหาที่จัดการยังไม่เสร็จ จึงไม่มีหน้ามาพอใจอะไรตอนนี้ น้องจะยอมอยู่ในสถานะเมียผมต่อไปหรือเปล่าก็ไม่รู้

        “ฟาย!! ไปแล้วคุยกับมึงแล้วเสียเวลา” เอาเวลาไปอธิบายกับไออุ่นดีกว่า “แล้วน้องอยู่ไหน”

       “แหม๋ๆ มีการแทนตัวกันว่าน้อง” ผมมองมันอย่างเอาเรื่อง มันใช่เวลามาแซวไหมวะ “โอเคๆ บอกก็ได้ นั่งซึมอยู่ริมทะเลนู้น”

       เมื่อได้คำตอบแล้ว จึงเร่งไปที่ที่อุ่นอยู่ทันที แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าออกจากประตูหลังบ้าน ก็มีกลุ่มคนมาดักรอผมซะก่อน

       “เดี๋ยวคุยกันก่อนสิค่ะ คุณผู้กอง ช่วยอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจนที ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นกันแน่ แค่ให้หมวดโฟรคมาบอกให้เชื่อใจ มันไม่พอหรอกนะคะ สำหรับค่าน้ำตาของไออุ่น” แมนนี่พูดขึ้นหลังจากเราได้เจอหน้ากัน โดยไม่มีคำเกลิ่นหรือคำทักทายมาก่อนเลย

       “พี่ไม่ได้หักหลังพี่ผมจริงๆ ใช่ไหม” ผมยังไม่ได้ตอบ ลมหนาวก็ถามขึ้นมาซะก่อน ผมเห็นถึงความกังวลใจของเขาอย่างชัดเจน คงเป็นห่วงพี่ชายมากสินะ

       “ฉันจะบอกในสิ่งที่บอกได้ ฉันสาบานเลยว่ามันไม่มีอะไร ฉันรักไออุ่นและไม่เคยทรยศเขาเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นถูกวางแผนไว้แล้วที่จะให้ไออุ่นไปเจอ และฉันก็โดนวางยาด้วย ตอนนั้นฉันแทบไม่มีสติ ทำทุกอย่างตามความต้องการ สติฉันกลับมาตอนฉันได้เห็นหน้าไออุ่นนั้นแหละ แต่มันยังไม่มีอะไรเกินเลย” ผมพูดในสิ่งที่ผมพูดได้โดยไม่เอ่ยชื่อ คนที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อีกคน

       “ฝีมือยัยชะนีนั้นสินะ น่าตบล้างน้ำซะจริงๆ อย่าให้ฉันเจอนะ” เจ้าตัวทำสีหน้าตั้งมั่น ที่จะทำอย่างที่พูด ก่อนจะทำหน้าคิดอะไรขึ้นได้ แล้วหันมาถามผมต่อ “แล้วทำไมไม่รีบกลับมาอธิบายละคะ ปล่อยให้ไออุ่นมันเศร้าแบบนี้ได้ยังไง”

       “ฉันไม่มีเวลาจริงๆ ฉันต้องทำทุกอย่างตามที่พวกผู้นำสั่ง อยากกลับมาแค่ไหนก็กลับไม่ได้” ผมอยากกลับมาใจแทบขาด แต่เพราะทำไม่ได้ เลยได้แต่ถามข่าวคราวผ่านไอ้โฟรค กับหมู่นายหมู่เทนแทน

       “แล้วทำไมจ่านนท์ถึงมีเวลา นี่จ่าก็มาเยี่ยมตั้งหลายครั้งเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ไออุ่นต้องไปเจอเรื่องแบบนั้น” มาดูผลงานตัวเองสิไม่ว่า ผมยังไม่อยากพูดเรื่องจ่านนท์ เพราะกลัวเขาไหวตัวทัน และอีกอย่างไอ้เด็กริวก็เป็นหลานของเขาด้วย พูดไปตอนนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดี

       “ฉันต้องเตรียมงานใหญ่”

      “งานวันเกิดไอ้พวกผู้นำซังกะบ๊วยนั้นเหรอ น่าเอาน้ำล้างเท้าใส่ในเครื่องดื่มให้พวกมันกินซะเหลือเกิน” แมนนี่พูดพร้อมยกเท้าขึ้นมาประกอบคำพูด

       “ใส่ยายพิษไม่ดีกว่าเหรอค่ะ” น้องมิวที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ เสนอความคิดขึ้นมาบ้าง ความคิดช่างไม่เข้ากับหน้าตาที่น่ารักของน้องซะเลย

       “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก คนที่ไม่รู้เรื่องจะพากันซวยไปด้วย ถ้ากระจายข่าวออกไปพวกมันก็ไหวตัวทันอีก” เราทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าจะทำต้องเหนือชั้นกว่านั้น

       “เฮ้อ...ฆ่าคนเลวทำไมมันยากจัง คนสวยเซ็ง”

       “ฉันจะไปหาไออุ่น” เวลายิ่งมีน้อยอยู่ด้วย ผมจึงรีบเดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจใครอีกเลย

       ผมเดินตามชายหาดออกมาเกือบร้อยเมตร จึงเห็นไออุ่นที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ร่มไม้ โดยมีมิดไนท์นั่งเล่นทรายอยู่ข้างๆ

       ใบหน้าที่เศร้าหมอง ดวงตาที่เศร้าสร้อยของน้องทำให้หัวใจปวดหนึบ ผมเป็นสาเหตุของความเศร้านั้นสินะ เป็นผมเองที่ทำให้ใบหน้าที่เคยมีความสุข ใบหน้าที่มีแต่ความทะเล้น ใบหน้าที่ยิ้มได้แม้เหตุการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน ผมสินะเป็นคนที่ทำให้มันหายไป

       ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ไม่มั่นใจว่าน้องจะยอมฟังผมหรือเปล่า

       “ป๊า!!!”

       เสียงมิดไนท์ดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวหันมาเจอผม พร้อมกับตัวเล็กๆ ที่วิ่งเขาหา ผมย่อตัวลงเพื่อรับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน แกกอดคอพร้อมซบหน้าลงกับบ่า และบอกคิดถึงผมมากมาย ผมก็คิดถึงแกมากเหมือนกัน ลูกชายของผม

       ไออุ่นที่ได้ยินชื่อผมหันมาอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแล้วมองเมิน ดั่งผมไม่มีตัวตนเป็นดังอากาศธาตุ เจ็บกว่าการโดนโวยวายใส่ คือการที่ผมไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาน้อง

       ได้โปรดอย่ามองเมินกันเลย ขอร้อง...

       “ไออุ่นครับ” ผมเรียกน้องด้วยความคาดหวัง หวังว่าน้องจะสนใจ สักนิดก็ยังดี

       “คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอ” ถ่อยคำที่แสนสุภาพแต่บาดลึกในใจเป็นที่สุด น้องทำเหมือนผมเป็นคนอื่น คนที่ไม่มีความสำคัญ

       “ได้โปรดฟังพี่อธิบายหน่อยนะครับ ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด พี่กับโรสไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ” ผมปล่อยน้องไนท์ลงพร้อมบอกให้เขาไปรอในบ้านเพราะมีธุระจะคุยกับมัม ดีที่น้องเป็นคนฉลาดเลยเข้าใจอะไรง่าย

       “คราฟ น้องไนท์จะไปรอในบ้าน มัมกับป๊ารีบตามมานะ น้องไนท์คิดถึง” หลังจากแจกคำหวานก็วิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในบ้านทันที

       ผมเดินเข้าไปจับมือคู่นั้นแล้วกระชับเบาๆ

       “ปล่อย!!” น้องพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม ผมจึงปล่อยเพราะไม่อยากให้น้องโมโหตอนนี้เดี๋ยวจะพลานคุยกันไม่รู้เรื่องไปใหญ่

       “ฟังพี่หน่อยนะครับคนดี ได้โปรดให้โอกาศพี่ได้อธิบายความจริง นะครับ” น้องมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด

       “ก็ได้ผมจะยอมฟังที่คุณพูด แต่จะเชื่อไหมผมจะตัดสินใจเอง เพราะผมเชื่อในหลักฐานมากกว่าคำพูด ที่เป็นเพียงลมปาก” แค่น้องยอมฟังผมก็ดีมากแล้ว

       ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้น้องฟัง ทุกอย่างที่ไม่สามารถบอกกับคนอื่นได้ เพราะผมเชื่อใจหัวใจของผม ผมคุยกันอยู่เป็นครึ่งชั่วโมงก่อนจะไปประชุมกับคนของผมที่ห้องโถง โดยที่น้องไปอยู่กับมิดไนท์แล้ว



       ผมกับเหล่าทหารอีกเกือบสามสิบนาย มีทั้งคนของผมและคนของไอ้โฟรคที่มาด้วยกัน หลายคนเป็นคนที่พวกผู้นำยังไม่รู้จัก หลายคนก็เป็นหน้าเดิมๆที่เคยมาที่นี่แล้ว

       “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เวลาน้อย” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาทันทีที่เรามากันครบ

       “พวกผู้นำให้เราขึ้นไปบริการบนเรือยอร์ช ในวันเกิดของผู้กองแบล็ค เน้นย้ำว่าทุกคน”

       “เราทำหน้าที่อะไรบ้างครับ” หมู่เทนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย

       “ทุกอย่าง เตรียมอาหาร เสริฟเครื่องดื่มอาหาร ทำความสะอาด ดูแลความเรียบร้อย จัดสถานที่ ล้างจาน และทุกๆ อย่าง” เราต้องทำทุกอย่างจริงๆ เพราะไอ้พวกผู้นำอนุญาตให้ทหารคนสนิททั้งหลายพักผ่อน ไม่ต้องทำงานอะไร ยังดีที่ไม่ใช่ทหารทั้งหมดที่หยุด ไม่งั้นเราตายๆ แน่ๆ ที่ต้องทำทุกอย่างเอง ด้วยคนจำนวนเท่านี้

       “พูดง่ายๆ เราเป็นเบ๊นั้นเอง” ไอ้โฟรคพูดขึ้น จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก

       “แต่นั้นเป็นเพียงงานรอง เพราะฉันมีงานหลักให้ทุกคนทำ เราจะเปลี่ยนทุกอย่างด้วยมือของพวกเราเอง ต้องมีคนคิดไม่ถึงกันบ้างหละ หึหึ”

       เราประชุมกันต่อได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ ก่อนที่จ่านนท์จะโผล่มาที่บ้านของผม

       “ประชุมอะไรกันอยู่เหรอครับ” หน้าตาใสซื่อ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะหักหลังเราได้ กล่าวขึ้นมาเมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้าน

       “เรื่องงานบริการบนเรือหนะ ว่าแต่มีงานเข้ามาอีกแล้วเหรอ” ผมพูดกับเขาอย่างเป็นปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรทั้งสิ้น

       “ผู้นำสั่งให้ผมมาตามผู้กองครับ ได้ยินว่าได้ไอเดียในเรื่องอาหารเพิ่มมา เลยจะให้ผู้กองไปจัดการให้นะครับ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปที่พักได้

       “ไออุ่นเข้าใจผู้กองหรือยังครับ” จ่าถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง คนเป็นห่วงคนนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นหนึ่งในคนจัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา

       ผมยังไม่ได้ตอบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน

       “เมื่อไหร่จะกลับ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไปอยู่กับผู้หญิงของคุณซะสิ จะมาที่นี่อีกทำไม” ไออุ่นพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเจ็บปวด ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วทำหน้าเศร้า

       น้องก้าวเท้ามายืนอยู่ด้านหน้าผม พร้อมยื่นบางอย่างมาให้

       “เอาของคุณคืนไป ผมไม่ต้องการ” สิ่งที่ไออุ่นยื่นให้ผมคือโทรศัพท์ ที่ชาร์ตแบทมาจนเต็มแล้ว

      จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหนีผม ออกไปหลังบ้านทันที ผมมองตามน้องจนลับสายตา

       “โทรศัพท์ ทำไมต้องคืนให้ด้วยครับ มันใช้ไม่ได้อยู่แล้วหนิ” จ่าถามขึ้นด้วยความสงสัย เป็นใครก็สงสัยในยามที่คลื่นโทรศัพท์ล่มหมดทุกค่าย เราไม่สามารถโทรเข้าโทรออกได้ จะพกโทรศัพท์ไปทำไม

       “ในโทรศัพท์นี้มีรูปของเราอยู่ เขาคงไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว” โทรศัพท์ในตอนนี้สำหรับคนอื่นคงไร้ค่า แต่ไม่ใช่สำหรับผม ภาพทุกภาพ คลิปทุกคลิปมีความหมายกับผมมาก

       “ผมเชื่อว่า สักวันไออุ่นต้องอภัยให้ผู้กองแน่ๆครับ” ผมได้แต่พยักหน้าตอบ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้

       “ตอนเย็น ช่วยบอกให้โรสมาหาผมที่ห้องทีนะครับ ผมอยากจะขอโทษเธอเรื่องวันนั้น สงสัยผมจะเมามากไป” ผมบอกจ่าก่อนจะเดินขึ้นรถไปทำงานต่อ


+   +   +   +   +


       ตกเย็นหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็รีบมารอโรสที่ห้องเพื่อคุยกัน ผมรอไม่ถึงสิบนาทีเธอก็เข้ามา

       “จ่าบอกว่าผู้กองเรียกโรสมาเพื่อขอโทษเหรอค่ะ โรสไม่ได้โกรธผู้กองเลย ถึงแม้โรสจะเสียหายก็ตาม” เจ้าตัวทำหน้าเศร้า จนแทบจะร้องไห้เพื่อให้ผมเห็นใจ แต่ผม...

       ไม่ได้โง่

       “ฉันจะไม่พูดอะไรมากหรอกนะ ฉันจะบอกแค่ว่า ฉันไม่ได้โง่ จนดูไม่ออกว่าเธอทำอะไร”

       “โรสทำอะไรคะ โรสไม่รู้เรื่อง โรสเป็นคนเสียหายนะคะ” เธอพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ แล้วผมต้องสนเหรอ?

       “ฉันรู้ว่าฉันถูกวางยา และเธอก็มีส่วนในเรื่องนี้”

       “มากล่าวหาโรสแบบนี้ได้ยังไงค่ะ ทำไมทำกับโรสแบบนี้” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถ้าใครไม่รู้เบื่องลึกเบื่องหลังของเธอคงเชื่อไปแล้ว เพราะภาพลักษณ์ที่เธอแสดงออกมา

       “ฉันถามจริงเถอะ ทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไร รักฉันจริงๆ หรือแค่จะแก้แค้นให้พ่อกับน้องที่ตายไป โกรธที่พ่อเธอโดนไออุ่นยิงตายหรือไง เรื่องนี้เธอโทษไออุ่นไม่ได้หรอกนะ เพราะพ่อเธอทำตัวเอง” ผมพูดกระตุ้นให้เธอระเบิดออกมา

       “พ่อฉันไม่สมควรตาย คนที่สมควรตายก็คือไอ้เกย์ผิดเพศนั้นต่างหาก!!! สมน้ำหน้ามันจริงๆ ตอนนี้ยังร้องไห้ไม่หยุดเลยไม่ใช่เหรอ ฮาๆๆๆ ฉันจะทำให้มันเจ็บมากกว่านี้คอยดู!!” เธอพูดเสียงดังลั่นห้องของผม พร้อมสีหน้าสะใจ

       “เธอกล้าวางยาฉันเลยเหรอ รู้ไหมไออุ่นต้องเจ็บปวดขนาดไหน” ผมเสียงดังกลับไปบ้างด้วยความโมโห

       “ก็มันโง่เชื่อเองหนิ จัดฉากนิดหน่อยก็เชื่อแล้ว ฮาๆๆ คุณก็โง่ไม่ต่างจากมันหรอก แค่โดนบางคนหรอกนิดๆ หน่อยๆ ก็ดันเชื่อ หึหึ” เธอหัวเราะอย่างสะใจ ในทุกประโยคที่เอ่ยออกมา

        “ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ” ผมไล่เธอออกไป เพราะไม่มีอะไรจะคุยกับเธอแล้ว คุยไปก็ไม่มีประโยชน์

       “หึ คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอ ก็แค่คนรับใช้กระจอกๆ ฮาๆ” เธอหัวเราะเยาะผม พร้อมก้าวออกไปจากห้อง ทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

      ผมยืนอยู่นิ่งๆ กลางห้องพร้อมแสยะยิ้มมุมปากให้กับเรื่องทั้งหมด

       หึหึ


.......................
................
.........


       มาแล้วๆๆๆ เอะเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น้า....

       ถ้ามีคำผิดบอกด้วยนะคะ

พูดคุยกันได้ที่  Twitter :  Tt.looktal1993
                        #ธามไออุ่น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
จ่านนท์ทรยศจริงหรือเปล่า? ถ้าจริงนี่ น่าเอาไปโยนให้เป็นอาหารปลาด้วยอีกคน :fire:
จะรอดูความฉิบหายของเหล่าท่านผู้นำ :katai1:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
-  20  -


[ธาม]

       เหนื่อยงานยังพอทน แต่เหนื่อยคนมันสุดจะทนจริงๆ แต่ก็ต้องทน เพราะไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรได้ อำนาจเป็นคำที่น่ากลัว ถ้าผู้ถือมันไร้เหตุผลและจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี

       หนึ่งวันก่อนงานเริ่ม เราทำงานกันอย่างหนักจนแทบไม่ได้นอน ต้องจัดเตรียมทุกอย่างและขนมันขึ้นบนเรือ

       ตอนนี้เรากำลังจัดสถานที่บนเรือกันอย่างขะมักเขม้น เพราะอยากให้เสร็จก่อนเที่ยงจะได้มีเวลาพักผ่อน และประชุมงานกัน ของทุกอย่างเราจัดเตรียมเสร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ต้องจัดทุดอย่างให้เข้าที่เข้าทางและสวยงามที่สุด ตามคำสั่งที่ได้รับมา

       ลูกน้องคนสนิทของผู้นำ ไม่ยื่นมือเข้ามาจัดงานเลยแม้แต่น้อย พวกมันแทบไม่ขึ้นมาบนเรือด้วยซ้ำ มีแต่คนของผมที่ทำงานบนกันเรือนี้ ทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่ผมตั้งใจได้ไม่ยาก หึหึ

       พรุ่งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป โดยแขกทุกคนที่ขึ้นเรือจะได้รับการตรวจอาวุธอย่างเข้มงวดจากลูกน้องของพวกผู้นำ ไม่เว้นแม้แต่พวกผมที่เปรียบเสมือนคนงานบนเรือก็ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด

       นี่แหละทำกับคนไว้เยอะ ก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้

       หลังจากเสร็จงานเราประชุม เวลาก็เกือบห้าทุ่ม กว่าจะกลับไปพักผ่อนสักทีพลังงานชีวิตแทบไม่เหลือ พรุ่งนี้เราก็ต้องไปเตรียมพร้อมกันแต่เช้าอีก ได้เวลานอนสักที

       ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ได้ยิน ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบโดยใช้ไฟจากมือถือคอยนำทาง จนมาถึงข้างเตียงที่มีร่างบางนอนหลับอยู่ พร้อมเจ้าตัวเล็ก

       กายที่ขยับลงนอนบนเตียงอย่างช้าๆ เพราะกลัวคนที่หลับไปจะตื่นขึ้นมาซะก่อน พร้อมส่งมือเข้าสวมกอดอย่างไม่แน่นนัก

       “ฝันดีนะครับ” เสียงพูดเบาๆ พร้อมริมฝีปากหนาที่ประทับลงไปที่กระหม่อมบางของคนที่คิดว่ากำลังหลับ

       “พรุ่งนี้ขอให้โชคดี” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดเจนในใจ น้องยังไม่หลับ น้องอวยพรผม

       “ไออุ่น...”

       “ไม่ต้องพูดอะไร” ผมเงียบเสียงลงทันทีทั้งที่พูดยังไม่จบประโยค ใครจะกล้าขัดใจเมียได้หละ เดี๋ยวโดนไล่ออกไปนอนนอกห้องพอดี แค่ให้นอนอยู่ข้างๆ นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าเสี่ยงขัดใจดีกว่า

       ผมไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก สิ่งที่ทำได้คือกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ให้ความอบอุ่นมันได้ถ่ายทอดไปยังหัวใจที่สร้างเกาะน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองได้ละลายลงไป มันอาจจะไม่ได้ละลายลงไปในทีเดียว แต่ผมจะค่อยๆ ละลายมันไปทีละนิด เพื่อหวังว่าสักวันมันจะหมดไป

       เช้าตรู่ที่เราเดินทางมาขึ้นเรือ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่าง ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และต่างๆ อีกมากมาย เมื่อเราเดินทางมาถึงท่าเรือ ก็มีคนมาประจำการที่บันไดทางขึ้นแล้ว ขยันกันจริงๆ นะพวกมึง ก่อนหน้านี้ไม่โผล่หัวมาช่วยงานเลยสักตัว

       “ไงไอ้พวกคนใช้ มากันแล้วเหรอ ช่วงนี้หน้าหมองราศีไม่ค่อยจับเลยนะ ฮาๆๆๆ” เสียงถากถางดังขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงทางขึ้นเรือ ไอ้โฟรคกัดฟันกร่อนอย่างอดทน ผมรู้ว่ามันคงอยากเอาทีนลูบปากพวกมันแทบตาย ซึ่งผมก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน

       “แหม่ๆ ทำตัวเงียบสงบเสงียมกันดีจังนะ รู้จัดหัดเจียมตัวได้อย่างนี้ก็ดี เพราะยังไงพวกมึงก็ไม่ได้สูงไปกว่านี้หรอก เผลอๆ ต่ำลงกว่าเดิมอีก ฮาๆๆ” มึงเคยได้ยินไหมว่า หัวเราะทีหลังมันดังกว่า

       “เฮ้ยๆ มึงอย่าเอาความจริงมาพูดสิวะ เดี่ยวพวกมันน้อยใจกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย เราจะเอาคนใช้ที่ไหนมารองมือรองตีนวะ” เพื่อนชั่วของมันอีกคนที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้นมาให้ทีนพวกเรากระตุก

       “จะตรวจก็ตรวจเสียเวลา” ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ เพื่อให้พวกมันปล่อยเราไป ก่อนที่ความอดทนจะหมดลงซะก่อน

       “วะๆ คนใช้อยากรีบไปทำงานเว้ย พวกมึง ฮาๆ” ผมยังแสดงสีหน้าเฉยชาอยู่ไม่ว่ามันจะพูดอะไรขึ้นมาก็ตาม เพราะแค่เสียงหมาเห่า เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

       เมื่อมันถากถางพวกเราอย่างพอใจแล้ว จึงเริ่มตรวจอาวุธ แล้วปล่อยพวกเราขึ้นเรือไป

       เวลาเดินมาถึงกำหนด แขกก็เริ่มทยอยขึ้นเรือมา มีทั้งวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ที่มีอายุมากแล้ว แต่เกือบทุกคนล่วนวางท่าทีถือตัว และวางอำนาจ ที่บ่งบอกว่าพวกเขาเคยเป็นคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองมาก่อน และปัจจุบันยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง ไม่งั้นพวกผู้นำไม่เชิญมาหรอก

       เราทำอาหารเตรียมให้แขกเกือบยี่สิบคน รวมทั้งทหารคนสนิท และทหารที่อยู่ในการปกครองอีกเกือบห้าสิบชีวิต รวมแล้วบนเรือมีคนเกือบหนึ่งร้อยชีวิตได้ คนของผมก็เกือบสามสิบคนแล้ว โดยไม่รวมเหล่าผู้หญิงที่ถูกส่งขึ้นมาเป็นทาสกามของพวกมันนะ

       อาหารและเครื่องดื่มค่อยๆ ทยอยส่งเข้าไปเสริฟด้านในห้องโถงของเรือ โดยทีพวกผู้นำมีผู้ประกบติดซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันอัตราย ยกเว้นไอ้แบล็คที่มันไม่สนใจหาคนดูแล เอาแต่เดินทักทายคนอื่นไปเรื่อย

       เรือแล่นออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับสติของคนบนเรือที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน บางคนกอดจูบลูบคลำแทบจะได้กันกับผู้หญิงที่ถูกส่งมาท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยไม่มีความอายแม้แต่น้อย

       นี่มันงานรวมคนตัวคนชั่วชัดๆ


       +   +   +   +

       เวลาเดินมาถึงสองทุ่ม หลายคนเมามายแทบไม่ได้สติ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ดื่ม ส่วนมากจะเป็นทหารที่คอยดูแลพวกผู้นำ

       คงถึงเวลาแล้วสินะ

       “หมู่เทน ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง” ผมถามหมู่เทนที่เพิ่งเดินเข้ามาจากการสำรวจด้านนอก

       “มีคนเฝ้าข้างนอกประมาณ 5-6 คน ครับ” ไม่เยอะเท่าตอนแรกแล้ว

       “ด้านล่างหละ” ด่านล่างเป็นห้องพักของทุกคน โดยห้องพักของพวกผู้นำจะอยู่โซนด้านขวาสุด และเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดด้วย

       “ไอ้นายบอกว่าข้างล่างมีคนเฝ้าประมาณ 7 คนครับ แต่หน้าห้องผู้นำมีคนเฝ้าอยู่ 11 คน ด้านในเราไม่ทราบครับ เพราะพวกมันไม่อนุญาตให้เข้าไป” ระวังตัวกันมากทีเดียว แต่ยังไงเรื่องทุกอย่างต้องจบลงวันนี้

       แก็ก!!

       เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากพวกเราได้เป็นอย่างดี คนที่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้โฟรคนั่นเอง มันเข้ามาพร้อมกับรถเข็นอาหารที่คลุมด้วยผ้าสีขาว

       “ไปเสริฟห้อง VVIP มาแล้วเหรอ” ผมถามมันขึ้นด้วยความคาดหวัง หวังในอะไรบางอย่างที่ต้องการ

       “ไปมาแล้ว ได้รับทิปมาด้วย” มันพูดพร้อมเปิดผ้าคลุมออกจากรถเข็น เพื่อให้เราได้เห็นทิปที่ว่า

       “หึหึ ดีมาก หมู่นาย หมู่เทน พาคนไปจัดการพวกรอบนอกก่อน ทำทุกอย่างเงียบๆ อย่าให้พวกมันรู้ตัว เสร็จแล้วตามลงไปข้างล่าง หมู่นายเฝ้าด้านบนไว้กับลูกน้องอีกสองคนพอ” เรามีงานที่ต้องทำอีกเยอะ

       “เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครที่อยู่ข้างเรา” ไอ้โฟรคถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ว่าจะทำร้ายพันธมิตรของตนเองเข้า

       “พวกมันผูกผ้าสีชมพูไว้ บนหัว คอ หรือข้อมือ ถ้าไม่ผูกจัดการได้เลย แล้วนี่ผ้า เอาไปให้ทุกคนผูกติดไว้ด้วย เพื่อให้พวกมันรู้ว่าเราเป็นมิตร” ผมดึงกล่องใส่ผ้าสีส้มออกมาให้แจกให้ทุกคน

       “ผมขอปืนไรเฟิล" ใช่ครับทิปที่ได้รับมาคืออาวุธที่เราขนขึ้นมาก่อนวันงาน เป็นของสมนาคุณจากันพันธมิตรของเราเอง แถมยังให้ที่ซ้อนของอย่างดีอีกด้วย

       “จะเอาอะไรก็เอา แต่ต้องใช้กระบอกเก็บเสียงด้วย ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อนเราเสร็จแน่ ทุกอย่างจะผิดผลาดไม่ได้ ครั้งนี้เราเดิมพันมันด้วยชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตของเรา แต่เป็นชีวิตของทุคนในชาติ” ผมได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างไม่ผิดผลาด

       “ไอ้โฟรคพาคนไปเก็บข้างใน ด้านล่างให้เป็นหน้าที่ของพวกนั้นไป กูจะไปฝั่งขวาสุดเอง” ผมต้องจบมันด้วยตนเอง “ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อน กันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทางด้านหลังเรือให้หมด”

       “ระวังตัวด้วยมึง ดูท่าจะงานช้าง” ไอ้โฟรคพูดพร้อมตบบ่าผมเบาๆ

       “ไม่จำเป็นยังไม่ต้องฆ่าหละ ฉันยังมีอะไรสนุกๆ รอพวกมันอยู่”

       “ครับผู้กอง แล้วจ่านนท์หละครับ” หมู่เทนถามขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ ผมเข้าใจเขาดี เราอยู่ด้วยกันมานาน นานจนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ก็เป็นครอบครัวของเราเองไม่ใช่เหรอ ที่เอามีดมาแทงเราจากด้านหลัง

        “จับไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร ฉันยังมีเรื่องหลายอย่างอยากจะคุยกับจ่า” ผมแค่อยากจะถามเขา ถามเขาว่ากล้าหักหลังครอบครัวตัวเองได้อย่างไร หรือไม่ได้มองเราเป็นครอบครัวแต่แรกแล้ว

       “ครับ/ครับผม” ทุกคนตอบรับคำผมอย่างดี

       “ระวังตัวด้วย พวกมันไม่ได้ธรรมดาหรอกนะ หลายคนเป็นเคยฝึกในหน่วยรบพิเศษมาก่อน ดังนั้นอย่าประมาท มีสติไว้ตลอด”

        เราแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
       
        ผมและทหารอีกห้านายเดินถือถาดเครื่องดื่ม และเข็นรถอาหารด้วยท่าทางปกติ มุ่งหน้าไปทางด้านขวาสุดของเรือ ทุกคนที่เราเดินผ่านมา ไม่มีใครสงสัยหรือสนใจเรามากพอ ทุกคนต่างเมามันในรสแอลกอฮอล์และกามอารมณ์์

       เราเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องว่างก่อนที่จะถึงโซนอันตราย ถึงจะบอกว่างานเลี้ยง แต่พวกผู้นำนั้นไม่ได้อยู่ฉลองกันคนอื่นนาน ไปแค่แปบๆ ก็หลับเข้าห้องของตน โดยพวกมันให้ผู้หญิงเข้าไปบริการมันในห้องแทน

       “รออีกสิบนาที ให้พวกข้างบนจัดการไปก่อน เพราะถ้าเราออกไปตอนนี้พวกมันรู้ตัวกันหมดแน่ เราไม่มีทางฝ่าเข้าไปโดยที่พวกมันไม่รู้ตัวได้” เพราะถึงพวกมันรู้ตัวก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะพวกด้านบนโดนจัดการไปแล้ว

       “แล้วเราจะเข้าห้องใครก่อนครับ” ทหารนายหนึ่งถามผมขึ้นมา ห้องผู้นำมีสามห้อง โดยที่เรามีคนแค่หกคนในตอนนี้

       “นายสามคนไปห้องไอ้กองทัพ ที่เหลือตามฉันไปที่ห้องผู้นำ ไอ้แบล็คมันไม่อยู่ห้อง มันอยู่ที่งานเลี้ยงด้านบน” แต่ก่อนที่เราจะไปถึงน้องนั้นเราต้องจัดการหมาเฝ้าประตูให้หมดซะก่อน

       ในที่สุดเวลาในการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลง เราค่อยๆออกไปจากห้องทีละคน ผมส่งสัญญาณมือให้นายทหารสองคนไปซุ่มโจมตีที่ด้านซ้ายมือ โดยที่ที่เหลืออยู่ด้านหน้า เพราะทางด้านขวามือเป็นกำแพงโล่งที่เราไม่สามารถหลบซ้อนได้เลย

        พวกหมาเฝ้าประตูบางส่วนกำลังนัวเนียกับผู้หญิงโดยไม่สนใจสิ่งใด มีแค่ห้าคนที่ยืนเฝ้าอย่างจริงจัง จากที่เห็นมีคนเฝ้า 11 คน

      ผมให้สัญญาณมือเพื่อเตรียมพร้อมล็อคเป้าหมาย สิ่งที่เรากำลังมอบให้พวกมันคือความตาย มันเสี่ยงเกินไปที่จะจับเป็น เพราะเรามีคนน้อยกว่าเลยต้องเลือกทางนี้ให้กับพวกมัน อโหสิกรรมให้กูด้วย กูขออโหสิกรรมให้พวกมึง

       มือผมค่อยๆยกขึ้นเพื่อให้สัญญาณ

       ยิง!!

       ฉึบ!! เสียงที่เล็ดลอกออกมาจากกระบอกเก็บเสียงไม่ได้ทำให้พวกมันรู้ตัว แต่คนที่ล่มลงไปพร้อมเลือดที่ไหลนองต่างหากที่ทำให้พวกมันรู้

       นายทหารห้านายล้มลงไปกองกับพื้น แสดงว่ามีคนนึงที่ยิงผลาด

       “หลบ!! มีคนซุ่มโจมตี ป้องกันผู้นำไว้” พวกมันตะโกนและกระโดดหาที่หลบทันที

       เราไม่รอช้ากระหน่ำยิงซ้ำทันที ทำให้คนยังไม่ทันตั่งหลักล้มไปอีกสอง ไปแล้วเจ็ด เหลืออีก 4 คนเท่านั้น

       กรีสๆๆ

       ปังๆๆ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเสียงปืนที่พวกมันยิงสวนมาดังสนั่นหวั่นไหว

       สงครามเริ่มแล้ว

       ผมพยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อให้เข้าใกล้พวกมันกว่านี้ โดยใช้สิ่งกีดขวางต่างๆ เป็นที่หลบ

       “ปัง โอ้ย!!” เสียงร้องของฝั่งผมดังขึ้นมา ไม่มีเวลาที่จะหันไปมอง ต้องจักการสิ่งที่อยู่ด้านหน้าซะก่อน

       “หมอบลงไป!!” ผมตะโกนบอกผู้หญิงที่กำลังวิ่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง

       ผมเล็งไปที่หัวของคนที่กำลังโผล่ขึ้นมายิง

       ปัง เสร็จไปอีกราย  เรายิงกันต่ออีกราวๆ สิบนาทีก็จัดการพวกมันได้หมด โดยทางเราต้องเสียนายทหารผู้กล้าไปหนึ่งคน ไม่มีเวลาแม้แต่จะเสียใจก็ต้องไปต่อ พวกกูจะกลับมารับมึงเองกูสัญญา

       “มึงสามคนไปห้องนั้น ส่วนมึงตามมา” ผมค่อยๆ บิดลูกบิดแต่มันถูกล็อคจากด้านใน ต้องใช้ปืนจัดการกับประตู กุญแจหรือจะเร็วสู้ปืน

       ผมถีบประตูเข้าไปอย่างแรง แล้วหลบออกมาด้านข้าง

       ปังๆๆ ปืนจากในห้องสาดกระสุนออกมาทันทีที่ประตูเปิดออก ดีที่ผมหลบทัน

       “คนแค่นี้ มึงคิดจะลองดีกับกูเหรอ!! กูสาบานว่าจะฆ่าพวกมึงให้หมด ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง พวกมึงต้องตายทั้งหมด!!” เสียงตะโกนจากด้านในดังออกมาให้ได้ยิน น้ำเสียงเกรียวกราดบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี

       ผมไม่ได้พูดตอบกลับ แต่เลือกที่จะสาดกระสุนไปแทน คนเลวๆ แบบนั้นไม่จำเป็นต้องคุยอะไรด้วย และมันจะไม่มีโอกาศได้กลับไปทำร้ายคนที่ผมรักแน่นอน ผมจะปกป้องพวกเขาถึงแม้จะแรกด้วยชีวิตก็ตาม

       ผมดึกสลักระเบิดควันขนานเล็กออก มันเป็นที่เราหามาได้แค่สามลูก จึงต้องแจกจ่ายกันออกไป กับผมมีแค่ลูกเดียวเท่านั้นจึงต้องใช้เมื่อฉุกเฉินจริงๆ และผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมกับพลทหารอีกคนไม่มีทางเข้าไปด้านในได้แน่ จึงต้องหาอะไรเพื่อพลางตัวไม่ให้พวกมันมองเห็น

       แก๊กๆๆ ฟู้ๆๆ  เสียงระเบิดกลิ่งเข้าไปพร้อมปล่อยควันออกมาจนคลุ้งไปทั้งห้อง

       “ไป” ผมหันไปออกคำสั่งก่อนจะบุกเข้าไปด้านใน

       เนื่องจากน้องนี้เป็นห้องผู้นำ จึงมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และเฟอร์นิเจอร์ครบครันให้เราจับจองพื้นที่เพื่อกำบัง เราเลือกที่จะหลบหลังตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด พร้องสาดกระสุนออกไปทันทีเมื่อมองเห็นเงาลางๆ ผมไม่อยากสาดกระสุนไปมั่วเพราะกลัวโดนคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงแม้พวกเธอจะเป็นหญิงขายบริการก็ตาม

       “โอ้ย!!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นมาเมื่อเราลั่นไกลออกไป

          เราต่างฝ่ายต่างกระหน่ำยิงกัน ราวสิบนาทีได้ก่อนที่ควันจะจางไป เราเริ่มมองเห็นที่ซ้อนของกันและกันได้ชัดเจน ข้างในนี้มีคนไม่ต่ำกว่าสิบคน โดนสอยร่วงไปแล้วสี่ เหลือเจ็ดคนได้ ไอ้กองทัพก็อยู่ที่นี่ด้วย มันไม่ได้อยู่ห้องของตนเอง แต่มีเสียงปืนดังมาจากทางห้องของมัน แสดงว่าลูกน้องของมันยังอยู่ที่นั้นจำนวนหนึ่ง

       ตอนนี้เหลือแต่คนที่คุ้นเคยกันแล้วสินะ ผู้นำ ไอ้กองทัพ และลูกน้องคนสนิทของพวกมัน

       “มึงหลบไม่พ้นแล้ว ควันช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว มึงเตรียมตัวตายได้เลย กล้ามากที่บุกเข้ามาหาพวกกู!” เสียงไอ้กองทัพดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงกระสุน กูกล้ามากกว่านี้อีก ถ้าทำให้พวกมึงหายไปจากโลกนี้ได้

       “ออกไปได้จับน้องกับเมียมันมาเป็นกระหรี่เลยครับนาย” เสียงลูกน้องคนสนิทที่เกลียดผมเข้าไส้พูดขึ้นมาบ้าง มึงอย่าฝันว่าจะได้ทำอย่างนั้น เพราะมึงจะต้องตายอยู่ที่นี่

       ผมโผล่แขนออกไปเพื่อยิงคนที่พูด

       ปัง ปัง

       กระสุนจากผมโดนที่ท้องมันเต็มๆขณะที่กระสุนจากมันยิงโดนที่แขนของผม

       “ผู้กอง เป็นอะไรมากไหมครับ” นายทหารถามผมขึ้นอย่างร้อนรน

       “ไม่เป็นไร ทำหน้าที่ของตนเองไป” ผมตอบเขาไป พร้อมฟังเสียงโหยหวนของฝั่งนั้น ดี เจ็บปวดเข้าไป หึ

       “มึงไม่มีทางรอดหรอกธาม มึงกล้ามากที่คิดทรยศกู กูไม่ให้มึงตายดีแน่” ผู้นำตะโกนมาอย่างเดือดดาน ผมจะรอดให้ดู

       เรายิงกันต่อไปอีกราวห้านาที แต่ไม่มีฝั่งใดทำอะไรอีกฝั่งได้ แขนที่โดนยิงของผมก็เริ่มชาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่นะ ผมจะอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้

       แก๊ก!! เสียงประตูที่ผมปิดมันไว้ตอนเข้ามา ถูกเปิดออกกว้าง พร้อมด้วยร่างของคนเกือบสิบคนเดินเข้ามาด้านใน ซึ่งมันทำให้พวกเขาอยู่ด้านหลังผมโดยที่ผมไม่มีทางหลบได้เลย

       “ฮาๆๆๆ กูบอกแล้วว่ามึงไม่มีทางลอดหรอก ไอ้แบล็คมาช้านะมึง คนของกูตายไปตั้งหลายคน” ไอ้กองทัพมันเยาะเย้ยผมแล้วจึงหันไปคุยกับไอ้แบล็คอย่างผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน

       “ออกไป” ไอ้แบล็คมันสั่งผมกับนายทหารพร้อมด้วยปืนที่ชี้มาทางด้านหลังเรา เราจึงต้องจนใจยอมเดินออกจากที่ซ้อนมาในที่สุด พวกไอ้เเบล็คทุกคนยกปืนขึ้นเลง พร้อมดุนหลังให้เราเดินไปข้างหน้า ระยะทางระหว่างผมกับผู้นำน้อยลงไปทุกที

       “หึๆ เป็นหมาอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากเป็นฮีโร่ กูจะให้มึงได้เห็นว่าจุดจบของฮีโร่มันเป็นยังไง แบล็คยิงมัน” ไอ้ผู้นำมันยิ้มเยาะผมอย่างสมเพช หึหึ เดี๋ยวก็รู้

       ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเข่าที่ทรุดลงไป และเลือดที่สาดกระเซ็น

       “มึงทำอะไรไอ้แบล็ค!!!” เสียงของผู้นำกับไอ้กองทัพแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นลูกน้องของตนทรุดลงกับพื้น

       “ก็อย่างที่เห็น” ไอ้แบล็คพูดขึ้นอย่างไม่แยแส

       “มึงทรยศพวกกู!!!” ไอ้กองทัพตะโกนขึ้นมา พร้อมร่างกายที่กำลังจะพุ่งเข้าหาไอ้แบล็ค แต่ยังไม่ทันขยับได้ถึงสองก้าวกับต้องหยุดลงกระทันหัน

         “ถ้าไม่อยากให้เป่าหัวทิ้งตอนนี้ก็หยุดซะ” ได้ผลอย่างเกินคาด

       “ไอ้เลวเอ้ย!!” ตัวมาไม่ได้ยังส่งเสียงด่ามาแทน ผิดกับผู้นำที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร แต่หน้าที่แสดงออกเห็นได้ชัดว่าโกรธและเกลียดมากเพียงใด

       “ไอ้ธามไปทำแผลเถอะ ทางนี้กูจัดการเอง” ไอ้แบล็คหันมาพูดกับผม พร้องสั่งให้ลูกน้องไปมัดผู้นำกับไอ้กองทัพไว้

       “กูอยากดูจุดจบของพวกมัน” ใครจะว่าผมเลือดเย็นก็ตามแต่ผมอยากเห็นพวกมันทรมาน ยิ่งทรมานมากเท่าไหร่ยิ่งดี

       “ยังมีเวลาอีกเยอะ อีกหนึ่งชั่วโมงนู้นเรือค่อยจะถึงฝั่ง” แขนมันก็เริ่มชามากขึ้นแล้ว จึงต้องยอมเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อทำแผลก่อน

       ทำแผลเสร็จไม่ถึงสามนาทีไอ้โฟรคก็เข้ามาพร้องกับจ่านนท์ และโรส โดยที่ทั้งสองโดนมัดมือไขว้หลังไว้ จ่าไม่มองหน้าผมเขามองไปที่พื้นตลอดเวลา

       สองเท้าค่อยๆก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ผมเคยเชื่อใจที่สุด มือที่สั่นไหวยกขึ้นบีบบ่าคนตรงหนาไว้แน่น พร้องเสียงที่เปล่งออกไปอย่างเบาหวิว สิ่งที่สงสัยอยู่ตลอดได้เอ่ยออกไปในที่สุด

       “จ่าหักหลังพวกเราได้ยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ หรือผมคิดไปเองมาตลอดว่าเราเป็นเหมือนคนในครอบครัว” ความเจ็บปวดได้สื่อไปทางสายตา แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นมองเห็นมันได้เพราะสายตาเขาไม่หลุดไปจากพื้นเลย

       “ก็พวกมึงโง่ไงหละ ฮาๆๆๆ” เสียงเล็กเหลมดังฝ่าความเงียบขึ้นมา โรสหัวเราะอย่างกับคนเสียสติเมื่อพูดจบประโยค ในขณะที่จ่าเงียบไม่ยอมตอบอะไร

       “เอาเธอออกไปขังไว้ที่อื่น”  ผมไม่อยากเห็นหน้า และได้ยินเสียงเธอแล้ว

       “ผมขอโทษ” จ่านนท์พูดขึ้นมาในที่สุด พร้อมหน้าที่ยังไม่เงยขึ้นมาสบตาใคร

       “ทำไม” โดนคนใกล้ตัวหักหลังมันเจ็บแสนสาหัส

       “ผมขอโทษที่ทำแบบนั้น เพราะเมียผมขอร้องให้ทำ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้พันกองทัพ ผมไม่อาจปฏิเสธเธอได้ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”มีแต่เสียงขอโทษที่ดังออกมาจากปากของเขา ผมรู้ว่าเขาทำไปเพราะรักเมียเขามาก ถึงผมจะเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจให้อภัยเขาในตอนนี้ได้

       ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินออกมาสูดอากาศที่ท้ายเรือที่กำลังมุ่งหน้าเข้าฝั่งที่จังหวัดพังงา

       “ไงมึง กูนึกว่าเสียเลือดช็อคตายไปแล้ว” ผมหันไปมองคนมาใหม่ช้าๆ

       “ข้างในเป็นไงบ้าง” ผมถามไอ้แบล็คที่กำลังเดินเข้ามาหา

       “เรียบร้อยอยู่แล้ว ฝีมือกูซะอย่าง”

       “ถ้าฝีมือดีขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการพวกมันเองตั้งแต่แรก” ผมถามขึ้นอย่างประชด สงสัยผมคงติดจากเมียมา

       “ทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลาไหมหละ กว่ากูจะรวบรวมคนที่ไว้ใจได้แต่ละคนแม่งโคตรยากเลย ยังต้องรอสถานะการณ์เป็นใจอีก” มันอธิบายซะยาวเหยียด

       “แล้วทำไม่มึงไม่บอกกูแต่แรกว่าจ่านนท์เป็นสายให้พวกมึง” ผมถามขึ้นอย่างสงสัย ทำไมมันไม่เตือนผมก่อน

       “ใช่ว่ากูจะรู้ทุกอย่างหรอกนะเว้ย มึงก็รู้ว่าพวกแม้งระวังตัวกันขนาดไหน กว่ากูจะทำให้พวกมันสนิทใจได้ใช้เวลาเป็นครึ่งปี ต้องคอยมองดูพวกมันทำเรื่องเลวๆ บางครั้งก็ต้องทำเลวเองด้วย เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ กูโคตรเจ็บปวดหัวใจเลย” กูรู้ว่ามึงก็ลำบาก ไม่จำเป็นต้องร่ายมาซะยาวขนาดนี้ก็ได้

       “เออๆ” หยุดร่ายเรื่องความลำบากของมึงเถอะ

       เราเลิกคุยกันเพราะต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ก่อนจะมาถึงวันนี้ได้มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราต้องคอยวางแผน คอยหาพวก หาช่องทางในการกำจัดการกับปัญหา เรื่องที่ผมร่วมมือกับไอ้แบล็คมีแค่ ผม ไอ้แบล็ค และไอ้โฟรคสามคนเท่านั้นที่รู้

       เราค่อยๆ ดำเนินการอย่างเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหาคนที่ไว้ใจได้เข้าร่วมกับเรา ต้องมั่นใจจริงๆ ถึงจะดึงคนคนนั้นเข้ามาเป็นพวกเราได้ เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย หรือจับได้ซะก่อนจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเงียบๆ ช้าๆ

       หลังจากนี้ทุกอย่างคงดีขึ้น ถึงไอ้แบล็คมันจะปากหมาไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วผมย่อมรู้จัดมันดี


       ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงท่าเรือสักที เราต้อนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นรถที่เราเตรียมเอาไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังโกดังร่าง

       ประตูเหล็กที่สนิมเกาะจนทั่วถูกแงะเปิดออกโดยคนเฝ้า เราให้คนมาเตรียมที่นี่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องงานวันเกิดบนเรือยอชท์

       เราค่อยๆต้อนคนเกือบสามสิบคนผ่านเข้าไปในประตูกระจก กระจกที่กั้นเรากับพวกมันไว้เป็นกระจกที่หนามาก ทุบยังไงก็ไม่แตก นอกจากจะใช้ปืนหรือระเบิดยิงเท่านั้น

       “พวกมึงจะทำอะไร ปล่อยนะ ปล่อย!!” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นจากปากของไอ้กองทัพ คนอื่นๆ ก็เริ่มร้องโวยวายขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้น เราผลักพวกเขาเข้าไปด้านในจนสำเร็จ

       เหลือแค่ผู้นำ ไม่ใช่สิต้องเป็นอดีตผู้นำ ไอ้กองทัพ จ่านนท์ ส่วนโรสเธอโดนขังอยู่บนเรือ ไอ้แบล็คมันบอกว่ามีบทลงโทษเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับจ่านนท์ แต่ผมอยากให้เขาลงมาดูด้วยกันจึงพามาด้วย

       “พวกมึงจะทำอะไร” ในที่สุดผู้นำก็เปล่งเสียงออกมาสักที

       “ของขวัญที่เตรียมให้พวกมึงโดยเฉพาะไงหละ” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม

       “คิดจะฆ่ากูเหรอ กูไม่ยอมตายคนเดียวหรอก” คำพูดที่จบลงพร้อมร่างอ้วนลงพุงที่วิ่งเข้าหาทหารที่อยู่ใกล้สุด แล้วแย่งปืนออกมาเลงที่ผมทันที ชั่ววินาทีแห่งความตาย มือที่กำลังลั่นไกล และร่างของผมที่ถูกบังจากใครสักคน

       ปัง!!  นัดแรกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผมทรุดลง

       ปัง!! นัดที่สอง คนที่เคยเลงปืนมาที่ผมล้มลงกับพื้น ผมเลิกสนใจผู้นำแล้วหันไปหาคนที่มารับกระสุนแทนผม

       “จ่านนท์ ทำแบบนี้ทำไม” ทำไมต้องช่วยผมด้วย ทำเพื่อผมทำไม

       “ผม อึก ขอโทษ อึก ขอโทษ ทะ ที่ทำร้าย อึก ครอบครัว ตะตัวเอง ขอโทษ” เสียงพูดของเขาค่อยๆ แผ่วลง เลือดจากหน้าอกไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจาก

       “ผมให้อภัยจ่า จ่าจะยังเป็นครอบครัวของผมเหมือนเดิม ขอบคุณนะครับพี่ชายที่ช่วยชีวิตผม ขอบคุณจริงๆ” นี่เป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ผมจะให้เขาได้

       “ฝะ ฝาก คะครอบครัวผมด้วย ถะ ถึงเขาจะเป็น ยะ ยังไง อึก ผะผมก็รักเขา อึก ฝากบอก ว่าผม อึก รักเขา” ลมหายใจที่แผวเบาลงเรื่อยๆ  จนหายไปในที่สุด ผมจะฝั่งความผิดพลาดของเขา ให้ตายไปกับเขาด้วย จ่าจะยังเป็นจ่าที่น่ารักของทุกคนตลอดไป

ถึงเวลาต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบจริงๆ แล้วสินะ เราแบกร่างผู้นำที่กำลังร้องโอดโอยจากการโดนยิงที่ช่วงท้องเข้าไปในห้องกระจก พร้อมล็อกประตูจากฝั่งเราไว้

       “ขอให้สนุกกับของขวัญที่เตรียมไว้ให้นะ กูอโหสิกรรมให้”

       “เทน ต่อไฟ” ผมหันไปสั่งหมู่เทนที่ยืนอยู่ประจำแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สายไฟถูกต่อเข้าเพื่อเปิดประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ติดกับห้องกระจก ประตูนี้เชื่อมกับห้องโถงอีกฝั่ง เมื่อไฟถูกต่อประตูไฟฟ้าด้านในตู็กระจกก็ค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย

        แก๊กๆๆ  เสียงประตูเปิดออก พร้อมอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูออกมา

       “ซอมบี้ ปล่อยกูออกไป ปล่อยกู กูขอร้องกูจะเชื่อฟังพวกมึงทุกอย่าง ปล่อยกูเถอะนะ” สายไปแล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว รับกรรมที่ก่อเอาไว้ซะเถอะ

       ซอมบี้ตัวแล้วตัวเล่าค่อยๆผ่านประตูเข้ามากัดกินเนื้อของพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับวัคซีนทุกคนแล้วจึงไม่สามารถกลายเป็นซอมบี้ได้ ได้แต่เจ็บปวดทรมานอยู่แอย่างนั้น

       ผมไม่อยากมองภาพนั้นอีกต่อไป เลยเลือกที่จะหันหลังเดินออกมาจากโกดัง

       จบแล้วสินะ มันจบแล้วสินะ

       ถึงปัญหาทุกอย่างมันยังมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันคงไม่เลวร้ายมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากเรื่องเมียผมนะ ป่านนี้จะหายโกรธผมหรือยัง กลับไปยังจะให้ผมเข้าใกล้ไหม นี่สิน่าห่วง


       

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โหย เสียดาย น่าจะให้นังโรสเป็นอาหารค่ำของพวกซอมบี้ด้วยนะ :hao7:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 21 -

[ไออุ่น]


       ทะเลตอนกลางคืนช่างน่ากลัว ความมืดมิดที่หาทางขึ้นไม่ได้เมื่อหลงลงไปแล้ว สายลมที่หอบความเค็มเข้าปะทะใบหน้า กับความเย็นยะเยือกของน้ำยิ่งทำให้มันน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ

       สายตาที่มองเข้าไปในความมืดมิด ยิ่งทำให้จิตใจมืดมน ความกลัวเข้ากัดกินภายในจิตใจ ได้แต่คอยภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ต้องการ สายลมโปรดรับคำภาวนาของข้าที

       ผมล้มลงนอนบนผืนทราย พร้อมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งดวงดาว

       ที่นี่เป็นเหมือนที่ประจำของผมตลอดเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวัน หรือกลางคืน ความเงียบและความมืดทำให้ผมได้คิดทบทวนในหลายๆ เรื่อง หลายๆ เหตุผล และความเป็นไป

       ผมได้ทบทวนมันอย่างดีแล้ว จึงได้ยอมฟังเหตุผลของผู้กองโดยไม่บ่ายเบี่ยงอะไร ฟังเพื่อตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย ฟังเพื่อให้ใจมันมีทางเดินไป ฟังเพราะหวังลึกๆ ว่าทุกอย่างจะไม่เป็นความจริง

       ผมรู้ว่าผู้กองเป็นคนยังไง แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ใจที่หนักแน่นผมสั่นไหว และมันได้พังลงไปเมื่อได้เห็นภาพนั้น ภาพที่ยังติดตา ร่างสองร่างที่กำลังพลอดรักกันบนเตียงกว้าง ปากที่เคยจูบผม อ้อมกอดที่เป็นของผม เวลาที่เราควรมีร่วมกัน ทุกอย่างมันหายไปแล้ว หายไปอยู่ในมือของคนอื่น ตอนนั้นหัวใจผมมันเจ็บมาก เจ็บจนทนมองหน้าเขาต่อไปไม่ไหว จึงต้องหนีไปตั้งหลักก่อน

       แต่เหตุการณ์มันไม่จบเพียงแค่นั้น ความเจ็บช้ำยังเข้ามาโจมตีไม่หยุดยั้ง พวกเลวที่คิดจะข่มขืนผม ในใจภาวนาให้ผู้กองมาช่วย แต่เขาไม่มา เขาไม่ตามผมมา ถ้าไม่ได้ผู้กองแบล็คผมไม่รู้จริงๆ ว่าชิวิตจะเป็นยังไง จะยังมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกหรือเปล่า แล้วถ้ามีชีวิตอยู่ จะมีชีวิตอย่างเจ็บปวดแบบนั้นได้อย่างไร

       เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้น แต่เขาก็ไม่มา ไม่สนใจว่าผมจะเป็นอย่างไร น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อย่างไร้เสียงสะอื้นอยู่สองสามวัน ก่อนจะเริ่มมีสติแล้วคิดอะไรได้มากขึ้น

       แม้จะมีเหตุผลมากขึ้น แต่หัวใจก็ยังเจ็บปวดอยู่เช่นเดิม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนรอบข้างเป็นเหมือนยาอย่างดีที่คอยเยียวยาจิตใจ ทำให้ผมมีความกล้าที่จะฟังเหตุผลของผู้กอง

       เขาเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ปวดร้าว ระคนเสียใจ ผมได้แต่ฟังเหตุผลอย่างเงียบๆ

      แค่คำพูดมันไม่สามารถลบล้างภาพที่ผมเห็นได้หรอก มันน้อยไปที่จะซื้อความเชื่อ

       ผมเดินออกไปเอาโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตเตอรี่ไว้จนเต็มมายื่นให้ผู้กอง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมมอบให้เขาได้

       และอีกอย่างที่ผมไม่อยากจะเชื่อ และคอยภาวนาให้ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดคือเรื่องของจ่านนท์ ผมภาวนาให้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาต้องไม่ใช่คนทรยศ

       ผู้กองกลับไปพร้อมโทรศัพท์ที่ผมยื้นให้ พร้อมเล่นละครว่ายังทะเลาะกันอยู่ ซึ่งผมไม่ได้แสดงอะไรมากมายแค่ทำไปตามที่ใจต้องการ หึหึ

       ไม่กี่วันต่อมาผู้กองก็กลับมาพร้อมโทรศัพท์ที่ผมให้ไป

       มือที่กำลังกดเล่นวีดีโอสั่นไหวไม่ต่างจากจิตใจผม

       คลิปชายหญิง ที่กำลังถกเถียงโดยมีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คำสารภาพทั้งหมดพรั่งพรูออกมาจากเสียงหวานนั้นจนหมดสิ้น หัวใจที่โดนบีบรัดจนแน่นค่อยๆ คลายตัวออกทีละน้อย พร้อมจังหวะที่เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

       เชื่อแล้ว ผมเชื่อแล้ว แต่…

       ทำไมถึงไม่ตามมา ทำไมปล่อยให้ผมโดนทำร้าย ปล่อยให้ร้องไห้เป็นอาทิตย์ โดยไม่ได้บอกหรืออธิบายอะไรเลย ได้ผมแล้วปล่อยปละละเลยไม่ยอมดูแล พูดแล้วโมโห ไม่คืนดีด้วยหรอก ซิ

       “เชื่อหรือยังว่าไม่มีอะไร พี่โดนวางยา ไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ” แววตาที่ร้อนรน กับสีหน้ากังวล มันน่าดูจริงๆ หึหึ ขอเอาคืนสักหน่อยก็แล้วกัน บังอาจปล่อยปละละเลยกันได้ ถึงตัวผมจะไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบาง แต่ครั้งแรกมันก็เจ็บมากนะ ไออุ่นคนหล่อรับไม่ได้… กระซิกๆ ปาดน้ำตา ประหนึ่งโดนขืนใจ

       ใจที่เริ่มเข้าสู่โหมดปกติก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเอง ที่มีสาระ???

       “ผมเชื่อ” เจ้าตัวเผยรอยยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด แต่คำพูดผมไม่จบแค่นี้หรอกที่รัก หึหึ

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เชื่อพี่” รอยยิ้มหวานอย่างเอาใจ ทำให้ใบหน้าที่หล่ออยู่แล้วนั้นหล่อขึ้นไปอีก มันดูสว่างไสว จนไม่อยากละสายตา แต่มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก เอ่อ ทำได้นิดหน่อยก็ได้ แต่แค่นิดหน่อยนะ นิดหน่อย

       อ้อมแขนแกร่งอ้าออกเพื่อรวบกอดร่างของผม แต่ผมเอียงหนีอ้อมกอดนั้น สร้างความไม่เข้าใจแก่เจ้าของแขนแกร่งเป็นอย่างมาก คำถามจึงถูกส่งผ่านทางสีหน้าที่ไม่เข้าใจ

       “ผมเข้าใจเรื่อนี้ แต่ใช่ว่าเรื่องอื่นผมจะเข้าใจ และพอใจ”

       “เรื่องอะไรครับ” แหมเสียงอ่อนเสียงหวานจังเลยนะ คิดว่าจะใจอ่อนเหรอฝันไปเถอะ

       “ก็เรื่องที่ได้แล้วปล่อยปละละเลย ไม่มาหา ไม่อธิบาย ไม่สนใจ ปล่อยให้เสียใจเกือบอาทิตย์โดยไม่อธิบายหรือมาสนใจเลย” ได้ทีต้องเอาให้สุด

       “พี่ขอโทษครับที่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรอีก เลยทำให้เราคิดมาก พี่ไม่ได้อยากทิ้งเราไว้แบบนั้น พี่อยากนอนกอดไออุ่นแทบตาย อยากดูแลตอนไออุ่นตื่นมา อยากให้งอแงใส่ อยากอยู่ข้างๆตลอดเวลา แต่ก็ทำไม่ได้ ขอโทษนะครับ และขอโทษที่ปล่อยให้เราเจอเรื่องร้ายๆ โดยไม่ได้ไปช่วย แต่พี่สัญญาว่าจะจัดการกับพวกที่มายุ่งกับไออุ่นอย่างสาสมแน่นอน”

       ท่าทางเก้ๆกังๆในการอธิบายที่ยืดยาวนี้ก็น่าเอ็นดูเหมือนกันนะ เฮ้ย! ไม่ได้ จะใจอ่อนตอนนี้ไม่ได้ ฮึบไว้ไออุ่น ฮึบไว้

       “ไม่รู้แหละผมเสียใจและเสียความรู้สึกมาก มากๆ”

       “แล้วพี่ต้องทำยังไงล่ะครับ ไออุ่นถึงจะใจอ่อนยกโทษให้” เสียงอ่อนโยนพร้อมใบหน้าที่พยายามจะอ้อนนั่นมันอะไร สีหน้าอ้อนๆ แบบไม่มั่นใจนั้นมัน…น่ารักดีนะ

       “ไม่รู้ คิดเองสิ โตแล้วก็ต้องให้บอกด้วย” แค่ง้อน่ะ เข้าใจไหม แค่ง้อกันบ่อยๆ ก็หายแล้ว


       +   +   +

       วันนี้เป็นคืนวันก่อนที่เรือยอชต์จะล่องไปกลางทะเล ผมรู้แผนการที่ทุกคนคิดจะทำ ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ถึงบางครั้งมันก็อยากจะห้ามเพราะกลัวการสูญเสียก็ตาม

     กลางดึกผมรับรู้ถึงวงแขนหนักที่พาดลงมาที่เอว ทำให้ผมที่ยังไม่หลับสนิทรู้สึกตัวขึ้นมาได้ยินประโยคที่เอื้อนเอ่ย จึงรู้ว่าคนที่กำลังกอดตอนนี้เป็นใคร

       “ฝันดีนะครับ”

       “พรุ่งนี้ขอให้โชคดี” ผมตอบกลับเบาๆ ตามความง่วง

      “ไออุ่น…” น้ำเสียงที่เริงร่าทำให้ผมต้องหยุดคำพูดของเขาเอาไว้ก่อน

       “ไม่ต้องพูดอะไร” เขาเงียบหลังจากผมพูดจบ ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา รอให้เรื่องทุกอย่างจบแล้ว ผมจะพิจารณาโทษอีกที ผมอยากให้เขาโฟกัสแค่เรื่องที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ก่อน

       ผมรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น ให้ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากคนข้างกาย ผมไม่ได้ห้ามปรามอะไร ปล่อยให้ผู้กองทำในสิ่งที่เขาต้องการไป

       ขอให้วันพรุ่งนี้ทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดีเถิด ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ผู้กองปลอดภัย สาธุ...

+   +   +


       การรอคอยนั้นแสนทรมาน เราเดิมพันทุกสิ่งอย่างไว้ในครั้งนี้ ถ้าผลมันออกมาสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ เรื่องเลวร้ายทุกอย่าง เอ่อ…นอกจากเรื่องซอมบี้น่ะนะ จะจบลงทันที แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง พวกเราก็จบเช่นกัน

       ตอนนี้เวลา 0.45น. เรากำลังกางเต็นท์อยู่ที่ท่าเรือร้างเพื่อเตรียมตัวหลบหนีเผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงต้องเตียมหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า

       ได้แต่ภาวนาอย่าให้เราได้หนีเลย ถ้าเราได้หนีนั้นก็แสดงว่าทุกอย่างล้มเหลว ผมไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น

       ลมทะเลที่ประทะเข้ากับเต็นท์ทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดเจ้าตัวเล็ก เพราะกลัวเขาจะตื่นขึ้นมากลางดึก เต็นท์ที่เรานอนเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ที่สามารถนอนรวมกันได้หมด ทั้งผม ลมหนาว น้องมิว ไอ้ริว และเจ้าตัวเล็กมิดไนท์  โดยมีเต็นท์เล็กของพี่ทหารอีกสองคนกางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นทหารที่ผู้กองให้อยู่ดูแลเรา

       “ยังไม่หลับอีกเหรอ” เสียงแหบเบาๆ ของแมนนี่ดังขึ้นมาในความมืด

       “อืม นอนไม่หลับ” ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้

       “เป็นห่วงผู้กองเหรอ” เสียงเดิมดั่งขึ้นอีกครั้งในความมืดมิด พร้อมน้ำเสียงที่ล้อเลียนหน่อยๆ

       “เป็นห่วงทุกคนนั้นแหละ” เรื่องอะไรจะยอมรับ แล้วผมก็ไม่ได้โกหกด้วยนะ ผมห่วงทุกคนจริงๆ ถึงจะห่วงผู้กองมากกว่าคนอื่นก็ตาม แต่ผมจะไม่พูดออกไปให้โดนล้อแน่นอน

       “แล้วแต่มึงเถอะ แต่อย่าเล่นตัวให้มันมากนักล่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ดังนั้นอะไรที่เราทำแล้วมันมีความสุขก็ทำเถอะ อะไรปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยๆ ไปบ้าง”

       “วาว!! มีสาระด้วยว่ะ ไม่น่าเชื่อ” ยากมากที่มันจะพูดอะไรดีๆ มีสาระออกมาแบบนี้ อยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ นี่เพื่อนผมๆ

       “กูก็มีสาระตลอดเหอะ”

       “เหรอ!!” มีสาระมาก!! พูดแบบมองบน แต่ดันลืมว่ามันมืด

       “เออ!” เรื่องเลยจบลงซะนี่แล

       “มึงว่าทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง” เสียงที่เพิ่งเงียบไปไม่นานเอ่ยผ่านความมืดขึ้นมาอีกครั้ง

       “ทุกคนต้องปลอดภัย เรื่องทุกอย่างจะต้องจบ” ผมภาวนาทุกวินาทีให้มันเป็นแบบนั้น ให้ทุกคนปลอดภัย

       “ใช่ทุกคนต้องปลอดภัย เรื่องมันจะจบลงด้วยดี” แม้เราจะห่วงมากแค่ไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่การปลอบใจตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวทุกคน

       “มัม งือ… คุย ราย…” เสียงยานคางดังขึ้นมาจากอ้อมกอดผม ทำให้เราต้องหยุดบทสนทนาทั้งหมดทันที

       “ขอโทษครับ นอนต่อเถอะ” ผมบอกเสียงเบาๆ พร้อมลูบหลังเจ้าตัวเล็กไปด้วย

       “งือ…” แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ผมไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก เพราะไม่อยากรบกวนการนอนน้องๆ

       แต่ความเงียบก็ไม่สามารถทำให้ผมหลับได้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ตอนนี้กี่โมงแล้ว จะตีสาม หรือตีสี่ก็ไม่แน่ใจที่ความง่วงเข้ามาทักทาย ทำให้ผมได้หลับไป สมองที่กำลังหนักอึ้งค่อยๆ เบาลงๆ จนเลือนหายไปพร้อมสติของผม เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา ทิ้งปัญหาไว้ให้เป็นเรื่องอนาคต…

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
       “ไออุ่น ไออุ่น อุ่นครับ ตื่นได้แล้ว เช้าแล้ว ตื่นเถอะคนดี” งือ เสียงอะไร คนจะนอน ง่วง!!

       “ฮือ…จะนอน…” คนจะนอน เสียงดังทำไม

       “ถ้าจะนอนต่อก็ตื่นมากินข้าวเช้าก่อนครับ ค่อยนอน” ไม่กงไม่กินอะไรทั้งนั้น…

       “จะนอน!” ใครมันช่างกล้ามารบกวนการนอนของผม เดี๋ยวปั๊ดยิงธนูปักหัวซะเลย

       “จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ” อือ… อะไรร้อนๆ นุ่มๆ มาแตะที่หน้าอะ งือ… มันไม่ยอมหยุดเลย

       “จุ๊บ” ฮือ มดกัดปาก เจ็บ

       “เจ็บ” พูดทั้งที่ตายังหลับอยู่ ไม่อยากลืมตามาสู้แสงเลยจริงๆ

       “พี่ขบเบาๆ เอง จุ๊บ ตื่นเถอะครับ ไม่ตื่นระวังโดนลักหลับนะ” หืม?

       ผมกระเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทั้งที่สมองยังประมวลเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เหมือนจะทำไปตามสัญชาตญาณ

       “ลักตอนตื่นไม่ได้เหรอ” พร้อมปากที่โพลงออกไปแบบไม่ได้กลั่นกรอง และเมื่อสติกำลังกลับเข้ามา ทำให้ผมรู้ว่า

       ผมพูดเชี่ยอะไรไปเนี่ย โคตรอ้อยเลย น่าอายจริงๆ

       “เอาแบบนั้นเหรอ มันจะดีนะ” หือ ผมว่าประโยคหลังมันแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อะไรคือมันจะดีนะ

       แล้วผมก็รู้สึกว่าจะลืมอะไรไปสักอย่างนะ หันไปมองรอบๆ เต็นท์ ก็สบเข้ากับนัยตาของคนที่ผมคิดเรื่องเขาเกือบทั้งคืน

       “ผู้กอง” แขนผมอ้าเข้าไปรวบคนตัวโตเข้าไว้ในอ้อมแขนทันที ไม่รู้ว่าที่ทำไปเพราะสติมีน้อย หรือเพราะความเป็นห่วงกันแน่ “เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

       “ไม่ครับ พี่ปลอดภัยดี ไม่เจ็บตรงไหนเลย” เสียงพูดมาพร้อมกับแรงกอดที่อบอุ่น

       “จริงนะ” ผมถามย้ำ และเริ่มสำรวจตัวเขาเป็นครั้งแรก หน้าตาที่หล่อเข้ม แต้มด้วยริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้า เขาทำงานหนักมากจริงๆ อย่างนี้ผมจะโกรธเขาต่อได้ยังไงกัน

       “ครับผม พี่จะหลอกเราทำไมกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างแตกต่างจากวันแรกที่เจอกัน จากน้ำเสียงแข็งกระด้าง กลับอ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกัน เวลาไม่นานทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ใช่แค่ผู้กองที่เปลี่ยนแต่รวมถึงผมด้วย

       ผมเขินวะ งือ…ความหล่อแมนแฮนซั่มของผมลดลง เพราะผู้กองเนี่ยแหละ ไออุ่นแทบรับตัวเองไม่ได้ กระซิกๆ

       “แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม คะ ครับ” แล้วผมจะตะกุกตะกักทำไมเนี่ย โอ้ยยอยากเอาปากไถดิน

       “ทุกอย่างมันจบแล้ว มันจบแล้วจริงๆ แต่…” ผู้กองเล่าทุกเรื่องให้ฟัง รวมทั้งเรื่องจ่านนท์ด้วย ถึงจะไม่ชอบที่จ่านนท์ทำ แต่ผมก็อดเสียใจเรื่องที่แกจากไปไม่ได้

       ผมขออโหสิกรรมให้จ่านะครับ ในทุกสิ่งที่จ่าทำลงไป ผมอภัยให้…

       ความคิดผมกลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน เพราะมือหนาที่กำลังดึงมือผมไปกุมไว้อยู่ตอนนี้ พร้อมมองผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง แต่อ่อนโยน และขอร้อง ขอร้องเรื่องอะไรกัน

       “ไออุ่น พี่รู้ว่าพี่ทำหลายอย่างผิดผลาดไป พี่ไม่ได้อยากจะแก้ตัวให้ตนเองดูดีขึ้น แต่พี่อยากบอกว่าขอโทษนะครับ เพราะพี่ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบกับใคร วันๆ อยู่แต่กับการฝึกและเพื่อนฝูง จบมาแล้วก็ทำงานอย่างจริงจัง ประสบการณ์เรื่องความรักแทบเป็นศูนย์ อะไรที่พี่ทำไม่ดี อุ่นบอกและเตือนพี่ได้ เราจะเรียนรู้เรื่องรักไปได้ด้วยกัน ขอโทษที่ปล่อยปละละเลย ขอโทษครับที่ไม่ได้ดูแล ให้อภัยกันเถอะนะ สัญญาว่าจะทำให้ดีขึ้น จะไม่ทำให้ใบหน้าที่มีความสุขนี้เปื้อนน้ำตาอีกแล้ว รักนะครับ”

       นี่ผมจะซึ่งหรือเขินก่อนดีครับ งือ… ยอมแล้ว แพ้แล้ว ไม่คิดว่าคำพูดที่ออกจากใบหน้าคมนิ่งนั่น จะเขย่าหัวใจผมได้ขนาดนี้ แพ้ราบคาบ แทบละลายเหมือนก้อนน้ำแข็งกลางแดดเดือนเมษายนเลย อยากติดแฮชแท็ก #ผู้กองเปลี่ยนไป #ผู้กองแสนเย็นชาหายไปใน #กูเขินงือ

        “ผมให้อภัย” ใครมันจะทนใจแข็งต่อได้หละ งือ อยากละลายไหลลงท่อระบายน้ำไป ไม่กล้ามองหน้าเลยตอนนี้ เขิน… RIP ความแมนตู

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ พี่สัญญาจะไม่ทำให้เสียใจอีก” ไม่พูดเปล่ารวบตัวผมเข้าไปกอดซะแน่นเลย แล้วไอ้คำว่าพี่มันจี้ใจไอ้อุ่นจริงๆ ใครมีการ์ดป้องกันความเขินไหมส่งมาให้ที จะตายอยู่แล้ว

       “ทำให้ได้ด้วย” ผมพูดทั้งที่หน้ายังซบอยู่ที่ไหล่ผู้กอง ใครมันจะกล้าเอาหน้าแดงก่ำนั้นออกมาโชว์ล่ะ ถึงท่าทางจะดูบ้า แต่พี่ก็หน้าบางนะน้อง งือ…

       “ครับที่รัก” แม่งนี่กะไม่ให้หัวใจผมหยุดพักเลยใช่ไหม โอ้ย มุด มุด ผมต้องมุดหนีไปจากตรงนี้

       “อุ่นมุดเสื้อพี่ทำไมครับ” ยังมีหน้ามาถามอีก ทำตูเขินซะขนาดนี้ ไม่โดดลงทะเลก็ดีแค่ไหนแล้ว

       “หยุดพูดเลย!! งือ…”  ไออุ่นจะไม่ทนต่อบรรยากาศความหวานชมพูอมม่วงนี้

       “ทำไมหน้าแดงจัง เขินเหรอครับ” ยังมีหน้ามายิ้มอบอุ่นให้อีก ดูสิยิ้มแล้วดูหล่อขนาดไหน ไม่!!!

       “บอกให้หยุดพูดไง!!  เขินจะตายอยู่แล้ว!” มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกไม่เขิน คงไม่มีใครเชื่อ งั้นยอมรับไปเลยแล้วกัน แมนพอ

       “โอเคๆ ไม่พูดแล้วๆ” จุ๊บ จุ๊บ ไม่พูดแต่จุ๊บแก้มแทนเนี่ยนะ จ้า ช่วยได้มากเลย ไม่เขินมากขึ้นเล๊ย ไม่เลยจริงจริ๊ง

       “ทุกคนไปไหนหมด” ณ จุดๆนี้ เปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า แต่เอ๋!! แล้วเป็นไงมาไงตอนนี้ผมถึงมานั่งอยู่บนตักผู้กองได้

       พยายามกระเถิบตูดลงไปนั่งที่พื้น แต่โดนอ้อมแขนแกร่งรั่งเอาไว้  นี่แขนหรือเหล็กกันแน่ แทบไม่กระดิกเลยตัวผม

      “กลับไปบ้านหมดแล้วครับ พี่รอเราตื่นอยู่” ผมขี้เซาขนาดนี้เลยเหรอ ทุกคนกลับบ้านหมด ผมยังนอนไม่รู้เรื่องเลย ซอมบี้มาคงตายก่อนเพื่อน

       “แล้วเมื่อไหร่จะปล่อย จะได้เก็บของกลับบ้าน” ไม่หนักบ้างหรือไง ตัวผมก็ไม่ใช่เบาๆ นะ

       “ไม่อยากปล่อยเลย กอดอยู่แบบนี้ตลอดไม่ได้เหรอ” แม่ง ซอมบี้กินผู้กองแสนเย็นชาตูเข้าไปแน่ๆ เลย แล้วไอ้แววตาแพรวพราวนั้นคืออะไร หมั่นไส้กัดคอซะเลย

       “โอ้ย!! เจ็บๆๆ” แหม่ กัดแค่เบาๆ ทำเป็นเล่นใหญ่ กัดอีกซักทีดีไหม

       “ปล่อยเลย รีบเก็บของกลับบ้าน ป่านนี้ทุกคนคงตกใจเรื่องจ่านนท์กันหมดแล้ว เด็กๆ คงเสียใจกันมาก” สำหรับเด็กๆ จ่านนท์ยังเป็นคนเดิมของพวกเขา เรื่องต่างๆ เราเลือกที่จะปิดเอาไว้ ให้เขารู้แต่เรื่องที่ดีๆ จะดีกว่า

       “ได้ครับ ออกไปรอข้างนอกนะ เดี๋ยวเก็บให้เอง” อือหือเอาใจจนรู้สึกว่าตัวเองสวย ผมของผมยาวถึงเชียงใหม่หรือยัง สะบัดผมสวยๆ เอ๋ มันใช่เหรอ

       “ไม่เอา เก็บด้วยกันนี่แหละจะได้เสร็จเร็วๆ” นี่ไออุ่นคนแมนเองครับทุกคน เมื่อกี่เป็นแค่ภาพลวงตา

       เราช่วยกันเก็บของ เก็บเต็นท์แล้วรีบกลับไปที่บ้านทันที ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่ตัวบ้าน บรรยากาศความโศกเศร้าก็ตีเข้ามาทันที โดยเฉพาะไอ้น้องริวที่ร้องไห้ไม่หยุดจนหมวดโฟรคต้องปลอบโยนอยู่นาน

       เราตกลงจะจัดงานศพที่วัดตามพิธีกรรมทางศาสนา มีพระที่วัดมาสวด และเผาในวันต่อมา ดีที่วัดยังมีพระอยู่ แต่จะให้จัดงานสวดหลายวันคงไม่สะดวกเท่าไหร่

       งานศพส่วนมากจะมีแต่พวกเรากันเอง มีเพิ่มมาคือเมียของจ่า แต่ดูเธอจะเกลียดพวกเรามาก ก็แน่ล่ะเธอเป็นญาติกับอดีตผู้นำหนิ ขนาดไอ้น้องริวเป็นหลานสามีของเธอ เธอยังไม่สนใจเลย ทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากันซะอย่างนั้น

       หลังจบงานศพก็ถึงเวลาที่ต้องเคลียร์เรื่องต่างๆ เรากำลังประชุมกันที่บ้านผู้นำคนใหม่ ผมไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขาตั้งแต่ที่เขาช่วยผมในวันนั้นแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ด่าในใจซะป่นปี้เลย แหะๆ แต่ก็สมควรแหละ ตอนนั้นใครใช้ให้ปากสุนัขล่ะ

       ในห้องมีทหารเกือบร้อยนาย มีผู้นำนั่งอยู่ข้างหน้าบนเวทียกสูง ยังกับมาอบรมแหนะ ถ้าไม่ติดว่าคนที่นั่งเป็นจุดศูนย์กลางหน้ากวนทีนน่ะนะ

       “ฉันเป็นผู้นำคนใหม่ คนเก่าก็ตามนั้นแหละ ตายห่าไปแล้ว” อือหือ…ยังปากสุนัขเหมือนเดิม “สิ่งแรกที่เราต้องทำตอนนี้คือนำเสบียงไปแจกจ่าย เหลือสำรองไว้แค่ 10% เราจะไม่ใช่แค่ไปแจก แต่เราต้องไปให้ความรู้เรื่องการปลูกผักสวนครัวด้วย ให้ชาวบ้านได้รู้จักช่วยเหลือตนเอง มากกว่ารอความช่วยเหลือ ส่วนอาหารทะเลที่ได้มาแต่ละวันแบ่งให้ชาวบ้าน 90%” โอเค พูดดี จะลืมๆ เรื่องปากสุนัขไปก็แล้วกัน

       “วัคซีน แจกให้ทุกคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น ทหาร คนงานทำไร่ และอาสาที่ดูแลตามค่ายต่างๆ ผู้กองธามจะเป็นผู้นำในแผ่นดินใหญ่ ดูแลและตัดสินใจทุกอย่าง” ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นใหม่ ได้แต่หวังว่าจะไม่ดีแตกตอนท้ายนะ

       แล้วพวกเขาก็ประชุมกันต่อในเรื่องต่างๆ ทั้งอาวุธ ยารักษาโรค เรื่องนมเด็ก การให้กำเนิดในสภาวการณ์ที่เลวร้ายนี้ และอีกมากมาย ผมแทบหลับ แต่ไม่ได้ๆ เราจะหลับในที่ประชุมไม่ได้ มันไม่ดี

       เรามีแผลนจะกลับกาญจนบุรีในวันพรุ่งนี้ เพราะมันเลยกำหนดการมาเยอะแล้ว เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งเรื่องการขยายพื้นที่เพาะปลูก การส่งเสบียงให้แต่ละค่าย และอีกมาก แค่คิดก็เหนื่อยแทน

       วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่ เราทุกคนจึงเลือกที่จะออกไปช่วยทหารแจกของและให้ความรู้เรื่องปลูกพืชผักแก่ชาวบ้าน เป็นไง เป็นคนดีใช่ไหมล่ะ  ทั้งหล่อ ทั้งดี ผมรักตัวเองจัง แต่งงานกับตัวเองได้ไหมเนี่ย

       “ทำหน้าบ้าบออะไรของแกยะ ฝันกลางวันหรือไง” เสียงมารก็เข้ามาแทรกคนดีๆ ที่กำลังชื่นชมตัวเองอยู่ มารร้ายซะด้วย

       “กูกำลังชื่นชมความดีของตัวเองอยู่เว้ย” แล้วก็โดนมารมาขัดความความคิดอยู่นี่ไง

       “ช่างกล้าพูด ไม่อายปากเลยนะยะ” ไม่พูดเปล่ายังเบะปากใส่อีก แล้วทำไมต้องอาย ก็ผมเป็นคนดีที่น่าชื่นชม จริงไหมครับ

       
       “มัมครับ ดูน้องหมาสิ เหมือนข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลย” เสียงใสของเจ้าตัวเล็กเข้ามาขัดจังหวะเราเข้าซะก่อน พร้อมนิ้วที่ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะที่เรากำลังนั่งรถที่วิ่งช้าๆ เพื่อแจกจ่ายของ

       “เหมือนจริงด้วย” แต่ผอมไปนิด คงได้กินน้อยมากสิท่า น่าสงสาร

       “เราเข้าไปเล่นกับมันได้ไหมคราฟ” ตาใสแจ๋วจ่องมาอย่างอ้อนวอน แล้วผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงกัน

       “ครับ แต่เราค่อยเข้าไปด้วยกันเนาะ ไปแจกบ้านหลังนั้นก่อน ค่อยมาหลังนี้” ผมไม่อยากให้เขาเข้าไปเอง ถึงหมาจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่เราระวังไว้ดีกว่า

       “ปล่อยให้หมู่นาย หมู่เทน กับแมนนี่ไปแจกหลังนั้นเถอะ เราไปหลังนี้เลยก็ได้” ผู้กองที่เพิ่งออกจากบ้านด้านหลังมาคงเดินมาได้ยินที่คุยกันพอดี แต่แหม ตามใจกันเกิน… มิดไนท์พูดอะไรขึ้นมาผู้กองแทบไม่ขัดใจเลย ตามใจกันมาก โตขึ้นจะเป็นคนเอาแต่ใจไหมเนี่ย

       “ป๊า อยากเล่นกับน้องหมา” นั้นกอดขาหมับเข้าให้พร้อมสงสายตาออดอ้อน ตามใจกันแน่ๆ หมอลักขโมยฟันธง

       “ได้สิครับ เดี๋ยวป๊าพาไป” นั้นไง ทายแม่นขนาดนี้ไปเปิดสำนักทายหวยคงจะรุ่ง เอ่อ แต่ตอนนี้มันไม่มีหวยขายนี่หว่า จบๆ กับเรื่องนี้

       ผมเดินตามสองพ่อลูกเข้าไปในบ้านหลังนั้น พูดว่าสองพ่อลูก แล้วมันจักจี้ที่ใจยังไงไม่รู้

       นั่งเล่นกับหมาอย่างเพลิดเพลินเลยนะ นี่ไม่คิดจะเรียกเจ้าของบ้านเลยเหรอ ยอมใจจริงๆ

       “แงๆๆ” อยู่ดีๆ เสียงเด็กร้องก็ดังขึ้นมาจากในบ้าน ร้องอย่างจริงจังมาก ได้ยินแล้วน่าสงสาร

       “ขอโทษนะครับมีใครอยู่ไหม!” ผมตะโกนเข้าไปด้านใน เพื่อเรียกเจ้าของบ้านให้รู้ว่าเรามาหา

       แกรก!!…แอ๊ด...เสียงเปิดประตู พร้อมกับผู้หญิงวัย 40-50 กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมกอด

       “มาทำอะไรกันเยอะแยะ” คำแรกที่ถูกทักทายจากผู้หญิงคนนี้

       “เราเอาเสบียงมาส่ง น้องผมเลยอย่างเล่นกับหมาน่ะครับ” ผมตอบกลับอย่างสุภาพ ถึงใจจะสถุนก็ตาม

       “ไม่เคยเห็นหน้าเลยทหารใหม่เหรอ” เธอถามผู้กองด้วยหน้าตาที่สงสัย ในขณะที่เด็กยังร้องไห้ไม่หยุด

       “เด็กเป็นอะไร ทำไมร้องไห้ไม่หยุด” ผู้กองถามกลับแทนที่จะตอบคำถามที่โดนป้าแกถามมา

      เด็กตัวน้อย ผิวขาว ตาโต หน้าตาน่ารัก แต่ค่อนข้างผอม ดูอายุแล้วน่าจะประมาณ 6-8 เดือน ร้องไห้ไม่หยุดจนตัวแดงไปหมด เห็นแล้วน่าสงสาร

       “เด็กหิวน่ะ” เธอตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบตึง อย่างไม่สบอารมณ์ เหมือนรำคาญเด็กมาก

       มันยังไงกันแน่ ผมว่ามันเริ่มไม่ปกติแล้วนะ

       “ทำไมไม่ป้อนนม” ผู้กองพูดขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่สายตาเป็นห่วงเด็กอย่างเห็นได้ชัด

       “จะเอานมที่ไหนหละ ข้าวยังไม่มีจะกิน” เธอทำสีหน้าเหมือนเราพูดไม่รู้จักคิด ผมก็เข้าใจว่าหานมผงคงไม่ได้ แต่ที่ผู้กองบอกหมายถึงนมแม่ต่างหากล่ะ ดูสิเด็กก็ร้องไม่หยุดเลย

       “หมายถึงนมแม่” เห็นไหมผู้กองคิดแบบที่ผมคิดเลย

       “แม่มันตายได้สองสัปดาห์แล้ว จะให้ดูดนมศพรึไง” ป้าช่างวาจาวอนทีนจริงๆ ถ้าแมนนี่มาด้วยคงสนุกพิลึก ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ถ้าคนอื่นมองคงเห็นแค่ใบหน้าเรียบนิ่งไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่กับผม ผมมองออกว่าผู้กองกำลังอดทนอยู่

       “แล้วเด็กกินอะไร” ผู้กองจะตบะแตกตอนไหนวะเนี่ย แล้วไอ้ตัวเล็กของเราก็เล่นกับหมาเพลินไม่ได้สนใจใครเลย

       “มีอะไรกินก็กิน” อือหือ ได้ยินแล้วปวดใจ เด็กตัวแค่นี้เอง ทำไมต้องมาทนกลับความเลวร้ายนี้ด้วย

       “เลี้ยงเขาดีๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอครับ” ผมทนไม่ได้จริงๆ ขอพูดหน่อยเถอะ

       “เลี้ยงให้ก็บุญแค่ไหนแล้ว กะอีแค่ลูกของผู้หญิงที่โดนผัวญี่ปุ่นทิ้ง แล้วใจเสาะตรอมใจตาย ทำไมฉันจะต้องลงทุนขนาดนั้นด้วย” โอ้โหมันปวดแป๊ปที่หัวใจ กับถ้อยคำที่ได้ยิน

       “แต่นั้นแค่เด็กเองนะ เด็กตัวเล็กๆ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” ไม่รู้จะพูดภาษาไหนกับแกดีถึงจะเข้าใจ

       “ไม่พอใจเหรอ เอาไปเลี้ยงเองไหม ฉันก็รำคาญเต็มทนแล้ว” เธอพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใย แสดงออกว่าต้องการกำจัดน้องออกจากชีวิตอย่างชัดเจน

       “อุ่น” อะไรคือการหันมามองอย่างอ้อนวอน ต้องการอะไรไม่ทราบคุณผู้กอง

       “อะไรครับ”

       “รับเลี้ยงเด็กคนนี้เถอะ” อ๋อ อยากรับดูแลเด็กคนนี้ อยากรับก็รับสิจะถามผมทำไมกัน

       “ผู้กองอยากดูแลเด็กคนนี้ ก็ตามใจผู้กองเลย” ถามผมทำไม

       “ไม่ได้หมายถึงฉันดูแล”

       “อ่าว!” ไม่ได้ดูแลแล้วถามทำไม จะเอายังไงกันแน่

       “แต่หมายถึง เรา ช่วยกันดูแลเด็กคนนี้เหมือนลูกเราอีกคนเถอะ ให้เขามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา ฉันสงสารเขา เขาไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้” แล้วผมไปเป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้กองได้ยังไงละเนี่ย แล้วทำไมใจผมต้องสั่นไหวด้วย งือ…

       “ก็ได้ครับ” แค่เด็กคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ แล้วอีกอย่างน้องน่ารัก และน่าสงสารมาก


+    +     +     +

       ‘คำว่าก็ได้’ ของผมส่งผลให้ตอนนี้มีเด็กผู้หญิงน่ารัก อายุ 8 เดือน กำลังอยู่ในอ้อมแขนตอนนี้ในบ้านริมหาด

       ทุกคนดูจะหลงรักน้อง ‘ไอรัก’ เหลือเกิน โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ที่เห่อน้องมากๆ ดีใจที่ตัวเองได้เป็นพี่ และมีน้องให้ดูแล รองลงมาคงเป็นผู้กองที่เป็นคนตั้งชื่อให้ แถมยังแทนตัวเองว่าปะป๊า กับไอรักด้วย ไอ้แทนตัวเองว่าปะป๊าไม่เท่าไหร่ แต่การที่ให้ไอรักเรียกผมว่า มัม มันคืออะไร ผมเป็นผู้ชายนะ!! ถึงจะมีสามีก็ตาม แคกๆ ไม่รู้อะไรติดคอ เมื่อกี่ผมพูดว่าอะไรนะ แหะๆ

       แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้ภาพครอบครัวมันเด่นชัดขึ้น รู้สึกใจเต้นแปลกๆ อีกแล้ว หรือผมเป็นโรคหัวใจวะ ใช่แน่ๆ ต้องไปหาหมอ!!

       แต่การเลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผ่านมาแค่วันเดียวก็แทบตาย นี่ยังต้องเดินทางกลับในวันนี้อีก คงร้องไห้ไม่หยุดแน่เลย

       ตอนนี้ผมกำลังแต่งตัวให้หนูน้อยไอรัก เนื่องจากเสื้อผ้าที่เรามีไม่มาก จึงไม่มีตัวเลือกมากนัก ใส่เท่าที่มีให้ใส่ เก่าหน่อยแต่ยังใช้ได้

       “แต่งตัวเสร็จรึยัง” ยักปักหลักเดินเข้ามาในห้อง อย่าบอกผู้กองนะครับว่าผมเรียกแบบนี้ ไม่ได้กลัวนะ แค่เกรงใจ

       “เสร็จแล้วคราฟป๊า แต่เสื้อน้องไม่สวยเลย” ยังไม่ได้อ้าปากเลย ก็มีสุดหล่อตอบแทนซะแล้ว แถมยังวิจารณ์เสื้อผ้าน้องอีก แต่ผมก็เห็นด้วยนะ แต่จะทำยังไงได้สถานการณ์แบบนี้จะไปหาเสื้อผ้าที่ไหนได้

       “กลับไปแล้วป๊าจะหาเสื้อผ้าสวยๆ มาให้น้องเอง” หาได้ที่นี่สินะ ที่ที่มีผู้กองอยู่ ดีจริงๆ

       “เอาน่ารักๆ นะคราฟ น้องน่ารัก จุ๊บ” ไม่พูดเปล่า มีมาจุ๊บแก้มน้องด้วย

       “คิ๊กๆ แอะ” นั้นมียิ้มตอบกลับด้วย เข้ากันได้เร็วจริงๆ แค่วันเดียวเองนะ

       “เห็นไหมมัม น้องฟังมิดไนท์รู้เรื่องด้วยคราฟ” อะครับ เห็นแล้ว เห็นตอบกลับว่าแอะ แล้ว แอะ มันแปลว่าอะไร?

       “ครับ น่ารักทั้งสองคนเลย” น่ารักจริงๆนะ ถ้าไอรักอ้วนขึ้นอีกนิดจะน่ารักมากเลย ถึงตอนนี้จะผอมแต่ก็ยังน่ารักอยู่

       “เก็บของเสร็จหรือยังครับ” ไม่ชินกับคำว่าครับสักที

       “เสร็จแล้ว คะ ครับ” สั่นทุกทีสิน่า

       “ยังไม่หายเขินอีกเหรอ” จะพูดทำไม เดี๋ยวก้านคอเลย

       “ใครเขิน ไม่ได้เขิ๊น!” สงสัยเจ็บคอ เสียงเลยสูง ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ

       “ครับๆ ไม่เขิน ก็ไม่เขิน อาหารของไอรัก มิดไนท์เตรียมพร้อมแล้วนะครับ” หน้าที่ดูแลทุกอย่างของมิดไนท์ กับไอรักเป็นของผม เช่นเดียวกับหน้าที่เตรียมอาหารที่เป็นของผู้กอง ผมก็ทำได้นะอาหาร แต่ไม่รู้จะกินได้รึเปล่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยอย่าให้ผมทำเลยดีกว่า

       “เราจะดูแลเขาได้จริงๆ เหรอ” ถึงผมจะเคยดูแลมิดไนท์ แต่เป็นการดูแลชั่วครั้งชั่วคราว ได้ดูแลจริงๆ จังๆ ก็ตอนน้องอายุ 4 ขวบแล้ว คือตอนที่เกิดเรื่องซอมบี้ขึ้น ผมไม่มั้นใจเลยว่าจะทำทุกอย่างได้ดี

       “ไม่เป็นไรเราจะดูแลเขาด้วยกัน ที่นั่นยังมีคนที่คอยให้คำแนะนำ และช่วยเหลือเราอีกเยอะ ไม่ต้องคิดมากหรอก” จริงสิ ที่นั้นยังมีป้าๆ ที่น่ารักตั้งหลายคนหนิ ลืมคิดไปเลย สงสัยจากมานานเลยลืม ป้ารู้ต้องงอลแน่ๆ

        “ปะ ไปกินข้าวกันเจ้าหญิง” อือหือ หลงขั้นสุด

       “แอะ คิกๆๆ อะ แอะ” อันนี้ก็ดันชอบ

       “รีบๆ อาบน้ำนะครับ พี่พาเจ้าหญิงไปกินข้าวก่อน ไปที่นู้นคงต้องออกตามหานมผงตามห้างสรรพสินค้ามาให้เจ้าหญิงแล้ว จะได้ไม่ผอมแบบนี้” พูดถึงแล้วก็น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้ ต้องมาอดอยาก พ่อก็ทิ้ง แม่ก็จากไป แต่ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เราจะดูแลเขาเป็นอย่างดี ปล.เท่าที่ผมจะทำได้นะ เดี๋ยวคาดหวังกับผมสูงเกินไป พูดดักไว้ก่อน

       “เดี๋ยวตามไปครับ”

       “จุ๊บ ตามมานะ” อะไรคือการจุ๊บหน้าผากต่อหน้ามิดไนท์ และไอรัก งือ ใจผมมันอ่อนแอ แพ้อะไรหวานๆ แคกๆ ไม่ใช่แล้วๆ

         “อิอิ” อะไรคือ ปิดตาแต่กลางมือมิดไนท์ แล้วยังมาหัวเราะอีก

       “แอะๆ คริคริ แอะ” แล้วคนนี้รู้เรื่องกับเขาด้วยเหรอ เห็นพี่ขำก็ขำตาม

       แล้วก็พากันออกไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าแดงอยู่คนเดียว

       ผมมองกระเจอคนหน้าหล่อที่กำลังยืนยิ้มด้วยหน้าแดงๆ เขาหล่อมากเลยนะ ใครวะในกระจกหล่อจัง ตอนนี้นายกำลังมีความสุขอยู่สินะสุดหล่อ ขอให้ความสุขอยู่กับนายตลอดไปนะ ไม่ว่าวันข้างหน้านายจะเจออะไร ก็ขอให้นายผ่านมันไปได้ด้วยดี นายหล่อวะ ฉันล่ะนับถือความหล่อนาย


……………………
…………….
……..


       ขอโทษนะคะที่หยุดไปนาน เสร็จงานศพปู่ก็มาเร่งงาน ทุกอย่างมันทำให้เราไม่ค่อยอินกับอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจเลย เพิ่งพาตัวเองกลับมาวงการวายสำเร็จ 5555+

       ด่าได้นะคะ แต่อย่าแรง พอดีเราอ่อนไหว อิอิ

       ขอบคุณคนที่ยังรออ่านนะคะ ขอโทษอีกครั้งที่หายไปนาน ตอนนี้เรากลับมาแล้ว พร้อมเลือดวายเต็มเปี่ยม อิอิ

       เจอกันตอนต่อไปใกล้จบแล้ว ^^

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
เสียใจเรื่องคุณปู่ด้วยนะคะ

ว่าแต่ตอนนี้พระนายหวานกันมากกก แถมได้มีลูกอย่างไม่คาดคิดด้วย555 :hao3:

ออฟไลน์ kim2b::teddy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาแล้วๆ รออ่านอยู่เลย เสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณปู่

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 22 -

[ไออุ่น]

       รถกำลังแล่นไปตามถนนที่ว่างเปล่า ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก สายตากลมโตสอดส่องดูทัศนียภาพด้านนอกอย่างสนอกสนใจ พื้นที่ที่แต่ก่อนเคยโล่ง ปกคลุมด้วยหญ้าและพืชหลากหลายชนิด ความเขียวขจีเริ่มคืบคลานกลับสู่โลกใบนี้ ธรรมชาติได้ทวนคืนพื้นที่ของเขาแล้ว

       “แอะ แง่ แอะ” เสียงเจ้าตัวจิ๋วที่อยู่ในอ้อมกอดดึงผมออกจากภวังค์

       ผมกระชับอ้อมกอด พร้อมขยับแขนโยกเพื่อกล่อมให้เขาหลับต่อไป การนั่งรถระยะทางไกลคงทำให้ไม่สบายตัวเท่าไหร่ ถึงได้ส่งเสียงร้องประท้วงบ่อยขนาดนี้ ไอ้สงสารก็สงสารอยู่หรอก แต่ทำไงได้ มันไม่มีทางเลือกนี่นา จึงต้องกระเตงเขามาลำบากแบบนี้ มันจะลำบากแค่ตอนนี้เท่านั้นตัวเล็ก สัญญาว่าไปถึงที่นั้นแล้วจะดูแลให้ดีที่สุด

       เราเดินทางกันแทบไม่หยุดพัก เพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด


       บ้านที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นช้าๆ อยู่เบื้องหน้า ป้าๆ ลุงๆ เริ่มวิ่งมารวมตัวกันที่หน้าบ้านหลังใหญ่ พวกเขาคงได้ยินเสียงรถของพวกเราแน่ๆ

       รถจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ผมอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือนเอง ทำไมรู้สึกผูกพันมากขนาดนี้ แค่มาถึงก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว เหมือนถึงบ้านจริงๆ นี่คือบ้าน บ้านของเรา

       “เหนื่อยไหมครับ” ผู้กองลูบหัวผมเบา พร้อมมองด้วยสายตาที่อ่อนโยน ผมได้เลยได้แต่ส่ายหัวตอบว่าไม่เป็นอะไร “แล้วน้องไอหละ” ผมก้มมองเจ้าตัวเล็กด้วยความสงสาร

       “ร้องไห้เพิ่งหยุด คงจะเหนื่อยและหิว สักพักคงตื่น" เวลาเห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้ไม่หยุด ผมแทบร้องด้วย สงสารเหลือเกินแต่ทำอะไรไม่ได้เลย

       แต่มิดไนท์นี่สิร้องตามน้องไปเรียบร้อย จนผมต้องให้ไปอยู่รถอีกคันกับลมหนาวและน้องมิว ถ้าปล่อยให้ร้องแข่งกันทั้งสองคนพี่ทหารที่ขับรถคงประสาทแดกก่อน

       “ให้ป้าๆ ช่วยไปก่อนนะครับ ป้าๆ เข้ามีประสบการณ์มาก่อน พี่ต้องไปดูความเรียบร้อย และจัดการเรื่องต่างๆ ต่อ”

       “ไม่พักก่อนเหรอ เพิ่งมาถึงเองนะ” พักสักชั่วโมงก็ยังดี อะไรนี่มาถึงก็ทำงานเลย

       “อย่าอ้อนสิครับ เดี๋ยวพี่ก็ใจอ่อนหรอก” ก็อยากให้ใจอ่อนหนิ เอ่อ แต่ผมไม่ได้อ้อนนะแค่บอกเฉยๆ ผู้กองคิดไปเอง

       “ใครอ้อน! บอกเฉยๆ เหอะ”

       “ครับ ไม่อ้อนก็ไม่อ้อน แต่พี่ไปไม่นานหรอกจัดการแปปเดียว เดี่ยวก็มา"

       “กี่นาที" อะไร ก็บอกว่าไม่นาน ผมก็อยากรู้สิว่ากี่นาที

       “สัก 3 ชั่วโมง นะครับ เดี๋ยวกลับมานอนกอดเลย"

       “อะไร แค่ถามเฉยๆ เหอะ ไม่ได้บอกให้นอนกอดสักหน่อยคิดไปเอง"

       “ครับ พี่คิดไปเองก็ได้ แต่พี่จะกลับมานอนกอดนะ” จะทำอะไรก็ทำสิใครห้ามกัน

       “ไปได้แล้วคนอื่นรอ" บอกว่ามีงานก็รีบๆ ไปทำสิ พูดอยู่นั้นแหละ

       “ที่นี่ทำมาไล่" ผมตะหวัดสายตาไปมองกดดัน “ ครับ ไปแล้วๆ เดี๋ยวกลับมานะ จุ๊บ!”

       “อะ!” ไอ้ผู้กองบ้าต่อหน้าต่อตาคนอื่น ไม่คิดจะอายบ้างรึไง ถึงจะอยู่ในรถก็เถอะ แต่กระจกมันก็ไม่ทึบป่ะ งือ…

       “อ่าวหนูอุ่น นั่นลูกใครละนั้น” เสียงแรกทักผมมา เมื่อก้าวขาลงจากรถ

       “ไปไม่กี่เดือนกระเตงลูกกลับด้วยเลยเหรอ คริคริๆ" คืออะไร

       “ใครเป็นพ่อหละไอ้หนู"

       “ถามมาได้แกนี่ ก็ต้องเป็นพ่อผู้กองสุดหล่ออยู่แล้ว” ป้า!! ไปกันใหญ่แล้ว ผมท้องไม่ได้!

       “ป้าไปกันใหญ่แล้ว โถ่ นี่คือ ไอรัก หรือ น้องไอ Ai ในภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่าความรัก พ่อน้องเค้าเป็นคนญี่ปุ่น” ผมอธิบายไปคราวๆ ให้พอเข้าใจ แต่คงน้อยไปเลยกลายเป็นแบบนี้

       “นี่เองนอกใจพ่อผู้กอง ไปมีผัวญี่ปุ่นเหรอ ข้าปวดใจ”

       “เห็นหน้าใสๆ ทำไมทำกันได้ลงคอ" เอาเข้าไป

       “น่าสงสารผู้กองสุดหล่อเหลือเกิน กระซิกๆ" เล่นใหญ่กว่าป้าๆ มีอีกไหม รางวัลต้องมา ตุ๊กตาทองต้องมี

     “เธอมันนางวันทองสองใจ” เล่นกันขนาดนี้คงคิดถึงผมมากสินะ

       “ไปไกลแล้วป้า ไปไกลแล้ว” อีกหน่อยก็ออกนอกโลก โยกไปนอกจักรวาลแล้ว

       “คริๆ" นั้นมีมาหัวเราะอีก

      “ตกลงลูกเต้าเหล่าใครล่ะนั้น" อยากไหว้ย่อป้าๆ ด้วยท่าที่สวยงาม ที่เข้าเรื่องได่สักที

       “แม่แกเสียแล้วน่ะครับ แล้วพ่อแกที่เป็นคนญี่ปุ่นก็ทิ้งไป แกน่าสงสารมาก ผู้กองเลยรับมาเป็นลูก เอ่อ ของ ของ ของเรา" งือเขิน ทำไมป้าๆ ต้องทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบนั้นด้วยเล่า

       “จ๊ะ คุณแม่ลูกหนึ่ง ไม่สิสองแล้วหนิ" งือ พูดอะไรเนี่ย

       “ผมเป็นพ่อต่างหากเล่า!”

       “ยอมรับซะเถอะ ขนาดหมายังไม่เชื่อเลย" งือ… แต่พูดถึงหมาแล้ว ตั้งแต่มาถึง คุณพี่ชายที่บอกจะช่วยเลี้ยงน้องก็หายไปหาเจ้าเพื่อนซี่สี่ขาทันที ลืมน้องไปเลย

       “เรื่องพ่อ แม่ เอาไว้ก่อนครับ แต่ตอนนี้ผมอยากได้ความช่วยเหลือจากป้าๆ อย่างด่วนเลย"


+   +   +   +   +   +   +   +


       ตอนนี้ผมกำลังป้อนข้าวต้มปลา ผสมแครอท และผักอื่น พร้อมบดอย่างละเอียดให้กับน้องไอ เจ้าตัวเล็กกินเก่งมาก แป๊บเดียวก็หมดถ้วยแล้ว นี่คนหรือเครื่องสูบอาหาร

       ตอนนี้คงกินได้แค่นี้ ส่วนนมเป็นนมกล่องที่เราไปหามาตามห้างสรรพสินค้าเมื่อคราวก่อน ก่อนที่เราจะไปภูเก็ต เป็นนมวัว ป้าๆ บอกว่าให้กินแบบนี้ไม่ดีหรอก แต่ดีกว่าไม่มีกิน ผมบอกเลยว่าถ้าใครจะมีลูกช่วงนี้ต้องคิดให้หนักๆ ถ้าไม่มีนมแม่ให้เด็กกิน ปัญหาเกิดแน่นอน

       “น้องกินเร็วจังคราฟ น้องไนท์ยังกินไม่หมดเลย” มิดไนท์เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะกินข้าวตัวเล็กของตนมาเจอถ้วยข้าวที่ว่างเปล่า เจ้าตัวตกใจเป็นอย่างมาก

       “สงสัยน้องจะหิวมากน่ะครับ"

       “น้องอิ่มไหมคราฟ แบ่งจากน้องไนท์ไปอีกก็ได้" เจ้าตัวยื่นชามของตัวเองมาทางผม ช่างเป็นพี่ชายที่น่ารักจริงๆ แต่ถ้าน้องกินมากกว่านี้คงท้องแตกแน่ๆ ดูสิตัวผอมๆ แต่ท้องป่อง

       “พอแล้วครับ เดี๋ยวน้องอ้วนเอา"

       “แต่น้องผอม” เจ้าตัวว่าพร้อมหันไปจ้องเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนผม

       “เดี๋ยวน้องก็ไม่ผอมแล้ว น้องไนท์รีบกินเถอะครับ สักพักเราจะได้พาน้องไปอาบน้ำ” ผมต้องหลอกล้อให้กินต่อไม่งั้นไม่ยอมหยุดให้น้องกินข้าวตนเองแน่ๆ

       “ผมอาบให้น้องนะคราฟ"

       “โอเค”

       “เย้ๆๆ"

       “ดีใจอะไรครับ เสียงดังออกไปข้างนอกเลย” ลมหนาวเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับน้องมิว

       “น้องไนท์จะอาบน้ำให้น้องไอคราฟ" เจ้าตัวตอบลมหนาวด้วยร้อยยิ้มดีใจ

       “วาว! จริงเหรอครับ แล้วเราอาบน้ำให้น้องเป็นเหรอ” พอได้ยินคำถามก็ทำหน้าคิดหนักทันที

       “มัม น้องไนท์อาบน้ำให้น้องไม่เป็น” หึหึ หน้าหง่อยๆ นั่นดูน่ารักมากกว่าน่าสงสารอีก

       “เดี๋ยวมัมสอนน้องไนท์เองครับ” พอได้ยินก็กลับมายิ้มสดใสทันที

       “มัมจะสอนน้องไนท์อาบน้ำให้น้องไอแหละพี่หนาว"

       “ก่อนจะไปอาบน้ำให้น้อง ต้องทานข้าวให้หมดก่อนครับ ใช่ไหมน้องไอ” ผมหันไปถามเจ้าตัวจิ๋วที่อยู่ในอ้อมแขน

       “แอะ แอะ"

       “น้องตอบด้วย น้องไนท์รีบกินดีกว่าจะได้อาบน้ำให้น้อง อาบน้ำๆๆ อาบน้ำให้น้อง" เอาเข้าไป ทั้งร้องทั้งกิน

       “ผู้กองล่ะครับพี่อุ่น”

       “ไปสำรวจพื้นที่ทำเกษตรน่ะ พวกเราไปที่นู้นนาน เลยต้องสำรวจดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วเรากับมิวล่ะกินข้าวกันยัง"

       “กินแล้วครับ นี่ก็กำลังจะออกไปช่วยป้าๆ แกเก็บผักเลยแวะมาทักก่อน แล้วพี่อุ่นกินข้าวรึยัง" น้องผมนี่ขยันจริงๆ น้องชายผมดีที่สุด

       “ยังเลย รอผู้กองก่อน ผู้กองบอกจะมากินด้วย" เดี๋ยวกินก่อนจะงอนเอา

      “รอสามีว่างั้นเถอะ" เริ่มเป็นน้องที่เลวแล้ว

       “นู้นประตู ออกไปเก็บไปผักเลย” กล้ามาก กล้ามาล้อพี่ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวโดน

       “ฮาๆๆ ครับๆ ไปแล้ว ตัวเล็กน้าไปแล้วนะ มิดไนท์ไปแล้ว อาบน้ำให้น้องดีๆ ล่ะ"

     “คราฟ” น้องใครกวนจริงๆ

+   +   +   +   +   +   +   +   +

       คืนนี้อากาศดี ลมพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ ทำให้อากาศเย็นสบาย เสียงลมที่ผัดผ่านทำให้ใจผมสงบขึ้นมาก

       “เจ้าหญิงของพ่อนอนได้แล้วนะครับ”

       “แอะ แอะ คริ" เสียงสมาชิกใหม่ที่มาประจำอยู่ห้องเรา คือ คือ ห้องที่ผมย้ายมาอยู่กับผู้กองน่ะ

       เราเอาเตียงเด็ก ที่ผู้กองไปหามาเองจากในห้างเข้ามาไว้ในห้อง ผมไม่กล้าเอาไอขึ้นมานอนบนเตียงด้วยจริงๆ เพราะกลัวจะนอนดิ้นจนทับแกเข้า

       “นอนนะครับ พ่อร้องเพลงกล่อมไม่เป็นจริงๆ กลัวร้องแล้วเราตกใจ" ผมนั่งมองภาพนั้นด้วยควาทคิดที่หลากหลาย

       ถ้าไม่มีเหตุการณ์ซอมบี้บุกโลก ผมจะมีโอกาศได้เห็นภาพนี้ไหม

       ผมจะสามารถโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลน้องๆ แบบนี้ได้ไหม ผมคงเป็นแค่นักศึกษาอายุ 20 ที่กำลังกินเที่ยวกับเพื่อนอย่างสนุกสนานในแบบวัยรุ่น มีความรักแบบเด็กๆ เรียนรู้สังคมใหม่ๆ

       ผมคงไม่รู้จักผู้กอง ไม่รู้จักทุกคน ไม่รู้จักคุณค่าของอาหาร คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ในความเลวร้ายยังมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ ในความมืดมนยังมีแสงเล็กๆ ที่ส่องทางให้เราได้เดินต่อ

       พ่อ แม่ ความสุขเริ่มกลับเข้ามาในชีวิตอุ่นแล้วนะ ที่ผมสัญญาว่าจะอยู่อย่างมีความสุข ผมจะทำได้แล้ว พ่อกับแม่สบายใจได้แล้วนะ และผมจะดูแลน้องๆ ให้ดีที่สุด ผมรักพ่อกับแม่ครับ

       “เหม่ออะไรครับ น้องไอหลับแล้วนะ”   เสียงที่ดังขึ้นข้างตัว ดึงผมออกจากภวังค์

       “หลับเร็วจัง”

       “เร็วอะไรล่ะ พี่กล่อมตั้งนานกว่าจะหลับ เรานั่งเหม่ออะไรอยู่หืม" พูดเฉยๆ ก็ได้ ทำไมมือต้องเลื้อยด้วย ผมต้องคอยตะปบมือปลาหมึกไว้

       “คิดอะไรเรื่อยเปื่อย อดีตก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ ระหว่างทางที่เราเผชิญกับมัน และอนาคตต่อไปจะเป็นยังไง”

       “อะไรที่ผ่านมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกลับไปคิดมากกับมัน แค่ระลึกถึงก็พอ ส่วนอนาคตมันต้องดีกว่าตอนนี้แน่นอนถ้าเราช่วยกัน” ผมเชื่อผู้กองว่ามันจะดีขึ้น

       “มันจะดีขึ้น"

       “เราจะค่อยๆ ทำ กำจัดซอมบี้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับดูแลผู้คน ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป" ใช่ค่อยๆไป มือนี่ ค่อยๆไต่ลงไปเรื่อยๆ

       “อะ” มือที่ปัดผ่านหน้าอกของผม ทำให้ผมสั่นไหวไม่น้อย แค่นี้ก็เกิดอาราณ์แล้วเหรอ ผมมันหมกหมุ่นจริงๆ อย่าบอกใครนะครับ

       “ครั้งสุดท้ายมันก็นานแล้วนะครับ อุ่นไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ หืม" พูดเฉยๆ ก็ได้ทำไมต้องมาเป่าซอกหูด้วย!! มันหวิวนะ งือ…

       “อืม…” โอ้ยเสียงใครวะเนี่ย รับไม่ได้ๆ

       “พี่ขอนะครับ นะครับ” หือ จะมาขออะไรอีกเล่า! ก็ยอมขนาดนี้แล้ว ทำไมชอบทำให้เขิน

       “แต่ไอ ไออยู่ในห้อง"

       “พี่จะทำเบาๆ อุ่นก็อย่าเสียงดังสิ" มันทนได้ที่ไหนกันเล่า ถึงเวลานั้นสมองมันเบลออะไรก็ไม่สนแล้ว “นะครับ นะ"

       “โอ้ย จะทำอะไรก็ทำพูดอยู่ได้ อุ๊บ!!” แค่คิดในใจทำไมเสียงมันออกมาดังจัง แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นคืออะไร งือ

       ปากหนาเริ่มจู่โจมริมฝีปากผมทันทีที่พูดจบ แรงบดเคล้าร้อนแรงดั่งไฟเผา ริ้นร้อนสอดแทรกสำรวจจนทั่วโพลงปาก ไล่ต้อนกันไปไม่จบสิ้นจบแทบขาดอากาศหายใจ ปากหนาจึงปล่อยให้ผมได้สูดอากาศเข้าไป แต่ยังไม่ถึงห้าวินาทีดี ปากหนานั้นก็จู่โจมผมอีกครั้ง

         ความร้อนจากริมฝีปากค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไป จากปากสู่ลำคอ ลงมาสู่ไหปลาร้า ต่อมายังหน้าอกสีชมพู อาภรณ์หลุดหายไปอย่างรวดเร็ว ความเย็นของอากาศถูกแทนด้วยความเร่าร้อน

       อารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านถูกปลุกให้แตกกระเจิง ความอ่อนหวานและความเร่าร้อนที่ได้รับช่างสุขสมยิ่งนัก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เรามีกันและกัน เรี่ยวแรงถดถอยจนสติเลือนหายไปในที่สุด



………………………….
………………….
………….

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2019 22:15:16 โดย Looktal1993tt »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ๊ย รู้สึกเหมือนจะเป็นเบาหวาน

ออฟไลน์ เลยร์มุจา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 23 -


[ธาม]

       ปั่ง!! ปั่ง ตู้ม!!!

       เสียงปืน เสียงระเบิดคงทำให้หลายคนตกใจ และหวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับพวกเรา เสียงเหล่านี้เปรียบเสมือนเพื่อนที่ขับกล่อม และเตือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่

       เสียงการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ของเหล่ามนุษย์ผู้เหลือรอด เดินตามแสงริบหรี่ท่ามกลางความมืด ได้แต่หวังเพียงว่าแสงริบหรี่นั้นจะนำทางไปสู่แสงสว่างอันเจิดจ้า ความหวัง เป็นพลังให้ขาทั้งสองข้างสามารถก้าวเดินต่อไปได้

       หวัง หวังว่าวันข้างหน้าทุกอย่างมันจะดีขึ้น

       ตอนนี้เราอยู่ที่นครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์เป็นอีกที่ที่เราเลงไว้เพื่อทำเกษตรกรรม เพราะเป็นจังหวัดที่แม่น้ำเจ้าพระยาตัดผ่าน แหล่งน้ำเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกในการทำการเกษตร ที่นี่จึงเป็นจุดหมายของเรา

       แต่ก่อนจะไปถึงการทำเกษตร สิ่งสำคัญลำดับแรกที่เราต้องจัดการ คือการเคลียร์พื้นที่ ซึ่งมันไม่ง่ายนัก แต่ก่อนประชากรที่นี่หนาแน่นมาก ทำให้ตอนนี้ที่นี่เต็มไปด้วยซอมบี้จำนวนมากเช่นกัน

       ผู้คนที่เหลือรอดรวมตัวกันที่ค่าย ที่อดีตเคยเป็นคุก แต่สถานที่ตั้งดันไปอยู่ในเมืองใกล้มหาวิทยาลัย จะเดินทางไปที่ไหนก็ยากลำบาก เพราะมีซอมบี้อยู่จำนวนมาก ผู้คนในค่ายจากที่ดูผอมแห้งเมื่อพบกันในครั้งแรกราวสองเดือนก่อน ตอนนี้ดูดีขึ้นบ้าง คงเพราะเสบียงที่เรานำมาแจกจ่าย แต่ตอนนี้มันร่อยหรอลงเต็มที

       เรากำลังล่อซอมบี้ฝูงใหญ่เข้าไปในสนามกีฬากลางจังหวัดเพื่อกำจัดให้น้อยลง สนามกีฬาตั้งอยู่ไม่ไกลตัวเมืองมาก สามารถล่อพวกมันมาได้ และแรงระเบิดไม่ส่งผลต่อตัวเมืองแน่นอน เราไม่อยากเสี่ยงให้เกิดไฟไหม้กลางเมือง เพราะเราไม่แน่ใจว่าจะสามารถควบคุมเพลิงไม่ได้

       “พวกมันตามมาเยอะมากเลยว่ะ” เสียงไอ้โฟรคดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ผมต้องละความสนใจจากซอมบี้มามองมัน

       “อือ อีกแป๊ป" ผมอยากให้พวกมันเข้ามาให้เยอะที่สุดก่อน

       “แต่ไอ้พวกที่มาก่อน เราจะต้านมันไม่ไหวแล้วนะ แม่งมันดันประตูเหล็กจนจะพังลงมาอยู่แล้ว” เราปิดทางเข้าออกเกือบทุกทาง เหลือไว้แค่ทางเดียวเพื่อล่อซอมบี้เข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีเหยื่อพวกมันก็พยายามดันประตูเหล็กที่ปิดสนิทเพื่อจะออกไปจัดการกับทหารด้านนอก

       “ต้านไว้ อีก 10 นาที เตรียมรถให้พร้อม”

       “ครับ!! แม่งอย่าเพิ่งพังตอนนี้นะเว้ย หวังว่าคนสร้างมันจะเอาของมาตรฐานมาใช้นะ ไม่ใช่ว่าโกงกินแล้วเอาของเน่าๆมาใช้ ถ้าเป็นนั้น ก็ตายแน่” เดินไปบ่นไป บ่นดังขนาดนี้ มึงประกาศเลยไหม ผมสายหัวให้ไอ้โฟรคจอมขี้บ่น หันมาสนใจพวกซอมบี้ด้านหน้าต่อ เสียงปืน เสียงระเบิดล่อพวกมันได้เป็นอย่างดี

       “หมู่เทน หมู่นาย เตรียมพร้อมกดระเบิดในอีก 10 นาที” ผมวิทยุสื่อสารบอกไป เพื่อเตรียมความพร้อม

       “รับทราบครับ!! ทหารทุกนาย ออกจากพื้นที่ในอีก 5 นาที เราจะบึ้ม! มันในอีก 10นาที ย่ำออกจากพื้นที่ในอีก 5 นาที ถ้าไม่อยากตาย เพราะหมู่นายสุดหล่อไม่รอนะครับ จบข่าว" นับวันยิ่งมีแต่คนเพี้ยนๆ เฮ้อ…

       ผมยืนมองกลุ่มซอมบี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ พวกเขาเคยใช้ชีวิตอย่างปกติ ตื่นนอน ใช้ชีวิต และนอนหลับ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นได้แค่ซากศพเดินได้ ไร้วิญญาณ ผมมองดูร่างซอมบี้นักเรียน ดูจากชุดน่าจะอยู่อนุบาล ตัวเล็กๆ ถักเปียสองข้างรูปหน้าสวย ผิวขาวซีด แต่ก่อนคงน่ารัก น่าเอ็นดู…

       ปืนในมือยกขึ้นมาช้าๆ  นิ้วชี้ค่อยๆ ลั่นไก

      ปั่ง!!

       นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำให้เด็กหญิงได้ ไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์นะเด็กน้อย

       ภาพเด็กน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคน เด็กหญิงไอรัก น้องไอ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ให้เธอได้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม มีความสุขในที่ที่สวยงาม ก่อนจะถึงวันนั้นผมต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นและสวยงาม รอหน่อยนะตัวเล็กของพ่อ

      พอนึกถึงครอบครัวก็ทำให้มุมปากยกขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ คิดถึง อยากกลับไปหาใจจะขาด อยากนั่งมองภาพ เด็กน้อยไอที่นอนอยู่บนเบาะมีพี่ชายคอยนั่งเล่นอยู่ข้างๆ มีคนตัวขาวที่หน้าแดงระเรื่อเวลาผมพูดอะไรหวานๆ ตัวนุ่มๆ หอมๆ น่ากอด น่า…นั้นแหละ หึหึ ยิ่งคิดยิ่งอยากกลับบ้าน
 
       แต่หน้าที่ต้องมาก่อน  ถึงเวลาแล้ว ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางด้านหลังเพื่อขึ้นรถ หนีออกจากแรงระเบิดนี้

       “ทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน เคลียร์ซอมบี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ และซอมบี้ที่อยู่หน้าประตูซะ” รถผมจะออกไปหลังจากจุดระเบิดเรียบร้อย พร้อมหมู่นาย หมู่เทน

       “ออกมาให้ทัน อย่าเซ่อซ่าโดนระเบิดเข้าล่ะ กูไม่อยากบอกข่าวร้ายลูกและเมียมึง ศพแม่งคงอนาถมาก" ปากแม่งน่าเอาทีนลูบจริงๆ

       “รีบไปก่อนที่ทีนจะกระตุก"

       “ครับๆๆ ท่านผู้กอง หมวดโฟรคคนนี้ไปแล้วครับ” ไอ้ท่าทางก้มหัวต่ำ ค่อยๆ ถอยหลังออกไป กวนทีนจริงๆ “รีบๆ ขึ้นรถพวกมึง เดี๋ยวท่านผู้กองทีนกระตุก ฮาๆๆ” -_-

       รถทหารหลายคันค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้า พร้อมเสียงปืนยิงซอมบี้ที่ยังไม่ได้เข้ามาในสนามกีฬากลาง และที่วนเวียนอยู่ใกล้ประตูทางเข้า เมื่อเสียงรถเคลื่อนออกห่างจากทางเข้าก็ได้เวลา

       “หมู่เทนปิดประตู”

       “ครืดๆ ครับ แต่คงต้านได้ไม่นาน ประตูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ครับ” หมู่เทนวิทยุสื่อสารตอบกลับมา ผมไม่ได้ต้องการเวลามากมาย แค่ขังไว้ได้ชั่วคราวก็พอ

       “อืมรีบไปหาหมู่นาย”

       “รับทราบครับ!”

       ตุบๆๆ ปึงๆๆ เสียงซอมบี้กำลังดันประตูด้านหลัง อีกไม่นานคงพัง

       “ครืดๆๆ ถึงหมู่นายแล้วครับ”

       “มีเวลาหนีออกมาเท่าไหร่” ระเบิดต่อสายฉนวนไว้ค่อนข้างยาว น่าจะมีเวลาหนีออกมาพอสมควร

       “ประมาณ 1 นาทีครับ ผมคิดถึงระเบิดเวลามากเลยครับตอนนี้” ถ้ามีระเบิดเวลา ความเสี่ยงคงน้อยลง แต่

       “อย่าคิดถึงอะไรที่มันไม่มี พร้อมแล้วออกมา รถจอดเปิดประตูรอด้านหลังพร้อมออกตัวทันที วิ่งมาให้เร็วที่สุด อย่าหยุด นี่คือคำสั่ง!” ถ้าหยุดแม้เพียงนิดเดียวอาจหมายถึง การหยุดรอมัจจุราชมารับตัว ดังนั้นผมไม่อนุญาตให้หยุด ไม่อนุญาตให้มีการสูญเสียไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น เราสูญเสียมามากพอแล้ว

       “รับทราบครับ/ครับผู้กอง” สองเสียงดังออกมาพร้อมกันในทันที

       รถติดเครื่องเปิดประตูรอ พร้อมออกตัวไปได้ทุกเมื่อ เวลานับถอยหลังไปเรื่อยๆเหลือ 50 วินาที
       30 วินาที
       20 วินาที
       10 วินาที
       5 วินาที
       0 วินาที

       ตู้ม!!!
       ระเบิดลูกแรกทางด้านหน้าดังขึ้น ตามด้วยลูกที่สอง

       ตู้ม!!!

       “ผู้กอง!! ออกรถเลย” รถค่อยๆ ออกตัวพร้อม หมู่ทั้งสองกระโดดขึ้นรถมาได้ในที่สุด ทันทีที่ประตูรถปิดสนิท เท้านั้นเหยียบคันเร่งมิดทันที

       ตู้ม!!! เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง หูแทบดับ แรงระเบิดทำให้ เศษต่างๆ กระเด็นออกไปเป็นบริเวณกว้าง กระแทกหลังคารถจนเกิดรอยบุบ กระจกหน้าแตก

       “เวรเอ้ย!!!” เศษกระจกกระเด็นบาดแขนผมทั้งสองข้าง ดีที่ไม่เข้าตา ผมพยายามขับหลบเศษอิฐ เศษเหล็ก ที่ตกกระจัดกระจายอยู่ตามถนน เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ

       “ขอโทษครับผู้กองที่เราออกมาช้า" เสียงหมู่เทนดังขึ้นจากเบาะหลัง

       “ซอมบี้บางส่วนเล็ดลอดออกมาได้เราจึงต้องกั้นประตูตรึงไว้ เลยออกมาช้าครับ พวกเราขอโทษจริงๆ ครับ” เสียงหมู่นายดังขึ้นมาสมทบ

       “ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พวกเขาทั้งสองทำดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องมาขอโทษเลย

       “แต่ผู้กองบาดเจ็บ” หมู่เทนพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด

       “เล็กน้อย” เลือดไหลออกจากสองแขนที่กำลังจับพวงมาลัย ถ้ามองแค่ตาอาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้บาดลึกเท่าไหร่ เพียงแต่เศษแก้วมันกระจายบาดไปทั้งแขนเลือดจึงอยู่ทั่วไปหมด

       “ให้ผมขับดีกว่าครับ” หมู่นายเสนอตัวที่จะขับแทน

       “อืม" เราออกมาพ้นแรงระเบิดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทนฝืนต่อไป ผมจอดรถเพื่อให้หมู่นายได้ขับแทน

       “ผมเอาเศษแก้วออกให้ครับ” หมู่เทนรับหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้

       “อืม เอาเท่าที่เห็นออกก่อน ที่เหลือค่อยให้หมอจัดการต่อ” บนรถทหารมีหมอ และพยาบาลมาด้วย เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งสำหรับทหาร และผู้รอดชีวิตที่พบเจอ

       บาดเจ็บแค่นี้สำหรับผมมันเล็กน้อยมาก แต่ถ้ากลับไปถึงบ้าน เด็กน้อยของผมคงไม่ว่าแบบนั้น


       เรากำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากอยู่นครสวรรค์ได้เกือบหนึ่งอาทิตย์ เราพาผู้รอดชีวิตที่ค่ายนครสวรรค์กลับมาด้วย เพื่อเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรกรรม หวังให้พวกเขาเป็นกำลังสำคัญของเราอีกแห่งหนึ่งในการสร้างผลิตผลทางการเกษตร เพื่อเป็นเสบียงให้ผู้รอดชีวิตในค่ายอื่นๆ เราค่อยๆทำ ค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ หวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะพึ่งพาตนเองได้

       กลับไปต้องหาที่พักเพิ่มอีกมาก ดีที่ให้ทหารสำรวจบ้านเรือนไว้ก่อนแล้ว คงต้องหาอาสาสมัครเพื่อฝึกการต่อสู่เพิ่ม คนเยอะ ผู้รักษาความปลอดภัยต้องเยอะขึ้นตาม

+   +   +   +   +   +   +   +

       “ไหนผู้กองรับปากว่าจะดูแลตัวเองดีๆ แล้วบาดเจ็บมาได้ยังไง ดูสิเป็นแผลทั้งแขนเลย พันมายังกับมัมมี่ มันใช่ไหม รับปากแล้วทำไมไม่ดูแลตนเองดีๆ!” ปากก็ว่าแต่มือพยายามยกแขนผมขึ้นมาสำรวจเบาๆ ราวแขนนั้นมันเปาะบาง แตกสลายได้ง่าย มือบางค่อยๆ ลูบที่ผ้าพันแผลเบาๆ “เจ็บมากไหม”

       รอยยิ้มผมเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้แค่ว่าตอนนี้มีความสุขมาก การที่มีคนนึงคอยห่วงใย คอยอยู่เคียงข้างเรา มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง

       “ไม่เจ็บครับ แค่นี้สบายมาก ^_^  โอ๊ย!!!”

       “ไหนว่าไม่เจ็บไง แล้วร้องทำไม” จิ้มลงมาขนาดนี้ไม่เจ็บก็ไม่ใช่คนแล้ว ดูสิมาจิ้มแขนเราแล้วทำหน้าจะร้องไห้ใส่ น่ารักจริงๆ เมียผม

       “เจ็บนิดหน่อยก็ได้ ไม่เอาไม่ทำหน้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่อดใจไม่ไหว” ผมว่าผมชักจะหื่นขึ้นทุกวันแล้ว แต่จะโทษผมไม่ได้นะ ก็น้องน่ารักขึ้นทุกวัน ใครจะอดใจไหว

       “ไอ้ผู้กองบ้า บาดเจ็บขนาดนี้ยังจะมาหื่นอีก เดี๋ยวตัดแขนให้ขาดซะเลยหนิ” จากจะร้องไห้เปลี่ยนเป็นหน้าแดงแทนซะแล้ว น่ารักขึ้นไปอีก

       “ถ้าแขนขาดแล้ว จะเอาแขนที่ไหนกอดอุ่นล่ะครับ" ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นไปได้ขนาดนี้ ไม่กี่เดือนผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไอ้โฟรคมาได้ยินคง ล้อผมแน่ๆ

       “ไม่มีก็ไม่ต้องกอด…”

       “…”

       “เดี๋ยวกอดเองก็ได้” ถึงเสียงจะแผ่วเบาแค่ไหน ผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมหลงได้ยังไง น่ารักขนาดนี้

       ฟอด! ฟอด! ให้รางวัลคนน่ารัก แต่จะหอมแค่ข้างเดียวก็กลัวแก้มอีกข้างมันน้อยใจ หึหึ

       “ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า งือ" จะตีผมก็ไม่กล้า เพราะกลัวผมจะเจ็บ เลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยกลับมาทั้งที่หน้ายังแดงระเรื่อ

       “อยากฟัดแรงๆ" ปากผมมันดันหลุดสิ่งที่คิดออกไปซะนี่

       “เลิกเลยนะ เลิกคิดเลย ไอ้ ไอ้ผู้กองหื่นกาม ไม่คุยด้วยแล้ว หื่นได้ขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรมากหรอก” แล้วสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที

       “จะไปไหนครับ" ผมรีบก้าวตามไปทันที

       “รออยู่นี่แหละ! จะไปรับมิดไนท์ กับไอ ที่ห้องลมหนาว ลูกคิดถึง” ประโยคหลังเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด

       “ครับ เดี๋ยวพี่ล้างตัวรอ”

       “อย่าให้แผลโดนน้ำล่ะ” ผมบอกแล้วว่าน้องน่ารัก

       “ครับ เมีย!” ^_^

       “เมียเมออะไรล่ะ ผัวต่างหาก ผัว!!!” ครับ ถ้าเมียผมสบายใจก็ปล่อยให้คิดไป เพราะยังไงความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ หึหึ


       “ดูสิลูกสาวใครเอ่ย ฟอด! หอมจังเลย” แก้มนิ่มๆ นั่นเต็มไปด้วยแป้งเด็ก ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือพี่ชายเขาแน่ๆ

       “แอะๆๆ คริ งึ” ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากเด็กหญิงตัวน้อยมาหาเจ้าตัวเล็กอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

       “ป๊ากลับมาแล้ว น้องไนท์ คิดถึง!!” เจ้าตัวเล็กวิ่งดุกดิกเข้ามาหา ผมจึงต้องรีบย่อตัว กลางแขนรับ แต่พอจะถึง มิดไนท์กลับผ่อนแรงลง เข้ามากอดผมเบาๆ ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับอุ่น แต่ก่อนต้องโถมตัวเข้าหาอย่างเต็มแรงหนิ

        “สงสัยกลัวผู้กองเจ็บ ผมบอกว่าผู้กองบาดเจ็บต้องระวังหน่อย" อ๋อ ถึงว่ากอดผมเบาหวิวเลย ผมต้องเป็นฝ่ายกระชับเข้ามาเอง

       “กลัวป๊าเจ็บเหรอครับ” ก้มลงไปถามเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้กอดคอผมแน่น

       “มัมบอก ป๊าเจ็บมา มีแผลเต็มเลย น้องไนท์กลัวป๊าเจ็บคราฟ” น่ารักซะจริง ลูกผม

       “ไม่เจ็บมากหรอกครับ แต่ช่วงนี้ป๊าคงยังแบกเราไม่ได้ ไม่งอนป๊านะครับ” แผลผมต้องเย็บอยู่สามที่ เพราะกระจกมันแทงเข้าไปลึก แต่แผลไม่ได้ใหญ่อะไร

       “น้องไนท์โตแล้ว น้องไนท์เข้าใจ น้องไนท์ดูแลน้องได้ด้วย” เจ้าตัวอวดผมด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

       “ลูกป๊าเก่งที่สุด” ผมชมพร้อมหอมแก้มไปฟอดใหญ่

       “น้องก็เก่ง น้องไอกินข้าวหมดตลอดเลย” รีบอวดน้องใหญ่

       “วาว ไอเก่งจัง ฟอด! ให้รางวัลอีกคน”

      “อิอิ น้องไอของไนท์เก่งๆ” เจ้าตัวปบมือใหญ่

       “อิ แอะ คริๆ แอะ อ้าย” ทำเหมือนเข้าใจที่เขาพูดแหนะ ไอ้ตัวจิ๋ว

       “อยากอุ้มนะครับ แต่แขนพ่อมีแต่เลือด ให้แม่อุ้มไปนะ” ผมกลัวเลือดที่แขนซึมออกมาเปื้อนชุดสวยๆ ของเจ้าตัวจิ๋ว ปล่อยให้อุ่นอุ้มไป เจ้าตัวก็ดิ้นดุกดิกใหญ่

       “บอกแล้วว่าเป็นพ่อ ไงพ่อ! ไม่ใช่แม่สักหน่อย” เถียงตลอด น่ามันเขี้ยวซะมัด

       ฟอด!!!

       “เราคุยกันแล้วครับเรื่องนี้ จบ นะครับคุณแม่ หึหึ” แก้มแม่นี่หอมซะมัดเลย

       “ลูกดูอยู่ ทำอะไรเนี่ย!”

       “ชู!! อย่าเสียงดังเดี๋ยวลูกตกใจ”

       “ฮึย…” หน้ามุ่ยใส่อีกแล้ว หึหึ

       “ป๊า หอมๆ มัมด้วย คริๆ” เจ้าตัวแสบเอามือปิดตาทั้งสองข้าง แต่ทำไมนิ้วมันกางขนาดนั้นเนี่ย

       “แล้วจะหอมเราด้วย ฟอด ฟอด” ผมก้มลงฟัดแก้มเจ้าแสบอย่างมันเขี้ยว

       “พอแล้ว ฮาๆ จั๊กจี้อ่า คริๆๆ”

       “พอแล้วครับ เลิกเล่นกันได้แล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว เดี๋ยวคนอื่นๆ จะรอเอา” ปั่นหน้าดุเรา แต่ก็ยังยิ้มมุมปากอยู่ มันจะน่ากลัวตรงไหนละเนี่ย มีแต่น่ารัก

       “กินข้าวๆๆ น้องไอหิวข้าวแล้ว” บอกน้องไอหิว แต่ลูบท้องตนเอง มันยังไงกันแน่เจ้าแสบ

       “น้องหิว หรือเราหิวฮึ ตัวแสบ”

       “น้องไอหิว น้องไนท์หิวด้วย นิด! นึง” เจ้าตัวทำนิ้วออกมานิดเดียวเป็นการประกอบ

       “ครับ นิดเดียว ก็นิดเดียว รีบลงกันเถอะ ผู้กองจูงมือน้องไนท์ ไม่ต้องอุ้มหรอก เดี๋ยวแผลฉีก” เป็นห่วงละสิ จะทำให้หลงไปไหนฮึ

       “เราตกลงกันแล้วนะครับ ว่าจะเรียกพี่ว่ายังไง เรียกใหม่สิครับ” จริงๆ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้หรอก แต่ถ้าเรียกคงฟินมาก หึหึ

       “ไปกันครับ พะ พี่ธาม” พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไปทันที

       “รอพี่ด้วยสิครับ น้องอุ่น!”

       “งือ พอเลย!!”

       “ป๊า มัมหน้าแดงด้วย”

       “มัมเขินป๊าน่ะครับ เมียป๊าน่ารักไหม” ขิงกับลูกก็เอา เป็นเอามากนะผม

       “งะ”



……………………………
………………….
………..

ใกล้จบแล้ว
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ
พูดคุยกันได้ Twitter:  Tt.looktal1993
#ธามไออุ่น

ออฟไลน์ kim2b::teddy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เย้ๆ มาแล้วๆ เอะอะหอมใหญ่เลยนะผู้กอง :mew3:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 24 -


[ไออุ่น]

       เหมันต์ที่หนาวเหน็บกำลังลับลา เพื่อส่งต่อช่วงเวลาให้ความอุ่นร้อนของคิมหันต์ฤดู สายลมหนาวกลายกลับเป็นเพียงสายลมอันบางเบา ความร้อนเริ่มย่างกรายเข้ามาแทนที่

       เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงไม่หยุดหย่อน แสงแดดแผดเผาดั่งอยู่ในนรก เหงื่อไหลรินดั่งสายน้ำ

       ร้อน เป็นคำเดียวที่ปรากฏอยู่ในสมองตอนนี้ อยากจะวิ่งเข้าไปอยู่ในร่มไม้แทบตาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะงานที่กำลังทำยังไม่เสร็จนี่สิ

       มือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน รีบเก็บฟักทองอย่างขะมักเขม้น ใกล้แล้วมันใกล้เสร็จแล้ว ผมจะได้เข้าร่มแล้ว

       ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ของช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศมันไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก ยกเว้นตอนอยู่กลางแดด ไม่ว่าฤดูไหน การอยู่กลางแดดประเทศไทยก็เหมือนอยู่ในนรกอยู่ดี

       ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์ หลังจากที่ผู้กองกลับมาในสภาพบาดแผลเต็มตัว แผลมันไม่ลึกก็จริง แต่มันเยอะ เต็มแขนไปหมด ที่ผมโกรธเพราะเป็นห่วง ถ้าไม่หวงไม่ห่วงจะโกรธทำไม พอถึงเวลาล้างแผลดันมาให้ผมล้าง แทนที่จะให้พี่หมอพี่พยาบาลล้างให้ แล้วเป็นไงล่ะฝีมือผม แหกปากร้องโอดโอยเลยสิ แต่ร้องแค่สองวันแรงนะ จากนั้นฝีมือผมพัฒนาขึ้นเยอะไม่อยากจะโม้เลย โคตรเก่งอะ

       โอ้ย ทำไมฟักทองลูกนี้ใหญ่จังวะ หนักอะ แขนจะหัก ฮึบ! กว่าจะแบกมาใส่รถเข็นได้แทบตาย เฮ้อ…ขอยืนอู้สักนาทีเถอะ

       ผมยืนมองทุกคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไร่ฟักทองขนาดใหญ่จึงเก็บเสร็จได้ภายในวันเดียว

       เสียงเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ และเจ้าตัวจิ๋วไอ ดังขึ้นมาจากใต้ร่มไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ โดยมีป้าๆ ที่ค่อนข้างมีอายุคอยดูแล มีน้องบีลูกลุงดำนั่งอยู่ด้วย เด็กๆ กำลังเล่นกับเจ้าสี่ขา ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า อย่างสนุกสนาน แค่ได้มองก็มีความสุขแล้ว

       หันไปด้านขวาเจอหมวดโฟรคที่กำลังเช็ดหน้าให้ไอ้น้องริว หวานกันจริง! ไม่ได้อิจฉานะ ไม่ได้อิจฉาจริงๆ เช็ดเข้าไป เช็ดอีก เออ!เช็ดให้หนังติดออกมาเลยสิ!!

       “อีอุ่นมึงมายืนอู้งาน ตาร้อนอะไรอยู่ตรงนี้”

       “เชี่ย!! ผี!” ตกใจหมด แม่งมาอะไรเงียบๆ ผมหันไปมองแมนนี่อย่างอ่อนใจ โผล่มาแต่ละทีผียังอาย

       “ผีป้ามึงสิ เดี๋ยวตบปากแตก” ง่ะ โหดร้าย…

       “ขอโทษจ้า แม่นางฟ้า” นางมารมากกว่า คิดในใจพอ พูดออกไปเดี๋ยวโดนตบจริงๆ

       “พูดดี ให้อภัย” ไม่ค่อยบ้ายอเลยเพื่อนตรู “แล้วมึงมายืนมองอีเด็กริวทำไม อิจฉาเค้าเหรอยะ” ใครอิจฉาไม่มี๊!!!

        “กูมองไปเรื่อย พักสายตา ไม่ได้อิจฉ๊า” แค่เช็ดเหงื่อให้กัน จับหน้ากัน กุ๊กกิ๊กดุ๊กดิ๊ก อิจฉาทำไม!!

       “เสียงสูงนะยะ” เสียงสูงที่ไหน ไม่จริง!!

       “แล้วมาทำไร” เมื่อเถียงไม่สู้ เราก็ต้องเปลี่ยนเรื่อง ตามวิถีคนจริง

       “ร้อน! ขอเติมความเย็นสัก 3 เถอะ”

       “3 นาที?” พักนิดพักหน่อยเป็นเรื่องปกติครับ เพราะมันร้อนจริงๆ

      “3 ชั่วโมง”

       “มึงกลับบ้านไปเถอะแมน ถ้าจะนานขนาดนั้น” อีกไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว

       “อัถรสไหมล่ะ แล้วอีกอย่าง” หืม ไรอะ

       พลัก!! “โอ้ย ถีบกูทำไมเนี่ย” ถีบเข้ามาได้ เจ็บตูดซะมัดเลย

       “บอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่าเรียกกูว่าแมน!” อ๋อ ก็คนมันลืมนี่หว่า เค้าผิดเหรอ

       “ขอโทษคราบ! ลืม แหะๆ” เนี่ยแทบจะก้มกราบแล้ว อย่าถีบกูอีกเลย

       “แล้วผัวมึงไปไหนเนี่ย”

       “งะ แฟนเฉยๆ ได้ไหมล่ะ” พี่ยังไม่ชินกับสถานะเมีย

       “ผัวก็คือผัว! มึงโดนเขาเสียบเขาก็คือผัว ได้เสียบเขาเมื่อไหร่ค่อยมาแย้ง แล้วจะตอบคำถามกูได้รึยัง” น้ำคำที่เธอเอ่ยมาช่างเจ็บปวดรวดร้าว

       “ก็ไปกับผัวๆ มึงนั่นแหละ” ไม่รู้จะถามทำไม

       “ รู้ว่าไปกับผัวกู แต่ที่กูถามเพราะอยากรู้ว่าไปที่ไหน ฟาย!” เจ็บปวดอีกรอบ กระซิก กระซิก

       “แล้วทำไมมึงไม่ถามผัวมึงเอง” คุณว่าผมจะโดนด่าไหม กด 1 ถ้าคุณคิดว่าโดน กด 2 ถ้าคุณคิดว่าไม่โดน ใครทายถูกผมจะส่งจูบใส่กล่องส่งไปรษณีย์ไปให้

       “เมื่อคืนหนักไปหน่อยเลยตื่นสาย ตื่นมาผัวก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าผัวกูอยู่ให้ถาม จะถามมึงทำไม อีโง่!” ขอยินดีกับผู้โชคดีที่กด 1 ผมจะส่งจูบใส่กล่องไปให้แน่นอน

       “แล้วที่ว่าหนัก คือไรวะ”

       “เ_ด จบนะ” โอเค ตรูเข้าใจแล้ว

       “ ครับ จบครับ” ฟาย!!

       “แล้วจะตอบคำถามกูได้รึยัง ผัวกูไปไหน”

       “บอกว่าออกไปหาของ แต่ไม่ได้บอกว่าของอะไร ไปกับพี่จินด้วย มีทหารอีก 3-4คน ไปด้วย บอกค่ำๆ จะกลับมา” ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก รู้แค่ว่าจะไปหาของอะไรสักอย่าง

       “คนอื่นกูก็พอเข้าใจนะ แต่อีเจ้จินนี่ไปทำไมวะ กูไม่เข้าใจเลย” พี่จินที่ว่า เป็นคนที่มาใหม่จากนครสวรรค์ เจ้แกเป็นสาวสองที่เกือบเหมือนแมนนี่ ที่ว่าเกือบเพราะเจ้แกผ่ามาแล้ว เป็นผู้หญิงเต็มตัว แถมสวยซะด้วย ไม่ใช่ว่าแมนนี่ไม่สวยนะ แมนนี่สวย แต่ออกแนวสวย น่ารักแบบผู้ชายมากกว่าจะเป็นสวยแบบผู้หญิง

       “เจ้แกคิดจะสอยใครสักคนรึเปล่าวะ อาทิตย์นี้เห็นไปกับพวกทหารบ่อยๆ” ใช่บ่อยจริงๆ

       “ไม่หรอกมั้ง พี่เขาอาจจะไปทำงานก็ได้” โลกสวยได้อีกผม คนเราต้องรู้จักมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง แม่งหล่อชิบหายตรู

      “งานอะไรยะ ฆ่าซอมบี้เหรอ วันก่อนแค่เห็นซอมบี้ก็กรีส วิ่งป่าราบขนาดนั้นคงฆ่าได้หรอก กูถามผัวว่าพาไปด้วยทำไม ก็ไม่ยอมบอก วันนี้ก็พากันออกไปอีก มันชักยังไงๆ แล้วนะ” นั้นสินะ ไม่เอาๆๆ เราจะมองโลกในแง่ดี ดั่งวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้

       “พี่เขาไม่ยุ่งกับหมู่นาย หมู่เทนหรอกนา” ไม่ยุ่งกับหมู่ทั้งสองจริงครับ

       “ใช่ ไม่ยุ่งกับผัวกูหรอก แต่ยุ่งกับผัวมึงนะสิ เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ” กูก็อุตสาห์มองโลกในแง่ดี มึงจะมาพูดให้กูไขว้เขวทำไม สลัดผัก!!

       ใช่ครับ พี่แกออกไปกับทหารบ่อยๆ โดยที่พวกเราไม่รู้ว่าออกไปทำไม แล้วชอบเข้ามาหาผู้กองที่ห้องทำงานตามลำพัง ผมเคยจะเข้าไปฟังว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่โดนไล่ออกมา บอกว่าเป็นความลับ พี่จินเขาไม่อยากให้ใครรู้ ก็พยายามคิดนะว่ามันไม่มีอะไร พอแมนนี่พูดขึ้นมาอีก มันทำให้ไขว้เขวไม่น้อย ความลับอะไรที่ต้องเข้าไปคุยกันสองคน สนิทกันมากเหรอ สำคัญมากเหรอผมถึงรู้ไม่ได้ และแล้วโลกมืดก็เข้าครอบงำโลกสวยๆ นั้นจนได้

       “ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกเลยนะมึง เห็นด้วยกับกูใช่ไหมล่ะ” ไม่อยากเห็นด้วยหรอก แต่มันห้ามใจไม่ได้จริงๆ

       “หรือเขาจะหมดรักกูแล้ววะ” ผมไม่สวยเหมือนพี่จินหนิ ผมมันแค่ผู้ชาย ไม่มีนมตู้มๆ หรือผมจะไปทำนมดีวะ หมออยู่ไหน ผมต้องการทำนม จะเอานม จะเอาโน้มมมมม!!!

       “มึงหยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว ฟาย!”

       “มึงพูดให้กูคิดเองไม่ใช่เหรอ” แล้วมาบอกว่าเพ้อเจ้ออีก พูดให้คิดเองแท้ๆ

       “กูพูดให้มึงหาทางกันอีเจ้จินออกห่างจากผัว ไม่ใช่ให้มาเพ้อเจ้อ” เอ้าเหรอ แต่ผมคิดไปแล้วทำไงอะ “ผู้กองเป็นคนดี ไม่หักหลังมึงหรอก…มั้ง”

       “โอเค สบายใจขึ้นเยอะ…ถุย!!” แม่งไม่มีความแน่ใจอะไรเลย แล้วจะให้ผมทำยังไง ตบตีกับเจ้แกผมไม่เอานะ ถึงเจ้แกจะเคยเป็นผู้ชายก็เถอะ

       “มึงบริการผู้กองบ่อยไหม” บริการอะไรวะ พูดไม่เคลียร์เลย “ยังมาทำหน้างงอีกอีนี่ บริการทางเพศไงยะ แหม๋ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำเป็นใสๆ” กูก็ใสไหมวะ ใครจะเหมือนมึง

       “ถามบ้าอะไรวะเนี่ย” จัญไรจริงๆ

       “วิเคราะห์ข้อมูลไงยะ” เออ เอาเข้าไป

       “มันข้อมูลประเภทไหนวะเนี่ย แล้วมึงจะรู้ไปทำไม" ใช่เรื่องที่ต้องบอกไหม บางทีผมก็หน้าบางเป็นนะ

       “กูก็อยากรู้ว่าผู้กองของขาดหรือเปล่า เพราะถ้าของขาดมากๆ อาจจะหน้ามืดไปคว้าอีเจ้มาก็ได้นะเว้ย อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน กูถึงต้องถามไง ตกลงผู้กองของขาดหรือเปล่า” เชี่ย!! แล้วผมต้องตอบยังไงวะเนี่ย พอคิดถึงคำตอบ ความร้อนก็ขึ้นหน้า

       “มะ ไม่ขาดนะ” อ้อมแอ้มตอบออกไปเบาๆ ก็ผมไม่เคยมีแฟน ไม่รู้ว่าความถี่ขนาดไหน ถึงเรียกว่าปกติ ต้องทุกวันเลยไหม ถ้าทุกวันผมคงตายแน่ๆ

       “ทุกวัน??” ฆ่าผมเถอะถ้าจะขนาดนั้น เพราะทำแต่ละครั้งไม่ใช่รอบสองรอบ อย่าน้อยก็สามรอบขึ้นไป ถ้าทำทุกวันช่วงล่างผมคงพัง

       “นี่กูต้องตอบจริงๆ เหรอ” แม่ง! จะบ้าตาย แต่เมื่อเจอสายตาพิฆาต เออ! ตอบก็ได้วะ แม่งหน้าร้อนไปหมดแล้ว “สอง…สามวันครั้ง” ชีวิตนี้ทำไมกูต้องมาตอบอะไรแบบนี้ด้วย

       “แหม๋ ไม่เบานะยะ” นั่นไง พอกูตอบก็มาแซว อยากจะก้านคอมันสักที แต่กลัวโดนสวนกลับ เพื่อนเลว!!

       “พอเถอะ กูขอร้อง” กูก้มกราบงามๆ เลย

       ในที่สุดมันก็เลิกเล่นแล้วกลับมาจริงจังอีกครั้ง กราบงามๆ สามที

       “ถึงผู้กองจะไว้ใจได้ มึงก็ไม่ควรวางใจ จับตาดูผัวมึงดีๆ ถ้ากันอีเจ้ออกไปได้ ก็กันออกไป อย่าชะล่าใจ คิดว่าตัวเองแน่ เพราะบางที ความแน่ก็แพ้ความแรด จำไว้” นี่ผมจะแพ้ความแรดเหรอ ไม่เอาๆๆ เรื่องมันยังไม่เกิดอย่าคิดมาก แค่ป้องกันไว้เป็นพอ ไม่คิดๆๆๆๆๆ

       …สุดท้ายกูก็คิดอยู่ดี แม่ง


+    -     ×    ÷     =    $


       ยามเย็นที่เงียบสงบ…ซะเมื่อไหร่

       “น้องไอ จ๊ะเอ๋ พี่ไนท์อยู่นี่!!”

       “แอะ!! คริๆๆ แอะ กรีส!”

       “ไอพุงป่อง!!”

       “กรีส!! คิกๆๆ แอะ แอะๆ คิก"

       “มาให้พี่ฟัดพุงซะดีๆ!!”

       “คิกๆๆ กรีสส!!! แอะๆ คิกๆ” ผมนั่งมองมิดไนท์เล่นกับน้องไอเสียงดังคับห้อง เสียงดังแค่ไหนก็ทำให้ผมรำคาญไม่ได้ กลับกันมันทำให้ผมมีความสุขซะมากกว่า

       “ตอนนี้พี่มีความสุขไหม” อยู่ดีๆ ลมหนาวที่นั่งข้างๆ ผมก็พูดขึ้นมาแบบไม่เกรินนำอะไรเลย อารมณ์ไหนของเขาวะ

       “ก็ดีนะ ดีขึ้นมาก หลังจากที่เราต้องสูญเสียทุกคนไป” ผมไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนเกิดเรื่องเชื้อโรคร้ายนี้ อันไหนมันสุขกว่ากัน เพราะผมแทบจำความรู้สึกในอดีตแทบไม่ได้ เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราอยู่กับความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ลืมเลือนความรู้สึกมีความสุขไปสิ้น จนได้มาเริ่มต้นความสุขใหม่ที่นี่ ความสุขนี้อาจไม่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนหน้า แต่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้

       “พี่ว่าดี ผมก็ว่าดี พี่มีความสุขผมก็ดีใจ ความสุขของพี่มันทำให้ผมมีความสุขไปด้วย ขอให้พี่มีความสุขตลอดไปนะ" ไหงวันนี้มาพูดอะไรแบบนี้ได้เนี่ย ผมมองเจ้าตัวที่ทำหน้าจริงจัง ก็อดเอ็นดูไม่ได้ เจ้าตัวเล็กของผมจะโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ

       “ความสุขของพวกเรา ก็เป็นความสุขของพี่เหมือนกัน” ผมกอดคอเจ้าตัว แล้วหอมหัวไปฟอดใหญ่ “เจ้าตัวเล็กของพี่เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มซะแล้ว แล้วกับน้องมิว มันยังไงกัน ตัวติดกันขนาดนั้น ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วมั้ง"

       ผมสังเกตดูสองคนนี้มาสังพักแล้ว ความรู้สึกของทั้งสองคน มันมีอะไรมากกว่าแค่เพื่อนแน่นอน ตอนนั้นผมยังไม่อยากไปก้าวก่ายอะไรมาก อยากให้พวกเขาจัดการความรู้สึกกันเอง แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่พี่ชายคนนี้ต้องเป็นที่ปรึกษาและชี้แนะแล้ว ฟังดูยิ่งใหญ่นะ ขนาดตัวผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย กระซิกๆ ปาดน้ำตา

       “พี่อุ่นดูออกเหรอ” ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว ตัวติดกันขนาดนั้น

       “แล้วตกลงยังไง คบกัน??” ผมเพิ่งเคยเห็นน้องชายตัวเองเขิน แหมหน้าแดงเชียวนะ

       “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังไม่ได้เป็นแฟน แต่ก็ไม่ใช่แค่เพื่อน พี่อุ่นไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าเราจะคบกัน" ดูหน้าลุ้นคำตอบนั่นสิ มันน่าแกล้งซะมัด แต่ไม่เอาหรอก ผมเป็นคนดี แหม๋หล่อชิบหายเลยผมเนี่ย

       “จะคบกันพี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าเพิ่งเกินเลยกัน เราทั้งคู่ยังเด็กอยู่ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมามันจะแย่เอา พี่อยากให้อดใจไว้หน่อย ให้โตกว่านี้ และพร้อมกว่านี้ก่อน ได้ไหม” พวกเขายังเด็กเกินไป ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมาคงแย่แน่ โดยเฉพาะในสภาวะที่โลกกำลังเผชิญภัยพิบัติเชื้อโรคร้ายนี้

       “ครับ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะให้เกียรติเธอ” แม่ง น้องใครวะแมนจริงๆ เหมือนพี่มันเป๊ะ


       ผมนั่งเล่นกับเด็กๆ จนเกือบสองทุ่ม ผู้กองก็ยังไม่ขึ้นมาด้านบน ได้ยินเสียงรถกลับมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววของคนตัวสูงเลย ครั้นผมจะออกไปดู ก็ติดเจ้าตัวจิ๋วนี่ ผมไม่อยากทิ้งให้เด็กๆ อยู่ตามลำพังเลย

       แต่มันนานไปแล้วนะ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นแต่ก่อน คงไม่วุ่นวายใจแบบนี้ แต่เมื่อได้คุยกับแมนนี่แล้ว ยอมรับเลยว่าไขว้เขวพอสมควร ผมไม่ผิดนะ ผู้กองทำตัวมีลับลมคมในเอง

       “น้องไนท์ ไปตามพี่หนาว พี่มิว มาเฝ้าน้องแทนมัมสักแป๊บได้ไหมครับ" คงต้องฝากเด็กๆ ไว้สักแป๊บ

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
{ต่อตอนที่ 24}


       ผมเดินลงมาจากห้อง หลังจากลมหนาว กับน้องมิว มาเฝ้าเด็กๆ ให้ ข้างล่างค่อนข้างเงียบ เพราะทุกคนคงกลับเข้าห้องกันหมด แมนนี่ก็ออกไปอยู่บ้านอีกหลังกับหมู่ทั้งสองแล้ว ยังไม่ได้แต่งก็ย้ายไปอยู่กับเขาซะแล้ว ไม่เบาจริงๆ เพื่อนผม แต่เอ๊ะ เหมือนจะเข้าตัวยังไงไม่รู้ งั้นเราจะจบเรื่องนี้กัน แหะๆ

       ทางเดินค่อนข้างมืด เพราะไฟสำรองเรามีไม่มากจึงต้องเปิดแค่เท่าที่จำเป็น ผมจึงหวิดจะเอาหัวโหม่งพื้นอยู่หลายรอบเหมือนกัน

       ไฟในห้องทำงานผู้กองยังเปิดอยู่ คงกลับมาทำงานเหมือนเคย เฮ้อ…ไม่รู้จักพักผ่อนบ้าง จะขยันอะไรขนาดนั้น ป่วยมาจะทำไง ไม่ชอบดูแลตัวเองเลย ข้าวปลากินรึยังก็ไม่รู้

       แอ๊ด ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป ภาพหลังบานประตูที่ผมเห็นคือ…

       คนสองคนที่กำลังเลือกแหวน และสวมแหวนให้กัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม คนในนั้นคือพี่จิน อีกคนเป็นคนที่ผมมอบหัวใจให้ ผู้กอง ปลายนิ้วผมเย็นเชียบ พร้อมกับหัวใจที่สั่นไหว นี่มันอะไรกัน ทั้งสองหันมาตามเสียงประตู คนหน้าสวยตาโตอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครที่เปิดประตูมา อีกคนทำหน้าหนักใจอะไรสักอย่าง

       “ทำอะไรกันอยู่เหรอ” ประโยคคำถามปกติ แต่เสียงที่เปล่งออกไปไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

       “คือ คือ เอ่อ" พี่จินพยายามจะตอบแต่ดูเหมือนจะหาคำตอบไม่ได้ หึ! อีกคนยังเงียบ และมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม

       “ถามว่า ทำอะไร” มันยากมากนักเหรอ แค่ตอบคำถามผมแค่นี้ ไม่มีอะไรก็บอกไม่มีสิ พูดอะไรมาก็ได้

       “เอ่อ คือ พี่ว่าน้องใจเย็นๆ ก่อนนะ” แทนที่จะตอบคำถามผม กลับหันหน้าไปมองตากัน หึหึ ผมไม่มีความสำคัญมากพอ แค่จะให้คำตอบยังไม่ได้เลยหรอ

       ในเมื่อ ไม่มีใครให้คำตอบผมได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ ผมหันไปมองผู้กองอย่างผิดหวัง ถ้าไม่มีอะไรก็แค่บอกมา มันยากนักเหรอ หรือที่ไม่ตอบเพราะมันมีกันแน่ ผมหันหลังพร้อมขาที่พร้อมจะก้าวออกไปจากห้อง

       หมับ วงแขนแกร่งโอบรัดรอบตัวผมไว้ เพื่อไม่ให้ผมก้าวออกไป

       “คุณออกไปก่อน ผมจัดการเอง” เสียงผู้กองพูดกับอีกคนในห้อง ผมอยากสะบัด แล้วก้าวหนีไป แต่อีกใจหนึ่งมันก็บอกให้รอ รอก่อน รอฟังคำอธิบายก่อน ผมเลยได้แต่ยืนเงียบๆ ในอ้อมแขนแกร่งต่อไป

       “คุยกันดีๆ นะคะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้ตลอดเลยนะ” อีป้ามึงรีบออกไปเถอะ ไม่พงไม่พี่มันแล้ว ตอนนี้ทั้งเสียใจ ทั้งหัวร้อน บอกเลยร้อนพอๆ กับประเทศไทยเดือนเมษาเลยแหละ

       “อุ่น” อะไรคือการวางหัวซบบ่า พร้อมอ้อน กูไม่ได้อยากให้อ้อน กูอยากได้คำอธิบาย “พูดกับพี่หน่อยสิครับ"

       “เบื่อกันแล้วเหรอ” จะดราม่ามันต้องไปให้สุด เอาสิ เป็นไงเป็นกัน เคยเจ็บมาแล้วนิ เจ็บอีกครั้งคงไม่ตาย

       “พูดอะไรแบบนี้!! พี่ไม่เคยเบื่ออุ่นเลยนะ นับวันยิ่งรักมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” รัก? เชี่ยเขิน แต่เขากำลังนอกใจมึงนะอุ่น ความเขินกูหายไปในทันที พร้อมกับใจที่แฟบลง ใจกูฟูฟ่องได้ไม่ถึงห้าวินาที

       “รักเหรอ? รักแล้วทำไมถึงมีคนอื่น" ผมผละออกจากอ้อมกอด พร้อมหันไปเผชิญหน้า แม่งกูคิดผิด แค่เห็นหน้าน้ำตาก็จะไหล

       “อย่าร้องนะครับคนดี” กูไม่ได้ร้อง หรือร้องว่ะ? ช่างแม่งเหอะ

       มือหนายื่นมาจับมือผมไว้ อยากสะบัดออก แต่แม่งอุ่น ให้จับแป๊บนึงก็ได้ “พี่ไม่ได้นอกใจ ไม่เคยมองใครเลยนอกจากอุ่น”

       ไม่ได้มอง? สะตอ เมื่อกี่มึงสวมแหวนให้กันอยู่ฟาย!

       “ไม่มอง? แต่ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วยังมาสวมแหวนให้กัน ยิ้มให้กันหวานหยดย้อย ยังกล้าบอกไม่มีอะไรอีกเหรอ" ไอ้ยิ้มให้กันหวานหยดย้อยผมเติมขึ้นมาเองแหละ แต่ไม่ใช่เขาไม่ยิ้มให้กันสักหน่อย ผมแค่ใส่สีตีไข่เข้าไปอีก จะดราม่าต้องเอาให้สุด แล้วหยุดตรงไหนค่อยว่ากัน ถ้าผมไม่ไหว ช่วยหามศพผมออกจากห้องให้ด้วยนะ ขอบคุณล่วงหน้า

       “พี่ไม่ได้ยิ้มหวานหยดย้อยสักหน่อย" เออ กูรู้ กูมโนเอง แต่ก็ยิ้มให้กันล่ะว้า

       “เห็นความรู้สึกผมเป็นเรื่องตลกเหรอ จะไม่บอกก็ได้นะ จากนี้เราก็ไม่ต้องคุยกันอีก” จนถึงตอนนี้ คำอธิบายยังไม่มีแม้แต่น้อย เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผมพูด เจ้าตัวก็ดูจะร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

       “ไม่เอาแบบนี้นะครับ มันไม่มีอะไรจริงๆ พี่แค่ให้จินช่วยอะไรบางอย่างแค่นั้นเอง พี่รักอุ่นคนเดียว”

       “ช่วยอะไร ทำไมต้องสวมแหวนให้กัน ตอบออกมาให้ชัดๆ ก่อนที่จะหมดความอดทน" ผมทนรอคำตอบจะไม่ไหวแล้ว ขามันอยากก้าวออกไปร้องไห้เงียบๆ คนเดียว แม่งพระเอกจริงๆ ตรู

       “คือ คือ…”

       “ถ้าแค่นี้ตอบไม่ได้ก็เลิ…” ยังพูดไม่จบ ตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขน พร้อมริมฝีปากที่โดนช่วงชิงไป แรงบดเบียดประหนึ่งไม่ต้องการให้เสียงต่างๆ เล็ดลอดออกจากปากผมได้

       ผลักออกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล มือหนาล็อคคอผมไว้ ลิ้นร้อนกวาดต้อนไปทั่วโพล่งปาก ความร้อนแรงค่อยๆ ผ่อนลงเป็นความนุ่มนวล ริมฝีปากหนาค่อยๆ เลาะเล็มปากบน มายังข้างล่าง ก่อนจะผละออกมาในที่สุด

       “อย่าพูดคำนั้นออกมา อย่าเอ่ยมันออกมาได้ไหมครับ” น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ค่อยๆ ไหลลงมาอย่างเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น รัก รักมาก แต่เมื่อมันไม่มีคำอธิบายอะไรที่ชัดเจน และน่าเชื่อถือ ผมผิดเหรอ ที่จะเอ่ยคำนั้นออกมา

       “ชู!! ไม่ร้องนะครับ เฮ้อ…เราเป็นแบบนี้แล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ อุตสาห์เตรียมการไว้ซะดี แต่เอาเถอะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว คงต้องเลยตามเลย" พูดเรื่องอะไรว่ะเนี่ย ไม่เข้าใจสักนิด นี่เขาเข้าใจไหมว่าผมต้องการคำอธิบาย

       ฟึบ! เอ้าแล้วนั่งคุกเข่าทำไม คือตอนนี้กูต้องการคำอธิบาย!!

       แล้วเอาแหวนออกมาทำไม? นี่มันอะไร??? มันแปลกๆ แล้วนะผมว่า น้ำตาแม่งก็ไหลอยู่นั้นแหละ มองไม่ชัด แม่ง!! วินาทีนี้พาลมันทุกอย่างอะ

       “ไออุ่นครับ ถึงเราจะคบกันได้ไม่นาน พี่อาจจะเคยทำให้ไออุ่นร้องไห้" ไม่ใช่เคยอะ ตอนนี้มึงก็ทำกูร้องไห้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ไออุ่นไม่สบายใจเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ต่อไปนี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจอีก จะรักอุ่นแค่คนเดียว ขอให้พี่ได้ดูแลอุ่น และลูกๆ ของเราได้ไหม อุ่น แต่งงานกับพี่นะ”

       หะ อะไรนะ ว่ายังไงซิ เออไม่ใช่ ว่ายังไงนะ อะไร ตะ แต่งงาน นี่มันหนังแผ่นเดียวกันกับเมื่อกี่ป่าววะ หรือผมกำลังหลับใน ฝันกลางอากาศ เพื่อความแน่ใจ

       “อะ อะไรนะ ขอชัดๆ อีกที"

       “แต่งงานกับพี่นะครับ ไออุ่น” ชัดเลย กูปลับอารมณ์ไม่ทัน นี่กูจะร้องไห้ หรือจะยิ้มดี เดี๋ยวๆ หยุดความบ้าก่อน ต้องเคลียร์เรื่องที่คาใจก่อน เดี๋ยวค่อยเขินต่อ

       “แล้วเรื่องพี่จินล่ะ" เรื่องนี้ไม่เคลียร์อย่าหวังจะได้คำตอบ

       “พี่ปรึกษาจิน เพราะจินเคยทำงานเป็น ออแกไนซ์งานแต่งมาก่อน พี่ไม่เคยมีแฟนเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องมีอะไรบ้าง เลยขอให้จินช่วย ทั้งเรื่องแหวนด้วย กำลังจะเตรียมเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานแท้ๆ แต่ไม่เป็นไร ขอแค่อุ่นตอบตกลงก็พอแล้วครับ” แล้วตรูจะรู้ไหมเล่า เห็นภาพแบบนี้เป็นใครก็คิดอะบอกเลย

       “แล้วคำตอบละครับ แต่งงานกับพี่นะไออุ่น” โอเคเรื่องคลี่คลายเขินต่อได้ เอ้ายืนบิดให้งูมันอายไปเลย งือ เขิน

       “ตกลง คะ ครับ” ปฏิเสธก็โง่สิ เสียตัวขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ๆๆ รักมากต่างหากล่ะ อย่ามองผมแบบนั้น แหะๆ

       เอ่อ แต่ลืมเล่นตัว เค้าจะมองว่าง่ายปะวะ

       “ขอบคุณครับ พี่รักอุ่นนะ" งือ หน้าร้อนกว่าดวงอาทิตย์อีกตอนนี้ แหวนทองคำขาว เกลี้ยงเกลาแบบที่ผมชอบสวมเข้ามาบนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างบรรจง ที่พี่จินเอาแหวนมาให้น้องมิวใส่แล้วบอกให้ผมลอง เพราะเหตุนี้ใช่ไหม ริมฝีปากหนาประทับลงบนแหวนที่สวมอยู่บนมือผมอย่างอ่อนโยน หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง

       ผมรับแหวนอีกวงมาสวมกลับให้ผู้กอง รอยยิ้มอบอุ่นนั้นทำให้มือผมสั่น กูจะใส่ถูกนิ้วไหมเนี่ย

       “รักมาก”  งือ เขินอ่า ผมบอกรักผู้ชาย แข้งขาอ่อนเปลี้ย อยากโดนอุ้ม

       แล้วผมก็โดนดึงเข้าสู่อ้อมแขนที่อบอุ่นอีกครั้ง อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆ นะ…แต่ ใครจะดูลูก?

       “เอ่อ ผู้กอง คือมันสามทุ่มแล้ว ได้เวลาลูกนอนแล้ว” ต้องส่งมิดไนท์เข้านอนที่ห้องลมหนาว แล้วกล่อมเจ้าตัวจิ๋วให้หลับ

       “ถ้าลูกหลับแล้ว จะมีรางวัลอะไรให้พี่หรือเปล่าน้า" รางวัลอะไร ทำอะไรไม่ทราบถึงต้องได้รางวัล “คืนนี้ขอนะครับ"

       ไอ้หื่น!!

       “อืม” และกูก็หื่น เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมดาของผู้ชายน่า แหะๆ โปรดอย่ามองผมแบบนั้น



+     -    ×    ÷    =    $


       “อีอุ่นกูบอกแล้วว่ามันไม่มีอะไร ผู้กองก็เป็นคนดี พี่จินก็เป็นคนดี” เมื่อวานมึงไม่ได้พูดแบบนี้ ยังเรียกเขาว่า อีเจ้จิน อยู่เลย เปลี่ยนสีเร็วนะมึง

       “เหรอแมนนี่ เหรอ” ขอมองบนให้กับเพื่อนทีนึง พรึบ เสร็จแล้ว

       “แล้วมึงจะแต่งเมื่อไหร่ว่ะ” แม่งไม่สนใจที่กูประชดเลย

       “อีกสองสัปดาห์” ผมนี่เตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันเลย

       “เร็วนะยะ ท้องก่อนแต่งรึไง”

       “กูกับมึงไม่มีมดลูก เผื่อมึงลืม”

       “ขอกูมโนหน่อยไม่ได้รึไง แล้วตกลงทำไมเร็วจังวะ กูจะหาชุดสวยๆ ทันไหมเนี่ย"

       “ผู้กองเค้าเตรียมงานกับพี่จินไว้เรียบร้อยแล้ว” นี่อีกแค่สองอาทิตย์ผมจะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วเหรอ โตมาได้ ครบ 20 ปี ก็มีผัวซะแล้ว พ่อแม่กูต้องภูมิใจ กระซิกๆ

       “วันนี้จะให้ผัวพาไปห้าง กูต้องได้ชุดสวยๆ” บางทีมึงก็รีบไปนะ

       “พี่จินเค้าขนมาให้เราทุกคนแล้ว” ต้องเรียกว่าขนครับ เพราะเต็มท้ายกระบะเลย

       “ไม่ จะไปเลือกเอง กูต้องสวยที่สุดในงาน” เอาที่สบายใจเลยเพื่อน

       “ไปห้างใกล้ๆ พอนะ ไปไกลมันอันตราย” ห้างแถวนี้เราเคลียร์พื้นที่ไว้แล้ว หายห่วง แต่ถ้าไกลออกไป ไม่รับรองความปลอดภัย

       “เออ ไม่ไปไกลหรอก แต่ผมมึงนี่ควรเปลี่ยนสีได้แล้วนะ โคลนกับปลายคนละสีแล้ว” ก็จริง ย้อมนานจนตอนนี้หัวเป็นสองสีแล้ว แต่งงานทั้งทีต้องหล่อเว้ย

       “งั้นกูฝากด้วย สีไหนที่ย้อมแล้วแม่งโคตรหล่อ โคตรเท่วะ” งานนี้ต้องเท่ที่สุด

       “หน้าอย่างมึงสีไหนก็เท่ไม่ขึ้นหรอก”  ยามกันมาก “อย่าทำหน้าแบบนั้น กูพูดเล่นจะ เพื่อนรัก ตกลงเอาสีอะไร”

       “น้ำเงิน หัวสีน้ำเงิน ทั้งเด่นทั้งเท่ กูเอาสีนี้” งานนี้เกิดชัวๆ เตรียมตัวติดแฮทแท็ก
#ไออุ่นคนหล่อ ได้เลย

       “อยากเด่น ได้!! เดี๋ยวกูจะย้อมให้กับมือเลย มึงเด่นแน่ๆ” อย่างนี่สิไอ้แมนเพื่อนรัก



       หลังจากได้สีมา มันก็ย้อมให้ผมทันที ขนาดกล่องน้ำยาย้อมยังไม่ได้ดูเลย รีบจัด

       “ขอดูกระจกหน่อย” ต้องส่องความหล่อสักหน่อย

       “ดูทีเดียวตอนทำเสร็จยะ” สงสัยอยากให้ตะลึงในความหล่อตอนเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ๆ ทนอีกหน่อยก็ได้


       “อะ กระจก เด่นสมใจมึงแน่นอน แมนนี่คนสวยรับรอง” ได้กระจกมาแล้วต้องสอง ความหล่อ ความเท่ตัวเองหน่อย



       ไอ้หัวสีชมพูสายไหมในกระจกนี่คือใคร มันเป็นใคร!!!

       ทำไมหัวกูเป็นสีชมพู?? หรือบอกแมนนี่ผิดวะ

       “แมนนี่บอกให้เอาสีอะไรมานะ”

       “สีน้ำเงิน” อือ ผมบอกให้เอาสีน้ำเงิน แมนนี่ก็รู้นิ

       “แล้วไอ้อยู่บนหัวกูสีอะไร” หรือมันจะตาบอดสี เห็นสีชมพูเป็นสีน้ำเงิน

       “ชมพู” มึงก็ไม่ได้ตาบอดสีหนิ

       “แล้วกูบอกให้เอาสีอะไร"

       “น้ำเงิน”

       “แล้วบนหัวกูสีอะไร”

       “ชมพู”

      “แมนนี่!!!” มึงเล่นกูเเล้ว หมดแล้วความเท่ตรู

       นี่ต้องแต่งงานด้วยหัวสีชมพูจริงดิ กระซิกๆ



…………………..
……………
…….

       ตอนหน้า ตอนจบแล้วนะคะ
       ขอบคุณจริงๆนะคะ ที่ติดตาม และอ่านนิยายของเรา เรื่องแรกก็จะงงๆ หน่อย แต่เราตั้งใจมากนะ

       ถ้ามีคำผิดบอกเราด้วย พอดีพิมพ์ในโทรศัพท์มันอาจจะกดผิดบ้าง

       #ธามไออุ่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2019 22:41:18 โดย Looktal1993tt »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 25 -


[ไออุ่น]

       การแต่งงานคือการที่คนทั้งคู่ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เพื่อให้เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามประเพณี และกฎหมายของสังคม การแต่งงานเป็นการสร้างครอบครัวใหม่ร่วมกัน

       การแต่งงานเป็นสิ่งที่หลายคนฝันถึง ครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนอยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดี ที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ต้องเผลอยิ้มออกมา ทุกคนวาดฝันให้มันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสุข ถ้าเป็นละครก็คงเป็นตอนจบของเรื่อง แต่ในชีวิตจริงมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการมีใครสักคนที่เดินไปพร้อมกับเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเส้นทางมันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน บางคู่อาจเดินไปถึงทางแยกที่ไปด้วยกันไม่ได้ บางคู่อาจจะจากกันไประหว่างทาง หรือจากไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไร ก็กำหนดมันไม่ได้อยู่ดี แค่มีความสุขกับการเดินทางในปัจจุบันเป็นพอ

       ผมมองดูทุกคน ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดสถานที่ บ้านหลังใหญ่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ และผ้าสีสวยเท่าที่จะหาได้ พิธีไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก แค่สวมแหวนให้กัน ให้ผู้ใหญ่อวยพร แล้วส่งตัวเข้าหอ พิธีต่างๆ จะจัดขึ้นตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ตามฤกษ์สะดวก อาจมีขึ้นกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้เป็นทางการอะไรมากมาย เน้นสบายๆ ชิลๆ

       แต่ดูชุดของแมนนี่แล้วผมชิลไม่ออก คุณเธอดันจัดชุดเดรสสีแดงผ่าหลังจนเกือบเห็นตูด เห็นแล้วยอมใจ

       ส่วนของผมเป็นแค่เสื้อเชิ้ตสีขาว ผู้กองใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินธรรมดา(ที่เป็นแบรนด์ดังในอดีต) ผมบอกแล้วว่าเราจะแต่งแบบชิลๆ แต่ถ้าใครอยากจัดเต็มก็ตามอัธยาศัยเลย แต่เกรงใจแดดช่วงบ่ายนิดนึง เพราะเราไม่มีแอร์เปิดให้หรอกนะ

       น้องมิวพร้อมกล้องตัวใหญ่ที่หิ้วมาจากห้าง เดินเก็บภาพไปทั่ว น้องบอกจะเป็นช่างภาพให้เอง เจ้าตัวเล็กมิดไนท์ของเรากำลังวิ่งเล่นกับเจ้าสี่ขาอย่างสนุกสนาน สนุกจนลืมน้องแล้วมั้ง!!

       ขณะที่พี่ๆ ทหารออกตรวจความเรียบร้อยบริเวณนี้ และใกล้เคียง เพื่อวันพรุ่งนี้จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะดูแล้วหลายคนเตรียมเมากันเต็มที่ เหล้า เบียร์จากห้างสรรพสินค้าถูกกว้านมาจนหมด ไม่รู้ว่าจะเอามากินหรือมาอาบกันแน่ หวังว่าจะไม่เมาจนเดินไปให้ซอมบี้แดกเล่นนะ ผมละหวั่นใจจริงๆ

       อยากรู้ละสิว่าสุดหล่อหัวชมพูอย่างผมทำอะไรอยู่ พูดเรื่องหัวชมพูแล้วขอบ่นหน่อยเหอะ หลังจากที่ทุกคนเห็นสีผมใหม่ของผมแล้ว ต่างพากันชมว่าน่ารักๆ แรกๆ ก็เช็งอยู่หรอก กะจะหล่อเท่ให้เต็มที่ดันมาน่ารักซะงั้น แต่ก็ดีกว่าชมว่าสวยละว้า คิดได้ดังนั้นผมเลยเลิกนอยด์ แล้วยังคิดได้อีกว่า คนมันจะหล่อมันหล่อจากข้างในครับไม่ใช่สีผม มันอยู่ที่อินเนอร์ เชื่อผม ผมเรียนมา

       ว่าแต่ถึงไหนแล้วนะ อ๋อ ผมกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าสุดหล่อมาดแมนอย่างผมต้องได้รับหน้าที่ เลี้ยงเด็ก? ก็ลูกผมหนิครับ ผมก็ต้องเลี้ยงสิ แต่พรุ่งนี้ผู้กองบอกตอนเข้าหอจะฝากให้ป้าๆ ดูแลให้ก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ความหื่นออกนอกหน้าขนาดนั้น เห็นแล้วเท้าสั่นดิ๊กๆๆ คิดว่าผมจะเตะผู้กองเหรอ ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณคิด ผิด!!! ผมจะวิ่งหนีต่างหากเล่า อยู่ทำไม อยู่ไปก็ตายคาเตียง

       “พี่อุ่นผู้กองไปไหนครับ” ผมเงยหน้ามองไอ้เด็กผอมสูงที่ถามผม ตอนนี้ไอ้ริวมันดูมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะ แต่ก็ยังถือว่าผอมอยู่ แต่ไม่ก้างเหมือนเดิม เมื่อเจ้าตัวทำหน้าเหมือนอยากได้คำตอบมาก ผมจึงต้องเอ่ยตอบไปด้วยความเอ็นดู

       “ไปกับผัวมึงไงครับน้อง” เอ็นดูจริงๆ ไอ้สูง แมง!! อายุแค่นี้จะสูงอะไรนักหนา

       “ผมรู้ว่าพี่โฟรคไปกับ ผัวพี่!!  แต่ผมอยากรู้ว่าไปที่ไหนครับ" แม่ง โดนแล้วไหมล่ะ ดูๆ ดูมันทำหน้า ทำเป็นใสซื่อ กวนตีนแล้วยังมาทำหน้าซื่ออีก หมั่นไส้!!

       “ไปศูนย์วิทยุกระจายเสียง” ตอบๆ มันไปครับ รำคาญ!! ตอนสายๆ ผู้กองบอกผมแล้วว่าจะไปที่ศูนย์วิทยุ ทีแรกจะไปกันเองกับทหารอีก 3 นาย แต่หมวดโฟรคขอไปด้วย บอกอยากไปดู ก็เลยขึ้นรถไปด้วยกัน ศูนย์วิทยุกระจายเสียง เราใช้เพื่อส่งข้อความผ่านวิทยุ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ส่งข่าวได้ เพียงแค่เรามีวิทยุรุ่นที่ใช้ถ่าน ใส่ถ่านหาสัญญาก็เจอคลื่นของเราแล้ว เสียดายที่คลื่นมันถึงแค่จังหวัดรอบข้างเท่านั้น แต่เรามีโครงการจะให้ค่ายต่างๆ เป็นศูนย์วิทยุกระจายเสียงเช่นกัน แต่นั้นมันคืออนาคต ตอนนี้มีเพียงตรงนี้ที่เรากำลังดูแล โดยใช้ไฟจากแผงโซลาร์เซลล์ เปิดเพลงบ้าง พูดคุยบ้าง ส่งข่าวบ้าง คอยอยู่เป็นเพื่อนคนที่ฟังอยู่ หวังว่าจะมีคนฟังอยู่นะ

       “นี่พี่หลุดไปถึงโลกไหนแล้วเนี่ย!!" ชิบ!!! ตกใจหมด คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ

       “อะไรอีก” ถามหาผัวก็ตอบให้แล้ว ยังมายืนจ้องหน้าอีก

       “ผทจะบอกพี่ว่า ลูกพี่ตื่นแล้ว นอนตาแป๋วอยู่นั้น” ผมก้มลงมอง เจ้าตัวจิ๋วที่อยู่บนรถเข็น มองผมตาใสแจ๋วเลย ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย

       “แล้วก็ไม่รีบบอก”

       “ผมบอกแล้วเถอะ แต่พี่มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้" อ่าว จริงดิ ไม่เห็นรู้ตัวเลย แหะๆ

       “แล้วกับหมวดเป็นยังไงบ้างพักหลังๆ เห็นหวานกันจนมดจะขึ้น ถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ" ผมอุ้มเจ้าตัวจิ๋วขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมเปลี่ยนเรื่อง

       “ก็ดี” อะไรคือพูดถึงแล้วยืนบิดหน้าแดง

       “แล้วถึงขั้นไหนกันแล้ว” อยากรู้เราก็ต้องถามครับ อิอิ

       “ขั้นไหนอะไรกันเล่า วู้!! ไม่คุยด้วยแล้ว ไปทำงานดีกว่า” แหม๋ทีนี้มาเดินหนี ถามแค่นี้เอง ตอบอยากตรงไหน ไม่เชื่อผมถามแมยนี่ให้ดู

       “แมนนี่ มานี่! ถามอะไรหน่อย” แมนนี่เดินหน้าเซ็งๆ มาหาผม

       “อะไรยะ!” อารมณ์มาเต็ม รู้ว่าร้อน แต่ขอร้องอย่ากระโดดกัดคอกูเลยเพื่อน

       “มึงกับหมู่ทั้งสอง ถึงไหนกันแล้ววะ” มันทำหน้าประหลาดใจกับคำถามผมในตอนแรก ก่อนจะยิ้มกริ่มในเวลาต่อมา พร้อมเอ่ยตอบในที่สุด

       “ถ้ากูเป็นผู้หญิงคงแฝดสิบอะ บอกเลย” พูดจบก็เดินลิ่วไป หมายถึงอะไร แฝดสิบ ทำบ่อย? ทำเยอะ? เหรอ หรืออะไร

       

    +    -    ×    ÷    =    $


       ความวุ่นวายในตอนเที่ยงของวัน มันไม่ได้ทำให้การตื่นเต้นผมน้อยลงเลย กลับกันยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก

       ตอนนี้ผมกำลังแต่งตัวอยู่อีกห้องซึ่งแยกกันกับผู้กอง มิดไนท์แต่งอยู่ห้องผู้กองเช่นกัน ส่วนแม่สาวน้อยตัวจิ๋วแต่งอยู่ห้องผม ไม่รู้ว่าพี่จินไปหาชุดไทยขนาดเล็กนี้มาจากไหน มันน่ารักมากเลย เจ้าตัวจิ๋วของเรากำลังหลับ หลังจากเล่นกับเขาไปทั่ว ใครเล่นด้วยก็เล่นกับเขาไปหมด ไม่แปลกใจเลยที่หมดแรงหลับไป หวังว่าจะตื่นขึ้นมาทันพิธีการนะ อยากให้เจ้าตัวจิ๋วอยู่ด้วย อยากให้ครอบครัวเราอยู่ครบทุกคน

       แมนนี่ที่ตอนนี้อยู่ในชุดเดรสสีแดง แต่งหน้าเต็ม กำลังเช็ตผมให้ผมอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ผมต้องหายใจเบาๆ เพราะกลัวโดนช่างตบเอา…อ่า เสร็จสักที เปิดปากได้แล้ว อึดอัดชิบ! คำถามแรกที่ผมไม่เข้าใจ ก็ถูกเอ่ยออกไป

       “ไม่ใช่งานเป็นทางการสักหน่อย ทำไมต้องแต่งตัวแยกห้องกันด้วย” ผมไม่เข้าใจเลย หรือปกติเขาทำกันแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม

       “ทำไม แยกกันแป๊บเดียวไม่ได้? คิดถึงผัว!” เชี่ย กูแค่สงสัยเฉยๆ เหอะ แล้วป้าๆ จะหัวเราะทำไมเล่า!

       จบครับ อย่าไปถามมันเลย สวยเหมือนนางฟ้า แต่เธอช่างร้ายเหมือนนางมาร

       ผมหันมาสนใจกระจกต่อ เงาที่สะท้อนในกระจก ทำให้ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า คนหล่อหน้าตาเป็นยังไง ไม่อยากจะพูด แต่อยากให้คุณได้เห็น นี้แหละนิยามคำว่าหล่อที่แท้ทรู คริๆ เขินตัวเองจัง

       “ฝันกลางวันอะไรอยู่ยะ หน้าตากระตุกทีนหนักมาก” ผมบอกแล้วว่ามันเป็นนางมาร

       แกร๊ก!! ประตูเปิดออกพร้อมร่างเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง

       “โห!! น้องใครเนี่ย โคตรหล่อเลย” ผมชมลมหนาวที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เช็ตผมเปิดหน้า ทำให้เจ้าตัวดูโตขึ้นกว่าปกติพอสมควร

       “โอเค อันนี้เห็นด้วย หล่อค่ะ หล่อกว่าพี่มันอีก" สำหรับน้อง ยอมหล่อน้อยกว่าก็ได้วะ

       “พี่อุ่นหล่อมากครับ” ตาถึง!! ต้องแบบนี้สิน้องผม ยิ้มมุมปากส่งไปให้แบบเท่ๆ

       “กูเกลียดหน้ามึงมากอีอุ่น เห็นแล้วคันทีนไปดูอีกห้องดีกว่า” เชอะ ไปเลย ใครรั้งไว้

       “พี่อุ่นตื่นเต้นไหมครับ” ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไหร่ แต่พอโดนถาม เออ เริ่มตื่นเต้นแล้ว!

       “ตอนนี้นิดหน่อย” ออกไปคงเยอะกว่านี้ ‘มากกกก'

       “ยินดีด้วยนะครับ ขอบคุณที่ดูแลพวกเรามาโดยตลอด ผมดีใจที่ต่อไปนี้พี่จะมีคนคอยดูแล ไม่ต้องพยายามเข้มแข็งตลอดเวลาเพื่อพวกเราแล้ว มีความสุขกับชีวิตของตนเองเถอะนะครับ" มือสองข้างของน้องกอบกุมมือผมไว้ ในขณะที่เอ่ยถ่อยคำต่างๆ ออกมา

       “ความสุขของพี่คือการที่พวกเราทุกคนปลอดภัย มีชีวิตที่ดี มีความสุข พี่มีความสุขที่ได้ปกป้องพวกเรา มันไม่ได้ลำบากเลย พี่เต็มใจที่จะทำ ไม่ต้องห่วง พี่มีความสุขดี ผู้กองเป็นอีกความสุขที่เข้ามาในชีวิตพี่ เป็นบ้านให้พี่ได้พึ่งพิง เป็นอีกส่วนของหัวใจที่เข้ามาเติมเต็ม พวกเราก็เช่นกัน" ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ อยากดูแลปกป้องทุกคน ให้น้องๆ ทุกคนปลอดภัย มีชีวิตที่ดี มีความสุข

       “ผมรักพี่นะครับ เสียดายที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยในงานสำคัญของพี่อุ่น” ผมลุกขึ้นดึงเจ้าน้องชายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

       “พี่ก็รักลมหนาวครับ พี่เชื่อว่าพ่อกับแม่จะคอยมองดูเราจากบนนู้น" ผมชี้มือขึ้นไปบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ “ไม่ว่าเราจะทำอะไร พวกท่านจะอยู่กับเราตลอด อย่างน้อยพวกท่านก็อยู่ในใจของพวกเรา”

       “ฮึก ผมคิดถึงพ่อกับแม่" ในห้องที่เหลือแค่เราสองคน เอ่อ สามกับเจ้าตัวจิ๋วที่หลับอยู่ ผมกระชับอ้อมกอดน้องชายให้แน่นขึ้น ผมรู้น้องคิดถึงพ่อกับแม่มาก แม้จะไม่ค่อยพูดถึงก็ตาม ที่ไม่พูดถึงเพราะพยายามเข้มแข็งอยู่ต่างหาก ไม่ว่าน้องจะดูโตขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าน้องเป็นแค่เด็กอายุ 12-13 เอง

       “พี่ก็คิดถึง” ไม่รู้จะปลอบน้องยังไงดี เลยได้แต่ลูบหลัง ความคิดถึงมันทรมานอย่างนี่นี้เอง

       “ทำไมต้องมีเชื้อโรคระบาด ทำไมต้องมีซอมบี้ ทำไมพ่อแม่ต้องตาย ทำไม#%^£$@÷*¥&” และอีกมากมายที่เจ้าตัวระบายออกมา คงอัดอั้นมาก พอได้ระบายเลยพูดออกมาจนหมด ดีแล้วล่ะครับ ให้น้องพูดออกมาบ้าง ดีกว่าเก็บมันไว้คนเดียว ผมสงสารน้องนะที่อายุแค่นี้ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่มีชีวิตอยู่มาได้ขนาดนี้ก็โชคดีมากแล้ว

       “โอเคขึ้นยัง" น้องหยุดร้องได้สักพักผมจึงถามขึ้น

       “ขอโทษครับ วันสำคัญของพี่แท้ๆ ผมยังมาร้องไห้ ใช้ไม่ได้จริงๆ”

       “คิดมาก วันไหนพี่ก็พร้อมรับฟังเราเสมอ ต่อให้นั่งขี้พี่ก็จะฟัง" เจ้าตัวหัวเราะน้อยๆ กับนิสัยขี้เล่นของผม

       “ไม่ว่าสถานการณ์ไหนพี่ก็ยังตลกได้เหมือนเดิมเลยนะ พี่นี่มันพี่จริงๆ เลย” ก็นี่แหละผม จริงจังได้ไม่ถึง 10 นาทีหรอก

       แกร๊ก! ประตูเปิดออกพร้อมร่างหนาที่พาตนเองเข้ามาในห้อง

       “หืม มีอะไรกัน ตาแดงเชียว” ผู้กองเหมือนจะจ้องผมอยู่แป๊บนึงก่อนจะมองลมหนาวที่ยืนตาแดงอยู่

       “เด็กงอแงน่ะครับ” ขยี้ผมส่งไปอย่างเอ็นดู ตาแดงเชียว

       “โห พี่อุ่นพูดแบบนี้ พี่ธามก็มองผมเป็นเด็กน้อยพอดี” เจ้าตัวโอดโอยใหญ่

       “ก็เด็กน้อยจริงๆ นี่นา”

       “ผมโตแล้วเหอะ”

       “แล้วคนโตที่ไหนมากอดพี่ร้องไห้ ฮึ" เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยทันที ผมไม่เห็นน้องทำหน้าแบบนี้นานแล้ว ล่าสุดตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ เด็กน้อยของผมกลับมาแล้ว

       “หยุดเลยพี่อุ่น ไม่ต้องพูดแล้ว” โวยวายใหญ่ หึหึ ต่อไปนี้ขอให้เด็กน้อยของพี่มีแต่ความสุขนะครับ

       “โอเคๆ ไม่พูดแล้วๆ"

       “พี่ธาม ฝากพี่ชายผมด้วยนะครับ รักพี่อุ่นให้มากๆ อย่าทำให้พี่เสียใจ และอย่าทิ้งพี่ชายผมนะครับ ผมรักพี่มาก ผมไม่อยากให้พี่เสียใจอีกแล้ว" อยู่ดีๆ เจ้าตัวก็หันไปหาผู้กอง แล้วพูดอย่างจริงจังซะงั้น แต่สิ่งที่น้องพูดทำให้น้ำตาผมมันจะไหลออกมา จนต้องเงยหน้าเพื่อกลั้นมันเอาไว้

       “ครับ พี่สัญญา” กับคนอื่นก็ยังพูดน้อยเหมือนเดิม แต่สีหน้าจริงจัง และหนักแน่นก็สื่อทุกอย่างออกมาแทนคำพูดหมดแล้ว

       “เดี๋ยวผมออกไปหาอะไรมาให้ทานก่อนดีกว่า เที่ยงแล้ว ต้องกินด้วยนะครับ ไม่ใช่ตื่นเต้นจนลืมกินล่ะ” พูดจบก็วิ่งออกไปทันที ไม่ถามหน่อยเหรอว่าอยากกินอะไร กลับมาก่อน!! ไปซะแล้ว

       “ตาแดงเชียว จะงอแงตามน้องเหรอครับ” แหม ใช่คำซะผมดูน่ารักไปเลย ไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่อง มีอะไรไหมครับ

       “ใส่ชุดนี้แล้วหล่อดีหนิ แต่น้อยกว่าผมนะ” คนเราต้องมั่นใจในตัวเองครับ

       “ก็หล่อนะ แต่น่ารักมากกว่า เห็นแล้วอยากอุ้มเข้าห้องไปดูคนเดียวเลย หวง” เนี่ยจะเคืองที่ชมว่าน่ารักก็เคืองไม่ได้เพราะ เขิน งือ หน้านิ่งๆ หล่อๆ แล้วพูดแบบนี้ใครไม่เขินก็บ้าแล้ว

       “จะหวงทำไม!! คนอื่นก็ได้แค่ดู" เสียงแผวลงในประโยคสุดท้าย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังได้ยินอยู่ดี เพราะดูจากร้อยยิ้มที่ปรากฏออกมามันกรุ้มกริ่มยังไงไม่รู้

       “แต่พี่ได้ทำมากกว่านั้นใช่ไหม" ก็รู้อยู่จะถามทำไม แม่ง หน้าร้อนหมดแล้ว เอาหน้าผมตอนนี้ไปทอดไข่ก็สุกอะบอกเลย

       “แล้วมิดไนท์ล่ะครับ" ไปต่อไม่ได้เราก็ต้องเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ตามภาษาคนแมน

       “เปลี่ยนเรื่องตลอด” ผมถึงตาใส่ ไอ้เราก็อุตสาห์เปลี่ยนเรื่อง “โอเคครับๆ มิดไนท์แต่งตัวเสร็จแล้ว หล่อเชียว ตอนนี้กำลังออกไปกินข้าวอยู่ครับ แล้วเจ้าหญิงหลับไปนานรึยัง”

       “เกือบชั่วโมงแล้วครับ สักพักคงตื่น” หวังว่าจะตื่นทันงานนะ อยากให้คนที่ผมรักทุกคนอยู่ด้วยในวันสำคัญนี้

       “ต่อไปนี้ห้ามเรียกพี่ว่าผู้กองแล้วนะ ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้ว่าเพราะคิดว่ายังไม่ชิน ยังเขินอยู่ แต่ต่อไปนี้ต้องเรียกพี่ว่า ‘พี่ธาม’ ถ้าเรียกว่าผู้กองเมื่อไหร่ โดนหอมแก้มเมื่อนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะคนน้อย คนมากพี่ก็ไม่สน" ระหว่างเรียกพี่ธาม กับโดนหอมแก้ม อะไรจะเขินกว่ากัน? โอเค! ผมจะเรียกผู้กองว่าพี่ธามก็แล้วกัน เพราะมันเขินน้อยกว่าไง งือ…

       “พูดขนาดนี้แล้วใครจะขัดได้ล่ะ"

       “ไออุ่นครับ” ผมว่าไม่ใช่แค่เรียกธรรมดา ต้องคาดหวังอะไรแน่ๆ อะ เอาใจคุณเขาหน่อย

       “ครับ พะ พี่ธาม” แหม ยิ้มแป้นเชียว ไม่คิดจะเกรงใจแก้มแดงๆ ผมเลย

       มือหนาลูบหน้าผมเบา หน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งทวีความร้อนขึ้นอีก

       “น่ารัก” งือ กูตาย ช่วยมาเก็บศพผมที

       “แอะ งือ อุ แอะ” เสียงนางฟ้าตัวน้อยๆ ได้ช่วยชีวิตผมไว้ พร้อมตาใสแป๋วที่ทอดมองเรา

       “นางฟ้าของพ่อตื่นแล้วเหรอครับ” ผู้กองอุ้มเจ้าตัวจิ๋วขึ้นมาจากเบาะนอนอย่างทะมัดทะแมง พร้อมฟัดแก้มที่เริ่มจะกลมนั้นเน้นๆ

       “กรีส!! คิกๆๆ แอะ มะๆ แอะ คิกๆๆ” ตื่นมาก็อารมณ์ดีเลยนะ ไม่คิดจะงอแงใส่พ่อเขาสักหน่อยเหรอ

       “พอแล้วครับ เดี๋ยวก็หมดแรงกันก่อนงานเริ่มหรอก” หลับกลางงานไม่รู้ด้วยนะ

       “ลืมไปว่านางฟ้าตัวน้อยต้องเก็บแรงไว้ลุยงานแต่งงานของพ่อกับแม่" เออ แม่ก็แม่ ขัดไม่ได้แล้วหนิ

       เราเล่นกันอยู่สักพักข้าวก็มา อีกไม่นานก็ถึงเวลาแล้วสินะ ตื่นเต้น


    +    -    ×    ÷    =    $


       งานทุกอย่างจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย อาหารก็นั่งกินกันอย่างสบายๆ ทั้งนั่งโต๊ะ ปูเสื่อนั่งกินกับพื้น แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลย นอนกินก็ไม่มีใครว่า

       แมนนี่ในชุดเดรสแดงของเธอกำลังเดินกรีดกรายออกมา พร้อมสามีทั้งสองที่เดินตามหลังดั่งบอดีการ์ด คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกดังที่มีบอดีการ์ดคอยคุ้มกันหรือไง

       พิธีการเป็นแบบง่ายๆ เราสวมแหวนให้กันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งหลาย ผู้ใหญ่นั้นก็ไม่ใช่ใคร ก็ป้าๆ ลุงๆ นั้นแหละ ไม่มีการรดน้ำสังข์ ถ้าใครอยากอวยพรก็เข้ามาอวยพรได้เลย หรืออยากกล่าวอะไร เราก็มีเวทีเล็กๆ ให้ขึ้นกล่าว แต่ไม่มีไมค์นะ ต้องพูดเสียงดังๆ หน่อย

       เราทั้งสองนั่งลงต่อหน้าผู้ใหญ่ ที่นั้งเก้าอี้ด้านบน ด้านข้างมีลมหนาวที่กำลังอุ้มเจ้าตัวจิ๋วไว้ พร้อมมิดไนท์ที่นั่งอยู่ด้วยไม่ห่าง โดยมีน้องมิวที่ทำหน้าที่เก็บภาพความทรงจำที่งดงามนี้ไว้

       “พร้อมแล้ว เจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาว เอ่อ… ใช่เจ้าสาวไหมวะ” ลุงดำถ้าพูดไปเลยมันจะไม่เขินขนาดนี้นะ จะถามทำไม!!

       “ครับ เจ้าสาว!!” เอา! นี่จะตอบทำไมอะผู้กอง!!

       เอาเถอะ ตอนนี้ก็ตื่นเต้นมากอยู่แล้ว จะบวกความเขินไปอีกคงไม่เป็นไร หรือเปล่า??

       “เออๆ ต่อๆ เจ้าบ่าว สวมแหวนให้เจ้าสาวได้เลย” มือที่ยื่นออกไปสั่นอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่กล้ามองผู้กอง หรือใครๆ เลย เขิน!

       “อุ่นครับ เงยหน้าขึ้นมามองกันหน่อยสิครับ" งือ อย่ามาหวาน จะเป็นลม มีงานแต่งที่ไหน ที่เจ้าสาวเป็นลมเพราะเขินบ้างไหมครับ ผมอยากเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมหน่อย

       ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาคม ดวงตาที่มีความสุขมันสะกดให้ผมหันไปมองทางอื่นไม่ได้ เอาวะ ถึงต้องเขินขนาดไหน แต่มันทำให้ผู้กองมีความสุขได้ ไอ้อุ่นจะทำ เอ่อ ถ้าผมไม่เป็นลมไปก่อนนะ

       แหวนทองคำขาวค่อยๆ เลื่อนเข้ามาในนิ้วนางข้างซ้ายอย่างช้าๆ รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าคนสวมแหวน แสดงถึงความสุขล้นของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

       เมื่อแหวนถูกสวมเข้ามาแล้ว ผมก้มลงกราบบนตักของคนตรงหน้า โดยไม่ต้องให้ใครบอก ขอบคุณที่รักกันนะครับ ผมรู้สึกถึงมือหนาที่กำลังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน อุ่นจัง

       “เอาล่ะ ต่อไปเจ้าสาวสวมแหวนให้เจ้าบ่าว”

       ผมค่อยๆ หยิบแหวนขึ้นมา เพื่อสวมให้กับ ‘คนรัก’ ของผม ถึงมือจะค่อนข้างสั่นแต่ผมก็บรรจงสวมให้อย่างตั้งอกตั้งใจ

       มือหนายกขึ้นไหว้ผม เมื่อสวมแหวนเสร็จ ผมรีบละล่ำละลักไหว้กลับในทันที

       “เอาล่ะ ถือเป็นอันจบพิธี และในฐานะที่ลุงเป็นผู้ใหญ่ และเห็นเจ้าอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไออุ่นก็เหมือนลูกหลานของลุง ลุงขอให้ทั้งสองมีความสุขกันมากๆ ดูแลกันทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ไม่ทอดทิ้งกัน รักกันไปนานๆ มีอะไรไม่เข้าใจกันก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ แก้ไข อย่าใช้แต่อารมณ์ ขอให้ครอบครัวพวกเองพบเจอแต่ความสุขนะ"

       เราทั้งสองก้มลงกราบลุงดำ ผมน้ำตาคลอกับสิ่งที่แกอวยพร แกเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เราเหลืออยู่

       เสียงอวยพรดังขึ้นไม่หยุด จากคนนั้นที คนนี้ที เหตุการณ์เริ่มสงบ ก็โดนแมนนี่เล่นงานทันที

       “เดี๋ยวๆๆ แมนนี่ว่ามันยังขาดอะไรอยู่นะคะ”

       “ขาดอะไร” ผมชักไม่ไว้ใจแมนนี่แล้วสิ

       “หอมแก้มๆๆๆ” ชัดเลย กูโดนมันเล่นแล้ว พอคนหนึ่งพูด คนอื่นๆ ก็พูดตาม กลายเป็นเสียงตะโกนเชียร์จากทุกคน

       ผมค่อยๆ เอียงแก้มให้ผู้กอง ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว โดนหอมยังเขินน้อยกว่าไปหอมผู้กองเยอะ

       ฟอด!! “หอมจัง” โอ้ย แค่เขินคนอื่นก็จะตายแล้ว ทำไมต้องมาทำให้เขินมากขึ้นด้วย

       “หอมกลับๆๆๆ!!!” จะให้เป็นลมไปให้ได้เลยใช่ไหม งือ…

       คนข้างๆ ก็เอียงแก้มพร้อมเลยนะ หมั่นไส้!!

       ฟอด!!! งือ…ผมจะเป็นลม

       “จูบเลยๆๆๆ" มารับศพผมทีทุกคน….

       แล้วนี่ไม่คิกจะปฏิเสธเลยเหรอ ดูสิ ยิ้มหน้าบานเชียว

       “ลมหนาวปิดตาเด็กๆ” หืม ทำไมต้องปิดด้วย แล้วผมก็ได้คำตอบของคำถามที่อยู่ในใจ

       การจูบที่ดูดดื่มตอบคำถามผมได้เป็นอย่างดี ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาเกี่ยวกระหวัด ไล่ต้อนไปทั่วโพลงปาก ดูดดึงลิ้นผมอยู่สักพักจึงยอมปล่อย แล้วค่อยๆ ขบเม้มริมฝีปากบนและล่างอย่างเชื่องช้า ก่อนถอยออกไปในที่สุด

       ลืมแล้วเหรอว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง นั้นไง เสียงโห่แซวดังขึ้นมาอย่างอื้ออึง ตายสงบศพสีชมพูของจริง หัวสีชมพูด้วย

       “พี่รักอุ่นนะครับ” คุณคิดว่าหน้า กับผมบนหัวอันไหนสีจะแจ่มกว่ากัน ผมว่าตอนนี้คงเป็นหน้า มันคงแดงจนเด่นกว่าผมสีชมพูของผมแล้ว

       “ผมก็รักพี่ธามครับ” ที่เขินก็เพราะรักมากไง งือ…

       “อยู่ด้วยกันนานๆ นะครับ คำว่าตลอดไปอาจไม่มีจริง แต่ขอให้เราอยู่ด้วยกันจนกว่าใครสักคนจะจากโลกนี้ไป อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้ายนะครับ” ไปแล้วใจผม รักผู้ชายคนนี้ที่สุด ไม่มีแล้วฟงฟอร์ม รักคือรักครับ ผมจะรักผู้ชายคนนี้ไปจนกว่าผมจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้

      ต่อไปนี้ชีวิตเราจะมีแต่ความสงบสุข

       “แย่แล้วๆๆๆ!!!! มีรถผู้รอดชีวิตกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!! ซอมบี้ตามมาเป็นฝูงเลยครับผู้กอง!!!” สงบสุข ซะที่ไหน  อ๊ากกก!!! ผมยังไม่ได้เข้าหอเลยนะ

       ไอ้ซอมบี้มึงตาย!!!!!

       การแต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราว แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของนิยายบทใหม่ต่างหาก

       ขอตัวไปจัดการพวกซอมบี้ มารความสุขของผมก่อนนะครับ

       “แมนนี่ไปเอาธนู!!”

       “นี่กูแต่งตัวจัดเต็มมาเพื่อไปฆ่าซอมบี้เหรอวะ แม่ง!!! น้ำตาจะไหล”

       “กลับมาแล้วค่อยเข้าหอนะครับ” พูดแบบนี้ค่อยมีแรงฆ่าซอมบี้หน่อย นี่ผมไม่ได้หื่นนะ

       “อืม”

       “ป๊า มัมสู้ๆ มิดไนท์ กับน้องไอ จะเชียร์ๆ อยู่”

       “แอะๆ อู้ แอะ”

       “พร้อมนะ ที่รัก”

       “พร้อมครับ พี่ธาม”

       ไปฆ่ามัน!!!!!


(End)

……………………..
………………
………..

       ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อ่านนิยายเราจนจบ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเรา เรารู้ว่ามันยังมีข้อด้อย ข้อผิดพลาดอยู่เยอะ แต่ทุกคนยังอ่านจนจบ ขอบคุณค่ะ

       สุดท้ายนี้อย่าลืมเม้นๆๆ อะไรให้ Tt  หน่อยนะคะ เพื่อให้ Tt  มีกำลังใจที่จะเขียนนิยายต่อไป

       ส่วนคำผิดในตอนที่แล้วมาจะกลับไปแก้ไขยามที่ว่างๆ นะคะ

       พูดคุยกันได้ Twitter: Tt.looktal1993
                          #ธามไออุ่น
                          #หนีเชื้อร้ายพ่ายเชื้อรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2019 19:53:56 โดย Looktal1993tt »

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ♥Täsinä→l3€LL♥

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สนุกมากค่ะ น่ารักมากๆด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด