[End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]  (อ่าน 16226 ครั้ง)

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยังมี มัย กับ งัย อยู่นะคะ แต่น้อยลงแล้ว พออ่านเจอผู้กองพูด มัยกับงัยแล้วรู้สึกขำแปลกๆ เหอๆ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้ยสงสาร แค่สองพ่อลูกนั้นก็น่ารำคาญพอ ยังจะต้องมาเจอคนไม่ดีเพิ่มขึ้นอีก  :katai1:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 8 -



[ธาม]


     คุณคิดว่าชีวิตของคนเราจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายซ้อนๆ กันได้มากแค่ไหน แต่ก่อนคุณอาจจะเคยเสียคนที่รักไป และคิดว่านั้นมันเลวร้ายที่สุดในชีวิต การที่ไม่มีคนรัก ครอบครัวอยู่มันแย่จนไม่มีอะไรจะแย่ได้กว่านี้อีกแล้ว แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ความเลวร้ายมันถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน หนึ่งปี สองปี สิบปี หรือตลอดชีวิตที่เหลือของผม…ผมได้แต่หวังว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหลายจะจบลงในเร็ววัน

     สิ่งที่กำลังเข้ามา ก็เป็นอีกปัญหาที่ถาโถมมาใส่เรา แม้ตอนนี้จะมีปัญหามากมายอยู่แล้วก็ตาม

     ในโลกที่ไร้กฎเกณฑ์ กฎหมาย ผู้รักษากฎหมาย ทำให้คนที่ไม่ชอบอยู่ในกฎพวกนี้ได้โอกาส และเวลาทำสิ่งที่ตนเองปรารถนา ความเห็นแก่ตัว ความมืดดำในใจเข้าครอบงำ ให้ทำในสิ่งที่เลวร้าย

     พวกมันไม่ได้ทำแค่ เพื่อเอาชีวิตรอด มันมากกว่านั้น พวกนี้มันทำเพื่อความสนุก และความสะใจของตัวเอง ความโหดร้ายการเข่นฆ่าเป็นเหมือนภาพยนตร์ให้ความบันเทิงแก่พวกมัน

     กลุ่มนี้เริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เป็นกลุ่มที่รวมอาชญากร นักโทษคดีร้ายแรง รวมทั้งคนที่ชอบความรุนแรงทั้งหลายมาไว้ด้วยกัน

     ผมได้รู้จักพวกที่เรียกตัวเองว่าฝูงหมาป่า เมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่ก่อนพวกมันรวมตัวกันอยู่ในบางจังหวัดทางภาคเหนือ เดินทางไปเรื่อย แต่ถ้าเจอที่ถูกใจจะตั้งค่ายอยู่นานหน่อย

     
     ตอนนี้เรากำลังประชุมเพื่อหาทางหนีทีไล่ และทางจัดการกับพวกโจรที่บ้านหลังใหญ่

     “อย่างที่บอก พวกมันโหดร้ายมาก ทำทุกอย่างเพื่อความสนุก มันไม่ปราณีเราแน่ ไม่ว่าคนแก่ หรือเด็ก” จ่าบอกกับทุกคนเรื่องโจร พวกเราเหล่าทหารรู้จักชื่อพวกมันดี แต่ยังไม่เคยได้เจอจริงๆ สักที

     “พวกมันมีเยอะไหมคะ” แมนนี่หันมาถามผม

     “ไม่รู้จำนวนที่แน่นอน สายที่รายงานบอกไม่เกิน 50 คน และไม่ต่ำกว่า 30 คน” จำนวนเมื่อเทียบกับซอมบี้ที่เราเคยเจอมันอาจจะดูน้อย แต่อย่าลืมนะว่าซอมบี้คิดไม่เป็น มันทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่คนไม่ใช่

     “แล้วเราจะทำยังไงดีหละพ่อหนุ่ม” ป้าคนนึงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “ปัญหาตอนนี้คืออาวุธ เพราะเราแถบไม่เหลือเลย พรุ่งนี้จึงต้องไปเอาอาวุธที่นครสวรรค์ เราได้แต่หวังว่าคลังเก็บอาวุธจะยังมีอาวุธให้เราได้ใช้อย่างเพียงพอ” เวลามีน้อย เราจะเสียเวลาไปกับการสุ่มหาตามจังหวัดต่างๆ ไม่ได้

     “ทำไมมันต้องมาปล้นเราด้วยหละ ที่ภูเก็ตน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ โง่จริงๆ”

     “เธอสิโง่ยัยชะนี ที่นี้มีอาหารเยอะแยะ โจรมันก็ต้องสนใจสิ” แมนนี่ตอบกลับไป

     “แกว่าฉันหรอไอ้กระเทยบ้า”

     “หยุด! มันใช่เวลาที่มาทะเลาะกันไหม” ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมจะไม่ว่าหรอก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา

     “ถ้าพวกมันไปปล้นที่ภูเก็ตก็โง่แล้ว” จ่าหันไปกระซิบกับทหารที่นั่งข้างๆ ด้วยเสียงที่ไม่เบาเลย เพราะได้ยินเกือบทุกคน ถ้าจ่าจะกระซิบขนาดนี้ออกมาประกาศเลยดีกว่า

     “ทำไมหรอครับ” ไอ้คนขี้สงสัยถามขึ้นก่อนใคร ไออุ่นหันไปหาจ่าเพื่อรอคำตอบ ทำหน้าน่าตีชะมัด

     จ่าทำหน้าเลิกลั่ก เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอเปิดประเด็นอะไรขึ้นมา

     “เอ่อ…ให้ผู้กองตอบดีกว่า แหะๆ” จ่ายิ้มแหยส่งให้ผม จ่านะจ่า

     “ที่ภูเก็ตเป็นค่ายใหญ่ ทหารและอาวุธที่นั่นเยอะมาก ถ้าโจรไปที่นั้นก็โง่มากแล้ว” ผมชี้แจงข้อสงสัยของทุกคน

     “ไหนบอกไม่มีอาวุธ ต้องหาอาวุธใช้เองไง”  ไอ้คนขี้สงสัยยังไม่ยอมหยุด น่าจับตีก้นชะมัด หวังว่าผมจะไม่หลุดข้อมูลเกินความจำเป็นนะ เพราะบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องรู้ ถึงรู้แล้วก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ พลอยจะกังวลไปซะเปล่าๆ

     “ที่บอกว่าไม่มีคือพวกเรา ไม่ใช่ที่ภูเก็ต เธอคิดจริงๆ เหรอว่าประเทศเราจะไม่มีคลังอาวุธขนาดใหญ่อยู่” แต่ละประเทศมีคลังอาวุธของตัวเองอยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยนั้นอีกเรื่อง

     “ถ้ามีเยอะแล้วทำไมไม่เอามาใช้หละ” ทำไมฉันจะไม่อยากเอามาใช้หละเด็กน้อย แต่มันไม่ได้ไง

     “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ”

     “แล้วมันยากตรงไหนหละ” ไอ้ตัวดียังไม่ยอมหยุดสงสัย ผมกลัวจริงๆ ว่าจะหลุดอะไรที่ไม่อยากพูดออกไป

     “ยังมีอะไรเยอะแยะที่เธอไม่รู้นะเด็กน้อย โลกมันเลวร้ายกว่าที่เราคิดเยอะ”

     “ผมไม่ใช่เด็กนะ!” คนที่ซื่อและเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ อย่างนี้เหรอไม่เด็ก “แล้วที่ว่าเลวร้ายกว่าที่คิดมันคืออะไร” คนขี้สงสัย ก็คือคนขี้สงสัย จะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเข้าใจ แต่ขอโทษนะเด็กน้อยที่ไม่สามารถบอกได้ทุกอย่าง

     “ในโลกทีวุ่นวายไร้กฎเกณฑ์เราจำเป็นต้องมีผู้นำ เพื่อควบคุมดูแล ให้ทุกอย่างดำเนินการไดอย่างเรียบร้อย ถ้าประเทศไหนมีผู้นำที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่…ความเลวร้ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว” ผมบอกได้แค่นี้

     “แมนนี่ขอเดาว่าของเราคงเป็นอย่างหลังใช่ไหมคะ”

     “มันก็แล้วแต่คน คนที่ได้ประโยชน์ก็ว่าดี คนที่เสียประโยชน์ก็ว่าร้าย ผมคงตัดสินให้พวกคุณไม่ได้หรอก เรื่องนี้ต้องตัดสินกันเอง”

     “เรื่องผู้นำเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนที่มาส่งทุกเดือนแต่ไม่มีถึงมือเราไหมค่ะ” พี่พยาบาลที่ประจำอยู่ที่นี่คนเดียวถามขึ้น เรื่องพวกนี้จะรู้แค่ในกลุ่มทหารและพยาบาลเท่านั้น

     “ผมขอตอบตรงๆ ว่าใช่ จำนวนวัคซีนไม่ได้รายงานออกมาว่ามีเท่าไหร่ มีแค่ผู้นำและคนสนิทที่รู้ เราได้มาแค่ 500 สำหรับสามเดือน เมื่อแจกจ่ายให้ค่ายต่างๆแล้วเราเหลือไม่ถึง 50 ถ้ายังจำได้ทุกคนที่มาเราไม่ได้ตรวจกรุ๊ปเลือด เพราะมันไม่จำเป็น คนที่เราจะฉีดให้ มีแค่คนที่โดนกัดแล้วออกอาการของการติดเชื้อเท่านั้น” ผมไม่ได้อยากทำอย่างนั้นหรอก แต่มันจำเป็นจริงๆ

     “งั้นเราก็ไม่สามารถให้ทางนั้นช่วยเราได้สินะ” แมนนี่พูดขึ้นหน้าหง่อย

     “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” ผมให้ความมั่นใจแก่ทุกคน “ผมจะให้หน่วยทีที03ที่พาหมอ พยาบาลไปตรวจคนในค่ายต่างๆ กลับมาช่วยเรา”

     “พี่หมอ พยาบาล และทหารที่เราเจอในวันแรกหนะหรอ” ผมพยักหน้าตอบกลับไออุ่นไป

     “พรุ่งนี้ผมอยากให้ทุกคนไปอยู่ที่บ้านท้ายไร่หลังป่ากล้วย อย่าออกมาจนกว่าผมจะไปหา สายรายงานว่าพวกมันยังไม่มา แต่เราจะประมาทไม่ได้” อยู่ที่นั้นโจรหาไม่เจอง่ายๆ แน่ เพราะทางเข้าค่อนข้างซับซ้อนและมีแต่ป่า

     “ฉันไม่ไปอยู่ในป่าเด็ดขาด!” อดีตนักการเมืองพูดขึ้นด้วยท่าทีถือตัว ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุด คนเห็นแก่ตัวที่มีอำนาจ คนพวกนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่สนใจความลำบากของคนอื่น คอยแต่สร้างภาพให้ตัวเองดูดี

     “ไม่ไป ก็ไม่ต้องไปไม่ได้บังคับ” ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็อย่ามาโทษกันทีหลังหละ “ทุกคนมีอะไรสงสัยไหม ถ้าไม่มีก็กลับไปพักผ่อนได้” ทุกคนเดินออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างหนักใจ

     “แมนนี่ เดี๋ยวอยู่ก่อน” ผมมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย

     “บ๊ายบาย ยายชะนี” แมนนี่หันไปเยาะเย้ยโรส ผมทำทีไม่สนใจ แต่มีสายตาของใครบางคนที่มองมาอย่างสงสัยนี่สิ หึหึ ปล่อยให้อยากรู้ต่อไป



     “มีอะไรหรอคะ คุณผู้กองสุดหล่อ” แมนนี่ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

     “ฉันอยากให้แมนนี่ดูแลเด็กๆ ดีๆ โดยเฉพาะไออุ่น ผมไม่อยากให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในขณะที่ผมไม่อยู่” แมนนี่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดแล้วในกลุ่ม ถ้าตัดเรื่องชอบทะเลาะกับโรสออกหนะนะ

     “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงอุ่นมันจะซื่อไปนิด แต่มันก็พึ่งพาได้นะ บทเรียนต่างๆ จะสอนให้เราโตขึ้นเอง” แมนนี่ทำหน้าจริงจังให้ผมเชื่อมั่น ผมว่าแมนนี่เป็นคนนึงที่หน้าเชื่อถือ ถ้าคุณไม่มองแค่ภายนอกที่เค้าแสดงออกมา แต่อีกคนนี้สิ หวังว่าบทเรียนครั้งนี้จะทำให้เค้าได้เรียนรู้และโตขึ้นนะ

     “อยากรู้จริงๆ ว่าพวกเธอรอดมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่คงดังไปหน่อยแมนนี่ถึงตอบกลับมา

     “เราแค่วัยรุ่นอายุ 20 เองนะคะ ถึงจะพยายามเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน มันก็มีบ้างที่ความเป็นเด็กจะหลุดออกมาให้เห็น ไออุ่นมันก็เป็นแค่ลูกคุณหนูคนนึง ที่มีคนคอยทำทุกอย่างให้ เจอแต่คนรอบข้างที่ดี ยังไม่ได้เรียนรู้ชีวิตภายนอกดีเลยโลกก็เปลี่ยนซะแล้ว” จริงสินะ พวกเค้าอายุแค่20 แถมยังมีเด็กอายุ 12 และ 5 ขวบอีก แต่มันก็เป็นปีเลยนะ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน

     “แต่มันก็นานพอจะเรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ แล้วนะ”

     “หนึ่งปีก็จริงค่ะ แต่ใช่ว่าเราจะออกไปเผชิญโลกอันเลวร้ายแต่แรก” แมนนี่ทำหน้าเศร้าขึ้นมาก่อนพูดต่อ “แต่ก่อนกลุ่มเรามีคนเยอะมาก บ้านข้างๆ บ้านแมนนี่ บ้านไออุ่นทุกคนยังอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน เวลาผ่านไป คนก็ลดลงเรื่อยๆ พ่อ แม่ พี่ เพื่อน คนอื่นๆ จากไปทีละคนๆ เจ็บปวดกันครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่รู้หรอกว่าภายใต้รอยยิ้มที่มันแสดงออกมามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันพยายามเข้มแข็งเพื่อน้องๆ” ดูแล้วแมนนี่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ เข้าใจว่าทุกคนพยายามไม่คิดถึงมัน เพื่อที่จะเดินต่อไปได้

     ผมรู้ว่าความสูญเสียมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ด้วยสิ่งที่เราต้องทำ มันบังคับให้เราต้องเข้มแข็งแม้ในใจจะอ่อนเเอแค่ไหนก็ตาม

     “ฉันเข้าใจ แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” ผมไม่อยากให้รอยยิ้มกวนๆ นั้นหายไป อยากให้มันอยู่บนใบหน้าน่ารักๆ นั้นตลอดไป อะไรเนี่ยผมบอกว่าไออุ่นน่ารักอีกแล้วเหรอ ผมชักจะบ้าขึ้นทุกวันแล้วนะ

     “ถามจริงๆ เถอะค่ะ ผู้กองคิดยังไงกับไออุ่นกันแน่ สายตาที่ผู้กองมองมันแมนนี่ว่ายังไงๆ อยู่นะ แต่ยังไม่ชัดเจนพอ ขอถามเลยแล้วกัน”

     “ใช่มันยังไม่ชัดเจนพอ ถ้าชัดเจนจะบอกแล้วกัน” ผมยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป “ไปพักผ่อนกันเถอะ”

     ผมไม่เคยคิดเรื่องความรู้สึกเลยสักครั้ง เมื่อแมนนี่ถามผมถึงย้อนดูสิ่งที่ตัวผมเองแสดงออกกับไออุ่น มันแตกต่างกับคนอื่นผมรู้ ผมพูดมากขึ้น เย็นชาน้อยลง แต่ก็อย่างที่ผมบอก ว่ามันยังไม่ชัดเจน ผมอาจจะแค่เอ็นดูก็ได้ใครจะรู้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะหาคำตอบ…


     “คุยอะไรกับแมนนี่” ผมอุตสาห์จะไม่คิด แต่เจ้าตัวดันมาดักรออยู่หน้าห้องซะนี่

     “ถ้าอยากคุยก็เข้ามา” ผมเดินเข้าห้องนอนโดยเปิดประตูทิ้งไว้ให้ใครบางคนเดินตามมา

     “ตอบก็จบแล้ว ทำไมต้องเดินเข้ามาด้วย” ถึงจะบ่น แต่ก็ยังเดินเข้ามาอยู่ดี ผมชอบจังเวลาทำหน้ายุ่งๆ ขัดใจ “แล้วจะตอบได้รึยัง คุยเรื่องอะไร หรือสนใจแมนนี่หรอ” คิดได้ยังไงกัน ยังมาทำสีหน้าไม่ไว้ใจอีก

     “แล้วถ้าสนใจหละ” อึ้งไปในทันที เมื่อหายอึ้งแล้วสีหน้าเริ่มยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ “เฮ้ ฉันล้อเล่นน่า ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับแมนนี่หรอก” แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธด้วยหละ แต่ก่อนใครจะคิดยังไงผมไม่สนใจหรอกนะ ผมเปลี่ยนไปจริงๆ สิน่า

     “แน่ใจนะ ผมไม่ไว้ใจคุณผู้กองเลย คุณอาจจะหลอกให้แมนนี่เสียใจก็ได้ ในเมื่อผู้กองมีคุณโรสคอยเกาะแกะอยู่หนิ” นี่ผมไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ

     “ฉันไม่สนใจใครมาพอหรอกนะ เว้นแต่ใครบางคนแถวนี้”

     “ใครวะ เฮ้ย! ครับ ใครครับคุณท่านผู้กอง” กวนผมอีกแล้วสิน่า น่าจับมาตีก้นชะมัด

     “ช่างเถอะ อยากรู้เรื่องที่ฉันคุยกับแมนนี่ไม่ใช่เหรอ” เจ้าตัวยังทำหน้าสงสัยอยู่ แต่ก็พยักหน้าให้ผมพูดเรื่องนี้ก่อน “ฉันฝากเด็กๆ ไว้กับแมนนี่หนะ”

     “ทำไมไม่ฝากกับผมด้วยหละ นี่มันเลือกปฏิบัตินี่” โวยวายขึ้นมาในทันที

     “ก็เธอเป็นเด็กอีกคนที่ฉันฝากกับแมนนี่ไว้นิ” ดูสิโกรธจนหน้าแดงหมดแล้วเด็กน้อย

     “ผมไม่ใช่เด็กนะ!! โตแล้ว อายุเท่าแมนนี่เถอะ” เด็กน้อยจะกินหัวผมไหมเนี่ย

     “คนโตแล้วที่ไหนเชื่อคนง่ายขนาดนี้” ผมเป็นห่วงเรื่องนี้มากจริงๆ ถ้าเป็นโลกปกติในสังคมที่เค้าอยู่มันไม่น่าเป็นห่วงหรอก แต่ในตอนนี้ ตอนที่คนเห็นแก่ตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ความใจดีมันเป็นอาวุธที่กลับไปทำร้ายตัวเค้าเอง

     “รู้น่าว่าผิด ได้เรียนรู้แล้ว จำขึ้นใจเลยหละ เลิกมองผมว่าเด็กสักที” จากที่ผมเห็นมาไออุ่นเป็นคนดีนะ ใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ผมชอบนะที่เค้าเป็นแบบนี้ แต่ความดีก็ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอก ผมถึงเป็นห่วงเค้ามาก

     “ดี อย่าใจดีพร่ำเพรื่อ คนเห็นแก่ตัวมันเยอะ ดูให้ดีๆ จะใจดีกับใคร” ผมลูบหัวเค้าอย่างเอ็นดู

     “จะลูบทำไมเล่า ไม่ใช่หมานะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่หลบยืนให้ผมลูบหัวด้วยสีหน้าขัดใจ

     “รู้น่าว่าไม่ใช่หมา แล้วหมาสองตัวที่เอามาตั้งชื่อว่าอะไร ฉันจะได้เรียกถูก” มันวิ่งไปแทบจะทั่วบ้าน ทำเอาโรสกับพ่อโวยวายไม่หยุดเลยหละ

     “มิดไนท์ตั้งชื่อตัวเมียว่าข้าวเจ้า ตัวผู้ข้าวเหนียว” เจ้าหนูมิดไนท์ช่างคิดจริงๆ ถ้าผมมีลูกน่ารักๆ อย่างนี้ซักคนคงดี จะได้มีแรงผลักดันในการต่อสู่กับสิ่งต่างๆ ทั้งกับซอมบี้ และคนบางจำพวกที่ผมไม่อยากเอ้ยถึง ผมบอกได้แค่ว่ามันไม่ใช่พวกโจรหรอกนะ โจรยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะมันแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการอะไร แต่โจรในคาบคนดีนี่สิที่น่ากลัว

     “ทำหน้ายุ่งยากอะไร แค่บอกชื่อหมาเอง หรือไม่ชอบ” เสียงของไออุ่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

     “คิดเรื่องอื่นอยู่หนะ ฉันอยากรู้ เธอยังอยากไปอยู่ที่ภูเก็ตอยู่ไหม” บอกตรงๆ ผมไม่อยากให้ทุกคนไป ยกเว้นสองพ่อลูกนั้น

     “คุณก็บอกว่าจะกลับ ทำไม ไม่อยากให้เราไปด้วยหรอ” เริ่มทำหน้าไม่พอใจ เฮ้อ…เก่งจริงเรื่องคิดเองเออเองหนิ

     “ไม่ใช่ ฉันแค่เอาข้าวไปส่งแล้วกลับมาปลูกข้าวรอบใหม่ คนที่นั่นมีเยอะเกิน ทำนาแค่รอบเดียวไม่พอหรอก แต่ที่เธอคิดว่าฉันไม่อยากให้ไปหนะ จริง” พอใด้ยินคำตอบ ก็ทำสีหน้าผิดหวังทันที

     “เฮ้…ฟังให้จบก่อนสิ ที่ไม่อยากให้ไปเพราะอยากให้อยู่ด้วยกันที่นี้ ที่สำคัญที่นั้นมันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะ มีหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้ มันปลอดภัยจากซอมบี้จริง แต่ไม่ปลอดภัยจากคน ที่ๆคนเยอะ แต่อาหารไม่เพียงพอ มันลำบากกว่าที่เธอคิดนะ”

     “แต่มันล้อมรอบด้วยทะเล อย่างน้อยก็ต้องมีอาหารทะเลบ้างสิ”

     “มันมี แต่ไม่พอ จะหามาได้ขนาดไหนมันก็ยังไม่พอหรอก ถ้ายังมีโจรในคราบคนดีอยู่”

     “คืออะไร” เจ้าตัวทำหน้าไม่เข้าใจ

     “ช่างเถอะ แต่ฉันบอกได้แค่ว่ามันไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ฉันจะให้เธอได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง ถ้าเห็นแล้วกลับมาอยู่ที่นี่นะ” ผมมองเข้าไปในดวงตาเพื่อสื่อถึงความจริงใจของผม

     “ตอบตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือน้องๆ ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอก” เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดหนัก

     “ฉันหวังเธอ จะตัดสินใจเลือกที่นี่นะ” ถ้ากำจัดโจรได้แล้ว ที่นี่ถือว่าดีที่สุด มีอาหาร มีความปลอดภัย “พรุ่งนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ หละ ฉันไม่อยู่ อย่าดื่อ”

     “บอกกี่ครั้งแล้วไม่ใช่เด็ก! หรือแก่แล้วหลงๆลืมๆ” ในที่สุดก็เข้าตัวเองจนได้ ผมแก่จริงๆ เหรอ

     “ไม่เด็กก็ไม่เด็ก ไปดูน้องๆ ได้แล้วไป”

     “ชิ ไปก็ได้” เจ้าตัวสะบัดหน้าเดินไปถึงประตู แล้วหันกลับมา “เออ…คือ…ดูแลตัวเองด้วยหละ ยิ่งแก่ๆ อยู่กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี ไปหละ” จะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีประโยคหลัง แต่ก็น่ารักอยู่ดี หึหึ



     เราเดินทางไปนครสวรรค์ตอนเช้าตรู่ เพื่อจะกลับมาถึงบ้านก่อนมืด ที่นี้เปรียบเสมือนบ้านอีกหลัง เป็นที่ที่ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไร่นาป่าเขาช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้

     เมื่อเดินทางเข้าเขตจังหวัดนครสวรรค์ ก็เริ่มมีซอมบี้ให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นี่ยังไม่ได้สำรวจและฆ่าซอมบี้ จำนวนจึงยังไม่ลดลง

     “จ่าชนไปเลย ไม่ต้องลดความเร็วจะได้ไม่เสียเวลา” ซอมบี้เรากลับมากำจัดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โจรรอไม่ได้หรอกนะ

     เราเดินทางกว่าสี่ชั่วโมงจึงถึงที่หมาย ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองซอมบี้ยิ่งเยอะ โชคดีที่คลังอาวุธอยู่นอกเมืองออกมาหน่อย มีภูเขากั้นเมืองไว้

     “ห้ามใช้ปืนเป็นอันขาด เราจะทำให้เกิดประกายไฟไม่ได้ จ่าพาทหารสามคนคุ้มกันข้างนอก หมู่ประจำอยู่ที่รถ ที่เหลือตามมา ระวังตัวด้วย ขอให้โชคดี”

     สิ่งที่ใช้เป็นอาวุธได้ตอนนี้คือมีดและดาบ เราเสี่ยงทำให้เกิดประกายไฟไม่ได้ ถ้าในคลังมีดินปืนอยู่หายนะแน่ๆ

     ที่นี่มีซอมบี้ไม่มาก ถ้าดูจากชุดที่ใส่แล้วน่าจะเป็นทหารที่เฝ้าที่นี่มากกว่า เราต้องรีบทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะซอมบี้ที่ตามเสียงรถมา มีจำนวนไม่น้อยเลย

     เราอยู่หน้าประตูที่คล้องด้วยโซ่ไว้ จึงต้องใช้ดาบฟันแม่กุญแจออก มันไม่ง่ายเลย ใช้เวลาอยู่พอสมควรจึงเปิดออกได้ ข้างในมีลังไม้อยู่เยอะพอสมควร

     “นาย กับเทน เปิดลังไม้ออก ที่เหลือสำรวจรอบๆ โกดัง”

     “ได้ครับ/ครับ” ทั้งสองใช้มีดงัดเปิดลังไม้แล้วยกออก ส่วนที่เหลือเดินสำรวจรอบๆ เพื่อความปลอดภัย

     “วาว!! เป็นปืน M 4 คอมมานโด ครับ” หมู่นายตอบผมด้วยความตื่นเต้น ในลังไม้มีแค่ปืนแต่ไม่มีกระสุน

     “ลังต่อไปสิ”

     “M 16 ครับผู้กอง”

     “ปืนกล 93 M2 ขนาด .50 นิ้ว ครับ”

     “ปืน GP6 พร้อมกระสุนครับ”

     “RPG ปากลำกล้องกว้าง 40 มม. กับลูกขนาด 82 มม. สองลูกครับ” มีแค่สองลูกเองเหรอ

     “ลูกน่าจะเยอะกว่านี้ เสียดาย ถ้ายิงพลาดแย่แน่ๆ มีสองลูกเอง” นายพูดขึ้นด้วยความเสียดาย

     “ใครจะเป็นคนยิง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แกแน่ไอ้นาย” เทนหันไปพูดกับนายเพื่อนชี้ของตัวเอง

     “กูก็ยิงแม่นนะเว้ยยย”

     “พอแล้ว กล่องต่อไป” ทั้งสองจึงหยุดเพื่อเปิดลังต่อไป

     “ระเบิด M 67 มีจำนวน เอ่อ…”

     “เฮ้ยย! ไอ้เทนจับดีๆ สิวะ ตู้มต้ามมา ได้ชิบหายกันหมด!”

     “เออหนะ เชื่อใจกูสิ” เทนกำลังนับจำนวนระเบิดมืออย่างระมัดระวัง “มี 30 ลูกครับผู้กอง! สนุกแน่ๆ”

     “เราต้องใช้อย่างระวัง ถ้าหมดจากที่นี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะหาได้อีกไหม” ผมบอกกับทุกคน สำหรับผมทุกคนไม่ใช่แค่ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เป็นเพื่อน พี่น้องของผม

     “ถ้าเราได้อาวุธที่คลังใหญ่นะ ใช้ได้สบาย ไม่ต้องห่วงจะหมดแน่ ถ้าผู้กองได้เป็นผู้นำคงดี”

     “อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงเป็นได้ ฉันก็ไม่เป็นหรอกนั่งเฉยๆ น่าเบื่อ” นั่งโต๊ะคอยสั่งการน่าเบื่อจะตายไป

     “แล้วเรื่องข้าวผู้กองจะทำยังไง ถ้าให้ค่ายแค่ 10% มันไม่พอแน่ๆ ค่ายมีตั้งหลายค่าย” ใช่ครับ ผมได้รับคำสั่งให้ส่งข้าวให้ค่ายแค่ 10% มันน้อยมาก ค่ายมีตั้งหลายค่าย ข้าวแค่นี้ไม่พอแน่

     “ฉันจัดการเองนะ แค่อย่าพูดมากก็พอ ให้รู้เฉพาะพวกเรา พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าเรามีข้าวอยู่เท่าไหร่”

     “หึหึ เยี่ยมมากครับผู้กอง” เทนพูดพร้อมยกนิ้วโป้งให้ผม บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างหรอก “เรื่องข้างนอกฉันไม่ห่วงหรอก แต่เรื่องข้างในนี่สิ”

     “ผู้กองว่าข้าวที่เราส่งให้ จะถึงมือประชาชนเท่าไหร่”

     “ไม่รู้สิ…” ผมไม่รู้จริงๆ ผมคาดเดาความคิดพวกเขาไม่ได้ จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย เอาเรื่องที่เรากำลังทำดีกว่า ขนอาวุธทุกอย่างขึ้นรถอย่างระมัดระวัง ห้ามทำตกเด็ดขาด” เรื่องอนาคตก็ให้มันเป็นอนาคตไป คิดแค่เรื่องปัจจุบันดีกว่า

      “ผู้กอง ซอมบี้ตามมาทันแล้วครับ มีจำนวนไม่เกิน 50 ตัว” จ่าวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ ขณะที่เรากำลังขนลังอาวุธออกไป

     “นาย เทน ไปลอง M4 คอมมานโดหน่อยสิ จ่าไปบอกคนข้างนอกมาขนลังอาวุธ” ทั้งสองยิ้มอย่างตื่นเต้นกับของเล่นใหม่

      เราทั้งหมดขนลังอาวุธขึ้นรถขณะที่ นายและเทนกำจัดซอมบี้ที่ตามรถมา ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะซอมบี้ต้องได้ยินเสียงปืนแล้วตามมาอีกแน่ เรายังไม่อยากเสียลูกปืนไปมากกว่านี้

      “เป็นไงบ้าง” ผมตะโกนถามนายกับเทนไป ดูท่าทั้งสองจะชอบของเล่นใหม่มาก

     “เยี่ยมเลยครับผู้กอง” นายเป็นคนตะโกนกลับมา ส่วนเทนกำลังติดพันกับซอมบี้ที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

      “เคลียร์ทางซะ เราจะไปกันแล้ว” รีบกลับก่อนจะมืดซะก่อนดีกว่า ผมไม่อยากทิ้งทุกคนไว้นาน ถึงสายจะรายงานว่าพวกมันยังไม่มา แต่โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน กันไว้ดีกว่าแก้

     “ครับผู้กอง/ได้ครับ” เราได้ของมาเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นอาวุธสงคราม ผมหวังว่าพวกมันจะไม่มีอาวุธที่ร้ายแรงเกินไปนะ ทุกคนสูญเสียกันมามากพอแล้ว ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง





     เรากลับมาถึงช่วงเย็นๆ ทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น เมื่อรู้ว่าได้อาวุธมาแล้ว เราเก็บอาวุธไว้ที่บ้านหลังหนึ่งโดยจัดเวรยามเฝ้าไว้ตลอด

     ถึงจะบอกว่าทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น แต่ความกังวลของพวกเขายังมีอยู่มาก มันจะไม่หายไปถ้าทุกอย่างไม่จบลง ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดความสูญเสียอีก

     ในขณะที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็เจอเจ้าหนูน้อยมิดไนท์นั่งเล่นกับลูกหมาสองตัวอยู่

     “ไงครับ ทำอะไรอยู่” เจ้าตัวเล็กหันมามองผม พร้อมใช้มือชี้ไปที่ลูกหมา

     “พาข้าวเจ้ากับข้าวเหนียวมาออกกำลังกายคราฟ จะได้แข็งแรงๆ”

     “ออกกำลังกายยังงัยครับ”

     “อย่างนี้ไง วิ่งๆๆ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวตามไนท์มาๆ” แล้วพาเพื่อนตัวเล็กวิ่งรอบต้นไม้ ได้สามรอบก็กลับมาหาผม

      “ไม่วิ่งต่อแล้วเหรอครับ”

     “ไม่เอาแล้ว หลายรอบแล้ว เหนื่อย” เบะปากได้น่ามันเขี้ยวมาก อยากจับฟัดซะจริงๆ

     “แล้วให้อาหารเจ้าสองตัวนี้รึยังครับ”

     “ให้แล้วๆ ให้ข้าวคลุกปลาด้วยน้าาา น้องไนท์ให้เองเลย”

     “เก่งจังเลยครับ ทำเองเลยเหรอ”

     “ไม่ได้ทำ มัมทำ แต่ไนท์เป็นคนเอาให้กินเองเลยนะ” เจ้าตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมหันไปกอดเจ้าเพื่อนซี้สี่ขาทั้งสองตัว

     “ครับ เก่งมากๆ แล้วตอนนี้มัมของเราอยู่ไหนครับ”

     “อยู่กับพี่แมนนี่คนสวยในบ้านคราฟ” หันมาตอบตาแป๋วเชียว อยากฟัดจริงๆ

     “ครับ พี่ว่าเราควรไปนอนได้แล้วนะ มันสามทุ่มแล้ว” ผมดูนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นเวลาจึงบอกให้เจ้าตัวเล็กไปนอนได้แล้ว เด็กๆ ไม่ควรนอนดึก

     “ก็ได้คราฟ ข้าวเหนียวกับข้าวเจ้าก็เริ่มง่วงแล้ว” ใครง่วงกันแน่ เห็นแต่คนพูดนี้แหละที่ตาเริ่มปรือแล้ว

     “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปส่ง” ผมจูงมือเด็กน้อยไปส่ง พร้อมลูกหมาสองตัวที่วิ่งตามมา

     “มิดไนท์ อยู่นี่เอง ไปไหนมาครับ มัมไปหาบนห้องไม่เจอเลย” ไออุ่นเดินมาเจอเราหลังจากขึ้นมาถึงชั้นสองพอดี

     “พาข้าวเจ้า ข้าวเหนียวไปออกกำลังกายข้างนอกหนะ” ผมเป็นคนบอกแทน ดูแล้วหนูน้อยมิดไนท์คงไม่กล้าบอก เพราะกลัวโดนดุ

     “ไม่ได้ถามผู้กองสักหน่อย ไม่ได้ออกไปเล่นคนเดียวแน่นะครับ ข้างนอกมันอันตราย ถ้าจะออกไปเล่นต้องมีคนไปด้วย มัมเป็นห่วง เข้าใจไหมครับ” พูดกับผมเสร็จ ก็คุกเข่าลงพูดกับเด็กน้อย ผมสังเกตหลายทีแล้ว เวลาไออุ่นพูดกับไนท์จะไม่กวนเหมือนกับคนอื่น ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่แค่ในตอนนี้นะ เวลาอื่นก็นั้นแหละ

     “คราฟ ทีหลังผมจาชวนคนอื่นด้วย แต่คุณลุงผู้กองก็อยู่ด้วย” ลุง? หน้าผมแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเห็นอุ่นแอบยิ้มสะใจ นี่สินะคนที่สอนให้เรียก

     “ไงครับคุณลุงผู้กอง มาล่อลวงอะไรเด็กหรอครับ” หน้าตายียวนแบบนี้น่าลงโทษซะให้เข็ด

     “แต่ฉันว่าแม่เด็กน่าล่อลวงกว่านะ หึหึ” ผมยิ้มมุมปากในแบบที่เค้าหมั่นไส้ไปให้

     “ล่อลวงบ้าอะไร! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะได้ถูกล่อลวง” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แล้วทำหน้าไม่ค่อยมั่นใจ “ถึงจะเคยถูกหลอกมาแล้วก็เถอะ” หึหึ เรื่องนี้สินะ ฉันไม่ล่อลวงเธอหรอกเด็กน้อย แต่ถ้าเธอหลงฉันเองก็อีกเรื่องนะ

     “ไปส่งไนท์เข้านอนเถอะ ดูสิตาปรือแล้ว” หนูน้อยของเราจะยืนหลับอยู่แล้ว อุ่นจึงต้องอุ้มไว้ เจ้าตัวก็กอดคอซบบ่าหลับทันที

     “ผู้กอง มันจะผ่านไปได้ด้วยดีใช่ไหม” เป็นครั้งแรกที่อุ่นพูดจริงจังกับผมขนาดนี้

     “ฉันจะไม่ให้ใครมาทำอะไรเธอ และทุกคนได้แน่ เชื่อใจฉันนะ ไม่ต้องกังวลอะไร เป็นในแบบที่เธอเป็น เพื่อให้คนอื่นผ่อนคลายไม่เครียด ทำได้ไหม” เจ้าตัวพยักหน้าตอบ “ไปนอนเถอะ อุ้มนานเดี๋ยวหนัก” ผมกำลังจะเดินลงบันไดไป แต่ได้ยินเสียงใครบางคนตามหลังมาซะก่อน

     “ผู้กอง!”

     “หืม”

     “อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนหละ คุณยังไม่ได้ล่อลวงผมเลย ผมบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้ล่อลวงง่ายๆ หรอกนะ ถ้าอยากทำให้สำเร็จต้องอยู่อีกนาน” แล้วเจ้าตัวก็เข้าห้องไปทันทีที่พูดจบ

      ใช่มันไม่ง่าย แต่สำหรับฉันมันก็ไม่ยากหรอกนะเด็กน้อย…หึหึ




………………………
……………….
……….


#ธามไออุ่น
Twitter > Tt.looktal1993

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 9 -


[ธาม]

     เขาว่ากันว่า คนน่ากลัวกว่าผี นั้นคือเรื่องจริง เพราะใจคนเรายากแท้หยั่งถึง การกระทำไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเสมอไป ทำไปเพราะใจอยากจะทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด จะส่งผลกระทบต่อใครหรือไม่ก็ตาม

     ดังเช่นพวกเดนมนุษย์ ที่อาศัยช่วงเกิดมหันตภัยเชื้อโรคซอมบี้ระบาดทั่วโลก ในการแสดงด้านมืดในจิตใจ เพื่อทำในสิ่งที่เลวร้ายต่อมนุษย์ที่ยังคงอยู่รอด

     สถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว ทำไมเล่าต้องซ้ำเติมกันให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

     โอดครวญไปก็เท่านั้น คนบางประเภทขาดจิตสำนึก จิตใจมืดดำเกินจะเยียวยา สิ่งเดียวที่เรามอบให้พวกมันได้ไม่ใช่คำชี้เเนะสั่งสอนหรือจิตใจอันอบอุ่น แต่เป็นความตาย ตีงูต้องตีให้ตาย ไม่ใช่ตีให้บาดเจ็บแล้วรอวันที่มันแว้งกลับมากัดเรา

     “ผู้กองครับ ทีที03 วิทยุสื่อสารมาครับ” จ่านนท์วิ่งออกมารายงาน ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่หน้าบ้าน

     ทุกคนกำลังอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างเครียด เรารู้อยู่แก่ใจ การหลีกเลี่ยงความสูญเสียนั้นเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะ การสูญเสียก็ยากจะหลีกหนีได้อยู่ดี

     ได้แต่ภาวนาให้การสูญเสียไม่เกิดขึ้น ถึงรู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปได้ยากก็ตาม

     ผมเดินตามจ่าไปที่ห้องวิทยุสื่อสาร ที่ใช้เพื่อสื่อสารและส่งข่าวคราวถึงเครือข่ายของเรา แต่ก่อนหน่วย ทีที03 ประจำอยู่ค่ายในจังหวัดราชบุรี แต่เนื่องจากที่ค่าย เป็นทางผ่านสู่ค่ายใหญ่อย่างภูเก็ต ทำให้ไม่มีคนอยู่ ทุกคนไปอยู่ที่ค่ายใหญ่กันหมด หน่วยทีที03 จึงมีหน้าที่ใหม่ คือการเดินทางไปตามค่ายต่างๆ ในภาคกลาง เพื่อดูความเรียบร้อย และนำทีมหมอ พยาบาลไปตรวจรักษาตามค่าย

     “ทีที03 นี่กองเหยี่ยว ได้ยินแล้วตอบด้วย”

     (“ทีที03 ได้ยินแล้วครับท่านผู้กองผู้ยิ่งใหญ่”) จะมีสักครั้งไหมที่มันไม่กวน บางครั้งผมก็คิดว่าไอ้โฟรคเป็นพี่ชายของไออุ่น เพราะกวนทีนเหมือนกันไม่มีผิด ถ้าไม่เห็นหน้าที่แตกต่างกัน ผมคงจะคิดแบบนั้นไปแล้ว เพราะอุ่นหน้าสวย หล่อแบบใสๆ และผิวขาวมาก ในขณะที่โฟรคมันค่อนข้างหล่อเข้ม ออกแนวไทยๆ

     “เลิกกวนแล้วพูดมาได้แล้ว”

      (“ครับๆ ไม่พูดเล่นแล้วครับ น่ากลัว”)

     “โฟรค…”

     (“โอเคๆ เลิกเล่นแล้ว สายรายงานว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มันกำลังเช็คสภาพรถ คิดว่าไม่พรุ่งนี้ก็วันถัดไปไม่เกิน 3 วัน มันไปแน่ๆ”) ใกล้เข้ามาแล้วสินะ

     “ถึงไหนกันแล้ว” ผมต้องรอให้กำลังเสริมของเรามาให้หมดก่อน ถึงจะเริ่มแผนแรกได้

     (“ค่ายราชบุรีหวะ”) ที่จริงตามกำหนดการมันควรมาถึงที่นี่วันนี้

     “ทำไมช้า?”

     (“กูคิดว่าต้องมีคนบาดเจ็บแน่ ก็เลยพาหมอ พยาบาลไปซ็อปยาและเครื่องมือแพทย์ ถ้ามีไฟฟ้ารับรองไม่แพ้โรงพยาบาลแน่ๆ”) คำตอบของมันทำให้ผมค่อนข้างพอใจ ผมจะลืมเรื่องผิดกำหนดการไปก็แล้วกัน

     การที่เรามีหมอ พยาบาล ยา และเครื่องมือการแพทย์ที่ครบครัน จะช่วยให้การสูญเสียนั้นน้อยลงมาก แต่ปัญหาของเราตอนนี้คือ ไฟฟ้า ถ้าจะสำรองไฟไว้ใช้จำนวนมากๆ คงต้องเริ่มประหยัดไฟตั้งแต่ตอนนี้เลย

     “ไม่ต้องห่วงเรื่องไฟฟ้า มีแน่นอน ขอแค่หมอ และพยาบาลทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ”

     (“เออ อีกเรื่อง รถพวกมันไม่น่าจะต่ำกว่า 5 คัน มีทั้งรถใหญ่ และรถเล็ก แต่งใหม่ติดปืน M16 ข้างรถด้วย รถที่ติดปืนเห็นแค่สองคันนะ แต่ที่เหลือไม่รู้ว่าติดด้วยรึเปล่า”) M16?? ซวยจริงๆ มันต้องไปปล้นที่คลังเก็บอาวุธสักที่มาแน่ๆ ได้แต่ภาวนาขอให้มันไม่มี RPG นะ

     “อือ รีบมาให้ถึงก่อนเที่ยง จะได้เริ่มเเผนต่อไป ยิ่งช้ายิ่งเสี่ยง”

      (“แล้วริวน้อยกูเป็นไงบ้างวะ”) ต้องถามถึงทุกทีสิน่า หึหึ

     “อยากรู้เหรอ…มาดูเองสิ อยากเจอเร็วๆ ก็ต้องมาเร็วๆ” ปากก็บอกไม่ได้คิดอะไร แต่การกระทำมันไม่ใช่เลย หึหึ คิดจะเลี้ยงต้อยเหรอ

     (“ถามแค่นี้ ก็บอกไม่ได้ เชอะ”) มันคิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยรึไงกัน ดีนะได้ยินแค่เสียง ถ้าเห็นภาพด้วยคงสยองน่าดู

     “เลิกคุย แล้วเดินทางปลอดภัย”

     (“เออ เดี๋ยวรีบไป หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีการสูญเสีย ถึงมันจะยากก็เถอะ”) เราทุกคนต่างรู้ดี ว่าการสูญเสียยากมากที่เราจะหลีกเลี่ยงมันได้

     “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

      …ได้แต่หวัง และภาวนา…

+  +  +


         ตอนนี้เวลา 11 นาฬิกา ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองเหมือนปกติ ดูแลสวนผักผลไม้ และเก็บเกี่ยวข้าว

      เราต้องเกี่ยวข้าวที่นี้ให้เสร็จก่อนที่พวกเดนมนุษย์นั้นจะมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับนาข้าว ส่วนข้าวที่อยู่ที่อื่นๆ ต้องปล่อยไว้ก่อน เพราะคงเก็บเกี่ยวไม่ทันแน่ๆ แต่ดีหน่อยที่ยังอยู่ไกล หวังว่าจะไม่ได้รับความเสียหายนะ

     “คุณผู้กอง ลุงเจ้าของสวนกล้วยบอกว่ากล้วยมันสุกเยอะมาก ไม่น่าจะกินทัน และถ้าไม่เอาไปแจกจ่ายภายในสองอาทิตย์ต้องเน่าแน่ๆ แล้ว…” มาถึงก็พูดๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ถามเลย

     “อุ่น พอก่อนๆ ไม่ต้องห่วง อาทิตย์หน้าจะไปแจกจ่ายผักผลไม้ตามค่ายต่างๆ แน่นอน” ผมห้ามไออุ่นก่อนจะพ้นไฟใส่ผมมากกว่านี้

     “แน่ใจนะ ว่าอาทิตย์หน้าจะไปได้” เจ้าตัวทำหน้ากังวล คนอย่างไออุ่นไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเครียดแบบนี้ง่ายๆ หรอก ถ้าไม่กังวลใจมากจริงๆ

     “ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไปส่งด้วยตัวเองเลย วางใจได้ ทุกคนได้รับของแน่ๆ”

     “ใครเค้าห่วงเรื่องนั้นหละ แค่อยากมั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไรต่างหากเล่า” ไออุ่นพึมพำพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ผมดันได้ยินนี่สิ น่ารักจริงๆ ฉันไม่ยอมเป็นอะไรหรอก ฉันจะกลับมาหาเธอแน่เด็กน้อย

     “อะไรนะ” ผมทำเป็นไม่ได้ยิน

     “เออ…แค่ บอกว่า ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” เจ้าตัวอึกอักตอบ

     “นี่ไม่คิดจะห่วงฉันเลยเหรอ น่าน้อยใจจัง” ผมทำปากยื่นเหมือนที่เคยเห็นมิดไนท์ทำ

     ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะอาการหนักแล้ว ถ้าไอ้โฟรคมาเห็นคงทำหน้าสยองขวัญ แล้วล้อผมจนตายแน่ๆ ผมก็เริ่มสยองตัวเองนิดๆ แล้วหละ

     “เออ ผู้กอง ขอร้องอะไรซักอย่างได้ไหม คือขอร้องหละอย่าทำแบบนี้อีก ขนลุกหมดแล้วเห็นไหม สยองจริงๆ” ไออุ่นทำหน้าสยองเต็มที่ ผมไม่เถียงหรอกนะว่ามันน่าสยอง หน้านิ่งๆของผมคงไม่เหมาะกับท่าทีแบ๋วๆ แบบมิดไนท์จริงๆ

     “ไปๆ ไปทำอาหาร จะเที่ยงอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกนั้นมาถึง จะได้กินได้เลย” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ลืมๆ เรื่องเมื่อกี๋ไป ไออุ่นทำหน้าเหมือนรู้ทันเหตุผลในการเปลี่ยนเรื่องครั้งนี้ของผม

     “จะให้ทำอาหาร? แน่ใจนะว่าจะกิน?” ทำหน้าท้าทายเต็มที่ คงคิดว่าผมไม่กล้ากินละสิ ถ้าคิดแบบนั้น ใช่ คิดถูกแล้ว ผมไม่กล้ากินหรอก มีครั้งหนึ่งที่ไออุ่นเข้าครัว ผมบอกได้เลยว่าสยองกว่าผมพยายามแบ๋ว ก็ไออุ่นเข้าครัวนี่แหละ

     “ฉันหมายถึง ให้เธอไปบอกแมนนี่กับป้าๆ ทำกับข้าวได้แล้ว” ผมยังไม่อยากถ่ายท้องวันนี้

     “หึ นึกว่าจะแน่” ได้ใจไปเถอะเด็กน้อย อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน

     “ไปได้แล้ว เดี๋ยวเสร็จช้า”

     “ครับๆ คุณท่านผู้กอง ไปเดี๋ยวนี่แหละครับท่าน” พูดจบก็วิ่งจู้ดไปทันที กวนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ สิน่า

     “คุณลุงผู้กอง!” ได้ยินเมื่อไหร่ก็ปวดใจ

     “เรียกพี่ก็พอครับมิดไนท์” ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาหาไว้แนบอกพร้อมบอกสิ่งที่ตนเองต้องการ

     “แต่มัมบอกให้น้องไนท์เรียกว่าคุณลุงผู้กองนิคราฟ” นี่คือตัวการจริงๆ สินะ คิดไว้ไม่มีผิด แสบจริงเชียว

     “พี่ดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” นี่เราดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าไม่นะ ยังไม่ถึงสามสิบเลย

     “ไม่แก่คราฟ หล่อมักมากเลย” ฉลาดพูดจริงๆ เด็กคนนี้

     “ถ้ายังไม่แก่ ก็เรียกพี่ธามสิครับ” มิดไนท์เป็นคนที่ผมอ่อนโยนด้วยที่สุด จนตัวผมเองยังตกใจ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถอ่อนโยนได้ ทั้งที่ชีวิตผมมีแต่ความหยาบกระด้าง และเฉยชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

     เด็กพวกนี้ทำให้ผมอ่อนโยนขึ้น มีกำลังใจและพลังในการต่อสู่กับสิ่งต่างๆ ชีวิตที่ไม่มีจุดหมาย เริ่มที่จะมีทิศทางในการเดินมากขึ้น ผมหวังว่าสักวันทิศทางที่เดินนี้ จะเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของผมในสักวัน

     “ไม่ฟังน้องไนท์พูดเลย” เพราะผมมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทำให้ไม่ได้ยินในสิ่งที่มิดไนท์พูด ทำให้เจ้าตัวโอดครวญใหญ่ว่าผมไม่สนใจฟัง

     “ฟังสิครับ แล้วเมื่อกี่พูดว่าอะไรเอ่ย” ถึงจะทำริมฝีปากล่างยื่นออกมาแบบขัดใจ แต่ก็ยอมตอบคำถามผมในที่สุด

     “น้องไนท์บอกว่า คุณพี่ผู้กองอายุมากกว่ามัม เลยต้องเรียกว่าลุง มัมบอกน้องไนท์ น้องไนท์จำได้” นี่ผมจะหนีไม่พ้นคำว่าลุงจริงๆ เหรอ

     “ก็พี่ไม่อยากเป็นลุงนี่นา” ผมทำหน้าเศร้าส่งไป เพื่อให้เด็กน้อยใจอ่อน

     “แล้วทำไงดีคราฟ” เจ้าตัวครุ่นคิดอย่างหนักจนคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว

     “งั้นเอาแบบนี้ไหมครับ” เด็กน้อยทำหน้าสนอกสนใจทันที “เรียกพี่ว่าป๊าสิ” พ่อผมเป็นลูกครึ่งจีน บางครั้งผมก็เรียกพ่อว่าป๊าเหมือนกัน

     “ป๊า ถ้าเป็นป๊าก็ต้องเป็นแฟนมัมนะสิ พี่บีเคยบอกว่าพ่อต้องเป็นเเฟนกับแม่ ถ้าจะเป็นปะป๊างั้นก็ต้องเป็นแฟนมัมใช่ไหมคราฟ” ถ้าจะเป็นปะป๊าต้องเป็นแฟนกับอุ่นงั้นหรอ เอ่อ….มันก็ ไม่เห็นเป็นไรหนิ เป็นก็ได้นะ...

     “ใช่ พี่เป็นได้ แต่มัมเราจะเป็นด้วยไหม ต้องถามดูเองนะครับ” เป็นการวางระเบิดก่อนสู้รบ หึหึ

      “คราฟ เดี๋ยวน้องไนท์ถามเอง ลุง เย้ยย!! พี่…ไม่ใช่ๆๆ ต้องเรียกปะป๊าสิ เดี๋ยวน้องไนท์ถามเองคราฟปะป๊า คริคริ น้องไนท์มีพ่อแล้ว” เด็กน้อยทำสีหน้ามีความสุขทันที ผมเห็นแล้วก็มีความสุขไปด้วย

     อยู่ดีๆก็มีลูก ถ้าแม่เค้ารู้คงโวยวายน่าดู หึหึ


+  +  +


     หน่วยทีที03 มาถึงตอนเวลาเที่ยงครึ่ง ก็ตรงเข้าหากับข้าวก่อนทันที โดยเฉพาะไอ้โฟรค ไม่สนใจใครเลยแม้กระทั่งเด็กริวนั้นด้วย สิ่งเดียวที่มันสนใจตอนนี้คือ จานข้าว นี่ก็จานที่สามแล้ว

     “มึงจะกินให้หมดทั้งไร่เลยไหม?” ผมพูดขึ้นขณะที่มันกำลังตักข้าวจานที่สี่

      ตอนนี้เรากำลังปูเสื้อที่สนามหญ้าข้างบ้าน เพื่อนั่งกินข้าว เพราะโต๊ะอาหารข้างในคงนั่งไม่พอแน่ๆ โดยเราปูเสื่อนั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มผมมี ไอ้โฟรค ริว ไออุ่นและน้องๆ แมนนี่ไปนั่งกับเทนและนาย ไม่รู้ไปสนิทกันตอนไหน ส่วนคุณโรสกับพ่อไม่ยอมออกมานั่งทานข้างนอกด้วยบอกว่าร้อน

     “ให้กูวันนึงเถอะ นานๆจะได้เจออาหารแบบนี้สักที กูกินแต่อาหารกระป๋องจนหน้าจะเป็นทรงกระบอกอยู่แล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินต่อแบบไม่สนใจใครต่อไป

     “รีบกินจะได้เริ่มทำงานสักที ต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จถายในวันนี้” เผื่อพรุ่งนี้พวกมันยกโขยงกันมาเราจะได้เตรียมตัวทัน เพราะยิ่งเราเตรียมตัวดีเท่าไหร่การสูญเสียยิ่งน้อยลงเท่านั้น

     “เออๆ รู้แล้วๆ แต่ตอนออกไป ฉันเอาริวน้อยไปด้วยนะ เพราะดูแล้วน่าจะถนัดเรื่องนี้” ผมไม่เถียงหรอก เพราะเจอมาแล้ว จึงไม่มีข้อกังขาอะไรถ้าเด็กนั้นจะไปด้วย

     “ผมเกี่ยวอะไรด้วย” คนที่นั่งกินเงียบๆ มาตลอดพูดขึ้น เมื่อบทสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับตน

     “ไม่อยากออกไปทำอะไรสนุกๆ เหรอเด็กน้อย” ทำหน้าเหมือนเสี่ยหลอกเด็กเลยไอ้โฟรค

     “สนุก?” เด็กก็ดันลังเลอีก

     “ใช่ ชอบไม่ใช่เลย อะไรที่มันเสียงดังๆ คราวนี้ อนุญาตให้ทำเลย”

     “ก็ได้” แล้วเด็กก็เชื่อ

     “น้องไนท์ไปด้วย!” เจ้าตัวเล็กได้ยินคำว่าสนุกก็สนใจทันที

     “ไปไม่ได้ครับ มันอันตราย” ผมห้ามทันที เจ้าตัวเล็กจึงทำหน้าหง่อย

     “ก็คุณลุงเมื่อกี่บอกสนุกนี่คราฟ” มือเล็กๆ นั้นชี้ไปที่ไอ้โฟรค โดยที่คนถูกชี้ทำหน้าเหวอไปแล้ว

     “ลุง?” ดูเหมือนสติหลุดกับคำว่าลุงไปแล้ว “เรียกพี่ก็พอมั้งเด็กน้อย เรียกลุงมันเจ็บปวดเกินไป” เด็กน้อยของผมทำหน้าคิดหนัก โดยที่มัมของเค้าไม่สนใจใครนอกจากต้มยำปลาข้างหน้าเลย

      “ป๊า! เรียกคุณลุงว่าพี่ได้ไหมคราฟ” เมื่อคิดไม่ตก ก็หันมาขอความเห็นจากผมแทน

     “ป๊า? ไปเป็นพ่อลูกกันตอนไหนวะ หรือว่า มึงกับ…” มันพูดไม่จบประโยค แต่มองผมสลับกับไออุ่นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ กูรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ไอ้โฟรค

      “…เสือก…”ผมพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน “เรียกลุงดีแล้วครับ หน้าแก่ขนาดนี้แล้วคงเรียกพี่ไม่ได้หรอก”

     “ครับป๊า น้องไนท์จะเรียกคุณลุงว่าคุณลุงโฟรค” เหวอคูณสองทันที หึหึ

     “ทำไมไนท์เรียกคุณผู้กองว่าป๊า” ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมาจากชามต้มยำสักที แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย ผมจะตอบยังไงดีหละ

     “ป๊าบอกจะเป็นพ่อให้น้องไนท์เอง เพราะน้องไนท์ไม่มีพ่อ” เจ้าตัวเล็กช่วยชีวิตผมไว้ทัน ส่วนคนที่ได้รับคำตอบจากเด็กน้อยก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจเด็กน้อยนะ แต่เหมือนไม่เข้าใจผมมากกว่า

     “น้องไนท์น่ารัก ใครก็อยากได้ลูกน่ารักๆ อย่างนี้ทั้งนั้น ฉันแย่ขนาดเป็นป๊าให้มิดไนท์ไม่ได้เลยเหรอ” ต้องใช้ไม้ตาย เรียกความสงสาร

     “ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น แต่…ช่างเถอะเดี๋ยวค่อยคุย” ตอนเเรกเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ปล่อยผ่านไป แต่สงสายตาสื่อสารกับผมก่อนจะยอมจบ คุณคงอยากรู้ว่าสายตานั่นบอกอะไร ผมบอกให้ก็ได้ ถ้าแปลความหมายไม่ผิดคือ เดี๋ยวผมจะจัดการกับคุณทีหลัง

     “หึหึ” ผมเกลียดจริงๆ กับรอยยิ้ม และสายตาเหมือนรู้ทันของไอ้โฟรค

      “คุณหมวดโฟรคยิ้มได้โรคจิต เหมือนคุณท่านผูกองเลยนะครับ ไม่น่าถึงเป็นเพื่อนกันได้” พูดตาตาแป๋วเหมือนใสซื่อ แต่ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ ถ้าคุณมองผ่านหน้าตาอันใสซื่อที่แสดงออกมา คุณจะเจอความกวนที่ซ้อนอยู่

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ต่อตอนที่ 9



      ตอนนี้เป็นเวลาบายสองโมงเรากำลังออกไปสำรวจทางหนีทีไล่ ผมได้บอกให้ไออุ่นและน้องๆ คอยดูความเรียบร้อยรอบๆ เพราะถ้าเราทำตามแผนที่วางไว้ ต้องมีซอมบี้บางส่วนหลุดมาถึงที่นี่แน่

      ที่ผมเลือกไออุ่น แมนนี่ และน้องๆ คอยดูแลบริเวณรอบๆ ไม่ใช่เพราะจำนวนคนเราไม่พอ แต่เป็นเพราะผมไม่อยากให้เกิดเสียงดังจนซอมบี้ตามมาที่นี้กันหมด ถ้ามีซอมบี้หลุดมาถึงที่นี่ต้องกำจัดแบบเงียบๆ

     เรางดกิจกรรมที่ใช่เสียงทั้งหมด ทั้งเกี่ยวข้าว สูบน้ำ และงดการใช้รถที่ไม่จำเป็น

      “ผู้กองครับจากการสำรวจ ที่นี่มีทางเข้าแค่สองทาง ทางแรกที่เราใช้ประจำ ทางที่สองเป็นทางลูกรังที่เชื่อมท้ายไร่กับถนนคอนกรีตของหมู่บ้านครับ” จ่ารายงานขณะที่ผมกำลังสำรวจทางเข้าหมู่บ้าน

     “ทางด้านหลังเหรอ มีโอกาสที่มันจะเข้ามาทางนั้นไหม” เราตั้งรับทั้งสองทางไม่ได้ ถ้าแบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายต้องเสียเปรียบมากแน่ๆ

     “ทางด้านหลังเป็นแค่ทางลูกรังติดกับป่า  ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ไม่มีทางรู้แน่นอนครับ ขนาดผมยังต้องให้ลุงเจ้าของสวนกล้วยช่วยเลย”

      “แต่เราก็วางใจไม่ได้ ให้ทหารบางส่วนไปเฝ้าที่นั้น สถานที่ตั้งรับยังเป็นทางหลักหน้าหมู่บ้านเหมือนเดิม” เราไว้วางใจอะไรไม่ได้หรอก แต่จะให้ตั้งรับทั้งสองทางก็ไม่ได้เช่นกัน

     “เราจะล่อพวกมันมารวมตัวกันตรงไหนดีครับ”

      “ห่างจากหมู่บ้านซักสองกิโลเมตร จะดีกว่า ใกล้กว่านี้ไม่ปลอดภัย ถ้าไกลกว่านี้ก็เป็นทางแยก อยู่บริเวณนี้แหละดีที่สุดแล้ว” ทุกอย่างต้องละเอียดที่สุด และคิดมาอย่างดีแล้วเท่านั้น

     “ตกลงเอาที่นี่ใช่ไหม” ไอ้โฟรคเดินเข้ามาถามผมโดยที่เด็กของมันเดินตามหลังมา

     “อือ” ผมตอบสั้นๆ ตามนิสัย

     “แหม๋ทีกับเพื่อนเย็นชาใส่ พอเป็นน้องไออุ่นกับลูกหละอ่อนโยนจังเลยนะเพื่อนรัก” ผมบอกแล้วว่ามันกวนพอๆ กับไออุ่นนั้นแหละ

     “ถามกูยังว่ารักมึงรึเปล่า”

    “วาจาช่างเจ็บแสบ” เอามือกุมที่หัวใจแล้วทำหน้าเจ็บปวด เห็นแล้วอยากกระทืบจริงๆ

      “พอแล้ว ไร้สาระ” เหนื่อยใจกับมันจริงๆ

     “พอก็ได้ แล้วรถที่อยากได้มายัง” มันถามหารถที่ผมให้นายกับเทนไปหามาให้

     “นั้น” ผมชี้ไปที่รถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด แต่งสวย ที่ติดเครื่องเสียงชุดใหญ่ เปิดทีแก้วหูแทบระเบิด

      “วาว!” ตาวาวทันทีที่เห็น “มี้เพลงใช่ไหม”

     “ถ้าไม่มีเพลง จะเปิดเสียงพระเทศน์ รึไง” ผมแค่อยากลองกวนดูบ้างเท่าเอง หึหึ

     “อยู่กับเด็กมากแล้วมีกงมีกวน เปลี่ยนไปนะเรา”

     “พอแล้ว ไปๆ เด็กแกดูท่าจะอยากขึ้นรถเต็มทีแล้ว” เด็กริวชะเง้อมองรถ จนคอเคล็ดแล้วมั้งนั้น

      “เออๆ ไปแล้ว”

     “ถ้าอยากได้เยอะๆ คงต้องเข้าไปในเมือง เพราะแถวนี้แถบไม่มีแล้ว” ผมบอกไอ้โฟรคก่อนที่มันจะไป

      “กูพามาเยอะแน่ๆ ไม่ต้องห่วง” ขอให้เป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน

      ในที่สุดโฟรคก็ออกไปทำภารกิจของตนเอง พร้อมทหารอีกสามนาย ที่เหลือก็คอยหาทำเลเหมาะๆ ของตนเอง ที่นี่สองข้างทางเป็นป่าไม้ค่อนข้างรก ง่ายต่อการพรางตัว และซ่อนกำลังเสริมที่เราล่อมา

     “ถ้าเรามีระเบิดเวลาคงดี” นายพูดขึ้นขณะที่กำลังหาทำเลในการซุ่มยิง

     “แค่ RPG ก็กินขาดแล้วเว้ย” เทนคู่หูของนายพูดขึ้นด้วยสีหน้าพึงพอใจในอาวุธของตน

     “แต่มันมีแค่สองลูกนะสิ ถ้ามึงยิงพลาดกูจะกระทืบมึงแน่” ผมเชื่อในฝีมือของเทนพอสมควร ถึงวางใจให้ใช่อาวุธสำคัญของเรา

     “เออน่า ไม่ต้องห่วง เชื่อใจกูได้เลย ไม่ผลาดแน่ๆ” เจ้าตัวทำสีหน้ามุ่งมั่นเป็นอย่างมาก

     “เอารถใหญ่กลับไป ให้เหลือแต่รถเล็กที่เสียงเบา” ผมไม่อยากให้พวกมันตามกลับไปที่บ้าน กว่าจะล่อมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ

     เราสำรวจเสร็จแล้ว เหลือแค่รอให้คนที่ล่อพวกมันกลับมา


+ + +


      เวลาเกือบห้าโมงเย็นในที่สุดคนที่เราส่งออกไปก็กลับมา ด้วยสภาพหอบเหนื่อย

     “ขึ้นรถ!” พวกเราขับรถออกมาทันที โดยเหลือหน่วยลาดตะเวนไว้ห่างจากหมู่บ้านและที่ตั้ง ระยะทาง 1 กิโลเมตร พูดง่ายๆ คือ ทิ้งไว้กลางทางระหว่างหมู่บ้านและฐานที่ตั้งที่เราทำไว้

      “เหนื่อยชิบหาย แม่งวิ่งมาเกือบ 500 เมตร” ผมให้พวกเค้าทิ้งรถไว้ก่อนถึงฐานที่ตั้ง และเปิดเพลงในรถทิ้งไว้เพื่อล่อพวกมันไว้ที่นั้นไม่ให้ตามมา ถามว่าได้ผล 100% ไหม คงไม่หรอก ผมเลยต้องให้หน่วยลาดตะเวนอยู่เฝ้า  ถ้ามันหลงเข้ามาต้องกำจัดก่อนที่พวกมันจะถึงหมู่บ้าน

     “มีเยอะแค่ไหน”

     “นี่จะไม่ถามเพื่อนซักหน่อยเหรอว่าเป็นไงบ้าง บาดเจ็บรึเปล่า”

     “ก็เห็นรอดมาอยู่ ต้องถามด้วยเหรอ” ผมมองทุกคนก่อนขึ้นรถอยู่แล้ว ทุกคนปกติดีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงไม่ได้ถาม

      “ต้องถามสิ แสดงความห่วงใยหนะเป็นไหม”

      “จำเป็น?” สงสัยผมจะติดนิสัยกวนๆ จากไออุ่นมาแน่เลย

      “ใจร้าย ทำไมเพื่อนถึงใจร้ายขนาดนี้ ใช่สิ เรามันไม่ใช่ไออุ่นที่น่ารักหนิ” ทำหน้าได้อ้อนทีนมากเลย

      “รู้ตัวก็ดี” ปฏิเสธไปก็เท่านั้น ยอมรับไปให้จบๆ จะได้ไม่ต้องพูดต่อ

      “ได้ยินไหม ไอ้เทน ไอ้นาย ได้ยินเพื่อนรักกูพูดไหม วาวๆๆ ท่านผู้กองผู้เย็นชาของเรากำลังมีความรัก ได้ยินกันไหมวะ!” สงสัยผมจะคิดผิด

      “พอได้แล้ว น่ารำคาญ” อยากจับโยนลงรถให้ซอมบี้กินซะจริง

      “ผู้กองชอบพี่ไออุ่นจริงๆ หรอ” เด็กริวกระซิบถามไอ้โฟรคเบาๆ เบาขนาดที่ได้ยินกันทุกคน ถ้าจะกระซิบขนาดนี้ประกาศเลยก็ได้นะ

      “ก็ได้ยินที่มันพูดแล้วหนิ ห้ามพูดต่อนะ ต้องเหยียบให้แซท” นี่ห้ามหรือส่งเสริม

      “ผู้กองว่าแผนเราจะได้ผลไหม” อยู่ๆ จ่านนท์ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

      “มันต้องได้ผลแน่ๆ แต่ถ้าไม่ให้เกิดความสูญเสียคงยาก” ผมตอบตามตรง โกหกไปก็ไม่ได้อะไร รู้ตัวแล้วระวังกันดีกว่า “รู้แค่พวกเราเหล่าทหารก็พอ ไม่ต้องบอกคนอื่นให้กังวลใจหรอก”

      “จะช้าจะเร็ว ยังไงเราทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี เครียดไปก็เท่านั้น มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ปล่อยให้เรื่องอนาคตมันเป็นอนาคตไปเถอะ ทำปัจจุบันให้เต็มที่ก็พอ” โฟรคพูดขึ้นขัดกับท่าทีขี้เล่นของตัวเอง ที่แสดงออกมาตลอด


+ + +


       เรากลับมาถึงเกือบหกโมงเย็น ป้าๆ ทำกับข้าวเตรียมไว้รอหลายอย่าง

      “ป้ามีอะไรกินบ้างครับ” รถจอดยังไม่สนิท เด็กริวก็กระโดดลงจากหลังกระบะวิ่งเข้าไปในบ้านทันที

      “มีปลาย่าง แกงส้มดอกแค ส้มตำ  แกงปลาใส่สายบัว น้องอุ่นกระโดดลงไปเก็บเองเลยนะ” เก็บเองเลยเหรอ สงสัยต้องรอกินเป็นพิเศษแล้ว

      “พี่อุ่นอยู่ไหนครับ”

     “อยู่ห้องนั่งเล่นกับน้องๆ จะ” ผมจ่องไอ้เด็กริวอย่างกดดัน

      “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าผู้กอง ผมจะเก็บไว้ให้แซทเลย” ได้ฟังแล้วสบายใจขึ้นเยอะ…ผมประชด

      “พี่ธามกลับมาแล้วเหรอครับ” ลมหนาวเดินเข้ามาทักผม ผมเป็นคนบอกให้น้องเรียกแบบนี้เอง ป้องกันไว้ก่อนจะโดนไออุ่นบอกให้เรียกลุงอีกคน

      “อือ เป็นไงบ้างวันนี้” กับลมหนาวผมไม่ค่อยได้คุยด้วยมากนัก แต่น้องเป็นคนน่ารักคนนึง ไม่ใช่น่ารักแบบนั้นนะ จะว่ายังไงดีหละ นิสัยน้องน่ารัก หน้าตาก็ดี การกระทำน้องจะดูแมนๆ เหมือนผู้ชายทั่วไป เอาง่ายๆ คือ ไม่ได้น่ารักแบบแมนนี่ คุณเข้าใจที่ผมอธิบายไหม คุณต้องเข้าใจนะว่าชีวิตผมเจอแต่ผู้ชายทึกๆ ในค่ายทหาร ผมเลยไม่ค่อยสันทัดเรื่องความน่ารักเท่าไหร่ สรุปแล้วน้องเป็นผู้ชายแมนๆ ที่น่ารัก ผมสรุปถูกใช่ไหม

      “ซอมบี้เยอะกว่าปกตินิดหน่อยครับ แต่เราจัดการได้”

      “ดีแล้ว ตอนที่พวกโจรมาพี่คงต้องไหว้วานให้เราช่วยดูแลทุกคนด้วยอีกแรง”

      “ได้ครับ” น้องเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ลังเลว่าพูดดีไหม “เออ จะมีใครเป็นอะไรไหมครับ” ทุกคนกลัวการสูญเสียทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเจอจนคิดว่าเฉยชากับมันแล้ว แต่เอาเข้าจริงเมื่อต้องสูญเสียกี่ครั้งมันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี

      “พี่คงตอบคำถามนี้ของเราไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่บอกเราได้คือ พี่จะไม่ยอมให้ใครทำอะไรพวกเราได้แน่ พี่สัญญา” น้องทำหน้ากังวล ผมรู้ว่าน้องเข้าใจในสิ่งที่ผมบอก การสูญเสียเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเผชิญกับการสูญเสียอยู่ดี

      “พูดอะไรกัน ทำไมทำหน้าเคร่งเครียดจัง” มาแล้วเจ้าตัวกวน ไออุ่นเดินออกมาโดยมีเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ตามติดมาด้วย

      “พูดเรื่องโจร” ผมตอบอ้อมๆ เพราะไม่อยากให้เครียดกันเกินไป

       “พูดถึงทำไมให้เสียอารมณ์ แต่ว่านะ พูดก็พูดเถอะ ถ้าจับมันได้นะ อยากจะจับถลกหนังแล่เป็นชิ้นๆ โยนให้ซอมบี้กินจริงๆ แค่คิดแล้วก็สะใจแล้ว” เผื่อลืม เรามีเด็กห้าขวบยืนมองตาแป๋วอยู่

      “เออ ผมว่าผมพาน้องไปรอทานอาหารดีกว่า” ดี พาไปเลย

      “เอ้า หิวแล้วเหรอ งั้นก็ไปเถอะเดี๋ยวมัมตามไปนะครับ”

     “คราฟ มัมกับป๊ามาเร็วๆนะ” พูดเสร็จก็ตรงริ้วออกไปที่ที่เราเตรียมไว้สำหรับทานอาหารทันที

      “ทำไมไนท์ต้องเรียกคุณผู้กองว่าป๊าด้วย”

       “ไม่คิดจะเกริ่นนำ หรือทักทายกันก่อนเลยเหรอ” เอาซะผมตั้งตัวไม่ทัน

      “ไงผู้กองมาแล้วเหรอ ตอบได้ยัง” ช่างเป็นการทักทายที่จริงใจเหลือเกิน

      “ก็อย่างที่บอกมิดไนท์น่ารัก ฉันเลยอยากให้เป็นลูก ต้องมีอะไรเยอะกว่านี้ด้วยเหรอ”

      “แค่น่ารัก เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ”

      “ฉันรักมิดไนท์เหมือนลูก ถึงจะไม่เคยมีลูกก็เถอะ ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไม่ดีเลยนะ สาบานได้” รู้จักระแวงระวังก็ดีแล้ว แต่ทำไมต้องมาเริ่มระแวงที่ฉันด้วย

      “แน่ใจ? ไม่ใช่ว่าพอไนท์โตขึ้น ไม่ได้น่ารักเหมือนเดิมแล้วจะเลิกสนใจแกนะ”

      “เห็นฉันเป็นคนยังไง” ผมถามด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้นนะ “ฉันรักใครแล้ว ฉันจะรักตลอดไป แม้คนๆ นั้นจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม” ผมบอกด้วยความจริงจัง และจริงใจที่สุด

      “ก็ได้ ผมจะเชื่อคุณ แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณผิดคำพูดแล้วทำให้น้องไนท์เสียใจ ผมเอาคุณตายแน่ จะแล่เนื้อเหมือนพวกโจรเลยคอยดู” ทำหน้าตาข่มขู่ ได้น่ากลัวจริงๆ นะเด็กน้อย หึหึ

      “ไม่อยากพิสูจน์ด้วยตัวเองเหรอ ว่าฉันพูดจริงรึเปล่า” อุ่นทำหน้าสงสัย

      “พิสูจน์อะไร ยังไง” เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าเลยเด็กน้อย

      “พิสูจน์ว่าฉันรักใครแล้วรักจริงรึเปล่าไง ถ้าทำให้ฉันรักได้ ก็สามารถพิสูจน์ความสงสัยนั้นด้วยตัวเองได้ไง สนใจไหม ทำให้ฉันรัก ไม่ยากหรอกนะ” อ้าปากเหวอกับข้อเสนอของผมทันที ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ใช้เวลาหลายวินาทีเลยทีเดียว

      “รักอะไร ผู้กองบ้าไปแล้ว ออกไปแล้วโดนตีหัวกลับมาเหรอ สมงสมองไปหมดแล้ว” ปากพูดแบบนั้น แต่แก้มนี่แดงเชียว แบบนี้เข้าเรียกปากไม่ตรงกับใจใช่รึเปล่า

      “ทำไมต้องหน้าแดงด้วย” ปากผมมันดันไวเท่าความคิด พอได้ยินคำถามอุ่นหันขวับมาหาผมทันที จากที่ยืนหันไปหันมาตลอดการพูดคุย

      “ที่หน้าแดงเพราะโมโหต่างหาก” ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้อุ่นโมโหนะ

      แต่ตอนนี้ผมว่าเจ้าตัวเริ่มจะโมโหผมจริงๆ แล้วหละ

      “โอเคๆ หน้าแดงเพราะโมโหฉันเชื่อแล้ว” ต้องรีบบอกก่อนที่เด็กน้อยของผมจะโมโหจริงๆ

      “เชอะ” แหนะ มีสะบัดหน้าใส่อีก ดีที่น่าตาน่ารักทำแล้วจึงดูน่ารักไปด้วย ถ้าไอ้โฟรคทำ แค่คิดก็สยอง

      “งอลอะไร”

      “ไม่ได้งอล!” แบบนี้เค้าเรียกว่างอล “ผมเป็นผู้ชายแมนๆ ไม่มางอลเหมือนผู้หญิงหรอก” จะพยายามเชื่อก็แล้วกัน

       “แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง ได้ยินว่าลงไปเก็บสายบัวมาเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะออกทะเลไปไกลเกินไป

      “ซอมบี้เยอะขึ้นนิดหน่อย ไม่มีปัญหาอะไรพอดีเก่งอยู่แล้ว” ทำหน้าภูมิใจในตัวเองสุดฤทธิ์ หน้าเชิดๆ ปากแดงๆ ตาโตๆนั้นมันน่าหมั่นเขี้ยวซะเหลือเกิน “ส่วนสายบัวผมเก็บเองแหละ สุภาพสตรีอยากได้ สุภาพบุรุษอย่างผมต้องลงไปเอาให้อยู่แล้ว” ครับสุภาพบุรุษที่น่ารัก

      “ดีแล้ว พรุ่งนี้คงหนักกว่าวันนี้มาก ไหวนะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

      “โจรมาพรุ่งนี้หรอ” อุ่นทำหน้าเคร่งเครียดทันที แต่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ทำหน้ากวนปกติของเค้า

      “ไม่หรอก คงถึงมะรืนนี้ แต่ซอมบี้ที่เราล่อมาคงหลุดมาที่นี้อยู่บ้าง”

      “ชิวๆ นา แค่ซอมบี้ไม่กี่ตัว ไม่น่ากลัวเท่าโจรหรอก” จริง ซอมบี้ไม่น่ากลัวเท่ามนุษย์เราหรอก

      “ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่ก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาท” ผมมีหน้าที่ต้องทำไม่ได้อยู่คอยดูแล จึงอยากใหุเค้าระวังตัวให้มาก

      “รู้แล้ว ผู้กองก็ระวังตัวด้วยหละ โอ้ยย หิวข้าวไม่คุยด้วยแล้ว หิวๆๆๆ” แล้ววิ่งจู้ดออกไปทันที ถึงจะเร็วแค่ไหนผมก็ทันเห็นหน้าแดงๆ นั้นอยู่ดี


      ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะระวังตัวแล้วกลับมาให้ได้ ฉันจะไม่เป็นอะไร…



ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
คู่พระนายกัดกันเก่งจริงๆ :hao7:
นี่ลุ้นมาก ว่าถ้าพวกโจรบุกจะเป็นยังไง :ling3:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 10 -


[ธาม]

      เค้าว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะสั้นเสมอ นั้นคือเรื่องจริง เวลาหนึ่งวันช่างเร็วเหมือนหนึ่งนาที เวลาที่เราไม่อยากเผชิญก็ได้เวียนมาหาในที่สุด

      ตอนนี้เป็นเวลา 7.00 น. เราทานอาหารเสร็จแต่เช้า เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นทุกคนจึงตื่นเร็วกว่าปกติ บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

      “จ่า พาทุกคนไปที่บ้านท้ายไร่กล้วย แล้วเฝ้าทางเข้าด้านหลัง” ผมให้จ่ารับหน้าที่เฝ้าทางเข้าด้านหลังไร่พร้อมทหารห้านาย เราจะประมาทไม่ได้ ถึงการที่โจรจะเข้าทางด้านหลังไร่แทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม

      “ครับผู้กอง! ระวังตัวด้วยนะครับ”

      “เช่นกัน ระวังตัวด้วย มีอะไรวิทยุสื่อสารมาทันที” ผมสำทับจ่าเรื่องนี้อีกรอบ

      “ครับ!” จ่ารับคำพร้อมเดินออกจากบ้านไปดูความเรียบร้อยของทุกคน

      เราคาดการณ์ว่าพวกมันน่าจะมาถึงประมาณบ่ายโมง อย่างช้าไม่น่าจะเกินบ่ายสาม สายของเรารายงานว่า รถที่พวกมันใช้มีทั้งหมด 6 คัน รถใหญ่ของทหารสอง กระบะติดอาวุธสองคัน รถตู้หนึ่ง และรถเฟอร์รารี่สีแดงอีกหนึ่ง เราคาดการณ์ว่าตัวหัวหน้ามันต้องอยู่ในเฟอร์รารี่แน่ๆ

      สายของเราไม่ได้ติดตามพวกมันมาด้วย เพราะมันเสี่ยงเกินไป ถนนโล่งๆ การจะขับรถตามโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ เป็นอะไรที่ยากมาก ผมจึงให้สายดักรอดูความเคลื่อนไหวอีกจุดที่ราชบุรี

       เมื่อคืนพวกมันพักที่ราชบุรี และเดินทางออกมาที่นี่แต่เช้าตรู พวกมันค่อนข้างระวังตัวมาก มีการจัดเวรยามเฝ้าระวังตลอดทั้งคืน จำนวนของพวกมันมีมากพอสมควรประมาณสามสิบกว่าคนเกือบสี่สิบ ถ้าเป็นแค่พวกมือสมัครเล่นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นพวกมีฝีมือเราแย่แน่

      สายยังรายงานต่ออีกว่า อาวุธของพวกมันเยอะพอสมควร มี M16 อยู่หลายกระบอกทีเดียว

      “อุ่น เดี๋ยวก่อน” อุ่นเดินผ่านมาขณะที่ผมกำลังยืนคิดอะไรอยู่คนเดียว สักพักเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ที่วิ่งตามหลังมา ก็เข้ามาเกาะขาผมทันที

      “ป๊า วันนี้จะไปสู้กับโจรหรอคราฟ” ผมยังไม่ได้พูดกับไออุ่นเลย เจ้าตัวเล็กก็ถามขึ้นมาซะก่อน ผมจึงอุ้มเข้าขึ้นมาไว้แนบอกของผม

      “ใช่ครับ วันนี้ป๊าต้องไปสู่กับโจร วันนี้น้องไนท์ต้องไม่ดื้อ ไม่เสียงดังนะครับ เดี๋ยวโจรมันได้ยิน แล้วถ้าเจอโจร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือหนีเข้าใจไหมครับ” ผมพูดเผื่อไว้ในกรณีที่เหตุการณ์มันเลวร้ายขั้นสุด เพราะเด็กตัวแค่นี้ไม่มีทางสู้กับพวกโจรได้แน่

      “คราฟ น้องไนท์จะทำตามที่ป๊าบอก” เจ้าตัวเล็กกอดคอผมแล้วซบหน้าลงกับไหล่ ผมว่าผมหลงรักเจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ ซะแล้ว ถึงผมไม่เคยมีน้อง ไม่เคยมีลูก ไม่เคยต้องดูแลใคร แต่ผมสาบานกับตัวเองเลยว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด เหมือนลูกของผมจริงๆ

      “อะแฮ่ม เผื่อลืมว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ เรียกแล้วก็ไม่พูด” ประโยคหลังเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดแค่ไหนหน้าของเจ้าตัวก็ยังสดใส และกวนอยู่เสมอ

      ผมชอบนะ ที่เค้าอารมณ์ดีอยู่ตลอด มันช่วยให้ชีวิตที่เย็นชาของผมอบอุ่นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น ความคิดที่แปลกๆ หน้าตากวนๆ ของเค้าผมว่ามันก็น่ารักดีนะ

      “ยังยืนยิ้มอยู่อีก หลับในแล้วฝันหวานเหรอครับคุณผู้กอง ยืนเหม่อยิ้มอยู่ได้” อุ่นทำหน้าเอื่อมๆ ใส่ผม เหมือนมองคนสติไม่ดี

      “ฉันไม่ได้ยืนยิ้มเพราะฝันหวานหรอก แต่เพราะฉันกำลังยืนมองหน้าหวานๆ ของใครบางคนอยู่ต่างหาก” ผมเป็นคนพูดประโยคเมื่อกี่จริงๆ เหรอ ผมบ้าไปแล้ว แล้วดูเจ้าตัวจะตกใจกับคำพูดของผมอยู่ไม่น้อย

      “นี่มุกของคนแก่หรอ บอกเลยว่าไม่ได้เรื่อง” พอตั้งสติได้ก็ตอบกลับผมทันที ปากบอกไม่ได้เรื่อง แต่หน้ากับหูนี่แดงเถือกเลย เด็กน้อยเอ้ยยย…

      “หว่า ไม่หวั่นไหวซะได้ เสียดายจัง” ผมเกิดจนโตมาเกือบสามสิบปี ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีมุมนี้ด้วย ที่ผ่านมาผมคงอยู่เหล่ากับชายฉกรรจ์มากเกินไปสินะ

      “พอๆ มีเรื่องอะไรรีบพูดมาเถอะครับคุณผู้กอง” เปลี่ยนเรื่องอีกแล้วสิน่า

      “ฉันบอกให้เรียกพี่ธามเหมือนลมหนาว ทำไมยังเรียกคุณผู้กองอยู่ได้” ดื้อจริงๆ เลยไอ้ตัวกวน

      “ทำไมต้องเรียกแบบนั้นด้วย ถ้าจะเรียกพี่ เรียกลุงดีกว่า คุณลุงธาม” มีมายิ้มกวนท้าทายอีก อยากหยิกแก้มซะจริง

      “ทำร้ายจิตใจกันชะมัดเลย”

      “แค่เรียกลุงแค่เนี่ยทำเป็น” เจ้าตัวทำหน้าไม่เชื่อในสีหน้าเศร้าๆ ของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้เศร้าจริงๆ นั้นแหละ แค่เจ็บจี๊ดๆ

      “ใจร้ายซะจริง” ทำหน้าเอื่อมใส่ผมอีกแล้ว

      “รีบพูดมาเถอะผู้กองเดี๋ยวสาย” ไม่สนใจผมเลย ใจร้ายจริงๆ เด็กน้อย

      “ก็ได้ๆ นี่” ผมเดินไปหยิบปืนสั้นสองกระบอก พร้อมกระสุนสำรองส่งให้ไออุ่น “เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน อีกกระบอกให้แมนนี่” ธนูก็ดี แต่จะให้สู้กับโจรด้วยธนูจะเสียเปรียบเกินไป

      “ขอบคุณครับ” ถึงจะกวนแค่ไหน ไออุ่นก็จะพูดกับคนอายุมากกว่าด้วยถ่อยคำสุภาพเสมอ

      “หลับเหรอ ถึงว่าเงียบผิดปกติ” ผมหันไปมองเด็กน้อยมิดไนท์ที่ซบอยู่บนไหล่ ปรากฏว่าหลับครับ ไม่น่าถึงนิ่งและเงียบนัก

      “เมื่อคืนนอนดึก แล้วยังต้องตื่นเช้าเลยง่วงแบบนี้ มาผมอุ้มเอง” เด็กน้อยกลับ แต่แขนดันกอดคอผมแน่นเลย

      “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันอุ้มไปส่ง”

      “แต่คุณมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ส่งมาเถอะ ผมอุ้มได้น่า ก็อุ้มมาตลอดอยู่แล้ว ปืนก็วางไว้นี้แหละ เดี๋ยวผมให้แมนนี่มาเอาเอง” อยากไปส่งนะ แต่ผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ

      “ก็ได้ ดูแลตัวเองดีๆ ถ้ามีอะไรให้หนีเข้าป่าไปก่อน ป่าจะช่วยซ้อนตัวจากพวกโจรได้ ไม่ต้องไปสู้กับมัน เดี๋ยวฉันจัดการพวกมันเอง เข้าใจไหม” ถึงจะเคยฆ่าซอมบี้มามากแค่ไหน แต่กลับคนมันต่างกัน ผมไม่อยากให้เค้าได้รับอันตราย

      “เข้าใจน่า ผมไม่ทำให้น้องๆ และทุกคนต้องเสี่ยงหรอก ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมจะพาทุกคนหนีเข้าป่าเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงตัวเองเถอะ… ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยหละ” พูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่หน้าแดงระเรื่อน่ารักจริงๆ ผมเออออไปไม่อยากแซว

      “ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ไปเถอะ ได้เวลาแล้วเดี๋ยวทุกคนรอ ดูแลตัวเองดีๆ” เจ้าตัวพยักหน้าเข้าใจ พร้อมเดินออกไป กำลังจะพ้นประตูอยู่แล้วแต่ก็หยุด แล้วพูดบางอย่างกับผมก่อนเดินริ่วออกไป

      “ถ้าจบจากเรื่องนี้แล้วผู้กองไม่เป็นอะไร จะเรียก ‘พี่’ ก็ได้” ปากผมมันหุบยิ้มไม่ได้เลยสิน่า ไอ้โฟรคมาเห็นคงคิดว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ เหตุการณ์ตึงเครียดจะตายแต่ยืนยิ้มไม่หุบ

      ผมสาบานกับตัวเองว่าผมจะกลับมา ผมต้องไม่เป็นอะไร…






       เวลาเกือบบ่ายโมง ซอมบี้ที่เราล่อมาวันก่อนอยู่ห่างจากเราประมาณ 500 เมตร กำลังเดินไปทั่วบริเวณเนื่องจากเสียงเพลงในรถหยุดตั้งแต่คืนนั้นแล้ว เราพยายามที่จะไม่ฆ่าซอมบี้ซะก่อน แต่บางตัวก็เข้าใกล้เราเกินไป จึงจำเป็นที่ต้องกำจัด

      (“เหยี่ยว2 เรียกกองเหยี่ยว ขณะนี้ฝูงหมาป่าเคลื่อนตัวออกจากในเมืองกาญจนบุรี มุ่งหน้าทางตะวันตก อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงถึงเป้าหมายครับ”) สายหนึ่งที่เราส่งออกไปซุ่มตัวอยู่ถนนสายหลักที่ต้องผ่านทั้งหมดสี่สายรายงานมา โดยฝูงหมาป่าเลือกเส้นทางจากตัวเมืองเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย

      “กองเหยี่ยวรับทราบ เหยี่ยว2 เรียกรวมเหยี่ยว 1,3,4 เพื่อเป็นกองหนุนรอบนอกทราบแล้วเปลี่ยน” ทหารของเราทุกคนมีค่า ต้องร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี

      (“รับทราบครับ”) เมื่อเหยี่ยว1 หยุดการสนทนาไป เราจึงเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่กำลังเผชิญ

      “ทุกคนฟัง! พวกมันกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมอยากให้ทุกคนทำให้เต็มที่ สู้ให้สุดกำลัง ฆ่าให้หมดไม่ต้องปราณี ถึงจะเป็นมนุษย์ด้วยกันก็ตาม จำไว้แค่ว่าถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันนั้นแหละที่จะฆ่าเรา อย่าปล่อยให้มันไปฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อีก” ผมสำทับถึงความสำคัญในการสู้ครั้งนี้

      “เราผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย ทุกคนเป็นเหมือนเพื่อน เป็นญาติพี่น้องของผม ผมไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่ผมรู้ในตอนนี้คือผมจะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อคนที่ผมรัก เพื่อทุกๆ คนที่รอคอยเราอยู่ สิ่งที่เราปกป้องอยู่นี่ไม่ใช่แค่อาหารหรือคนเพียงน้อยนิด แต่เป็นลมหายใจที่คอยต่อชีวิตให้คนในชาติของเรา ชีวิตทุกคนฝากไว้ในมือของเรา จงทำให้เต็มที่ และที่สำคัญดูแลตัวเองให้ดี และผมขอให้ทุกคนปลอดภัย ไปทำหน้าที่ของตัวเองได้”

      “ครับ/ครับ/ครับ”

      ตอนนี้ทุกคนเข้าประจำที่ของตนเองพร้อมอาวุธครบมือ กระจายกันออกสองข้างทางเพื่อซุ่มโจมตี ผมประจำอยู่แนวหน้าบนรถพร้อมกับเทนเพื่อเป็นด่านแรกในการโจมตี

      (“พวกมันมากันแล้ว”) เสียงวิทยุสื่อสารจากไอ้โฟรคที่ซุ่มอยู่ทางด้านนอกดังขึ้นมาให้ผมใจเต้นแรง ถึงเวลาแล้วสินะ

      “รอฟังสัญญาณ แล้วเข้าตลบหลังมันทันที”

      (“แย่แล้วมีพวกมันแยกไปจอดรอทางด้านขวาเป็นรถตู้กับเฟอร์รารี่ เอาไงถ้าฉันตามไปตอนนี้พวกที่จอดรอด้านขวารู้แน่ๆ”) ก่อนถึงทางเข้าจะเป็นสี่แยก พวกมันคงส่งทัพหน้าเข้ามาก่อน พวกหัวหน้าคงรออยู่ด้านนอก

      “พวกขี้ขลาด มันต้องให้พวกลูกน้องมาลุยก่อนแน่ๆ เฝ้าพวกมันไว้ ยังไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัวซะก่อน” รอไปเถอะ ฉันจัดการลูกน้องพวกแกเสร็จ รายต่อไปก็คือพวกแก

      (“รับทราบ ระวังตัวด้วย”)

      “เช่นกัน” ผมหันไปวิทยุสื่อสารสั่งทุกคนต่อ “อีกไม่ถึงห้านาทีพวกมันจะถึงแล้วเตรียมพร้อม รอฟังสัญญาณ สู้ให้เต็มที่ และขอให้ปลอดภัย” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

      (“ผู้กองครับ พวกมันขับรถห่างกันเป็นร้อยเมตรเลยครับ”) เสียงจ่านายดังมาตามวิทยุสื่อสาร พวกมันระวังตัวกันมาก

      “บอกลำดับรถ” ทุกอย่างต้องเร่งรีบที่สุดในตอนนี้

      (“กระบะ รถทหารสอง และปิดท้ายด้วยกระบะครับ”) ยิงกระบะคันแรกไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะกองกำลังหลักมันอยู่บนรถทหาร

      “เทนยิงรถคันที่สอง ปล่อยคันแรกให้มันเข้ามาเลย” เราซุ่มอยู่สองข้างทาง ถ้ายิ่งรถคันแรกที่อยู่ใกล้เราที่สุด รถคันด้านหลังต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ สู้เรายอมเสี่ยงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดดีกว่า
 
      “แต่รถคันแรกจะเข้าใกล้เราเกินไปนะครับ” เทนหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่เราต้องทำ

      “ทุกคนเตรียมพร้อม เมื่อได้ยินเสียงระเบิดเมื่อไหร่ ถล่มมันทันที” ตอนนี้ซอมบี้กำลังตามเสียงรถมาทางนี้ ซอมบี้จะถึงพวกมันก่อนเรา คงช่วยเราได้พอสมควร

      เสียงปืนจากการยิงซอมบี้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฟังจากเสียงน่าจะเป็น M16 พวกมันคงกระหายการเข่นฆ่าอยู่พอตัว ถ้าฟังจากเสียงปืนที่รัวยิงซอมบี้

      “ทุกคนเงียบที่สุด พวกมันมาแล้ว เทนเล็งไปที่รถทหารคันแรก” พวกมันขับมาด้วยความเร็วไม่มากนักเพราะมีซอมบี้อยู่ตลอดทาง “ให้มันมาใกล้กว่านี้ อีกนิด” พวกมันขับห่างกันเป็นร้อยเมตร ซึ่งเราไม่สามารถกำจัดพวกมันทีเดียวได้ เลยต้องเลือกเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุด

      “รถคันแรกมันจะถึงที่ที่เราซุ่มอยู่แล้วนะครับ” เทนกระซิบบอกผมด้วยความกังวล

      “เชื่อที่ฉันบอก แล้วทำใจให้สบายๆ ทำหน้าที่ของตัวเองไป เพราะนายได้รับหน้าที่ที่สำคัญที่สุด” ผมพยายามทำให้เทนผ่อนคลาย เพื่อทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ แต่ดูแล้วคำพูดผมมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

      “เทนเตรียมพร้อม เล็ง อีกนิด อีกนิด จัดการยิง!” เมื่อได้ระยะที่ผมคิดว่าดีที่สุดจึงสั่งให้หมู่เทนยิง RPG ออกไปทันที

      ตู้มมม!!!  เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนหูแทบอื้อ รถทหารที่โดนแรงระเบิดกระจัดกระจายออกไม่มีชิ้นดี เลือดกระจายออกเต็มพื้นที่ อย่างน่าสยดสยอง แขนขาตกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

      รถคันที่ตามมาหักหลบเข้าข้างทางทันที รถคันแรกเจอพิกัดที่เราอยู่ทันทีที่เรายิงอกไป

      “ลุย!!” ผมสั่งการให้เข้าปะททันที ถึงจะเหลือ RPG อีกลูกแต่ด้วยระยะ และสภาพแวดล้อมทำให้เราไม่สามารถยิงรถอีกคันได้ จึงต้องใช้ปืนเพียงอย่างเดียว

      “นายประจำปืนกล93 M2 แล้วถล่มรถคันแรกซะก่อนที่มันจะเห็นนาย” รถคันแรกใกล้เราเกินไป ในขณะที่รถคันอื่นอยู่ห่างจากเรามากกว่าร้อยเมตร

      ปังๆๆ เสียงปืนจากรถคันแรก รัวมาในทางทีผมกับเทนอยู่ เป็น M16 รัวจนผมไม่สามารถโผล่หัวขึ้นไปมองได้เลย

      ปังๆๆ เสียงปืนจากนายดังขึ้นมาสำทับ ทำให้วิถีกระสุนบางส่วนเปลี่ยนทิศทางไปเล่งที่อื่น

      “เป็นไงบ้าง” ผมหันไปถามเทนที่มีเลือดออกที่แขนไม่มากนัก

      “ไม่เป็นไรครับ แค่เฉียดๆ”

      “ประจำอยู่ที่นี่ แล้วช่วยนายจัดการรถคันแรก ฉันจะไปจัดการที่เหลือ” ผมรู้ว่านายกับเทนเอาอยู่ ผมจึงไปหากลุ่มใหญ่ที่กำลังลงจากรถเข้าไปซุ่มในป่า
       แต่ขอโทษนะ พอดีป่าเราดันมีแต่ซอมบี้หนะสิ ไม่ว่าจะซุ่มยังไงก็ต้องเผยตัวอยู่ดี

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
[ต่อตอนที่ 10]


      เสียงปืนปะทะกันดังสนั่นป่า สองฝั่งสาดกระสุนใส่กันอย่างเดือดดาล ผมค่อยๆ เข้าใกล้จัดการทีละคนๆ ขณะที่ฝั่งนั้นต้องยิงทั้งฝั่งผมและซอมบี้

      ปัง กระสุนเจาะกะโหลก ทำให้เจ้าของร่างแน่นิ่งไปในทันที

      เราอยู่ไกลกันเกินกว่าจะใช้ระเบิดมือ อีกทั้งต้นไม้ยังเยอะมากด้วย ถ้าเขวี้ยงไปไกลๆ ต้องโดนต้นไม้แล้วเปลี่ยนทางแน่ๆ ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้คือปืน

       ผมพลางตัวไปกับต้นไม้ ค่อยๆ กำจัดไปทีละคนๆ

      “โอ้ยย!!” เสียงทหารคนหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด ผมวิ่งเข้าไปช่วยโดยทันที แต่มีพวกมันคนนึงกำลังเข้าถึงตัวเค้าก่อนผม

      ปังๆ ผมยิงนัดแรกผลาดโดนต้นไม้ แต่นัดที่สองไม่พลาดเข้าหัวใจจังๆ จนมันล้มลงไปตายทันที

      “เป็นยังไงบ้าง” เลือดออกบริเวณต้นขาของเขาเยอะมากเลยทีเดียว

      “ผมทนไหวครับ” เค้ากำลังกัดฟันเพื่อทนต่อความเจ็บปวด

      “เดี๋ยวฉันจะห้ามเลือดไว้ให้ก่อน อดทนไว้ อีกไม่นานทุกอย่างจะจบ” ผมได้แต่บอกให้เค้าทนไว้ ตอนนี้เราไม่มีเวลาที่จะพาคนเจ็บออกไปรักษาเลย

      “ผมทนไหว ผู้กองไม่ต้องห่วง”

      (“ไอ้ผู้กองพวกมันกำลังไปทางขวา”) โฟรควิทยุสื่อสารมาบอกข่าวผม ทำไมพวกไม่เข้ามามาช่วย พวกมันจะทำอะไรกันแน่

      “ตามมันไป ทางนี้ฉันจัดการเอง” ผมไม่ไว้ใจพวกมัน ผมไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไร

      (“เออ แล้วเป็นไงบ้าง”)

      “กำลังชุลมุน กูว่าจำนวนมันมากกว่าที่คิด”

      (“กูก็คิดงั้น ไปแล้ว”)

      “เออ” คุยเสร็จผมก็หันไปพูดกับคนเจ็บต่อ “ทนเอาไว้ ฉันต้องไปก่อน”

      ผมอ้อมไปด้านหลังอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ตัว ไม่ง่ายเลยถ้าต้องเจอซอมบี้ทุกๆ สิบเมตร ผมต้องใช้ปืนเล็กเก็บเสียงฆ่าซอมบี้ เพื่อไม่ให้พวกโจรรู้ตัว ต้องปิดวิทยุสื่อสารไว้ด้วย ถ้าใครอยากติดต่อคงต้องรอไปก่อน

      พวกมันประจำอยู่ที่รถทหารแค่ห้าคน ส่วนรถอีกคันจอดห่างกันด้านหลังประมาณ 40 เมตร รถด้านหลังติดปืน M16 และปืนกลเล็กด้วย ถ้าผมกำจัดรถทหาร ผมคงต้องเป็นเป้าของรถคันด้านหลังแน่ๆ

      ผมค่อยๆ คลานไปกับพื้น เพื่อเข้าใกล้พวกมันให้มากที่สุด โชคดีที่ป่าค่อนข้างรก ทั้งต้นไม้และหญ้าหนาแน่นพอสมควร จึงพรางตัวได้

      ผมเอาระเบิดออกมาจากกระเป๋าเล็กด้านหลัง ทันทีที่ดึงสลักออก ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้พวกมันตั้งตัว พร้อมขว้างไปที่รถที่พวกมันจับกลุ่มกันอยู่

      ทันทีที่ระเบิดหลุดออกจากมือ ผมรีบกระโดดไปหลังต้นไม้และหมอบต่ำ เพื่อหลบวิถีของแรงระเบิด

      ตู้มมม!! เสียงระเบิดทำผมหูอื้อชั่วขณะ อย่างกับมีแมลงทั้งฝูงเข้ามาบินในหูของผมก็ไม่ปราณ

      ยังไม่มีโอกาสรอให้หูหายอื้อ ผมก็ตกเป็นเป้าหมายของรถคันหลังซะแล้ว ทั้ง M16  ทั้งปืนกล ต่างเล็งมาที่ผม บอกได้คำเดียว ‘ชิบหายแล้ว’

      ผมไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย กระสุนรัวมาไม่ต่างจากเม็ดฝนที่ตกจากฟ้า ถ้าข้างหน้าผมไม่เป็นเนินดิน ผมคงตายไปแล้ว

      ต้องทำอะไรซักอย่าง อยู่รอให้พวกมันเข้ามาหาแบบนี้ ผมคงต้องตายจริงๆ แน่

      ผมตัดสินใจขว้างระเบิดไปอีกลูกเพื่อหาทางหนีไปตั้งหลัก

     ปังๆๆ

     ตู้มมม!

     ขณะที่พวกมันหลบระเบิด ผมรีบพาตัวเองออกจากที่นั่นทันที ระหว่างที่วิ่งไปเลือดผมก็ไหลตามทาง คุณฟังไม่ผิดหรอกเลือดของผมเอง ใช่ ผมโดนยิง แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมผมโดนยิงที่แขนซ้าย ทั้งที่ผมใช้แขนขวาโผล่จากเนินดินเพื่อขว้างระเบิด คิดซะว่าในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดี อย่างน้อยแขนข้างที่ถนัดยังปกติดีอยู่

      ผมวิ่งออกมาจนพ้นจากพวกมัน พร้อมฉีดชายเสื้อเพื่อเอามาห้ามเลือด ดีที่กระสุนทะลุแขนออกไปไม่ฝังใน แขนผมมีอาการเจ็บและเลือดไกล แต่ก็ยังใช้งานได้ปกติ แสดงว่าไม่โดนจุดสำคัญ ทำให้ผมวางใจได้ในระดับหนึ่ง

      เมื่อจัดการกับแผลเสร็จ สิ่งต่อมาที่ผมต้องจัดการคือไอ้พวกที่ยิงผม ถ้าดูจากจำนวนคนและอาวุธปืน ผมเป็นลองอยู่มากเลยทีเดียว แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ

       ผมจับซอมบี้ตัวหนึ่งมาผูกไว้กับต้นไม้ พร้อมถอดเสื้อนอกของผมใส่ให้มัน ถ้าดูจากอีกฝั่งจะเห็นว่าผมยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ ด้วยหญ้าที่ค่อนข้างสูงพวกมันมองไม่เห็นเชือกที่ผูกซอมบี้ไว้แน่ๆ โชคดีที่ผมเตรียมของจำเป็นใส่กระเป๋าเล็กมาด้วย

      ส่วนตัวผมนอนลงกับพื้นดิน ที่ติดกับต้นไม้ระหว่างทางไปหาซอมบี้ที่ผมผูกไว้ ถ้าพวกมันจะไปหาซอมบี้ตัวนั้นต้องผ่านตรงนี้แน่ๆ เพราะทางอื่นต้นไม้เยอะเกินกว่าจะขับรถผ่านไปได้

      ผมนอนแล้วนำใบไม้แห้งถมตัวเองจนมิดเพื่อพรางตัว ผมยิงปืนขึ้นเพื่อให้มันรู้ตำแหน่งที่ซ้อน โดยมืออีกข้างถือระเบิดเตรียมไว้ ถ้าพลาดผมเสร็จพวกมันแน่ๆ ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ผมไม่มีทางหนีได้เลย

      บลื้นๆ! เสียงรถกระบะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ใกล้พอที่ผมจะขว้างระเบิดถึง ผมรอให้พวกมันผ่านจุดที่ผมซุ่มอยู่ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่พลาดแน่ๆ

      บลื้นๆ เสียงรถใกล้ผมมากเลย ปังๆๆ ยังไม่ใกล้จุดที่ซอมบี้อยู่พวกมันก็รัวยิงซะแล้ว อย่าเพิ่งจอด เข้ามาอีกสิ เข้ามา ผมได้แต่ภาวนาให้มันเข้ามาใกล้ผมอีก

      ใช่แล้ว ระยะนี้แหละเหมาะเหม่งเลย

     “เฮ้ย ไม่ใช่ไอ้หน้านิ่งนั้นหวะ แต่เป็นซอมบี้ เราโดนหลอก!” รู้ตัวตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วหละ หึหึ

      ตู้มมม!! ตายซะเถอะพวกเดนมนุษย์ ผมหมอบต่ำ แต่ก็ยังมีเศษชิ้นส่วนของรถตกมาโดนผมบ้างเป็นบางส่วน

      แรงระเบิดระยะใกล้ไม่ใช่เล่นๆ เลย ทำเอาผมมึนหัวพอสมควร อ่า…หูอื้ออีกแล้วสิ

      หลังจากผมตั้งหลักได้ จึงสำรวจความเสียหายของพวกมัน มีคนนึงขาขาดแต่ยังไม่ตาย ผมเดินเข้าไปหามันช้าๆ

      “อย่าๆ อย่ายิง ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับพวกแกอีก…”

      ปัง!!

      ผมบอกแล้ว ถ้าตีงูต้องตีให้ตาย คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเสวนาด้วยให้เสียพลังงานหรอก

      ผมกำจัดรถทั้งสองคันแล้วเหลือแค่กำจัดพวกที่หลงเหลืออยู่ในป่า หาไม่ยากหรอก ได้ยินเสียงปืนตรงไหน ก็ตามไปตรงนั้น กำจัดมันให้หมด

       ผมค่อยๆ ไปทางด้านหลังพวกมันแล้วฆ่าทีละคนๆ

     แกรก!! ผมหันปืนไปทางต้นเสียงทันที

      “อย่ายิงๆ ผู้กอง ผมเองๆ นายเองครับ แหะๆ” นายยกมือสองข้างขึ้นเหนือหัวขณะที่เดินเข้ามาหาผม

      “ทำไมมาเงียบๆ ถ้าฉันเผลอยิงไปจะทำยังไง” เจ้าตัวยิ้มเจื่อนส่งให้ผม

      “ก็ผมนึกว่าผู้กองเป็นพวกมัน เลยจะเข้ามาจัดการซักหน่อย พอรู้ว่าเป็นผู้กอง ผมก็จะทักแล้วแต่ผู้กองดันเจอผมซะก่อน แหะๆ”

      “เอาเถอะ แล้วสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” ผมปิดวิทยุสื่อสารไว้จึงไม่รู้สถานการณ์ของอีกด้าน

      “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เรากำลังตามเก็บพวกที่เหลืออยู่ ส่วนพวกเราไม่มีผู้เสียชีวิต แต่คนบาดเจ็บค่อนข้างเยอะอยู่ครับ”

      “พาคนเจ็บไปรักษาซะ ที่เหลือฉันจัดการเอง ไอ้อิฐมันอยู่ราวป่าด้านนั้นโดนยิงที่ขา พามันไปให้เร็วที่สุด” เพราะเวลาผ่านมาค่อนข้างนานแล้วหลังจากที่ผมผละจากไอ้อิฐมา

      “ครับผู้กอง” หลังจากรับคำผมแล้ว เจ้าตัวก็วิ่งออกไปทันที หวังว่าจะรักษาทันแล้วปลอดภัยทุกคนนะ

      ผมเดินไปทั่วบริเวณเพื่อกำจัดพวกที่เหลือทั้งโจรและซอมบี้

     “ผู้กองๆ!!” เสียงของเทนดังมาจากด้านนึงของป่า

      “ทางนี้!!” เทนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาผม “จะเสียงดังทำไม มีอะไร”

      “ผู้กองเปิดวิทยุสื่อสารด่วนๆ มีเรื่องแล้วครับ มีเรื่องแล้ว” เกิดอะไรขึ้นอีก ผมรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเปิดทันที “ติดต่อหาหมวดโฟรคด่วนเลยครับ”

      “ธามเรียกโฟรคตอบด้วย ได้ยินไหม” ผมถามอีกครั้งเมื่อฝั่งนั้นยังเงียบ ผมดูจากอาการร้อนรนของเทนแล้ว น่าจะเรื่องใหญ่พอสมควร มันทำให้ผมร้อนรนไปด้วย

      (“ไอ้ธาม!! ติดต่อได้ซักทีนะมึง กูก็นึกว่าตายห่าไปแล้ว”) ทำไมต้องเกรี้ยวกราดขนาดนั้นด้วยนะ แสดงว่าเรื่องใหญ่จริงๆ

      “เออ มีอะไร ดูร้อนรนแปลกๆ”

      (“ทางนั้นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”) มันไม่ตอบคำผม แต่ถามกลับมาแทน ทำให้ผมร้อนใจขึ้นกว่าเดิมอีก

      “เรียบร้อยดี มีอะไรกันแน่รีบๆ พูดมา”

      (“มึงจำที่กูบอกว่า พวกโจรมันออกไปทางด้านขวาได้ไหม”)

      “เออ ว่าต่อ”

      (“พวกมันอ้อมเข้าทางด้านหลังไร่”) ไม่นะๆ

      “มีใครเป็นอะไรบ้าง” สิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด ผมหวังว่าจะไม่ได้ยินมัน

      (“มีทหารเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัสสอง ที่เหลือพ้นอันตรายแล้ว จ่าเป็นหนึ่งคนที่บาดเจ็บสาหัส หมอกำลังช่วยอยู่”)

      “พวกมันรู้ทางเข้าได้ยังไง” มีแค่คนในเท่านั้นที่รู้ และก็คนในพื้นที่ หรือในพวกมันมีลูกมีหลานของคนในพื้นที่ มันยังไงกันแน่

      (“เรื่องนั้นค่อยมาคุย เพราะยังมีอีกเรื่องที่มึงต้องรู้”) ยังมีอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้อีก

      “อะไร”

      (“มิดไนท์โดนยิง…”) มันยังพูดไม่จบผมก็ตกใจแล้วพูดขึ้นมาซะก่อน

      “อะไรนะ ไม่จริงใช่ไหม ไม่ๆๆ” แค่เด็กอายุห้าขวบเองนะ ต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

      (“ฟังก่อนสิวะ น้องไม่เป็นอะไรแล้ว กระสุนแค่เฉียดแขนไป ไม่เป็นอะไรมาก แต่คนพี่นี่สิ ลมหนาวโดนยิงเข้าบริเวณท้อง หมอกำลังรอคิวผ่าตัดอยู่ หมอไม่พอ ต้องรอก่อน ตอนนี้ไออุ่นกำลังสติแตกร้องไห้ไม่หยุดเลย”) คนเจ็บเยอะเกินไป หมอเรามีแค่สามคนเอง ขอให้น้องปลอดภัยทีเถอะ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จากความดีทุกอย่างที่ผมเคยทำมา ผมขอให้น้องและทุกคนปลอดภัย

      “ฉันจะรีบกลับไป ส่วนเรื่องอื่นค่อยคุย”

      (“เออ รีบมาเลย”)

      ขณะเดินทางกลับผมได้แต่ภาวนาตลอดทาง เพื่อขอให้ทุกคนปลอดภัย




      ผมเดินทางมาถึงบ้านที่ทำเป็นโรงพยาบาลจำเป็น แค่เดินมาถึงหน้าบ้านก็เจอกับคุณโรสที่กอดศพพ่อ หรือคุณ สส. นั้นแหละ ซึ่งนอนอยู่ข้างๆ กับผู้ชายอีกคน ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร ทำไมโฟรคถึงไม่บอกเรื่องที่ สส ตาย

      ผมเดินเข้าไปใกล้จนคุณโรสสามารถมองเห็นได้ เธอวิ่งเข้ามากอดผมทันที

      “ผู้กอง พ่อกับ พี่โรส ฮืออออ… พ่อกับพี่โรส มันฆ่า เป็นมัน คุณต้องฆ่ามันให้โรสนะ ฮือๆ ต้องฆ่ามันนะ ฮือๆ” ผมพยายามฟังให้รู้เรื่อง ในสิ่งที่โรสพูด

      “ใครทำ พี่คุณมาจากไหน ผมไม่เคยเห็น” ผมไม่คุ้นหน้าพี่ชายเธอเลย มาได้ยังไงกัน

      “ไออุ่น ไอ้ไออุ่นมันฆ่าพ่อโรส ฮือๆ มันฆ่าพ่อโรส ต้องฆ่ามันนะ ต้องฆ่ามัน” ไออุ่นเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ไออุ่นจะฆ่า สส ทำไม ไม่มีเหตุผล ถ้าฆ่าเพราะแค้นคงทำไปนานแล้ว

      “ไอ้ธามมาแล้วเหรอ” เสียงไอ้โฟรคเรียกผมจากด้านหลัง ทำให้โรสตกใจ แล้วผละออกจากผมทันที ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย “มาแล้วก็เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยจัดการ” ประโยคสุดท้ายมันหันไปมองคุณโรสที่ ก้มหน้าลงกอดศพพ่อตัวเอง เห็นแล้วน่าสงสาร

      “แล้วโรสหละ” น่าสงสารนะผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีใคร ร้องไห้กอดศพพ่อปราณจะขาดใจ

      “เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเอง ส่วนเรื่องอื่น กูค่อยเล่าให้ฟังหลังจากทุกคนปลอดภัยแล้ว”

      “ฝากด้วยนะ” ผมหันไปมองโรสเพื่อบอกให้ไอ้โฟรครู้ว่าผมพูดถึงใคร เห็นแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้ แต่ผมต้องเข้าไปดูคนสำคัญของผมแล้ว ผมยอมรับแล้วว่าไออุ่นสำคัญกับผม แต่สำคัญในแง่ไหนค่อยว่ากันอีกทีเมื่อแน่ใจ

      “ฮือๆๆๆ หนาว อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปนะ ฮือๆ ถ้าหนาวไปแล้วพี่จะอยู่กับใคร อดทนไว้นะ อดทนอีกนิด หมอกำลังจะออกมารับไปรักษาแล้ว รออีกนิดนะ ฮือๆๆ”

       ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ไออุ่นกำลังนั่งกอดน้องชายที่เลือดท้วมตัวร้องไห้ปราณจะขาดใจ ใบหน้าที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง เศร้าโศก เหมือนโลกกำลังพังทลายลงมา

      ปัง!! เสียงเปิดประตูออกมา พร้อมพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลกำลังถือเปลออกมาแบกลมหนาวเข้าไปรักษา ผมรีบวิ่งไปช่วยแบกทันทีเพราะไออุ่นคงไม่มีแรงเหลือจะทำอะไรแล้ว

      “จะได้รักษาแล้ว ทนไว้นะ น้องชายพี่ ฮือๆๆๆ พี่รักนายนะ อยู่กับพี่นะน้องรัก อย่าเป็นอะไรนะ ฮือๆ” ไออุ่นได้แต่ลูบหน้าน้องชายอย่างทะนุถนอม เหมือนน้องเป็นสิ่งเบาะบางที่สามารถแตกหักได้ตลอดเวลา

      “อุ่นหลีกให้พยาบาลพาน้องไปรักษาก่อนนะ นะครับ” ผมค่อยๆ ดึงไออุ่นออกจากลมหนาว เพื่อให้พยาบาล และผู้ช่วยเอาตัวน้องขึ้นเปลหาม

      ผมช่วยหามน้องเข้าห้อง ข้างในมีเตียงที่เราจัดเตรียมไว้ หลายเตียง เพื่อรับรองผู้บาดเจ็บ เตียงเต็มเกือบหมดแล้ว ในขณะที่เตียงผ่าตัดถูกแยกออกมาอยู่อีกโซน พร้อมเครื่องมือแพทย์ครบครันไม่ต่างจากโรงพยาบาล ผมวางน้องลงเตียงผ่าตัด น้องหน้าซีดมาก และไม่รู้สึกตัวแล้ว อย่าเป็นอะไรนะคนเก่ง นายต้องกลับมาหาทุกคนนะ

       “คุณธามออกไปก่อนเถอะครับ ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้เต็มที่” หมอบอกกับผมด้วยสีหน้าตั้งมั่น

      “ผมฝากด้วยนะครับหมอ” ผมหันหลังเดินออกมาด้วยความกังวลใจ สิ่งที่ผมทำได้คงมีแต่ภาวนา

      “หนาวเป็นยังไงบ้างผู้กอง ฮือๆๆ” ทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป ไออุ่นก็เข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของผม แล้วถามเรื่องลมหนาวทันที

      “หมอกำลังรักษาอยู่ น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผมประคองใบหน้าแดงก่ำที่เปื้อนน้ำตาไว้ด้วยสองมือของผม “น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผมดึงคนที่ดูเหมือนจะหมดแรงทุกขณะมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบโยน เจ้าตัวค่อยๆ ยกมือขึ้นมากอดตอบผมช้าๆ

      “ลมหนาวจะต้องไม่เป็นอะไร” เจ้าตัวพึมพำกับอกผมเบาๆ

      “ใช่ครับ ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผมยืนลูบหลังอยู่สักพักพยาบาลก็เปิดประตูออกมา

      “เราต้องการเลือดด่วน ใครมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับน้องลมหนาวบ้างคะ” พยาบาลพูดจบ ไออุ่นก็ดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดทันที

      “ผมมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับน้องชายครับ กรุ๊ปเลือดพิเศษเหมือนกันเลย เอาเลือดผมไปได้เลย” ไออุ่นเดินไปหาพยาบาลทันที

      “ดีค่ะ งั้นตามเข้ามาข้างในได้เลย” ไออุ่นเข้าไปข้างในพร้อมพยาบาล

      ผมเห็นน้องมิวนั่งร้องไห้อยู่มุมห้องด้านนึงจึงเดินเข้าไปหา

      “น้องมิวเห็นมิดไนท์ไหมครับ” เด็กผู้หญิงที่ใบหน้าเศร้าสร้อยเงยขึ้นมาหาผมพร้อมตอบคำถาม

      “อยู่ในห้อง ฮึก กับพี่แมนนี่ค่ะ ฮึก” พูดไปด้วยสะอื้นไปด้วย เห็นแล้วน่าสงสารเหลือเกิน

      “ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร ลมหนาวต้องกลับมาหาเราทุกคนแน่ๆ” ผมพูดพร้อมนั่งลงที่พื้นข้างๆ น้อง “เดี๋ยวพี่นั่งอยู่เป็นเพื่อน” ผมไม่อยากให้น้องโดดเดี่ยว สิ่งที่ผมทำได้คงมีแค่นี้

      “เรามาภาวนาให้ลมหนาวปลอดภัยด้วยกันนะ”





ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ห๊ะ ?! หรือว่า พี่ของโรสอยู่ในกลุ่มหมาป่านั้นด้วย เลยรู้ทางเข้าจากพ่อและน้องสาว
ถ้าใช่ครอบครัวนี้เลวยกบ้านเลย
ขอให้เด็กๆปชอดภัยน้า :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 11 -


[ไออุ่น]


       ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความตายนี้ได้ เขาถึงบอกให้รู้จักปล่อยวางอย่ายึดติด คิดซะว่ามันถึงเวลาของแล้ว

       พวกเราทุกคนเผชิญกับความสูญเสียมามากตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา การจากไปคราวเดียวในตอนแรก เป็นเหมือนมีดที่ปักลงมากลางใจเรา และการจากไปต่อจากนั้นทีละคนๆ เป็นเหมือนการดึงมีดออกมาแล้วปักซ้ำๆ ที่เดิม ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น

       ความสูญเสียเมื่อมันเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มันควรจะชินชาต่อความเจ็บปวดนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถึงจะชินชาแค่ไหน แต่เมื่อปักมีดลงไปใหม่มันก็ยังเจ็บปวดไม่ต่างจากครั้งแรกอยู่ดี ความเจ็บปวดที่แสนทรมาน

       “ไออุ่น”

       “…”

       “อุ่น!”

       “…”

       “อีอุ่น!!!”

      “เฮ้ย!!” อะไรวะเนี่ย ตกใจหมดเลย ตะโกนจนหูแทบแตก “จะตะโกนทำไม เรียกดีๆ ก็ได้แมนนี่” ยังมาทำหน้าเอือมระอาใส่อีก

       “มึง กูเรียกมึงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หลับในอยู่รึไงยะ” ทำหน้าเอื่อมๆ ใส่ผมอีกรอบ “ทำให้คนสวยๆ ต้องตะโกนเสียงดัง เสียภาพพจน์หมด”

      “มีด้วยเหรอ”

      “เดี๋ยวกูตบคว่ำ เดี๋ยวเหอะๆ” พูดเบาๆ เองนะ ยังได้ยินอีก

       “แล้วเรียกทำไม”

       “เออใช่! ชวนคุยจนลืมเรื่องที่ลุงดีบอกเลยมึงนิ” นี่กูผิด? “ลุงดีใช้กูมาบอกมึงให้ไปช่วยแกแบกกล้วย ที่ท้ายไร่อีกแรง ช่วยกันหลายคนจะได้เสร็จเร็วๆ”

       “ใช้รถเสร็จเร็วกว่าอีก”

       “อีอุ่นเพื่อนรัก เผื่อมึงลืมเราหลบโจรอยู่ เราจะใช้รถเสียงดังไม่ได้ อีผี” ผิดอีกแล้ว ผิดตลอด เกิดเป็นไออุ่นมันยากจริงๆ กระซิกๆ “เลิกทำหน้าอ้อนทีน แล้วรีบตามมา” T_T

       ใช่ครับตอนนี้เรากำลังหลบโจร มาอยู่ท้ายไร่กล้วย ที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าโจรจะเข้ามาได้ไหม แต่เพื่อความปลอดภัย เลยต้องมาหลบก่อน

       ผมเดินมาจนถึงบ้านลุงดีเจ้าของไร่ บ้านที่ทุกคนต้องมาหลบโจร แต่เนื่องจากจำนวนคนที่เยอะมาก เกินกว่าบ้านหลังเล็กนี้จะรับไหว เราจึงต้องปูเสื่อกันตามร่มไม้ แต่ดีที่ที่นี่ติดกับป่า ทำให้ค่อนข้างร่มรื่น อากาศก็เย็นสบาย ถัดเข้าไปในป่านิดนึงยังมีลำธารเล็กๆ ที่ผมไปนั่งเมื่อกี่อีก ถ้าไม่ติดว่ากำลังหลบโจร วันนี้คงเป็นวันพักผ่อนที่ดีวันนึง

       เจอกลุ่มผูชายค่อนข้าง ส.ว. ครึครึ หมายถึง สูงวัยหนะ กำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ ผมกับแมนนี่จึงเดินเข้าไปร่วมกลุ่ม แต่ผมไม่ได้ ส.ว. นะ

       “มาก็ดีแล้วไอ้อุ่น มาช่วยกันแบกกล้วยที่ท้ายไร่กลับมาหน่อย ข้าไม่อยากทิ้งไว้เดี๋ยวนก กา มันเอาไปกินก่อน ทางด้านหน้าๆ ไร่ ข้ากับลูกช่วยกันแบกแต่เช้าแล้ว แต่ด้านท้ายๆ ไร่แบกไม่ทันวะ” มาถึงลุงดีก็แร็ปพ้นไฟใส่ทันที

       “ครับ แต่จะให้แบกมาถึงนี้เลยเหรอลุง” ถึงจะบอกว่าบ้านท้ายไร่ แต่บ้านมันก็ไม่ได้ติดกับไร่เลยทีเดียวนะ มันถัดออกมาอีกประมาณร้อยเมตร แถมไร่ยังกว้างมากด้วย รอบแรก รอบสองยังพอไหว แต่รอบต่อๆ ไป ตายแน่ ไออุ่นต้องการรถๆๆ ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ ถึงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม กระซิกๆ

       “โอ้ยยไอ้อุ่น ใครมันจะไปแบกมา แกดูอายุแต่ละคน แค่แบกกล้วยพ้นป่าได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ลุงดีแกพูดแล้วผายมือให้ดูแรงงานที่ใช้แบกกล้วย ครึครึ จริงอย่างที่แกพูด

      “อ้าว!” ลุงๆ ทั้งหลายร้อง อ้าว ขึ้นมาพร้อมกันทันที ไออุ่นคนนี้ต้องกู้สถานการณ์ก่อนที่จะตีกันก่อนได้เก็บกล้วย

       “แล้วทำไงอะลุง”

       “นี่ไงรถเข็น ใส่ได้หลายเครือเลยนะเว้ย” แกชี้ไปที่ไอ้รถสองล้อ เป็นโครงเหล็กเหมือนกะบะ มีที่จับแล้วเข็นด้านหลัง จอดอยู่สามคัน

       “โอเคลุง เรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวแดดมันจะแรงซะก่อน” ผมรีบเร่งทุกคนไปทำงานก่อนที่แดดจะแรงเกินไป เพราะแดดตอนเก้าโมงเช้ามันยังไม่น่ากลัวเท่าแดดตอนเที่ยง

       เราทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย กว่าจะเสร็จก็ปาไปเที่ยงครึ่งแล้ว ดีที่กลับมาแล้วป้าๆ เขาทำกลับข้าวไว้รอแล้ว กินเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่สนกรดไหลย้อนกันเลยทีเดียว เหนื่อยมากต้องเข้าไปหากล้วยที่สุกเอง ตัดเอง แบกมาใส่รถเอง แต่ดีที่ไม่ต้องเข็นกลับมาบ้านเอง เพราะคนเข็นเป็นอีกคน

       ตอนนี้ผมนอนอยู่ข้างๆ แมนนี่บนเสื่อที่ปูอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยให้เด็กๆ เค้าวิ่งเล่นอยู่แถวนี้ไป

       “มึงอีตา สส. ไปไหนวะ ไม่เห็นมากินข้าวเลย ลูกสาวอีก หรือทนอยู่บ้านป่าหลังเล็กๆ ไม่ไหว หนีกลับบ้านไปแล้ววะ เอ้…แต่ไม่หรอก กลัวจนขี้ขึ้นสมองขนาดนั้น คงหนีเข้าป่าไปมากว่า” เล่นถามเองตอบเอง ไม่ปล่อยช่องว่างให้ผมได้พูดเลย

       “คงอยู่ในบ้านมั้ง เห็นป้ายกข้าวเข้าไปให้ แล้วเห็นไอ้คุณ สส. เดินไปทางห้องน้ำหลังบ้านบ่อยๆ

       “ไปบ่อยขนาดนั้น สงสัยท้องเสีย สมน้ำหน้ามัน ทำเป็นหยิ่ง ตอนอยู่บ้านใหญ่ก็อยู่แต่ในห้อง นานๆ จะโผล่หัวออกมาที ข้าวก็ต้องยกไปให้กินในห้อง เห็นคนอื่นเป็นขี้ข้ารึไง งานก็ไม่ช่วยทำ ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ได้บ่นแล้วบ่นใหญ่ แต่ก็จริงอย่างที่แมนนี่ว่า สส. ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นานๆ ที จะออกมาให้เจอ

       “สงสัยผิดหวังที่ไม่ได้ไปภูเก็ตมั้ง” เห็นก่อนหน้านี้โวยวายจะไปภูเก็ตให้ได้ แต่ไม่ได้อย่างที่หวังคงเสียใจ สมน้ำหน้า นี้ผมไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ หึหึ

       “มึงว่าจะมีใครเป็นอะไรไหม” อยู่ดีๆ แมนนี่ก็เปลี่ยนเข้าเรื่องเครียดๆ ซะงั้น

       ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดเรื่องนี้นะ แต่ผมคิดจนต้องบังคับตัวเองให้คิดเรื่องอื่นแทน เพราะเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งผมเครียดคนรอบข้างยิ่งเครียดตาม ผมจึงต้องอารมณ์ดีเข้าไว้ เพื่อให้คนอื่นๆ ผ่อนคลาย

       “ทุกคนต้องปลอดภัย คุณผู้กองเค้าเก่งอยู่แล้วหนิ ผู้นำเก่งขนาดที่ ทุกคนไม่เป็นไรหรอก” มั้ง…

       “มีชมๆ ถามจริงๆเถอะ มึงคิดยังไงกับผู้กอง” แมนนี่ถามขึ้นอย่างจริงจัง ถ้าผมตอบเล่นๆ คงโดนตบกะโหลกยุบแน่นอน แล้วผมจะตอบยังไงดีหละ

       “จะให้คิดอะไรเล่า พูดเรื่องอะไร ไม่รู้เรื่อง” ในเมื่อเรายังตอบตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ควรไปตอบคนอื่น แต่ผมจะโดนไอ้คนอื่นที่นอนข้างๆ ตบไหมวะ

       “อย่าสะตอ เดี๋ยวตบคว่ำ” นั้นไงๆ จะโดนตบจริงๆด้วย “งั้นกูถามใหม่ มึงชอบผู้กองไหม” ถามตรงไปไหม

       “ก็ไม่ได้เกลียด” ผมอ้อมแอ้มตอบ ก็ผมไม่ได้เกลียดจริงๆ หนิ

       “กูถามว่าชอบไหม ไม่ได้ถามว่าเกลียดไหม อีนี่หนิ!” หงะ… ก็คนมันไม่รู้จะตอบยังไงนิวะ

       “ไม่รู้เว้ย กูยังตอบตัวเองไม่ได้เลย จะถามทำไมเนี่ย!!” อุ๊บ! หลุดปาก ชิบหายแล้ว ผมรีบหลบสายตาแมนนี่ทันที

       “แสดงว่ามึงกำลังสับสน หึหึ ลูกสาว” มันหันมามองผม แล้วยิ้มแบบมีเลศนัย ขนลุกชะมัด

       “กูเป็นผู้ชาย!!”

       “เดี๋ยวมึงก็มีผัว” ไม่มีทาง ผมจะไม่มีผัวเด็ดขาด

       “ถ้ากูเป็นผัวหละ” ผู้ชายแมนๆ อย่างผมต้องเป็นผัว!!

       “ลูกสาว wake up ตื่นค่ะตื่น ดูหน้าตัวเองด้วย หน้าหวานๆ ตัวขาวๆ เตี้ยๆ แบบนี้เนี่ยนะผัว” ไม่จริง! ผมไม่ได้เตี้ย!!

       “กูสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่า กูสูงมาตรฐานชายไทย แล้วหน้าหล่อเว้ยไม่ใช่สวย หล่อ!!” ไม่ยอมครับ ไม่ยอม!

       “สรุปแล้วมึงชอบผู้กอง แต่คิดว่าตัวเองจะเป็นผัว” เป็นการสรุปที่ดีมาก…ซะที่ไหนหละ

       “กูยังไม่ได้บอกแบบนั้นเลย” คิดเอง สรุปเอง ซิ

      “เออ ขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว กูจะนอน เฮ้ย นั้นไอ้คุณ สส. ไปห้องน้ำอีกแล้วหวะ ไปบ่อยขนาดนี้ไม่นอนในห้องน้ำไปซะเลยหละ” แล้วเราสองคนก็เลิกสนใจเรื่องต่างๆ แล้วนอนพักสักที




       ตู้มมม!! เสียงระเบิดดังกึกก้อง ผมสะดุ้งตื่นทันที มันเริ่มแล้วสินะ

        “มัมเสียงอะไรคราฟ ดังมากเลย” มิดไนท์วิ่งมาบอกผมด้วยสีหน้าตกใจ

       “เสียงผู้กองสู้กับโจรไงครับ ไม่ต้องกลัวนะ โจรมันไม่มาถึงที่นี่หรอก” ผมกอดปลอบให้เจ้าตัวเล็กให้หายกลัว

       “ไนท์ไม่กลัวหรอกคราฟ ไนท์เก่ง”

       “ครับเก่งมาก ลูกชายมัมเก่งที่สุด” ผมหอมแก้มส่งท้ายหนักๆ ก่อนปล่อยให้วิ่งไปหาลมหนาว

       เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น ทุกคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ความกลัว ความระแวง ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่ในดวงตา หลายคนนั่งพนมมือภาวนา ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

      ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ผู้กองปลอดภัย…

       เสียงปืนดังขึ้นตลอดเวลาแทบจะทุกวินาที แม้จะผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง…ได้โปรดอย่าเป็นอะไร…

       >[ไออุ่นขอจบการบรรยาย ชั่วคราว]<



[มิดไนท์ part]

       สวัสดีครับ ผมชื่อมิดไนท์ อายุห้าขวบ มัมชื่อไออุ่น ป๊าชื่อป๊าธาม พี่ชื่อลมหนาว แล้วยังมีพี่แมนนี่คนสวย พี่มิว พี่บี ลุงดำ  มีพี่ริวด้วย พี่ริวเพิ่งมาเป็นพี่ของมิดไนท์ไม่นานนี่เอง

       แต่ก่อนเรามีคนอยู่ด้วยที่บ้านเยอะมากๆ เลย แต่ก็ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ มัมบอกว่าพวกเขาโดนซอมบี้กิน น้องไนท์สงสารทุกคนที่โดนซอมบี้กิน น้องไนท์เลยไม่ชอบซอมบี้ ซอมบี้ทำให้คนที่น้องไนท์รักหายไป พ่อแม่ก็หายไป น้องไนท์จำพ่อแม่ได้ ตอนพ่อแม่หายไปใหม่ๆ น้องไนท์ร้องไห้ใหญ่เลย มัมปลอบน้องไนท์ตั้งหลายวันแหนะกว่าจะหยุดร้อง

       ตอนนี้น้องไนท์มาอยู่บ้านในป่าหลังสวนกล้วย มัมบอกว่าเรามาอยู่เพื่อหลบโจรใจร้าย ที่จะทำร้ายเรา ป๊าไม่ได้มาด้วยเพราะป๊าต้องไปปราบโจร

       การปราบโจรเสียงดังมากเลย พี่ลมหนาวบอกมันเป็นเสียงระเบิดกับเสียงปืน ทีแรกน้องไนท์กลัวมักมาก แต่พอนานเข้าน้องไนท์ก็หายกลัว น้องไนท์หันมองทุกคน ทุกคนเงียบมาก น้องไนท์เลยไม่อยากเสียงดังรบกวน แต่ตอนนี้น้องไนท์ปวดฉี่มากๆ จนทนไม่ไหวแล้ว

       “พี่หนาวปวดฉี่อะ น้องไนท์ไปฉี่ก่อนนะคราฟ” พูดจบน้องไนท์วิ่งไปห้องน้ำทันทีเลย น้องไนท์เข้าห้องน้ำเองได้ แล้วเคยมาเข้าแล้วด้วย เก่งไหม

       เฮ้ออ…โล่ง น้องไนท์นึกว่าจะฉี่ลดกางเกงซะแล้ว น้องไนท์ไม่ได้ปิดประตูนะ กลัวเปิดไม่ได้ครึครึ ถ้าพี่มิว พี่บีมาเจอน้องไนท์ต้องอายมากแน่ๆ

       คลื้ดๆๆๆ ฮึ เสียงอะไรอะ เสียงมันอยู่ข้างห้องน้ำแน่ๆ เลย

       “เรน ได้ยินไหม เรน!” เสียงใครอ่า

      (“ได้ยินแล้วพ่อ ตอนนี้พวกผมเข้าไปไม่ได้เลย มีทางเข้าอื่นไหม”) พูดอะไรกันน้าา

       “มี ไอ้เจ้าของสวนเพิ่งยอมบอกฉันเมื่อกี่”

       (“รีบบอกมาเลยพ่อ ผมจะได้เข้าไปตลบหลังมัน เข้าไปได้ผมฆ่าพวกมันหมดแน่!”)

        “ตอนนี้เรนอยู่สี่แยกทางเข้าหมู่บ้านใช่ไหม”

       (“ใช่ครับ”)

       “ขับรถไปทางขวา ไปเรื่อยๆ เจอสี่แยกที่สองเลี้ยวซ้าย ขับไปอีกเลี้ยวขวา ขับตรงไปเรื่อยๆ เจอบ้านสีเขียวอยู่ตรงหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย ขับไปเรื่อยๆ จนเจอถนนดินแดง ก็ไปตามถนนดินแดงเลย ถนนดินแดงจะพามาท้ายไร่ ท้ายไร่ทีทหารประมาณ 4-5 คน”

       (“ผมจดไว้แล้ว ขอบคุณครับ พ่อช่วยได้มากเลย หึหึ”)

       “เออ ระวังตัวด้วยหละ”

       (“ครับ แค่นี้นะ แล้วเจอกัน”)

       เสียงเงียบไปแล้ว เค้าคุยอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไปหามัมดีกว่า

       แกรก!! เอี้ยด!!

       “ใครหนะ!!” หืม…ถามน้องไนท์เหรอ

       “ไนท์เองคราฟ” น้องไนท์ตอบคำถามคุณลุงที่ยืนมองอยู่

       “นี่แกแอบฟังฉันหรอ” ไม่ใช่น้าาา

       “น้องไนท์ไม่ได้แอบฟัง มันได้ยินเอง!” น้องไนท์ไม่ได้แอบฟังจริงๆ นะ

       “แกได้ยินอะไรบ้าง!! ไอ้เด็กเวร” ทำไมต้องว่าด้วย น้องไนท์ไม่ชอบ

       “แค่ได้ยินเรื่องที่ คุณลุงบอกเส้นทางให้ลูกลุงมาที่นี่เอง” ไม่เห็นมีอะไรเลย ว่าน้องไนท์ทำไม

       “นี่แกได้ยินหรอ ฉันคงปล่อยแกไปบอกคนอื่นไม่ได้แล้ว ตายซะเถอะไอ้เด็กบ้า” คุณลุงชักปืนออกมาทางไนท์ คุณลุงจะยิงไนท์หรอ!

       “อย่ายิงนะ!!” ผมเห็นพี่หนาววิ่งเข้ามาหาผม พร้อมตะโกนบอกไม่ให้ยิง

       ปัง!! โอ้ยย เจ็บแขน ฮือๆๆ ตอนนี้พี่ลมหนาวกำลังกอดผมอยู่ ผมเจ็บแขนมากเลย ฮือๆๆๆ

       “ในเมื่อพวกแกทั้งสองรู้ความลับฉัน ก็ตายไปทั้งคู่นั้นแหละ!!” เสียงคุณลุงตะโกนขึ้นมา น้องไนท์กลัว ฮือๆๆๆ

       ปัง!! พี่ลมหนาวกอดผมแน่นมาก เมื่อเกิดเสียงดังขึ้น พี่ลมหนาวก็ล้มลง ฮือๆๆ พี่หนาวเลือดออกที่ท้อง ฮือๆๆ

       “ตอนนี้ก็ตาแกแล้วไอ้เด็กบ้า”

       ปังๆๆ

       “กรีสสส แกยิงพ่อฉัน แกๆๆ ฉันจะฆ่าแก ไออุ่น  พ่อ!!” ฮือๆๆ พี่ไออุ่นเลือดออก น้องไนท์เจ็บ

       “ลมหนาว มิดไนท์!”

       “มัม!! ฮือๆๆๆ พี่ลมหนาวเลือดออก ฮือๆๆ น้องไนท์เจ็บแขน ฮือๆๆ” มัมวิ่งเข้ามากอดพี่ลมหนาวไว้ เพราะพี่หนาวเลือดออกเยอะมาก

       “โอ๋ๆๆ น้องไนท์มาหาพี่แมนนี่มา” พี่แมนนี่กอดผมไว้แน่น แต่ผมก็ยังเจ็บ…

       >[มิดไนท์ จบการบรรยาย]<

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2019 00:10:39 โดย Looktal1993tt »

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
(ต่อตอนที่ 11)


[ไออุ่น part]

       ผมตกใจมากที่เห็น สส. ยิงลมหนาวจนล้มลง สส. กำลังจะยิงมิดไนท์ต่อ มือผมจับปืนขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ แล้วลั่นไกโดยทันที

       ปังๆๆ สส. ล้มลงไปในทันที ผมไม่ได้สนใจ สส. อีกต่อไป สายตาผมตอนนี้มีแต่ ลมหนาว และมิดไนท์ แค่ผมเห็นเลือดพวกเขาหัวใจผมมันแทบจะสลาย ได้โปรดอย่าเป็นอะไรเลย ผมรีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขาทันที

       “ลมหนาว มิดไนท์!” ผมรีบเข้าไปกอดลมหนาวทันที น้องโดนยิงที่ช่วงท้อง เลือดไหลไม่หยุด “ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยที!! หมอๆ หมออยู่ไหน หมอ!!” หมออยู่ไหน…

       “เดี๋ยวป้าห้ามเลือดให้ แล้วเราพาน้องขึ้นรถเข็นไปหาหมอที่บ้านใหญ่” ป้าที่เคยเป็นพยาบาลบอกกับผม ผมหลีกให้ป้าทำ ทำอะไรก็ได้ ทำเลย ขอให้ลมหนาวปลอดภัยก็พอ

       “ป้าช่วยน้องผมด้วยนะ” ป้าพยักหน้าแล้วห้ามเลือดให้ลมหนาว ผมหันไปหามิดไนท์เพื่อดูอาการของน้อง “มิดไนท์เป็นอะไรมากไหมแมนนี่” ผมถามแมนนี่ที่กำลังอุ้มมิดไนท์อยู่

       “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลแค่ถากๆ น้องคงตกใจ มึงดูลมหนาวเถอะ เดี๋ยวดูมิดไนท์เอง” ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันมาสนใจลมหนาวต่อ

       ปังๆๆ เสียงปืนดังขึ้นทางท้ายไร่ ไม่ไกลจากที่นี่มาก ผมสนใจเสียงนั้นแค่แปปเดียว แล้วหันมาสนใจลมหนาวต่อ ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงอาการของลมหนาวเท่านั้น สิ่งอื่นแทบจะไม่เข้ามาในหัวผมได้เลย

       “เสียงปืนท้ายไร่ดังไม่หยุดเลยหวะ” เสียงใครสักคนดังขึ้นรอบตัวผม

       “พวกมันเข้ามาได้รึเปล่าวะ”

       “แล้วเราจะทำยังไงดี”

       “พ่ออย่าตายนะ อย่าทิ้งหนูไปนะ ฮือๆ”

       “โอ๋ๆ อย่าร้องนะ เดี๋ยวพี่แมนนี่คนสวยทำแผลให้”

       “ลมหนาวต้องอยู่กับมิวนะ อย่าทิ้งมิวไปนะ มิวไม่เหลือใครแล้ว ฮือๆๆ” และเสียงต่างๆ อีกมากมายที่ดังขึ้น แต่สายตาของผมไม่อาจละจากลมหนาวได้ ไม่ว่าเสียงอะไร ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้

       ตอนนี้น้องยังไม่หลับ แต่คงไม่มีแรงมากพอที่จะพูด น้องแค่นอนมองนิ่งๆ เลือดน้องไหลน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังไหลอยู่ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะอะไร ทำไมต้องทำร้ายกันได้ขนาดนี้ น้องๆ เป็นแค่เด็กนะ

       “เราพาน้องขึ้นรถเข็น ไปหาหมอที่บ้านใหญ่เถอะ ใครก็ได้ไปเอารถเข็นที่เข็นกล้วยเมื่อเช้ามาที!” มีลุงคนนึงวิ่งไปเข็นรถมาให้
 
       เราพาน้องขึ้นรถเข็น เพื่อเข็นไปที่บ้านใหญ่อย่างทุลักทุเล มีคนแบก สส. ขึ้นรถเข็นอีกคันมาด้วย เสียงปืนทางท้ายไร่เงียบลงได้สักพักแล้ว เสียงจากด้านหน้าก็ดังน้อยลงมาก

       กว่าเราจะเข็นรถมาถึงใช้เวลาพอสมควร มาถึงแล้วเจอคุณโฟรคกำลังขนคนเจ็บลงจากรถ

       “มีใครเป็นอะไร!” เสียงของริวดังขึ้นมา แล้วเจ้าตัววิ่งเข้ามาหารถเข็นทันที “ลมหนาว!! ลมหนาวเป็นอะไร”

       “เอาไว้ก่อน อุ้มลมหนาวขึ้นไปก่อน” พูดจบผมก็อุ้มลมหนาวเข้าไปในบ้านทันที พอเข้าไปถึงก็ต้องตกใจกับคนเจ็บที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าห้อง “รักษาน้องผมที! น้องผมโดนยิงมา ช่วยเค้าที ช่วยเค้าด้วย ช่วยรักษาลมหนาวที!”

       ป้าพยาบาลที่มาด้วยกันเข้าไปในห้องรักษาก่อน ขณะที่ผมวางน้องลงพื้นหน้าห้องรอ

      แกรก! “ไออุ่น เราคงต้องรอก่อน ข้างในหมอไม่ว่างกันเลย แต่มีคนนึงผ่าตัดใกล้เสร็จแล้วรอก่อนนะ” อะไรนะต้องรอหรอ แต่น้องจะหลับแล้วนะ

       “หนาวอย่าเพิ่งหลับนะตื่นก่อน อย่าหลับนะ ฮือๆ อย่าหลับสิ ตื่น!” น้องหลับไปแล้ว น้องไม่ได้สติแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไม

       “ใจเย็นๆ น้องต้องไม่เป็นอะไร” ป้าพูดจบก็ไปรักษาคนเจ็บ ที่มานั่งรอรักษาทันที

       ผมลูบหัวน้อง แล้วก้มลงไปคุยข้างหูของเค้า “อย่าทิ้งพี่เลยนะครับ พี่แทบไม่เหลือใครแล้ว พี่เห็นพ่อ แม่ ญาติๆ และเพื่อนๆ จากไปทีละคนๆ ก็เจ็บเจียนตายแล้ว อย่าทิ้งพี่เลยนะลมหนาว อดทนไว้ แล้วอยู่กับพี่นะ นะครับ” ลมลูบหัวน้องเรื่อยๆ

      ผมไม่สามารถรับ การสูญเสียของคนในครอบครัวได้อีกแล้ว แค่นี้ผมก็เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ที่ต้องมาเห็นคนในครอบครัวจากไปทีละคนๆ ในทุกๆ เดือน คนสุดท้ายที่เราสูญเสียคือพ่อ พ่อจากไปหนึ่งเดือนก่อนที่เราจะเดินทางมาราชบุรี

       พ่อออกไปหาอาหารมาให้เรา กับเพื่อนข้างบ้านสามคน ออกไปแต่เช้ามืด แล้วไม่กลับมาบ้านอีกเลย จนเราต้องออกไปตามหา  แล้วเจอทุกคนในสภาพ ร่างที่มีแผลเหวอะหวะ ตอนนั้นใจผมมันแทบพังลงไป แต่ผมต้องเข้มแข็งไว้ทั้งทีใจมันอ่อนแอ เพราะผมกลายเป็นพี่ใหญ่ในบ้านไปแล้ว ผมต้องเป็นที่พึ่งให้กับทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น

       เด็กวัยรุ่นอายุ 20 มันไม่ง่ายเลยที่จะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย กินอิ่ม นอนหลับ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด หนึ่งเดือนเต็มที่ผมทำแบบนั้น ก่อนที่จะออกเดินทางมาราชบุรี แล้วเจอผู้กองและพี่ๆ ทหาร

       ลมหนาวหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่นะไม่ๆ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ หน้าน้องเริ่มซีดลงเรื่อยๆ

       “ฮือๆ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคนเก่ง อดทนเอาไว้พี่รู้ว่าเราเก่ง เดี๋ยวหมอก็มารักษาแล้ว อดทนไว้นะ ฮือๆ อดทนนะ” ผมก้มลงกอดน้องเบาๆ พร้อมลูบหัว

      ผ่านไปสักพักน้องกระอักเลือดออกมา ใจผมมันแทบขาด ผมไม่สามารถมองน้องในสภาพนี้ได้เลย ผมสงสารเค้า ผมได้แต่ร้องไห้กอดน้องอยู่อย่างนั้น

             “ฮือๆๆๆ หนาว อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปนะ ฮือๆ ถ้าหนาวไปแล้วพี่จะอยู่กับใคร อดทนไว้นะ อดทนอีกนิด หมอกำลังจะออกมารับไปรักษาแล้ว รออีกนิดนะ ฮือๆๆ” โลกของผมเหมือนจะพังทลาย เมื่อเห็นอาการของน้อง ผมได้แต่กอดน้องร้องไห้ปานจะขาดใจ

      ปัง!! เสียงเปิดประตูออกมา พร้อมพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลกำลังถือเปลออกมาแบกลมหนาวเข้าไปรักษา

      “จะได้รักษาแล้ว ทนไว้นะ น้องชายพี่ ฮือๆๆๆ พี่รักนายนะ อยู่กับพี่นะน้องรัก อย่าเป็นอะไรนะ ฮือๆ” ผมได้แต่ลูบหน้าน้องชายอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวจะทำให้น้องเจ็บ

      “อุ่นหลีกให้พยาบาลพาน้องไปรักษาก่อนนะ นะครับ” ผมหลีกทางให้ทันที ผู้กองและพยาบาลหามน้องเข้าไปในห้องในที่สุด ขอให้น้องปลอดภัย พ่อแม่ช่วยลมหนาวด้วยนะครับ

       ทันทีที่ผู้กองออกมาผมก็เข้าไปถามผู้กองทันที

       “หนาวเป็นยังไงบ้างผู้กอง ฮือๆๆๆ” ผมจับแขนทั้งสองข้างของผู้กอง แล้วเขย่าแขนเพื่อถาม

       “หมอกำลังรักษาอยู่ น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองประคองใบหน้าผมด้วยสองมือ “น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองดึงผมเข้าไปกอด ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร แถมยังกอดตอบกลับไปด้วย ผู้กองลูบหลังผมเบาๆ ทำให้ผมผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

       “ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผมพึมพำเบาๆ อยู่กับอกของผู้กอง

       “ใช่ครับลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองลูบหลังผมเรื่อยๆ จนผมคลายสะอื้นลงได้

       แกรก!! เสียงประตูเปิดออกมาพร้อมกับพยาบาล บอกต้องการเลือดกรุ๊ปเดียวกันกับลมหนาว ผมตามเข้าไปทันที โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ผมให้เลือดเสร็จจึงมารออยู่ข้างนอกเหมือนเดิม

       ผมออกมาเจอผู้กองนั่งอยู่บนพื้นข้างๆ น้องมิว ผมจึงตามไปนั่งด้วย เราทุกคนนั่งอยู่เงียบๆ พร้อมภาวนาให้ไออุ่นปลอดภัย

       ผมนั่งรอเกือบๆ ชั่วโมง หมอก็เปิดตูออกมาในที่สุด ผมวิ่งเข้าไปหาหมอทันที พร้อมถามสิ่งที่ผมคาดหวังที่สุด

       “การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่น้องยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ และรอดูอาการถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ถือว่าปลอดภัย แต่ที่หมอเป็นห่วงคือ ไฟฟ้าจะเหลือให้ใช้ถึงตอนเช้าไหม” เครื่องช่วยหายใจต้องใช้ไฟฟ้า แต่เรามีไฟฟ้าจำกัด ถ้าขาดไฟฟ้าเครื่องช่วยหายใจก็ทำงานต่อไม่ได้…ไม่นะ

       “วันนี้ห้ามทุกคนใช้ไฟ ทุกกรณี!! ให้ใช้เทียนให้แสงสว่างแทน ถ้าใช้แค่เครื่องมือการแพทย์ ไฟปริมาณเท่านี้พอไหมหมอ” ผู้กองพูดขึ้นมา หลังจากได้ฟังที่หมอพูด ผมหันไปจับมือเค้าด้วยความขอบคุณ

      “น่าจะพอครับ ถ้าหมด น่าจะหมดตอนเวลาตีห้า หรือหกโมงเช้า ภาวนาให้มันไม่หมด” หมอพูดแค่นั้นและกำลังจะไปรักษาคนไข้คนต่อไป

       “เข้าไปเยี่ยมได้ไหมครับ” ผมรีบถามหมอ ก่อนที่หมอจะเดินเข้าห้องไป

       “ยังไม่ได้ครับ ปล่อยให้คนไข้พักผ่อนไปก่อน รอคืนนี้ประมาณสองทุ่มค่อยเข้ามาเฝ้านะครับ” ผมอยากเข้าไปหาลมหนาวแค่ไหน ผมก็ต้องฟังหมอ

         “ไปเถอะ ไปอาบน้ำก่อน ดูสิเลือดเต็มไปหมด มิดไนท์คงงอแงหาเราใหญ่แล้ว สองทุ่มเดี๋ยวฉันพามา ไปเถอะ” ผู้กองจูงมือผมเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ผมก้มลงมองมือที่กำลังกุมผมอยู่ มันทำให้ผมอุ่นใจขึ้น มือคู่นี้ที่ดึงสติผมกลับมา “มองอะไร เดินสิ”

       “ไปหามิดไนท์ก่อนได้ไหม” ทำไมผมต้องถามความเห็นผู้กองด้วย ผมไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ อยากไปก็แค่ไปสิ

       “ไปสิ อยู่ไหนละ” ผมจูงมือผู้กองไปทางห้องแมนนี่ ตอนนี้ทุกคนรวมกันอยู่ห้องแมนนี่  รวมทั้งน้องมิวด้วย ผมเป็นคนบอกให้น้องมิวขึ้นมาเองแหละ ผมไม่อยากให้น้องนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นคนเดียว แต่เดี๋ยวทำไมผมถึงไม่ปล่อยมือ ไม่ทันแล้วเปิดประตูเข้ามาแล้ว

       “มิดไนท์!” ผมเรียกเจ้าตัวเล็กที่กำลังสะอื้นในอ้อมแขนของแมนนี่ แมนนี่มองมือผมกับผู้กองที่กำลังกุมกันอยู่ แต่เค้าไม่พูดอะไร เชื่อเถอะถ้าเวลาปกติผมโดนแซวไปแล้ว

       “มัม! ป๊า! พี่ลมหนาวละคราฟ” เจ้าตัววิ่งเข้ามาหาผมทันที แต่ผู้กองรับไว้ก่อนถึงตัวผม

       “มัมเปื้อนเลือด น้องไนท์อาบน้ำแล้ว มาให้ป๊าอุ้มดีกว่า” พูดจบก็อุ้มมิดไนท์ขึ้นแนบอกทันที ผมไม่ว่าอะไรเพราะผมเปื้อนจริงๆ แล้วมิดไนท์ก็อาบน้ำแล้วด้วย

       “พี่ลมหนาวอยู่กับหมอครับ คืนนี้ค่อยไปหานะ ตอนนี้อยู่กับพี่แมนนี่ก่อนนะครับ มัมอาบน้ำเสร็จจะมาหา”

       “ไม่เอา จะอยู่กับมัมกับป๊า” เจ้าตัวเล็กงอแงกอดคอผู้กองแนนเลย

       “พาไปด้วยเถอะ เดี๋ยวฉันดูให้ก่อน เธออาบน้ำเสร็จค่อยมาดู” ผู้กองพูดพร้อมลูบหลังมิทไนท์เบาๆ เจ้าตัวเล็กก็กอดคอผู้กองพร้อมวางหัวไว้บนไหล่ “ปะไปเถอะ” มือข้างที่ลูบหลังไนท์ละมาจูงมือผมออกนอกห้อง เพื่อพาไปห้องผมเอง ผมเดินตามแรงจูงโดยไม่พูดอะไรจนในถึงห้อง ผู้กองปล่อยมือผมแล้วไปนั่งบนเตียง พร้อมคุยกับมิดไนท์โดยไม่ได้สนใจผมเลย

       “เจ็บไหมครับ” ผู้กองให้มิดไนท์นั่งบนตักแล้วดูแขนข้างที่บาดเจ็บของเจ้าตัวเล็ก

       “เจ็บคราฟ แต่พี่หนาวเจ็บกว่า” เจ้าตัวเล็กทั้งพูดทั้งเบะปาก แต่ไม่ถึงกับร้องไห้นะ มันน่ารักมากกว่าน่าสงสารซะอีก

       “ใครทำน้องไนท์ครับ” ผู้กองกองพูดพร้อมก้มลงไปเป่าที่แขน “เพี้ยง! ขอให้หายเจ็บ หายเร็วๆ นะครับ” เจ้าตัวเล็กยิ้มออกมาทันที ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อตอบคำถามที่โดนถาม

      “ลุงคนที่ชอบอยู่ในห้องทำ เค้าทำน้องไนท์กับพี่หนาวทำไมคราฟ” ผมยังไม่ไปอาบน้ำแต่นั่งฟังบทสนทนานี้แทน

       “ก่อนหน้าที่เค้าจะทำมีอะไรเกิดขึ้นครับ” เจ้าตัวเล็กทำหน้าคิดหนัก

       “ไม่มีอะไรนี่คราฟ น้องไนท์แค่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วคุณลุงมาคุยกับลูก คุยในอันที่ป๊าเคยคุย” ผู้กองทำหน้างงๆ ซึ่งผมก็งงเหมือนกัน

       “…เอ๋อ!! อันนี้ใช่ไหมครับ” ผู้กองหยิบวิทยุสื่อสารออกมาให้มิดไนท์ดู

       “ใช่!! อันนี้เลย คุณลุงคุยกับลูกด้วยอันนี้แหละ” มิดไนท์จับวิทยุสื่อสารในมือผู้กองขึ้นมาโชว์ ว่าใช่อันนี้แน่ๆ

       “ลุงพูดว่ายังไงบ้างครับ บอกป๊าได้ไหมคนเก่ง” เจ้าตัวเล็กคิดหนัก จนคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว

       “…ลุงบอกทางลูก บอกเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย บอกให้มาหลังไร่ บอก เอ่อ บอก คือ น้องไนท์จำไม่ได้แล้วครับ” หน้าหงอยลงในทันทีที่จำไม่ได้

       “ไม่เป็นไรครับ จำได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แล้วลุงยิงน้องไนท์ตอนไหนครับ” ผู้กองถามต่อ

       “อันนี้น้องไนท์จำได้!! ลุงคุยเสร็จน้องไนท์เลยออกจากห้องน้ำ พอลุงเห็นน้องไนท์ลุงด่าน้องไนท์ว่าเด็กบ้า น้องไนท์ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคราฟ” เจ้าตัวเล็กแสดงสีหน้าไม่พอใจที่โดน่า “ด่าแล้วก็ยิงน้องไนท์เลย น้องไนท์เจ็บมาก แล้วยิงพี่หนาวอีก พี่หนาวเลือดออกเยอะมากเลย” พอพูดถึงตรงนี้ก็เบะปากจะร้องไห้ จนผู้กองต้องปลอบ

       “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่มีใครมาทำอะไรน้องไนท์ และพี่หนาวได้แล้ว ป๊าจะปกป้องทุกคนเอง ป๊าขอโทษที่ก่อนหน้านี้ปกป้องไนท์และหนาวไม่ได้ ยกโทษให้ป๊านะครับ” ผู้กองพูดจบแล้วก้มไปหอมแก้มมิดไนท์

       “มิดไนท์ให้อภัยคราฟ มิดไนท์ไม่โกรธป๊าเลย เพราะมิดไนท์รักป๊าธามมาก” กอดกันกลม ไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด

       “ป๊าก็รักน้องไนท์มากครับ” รักกันอยู่สองคนนั้นแหละ ซิ

       เมื่อไม่มีอะไรแล้วผมก็เข้าไปอาบน้ำ เพื่อไปรอเยี่ยมลมหนาว แค่ได้ไปนั่งให้กำลังใจที่หน้าห้องก็ยังดี

       ได้โปรดเถอะพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พ่อแม่ จงโปรดช่วยให้ลมหนาวปลอดภัยด้วยเถิด อย่าให้น้องเป็นอะไรไปเลย…


ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ๊ยยยย ครอบครัวสส.นี่ผีเปรตกันทั้งนั้น ตายๆกันไปให้หมดเถอะ อยู่ไปก็รกโลก
นัวโรสที่นังไม่ได้ก็เอาไปทิ้งกลางดงซอมบี้ซะ! :katai1:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 12 -

[ไออุ่น]


       การรอคอยที่แสนทรมาน เวลาทุกวินาทีช่างช้ากว่าที่เคยเป็น ได้แต่นั่งภาวนาให้ถึงเวลาที่รอคอย

       ตอนนี้เวลา 18.25น. ผมกำลังนั่งรอที่พื้นอยู่หน้าห้องที่เราใช้เป็นห้องพยาบาล ผมนั่งชันเข่าตาจ้องนาฬิกาข้อมืออยู่แทบตลอดเวลา ในใจภาวนาให้ถึงสองทุ่มเร็วๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังกินข้าวอยู่ที่ครัวด้วยความหิวโหย จากการใช้พลังงานตลอดทั้งวัน แต่ผมดันไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด คงจริงอย่างที่เค้าว่า ว่าจิตใจมันควบคุมร่างกาย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงเป็นผมที่วิ่งใส่อาหารก่อนใคร แต่พอตอนนี้จิตใจผมไม่ปกติทำให้ร่างกายไม่อยากอาหารซะงั้น

       “มัม!” มิดไนท์วิ่งโถมตัวเข้ามากอดผมอย่างเต็มแรง ทำให้สายตาผมหลุดออกจากนาฬิกาแล้วสนใจเจ้าตัวเล็กแทน

       “คนเก่งกินข้าวรึยังครับ” ผมอุ้มน้องมานั่งบนตัก แล้วโอบกอดไว้

       “กินแล้วคราฟ ป๊าป้อน ทำไมมัมไม่ไปกินข้าวคราฟ น้องไนท์อยากกินข้าวกับมัม” เจ้าตัวพูดเสียงเจื้อยแจ้วถามถึงสาเหตุที่ผมไม่ไปกินข้าว

       “มัมไม่หิวครับ” ผมบอกพร้อมลูบหัวน้องเบาๆ อย่างรักใคร่

       “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมัมก็หิว เพราะป๊าเอามาให้มัมกิน” ผมกำลังเฮ้ยถามว่าน้องหมายความว่ายังไง แต่ไม่ทันจะพูดผู้กองก็เดินเข้ามาซะก่อน

      “ฉันเอาข้าวมาให้ อะ ข้าวไข่เจียว” ผมกำลังจะอ้าปากพูดบอกผู้กองว่าไม่หิว แต่ผู้กองพูดตัดผมซะก่อน “ไม่หิวก็ต้องกิน จะได้มีแรงดูแลลมหนาว กับมิดไนท์ ถ้าเธอไม่มีแรงจะดูแลพวกเขาได้ยังไง” พูดขนาดนี้ผมก็ต้องกินนะสิ

       “ก็ได้” ผมยื่นมือออกไปรับจานข้าวจากผู้กอง เจ้าตัววางน้ำที่ถือมาไว้ให้ข้างๆ ตัว พร้อมอุ้มมิดไนท์ออกจากตักผม เพื่อให้กินข้าวได้ถนัด โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย ผู้กองเขาจัดการทุกอย่างหมด

       “มิดไนท์ครับ มาวาดรูประบายสีตรงนี้มา” ผู้กองว่างถุงพลาสติกที่บรรจุกระดาษพร้อมสีไม้มากมายลงตรงหน้ามิดไนท์ เพราะหน้าห้องพยาบาล และห้องพยาบาลเป็นที่เดียวที่มีแสงไฟ แต่สามทุ่มก็คงต้องปิดแล้ว “วาดรูปสวยๆ ไปติดไว้ข้างเตียงเพื่อให้กำลังใจพี่ลมหนาวนะครับ พี่เค้าจะได้มีกำลังใจและหายเร็วๆ” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเข้าใจ

       “งั้นน้องไนท์วาดรูปครอบครัวเรานะคราฟ” เจ้าตัวหันไปถามความเห็นของผู้กองก่อนลงมือวาด

       “ดีครับ” ผู้กองพูดพร้อมมือทั้งลูบหัวน้องไนท์ด้วยสายตาที่เอ็นดู

       “ครอบครัวเรามี น้องไนท์ พี่หนาว มัม ป๊า พี่มิว พี่แมนนี่คนสวย พี่บี ลุงดำ มีพี่ริวด้วย ยังมีข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอีก” เสียงเจื้อยแจ้วดังออกมาไม่หยุด ทำให้คนที่ได้ยินอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้

       “เยอะขนาดนี้กระดาษแผ่นเดียวจะวาดหมดไหมเนี่ย” ผู้กองตอบกลับอย่างขำขัน ยกมือขยี้ผมส่งท้ายก่อนหันมาพูดกับผม

       “ฉันต้องไปจัดการเรื่องต่างๆ เธออยู่ที่นี้กับมิดไนท์นะ เดี๋ยวสองทุ่มฉันมา” ผมไม่ได้พูดตอบกลับ แต่ใช้การพยักหน้าตอบไปแทน “เดี๋ยวป๊ามานะครับ อยู่กับมัมก่อน”

       “คราฟ!” เจ้าตัวเล็กรับคำโดยง่าย แล้วหันไปให้ความสนใจกับการวาดรูปต่อ ยังโชคดีที่แขนที่โดนยิงคือข้างซ้าย น้องจึงไม่ค่อยมีปัญหากับการทำเรื่องต่างๆ เท่าไหร่

       หลังจากผู้กองเดินออกไปผมก็กลับมาทานข้าวเงียบๆ กับมิดไนท์ที่จดจ่ออยู่กับการวาดรูป สักพักน้องมิวกับแมนนี่ก็เข้ามานั่งเป็นเพื่อนผม เรานั่งรออยู่เงียบๆ โดยไร้บทสนทนาใดๆ นี่คือการรอคอยที่สุดแสนทรมาน…


+++


     ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงสักที ผม มิดไนท์ แมนนี่และน้องมิวเข้าไปเยี่ยม ลมหนาวในห้องพักผู้ป่วย ห้องนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ใช่เป็นห้องรักษาหลัก โดยคนที่อาการปลอดภัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จะถูกส่งไปพักฟื้นอีกห้อง ในห้องนี้จึงมีคนอยู่ไม่เยอะมาก ตอนนี้มีอยู่ 6 คน ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หนึ่งในนั้นคือจ่านนท์

       เราตรงเข้าไปหาลมหนาวทันทีที่เข้ามา น้องมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด หน้าก็ซีดเซียวจนน่าใจหาย ผมใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเบาๆ เพราะกลัวน้องเจ็บ ผมไมอยากให้เค้าเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว

       “ให้เยี่ยมได้หนึ่งชั่วโมงนะครับ เพราะคนไข้ต้องการการพักผ่อน แล้วไม่ต้องกังวลอะไรเลย พวกเราจะเปลี่ยนเวรกันดูแลเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง” หมอที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินมาถึงเตียงซะอีก ดูแล้วหมอคงเพิ่งจะอาบน้ำ กินข้าวเสร็จ เพราะหมอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สักพักหมออีกสองคนถือผ้าห่มและหมอนเข้ามา ตามด้วยพยาบาลอีกสองคน ที่เหลือคงดูคนป่วยห้องอื่นๆ แต่ละคนจองเตียงคนไข้เตรียมนอนเต็มที่

       แกรก! เป็นผู้กองนั่นเองที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ ผู้กองมาพร้อมกับนาย เทน ทั้งสองตรงดิ่งไปหาจ่านนท์แล้วถามอาการจากหมอทันที ต่างจากผู้กองที่เดินเข้ามาอุ้มไนท์ทันทีที่มาถึง

       “น้องเป็นไงบ้าง” ผู้กองหันมาถามผมหลังจากเจ้าตัวเล็กกอดคอแล้วซบหน้าลงบนบ่ากว้างนั้นเสร็จ

       “เหมือนเดิม รอดูอาการ” ตอบแล้วผมก็หันมาสนใจลมหนาวต่อ

       “หนาวต้องอยู่กับมิวนะ หนาวสัญญากับมิวแล้วว่าจะไม่ทิ้งมิวให้อยู่คนเดียว หนาวต้องทำตามสัญญานะ อย่าทิ้งมิวนะ…” ผมมองน้องมิวที่ก้มลงพูดที่ข้างหูลมหนาว ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเศร้า ทั้งห่วง ทั้งตื้นตัน และอีกหลายความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ผมรู้สำหรับน้องมิวแล้วลมหนาวเป็นอีกเหตุผล ที่ทำให้น้องยังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกที่โดดเดี่ยวนี้ หรืออาจจะเป็นเหตุผลหลักก็ได้…

       “ไหนครับรูปที่น้องไนท์วาด ขอป๊าดูหน่อยสิครับ” ผมหันไปมองทั้งสองทันที

       “นี้คราฟ น้องไนท์ตั้งใจวาดเลยน้าาา” เจ้าตัวเล็กโชว์ภาพวาดที่มีเส้นยึกยือๆ ให้ผู้กองดู ตัวคนเป็นเพียงเส้นตรงที่ต่อจากวงกลม แล้วต่อแขนขาออกด้วยขีดสี่ขีด ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวยังพยายามเอาสีระบายๆ ตามตัวให้ทุกคนมีสีที่แตกต่างกัน

       “วาว สวยมากเลยครับ พี่ลมหนาวต้องมีกำลังใจมากแน่ๆ” ภาพการพูดคุยที่แสนอบอุ่นนั้นทำให้ผมอยากจะยิ้มออกมา แต่ก็ทำไม่ได้เพราะอะไรหลายๆ อย่างยังกดทับความรู้สึกผมอยู่

       “เราเอาไปติดตรงไหนดีคราฟ”

       “ติดตรงผนังบนหัวนอนดีไหมครับ เดี๋ยวป๊าติดให้”

       “ดีคราฟ ดีๆ” มิดไนท์ยิ้มออกมาเมื่อผู้กองวางเจ้าตัว แล้วหยิบเทปใสมาติดกระดาษแผ่นนั้นไว้กับผนังห้อง ติดเสร็จก็กลับไปอุ้มเจ้าตัวเล็กต่อทันที “ทำไมพี่หนาวมีสายอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยคราฟ”

       “พี่หนาวไม่สบาย สายพวกนั้นจะช่วยให้พี่หนาวหายเร็วขึ้นไงครับ”

       “พรุ่งนี้พี่หนาวหายไหมครับ” เจ้าตัวเล็กยังถามต่อไม่หยุดแม้ตาจะปรือเต็มทีแล้ว

       “คงไม่ทันพรุ่งนี้ แต่พี่หนาวหายแน่ๆ ครับ ไม่ต้องห่วง” คนฟังพยักหน้าหาววอดพร้อมซบหน้าลงบนไหล่กว้างทันที มือน้อยๆ โอบรัดรอบรำคอแก่ง “เริ่มง่วงแล้วสินะไอ้แสบ” ผู้กองหันไปห้องแก้มเล็กๆ ที่อยู่บนไหล่ด้วยสายตาเอ็นดู สายตานั้นมันทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ

       “ฉันไปดูคนอื่นๆ ต่อนะ เดี๋ยวมา” ผมพยักหน้าตอบเช่นเคย ผู้กองยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ พร้อมพูดส่งท้ายก่อนเดินไปดูอาการคนอื่น “น้องต้องไม่เป็นอะไร แล้วไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”

       ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปยังเตียงของจ่า ด้วยใจที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น ความอุ่นจากมือผู้กองยังอยู่บนเส้นผมไม่จางไป

       แค่แป๊ปเดียวก็หมดเวลาเยี่ยมแล้ว เราทุกคนตกลงกันว่าจะขนหมอนผ้าห่มมานอนรวมกันที่ห้องโถงใกล้ห้องพยาบาล กลับไปนอนคนเดียวคงนอนไม่หลับ มานอนด้วยกันแหละดีแล้ว คนที่หลับไปก่อนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ของเรานี้เอง ส่วนคนที่ส่งมิดไนท์เข้านอนแล้วอย่างผู้กอง ก็ไปจัดการธุระของเค้าต่อ

       ว่าก็ว่า ผมยังไม่เห็นคุณโรสเลย เธอคงเสียใจเรื่องพ่อน่าดู ถามว่าผมรู้สึกผิดไหม ผมยอมรับว่ารู้สึกผิดบ้าง แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังคงทำเหมือนเดิม คนที่คิดจะฆ่าครอบครัวผม จะเป็นใครผมก็ฆ่าได้ทั้งนั้น เพราะผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวผมได้เด็ดขาด

       ผมใช้เวลานานมากกว่าจะข่มตาหลับได้ แต่ก่อนจะหลับรู้สึกว่า มีคนมานอนข้าง คนคนนั้นลูบหัวผมเบาๆ ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นและหลับไปในที่สุด


+++


       เสียงเอะอะที่ห้องพยาบาลตอนเช้ามืด ปลุกผมให้ตื่นจากความหลับไหล ผมกำลังตั้งสติเพื่อให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเรางดใช้ไฟ ทำให้มองไม่ถนัดว่ามีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น

       “ไฟเหลือน้อยแล้ว ใครที่หายใจได้เองแล้วปิดเครื่องเลย” เสียงใครสักคนดังขึ้น

       “แสงอาทิตย์น่าจะใช้ได้ตอน 07.30น. หรือไม่ก็ 08.00น. ครับ ตอนนี้เพิ่งตีห้าห้าสิบเอง” เสียงเริ่มเบาลง เพราะเข้าไปในห้องพยาบาลแทน ผมที่เริ่มหายมึนงงจากการตื่นนอน ก็เข้าใจสถานการณ์โดยทันที

       ผมเดินไปดูห้องพยาบาลที่ประตูเปิดอ้าไว้ ข้างในค่อนข้างมืด มีแค่แสงจากไฟฉายสามสี่กระบอกที่ส่องไปมาตามเตียงต่างๆ

       “ผมว่าคนนี้สามารถหายใจได้เองแล้ว ถอดเครื่องช่วยหายใจเถอะ” เสียงยังดังอยู่ในห้องนี้ไม่หยุด

       “เหลือกี่คนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ” เสียงผู้กองแน่ๆ ที่ดังขึ้นมาจากมุมมืด มุมนึงของห้อง

       “ต้องใช้ถึงสี่คนหนะครับ” ผมยืนฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ

       “จะใช้ได้นานแค่ไหน” เสียงผู้กองดังขึ้นมาอีกครั้ง

       “ประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ ไม่เกินนี้แน่” ปลายมือผมเย็นเชียบ ไฟไม่พอสำหรับรอไฟรอบใหม่ แล้วสี่คนนั้นยังหายใจเองไม่ได้ด้วย ไม่นะ!

       “เราต้องการไฟฟ้าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนไฟรอบใหม่จะมาใช่ไหม” เสียงผู้กองพูดดังขึ้นอย่างครุ่นคิด

       “ใช่ครับ”

       “เราใช้แบตเตอรีรถยนต์มาแปลงเป็นไฟฟ้าใช้ก่อนได้ไหม” ผู้กองเสนอขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

       “น่าจะได้นะครับ แต่ต้องเอามาเยอะมาก เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละอัน มีไฟมากน้อยแค่ไหน”

       “คงต้องเอามาเกือบหมด เหลือไว้สักคันเผื่อออกไปหาข้างนอกเพิ่ม ผมรีบไปดีกว่าเพราะเราต้องแข่งกับเวลาที่น้อยลงทุกที ไปได้แล้วอย่ามัวแต่แอบฟัง มาช่วยกันขนแบตเตอรี่” ผมสะดุ้งเมื่อผู้กองหันมาพูดกับด้วย นี่เค้ารู้ตลอดเลยเหรอว่าผมอยู่ตรงนี้

       ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอะไรไร้สาระ ผมได้แต่วิ่งตามผู้กอง โดยที่ไม่ลืมปลุกแมนนี่มาด้วย เราวิ่งไปที่รถทุกคันที่จอดอยู่ แต่เนื่องจากผมกับแมนนี่ทำไม่เป็น จึงต้องรอลุงดำมาถอดแบตเตอรีให้

       เรามานั่งภาวนานาทีต่อนาที ให้ไฟที่เรามีพอสำหรับรอแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ารอบใหม่ให้

        แดดเริ่มมาแล้ว มาแล้วๆๆ ไฟอย่าเพิ่งหมดนะ ได้โปรด…

       ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็มอบไฟฟ้ารอบใหม่ให้เราได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด โล่งอกไปที เฮ้ออ… แต่งานเรายังไม่หมด ต้องรอให้ไฟฟ้ามีมากพอให้ชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปใหม่ ไม่งั้นเราไม่มีรถใช้แน่ๆ

       อาการของลมหนาวก็ดีขึ้น หมอบอกน้องปลอดภัยแล้ว แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ จนกว่าน้องจะฟื้นถึงค่อยถอด เราทุกคนเริ่มผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันยังไม่จบซะทีเดียว ยังคงต้องจัดการอะไรหลายๆ อย่าง


+++


       การสูญเสียเป็นสิ่งที่เจ็บปวด เสียงร้องไห้มันบีบหัวใจทุกขณะ เรากำลังยืนไว้อาลัยให้กับคนที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ สามคนที่เสียสละปกป้องเราทุกคนจนตัวตาย สามคนที่นึกถึงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ ขอให้พวกคุณไปสู่สุขคติ แล้วไม่ต้องเจ็บปวดกับโลกที่เลวร้ายนี้อีกต่อไป ขอบคุณที่คอยดูแล และปกป้องเราทุกคน ขอบคุณ…

       เราเลือกที่จะฝังพวกเขาไว้ใต้ต้นไม้ ที่ที่อากาศปลอดโปร่ง ทุกคนผลัดกันเข้าไปวางดอกไม้แล้วกล่าวคำอำลา

       “ฮือๆๆ ไม่จริง พ่อต้องไม่ตาย พ่อต้องอยู่กับโรสสิ ฮือๆๆ” คุณโรสกอดหลุมศพพ่อร้องไห้สะอึกสะอื้นปราณจะขาดใจ ผมเห็นใจเธอนะ และเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็อย่างที่บอกถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังทำเหมือนเดิม

       “แก ไอ้ฆาตกร แก แกฆ่าพ่อฉัน ฉันเอาคืนแน่! แกจะไม่ได้อยู่อย่างมีความสุข แกจำไว้เลย! ฮือๆๆๆ” เมื่อเธอหันมาเจอผม เธอก็ด่าแบบนี้ทุกครั้ง ผมไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่ยืนมองอยู่เงียบๆ ผมไม่รู้หรอกในอนาคตเธอจะทำอะไรผมบ้าง แต่ผมจะไม่ยอมให้เธอทำอะไรครอบครัวผมแน่

       งานศพผ่านไปอย่างโศกเศร้า และหดหู่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยมีเลือนหายไป แต่เราจะมัวมานั่งเสียใจอยู่ไม่ได้ เพราะยังมีงานอีกมากมายรอให้เราทำอยู่

       ถึงจะเศร้าแค่ไหนงานก็ต้องดำเนินต่อไป ลุงสนได้เวลาเก็บเกี่ยวข้าวต่อ ลุงดีก็ต้องดูไร่กล้วย ป้าๆลุงๆก็ต้องดูแลไร่สวนต่างๆ ส่วนผม แมนนี่ และไอ้เด็กริวนะเหรอ หึหึ มาหาฟืนไง หาน้อยซะเมื่อไหร่ นี่แบกขึ้นลงรถเข็นจนแขนจะหักอยู่แล้ว

       “โอ้ยยเหนื่อย!!” เสียงผมเอง แหะๆ

       “หุบปากแล้วรีบๆ ทำเถอะ แบกฟืนดีกว่าแบกซอมบี้กับศพในป่าละหยะ เดี๋ยวพวกทหารก็เอาซอมบี้มาเผาแล้ว” ใช่ครับหลังจากสงครามสงบ เราก็ต้องเก็บศพซอมบี้และโจร

       “พี่เรียงฟืนสูงขนาดไหน” ไอ้เด็กริวที่มีหน้าที่เรียงฟืน สำหรับวางซอมบี้ไว้เผา ถามขึ้นมา

       “เอาแค่ระดับต้นขาพอ ถ้าเรียงเสร็จแล้ว ก็มาช่วยกันตัดไม้ด้วย” ผมตอบกลับไป เพราะผมเหนื่อยมากกับการที่ต้องตัด และเลื่อยไม้แห้งๆ ที่ล้มระเนระนาดนี้

       “ผมบอกหมวดให้ทิ้งไว้กลางป่าเลยก็ไม่เชื่อ ดูสิต้องเหนื่อยกันอีก” ไอ้ริวทั้งบ่นทั้งทำ ปากก็มุบมิบๆ มือก็ทำ

       “มึงจะปล่อยให้พวกเค้าหนอนเจาะอยู่ในป่ารึไง น่าสงสารออก เลิกบ่นแล้วรีบๆ ทำ”

       “แต่พี่บ่นก่อนใครเลยนะ”

       “เอ้าเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย ครึครึ”

       “โป๊ก!! เลิกคุยแล้วมาตัดไม้สักที” โอ้ยย เจ็บ เธอช่างใจร้ายเอาไม้ตีหัวเราได้ คนสวยอำมหิต “เลิกตัดพ้อกูทางสายตาได้แล้ว มานี่!”

       “ครับ!” ก็ต้องยอมแบบนี้ทุกทีสิน่า...


+++


       ผ่านมาสามวันในที่สุดลมหนาวก็ฟื้นขึ้นมา เราทุกคนดีใจกันมาก เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเริ่มกลับเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง ถึงแม้อาจจะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม ต่างจากคุณโรสที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ลงมาทีก็ตอนเวลากินข้าว

       เราเริ่มส่งเสบียงเล็กๆน้อยๆ เช่นกล้วย แตงกวาให้ค่ายต่างๆ แถวนี้ไป โดยมีหมวดโฟรคเป็นผู้จัดส่ง แถมพ่วงไอ้เด็กริวนั้นไปด้วย สองคนนี้เริ่มจะตัวติดกันเกินไปแล้วนะ ผมว่าหมวดต้องคิดอะไรกับ ไอ้เด็กริวนั้นแน่ๆ

       “แมนนี่! จะไปไหน มันมืดแล้วนะ” ผมที่นั่งอยู่บริเวณทางเข้าบ้านถามขึ้น เมื่อเห็นแมนนี่กำลังเดินออกไปนอกบ้าน

       “ไปนอนบ้านหมู่” นอนบ้านหมู่? หมู่ไหน

       “หมู่ไหน หมู่นาย หรือหมู่เทน” ไวไฟจริงๆ เพื่อนใครวะ

       “ทั้งสอง อิอิ” ทั้งสอง สามพี เงี่ยเหรอ แมนนี่!!

       “จะแรดไปแล้วนะ!”

       “ความสุขของกู หุบปากไปเลย อีกอย่าง ถึงกูจะแรด แต่ไม่ร่านนะจะ ไปแล้ว! สามีรอ ครึครึ” แล้วมันก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าเหวอกับสรรพนามที่มันใช่เรียกทั้งสองคนนั้น ‘สามี’ งั้นเหรอ มันไปได้กันตอนไหนวะ…

       ผมเลิกคิดเรื่องแมนนี่แล้วเดินไปดูลมหนาว น้องมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก สายระโยงระยาง ก็เอาออกหมดแล้ว และที่สำคัญหมออนุญาตให้น้องกลับมานอนที่ห้องได้แล้วด้วย โดยมีพยาบาลที่ไม่ยอมออกห่างไปไหนอย่างน้องมิว คอยอยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้ผมวางใจแล้วออกไปทำงานได้อย่างไม่ต้องคอยผะวง เจ้าตัวเล็กมิดไนท์ก็อยู่ที่นี้ด้วย เมื่อผมวางใจแล้วจึงเดินเข้าห้องตัวเองเพื่อที่จะอาบน้ำ แต่เห็นใครบางคนนั่งอยู่บนเตียงผมซะก่อน

       “เข้ามาได้ยังงัย จะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน” ผมทำหน้าไม่พอใจ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเจอผู้กองนั่งอยู่ที่เตียงของตัวเอง

       “ฉันหาเธอไม่เจอ เลยมานั่งรอ” เจ้าตัวพูดขึ้นอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน กับสิ่งที่ผมพูดเลย “แล้วเธอไปไหนมา”

       “นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่หน้าบ้าน เพิ่งขึ้นมา” ผมจึงตอบไปให้จบๆ

       “ไม่น่า ฉันหาข้างบนไม่เจอ”

       “แล้วอยากเจอทำไม”

       “พูดไม่มีหางเสียงเลย” ผมทำหน้ายู่ใส่เมื่อโดนตำหนิ “หึหึ ไม่ต้องมาทำหน้ายู่ใส่เลย ฉันแค่อยากให้เธอพูดเพราะๆ กับฉันไม่เป็นไรหรอก แต่กลับคนอื่นที่อายุมากกว่า ฉันอยากให้เธอพูดดีๆกับเค้า”

       “ผมพูดมีหางเสียงกับผู้ใหญ่ทุกคนแหละ ยกเว้นผู้กอง” เพราะผมหมั่นไส้ไง แต่ผมไม่พูดออกไปหรอกนะ กลัวโดนมะเหงก

       “ดีแล้ว มานี่หน่อยสิ เข้ามาใกล้ๆ ฉันไม่กัดหรอกน่า” ใครจะรู้หละ ผมยิ่งขี้เกียจไปฉีดวัคซีน ครึครึ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เพราะอยากรู้ว่าผู้กองจะทำอะไร

       “เฮ้ย!” ผู้กองกระตุกแขนผมให้นั่งลงบนตัก แล้วใช้มือโอบรัดผมไว้ทันที “จะกอดทำไมเนี่ย” ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หัวใจผมมันกำลังทำงานอย่างหนัก เพราะการกระทำของผู้กอง

       “ฉันเหนื่อย ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม” เจ้าตัวพูดเสียงเนือยๆ แล้ววางคางบนไหล่ผม พร้อมเอียงหน้ามาพูดเบาๆ ลมที่เป่าลดใบหูทำให้ผมขนลุกเกรียว หัวใจที่ว่าทำงานหนักแล้ว ยิ่งทำงานหนักเข้าไปอีก หลังจากเหตุการณ์การสู่รบผ่านไป ผู้กองก็ชอบเข้ามาเกาะแกะ และเข้าหาผมแบบนี้เสมอ หรือผู้กองจะโดนโจรตีหัวจนสมองกลับ แล้วที่สำคัญทำไมผมไม่ขัดขืน… นี่แหละประเด็นสำคัญ

        “จะกอดอีกนานไหม อึดอัด” ผมขยับตัวยุกยิกอย่างประหม่า เมื่อผู้กองเข้าหาผมในลักษณะนี้ ผมยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก แต่ดูแล้วเจ้าตัวจะไม่สนใจที่ผมบอก แถมยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก

       “วันนี้เป็นไงบ้าง” ไม่สนใจ แล้วยังถามไปเรื่องใหม่อีก แล้วผมต้องทำยังไง ต้องตามน้ำไปสินะ ซิ

       “เรียบร้อยดี เก็บกล้วยได้เยอะมาก ฟักทองเริ่มโตจนจะเก็บได้แล้ว อีกสองวันป้าๆบอกจะเริ่มขุดมันเทศ ป้าๆ ขอกำลังทหารไปช่วยกันขุดด้วย แล้วเกี่ยวข้าวที่อื่นเป็นไงบ้างคะ ครับ” แค่พูดมีหางเสียงทำไมต้องตะกุกตะกักด้วยไอ้อุ่น แต่ก่อนก็ยังพูดได้เลย ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ

       “ก็ดี ได้เยอะพอสมควร แต่ซอมบี้เยอะไปหน่อย กำจัดเสร็จต้องขนไปเผาอีก เหนื่อยใช้ได้เลย” ขนศพซอมบี้เหรอ

      “นั่งบนเตียงนี่อาบน้ำรึยัง!” เตียงผมจะเปื้อนด้วยซอมบี้ไม่ได้!

       “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันอาบแล้ว ไม่อาบใครจะกล้าขึ้นมานั่งบนเตียง” ผมไง แต่ไม่บอกหรอก เดี๋ยวหาว่าซกมก ผมซกมกกับตัวเองได้ แต่คนอื่นซกมกกับผมไม่ได้ งงไหม ฮาๆ

       “ปล่อยได้แล้ว จะไปอาบน้ำ” ผมเริ่มที่จะดิ้นอีกครั้ง อยู่ในท่านี้นานๆ ความแมนผมมันเริ่มจะสั่นคลอนยังไงไม่รู้

       “ให้ฉันอาบให้ไหม” พูดขึ้นพร้อมใบหน้ากรุ้มกริ่มที่ผมไม่เคยเห็นจากผู้กอง แต่เมื่อได้เห็นแล้วมันทำให้ใบหน้าผมมันร้อนฉ่าจนรู้สึกได้

       “จะบ้าเหรอ ผมอาบเองได้ ไม่ใช่เด็กนะ” ผมรีบแย้งในทันที แล้วพยายามแกะมือผู้กองออกจากเอว

       “ทำไมหน้าแดง” ไม่พูดเปล่ายังเอามือมาจิ่มแก้มผมด้วย ยิ่งทำให้ความร้อนจากหน้าลามไปถึงใบหูและคอ โอ้ยย ผมจะบ้าตาย อะไรของผู้กองเนี่ย

       “ถามจริงๆ เถอะ ผู้กองชอบผมรึไง อุ๊บส์” ผมตะครุบปากตัวเองไม่ทัน จนเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไป

        “แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบหละ เธอจะว่ายังไง” สายตาที่มองมามันทำให้หัวใจผมสั่นไหวแปลกๆ จนผมต้องหลบตา

        “ถ้าชอบ แสดงว่าอาจจะชอบหรือไม่ชอบ ในเมื่อไม่ชัดเจน งั้นผมไม่ขอตอบแล้วกัน” รอดแล้วสินะ เฮ้ออ…

       “ฉันชอบเธอ”

       “0_0” อะไรนะ!! ชอบ!!

       “ฉันพูดจริงๆนะ ทีแรกฉันยอมรับว่าไม่แน่ใจ แต่เมื่อได้เห็นน้ำตาของเธอ มันทำให้หัวใจฉันเจ็บปวด ฉันไม่ชอบที่เธอไปสนิทกับนายและเทน ฉันอยากเห็นหน้าเธอตลอดเวลา พอคิดดูแล้วฉันถึงได้รู้ว่าที่รู้สึก มันไม่ใช่แค่เอ็นดูแล้ว ความรู้สึกมันไปไกลกว่านั้นมากแล้ว ฉันชอบเธอ และอีกไม่นานอาจกลายเป็นรักก็ได้”

       สมองผมมันตื่อไปหมดกับคำสารภาพของผู้กอง ผมไม่รู้ว่าจะตอบกลับยังไง ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอเลย

       ชอบเหรอ? ผู้กองชอบผมเหรอ เมื่อประมวลผลออกมาได้ หัวใจผมมันก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนแทรกซึมขึ้นมาบนใบหน้า ใบหู ลามไปยังคอ คำว่าชอบมันสั่นคลอนผมได้ขนาดนี้เลยหรอ

       “แล้วเธอหละคิดยังไงกับฉัน” เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ผู้กองจึงเลือกที่จะถามขึ้นมาแทน

       “คิดเหรอ คิดอะไร คืออะไร…เอ่อ” สีหน้าผมมันคงเอ๋อหน้าดู จนผู้กองต้องยกฝ่ามือทั้งสองข้างมาประกบแก้มผมไว้

         “ใจเย็นๆ ยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ ฉันจะรอเธอจนถึงวันก่อนเดินทางไปภูเก็ต ถึงเวลานั้นเธอต้องให้คำตอบฉันนะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ โล่งอกไปหน่อย ให้ตอบตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงจริงๆ ผมยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังสักครั้ง ขอเวลาผมทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองหน่อยเถอะ

       “แต่ขอมัดจำก่อนได้ไหม” หือ…มัดจำอะไร

       “มัดจำอะ อื้อ…” ผมตกใจจนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้กองฉกริมฝีปากผมด้วยปากของผู้กอง ผู้กองค่อยๆ เลาะเล็มที่ริมฝีปากผมเบาๆ ทั้งบนและล่าง ทุกการสัมผัสเป็นไปอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน โดยไม่มีการล่วงล้ำใดๆ สัมผัสที่ผมไม่เคยเจอ ทำให้สมองผมมันขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกปล่อยให้ผู้กองฉกชิมริมฝีปากผมไปเรื่อยๆ อย่างไม่ห้ามปาม ค่อยๆ ขบเม้ม ลิ้นร้อนของผู้กองค่อยๆ ไล่สัมผัสริมฝีปากล่างอย่างช้าๆ จนกระทั้ง…

       “อื้อ อะ” ผมเผลอเปล่งเสียงครางออกมา เมื่อมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่หน้าอก และหน้าท้องผม มันไม่ใช่แล้ว! ไอ้ผู้กอง!! ผมรวบรวมแรงทั้งหมดผลักผู้กองออกจากตัว พร้อมลุกออกจากตักแกร่งนั้น

       “ผู้กองจับอะไร!”

       “โทษที มือมันไปเองหนะ” ไอ้ผู้กอง!! ยังมีหน้ามายิ้มอีก!

       “ลามก!!” คนอะไรมือไวชะมัด ผมหันหลังเดินหนีเข้าห้องน้ำทันที

       “จะไปไหน!” แต่ยังไม่วายต้องหันมาตอบอีก

      “อาบน้ำ!!”

       “อาบน้ำ หรือทำอะไร” ผู้กองแสดงสีหน้าเหมือนรู้ทัน รู้ทันบ้าอะไรเล่า! คนจะไปอาบน้ำ ไม่ไดทำอะไรสักหน่อย

       “อาบน้ำเว้ยยย!!” ผมรีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ พร้อมปิดประตูตามด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาอยู่ดี ไอ้ผู้กอง!! ไอ้ลามก!!

       ผมเดินมาส่องกระจกเห็นภาพตัวเองที่หน้าแดงก่ำ ทั้งลำคอใบหูก็ไม่ต่างกัน แถมปากยังเจ่อด้วย ผมเอามือลูบไปที่ตำแหน่งหัวใจ มันเต้นแรงอย่างเห็นได้ชัด

       ยืนทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมถึงปล่อยให้ผู้กองทำตามใจตัวเองโดยไม่ห้าม ไม่หนี ไม่ขัดขืน ทำไมผมถึงยอม หรือผมจะชอบผู้กองเข้าแล้วจริงๆ

       งั้นผมก็เป็นเกย์นะสิ โอ้ไม่!! สาวๆ ต้องใจสลายแน่เลย

       แต่อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ผู้กองให้เวลาคิดตั้งเยอะ ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน

ชอบ หรือ ไม่ชอบ?


……………………
……………..
……….

       ขอบคุณที่ติดตาม รักคนอ่านทุกคนค่ะ ^^

       

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โว๊ะ นังโรสนี่ จะเก็บไว้ในค่ายทำไม ตัวอันตราย แตะโด่งออกไปเลย :katai1:
ว่าแต่ผู้กองสารภาพรักแล้ว น่ารัก :hao7:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 13 -


[ไออุ่น]

       ยามศึกเรารบ ยามสงบเราพัก ซะที่ไหนละ ทำงานงกๆ อยู่เนี่ย วันนี้เป็นวันขุดมันเทศแห่งชาติ ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหม แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่เพราะทั้งประเทศคงมีที่นี้แหละ ที่มีมันเทศจำนวนมากขนาดนี้ให้ขุด เราจึงตั้งชื่อวันนี้ว่า วันขุดมันเทศแห่งชาติ ตั้งโดย นายแมน หรือแมนนี่นั้นเอง

       “กรีสสส มึงใหญ่หวะ” แมนนี่กรีสสสเบาๆ ใส่หูผม เบาสำหรับคนอื่นนะ ไม่ใช่ผม…

       “มันเทศลูกใหญ่เหรอ นี่ก็ขุดลูกใหญ่ๆ ได้หลายอันเลย”

       “เปล่า เป้ากางเกงทหารตรงหน้าต่างหาก คึคึ” พูดไม่พอยังเอามือชี้อีก ดีที่พี่เค้าสนใจแต่หัวมันตรงหน้า

       “กูจะฟ้องพี่นาย พี่เทน”

       “แค่ชื่นชมด้วยดวงตาย๊ะ ยังไม่ได้สัมผัส อย่าซีเรียสเพื่อนรัก จุจุไว้ๆ” แล้วก็หันไปมองต่อ จนพี่เขารู้สึกตัวแล้วมองมา ถึงก้มหน้าขุดต่อได้

       การขุดมันก็ดำเนินต่อไปจนกระทั้ง

       “แมนนี่ทำอะไร” ผมถามแมนนี่ที่กำลังเอากระดานไวท์บอร์ด ที่มความกว้าง 100 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร พร้อมปากกามาแขวนไว้ที่ต้นไม้กลางสวนมันเทศ

       “ติดตั้งเฟซบุ๊กชาวไร่อยู่” อะไร? ที่หายไปครึ่งชั่วโมงเพราะสิ่งนี้? “โอ้ย เลิกทำหน้าเอ๋อได้แล้ว ในเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ตให้เล่นโซเชี่ยว เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ดูสิเย็นนี้จะมีใครโพสต์อะไรบ้าง ครึครึ” เป็นเอามาก

       “หนูแมนนี่ หนูอุ่น มากินข้าวได้แล้วลูก!” ป้าตะโกนเรียกที่เพิงพักข้างไร่มันเทศ

       “ผมขออาหารไปให้น้องก่อนได้ไหมครับ”

       “ไม่ต้องห่วง ป้าเอาให้ก่อนจะยกมานี้แล้ว แถมยังพ่วงไอ้ตัวเล็กนี้มาด้วย” พอป้าพูดจบ เจ้าตัวเล็กที่ว่า ก็วิ่งเข้ามาหาผมทันที พร้อมสมุนสี่ขาอีกสองตัว

       “มัม!! มันเทศเผาอร่อยมากกก” ท่าจะอร่อยมากจริงๆ ลากเสียงยาวขนาดนี้

       “แล้วใครแกะให้ครับ”

       “ป๊าแกะให้น้องไนท์คราฟ” พอมิดไนท์พูดจบ ผมก็เห็นสายตาวิบวับของป้าๆ ที่ส่งมาให้ทันที งือ...มันไม่ใช่อย่างที่ป้าคิดนะ หรือจะใช่วะ?

       “ไปล้างมือแล้วมากินข้าวได้แล้ว หนูอุ่นอย่าลืมเรียกสามี เอ้ย! ผู้กองมากินข้าวด้วยนะจ๊ะ” ครับ ผม จะ เรียก มา ให้! เชอะ งอล

       เพิงพักไม่ได้ใหญ่พอที่เราทุกคนจะขึ้นไปนั่งได้ เลยต้องปูเสื่อกินกันตามร่มไม้ กระจายกันไป กลุ่มผมมี แมนนี่ หมู่นาย หมู่เทน ผู้กอง มิดไนท์ น้องบี ลุงดำ แล้วเจ้าหมาน้อยอีกสองตัว

       “พี่บีคนสวย กินมันเผาสิคราฟ อร่อยมากเลย” เปย์มันเผาให้น้องบี แต่เลือกอันที่เล็กที่สุดให้ ดีจริงๆ ไอ้ตัวเล็ก ดีที่ป้าเขายกมาให้อีกจาน ไม่งั้นตัวแสบของเราต้องมาตัดสินใจอีกว่าจะแบ่งอันไหนให้พี่แมนนี่ นี้คืออาการอยากเปย์แต่เสียดาย ฮาๆๆๆ

       “อ่ะ ฉันแกะให้” มันเทศเผาที่แกะแล้วถูกยื้นมาตรงหน้าผม คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นคนแกะ แล้วทำไมทุกคนต้องมองหน้าผมแบบนั้นด้วย มองด้วยรอยยิ้มมุมปากและสีหน้าเหมือนอยากจะล้อเรียนนั้นคืออะไร…

       “แกะเองได้” แค่นี้เองแกะเองได้ ไม่เห็นต้องแกะให้เลย ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะ ผมแมนๆ ทำเองได้

       “แต่ฉันอยากแกะให้หนิ” หันไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง…เออ รับก็ได้วะ ที่ผมรับเพราะกลัวผู้กองหน้าแตกหรอกนะ ไม่ได้กลัวว่าผู้กองจะเสียความรู้สึกเลยจริงจริ๊ง! อย่าคิดไปไกล

       “หึหึ” เสียงเหมือนนางมารแบบนี้มีแค่แมนนี่คนเเท่านั้น แต่ผมไม่หันไปมองหรอก ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว เพราะอาหารอร่อย?

       “เราจะเดินทางไปภูเก็ตตอนไหนเหรอ” ผมไม่เปลี่ยนเรื่องนะ แค่สงสัยหรอก

       “อีก 3 สัปดาห์ ทุกคนคงอาการดีขึ้นมากเเล้วในตอนนั้น” ผู้กองตอบคำถามผมแล้วหันมามองเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ยอมพูดจนผมทนไม่ไหว

       “อยากพูดอะไรก็พูดสิ สงกระแสจิตไม่รู้ด้วยหรอกนะ” ทำเหมือนจะพูดแล้วไม่ยอมพูดอยู่นั้น

       “ไปที่ภูเก็ตแล้ว…เธอจะกลับมาที่นี่กับฉันอีกไหม” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนดูเหมือนจะไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าพวกเขาก็รอฟังอยู่

       “ไม่รู้สิ” ผมหันไปมองมิดไนท์ ถ้านี่มันเป็นแค่ชีวิตผมคนเดียว ผมจะไม่ลังเลที่จะตอบเลย แต่นี้มันไม่ใช่ การตัดสินใจของผมมีผลกับน้องๆ ผมจึงต้องคิดให้ดีก่อน “ผมห่วงน้องๆ”

       “ฉันเข้าใจ ถ้าอยู่ที่ภูเก็ตมันปลอดภัยจากซอมบี้มากกว่า เธอคงอยากให้พวกเขาอยู่อย่างสงบ และปลอดภัย แต่ถ้าอยู่ที่นี่ฉันสัญญาว่าจะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย และสังคมที่นั้นมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ไปดูก่อนค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน แต่ฉันหวังว่าเธอจะเลือกอยู่ที่นี่”

       การที่เห็นน้องชายเจ็บหนักขนาดนั้น มันทำให้ผมลังเลไม่น้อยเลย ในชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือน้องๆ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะดูแล ปกป้องพวกเขา ให้ปลอดภัยแม้แลกด้วยชีวิตก็ตาม… แต่เรื่องมันอีกตั้งนาน จะมาซีเรียสอะไรตอนนี้ เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้มันเป็นอนาคตเถอะ

       “เอ้า ไอ้ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวกินข้าวคลุกปลาไป” ผมเอาข้าวคลุกปลาเทใส่ใบกล้วยให้เจ้าสองตัวนั้นกิน

       “หงิง! / บ๊อก!” ส่งสัญญาณแล้วก้มหน้าก้มตากินทันที ตะกละจริงๆ พวกแกหนิ

       “น้องไนท์อยากกินด้วย!”

       “น้องไนท์จะไปแย่งข้าวหมาทำไมลูก! เดี๋ยวพี่แมนนี่คนสวยแกะปลาให้ก็ได้” หมามันได้ลูกพี่มันนี่เอง ตะกละจริงๆ ลูกใครวะ

       การกินข้าวของเราก็ดำเนินไปกับการพูดคุยด้วยหัวข้อที่เปลี่ยนไปเรื่อย เมื่อกินเสร็จเราก็ทำงานกันต่อ โดยที่มีมิดไนท์และลูกน้องสองตัว นั่งขุดมันเทศอยู่ในร่มไม้ตรงกระดานโซเชี่ยวของแมนนี่ เราต้องเร่งทำให้เสร็จเร็วๆ เพราะยังมีงานรออยู่อีกเพียบ และหมวดโฟรค ต้องเอาของไปส่งที่ค่ายย่อยในจังหวัดใกล้เคียงวันต่อวันด้วย

       หมดไปอีกวันสำหรับการทำงาน เรามารวมตัวกันที่ต้นไม้กลางไร่เพื่อกินน้ำ พูดคุยก่อนกลับที่พักของตนเอง

       “เฮ้ย…อีอุ่นดูนี่ กระดานมีข้อความเต็มไปหมดเลยหวะ” แมนนี่เดินมาดึงมือผมเข้าไปดูใกล้ๆ เออ เต็มจริงๆด้วย “มีอะไรบ้างวะเนี่ย เดี๋ยวกูอ่านให้ฟัง” กูก็อ่านออกเถอะ

       “อันแรกๆ  > ‘@แก่แล้วยังไม่มีครีมทาอีก : อยากได้ครีมที่ทาแล้วเด็กลง ผัวหลงหัวปักหัวปำ’ อันนี้มันไม่ได้อยู่ที่หน้า มันอยู่ที่ลีลาจะ” ต้องเป็นพวกป้าๆ แน่เลย จะแนะนำป้าไปทำศัลยกรรม หมอก็ดันโดนซอมบี้แดกหมดแล้ว พึ่งตัวเองนะครับป้า

       “ ‘@หล่อเป้าใหญ่ : อยากมีเมียไวๆ มีไหมแถวนี้  อยากเจอเมียดีๆ แถวนี้มีไหมเอ่ย’ ถ้าเป้าใหญ่จริงกูพร้อมพลีกาย ครึครึ” เป็นเอามาก ไม่ได้หมายถึงข้อความนะ หมายถึงแมนนี่

       “ ‘@แฝดคนละพ่อละแม่ : แมนนี่คนสวยคืนนี้เจอกันนะจะ’ กรีสสส! วันนี้กูต้องรีบกลับไปอาบน้ำแล้ว” ไม่ต้องบอกว่าแฝดคนละพ่อละแม่เป็นใครคุณก็คงรู้

       “ ‘@คนสูงวัยผู้หล่อเหลา : อยากกินพิซซ่า KFC อยากกินหมูกระทะ…’” อันนี้ออกแนวบ่นหาของกิน

       “ ‘@สวยสุดในสามโลก : ผัวมีแล้วแต่กิ๊กยังไม่มี รับสมครด่วน ขอหล่อล้ำ ใหญ่!! เน้นว่าต้องใหญ่ ครึครึ’”

         “กูรู้ว่ามึงแมนนี่” จะมีใครกล้าเขียนแบบนี้ถ้าไม่ใช่มัน

       “ใส่ร้าย! กูใสๆ เหอะ” ใสมาก…

       “ต่อๆ ‘@แห้งเหี่ยวมาชาตินึง : โสดมาเกือบหนึ่งปี สามีทั้งหลายตายหมดแล้ว’ แกมีผัวกี่คนวะเนี่ย ไอดอลกูเลย” ถอนหายใจหนักๆ กับมัน

       “ ‘@มีเรื่องจะเล่า คิดแล้วเศร้าใจ : เคยโดนซอมบี้อาม่าข้างบ้านกัดตูด ตอนนุ่งผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำ แต่ไม่กลายพันธุ์ เพราะอาม่าฟันล่วงหมดแล้ว ปล.ความรู้สึกที่โดนเหงือกขบตูดยังไม่เคยลืมเลือน’ ฮาๆๆๆ กูอดไม่ได้ ขอขำหน่อยเถอะ แม่งฮาจริงๆ” ผมยังอดขำไม่ได้เลย จะเศร้าเรื่องอาม่าข้างบ้านสักหน่อย แต่ต้องมาขำเรื่องเหงือกขบตูด ฮาๆๆ ไม่น่าคนที่มาถึงก่อนถึงขำกันใหญ่

       “ใกล้หมดแล้วๆ อันนี้ ‘@ชื่อผม จอ อู๋ : เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดสักที…’ ‘ตอบกลับโดย @ตัด จอ อู๋ มันซะ : ดีแล้วกูสงสารเนื้อคู่มึง ไอ้ จอ อู๋ เล็ก’ กูว่าเพื่อนกันแน่ๆ หวะ ว่าแต่เล็กจริงดิ”

        “แมนนี่”

        “เออ อ่านต่อก็ได้ ข้อความรองสุดท้าย ‘@แสงสว่าง : หลายคนต้องการไออุ่นในฤดูหนาว แต่สำหรับผมต้องการไออุ่นทุกฤดูกาล’ โอ๊ะโอ ใครหว่าคิดไม่ออกเลย มึงคิดออกบ้างเปล่า ไออุ่น” มันหันมายิ้มแบบมีเลศนัยใส่ผม แต่ผมตีหน้าซื่อกลับไปให้ กูไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ

         “เออ ตีหน้าซื่อต่อไปเถอะมึง อ่านข้อความสุดท้ายดีกว่า ดูแล้วน่าสนใจจริงๆ ‘@ฤดูร้อน : บางทีอาจจะต้องการเวลา’ หือ…เวลาแบบไหนน้าาา เวลาที่ต้องการคิด หรือเวลาที่เป็นภาษาอังกฤษเหรอ…”

        “กูจะรู้เหรอ ก็ไม่ใช่คนเขียนหนิ”

      “เหรอ?”

       “เออ!! ไปแล้ว มิดไนท์รอนาน ไร้สาระ” รีบเลยครับ เดี๋ยวมิดไนท์รอนาน ผมไม่ได้หนีนะ จริงจริ๊ง ข้อความอะไร ผมไม่ได้เขี๊ยน!! [ไรท์ : เสียงสูงไปนะบางที]


+  +  +


       นี้ก็ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เราเริ่มเก็บมันเทศ หลังจากเก็บมันเทศเสร็จก็ถึงคราวของพืชผักชนิดอื่นๆ โดยเราแบ่งงานกันทำ ข้าวก็เก็บเกี่ยวเกือบเสร็จแล้ว อีกไม่เกิน 3 วันคงเสร็จ ต่อไปก็ได้เวลาน้ำข้าวไปที่โรงสีข้าวภายในหมู่บ้าน เพื่อทำเป็นข้าวสาร ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ ผู้กองบอกว่าหน้าที่แบกถุงข้าวเป็นของผู้ชาย แล้วผมเป็นผู้หญิงเหรอ? ผมผู้ชายแมนๆ นะเว้ย!! พูดแล้วเคือง ซิ

       ตอนนี้ผม กับแมนนี่กำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปเก็บฟักทอง หมวดโฟรคกับไอ้เด็กริวไปส่งของเหมือนเดิม สองวันเจอกันที ค่อยๆทยอยส่งไป เมื่อถึงเวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องแวะไปหลายที่ ผมก็เห็นด้วยนะ ถ้าเอาไปครั้งเดียว รถคงขนไม่หมดแน่

       “อีอุ่น งู!!!”

       “เชี่ย!!” ผมถอยหลังอย่างเร็วจนตกคูนา อีกแล้ว ดีที่โคลนมันแห้งไปหมดแล้ว ดูเหมือนงูจะตกใจผมเหมือนกัน มันรีบเลื่อยหนีไปทันทีที่ผมหงายท้องลงคูนา สลัดผัก! อยู่ดีๆ ก็ได้แผล ใช้ครับ ตกลงมาเมื่อกี้ผมโดนหญ้าบาดที่หลังเท้าเป็นทางยาว ดีที่ไม่ลึก แต่ก็เลือดออกอยู่ แสบซะมัด ฮือ…

       “ตายยังวะ” นั่นปากเหรอ

       “กูยังไม่ตาย!! มาดึงขึ้นไปทีดิ!” ลุกไม่ไหวครับ คูนาสูงด้วย

       “ที่ช่วยเพราะอนาถกับสภาพมึงเหรอกนะ” แค่หง่ายท้องขาข้างนึงฟาดไปที่คูนา อีกข้างขี้ไปอีกทาง หัวมุดพงหญ้า อนาถตรงไหน?

        “ฮึบ ลุกได้สักทีกู ฮือ…แสบ” แสบที่แผลมากเลย หญ้าอะไรวะเนี่ย เดี๋ยวเอายาฆ่าหญ้ามาเทลาดเลยแม่ง!

       “ดูไม่จืดเลยมึง” ส่ายหัวแล้วเดินหนี มึงมันเพื่อนใจร้าย!... “เลิกบ่นกูในใจแล้วเดินตามมา!”

       “ครับ” ทำอะไรได้หละ เดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมอาการหวาดระแวงงูนะสิ

       เดินมาถึงบ้านก็เจอมิดไนท์กับผู้กองกำลังเล่นกับเจ้าข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอยู่กันสองคน ลมหนาวอาการดีขึ้นมาก แต่ออกมาเดินเล่นยังไม่ได้เดี๋ยวแผลฉีก โดยมีน้องมิวคอยดูแลกับพี่พยาบาล ส่วนคุณโรสเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง ผมรู้ว่าเธอโกรธผมมาก เรื่องของพ่อเธอ เราปล่อยให้มันจบไปตั้งแต่ฝั่งศพพ่อกับพี่เธอแล้ว รื้อฟื้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ความสูญเสียมันเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้

       “มัมเป็นอะไร เลือดเต็มเลย” เสียงเจ้าตัวเล็กทำให้ผมหลุดออกจากความคิด

       “อ๋อ…” ผมยังไม่ได้พูด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาก่อน

       “อุ่นมันไปวัดความแข็งแรงของพื้นดินข้างคูนามาหนะ หงายท้องขาชี้ฟ้าเลย ฮาๆๆๆ อุบาทว์สุดๆ” ครับ นั้นแหละ อยากถีบมันชิบ แต่กลัวมันสวนคืน

       “หึหึ” หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไงผู้กอง! “แล้วเป็นอะไรมากไหม” ถ้าจะหัวเราะขนาดนี้ ไม่ต้องมาทำเป็น เป็นห่วงหรอก! ซิ!!

       “มัมเจ็บไหม” มิดไนท์น่ารักที่สุด ไม่เหมือนสองคนนี้

       “ไม่เจ็บครับ ไม่ต้องห่วงมันบาดไม่ลึกหรอก เดี๋ยวมัมขอขึ้นไปอาบน้ำแล้วล้างแผลก่อนนะครับ จะได้มากินข้าวกัน ป้าๆ คงทำเสร็จแล้ว” ผมพูดพร้อมบีบแก้มแดงๆ อย่างมันเขี้ยว

       “งือ…มัมอะ หน้าน้องไนท์ยืดหมดเลย” ที่มันยืดเพราะกินมากต่างหาก เจ้าตัวเล็กเอ้ย

       ผมเดินขึ้นมาบนห้องหลังจากเจรจากับน้องไนท์จบ ต้องใช้คำว่าเจรจาเพราะเจ้าตัวอยากขึ้นมาด้วย แต่ผมอยากให้น้องเล่นกับเจ้าสีขาสองตัวนั้นอยู่ข้างล่างมากกว่า ผมจะได้รีบอาบ รีบลงไป

       อาบน้ำเสร็จแล้วสดชื่นซะมัด ผมรีบแต่งตัวเพื่อจะลงไปข้างล่าง ชุดเดิมๆ ที่ใส่ ก็เป็นชุดบอล ของแท้นะจะบอกให้ ไปตกที่ห้างมา

       แกรก! เสียงเปิดประตูทำให้ต้องหันไปดูคนที่เข้ามาในห้องผม

       “เข้ามาทำไม” ดีนะผมแต่งตัวเสร็จแล้ว เอ่อ แต่เราเป็นผู้ชายด้วยกันหนิ ไม่เห็นต้องอายเลย บ้าไปแล้ว

       “เข้ามาไม่ได้เหรอ น้อยใจนะเนี่ย” น้อยใจด้วยหน้านิ่งๆ นี่เหรอ? มีใครเขาพูดน้อยใจด้วยหน้านิ่งๆ แบบนี้บ้าง

       “ผู้กองเข้ามาทำไม แล้วเข้ามาทำไมไม่เคาะประตู” มารยาทหนะรู้จักไหม? ได้แต่คิดในใจ

       “เอ้า ฉันไม่ได้เคาะเหรอ โทษที” แต่สีหน้าไม่ได้สำนึกเลย นิ่งเหมือนเดิม สงสัยชาติที่แล้วเกิดมาเป็นหิน เลยติดมาจนชาตินี้ “และที่ฉันเข้ามา ฉันจะเข้ามาทำแผลให้”

       “แผล?”

       “ใช่ ทำแผล นั่งลงได้แล้ว เดี๋ยวทำให้” ผมมองดูดีๆ จึงเห็นมือขวาผู้กองถือกล่องพยาบาลมาด้วย

       ผมยังยืนเด๋อด๋า จนผู้กองดึงแขนให้นั่งลงที่ปลายเตียง ในขณะที่ตนเองนั่งลงบนพื้น

       หัวใจผมเริ่มทำงานหนักอีกแล้วสิ อะไรเนี่ยจะเต้นแรงทำไมหนักหนา ไอ้หัวใจเต้นปกติเดี๋ยวนี้!!

       ผมยังเงียบนั่งมองผู้กองยกเท้าไปไว้บนตัก อ่า…หัวใจผมมันเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมอีก หรือจะเป็นโลกหัวใจ?

       ผู้กองค่อยๆ ทำแผลผมอย่างเบามือ จับเท้าผมอย่างไม่รังเกียจ แถมยังลูบเบาๆ อีก ฮือ… อย่าทำอย่างนี้สิ เดี๋ยวผมก็แพ้จริงๆ ซะหรอก

       “เจ็บไหม” ผู้กองถามขึ้นโดยไม่เงยขึ้นมามอง ดีแล้ว อย่าเงยขึ้นมาเลย เพราะผมรู้ตัวว่าหน้ามันต้องแดงมากแน่ๆ

       “ไม่เจ็บ คะ ครับ” เฮ้ย…นี่ผมพูด ‘ครับ’กับผู้กองเหรอ โอ้ย หน้าร้อนกว่าเดิมอีกกู

       “ดีแล้วครับ” ทำไมต้องพูดครับด้วย ใจบาง แถมรอยยิ้มอบอุ่นนั้นอีก นี่จะตกไปให้ได้เลยใช่ไหมหัวใจผมเนี่ย งือ…

       “อะ เอ่อ คือ ลงไปเลยไหม คือไนท์คงหิว ละ แล้ว” ลิ้นพันกัน โอ้ย อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ จะพูดตะกุกตะกักทำไม!!

       “ลูกคงหิวแล้วเนอะ งั้นไปกันเถอะ” หะ ลูก? อ๋อ มิดไนท์ ผมเดินตามแรงจูงไปอย่างเบลอๆ

       “ไม่ต้องจับหรอก เดินเองได้น่า…โตแล้วเหอะ” ผมพูดอ้อมแอ้มออกมาเบาๆ งือ…ความแมนกูมันหายไปไหนวะเนี่ย ต้องจุดธูปอัญเชิญกลับมาไหม?

       “ครับๆ ปล่อยก็ได้ โตแล้วเนอะ โตจนเขินหน้าแดงแล้วเนี่ย หึหึ” ไอ้ผู้กอง!! “โอ๋ๆ ไม่ล้อแล้วไปกันเถอะ” ผมเดินตามไปด้วยหน้าบึ้งๆ…แต่แดง...งือ


+  +  +


       ตอนนี้ผ่านมาอีกหนึงอาทิตย์ ลมหนาวเริ่มออกมาเดินข้างนอกได้แล้ว เช่นเดียวกับจ่าและคนอื่นๆ ที่เจ็บหนัก อีกไม่นานคงหายเป็นปกติ

       เรื่องข้าวก็เข้าโรงสีหมดแล้ว ได้เยอะมาก เราบรรจุใส่ถุงกระสอบ แล้วแบกขึ้นไปไว้บนรถ เตรียมเดินทาง ถึงจะเหลือเวลาอีกเป็นอาทิตย์ก็เถอะ หมวดโฟรคหารถบรรทุกมาเพิ่มหลายคันเลย เพราะไม่ได้มีแค่ข้าว เรายังมีพื้ชผักอีกมากที่ต้องขนไป

       ขณะนี้เวลา 20.00 น. เรายังไม่ได้นอนหรอกนะ เพราะผู้กองเรียกไปประชุม ผมเดินอย่างชิวๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่น เอ่อ…เต็มห้องเลย ผมหย่อนตูดลงพื้นเพราะโซฟาเต็มทุกที่  หลายคนก็นั่งบนพื้นอยู่แล้วด้วย

       “มาครบแล้วนะ จะได้เริ่มพูด” นี่ผมมาคนสุดท้ายเหรอ แหะๆ ช้านิดเดียวเอง

       “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ผมอยากจะข้อร้องทุกคน ถ้าไปถึงภูเก็ต เวลามีคนถามจำนวนเสบียงที่เราส่งไปค่ายต่างๆ ขอให้ทุกคนตอบว่าเราส่งไปให้แค่ 10% เท่านั้น” ทำไมต้องทำอย่างนั้น เพื่อ?

       “10% มันจะพอเหรอ ค่ายมีตั้งหลายค่ายนะครับ” ไอ้น้องริวถามขึ้นมา ก็จริง มันจะพอเหรอ

       “เพราะมันไม่พอไง ฉันถึงต้องเอาเสบียงไปให้เกินคำสั่งจากเบื้องบน”

       “บอกเบื้องบนว่าไม่พอ เลยต้องให้เพิ่มไม่ได้เหรอคะ” แมนนี่ถามขึ้นมา ผมก็เห็นด้วยอีกนั้นแหละ ให้เพิ่มเราก็บอกเหตุผลไปว่าให้เพิ่มเพราะอะไร ง่ายๆ

       “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะสิ อย่างที่เคยบอก ในยามที่โลกวิกฤตแบบนี้ ประเทศไหนมีผู้นำที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าประเทศไหนมีผู้นำที่ไม่ดี ก็ล่มจมลงอีกเป็นเท่าตัว จะไม่พูดหรอกนะว่าผู้นำเราเป็นประเภทไหน เรื่องแบบนี้ต้องพบเจอและตัดสินกันเอาเอง”

       “แต่ที่ผมขอร้องไป เชื่อเถอะว่าผมตัดสินใจดีแล้ว ที่จะเลือกการโกหกมากกว่าพูดความจริง บางทีการพูดโกหกก็ไม่ได้ผิดเสมอไปหรอกนะ” ผู้กองพูดอย่างจริงจัง ผมคิดว่าเรื่องนี้คงใหญ่พอสมควร ไม่งั้นผู้กองคงไม่ทำหน้าเครียดแบบนี้

       “โกหกเหรอง่ายๆ ‘เราส่งเสบียงให้ค่ายนิดเดียวเอง น่าจะ 10% มั้งครับ’ แค่นี่” ผมแสดงการโกหกให้ดูเลย ถ้ามันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมก็เต็มใจทำ เพราะดูจากที่ผู้กองพูดแล้ว ผู้นำไม่น่าจะคุยด้วยได้ง่ายๆ

       “งั้นจัดไปค่ะ แมนนี่ถนัดอยู่แล้วเรื่อง ตอแห…เอ้ย! เรื่องช่วยคน แหะๆ” ไม่ทันแล้วหลุดคำออกมาจน คนรู้หมดแล้ว

       “แล้วเราประชุมกันแค่นี้เหรอคะ คนอื่นๆหละ” ในห้องมีแค่คนในบ้านใหญ่ และพี่ๆทหาร ไม่มีลุงๆ ป้าๆ เลย

       “พวกเขาไม่ได้ไปด้วย มีแค่พวกเราที่ไป พวกเขาจะอยู่รอที่นี้” รวมทั้งลุงดำกับน้องบีด้วยเหรอ เพราะสองคนนั้นไม่มาประชุมด้วย แต่คุณโรสก็ไปหนิทำไมไม่เรียกมาคุยด้วย

       “คุณโรสหละ ไม่ไปเหรอ” แต่ผมว่าเธอไปแน่ๆ

       “ไป แต่เธอไม่รู้เรื่องเสบียงอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบอก มีอะไรสงสัยอีกไหม เพราะเรื่องที่จะพูดมีแค่นี้”

       “ถ้าเกิดเขาจับได้ทีหลังว่าเราโกหกหละครับ” ลมหนาวถามขึ้นมาจากโซฟาตัวใหญ่

       “ฉันคงโดนลงโทษ หรือไม่ก็อะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น” ผู้กองตอบด้วยสีหน้านิ่งเป็นปกติ ไม่มีสีหน้าเกรงกลัวใดๆ

       “งั้นเราต้องโกหกให้เนี่ยนที่สุด” แมนนี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าตั้งมั่น

       “ถ้าไม่มีอะไรแยกกันไปพักผ่อนได้” เราเดินออกจากห้องไปอย่างเร็ว เพราะดูแล้วเหมือนพวกทหาร มีอะไรจะพูดเยอะอยู่ ผมขึ้นไปนอนดีกว่า วันนี้เหนื่อยกับการขนพืชผักมากทีเดียว

       ตอนนี้เวลา 21.31 น. ผมก็ยังไม่หลับ นึกว่าหัวถึงหมอนแล้วจะหลับเลยซะอีก เซ็ง!

      แกรก! ผมหันขวับไปมองที่ประตูทันทีที่หลังจากได้ยินเสียงเปิด ปิดของประตู

       “เข้ามาไม่เคาะประตูอีกแล้วนะผู้กอง” ผมทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ ชอบเข้าห้องคนอื่นโดยไม่เคาะประตู

       “อะ ลืมอีกแล้ว หึหึ” ลืมบ้าอะไรบ่อยขนาดนั้น ทั้งสัปดาห์ก็เข้ามาอย่างไม่เคาะประตูสักครั้ง ซิ

       “แล้วมีอะไร บอกไว้ก่อนว่าที่ประชุมนั้น เข้าใจแล้วด้วย ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากสักหน่อย” ผมนี่เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายที่สุดแล้ว

       “คิดถึง” เอ่อ…เหวอเลย จากความเหวอก็ตามมาด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ไม่ต้องไปส่องกระจก ผมก็รู้ว่าหน้าตัวเองแดงมากแน่ๆ

       หลังๆ มานี่หัวใจผมทำงานหนักประจำเลย เพราะผู้กองนั้นแหละ ชอบพูด ชอบทำอะไรแบบนี้ แล้วมาคิดถงคิดถึงอะไรเล่า! งือ ใจบาง อีกนิด อีกนิดจะไม่ไหวแล้วใจมันบางไปหมดแล้ว ไอ้ผู้กอง!! ฮือ…

       “คิดถึงอะไรหละ เจอกันทุกวันเหอะ” ทำไมคำพูดกับหน้านิ่งๆ นั้นถึงทำผมหวั่นไหวได้นะ

       “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายชั่วโมง” ไม่พูดเปล่าดึงมือผมไปกุมด้วย “เหนื่อยไหมครับ” ครับ อีกแล้ว รู้ว่าผมหวั่นไหวเวลาพูดเพราะ ก็พูดจัง เดี๋ยวจับทำเมียซะเลย เดี๋ยวเหอะๆ   [ไรท์ : คิดว่าจะได้เป็นผัวเขาจริงดิ?]

       “เหนื่อยนิดหน่อยแต่ชินแล้ว สบาย! แล้วจะจับมือทำไมเล่า!”

       “มากกว่าจับมือก็เคยแล้วน่า” พูดขึ้นมาอีกทำไม ยิ่งนึกถึงหน้ายิ่งร้อน วันที่เราจูบ ไม่เอาไม่คิด ไม่คิดๆ

       “หยุดพูด!”

       “ทำไม เขินเหรอ” ใบหน้ากรุ้มกริ่มนั้นคืออะไร ทำหน้าอย่างอื่น นอกจากทำหน้านิ่งเป็นหินได้ด้วยเหรอ “หน้าแดงกว่าเดิมอีก หึหึ”

      ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นมาลูบแก้มผมอีก ลูบเบาๆ จากข้างแก้มมาที่ริมฝีปาก นิ้วโป้งคลึงที่ปากเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองผู้กอง ผมว่าผมคิดผิดที่เงยขึ้นมาสบตากับผู้กอง สายตาที่สื่อออกมาบอกถึงความในใจที่ชัดเจน จนผมไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย เข้าใจแล้ว รู้แล้ว

       ระยะห่างของใบหน้าน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่สายตาไม่ละไปจากกันเลย อีกแค่นิดเดียว นิดเดียว ผมหลับตาลงในที่สุด

       “อะ อื่ม…” ริมฝีปากหนาคลึงริมฝีปากล่างของผมจากเบาๆ เริ่มที่จะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมอ้าปากเพื่อจะหายใจได้ไม่ถึงสามวินาที ลิ้นร้อนก็ถูกส่งเข้ามาในโพลงปาก ไล่ต้อนลิ้นผมไปทั่วโพลงปาก จนผมเริ่มให้ความร่วมมือ ลิ้นผมค่อยๆ ส่งออกไปตวัดตอบโต้แบบเงอะงะ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่อาดาศผมเริ่มจะหมดแล้ว เหมือนผู้กองจะรู้เพราะเขาถอนปากออกมาให้หายใจ

       ถึงจะถ้อนปากออกมา แต่หน้าผากยังแตะกันอยู่ นิ้วโป้งผู้กองเช็ดน้ำใสที่ไหลอยู่มุมปากผมเบาๆ สายตายังคงสบกันอยู่ตลอด

       “เปิดใจให้บ้างหรือยัง เพราะฉันคิดว่า ฉันรักเธอเข้าแล้ว” สายตาที่สงมา สื่อความหมายในสิ่งที่พูดชัดเจนแบบไม่ต้องสงสัยเลย เชื่อแล้ว ผมเชื่อแล้ว

       “อืม”

        “อืม อะไรหืม”

       “เปิดใจให้แล้ว” ผมอ้อมแอ้มตอบเบาๆ

       “อะไรนะ ไม่ได้ยิน”

       “เปิดใจให้แล้ว!! ได้ยินยัง!” ทีนี้ได้ยินหรือยัง ถ้าไม่ใด้ยิน ก็ไปเช็คประสาทหูซะ

         “หึหึ ได้ยินแล้ว” ผมไม่อยากมองหน้าเปื้อนยิ้มนั้นเลย มองแล้วใจมันอ่อนแอ งือ… “เรามาลองคบกันไหม” อะไรคบเหรอ แบบเป็นแฟนนั้นเหรอ เร็วไปไหม ผมไม่เคยมีแฟนเลยนะ แล้วๆ แฟนต้องทำตัวยังไง แล้วๆ เค้าต้องทำอะไรบ้าง

       “เอ่อ ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม ไหนผู้กองบอกจะรอให้ถึงวันเดินทางไงหละ” นี่มาถามอะไรตอนนี้ ผมเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันนะสิ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนหนิ แถมแฟนคนแรกดันจะเป็นผู้ชายอีก แล้วผู้ชายเค้าทำกันยังไง โอ้ยย พอแล้วอย่าเพิ่งคิด พอๆ

       “ก็ได้ แต่มัดจำหน่อยได้ไหม”

       “มัดจำ อะ อืม…” รู้แล้วว่ามัดจำอะไร เพราะลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาในโพลงปากผมแล้ว ไล่ต้อนลิ้นผมไปทั่วโพลงปาก ความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมเผลอครางออกมาเบาๆ ความหวานของรสจูบ ทำผมสมองขาวโพลน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ มือไม้ก็อยู่ไม่สุข ปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังของผม มือลดระดับลงเรื่อยๆ จนถึง

       พลัก! “จะบีบตูดทำไม!” ผมผลักผู้กองออกเมื่อรู้สึกถึงมือที่บีบเค้นตูดอยู่ หื่นจริงๆ

       “เอ้าเหรอ โทษทีมือมันไปเอง” หน้าเชื่อมาก!!

       “ไปได้แล้ว จะนอน!” ไม่ไหวแล้ว หัวใจทำงานหนักเกินไปแล้ว

       “นอนด้วยสิ แค่นอนเฉยๆ น่า” เชื่อก็บ้าแล้ว ตอดเล็กตอดน้อยขนาดนี้

       “ไม่ คบกันก่อนค่อยนอน” ชิบ เผลอปากพูดไป ตะครุบไม่ทัน

       “รับปากแล้วนะว่าจะคบ โอเคงั้นอีกอาทิตย์นึง คบกันแล้วแล้วค่อยมานอนด้วยกัน ไปหละ จุ๊บ” หะ อะไรนะ คืออะไร พูดๆ จุ๊บปากเร็วๆ แล้วเดินจากไป

       แล้วคิดว่าผมจะนอนหลับไหม?



…………………..
……………
…….

       รักคนอ่านทุกคน จุ๊บ

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ผู้กองแอบหื่นนะเนี่ย อิอิ
มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องส่งเสบียงจะมีปัญหาเพราะโรสนี่แหละ :ling3:

ออฟไลน์ kim2b::teddy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากจะแหมมมม ใส่หน้าผู้กองจริงๆ จะอ้อนไปไหน :hao3:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 14 -


[ไออุ่น]


       วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเสมอ จนคนเราบางครั้งแทบตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน ผมเกริ่นมาแบบนี้คุณคงคิดว่าวันเวลาน่าจะผ่านมาเป็นเดือนหรือเป็นปีแล้วสินะ แต่ผมบอกเลยว่า…ไม่ใช่ มันเพิ่งผ่านมา 5 วันเอง คุณอาจจะคิดว่านี่มันผ่านไปเร็วยังไงแค่ห้าวันเอง แต่บอกเลยสำหรับผมมันเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน เดี๋ยวเดียวก็ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจแล้ว ผมจะบอกผู้กองยังไง และที่สำคัญผมจะบอกน้องๆ ยังไง

       ผมบอกน้องๆ ตลอดว่าเราจะไปอยู่ที่ภูเก็ตกัน เพราะที่นั้นปลอดภัยจากซอมบี้ และถ้าผมเปลี่ยนใจจะอยู่ที่นี่น้องๆ จะว่ายังไง จะเข้าใจผมไหม จะโกรธผมหรือเปล่า และที่สำคัญน้องจะเข้าใจที่ผมจะคบกับผู้ชายไหม แล้วถ้าน้องมองผมแปลกไปหละ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่คิดมากอะไรแบบนี้เลยนะ แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงเป็นคนคิดมากได้หละ เพราะอะไร? หรือเพราะผู้กองสำคัญกับผมเหรอ

       คิดไปก็เท่านั้น เครียดไปก็เสียสุขภาพจิต ในเมื่อคิดแล้วไม่ได้คำตอบ คงต้องถามให้รู้เรื่อง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมเชื่อว่าน้องๆ ต้องเข้าใจ ผมเชื่อและภาวนา

       ตลอดระยะเวลา 5 วันที่ผ่านมา เราเตรียมความพร้อมในการขนย้ายเสบียงจนเกือบพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่พืชผักที่ต้องเก็บในวันนี้และพรุ่งนี้เพื่อความสดใหม่ เราจึงต้องเดินทางกันตอนกลางคืน ถึงจะเสี่ยงหน่อย แต่เพื่อป้องกันพืชผักจากแสงแดดเมืองไทย เราจึงต้องยอมเสี่ยง

       ส่วนผู้กองก็ยังเหมือนเดิม คือยอดเก่งเหมือนเดิม ยิ่งเข้าใกล้วันที่ผมต้องตัดสินใจยิ่งเร่งทำคะแนน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ใจผมมันแพ้เขาตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่าชอบจากปากผู้กองแล้วหละ งือ...

       ตอนนี้เวลาบ่ายโมงกว่าๆ ผมกำลังเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากเก็บของมิดไนท์เสร็จ เราเอาเสื้อผ้าไปพอประมาณไม่ได้เอาไปหมด ตอนนี้อาการของลมหนาวดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปกติแล้ว เดินและวิ่งเหยาะๆ ได้ แต่ยังไม่ควรยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักๆ

       ผมบอกน้องๆเก็บเสื้อผ้าไปพอประมาณ แต่ยังไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม ผมตัดสินใจว่าจะคุยกับน้องๆ วันนี้

       ส่วนลุงดำและน้องบีก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ ลุงและน้องไม่ไปด้วย โดยเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพราะลุงดำแกได้เมียแล้ว เป็นพวกป้าๆ นั้นแหละ ไปสปาร์คกันตอนไหนไม่รู้ ได้ยินลุงบอกว่าป้าเล่าให้ฟังว่าที่นั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าที่ไม่ดีเพราะอะไร และมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องไปดู ไปสัมผัสด้วยตนเอง เขาเรียกการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เอี่ย!! ผมโคตรฉลาดเลย

       ก่อนที่มันจะออกนอกทะเลไปใหญ่ ผมกลับเข้าเรื่องดีกว่าผมบอกน้องๆ ไว้แล้วว่าจะคุยหลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ผมจะเริ่มคุยกับน้องๆ ยังไงดี บอกพี่ชอบผู้กอง? ไม่ๆๆ ผมจะดูใจง่ายไป หรือจะบอกว่าที่ภูเก็ตไม่ดี แล้วมันไม่ดียังไง ในเมื่อผมยังไม่เคยไป หรือบอกผมอยากอยู่ที่นี่ แล้วน้องจะไม่ถามเหตุผลหรือว่าทำไมอยากอยู่ โอ้ยย เริ่มยังไงวะเนี่ย เดี๋ยวแม่งโพลงไปเลยว่าอยากมีเมีย จึงอยากจะอยู่กับเมีย! ไม่ๆ เดี๋ยวผู้กองเสียหาย ผู้กองออกจะแมนๆ ไปบอกว่าเป็นเมียเดี๋ยวผู้กองอาย

       “อีอุ่น!! นั่งทำหน้าส้นทีนอะไรยะ!!”

       “เชี่ย!! ตกใจหมด! เข้ามาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง!” ผมว่าแมนนี่ที่กำลังยืนทำหน้าเหม็นเบื่อ

       “อีอุ่น แล้วเมื่อกี่ เขาไม่เรียกให้สุ้มให้เสียงเหรอวะ ประสาท!” เจ็บปวด วาจาเธอช่างเจ็บปวดซะเหลือเกิน

       “ง๊ะ” คำเดียวที่เปล่งออกมาได้

       “แล้วตกลงมึงนั่งทำหน้าหมากลั้นอึทำไม” เมื่อกี่ส้นทีน ทีนี้หมากลั้นอึ ดีจริงๆ กู

       “เออ มึงมาก็ดีแล้ว กูขอปรึกษาอะไรหน่อย มึงว่ากูจะคุยเรื่องนั้นกับน้องๆ ยังไงดี” ผมจะลืมเรื่องที่มันด่าผมไปก่อนก็แล้วกัน

       “เรื่องนั้น? เรื่องไหน” อะไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

      “ก็เรื่องนั้นน่า!!”

       “แล้วมันเรื่องอะไร”

       “ก็เรื่องนั่นไง เรื่องนั่นหนะ!!”

       “อีอุ่น ถ้ายังไม่บอกกูถีบยอดหน้ามึงแน่! แม่งคิดว่ากูเป็นอับดุลรู้ทุกเรื่องหรือไง!” ไม่พูดเปล่ายังยกเท้าขึ้นมาแสดงเป็นตัวอย่างอีก รีบถอยหลังให้พ้นวิถีทีนเลยครับ เพื่อความปลอดภัย

       “เรื่อง เอ่อ อืม ระเรื่อง คือๆ” บอกไปผมจะโดนล้อไหม ผมว่าโดนล้อแน่เลย โดนแน่ๆ

       “มึงจะคืออีกนานไหม เสียเวลา!! ไปแล้วรำคาญ!” เฮ้ยย อย่าเพิ่งไปสิ! เมื่อเห็นแมนนี่ทำท่าจะหันออกไปทางประตู ผมจึงพูดออกไปทันที

       “เรื่องกูกับผู้กอง!!” พูดไปแล้ว…

       “หึหึ” หันกลับมาพร้อมหน้าตาของนางมารร้ายกับรอยยิ้มมุมปาก “เรื่องจะมีผัวนี่เอง”

       สลัดผัก!! กูว่าแล้วมันต้องล้อ แต่…

       “กูเป็นผัวต่างหาก!” แมนๆ อย่างผมต้องผัวเว้ย!!

       สิ่งที่ผมได้กลับมาคือสายตาที่เหยียดหยามเต็มที่ พร้อมปากที่คว่ำลง ส่งให้สีหน้าที่แสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าจะแสดงสีหน้าขนาดนี้เอาป้ายเมียมาคล้องคอกันเลยดีกว่า

       “เอาที่มึงสบายใจเถอะอุ่น แล้วกูจะคอยดู” ปากบอกจะคอยดู แต่สายตาเหยียบหยามนี่คืออะไร? “แล้วตกลงมีอะไร พูดมาสักที”

      ได้เข้าเรื่องสักที

       “จะบอกน้องๆ ยังไงดี แล้วถ้าพวกเขาไม่เข้าใจหละ แล้วๆ ถ้าน้องมองกูเปลี่ยนไปละ แล้วถ้าน้องเกลียดกูละ แล้วๆ…”

       “หยุดๆ อีอุ่นหยุด!!” ผมเงียบทันทีเมื่อแมนนี่เริ่มขึ้นเสียง “เฮ้อ…หยุดสักที พูดไม่เว้นที่ว่างให้ได้พูดเลย แล้วก็ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วไม่ต้องหายใจออกตายไปเลยมึง!”

       “แมนนี่!”

      “พูดเล่นน่า ใจเย็นๆ ฟังกูนะ น้องเป็นน้องของมึง มึงรู้จักน้องดีกว่าใคร มึงคิดว่าน้องตัวเองใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าเรื่องแค่นี้น้องจะรับไม่ได้เหรอ คิดว่าน้องจะไม่อยากให้มึงมีความสุขเหรอ คิดสิอุ่น น้องมึงเป็นคนยังไง มึงรู้ดีกว่าใครนะ” ใช่ผมรู้จักน้องดีกว่าใคร

       “ลมหนาวเป็นคนใจกว้าง”

       “ใช่” แมนนี่ตอบกลับ

      “น้องอยากให้กูมีความสุข น้องมีเหตุผล น้องต้องเข้าใจกู” ลมหนาวจะเห็นแก่คนอื่นก่อนตัวเองเสมอ หนาวเป็นคนมีเหตุผลถึงแม้จะยังเด็กก็ตาม

       “ก็รู้หนิว่าน้องเป็นยังไง แล้วจะเครียดทำไม แต่ก่อนมึงไม่ใช่คนคิดมากขนาดนี้หนิ หรือว่า มึงจะรักผู้กองเข้าแล้วจริงๆ แล้วคงจะรักมากด้วยถ้าคิดมากขนาด ใช่ไหม” แล้วจะมาจี่เอาคำตอบทำไม ขนาดผู้กองกูยังไม่ได้บอกเลย

       “ทำไมต้องบอก!”

       “ไม่บอกกูก็รู้หรอก หน้าแดงขนาดนี้” ไม่พูดเปล่าเอานิ้วชี้มาจิ่มที่แก้มผมด้วย ผมปัดมือออกทันที

       “อย่ามาจิ่ม ไม่ใช่ขี้!!”

       “อ่าวเหรอ! นึกว่าใช่” มีไหม มีสักครั้งไหม ที่ผมเถียงชนะแมนนี่ ไม่มี!! ไม่มีเลย!! 
     [ไรท์ : เหมือนเขาจะอัดอั้นตันใจนะคะ 55]

       “ไม่คุยกับมึงแล้ว ไปคุยกับน้องดีกว่า!”

       “ใช่สิ!! ไอ้เรามันหมดประโยชน์แล้วนิ” ผมไม่สนดราม่าเล่นใหญ่ของแมนนี่ที่กำลังเช็ดน้ำตาประหนึ่งเสียใจหนักหนา แล้วเดินไปที่ห้องของลมหนาวทันที



       ถึงจะเตรียมตัวมาแล้ว แต่จะให้บอกตรงๆ ว่าพี่ชอบผู้ชายมันก็กระไรอยู่ ผมมองน้องๆ ที่กำลังนั่งมองผมตาแป๋วอย่างตั้งใจฟัง ทั้งลมหนาว น้องมิว ไม่เว้นแม้แต่มิดไนท์ ก็ยังตั้งใจรอฟังในสิ่งที่ผมจะพูด

       “เอ่อ คือ คือ สมมุตินะ สมมุติว่าพี่กับ กะกับ ผู้กอง แบบสมมุติว่าเรารักกัน แล้วๆ ทุกคนคิดว่ามันโอเคไหม” มิดไนท์มองหน้าผมงงๆ ต่างกับอีกสองคนที่มองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

       ความเงียบทำให้กำลังใจผมมันเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ พูดอะไรมาสักอย่างเถอะขอร้อง

       “พี่อุ่นครับ” ในที่สุดลมหนาวก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง “ไม่ว่าเรื่องที่พี่พูดจะเป็นเรื่องสมมุติ หรือเรื่องจริง ผมอยากบอกพี่ว่า ผมอยู่ข้างพี่เสมอไม่ว่าพี่จะทำอะไร จะคิดอะไร ผมขอแค่ให้พี่มีความสุขก็พอ”

       ได้ยินแล้วน้ำตาผมแทบไหล น้องชายใครวะพระเอกสุดๆ แสนดี อบอุ่น บอกเลยสาวๆ ต้องกรีส! พ่อเทพบุตรตัวไม่น้อยของผม

       “หนูก็คิดเหมือนลมหนาวค่ะ” น้องมิวพูดขึ้นมา โถ่แม่นางฟ้าตัวน้อยแสนดี

       “ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณจริงๆ”

       “แสดงว่าไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” ทำไมเด็กแค่นี้มันฉลาดกันจังวะ

       “ก็ อะอืม ระเรื่องจริง” ผมอ้อมแอ้มตอบอย่างตะกุกตะกัก

       “หึหึ ผมก็คิดไว้แล้วหละ ผมคิดถูกสินะ” ไปหัดทำหน้าร้ายๆ แบบนั้นมาจากไหน พ่อเทพบุตรของผม…

       “อืม พี่คิดว่า พี่ ชะชอบ ผู้กอง”

       “ถ้าเป็นผู้กอง ผมให้ผ่านนะ ผู้กองเป็นคนดี ผมคิดว่าเขาต้องดูแลพี่ได้แน่ๆ แถมยังรักมิดไนท์ด้วย หายากนะครับ คนแบบนี้ในสถานการณ์อย่างนี้” นี่น้องผมอายุ 12 จริงเหรอ แก่แดดจริงๆ แต่ก็ขอบคุณที่เข้าใจ

       “มีอีกเรื่อง ทุกคนคิดยังไงกับที่นี่” ผมถามน้องๆ ก่อนจะบอกสิ่งที่ต้องการ แต่ดูแล้วคนที่สนใจมีแค่ มิวกับลมหนาว ส่วนมิดไนท์นู้น นอนเล่นของเล่นอยู่นู้น สนใจผมไม่ถึงสามนาทีเลย

       “ก็ดีนะครับ บรรยากาศดี ผู้คนเป็นมิตร มีอาหารตลอดไม่เคยขาด” หลังจากได้คำตอบที่น่าพึงใจ ผมหันไปมองน้องมิวต่อ

       “ดีค่ะ” น้องตอบน้อยๆ ตามสไตล์

       “แล้วถ้าพี่บอกว่าเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ไปอยู่ที่ภูเก็ตแล้วหละ” ผมถามอย่างรำบากใจ เพราะผมไม่อยากให้ความต้องการส่วนตัวของผมทำให้น้องๆ ไม่มีความสุข

       “แล้วทำไมพี่บอกให้เราจัดกระเป๋าหละครับ” น้องถามอย่างสงสัย

       “ไปจริง แต่เราจะกลับมา เหมือนไปเที่ยวทะเลไง” น้องทำหน้าเข้าใจ ผมกำลังลุ้นคำตอบของพวกเขาอยู่

       “ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่เราอยู่ด้วยกัน ที่นี่ก็ดีจะได้อยู่กับน้องบี ลุงดำ และพี่แมนนี่ด้วย”

       “แมนนี่?”

       “ใช่ครับพี่แมนนี่ ก็พี่เขาคบอยู่กับหมู่นาย หมู่เทนอยู่ไม่ใช่หรอครับ ถ้าหมู่อยู่ที่นี่ พี่แมนนี่ก็ต้องอยู่ด้วยสิครับ” จริงด้วย ลืมคิดเรื่องนี้เลยแฮะ

       “แมนนี่ไม่เห็นบอกอะไรกับพี่เลย” เคืองครับเคือง เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ไม่เห็นบอกอะไรกันเลย

       “พี่แมนนี่คงรู้ว่ายังไงพี่ก็อยู่ที่นี่มั้งครับ เลยไม่ได้พูดอะไร” รู้อยู่แล้วนั้นเหรอ ผมมันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่จริง!!

       “พี่บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ผู้กองเป็นแค่หนึ่งเหตุผลที่พี่เลือกอยู่ที่นี่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่พี่เลือกอยู่ที่นี่อีกเหตุผลก็ เพราะหลายคนบอกว่าที่ภูเก็ตไม่ได้ดีอย่างที่คิด พี่เลยอยากให้เราอยู่ที่นี่มากกว่า และอีกหลายเหตุผล ไม่ใช่แค่เรื่องผู้กอง โอเคนะ”

       “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ง๊ะ…ก็อยากชี้แจงอะ คือผมไม่ได้ร้อนตัวนะ จริงจริ๊งง

       “แล้วพี่จะพูดกับมิดไนท์ยังไงดี” ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ ที่นอนเล่นของเล่นสบายใจเชิบอยู่บนพื้น

       “น้องก็คิดว่าผู้กองเป็นพ่ออยู่แล้วนิครับ ผมว่าน้องเข้าใจ ก่อนที่พี่จะรู้ใจตัวเองซะอีก” คงจริง น้องมองผู้กองเป็นพ่อและผมเป็นแม่อยู่แล้ว แม่? เรียกตัวเองว่าแม่แล้วปวดใจ ขอเป็นพ่อไม่ได้เหรอ

       “น้องไนท์มาหามัมหน่อยเร็ว”

       “คราฟ” พูดพร้อมวิ่งโถมตัวเข้าหาผม จนต้องกางแขนรับไว้ ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักผมที่นั่งอยู่บนเตียง พร้อมหอมแก้มแดงๆ นั้นทั้งซ้ายและขวา น่ามันเขี้ยวจริงๆ

       “มัมมีเรื่องจะคุยด้วยนะครับ คือถ้ามัมคบกับ ผู้กอ…เอ่อ ปะป๊า น้องไนท์จะว่าอะไรไหมครับ” ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจัง เริ่มใจไม่ดีแล้วนะ

       “คบ คืออะไรคราฟ” สรุปแล้วที่คิ้วจะชนกันอยู่ นี่คือไม่รู้เรื่อง? เฮ้ออ ไอ้เราก็คิดไปไกล

       “คบกัน คือ เป็นแฟนกันครับ”

       “มัมกับป๊า เป็นแฟนกันหรอ” คิ้วแทบจะผูกปมกันอีกแล้ว “มัมกับป๊าเป็นแฟนกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคราฟ เป็นอีกทำไม”

       เอ่อ…แล้วจะให้ตอบว่ายังไงหละ

       “ครับเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ก็เป็นแฟนกันต่อเนอะ” ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว โมเมว่าเป็นไปเลยดีกว่า

       “จริงดิ” เสียงเข้มๆ ออกทุ้มนั้นทำให้หัวใจผมมันเต้นเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมากในตอนนี้ ภาวนาให้ไม่ใช่คนที่ผมคิด ถึงแม้ผมจะค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ก็ตาม

      “สวัสดีครับ พี่เขย เฮ้ย! ผู้กอง หึหึ” แน่ใจแบบไม่ต้องหันไปดูเลย แต่อะไรคือพี่เขย ต้องพี่สะใภ้สิ!!

       “สวัสดีครับน้องชาย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ หึหึ” อะไรคือการหัวเราะสองหึ ใส่กัน

       “ป๊า! ป๊ามาแล้ว” เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามาหาผู้กองทันที ผู้กองนั่งชันเข่าลงข้างนึงเพื่อให้อยู่ระดับที่ใกล้เคียงกับมิดไนท์

       “ดูสิพาใครมาด้วย” ผู้กองพูดจบเจ้าสี่ขาสองตัวก็วิ่งเข้าห้องมาอย่างรู้งาน “อาบน้ำให้แล้วนะ รับรองว่าตัวหอมแน่นอน”

       มิดไนท์เลิกสนใจผู้กองแล้ววิ่งไปฟัดกับสหายสองตัวทันที

       “ไออุ่นจะคุยกับฉันที่นี่ หรืออีกห้อง” งือ ใครมันจะหน้าด้านคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนหลายคน

       “ทะที่ ห้อง” ผมรีบเดินออกจากห้องลมหนาวไปห้องของตัวเองทันที ก่อนที่น้องๆ จะเห็นอาการของผม เพราะผมรู้ว่าตัวเองต้องเขินมากแน่ๆ งือ…

       แล้วผู้กองได้ยินมากขนาดไหนนะ โอ้ยย อยากเอาหน้ามุดดิน ไปทำงานไม่ใช่เหรอทำไมต้องกลับมาตอนนี้ด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
[ต่อตอนที่ 14]

       เดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่ผมยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้กองเลย

       “เงยหน้าขึ้นมามองฉันหน่อยสิ” ผมเห็นปลายเท้าของผู้กองอยู่ใกล้มาก ถ้าเงยหน้าขึ้นไปหน้าผมกับผู้กองต้องใกล้กันมากแน่ๆ หน้าผมมันจะร้อนจนระเบิดไหมเนี่ย

       “…”

       “เงยหน้านะครับ” ทำไมต้องพูดเพราะด้วย แค่นี้ยังเขินไม่พอหรือไง แล้วไอ้น้ำเสียงนุ่มหวานนั้นคืออะไร จะบ้าตาย…

       “…”

       “นะครับ” งือ แล้วใครจะทนไม่ไหว ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้กอง แล้วผมก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด

        สายตาที่มองมาด้วยความรักใคร่ กับรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่เคยได้เห็น ระเบิดตัวเองตายไปเลยไออุ่นมึง

       “จริงหรือเปล่าที่พูด” สมองผมมันกำลังตื้อ เพราะรอยยิ้มอบอุ่นนี้ สายตาผมละไปไหนไม่ได้เลย

       “เรื่องอะไรครับ” เหมือนละเมอพูด

       “เรื่องที่พูดกับน้องๆ น่ะครับ” หือเรื่องที่พูดกับน้องๆ เหรอ

       “จริง”

       “หึหึ ถ้างั้นเรามาคบกันนะ นะครับ” ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย ยิ่งยิ้มยิ่งหล่อ เห็นแล้วใจกระตุก ผมจะเป็นโรคหัวใจไหมเนี่ย

       “ครับ” ฟึบ! อยู่ดีๆ ก็เกิดแรงรัดรอบตัวผมอย่างแรง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เหมือนผมเพิ่งได้สติ หะ ผู้กองกอดผมตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

       “เป็นแฟนกันแล้วนะ” หะ เป็นตอนไหน อะไร? ยังไง ผมคิดทบทวน…

       ชิบหาย ผมหลงรอยยิ้มผู้กองจนพูดทุกอย่างออกไปอัตโนมัติเลย นี่ผมไม่คิดจะเล่นตัวเลยเหรอ เอาวะไหนๆก็ไหนๆ แล้ว ตามน้ำไปเลยแล้วกัน ถ้าให้พูดตอนมีสติ ผมต้องเขินหนักแน่ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว

       “อุ่นจะอยู่กับพี่ที่นี่ใช่ไหม” อะไรคืออุ่น แล้วอะไรคือการแทนตัวเองว่าพี่ อะไร!! คงเพราะผมไม่ตอบ ผู้กองจึงละอ้อมแขนออกไปเพื่อมองหน้า และหน้าผมมันคงเอ๋อมากแน่ๆ ผู้กองจึงยิ้มมุมปากเเบบนั้น

       “เราเป็นแฟนกันแล้วหนิ ต่อไปจะเรียกไออุ่น แล้วแทนตัวเองว่าพี่ อุ่นก็เรียกด้วย ตกลงไหม?” แค่ได้ยินยังขนาดนี้ ถ้าเรียกเองจะขนาดไหน ไม่!! ผมต้องตายเพราะความเขินแน่ๆ งือ ผู้กองอะ จะบ้าตาย

       “ระเรียก เหมือนเดิม ไม่ได้ เหรอครับ” แค่พูด ทำไมต้องตะกุกตะกักด้วยวะเนี่ย อาการหนักแล้วผม

       “ไม่อยากให้พี่แทนตัวเองว่าพี่เหรอ” ทำไมต้องทำหน้าหงอยขนาดนั้น

       “ไม่ใช่ครับ คือๆ คือ เอ่อคือ ผะผมเขิน” งือ ทำไมกูเคะแตกขึ้นเรื่อยๆ วะเนี่ย

       “หึหึ แรกๆ ก็เขินแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน แล้วตงลงว่าไง เรื่องที่พี่ถาม อุ่นจะอยู่ที่นี่กับพี่หรือเปล่า”

       “ยะอยู่ครับ” ผมจะละลายกลายเป็นของเหลวแล้วนะ

       “งั้นพี่ไปทำงานต่อก่อนนะ พอดีพี่แค่เเวะขึ้นมาเอาเอกสารแล้วดันได้ยินเรื่องสำคัญ หึหึ ต้องรีบไปแล้ว หมู่เทนรอนานแล้ว ก่อนไปขอกำลังใจหน่อยสิ นะครับ” โอ้ยยนี่ก็อ้อนจริง เกิดมาไม่เคยอ้อนรึไง

       “สู้ๆ ครับ” ไหงทำหน้าอย่างนั้น ไม่ชอบหรือไง

       “แบบนี้ต่างๆ”  อะไร

       “อืม…” แบบนี้สินะ กำลังใจแบบลิ้นชนลิ้นสินะ

       ความวาบหวามทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาเกาะไหล่ผู้กองไว้ ลิ้นร้อนสำรวจไปทั่วโพลงปากของผม ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปทั่วแผนหลังเพิ่มความวาบหวามให้มากขึ้นไปอีก

        ผู้กองละริมฝีปากออกห่างในที่สุด ผมนึกว่ามันจบแล้ว แต่ไม่ใช่ ผู้กองแค่ปล่อยให้ผมหายใจเท่านั้น ก่อนที่จะฉกชิมริมฝีปากผมอีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่มีการล่วงล้ำใดๆ แค่ขบเม้นเบาๆ จากริมฝีปากบนมาล่าง ความนุ่มนวลยิ่งทำให้ใจผมมันงานหนักยิ่งขึ้น

       ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผู้กองจึงละริมฝีปากออกมาในที่สุด แต่หน้ายังใกล้กันอยู่ดี สายตาผมไม่อาจละไปจากตาคมนั้นได้เลย เหมือนผมโดนสะกดให้ไม่อาจไปไหนได้

       “พี่รักอุ่นนะครับ ชีวิตพี่มีแต่การฝึก พี่ไม่เคยมีคนรักมาก่อน หลายครั้งพี่อาจดูแข็งกระด้าง แต่พี่จะพยายามอ่อนโยนขึ้นนะ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตพี่ ให้พี่ได้เรียนรู้ที่จะรัก เรียนรู้ที่จะอ่อนโยน พี่จะดูแลเรากับน้องๆ ให้ดีที่สุด พี่สัญญา” ละลายตายไปเลยกู

       “ผมก็ ก็ ระรัก พะพี่ธามครับ” นี่ผมเรียกพี่ธามเหรอ แม่ง เอาหัวมุดลงหลุมไหนดีวะ

       “ขอบคุณครับ พี่ไปแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้พี่มานอนด้วย จุ๊บ” หะ อะไรนะ นอนอะไร ใครอนุญาต เดี๋ยวคุยกันก่อน ไม่ทันแล้ว เดินลงไปแล้ว ม่ายยยย

       ผมนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น คิดไปเขินไป นี่ผมคบกับผู้กองแล้วสินะ แถมยังบอกรักกันแล้วด้วย

       หลังจากได้สติ ก็เกิดอาการเขินจนไม่อาจสู้หน้าผู้กอง แต่ผู้กองดันจะมานอนด้วยคืนนี้ แล้วผมจะนอนหลับไหมเนี่ย

       
+  +  +


       ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เรากำลังนั่งรถออกมาหลังจากร่ำลากันเสร็จ จริงๆ ไม่ต้องลาก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวก็กลับแล้ว ผมนั่งรถกระบะที่มีผู้กองเป็นคนขับ รถเราเป็นรถคันที่สองรองจากรถของหมวดโฟรคและไอ้น้องริว ใช่ครับทีที03 ไปด้วย ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าทำไมต้องขนกันไปเยอะขนาดนี้ ยังกะจะไปทำสงคราม

       ส่วนรถของผมมีผู้กองที่เป็นคนขับ ถัดไปมีน้องมิว ลมหนาว และมิดไนท์ กระบะหลังเอาไว้ใส่กระเป๋าเสื้อผ้า และข้าวของ ตามด้วยรถยัส และรถบรรทุกอีกหลายคัน ปิดท้ายด้วยรถของหมู่เทน หมู่นาย และแมนนี่ ส่วนคุณโรสนั่งรถโรงเรียนที่ขับตามหลังรถผม ทีแรกเธอบอกว่าจะไปกับผู้กอง แต่เห็นผมอยู่ด้วยเธอก็เดินหนีทันที ดูแล้วชาตินี้เราคงญาติดีกันไม่ได้ ถึงดีกันไม่ได้ ขอแค่อย่าร้ายใส่กันก็พอ

       คุณคงสงสัยหละสิว่าทำไมผมถึงเล่าข้าม คืนนั้นเกิดอะไรขึ้น บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะผมพามิดไนท์มานอนด้วย ฮาๆๆๆ อยากให้เห็นสีหน้าผู้กองโคตรเหวอเลย ครึครึ

       ผู้กองบอกตอนเช้าจะถึงค่ายที่จังหวัดชุมพรพอดี เราจะนำเสบียงส่วนหนึ่งให้ที่ค่าย แล้วเดินทางต่อไปท่าเรือที่จังหวัดพังงาทันที เพื่อรักษาความสดของพืชผัก

       ตลอดการเดินทางเราเจอซอมบี้ตลอดแต่ไม่มากนัก เพราะเป็นทางหลักที่ทหารใช้ ซอมบี้แถวนี้จึงถูกกำจัดแล้ว แต่ด้วยรถมีจำนวนมาก ทำให้เสียงดังมากกว่าปกติ จึงมีซอมบี้ ที่อยู่ไกลจากบริเวณถนนได้ยินเสียงแล้วตามมา

       แต่ที่ตื่นเต้นที่สุดคือการที่เราไม่รู้ว่าซอมบี้ที่โผล่มาจากทางไหน เพราะมันเป็นตอนกลางคืน หันไปทางไหนก็มืดหมด เห็นอีกทีก็ตอนพวกมันมาใกล้รถแล้ว เราใช้ปืนเก็บเสียงในการจัดการ มีแค่แมนนี่ที่รั้งท้ายขบวนที่ใช้ธนู เห็นแล้วอยากไปร่วมด้วยจัง

       “ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะ” เสียงผู้กองพูดขึ้นมา ผมจึงละความสนใจจากนอกหน้าต่างรถหันไปหาต้นเสียง

       “ใครมันจะไปหลับลง ตื่นเต้นอย่างกับหนังผี” ใช่ครับ อย่างกับหนังผีเลย อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเกาะกระจกรถ หลอนมากบอกเลย

       “หึหึ เดี๋ยวก็ชิน ดูมิดไนท์สิทีแรกก็ตื่นเต้น พอตอนนี้หลับไปแล้ว” ผมหันมองเจ้าตัวเล็กที่นอนหลับหนุ่นตักลมหนาว “ปากบอกจะอยู่เป็นเพื่อนป๊าจนเช้า ไม่ถึงชั่วโมงก็หลับซะแล้ว”

       เราขับรถมาตลอดทาง ผมหลับบ้างตื่นบ้าง ตามเสียงที่เข้ามาในประสาทหู จนตอนนี้เวลา ตีห้าครึ่งแล้ว

       “เหนื่อยไหมครับ” ผมหันไปถามคนที่กำลังขับรถอยู่ ต้องขับรถตลอดทั้งคืนคงเหนื่อยน่าดู

       “นิดหน่อยครับ ใกล้ถึงแล้วหละ ไม่ต้องห่วง” ผมลุกขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนเมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้ว


       เรามาถึงค่ายตอน 06.00 น. พอดีเปะ คนในค่ายวิ่งออกมาต้อนรับใหญ่เลย มีทั้งเด็กเเละคนแก่ คนที่อยู่ในวัยทำงานแทบไม่มีเลย ดูแล้วมีไม่กี่คนเอง

       พวกเราลงจากรถ เข้าไปทักทายทุกคน ทำไมถึงผอมกันขนาดนี้นะ ทำไมกัน

       “ขอบคุณมากเลยพอหนุ่ม ขอบคุณที่ไม่ลืมพวกเรา ขอบคุณ” เสียงขอบคุณ เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมอดตื้นตันไม่ได้ ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเหรอ กลับไปผมจะทำให้ดีกว่านี้ ผมจะไม่บ่น เอ่อ คือ จะพยายามไม่บ่นน่ะ แหะๆ

       เราขนข้าวสารเกือบยี่สิบกระสอบลงไปไว้ในค่าย ทั้งกล้วย มันเทศ ฟักทอง และพืชผักต่างๆ อีกมากมาย

       “พวกเราขอพักที่นี่สักสองสามชั่วโมงก่อนเดินทางนะครับ” ผู้กองบอกกับคุณยาย ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคนที่อาวุโสสุดของที่นี่

       “เดี๋ยวยายไปทำอาหารมาให้”

       “ไม่เป็นไรครับ ยายเก็บเสบียงไว้เถอะ พวกเราเตรียมอาหารมาด้วย ไม่ต้องห่วงครับ”

       “ต้องการอะไรบอกยายเลยนะลูก เดี๋ยวยายหาให้” ถึงแม้จะอดอยากแค่ไหน แต่ไม่เคยแล้งน้ำใจเลย ผมนับถือยายจริงๆ

       พวกเราพักกันอยู่ที่รถ แล้วแบ่งเวรยามกันเฝ้า ผมได้มีโอกาสเข้าไปดูข้างใน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นคุกมาก่อน ห้องขังกลายเป็นห้องนอนที่ถูกประดับตกแต่งตามสไตล์ของผู้อยู่ อย่างที่ผมเคยบอกที่นี่ส่วนมากจะเป็นเด็ก และคนแก่ มีวัยทำงานอยู่ไม่กี่คน พื้นที่ว่างข้างในใช้ในการปลูกพืชผัก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนแล้ว ดูก็รู้แล้วว่าไม่พอ แต่จะให้ผู้สูงอายุและเด็กๆ ออกไปหาอาหารข้างนอกก็อันตรายเกินไป ทำไมที่นี่ไม่มีคนดูแล

       “ผู้กอง เอ่อ พะพี่ธาม” มีสักครั้งไหมที่จะไม่เขิน งือ “คือผมสงสัยว่าทำไมที่นี่มีแต่คนแก่ กับเด็ก” ผมถามผู้กองที่เพิ่งตื่น เจ้าตัวงัวเงียแต่พยายามตั้งสติเพื่อตอบผม

       “แต่ก่อนค่ายนี้ก็เหมือนค่ายทั่วไป มีคนดูแลทั้งทหาร และชายหนุ่ม ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน แต่เพราะผู้นำต้องการคนไปออกทะเลหาปลา ผู้ชายจึงถูกเกณฑ์ไปกันเกือบหมด พวกผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็ถูกเกณฑ์ไป…ข้างใน เลยเหลือแค่นี้” ผมว่ามันมีอะไรมากกว่าคำว่า ‘ข้างใน’ เพราะดูผู้กองจะเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้พอสมควร

       “แล้วเขาเอาปลามาแบ่งที่ค่ายบ้างไหม ผมเห็นทุกคนผอมมากเลย” เห็นแล้วเศร้าใจ เด็กๆ ไม่ควรจะผอมแบบนี้

       “ไม่”

       “ทำไมไม่แบ่งละครับ เอากำลังพลเขาไป ต้องแบ่งอาหารให้เขาสิ” ไม่ชอบเลยแบบนี้

       “ถ้าทุกคนคิดได้แบบนี้ก็ดีสิ แต่เราต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนดี แต่ประเทศเราโชคร้ายกว่านั้นที่มีผู้นำที่คิดเรื่องดีๆ ไม่ได้” เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ สินะ

       “ถ้าไม่ดี เราปลดเขาไม่ได้หรอ”

       “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ เขามีทั้งอาวุธ และกำลังพล การต่อกรด้วยก็เหมือนฆ่าตัวตาย” แล้วเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ แค่ซอมบี้กับโจรก็เกินพอแล้ว ยังต้องเจอกับผู้นำที่เลวร้ายแบบนี้อีกเหรอ ประเทศเรามันทำบุญด้วยอะไรวะเนี่ย ผมจะได้ ไม่ทำด้วย

       “ไปถึงที่นู้นอย่าออกไปไหนโดยไม่บอกเด็ดขาด จะไปไหนให้บอกพี่ก่อนนะครับ พี่เป็นห่วง” งือ แล้วใครจะขัดได้หละ

       “ครับ แต่ที่นั้นมันเลวร้ายมากเลยเหรอ” ไหนก่อนที่ไฟจะดับ มีโฆษณาบอกที่นั้นเหมือนสวรรค์ที่ปลอดซอมบี้เลย โฆษณาชวนเชื่อจริงๆ

         “สถานที่มันไม่ได้เลวร้ายหรอก คนต่างหากที่เลวร้าย ในสภาวะที่ผู้คนอดอยาก การลักขโมยเกิดขึ้นทุกหย่อมย่าน สถานการณ์ที่เผชิญทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ผู้นำที่ไม่ช่วยอะไรเลย ทุกคนต้องพึ่งพาตนเอง ออกไปจากที่นั้นก็ไม่ได้ เพราะทางเดียวที่ออกไปได้คือนั่งเรือออกไป แล้วอุ่นคิดว่ามันเลวร้ายไหม พี่ตัดสินแทนใครไม่ได้หรอก อุ่นต้องเห็นและตัดสินด้วยตัวเอง” จากที่ได้ฟัง คงตัดสินได้ไม่ยาก แต่เพื่อความเป็นธรรมเราต้องไปเจอกับตาก่อน เป็นไงผมมีสติขึ้นใช่ไหมหละ ครึครึ แน่นอนก็ผมโตขึ้นหนิ

       “ป๊า มัม! นี่ตุ๊กตา เหมือนข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลย งือ คิดถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอ่า” เมื่อกี่ยังดีใจที่ได้ของเล่น พอพูดถึงเพื่อนซี้สี่ขาดันหน้างอซะงั้น

       “เดี๋ยวเราก็กลับไปครับ พี่บีบอกจะดูแลให้เป็นอย่างดีหนิครับ เลิกหน้างอได้แล้ว” ผมจับแก้มทั้งสองข้างยืดออก ชักจะเจ้าเนื้อขึ้นทุกวัน สงสัยต้องลดอาหารแล้วมั้ง

       “งือ มัม น้องไนท์เจ็บอ่า ปะป๊า” พอผมไม่ปล่อยก็หันไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองทันที

       “หึหึ ก็แก้มน้องไนท์นิ่มหนิครับ มัมเลยอยากจับ มานี่มา มาให้ป๊าหอมหน่อยเร็ว” ทำยังไงได้ผมก็ต้องปล่อยแก้มย้วยๆ นั้นไปให้ป๊าเขานะสิ

       “ฟอด ฟอด แก้มหอมจัง ลูกใครเนี่ย”

      “ลูกป๊ากับมัมคราฟ” ฮือ…ละลายกลายเป็นไอไปตรงนี้เลย

      พรุ่งนี้ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร อย่างน้อยผมก็มีคนที่ผมรักและรักผมอยู่ข้างๆ เสมอ




ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หืมมม ไออุ่นบอกว่าไออุ่นเป็นผัวเหรอ?  :hao7:
จะรอดูวันนั้นอุ่น 5555

ออฟไลน์ kim2b::teddy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอให้กลับกันมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ แงๆๆ กลัวเจอดราม่าที่ภูเก็ตอะ :sad4:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 15 -


[ไออุ่น]


       ลมทะเลปะทะใบหน้า รสเค็มปะแล่มจากน้ำทำเลที่กระเซ็นสาดเข้ามาเป็นละลอก บ่งบอกได้ดีว่าเราอยู่ที่ไหน

       ปลายปีของหลายจังหวัดอาจเป็นฤดูหนาว แต่ไม่ใช่กับภาคใต้ในตอนนี้ คลื่นที่สูงกว่าปกติ บวกกับเมฆฝนที่ลอยตัวต่ำ เป็นตัวเร่งให้เราต้องไปถึงที่หมายโดยเร็ว

       ยามเรือโต้คลื่น ทำให้ภายในเรือโคลงเคลงจนน่าเวียนหัว หลายคนใช้หน้าห้องน้ำเป็นที่สิงสถิต เพื่อง่ายต่อการวิ่งไปอวก อาการเมาเรือทำให้หลายคนหมดสภาพ บ้างก็อวก บ้างก็นอนสลบไสลจากฤทธิ์ยาแก้เมาเรือ ส่วนตัวผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อยู่ในส่วนไหนขออุบไว้ก็แล้วกัน เพราะสภาพมันน่าอนาถเกินไป

       เรือขนสินค้ารำใหญ่ไม่ได้น่าพิสมัยอย่างที่คิด ยามเรือนั้นโต้คลื่นเสมือนกับกำลังนั่งรถไฟเหาะก็ไม่ปราณ แต่มันเป็นการเล่นที่ยาวนานมาก ซึ่งเราลงจากมันไม่ได้ซะด้วย ถึงจะอยากลงมากแค่ไหนก็ตาม...

       “อวก!!” แหะๆ เสียงผมเองแหละ ว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะ แต่ไหนๆ คุณก็รู้แล้ว ผมจะเล่าความอนาถให้คุณฟังเลยก็แล้วกัน แต่ก่อนจะเล่าขออวกก่อน ไม่ไหวแล้ว มันตีขึ้นมาถึงคอแล้ว อวก!!

       “ไหวไหม นี่น้ำ ล้างปากก่อน” มือหนาที่กำลังลูบหลัง กับน้ำเสียงห่วงใยของผู้กอง ไม่ได้ทำให้ผมสนจะชักโครกมากกว่าเขาได้เลย ขอโทษนะผู้กอง ตอนนี้ชักโครกน่าสนใจกว่าคุณอีก I’m so sorry. TT

       นั่งกอดชักโครกประหนึ่งนั่งกอดเมีย

       “ดีขึ้นยัง” เสียงของผู้กองดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมตัดใจจากชักโครกแล้วหันไปตอบผู้กอง พร้อมกดน้ำ

       “ไม่มีคำว่าดีขึ้นได้ ถ้าไม่ถึงฝั่ง อีกนานไหม เรานั่งเรือมาชาตินึงแล้วนะ”

       “เวอร์ไป นั่งมาแค่ชั่วโมง สองชั่วโมงเอง” ทำไมมันช้าจังวะ

       “นี่นั่งเรือ หรือนั่งเต่า”

       “เอาน่า จะถึงแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ทนอีกนิดนะครับ” คำว่าครับในสถานการณ์นี้ ไม่สามารถทำให้ผมเขินได้เลย นี่กูมีภูมิคุ้มกันความเขินในสถานการณ์แบบนี้เหรอ ช่างหน้าภูมิใจจริงๆตู

       “มัมหยุดอวกแล้ว!!” เสียงเจ้าตัวเล็กดังขึ้นจากหน้าห้องน้ำ น้ำเสียงใสแจ๋วสนุกสนาน ประหนึ่งอยู่ในสวนสนุก เรือกับคลื่นไม่สามารถทำอะไรเจ้าตัวเล็กของเราได้เลย

       “เดี๋ยวมันก็อวกอีก มิดไนท์ไปกับพี่แมนนี่คนสวยดีกว่า ปล่อยให้มัมเรานั่งกอดชักโครกไปเถอะครับ ปะ” ช่างเป็นห่วง เป็นใยเพื่อนเหลือเกิน เห็นแล้วน้ำตาแทบไหล กระซิกๆ

       “มัมหายเร็วๆ นะครับ สู้ๆ บ๊ายบาย” โบกมือแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่าหน้าประตู

       “ไม่อวกแล้วออกไปนอนข้างนอกดีกว่า ปะ” ผู้กองประคองผมเดินออกจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ไม่มีแรงครับ ถ้าผู้กองไม่ช่วยผมคงได้คลานออกจากห้องน้ำ แค่คิดก็อนาถใจ

       “ลมหนาวเป็นยังไงบ้างครับ” สถานการณ์แบบนี้ความคงความเขินเอาไว้ก่อน

       “หลับไปนานแล้วครับ เหลือแต่เรานี่แหละที่ยังอวกอยู่ ไม่ง่วงบ้างหรือไง หืม…” อยากง่วง อยากหลับเหมือนคนอื่นนะ แต่มันไม่หลับไง ใครมันจะไปอยากนั่งกอดชักโครก ให้แฟนหมาดๆ ดูหละ

       “หึหึ ไม่ต้องด่าทางสายตาหรอก นอนได้แล้วจะได้ไม่อวกอีก ถึงแล้วจะปลุก ไม่ต้องห่วงพี่จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้แหละ นอนเถอะ”

       “แค่เป็นเพื่อนเองเหรอ นึกว่าเป็นอย่างอื่นซะอีก” อาการรอมร่ออยู่แล้วกูยังมีอารมณ์หยอดอีก ยอมใจตัวเองจริงๆ

       “ให้อยู่เป็นสามีก็ได้นะครับ” ชิบหาย โดนเข้าแล้วตู จะเขินก็เขินไม่สุด สะดุดตรงคำว่า ‘สามี’ ม่ายยย!! ผมสิต้องเป็นสามี

       “ไร้สาระ จะนอนแล้ว”

       “หึหึ ครับ งั้นนอนเถอะ ต้องกล่อมนอนไหม”

       “ผมไม่ใช่เด็กนะ!”

       “อ่าวเหรอ นึกว่าใช่ โทษที” บอกโทษทีด้วยรอยยิ้มมุมปาก จ๊ะ เชื่อว่ารู้สึกผิดจริงๆ เหอะ!!

       ผมพูดคุย เรียกว่าพูดคุยไหม หรือโต้เถียง อะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ผมพูดคุยกับผู้กองไปสักพัก ก็เผลอหลับไป หลับเพราะพูดคุยเหรอ? บอกเลยว่าไม่ใช่ หลับเพราะมือหนาของผู้กองต่าหาก ที่คอยลูบเบาๆ เพลินดีครับ ผมเลยเผลอหลับ หลังจากนั่งกอดชักโครกเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง



+  +  +



       โลกที่มีแต่ยูริคอร์นตัวสีขาว สีชมพูวิ่งไปมากลางทุ่งสายไหม บ้านขนมหวานหลากสีสัน ช่วนให้น้ำลายไหลมากกว่าน่าอยู่ ภูตตัวน้อยวิ่งเล่นหยอกล้อเสียงดังไปทั่วบริเวณบ้าน ภูตน้อยตัวสีม่วงมองเห็นถึงการมีอยู่ของผม เธอยิ้มให้ผมอย่างเอียงอาย เธอช่วนให้ผมเข้าไปในบ้านขนมหวานสีสวยนั้น ผมตามเธอเข้าไปอย่างตื่นเต้น ข้างนอกที่ว่าสวยแล้วยังสู้ข้างในไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ข้างในที่ประดับตกแต่งด้วยขนมหวานหลากหลายชนิด หลากหลายสีสัน จากหลากหลายประเทศรวมกันอยู่อย่างลงตัว

       ภูตน้อยผายมือให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ลูกกวาด ที่มีโต๊ะลูกกวาดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า บนโต๊ะเต็มไปด้วยขนมหลากหลายชนิดรอให้ผมได้ริ่มชิมรส

       “กินได้เลยใช่ไหมครับ” น่ากินจนแทบทนไม่ไหว ภูตน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กินแล้วนะครับ” เสร็จโจร ครึครึ

       “ป๊อกเก้า สองเด่ง!!!” หือ…ทำไมภูตน้อยพูดแบบนั้น

       “จ่ายมาเลย!!” อะไร?

       “โห ชนะอีกแล้ว เซ็งเลย”

       “กากเอง ฮาๆๆๆ!!!”

       “เฮือก! ขนม!!!” ขนมผมหายไปไหน?

       “เชี่ย!! อะไรของมึงอีอุ่น กูตกใจหมด ฟาย!!” ผมหันไปมองต้นเสียง เจอแมนนี่นั่งท้าวเอวมองมาอย่างหาเรื่อง

       นี่มันสถานการณ์อะไร ผมอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วนั่งล้อมวงทำอะไรกัน เฮ้ย ขนมผมหละ ไปไหนๆ ไม่มีๆ

       “เป็นอะไรของมึงอีก หาอะไร หาสติตัวเองหรือไง กูว่าสติมึงคงหลุดไปกับคลื่นแล้วหละ” หะ!! คลื่น! ใช้ๆ ก่อนหน้านี้ผมอยู่บนเรือที่กำลังเผชิญกับคลื่นสูง แล้วผมก็ไปโผล่ที่เมืองขนม หรือ ผมฝัน? ชิบหาย ฝันอะไรของผมเนี่ย แม่งหน่อมแน้มชิบหาย ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เดี๋ยวโดนล้อตายเลย

       ผมเริ่มสำรวจสถานที่ที่ตัวเองอยู่ เป็นห้องกว้างๆ ห้องนึง มีเตียงที่ผมกำลังนอน มีโซฟาอยู่อีกด้านนึงของห้อง ห้องเป็นห้องที่เพดานสูง ทั้งห้องทาด้วยสีขาวส่งให้ห้องดูโปร่งและกว้างขึ้น กลางห้องมี…วงไพ่ เอิ่ม มาได้ไงวะเนี่ย แม่งข้างหน้ามีแต่กองแบงค์พันเต็มเลย ในวงมี แมนนี่เจ้ามือ ลมหนาว น้องมิว หมู่เทน และมิดไนท์ที่นั่งเล่นข้างๆวงไผ่ นี่มันสถานการณ์อะไรวะเนี่ย

       “โอ้ยย ไม่เล่นแล้ว ไม่สนุกแล้ว ไปเล่นน้ำทะเลดีกว่า!” เล่นน้ำทะเล? แสดงว่าเราอยู่ที่ภูเก็ตแล้วสิ แล้วผู้กองไปไหน

       “แล้วผู้กองไปไหน” ผมมองหาไปทั่วห้องแล้วก็ไม่เจอ

       “แหมะ! ตื่นมาก็ถามหาผัวเลยนะยะ” ผัวบ้าอะไร บอกกี่ครั้งแล้วผมต่างหากผัว!! แล้วทำไมหมู่เทนต้องยิ้มล้อผมด้วย พอกันทั้งผัวทั้งเมียเลย นี่ถ้าหมู่นายอยู่คงล้อผมทั้งสามคนเลยสินะ ซิ!!

       “ผู้กองไปจัดการเรื่องเสบียงครับ คงกลับมาเย็นๆ หรือไม่ก็ตอนกลางคืน” จะให้อภัยหมู่เทน เพราะตอบคำถามผมก็แล้วกัน

       “แล้วทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ได้ละครับ” จำได้ครั้งล่าสุดกำลังนอนอยู่บนเรือหนิ

       “ก็มึงหลับไงยะ แม่งไม่รู้หลับหรือซ้อมตาย ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เหลืออีกนิดกูจะเอาน้ำสาดมึงแล้วนะ ถ้าผู้กองไม่อุ้มมาก่อนกูสาดแล้วจริงๆ”

       “ผู้กอง อุ้ม?”

       “เออนะสิ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทรารึไงยะ สงสารผู้กองสุดหล่อที่ต้องอุ้มมึงมากเลย แม่งอุ้มเดินมาตั้งไกล เออ แต่เขาเป็นผัวมึงนี่หว่า ช่างเหอะ ตกลงจะไปเล่นน้ำได้ยังพี่เทน อยากเล่นน้ำแล้วนะ”

       “รอให้ผู้กองกลับมาก่อนดีกว่าเนาะ”

       “รอทำไม ไหนบอกผู้กองจะกลับมาตอนเย็นๆ หรือไม่ก็ตอนกลางคืนไง แล้วจะให้เล่นตอนกลางคืนหรอ ทะเลก็อยู่แค่นี้เอง นะๆ นะคะ นะพี่เทนนะ”

       “ก็ได้ครับ แต่ทุกคนต้องอยู่ในสายตาพี่ตลอดนะ ข้างนอกมันอันตราย” แล้วเขาสองคนก็คุยกันโดยไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ไร้ตัวตนสุดๆ



       ตอนนี้เราอยู่ที่ชายหาดหน้าบ้านพัก ผมเพิ่งมีโอกาสได้เห็นข้างนอกครั้งแรก บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลางสีขาวติดกับชายหาด ด้านข้างเป็นบ้านคน มีทั้งหลังเล็กและใหญ่ปะปนกันไป ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาทั่วบริเวณ หลายคนกำลังตกปลาอยู่บนเรือเล็ก ที่กำลังลอยละล่องอยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ผู้คนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ร่างกายค่อนข้างผอม แต่ก็ไม่ได้ผอมขนาดผู้คนที่อยู่ในค่ายที่เราเพิ่งจากมา หลายคนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แตกต่างกันไป แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าสายตานั้นมันกำลังสื่ออะไร ความอิจฉา? ความสงสาร? เห็นใจ? ไม่ชอบ? อยากรู้จัก? ทุกคนที่เดินผ่านต่างหันมามองเรา และยิ่งเสียงหัวเราะเราดังมากความสนใจยิ่งมากไปด้วย หรือเพราะพวกเราเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวในบริเวณนี้ที่ดูมีความสุข  แล้วทำไมพวกเขาถึงทุกข์ ทำไมกัน

      “อีอุ่นยืนเอ๋ออะไรตรงนั้น ลงมาสิยะ” ผมหันไปสนใจทางริมหาดต่อ แมนนี่ที่เรียกผมด้วยถ้อยคำสุภาพ? กำลังเล่นน้ำอยู่กับหมู่เทน น้องมิว มิดไนท์ โดยมีลมหนาวนั่งเฝ้าอยู่ริมฝั่ง ถึงแผลน้องจะหายแล้ว แต่ก็ยังไม่ควรที่จะลงไปแช่น้ำทะเล

       ผมขอตัวไปเล่นน้ำก่อนก็แล้วกัน

     

       ปลาทอดร้อนๆ ส่งกลิ่นไปทั่วห้องครัว ยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดี ผมกำลังนั่งรออย่างใจจดใจจ่อเพื่อที่จะได้กินฝีมือการทำกับข้าวของหมู่เทน ผมก็อยากช่วยนะ แต่ทำไม่เป็น แหะๆ

       เรานั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะฝีมือการทำกับข้าวของหมู่เทน หรือเพราะความหิวไม่รู้ที่ทำให้กับข้าวหมดเร็วขนาดนี้

       “พี่เทน ทำไมชาวบ้านถึงมองเราแปลกๆ แบบนั้นหละครับ” เมื่อเราเริ่มสนิท สรรพนามในการเรียกก็เปลี่ยนไปทันที

       “มีหลายอย่าง บางคนสงสารเราที่มาอยู่ที่นี่ บางคนอิจฉาที่เรามีอาหารกินเพราะเขารู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านทหาร บางคนไม่ชอบเพราะเราดูสมบูรณ์ไม่ผอมแห้งเหมือนเขา และอีกหลายอย่าง” ที่นี่อดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ

       “แต่ผู้กองบอกว่ามีเรือประมงอยู่เยอะ มีแรงงานทำประมงเยอะด้วยเช่นกัน ทำไมผู้คนยังอดอยากอีกหละครับ”

       “อาหารที่นำมา มันแจกจ่ายเฉพาะคนบางกลุ่ม หรือถ้าแบ่งมาก็มาในปริมาณที่น้อยมาก และนานๆมาที สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น อันนี้ยังน้อยนะครับ ผู้คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้ทะเลนี่สิน่าสงสารที่สุด” จริง ที่นี่ยังขนาดนี้ เเล้วที่ที่ไม่มีทะเลจะขนาดไหน

       “แล้วคุณโรสละครับ” ตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมายังไม่เจอคุณโรสเลย

       “เอ่อ คือ เธออยากไปพบผู้นำสูงสุดหนะครับ” หืม…ไปพบผู้นำเพื่อ?

       “ไปพบผู้นำ? ไปพบทำไมครับ”

       “เอ่อ คือ…” พี่เทนเหมือนลำบากที่จะตอบ

       “ไปเอาเต้าไต่ ให้ได้เป็นเมียผู้นำไงยะ”

       “มึงก็พูดไป” เธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง

       “น้อยไปสิยะ ทำไมฉันจะมองไม่ออกมักใหญ่ไฝ่สูงขนาดนั้น เหอะ!!” เธออาจจะไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่ชอบหน้าผมก็ได้

       “มองด้านลบเกินไปมึง เธออาจจะไม่อยากเห็นหน้ากูก็ได้” ไปเป็นเมียผู้นำเลยเหรอ ไม่มั้ง

       “ไม่ไปเป็นเมียผู้นำ ก็คงไปเพราะอยากอยู่กับผัวมึงมั้ง” ขี้เกียจด่า จะเข้าใจยังไงก็ช่างมัน ชิ แต่อะไรคือตามผู้กองไป “โว้ย กูพูดเล่น เลิกทำหน้าเป็นหมาแดกแฟบได้แล้ว นางไปอ่อยผู้นำนั้นแหละ เชื่อกู กูเรียนมา”

       น่าเชื่อถือมาก ถุ้ย!!

       
       ตอนนี้เวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วผู้กองยังไม่กลับมาเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ เป็นห่วงจัง

      “มัม น้องไนท์ง่วงแล้วครับ” ผมมองเจ้าตัวเล็กที่พามานอนด้วย

       “ครับ มัมมาแล้ว” ผมกอดเขาพร้อมลูบหลังเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับ แต่อาการตอนนี้ไม่รู้ใครจะหลับก่อนกัน ง่วงสุดๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับผู้กอง ขอไปฝันก่อนเผื่อคราวนี้จะได้กินขนม คราวที่แล้วได้แค่อ้าปากยังไม่ได้งับเลย เสียดาย…



(มีต่อข้างล่างนะคะ)


ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
(ต่อตอนที่ 15)



       อือ…หนัก อะไรมาพาดอยู่เอวผมหนะ อืม…แขน? แขนใคร ผมหันไปมองไม่ได้เลย เพราะแขนที่รัดเอวอยู่มันแน่นมาก ยิ่งผมพยายามแกะออก มันยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

       “จะดิ้นทำไมครับ หืม…” โอเค แค่เสียงก็รู้แล้วว่าใคร ถ้าเป็นปกติผมจะรู้เร็วกว่านี้นะ แต่ตอนนี้เพิ่งตื่นสติยังมาไม่ถึง 50% เลย

       “แล้วจะกอดแน่นทำไมเล่า”

       “คิดถึง” ระเบิดตัวเองตายแต่เช้าเลยตู งือ

       “กลับมาเมื่อไหร่ คะ ครับ” เมื่อหายเมาเรือความหน้าบางก็เริ่มกลับมทักทาย

       “เกือบเที่ยงคืนแหนะ ง่วงมากเลย ขออยู่แบบนี้สักพักนะ ตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ สักแปดโมง” ใช้ครับเราใช้โทรศัพท์ได้ แต่โทรไม่ได้หรอกนะ สงสัยไหมว่าเอามาทำอะไร ก็เอามาตั้งปลุกไงครับ แล้วยังถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ เล่นเกมส์ แต่ต้องเป็นเกมส์ที่เจ้าของเครื่องเคยดาวน์โหลดไว้ก่อนและเป็นเกมส์ที่ไม่ใช่อินเทอร์เน็ตนะครับ เช่น แคนดี้ครัช แถมยังฟังเพลงจาก MP3 ถ้าเครื่องไหนมีนะ เห็นไหมถึงไม่มีสัญญาณเรายังใช้มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เอ่อ…ผมว่าผมออกนอกเรื่องไปมากแล้ว ผมเอาโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกดีกว่า

       “แล้วทำอะไรถึงดึกขนาดนั้น ครับ”

       “ประชุมชี้แจง พาผู้นำไปดูเสบียง มางานเลี้ยงถายใน และขนเสบียงลงไปเก็บไว้ที่โกดัง กว่าจะเสร็จก็ดึกเลย” ฟื้ด! ปลายจมูกผู้กองกดลงกลางหัวของผม แล้วสูดลมหายใจไปเฮือกใหญ่ ดีนะเมื่อคืนสระผมไปแล้ว ไม่งั้นละก็ คงมีจมูกพังไปข้าง งือ แต่หัวใจเจ้ากำมาเต้นแรงตอนนี้ทำไม เดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก

       “ทำไมต้องขนลงด้วย ยังไงก็ต้องเอาขึ้นรถไปแจกอยู่ดี” เขินขนาดไหนต้องกัดฟันถามออกไป เพราะอยากรู้ล้วนๆ

       “พี่ก็ค้านไปแบบนั้น แต่ผู้นำไม่รับฟัง เลยต้องทำตามคำสั่ง” ผมเข้าใจนะ การจะเอาไม้ซีกงัดไม้ซุงมันไม่ง่าย เผลอๆ ไม้ซีกอาจจะหักเอาได้ แต่ถ้าไม้ซีกหลายๆ อันก็ไม่แน่นะ คิดไปเรื่อย!

       “วันนี้ ผู้กอ…เอ่อ พะ พี่ธาม จะไปไหน” แม่งอยากตบปากตัวเอง ตะกุกตะกักอยู่ได้

       “หึหึ วันนี้พี่จะไปแจกจ่ายเสบียง ไปด้วยกันไหม” หัวเราะสองหึ แสนกวนทีน เฮ้ย กวนใจ เสร็จแล้วจึงตอบคำถามผมได้

       “แล้วน้องๆ ไปด้วยไหมครับ”

       “คงไปไม่ได้ มันไม่ปลอดภัย ให้อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว หมู่เทนดูแลอยู่ หายห่วง เราไปคนเดียวพี่จะได้ดูแลง่ายหน่อย” นี่เห็นผมเป็นเพื่อนมิดไนท์รึไง

       “ผมโตแล้ว!”

       “ครับๆ โตแล้ว แต่พี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ออกไปข้างนอกมันอันตรายกว่าแถวบ้านเยอะนะ” พี่เทนเล่าให้ผมฟังแล้วเหอะ รู้อยู่หรอก

       “ไปแจกที่ไหนบ้างครับ”

       “ไปเป็นอำเภอหนะ มี 3 อำเภอ อำเภอกะทู้ อำเภอถลาง และที่พี่จะไปอำเภอเมืองภูเก็ต มีสามขบวน สามอำเภอ เราจะไปแจกแต่ละตำบล ของอำเภอนั้น ให้ตัวแทนตำบลดูแลเป็นส่วนกลาง โดยทหารเป็นผู้ดูแล” เนี่ยจะขนไปอยู่แล้ว เอาลงรถทำไมไม่ทราบ ไม่เข้าใจตาผู้นำเลย

       “แล้วคุณโรสหละครับ” ผู้กองเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แล้วตอบคำถามผม

       “ไปอยู่กับผู้นำแล้ว ส่วนไปทำอะไร ฉันไม่ขอพูดถึงได้ไหม มันไม่ได้มีประโยชน์กับเราหรอก เขาเลือกทางเดินของเขาเอง” มันไม่ได้เป็นเพราะผมใช่ไหม “แล้วอย่าโทษตัวเองหละ เราแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ เขาก็เลือกทำในสิ่งที่อยากทำเช่นกัน”

       แหนะ รู้อีกว่าคิดมาก

       “นอนเถอะ มิดไนท์ได้ยินเสียงเราเดี๋ยวก็ตื่นหรอก” โอเค เลิกถามก็ได้ เดี๋ยวค่อยถามเวลาอื่น คนเราอยากรู้อะไรต้องถามเว้ย เราถึงจะรู้ ครึครึ



+  +  +


       ตอนนี้เราอยู่ที่โกดังเก็บเสบียงที่มีขนาดใหญ่ พร้อมรถบรรทุกอีกหลายคัน ผู้ดูแลการแจกจ่ายเสบียงของอำเภอกะทู้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหมวดโฟรคนี่เอง แถมพ่วงไอ้เด็กริวมาด้วย

       “ไงไอ้ริว เดี๋ยวนี่ตามติดหมวดไปทุกที่เลยนะมึง” ผมเอ่ยทักไอ้ริวไป เจ้าตัวมองหน้าผมกวนๆ พร้อมตอบกลับ

       “เหมือนพี่ที่ตามติดผู้กองหรือเปล่า” ไอ้เด็ดเวร ยอกย้อนซะ ไอ้นี่

       “ไอ้นี่ เดี๋ยวเตะเลย” ผมยกเท้าประกอบคำพูด

       “โอ๊ะๆ ขอโทษครับ…ขอโทษที่น้องพูดความจริง ครึครึ” มันยังไม่เลิก เฮ้อ…ได้แต่ถอนหายใจให้ไอ้เด็กเกรียน

       อยู่ดีๆ ก็มีรถเบนซ์ สีดำเงาวับขับเข้ามาภายในโกดัง อดีตรถหรูแสนแพงได้จอดอยู่ไม่ห่างจากเรามากนัก ประตูรถทั้งสามประตู ถูกเปิดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน การปรากฏกายของผู้ชายสามคนที่ดูแล้วอายุค่อนข้างต่างกันพอสมควร โดยมีชายแก่ลงพุงอายุประมาณ 50 กว่าปี เดินนำหน้าอยู่ ตามมาด้วยชายหนุ่มหน้าหล่อคม เจ้าของร่างกายกำยำที่อายุประมาณ 25-30ปี คนสุดท้ายเป็นชายอายุประมาณ 35+ แต่ดูแล้วท่าทางจะเจ้าเล่ห์ใช่เล่น

       “โทษทีที่มาช้า พอดีเมื่อคืนหนักไปหน่อยหนะ หึหึ คราวหน้าพาเด็ดๆ แบบนี้มาด้วยอีกนะ หึหึ” ชายอายุ 35+ พูดขึ้น แต่คำพูดของเขามันสะกิดใจผมแปลก ผู้กองมีสีหน้าเรียบตึงทันทีที่ผู้ชายคนนั้นพูดจบ

       “แล้วนั้นใคร” ผู้ชายอายุน้อยที่สุดพูดขึ้น พร้อมชี้ไปทางหมวดโฟรค

      “นี่หมวดโฟรค เป็นคนประสานงานในค่ายแต่ละค่าย” ผู้กองแนะนำหมวดโฟรคแล้วไม่พูดอะไรต่อ

       “ไร้มารยาทดีจังนะ ไม่คิดจะแนะนำฉันให้ลูกน้องนายรู้จักหน่อยเหรอ ยังไงซะฉันก็เป็นนายพวกมัน และนายอยู่ดีเพื่อน หึ” ฟังแล้วเท้ากระตุกยิกๆ เลย แม่ง

       “นี่ผู้กองแบล็ค เป็นมือซ้ายของนาย”

       “ไม่แนะนำว่าฉันเป็นเพื่อนนายไปด้วยเลยหละ” ผู้กองธามผู้แสนเย็นชาคนเดิมกลับมา เมื่อต้องอยู่กับผู้คนเหล่านี้ ผมอยากให้เขายิ้มมากกว่าที่จะทำหน้าไร้อารมณ์แบบนี้

       “อดีต! เพื่อน!” ผู้กองเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเดิม

       “เพื่อนฉันนี่ใจร้ายจริงๆ ดูสิ” ไม่พูดเปล่ายังชี้ชวนให้ดูอีก “แล้วพาคนประสานงานค่ายมาทำไม หรือขี้เกียจไม่อยากทำงานเอง อยากชี้นิ้วสั่งแทนแล้ว ไม่ชอบลุยเองแล้วเหรอ”

       “พอเถอะน่า” คนอายุมากสุดเอ่ยขึ้นมาเพื่อห้ามทัพ แต่ก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้น

       “ก็ได้ งั้นฉันขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร นี่ท่านผู้นำ” เขาชี้ไปที่ชายแก่อ้วนลงพุง “แล้วนี่มือขวาท่าน ผู้พันกองทัพ” และชี้ไปอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่กูต้องเรียกชื่อเต็มยศเลยเหรอ ส่วนพวกพี่ทหารเขาก็ทำความเคารพของเขาไปนั้นแหละ แต่ผมไม่ทำหรอกนะ ไม่ใช่เจ้านายผมนี่ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ข้างหน้าผมก็มีไอ้แก่ลงพุง ไอ้โรคจิต และไอ้ปากปีจอ ครึครึ เหมาะกับชื่อมากเลย

       “แล้วนั้นใคร ยืนเฉยอยู่ได้ ทำไมไม่ทำความเคารพท่านผู้นำ” ไอ้โรคจิตผู้พันกองแต๊ก พูดขึ้นอย่างบ้าอำนาจ แล้วชี้มาทางผมกับไอ้ริว

       “พวกเขาไม่ใช่ทหาร เป็นอาสามาช่วยงาน” ผู้กองตอบขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม

      “แล้วไง? ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันก็ต้องทำความเคารพผู้นำ” น่าเบื่อ พวกมึงเป็นพระเจ้าหรือไง ทำไมกูต้องเคารพ กูเคารพคนที่น่าเคารพเว้ย ไอ้โรคจิตกองแต๊ก

       “เอาน่า มันก็แค่เด็ก แถมน่ารักซะด้วยสิ หึหึ” ไอ้ผู้กองปากปีจอพูดขัด แต่ น่ารักบ้านมึงสิไอ้ปาก…ไม่อยากด่ามาก เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นคนหยาบคาย ไอ้&?#@/&#&;...

       “อย่ายุ่ง” ผู้กองเดินมายืนอยู่ข้างหน้าผม บังผมซะมิดเลย

       “หวงเหรอ เพิ่งรู้ว่าสเปคนายเป็นแบบนี้ แต่ก็น่ารักดีหนิ ท่าจะเด็ด หึหึ” โว้ย! น่าเอาทีน กระทืบหมาในปากมันจริงๆ

       “หุบปาก!” ผมรีบจับแขนผู้กองไว้ มีเรื่องไปผมว่ามันไม่ดีแน่ๆ

       “พอเถอะน่า รีบไปทำงานกันได้แล้ว” เสียงไอ้แก่ผู้นำพูดห้ามขึ้นจริงจังกว่าครั้งก่อน ทำให้ทุกคนหยุดได้ รวมทั้งไอ้โรคจิตกองแต๊กที่กำลังยืนหัวเราะเหมือนดูตลกนั้นด้วย

       “นี่เป็นจำนวนเสบียงที่ต้องแบ่งไปแต่ละอำเภอ ทำตามนี้ด้วยนะ” ไอ้ผู้พันกองแต๊กยื่น กระดาษ A4 ที่มีรายละเอียดให้ผู้กองไปด้วยสีหน้า ถ้าผมมองไม่ผิดมันเป็นสีหน้าเยาะเย้ย ทำไมต้องเยาะเย้ยด้วยหละ

       ผู้กองก้มลงอ่านรายละเอียดยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น มันมีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่

      “สามอำเภอแจกแค่ 40% เก็บไว้เป็นของหน่วยทหาร 60% ผมว่ามันไม่ถูกต้องนะครับ มันน้อยไป ชาวบ้านจะกินได้นานแค่ไหนเชียว” หะ!! แจกให้ประชาชนแค่ 40% เก็บไว้กับตัวเอง 60% บ้าไปแล้ว มึงจะแดกให้พุงแตกตายไปเลยหรือไง

       “ถูกต้องหรือไม่ ฉันเป็นคนกำหนดเอง เพราะฉันเป็นผู้นำ ส่วนนายเป็นแค่ทหารที่รับคำสั่ง ก็ทำตามคำสั่งไป อย่าหาเรื่องใส่ตัว ถึงฉันจะเอ็นดูนาย แต่ถ้าไม่ฟังคำสั่งฉัน ฉันก็กำจัดได้เหมือนกัน” มือผมเย็นเชียบเมื่อได้ฟังคำพูดของไอ้แก่ลงพุง ผมบีบมือผู้กองเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ผู้กองบีบมือผมกลับเช่นกัน มันทำให้มือที่กำลังเย็นอุ่นขึ้นในทันที

       “อย่างน้อยก็ขนผักออกไปแจกเถอะครับ เอาไว้ที่นี่มันก็เน่าอยู่ดี” ผู้กองพยายามขอร้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาขอร้องใครสักคน

       “ก็ปล่อยให้มันเน่าไป” ถ้ามีเดธโน๊ต ชื่อคนแรกที่จะเขียนไปคือ ไอ้แก่ลงพุงผู้นำเฮงซวยนี่

       “แต่…” ผู้กองยังพูดไม่จบก็โดนขัดขึ้นมาซะก่อน

       “นี่คือคำสั่ง!” บ้าอำนาจ จิตใจมืดดำ ไอ้เลว!! ด่ามันได้แต่ในใจแหละครับ เพราะด่าออกไปคงโดนลูกน้องมันเล่นงาน

       “ถ้าอยากให้ชาวบ้านได้เสบียงเยอะๆ คราวหน้าก็เอามาเยอะกว่านี่สิ หึหึ” เสียงไอ้ผู้กองใจดำปากปีจอพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี เห็นคนอื่นรำบากมันอารมณ์ดี ไอ้สลัดผัก

       สรุปแล้วเราต้องปล่อยให้ผักมันนอนรอเน่าอยู่ในโกดังแบบนี้สินะ เฮ้ออ…

       ‘ประเทศไหนมีผู้นำบ้าอำนาจ จิตใจมืดบอด คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองฉันใด ประชาชนในประเทศนั้นก็เสมือนตกอยู่ในนรกฉันนั้น’ กูกล่าว!!




………………………..
…………………
……….



เรื่องแรกของเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่จบแน่นอน ครึครึ

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โอ้ยยอ่านแล้วมันน่าเอาปืนเป่าสมองผู้นำ ใครแต่งตั้งฟะคะสถาปนาตัวเองหรอ
ยัยโรสกุหลาบเน่านี่ก็อีกคน ทำไมพวกผู้กองใจดีกันจัง
นี่ถ้าเป็นเรายัยนี่โดนเอาไปปล่อยให้ซอมบี้กินแล้วหละ พ่อก็ร้ายพี่ก็โจรปล้นเสบียงคิดว่าคนตายเพราะครอบครัวนี้ไปกี่คนละ
นี่ไปเอาเต้าไต่อีกยัยนี่ไม่เลิกทำเรื่องแย่ๆแน่

เขียนได้ดีนะคะแนวเรื่องน่ารักดีจะรอติดตามนะคะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ถ้าเป็นเรื่องจริง เชื่อซิตาแก่ลงพุ่งแบบนี้ โดนเป่าสมองตายคนแรกเลย :katai1:
แอบเบื่อความโลกสวยของอุ่น เรื่องโรส จะไปหวังดีไม่คิดร้ายได้ยังไง
เพราะยังไงอุ่นก็เป็นคนฆ่าพ่อมัน ไม่มีทางญาติดีกันได้ แถมโรสจะต้องกลับมาแก้แค้นแต่ๆ :really2:

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
- 16 -


[ไออุ่น]

       ยามผู้คนอดอยาก สัญชาตญาณดิบที่ฝังลึกอยู่ในด้านมืดของจิตใจก็ถึงเวลาเผยออกมาให้ได้เห็น ประจวบพร้อมในยามที่ไร้ซึ่งกฎหมาย การกระทำความผิด ไม่มีบทลงโทษใดๆ ทุกคนเอาตัวรอดด้วยขาของตนเอง คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ความโอบอ้อมอารีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าโง่เขลา คนฉลาดคือคนที่เห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดได้ ถึงสงสารแค่ไหนก็ต้องเมินเฉยเพื่อให้ตัวเองให้รอด น้อยนักที่จะมีใครออกตัวช่วยผู้อื่นในยามนี้ แต่ใช่ว่าจะไม่มี

       ตอนนี้เราอยู่กลางเมืองเพื่อขนเสบียงมาแจกจ่าย ที่นี่สามารถใช่ไฟ และรถได้ปกติ การที่แต่ละตำบลจะไปแจกจ่ายเสบียงให้แต่ละหมู่บ้านจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก รถแจกจ่ายก็มีพร้อม ถ้าได้เสบียงมาเยอะกว่านี้คงดี คิดแล้วโมโห แม่ง!!

       หลังจากไอ้พวกผู้นำมันสั่งเสร็จ มันก็ไปนั่งโซฟากระดิกเท้ามองเราทำงาน เห็นแล้วอยากปารองเท้าใส่หน้ามากๆ คุณคิดดู คนอื่นแบกกระสอบข้าวสาร กล้วย มันเทศ ฟักทอง และพืชผักแทบหมดแรง แต่พวกมันนั่งกระดิกเท้าทำหน้าเหมือนผู้ร้ายในละครเลย แถมมีทหารมายืนอารักขายังกับหนังมาเฟีย แล้วไอ้พวกทหารที่อารักขาพวกผู้นำนั้นด้วยเป็นอะไรนักหนา โบท็อกที่ฉีดมาหมดอายุหรือไงปากถึงกระตุกข้างเดียวยิ้มเยาะเย้ยอยู่นั้น เห็นแล้วทีนก็อยากกระตุกตาม

       “เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหืม…” เสียงผู้กองพูดขึ้นตรงหน้า พร้อมส่งมือมายีหัวผมด้วย งือ… ว่าแต่ ผมทำหน้ายังไงเหรอ “ยังมาทำหน้างง ก็เมื่อกี่อุ่นทำหน้าเหมือนอยากจะกระทืบใครเลย ใครทำอะไรให้ไม่พอใจครับ”

       เยอะแยะ!! โดยเฉพาะไอ้พวกผู้นำซังกะบ๋วยพวกนั้น

       “ก็พวกตาแก่อ้วนลงพุงไง เกลียดขี้หน้าจริงๆ”

       “หืม? ตาแก่อ้วนลงพุง ใครเหรอ” โห…อะไรอะ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

       “ก็คุณผู้นำแก่อ้วนลงพุง คุณโรคจิตกองแต๊ก คุณผู้กองปากปีจอ และพักพวกทหารที่โบท็อกหมดอายุจนปากกระตุกไงครับ” ทีนี้จะรู้ได้หรือยัง

       “ฮาๆๆๆ ช่างคิดนะเราหนะ” พอผมพูดจบผู้กองก็ระเบิดเสียงหัวเราะทันที พี่ทหารที่กำลังขนเสบียงก็หันมามองอย่างสนใจระคนแปลกใจ พวกเขาคงไม่เคยเห็นผู้กองจอมเย็นชาหัวเราะแบบนี้สินะ

       “ก็จริงนิครับ เห็นแล้วไม่ชอบหน้าเลย” ผมเริ่มจะชินกับการพูดเพราะซะแล้ว พูดบ่อยต่อบ่อยครั้งมันก็เริ่มชินไปเอง

       “ครับ พี่เข้าใจ พี่ก็ใช้ว่าจะชอบ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เลยต้องเป็นแบบนี้” ผู้กองมีสีหน้าที่ค่อนข้างเศร้า ผมไม่เคยเห็นเขาเศร้าเลย อย่างมากก็แค่เย็นชาใส่ มีแค่กับผมเท่านั้นที่ผู้กองจะเผยด้านต่างๆ ให้เห็น คิดแล้วก็เขิน เอ่อ มันใช่เวลาไหมตู

       ผมไม่มีอะไรที่จะพูดปลอบ สิ่งที่ผมทำได้คือจับมือเขาแน่นๆ ให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ผมจะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ…ว่าที่ภรรยาผม   [ไรท์ : ช่างกล้าเรียก =_= ]

       “เอามา!! เอาข้าวมาให้กู!! เอามา!” เสียงเอะอะโวยวายเรียกความสนใจผมกับผู้กองได้เป็นอย่างดี

       มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังยื้อยุดกับทหารเพื่อเข้ามาเอาเสบียง พวกเขาไม่สนสิ่งที่ทหารพูดหรือบอกเลยแม้แต่น้อย ดึงดันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวเลย เหตุการณ์เริ่มชุลมุนจนเริ่มที่จะควบคุมด้วยมือเปล่าไม่ไหว

       ‘ปัง!!’ เสียงปืนเกิดหนึ่งนัด จากผู้กองที่ยิงปืนลงดินเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบ หรือเป็นการเตือนกรายๆ เพื่อให้หยุด

       และมันก็ได้ผล ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แทบไม่ไหวติงเลย ยังดีที่พากันหายใจอยู่

       “หยุดกันได้รึยัง ปัจจุบันยังวุ่นวายไม่พอหรือไง ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากมากขึ้นด้วย” ใบหน้าหล่อคมนั้นมีสีหน้าและแววตาเย็นชาฉายขึ้นมาอีกครั้ง

       “ผมให้แต่ละตำบลประกาศบอกกันแล้ว ว่าจะไปส่งถึงบ้านเลย ทำไมถึงยังวุ่นวายแบบนี้อีก คุณอยากได้ คนอื่นเขาก็อยากได้เหมือนกัน ถ้าไม่ทำตามกฎผมก็ไม่แจก แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน!” ผู้กองโหมดโหดกลับมาแล้ว ทุกคนหยุดนิ่ง ถึงสีหน้าจะไม่พอใจขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไร เป็นผมก็ไม่ทำถือปืนยืนเด่นขนาดนั้น

       “กลับไปรอที่บ้าน ทหารจะเอาของไปแจกเอง แต่ถ้าอยากทานอาหารที่นี่ต้องรอเป็นพรุ่งนี้ ทหารจะทำโรงทาน ค่อยมากิน” ยืนจ้องอย่างกดดันจนทุกคนสลายตัวไป

       “ถ้าพวกเขาไม่กลับ จะไม่ให้จริงเหรอครับ”

       “ขู่ไปงั้นแหละ ไม่งั้นก็ไม่กลับกัน คนบางคนบอกดีๆ ไม่รู้เรื่องหรอก ต้องบอกด้วยปืนถึงจะรู้” ต้องขนาดนั้นเชียว

       “แล้วทำไมต้องทำโรงทานด้วยครับ เราแจกพวกเขาไปแล้วหนิ” แจกแล้วก็ให้พวกเขาทำกินเองสิ

       “สำหรับคนที่ไม่มีบ้าน และคนที่อ่อนแอรักษาเสบียงตัวเองไม่ได้หนะ เราไม่สามารถไปเฝ้าพวกเขาได้หรอกนะ ช่วยได้เท่าที่ช่วย เพราะเราก็มีอะไรต้องทำอีกเยอะ เราแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้” แล้วไอ้แก่ผู้นำลงพุงนั้นทำอะไรบ้างวะเนี่ย ไม่เห็นมันจะสนใจห่าเหวอะไรเลย สลัดผักน้ำข้นเอ้ย!!

       เราปล่อยให้พี่ทหารที่ประจำอยู่ตำบลนี้จัดการต่อ ดีที่พี่ๆ ทหารและอาสาที่ทำงานภาคสนามนิสัยดี ถ้าเป็นพวกทหารที่คอยอารักขาพวกผู้นำละก็ อย่าหวังว่าพวกมันจะสนใจใคร

       เราเดินทางไปแจกแต่ละตำบลต่อ แต่ละที่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไร มีคนมารอยื้อยุดเหมือนเดิม และต้องจัดการเหมือนเดิม เหมือนเดจาวูครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราเดินทางมาถึงอำเภอสุดท้าย จึงอาสาไปแจกของกับพวกพี่ๆ เขาด้วย เราแบ่งกันคนละหมู่บ้าน มีพี่ที่เป็นอาสาพื้นที่มากับเราด้วย พูดตรงๆ เลยเราไม่ชำนาญพื้นที่เท่าไหร่

       “ป้าครับนี่อาหารครับ” ผมถือถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่ข้าวสาร เข้าไปให้พร้อมพี่ๆ ถือพืชผักตามมาอีก

       “บ้านฉันมีตั้งหลายคน แค่นี้จะกินได้กี่วันเชียว” เอ่อป้า คือมันมีแค่นี้ไง จะให้ทำยังไง “ไปเอามาเพิ่มให้หน่อยสิ ที่รถก็เหลือตั้งเยอะ” ต้องแจกคนอื่นด้วยไหมป้า

       “บ้านก็มีพื้นที่เยอะหนิ ปลูกผักหรือทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่รอให้คนอื่นช่วยอย่างเดียว” ผู้กองที่ได้ยินในสิ่งที่ป้าพูดกับผม ก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ จบเลยป้า เงียบเลย ถามว่าเงียบเพราะสำนึกเหรอ บอกเลยว่าเปล่า ป้าแกกลัวปืนที่ผู้กองพกมาด้วย

       จบกับบ้านป้า เราก็ไปบ้านตรงข้ามกับป้าทันที เจอยายกับตาเดินออกมารับเราที่หน้าบ้าน ลูกหลานคงออกไปหาปลา เหมือนบ้านอื่นๆ

       “ยาย ตา นี่อาหารครับ” ของก็เหมือนของทุกคนที่เราให้มานั้นแหละครับ

       “ขอบใจมากพ่อหนุ่ม มาๆ เข้ามากินน้ำกินท่าก่อน” ยายเปิดประตูรั่วให้เราเข้าไปในบริเวณบ้าน

       “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรหรอกยายเรากินมาแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปส่งบ้านหลังต่อไปอีก” ผมบอกกับคุณยายใจดีไป

       บริเวณข้างในบ้านปลูกอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย

       “บ้านยายปลูกผักเยอะเลยนะครับ”

       “ผักที่พอหามาปลูกได้หละลูก มันไม่ค่อยมีเมล็ดให้เราปลูก เลยมีแต่ผักบ้านๆ แบบนี้แหละ” ยายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

      “ยายกินฟักทองที่เราเอามาให้แล้วปลูกเมล็ดมันต่อเลยก็ได้นะครับ เมล็ดคงจะเยอะอยู่ ผมกลัวว่ายายจะไม่มีพื้นที่ปลูกมากกว่า” ผมหยอกยายเล่น

       “นี่ยายต้องไปเช่าพื้นที่เพื่อปลูกไหมเนี่ย” ยายก็ดันเล่นกลับมาซะงั้น ฮาๆๆ ถ้าเจอคนแบบยายเยอะๆ ก็ดีสิ

       “ผมไปก่อนนะครับยาย ยังเหลืออีกหลายบ้านเลย ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” เมื่อพี่ๆ ขนของไปเก็บในบ้านให้ยายเสร็จก็ถึงเวลาบอกลายายสักที

       “ขอให้พระคุ้มครองทุกคนนะ ขอบใจอีกครั้ง” ยายน่ารักจริงๆ

       เราเดินทางไปแจกจนครบทุกบ้าน มีอาหารเหลืออยู่บ้าง เราจึงเอากลับไปให้ตำบลนั้นๆ ไว้เพื่อทำโรงทานแจกจ่ายต่อไป

       จากประสบการณ์วันนี้ทำให้ผมได้เห็นอะไรมากมาย หลายคนต้องการ อยากได้อยากครอบครอง ไม่รู้จักสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง หลายคนพอใจในสิ่งที่ได้มาไม่ว่ามันจะมากหรือน้อย ซ้ำยังมีความคิดที่จะนำสิ่งที่เรามอบให้ มาทำให้มันงอกเงยขึ้นอีก

        เราไปแจกของเราก็บอกทุกบ้านนะว่าเมล็ดฟักทองสามารถเอาปลูกต่อได้ มันเทศก็เช่นกัน ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงไม่รู้หรอก แต่หลังจากไปอยู่ที่กาญจนบุรีมาสองเดือน ทำให้ความรู้ในการทำสวนเพิ่มขึ้นเยอะเลย หวังว่าทุกคนจะทำตามคำแนะนำของผมนะ

       “เหนื่อยไหมครับ” เสียงคนที่กำลังขับรถดึงผมออกจากภวังค์ เรากำลังขับรถกระบะกลับบ้านหลังจากแจกของเสร็จ

       “นิดหน่อยครับ ผู้กอ…เอ่อ พี่ คิดว่าชาวบ้านจะทำตามที่ผมแนะนำไหมครับ”

       “พี่ว่าทำ แต่ไม่ใช่ทุกคน บางคนก็ไม่สนใจมันมากพอ หรือไม่อยากรอผลลัพธ์ อยากได้อะไรที่มันเห็นทันตามากกว่า การปลูกพืชผักมันต้องใช้เวลา แต่ถ้าไปหาปลามันได้วันต่อวัน ถึงจะมากหรือน้อยก็ตาม หรือไม่ก็ขโมยของคนอื่น คนบางประเภทไม่ชอบรอคอยหรอกนะ” ผจญกับวิกฤตซอมบี้ว่าใหญ่หลวงแล้ว ต้องมาผจญกับมนุษย์ด้วยกันอีกเหรอ เห้อ!

       “เลิกคิดเรื่องนี้เถอะ ดูสิคิ้วจะผูกกันอยู่แล้ว เราทำเท่าที่จะทำได้แล้ว ผลมันจะเป็นยังไงก็ต้องปล่อยให้มันเป็น เราไปบังคับให้ใครคิดแบบเราไม่ได้หรอก” ก็จริง เรายื่นไปให้แล้ว เขาจะโยนทิ้งหรือรับไปมันก็สิทธิ์ของเขา เราถือว่าเรายื่นไปให้แล้ว จะให้จับมือเขาทำมันก็มากเกินไป…

       “หิวจัง” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า ซักจะเครียดเกินไปแล้ว ไออุ่นรับความเครียดไม่ได้ มันไม่ใช่

         “หมู่เทนคงทำอาหารไว้รอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไอ้โฟรคกับหมู่นายจะกลับมายัง” ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นแบบเราหรือเปล่า ไม่!! เลิกคิดเรื่องนี้!!!

       “แล้วจ่านนท์เป็นยังไงบ้างครับ มาที่นี่แล้วไม่เห็นแกเลย” หลังจากมาที่ภูเก็ตครั้งสุดท้ายที่เห็นจ่านนท์คือบนเรือ ตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้เจอกันเลย

       “จ่ากลับไปอยู่กับเมีย ให้เวลาจ่าหน่อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” จ่าไปทำอะไรน้า ครึครึ อิจฉาคนมีแฟน เอ่อ…แต่ผมก็มีแฟนหนิ หันมองหน้าผู้กอง แล้วคิดสิ่งที่แฟนเขาทำ ไม่!! แค่คิดก็เขินแล้ว ว่าแล้วผมไม่เคยคิดเรื่องอย่างว่ากับผู้กองเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึก แต่ทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมมาก แฟนคนแรก แถมเป็นผู้ชาย มันก็จะมึนๆ หน่อย ไม่มีอินเทอร์เน็ตให้หาข้อมูลซะด้วยสิ  ผมจึงปล่อยเบลอมันซะเลย คุณคิดว่าผู้กองจะคิดเรื่องนี้ไหม?

       “คิดอะไรอยู่ ทำไมหน้าแดง”

       “เปล่าๆ ไม่ได้คิ๊ด” ทำไมเสียงผมสูงจังวะ

       “หึหึ ไม่คิดก็ไม่คิด นึกว่าคิดอะไรแปลกๆ กับพี่ซะอีก” รู้ได้ไงวะ แม่งๆ หน้าผมมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าผมไม่ได้แสดงออกมาเลยนะ หรือความหื่นมันจะอยู่ในตัวผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่รู้ตัว ไม่จริง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น

       “ฮาๆๆๆ คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย ดูทำหน้าเข้า พี่พูดเล่นน่า” พูดเล่น? โถ่ไอ้เราก็ตกใจหมด นึกว่าตัวเองเผยธาตุแท้ออกมา

       “ขำไปเถอะ ซิ แล้ววันนี้เห็นนะ แม่สาวชาวบ้านนมตู้ม เอาอกถูแขนขนาดนั้น ชอบละสิถึงยืนให้ถูอยู่ได้ ก็น่าจะชอบหละนะแทบล้นออกมาจากเสื้อขนาดนั้น” คิดแล้วก็หมั่นไส้

       “หึงเหรอ”

       “หมั่นไส้ต่างหาก! หึงอะไรเล่า” ผมไม่ได้หึงสักหน่อย แค่หมั่นไส้ยืนให้เขาถูอยู่ได้ ซิ

       “ครับ ไม่หึงก็ไม่หึง แต่ที่พี่ไม่ว่าอะไร เพราะไม่รู้สึกต่างหาก มันไม่มีผลกับพี่เลย แต่ถ้าเป็นอุ่นเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมาหาพี่ก็ว่าไปอย่าง หึหึ” อะไรคือการนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแล้วเดินเข้าไปหา?

       “ไอ้พี่ธามหื่น!!” จริงๆ เป็นคนแบบนี้สินะ ไอ้ท่าทีเรียบเฉยแสนเย็นชามันก็แค่การเเสดง

       “พี่ก็เป็นแค่กับอุ่นนั้นแหละ” นี่ผมควรจะภูมิใจไหม ตอบผมที

       “น่าภูมิใจมาก!!” ผมประชด

       “ฮาๆๆๆ” นั้นขำไปอีก มันน่าขำตรงไหนหะ

       “รีบขับไปเลย หิวข้าว!” แม่ง ไอ้พี่ธาม เดี๋ยวผมหื่นกลับซะหรอก


       เราเดินทางมาสักพักก็ถึงบ้าน คนแถวนี้ดูหน้าตาแจ่มใสขึ้น คงเพราะได้เสบียงมาตุนไว้ให้หายห่วงไปอีกสักพัก

       “มัมกับป๊ากลับมาแล้ว! น้องไนท์คิดถึง!!” เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าหาอย่างเร็ว จนผมต้องรีบนั่งลงแล้วกางแขนรับแรงปะทะ อือหือ ไม่เคยจะผ่อนแรงเลยไอ้ตัวแสบ!

       “มาให้ป๊าอุ้มดีกว่า มัมเหนื่อยมากแล้ววันนี้” พูดยังกับตัวเองไม่เหนื่อย ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะ แต่ก็ยอมส่งมิดไนท์ให้อยู่ดี เก่งแต่พูดในใจแหละผม ถ้าพูดทุกสิ่งที่คิดคงตายตั้งแต่ยังไม่โตเลยมั่งผม

       “ไงเพื่อนอุ่นมาแล้วเหรอ” แมนนี่เดินควงดับเบิลสามีทั้งสองออกมาทักทายผม พออยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นพูดเพราะ พอลับหลังเรียกผมอย่างกับหน้ามือกับหลังทีน

       “ถ้าลืมตาเพื่อนก็จะเห็นว่าเรามาแล้ว” หึหึ ได้โอกาสแล้ว สักหน่อยก็เอา ถึงรู้ว่ามันจะเอาคืนภายหลังก็เถอะ

       “แหม๋เพื่อนอุ่น พอมีผัว เฮ้ย มีแฟนสักหน่อยปากจัดขึ้นนะ เพื่อน” คงไม่ภายหลังแล้วครับ มันเอาคืนผมตอนนี้เลยต่างหาก ผมไม่อยากเป็นเมีย จะเป็นผัวๆๆๆ

       “แหะๆ เข้าไปกินข้าวกันดีกว่าเนาะ” ถอยทัพครับ ดูแล้วคงสู้ไม่ไหว

       “หึหึ” เสียงนางมารร้ายหัวเราะตามหลังผมมา สะใจหละสิ ซิ

ออฟไลน์ Looktal1993tt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
(ต่อตอนที่ 16)



       หลังกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาผักผ่อนสักที ผมนอนวาดรูปกับมิดไนท์อยู่ข้างเตียง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมพามิดไนท์มานอนด้วย ผมไม่ได้ทำเพื่อป้องกันอะไรเลยนะ ผมแค่อยากนอนกอดน้องจริงจริ๊ง

       “วันนี้น้องไนท์นอนที่นี่เหรอ” ผู้กองถามขึ้นเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วเจอผมกับมิดไนท์นอนวาดรูปที่พื้น

       “ครับ ไม่ได้เหรอ”

       “ได้สิ อยากนอนกับตัวเล็กของป๊าพอดี” ปากบอกอย่างนั้น แต่ทำหน้าเสียดายเนี่ยนะ แล้วเสียดายอะไรไม่ทราบ
       ผู้กองเดินเอาผ้าขนหนูไปตากเสร็จก็มาหาเราที่กำลังนอนอยู่พื้น

       “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

       “น้องไนท์วาดรูปคราฟ น้องไนท์คิดถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลยวาดรูปหมาสองตัว น้องไนท์วาดสวยไหม” เจ้าตัวเล็กยกกระดาษขึ้นมาอวดด้วยความภาคภูมิใจ ถึงเราจะมองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรก็ตาม

       “สวยครับ น้องไนท์วาดสวยมาก” แหล่สุดๆ แต่ถ้าเป็นผมก็คงตอบแบบนั้นเหมือนกัน งั้นผมก็แหล่ด้วยสิ เอ่อ เลิกคิดดีกว่า

       “แล้วไออุ่นวาดอะไรครับ” ภูมิใจนำเสนอมากเลย

       “ช้าง เป็นไงสวยใช่ไหมละ” ฝีมือระดับผมแล้ว

       “พี่ว่า เอ่อ ช่างมันค่อนข้างขาดสารอาหารนิดนึงนะ แล้วก็ สงสัยมันตกเหวมาแน่เลยรูปร่างเลยเป็นแบบนี้ พี่ว่าเราควรพามันไปหาหมอนะ” ถ้าจะพูดขนาดนี้นะ ตะโกนใส่หน้าว่าห่วยเลยดีกว่า

       “โอ๋ๆ พี่พูดเล่นครับ ดูทำหน้าเข้าสิ” ยังมีหน้าเอามือมาดึงแก้มผมอีก นี่แก้มนะไม่ใช่หนังยางยืด ยืดอยู่ได้

       “เจ็บ… เล่นอะไรเนี่ย”

       “เจ็บมากไหมครับ จุ๊บ จุ๊บ” นี่มันต่อหน้ามิดไนท์นะ มาจุ๊บแก้มแบบนี้ได้ยังไง แถมไม่ใช่ข้างเดียวซะด้วย งือ หน้าผมร้อนไปหมดแล้ว เพราะผู้กองคนเดียว

       “ไม่รู้จักอายบ้างเลย” คนอะไรหน้าหนาจริงๆ

       “อะงั้น จุ๊บคืน จะได้หายกัน”

       “จะบ้าเหรอ ไม่ทำ” โอ้ยยจะบ้าตาย เพราะอย่างนี้ไงผมถึงต้องให้มิดไนท์มานอนด้วย มิดไนท์อยู่ด้วยยังขนาดนี้ แล้วถ้าไม่อยู่จะขนาดไหน

       “ป๊าจุ๊บแก้มมัม น้องไนท์จุ๊บด้วย จุ๊บจุ๊บ” แล้วเจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นมาจุ๊บแก้มผมทันที ว่าแล้วไงว่าน้องไนท์ต้องเห็น

       “แล้วป๊าละครับ”

       “ได้เลยคราฟ จุ๊บ จุ๊บ” แล้วก็วิ่งไปจุ๊บแก้มผู้กองอย่างไว ใจง่ายจริงๆ ลูกใครเนี่ย

       “ลูกป๊าน่ารักที่สุด ฟอด!! แก้มก็หอมด้วย” เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ จากการหอมแก้มกรายเป็นเล่นมวยปล้ำกัน ระบายสงระบายสีไม่ได้อยู่ในความสนใจอีกต่อไป เฮ้อ…แล้วผมก็ต้องเก็บสินะ เมื่อทั้งสองขึ้นไปเล่นบนเตียงแล้ว

       “พอแล้วคราฟ น้องไนท์ปวดฉี่”

       “ให้ป๊าเข้าไปด้วยไหม”

       “น้องไนท์เข้าเองได้คราฟ น้องไนท์เก่ง” เก่งจริงๆ ตัวแค่นี้

       “ครับ งั้นคนเก่งพยายามอย่าให้ฉี่โดนกางเกงนะครับ”

       “คราฟ” รับปากแล้วก็วิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที

       “อุ่น” ไหงเรียกเสียงแบบนั้นเล่า จะอ้อนทำไม

       “มีอะไร คะ ครับ” โว้ย เจอผู้กองอ้อนที่ไรเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า

       “ไม่อยากนอนสองคนกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทำไมถามแบบนี้เล่า แล้วผมจะตอบยังไงละทีนี้

       “เปล่าครับ แต่ แต่ ผมยังไม่พร้อม” ที่จริงผมก็รู้แหละ ว่าน้ำหน้าอย่างผมจะให้รุกผู้กองมันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งหน้าตา พละกำลัง ความสูง และอะไรหลายๆ อย่าง ผมรู้ แต่ผมก็ไม่อยากจะยอมรับมัน เมียเลยนะ เกิดมายังไม่เคยจิ่มใครเลย จะโดนจิ่มซะแล้ว เป็นใครก็ต้องใช้เวลาทำใจทั้งนั้นแหละ ผมถึงต้องพามิดไนท์มานอนด้วยไง นี่ผมต้องยอมรับจริงๆ เหรอ ว่าผมต้องเป็นเมีย ม่ายยย!!!

       “พี่เข้าใจ พี่รอได้ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอก ถึงจะตอดเล็กตอดน้อย แต่ถ้าอุ่นยังไม่พร้อม พี่ก็จะไม่ทำถึงขั้นนั้นหรอก อย่าคิดมาก และไม่ต้องกังวล แล้วเอามิดไนท์มาเพื่อกันพี่หรอก ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากให้มิดไนท์นอนด้วย พี่แค่ไม่อยากให้อุ่นต้องคิดมากแค่นั้นเอง” งือ เข้าใจแล้ว แต่จะให้ผมยอมรับกับคนอื่นว่าเป็นเมียคงยาก มันยังทำใจพูดออกไปไม่ได้อะ

       “น้องไนท์มาแล้ว! ฉี่ไม่เปื้อนด้วย!”

       “เก่งมากครับ มานี่มา มานอนได้แล้วคนเก่งของป๊า” แล้วผมก็ให้มิดไนท์นอนติดกับผนัง ตามด้วยผมที่นอนตรงกลาง และปิดด้วยผู้กอง ผมเล่านิทานให้มิดไนท์ฟังได้ครึ่งเรื่องเจ้าตัวเล็กก็หลับปุ๋ยไป เหลือแค่ผมกับผู้กองนี่แหละ

       “กล่อมพี่บ้างสิ” เด็กโข่งที่พึ่งหัดอ้อนก็งอแงขึ้นมา อยากให้ทุกคนมาเห็นผู้กองจอมเย็นชาในภาพนี้จริงๆ

       “โตขนาดนี้แล้วยังต้องกล่อมอีกเหรอ”

       “โตก็กล่อมได้ แค่วิธีมันแตกต่างกันหน่อยแค่นั้น” แตกต่างยังไง ความสงสัยทำให้ผมถามไป

       “ยังไง”

       “ก็” เอามือชี้ที่ปากตัวเอง พร้อมพูดต่อ “กล่อมตรงนี้” คนหื่นก็คือคนหื่น

       “อ๋อ ดีดปาก ได้สิ หึหึ” อยากเล่นใช่ไหม ได้เลย ครึครึ

       “ดีดก็ได้นะ แต่ต้องดีดด้วยปากอุ่นนะ หึหึ” แล้วผมก็โดนเล่นกลับ แถมโดนตรึงแขนไว้เหนือหัวด้วย ผมว่าท่าทางมันล่อแหลมยังไงไม่รู้

       “จะทำอะไร” ผมถามเสียงหลง แต่สิ่งที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงแต่เป็นการกระทำต่างหาก ระยะห่างของใบหน้าเราน้อยลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ทำไมต้องช้าขนาดนี้ด้วย จะแกล้งผมใช่ไหม ถึงรู้ว่าโดนแกล้งแต่ใจเจ้ากรรมมันก็เต้นผิดจังหวะไปแล้ว เมื่อจมูกเราแตะกันผมก็หลับตาลงในทันที หน้าผมมันต้องแดงมากแน่ๆ

       ผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมอง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือรอยยิ้มที่แสนเจิดจ้า นี่อยากให้หัวใจผมมันระเบิดไปให้ได้เลยใช่ไหม ทำไมต้องยิ้มแบบนี้ด้วย งือ… ทางเดียวที่จะไม่เห็นรอยยิ้มนี้ให้หัวใจมันเต้นผิดปกติคือ

       จุ๊บ จูบปิดปากซะเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นคนเริ่มก่อน จากแค่สัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปาก ตอนนี้เริ่มจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้กองตอบสนองผมแทบจะทันทีที่ปากแตะกัน จากที่คอยไล่เล็มริมฝีปากกันอยู่นานลิ้นร้อนก็เริ่มทำงาน ผู้กองส่งลิ้นเข้าทักทาย พร้อมไล่ต้อนจนทั่วโพลงปาก ฝ่ามือหนาจากที่ตึงแขนผมไว้ เปลี่ยนเป็นไล่ฝ่ามือสัมผัสร่างกายของผมไปทั่ว ผมไม่ว่าอะไร ปล่อยให้ผู้กองได้ทำอย่างต้องการ จากแค่สัมผัสภายนอกก็เริ่มจะส่งมือเข้าไปสัมผัสภายในแทน สัมผัสวาบหวามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมเผลอครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจ ผู้กองจึงถอนปากออกมาให้ผมได้สูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด จึงเริ่มใหม่ ผมได้พักไม่ถึงสิบวินาทีเลย นานเท่าไหร่ไม่รู้เพราะสมองผมมันขาวโพลนไปหมด ผมได้สติอีกทีก็ตอนที่มือผู้กองล้วงเข้าไปในกางเกงผมแล้ว ผมรีบจับมือเขาไว้ทันที นี่เสื้อผมก็หายไปแล้วเหรอ บ้าจริง ผมไม่รู้ตัวเลย มือเร็วจริงๆ

       “พะพอ พอก่อน คะครับ ผมยัง ไม่พร้อม” ผมตอบกับไปอย่างตะกุกตะกัก พร้อมหอบหายใจแรง

       “แค่ช่วยกันได้ไหม นะ นะครับ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังดึงมือผมไปจับที่เป้ากางเกงตัวเองอีก เอ่อ ก็คงไม่ไหวจริงๆ แหละ ผมนี่ไม่ไหว ทำไมมันใหญ่และแข็งขนาดนี้เนี่ย หน้าผมมันจะไหม้อยู่แล้ว ให้ผมจับอะไรเนี่ย ผมรีบดึงมือกลับมาทันทีเลย แต่มันก็จับไปแล้วไง

       “ตะแต่ น้องไนท์อยู่ นะครับ” น้องไนท์นอนอยู่ตรงนี้นะ จะบ้าเหรอ

       “งั้นไปห้องทำงาน” ผมยังไม่ได้ตอบตกลง ก็โดนอุ้มเข้าห้องทำงานที่อยู่ในห้องนอนนั้นแล้ว ผู้กองวางผมลงโซฟาตัวยาวตัวเดียวที่อยู่ในห้อง พร้อมค่อมทับผมทันที

       “อะ เอ่อ เดี๋ยวก่อน คะคือ ผม ผมอาย” แม่ง! ถึงจะแค่ใช้มือให้กันก็เถอะ มันก็น่าอายอยู่ดีไหม

       “นะ นะครับ พี่รับรองว่าไม่ทำอะไรเรามากกว่านี้แน่ พี่สัญญา ถ้าเราไม่สมยอมนะ” เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ผมกำลังคิดหนัก แต่เราก็เป็นแฟนกันแล้วหนิ ทำให้แฟนแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง แต่ผมก็ยังอายอยู่ดี ครั้งแรกนะเว้ยที่ทำอะไรแบบนี้ ฮือ…

       “ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่อยากทำให้เราอึดอัด” ปากบอกไม่เป็นไร ทำไมต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นด้วยเล่า

       เจ้าตัวยืดตัวขึ้น กำลังจะลุกออกไป ผมจึงรีบจับแขนไว้

       “กะ ก็ได้ ครับ แต่ต้องไม่มากกว่านั้นนะ” ก็เขาเป็นแฟนผมหนิ

       “ขอบคุณครับ” พูดจบผู้กองก็ก้มลงมาจูบผมทันที แต่ทีนี้อ่อนโยนกว่าครั้งที่แล้ว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มือหนาสกิดที่หน้าอกผม พร้อมปากที่ละจากปากผมมาที่หน้าอกอีกข้าง

       “อะ อ๊า อืม” นั้นเสียงผมเหรอ ทำไมมันแรดขนาดนี้

      ความรู้สึกเสียววาบขึ้นมาทันทีที่ปากของผู้กองขบเม้นที่หน้าอก จนผมครางไม่หยุด ผมพยายามกลั้นเสียงไว้ เพราะไม่อยากให้มันหลุดลอดออกไปนอกห้อง

       ผู้กองค่อยๆ ปลดกางเกงผมลงพร้อมกางเกงชั้นใน ผมรีบใช้มือปิดทันทีเพราะความอาย ผู้กองมองผมด้วยรอยยิ้ม พร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองออกจากร่างกาย แม่เจ้า!! ใหญ่กว่าที่คิดอีก ทันทีที่ปลดกางเกงออกธามน้อยที่ไม่น้อยมันก็ชี้หน้าผมทันที อะไรคือการยืนชักของตัวเองต่อหน้าผม หน้าไม่อายจริงๆ

       หลังจากทำให้ผมอายจนหันหน้าหนีได้แล้ว ผู้กองก็ขึ้นมาค่อมผมไว้ทันที พร้อมนำมือผมที่กำลังปิดของสงวนตัวเองออก มาจับธามน้อยที่ไม่น้อยของเขาแทน ผมได้แต่เอามือแปะไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้ทำอะไร พร้อมหลับตาหนีความอายนี้ด้วย

       “ทำให้พี่หน่อยนะครับ นะคนดี นะครับ” อ้อนอีกแล้ว ก็รู้ว่าอ้อนแล้วจะทำตามก็อ้อนจัง แล้วผมก็ใจอ่อนนะสิ

       ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง พร้อมขยับมือที่สั่นเท่าอย่างเงอะงะ ผู้กองก็ทำให้ผมเช่นกัน พร้อมก้มลงมาจูบ ผมทำอย่างที่ผู้กองทำให้ ปากผู้กองมันค่อยๆ เลื่อนจากปากผมลงมาที่คอ คอยขบเม้นเบาๆ ลากลงมาถึงหนาอก มันยิ่งทำให้ผมเสียวขึ้นมากกว่าเดิมอีก

       “อืม อ๊ะ อ๊าาา” ความเสียวทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอครางออกมาอีกครั้ง ธามน้อยที่ไม่น้อยก็เริ่มมีน้ำปริ่มออกมาแล้ว เสียงครางเบาๆ ของผู้กองยิ่งทำให้ผมเร่งความเร็วขึ้น

       “อะ อะ พะพี่ธาม จะไป อืม แล้ว อือ…” ผมไม่ไหวแล้ว โดนทั้งข้างล่างข้างบนใครมันจะทนไหวเล่า ยิ่งผมใกล้เสร็จผู้กองก็ยิ่งเร่งมือขึ้นอีก ผมก็เร่งทำให้ผู้กองเช่นกัน

       “ครับที่รัก อ่า พี่ก็จะไปแล้วเหมือนกัน ครับ อืม” เสียงครางผู้กองมันยิ่งทำให้ผมเสร็จเร็วขึ้นไปอีก

       “อ๊าาาา!!” หยาดน้ำผมเลอะเต็มมือผู้กองพร้อมหยดลงสู่โซฟาด้วย ผมหอบหายใจอย่างหนัก แทบไม่มีแรงทำอะไร

       “ที่รักครับ อย่าลืมทำให้พี่สิ” เสียงผู้กองกระซิบที่หูผมเบาๆ เมื่อเสร็จแล้วความอายก็เข้ามาโจมตีทันที แต่ก็ต้องขยับมือทำให้เสร็จ ผมขยับมือจากช้าๆ เป็นเร็วขึ้นๆ เสียงครางเบาๆ ที่อยู่ข้างหูผม มันทำให้ผมหน้าร้อนมากขึ้นกว่าเดิมอีก

       “อะ จะเสร็จ ไออุ่น อือ อุ่น อืม…” ยิ่งได้ยินเสียงครางเรียกชื่อตัวเอง ความเขินมันยิ่งพุ่งมากขึ้น จนในที่สุดหยาดน้ำขาวอุ่นก็ถูกฉีดเต็มมือผม จนร้นออกมาเปอะหน้าท้องผมเต็มไปหมด

       “ขอบคุณครับ พี่รักอุ่นนะ” แล้วมาบอกอะไรตอนนี้เล่า งือ…คนยิ่งเขินๆ อยู่

       “รัก พะพี่ธามเหมือนกันครับ” งือ ระเบิดตัวเองตายไปเลยตู ถ้าจะเขินขนาดนี้

       “ไปอาบน้ำเถอะจะได้นอน มันดึกแล้ว” มันดึกเพราะใครละ ซิ

       “ไปอาบก่อนสิครับ” ขอนั่งทำใจ ทำหน้าให้หนาขึ้นกว่านี้ก่อน

       “อาบพร้อมกันสิ จะได้เร็วขึ้น” คิดอะไรหื่นๆ อีกละสิ

       “ม่ายยย! ไม่อาบก่อน งั้นผมอาบก่อนก็ได้! ซิ” ผมเก็บกางเกงตัวเองแล้ววิ่งออกจากห้องทำงานตรงเข้าห้องน้ำทันที พร้อมล็อคประตูกันมนุษย์หื่นเข้ามา

       ผมมองตัวเองผ่านกระจก ใบแดงมากเลย ปากก็เจ่อ แถมยังมีรอยขบเม้นตามไหปลาร้าด้วย ดีนะที่คอไม่มี ถ้ามีผมไม่รู้จะตอบคำถามคนอื่นยังไงเลย

       ผมออกจากห้องน้ำเจอมนุษย์หื่นนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่งรอที่เตียง ทันทีที่สบตากันใบหน้าผมมันก็ร้อนผ่าวทันที งือ เขินเว้ย!! เลิกจ้องสักทีเถอะ ขอร้อง พรีสส

       “ไป อะอาบน้ำได้แล้วจะได้นอน”

       “ครับ ฟอด! หอมจัง หึหึ” ทำให้ผมเขินอย่างพอใจแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่กลางห้องคนเดียว งือ

       ผมนอนกอดเจ้าตัวเล็กรอผู้กองอาบน้ำเสร็จ จะได้ปิดไฟนอนสักที ดึกมากแล้วด้วย

       “ฝันดีครับ ฟอดดด” อีกแล้ว โอ้ยย จะนอนไม่หลับก็เพราะอย่างนี้ไง

       “ฝันดีครับ” นอนๆ พอ วันนี้พอแค่นี้ ก่อนที่หัวใจผมมันจะระเบิดจริงๆ

       ผู้กองกอดเอวผมพร้อมฝังจมูกลงบนหัวแล้วหลับไปทั้งอย่างงั้น อ้อมกอดผู้ชายคนนี้ก็อุ่นดีนะครับ ฝันดี


       
       กริ๊งๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ผมเร่งลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อไปปิดเสียงน่ารำคาญนี้ให้มันเงียบลงซะ

       ห้องนี้ดูมันจะโล่งไปนะเหมือนขาดอะไรซักอย่าง ผมมองไปรอบห้องเพื่อสำรวจสิ่งที่ขาดหายไป อ๋อ รู้แล้วอะไรขาดไป ผู้กองนั้นเอง หายไปไหนแต่เช้านะ แต่เมื่อพูดถึงผู้กองมันก็ทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งคิดถึงหน้าผมยิ่งร้อนผ่าว ผมทำอะไรลงไป ดีแล้วที่ตื่นมาแล้วผู้กองไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะถ้าอยู่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง งือ ไม่เอาไม่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งบอกไม่ให้คิดยิ่งคิด มาเป็นฉากๆ เลย เอาหัวชนผนังเลยดีไหม

      “มัมคราฟ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น” มิดไนท์เรียกผมจากเตียงด้วยน้ำเสียงยานคางของคนพึ่งตื่น

       “มัมมาปิดนาฬิกาปลุกนะครับ ตื่นแล้วก็มาอาบน้ำครับ จะได้ลงไปหาอะไรกิน”

       “งือ…” แล้วเจ้าตัวก็ล้มลงนอนอีกครั้งพร้อมเอาหน้าบี้กับผ้าห่ม จนผมกลัวจะหายใจไม่ออกจริงๆ

       “งั้นมัมไปอาบก่อน แล้วน้องไนท์ค่อยไปอาบตอนมัมออกมานะครับ” ยืดเวลาให้เขาได้งัวเงียสักหน่อย

       “คราฟ”

       หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ เราก็ได้ฤกษ์ลงไปข้างล่างกันสักที แต่ทำไมบรรยากาศข้างล่างมันเงียบแบบนี้ ไม่ใช่เงียบเพราะไม่มีใครอยู่ แต่เงียบเพราะทุกคนนั่งหน้าเครียดไม่คุยกันเลย เกิดอะไรขึ้น

       ผมเดินเข้าไปหา หมู่เทน หมู่นาย แมนนี่ ริว หมวดโฟรค น้องมิว และลมหนาว กำลังนั่งอยู่โต๊ะกินข้าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เมื่อทุกคนมองเห็นผม ก็หลบสายตาทันที อะไรกัน

       “มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ น่าเครียดกันเชียว” ผมยังไม่อยากตื่นตระหนกไปกับบรรยากาศเกินไป เพราะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

       “คือ บอกดีไหมวะ” หมู่เทนกำลังจะตอบ แต่ดันเปลี่ยนใจ แล้วหันไปถามความเห็นหมู่นายเเทน เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ

       “บอกไปเถอะ ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี” ปรึกษากันเสร็จแล้วก็บอกผมสักทีเถอะ ตอนนี้เริ่มจะใจไม่ดีแล้ว

       “คือ เมื่อเช้า มีทหารมาบอกให้ผู้กองเข้าไปหาผู้นำครับน้องอุ่น” แค่เข้าไปหาผู้นำ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

       “แล้วยังไงเหรอครับ ก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลยหนิ”

       “มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ ทหารนายนั้นบอกว่า ที่เรียกเข้าไปหาเพราะ ผู้กองขัดคำสั่ง เรื่องแจกจ่ายเสบียงให้ค่ายต่างๆ เกินจำนวนที่ผู้นำสั่ง และรู้ถึงจำนวนที่เราแบ่งไปด้วย” สิ่งที่ได้ยินทำให้ปลายนิ้วผมเย็นเฉียบ ทำไมหละ ทำไมถึงรู้ ทำไมกัน

       “ใครบอกเรื่องนี้กับผู้นำ” ถ้าไม่มีใครบอกไอ้แก่ลงพุงไม่มีทางรู้หรอก ใครกันนะที่พูด

       “ฉันว่ายัยโรสแน่ๆ ยัยนี้ยิ่งเกลียดพวกเราอยู่” แมนนี่เสนอความเห็น อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้

       “แต่เธอไม่รู้เรื่องการแจกจ่ายเสบียงของเราเลยนะครับ เธอรู้แค่เรื่องค่ายที่จังหวัดชุมพรเท่านั้น เพราะเธออยู่ด้วย อาจจะไม่ใช่เธอก็ได้” หมู่นายเสนอความเห็นบ้าง ที่หมู่นายพูดก็มีส่วนถูก

       “เข้าข้างยัยนั้นเหรอ” ครอบครัวแตกแยกซะแล้ว

       “เปล่าจ้ะพี่แค่พูดด้วยเหตุผล ไม่ได้เข้าข้างใครเลยนะครับ” ผมเลิกสนใจสามคนผัวเมียนั้น แล้วหันมาคุยกับหมวดโฟรคแทน

       “ผู้กองจะเป็นอะไรไหมครับ” ผมเป็นห่วงผู้กองมาก ยิ่งได้สัมพันธ์ถึงนิสัยใจคอของพวกผู้นำแล้ว ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

       “ไอ้ธามมันเก่ง มันต้องไม่เป็นไร” ผมจะพยายามเชื่ออย่างนั้น ผู้กองต้องไม่เป็นอะไร

       ‘ในยามที่คนเลวเป็นใหญ่ คนดีแทบไม่มีที่ยืน ทำดีแค่ไหนสิ่งที่กลับมามีแต่ความว่างเปล่า แต่มันก็เป็นความว่างเปล่าที่สวยงาม’ กูกล่าว


…………………………
………………….
…………..


       ตอนแรกเลยที่เขียนฉากแบบนี้ ไม่รู้ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีขออภัยด้วยนะคะ

Twitter  :  Tt.looktal1993 
#ธามไออุ่น  #หนีเชื้อร้ายพ่ายเชื้อรัก



ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
นั้นซิ ถ้าไม่ใช่โรส ก็ต้องมีเกลือเป็นไรนอน ใครว่ะ? พยายามนึกตัวละคร ....

ว่าแต่อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงตอนทำทานที่โรงเจเลย แจกอาหารฟรี บางคนจะชอบพูดว่า ที่บ้านมีกันหลายคน จะเอาเยอะๆ
ต้องปฏิเสธแบบสุภาพ ด่าไม่ได้เพราะอยู่ในโรงทาน 5555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด