พิมพ์หน้านี้ - [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Looktal1993tt ที่ 20-12-2018 23:06:14

หัวข้อ: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 20-12-2018 23:06:14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************





บทนำ


        ซอมบี้ ใครเป็นคนคิดชื่อนี้…หึหึ…ผมไม่สนหรอกเว้ยยย..ใครจะคิดชื่อนี้ แต่ที่ผมสน ใครแม่งเป็นคนทดลองไอ้เชื้อโรคบ้านี้วะ!! อุ้ย…พูดไม่เพราะ ขอโทษคราบบบ เอาหละเข้าเรื่องก่อนๆ ที่ผมได้ยินมานะก่อนไฟฟ้าจะตัดเมื่อปีที่แล้ว ผมได้ยินว่ามีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งทดลองเชื้อโรคชนิดนึง เพื่อจะฟื้นฟูเซลล์ที่ตายแล้ว แล้วก็ตู้มมม!!!  ระเบิดกลายเป็นโกโก้ครั้น…ซะที่ไหนละ กลายเป็นซอมบี้นะสิ เขาว่าห้องแล็บระเบิด สารเคมีและเชื้อโรคต่างๆ ผสมปนเปกันมั่วซั่วไปหมด คนที่ตายในแล็บก็ฟื้นขึ้นมาไล่กัดคน คนโดนกัดก็ติดเชื้อ ไม่เดิน 48 ชั่วโมงก็เปลี่ยนเป็นซอมบี้แล้ว คุณคิดว่าใช่เวลานานเท่าไหร่เชื้อโรคถึงเดินทางไปทั่วโลก…ติ้กต๊อกๆๆ….หมดเวลา ใช้เวลาแค่เดือนเดียว เดือนเดียวเองนะคุณ ที่ผู้ติดเชื้อเดินทางนำเชื้อไปแพร่ทั่วโลก

       ประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ติดเชื้อ เวลาผ่านไปหนึ่งปี ประชากรในประเทศ 60 กว่าล้านคน ได้ยินจากที่ทหารประกาศมาลาสุด เมื่อเดือนที่แล้ว บอกว่าคนไทยเหลือไม่ถึง 5 ล้านคนแล้ว จาก 60 กว่าล้าน เหลือไม่ถึง 5 ล้านคน งือ…ร้องไห้กับฉันระบายออกให้ใครฟังวะ …

       เอาหละๆๆ พอแล้วเรื่องความเป็นมา ต่อไปนี้ผมจะบอกวิธี การเอาตัวรอดจากการตายแล้วกลายเป็นซอมบี้ มี 4 ข้อ โดยนายไออุ่น สุดหล่อ เท่ ฮอดที่สุดทั้งในอดีตและปัจจุบัน อิอิ เขินจุงงง อะแฮ่ม…เอาหละๆ สี่ข้อนะ สี่ข้อ มาๆเริ่มๆ

1.   คุณต้องมีกรุ๊ปเลือด AB หรือกรุ๊ปเลือดพิเศษ Rh- แม้โดนกัดคุณก็จะไม่กลายเป็น “ซอมบี้” เด็ดขาด แต่คุณก็ยังโดนมันแดก…เฮ้ย..กิน ได้นะ ดังนั้นก็ระวังตัวด้วย ไม่ใช่ว่าตัวเองติดเชื้อไม่ได้แล้วไปหามัน อย่าเชียวนะ ไม่งั้นคุณจะเหลือแต่กระดูก อย่าหาว่าผมไม่เตือน ถ้าอย่ากรู้ว่าทำมัย AB และ Rh- ไม่ติด ผมบอกคุณได้เลยว่า  หึหึ  ผมไม่รู้เว้ยยย ผมไม่ใช่ซอมบี้ หรือนักวิทยาศาสตร์นะจะได้รู้ พอแล้วๆ ข้อต่อไปเถอะ

2.   คุณต้องได้รับวัคซีนสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในข้อ 1 แต่ขอบอกว่า การจะได้รับวัคซีนนั้นยากยิ่งกว่าการเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้อีก เพราะอะไรนั้นหรอ หึหึ…ก็เพราะประเทศไทยไม่ได้ผลิตเองงัย เรารอวัคซีนจาก อเมริกาและญี่ปุ่น ปัจจุบันวัคซีนมีน้อยมาก เค้าจึงชีดให้เฉพาะ คนที่จำเป็นที่จะรับเท่านั้น คนที่จำเป็นใครนะเหรอ… ก็ทหารหรืออาสา ต่างๆ ทีเสี่ยงออกมาหาอาหาร หาคนที่เหลือรอด และทำเรื่องต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อนะสิ ต่อไปๆ

3.   ง่ายๆ เลยข้อนี้ คุณต้องอย่าให้ซอมบี้กัด แค่นี้แหละ

4.   ถ้าคุณติดเชื้อแล้วไม่มีวัคซีน แต่คุณไม่อยากกลายเป็นซอมบี้ สิ่งที่คุณต้องทำคือระเบิดสมองตัวเอง หรือโดนตัดคอ เพียงแค่นี้แหละคุณจะไม่กรายเป็นซอมบี้

       ในโลกที่โหดร้ายนี้ ผมหวังว่าคุณจะเอาตัวรอดได้ ดังเช่นผมและน้องๆ ที่พยายามเอาตัวรอดอยู่ทุกวินาที ขอให้คุณปลอดภัย โดย นายไออุ่นสุดหล่อคนนี้ ผมหล่อจริงๆนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-12-2018 23:35:52
น่าสนใจ ติดตามค่า :katai5:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 20-12-2018 23:46:20
- 1 -


[ไออุ่น]


       ในโลกที่กำลังเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายนี้ ถ้าคุณเป็นเพียงมนุษย์อันน้อยนิดที่เหลืออยู่ แน่นอนว่าคุณต้องเจอกับความกดดันมากมาย บางคนอาจรับได้ แต่บางคนก็เป็นบ้าเพราะความเครียด มนุษย์เริ่มเผยด้านมืดในจิตใจ ความเห็นแก่ตัวเป็นส่วนหนึ่งของการเอาชีวิตรอด เสียงหัวเราะเลือนหายไปจากตัว….

       …แต่มันไม่ใช่กับผมนายไออุ่นคนนี้ โลกเราก็เครียดจะตายห่าอยู่แล้ว ทำม่ายยยย ผมจะต้องเคลียดไปตามโลกด้วย
       ซอมบี้เกลื่อนโลกขนาดนี้หาจิตแพทย์ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ ดังนั้นอย่าเครียดกันไปเลยครับ

      ผมขอแนะนำตัวหน่อย ผมชื่อ ไออุ่น ชื่อจริง นายคิมหันต์  นฤพานธนากร อายุ 20 ปี หล่อ และรวย ปีที่แล้วผมกำลังขึ้นปีสอง ในมหาลัยแห่งหนึ่ง ผมเรียน วิทยาศาสตร์การกีฬา ผมชอบยิงธนู ยิงปืน และวิ่งมากๆ เลย

      ตอนนี้คุณกำลังสัยละสิว่าผมอยู่ที่ไหน ตอนนี้ผมกำลังอยู่บ้านของผมที่ชลบุรี เป็นบ้านที่มีกำแพงสูง

       เราอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งหมด 6 คน มีผม น้องชายผม อายุ 12 ปี หล่อเหมือนผมเลยชื่อลมหนาว อีกคนเป็นลูกพี่ลูกน้องน่าตาน่ารักมาก ชื่อมิดไนท์ อายุ 5 ขวบ คนที่ 4 ชื่อ มิว เป็นเพื่อนของลมหนาว คนที่ 5 เป็นคุณป้าบ้านอยู่ถัดไปสามหลัง ชื่อป้าริน  คนสุดท้ายเพื่อนผมเอง ชื่อแมนนี่ (จริงๆ มันชื่อแมน แต่คุณอย่าไปเรียกแบบนั้นเดี๋ยวโดนมันตบเอา จะหาว่าไม่เตือน)

       เราอยู่ที่นี้มาเป็นปีแล้วหละ แต่ก่อนมีอยู่สิบกว่าคน แต่ตอนนี้ก็เหลือแค่นี้แหละ อย่าถามเลยว่าทำไม เอาเป็นว่าเราเหลือกันแค่นี้ ไม่มีญาติและครอบครัวอีกแล้ว คนหล่ออยากร้องไห้

       เรา 6 คนต่าง กรุ๊ปเลือดพิเศษทั้งนั้น

      “อีอุ่น!!!”

       “เฮ้ยยย ตกใจหมด จะเสียงดังทำมัยละไอ้แมน”

       “เดี๋ยวกูตบปากฉีก บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกแมนนี่ๆ สมองมันมีแต่ขี้เลื่อยรึงัยหะ ถึงต้องให้บอกบ่อยๆ หนะ” ผมจะบอกว่าคนที่น่ากลัวกว่าซอมบี้ ก็เป็นแมนนี่นี้แหละ น่ากลัวชิบหายเลย

       “แล้วมีอะไรละคนสวย ถึงเรียกเสียงดังขนาดนั้น”

       “ก็กูเรียกมึงหลายครั้งแล้วไม่ตอบ หลับในรึงัย หรือฝันกลางวันอยู่”

       “กำลังฝันถึงแมนนี่งัยจ๊ะ” ผมยิ้มหวานๆ ให้เพื่อนร่วมเอกของผม

       “เสียใจยะ ฉันไม่ชอบตีฉิ่ง ไปยิ้มหวานๆ ล่อซอมบี้ไป๋” อั๊กกก คนหล่อกระอักเลือด

       “ทำมัยพูดกับคนหล่อแบบนี้หละ เจ็บปวด”

     “มึงส่องกระจกบานไหนบอกว่าตัวเองหล่อ” ส่องบานไหนก็หล่อ พูดเลย

     “แล้วทำมัยครับคนสวย”

     “กูก็จะไปทุบมันทิ้งนะสิ ข้อหาที่มันหลอกลวงมึงว่าหล่อ”

     “สลัดผัก” พูดหยาบมากไม่ได้ครับ ในบ้านมีเด็กตั้งสองคน ถึงจะอยากด่ามากแค่ไหนก็ตาม นี่ผมไม่ได้กลัวมันนะ ไม่ได้กลัวมันด่ากลับเลยจริงจริ๊งง จงเชื่อคนหล่อเถอะครับ เพราะคนหล่อพูดจริงเสมอ

    “มึงนี้พากูออกนอกเรื่องตลอด เดี๋ยวกูก็ลืมว่าจะมาพูดอะไร” แมนนี่ทำหน้าเซ็งๆ แล้วมองมาที่ผม อะไรอ่าาามันไม่ใช่ความผิดผมซะหน่อย

     “แล้วมีเรื่องอะไร ว่ามา คนหล่อจะตั้งใจฟัง”

     “ก็เรื่องอาหาร” เรื่องนี้สินะ “อาหารของเราเหลือน้อยมากแล้ว เราต้องออกไปหาอาหารมาเพิ่ม แต่แถวนี้เราไปหมดทุกที่แล้ว เราต้องไปไกลกว่าเดิม” ใช่ครับ แถวนี้เราออกไปหาทุกที่แล้ว ห้างเล็ก ห้างใหญ่ ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่บ้านคนเราก็ไปมาหมดแล้ว

     “ฉันว่าถึงเวลาที่เราต้องทำตามแผนที่วางไว้แล้วแหละ แถวนี้ไม่เหลืออาหารให้เราแล้ว ถึงจะปลอดภัยเราก็อดตายอยู่ดี” ไม่มีที่ไหนผลิตสินค้า แม้จะมีเงินมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าเราไม่ตายเพราะโดนซอมบี้กิน เราก็ตายเพราะอดอยากอยู่ดี “ไปเรียกทุกคนมา เราจะลงความเห็นกัน”


+++


     “ตกลง ตามนี้นะ เราจะรวบรวมอาหารทั้งหมด น้ำมัน อาวุธ แล้วเดินทางกัน จุดหมายของเราคือภูเก็ต ทหารจะนั้งเรือมาทุกๆ เดือน ถ้าเราโชคดีเราจะเจอทหารก่อนถึงท่าเรือ” แมนนี่สรุปให้เราทุกคนฟัง

     “เราจะใช่รถอะไรคะ”ป้ารินถามขึ้นมา สีหน้าป้ามีความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

     “รถบัสนักเรียนงัยจ๊ะ คนสวย สถานที่กว้างจะนั่ง จะนอน จะยืนก็สบายมากกก เจอซอมบี้เราก็ขับชนมันเลย” มันคงเหมือนในเกมส์แน่เลย ครึครึ สนุกแน่ๆ

     “เหมือนในเกมใช่มัยคร๊าฟฟ เกมส์ที่น้องไนท์เคยเล่น ขับๆ ชนซอมบี้ตู้มๆ เลย” หลานใครก็ไม่รู้น่ารัก น่าชังจริงๆ

     “มัมๆ น้องไนท์ น้องไนท์จะได้ไปมัยคร๊าฟฟ” สงสัยละสิว่าทำไมน้องไนท์เรียกผมว่า มัม ก็เพราะหน้าผมเหมือนแม่ของเจ้าตัวงัย พอคิดถึงแม่มากๆ เห็นหน้าผมก็เรียกแม่ทันทีเลย คนหล่ออยากร้องไห้ ทำม่ายยยไม่เรียกพ่อละมิดไนท์!!

     “ได้ไปแน่นอน เราจะไปกันหมดนี้เลยนี้เลยดีมัยครับ” ผมยีหัวเจ้าตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว การเลี้ยงเด็กในภาวะแบบนี้ไม่ได้ง่ายเลย แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะไม่มีวันทิ้งน้องแน่นอน

     “ดีคร๊าฟดี เย้ๆๆ หนาวๆ เราไปเก็บของกันๆ เราจะไปๆ ขับๆ ชนซอมบี้ ตู้มมม” เอิ่ม…รู้สึกว่ากำหนดเดินทางมันอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์เลยนะ เก็บเร็วไปนะบางที

     “ไนท์ครับเร็วไปครับ อีกสามสี่วันค่อยเก็บก็ทันครับ ไปวาดรูปกับหนาวดีกว่ามา”

     “งะ ไม่เก็บตอนนี้ เหรอลมหนาว”

     “ไม่ครับ เดี๋ยวค่อยเก็บ”

     “งือ…ก็ได้…”แล้วก็หน้างอ ปากยื้นตามเจ้าลมหนาวไป

     “มิว วิทยุสื่อสารไปหาลุงดำหน่อยว่าเราจะเดินทางกันในอีก 7 วัน ให้แกเช็ครถ และน้ำมันให้พร้อม”ผมหันไปบอกมิวที่นั้งฟังอยู่เงียบๆ แต่ก่อนมิวเป็นเด็กร่าเริง แต่พอผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายมา ทำให้เราแทบไม่เห็นร้อยยิ้มเด็กคนนี้เลย

     “ได้ค่ะ” มิวเดินออกไปห้องที่ติดระเบียง เพื่อวิทยุสื่อสารหาลุงดำ ลุงดำอยู่บ้านตรงข้าม เป็นคนขับรถรับส่งนักเรียน อยู่กับลูกสาวกัน 2 คน ลูกแกอายุ 10 ขวบ ชื่อบี เราทุกคนมีความหวังจะไปให้ถึง ภูเก็ต ไปในที่ๆ ไม่มีซอมบี้ ไม่ต้องหลบซ้อนอีกต่อไป

     หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นนะ


+++


     ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู้จังหวัดฉะเชิงเทรา เรามีแผนจะพักที่นอกๆ เมืองเพื่อหาอาหาร และอาวุธเพิ่ม ลุงดำเป็นคนขับรถให้เรา แกเคยขับรถโรงเรียนมา แกจึงขับนิ่มมากก และดีมากกก แถมแกยังพูดกับเด็กๆ เพราะอีกด้วยนะ

     “ลุงดามๆ ซอมบี้ชนมานนนเลยยย”

     ตึงง!!! “ตายยยเย้ยยย ฮาๆ”

    “ฮ่าๆ แม่งมันชิบหายเลยวะ ใช่ไหมวะไอ้ไนท์”

    “คร๊าฟฟ มันมากกเย้ยยย” เอิ่ม….ก็นั้นแหละ เหอะๆๆ

     ลุงดำ…ช่วยพูดเพราะๆ หน่อยสิ…เดี๋ยวไอ้แสบก็ติดหรอก…งืออ ไอ้เราก็พยายามข่มปากตัวเองตั้งนาน

     “กรีสสส!!”

     “เฮ้ยๆ ไอ้แมน เป็นอะไร ผีเข้าเหรอ”

     “เดี๋ยวกูตบปาก กูบอกแล้วว่าชื่อแมนนี่ๆ แล้วกูก็ไม่ได้ผีเข้าด้วยชิ” เอ้า…กูผิดอะไร ก็คนตกใจนิเลยลืมชื่อใหม่มึง เซ็งเลย

     “แล้วมีอะไรจ๊ะ คนสวย”

     “มึงดูนั้นๆ ข้างหน้าหนะ ซอมบี้กล้ามล่ำ ว้ายย เสื้อก็ไม่ใส่ ใส่แต่กางเกงในอ่อยกูอยู่นั้น  เห็นแล้วอยากรับขึ้นรถเลย อ๊ายย” เอิ่มม ก็เข้าใจนะว่าผู้ชายหล่อๆ เหมือนผมปัจจุบันนี้มันหายาก แต่จำเป็นต้องขนาดนี้ไหม จะบ้าตาย

     “ว้ายยย ห่ออะไรเอ้ยยอยู่ในกางเกงใน ใหญ่จังเลยยย” ไปแล้วสมงสมองมัน

     “ถ้ามึงยังไม่หยุด เดี๋ยวกูจะถีบลงรถ ไปให้ซอมบี้กล้ามล่ำของมึงแดกแน่” ทนไม่ไหวแล้วครับ สำหรับความบ้าของมันเนี่ย

     “อ๋อยย หยุดก็ได้ ชิ” แนะๆ มีหน้ามาเชิดใส่อีก…หึมม..อะไรตู้มๆ อยู่ข้างหน้านั้น

     “วาว!! ใหญ่ขนาดนี้ขอจับซักทีได้มัยคราบบ เห็นแล้วหวั่นไหว”

     “ยี๋!! แค่นมบูดจะดูให้เสียสายตาทำมัยยะ”

    “อิจฉาเค้าละสิแมนนี่” ผมหยอกแมนนี่เล่น แต่สิ่งที่ได้กลับมา

     “แค่นมบูดๆ จะอิจฉาทำมัยยะ อีผีพุ่งไต้” ง่า..ทำมัยคนหล่อกลายเป็นผีพุ่งไต้ไปได้หละ เจ็บปวดด

     “พี่ไออุ่นเป็นผีพุ่งไต้หรือคะ” ไม่เอาสิน้องบีพี่ไม่ใช่ผีพุ่งไต้นะ TT

     “หนูบี ชะนีน้อย ไม่ต้องไปคุยกับผีพุ่งไต้มันหรอกจ๊ะ มาคุยกับพี่แมนนี่คนสวยดีกว่านะ” งืออออ…เจ็บปวดดด

+++

     เรามาถึงฉะเชิงเทรากันแล้ว เรากำลังหาที่พัก และอาหารกันอยู่ ถ้านอกเมืองเกินไปก็หาอาหารยาก แต่ถ้าเข้าเมืองก็มีแต่ซอมบี้ เราเลยตัดสินใจไปแถวชานเมือง เพื่อหาอาหารก่อน

     “ลองจอดร้านสะดวกซื้อดูก่อน เดี๋ยวผมกับแมนนี่จะลงไปเอง ลมหนาว มิว ขึ้นหลังคารถพร้อมธนู ทุกอย่างต้องทำให้เงียบที่สุดอย่าใช่ปืน ถ้าไม่จำเป็น” รถเรามีแต่เด็กและคนแก่ ผมกับแมนนี่จึงต้องลงมือกันแค่สองคน

     “ค่ะ พี่อุ่น” มิวรับคำ พร้อมไปหยิบธนูเพื่อเตรียมตัว

     “ครับเดี๋ยวหนาวระวังหลังให้บนรถเอง ไม่ต้องห่วง” หนาวรับคำด้วยสีหน้ามั่นใจ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราออกหาเสบียง

     “ลุงจอดร้านข้างหน้าเลย พอเราสองคนลงรถ ลุงร็อครถไว้เลยนะ ทุกคนพร้อมนะ เราต้องปลอดภัยแน่นอน” เราต้องปลอดภัยเพื่อคนที่รอเราอยู่

     “พี่ไออุ่น ผมรักพี่นะ กลับมาอย่างปลอดภัยนะ” ลมหนาวเดินมาจับมือผมพร้อมพูด ผมกระชับมือน้อง ให้น้องมั่นใจในตัวผม เพราะผมไม่มีวันทิ้งน้องไปแน่

     “พี่ก็รักลมหนาว แล้วก็มิดไนท์ตัวเล็กของมัมเหมือนกัน พี่ไปไม่นานหรอกเดี๋ยวกลับมา” ผมหอมแก้มน้องคนละที พร้อมยิ้มให้น้อง เพื่อลดความกังวลใจของพวกเขา

     “เฮ้ย…หนุ่มน้อย ไม่คิดจะหอมพี่แมนนี่บ้างเหรอคะ พี่ก็ต้องการกำลังใจน้าาา” ผมรู้ว่าแมนนี่พูดเพื่อให้เราคลายกังวล

     “อย่าหอมมันเลยเดี๋ยวแก้มมันยุ่ยติดออกมา”

    “สัดกูยังไม่เน่า เนื้อตึงดียะ” อย่างที่คิดทุกคนคลายความกังวลขึ้นมากแล้ว

     “ถึงแล้ว พร้อมนะ” พวกเราทุกคนเตรียมพร้อม อาวุธของผมและแมนนี่เป็นดาบและปืน เป็นเก็บเสียงเราไปเก็บกันมาที่โรงพัก เก็บมานะครับ เก็บมา ไม่ได้ขโมยน้าาา

     “ไป!!” ผมและแมนนี่วิ่งเข้าไปในร้านสะดวกผซื้อ เราต้องเปิดประตูกันเอง เพราะไฟฟ้าโดนตัดแล้ว

     ข้างนอกซอมบี้โดนลูกธนูปักหัวไปแล้วสอง

     “แมนนี่ข้างในมีสอง” ผมบอกแมนนี่เมื่อเห็นซอมบี้พนักงานยืนอยู่

    “คนละหนึ่งนะยะ”

     “โอเค ไป” เมื่อเราเปิดประตูได้ ซอมบี้ก็ตรงดิ่งมาหาเราเลยทันที

     “เฮ้ย!!” ฉับ!! ฟันครั้งแรกโดนแขน บ้าเอ้ยย ต้องตัดคอเท่านั้นถึงจะกำจัดได้ ผมวิ่งหลบข้างเคาน์เตอร์ เมือมันวิ่งมา ฉับ!! คอขาดด โอ้ยย เลือดเปื้อนหมดเลย

     “มัวยืนอยู่ได้มาช่วยกันขนของสิยะ” เสียงเจ้ากรรมนายเวรก็มา

     “จ้า!! ไปแล้วๆ” ผมวิ่งไปขนของใส่ตะกร้าของร้าน ขนมันทุกอย่างที่ขนไปได้ ของกิน ของใช้

     กว่าจะขนออกมาหมดเราใช้เวลานานครึ่งชั่วโมง ซอมบี้ข้างนอกตายไป 7

     ขณะที่เรากำลังขนของตะกร้าสุดท้ายขึ้นรถ ก็มีเสียงแปลกๆดังขึ้น ตอนนี้หนาวและมิว ขึ้นรถไปแล้ว เหลือแค่ผมและแมนนี่

     ตึกๆ ตึกๆ “เฮ้ย…เสียงอะไรวะ” ผมถามแมนนี่ที่อยู่หน้ารถ

     “เฮ้ย…มีคนกำลังวิ่งหนีซอมบี้มา เอาไงวะ”แมนนี่ตะโกนกลับคืนมา

     “ช่วยพวกเขา ลุงติดเครื่องเลย ไอ้แมนเอาของไป เดี๋ยวฉันไปช่วยเอง” ผมเอาของให้แมนเอาขึ้นรถแล้ววิ่งไปหลังรถเพื่อช่วยคนที่กำลังวิ่งหนีซอมบี้

     มีคนวิ่งมาห้าคน โอ้!! ซวยแล้วซอมบี้เป็นฝูงเลย

     “ทางนี้ครับ ขึ้นรถเลย คุณผมช่วย เร็วๆ ครับ” คนที่ไม่บาดเจ็บขึ้นรถไปแล้ว เหลือชายหญิงสองคน ผู้ชายได้รับบาดเจ็บจึงทำให้หนีช้า ผมไปช่วยผู้หญิงคนนั้น ลากผู้ชายขึ้นรถ

     โอ้ซวยแล้ว  “ขึ้นไปก่อนเลยผมเบี่ยงเบนความสนใจให้ ลุงออกรถเลย เดี๋ยวผมวิ่งตาม” มันเยอะเกินไป รถฝ่าไปไม่ได้แน่ๆ

     “ไอ้ซอมบี้ กูอยู่นี้เว้ยย มากินกูสิ กูหล่อนะเว้ยยย” โหยยมันวิ่งตามผมมาหมดเลย เห็นผมหล่อละสิ เฮ้ยย คนหล่อเพรีย

     ซิบหายแล้ว มีซอมบี้อยู่ข้างหน้าสามตัว ตายแน่ๆ
     ฉึบ!!! ล่วงไปสอง “พี่อุ่นเร็วๆ” ฝีมือน้องชายผมสินะ ผมตะโกนตอบไม่ได้ เพราะผมกำลังวิ่งจนสุดฝีตีนอยู่ ลุงดำลดความเร็วไม่ได้ เพราะพวกมันจะเกาะรถ

     จะถึงแล้ว อีกนิด “พี่อุ่นอีกนิดครับ อีกนิดเดียว” ฮึบ!! อ่าา ขึ้นได้แล้ว

     “โอ้ยย สัดเอ้ยย” ไอ้ซอมบี้บ้านี้มันเกาะขาผมอยู่ หนักเป็นบ้าเลย มือ จะ หลุด แล้วว

     ฉึก!! อ่าา หลุดซักทีไอ้ซอมบี้บ้า “ลมหนาวขอบใจนะ ยิงแม่นมากน้องใครวะเนี่ย” แต่ทำมัยน้องทำหน้าโหดอย่างนั้นหละ

     “ทำมัยต้องทำอย่างนั้นด้วย ทำมัยต้องเสียสละตัวเองด้วย ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมา ผมกับไนท์จะอยู่ยังไง อย่าทำอย่างนี้อีก อย่าทำขอร้อง” ผมเดินเข้าไปสวมกอดน้อง และลูบหลังน้องเบาๆ ผมเข้าใจน้องดี ถ้าน้องและมิดไนท์เป็นอะไร คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน

     “ขอโทษ ที่ทำให้เป็นห่วง พี่จะไม่เป็นอะไร พี่จะอยู่ตรงนี้กับหนาวและไนท์เสมอ ขอโทษ หายโกรธนะ นะๆๆ สุดหล่อ นะๆๆ” ผมอ้อน ทำหน้าน่าสงสารนิดๆ ผมรู้น้องทนลูกอ้อนผมไม่ได้หรอก

    “เฮ้อ…ก็ได้ครับ แต่อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ผมกับไนท์เป็นห่วง”

     “ครับ รู้แล้วมากอดๆ กอดไอ้ตัวเล็กด้วย มานี้เลย” ผมเข้าไปกอดมิดไนท์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ

     “เมื่อกี่ ไนท์เป็นห่วงมัมมักๆเย้ย แต่มัมเก่งมักมากวิ่งหนีซอมบี้ตั้งเยอะแหนะ” ไอ้ตัวเล็กพูดเสียงเจื้อยแจ้ว ตาแป๋วโตขึ้นเมื่อพูดเรื่องตื่นเต้น ก็น่ารักกันขนาดนี้ผมก็ต้องกลับมาให้ได้สิ

     “จับมันโยนลงรถเลย เอามันขึ้นมาด้วยทำมัย มันโดนกัดไปแล้ว อีกเดี๋ยวมันก็ลุกขึ้นมากินเราแน่ ฉันสั่งให้โยนมันลงรถซะ” เสียงใครวะน่ารำคาญชิบ

     “ไม่ ไม่ได้นะ อย่า โยนเขาลงไปเลย อย่า ฮือออ เขาไม่เป็นอะไรอย่าทำเลยนะ ฮือออ”ผู้หญิงคนนั้นกำลังกอดคนรักตัวเองร้องไห้

     “เมียมันก็คงโดนกัดเหมือนกัน โยนมันลงรถไปทั้งสองคนเลย”ลุ่งนั้นก็ยังไม่ยอม

     “เอะอะอะไรกัน แล้วใครจะให้ใครลงรถเหรอ” ผมถามขึ้น แนนนี่กรอกตาแล้วหันหน้าหนีไปกินขนมกับน้องบี ไม่สนใจทางนี้ ผมคงต้องจัดการเองสินะ รับคนเพิ่มปัญหาก็เพิ่มเห้อออ สงสัยจะรับตัวปัญหาขึ้นรถซะแล้ว

     “ฉันเป็น สส ฉันกับลูกสาวรวยมาก” เอิ่ม…แล้ว ยังงัย คือ ไม่ได้ถาม หรือกูเผลอถามวะ

     “ฉันต้องการให้สองผัวเมียนี้ลงรถไปซะ” อือหือวางอำนาจซะ

     “ทำมัยต้องไล่ลงละครับคุณ สส” เอาเชิดเข้าไปๆ ขอให้คอเคล็ดสาธุ

     “พวกมันโดนกัด” ออ กลัวตัวเองติดเชื้อ

     “คุณกับลูกกรุ๊ปเลือดอะไรครับคุณ สส” ให้เกรียด!! มากๆ เลยนะเนี่ย

     “AB ทำมัย” อะเชิดเข้าไปอีก โอ้ยย เห็นแล้วหมั่นไส้

     “ก็กรุ๊ปเลือด AB และ Rh- โดนกัดก็ไม่ติดเชื้อครับ ข่าวเขาก็บอก ไม่รู้เหรอครับคุณ สส”

     “ฉันจะแน่ใจได้ไงว่ามันไม่ติด ถึงไม่ติดฉันก็ไม่อยากให้ซอมบี้อยู่ร่วมรถหรอกนะ เพราะงั้นฉันสั่งให้ไล่มันสองคนลงไปซะ” อือ..ไม่จบสินะ

     เหนื่อยกับการหนีซอมบี้ แล้วยังต้องมาเหนื่อยกับคนบ้าอำนาจอีกเหรอ เฮ้อ…คนหล่อเซ็ง

     “ผมก็โดนกัดด้วย เนี่ยที่ขาเห็นมัย แล้วผมก็ไม่ลงด้วยเพราะมันเป็นรถของผม ถ้าใครไม่พอใจ เชิญลงไปเลย แล้วผมก็จะให้สองผัวเมียนั้นอยู่ด้วย มีปัญหาอะไรอีกมัย” ผมยิ้มหวานส่งท้ายก่อนนั้งลงให้ลมหนาวทำแผลที่ขาให้

     “ไม่ได้นะคะพ่อ หนูไม่ยอมนะ หนูไม่อยากนั่งรถพวกพวกซอมบี้” หน้าตาก็สวย เสียดายนิสัยเสียไปนิด หรือมากวะ ซั่งเถอะ

     “ใครไม่พอใจนู้นคะประตู เชิญลงไปเลย ซิวๆ” แมนนี่คงเห็นผมเลิกสนใจแล้วจึงลุกขึ้นมาพูด

     “ได้ จำเอาไว้เลย แล้วฉันจะเอาคืนพวกแก” แล้วคุณท่าน สส และลูกสาวก็เชิดหน้าแล้วนั้งลง

     “หนาวไปทำแผลให้เขาหน่อยเร็ว คุณครับเดี๋ยวผมให้น้องทำแผลให้นะ” ผมมองไปที่บาดแผลของเค้า “แผลสดคงเพิ่งโดนกัด การทำแผลจะทำให้การกลายร่างช้าลง แต่ก็ไม่เกิน 48 ชั่วโมง จากที่เราคาดการณ์ไว้เราจะไปถึงทหาร ในวันพรุ่งนี้ ทหารเค้ามีวัคซีน คุณต้องอดทนไว้นะ เราจะไม่ทิ้งคุณ” ผมให้ความมั่นใจกับเค้า

     “แล้วคุณหละ เออ คุณก็โดนกัด” เค้ามองบาดแผลของผม

     “เลือดผมเป็น Rh- หนะ ผมเลยไม่กลายเป็นซอมบี้”

     “ดีจัง เมียผมก็มีเลือดกรุ๊ปพิเศษเหมือนกัน” เค้าหันไปยิ้มให้คนรักของเขา ทั้งสองดูจะรักกันมาก เฮ้อ เห็นคนรักกันแล้วมันตาร้อน

     เนื้อคู่ผมอยู่ไหนนน สาวสวยคนนั้นอยู่ไหน สุดหล่ออยู่ตรงนี้!!

+++

     ตอนนี้เราอยู่นอกเมือง กำลังหาที่พักที่คิดว่าเหมาะสม คือต้องมีรั่วสูง มีแท่งน้ำให้เราใช้ หายากชะมัด ขับมาเป็นชั่วโมงแล้ว

     “ลุง หลังนั้นๆ ใช่เลย แบบนี้แหละใช่เลย เหมาะเหม็ง” ในที่สุดเราก็เจอบ้านที่เราต้องการ

     “ลุงจอดอยู่ตรงทางเข้าผมกับแนนนี่จะลงไปสำรวจ มิว หนาว ขึ้นหลังคารถคุ้มกัน”

     ผมกับแนนนี่เข้าไปในบ้าน อย่างที่คิดเจอซอมบี้ครอบครัวนี้สามคน เรากำจัดแล้วเอาศพไปไว้นอกรั่วเรียบร้อย แล้วนำรถบัสมาจอดภายในบริเวณบ้าน
 
     เสียลูกปืนไปสามนัดแหนะ เสียดายซะมัด เราจับจองที่นอน อาบน้ำ และตั้งเวรยามกัน ว่าใครจะอยู่ผลัดไหน

     ผมกับลมหนาวอยู่ผลัดแรก แนนนี่กับมิวผลัดสอง ผลัดสุดท้ายเป็นลุงดำและผู้ชายที่ขึ้นรถมาใหม่ ชื่อพี่ชาติ

     ในที่สุดก็ได้อาบน้ำซักที ผมกับลมหนาวเฝ้ากะแรก โดยมีเจ้าตัวเล็กนอนหนุ่นตักผมอยู่

     “พี่ว่าเราจะพาเค้าไปฉีดวัคซีนทันเวลาไหม” ลมหนาวพูดกับผมเบา

     “พี่หวังว่าจะทัน หวังว่าทหารจะยังอยู่ที่นั้น ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน เราต้องมีความหวัง” ผมลูบหัวน้องชายเบาๆ ผมรู้ว่าเค้ากังวล

     “เราต้องมีความหวัง อย่างที่พี่หวังว่า เมื่อไปถึงจะมีทหารสวยๆ ซักคน ให้พี่สมัครไปเป็นแฟน” ผมทำหน้าทะเล้นใส่น้องชาย

     “ผมกลัวว่าพี่จะไปเป็นแฟนทหารหล่อๆ ซะมากกว่า” อือหือ…ปากเหรอนั้น ฟันศอกน้องชายตอนนี้ จะดูใจร้ายไปไหม

     “หล่อๆ แบบพี่ ต้องสาวๆ สวยๆ เท่านั้น” เชิดครับเชิด สงสัยผมติดมาจากท่าน สส แน่เลย

     “ผมจะคอยดู” คอยดูไปเถอะ ผมจะหาพี่สะใภ้สวยๆ มาให้คอยดู

+ + +

05.30 น.

     “แย่แล้วๆ แย่แล้ว!!!”

     เฮื้อกกก!! ผมสดุงตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะ

     “มีอะไรครับลุง” ผมถามลุงดำ ที่วิ่งหน้าตื่นเอะอะโวยวายเข้ามา

     “นะ นายชาติๆ สสๆ ไป ลูกสาวๆ”

     “ลุงดำใจเย็นๆ หายใจลึกๆ ค่อยๆพูด” ทุกคนตื่นกันเกือบหมด เหลือแต่เด็กๆ ที่ยังหลับอยู่ เมื่อลุงดำดูใจเย็นลงแล้ว จึงค่อยๆพูด

     “นายชาติ สส และลูกสาว เอารถบัสเรา หนี หนีไปแล้ว”

     …ชิบหายแล้ววววว…
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอน1☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 08:17:36

- 2 -



[ธาม]

     อคิราห์ ความหมายของชื่อนี้คือ แสงสว่าง พ่อกับแม่ท่านตั้งให้ผม เพราะอยากให้ผมเป็นแสงสว่างให้กับทุกคน
     
     ผมชื่อธาม นายอคิราห์  วิศามนกาณ  ผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่ท่านให้ผมเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งแต่จบ ม.3 ผมซึ่งไม่ได้ชอบ หรืออยากเรียนอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้าน

     ชีวิตในการเรียนของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษหรอก รู้แค่ว่าผมจบมาในผลการเรียนระดับต้นๆ พ่อแม่ผมท่านปลาบปลื้มมาก ก็แน่หละ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของพวกท่านนิ
     
     การที่ครอบครัวผม เป็นครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อยู่ในระดับกลางๆ ทั่วไป การที่ส่งลูกชายเรียนจบ ลูกชายผลการเรียนดี ได้ทำงานในตำแหน่งค่อนข้างสูง พ่อแม่ผมแทบจะปิดซอยเลี้ยง  ถ้าแม่ไม่คิดขึ้นมาซะก่อนว่าซอยมันยาวไป ปิดซอยเลี้ยงคงเป็นหนี้ก้อนโต

     พอทำงานได้ปีกว่า ผมก็เลือกที่จะไปอยู่หน่วยรบพิเศษ การจะกลับมาหาครอบครัวแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องยาก ผมได้ไปฝึก และทำงานกับทหารอเมริกา และอังกฤษบ่อยๆ ปีหนึ่งผมมีโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่ไม่เกิน 4 ครั้ง

     ถึงจะน้อย แต่พวกท่านก็ไม่เคยเสียใจที่ให้ผมเป็นทหาร พวกท่านภูมิใจทุกครั้งที่พูดถึงผม บอกผมเสมอว่าผมต้องเป็นผู้นำทางแสงสว่างให้กับทุกคน

     ใช่ครับ   ผมเป็นผู้นำทางแสงสว่างให้กับทุกคน…ทุกคน…ยกเว้นพวกเค้า…ผมไม่สามารถนำทางแสงสว่างให้กับพ่อแม่ตัวเองได้

     ผมช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ไม่สามารถช่วยพ่อแม่ตัวเองได้…

     ผมเป็นคนลั้นไกลปืนปลิดชีวิตพวกเค้า จากสภาพอันน่าเวทนานั้น ด้วยมือของผมเอง

     นี่เป็นสิ่งสุดท้ายในฐานะลูก พี่ผมจะทำให้พ่อแม่ผมได้

     ผมฝังพวกเค้าไว้ใต้ต้นไม้ที่บ้าน สักวันเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผมจะกลับไปทำพิธีส่งดวงวิญญาณตามพิธีกรรมทางศาสนาให้ถูกต้อง ผมสัญญาว่าจะทำให้ได้

     …ถ้าหากวันนั้นผมยังมีชีวิตอยู่…



     ในยามที่โลกพบกับมหันตภัยอันร้ายร้ายแรง ในทุกประเทศ ต่างมีวิธีการรับมือที่แตกต่างกันไป

     ในประเทศที่มีพื้นที่มาก ประชากรน้อยย่อมรับมือกับมหันตภัยเชื้อโรคร้ายนี้ได้ดีกว่า ประเทศที่มีพื้นที่น้อย แต่ประชากรมาก เพราะการที่มีประชากรเป็นจำนวนมาก ทำให้การแพร่เชื้อเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะไปแห่งหนใดก็พบแต่ผู้ติดเชื้อ

     ประเทศที่มีพื้นที่เยอะ เทคโนโลยีทันสมัยอย่างจีน คุณคงคิดว่าเขาคงรับมือได้ดีกว่าประเทศเล็กๆ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ถึงจีนจะมีพื้นที่จำนวนมาก แต่ประชากรในประเทศเยอะและแออัด การแพร่เชื้อนั้นรวดเร็วและเลวร้ายมาก ชนบทจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผู้รอดชีวิต

     ประเทศที่เป็นเกาะอย่างญี่ปุ่น เป็นประเทศที่รับมือได้ดีที่สุด ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามคนเช้าออกทุกทาง ซอมบี้ไม่มีทางเดินฝ่าทะเลไปได้อยู่แล้ว แต่ก่อนที่ญี่ปุ่นจะควบคุมได้ ใช่เวลานานครึ่งปี เสียประชากรไปกว่าครึ่งประเทศเลยทีเดียว

     ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีความเสียหาย ไม่มีที่ไหนที่ไม่สูญเสีย ความตายเป็นเหมือนเรื่องปกติที่เห็นได้ทุกวัน ความเสียใจเปลี่ยนเป็นความเฉยชา

     ประเทศไทยไม่พ้นจากมหันตภัยนี้เช่นกัน ความตายเป็นเยือนทุกหนแห่ง ราวกับเป็นวันพิพากษาของมนุษย์ ผู้รอดมีเพียงน้อยนิด เชื้อโรคได้ให้ข้อแม้ในการรอดชีวิต  ป่าไม้ทวงคืนพื้นที่ที่เราเคยทำลาย

     หนึ่งปี ที่เราเผชิญหน้ากับความตาย คนตาย และเชื้อโรคร้าย เป็นหนึ่งปีที่ยาวนาน แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก

     การฆ่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผม ไม่ว่าคนตรงหน้าอดีตจะเคยเป็นใครมาก่อน ปัจจุบันมันเป็นแค่ซอมบี้ที่เราต้องกำจัดให้สิ้นซาก

     มันไม่ง่ายเลยเมื่อต้องฆ่าซอมบี้เกือบทั้งประเทศ ด้วยอาวุธเพียงน้อยนิด ถ้าเราต้องกำจัดซอมบี้เกือบ 60 ล้านตัว เราต้องวางแผนมีอาวุธและกำลังพลที่มากพอ

     แต่ตอนนี้เรามีประชากรไม่ถึง 5 ล้านคน ด้วยซ่ำ แถมยังลดน้อยลงทุกวัน คนเห็นแก่ตัว รักตัวกลัวตายก็มีมาก

     เช่นนั้นการตามหาผู้รอดชีวิต และสร้างค่ายพักจึงเป็นงานที่สำคัญมาก แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคืออาหาร

    เรามีค่าย มีคน แล้วยังงัย ถ้าขาดอาหารก็ตายอยู่ดี

     เราจึงทำการปลูกข้าวในพื้นที่ห่างไกล ใช้เครื่องจักรมากกว่าใช้คน เพื่อลดความเสี่ยง แต่ก็ยังไม่พอต่อความต้องการ เราจึงต้องหาพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม

     เราส่งข้าวไปตามค่ายต่างๆ ภูเก็ตเป็นค่ายขนาดใหญ่ และมีค่ายเล็กๆ กระจายในหลายๆ จังหวัด

     ค่ายเล็กที่อาศัยคุกเป็นที่ตั้ง ไม่มีที่ไหนเหมาะสมกว่าคุกอีกแล้ว กำแพงสูง ประตูแข็งแรง ป้องกันซอมบี้ได้ดีกว่าตึกรางบ้านช่องมาก
     
     
     ตอนนี้ผมและพักพวกที่มีทั้งนายทหาร และอาสาสมัคร ได้นั้งเรือออกจากภูเก็ต มาแผ่นดินใหญ่ได้เกือบสัปดาห์แล้ว

     ปกติเราจะเข้าส่งเรือมารับผู้รอดชีวิตทุกเดือน แต่เพราะแท่งขุดเจาะน้ำมันมีปัญหา เราจึงลดปริมาณการใช้ โดยจะส่งเรือมารับในอีก 2 เดือนข้างหน้า

     ขณะนี้เราอยู่ค่ายพักชั่วคราวในจังหวัดราชบุรี อีกสองวันเราจะเดินทางไป กาญจนบุรี เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวที่เราปลูกไว้

     เราได้ประกาศผ่านวิทยุเพื่อให้คนที่ฟังได้รู้ความเคลื่อนไหวของเรา เผื่อมีผู้รอดชีวิตอยากมาหาเราจะได้รู้พิกัดของเรา

     วิทยุเป็นเพียงสื่อเดียวในขณะนี้ที่สามารถรับฟังข่าวสารได้

+ + +

     “ผู้กองครับ ทีที03 บอกว่าจะถึงในอีก 15 นาทีครับ” จ่านนท์วิ่งหน้าตาตื่นมารายงานผม เรื่องการมาของหน่วยทีที

     ทีที เป็นหน่วยงานที่เราสร้างขึ้นเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เพื่อดูแลผู้รอดชีวิตในค่ายย่อยต่างๆ พร้อมทั้งค้นหาผู้รอดชีวิตในพื้นที่ ที่ได้รับผิดชอบ

      แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านจำนวนคน ทำให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร มีจำนวนน้อยมาก ในหลายๆ จังหวัดจึงยังไม่มีการเข้าไปสำรวจและดูแล

     “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” ผมหันไปถามความเรียบร้อยจากจ่านนท์

     “เรียบร้อยดีครับ!! แต่ติดนิ๊ดด เดียว” จ่านนทน์ ยิ้มแห้งๆ มาให้ผม

     “อะไร”

     “คือมีซอมบี้ตามมาด้วย ประมาณ 20-30 ตัว เองครับ แหะๆ” ปกติซอมบี้ไม่ได้วิ่งเร็วขนาดตามรถได้นิ

      อย่างมากเป็นซอมบี้ที่อยู่แถวนี้ ได้ยินเสียงรถแล้วตามมา แต่ก็ไม่น่าเกิน 15 ตัว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     “จ่า รายงานมาให้หมด” ผมพูดเสียงต่ำ เพื่อให้จ่ารายงานความจริงมาซะที

     “คือ แหะๆ คือ ไอ้จ่านายมันรับเอาอาสาสมัครมาเพิ่มในหน่วย แบบว่าหลานผมเอง คือ มันเพิ่งเป็นวัยรุ่นกำลังคะนอง ก็เลยๆ” จ่าพูดติดๆ ขัดๆ พร้อมยิ้มแห้งๆ ส่งให้ผม

     “จ่า” ผมกดเสียงต่ำลงอีกเพื่อกดดัน ผมไม่ชอบโวยวายเสียงดัง ผมจะใจเย็นและใช้ความนิ่งสยบมากกว่า

     “คือมันเห็นซอมบี้อยู่เป็นกลุ่ม เลยขว้างระเบิดใส่ ทำให้ซอมบี้ที่อยู่ในระยะ 1 กิโลเมตรตามมาครับ แต่ด้วยรถกำลังวิ่งอยู่ ซอมบี้เลยตามรถมาด้วยไม่เยอะครับ” ผมจ้องหน้าจ่าเงียบๆ

     “รู้ใช่ไหม เด็กคนนั้นต้องโดนลงโทษ” คนทำผิด ต้องได้รับบทลงโทษ

    คุณคงสงสัยว่า ทำมัยแค่โยนระเบิดใส่ซอมบี้ ต้องโดนลงโทษ…

    มันจะไม่เป็นไรเลย ถ้าทำในที่ที่สมควร หรือในสภาวะที่จำเป็น แต่ต้องไม่ใช่ทำเพื่อความคึกคะนอง โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา

     เสียงระเบิดทำให้ซอมบี้ที่ได้ยินมารวมตัวกัน แต่จุดที่พวกมันมารวมตัวกันดันเป็นเส้นทางที่เราใช้ เชื่อมต่อไปยังค่ายต่างๆ

     ถ้ามีผู้รอดชีวิตได้ได้ยินประกาศจากวิทยุ แล้วต้องการมาหาเรา หรือต้องการไปค่ายใหญ่ที่ภูเก็ต ต่างก็ต้องผ่านจุดนี้ นี่จึงไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แน่นอน

     เราจะใช้ปืนเก็บเสียงในการฆ่าซอมบี้ หรืออะไรก็ได้ ที่เงียบที่สุด เว้นแต่จำเป็น และไม่มีทางเลือกแล้วเท่านั้น เราถึงจะใช้อาวุธที่เสียงดัง

     “รู้ครับ… เอ่อ…ว่าแต่ ผู้กองจะลงโทษมันยังไงครับ” จ่าถามผม พร้อมสายตาที่อ้อนวอน

     “ไม่ต้องให้หลานจ่ากลับไปกลับหน่วย ทีที03 ให้เค้าไปกาญจนบุรีกับเรา เพื่อเก็บเกี่ยวข้าว อีกสองเดือนค่อยส่งเค้ากลับไปพร้อมกับทีที03 ในตอนที่ทีที03 มารับเสบียง” อยู่ดีๆ ก็มีแรงงานเพิ่ม หึหึ

     “ไปบอกทุกคนเตรียมตัว เราจะทำให้เงียบที่สุด ถ้าพวกซอมบี้ที่รวมตัวกันอยู่ ได้ยินเสียงเรา จบเห่แน่” จะให้ที่นี้โดนซอมบี้เป็นกองทัพจู่โจมไม่ได้ เพราะนี้เป็นค่ายที่คอยส่งเสบียงให้ค่ายต่างๆ

     พรุ่งนี้คงต้องไปจัดการกับฝูงซอมบี้สินะ อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ เด็กหนอเด็ก

     หวังว่าจะไม่มีผู้รอดชีวิตไปเจอกับกองทัพซอมบี้นั่นซะก่อนนะ

+ + +

     เมือรถมาถึง เราจัดการกับซอมบี้ด้วยปืนเก็บเสียง และดาบ เราจะใช้แต่ปืนไม่ได้ เพราะอาวุธเรามีจำนวนค่อนข้างจำกัด

     ในสภาวะแบบนี้ ไม่มีโรงงานผลิตอาวุธที่ไหนเปิดทำการ ไม่มีการซื้อขาย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

     ประเทศไหนมีอาวุธเยอะอยู่แล้วก็โชคดีไป ส่วนประเทศไหนมีอาวุธอยู่น้อย ก็ต้องพึ่งพาตนเอง และหาวิธีอื่นกำจัดซอมบี้แทน

     “งัยไอ้คุณผู้กองธาม ทำมัย ทำหน้าโหดอย่างนั้นวะ” ไอ้โฟรค หรือหมวดโฟรค เพื่อนของผมเอง เป็นหัวหน้าหน่วยทีที03 ดูแลแถบภาคกลาง

     “มีใครได้รับบาดเจ็บไหม” ผมไม่ตอบคำถามมัน แต่ถามกลับไปแทน

     “โอ้ย โดนเมิน เจ็บปวดดด อ่าๆ ไม่ต้องทำหน้าโหดใส่กู กูกลัวจนขนตูดลุกแล้วเนี่ย” ผมยังทำหน้านิ่งกดดันมัน “อะๆ ตอบก็ได้ มีคนโดนกัดมา 2 คน คนนึงเคยชีดวัคซีนแล้ว อีกคนยังไม่เคย กำลังพาไปชีดวัคซีนครับผม!!” แม่ง จะตะโกนทำซากอะไรวะ

     “โดนลูกน้องปาระเบิดใกล้หู จนหูหนวกรึไง ถึงต้องตะโกนคุย” ผมแซะเรื่องลูกน้องมันไป

     “แหมะๆ แซะเก่งๆ ก็เด็กมันเพิ่งทำงาน แถมมันเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนอยู่ มันก็ต้องมีผิดผลาดกันบ้าง” มันพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ผมรู้ว่ามันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ที่เด็กนั้นทำแบบนี้

     “แล้วจะเอายังงัย” ผมอยากรู้ว่ามันจะลงโทษเด็กนั้นยังงัย

     “จ่า นนท์บอกมึงมีบทลงโทษแล้วนิ ก็ดีฝากอบรมริวน้อยให้กูด้วยแล้วกัน” เหมือนมีกลิ่นแปลกๆ แต่ก็ชั่งเถอะ ไม่ใช่เรื่องของผมนิ

     “เด็กนั้นไม่น้อยแล้วมั้ง สูงขนาดนั้น” ผมพูดถึงไอ้เด็กสูงโปร่งเจ้าปัญหานั้น ดูจากภายนอก อายุน่าจะประมาณ 17-18 ปี

    “กูหมายถึงอายุเว้ย แต่ตัวแม่งสูงชิบหาย มึงก็ดูๆ มันด้วยแล้วกัน” มันแสดงออกเหมือนว่าไม่ใส่ใจ แต่ผมดูออกว่าไม่ใช่ หึหึ

     “กูก็ดูทุกคนอยู่แล้วนี่ หรืออยากให้ดูใครให้เป็นพิเศษ” มันหลุดสีหน้าหลุกหลิกเล็กน้อย แล้วปรับให้เป็นปกติเหมือนเดิม

    “พิเศษอะไร กูก็พูดๆ ไปงั้นแหละ ไปแล้ว ง่วงนอนชิบหาย ขับรถมาตั่งนาน” แล้วมันก็เดินออกไป หึหึ มึงควรของคุณซอมบี้ซะที่แดกตำรวจเข้าไป ไม่งั้นมึงคงโดน ข้อหาพากผู้เยาว์

+ + +


21.25 น.

     “ผู้กองครับ หน่วยลาดตะเวนรายงานมาว่า มีผู้รอดชีวิต ขับรถโรงเรียนมาเจอกับฝูงซอมบี้ครับ” จ่านนท์วิ่งมารายผมที่ห้อง ผมรีบไปที่วิทยุสื่อสารเพื่อคุยกับหน่วยลาดตะเวน

     “เหยี่ยววัน นี่ผู้กองธามเรียก เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง” ผมถามทางหน่วยลาดตะเวนที่ส่งออกไป

     “รถผู้รอดกำลชีวิตกำลังจะไปต่อไม่ได้ เพราะซอมบี้มีมากเกินไปครับ”

     “มีผู้รอดชีวิตกี่คน” ผมถามจำนวนผู้รอดชีวิต เพื่อวางแผนการช่วยเหลือ

     “เท่าที่เราเห็นมีสามคนครับ ชายสอง หญิงหนึ่ง” จำนวนไม่เยอะ ง่ายต่อการพาออกมา

     “จากสถานการณ์ คุณคิดว่าจะสามารถนำผู้รอดชีวิตออกมาได้ไหม” ผมถามความเป็นไปได้ เพราะผมไม่เห็นสถานการณ์ด้วยตาตนเอง

     “ได้ครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”

     “ผมจะบอกวิธีการให้คุณเอง” เพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางคืน ถ้าเราออกไปกำจัดซอมบี้ตอนนี้ มันเสี่ยงเกินไป ต้องรอให้เช้าก่อน

     ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือนำผู้รอดชีวิตออกมาก่อน

     “คุณบอกให้ผู้รอดชีวิตอยู่ในรถเงียบๆก่อน ปิดประตู หน้าต่างรถทุกบาน เพื่อไม่ให้กลิ่นเล็ดลอดออกไป จากนั้นให้นายทหารสองนายล่อซอมบี้ไปอีกทาง แล้วคุณก็ไปนำผู้รอดชีวิตออกจากรถซะ”ผมบอกวิธีการให้กับหมู่

     “อย่าใช้รถบัสที่ผู้รอดชีวิตขับมาหละ เสียงมันดังเกินไป ขับขึ้นไปทางทิศเหนือสลัดพวกที่ตามมาให้หลุดแล้วค่อยกลับมาที่ค่าย ใช้รถอีกคันไปรับนายทหารทั้งสองนายด้วย ทำได้ใช่ไหม” ผมถามความมั่นใจจากนายหมู่

     “ได้ครับผู้กอง รับรองไม่ผลาดแน่นอนครับ”

     “อย่าประมาทไป และดูแลตัวเองดีๆ” ผมสำทับอีกที

     “ครับผู้กอง” ผมและทหารที่ค่ายนั่งรอฟังข่าว ยังไม่มีใครเข้านอนเลยสักคน ทุกคนนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

+ + +


23.02 น.

     ในที่สุดรถของทหารลาดตะเวนก็มาถึง มีผู้รอดชีวิตลงรถมาด้วย 2 คน ชายหนึ่งหญิ่งหนึ่ง ไหนว่ามีสามคน

     “หมู่ แล้วผู้รอดชีวิตอีกคนหละ” หมู่เดินเข้ามาหาผม ขณะที่หน่วยพยาบาลไปดูแลผู้รอดชีวิต

     “เอ่อ…เราเสียผู้รอดชีวิตไปหนึ่งครับ” หมู่ตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ

     “เกิดอะไรขึ้น” ผมแค่อยากรู้เท่านั้น เพราะผมรู้ การสูญเสียเป็นเรื่องปกติที่เราต้องเจออยู่แล้ว แล้วทำมัยหมู่ต้องทำสีหน้าลำบากใจด้วย

     “คือ มีซอมบี้อีกกลุ่มไม่ยอมตามนายทหารทั้งสองไป เพราะสนใจกลิ่นบนรถมากกว่สครับ พอผู้รอดชีวิตลงรถ ซอมบี้ก็กลูกันออกจากที่มืด เกือบสิบตัว” มันก็ไม่เยอะขนาดที่หมู่ กับลูกน้องจะจัดการไม่ได้นิ
     “ก็ไม่เยอะเท่าไหร่นิ” ผมถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย

     “ใช่ครับ มันไม่เยอะมาก เราจัดการได้ แต่ สองพ่อลูก คือผู้รอดชีวิตสองคนหนะครับ” อ๋อ สองคนนั้นเป็นพ่อลูกกันนี่เอง “สองคนนั่นตกใจ แล้วผลักผู้รอดชีวิตอีกคนไปให้ซอมบี้กิน” หึ พวกเห็นแก่ตัวสินะ ทำยังงัยก็ได้ แค่ให้ตัวเองรอดเป็นพอ

     “อืม เข้าใจแล้ว หมู่ไปพักเถอะ” ผมบอกให้หมู่ไปพัก เพราะดูอาการแล้ว คงเหนื่อยใช่เล่น

     “ผมขอโทษจริงๆนะครับ ที่ไม่สามารถช่วยผู้รอดชีวิตได้หมด” หมู่ทำสีหน้าสำนึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น

     “ไม่เป็นไรหรอกน่า หมู่ทำดีที่สุดแล้ว เรื่องสูญเสียมันเป็นเรื่องปกติที่เราต้องเจออยู่แล้ว หมู่ยังไม่ชินอีกเหรอ แค่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ แล้ว ผลมันเป็นยังไงเราก็ต้องยอมรับมัน ไปพักเถอะ” หมู่มีสีหน้าที่ดีขึ้นมานิดนึง ก็คงผิดหวังที่ช่วยไม่ได้ทั้งที่อยู่ต่อหน้าตัวเองแท้ๆ สินะ

     “ครับผู้กอง” หมดเรื่องซักทีวันนี้มีแต่เรื่องทั้งวัน

+ + +


23.40 น.

     “ผู้กองครับ ผู้กอง” เรื่องอะไรอีกเนี่ย เฮ้ออ

     “มีอะไรอีกจ่า” ผมถามจ่า ที่กำลังยืนทำสีหน้าลำบากใจ

     “คือผู้รอดชีวิตที่มาใหม่ บอกอยากพบคนที่ดูแลที่นี้ครับ” จะพบทำมัยกัน

     “ก็จ่าไง จ่าก็ดูแลที่นี้ ไปพบสิ” จ่าเป็นมือขวาของผม จ่าอายุ 35 ปี มีลูกเมียแล้ว อยู่ที่ภูเก็ต

     “แต่เค้าจะพบคนที่ยศสูงสุดเท่านั้นครับ” เรื่องมากจริง จะอะไรกันนักหนา น่ารำคาญ เฮ้อ…

     “อืม” ผมทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินออกจากห้อง ไหนๆ ก็มีเรื่องทั้งวันแล้ว เอาให้มันสุดเลยแล้วกัน ดูสิจะมีเรื่องอะไรสำคัญนักหนา

     จ่าเดินตามผมด้วยสีหน้ารำบากใจ เมื่อเห็นผมทำหน้านิ่งๆ

     ผมเดินไปเจอกับชายหญิงสองคน ที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่

     “มีอะไร” ผมไม่มีอารมณ์มาสุภาพแล้ว

     “คุณใช่ไหมเป็นผู้กอง ที่ดูแลที่นี้” ผมมองคนที่กำลังถามผม เป็นผู้ชายอายุน่าจะ50กว่าๆ ดูจะเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างน่าดู

     “ครับ” เค้าทำสีหน้าพอใจ

     “ดี ฉันชื่อชาญชัย เป็นสสของจังหวัดXX แล้วนี้ลูกสาวฉันชื่อโรส” แนะนำตัวเองพร้อมลูกสาวอย่างเสร็จสรรพ

     “ผมธาม” ผมแนะนำตัวเองสั้นๆ

     “สวัสดีค่ะผู้กองธาม โรสค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เห็นคนที่นี่บอกว่าผู้กองยังโสดอยู่ คงเหงาแย่เลยนะคะที่ต้องมาทำงานแบบนี้ ในที่ที่มีแต่ผู้ชาย” อะไร What? “กลับไปค่ายที่ภูเก็ตแล้ว หวังว่าเราจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นนะคะ” จบด้วยการยิ้มหวาน หึหึ ดูก็รู้ว่าต้องการอะไร แต่ผมไม่สนหรอกนะ ดูก็รู้ว่าถ้าเข้ามาในชีวิตผมแล้ว ชีวิตผมต้องวุ่นวายมากแน่ๆ

     “พูดถึงเรื่องภูเก็ตแล้ว ผมกับลูกต้องการกับค่ายใหญ่ภายในอาทิตย์นี้” คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าสั่ง

     “คงไม่ได้ เพราะเรือจะเข้ามาอีกทีก็อีก 2 เดือน” คุณ สส ทำสีหน้าไม่พอใจ

     “ก็บอกให้เค้ามารับเร็วๆสิ บอกว่าท่าน สส.ชาญชัย ต้องการไปที่เกาะ” คิดว่าสั่งได้ก็ลองดู

     “ไม่ว่าใครก็มารับไม่ได้ จะไปได้ก็ต่อเมื่อถึงกำหนดการเท่านั้น ถ้าไม่พอใจ ก็หาเรือไปเอง หรือไม่ก็ว่ายน้ำไป” ดูสิจะทำยังงัยต่อ

     “แก…นี่ฉันเป็นถึง สส.นะ ฉันรู้จักผู้ใหญ่ยศสูงๆ เยอะอย่าหาว่าฉันไม่เตือน ต่อสายให้ฉันคุยกับเจ้านายแกเดี๋ยวนี้” พวกตัวน่ารำคาญ กำลังจะเข้ามากระชากคอเสื้อผม แต่โดนลูกสาวดึกแขนไว้ก่อน

     “พ่อคะ พอเถอะ อย่าเพิ่งโมโหสิคะ” ลูกสาวส่งสายตาไปให้ถึงยอมสงบ แต่ก็ยังฮึดฮัดขัดใจอยู่

     “ขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะผู้กอง พอดีคุณพ่อท่านเครียดมากนะค่ะ เราต้องเจอเรื่องร้ายๆ มา ทำให้คุณพ่ออารมณ์ไม่มั่นคง” แล้วเธอก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คิดว่าผมดูไม่ออกเหรอว่าแสดงหนะ แต่ก็เอาเถอะขี้เกียจคุย ง่วงจะตายอยู่แล้ว

     “อืม” ผมตอบไปให้จบๆ “แต่ก็อย่างที่บอก เรือจะมารับอีกสองเดือนข้างหน้า จะอยู่ด้วยหรือหาทางไปเองก็แล้วแต่” ผมบอกไปแบบไม่ใส่ใจนัก เหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่ก็เรื่องไม่สำคัญจริงๆแหละ หึหึ

     ดูก็รู้ คนแบบนี้มีแต่จะสร้างปัญหา แต่เราก็ต้องรับไว้เพราะหน้าที่ แต่ถ้าไม่อยากอยู่ มันก็ช่วยไม่ได้

     “สองเดือนก็สองเดือน แต่ตอนนี้ฉันต้องการฉีดวัคซีน” อะไรอีกเนี่ย เรื่องเยอะจริงวะ เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่จะได้นอน

     “โดนกัด??” ผมถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกร้อน

     “ใช่ แต่พวกนี้ไม่ยอมฉีดให้” บอกผมเสร็จ  ก็หันไปตะคอกเสียงใส่พยายาล

     “เค้าถูกกัดแล้วไม่ได้ฉัดวัคซีนเหรอ” ผมหันไปถามพยาบาล พยาบาลและหมอเป็นหน่วยแพทย์ทหาร ดังนั้นอย่าคิดว่าพวกเค้าจะกลัวกับแค่เรื่องโดนตะคอก

     “พวกเค้ากรุ๊ปเลือด AB ค่ะ กัดยังงัยก็ไม่กลายพันธุ์อยู่แล้ว และที่สำคัญ นั่นก็ไม่ใช่แผลโดนกัดด้วย แค่โดนข่วนนิดหน่อยเอง” คุณพยาบาลทำหน้าเซ็งๆ ก่อนหน้านี้ คงเถี่ยงกันมานานพอสมควรแล้วสินะ ถึงทำให้คุณพยาบาลแสนใจดีของหน่วย อารมณ์เสียได้

     “แต่ฉันต้องการฉีดเพื่อความมั่นใจ” ยังไม่ยอมอีก น่าเบื่อชะมัด ถ้าเลือกระหว่างเจอคนแบบนี้กับซอมบี้ทั้งฝูง ขอเจอซอมบี้ดีกว่า

     “วัคซีนเรามีจำกัด เราจะใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ กรณีนี้ แล้วจะไม่มีการพูดเรื่องนี้อีก จบ ถ้าไม่พอใจเชิญออกไปจากค่าย” พูดจบผมเดินเข้าห้องเลย ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยกับคนแบบนี้

     ได้นอนซักทีเว้ยยยย จัดการเองนะจ่า Good night หึหึ

+ + +

     

     ตอนนี้เวลาเที่ยงตรงเรากำลังกินข้าว เพื่อเตรียมตัวไปกำจัดซอมบี้ ที่อยู่ทางเข้าค่าย หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีการสูญเสียกำลังพล


     “ผู้กองครับ มีเรื่องแล้วครับ” อีกแล้วสิน่า

     “มีอะไรจ่า”

     “มีรถผู้รอดชีวิตขับมาเจอฝูงซอมบี้ครับ” เหมือนเมื่อคืนเปะ แล้วทำมัยต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย

     “ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นจ่า”

     “ก็รถที่ขับมาเป็นรถธรรมดาไม่ใช่รถใหญ่ มีคนเยอะ และที่สำคัญมีเด็กมาด้วยไม่ต่ำกว่าสามคนครับ” แย่แล้ว

     “เด็ก?? หลายคนด้วย” เรื่องไม่ดีแน่ ซอมบี้เยอะขนาดนั้น เด็กจะเอาตัวรอดยังไง

     “ครับเด็กๆ”

     “ทุกคนเตรียมพร้อม!! เราจะไปกันเดี๋ยวนี้ เอาอาหารขึ้นไปกินบนรถ อย่าช้า ไปหยิบอาวุธซะ!!” ผมตะโกนบอกทุกคน

     เกิดความวุ่นวายในโรงอาหาร ทุกคนวิ่งวุ่นหยิบอาวุธของตนเอง

     …หวังว่าจะทัน ต้องทันสิ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ กำลังจะไปช่วยแล้ว…

หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 15:20:08
เรื่องนี้เรื่องแรก ถ้าไม่สนุกขออภัยด้วยนะคะ
 :z13:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 15:42:33
เราลงตอนที่ 3 ไม่ได้อะ มันขาดตอน จาก 4,000 กว่าคำ เหลือไม่ถึง 500 คำ ทำยังไงดี ใครรู้บอกทีพรีสส  :katai4:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 15:54:12
- 3 -

[ไออุ่น]

05.30 น.

     “แย่แล้วๆ แย่แล้ว!!!”

     เฮื้อกกก!! ผมสดุงตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะ

     “มีอะไรครับลุง” ผมถามลุงดำ ที่วิ่งหน้าตื่นเอะอะโวยวายเข้ามา

     “นะ นายชาติๆ สสๆ ไป ลูกสาวๆ”

     “ลุงดำใจเย็นๆ หายใจลึกๆ ค่อยๆพูด” ทุกคนตื่นกันเกือบหมด เหลือแต่เด็กๆ ที่ยังหลับอยู่ เมื่อลุงดำดูใจเย็นลงแล้ว จึงค่อยๆพูด

     “นายชาติ สส และลูกสาว เอารถบัสเรา หนี หนีไปแล้ว”

     …ชิบหายแล้ววววว…



     ก็เข้าใจนะว่าสถานการณ์แบบนี้ ต้องห่วงชีวิตของตัวเองและครอบครัวก่อน

     …แต่ มันก็เกินไปปะวะ กูเพิ่งช่วยมาจากซอมบี้เมื่อวานแท้ๆ ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาป ที่แท้ทรู…


     “เว้ยย กูจะไม่รับพวกนักการเมืองขึ้นรถอีกแล้ว” เจ็บปวดหัวใจ ทำมัยถึงทำกับฉันได้…ปล.ร้องให้เป็นทำนองเพลงนะครับ จะได้เข้าถึงอารมณ์   (ไรท์ : คือ…น้องค่ะ มึงเครียดจริงปะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 15:56:50
[ต่อตอนที่ 3]
     
       “อีอุ่น Wake up!! ตื่นค่ะ มึงไม่มีรถ มึงรับใครขึ้นรถไม่ได้อยู่แล้วค่ะ” แมนนี่ทำหน้าเอือมๆ ใส่ผม

     ทำมัยอะ คิดไว้ก่อนไม่ได้รึงัย คนเราต้องมีจินตนาการสิ ต้องรู้จักคิดไว้ก่อนเชอะ

     “แต่พูดก็พูดนะ ถ้ากูเจออีชะนีแหล่ กับอีลุงนั้นเมื่อไหร่ จะตบให้หายแค้นเลยคอยดู อีพี่ชาติเห็นเงียบๆ ก็นึกว่าจะดี ดันไปหลงชะนีตอแหลซะได้ พูดแล้วขึ้นๆ” ต้องถอยออกมาหนึ่งก้าว เดี๋ยวโดนจิกหัว อารมณ์เธอช่างไม่น่าไว้ใจ

     “ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ จับโยนลงรถตั้งแต่เมื่อวานก็ดี เห็นสวยๆ ไม่น่าทำกันได้ลงคอ” เธอสวยจริงนะ ถึงจะดูเอาแต่ใจหน่อย แต่ไม่คิดว่าจะเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ เพราะแบบนี้สินะ แม่ถึงบอกว่าอย่าไว้ใจคนสวย กระซิกๆ

     “ชนีโบท็อกนั้นนะสวย ไม่เห็นจะสวยเลย ฉันสวยกว่าตั้งเยอะ ชิ” เอิ่ม…โนคอมเม้นท์ ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น

     “เอ่อ…พี่ๆ ครับ เรามาคิดว่าจะเอายังงัยก่อนดีไหมครับ คือ…ลุงดำจะร้องไห้แล้วครับ ดูสิ” เมื่อลมหนาวพูดจบเราหันขวับ กลับไปดูลุงดำทันที

     “งะ ลุงดามมม อย่าเพิ่งร้องไห้ ผมรู้ว่าลุงดำรักรถคันนั้นมาก แต่ใจเย็นๆ มันเป็นแค่ของนอกกายลุง เราหาใหม่ได้ เอารถเฟอร์รารี่ไหม เดี๋ยวผมออกไปหามาให้เลย ขับหนีซอมบี้ด้วยเฟอร์รารี่ เท่จะตาย” ไหงทุกคนมองหน้าผมงั้นอะ

     “อีอุ่น!! มึงแหกตาดู มีคนกี่คน เฟอร์รารี่มึงมันนั่งได้กี่คน อีผี!! สติค่ะ สติ!!” โดนอีกแล้ว โดนด่าอีกแล้ว เกิดเป็นคนหล่อนี่ลำบาก ทำอะไรก็ผิด กระซิก กระซิก TT

     “คือรถหนะอีกเรื่อง แต่ที่ลุงจะร้องไห้เพราะเสียดายรูปเมียลุงหนะ ลุงอยากเอาไว้ให้ลูกสาวได้ดูหน้าแม่เค้า ลุงไม่อยากให้ลูกลืมหน้าแม่” ฟังแล้วหดหู่กันเป็นแถบ

     “จะว่าไปก็เสียดายของบนรถเหมือนกันนะ คนสวยอยากร้องไห้” แมนนี่ก็เป็นไปกับลุงแล้ว

     ไม่ได้ๆ เราจะให้บรรยากาศหดหู่สิ้นหวังไม่ได้ เราจะเครียดไม่ได้

     “ไม่เป็นไรน่า ถึงเราจะเสียอะไรไปมันก็แค่ของนอกกาย เราก็ยังเหลือชีวิตอยู่นะ เราต้องสู้สิ ไม่เอาไม่เศร้า” เป็นไงคนหล่อพูดดีมัย “มันก็แค่รถ น้ำมัน น้ำดื่ม รูปเมียลุง เสื้อผ้า ยา ธนู ลูกธนู ปืน ดาบ มีด และเสบียงที่เราเพิ่งเสี่ยงชีวิตไปเอามาเอง จิ๊บจิ๊บ” รึป่าววะ...ทำมัยยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้

     “เอิ่ม…พี่ครับ เกือบจะดีแล้ว หดหู่กว่าเดิมอีก” ง่า…จริงดิ แหะๆ พูดเพลินไปหน่อย เห็นกำลังเคลิ้มกัน

     “ ♪ร้องไห้!! กับฉันระบายออกจากหัวใจ!!♪”

     “มึงจะแหกปาก ทำมายยย!”

     “ก็ไม่อยากให้เครียดอะ”

     “กูเครียดกว่าเดิมอีก แม่งเสียงอย่างกับหมาเยี่ยวใส่สังกะสี” จะร้องไห้จริงๆ แล้วนะ พูดขนาดนี้เอาทีนมาลูบหน้ากันเลยดีกว่า เจ็บปวด
     



     แดดประเทศไทยอย่างกับไฟนรก ที่ว่านี่ไม่ใช่ว่าผมเคยไปนรกหรอกนะ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ต่างเท่าไหร่หรอก

     ตอนนี้ผมกำลังเดินย่ำต๊อก ท้าไฟนรกที่กำลังแผดเผาในเวลา 10 โมงเช้า กับลุงดำ และแมนนี่ อยากรู้ใช่มัยว่าเรามาทำอะไรกัน คนหล่อใจดีจะเล่าให้ฟังคราวๆ

     เรื่องมันมีอยู่ว่า หลังจากเมื่อเช้ามืดที่เราปรึกษากันยังไม่ได้ข้อสรุปนั้น ผมคิดว่าการคุยกันเมื่อเช้าเป็นการปรึกษากันนะ ใช่รึเปล่า หรือไม่ใช่ เออ…ช่างมันเถอะ หลังจากนั้น เราก็หาของกินในบ้าน แล้วปลุกทุกคนขึ้นมาปรึกษากันใหม่

     พอท้องเราอิ่ม สมองเรามันก็แล่นปื้ดๆ เราจึงได้ข้อสรุปว่า เอาแค่หลักๆ แล้วกัน เราจะไปหารถ น้ำมัน อาวุธ และสะเบียงใหม่

     คุณคงคิดว่า แค่นี้เอง ทำมัยที่แรกคิดไม่ได้ คุณต้องเข้าใจนะ ต้อนนั้นเราเพิ่งแหกขี้ตาตื่น สมองกำลังเบลอๆ บวกความหดหู่ไปด้วย อย่าว่าแต่คิดแผนเลย แค่พูดกันรู้เรื่องกันนี้ก็บุญแล้ว


     กลับมาปัจจุบันก่อน เรากำลังเดินหารถกันอยู่ เราไปทิศตะวันออกได้น้ำมัน เสบียงและอาวุธนิดหน่อย

     ตอนนี้เรากำลังเดินไปทางทิศเหนือ รถมันเยอะนะ แต่มันเล็กไปสำหรับคน 10 คน ไปไม่ได้นะสิ นั่งขี่คอกันยังยากเลย

     “เฮ้ย…ดูนั้นๆ คันนั้นใช่ได้นะ อัดๆกันหน่อยก็หมดแล้ว” แมนนี่พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

     ผมหันไปดูเป็นรถ ฮุนได เอช-วัน 9 ที่นั่ง เจ๋งไปเลย ถึงใจอยากได้รถใหญ่ก็เถอะ แต่เวลานี้ มันใช่เวลาที่จะเรื่องมากชะที่ไหน ขอแค่ไปกันได้หมดก็พอ

     รถถูกจอดทิ้งไว้ประตูปิดไม่สนิท มีคราบเลือดที่ประตูฝั่งคนขับ เอิ่ม…ดูจากสภาพแล้ว คงไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของรถหรอก เพราะไม่น่าจะรอด



     ตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงแล้ว หลังจากได้รถ เราก็ตระเวนหาน้ำมัน เสบียงและอาวุธเพิ่ม อาวุธที่เรามีตอนนี้เป็นอาวุธที่ใช้ในระยะประชิดทั้งนั้น ธนู ปืน หาไม่ได้เลย…หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้ายๆ นะ

     ส่วนน้ำมัน คงต้องหาเพิ่มตอนเย็นๆ พร้อมกับหาที่นอน เราคงไม่เสี่ยงเดินทางตอนกลางคืนแน่ๆ

     รถเราเล็กเกินไป ถ้าชนซอมบี้เข้า รถคงเสียหาย ไม่มากก็น้อย ไม่เหมือนรถใหญ่ ไม่เอาเราจะไม่พูดถึงรถใหญ่ให้หดหู่ ไม่ๆๆ อย่าคิดเรื่องรถคันเก่าม่ายยย ไม่คิดๆๆ

     “อีอุ่น!! มึงจะเอาหัวโขกเบาะกูทำไม เดี๋ยวกูถีบลงรถเลย นั่งดีๆ!!” งะ ช่างไม่อ่อนโยนกับคนหล่อเลย  {ไรท์ : บางทีก็สงสารเค้านะคะ ฮาๆๆๆ}



     “เราจะเดินทางไปให้ถึงสมุทรสาคร แล้วหาที่พัก จะพักอยู่ที่นั่นเพื่อหาเสบียงและน้ำมันเพิ่ม เราไม่สามารถเดินทางตอนกลางคืนได้ มันอันตรายเกินไป” ผมบอกทุกคนเมื่อเราขึ้นรถเสร็จ

     รถเรามีลุงดำเป็นคนขับเหมือนเดิม ที่นั่งข้างคนขับเป็นแมนนี่ เบาะถัดมาเป็นลมหนาวกับมิว เบาะถัดมาอีกเป็นผม มิดไนท์ น้องบี เบาะสุดท้ายเป็นสองผัวเมียกับป้าริน

     เรานั่งรถออกมาได้ซักพักแล้ว เจอซอมบี้บ้าง ไม่มาก เพราะเราใช้เส้นทางนอกเมือง เราพยายามที่จะไม่ชนมัน ให้รถเกิดความเสียหาย

     “มัมคร๊าฟฟ! ขนมเราไปหนายหมดคราฟ” สงสัยจะหิวอีกละสิถึงถามหาของกิน ไอ้ตัวเล็กเอ้ยย

     “ขนมเราอยู่บนรถใหญ่ครับ” ผมบอกไปตามตรง

     “แล้วรถหย่ายๆ สีเหลืองๆ เราไปไหนคราฟ” เจ้าตัวเอียงคอถาม ตาแป๋ว น่ารักซะจริงๆ

     “ถูกคนไม่ดีขโมยไปครับ” ผมตอบพร้อมลูบหัวเจ้าตัวเล็ก

     “ใครคราฟ คนไม่ดี ใช่คนที่มากับเยา แล้วๆ หายไป ใช่ม่ายคราฟ” ฉลาดจริงเด็กคนนี้

     “ใช่ครับ เพราะงั้นอย่าเอาเป็นแบบอย่าง และอย่าไปเข้าใกล้คนไม่ดีนะครับ” ผมพูดพร้อมหอมแก้มเจ้าตัวเล็ก ซ้ายขวา

     “คิกๆ คราฟมัม” ผมอุ้มเจ้าตัวขึ้นมานั่งบนตักผมพร้อมกอดไว้

     “นอนเถอะ เดี๋ยวเย็นนี้มัมจะหาขนมมาให้”

     “สัญญานะคราฟ หาวว”

     “ครับสัญญา”




     เราได้ที่พักเป็นบ้านที่ติดกับทะเล มีรั้วกั้นไม่สูงมากนัก อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลชุมชน โชคดีมากที่เราหาเจอ

     เหมือนเดิม ผม แมนนี่ และลุงดำ ออกหาของที่ต้องการ ให้ลมหนาวและมิวดูแลที่พัก เราขับรถไปเรื่อย จอดเฉพราะที่เราแน่ใจว่าปลอดภัย บางที่ของอาจจะเยอะ แต่อาวุธเรามันต๊อกต๋อยมาก อย่าเสี่ยงเลยดีกว่า ไม่คุ้มหรอก

     เราได้น้ำมันที่ปั้มน้ำมันเล็กพอสมควร ยังงัยพรุ่งนี้ก็ถึงราชบุรีแน่นอน

     “มาแล้วว ไหนใครบอกว่าอยากได้ขนม ใครน้าาา” ผมถือมันฝรั่งทอดชนิดนึงที่ยังไม่หมดอายุขึ้นมาโชว์

     “ไนท์ๆ ไนท์เอง ไนท์อยากกิน ให้ไนท์นะคราฟมัม” เจ้าตัวเกาะขาผม สงสายตาอ้อนขอขนม หึหึ เห็นแบบนี้ใครมันจะต้านทานไหว

     “นี้ครับ มันของไนท์แล้ว”

     “เย้ๆๆ ขอบคุณคราฟฟ รักมัมที่สุดเยย”

     “รักมิดไนท์เหมือนกันครับ” ผมก้มลงไปกอดเจ้าตัวเล็ก ก่อนปล่อยให้ไปกินขนม

     “อะนี้ของน้องบี” ผมเอาไปให้น้องบีหนึ่งห่อ

     “ขอบคุณค่ะพี่ไออุ่น” ผมลูบหัวน้องเบาๆ พร้อมยิ้มให้อย่างเอ็นดู

     “อะนี้ของมิว”

     “ขอบคุณค่ะพี่อุ่น” มิวยิ้มให้ผมเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งคนเดียว ผมหวังว่าสักวันน้องจะสามารถยิ้มได้อย่างมีความสุขสักที ขอให้มีวันนั้นเถอะ

     “อะนี้ของลมหนาว”ผมเดินเอาห่อสุดท้ายไปให้หนาว

     “พี่อุ่นเก็บไว้ให้น้องเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องอยากกินแล้วหาไม่ได้ สงสาร” เจ้าตัวพูดหันไปมองมิดไนท์น้องเล็กของบ้าน

     “ขอบคุณครับ ที่ช่วยพี่ดูแลน้อง เราเป็นพี่ชายที่น่ารักมากรู้มัย” ผมลูบหัวน้องชายผมพร้อมยีส่งท้ายไปหนักๆ ด้วยความรัก ฮาๆ

     “ผมยุ่งหมดแล้ว คนกำลังซึ่งแท้ๆ เลย” เจ้าตัวทำหน้ายู่ใส่ผม ครึครึ ลมหนาวเป็นคนอบอุ่นเสมอ เค้าดูแลน้องได้เมื่อผมต้องออกไปข้างนอก หรือไม่ว่าง เค้าจะคิดถึงผมกับไนท์ก่อนตัวเองเสมอ

      ขอเพิ่มอีกคนน้องมิว หนาวคอยดูแลในยามที่จิตใจน้องอ่อนแอ คอยอยู่เป็นเพื่อน คอยให้กำลังใจ จนมิวลุกขึ้นเดินต่อได้ เด็กผู้หญิงอายุ 12 ที่ไม่เหลือใครเลย ไม่มีกำลังใจที่จะใช้ชีวิต การจะทำให้เค้าลุกขึ้นมาเดินต่อได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ผมถึงบอกไงว่า อยากเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของน้องอีกสักครั้ง

       “คุณเป็นยังไงบ้าง” ผมเดินเข้าไปถามสองผัวเมียที่นั่งอยู่บนโซฟา

      “ผมยังไหว ผมไม่เป็นไร แค๊กๆ” เค้าไอ ผิวก็เริ่มซีด ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้วัคซีนก่อนค่ำ…ไม่ดีแน่ ไม่ดีแน่ๆ

     “อดทนไว้นะครับ พรุ่งนี้เราจะไปถึงที่ค่ายก่อนเที่ยงแน่นอน คุณต้องอดทนไว้ อย่ายอมแพ้เด็ดขาด”ผมจับมือเค้าแล้วพูดอย่างจริงจัง “ถ้าหายแล้ว ผมจะพาไปตามหาคุณ สส. เดี๋ยวผมจะให้คุณชกเค้าคนแรกเลย นี่คุณได้รับเกียรติสูงสุดเลยรู้ไหม แมนนี่อยากกระทืบแทบตาย แต่ผมจะให้คุณก่อนเลย ฮาๆ” ผมก็คือผมแหละครับ ให้ดีไปจนสุดมันไม่ใช่แนวโผมมม ครึครึ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 15:59:56
[ต่อตอนที่ 3]

เราออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า ตอนนี้เราเข้ามาเขตจังหวัดราชบุรีแล้ว

     เรากำลังหยุดรถเพื่อดูที่ตั้งของค่ายจากแผนที่ คิดว่าเรามาถูกทางแล้วนะ ถ้าดูจากแผนที่ อีกประมาณ เอ่อ…ไม่น่าจะเกินสองชั่วโมง นี่อย่างช้าสุดนะ

     “แค๊กๆ แค๊กๆ” เริ่มไอเป็นเลือดแล้ว ไม่ดี ไม่ดีเลย

      “อดทนอีกนิดนะครับ ทนอีกแค่นิดเดียว เราจะถึงแล้ว ลุงดำออกรถเลย ด่วนๆ เลยลุง” ผมหันไปเร่งลุงดำให้ออกรถ ต้องทันสิ ยังไงก็ต้องทัน

     “ไม่ต้องห่วง แค๊กๆ ผมจะอดทน แค๊กๆ ไว้” ไม่ดีเลย โอ้ยย ผมอยากจระเข้ฟาดหางไอ้ สส.นั้น

     “ลุงเค้าเป็นอาไรคราฟมัม” ไนท์ถามผมด้วยความสงสัย

     “ลุงเค้าไม่สบายครับ เรากำลังพาจะพาลุงไปฉีดยา จะได้หาย”

     “ลุงจะหายใช่ไหมคราฟ” ผมรู้น้องกลัวจะเป็นเหมือนคนที่เคยอยู่กับเรา อาการเดียวกัน แต่ไม่มีหวังที่จะได้รักษา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เรายังมีหวัง แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย

     “ใช่ครับ ลุงจะต้องหาย” ผมกอดน้องแล้วลูบหลังเบาๆ
     


     เราใกล้ถึงแล้ว ทำมัยช่วงนี้ถึงไม่มีซอมบี้เลยนะ มันแปลกมาก เราขับรถมาเกือบกิโลแล้ว หลังจากที่เจอซอมบี้ตัวสุดท้าย มันไปไหนกันหมดนะ หรือแถวนี้ใกล้ค่าย ทหารเลยฆ่าไปหมดแล้ว ต้องใช่แน่ๆ

     ต่อไปเป็นหมู่บ้านสุดท้าย ก่อนจะเข้าที่ตั้งของค่าย มีถนนใหญ่แค่เส้นเดียว แล้วก็มีซอยเล็กๆ หลายซอยอยู่ เราไม่รู้ว่าแต่ละซอยจะไปไหน เพราะเราไม่ใช่คนพื้นที่ รู้แค่ถนนสายหลักเท่านั้น

     เริ่มเจอบ้านคนแล้ว เราขับรถมาเริ่มเจออาคาร ร้านค้า เหมือนเป็นตัวอำเภอเลย มันน่าจะใหญ่กว่าหมู่บ้านแน่ๆ มีตึกแถวบ้างประปราย แต่ก็ยังไม่เจอซอมบี้เลย

     ขับมาอีกประมาณห้านาทีเริ่มมีซอมบี้ออกมาจากซอยตามหลังเรามา ออกมาดักรอเราบ้าง

      มันเริ่มเยอะขึ้น ไม่เอาน่า ไม่เป็นแบบนี้สิ มันเริ่มแปลกๆ แล้ว ทำมัยซอมบี้ถึงอยู่แค่แถวนี้

     “อีอุ่น กูว่ามันแปลกๆ แล้ววะมึงงง” กูรู้…กูกำลังภาวนาให้มันไม่ใช้อยู่!! พุทธโท ธรรมโม สังโฆ อย่าเลย อย่าเป็นอย่างที่คิดเลย

     “พี่อุ่นซอมบี้ตามเรามาเยอะมาก เริ่มออกมาดักรอแล้วด้วย” หนาวพูดด้วยสีหน้ากังวล ทำยังงัยดีๆ

     “♪สิไปต่อ หรือสิพอส่ำนี่ เว่ามาตี๋ ฟ่าวตัดสินใจ♪” {{แปล > จะไปต่อ หรือจะพอแค่นี้ พูดมาสิ รีบตัดสินใจ}}  อาม ชุติมา ก็มา…เอิ่ม…มันใช่เวลาไหมแมนนี่!! ไร้สาระ!

     “♪อยากจะหนี! หนี!! หนี๊!!!♪ ผลัก! โอ้ยย” เพลงหนี ของพริกไทย ยังไม่จบท้อนเลยโดนเขวี้ยงของใส่แล้ว แมนนี่ช่างใจร้าย

     “หุบปากมึงไปเลย หนวกหู!” ทีตัวเองยังร้องได้เลย เชอะ

     “เงียบไปเลยนะ แล้วไม่ต้องร้องเพลงขึ้นมาอีก ลุงขับไปเลย มีเทคนิคอะไรงัดมาใช้ให้หมดเลยลุง” ว่าผมแล้ว ก็หันไปคุยกับลุง

     …บรรลัยแล้ว…


     “นั่นมันรถลุงนี่หว่า จอดขวางทางเลยวะ ไม่มีทางไปต่อเลย เอาไงดีวะ ไอ้อุ่น ไอ้แมน” นี่มันไม่นุ๊กแล้วโว้ยย

     “กลับรถไม่ได้ด้วยลุงข้างหลังเพียบเลย” แมนนี่พูดขึ้นอย่างร้อนรน

     “เราต้องลงจากรถแล้วหละ เราไม่มีทางเลือก เราต้องขึ้นไปบนอาคารก่อน” ข้างหลังเราซอมบี้ไม่ต่ำกว่า 50 ที่กำลังออกมาจากรถใหญ่ และซอยข้างหน้าอีก ทางรอดเดียวของเราคือขึ้นไปที่อาคาร

     “แมนนี่ไปเปิดประตูตึกข้างหน้านั้น หนาวพาไนท์ไป มิวดูบี เดี๋ยวพี่จะดูคนที่ลงรถตามหลังไป พร้อมนะ เราไม่มีเวลาแล้ว ไป!!”

      พอรถจอด แมนนี่ลงรถเป็นคนแรกเพื่อไปเปิดประตูตึก

     “อุ่นมันคล้องกุญแจไว้!!” แมนนี่ตะโกนกลับมา

     “เอามีดฟันไปเลย!!”ผมตะโกนกลับไป ดีที่รถเราเร็วซอมบี้เลยตามเรามาช้า แต่พวกที่อยู่แถวนี้ นี่สิ

     “มีดอยู่กับผมครับ” หนาวถือมีดใหญ่วิ่งไปพร้อมไนท์ ดีที่ไนท์รู้สถานการณ์ จึงทำตามที่หนาวบอกทุกอย่าง ไม่งอแง

     ผมช่วยผัวเมียคู่นั้นลงมาได้แล้ว ในรถเหลือแค่ป้าริน “ป้าเร็วๆ ครับ” ผมเร่งป้าให้รีบออกจากรถ

     ผมพาป้าออกมาได้แล้ว โอ้ยย แม่งเอ้ย มันกัดแขนผม ผมถีบมันออก เอามีดยาวฟันแขนมัน มีดมันไม่ได้ยาวเหมือนดาบ จะให้ตัดคอคงยาก

     “ป้ารินไป เดี๋ยวผมกันมันไว้” ป้ารินวิ่งไปหาพวกของเราที่ออกันอยู่หน้าประตู แมนนี่ยังเปิดประตูไม่ได้เลย ถ้าเปิดไม่ได้ถายในหนึ่งนาที งานเข้าแน่ พวกมันวิ่งเยาะๆ มาใกล้ถึงแล้ว ซอมบี้วิ่งเท่ากับเราเดินเร็วนั้นแหละ ยกเว้นบางตัวที่เร็วกว่านั้น แต่ส่วนน้อยนะ

     บ้าเอ้ย ผมพยายามตัดคอซอมบี้ด้วยมีดยาว ผมถีบให้มันล้มลงไป แล้วตัดคอ ตัวหนึ่งเสร็จไป ตัวสอง สามก็เข้ามา ผมได้แค่กระโดดถีบ แล้วฟันไปทั่ว ไม่ไหวแน่ๆ ถ้าไม่รีบเข้าไปในตึก

     “โอ้ย”

     “หนาว!!” หนาวกำลังโดนมันกัด ผมวิ่งไปถีบตัวที่กัดออกก่อน แล้วใช้แขนล็อกคออีกตัวออกมา เราไม่มีอาวุธที่ดีพอจะฆ่ากัน ได้แค่กัน มันออกไปเท่านั้น

     มันหลุดออกจากหนาวแล้ว ไอ้ตัวที่ล้มไปลุกขึ้นมาใหม่ แต่โดนหนาวถีบลงไปอีกรอบ พร้อมใช้มีดที่ผมทำร่วงไปฟันคอมันออก

     “โอ้ย” ป้ารินโดนซอมบี้สองตัวกัด ทุกคนกันเด็กไว้ข้างหลัง พยายามกันซอมบี้ไว้ จนสุดความสามารถ

     “ป้าริน” ผมจะวิ่งไปช้วยป้าริน แต่ซอมบี้มันเข้ามาหาผมสองตัว ผมไปหาป้าไม่ได้ แค่กันไอ้สองตัวนี้ ไม่ให้เข้าไปหาเด็กๆ ยังยากเลยผมหันไปมองป้าด้วยสีหน้าเศร้า แต่ป้ารินกลับยิ้มให้ผม สายตาป้าทำให้ผมกลัว ไม่นะป้าริน อย่าเป็นอย่างที่ผมคิดเลย

     “ปล่อยป้าไปเถอะ…ป้า อยากไปอยู่กับครอบครัวของป้า ช่วยน้องๆ ให้รอดนะ ลาก่อน…โอ้ยย…” ไม่ๆๆๆ ต้องไม่เป็นแบบนี้ ผมวิ่งไปหาป้าไม่ได้ ผมกันซอมบี้ออกจากเด็กๆ อยู่

     “ป้าริน!! ไม่!!” ป้าไปแล้ว ซอมบี้นับสิบที่ตามมาถึงก่อนกรูกันเข้าไปหาป้า จนมองไม่เห็นตัวของป้าแล้ว…

     “เปิดออกแล้ว!!” เสียงของแมนนี่เรียกสติของผมกลับคืนมา ผมผลักซอมบี้ทั้งสองตัวที่ผมลัดคอไว้ลงพื้นแล้ววิ่งไปช่วยดึกซอมบี้ไว้ให้ทุกคนเข้าไปข้างในตึก

     โอ้ย กัดอยู่ได้ ผมยันมันออกไป พยายามดึงตัวที่จะตามเข้าไปข้างในออก

     “พี่อุ่นเข้ามา!!” หนาวตะโกนมา ทุกคนเข้าไปกันหมดแล้ว ก็อยากเข้าไปนะแต่มันเข้าไม่ได้ ผมล็อกสองตัวด้วยแขน หลังผมติดกับประตูทางเข้า แต่ผมเปิดมันไม่ได้ ตัวหนึ่งกัดขาผม ผมถีบมันออกไป

     ผลัก!! แมนนี่เปิดประตูออกมา ถีบไอ้ตัวที่จะเข้ามากัดผมออก ผมผลักสองตัวในแขนออก แล้วแทรกเข้าประตู

     โอ้ยย มันกัดแขนผมอีกแล้ว ประตูมันปิดไม่ได้ผมเลยถีบมันอยู่หลายรอบกว่าจะปล่อย แขนผมเยินน่าดู มีแต่รอยกัด เลือดไหลเป็นทาง น่าเกลียดชะมัด

    เราเอาเหล็กมาคัดประตูไว้เลื่อนตู้ โต๊ะมากันไว้ ผมเอาผ้ามาพันห้ามเลือดไว้ คงไม่โดนเส้นเลือด ไม่งั้นเลือดคงออกเยอะกว่านี้

     พวกมันชนประตู และดันมาเรื่อยๆ อีกไม่นานคงพัง

    “ป้ารินละคะ” น้องบีถามขึ้นมาเมื่อมองรอบตัวแล้วไม่เจอป้าริน

     “ป้ารินไปอยู่กับครอบครัวแล้วครับ” ผมบอก และลูบหัวน้องไป

     “ฮึก…ฮึก…”น้องบีสะอื้น แต่ก็เอามือปิดปาก พยายามไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมา

     ลมหนาวน้ำตาไหลโดยไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา เช่นเดียวกับน้องมิว แมนนี่หันหน้าหนีไปทางอื่น

     “ป้ารินไปอยู่กับครอบครัวแล้วหรอคราฟ ป้ารินคงมีฟามสุขที่ได้อยู่กับครอบครัว” น้องไนท์พูดออกมา เหมือนจะปลอบใจทุกคน ผมไม่รู้ว่าน้องคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าน้องเข้าใจความหมายของมันมากน้อยแค่ไหน

     ผมเดินเข้าไปลูบหัวไนท์แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ใช่ครับ ป้ารินต้องมีความสุขอยู่แล้วที่ได้อยู่กลับครอบครัว ป้ารินแกไปแล้ว มีแต่เรานี่แหละที่ต้องสู่ต่อไป เข้าใจไหมครับไนท์” ผมพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน

     “ครับไนท์จะสู้!!” เจ้าตัวเลขชูกำปั้นขึ้นจะสู้

     “เอาหละ ประตูมันกันได้ไม่นาน เราต้องหาทางออกจากที่นี้” ผมบอกทุกคน เราไม่มีเวลาที่จะเศร้ากันหรอก ทุกนาทีหมายถึงความตาย เราต้องหาทางรอดให้ได้

     “ขึ้นไปสำรวจชั้นบนก่อน เผื่อมีทางออกด้านหลัง” ชั้นหนึ่งไม่มีทางออกด้านหลังเลย มีแต่ด้านหน้า

     ตึกที่เราอยู่เหมือนตึกแถวให้เช้าเปิดร้านด้านล่าง ด้านบนเหมือนที่พัก เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางออก ก่อนที่ประตูจะพัง ถ้าประตูพังแล้วไม่มีทางออก ก็เหมือนขังตัวเองไว้กับซอมบี้

     ผมให้หนาวและมิวดูประตูทางเข้าไว้ ระหว่างเดินหาทางออก

     ไม่มี ไม่มีทางออกด้านหลังเลย มีแค่ด้านหน้า โธ่เว้ยย!!

     “พี่อุ่นคะ ประตูจะพังแล้วค่ะ มันดันกันมาไม่หยุดเลย” น้องมิววิ่งขึ้นมาบอกผม

     ผมวิ่งลงไปดูประตู มันจะพังจริงๆด้วย ไม่นะ เราไม่มีทางออกเลย เราจะตายที่นี้ไม่ได้ น้องผมต้องรอดสิ

     “แค๊กๆ แค๊กๆ” ผู้ชายคนนั้นไอเป็นเลือดออกมาเยอะมาก เวลาจะหมดแล้ว

     หรือเราจะไปต่อไม่ได้จริงๆ เราจะจบที่ตรงนี้เหรอ เราจะไม่รอดจริงๆเหรอ มำมัยนะ ทำมัยต้องเป็นแบบนี้

     แมนนี่เดินลงมาจากข้างบนกับลุงดำด้วยใบหน้าเศร้าๆ ไม่เจอทางออกเหมือนกันสินะ

     ผมเดินเข้าไปกอดลมหนาวที่กำลังกอดมิดไนท์ มือข้างนึงผมจับมือน้องมิวไว้ เช่นเดียวกับลมหนาวที่จับมืออีกข้างของมิว

     ผมหันไปมองหน้าแมนนี่ผมยิ้มให้มัน มันก็ยิ้มตอบกลับมาให้ผม

     ตึง ตึง ตึ้ง!! ประตูกำลังพังลง จบแค่นี้สินะ…



     ปัง ปังๆ ตู้ม เราทุกคนสะดุ้งกับเสียงปืนและระเบิด เสียงดังรัวยังกับหนังสงคราม

     ปืน? ระเบิด? หรือว่า…ตึ๊งง!!!

     ประตูเปิดออก พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู รูปร่างหน้าตา

     “หล่อ คม จมูกโด่ง กล้ามเป็นกล้าม ฮือ” เอ่อ…นั่นแหละครับอย่างที่แมนนี่มันบอก หล่อพอๆ กับผมนั้นแหละ

      เปิดประตูออกแล้วแต่ไม่พูดอะไร กวาดสายตามองเราด้วยหน้านิ่งๆ

    “คือ..”

     “ออกมาได้แล้ว” ผมยังพูดไม่จบเลย พูดตัดผมแล้วก็เดินไป ครับ…เอาที่พี่สบายใจเถอะครับ ไม่ต้องบอกอะไรพวกผมหรอก พวกผมตรัสรู้เองได้…

     ข้างนอกซอมบี้นอนตายเกลื่อนกลาด เราเดินตามมนุษย์หน้านิ่งมา

     ผลัก!! “แหวะ แค๊กๆ แหวะ” ผู้ชายคนนั้นล้มลงไปแล้ว

     “ฮือ…อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ อยู่กับฉันก่อน ฮือ” เมียแกกอดแกร้องไห้หนักมาก ผมกำลังจะหันไปขอความช่วยเหลือจากนายหน้านิ่ง แต่เค้าถามขึ้นมาซะก่อน

     “ติดเชื้อเหรอ” เข้าถามผมด้วยหน้านิ่งๆ นั้น

     “ใช่ครับ”

     “แล้วทำมัยไม่บอก!! จะรอให้ตายก่อนรึงัย!! หมอเอาวัคซีนมาฉีดให้เค้าด่วน” แล้วหันมามองผมอย่างไม่สบอารมณ์ เหมือนผมเป็นคนผิด

     ตูผิดอะไร What ?

     หมอมาฉีดวัคซีนให้เค้าแล้ว หมอบอกว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ฉีดแล้วหายเลย ต้องรอสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ ถึงจะหายขาด

     ไม่แฟร์เลย ทีกัดไม่เกิน 48 ชั่วโมงก็กลายเป็นซอมบี้แล้ว แต่รักษาดันใช่เวลาตั้งนาน

     “มึง!! หล่อมาก งือ” เอาเข้าไปบิดเข้าไป แขนขาบิดเข้าไป ถามจริงนี่มึงเขินหรือปนลมบ้าหมูวะเนี่ย เห็นแล้วเพลีย

     “กูหล่อกว่าอีก” บอกไปอย่างเชิดๆ ก็คนมันหล่ออะ จะทำมัย

     “มึงช่างกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับเค้า ไหนบนหน้าตรงไหนคะ ที่ว่าหล่อ ไม่เห็นจะมีเลย ตื่นค่ะ ตื่น” เจ็บปวดกว่าโดนซอมบี้กัน ก็โดนแมนนี่กัดนี่แหละ

     “จะคุยกันอีกนานไหม ถ้าไม่ไปจะได้ทิ้งไว้ที่นี้” ไอ้น่านิ่งงงง คือทุกคนขึ้นรถทหารกันแล้ว หรือแค่ผมกันแมนนี่

      “ขอขึ้นไปเอาของที่รถบัสคันข้างหน้าได้ไหม” ผมพยายามใจเย็น แล้วบอกสิ่งที่ต้องการออกไป ผมยากขึ้นไปเอาธนูกับดาบ ไม่มีอาวุธ แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย

     “เรื่องมาก” อ่าววว…ไอ้ทหารหน้านิ่ง ซอมบี้ไร้ความรู้สึก “เดี๋ยวเค้าก็ขับไปจอดที่ค่ายอยู่แล้ว จะขึ้นไปทำมัยตอนนี้ให้เสียเวลา คนอื่นเขารอ” แล้วกูจะรู้ไหมไอ้หน้านิงงงง อยากจับโยนให้ซอมบี้กินจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ามาช่วยนะ ฮึยย

     “ครับ” ผมยิ้มแบบฝืนๆ กลับไป ไม่ได้กลัวนะบอกไว้ก่อน แค่เห็นบุญคุณ เชอะ

     “หึหึ” หัวเราะอะไรวะ แม่งหัวเราะได้น่าสยองขวัญมาก ผมก็เคยหัวเราะนะไอ้สองหึเนี่ย แต่ไม่ได้สยองแบบนี่ป่าววะ แถมไอ้รอยยิ้มมุมปากนั้นด้วย

     …ซักไม่ชอบหน้านิ่งๆ นั้นแล้วสิ หมั่นไส้…
     
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 21-12-2018 16:02:05
ตอนที่ 3 ต้องแบ่งลงสามครั้งแหนะ กว่าจะลงได้
 :katai4: o22
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-12-2018 22:52:51
ยาวจุใจมาก
ปรกติชอบหนังแนวซอมบี้อยู่แล้ว แต่เป็นนิยายวายเพิ่งเคยอ่าน
เรื่องนี้ตลกมากกว่าน่ากลัว 5555 :katai3:
ปล หมั่นไส้ลุงสส.กับลูกสาวมากกกก ขอให้กลายเป็นอาหารซอมบี้ไวๆ!
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 22-12-2018 07:17:04
- 4 -


[ธาม]

     เกือบไป เกือบไม่ทัน ถ้ามาช้าอีกนิดเดียว ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     ถึงผมเคยบอกว่าด้านชากับความสูญเสียแล้ว แต่ต้องมาเห็นเด็กๆ เป็นอะไรไป ด้านชาแค่ไหนก็ต้องรู้สึกบ้างแหละ เด็กไร้เดียงสา ที่พยายามเอาชีวิตรอดในโลกที่โหดร้าย ไม่มีพ่อแม่คอยปกป้อง ต้องคอยดูแลกันเอง ผมนับถือพวกเขานะที่มาได้ไกลขนาดนี้

      “จ่าเอาศพกลับทำมัย” ผมถามจ่าที่กำลังใช้ถุงห่อศพขึ้นหลังรถกระบะ

     “คือ เด็กๆ ขอร้องผมให้นำศพกลับไปด้วยนะครับ เด็กบอกอยากฝังป้าไว้ในที่ดีๆ คือผมสงสารครับผู้กอง ถ้าผมไม่ทำตามเด็กๆ ต้องเสียใจแน่ๆ” จ่าพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ เหมือนกลัวความผิดอะไรซักอย่าง

     “พอๆ แค่ตอบว่าเด็กๆขอ ก็พอแล้ว พูดอะไรยืดยาว” ผมส่ายให้กับความคิดเยอะของจ่า ผมแค่ถามเพราะสงสัยแค่นั้นเอง

     “แหะๆ ครับผู้กอง” เมื่อจ่านำศพขึ้นรถเรียบร้อย ผมจึงได้ถามเรื่องงาน

     “ทุกอย่างเรียบร้อย ดีใช่ไหม”

     “เรียบร้อยดีครับ ซอมบี้ที่ได้ยินเสียงปืน จะตามเสียงปืนมาที่นี้คงไม่เยอะเท่าไหร่แล้วครับ” ก็เพราะพวกมันมาตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิดแล้วนิ

     “แล้วอาวุธเราหละ” อาวุธเราเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

     “ใช้ไปเยอะพอสมควรครับ” คงต้องหาเพิ่มแล้วสินะ

     “จัดการเรื่องข้าวเสร็จ ค่อยไปดูที่นครสวรรค์ ที่นั้นคงมีอาวุธเยอะพอสมควร”อาวุธที่เราใช้อยู่ปัจจุบันนี้ หาจากราชบุรี ใช้จนกระสุนจะหมดอยู่แล้ว

     “ไปบอกทุกคนขึ้นรถ เราจะกลับค่ายกัน ให้คนขับรถบัสนั้นไปค่ายด้วย”

     “ครับ ผู้กอง” ทุกคนขึ้นรถกันจะหมดแล้ว เหลือแค่

     “จะคุยกันอีกนานไหม ถ้าไม่ไปจะได้ทิ้งไว้ที่นี่” หนึ่งในนั้นหันมายิ้มให้ผม แล้วรีบวิ่งขึ้นรถ ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง ผมไม่ได้มีอคติกับเพศที่สามนะ ผมมองคนที่นิสัยมากกว่าเพศ

     แล้วอีกคนเป็นด้วยรึเปล่า มีสิทธิ์นะ หน้าหวานกว่าผู้หญิงอีกถ้าไว้ผมยาว ผมสั้นแบบนี้ออกแนวเกาหลีหล่อใสมากกว่า

     “ขอขึ้นไปเอาของที่รถบัสคันข้างหน้าได้ไหม” ลักษณะการพูดไม่ได้ออกสาวเหมือนเพื่อน แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่คอยชอบผมเท่าไหร่

     “เรื่องมาก” หึ ดูทำหน้าเข้าสิ คงอยากด่าผมจะแย่ “เดี๋ยวเค้าก็ขับรถไปจอดที่ค่ายอยู่แล้ว จะขึ้นไปทำมัยตอนนี้ให้เสียเวลา คนอื่นเค้ารอ” ถึงไม่ได้พูดออกมาผมก็อ่านสีหน้าออก คงอยากจะตอบกลับผมว่ากูจะรู้ได้ไง แต่ก็คงยังเกรงใจผมอยู่

     “ครับ” ดูท่าจะรั้นใช่เล่น หน้าใสๆ เวลาหงุดหงิดโมโหมันหน้าดูเหมือนกันนะ

     “หึหึ” ท่าจะหมั่นไส้ผมมากทีเดียว เล่นกับเด็กนี่ก็หนุกดี หึ

     
     เราขึ้นมาบนรถกันหมดแล้วผู้รอดชีวิตที่เรารับมามีทั้งหมด 9 คน เสียชีวิต 1 คน ในผู้รอดชีวิตมีเด็ก 4 คน วัยรุ่น 2 คน ผู้ใหญ่ 3 คน

     ถ้ารู้ว่าไม่ได้ไปภูเก็ตภายใน 2 เดือนนี้ คงไม่โวยวายเหมือนคนก่อนหน้านะ เพราะมันน่าเบื่อมาก

     “พี่ชายๆ คราฟ” มีเด็กตัวเล็กมาดึงชายเสื้อผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ น่ารักซะจริง ดูแล้วอายุไม่น่าเกิน 7 ขวบ

     “ครับ” ผมนั่งลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกัน

     “ขอบคุณคราฟที่ช่วย ไนท์ให้” หนูน้อยยื่นขนมให้ผมหนึ่งถุง เป็นมันฝรั่งทอดยี่ห้อดัง

     “ไม่เป็นไรครับพี่เต็มใจช่วย ไม่ต้องให้ของพี่หรอก” ทั้งอยากให้ ทั้งทำหน้าเสียดาย น่าเอ็นดูซะจริง

     “รับไปเถอะครับ ไนท์เค้าอยากตอบแทนจริงๆ” น่าจะพี่ชายของเจ้าตัวเล็กพูดขึ้น ดูท่าทางตั้งมั่นนั้นสิ ใครจะปฏิเสธลง

     “ขอบคุณครับ แต่พี่คงกินไม่หมดแน่เลย มาช่วยพี่กินหน่อยได้ไหม” เจ้าตัวทำหน้าดีใจที่ผมชวน

     จ่ามองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะอ่อนโยนเป็น

     ผมไม่ใช่คนแข็งกระด้าง อ่อนโยนไม่เป็นนะ แค่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆ มันทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมไม่มีเหตุผลต้องยิ้มหรือหัวเราะ ไม่มีเหตุผลต้องอ่อนโยน เกือบทุกวันของผมหมดไปกับการฆ่าซอมบี้

      แต่เด็กคนนี้น่ารักเกินกว่าจะเย็นชาใส่ เค้าดูบริสุทธิ์เหมือนดังผ้าขาว สดใสแม้ในบรรยากาศที่หน้าหดหู่นี้

     “ก็พูดดีๆ เป็นนิ ชิ” เสียงเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเองลอยเข้าหูผม คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร มีคนเดียวแหละที่กำลังหมั่นไส้ผมตอนนี้

     “พูดดีๆ พูดเป็น แต่พอดีเลือกคนพูดหนะ” เจ้าตัวทำหน้าเหลอหลา แล้วหันหน้าออกนอกหน้าต่างรถพร้อมปากที่ขมุบขมิบบ่นอะไรไม่รู้ หึหึ

     ผมเลิกสนใจ แล้วหันมามองเด็กที่รอขนมอยู่ตรงหน้า

     “ชื่อไนท์เหรอเรา” เจ้าตัวเล็กทำตาแป๋วตอบกลับมา

      “ใช่คราฟ ผมชื่อมิดไนท์ นี่พี่ชายชื่อ ลมหนาว มัมที่นั่งนู้น ฉวยๆนู้นชื่อมัมไออุ่นครับ” หือ มัม? แม่ ทำมัยถึงเรียกแม่หละ อยากเป็นแม่คนเลยให้เด็กเรียกแม่เหรอ

     “มัม?” ผมเผลอถามออกไป แต่เจ้าตัวโต หรือลมหนาวนั้นเป็นคนตอบข้อสงสัยของผม

     “คือพี่อุ่นหน้าเหมือนคุณน้า คือแม่ของไนท์หนะครับ ไนท์เลยเรียกพี่อุ่นว่ามัม” อ๋อ หน้าหวานเหมือนแม่เด็ก หึหึ นึกว่าอยากเป็นแม่ซะอีก ผมพยักหน้าเข้าใจ

     ผมเปิดขนมนั่งกินกับเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ จนถึงค่าย ก่อนเข้าไปในค่าย พวกเขาขอไปฝังศพที่เราพามา ที่ใต้ต้นไม้หน้าค่ายก่อน

     บรรยากาศโศกเศร้า แต่ไม่มีเสียงร้องไห้ มีแค่น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบๆ ดูท่าพวกเขาคงเจอความสูญเสียมาไม่น้อยเหมือนกัน ถึงจะเสียใจ แต่ก็ยังดูเข้มแข็งอยู่

     เมื่อบอกลาเสร็จแล้ว ก็เป็นช่วงเดียวกันกับรถบัสมาถึงพอดี

     “พวกเราขอขึ้นไปเอาของได้ไหมค่ะ สุดหล่อ” คนที่ออกสาวถามผมมา

     “ของอะไร มันไม่ใช่รถพวกคุณนิ” รถคนนี้เป็นรถที่สองพ่อลูกขับมา

     “นี่รถพวกเราค่ะ แต่มีอีพวกใจหมา เอ้ยย ใจร้ายขโมยของมา เราก็อุตสาห์ช่วยไว้แท้ๆ ยังมาขโมยรถเราได้ลงคอ” คนที่ออกสาวเล่าให้ผมฟัง สรุปแล้วสองพ่อลูกนั้นเป็นตัวปัญหาจริงๆ สินะ

     ผมพยักหน้าเข้าใจแล้วให้ทุกคนขึ้นไปขนของของตนลงมาจากรถ ของเยอะใช่เล่น ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ เสบียง อาวุธ

     ธนูมีหลายคันมาก ดูแล้วไม่ต่ำกว่า 5 คัน ทำมัยเยอะขนาดนั้น

     “ชอบยิงธนู” ผมทำสีหน้าสงสัย และถามไออุ่นไป แต่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ มองไปทางอื่น หึ กวนซะจริง

     “ใช่ค่ะ พวกเราชอบยิงธนูมากกก นี่พวกเราก็เข้าแคมป์คัดตัวทีมชาติอยู่ แต่ดันมีเรื่องซอมบี้ก่อนเลยอดเป็นนักกีฬาทีมชาติเลย” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ว่าแต่คุณทหารชื่ออะไรค่ะ เห็นแต่เค้าเรียกผู้กองๆ”

     “ผมชื่อธาม ดูแลที่นี้” ผมตอบกลับไปสั้นๆ

     “ชื่อแมนนี่นะค่ะ ส่วนอีผู้ชายหน้าสวยคนนี้ชื่อไออุ่น” คนที่ชื่อแมนนี่แนะนำตัวเอง และคนข้างๆ แต่คนถูกแนะนำคงไม่ชอบที่บอกว่าหน้าสวยเท่าไหร่

     “หล่อๆ ไม่ใช่สวย บอกกี่ทีแล้ว เชอะ” มีทำหน้างอนอีก ยิ่งทำแบบนี้ใครที่ไหนจะมองว่าหล่อ

     “ยะ เกลียดคนไม่ยอมรับตัวเอง เอาหละค่ะเลิกสนใจมัน มาแนะนำคนต่อไปดีกว่า เด็กน่ารักนั่นมิดไนท์ พี่ชายที่ยืนข้างๆชื่อ ลมหนาว ผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันชื่อมิว” แล้วเจ้าตัวก็หันมาแนะนำคนอื่นๆ จนหมด

     ผมให้ทุกคนเข้าไปพักข้างในก่อนจะคุยรายละเอียดเรื่องที่ต้องไปกาญจนบุรี

     แต่ผมลืมนึกว่า คนที่ขโมยรถพวกเขาอยู่ด้านในด้วย ชิบ…

     “นี่พวกแกมาได้ยังงัย!!” นั้นไงเสียงมาแล้ว เป็นเสียงของผู้หญิงชื่อโรสดังขึ้นมาก่อน

     “ฉันก็จะมาตบพวกหัวขโมยงัย หนอยย… ไอ้เราก็อุตสาห์สงสารเลยช่วยมา ดันมาหักหลังกันซะนี่ พวกไม่สำนึกบุญคุณ ต้องตบล้างน้ำ” เสียงแมนนี่ตามมาติดๆ ผมเดินเข้าไปยืนดูสถานการณ์ อยากรู้ว่าสองพ่อลูกนั้นจะทำยังงัย

     “อย่าเข้ามานะพวกชั้นต่ำ” เธอถอยหนีไปหลบหลังพ่อตัวเอง

     “ถ้าเป็นพวกชั้นสูงแล้วนิสัยต่ำๆ แบบนี้ ฉันยอมเป็นคนชั้นต่ำซะดีกว่า” แมนนี่เดินเข้าไปหาสองพ่อลูก คนอื่นๆ แค่ยืนมองไม่เข้าไปห้าม

     “จะทำอะไรลูกชั้น หยุดนะ ไอ้ผิดเพศ” แมนนี่เปลี่ยนเป้าหมายทันที

     “ผิดเพศใช่ไหม โดนไอ้คนผิดเพศต่อยซักหน่อยก็แล้วกัน” ผลัก!! โดนเต็มๆ ไปหนึ่งหมัด หึหึ มือหนักใช่เล่น

     “เออ ผู้กองจะไม่ห้ามซักหน่อยเหรอครับ” จ่ายืนอยู่ข้างๆ ผม ถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายุ่งยาก ไม่ยุ่งยากได้ไงเสียงหนวกหูใช่ย่อย จนทุกคนต้องออกมาดู

      “จ่าก็ห้ามสิ” ผมทำหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน ถึงจะหนวกหูมากก็เถอะ สุดท้ายจ่าก็เข้าห้ามทัพ เมื่อทุกอย่างดูจะลงตัวแล้ว ผมจึงไปชี้แจงเรื่องเดินทางไปกาญจนบุรีให้ทุกคนทราบ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 22-12-2018 07:19:35
[ต่อตอนที่ 4]


       ตอนนี่เราอยู่กันที่โรงอาหารของค่ายหรือคุกในอดีตนั้นเอง เรามาเพื่อประชุม เตรียมความพร้อมและความเข้าใจ

     “เราจะเดินทางไปภูเก็ตในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นต้องไปกาญจนบุรี เพื่อเก็บเกี่ยวข้าว และผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเป็นเสบียงให้คนบนเกาะ และคนในค่ายต่างๆ ในโซนภาคกลาง ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่อยู่เฉยๆ รอเวลา” คนเก่าไม่มีปัญหาเพราะรู้อยู่แล้ว แต่คนใหม่ที่เพิ่งมานี่สิ

     “เราต้องไปเกี่ยวข้าวหรอค่ะผู้กอง โรสทำไม่เป็นนะคะ” เธอทำเสียงออดอ้อนใส่ผม

     “ไม่เป็นก็หัดสิยะ จะไปนอนเป็นง่อยรอเวลารึไง ไร้ประโยชน์ ชิ” แมนนี่เชิดใส่ ดูท่าคนโดนว่าจะเคืองไม่น้อย

     “ฉันไม่ได้พูดกับแกยะ ฉันพูดกับผู้กองต่างหาก”

     “พอได้แล้ว เราไม่ต้องเกี่ยวข้าวเองเพราะมีรถเกี่ยวอยู่แล้ว แต่ต้องคอยดูแลผัก และผลไม้ ช่วยอะไรได้ก็ช่วยๆ กัน” กลุ่มที่มาวันนี้ไม่มีปัญหาอะไร บอกยังไงก็ได้ หึ พูดง่ายดีแฮะ

     แต่ดูท่าการอยู่ร่วมกันในเวลาสองเดือนนี้คงวุ่นวายวายพิลึก

     “ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ เราจะออกเดินทางกันตอนเช้า ส่วนคนที่ยิงธนูได้อยู่ก่อน” เมื่อคนอื่นๆ ไปแล้ว ผมก็คุยธุระต่อทันที

     “มีอะไรเหรอขอรับ คุณท่านผู้กอง” คงไม่ต้องสงสัยนะว่าใครพูด กวนๆ แบบนี้มีคนเดียวนั้นแหละ

     “เธอ…โอ๊ะ…โทษที เห็นหน้าหวานๆ นึกว่าผู้หญิงหนะ” จากหน้ากวนๆ เปลี่ยนเป็นหน้าหงิกไปซะแล้ว หึหึ “ฉันเห็นลูกธนูพวกเธอเป็นไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง มันฆ่าซอมบี้ได้เหรอ” ผมเห็นลูกธนูมีทั้งเป็นลูกที่หาซื้อได้ตามร้าน และทำขึ้นเองผสมกันอยู่

     “อยากลองดูไหมหละคุณผู้กอง ว่ามันจะปักกะโหลกได้ไหม” หน้าเชิดๆ ท้าทายนั้น มันหน้าแกล้งซะจริง

     “แหะๆ ผู้กองอย่าถือสาคนบ้าเลยนะคะ อีอุ่นก็บ้าอย่างนี้แหละ” คนถูกบอกว่าบ้าฮึกฮักขัดใจเพื่อนตัวเอง

     “ผมคงไม่ลองกับตัวเองหรอก เพราะผมมีค่ามากเกินกว่า จะใช้เป็นเป้าลองลูกธนูหนะ” เห็นคนหงุดหงิดแล้วสบายใจแปลกๆ แฮะ

      “แล้วผู้กองมีอะไรหรอครับ” เด็กที่ชื่อลมหนาวพูดขึ้นมาบ้าง

     “ฉันอยากใช้ฝีมือการยิงธนูพวกเธอ ในการคุ้มครองคนที่ออกไปทำงานในไร่นาหนะ เสียงปืนมันดังเกินไป ฉันไม่อยากให้ซอมบี้ได้ยิน ถึงเราจะมีกระบอกเก็บเสียง แต่ลูกปืนเราก็เหลือน้อยมาก ฉันจึงอยากให้พวกเธอช่วย ถ้าลูกธนูไม้ไผ่ฆ่าซอมบี้ได้จริง ฉันจะให้คนทำเพิ่มให้” ถ้าเป็นไปได้จริงๆ เราจะประหยัดลูกปืนได้มากทีเดียว

     “ให้พวกเราดูแล แล้วทหารทำอะไรหละ” ดูเหมือนไอ้ตัวกวนจะยังไม่ยอมแพ้
 
     “ทหารก็ช่วยดูอีกแรง และค้นหาผู้รอดชีวิตไงเจ้าหนู” ตาเขียวปั้ดเลย หึหึ

     “ผมโตแล้วเหอะ แต่ก็อย่างว่าแหละคุณคงแก่แล้ว เลยเห็นพวกเราเป็นเด็ก” แก่เหรอ เจ็บใช่ย่อยแฮะ

     “คงจะโตแล้วจริงๆ มีลูกแล้วนิเนอะ คุณมัม” ผมยิ้มอ่อนทิ้งท้ายก่อนจะหันไปหาเจ้าตัวเล็ก ที่ยืนเกาะขาพี่ชายตัวเองอยู่

     “ไงเรา ไม่ง่วงหรอ เป็นเด็กต้องนอนกลางวันนะ” เจ้าตัวเล็กทำหน้ายู่ใส่ผม

     “ไนท์ไม่ใช่เด็กนะ ไนท์โตแล้ว” โตมากเลยไอ้เปียก หึ มีเชิดหน้าใส่ด้วย คงติดมาจากคุณมัมสินะ

     “ครับโตแล้ว ก็โตแล้ว หึหึ” พอบอกว่าโตแล้วก็ทำหน้าพออกพอใจ น่ารักซะจริง

     “ไปพักผ่อนกันเถอะ ถ้าอยากรู้ว่าห้องนอน ห้องน้ำอยู่ไหนก็ถามจ่านนท์ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้เลย จ่านนท์จะบอกทุกอย่างเอง”

     ถึงเวลาเก็บของเพื่อเตรียมพร้อมในการเดินทางแล้วสินะ การเก็บเกี่ยวข้าวครั้งแรก หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ

     
     เช้าตรู่ทุกคนเตรียมพร้อมที่รถกันแล้ว ใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการขนสัมภาระขึ้นรถ

     “กูฝากริวน้อยด้วยนะ คุณผู้กอง เออ จะว่าไปกูว่า ผู้หญิงสวยๆ ที่มาใหม่ท่าจะชอบมึงนะ” ไอ้หมวดโฟรคมันมากวนทีนก่อนกลับ

     “แล้วไง” ชอบแล้วไง ผมจำเป็นต้องสนหรอ

     “แล้วไงอะไรวะ ไม่สนซักหน่อยเหรอ หรือไม่ชอบแบบนี้ ถ้าชอบอีกแบบก็น้องอะไรนะ แมนนี่กับ เออ ไออุ่น เออน้องแมนนี่กับน้องไออุ่นงัย น่ารักไม่แพ้น้องโรสเลย” มันทำหน้าเพ้อฝัน

     “หรือจะให้สนใจไอ้เด็กริวนั้น” หึ ซะงักเลยสิมึง อย่าคิดนะว่ามองไม่ออกหนะ

     “เฮ้ย มันยังเด็กอยู่นะ เลิกๆ เลิกคิดเลยมึง” บอกคนอื่นเลิกคิด แล้วคิดเองเนี่ยนะ

     “มึงไม่คิด?”

     “ไม่ได้คิด! แค่เห็นเป็นน้องเฉยๆ หรอก” จะรอดู ดูสิจะมีคนกลืนน้ำลายตัวเองไหม

      “เออๆ ไปได้แล้ว เบื่อหน้าแล้ว” ผมไร่มันไป ขืนช้าเดี๋ยวจะสายซะก่อน

     “เออ ไปก็ได้ ไล่กันอยู่ได้น้อยใจนะ เออๆ ไปก็ได้ไม่เห็นต้องใช้ความรุนแรงเลย ยังไงก็ฝากไอ้ริวด้วยหละ” ห่วงจริงๆ ไอ้เด็กริวนั้น แล้วยังมีหน้าบอกไม่สนใจ

     “เออๆ ไม่ต้องห่วงหรอก มึงก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย อย่าเป็นอาหารซอมบี้ก่อนจะมารับไอ้เด็กนี่ซะหละ” บอกลากันเสร็จ ผมก็ไปจัดแจงผู้ที่จะโดยสารไปกับรถแต่ละคัน

     เรามีรถทหาร 4 คัน เป็นรถใหญ่สำหรับบรรทุกคนและสิ่งของ แต่ผมจะให้ผู้รอดชีวิตไปรถบัสนักเรียนคันที่เพิ่งได้มา ยกเว้นคนที่ยิงธนูได้ ให้นั้งรถสองแถวคันใหญ่ เป็นคันที่หก คันสุดท้ายปิดขบวน

     ที่เราต้องขับรถไปหลายคันก็เพื่อบรรทุกข้าวสาร และพืชผลทางการเกษตร รถหลายคันแน่นอนเสียงต้องดัง เราจึงต้องให้คนที่ยิงธนูเป็นและทหารบางส่วนมานั่งรถคันสุดท้ายเพื่อกำจัดซอมบี้ที่ตามรถมา

     “เราต้องนั่งรถสองแถวคันโตนี่หรอ” ไออุ่นตัวกวนคนเดิม เจ้าตัวทำหน้าสงสัย

     “หรือจะนั่งรถทหาร ไม่มีหลังคา” ผมเลิกคิ้วถาม หน้าบูดอีกแล้ว หึหึ

     “ก็แค่ถาม ไม่ได้มีปัญหาอะไรซักหน่อย ถามไม่ได้เหรอครับท่านผู้กอง” กระโดดกัดคอผมได้คงทำไปแล้ว

     “ถามได้ ผมเต็มใจตอบอยู่แล้ว” แต่จะตอบแบบไหนก็อีกเรื่อง

     “แน่ใจว่าเต็มใจตอบ” ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน ขี้เกียจเถียงกับเด็ก

     “ที่ผมให้นั่งรถคันนี่ เพื่อกำจัดซอมบี้ที่ตามเรา ผมไม่อยากให้เสียงดังเลยใช้ธนู เพราะแค่เสียงรถก็ดังพอแล้ว” ทุกคนทำหน้าเข้าใจ ก่อนจะขึ้นรถ มีทหารจำนวนหนึ่ง คนยิงธนู 4 คน และตัวแถมเป็นเจ้าตัวเล็กอีกหนึ่ง

     “เจ้าตัวเล็กขนอะไรมาเยอะแยะเลย” เป็นถุงใบใหญ่ที่ถือคนละข้างกับลมหนาว

     “ผมไม่ช่ายตัวเล็กน้าาา ผมชื่อมิดไนท์ต่างหาก” ไม่ชอบให้เรียกเด็ก แล้วยังไม่ชอบให้เรียกตัวเล็กอีกแหนะ

     “ครับๆ มิดไนท์เอาอะไรมาเยอะแยะ” เจ้าตัวเปิดถุงให้ผมดู

     “ขนมคราฟ ไนท์เอามาด้วย กลัวพี่คนไม่ดีขโมยไปอีก” เจ้าตัวกอดขนมไว้แน่น เมื่อเปิดให้ผมดูแล้ว

     “แล้วถ้าพี่ขอละครับ จะให้ไหม” ทำหน้าลังเล แล้วล้วงไปหยิบขนมมาให้ผมถุงหนึ่ง

     “ไนท์ให้” ยิ้มแฉ่งพร้อมยื่นขนมมา

     “แก่แล้วยังจะแย่งขนมเด็ก” ผมหันไปมองต้นเสียงเจ้าตัวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     “พี่โตแล้ว เสียสระให้มัมเราดีกว่า สงสัยยังเด็กอยู่ เอาไปให้มันเราสิ” คิดจะเอาชนะ ยังเร็วไปเด็กน้อย ดูสิแยกเขี้ยวขู่เหมือนแมวเลย หึหึ


     เราเข้าเขตกาญจนบุรีแล้ว ซอมบี้มีอยู่ประปรายเพราะเราใช้ถนนนอกเมือง การเข้าเมืองไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดี

     “แมนนี่ดูซอมบี้ตัวนั้นสิ น่ากลัววะ” ผมมองตามมือที่ไออุ่นชี้ เป็นซอมบี้ผู้ชายที่หน้าเวอะไปข้าง ผิวหนังค่อนข้างเน่าเปื่อย แต่วิ่งได้ค่อนข้างเร็ว

     “กูว่าฆ่ามันเถอะวิ่งเร็วขนาดนี้อันตราย” จริง ถ้ามีคนมาเจอคงวิ่งหนีได้ยาก เพราะซอมบี้มันไม่เหนื่อย เราอาจจะวิ่งเร็วในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะหมดแรงจนมันตามทัน

     ฉึบ!! เข้ากลางหัวอย่างแม่นยำ “น้องมิวลูก แม่นมาก ชะนีน้อยเก่งจริงๆ” ใช่ครับเก่งมาก ขนาดรถยังวิ่ง ซอมบี้ก็วิ่ง ถ้าไม่เก่งจริงคงยิงไม่เข้าตั้งแต่ลูกแรก

     เจ้าตัวทำหน้าเฉยไม่ยินดียินร้ายกับเสียงชม จากที่สังเกตดู น้องเป็นคนที่มีไอแห่งความเศร้าปกคลุมอยู่รอบตัว ไม่ยิ้มหรือหัวเราะเลย คงเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะสินะ

     “จะจ้องน้องอีกนานไหม นั้นรุ่นลูกแล้วนะ เดี๋ยวโดนข้อหาพากผู้เยาว์หรอก” เจ้าเก่าเจ้าเดิม ยืนกอดอกมองหน้าผมอยู่

      “ถ้าเป็นนายคงไม่พากผู้เยาว์สินะ” เจ้าตัวทำหน้าเหวอ

     “ผมเป็นผู้ชายนะ ใครจะยอมกัน ฝันไปเถอะ” ถลึงตาใส่ แล้วเชิดหน้าหนีไปนั่งไกลๆผม ผมไม่ได้คิดอะไรหรอกแค่อยากจะแกล้งเจ้าเด็กจอมกวนเท่านั้นเอง

     “อีกหนึ่งกิโลเมตรถึงที่หมาย ฆ่าซอมบี้ทุกตัวที่ตามมา” จะให้มันเข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ มันอันตรายต่อคนที่ทำงานเกินไป

       “อีอุ่น ปล่อยชะนีซอมบี้สองตัวให้ฉันจัดการ”
      “หนาวสามตัวทางขวา”
     “มิวทางซ้ายๆ”
     “มัมๆ ยิงหัวมันเยยๆ พี่หนาวยิงๆ พี่แมนนี่คนฉวยยย ยิงไปหลายตัวเยย เก่งๆ”
     “แน่นอนสิสุดหล่อ นี่พี่แมนนี่คนสวยเอง ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
     “ซ้ายๆ ขวาๆ ข้างหลังๆ เฮ้ยๆ เอาลูกมาๆ มันมาอีกแล้วๆ”

     นั้นแหละครับ พวกเราได้แต่นั่งดูโดยไม่เสียกระสุนสักลูก เต็มที่เลยเด็กๆ


      ในที่สุดเราก็มาถึงที่พัก เป็นบ้านกลางทุ่งนา หลายหลังแต่ละหลังห่างกันเกือบ 500 เมตร หลังใกล้ๆ ก็มีแต่ไม่มีรั่วกลั้น ใครอยากจะนอนเราไม่ห้าม ส่วนมากจะมีแต่ทหารไปนอนหลังที่ไม่มีรั่ว

     “โรสกับพ่อต้องนอนที่ไหนคะ โรสกลัวจัง โรสนอนที่เดียวกับผู้กองได้ไหมคะ” เธอเข้ามาเกาะแขน แล้วเอาหน้าอกมาเสียดสีที่แขนผมด้วยท่าทางออดอ้อน

     “พักหลังใหญ่ด้วนกันหมดนี่แหละ” หลังอื่นคนเต็มหมดแล้ว คงต้องนอนที่บ้านหลังใหญ่กันหมด เพราะบ้านหลังใหญ่มีแค่ผมกับจ่าเท่านั้น

     “กับพวกนั่นเหรอค่ะ” เธอทำสีหน้าไม่พอใจ

     “พวกฉันแล้วทำมัยยะ ยายชะนีสตอเบอรี่” ตลอดสองเดือนบ้านหลังนี้คงหาความสงบไม่ได้แล้วสินะ

     “เลือกห้องกันเอาเอง ยกเว้นห้องด้านบนทางซ้ายมือ และห้องข้างล่างขวามือ” บ้านนี่แต่ก่อนทำเป็นที่พักสำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ เป็นบ้านกลางทุ่งนา จึงมีห้องค่อนข้างเยอะพอสมควร มีคนที่เฝ้านาข้าว ช่วยทำความสะอาดให้ทุกอาทิตย์

     ตลอดระยะเวลาสองเดือนหวังว่าบ้านจะไม่พังไปก่อนนะ

     “กรีสสส นี่แกอยากตายรึไงยัยกระเทยบ้า”

     “ใครจะตายกันแน่ยะ ยัยชะนี”

     “เออ คือ ลุงจ่าให้ผมมาที่นี้ ห้องพักผมอยู่ที่ไหนเหรอ” ไอ้เด็กริวเจ้าปัญหา เดินเข้ามาด้วยสีหน้างุงงงกับเหตุการณ์ การทะเลาะกันนี้

      “ทุกคนนี่ริว จะมาอยู่ที่นี้ด้วยกัน อยากรู้อะไรก็ถามกันเอง” ผมขอออกจากบ้านไปดูนาข้าวดีกว่า ขืนอยู่นานกว่านี้คงเป็นบ้าตาย

     “เออ พี่เค้าทะเลาะอะไรกัน” เจ้าตัวทำหน้างงๆ
     “ปะตามพี่อุ่นมาดีกว่าทุกคน ริวใช่มัย พี่ชื่อไออุ่น ตามพี่มาเดี๋ยวจะแนะนำทุกคนให้รู้จัก และจะพาไปทัวบ้าน!! ไม่ต้องไปสนใจปล่อยให้ทะเลาะกันไป เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเองแหละ” ไออุ่นพาคนที่เหลือออกจากเหตุการณ์ การทะเลาะ แล้วขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน

     เฮ้ออ ความสงบสุขจงกลับคืนมา คืนมา!!
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่2☆ P.1☆21/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 22-12-2018 07:21:41
อ่านแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ พูดคุยกันด้วยนะคะ

ขอบคุณผู้อ่านทุกคน

ปล.เรื่องแรกมันก็จะงงๆ หน่อย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่4☆ P.1☆22/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 23-12-2018 12:19:08
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่4☆ P.1☆22/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 23-12-2018 14:11:12
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่4☆ P.1☆22/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-12-2018 02:11:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่4☆ P.1☆22/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 24-12-2018 07:50:37
- 5 -


[ไออุ่น]


     ท้องนาที่เหลืองอร่าม และอากาศที่บริสุทธิ์ เหมือนได้ชาร์จพลังชีวิตให้เพิ่มขึ้น ท้องนาป่าไม้อันเงียบสงบ งืออ…รักเลย

     “หน้าที่ของพวกเธอคือ…” เสียงมารก็ดังมาขัดความสุขจนได้ เกลียดเสียงนี้ชะมัด คนกำลังได้อารมณ์ “ดูแลคนทำงาน ข้าวเรายังไม่พร้อมเก็บเกี่ยว ต้องรออีกสองอาทิตย์ ดังนั้นจะมีแค่ส่วนไร่ผัก ผลไม้เท่านั้น เด็กๆ อยู่ตรงหอสังเกตการ แมนนี่ ริว ไออุ่น เดินตามไปคุ้มกันคนงาน” ก็ดี อย่างน้อยมิว ลมหนาว และมิดไนท์ ก็ไม่ต้องเดินตากแดดตามมา

     “แล้วทหารไปไหนละท่านผู้กอง” ที่พูดนี่ ยังไม่มีส่วนไหนที่ทหารต้องทำเลย ดูๆ ดูปรายตามามอง ถามแค่นี้มีปัญหา เดี๋ยๆ เดี๋ยวแช่งให้ซอมบี้กัดซะเลย

     “ทหารออกไปดูข้าวที่ปลูกไว้ที่อื่น เผอิญเราปลูกไว้หลายที่หนะ สงสัยอะไรอีกไหม” ไม่สงสัยก็ได้ เหม็นหน้าไม่อยากคุยด้วย เชอะ

     “หึหึ เป็นเด็กดีหละ” หน๋อยย ใครเด็กวะ ไอ้แก่เอ้ยยย

     ผมกำลังจะด่ากลับ แต่ท่านผู้กองเดินหนีไปซะแล้ว หึ สงสัยจะกลัว ไม่แน่นี่หว่า

     “มิว หนาว ดูแลน้องด้วยนะ เดี๋ยวพี่มา” ผมหันไปหามิว กับหนาวเพื่อฝากให้ดูมิดไนท์ งานผมต้องเดินไปเรื่อยเพื่อลาดตะเวน คงไม่เหมาะที่จะพาเด็กมาด้วย

     “พี่อุ่นไม่ต้องห่วงหรอก ผมดูแลน้องได้ แถมที่นี่ยังสบายอีกด้วย ห่วงแต่พี่เถอะใส่หมวกด้วย แดดมันแรง” น้องใครเนี่ย น่ารักจริง

     “ได้ครับผม พี่ไปแล้ว ปะแมนนี่คนสวย ไอ้น้องริว ริว!! จะเอาดาบไปทำมัยเยอะแยะให้มันหนัก มึงจะฟันแล้วทิ้งรึไง เอาไปอันเดียวพอ” เฮ้อ…ผมหละเหนื่อยใจ มีไหมซักคนที่จะปกติ

     หลังจากแบ่งลูกธนูที่ทหารเพิ่งทำให้เราใหม่ ก็ถึงเวลาเริ่มงานซักที อารมณ์เหมือนในหนังเลย หล่อๆ แบบผมต้อง ฮอว์คอาย ในอเวนเจอร์ เท่สุดๆ จนอยากถ่ายรูปอัพเฟซบุ๊กอวดชาวบ้านเลย ถ้ามันยังใช่งานได้นะ

      พูดแล้วอยากส่งไลน์ ไปถามเพื่อนที่มหาลัย ว่าเป็นตายร้ายดียังงัย กลายเป็นซอมบี้ไปหมดรึยัง หวังว่าเพื่อนๆ จะรอด เฮ้อ…พอแล้วเลิกคิดๆ ไปทำงานดีกว่า

     งานพวกผมมันก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่แค่ ฆ่าซอมบี้ที่หลงมาแถวนี้ งานเบาๆ สบายมาก…


     …ซะที่ไหน หลังจากเดินตามพี่ๆ ลุงป้าน้าอา มาทำสวนผัก ก็มีซอมบี้เดินมาให้ยิงหัวบ้างประปราย เราไม่มีปัญหาหรอกเรื่องฆ่าซอมบี้ แต่ที่เรามีปัญหาคือ…

     “นี่ฆ่าแล้วกูต้องตามเก็บศพด้วยเหรอ!!” แม่งแกล้งกันชัดๆ

     “เห็นผู้กองธามเค้าบอกแบบนั้น” ไอ้น้องริวพูดพร้อมยิ้มแห้งๆ ส่งมาให้

     “นี่ไม่คิดจะขัดไอ้คุณผู้กองซักหน่อยเหรอ” ถ้าเป็นผม มาบอกให้เก็บศพ ผมคงบอกให้ไปเก็บเองแล้ว ซอมบี้ก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ จะแบกยังงัยวะ แล้วดูหุ่นแต่ละคน เฮอ…เหนื่อยใจ

     “คือผมถูกส่งมานี่เพราะโดนทำโทษ ผมไม่กล้าขัดหรอก” เจ้าตัวทำสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมสำนึกผิด

     “แล้วนี่กูทำผิดอะไรวะเนี่ยถึงโดนทำโทษด้วย” ไอ้ผู้กองมันเกลียดผมแน่ๆ

     “แล้วพ่อหนุ่มน้อยทำอะไรผิดมาจ๊ะ ถึงโดนทำโทษ” เออจริง ตัวแค่นี้ทำอะไรผิดมาถึงต้องโดนทำโทษ

     “คือ คือผม แบบว่า” มันพูดยากขนาดนั้นเลยเหรอ

     “อึกอักอยู่ได้ พูดมาเถอะ คนเราก็ผิดผลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ” ผมให้กำลังใจไอ้เด็กสูงโปร่งหน้าอ่อนไป ถึงตัวจะสูงแต่หน้าก็ยังเด็กอยู่ แถมยังผอมอีก

     “คือ ผมขว้างระเบิดใส่ซอมบี้ที่หมู่บ้านก่อนถึงค่าย ทั้งที่มันไม่จำเป็น ทำให้ซอมบี้มารวมกันเป็นโขยงปิดทางเข้าค่าย แล้วคือมีคนตายด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ” สรุปแล้วที่มีซอมบี้เยอะๆ นั้นเป็นเพราะมัน ผมหันไปมองหน้าไอ้เด็กริว เจ้าตัวทำหน้าเศร้าๆ

     “เฮ้ออ…เรื่องมันแล้วไปแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แล้ว ถ้ารู้ว่าผิดก็อย่าทำอีก ต่อไปนี้จะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีก่อน” ผมตบบ่าน้อง ผมรู้ว่าน้องผิด ที่เราเสียป้ารินไป ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องนี้ แต่ก็อย่างที่ผมบอกน้องเรื่องมันแล้วไปแล้วเรากลับไปแก้ไขมันไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะให้อภัยดีกว่า

     “แต่ผมทำให้คนที่มากับพวกพี่ตายนะ” เจ้าตัวยังทำหน้าเศร้าต่อ

     “ตอนนี้สิ่งที่ควรเศร้า คือต้องไปเก็บศพซอมบี้นะ” แมนนี่พูดขึ้นมาทำหน้าจะร้องไห้เมื่อหันไปมองศพซอมบี้

     “ซิบ…เกือบลืมเลย” อยากจะร้องไห้ “แล้วเราจะกำจัดมันยังไง ฝัง หรือ เผา” ถ้าจะให้ขุดหลุมบอกเลยตายอย่างเดียว ซอมบี้ต้องหลายตัว ต้องขุดหลุมใหญ่ขนาดไหนเนี่ย

     “ผู้กองบอกให้เราเอาฟืนที่อยู่ตรงนู้นกองๆ กันขึ้น เอาซอมบี้ไว้ด้านบน น้ำมันราดแล้วจุดไปเผา” พูดเหมือนง่าย แค่ขนฟืนก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องแบกซอมบี้มาอีก…ไอ้ผู้กอง อย่าให้ถึงทีผมนะ ผมจะทำให้จำชื่อผมไปจนวันตายเลย ฮือ…

     
     หลังจากส่งคนงานกลับแล้ว เราก็ไปเอาน้ำมัน และขนฟืนให้เป็นกองด้วยความเหนื่อยล้า ถึงเวลาที่เราต้องขนซอมบี้แล้วสินะ เราจะเริ่มขนตัวไกลๆ ก่อน

     “แหวะน้ำหนองติดเสื้อ แม่งไหลมาตามมือกูแล้ว เดินเร็วๆ” โอ้ยยหนัก ขยะแขยงด้วย แมนนี่แบกหัว ริวขา ผมกลางลำตัว ตัวนี้ตัวใหญ่มากแบกสองคนไม่ไหวแน่ โอ้ยย น้ำหนองไหลถึงข้อศอกแล้ว ฮือ…ผู้กอง ไอ้ผู้กอง!!!

     ตัวที่สอง “กรีสสส อีอุ่นมันมีหนอน ฮือ…” นั้นแหละครับ
     “เออๆ เดี๋ยวตัวนี้แบกกับไอ้ริวเอง” ไอ้น้องริวก็หน้าเริ่มซีดแล้ว

     ตัวที่สาม “พี่หนังมันติดมือผมมา ยี๋!! อวก!!” อวกแตกไปแล้วหนึ่ง

     ตัวที่สี่ “ชิบหาย แขนหลุด” เสียงผมเอง นู้นแขนซอมบี้ไปอยู่บนพื้นแล้ว “ริวเก็บแขนมาด้วย”

     ตัวที่ห้า “โอ้ยย…เหม็นเว้ยย เพิ่งยิงไปวันนี้เอง เน่าเร็วจังวะ” เหม็นสุดๆ เลยทุกคน ฮือ… อยากจะบ้า

     ในที่สุดเราก็ขนซอมบี้เก้าตัวเสร็จ สภาพแต่ละคนดูไม่ได้เลย เลือด น้ำหนองเลอะเต็มตัวไปหมด กลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย อย่างกับส้วมแตก

     “ริวราดน้ำมัน เดี๋ยวพี่จะจุดไฟเผาเอง” ผมบอกริวไปราดน้ำมัน ส่วนตัวเองเตรียมไฟแซกรอ

     ในที่สุดไฟก็ลุกท้วมซอมบี้ ตอนนี้ผมอยากได้ พริกเกลือมากเลย ผมจะเอามาเผาแช่งไอ้ผู้กอง

     “อีอุ่นทำอะไรยะ” ผมกำลังถอดเสื้อกางเกงทิ้งใส่ไฟ เหลือแค่บอกเซอร์ ไม่ไหว อยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ไหว

     “ทิ้งไง ใส่ต่อไปไม่ไหวหรอก”
     
     “ผมทิ้งด้วย เหม็น!!” แล้วไอ้น้องริวก็ถอดเสื้อผ้าทิ้งใส่กองไฟ

     “มึงไม่ถอดเหรอแมนนี่” ผมหันไปถามแมนนี่

     “จะให้คนสวยๆ อย่างกูโป้ต่อหน้าผู้ชายหรอ ถึงจะอยากถอดแต่จะไม่ถอด” จะคนสวย

     “แล้วพี่จะอยู่เหม็นๆ แบบนี้หรอครับ” ใช่เหม็นมาก ขนาดผมถอดเสื้อผ้าแล้วยังเหม็นอยู่เลย

     “ฉันจะไม่ทนเหม็น!!”

     “เดี๋ยวแมนนี่”

     ตู้ม!!!  ไม่ทันแล้วโดดลงสระน้ำแล้ว นู้นลอยคออยู่กลางสระนู้น เออ แต่ก็น่าจะดีนะ เอาบ้างดีกว่า

     ตู้ม!! ในที่สุดก็โดดลงน้ำทุกคน สภาพช่างหน้าเวทนาอะไรขนาดนี้ คนหล่อเศร้า

     
     ดีที่ผมเอาธนูกลับไปเก็บไว้ก่อนแล้ว เลยเดินกลับสบายๆ มีแค่ดาบที่อยู่กับริว ที่เอามาด้วยก็เผื่อมีซอมบี้หลงมา ตอนนี้กลิ่นเหม็นเราลดลงไปมากแล้ว ถ้าได้อาบน้ำฟอกสบู่ สระผมหน่อยก็กลับมาหอมเหมือนเดิมแล้ว

     ท้องนายามเย็นสวยใช่เล่นเลยแฮะ บรรยากาศก็ดี…

     “เฮ้ย..!!” ผลัก!!  ตุ๊บ!!

     “อีอุ่นมึงไปนอนเล่นปลักโคลนทำมัย” ใครมันจะบ้าลงมานอนปลักโคลนหลังล้างตัวเสร็จ และที่สำคัญ ผมไม่ใช่ควายนะจะได้เล่นปลักโคลน

      “กูลื่น ไมได้เล่น!! แมนนี่ดึงขึ้นไปหน่อย ขึ้นไม่ได้” วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของผมเนี่ย

     “ไม่!! ฉันเพิ่งล้างตัวมา ไม่อยากเปื้อน ลงไปเอง ก็ขึ้นมาเองสิยะ ทีลงไปหละไม่คิด” ใช่ผมไม่คิด   ไม่ได้คิดจะลงมาแต่แรกแล้วเว้ย คนมันลื่นเข้าใจไหม แล้วแมนนี่ก็สะบัดหน้าเดินหนีผมไป เธอช่างใจร้ายเหลือเกิน

     “ริว” ผมหันไปเรียกไอ้น้องริว

     “ลุงผมโทรมาพี่ ผมต้องรีบไปรับโทรศัพท์” แล้วมันก็วิ่งไป โทรศัพท์มันใช้ได้ที่ไหนวะ สลัดผัก ดูท่าทุกคนจะรักผมเหลือเกิน ซึ่งจนน้ำตาไหล

     ผมขึ้นมาจากปลักโคลนได้แล้ว สภาพก็ เปื้อนไปทั้งตัวยันหน้า นี่ผมลงท่าไหนวะเนี่ย

     “พี่อย่ายิง คนครับคนไม่ใช่ซอมบี้” เกือบไปแล้ว พี่ทหารเกือบยิงผมแล้ว สภาพผมคงดูไม่ได้จริงๆ แหละ ขนาดพี่ทหารยังคิดว่าผมเป็นซอมบี้เลย

     “พี่อุ่นทำมัยสภาพเป็นแบบนั้นครับ” ลมหนาวถามผม เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน

     “พอดีพี่ลื่นตกคันนาหนะ ส่วนเสื้อผ้าพี่เผาทิ้งแล้วมันเหม็น” ผมตอบน้องไปคร่าวๆ เพราะต้องการไปอาบน้ำโดยด่วน

     “นั่นตัวอะไรหนะ หึหึ” เสียงปีศาจดังขึ้นข้างหลังลมหนาว

     “คน ไม่ใช่ตัวอะไร แก่แล้วตาฟ่าฟางเหรอครับท่านผู้กอง” อยากสลัดโคลนใส่ซะมัดเลย ดูหน้าตาสิกวนอวัยวะเบื้องล่างมากเลย

      “อ๋อ…คนเหรอนี่ ขอโทษที่มองผิด” ยังๆ ยังมายิ้มเยาะเย้ย อย่าให้ถึงทีผมบ้างนะ

     “ยี๋ตัวอะไรเนี่ย เมื่อกี่ก็ยายกระเทยทีนึงแล้ว แล้วนี่อะไร เหม็นด้วย ไปไกลๆ เลย แหวะ” คุณเธอคนสวยยืนทำหน้ารังเกียจผมอยู่ ถ้าจะทำท่ารังเกียจขนาดนี้เหยียบหน้าผมเลยดีกว่า แต่ผมไม่พูดออกไปหรอกนะ เพราะดูท่าเธอน่าจะทำจริง

     “ขึ้นไปอาบน้ำเถอะไป” ไอ้ผู้กองบอกผม ถึงไม่บอกผมก็ไปอยู่แล้วหละ ใครมันจะอยากยืนเน่าอยู่ตรงนี้ให้คนรังเกียจ ชิ สะบัดหน้าเดินขึ้นห้อง

     ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว แต่ทำไมผมรู้สึกไม่อยากจะกินเลย นั่งอยู่ก็เห็นแต่ภาพซอมบี้เน่า นี่ถ้าบนโต๊ะอาหาร มีลาบ มีต้มเลือดหมูคงได้อ้วกแตกแน่ แต่ดีหน่อยที่ไม่มีหมูในตอนนี้

     “ทำมัยนั่งเฉย ไม่กินเหรอ” ตอนนี้ผม ไอ้น้องริวกับแมนนี่นั่งเฉยๆ กินอะไรไม่ลง

     “คือ สุดหล่อขา หลังจากคลุกคลีกับเนื้อเน่าของซอมบี้ตอนเย็น มันก็กินอะไรไม่ลงเลยค่ะ” แมนนี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอบขึ้น

     “เรื่องมาก” แล้วเสียงแม่นางคนสวย ที่จิตใจไม่สวยตามใบหน้าก็ดังขึ้นมา

     “อีพวกอยู่เฉยๆ ไมทำอะไร อย่าสอใส่เฝือก ให้มากนัก” มันคืออะไรวะ สอใส่เฝือก…เอิ่ม…อ๋อ คิดออกแล้ว แต่ดูคุณคนสวยคงคิดไม่ออก ทำหน้าเอ๋ออยู่นั้น

     “พอเถอะ กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะให้คนเอาถุงมือกับรถเข็นไปให้” ถุงมือ? รถเข็น?

     “มีถุงมือ กับรถเข็น??”

     “อ่าวผมไม่ได้บอกเหรอ” ผมทำตาขวางใส่ทันที “โทษทีสงสัยลืมบอก หึหึ” แม่ง ถ้าเตะก้านคอคนที่เคยช่วยเราไว้ จะบาปไหมวะ สักทีดีไหมเดี๋ยๆ

     “ของอลคนหล่อหนึ่งวัน ไม่น่ารักเลย” แมนนี่พึมพำเบาๆ

     สรุปแล้วนี้คืองานที่ผมต้องทำตลอดสองเดือนสินะ เฮอ…เอาวะ อย่างน้อยก็มีถุงมือ กับรถเข็น

     “มัมคราฟ น้องไนท์อยากกินคุณไข่ตุ๋น น้องไนท์ไม่ได้กินนานแล้ว” เจ้าตัวเล็กมองไข่ตุ๋นตาวาว โชคดีที่ ที่นี้มีไก่ไข่เหลืออยู่เยอะ สงสัยซอมบี้ไม่ชอบกินไก่

     “นี้ครับ กินเยอะๆ นะ จะได้ตัวโตๆ เท่าพี่หนาว” แค่ได้เห็นน้องๆ ได้กินอิ่มนอนหลับผมก็มีความสุขแล้ว

     “คุณมัมก็กินเยอะๆ นะครับ จะได้โตเร็วๆ” แต่ความสุขเริ่มจะหายไปแล้วสิ ไอ้ผู้กอง!!

     “คุณก็กินปลาเยอะๆ นะครับ แก่แล้วเดี๋ยวจะหลงๆ ลืมๆ” ผมตักปลาให้พร้อมยิ้มอ่อน หึหึ

     “ผู้กองไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นหรอกค่ะ เดี๋ยวโรสตักให้เอง” คงจะชอบหละสิโดนสาวๆ สวยๆ เอาใจ หึ


     + + +


     ตลอดหนึ่งสัปดาห์ เราก็ทำกิจวัตรเดิมๆ เดินตามคนงาน ฆ่าซอมบี้ และเผา แรกๆ ก็รู้สึกแหยงๆ แต่ผ่านไปสี่ห้าวันก็เริ่มชินแล้ว สัปดาห์หน้าจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ตื่นเต้นจัง เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่จะได้เห็น

     ตอนนี้เรากำลังนั่งรวมกันอยู่ในห้องรับแขก คุณท่านผู้กองบอกมีเรื่องจะคุย เรื่องอะไรนะ จะเพิ่มงานให้พวกเราเหรอ ม่ายย

     “เอาหละ เรื่องที่ผมจะพูดคือ อีกสองวันเราจะเข้าตัวอำเภอไปหาอุปกรณ์การเกษตรเพิ่ม ผมอยากให้พวกคุณไปด้วย เพื่อเอาของใช้ให้ทุกคน คือ พวกเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ และของใช้ผู้หญิงด้วย เช่นพวก เอ่อ ชุดชั้นใน ผ้าอนามัย พวกนี้แหละ” หือ…ไอ้ผู้กองอาย ฮ่าๆ ฮาชะมัด อ่อนด๋อยที่สุด โอเคๆ เดี๋ยวช่วย

     “คุณผู้กองเลือกผ้าอนามัย และชุดชั้นในผู้หญิงไม่เป็น เลยอยากให้เราไปช่วยกันเลือกใช่ไหม หึหึ”

     “ใช่ เลือกไม่เป็น หรือนายเลือกเป็น เคยใช้เหรอถึงเลือกเป็น หึหึ” ไอ้ผู้กอง!! ไหงมันวกมาทางผมได้ละเนี่ย เซ็ง

     “เลือกไม่เป็นหรอก งั้นก็ให้คุณโรสไปด้วยสิ คงรู้ดีเลยแหละ” เชอะ ไปด้วยกันเลยไปรำคาญ

     “เอ่อ โรสไปด้วยคงไม่ดีมั่งคะ โรสไม่เก่งต่อสู้ ถ้าเจอซอมบี้โรสต้องแย่แน่ๆ เลย และอีกอย่างโรสไม่อยากเป็นภาระให้ผู้กองด้วย โรสขอรออยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”

     “พูดอะไรเยอะแยะบอกว่าป๊อดกลัวตายก็จบ” แมนนี่พูดขึ้น ด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ยายชะนีไม่ไป เดี๋ยวแมนนี่ไปเลือกให้ก็ได้ค่ะ” แมนนี่หันไปยิ้มหวานเกาะแขนไอ้ผู้กอง

     “เป็นผู้ชาย ทำเป็นรู้ดี หึ” หน้าแมนนี่เหมือนจะพ้นไฟเลย เอาหละทุกคนเตรียมอุดหูไว้ เรากำลังเผชิญกับมลพิษทางเสียง

     “หนอยย ยัยชะนี ถึงฉันจะเป็นผู้ชาย ฉันก็สวยไม่แพ้หล่อนหรอกยะ ยัยชะนีโบท็อก!” หมัดแรกจากฝั่งน้ำเงิน

     “กรีสสส ไอ้กระเทยบ้า กล้าว่าฉันหรอหะ ยัยของปลอม” ฝั่งแดงโต้กลับ

     “ของปลอมแล้วงัย เธอมันก็แค่ยัยชะนีของก๊อปเกรด Z” มันมีด้วยเหรอเกรดนี้ เคยได้ยินแต่เกรด A, B, C นี่เกรด Z ต่ำสุดเลยนี่หว่า

     “หยุดซักที!! ถ้าจะทะเลาะกัน ก็ออกไปทะเลาะข้างนอก!” หว่า..มวยหยุดซะแล้ว กำลังสนุกเลย คุณผู้กองดันมาห้ามก่อน ต้องเรียกเค้าคุณหน่อย เพราะเมื่อกี่หน้ากลัวมาก ขึ้นเสียงทีเดียวหยุดกันหมดเลย

     ดีนะเด็กๆ ไม่เข้ามาด้วย ผมไม่อยากให้น้องเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี เพราะเห็นจากผมก็เยอะพอแล้ว กระซิกๆ ร้องไห้เบาๆ

     “สรุปแล้วให้แมนนี่กับไออุ่นไป ใครอยากได้อะไรบ้างภายในสองวันนี้ก็ไปถามให้เรียบร้อย คนที่เหลือทำงานเหมือนเดิม ริวเดี๋ยวให้ทหารไปช่วยสักคน จบ” โอเค จบก็จบ ใครมันจะกล้ามีปัญหาด้วยดูหน้าสิเรียบอย่างกับพื้นกระเบื้องที่บ้าน เวลาโมโหนี่น่ากลัวซะมัด



     “เด็กๆ อีกสองวันพี่จะเข้าเมือง อยากได้อะไรรึเปล่า” ผมมาถาม มิว ลมหนาว และมิดไนท์ น้องบีกับลุงดำคงต้องถามพรุ่งนี้ เพราะอยู่บ้านอีกหลังกับสองผัวเมียนั้น ผมเริ่มอิจฉาลุงแล้วสิ ดูท่าอยู่ที่นู้นจะสงบน่าดู ที่นี่อย่างกับสมรภูมิรบ

     “เอ่อ คือ มิวอยากได้ชุดชั้นในและเสื้อผ้าเพิ่มค่ะ” น้องมิวพูดเขินๆ โอเค ผมเข้าใจ ผมก็เขินเหมือนกัน ให้ผมไปเลือกชุดชั้นในผู้หญิงเนี่ยนะ

     “ได้ครับ ส่วนรายละเอียดไปบอกแมนนี่ได้เลย” น้องพยักหน้าเข้าใจ “แล้วเราสองคนหละอยากได้อะไร” ผมหันไปถามน้องชายทั้งสอง

     “อะไรก็ได้ครับ” หนาวตอบผมมา น้องผมเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว เค้าไม่ค่อยจะเรื่องมากกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่

     “น้องไนท์อยากได้…” ไนท์ยังพูดไม่จบ เราก็พูดออกมาพร้อมกัน

     “ขนม/ขนม/ขนม” พูดเหมือนกันเปะ ฮาๆ

     “งะ รู้ได้งายอะ ว่าน้องไนท์อยากได้ขนม” เจ้าตัวทำหน้าอายๆ บิดตัวไปมา

     “เพราะกินเก่งจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วไง ใครจะไม่รู้” เจ้าตัวทำตาโต

     “ไนท์ไม่เป็นหมูนะ ไนท์เป็นคน”

     “โอเคครับ เป็นคนก็เป็นคน แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่คนต้องนอนแล้ว ฝันดีครับสุดหล่อของมัม” ลมหนาวเดินไปส่งมิวที่ห้องแมนนี่ เรานอนห้องละสองคน เพราะเตียงมันนอนได้แค่นี้ อัดกันเข้าไปมากกว่านี้ คงได้มีคนตกเตียงแน่ๆ ดังนั้นผมเลยได้นอนคนเดียว

     “ฝันดีคราฟมัม จุ๊บ” เจ้าตัวจุ๊บแก้มผมแล้วนอนลงไป ผมเลยจุ๊บหน้าผาก คอยลูบหัวน้องจนน้องหลับ ผมถึงจะออกจากห้อง พร้อมหอมแก้มลมหนาวด้วยก่อนไป



     ตอนนี้ผมมาเดินดูความเรียบร้อยรอบบ้านก่อนนอน อันที่จริงไม่ใช่หน้าที่ผมหรอก แต่ผมนอนไม่หลับเลยมาเดินดูหน่อย

     ผมบอกทุกคนไปยังว่าบ้านหลังนี้มีไฟฟ้าใช้นะ เป็นไฟที่ได้จากแผงโซล่าเซลล์ เราจะใช้ไฟเฉพาะเปิดให้แสงสว่างเท่านั้น ไม่ให้ใช้ทำอย่างอื่น แอร์ก็ห้ามเปิด ถ้าร้อนก็เปิดหน้าต่างรับลมเอา ดีที่ที่นี้มีแต่ไร่นาป่าเขาอากาศเลยไม่ร้อนเท่าไหร่

     อากาศต้นเดือนพฤศจิกายนกำลังดีเลย เย็นๆ ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป สบาย…

     “ทำอะไร”

     “ตาเถรหกซอมบี้กัดตูด!!” โอ้ยย หัวใจจะวาย ตกใจหมดเลย ทำมัยมาเงียบๆ แบบนี้

     “ทำมัยต้องกัดที่ตูด?” นี่สงสัยจริงๆ หรือกวนทีน ผมจะไม่สนใจคำถามนี้แล้วกัน

     “มาทำมัยเงียบๆ ตกใจหมด นึกว่าซอมบี้ หน้าตายิ่งเหมือนซอมบี้อยู่ด้วย” ได้ทีเอาซักหน่อย ครึครึ

     “ซอมบี้ที่ไหนจะหน้าตาดีขนาดนี้” โห มั่นหน้ามากกก กอไก่ล้านตัว

     “ชมตัวเองแบบนี้ก็ได้หรอ”

     “ได้สิก็คนมันหล่อจริงนิ มองหน้าฉันสิ แล้วบอกว่ามันไม่จริง” เอ้อเฮอ ถึงผมจะมั่นหน้าแค่ไหน ผมก็ต้องยอม ถ้าผมเป็นผู้จัดรางววัลผมจะให้ผู้กอง ในรางวัลมั่นหน้าอวอร์ด

     “ไหนลุงจ่าบอกเป็นคนเงียบขรึม มันเงียบขรึมตรงไหนเนี่ย” ไม่ตรงปกๆ

     “นี่สนใจฉัน จนไปถามเรื่องฉันจากจ่าเลยเหรอ” What? อะไร คิดได้ไงว่าผมสนใจ ผมแค่เก็บข้อมูลศัตรู เขาบอกว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง…รึเปล่าวะ มั้ง เฮอะๆ

     “ช่างกล้าพูด คนหล่อๆ แบบผมเนี่ยนะจะสนใจคุณ รอให้ไก่ออกไข่เป็นหมูก่อนเถอะ” ถ้าออกไข่เป็นหมูก็ดีนะ เฮๆ อย่ามองผมแบบนั้นนะ ผมไม่ได้สนใจตาผู้กองนั้น ผมแค่อยากกินหมูต่างหาก

    “ใครหล่อ” ไอ้ผู้กองทำท่ามองหา หน๋อยย กล้ามาก กล้าเมินคนหล่อ ได้

      “ผมนี่ไง ดูซะ ดูให้เต็มตา” ผมชี้ที่หน้าตัวเอง พร้อมขยับเข้าไปใกล้

     “นี่มองจนจะทะลุอยู่แล้วยังไม่เห็นความหล่อเลย” มันปรี้ดๆ ไม่เห็นได้งัย ผมกำลังจะตอกกลับ แต่ผู้กองก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “เห็นแต่ความน่ารัก” ผู้กองพูดพร้อมยิ้มมุมปาก

     …เกิดความเงียบชั่วขณะ น่ารัก…ผมเนี่ยนะน่ารัก บ้าไปแล้ว!! ผู้กองต้องบ้าแน่ๆ

    “ผู้ชายที่ไหนจะชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารัก โอ้ยย พูดกับผู้กองแล้วซีเครียด” ผมเอามือกุมขมับ

     “อะไรคือซีเครียด?”

     “ซีเครียด ก็ซีเรียส ฟีทเจอริ่งกับเครียดงัย แก่แล้วก็เงี้ย หึ” เล่นกับใครไม่เล่น…

     “แล้วอยากลองคนแก่ดูไหมหละ จะได้รู้ว่าคนแก่กับเด็กใครมันจะแน่กว่ากัน หึหึ” มาอีกแล้วไอ้สองหึเนี่ย แล้วอะไรคือลองคนแก่ บ้าไปแล้ว ผู้กองบ้าไปแล้วจริงๆ ตามหมอด่วนนนน

     “จะบ้าเหรอ ผมเป็นผู้ชายนะ ไอ้คุณผู้กองบ้า ไม่อยู่ด้วยแล้วประสาทจะกิน” ผมสะบัดหน้าเดินหนีขึ้นบ้าน พร้อมได้ยินเสียงหัวเราะตามหลัง ไอ้ผู้กองเป็นบ้าจริงๆ ด้วย

     ทำมัยใจผมสั่นๆ อย่างนี่วะ ตั้งแต่ไอ้คำว่าน่ารักแล้วนะ หรือผมจะป่วย งือ…หมอช่วยผมด้วย ผมไม่สบาย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่5☆ P.1☆24/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 24-12-2018 13:16:59
ผู้กองต้องมีซัมติงกับหนูอุ่นแน่เลย :impress2:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่5☆ P.1☆24/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 24-12-2018 17:36:12
ผู้กองช่างหยอดจริงๆ

ขอแก้คำผิดนิดนึงค่าา ทำมัย >>> ทำไม
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่5☆ P.1☆24/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-12-2018 23:37:02
โอ๊ย ทำไมไม่เอาพ่อลูกสองคนนั่นไปเป็นของล่อซอมบี้นะ ไร้ประโยชน์มาก :ling1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่5☆ P.1☆24/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-12-2018 23:49:02
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่5☆ P.1☆24/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 25-12-2018 10:41:14
- 6 -


[ไออุ่น]

     ในที่สุดก็ถึงเวลาเดินทางเข้าเมือง อาวุธพร้อม เสื้อผ้าพร้อม แหม๋จะเข้าเมืองทั้งที ต้องแต่งตัวดีๆหน่อยสิ ถ้าถามว่า จะใส่ไปอวดใคร บอกได้เลยว่า  ไม่มี จะให้ใส่ไปอวดใครได้หละมีแต่ซอมบี้ ผมก็แค่อยากหล่อเท่านั้นเอง ผมบอกไว้เลย ของผมเนี่ยยังน้อย อยากให้มาเจอเพื่อนผม


     “แมนนี่ ไปเอาวิกผมมาจากไหน นี่แต่งหน้าด้วยเหรอ” โอโห จัดเต็มครับ ประหนึ่งจะไปเดินแฟชั่นโชว์ กางเกงรัดรูป เสื้อยืดเอวลอย ใส่แจ็คเก็ตทับ ใส่วิกผมสั้นประบ่า พร้อมแต่งหน้า เห็นแล้วต้องยอม

     “ก็เอามาจากบ้านงัยยะ ฉันอัดมาเต็มกระเป๋าเลยแหละ” ใช่ครับเต็มจริงๆ แบกลงรถทีแขนจะหัก ดีที่ยังเป็นกระเป๋าเดินทางแบบลาก ถ้าใส่เป้คงแบกมาไม่ไหว

     “แล้วนี้จะใส่ไปอ่อยใคร”

     “ก็คุณผู้กองไง ทหารด้วย เห็นความสวยของฉันต้องหลงแน่ๆ ยัยชะนีโรสต้องกระอักเลือด” เธอช่างเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ถึงมันจะมีเส้นบางๆ ระหว่างหลงตัวเองก็เถอะ

     “โห…พี่สาวเป็นใครครับเนี่ย สวยอย่างนี้ น้องริวขอเบอร์ได้ไหมครับบ” ไอ้น้องริวมันเดินมาเจอก็แซวทันที

     “เสียใจค่ะ คนสวยไม่ชอบกินเด็ก มันไม่เร้าใจ” แหนะ เชิดไปอีก

     “อัก! ปวดหัวใจ พี่แมนนี่คนสวยไม่เห็นน้องริวในสายตา” เจ้าตัวทำท่าเหมือนปวดหัวใจมากกก

     “นี่จะไปเอาของ หรือไปแสดงลิเกกันแน่ยะ” มาแล้วครับคู่กัดตลอดกาล

     “หนอยย พูดไม่ดูตัวเองเลยนะยะ แต่งหน้าอย่างกับงิ้ว ไม่เคยเดินออกไปข้างนอก คือแต่งไว้อวดผนังบ้านหรืองัยยะ”

     “ยัยกระเทยบ้านี่ ฉันจะมาพูดดีๆ กับแกแล้วแท้ๆ”

     “นี่ดีแล้ว? กลับไปเรียนมารยาทใหม่เลยไป ยัยชะนี” ผมเห็นด้วยกับแมนนี่ ที่เธอพูดมันไม่เห็นมีตรงไหนที่ว่าดีเลย

     “เออ…คุณโรสมีอะไรเหรอ” ผมพูดห้ามทัพไม่งั้นตีกันแน่ๆ เพราะไอ้ผู้กองออกไปเตรียมรถข้างนอก มาห้ามไม่ได้อยู่แล้ว

      “นี่แกรับไป รายการของที่ฉันอยากได้ เอามาให้ครบนะ” แล้วคุณเธอก็ยื่นกระดาษ A4 ให้ผม รายการของมันจะเยอะไปไหน

     “อีอุ่น เอามานี้ ไม่ต้องไปรับ ถ้ายัยชะนีอยากได้ของ ให้มันไปเอาเอง” แล้วแมนนี่ก็เอากระดาษในมือผมไปฉีกทิ้ง

     “กรีสสส แก!! ฉันจะฟ้องผู้กองแน่” ชี้หน้าแล้วเดินไปหน้าบ้าน คงไปฟ้องไอ้ผู้กองนั่นแหละ

     “ฮาๆๆๆ สะใจซะมัด” หน้าช่างดูสะใจอะไรขนาดนี้

     “มันจะดีเหรอวะ” ถึงในใจผมจะบอกว่าดี ผมขี้เกียจไปเดินหาของเหมือนกัน แต่ก็ถามออกไปหน่อยแสดงความเป็นคนดี ครึครึ

     “ดีสิยะ ไม่รู้จะเรื่องมากทำไม เอาอะไรมาให้ใช้ก็ใช้ๆ ไปเถอะ” จริง สถานการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาเรื่องมากเลย


     

     เราเดินออกมานอกบ้านเมื่อกอดน้องๆ แล้ว เมื่อมาถึงรถก็เจอคุณโรสยืนเกาะแขนไอ้คุณผู้กองอยู่ แต่สีหน้าบึ้งตึง สงสัยไอ้ผู้กองไม่ตามใจ ยังดีที่ผู้กองมันยังคิดได้อยู่

      “มาแล้ว ก็ขึ้นรถ” เข้มไปอีก เชอะ


     
     “ฮาๆๆๆ” เสียงหัวเราะผมเองครับ

     “มึงหยุดขำก็ซะที” แมนนี่หันมาว่าผม “กูจะแต่งตัว แต่งหน้าใส่วิกผมมาทำไม ถ้าจะนั่งรถแบบนี้  ทำไมผู้กองสุดหล่อไม่บอกแมนนี่บ้าง ฮือ โอ้ยย วิกผมจะหลุดแล้ว ขับเบาๆ ไม่ได้รึไง” โอ้ยย ผมขำ ก็ไอ้คุณผู้กองนะสิดันเอารถทหารไม่มีหลังคามา แล้วตัวเองไปนั่งหน้า ให้ผมกับทหารจำนวนหนึ่งอยู่หลังรถ รวมทั้งแมนนี่ด้วย ฮาๆๆๆ

     รถก็ขับเร็ว หน้านี่ตีกับลมพรึบๆ เลย ที่สำคัญวิกผมแมนนี่จะปลิวไปกับลมหลายรอบแล้ว พี่ทหารที่นั่งข้างหลังก็ขำกัน

     ในที่สุดก็ถึงห้างสรรพสินค้าขนาดกลางตั้งอยู่ชานเมือง ทหารเคยมาที่นี่แล้ว ดังนั้นซอมบี้จะไม่เยอะ แต่อาหารในห้างแทบไม่เหลือ ยังดีที่ของใช้คนไม่ค่อยเอาไป หน้าที่ของพวกเราคือไปเอาของใช้ และขนมของเจ้าตัวเล็ก นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ครึครึ

     “ผมจะให้ทหารไปด้วยสองคน เอาของใส่รถเข็นแล้วเข็นมาไว้ตรงทางเข้าเลย อีกประมาณ สองสามชั่วโมงจะกลับมารับ ไม่ต้องห่วงที่นี่เราเคยมาแล้วซอมบี้ไม่ค่อยเยอะ แต่อย่าเดินไปทางหลังห่างแล้วกัน ไปแล้ว” เฮย…บอกให้หมดสิหลังห้างมีอะไร ไปซะแล้ว พูดๆ แล้วก็ไป ไม่ได้สนใจเลยว่าเราจะเข้าใจ หรือมีปัญหาอะไรรึป่าว

     “คุณพี่ทหารขา หลังห้างมีอะไรค่ะ” แมนนี่ถามพี่ทหารสองคนที่มากับเรา ในสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน

     “เรียกชื่อพี่ก็ได้พี่ชื่อนาย ไอ้นี่ชื่อเทน ส่วนหลังห้างก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ศพซอมบี้พวกพี่เอาไปกองไว้ที่นั้น กลิ่นคงใช้ได้เลย” อ๋อ มีซากศพนี่เอง ผมจะไม่ไปหลังห้างเด็ดขาด

     “หนูชื่อแมนนี่ค่ะ ส่วนคนขี้เหร่นี่ชื่อไออุ่น” แหม!!  ไม่ค่อยจะอ่อยเลยนะ แม่คนหน้าตาดี

     “ยินดีที่ได้รู้จักครับแมนนี่คนสวย กับน้องไออุ่น เจอกันตั้งนานแท้ๆ แต่เพิ่งได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน” พี่เทนยิ้มหวาน เอาแล้ว…บางทีแมนนี่ของเราจะเสียซิงก็คราวนี้แหละ คนเค้าชมว่าสวยนี่ บิดจนแขนขาจะพันกันอยู่แล้ว

     “เราไปกันเถอะครับ เดี๋ยวเสียเวลา” ผมต้องเป็นคนเอ่ยชวน ก่อนจะกินเวลาไปมากกว่านี้

     เราเริ่มที่เสื้อผ้าก่อน แมนนี่พาเข้าแบรนด์ดังทั้งนั้น คราวนี้แหละคุณจะได้เห็นคนใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทำนา ชุดชั้นในก็แบรนด์เนม เรื่องเสื้อผ้าผู้หญิงไม่ต้องห่วงแมนนี่เชี่ยวชาญมาก อื่อหือแค่เสื้อผ้าก็เต็มรถเข็นสี่คันแล้ว เราเข็นรถไปไว้หน้าห่างก่อนไปซ็อปต่อ

     ต่อไปของใช้ สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ครีม และอีกมากมาย แต่ที่ผมสงสัยเอาเครื่องสำอางไปทำมัย เข้าร้านนาฬิกาอีก เรือนนี้คงหลายหมื่นอยู่ แต่เพชรพลอยไม่ได้เอาไปหรอกนะ ไม่รู้จะเอาไปทำมัย ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเราก็ไม่เข้า เอาไปก็ใช้ไม่ได้ไร้ประโยชน์

     แต่ของที่เรากำลังร่วมกันใช้สมองคิดอยู่ว่าจะเอาหยังงัยคือ…. ผ้าอนามัย ทำไมมันเยอะแยะขนาดนี้

     “ทำไมมันเยอะแยะขนาดนี้ นี่อะไรแบบบาง แบบเย็น มีกลางคืนกลางวัน” โอ้ยยผมจะบ้า

     “มีแบบเย็นด้วยมึง ใส่แล้วแม่งจะเย็นตรงนั้นเหรอวะ โหล้ำไปอีก” แมนนี่พูดขึ้น มีแบบเย็นจริงดิ นี่ถ้าอากาศร้อนๆ ตรงนั้นก็ยังเย็นอยู่แบบนี้หรอ กราบคนคิด “นี่มีขนาดด้วยนะ กี่เซนเงี่ย แบบมีปีกไม่มีปีก จะบินกันเหรอยะชะนีถึงต้องมีปีก” เออ จริง จะเอาปีกไปทำไม

     “ไหนเสื้อผ้า ชุดชั้นในผู้หญิงเลือกได้ แต่ทำไมผ้าอนามัยเลือกไม่ได้หละแมนนี่” ผมก็เห็นเชี่ยวชาญเรื่องของใช้ผู้หญิง ก็นึกว่าจะเลือกเป็นซะอีก

     “ก็เสื้อผ้า ชุดชั้นในกูใส่ได้ไหมหละ แต่ผ้าอนามัยกูจะใส่ทำไม คิดสิคิด” เออ จริงวะ แมนนี่ไม่มีประจำเดือนนิ “โอ้ยย แล้วนี่อะไร มีแบบสอดด้วย”

     “พี่นาย พี่เทนเอางัยดีครับ” ผมหันไปถามพี่ทั้งสอง

     “แล้วแต่น้องๆ เลยครับ” พี่นายตอบ

     “อีอุ่น ฉันว่าเอาไปหมดเลย เอามันทุกแบบนี่แหละ” ก็ดีจะได้ไม่ต้องเลือก

     ในที่สุดผมกับแมนนี่ก็กวาดผ้าอนามัยมาทุกแบบ แต่เราคงเอาไปหมดห้างไม่ได้หรอก มันเยอะเกิน รถยังต้องใส่ของอื่นๆ อีก

     เหมือนเดิมเราเอาของใช้ ที่อยู่ในรถเข็นไปไว้หน้าห้าง ต่อไปเป็นของใช้เบ็ดเตล็ด  ผมได้ขนมเจ้าตัวเล็กแล้ว แต่ต้องดูวันหมดอายุดีๆ เพราะของบางอย่างก็หมดอายุแล้ว

     ตอนนี้ผมเห็นแมนนี่ด้อมๆมองๆ อยู่โซนของผู้ใหญ่

     “แมนนี่จะเอาถุงยาง กับเจลหล่อลื่นมาทำมัย” ผมสงสัยจริงๆ นะ จะเอาไปใช้กับใคร

     “เผื่อไว้งัยมึง คนเราต้องรู้จักป้องกันเผื่อท้อง”

     “มึงท้องไม่ได้แมนนี่”

     “เออ รู้แล้ว แต่มีไว้ก็ไม่เสียหาย เผื่อมีคนอยากใช้กับฉัน” ในเมื่อห้ามไม่ได้ ก็ต้องส่งเสริมไปเลย

     “แล้วจะรู้ได้งัยว่าไซส์ไหน” ไม่รู้ว่าเป็นใคร จะรู้ได้งัยว่าไซส์เท่าไหร่

     “ก็ซื้อมันทุกไซส์ไง แต่เน้นไซส์ใหญ่” แล้วก็ทำหน้าเพ้อฝัน “เผื่อผู้กองตกหลุมรักฉัน” ไปแล้ว แมนนี่ล่องลอยไปแล้ว บ๊ายบาย สิติแมนนี่ หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็วๆนี้

     หลังออกมาจากโซนผู้ใหญ่ ผมก็เดินออกมาชมวิวอยู่ชั้นสอง มองผ่านกระจกดูบ้านเรือนของผู้คนที่อยู่ข้างๆ ห้าง แต่ก่อนคงมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ตอนนี้มันช่างเงียบเหงา

     ซอมบี้ทำไมเดินแบบนั้น ซอมบี้เปิดประตูรั่วได้เหรอ เฮ้ยย นั้นมันคนนี่หน่า กำลังจูงหมาอยู่เลย มีคนรอดชีวิต

     “แมนนี่กูลงไปข้างล่างนะ ไปบ้านหลังข้างๆ ห้าง!!” ผมตะโกนบอกไป

      “ไปทำไม!!”

     “เดี๋ยวมาๆ” ตื่นเต้น เจอคนรอดชีวิต ถ้าผมช่วยลุงได้ ให้ลุงได้ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ผมคงมีความสุขมาก



     
     “ลุง!! ไม่ต้องตกใจผมคน ไม่ใช่ซอมบี้ แล้วก็มาดีด้วย” ผมตะโกนพูดกับลุง ขณะที่ลุงกำลังปิดรั่วบ้าน

     “มาจากห้างใช่ไหม เหมือนลุงได้ยินเสียงรถ ประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงที่แล้ว” ลุงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

     “ใช่ครับ ลุงอยู่คนเดียวเหรอ”

     “ลุงอยู่กับลูกสาวลุงหนะ”

     “ลุงมีอาหารเหรอครับ” อยู่แบบนี้ อาหารการกินคงหายากหน้าดู เพราะในห้างก็หมดแล้ว เหลือแค่ขนมขบเคี้ยว

     “ตอนนี้ยังมี แต่อีกไม่นานคงหมด หนูมาหาของกินเหรอ ในห้างไม่ค่อยเหลือแล้วหละ”

     “ผมมาหาของใช้เฉยๆครับ เรามีอาหารอยู่แล้ว”

     “ดีจัง เข้ามาก่อนไหม คุยกันข้างนอกมันอันตราย เข้ามานั่งสบายๆ ในบ้านเดี๋ยวลุงเอาน้ำให้กิน” ก็ดีเหมือนกัน เข้าไปจะได้คุยเรื่องไปอยู่ด้วย เห็นลุงบอกว่ามีลูกสาวด้วย

     ผมเข้ามาในบ้านของลุง ลุงผูกหมาไว้หน้าบ้าน หมาเป็นหมาโกลเด้นสองตัว อายุไม่น่าเกิน 3 เดือน แล้วแม่มันไปไหนนะ ทำไมมีแต่ลูก
 
     ในบ้านลุงมีกลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นอับๆ เหม็นๆ หรือส้วมเต็ม ใช่แน่ๆเลย เพราะคงไม่มีรถดูดส้วมมาดูดให้ น่าเห็นใจลุงนะ ผมจะอดทนไม่ทักให้ลุงอายก็แล้วกัน ช่างเป็นคนดีจริงๆ

     “กินน้ำก่อนพ่อหนุ่ม” ลุงวางเเก้วน้ำไว้โต๊ะตรงหน้าผม “วางอาวุธไว้ก่อนก็ได้ นั่งสบายๆ เถอะ” ผมวางธนู และปลดกระบอกลูกธนูลงข้างตัว

     “แล้วลูกลุงหละครับ” ตั้งแต่เข้ามาผมยังไม่เจอลูกลุงเลย หลับอยู่เหรอ

     “ลูกสาวลุงอยู่ในห้องหนะ ตั้งแต่แม่แกจากไปแกก็ซึมเศร้าไม่ออกจากห้องเลย” ลุงทำหน้าเศร้าเมื่อพูดถึงลูกสาว น่าสงสารจัง

     “แขนลุงมีรอยกัดเต็มไปหมด ลุงต้องมีกรุ๊ปเลือดพิเศษแน่เลย ถึงไม่กลายร่าง” ผมสังเกตทั้งแขน ทั้งคอลุงมีรอยกัดเยอะเลย ลุงต้องได้ตอนออกไปหาของกินแน่ๆ น่าสงสาร ผมต้องพาลุงกับลูกสาวไปด้วยให้ได้

     “ใช่ ลุงกับลูกสาวกรุ๊ปเลือด AB แต่เมียลุงไม่ใช่ ลุงจึงเสียเมียไป” ลุงทำหน้าเศร้าอีกแล้ว

     “แต่อย่างน้อยลุงก็ยังมีลูกสาว ลุงต้องเข้มแข็งนะครับ” ผมให้กำลังใจลุง เท่ไปอีก ใครวะเนี่ยหล่อทั้งกายและใจ “ลุงไปอยู่กับพวกผมไหมครับ เราปลูกข้าวเอง ไม่ต้องกลัวอด แล้วก็ไม่มีซอมบี้ด้วย มีเด็กๆ หลายคน ลูกลุงได้เจอกับเพื่อนๆ คงดีขึ้น” จริงๆ นะ ขนาดน้องมิวยังดีขึ้นเลย

     “จริงเหรอ ดีจัง ลุงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ลูกลุงนี่สิ พ่อหนุ่มไปคุยกับลูกสาวลุงได้ไหม” ลุงพูดด้วยสีหน้าคาดหวัง งานนี้ผมเป็นพระเอกแน่ ผู้กองก็ผู้กองเถอะ

     “ได้ครับลุง” ไออุ่นคนนี้จะมอบความอบอุ่นให้น้องเอง

     “แต่อย่าเอาอาวุธเข้าไปนะ เดี๋ยวลูกลุงจะกลัว” เด็กผู้หญิงเจอคนแปลกหน้าถืออาวุธเข้าไปหา ก็ต้องกลัวอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงปลดอาวุธออกหมด

     “ลุงนำผมไปเลยครับ เดี๋ยวผมไปพูดกับน้องเอง น้องต้องยอมไปแน่ๆ” ผมเดินตามลุงไปที่ห้องน้อง

     ยิ่งเดิน กลิ่นเหม็นยิ่งชัดขึ้น มันต้องมาจากทางนี้แน่ ลุงเปิดห้องห้องหนึ่ง อือหือ… ความเหม็นตีเข้าหน้าเลย น้องอยู่ได้ไงวะเนี่ย

     ผมเห็นที่เตียงมีผ้าห่มคุมอยู่ เลยเดินเข้าไป พอถึงหัวเตียง ก็มีบางอย่างมาคล้องข้อมือผม

     แก๊ก! กุญแจมือถูกใส่ที่ข้อมือผมข้างหนึ่ง อีกข้างติดอยู่กับโซ่ ปลายโซ่อีกด้านผูกติดหน้าต่างที่เป็นกรงเหล็กอยู่

     ใช่ ใช่ไหม…

     ผมโดนหลอกอีกแล้วใช่ไหม…

     ผมหันควบไปมองหน้าลุง ลุงเดินไปอยู่หน้าห้องน้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เนื่องจากโซ่ที่คล้องผมอยู่มันสั้นมากประมาณเมตรครึ่งได้ ผมจึงเดินไปหาลุงไม่ได้

     “ลุงทำอะไรเนี่ย ใส่กุญแจมือผมทำไม ปล่อยนะ” ลุงไม่ตอบคำถามผม แต่แกกำลังเปิดประตูห้องน้ำที่คล้องกุญแจไว้ ลุงเปิดประตูห้องน้ำออกพร้อมวิ่งไปที่หน้าประตูห้อง

     แกรกๆ! เสียงลากโซ่อยู่ในห้องน้ำ บอกเลยหลอนมาก เสียงมันใกล้ถึงประตูห้องน้ำแล้ว

     …ชัดเลย…

     ซอมบี้เด็กสาววัยรุ่น กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ โดยที่ขาข้างขวาของเธอคล้องโซ่ไว้ เธอเดินไปหาลุงอย่างเร็ว แต่โซ่ยาวไม่ถึงลุง แม้เธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม อย่านะ…

     ใช่แล้ว เธอหันมาหาผมแทน แล้วโซ่เธอก็ถึงด้วย เหลือเลยแหละ ตายแน ตายแน่ๆ ซวยแล้ว ไอ้ไออุ่น แมนนี่คนสวยช่วยด้วย!

     “ลุงปล่อยผมนะ ลุงปล่อยสิโว้ย!! ไอ้ลุงโรคจิต” มีที่ไหนแม่งเลี้ยงซอมบี้ ลุงมันบ้าไปแล้ว

     ผมถีบยัยน้องซอมบี้ก่อนที่มันจะถึงตัวผม “ปล่อยโวยย!!! ปล่อย!!” ผมตะโกนพร้อมถีบยัยซอมบี้อีกครั้ง

     “อย่าทำร้ายลูกฉันนะ” ลุงผมไม่ได้ทำร้ายยัยซอมบี้ลูกลุง มีแต่ลูกลุงแหละจะแดกผม

     แถวนี้ก็ไม่มีอะไรที่ใช้เป็นอาวุธได้ด้วยสิ เตะล้มมันยังคลานมาอีก สยองเอี่ยๆ เลย

     “โอ้ย เลิกกัดขากูได้แล้ว” เตะปลายคางแม่งเลย ขออีกทีเถอะ ผลัก!! ปลายคางเน้นๆ ตาลุงออกไปจากห้องแล้ว เว้ย…ยังจะคลานมาอีก ยัยซอมบี้ดื้อด้านนี่

     “หยุดนะ ถ้าไม่หยุดทำร้ายลูกสาวฉัน ฉันยิงแน่” ไปเอาธนูผม มายิงผม ดีจริงๆ จับก็จับไม่ถูก เฮอ… เอ่า ไอ้นี่ก็จะกัดอยู่ได้ “บอกให้หยุดดด” หยุดให้ลูกลุงแดกผมเหรอ ฝันไปเถอะ

    ฉึบ!! ลูกธนูเฉียดแขนไปนิดเดียว ให้ตายสิ เกือบไปแล้ว ตาลุงวิ่งออกไปอีกครั้ง สงสัยไปเอาลูกธนู ทำไมไม่เอามาทีเดียวเลยวะ วิ่งไปวิ่งมาทำมัย
   
     ยัยเด็กนี่ก็กัดอยู่ได้ ต้องกระทืบๆ ลุงมาแล้ว ทีนี้ถือมีดมาเว้ย ซวยแล้ว

     “แก่ตาย” ลุงถือมีดวิ่งมาแทงผม แต่โดนยายลูกสาวซอมบี้รวบขาล้ม ลุงแกเป็นตลกปะเนี่ย จังหวะให้มาก อ่าวลูกจะกินพ่อแล้ว กัดไปแล้วเต็มขา ลุงสลัดออกได้ตะเกียกตะกายไปที่หน้าประตู แล้วลุงก็ออกจากห้อง ยายหนูซอมบี้ก็มาทางนี้ต่อ

     คราวนี้ธนูเหมือนเดิม แต่ดูจะจับดีขึ้น ดังนั้นลงความเห็นได้ว่าผมซวยแล้วจริงๆ โอ้ยย โดนกัดขาอีกแล้ว ยัยคนลูกก็กัดขา ตาคนพ่อก็เล่งธนูมาทางนี้ ตายแน่ไออุ่นเอ๋ย เพราะความใจดีแท้ๆ เลย

     
   “หยุดนะ” ตาลุงตกใจเสียงแมนนี่ จึงปล่อยลูกธนูมา ผมล้มตัวนอนเพื่อหลบ ยัยซอมบี้ขึ้นมาคร่อมตัวผมทันที รอจังหวะนี้อยู่สินะ สงสัยกางเกงยีนผมจะหนา ยายซอมบี้จึงกินไม่ได้ ได้แต่กัดให้เจ็บ ผมเอาแขนกันไว้ ไม่ให้กัดหน้าผมได้ พี่ทหารยิงลุงล้มลงไป ต้องใช่พี่ทหารแน่ๆ เพราะใช้ปืนเก็บเสียง

     ฉึบ!! ลูกธนูปักหัวยัยซอมบี้ เลือดกระจายเต็มหน้าเลย  มีคนมาดึงซอมบี้ออกจากตัวผม

     “ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง “ผู้กอง!!” มาได้งัยวะ แล้วทำมัยทำหน้าดุอย่างงั้นหละ หน้าก็ดุอยู่แล้วยิ่งดุเข้าไปอีก

     “ออกมาคนเดียวทำไม ใครใช้ให้ออกมา!” งือ จะตะคอกทำไมเหล่า ตกใจหมดเลย

     “ก็ๆ ก็อยากช่วย ผู้รอดชีวิต” ก็ผมอยากช่วยจริงๆ นี่นา

     “ประสบการณ์เรื่องสองพ่อลูกคราวก่อน มันไม่ได้สอนอะไรเธอเลยเหรอ” ก็ๆ ก็สอนนะ สอนว่าอย่าไว้ใจนักการเมืองไง ผิดเหรอ

     “สอนครับ” แม้ใจจะคิดยังไง ปากก็พูดออกมาได้แค่นี้

     “สอน? นี่สอนแล้วเหรอ แล้วทำไมยังทำอีก” ทำมัยต้องดุด้วย ก็รู้ว่าผิดที่ออกมาคนเดียว แต่อยากช่วยคนมันผิดด้วยเหรอ “อยากช่วยหนะ ไม่ว่าหรอก แต่ไม่ใช่มาคนเดียวแบบนี้ มีเพื่อนมาด้วยเพื่ออะไร ไม่ใช่มาเพื่อช่วยเหลือกันหรอ” อย่าด่าเยอะสำนึกผิดไม่ทัน

     “ถ้าเป็นอะไรไปน้องเธอจะอยู่ยังงัย ทีหลัง อย่าทำอย่างนี้อีก” เมื่อเห็นผมไม่ตอบโต้จึงจบ ผมรู้แหละว่าผิดเลยไม่แก้ตัว

     “ครับ” หง่อยครับหง่อย อีกนิดก็ร้องไห้แล้ว เจ็บขาซอมบี้กัด

     “ไปล้างหน้าล้างตาซะ” ผมพยักหน้าแล้วเดินไปอย่างว่าง่าย เข้าไปในห้องน้ำ เชี่ย เหม็น! ยี๋มีแต่ซากหมา นี่ตาลุงเอาเนื้อหมาเลี้ยงลูกเหรอเนี่ย ผมวิ่งออกจากน้องนี่ทันที อยู่นานกว่านี้อ้วกแน่ ดีหน่อยที่ครัวมีน้ำอยู่

     ผมออกมาข้างนอก เจอทหารกำลังขนศพไปไว้หน้าบ้าน แล้วขุดหลุมใต้ต้นไม้ ไม่ลึกมากเพื่อฝังลุงกับลูก

     “เป็นไงมึง โดนสุดหล่อว่ามาหรอ” แมนนี่เดินเข้ามาถามผมเบาๆ ผมพยักหน้าตอบ “แล้วเห็นที่ขามีเลือกด้วย โดนกัดมาละสิ”

     “อือ เจ็บชะมัด”

     “ว่าแล้ว มานี่จะทำแผลให้” แมนนี่ดึงแขนผมให้นั่งลงสนามหญ้า ถลกขากางเกงผมขึ้น พร้อมทำแผล

     “จะไม่ด่าหน่อยเหรอ”

     “ด่าทำไม ก็มึงอยากช่วยชีวิตคนหนิ แต่ทีหลังจะไปไหน ก็เรียกด้วยแล้วกัน อย่ามาคนเดียวอีก” งือ แมนนี่แม่นางฟ้าตัวโต

     “นี่มึงกินแมนนี่กูเข้าไปใช่ไหม คายออกมาเลยนะ” คุณก็รู้ผมทนบทซึ้งได้ไม่นานหรอก

     “อีอุ่น เดี๋ยวกูตบคว่ำ” เออ แมนนี่จริงๆ ด้วย

     “หึหึ ขอบใจ” เพื่อนยังไงก็เพื่อนแหละ แม้จะด่ากันบ้าง แต่ก็เป็นห่วงกันเสมอ

     “แล้วหมานั้นเอาไงดีวะ” แมนนี่พูดขึ้น เราสองคนหันไปมองลูกหมาโกลเด้นสองตัว ที่ถูกผูกไว้ด้วยสายจูง

     “เอาไปด้วย มิดไนท์น่าจะชอบ ปล่อยไว้ก็น่าสงสาร” ถ้าปล่อยไว้คงตายแน่ๆ

     “อือ เห็นด้วย”

     “น้องอุ่นเป็นยังไงบ้าง พี่สองคนตกใจแทบแย่ ที่หาเราไม่เจอ” พี่นาย กับพี่เทนเดินเข้ามาคุยกับผม

     “เจ็บนิดหน่อยครับ ไม่เป็นอะไรมาก ขอโทษที่ออกมาไม่บอกนะครับ”

     “ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ผู้กองเป็นห่วงเรามากรู้ไหม ให้คนออกตามหาทุกที่เลย” ผู้กองเนี่ยนะเป็นห่วง ไม่อยากจะเชื่อ เป็นห่วงทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย

      “คงกลัวกลับไปบอกเด็กๆ ไม่ถูกมากกว่า จะเป็นห่วงผมทำไม”

     “เป็นห่วงจริงๆ พี่สองคนอยู่กับผู้กองมานาน แกไม่ค่อยสนใจใครหรอก แต่นี่แกกระวนกระวายมากนะ พี่สองคนนี่เข้าหน้าแทบไม่ติดเลยที่ปล่อยให้เราหายไป” พี่เทนพูดต่อ

     เป็นห่วงจริงดิ ทำไมนะ เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ เมื่อคิดไม่ออก ผมจึงเลิกคิดเรื่องนี้ แล้วหันไปคุยกับพี่ๆ เรื่องหมาที่จะเอากลับด้วย คุยได้ไม่นาน พอดีกับที่ฝังศพเสร็จำพอดี

     เรากำลังเดินทางกลับ บรรยากาศอึมครึมมาก เพราะคุณผู้กองมานั่งข้างหลังด้วย แถมยังทำหน้านิ่งๆ กดดันทุกคนอีก ไม่กล้าหายใจแรงเลย จะหายใจทางผิวหนังแล้วนะ

     “ฉันว่าเธอควรได้รับบทลงโทษ” ความเงียบหายไปซักที แทนที่ด้วยความชิบหาย..ของผม ม่ายยย!! ทำโทษอะไรไม่เอา

     “โทษอะไร” ใจดีสู้เสื้อไปก่อน

     “ทุกวันตอนเช้า เธอต้องไปดูความเรียบร้อยกับฉัน” ไม่จริงใช่ไหม ตอนเช้าที่แสนสงบ กับผ้าห่มผืนหนาๆ จะไม่พรากจากผมใช่ไหม ม่ายยย “ห้ามตื่นสาย เด็ดขาด” ผมจะเป็นลม

     “แมนนี่ฆ่ากูที” ผมหันไปกระซิบกับแมนนี่ นี่ขนาดไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียนแล้ว ยังต้องมาตื่นตามไอ้ผู้กองนี้ด้วยเหรอ ผู้กองมันออกไปตั้งแต่ตีห้าครึ่งเลยนะ ปกติไปเรียนยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้เลย ม่ายย “แมนนี่ เปลี่ยนกันไหม ได้ไปกับผู้กองเลยนะ”

     “ไม่เอา ไม่อยากตื่นเช้า อยากตื่นสาย”

    “ผู้กอง กับ ตื่นสาย จะเอาอะไร”

     “เอาตื่นสาย”

     “ไม่คิดหน่อยเหรอ”

     “ไม่!” ชัดเจน จบ

    เอาเวลานอนผมคืนมาาาา….
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 25-12-2018 10:43:36
ฝากติดตามด้วยนะคะ

ปล.เรื่องแรกมันก็จะงงๆ หน่อย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 25-12-2018 14:10:47
ขัดใจอยู่อย่างเดียวค่ะ ทำไมต้องเขียน ทำมัย หรอคะ ยังงัย งี้ ขัดใจมากเลย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 26-12-2018 01:45:07
      ตอนล่าสุดปรับแล้วค่ะ คำว่าทำมัย :ทำไม , ยังงัย : ยังไง แต่ไม่รู้ว่าหลงมาบ้างหรือเปล่า

        มันใช้จนเคยชิน เลยไม่ได้ดูว่าถูกต้องไหม ถ้ามีคำไหนผิดบอกได้นะคะ เจอคำวิบัติในชีวิตประจำวันเยอะจนบางทีคิดว่ามันถูกต้องแล้ว
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-12-2018 01:59:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 27-12-2018 13:34:31
- 7 -


[ไออุ่น]

     “อุ่น!”

     “ไออุ่น!”

     “อุ่น!!” ปังๆๆ

     “อุ่นตื่น!!” ปังๆๆ “อุ่น!!” เสียงรายวะ หนวกหูชิบ

     “คนจะนอน! เงียบสักที!” มากวนอะไรเวลานอนไม่มีมารยาทเอาซะเลย ผมลืมตาขึ้นดูที่หน้าต่าง มันยังมืดอยู่เลยนิ ใครมันมาเอะอะโวยวายเนี่ย

     “จะตื่นไม่ตื่น ไม่ตื่นฉันเอากุญแจมาเปิดห้องนายแน่!” เสียงใครคุ้นๆ “ไออุ่น!!” อื้อหือ เสียงเข้มแบบชัดนี้ชัดเลย มีอยู่คนเดียวแหละ

     ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ ผมเอาไฟฉายส่องนาฬิกาข้อมือ ฉิบหายแล้ววว ตีห้าสี่สิบห้า ผมลนลานใส่ข้างเกงขายาวเสื้อแขนยาว เพื่อออกไปข้างนอก เพราะตอนเช้าในเดือนพฤศจิกายน อากาศค่อนข้างหนาวหน่อยๆ

     ไม่ต้องล้างหน้าแปลงฟันมันหละ ขืนสายกว่านี้โดนไอ้ผู้กองฆ่าแน่ๆ ผมรีบหยิบธนูแล้ววิ่งไปเปิดประตู

     “ผู้กอง แหะๆ” ไอ้ผู้กองหน้านิ่งมาก จะโดนกินหัวปะวะเนี่ย นี่ถ้าผู้กองโมโหผม แล้วฆ่าผมซุกปลักโคลน คงอนาถใจน่าดู

     “แน่ใจนะว่าตื่นแล้ว” ผมต้องกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวแน่เลย “อุ่น!!”

“หะ หา อะไร คะ ครับ” ตะโกนทำไม ตกใจหมด ตะโกนแล้วยังมาทำหน้าเอือมใส่อีก นี่ไออุ่นสุดหล่อผิดอะไร

     “ฉันนัดกี่โมง” ตัวเองนัดเองแท้ๆ ยังจะถามคนอื่น

     “ตีห้าครึ่งครับ” อะบอกเค้าหน่อย สงสัยจะความจำสั้น

     “แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว” ผมมองนาฬิกาข้อมือ

     “ตีห้า ห้าสิบ”

     “ทำไมสาย ฉันนัดแล้วแท้ๆ หรือความจำสั้น” เอ๋…ประโยคนี้มันคุ้นๆ นะ

     “ผมไม่มีนาฬิกาปลุก” ก็ไม่มีจริงๆ นะ

     “ทีนาฬิกาข้อมือเอามาได้ แล้วทำไมนาฬิกาปลุกไม่เอามา” เอ้า คนมันจะรู้ไหมว่าจะโดนลงโทษหนะ “พอๆ ไปกันได้แล้วเสียเวลา” ก็ไปสิ เชอะ “แล้วธนู ไม่เอาลูกมันไปจะยิงยังไง” เออวะ ลืมลูกธนู แหะๆ ก็คนมันยังตื่นไม่เต็มตานี่นา

     ผมวิ่งไปเอาลูกธนูแล้วตามผู้กองไปข้างล่าง ผู้กองพาผมเดินตามคันนาเพื่อไปดูไร่ ที่นี้ปลูกหลายอย่างมาก บางอย่างก็สามารถเก็บได้บ้างแล้ว เช่นพริก ผักสลัด หรือผักที่ใช้ระยะเวลาไม่นาน ไอ้ผู้กองบอกว่าผักพวกนี้ปลูกไว้กินเอง ไม่ได้เอาไปส่งให้ใคร เพราะพวกนี้ปลูกง่ายคนในค่ายปลูกกินเองได้ แต่ที่เรามาดูคือพวกที่จะส่งไปค่ายต่างๆ และภูเก็ต

     “เดินเหม่อแบบนั้น เดี๋ยวได้ลงไปนอนเล่นปลักโคลนอีกหรอก” ชอบขัดความคิดชะมัด เดี๋ยวปั้ด!!

     “คราบบบบ” เพราะเช้าอยู่หรอก เลยไม่อยากมีเรื่อง รอให้เซเว่นเปิดเมื่อไหร่เจอกันแน่ “เราจะไปไหนกัน”

     “ไปดูสวนแตงกวา” อ๋อ แค่ไปดูสวนแตงกวาแล้วกลับ ชิวๆ กลับไปนอนต่อได้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง “และก็สวนกล้วย มันเทศ ฟักทอง แครอทวันนี้เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยขับรถไปดูสวนส้มโอ ฝรั่ง มะนาว” มีมีดไหมครับ แทงผมที

     “ว๊ากก!!”

     “เป็นบ้าอะไร แหกปากทำมัย”

     “ตกใจ” ทำไมต้องทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ผมจะกลับไปทันกินข้าวเช้าไหมเนี่ย และที่สำคัญผมคงไมได้กลับไปนอนต่อ T_T

     “ฉันไหมควรตกใจ อยู่ดีๆ ก็แหกปากร้องขึ้นมา ถามจริงละเมอรึงัย”

     “ผมตื่นนานแล้ว!”

     “ใครจะรู้ เธออาจละเมอเดินตามฉันมาก็ได้” ละเมอพูดคุย และเดินตามมาด้วยขนาดนี้ก็เทพแล้ว หรือนี้จะผมจะไม่ได้ละเมอ แต่ผมกำลังฝันอยู่ ใช่แน่ๆ ผมกำลังฝันอยู่ ตอนนี้ผมคงนอนอยู่ในห้องแน่เลย “ทำหน้าอะไรของอีกเธอหนะ”

     “ตบผมหน่อยสิ”

     “หา!! จะบ้าเหรอ!!” จะเสียงดังทำไม แค่ให้ตบเพื่อปลุก จะได้ตื่นซะที

     “ไม่บ้า ตบเลย… เฮ้ยยย ผู้กองจะไปไหน มาตบผมก่อน” รีบเดินไปไหนเนี่ย

     “ถ้ายังไม่หายบ้า ก็ไม่ต้องตามฉันมา!!” ผมไม่ได้บ้านะเว้ย ปลุกผมก่อน

     ผลัก!! “โอ้ยย!”

     “อุ่นเป็นอะไร!” ผู้กองวิ่งกลับมาหาผม

     “ก็ผู้กองไม่รอ ผมไม่มีไฟฉาย มันก็ชนสิ” โอ้ยย เจ็บ ต้นไม้ทำไมไม่หลีกทางคนหล่อวะ ไอ้ต้นไม้บ้าเอ้ยย

     “ก็มันเริ่มสว่างแล้วนิ ฉันก็นึกว่าจะมองเห็น” ไอ้เห็นก็พอเห็นอยู่หรอก แต่มันรางๆ งัย พอเดินเร็วมันก็ไม่ทันมอง “แล้วเป็นอะไรมากไหม”

     “ก็เจ็บนิดหน่อย…เจ็บ!! ผมเจ็บ งั้นผมก็ไม่ได้ฝันสิ!!” นี่ผมไม่ได้ฝันจริงๆ ดิ ดีนะไอ้ผู้กองไม่ตบผม ไม่งั้นตายแน่ๆ เลือดคงกลบปาก

     “นี่เธอคิดว่าตัวเองกำลังฝัน!! หนักกว่าที่ฉันคิดนะเนี่ย เฮอออ…” อะไร ส่ายหัวแล้วถอนหายใจทำมัย “ไปได้แล้ว ตามมา!” ครับๆ ไปก็ได้ครับ

     
     “แตงกวาตรงนี้มันโตแล้วนิ ถ้ารออีกเป็นเดือนมันจะไม่แก่ก่อนเหรอ” มันโตพอกินแล้วนะ น่ากินอะ แอบกินสักลูกดีกว่า

     “อร่อยไหม” แหะๆ แตงกวาเต็มปาก ผมเลยได้แต่พยักหน้าตอบ “แตงกวาแปลงนี้ เราจะส่งให้ค่ายต่างๆ ก่อน จะส่งไปพร้อมกับข้าวแปลงนี้ด้วย ที่เหลือค่อยกลับมาเก็บเกี่ยวไปส่งที่ภูเก็ต” เข้าใจแล้วครับ แล้วผมก็กินต่อ

     


     เราเดินไปหลายแปลงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงสถานที่สุดท้ายสักที สถานที่นี้คือดงกล้วยนั้นเอง มันกว้างใหญ่มากกกก ปลูกเป็นแปลงๆ ไว้ มีพื้นที่ว่างกว้างประมาณ 3 เมตร ขั้นกลางแต่ละแปลง

     “ทำไมต้องทำพื้นที่ว่างขั้นกลางไว้ ปลูกรวมกันเลยไม่ได้เหรอ” เนี่ยถ้าปลูกรวมกันเลย ไม่เว้นพื้นที่ว่าง เราจะได้กล้วยเพิ่มขึ้นเยอะเลยนะ

     “เจ้าของสวนเค้าบอกว่ามันเป็นกล้วยคนละพันธุ์”

     “เจ้าของสวนยังอยู่เหรอ แล้วแกก็ให้กล้วยเราเหรอ ใจดีจัง” แบ่งกล้วยที่ตัวเองปลูกตั้งหลายไร่แจกจ่ายคนอื่น เป็นคนดีมากเลย

     “ใช่ แกเป็นคนดี และเก่งด้วย ครอบครัวแกรอดทุกคนเลย”

     “น่าอิจฉาเนอะ” ถ้าครอบครัวผมเป็นแบบนั้นบ้าง…ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิดๆๆ

     “อือ” แล้วนี่จะทำเสียเศร้าทำไม ไม่ได้การแล้ว อารมณ์แบบนี้ความบ้าต้องบังเกิด ความบรรเจิดทางอารมณ์จะได้ตามมา

     “คุณผู้กองว่าจะมีนางตานีไหม?”

     “จะจริงจังสักสองนาทีไม่ได้เหรอ”

     “นี่ผมจริงจังนะ” ผมไม่จริงจังตรงไหน บอกผมหน่อยสิ

     “เฮ้ออ…ไปต่อ!!” ไปไหนอ่าา

     “เราดูครบแล้วนิ ต้องกลับบ้านสิ” จะไปไหนอีก มันจะแปดโมงแล้วนะ แล้วก็หนักด้วย ได้ของแถมมาเพียบเลย เป็นมันเทศ แครอท และแตงกวาใส่ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่สวยมากเลย แต่เสียอย่างเดียวใหญ่ไปนิดนึง ใส่ของเต็มแล้วหนัก ไอ้ผู้กองก็ไม่ช่วยถือ

     “ไปหากล้วยสักเคลือ”

     “มันสุกแล้วหรอ”

     “มันก็สุกเรื่อยๆ แหละ” อ๋อ เข้าใจไม่มีปัญหาคาใจเรื่องกล้วยสุกแล้ว แต่มีเรื่องเดียวที่กำลังคาใจ

     “ใครแบกกลับ” คาใจมากๆ เลย ปัญหานี้

     “เธอไง” หน้าผมคงเหวอมากจนไอ้ผู้กองหัวเราะ “ฮาๆๆ ล้อเล่นหนะ เดี๋ยวฉันแบกกลับเอง” มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไหม แค่ของในตะกร้า ก็จะแอบหย่อนทิ้งกลางทางหลายรอบแล้ว นี่ต้องท่องตลอดทางเลย สงสารคนไม่มีกินๆๆ ไม่งั้นแอบหย่อนทิ้งไปครึ่งตะกร้าแล้ว “จะเอากล้วยอะไร”

     “มันมีอะไรบ้าง” ผมไม่รู้หลอกกล้วยมีกี่พันธุ์ เอากล้วยอะไรมาผมก็กินหมดไม่เคยถาม ว่ามันเป็นกว่ากล้วยมันพันธุ์อะไร

     “ลุงแกปลูกอยู่สี่พันธุ์ กล้วยไข่ กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว และกล้วยน้ำว้า จะเอาอะไร” ไม่รู้เว้ยยย

     “อะไรก็ได้” ง่ายสุดแล้ว

     “งั้นเอากล้วยหอมทอง” ผมพยักหน้าให้ ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่ขอออกความคิดเห็นกับเรื่องนี้

     ไอ้ผู้กองเข้าไปในป่ากล้วยได้พักนึงแล้ว  กล้วยมีต้องเยอะทำไมนานจัง หรือนางตานีจับทำสามีไปแล้ว โถ่ๆๆ น่าสงสารแมนนี่

     “กำลังเพ้อฝันอะไรอีกหละ” มาแล้ว สงสัยนางตานีไม่อยากกิน คงไม่เร้าใจพอ… หูยยย กล้วยสีเหลืองสวยมากกก น่ากิน ผมไม่สนใจคำถาม แต่ถามกลับแทน

      “ทำไมไปนาน ตรงนี้ก็มี ตรงนั้นก็สุกเป็นสีเหลืองแล้ว” บริเวณใกล้ๆ ก็มี จะต้องเข้าไปไกลๆ ทำมัยไม่เข้าใจคุณผู้กองเค้าจริงๆ

     “ตรงนั้นมันยังเหลืองไม่มาก เอาไปก็ต้องบ่มก่อนถึงจะอร่อย ฉันเลยต้องหาเคลือที่สุกงอมแล้วกินได้เลยไง และที่สำคัญปล่อยไว้มันก็เน่าทิ้งน่าเสียดาย” อ๋อ เข้าใจก็ได้ “งั้นกลับได้แล้ว เด็กๆ คงมารอเธอกินข้าวแล้ว” สมควรกลับตั้งนานแล้ว แล้วไอ้คำว่าเธอแสลงหูชะมัด

    ผมขอตัวแบกตระกล้ากลับก่อนนะ ผมจะพยายามไม่หย่อนของในตะกร้าทิ้งระหว่างทางแล้วกัน




     ในที่สุด วันเก็บเกี่ยวก็มาถึงๆๆๆ เราต้องเปิดตัวอย่างอลังการซักหน่อย เพราะทุกคนมายืนให้กำลังใจลุงสนที่เป็นคนขับรถเกี่ยวข้าว แกเป็นเจ้าของรถเองแหละ แกเช็ครถไว้เป็นอาทิตย์แล้ว เพราะลุงเค้าได้รับหน้าที่สำคัญ

      คนที่มาทำนาทำไร่ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในจังหวัดที่อาสามาทำอย่างเต็มใจ ส่วนคนที่ไม่ชอบเค้าก็ไม่บังคับ ผู้กองให้เหตุผลว่าไม่อยากบังคับใจใคร ใครไม่อยากช่วย ก็ไม่ต้องช่วย ไม่อยากระแวงกันเอง แค่ระแวงซอมบี้ก็เกินพอแล้ว

     ก็จริงนะ คนไม่มีใจจะทำ เราไม่รู้ว่าเค้าจะทำเต็มที่รึเปล่า จะใส่ใจรึเปล่า ถ้าทำแบบไม่ใส่ใจ แล้วเกิดความเสียหายขึ้นมาจะแย่เอา

     ลุงสนจะเริ่มแล้วๆ อื้นนน!! แค่ติดเครื่องเสียงก็ดังขนาดนี้แล้ว ถ้าลงไปเกี่ยวข้าวจะดังขนาดไหน ซอมบี้ระแวกนี้ มารวมตัวกันที่นี่แน่นอน สุดหล่อขอฟันธง!!

     แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ถึงจะมาก็ไม่เยอะหรอก เพราะแถวนี้เราจัดการเกือบหมดแล้ว ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือที่อื่นนะสิ แต่มันคืออนาคต อย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน ตอนนี้เราต้อง…

     “ลุงสนสุดยอดเลย ขอขึ้นไปด้วยคนสิ!!” อยากขึ้นไปลองขับดูจริงๆ

     “อย่าแม้แต่จะคิด” ไม่เคยจะหนีเสียงมารผจญพ้นเลย “ขนาดน้องไนท์ยังอยู่เฉยๆ เลย” มันเกี่ยวกันตรงไหนละเนี่ย

     “ครับ” ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่จะอยู่ดูแลน้องไนท์เท่านั้น

     “แล้วเนี่ยสองพ่อลูกมหาภัยไม่มาหรอ” แมนนี่ถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นคุณโรสกับพ่อ

     “ตอนไปเข้าห้องน้ำที่บ้าน เห็นนอนเปิดแอร์ที่ห้องรับแขก” ไอ้น้องริวเดินมาจากบ้านพอดี เลยตอบข้อสงสัยของแมนนี่

     “หนอยย ฉันก็ว่าอยู่ เปิดแค่ไฟไม่ได้ใช้อย่างอื่น แผงโซลาร์เซลล์ก็ตั้งเยอะ ทำมัยไฟมันหมดก่อนเช้า ที่แท้ก็ยายนี่นี่เอง” หมดก่อนเช้าจริงๆ นะครับ ผมตื่นมาเปิดไฟไม่ติดเลย ต้องใช้ไฟฉายแต่งตัวก่อนออกไปกับผู้กอง “เดี๋ยวเจอฉัน งานก็ไม่ช่วย ยังจะมาผลาญพลังงานไฟฟ้าอีก ริวน้อยไปกับฉัน เอ่อ ผู้กองขา...แมนนี่ไปจัดการยัยโรสนะคะ” ไอ้ผู้กองพยักหน้าตอบ แมนนี่ยิ้มแป้นเลย ความชั่วร้ายก่อเกิดขึ้นบนใบหน้าทันที

     “ผมเพิ่งมานะ จะดูลุงสนเกี่ยวข้าว”

     “เดี๋ยวค่อยดู ลุงแกยังเกี่ยวอีกนาน แกได้ดูจนตะแฉะแน่ ไม่ต้องห่วง ตามมา” ปากบอกตามมา แต่มือดึงคอเสื้อไอ้ริวไปแล้ว เพื่อประโยชน์สุขของทุกคนแมนนี่จึงออกโรง ขอสดุดีแมนนี่คนแมน เห็นแล้วคิดถึงไอ้แมนเพื่อนยาก

     ลุงแกเกี่ยวข้าวซักพักก็เอาข้าวเปลือกมาเท ลงในผ้าสีฟ้าๆ ที่ปูไว้ที่พื้น เป็นผ้าสีฟ้าๆ บางๆ ป้าๆ แกบอกว่าเป็นผ้ามุ้งเขียว บางคนเรียกผ้าแยงเขียว แต่มันเป็นสีฟ้านะ ผมสงสัยทำมัยไม่เรียกผ้ามุ้งฟ้า ผ้าแยงฟ้า ในเมื่อมันเป็นสีฟ้า ผมหละไม่เข้าใจจริงๆ

     เอาหละข้ามเรื่องผ้าไปก่อน มาเข้าเรื่องต่อดีกว่า พอเทข้าวลงผ้าแล้ว ป้าๆ ลุงๆ เขาก็มากรอกข้าวใส่ถุงกระสอบเอาฟางมัดปากถุงไว้ แล้วให้พี่ทหารแบกขึ้นรถ เพื่อเอาไปไว้ในยุ้งฉาง

     ส่วนผม กับแมนนี่ และริวที่กลับมาจากจัดการสองพ่อลูก ก็กลับมารวมกับผมเพื่อลาดตะเวนดูรอบๆ วันนี้มีซอมบี้มาให้เรายิงมากกว่าปกตินิดหน่อย ส่วนมิว ลมหนาว และมิดไนท์ยืนดูแลพวกลุง ป้า น้า อาทำงาน เพราะพวกพี่ทหาร และพี่ผู้ชายไปใช้แรงงานแบกถุงข้าวเปลือกหมดแล้ว คงจะหนักน่าดู บางคนแทบทรุด

     “แมนนี่มึงว่าเมฆมันครึ้มๆ ปะวะ” ท้องฟ้าเริ่มครึ้มๆ หวังว่าคงไม่มีฝนนะ

     “จริง อยู่ตั้งนานไม่ตก คงไม่ใจร้ายมาตกวันนี้หรอกมั้ง” มันไม่แน่หรอก

     “มันก็ไม่แน่นะพี่” ไอ้ริวพูดตรงกับที่ผมคิดเลย

     “เรารีบเดินให้ทั่ว แล้วกลับไปเถอะ เผื่อฝนตกจริงๆ จะได้ช่วยกันแบกข้าวไปเก็บ”

     “อีอุ่น ดูสภาพพวกเราสามคน มึงคิดว่าจะมีสักคนไหมที่แบกข้าวได้” ใช้คำว่าสภาพเลยเหรอ? แค่ตัวเล็กนิดๆ หน่อยๆ ใช้คำว่าสภาพเลยเหรอ ผมหนะความสูงมาตรฐานชายไทยเลยนะ แต่ติดจะตัวบางไปนิดเอง

     “ผมแบกได้นะพี่” แกหนักสุดเลยไอ้น้องริว ถึงจะสูงที่สุดในเราสามคน แต่ก็ผอมที่สุดด้วย

     “อีน้องริวค่ะ ไปทำให้น้ำหนักขึ้นซักสิบกิโล ก่อนค่ะ ค่อยคิดจะแบก” จริง ดูแล้วคาดว่าถุงข้าวจะทับแบนก่อน

     เราพูดกันไปเดินกันไปจนทั่ว แล้วกลับมารวมกับทุกคน ฟ้ามันครึ้มมากแล้ว สงสัยคงตกแน่ๆ คุณผู้กองบอกให้ลุงสนหยุดก่อน เอาข้าวมาเทให้หมด แล้วรีบกรอกข้าวใส่ถุงเพื่อนำไปเก็บ ตอนนี้เราทุกคนมาช่วยกันกรอกข้าวใส่ถุง โดยมีมิดไนท์ตะโกนเชียร์

     “ทุกคนสู้ๆ ทุกคนสู้ตาย ฝนตกมาเป็นสาย เปียกกระจายไปเลยอู้!…” เพลงอะไรวะเนี่ย น้องไนท์ลูก อย่าเพิ่งมาบอกให้เปียกสิ

     “เค้าว่ากันว่า ไม่อยากให้ฝนตกต้องปักตะไคร้” ปักตะไคร้ก็มา เสียงป้าคนนึงเสนอมา

     “แล้วทำยังไงครับ” ไอ้น้องริวก็สนใจทันที

      “ข้าก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่ได้ยินมาว่าให้สาวพรหมจรรย์มาปักตะไคร้กลับด้านฝนจะไม่ตก” สาวพรหมจรรย์! จะหาที่ไหนวะเนี่ย ที่นี้ก็มีแต่เด็กๆ กับป้าๆ และผู้ชาย

     “โห ป้าขา จะไปหาสาวพรหมจรรย์ที่ไหนได้ละค่ะ”

     “ก็อีหนูที่ยืนกางร่มนั้นไง” พวกเราทุกคนหันไปมองคุณโรสที่ยืนกางร่มอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่อ…คือ ใต้ต้นไม้ก็มีร่มเงาอยู่แล้ว ยังต้องกางร่มอีกเหรอ ที่สำคัญ ฟ้าครึ้มมาก ถ้าจะบอกว่ากางกันฝน คุณโรสก็กางตั้งแต่ก่อนฟ้าจะครึ้มแล้ว

     “หนูว่าอย่าเลย เดี๋ยวพายุจะเข้าเปล่าๆ” แมนนี่ทำหน้าไม่เห็นด้วยอย่างแรง

     “ข้าว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะเว้ย” ป้าอีกคนพูดขึ้น

     “เออ จริง ไหนๆ มันก็จะตกแล้ว ลองซักหน่อยจะเป็นไร” เสียงป้าอีกคนก็เสริมขึ้นมา ผมว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะ เห็นด้วยกับป้าๆ เลย

     “เอาไง เอากันค่ะ อีอุ่นไปหักตะไคร้มาสิ” ผมอีกแล้วเหรอ เฮ้อ…คนหล่อเซ็ง

     “คราบๆๆ ตามบัญชาครับ” แล้วก็ต้องเดินไปเอาตะไคร้ ที่รั่วบ้านปลูกพืชไว้เยอะมาก มีทั้งตะไคร้ มะกรูด มะนาว และอีกมาก แบบไม่ต้องออกไปเก็บไกล ถ้าต้องการใช้ก็มาเก็บ

     ผมได้ตะไคร้มาหนึ่งกำมือ หวังว่าคงพอนะ

     เดินกลับมาเจอคุณโรสยืนหน้างอ อยู่ท่ามกลางคุณป้าๆ และเด็กๆ ทั้งหลาย

     “ทำมัยฉันต้องทำยะ ไร้สาระ” เธอเชิดไม่ยอมทำ

     “ทำไปก็ไม่เสียหายหรอกหนู แค่ปักตะไคร้ลงดินเอง” คุณป้าคนนึงพูดขึ้น

     “หรือมีผัวเยอะ ก็บอกมาจะได้ไม่มีใครเซ้าซี้” คู่ปรับตลอดกาลมาแล้ว

     “อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ฉันยังบริสุทธิ์อยู่”

     “งั้นเธอก็ทำสิยะ กล้าป่าวว” แมนนี่ยั่วยุคุณโรส พร้อมยิ้มยั่ว ไม่ใช่ยั่วยวนนะ แต่เป็นยั่วโมโห

     “ฉันทำก็ได้ยะ เห็นแก่ผู้กองนะ” แต่สีหน้าคุณโรสไม่ดีเลยนะครับ

     คุณป้าก็กรอกข้าวไปด้วย รอฟังคำตอบไปด้วย แบบมือทำ แต่หูฟัง ฮาๆๆๆ

     “ดี อีอุ่นตัดใบตะไคร้ออกสิ แล้วเอามาให้คุณโรสเค้าซะ” เรียกคุณเหมือนให้เกียรติ แต่น้ำเสียงนี่คนละทางเลย “ปักกลับหัวนะยะ ไม่ใช่ปลูกตะไคร้” แมนนี่ยังพูดต่อ

     “ฉันรู้ยะ ไม่ได้โง่ ฉันมีการศึกษาพอ” เกี่ยวอะไรกับปักตะไคร้เนี่ย

     “ดี พูดขอให้ฝนไม่ตก แล้วปักตะไคร้ซะ”

     “รู้แล้ว” คุนโรสนั่งยองๆ “ขอให้ฝนไม่ตก” แล้วเธอก็ปักตะไคร้ลง

     ซ่า!! ฝนตกลงมาทันที ทุกคนอ้าปากค้าง แล้วฝนก็ตกแรงด้วยนะ

     “กรีสสส ฉันไม่ทำแล้ว ไร้สาระ โง่ดักดาน พวกไม่มีการศึกษา” ทุกคนอึ่งหนักไปอีก คุณเธอด่าเสร็จ ก็กลางร่มวิ่งกลับบ้านทันที

     “ฉันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยนะ ยังไม่มีการศึกษาพอเหรอ” ป้าคนนึงพูดขึ้น

     “อย่าไปสนใจชะนีขี้วีนเลยค่ะพี่ๆคนสวย นางไม่รู้จักการทำเพื่อคนอื่นหรอกค่ะ ถึงบางครั้งมันจะดูไร้สาระ แต่ลองก็ไม่เสียหายนิค่ะ เราไม่ผิดหรอกค่ะ อย่างสนใจหล่อนเลย”

     เราเลิกสนใจเรื่องคุณโรส แล้วช่วยกันกรอกข้าวต่อ

     “มิว ลมหนาว น้องบี พามิดไนท์เข้าบ้านก่อนเร็ว เดี๋ยวไม่สบาย ไอ้ริว!! ไปดูเด็กๆ ที่บ้านให้หน่อย” ผมไม่อยากปล่อยเด็กๆ ไว้กับสองพ่อลูกนั่น สองคนนั้นอาจจะทำ หรือไม่ทำอะไรเด็กๆ ก็ได้ แต่ผมไม่อยากเสี่ยง ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า

     “น้องไนท์กำลังสนุกเลย น้ำฝนเย็นๆ น้องไนท์ชอบ” เจ้าตัวเล็กไม่อยากไป ทำหน้าอ้อนใหญ่เลย

     “ไปเถอะ เดี๋ยวไม่สบายแล้วอดออกมาเล่นข้างนอกนะ ถ้าป่วยต้องนอนอยู่บ้านคนเดียวเหงาแย่เลย” ไม่ใช่ผมหรอกครับที่พูด แต่เป็นไอ้ผู้กองต่างหาก โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยังกะผี

     “ไปเถอะครับ เดี๋ยวไม่สบาย” ลมหนาวเดินมาจูงมือเด็กน้อยให้เดินตาม มิดไนท์ก็เดินตามโดยดี หวังว่าจะไม่ป่วยกันนะ

     “เด็กๆ แข็งแรงกันจะตาย ไม่ป่วยกันหรอกน่า” ใครถามไม่ทราบ  ก็ได้แต่คิดในใจ ส่วนสิ่งที่พูดไป คือ…

     “ครับ” เหมือนเดิม และเหตุผลเดิมครับ

     ท้ายที่สุดการปักตะไคร้ก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม สรุปแล้วข้าวของเราก็เปียกฝนไปกว่าสิบกระสอบ แล้วยุติการเกี่ยวข้าวในวันนี้ พรุ่งนี้หวังแต่ว่าฝนจะไม่ตก ส่วนผักผลไม้ก็สดชื่นเมื่อโดนฝน แต่ข้าวคงต้องตากให้แห้งในวันถัดไป จบการรายงาน โดยนายไออุ่นสุดหล่อ

     ฝนตกไปชั่วโมงกว่าๆ ก็หยุด แต่ในนายังมีน้ำอยู่ พรุ่งนี้น้ำคงแห้งหมดถ้าฝนไม่ตกอีกนะ ทุกคนกลับที่พักของตัวเอง เมื่อกินข้าวเที่ยงที่บ้านหลังใหญ่เสร็จ

     “งัยสุดหล่อของมัม ทำอะไรอยู่เอ่ยย ฟอดดด” ผมเข้ามาหอมเจ้าเด็กน่ารักของผม ที่นอนคว่ำอยู่บนฟูก

     “ระบายสีที่มัมเอามาให้คราฟผม” ไนท์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม แล้วก้มลงไประบายสีต่อ “สวยมัยคราฟ น้องไนท์ระบายสีคุณกวางเป็นสีเหลืองๆ” อวดใหญ่เลยนะ

     “สวยมากครับ แต่คุณกวางต้องสีน้ำตาลนะครับ” น้องไม่เคยเห็นสัตว์เลยไม่รู้ว่าแต่ละตัวสีอะไร ชื่ออะไร เราต้องคอยบอกน้อง เพราะช่วงที่ซอมบี้กำลังระบาดน้องเพิ่งอายุ 4 ขวบเอง คุณน้ายังไม่ได้พาไปโรงเรียน น้องเลยยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมกับหนาวพยายามสอนน้องทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้

     “จริงหรอคราฟ น้องไนท์อยากเห็นจัง”

     “ถ้ามัมได้ไปห้างอีก จะเอาหนังสือภาพมาฝากเยอะๆ เลย ดีไหม” คราวที่แล้วของเยอะเกินผมเลยเอามาแค่สีไม้ และสมุดระบายสีเท่านั้น

     “ดีคราฟ ดีมักมากเลยย น้องไนท์ชอบดูรูปๆ คุณสัตว์ทั้งหลาย” เจ้าตัวกางมือออก ทำท่าประกอบกับสัตว์ทั้งหลาย อย่างน้ารัก

     
     “ไออุ่น!”  เสียงเหมือนใครเรียก

     “ครับจ่า มืออะไรหรอ” จ่านี่เองนึกว่าเสียงใคร

     “ผู้กองเรียกไปพบในห้องวิทยุ” เพื่อ?

     “พบเรื่องอะไรครับ” อยากเจอทำมัยไม่เดินมาเอง ขาไม่มีหรือไง

     “เรื่องเดินสำรวจ อะไรเนี่ยแหละ” เฮ้ยย หรือจะบอกไม่ต้องตื่นเช้าไปเดินดูความเรียบร้อยด้วยกันแล้ว ต้องใช่แน่ๆ ผู้กอง ก็ใจดีอยู่นะเนี่ย

     ผมรีบเดินไปด้วยความหวังล้นเปี่ยม จะได้นอนตื่นสายแล้ววโว้ยย จะไม่ต้องแบกผักผลไม้หนักๆ แล้วว!!

     “มีอะไรครับคุณผู้กอง” ผมเปิดประตูห้องวิทยุได้ ก็ถามทันที ในห้องมีแค่ผู้กองที่ก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรไม่รู้

     “เรื่องเดินสำรวจ” ใช่แน่ ใช่แน่ๆ ครึครึ “ฉันอยากให้เย็นนี้เธอกับริวไปเดินสำรวจ และดูแล คนที่ไปตัดกล้วยหน่อย พอดีลุงบอกว่าเห็นกล้วยสุกหลายเคลือเลย

     “แล้วเรื่องเดินสำรวจตอนเช้าหละ” คาดหวังสุดๆ

     “ก็ไปเหมือนเดิม” ได้ยินเสียงไหมครับ เสียงความหวังผมที่แตกสลายไง เสียงดังมากเลย

     “อย่าบอกนะที่รีบมาเนี่ย คิดว่าฉันจะยกเลิกโทษ ฮาๆๆๆ คิดได้เนอะ” ไม่ต้องมาเยาะเย้ย ไอ้ผู้กองปีศาจ “หึหึ ไม่เป็นไรน่า ไปเดินสำรวจตอนเช้าสนุกจะตาย” ตรงไหน!!

     “เหรอครับ” ครับสนุกมาก สนุกจริงจริ๊งง “ทำมัยไม่ชวนคุณโรสไปหละ เธอคงเต็มใจมากแน่ๆ”

     “จะเอาไปเป็นภาระทำไม ไปกับเธอดีกว่าเยอะ” ดีกว่าสิ แทบจะแบกของอยู่คนเดียวหนิ เชอะ “แล้ววันนี้ตากฝนนานเลย ตัวร้อนรึเปล่าดูสิ” ผมยังไม่ทันตั้งตัว มือหนาๆ ก็ทาบที่หน้าผากผม แล้วยังไม่พอยังจับแก้มผมด้วย ไอ้ผู้กองบ้าาา!! “ตัวไม่ร้อนนะ แต่หน้าแดงนิดๆ”

     โดนแดดมาเหอะแก้มถึงแดง หนอยย ยังมีหน้ามายิ้ม ผมทำตาเขียวใส่ ยังไม่ทันพูดอะไรเลย เสียงวิทยุสื่อสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง ก็ส่งเสียง

     (“ทีที03 เรียกกองเหยี่ยว ได้ยินแล้วตอบด้วย”) เมื่อได้ยินเสียงผู้กองก็เข้าไปหาวิทยุสื่อสารเครื่องโตทันที ผมไม่ได้ออกจากห้องแต่ทำตัวรีบๆ ติดผนังไว้ เอาจริงๆ เลยนะ อยากเผือกอะ อิอิ

     “กองเหยี่ยวได้ยินแล้ว พูดมาได้เลย” ผู้กองตอบกลับ

     (“พูดธรรมดาได้ปะวะ ขี้เกียจ”)

     “มึงเนี่ยนะ เออ มีอะไรว่ามา” ดูลักษณะการคุยน่าจะเป็นเพื่อนกัน

     (“มีเรื่องหวะ”) ผมหูผึ่งเลยครับงานนี้

     “อะไร”

     (“แกจำเรื่องพวกโจเมื่อสี่เดือนที่เรียกตัวเองว่า ฝูงหมาป่า ได้ไหมวะ”)

     “อือ จำได้มีอะไร” มีโจรฝูงหมาป่าด้วย

     (“พวกมันปล้นผลไม้ และเสบียงที่ ทีที04ไปหามา พวกนั้นอุตสาห์ไปหาผลไม้ในสวนต่างๆ มาให้คนในค่าย ระหว่างที่รอข้าว และเข้าไปหาเสบียงที่ห้างชานเมืองกรุงเทพแท้ๆ แต่โดนพวกมันปล้นไปหมดเลย”)  น่าสงสารจัง อุตสาห์ออกไปหามาอย่างยากลำบากแท้ๆ

     “มีใครเป็นอะไรมากไหม”

     (“ทหารและอาสาตายเป็นสิบเลยหวะ”) พวกโจรมันเลวจริงๆ

     “แล้วที่ค่ายนนทบุรียังมีอาหารเหลือไหม”

     (“ไม่เท่าไหร่หวะ กูเลยเอาจากค่ายทีที06 ที่นครนายกให้ก่อน” ) เฮ้อ..ค่อยโล่งอกนิดนึง ไอ้ผู้กองทำหน้าเครียดขณะพูด

     “เออดี มีอะไรก็ช่วยๆ กันไปก่อน อีกไม่เกินสองสัปดาห์จะขนเสบียงไปให้”

     (“แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นั้นสิวะ”)  ยังมีอีกเหรอเนี่ย โอ้ยยคนหล่อกลุ้มใจ

     “ว่ามา”

     (“ตอนนั้นมีอาสาหลุดข้อมูลบอกพวกมันว่า เรามีค่ายที่คอยปลูกข้าว และพืชผักผลไม้ ที่กาญจนบุรี มันรู้ว่าอยู่อำเภอไหน แต่ไม่รู้ที่ตั้งแน่นอนหรอก”)

     “ชิบ หาย แล้ว”

     “นี่เธอยังไม่ไปอีกเหรอ เฮ้ออ ไหนๆ ก็ฟังแล้ว ฟังต่อให้จบเลยแล้วกัน” ไอ้ผู้กองหันมาพูดกับผมเบาๆ ด้วยหน้าที่นิ่งเกินปกติ “ไอ้โฟรคพูดต่อ”

     (“เออๆ ฉันให้คนคอยตามอยู่ห่างๆ ตอนนี้มันกำลังกลับรังมันอยู่ ลูกน้องฉันเข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้หวะ โทษที แต่ฉันคาดว่าอีกไม่เกินอาทิตย์มันคงไปที่กาญจนบุรีแน่ๆ”) อยู่ดีๆ ก็งานเข้า เค้าว่ากันว่า คนหน้ากลัวกว่าผี คงเป็นเรื่องจริงสินะ

     แค่สู้กับซอมบี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ยังต้องมาสู้กับคนกันเองอีก เฮ้ออ คนหล่อหละกลุ้มใจ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่6☆ P.1☆25/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 27-12-2018 13:35:39
มาแล้วๆ ตอนใหม่ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่7☆ P.1☆27/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-12-2018 23:30:15
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่7☆ P.1☆27/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 28-12-2018 19:48:05
ยังมี มัย กับ งัย อยู่นะคะ แต่น้อยลงแล้ว พออ่านเจอผู้กองพูด มัยกับงัยแล้วรู้สึกขำแปลกๆ เหอๆ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่7☆ P.1☆27/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-12-2018 21:20:51
โอ้ยสงสาร แค่สองพ่อลูกนั้นก็น่ารำคาญพอ ยังจะต้องมาเจอคนไม่ดีเพิ่มขึ้นอีก  :katai1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่8☆P.2☆28/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 28-12-2018 21:57:51
- 8 -



[ธาม]


     คุณคิดว่าชีวิตของคนเราจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายซ้อนๆ กันได้มากแค่ไหน แต่ก่อนคุณอาจจะเคยเสียคนที่รักไป และคิดว่านั้นมันเลวร้ายที่สุดในชีวิต การที่ไม่มีคนรัก ครอบครัวอยู่มันแย่จนไม่มีอะไรจะแย่ได้กว่านี้อีกแล้ว แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ความเลวร้ายมันถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน หนึ่งปี สองปี สิบปี หรือตลอดชีวิตที่เหลือของผม…ผมได้แต่หวังว่าเรื่องเลวร้ายทั้งหลายจะจบลงในเร็ววัน

     สิ่งที่กำลังเข้ามา ก็เป็นอีกปัญหาที่ถาโถมมาใส่เรา แม้ตอนนี้จะมีปัญหามากมายอยู่แล้วก็ตาม

     ในโลกที่ไร้กฎเกณฑ์ กฎหมาย ผู้รักษากฎหมาย ทำให้คนที่ไม่ชอบอยู่ในกฎพวกนี้ได้โอกาส และเวลาทำสิ่งที่ตนเองปรารถนา ความเห็นแก่ตัว ความมืดดำในใจเข้าครอบงำ ให้ทำในสิ่งที่เลวร้าย

     พวกมันไม่ได้ทำแค่ เพื่อเอาชีวิตรอด มันมากกว่านั้น พวกนี้มันทำเพื่อความสนุก และความสะใจของตัวเอง ความโหดร้ายการเข่นฆ่าเป็นเหมือนภาพยนตร์ให้ความบันเทิงแก่พวกมัน

     กลุ่มนี้เริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เป็นกลุ่มที่รวมอาชญากร นักโทษคดีร้ายแรง รวมทั้งคนที่ชอบความรุนแรงทั้งหลายมาไว้ด้วยกัน

     ผมได้รู้จักพวกที่เรียกตัวเองว่าฝูงหมาป่า เมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่ก่อนพวกมันรวมตัวกันอยู่ในบางจังหวัดทางภาคเหนือ เดินทางไปเรื่อย แต่ถ้าเจอที่ถูกใจจะตั้งค่ายอยู่นานหน่อย

     
     ตอนนี้เรากำลังประชุมเพื่อหาทางหนีทีไล่ และทางจัดการกับพวกโจรที่บ้านหลังใหญ่

     “อย่างที่บอก พวกมันโหดร้ายมาก ทำทุกอย่างเพื่อความสนุก มันไม่ปราณีเราแน่ ไม่ว่าคนแก่ หรือเด็ก” จ่าบอกกับทุกคนเรื่องโจร พวกเราเหล่าทหารรู้จักชื่อพวกมันดี แต่ยังไม่เคยได้เจอจริงๆ สักที

     “พวกมันมีเยอะไหมคะ” แมนนี่หันมาถามผม

     “ไม่รู้จำนวนที่แน่นอน สายที่รายงานบอกไม่เกิน 50 คน และไม่ต่ำกว่า 30 คน” จำนวนเมื่อเทียบกับซอมบี้ที่เราเคยเจอมันอาจจะดูน้อย แต่อย่าลืมนะว่าซอมบี้คิดไม่เป็น มันทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่คนไม่ใช่

     “แล้วเราจะทำยังไงดีหละพ่อหนุ่ม” ป้าคนนึงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “ปัญหาตอนนี้คืออาวุธ เพราะเราแถบไม่เหลือเลย พรุ่งนี้จึงต้องไปเอาอาวุธที่นครสวรรค์ เราได้แต่หวังว่าคลังเก็บอาวุธจะยังมีอาวุธให้เราได้ใช้อย่างเพียงพอ” เวลามีน้อย เราจะเสียเวลาไปกับการสุ่มหาตามจังหวัดต่างๆ ไม่ได้

     “ทำไมมันต้องมาปล้นเราด้วยหละ ที่ภูเก็ตน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ โง่จริงๆ”

     “เธอสิโง่ยัยชะนี ที่นี้มีอาหารเยอะแยะ โจรมันก็ต้องสนใจสิ” แมนนี่ตอบกลับไป

     “แกว่าฉันหรอไอ้กระเทยบ้า”

     “หยุด! มันใช่เวลาที่มาทะเลาะกันไหม” ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมจะไม่ว่าหรอก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา

     “ถ้าพวกมันไปปล้นที่ภูเก็ตก็โง่แล้ว” จ่าหันไปกระซิบกับทหารที่นั่งข้างๆ ด้วยเสียงที่ไม่เบาเลย เพราะได้ยินเกือบทุกคน ถ้าจ่าจะกระซิบขนาดนี้ออกมาประกาศเลยดีกว่า

     “ทำไมหรอครับ” ไอ้คนขี้สงสัยถามขึ้นก่อนใคร ไออุ่นหันไปหาจ่าเพื่อรอคำตอบ ทำหน้าน่าตีชะมัด

     จ่าทำหน้าเลิกลั่ก เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอเปิดประเด็นอะไรขึ้นมา

     “เอ่อ…ให้ผู้กองตอบดีกว่า แหะๆ” จ่ายิ้มแหยส่งให้ผม จ่านะจ่า

     “ที่ภูเก็ตเป็นค่ายใหญ่ ทหารและอาวุธที่นั่นเยอะมาก ถ้าโจรไปที่นั้นก็โง่มากแล้ว” ผมชี้แจงข้อสงสัยของทุกคน

     “ไหนบอกไม่มีอาวุธ ต้องหาอาวุธใช้เองไง”  ไอ้คนขี้สงสัยยังไม่ยอมหยุด น่าจับตีก้นชะมัด หวังว่าผมจะไม่หลุดข้อมูลเกินความจำเป็นนะ เพราะบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องรู้ ถึงรู้แล้วก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ พลอยจะกังวลไปซะเปล่าๆ

     “ที่บอกว่าไม่มีคือพวกเรา ไม่ใช่ที่ภูเก็ต เธอคิดจริงๆ เหรอว่าประเทศเราจะไม่มีคลังอาวุธขนาดใหญ่อยู่” แต่ละประเทศมีคลังอาวุธของตัวเองอยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยนั้นอีกเรื่อง

     “ถ้ามีเยอะแล้วทำไมไม่เอามาใช้หละ” ทำไมฉันจะไม่อยากเอามาใช้หละเด็กน้อย แต่มันไม่ได้ไง

     “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ”

     “แล้วมันยากตรงไหนหละ” ไอ้ตัวดียังไม่ยอมหยุดสงสัย ผมกลัวจริงๆ ว่าจะหลุดอะไรที่ไม่อยากพูดออกไป

     “ยังมีอะไรเยอะแยะที่เธอไม่รู้นะเด็กน้อย โลกมันเลวร้ายกว่าที่เราคิดเยอะ”

     “ผมไม่ใช่เด็กนะ!” คนที่ซื่อและเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ อย่างนี้เหรอไม่เด็ก “แล้วที่ว่าเลวร้ายกว่าที่คิดมันคืออะไร” คนขี้สงสัย ก็คือคนขี้สงสัย จะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเข้าใจ แต่ขอโทษนะเด็กน้อยที่ไม่สามารถบอกได้ทุกอย่าง

     “ในโลกทีวุ่นวายไร้กฎเกณฑ์เราจำเป็นต้องมีผู้นำ เพื่อควบคุมดูแล ให้ทุกอย่างดำเนินการไดอย่างเรียบร้อย ถ้าประเทศไหนมีผู้นำที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่…ความเลวร้ายจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว” ผมบอกได้แค่นี้

     “แมนนี่ขอเดาว่าของเราคงเป็นอย่างหลังใช่ไหมคะ”

     “มันก็แล้วแต่คน คนที่ได้ประโยชน์ก็ว่าดี คนที่เสียประโยชน์ก็ว่าร้าย ผมคงตัดสินให้พวกคุณไม่ได้หรอก เรื่องนี้ต้องตัดสินกันเอง”

     “เรื่องผู้นำเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนที่มาส่งทุกเดือนแต่ไม่มีถึงมือเราไหมค่ะ” พี่พยาบาลที่ประจำอยู่ที่นี่คนเดียวถามขึ้น เรื่องพวกนี้จะรู้แค่ในกลุ่มทหารและพยาบาลเท่านั้น

     “ผมขอตอบตรงๆ ว่าใช่ จำนวนวัคซีนไม่ได้รายงานออกมาว่ามีเท่าไหร่ มีแค่ผู้นำและคนสนิทที่รู้ เราได้มาแค่ 500 สำหรับสามเดือน เมื่อแจกจ่ายให้ค่ายต่างๆแล้วเราเหลือไม่ถึง 50 ถ้ายังจำได้ทุกคนที่มาเราไม่ได้ตรวจกรุ๊ปเลือด เพราะมันไม่จำเป็น คนที่เราจะฉีดให้ มีแค่คนที่โดนกัดแล้วออกอาการของการติดเชื้อเท่านั้น” ผมไม่ได้อยากทำอย่างนั้นหรอก แต่มันจำเป็นจริงๆ

     “งั้นเราก็ไม่สามารถให้ทางนั้นช่วยเราได้สินะ” แมนนี่พูดขึ้นหน้าหง่อย

     “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี” ผมให้ความมั่นใจแก่ทุกคน “ผมจะให้หน่วยทีที03ที่พาหมอ พยาบาลไปตรวจคนในค่ายต่างๆ กลับมาช่วยเรา”

     “พี่หมอ พยาบาล และทหารที่เราเจอในวันแรกหนะหรอ” ผมพยักหน้าตอบกลับไออุ่นไป

     “พรุ่งนี้ผมอยากให้ทุกคนไปอยู่ที่บ้านท้ายไร่หลังป่ากล้วย อย่าออกมาจนกว่าผมจะไปหา สายรายงานว่าพวกมันยังไม่มา แต่เราจะประมาทไม่ได้” อยู่ที่นั้นโจรหาไม่เจอง่ายๆ แน่ เพราะทางเข้าค่อนข้างซับซ้อนและมีแต่ป่า

     “ฉันไม่ไปอยู่ในป่าเด็ดขาด!” อดีตนักการเมืองพูดขึ้นด้วยท่าทีถือตัว ผมเกลียดคนแบบนี้ที่สุด คนเห็นแก่ตัวที่มีอำนาจ คนพวกนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ไม่สนใจความลำบากของคนอื่น คอยแต่สร้างภาพให้ตัวเองดูดี

     “ไม่ไป ก็ไม่ต้องไปไม่ได้บังคับ” ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็อย่ามาโทษกันทีหลังหละ “ทุกคนมีอะไรสงสัยไหม ถ้าไม่มีก็กลับไปพักผ่อนได้” ทุกคนเดินออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างหนักใจ

     “แมนนี่ เดี๋ยวอยู่ก่อน” ผมมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย

     “บ๊ายบาย ยายชะนี” แมนนี่หันไปเยาะเย้ยโรส ผมทำทีไม่สนใจ แต่มีสายตาของใครบางคนที่มองมาอย่างสงสัยนี่สิ หึหึ ปล่อยให้อยากรู้ต่อไป



     “มีอะไรหรอคะ คุณผู้กองสุดหล่อ” แมนนี่ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

     “ฉันอยากให้แมนนี่ดูแลเด็กๆ ดีๆ โดยเฉพาะไออุ่น ผมไม่อยากให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในขณะที่ผมไม่อยู่” แมนนี่ดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดแล้วในกลุ่ม ถ้าตัดเรื่องชอบทะเลาะกับโรสออกหนะนะ

     “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงอุ่นมันจะซื่อไปนิด แต่มันก็พึ่งพาได้นะ บทเรียนต่างๆ จะสอนให้เราโตขึ้นเอง” แมนนี่ทำหน้าจริงจังให้ผมเชื่อมั่น ผมว่าแมนนี่เป็นคนนึงที่หน้าเชื่อถือ ถ้าคุณไม่มองแค่ภายนอกที่เค้าแสดงออกมา แต่อีกคนนี้สิ หวังว่าบทเรียนครั้งนี้จะทำให้เค้าได้เรียนรู้และโตขึ้นนะ

     “อยากรู้จริงๆ ว่าพวกเธอรอดมาถึงขนาดนี้ได้ยังไง” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่คงดังไปหน่อยแมนนี่ถึงตอบกลับมา

     “เราแค่วัยรุ่นอายุ 20 เองนะคะ ถึงจะพยายามเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน มันก็มีบ้างที่ความเป็นเด็กจะหลุดออกมาให้เห็น ไออุ่นมันก็เป็นแค่ลูกคุณหนูคนนึง ที่มีคนคอยทำทุกอย่างให้ เจอแต่คนรอบข้างที่ดี ยังไม่ได้เรียนรู้ชีวิตภายนอกดีเลยโลกก็เปลี่ยนซะแล้ว” จริงสินะ พวกเค้าอายุแค่20 แถมยังมีเด็กอายุ 12 และ 5 ขวบอีก แต่มันก็เป็นปีเลยนะ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน

     “แต่มันก็นานพอจะเรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ แล้วนะ”

     “หนึ่งปีก็จริงค่ะ แต่ใช่ว่าเราจะออกไปเผชิญโลกอันเลวร้ายแต่แรก” แมนนี่ทำหน้าเศร้าขึ้นมาก่อนพูดต่อ “แต่ก่อนกลุ่มเรามีคนเยอะมาก บ้านข้างๆ บ้านแมนนี่ บ้านไออุ่นทุกคนยังอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน เวลาผ่านไป คนก็ลดลงเรื่อยๆ พ่อ แม่ พี่ เพื่อน คนอื่นๆ จากไปทีละคนๆ เจ็บปวดกันครั้งแล้วครั้งเล่า เราไม่รู้หรอกว่าภายใต้รอยยิ้มที่มันแสดงออกมามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง มันพยายามเข้มแข็งเพื่อน้องๆ” ดูแล้วแมนนี่ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ เข้าใจว่าทุกคนพยายามไม่คิดถึงมัน เพื่อที่จะเดินต่อไปได้

     ผมรู้ว่าความสูญเสียมันเจ็บปวดขนาดไหน แต่ด้วยสิ่งที่เราต้องทำ มันบังคับให้เราต้องเข้มแข็งแม้ในใจจะอ่อนเเอแค่ไหนก็ตาม

     “ฉันเข้าใจ แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี” ผมไม่อยากให้รอยยิ้มกวนๆ นั้นหายไป อยากให้มันอยู่บนใบหน้าน่ารักๆ นั้นตลอดไป อะไรเนี่ยผมบอกว่าไออุ่นน่ารักอีกแล้วเหรอ ผมชักจะบ้าขึ้นทุกวันแล้วนะ

     “ถามจริงๆ เถอะค่ะ ผู้กองคิดยังไงกับไออุ่นกันแน่ สายตาที่ผู้กองมองมันแมนนี่ว่ายังไงๆ อยู่นะ แต่ยังไม่ชัดเจนพอ ขอถามเลยแล้วกัน”

     “ใช่มันยังไม่ชัดเจนพอ ถ้าชัดเจนจะบอกแล้วกัน” ผมยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป “ไปพักผ่อนกันเถอะ”

     ผมไม่เคยคิดเรื่องความรู้สึกเลยสักครั้ง เมื่อแมนนี่ถามผมถึงย้อนดูสิ่งที่ตัวผมเองแสดงออกกับไออุ่น มันแตกต่างกับคนอื่นผมรู้ ผมพูดมากขึ้น เย็นชาน้อยลง แต่ก็อย่างที่ผมบอก ว่ามันยังไม่ชัดเจน ผมอาจจะแค่เอ็นดูก็ได้ใครจะรู้ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะหาคำตอบ…


     “คุยอะไรกับแมนนี่” ผมอุตสาห์จะไม่คิด แต่เจ้าตัวดันมาดักรออยู่หน้าห้องซะนี่

     “ถ้าอยากคุยก็เข้ามา” ผมเดินเข้าห้องนอนโดยเปิดประตูทิ้งไว้ให้ใครบางคนเดินตามมา

     “ตอบก็จบแล้ว ทำไมต้องเดินเข้ามาด้วย” ถึงจะบ่น แต่ก็ยังเดินเข้ามาอยู่ดี ผมชอบจังเวลาทำหน้ายุ่งๆ ขัดใจ “แล้วจะตอบได้รึยัง คุยเรื่องอะไร หรือสนใจแมนนี่หรอ” คิดได้ยังไงกัน ยังมาทำสีหน้าไม่ไว้ใจอีก

     “แล้วถ้าสนใจหละ” อึ้งไปในทันที เมื่อหายอึ้งแล้วสีหน้าเริ่มยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ “เฮ้ ฉันล้อเล่นน่า ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับแมนนี่หรอก” แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธด้วยหละ แต่ก่อนใครจะคิดยังไงผมไม่สนใจหรอกนะ ผมเปลี่ยนไปจริงๆ สิน่า

     “แน่ใจนะ ผมไม่ไว้ใจคุณผู้กองเลย คุณอาจจะหลอกให้แมนนี่เสียใจก็ได้ ในเมื่อผู้กองมีคุณโรสคอยเกาะแกะอยู่หนิ” นี่ผมไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ

     “ฉันไม่สนใจใครมาพอหรอกนะ เว้นแต่ใครบางคนแถวนี้”

     “ใครวะ เฮ้ย! ครับ ใครครับคุณท่านผู้กอง” กวนผมอีกแล้วสิน่า น่าจับมาตีก้นชะมัด

     “ช่างเถอะ อยากรู้เรื่องที่ฉันคุยกับแมนนี่ไม่ใช่เหรอ” เจ้าตัวยังทำหน้าสงสัยอยู่ แต่ก็พยักหน้าให้ผมพูดเรื่องนี้ก่อน “ฉันฝากเด็กๆ ไว้กับแมนนี่หนะ”

     “ทำไมไม่ฝากกับผมด้วยหละ นี่มันเลือกปฏิบัตินี่” โวยวายขึ้นมาในทันที

     “ก็เธอเป็นเด็กอีกคนที่ฉันฝากกับแมนนี่ไว้นิ” ดูสิโกรธจนหน้าแดงหมดแล้วเด็กน้อย

     “ผมไม่ใช่เด็กนะ!! โตแล้ว อายุเท่าแมนนี่เถอะ” เด็กน้อยจะกินหัวผมไหมเนี่ย

     “คนโตแล้วที่ไหนเชื่อคนง่ายขนาดนี้” ผมเป็นห่วงเรื่องนี้มากจริงๆ ถ้าเป็นโลกปกติในสังคมที่เค้าอยู่มันไม่น่าเป็นห่วงหรอก แต่ในตอนนี้ ตอนที่คนเห็นแก่ตัวเพื่อเอาชีวิตรอด ความใจดีมันเป็นอาวุธที่กลับไปทำร้ายตัวเค้าเอง

     “รู้น่าว่าผิด ได้เรียนรู้แล้ว จำขึ้นใจเลยหละ เลิกมองผมว่าเด็กสักที” จากที่ผมเห็นมาไออุ่นเป็นคนดีนะ ใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ผมชอบนะที่เค้าเป็นแบบนี้ แต่ความดีก็ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอก ผมถึงเป็นห่วงเค้ามาก

     “ดี อย่าใจดีพร่ำเพรื่อ คนเห็นแก่ตัวมันเยอะ ดูให้ดีๆ จะใจดีกับใคร” ผมลูบหัวเค้าอย่างเอ็นดู

     “จะลูบทำไมเล่า ไม่ใช่หมานะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่หลบยืนให้ผมลูบหัวด้วยสีหน้าขัดใจ

     “รู้น่าว่าไม่ใช่หมา แล้วหมาสองตัวที่เอามาตั้งชื่อว่าอะไร ฉันจะได้เรียกถูก” มันวิ่งไปแทบจะทั่วบ้าน ทำเอาโรสกับพ่อโวยวายไม่หยุดเลยหละ

     “มิดไนท์ตั้งชื่อตัวเมียว่าข้าวเจ้า ตัวผู้ข้าวเหนียว” เจ้าหนูมิดไนท์ช่างคิดจริงๆ ถ้าผมมีลูกน่ารักๆ อย่างนี้ซักคนคงดี จะได้มีแรงผลักดันในการต่อสู่กับสิ่งต่างๆ ทั้งกับซอมบี้ และคนบางจำพวกที่ผมไม่อยากเอ้ยถึง ผมบอกได้แค่ว่ามันไม่ใช่พวกโจรหรอกนะ โจรยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะมันแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการอะไร แต่โจรในคาบคนดีนี่สิที่น่ากลัว

     “ทำหน้ายุ่งยากอะไร แค่บอกชื่อหมาเอง หรือไม่ชอบ” เสียงของไออุ่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

     “คิดเรื่องอื่นอยู่หนะ ฉันอยากรู้ เธอยังอยากไปอยู่ที่ภูเก็ตอยู่ไหม” บอกตรงๆ ผมไม่อยากให้ทุกคนไป ยกเว้นสองพ่อลูกนั้น

     “คุณก็บอกว่าจะกลับ ทำไม ไม่อยากให้เราไปด้วยหรอ” เริ่มทำหน้าไม่พอใจ เฮ้อ…เก่งจริงเรื่องคิดเองเออเองหนิ

     “ไม่ใช่ ฉันแค่เอาข้าวไปส่งแล้วกลับมาปลูกข้าวรอบใหม่ คนที่นั่นมีเยอะเกิน ทำนาแค่รอบเดียวไม่พอหรอก แต่ที่เธอคิดว่าฉันไม่อยากให้ไปหนะ จริง” พอใด้ยินคำตอบ ก็ทำสีหน้าผิดหวังทันที

     “เฮ้…ฟังให้จบก่อนสิ ที่ไม่อยากให้ไปเพราะอยากให้อยู่ด้วยกันที่นี้ ที่สำคัญที่นั้นมันไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะ มีหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้ มันปลอดภัยจากซอมบี้จริง แต่ไม่ปลอดภัยจากคน ที่ๆคนเยอะ แต่อาหารไม่เพียงพอ มันลำบากกว่าที่เธอคิดนะ”

     “แต่มันล้อมรอบด้วยทะเล อย่างน้อยก็ต้องมีอาหารทะเลบ้างสิ”

     “มันมี แต่ไม่พอ จะหามาได้ขนาดไหนมันก็ยังไม่พอหรอก ถ้ายังมีโจรในคราบคนดีอยู่”

     “คืออะไร” เจ้าตัวทำหน้าไม่เข้าใจ

     “ช่างเถอะ แต่ฉันบอกได้แค่ว่ามันไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ฉันจะให้เธอได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง ถ้าเห็นแล้วกลับมาอยู่ที่นี่นะ” ผมมองเข้าไปในดวงตาเพื่อสื่อถึงความจริงใจของผม

     “ตอบตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือน้องๆ ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอก” เจ้าตัวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดหนัก

     “ฉันหวังเธอ จะตัดสินใจเลือกที่นี่นะ” ถ้ากำจัดโจรได้แล้ว ที่นี่ถือว่าดีที่สุด มีอาหาร มีความปลอดภัย “พรุ่งนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆ หละ ฉันไม่อยู่ อย่าดื่อ”

     “บอกกี่ครั้งแล้วไม่ใช่เด็ก! หรือแก่แล้วหลงๆลืมๆ” ในที่สุดก็เข้าตัวเองจนได้ ผมแก่จริงๆ เหรอ

     “ไม่เด็กก็ไม่เด็ก ไปดูน้องๆ ได้แล้วไป”

     “ชิ ไปก็ได้” เจ้าตัวสะบัดหน้าเดินไปถึงประตู แล้วหันกลับมา “เออ…คือ…ดูแลตัวเองด้วยหละ ยิ่งแก่ๆ อยู่กระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี ไปหละ” จะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีประโยคหลัง แต่ก็น่ารักอยู่ดี หึหึ



     เราเดินทางไปนครสวรรค์ตอนเช้าตรู่ เพื่อจะกลับมาถึงบ้านก่อนมืด ที่นี้เปรียบเสมือนบ้านอีกหลัง เป็นที่ที่ผมรู้สึกผ่อนคลาย ไร่นาป่าเขาช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้

     เมื่อเดินทางเข้าเขตจังหวัดนครสวรรค์ ก็เริ่มมีซอมบี้ให้เราเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นี่ยังไม่ได้สำรวจและฆ่าซอมบี้ จำนวนจึงยังไม่ลดลง

     “จ่าชนไปเลย ไม่ต้องลดความเร็วจะได้ไม่เสียเวลา” ซอมบี้เรากลับมากำจัดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่โจรรอไม่ได้หรอกนะ

     เราเดินทางกว่าสี่ชั่วโมงจึงถึงที่หมาย ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองซอมบี้ยิ่งเยอะ โชคดีที่คลังอาวุธอยู่นอกเมืองออกมาหน่อย มีภูเขากั้นเมืองไว้

     “ห้ามใช้ปืนเป็นอันขาด เราจะทำให้เกิดประกายไฟไม่ได้ จ่าพาทหารสามคนคุ้มกันข้างนอก หมู่ประจำอยู่ที่รถ ที่เหลือตามมา ระวังตัวด้วย ขอให้โชคดี”

     สิ่งที่ใช้เป็นอาวุธได้ตอนนี้คือมีดและดาบ เราเสี่ยงทำให้เกิดประกายไฟไม่ได้ ถ้าในคลังมีดินปืนอยู่หายนะแน่ๆ

     ที่นี่มีซอมบี้ไม่มาก ถ้าดูจากชุดที่ใส่แล้วน่าจะเป็นทหารที่เฝ้าที่นี่มากกว่า เราต้องรีบทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะซอมบี้ที่ตามเสียงรถมา มีจำนวนไม่น้อยเลย

     เราอยู่หน้าประตูที่คล้องด้วยโซ่ไว้ จึงต้องใช้ดาบฟันแม่กุญแจออก มันไม่ง่ายเลย ใช้เวลาอยู่พอสมควรจึงเปิดออกได้ ข้างในมีลังไม้อยู่เยอะพอสมควร

     “นาย กับเทน เปิดลังไม้ออก ที่เหลือสำรวจรอบๆ โกดัง”

     “ได้ครับ/ครับ” ทั้งสองใช้มีดงัดเปิดลังไม้แล้วยกออก ส่วนที่เหลือเดินสำรวจรอบๆ เพื่อความปลอดภัย

     “วาว!! เป็นปืน M 4 คอมมานโด ครับ” หมู่นายตอบผมด้วยความตื่นเต้น ในลังไม้มีแค่ปืนแต่ไม่มีกระสุน

     “ลังต่อไปสิ”

     “M 16 ครับผู้กอง”

     “ปืนกล 93 M2 ขนาด .50 นิ้ว ครับ”

     “ปืน GP6 พร้อมกระสุนครับ”

     “RPG ปากลำกล้องกว้าง 40 มม. กับลูกขนาด 82 มม. สองลูกครับ” มีแค่สองลูกเองเหรอ

     “ลูกน่าจะเยอะกว่านี้ เสียดาย ถ้ายิงพลาดแย่แน่ๆ มีสองลูกเอง” นายพูดขึ้นด้วยความเสียดาย

     “ใครจะเป็นคนยิง แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แกแน่ไอ้นาย” เทนหันไปพูดกับนายเพื่อนชี้ของตัวเอง

     “กูก็ยิงแม่นนะเว้ยยย”

     “พอแล้ว กล่องต่อไป” ทั้งสองจึงหยุดเพื่อเปิดลังต่อไป

     “ระเบิด M 67 มีจำนวน เอ่อ…”

     “เฮ้ยย! ไอ้เทนจับดีๆ สิวะ ตู้มต้ามมา ได้ชิบหายกันหมด!”

     “เออหนะ เชื่อใจกูสิ” เทนกำลังนับจำนวนระเบิดมืออย่างระมัดระวัง “มี 30 ลูกครับผู้กอง! สนุกแน่ๆ”

     “เราต้องใช้อย่างระวัง ถ้าหมดจากที่นี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะหาได้อีกไหม” ผมบอกกับทุกคน สำหรับผมทุกคนไม่ใช่แค่ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เป็นเพื่อน พี่น้องของผม

     “ถ้าเราได้อาวุธที่คลังใหญ่นะ ใช้ได้สบาย ไม่ต้องห่วงจะหมดแน่ ถ้าผู้กองได้เป็นผู้นำคงดี”

     “อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลย ถึงเป็นได้ ฉันก็ไม่เป็นหรอกนั่งเฉยๆ น่าเบื่อ” นั่งโต๊ะคอยสั่งการน่าเบื่อจะตายไป

     “แล้วเรื่องข้าวผู้กองจะทำยังไง ถ้าให้ค่ายแค่ 10% มันไม่พอแน่ๆ ค่ายมีตั้งหลายค่าย” ใช่ครับ ผมได้รับคำสั่งให้ส่งข้าวให้ค่ายแค่ 10% มันน้อยมาก ค่ายมีตั้งหลายค่าย ข้าวแค่นี้ไม่พอแน่

     “ฉันจัดการเองนะ แค่อย่าพูดมากก็พอ ให้รู้เฉพาะพวกเรา พวกนั้นไม่รู้หรอกว่าเรามีข้าวอยู่เท่าไหร่”

     “หึหึ เยี่ยมมากครับผู้กอง” เทนพูดพร้อมยกนิ้วโป้งให้ผม บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งทุกอย่างหรอก “เรื่องข้างนอกฉันไม่ห่วงหรอก แต่เรื่องข้างในนี่สิ”

     “ผู้กองว่าข้าวที่เราส่งให้ จะถึงมือประชาชนเท่าไหร่”

     “ไม่รู้สิ…” ผมไม่รู้จริงๆ ผมคาดเดาความคิดพวกเขาไม่ได้ จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย เอาเรื่องที่เรากำลังทำดีกว่า ขนอาวุธทุกอย่างขึ้นรถอย่างระมัดระวัง ห้ามทำตกเด็ดขาด” เรื่องอนาคตก็ให้มันเป็นอนาคตไป คิดแค่เรื่องปัจจุบันดีกว่า

      “ผู้กอง ซอมบี้ตามมาทันแล้วครับ มีจำนวนไม่เกิน 50 ตัว” จ่าวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์ ขณะที่เรากำลังขนลังอาวุธออกไป

     “นาย เทน ไปลอง M4 คอมมานโดหน่อยสิ จ่าไปบอกคนข้างนอกมาขนลังอาวุธ” ทั้งสองยิ้มอย่างตื่นเต้นกับของเล่นใหม่

      เราทั้งหมดขนลังอาวุธขึ้นรถขณะที่ นายและเทนกำจัดซอมบี้ที่ตามรถมา ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพราะซอมบี้ต้องได้ยินเสียงปืนแล้วตามมาอีกแน่ เรายังไม่อยากเสียลูกปืนไปมากกว่านี้

      “เป็นไงบ้าง” ผมตะโกนถามนายกับเทนไป ดูท่าทั้งสองจะชอบของเล่นใหม่มาก

     “เยี่ยมเลยครับผู้กอง” นายเป็นคนตะโกนกลับมา ส่วนเทนกำลังติดพันกับซอมบี้ที่มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

      “เคลียร์ทางซะ เราจะไปกันแล้ว” รีบกลับก่อนจะมืดซะก่อนดีกว่า ผมไม่อยากทิ้งทุกคนไว้นาน ถึงสายจะรายงานว่าพวกมันยังไม่มา แต่โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน กันไว้ดีกว่าแก้

     “ครับผู้กอง/ได้ครับ” เราได้ของมาเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นอาวุธสงคราม ผมหวังว่าพวกมันจะไม่มีอาวุธที่ร้ายแรงเกินไปนะ ทุกคนสูญเสียกันมามากพอแล้ว ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง





     เรากลับมาถึงช่วงเย็นๆ ทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น เมื่อรู้ว่าได้อาวุธมาแล้ว เราเก็บอาวุธไว้ที่บ้านหลังหนึ่งโดยจัดเวรยามเฝ้าไว้ตลอด

     ถึงจะบอกว่าทุกคนมีสีหน้าที่ดีขึ้น แต่ความกังวลของพวกเขายังมีอยู่มาก มันจะไม่หายไปถ้าทุกอย่างไม่จบลง ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดความสูญเสียอีก

     ในขณะที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็เจอเจ้าหนูน้อยมิดไนท์นั่งเล่นกับลูกหมาสองตัวอยู่

     “ไงครับ ทำอะไรอยู่” เจ้าตัวเล็กหันมามองผม พร้อมใช้มือชี้ไปที่ลูกหมา

     “พาข้าวเจ้ากับข้าวเหนียวมาออกกำลังกายคราฟ จะได้แข็งแรงๆ”

     “ออกกำลังกายยังงัยครับ”

     “อย่างนี้ไง วิ่งๆๆ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวตามไนท์มาๆ” แล้วพาเพื่อนตัวเล็กวิ่งรอบต้นไม้ ได้สามรอบก็กลับมาหาผม

      “ไม่วิ่งต่อแล้วเหรอครับ”

     “ไม่เอาแล้ว หลายรอบแล้ว เหนื่อย” เบะปากได้น่ามันเขี้ยวมาก อยากจับฟัดซะจริงๆ

     “แล้วให้อาหารเจ้าสองตัวนี้รึยังครับ”

     “ให้แล้วๆ ให้ข้าวคลุกปลาด้วยน้าาา น้องไนท์ให้เองเลย”

     “เก่งจังเลยครับ ทำเองเลยเหรอ”

     “ไม่ได้ทำ มัมทำ แต่ไนท์เป็นคนเอาให้กินเองเลยนะ” เจ้าตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมหันไปกอดเจ้าเพื่อนซี้สี่ขาทั้งสองตัว

     “ครับ เก่งมากๆ แล้วตอนนี้มัมของเราอยู่ไหนครับ”

     “อยู่กับพี่แมนนี่คนสวยในบ้านคราฟ” หันมาตอบตาแป๋วเชียว อยากฟัดจริงๆ

     “ครับ พี่ว่าเราควรไปนอนได้แล้วนะ มันสามทุ่มแล้ว” ผมดูนาฬิกาข้อมือ เมื่อเห็นเวลาจึงบอกให้เจ้าตัวเล็กไปนอนได้แล้ว เด็กๆ ไม่ควรนอนดึก

     “ก็ได้คราฟ ข้าวเหนียวกับข้าวเจ้าก็เริ่มง่วงแล้ว” ใครง่วงกันแน่ เห็นแต่คนพูดนี้แหละที่ตาเริ่มปรือแล้ว

     “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปส่ง” ผมจูงมือเด็กน้อยไปส่ง พร้อมลูกหมาสองตัวที่วิ่งตามมา

     “มิดไนท์ อยู่นี่เอง ไปไหนมาครับ มัมไปหาบนห้องไม่เจอเลย” ไออุ่นเดินมาเจอเราหลังจากขึ้นมาถึงชั้นสองพอดี

     “พาข้าวเจ้า ข้าวเหนียวไปออกกำลังกายข้างนอกหนะ” ผมเป็นคนบอกแทน ดูแล้วหนูน้อยมิดไนท์คงไม่กล้าบอก เพราะกลัวโดนดุ

     “ไม่ได้ถามผู้กองสักหน่อย ไม่ได้ออกไปเล่นคนเดียวแน่นะครับ ข้างนอกมันอันตราย ถ้าจะออกไปเล่นต้องมีคนไปด้วย มัมเป็นห่วง เข้าใจไหมครับ” พูดกับผมเสร็จ ก็คุกเข่าลงพูดกับเด็กน้อย ผมสังเกตหลายทีแล้ว เวลาไออุ่นพูดกับไนท์จะไม่กวนเหมือนกับคนอื่น ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่แค่ในตอนนี้นะ เวลาอื่นก็นั้นแหละ

     “คราฟ ทีหลังผมจาชวนคนอื่นด้วย แต่คุณลุงผู้กองก็อยู่ด้วย” ลุง? หน้าผมแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเห็นอุ่นแอบยิ้มสะใจ นี่สินะคนที่สอนให้เรียก

     “ไงครับคุณลุงผู้กอง มาล่อลวงอะไรเด็กหรอครับ” หน้าตายียวนแบบนี้น่าลงโทษซะให้เข็ด

     “แต่ฉันว่าแม่เด็กน่าล่อลวงกว่านะ หึหึ” ผมยิ้มมุมปากในแบบที่เค้าหมั่นไส้ไปให้

     “ล่อลวงบ้าอะไร! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะได้ถูกล่อลวง” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แล้วทำหน้าไม่ค่อยมั่นใจ “ถึงจะเคยถูกหลอกมาแล้วก็เถอะ” หึหึ เรื่องนี้สินะ ฉันไม่ล่อลวงเธอหรอกเด็กน้อย แต่ถ้าเธอหลงฉันเองก็อีกเรื่องนะ

     “ไปส่งไนท์เข้านอนเถอะ ดูสิตาปรือแล้ว” หนูน้อยของเราจะยืนหลับอยู่แล้ว อุ่นจึงต้องอุ้มไว้ เจ้าตัวก็กอดคอซบบ่าหลับทันที

     “ผู้กอง มันจะผ่านไปได้ด้วยดีใช่ไหม” เป็นครั้งแรกที่อุ่นพูดจริงจังกับผมขนาดนี้

     “ฉันจะไม่ให้ใครมาทำอะไรเธอ และทุกคนได้แน่ เชื่อใจฉันนะ ไม่ต้องกังวลอะไร เป็นในแบบที่เธอเป็น เพื่อให้คนอื่นผ่อนคลายไม่เครียด ทำได้ไหม” เจ้าตัวพยักหน้าตอบ “ไปนอนเถอะ อุ้มนานเดี๋ยวหนัก” ผมกำลังจะเดินลงบันไดไป แต่ได้ยินเสียงใครบางคนตามหลังมาซะก่อน

     “ผู้กอง!”

     “หืม”

     “อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อนหละ คุณยังไม่ได้ล่อลวงผมเลย ผมบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้ล่อลวงง่ายๆ หรอกนะ ถ้าอยากทำให้สำเร็จต้องอยู่อีกนาน” แล้วเจ้าตัวก็เข้าห้องไปทันทีที่พูดจบ

      ใช่มันไม่ง่าย แต่สำหรับฉันมันก็ไม่ยากหรอกนะเด็กน้อย…หึหึ




………………………
……………….
……….


#ธามไออุ่น
Twitter > Tt.looktal1993
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่8☆ P.2☆28/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-12-2018 23:58:01
 :katai2-1:



อมตะ แน่ๆ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่9☆ P.2☆3/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 31-12-2018 15:27:42
- 9 -


[ธาม]

     เขาว่ากันว่า คนน่ากลัวกว่าผี นั้นคือเรื่องจริง เพราะใจคนเรายากแท้หยั่งถึง การกระทำไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเสมอไป ทำไปเพราะใจอยากจะทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด จะส่งผลกระทบต่อใครหรือไม่ก็ตาม

     ดังเช่นพวกเดนมนุษย์ ที่อาศัยช่วงเกิดมหันตภัยเชื้อโรคซอมบี้ระบาดทั่วโลก ในการแสดงด้านมืดในจิตใจ เพื่อทำในสิ่งที่เลวร้ายต่อมนุษย์ที่ยังคงอยู่รอด

     สถานการณ์เลวร้ายอยู่แล้ว ทำไมเล่าต้องซ้ำเติมกันให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

     โอดครวญไปก็เท่านั้น คนบางประเภทขาดจิตสำนึก จิตใจมืดดำเกินจะเยียวยา สิ่งเดียวที่เรามอบให้พวกมันได้ไม่ใช่คำชี้เเนะสั่งสอนหรือจิตใจอันอบอุ่น แต่เป็นความตาย ตีงูต้องตีให้ตาย ไม่ใช่ตีให้บาดเจ็บแล้วรอวันที่มันแว้งกลับมากัดเรา

     “ผู้กองครับ ทีที03 วิทยุสื่อสารมาครับ” จ่านนท์วิ่งออกมารายงาน ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่หน้าบ้าน

     ทุกคนกำลังอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างเครียด เรารู้อยู่แก่ใจ การหลีกเลี่ยงความสูญเสียนั้นเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะ การสูญเสียก็ยากจะหลีกหนีได้อยู่ดี

     ได้แต่ภาวนาให้การสูญเสียไม่เกิดขึ้น ถึงรู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปได้ยากก็ตาม

     ผมเดินตามจ่าไปที่ห้องวิทยุสื่อสาร ที่ใช้เพื่อสื่อสารและส่งข่าวคราวถึงเครือข่ายของเรา แต่ก่อนหน่วย ทีที03 ประจำอยู่ค่ายในจังหวัดราชบุรี แต่เนื่องจากที่ค่าย เป็นทางผ่านสู่ค่ายใหญ่อย่างภูเก็ต ทำให้ไม่มีคนอยู่ ทุกคนไปอยู่ที่ค่ายใหญ่กันหมด หน่วยทีที03 จึงมีหน้าที่ใหม่ คือการเดินทางไปตามค่ายต่างๆ ในภาคกลาง เพื่อดูความเรียบร้อย และนำทีมหมอ พยาบาลไปตรวจรักษาตามค่าย

     “ทีที03 นี่กองเหยี่ยว ได้ยินแล้วตอบด้วย”

     (“ทีที03 ได้ยินแล้วครับท่านผู้กองผู้ยิ่งใหญ่”) จะมีสักครั้งไหมที่มันไม่กวน บางครั้งผมก็คิดว่าไอ้โฟรคเป็นพี่ชายของไออุ่น เพราะกวนทีนเหมือนกันไม่มีผิด ถ้าไม่เห็นหน้าที่แตกต่างกัน ผมคงจะคิดแบบนั้นไปแล้ว เพราะอุ่นหน้าสวย หล่อแบบใสๆ และผิวขาวมาก ในขณะที่โฟรคมันค่อนข้างหล่อเข้ม ออกแนวไทยๆ

     “เลิกกวนแล้วพูดมาได้แล้ว”

      (“ครับๆ ไม่พูดเล่นแล้วครับ น่ากลัว”)

     “โฟรค…”

     (“โอเคๆ เลิกเล่นแล้ว สายรายงานว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มันกำลังเช็คสภาพรถ คิดว่าไม่พรุ่งนี้ก็วันถัดไปไม่เกิน 3 วัน มันไปแน่ๆ”) ใกล้เข้ามาแล้วสินะ

     “ถึงไหนกันแล้ว” ผมต้องรอให้กำลังเสริมของเรามาให้หมดก่อน ถึงจะเริ่มแผนแรกได้

     (“ค่ายราชบุรีหวะ”) ที่จริงตามกำหนดการมันควรมาถึงที่นี่วันนี้

     “ทำไมช้า?”

     (“กูคิดว่าต้องมีคนบาดเจ็บแน่ ก็เลยพาหมอ พยาบาลไปซ็อปยาและเครื่องมือแพทย์ ถ้ามีไฟฟ้ารับรองไม่แพ้โรงพยาบาลแน่ๆ”) คำตอบของมันทำให้ผมค่อนข้างพอใจ ผมจะลืมเรื่องผิดกำหนดการไปก็แล้วกัน

     การที่เรามีหมอ พยาบาล ยา และเครื่องมือการแพทย์ที่ครบครัน จะช่วยให้การสูญเสียนั้นน้อยลงมาก แต่ปัญหาของเราตอนนี้คือ ไฟฟ้า ถ้าจะสำรองไฟไว้ใช้จำนวนมากๆ คงต้องเริ่มประหยัดไฟตั้งแต่ตอนนี้เลย

     “ไม่ต้องห่วงเรื่องไฟฟ้า มีแน่นอน ขอแค่หมอ และพยาบาลทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็พอ”

     (“เออ อีกเรื่อง รถพวกมันไม่น่าจะต่ำกว่า 5 คัน มีทั้งรถใหญ่ และรถเล็ก แต่งใหม่ติดปืน M16 ข้างรถด้วย รถที่ติดปืนเห็นแค่สองคันนะ แต่ที่เหลือไม่รู้ว่าติดด้วยรึเปล่า”) M16?? ซวยจริงๆ มันต้องไปปล้นที่คลังเก็บอาวุธสักที่มาแน่ๆ ได้แต่ภาวนาขอให้มันไม่มี RPG นะ

     “อือ รีบมาให้ถึงก่อนเที่ยง จะได้เริ่มเเผนต่อไป ยิ่งช้ายิ่งเสี่ยง”

      (“แล้วริวน้อยกูเป็นไงบ้างวะ”) ต้องถามถึงทุกทีสิน่า หึหึ

     “อยากรู้เหรอ…มาดูเองสิ อยากเจอเร็วๆ ก็ต้องมาเร็วๆ” ปากก็บอกไม่ได้คิดอะไร แต่การกระทำมันไม่ใช่เลย หึหึ คิดจะเลี้ยงต้อยเหรอ

     (“ถามแค่นี้ ก็บอกไม่ได้ เชอะ”) มันคิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยรึไงกัน ดีนะได้ยินแค่เสียง ถ้าเห็นภาพด้วยคงสยองน่าดู

     “เลิกคุย แล้วเดินทางปลอดภัย”

     (“เออ เดี๋ยวรีบไป หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีการสูญเสีย ถึงมันจะยากก็เถอะ”) เราทุกคนต่างรู้ดี ว่าการสูญเสียยากมากที่เราจะหลีกเลี่ยงมันได้

     “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

      …ได้แต่หวัง และภาวนา…

+  +  +


         ตอนนี้เวลา 11 นาฬิกา ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเองเหมือนปกติ ดูแลสวนผักผลไม้ และเก็บเกี่ยวข้าว

      เราต้องเกี่ยวข้าวที่นี้ให้เสร็จก่อนที่พวกเดนมนุษย์นั้นจะมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับนาข้าว ส่วนข้าวที่อยู่ที่อื่นๆ ต้องปล่อยไว้ก่อน เพราะคงเก็บเกี่ยวไม่ทันแน่ๆ แต่ดีหน่อยที่ยังอยู่ไกล หวังว่าจะไม่ได้รับความเสียหายนะ

     “คุณผู้กอง ลุงเจ้าของสวนกล้วยบอกว่ากล้วยมันสุกเยอะมาก ไม่น่าจะกินทัน และถ้าไม่เอาไปแจกจ่ายภายในสองอาทิตย์ต้องเน่าแน่ๆ แล้ว…” มาถึงก็พูดๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ถามเลย

     “อุ่น พอก่อนๆ ไม่ต้องห่วง อาทิตย์หน้าจะไปแจกจ่ายผักผลไม้ตามค่ายต่างๆ แน่นอน” ผมห้ามไออุ่นก่อนจะพ้นไฟใส่ผมมากกว่านี้

     “แน่ใจนะ ว่าอาทิตย์หน้าจะไปได้” เจ้าตัวทำหน้ากังวล คนอย่างไออุ่นไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเครียดแบบนี้ง่ายๆ หรอก ถ้าไม่กังวลใจมากจริงๆ

     “ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะไปส่งด้วยตัวเองเลย วางใจได้ ทุกคนได้รับของแน่ๆ”

     “ใครเค้าห่วงเรื่องนั้นหละ แค่อยากมั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไรต่างหากเล่า” ไออุ่นพึมพำพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ผมดันได้ยินนี่สิ น่ารักจริงๆ ฉันไม่ยอมเป็นอะไรหรอก ฉันจะกลับมาหาเธอแน่เด็กน้อย

     “อะไรนะ” ผมทำเป็นไม่ได้ยิน

     “เออ…แค่ บอกว่า ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” เจ้าตัวอึกอักตอบ

     “นี่ไม่คิดจะห่วงฉันเลยเหรอ น่าน้อยใจจัง” ผมทำปากยื่นเหมือนที่เคยเห็นมิดไนท์ทำ

     ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะอาการหนักแล้ว ถ้าไอ้โฟรคมาเห็นคงทำหน้าสยองขวัญ แล้วล้อผมจนตายแน่ๆ ผมก็เริ่มสยองตัวเองนิดๆ แล้วหละ

     “เออ ผู้กอง ขอร้องอะไรซักอย่างได้ไหม คือขอร้องหละอย่าทำแบบนี้อีก ขนลุกหมดแล้วเห็นไหม สยองจริงๆ” ไออุ่นทำหน้าสยองเต็มที่ ผมไม่เถียงหรอกนะว่ามันน่าสยอง หน้านิ่งๆของผมคงไม่เหมาะกับท่าทีแบ๋วๆ แบบมิดไนท์จริงๆ

     “ไปๆ ไปทำอาหาร จะเที่ยงอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกนั้นมาถึง จะได้กินได้เลย” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ลืมๆ เรื่องเมื่อกี๋ไป ไออุ่นทำหน้าเหมือนรู้ทันเหตุผลในการเปลี่ยนเรื่องครั้งนี้ของผม

     “จะให้ทำอาหาร? แน่ใจนะว่าจะกิน?” ทำหน้าท้าทายเต็มที่ คงคิดว่าผมไม่กล้ากินละสิ ถ้าคิดแบบนั้น ใช่ คิดถูกแล้ว ผมไม่กล้ากินหรอก มีครั้งหนึ่งที่ไออุ่นเข้าครัว ผมบอกได้เลยว่าสยองกว่าผมพยายามแบ๋ว ก็ไออุ่นเข้าครัวนี่แหละ

     “ฉันหมายถึง ให้เธอไปบอกแมนนี่กับป้าๆ ทำกับข้าวได้แล้ว” ผมยังไม่อยากถ่ายท้องวันนี้

     “หึ นึกว่าจะแน่” ได้ใจไปเถอะเด็กน้อย อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน

     “ไปได้แล้ว เดี๋ยวเสร็จช้า”

     “ครับๆ คุณท่านผู้กอง ไปเดี๋ยวนี่แหละครับท่าน” พูดจบก็วิ่งจู้ดไปทันที กวนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ สิน่า

     “คุณลุงผู้กอง!” ได้ยินเมื่อไหร่ก็ปวดใจ

     “เรียกพี่ก็พอครับมิดไนท์” ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาหาไว้แนบอกพร้อมบอกสิ่งที่ตนเองต้องการ

     “แต่มัมบอกให้น้องไนท์เรียกว่าคุณลุงผู้กองนิคราฟ” นี่คือตัวการจริงๆ สินะ คิดไว้ไม่มีผิด แสบจริงเชียว

     “พี่ดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” นี่เราดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าไม่นะ ยังไม่ถึงสามสิบเลย

     “ไม่แก่คราฟ หล่อมักมากเลย” ฉลาดพูดจริงๆ เด็กคนนี้

     “ถ้ายังไม่แก่ ก็เรียกพี่ธามสิครับ” มิดไนท์เป็นคนที่ผมอ่อนโยนด้วยที่สุด จนตัวผมเองยังตกใจ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถอ่อนโยนได้ ทั้งที่ชีวิตผมมีแต่ความหยาบกระด้าง และเฉยชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว

     เด็กพวกนี้ทำให้ผมอ่อนโยนขึ้น มีกำลังใจและพลังในการต่อสู่กับสิ่งต่างๆ ชีวิตที่ไม่มีจุดหมาย เริ่มที่จะมีทิศทางในการเดินมากขึ้น ผมหวังว่าสักวันทิศทางที่เดินนี้ จะเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของผมในสักวัน

     “ไม่ฟังน้องไนท์พูดเลย” เพราะผมมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทำให้ไม่ได้ยินในสิ่งที่มิดไนท์พูด ทำให้เจ้าตัวโอดครวญใหญ่ว่าผมไม่สนใจฟัง

     “ฟังสิครับ แล้วเมื่อกี่พูดว่าอะไรเอ่ย” ถึงจะทำริมฝีปากล่างยื่นออกมาแบบขัดใจ แต่ก็ยอมตอบคำถามผมในที่สุด

     “น้องไนท์บอกว่า คุณพี่ผู้กองอายุมากกว่ามัม เลยต้องเรียกว่าลุง มัมบอกน้องไนท์ น้องไนท์จำได้” นี่ผมจะหนีไม่พ้นคำว่าลุงจริงๆ เหรอ

     “ก็พี่ไม่อยากเป็นลุงนี่นา” ผมทำหน้าเศร้าส่งไป เพื่อให้เด็กน้อยใจอ่อน

     “แล้วทำไงดีคราฟ” เจ้าตัวครุ่นคิดอย่างหนักจนคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว

     “งั้นเอาแบบนี้ไหมครับ” เด็กน้อยทำหน้าสนอกสนใจทันที “เรียกพี่ว่าป๊าสิ” พ่อผมเป็นลูกครึ่งจีน บางครั้งผมก็เรียกพ่อว่าป๊าเหมือนกัน

     “ป๊า ถ้าเป็นป๊าก็ต้องเป็นแฟนมัมนะสิ พี่บีเคยบอกว่าพ่อต้องเป็นเเฟนกับแม่ ถ้าจะเป็นปะป๊างั้นก็ต้องเป็นแฟนมัมใช่ไหมคราฟ” ถ้าจะเป็นปะป๊าต้องเป็นแฟนกับอุ่นงั้นหรอ เอ่อ….มันก็ ไม่เห็นเป็นไรหนิ เป็นก็ได้นะ...

     “ใช่ พี่เป็นได้ แต่มัมเราจะเป็นด้วยไหม ต้องถามดูเองนะครับ” เป็นการวางระเบิดก่อนสู้รบ หึหึ

      “คราฟ เดี๋ยวน้องไนท์ถามเอง ลุง เย้ยย!! พี่…ไม่ใช่ๆๆ ต้องเรียกปะป๊าสิ เดี๋ยวน้องไนท์ถามเองคราฟปะป๊า คริคริ น้องไนท์มีพ่อแล้ว” เด็กน้อยทำสีหน้ามีความสุขทันที ผมเห็นแล้วก็มีความสุขไปด้วย

     อยู่ดีๆก็มีลูก ถ้าแม่เค้ารู้คงโวยวายน่าดู หึหึ


+  +  +


     หน่วยทีที03 มาถึงตอนเวลาเที่ยงครึ่ง ก็ตรงเข้าหากับข้าวก่อนทันที โดยเฉพาะไอ้โฟรค ไม่สนใจใครเลยแม้กระทั่งเด็กริวนั้นด้วย สิ่งเดียวที่มันสนใจตอนนี้คือ จานข้าว นี่ก็จานที่สามแล้ว

     “มึงจะกินให้หมดทั้งไร่เลยไหม?” ผมพูดขึ้นขณะที่มันกำลังตักข้าวจานที่สี่

      ตอนนี้เรากำลังปูเสื้อที่สนามหญ้าข้างบ้าน เพื่อนั่งกินข้าว เพราะโต๊ะอาหารข้างในคงนั่งไม่พอแน่ๆ โดยเราปูเสื่อนั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มผมมี ไอ้โฟรค ริว ไออุ่นและน้องๆ แมนนี่ไปนั่งกับเทนและนาย ไม่รู้ไปสนิทกันตอนไหน ส่วนคุณโรสกับพ่อไม่ยอมออกมานั่งทานข้างนอกด้วยบอกว่าร้อน

     “ให้กูวันนึงเถอะ นานๆจะได้เจออาหารแบบนี้สักที กูกินแต่อาหารกระป๋องจนหน้าจะเป็นทรงกระบอกอยู่แล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินต่อแบบไม่สนใจใครต่อไป

     “รีบกินจะได้เริ่มทำงานสักที ต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จถายในวันนี้” เผื่อพรุ่งนี้พวกมันยกโขยงกันมาเราจะได้เตรียมตัวทัน เพราะยิ่งเราเตรียมตัวดีเท่าไหร่การสูญเสียยิ่งน้อยลงเท่านั้น

     “เออๆ รู้แล้วๆ แต่ตอนออกไป ฉันเอาริวน้อยไปด้วยนะ เพราะดูแล้วน่าจะถนัดเรื่องนี้” ผมไม่เถียงหรอก เพราะเจอมาแล้ว จึงไม่มีข้อกังขาอะไรถ้าเด็กนั้นจะไปด้วย

     “ผมเกี่ยวอะไรด้วย” คนที่นั่งกินเงียบๆ มาตลอดพูดขึ้น เมื่อบทสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับตน

     “ไม่อยากออกไปทำอะไรสนุกๆ เหรอเด็กน้อย” ทำหน้าเหมือนเสี่ยหลอกเด็กเลยไอ้โฟรค

     “สนุก?” เด็กก็ดันลังเลอีก

     “ใช่ ชอบไม่ใช่เลย อะไรที่มันเสียงดังๆ คราวนี้ อนุญาตให้ทำเลย”

     “ก็ได้” แล้วเด็กก็เชื่อ

     “น้องไนท์ไปด้วย!” เจ้าตัวเล็กได้ยินคำว่าสนุกก็สนใจทันที

     “ไปไม่ได้ครับ มันอันตราย” ผมห้ามทันที เจ้าตัวเล็กจึงทำหน้าหง่อย

     “ก็คุณลุงเมื่อกี่บอกสนุกนี่คราฟ” มือเล็กๆ นั้นชี้ไปที่ไอ้โฟรค โดยที่คนถูกชี้ทำหน้าเหวอไปแล้ว

     “ลุง?” ดูเหมือนสติหลุดกับคำว่าลุงไปแล้ว “เรียกพี่ก็พอมั้งเด็กน้อย เรียกลุงมันเจ็บปวดเกินไป” เด็กน้อยของผมทำหน้าคิดหนัก โดยที่มัมของเค้าไม่สนใจใครนอกจากต้มยำปลาข้างหน้าเลย

      “ป๊า! เรียกคุณลุงว่าพี่ได้ไหมคราฟ” เมื่อคิดไม่ตก ก็หันมาขอความเห็นจากผมแทน

     “ป๊า? ไปเป็นพ่อลูกกันตอนไหนวะ หรือว่า มึงกับ…” มันพูดไม่จบประโยค แต่มองผมสลับกับไออุ่นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ กูรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ไอ้โฟรค

      “…เสือก…”ผมพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน “เรียกลุงดีแล้วครับ หน้าแก่ขนาดนี้แล้วคงเรียกพี่ไม่ได้หรอก”

     “ครับป๊า น้องไนท์จะเรียกคุณลุงว่าคุณลุงโฟรค” เหวอคูณสองทันที หึหึ

     “ทำไมไนท์เรียกคุณผู้กองว่าป๊า” ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เงยหน้าขึ้นมาจากชามต้มยำสักที แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย ผมจะตอบยังไงดีหละ

     “ป๊าบอกจะเป็นพ่อให้น้องไนท์เอง เพราะน้องไนท์ไม่มีพ่อ” เจ้าตัวเล็กช่วยชีวิตผมไว้ทัน ส่วนคนที่ได้รับคำตอบจากเด็กน้อยก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจเด็กน้อยนะ แต่เหมือนไม่เข้าใจผมมากกว่า

     “น้องไนท์น่ารัก ใครก็อยากได้ลูกน่ารักๆ อย่างนี้ทั้งนั้น ฉันแย่ขนาดเป็นป๊าให้มิดไนท์ไม่ได้เลยเหรอ” ต้องใช้ไม้ตาย เรียกความสงสาร

     “ผมก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น แต่…ช่างเถอะเดี๋ยวค่อยคุย” ตอนเเรกเหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ปล่อยผ่านไป แต่สงสายตาสื่อสารกับผมก่อนจะยอมจบ คุณคงอยากรู้ว่าสายตานั่นบอกอะไร ผมบอกให้ก็ได้ ถ้าแปลความหมายไม่ผิดคือ เดี๋ยวผมจะจัดการกับคุณทีหลัง

     “หึหึ” ผมเกลียดจริงๆ กับรอยยิ้ม และสายตาเหมือนรู้ทันของไอ้โฟรค

      “คุณหมวดโฟรคยิ้มได้โรคจิต เหมือนคุณท่านผูกองเลยนะครับ ไม่น่าถึงเป็นเพื่อนกันได้” พูดตาตาแป๋วเหมือนใสซื่อ แต่ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ ถ้าคุณมองผ่านหน้าตาอันใสซื่อที่แสดงออกมา คุณจะเจอความกวนที่ซ้อนอยู่
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่8☆ P.2☆28/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 31-12-2018 15:30:33
ต่อตอนที่ 9



      ตอนนี้เป็นเวลาบายสองโมงเรากำลังออกไปสำรวจทางหนีทีไล่ ผมได้บอกให้ไออุ่นและน้องๆ คอยดูความเรียบร้อยรอบๆ เพราะถ้าเราทำตามแผนที่วางไว้ ต้องมีซอมบี้บางส่วนหลุดมาถึงที่นี่แน่

      ที่ผมเลือกไออุ่น แมนนี่ และน้องๆ คอยดูแลบริเวณรอบๆ ไม่ใช่เพราะจำนวนคนเราไม่พอ แต่เป็นเพราะผมไม่อยากให้เกิดเสียงดังจนซอมบี้ตามมาที่นี้กันหมด ถ้ามีซอมบี้หลุดมาถึงที่นี่ต้องกำจัดแบบเงียบๆ

     เรางดกิจกรรมที่ใช่เสียงทั้งหมด ทั้งเกี่ยวข้าว สูบน้ำ และงดการใช้รถที่ไม่จำเป็น

      “ผู้กองครับจากการสำรวจ ที่นี่มีทางเข้าแค่สองทาง ทางแรกที่เราใช้ประจำ ทางที่สองเป็นทางลูกรังที่เชื่อมท้ายไร่กับถนนคอนกรีตของหมู่บ้านครับ” จ่ารายงานขณะที่ผมกำลังสำรวจทางเข้าหมู่บ้าน

     “ทางด้านหลังเหรอ มีโอกาสที่มันจะเข้ามาทางนั้นไหม” เราตั้งรับทั้งสองทางไม่ได้ ถ้าแบ่งกำลังออกเป็นสองฝ่ายต้องเสียเปรียบมากแน่ๆ

     “ทางด้านหลังเป็นแค่ทางลูกรังติดกับป่า  ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ไม่มีทางรู้แน่นอนครับ ขนาดผมยังต้องให้ลุงเจ้าของสวนกล้วยช่วยเลย”

      “แต่เราก็วางใจไม่ได้ ให้ทหารบางส่วนไปเฝ้าที่นั้น สถานที่ตั้งรับยังเป็นทางหลักหน้าหมู่บ้านเหมือนเดิม” เราไว้วางใจอะไรไม่ได้หรอก แต่จะให้ตั้งรับทั้งสองทางก็ไม่ได้เช่นกัน

     “เราจะล่อพวกมันมารวมตัวกันตรงไหนดีครับ”

      “ห่างจากหมู่บ้านซักสองกิโลเมตร จะดีกว่า ใกล้กว่านี้ไม่ปลอดภัย ถ้าไกลกว่านี้ก็เป็นทางแยก อยู่บริเวณนี้แหละดีที่สุดแล้ว” ทุกอย่างต้องละเอียดที่สุด และคิดมาอย่างดีแล้วเท่านั้น

     “ตกลงเอาที่นี่ใช่ไหม” ไอ้โฟรคเดินเข้ามาถามผมโดยที่เด็กของมันเดินตามหลังมา

     “อือ” ผมตอบสั้นๆ ตามนิสัย

     “แหม๋ทีกับเพื่อนเย็นชาใส่ พอเป็นน้องไออุ่นกับลูกหละอ่อนโยนจังเลยนะเพื่อนรัก” ผมบอกแล้วว่ามันกวนพอๆ กับไออุ่นนั้นแหละ

     “ถามกูยังว่ารักมึงรึเปล่า”

    “วาจาช่างเจ็บแสบ” เอามือกุมที่หัวใจแล้วทำหน้าเจ็บปวด เห็นแล้วอยากกระทืบจริงๆ

      “พอแล้ว ไร้สาระ” เหนื่อยใจกับมันจริงๆ

     “พอก็ได้ แล้วรถที่อยากได้มายัง” มันถามหารถที่ผมให้นายกับเทนไปหามาให้

     “นั้น” ผมชี้ไปที่รถกระบะเชฟโรเลต โคโลราโด แต่งสวย ที่ติดเครื่องเสียงชุดใหญ่ เปิดทีแก้วหูแทบระเบิด

      “วาว!” ตาวาวทันทีที่เห็น “มี้เพลงใช่ไหม”

     “ถ้าไม่มีเพลง จะเปิดเสียงพระเทศน์ รึไง” ผมแค่อยากลองกวนดูบ้างเท่าเอง หึหึ

     “อยู่กับเด็กมากแล้วมีกงมีกวน เปลี่ยนไปนะเรา”

     “พอแล้ว ไปๆ เด็กแกดูท่าจะอยากขึ้นรถเต็มทีแล้ว” เด็กริวชะเง้อมองรถ จนคอเคล็ดแล้วมั้งนั้น

      “เออๆ ไปแล้ว”

     “ถ้าอยากได้เยอะๆ คงต้องเข้าไปในเมือง เพราะแถวนี้แถบไม่มีแล้ว” ผมบอกไอ้โฟรคก่อนที่มันจะไป

      “กูพามาเยอะแน่ๆ ไม่ต้องห่วง” ขอให้เป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน

      ในที่สุดโฟรคก็ออกไปทำภารกิจของตนเอง พร้อมทหารอีกสามนาย ที่เหลือก็คอยหาทำเลเหมาะๆ ของตนเอง ที่นี่สองข้างทางเป็นป่าไม้ค่อนข้างรก ง่ายต่อการพรางตัว และซ่อนกำลังเสริมที่เราล่อมา

     “ถ้าเรามีระเบิดเวลาคงดี” นายพูดขึ้นขณะที่กำลังหาทำเลในการซุ่มยิง

     “แค่ RPG ก็กินขาดแล้วเว้ย” เทนคู่หูของนายพูดขึ้นด้วยสีหน้าพึงพอใจในอาวุธของตน

     “แต่มันมีแค่สองลูกนะสิ ถ้ามึงยิงพลาดกูจะกระทืบมึงแน่” ผมเชื่อในฝีมือของเทนพอสมควร ถึงวางใจให้ใช่อาวุธสำคัญของเรา

     “เออน่า ไม่ต้องห่วง เชื่อใจกูได้เลย ไม่ผลาดแน่ๆ” เจ้าตัวทำสีหน้ามุ่งมั่นเป็นอย่างมาก

     “เอารถใหญ่กลับไป ให้เหลือแต่รถเล็กที่เสียงเบา” ผมไม่อยากให้พวกมันตามกลับไปที่บ้าน กว่าจะล่อมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ

     เราสำรวจเสร็จแล้ว เหลือแค่รอให้คนที่ล่อพวกมันกลับมา


+ + +


      เวลาเกือบห้าโมงเย็นในที่สุดคนที่เราส่งออกไปก็กลับมา ด้วยสภาพหอบเหนื่อย

     “ขึ้นรถ!” พวกเราขับรถออกมาทันที โดยเหลือหน่วยลาดตะเวนไว้ห่างจากหมู่บ้านและที่ตั้ง ระยะทาง 1 กิโลเมตร พูดง่ายๆ คือ ทิ้งไว้กลางทางระหว่างหมู่บ้านและฐานที่ตั้งที่เราทำไว้

      “เหนื่อยชิบหาย แม่งวิ่งมาเกือบ 500 เมตร” ผมให้พวกเค้าทิ้งรถไว้ก่อนถึงฐานที่ตั้ง และเปิดเพลงในรถทิ้งไว้เพื่อล่อพวกมันไว้ที่นั้นไม่ให้ตามมา ถามว่าได้ผล 100% ไหม คงไม่หรอก ผมเลยต้องให้หน่วยลาดตะเวนอยู่เฝ้า  ถ้ามันหลงเข้ามาต้องกำจัดก่อนที่พวกมันจะถึงหมู่บ้าน

     “มีเยอะแค่ไหน”

     “นี่จะไม่ถามเพื่อนซักหน่อยเหรอว่าเป็นไงบ้าง บาดเจ็บรึเปล่า”

     “ก็เห็นรอดมาอยู่ ต้องถามด้วยเหรอ” ผมมองทุกคนก่อนขึ้นรถอยู่แล้ว ทุกคนปกติดีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงไม่ได้ถาม

      “ต้องถามสิ แสดงความห่วงใยหนะเป็นไหม”

      “จำเป็น?” สงสัยผมจะติดนิสัยกวนๆ จากไออุ่นมาแน่เลย

      “ใจร้าย ทำไมเพื่อนถึงใจร้ายขนาดนี้ ใช่สิ เรามันไม่ใช่ไออุ่นที่น่ารักหนิ” ทำหน้าได้อ้อนทีนมากเลย

      “รู้ตัวก็ดี” ปฏิเสธไปก็เท่านั้น ยอมรับไปให้จบๆ จะได้ไม่ต้องพูดต่อ

      “ได้ยินไหม ไอ้เทน ไอ้นาย ได้ยินเพื่อนรักกูพูดไหม วาวๆๆ ท่านผู้กองผู้เย็นชาของเรากำลังมีความรัก ได้ยินกันไหมวะ!” สงสัยผมจะคิดผิด

      “พอได้แล้ว น่ารำคาญ” อยากจับโยนลงรถให้ซอมบี้กินซะจริง

      “ผู้กองชอบพี่ไออุ่นจริงๆ หรอ” เด็กริวกระซิบถามไอ้โฟรคเบาๆ เบาขนาดที่ได้ยินกันทุกคน ถ้าจะกระซิบขนาดนี้ประกาศเลยก็ได้นะ

      “ก็ได้ยินที่มันพูดแล้วหนิ ห้ามพูดต่อนะ ต้องเหยียบให้แซท” นี่ห้ามหรือส่งเสริม

      “ผู้กองว่าแผนเราจะได้ผลไหม” อยู่ๆ จ่านนท์ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล

      “มันต้องได้ผลแน่ๆ แต่ถ้าไม่ให้เกิดความสูญเสียคงยาก” ผมตอบตามตรง โกหกไปก็ไม่ได้อะไร รู้ตัวแล้วระวังกันดีกว่า “รู้แค่พวกเราเหล่าทหารก็พอ ไม่ต้องบอกคนอื่นให้กังวลใจหรอก”

      “จะช้าจะเร็ว ยังไงเราทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี เครียดไปก็เท่านั้น มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ปล่อยให้เรื่องอนาคตมันเป็นอนาคตไปเถอะ ทำปัจจุบันให้เต็มที่ก็พอ” โฟรคพูดขึ้นขัดกับท่าทีขี้เล่นของตัวเอง ที่แสดงออกมาตลอด


+ + +


       เรากลับมาถึงเกือบหกโมงเย็น ป้าๆ ทำกับข้าวเตรียมไว้รอหลายอย่าง

      “ป้ามีอะไรกินบ้างครับ” รถจอดยังไม่สนิท เด็กริวก็กระโดดลงจากหลังกระบะวิ่งเข้าไปในบ้านทันที

      “มีปลาย่าง แกงส้มดอกแค ส้มตำ  แกงปลาใส่สายบัว น้องอุ่นกระโดดลงไปเก็บเองเลยนะ” เก็บเองเลยเหรอ สงสัยต้องรอกินเป็นพิเศษแล้ว

      “พี่อุ่นอยู่ไหนครับ”

     “อยู่ห้องนั่งเล่นกับน้องๆ จะ” ผมจ่องไอ้เด็กริวอย่างกดดัน

      “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าผู้กอง ผมจะเก็บไว้ให้แซทเลย” ได้ฟังแล้วสบายใจขึ้นเยอะ…ผมประชด

      “พี่ธามกลับมาแล้วเหรอครับ” ลมหนาวเดินเข้ามาทักผม ผมเป็นคนบอกให้น้องเรียกแบบนี้เอง ป้องกันไว้ก่อนจะโดนไออุ่นบอกให้เรียกลุงอีกคน

      “อือ เป็นไงบ้างวันนี้” กับลมหนาวผมไม่ค่อยได้คุยด้วยมากนัก แต่น้องเป็นคนน่ารักคนนึง ไม่ใช่น่ารักแบบนั้นนะ จะว่ายังไงดีหละ นิสัยน้องน่ารัก หน้าตาก็ดี การกระทำน้องจะดูแมนๆ เหมือนผู้ชายทั่วไป เอาง่ายๆ คือ ไม่ได้น่ารักแบบแมนนี่ คุณเข้าใจที่ผมอธิบายไหม คุณต้องเข้าใจนะว่าชีวิตผมเจอแต่ผู้ชายทึกๆ ในค่ายทหาร ผมเลยไม่ค่อยสันทัดเรื่องความน่ารักเท่าไหร่ สรุปแล้วน้องเป็นผู้ชายแมนๆ ที่น่ารัก ผมสรุปถูกใช่ไหม

      “ซอมบี้เยอะกว่าปกตินิดหน่อยครับ แต่เราจัดการได้”

      “ดีแล้ว ตอนที่พวกโจรมาพี่คงต้องไหว้วานให้เราช่วยดูแลทุกคนด้วยอีกแรง”

      “ได้ครับ” น้องเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ลังเลว่าพูดดีไหม “เออ จะมีใครเป็นอะไรไหมครับ” ทุกคนกลัวการสูญเสียทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเจอจนคิดว่าเฉยชากับมันแล้ว แต่เอาเข้าจริงเมื่อต้องสูญเสียกี่ครั้งมันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี

      “พี่คงตอบคำถามนี้ของเราไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่บอกเราได้คือ พี่จะไม่ยอมให้ใครทำอะไรพวกเราได้แน่ พี่สัญญา” น้องทำหน้ากังวล ผมรู้ว่าน้องเข้าใจในสิ่งที่ผมบอก การสูญเสียเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเผชิญกับการสูญเสียอยู่ดี

      “พูดอะไรกัน ทำไมทำหน้าเคร่งเครียดจัง” มาแล้วเจ้าตัวกวน ไออุ่นเดินออกมาโดยมีเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ตามติดมาด้วย

      “พูดเรื่องโจร” ผมตอบอ้อมๆ เพราะไม่อยากให้เครียดกันเกินไป

       “พูดถึงทำไมให้เสียอารมณ์ แต่ว่านะ พูดก็พูดเถอะ ถ้าจับมันได้นะ อยากจะจับถลกหนังแล่เป็นชิ้นๆ โยนให้ซอมบี้กินจริงๆ แค่คิดแล้วก็สะใจแล้ว” เผื่อลืม เรามีเด็กห้าขวบยืนมองตาแป๋วอยู่

      “เออ ผมว่าผมพาน้องไปรอทานอาหารดีกว่า” ดี พาไปเลย

      “เอ้า หิวแล้วเหรอ งั้นก็ไปเถอะเดี๋ยวมัมตามไปนะครับ”

     “คราฟ มัมกับป๊ามาเร็วๆนะ” พูดเสร็จก็ตรงริ้วออกไปที่ที่เราเตรียมไว้สำหรับทานอาหารทันที

      “ทำไมไนท์ต้องเรียกคุณผู้กองว่าป๊าด้วย”

       “ไม่คิดจะเกริ่นนำ หรือทักทายกันก่อนเลยเหรอ” เอาซะผมตั้งตัวไม่ทัน

      “ไงผู้กองมาแล้วเหรอ ตอบได้ยัง” ช่างเป็นการทักทายที่จริงใจเหลือเกิน

      “ก็อย่างที่บอกมิดไนท์น่ารัก ฉันเลยอยากให้เป็นลูก ต้องมีอะไรเยอะกว่านี้ด้วยเหรอ”

      “แค่น่ารัก เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ”

      “ฉันรักมิดไนท์เหมือนลูก ถึงจะไม่เคยมีลูกก็เถอะ ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไม่ดีเลยนะ สาบานได้” รู้จักระแวงระวังก็ดีแล้ว แต่ทำไมต้องมาเริ่มระแวงที่ฉันด้วย

      “แน่ใจ? ไม่ใช่ว่าพอไนท์โตขึ้น ไม่ได้น่ารักเหมือนเดิมแล้วจะเลิกสนใจแกนะ”

      “เห็นฉันเป็นคนยังไง” ผมถามด้วยความไม่พอใจนิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้นนะ “ฉันรักใครแล้ว ฉันจะรักตลอดไป แม้คนๆ นั้นจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม” ผมบอกด้วยความจริงจัง และจริงใจที่สุด

      “ก็ได้ ผมจะเชื่อคุณ แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณผิดคำพูดแล้วทำให้น้องไนท์เสียใจ ผมเอาคุณตายแน่ จะแล่เนื้อเหมือนพวกโจรเลยคอยดู” ทำหน้าตาข่มขู่ ได้น่ากลัวจริงๆ นะเด็กน้อย หึหึ

      “ไม่อยากพิสูจน์ด้วยตัวเองเหรอ ว่าฉันพูดจริงรึเปล่า” อุ่นทำหน้าสงสัย

      “พิสูจน์อะไร ยังไง” เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าเลยเด็กน้อย

      “พิสูจน์ว่าฉันรักใครแล้วรักจริงรึเปล่าไง ถ้าทำให้ฉันรักได้ ก็สามารถพิสูจน์ความสงสัยนั้นด้วยตัวเองได้ไง สนใจไหม ทำให้ฉันรัก ไม่ยากหรอกนะ” อ้าปากเหวอกับข้อเสนอของผมทันที ก่อนจะดึงสติกลับมาได้ใช้เวลาหลายวินาทีเลยทีเดียว

      “รักอะไร ผู้กองบ้าไปแล้ว ออกไปแล้วโดนตีหัวกลับมาเหรอ สมงสมองไปหมดแล้ว” ปากพูดแบบนั้น แต่แก้มนี่แดงเชียว แบบนี้เข้าเรียกปากไม่ตรงกับใจใช่รึเปล่า

      “ทำไมต้องหน้าแดงด้วย” ปากผมมันดันไวเท่าความคิด พอได้ยินคำถามอุ่นหันขวับมาหาผมทันที จากที่ยืนหันไปหันมาตลอดการพูดคุย

      “ที่หน้าแดงเพราะโมโหต่างหาก” ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้อุ่นโมโหนะ

      แต่ตอนนี้ผมว่าเจ้าตัวเริ่มจะโมโหผมจริงๆ แล้วหละ

      “โอเคๆ หน้าแดงเพราะโมโหฉันเชื่อแล้ว” ต้องรีบบอกก่อนที่เด็กน้อยของผมจะโมโหจริงๆ

      “เชอะ” แหนะ มีสะบัดหน้าใส่อีก ดีที่น่าตาน่ารักทำแล้วจึงดูน่ารักไปด้วย ถ้าไอ้โฟรคทำ แค่คิดก็สยอง

      “งอลอะไร”

      “ไม่ได้งอล!” แบบนี้เค้าเรียกว่างอล “ผมเป็นผู้ชายแมนๆ ไม่มางอลเหมือนผู้หญิงหรอก” จะพยายามเชื่อก็แล้วกัน

       “แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง ได้ยินว่าลงไปเก็บสายบัวมาเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะออกทะเลไปไกลเกินไป

      “ซอมบี้เยอะขึ้นนิดหน่อย ไม่มีปัญหาอะไรพอดีเก่งอยู่แล้ว” ทำหน้าภูมิใจในตัวเองสุดฤทธิ์ หน้าเชิดๆ ปากแดงๆ ตาโตๆนั้นมันน่าหมั่นเขี้ยวซะเหลือเกิน “ส่วนสายบัวผมเก็บเองแหละ สุภาพสตรีอยากได้ สุภาพบุรุษอย่างผมต้องลงไปเอาให้อยู่แล้ว” ครับสุภาพบุรุษที่น่ารัก

      “ดีแล้ว พรุ่งนี้คงหนักกว่าวันนี้มาก ไหวนะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

      “โจรมาพรุ่งนี้หรอ” อุ่นทำหน้าเคร่งเครียดทันที แต่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ทำหน้ากวนปกติของเค้า

      “ไม่หรอก คงถึงมะรืนนี้ แต่ซอมบี้ที่เราล่อมาคงหลุดมาที่นี้อยู่บ้าง”

      “ชิวๆ นา แค่ซอมบี้ไม่กี่ตัว ไม่น่ากลัวเท่าโจรหรอก” จริง ซอมบี้ไม่น่ากลัวเท่ามนุษย์เราหรอก

      “ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่ก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาท” ผมมีหน้าที่ต้องทำไม่ได้อยู่คอยดูแล จึงอยากใหุเค้าระวังตัวให้มาก

      “รู้แล้ว ผู้กองก็ระวังตัวด้วยหละ โอ้ยย หิวข้าวไม่คุยด้วยแล้ว หิวๆๆๆ” แล้ววิ่งจู้ดออกไปทันที ถึงจะเร็วแค่ไหนผมก็ทันเห็นหน้าแดงๆ นั้นอยู่ดี


      ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะระวังตัวแล้วกลับมาให้ได้ ฉันจะไม่เป็นอะไร…


หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่9☆ P.2☆31/12/2018]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-01-2019 00:21:07
คู่พระนายกัดกันเก่งจริงๆ :hao7:
นี่ลุ้นมาก ว่าถ้าพวกโจรบุกจะเป็นยังไง :ling3:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่10☆P.2☆3/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 03-01-2019 10:52:30
- 10 -


[ธาม]

      เค้าว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะสั้นเสมอ นั้นคือเรื่องจริง เวลาหนึ่งวันช่างเร็วเหมือนหนึ่งนาที เวลาที่เราไม่อยากเผชิญก็ได้เวียนมาหาในที่สุด

      ตอนนี้เป็นเวลา 7.00 น. เราทานอาหารเสร็จแต่เช้า เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นทุกคนจึงตื่นเร็วกว่าปกติ บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

      “จ่า พาทุกคนไปที่บ้านท้ายไร่กล้วย แล้วเฝ้าทางเข้าด้านหลัง” ผมให้จ่ารับหน้าที่เฝ้าทางเข้าด้านหลังไร่พร้อมทหารห้านาย เราจะประมาทไม่ได้ ถึงการที่โจรจะเข้าทางด้านหลังไร่แทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม

      “ครับผู้กอง! ระวังตัวด้วยนะครับ”

      “เช่นกัน ระวังตัวด้วย มีอะไรวิทยุสื่อสารมาทันที” ผมสำทับจ่าเรื่องนี้อีกรอบ

      “ครับ!” จ่ารับคำพร้อมเดินออกจากบ้านไปดูความเรียบร้อยของทุกคน

      เราคาดการณ์ว่าพวกมันน่าจะมาถึงประมาณบ่ายโมง อย่างช้าไม่น่าจะเกินบ่ายสาม สายของเรารายงานว่า รถที่พวกมันใช้มีทั้งหมด 6 คัน รถใหญ่ของทหารสอง กระบะติดอาวุธสองคัน รถตู้หนึ่ง และรถเฟอร์รารี่สีแดงอีกหนึ่ง เราคาดการณ์ว่าตัวหัวหน้ามันต้องอยู่ในเฟอร์รารี่แน่ๆ

      สายของเราไม่ได้ติดตามพวกมันมาด้วย เพราะมันเสี่ยงเกินไป ถนนโล่งๆ การจะขับรถตามโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ เป็นอะไรที่ยากมาก ผมจึงให้สายดักรอดูความเคลื่อนไหวอีกจุดที่ราชบุรี

       เมื่อคืนพวกมันพักที่ราชบุรี และเดินทางออกมาที่นี่แต่เช้าตรู พวกมันค่อนข้างระวังตัวมาก มีการจัดเวรยามเฝ้าระวังตลอดทั้งคืน จำนวนของพวกมันมีมากพอสมควรประมาณสามสิบกว่าคนเกือบสี่สิบ ถ้าเป็นแค่พวกมือสมัครเล่นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นพวกมีฝีมือเราแย่แน่

      สายยังรายงานต่ออีกว่า อาวุธของพวกมันเยอะพอสมควร มี M16 อยู่หลายกระบอกทีเดียว

      “อุ่น เดี๋ยวก่อน” อุ่นเดินผ่านมาขณะที่ผมกำลังยืนคิดอะไรอยู่คนเดียว สักพักเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ที่วิ่งตามหลังมา ก็เข้ามาเกาะขาผมทันที

      “ป๊า วันนี้จะไปสู้กับโจรหรอคราฟ” ผมยังไม่ได้พูดกับไออุ่นเลย เจ้าตัวเล็กก็ถามขึ้นมาซะก่อน ผมจึงอุ้มเข้าขึ้นมาไว้แนบอกของผม

      “ใช่ครับ วันนี้ป๊าต้องไปสู่กับโจร วันนี้น้องไนท์ต้องไม่ดื้อ ไม่เสียงดังนะครับ เดี๋ยวโจรมันได้ยิน แล้วถ้าเจอโจร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือหนีเข้าใจไหมครับ” ผมพูดเผื่อไว้ในกรณีที่เหตุการณ์มันเลวร้ายขั้นสุด เพราะเด็กตัวแค่นี้ไม่มีทางสู้กับพวกโจรได้แน่

      “คราฟ น้องไนท์จะทำตามที่ป๊าบอก” เจ้าตัวเล็กกอดคอผมแล้วซบหน้าลงกับไหล่ ผมว่าผมหลงรักเจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ ซะแล้ว ถึงผมไม่เคยมีน้อง ไม่เคยมีลูก ไม่เคยต้องดูแลใคร แต่ผมสาบานกับตัวเองเลยว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด เหมือนลูกของผมจริงๆ

      “อะแฮ่ม เผื่อลืมว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ เรียกแล้วก็ไม่พูด” ประโยคหลังเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดแค่ไหนหน้าของเจ้าตัวก็ยังสดใส และกวนอยู่เสมอ

      ผมชอบนะ ที่เค้าอารมณ์ดีอยู่ตลอด มันช่วยให้ชีวิตที่เย็นชาของผมอบอุ่นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น ความคิดที่แปลกๆ หน้าตากวนๆ ของเค้าผมว่ามันก็น่ารักดีนะ

      “ยังยืนยิ้มอยู่อีก หลับในแล้วฝันหวานเหรอครับคุณผู้กอง ยืนเหม่อยิ้มอยู่ได้” อุ่นทำหน้าเอื่อมๆ ใส่ผม เหมือนมองคนสติไม่ดี

      “ฉันไม่ได้ยืนยิ้มเพราะฝันหวานหรอก แต่เพราะฉันกำลังยืนมองหน้าหวานๆ ของใครบางคนอยู่ต่างหาก” ผมเป็นคนพูดประโยคเมื่อกี่จริงๆ เหรอ ผมบ้าไปแล้ว แล้วดูเจ้าตัวจะตกใจกับคำพูดของผมอยู่ไม่น้อย

      “นี่มุกของคนแก่หรอ บอกเลยว่าไม่ได้เรื่อง” พอตั้งสติได้ก็ตอบกลับผมทันที ปากบอกไม่ได้เรื่อง แต่หน้ากับหูนี่แดงเถือกเลย เด็กน้อยเอ้ยยย…

      “หว่า ไม่หวั่นไหวซะได้ เสียดายจัง” ผมเกิดจนโตมาเกือบสามสิบปี ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีมุมนี้ด้วย ที่ผ่านมาผมคงอยู่เหล่ากับชายฉกรรจ์มากเกินไปสินะ

      “พอๆ มีเรื่องอะไรรีบพูดมาเถอะครับคุณผู้กอง” เปลี่ยนเรื่องอีกแล้วสิน่า

      “ฉันบอกให้เรียกพี่ธามเหมือนลมหนาว ทำไมยังเรียกคุณผู้กองอยู่ได้” ดื้อจริงๆ เลยไอ้ตัวกวน

      “ทำไมต้องเรียกแบบนั้นด้วย ถ้าจะเรียกพี่ เรียกลุงดีกว่า คุณลุงธาม” มีมายิ้มกวนท้าทายอีก อยากหยิกแก้มซะจริง

      “ทำร้ายจิตใจกันชะมัดเลย”

      “แค่เรียกลุงแค่เนี่ยทำเป็น” เจ้าตัวทำหน้าไม่เชื่อในสีหน้าเศร้าๆ ของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้เศร้าจริงๆ นั้นแหละ แค่เจ็บจี๊ดๆ

      “ใจร้ายซะจริง” ทำหน้าเอื่อมใส่ผมอีกแล้ว

      “รีบพูดมาเถอะผู้กองเดี๋ยวสาย” ไม่สนใจผมเลย ใจร้ายจริงๆ เด็กน้อย

      “ก็ได้ๆ นี่” ผมเดินไปหยิบปืนสั้นสองกระบอก พร้อมกระสุนสำรองส่งให้ไออุ่น “เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน อีกกระบอกให้แมนนี่” ธนูก็ดี แต่จะให้สู้กับโจรด้วยธนูจะเสียเปรียบเกินไป

      “ขอบคุณครับ” ถึงจะกวนแค่ไหน ไออุ่นก็จะพูดกับคนอายุมากกว่าด้วยถ่อยคำสุภาพเสมอ

      “หลับเหรอ ถึงว่าเงียบผิดปกติ” ผมหันไปมองเด็กน้อยมิดไนท์ที่ซบอยู่บนไหล่ ปรากฏว่าหลับครับ ไม่น่าถึงนิ่งและเงียบนัก

      “เมื่อคืนนอนดึก แล้วยังต้องตื่นเช้าเลยง่วงแบบนี้ มาผมอุ้มเอง” เด็กน้อยกลับ แต่แขนดันกอดคอผมแน่นเลย

      “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันอุ้มไปส่ง”

      “แต่คุณมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ส่งมาเถอะ ผมอุ้มได้น่า ก็อุ้มมาตลอดอยู่แล้ว ปืนก็วางไว้นี้แหละ เดี๋ยวผมให้แมนนี่มาเอาเอง” อยากไปส่งนะ แต่ผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ

      “ก็ได้ ดูแลตัวเองดีๆ ถ้ามีอะไรให้หนีเข้าป่าไปก่อน ป่าจะช่วยซ้อนตัวจากพวกโจรได้ ไม่ต้องไปสู้กับมัน เดี๋ยวฉันจัดการพวกมันเอง เข้าใจไหม” ถึงจะเคยฆ่าซอมบี้มามากแค่ไหน แต่กลับคนมันต่างกัน ผมไม่อยากให้เค้าได้รับอันตราย

      “เข้าใจน่า ผมไม่ทำให้น้องๆ และทุกคนต้องเสี่ยงหรอก ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมจะพาทุกคนหนีเข้าป่าเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงตัวเองเถอะ… ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยหละ” พูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่หน้าแดงระเรื่อน่ารักจริงๆ ผมเออออไปไม่อยากแซว

      “ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ไปเถอะ ได้เวลาแล้วเดี๋ยวทุกคนรอ ดูแลตัวเองดีๆ” เจ้าตัวพยักหน้าเข้าใจ พร้อมเดินออกไป กำลังจะพ้นประตูอยู่แล้วแต่ก็หยุด แล้วพูดบางอย่างกับผมก่อนเดินริ่วออกไป

      “ถ้าจบจากเรื่องนี้แล้วผู้กองไม่เป็นอะไร จะเรียก ‘พี่’ ก็ได้” ปากผมมันหุบยิ้มไม่ได้เลยสิน่า ไอ้โฟรคมาเห็นคงคิดว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ เหตุการณ์ตึงเครียดจะตายแต่ยืนยิ้มไม่หุบ

      ผมสาบานกับตัวเองว่าผมจะกลับมา ผมต้องไม่เป็นอะไร…






       เวลาเกือบบ่ายโมง ซอมบี้ที่เราล่อมาวันก่อนอยู่ห่างจากเราประมาณ 500 เมตร กำลังเดินไปทั่วบริเวณเนื่องจากเสียงเพลงในรถหยุดตั้งแต่คืนนั้นแล้ว เราพยายามที่จะไม่ฆ่าซอมบี้ซะก่อน แต่บางตัวก็เข้าใกล้เราเกินไป จึงจำเป็นที่ต้องกำจัด

      (“เหยี่ยว2 เรียกกองเหยี่ยว ขณะนี้ฝูงหมาป่าเคลื่อนตัวออกจากในเมืองกาญจนบุรี มุ่งหน้าทางตะวันตก อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงถึงเป้าหมายครับ”) สายหนึ่งที่เราส่งออกไปซุ่มตัวอยู่ถนนสายหลักที่ต้องผ่านทั้งหมดสี่สายรายงานมา โดยฝูงหมาป่าเลือกเส้นทางจากตัวเมืองเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย

      “กองเหยี่ยวรับทราบ เหยี่ยว2 เรียกรวมเหยี่ยว 1,3,4 เพื่อเป็นกองหนุนรอบนอกทราบแล้วเปลี่ยน” ทหารของเราทุกคนมีค่า ต้องร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี

      (“รับทราบครับ”) เมื่อเหยี่ยว1 หยุดการสนทนาไป เราจึงเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่กำลังเผชิญ

      “ทุกคนฟัง! พวกมันกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมอยากให้ทุกคนทำให้เต็มที่ สู้ให้สุดกำลัง ฆ่าให้หมดไม่ต้องปราณี ถึงจะเป็นมนุษย์ด้วยกันก็ตาม จำไว้แค่ว่าถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันนั้นแหละที่จะฆ่าเรา อย่าปล่อยให้มันไปฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้อีก” ผมสำทับถึงความสำคัญในการสู้ครั้งนี้

      “เราผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย ทุกคนเป็นเหมือนเพื่อน เป็นญาติพี่น้องของผม ผมไม่รู้ว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่ผมรู้ในตอนนี้คือผมจะสู้ให้ถึงที่สุด เพื่อคนที่ผมรัก เพื่อทุกๆ คนที่รอคอยเราอยู่ สิ่งที่เราปกป้องอยู่นี่ไม่ใช่แค่อาหารหรือคนเพียงน้อยนิด แต่เป็นลมหายใจที่คอยต่อชีวิตให้คนในชาติของเรา ชีวิตทุกคนฝากไว้ในมือของเรา จงทำให้เต็มที่ และที่สำคัญดูแลตัวเองให้ดี และผมขอให้ทุกคนปลอดภัย ไปทำหน้าที่ของตัวเองได้”

      “ครับ/ครับ/ครับ”

      ตอนนี้ทุกคนเข้าประจำที่ของตนเองพร้อมอาวุธครบมือ กระจายกันออกสองข้างทางเพื่อซุ่มโจมตี ผมประจำอยู่แนวหน้าบนรถพร้อมกับเทนเพื่อเป็นด่านแรกในการโจมตี

      (“พวกมันมากันแล้ว”) เสียงวิทยุสื่อสารจากไอ้โฟรคที่ซุ่มอยู่ทางด้านนอกดังขึ้นมาให้ผมใจเต้นแรง ถึงเวลาแล้วสินะ

      “รอฟังสัญญาณ แล้วเข้าตลบหลังมันทันที”

      (“แย่แล้วมีพวกมันแยกไปจอดรอทางด้านขวาเป็นรถตู้กับเฟอร์รารี่ เอาไงถ้าฉันตามไปตอนนี้พวกที่จอดรอด้านขวารู้แน่ๆ”) ก่อนถึงทางเข้าจะเป็นสี่แยก พวกมันคงส่งทัพหน้าเข้ามาก่อน พวกหัวหน้าคงรออยู่ด้านนอก

      “พวกขี้ขลาด มันต้องให้พวกลูกน้องมาลุยก่อนแน่ๆ เฝ้าพวกมันไว้ ยังไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัวซะก่อน” รอไปเถอะ ฉันจัดการลูกน้องพวกแกเสร็จ รายต่อไปก็คือพวกแก

      (“รับทราบ ระวังตัวด้วย”)

      “เช่นกัน” ผมหันไปวิทยุสื่อสารสั่งทุกคนต่อ “อีกไม่ถึงห้านาทีพวกมันจะถึงแล้วเตรียมพร้อม รอฟังสัญญาณ สู้ให้เต็มที่ และขอให้ปลอดภัย” อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

      (“ผู้กองครับ พวกมันขับรถห่างกันเป็นร้อยเมตรเลยครับ”) เสียงจ่านายดังมาตามวิทยุสื่อสาร พวกมันระวังตัวกันมาก

      “บอกลำดับรถ” ทุกอย่างต้องเร่งรีบที่สุดในตอนนี้

      (“กระบะ รถทหารสอง และปิดท้ายด้วยกระบะครับ”) ยิงกระบะคันแรกไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะกองกำลังหลักมันอยู่บนรถทหาร

      “เทนยิงรถคันที่สอง ปล่อยคันแรกให้มันเข้ามาเลย” เราซุ่มอยู่สองข้างทาง ถ้ายิ่งรถคันแรกที่อยู่ใกล้เราที่สุด รถคันด้านหลังต้องรู้ตัวก่อนแน่ๆ สู้เรายอมเสี่ยงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดดีกว่า
 
      “แต่รถคันแรกจะเข้าใกล้เราเกินไปนะครับ” เทนหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่เราต้องทำ

      “ทุกคนเตรียมพร้อม เมื่อได้ยินเสียงระเบิดเมื่อไหร่ ถล่มมันทันที” ตอนนี้ซอมบี้กำลังตามเสียงรถมาทางนี้ ซอมบี้จะถึงพวกมันก่อนเรา คงช่วยเราได้พอสมควร

      เสียงปืนจากการยิงซอมบี้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฟังจากเสียงน่าจะเป็น M16 พวกมันคงกระหายการเข่นฆ่าอยู่พอตัว ถ้าฟังจากเสียงปืนที่รัวยิงซอมบี้

      “ทุกคนเงียบที่สุด พวกมันมาแล้ว เทนเล็งไปที่รถทหารคันแรก” พวกมันขับมาด้วยความเร็วไม่มากนักเพราะมีซอมบี้อยู่ตลอดทาง “ให้มันมาใกล้กว่านี้ อีกนิด” พวกมันขับห่างกันเป็นร้อยเมตร ซึ่งเราไม่สามารถกำจัดพวกมันทีเดียวได้ เลยต้องเลือกเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุด

      “รถคันแรกมันจะถึงที่ที่เราซุ่มอยู่แล้วนะครับ” เทนกระซิบบอกผมด้วยความกังวล

      “เชื่อที่ฉันบอก แล้วทำใจให้สบายๆ ทำหน้าที่ของตัวเองไป เพราะนายได้รับหน้าที่ที่สำคัญที่สุด” ผมพยายามทำให้เทนผ่อนคลาย เพื่อทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ แต่ดูแล้วคำพูดผมมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

      “เทนเตรียมพร้อม เล็ง อีกนิด อีกนิด จัดการยิง!” เมื่อได้ระยะที่ผมคิดว่าดีที่สุดจึงสั่งให้หมู่เทนยิง RPG ออกไปทันที

      ตู้มมม!!!  เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนหูแทบอื้อ รถทหารที่โดนแรงระเบิดกระจัดกระจายออกไม่มีชิ้นดี เลือดกระจายออกเต็มพื้นที่ อย่างน่าสยดสยอง แขนขาตกกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

      รถคันที่ตามมาหักหลบเข้าข้างทางทันที รถคันแรกเจอพิกัดที่เราอยู่ทันทีที่เรายิงอกไป

      “ลุย!!” ผมสั่งการให้เข้าปะททันที ถึงจะเหลือ RPG อีกลูกแต่ด้วยระยะ และสภาพแวดล้อมทำให้เราไม่สามารถยิงรถอีกคันได้ จึงต้องใช้ปืนเพียงอย่างเดียว

      “นายประจำปืนกล93 M2 แล้วถล่มรถคันแรกซะก่อนที่มันจะเห็นนาย” รถคันแรกใกล้เราเกินไป ในขณะที่รถคันอื่นอยู่ห่างจากเรามากกว่าร้อยเมตร

      ปังๆๆ เสียงปืนจากรถคันแรก รัวมาในทางทีผมกับเทนอยู่ เป็น M16 รัวจนผมไม่สามารถโผล่หัวขึ้นไปมองได้เลย

      ปังๆๆ เสียงปืนจากนายดังขึ้นมาสำทับ ทำให้วิถีกระสุนบางส่วนเปลี่ยนทิศทางไปเล่งที่อื่น

      “เป็นไงบ้าง” ผมหันไปถามเทนที่มีเลือดออกที่แขนไม่มากนัก

      “ไม่เป็นไรครับ แค่เฉียดๆ”

      “ประจำอยู่ที่นี่ แล้วช่วยนายจัดการรถคันแรก ฉันจะไปจัดการที่เหลือ” ผมรู้ว่านายกับเทนเอาอยู่ ผมจึงไปหากลุ่มใหญ่ที่กำลังลงจากรถเข้าไปซุ่มในป่า
       แต่ขอโทษนะ พอดีป่าเราดันมีแต่ซอมบี้หนะสิ ไม่ว่าจะซุ่มยังไงก็ต้องเผยตัวอยู่ดี
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่10☆ P.2☆3/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 03-01-2019 11:00:18
[ต่อตอนที่ 10]


      เสียงปืนปะทะกันดังสนั่นป่า สองฝั่งสาดกระสุนใส่กันอย่างเดือดดาล ผมค่อยๆ เข้าใกล้จัดการทีละคนๆ ขณะที่ฝั่งนั้นต้องยิงทั้งฝั่งผมและซอมบี้

      ปัง กระสุนเจาะกะโหลก ทำให้เจ้าของร่างแน่นิ่งไปในทันที

      เราอยู่ไกลกันเกินกว่าจะใช้ระเบิดมือ อีกทั้งต้นไม้ยังเยอะมากด้วย ถ้าเขวี้ยงไปไกลๆ ต้องโดนต้นไม้แล้วเปลี่ยนทางแน่ๆ ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้คือปืน

       ผมพลางตัวไปกับต้นไม้ ค่อยๆ กำจัดไปทีละคนๆ

      “โอ้ยย!!” เสียงทหารคนหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด ผมวิ่งเข้าไปช่วยโดยทันที แต่มีพวกมันคนนึงกำลังเข้าถึงตัวเค้าก่อนผม

      ปังๆ ผมยิงนัดแรกผลาดโดนต้นไม้ แต่นัดที่สองไม่พลาดเข้าหัวใจจังๆ จนมันล้มลงไปตายทันที

      “เป็นยังไงบ้าง” เลือดออกบริเวณต้นขาของเขาเยอะมากเลยทีเดียว

      “ผมทนไหวครับ” เค้ากำลังกัดฟันเพื่อทนต่อความเจ็บปวด

      “เดี๋ยวฉันจะห้ามเลือดไว้ให้ก่อน อดทนไว้ อีกไม่นานทุกอย่างจะจบ” ผมได้แต่บอกให้เค้าทนไว้ ตอนนี้เราไม่มีเวลาที่จะพาคนเจ็บออกไปรักษาเลย

      “ผมทนไหว ผู้กองไม่ต้องห่วง”

      (“ไอ้ผู้กองพวกมันกำลังไปทางขวา”) โฟรควิทยุสื่อสารมาบอกข่าวผม ทำไมพวกไม่เข้ามามาช่วย พวกมันจะทำอะไรกันแน่

      “ตามมันไป ทางนี้ฉันจัดการเอง” ผมไม่ไว้ใจพวกมัน ผมไม่รู้ว่ามันคิดจะทำอะไร

      (“เออ แล้วเป็นไงบ้าง”)

      “กำลังชุลมุน กูว่าจำนวนมันมากกว่าที่คิด”

      (“กูก็คิดงั้น ไปแล้ว”)

      “เออ” คุยเสร็จผมก็หันไปพูดกับคนเจ็บต่อ “ทนเอาไว้ ฉันต้องไปก่อน”

      ผมอ้อมไปด้านหลังอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ตัว ไม่ง่ายเลยถ้าต้องเจอซอมบี้ทุกๆ สิบเมตร ผมต้องใช้ปืนเล็กเก็บเสียงฆ่าซอมบี้ เพื่อไม่ให้พวกโจรรู้ตัว ต้องปิดวิทยุสื่อสารไว้ด้วย ถ้าใครอยากติดต่อคงต้องรอไปก่อน

      พวกมันประจำอยู่ที่รถทหารแค่ห้าคน ส่วนรถอีกคันจอดห่างกันด้านหลังประมาณ 40 เมตร รถด้านหลังติดปืน M16 และปืนกลเล็กด้วย ถ้าผมกำจัดรถทหาร ผมคงต้องเป็นเป้าของรถคันด้านหลังแน่ๆ

      ผมค่อยๆ คลานไปกับพื้น เพื่อเข้าใกล้พวกมันให้มากที่สุด โชคดีที่ป่าค่อนข้างรก ทั้งต้นไม้และหญ้าหนาแน่นพอสมควร จึงพรางตัวได้

      ผมเอาระเบิดออกมาจากกระเป๋าเล็กด้านหลัง ทันทีที่ดึงสลักออก ผมลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้พวกมันตั้งตัว พร้อมขว้างไปที่รถที่พวกมันจับกลุ่มกันอยู่

      ทันทีที่ระเบิดหลุดออกจากมือ ผมรีบกระโดดไปหลังต้นไม้และหมอบต่ำ เพื่อหลบวิถีของแรงระเบิด

      ตู้มมม!! เสียงระเบิดทำผมหูอื้อชั่วขณะ อย่างกับมีแมลงทั้งฝูงเข้ามาบินในหูของผมก็ไม่ปราณ

      ยังไม่มีโอกาสรอให้หูหายอื้อ ผมก็ตกเป็นเป้าหมายของรถคันหลังซะแล้ว ทั้ง M16  ทั้งปืนกล ต่างเล็งมาที่ผม บอกได้คำเดียว ‘ชิบหายแล้ว’

      ผมไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย กระสุนรัวมาไม่ต่างจากเม็ดฝนที่ตกจากฟ้า ถ้าข้างหน้าผมไม่เป็นเนินดิน ผมคงตายไปแล้ว

      ต้องทำอะไรซักอย่าง อยู่รอให้พวกมันเข้ามาหาแบบนี้ ผมคงต้องตายจริงๆ แน่

      ผมตัดสินใจขว้างระเบิดไปอีกลูกเพื่อหาทางหนีไปตั้งหลัก

     ปังๆๆ

     ตู้มมม!

     ขณะที่พวกมันหลบระเบิด ผมรีบพาตัวเองออกจากที่นั่นทันที ระหว่างที่วิ่งไปเลือดผมก็ไหลตามทาง คุณฟังไม่ผิดหรอกเลือดของผมเอง ใช่ ผมโดนยิง แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมผมโดนยิงที่แขนซ้าย ทั้งที่ผมใช้แขนขวาโผล่จากเนินดินเพื่อขว้างระเบิด คิดซะว่าในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดี อย่างน้อยแขนข้างที่ถนัดยังปกติดีอยู่

      ผมวิ่งออกมาจนพ้นจากพวกมัน พร้อมฉีดชายเสื้อเพื่อเอามาห้ามเลือด ดีที่กระสุนทะลุแขนออกไปไม่ฝังใน แขนผมมีอาการเจ็บและเลือดไกล แต่ก็ยังใช้งานได้ปกติ แสดงว่าไม่โดนจุดสำคัญ ทำให้ผมวางใจได้ในระดับหนึ่ง

      เมื่อจัดการกับแผลเสร็จ สิ่งต่อมาที่ผมต้องจัดการคือไอ้พวกที่ยิงผม ถ้าดูจากจำนวนคนและอาวุธปืน ผมเป็นลองอยู่มากเลยทีเดียว แต่ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ

       ผมจับซอมบี้ตัวหนึ่งมาผูกไว้กับต้นไม้ พร้อมถอดเสื้อนอกของผมใส่ให้มัน ถ้าดูจากอีกฝั่งจะเห็นว่าผมยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ ด้วยหญ้าที่ค่อนข้างสูงพวกมันมองไม่เห็นเชือกที่ผูกซอมบี้ไว้แน่ๆ โชคดีที่ผมเตรียมของจำเป็นใส่กระเป๋าเล็กมาด้วย

      ส่วนตัวผมนอนลงกับพื้นดิน ที่ติดกับต้นไม้ระหว่างทางไปหาซอมบี้ที่ผมผูกไว้ ถ้าพวกมันจะไปหาซอมบี้ตัวนั้นต้องผ่านตรงนี้แน่ๆ เพราะทางอื่นต้นไม้เยอะเกินกว่าจะขับรถผ่านไปได้

      ผมนอนแล้วนำใบไม้แห้งถมตัวเองจนมิดเพื่อพรางตัว ผมยิงปืนขึ้นเพื่อให้มันรู้ตำแหน่งที่ซ้อน โดยมืออีกข้างถือระเบิดเตรียมไว้ ถ้าพลาดผมเสร็จพวกมันแน่ๆ ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ผมไม่มีทางหนีได้เลย

      บลื้นๆ! เสียงรถกระบะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ใกล้พอที่ผมจะขว้างระเบิดถึง ผมรอให้พวกมันผ่านจุดที่ผมซุ่มอยู่ก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่พลาดแน่ๆ

      บลื้นๆ เสียงรถใกล้ผมมากเลย ปังๆๆ ยังไม่ใกล้จุดที่ซอมบี้อยู่พวกมันก็รัวยิงซะแล้ว อย่าเพิ่งจอด เข้ามาอีกสิ เข้ามา ผมได้แต่ภาวนาให้มันเข้ามาใกล้ผมอีก

      ใช่แล้ว ระยะนี้แหละเหมาะเหม่งเลย

     “เฮ้ย ไม่ใช่ไอ้หน้านิ่งนั้นหวะ แต่เป็นซอมบี้ เราโดนหลอก!” รู้ตัวตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วหละ หึหึ

      ตู้มมม!! ตายซะเถอะพวกเดนมนุษย์ ผมหมอบต่ำ แต่ก็ยังมีเศษชิ้นส่วนของรถตกมาโดนผมบ้างเป็นบางส่วน

      แรงระเบิดระยะใกล้ไม่ใช่เล่นๆ เลย ทำเอาผมมึนหัวพอสมควร อ่า…หูอื้ออีกแล้วสิ

      หลังจากผมตั้งหลักได้ จึงสำรวจความเสียหายของพวกมัน มีคนนึงขาขาดแต่ยังไม่ตาย ผมเดินเข้าไปหามันช้าๆ

      “อย่าๆ อย่ายิง ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับพวกแกอีก…”

      ปัง!!

      ผมบอกแล้ว ถ้าตีงูต้องตีให้ตาย คนแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเสวนาด้วยให้เสียพลังงานหรอก

      ผมกำจัดรถทั้งสองคันแล้วเหลือแค่กำจัดพวกที่หลงเหลืออยู่ในป่า หาไม่ยากหรอก ได้ยินเสียงปืนตรงไหน ก็ตามไปตรงนั้น กำจัดมันให้หมด

       ผมค่อยๆ ไปทางด้านหลังพวกมันแล้วฆ่าทีละคนๆ

     แกรก!! ผมหันปืนไปทางต้นเสียงทันที

      “อย่ายิงๆ ผู้กอง ผมเองๆ นายเองครับ แหะๆ” นายยกมือสองข้างขึ้นเหนือหัวขณะที่เดินเข้ามาหาผม

      “ทำไมมาเงียบๆ ถ้าฉันเผลอยิงไปจะทำยังไง” เจ้าตัวยิ้มเจื่อนส่งให้ผม

      “ก็ผมนึกว่าผู้กองเป็นพวกมัน เลยจะเข้ามาจัดการซักหน่อย พอรู้ว่าเป็นผู้กอง ผมก็จะทักแล้วแต่ผู้กองดันเจอผมซะก่อน แหะๆ”

      “เอาเถอะ แล้วสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” ผมปิดวิทยุสื่อสารไว้จึงไม่รู้สถานการณ์ของอีกด้าน

      “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เรากำลังตามเก็บพวกที่เหลืออยู่ ส่วนพวกเราไม่มีผู้เสียชีวิต แต่คนบาดเจ็บค่อนข้างเยอะอยู่ครับ”

      “พาคนเจ็บไปรักษาซะ ที่เหลือฉันจัดการเอง ไอ้อิฐมันอยู่ราวป่าด้านนั้นโดนยิงที่ขา พามันไปให้เร็วที่สุด” เพราะเวลาผ่านมาค่อนข้างนานแล้วหลังจากที่ผมผละจากไอ้อิฐมา

      “ครับผู้กอง” หลังจากรับคำผมแล้ว เจ้าตัวก็วิ่งออกไปทันที หวังว่าจะรักษาทันแล้วปลอดภัยทุกคนนะ

      ผมเดินไปทั่วบริเวณเพื่อกำจัดพวกที่เหลือทั้งโจรและซอมบี้

     “ผู้กองๆ!!” เสียงของเทนดังมาจากด้านนึงของป่า

      “ทางนี้!!” เทนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาผม “จะเสียงดังทำไม มีอะไร”

      “ผู้กองเปิดวิทยุสื่อสารด่วนๆ มีเรื่องแล้วครับ มีเรื่องแล้ว” เกิดอะไรขึ้นอีก ผมรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาเปิดทันที “ติดต่อหาหมวดโฟรคด่วนเลยครับ”

      “ธามเรียกโฟรคตอบด้วย ได้ยินไหม” ผมถามอีกครั้งเมื่อฝั่งนั้นยังเงียบ ผมดูจากอาการร้อนรนของเทนแล้ว น่าจะเรื่องใหญ่พอสมควร มันทำให้ผมร้อนรนไปด้วย

      (“ไอ้ธาม!! ติดต่อได้ซักทีนะมึง กูก็นึกว่าตายห่าไปแล้ว”) ทำไมต้องเกรี้ยวกราดขนาดนั้นด้วยนะ แสดงว่าเรื่องใหญ่จริงๆ

      “เออ มีอะไร ดูร้อนรนแปลกๆ”

      (“ทางนั้นเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”) มันไม่ตอบคำผม แต่ถามกลับมาแทน ทำให้ผมร้อนใจขึ้นกว่าเดิมอีก

      “เรียบร้อยดี มีอะไรกันแน่รีบๆ พูดมา”

      (“มึงจำที่กูบอกว่า พวกโจรมันออกไปทางด้านขวาได้ไหม”)

      “เออ ว่าต่อ”

      (“พวกมันอ้อมเข้าทางด้านหลังไร่”) ไม่นะๆ

      “มีใครเป็นอะไรบ้าง” สิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด ผมหวังว่าจะไม่ได้ยินมัน

      (“มีทหารเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัสสอง ที่เหลือพ้นอันตรายแล้ว จ่าเป็นหนึ่งคนที่บาดเจ็บสาหัส หมอกำลังช่วยอยู่”)

      “พวกมันรู้ทางเข้าได้ยังไง” มีแค่คนในเท่านั้นที่รู้ และก็คนในพื้นที่ หรือในพวกมันมีลูกมีหลานของคนในพื้นที่ มันยังไงกันแน่

      (“เรื่องนั้นค่อยมาคุย เพราะยังมีอีกเรื่องที่มึงต้องรู้”) ยังมีอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้อีก

      “อะไร”

      (“มิดไนท์โดนยิง…”) มันยังพูดไม่จบผมก็ตกใจแล้วพูดขึ้นมาซะก่อน

      “อะไรนะ ไม่จริงใช่ไหม ไม่ๆๆ” แค่เด็กอายุห้าขวบเองนะ ต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

      (“ฟังก่อนสิวะ น้องไม่เป็นอะไรแล้ว กระสุนแค่เฉียดแขนไป ไม่เป็นอะไรมาก แต่คนพี่นี่สิ ลมหนาวโดนยิงเข้าบริเวณท้อง หมอกำลังรอคิวผ่าตัดอยู่ หมอไม่พอ ต้องรอก่อน ตอนนี้ไออุ่นกำลังสติแตกร้องไห้ไม่หยุดเลย”) คนเจ็บเยอะเกินไป หมอเรามีแค่สามคนเอง ขอให้น้องปลอดภัยทีเถอะ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จากความดีทุกอย่างที่ผมเคยทำมา ผมขอให้น้องและทุกคนปลอดภัย

      “ฉันจะรีบกลับไป ส่วนเรื่องอื่นค่อยคุย”

      (“เออ รีบมาเลย”)

      ขณะเดินทางกลับผมได้แต่ภาวนาตลอดทาง เพื่อขอให้ทุกคนปลอดภัย




      ผมเดินทางมาถึงบ้านที่ทำเป็นโรงพยาบาลจำเป็น แค่เดินมาถึงหน้าบ้านก็เจอกับคุณโรสที่กอดศพพ่อ หรือคุณ สส. นั้นแหละ ซึ่งนอนอยู่ข้างๆ กับผู้ชายอีกคน ซึ่งผมไม่รู้ว่าใคร ทำไมโฟรคถึงไม่บอกเรื่องที่ สส ตาย

      ผมเดินเข้าไปใกล้จนคุณโรสสามารถมองเห็นได้ เธอวิ่งเข้ามากอดผมทันที

      “ผู้กอง พ่อกับ พี่โรส ฮืออออ… พ่อกับพี่โรส มันฆ่า เป็นมัน คุณต้องฆ่ามันให้โรสนะ ฮือๆ ต้องฆ่ามันนะ ฮือๆ” ผมพยายามฟังให้รู้เรื่อง ในสิ่งที่โรสพูด

      “ใครทำ พี่คุณมาจากไหน ผมไม่เคยเห็น” ผมไม่คุ้นหน้าพี่ชายเธอเลย มาได้ยังไงกัน

      “ไออุ่น ไอ้ไออุ่นมันฆ่าพ่อโรส ฮือๆ มันฆ่าพ่อโรส ต้องฆ่ามันนะ ต้องฆ่ามัน” ไออุ่นเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ไออุ่นจะฆ่า สส ทำไม ไม่มีเหตุผล ถ้าฆ่าเพราะแค้นคงทำไปนานแล้ว

      “ไอ้ธามมาแล้วเหรอ” เสียงไอ้โฟรคเรียกผมจากด้านหลัง ทำให้โรสตกใจ แล้วผละออกจากผมทันที ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย “มาแล้วก็เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยจัดการ” ประโยคสุดท้ายมันหันไปมองคุณโรสที่ ก้มหน้าลงกอดศพพ่อตัวเอง เห็นแล้วน่าสงสาร

      “แล้วโรสหละ” น่าสงสารนะผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีใคร ร้องไห้กอดศพพ่อปราณจะขาดใจ

      “เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวเรื่องนี้กูจัดการเอง ส่วนเรื่องอื่น กูค่อยเล่าให้ฟังหลังจากทุกคนปลอดภัยแล้ว”

      “ฝากด้วยนะ” ผมหันไปมองโรสเพื่อบอกให้ไอ้โฟรครู้ว่าผมพูดถึงใคร เห็นแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้ แต่ผมต้องเข้าไปดูคนสำคัญของผมแล้ว ผมยอมรับแล้วว่าไออุ่นสำคัญกับผม แต่สำคัญในแง่ไหนค่อยว่ากันอีกทีเมื่อแน่ใจ

      “ฮือๆๆๆ หนาว อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปนะ ฮือๆ ถ้าหนาวไปแล้วพี่จะอยู่กับใคร อดทนไว้นะ อดทนอีกนิด หมอกำลังจะออกมารับไปรักษาแล้ว รออีกนิดนะ ฮือๆๆ”

       ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ไออุ่นกำลังนั่งกอดน้องชายที่เลือดท้วมตัวร้องไห้ปราณจะขาดใจ ใบหน้าที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง เศร้าโศก เหมือนโลกกำลังพังทลายลงมา

      ปัง!! เสียงเปิดประตูออกมา พร้อมพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลกำลังถือเปลออกมาแบกลมหนาวเข้าไปรักษา ผมรีบวิ่งไปช่วยแบกทันทีเพราะไออุ่นคงไม่มีแรงเหลือจะทำอะไรแล้ว

      “จะได้รักษาแล้ว ทนไว้นะ น้องชายพี่ ฮือๆๆๆ พี่รักนายนะ อยู่กับพี่นะน้องรัก อย่าเป็นอะไรนะ ฮือๆ” ไออุ่นได้แต่ลูบหน้าน้องชายอย่างทะนุถนอม เหมือนน้องเป็นสิ่งเบาะบางที่สามารถแตกหักได้ตลอดเวลา

      “อุ่นหลีกให้พยาบาลพาน้องไปรักษาก่อนนะ นะครับ” ผมค่อยๆ ดึงไออุ่นออกจากลมหนาว เพื่อให้พยาบาล และผู้ช่วยเอาตัวน้องขึ้นเปลหาม

      ผมช่วยหามน้องเข้าห้อง ข้างในมีเตียงที่เราจัดเตรียมไว้ หลายเตียง เพื่อรับรองผู้บาดเจ็บ เตียงเต็มเกือบหมดแล้ว ในขณะที่เตียงผ่าตัดถูกแยกออกมาอยู่อีกโซน พร้อมเครื่องมือแพทย์ครบครันไม่ต่างจากโรงพยาบาล ผมวางน้องลงเตียงผ่าตัด น้องหน้าซีดมาก และไม่รู้สึกตัวแล้ว อย่าเป็นอะไรนะคนเก่ง นายต้องกลับมาหาทุกคนนะ

       “คุณธามออกไปก่อนเถอะครับ ไม่ต้องห่วง ผมจะทำให้เต็มที่” หมอบอกกับผมด้วยสีหน้าตั้งมั่น

      “ผมฝากด้วยนะครับหมอ” ผมหันหลังเดินออกมาด้วยความกังวลใจ สิ่งที่ผมทำได้คงมีแต่ภาวนา

      “หนาวเป็นยังไงบ้างผู้กอง ฮือๆๆ” ทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป ไออุ่นก็เข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของผม แล้วถามเรื่องลมหนาวทันที

      “หมอกำลังรักษาอยู่ น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผมประคองใบหน้าแดงก่ำที่เปื้อนน้ำตาไว้ด้วยสองมือของผม “น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผมดึงคนที่ดูเหมือนจะหมดแรงทุกขณะมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบโยน เจ้าตัวค่อยๆ ยกมือขึ้นมากอดตอบผมช้าๆ

      “ลมหนาวจะต้องไม่เป็นอะไร” เจ้าตัวพึมพำกับอกผมเบาๆ

      “ใช่ครับ ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผมยืนลูบหลังอยู่สักพักพยาบาลก็เปิดประตูออกมา

      “เราต้องการเลือดด่วน ใครมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับน้องลมหนาวบ้างคะ” พยาบาลพูดจบ ไออุ่นก็ดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดทันที

      “ผมมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับน้องชายครับ กรุ๊ปเลือดพิเศษเหมือนกันเลย เอาเลือดผมไปได้เลย” ไออุ่นเดินไปหาพยาบาลทันที

      “ดีค่ะ งั้นตามเข้ามาข้างในได้เลย” ไออุ่นเข้าไปข้างในพร้อมพยาบาล

      ผมเห็นน้องมิวนั่งร้องไห้อยู่มุมห้องด้านนึงจึงเดินเข้าไปหา

      “น้องมิวเห็นมิดไนท์ไหมครับ” เด็กผู้หญิงที่ใบหน้าเศร้าสร้อยเงยขึ้นมาหาผมพร้อมตอบคำถาม

      “อยู่ในห้อง ฮึก กับพี่แมนนี่ค่ะ ฮึก” พูดไปด้วยสะอื้นไปด้วย เห็นแล้วน่าสงสารเหลือเกิน

      “ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร ลมหนาวต้องกลับมาหาเราทุกคนแน่ๆ” ผมพูดพร้อมนั่งลงที่พื้นข้างๆ น้อง “เดี๋ยวพี่นั่งอยู่เป็นเพื่อน” ผมไม่อยากให้น้องโดดเดี่ยว สิ่งที่ผมทำได้คงมีแค่นี้

      “เรามาภาวนาให้ลมหนาวปลอดภัยด้วยกันนะ”




หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่10☆ P.2☆3/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 04-01-2019 17:18:58
ห๊ะ ?! หรือว่า พี่ของโรสอยู่ในกลุ่มหมาป่านั้นด้วย เลยรู้ทางเข้าจากพ่อและน้องสาว
ถ้าใช่ครอบครัวนี้เลวยกบ้านเลย
ขอให้เด็กๆปชอดภัยน้า :mew6:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่11☆ P.2☆6/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 06-01-2019 00:05:47
- 11 -


[ไออุ่น]


       ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครสามารถหลีกหนีความตายนี้ได้ เขาถึงบอกให้รู้จักปล่อยวางอย่ายึดติด คิดซะว่ามันถึงเวลาของแล้ว

       พวกเราทุกคนเผชิญกับความสูญเสียมามากตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา การจากไปคราวเดียวในตอนแรก เป็นเหมือนมีดที่ปักลงมากลางใจเรา และการจากไปต่อจากนั้นทีละคนๆ เป็นเหมือนการดึงมีดออกมาแล้วปักซ้ำๆ ที่เดิม ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น

       ความสูญเสียเมื่อมันเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง มันควรจะชินชาต่อความเจ็บปวดนั้น แต่เชื่อเถอะว่าถึงจะชินชาแค่ไหน แต่เมื่อปักมีดลงไปใหม่มันก็ยังเจ็บปวดไม่ต่างจากครั้งแรกอยู่ดี ความเจ็บปวดที่แสนทรมาน

       “ไออุ่น”

       “…”

       “อุ่น!”

       “…”

       “อีอุ่น!!!”

      “เฮ้ย!!” อะไรวะเนี่ย ตกใจหมดเลย ตะโกนจนหูแทบแตก “จะตะโกนทำไม เรียกดีๆ ก็ได้แมนนี่” ยังมาทำหน้าเอือมระอาใส่อีก

       “มึง กูเรียกมึงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว หลับในอยู่รึไงยะ” ทำหน้าเอื่อมๆ ใส่ผมอีกรอบ “ทำให้คนสวยๆ ต้องตะโกนเสียงดัง เสียภาพพจน์หมด”

      “มีด้วยเหรอ”

      “เดี๋ยวกูตบคว่ำ เดี๋ยวเหอะๆ” พูดเบาๆ เองนะ ยังได้ยินอีก

       “แล้วเรียกทำไม”

       “เออใช่! ชวนคุยจนลืมเรื่องที่ลุงดีบอกเลยมึงนิ” นี่กูผิด? “ลุงดีใช้กูมาบอกมึงให้ไปช่วยแกแบกกล้วย ที่ท้ายไร่อีกแรง ช่วยกันหลายคนจะได้เสร็จเร็วๆ”

       “ใช้รถเสร็จเร็วกว่าอีก”

       “อีอุ่นเพื่อนรัก เผื่อมึงลืมเราหลบโจรอยู่ เราจะใช้รถเสียงดังไม่ได้ อีผี” ผิดอีกแล้ว ผิดตลอด เกิดเป็นไออุ่นมันยากจริงๆ กระซิกๆ “เลิกทำหน้าอ้อนทีน แล้วรีบตามมา” T_T

       ใช่ครับตอนนี้เรากำลังหลบโจร มาอยู่ท้ายไร่กล้วย ที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าโจรจะเข้ามาได้ไหม แต่เพื่อความปลอดภัย เลยต้องมาหลบก่อน

       ผมเดินมาจนถึงบ้านลุงดีเจ้าของไร่ บ้านที่ทุกคนต้องมาหลบโจร แต่เนื่องจากจำนวนคนที่เยอะมาก เกินกว่าบ้านหลังเล็กนี้จะรับไหว เราจึงต้องปูเสื่อกันตามร่มไม้ แต่ดีที่ที่นี่ติดกับป่า ทำให้ค่อนข้างร่มรื่น อากาศก็เย็นสบาย ถัดเข้าไปในป่านิดนึงยังมีลำธารเล็กๆ ที่ผมไปนั่งเมื่อกี่อีก ถ้าไม่ติดว่ากำลังหลบโจร วันนี้คงเป็นวันพักผ่อนที่ดีวันนึง

       เจอกลุ่มผูชายค่อนข้าง ส.ว. ครึครึ หมายถึง สูงวัยหนะ กำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ ผมกับแมนนี่จึงเดินเข้าไปร่วมกลุ่ม แต่ผมไม่ได้ ส.ว. นะ

       “มาก็ดีแล้วไอ้อุ่น มาช่วยกันแบกกล้วยที่ท้ายไร่กลับมาหน่อย ข้าไม่อยากทิ้งไว้เดี๋ยวนก กา มันเอาไปกินก่อน ทางด้านหน้าๆ ไร่ ข้ากับลูกช่วยกันแบกแต่เช้าแล้ว แต่ด้านท้ายๆ ไร่แบกไม่ทันวะ” มาถึงลุงดีก็แร็ปพ้นไฟใส่ทันที

       “ครับ แต่จะให้แบกมาถึงนี้เลยเหรอลุง” ถึงจะบอกว่าบ้านท้ายไร่ แต่บ้านมันก็ไม่ได้ติดกับไร่เลยทีเดียวนะ มันถัดออกมาอีกประมาณร้อยเมตร แถมไร่ยังกว้างมากด้วย รอบแรก รอบสองยังพอไหว แต่รอบต่อๆ ไป ตายแน่ ไออุ่นต้องการรถๆๆ ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ ถึงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม กระซิกๆ

       “โอ้ยยไอ้อุ่น ใครมันจะไปแบกมา แกดูอายุแต่ละคน แค่แบกกล้วยพ้นป่าได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ลุงดีแกพูดแล้วผายมือให้ดูแรงงานที่ใช้แบกกล้วย ครึครึ จริงอย่างที่แกพูด

      “อ้าว!” ลุงๆ ทั้งหลายร้อง อ้าว ขึ้นมาพร้อมกันทันที ไออุ่นคนนี้ต้องกู้สถานการณ์ก่อนที่จะตีกันก่อนได้เก็บกล้วย

       “แล้วทำไงอะลุง”

       “นี่ไงรถเข็น ใส่ได้หลายเครือเลยนะเว้ย” แกชี้ไปที่ไอ้รถสองล้อ เป็นโครงเหล็กเหมือนกะบะ มีที่จับแล้วเข็นด้านหลัง จอดอยู่สามคัน

       “โอเคลุง เรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวแดดมันจะแรงซะก่อน” ผมรีบเร่งทุกคนไปทำงานก่อนที่แดดจะแรงเกินไป เพราะแดดตอนเก้าโมงเช้ามันยังไม่น่ากลัวเท่าแดดตอนเที่ยง

       เราทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย กว่าจะเสร็จก็ปาไปเที่ยงครึ่งแล้ว ดีที่กลับมาแล้วป้าๆ เขาทำกลับข้าวไว้รอแล้ว กินเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอน ไม่สนกรดไหลย้อนกันเลยทีเดียว เหนื่อยมากต้องเข้าไปหากล้วยที่สุกเอง ตัดเอง แบกมาใส่รถเอง แต่ดีที่ไม่ต้องเข็นกลับมาบ้านเอง เพราะคนเข็นเป็นอีกคน

       ตอนนี้ผมนอนอยู่ข้างๆ แมนนี่บนเสื่อที่ปูอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยให้เด็กๆ เค้าวิ่งเล่นอยู่แถวนี้ไป

       “มึงอีตา สส. ไปไหนวะ ไม่เห็นมากินข้าวเลย ลูกสาวอีก หรือทนอยู่บ้านป่าหลังเล็กๆ ไม่ไหว หนีกลับบ้านไปแล้ววะ เอ้…แต่ไม่หรอก กลัวจนขี้ขึ้นสมองขนาดนั้น คงหนีเข้าป่าไปมากว่า” เล่นถามเองตอบเอง ไม่ปล่อยช่องว่างให้ผมได้พูดเลย

       “คงอยู่ในบ้านมั้ง เห็นป้ายกข้าวเข้าไปให้ แล้วเห็นไอ้คุณ สส. เดินไปทางห้องน้ำหลังบ้านบ่อยๆ

       “ไปบ่อยขนาดนั้น สงสัยท้องเสีย สมน้ำหน้ามัน ทำเป็นหยิ่ง ตอนอยู่บ้านใหญ่ก็อยู่แต่ในห้อง นานๆ จะโผล่หัวออกมาที ข้าวก็ต้องยกไปให้กินในห้อง เห็นคนอื่นเป็นขี้ข้ารึไง งานก็ไม่ช่วยทำ ไร้ประโยชน์สิ้นดี” ได้บ่นแล้วบ่นใหญ่ แต่ก็จริงอย่างที่แมนนี่ว่า สส. ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง นานๆ ที จะออกมาให้เจอ

       “สงสัยผิดหวังที่ไม่ได้ไปภูเก็ตมั้ง” เห็นก่อนหน้านี้โวยวายจะไปภูเก็ตให้ได้ แต่ไม่ได้อย่างที่หวังคงเสียใจ สมน้ำหน้า นี้ผมไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ หึหึ

       “มึงว่าจะมีใครเป็นอะไรไหม” อยู่ดีๆ แมนนี่ก็เปลี่ยนเข้าเรื่องเครียดๆ ซะงั้น

       ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดเรื่องนี้นะ แต่ผมคิดจนต้องบังคับตัวเองให้คิดเรื่องอื่นแทน เพราะเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งผมเครียดคนรอบข้างยิ่งเครียดตาม ผมจึงต้องอารมณ์ดีเข้าไว้ เพื่อให้คนอื่นๆ ผ่อนคลาย

       “ทุกคนต้องปลอดภัย คุณผู้กองเค้าเก่งอยู่แล้วหนิ ผู้นำเก่งขนาดที่ ทุกคนไม่เป็นไรหรอก” มั้ง…

       “มีชมๆ ถามจริงๆเถอะ มึงคิดยังไงกับผู้กอง” แมนนี่ถามขึ้นอย่างจริงจัง ถ้าผมตอบเล่นๆ คงโดนตบกะโหลกยุบแน่นอน แล้วผมจะตอบยังไงดีหละ

       “จะให้คิดอะไรเล่า พูดเรื่องอะไร ไม่รู้เรื่อง” ในเมื่อเรายังตอบตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ควรไปตอบคนอื่น แต่ผมจะโดนไอ้คนอื่นที่นอนข้างๆ ตบไหมวะ

       “อย่าสะตอ เดี๋ยวตบคว่ำ” นั้นไงๆ จะโดนตบจริงๆด้วย “งั้นกูถามใหม่ มึงชอบผู้กองไหม” ถามตรงไปไหม

       “ก็ไม่ได้เกลียด” ผมอ้อมแอ้มตอบ ก็ผมไม่ได้เกลียดจริงๆ หนิ

       “กูถามว่าชอบไหม ไม่ได้ถามว่าเกลียดไหม อีนี่หนิ!” หงะ… ก็คนมันไม่รู้จะตอบยังไงนิวะ

       “ไม่รู้เว้ย กูยังตอบตัวเองไม่ได้เลย จะถามทำไมเนี่ย!!” อุ๊บ! หลุดปาก ชิบหายแล้ว ผมรีบหลบสายตาแมนนี่ทันที

       “แสดงว่ามึงกำลังสับสน หึหึ ลูกสาว” มันหันมามองผม แล้วยิ้มแบบมีเลศนัย ขนลุกชะมัด

       “กูเป็นผู้ชาย!!”

       “เดี๋ยวมึงก็มีผัว” ไม่มีทาง ผมจะไม่มีผัวเด็ดขาด

       “ถ้ากูเป็นผัวหละ” ผู้ชายแมนๆ อย่างผมต้องเป็นผัว!!

       “ลูกสาว wake up ตื่นค่ะตื่น ดูหน้าตัวเองด้วย หน้าหวานๆ ตัวขาวๆ เตี้ยๆ แบบนี้เนี่ยนะผัว” ไม่จริง! ผมไม่ได้เตี้ย!!

       “กูสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่า กูสูงมาตรฐานชายไทย แล้วหน้าหล่อเว้ยไม่ใช่สวย หล่อ!!” ไม่ยอมครับ ไม่ยอม!

       “สรุปแล้วมึงชอบผู้กอง แต่คิดว่าตัวเองจะเป็นผัว” เป็นการสรุปที่ดีมาก…ซะที่ไหนหละ

       “กูยังไม่ได้บอกแบบนั้นเลย” คิดเอง สรุปเอง ซิ

      “เออ ขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว กูจะนอน เฮ้ย นั้นไอ้คุณ สส. ไปห้องน้ำอีกแล้วหวะ ไปบ่อยขนาดนี้ไม่นอนในห้องน้ำไปซะเลยหละ” แล้วเราสองคนก็เลิกสนใจเรื่องต่างๆ แล้วนอนพักสักที




       ตู้มมม!! เสียงระเบิดดังกึกก้อง ผมสะดุ้งตื่นทันที มันเริ่มแล้วสินะ

        “มัมเสียงอะไรคราฟ ดังมากเลย” มิดไนท์วิ่งมาบอกผมด้วยสีหน้าตกใจ

       “เสียงผู้กองสู้กับโจรไงครับ ไม่ต้องกลัวนะ โจรมันไม่มาถึงที่นี่หรอก” ผมกอดปลอบให้เจ้าตัวเล็กให้หายกลัว

       “ไนท์ไม่กลัวหรอกคราฟ ไนท์เก่ง”

       “ครับเก่งมาก ลูกชายมัมเก่งที่สุด” ผมหอมแก้มส่งท้ายหนักๆ ก่อนปล่อยให้วิ่งไปหาลมหนาว

       เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น ทุกคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ความกลัว ความระแวง ความเป็นห่วงฉายชัดอยู่ในดวงตา หลายคนนั่งพนมมือภาวนา ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

      ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ผู้กองปลอดภัย…

       เสียงปืนดังขึ้นตลอดเวลาแทบจะทุกวินาที แม้จะผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง…ได้โปรดอย่าเป็นอะไร…

       >[ไออุ่นขอจบการบรรยาย ชั่วคราว]<



[มิดไนท์ part]

       สวัสดีครับ ผมชื่อมิดไนท์ อายุห้าขวบ มัมชื่อไออุ่น ป๊าชื่อป๊าธาม พี่ชื่อลมหนาว แล้วยังมีพี่แมนนี่คนสวย พี่มิว พี่บี ลุงดำ  มีพี่ริวด้วย พี่ริวเพิ่งมาเป็นพี่ของมิดไนท์ไม่นานนี่เอง

       แต่ก่อนเรามีคนอยู่ด้วยที่บ้านเยอะมากๆ เลย แต่ก็ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ มัมบอกว่าพวกเขาโดนซอมบี้กิน น้องไนท์สงสารทุกคนที่โดนซอมบี้กิน น้องไนท์เลยไม่ชอบซอมบี้ ซอมบี้ทำให้คนที่น้องไนท์รักหายไป พ่อแม่ก็หายไป น้องไนท์จำพ่อแม่ได้ ตอนพ่อแม่หายไปใหม่ๆ น้องไนท์ร้องไห้ใหญ่เลย มัมปลอบน้องไนท์ตั้งหลายวันแหนะกว่าจะหยุดร้อง

       ตอนนี้น้องไนท์มาอยู่บ้านในป่าหลังสวนกล้วย มัมบอกว่าเรามาอยู่เพื่อหลบโจรใจร้าย ที่จะทำร้ายเรา ป๊าไม่ได้มาด้วยเพราะป๊าต้องไปปราบโจร

       การปราบโจรเสียงดังมากเลย พี่ลมหนาวบอกมันเป็นเสียงระเบิดกับเสียงปืน ทีแรกน้องไนท์กลัวมักมาก แต่พอนานเข้าน้องไนท์ก็หายกลัว น้องไนท์หันมองทุกคน ทุกคนเงียบมาก น้องไนท์เลยไม่อยากเสียงดังรบกวน แต่ตอนนี้น้องไนท์ปวดฉี่มากๆ จนทนไม่ไหวแล้ว

       “พี่หนาวปวดฉี่อะ น้องไนท์ไปฉี่ก่อนนะคราฟ” พูดจบน้องไนท์วิ่งไปห้องน้ำทันทีเลย น้องไนท์เข้าห้องน้ำเองได้ แล้วเคยมาเข้าแล้วด้วย เก่งไหม

       เฮ้ออ…โล่ง น้องไนท์นึกว่าจะฉี่ลดกางเกงซะแล้ว น้องไนท์ไม่ได้ปิดประตูนะ กลัวเปิดไม่ได้ครึครึ ถ้าพี่มิว พี่บีมาเจอน้องไนท์ต้องอายมากแน่ๆ

       คลื้ดๆๆๆ ฮึ เสียงอะไรอะ เสียงมันอยู่ข้างห้องน้ำแน่ๆ เลย

       “เรน ได้ยินไหม เรน!” เสียงใครอ่า

      (“ได้ยินแล้วพ่อ ตอนนี้พวกผมเข้าไปไม่ได้เลย มีทางเข้าอื่นไหม”) พูดอะไรกันน้าา

       “มี ไอ้เจ้าของสวนเพิ่งยอมบอกฉันเมื่อกี่”

       (“รีบบอกมาเลยพ่อ ผมจะได้เข้าไปตลบหลังมัน เข้าไปได้ผมฆ่าพวกมันหมดแน่!”)

        “ตอนนี้เรนอยู่สี่แยกทางเข้าหมู่บ้านใช่ไหม”

       (“ใช่ครับ”)

       “ขับรถไปทางขวา ไปเรื่อยๆ เจอสี่แยกที่สองเลี้ยวซ้าย ขับไปอีกเลี้ยวขวา ขับตรงไปเรื่อยๆ เจอบ้านสีเขียวอยู่ตรงหน้าแล้วเลี้ยวซ้าย ขับไปเรื่อยๆ จนเจอถนนดินแดง ก็ไปตามถนนดินแดงเลย ถนนดินแดงจะพามาท้ายไร่ ท้ายไร่ทีทหารประมาณ 4-5 คน”

       (“ผมจดไว้แล้ว ขอบคุณครับ พ่อช่วยได้มากเลย หึหึ”)

       “เออ ระวังตัวด้วยหละ”

       (“ครับ แค่นี้นะ แล้วเจอกัน”)

       เสียงเงียบไปแล้ว เค้าคุยอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไปหามัมดีกว่า

       แกรก!! เอี้ยด!!

       “ใครหนะ!!” หืม…ถามน้องไนท์เหรอ

       “ไนท์เองคราฟ” น้องไนท์ตอบคำถามคุณลุงที่ยืนมองอยู่

       “นี่แกแอบฟังฉันหรอ” ไม่ใช่น้าาา

       “น้องไนท์ไม่ได้แอบฟัง มันได้ยินเอง!” น้องไนท์ไม่ได้แอบฟังจริงๆ นะ

       “แกได้ยินอะไรบ้าง!! ไอ้เด็กเวร” ทำไมต้องว่าด้วย น้องไนท์ไม่ชอบ

       “แค่ได้ยินเรื่องที่ คุณลุงบอกเส้นทางให้ลูกลุงมาที่นี่เอง” ไม่เห็นมีอะไรเลย ว่าน้องไนท์ทำไม

       “นี่แกได้ยินหรอ ฉันคงปล่อยแกไปบอกคนอื่นไม่ได้แล้ว ตายซะเถอะไอ้เด็กบ้า” คุณลุงชักปืนออกมาทางไนท์ คุณลุงจะยิงไนท์หรอ!

       “อย่ายิงนะ!!” ผมเห็นพี่หนาววิ่งเข้ามาหาผม พร้อมตะโกนบอกไม่ให้ยิง

       ปัง!! โอ้ยย เจ็บแขน ฮือๆๆ ตอนนี้พี่ลมหนาวกำลังกอดผมอยู่ ผมเจ็บแขนมากเลย ฮือๆๆๆ

       “ในเมื่อพวกแกทั้งสองรู้ความลับฉัน ก็ตายไปทั้งคู่นั้นแหละ!!” เสียงคุณลุงตะโกนขึ้นมา น้องไนท์กลัว ฮือๆๆๆ

       ปัง!! พี่ลมหนาวกอดผมแน่นมาก เมื่อเกิดเสียงดังขึ้น พี่ลมหนาวก็ล้มลง ฮือๆๆ พี่หนาวเลือดออกที่ท้อง ฮือๆๆ

       “ตอนนี้ก็ตาแกแล้วไอ้เด็กบ้า”

       ปังๆๆ

       “กรีสสส แกยิงพ่อฉัน แกๆๆ ฉันจะฆ่าแก ไออุ่น  พ่อ!!” ฮือๆๆ พี่ไออุ่นเลือดออก น้องไนท์เจ็บ

       “ลมหนาว มิดไนท์!”

       “มัม!! ฮือๆๆๆ พี่ลมหนาวเลือดออก ฮือๆๆ น้องไนท์เจ็บแขน ฮือๆๆ” มัมวิ่งเข้ามากอดพี่ลมหนาวไว้ เพราะพี่หนาวเลือดออกเยอะมาก

       “โอ๋ๆๆ น้องไนท์มาหาพี่แมนนี่มา” พี่แมนนี่กอดผมไว้แน่น แต่ผมก็ยังเจ็บ…

       >[มิดไนท์ จบการบรรยาย]<

หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่11☆ P.2☆6/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 06-01-2019 00:09:10
(ต่อตอนที่ 11)


[ไออุ่น part]

       ผมตกใจมากที่เห็น สส. ยิงลมหนาวจนล้มลง สส. กำลังจะยิงมิดไนท์ต่อ มือผมจับปืนขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ แล้วลั่นไกโดยทันที

       ปังๆๆ สส. ล้มลงไปในทันที ผมไม่ได้สนใจ สส. อีกต่อไป สายตาผมตอนนี้มีแต่ ลมหนาว และมิดไนท์ แค่ผมเห็นเลือดพวกเขาหัวใจผมมันแทบจะสลาย ได้โปรดอย่าเป็นอะไรเลย ผมรีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขาทันที

       “ลมหนาว มิดไนท์!” ผมรีบเข้าไปกอดลมหนาวทันที น้องโดนยิงที่ช่วงท้อง เลือดไหลไม่หยุด “ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยที!! หมอๆ หมออยู่ไหน หมอ!!” หมออยู่ไหน…

       “เดี๋ยวป้าห้ามเลือดให้ แล้วเราพาน้องขึ้นรถเข็นไปหาหมอที่บ้านใหญ่” ป้าที่เคยเป็นพยาบาลบอกกับผม ผมหลีกให้ป้าทำ ทำอะไรก็ได้ ทำเลย ขอให้ลมหนาวปลอดภัยก็พอ

       “ป้าช่วยน้องผมด้วยนะ” ป้าพยักหน้าแล้วห้ามเลือดให้ลมหนาว ผมหันไปหามิดไนท์เพื่อดูอาการของน้อง “มิดไนท์เป็นอะไรมากไหมแมนนี่” ผมถามแมนนี่ที่กำลังอุ้มมิดไนท์อยู่

       “ไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลแค่ถากๆ น้องคงตกใจ มึงดูลมหนาวเถอะ เดี๋ยวดูมิดไนท์เอง” ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันมาสนใจลมหนาวต่อ

       ปังๆๆ เสียงปืนดังขึ้นทางท้ายไร่ ไม่ไกลจากที่นี่มาก ผมสนใจเสียงนั้นแค่แปปเดียว แล้วหันมาสนใจลมหนาวต่อ ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงอาการของลมหนาวเท่านั้น สิ่งอื่นแทบจะไม่เข้ามาในหัวผมได้เลย

       “เสียงปืนท้ายไร่ดังไม่หยุดเลยหวะ” เสียงใครสักคนดังขึ้นรอบตัวผม

       “พวกมันเข้ามาได้รึเปล่าวะ”

       “แล้วเราจะทำยังไงดี”

       “พ่ออย่าตายนะ อย่าทิ้งหนูไปนะ ฮือๆ”

       “โอ๋ๆ อย่าร้องนะ เดี๋ยวพี่แมนนี่คนสวยทำแผลให้”

       “ลมหนาวต้องอยู่กับมิวนะ อย่าทิ้งมิวไปนะ มิวไม่เหลือใครแล้ว ฮือๆๆ” และเสียงต่างๆ อีกมากมายที่ดังขึ้น แต่สายตาของผมไม่อาจละจากลมหนาวได้ ไม่ว่าเสียงอะไร ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผมได้

       ตอนนี้น้องยังไม่หลับ แต่คงไม่มีแรงมากพอที่จะพูด น้องแค่นอนมองนิ่งๆ เลือดน้องไหลน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังไหลอยู่ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะอะไร ทำไมต้องทำร้ายกันได้ขนาดนี้ น้องๆ เป็นแค่เด็กนะ

       “เราพาน้องขึ้นรถเข็น ไปหาหมอที่บ้านใหญ่เถอะ ใครก็ได้ไปเอารถเข็นที่เข็นกล้วยเมื่อเช้ามาที!” มีลุงคนนึงวิ่งไปเข็นรถมาให้
 
       เราพาน้องขึ้นรถเข็น เพื่อเข็นไปที่บ้านใหญ่อย่างทุลักทุเล มีคนแบก สส. ขึ้นรถเข็นอีกคันมาด้วย เสียงปืนทางท้ายไร่เงียบลงได้สักพักแล้ว เสียงจากด้านหน้าก็ดังน้อยลงมาก

       กว่าเราจะเข็นรถมาถึงใช้เวลาพอสมควร มาถึงแล้วเจอคุณโฟรคกำลังขนคนเจ็บลงจากรถ

       “มีใครเป็นอะไร!” เสียงของริวดังขึ้นมา แล้วเจ้าตัววิ่งเข้ามาหารถเข็นทันที “ลมหนาว!! ลมหนาวเป็นอะไร”

       “เอาไว้ก่อน อุ้มลมหนาวขึ้นไปก่อน” พูดจบผมก็อุ้มลมหนาวเข้าไปในบ้านทันที พอเข้าไปถึงก็ต้องตกใจกับคนเจ็บที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าห้อง “รักษาน้องผมที! น้องผมโดนยิงมา ช่วยเค้าที ช่วยเค้าด้วย ช่วยรักษาลมหนาวที!”

       ป้าพยาบาลที่มาด้วยกันเข้าไปในห้องรักษาก่อน ขณะที่ผมวางน้องลงพื้นหน้าห้องรอ

      แกรก! “ไออุ่น เราคงต้องรอก่อน ข้างในหมอไม่ว่างกันเลย แต่มีคนนึงผ่าตัดใกล้เสร็จแล้วรอก่อนนะ” อะไรนะต้องรอหรอ แต่น้องจะหลับแล้วนะ

       “หนาวอย่าเพิ่งหลับนะตื่นก่อน อย่าหลับนะ ฮือๆ อย่าหลับสิ ตื่น!” น้องหลับไปแล้ว น้องไม่ได้สติแล้ว ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไม

       “ใจเย็นๆ น้องต้องไม่เป็นอะไร” ป้าพูดจบก็ไปรักษาคนเจ็บ ที่มานั่งรอรักษาทันที

       ผมลูบหัวน้อง แล้วก้มลงไปคุยข้างหูของเค้า “อย่าทิ้งพี่เลยนะครับ พี่แทบไม่เหลือใครแล้ว พี่เห็นพ่อ แม่ ญาติๆ และเพื่อนๆ จากไปทีละคนๆ ก็เจ็บเจียนตายแล้ว อย่าทิ้งพี่เลยนะลมหนาว อดทนไว้ แล้วอยู่กับพี่นะ นะครับ” ลมลูบหัวน้องเรื่อยๆ

      ผมไม่สามารถรับ การสูญเสียของคนในครอบครัวได้อีกแล้ว แค่นี้ผมก็เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ที่ต้องมาเห็นคนในครอบครัวจากไปทีละคนๆ ในทุกๆ เดือน คนสุดท้ายที่เราสูญเสียคือพ่อ พ่อจากไปหนึ่งเดือนก่อนที่เราจะเดินทางมาราชบุรี

       พ่อออกไปหาอาหารมาให้เรา กับเพื่อนข้างบ้านสามคน ออกไปแต่เช้ามืด แล้วไม่กลับมาบ้านอีกเลย จนเราต้องออกไปตามหา  แล้วเจอทุกคนในสภาพ ร่างที่มีแผลเหวอะหวะ ตอนนั้นใจผมมันแทบพังลงไป แต่ผมต้องเข้มแข็งไว้ทั้งทีใจมันอ่อนแอ เพราะผมกลายเป็นพี่ใหญ่ในบ้านไปแล้ว ผมต้องเป็นที่พึ่งให้กับทุกคนตั้งแต่ตอนนั้น

       เด็กวัยรุ่นอายุ 20 มันไม่ง่ายเลยที่จะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย กินอิ่ม นอนหลับ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด หนึ่งเดือนเต็มที่ผมทำแบบนั้น ก่อนที่จะออกเดินทางมาราชบุรี แล้วเจอผู้กองและพี่ๆ ทหาร

       ลมหนาวหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ ไม่นะไม่ๆ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ หน้าน้องเริ่มซีดลงเรื่อยๆ

       “ฮือๆ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคนเก่ง อดทนเอาไว้พี่รู้ว่าเราเก่ง เดี๋ยวหมอก็มารักษาแล้ว อดทนไว้นะ ฮือๆ อดทนนะ” ผมก้มลงกอดน้องเบาๆ พร้อมลูบหัว

      ผ่านไปสักพักน้องกระอักเลือดออกมา ใจผมมันแทบขาด ผมไม่สามารถมองน้องในสภาพนี้ได้เลย ผมสงสารเค้า ผมได้แต่ร้องไห้กอดน้องอยู่อย่างนั้น

             “ฮือๆๆๆ หนาว อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปนะ ฮือๆ ถ้าหนาวไปแล้วพี่จะอยู่กับใคร อดทนไว้นะ อดทนอีกนิด หมอกำลังจะออกมารับไปรักษาแล้ว รออีกนิดนะ ฮือๆๆ” โลกของผมเหมือนจะพังทลาย เมื่อเห็นอาการของน้อง ผมได้แต่กอดน้องร้องไห้ปานจะขาดใจ

      ปัง!! เสียงเปิดประตูออกมา พร้อมพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลกำลังถือเปลออกมาแบกลมหนาวเข้าไปรักษา

      “จะได้รักษาแล้ว ทนไว้นะ น้องชายพี่ ฮือๆๆๆ พี่รักนายนะ อยู่กับพี่นะน้องรัก อย่าเป็นอะไรนะ ฮือๆ” ผมได้แต่ลูบหน้าน้องชายอย่างทะนุถนอม เพราะกลัวจะทำให้น้องเจ็บ

      “อุ่นหลีกให้พยาบาลพาน้องไปรักษาก่อนนะ นะครับ” ผมหลีกทางให้ทันที ผู้กองและพยาบาลหามน้องเข้าไปในห้องในที่สุด ขอให้น้องปลอดภัย พ่อแม่ช่วยลมหนาวด้วยนะครับ

       ทันทีที่ผู้กองออกมาผมก็เข้าไปถามผู้กองทันที

       “หนาวเป็นยังไงบ้างผู้กอง ฮือๆๆๆ” ผมจับแขนทั้งสองข้างของผู้กอง แล้วเขย่าแขนเพื่อถาม

       “หมอกำลังรักษาอยู่ น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองประคองใบหน้าผมด้วยสองมือ “น้องจะต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองดึงผมเข้าไปกอด ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร แถมยังกอดตอบกลับไปด้วย ผู้กองลูบหลังผมเบาๆ ทำให้ผมผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

       “ลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผมพึมพำเบาๆ อยู่กับอกของผู้กอง

       “ใช่ครับลมหนาวต้องไม่เป็นอะไร” ผู้กองลูบหลังผมเรื่อยๆ จนผมคลายสะอื้นลงได้

       แกรก!! เสียงประตูเปิดออกมาพร้อมกับพยาบาล บอกต้องการเลือดกรุ๊ปเดียวกันกับลมหนาว ผมตามเข้าไปทันที โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ผมให้เลือดเสร็จจึงมารออยู่ข้างนอกเหมือนเดิม

       ผมออกมาเจอผู้กองนั่งอยู่บนพื้นข้างๆ น้องมิว ผมจึงตามไปนั่งด้วย เราทุกคนนั่งอยู่เงียบๆ พร้อมภาวนาให้ไออุ่นปลอดภัย

       ผมนั่งรอเกือบๆ ชั่วโมง หมอก็เปิดตูออกมาในที่สุด ผมวิ่งเข้าไปหาหมอทันที พร้อมถามสิ่งที่ผมคาดหวังที่สุด

       “การผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่น้องยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ และรอดูอาการถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ถือว่าปลอดภัย แต่ที่หมอเป็นห่วงคือ ไฟฟ้าจะเหลือให้ใช้ถึงตอนเช้าไหม” เครื่องช่วยหายใจต้องใช้ไฟฟ้า แต่เรามีไฟฟ้าจำกัด ถ้าขาดไฟฟ้าเครื่องช่วยหายใจก็ทำงานต่อไม่ได้…ไม่นะ

       “วันนี้ห้ามทุกคนใช้ไฟ ทุกกรณี!! ให้ใช้เทียนให้แสงสว่างแทน ถ้าใช้แค่เครื่องมือการแพทย์ ไฟปริมาณเท่านี้พอไหมหมอ” ผู้กองพูดขึ้นมา หลังจากได้ฟังที่หมอพูด ผมหันไปจับมือเค้าด้วยความขอบคุณ

      “น่าจะพอครับ ถ้าหมด น่าจะหมดตอนเวลาตีห้า หรือหกโมงเช้า ภาวนาให้มันไม่หมด” หมอพูดแค่นั้นและกำลังจะไปรักษาคนไข้คนต่อไป

       “เข้าไปเยี่ยมได้ไหมครับ” ผมรีบถามหมอ ก่อนที่หมอจะเดินเข้าห้องไป

       “ยังไม่ได้ครับ ปล่อยให้คนไข้พักผ่อนไปก่อน รอคืนนี้ประมาณสองทุ่มค่อยเข้ามาเฝ้านะครับ” ผมอยากเข้าไปหาลมหนาวแค่ไหน ผมก็ต้องฟังหมอ

         “ไปเถอะ ไปอาบน้ำก่อน ดูสิเลือดเต็มไปหมด มิดไนท์คงงอแงหาเราใหญ่แล้ว สองทุ่มเดี๋ยวฉันพามา ไปเถอะ” ผู้กองจูงมือผมเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ผมก้มลงมองมือที่กำลังกุมผมอยู่ มันทำให้ผมอุ่นใจขึ้น มือคู่นี้ที่ดึงสติผมกลับมา “มองอะไร เดินสิ”

       “ไปหามิดไนท์ก่อนได้ไหม” ทำไมผมต้องถามความเห็นผู้กองด้วย ผมไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ อยากไปก็แค่ไปสิ

       “ไปสิ อยู่ไหนละ” ผมจูงมือผู้กองไปทางห้องแมนนี่ ตอนนี้ทุกคนรวมกันอยู่ห้องแมนนี่  รวมทั้งน้องมิวด้วย ผมเป็นคนบอกให้น้องมิวขึ้นมาเองแหละ ผมไม่อยากให้น้องนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นคนเดียว แต่เดี๋ยวทำไมผมถึงไม่ปล่อยมือ ไม่ทันแล้วเปิดประตูเข้ามาแล้ว

       “มิดไนท์!” ผมเรียกเจ้าตัวเล็กที่กำลังสะอื้นในอ้อมแขนของแมนนี่ แมนนี่มองมือผมกับผู้กองที่กำลังกุมกันอยู่ แต่เค้าไม่พูดอะไร เชื่อเถอะถ้าเวลาปกติผมโดนแซวไปแล้ว

       “มัม! ป๊า! พี่ลมหนาวละคราฟ” เจ้าตัววิ่งเข้ามาหาผมทันที แต่ผู้กองรับไว้ก่อนถึงตัวผม

       “มัมเปื้อนเลือด น้องไนท์อาบน้ำแล้ว มาให้ป๊าอุ้มดีกว่า” พูดจบก็อุ้มมิดไนท์ขึ้นแนบอกทันที ผมไม่ว่าอะไรเพราะผมเปื้อนจริงๆ แล้วมิดไนท์ก็อาบน้ำแล้วด้วย

       “พี่ลมหนาวอยู่กับหมอครับ คืนนี้ค่อยไปหานะ ตอนนี้อยู่กับพี่แมนนี่ก่อนนะครับ มัมอาบน้ำเสร็จจะมาหา”

       “ไม่เอา จะอยู่กับมัมกับป๊า” เจ้าตัวเล็กงอแงกอดคอผู้กองแนนเลย

       “พาไปด้วยเถอะ เดี๋ยวฉันดูให้ก่อน เธออาบน้ำเสร็จค่อยมาดู” ผู้กองพูดพร้อมลูบหลังมิทไนท์เบาๆ เจ้าตัวเล็กก็กอดคอผู้กองพร้อมวางหัวไว้บนไหล่ “ปะไปเถอะ” มือข้างที่ลูบหลังไนท์ละมาจูงมือผมออกนอกห้อง เพื่อพาไปห้องผมเอง ผมเดินตามแรงจูงโดยไม่พูดอะไรจนในถึงห้อง ผู้กองปล่อยมือผมแล้วไปนั่งบนเตียง พร้อมคุยกับมิดไนท์โดยไม่ได้สนใจผมเลย

       “เจ็บไหมครับ” ผู้กองให้มิดไนท์นั่งบนตักแล้วดูแขนข้างที่บาดเจ็บของเจ้าตัวเล็ก

       “เจ็บคราฟ แต่พี่หนาวเจ็บกว่า” เจ้าตัวเล็กทั้งพูดทั้งเบะปาก แต่ไม่ถึงกับร้องไห้นะ มันน่ารักมากกว่าน่าสงสารซะอีก

       “ใครทำน้องไนท์ครับ” ผู้กองกองพูดพร้อมก้มลงไปเป่าที่แขน “เพี้ยง! ขอให้หายเจ็บ หายเร็วๆ นะครับ” เจ้าตัวเล็กยิ้มออกมาทันที ก่อนจะหุบยิ้มลงเมื่อตอบคำถามที่โดนถาม

      “ลุงคนที่ชอบอยู่ในห้องทำ เค้าทำน้องไนท์กับพี่หนาวทำไมคราฟ” ผมยังไม่ไปอาบน้ำแต่นั่งฟังบทสนทนานี้แทน

       “ก่อนหน้าที่เค้าจะทำมีอะไรเกิดขึ้นครับ” เจ้าตัวเล็กทำหน้าคิดหนัก

       “ไม่มีอะไรนี่คราฟ น้องไนท์แค่ไปเข้าห้องน้ำ แล้วคุณลุงมาคุยกับลูก คุยในอันที่ป๊าเคยคุย” ผู้กองทำหน้างงๆ ซึ่งผมก็งงเหมือนกัน

       “…เอ๋อ!! อันนี้ใช่ไหมครับ” ผู้กองหยิบวิทยุสื่อสารออกมาให้มิดไนท์ดู

       “ใช่!! อันนี้เลย คุณลุงคุยกับลูกด้วยอันนี้แหละ” มิดไนท์จับวิทยุสื่อสารในมือผู้กองขึ้นมาโชว์ ว่าใช่อันนี้แน่ๆ

       “ลุงพูดว่ายังไงบ้างครับ บอกป๊าได้ไหมคนเก่ง” เจ้าตัวเล็กคิดหนัก จนคิ้วจะชนกันอยู่แล้ว

       “…ลุงบอกทางลูก บอกเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย บอกให้มาหลังไร่ บอก เอ่อ บอก คือ น้องไนท์จำไม่ได้แล้วครับ” หน้าหงอยลงในทันทีที่จำไม่ได้

       “ไม่เป็นไรครับ จำได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว แล้วลุงยิงน้องไนท์ตอนไหนครับ” ผู้กองถามต่อ

       “อันนี้น้องไนท์จำได้!! ลุงคุยเสร็จน้องไนท์เลยออกจากห้องน้ำ พอลุงเห็นน้องไนท์ลุงด่าน้องไนท์ว่าเด็กบ้า น้องไนท์ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคราฟ” เจ้าตัวเล็กแสดงสีหน้าไม่พอใจที่โดน่า “ด่าแล้วก็ยิงน้องไนท์เลย น้องไนท์เจ็บมาก แล้วยิงพี่หนาวอีก พี่หนาวเลือดออกเยอะมากเลย” พอพูดถึงตรงนี้ก็เบะปากจะร้องไห้ จนผู้กองต้องปลอบ

       “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่มีใครมาทำอะไรน้องไนท์ และพี่หนาวได้แล้ว ป๊าจะปกป้องทุกคนเอง ป๊าขอโทษที่ก่อนหน้านี้ปกป้องไนท์และหนาวไม่ได้ ยกโทษให้ป๊านะครับ” ผู้กองพูดจบแล้วก้มไปหอมแก้มมิดไนท์

       “มิดไนท์ให้อภัยคราฟ มิดไนท์ไม่โกรธป๊าเลย เพราะมิดไนท์รักป๊าธามมาก” กอดกันกลม ไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด

       “ป๊าก็รักน้องไนท์มากครับ” รักกันอยู่สองคนนั้นแหละ ซิ

       เมื่อไม่มีอะไรแล้วผมก็เข้าไปอาบน้ำ เพื่อไปรอเยี่ยมลมหนาว แค่ได้ไปนั่งให้กำลังใจที่หน้าห้องก็ยังดี

       ได้โปรดเถอะพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พ่อแม่ จงโปรดช่วยให้ลมหนาวปลอดภัยด้วยเถิด อย่าให้น้องเป็นอะไรไปเลย…

หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by. Tt.looktal1993 [ตอนที่11☆ P.2☆6/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-01-2019 00:28:00
โอ๊ยยยย ครอบครัวสส.นี่ผีเปรตกันทั้งนั้น ตายๆกันไปให้หมดเถอะ อยู่ไปก็รกโลก
นัวโรสที่นังไม่ได้ก็เอาไปทิ้งกลางดงซอมบี้ซะ! :katai1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่12☆ P.2☆12/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 12-01-2019 21:53:23
- 12 -

[ไออุ่น]


       การรอคอยที่แสนทรมาน เวลาทุกวินาทีช่างช้ากว่าที่เคยเป็น ได้แต่นั่งภาวนาให้ถึงเวลาที่รอคอย

       ตอนนี้เวลา 18.25น. ผมกำลังนั่งรอที่พื้นอยู่หน้าห้องที่เราใช้เป็นห้องพยาบาล ผมนั่งชันเข่าตาจ้องนาฬิกาข้อมืออยู่แทบตลอดเวลา ในใจภาวนาให้ถึงสองทุ่มเร็วๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังกินข้าวอยู่ที่ครัวด้วยความหิวโหย จากการใช้พลังงานตลอดทั้งวัน แต่ผมดันไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด คงจริงอย่างที่เค้าว่า ว่าจิตใจมันควบคุมร่างกาย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงเป็นผมที่วิ่งใส่อาหารก่อนใคร แต่พอตอนนี้จิตใจผมไม่ปกติทำให้ร่างกายไม่อยากอาหารซะงั้น

       “มัม!” มิดไนท์วิ่งโถมตัวเข้ามากอดผมอย่างเต็มแรง ทำให้สายตาผมหลุดออกจากนาฬิกาแล้วสนใจเจ้าตัวเล็กแทน

       “คนเก่งกินข้าวรึยังครับ” ผมอุ้มน้องมานั่งบนตัก แล้วโอบกอดไว้

       “กินแล้วคราฟ ป๊าป้อน ทำไมมัมไม่ไปกินข้าวคราฟ น้องไนท์อยากกินข้าวกับมัม” เจ้าตัวพูดเสียงเจื้อยแจ้วถามถึงสาเหตุที่ผมไม่ไปกินข้าว

       “มัมไม่หิวครับ” ผมบอกพร้อมลูบหัวน้องเบาๆ อย่างรักใคร่

       “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมัมก็หิว เพราะป๊าเอามาให้มัมกิน” ผมกำลังเฮ้ยถามว่าน้องหมายความว่ายังไง แต่ไม่ทันจะพูดผู้กองก็เดินเข้ามาซะก่อน

      “ฉันเอาข้าวมาให้ อะ ข้าวไข่เจียว” ผมกำลังจะอ้าปากพูดบอกผู้กองว่าไม่หิว แต่ผู้กองพูดตัดผมซะก่อน “ไม่หิวก็ต้องกิน จะได้มีแรงดูแลลมหนาว กับมิดไนท์ ถ้าเธอไม่มีแรงจะดูแลพวกเขาได้ยังไง” พูดขนาดนี้ผมก็ต้องกินนะสิ

       “ก็ได้” ผมยื่นมือออกไปรับจานข้าวจากผู้กอง เจ้าตัววางน้ำที่ถือมาไว้ให้ข้างๆ ตัว พร้อมอุ้มมิดไนท์ออกจากตักผม เพื่อให้กินข้าวได้ถนัด โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย ผู้กองเขาจัดการทุกอย่างหมด

       “มิดไนท์ครับ มาวาดรูประบายสีตรงนี้มา” ผู้กองว่างถุงพลาสติกที่บรรจุกระดาษพร้อมสีไม้มากมายลงตรงหน้ามิดไนท์ เพราะหน้าห้องพยาบาล และห้องพยาบาลเป็นที่เดียวที่มีแสงไฟ แต่สามทุ่มก็คงต้องปิดแล้ว “วาดรูปสวยๆ ไปติดไว้ข้างเตียงเพื่อให้กำลังใจพี่ลมหนาวนะครับ พี่เค้าจะได้มีกำลังใจและหายเร็วๆ” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเข้าใจ

       “งั้นน้องไนท์วาดรูปครอบครัวเรานะคราฟ” เจ้าตัวหันไปถามความเห็นของผู้กองก่อนลงมือวาด

       “ดีครับ” ผู้กองพูดพร้อมมือทั้งลูบหัวน้องไนท์ด้วยสายตาที่เอ็นดู

       “ครอบครัวเรามี น้องไนท์ พี่หนาว มัม ป๊า พี่มิว พี่แมนนี่คนสวย พี่บี ลุงดำ มีพี่ริวด้วย ยังมีข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอีก” เสียงเจื้อยแจ้วดังออกมาไม่หยุด ทำให้คนที่ได้ยินอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้

       “เยอะขนาดนี้กระดาษแผ่นเดียวจะวาดหมดไหมเนี่ย” ผู้กองตอบกลับอย่างขำขัน ยกมือขยี้ผมส่งท้ายก่อนหันมาพูดกับผม

       “ฉันต้องไปจัดการเรื่องต่างๆ เธออยู่ที่นี้กับมิดไนท์นะ เดี๋ยวสองทุ่มฉันมา” ผมไม่ได้พูดตอบกลับ แต่ใช้การพยักหน้าตอบไปแทน “เดี๋ยวป๊ามานะครับ อยู่กับมัมก่อน”

       “คราฟ!” เจ้าตัวเล็กรับคำโดยง่าย แล้วหันไปให้ความสนใจกับการวาดรูปต่อ ยังโชคดีที่แขนที่โดนยิงคือข้างซ้าย น้องจึงไม่ค่อยมีปัญหากับการทำเรื่องต่างๆ เท่าไหร่

       หลังจากผู้กองเดินออกไปผมก็กลับมาทานข้าวเงียบๆ กับมิดไนท์ที่จดจ่ออยู่กับการวาดรูป สักพักน้องมิวกับแมนนี่ก็เข้ามานั่งเป็นเพื่อนผม เรานั่งรออยู่เงียบๆ โดยไร้บทสนทนาใดๆ นี่คือการรอคอยที่สุดแสนทรมาน…


+++


     ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงสักที ผม มิดไนท์ แมนนี่และน้องมิวเข้าไปเยี่ยม ลมหนาวในห้องพักผู้ป่วย ห้องนี้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ใช่เป็นห้องรักษาหลัก โดยคนที่อาการปลอดภัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จะถูกส่งไปพักฟื้นอีกห้อง ในห้องนี้จึงมีคนอยู่ไม่เยอะมาก ตอนนี้มีอยู่ 6 คน ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หนึ่งในนั้นคือจ่านนท์

       เราตรงเข้าไปหาลมหนาวทันทีที่เข้ามา น้องมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด หน้าก็ซีดเซียวจนน่าใจหาย ผมใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเบาๆ เพราะกลัวน้องเจ็บ ผมไมอยากให้เค้าเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว

       “ให้เยี่ยมได้หนึ่งชั่วโมงนะครับ เพราะคนไข้ต้องการการพักผ่อน แล้วไม่ต้องกังวลอะไรเลย พวกเราจะเปลี่ยนเวรกันดูแลเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง” หมอที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินมาถึงเตียงซะอีก ดูแล้วหมอคงเพิ่งจะอาบน้ำ กินข้าวเสร็จ เพราะหมอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สักพักหมออีกสองคนถือผ้าห่มและหมอนเข้ามา ตามด้วยพยาบาลอีกสองคน ที่เหลือคงดูคนป่วยห้องอื่นๆ แต่ละคนจองเตียงคนไข้เตรียมนอนเต็มที่

       แกรก! เป็นผู้กองนั่นเองที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ ผู้กองมาพร้อมกับนาย เทน ทั้งสองตรงดิ่งไปหาจ่านนท์แล้วถามอาการจากหมอทันที ต่างจากผู้กองที่เดินเข้ามาอุ้มไนท์ทันทีที่มาถึง

       “น้องเป็นไงบ้าง” ผู้กองหันมาถามผมหลังจากเจ้าตัวเล็กกอดคอแล้วซบหน้าลงบนบ่ากว้างนั้นเสร็จ

       “เหมือนเดิม รอดูอาการ” ตอบแล้วผมก็หันมาสนใจลมหนาวต่อ

       “หนาวต้องอยู่กับมิวนะ หนาวสัญญากับมิวแล้วว่าจะไม่ทิ้งมิวให้อยู่คนเดียว หนาวต้องทำตามสัญญานะ อย่าทิ้งมิวนะ…” ผมมองน้องมิวที่ก้มลงพูดที่ข้างหูลมหนาว ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเศร้า ทั้งห่วง ทั้งตื้นตัน และอีกหลายความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ผมรู้สำหรับน้องมิวแล้วลมหนาวเป็นอีกเหตุผล ที่ทำให้น้องยังอยากมีชีวิตอยู่บนโลกที่โดดเดี่ยวนี้ หรืออาจจะเป็นเหตุผลหลักก็ได้…

       “ไหนครับรูปที่น้องไนท์วาด ขอป๊าดูหน่อยสิครับ” ผมหันไปมองทั้งสองทันที

       “นี้คราฟ น้องไนท์ตั้งใจวาดเลยน้าาา” เจ้าตัวเล็กโชว์ภาพวาดที่มีเส้นยึกยือๆ ให้ผู้กองดู ตัวคนเป็นเพียงเส้นตรงที่ต่อจากวงกลม แล้วต่อแขนขาออกด้วยขีดสี่ขีด ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวยังพยายามเอาสีระบายๆ ตามตัวให้ทุกคนมีสีที่แตกต่างกัน

       “วาว สวยมากเลยครับ พี่ลมหนาวต้องมีกำลังใจมากแน่ๆ” ภาพการพูดคุยที่แสนอบอุ่นนั้นทำให้ผมอยากจะยิ้มออกมา แต่ก็ทำไม่ได้เพราะอะไรหลายๆ อย่างยังกดทับความรู้สึกผมอยู่

       “เราเอาไปติดตรงไหนดีคราฟ”

       “ติดตรงผนังบนหัวนอนดีไหมครับ เดี๋ยวป๊าติดให้”

       “ดีคราฟ ดีๆ” มิดไนท์ยิ้มออกมาเมื่อผู้กองวางเจ้าตัว แล้วหยิบเทปใสมาติดกระดาษแผ่นนั้นไว้กับผนังห้อง ติดเสร็จก็กลับไปอุ้มเจ้าตัวเล็กต่อทันที “ทำไมพี่หนาวมีสายอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยคราฟ”

       “พี่หนาวไม่สบาย สายพวกนั้นจะช่วยให้พี่หนาวหายเร็วขึ้นไงครับ”

       “พรุ่งนี้พี่หนาวหายไหมครับ” เจ้าตัวเล็กยังถามต่อไม่หยุดแม้ตาจะปรือเต็มทีแล้ว

       “คงไม่ทันพรุ่งนี้ แต่พี่หนาวหายแน่ๆ ครับ ไม่ต้องห่วง” คนฟังพยักหน้าหาววอดพร้อมซบหน้าลงบนไหล่กว้างทันที มือน้อยๆ โอบรัดรอบรำคอแก่ง “เริ่มง่วงแล้วสินะไอ้แสบ” ผู้กองหันไปห้องแก้มเล็กๆ ที่อยู่บนไหล่ด้วยสายตาเอ็นดู สายตานั้นมันทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ

       “ฉันไปดูคนอื่นๆ ต่อนะ เดี๋ยวมา” ผมพยักหน้าตอบเช่นเคย ผู้กองยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ พร้อมพูดส่งท้ายก่อนเดินไปดูอาการคนอื่น “น้องต้องไม่เป็นอะไร แล้วไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ เธอไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”

       ผมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปยังเตียงของจ่า ด้วยใจที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น ความอุ่นจากมือผู้กองยังอยู่บนเส้นผมไม่จางไป

       แค่แป๊ปเดียวก็หมดเวลาเยี่ยมแล้ว เราทุกคนตกลงกันว่าจะขนหมอนผ้าห่มมานอนรวมกันที่ห้องโถงใกล้ห้องพยาบาล กลับไปนอนคนเดียวคงนอนไม่หลับ มานอนด้วยกันแหละดีแล้ว คนที่หลับไปก่อนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ของเรานี้เอง ส่วนคนที่ส่งมิดไนท์เข้านอนแล้วอย่างผู้กอง ก็ไปจัดการธุระของเค้าต่อ

       ว่าก็ว่า ผมยังไม่เห็นคุณโรสเลย เธอคงเสียใจเรื่องพ่อน่าดู ถามว่าผมรู้สึกผิดไหม ผมยอมรับว่ารู้สึกผิดบ้าง แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังคงทำเหมือนเดิม คนที่คิดจะฆ่าครอบครัวผม จะเป็นใครผมก็ฆ่าได้ทั้งนั้น เพราะผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายครอบครัวผมได้เด็ดขาด

       ผมใช้เวลานานมากกว่าจะข่มตาหลับได้ แต่ก่อนจะหลับรู้สึกว่า มีคนมานอนข้าง คนคนนั้นลูบหัวผมเบาๆ ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นและหลับไปในที่สุด


+++


       เสียงเอะอะที่ห้องพยาบาลตอนเช้ามืด ปลุกผมให้ตื่นจากความหลับไหล ผมกำลังตั้งสติเพื่อให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเรางดใช้ไฟ ทำให้มองไม่ถนัดว่ามีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น

       “ไฟเหลือน้อยแล้ว ใครที่หายใจได้เองแล้วปิดเครื่องเลย” เสียงใครสักคนดังขึ้น

       “แสงอาทิตย์น่าจะใช้ได้ตอน 07.30น. หรือไม่ก็ 08.00น. ครับ ตอนนี้เพิ่งตีห้าห้าสิบเอง” เสียงเริ่มเบาลง เพราะเข้าไปในห้องพยาบาลแทน ผมที่เริ่มหายมึนงงจากการตื่นนอน ก็เข้าใจสถานการณ์โดยทันที

       ผมเดินไปดูห้องพยาบาลที่ประตูเปิดอ้าไว้ ข้างในค่อนข้างมืด มีแค่แสงจากไฟฉายสามสี่กระบอกที่ส่องไปมาตามเตียงต่างๆ

       “ผมว่าคนนี้สามารถหายใจได้เองแล้ว ถอดเครื่องช่วยหายใจเถอะ” เสียงยังดังอยู่ในห้องนี้ไม่หยุด

       “เหลือกี่คนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ” เสียงผู้กองแน่ๆ ที่ดังขึ้นมาจากมุมมืด มุมนึงของห้อง

       “ต้องใช้ถึงสี่คนหนะครับ” ผมยืนฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ

       “จะใช้ได้นานแค่ไหน” เสียงผู้กองดังขึ้นมาอีกครั้ง

       “ประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ ไม่เกินนี้แน่” ปลายมือผมเย็นเชียบ ไฟไม่พอสำหรับรอไฟรอบใหม่ แล้วสี่คนนั้นยังหายใจเองไม่ได้ด้วย ไม่นะ!

       “เราต้องการไฟฟ้าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนไฟรอบใหม่จะมาใช่ไหม” เสียงผู้กองพูดดังขึ้นอย่างครุ่นคิด

       “ใช่ครับ”

       “เราใช้แบตเตอรีรถยนต์มาแปลงเป็นไฟฟ้าใช้ก่อนได้ไหม” ผู้กองเสนอขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ

       “น่าจะได้นะครับ แต่ต้องเอามาเยอะมาก เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละอัน มีไฟมากน้อยแค่ไหน”

       “คงต้องเอามาเกือบหมด เหลือไว้สักคันเผื่อออกไปหาข้างนอกเพิ่ม ผมรีบไปดีกว่าเพราะเราต้องแข่งกับเวลาที่น้อยลงทุกที ไปได้แล้วอย่ามัวแต่แอบฟัง มาช่วยกันขนแบตเตอรี่” ผมสะดุ้งเมื่อผู้กองหันมาพูดกับด้วย นี่เค้ารู้ตลอดเลยเหรอว่าผมอยู่ตรงนี้

       ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอะไรไร้สาระ ผมได้แต่วิ่งตามผู้กอง โดยที่ไม่ลืมปลุกแมนนี่มาด้วย เราวิ่งไปที่รถทุกคันที่จอดอยู่ แต่เนื่องจากผมกับแมนนี่ทำไม่เป็น จึงต้องรอลุงดำมาถอดแบตเตอรีให้

       เรามานั่งภาวนานาทีต่อนาที ให้ไฟที่เรามีพอสำหรับรอแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ารอบใหม่ให้

        แดดเริ่มมาแล้ว มาแล้วๆๆ ไฟอย่าเพิ่งหมดนะ ได้โปรด…

       ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็มอบไฟฟ้ารอบใหม่ให้เราได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด โล่งอกไปที เฮ้ออ… แต่งานเรายังไม่หมด ต้องรอให้ไฟฟ้ามีมากพอให้ชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปใหม่ ไม่งั้นเราไม่มีรถใช้แน่ๆ

       อาการของลมหนาวก็ดีขึ้น หมอบอกน้องปลอดภัยแล้ว แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ จนกว่าน้องจะฟื้นถึงค่อยถอด เราทุกคนเริ่มผ่อนคลายลงมาบ้าง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมันยังไม่จบซะทีเดียว ยังคงต้องจัดการอะไรหลายๆ อย่าง


+++


       การสูญเสียเป็นสิ่งที่เจ็บปวด เสียงร้องไห้มันบีบหัวใจทุกขณะ เรากำลังยืนไว้อาลัยให้กับคนที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ สามคนที่เสียสละปกป้องเราทุกคนจนตัวตาย สามคนที่นึกถึงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ ขอให้พวกคุณไปสู่สุขคติ แล้วไม่ต้องเจ็บปวดกับโลกที่เลวร้ายนี้อีกต่อไป ขอบคุณที่คอยดูแล และปกป้องเราทุกคน ขอบคุณ…

       เราเลือกที่จะฝังพวกเขาไว้ใต้ต้นไม้ ที่ที่อากาศปลอดโปร่ง ทุกคนผลัดกันเข้าไปวางดอกไม้แล้วกล่าวคำอำลา

       “ฮือๆๆ ไม่จริง พ่อต้องไม่ตาย พ่อต้องอยู่กับโรสสิ ฮือๆๆ” คุณโรสกอดหลุมศพพ่อร้องไห้สะอึกสะอื้นปราณจะขาดใจ ผมเห็นใจเธอนะ และเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็อย่างที่บอกถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังทำเหมือนเดิม

       “แก ไอ้ฆาตกร แก แกฆ่าพ่อฉัน ฉันเอาคืนแน่! แกจะไม่ได้อยู่อย่างมีความสุข แกจำไว้เลย! ฮือๆๆๆ” เมื่อเธอหันมาเจอผม เธอก็ด่าแบบนี้ทุกครั้ง ผมไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่ยืนมองอยู่เงียบๆ ผมไม่รู้หรอกในอนาคตเธอจะทำอะไรผมบ้าง แต่ผมจะไม่ยอมให้เธอทำอะไรครอบครัวผมแน่

       งานศพผ่านไปอย่างโศกเศร้า และหดหู่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยมีเลือนหายไป แต่เราจะมัวมานั่งเสียใจอยู่ไม่ได้ เพราะยังมีงานอีกมากมายรอให้เราทำอยู่

       ถึงจะเศร้าแค่ไหนงานก็ต้องดำเนินต่อไป ลุงสนได้เวลาเก็บเกี่ยวข้าวต่อ ลุงดีก็ต้องดูไร่กล้วย ป้าๆลุงๆก็ต้องดูแลไร่สวนต่างๆ ส่วนผม แมนนี่ และไอ้เด็กริวนะเหรอ หึหึ มาหาฟืนไง หาน้อยซะเมื่อไหร่ นี่แบกขึ้นลงรถเข็นจนแขนจะหักอยู่แล้ว

       “โอ้ยยเหนื่อย!!” เสียงผมเอง แหะๆ

       “หุบปากแล้วรีบๆ ทำเถอะ แบกฟืนดีกว่าแบกซอมบี้กับศพในป่าละหยะ เดี๋ยวพวกทหารก็เอาซอมบี้มาเผาแล้ว” ใช่ครับหลังจากสงครามสงบ เราก็ต้องเก็บศพซอมบี้และโจร

       “พี่เรียงฟืนสูงขนาดไหน” ไอ้เด็กริวที่มีหน้าที่เรียงฟืน สำหรับวางซอมบี้ไว้เผา ถามขึ้นมา

       “เอาแค่ระดับต้นขาพอ ถ้าเรียงเสร็จแล้ว ก็มาช่วยกันตัดไม้ด้วย” ผมตอบกลับไป เพราะผมเหนื่อยมากกับการที่ต้องตัด และเลื่อยไม้แห้งๆ ที่ล้มระเนระนาดนี้

       “ผมบอกหมวดให้ทิ้งไว้กลางป่าเลยก็ไม่เชื่อ ดูสิต้องเหนื่อยกันอีก” ไอ้ริวทั้งบ่นทั้งทำ ปากก็มุบมิบๆ มือก็ทำ

       “มึงจะปล่อยให้พวกเค้าหนอนเจาะอยู่ในป่ารึไง น่าสงสารออก เลิกบ่นแล้วรีบๆ ทำ”

       “แต่พี่บ่นก่อนใครเลยนะ”

       “เอ้าเหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย ครึครึ”

       “โป๊ก!! เลิกคุยแล้วมาตัดไม้สักที” โอ้ยย เจ็บ เธอช่างใจร้ายเอาไม้ตีหัวเราได้ คนสวยอำมหิต “เลิกตัดพ้อกูทางสายตาได้แล้ว มานี่!”

       “ครับ!” ก็ต้องยอมแบบนี้ทุกทีสิน่า...


+++


       ผ่านมาสามวันในที่สุดลมหนาวก็ฟื้นขึ้นมา เราทุกคนดีใจกันมาก เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเริ่มกลับเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง ถึงแม้อาจจะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม ต่างจากคุณโรสที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ลงมาทีก็ตอนเวลากินข้าว

       เราเริ่มส่งเสบียงเล็กๆน้อยๆ เช่นกล้วย แตงกวาให้ค่ายต่างๆ แถวนี้ไป โดยมีหมวดโฟรคเป็นผู้จัดส่ง แถมพ่วงไอ้เด็กริวนั้นไปด้วย สองคนนี้เริ่มจะตัวติดกันเกินไปแล้วนะ ผมว่าหมวดต้องคิดอะไรกับ ไอ้เด็กริวนั้นแน่ๆ

       “แมนนี่! จะไปไหน มันมืดแล้วนะ” ผมที่นั่งอยู่บริเวณทางเข้าบ้านถามขึ้น เมื่อเห็นแมนนี่กำลังเดินออกไปนอกบ้าน

       “ไปนอนบ้านหมู่” นอนบ้านหมู่? หมู่ไหน

       “หมู่ไหน หมู่นาย หรือหมู่เทน” ไวไฟจริงๆ เพื่อนใครวะ

       “ทั้งสอง อิอิ” ทั้งสอง สามพี เงี่ยเหรอ แมนนี่!!

       “จะแรดไปแล้วนะ!”

       “ความสุขของกู หุบปากไปเลย อีกอย่าง ถึงกูจะแรด แต่ไม่ร่านนะจะ ไปแล้ว! สามีรอ ครึครึ” แล้วมันก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าเหวอกับสรรพนามที่มันใช่เรียกทั้งสองคนนั้น ‘สามี’ งั้นเหรอ มันไปได้กันตอนไหนวะ…

       ผมเลิกคิดเรื่องแมนนี่แล้วเดินไปดูลมหนาว น้องมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาก สายระโยงระยาง ก็เอาออกหมดแล้ว และที่สำคัญหมออนุญาตให้น้องกลับมานอนที่ห้องได้แล้วด้วย โดยมีพยาบาลที่ไม่ยอมออกห่างไปไหนอย่างน้องมิว คอยอยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้ผมวางใจแล้วออกไปทำงานได้อย่างไม่ต้องคอยผะวง เจ้าตัวเล็กมิดไนท์ก็อยู่ที่นี้ด้วย เมื่อผมวางใจแล้วจึงเดินเข้าห้องตัวเองเพื่อที่จะอาบน้ำ แต่เห็นใครบางคนนั่งอยู่บนเตียงผมซะก่อน

       “เข้ามาได้ยังงัย จะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน” ผมทำหน้าไม่พอใจ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเจอผู้กองนั่งอยู่ที่เตียงของตัวเอง

       “ฉันหาเธอไม่เจอ เลยมานั่งรอ” เจ้าตัวพูดขึ้นอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน กับสิ่งที่ผมพูดเลย “แล้วเธอไปไหนมา”

       “นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่หน้าบ้าน เพิ่งขึ้นมา” ผมจึงตอบไปให้จบๆ

       “ไม่น่า ฉันหาข้างบนไม่เจอ”

       “แล้วอยากเจอทำไม”

       “พูดไม่มีหางเสียงเลย” ผมทำหน้ายู่ใส่เมื่อโดนตำหนิ “หึหึ ไม่ต้องมาทำหน้ายู่ใส่เลย ฉันแค่อยากให้เธอพูดเพราะๆ กับฉันไม่เป็นไรหรอก แต่กลับคนอื่นที่อายุมากกว่า ฉันอยากให้เธอพูดดีๆกับเค้า”

       “ผมพูดมีหางเสียงกับผู้ใหญ่ทุกคนแหละ ยกเว้นผู้กอง” เพราะผมหมั่นไส้ไง แต่ผมไม่พูดออกไปหรอกนะ กลัวโดนมะเหงก

       “ดีแล้ว มานี่หน่อยสิ เข้ามาใกล้ๆ ฉันไม่กัดหรอกน่า” ใครจะรู้หละ ผมยิ่งขี้เกียจไปฉีดวัคซีน ครึครึ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เพราะอยากรู้ว่าผู้กองจะทำอะไร

       “เฮ้ย!” ผู้กองกระตุกแขนผมให้นั่งลงบนตัก แล้วใช้มือโอบรัดผมไว้ทันที “จะกอดทำไมเนี่ย” ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หัวใจผมมันกำลังทำงานอย่างหนัก เพราะการกระทำของผู้กอง

       “ฉันเหนื่อย ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม” เจ้าตัวพูดเสียงเนือยๆ แล้ววางคางบนไหล่ผม พร้อมเอียงหน้ามาพูดเบาๆ ลมที่เป่าลดใบหูทำให้ผมขนลุกเกรียว หัวใจที่ว่าทำงานหนักแล้ว ยิ่งทำงานหนักเข้าไปอีก หลังจากเหตุการณ์การสู่รบผ่านไป ผู้กองก็ชอบเข้ามาเกาะแกะ และเข้าหาผมแบบนี้เสมอ หรือผู้กองจะโดนโจรตีหัวจนสมองกลับ แล้วที่สำคัญทำไมผมไม่ขัดขืน… นี่แหละประเด็นสำคัญ

        “จะกอดอีกนานไหม อึดอัด” ผมขยับตัวยุกยิกอย่างประหม่า เมื่อผู้กองเข้าหาผมในลักษณะนี้ ผมยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก แต่ดูแล้วเจ้าตัวจะไม่สนใจที่ผมบอก แถมยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก

       “วันนี้เป็นไงบ้าง” ไม่สนใจ แล้วยังถามไปเรื่องใหม่อีก แล้วผมต้องทำยังไง ต้องตามน้ำไปสินะ ซิ

       “เรียบร้อยดี เก็บกล้วยได้เยอะมาก ฟักทองเริ่มโตจนจะเก็บได้แล้ว อีกสองวันป้าๆบอกจะเริ่มขุดมันเทศ ป้าๆ ขอกำลังทหารไปช่วยกันขุดด้วย แล้วเกี่ยวข้าวที่อื่นเป็นไงบ้างคะ ครับ” แค่พูดมีหางเสียงทำไมต้องตะกุกตะกักด้วยไอ้อุ่น แต่ก่อนก็ยังพูดได้เลย ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ

       “ก็ดี ได้เยอะพอสมควร แต่ซอมบี้เยอะไปหน่อย กำจัดเสร็จต้องขนไปเผาอีก เหนื่อยใช้ได้เลย” ขนศพซอมบี้เหรอ

      “นั่งบนเตียงนี่อาบน้ำรึยัง!” เตียงผมจะเปื้อนด้วยซอมบี้ไม่ได้!

       “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันอาบแล้ว ไม่อาบใครจะกล้าขึ้นมานั่งบนเตียง” ผมไง แต่ไม่บอกหรอก เดี๋ยวหาว่าซกมก ผมซกมกกับตัวเองได้ แต่คนอื่นซกมกกับผมไม่ได้ งงไหม ฮาๆ

       “ปล่อยได้แล้ว จะไปอาบน้ำ” ผมเริ่มที่จะดิ้นอีกครั้ง อยู่ในท่านี้นานๆ ความแมนผมมันเริ่มจะสั่นคลอนยังไงไม่รู้

       “ให้ฉันอาบให้ไหม” พูดขึ้นพร้อมใบหน้ากรุ้มกริ่มที่ผมไม่เคยเห็นจากผู้กอง แต่เมื่อได้เห็นแล้วมันทำให้ใบหน้าผมมันร้อนฉ่าจนรู้สึกได้

       “จะบ้าเหรอ ผมอาบเองได้ ไม่ใช่เด็กนะ” ผมรีบแย้งในทันที แล้วพยายามแกะมือผู้กองออกจากเอว

       “ทำไมหน้าแดง” ไม่พูดเปล่ายังเอามือมาจิ่มแก้มผมด้วย ยิ่งทำให้ความร้อนจากหน้าลามไปถึงใบหูและคอ โอ้ยย ผมจะบ้าตาย อะไรของผู้กองเนี่ย

       “ถามจริงๆ เถอะ ผู้กองชอบผมรึไง อุ๊บส์” ผมตะครุบปากตัวเองไม่ทัน จนเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไป

        “แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบหละ เธอจะว่ายังไง” สายตาที่มองมามันทำให้หัวใจผมสั่นไหวแปลกๆ จนผมต้องหลบตา

        “ถ้าชอบ แสดงว่าอาจจะชอบหรือไม่ชอบ ในเมื่อไม่ชัดเจน งั้นผมไม่ขอตอบแล้วกัน” รอดแล้วสินะ เฮ้ออ…

       “ฉันชอบเธอ”

       “0_0” อะไรนะ!! ชอบ!!

       “ฉันพูดจริงๆนะ ทีแรกฉันยอมรับว่าไม่แน่ใจ แต่เมื่อได้เห็นน้ำตาของเธอ มันทำให้หัวใจฉันเจ็บปวด ฉันไม่ชอบที่เธอไปสนิทกับนายและเทน ฉันอยากเห็นหน้าเธอตลอดเวลา พอคิดดูแล้วฉันถึงได้รู้ว่าที่รู้สึก มันไม่ใช่แค่เอ็นดูแล้ว ความรู้สึกมันไปไกลกว่านั้นมากแล้ว ฉันชอบเธอ และอีกไม่นานอาจกลายเป็นรักก็ได้”

       สมองผมมันตื่อไปหมดกับคำสารภาพของผู้กอง ผมไม่รู้ว่าจะตอบกลับยังไง ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอเลย

       ชอบเหรอ? ผู้กองชอบผมเหรอ เมื่อประมวลผลออกมาได้ หัวใจผมมันก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนแทรกซึมขึ้นมาบนใบหน้า ใบหู ลามไปยังคอ คำว่าชอบมันสั่นคลอนผมได้ขนาดนี้เลยหรอ

       “แล้วเธอหละคิดยังไงกับฉัน” เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ผู้กองจึงเลือกที่จะถามขึ้นมาแทน

       “คิดเหรอ คิดอะไร คืออะไร…เอ่อ” สีหน้าผมมันคงเอ๋อหน้าดู จนผู้กองต้องยกฝ่ามือทั้งสองข้างมาประกบแก้มผมไว้

         “ใจเย็นๆ ยังไม่ต้องตอบฉันตอนนี้ก็ได้ ฉันจะรอเธอจนถึงวันก่อนเดินทางไปภูเก็ต ถึงเวลานั้นเธอต้องให้คำตอบฉันนะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ โล่งอกไปหน่อย ให้ตอบตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงจริงๆ ผมยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังสักครั้ง ขอเวลาผมทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตัวเองหน่อยเถอะ

       “แต่ขอมัดจำก่อนได้ไหม” หือ…มัดจำอะไร

       “มัดจำอะ อื้อ…” ผมตกใจจนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้กองฉกริมฝีปากผมด้วยปากของผู้กอง ผู้กองค่อยๆ เลาะเล็มที่ริมฝีปากผมเบาๆ ทั้งบนและล่าง ทุกการสัมผัสเป็นไปอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน โดยไม่มีการล่วงล้ำใดๆ สัมผัสที่ผมไม่เคยเจอ ทำให้สมองผมมันขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกปล่อยให้ผู้กองฉกชิมริมฝีปากผมไปเรื่อยๆ อย่างไม่ห้ามปาม ค่อยๆ ขบเม้ม ลิ้นร้อนของผู้กองค่อยๆ ไล่สัมผัสริมฝีปากล่างอย่างช้าๆ จนกระทั้ง…

       “อื้อ อะ” ผมเผลอเปล่งเสียงครางออกมา เมื่อมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่หน้าอก และหน้าท้องผม มันไม่ใช่แล้ว! ไอ้ผู้กอง!! ผมรวบรวมแรงทั้งหมดผลักผู้กองออกจากตัว พร้อมลุกออกจากตักแกร่งนั้น

       “ผู้กองจับอะไร!”

       “โทษที มือมันไปเองหนะ” ไอ้ผู้กอง!! ยังมีหน้ามายิ้มอีก!

       “ลามก!!” คนอะไรมือไวชะมัด ผมหันหลังเดินหนีเข้าห้องน้ำทันที

       “จะไปไหน!” แต่ยังไม่วายต้องหันมาตอบอีก

      “อาบน้ำ!!”

       “อาบน้ำ หรือทำอะไร” ผู้กองแสดงสีหน้าเหมือนรู้ทัน รู้ทันบ้าอะไรเล่า! คนจะไปอาบน้ำ ไม่ไดทำอะไรสักหน่อย

       “อาบน้ำเว้ยยย!!” ผมรีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ พร้อมปิดประตูตามด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาอยู่ดี ไอ้ผู้กอง!! ไอ้ลามก!!

       ผมเดินมาส่องกระจกเห็นภาพตัวเองที่หน้าแดงก่ำ ทั้งลำคอใบหูก็ไม่ต่างกัน แถมปากยังเจ่อด้วย ผมเอามือลูบไปที่ตำแหน่งหัวใจ มันเต้นแรงอย่างเห็นได้ชัด

       ยืนทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมถึงปล่อยให้ผู้กองทำตามใจตัวเองโดยไม่ห้าม ไม่หนี ไม่ขัดขืน ทำไมผมถึงยอม หรือผมจะชอบผู้กองเข้าแล้วจริงๆ

       งั้นผมก็เป็นเกย์นะสิ โอ้ไม่!! สาวๆ ต้องใจสลายแน่เลย

       แต่อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ผู้กองให้เวลาคิดตั้งเยอะ ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน

ชอบ หรือ ไม่ชอบ?


……………………
……………..
……….

       ขอบคุณที่ติดตาม รักคนอ่านทุกคนค่ะ ^^

       
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่12☆ P.2☆12/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 12-01-2019 23:33:00
โว๊ะ นังโรสนี่ จะเก็บไว้ในค่ายทำไม ตัวอันตราย แตะโด่งออกไปเลย :katai1:
ว่าแต่ผู้กองสารภาพรักแล้ว น่ารัก :hao7:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่13☆ P.2☆16/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 16-01-2019 20:58:40
- 13 -


[ไออุ่น]

       ยามศึกเรารบ ยามสงบเราพัก ซะที่ไหนละ ทำงานงกๆ อยู่เนี่ย วันนี้เป็นวันขุดมันเทศแห่งชาติ ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหม แน่นอนว่าต้องยิ่งใหญ่เพราะทั้งประเทศคงมีที่นี้แหละ ที่มีมันเทศจำนวนมากขนาดนี้ให้ขุด เราจึงตั้งชื่อวันนี้ว่า วันขุดมันเทศแห่งชาติ ตั้งโดย นายแมน หรือแมนนี่นั้นเอง

       “กรีสสส มึงใหญ่หวะ” แมนนี่กรีสสสเบาๆ ใส่หูผม เบาสำหรับคนอื่นนะ ไม่ใช่ผม…

       “มันเทศลูกใหญ่เหรอ นี่ก็ขุดลูกใหญ่ๆ ได้หลายอันเลย”

       “เปล่า เป้ากางเกงทหารตรงหน้าต่างหาก คึคึ” พูดไม่พอยังเอามือชี้อีก ดีที่พี่เค้าสนใจแต่หัวมันตรงหน้า

       “กูจะฟ้องพี่นาย พี่เทน”

       “แค่ชื่นชมด้วยดวงตาย๊ะ ยังไม่ได้สัมผัส อย่าซีเรียสเพื่อนรัก จุจุไว้ๆ” แล้วก็หันไปมองต่อ จนพี่เขารู้สึกตัวแล้วมองมา ถึงก้มหน้าขุดต่อได้

       การขุดมันก็ดำเนินต่อไปจนกระทั้ง

       “แมนนี่ทำอะไร” ผมถามแมนนี่ที่กำลังเอากระดานไวท์บอร์ด ที่มความกว้าง 100 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร พร้อมปากกามาแขวนไว้ที่ต้นไม้กลางสวนมันเทศ

       “ติดตั้งเฟซบุ๊กชาวไร่อยู่” อะไร? ที่หายไปครึ่งชั่วโมงเพราะสิ่งนี้? “โอ้ย เลิกทำหน้าเอ๋อได้แล้ว ในเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ตให้เล่นโซเชี่ยว เราก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง ดูสิเย็นนี้จะมีใครโพสต์อะไรบ้าง ครึครึ” เป็นเอามาก

       “หนูแมนนี่ หนูอุ่น มากินข้าวได้แล้วลูก!” ป้าตะโกนเรียกที่เพิงพักข้างไร่มันเทศ

       “ผมขออาหารไปให้น้องก่อนได้ไหมครับ”

       “ไม่ต้องห่วง ป้าเอาให้ก่อนจะยกมานี้แล้ว แถมยังพ่วงไอ้ตัวเล็กนี้มาด้วย” พอป้าพูดจบ เจ้าตัวเล็กที่ว่า ก็วิ่งเข้ามาหาผมทันที พร้อมสมุนสี่ขาอีกสองตัว

       “มัม!! มันเทศเผาอร่อยมากกก” ท่าจะอร่อยมากจริงๆ ลากเสียงยาวขนาดนี้

       “แล้วใครแกะให้ครับ”

       “ป๊าแกะให้น้องไนท์คราฟ” พอมิดไนท์พูดจบ ผมก็เห็นสายตาวิบวับของป้าๆ ที่ส่งมาให้ทันที งือ...มันไม่ใช่อย่างที่ป้าคิดนะ หรือจะใช่วะ?

       “ไปล้างมือแล้วมากินข้าวได้แล้ว หนูอุ่นอย่าลืมเรียกสามี เอ้ย! ผู้กองมากินข้าวด้วยนะจ๊ะ” ครับ ผม จะ เรียก มา ให้! เชอะ งอล

       เพิงพักไม่ได้ใหญ่พอที่เราทุกคนจะขึ้นไปนั่งได้ เลยต้องปูเสื่อกินกันตามร่มไม้ กระจายกันไป กลุ่มผมมี แมนนี่ หมู่นาย หมู่เทน ผู้กอง มิดไนท์ น้องบี ลุงดำ แล้วเจ้าหมาน้อยอีกสองตัว

       “พี่บีคนสวย กินมันเผาสิคราฟ อร่อยมากเลย” เปย์มันเผาให้น้องบี แต่เลือกอันที่เล็กที่สุดให้ ดีจริงๆ ไอ้ตัวเล็ก ดีที่ป้าเขายกมาให้อีกจาน ไม่งั้นตัวแสบของเราต้องมาตัดสินใจอีกว่าจะแบ่งอันไหนให้พี่แมนนี่ นี้คืออาการอยากเปย์แต่เสียดาย ฮาๆๆๆ

       “อ่ะ ฉันแกะให้” มันเทศเผาที่แกะแล้วถูกยื้นมาตรงหน้าผม คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นคนแกะ แล้วทำไมทุกคนต้องมองหน้าผมแบบนั้นด้วย มองด้วยรอยยิ้มมุมปากและสีหน้าเหมือนอยากจะล้อเรียนนั้นคืออะไร…

       “แกะเองได้” แค่นี้เองแกะเองได้ ไม่เห็นต้องแกะให้เลย ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะ ผมแมนๆ ทำเองได้

       “แต่ฉันอยากแกะให้หนิ” หันไปมองหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง…เออ รับก็ได้วะ ที่ผมรับเพราะกลัวผู้กองหน้าแตกหรอกนะ ไม่ได้กลัวว่าผู้กองจะเสียความรู้สึกเลยจริงจริ๊ง! อย่าคิดไปไกล

       “หึหึ” เสียงเหมือนนางมารแบบนี้มีแค่แมนนี่คนเเท่านั้น แต่ผมไม่หันไปมองหรอก ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว เพราะอาหารอร่อย?

       “เราจะเดินทางไปภูเก็ตตอนไหนเหรอ” ผมไม่เปลี่ยนเรื่องนะ แค่สงสัยหรอก

       “อีก 3 สัปดาห์ ทุกคนคงอาการดีขึ้นมากเเล้วในตอนนั้น” ผู้กองตอบคำถามผมแล้วหันมามองเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ยอมพูดจนผมทนไม่ไหว

       “อยากพูดอะไรก็พูดสิ สงกระแสจิตไม่รู้ด้วยหรอกนะ” ทำเหมือนจะพูดแล้วไม่ยอมพูดอยู่นั้น

       “ไปที่ภูเก็ตแล้ว…เธอจะกลับมาที่นี่กับฉันอีกไหม” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนดูเหมือนจะไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่าพวกเขาก็รอฟังอยู่

       “ไม่รู้สิ” ผมหันไปมองมิดไนท์ ถ้านี่มันเป็นแค่ชีวิตผมคนเดียว ผมจะไม่ลังเลที่จะตอบเลย แต่นี้มันไม่ใช่ การตัดสินใจของผมมีผลกับน้องๆ ผมจึงต้องคิดให้ดีก่อน “ผมห่วงน้องๆ”

       “ฉันเข้าใจ ถ้าอยู่ที่ภูเก็ตมันปลอดภัยจากซอมบี้มากกว่า เธอคงอยากให้พวกเขาอยู่อย่างสงบ และปลอดภัย แต่ถ้าอยู่ที่นี่ฉันสัญญาว่าจะดูแลทุกคนให้ปลอดภัย และสังคมที่นั้นมันก็ไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ไปดูก่อนค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน แต่ฉันหวังว่าเธอจะเลือกอยู่ที่นี่”

       การที่เห็นน้องชายเจ็บหนักขนาดนั้น มันทำให้ผมลังเลไม่น้อยเลย ในชีวิตนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือน้องๆ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะดูแล ปกป้องพวกเขา ให้ปลอดภัยแม้แลกด้วยชีวิตก็ตาม… แต่เรื่องมันอีกตั้งนาน จะมาซีเรียสอะไรตอนนี้ เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้มันเป็นอนาคตเถอะ

       “เอ้า ไอ้ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวกินข้าวคลุกปลาไป” ผมเอาข้าวคลุกปลาเทใส่ใบกล้วยให้เจ้าสองตัวนั้นกิน

       “หงิง! / บ๊อก!” ส่งสัญญาณแล้วก้มหน้าก้มตากินทันที ตะกละจริงๆ พวกแกหนิ

       “น้องไนท์อยากกินด้วย!”

       “น้องไนท์จะไปแย่งข้าวหมาทำไมลูก! เดี๋ยวพี่แมนนี่คนสวยแกะปลาให้ก็ได้” หมามันได้ลูกพี่มันนี่เอง ตะกละจริงๆ ลูกใครวะ

       การกินข้าวของเราก็ดำเนินไปกับการพูดคุยด้วยหัวข้อที่เปลี่ยนไปเรื่อย เมื่อกินเสร็จเราก็ทำงานกันต่อ โดยที่มีมิดไนท์และลูกน้องสองตัว นั่งขุดมันเทศอยู่ในร่มไม้ตรงกระดานโซเชี่ยวของแมนนี่ เราต้องเร่งทำให้เสร็จเร็วๆ เพราะยังมีงานรออยู่อีกเพียบ และหมวดโฟรค ต้องเอาของไปส่งที่ค่ายย่อยในจังหวัดใกล้เคียงวันต่อวันด้วย

       หมดไปอีกวันสำหรับการทำงาน เรามารวมตัวกันที่ต้นไม้กลางไร่เพื่อกินน้ำ พูดคุยก่อนกลับที่พักของตนเอง

       “เฮ้ย…อีอุ่นดูนี่ กระดานมีข้อความเต็มไปหมดเลยหวะ” แมนนี่เดินมาดึงมือผมเข้าไปดูใกล้ๆ เออ เต็มจริงๆด้วย “มีอะไรบ้างวะเนี่ย เดี๋ยวกูอ่านให้ฟัง” กูก็อ่านออกเถอะ

       “อันแรกๆ  > ‘@แก่แล้วยังไม่มีครีมทาอีก : อยากได้ครีมที่ทาแล้วเด็กลง ผัวหลงหัวปักหัวปำ’ อันนี้มันไม่ได้อยู่ที่หน้า มันอยู่ที่ลีลาจะ” ต้องเป็นพวกป้าๆ แน่เลย จะแนะนำป้าไปทำศัลยกรรม หมอก็ดันโดนซอมบี้แดกหมดแล้ว พึ่งตัวเองนะครับป้า

       “ ‘@หล่อเป้าใหญ่ : อยากมีเมียไวๆ มีไหมแถวนี้  อยากเจอเมียดีๆ แถวนี้มีไหมเอ่ย’ ถ้าเป้าใหญ่จริงกูพร้อมพลีกาย ครึครึ” เป็นเอามาก ไม่ได้หมายถึงข้อความนะ หมายถึงแมนนี่

       “ ‘@แฝดคนละพ่อละแม่ : แมนนี่คนสวยคืนนี้เจอกันนะจะ’ กรีสสส! วันนี้กูต้องรีบกลับไปอาบน้ำแล้ว” ไม่ต้องบอกว่าแฝดคนละพ่อละแม่เป็นใครคุณก็คงรู้

       “ ‘@คนสูงวัยผู้หล่อเหลา : อยากกินพิซซ่า KFC อยากกินหมูกระทะ…’” อันนี้ออกแนวบ่นหาของกิน

       “ ‘@สวยสุดในสามโลก : ผัวมีแล้วแต่กิ๊กยังไม่มี รับสมครด่วน ขอหล่อล้ำ ใหญ่!! เน้นว่าต้องใหญ่ ครึครึ’”

         “กูรู้ว่ามึงแมนนี่” จะมีใครกล้าเขียนแบบนี้ถ้าไม่ใช่มัน

       “ใส่ร้าย! กูใสๆ เหอะ” ใสมาก…

       “ต่อๆ ‘@แห้งเหี่ยวมาชาตินึง : โสดมาเกือบหนึ่งปี สามีทั้งหลายตายหมดแล้ว’ แกมีผัวกี่คนวะเนี่ย ไอดอลกูเลย” ถอนหายใจหนักๆ กับมัน

       “ ‘@มีเรื่องจะเล่า คิดแล้วเศร้าใจ : เคยโดนซอมบี้อาม่าข้างบ้านกัดตูด ตอนนุ่งผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำ แต่ไม่กลายพันธุ์ เพราะอาม่าฟันล่วงหมดแล้ว ปล.ความรู้สึกที่โดนเหงือกขบตูดยังไม่เคยลืมเลือน’ ฮาๆๆๆ กูอดไม่ได้ ขอขำหน่อยเถอะ แม่งฮาจริงๆ” ผมยังอดขำไม่ได้เลย จะเศร้าเรื่องอาม่าข้างบ้านสักหน่อย แต่ต้องมาขำเรื่องเหงือกขบตูด ฮาๆๆ ไม่น่าคนที่มาถึงก่อนถึงขำกันใหญ่

       “ใกล้หมดแล้วๆ อันนี้ ‘@ชื่อผม จอ อู๋ : เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดสักที…’ ‘ตอบกลับโดย @ตัด จอ อู๋ มันซะ : ดีแล้วกูสงสารเนื้อคู่มึง ไอ้ จอ อู๋ เล็ก’ กูว่าเพื่อนกันแน่ๆ หวะ ว่าแต่เล็กจริงดิ”

        “แมนนี่”

        “เออ อ่านต่อก็ได้ ข้อความรองสุดท้าย ‘@แสงสว่าง : หลายคนต้องการไออุ่นในฤดูหนาว แต่สำหรับผมต้องการไออุ่นทุกฤดูกาล’ โอ๊ะโอ ใครหว่าคิดไม่ออกเลย มึงคิดออกบ้างเปล่า ไออุ่น” มันหันมายิ้มแบบมีเลศนัยใส่ผม แต่ผมตีหน้าซื่อกลับไปให้ กูไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ

         “เออ ตีหน้าซื่อต่อไปเถอะมึง อ่านข้อความสุดท้ายดีกว่า ดูแล้วน่าสนใจจริงๆ ‘@ฤดูร้อน : บางทีอาจจะต้องการเวลา’ หือ…เวลาแบบไหนน้าาา เวลาที่ต้องการคิด หรือเวลาที่เป็นภาษาอังกฤษเหรอ…”

        “กูจะรู้เหรอ ก็ไม่ใช่คนเขียนหนิ”

      “เหรอ?”

       “เออ!! ไปแล้ว มิดไนท์รอนาน ไร้สาระ” รีบเลยครับ เดี๋ยวมิดไนท์รอนาน ผมไม่ได้หนีนะ จริงจริ๊ง ข้อความอะไร ผมไม่ได้เขี๊ยน!! [ไรท์ : เสียงสูงไปนะบางที]


+  +  +


       นี้ก็ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เราเริ่มเก็บมันเทศ หลังจากเก็บมันเทศเสร็จก็ถึงคราวของพืชผักชนิดอื่นๆ โดยเราแบ่งงานกันทำ ข้าวก็เก็บเกี่ยวเกือบเสร็จแล้ว อีกไม่เกิน 3 วันคงเสร็จ ต่อไปก็ได้เวลาน้ำข้าวไปที่โรงสีข้าวภายในหมู่บ้าน เพื่อทำเป็นข้าวสาร ผมไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ ผู้กองบอกว่าหน้าที่แบกถุงข้าวเป็นของผู้ชาย แล้วผมเป็นผู้หญิงเหรอ? ผมผู้ชายแมนๆ นะเว้ย!! พูดแล้วเคือง ซิ

       ตอนนี้ผม กับแมนนี่กำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปเก็บฟักทอง หมวดโฟรคกับไอ้เด็กริวไปส่งของเหมือนเดิม สองวันเจอกันที ค่อยๆทยอยส่งไป เมื่อถึงเวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องแวะไปหลายที่ ผมก็เห็นด้วยนะ ถ้าเอาไปครั้งเดียว รถคงขนไม่หมดแน่

       “อีอุ่น งู!!!”

       “เชี่ย!!” ผมถอยหลังอย่างเร็วจนตกคูนา อีกแล้ว ดีที่โคลนมันแห้งไปหมดแล้ว ดูเหมือนงูจะตกใจผมเหมือนกัน มันรีบเลื่อยหนีไปทันทีที่ผมหงายท้องลงคูนา สลัดผัก! อยู่ดีๆ ก็ได้แผล ใช้ครับ ตกลงมาเมื่อกี้ผมโดนหญ้าบาดที่หลังเท้าเป็นทางยาว ดีที่ไม่ลึก แต่ก็เลือดออกอยู่ แสบซะมัด ฮือ…

       “ตายยังวะ” นั่นปากเหรอ

       “กูยังไม่ตาย!! มาดึงขึ้นไปทีดิ!” ลุกไม่ไหวครับ คูนาสูงด้วย

       “ที่ช่วยเพราะอนาถกับสภาพมึงเหรอกนะ” แค่หง่ายท้องขาข้างนึงฟาดไปที่คูนา อีกข้างขี้ไปอีกทาง หัวมุดพงหญ้า อนาถตรงไหน?

        “ฮึบ ลุกได้สักทีกู ฮือ…แสบ” แสบที่แผลมากเลย หญ้าอะไรวะเนี่ย เดี๋ยวเอายาฆ่าหญ้ามาเทลาดเลยแม่ง!

       “ดูไม่จืดเลยมึง” ส่ายหัวแล้วเดินหนี มึงมันเพื่อนใจร้าย!... “เลิกบ่นกูในใจแล้วเดินตามมา!”

       “ครับ” ทำอะไรได้หละ เดินตามไปอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมอาการหวาดระแวงงูนะสิ

       เดินมาถึงบ้านก็เจอมิดไนท์กับผู้กองกำลังเล่นกับเจ้าข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอยู่กันสองคน ลมหนาวอาการดีขึ้นมาก แต่ออกมาเดินเล่นยังไม่ได้เดี๋ยวแผลฉีก โดยมีน้องมิวคอยดูแลกับพี่พยาบาล ส่วนคุณโรสเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในห้อง ผมรู้ว่าเธอโกรธผมมาก เรื่องของพ่อเธอ เราปล่อยให้มันจบไปตั้งแต่ฝั่งศพพ่อกับพี่เธอแล้ว รื้อฟื้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ความสูญเสียมันเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้

       “มัมเป็นอะไร เลือดเต็มเลย” เสียงเจ้าตัวเล็กทำให้ผมหลุดออกจากความคิด

       “อ๋อ…” ผมยังไม่ได้พูด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาก่อน

       “อุ่นมันไปวัดความแข็งแรงของพื้นดินข้างคูนามาหนะ หงายท้องขาชี้ฟ้าเลย ฮาๆๆๆ อุบาทว์สุดๆ” ครับ นั้นแหละ อยากถีบมันชิบ แต่กลัวมันสวนคืน

       “หึหึ” หัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไงผู้กอง! “แล้วเป็นอะไรมากไหม” ถ้าจะหัวเราะขนาดนี้ ไม่ต้องมาทำเป็น เป็นห่วงหรอก! ซิ!!

       “มัมเจ็บไหม” มิดไนท์น่ารักที่สุด ไม่เหมือนสองคนนี้

       “ไม่เจ็บครับ ไม่ต้องห่วงมันบาดไม่ลึกหรอก เดี๋ยวมัมขอขึ้นไปอาบน้ำแล้วล้างแผลก่อนนะครับ จะได้มากินข้าวกัน ป้าๆ คงทำเสร็จแล้ว” ผมพูดพร้อมบีบแก้มแดงๆ อย่างมันเขี้ยว

       “งือ…มัมอะ หน้าน้องไนท์ยืดหมดเลย” ที่มันยืดเพราะกินมากต่างหาก เจ้าตัวเล็กเอ้ย

       ผมเดินขึ้นมาบนห้องหลังจากเจรจากับน้องไนท์จบ ต้องใช้คำว่าเจรจาเพราะเจ้าตัวอยากขึ้นมาด้วย แต่ผมอยากให้น้องเล่นกับเจ้าสีขาสองตัวนั้นอยู่ข้างล่างมากกว่า ผมจะได้รีบอาบ รีบลงไป

       อาบน้ำเสร็จแล้วสดชื่นซะมัด ผมรีบแต่งตัวเพื่อจะลงไปข้างล่าง ชุดเดิมๆ ที่ใส่ ก็เป็นชุดบอล ของแท้นะจะบอกให้ ไปตกที่ห้างมา

       แกรก! เสียงเปิดประตูทำให้ต้องหันไปดูคนที่เข้ามาในห้องผม

       “เข้ามาทำไม” ดีนะผมแต่งตัวเสร็จแล้ว เอ่อ แต่เราเป็นผู้ชายด้วยกันหนิ ไม่เห็นต้องอายเลย บ้าไปแล้ว

       “เข้ามาไม่ได้เหรอ น้อยใจนะเนี่ย” น้อยใจด้วยหน้านิ่งๆ นี่เหรอ? มีใครเขาพูดน้อยใจด้วยหน้านิ่งๆ แบบนี้บ้าง

       “ผู้กองเข้ามาทำไม แล้วเข้ามาทำไมไม่เคาะประตู” มารยาทหนะรู้จักไหม? ได้แต่คิดในใจ

       “เอ้า ฉันไม่ได้เคาะเหรอ โทษที” แต่สีหน้าไม่ได้สำนึกเลย นิ่งเหมือนเดิม สงสัยชาติที่แล้วเกิดมาเป็นหิน เลยติดมาจนชาตินี้ “และที่ฉันเข้ามา ฉันจะเข้ามาทำแผลให้”

       “แผล?”

       “ใช่ ทำแผล นั่งลงได้แล้ว เดี๋ยวทำให้” ผมมองดูดีๆ จึงเห็นมือขวาผู้กองถือกล่องพยาบาลมาด้วย

       ผมยังยืนเด๋อด๋า จนผู้กองดึงแขนให้นั่งลงที่ปลายเตียง ในขณะที่ตนเองนั่งลงบนพื้น

       หัวใจผมเริ่มทำงานหนักอีกแล้วสิ อะไรเนี่ยจะเต้นแรงทำไมหนักหนา ไอ้หัวใจเต้นปกติเดี๋ยวนี้!!

       ผมยังเงียบนั่งมองผู้กองยกเท้าไปไว้บนตัก อ่า…หัวใจผมมันเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมอีก หรือจะเป็นโลกหัวใจ?

       ผู้กองค่อยๆ ทำแผลผมอย่างเบามือ จับเท้าผมอย่างไม่รังเกียจ แถมยังลูบเบาๆ อีก ฮือ… อย่าทำอย่างนี้สิ เดี๋ยวผมก็แพ้จริงๆ ซะหรอก

       “เจ็บไหม” ผู้กองถามขึ้นโดยไม่เงยขึ้นมามอง ดีแล้ว อย่าเงยขึ้นมาเลย เพราะผมรู้ตัวว่าหน้ามันต้องแดงมากแน่ๆ

       “ไม่เจ็บ คะ ครับ” เฮ้ย…นี่ผมพูด ‘ครับ’กับผู้กองเหรอ โอ้ย หน้าร้อนกว่าเดิมอีกกู

       “ดีแล้วครับ” ทำไมต้องพูดครับด้วย ใจบาง แถมรอยยิ้มอบอุ่นนั้นอีก นี่จะตกไปให้ได้เลยใช่ไหมหัวใจผมเนี่ย งือ…

       “อะ เอ่อ คือ ลงไปเลยไหม คือไนท์คงหิว ละ แล้ว” ลิ้นพันกัน โอ้ย อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ จะพูดตะกุกตะกักทำไม!!

       “ลูกคงหิวแล้วเนอะ งั้นไปกันเถอะ” หะ ลูก? อ๋อ มิดไนท์ ผมเดินตามแรงจูงไปอย่างเบลอๆ

       “ไม่ต้องจับหรอก เดินเองได้น่า…โตแล้วเหอะ” ผมพูดอ้อมแอ้มออกมาเบาๆ งือ…ความแมนกูมันหายไปไหนวะเนี่ย ต้องจุดธูปอัญเชิญกลับมาไหม?

       “ครับๆ ปล่อยก็ได้ โตแล้วเนอะ โตจนเขินหน้าแดงแล้วเนี่ย หึหึ” ไอ้ผู้กอง!! “โอ๋ๆ ไม่ล้อแล้วไปกันเถอะ” ผมเดินตามไปด้วยหน้าบึ้งๆ…แต่แดง...งือ


+  +  +


       ตอนนี้ผ่านมาอีกหนึงอาทิตย์ ลมหนาวเริ่มออกมาเดินข้างนอกได้แล้ว เช่นเดียวกับจ่าและคนอื่นๆ ที่เจ็บหนัก อีกไม่นานคงหายเป็นปกติ

       เรื่องข้าวก็เข้าโรงสีหมดแล้ว ได้เยอะมาก เราบรรจุใส่ถุงกระสอบ แล้วแบกขึ้นไปไว้บนรถ เตรียมเดินทาง ถึงจะเหลือเวลาอีกเป็นอาทิตย์ก็เถอะ หมวดโฟรคหารถบรรทุกมาเพิ่มหลายคันเลย เพราะไม่ได้มีแค่ข้าว เรายังมีพื้ชผักอีกมากที่ต้องขนไป

       ขณะนี้เวลา 20.00 น. เรายังไม่ได้นอนหรอกนะ เพราะผู้กองเรียกไปประชุม ผมเดินอย่างชิวๆ เข้าไปในห้องนั่งเล่น เอ่อ…เต็มห้องเลย ผมหย่อนตูดลงพื้นเพราะโซฟาเต็มทุกที่  หลายคนก็นั่งบนพื้นอยู่แล้วด้วย

       “มาครบแล้วนะ จะได้เริ่มพูด” นี่ผมมาคนสุดท้ายเหรอ แหะๆ ช้านิดเดียวเอง

       “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ผมอยากจะข้อร้องทุกคน ถ้าไปถึงภูเก็ต เวลามีคนถามจำนวนเสบียงที่เราส่งไปค่ายต่างๆ ขอให้ทุกคนตอบว่าเราส่งไปให้แค่ 10% เท่านั้น” ทำไมต้องทำอย่างนั้น เพื่อ?

       “10% มันจะพอเหรอ ค่ายมีตั้งหลายค่ายนะครับ” ไอ้น้องริวถามขึ้นมา ก็จริง มันจะพอเหรอ

       “เพราะมันไม่พอไง ฉันถึงต้องเอาเสบียงไปให้เกินคำสั่งจากเบื้องบน”

       “บอกเบื้องบนว่าไม่พอ เลยต้องให้เพิ่มไม่ได้เหรอคะ” แมนนี่ถามขึ้นมา ผมก็เห็นด้วยอีกนั้นแหละ ให้เพิ่มเราก็บอกเหตุผลไปว่าให้เพิ่มเพราะอะไร ง่ายๆ

       “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะสิ อย่างที่เคยบอก ในยามที่โลกวิกฤตแบบนี้ ประเทศไหนมีผู้นำที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าประเทศไหนมีผู้นำที่ไม่ดี ก็ล่มจมลงอีกเป็นเท่าตัว จะไม่พูดหรอกนะว่าผู้นำเราเป็นประเภทไหน เรื่องแบบนี้ต้องพบเจอและตัดสินกันเอาเอง”

       “แต่ที่ผมขอร้องไป เชื่อเถอะว่าผมตัดสินใจดีแล้ว ที่จะเลือกการโกหกมากกว่าพูดความจริง บางทีการพูดโกหกก็ไม่ได้ผิดเสมอไปหรอกนะ” ผู้กองพูดอย่างจริงจัง ผมคิดว่าเรื่องนี้คงใหญ่พอสมควร ไม่งั้นผู้กองคงไม่ทำหน้าเครียดแบบนี้

       “โกหกเหรอง่ายๆ ‘เราส่งเสบียงให้ค่ายนิดเดียวเอง น่าจะ 10% มั้งครับ’ แค่นี่” ผมแสดงการโกหกให้ดูเลย ถ้ามันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมก็เต็มใจทำ เพราะดูจากที่ผู้กองพูดแล้ว ผู้นำไม่น่าจะคุยด้วยได้ง่ายๆ

       “งั้นจัดไปค่ะ แมนนี่ถนัดอยู่แล้วเรื่อง ตอแห…เอ้ย! เรื่องช่วยคน แหะๆ” ไม่ทันแล้วหลุดคำออกมาจน คนรู้หมดแล้ว

       “แล้วเราประชุมกันแค่นี้เหรอคะ คนอื่นๆหละ” ในห้องมีแค่คนในบ้านใหญ่ และพี่ๆทหาร ไม่มีลุงๆ ป้าๆ เลย

       “พวกเขาไม่ได้ไปด้วย มีแค่พวกเราที่ไป พวกเขาจะอยู่รอที่นี้” รวมทั้งลุงดำกับน้องบีด้วยเหรอ เพราะสองคนนั้นไม่มาประชุมด้วย แต่คุณโรสก็ไปหนิทำไมไม่เรียกมาคุยด้วย

       “คุณโรสหละ ไม่ไปเหรอ” แต่ผมว่าเธอไปแน่ๆ

       “ไป แต่เธอไม่รู้เรื่องเสบียงอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบอก มีอะไรสงสัยอีกไหม เพราะเรื่องที่จะพูดมีแค่นี้”

       “ถ้าเกิดเขาจับได้ทีหลังว่าเราโกหกหละครับ” ลมหนาวถามขึ้นมาจากโซฟาตัวใหญ่

       “ฉันคงโดนลงโทษ หรือไม่ก็อะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น” ผู้กองตอบด้วยสีหน้านิ่งเป็นปกติ ไม่มีสีหน้าเกรงกลัวใดๆ

       “งั้นเราต้องโกหกให้เนี่ยนที่สุด” แมนนี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าตั้งมั่น

       “ถ้าไม่มีอะไรแยกกันไปพักผ่อนได้” เราเดินออกจากห้องไปอย่างเร็ว เพราะดูแล้วเหมือนพวกทหาร มีอะไรจะพูดเยอะอยู่ ผมขึ้นไปนอนดีกว่า วันนี้เหนื่อยกับการขนพืชผักมากทีเดียว

       ตอนนี้เวลา 21.31 น. ผมก็ยังไม่หลับ นึกว่าหัวถึงหมอนแล้วจะหลับเลยซะอีก เซ็ง!

      แกรก! ผมหันขวับไปมองที่ประตูทันทีที่หลังจากได้ยินเสียงเปิด ปิดของประตู

       “เข้ามาไม่เคาะประตูอีกแล้วนะผู้กอง” ผมทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ ชอบเข้าห้องคนอื่นโดยไม่เคาะประตู

       “อะ ลืมอีกแล้ว หึหึ” ลืมบ้าอะไรบ่อยขนาดนั้น ทั้งสัปดาห์ก็เข้ามาอย่างไม่เคาะประตูสักครั้ง ซิ

       “แล้วมีอะไร บอกไว้ก่อนว่าที่ประชุมนั้น เข้าใจแล้วด้วย ไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากสักหน่อย” ผมนี่เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายที่สุดแล้ว

       “คิดถึง” เอ่อ…เหวอเลย จากความเหวอก็ตามมาด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ไม่ต้องไปส่องกระจก ผมก็รู้ว่าหน้าตัวเองแดงมากแน่ๆ

       หลังๆ มานี่หัวใจผมทำงานหนักประจำเลย เพราะผู้กองนั้นแหละ ชอบพูด ชอบทำอะไรแบบนี้ แล้วมาคิดถงคิดถึงอะไรเล่า! งือ ใจบาง อีกนิด อีกนิดจะไม่ไหวแล้วใจมันบางไปหมดแล้ว ไอ้ผู้กอง!! ฮือ…

       “คิดถึงอะไรหละ เจอกันทุกวันเหอะ” ทำไมคำพูดกับหน้านิ่งๆ นั้นถึงทำผมหวั่นไหวได้นะ

       “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายชั่วโมง” ไม่พูดเปล่าดึงมือผมไปกุมด้วย “เหนื่อยไหมครับ” ครับ อีกแล้ว รู้ว่าผมหวั่นไหวเวลาพูดเพราะ ก็พูดจัง เดี๋ยวจับทำเมียซะเลย เดี๋ยวเหอะๆ   [ไรท์ : คิดว่าจะได้เป็นผัวเขาจริงดิ?]

       “เหนื่อยนิดหน่อยแต่ชินแล้ว สบาย! แล้วจะจับมือทำไมเล่า!”

       “มากกว่าจับมือก็เคยแล้วน่า” พูดขึ้นมาอีกทำไม ยิ่งนึกถึงหน้ายิ่งร้อน วันที่เราจูบ ไม่เอาไม่คิด ไม่คิดๆ

       “หยุดพูด!”

       “ทำไม เขินเหรอ” ใบหน้ากรุ้มกริ่มนั้นคืออะไร ทำหน้าอย่างอื่น นอกจากทำหน้านิ่งเป็นหินได้ด้วยเหรอ “หน้าแดงกว่าเดิมอีก หึหึ”

      ไม่พูดเปล่ายกมือขึ้นมาลูบแก้มผมอีก ลูบเบาๆ จากข้างแก้มมาที่ริมฝีปาก นิ้วโป้งคลึงที่ปากเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองผู้กอง ผมว่าผมคิดผิดที่เงยขึ้นมาสบตากับผู้กอง สายตาที่สื่อออกมาบอกถึงความในใจที่ชัดเจน จนผมไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย เข้าใจแล้ว รู้แล้ว

       ระยะห่างของใบหน้าน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่สายตาไม่ละไปจากกันเลย อีกแค่นิดเดียว นิดเดียว ผมหลับตาลงในที่สุด

       “อะ อื่ม…” ริมฝีปากหนาคลึงริมฝีปากล่างของผมจากเบาๆ เริ่มที่จะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมอ้าปากเพื่อจะหายใจได้ไม่ถึงสามวินาที ลิ้นร้อนก็ถูกส่งเข้ามาในโพลงปาก ไล่ต้อนลิ้นผมไปทั่วโพลงปาก จนผมเริ่มให้ความร่วมมือ ลิ้นผมค่อยๆ ส่งออกไปตวัดตอบโต้แบบเงอะงะ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่อาดาศผมเริ่มจะหมดแล้ว เหมือนผู้กองจะรู้เพราะเขาถอนปากออกมาให้หายใจ

       ถึงจะถ้อนปากออกมา แต่หน้าผากยังแตะกันอยู่ นิ้วโป้งผู้กองเช็ดน้ำใสที่ไหลอยู่มุมปากผมเบาๆ สายตายังคงสบกันอยู่ตลอด

       “เปิดใจให้บ้างหรือยัง เพราะฉันคิดว่า ฉันรักเธอเข้าแล้ว” สายตาที่สงมา สื่อความหมายในสิ่งที่พูดชัดเจนแบบไม่ต้องสงสัยเลย เชื่อแล้ว ผมเชื่อแล้ว

       “อืม”

        “อืม อะไรหืม”

       “เปิดใจให้แล้ว” ผมอ้อมแอ้มตอบเบาๆ

       “อะไรนะ ไม่ได้ยิน”

       “เปิดใจให้แล้ว!! ได้ยินยัง!” ทีนี้ได้ยินหรือยัง ถ้าไม่ใด้ยิน ก็ไปเช็คประสาทหูซะ

         “หึหึ ได้ยินแล้ว” ผมไม่อยากมองหน้าเปื้อนยิ้มนั้นเลย มองแล้วใจมันอ่อนแอ งือ… “เรามาลองคบกันไหม” อะไรคบเหรอ แบบเป็นแฟนนั้นเหรอ เร็วไปไหม ผมไม่เคยมีแฟนเลยนะ แล้วๆ แฟนต้องทำตัวยังไง แล้วๆ เค้าต้องทำอะไรบ้าง

       “เอ่อ ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม ไหนผู้กองบอกจะรอให้ถึงวันเดินทางไงหละ” นี่มาถามอะไรตอนนี้ ผมเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันนะสิ ก็คนมันไม่เคยมีแฟนหนิ แถมแฟนคนแรกดันจะเป็นผู้ชายอีก แล้วผู้ชายเค้าทำกันยังไง โอ้ยย พอแล้วอย่าเพิ่งคิด พอๆ

       “ก็ได้ แต่มัดจำหน่อยได้ไหม”

       “มัดจำ อะ อืม…” รู้แล้วว่ามัดจำอะไร เพราะลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาในโพลงปากผมแล้ว ไล่ต้อนลิ้นผมไปทั่วโพลงปาก ความร้อนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผมเผลอครางออกมาเบาๆ ความหวานของรสจูบ ทำผมสมองขาวโพลน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ มือไม้ก็อยู่ไม่สุข ปัดป่ายไปทั่วแผ่นหลังของผม มือลดระดับลงเรื่อยๆ จนถึง

       พลัก! “จะบีบตูดทำไม!” ผมผลักผู้กองออกเมื่อรู้สึกถึงมือที่บีบเค้นตูดอยู่ หื่นจริงๆ

       “เอ้าเหรอ โทษทีมือมันไปเอง” หน้าเชื่อมาก!!

       “ไปได้แล้ว จะนอน!” ไม่ไหวแล้ว หัวใจทำงานหนักเกินไปแล้ว

       “นอนด้วยสิ แค่นอนเฉยๆ น่า” เชื่อก็บ้าแล้ว ตอดเล็กตอดน้อยขนาดนี้

       “ไม่ คบกันก่อนค่อยนอน” ชิบ เผลอปากพูดไป ตะครุบไม่ทัน

       “รับปากแล้วนะว่าจะคบ โอเคงั้นอีกอาทิตย์นึง คบกันแล้วแล้วค่อยมานอนด้วยกัน ไปหละ จุ๊บ” หะ อะไรนะ คืออะไร พูดๆ จุ๊บปากเร็วๆ แล้วเดินจากไป

       แล้วคิดว่าผมจะนอนหลับไหม?



…………………..
……………
…….

       รักคนอ่านทุกคน จุ๊บ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่13☆ P.2☆16/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 16-01-2019 21:05:04
ฝากติดตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่13☆ P.2☆16/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-01-2019 11:21:29
ผู้กองแอบหื่นนะเนี่ย อิอิ
มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องส่งเสบียงจะมีปัญหาเพราะโรสนี่แหละ :ling3:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่13☆ P.2☆16/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kim2b::teddy ที่ 19-01-2019 22:10:05
อยากจะแหมมมม ใส่หน้าผู้กองจริงๆ จะอ้อนไปไหน :hao3:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่14☆ P.2☆24/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 24-01-2019 23:13:49
- 14 -


[ไออุ่น]


       วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเสมอ จนคนเราบางครั้งแทบตั้งตัวตั้งใจไม่ทัน ผมเกริ่นมาแบบนี้คุณคงคิดว่าวันเวลาน่าจะผ่านมาเป็นเดือนหรือเป็นปีแล้วสินะ แต่ผมบอกเลยว่า…ไม่ใช่ มันเพิ่งผ่านมา 5 วันเอง คุณอาจจะคิดว่านี่มันผ่านไปเร็วยังไงแค่ห้าวันเอง แต่บอกเลยสำหรับผมมันเร็วมากจนตั้งตัวไม่ทัน เดี๋ยวเดียวก็ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจแล้ว ผมจะบอกผู้กองยังไง และที่สำคัญผมจะบอกน้องๆ ยังไง

       ผมบอกน้องๆ ตลอดว่าเราจะไปอยู่ที่ภูเก็ตกัน เพราะที่นั้นปลอดภัยจากซอมบี้ และถ้าผมเปลี่ยนใจจะอยู่ที่นี่น้องๆ จะว่ายังไง จะเข้าใจผมไหม จะโกรธผมหรือเปล่า และที่สำคัญน้องจะเข้าใจที่ผมจะคบกับผู้ชายไหม แล้วถ้าน้องมองผมแปลกไปหละ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่คิดมากอะไรแบบนี้เลยนะ แล้วทำไมตอนนี้ผมถึงเป็นคนคิดมากได้หละ เพราะอะไร? หรือเพราะผู้กองสำคัญกับผมเหรอ

       คิดไปก็เท่านั้น เครียดไปก็เสียสุขภาพจิต ในเมื่อคิดแล้วไม่ได้คำตอบ คงต้องถามให้รู้เรื่อง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมเชื่อว่าน้องๆ ต้องเข้าใจ ผมเชื่อและภาวนา

       ตลอดระยะเวลา 5 วันที่ผ่านมา เราเตรียมความพร้อมในการขนย้ายเสบียงจนเกือบพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่พืชผักที่ต้องเก็บในวันนี้และพรุ่งนี้เพื่อความสดใหม่ เราจึงต้องเดินทางกันตอนกลางคืน ถึงจะเสี่ยงหน่อย แต่เพื่อป้องกันพืชผักจากแสงแดดเมืองไทย เราจึงต้องยอมเสี่ยง

       ส่วนผู้กองก็ยังเหมือนเดิม คือยอดเก่งเหมือนเดิม ยิ่งเข้าใกล้วันที่ผมต้องตัดสินใจยิ่งเร่งทำคะแนน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ใจผมมันแพ้เขาตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่าชอบจากปากผู้กองแล้วหละ งือ...

       ตอนนี้เวลาบ่ายโมงกว่าๆ ผมกำลังเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง หลังจากเก็บของมิดไนท์เสร็จ เราเอาเสื้อผ้าไปพอประมาณไม่ได้เอาไปหมด ตอนนี้อาการของลมหนาวดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปกติแล้ว เดินและวิ่งเหยาะๆ ได้ แต่ยังไม่ควรยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักๆ

       ผมบอกน้องๆเก็บเสื้อผ้าไปพอประมาณ แต่ยังไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม ผมตัดสินใจว่าจะคุยกับน้องๆ วันนี้

       ส่วนลุงดำและน้องบีก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ ลุงและน้องไม่ไปด้วย โดยเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพราะลุงดำแกได้เมียแล้ว เป็นพวกป้าๆ นั้นแหละ ไปสปาร์คกันตอนไหนไม่รู้ ได้ยินลุงบอกว่าป้าเล่าให้ฟังว่าที่นั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าที่ไม่ดีเพราะอะไร และมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องไปดู ไปสัมผัสด้วยตนเอง เขาเรียกการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เอี่ย!! ผมโคตรฉลาดเลย

       ก่อนที่มันจะออกนอกทะเลไปใหญ่ ผมกลับเข้าเรื่องดีกว่าผมบอกน้องๆ ไว้แล้วว่าจะคุยหลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ ผมจะเริ่มคุยกับน้องๆ ยังไงดี บอกพี่ชอบผู้กอง? ไม่ๆๆ ผมจะดูใจง่ายไป หรือจะบอกว่าที่ภูเก็ตไม่ดี แล้วมันไม่ดียังไง ในเมื่อผมยังไม่เคยไป หรือบอกผมอยากอยู่ที่นี่ แล้วน้องจะไม่ถามเหตุผลหรือว่าทำไมอยากอยู่ โอ้ยย เริ่มยังไงวะเนี่ย เดี๋ยวแม่งโพลงไปเลยว่าอยากมีเมีย จึงอยากจะอยู่กับเมีย! ไม่ๆ เดี๋ยวผู้กองเสียหาย ผู้กองออกจะแมนๆ ไปบอกว่าเป็นเมียเดี๋ยวผู้กองอาย

       “อีอุ่น!! นั่งทำหน้าส้นทีนอะไรยะ!!”

       “เชี่ย!! ตกใจหมด! เข้ามาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง!” ผมว่าแมนนี่ที่กำลังยืนทำหน้าเหม็นเบื่อ

       “อีอุ่น แล้วเมื่อกี่ เขาไม่เรียกให้สุ้มให้เสียงเหรอวะ ประสาท!” เจ็บปวด วาจาเธอช่างเจ็บปวดซะเหลือเกิน

       “ง๊ะ” คำเดียวที่เปล่งออกมาได้

       “แล้วตกลงมึงนั่งทำหน้าหมากลั้นอึทำไม” เมื่อกี่ส้นทีน ทีนี้หมากลั้นอึ ดีจริงๆ กู

       “เออ มึงมาก็ดีแล้ว กูขอปรึกษาอะไรหน่อย มึงว่ากูจะคุยเรื่องนั้นกับน้องๆ ยังไงดี” ผมจะลืมเรื่องที่มันด่าผมไปก่อนก็แล้วกัน

       “เรื่องนั้น? เรื่องไหน” อะไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

      “ก็เรื่องนั้นน่า!!”

       “แล้วมันเรื่องอะไร”

       “ก็เรื่องนั่นไง เรื่องนั่นหนะ!!”

       “อีอุ่น ถ้ายังไม่บอกกูถีบยอดหน้ามึงแน่! แม่งคิดว่ากูเป็นอับดุลรู้ทุกเรื่องหรือไง!” ไม่พูดเปล่ายังยกเท้าขึ้นมาแสดงเป็นตัวอย่างอีก รีบถอยหลังให้พ้นวิถีทีนเลยครับ เพื่อความปลอดภัย

       “เรื่อง เอ่อ อืม ระเรื่อง คือๆ” บอกไปผมจะโดนล้อไหม ผมว่าโดนล้อแน่เลย โดนแน่ๆ

       “มึงจะคืออีกนานไหม เสียเวลา!! ไปแล้วรำคาญ!” เฮ้ยย อย่าเพิ่งไปสิ! เมื่อเห็นแมนนี่ทำท่าจะหันออกไปทางประตู ผมจึงพูดออกไปทันที

       “เรื่องกูกับผู้กอง!!” พูดไปแล้ว…

       “หึหึ” หันกลับมาพร้อมหน้าตาของนางมารร้ายกับรอยยิ้มมุมปาก “เรื่องจะมีผัวนี่เอง”

       สลัดผัก!! กูว่าแล้วมันต้องล้อ แต่…

       “กูเป็นผัวต่างหาก!” แมนๆ อย่างผมต้องผัวเว้ย!!

       สิ่งที่ผมได้กลับมาคือสายตาที่เหยียดหยามเต็มที่ พร้อมปากที่คว่ำลง ส่งให้สีหน้าที่แสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าจะแสดงสีหน้าขนาดนี้เอาป้ายเมียมาคล้องคอกันเลยดีกว่า

       “เอาที่มึงสบายใจเถอะอุ่น แล้วกูจะคอยดู” ปากบอกจะคอยดู แต่สายตาเหยียบหยามนี่คืออะไร? “แล้วตกลงมีอะไร พูดมาสักที”

      ได้เข้าเรื่องสักที

       “จะบอกน้องๆ ยังไงดี แล้วถ้าพวกเขาไม่เข้าใจหละ แล้วๆ ถ้าน้องมองกูเปลี่ยนไปละ แล้วถ้าน้องเกลียดกูละ แล้วๆ…”

       “หยุดๆ อีอุ่นหยุด!!” ผมเงียบทันทีเมื่อแมนนี่เริ่มขึ้นเสียง “เฮ้อ…หยุดสักที พูดไม่เว้นที่ว่างให้ได้พูดเลย แล้วก็ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ แล้วไม่ต้องหายใจออกตายไปเลยมึง!”

       “แมนนี่!”

      “พูดเล่นน่า ใจเย็นๆ ฟังกูนะ น้องเป็นน้องของมึง มึงรู้จักน้องดีกว่าใคร มึงคิดว่าน้องตัวเองใจแคบขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าเรื่องแค่นี้น้องจะรับไม่ได้เหรอ คิดว่าน้องจะไม่อยากให้มึงมีความสุขเหรอ คิดสิอุ่น น้องมึงเป็นคนยังไง มึงรู้ดีกว่าใครนะ” ใช่ผมรู้จักน้องดีกว่าใคร

       “ลมหนาวเป็นคนใจกว้าง”

       “ใช่” แมนนี่ตอบกลับ

      “น้องอยากให้กูมีความสุข น้องมีเหตุผล น้องต้องเข้าใจกู” ลมหนาวจะเห็นแก่คนอื่นก่อนตัวเองเสมอ หนาวเป็นคนมีเหตุผลถึงแม้จะยังเด็กก็ตาม

       “ก็รู้หนิว่าน้องเป็นยังไง แล้วจะเครียดทำไม แต่ก่อนมึงไม่ใช่คนคิดมากขนาดนี้หนิ หรือว่า มึงจะรักผู้กองเข้าแล้วจริงๆ แล้วคงจะรักมากด้วยถ้าคิดมากขนาด ใช่ไหม” แล้วจะมาจี่เอาคำตอบทำไม ขนาดผู้กองกูยังไม่ได้บอกเลย

       “ทำไมต้องบอก!”

       “ไม่บอกกูก็รู้หรอก หน้าแดงขนาดนี้” ไม่พูดเปล่าเอานิ้วชี้มาจิ่มที่แก้มผมด้วย ผมปัดมือออกทันที

       “อย่ามาจิ่ม ไม่ใช่ขี้!!”

       “อ่าวเหรอ! นึกว่าใช่” มีไหม มีสักครั้งไหม ที่ผมเถียงชนะแมนนี่ ไม่มี!! ไม่มีเลย!! 
     [ไรท์ : เหมือนเขาจะอัดอั้นตันใจนะคะ 55]

       “ไม่คุยกับมึงแล้ว ไปคุยกับน้องดีกว่า!”

       “ใช่สิ!! ไอ้เรามันหมดประโยชน์แล้วนิ” ผมไม่สนดราม่าเล่นใหญ่ของแมนนี่ที่กำลังเช็ดน้ำตาประหนึ่งเสียใจหนักหนา แล้วเดินไปที่ห้องของลมหนาวทันที



       ถึงจะเตรียมตัวมาแล้ว แต่จะให้บอกตรงๆ ว่าพี่ชอบผู้ชายมันก็กระไรอยู่ ผมมองน้องๆ ที่กำลังนั่งมองผมตาแป๋วอย่างตั้งใจฟัง ทั้งลมหนาว น้องมิว ไม่เว้นแม้แต่มิดไนท์ ก็ยังตั้งใจรอฟังในสิ่งที่ผมจะพูด

       “เอ่อ คือ คือ สมมุตินะ สมมุติว่าพี่กับ กะกับ ผู้กอง แบบสมมุติว่าเรารักกัน แล้วๆ ทุกคนคิดว่ามันโอเคไหม” มิดไนท์มองหน้าผมงงๆ ต่างกับอีกสองคนที่มองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

       ความเงียบทำให้กำลังใจผมมันเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆ พูดอะไรมาสักอย่างเถอะขอร้อง

       “พี่อุ่นครับ” ในที่สุดลมหนาวก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง “ไม่ว่าเรื่องที่พี่พูดจะเป็นเรื่องสมมุติ หรือเรื่องจริง ผมอยากบอกพี่ว่า ผมอยู่ข้างพี่เสมอไม่ว่าพี่จะทำอะไร จะคิดอะไร ผมขอแค่ให้พี่มีความสุขก็พอ”

       ได้ยินแล้วน้ำตาผมแทบไหล น้องชายใครวะพระเอกสุดๆ แสนดี อบอุ่น บอกเลยสาวๆ ต้องกรีส! พ่อเทพบุตรตัวไม่น้อยของผม

       “หนูก็คิดเหมือนลมหนาวค่ะ” น้องมิวพูดขึ้นมา โถ่แม่นางฟ้าตัวน้อยแสนดี

       “ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณจริงๆ”

       “แสดงว่าไม่ใช่เรื่องสมมุติ แต่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” ทำไมเด็กแค่นี้มันฉลาดกันจังวะ

       “ก็ อะอืม ระเรื่องจริง” ผมอ้อมแอ้มตอบอย่างตะกุกตะกัก

       “หึหึ ผมก็คิดไว้แล้วหละ ผมคิดถูกสินะ” ไปหัดทำหน้าร้ายๆ แบบนั้นมาจากไหน พ่อเทพบุตรของผม…

       “อืม พี่คิดว่า พี่ ชะชอบ ผู้กอง”

       “ถ้าเป็นผู้กอง ผมให้ผ่านนะ ผู้กองเป็นคนดี ผมคิดว่าเขาต้องดูแลพี่ได้แน่ๆ แถมยังรักมิดไนท์ด้วย หายากนะครับ คนแบบนี้ในสถานการณ์อย่างนี้” นี่น้องผมอายุ 12 จริงเหรอ แก่แดดจริงๆ แต่ก็ขอบคุณที่เข้าใจ

       “มีอีกเรื่อง ทุกคนคิดยังไงกับที่นี่” ผมถามน้องๆ ก่อนจะบอกสิ่งที่ต้องการ แต่ดูแล้วคนที่สนใจมีแค่ มิวกับลมหนาว ส่วนมิดไนท์นู้น นอนเล่นของเล่นอยู่นู้น สนใจผมไม่ถึงสามนาทีเลย

       “ก็ดีนะครับ บรรยากาศดี ผู้คนเป็นมิตร มีอาหารตลอดไม่เคยขาด” หลังจากได้คำตอบที่น่าพึงใจ ผมหันไปมองน้องมิวต่อ

       “ดีค่ะ” น้องตอบน้อยๆ ตามสไตล์

       “แล้วถ้าพี่บอกว่าเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ไปอยู่ที่ภูเก็ตแล้วหละ” ผมถามอย่างรำบากใจ เพราะผมไม่อยากให้ความต้องการส่วนตัวของผมทำให้น้องๆ ไม่มีความสุข

       “แล้วทำไมพี่บอกให้เราจัดกระเป๋าหละครับ” น้องถามอย่างสงสัย

       “ไปจริง แต่เราจะกลับมา เหมือนไปเที่ยวทะเลไง” น้องทำหน้าเข้าใจ ผมกำลังลุ้นคำตอบของพวกเขาอยู่

       “ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่เราอยู่ด้วยกัน ที่นี่ก็ดีจะได้อยู่กับน้องบี ลุงดำ และพี่แมนนี่ด้วย”

       “แมนนี่?”

       “ใช่ครับพี่แมนนี่ ก็พี่เขาคบอยู่กับหมู่นาย หมู่เทนอยู่ไม่ใช่หรอครับ ถ้าหมู่อยู่ที่นี่ พี่แมนนี่ก็ต้องอยู่ด้วยสิครับ” จริงด้วย ลืมคิดเรื่องนี้เลยแฮะ

       “แมนนี่ไม่เห็นบอกอะไรกับพี่เลย” เคืองครับเคือง เป็นเพื่อนกันแท้ๆ ไม่เห็นบอกอะไรกันเลย

       “พี่แมนนี่คงรู้ว่ายังไงพี่ก็อยู่ที่นี่มั้งครับ เลยไม่ได้พูดอะไร” รู้อยู่แล้วนั้นเหรอ ผมมันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่จริง!!

       “พี่บอกไว้ก่อนเลยนะว่า ผู้กองเป็นแค่หนึ่งเหตุผลที่พี่เลือกอยู่ที่นี่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ที่พี่เลือกอยู่ที่นี่อีกเหตุผลก็ เพราะหลายคนบอกว่าที่ภูเก็ตไม่ได้ดีอย่างที่คิด พี่เลยอยากให้เราอยู่ที่นี่มากกว่า และอีกหลายเหตุผล ไม่ใช่แค่เรื่องผู้กอง โอเคนะ”

       “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ง๊ะ…ก็อยากชี้แจงอะ คือผมไม่ได้ร้อนตัวนะ จริงจริ๊งง

       “แล้วพี่จะพูดกับมิดไนท์ยังไงดี” ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ ที่นอนเล่นของเล่นสบายใจเชิบอยู่บนพื้น

       “น้องก็คิดว่าผู้กองเป็นพ่ออยู่แล้วนิครับ ผมว่าน้องเข้าใจ ก่อนที่พี่จะรู้ใจตัวเองซะอีก” คงจริง น้องมองผู้กองเป็นพ่อและผมเป็นแม่อยู่แล้ว แม่? เรียกตัวเองว่าแม่แล้วปวดใจ ขอเป็นพ่อไม่ได้เหรอ

       “น้องไนท์มาหามัมหน่อยเร็ว”

       “คราฟ” พูดพร้อมวิ่งโถมตัวเข้าหาผม จนต้องกางแขนรับไว้ ผมอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักผมที่นั่งอยู่บนเตียง พร้อมหอมแก้มแดงๆ นั้นทั้งซ้ายและขวา น่ามันเขี้ยวจริงๆ

       “มัมมีเรื่องจะคุยด้วยนะครับ คือถ้ามัมคบกับ ผู้กอ…เอ่อ ปะป๊า น้องไนท์จะว่าอะไรไหมครับ” ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจัง เริ่มใจไม่ดีแล้วนะ

       “คบ คืออะไรคราฟ” สรุปแล้วที่คิ้วจะชนกันอยู่ นี่คือไม่รู้เรื่อง? เฮ้ออ ไอ้เราก็คิดไปไกล

       “คบกัน คือ เป็นแฟนกันครับ”

       “มัมกับป๊า เป็นแฟนกันหรอ” คิ้วแทบจะผูกปมกันอีกแล้ว “มัมกับป๊าเป็นแฟนกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคราฟ เป็นอีกทำไม”

       เอ่อ…แล้วจะให้ตอบว่ายังไงหละ

       “ครับเป็นแฟนกันอยู่แล้ว ก็เป็นแฟนกันต่อเนอะ” ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว โมเมว่าเป็นไปเลยดีกว่า

       “จริงดิ” เสียงเข้มๆ ออกทุ้มนั้นทำให้หัวใจผมมันเต้นเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมากในตอนนี้ ภาวนาให้ไม่ใช่คนที่ผมคิด ถึงแม้ผมจะค่อนข้างมั่นใจว่าใช่ก็ตาม

      “สวัสดีครับ พี่เขย เฮ้ย! ผู้กอง หึหึ” แน่ใจแบบไม่ต้องหันไปดูเลย แต่อะไรคือพี่เขย ต้องพี่สะใภ้สิ!!

       “สวัสดีครับน้องชาย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ หึหึ” อะไรคือการหัวเราะสองหึ ใส่กัน

       “ป๊า! ป๊ามาแล้ว” เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามาหาผู้กองทันที ผู้กองนั่งชันเข่าลงข้างนึงเพื่อให้อยู่ระดับที่ใกล้เคียงกับมิดไนท์

       “ดูสิพาใครมาด้วย” ผู้กองพูดจบเจ้าสี่ขาสองตัวก็วิ่งเข้าห้องมาอย่างรู้งาน “อาบน้ำให้แล้วนะ รับรองว่าตัวหอมแน่นอน”

       มิดไนท์เลิกสนใจผู้กองแล้ววิ่งไปฟัดกับสหายสองตัวทันที

       “ไออุ่นจะคุยกับฉันที่นี่ หรืออีกห้อง” งือ ใครมันจะหน้าด้านคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนหลายคน

       “ทะที่ ห้อง” ผมรีบเดินออกจากห้องลมหนาวไปห้องของตัวเองทันที ก่อนที่น้องๆ จะเห็นอาการของผม เพราะผมรู้ว่าตัวเองต้องเขินมากแน่ๆ งือ…

       แล้วผู้กองได้ยินมากขนาดไหนนะ โอ้ยย อยากเอาหน้ามุดดิน ไปทำงานไม่ใช่เหรอทำไมต้องกลับมาตอนนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่14☆ P.2☆24/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 24-01-2019 23:16:10
[ต่อตอนที่ 14]

       เดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่ผมยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้กองเลย

       “เงยหน้าขึ้นมามองฉันหน่อยสิ” ผมเห็นปลายเท้าของผู้กองอยู่ใกล้มาก ถ้าเงยหน้าขึ้นไปหน้าผมกับผู้กองต้องใกล้กันมากแน่ๆ หน้าผมมันจะร้อนจนระเบิดไหมเนี่ย

       “…”

       “เงยหน้านะครับ” ทำไมต้องพูดเพราะด้วย แค่นี้ยังเขินไม่พอหรือไง แล้วไอ้น้ำเสียงนุ่มหวานนั้นคืออะไร จะบ้าตาย…

       “…”

       “นะครับ” งือ แล้วใครจะทนไม่ไหว ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบตากับผู้กอง แล้วผมก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด

        สายตาที่มองมาด้วยความรักใคร่ กับรอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่เคยได้เห็น ระเบิดตัวเองตายไปเลยไออุ่นมึง

       “จริงหรือเปล่าที่พูด” สมองผมมันกำลังตื้อ เพราะรอยยิ้มอบอุ่นนี้ สายตาผมละไปไหนไม่ได้เลย

       “เรื่องอะไรครับ” เหมือนละเมอพูด

       “เรื่องที่พูดกับน้องๆ น่ะครับ” หือเรื่องที่พูดกับน้องๆ เหรอ

       “จริง”

       “หึหึ ถ้างั้นเรามาคบกันนะ นะครับ” ทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย ยิ่งยิ้มยิ่งหล่อ เห็นแล้วใจกระตุก ผมจะเป็นโรคหัวใจไหมเนี่ย

       “ครับ” ฟึบ! อยู่ดีๆ ก็เกิดแรงรัดรอบตัวผมอย่างแรง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เหมือนผมเพิ่งได้สติ หะ ผู้กองกอดผมตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

       “เป็นแฟนกันแล้วนะ” หะ เป็นตอนไหน อะไร? ยังไง ผมคิดทบทวน…

       ชิบหาย ผมหลงรอยยิ้มผู้กองจนพูดทุกอย่างออกไปอัตโนมัติเลย นี่ผมไม่คิดจะเล่นตัวเลยเหรอ เอาวะไหนๆก็ไหนๆ แล้ว ตามน้ำไปเลยแล้วกัน ถ้าให้พูดตอนมีสติ ผมต้องเขินหนักแน่ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว

       “อุ่นจะอยู่กับพี่ที่นี่ใช่ไหม” อะไรคืออุ่น แล้วอะไรคือการแทนตัวเองว่าพี่ อะไร!! คงเพราะผมไม่ตอบ ผู้กองจึงละอ้อมแขนออกไปเพื่อมองหน้า และหน้าผมมันคงเอ๋อมากแน่ๆ ผู้กองจึงยิ้มมุมปากเเบบนั้น

       “เราเป็นแฟนกันแล้วหนิ ต่อไปจะเรียกไออุ่น แล้วแทนตัวเองว่าพี่ อุ่นก็เรียกด้วย ตกลงไหม?” แค่ได้ยินยังขนาดนี้ ถ้าเรียกเองจะขนาดไหน ไม่!! ผมต้องตายเพราะความเขินแน่ๆ งือ ผู้กองอะ จะบ้าตาย

       “ระเรียก เหมือนเดิม ไม่ได้ เหรอครับ” แค่พูด ทำไมต้องตะกุกตะกักด้วยวะเนี่ย อาการหนักแล้วผม

       “ไม่อยากให้พี่แทนตัวเองว่าพี่เหรอ” ทำไมต้องทำหน้าหงอยขนาดนั้น

       “ไม่ใช่ครับ คือๆ คือ เอ่อคือ ผะผมเขิน” งือ ทำไมกูเคะแตกขึ้นเรื่อยๆ วะเนี่ย

       “หึหึ แรกๆ ก็เขินแบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน แล้วตงลงว่าไง เรื่องที่พี่ถาม อุ่นจะอยู่ที่นี่กับพี่หรือเปล่า”

       “ยะอยู่ครับ” ผมจะละลายกลายเป็นของเหลวแล้วนะ

       “งั้นพี่ไปทำงานต่อก่อนนะ พอดีพี่แค่เเวะขึ้นมาเอาเอกสารแล้วดันได้ยินเรื่องสำคัญ หึหึ ต้องรีบไปแล้ว หมู่เทนรอนานแล้ว ก่อนไปขอกำลังใจหน่อยสิ นะครับ” โอ้ยยนี่ก็อ้อนจริง เกิดมาไม่เคยอ้อนรึไง

       “สู้ๆ ครับ” ไหงทำหน้าอย่างนั้น ไม่ชอบหรือไง

       “แบบนี้ต่างๆ”  อะไร

       “อืม…” แบบนี้สินะ กำลังใจแบบลิ้นชนลิ้นสินะ

       ความวาบหวามทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาเกาะไหล่ผู้กองไว้ ลิ้นร้อนสำรวจไปทั่วโพลงปากของผม ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปทั่วแผนหลังเพิ่มความวาบหวามให้มากขึ้นไปอีก

        ผู้กองละริมฝีปากออกห่างในที่สุด ผมนึกว่ามันจบแล้ว แต่ไม่ใช่ ผู้กองแค่ปล่อยให้ผมหายใจเท่านั้น ก่อนที่จะฉกชิมริมฝีปากผมอีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่มีการล่วงล้ำใดๆ แค่ขบเม้นเบาๆ จากริมฝีปากบนมาล่าง ความนุ่มนวลยิ่งทำให้ใจผมมันงานหนักยิ่งขึ้น

       ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผู้กองจึงละริมฝีปากออกมาในที่สุด แต่หน้ายังใกล้กันอยู่ดี สายตาผมไม่อาจละไปจากตาคมนั้นได้เลย เหมือนผมโดนสะกดให้ไม่อาจไปไหนได้

       “พี่รักอุ่นนะครับ ชีวิตพี่มีแต่การฝึก พี่ไม่เคยมีคนรักมาก่อน หลายครั้งพี่อาจดูแข็งกระด้าง แต่พี่จะพยายามอ่อนโยนขึ้นนะ ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตพี่ ให้พี่ได้เรียนรู้ที่จะรัก เรียนรู้ที่จะอ่อนโยน พี่จะดูแลเรากับน้องๆ ให้ดีที่สุด พี่สัญญา” ละลายตายไปเลยกู

       “ผมก็ ก็ ระรัก พะพี่ธามครับ” นี่ผมเรียกพี่ธามเหรอ แม่ง เอาหัวมุดลงหลุมไหนดีวะ

       “ขอบคุณครับ พี่ไปแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้พี่มานอนด้วย จุ๊บ” หะ อะไรนะ นอนอะไร ใครอนุญาต เดี๋ยวคุยกันก่อน ไม่ทันแล้ว เดินลงไปแล้ว ม่ายยยย

       ผมนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น คิดไปเขินไป นี่ผมคบกับผู้กองแล้วสินะ แถมยังบอกรักกันแล้วด้วย

       หลังจากได้สติ ก็เกิดอาการเขินจนไม่อาจสู้หน้าผู้กอง แต่ผู้กองดันจะมานอนด้วยคืนนี้ แล้วผมจะนอนหลับไหมเนี่ย

       
+  +  +


       ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง เรากำลังนั่งรถออกมาหลังจากร่ำลากันเสร็จ จริงๆ ไม่ต้องลาก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวก็กลับแล้ว ผมนั่งรถกระบะที่มีผู้กองเป็นคนขับ รถเราเป็นรถคันที่สองรองจากรถของหมวดโฟรคและไอ้น้องริว ใช่ครับทีที03 ไปด้วย ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าทำไมต้องขนกันไปเยอะขนาดนี้ ยังกะจะไปทำสงคราม

       ส่วนรถของผมมีผู้กองที่เป็นคนขับ ถัดไปมีน้องมิว ลมหนาว และมิดไนท์ กระบะหลังเอาไว้ใส่กระเป๋าเสื้อผ้า และข้าวของ ตามด้วยรถยัส และรถบรรทุกอีกหลายคัน ปิดท้ายด้วยรถของหมู่เทน หมู่นาย และแมนนี่ ส่วนคุณโรสนั่งรถโรงเรียนที่ขับตามหลังรถผม ทีแรกเธอบอกว่าจะไปกับผู้กอง แต่เห็นผมอยู่ด้วยเธอก็เดินหนีทันที ดูแล้วชาตินี้เราคงญาติดีกันไม่ได้ ถึงดีกันไม่ได้ ขอแค่อย่าร้ายใส่กันก็พอ

       คุณคงสงสัยหละสิว่าทำไมผมถึงเล่าข้าม คืนนั้นเกิดอะไรขึ้น บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะผมพามิดไนท์มานอนด้วย ฮาๆๆๆ อยากให้เห็นสีหน้าผู้กองโคตรเหวอเลย ครึครึ

       ผู้กองบอกตอนเช้าจะถึงค่ายที่จังหวัดชุมพรพอดี เราจะนำเสบียงส่วนหนึ่งให้ที่ค่าย แล้วเดินทางต่อไปท่าเรือที่จังหวัดพังงาทันที เพื่อรักษาความสดของพืชผัก

       ตลอดการเดินทางเราเจอซอมบี้ตลอดแต่ไม่มากนัก เพราะเป็นทางหลักที่ทหารใช้ ซอมบี้แถวนี้จึงถูกกำจัดแล้ว แต่ด้วยรถมีจำนวนมาก ทำให้เสียงดังมากกว่าปกติ จึงมีซอมบี้ ที่อยู่ไกลจากบริเวณถนนได้ยินเสียงแล้วตามมา

       แต่ที่ตื่นเต้นที่สุดคือการที่เราไม่รู้ว่าซอมบี้ที่โผล่มาจากทางไหน เพราะมันเป็นตอนกลางคืน หันไปทางไหนก็มืดหมด เห็นอีกทีก็ตอนพวกมันมาใกล้รถแล้ว เราใช้ปืนเก็บเสียงในการจัดการ มีแค่แมนนี่ที่รั้งท้ายขบวนที่ใช้ธนู เห็นแล้วอยากไปร่วมด้วยจัง

       “ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะ” เสียงผู้กองพูดขึ้นมา ผมจึงละความสนใจจากนอกหน้าต่างรถหันไปหาต้นเสียง

       “ใครมันจะไปหลับลง ตื่นเต้นอย่างกับหนังผี” ใช่ครับ อย่างกับหนังผีเลย อยู่ดีๆ ก็โผล่มาเกาะกระจกรถ หลอนมากบอกเลย

       “หึหึ เดี๋ยวก็ชิน ดูมิดไนท์สิทีแรกก็ตื่นเต้น พอตอนนี้หลับไปแล้ว” ผมหันมองเจ้าตัวเล็กที่นอนหลับหนุ่นตักลมหนาว “ปากบอกจะอยู่เป็นเพื่อนป๊าจนเช้า ไม่ถึงชั่วโมงก็หลับซะแล้ว”

       เราขับรถมาตลอดทาง ผมหลับบ้างตื่นบ้าง ตามเสียงที่เข้ามาในประสาทหู จนตอนนี้เวลา ตีห้าครึ่งแล้ว

       “เหนื่อยไหมครับ” ผมหันไปถามคนที่กำลังขับรถอยู่ ต้องขับรถตลอดทั้งคืนคงเหนื่อยน่าดู

       “นิดหน่อยครับ ใกล้ถึงแล้วหละ ไม่ต้องห่วง” ผมลุกขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนเมื่อรู้ว่าใกล้ถึงแล้ว


       เรามาถึงค่ายตอน 06.00 น. พอดีเปะ คนในค่ายวิ่งออกมาต้อนรับใหญ่เลย มีทั้งเด็กเเละคนแก่ คนที่อยู่ในวัยทำงานแทบไม่มีเลย ดูแล้วมีไม่กี่คนเอง

       พวกเราลงจากรถ เข้าไปทักทายทุกคน ทำไมถึงผอมกันขนาดนี้นะ ทำไมกัน

       “ขอบคุณมากเลยพอหนุ่ม ขอบคุณที่ไม่ลืมพวกเรา ขอบคุณ” เสียงขอบคุณ เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ทำให้ผมอดตื้นตันไม่ได้ ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเหรอ กลับไปผมจะทำให้ดีกว่านี้ ผมจะไม่บ่น เอ่อ คือ จะพยายามไม่บ่นน่ะ แหะๆ

       เราขนข้าวสารเกือบยี่สิบกระสอบลงไปไว้ในค่าย ทั้งกล้วย มันเทศ ฟักทอง และพืชผักต่างๆ อีกมากมาย

       “พวกเราขอพักที่นี่สักสองสามชั่วโมงก่อนเดินทางนะครับ” ผู้กองบอกกับคุณยาย ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นคนที่อาวุโสสุดของที่นี่

       “เดี๋ยวยายไปทำอาหารมาให้”

       “ไม่เป็นไรครับ ยายเก็บเสบียงไว้เถอะ พวกเราเตรียมอาหารมาด้วย ไม่ต้องห่วงครับ”

       “ต้องการอะไรบอกยายเลยนะลูก เดี๋ยวยายหาให้” ถึงแม้จะอดอยากแค่ไหน แต่ไม่เคยแล้งน้ำใจเลย ผมนับถือยายจริงๆ

       พวกเราพักกันอยู่ที่รถ แล้วแบ่งเวรยามกันเฝ้า ผมได้มีโอกาสเข้าไปดูข้างใน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นคุกมาก่อน ห้องขังกลายเป็นห้องนอนที่ถูกประดับตกแต่งตามสไตล์ของผู้อยู่ อย่างที่ผมเคยบอกที่นี่ส่วนมากจะเป็นเด็ก และคนแก่ มีวัยทำงานอยู่ไม่กี่คน พื้นที่ว่างข้างในใช้ในการปลูกพืชผัก แต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนแล้ว ดูก็รู้แล้วว่าไม่พอ แต่จะให้ผู้สูงอายุและเด็กๆ ออกไปหาอาหารข้างนอกก็อันตรายเกินไป ทำไมที่นี่ไม่มีคนดูแล

       “ผู้กอง เอ่อ พะพี่ธาม” มีสักครั้งไหมที่จะไม่เขิน งือ “คือผมสงสัยว่าทำไมที่นี่มีแต่คนแก่ กับเด็ก” ผมถามผู้กองที่เพิ่งตื่น เจ้าตัวงัวเงียแต่พยายามตั้งสติเพื่อตอบผม

       “แต่ก่อนค่ายนี้ก็เหมือนค่ายทั่วไป มีคนดูแลทั้งทหาร และชายหนุ่ม ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน แต่เพราะผู้นำต้องการคนไปออกทะเลหาปลา ผู้ชายจึงถูกเกณฑ์ไปกันเกือบหมด พวกผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็ถูกเกณฑ์ไป…ข้างใน เลยเหลือแค่นี้” ผมว่ามันมีอะไรมากกว่าคำว่า ‘ข้างใน’ เพราะดูผู้กองจะเครียดเมื่อพูดถึงเรื่องนี้พอสมควร

       “แล้วเขาเอาปลามาแบ่งที่ค่ายบ้างไหม ผมเห็นทุกคนผอมมากเลย” เห็นแล้วเศร้าใจ เด็กๆ ไม่ควรจะผอมแบบนี้

       “ไม่”

       “ทำไมไม่แบ่งละครับ เอากำลังพลเขาไป ต้องแบ่งอาหารให้เขาสิ” ไม่ชอบเลยแบบนี้

       “ถ้าทุกคนคิดได้แบบนี้ก็ดีสิ แต่เราต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนดี แต่ประเทศเราโชคร้ายกว่านั้นที่มีผู้นำที่คิดเรื่องดีๆ ไม่ได้” เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ สินะ

       “ถ้าไม่ดี เราปลดเขาไม่ได้หรอ”

       “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ เขามีทั้งอาวุธ และกำลังพล การต่อกรด้วยก็เหมือนฆ่าตัวตาย” แล้วเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ แค่ซอมบี้กับโจรก็เกินพอแล้ว ยังต้องเจอกับผู้นำที่เลวร้ายแบบนี้อีกเหรอ ประเทศเรามันทำบุญด้วยอะไรวะเนี่ย ผมจะได้ ไม่ทำด้วย

       “ไปถึงที่นู้นอย่าออกไปไหนโดยไม่บอกเด็ดขาด จะไปไหนให้บอกพี่ก่อนนะครับ พี่เป็นห่วง” งือ แล้วใครจะขัดได้หละ

       “ครับ แต่ที่นั้นมันเลวร้ายมากเลยเหรอ” ไหนก่อนที่ไฟจะดับ มีโฆษณาบอกที่นั้นเหมือนสวรรค์ที่ปลอดซอมบี้เลย โฆษณาชวนเชื่อจริงๆ

         “สถานที่มันไม่ได้เลวร้ายหรอก คนต่างหากที่เลวร้าย ในสภาวะที่ผู้คนอดอยาก การลักขโมยเกิดขึ้นทุกหย่อมย่าน สถานการณ์ที่เผชิญทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ผู้นำที่ไม่ช่วยอะไรเลย ทุกคนต้องพึ่งพาตนเอง ออกไปจากที่นั้นก็ไม่ได้ เพราะทางเดียวที่ออกไปได้คือนั่งเรือออกไป แล้วอุ่นคิดว่ามันเลวร้ายไหม พี่ตัดสินแทนใครไม่ได้หรอก อุ่นต้องเห็นและตัดสินด้วยตัวเอง” จากที่ได้ฟัง คงตัดสินได้ไม่ยาก แต่เพื่อความเป็นธรรมเราต้องไปเจอกับตาก่อน เป็นไงผมมีสติขึ้นใช่ไหมหละ ครึครึ แน่นอนก็ผมโตขึ้นหนิ

       “ป๊า มัม! นี่ตุ๊กตา เหมือนข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลย งือ คิดถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียวอ่า” เมื่อกี่ยังดีใจที่ได้ของเล่น พอพูดถึงเพื่อนซี้สี่ขาดันหน้างอซะงั้น

       “เดี๋ยวเราก็กลับไปครับ พี่บีบอกจะดูแลให้เป็นอย่างดีหนิครับ เลิกหน้างอได้แล้ว” ผมจับแก้มทั้งสองข้างยืดออก ชักจะเจ้าเนื้อขึ้นทุกวัน สงสัยต้องลดอาหารแล้วมั้ง

       “งือ มัม น้องไนท์เจ็บอ่า ปะป๊า” พอผมไม่ปล่อยก็หันไปขอความช่วยเหลือจากผู้กองทันที

       “หึหึ ก็แก้มน้องไนท์นิ่มหนิครับ มัมเลยอยากจับ มานี่มา มาให้ป๊าหอมหน่อยเร็ว” ทำยังไงได้ผมก็ต้องปล่อยแก้มย้วยๆ นั้นไปให้ป๊าเขานะสิ

       “ฟอด ฟอด แก้มหอมจัง ลูกใครเนี่ย”

      “ลูกป๊ากับมัมคราฟ” ฮือ…ละลายกลายเป็นไอไปตรงนี้เลย

      พรุ่งนี้ไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร อย่างน้อยผมก็มีคนที่ผมรักและรักผมอยู่ข้างๆ เสมอ



หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่14☆ P.2☆24/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 25-01-2019 00:35:31
หืมมม ไออุ่นบอกว่าไออุ่นเป็นผัวเหรอ?  :hao7:
จะรอดูวันนั้นอุ่น 5555
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่14☆ P.2☆24/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kim2b::teddy ที่ 28-01-2019 22:28:24
ขอให้กลับกันมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ แงๆๆ กลัวเจอดราม่าที่ภูเก็ตอะ :sad4:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่15☆ P.2☆28/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 28-01-2019 23:28:12
- 15 -


[ไออุ่น]


       ลมทะเลปะทะใบหน้า รสเค็มปะแล่มจากน้ำทำเลที่กระเซ็นสาดเข้ามาเป็นละลอก บ่งบอกได้ดีว่าเราอยู่ที่ไหน

       ปลายปีของหลายจังหวัดอาจเป็นฤดูหนาว แต่ไม่ใช่กับภาคใต้ในตอนนี้ คลื่นที่สูงกว่าปกติ บวกกับเมฆฝนที่ลอยตัวต่ำ เป็นตัวเร่งให้เราต้องไปถึงที่หมายโดยเร็ว

       ยามเรือโต้คลื่น ทำให้ภายในเรือโคลงเคลงจนน่าเวียนหัว หลายคนใช้หน้าห้องน้ำเป็นที่สิงสถิต เพื่อง่ายต่อการวิ่งไปอวก อาการเมาเรือทำให้หลายคนหมดสภาพ บ้างก็อวก บ้างก็นอนสลบไสลจากฤทธิ์ยาแก้เมาเรือ ส่วนตัวผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อยู่ในส่วนไหนขออุบไว้ก็แล้วกัน เพราะสภาพมันน่าอนาถเกินไป

       เรือขนสินค้ารำใหญ่ไม่ได้น่าพิสมัยอย่างที่คิด ยามเรือนั้นโต้คลื่นเสมือนกับกำลังนั่งรถไฟเหาะก็ไม่ปราณ แต่มันเป็นการเล่นที่ยาวนานมาก ซึ่งเราลงจากมันไม่ได้ซะด้วย ถึงจะอยากลงมากแค่ไหนก็ตาม...

       “อวก!!” แหะๆ เสียงผมเองแหละ ว่าจะไม่พูดถึงแล้วนะ แต่ไหนๆ คุณก็รู้แล้ว ผมจะเล่าความอนาถให้คุณฟังเลยก็แล้วกัน แต่ก่อนจะเล่าขออวกก่อน ไม่ไหวแล้ว มันตีขึ้นมาถึงคอแล้ว อวก!!

       “ไหวไหม นี่น้ำ ล้างปากก่อน” มือหนาที่กำลังลูบหลัง กับน้ำเสียงห่วงใยของผู้กอง ไม่ได้ทำให้ผมสนจะชักโครกมากกว่าเขาได้เลย ขอโทษนะผู้กอง ตอนนี้ชักโครกน่าสนใจกว่าคุณอีก I’m so sorry. TT

       นั่งกอดชักโครกประหนึ่งนั่งกอดเมีย

       “ดีขึ้นยัง” เสียงของผู้กองดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมตัดใจจากชักโครกแล้วหันไปตอบผู้กอง พร้อมกดน้ำ

       “ไม่มีคำว่าดีขึ้นได้ ถ้าไม่ถึงฝั่ง อีกนานไหม เรานั่งเรือมาชาตินึงแล้วนะ”

       “เวอร์ไป นั่งมาแค่ชั่วโมง สองชั่วโมงเอง” ทำไมมันช้าจังวะ

       “นี่นั่งเรือ หรือนั่งเต่า”

       “เอาน่า จะถึงแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ทนอีกนิดนะครับ” คำว่าครับในสถานการณ์นี้ ไม่สามารถทำให้ผมเขินได้เลย นี่กูมีภูมิคุ้มกันความเขินในสถานการณ์แบบนี้เหรอ ช่างหน้าภูมิใจจริงๆตู

       “มัมหยุดอวกแล้ว!!” เสียงเจ้าตัวเล็กดังขึ้นจากหน้าห้องน้ำ น้ำเสียงใสแจ๋วสนุกสนาน ประหนึ่งอยู่ในสวนสนุก เรือกับคลื่นไม่สามารถทำอะไรเจ้าตัวเล็กของเราได้เลย

       “เดี๋ยวมันก็อวกอีก มิดไนท์ไปกับพี่แมนนี่คนสวยดีกว่า ปล่อยให้มัมเรานั่งกอดชักโครกไปเถอะครับ ปะ” ช่างเป็นห่วง เป็นใยเพื่อนเหลือเกิน เห็นแล้วน้ำตาแทบไหล กระซิกๆ

       “มัมหายเร็วๆ นะครับ สู้ๆ บ๊ายบาย” โบกมือแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่าหน้าประตู

       “ไม่อวกแล้วออกไปนอนข้างนอกดีกว่า ปะ” ผู้กองประคองผมเดินออกจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ไม่มีแรงครับ ถ้าผู้กองไม่ช่วยผมคงได้คลานออกจากห้องน้ำ แค่คิดก็อนาถใจ

       “ลมหนาวเป็นยังไงบ้างครับ” สถานการณ์แบบนี้ความคงความเขินเอาไว้ก่อน

       “หลับไปนานแล้วครับ เหลือแต่เรานี่แหละที่ยังอวกอยู่ ไม่ง่วงบ้างหรือไง หืม…” อยากง่วง อยากหลับเหมือนคนอื่นนะ แต่มันไม่หลับไง ใครมันจะไปอยากนั่งกอดชักโครก ให้แฟนหมาดๆ ดูหละ

       “หึหึ ไม่ต้องด่าทางสายตาหรอก นอนได้แล้วจะได้ไม่อวกอีก ถึงแล้วจะปลุก ไม่ต้องห่วงพี่จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้แหละ นอนเถอะ”

       “แค่เป็นเพื่อนเองเหรอ นึกว่าเป็นอย่างอื่นซะอีก” อาการรอมร่ออยู่แล้วกูยังมีอารมณ์หยอดอีก ยอมใจตัวเองจริงๆ

       “ให้อยู่เป็นสามีก็ได้นะครับ” ชิบหาย โดนเข้าแล้วตู จะเขินก็เขินไม่สุด สะดุดตรงคำว่า ‘สามี’ ม่ายยย!! ผมสิต้องเป็นสามี

       “ไร้สาระ จะนอนแล้ว”

       “หึหึ ครับ งั้นนอนเถอะ ต้องกล่อมนอนไหม”

       “ผมไม่ใช่เด็กนะ!”

       “อ่าวเหรอ นึกว่าใช่ โทษที” บอกโทษทีด้วยรอยยิ้มมุมปาก จ๊ะ เชื่อว่ารู้สึกผิดจริงๆ เหอะ!!

       ผมพูดคุย เรียกว่าพูดคุยไหม หรือโต้เถียง อะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ผมพูดคุยกับผู้กองไปสักพัก ก็เผลอหลับไป หลับเพราะพูดคุยเหรอ? บอกเลยว่าไม่ใช่ หลับเพราะมือหนาของผู้กองต่าหาก ที่คอยลูบเบาๆ เพลินดีครับ ผมเลยเผลอหลับ หลังจากนั่งกอดชักโครกเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง



+  +  +



       โลกที่มีแต่ยูริคอร์นตัวสีขาว สีชมพูวิ่งไปมากลางทุ่งสายไหม บ้านขนมหวานหลากสีสัน ช่วนให้น้ำลายไหลมากกว่าน่าอยู่ ภูตตัวน้อยวิ่งเล่นหยอกล้อเสียงดังไปทั่วบริเวณบ้าน ภูตน้อยตัวสีม่วงมองเห็นถึงการมีอยู่ของผม เธอยิ้มให้ผมอย่างเอียงอาย เธอช่วนให้ผมเข้าไปในบ้านขนมหวานสีสวยนั้น ผมตามเธอเข้าไปอย่างตื่นเต้น ข้างนอกที่ว่าสวยแล้วยังสู้ข้างในไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ข้างในที่ประดับตกแต่งด้วยขนมหวานหลากหลายชนิด หลากหลายสีสัน จากหลากหลายประเทศรวมกันอยู่อย่างลงตัว

       ภูตน้อยผายมือให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ลูกกวาด ที่มีโต๊ะลูกกวาดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า บนโต๊ะเต็มไปด้วยขนมหลากหลายชนิดรอให้ผมได้ริ่มชิมรส

       “กินได้เลยใช่ไหมครับ” น่ากินจนแทบทนไม่ไหว ภูตน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กินแล้วนะครับ” เสร็จโจร ครึครึ

       “ป๊อกเก้า สองเด่ง!!!” หือ…ทำไมภูตน้อยพูดแบบนั้น

       “จ่ายมาเลย!!” อะไร?

       “โห ชนะอีกแล้ว เซ็งเลย”

       “กากเอง ฮาๆๆๆ!!!”

       “เฮือก! ขนม!!!” ขนมผมหายไปไหน?

       “เชี่ย!! อะไรของมึงอีอุ่น กูตกใจหมด ฟาย!!” ผมหันไปมองต้นเสียง เจอแมนนี่นั่งท้าวเอวมองมาอย่างหาเรื่อง

       นี่มันสถานการณ์อะไร ผมอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วนั่งล้อมวงทำอะไรกัน เฮ้ย ขนมผมหละ ไปไหนๆ ไม่มีๆ

       “เป็นอะไรของมึงอีก หาอะไร หาสติตัวเองหรือไง กูว่าสติมึงคงหลุดไปกับคลื่นแล้วหละ” หะ!! คลื่น! ใช้ๆ ก่อนหน้านี้ผมอยู่บนเรือที่กำลังเผชิญกับคลื่นสูง แล้วผมก็ไปโผล่ที่เมืองขนม หรือ ผมฝัน? ชิบหาย ฝันอะไรของผมเนี่ย แม่งหน่อมแน้มชิบหาย ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เดี๋ยวโดนล้อตายเลย

       ผมเริ่มสำรวจสถานที่ที่ตัวเองอยู่ เป็นห้องกว้างๆ ห้องนึง มีเตียงที่ผมกำลังนอน มีโซฟาอยู่อีกด้านนึงของห้อง ห้องเป็นห้องที่เพดานสูง ทั้งห้องทาด้วยสีขาวส่งให้ห้องดูโปร่งและกว้างขึ้น กลางห้องมี…วงไพ่ เอิ่ม มาได้ไงวะเนี่ย แม่งข้างหน้ามีแต่กองแบงค์พันเต็มเลย ในวงมี แมนนี่เจ้ามือ ลมหนาว น้องมิว หมู่เทน และมิดไนท์ที่นั่งเล่นข้างๆวงไผ่ นี่มันสถานการณ์อะไรวะเนี่ย

       “โอ้ยย ไม่เล่นแล้ว ไม่สนุกแล้ว ไปเล่นน้ำทะเลดีกว่า!” เล่นน้ำทะเล? แสดงว่าเราอยู่ที่ภูเก็ตแล้วสิ แล้วผู้กองไปไหน

       “แล้วผู้กองไปไหน” ผมมองหาไปทั่วห้องแล้วก็ไม่เจอ

       “แหมะ! ตื่นมาก็ถามหาผัวเลยนะยะ” ผัวบ้าอะไร บอกกี่ครั้งแล้วผมต่างหากผัว!! แล้วทำไมหมู่เทนต้องยิ้มล้อผมด้วย พอกันทั้งผัวทั้งเมียเลย นี่ถ้าหมู่นายอยู่คงล้อผมทั้งสามคนเลยสินะ ซิ!!

       “ผู้กองไปจัดการเรื่องเสบียงครับ คงกลับมาเย็นๆ หรือไม่ก็ตอนกลางคืน” จะให้อภัยหมู่เทน เพราะตอบคำถามผมก็แล้วกัน

       “แล้วทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ได้ละครับ” จำได้ครั้งล่าสุดกำลังนอนอยู่บนเรือหนิ

       “ก็มึงหลับไงยะ แม่งไม่รู้หลับหรือซ้อมตาย ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เหลืออีกนิดกูจะเอาน้ำสาดมึงแล้วนะ ถ้าผู้กองไม่อุ้มมาก่อนกูสาดแล้วจริงๆ”

       “ผู้กอง อุ้ม?”

       “เออนะสิ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทรารึไงยะ สงสารผู้กองสุดหล่อที่ต้องอุ้มมึงมากเลย แม่งอุ้มเดินมาตั้งไกล เออ แต่เขาเป็นผัวมึงนี่หว่า ช่างเหอะ ตกลงจะไปเล่นน้ำได้ยังพี่เทน อยากเล่นน้ำแล้วนะ”

       “รอให้ผู้กองกลับมาก่อนดีกว่าเนาะ”

       “รอทำไม ไหนบอกผู้กองจะกลับมาตอนเย็นๆ หรือไม่ก็ตอนกลางคืนไง แล้วจะให้เล่นตอนกลางคืนหรอ ทะเลก็อยู่แค่นี้เอง นะๆ นะคะ นะพี่เทนนะ”

       “ก็ได้ครับ แต่ทุกคนต้องอยู่ในสายตาพี่ตลอดนะ ข้างนอกมันอันตราย” แล้วเขาสองคนก็คุยกันโดยไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ไร้ตัวตนสุดๆ



       ตอนนี้เราอยู่ที่ชายหาดหน้าบ้านพัก ผมเพิ่งมีโอกาสได้เห็นข้างนอกครั้งแรก บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลางสีขาวติดกับชายหาด ด้านข้างเป็นบ้านคน มีทั้งหลังเล็กและใหญ่ปะปนกันไป ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาทั่วบริเวณ หลายคนกำลังตกปลาอยู่บนเรือเล็ก ที่กำลังลอยละล่องอยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ผู้คนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ร่างกายค่อนข้างผอม แต่ก็ไม่ได้ผอมขนาดผู้คนที่อยู่ในค่ายที่เราเพิ่งจากมา หลายคนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ แตกต่างกันไป แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าสายตานั้นมันกำลังสื่ออะไร ความอิจฉา? ความสงสาร? เห็นใจ? ไม่ชอบ? อยากรู้จัก? ทุกคนที่เดินผ่านต่างหันมามองเรา และยิ่งเสียงหัวเราะเราดังมากความสนใจยิ่งมากไปด้วย หรือเพราะพวกเราเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวในบริเวณนี้ที่ดูมีความสุข  แล้วทำไมพวกเขาถึงทุกข์ ทำไมกัน

      “อีอุ่นยืนเอ๋ออะไรตรงนั้น ลงมาสิยะ” ผมหันไปสนใจทางริมหาดต่อ แมนนี่ที่เรียกผมด้วยถ้อยคำสุภาพ? กำลังเล่นน้ำอยู่กับหมู่เทน น้องมิว มิดไนท์ โดยมีลมหนาวนั่งเฝ้าอยู่ริมฝั่ง ถึงแผลน้องจะหายแล้ว แต่ก็ยังไม่ควรที่จะลงไปแช่น้ำทะเล

       ผมขอตัวไปเล่นน้ำก่อนก็แล้วกัน

     

       ปลาทอดร้อนๆ ส่งกลิ่นไปทั่วห้องครัว ยั่วน้ำลายได้เป็นอย่างดี ผมกำลังนั่งรออย่างใจจดใจจ่อเพื่อที่จะได้กินฝีมือการทำกับข้าวของหมู่เทน ผมก็อยากช่วยนะ แต่ทำไม่เป็น แหะๆ

       เรานั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย เพราะฝีมือการทำกับข้าวของหมู่เทน หรือเพราะความหิวไม่รู้ที่ทำให้กับข้าวหมดเร็วขนาดนี้

       “พี่เทน ทำไมชาวบ้านถึงมองเราแปลกๆ แบบนั้นหละครับ” เมื่อเราเริ่มสนิท สรรพนามในการเรียกก็เปลี่ยนไปทันที

       “มีหลายอย่าง บางคนสงสารเราที่มาอยู่ที่นี่ บางคนอิจฉาที่เรามีอาหารกินเพราะเขารู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านทหาร บางคนไม่ชอบเพราะเราดูสมบูรณ์ไม่ผอมแห้งเหมือนเขา และอีกหลายอย่าง” ที่นี่อดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ

       “แต่ผู้กองบอกว่ามีเรือประมงอยู่เยอะ มีแรงงานทำประมงเยอะด้วยเช่นกัน ทำไมผู้คนยังอดอยากอีกหละครับ”

       “อาหารที่นำมา มันแจกจ่ายเฉพาะคนบางกลุ่ม หรือถ้าแบ่งมาก็มาในปริมาณที่น้อยมาก และนานๆมาที สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น อันนี้ยังน้อยนะครับ ผู้คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้ทะเลนี่สิน่าสงสารที่สุด” จริง ที่นี่ยังขนาดนี้ เเล้วที่ที่ไม่มีทะเลจะขนาดไหน

       “แล้วคุณโรสละครับ” ตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมายังไม่เจอคุณโรสเลย

       “เอ่อ คือ เธออยากไปพบผู้นำสูงสุดหนะครับ” หืม…ไปพบผู้นำเพื่อ?

       “ไปพบผู้นำ? ไปพบทำไมครับ”

       “เอ่อ คือ…” พี่เทนเหมือนลำบากที่จะตอบ

       “ไปเอาเต้าไต่ ให้ได้เป็นเมียผู้นำไงยะ”

       “มึงก็พูดไป” เธอคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง

       “น้อยไปสิยะ ทำไมฉันจะมองไม่ออกมักใหญ่ไฝ่สูงขนาดนั้น เหอะ!!” เธออาจจะไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่ชอบหน้าผมก็ได้

       “มองด้านลบเกินไปมึง เธออาจจะไม่อยากเห็นหน้ากูก็ได้” ไปเป็นเมียผู้นำเลยเหรอ ไม่มั้ง

       “ไม่ไปเป็นเมียผู้นำ ก็คงไปเพราะอยากอยู่กับผัวมึงมั้ง” ขี้เกียจด่า จะเข้าใจยังไงก็ช่างมัน ชิ แต่อะไรคือตามผู้กองไป “โว้ย กูพูดเล่น เลิกทำหน้าเป็นหมาแดกแฟบได้แล้ว นางไปอ่อยผู้นำนั้นแหละ เชื่อกู กูเรียนมา”

       น่าเชื่อถือมาก ถุ้ย!!

       
       ตอนนี้เวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วผู้กองยังไม่กลับมาเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ เป็นห่วงจัง

      “มัม น้องไนท์ง่วงแล้วครับ” ผมมองเจ้าตัวเล็กที่พามานอนด้วย

       “ครับ มัมมาแล้ว” ผมกอดเขาพร้อมลูบหลังเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับ แต่อาการตอนนี้ไม่รู้ใครจะหลับก่อนกัน ง่วงสุดๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับผู้กอง ขอไปฝันก่อนเผื่อคราวนี้จะได้กินขนม คราวที่แล้วได้แค่อ้าปากยังไม่ได้งับเลย เสียดาย…



(มีต่อข้างล่างนะคะ)

หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่15☆ P.2☆28/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 28-01-2019 23:30:39
(ต่อตอนที่ 15)



       อือ…หนัก อะไรมาพาดอยู่เอวผมหนะ อืม…แขน? แขนใคร ผมหันไปมองไม่ได้เลย เพราะแขนที่รัดเอวอยู่มันแน่นมาก ยิ่งผมพยายามแกะออก มันยิ่งรัดแน่นกว่าเดิม

       “จะดิ้นทำไมครับ หืม…” โอเค แค่เสียงก็รู้แล้วว่าใคร ถ้าเป็นปกติผมจะรู้เร็วกว่านี้นะ แต่ตอนนี้เพิ่งตื่นสติยังมาไม่ถึง 50% เลย

       “แล้วจะกอดแน่นทำไมเล่า”

       “คิดถึง” ระเบิดตัวเองตายแต่เช้าเลยตู งือ

       “กลับมาเมื่อไหร่ คะ ครับ” เมื่อหายเมาเรือความหน้าบางก็เริ่มกลับมทักทาย

       “เกือบเที่ยงคืนแหนะ ง่วงมากเลย ขออยู่แบบนี้สักพักนะ ตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ สักแปดโมง” ใช้ครับเราใช้โทรศัพท์ได้ แต่โทรไม่ได้หรอกนะ สงสัยไหมว่าเอามาทำอะไร ก็เอามาตั้งปลุกไงครับ แล้วยังถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ เล่นเกมส์ แต่ต้องเป็นเกมส์ที่เจ้าของเครื่องเคยดาวน์โหลดไว้ก่อนและเป็นเกมส์ที่ไม่ใช่อินเทอร์เน็ตนะครับ เช่น แคนดี้ครัช แถมยังฟังเพลงจาก MP3 ถ้าเครื่องไหนมีนะ เห็นไหมถึงไม่มีสัญญาณเรายังใช้มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เอ่อ…ผมว่าผมออกนอกเรื่องไปมากแล้ว ผมเอาโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกดีกว่า

       “แล้วทำอะไรถึงดึกขนาดนั้น ครับ”

       “ประชุมชี้แจง พาผู้นำไปดูเสบียง มางานเลี้ยงถายใน และขนเสบียงลงไปเก็บไว้ที่โกดัง กว่าจะเสร็จก็ดึกเลย” ฟื้ด! ปลายจมูกผู้กองกดลงกลางหัวของผม แล้วสูดลมหายใจไปเฮือกใหญ่ ดีนะเมื่อคืนสระผมไปแล้ว ไม่งั้นละก็ คงมีจมูกพังไปข้าง งือ แต่หัวใจเจ้ากำมาเต้นแรงตอนนี้ทำไม เดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก

       “ทำไมต้องขนลงด้วย ยังไงก็ต้องเอาขึ้นรถไปแจกอยู่ดี” เขินขนาดไหนต้องกัดฟันถามออกไป เพราะอยากรู้ล้วนๆ

       “พี่ก็ค้านไปแบบนั้น แต่ผู้นำไม่รับฟัง เลยต้องทำตามคำสั่ง” ผมเข้าใจนะ การจะเอาไม้ซีกงัดไม้ซุงมันไม่ง่าย เผลอๆ ไม้ซีกอาจจะหักเอาได้ แต่ถ้าไม้ซีกหลายๆ อันก็ไม่แน่นะ คิดไปเรื่อย!

       “วันนี้ ผู้กอ…เอ่อ พะ พี่ธาม จะไปไหน” แม่งอยากตบปากตัวเอง ตะกุกตะกักอยู่ได้

       “หึหึ วันนี้พี่จะไปแจกจ่ายเสบียง ไปด้วยกันไหม” หัวเราะสองหึ แสนกวนทีน เฮ้ย กวนใจ เสร็จแล้วจึงตอบคำถามผมได้

       “แล้วน้องๆ ไปด้วยไหมครับ”

       “คงไปไม่ได้ มันไม่ปลอดภัย ให้อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว หมู่เทนดูแลอยู่ หายห่วง เราไปคนเดียวพี่จะได้ดูแลง่ายหน่อย” นี่เห็นผมเป็นเพื่อนมิดไนท์รึไง

       “ผมโตแล้ว!”

       “ครับๆ โตแล้ว แต่พี่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ออกไปข้างนอกมันอันตรายกว่าแถวบ้านเยอะนะ” พี่เทนเล่าให้ผมฟังแล้วเหอะ รู้อยู่หรอก

       “ไปแจกที่ไหนบ้างครับ”

       “ไปเป็นอำเภอหนะ มี 3 อำเภอ อำเภอกะทู้ อำเภอถลาง และที่พี่จะไปอำเภอเมืองภูเก็ต มีสามขบวน สามอำเภอ เราจะไปแจกแต่ละตำบล ของอำเภอนั้น ให้ตัวแทนตำบลดูแลเป็นส่วนกลาง โดยทหารเป็นผู้ดูแล” เนี่ยจะขนไปอยู่แล้ว เอาลงรถทำไมไม่ทราบ ไม่เข้าใจตาผู้นำเลย

       “แล้วคุณโรสหละครับ” ผู้กองเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แล้วตอบคำถามผม

       “ไปอยู่กับผู้นำแล้ว ส่วนไปทำอะไร ฉันไม่ขอพูดถึงได้ไหม มันไม่ได้มีประโยชน์กับเราหรอก เขาเลือกทางเดินของเขาเอง” มันไม่ได้เป็นเพราะผมใช่ไหม “แล้วอย่าโทษตัวเองหละ เราแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ เขาก็เลือกทำในสิ่งที่อยากทำเช่นกัน”

       แหนะ รู้อีกว่าคิดมาก

       “นอนเถอะ มิดไนท์ได้ยินเสียงเราเดี๋ยวก็ตื่นหรอก” โอเค เลิกถามก็ได้ เดี๋ยวค่อยถามเวลาอื่น คนเราอยากรู้อะไรต้องถามเว้ย เราถึงจะรู้ ครึครึ



+  +  +


       ตอนนี้เราอยู่ที่โกดังเก็บเสบียงที่มีขนาดใหญ่ พร้อมรถบรรทุกอีกหลายคัน ผู้ดูแลการแจกจ่ายเสบียงของอำเภอกะทู้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นหมวดโฟรคนี่เอง แถมพ่วงไอ้เด็กริวมาด้วย

       “ไงไอ้ริว เดี๋ยวนี่ตามติดหมวดไปทุกที่เลยนะมึง” ผมเอ่ยทักไอ้ริวไป เจ้าตัวมองหน้าผมกวนๆ พร้อมตอบกลับ

       “เหมือนพี่ที่ตามติดผู้กองหรือเปล่า” ไอ้เด็ดเวร ยอกย้อนซะ ไอ้นี่

       “ไอ้นี่ เดี๋ยวเตะเลย” ผมยกเท้าประกอบคำพูด

       “โอ๊ะๆ ขอโทษครับ…ขอโทษที่น้องพูดความจริง ครึครึ” มันยังไม่เลิก เฮ้อ…ได้แต่ถอนหายใจให้ไอ้เด็กเกรียน

       อยู่ดีๆ ก็มีรถเบนซ์ สีดำเงาวับขับเข้ามาภายในโกดัง อดีตรถหรูแสนแพงได้จอดอยู่ไม่ห่างจากเรามากนัก ประตูรถทั้งสามประตู ถูกเปิดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน การปรากฏกายของผู้ชายสามคนที่ดูแล้วอายุค่อนข้างต่างกันพอสมควร โดยมีชายแก่ลงพุงอายุประมาณ 50 กว่าปี เดินนำหน้าอยู่ ตามมาด้วยชายหนุ่มหน้าหล่อคม เจ้าของร่างกายกำยำที่อายุประมาณ 25-30ปี คนสุดท้ายเป็นชายอายุประมาณ 35+ แต่ดูแล้วท่าทางจะเจ้าเล่ห์ใช่เล่น

       “โทษทีที่มาช้า พอดีเมื่อคืนหนักไปหน่อยหนะ หึหึ คราวหน้าพาเด็ดๆ แบบนี้มาด้วยอีกนะ หึหึ” ชายอายุ 35+ พูดขึ้น แต่คำพูดของเขามันสะกิดใจผมแปลก ผู้กองมีสีหน้าเรียบตึงทันทีที่ผู้ชายคนนั้นพูดจบ

       “แล้วนั้นใคร” ผู้ชายอายุน้อยที่สุดพูดขึ้น พร้อมชี้ไปทางหมวดโฟรค

      “นี่หมวดโฟรค เป็นคนประสานงานในค่ายแต่ละค่าย” ผู้กองแนะนำหมวดโฟรคแล้วไม่พูดอะไรต่อ

       “ไร้มารยาทดีจังนะ ไม่คิดจะแนะนำฉันให้ลูกน้องนายรู้จักหน่อยเหรอ ยังไงซะฉันก็เป็นนายพวกมัน และนายอยู่ดีเพื่อน หึ” ฟังแล้วเท้ากระตุกยิกๆ เลย แม่ง

       “นี่ผู้กองแบล็ค เป็นมือซ้ายของนาย”

       “ไม่แนะนำว่าฉันเป็นเพื่อนนายไปด้วยเลยหละ” ผู้กองธามผู้แสนเย็นชาคนเดิมกลับมา เมื่อต้องอยู่กับผู้คนเหล่านี้ ผมอยากให้เขายิ้มมากกว่าที่จะทำหน้าไร้อารมณ์แบบนี้

       “อดีต! เพื่อน!” ผู้กองเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเดิม

       “เพื่อนฉันนี่ใจร้ายจริงๆ ดูสิ” ไม่พูดเปล่ายังชี้ชวนให้ดูอีก “แล้วพาคนประสานงานค่ายมาทำไม หรือขี้เกียจไม่อยากทำงานเอง อยากชี้นิ้วสั่งแทนแล้ว ไม่ชอบลุยเองแล้วเหรอ”

       “พอเถอะน่า” คนอายุมากสุดเอ่ยขึ้นมาเพื่อห้ามทัพ แต่ก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้น

       “ก็ได้ งั้นฉันขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร นี่ท่านผู้นำ” เขาชี้ไปที่ชายแก่อ้วนลงพุง “แล้วนี่มือขวาท่าน ผู้พันกองทัพ” และชี้ไปอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่กูต้องเรียกชื่อเต็มยศเลยเหรอ ส่วนพวกพี่ทหารเขาก็ทำความเคารพของเขาไปนั้นแหละ แต่ผมไม่ทำหรอกนะ ไม่ใช่เจ้านายผมนี่ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ข้างหน้าผมก็มีไอ้แก่ลงพุง ไอ้โรคจิต และไอ้ปากปีจอ ครึครึ เหมาะกับชื่อมากเลย

       “แล้วนั้นใคร ยืนเฉยอยู่ได้ ทำไมไม่ทำความเคารพท่านผู้นำ” ไอ้โรคจิตผู้พันกองแต๊ก พูดขึ้นอย่างบ้าอำนาจ แล้วชี้มาทางผมกับไอ้ริว

       “พวกเขาไม่ใช่ทหาร เป็นอาสามาช่วยงาน” ผู้กองตอบขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม

      “แล้วไง? ไม่ว่ามันจะเป็นใคร มันก็ต้องทำความเคารพผู้นำ” น่าเบื่อ พวกมึงเป็นพระเจ้าหรือไง ทำไมกูต้องเคารพ กูเคารพคนที่น่าเคารพเว้ย ไอ้โรคจิตกองแต๊ก

       “เอาน่า มันก็แค่เด็ก แถมน่ารักซะด้วยสิ หึหึ” ไอ้ผู้กองปากปีจอพูดขัด แต่ น่ารักบ้านมึงสิไอ้ปาก…ไม่อยากด่ามาก เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นคนหยาบคาย ไอ้&?#@/&#&;...

       “อย่ายุ่ง” ผู้กองเดินมายืนอยู่ข้างหน้าผม บังผมซะมิดเลย

       “หวงเหรอ เพิ่งรู้ว่าสเปคนายเป็นแบบนี้ แต่ก็น่ารักดีหนิ ท่าจะเด็ด หึหึ” โว้ย! น่าเอาทีน กระทืบหมาในปากมันจริงๆ

       “หุบปาก!” ผมรีบจับแขนผู้กองไว้ มีเรื่องไปผมว่ามันไม่ดีแน่ๆ

       “พอเถอะน่า รีบไปทำงานกันได้แล้ว” เสียงไอ้แก่ผู้นำพูดห้ามขึ้นจริงจังกว่าครั้งก่อน ทำให้ทุกคนหยุดได้ รวมทั้งไอ้โรคจิตกองแต๊กที่กำลังยืนหัวเราะเหมือนดูตลกนั้นด้วย

       “นี่เป็นจำนวนเสบียงที่ต้องแบ่งไปแต่ละอำเภอ ทำตามนี้ด้วยนะ” ไอ้ผู้พันกองแต๊กยื่น กระดาษ A4 ที่มีรายละเอียดให้ผู้กองไปด้วยสีหน้า ถ้าผมมองไม่ผิดมันเป็นสีหน้าเยาะเย้ย ทำไมต้องเยาะเย้ยด้วยหละ

       ผู้กองก้มลงอ่านรายละเอียดยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น มันมีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่

      “สามอำเภอแจกแค่ 40% เก็บไว้เป็นของหน่วยทหาร 60% ผมว่ามันไม่ถูกต้องนะครับ มันน้อยไป ชาวบ้านจะกินได้นานแค่ไหนเชียว” หะ!! แจกให้ประชาชนแค่ 40% เก็บไว้กับตัวเอง 60% บ้าไปแล้ว มึงจะแดกให้พุงแตกตายไปเลยหรือไง

       “ถูกต้องหรือไม่ ฉันเป็นคนกำหนดเอง เพราะฉันเป็นผู้นำ ส่วนนายเป็นแค่ทหารที่รับคำสั่ง ก็ทำตามคำสั่งไป อย่าหาเรื่องใส่ตัว ถึงฉันจะเอ็นดูนาย แต่ถ้าไม่ฟังคำสั่งฉัน ฉันก็กำจัดได้เหมือนกัน” มือผมเย็นเชียบเมื่อได้ฟังคำพูดของไอ้แก่ลงพุง ผมบีบมือผู้กองเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ผู้กองบีบมือผมกลับเช่นกัน มันทำให้มือที่กำลังเย็นอุ่นขึ้นในทันที

       “อย่างน้อยก็ขนผักออกไปแจกเถอะครับ เอาไว้ที่นี่มันก็เน่าอยู่ดี” ผู้กองพยายามขอร้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาขอร้องใครสักคน

       “ก็ปล่อยให้มันเน่าไป” ถ้ามีเดธโน๊ต ชื่อคนแรกที่จะเขียนไปคือ ไอ้แก่ลงพุงผู้นำเฮงซวยนี่

       “แต่…” ผู้กองยังพูดไม่จบก็โดนขัดขึ้นมาซะก่อน

       “นี่คือคำสั่ง!” บ้าอำนาจ จิตใจมืดดำ ไอ้เลว!! ด่ามันได้แต่ในใจแหละครับ เพราะด่าออกไปคงโดนลูกน้องมันเล่นงาน

       “ถ้าอยากให้ชาวบ้านได้เสบียงเยอะๆ คราวหน้าก็เอามาเยอะกว่านี่สิ หึหึ” เสียงไอ้ผู้กองใจดำปากปีจอพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี เห็นคนอื่นรำบากมันอารมณ์ดี ไอ้สลัดผัก

       สรุปแล้วเราต้องปล่อยให้ผักมันนอนรอเน่าอยู่ในโกดังแบบนี้สินะ เฮ้ออ…

       ‘ประเทศไหนมีผู้นำบ้าอำนาจ จิตใจมืดบอด คิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเองฉันใด ประชาชนในประเทศนั้นก็เสมือนตกอยู่ในนรกฉันนั้น’ กูกล่าว!!




………………………..
…………………
……….



เรื่องแรกของเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่จบแน่นอน ครึครึ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่15☆ P.2☆28/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 30-01-2019 09:40:35
โอ้ยยอ่านแล้วมันน่าเอาปืนเป่าสมองผู้นำ ใครแต่งตั้งฟะคะสถาปนาตัวเองหรอ
ยัยโรสกุหลาบเน่านี่ก็อีกคน ทำไมพวกผู้กองใจดีกันจัง
นี่ถ้าเป็นเรายัยนี่โดนเอาไปปล่อยให้ซอมบี้กินแล้วหละ พ่อก็ร้ายพี่ก็โจรปล้นเสบียงคิดว่าคนตายเพราะครอบครัวนี้ไปกี่คนละ
นี่ไปเอาเต้าไต่อีกยัยนี่ไม่เลิกทำเรื่องแย่ๆแน่

เขียนได้ดีนะคะแนวเรื่องน่ารักดีจะรอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่15☆ P.2☆28/1/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-01-2019 23:00:46
ถ้าเป็นเรื่องจริง เชื่อซิตาแก่ลงพุ่งแบบนี้ โดนเป่าสมองตายคนแรกเลย :katai1:
แอบเบื่อความโลกสวยของอุ่น เรื่องโรส จะไปหวังดีไม่คิดร้ายได้ยังไง
เพราะยังไงอุ่นก็เป็นคนฆ่าพ่อมัน ไม่มีทางญาติดีกันได้ แถมโรสจะต้องกลับมาแก้แค้นแต่ๆ :really2:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่16☆ P.2☆4/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 03-02-2019 23:59:28
- 16 -


[ไออุ่น]

       ยามผู้คนอดอยาก สัญชาตญาณดิบที่ฝังลึกอยู่ในด้านมืดของจิตใจก็ถึงเวลาเผยออกมาให้ได้เห็น ประจวบพร้อมในยามที่ไร้ซึ่งกฎหมาย การกระทำความผิด ไม่มีบทลงโทษใดๆ ทุกคนเอาตัวรอดด้วยขาของตนเอง คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ความโอบอ้อมอารีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าโง่เขลา คนฉลาดคือคนที่เห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดได้ ถึงสงสารแค่ไหนก็ต้องเมินเฉยเพื่อให้ตัวเองให้รอด น้อยนักที่จะมีใครออกตัวช่วยผู้อื่นในยามนี้ แต่ใช่ว่าจะไม่มี

       ตอนนี้เราอยู่กลางเมืองเพื่อขนเสบียงมาแจกจ่าย ที่นี่สามารถใช่ไฟ และรถได้ปกติ การที่แต่ละตำบลจะไปแจกจ่ายเสบียงให้แต่ละหมู่บ้านจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก รถแจกจ่ายก็มีพร้อม ถ้าได้เสบียงมาเยอะกว่านี้คงดี คิดแล้วโมโห แม่ง!!

       หลังจากไอ้พวกผู้นำมันสั่งเสร็จ มันก็ไปนั่งโซฟากระดิกเท้ามองเราทำงาน เห็นแล้วอยากปารองเท้าใส่หน้ามากๆ คุณคิดดู คนอื่นแบกกระสอบข้าวสาร กล้วย มันเทศ ฟักทอง และพืชผักแทบหมดแรง แต่พวกมันนั่งกระดิกเท้าทำหน้าเหมือนผู้ร้ายในละครเลย แถมมีทหารมายืนอารักขายังกับหนังมาเฟีย แล้วไอ้พวกทหารที่อารักขาพวกผู้นำนั้นด้วยเป็นอะไรนักหนา โบท็อกที่ฉีดมาหมดอายุหรือไงปากถึงกระตุกข้างเดียวยิ้มเยาะเย้ยอยู่นั้น เห็นแล้วทีนก็อยากกระตุกตาม

       “เป็นอะไรครับ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหืม…” เสียงผู้กองพูดขึ้นตรงหน้า พร้อมส่งมือมายีหัวผมด้วย งือ… ว่าแต่ ผมทำหน้ายังไงเหรอ “ยังมาทำหน้างง ก็เมื่อกี่อุ่นทำหน้าเหมือนอยากจะกระทืบใครเลย ใครทำอะไรให้ไม่พอใจครับ”

       เยอะแยะ!! โดยเฉพาะไอ้พวกผู้นำซังกะบ๋วยพวกนั้น

       “ก็พวกตาแก่อ้วนลงพุงไง เกลียดขี้หน้าจริงๆ”

       “หืม? ตาแก่อ้วนลงพุง ใครเหรอ” โห…อะไรอะ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ

       “ก็คุณผู้นำแก่อ้วนลงพุง คุณโรคจิตกองแต๊ก คุณผู้กองปากปีจอ และพักพวกทหารที่โบท็อกหมดอายุจนปากกระตุกไงครับ” ทีนี้จะรู้ได้หรือยัง

       “ฮาๆๆๆ ช่างคิดนะเราหนะ” พอผมพูดจบผู้กองก็ระเบิดเสียงหัวเราะทันที พี่ทหารที่กำลังขนเสบียงก็หันมามองอย่างสนใจระคนแปลกใจ พวกเขาคงไม่เคยเห็นผู้กองจอมเย็นชาหัวเราะแบบนี้สินะ

       “ก็จริงนิครับ เห็นแล้วไม่ชอบหน้าเลย” ผมเริ่มจะชินกับการพูดเพราะซะแล้ว พูดบ่อยต่อบ่อยครั้งมันก็เริ่มชินไปเอง

       “ครับ พี่เข้าใจ พี่ก็ใช้ว่าจะชอบ แต่มันทำอะไรไม่ได้ เลยต้องเป็นแบบนี้” ผู้กองมีสีหน้าที่ค่อนข้างเศร้า ผมไม่เคยเห็นเขาเศร้าเลย อย่างมากก็แค่เย็นชาใส่ มีแค่กับผมเท่านั้นที่ผู้กองจะเผยด้านต่างๆ ให้เห็น คิดแล้วก็เขิน เอ่อ มันใช่เวลาไหมตู

       ผมไม่มีอะไรที่จะพูดปลอบ สิ่งที่ผมทำได้คือจับมือเขาแน่นๆ ให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ผมจะอยู่ข้างๆ เขาเสมอ…ว่าที่ภรรยาผม   [ไรท์ : ช่างกล้าเรียก =_= ]

       “เอามา!! เอาข้าวมาให้กู!! เอามา!” เสียงเอะอะโวยวายเรียกความสนใจผมกับผู้กองได้เป็นอย่างดี

       มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังยื้อยุดกับทหารเพื่อเข้ามาเอาเสบียง พวกเขาไม่สนสิ่งที่ทหารพูดหรือบอกเลยแม้แต่น้อย ดึงดันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวเลย เหตุการณ์เริ่มชุลมุนจนเริ่มที่จะควบคุมด้วยมือเปล่าไม่ไหว

       ‘ปัง!!’ เสียงปืนเกิดหนึ่งนัด จากผู้กองที่ยิงปืนลงดินเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบ หรือเป็นการเตือนกรายๆ เพื่อให้หยุด

       และมันก็ได้ผล ทุกคนหยุดนิ่งอยู่กับที่ แทบไม่ไหวติงเลย ยังดีที่พากันหายใจอยู่

       “หยุดกันได้รึยัง ปัจจุบันยังวุ่นวายไม่พอหรือไง ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากมากขึ้นด้วย” ใบหน้าหล่อคมนั้นมีสีหน้าและแววตาเย็นชาฉายขึ้นมาอีกครั้ง

       “ผมให้แต่ละตำบลประกาศบอกกันแล้ว ว่าจะไปส่งถึงบ้านเลย ทำไมถึงยังวุ่นวายแบบนี้อีก คุณอยากได้ คนอื่นเขาก็อยากได้เหมือนกัน ถ้าไม่ทำตามกฎผมก็ไม่แจก แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน!” ผู้กองโหมดโหดกลับมาแล้ว ทุกคนหยุดนิ่ง ถึงสีหน้าจะไม่พอใจขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไร เป็นผมก็ไม่ทำถือปืนยืนเด่นขนาดนั้น

       “กลับไปรอที่บ้าน ทหารจะเอาของไปแจกเอง แต่ถ้าอยากทานอาหารที่นี่ต้องรอเป็นพรุ่งนี้ ทหารจะทำโรงทาน ค่อยมากิน” ยืนจ้องอย่างกดดันจนทุกคนสลายตัวไป

       “ถ้าพวกเขาไม่กลับ จะไม่ให้จริงเหรอครับ”

       “ขู่ไปงั้นแหละ ไม่งั้นก็ไม่กลับกัน คนบางคนบอกดีๆ ไม่รู้เรื่องหรอก ต้องบอกด้วยปืนถึงจะรู้” ต้องขนาดนั้นเชียว

       “แล้วทำไมต้องทำโรงทานด้วยครับ เราแจกพวกเขาไปแล้วหนิ” แจกแล้วก็ให้พวกเขาทำกินเองสิ

       “สำหรับคนที่ไม่มีบ้าน และคนที่อ่อนแอรักษาเสบียงตัวเองไม่ได้หนะ เราไม่สามารถไปเฝ้าพวกเขาได้หรอกนะ ช่วยได้เท่าที่ช่วย เพราะเราก็มีอะไรต้องทำอีกเยอะ เราแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้” แล้วไอ้แก่ผู้นำลงพุงนั้นทำอะไรบ้างวะเนี่ย ไม่เห็นมันจะสนใจห่าเหวอะไรเลย สลัดผักน้ำข้นเอ้ย!!

       เราปล่อยให้พี่ทหารที่ประจำอยู่ตำบลนี้จัดการต่อ ดีที่พี่ๆ ทหารและอาสาที่ทำงานภาคสนามนิสัยดี ถ้าเป็นพวกทหารที่คอยอารักขาพวกผู้นำละก็ อย่าหวังว่าพวกมันจะสนใจใคร

       เราเดินทางไปแจกแต่ละตำบลต่อ แต่ละที่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไร มีคนมารอยื้อยุดเหมือนเดิม และต้องจัดการเหมือนเดิม เหมือนเดจาวูครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราเดินทางมาถึงอำเภอสุดท้าย จึงอาสาไปแจกของกับพวกพี่ๆ เขาด้วย เราแบ่งกันคนละหมู่บ้าน มีพี่ที่เป็นอาสาพื้นที่มากับเราด้วย พูดตรงๆ เลยเราไม่ชำนาญพื้นที่เท่าไหร่

       “ป้าครับนี่อาหารครับ” ผมถือถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่ข้าวสาร เข้าไปให้พร้อมพี่ๆ ถือพืชผักตามมาอีก

       “บ้านฉันมีตั้งหลายคน แค่นี้จะกินได้กี่วันเชียว” เอ่อป้า คือมันมีแค่นี้ไง จะให้ทำยังไง “ไปเอามาเพิ่มให้หน่อยสิ ที่รถก็เหลือตั้งเยอะ” ต้องแจกคนอื่นด้วยไหมป้า

       “บ้านก็มีพื้นที่เยอะหนิ ปลูกผักหรือทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่รอให้คนอื่นช่วยอย่างเดียว” ผู้กองที่ได้ยินในสิ่งที่ป้าพูดกับผม ก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ จบเลยป้า เงียบเลย ถามว่าเงียบเพราะสำนึกเหรอ บอกเลยว่าเปล่า ป้าแกกลัวปืนที่ผู้กองพกมาด้วย

       จบกับบ้านป้า เราก็ไปบ้านตรงข้ามกับป้าทันที เจอยายกับตาเดินออกมารับเราที่หน้าบ้าน ลูกหลานคงออกไปหาปลา เหมือนบ้านอื่นๆ

       “ยาย ตา นี่อาหารครับ” ของก็เหมือนของทุกคนที่เราให้มานั้นแหละครับ

       “ขอบใจมากพ่อหนุ่ม มาๆ เข้ามากินน้ำกินท่าก่อน” ยายเปิดประตูรั่วให้เราเข้าไปในบริเวณบ้าน

       “ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรหรอกยายเรากินมาแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไปส่งบ้านหลังต่อไปอีก” ผมบอกกับคุณยายใจดีไป

       บริเวณข้างในบ้านปลูกอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย

       “บ้านยายปลูกผักเยอะเลยนะครับ”

       “ผักที่พอหามาปลูกได้หละลูก มันไม่ค่อยมีเมล็ดให้เราปลูก เลยมีแต่ผักบ้านๆ แบบนี้แหละ” ยายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

      “ยายกินฟักทองที่เราเอามาให้แล้วปลูกเมล็ดมันต่อเลยก็ได้นะครับ เมล็ดคงจะเยอะอยู่ ผมกลัวว่ายายจะไม่มีพื้นที่ปลูกมากกว่า” ผมหยอกยายเล่น

       “นี่ยายต้องไปเช่าพื้นที่เพื่อปลูกไหมเนี่ย” ยายก็ดันเล่นกลับมาซะงั้น ฮาๆๆ ถ้าเจอคนแบบยายเยอะๆ ก็ดีสิ

       “ผมไปก่อนนะครับยาย ยังเหลืออีกหลายบ้านเลย ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” เมื่อพี่ๆ ขนของไปเก็บในบ้านให้ยายเสร็จก็ถึงเวลาบอกลายายสักที

       “ขอให้พระคุ้มครองทุกคนนะ ขอบใจอีกครั้ง” ยายน่ารักจริงๆ

       เราเดินทางไปแจกจนครบทุกบ้าน มีอาหารเหลืออยู่บ้าง เราจึงเอากลับไปให้ตำบลนั้นๆ ไว้เพื่อทำโรงทานแจกจ่ายต่อไป

       จากประสบการณ์วันนี้ทำให้ผมได้เห็นอะไรมากมาย หลายคนต้องการ อยากได้อยากครอบครอง ไม่รู้จักสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง หลายคนพอใจในสิ่งที่ได้มาไม่ว่ามันจะมากหรือน้อย ซ้ำยังมีความคิดที่จะนำสิ่งที่เรามอบให้ มาทำให้มันงอกเงยขึ้นอีก

        เราไปแจกของเราก็บอกทุกบ้านนะว่าเมล็ดฟักทองสามารถเอาปลูกต่อได้ มันเทศก็เช่นกัน ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงไม่รู้หรอก แต่หลังจากไปอยู่ที่กาญจนบุรีมาสองเดือน ทำให้ความรู้ในการทำสวนเพิ่มขึ้นเยอะเลย หวังว่าทุกคนจะทำตามคำแนะนำของผมนะ

       “เหนื่อยไหมครับ” เสียงคนที่กำลังขับรถดึงผมออกจากภวังค์ เรากำลังขับรถกระบะกลับบ้านหลังจากแจกของเสร็จ

       “นิดหน่อยครับ ผู้กอ…เอ่อ พี่ คิดว่าชาวบ้านจะทำตามที่ผมแนะนำไหมครับ”

       “พี่ว่าทำ แต่ไม่ใช่ทุกคน บางคนก็ไม่สนใจมันมากพอ หรือไม่อยากรอผลลัพธ์ อยากได้อะไรที่มันเห็นทันตามากกว่า การปลูกพืชผักมันต้องใช้เวลา แต่ถ้าไปหาปลามันได้วันต่อวัน ถึงจะมากหรือน้อยก็ตาม หรือไม่ก็ขโมยของคนอื่น คนบางประเภทไม่ชอบรอคอยหรอกนะ” ผจญกับวิกฤตซอมบี้ว่าใหญ่หลวงแล้ว ต้องมาผจญกับมนุษย์ด้วยกันอีกเหรอ เห้อ!

       “เลิกคิดเรื่องนี้เถอะ ดูสิคิ้วจะผูกกันอยู่แล้ว เราทำเท่าที่จะทำได้แล้ว ผลมันจะเป็นยังไงก็ต้องปล่อยให้มันเป็น เราไปบังคับให้ใครคิดแบบเราไม่ได้หรอก” ก็จริง เรายื่นไปให้แล้ว เขาจะโยนทิ้งหรือรับไปมันก็สิทธิ์ของเขา เราถือว่าเรายื่นไปให้แล้ว จะให้จับมือเขาทำมันก็มากเกินไป…

       “หิวจัง” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า ซักจะเครียดเกินไปแล้ว ไออุ่นรับความเครียดไม่ได้ มันไม่ใช่

         “หมู่เทนคงทำอาหารไว้รอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไอ้โฟรคกับหมู่นายจะกลับมายัง” ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นแบบเราหรือเปล่า ไม่!! เลิกคิดเรื่องนี้!!!

       “แล้วจ่านนท์เป็นยังไงบ้างครับ มาที่นี่แล้วไม่เห็นแกเลย” หลังจากมาที่ภูเก็ตครั้งสุดท้ายที่เห็นจ่านนท์คือบนเรือ ตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้เจอกันเลย

       “จ่ากลับไปอยู่กับเมีย ให้เวลาจ่าหน่อย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” จ่าไปทำอะไรน้า ครึครึ อิจฉาคนมีแฟน เอ่อ…แต่ผมก็มีแฟนหนิ หันมองหน้าผู้กอง แล้วคิดสิ่งที่แฟนเขาทำ ไม่!! แค่คิดก็เขินแล้ว ว่าแล้วผมไม่เคยคิดเรื่องอย่างว่ากับผู้กองเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึก แต่ทุกอย่างมันใหม่สำหรับผมมาก แฟนคนแรก แถมเป็นผู้ชาย มันก็จะมึนๆ หน่อย ไม่มีอินเทอร์เน็ตให้หาข้อมูลซะด้วยสิ  ผมจึงปล่อยเบลอมันซะเลย คุณคิดว่าผู้กองจะคิดเรื่องนี้ไหม?

       “คิดอะไรอยู่ ทำไมหน้าแดง”

       “เปล่าๆ ไม่ได้คิ๊ด” ทำไมเสียงผมสูงจังวะ

       “หึหึ ไม่คิดก็ไม่คิด นึกว่าคิดอะไรแปลกๆ กับพี่ซะอีก” รู้ได้ไงวะ แม่งๆ หน้าผมมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าผมไม่ได้แสดงออกมาเลยนะ หรือความหื่นมันจะอยู่ในตัวผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่รู้ตัว ไม่จริง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น

       “ฮาๆๆๆ คิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย ดูทำหน้าเข้า พี่พูดเล่นน่า” พูดเล่น? โถ่ไอ้เราก็ตกใจหมด นึกว่าตัวเองเผยธาตุแท้ออกมา

       “ขำไปเถอะ ซิ แล้ววันนี้เห็นนะ แม่สาวชาวบ้านนมตู้ม เอาอกถูแขนขนาดนั้น ชอบละสิถึงยืนให้ถูอยู่ได้ ก็น่าจะชอบหละนะแทบล้นออกมาจากเสื้อขนาดนั้น” คิดแล้วก็หมั่นไส้

       “หึงเหรอ”

       “หมั่นไส้ต่างหาก! หึงอะไรเล่า” ผมไม่ได้หึงสักหน่อย แค่หมั่นไส้ยืนให้เขาถูอยู่ได้ ซิ

       “ครับ ไม่หึงก็ไม่หึง แต่ที่พี่ไม่ว่าอะไร เพราะไม่รู้สึกต่างหาก มันไม่มีผลกับพี่เลย แต่ถ้าเป็นอุ่นเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมาหาพี่ก็ว่าไปอย่าง หึหึ” อะไรคือการนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแล้วเดินเข้าไปหา?

       “ไอ้พี่ธามหื่น!!” จริงๆ เป็นคนแบบนี้สินะ ไอ้ท่าทีเรียบเฉยแสนเย็นชามันก็แค่การเเสดง

       “พี่ก็เป็นแค่กับอุ่นนั้นแหละ” นี่ผมควรจะภูมิใจไหม ตอบผมที

       “น่าภูมิใจมาก!!” ผมประชด

       “ฮาๆๆๆ” นั้นขำไปอีก มันน่าขำตรงไหนหะ

       “รีบขับไปเลย หิวข้าว!” แม่ง ไอ้พี่ธาม เดี๋ยวผมหื่นกลับซะหรอก


       เราเดินทางมาสักพักก็ถึงบ้าน คนแถวนี้ดูหน้าตาแจ่มใสขึ้น คงเพราะได้เสบียงมาตุนไว้ให้หายห่วงไปอีกสักพัก

       “มัมกับป๊ากลับมาแล้ว! น้องไนท์คิดถึง!!” เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าหาอย่างเร็ว จนผมต้องรีบนั่งลงแล้วกางแขนรับแรงปะทะ อือหือ ไม่เคยจะผ่อนแรงเลยไอ้ตัวแสบ!

       “มาให้ป๊าอุ้มดีกว่า มัมเหนื่อยมากแล้ววันนี้” พูดยังกับตัวเองไม่เหนื่อย ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะ แต่ก็ยอมส่งมิดไนท์ให้อยู่ดี เก่งแต่พูดในใจแหละผม ถ้าพูดทุกสิ่งที่คิดคงตายตั้งแต่ยังไม่โตเลยมั่งผม

       “ไงเพื่อนอุ่นมาแล้วเหรอ” แมนนี่เดินควงดับเบิลสามีทั้งสองออกมาทักทายผม พออยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นพูดเพราะ พอลับหลังเรียกผมอย่างกับหน้ามือกับหลังทีน

       “ถ้าลืมตาเพื่อนก็จะเห็นว่าเรามาแล้ว” หึหึ ได้โอกาสแล้ว สักหน่อยก็เอา ถึงรู้ว่ามันจะเอาคืนภายหลังก็เถอะ

       “แหม๋เพื่อนอุ่น พอมีผัว เฮ้ย มีแฟนสักหน่อยปากจัดขึ้นนะ เพื่อน” คงไม่ภายหลังแล้วครับ มันเอาคืนผมตอนนี้เลยต่างหาก ผมไม่อยากเป็นเมีย จะเป็นผัวๆๆๆ

       “แหะๆ เข้าไปกินข้าวกันดีกว่าเนาะ” ถอยทัพครับ ดูแล้วคงสู้ไม่ไหว

       “หึหึ” เสียงนางมารร้ายหัวเราะตามหลังผมมา สะใจหละสิ ซิ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่16☆ P.2☆4/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 04-02-2019 00:03:07
(ต่อตอนที่ 16)



       หลังกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาผักผ่อนสักที ผมนอนวาดรูปกับมิดไนท์อยู่ข้างเตียง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมพามิดไนท์มานอนด้วย ผมไม่ได้ทำเพื่อป้องกันอะไรเลยนะ ผมแค่อยากนอนกอดน้องจริงจริ๊ง

       “วันนี้น้องไนท์นอนที่นี่เหรอ” ผู้กองถามขึ้นเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วเจอผมกับมิดไนท์นอนวาดรูปที่พื้น

       “ครับ ไม่ได้เหรอ”

       “ได้สิ อยากนอนกับตัวเล็กของป๊าพอดี” ปากบอกอย่างนั้น แต่ทำหน้าเสียดายเนี่ยนะ แล้วเสียดายอะไรไม่ทราบ
       ผู้กองเดินเอาผ้าขนหนูไปตากเสร็จก็มาหาเราที่กำลังนอนอยู่พื้น

       “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

       “น้องไนท์วาดรูปคราฟ น้องไนท์คิดถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลยวาดรูปหมาสองตัว น้องไนท์วาดสวยไหม” เจ้าตัวเล็กยกกระดาษขึ้นมาอวดด้วยความภาคภูมิใจ ถึงเราจะมองไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรก็ตาม

       “สวยครับ น้องไนท์วาดสวยมาก” แหล่สุดๆ แต่ถ้าเป็นผมก็คงตอบแบบนั้นเหมือนกัน งั้นผมก็แหล่ด้วยสิ เอ่อ เลิกคิดดีกว่า

       “แล้วไออุ่นวาดอะไรครับ” ภูมิใจนำเสนอมากเลย

       “ช้าง เป็นไงสวยใช่ไหมละ” ฝีมือระดับผมแล้ว

       “พี่ว่า เอ่อ ช่างมันค่อนข้างขาดสารอาหารนิดนึงนะ แล้วก็ สงสัยมันตกเหวมาแน่เลยรูปร่างเลยเป็นแบบนี้ พี่ว่าเราควรพามันไปหาหมอนะ” ถ้าจะพูดขนาดนี้นะ ตะโกนใส่หน้าว่าห่วยเลยดีกว่า

       “โอ๋ๆ พี่พูดเล่นครับ ดูทำหน้าเข้าสิ” ยังมีหน้าเอามือมาดึงแก้มผมอีก นี่แก้มนะไม่ใช่หนังยางยืด ยืดอยู่ได้

       “เจ็บ… เล่นอะไรเนี่ย”

       “เจ็บมากไหมครับ จุ๊บ จุ๊บ” นี่มันต่อหน้ามิดไนท์นะ มาจุ๊บแก้มแบบนี้ได้ยังไง แถมไม่ใช่ข้างเดียวซะด้วย งือ หน้าผมร้อนไปหมดแล้ว เพราะผู้กองคนเดียว

       “ไม่รู้จักอายบ้างเลย” คนอะไรหน้าหนาจริงๆ

       “อะงั้น จุ๊บคืน จะได้หายกัน”

       “จะบ้าเหรอ ไม่ทำ” โอ้ยยจะบ้าตาย เพราะอย่างนี้ไงผมถึงต้องให้มิดไนท์มานอนด้วย มิดไนท์อยู่ด้วยยังขนาดนี้ แล้วถ้าไม่อยู่จะขนาดไหน

       “ป๊าจุ๊บแก้มมัม น้องไนท์จุ๊บด้วย จุ๊บจุ๊บ” แล้วเจ้าตัวเล็กก็ลุกขึ้นมาจุ๊บแก้มผมทันที ว่าแล้วไงว่าน้องไนท์ต้องเห็น

       “แล้วป๊าละครับ”

       “ได้เลยคราฟ จุ๊บ จุ๊บ” แล้วก็วิ่งไปจุ๊บแก้มผู้กองอย่างไว ใจง่ายจริงๆ ลูกใครเนี่ย

       “ลูกป๊าน่ารักที่สุด ฟอด!! แก้มก็หอมด้วย” เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ จากการหอมแก้มกรายเป็นเล่นมวยปล้ำกัน ระบายสงระบายสีไม่ได้อยู่ในความสนใจอีกต่อไป เฮ้อ…แล้วผมก็ต้องเก็บสินะ เมื่อทั้งสองขึ้นไปเล่นบนเตียงแล้ว

       “พอแล้วคราฟ น้องไนท์ปวดฉี่”

       “ให้ป๊าเข้าไปด้วยไหม”

       “น้องไนท์เข้าเองได้คราฟ น้องไนท์เก่ง” เก่งจริงๆ ตัวแค่นี้

       “ครับ งั้นคนเก่งพยายามอย่าให้ฉี่โดนกางเกงนะครับ”

       “คราฟ” รับปากแล้วก็วิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที

       “อุ่น” ไหงเรียกเสียงแบบนั้นเล่า จะอ้อนทำไม

       “มีอะไร คะ ครับ” โว้ย เจอผู้กองอ้อนที่ไรเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า

       “ไม่อยากนอนสองคนกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ทำไมถามแบบนี้เล่า แล้วผมจะตอบยังไงละทีนี้

       “เปล่าครับ แต่ แต่ ผมยังไม่พร้อม” ที่จริงผมก็รู้แหละ ว่าน้ำหน้าอย่างผมจะให้รุกผู้กองมันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งหน้าตา พละกำลัง ความสูง และอะไรหลายๆ อย่าง ผมรู้ แต่ผมก็ไม่อยากจะยอมรับมัน เมียเลยนะ เกิดมายังไม่เคยจิ่มใครเลย จะโดนจิ่มซะแล้ว เป็นใครก็ต้องใช้เวลาทำใจทั้งนั้นแหละ ผมถึงต้องพามิดไนท์มานอนด้วยไง นี่ผมต้องยอมรับจริงๆ เหรอ ว่าผมต้องเป็นเมีย ม่ายยย!!!

       “พี่เข้าใจ พี่รอได้ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอก ถึงจะตอดเล็กตอดน้อย แต่ถ้าอุ่นยังไม่พร้อม พี่ก็จะไม่ทำถึงขั้นนั้นหรอก อย่าคิดมาก และไม่ต้องกังวล แล้วเอามิดไนท์มาเพื่อกันพี่หรอก ไม่ใช่ว่าพี่ไม่อยากให้มิดไนท์นอนด้วย พี่แค่ไม่อยากให้อุ่นต้องคิดมากแค่นั้นเอง” งือ เข้าใจแล้ว แต่จะให้ผมยอมรับกับคนอื่นว่าเป็นเมียคงยาก มันยังทำใจพูดออกไปไม่ได้อะ

       “น้องไนท์มาแล้ว! ฉี่ไม่เปื้อนด้วย!”

       “เก่งมากครับ มานี่มา มานอนได้แล้วคนเก่งของป๊า” แล้วผมก็ให้มิดไนท์นอนติดกับผนัง ตามด้วยผมที่นอนตรงกลาง และปิดด้วยผู้กอง ผมเล่านิทานให้มิดไนท์ฟังได้ครึ่งเรื่องเจ้าตัวเล็กก็หลับปุ๋ยไป เหลือแค่ผมกับผู้กองนี่แหละ

       “กล่อมพี่บ้างสิ” เด็กโข่งที่พึ่งหัดอ้อนก็งอแงขึ้นมา อยากให้ทุกคนมาเห็นผู้กองจอมเย็นชาในภาพนี้จริงๆ

       “โตขนาดนี้แล้วยังต้องกล่อมอีกเหรอ”

       “โตก็กล่อมได้ แค่วิธีมันแตกต่างกันหน่อยแค่นั้น” แตกต่างยังไง ความสงสัยทำให้ผมถามไป

       “ยังไง”

       “ก็” เอามือชี้ที่ปากตัวเอง พร้อมพูดต่อ “กล่อมตรงนี้” คนหื่นก็คือคนหื่น

       “อ๋อ ดีดปาก ได้สิ หึหึ” อยากเล่นใช่ไหม ได้เลย ครึครึ

       “ดีดก็ได้นะ แต่ต้องดีดด้วยปากอุ่นนะ หึหึ” แล้วผมก็โดนเล่นกลับ แถมโดนตรึงแขนไว้เหนือหัวด้วย ผมว่าท่าทางมันล่อแหลมยังไงไม่รู้

       “จะทำอะไร” ผมถามเสียงหลง แต่สิ่งที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงแต่เป็นการกระทำต่างหาก ระยะห่างของใบหน้าเราน้อยลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ทำไมต้องช้าขนาดนี้ด้วย จะแกล้งผมใช่ไหม ถึงรู้ว่าโดนแกล้งแต่ใจเจ้ากรรมมันก็เต้นผิดจังหวะไปแล้ว เมื่อจมูกเราแตะกันผมก็หลับตาลงในทันที หน้าผมมันต้องแดงมากแน่ๆ

       ผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพื่อมอง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือรอยยิ้มที่แสนเจิดจ้า นี่อยากให้หัวใจผมมันระเบิดไปให้ได้เลยใช่ไหม ทำไมต้องยิ้มแบบนี้ด้วย งือ… ทางเดียวที่จะไม่เห็นรอยยิ้มนี้ให้หัวใจมันเต้นผิดปกติคือ

       จุ๊บ จูบปิดปากซะเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นคนเริ่มก่อน จากแค่สัมผัสเบาๆ ที่ริมฝีปาก ตอนนี้เริ่มจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้กองตอบสนองผมแทบจะทันทีที่ปากแตะกัน จากที่คอยไล่เล็มริมฝีปากกันอยู่นานลิ้นร้อนก็เริ่มทำงาน ผู้กองส่งลิ้นเข้าทักทาย พร้อมไล่ต้อนจนทั่วโพลงปาก ฝ่ามือหนาจากที่ตึงแขนผมไว้ เปลี่ยนเป็นไล่ฝ่ามือสัมผัสร่างกายของผมไปทั่ว ผมไม่ว่าอะไร ปล่อยให้ผู้กองได้ทำอย่างต้องการ จากแค่สัมผัสภายนอกก็เริ่มจะส่งมือเข้าไปสัมผัสภายในแทน สัมผัสวาบหวามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ผมเผลอครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจ ผู้กองจึงถอนปากออกมาให้ผมได้สูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด จึงเริ่มใหม่ ผมได้พักไม่ถึงสิบวินาทีเลย นานเท่าไหร่ไม่รู้เพราะสมองผมมันขาวโพลนไปหมด ผมได้สติอีกทีก็ตอนที่มือผู้กองล้วงเข้าไปในกางเกงผมแล้ว ผมรีบจับมือเขาไว้ทันที นี่เสื้อผมก็หายไปแล้วเหรอ บ้าจริง ผมไม่รู้ตัวเลย มือเร็วจริงๆ

       “พะพอ พอก่อน คะครับ ผมยัง ไม่พร้อม” ผมตอบกับไปอย่างตะกุกตะกัก พร้อมหอบหายใจแรง

       “แค่ช่วยกันได้ไหม นะ นะครับ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไม่พูดเปล่ายังดึงมือผมไปจับที่เป้ากางเกงตัวเองอีก เอ่อ ก็คงไม่ไหวจริงๆ แหละ ผมนี่ไม่ไหว ทำไมมันใหญ่และแข็งขนาดนี้เนี่ย หน้าผมมันจะไหม้อยู่แล้ว ให้ผมจับอะไรเนี่ย ผมรีบดึงมือกลับมาทันทีเลย แต่มันก็จับไปแล้วไง

       “ตะแต่ น้องไนท์อยู่ นะครับ” น้องไนท์นอนอยู่ตรงนี้นะ จะบ้าเหรอ

       “งั้นไปห้องทำงาน” ผมยังไม่ได้ตอบตกลง ก็โดนอุ้มเข้าห้องทำงานที่อยู่ในห้องนอนนั้นแล้ว ผู้กองวางผมลงโซฟาตัวยาวตัวเดียวที่อยู่ในห้อง พร้อมค่อมทับผมทันที

       “อะ เอ่อ เดี๋ยวก่อน คะคือ ผม ผมอาย” แม่ง! ถึงจะแค่ใช้มือให้กันก็เถอะ มันก็น่าอายอยู่ดีไหม

       “นะ นะครับ พี่รับรองว่าไม่ทำอะไรเรามากกว่านี้แน่ พี่สัญญา ถ้าเราไม่สมยอมนะ” เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ผมกำลังคิดหนัก แต่เราก็เป็นแฟนกันแล้วหนิ ทำให้แฟนแค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง แต่ผมก็ยังอายอยู่ดี ครั้งแรกนะเว้ยที่ทำอะไรแบบนี้ ฮือ…

       “ถ้าเราไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่อยากทำให้เราอึดอัด” ปากบอกไม่เป็นไร ทำไมต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นด้วยเล่า

       เจ้าตัวยืดตัวขึ้น กำลังจะลุกออกไป ผมจึงรีบจับแขนไว้

       “กะ ก็ได้ ครับ แต่ต้องไม่มากกว่านั้นนะ” ก็เขาเป็นแฟนผมหนิ

       “ขอบคุณครับ” พูดจบผู้กองก็ก้มลงมาจูบผมทันที แต่ทีนี้อ่อนโยนกว่าครั้งที่แล้ว ค่อยๆเป็นค่อยๆไป มือหนาสกิดที่หน้าอกผม พร้อมปากที่ละจากปากผมมาที่หน้าอกอีกข้าง

       “อะ อ๊า อืม” นั้นเสียงผมเหรอ ทำไมมันแรดขนาดนี้

      ความรู้สึกเสียววาบขึ้นมาทันทีที่ปากของผู้กองขบเม้นที่หน้าอก จนผมครางไม่หยุด ผมพยายามกลั้นเสียงไว้ เพราะไม่อยากให้มันหลุดลอดออกไปนอกห้อง

       ผู้กองค่อยๆ ปลดกางเกงผมลงพร้อมกางเกงชั้นใน ผมรีบใช้มือปิดทันทีเพราะความอาย ผู้กองมองผมด้วยรอยยิ้ม พร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเองออกจากร่างกาย แม่เจ้า!! ใหญ่กว่าที่คิดอีก ทันทีที่ปลดกางเกงออกธามน้อยที่ไม่น้อยมันก็ชี้หน้าผมทันที อะไรคือการยืนชักของตัวเองต่อหน้าผม หน้าไม่อายจริงๆ

       หลังจากทำให้ผมอายจนหันหน้าหนีได้แล้ว ผู้กองก็ขึ้นมาค่อมผมไว้ทันที พร้อมนำมือผมที่กำลังปิดของสงวนตัวเองออก มาจับธามน้อยที่ไม่น้อยของเขาแทน ผมได้แต่เอามือแปะไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้ทำอะไร พร้อมหลับตาหนีความอายนี้ด้วย

       “ทำให้พี่หน่อยนะครับ นะคนดี นะครับ” อ้อนอีกแล้ว ก็รู้ว่าอ้อนแล้วจะทำตามก็อ้อนจัง แล้วผมก็ใจอ่อนนะสิ

       ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง พร้อมขยับมือที่สั่นเท่าอย่างเงอะงะ ผู้กองก็ทำให้ผมเช่นกัน พร้อมก้มลงมาจูบ ผมทำอย่างที่ผู้กองทำให้ ปากผู้กองมันค่อยๆ เลื่อนจากปากผมลงมาที่คอ คอยขบเม้นเบาๆ ลากลงมาถึงหนาอก มันยิ่งทำให้ผมเสียวขึ้นมากกว่าเดิมอีก

       “อืม อ๊ะ อ๊าาา” ความเสียวทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้จนเผลอครางออกมาอีกครั้ง ธามน้อยที่ไม่น้อยก็เริ่มมีน้ำปริ่มออกมาแล้ว เสียงครางเบาๆ ของผู้กองยิ่งทำให้ผมเร่งความเร็วขึ้น

       “อะ อะ พะพี่ธาม จะไป อืม แล้ว อือ…” ผมไม่ไหวแล้ว โดนทั้งข้างล่างข้างบนใครมันจะทนไหวเล่า ยิ่งผมใกล้เสร็จผู้กองก็ยิ่งเร่งมือขึ้นอีก ผมก็เร่งทำให้ผู้กองเช่นกัน

       “ครับที่รัก อ่า พี่ก็จะไปแล้วเหมือนกัน ครับ อืม” เสียงครางผู้กองมันยิ่งทำให้ผมเสร็จเร็วขึ้นไปอีก

       “อ๊าาาา!!” หยาดน้ำผมเลอะเต็มมือผู้กองพร้อมหยดลงสู่โซฟาด้วย ผมหอบหายใจอย่างหนัก แทบไม่มีแรงทำอะไร

       “ที่รักครับ อย่าลืมทำให้พี่สิ” เสียงผู้กองกระซิบที่หูผมเบาๆ เมื่อเสร็จแล้วความอายก็เข้ามาโจมตีทันที แต่ก็ต้องขยับมือทำให้เสร็จ ผมขยับมือจากช้าๆ เป็นเร็วขึ้นๆ เสียงครางเบาๆ ที่อยู่ข้างหูผม มันทำให้ผมหน้าร้อนมากขึ้นกว่าเดิมอีก

       “อะ จะเสร็จ ไออุ่น อือ อุ่น อืม…” ยิ่งได้ยินเสียงครางเรียกชื่อตัวเอง ความเขินมันยิ่งพุ่งมากขึ้น จนในที่สุดหยาดน้ำขาวอุ่นก็ถูกฉีดเต็มมือผม จนร้นออกมาเปอะหน้าท้องผมเต็มไปหมด

       “ขอบคุณครับ พี่รักอุ่นนะ” แล้วมาบอกอะไรตอนนี้เล่า งือ…คนยิ่งเขินๆ อยู่

       “รัก พะพี่ธามเหมือนกันครับ” งือ ระเบิดตัวเองตายไปเลยตู ถ้าจะเขินขนาดนี้

       “ไปอาบน้ำเถอะจะได้นอน มันดึกแล้ว” มันดึกเพราะใครละ ซิ

       “ไปอาบก่อนสิครับ” ขอนั่งทำใจ ทำหน้าให้หนาขึ้นกว่านี้ก่อน

       “อาบพร้อมกันสิ จะได้เร็วขึ้น” คิดอะไรหื่นๆ อีกละสิ

       “ม่ายยย! ไม่อาบก่อน งั้นผมอาบก่อนก็ได้! ซิ” ผมเก็บกางเกงตัวเองแล้ววิ่งออกจากห้องทำงานตรงเข้าห้องน้ำทันที พร้อมล็อคประตูกันมนุษย์หื่นเข้ามา

       ผมมองตัวเองผ่านกระจก ใบแดงมากเลย ปากก็เจ่อ แถมยังมีรอยขบเม้นตามไหปลาร้าด้วย ดีนะที่คอไม่มี ถ้ามีผมไม่รู้จะตอบคำถามคนอื่นยังไงเลย

       ผมออกจากห้องน้ำเจอมนุษย์หื่นนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่งรอที่เตียง ทันทีที่สบตากันใบหน้าผมมันก็ร้อนผ่าวทันที งือ เขินเว้ย!! เลิกจ้องสักทีเถอะ ขอร้อง พรีสส

       “ไป อะอาบน้ำได้แล้วจะได้นอน”

       “ครับ ฟอด! หอมจัง หึหึ” ทำให้ผมเขินอย่างพอใจแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่กลางห้องคนเดียว งือ

       ผมนอนกอดเจ้าตัวเล็กรอผู้กองอาบน้ำเสร็จ จะได้ปิดไฟนอนสักที ดึกมากแล้วด้วย

       “ฝันดีครับ ฟอดดด” อีกแล้ว โอ้ยย จะนอนไม่หลับก็เพราะอย่างนี้ไง

       “ฝันดีครับ” นอนๆ พอ วันนี้พอแค่นี้ ก่อนที่หัวใจผมมันจะระเบิดจริงๆ

       ผู้กองกอดเอวผมพร้อมฝังจมูกลงบนหัวแล้วหลับไปทั้งอย่างงั้น อ้อมกอดผู้ชายคนนี้ก็อุ่นดีนะครับ ฝันดี


       
       กริ๊งๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ผมเร่งลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อไปปิดเสียงน่ารำคาญนี้ให้มันเงียบลงซะ

       ห้องนี้ดูมันจะโล่งไปนะเหมือนขาดอะไรซักอย่าง ผมมองไปรอบห้องเพื่อสำรวจสิ่งที่ขาดหายไป อ๋อ รู้แล้วอะไรขาดไป ผู้กองนั้นเอง หายไปไหนแต่เช้านะ แต่เมื่อพูดถึงผู้กองมันก็ทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งคิดถึงหน้าผมยิ่งร้อนผ่าว ผมทำอะไรลงไป ดีแล้วที่ตื่นมาแล้วผู้กองไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะถ้าอยู่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง งือ ไม่เอาไม่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งบอกไม่ให้คิดยิ่งคิด มาเป็นฉากๆ เลย เอาหัวชนผนังเลยดีไหม

      “มัมคราฟ ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น” มิดไนท์เรียกผมจากเตียงด้วยน้ำเสียงยานคางของคนพึ่งตื่น

       “มัมมาปิดนาฬิกาปลุกนะครับ ตื่นแล้วก็มาอาบน้ำครับ จะได้ลงไปหาอะไรกิน”

       “งือ…” แล้วเจ้าตัวก็ล้มลงนอนอีกครั้งพร้อมเอาหน้าบี้กับผ้าห่ม จนผมกลัวจะหายใจไม่ออกจริงๆ

       “งั้นมัมไปอาบก่อน แล้วน้องไนท์ค่อยไปอาบตอนมัมออกมานะครับ” ยืดเวลาให้เขาได้งัวเงียสักหน่อย

       “คราฟ”

       หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ เราก็ได้ฤกษ์ลงไปข้างล่างกันสักที แต่ทำไมบรรยากาศข้างล่างมันเงียบแบบนี้ ไม่ใช่เงียบเพราะไม่มีใครอยู่ แต่เงียบเพราะทุกคนนั่งหน้าเครียดไม่คุยกันเลย เกิดอะไรขึ้น

       ผมเดินเข้าไปหา หมู่เทน หมู่นาย แมนนี่ ริว หมวดโฟรค น้องมิว และลมหนาว กำลังนั่งอยู่โต๊ะกินข้าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เมื่อทุกคนมองเห็นผม ก็หลบสายตาทันที อะไรกัน

       “มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ น่าเครียดกันเชียว” ผมยังไม่อยากตื่นตระหนกไปกับบรรยากาศเกินไป เพราะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

       “คือ บอกดีไหมวะ” หมู่เทนกำลังจะตอบ แต่ดันเปลี่ยนใจ แล้วหันไปถามความเห็นหมู่นายเเทน เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ

       “บอกไปเถอะ ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี” ปรึกษากันเสร็จแล้วก็บอกผมสักทีเถอะ ตอนนี้เริ่มจะใจไม่ดีแล้ว

       “คือ เมื่อเช้า มีทหารมาบอกให้ผู้กองเข้าไปหาผู้นำครับน้องอุ่น” แค่เข้าไปหาผู้นำ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

       “แล้วยังไงเหรอครับ ก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลยหนิ”

       “มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ ทหารนายนั้นบอกว่า ที่เรียกเข้าไปหาเพราะ ผู้กองขัดคำสั่ง เรื่องแจกจ่ายเสบียงให้ค่ายต่างๆ เกินจำนวนที่ผู้นำสั่ง และรู้ถึงจำนวนที่เราแบ่งไปด้วย” สิ่งที่ได้ยินทำให้ปลายนิ้วผมเย็นเฉียบ ทำไมหละ ทำไมถึงรู้ ทำไมกัน

       “ใครบอกเรื่องนี้กับผู้นำ” ถ้าไม่มีใครบอกไอ้แก่ลงพุงไม่มีทางรู้หรอก ใครกันนะที่พูด

       “ฉันว่ายัยโรสแน่ๆ ยัยนี้ยิ่งเกลียดพวกเราอยู่” แมนนี่เสนอความเห็น อาจจะใช่ หรือไม่ใช่ก็ได้

       “แต่เธอไม่รู้เรื่องการแจกจ่ายเสบียงของเราเลยนะครับ เธอรู้แค่เรื่องค่ายที่จังหวัดชุมพรเท่านั้น เพราะเธออยู่ด้วย อาจจะไม่ใช่เธอก็ได้” หมู่นายเสนอความเห็นบ้าง ที่หมู่นายพูดก็มีส่วนถูก

       “เข้าข้างยัยนั้นเหรอ” ครอบครัวแตกแยกซะแล้ว

       “เปล่าจ้ะพี่แค่พูดด้วยเหตุผล ไม่ได้เข้าข้างใครเลยนะครับ” ผมเลิกสนใจสามคนผัวเมียนั้น แล้วหันมาคุยกับหมวดโฟรคแทน

       “ผู้กองจะเป็นอะไรไหมครับ” ผมเป็นห่วงผู้กองมาก ยิ่งได้สัมพันธ์ถึงนิสัยใจคอของพวกผู้นำแล้ว ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

       “ไอ้ธามมันเก่ง มันต้องไม่เป็นไร” ผมจะพยายามเชื่ออย่างนั้น ผู้กองต้องไม่เป็นอะไร

       ‘ในยามที่คนเลวเป็นใหญ่ คนดีแทบไม่มีที่ยืน ทำดีแค่ไหนสิ่งที่กลับมามีแต่ความว่างเปล่า แต่มันก็เป็นความว่างเปล่าที่สวยงาม’ กูกล่าว


…………………………
………………….
…………..


       ตอนแรกเลยที่เขียนฉากแบบนี้ ไม่รู้ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีขออภัยด้วยนะคะ

Twitter  :  Tt.looktal1993 
#ธามไออุ่น  #หนีเชื้อร้ายพ่ายเชื้อรัก


หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่16☆ P.2☆4/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 04-02-2019 14:58:50
นั้นซิ ถ้าไม่ใช่โรส ก็ต้องมีเกลือเป็นไรนอน ใครว่ะ? พยายามนึกตัวละคร ....

ว่าแต่อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงตอนทำทานที่โรงเจเลย แจกอาหารฟรี บางคนจะชอบพูดว่า ที่บ้านมีกันหลายคน จะเอาเยอะๆ
ต้องปฏิเสธแบบสุภาพ ด่าไม่ได้เพราะอยู่ในโรงทาน 5555
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่16☆ P.2☆4/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 08-02-2019 19:01:51
- 17 -


[ไออุ่น]

       การรอคอยมันแสนทรมาน ทุกวินาทีใจร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา ความกังวลเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ความมั่นใจถดถอยทุกนาที

       ความเลวร้ายที่เราต้องเผชิญมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน ใครเป็นคนผิด นักวิจัยที่ทำให้เกิดซอมบี้เหรอ การที่รัฐบาลควบคุมการแพร่เชื้อไม่ได้เหรอ เพราะตอนนี้ผู้นำของเราแย่เหรอ หรือผิดที่เราไม่มีอำนาจมากพอกันแน่?

       ตอนนี้เวลา 18.36 น. ผมนั่งที่หน้าบ้านเพื่อรอผู้กองกับมา วันทั้งวันใจผมสงบไม่ได้เลย ความกังวลใจ ความเป็นห่วงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เมื่อไหร่ผู้กองจะกลับมา

       “อีอุ่น เริ่มมืดแล้วเข้าไปรอข้างในเถอะ ข้างนอกยุงมันเยอะ กูสงสารยุงที่ต้องกินเลือดมึง เข้ามาได้แล้ว!” ผมจำใจต้องเดินเข้าไปในบ้านทั้งที่ต้องการจะรออยู่หน้าบ้านแท้ๆ

       ผมเดินเข้ามาทุกคนนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้ากังวล ซึ่งแตกต่างจากตอนเช้ามาก เพราะตลอดทั้งวันเราแทบไม่ได้ยินข่าวผู้กองเลย

       “เราไปหาผู้กองที่บ้านผู้นำได้ไหม” ผมรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มันนานเกินไป

       “เราเข้าไปไม่ได้ครับ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า” หมู่เทนตอบผม แค่ไปหาต้องได้รับอนุญาตด้วยเหรอ

       “ก็ขับรถเข้าไปเลยไง จะยากอะไร” แมนนี่พูดขึ้นมา ผมรู้ว่าแมนนี่อยากช่วยผม

       “มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ ถ้าเราบุกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เราโดนยิงก่อนไปถึงตัวบ้านแน่ๆ ที่นั้นมีทหารเฝ่าอยู่เยอะมาก มีกำแพงสูงล้อมรอบ ข้างในมีโกดังขนาดใหญ่เพื่อเก็บอาวุธ คนนอกแทบจะเข้าไปไม่ได้เลย” ยิ่งได้ยินใจผมมันยิ่งร้อนรน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะมีใครช่วยผู้กองได้บ้าง ไม่มีเลย แล้วผมจะทำยังไง

       “เราฆ่าผู้นำก็จบเรื่อง” ไอ้น้องริวพูดขึ้นมาอย่างคาดหวัง มันก็จริง ถ้าผู้นำตายก็จบเรื่อง

       “ในเมื่อเราเข้าใกล้ตัวไม่ได้ จะฆ่าได้ยังไงละครับ และอีกอย่าง ถ้าผู้นำตายไป รองผู้นำขวา ซ้าย ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำแทนอยู่ดี มีทางเดียวคือกำจัดไปให้หมดในครั้งเดี๋ยว เพราะถ้าพลาดโดนเอาคืนแน่ และถ้าโดนเอาคืนเราก็รอดยาก เรื่องนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย” ความหวังของเราเป็นเพียงแค่แสงริบหรี่จนแทบมองไม่เห็น ทำไมคนเลวต้องมีอำนาจ ทำไมคนเลวต้องมีพร้อมทุกอย่างยกเว้นจิตสำนึกถูกผิด ทำไมคนเลวต้องชนะ?? ทำไม

       “เราต้องอยู่ในสภาพนี้ต่อไปใช่ไหม หดหู่จัง” แมนนี่พูดขึ้น โคตรน่าหดหู่อย่างที่แมนนี่พูดนั้นแหละ

       เรานั่งอยู่เงียบๆ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม แต่ทุกคนยังรอกันอยู่ ไม่เว้นแม้แต่มิดไนท์ ทั้งที่ปกติจะหลับแล้วแท้ๆ แต่วันนี้ก็ยังเล่นอยู่ไม่ไปไหน เหมือนเขารู้ว่าต้องรอใคร

       เสียงรถดังขึ้นทางหน้าบ้าน ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงออกไปหน้าบ้านทันที รถที่ขับเข้ามาไม่ได้มีแค่คันเดียว แต่มีถึงสองคัน คันแรกเป็นรถกระบะของผู้กองแน่ๆ ส่วนคันที่สองเป็นรถกระบะเช่นกัน แต่มีทหารนั่งอยู่บนกระบะหลังสามนาย ดูแล้วเป็นพวกของผู้นำแน่ๆ มาทำไม

       ผมเลิกสนใจคนอื่น วิ่งตรงไปหาผู้กองทันที เมื่อผู้กองก้าวขาลงจากรถผมจับแขนเขาไว้ เพื่อให้รู้ว่าผมอยู่ข้างๆ เขาตอนนี้ ความเขินอายหายไปตั้งแต่ผมนั่งรอแล้ว

       “พี่ธามเป็นอะไรไหม มันทำอะไรพี่หรือเปล่า” ผมถามเขาเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน เจ้าตัวกุมมือผมที่กำลังจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมคิดมาก แต่ผมเป็นห่วงหนินา

       “พี่ไม่เป็นอะไรครับ ไม่ได้ต้องคิดมาก ดูสิคิ้วจะผูกกันอยู่แล้ว” ผู้กองพูดพร้อมใช้มือข้างนึงประคองแก้มผมไว้ อีกข้างนวดหว่างคิ้วผมเบาๆ และก้มลงจูบหน้าผากผมเร็วๆ แล้วผละออก

       “ไปเถอะครับ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟังทีหลังนะ” ผู้กองพูดกับผมพร้อมหันไปมอง พวกทหารที่ลงจากรถแล้วเดินตรงไปทางบ้าน ผมไม่รู้ว่าผู้กองทำหน้ายังไง เพราะเขาหันหลังให้ไฟ แต่ผมเดาว่าสีหน้าผู้กองต้องกังวลมากแน่ เพราะพวกทหารที่มาไม่น่าจะเป็นมิตรเท่าไหร่

       ผมเดินตามแรงจูงที่ผู้กองกำลังจูงมือผมไปทางเข้าบ้าน ทุกคนในบ้านยืนออกันอยู่หน้าประตูปิดทางเข้าออก

       “จะเข้าไปทำไม?” หมู่นายพูดขึ้นพร้อมยืนเผชิญหน้ากับทหารห้านาย พวกมันมองเราอย่างเหยียดหยันไม่เป็นมิตร ส่อเจตนาอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาดีแน่ๆ

       “ถามหัวหน้าพวกมึงดูสิ ทำผิดอะไรมา แล้วได้รับโทษยังไง ฮาๆๆๆ” เสียงหัวเราะเยาะ มันทำให้เท้าผมกระตุก อยากเสยปลายคางพวกมันจริงๆ ดูแล้วคนอื่นก็คงคิดเหมือนผม

       “หัวหน้ามึงตายหรือไงคะ หัวเราะอยู่ได้” แมนนี่พูดขึ้นอย่างเหลืออด

       “หัวหน้ากูไม่ตายหรอก แต่คนที่จะตายคือมึงต่างหากอีตุ๊ด” มันพูดพร้อมสาวเท้าเดินเข้ามาหาแมนนี่ หมู่เทน หมู่นายดึงแมนนี่ให้มายืนด้านหลังแล้วยืนบังไว้ แต่ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น ผู้กองจึงห้ามเอาไว้ก่อน

       “หยุด!! มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป แล้วรีบกลับไปซะ” ผู้กองพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์

       “เป็นแค่คนทรยศ กล้ามาสั่งพวกกูเหรอ!”

       “อยากดูไหมว่าผู้นำรู้ว่าพวกมึงไม่ทำตามคำสั่ง จะโดนอะไรบ้าง” ผู้กองพูดขึ้นนิ่งเหมือนเดิม

       “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง โดนเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ กูฆ่ามึงแน่ จำไว้!” พวกมันพูดจบแล้วเดินกระแทกไหล่พวกเราเข้าไปในบ้านทันที ผมรีบดึงมิดไนท์ให้พ้นทางพวกมันทันพอดี แม่งเด็กยืนอยู่ตรงนี้ ยังมีหน้าเดินกระแทกเข้าไปในบ้านอีก อยากเข้าก็บอกดีๆ สิวะ จะได้หลบให้ แม่ง!!

       ผู้กองอุ้มเจ้าตัวเล็กที่ผมกำลังกอดอยู่ขึ้นแนบอก ผมจึงได้มีโอกาสได้เห็นหน้าผู้กองชัดๆ หน้าหล่อคม ตอนนี้มีสีม่วงช้ำแต่งแต้มใบหน้า ใต้ตา มุมปากแก้มฝั่งขวา ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย

       “มันเข้าไปทำไมวะ ธาม” หมวดโฟรคพูดขึ้นพร้อมหันไปมองพวกทหารที่กำลังอยู่ในบ้าน

       “พวกมันได้รับคำสั่งให้มาขนเสบียงเรา” ผู้กองตอบสั้นๆ แต่สีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้” ถึงหน้าจะนิ่งแค่ไหน แต่แววตาก็เศร้าอย่างเห็นได้ชัด ผมเดินไปด้านหลังผู้กองแล้วใช้สองแขนโอบกอดเขาจากด้านหลัง พร้อมใช้ใบหน้าแนบไปกับแผ่นหลังแก่ง ผมไม่สนใจสายตาคนอื่นแล้วตอนนี้ที่ผมสนใจคือความรู้สึกของผู้กอง ผมไม่อยากให้เขาเศร้าแล้วโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะผมรู้ว่าบทลงโทษมันไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ

        “ไม่ต้องคิดมาก มึงทำดีที่สุดแล้ว แค่หาอาหาร ทะเลก็อยู่หน้าบ้านนี้เอง เรื่องเล็กน่า” หมวดโฟรคพูดขึ้น ผู้กองเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเลย แต่ใช้มือที่กำลังลูบหลังมิดไนท์ก่อนหน้านี้มาลูบแขนผมที่กำลังกอดเอวเขาเบาๆ

       “มันไม่ได้มีแค่นี้ เดี๋ยวค่อยคุย” ต้องรอให้พวกมันกลับก่อนสินะ

       “อือค่อยคุย แต่กูเกลียดขี้หน้าพวกห่านี่ชิบหาย อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วกัน กูไม่เอาไว้แน่” ผมบอกแล้วไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่เท้ากระตุก แต่หมวดโฟรคคงหนักกว่าผม ปืนกระตุกเลยทีเดียว

       พวกมันขนอาหารทุกอย่างขึ้นรถไป เน้นครับว่า ทุกอย่าง! มันแทบไม่เหลืออะไรไว้ให้พวกเราเลย ตลกไหมครับ ปลูกก็ปลูกเอง ดูแลเอง เก็บเอง แต่ไม่ได้กิน ชีวิตมันช่างอนาถจริงๆ

       หลังจากพวกมันกลับไปแล้ว เราจึงมานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่นโดยมีมิดไนท์หลับอยู่บนตักผู้กอง น้องคงง่วงมากเพราะหลับตั้งแต่ผู้กองอุ้มไว้แล้ว

       “ที่ว่าไม่ได้มีแค่นี้ มันมีอะไรอีก” หมวดโฟรคถามเข้าประเด็นทันทีเมื่อเรานั่งลง

       “ข้าวนาปรังรอบหน้าให้เอาเข้าโกดังหมด ไม่แจกจ่าย และเราไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ด้วย” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

       “ได้ยังไงครับ ชาวบ้านจะกินอะไร” ไอ้น้องริวพูดขึ้นด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้องคงสนิทกับคนในค่ายต่างๆ พอสมควร เพราะมันเป็นเด็กอัธยาศัยดี

       “แล้วพืชผักอย่างอื่นๆ หละ” เมื่อผู้กองเงียบ หมวดจึงถามสิ่งที่อยากรู้ต่อ

       “สองเดือนแรกส่งเข้าโกดัง หลังจากนั้นเอาไปให้ค่ายต่างๆ ได้ แต่…แค่ 10% เท่านั้น” บ้าไปแล้ว พวกมันบ้าไปแล้ว ผมรู้แล้วว่าทำไมผู้กองถึงรู้สึกผิดขนาดนี้ ผมช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย สิ่งที่ทำได้ มีแค่ดึงมือหนานั้นมากุมด้วยสองมือผมแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าผมอยู่ข้างๆ เขา ผู้กองบีบมือผมกลับมาเบาๆ เช่นกัน

       “พวกมันบ้าไปแล้วแน่ๆ” หมวดโฟรคพูดขึ้นอย่างหัวเสีย ผมก็คิดเหมือนเขาไอ้แก่ลงพุงคงบ้าไปแล้วแน่ๆ เก็บไว้เยอะขนาดนั้นขอให้พุงมันแตกตายไปเลย สลัดผักเอ้ย!!

       “แล้วพวกเราจะกลับไปกาญจนบุรีตอนไหนครับ” หมู่นายถามขึ้นมาบ้าง

       “อีกสองถึงสามอาทิตย์ ฉันต้องทำงานให้พวกมันก่อน ถ้าทำถูกใจพวกมันจะเพิ่มการส่งพืชผักให้ค่ายเป็น 20%”

       “ทำอะไรครับ” ผมทนความสงสัยไม่ไหวจึงถามออกไป

       “ทุกอย่างที่สั่ง ดูแลการขนส่งอาหารทะเล ดูแลทุกอย่างที่โดนสั่งเพื่อให้พวกมันพอใจ” ผมไม่อยากให้เขาทำเลย แต่ด้วยผลที่เราต้องการ ก็ต้องปล่อยให้เขาทำสินะ ประจบสอพลอสินะ คือสิ่งที่พวกมันต้องการจากเรา

       “กูไม่ชอบหรอกที่มึงต้องทำแบบนั้น  แต่เป็นทางเดียวแล้วสินะ ที่เราทำได้” หมวดโฟรคตบบ่าผู้กองเพื่อให้กำลังใจ

       “แล้วถ้าเราแอบเอาไปส่งเหมือนครั้งที่แล้วหละครับ” ไอ้น้องริวพูดขึ้นมาอย่างคาดหวัง

       “พวกมันจะส่งคนไปกับเราด้วย” เล่นกันขนาดนี้เลยเหรอ

       “ถึงกับต้องส่งคนไปคุมเลยเหรอ แม่ง!” หมวดโฟรคหัวเสียมากเมื่อได้ยิน

       “แล้วใครเป็นคนบอกเรื่องเสบียงเหรอครับ” ลมหนาวถามขึ้นมาจากที่นั่งฟังเงียบๆ

       “ไม่เห็นต้องถามเลยค่ะ น้องลมหนาว ยังไงก็ต้องเป็นยัยชะนีโรสแน่นอนอยู่แล้ว” แมนนี่ตอบขึ้นมาก่อน ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

      “ไม่รู้” ผู้กองพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด “เรื่องค่ายที่ชุมพรอาจเป็นโรส แต่เรื่องค่ายอื่นๆ ไม่รู้ว่าใคร เพราะเธอไม่น่าจะรู้เรื่องนี้” ถ้าไม่ใช่โรส ก็เป็นคนใน ไม่ใช่มั้ง คงไม่มีหนอนบ่อนไส้มั้ง

       “หนอนบ่อนไส้เหรอ เรามีแต่คนกันเองนะ ทุกคนเหมือนญาติพี่น้องกัน ไม่หรอก” หมวดโฟรคเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับเรา

       “ระวังตัวไว้ แต่อย่าระแวงกันเอง เรามีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาระแวงกันเองทุกอย่างยิ่งแย่” ก็จริงอย่างที่ผู้กองว่า เราจะมาคอยแต่ระแวงกันเองไม่ได้หรอก

       “แล้วมันทำอะไรมึงบ้าง หน้าเยินใช่เล่นนี้หว่า” สิ้นเสียงหมวดโฟรคทุกคนหันมาให้ความสนใจกับหน้าผู้กองทันที ผมว่าพวกเขาคงเห็นกันแล้วแต่ไม่กล้าถามมากกว่า

       “นิดหน่อย เรื่องนี้ไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดได้หรอก มันรู้ดีว่าอะไรทำให้ฉันเจ็บปวดได้ แล้วมันก็ทำแล้ว ฉันช่วยทุกคนไม่ได้ พวกเขาต้องอดอยาก” น้ำเสียงเศร้าที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครได้เห็น ยกเว้นผม สีหน้านั้นได้แสดงออกให้ทุกคนได้เห็น ผู้กองเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ผมไม่สามารถช่วยอะไรผู้กองได้เลย แค่กำลังใจจากผมมันไม่พอให้ผู้กองดีขึ้นได้เลย

       “คิดไปก็ปวดหัว แยกย้ายไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคิดกันใหม่” ผมเห็นด้วยกับหมวดโฟรคนะ นั่งเครียดไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ไปนอนหลับให้สมองปลอดโปร่งแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาคิดกันใหม่ดีกว่า


       เราได้แยกย้ายกันไปเมื่อ ไม่มีใครคิดหาทางออกได้แล้ว เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะออกไปหาปลากันแต่เช้า เพราะไม่มีอะไรให้กินแล้ว ผู้กองกับหมู่เทนจะออกไปทำงานตามคำสั่งของไอ้ผู้นำลงพุง ดีที่พวกเรามีทักษะการหาปลาจากกาญจนบุรีมาบ้างแล้ว ไม่งั้นแย่แน่ แต่ทักษะที่ว่าก็แค่ตกปลาแค่นั้นแหละ นอกจากนี้คงต้องถามชาวบ้านแถวนี้เอา ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาจะยอมช่วยเราไหม ผมหวังว่าพวกเขาจะยอมช่วยเรานะ

       ผมกลับเข้ามาในห้องกับผู้กองสองคน หลังจากไปส่งมิดไนท์เข้านอนที่ห้องลมหนาวมาแล้ว ผู้กองยังมีสีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ยืนเหม่อคิดอะไรอยู่ที่ระเบียงห้อง เขาแทบไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของผมเลย

       ผมเดินเข้าไปสวมกอดผู้กองจากด้านหลัง เขาสดุ้งนิดหน่อยแล้วดึงมือผมออก พร้อมหันหน้ามาหา

       “ขอโทษนะครับที่ทำให้เรากับน้องๆ ต้องลำบาก ถ้าอยู่ที่นู้นแต่แรกคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้” มือหนาลูบที่ใบหน้าผมเบาๆ แทนการปลอบโยน

       “ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ผมอยากมาเองนะ ทั้งที่ผู้กอ... พี่ธามเตือนแล้วแท้ๆ แล้วเรื่องอาหารก็ไม่ต้องคิดมากด้วย เรื่องแค่นี้เอง เราหาได้อยู่แล้ว เชื่อมือเราเถอะน่า ผมรู้ว่าพี่เครียดหลายเรื่อง ผมจะบอกให้พี่อย่าคิดมากก็คงเป็นไปไม่ได้ งั้นขอแค่พี่ไม่คิดเรื่องพวกเราก็พอ ตัดเรื่องพวกเราออกจากความคิดได้เลย พวกเราไม่เป็นไร” จะให้ผมพูดดีๆ มีสาระมันยาก แต่ผมก็พยายามสื่อทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไปให้ผู้กองได้รับรู้เท่าที่ผมจะสื่อออกไปได้

       “ขอบคุณครับ วันนี้น่ารักจัง” แล้ววันอื่นผมไม่น่ารักเหรอวะ สงสัยหน้าผมมันจะสื่อออกมาชัดเจนไปหน่อยผู้กองจึงพูดแบบนี้ขึ้นมา “ทุกวันก็น่ารัก แต่วันนี้น่ารักเป็นพิเศษไงครับ”

      แม่ง ถ้าไม่ใช่เวลาน่าสิ่วหน้าขวานจะเขินตัวบิดแล้วนะ วันนี้เลยเอาแค่หน้าแดงๆ พอ

       “ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่่ขอให้รู้ไว้ว่าผมอยู่ข้างๆ พี่เสมอ พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีผม มิดไนท์ ลมหนาว และคนอื่นๆ ที่เป็นครอบครัวของพี่ เราทุกคนเป็นห่วงพี่” ผมกลืนความเขินลงไปแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เขาได้รับรู้

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ” ริมฝีปากหนาประทับลงบนริมฝีปากผมเบาๆ อย่างไม่มีการล่วงล้ำใดๆ แต่ใจผมก็ไม่วายเต้นแรงอยู่ดี ผมค่อยๆ ลูบที่ใบหน้าหล่อคมที่ตอนนี้เขียวช้ำไปหมด

       “เจ็บมากไหมครับ” ผู้กองสายหัวแทนคำตอบ “แล้วมีที่อื่นอีกไหม” ผมว่าต้องมีที่ที่เรามองไม่เห็นอีกแน่ พวกเลวนั่นไม่ชกแค่หน้าหรอก

       ผู้กองไม่ตอบแต่เลิกเสื้อขึ้นให้ผมดู ทันที่ที่ผมเห็นน้ำตาผมมันแทบจะไหลออกมา

       “ไม่เอา ไม่ทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่ไม่เป็นอะไรสักหน่อย อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่เจ็บเลย โอ้ย!!” ไหนว่าไม่เจ็บเอามือจิ่มนิดเดียวก็ร้องยังกับควายออกลูกแล้ว โกหกกันชัดๆ เลย

       “โกหก!!! เขียวช้ำขนาดนี้ไม่เจ็บได้ยังไง ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ไอ้อ้วนลงพุงเอ้ย!!” ข้างนอกว่าเยินแล้ว แต่ข้างในหนักกว่าอีก เขียวช้ำจนแทบไม่มีที่ว่างเลย แล้วยังมีหน้ามาโกหกว่าไม่เจ็บอีก ช้ำขนาดนี้ไม่ช้ำในตายก็ดีแค่ไหนแล้ว!!

       “พี่ไม่ได้โกหกพี่ทนได้จริงๆ ครับ” ยังมีหน้ามาพูดอีก

        “เงียบไปเลย!! แล้วรีบไปอาบน้ำ! จะทายาให้” แล้วทำไมท้ายประโยคผมต้องเสียงอ่อนลงแบบนั้นด้วย

       “น่ารักจัง”

       “ซิ”

       “หึหึ เดี๋ยวพี่ออกมาให้ทายานะครับ มีคนทายาให้แบบนี้ต้องหายเร็วแน่เลย” ทำมาเป็นพูดดี ซิ!! มีคนเจ็บที่ไหนเขายิ้มล่าแบบนี้บ้าง

        แต่ก็ดีอย่างน้อยก็ทำให้ผู้กองเลิกคิดเรื่องนั้นได้ แค่ชั่วคราวก็ยังดี
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่17☆ P.3☆8/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 08-02-2019 19:04:08
(ต่อตอนที่ 17)



       กว่าจะได้นอนก็ปาไปเที่ยงคืน การทายาใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงจากที่เห็นแล้วยังมีเพิ่มช่วงขาอีก ถามผู้กองว่าพวกมันทำอะไรบ้างก็ไม่ยองตอบ พูดไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อยจนผมเลิกถามไป ผมมองเห็นแผลเมื่อไหร่ก็อยากร้องไห้ทุกที มันไม่มีทางแก้ไขเรื่องนี้ได้จริงๆ เหรอ

       “ทำไมยังไม่นอนครับ คิดอะไรอยู่หืม...” บอกให้คนอื่นนอนพักผ่อนก่อนอย่าคิดมากค่อยไปคิดวันพรุ่งนี้ แต่ตัวเองดันคิดเองซะนี้ เฮ้อ...แล้วใครมันจะอดคิดได้หละ

       “ผู้คนจะต้องอดอยากอย่างนี้จริงๆ เหรอครับ แล้วพี่ธามต้องคอยไปรับใช้พวกมันด้วย เราไม่มีทางแก้ไขมันได้จริงๆ เหรอ ทำไมคนนั้นต้องบอกเรื่องเสบียงกับพวกเลวนั้นด้วย โลกเราตอนนี้มันยังเลวร้ายไม่พอเหรอครับ ทำไมต้องซ้ำเติมกันด้วย แล้ว...”

       “พอแล้วครับ พอแล้ว บอกพี่ไม่ให้คิดแต่เราดันคิดซะเอง เลิกคิดได้แล้วครับ เรื่องพรุ่งนี้ปล่อยให้มันเป็นพรุ่งนี้ไป วันนี้ได้เวลานอนแล้วครับ นอนได้แล้วนะ” เฮ้อ...คิดไปก็ปวดหัวเฉยๆ ไม่มีทางออกอะไรเลย กูขอแช่งให้แม่งไหลตายทั้งหมดเลยคืนนี้ สาธุ!!!

       “ก็ได้ครับ เฮ้อ...ขอกอดหน่อย” ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ต้องใช้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่าที่สุด ขออ้อนสักหน่อยเหอะ

       “ไม่เห็นต้องขอเลย พี่ก็เป็นของอุ่นอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็เชิญเลย”

       “ขอถีบได้เปล่า” ก็บอกว่าทำอะไรก็ได้หนิ

       “เอาสิ ให้ถีบเลย ถ้าอุ่นต้องการ” ใจดีแปลกๆ นะ “แต่พี่ขอเอาคืนสักน้ำสองน้ำนะ”

       อะไรคือน้ำสองน้ำ โว้ย!!! ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไอ้หื่นเอ้ย!!

       “พอแล้วเลิกพูดเรื่องไร้สาระ นอนได้แล้ว นอน!!” เลิกพูดเถอะครับ ก่อนที่ผมจะเสียเปรียบ

       “หึหึ ครับๆ นอนก็นอน ฝันดีนะครับ จุ๊บ” ผู้กองจูบที่ปากผมเบาๆ เพื่อบอกฝันดี แล้วผมจะน้อยหน้าได้ไง นี่ผมไออุ่นนะ ไออุ่น

       “ฝันดีเช่นกันครับ จุ๊บ” เหนือกว่าครับ เหนือกว่า ผมจูบที่หน้าผากผู้กองเบาๆ จากแสงไฟระเบียงที่ส่องเข้ามา ผมเห็นผู้กองยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ทำเมื่อกี่

       ริมฝีปากหนาแตะเบาๆที่ริมฝีปากล่างของผม คอยเม้มคลึงจากปากล่างไปบน มือหนาประครองเอวผมไว้ อีกมือจับใบหน้าผมให้เงยขึ้นในองศาที่เหมาะ พร้อมสอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปาก มือที่จับเอวผมค่อยๆ ไล้ขึ้นมาตามแผ่นหลังด้านในเสื้อ มือหนาที่สัมผัสโดนผิวกายมันร้อนดั่งมีไฟฟ้าสถิต

       ลิ้นร้อนไล่ต้อนไปจนทั่วโพรงปาก พร้อมสำรวจทุกที่ที่ไปถึง มือหนาค่อยๆ เลิกเสื้อผมมากองไว้ใต้คอ ริมฝีปากหนาละจากปากผม เพื่อลิ้มชิมรสเม็ดทับทิมที่กำลังเต่งตึงจากฝีมือของเจ้าตัว สัมผัสแรกดั่งมีสายฟ้าแล่นผ่าน มันแปลบจนใจผมกระตุก ความเสียวซ่านทำให้เสียงครางผมหลุดออกมา

       ริมฝีปากร้อนค่อยๆ ขบเม้นจากหน้าอก ขึ้นมาบริเวณคอ พร้อมถอดเสื้อผมออกจนพ้นตัว ผมมองผู้กองที่กำลังถอดเสื้อของตัวเองอยู่ ด้วยห้องที่ปิดไฟจนมืด มีเพียงแสงสว่างจากระเบียงที่คอยส่องให้เราสองคนได้สบตากัน ในความเลือนรางผมกลับสามารถมองเห็นแววตาผู้กองได้อย่างชัดเจน สายตาที่แสดงออกถึงความรักและความต้องการ มือหนาค่อยๆ ถอดกางเกงตัวเองออกโดยที่ยังสบตาผมอยู่ มือหนาไล้มาจับที่ขอบกางเกงของผมหลังจากถอดของตัวเองเสร็จ

       “พี่ขอนะครับ” ในคำว่าขอ มันมีความหมายในทางไหนผมรู้ดี ผมได้แต่ถามตัวเองว่าพร้อมหรือยังพร้อมที่จะให้ผู้กองหรือยัง ถ้าผมให้แล้วผมจะต้องเสียใจีภายหลังไหม แล้วถ้าไม่ทำ แล้วเราไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันแบบนี้อีกหละผมจะเสียใจแค่ไหน

       “ครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบ ถึงไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็ไม่อยากเสียใจภายหลัง เพราะผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอมีความทรงจำดีๆ ในวันนี้ก่อนก็แล้วกัน

       หลังจากได้ยินคำตอบมือหนาก็ดึงกางเกงผมจนพ้นตัวทันที ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเราแนบชิดกันจนไม่เหลือพื้นที่ให้อะไรแทรกเข้ามาได้ ริมฝีปากเราเชื่อมต่อกันด้วยความร้อนแรง ปากหนาคอยดูดดุนลิ้นผม พร้อมมือที่กำลังบี้เม็ดทับทิม ทันทีที่ปากหนาผละออกไปเสียงครางของผมก็หลุดออกมาทันที

       “อะ อือ อืม... อ๊า!” ความเสียวซานยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อริมฝีปากหนาค่อยๆ เลื่อนลงด้านล่าง จากคอ มาอก เลื่อนลงมาถึงท้องน้อย ทุกการสัมผัสร้อนผ่าวดั่งีต้องเปลวไฟ ริมฝีปากหนายังเลื่อนต่ำลงไปอีก จะไปตรงไหนกันแน่

       “ยะ อย่า อะ มะ มัน สกปรก อ๊า” ไม่ทันครับ ไม่ทันแล้ว ลิ้นร้อนแตะที่ปลายน้องชายผมเบาๆ แต่ความเสียวซานมันไม่ได้เบาด้วย มันเสียวยิ่งกว่ามือซะอีก  ลิ้นร้อนค่อยๆ ไล่จากโคนจนถึงปลายยอด ความเสียวแล่นแปลบเข้าโจมตีไม่หยุดหย่อน ผมแทบหยุดหายใจเมื่อผู้กองครอบปากลงบนแก่นกายของผม

       “อะ อ๊า อืม เสียว อะ มันเสียว อ๊า!!”  ผู้กองค่อยๆ ขยับขึ้นลง พร้อมดูดดึงแรงๆ จนผมแทบเสร็จ ผมจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วมันเสียวเกินไป ปากผู้กองมันร้อนและนุ่มมากเลย

       “อะ อือ ยะ หยุด ทะ ทำไม” เมื่อผมใกล้จะถึงเส้นชัยผู้กองดันหยุดดื่อๆ ทำให้ผมแทบอยากจะร้องไห้ พึ่งยรู้สึกเหมือนตกเหวก็ครั้งนี้แหละ ขึ้นไปจนเกือบสุด ก็ล่นลงมาดื่อๆ เลย ผมไม่เข้าใจผู้กองจริงๆ ผมจะร้องไห้แล้วนะ มันทรมานมากเลย

       ผู้กองไม่ตอบแต่พลิกผมให้อยู่ในท่าคลานเข่า ผมว่ามันแปลกๆ นะ แต่เพราะความทรามานมันทำให้สมองผมตื้อไปหมด

       “อะ ไม่ มัน สะ สกปรก ตรงนี้ มะ ไม่ได้” แล้วก็ไม่ทันเหมือนเดิม เพราะลิ้นร้อน ทรอดแทรกเข้าไปในช่องทางด้านกลังของผมแล้ว มันเสียวไม่ต่างจากด้านหน้าเลย ผมเพิ่งรู้ว่าข้างหลังเสียวได้ขนาดนี้ ผมครางไม่หยุดเลย พรุ่งนี้ต้องเสียงแหบแน่ๆ สักพักผู้กองยืดตัวขึ้นไปเอาอะไรสักอย่างที่ลิ้นชัก เสียงเปิดฝาอะไรสักอย่างดังขึ้น พร้อมสัมผัสเย็นๆ ที่ช่องทางด้านหลัง

       “เจ็บหน่อยนะครับ” เจ็บอะไร...อือ รู้แล้วว่าเจ็บอะไร นิ้วของผู้กองค่อยๆ เข้ามาในตัวผมหนึ่งนิ้ว มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ แต่มันรู้สึกแปลกๆ มากกว่า ผมไม่มีสิทธิ์ตอบอะไรเพราะปากหนาปิดปากผมอยู่ จากหนึ่งนิ้วเพิ่มมาสองนิ้ว แล้วตามด้วยสามนิ้ว ความคับแน่นจุกเสียดเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นความเสียว จนผมเริ่มจะขึ้นจุดสูงสุดอีกครั้ง และก็หล่นลงมาอีกครั้ง

       “ฮึก ละเล่น อะไร เนี่ย อึก” ร้องไห้แม่งเลย มันอึดอัดอะ เล่นอะไรเนี่ย มันใช่เวลามาแกล้งกันไหม

       “ชู! ไม่ร้องนะครับ ผ่อนคลายไว้ พี่พาเราไปถึงแน่ๆ ผ่อนคลายนะ” ผ่อนคลายอะไรอีก อึดอัดจะแย่  อยากปล่อย

       “โอ้ย!! จะ เจ็บ มันเจ็บ เอาออกไป” เจ็บมากเลย ของตัวเองก็ใหญ่ แล้วยังเข้ามาทีเดียวจนสุดอีก นี่ครั้งแรกนะโว้ย ฮือ...เจ็บแม่ง มีไหมคำว่าอ่อนโยน เสียบเข้ามาได้

       “ขะ ขอโทษ ก็พี่เห็นเราร้องไห้อยากถึงนี่ เลยรีบ อือ...คับจังวะ ร้อนด้วย อืม...” พูดจบแล้วแม่งก็คราง ใช่ไหม มันใช่ไหม ถึงอยากเสร็จแค่ไหนก็ต้องอ่อนโยนเปล่าวะ นี่ครั้งแรกนะเว้ย เลือดออกแล้วแน่เลย

       แล้วผู้กองก็ค่อยขยับเบาๆ ตอนแรกจากเจ็บๆ เริ่มมีความรู้สึกอื่นเข้ามาปะปนแล้ว ผู้กองกอดผมจากด้านหลังด้วยแขนข้างเดียว  พร้อมแรงกระแทรกที่เริ่มแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

       “อืม อือ...” เสียครางต่ำของผู้กอง ทำให้ผมยิ่งเสียวมากขึ้น ความเจ็บเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ แขนแกร่งของผู้กองรั้งร่างของผมให้ลุกขึ้นนั่งในท่านั่งคุกเข่า พร้อมมืออีกข้างที่รั้งครางผมให้หันไปรับจูบร้อนแรงนั้น ลิ้นเราเริ่มเกี่ยวกะหวัดกันไปมา พร้อมด้านล่างที่กระแทกเข้าออกเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งของผู้กองบี้เม็ดทับทิมของผม มันทำให้ความเสียวเพิ่มมากขึ้นไปอีก

       “เด็กดี เรียกชื่อพี่ อืม หน่อยครับ อ๊า...” ทำไมต้องครางแบบนั้นด้วย ยิ่งได้ยินอารมณ์ผมมันยิ่งพุ่งขึ้น

       “พะ พี่ ธาม อ๊า สะ เสียว น้องเสียว อ๊า” พูดไม่ไหวแล้วครับ

       “หืม...แน่นจริงๆ อ๊า อุ่น อืม” ธามน้อยที่กำลังเข้าออกช่องทางด้านหลังผม มันเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมปากของผู้กองที่ขบเม้นไปทั่วแผ่นหลัง

       ผมจะไม่ไหวแล้ว มันอัดอั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมจะไปแล้ว

        “อือ อ๊า!!!” ในที่สุดผมก็พ้นน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนได้ เสียวมากอย่างที่ไม่เคยเป็นทั้งที่ไม่ได้แตะข้างหน้าเลย ความรู้สึกที่ผมได้รับรู้เป็นครั้งแรก เป็นรับมันก็ไม่แย่นะ

        แต่แรงกระแทกไม่ได้ลดลงเลย กลับยิ่งเร็วและแรงขึ้นอีก พร้อมเสียงครางต่ำๆ ของผู้กองที่ข้างหูผม มันทำให้ผมมีอารมณ์อีกครั้ง

       “จะไป อือ...” ผมรู้สึกถึงความร้อนวาบในช่องทางด้านหลังของตนเอง พร้อมแรงกระตุกของธามน้อยที่อยู่ในตัวผม ผมฟุบลงไปกับที่นอนพร้อมกับผู้กองที่ทับผมอยู่ด้านบน ทั้งที่ยังไม่ได้ถอดไอ้นั้นออกจากตัวผมเลย อึดอัดชะมัด

       “พี่รักอุ่นนะครับ” ผู้กองพูดพร้อมกับหอมที่หัวผมเบาๆ มันทำให้หัวใจผมอุ่นวาบ ผมเป็นของผู้กองแล้วจริงๆ เราเป็นของกันและกันแล้ว แต่อย่าพูดเรื่องผัวเมียนะ มันกระดากหู

       “ผมก็ ระ รักพี่ธาม” งือ เขินเว้ยย แต่อึดอัด “อะ เอาออกได้ไหม อะ อึดอัด” แล้วจะขยับทำไมเนี่ย มันเสียวนะ งือ...

       “ก็ได้ครับ...แต่มันไม่จบแค่รอบเดียวหรอกนะ” หะ อะไรนะ อะไรคือไม่จบที่รอบเดียว

       แล้วผมก็ได้คำตอบเมื่อผู้กองกินผมไปตั้งสามรอบ กี่ท่านั้นไม่ได้นับ อยากจะบอกว่าครั้งที่สองที่สามยิ่งนานขึ้นเรื่อย ๆ จะอึดอะไรขนาดนั้น เมื่อความเสียวจบลง ความเจ็บก็ตามมา จะบ้าตาย เป็นรับทำไมมันเจ็บแบบนี้ อยากเป็นรุก งือ...


       ตอนเช้าที่แสน...ปวดตัว ปวดไปหมดอย่างกับโดนรถทับมา ขยับนิดเดียวความเจ็บแล่นแปลบไปถึงสะโพก แล้วทำไมห้องมันว่างเปล่าขนาดนี้ ผู้กองไปไหนนะ ผมมองหารอบห้องแล้วก็ไม่เจอ เขาไปไหนของเขา

       ผมค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ นี่มันเที่ยงแล้วหนิ นอนอะไรขนาดนั้น ผมค่อยๆ เดินไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำ ทุกก้าวที่เดินน้ำตาแทบเล็ด เจ็บมาก... มีกระดาษโน้ตติดอยู่บนประตูน้องน้ำ มันเขียนว่า

       “พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลไออุ่น ผู้นำเรียกพี่เข้าไปหา พี่อยากอยู่กับเรามากจริงๆ แต่ทำไม่ได้ เจ็บมากไหม” เจ็บสิถามมาได้ ลองโดนบ้างไหมหละ พอแล้วๆ อ่านต่อๆ “พี่บอกทุกคนแล้วว่าอุ่นไม่สบายไม่ต้องขึ้นไปปลุก ให้ทำอาหารขึ้นไปให้ตอนเที่ยง พี่ไปขอร้องผู้นำเลยได้ข้าวสารมาแลกกับพี่ต้องเข้าไปทำงานทุกวัน ถ้าพี่ทำงานเสร็จ พี่จะรีบกลับไปหานะครับ รักไออุ่น จาก ธาม” จะโกรธก็โกรธไม่ลง เฮ้อ...อยากฆ่าไอ้พวกผู้นำจริงๆ แต่ตอนนี้เจ็บก้นมาก ขอไปนอนแช่น้ำอุ่นก่อนนะ ไม่ไหวแล้ว


+   +   +   +


       จากวันนั้นผมกับผู้กองก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ผู้กองจะเข้ามาตอนดึกๆ แล้วออกไปแต่เช้าตรู่ เป็นแบบนี้มาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ส่วนผมก็โดนแมนนี่ล้อตั้งแต่ขึ้นมาเห็นสภาพผมแล้ว หมดกันความแมนของผม พวกเรามีข้าวกินแล้ว เพราะผู้กองไปขอร้องไอ้พวกผู้นำแลกกับต้องทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ ยันมืดค่ำ พวกเราก็ไม่ค่อยว่างเหมือนกัน โดนใช้งานให้มาแยกปลาที่ท่าเรือ มีผม แมนนี่ ไอ้เด็กริว ส่วนหมวดโฟรคผมขอร้องให้เขาช่วยดูแลเด็กๆ ที่บ้าน ผมไม่ไว้ใจให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง หมู่นาย หมู่เทน และจ่าที่กลับมาทำงานแล้ว อยู่ช่วยงานผู้กอง

       วันละครั้ง ผมจะเห็นผู้กองแวะมาที่ท่าเรือเพื่อตรวจเช็คสินค้า พร้อมกับคุณโรสที่ผู้กองบอกว่าผู้นำแต่งตั้งให้เธอคอยจับตาดูผู้กอง แต่ผมว่าไม่ใช่แค่จับตาดูแน่ ควงแขนกันมาขนาดนั้น ถึงผู้กองจะบอกกับผมว่าไม่คิดอะไร และก็ห้ามเธอแล้วแต่เธอไม่ฟัง ผมไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิงเลย แต่เห็นแล้วมันเจ็บชะมัด ผมที่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับผู้กอง ส่วนคุณโรสตามผู้กองไปได้ทุกที่ แถมยังเดินควงแขนกันด้วย เป็นภาพที่เจ็บดี

       วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอเดินควงผู้กองเข้ามา ผมไม่อยากมองภาพนั้นจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

       “ไหวไหมพี่อุ่น” ไอ้เด็กริวถามขึ้นเบาๆ ไม่ไหวก็ต้องไหววะริว ทำอะไรไม่ได้หนิ ก็ไอ้ผู้นำอ้วนลงพุงสั่งให้ไปด้วยกัน แต่จำเป็นต้องใกล้ชิดกันขนาดนี้ไหม

       “กูว่าตบเลย แค่ให้จับตาดู จำเป็นต้องเดินควงขนาดนี้เหรอ แรด!!” อย่ายุสิ กูไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิง กูผู้ชายแมนๆ เว้ย แต่ผู้ชายแมนๆ ก็เจ็บเป็น

       “เป็นไงบ้างอุ่น เหนื่อยไหมครับ” ผมยังไม่ทันได้ตอบเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาก่อน

       “ยี่ เหม็น!! ออกไปจากที่นี้เถอะค่ะ ไม่อยากอยู่กับพวกชั้นต่ำ” นี่พวกผมเป็นพวกชั้นต่ำไปแล้วเหรอ

       “ถ้าเป็นคนชั้นสูงแล้วจิตใจต่ำช้าแบบนี้ ขอเป็นคนชั้นต่ำดีกว่ายะ” แมนนี่ตอบกลับไปทันที ถ้าผมสะใจจะผิดไหมนะ หึหึ

       “กรีส!!! นี่แกกล้าว่าฉันเหรอพวกชั้นต่ำ” โอ้ยเสียงสบแก้วหูชะมัดเลย

       “พอเถอะ ถ้าไม่ชอบก็ออกไปรอข้างนอก” ผู้กองพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งไร้อารมณ์

       “ถ้าจะไปพี่ธามต้องไปกับโรสด้วย” พี่ธาม? เหรอ ทำไมถึงเรียกกันสนิทสนมแบบนี้

       “ออกไปรอข้างนอก จะคุยกับไออุ่น” ยังดีที่ผู้กองไม่สนใจ แต่เรามีเรื่องต้องคุยกันแน่

       “ถ้าไม่ไป โรสบอกผู้นำแน่ๆ พี่ธามก็รู้ว่าผู้นำเชื่อโรสขนาดไหน ถ้าไม่อยากลำบากออกไปกับโรสดีกว่า” เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหนือกว่า ผู้กองคงไม่ออกไปกับเธอใช่ไหม

       “เดี๋ยวเราค่อยกับไปคุยกันที่บ้านนะอุ่น เชื่อใจพี่นะ พี่รักอุ่นนะ” แล้วผู้กองก็เดินออกไป ผมเชื่อใจนะ แต่ก็เจ็บ

       ผู้กองบอกค่อยกลับมาคุย แต่เขาไม่ได้กลับบ้านมาสองคืนแล้ว เจอกันที่ท่าเรือก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ผมเหงา ผมเจ็บที่อก ทำไมทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ มิดไนท์ถามหาผู้กองผมก็บอกกับแกได้แค่ว่าป๊าไปทำงาน เพราะผมไม่รู้อะไรมากกว่านี้แล้ว หมู่นาย หมู่เทนที่กลับมาบ้านทุกวันยังให้คำตอบผมไม่ได้เลย บอกแค่ว่าผู้กองทำงานไม่ว่าง ในสถานการณ์แบบนี่มันมีงานมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วทำไมคนอื่นถึงมาพักได้ แล้วทำไมผู้กองถึงมาไม่ได้...



........................
.................
.........


     ตอนนี้เป็น NC แรก ไม่เคยเขียนเลย โปรดอย่าคาดหวังใดๆ กลับ nc ข้าเลย
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่17☆ P.3☆8/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-02-2019 23:42:45
เป็นไงล่ะอุ่น ไม่เอายัยโรสไปเป็นอาหารซอมบี้ตั้งแต่แรก เป็นไงล่ะ.....
งูพิษก็ยังเป็นงูพิษยังวันยังค่ำ :katai1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 18-02-2019 12:07:34
- 18 -


[ไออุ่น]


       แม้เราจะอิ่มท้องมากแค่ไหน สารอาหารทั้งหลายก็ไม่สามารถมา เติมเต็มใจที่ห่อเหี่ยวเราได้เลย สุขกายแต่ไม่สบายใจ ยิ้มทั้งที่ข้างในอยากร้องไห้ เข้มแข็งทั้งที่อยากจะอ่อนแอ ความรู้สึกที่กำลังจะดิ่งลงเหว ต้องการใครคนนั้นมาฉุดดึงขึ้นไป ไม่ใช่ใครสักคนแต่เป็นใครคนนั้น...

        เราอยู่ที่นี่มาเกือบสัปดาห์แล้ว กิจวัตรที่ทำก็เดิมๆ คือไปท่าเรือเพื่อคัดแยกปลา กลับมาก็เล่นกับมิดไนท์แล้วนอน ตื่นมาวันใหม่ก็ไปนำงานวนลูปอยู่อย่างนั้น

       การทำงานไม่ได้ทำให้ผมหนักใจมากนัก เพราะงานก็ไม่ได้หนักอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นที่ทำงานก็แทบไม่มีเสียงหัวเราะอยู่เลย ทุกคนต่างมีเรื่องที่ต้องคิด ต้องกังวล ความสุขเสียงหัวเราะแทบหาไม่ได้

       ผมได้ยินมาว่าเมื่อวานพวกทหารได้นำผักที่เน่าไปทิ้ง ใกล้กับที่เรากำลังทำงาน ผมได้ยินเรื่องนี้แล้วสังเวชใจมาก แทนที่จะเอาไปแจกชาวบ้านแต่กลับเอามาเก็บไว้รอวันที่มันเน่าแล้วเอาไปทิ้ง ปล่อยให้ผู้คนอดอยากอย่างไม่สนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย นอนเสพสุขอยู่คฤหาสน์หลังโตล้อมรอบด้วยกำแพงสูงที่มีทหารเฝ้าอยู่มากมายตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ที่คอยปนเปรอ ชีวิตที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนในชาติ

       เราที่ทำงานแลกอาหาร กายอิ่มแต่ใจแห้งแล้ง ความสุขเลือนหายไปในทุกวัน ผมเข้าใจเลยทันทีว่าทำไมคนบนเกาะถึงเป็นแบบนี้ ความกังวล ความกดดัน ความเครียดหล่อหลอมให้พวกเขาเป็นแบบนี้

       ตอนนี้ผม ไอ้ริว แมนนี่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หมวดโฟรครับหน้าที่ดูแลเด็กเช่นเคย เช่นเดียวกับหมู่เทน หมู่นายที่ทำงานออกตรวจพื้นที่ให้ไอ้พวกผู้นำ

        ส่วนผู้กองนั้นเหรอ...ผมไม่รู้สิ ผมแทบไม่รู้ว่าเขาไปไหนทำอะไร นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมยอมให้เขาหมดทั้งตัวและหัวใจ ตื่นเช้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมแทบไม่ได้เจอหน้าผู้กองเลย ตอนแรกก็เข้าใจว่าทำงาน แต่นานเข้าความคิดหลายๆ อย่างก็เริ่มเข้ามาแทรกซึม ผมยอมรับว่าเริ่มระแวง เริ่มกลัว ผมมอบทุกอย่างให้เขาแล้วหนิ หรือผู้กองไม่ต้องการผมแล้ว เพราะได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผมก็หมดค่า ผมพยายามที่จะไม่คิดในแง่ร้าย แต่มันก็ทำไม่ได้ บางครั้งความคิดแบบนี้มันก็แวบเข้ามาในหัวของผม ดังเช่นตอนนี้ พยายามที่จะไม่คิดยังไงใจมันก็คิดอยู่ดี

       ผมได้แต่ถามข่าวคราวของผู้กองจาก หมู่ทั้งสอง ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมได้เลย ตอบได้แต่ว่าผู้กองทำงาน โดยมีคุณโรสเป็นคนคุมเพื่อรายงานผู้นำ ผมไม่รู้ว่างานที่ว่าเป็นงานอะไร ทำไมถึงกลับมานอนที่บ้านไม่ได้ งานมันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ หรือเพราะไม่อยากกลับกันแน่

         จะว่าผมน้อยใจก็ไม่ผิดมากหรอก ลองเป็นคุณ คุณก็คงน้อยใจ และกลัวไม่ต่างจากผม เขาหายไปหลังจากที่ได้ผมแล้ว ผมนอนเจ็บไข้ขึ้นก็ไม่ได้มาดูแลเลยแม้แต่น้อย แรกๆ คุณอาจจะเข้าใจ ไม่คิดอะไร แต่เมื่อเวลามันนานไปความกลัวมันก็จะเข้ามากัดกินใจคุณเช่นกัน

       ขอสักครั้งเถอะ ขอให้ผมมีเวลาได้คุยกับผู้กอง เพื่อให้ความค้างคาใจนี้มันหมดไป ผมไม่ชอบตัวผมในตอนนี้เลย ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่ก่อนผมร่าเริงแม้จะมีเรื่องเครียดขนาดไหน ผมก็ยังสนุกได้ แต่ตอนนี้ความสนุก ความสุขในตัวผมแทบไม่มีเลย จากคนที่ไม่คิดอะไรมาก กลับคิดมากอย่าที่ไม่เคยเป็น คนที่เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุก กลับต้องปั้นหน้ายิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

       ผมไม่ชอบตัวผมตอนนี้เลย

        เรากลับมาบ้านด้วยสภาพที่เหม็นคาวปลา เสื้อผ้าสกปก ในมือถือถุงปลาที่แบ่งกลับมาได้ไม่กี่ตัวเพื่อเป็นกับข้าวของวันพรุ่งนี้ ผมต้องปั้นหน้ายิ้มเมื่อมาถึงหน้าประตูบ้าน ยิ้มทั้งที่ไม่มีความสุข...

       “มัม!! มัมกลับมาแล้ว น้องไนท์คิดถึงงงงง” ลากเสียงยาวไปอีก ลูกใครวะ

       “ครับมัมกลับมาแล้ว แต่กอดน้องไนท์ไม่ได้นะครับ เพราะมัมเปื้อน และเหม็นด้วย” ถึงอยากกอดแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้เพราะสภาพของผมมันไม่เอื้ออำนวยจริงๆ

       “งือ มัมเหม็นจริงด้วย” เจ้าตัวย่นจมูกเมื่อมายืนอยู่ใกล้ตัวผม อือหือ ไม่คิดจะรักษาน้ำใจกันเลย เออ แต่ผมก็เหม็นจริงๆ นั้นแหละ

       “งั้นมัมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า จะได้ตัวหอมแล้วมากอดน้องไนท์ดีไหม”

       “ดีคราฟ น้องไนท์อยากกอดมัม” เมื่อฟังจบผมก็เผลอยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ผมไม่ต้องฝืน น้องๆ เป็นเหมือนยาที่ช่วยเยียวยาผม ในยามที่ผมอ่อนแอ แค่รอยยิ้มพวกเขาก็ทำให้ผมยิ้มตามได้แล้ว ถึงมันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

       เมื่ออาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จพวกเราถึงได้ลงมานั่งกินข้าวด้วยกัน หมู่เทน กับหมู่นายก็กลับกันมาแล้ว บรรยายกาศบนโต๊ะอาหารจึงไม่เงียบเหงาเท่าไหร่

       “แล้วทำไมแกสองคนไม่ไปงานเลี้ยงวะ” งานเลี้ยงอะไร

       “พวกเราไม่ได้รับเชิญนี่ครับ เป็นแค่คนนอก ทหารกระจอกๆ พวกเขาไม่เชิญเราไปร่วมหรอก” หมู่นายพูดขึ้นท่าทีไม่แยแส “แต่ก็ดีแล้วหละครับที่ไม่เชิญ เพราะพวกเราก็ไม่อยากไปเหมือนกัน” ผมได้แต่นั่งฟังบทสนทนาเงียบๆ

       “แล้วหมวดรู้ได้ไงครับ” หมู่เทนถามหมวดขึ้นมาบ้าง

       “พอดีรู้จากจ่านนท์หนะ แกแวะมาหาตอนเที่ยง เลยเล่าให้ฟัง” หมวดตอบกลับไปอย่างไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่

       “งานเลี้ยงอะไรกันคะ” ดูเหมือนคนที่ทนความสงสัยไม่ได้คนแรกคือแมนนี่ที่โพลงถามออกไป

       “งานเลี้ยงวันเกิดผู้นำหนะครับ” เป็นหมู่นายที่ตอบความสงสัยของพวกเรา

       “ได้ยินว่าจัดใหญ่โตเลยหละ แต่ชวนแค่พวกของตัวเองนะ สงสัยกลัวโดนลอบฆ่า หึ” หมวดโฟรคพูดขึ้นด้วยท่าทีที่เกลียดชัง ผมก็เกลียดพวกมันไม่ต่างจากหมวดโฟรคหรอกครับ

       “วันเกิดเหรอ ไม่เห็นน่ายินดีตรงไหน คนแบบนี้ไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ ถ้าเป็นวันตายพวกมันก็ว่าไปอย่าง จะร่วมเฉลิมฉลองให้อย่างยิ่งใหญ่เลย” ผมจะร่วมฉลองด้วย เดี๋ยวจะขึ้นไปเป็นแดนเซอร์บนเวทีให้เลยอย่างไม่คิดเงิน

       “ผู้กองไปร่วมงานด้วยเหรอครับ” ทุกคนทำสีหน้าสงสารผม เมื่อผมพูดถึงผู้กอง สงสารผมทำไม ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่เจ็บปวดและกลัวเป็นบางครั้งเอง

       “มันต้องไปร่วมอยู่แล้วแหละ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับพวกนั้น ถ้าไม่ไปเดี๋ยวก็โดนเล่นงานอีก มันไม่อยากให้พวกเราซวยไปด้วยเลยต้องทำ” ผมเข้าใจ เข้าใจเรื่องนี้ แต่เรื่องอื่น?

       “เอาน่าเดี๋ยวก็เจอกัน เราอยู่ที่นี้ไม่ถึงเดือนสักหน่อย” แมนนี่พูดปลอบผม ไม่มากที่แมนนี่จะพูดกับผมดีๆ โดยที่ไม่กวน ผมต้องอัดเสียงเก็บไว้หรือเปล่าเนี่ย เผื่อไม่ได้ยินอีก ขอสักหน่อยเถอะ เพื่อคลายความตึงเครียดภายในใจ ทำให้ก้อนดำๆ ในใจมันจางไป ถึงไม่สลายไป ขอแค่ให้สีมันจางลงบ้างก็ยังดี

       หลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ ผม แมนนี่ ไอ้ริว ลมหนาว น้องมิว และมิดไนท์  ก็มานั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่น เพื่อคุยกัน เล่นกัน เราไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ และเมื่อมีเวลาเราจึงอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด
       
       “อันนี้รูปอะไรครับ” ผมถามมิดไนท์ที่กำลังนั่งทาสีกับลมหนาวที่พื้น

       “รูปข้าวเหนียว กับข้าวเจ้าคราฟ น้องไนท์คิดถึงพวกมัน” เจ้าตัวพูดพร้อมชี้ชวนให้ผมดูไอ้รูปยักๆ ยือๆ ในกระดาษ

        “วาวสวยมากเลย” ชมเขาสักหน่อยครับ จะได้มีกำลังใจวาดต่อ

      “แน่นอนอยู่แล้ว ก็น้องไนท์วาดนิคราฟ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มโชว์ฟันหลอที่เพิ่งหลุดออกเมื่อสามวันที่แล้ว อือหือ ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเท่าไหร่เลย

       ไม่มีอะไรจะตอบโต้กลับความหลงตัวเองของลูกผมได้ เลยได้แต่เงียบดูเจ้าตัววาดรูปไป

       บรื้น บรื้น

       เสียงรถที่วิ่งเข้ามาหน้าบ้านทำให้ผมเด่งตัวขึ้นในทันที พร้อมวิ่งออกไปข้างนอก ผมจำเสียงรถผู้กองได้ ผู้กองต้องกลับมาแล้วแน่ๆ เลย หลังจากไม่ได้กลับมานาน ผมจะไม่โกรธถ้าผู้กองมีเหตุผลดีๆ และรับปากว่าจะทำตัวดีๆ

       ผมวิ่งออกมาถึงประตู เมื่อเปิดออกไปก็เจอกับรถของผู้กองที่จอดเทียบหน้าบ้าน ประตูรถถูกเปิดออกมา คนในรถก้าวออกมาอย่างช้าๆ เมื่อประตูรถถูกปิดลง ผมจึงรู้ว่าคนที่มาไม่ใช่ผู้กอง แต่เป็นจ่านนท์ที่ขับรถผู้กองมา สีหน้าแห่งความคาดหวังของผมเหี่ยวเฉาหลงในทันที

       “จ่ามาตอนมืดๆ แบบนี้มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามออกไป แม้ใจจะห่อเหี่ยวแค่ไหนก็ตาม

       “ผู้กองใช้ให้มารับไออุ่นไปงานเลี้ยงหนะ” เพราะไฟหน้าบ้านสาดแสงไปไม่ถึงบริเวณที่จ่าอยู่ ผมจึงไม่รู้ว่าแกทำหน้ายังไงได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ว่าแต่ทำไมต้องมารับผมไปงานเลี้ยงด้วย

       “ทำไมผมต้องไปหละครับ” ผมไม่เห็นเหตุผลที่ผมต้องไปอยู่ที่นั้นเลย ขนาดหมู่เทน หมู่นายที่เป็นทหารยังไม่ได้รับเชิญให้ไปเลย ทำไมผมถึงได้รับเชิญหละ

       “ผู้กองคิกถึงไออุ่น อยากให้ไปอยู่ข้างๆ ด้วยในงานคืนนี้ เลยให้มารับหนะ” โอเค เหตุผลก็พอเข้าใจ เข้าใจเพราะใจผมอยากเจอผู้กองหนะ ผมอยากคุยกับเขา ผมอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขาสบายดีไหม ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า และที่สำคัญ ยังคิดถึงและรักกันอยู่ไหม ถ้าไม่ไปวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะได้มีโอกาสคุยกับผู้กอง เพราะเขาไม่กลับมาเลย...ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไป

       “แล้วต้องแต่งตัวยังไงครับ” ผมไม่อยากเป็นจุดเด่นมากนัก การแต่งตัวให้กลมกลืนคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

       “แต่งกึ่งทางการก็ได้ ไม่ต้องเนี้ยบมากนัก แต่ก็ไม่สบายมากเกินไป” โอเค แค่เสื้อเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็คก็คงได้  “เดี๋ยวผมมา ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว”

         “จะไปจริงเหรอ” เมื่อเดินเข้ามาก็เจอกับกลุ่มคนที่ยืนออกันที่ประตูทางเข้า นำทีมโดยแมนนี่ที่ถามผมอยู่ตอนนี้

       “อยากเจอผู้กอง” ผมพูดสั้นๆ ไม่ได้ขยายความอะไรมากมาย ก็ผมอยากเจอผู้กองจริงๆ หนิ

       “เออ ยังไงกูก็ห้ามไม่ได้หนิ ระวังตัวด้วยแล้วกัน”

       “ไม่ต้องห่วง กูจะระวังตัวเองอย่างดีเลย” แค่ไปงานเลี้ยงคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกมั้ง แถมยังไปกับจ่านนท์ด้วย ไว้ใจได้อยู่แล้ว

       เมื่อทุกคนฝากฝังผมไว้กับจ่าเสร็จก็ได้เวลาออกรถสักที รถมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อไปคฤหาสน์ของพวกผู้นำ เมื่อแสงไฟในรถเปิดขึ้น ผมจึงได้มีโอกาสได้มองหน้าจ่าอย่างชัดๆ จึงเห็นสีหน้าลำบากใจที่พยายามกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าปกติ แต่ก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาผมได้ จ่ากำลังกังวลอะไร

       “ผมไม่ค่อยได้เจอจ่าเลย ตอนนี้จ่าทำอะไรอยู่ครับ” ผมถามขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป

       “ช่วยงานผู้กองหนะ” ไม่น่ารถของผู้กองจึงมาอยู่ที่จ่าได้ แต่จ่าดูแปลกไปมาก ไม่ขี้เล่นเหมือนเมื่อก่อน เหมือนกังวลอะไรอยู่ตลอดเวลา หรือจะเครียดแบบผม คงใช่ สถานะการณ์แบบนี้จะให้อารมณ์ดีมีความสุขคงยาก

       ผมถามไถ่ผู้กองไป พร้อมพูดคุยเรื่องต่างไป จนเรามาถึงคฤหาสน์จนได้ ครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาที่นี่ ข้างในใหญ่มาก กำแพงก็สูงมากด้วย ข้างในมีคฤหาสน์ที่อยู่ในรั่วเดียวกันสองหลัง ด้านหลังจะมีบ้านพักอยู่จำนวนหนึ่ง และโกดังขนาดใหญ่ จนผมตลึงที่ทุกอย่างมารวมกันอยู่ในรั่วเดียวกัน

       “ถึงแล้ว ตามมา” ผมลงจากรถแล้วเดินตามจ่าไป ทางด้านหลัง ทำไมต้องไปด้านหลังด้วย

        “ทำไมไม่เข้าข้างหน้าหละครับ” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

       “ผู้กองบอกให้เข้าด้านหลังครับ จะได้ไม่ต้องไปปั้นหน้ายิ้มกับคนพวกนั้น” ก็มีเหตุผลดี แล้วผมก็ไม่อยากปั้นหน้ายิ้มให้พวกมันด้วย เกลียดขี้หน้า

       ผมเดินตามผู้กองไปถึงคฤหาสน์ที่หลังเล็กกว่าเล็กน้อย ที่นี่ไม่ค่อยมีคน เพราะคนอื่นอยู่ในงานเลี้ยงในคฤหาสน์อีกหลัง ผมเดินตามจ่าขึ้นไปชั้นสองของบ้าน จนถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง สงสัยผู้กองที่อยู่ที่น้องนี้แน่เลย ตลอดเวลาที่ไม่กลับบ้านคงพักอยู่ที่นี่สินะ

       “เปิดเข้าไปเลย ผู้กองรออยู่ด้านใน” จ่าเดินมาถึงหน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิด แต่ดันหลีกทางให้ผมเปิด แปลกคนจริงๆ ถึงก่อนแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดประตู

       ผมคค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป ข้างในมืดมาก แต่มีเสียงอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง คงเป็นผู้กองกำลังทำอะไรอยู่มั้ง แต่ทำไมไม่เปิดไฟ ผมหันไปเห็นสวิตซ์ไฟเรืองแสงหน่อยๆ อยู่ใกล้ไ ประตูที่ผมเปิดออก จึงเอื่อมมือไปกดเปิดไฟ

       ทันทีที่ไฟในห้องสว่าง ภาพที่่อยู่ข้างหน้าก็ปรากฏขึ้นในกรอบสายตาผมทันที ภาพที่ชายหญิงสองคนกำลังกอดจูบกันอยู่บนเตียงอย่างเร้าร้อน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยทั้งสองฝ่าย ปากที่เชื่อมต่อกัน มือที่กำลังลูบไล้ไปทั่ว เสียงครางที่หลุดออกมาจากฝ่ายหญิง ภาพและเสียงทั้งหมดมันทำให้ใจผมมันเย็นเชียบ ชาไปทั้งตัว ผมได้แต่ยืนเงียบพูดอะไรออกมาไม่ได้ มันจุกอยู่ที่นี่ ที่อกซ้ายผมนี่ ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่มีเสียง

       ทั้งสองรู้ถึงการเข้ามาของคนนอก แค่คิดก็เจ็บปวดกับคำนี้ พวกเขาหยุดการกระทำแล้วหันมามองที่ที่ผมยืนอยู่

       “กรีส!! แกเข้ามาได้ยังไงยะ แล้วเข้ามาทำไม ไม่เห็นหรือไงยะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่” เห็นสิ เห็นเต็มตาเลยหละ ผมไม่ได้ตอบคำถามเธอ เพราผมกำลังจ่องอีกคนอยู่

        “นี่มันอะไร ไออุ่น นี่มันอะไรวะเนี่ย!!” ผมไหมที่ต้องถามว่านี่มันอะไร ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ถึงผมเป็นผู้ชายที่ดูเข้มแข็งแต่ผมก็มีหัวใจนะ ผมเจ็บเป็น ผมเสียใจเป็น แล้วมันก็ทรมานมากด้วย

       “หึ!! นี่สินะงานที่ต้องมาทำ จนไม่มีเวลากลับบ้าน สนุกไหมที่ทิ้งให้ผมเจ็บคนเดียว!! สนุกไหมที่เห็นผมต้องรอ!! แล้วสนุกไหมที่เห็นผมเจ็บปวด” เสียงผมแผ่วลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบในประโยคสุดท้าย นี่สินะความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก หึ เจ็บเชี่ย ๆ เลย

        “มันไม่ใช่แบบนั้นนะ!! พี่ไปทำงานจริงๆ แล้วเรื่องนี้ โถ่เว้ย อะไรวะเนี่ย” แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่ใช่ “หยุดร้องเถอะนะครับ พี่ปวดใจไปหมดแล้ว หยุดร้องเถอะนะ”

         ผมเบี่ยงตัวหนีมือที่ยื่นมาหมายจะเช็ดน้ำตาให้ เจ้าของมือหนาชะงักค้างกลางอากาศ แล้วทำสีหน้าลำบากใจ ผมก้าวถอยหลังออกมาจากห้อง แต่ละก้าวช่างเจ็บปวด ภาพคนข้างหน้าเรือนรางเพราะน้ำตาที่กำลังไหลรินจากตาของผม

       “อย่าไป ฟังพี่ก่อน” ผมอยู่ต่อไม่ไหวแล้ว ภาพคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันบนเตียงยังติดตาผมอยู่

       “ตอนผมอยู่รอพี่ พี่ก็ไม่สนใจ หรือเพราะได้ผมแล้ว เลยทิ้งคว้าง แล้วตอนนี้จะมารั้งผมไว้ทำไม ผมยังมีประโยชน์อะไรอีกเหรอ ยังมีอะไรอีกที่พี่ยังไม่ได้จากผม” พูดไปน้ำตาของผมก็ไหลไป ถึงแม้ไม่มีเสียงร้องไห้ก็ตาม ภาพที่เจอมันทำให้ผมจุกจนร้องออกมาไม่ได้

       ผมวิ่งออกมาเพราะทนมองหน้าพวกเขาทั้งสองไม่ไหวอีกแล้ว เจ็บ มันเจ็บมาก

       “จะไปไหนค่ะ เรายังทำอะไรไม่เสร็จเลยนะ” ผมวิ่งหนีจากคำพูดเหล่านั้น ผมไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้ยินมันเลย

       ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมาทางไหน ที่นี่มันกว้างมาก และน้ำตาที่ไหลออกมามันทำให้ผมมองสิ่งต่างๆ ยากขึ้นไปอีก ผมนั่งลงที่พุ่มไม้สักพุ่มในคฤหาสน์แห่งนี้ ผมนั่งกอดตัวเองเพื่อหวังว่าความเจ็บปวดนี้จะลดลงบ้าง แต่ไม่เลยมันไม่ลดลงเลย ผมยังเจ็บปวดอยู่เหมือนเดิม ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ รักผมจริงๆ หรือแค่อยากลอง สุดท้ายแล้วผู้กองก็กลับไปหาผู้หญิงสินะ ผมมันแค่เด็กผู้ชายที่ไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ไม่ได้สวย ผมยาว อ้อนแอ้นอรชร เสียงหวาน ผมเป็นแค่ของแปลกที่ผู้กองอยากลองสินะ

       ยิ่งคิดผมยิ่งเจ็บปวด ผมจึงเลือกที่จะพยุงตัวเองขึ้น แล้วออกไปจากที่นี่ ผมเดินหาทางออกพร้อมน้ำตาที่รินไหลตลอดทาง

       “เฮ้ย แกเป็นใครวะ เข้ามาได้ไง” เสียงหนึ่งร้องทักผมขึ้นจากด้านหลัง ผมจึงหันกลับไปดูเป็นทหารสี่นายยืนจ้องผมอยู่ พร้อมยกปืนขู่

       “สวยนี่หว่า จำได้ลางๆ ว่าเป็นเด็กไอ้ผู้กองหน้านิ่งนั้นหนิ แล้วมายืนร้องไห้อะไรตรงนี้ หรือโดนมันทิ้งมา ฮาๆ” เห็นกูร้องไห้นี่ขำมากไหม ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพราะผมก็จุกกับคำพูดพวกมันเหมือนกัน

       “ถ้าอกหัก ให้พวกพี่ดามใจให้ไหมจะ รับรองว่าสุขจนลืมไอ้ผู้กองมันไปแน่ เดี๋ยวพี่จะทำให้ครางไม่หยุดเลย” ผมมองพวกมันอย่างรังเกียจ พวกสวะในคราบคนดีนี่

       “อย่ามายุ่ง” ผมเดินหนีไม่สนใจพวกมัน

       “เดี๋ยวจะไปไหน มาสนุกด้วยกันก่อนสิ” มันดึงแขนผมเข้าหาตัว ผมยื้อไว้สุดชีวิต ไอ้พวกบ้านี่ก็ไม่ยอมปล่อย มันดันผมลงนอนที่พื้นหญ้าข้างพุ่มไม้ แล้วล็อกแขนผมไว้คนละข้าง ผมดิ้นสุดกำลังแต่มันก็ไม่หลุด ไม่นะมันจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ ที่เป็นอยู่ผมยังเจ็บไม่พอใช่ไหม ต้องให้ผมเจ็บอีกขนาดไหนถึงจะพอ...

       “ปล่อย ไอ้ชั่ว ปล่อยกูสิวะ ปล่อย!!” ผมตะโกนสุดเสียง มันจึงปิดปากผมไว้ “อือ อื้อ” ผมไม่สามารถส่งเสียงได้เลย

       มันปลดกระดุมผมออกจนหมด ผมยายามดิ้นแล้ว พยายามแค่ไหนมันก็ไม่หลุด ผมขยะแขยงจนแทบจะอ้วกกับสัมผัสที่ได้รับ ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก

       “ขาวจังวะ แม่ง กูขอคนแรกวะเว้ย” ไอ้คนที่อยู่ช่วงขาผมพูดขึ้นพร้อมมือที่กำลังปลดกางเกงผม ไม่ๆ มันต้องไม่เป็นแบบนี แม่ พ่อ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ถ้าจะโดนแบบนี้ให้ผมตายซะยังจะดีกว่า ฮึก ช่วยผมด้วย

       “น่าเอาขนาดนี้เองสอนะ ไอ้ผู้กองถึงเลยเปลี่ยนรสนิยม แมงขาวจริงๆ” ไม่เอา ผมไม่เอาแบบนี้ ฆ่าผมที ผมไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้

       กางเกงผมกำลังเลื่อนลงไป พร้อมกับหัวใจของผมที่กำลังแหลกสลาย พวกมันพยายามจะจูบผมแต่ผมเบี่ยงหน้าหนี กางเกงผมกำลังเลื่อนลงแล้ว ไม่นะ ไม่ๆๆๆ

       “หยุด!!!” เสียงหนึ่งดังเข้ามา ทำให้ทุกการกระทำหยุดชะงักข้าง

       “ท่านรองผู้นำ” พวกมันเรียกคนที่กำลังมาใหม่

       “พวกมึงกำลังทำอะไร” คนมาใหม่ถามขึ้นมา

       “กำลังจะเอามันครับ” ทันทีที่ได้ยิน ผมก็สะอื้นออกมา ฮึก ฮึก ชีวิตผมแม่งโคตรเชี่ยเลย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

       “ปล่อยมัน แล้วพวกมึงไปซะ” เขาจะช่วยผมจริงๆ เหรอ หรือคิดจะทำอะไร

       “แต่...” พวกมันยังพูดไม่จบเขาคนนั้นก็โพลงขึ้นมาก่อน

       “กูซื้อพวกขาย ไว้ให้พวกมึงข้างในแล้ว ไปเอาสิ” พูดชิวๆ เหมือนพูดถึงดินฟ้าอากาศ

       “จริงเหรอครับ งั้นพวกเรารีบเข้าไปเลือกกันเถอะ ส่วนมันท่านรองก็จัดการต่อได้เลยนะครับ หึหึ” มันส่งเสียงหน้ารังเกียจเสร็จก็เดินออกไปจากบริเวณนี้ทันที

       “ลุกไหวไหม” เขาส่งมือมา แต่ผมสะดุ้งแล้วกระเถิบตัวหนีเขาออกมา “ฉันไม่ทำอะไรหรอก ดูไม่ได้ขนาดนี้ใครจะทำอะไรลง” เขาส่ายหน้าให้กับสภาพผม

       “ช่วยผมทำไม”

       “สงสาร” แล้วทำไมชาวบ้านไม่รู้จักสงสารพวกเขาบ้าง ผมได้แค่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป แค่ที่โดนนี่ก็หนักมากแล้ว ผมไม่อยากโดนอะไรอีกแล้ว “แต่งตัวดีๆ จะไปส่ง”

       ผมเชื่อเขาได้ใช่ไหม แต่ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วหนิ อยู่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย สู่ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ผมจึงพยักหน้าตอบ แล้วหอบสังขานของตัวเองตามผู้กองแบล็คมือซ้ายของไอ้ผู้นำไป มันพาผมขึ้นรถแล้วขับออกไป มันไม่ได้ถามว่าผมพักอยู่ที่ไหน แต่ขับตรงไปบ้านพักเลย เพราะผมจำทางได้

       “แล้วมาที่นี่ทำไม มันนอันตราย ไอ้ผู้กองทำไมไม่ดูแลเด็กตัวเองเลย” เมื่อผู้กองแบล็คพูดถึงพี่ธาม ภาพที่ผมไม่อยากจำก็โผล่ขึ้นมาในหัวผมทันที ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งเงียบๆ จนมาถึงที่บ้าน

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาอย่าจริงใจ เรื่องเกียจก็เรื่องเกียจ เรื่องนี้มันก็อีกเรื่องนึง เขาช่วยผมไว้จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ

       “ทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไปหรอกนะ แล้วก็ระวังตัวเองด้วยหละ อย่าไปเดินเพ่นพ่านแบบวันนี้อีกนะไอ้ตัวเล็ก” เขาพูดบอดผมแล้วขับรถออกไปทันที ไม่รอให้ผมได้ตอบ หรือพูดอะไรเลย

       ผมได้แต่เดินเข้าห้องนอนเงียบๆ พร้อมล็อคห้องไม่ให้ใครเข้ามาได้ เข้ามาถึงห้องแล้วขาผมมันก็ทรุดลงทันที น้ำตาที่พึ่งหยุดไหลไปก็กลับมาไหลอีกครั้งพร้อมเสียงสะอื้น ฮึก ฮึก

       เจ็บปวด…

หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 18-02-2019 12:10:53
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ จากคนเขียนมือใหม่ ไม่กล้าบอกว่านักเขียนกระดากปาก อิอิ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 18-02-2019 20:49:25
 :angry2:ฉันเกลียดๆๆๆอีผู้นำจริง ช่วยส่งผลซุ่มยิงไปลอบสังหารมันที :angry2:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-02-2019 09:24:16
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-02-2019 11:52:54
รอคำอธิบายดีๆจากอีพี่ :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่18☆ P.3☆18/2/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-02-2019 20:09:44
งูพิษก็เป็นงูพิษยังวันยังค่ำ ยัยโรส แกวางยาผู้กองชิมิ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่19☆ P.3☆6/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 06-03-2019 16:45:03
- 19 -


[ธาม]


       อำนาจ เป็นคำที่ไม่เคยคิดจะสนใจ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยต้องการ แต่สิ่งที่ไม่สนใจและไม่ต้องการกลับมาทำร้ายผม และคนที่ผมรัก โดยที่ผมช่วยอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเพราะอำนาจทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนี้ หรือเพราะพวกเป็นแบบนี้อยู่แต่แรกแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ที่ยืนมองผู้คนอดอยากแล้วไม่สนใจ ไม่ช่วยเหลือทั้งที่เป็นหน้าที่ของวกเขาเอง

        ตลอดระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องดี และไม่ดี หลายเรื่องแก้ไขได้ และอีกหลายเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

        ผมทำงานทุกวัน แทบไม่มีเวลาพัก ถึงงานบางอย่างอาจเป็นแค่งานเล็กๆ ที่ผมไม่มีหน้าที่ต้องทำ ก็โดนสั่งให้ทำ ทำทุกอย่าที่ได้รับคำสั่ง เพื่อหวังว่าทุกคนจะสบายขึ้น ทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็นจนไม่มีเวลาที่จะกลับบ้าน ผมคิดถึงทุกคน คิดถึงมิดไนท์ และที่สำคัญคิดถึงไออุ่น

        เสียง และภาพที่เราอยู่ด้วยกันยังชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด คืนที่ผมได้กอดเขาเป็นคืนที่ผมมีความสุขที่สุด และเป็นคืนสุดท้ายที่เราได้นอนกอดกันแบบนั้น ผมอยากดูแลอุ่นหลังจากตื่นมา แต่ก็ทำไม่ได้ นั้นเป็นสิ่งที่รู้สึกเสียใจมาก อุ่นต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ ที่ตื่นมาแล้วไม่เจอผม

       ผมพยายามที่จะเข้าไปคุยกับอุ่นเมื่อเจอเจ้าตัวในเวลางาน แต่โรสก็คอยขัดอยู่เรื่อย ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำเชื่อคำพูดของเธอผมไม่มีวันทำตามที่เธอพูดแน่นอน รู้ว่าไออุ่นน้อยใจ ผมเข้าใจ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งยังอยากรู้เรื่องอะไรอีกหลายอย่าง และอยากให้ผู้นำเชื่อใจผมด้วย เลยต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ไปก่อน เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้วอุ่นต้องเข้าใจ จึงปล่อยไป รอเวลาที่จะอธิบายทีหลัง...

       ...แต่ผมช้าไป อุ่นไม่เชื่อใจผมอีกต่อไป และคงเกลียดผมไปแล้ว... เหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ได้ยังไง มันเริ่มจากตรงไหนกัน

+  +  +

       ผมอาบน้ำแต่งตัวเข้างานไปปกติ แต่ด้วยบรรยากาศที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย พวกเขาพาผู้หญิงหลายคนเข้ามาภายในบริเวณงาน มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นยันผู้ใหญ่ ที่เข้ามาปนเปอเหล่าทหารในคฤหาสน์หลังโต ผมทนดูไม่ได้จริงๆ จึงปลีกตัวออกมาอยู่ที่ห้องพักของตนเองที่คฤหาสน์อีกหลัง

       อยู่ที่นั้นได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตู คนที่มาคือจ่านนท์ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รับเชิญทั้งที่ หมู่นายกับหมู่เทนไม่ได้รับเชิญให้มางานนี้เลย เขาเข้ามาพร้อมเบียร์เย็นๆ กระป๋องหนึ่งที่เปิดมาพร้อมแล้วยื่นมาให้ พร้อมกับบอกว่าจะพาไออุ่นมาหาผม เพราะไออุ่นคิดถึงผมมากจนขอให้เขาพามาหา ผมไม่อาจปฏิเสธได้เพราะขีดความอดทนผมก็ถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน จึงยอมตกลงไป

       หลังจากที่จ่าออกไปรับไออุ่นผมดื่มเบียร์หมดกระป๋องก็รู้สึกง่วง เพราะนอนไม่หลับติดต่อกันมาหลายวัน ผมจึงใช้โอกาศนี้ในการงีบหลับสักพักโดยปิดไฟในห้องทั้งหมด ระหว่างที่กำลังหลับ ผมรู้สึกร้อนรุ่มแบบแปลกๆ จนทำให้ต้องตื่นขึ้นมา มันร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ รู้สึกต้องการเป็นอย่างมาก ความเป็นชายผมตื่นขึ้นมาแล้ว มันปวดหนึบไปหมด ผมต้องการอะไรสักอย่างมาดับความร้อนนี้

       สะติแทบจะไม่เหลือ เพราะความต้องการที่มากล้นอย่าไม่เคยเป็น ทำไมเป็นแบบนี้ ผมเป็นอะไร...

       ในความมืดผมรู้สึกถึงร่างหนึ่งที่กำลังเบียดกายเข้าหา สัมผัสที่เกิดขึ้นมันร้อนวูบวาบแทบทนไม่ไหว ความต้องการอยู่เหนือทุกสิ่ง ห้ามตัวเองไม่ได้ ทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ ไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิด

       ปั๊ก! ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้นมาทันที พร้อมกับตาผมที่สว่างขึ้นมาด้วย ทุกอย่างมีคนจงใจให้มันเกิดขึ้น แต่ผมยังไม่สามารถเรียบเรียงความคิดได้ในตอนนี้ เพราะอาการที่กำลังเป็นอยู่

       เสียงกรีสจากคนที่อยู่ข้างตัวทำให้ต้องมองไปที่หน้าประตู ใจผมมันเย็นเชียบขึ้นมาทันที ไออุ่น กับสายตาเจ็บปวด และผิดหวังที่มองมายังผม อยากอธิบายทุกอย่างให้น้องฟัง แต่ก็ไม่สามารถเรียบเรียงเหตุการณ์อะไรได้เลยในตอนนี้สมองผมมันตื้อมาก

       น้องต่อว่าทั้งน้ำตาที่รินไหล หัวใจผมมันปวดหนึบ ผมมันเลวที่ทำให้น้องต้องเสียใจ ทำให้ไออุ่นต้องร้องไห้ มือที่ยื่นไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ แต่น้องเบี่ยงตัวหนี นี่ผมโดนเกลียดแล้วใช่ไหม น้องกำลังเดินจากไป หัวใจที่เย็นเชียบร้อนรนขึ้นมาทันที ผมขอให้น้องไม่ไป แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือคำพูดที่แสนเจ็บปวดของน้อง ผมอยากบอกน้องว่าสิ่งที่เจ้าตัวคิดมันไม่จริง และไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะน้องวิ่งหนีผมไปแล้ว

       ผมกำลังก้าวขาออกไปเพื่อจะตามน้อง แต่ก็มีแขนใครคนหนึ่งดึงรั้งผมไว้ก่อน

       โรส ผมไม่รู้ว่าเธอทำไปเพราะอะไร ชอบผมจริงๆ หรืออยากแก้แค้นไออุ่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไร ผมก็ไม่มีวันอภัยให้เธอแน่ๆ ผมไม่สามารถอภัยให้คนที่เป็นสาเหตุให้ไออุ่นร้องไห้ได้

       ผมทิ้งทุกอย่างไว้แล้วเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอยู่เป็นเวลานาน ผมไม่สามารถทำอะไรในสภาพนี้ได้จริงๆ ใช้เวลานอนพักหลังจากออกจากห้องน้ำสักพักกว่าจะดีขึ้น ผมออกไปตามหาไออุ่นจนได้รู้ว่าน้องกลับไปถึงบ้านแล้ว และยังได้รู้เรื่องเลวๆ ของคนบางพวกที่พยายามทำกับน้องด้วย สาบานว่าผมจะไม่ปล่อยมันไปแน่ๆ กล้าดียังไงมายุ่งกับลมหายใจของผม

       รู้ดีว่าไปหาน้องตอนนี้น้องคงไม่ฟังแน่ๆ ผมจึงอยู่จัดการอะไรทางนี้ดีกว่า รอให้แน่ใจอะไรมากกว่านี้ และรู้เรื่องราวทุกอย่างให้กระจ่างชัดซะก่อนค่อยไปอธิบายให้น้องฟัง ตอนนี้เลยได้แต่ฝากให้ไอ้โฟรคดูแลน้องแทนไปก่อน

        การที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งคำตอบของคำถามที่อยู่ในใจที่มีมานาน คนที่ทรยศ ผมรู้แล้วว่าเป็นใคร ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เราไว้ใจที่สุดจะทำร้ายเราได้ ผมคิดมาตลอดว่าเขายืนอยู่ข้างหลังผมเพื่อคอยดูแล และเฝ้าระวังหลังให้ แต่ความจริงมันไม่ใช่ เขาอยู่ข้างหลังผมเพื่อถือมีดรอเวลามาแทงผมต่างหาก

       ขนาดเขาที่ผมไว้ใจที่สุดยังหักหลังได้ แล้วยังจะเชื่อใจใครได้อีก...

      ผมได้แต่คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เผชิญมาด้วยกัน ผมเคยทำอะไรผิดผลาดที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจหรือเปล่า หรือเผลอทำอะไรที่ไม่ดีต่อเขาไหม คิดเท่าไหร่ผมก็คิกไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราอยู่กันเหมือนญาติพี่น้อง รักและดูแลกันอย่างดีมาตลอด แล้วสุดท้ายทำไมถึงเป็นแบบนี้

       ทำไม...

       ทำไม จ่านนท์ถึงทรยศความรักความเชื่อใจของเราได้ ทำไมกัน?

       ทั้งเรื่องส่งข่าวทุกอย่างมารายงานผู้นำ และเรื่องที่ทำให้ไออุ่นเกลียดผม เขาเป็นคนทำมันด้วยตัวของเขาเอง ส่วนโรส ผมไม่ไว้ใจเธอแต่แรกแล้วจึงไม่แปลกใจอะไร แต่ใช่ว่าผมจะให้อภัยเธอได้

       ผมมาทำงานอย่างคนที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ทำทุกอย่างตามที่ได้รับคำสั่งมาไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ทำงานอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ทุกเรื่องดูจะเลวร้ายขึ้นทุกวัน ชาวบ้านที่อดอยาก อาหารทะเลที่ไม่ยอมส่งไปแจกแต่เก็บไว้ที่โกดังแช่เย็น จนตอนนี้ห้องแช่เย็นแทบไม่มีพื้นที่จัดเก็บแล้ว อยากจะเอามันไปให้ชาวบ้านแค่ไหนก็ทำไม่ได้

       วัคซีนที่ได้รับมาใหม่ก็เก็บเข้าโกดัง ไม่นำออกไปแจกตามค่ายต่างๆ ที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อ ของทุกอย่างโดนเก็บเข้าโกดังโดยไม่มีการแจกจ่าย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปหายนะคงมาเยือนเราในอีกไม่ช้า

+   +   +   +     +


       วันนี้เป็นวันที่สองแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมยังทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักเหมือนเดิม และไม่มีโอกาศได้กลับบ้านเลย ไม่รู้ป่านนี้ไออุ่นจะเป็นยังไงบ้าง หยุดร้องไห้หรือยังนะหัวใจของผม แล้วไอ้ตัวแสบจะลืมหน้าปะป๊าของเขาหรือยัง

       ผมทำเป็นไม่รู้เรื่องที่จ่านนท์ทำ ทำตัวกับเขาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยังไม่อยากให้เขารู้ ว่าผมรู้แล้วว่าเขาทรยศ ถ้าเราจะล่าเหยื่อเราไม่ควรทำให้มันรู้ตัวก่อน

       ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในคฤหาสน์หลังโตเพื่อรับคำสั่งจากผู้นำ ในห้องมีทหารยศสูงอยู่หลายนาย งานนี้ต้องเป็นงานใหญ่แน่ๆ

       “มาครบแล้วใช่ไหม ฉันจะได้พูดสักที รอนานแล้วฉันเซ็ง” เป็นไอ้แบล็คที่เปิดปากพูดเป็นคนแรก

      “อีกหกวันจะถึงวันเกิดฉัน ฉันอยากจัดงานที่เรือยอร์ช เอาแบบหรูๆ อาหารชั้นดี” มันยังพูดไม่จบก็โดนไอ้กองทัพพูดขัดขึ้นเสียก่อน

       “นารีด้วยนะเว้ย หาคนใหม่ๆ มาบ้าง คนเก่ากูเบื่อแล้ว เด็กๆ เอาะๆ ยิ่งดี” แค่ได้ยินสิ่งที่มันพูดใจผมมันหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากเห็นเด็กผู้หญิงต้องมาทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่เด็กนะ แต่ทุกคนต่างหาก ผมไม่ต้องการเห็นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกคนเป็นคนมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่คอยทำตามคำสั่งที่ชั่วช้านั้น

      “ผมเห็นที่บ้านผู้กองธามมีเด็กผู้หญิงน่ารักๆ อยู่นิครับ” แค่ได้ยินใจผมมันก็กระตุก ปรายนิ้วเย็นเชียบกับคำพูดของไอ้เลวนั้น มันเป็นทหารคนสนิทของพวกผู้นำ ผมรู้ว่ามันเกลียดผม แต่มันก็ไม่น่าลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวแบบนี้ สงสัยไม่อยากตายดี

       “เธอเป็นน้องสาวผม ผมจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอเด็ดขาด” ผมพูดขึ้นอย่างหนักแน่น ใช้งานผมยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่มายุ่งกับครอบครัวของผม

       “มึงกล้าขัดใจนายเหรอ” มันยังไม่ยอม ยังพูดขึ้นมาอีก ผมกำมือแน่นอย่างอดทน อดทนที่จะไม่ลุกขึ้นไปเป่าสมองมัน

       “หยุดพูดได้หรือยัง ขัดกูอยู่ได้  เดี่ยวกูให้เอาพวกยายแก่ๆ ขึ้นมาแทนซะหรอก” พวกมันรีบหุบปากทันทีที่ไอ้แบล็คพูดจบ “ฮาๆๆ พวกมึงกลัวยายแก่ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ เงียบเชียวนะมึง”

       พวกมันไม่มีใครสำนึกในสิ่งที่ตนทำว่าถูกต้องหรือเปล่า เอาแต่หัวเราะ ดั่งเป็นเรื่องขบขัน พวกมันจบประเด็นเรื่องเด็กแแล้วพูดเรื่องอื่นๆ ต่อ

        “เฮ้ย!! อาหารรสชาติต้องเลิศนะพวกมึง งานวันเกิดกูนะเว้ยไม่ใช่งานไก่กา ไม่ต้องกักวัตถุดิบหละ เอาให้เต็มที่” พวกมันใช้ของทุกอย่างอย่างฟุ่มเฟือย ไม่เห็นใจคนที่ไม่มีกินเลยแม้แต่น้อย

       “ไอ้ เฮ้ย! ผู้กองธามเขาไม่อกแตกตายเหรอครับที่เราใช้ของฟุ่มเฟือยขนาดนี้” ถ้อยคำมันเหมือนจะดี แต่ไม่ใช้  น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นใช้ถากถางเยาะเย้ยอยากเห็นได้ชัด

       “ก็กูรวยจะให้ใช้ประหยัดมันก็ไม่สมหน้าตาปะวะ ยังไงก็ทนๆ หน่อยละกันนะเพื่อนรัก ฮาๆ” พวกมันหัวเราะเหมือนกำลังดูเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปราน เรื่องเจ็บปวดของผมคงเป็นเรื่องสนุกของพวกมันสินะ

       ประชุมจริงๆ แค่ครึ่งชั่วโมง ส่วนอีกครึ่งชั่วโมงพวกมันใช้ถากถางผม งานเกือบทุกอย่างผมเป็นคนจัดการ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ตกแต่งสถานที่ และอะไรจิปาถะมากมาย จนผมหัวหมุนไปหมด  มันไม่ใช่งานที่ผมถนัดเลยสักนิด เฮ้อ...ผมคิดถึงไออุ่นจัง ไม่ว่าผมจะทำอะไร หน้าน้องก็จะโผล่เข้ามาในหัวผมตลอด คิดถึงจัง...


………………


       วันนี้เป็นสามวันก่อนงานจะเริ่ม เป็นวันที่ผมมีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะต้องคุยเรื่องงานเลี้ยงกับเหล่าทหารของผม ทุกคนต้องขึ้นไปบริการและอำนวยความสดวกบนเรือ ซึ่งเป็นคำสั่งของไอ้แบล็ค ที่มันต้องการจะใช้คนของผมโดยให้คนของตนเองได้พัก และสนุกกับงานเลี้ยง พวกเราทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนใช้

       การกลับบ้านมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ผมจะได้เจอไออุ่นหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมไม่รู้จะอธิบายกับน้องยังไง ในเมื่อผมไม่มีหลักฐานหรือพยานอะไรมายืนยันได้เลย

       น้องจะคุยด้วยไหมนะ จะยอมฟังกันบ้างหรือเปล่า ยังรักกันอยู่ไหม?

       รถจอดสนิทอยู่หน้าบ้านริมทะเล พร้อมกับใจที่เต้นรัว อยากเจอหน้าอยากอธิบาย ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็กลัว กลัวว่าน้องจะไม่ฟัง และที่สำคัญกลัวน้องจะเลิกรักผมแล้ว

       ขาที่ค่อยๆก้าวลงจากรถ ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ระคนตื่นเต้น อยากเจอหน้า อยากกอด ไม่อยากไปไหนไกล คิดถึง...

       “อ้าวไอ้ธามกลับมาได้แล้วเหรอวะ” ไอ้โฟรคทักผมขึ้น เมื่อผมกาวหน้าเข้าบ้านไป มันเป็นอีกคนนึงที่ผมเล่าทุกเรื่องให้ฟัง เพราะผมมั่นใจว่ามันไม่หักหลังผมแน่ ผมเชื่ออย่างนั้น

       ถึงมันจะรู้เรื่องทุกอย่าง มันก็ไม่สามารถเล่าทุกเรื่องให้ทุกคนฟังได้ เพราะบางเรื่องคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี เพื่อไม่ให้เรื่องมันรั่วไหลไปจนพวกมันไหวตัวทันซะก่อน มันจึงได้แต่บอกให้ทุกคนเชื่อใจผม ว่าผมไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน

       แต่เมื่อพูดไปโดยไม่มีหลักฐาน หรือมีเหตุผลดีๆ มาลองรับ จะให้ทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจคงเป็นไปได้ยาก

       “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง และคนของเรา มึงเรียกรวมทหารทุกคนให้มารอที่ห้องโถง อีกหนึ่งชั่วโมงจะประชุม” ผมบอกให้มันเรียกรวมทหารของเราที่กระจัดกระจายแฝงตัวอยู่กับชาวบ้านมาเพื่อประชุม แต่ก่อนที่จะประชุมผมขอไปหาไออุ่นก่อน แค่หนึ่งชั่วโมงก็ยังดี

       “แค่ชั่วโมงจะทันเหรอวะ” อะไร ทหารของเราก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่มากนัก ต้องใช้เวลาเรียกนานอะไรขนาดนั้น

       “แค่เรียกรวมคน ต้องใช้เวลานานอะไรนัก”

       “กูหมายถึงเวลาในการง้อเมียมึงต่างหาก แค่ชั่วโมงพอเหรอวะ” ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงหน้าบ้านกับคำว่าเมียผมแล้ว แต่เพราะปัญหาที่จัดการยังไม่เสร็จ จึงไม่มีหน้ามาพอใจอะไรตอนนี้ น้องจะยอมอยู่ในสถานะเมียผมต่อไปหรือเปล่าก็ไม่รู้

        “ฟาย!! ไปแล้วคุยกับมึงแล้วเสียเวลา” เอาเวลาไปอธิบายกับไออุ่นดีกว่า “แล้วน้องอยู่ไหน”

       “แหม๋ๆ มีการแทนตัวกันว่าน้อง” ผมมองมันอย่างเอาเรื่อง มันใช่เวลามาแซวไหมวะ “โอเคๆ บอกก็ได้ นั่งซึมอยู่ริมทะเลนู้น”

       เมื่อได้คำตอบแล้ว จึงเร่งไปที่ที่อุ่นอยู่ทันที แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้าออกจากประตูหลังบ้าน ก็มีกลุ่มคนมาดักรอผมซะก่อน

       “เดี๋ยวคุยกันก่อนสิค่ะ คุณผู้กอง ช่วยอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจนที ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นกันแน่ แค่ให้หมวดโฟรคมาบอกให้เชื่อใจ มันไม่พอหรอกนะคะ สำหรับค่าน้ำตาของไออุ่น” แมนนี่พูดขึ้นหลังจากเราได้เจอหน้ากัน โดยไม่มีคำเกลิ่นหรือคำทักทายมาก่อนเลย

       “พี่ไม่ได้หักหลังพี่ผมจริงๆ ใช่ไหม” ผมยังไม่ได้ตอบ ลมหนาวก็ถามขึ้นมาซะก่อน ผมเห็นถึงความกังวลใจของเขาอย่างชัดเจน คงเป็นห่วงพี่ชายมากสินะ

       “ฉันจะบอกในสิ่งที่บอกได้ ฉันสาบานเลยว่ามันไม่มีอะไร ฉันรักไออุ่นและไม่เคยทรยศเขาเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นถูกวางแผนไว้แล้วที่จะให้ไออุ่นไปเจอ และฉันก็โดนวางยาด้วย ตอนนั้นฉันแทบไม่มีสติ ทำทุกอย่างตามความต้องการ สติฉันกลับมาตอนฉันได้เห็นหน้าไออุ่นนั้นแหละ แต่มันยังไม่มีอะไรเกินเลย” ผมพูดในสิ่งที่ผมพูดได้โดยไม่เอ่ยชื่อ คนที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อีกคน

       “ฝีมือยัยชะนีนั้นสินะ น่าตบล้างน้ำซะจริงๆ อย่าให้ฉันเจอนะ” เจ้าตัวทำสีหน้าตั้งมั่น ที่จะทำอย่างที่พูด ก่อนจะทำหน้าคิดอะไรขึ้นได้ แล้วหันมาถามผมต่อ “แล้วทำไมไม่รีบกลับมาอธิบายละคะ ปล่อยให้ไออุ่นมันเศร้าแบบนี้ได้ยังไง”

       “ฉันไม่มีเวลาจริงๆ ฉันต้องทำทุกอย่างตามที่พวกผู้นำสั่ง อยากกลับมาแค่ไหนก็กลับไม่ได้” ผมอยากกลับมาใจแทบขาด แต่เพราะทำไม่ได้ เลยได้แต่ถามข่าวคราวผ่านไอ้โฟรค กับหมู่นายหมู่เทนแทน

       “แล้วทำไมจ่านนท์ถึงมีเวลา นี่จ่าก็มาเยี่ยมตั้งหลายครั้งเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ไออุ่นต้องไปเจอเรื่องแบบนั้น” มาดูผลงานตัวเองสิไม่ว่า ผมยังไม่อยากพูดเรื่องจ่านนท์ เพราะกลัวเขาไหวตัวทัน และอีกอย่างไอ้เด็กริวก็เป็นหลานของเขาด้วย พูดไปตอนนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดี

       “ฉันต้องเตรียมงานใหญ่”

      “งานวันเกิดไอ้พวกผู้นำซังกะบ๊วยนั้นเหรอ น่าเอาน้ำล้างเท้าใส่ในเครื่องดื่มให้พวกมันกินซะเหลือเกิน” แมนนี่พูดพร้อมยกเท้าขึ้นมาประกอบคำพูด

       “ใส่ยายพิษไม่ดีกว่าเหรอค่ะ” น้องมิวที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ เสนอความคิดขึ้นมาบ้าง ความคิดช่างไม่เข้ากับหน้าตาที่น่ารักของน้องซะเลย

       “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก คนที่ไม่รู้เรื่องจะพากันซวยไปด้วย ถ้ากระจายข่าวออกไปพวกมันก็ไหวตัวทันอีก” เราทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าจะทำต้องเหนือชั้นกว่านั้น

       “เฮ้อ...ฆ่าคนเลวทำไมมันยากจัง คนสวยเซ็ง”

       “ฉันจะไปหาไออุ่น” เวลายิ่งมีน้อยอยู่ด้วย ผมจึงรีบเดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจใครอีกเลย

       ผมเดินตามชายหาดออกมาเกือบร้อยเมตร จึงเห็นไออุ่นที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ร่มไม้ โดยมีมิดไนท์นั่งเล่นทรายอยู่ข้างๆ

       ใบหน้าที่เศร้าหมอง ดวงตาที่เศร้าสร้อยของน้องทำให้หัวใจปวดหนึบ ผมเป็นสาเหตุของความเศร้านั้นสินะ เป็นผมเองที่ทำให้ใบหน้าที่เคยมีความสุข ใบหน้าที่มีแต่ความทะเล้น ใบหน้าที่ยิ้มได้แม้เหตุการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน ผมสินะเป็นคนที่ทำให้มันหายไป

       ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ไม่มั่นใจว่าน้องจะยอมฟังผมหรือเปล่า

       “ป๊า!!!”

       เสียงมิดไนท์ดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวหันมาเจอผม พร้อมกับตัวเล็กๆ ที่วิ่งเขาหา ผมย่อตัวลงเพื่อรับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน แกกอดคอพร้อมซบหน้าลงกับบ่า และบอกคิดถึงผมมากมาย ผมก็คิดถึงแกมากเหมือนกัน ลูกชายของผม

       ไออุ่นที่ได้ยินชื่อผมหันมาอย่างตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแล้วมองเมิน ดั่งผมไม่มีตัวตนเป็นดังอากาศธาตุ เจ็บกว่าการโดนโวยวายใส่ คือการที่ผมไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาน้อง

       ได้โปรดอย่ามองเมินกันเลย ขอร้อง...

       “ไออุ่นครับ” ผมเรียกน้องด้วยความคาดหวัง หวังว่าน้องจะสนใจ สักนิดก็ยังดี

       “คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอ” ถ่อยคำที่แสนสุภาพแต่บาดลึกในใจเป็นที่สุด น้องทำเหมือนผมเป็นคนอื่น คนที่ไม่มีความสำคัญ

       “ได้โปรดฟังพี่อธิบายหน่อยนะครับ ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด พี่กับโรสไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ” ผมปล่อยน้องไนท์ลงพร้อมบอกให้เขาไปรอในบ้านเพราะมีธุระจะคุยกับมัม ดีที่น้องเป็นคนฉลาดเลยเข้าใจอะไรง่าย

       “คราฟ น้องไนท์จะไปรอในบ้าน มัมกับป๊ารีบตามมานะ น้องไนท์คิดถึง” หลังจากแจกคำหวานก็วิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในบ้านทันที

       ผมเดินเข้าไปจับมือคู่นั้นแล้วกระชับเบาๆ

       “ปล่อย!!” น้องพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุม ผมจึงปล่อยเพราะไม่อยากให้น้องโมโหตอนนี้เดี๋ยวจะพลานคุยกันไม่รู้เรื่องไปใหญ่

       “ฟังพี่หน่อยนะครับคนดี ได้โปรดให้โอกาศพี่ได้อธิบายความจริง นะครับ” น้องมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด

       “ก็ได้ผมจะยอมฟังที่คุณพูด แต่จะเชื่อไหมผมจะตัดสินใจเอง เพราะผมเชื่อในหลักฐานมากกว่าคำพูด ที่เป็นเพียงลมปาก” แค่น้องยอมฟังผมก็ดีมากแล้ว

       ผมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้น้องฟัง ทุกอย่างที่ไม่สามารถบอกกับคนอื่นได้ เพราะผมเชื่อใจหัวใจของผม ผมคุยกันอยู่เป็นครึ่งชั่วโมงก่อนจะไปประชุมกับคนของผมที่ห้องโถง โดยที่น้องไปอยู่กับมิดไนท์แล้ว



       ผมกับเหล่าทหารอีกเกือบสามสิบนาย มีทั้งคนของผมและคนของไอ้โฟรคที่มาด้วยกัน หลายคนเป็นคนที่พวกผู้นำยังไม่รู้จัก หลายคนก็เป็นหน้าเดิมๆที่เคยมาที่นี่แล้ว

       “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เวลาน้อย” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาทันทีที่เรามากันครบ

       “พวกผู้นำให้เราขึ้นไปบริการบนเรือยอร์ช ในวันเกิดของผู้กองแบล็ค เน้นย้ำว่าทุกคน”

       “เราทำหน้าที่อะไรบ้างครับ” หมู่เทนเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย

       “ทุกอย่าง เตรียมอาหาร เสริฟเครื่องดื่มอาหาร ทำความสะอาด ดูแลความเรียบร้อย จัดสถานที่ ล้างจาน และทุกๆ อย่าง” เราต้องทำทุกอย่างจริงๆ เพราะไอ้พวกผู้นำอนุญาตให้ทหารคนสนิททั้งหลายพักผ่อน ไม่ต้องทำงานอะไร ยังดีที่ไม่ใช่ทหารทั้งหมดที่หยุด ไม่งั้นเราตายๆ แน่ๆ ที่ต้องทำทุกอย่างเอง ด้วยคนจำนวนเท่านี้

       “พูดง่ายๆ เราเป็นเบ๊นั้นเอง” ไอ้โฟรคพูดขึ้น จะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก

       “แต่นั้นเป็นเพียงงานรอง เพราะฉันมีงานหลักให้ทุกคนทำ เราจะเปลี่ยนทุกอย่างด้วยมือของพวกเราเอง ต้องมีคนคิดไม่ถึงกันบ้างหละ หึหึ”

       เราประชุมกันต่อได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ ก่อนที่จ่านนท์จะโผล่มาที่บ้านของผม

       “ประชุมอะไรกันอยู่เหรอครับ” หน้าตาใสซื่อ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะหักหลังเราได้ กล่าวขึ้นมาเมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้าน

       “เรื่องงานบริการบนเรือหนะ ว่าแต่มีงานเข้ามาอีกแล้วเหรอ” ผมพูดกับเขาอย่างเป็นปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรทั้งสิ้น

       “ผู้นำสั่งให้ผมมาตามผู้กองครับ ได้ยินว่าได้ไอเดียในเรื่องอาหารเพิ่มมา เลยจะให้ผู้กองไปจัดการให้นะครับ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปที่พักได้

       “ไออุ่นเข้าใจผู้กองหรือยังครับ” จ่าถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง คนเป็นห่วงคนนี่ไม่ใช่หรือที่เป็นหนึ่งในคนจัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา

       ผมยังไม่ได้ตอบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน

       “เมื่อไหร่จะกลับ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไปอยู่กับผู้หญิงของคุณซะสิ จะมาที่นี่อีกทำไม” ไออุ่นพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ และเจ็บปวด ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วทำหน้าเศร้า

       น้องก้าวเท้ามายืนอยู่ด้านหน้าผม พร้อมยื่นบางอย่างมาให้

       “เอาของคุณคืนไป ผมไม่ต้องการ” สิ่งที่ไออุ่นยื่นให้ผมคือโทรศัพท์ ที่ชาร์ตแบทมาจนเต็มแล้ว

      จากนั้นเจ้าตัวก็เดินหนีผม ออกไปหลังบ้านทันที ผมมองตามน้องจนลับสายตา

       “โทรศัพท์ ทำไมต้องคืนให้ด้วยครับ มันใช้ไม่ได้อยู่แล้วหนิ” จ่าถามขึ้นด้วยความสงสัย เป็นใครก็สงสัยในยามที่คลื่นโทรศัพท์ล่มหมดทุกค่าย เราไม่สามารถโทรเข้าโทรออกได้ จะพกโทรศัพท์ไปทำไม

       “ในโทรศัพท์นี้มีรูปของเราอยู่ เขาคงไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว” โทรศัพท์ในตอนนี้สำหรับคนอื่นคงไร้ค่า แต่ไม่ใช่สำหรับผม ภาพทุกภาพ คลิปทุกคลิปมีความหมายกับผมมาก

       “ผมเชื่อว่า สักวันไออุ่นต้องอภัยให้ผู้กองแน่ๆครับ” ผมได้แต่พยักหน้าตอบ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้

       “ตอนเย็น ช่วยบอกให้โรสมาหาผมที่ห้องทีนะครับ ผมอยากจะขอโทษเธอเรื่องวันนั้น สงสัยผมจะเมามากไป” ผมบอกจ่าก่อนจะเดินขึ้นรถไปทำงานต่อ


+   +   +   +   +


       ตกเย็นหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็รีบมารอโรสที่ห้องเพื่อคุยกัน ผมรอไม่ถึงสิบนาทีเธอก็เข้ามา

       “จ่าบอกว่าผู้กองเรียกโรสมาเพื่อขอโทษเหรอค่ะ โรสไม่ได้โกรธผู้กองเลย ถึงแม้โรสจะเสียหายก็ตาม” เจ้าตัวทำหน้าเศร้า จนแทบจะร้องไห้เพื่อให้ผมเห็นใจ แต่ผม...

       ไม่ได้โง่

       “ฉันจะไม่พูดอะไรมากหรอกนะ ฉันจะบอกแค่ว่า ฉันไม่ได้โง่ จนดูไม่ออกว่าเธอทำอะไร”

       “โรสทำอะไรคะ โรสไม่รู้เรื่อง โรสเป็นคนเสียหายนะคะ” เธอพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ แล้วผมต้องสนเหรอ?

       “ฉันรู้ว่าฉันถูกวางยา และเธอก็มีส่วนในเรื่องนี้”

       “มากล่าวหาโรสแบบนี้ได้ยังไงค่ะ ทำไมทำกับโรสแบบนี้” เจ้าตัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถ้าใครไม่รู้เบื่องลึกเบื่องหลังของเธอคงเชื่อไปแล้ว เพราะภาพลักษณ์ที่เธอแสดงออกมา

       “ฉันถามจริงเถอะ ทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไร รักฉันจริงๆ หรือแค่จะแก้แค้นให้พ่อกับน้องที่ตายไป โกรธที่พ่อเธอโดนไออุ่นยิงตายหรือไง เรื่องนี้เธอโทษไออุ่นไม่ได้หรอกนะ เพราะพ่อเธอทำตัวเอง” ผมพูดกระตุ้นให้เธอระเบิดออกมา

       “พ่อฉันไม่สมควรตาย คนที่สมควรตายก็คือไอ้เกย์ผิดเพศนั้นต่างหาก!!! สมน้ำหน้ามันจริงๆ ตอนนี้ยังร้องไห้ไม่หยุดเลยไม่ใช่เหรอ ฮาๆๆๆ ฉันจะทำให้มันเจ็บมากกว่านี้คอยดู!!” เธอพูดเสียงดังลั่นห้องของผม พร้อมสีหน้าสะใจ

       “เธอกล้าวางยาฉันเลยเหรอ รู้ไหมไออุ่นต้องเจ็บปวดขนาดไหน” ผมเสียงดังกลับไปบ้างด้วยความโมโห

       “ก็มันโง่เชื่อเองหนิ จัดฉากนิดหน่อยก็เชื่อแล้ว ฮาๆๆ คุณก็โง่ไม่ต่างจากมันหรอก แค่โดนบางคนหรอกนิดๆ หน่อยๆ ก็ดันเชื่อ หึหึ” เธอหัวเราะอย่างสะใจ ในทุกประโยคที่เอ่ยออกมา

        “ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ” ผมไล่เธอออกไป เพราะไม่มีอะไรจะคุยกับเธอแล้ว คุยไปก็ไม่มีประโยชน์

       “หึ คิดว่าฉันอยากอยู่นักเหรอ ก็แค่คนรับใช้กระจอกๆ ฮาๆ” เธอหัวเราะเยาะผม พร้อมก้าวออกไปจากห้อง ทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

      ผมยืนอยู่นิ่งๆ กลางห้องพร้อมแสยะยิ้มมุมปากให้กับเรื่องทั้งหมด

       หึหึ


.......................
................
.........


       มาแล้วๆๆๆ เอะเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น้า....

       ถ้ามีคำผิดบอกด้วยนะคะ

พูดคุยกันได้ที่  Twitter :  Tt.looktal1993
                        #ธามไออุ่น
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่19☆ P.3☆6/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 06-03-2019 18:47:27
ตามจ้า  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่19☆ P.3☆6/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-03-2019 17:53:07
จ่านนท์ทรยศจริงหรือเปล่า? ถ้าจริงนี่ น่าเอาไปโยนให้เป็นอาหารปลาด้วยอีกคน :fire:
จะรอดูความฉิบหายของเหล่าท่านผู้นำ :katai1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่20☆ P.3☆24/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 24-03-2019 12:57:58
-  20  -


[ธาม]

       เหนื่อยงานยังพอทน แต่เหนื่อยคนมันสุดจะทนจริงๆ แต่ก็ต้องทน เพราะไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรได้ อำนาจเป็นคำที่น่ากลัว ถ้าผู้ถือมันไร้เหตุผลและจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี

       หนึ่งวันก่อนงานเริ่ม เราทำงานกันอย่างหนักจนแทบไม่ได้นอน ต้องจัดเตรียมทุกอย่างและขนมันขึ้นบนเรือ

       ตอนนี้เรากำลังจัดสถานที่บนเรือกันอย่างขะมักเขม้น เพราะอยากให้เสร็จก่อนเที่ยงจะได้มีเวลาพักผ่อน และประชุมงานกัน ของทุกอย่างเราจัดเตรียมเสร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือแค่ต้องจัดทุดอย่างให้เข้าที่เข้าทางและสวยงามที่สุด ตามคำสั่งที่ได้รับมา

       ลูกน้องคนสนิทของผู้นำ ไม่ยื่นมือเข้ามาจัดงานเลยแม้แต่น้อย พวกมันแทบไม่ขึ้นมาบนเรือด้วยซ้ำ มีแต่คนของผมที่ทำงานบนกันเรือนี้ ทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่ผมตั้งใจได้ไม่ยาก หึหึ

       พรุ่งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป โดยแขกทุกคนที่ขึ้นเรือจะได้รับการตรวจอาวุธอย่างเข้มงวดจากลูกน้องของพวกผู้นำ ไม่เว้นแม้แต่พวกผมที่เปรียบเสมือนคนงานบนเรือก็ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด

       นี่แหละทำกับคนไว้เยอะ ก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้

       หลังจากเสร็จงานเราประชุม เวลาก็เกือบห้าทุ่ม กว่าจะกลับไปพักผ่อนสักทีพลังงานชีวิตแทบไม่เหลือ พรุ่งนี้เราก็ต้องไปเตรียมพร้อมกันแต่เช้าอีก ได้เวลานอนสักที

       ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาเพราะกลัวคนที่นอนอยู่จะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ได้ยิน ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างเงียบเชียบโดยใช้ไฟจากมือถือคอยนำทาง จนมาถึงข้างเตียงที่มีร่างบางนอนหลับอยู่ พร้อมเจ้าตัวเล็ก

       กายที่ขยับลงนอนบนเตียงอย่างช้าๆ เพราะกลัวคนที่หลับไปจะตื่นขึ้นมาซะก่อน พร้อมส่งมือเข้าสวมกอดอย่างไม่แน่นนัก

       “ฝันดีนะครับ” เสียงพูดเบาๆ พร้อมริมฝีปากหนาที่ประทับลงไปที่กระหม่อมบางของคนที่คิดว่ากำลังหลับ

       “พรุ่งนี้ขอให้โชคดี” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาแผ่วเบาแต่ได้ยินชัดเจนในใจ น้องยังไม่หลับ น้องอวยพรผม

       “ไออุ่น...”

       “ไม่ต้องพูดอะไร” ผมเงียบเสียงลงทันทีทั้งที่พูดยังไม่จบประโยค ใครจะกล้าขัดใจเมียได้หละ เดี๋ยวโดนไล่ออกไปนอนนอกห้องพอดี แค่ให้นอนอยู่ข้างๆ นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าเสี่ยงขัดใจดีกว่า

       ผมไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก สิ่งที่ทำได้คือกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ให้ความอบอุ่นมันได้ถ่ายทอดไปยังหัวใจที่สร้างเกาะน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองได้ละลายลงไป มันอาจจะไม่ได้ละลายลงไปในทีเดียว แต่ผมจะค่อยๆ ละลายมันไปทีละนิด เพื่อหวังว่าสักวันมันจะหมดไป

       เช้าตรู่ที่เราเดินทางมาขึ้นเรือ เพื่อเตรียมความพร้อมทุกอย่าง ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และต่างๆ อีกมากมาย เมื่อเราเดินทางมาถึงท่าเรือ ก็มีคนมาประจำการที่บันไดทางขึ้นแล้ว ขยันกันจริงๆ นะพวกมึง ก่อนหน้านี้ไม่โผล่หัวมาช่วยงานเลยสักตัว

       “ไงไอ้พวกคนใช้ มากันแล้วเหรอ ช่วงนี้หน้าหมองราศีไม่ค่อยจับเลยนะ ฮาๆๆๆ” เสียงถากถางดังขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงทางขึ้นเรือ ไอ้โฟรคกัดฟันกร่อนอย่างอดทน ผมรู้ว่ามันคงอยากเอาทีนลูบปากพวกมันแทบตาย ซึ่งผมก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกัน

       “แหม่ๆ ทำตัวเงียบสงบเสงียมกันดีจังนะ รู้จัดหัดเจียมตัวได้อย่างนี้ก็ดี เพราะยังไงพวกมึงก็ไม่ได้สูงไปกว่านี้หรอก เผลอๆ ต่ำลงกว่าเดิมอีก ฮาๆๆ” มึงเคยได้ยินไหมว่า หัวเราะทีหลังมันดังกว่า

       “เฮ้ยๆ มึงอย่าเอาความจริงมาพูดสิวะ เดี่ยวพวกมันน้อยใจกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย เราจะเอาคนใช้ที่ไหนมารองมือรองตีนวะ” เพื่อนชั่วของมันอีกคนที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้นมาให้ทีนพวกเรากระตุก

       “จะตรวจก็ตรวจเสียเวลา” ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ เพื่อให้พวกมันปล่อยเราไป ก่อนที่ความอดทนจะหมดลงซะก่อน

       “วะๆ คนใช้อยากรีบไปทำงานเว้ย พวกมึง ฮาๆ” ผมยังแสดงสีหน้าเฉยชาอยู่ไม่ว่ามันจะพูดอะไรขึ้นมาก็ตาม เพราะแค่เสียงหมาเห่า เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจ

       เมื่อมันถากถางพวกเราอย่างพอใจแล้ว จึงเริ่มตรวจอาวุธ แล้วปล่อยพวกเราขึ้นเรือไป

       เวลาเดินมาถึงกำหนด แขกก็เริ่มทยอยขึ้นเรือมา มีทั้งวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และผู้ที่มีอายุมากแล้ว แต่เกือบทุกคนล่วนวางท่าทีถือตัว และวางอำนาจ ที่บ่งบอกว่าพวกเขาเคยเป็นคนใหญ่คนโตของบ้านเมืองมาก่อน และปัจจุบันยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง ไม่งั้นพวกผู้นำไม่เชิญมาหรอก

       เราทำอาหารเตรียมให้แขกเกือบยี่สิบคน รวมทั้งทหารคนสนิท และทหารที่อยู่ในการปกครองอีกเกือบห้าสิบชีวิต รวมแล้วบนเรือมีคนเกือบหนึ่งร้อยชีวิตได้ คนของผมก็เกือบสามสิบคนแล้ว โดยไม่รวมเหล่าผู้หญิงที่ถูกส่งขึ้นมาเป็นทาสกามของพวกมันนะ

       อาหารและเครื่องดื่มค่อยๆ ทยอยส่งเข้าไปเสริฟด้านในห้องโถงของเรือ โดยทีพวกผู้นำมีผู้ประกบติดซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันอัตราย ยกเว้นไอ้แบล็คที่มันไม่สนใจหาคนดูแล เอาแต่เดินทักทายคนอื่นไปเรื่อย

       เรือแล่นออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับสติของคนบนเรือที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน บางคนกอดจูบลูบคลำแทบจะได้กันกับผู้หญิงที่ถูกส่งมาท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยไม่มีความอายแม้แต่น้อย

       นี่มันงานรวมคนตัวคนชั่วชัดๆ


       +   +   +   +

       เวลาเดินมาถึงสองทุ่ม หลายคนเมามายแทบไม่ได้สติ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ดื่ม ส่วนมากจะเป็นทหารที่คอยดูแลพวกผู้นำ

       คงถึงเวลาแล้วสินะ

       “หมู่เทน ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง” ผมถามหมู่เทนที่เพิ่งเดินเข้ามาจากการสำรวจด้านนอก

       “มีคนเฝ้าข้างนอกประมาณ 5-6 คน ครับ” ไม่เยอะเท่าตอนแรกแล้ว

       “ด้านล่างหละ” ด่านล่างเป็นห้องพักของทุกคน โดยห้องพักของพวกผู้นำจะอยู่โซนด้านขวาสุด และเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดด้วย

       “ไอ้นายบอกว่าข้างล่างมีคนเฝ้าประมาณ 7 คนครับ แต่หน้าห้องผู้นำมีคนเฝ้าอยู่ 11 คน ด้านในเราไม่ทราบครับ เพราะพวกมันไม่อนุญาตให้เข้าไป” ระวังตัวกันมากทีเดียว แต่ยังไงเรื่องทุกอย่างต้องจบลงวันนี้

       แก็ก!!

       เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากพวกเราได้เป็นอย่างดี คนที่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้โฟรคนั่นเอง มันเข้ามาพร้อมกับรถเข็นอาหารที่คลุมด้วยผ้าสีขาว

       “ไปเสริฟห้อง VVIP มาแล้วเหรอ” ผมถามมันขึ้นด้วยความคาดหวัง หวังในอะไรบางอย่างที่ต้องการ

       “ไปมาแล้ว ได้รับทิปมาด้วย” มันพูดพร้อมเปิดผ้าคลุมออกจากรถเข็น เพื่อให้เราได้เห็นทิปที่ว่า

       “หึหึ ดีมาก หมู่นาย หมู่เทน พาคนไปจัดการพวกรอบนอกก่อน ทำทุกอย่างเงียบๆ อย่าให้พวกมันรู้ตัว เสร็จแล้วตามลงไปข้างล่าง หมู่นายเฝ้าด้านบนไว้กับลูกน้องอีกสองคนพอ” เรามีงานที่ต้องทำอีกเยอะ

       “เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครที่อยู่ข้างเรา” ไอ้โฟรคถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ว่าจะทำร้ายพันธมิตรของตนเองเข้า

       “พวกมันผูกผ้าสีชมพูไว้ บนหัว คอ หรือข้อมือ ถ้าไม่ผูกจัดการได้เลย แล้วนี่ผ้า เอาไปให้ทุกคนผูกติดไว้ด้วย เพื่อให้พวกมันรู้ว่าเราเป็นมิตร” ผมดึงกล่องใส่ผ้าสีส้มออกมาให้แจกให้ทุกคน

       “ผมขอปืนไรเฟิล" ใช่ครับทิปที่ได้รับมาคืออาวุธที่เราขนขึ้นมาก่อนวันงาน เป็นของสมนาคุณจากันพันธมิตรของเราเอง แถมยังให้ที่ซ้อนของอย่างดีอีกด้วย

       “จะเอาอะไรก็เอา แต่ต้องใช้กระบอกเก็บเสียงด้วย ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อนเราเสร็จแน่ ทุกอย่างจะผิดผลาดไม่ได้ ครั้งนี้เราเดิมพันมันด้วยชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตของเรา แต่เป็นชีวิตของทุคนในชาติ” ผมได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างไม่ผิดผลาด

       “ไอ้โฟรคพาคนไปเก็บข้างใน ด้านล่างให้เป็นหน้าที่ของพวกนั้นไป กูจะไปฝั่งขวาสุดเอง” ผมต้องจบมันด้วยตนเอง “ถ้าพวกมันรู้ตัวก่อน กันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปทางด้านหลังเรือให้หมด”

       “ระวังตัวด้วยมึง ดูท่าจะงานช้าง” ไอ้โฟรคพูดพร้อมตบบ่าผมเบาๆ

       “ไม่จำเป็นยังไม่ต้องฆ่าหละ ฉันยังมีอะไรสนุกๆ รอพวกมันอยู่”

       “ครับผู้กอง แล้วจ่านนท์หละครับ” หมู่เทนถามขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ ผมเข้าใจเขาดี เราอยู่ด้วยกันมานาน นานจนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว แต่ก็เป็นครอบครัวของเราเองไม่ใช่เหรอ ที่เอามีดมาแทงเราจากด้านหลัง

        “จับไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร ฉันยังมีเรื่องหลายอย่างอยากจะคุยกับจ่า” ผมแค่อยากจะถามเขา ถามเขาว่ากล้าหักหลังครอบครัวตัวเองได้อย่างไร หรือไม่ได้มองเราเป็นครอบครัวแต่แรกแล้ว

       “ครับ/ครับผม” ทุกคนตอบรับคำผมอย่างดี

       “ระวังตัวด้วย พวกมันไม่ได้ธรรมดาหรอกนะ หลายคนเป็นเคยฝึกในหน่วยรบพิเศษมาก่อน ดังนั้นอย่าประมาท มีสติไว้ตลอด”

        เราแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
       
        ผมและทหารอีกห้านายเดินถือถาดเครื่องดื่ม และเข็นรถอาหารด้วยท่าทางปกติ มุ่งหน้าไปทางด้านขวาสุดของเรือ ทุกคนที่เราเดินผ่านมา ไม่มีใครสงสัยหรือสนใจเรามากพอ ทุกคนต่างเมามันในรสแอลกอฮอล์และกามอารมณ์์

       เราเข็นรถเข็นเข้าไปในห้องว่างก่อนที่จะถึงโซนอันตราย ถึงจะบอกว่างานเลี้ยง แต่พวกผู้นำนั้นไม่ได้อยู่ฉลองกันคนอื่นนาน ไปแค่แปบๆ ก็หลับเข้าห้องของตน โดยพวกมันให้ผู้หญิงเข้าไปบริการมันในห้องแทน

       “รออีกสิบนาที ให้พวกข้างบนจัดการไปก่อน เพราะถ้าเราออกไปตอนนี้พวกมันรู้ตัวกันหมดแน่ เราไม่มีทางฝ่าเข้าไปโดยที่พวกมันไม่รู้ตัวได้” เพราะถึงพวกมันรู้ตัวก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะพวกด้านบนโดนจัดการไปแล้ว

       “แล้วเราจะเข้าห้องใครก่อนครับ” ทหารนายหนึ่งถามผมขึ้นมา ห้องผู้นำมีสามห้อง โดยที่เรามีคนแค่หกคนในตอนนี้

       “นายสามคนไปห้องไอ้กองทัพ ที่เหลือตามฉันไปที่ห้องผู้นำ ไอ้แบล็คมันไม่อยู่ห้อง มันอยู่ที่งานเลี้ยงด้านบน” แต่ก่อนที่เราจะไปถึงน้องนั้นเราต้องจัดการหมาเฝ้าประตูให้หมดซะก่อน

       ในที่สุดเวลาในการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลง เราค่อยๆออกไปจากห้องทีละคน ผมส่งสัญญาณมือให้นายทหารสองคนไปซุ่มโจมตีที่ด้านซ้ายมือ โดยที่ที่เหลืออยู่ด้านหน้า เพราะทางด้านขวามือเป็นกำแพงโล่งที่เราไม่สามารถหลบซ้อนได้เลย

        พวกหมาเฝ้าประตูบางส่วนกำลังนัวเนียกับผู้หญิงโดยไม่สนใจสิ่งใด มีแค่ห้าคนที่ยืนเฝ้าอย่างจริงจัง จากที่เห็นมีคนเฝ้า 11 คน

      ผมให้สัญญาณมือเพื่อเตรียมพร้อมล็อคเป้าหมาย สิ่งที่เรากำลังมอบให้พวกมันคือความตาย มันเสี่ยงเกินไปที่จะจับเป็น เพราะเรามีคนน้อยกว่าเลยต้องเลือกทางนี้ให้กับพวกมัน อโหสิกรรมให้กูด้วย กูขออโหสิกรรมให้พวกมึง

       มือผมค่อยๆยกขึ้นเพื่อให้สัญญาณ

       ยิง!!

       ฉึบ!! เสียงที่เล็ดลอกออกมาจากกระบอกเก็บเสียงไม่ได้ทำให้พวกมันรู้ตัว แต่คนที่ล่มลงไปพร้อมเลือดที่ไหลนองต่างหากที่ทำให้พวกมันรู้

       นายทหารห้านายล้มลงไปกองกับพื้น แสดงว่ามีคนนึงที่ยิงผลาด

       “หลบ!! มีคนซุ่มโจมตี ป้องกันผู้นำไว้” พวกมันตะโกนและกระโดดหาที่หลบทันที

       เราไม่รอช้ากระหน่ำยิงซ้ำทันที ทำให้คนยังไม่ทันตั่งหลักล้มไปอีกสอง ไปแล้วเจ็ด เหลืออีก 4 คนเท่านั้น

       กรีสๆๆ

       ปังๆๆ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเสียงปืนที่พวกมันยิงสวนมาดังสนั่นหวั่นไหว

       สงครามเริ่มแล้ว

       ผมพยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อให้เข้าใกล้พวกมันกว่านี้ โดยใช้สิ่งกีดขวางต่างๆ เป็นที่หลบ

       “ปัง โอ้ย!!” เสียงร้องของฝั่งผมดังขึ้นมา ไม่มีเวลาที่จะหันไปมอง ต้องจักการสิ่งที่อยู่ด้านหน้าซะก่อน

       “หมอบลงไป!!” ผมตะโกนบอกผู้หญิงที่กำลังวิ่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง

       ผมเล็งไปที่หัวของคนที่กำลังโผล่ขึ้นมายิง

       ปัง เสร็จไปอีกราย  เรายิงกันต่ออีกราวๆ สิบนาทีก็จัดการพวกมันได้หมด โดยทางเราต้องเสียนายทหารผู้กล้าไปหนึ่งคน ไม่มีเวลาแม้แต่จะเสียใจก็ต้องไปต่อ พวกกูจะกลับมารับมึงเองกูสัญญา

       “มึงสามคนไปห้องนั้น ส่วนมึงตามมา” ผมค่อยๆ บิดลูกบิดแต่มันถูกล็อคจากด้านใน ต้องใช้ปืนจัดการกับประตู กุญแจหรือจะเร็วสู้ปืน

       ผมถีบประตูเข้าไปอย่างแรง แล้วหลบออกมาด้านข้าง

       ปังๆๆ ปืนจากในห้องสาดกระสุนออกมาทันทีที่ประตูเปิดออก ดีที่ผมหลบทัน

       “คนแค่นี้ มึงคิดจะลองดีกับกูเหรอ!! กูสาบานว่าจะฆ่าพวกมึงให้หมด ไม่ว่าเด็กหรือผู้หญิง พวกมึงต้องตายทั้งหมด!!” เสียงตะโกนจากด้านในดังออกมาให้ได้ยิน น้ำเสียงเกรียวกราดบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี

       ผมไม่ได้พูดตอบกลับ แต่เลือกที่จะสาดกระสุนไปแทน คนเลวๆ แบบนั้นไม่จำเป็นต้องคุยอะไรด้วย และมันจะไม่มีโอกาศได้กลับไปทำร้ายคนที่ผมรักแน่นอน ผมจะปกป้องพวกเขาถึงแม้จะแรกด้วยชีวิตก็ตาม

       ผมดึกสลักระเบิดควันขนานเล็กออก มันเป็นที่เราหามาได้แค่สามลูก จึงต้องแจกจ่ายกันออกไป กับผมมีแค่ลูกเดียวเท่านั้นจึงต้องใช้เมื่อฉุกเฉินจริงๆ และผมว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมกับพลทหารอีกคนไม่มีทางเข้าไปด้านในได้แน่ จึงต้องหาอะไรเพื่อพลางตัวไม่ให้พวกมันมองเห็น

       แก๊กๆๆ ฟู้ๆๆ  เสียงระเบิดกลิ่งเข้าไปพร้อมปล่อยควันออกมาจนคลุ้งไปทั้งห้อง

       “ไป” ผมหันไปออกคำสั่งก่อนจะบุกเข้าไปด้านใน

       เนื่องจากน้องนี้เป็นห้องผู้นำ จึงมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และเฟอร์นิเจอร์ครบครันให้เราจับจองพื้นที่เพื่อกำบัง เราเลือกที่จะหลบหลังตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ทางเข้าที่สุด พร้องสาดกระสุนออกไปทันทีเมื่อมองเห็นเงาลางๆ ผมไม่อยากสาดกระสุนไปมั่วเพราะกลัวโดนคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงแม้พวกเธอจะเป็นหญิงขายบริการก็ตาม

       “โอ้ย!!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นมาเมื่อเราลั่นไกลออกไป

          เราต่างฝ่ายต่างกระหน่ำยิงกัน ราวสิบนาทีได้ก่อนที่ควันจะจางไป เราเริ่มมองเห็นที่ซ้อนของกันและกันได้ชัดเจน ข้างในนี้มีคนไม่ต่ำกว่าสิบคน โดนสอยร่วงไปแล้วสี่ เหลือเจ็ดคนได้ ไอ้กองทัพก็อยู่ที่นี่ด้วย มันไม่ได้อยู่ห้องของตนเอง แต่มีเสียงปืนดังมาจากทางห้องของมัน แสดงว่าลูกน้องของมันยังอยู่ที่นั้นจำนวนหนึ่ง

       ตอนนี้เหลือแต่คนที่คุ้นเคยกันแล้วสินะ ผู้นำ ไอ้กองทัพ และลูกน้องคนสนิทของพวกมัน

       “มึงหลบไม่พ้นแล้ว ควันช่วยอะไรมึงไม่ได้แล้ว มึงเตรียมตัวตายได้เลย กล้ามากที่บุกเข้ามาหาพวกกู!” เสียงไอ้กองทัพดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงกระสุน กูกล้ามากกว่านี้อีก ถ้าทำให้พวกมึงหายไปจากโลกนี้ได้

       “ออกไปได้จับน้องกับเมียมันมาเป็นกระหรี่เลยครับนาย” เสียงลูกน้องคนสนิทที่เกลียดผมเข้าไส้พูดขึ้นมาบ้าง มึงอย่าฝันว่าจะได้ทำอย่างนั้น เพราะมึงจะต้องตายอยู่ที่นี่

       ผมโผล่แขนออกไปเพื่อยิงคนที่พูด

       ปัง ปัง

       กระสุนจากผมโดนที่ท้องมันเต็มๆขณะที่กระสุนจากมันยิงโดนที่แขนของผม

       “ผู้กอง เป็นอะไรมากไหมครับ” นายทหารถามผมขึ้นอย่างร้อนรน

       “ไม่เป็นไร ทำหน้าที่ของตนเองไป” ผมตอบเขาไป พร้อมฟังเสียงโหยหวนของฝั่งนั้น ดี เจ็บปวดเข้าไป หึ

       “มึงไม่มีทางรอดหรอกธาม มึงกล้ามากที่คิดทรยศกู กูไม่ให้มึงตายดีแน่” ผู้นำตะโกนมาอย่างเดือดดาน ผมจะรอดให้ดู

       เรายิงกันต่อไปอีกราวห้านาที แต่ไม่มีฝั่งใดทำอะไรอีกฝั่งได้ แขนที่โดนยิงของผมก็เริ่มชาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่นะ ผมจะอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้

       แก๊ก!! เสียงประตูที่ผมปิดมันไว้ตอนเข้ามา ถูกเปิดออกกว้าง พร้อมด้วยร่างของคนเกือบสิบคนเดินเข้ามาด้านใน ซึ่งมันทำให้พวกเขาอยู่ด้านหลังผมโดยที่ผมไม่มีทางหลบได้เลย

       “ฮาๆๆๆ กูบอกแล้วว่ามึงไม่มีทางลอดหรอก ไอ้แบล็คมาช้านะมึง คนของกูตายไปตั้งหลายคน” ไอ้กองทัพมันเยาะเย้ยผมแล้วจึงหันไปคุยกับไอ้แบล็คอย่างผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน

       “ออกไป” ไอ้แบล็คมันสั่งผมกับนายทหารพร้อมด้วยปืนที่ชี้มาทางด้านหลังเรา เราจึงต้องจนใจยอมเดินออกจากที่ซ้อนมาในที่สุด พวกไอ้เเบล็คทุกคนยกปืนขึ้นเลง พร้อมดุนหลังให้เราเดินไปข้างหน้า ระยะทางระหว่างผมกับผู้นำน้อยลงไปทุกที

       “หึๆ เป็นหมาอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากเป็นฮีโร่ กูจะให้มึงได้เห็นว่าจุดจบของฮีโร่มันเป็นยังไง แบล็คยิงมัน” ไอ้ผู้นำมันยิ้มเยาะผมอย่างสมเพช หึหึ เดี๋ยวก็รู้

       ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับเข่าที่ทรุดลงไป และเลือดที่สาดกระเซ็น

       “มึงทำอะไรไอ้แบล็ค!!!” เสียงของผู้นำกับไอ้กองทัพแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นลูกน้องของตนทรุดลงกับพื้น

       “ก็อย่างที่เห็น” ไอ้แบล็คพูดขึ้นอย่างไม่แยแส

       “มึงทรยศพวกกู!!!” ไอ้กองทัพตะโกนขึ้นมา พร้อมร่างกายที่กำลังจะพุ่งเข้าหาไอ้แบล็ค แต่ยังไม่ทันขยับได้ถึงสองก้าวกับต้องหยุดลงกระทันหัน

         “ถ้าไม่อยากให้เป่าหัวทิ้งตอนนี้ก็หยุดซะ” ได้ผลอย่างเกินคาด

       “ไอ้เลวเอ้ย!!” ตัวมาไม่ได้ยังส่งเสียงด่ามาแทน ผิดกับผู้นำที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร แต่หน้าที่แสดงออกเห็นได้ชัดว่าโกรธและเกลียดมากเพียงใด

       “ไอ้ธามไปทำแผลเถอะ ทางนี้กูจัดการเอง” ไอ้แบล็คหันมาพูดกับผม พร้องสั่งให้ลูกน้องไปมัดผู้นำกับไอ้กองทัพไว้

       “กูอยากดูจุดจบของพวกมัน” ใครจะว่าผมเลือดเย็นก็ตามแต่ผมอยากเห็นพวกมันทรมาน ยิ่งทรมานมากเท่าไหร่ยิ่งดี

       “ยังมีเวลาอีกเยอะ อีกหนึ่งชั่วโมงนู้นเรือค่อยจะถึงฝั่ง” แขนมันก็เริ่มชามากขึ้นแล้ว จึงต้องยอมเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อทำแผลก่อน

       ทำแผลเสร็จไม่ถึงสามนาทีไอ้โฟรคก็เข้ามาพร้องกับจ่านนท์ และโรส โดยที่ทั้งสองโดนมัดมือไขว้หลังไว้ จ่าไม่มองหน้าผมเขามองไปที่พื้นตลอดเวลา

       สองเท้าค่อยๆก้าวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่ผมเคยเชื่อใจที่สุด มือที่สั่นไหวยกขึ้นบีบบ่าคนตรงหนาไว้แน่น พร้องเสียงที่เปล่งออกไปอย่างเบาหวิว สิ่งที่สงสัยอยู่ตลอดได้เอ่ยออกไปในที่สุด

       “จ่าหักหลังพวกเราได้ยังไง เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ หรือผมคิดไปเองมาตลอดว่าเราเป็นเหมือนคนในครอบครัว” ความเจ็บปวดได้สื่อไปทางสายตา แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นมองเห็นมันได้เพราะสายตาเขาไม่หลุดไปจากพื้นเลย

       “ก็พวกมึงโง่ไงหละ ฮาๆๆๆ” เสียงเล็กเหลมดังฝ่าความเงียบขึ้นมา โรสหัวเราะอย่างกับคนเสียสติเมื่อพูดจบประโยค ในขณะที่จ่าเงียบไม่ยอมตอบอะไร

       “เอาเธอออกไปขังไว้ที่อื่น”  ผมไม่อยากเห็นหน้า และได้ยินเสียงเธอแล้ว

       “ผมขอโทษ” จ่านนท์พูดขึ้นมาในที่สุด พร้อมหน้าที่ยังไม่เงยขึ้นมาสบตาใคร

       “ทำไม” โดนคนใกล้ตัวหักหลังมันเจ็บแสนสาหัส

       “ผมขอโทษที่ทำแบบนั้น เพราะเมียผมขอร้องให้ทำ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้พันกองทัพ ผมไม่อาจปฏิเสธเธอได้ ผมขอโทษ ผมขอโทษ”มีแต่เสียงขอโทษที่ดังออกมาจากปากของเขา ผมรู้ว่าเขาทำไปเพราะรักเมียเขามาก ถึงผมจะเข้าใจ แต่ก็ไม่อาจให้อภัยเขาในตอนนี้ได้

       ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินออกมาสูดอากาศที่ท้ายเรือที่กำลังมุ่งหน้าเข้าฝั่งที่จังหวัดพังงา

       “ไงมึง กูนึกว่าเสียเลือดช็อคตายไปแล้ว” ผมหันไปมองคนมาใหม่ช้าๆ

       “ข้างในเป็นไงบ้าง” ผมถามไอ้แบล็คที่กำลังเดินเข้ามาหา

       “เรียบร้อยอยู่แล้ว ฝีมือกูซะอย่าง”

       “ถ้าฝีมือดีขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการพวกมันเองตั้งแต่แรก” ผมถามขึ้นอย่างประชด สงสัยผมคงติดจากเมียมา

       “ทุกอย่างมันก็ต้องใช้เวลาไหมหละ กว่ากูจะรวบรวมคนที่ไว้ใจได้แต่ละคนแม่งโคตรยากเลย ยังต้องรอสถานะการณ์เป็นใจอีก” มันอธิบายซะยาวเหยียด

       “แล้วทำไม่มึงไม่บอกกูแต่แรกว่าจ่านนท์เป็นสายให้พวกมึง” ผมถามขึ้นอย่างสงสัย ทำไมมันไม่เตือนผมก่อน

       “ใช่ว่ากูจะรู้ทุกอย่างหรอกนะเว้ย มึงก็รู้ว่าพวกแม้งระวังตัวกันขนาดไหน กว่ากูจะทำให้พวกมันสนิทใจได้ใช้เวลาเป็นครึ่งปี ต้องคอยมองดูพวกมันทำเรื่องเลวๆ บางครั้งก็ต้องทำเลวเองด้วย เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ กูโคตรเจ็บปวดหัวใจเลย” กูรู้ว่ามึงก็ลำบาก ไม่จำเป็นต้องร่ายมาซะยาวขนาดนี้ก็ได้

       “เออๆ” หยุดร่ายเรื่องความลำบากของมึงเถอะ

       เราเลิกคุยกันเพราะต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ก่อนจะมาถึงวันนี้ได้มันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราต้องคอยวางแผน คอยหาพวก หาช่องทางในการกำจัดการกับปัญหา เรื่องที่ผมร่วมมือกับไอ้แบล็คมีแค่ ผม ไอ้แบล็ค และไอ้โฟรคสามคนเท่านั้นที่รู้

       เราค่อยๆ ดำเนินการอย่างเงียบๆ ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหาคนที่ไว้ใจได้เข้าร่วมกับเรา ต้องมั่นใจจริงๆ ถึงจะดึงคนคนนั้นเข้ามาเป็นพวกเราได้ เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย หรือจับได้ซะก่อนจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเงียบๆ ช้าๆ

       หลังจากนี้ทุกอย่างคงดีขึ้น ถึงไอ้แบล็คมันจะปากหมาไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้วผมย่อมรู้จัดมันดี


       ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงท่าเรือสักที เราต้อนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นรถที่เราเตรียมเอาไว้ แล้วมุ่งหน้าไปยังโกดังร่าง

       ประตูเหล็กที่สนิมเกาะจนทั่วถูกแงะเปิดออกโดยคนเฝ้า เราให้คนมาเตรียมที่นี่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องงานวันเกิดบนเรือยอชท์

       เราค่อยๆต้อนคนเกือบสามสิบคนผ่านเข้าไปในประตูกระจก กระจกที่กั้นเรากับพวกมันไว้เป็นกระจกที่หนามาก ทุบยังไงก็ไม่แตก นอกจากจะใช้ปืนหรือระเบิดยิงเท่านั้น

       “พวกมึงจะทำอะไร ปล่อยนะ ปล่อย!!” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นจากปากของไอ้กองทัพ คนอื่นๆ ก็เริ่มร้องโวยวายขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้น เราผลักพวกเขาเข้าไปด้านในจนสำเร็จ

       เหลือแค่ผู้นำ ไม่ใช่สิต้องเป็นอดีตผู้นำ ไอ้กองทัพ จ่านนท์ ส่วนโรสเธอโดนขังอยู่บนเรือ ไอ้แบล็คมันบอกว่ามีบทลงโทษเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับจ่านนท์ แต่ผมอยากให้เขาลงมาดูด้วยกันจึงพามาด้วย

       “พวกมึงจะทำอะไร” ในที่สุดผู้นำก็เปล่งเสียงออกมาสักที

       “ของขวัญที่เตรียมให้พวกมึงโดยเฉพาะไงหละ” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม

       “คิดจะฆ่ากูเหรอ กูไม่ยอมตายคนเดียวหรอก” คำพูดที่จบลงพร้อมร่างอ้วนลงพุงที่วิ่งเข้าหาทหารที่อยู่ใกล้สุด แล้วแย่งปืนออกมาเลงที่ผมทันที ชั่ววินาทีแห่งความตาย มือที่กำลังลั่นไกล และร่างของผมที่ถูกบังจากใครสักคน

       ปัง!!  นัดแรกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าผมทรุดลง

       ปัง!! นัดที่สอง คนที่เคยเลงปืนมาที่ผมล้มลงกับพื้น ผมเลิกสนใจผู้นำแล้วหันไปหาคนที่มารับกระสุนแทนผม

       “จ่านนท์ ทำแบบนี้ทำไม” ทำไมต้องช่วยผมด้วย ทำเพื่อผมทำไม

       “ผม อึก ขอโทษ อึก ขอโทษ ทะ ที่ทำร้าย อึก ครอบครัว ตะตัวเอง ขอโทษ” เสียงพูดของเขาค่อยๆ แผ่วลง เลือดจากหน้าอกไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจาก

       “ผมให้อภัยจ่า จ่าจะยังเป็นครอบครัวของผมเหมือนเดิม ขอบคุณนะครับพี่ชายที่ช่วยชีวิตผม ขอบคุณจริงๆ” นี่เป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ผมจะให้เขาได้

       “ฝะ ฝาก คะครอบครัวผมด้วย ถะ ถึงเขาจะเป็น ยะ ยังไง อึก ผะผมก็รักเขา อึก ฝากบอก ว่าผม อึก รักเขา” ลมหายใจที่แผวเบาลงเรื่อยๆ  จนหายไปในที่สุด ผมจะฝั่งความผิดพลาดของเขา ให้ตายไปกับเขาด้วย จ่าจะยังเป็นจ่าที่น่ารักของทุกคนตลอดไป

ถึงเวลาต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบจริงๆ แล้วสินะ เราแบกร่างผู้นำที่กำลังร้องโอดโอยจากการโดนยิงที่ช่วงท้องเข้าไปในห้องกระจก พร้อมล็อกประตูจากฝั่งเราไว้

       “ขอให้สนุกกับของขวัญที่เตรียมไว้ให้นะ กูอโหสิกรรมให้”

       “เทน ต่อไฟ” ผมหันไปสั่งหมู่เทนที่ยืนอยู่ประจำแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ สายไฟถูกต่อเข้าเพื่อเปิดประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ติดกับห้องกระจก ประตูนี้เชื่อมกับห้องโถงอีกฝั่ง เมื่อไฟถูกต่อประตูไฟฟ้าด้านในตู็กระจกก็ค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย

        แก๊กๆๆ  เสียงประตูเปิดออก พร้อมอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูออกมา

       “ซอมบี้ ปล่อยกูออกไป ปล่อยกู กูขอร้องกูจะเชื่อฟังพวกมึงทุกอย่าง ปล่อยกูเถอะนะ” สายไปแล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว รับกรรมที่ก่อเอาไว้ซะเถอะ

       ซอมบี้ตัวแล้วตัวเล่าค่อยๆผ่านประตูเข้ามากัดกินเนื้อของพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับวัคซีนทุกคนแล้วจึงไม่สามารถกลายเป็นซอมบี้ได้ ได้แต่เจ็บปวดทรมานอยู่แอย่างนั้น

       ผมไม่อยากมองภาพนั้นอีกต่อไป เลยเลือกที่จะหันหลังเดินออกมาจากโกดัง

       จบแล้วสินะ มันจบแล้วสินะ

       ถึงปัญหาทุกอย่างมันยังมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันคงไม่เลวร้ายมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากเรื่องเมียผมนะ ป่านนี้จะหายโกรธผมหรือยัง กลับไปยังจะให้ผมเข้าใกล้ไหม นี่สิน่าห่วง


       
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่20☆ P.3☆24/3/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-03-2019 15:36:40
โหย เสียดาย น่าจะให้นังโรสเป็นอาหารค่ำของพวกซอมบี้ด้วยนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที21☆ P.3☆18/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 18-04-2019 21:03:10
- 21 -

[ไออุ่น]


       ทะเลตอนกลางคืนช่างน่ากลัว ความมืดมิดที่หาทางขึ้นไม่ได้เมื่อหลงลงไปแล้ว สายลมที่หอบความเค็มเข้าปะทะใบหน้า กับความเย็นยะเยือกของน้ำยิ่งทำให้มันน่ากลัวขึ้นเป็นทวีคูณ

       สายตาที่มองเข้าไปในความมืดมิด ยิ่งทำให้จิตใจมืดมน ความกลัวเข้ากัดกินภายในจิตใจ ได้แต่คอยภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ต้องการ สายลมโปรดรับคำภาวนาของข้าที

       ผมล้มลงนอนบนผืนทราย พร้อมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งดวงดาว

       ที่นี่เป็นเหมือนที่ประจำของผมตลอดเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวัน หรือกลางคืน ความเงียบและความมืดทำให้ผมได้คิดทบทวนในหลายๆ เรื่อง หลายๆ เหตุผล และความเป็นไป

       ผมได้ทบทวนมันอย่างดีแล้ว จึงได้ยอมฟังเหตุผลของผู้กองโดยไม่บ่ายเบี่ยงอะไร ฟังเพื่อตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย ฟังเพื่อให้ใจมันมีทางเดินไป ฟังเพราะหวังลึกๆ ว่าทุกอย่างจะไม่เป็นความจริง

       ผมรู้ว่าผู้กองเป็นคนยังไง แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ใจที่หนักแน่นผมสั่นไหว และมันได้พังลงไปเมื่อได้เห็นภาพนั้น ภาพที่ยังติดตา ร่างสองร่างที่กำลังพลอดรักกันบนเตียงกว้าง ปากที่เคยจูบผม อ้อมกอดที่เป็นของผม เวลาที่เราควรมีร่วมกัน ทุกอย่างมันหายไปแล้ว หายไปอยู่ในมือของคนอื่น ตอนนั้นหัวใจผมมันเจ็บมาก เจ็บจนทนมองหน้าเขาต่อไปไม่ไหว จึงต้องหนีไปตั้งหลักก่อน

       แต่เหตุการณ์มันไม่จบเพียงแค่นั้น ความเจ็บช้ำยังเข้ามาโจมตีไม่หยุดยั้ง พวกเลวที่คิดจะข่มขืนผม ในใจภาวนาให้ผู้กองมาช่วย แต่เขาไม่มา เขาไม่ตามผมมา ถ้าไม่ได้ผู้กองแบล็คผมไม่รู้จริงๆ ว่าชิวิตจะเป็นยังไง จะยังมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกหรือเปล่า แล้วถ้ามีชีวิตอยู่ จะมีชีวิตอย่างเจ็บปวดแบบนั้นได้อย่างไร

       เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้น แต่เขาก็ไม่มา ไม่สนใจว่าผมจะเป็นอย่างไร น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อย่างไร้เสียงสะอื้นอยู่สองสามวัน ก่อนจะเริ่มมีสติแล้วคิดอะไรได้มากขึ้น

       แม้จะมีเหตุผลมากขึ้น แต่หัวใจก็ยังเจ็บปวดอยู่เช่นเดิม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนรอบข้างเป็นเหมือนยาอย่างดีที่คอยเยียวยาจิตใจ ทำให้ผมมีความกล้าที่จะฟังเหตุผลของผู้กอง

       เขาเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ปวดร้าว ระคนเสียใจ ผมได้แต่ฟังเหตุผลอย่างเงียบๆ

      แค่คำพูดมันไม่สามารถลบล้างภาพที่ผมเห็นได้หรอก มันน้อยไปที่จะซื้อความเชื่อ

       ผมเดินออกไปเอาโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตเตอรี่ไว้จนเต็มมายื่นให้ผู้กอง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมมอบให้เขาได้

       และอีกอย่างที่ผมไม่อยากจะเชื่อ และคอยภาวนาให้ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดคือเรื่องของจ่านนท์ ผมภาวนาให้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาต้องไม่ใช่คนทรยศ

       ผู้กองกลับไปพร้อมโทรศัพท์ที่ผมยื้นให้ พร้อมเล่นละครว่ายังทะเลาะกันอยู่ ซึ่งผมไม่ได้แสดงอะไรมากมายแค่ทำไปตามที่ใจต้องการ หึหึ

       ไม่กี่วันต่อมาผู้กองก็กลับมาพร้อมโทรศัพท์ที่ผมให้ไป

       มือที่กำลังกดเล่นวีดีโอสั่นไหวไม่ต่างจากจิตใจผม

       คลิปชายหญิง ที่กำลังถกเถียงโดยมีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คำสารภาพทั้งหมดพรั่งพรูออกมาจากเสียงหวานนั้นจนหมดสิ้น หัวใจที่โดนบีบรัดจนแน่นค่อยๆ คลายตัวออกทีละน้อย พร้อมจังหวะที่เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ

       เชื่อแล้ว ผมเชื่อแล้ว แต่…

       ทำไมถึงไม่ตามมา ทำไมปล่อยให้ผมโดนทำร้าย ปล่อยให้ร้องไห้เป็นอาทิตย์ โดยไม่ได้บอกหรืออธิบายอะไรเลย ได้ผมแล้วปล่อยปละละเลยไม่ยอมดูแล พูดแล้วโมโห ไม่คืนดีด้วยหรอก ซิ

       “เชื่อหรือยังว่าไม่มีอะไร พี่โดนวางยา ไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ” แววตาที่ร้อนรน กับสีหน้ากังวล มันน่าดูจริงๆ หึหึ ขอเอาคืนสักหน่อยก็แล้วกัน บังอาจปล่อยปละละเลยกันได้ ถึงตัวผมจะไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบาง แต่ครั้งแรกมันก็เจ็บมากนะ ไออุ่นคนหล่อรับไม่ได้… กระซิกๆ ปาดน้ำตา ประหนึ่งโดนขืนใจ

       ใจที่เริ่มเข้าสู่โหมดปกติก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเอง ที่มีสาระ???

       “ผมเชื่อ” เจ้าตัวเผยรอยยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด แต่คำพูดผมไม่จบแค่นี้หรอกที่รัก หึหึ

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เชื่อพี่” รอยยิ้มหวานอย่างเอาใจ ทำให้ใบหน้าที่หล่ออยู่แล้วนั้นหล่อขึ้นไปอีก มันดูสว่างไสว จนไม่อยากละสายตา แต่มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก เอ่อ ทำได้นิดหน่อยก็ได้ แต่แค่นิดหน่อยนะ นิดหน่อย

       อ้อมแขนแกร่งอ้าออกเพื่อรวบกอดร่างของผม แต่ผมเอียงหนีอ้อมกอดนั้น สร้างความไม่เข้าใจแก่เจ้าของแขนแกร่งเป็นอย่างมาก คำถามจึงถูกส่งผ่านทางสีหน้าที่ไม่เข้าใจ

       “ผมเข้าใจเรื่อนี้ แต่ใช่ว่าเรื่องอื่นผมจะเข้าใจ และพอใจ”

       “เรื่องอะไรครับ” แหมเสียงอ่อนเสียงหวานจังเลยนะ คิดว่าจะใจอ่อนเหรอฝันไปเถอะ

       “ก็เรื่องที่ได้แล้วปล่อยปละละเลย ไม่มาหา ไม่อธิบาย ไม่สนใจ ปล่อยให้เสียใจเกือบอาทิตย์โดยไม่อธิบายหรือมาสนใจเลย” ได้ทีต้องเอาให้สุด

       “พี่ขอโทษครับที่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ แล้วไม่ยอมอธิบายอะไรอีก เลยทำให้เราคิดมาก พี่ไม่ได้อยากทิ้งเราไว้แบบนั้น พี่อยากนอนกอดไออุ่นแทบตาย อยากดูแลตอนไออุ่นตื่นมา อยากให้งอแงใส่ อยากอยู่ข้างๆตลอดเวลา แต่ก็ทำไม่ได้ ขอโทษนะครับ และขอโทษที่ปล่อยให้เราเจอเรื่องร้ายๆ โดยไม่ได้ไปช่วย แต่พี่สัญญาว่าจะจัดการกับพวกที่มายุ่งกับไออุ่นอย่างสาสมแน่นอน”

       ท่าทางเก้ๆกังๆในการอธิบายที่ยืดยาวนี้ก็น่าเอ็นดูเหมือนกันนะ เฮ้ย! ไม่ได้ จะใจอ่อนตอนนี้ไม่ได้ ฮึบไว้ไออุ่น ฮึบไว้

       “ไม่รู้แหละผมเสียใจและเสียความรู้สึกมาก มากๆ”

       “แล้วพี่ต้องทำยังไงล่ะครับ ไออุ่นถึงจะใจอ่อนยกโทษให้” เสียงอ่อนโยนพร้อมใบหน้าที่พยายามจะอ้อนนั่นมันอะไร สีหน้าอ้อนๆ แบบไม่มั่นใจนั้นมัน…น่ารักดีนะ

       “ไม่รู้ คิดเองสิ โตแล้วก็ต้องให้บอกด้วย” แค่ง้อน่ะ เข้าใจไหม แค่ง้อกันบ่อยๆ ก็หายแล้ว


       +   +   +

       วันนี้เป็นคืนวันก่อนที่เรือยอชต์จะล่องไปกลางทะเล ผมรู้แผนการที่ทุกคนคิดจะทำ ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ถึงบางครั้งมันก็อยากจะห้ามเพราะกลัวการสูญเสียก็ตาม

     กลางดึกผมรับรู้ถึงวงแขนหนักที่พาดลงมาที่เอว ทำให้ผมที่ยังไม่หลับสนิทรู้สึกตัวขึ้นมาได้ยินประโยคที่เอื้อนเอ่ย จึงรู้ว่าคนที่กำลังกอดตอนนี้เป็นใคร

       “ฝันดีนะครับ”

       “พรุ่งนี้ขอให้โชคดี” ผมตอบกลับเบาๆ ตามความง่วง

      “ไออุ่น…” น้ำเสียงที่เริงร่าทำให้ผมต้องหยุดคำพูดของเขาเอาไว้ก่อน

       “ไม่ต้องพูดอะไร” เขาเงียบหลังจากผมพูดจบ ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลา รอให้เรื่องทุกอย่างจบแล้ว ผมจะพิจารณาโทษอีกที ผมอยากให้เขาโฟกัสแค่เรื่องที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ก่อน

       ผมรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น ให้ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นจากคนข้างกาย ผมไม่ได้ห้ามปรามอะไร ปล่อยให้ผู้กองทำในสิ่งที่เขาต้องการไป

       ขอให้วันพรุ่งนี้ทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดีเถิด ขอให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้ผู้กองปลอดภัย สาธุ...

+   +   +


       การรอคอยนั้นแสนทรมาน เราเดิมพันทุกสิ่งอย่างไว้ในครั้งนี้ ถ้าผลมันออกมาสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ เรื่องเลวร้ายทุกอย่าง เอ่อ…นอกจากเรื่องซอมบี้น่ะนะ จะจบลงทันที แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง พวกเราก็จบเช่นกัน

       ตอนนี้เวลา 0.45น. เรากำลังกางเต็นท์อยู่ที่ท่าเรือร้างเพื่อเตรียมตัวหลบหนีเผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงต้องเตียมหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า

       ได้แต่ภาวนาอย่าให้เราได้หนีเลย ถ้าเราได้หนีนั้นก็แสดงว่าทุกอย่างล้มเหลว ผมไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น

       ลมทะเลที่ประทะเข้ากับเต็นท์ทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดเจ้าตัวเล็ก เพราะกลัวเขาจะตื่นขึ้นมากลางดึก เต็นท์ที่เรานอนเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ที่สามารถนอนรวมกันได้หมด ทั้งผม ลมหนาว น้องมิว ไอ้ริว และเจ้าตัวเล็กมิดไนท์  โดยมีเต็นท์เล็กของพี่ทหารอีกสองคนกางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นทหารที่ผู้กองให้อยู่ดูแลเรา

       “ยังไม่หลับอีกเหรอ” เสียงแหบเบาๆ ของแมนนี่ดังขึ้นมาในความมืด

       “อืม นอนไม่หลับ” ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้จริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้

       “เป็นห่วงผู้กองเหรอ” เสียงเดิมดั่งขึ้นอีกครั้งในความมืดมิด พร้อมน้ำเสียงที่ล้อเลียนหน่อยๆ

       “เป็นห่วงทุกคนนั้นแหละ” เรื่องอะไรจะยอมรับ แล้วผมก็ไม่ได้โกหกด้วยนะ ผมห่วงทุกคนจริงๆ ถึงจะห่วงผู้กองมากกว่าคนอื่นก็ตาม แต่ผมจะไม่พูดออกไปให้โดนล้อแน่นอน

       “แล้วแต่มึงเถอะ แต่อย่าเล่นตัวให้มันมากนักล่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ดังนั้นอะไรที่เราทำแล้วมันมีความสุขก็ทำเถอะ อะไรปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยๆ ไปบ้าง”

       “วาว!! มีสาระด้วยว่ะ ไม่น่าเชื่อ” ยากมากที่มันจะพูดอะไรดีๆ มีสาระออกมาแบบนี้ อยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆ นี่เพื่อนผมๆ

       “กูก็มีสาระตลอดเหอะ”

       “เหรอ!!” มีสาระมาก!! พูดแบบมองบน แต่ดันลืมว่ามันมืด

       “เออ!” เรื่องเลยจบลงซะนี่แล

       “มึงว่าทุกคนจะเป็นยังไงบ้าง” เสียงที่เพิ่งเงียบไปไม่นานเอ่ยผ่านความมืดขึ้นมาอีกครั้ง

       “ทุกคนต้องปลอดภัย เรื่องทุกอย่างจะต้องจบ” ผมภาวนาทุกวินาทีให้มันเป็นแบบนั้น ให้ทุกคนปลอดภัย

       “ใช่ทุกคนต้องปลอดภัย เรื่องมันจะจบลงด้วยดี” แม้เราจะห่วงมากแค่ไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็มีแต่การปลอบใจตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวทุกคน

       “มัม งือ… คุย ราย…” เสียงยานคางดังขึ้นมาจากอ้อมกอดผม ทำให้เราต้องหยุดบทสนทนาทั้งหมดทันที

       “ขอโทษครับ นอนต่อเถอะ” ผมบอกเสียงเบาๆ พร้อมลูบหลังเจ้าตัวเล็กไปด้วย

       “งือ…” แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ผมไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก เพราะไม่อยากรบกวนการนอนน้องๆ

       แต่ความเงียบก็ไม่สามารถทำให้ผมหลับได้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ตอนนี้กี่โมงแล้ว จะตีสาม หรือตีสี่ก็ไม่แน่ใจที่ความง่วงเข้ามาทักทาย ทำให้ผมได้หลับไป สมองที่กำลังหนักอึ้งค่อยๆ เบาลงๆ จนเลือนหายไปพร้อมสติของผม เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา ทิ้งปัญหาไว้ให้เป็นเรื่องอนาคต…
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่21☆ P.3☆18/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 18-04-2019 21:05:35
       “ไออุ่น ไออุ่น อุ่นครับ ตื่นได้แล้ว เช้าแล้ว ตื่นเถอะคนดี” งือ เสียงอะไร คนจะนอน ง่วง!!

       “ฮือ…จะนอน…” คนจะนอน เสียงดังทำไม

       “ถ้าจะนอนต่อก็ตื่นมากินข้าวเช้าก่อนครับ ค่อยนอน” ไม่กงไม่กินอะไรทั้งนั้น…

       “จะนอน!” ใครมันช่างกล้ามารบกวนการนอนของผม เดี๋ยวปั๊ดยิงธนูปักหัวซะเลย

       “จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ” อือ… อะไรร้อนๆ นุ่มๆ มาแตะที่หน้าอะ งือ… มันไม่ยอมหยุดเลย

       “จุ๊บ” ฮือ มดกัดปาก เจ็บ

       “เจ็บ” พูดทั้งที่ตายังหลับอยู่ ไม่อยากลืมตามาสู้แสงเลยจริงๆ

       “พี่ขบเบาๆ เอง จุ๊บ ตื่นเถอะครับ ไม่ตื่นระวังโดนลักหลับนะ” หืม?

       ผมกระเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทั้งที่สมองยังประมวลเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เหมือนจะทำไปตามสัญชาตญาณ

       “ลักตอนตื่นไม่ได้เหรอ” พร้อมปากที่โพลงออกไปแบบไม่ได้กลั่นกรอง และเมื่อสติกำลังกลับเข้ามา ทำให้ผมรู้ว่า

       ผมพูดเชี่ยอะไรไปเนี่ย โคตรอ้อยเลย น่าอายจริงๆ

       “เอาแบบนั้นเหรอ มันจะดีนะ” หือ ผมว่าประโยคหลังมันแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อะไรคือมันจะดีนะ

       แล้วผมก็รู้สึกว่าจะลืมอะไรไปสักอย่างนะ หันไปมองรอบๆ เต็นท์ ก็สบเข้ากับนัยตาของคนที่ผมคิดเรื่องเขาเกือบทั้งคืน

       “ผู้กอง” แขนผมอ้าเข้าไปรวบคนตัวโตเข้าไว้ในอ้อมแขนทันที ไม่รู้ว่าที่ทำไปเพราะสติมีน้อย หรือเพราะความเป็นห่วงกันแน่ “เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

       “ไม่ครับ พี่ปลอดภัยดี ไม่เจ็บตรงไหนเลย” เสียงพูดมาพร้อมกับแรงกอดที่อบอุ่น

       “จริงนะ” ผมถามย้ำ และเริ่มสำรวจตัวเขาเป็นครั้งแรก หน้าตาที่หล่อเข้ม แต้มด้วยริ้วรอยแห่งความเหนื่อยล้า เขาทำงานหนักมากจริงๆ อย่างนี้ผมจะโกรธเขาต่อได้ยังไงกัน

       “ครับผม พี่จะหลอกเราทำไมกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างแตกต่างจากวันแรกที่เจอกัน จากน้ำเสียงแข็งกระด้าง กลับอ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกัน เวลาไม่นานทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ใช่แค่ผู้กองที่เปลี่ยนแต่รวมถึงผมด้วย

       ผมเขินวะ งือ…ความหล่อแมนแฮนซั่มของผมลดลง เพราะผู้กองเนี่ยแหละ ไออุ่นแทบรับตัวเองไม่ได้ กระซิกๆ

       “แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม คะ ครับ” แล้วผมจะตะกุกตะกักทำไมเนี่ย โอ้ยยอยากเอาปากไถดิน

       “ทุกอย่างมันจบแล้ว มันจบแล้วจริงๆ แต่…” ผู้กองเล่าทุกเรื่องให้ฟัง รวมทั้งเรื่องจ่านนท์ด้วย ถึงจะไม่ชอบที่จ่านนท์ทำ แต่ผมก็อดเสียใจเรื่องที่แกจากไปไม่ได้

       ผมขออโหสิกรรมให้จ่านะครับ ในทุกสิ่งที่จ่าทำลงไป ผมอภัยให้…

       ความคิดผมกลับมาสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน เพราะมือหนาที่กำลังดึงมือผมไปกุมไว้อยู่ตอนนี้ พร้อมมองผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง แต่อ่อนโยน และขอร้อง ขอร้องเรื่องอะไรกัน

       “ไออุ่น พี่รู้ว่าพี่ทำหลายอย่างผิดผลาดไป พี่ไม่ได้อยากจะแก้ตัวให้ตนเองดูดีขึ้น แต่พี่อยากบอกว่าขอโทษนะครับ เพราะพี่ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบกับใคร วันๆ อยู่แต่กับการฝึกและเพื่อนฝูง จบมาแล้วก็ทำงานอย่างจริงจัง ประสบการณ์เรื่องความรักแทบเป็นศูนย์ อะไรที่พี่ทำไม่ดี อุ่นบอกและเตือนพี่ได้ เราจะเรียนรู้เรื่องรักไปได้ด้วยกัน ขอโทษที่ปล่อยปละละเลย ขอโทษครับที่ไม่ได้ดูแล ให้อภัยกันเถอะนะ สัญญาว่าจะทำให้ดีขึ้น จะไม่ทำให้ใบหน้าที่มีความสุขนี้เปื้อนน้ำตาอีกแล้ว รักนะครับ”

       นี่ผมจะซึ่งหรือเขินก่อนดีครับ งือ… ยอมแล้ว แพ้แล้ว ไม่คิดว่าคำพูดที่ออกจากใบหน้าคมนิ่งนั่น จะเขย่าหัวใจผมได้ขนาดนี้ แพ้ราบคาบ แทบละลายเหมือนก้อนน้ำแข็งกลางแดดเดือนเมษายนเลย อยากติดแฮชแท็ก #ผู้กองเปลี่ยนไป #ผู้กองแสนเย็นชาหายไปใน #กูเขินงือ

        “ผมให้อภัย” ใครมันจะทนใจแข็งต่อได้หละ งือ อยากละลายไหลลงท่อระบายน้ำไป ไม่กล้ามองหน้าเลยตอนนี้ เขิน… RIP ความแมนตู

       “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ พี่สัญญาจะไม่ทำให้เสียใจอีก” ไม่พูดเปล่ารวบตัวผมเข้าไปกอดซะแน่นเลย แล้วไอ้คำว่าพี่มันจี้ใจไอ้อุ่นจริงๆ ใครมีการ์ดป้องกันความเขินไหมส่งมาให้ที จะตายอยู่แล้ว

       “ทำให้ได้ด้วย” ผมพูดทั้งที่หน้ายังซบอยู่ที่ไหล่ผู้กอง ใครมันจะกล้าเอาหน้าแดงก่ำนั้นออกมาโชว์ล่ะ ถึงท่าทางจะดูบ้า แต่พี่ก็หน้าบางนะน้อง งือ…

       “ครับที่รัก” แม่งนี่กะไม่ให้หัวใจผมหยุดพักเลยใช่ไหม โอ้ย มุด มุด ผมต้องมุดหนีไปจากตรงนี้

       “อุ่นมุดเสื้อพี่ทำไมครับ” ยังมีหน้ามาถามอีก ทำตูเขินซะขนาดนี้ ไม่โดดลงทะเลก็ดีแค่ไหนแล้ว

       “หยุดพูดเลย!! งือ…”  ไออุ่นจะไม่ทนต่อบรรยากาศความหวานชมพูอมม่วงนี้

       “ทำไมหน้าแดงจัง เขินเหรอครับ” ยังมีหน้ามายิ้มอบอุ่นให้อีก ดูสิยิ้มแล้วดูหล่อขนาดไหน ไม่!!!

       “บอกให้หยุดพูดไง!!  เขินจะตายอยู่แล้ว!” มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกไม่เขิน คงไม่มีใครเชื่อ งั้นยอมรับไปเลยแล้วกัน แมนพอ

       “โอเคๆ ไม่พูดแล้วๆ” จุ๊บ จุ๊บ ไม่พูดแต่จุ๊บแก้มแทนเนี่ยนะ จ้า ช่วยได้มากเลย ไม่เขินมากขึ้นเล๊ย ไม่เลยจริงจริ๊ง

       “ทุกคนไปไหนหมด” ณ จุดๆนี้ เปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่า แต่เอ๋!! แล้วเป็นไงมาไงตอนนี้ผมถึงมานั่งอยู่บนตักผู้กองได้

       พยายามกระเถิบตูดลงไปนั่งที่พื้น แต่โดนอ้อมแขนแกร่งรั่งเอาไว้  นี่แขนหรือเหล็กกันแน่ แทบไม่กระดิกเลยตัวผม

      “กลับไปบ้านหมดแล้วครับ พี่รอเราตื่นอยู่” ผมขี้เซาขนาดนี้เลยเหรอ ทุกคนกลับบ้านหมด ผมยังนอนไม่รู้เรื่องเลย ซอมบี้มาคงตายก่อนเพื่อน

       “แล้วเมื่อไหร่จะปล่อย จะได้เก็บของกลับบ้าน” ไม่หนักบ้างหรือไง ตัวผมก็ไม่ใช่เบาๆ นะ

       “ไม่อยากปล่อยเลย กอดอยู่แบบนี้ตลอดไม่ได้เหรอ” แม่ง ซอมบี้กินผู้กองแสนเย็นชาตูเข้าไปแน่ๆ เลย แล้วไอ้แววตาแพรวพราวนั้นคืออะไร หมั่นไส้กัดคอซะเลย

       “โอ้ย!! เจ็บๆๆ” แหม่ กัดแค่เบาๆ ทำเป็นเล่นใหญ่ กัดอีกซักทีดีไหม

       “ปล่อยเลย รีบเก็บของกลับบ้าน ป่านนี้ทุกคนคงตกใจเรื่องจ่านนท์กันหมดแล้ว เด็กๆ คงเสียใจกันมาก” สำหรับเด็กๆ จ่านนท์ยังเป็นคนเดิมของพวกเขา เรื่องต่างๆ เราเลือกที่จะปิดเอาไว้ ให้เขารู้แต่เรื่องที่ดีๆ จะดีกว่า

       “ได้ครับ ออกไปรอข้างนอกนะ เดี๋ยวเก็บให้เอง” อือหือเอาใจจนรู้สึกว่าตัวเองสวย ผมของผมยาวถึงเชียงใหม่หรือยัง สะบัดผมสวยๆ เอ๋ มันใช่เหรอ

       “ไม่เอา เก็บด้วยกันนี่แหละจะได้เสร็จเร็วๆ” นี่ไออุ่นคนแมนเองครับทุกคน เมื่อกี่เป็นแค่ภาพลวงตา

       เราช่วยกันเก็บของ เก็บเต็นท์แล้วรีบกลับไปที่บ้านทันที ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่ตัวบ้าน บรรยากาศความโศกเศร้าก็ตีเข้ามาทันที โดยเฉพาะไอ้น้องริวที่ร้องไห้ไม่หยุดจนหมวดโฟรคต้องปลอบโยนอยู่นาน

       เราตกลงจะจัดงานศพที่วัดตามพิธีกรรมทางศาสนา มีพระที่วัดมาสวด และเผาในวันต่อมา ดีที่วัดยังมีพระอยู่ แต่จะให้จัดงานสวดหลายวันคงไม่สะดวกเท่าไหร่

       งานศพส่วนมากจะมีแต่พวกเรากันเอง มีเพิ่มมาคือเมียของจ่า แต่ดูเธอจะเกลียดพวกเรามาก ก็แน่ล่ะเธอเป็นญาติกับอดีตผู้นำหนิ ขนาดไอ้น้องริวเป็นหลานสามีของเธอ เธอยังไม่สนใจเลย ทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากันซะอย่างนั้น

       หลังจบงานศพก็ถึงเวลาที่ต้องเคลียร์เรื่องต่างๆ เรากำลังประชุมกันที่บ้านผู้นำคนใหม่ ผมไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขาตั้งแต่ที่เขาช่วยผมในวันนั้นแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ด่าในใจซะป่นปี้เลย แหะๆ แต่ก็สมควรแหละ ตอนนั้นใครใช้ให้ปากสุนัขล่ะ

       ในห้องมีทหารเกือบร้อยนาย มีผู้นำนั่งอยู่ข้างหน้าบนเวทียกสูง ยังกับมาอบรมแหนะ ถ้าไม่ติดว่าคนที่นั่งเป็นจุดศูนย์กลางหน้ากวนทีนน่ะนะ

       “ฉันเป็นผู้นำคนใหม่ คนเก่าก็ตามนั้นแหละ ตายห่าไปแล้ว” อือหือ…ยังปากสุนัขเหมือนเดิม “สิ่งแรกที่เราต้องทำตอนนี้คือนำเสบียงไปแจกจ่าย เหลือสำรองไว้แค่ 10% เราจะไม่ใช่แค่ไปแจก แต่เราต้องไปให้ความรู้เรื่องการปลูกผักสวนครัวด้วย ให้ชาวบ้านได้รู้จักช่วยเหลือตนเอง มากกว่ารอความช่วยเหลือ ส่วนอาหารทะเลที่ได้มาแต่ละวันแบ่งให้ชาวบ้าน 90%” โอเค พูดดี จะลืมๆ เรื่องปากสุนัขไปก็แล้วกัน

       “วัคซีน แจกให้ทุกคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น ทหาร คนงานทำไร่ และอาสาที่ดูแลตามค่ายต่างๆ ผู้กองธามจะเป็นผู้นำในแผ่นดินใหญ่ ดูแลและตัดสินใจทุกอย่าง” ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นใหม่ ได้แต่หวังว่าจะไม่ดีแตกตอนท้ายนะ

       แล้วพวกเขาก็ประชุมกันต่อในเรื่องต่างๆ ทั้งอาวุธ ยารักษาโรค เรื่องนมเด็ก การให้กำเนิดในสภาวการณ์ที่เลวร้ายนี้ และอีกมากมาย ผมแทบหลับ แต่ไม่ได้ๆ เราจะหลับในที่ประชุมไม่ได้ มันไม่ดี

       เรามีแผลนจะกลับกาญจนบุรีในวันพรุ่งนี้ เพราะมันเลยกำหนดการมาเยอะแล้ว เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งเรื่องการขยายพื้นที่เพาะปลูก การส่งเสบียงให้แต่ละค่าย และอีกมาก แค่คิดก็เหนื่อยแทน

       วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่ เราทุกคนจึงเลือกที่จะออกไปช่วยทหารแจกของและให้ความรู้เรื่องปลูกพืชผักแก่ชาวบ้าน เป็นไง เป็นคนดีใช่ไหมล่ะ  ทั้งหล่อ ทั้งดี ผมรักตัวเองจัง แต่งงานกับตัวเองได้ไหมเนี่ย

       “ทำหน้าบ้าบออะไรของแกยะ ฝันกลางวันหรือไง” เสียงมารก็เข้ามาแทรกคนดีๆ ที่กำลังชื่นชมตัวเองอยู่ มารร้ายซะด้วย

       “กูกำลังชื่นชมความดีของตัวเองอยู่เว้ย” แล้วก็โดนมารมาขัดความความคิดอยู่นี่ไง

       “ช่างกล้าพูด ไม่อายปากเลยนะยะ” ไม่พูดเปล่ายังเบะปากใส่อีก แล้วทำไมต้องอาย ก็ผมเป็นคนดีที่น่าชื่นชม จริงไหมครับ

       
       “มัมครับ ดูน้องหมาสิ เหมือนข้าวเจ้า ข้าวเหนียวเลย” เสียงใสของเจ้าตัวเล็กเข้ามาขัดจังหวะเราเข้าซะก่อน พร้อมนิ้วที่ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่ง ขณะที่เรากำลังนั่งรถที่วิ่งช้าๆ เพื่อแจกจ่ายของ

       “เหมือนจริงด้วย” แต่ผอมไปนิด คงได้กินน้อยมากสิท่า น่าสงสาร

       “เราเข้าไปเล่นกับมันได้ไหมคราฟ” ตาใสแจ๋วจ่องมาอย่างอ้อนวอน แล้วผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงกัน

       “ครับ แต่เราค่อยเข้าไปด้วยกันเนาะ ไปแจกบ้านหลังนั้นก่อน ค่อยมาหลังนี้” ผมไม่อยากให้เขาเข้าไปเอง ถึงหมาจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่เราระวังไว้ดีกว่า

       “ปล่อยให้หมู่นาย หมู่เทน กับแมนนี่ไปแจกหลังนั้นเถอะ เราไปหลังนี้เลยก็ได้” ผู้กองที่เพิ่งออกจากบ้านด้านหลังมาคงเดินมาได้ยินที่คุยกันพอดี แต่แหม ตามใจกันเกิน… มิดไนท์พูดอะไรขึ้นมาผู้กองแทบไม่ขัดใจเลย ตามใจกันมาก โตขึ้นจะเป็นคนเอาแต่ใจไหมเนี่ย

       “ป๊า อยากเล่นกับน้องหมา” นั้นกอดขาหมับเข้าให้พร้อมสงสายตาออดอ้อน ตามใจกันแน่ๆ หมอลักขโมยฟันธง

       “ได้สิครับ เดี๋ยวป๊าพาไป” นั้นไง ทายแม่นขนาดนี้ไปเปิดสำนักทายหวยคงจะรุ่ง เอ่อ แต่ตอนนี้มันไม่มีหวยขายนี่หว่า จบๆ กับเรื่องนี้

       ผมเดินตามสองพ่อลูกเข้าไปในบ้านหลังนั้น พูดว่าสองพ่อลูก แล้วมันจักจี้ที่ใจยังไงไม่รู้

       นั่งเล่นกับหมาอย่างเพลิดเพลินเลยนะ นี่ไม่คิดจะเรียกเจ้าของบ้านเลยเหรอ ยอมใจจริงๆ

       “แงๆๆ” อยู่ดีๆ เสียงเด็กร้องก็ดังขึ้นมาจากในบ้าน ร้องอย่างจริงจังมาก ได้ยินแล้วน่าสงสาร

       “ขอโทษนะครับมีใครอยู่ไหม!” ผมตะโกนเข้าไปด้านใน เพื่อเรียกเจ้าของบ้านให้รู้ว่าเรามาหา

       แกรก!!…แอ๊ด...เสียงเปิดประตู พร้อมกับผู้หญิงวัย 40-50 กำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมกอด

       “มาทำอะไรกันเยอะแยะ” คำแรกที่ถูกทักทายจากผู้หญิงคนนี้

       “เราเอาเสบียงมาส่ง น้องผมเลยอย่างเล่นกับหมาน่ะครับ” ผมตอบกลับอย่างสุภาพ ถึงใจจะสถุนก็ตาม

       “ไม่เคยเห็นหน้าเลยทหารใหม่เหรอ” เธอถามผู้กองด้วยหน้าตาที่สงสัย ในขณะที่เด็กยังร้องไห้ไม่หยุด

       “เด็กเป็นอะไร ทำไมร้องไห้ไม่หยุด” ผู้กองถามกลับแทนที่จะตอบคำถามที่โดนป้าแกถามมา

      เด็กตัวน้อย ผิวขาว ตาโต หน้าตาน่ารัก แต่ค่อนข้างผอม ดูอายุแล้วน่าจะประมาณ 6-8 เดือน ร้องไห้ไม่หยุดจนตัวแดงไปหมด เห็นแล้วน่าสงสาร

       “เด็กหิวน่ะ” เธอตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบตึง อย่างไม่สบอารมณ์ เหมือนรำคาญเด็กมาก

       มันยังไงกันแน่ ผมว่ามันเริ่มไม่ปกติแล้วนะ

       “ทำไมไม่ป้อนนม” ผู้กองพูดขึ้นอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่สายตาเป็นห่วงเด็กอย่างเห็นได้ชัด

       “จะเอานมที่ไหนหละ ข้าวยังไม่มีจะกิน” เธอทำสีหน้าเหมือนเราพูดไม่รู้จักคิด ผมก็เข้าใจว่าหานมผงคงไม่ได้ แต่ที่ผู้กองบอกหมายถึงนมแม่ต่างหากล่ะ ดูสิเด็กก็ร้องไม่หยุดเลย

       “หมายถึงนมแม่” เห็นไหมผู้กองคิดแบบที่ผมคิดเลย

       “แม่มันตายได้สองสัปดาห์แล้ว จะให้ดูดนมศพรึไง” ป้าช่างวาจาวอนทีนจริงๆ ถ้าแมนนี่มาด้วยคงสนุกพิลึก ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ถ้าคนอื่นมองคงเห็นแค่ใบหน้าเรียบนิ่งไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่กับผม ผมมองออกว่าผู้กองกำลังอดทนอยู่

       “แล้วเด็กกินอะไร” ผู้กองจะตบะแตกตอนไหนวะเนี่ย แล้วไอ้ตัวเล็กของเราก็เล่นกับหมาเพลินไม่ได้สนใจใครเลย

       “มีอะไรกินก็กิน” อือหือ ได้ยินแล้วปวดใจ เด็กตัวแค่นี้เอง ทำไมต้องมาทนกลับความเลวร้ายนี้ด้วย

       “เลี้ยงเขาดีๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอครับ” ผมทนไม่ได้จริงๆ ขอพูดหน่อยเถอะ

       “เลี้ยงให้ก็บุญแค่ไหนแล้ว กะอีแค่ลูกของผู้หญิงที่โดนผัวญี่ปุ่นทิ้ง แล้วใจเสาะตรอมใจตาย ทำไมฉันจะต้องลงทุนขนาดนั้นด้วย” โอ้โหมันปวดแป๊ปที่หัวใจ กับถ้อยคำที่ได้ยิน

       “แต่นั้นแค่เด็กเองนะ เด็กตัวเล็กๆ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” ไม่รู้จะพูดภาษาไหนกับแกดีถึงจะเข้าใจ

       “ไม่พอใจเหรอ เอาไปเลี้ยงเองไหม ฉันก็รำคาญเต็มทนแล้ว” เธอพูดขึ้นอย่างไร้เยื่อใย แสดงออกว่าต้องการกำจัดน้องออกจากชีวิตอย่างชัดเจน

       “อุ่น” อะไรคือการหันมามองอย่างอ้อนวอน ต้องการอะไรไม่ทราบคุณผู้กอง

       “อะไรครับ”

       “รับเลี้ยงเด็กคนนี้เถอะ” อ๋อ อยากรับดูแลเด็กคนนี้ อยากรับก็รับสิจะถามผมทำไมกัน

       “ผู้กองอยากดูแลเด็กคนนี้ ก็ตามใจผู้กองเลย” ถามผมทำไม

       “ไม่ได้หมายถึงฉันดูแล”

       “อ่าว!” ไม่ได้ดูแลแล้วถามทำไม จะเอายังไงกันแน่

       “แต่หมายถึง เรา ช่วยกันดูแลเด็กคนนี้เหมือนลูกเราอีกคนเถอะ ให้เขามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา ฉันสงสารเขา เขาไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้” แล้วผมไปเป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้กองได้ยังไงละเนี่ย แล้วทำไมใจผมต้องสั่นไหวด้วย งือ…

       “ก็ได้ครับ” แค่เด็กคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ แล้วอีกอย่างน้องน่ารัก และน่าสงสารมาก


+    +     +     +

       ‘คำว่าก็ได้’ ของผมส่งผลให้ตอนนี้มีเด็กผู้หญิงน่ารัก อายุ 8 เดือน กำลังอยู่ในอ้อมแขนตอนนี้ในบ้านริมหาด

       ทุกคนดูจะหลงรักน้อง ‘ไอรัก’ เหลือเกิน โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ที่เห่อน้องมากๆ ดีใจที่ตัวเองได้เป็นพี่ และมีน้องให้ดูแล รองลงมาคงเป็นผู้กองที่เป็นคนตั้งชื่อให้ แถมยังแทนตัวเองว่าปะป๊า กับไอรักด้วย ไอ้แทนตัวเองว่าปะป๊าไม่เท่าไหร่ แต่การที่ให้ไอรักเรียกผมว่า มัม มันคืออะไร ผมเป็นผู้ชายนะ!! ถึงจะมีสามีก็ตาม แคกๆ ไม่รู้อะไรติดคอ เมื่อกี่ผมพูดว่าอะไรนะ แหะๆ

       แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้ภาพครอบครัวมันเด่นชัดขึ้น รู้สึกใจเต้นแปลกๆ อีกแล้ว หรือผมเป็นโรคหัวใจวะ ใช่แน่ๆ ต้องไปหาหมอ!!

       แต่การเลี้ยงเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผ่านมาแค่วันเดียวก็แทบตาย นี่ยังต้องเดินทางกลับในวันนี้อีก คงร้องไห้ไม่หยุดแน่เลย

       ตอนนี้ผมกำลังแต่งตัวให้หนูน้อยไอรัก เนื่องจากเสื้อผ้าที่เรามีไม่มาก จึงไม่มีตัวเลือกมากนัก ใส่เท่าที่มีให้ใส่ เก่าหน่อยแต่ยังใช้ได้

       “แต่งตัวเสร็จรึยัง” ยักปักหลักเดินเข้ามาในห้อง อย่าบอกผู้กองนะครับว่าผมเรียกแบบนี้ ไม่ได้กลัวนะ แค่เกรงใจ

       “เสร็จแล้วคราฟป๊า แต่เสื้อน้องไม่สวยเลย” ยังไม่ได้อ้าปากเลย ก็มีสุดหล่อตอบแทนซะแล้ว แถมยังวิจารณ์เสื้อผ้าน้องอีก แต่ผมก็เห็นด้วยนะ แต่จะทำยังไงได้สถานการณ์แบบนี้จะไปหาเสื้อผ้าที่ไหนได้

       “กลับไปแล้วป๊าจะหาเสื้อผ้าสวยๆ มาให้น้องเอง” หาได้ที่นี่สินะ ที่ที่มีผู้กองอยู่ ดีจริงๆ

       “เอาน่ารักๆ นะคราฟ น้องน่ารัก จุ๊บ” ไม่พูดเปล่า มีมาจุ๊บแก้มน้องด้วย

       “คิ๊กๆ แอะ” นั้นมียิ้มตอบกลับด้วย เข้ากันได้เร็วจริงๆ แค่วันเดียวเองนะ

       “เห็นไหมมัม น้องฟังมิดไนท์รู้เรื่องด้วยคราฟ” อะครับ เห็นแล้ว เห็นตอบกลับว่าแอะ แล้ว แอะ มันแปลว่าอะไร?

       “ครับ น่ารักทั้งสองคนเลย” น่ารักจริงๆนะ ถ้าไอรักอ้วนขึ้นอีกนิดจะน่ารักมากเลย ถึงตอนนี้จะผอมแต่ก็ยังน่ารักอยู่

       “เก็บของเสร็จหรือยังครับ” ไม่ชินกับคำว่าครับสักที

       “เสร็จแล้ว คะ ครับ” สั่นทุกทีสิน่า

       “ยังไม่หายเขินอีกเหรอ” จะพูดทำไม เดี๋ยวก้านคอเลย

       “ใครเขิน ไม่ได้เขิ๊น!” สงสัยเจ็บคอ เสียงเลยสูง ใช่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ

       “ครับๆ ไม่เขิน ก็ไม่เขิน อาหารของไอรัก มิดไนท์เตรียมพร้อมแล้วนะครับ” หน้าที่ดูแลทุกอย่างของมิดไนท์ กับไอรักเป็นของผม เช่นเดียวกับหน้าที่เตรียมอาหารที่เป็นของผู้กอง ผมก็ทำได้นะอาหาร แต่ไม่รู้จะกินได้รึเปล่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยอย่าให้ผมทำเลยดีกว่า

       “เราจะดูแลเขาได้จริงๆ เหรอ” ถึงผมจะเคยดูแลมิดไนท์ แต่เป็นการดูแลชั่วครั้งชั่วคราว ได้ดูแลจริงๆ จังๆ ก็ตอนน้องอายุ 4 ขวบแล้ว คือตอนที่เกิดเรื่องซอมบี้ขึ้น ผมไม่มั้นใจเลยว่าจะทำทุกอย่างได้ดี

       “ไม่เป็นไรเราจะดูแลเขาด้วยกัน ที่นั่นยังมีคนที่คอยให้คำแนะนำ และช่วยเหลือเราอีกเยอะ ไม่ต้องคิดมากหรอก” จริงสิ ที่นั้นยังมีป้าๆ ที่น่ารักตั้งหลายคนหนิ ลืมคิดไปเลย สงสัยจากมานานเลยลืม ป้ารู้ต้องงอลแน่ๆ

        “ปะ ไปกินข้าวกันเจ้าหญิง” อือหือ หลงขั้นสุด

       “แอะ คิกๆๆ อะ แอะ” อันนี้ก็ดันชอบ

       “รีบๆ อาบน้ำนะครับ พี่พาเจ้าหญิงไปกินข้าวก่อน ไปที่นู้นคงต้องออกตามหานมผงตามห้างสรรพสินค้ามาให้เจ้าหญิงแล้ว จะได้ไม่ผอมแบบนี้” พูดถึงแล้วก็น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้ ต้องมาอดอยาก พ่อก็ทิ้ง แม่ก็จากไป แต่ไม่เป็นไร ต่อจากนี้เราจะดูแลเขาเป็นอย่างดี ปล.เท่าที่ผมจะทำได้นะ เดี๋ยวคาดหวังกับผมสูงเกินไป พูดดักไว้ก่อน

       “เดี๋ยวตามไปครับ”

       “จุ๊บ ตามมานะ” อะไรคือการจุ๊บหน้าผากต่อหน้ามิดไนท์ และไอรัก งือ ใจผมมันอ่อนแอ แพ้อะไรหวานๆ แคกๆ ไม่ใช่แล้วๆ

         “อิอิ” อะไรคือ ปิดตาแต่กลางมือมิดไนท์ แล้วยังมาหัวเราะอีก

       “แอะๆ คริคริ แอะ” แล้วคนนี้รู้เรื่องกับเขาด้วยเหรอ เห็นพี่ขำก็ขำตาม

       แล้วก็พากันออกไป ทิ้งให้ผมยืนหน้าแดงอยู่คนเดียว

       ผมมองกระเจอคนหน้าหล่อที่กำลังยืนยิ้มด้วยหน้าแดงๆ เขาหล่อมากเลยนะ ใครวะในกระจกหล่อจัง ตอนนี้นายกำลังมีความสุขอยู่สินะสุดหล่อ ขอให้ความสุขอยู่กับนายตลอดไปนะ ไม่ว่าวันข้างหน้านายจะเจออะไร ก็ขอให้นายผ่านมันไปได้ด้วยดี นายหล่อวะ ฉันล่ะนับถือความหล่อนาย


……………………
…………….
……..


       ขอโทษนะคะที่หยุดไปนาน เสร็จงานศพปู่ก็มาเร่งงาน ทุกอย่างมันทำให้เราไม่ค่อยอินกับอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจเลย เพิ่งพาตัวเองกลับมาวงการวายสำเร็จ 5555+

       ด่าได้นะคะ แต่อย่าแรง พอดีเราอ่อนไหว อิอิ

       ขอบคุณคนที่ยังรออ่านนะคะ ขอโทษอีกครั้งที่หายไปนาน ตอนนี้เรากลับมาแล้ว พร้อมเลือดวายเต็มเปี่ยม อิอิ

       เจอกันตอนต่อไปใกล้จบแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่21☆ P.3☆18/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-04-2019 22:17:21
เสียใจเรื่องคุณปู่ด้วยนะคะ

ว่าแต่ตอนนี้พระนายหวานกันมากกก แถมได้มีลูกอย่างไม่คาดคิดด้วย555 :hao3:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่21☆ P.3☆18/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kim2b::teddy ที่ 19-04-2019 23:11:52
มาแล้วๆ รออ่านอยู่เลย เสียใจด้วยนะคะเรื่องคุณปู่
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่22☆ P.3☆23/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 23-04-2019 17:13:52
- 22 -

[ไออุ่น]

       รถกำลังแล่นไปตามถนนที่ว่างเปล่า ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก สายตากลมโตสอดส่องดูทัศนียภาพด้านนอกอย่างสนอกสนใจ พื้นที่ที่แต่ก่อนเคยโล่ง ปกคลุมด้วยหญ้าและพืชหลากหลายชนิด ความเขียวขจีเริ่มคืบคลานกลับสู่โลกใบนี้ ธรรมชาติได้ทวนคืนพื้นที่ของเขาแล้ว

       “แอะ แง่ แอะ” เสียงเจ้าตัวจิ๋วที่อยู่ในอ้อมกอดดึงผมออกจากภวังค์

       ผมกระชับอ้อมกอด พร้อมขยับแขนโยกเพื่อกล่อมให้เขาหลับต่อไป การนั่งรถระยะทางไกลคงทำให้ไม่สบายตัวเท่าไหร่ ถึงได้ส่งเสียงร้องประท้วงบ่อยขนาดนี้ ไอ้สงสารก็สงสารอยู่หรอก แต่ทำไงได้ มันไม่มีทางเลือกนี่นา จึงต้องกระเตงเขามาลำบากแบบนี้ มันจะลำบากแค่ตอนนี้เท่านั้นตัวเล็ก สัญญาว่าไปถึงที่นั้นแล้วจะดูแลให้ดีที่สุด

       เราเดินทางกันแทบไม่หยุดพัก เพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด


       บ้านที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นช้าๆ อยู่เบื้องหน้า ป้าๆ ลุงๆ เริ่มวิ่งมารวมตัวกันที่หน้าบ้านหลังใหญ่ พวกเขาคงได้ยินเสียงรถของพวกเราแน่ๆ

       รถจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ผมอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือนเอง ทำไมรู้สึกผูกพันมากขนาดนี้ แค่มาถึงก็รู้สึกอบอุ่นแล้ว เหมือนถึงบ้านจริงๆ นี่คือบ้าน บ้านของเรา

       “เหนื่อยไหมครับ” ผู้กองลูบหัวผมเบา พร้อมมองด้วยสายตาที่อ่อนโยน ผมได้เลยได้แต่ส่ายหัวตอบว่าไม่เป็นอะไร “แล้วน้องไอหละ” ผมก้มมองเจ้าตัวเล็กด้วยความสงสาร

       “ร้องไห้เพิ่งหยุด คงจะเหนื่อยและหิว สักพักคงตื่น" เวลาเห็นเจ้าตัวเล็กร้องไห้ไม่หยุด ผมแทบร้องด้วย สงสารเหลือเกินแต่ทำอะไรไม่ได้เลย

       แต่มิดไนท์นี่สิร้องตามน้องไปเรียบร้อย จนผมต้องให้ไปอยู่รถอีกคันกับลมหนาวและน้องมิว ถ้าปล่อยให้ร้องแข่งกันทั้งสองคนพี่ทหารที่ขับรถคงประสาทแดกก่อน

       “ให้ป้าๆ ช่วยไปก่อนนะครับ ป้าๆ เข้ามีประสบการณ์มาก่อน พี่ต้องไปดูความเรียบร้อย และจัดการเรื่องต่างๆ ต่อ”

       “ไม่พักก่อนเหรอ เพิ่งมาถึงเองนะ” พักสักชั่วโมงก็ยังดี อะไรนี่มาถึงก็ทำงานเลย

       “อย่าอ้อนสิครับ เดี๋ยวพี่ก็ใจอ่อนหรอก” ก็อยากให้ใจอ่อนหนิ เอ่อ แต่ผมไม่ได้อ้อนนะแค่บอกเฉยๆ ผู้กองคิดไปเอง

       “ใครอ้อน! บอกเฉยๆ เหอะ”

       “ครับ ไม่อ้อนก็ไม่อ้อน แต่พี่ไปไม่นานหรอกจัดการแปปเดียว เดี่ยวก็มา"

       “กี่นาที" อะไร ก็บอกว่าไม่นาน ผมก็อยากรู้สิว่ากี่นาที

       “สัก 3 ชั่วโมง นะครับ เดี๋ยวกลับมานอนกอดเลย"

       “อะไร แค่ถามเฉยๆ เหอะ ไม่ได้บอกให้นอนกอดสักหน่อยคิดไปเอง"

       “ครับ พี่คิดไปเองก็ได้ แต่พี่จะกลับมานอนกอดนะ” จะทำอะไรก็ทำสิใครห้ามกัน

       “ไปได้แล้วคนอื่นรอ" บอกว่ามีงานก็รีบๆ ไปทำสิ พูดอยู่นั้นแหละ

       “ที่นี่ทำมาไล่" ผมตะหวัดสายตาไปมองกดดัน “ ครับ ไปแล้วๆ เดี๋ยวกลับมานะ จุ๊บ!”

       “อะ!” ไอ้ผู้กองบ้าต่อหน้าต่อตาคนอื่น ไม่คิดจะอายบ้างรึไง ถึงจะอยู่ในรถก็เถอะ แต่กระจกมันก็ไม่ทึบป่ะ งือ…

       “อ่าวหนูอุ่น นั่นลูกใครละนั้น” เสียงแรกทักผมมา เมื่อก้าวขาลงจากรถ

       “ไปไม่กี่เดือนกระเตงลูกกลับด้วยเลยเหรอ คริคริๆ" คืออะไร

       “ใครเป็นพ่อหละไอ้หนู"

       “ถามมาได้แกนี่ ก็ต้องเป็นพ่อผู้กองสุดหล่ออยู่แล้ว” ป้า!! ไปกันใหญ่แล้ว ผมท้องไม่ได้!

       “ป้าไปกันใหญ่แล้ว โถ่ นี่คือ ไอรัก หรือ น้องไอ Ai ในภาษาญี่ปุ่น ที่แปลว่าความรัก พ่อน้องเค้าเป็นคนญี่ปุ่น” ผมอธิบายไปคราวๆ ให้พอเข้าใจ แต่คงน้อยไปเลยกลายเป็นแบบนี้

       “นี่เองนอกใจพ่อผู้กอง ไปมีผัวญี่ปุ่นเหรอ ข้าปวดใจ”

       “เห็นหน้าใสๆ ทำไมทำกันได้ลงคอ" เอาเข้าไป

       “น่าสงสารผู้กองสุดหล่อเหลือเกิน กระซิกๆ" เล่นใหญ่กว่าป้าๆ มีอีกไหม รางวัลต้องมา ตุ๊กตาทองต้องมี

     “เธอมันนางวันทองสองใจ” เล่นกันขนาดนี้คงคิดถึงผมมากสินะ

       “ไปไกลแล้วป้า ไปไกลแล้ว” อีกหน่อยก็ออกนอกโลก โยกไปนอกจักรวาลแล้ว

       “คริๆ" นั้นมีมาหัวเราะอีก

      “ตกลงลูกเต้าเหล่าใครล่ะนั้น" อยากไหว้ย่อป้าๆ ด้วยท่าที่สวยงาม ที่เข้าเรื่องได่สักที

       “แม่แกเสียแล้วน่ะครับ แล้วพ่อแกที่เป็นคนญี่ปุ่นก็ทิ้งไป แกน่าสงสารมาก ผู้กองเลยรับมาเป็นลูก เอ่อ ของ ของ ของเรา" งือเขิน ทำไมป้าๆ ต้องทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบนั้นด้วยเล่า

       “จ๊ะ คุณแม่ลูกหนึ่ง ไม่สิสองแล้วหนิ" งือ พูดอะไรเนี่ย

       “ผมเป็นพ่อต่างหากเล่า!”

       “ยอมรับซะเถอะ ขนาดหมายังไม่เชื่อเลย" งือ… แต่พูดถึงหมาแล้ว ตั้งแต่มาถึง คุณพี่ชายที่บอกจะช่วยเลี้ยงน้องก็หายไปหาเจ้าเพื่อนซี่สี่ขาทันที ลืมน้องไปเลย

       “เรื่องพ่อ แม่ เอาไว้ก่อนครับ แต่ตอนนี้ผมอยากได้ความช่วยเหลือจากป้าๆ อย่างด่วนเลย"


+   +   +   +   +   +   +   +


       ตอนนี้ผมกำลังป้อนข้าวต้มปลา ผสมแครอท และผักอื่น พร้อมบดอย่างละเอียดให้กับน้องไอ เจ้าตัวเล็กกินเก่งมาก แป๊บเดียวก็หมดถ้วยแล้ว นี่คนหรือเครื่องสูบอาหาร

       ตอนนี้คงกินได้แค่นี้ ส่วนนมเป็นนมกล่องที่เราไปหามาตามห้างสรรพสินค้าเมื่อคราวก่อน ก่อนที่เราจะไปภูเก็ต เป็นนมวัว ป้าๆ บอกว่าให้กินแบบนี้ไม่ดีหรอก แต่ดีกว่าไม่มีกิน ผมบอกเลยว่าถ้าใครจะมีลูกช่วงนี้ต้องคิดให้หนักๆ ถ้าไม่มีนมแม่ให้เด็กกิน ปัญหาเกิดแน่นอน

       “น้องกินเร็วจังคราฟ น้องไนท์ยังกินไม่หมดเลย” มิดไนท์เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะกินข้าวตัวเล็กของตนมาเจอถ้วยข้าวที่ว่างเปล่า เจ้าตัวตกใจเป็นอย่างมาก

       “สงสัยน้องจะหิวมากน่ะครับ"

       “น้องอิ่มไหมคราฟ แบ่งจากน้องไนท์ไปอีกก็ได้" เจ้าตัวยื่นชามของตัวเองมาทางผม ช่างเป็นพี่ชายที่น่ารักจริงๆ แต่ถ้าน้องกินมากกว่านี้คงท้องแตกแน่ๆ ดูสิตัวผอมๆ แต่ท้องป่อง

       “พอแล้วครับ เดี๋ยวน้องอ้วนเอา"

       “แต่น้องผอม” เจ้าตัวว่าพร้อมหันไปจ้องเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนผม

       “เดี๋ยวน้องก็ไม่ผอมแล้ว น้องไนท์รีบกินเถอะครับ สักพักเราจะได้พาน้องไปอาบน้ำ” ผมต้องหลอกล้อให้กินต่อไม่งั้นไม่ยอมหยุดให้น้องกินข้าวตนเองแน่ๆ

       “ผมอาบให้น้องนะคราฟ"

       “โอเค”

       “เย้ๆๆ"

       “ดีใจอะไรครับ เสียงดังออกไปข้างนอกเลย” ลมหนาวเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับน้องมิว

       “น้องไนท์จะอาบน้ำให้น้องไอคราฟ" เจ้าตัวตอบลมหนาวด้วยร้อยยิ้มดีใจ

       “วาว! จริงเหรอครับ แล้วเราอาบน้ำให้น้องเป็นเหรอ” พอได้ยินคำถามก็ทำหน้าคิดหนักทันที

       “มัม น้องไนท์อาบน้ำให้น้องไม่เป็น” หึหึ หน้าหง่อยๆ นั่นดูน่ารักมากกว่าน่าสงสารอีก

       “เดี๋ยวมัมสอนน้องไนท์เองครับ” พอได้ยินก็กลับมายิ้มสดใสทันที

       “มัมจะสอนน้องไนท์อาบน้ำให้น้องไอแหละพี่หนาว"

       “ก่อนจะไปอาบน้ำให้น้อง ต้องทานข้าวให้หมดก่อนครับ ใช่ไหมน้องไอ” ผมหันไปถามเจ้าตัวจิ๋วที่อยู่ในอ้อมแขน

       “แอะ แอะ"

       “น้องตอบด้วย น้องไนท์รีบกินดีกว่าจะได้อาบน้ำให้น้อง อาบน้ำๆๆ อาบน้ำให้น้อง" เอาเข้าไป ทั้งร้องทั้งกิน

       “ผู้กองล่ะครับพี่อุ่น”

       “ไปสำรวจพื้นที่ทำเกษตรน่ะ พวกเราไปที่นู้นนาน เลยต้องสำรวจดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง แล้วเรากับมิวล่ะกินข้าวกันยัง"

       “กินแล้วครับ นี่ก็กำลังจะออกไปช่วยป้าๆ แกเก็บผักเลยแวะมาทักก่อน แล้วพี่อุ่นกินข้าวรึยัง" น้องผมนี่ขยันจริงๆ น้องชายผมดีที่สุด

       “ยังเลย รอผู้กองก่อน ผู้กองบอกจะมากินด้วย" เดี๋ยวกินก่อนจะงอนเอา

      “รอสามีว่างั้นเถอะ" เริ่มเป็นน้องที่เลวแล้ว

       “นู้นประตู ออกไปเก็บไปผักเลย” กล้ามาก กล้ามาล้อพี่ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวโดน

       “ฮาๆๆ ครับๆ ไปแล้ว ตัวเล็กน้าไปแล้วนะ มิดไนท์ไปแล้ว อาบน้ำให้น้องดีๆ ล่ะ"

     “คราฟ” น้องใครกวนจริงๆ

+   +   +   +   +   +   +   +   +

       คืนนี้อากาศดี ลมพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ ทำให้อากาศเย็นสบาย เสียงลมที่ผัดผ่านทำให้ใจผมสงบขึ้นมาก

       “เจ้าหญิงของพ่อนอนได้แล้วนะครับ”

       “แอะ แอะ คริ" เสียงสมาชิกใหม่ที่มาประจำอยู่ห้องเรา คือ คือ ห้องที่ผมย้ายมาอยู่กับผู้กองน่ะ

       เราเอาเตียงเด็ก ที่ผู้กองไปหามาเองจากในห้างเข้ามาไว้ในห้อง ผมไม่กล้าเอาไอขึ้นมานอนบนเตียงด้วยจริงๆ เพราะกลัวจะนอนดิ้นจนทับแกเข้า

       “นอนนะครับ พ่อร้องเพลงกล่อมไม่เป็นจริงๆ กลัวร้องแล้วเราตกใจ" ผมนั่งมองภาพนั้นด้วยควาทคิดที่หลากหลาย

       ถ้าไม่มีเหตุการณ์ซอมบี้บุกโลก ผมจะมีโอกาศได้เห็นภาพนี้ไหม

       ผมจะสามารถโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลน้องๆ แบบนี้ได้ไหม ผมคงเป็นแค่นักศึกษาอายุ 20 ที่กำลังกินเที่ยวกับเพื่อนอย่างสนุกสนานในแบบวัยรุ่น มีความรักแบบเด็กๆ เรียนรู้สังคมใหม่ๆ

       ผมคงไม่รู้จักผู้กอง ไม่รู้จักทุกคน ไม่รู้จักคุณค่าของอาหาร คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ในความเลวร้ายยังมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ ในความมืดมนยังมีแสงเล็กๆ ที่ส่องทางให้เราได้เดินต่อ

       พ่อ แม่ ความสุขเริ่มกลับเข้ามาในชีวิตอุ่นแล้วนะ ที่ผมสัญญาว่าจะอยู่อย่างมีความสุข ผมจะทำได้แล้ว พ่อกับแม่สบายใจได้แล้วนะ และผมจะดูแลน้องๆ ให้ดีที่สุด ผมรักพ่อกับแม่ครับ

       “เหม่ออะไรครับ น้องไอหลับแล้วนะ”   เสียงที่ดังขึ้นข้างตัว ดึงผมออกจากภวังค์

       “หลับเร็วจัง”

       “เร็วอะไรล่ะ พี่กล่อมตั้งนานกว่าจะหลับ เรานั่งเหม่ออะไรอยู่หืม" พูดเฉยๆ ก็ได้ ทำไมมือต้องเลื้อยด้วย ผมต้องคอยตะปบมือปลาหมึกไว้

       “คิดอะไรเรื่อยเปื่อย อดีตก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ ระหว่างทางที่เราเผชิญกับมัน และอนาคตต่อไปจะเป็นยังไง”

       “อะไรที่ผ่านมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกลับไปคิดมากกับมัน แค่ระลึกถึงก็พอ ส่วนอนาคตมันต้องดีกว่าตอนนี้แน่นอนถ้าเราช่วยกัน” ผมเชื่อผู้กองว่ามันจะดีขึ้น

       “มันจะดีขึ้น"

       “เราจะค่อยๆ ทำ กำจัดซอมบี้ไปเรื่อยๆ พร้อมกับดูแลผู้คน ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป" ใช่ค่อยๆไป มือนี่ ค่อยๆไต่ลงไปเรื่อยๆ

       “อะ” มือที่ปัดผ่านหน้าอกของผม ทำให้ผมสั่นไหวไม่น้อย แค่นี้ก็เกิดอาราณ์แล้วเหรอ ผมมันหมกหมุ่นจริงๆ อย่าบอกใครนะครับ

       “ครั้งสุดท้ายมันก็นานแล้วนะครับ อุ่นไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ หืม" พูดเฉยๆ ก็ได้ทำไมต้องมาเป่าซอกหูด้วย!! มันหวิวนะ งือ…

       “อืม…” โอ้ยเสียงใครวะเนี่ย รับไม่ได้ๆ

       “พี่ขอนะครับ นะครับ” หือ จะมาขออะไรอีกเล่า! ก็ยอมขนาดนี้แล้ว ทำไมชอบทำให้เขิน

       “แต่ไอ ไออยู่ในห้อง"

       “พี่จะทำเบาๆ อุ่นก็อย่าเสียงดังสิ" มันทนได้ที่ไหนกันเล่า ถึงเวลานั้นสมองมันเบลออะไรก็ไม่สนแล้ว “นะครับ นะ"

       “โอ้ย จะทำอะไรก็ทำพูดอยู่ได้ อุ๊บ!!” แค่คิดในใจทำไมเสียงมันออกมาดังจัง แล้วยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นคืออะไร งือ

       ปากหนาเริ่มจู่โจมริมฝีปากผมทันทีที่พูดจบ แรงบดเคล้าร้อนแรงดั่งไฟเผา ริ้นร้อนสอดแทรกสำรวจจนทั่วโพลงปาก ไล่ต้อนกันไปไม่จบสิ้นจบแทบขาดอากาศหายใจ ปากหนาจึงปล่อยให้ผมได้สูดอากาศเข้าไป แต่ยังไม่ถึงห้าวินาทีดี ปากหนานั้นก็จู่โจมผมอีกครั้ง

         ความร้อนจากริมฝีปากค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไป จากปากสู่ลำคอ ลงมาสู่ไหปลาร้า ต่อมายังหน้าอกสีชมพู อาภรณ์หลุดหายไปอย่างรวดเร็ว ความเย็นของอากาศถูกแทนด้วยความเร่าร้อน

       อารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านถูกปลุกให้แตกกระเจิง ความอ่อนหวานและความเร่าร้อนที่ได้รับช่างสุขสมยิ่งนัก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เรามีกันและกัน เรี่ยวแรงถดถอยจนสติเลือนหายไปในที่สุด



………………………….
………………….
………….

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ


หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่22☆ P.3☆23/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-04-2019 15:55:18
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่22☆ P.3☆23/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 29-04-2019 01:02:54
โอ๊ย รู้สึกเหมือนจะเป็นเบาหวาน
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่22☆ P.3☆23/4/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: เลยร์มุจา ที่ 30-04-2019 23:07:42
สนุกมากเลย :ling1: :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่23☆ P.3☆9/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 09-05-2019 22:18:07
- 23 -


[ธาม]

       ปั่ง!! ปั่ง ตู้ม!!!

       เสียงปืน เสียงระเบิดคงทำให้หลายคนตกใจ และหวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับพวกเรา เสียงเหล่านี้เปรียบเสมือนเพื่อนที่ขับกล่อม และเตือนว่าเรายังมีชีวิตอยู่

       เสียงการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ของเหล่ามนุษย์ผู้เหลือรอด เดินตามแสงริบหรี่ท่ามกลางความมืด ได้แต่หวังเพียงว่าแสงริบหรี่นั้นจะนำทางไปสู่แสงสว่างอันเจิดจ้า ความหวัง เป็นพลังให้ขาทั้งสองข้างสามารถก้าวเดินต่อไปได้

       หวัง หวังว่าวันข้างหน้าทุกอย่างมันจะดีขึ้น

       ตอนนี้เราอยู่ที่นครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์เป็นอีกที่ที่เราเลงไว้เพื่อทำเกษตรกรรม เพราะเป็นจังหวัดที่แม่น้ำเจ้าพระยาตัดผ่าน แหล่งน้ำเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกในการทำการเกษตร ที่นี่จึงเป็นจุดหมายของเรา

       แต่ก่อนจะไปถึงการทำเกษตร สิ่งสำคัญลำดับแรกที่เราต้องจัดการ คือการเคลียร์พื้นที่ ซึ่งมันไม่ง่ายนัก แต่ก่อนประชากรที่นี่หนาแน่นมาก ทำให้ตอนนี้ที่นี่เต็มไปด้วยซอมบี้จำนวนมากเช่นกัน

       ผู้คนที่เหลือรอดรวมตัวกันที่ค่าย ที่อดีตเคยเป็นคุก แต่สถานที่ตั้งดันไปอยู่ในเมืองใกล้มหาวิทยาลัย จะเดินทางไปที่ไหนก็ยากลำบาก เพราะมีซอมบี้อยู่จำนวนมาก ผู้คนในค่ายจากที่ดูผอมแห้งเมื่อพบกันในครั้งแรกราวสองเดือนก่อน ตอนนี้ดูดีขึ้นบ้าง คงเพราะเสบียงที่เรานำมาแจกจ่าย แต่ตอนนี้มันร่อยหรอลงเต็มที

       เรากำลังล่อซอมบี้ฝูงใหญ่เข้าไปในสนามกีฬากลางจังหวัดเพื่อกำจัดให้น้อยลง สนามกีฬาตั้งอยู่ไม่ไกลตัวเมืองมาก สามารถล่อพวกมันมาได้ และแรงระเบิดไม่ส่งผลต่อตัวเมืองแน่นอน เราไม่อยากเสี่ยงให้เกิดไฟไหม้กลางเมือง เพราะเราไม่แน่ใจว่าจะสามารถควบคุมเพลิงไม่ได้

       “พวกมันตามมาเยอะมากเลยว่ะ” เสียงไอ้โฟรคดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ผมต้องละความสนใจจากซอมบี้มามองมัน

       “อือ อีกแป๊ป" ผมอยากให้พวกมันเข้ามาให้เยอะที่สุดก่อน

       “แต่ไอ้พวกที่มาก่อน เราจะต้านมันไม่ไหวแล้วนะ แม่งมันดันประตูเหล็กจนจะพังลงมาอยู่แล้ว” เราปิดทางเข้าออกเกือบทุกทาง เหลือไว้แค่ทางเดียวเพื่อล่อซอมบี้เข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีเหยื่อพวกมันก็พยายามดันประตูเหล็กที่ปิดสนิทเพื่อจะออกไปจัดการกับทหารด้านนอก

       “ต้านไว้ อีก 10 นาที เตรียมรถให้พร้อม”

       “ครับ!! แม่งอย่าเพิ่งพังตอนนี้นะเว้ย หวังว่าคนสร้างมันจะเอาของมาตรฐานมาใช้นะ ไม่ใช่ว่าโกงกินแล้วเอาของเน่าๆมาใช้ ถ้าเป็นนั้น ก็ตายแน่” เดินไปบ่นไป บ่นดังขนาดนี้ มึงประกาศเลยไหม ผมสายหัวให้ไอ้โฟรคจอมขี้บ่น หันมาสนใจพวกซอมบี้ด้านหน้าต่อ เสียงปืน เสียงระเบิดล่อพวกมันได้เป็นอย่างดี

       “หมู่เทน หมู่นาย เตรียมพร้อมกดระเบิดในอีก 10 นาที” ผมวิทยุสื่อสารบอกไป เพื่อเตรียมความพร้อม

       “รับทราบครับ!! ทหารทุกนาย ออกจากพื้นที่ในอีก 5 นาที เราจะบึ้ม! มันในอีก 10นาที ย่ำออกจากพื้นที่ในอีก 5 นาที ถ้าไม่อยากตาย เพราะหมู่นายสุดหล่อไม่รอนะครับ จบข่าว" นับวันยิ่งมีแต่คนเพี้ยนๆ เฮ้อ…

       ผมยืนมองกลุ่มซอมบี้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ พวกเขาเคยใช้ชีวิตอย่างปกติ ตื่นนอน ใช้ชีวิต และนอนหลับ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นได้แค่ซากศพเดินได้ ไร้วิญญาณ ผมมองดูร่างซอมบี้นักเรียน ดูจากชุดน่าจะอยู่อนุบาล ตัวเล็กๆ ถักเปียสองข้างรูปหน้าสวย ผิวขาวซีด แต่ก่อนคงน่ารัก น่าเอ็นดู…

       ปืนในมือยกขึ้นมาช้าๆ  นิ้วชี้ค่อยๆ ลั่นไก

      ปั่ง!!

       นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำให้เด็กหญิงได้ ไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์นะเด็กน้อย

       ภาพเด็กน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ทำให้ผมนึกถึงใครอีกคน เด็กหญิงไอรัก น้องไอ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ให้เธอได้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม มีความสุขในที่ที่สวยงาม ก่อนจะถึงวันนั้นผมต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้นและสวยงาม รอหน่อยนะตัวเล็กของพ่อ

      พอนึกถึงครอบครัวก็ทำให้มุมปากยกขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ คิดถึง อยากกลับไปหาใจจะขาด อยากนั่งมองภาพ เด็กน้อยไอที่นอนอยู่บนเบาะมีพี่ชายคอยนั่งเล่นอยู่ข้างๆ มีคนตัวขาวที่หน้าแดงระเรื่อเวลาผมพูดอะไรหวานๆ ตัวนุ่มๆ หอมๆ น่ากอด น่า…นั้นแหละ หึหึ ยิ่งคิดยิ่งอยากกลับบ้าน
 
       แต่หน้าที่ต้องมาก่อน  ถึงเวลาแล้ว ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปทางด้านหลังเพื่อขึ้นรถ หนีออกจากแรงระเบิดนี้

       “ทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน เคลียร์ซอมบี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ และซอมบี้ที่อยู่หน้าประตูซะ” รถผมจะออกไปหลังจากจุดระเบิดเรียบร้อย พร้อมหมู่นาย หมู่เทน

       “ออกมาให้ทัน อย่าเซ่อซ่าโดนระเบิดเข้าล่ะ กูไม่อยากบอกข่าวร้ายลูกและเมียมึง ศพแม่งคงอนาถมาก" ปากแม่งน่าเอาทีนลูบจริงๆ

       “รีบไปก่อนที่ทีนจะกระตุก"

       “ครับๆๆ ท่านผู้กอง หมวดโฟรคคนนี้ไปแล้วครับ” ไอ้ท่าทางก้มหัวต่ำ ค่อยๆ ถอยหลังออกไป กวนทีนจริงๆ “รีบๆ ขึ้นรถพวกมึง เดี๋ยวท่านผู้กองทีนกระตุก ฮาๆๆ” -_-

       รถทหารหลายคันค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้า พร้อมเสียงปืนยิงซอมบี้ที่ยังไม่ได้เข้ามาในสนามกีฬากลาง และที่วนเวียนอยู่ใกล้ประตูทางเข้า เมื่อเสียงรถเคลื่อนออกห่างจากทางเข้าก็ได้เวลา

       “หมู่เทนปิดประตู”

       “ครืดๆ ครับ แต่คงต้านได้ไม่นาน ประตูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ครับ” หมู่เทนวิทยุสื่อสารตอบกลับมา ผมไม่ได้ต้องการเวลามากมาย แค่ขังไว้ได้ชั่วคราวก็พอ

       “อืมรีบไปหาหมู่นาย”

       “รับทราบครับ!”

       ตุบๆๆ ปึงๆๆ เสียงซอมบี้กำลังดันประตูด้านหลัง อีกไม่นานคงพัง

       “ครืดๆๆ ถึงหมู่นายแล้วครับ”

       “มีเวลาหนีออกมาเท่าไหร่” ระเบิดต่อสายฉนวนไว้ค่อนข้างยาว น่าจะมีเวลาหนีออกมาพอสมควร

       “ประมาณ 1 นาทีครับ ผมคิดถึงระเบิดเวลามากเลยครับตอนนี้” ถ้ามีระเบิดเวลา ความเสี่ยงคงน้อยลง แต่

       “อย่าคิดถึงอะไรที่มันไม่มี พร้อมแล้วออกมา รถจอดเปิดประตูรอด้านหลังพร้อมออกตัวทันที วิ่งมาให้เร็วที่สุด อย่าหยุด นี่คือคำสั่ง!” ถ้าหยุดแม้เพียงนิดเดียวอาจหมายถึง การหยุดรอมัจจุราชมารับตัว ดังนั้นผมไม่อนุญาตให้หยุด ไม่อนุญาตให้มีการสูญเสียไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น เราสูญเสียมามากพอแล้ว

       “รับทราบครับ/ครับผู้กอง” สองเสียงดังออกมาพร้อมกันในทันที

       รถติดเครื่องเปิดประตูรอ พร้อมออกตัวไปได้ทุกเมื่อ เวลานับถอยหลังไปเรื่อยๆเหลือ 50 วินาที
       30 วินาที
       20 วินาที
       10 วินาที
       5 วินาที
       0 วินาที

       ตู้ม!!!
       ระเบิดลูกแรกทางด้านหน้าดังขึ้น ตามด้วยลูกที่สอง

       ตู้ม!!!

       “ผู้กอง!! ออกรถเลย” รถค่อยๆ ออกตัวพร้อม หมู่ทั้งสองกระโดดขึ้นรถมาได้ในที่สุด ทันทีที่ประตูรถปิดสนิท เท้านั้นเหยียบคันเร่งมิดทันที

       ตู้ม!!! เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง หูแทบดับ แรงระเบิดทำให้ เศษต่างๆ กระเด็นออกไปเป็นบริเวณกว้าง กระแทกหลังคารถจนเกิดรอยบุบ กระจกหน้าแตก

       “เวรเอ้ย!!!” เศษกระจกกระเด็นบาดแขนผมทั้งสองข้าง ดีที่ไม่เข้าตา ผมพยายามขับหลบเศษอิฐ เศษเหล็ก ที่ตกกระจัดกระจายอยู่ตามถนน เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ

       “ขอโทษครับผู้กองที่เราออกมาช้า" เสียงหมู่เทนดังขึ้นจากเบาะหลัง

       “ซอมบี้บางส่วนเล็ดลอดออกมาได้เราจึงต้องกั้นประตูตรึงไว้ เลยออกมาช้าครับ พวกเราขอโทษจริงๆ ครับ” เสียงหมู่นายดังขึ้นมาสมทบ

       “ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” พวกเขาทั้งสองทำดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องมาขอโทษเลย

       “แต่ผู้กองบาดเจ็บ” หมู่เทนพูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิด

       “เล็กน้อย” เลือดไหลออกจากสองแขนที่กำลังจับพวงมาลัย ถ้ามองแค่ตาอาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้บาดลึกเท่าไหร่ เพียงแต่เศษแก้วมันกระจายบาดไปทั้งแขนเลือดจึงอยู่ทั่วไปหมด

       “ให้ผมขับดีกว่าครับ” หมู่นายเสนอตัวที่จะขับแทน

       “อืม" เราออกมาพ้นแรงระเบิดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทนฝืนต่อไป ผมจอดรถเพื่อให้หมู่นายได้ขับแทน

       “ผมเอาเศษแก้วออกให้ครับ” หมู่เทนรับหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้

       “อืม เอาเท่าที่เห็นออกก่อน ที่เหลือค่อยให้หมอจัดการต่อ” บนรถทหารมีหมอ และพยาบาลมาด้วย เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งสำหรับทหาร และผู้รอดชีวิตที่พบเจอ

       บาดเจ็บแค่นี้สำหรับผมมันเล็กน้อยมาก แต่ถ้ากลับไปถึงบ้าน เด็กน้อยของผมคงไม่ว่าแบบนั้น


       เรากำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากอยู่นครสวรรค์ได้เกือบหนึ่งอาทิตย์ เราพาผู้รอดชีวิตที่ค่ายนครสวรรค์กลับมาด้วย เพื่อเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรกรรม หวังให้พวกเขาเป็นกำลังสำคัญของเราอีกแห่งหนึ่งในการสร้างผลิตผลทางการเกษตร เพื่อเป็นเสบียงให้ผู้รอดชีวิตในค่ายอื่นๆ เราค่อยๆทำ ค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ หวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะพึ่งพาตนเองได้

       กลับไปต้องหาที่พักเพิ่มอีกมาก ดีที่ให้ทหารสำรวจบ้านเรือนไว้ก่อนแล้ว คงต้องหาอาสาสมัครเพื่อฝึกการต่อสู่เพิ่ม คนเยอะ ผู้รักษาความปลอดภัยต้องเยอะขึ้นตาม

+   +   +   +   +   +   +   +

       “ไหนผู้กองรับปากว่าจะดูแลตัวเองดีๆ แล้วบาดเจ็บมาได้ยังไง ดูสิเป็นแผลทั้งแขนเลย พันมายังกับมัมมี่ มันใช่ไหม รับปากแล้วทำไมไม่ดูแลตนเองดีๆ!” ปากก็ว่าแต่มือพยายามยกแขนผมขึ้นมาสำรวจเบาๆ ราวแขนนั้นมันเปาะบาง แตกสลายได้ง่าย มือบางค่อยๆ ลูบที่ผ้าพันแผลเบาๆ “เจ็บมากไหม”

       รอยยิ้มผมเผยออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้แค่ว่าตอนนี้มีความสุขมาก การที่มีคนนึงคอยห่วงใย คอยอยู่เคียงข้างเรา มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง

       “ไม่เจ็บครับ แค่นี้สบายมาก ^_^  โอ๊ย!!!”

       “ไหนว่าไม่เจ็บไง แล้วร้องทำไม” จิ้มลงมาขนาดนี้ไม่เจ็บก็ไม่ใช่คนแล้ว ดูสิมาจิ้มแขนเราแล้วทำหน้าจะร้องไห้ใส่ น่ารักจริงๆ เมียผม

       “เจ็บนิดหน่อยก็ได้ ไม่เอาไม่ทำหน้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่อดใจไม่ไหว” ผมว่าผมชักจะหื่นขึ้นทุกวันแล้ว แต่จะโทษผมไม่ได้นะ ก็น้องน่ารักขึ้นทุกวัน ใครจะอดใจไหว

       “ไอ้ผู้กองบ้า บาดเจ็บขนาดนี้ยังจะมาหื่นอีก เดี๋ยวตัดแขนให้ขาดซะเลยหนิ” จากจะร้องไห้เปลี่ยนเป็นหน้าแดงแทนซะแล้ว น่ารักขึ้นไปอีก

       “ถ้าแขนขาดแล้ว จะเอาแขนที่ไหนกอดอุ่นล่ะครับ" ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นไปได้ขนาดนี้ ไม่กี่เดือนผมเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไอ้โฟรคมาได้ยินคง ล้อผมแน่ๆ

       “ไม่มีก็ไม่ต้องกอด…”

       “…”

       “เดี๋ยวกอดเองก็ได้” ถึงเสียงจะแผ่วเบาแค่ไหน ผมก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมหลงได้ยังไง น่ารักขนาดนี้

       ฟอด! ฟอด! ให้รางวัลคนน่ารัก แต่จะหอมแค่ข้างเดียวก็กลัวแก้มอีกข้างมันน้อยใจ หึหึ

       “ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า งือ" จะตีผมก็ไม่กล้า เพราะกลัวผมจะเจ็บ เลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยกลับมาทั้งที่หน้ายังแดงระเรื่อ

       “อยากฟัดแรงๆ" ปากผมมันดันหลุดสิ่งที่คิดออกไปซะนี่

       “เลิกเลยนะ เลิกคิดเลย ไอ้ ไอ้ผู้กองหื่นกาม ไม่คุยด้วยแล้ว หื่นได้ขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรมากหรอก” แล้วสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที

       “จะไปไหนครับ" ผมรีบก้าวตามไปทันที

       “รออยู่นี่แหละ! จะไปรับมิดไนท์ กับไอ ที่ห้องลมหนาว ลูกคิดถึง” ประโยคหลังเสียงอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด

       “ครับ เดี๋ยวพี่ล้างตัวรอ”

       “อย่าให้แผลโดนน้ำล่ะ” ผมบอกแล้วว่าน้องน่ารัก

       “ครับ เมีย!” ^_^

       “เมียเมออะไรล่ะ ผัวต่างหาก ผัว!!!” ครับ ถ้าเมียผมสบายใจก็ปล่อยให้คิดไป เพราะยังไงความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ หึหึ


       “ดูสิลูกสาวใครเอ่ย ฟอด! หอมจังเลย” แก้มนิ่มๆ นั่นเต็มไปด้วยแป้งเด็ก ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือพี่ชายเขาแน่ๆ

       “แอะๆๆ คริ งึ” ผมเปลี่ยนเป้าหมายจากเด็กหญิงตัวน้อยมาหาเจ้าตัวเล็กอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

       “ป๊ากลับมาแล้ว น้องไนท์ คิดถึง!!” เจ้าตัวเล็กวิ่งดุกดิกเข้ามาหา ผมจึงต้องรีบย่อตัว กลางแขนรับ แต่พอจะถึง มิดไนท์กลับผ่อนแรงลง เข้ามากอดผมเบาๆ ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับอุ่น แต่ก่อนต้องโถมตัวเข้าหาอย่างเต็มแรงหนิ

        “สงสัยกลัวผู้กองเจ็บ ผมบอกว่าผู้กองบาดเจ็บต้องระวังหน่อย" อ๋อ ถึงว่ากอดผมเบาหวิวเลย ผมต้องเป็นฝ่ายกระชับเข้ามาเอง

       “กลัวป๊าเจ็บเหรอครับ” ก้มลงไปถามเจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้กอดคอผมแน่น

       “มัมบอก ป๊าเจ็บมา มีแผลเต็มเลย น้องไนท์กลัวป๊าเจ็บคราฟ” น่ารักซะจริง ลูกผม

       “ไม่เจ็บมากหรอกครับ แต่ช่วงนี้ป๊าคงยังแบกเราไม่ได้ ไม่งอนป๊านะครับ” แผลผมต้องเย็บอยู่สามที่ เพราะกระจกมันแทงเข้าไปลึก แต่แผลไม่ได้ใหญ่อะไร

       “น้องไนท์โตแล้ว น้องไนท์เข้าใจ น้องไนท์ดูแลน้องได้ด้วย” เจ้าตัวอวดผมด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

       “ลูกป๊าเก่งที่สุด” ผมชมพร้อมหอมแก้มไปฟอดใหญ่

       “น้องก็เก่ง น้องไอกินข้าวหมดตลอดเลย” รีบอวดน้องใหญ่

       “วาว ไอเก่งจัง ฟอด! ให้รางวัลอีกคน”

      “อิอิ น้องไอของไนท์เก่งๆ” เจ้าตัวปบมือใหญ่

       “อิ แอะ คริๆ แอะ อ้าย” ทำเหมือนเข้าใจที่เขาพูดแหนะ ไอ้ตัวจิ๋ว

       “อยากอุ้มนะครับ แต่แขนพ่อมีแต่เลือด ให้แม่อุ้มไปนะ” ผมกลัวเลือดที่แขนซึมออกมาเปื้อนชุดสวยๆ ของเจ้าตัวจิ๋ว ปล่อยให้อุ่นอุ้มไป เจ้าตัวก็ดิ้นดุกดิกใหญ่

       “บอกแล้วว่าเป็นพ่อ ไงพ่อ! ไม่ใช่แม่สักหน่อย” เถียงตลอด น่ามันเขี้ยวซะมัด

       ฟอด!!!

       “เราคุยกันแล้วครับเรื่องนี้ จบ นะครับคุณแม่ หึหึ” แก้มแม่นี่หอมซะมัดเลย

       “ลูกดูอยู่ ทำอะไรเนี่ย!”

       “ชู!! อย่าเสียงดังเดี๋ยวลูกตกใจ”

       “ฮึย…” หน้ามุ่ยใส่อีกแล้ว หึหึ

       “ป๊า หอมๆ มัมด้วย คริๆ” เจ้าตัวแสบเอามือปิดตาทั้งสองข้าง แต่ทำไมนิ้วมันกางขนาดนั้นเนี่ย

       “แล้วจะหอมเราด้วย ฟอด ฟอด” ผมก้มลงฟัดแก้มเจ้าแสบอย่างมันเขี้ยว

       “พอแล้ว ฮาๆ จั๊กจี้อ่า คริๆๆ”

       “พอแล้วครับ เลิกเล่นกันได้แล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว เดี๋ยวคนอื่นๆ จะรอเอา” ปั่นหน้าดุเรา แต่ก็ยังยิ้มมุมปากอยู่ มันจะน่ากลัวตรงไหนละเนี่ย มีแต่น่ารัก

       “กินข้าวๆๆ น้องไอหิวข้าวแล้ว” บอกน้องไอหิว แต่ลูบท้องตนเอง มันยังไงกันแน่เจ้าแสบ

       “น้องหิว หรือเราหิวฮึ ตัวแสบ”

       “น้องไอหิว น้องไนท์หิวด้วย นิด! นึง” เจ้าตัวทำนิ้วออกมานิดเดียวเป็นการประกอบ

       “ครับ นิดเดียว ก็นิดเดียว รีบลงกันเถอะ ผู้กองจูงมือน้องไนท์ ไม่ต้องอุ้มหรอก เดี๋ยวแผลฉีก” เป็นห่วงละสิ จะทำให้หลงไปไหนฮึ

       “เราตกลงกันแล้วนะครับ ว่าจะเรียกพี่ว่ายังไง เรียกใหม่สิครับ” จริงๆ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้หรอก แต่ถ้าเรียกคงฟินมาก หึหึ

       “ไปกันครับ พะ พี่ธาม” พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไปทันที

       “รอพี่ด้วยสิครับ น้องอุ่น!”

       “งือ พอเลย!!”

       “ป๊า มัมหน้าแดงด้วย”

       “มัมเขินป๊าน่ะครับ เมียป๊าน่ารักไหม” ขิงกับลูกก็เอา เป็นเอามากนะผม

       “งะ”



……………………………
………………….
………..

ใกล้จบแล้ว
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ
พูดคุยกันได้ Twitter:  Tt.looktal1993
#ธามไออุ่น
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่23☆ P.3☆9/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kim2b::teddy ที่ 09-05-2019 22:57:15
เย้ๆ มาแล้วๆ เอะอะหอมใหญ่เลยนะผู้กอง :mew3:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่24☆ P.3☆15/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 15-05-2019 22:35:27
- 24 -


[ไออุ่น]

       เหมันต์ที่หนาวเหน็บกำลังลับลา เพื่อส่งต่อช่วงเวลาให้ความอุ่นร้อนของคิมหันต์ฤดู สายลมหนาวกลายกลับเป็นเพียงสายลมอันบางเบา ความร้อนเริ่มย่างกรายเข้ามาแทนที่

       เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงไม่หยุดหย่อน แสงแดดแผดเผาดั่งอยู่ในนรก เหงื่อไหลรินดั่งสายน้ำ

       ร้อน เป็นคำเดียวที่ปรากฏอยู่ในสมองตอนนี้ อยากจะวิ่งเข้าไปอยู่ในร่มไม้แทบตาย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะงานที่กำลังทำยังไม่เสร็จนี่สิ

       มือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน รีบเก็บฟักทองอย่างขะมักเขม้น ใกล้แล้วมันใกล้เสร็จแล้ว ผมจะได้เข้าร่มแล้ว

       ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ของช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศมันไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก ยกเว้นตอนอยู่กลางแดด ไม่ว่าฤดูไหน การอยู่กลางแดดประเทศไทยก็เหมือนอยู่ในนรกอยู่ดี

       ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์ หลังจากที่ผู้กองกลับมาในสภาพบาดแผลเต็มตัว แผลมันไม่ลึกก็จริง แต่มันเยอะ เต็มแขนไปหมด ที่ผมโกรธเพราะเป็นห่วง ถ้าไม่หวงไม่ห่วงจะโกรธทำไม พอถึงเวลาล้างแผลดันมาให้ผมล้าง แทนที่จะให้พี่หมอพี่พยาบาลล้างให้ แล้วเป็นไงล่ะฝีมือผม แหกปากร้องโอดโอยเลยสิ แต่ร้องแค่สองวันแรงนะ จากนั้นฝีมือผมพัฒนาขึ้นเยอะไม่อยากจะโม้เลย โคตรเก่งอะ

       โอ้ย ทำไมฟักทองลูกนี้ใหญ่จังวะ หนักอะ แขนจะหัก ฮึบ! กว่าจะแบกมาใส่รถเข็นได้แทบตาย เฮ้อ…ขอยืนอู้สักนาทีเถอะ

       ผมยืนมองทุกคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไร่ฟักทองขนาดใหญ่จึงเก็บเสร็จได้ภายในวันเดียว

       เสียงเจ้าตัวเล็กมิดไนท์ และเจ้าตัวจิ๋วไอ ดังขึ้นมาจากใต้ร่มไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ โดยมีป้าๆ ที่ค่อนข้างมีอายุคอยดูแล มีน้องบีลูกลุงดำนั่งอยู่ด้วย เด็กๆ กำลังเล่นกับเจ้าสี่ขา ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า อย่างสนุกสนาน แค่ได้มองก็มีความสุขแล้ว

       หันไปด้านขวาเจอหมวดโฟรคที่กำลังเช็ดหน้าให้ไอ้น้องริว หวานกันจริง! ไม่ได้อิจฉานะ ไม่ได้อิจฉาจริงๆ เช็ดเข้าไป เช็ดอีก เออ!เช็ดให้หนังติดออกมาเลยสิ!!

       “อีอุ่นมึงมายืนอู้งาน ตาร้อนอะไรอยู่ตรงนี้”

       “เชี่ย!! ผี!” ตกใจหมด แม่งมาอะไรเงียบๆ ผมหันไปมองแมนนี่อย่างอ่อนใจ โผล่มาแต่ละทีผียังอาย

       “ผีป้ามึงสิ เดี๋ยวตบปากแตก” ง่ะ โหดร้าย…

       “ขอโทษจ้า แม่นางฟ้า” นางมารมากกว่า คิดในใจพอ พูดออกไปเดี๋ยวโดนตบจริงๆ

       “พูดดี ให้อภัย” ไม่ค่อยบ้ายอเลยเพื่อนตรู “แล้วมึงมายืนมองอีเด็กริวทำไม อิจฉาเค้าเหรอยะ” ใครอิจฉาไม่มี๊!!!

        “กูมองไปเรื่อย พักสายตา ไม่ได้อิจฉ๊า” แค่เช็ดเหงื่อให้กัน จับหน้ากัน กุ๊กกิ๊กดุ๊กดิ๊ก อิจฉาทำไม!!

       “เสียงสูงนะยะ” เสียงสูงที่ไหน ไม่จริง!!

       “แล้วมาทำไร” เมื่อเถียงไม่สู้ เราก็ต้องเปลี่ยนเรื่อง ตามวิถีคนจริง

       “ร้อน! ขอเติมความเย็นสัก 3 เถอะ”

       “3 นาที?” พักนิดพักหน่อยเป็นเรื่องปกติครับ เพราะมันร้อนจริงๆ

      “3 ชั่วโมง”

       “มึงกลับบ้านไปเถอะแมน ถ้าจะนานขนาดนั้น” อีกไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว

       “อัถรสไหมล่ะ แล้วอีกอย่าง” หืม ไรอะ

       พลัก!! “โอ้ย ถีบกูทำไมเนี่ย” ถีบเข้ามาได้ เจ็บตูดซะมัดเลย

       “บอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่าเรียกกูว่าแมน!” อ๋อ ก็คนมันลืมนี่หว่า เค้าผิดเหรอ

       “ขอโทษคราบ! ลืม แหะๆ” เนี่ยแทบจะก้มกราบแล้ว อย่าถีบกูอีกเลย

       “แล้วผัวมึงไปไหนเนี่ย”

       “งะ แฟนเฉยๆ ได้ไหมล่ะ” พี่ยังไม่ชินกับสถานะเมีย

       “ผัวก็คือผัว! มึงโดนเขาเสียบเขาก็คือผัว ได้เสียบเขาเมื่อไหร่ค่อยมาแย้ง แล้วจะตอบคำถามกูได้รึยัง” น้ำคำที่เธอเอ่ยมาช่างเจ็บปวดรวดร้าว

       “ก็ไปกับผัวๆ มึงนั่นแหละ” ไม่รู้จะถามทำไม

       “ รู้ว่าไปกับผัวกู แต่ที่กูถามเพราะอยากรู้ว่าไปที่ไหน ฟาย!” เจ็บปวดอีกรอบ กระซิก กระซิก

       “แล้วทำไมมึงไม่ถามผัวมึงเอง” คุณว่าผมจะโดนด่าไหม กด 1 ถ้าคุณคิดว่าโดน กด 2 ถ้าคุณคิดว่าไม่โดน ใครทายถูกผมจะส่งจูบใส่กล่องส่งไปรษณีย์ไปให้

       “เมื่อคืนหนักไปหน่อยเลยตื่นสาย ตื่นมาผัวก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าผัวกูอยู่ให้ถาม จะถามมึงทำไม อีโง่!” ขอยินดีกับผู้โชคดีที่กด 1 ผมจะส่งจูบใส่กล่องไปให้แน่นอน

       “แล้วที่ว่าหนัก คือไรวะ”

       “เ_ด จบนะ” โอเค ตรูเข้าใจแล้ว

       “ ครับ จบครับ” ฟาย!!

       “แล้วจะตอบคำถามกูได้รึยัง ผัวกูไปไหน”

       “บอกว่าออกไปหาของ แต่ไม่ได้บอกว่าของอะไร ไปกับพี่จินด้วย มีทหารอีก 3-4คน ไปด้วย บอกค่ำๆ จะกลับมา” ผมก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก รู้แค่ว่าจะไปหาของอะไรสักอย่าง

       “คนอื่นกูก็พอเข้าใจนะ แต่อีเจ้จินนี่ไปทำไมวะ กูไม่เข้าใจเลย” พี่จินที่ว่า เป็นคนที่มาใหม่จากนครสวรรค์ เจ้แกเป็นสาวสองที่เกือบเหมือนแมนนี่ ที่ว่าเกือบเพราะเจ้แกผ่ามาแล้ว เป็นผู้หญิงเต็มตัว แถมสวยซะด้วย ไม่ใช่ว่าแมนนี่ไม่สวยนะ แมนนี่สวย แต่ออกแนวสวย น่ารักแบบผู้ชายมากกว่าจะเป็นสวยแบบผู้หญิง

       “เจ้แกคิดจะสอยใครสักคนรึเปล่าวะ อาทิตย์นี้เห็นไปกับพวกทหารบ่อยๆ” ใช่บ่อยจริงๆ

       “ไม่หรอกมั้ง พี่เขาอาจจะไปทำงานก็ได้” โลกสวยได้อีกผม คนเราต้องรู้จักมองคนอื่นในแง่ดีบ้าง แม่งหล่อชิบหายตรู

      “งานอะไรยะ ฆ่าซอมบี้เหรอ วันก่อนแค่เห็นซอมบี้ก็กรีส วิ่งป่าราบขนาดนั้นคงฆ่าได้หรอก กูถามผัวว่าพาไปด้วยทำไม ก็ไม่ยอมบอก วันนี้ก็พากันออกไปอีก มันชักยังไงๆ แล้วนะ” นั้นสินะ ไม่เอาๆๆ เราจะมองโลกในแง่ดี ดั่งวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้

       “พี่เขาไม่ยุ่งกับหมู่นาย หมู่เทนหรอกนา” ไม่ยุ่งกับหมู่ทั้งสองจริงครับ

       “ใช่ ไม่ยุ่งกับผัวกูหรอก แต่ยุ่งกับผัวมึงนะสิ เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ” กูก็อุตสาห์มองโลกในแง่ดี มึงจะมาพูดให้กูไขว้เขวทำไม สลัดผัก!!

       ใช่ครับ พี่แกออกไปกับทหารบ่อยๆ โดยที่พวกเราไม่รู้ว่าออกไปทำไม แล้วชอบเข้ามาหาผู้กองที่ห้องทำงานตามลำพัง ผมเคยจะเข้าไปฟังว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่โดนไล่ออกมา บอกว่าเป็นความลับ พี่จินเขาไม่อยากให้ใครรู้ ก็พยายามคิดนะว่ามันไม่มีอะไร พอแมนนี่พูดขึ้นมาอีก มันทำให้ไขว้เขวไม่น้อย ความลับอะไรที่ต้องเข้าไปคุยกันสองคน สนิทกันมากเหรอ สำคัญมากเหรอผมถึงรู้ไม่ได้ และแล้วโลกมืดก็เข้าครอบงำโลกสวยๆ นั้นจนได้

       “ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกเลยนะมึง เห็นด้วยกับกูใช่ไหมล่ะ” ไม่อยากเห็นด้วยหรอก แต่มันห้ามใจไม่ได้จริงๆ

       “หรือเขาจะหมดรักกูแล้ววะ” ผมไม่สวยเหมือนพี่จินหนิ ผมมันแค่ผู้ชาย ไม่มีนมตู้มๆ หรือผมจะไปทำนมดีวะ หมออยู่ไหน ผมต้องการทำนม จะเอานม จะเอาโน้มมมมม!!!

       “มึงหยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว ฟาย!”

       “มึงพูดให้กูคิดเองไม่ใช่เหรอ” แล้วมาบอกว่าเพ้อเจ้ออีก พูดให้คิดเองแท้ๆ

       “กูพูดให้มึงหาทางกันอีเจ้จินออกห่างจากผัว ไม่ใช่ให้มาเพ้อเจ้อ” เอ้าเหรอ แต่ผมคิดไปแล้วทำไงอะ “ผู้กองเป็นคนดี ไม่หักหลังมึงหรอก…มั้ง”

       “โอเค สบายใจขึ้นเยอะ…ถุย!!” แม่งไม่มีความแน่ใจอะไรเลย แล้วจะให้ผมทำยังไง ตบตีกับเจ้แกผมไม่เอานะ ถึงเจ้แกจะเคยเป็นผู้ชายก็เถอะ

       “มึงบริการผู้กองบ่อยไหม” บริการอะไรวะ พูดไม่เคลียร์เลย “ยังมาทำหน้างงอีกอีนี่ บริการทางเพศไงยะ แหม๋ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำเป็นใสๆ” กูก็ใสไหมวะ ใครจะเหมือนมึง

       “ถามบ้าอะไรวะเนี่ย” จัญไรจริงๆ

       “วิเคราะห์ข้อมูลไงยะ” เออ เอาเข้าไป

       “มันข้อมูลประเภทไหนวะเนี่ย แล้วมึงจะรู้ไปทำไม" ใช่เรื่องที่ต้องบอกไหม บางทีผมก็หน้าบางเป็นนะ

       “กูก็อยากรู้ว่าผู้กองของขาดหรือเปล่า เพราะถ้าของขาดมากๆ อาจจะหน้ามืดไปคว้าอีเจ้มาก็ได้นะเว้ย อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน กูถึงต้องถามไง ตกลงผู้กองของขาดหรือเปล่า” เชี่ย!! แล้วผมต้องตอบยังไงวะเนี่ย พอคิดถึงคำตอบ ความร้อนก็ขึ้นหน้า

       “มะ ไม่ขาดนะ” อ้อมแอ้มตอบออกไปเบาๆ ก็ผมไม่เคยมีแฟน ไม่รู้ว่าความถี่ขนาดไหน ถึงเรียกว่าปกติ ต้องทุกวันเลยไหม ถ้าทุกวันผมคงตายแน่ๆ

       “ทุกวัน??” ฆ่าผมเถอะถ้าจะขนาดนั้น เพราะทำแต่ละครั้งไม่ใช่รอบสองรอบ อย่าน้อยก็สามรอบขึ้นไป ถ้าทำทุกวันช่วงล่างผมคงพัง

       “นี่กูต้องตอบจริงๆ เหรอ” แม่ง! จะบ้าตาย แต่เมื่อเจอสายตาพิฆาต เออ! ตอบก็ได้วะ แม่งหน้าร้อนไปหมดแล้ว “สอง…สามวันครั้ง” ชีวิตนี้ทำไมกูต้องมาตอบอะไรแบบนี้ด้วย

       “แหม๋ ไม่เบานะยะ” นั่นไง พอกูตอบก็มาแซว อยากจะก้านคอมันสักที แต่กลัวโดนสวนกลับ เพื่อนเลว!!

       “พอเถอะ กูขอร้อง” กูก้มกราบงามๆ เลย

       ในที่สุดมันก็เลิกเล่นแล้วกลับมาจริงจังอีกครั้ง กราบงามๆ สามที

       “ถึงผู้กองจะไว้ใจได้ มึงก็ไม่ควรวางใจ จับตาดูผัวมึงดีๆ ถ้ากันอีเจ้ออกไปได้ ก็กันออกไป อย่าชะล่าใจ คิดว่าตัวเองแน่ เพราะบางที ความแน่ก็แพ้ความแรด จำไว้” นี่ผมจะแพ้ความแรดเหรอ ไม่เอาๆๆ เรื่องมันยังไม่เกิดอย่าคิดมาก แค่ป้องกันไว้เป็นพอ ไม่คิดๆๆๆๆๆ

       …สุดท้ายกูก็คิดอยู่ดี แม่ง


+    -     ×    ÷     =    $


       ยามเย็นที่เงียบสงบ…ซะเมื่อไหร่

       “น้องไอ จ๊ะเอ๋ พี่ไนท์อยู่นี่!!”

       “แอะ!! คริๆๆ แอะ กรีส!”

       “ไอพุงป่อง!!”

       “กรีส!! คิกๆๆ แอะ แอะๆ คิก"

       “มาให้พี่ฟัดพุงซะดีๆ!!”

       “คิกๆๆ กรีสส!!! แอะๆ คิกๆ” ผมนั่งมองมิดไนท์เล่นกับน้องไอเสียงดังคับห้อง เสียงดังแค่ไหนก็ทำให้ผมรำคาญไม่ได้ กลับกันมันทำให้ผมมีความสุขซะมากกว่า

       “ตอนนี้พี่มีความสุขไหม” อยู่ดีๆ ลมหนาวที่นั่งข้างๆ ผมก็พูดขึ้นมาแบบไม่เกรินนำอะไรเลย อารมณ์ไหนของเขาวะ

       “ก็ดีนะ ดีขึ้นมาก หลังจากที่เราต้องสูญเสียทุกคนไป” ผมไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนเกิดเรื่องเชื้อโรคร้ายนี้ อันไหนมันสุขกว่ากัน เพราะผมแทบจำความรู้สึกในอดีตแทบไม่ได้ เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราอยู่กับความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ลืมเลือนความรู้สึกมีความสุขไปสิ้น จนได้มาเริ่มต้นความสุขใหม่ที่นี่ ความสุขนี้อาจไม่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับชีวิตก่อนหน้า แต่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้

       “พี่ว่าดี ผมก็ว่าดี พี่มีความสุขผมก็ดีใจ ความสุขของพี่มันทำให้ผมมีความสุขไปด้วย ขอให้พี่มีความสุขตลอดไปนะ" ไหงวันนี้มาพูดอะไรแบบนี้ได้เนี่ย ผมมองเจ้าตัวที่ทำหน้าจริงจัง ก็อดเอ็นดูไม่ได้ เจ้าตัวเล็กของผมจะโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ

       “ความสุขของพวกเรา ก็เป็นความสุขของพี่เหมือนกัน” ผมกอดคอเจ้าตัว แล้วหอมหัวไปฟอดใหญ่ “เจ้าตัวเล็กของพี่เผลอแป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มซะแล้ว แล้วกับน้องมิว มันยังไงกัน ตัวติดกันขนาดนั้น ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วมั้ง"

       ผมสังเกตดูสองคนนี้มาสังพักแล้ว ความรู้สึกของทั้งสองคน มันมีอะไรมากกว่าแค่เพื่อนแน่นอน ตอนนั้นผมยังไม่อยากไปก้าวก่ายอะไรมาก อยากให้พวกเขาจัดการความรู้สึกกันเอง แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่พี่ชายคนนี้ต้องเป็นที่ปรึกษาและชี้แนะแล้ว ฟังดูยิ่งใหญ่นะ ขนาดตัวผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย กระซิกๆ ปาดน้ำตา

       “พี่อุ่นดูออกเหรอ” ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว ตัวติดกันขนาดนั้น

       “แล้วตกลงยังไง คบกัน??” ผมเพิ่งเคยเห็นน้องชายตัวเองเขิน แหมหน้าแดงเชียวนะ

       “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ยังไม่ได้เป็นแฟน แต่ก็ไม่ใช่แค่เพื่อน พี่อุ่นไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าเราจะคบกัน" ดูหน้าลุ้นคำตอบนั่นสิ มันน่าแกล้งซะมัด แต่ไม่เอาหรอก ผมเป็นคนดี แหม๋หล่อชิบหายเลยผมเนี่ย

       “จะคบกันพี่ไม่ว่าหรอก แต่อย่าเพิ่งเกินเลยกัน เราทั้งคู่ยังเด็กอยู่ ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมามันจะแย่เอา พี่อยากให้อดใจไว้หน่อย ให้โตกว่านี้ และพร้อมกว่านี้ก่อน ได้ไหม” พวกเขายังเด็กเกินไป ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมาคงแย่แน่ โดยเฉพาะในสภาวะที่โลกกำลังเผชิญภัยพิบัติเชื้อโรคร้ายนี้

       “ครับ พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะให้เกียรติเธอ” แม่ง น้องใครวะแมนจริงๆ เหมือนพี่มันเป๊ะ


       ผมนั่งเล่นกับเด็กๆ จนเกือบสองทุ่ม ผู้กองก็ยังไม่ขึ้นมาด้านบน ได้ยินเสียงรถกลับมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววของคนตัวสูงเลย ครั้นผมจะออกไปดู ก็ติดเจ้าตัวจิ๋วนี่ ผมไม่อยากทิ้งให้เด็กๆ อยู่ตามลำพังเลย

       แต่มันนานไปแล้วนะ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นแต่ก่อน คงไม่วุ่นวายใจแบบนี้ แต่เมื่อได้คุยกับแมนนี่แล้ว ยอมรับเลยว่าไขว้เขวพอสมควร ผมไม่ผิดนะ ผู้กองทำตัวมีลับลมคมในเอง

       “น้องไนท์ ไปตามพี่หนาว พี่มิว มาเฝ้าน้องแทนมัมสักแป๊บได้ไหมครับ" คงต้องฝากเด็กๆ ไว้สักแป๊บ
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่24☆ P.3☆15/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 15-05-2019 22:37:53
{ต่อตอนที่ 24}


       ผมเดินลงมาจากห้อง หลังจากลมหนาว กับน้องมิว มาเฝ้าเด็กๆ ให้ ข้างล่างค่อนข้างเงียบ เพราะทุกคนคงกลับเข้าห้องกันหมด แมนนี่ก็ออกไปอยู่บ้านอีกหลังกับหมู่ทั้งสองแล้ว ยังไม่ได้แต่งก็ย้ายไปอยู่กับเขาซะแล้ว ไม่เบาจริงๆ เพื่อนผม แต่เอ๊ะ เหมือนจะเข้าตัวยังไงไม่รู้ งั้นเราจะจบเรื่องนี้กัน แหะๆ

       ทางเดินค่อนข้างมืด เพราะไฟสำรองเรามีไม่มากจึงต้องเปิดแค่เท่าที่จำเป็น ผมจึงหวิดจะเอาหัวโหม่งพื้นอยู่หลายรอบเหมือนกัน

       ไฟในห้องทำงานผู้กองยังเปิดอยู่ คงกลับมาทำงานเหมือนเคย เฮ้อ…ไม่รู้จักพักผ่อนบ้าง จะขยันอะไรขนาดนั้น ป่วยมาจะทำไง ไม่ชอบดูแลตัวเองเลย ข้าวปลากินรึยังก็ไม่รู้

       แอ๊ด ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป ภาพหลังบานประตูที่ผมเห็นคือ…

       คนสองคนที่กำลังเลือกแหวน และสวมแหวนให้กัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม คนในนั้นคือพี่จิน อีกคนเป็นคนที่ผมมอบหัวใจให้ ผู้กอง ปลายนิ้วผมเย็นเชียบ พร้อมกับหัวใจที่สั่นไหว นี่มันอะไรกัน ทั้งสองหันมาตามเสียงประตู คนหน้าสวยตาโตอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครที่เปิดประตูมา อีกคนทำหน้าหนักใจอะไรสักอย่าง

       “ทำอะไรกันอยู่เหรอ” ประโยคคำถามปกติ แต่เสียงที่เปล่งออกไปไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

       “คือ คือ เอ่อ" พี่จินพยายามจะตอบแต่ดูเหมือนจะหาคำตอบไม่ได้ หึ! อีกคนยังเงียบ และมองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนเดิม

       “ถามว่า ทำอะไร” มันยากมากนักเหรอ แค่ตอบคำถามผมแค่นี้ ไม่มีอะไรก็บอกไม่มีสิ พูดอะไรมาก็ได้

       “เอ่อ คือ พี่ว่าน้องใจเย็นๆ ก่อนนะ” แทนที่จะตอบคำถามผม กลับหันหน้าไปมองตากัน หึหึ ผมไม่มีความสำคัญมากพอ แค่จะให้คำตอบยังไม่ได้เลยหรอ

       ในเมื่อ ไม่มีใครให้คำตอบผมได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้ ผมหันไปมองผู้กองอย่างผิดหวัง ถ้าไม่มีอะไรก็แค่บอกมา มันยากนักเหรอ หรือที่ไม่ตอบเพราะมันมีกันแน่ ผมหันหลังพร้อมขาที่พร้อมจะก้าวออกไปจากห้อง

       หมับ วงแขนแกร่งโอบรัดรอบตัวผมไว้ เพื่อไม่ให้ผมก้าวออกไป

       “คุณออกไปก่อน ผมจัดการเอง” เสียงผู้กองพูดกับอีกคนในห้อง ผมอยากสะบัด แล้วก้าวหนีไป แต่อีกใจหนึ่งมันก็บอกให้รอ รอก่อน รอฟังคำอธิบายก่อน ผมเลยได้แต่ยืนเงียบๆ ในอ้อมแขนแกร่งต่อไป

       “คุยกันดีๆ นะคะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้ตลอดเลยนะ” อีป้ามึงรีบออกไปเถอะ ไม่พงไม่พี่มันแล้ว ตอนนี้ทั้งเสียใจ ทั้งหัวร้อน บอกเลยร้อนพอๆ กับประเทศไทยเดือนเมษาเลยแหละ

       “อุ่น” อะไรคือการวางหัวซบบ่า พร้อมอ้อน กูไม่ได้อยากให้อ้อน กูอยากได้คำอธิบาย “พูดกับพี่หน่อยสิครับ"

       “เบื่อกันแล้วเหรอ” จะดราม่ามันต้องไปให้สุด เอาสิ เป็นไงเป็นกัน เคยเจ็บมาแล้วนิ เจ็บอีกครั้งคงไม่ตาย

       “พูดอะไรแบบนี้!! พี่ไม่เคยเบื่ออุ่นเลยนะ นับวันยิ่งรักมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” รัก? เชี่ยเขิน แต่เขากำลังนอกใจมึงนะอุ่น ความเขินกูหายไปในทันที พร้อมกับใจที่แฟบลง ใจกูฟูฟ่องได้ไม่ถึงห้าวินาที

       “รักเหรอ? รักแล้วทำไมถึงมีคนอื่น" ผมผละออกจากอ้อมกอด พร้อมหันไปเผชิญหน้า แม่งกูคิดผิด แค่เห็นหน้าน้ำตาก็จะไหล

       “อย่าร้องนะครับคนดี” กูไม่ได้ร้อง หรือร้องว่ะ? ช่างแม่งเหอะ

       มือหนายื่นมาจับมือผมไว้ อยากสะบัดออก แต่แม่งอุ่น ให้จับแป๊บนึงก็ได้ “พี่ไม่ได้นอกใจ ไม่เคยมองใครเลยนอกจากอุ่น”

       ไม่ได้มอง? สะตอ เมื่อกี่มึงสวมแหวนให้กันอยู่ฟาย!

       “ไม่มอง? แต่ไปไหนด้วยกันบ่อยๆ อยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วยังมาสวมแหวนให้กัน ยิ้มให้กันหวานหยดย้อย ยังกล้าบอกไม่มีอะไรอีกเหรอ" ไอ้ยิ้มให้กันหวานหยดย้อยผมเติมขึ้นมาเองแหละ แต่ไม่ใช่เขาไม่ยิ้มให้กันสักหน่อย ผมแค่ใส่สีตีไข่เข้าไปอีก จะดราม่าต้องเอาให้สุด แล้วหยุดตรงไหนค่อยว่ากัน ถ้าผมไม่ไหว ช่วยหามศพผมออกจากห้องให้ด้วยนะ ขอบคุณล่วงหน้า

       “พี่ไม่ได้ยิ้มหวานหยดย้อยสักหน่อย" เออ กูรู้ กูมโนเอง แต่ก็ยิ้มให้กันล่ะว้า

       “เห็นความรู้สึกผมเป็นเรื่องตลกเหรอ จะไม่บอกก็ได้นะ จากนี้เราก็ไม่ต้องคุยกันอีก” จนถึงตอนนี้ คำอธิบายยังไม่มีแม้แต่น้อย เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ผมพูด เจ้าตัวก็ดูจะร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

       “ไม่เอาแบบนี้นะครับ มันไม่มีอะไรจริงๆ พี่แค่ให้จินช่วยอะไรบางอย่างแค่นั้นเอง พี่รักอุ่นคนเดียว”

       “ช่วยอะไร ทำไมต้องสวมแหวนให้กัน ตอบออกมาให้ชัดๆ ก่อนที่จะหมดความอดทน" ผมทนรอคำตอบจะไม่ไหวแล้ว ขามันอยากก้าวออกไปร้องไห้เงียบๆ คนเดียว แม่งพระเอกจริงๆ ตรู

       “คือ คือ…”

       “ถ้าแค่นี้ตอบไม่ได้ก็เลิ…” ยังพูดไม่จบ ตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขน พร้อมริมฝีปากที่โดนช่วงชิงไป แรงบดเบียดประหนึ่งไม่ต้องการให้เสียงต่างๆ เล็ดลอดออกจากปากผมได้

       ผลักออกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล มือหนาล็อคคอผมไว้ ลิ้นร้อนกวาดต้อนไปทั่วโพล่งปาก ความร้อนแรงค่อยๆ ผ่อนลงเป็นความนุ่มนวล ริมฝีปากหนาค่อยๆ เลาะเล็มปากบน มายังข้างล่าง ก่อนจะผละออกมาในที่สุด

       “อย่าพูดคำนั้นออกมา อย่าเอ่ยมันออกมาได้ไหมครับ” น้ำตาที่ผมกลั้นเอาไว้ค่อยๆ ไหลลงมาอย่างเงียบๆ ไร้เสียงสะอื้น รัก รักมาก แต่เมื่อมันไม่มีคำอธิบายอะไรที่ชัดเจน และน่าเชื่อถือ ผมผิดเหรอ ที่จะเอ่ยคำนั้นออกมา

       “ชู!! ไม่ร้องนะครับ เฮ้อ…เราเป็นแบบนี้แล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ อุตสาห์เตรียมการไว้ซะดี แต่เอาเถอะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว คงต้องเลยตามเลย" พูดเรื่องอะไรว่ะเนี่ย ไม่เข้าใจสักนิด นี่เขาเข้าใจไหมว่าผมต้องการคำอธิบาย

       ฟึบ! เอ้าแล้วนั่งคุกเข่าทำไม คือตอนนี้กูต้องการคำอธิบาย!!

       แล้วเอาแหวนออกมาทำไม? นี่มันอะไร??? มันแปลกๆ แล้วนะผมว่า น้ำตาแม่งก็ไหลอยู่นั้นแหละ มองไม่ชัด แม่ง!! วินาทีนี้พาลมันทุกอย่างอะ

       “ไออุ่นครับ ถึงเราจะคบกันได้ไม่นาน พี่อาจจะเคยทำให้ไออุ่นร้องไห้" ไม่ใช่เคยอะ ตอนนี้มึงก็ทำกูร้องไห้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ไออุ่นไม่สบายใจเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่ต่อไปนี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจอีก จะรักอุ่นแค่คนเดียว ขอให้พี่ได้ดูแลอุ่น และลูกๆ ของเราได้ไหม อุ่น แต่งงานกับพี่นะ”

       หะ อะไรนะ ว่ายังไงซิ เออไม่ใช่ ว่ายังไงนะ อะไร ตะ แต่งงาน นี่มันหนังแผ่นเดียวกันกับเมื่อกี่ป่าววะ หรือผมกำลังหลับใน ฝันกลางอากาศ เพื่อความแน่ใจ

       “อะ อะไรนะ ขอชัดๆ อีกที"

       “แต่งงานกับพี่นะครับ ไออุ่น” ชัดเลย กูปลับอารมณ์ไม่ทัน นี่กูจะร้องไห้ หรือจะยิ้มดี เดี๋ยวๆ หยุดความบ้าก่อน ต้องเคลียร์เรื่องที่คาใจก่อน เดี๋ยวค่อยเขินต่อ

       “แล้วเรื่องพี่จินล่ะ" เรื่องนี้ไม่เคลียร์อย่าหวังจะได้คำตอบ

       “พี่ปรึกษาจิน เพราะจินเคยทำงานเป็น ออแกไนซ์งานแต่งมาก่อน พี่ไม่เคยมีแฟนเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องมีอะไรบ้าง เลยขอให้จินช่วย ทั้งเรื่องแหวนด้วย กำลังจะเตรียมเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานแท้ๆ แต่ไม่เป็นไร ขอแค่อุ่นตอบตกลงก็พอแล้วครับ” แล้วตรูจะรู้ไหมเล่า เห็นภาพแบบนี้เป็นใครก็คิดอะบอกเลย

       “แล้วคำตอบละครับ แต่งงานกับพี่นะไออุ่น” โอเคเรื่องคลี่คลายเขินต่อได้ เอ้ายืนบิดให้งูมันอายไปเลย งือ เขิน

       “ตกลง คะ ครับ” ปฏิเสธก็โง่สิ เสียตัวขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ๆๆ รักมากต่างหากล่ะ อย่ามองผมแบบนั้น แหะๆ

       เอ่อ แต่ลืมเล่นตัว เค้าจะมองว่าง่ายปะวะ

       “ขอบคุณครับ พี่รักอุ่นนะ" งือ หน้าร้อนกว่าดวงอาทิตย์อีกตอนนี้ แหวนทองคำขาว เกลี้ยงเกลาแบบที่ผมชอบสวมเข้ามาบนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างบรรจง ที่พี่จินเอาแหวนมาให้น้องมิวใส่แล้วบอกให้ผมลอง เพราะเหตุนี้ใช่ไหม ริมฝีปากหนาประทับลงบนแหวนที่สวมอยู่บนมือผมอย่างอ่อนโยน หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง

       ผมรับแหวนอีกวงมาสวมกลับให้ผู้กอง รอยยิ้มอบอุ่นนั้นทำให้มือผมสั่น กูจะใส่ถูกนิ้วไหมเนี่ย

       “รักมาก”  งือ เขินอ่า ผมบอกรักผู้ชาย แข้งขาอ่อนเปลี้ย อยากโดนอุ้ม

       แล้วผมก็โดนดึงเข้าสู่อ้อมแขนที่อบอุ่นอีกครั้ง อยากจะอยู่แบบนี้ไปนานๆ นะ…แต่ ใครจะดูลูก?

       “เอ่อ ผู้กอง คือมันสามทุ่มแล้ว ได้เวลาลูกนอนแล้ว” ต้องส่งมิดไนท์เข้านอนที่ห้องลมหนาว แล้วกล่อมเจ้าตัวจิ๋วให้หลับ

       “ถ้าลูกหลับแล้ว จะมีรางวัลอะไรให้พี่หรือเปล่าน้า" รางวัลอะไร ทำอะไรไม่ทราบถึงต้องได้รางวัล “คืนนี้ขอนะครับ"

       ไอ้หื่น!!

       “อืม” และกูก็หื่น เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมดาของผู้ชายน่า แหะๆ โปรดอย่ามองผมแบบนั้น



+     -    ×    ÷    =    $


       “อีอุ่นกูบอกแล้วว่ามันไม่มีอะไร ผู้กองก็เป็นคนดี พี่จินก็เป็นคนดี” เมื่อวานมึงไม่ได้พูดแบบนี้ ยังเรียกเขาว่า อีเจ้จิน อยู่เลย เปลี่ยนสีเร็วนะมึง

       “เหรอแมนนี่ เหรอ” ขอมองบนให้กับเพื่อนทีนึง พรึบ เสร็จแล้ว

       “แล้วมึงจะแต่งเมื่อไหร่ว่ะ” แม่งไม่สนใจที่กูประชดเลย

       “อีกสองสัปดาห์” ผมนี่เตรียมตัวเตรียมใจไม่ทันเลย

       “เร็วนะยะ ท้องก่อนแต่งรึไง”

       “กูกับมึงไม่มีมดลูก เผื่อมึงลืม”

       “ขอกูมโนหน่อยไม่ได้รึไง แล้วตกลงทำไมเร็วจังวะ กูจะหาชุดสวยๆ ทันไหมเนี่ย"

       “ผู้กองเค้าเตรียมงานกับพี่จินไว้เรียบร้อยแล้ว” นี่อีกแค่สองอาทิตย์ผมจะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วเหรอ โตมาได้ ครบ 20 ปี ก็มีผัวซะแล้ว พ่อแม่กูต้องภูมิใจ กระซิกๆ

       “วันนี้จะให้ผัวพาไปห้าง กูต้องได้ชุดสวยๆ” บางทีมึงก็รีบไปนะ

       “พี่จินเค้าขนมาให้เราทุกคนแล้ว” ต้องเรียกว่าขนครับ เพราะเต็มท้ายกระบะเลย

       “ไม่ จะไปเลือกเอง กูต้องสวยที่สุดในงาน” เอาที่สบายใจเลยเพื่อน

       “ไปห้างใกล้ๆ พอนะ ไปไกลมันอันตราย” ห้างแถวนี้เราเคลียร์พื้นที่ไว้แล้ว หายห่วง แต่ถ้าไกลออกไป ไม่รับรองความปลอดภัย

       “เออ ไม่ไปไกลหรอก แต่ผมมึงนี่ควรเปลี่ยนสีได้แล้วนะ โคลนกับปลายคนละสีแล้ว” ก็จริง ย้อมนานจนตอนนี้หัวเป็นสองสีแล้ว แต่งงานทั้งทีต้องหล่อเว้ย

       “งั้นกูฝากด้วย สีไหนที่ย้อมแล้วแม่งโคตรหล่อ โคตรเท่วะ” งานนี้ต้องเท่ที่สุด

       “หน้าอย่างมึงสีไหนก็เท่ไม่ขึ้นหรอก”  ยามกันมาก “อย่าทำหน้าแบบนั้น กูพูดเล่นจะ เพื่อนรัก ตกลงเอาสีอะไร”

       “น้ำเงิน หัวสีน้ำเงิน ทั้งเด่นทั้งเท่ กูเอาสีนี้” งานนี้เกิดชัวๆ เตรียมตัวติดแฮทแท็ก
#ไออุ่นคนหล่อ ได้เลย

       “อยากเด่น ได้!! เดี๋ยวกูจะย้อมให้กับมือเลย มึงเด่นแน่ๆ” อย่างนี่สิไอ้แมนเพื่อนรัก



       หลังจากได้สีมา มันก็ย้อมให้ผมทันที ขนาดกล่องน้ำยาย้อมยังไม่ได้ดูเลย รีบจัด

       “ขอดูกระจกหน่อย” ต้องส่องความหล่อสักหน่อย

       “ดูทีเดียวตอนทำเสร็จยะ” สงสัยอยากให้ตะลึงในความหล่อตอนเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ๆ ทนอีกหน่อยก็ได้


       “อะ กระจก เด่นสมใจมึงแน่นอน แมนนี่คนสวยรับรอง” ได้กระจกมาแล้วต้องสอง ความหล่อ ความเท่ตัวเองหน่อย



       ไอ้หัวสีชมพูสายไหมในกระจกนี่คือใคร มันเป็นใคร!!!

       ทำไมหัวกูเป็นสีชมพู?? หรือบอกแมนนี่ผิดวะ

       “แมนนี่บอกให้เอาสีอะไรมานะ”

       “สีน้ำเงิน” อือ ผมบอกให้เอาสีน้ำเงิน แมนนี่ก็รู้นิ

       “แล้วไอ้อยู่บนหัวกูสีอะไร” หรือมันจะตาบอดสี เห็นสีชมพูเป็นสีน้ำเงิน

       “ชมพู” มึงก็ไม่ได้ตาบอดสีหนิ

       “แล้วกูบอกให้เอาสีอะไร"

       “น้ำเงิน”

       “แล้วบนหัวกูสีอะไร”

       “ชมพู”

      “แมนนี่!!!” มึงเล่นกูเเล้ว หมดแล้วความเท่ตรู

       นี่ต้องแต่งงานด้วยหัวสีชมพูจริงดิ กระซิกๆ



…………………..
……………
…….

       ตอนหน้า ตอนจบแล้วนะคะ
       ขอบคุณจริงๆนะคะ ที่ติดตาม และอ่านนิยายของเรา เรื่องแรกก็จะงงๆ หน่อย แต่เราตั้งใจมากนะ

       ถ้ามีคำผิดบอกเราด้วย พอดีพิมพ์ในโทรศัพท์มันอาจจะกดผิดบ้าง

       #ธามไออุ่น
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่24☆ P.3☆15/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-05-2019 08:15:17
 :pig4:
 :katai2-1:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆ P.3☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Looktal1993tt ที่ 17-05-2019 16:34:54
- 25 -


[ไออุ่น]

       การแต่งงานคือการที่คนทั้งคู่ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เพื่อให้เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามประเพณี และกฎหมายของสังคม การแต่งงานเป็นการสร้างครอบครัวใหม่ร่วมกัน

       การแต่งงานเป็นสิ่งที่หลายคนฝันถึง ครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนอยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดี ที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ต้องเผลอยิ้มออกมา ทุกคนวาดฝันให้มันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสุข ถ้าเป็นละครก็คงเป็นตอนจบของเรื่อง แต่ในชีวิตจริงมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการมีใครสักคนที่เดินไปพร้อมกับเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเส้นทางมันจะสิ้นสุดที่ตรงไหน บางคู่อาจเดินไปถึงทางแยกที่ไปด้วยกันไม่ได้ บางคู่อาจจะจากกันไประหว่างทาง หรือจากไปพร้อมกัน ซึ่งไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไร ก็กำหนดมันไม่ได้อยู่ดี แค่มีความสุขกับการเดินทางในปัจจุบันเป็นพอ

       ผมมองดูทุกคน ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดสถานที่ บ้านหลังใหญ่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ และผ้าสีสวยเท่าที่จะหาได้ พิธีไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก แค่สวมแหวนให้กัน ให้ผู้ใหญ่อวยพร แล้วส่งตัวเข้าหอ พิธีต่างๆ จะจัดขึ้นตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ตามฤกษ์สะดวก อาจมีขึ้นกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ได้เป็นทางการอะไรมากมาย เน้นสบายๆ ชิลๆ

       แต่ดูชุดของแมนนี่แล้วผมชิลไม่ออก คุณเธอดันจัดชุดเดรสสีแดงผ่าหลังจนเกือบเห็นตูด เห็นแล้วยอมใจ

       ส่วนของผมเป็นแค่เสื้อเชิ้ตสีขาว ผู้กองใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินธรรมดา(ที่เป็นแบรนด์ดังในอดีต) ผมบอกแล้วว่าเราจะแต่งแบบชิลๆ แต่ถ้าใครอยากจัดเต็มก็ตามอัธยาศัยเลย แต่เกรงใจแดดช่วงบ่ายนิดนึง เพราะเราไม่มีแอร์เปิดให้หรอกนะ

       น้องมิวพร้อมกล้องตัวใหญ่ที่หิ้วมาจากห้าง เดินเก็บภาพไปทั่ว น้องบอกจะเป็นช่างภาพให้เอง เจ้าตัวเล็กมิดไนท์ของเรากำลังวิ่งเล่นกับเจ้าสี่ขาอย่างสนุกสนาน สนุกจนลืมน้องแล้วมั้ง!!

       ขณะที่พี่ๆ ทหารออกตรวจความเรียบร้อยบริเวณนี้ และใกล้เคียง เพื่อวันพรุ่งนี้จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะดูแล้วหลายคนเตรียมเมากันเต็มที่ เหล้า เบียร์จากห้างสรรพสินค้าถูกกว้านมาจนหมด ไม่รู้ว่าจะเอามากินหรือมาอาบกันแน่ หวังว่าจะไม่เมาจนเดินไปให้ซอมบี้แดกเล่นนะ ผมละหวั่นใจจริงๆ

       อยากรู้ละสิว่าสุดหล่อหัวชมพูอย่างผมทำอะไรอยู่ พูดเรื่องหัวชมพูแล้วขอบ่นหน่อยเหอะ หลังจากที่ทุกคนเห็นสีผมใหม่ของผมแล้ว ต่างพากันชมว่าน่ารักๆ แรกๆ ก็เช็งอยู่หรอก กะจะหล่อเท่ให้เต็มที่ดันมาน่ารักซะงั้น แต่ก็ดีกว่าชมว่าสวยละว้า คิดได้ดังนั้นผมเลยเลิกนอยด์ แล้วยังคิดได้อีกว่า คนมันจะหล่อมันหล่อจากข้างในครับไม่ใช่สีผม มันอยู่ที่อินเนอร์ เชื่อผม ผมเรียนมา

       ว่าแต่ถึงไหนแล้วนะ อ๋อ ผมกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าสุดหล่อมาดแมนอย่างผมต้องได้รับหน้าที่ เลี้ยงเด็ก? ก็ลูกผมหนิครับ ผมก็ต้องเลี้ยงสิ แต่พรุ่งนี้ผู้กองบอกตอนเข้าหอจะฝากให้ป้าๆ ดูแลให้ก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ความหื่นออกนอกหน้าขนาดนั้น เห็นแล้วเท้าสั่นดิ๊กๆๆ คิดว่าผมจะเตะผู้กองเหรอ ถ้าคุณคิดแบบนั้น คุณคิด ผิด!!! ผมจะวิ่งหนีต่างหากเล่า อยู่ทำไม อยู่ไปก็ตายคาเตียง

       “พี่อุ่นผู้กองไปไหนครับ” ผมเงยหน้ามองไอ้เด็กผอมสูงที่ถามผม ตอนนี้ไอ้ริวมันดูมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะ แต่ก็ยังถือว่าผอมอยู่ แต่ไม่ก้างเหมือนเดิม เมื่อเจ้าตัวทำหน้าเหมือนอยากได้คำตอบมาก ผมจึงต้องเอ่ยตอบไปด้วยความเอ็นดู

       “ไปกับผัวมึงไงครับน้อง” เอ็นดูจริงๆ ไอ้สูง แมง!! อายุแค่นี้จะสูงอะไรนักหนา

       “ผมรู้ว่าพี่โฟรคไปกับ ผัวพี่!!  แต่ผมอยากรู้ว่าไปที่ไหนครับ" แม่ง โดนแล้วไหมล่ะ ดูๆ ดูมันทำหน้า ทำเป็นใสซื่อ กวนตีนแล้วยังมาทำหน้าซื่ออีก หมั่นไส้!!

       “ไปศูนย์วิทยุกระจายเสียง” ตอบๆ มันไปครับ รำคาญ!! ตอนสายๆ ผู้กองบอกผมแล้วว่าจะไปที่ศูนย์วิทยุ ทีแรกจะไปกันเองกับทหารอีก 3 นาย แต่หมวดโฟรคขอไปด้วย บอกอยากไปดู ก็เลยขึ้นรถไปด้วยกัน ศูนย์วิทยุกระจายเสียง เราใช้เพื่อส่งข้อความผ่านวิทยุ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ส่งข่าวได้ เพียงแค่เรามีวิทยุรุ่นที่ใช้ถ่าน ใส่ถ่านหาสัญญาก็เจอคลื่นของเราแล้ว เสียดายที่คลื่นมันถึงแค่จังหวัดรอบข้างเท่านั้น แต่เรามีโครงการจะให้ค่ายต่างๆ เป็นศูนย์วิทยุกระจายเสียงเช่นกัน แต่นั้นมันคืออนาคต ตอนนี้มีเพียงตรงนี้ที่เรากำลังดูแล โดยใช้ไฟจากแผงโซลาร์เซลล์ เปิดเพลงบ้าง พูดคุยบ้าง ส่งข่าวบ้าง คอยอยู่เป็นเพื่อนคนที่ฟังอยู่ หวังว่าจะมีคนฟังอยู่นะ

       “นี่พี่หลุดไปถึงโลกไหนแล้วเนี่ย!!" ชิบ!!! ตกใจหมด คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ

       “อะไรอีก” ถามหาผัวก็ตอบให้แล้ว ยังมายืนจ้องหน้าอีก

       “ผทจะบอกพี่ว่า ลูกพี่ตื่นแล้ว นอนตาแป๋วอยู่นั้น” ผมก้มลงมอง เจ้าตัวจิ๋วที่อยู่บนรถเข็น มองผมตาใสแจ๋วเลย ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย

       “แล้วก็ไม่รีบบอก”

       “ผมบอกแล้วเถอะ แต่พี่มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้" อ่าว จริงดิ ไม่เห็นรู้ตัวเลย แหะๆ

       “แล้วกับหมวดเป็นยังไงบ้างพักหลังๆ เห็นหวานกันจนมดจะขึ้น ถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ" ผมอุ้มเจ้าตัวจิ๋วขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด พร้อมเปลี่ยนเรื่อง

       “ก็ดี” อะไรคือพูดถึงแล้วยืนบิดหน้าแดง

       “แล้วถึงขั้นไหนกันแล้ว” อยากรู้เราก็ต้องถามครับ อิอิ

       “ขั้นไหนอะไรกันเล่า วู้!! ไม่คุยด้วยแล้ว ไปทำงานดีกว่า” แหม๋ทีนี้มาเดินหนี ถามแค่นี้เอง ตอบอยากตรงไหน ไม่เชื่อผมถามแมยนี่ให้ดู

       “แมนนี่ มานี่! ถามอะไรหน่อย” แมนนี่เดินหน้าเซ็งๆ มาหาผม

       “อะไรยะ!” อารมณ์มาเต็ม รู้ว่าร้อน แต่ขอร้องอย่ากระโดดกัดคอกูเลยเพื่อน

       “มึงกับหมู่ทั้งสอง ถึงไหนกันแล้ววะ” มันทำหน้าประหลาดใจกับคำถามผมในตอนแรก ก่อนจะยิ้มกริ่มในเวลาต่อมา พร้อมเอ่ยตอบในที่สุด

       “ถ้ากูเป็นผู้หญิงคงแฝดสิบอะ บอกเลย” พูดจบก็เดินลิ่วไป หมายถึงอะไร แฝดสิบ ทำบ่อย? ทำเยอะ? เหรอ หรืออะไร

       

    +    -    ×    ÷    =    $


       ความวุ่นวายในตอนเที่ยงของวัน มันไม่ได้ทำให้การตื่นเต้นผมน้อยลงเลย กลับกันยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก

       ตอนนี้ผมกำลังแต่งตัวอยู่อีกห้องซึ่งแยกกันกับผู้กอง มิดไนท์แต่งอยู่ห้องผู้กองเช่นกัน ส่วนแม่สาวน้อยตัวจิ๋วแต่งอยู่ห้องผม ไม่รู้ว่าพี่จินไปหาชุดไทยขนาดเล็กนี้มาจากไหน มันน่ารักมากเลย เจ้าตัวจิ๋วของเรากำลังหลับ หลังจากเล่นกับเขาไปทั่ว ใครเล่นด้วยก็เล่นกับเขาไปหมด ไม่แปลกใจเลยที่หมดแรงหลับไป หวังว่าจะตื่นขึ้นมาทันพิธีการนะ อยากให้เจ้าตัวจิ๋วอยู่ด้วย อยากให้ครอบครัวเราอยู่ครบทุกคน

       แมนนี่ที่ตอนนี้อยู่ในชุดเดรสสีแดง แต่งหน้าเต็ม กำลังเช็ตผมให้ผมอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ผมต้องหายใจเบาๆ เพราะกลัวโดนช่างตบเอา…อ่า เสร็จสักที เปิดปากได้แล้ว อึดอัดชิบ! คำถามแรกที่ผมไม่เข้าใจ ก็ถูกเอ่ยออกไป

       “ไม่ใช่งานเป็นทางการสักหน่อย ทำไมต้องแต่งตัวแยกห้องกันด้วย” ผมไม่เข้าใจเลย หรือปกติเขาทำกันแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม

       “ทำไม แยกกันแป๊บเดียวไม่ได้? คิดถึงผัว!” เชี่ย กูแค่สงสัยเฉยๆ เหอะ แล้วป้าๆ จะหัวเราะทำไมเล่า!

       จบครับ อย่าไปถามมันเลย สวยเหมือนนางฟ้า แต่เธอช่างร้ายเหมือนนางมาร

       ผมหันมาสนใจกระจกต่อ เงาที่สะท้อนในกระจก ทำให้ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า คนหล่อหน้าตาเป็นยังไง ไม่อยากจะพูด แต่อยากให้คุณได้เห็น นี้แหละนิยามคำว่าหล่อที่แท้ทรู คริๆ เขินตัวเองจัง

       “ฝันกลางวันอะไรอยู่ยะ หน้าตากระตุกทีนหนักมาก” ผมบอกแล้วว่ามันเป็นนางมาร

       แกร๊ก!! ประตูเปิดออกพร้อมร่างเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง

       “โห!! น้องใครเนี่ย โคตรหล่อเลย” ผมชมลมหนาวที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว เช็ตผมเปิดหน้า ทำให้เจ้าตัวดูโตขึ้นกว่าปกติพอสมควร

       “โอเค อันนี้เห็นด้วย หล่อค่ะ หล่อกว่าพี่มันอีก" สำหรับน้อง ยอมหล่อน้อยกว่าก็ได้วะ

       “พี่อุ่นหล่อมากครับ” ตาถึง!! ต้องแบบนี้สิน้องผม ยิ้มมุมปากส่งไปให้แบบเท่ๆ

       “กูเกลียดหน้ามึงมากอีอุ่น เห็นแล้วคันทีนไปดูอีกห้องดีกว่า” เชอะ ไปเลย ใครรั้งไว้

       “พี่อุ่นตื่นเต้นไหมครับ” ก่อนหน้านี้ไม่เท่าไหร่ แต่พอโดนถาม เออ เริ่มตื่นเต้นแล้ว!

       “ตอนนี้นิดหน่อย” ออกไปคงเยอะกว่านี้ ‘มากกกก'

       “ยินดีด้วยนะครับ ขอบคุณที่ดูแลพวกเรามาโดยตลอด ผมดีใจที่ต่อไปนี้พี่จะมีคนคอยดูแล ไม่ต้องพยายามเข้มแข็งตลอดเวลาเพื่อพวกเราแล้ว มีความสุขกับชีวิตของตนเองเถอะนะครับ" มือสองข้างของน้องกอบกุมมือผมไว้ ในขณะที่เอ่ยถ่อยคำต่างๆ ออกมา

       “ความสุขของพี่คือการที่พวกเราทุกคนปลอดภัย มีชีวิตที่ดี มีความสุข พี่มีความสุขที่ได้ปกป้องพวกเรา มันไม่ได้ลำบากเลย พี่เต็มใจที่จะทำ ไม่ต้องห่วง พี่มีความสุขดี ผู้กองเป็นอีกความสุขที่เข้ามาในชีวิตพี่ เป็นบ้านให้พี่ได้พึ่งพิง เป็นอีกส่วนของหัวใจที่เข้ามาเติมเต็ม พวกเราก็เช่นกัน" ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ อยากดูแลปกป้องทุกคน ให้น้องๆ ทุกคนปลอดภัย มีชีวิตที่ดี มีความสุข

       “ผมรักพี่นะครับ เสียดายที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยในงานสำคัญของพี่อุ่น” ผมลุกขึ้นดึงเจ้าน้องชายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

       “พี่ก็รักลมหนาวครับ พี่เชื่อว่าพ่อกับแม่จะคอยมองดูเราจากบนนู้น" ผมชี้มือขึ้นไปบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ “ไม่ว่าเราจะทำอะไร พวกท่านจะอยู่กับเราตลอด อย่างน้อยพวกท่านก็อยู่ในใจของพวกเรา”

       “ฮึก ผมคิดถึงพ่อกับแม่" ในห้องที่เหลือแค่เราสองคน เอ่อ สามกับเจ้าตัวจิ๋วที่หลับอยู่ ผมกระชับอ้อมกอดน้องชายให้แน่นขึ้น ผมรู้น้องคิดถึงพ่อกับแม่มาก แม้จะไม่ค่อยพูดถึงก็ตาม ที่ไม่พูดถึงเพราะพยายามเข้มแข็งอยู่ต่างหาก ไม่ว่าน้องจะดูโตขนาดไหน แต่อย่าลืมว่าน้องเป็นแค่เด็กอายุ 12-13 เอง

       “พี่ก็คิดถึง” ไม่รู้จะปลอบน้องยังไงดี เลยได้แต่ลูบหลัง ความคิดถึงมันทรมานอย่างนี่นี้เอง

       “ทำไมต้องมีเชื้อโรคระบาด ทำไมต้องมีซอมบี้ ทำไมพ่อแม่ต้องตาย ทำไม#%^£$@÷*¥&” และอีกมากมายที่เจ้าตัวระบายออกมา คงอัดอั้นมาก พอได้ระบายเลยพูดออกมาจนหมด ดีแล้วล่ะครับ ให้น้องพูดออกมาบ้าง ดีกว่าเก็บมันไว้คนเดียว ผมสงสารน้องนะที่อายุแค่นี้ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่มีชีวิตอยู่มาได้ขนาดนี้ก็โชคดีมากแล้ว

       “โอเคขึ้นยัง" น้องหยุดร้องได้สักพักผมจึงถามขึ้น

       “ขอโทษครับ วันสำคัญของพี่แท้ๆ ผมยังมาร้องไห้ ใช้ไม่ได้จริงๆ”

       “คิดมาก วันไหนพี่ก็พร้อมรับฟังเราเสมอ ต่อให้นั่งขี้พี่ก็จะฟัง" เจ้าตัวหัวเราะน้อยๆ กับนิสัยขี้เล่นของผม

       “ไม่ว่าสถานการณ์ไหนพี่ก็ยังตลกได้เหมือนเดิมเลยนะ พี่นี่มันพี่จริงๆ เลย” ก็นี่แหละผม จริงจังได้ไม่ถึง 10 นาทีหรอก

       แกร๊ก! ประตูเปิดออกพร้อมร่างหนาที่พาตนเองเข้ามาในห้อง

       “หืม มีอะไรกัน ตาแดงเชียว” ผู้กองเหมือนจะจ้องผมอยู่แป๊บนึงก่อนจะมองลมหนาวที่ยืนตาแดงอยู่

       “เด็กงอแงน่ะครับ” ขยี้ผมส่งไปอย่างเอ็นดู ตาแดงเชียว

       “โห พี่อุ่นพูดแบบนี้ พี่ธามก็มองผมเป็นเด็กน้อยพอดี” เจ้าตัวโอดโอยใหญ่

       “ก็เด็กน้อยจริงๆ นี่นา”

       “ผมโตแล้วเหอะ”

       “แล้วคนโตที่ไหนมากอดพี่ร้องไห้ ฮึ" เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยทันที ผมไม่เห็นน้องทำหน้าแบบนี้นานแล้ว ล่าสุดตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ เด็กน้อยของผมกลับมาแล้ว

       “หยุดเลยพี่อุ่น ไม่ต้องพูดแล้ว” โวยวายใหญ่ หึหึ ต่อไปนี้ขอให้เด็กน้อยของพี่มีแต่ความสุขนะครับ

       “โอเคๆ ไม่พูดแล้วๆ"

       “พี่ธาม ฝากพี่ชายผมด้วยนะครับ รักพี่อุ่นให้มากๆ อย่าทำให้พี่เสียใจ และอย่าทิ้งพี่ชายผมนะครับ ผมรักพี่มาก ผมไม่อยากให้พี่เสียใจอีกแล้ว" อยู่ดีๆ เจ้าตัวก็หันไปหาผู้กอง แล้วพูดอย่างจริงจังซะงั้น แต่สิ่งที่น้องพูดทำให้น้ำตาผมมันจะไหลออกมา จนต้องเงยหน้าเพื่อกลั้นมันเอาไว้

       “ครับ พี่สัญญา” กับคนอื่นก็ยังพูดน้อยเหมือนเดิม แต่สีหน้าจริงจัง และหนักแน่นก็สื่อทุกอย่างออกมาแทนคำพูดหมดแล้ว

       “เดี๋ยวผมออกไปหาอะไรมาให้ทานก่อนดีกว่า เที่ยงแล้ว ต้องกินด้วยนะครับ ไม่ใช่ตื่นเต้นจนลืมกินล่ะ” พูดจบก็วิ่งออกไปทันที ไม่ถามหน่อยเหรอว่าอยากกินอะไร กลับมาก่อน!! ไปซะแล้ว

       “ตาแดงเชียว จะงอแงตามน้องเหรอครับ” แหม ใช่คำซะผมดูน่ารักไปเลย ไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่อง มีอะไรไหมครับ

       “ใส่ชุดนี้แล้วหล่อดีหนิ แต่น้อยกว่าผมนะ” คนเราต้องมั่นใจในตัวเองครับ

       “ก็หล่อนะ แต่น่ารักมากกว่า เห็นแล้วอยากอุ้มเข้าห้องไปดูคนเดียวเลย หวง” เนี่ยจะเคืองที่ชมว่าน่ารักก็เคืองไม่ได้เพราะ เขิน งือ หน้านิ่งๆ หล่อๆ แล้วพูดแบบนี้ใครไม่เขินก็บ้าแล้ว

       “จะหวงทำไม!! คนอื่นก็ได้แค่ดู" เสียงแผวลงในประโยคสุดท้าย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังได้ยินอยู่ดี เพราะดูจากร้อยยิ้มที่ปรากฏออกมามันกรุ้มกริ่มยังไงไม่รู้

       “แต่พี่ได้ทำมากกว่านั้นใช่ไหม" ก็รู้อยู่จะถามทำไม แม่ง หน้าร้อนหมดแล้ว เอาหน้าผมตอนนี้ไปทอดไข่ก็สุกอะบอกเลย

       “แล้วมิดไนท์ล่ะครับ" ไปต่อไม่ได้เราก็ต้องเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง ตามภาษาคนแมน

       “เปลี่ยนเรื่องตลอด” ผมถึงตาใส่ ไอ้เราก็อุตสาห์เปลี่ยนเรื่อง “โอเคครับๆ มิดไนท์แต่งตัวเสร็จแล้ว หล่อเชียว ตอนนี้กำลังออกไปกินข้าวอยู่ครับ แล้วเจ้าหญิงหลับไปนานรึยัง”

       “เกือบชั่วโมงแล้วครับ สักพักคงตื่น” หวังว่าจะตื่นทันงานนะ อยากให้คนที่ผมรักทุกคนอยู่ด้วยในวันสำคัญนี้

       “ต่อไปนี้ห้ามเรียกพี่ว่าผู้กองแล้วนะ ก่อนหน้านี้พี่ไม่ได้ว่าเพราะคิดว่ายังไม่ชิน ยังเขินอยู่ แต่ต่อไปนี้ต้องเรียกพี่ว่า ‘พี่ธาม’ ถ้าเรียกว่าผู้กองเมื่อไหร่ โดนหอมแก้มเมื่อนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จะคนน้อย คนมากพี่ก็ไม่สน" ระหว่างเรียกพี่ธาม กับโดนหอมแก้ม อะไรจะเขินกว่ากัน? โอเค! ผมจะเรียกผู้กองว่าพี่ธามก็แล้วกัน เพราะมันเขินน้อยกว่าไง งือ…

       “พูดขนาดนี้แล้วใครจะขัดได้ล่ะ"

       “ไออุ่นครับ” ผมว่าไม่ใช่แค่เรียกธรรมดา ต้องคาดหวังอะไรแน่ๆ อะ เอาใจคุณเขาหน่อย

       “ครับ พะ พี่ธาม” แหม ยิ้มแป้นเชียว ไม่คิดจะเกรงใจแก้มแดงๆ ผมเลย

       มือหนาลูบหน้าผมเบา หน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งทวีความร้อนขึ้นอีก

       “น่ารัก” งือ กูตาย ช่วยมาเก็บศพผมที

       “แอะ งือ อุ แอะ” เสียงนางฟ้าตัวน้อยๆ ได้ช่วยชีวิตผมไว้ พร้อมตาใสแป๋วที่ทอดมองเรา

       “นางฟ้าของพ่อตื่นแล้วเหรอครับ” ผู้กองอุ้มเจ้าตัวจิ๋วขึ้นมาจากเบาะนอนอย่างทะมัดทะแมง พร้อมฟัดแก้มที่เริ่มจะกลมนั้นเน้นๆ

       “กรีส!! คิกๆๆ แอะ มะๆ แอะ คิกๆๆ” ตื่นมาก็อารมณ์ดีเลยนะ ไม่คิดจะงอแงใส่พ่อเขาสักหน่อยเหรอ

       “พอแล้วครับ เดี๋ยวก็หมดแรงกันก่อนงานเริ่มหรอก” หลับกลางงานไม่รู้ด้วยนะ

       “ลืมไปว่านางฟ้าตัวน้อยต้องเก็บแรงไว้ลุยงานแต่งงานของพ่อกับแม่" เออ แม่ก็แม่ ขัดไม่ได้แล้วหนิ

       เราเล่นกันอยู่สักพักข้าวก็มา อีกไม่นานก็ถึงเวลาแล้วสินะ ตื่นเต้น


    +    -    ×    ÷    =    $


       งานทุกอย่างจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย อาหารก็นั่งกินกันอย่างสบายๆ ทั้งนั่งโต๊ะ ปูเสื่อนั่งกินกับพื้น แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลย นอนกินก็ไม่มีใครว่า

       แมนนี่ในชุดเดรสแดงของเธอกำลังเดินกรีดกรายออกมา พร้อมสามีทั้งสองที่เดินตามหลังดั่งบอดีการ์ด คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกดังที่มีบอดีการ์ดคอยคุ้มกันหรือไง

       พิธีการเป็นแบบง่ายๆ เราสวมแหวนให้กันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งหลาย ผู้ใหญ่นั้นก็ไม่ใช่ใคร ก็ป้าๆ ลุงๆ นั้นแหละ ไม่มีการรดน้ำสังข์ ถ้าใครอยากอวยพรก็เข้ามาอวยพรได้เลย หรืออยากกล่าวอะไร เราก็มีเวทีเล็กๆ ให้ขึ้นกล่าว แต่ไม่มีไมค์นะ ต้องพูดเสียงดังๆ หน่อย

       เราทั้งสองนั่งลงต่อหน้าผู้ใหญ่ ที่นั้งเก้าอี้ด้านบน ด้านข้างมีลมหนาวที่กำลังอุ้มเจ้าตัวจิ๋วไว้ พร้อมมิดไนท์ที่นั่งอยู่ด้วยไม่ห่าง โดยมีน้องมิวที่ทำหน้าที่เก็บภาพความทรงจำที่งดงามนี้ไว้

       “พร้อมแล้ว เจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาว เอ่อ… ใช่เจ้าสาวไหมวะ” ลุงดำถ้าพูดไปเลยมันจะไม่เขินขนาดนี้นะ จะถามทำไม!!

       “ครับ เจ้าสาว!!” เอา! นี่จะตอบทำไมอะผู้กอง!!

       เอาเถอะ ตอนนี้ก็ตื่นเต้นมากอยู่แล้ว จะบวกความเขินไปอีกคงไม่เป็นไร หรือเปล่า??

       “เออๆ ต่อๆ เจ้าบ่าว สวมแหวนให้เจ้าสาวได้เลย” มือที่ยื่นออกไปสั่นอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่กล้ามองผู้กอง หรือใครๆ เลย เขิน!

       “อุ่นครับ เงยหน้าขึ้นมามองกันหน่อยสิครับ" งือ อย่ามาหวาน จะเป็นลม มีงานแต่งที่ไหน ที่เจ้าสาวเป็นลมเพราะเขินบ้างไหมครับ ผมอยากเห็นเพื่อนร่วมชะตากรรมหน่อย

       ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาคม ดวงตาที่มีความสุขมันสะกดให้ผมหันไปมองทางอื่นไม่ได้ เอาวะ ถึงต้องเขินขนาดไหน แต่มันทำให้ผู้กองมีความสุขได้ ไอ้อุ่นจะทำ เอ่อ ถ้าผมไม่เป็นลมไปก่อนนะ

       แหวนทองคำขาวค่อยๆ เลื่อนเข้ามาในนิ้วนางข้างซ้ายอย่างช้าๆ รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนหน้าคนสวมแหวน แสดงถึงความสุขล้นของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

       เมื่อแหวนถูกสวมเข้ามาแล้ว ผมก้มลงกราบบนตักของคนตรงหน้า โดยไม่ต้องให้ใครบอก ขอบคุณที่รักกันนะครับ ผมรู้สึกถึงมือหนาที่กำลังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน อุ่นจัง

       “เอาล่ะ ต่อไปเจ้าสาวสวมแหวนให้เจ้าบ่าว”

       ผมค่อยๆ หยิบแหวนขึ้นมา เพื่อสวมให้กับ ‘คนรัก’ ของผม ถึงมือจะค่อนข้างสั่นแต่ผมก็บรรจงสวมให้อย่างตั้งอกตั้งใจ

       มือหนายกขึ้นไหว้ผม เมื่อสวมแหวนเสร็จ ผมรีบละล่ำละลักไหว้กลับในทันที

       “เอาล่ะ ถือเป็นอันจบพิธี และในฐานะที่ลุงเป็นผู้ใหญ่ และเห็นเจ้าอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไออุ่นก็เหมือนลูกหลานของลุง ลุงขอให้ทั้งสองมีความสุขกันมากๆ ดูแลกันทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ไม่ทอดทิ้งกัน รักกันไปนานๆ มีอะไรไม่เข้าใจกันก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ แก้ไข อย่าใช้แต่อารมณ์ ขอให้ครอบครัวพวกเองพบเจอแต่ความสุขนะ"

       เราทั้งสองก้มลงกราบลุงดำ ผมน้ำตาคลอกับสิ่งที่แกอวยพร แกเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เราเหลืออยู่

       เสียงอวยพรดังขึ้นไม่หยุด จากคนนั้นที คนนี้ที เหตุการณ์เริ่มสงบ ก็โดนแมนนี่เล่นงานทันที

       “เดี๋ยวๆๆ แมนนี่ว่ามันยังขาดอะไรอยู่นะคะ”

       “ขาดอะไร” ผมชักไม่ไว้ใจแมนนี่แล้วสิ

       “หอมแก้มๆๆๆ” ชัดเลย กูโดนมันเล่นแล้ว พอคนหนึ่งพูด คนอื่นๆ ก็พูดตาม กลายเป็นเสียงตะโกนเชียร์จากทุกคน

       ผมค่อยๆ เอียงแก้มให้ผู้กอง ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว โดนหอมยังเขินน้อยกว่าไปหอมผู้กองเยอะ

       ฟอด!! “หอมจัง” โอ้ย แค่เขินคนอื่นก็จะตายแล้ว ทำไมต้องมาทำให้เขินมากขึ้นด้วย

       “หอมกลับๆๆๆ!!!” จะให้เป็นลมไปให้ได้เลยใช่ไหม งือ…

       คนข้างๆ ก็เอียงแก้มพร้อมเลยนะ หมั่นไส้!!

       ฟอด!!! งือ…ผมจะเป็นลม

       “จูบเลยๆๆๆ" มารับศพผมทีทุกคน….

       แล้วนี่ไม่คิกจะปฏิเสธเลยเหรอ ดูสิ ยิ้มหน้าบานเชียว

       “ลมหนาวปิดตาเด็กๆ” หืม ทำไมต้องปิดด้วย แล้วผมก็ได้คำตอบของคำถามที่อยู่ในใจ

       การจูบที่ดูดดื่มตอบคำถามผมได้เป็นอย่างดี ลิ้นร้อนถูกส่งเข้ามาเกี่ยวกระหวัด ไล่ต้อนไปทั่วโพลงปาก ดูดดึงลิ้นผมอยู่สักพักจึงยอมปล่อย แล้วค่อยๆ ขบเม้มริมฝีปากบนและล่างอย่างเชื่องช้า ก่อนถอยออกไปในที่สุด

       ลืมแล้วเหรอว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง นั้นไง เสียงโห่แซวดังขึ้นมาอย่างอื้ออึง ตายสงบศพสีชมพูของจริง หัวสีชมพูด้วย

       “พี่รักอุ่นนะครับ” คุณคิดว่าหน้า กับผมบนหัวอันไหนสีจะแจ่มกว่ากัน ผมว่าตอนนี้คงเป็นหน้า มันคงแดงจนเด่นกว่าผมสีชมพูของผมแล้ว

       “ผมก็รักพี่ธามครับ” ที่เขินก็เพราะรักมากไง งือ…

       “อยู่ด้วยกันนานๆ นะครับ คำว่าตลอดไปอาจไม่มีจริง แต่ขอให้เราอยู่ด้วยกันจนกว่าใครสักคนจะจากโลกนี้ไป อยู่ด้วยกันจนลมหายใจสุดท้ายนะครับ” ไปแล้วใจผม รักผู้ชายคนนี้ที่สุด ไม่มีแล้วฟงฟอร์ม รักคือรักครับ ผมจะรักผู้ชายคนนี้ไปจนกว่าผมจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้

      ต่อไปนี้ชีวิตเราจะมีแต่ความสงบสุข

       “แย่แล้วๆๆๆ!!!! มีรถผู้รอดชีวิตกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!! ซอมบี้ตามมาเป็นฝูงเลยครับผู้กอง!!!” สงบสุข ซะที่ไหน  อ๊ากกก!!! ผมยังไม่ได้เข้าหอเลยนะ

       ไอ้ซอมบี้มึงตาย!!!!!

       การแต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราว แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของนิยายบทใหม่ต่างหาก

       ขอตัวไปจัดการพวกซอมบี้ มารความสุขของผมก่อนนะครับ

       “แมนนี่ไปเอาธนู!!”

       “นี่กูแต่งตัวจัดเต็มมาเพื่อไปฆ่าซอมบี้เหรอวะ แม่ง!!! น้ำตาจะไหล”

       “กลับมาแล้วค่อยเข้าหอนะครับ” พูดแบบนี้ค่อยมีแรงฆ่าซอมบี้หน่อย นี่ผมไม่ได้หื่นนะ

       “อืม”

       “ป๊า มัมสู้ๆ มิดไนท์ กับน้องไอ จะเชียร์ๆ อยู่”

       “แอะๆ อู้ แอะ”

       “พร้อมนะ ที่รัก”

       “พร้อมครับ พี่ธาม”

       ไปฆ่ามัน!!!!!


(End)

……………………..
………………
………..

       ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อ่านนิยายเราจนจบ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเรา เรารู้ว่ามันยังมีข้อด้อย ข้อผิดพลาดอยู่เยอะ แต่ทุกคนยังอ่านจนจบ ขอบคุณค่ะ

       สุดท้ายนี้อย่าลืมเม้นๆๆ อะไรให้ Tt  หน่อยนะคะ เพื่อให้ Tt  มีกำลังใจที่จะเขียนนิยายต่อไป

       ส่วนคำผิดในตอนที่แล้วมาจะกลับไปแก้ไขยามที่ว่างๆ นะคะ

       พูดคุยกันได้ Twitter: Tt.looktal1993
                          #ธามไออุ่น
                          #หนีเชื้อร้ายพ่ายเชื้อรัก
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 21-05-2019 23:03:09
ขอบคุณมากค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 22-05-2019 00:46:39
สนุกมากค่ะ น่ารักมากๆด้วย
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie ที่ 22-05-2019 07:38:38
ขอบคุณจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 24-05-2019 03:35:47
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ  แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้คนแต่งกลับไปแก้ไขพวกคำผิดเรื่องตัวสะกดและสรรยุกต์ก็ดีนะคะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Beesutasinee ที่ 26-05-2019 00:49:59
คนอ่านน้อย คอมเม้นน้อย แต่...เอ้ยป้าชอบ สนุกดีค่ะ นายเอกไม่บ้องแบ๋วเกิน รั่วนิดหน่อย
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: kim2b::teddy ที่ 27-05-2019 21:24:01
ขอบคุณนะคะ จบแล้ว เราคงคิดถึงน่าดูเลย
จะมีตอนพิเศษมาบ้างมั้ยน๊าาา  :mew3:
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Chayada ที่ 28-05-2019 20:28:14
สนุกม๊ากกกก :hao3:
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: Earth112 ที่ 14-11-2019 09:25:33
ขอขอบคุณ​สำหรับนิยายดีๆค่ะ

เราว่าเรื่องนี้คือดีมาเลยนะ​ เราชอบการดำเนินเรื่องและการเขียนของนักเขียนมาเลย​ ถ้าจะมีเรื่องให้ติก็คงเป็นภาษาที่ใช้​ เหมือนช่วงแรกๆจะมีภาษาวิบัติ​นิดหน่อยแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์​ที่พอรับได้ค่ะ​ แต่ถ้าจะให้ดีก็อยากแนะนำให้ใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง​ แต่ก็เข้าใจว่าไม่ง่าย​ เพราะเราเองก็ยังใช้ภาษาไทยไม่ถูกทั้งหมดเหมือนกัน​ แฮร่​

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นักเขียนเขียนนิยายดีๆออกมาเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [End] Zombie หนีเชื้อร้าย พ่ายเชื้อรัก by.Tt.looktal1993 [ตอนที่25☆17/5/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:48:53
 :pig4: