- 7 -
[ไออุ่น]
“อุ่น!”
“ไออุ่น!”
“อุ่น!!” ปังๆๆ
“อุ่นตื่น!!” ปังๆๆ “อุ่น!!” เสียงรายวะ หนวกหูชิบ
“คนจะนอน! เงียบสักที!” มากวนอะไรเวลานอนไม่มีมารยาทเอาซะเลย ผมลืมตาขึ้นดูที่หน้าต่าง มันยังมืดอยู่เลยนิ ใครมันมาเอะอะโวยวายเนี่ย
“จะตื่นไม่ตื่น ไม่ตื่นฉันเอากุญแจมาเปิดห้องนายแน่!” เสียงใครคุ้นๆ “ไออุ่น!!” อื้อหือ เสียงเข้มแบบชัดนี้ชัดเลย มีอยู่คนเดียวแหละ
ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ ผมเอาไฟฉายส่องนาฬิกาข้อมือ ฉิบหายแล้ววว ตีห้าสี่สิบห้า ผมลนลานใส่ข้างเกงขายาวเสื้อแขนยาว เพื่อออกไปข้างนอก เพราะตอนเช้าในเดือนพฤศจิกายน อากาศค่อนข้างหนาวหน่อยๆ
ไม่ต้องล้างหน้าแปลงฟันมันหละ ขืนสายกว่านี้โดนไอ้ผู้กองฆ่าแน่ๆ ผมรีบหยิบธนูแล้ววิ่งไปเปิดประตู
“ผู้กอง แหะๆ” ไอ้ผู้กองหน้านิ่งมาก จะโดนกินหัวปะวะเนี่ย นี่ถ้าผู้กองโมโหผม แล้วฆ่าผมซุกปลักโคลน คงอนาถใจน่าดู
“แน่ใจนะว่าตื่นแล้ว” ผมต้องกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าวแน่เลย “อุ่น!!”
“หะ หา อะไร คะ ครับ” ตะโกนทำไม ตกใจหมด ตะโกนแล้วยังมาทำหน้าเอือมใส่อีก นี่ไออุ่นสุดหล่อผิดอะไร
“ฉันนัดกี่โมง” ตัวเองนัดเองแท้ๆ ยังจะถามคนอื่น
“ตีห้าครึ่งครับ” อะบอกเค้าหน่อย สงสัยจะความจำสั้น
“แล้วนี่มันกี่โมงแล้ว” ผมมองนาฬิกาข้อมือ
“ตีห้า ห้าสิบ”
“ทำไมสาย ฉันนัดแล้วแท้ๆ หรือความจำสั้น” เอ๋…ประโยคนี้มันคุ้นๆ นะ
“ผมไม่มีนาฬิกาปลุก” ก็ไม่มีจริงๆ นะ
“ทีนาฬิกาข้อมือเอามาได้ แล้วทำไมนาฬิกาปลุกไม่เอามา” เอ้า คนมันจะรู้ไหมว่าจะโดนลงโทษหนะ “พอๆ ไปกันได้แล้วเสียเวลา” ก็ไปสิ เชอะ “แล้วธนู ไม่เอาลูกมันไปจะยิงยังไง” เออวะ ลืมลูกธนู แหะๆ ก็คนมันยังตื่นไม่เต็มตานี่นา
ผมวิ่งไปเอาลูกธนูแล้วตามผู้กองไปข้างล่าง ผู้กองพาผมเดินตามคันนาเพื่อไปดูไร่ ที่นี้ปลูกหลายอย่างมาก บางอย่างก็สามารถเก็บได้บ้างแล้ว เช่นพริก ผักสลัด หรือผักที่ใช้ระยะเวลาไม่นาน ไอ้ผู้กองบอกว่าผักพวกนี้ปลูกไว้กินเอง ไม่ได้เอาไปส่งให้ใคร เพราะพวกนี้ปลูกง่ายคนในค่ายปลูกกินเองได้ แต่ที่เรามาดูคือพวกที่จะส่งไปค่ายต่างๆ และภูเก็ต
“เดินเหม่อแบบนั้น เดี๋ยวได้ลงไปนอนเล่นปลักโคลนอีกหรอก” ชอบขัดความคิดชะมัด เดี๋ยวปั้ด!!
“คราบบบบ” เพราะเช้าอยู่หรอก เลยไม่อยากมีเรื่อง รอให้เซเว่นเปิดเมื่อไหร่เจอกันแน่ “เราจะไปไหนกัน”
“ไปดูสวนแตงกวา” อ๋อ แค่ไปดูสวนแตงกวาแล้วกลับ ชิวๆ กลับไปนอนต่อได้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง “และก็สวนกล้วย มันเทศ ฟักทอง แครอทวันนี้เอาแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยขับรถไปดูสวนส้มโอ ฝรั่ง มะนาว” มีมีดไหมครับ แทงผมที
“ว๊ากก!!”
“เป็นบ้าอะไร แหกปากทำมัย”
“ตกใจ” ทำไมต้องทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ผมจะกลับไปทันกินข้าวเช้าไหมเนี่ย และที่สำคัญผมคงไมได้กลับไปนอนต่อ T_T
“ฉันไหมควรตกใจ อยู่ดีๆ ก็แหกปากร้องขึ้นมา ถามจริงละเมอรึงัย”
“ผมตื่นนานแล้ว!”
“ใครจะรู้ เธออาจละเมอเดินตามฉันมาก็ได้” ละเมอพูดคุย และเดินตามมาด้วยขนาดนี้ก็เทพแล้ว หรือนี้จะผมจะไม่ได้ละเมอ แต่ผมกำลังฝันอยู่ ใช่แน่ๆ ผมกำลังฝันอยู่ ตอนนี้ผมคงนอนอยู่ในห้องแน่เลย “ทำหน้าอะไรของอีกเธอหนะ”
“ตบผมหน่อยสิ”
“หา!! จะบ้าเหรอ!!” จะเสียงดังทำไม แค่ให้ตบเพื่อปลุก จะได้ตื่นซะที
“ไม่บ้า ตบเลย… เฮ้ยยย ผู้กองจะไปไหน มาตบผมก่อน” รีบเดินไปไหนเนี่ย
“ถ้ายังไม่หายบ้า ก็ไม่ต้องตามฉันมา!!” ผมไม่ได้บ้านะเว้ย ปลุกผมก่อน
ผลัก!! “โอ้ยย!”
“อุ่นเป็นอะไร!” ผู้กองวิ่งกลับมาหาผม
“ก็ผู้กองไม่รอ ผมไม่มีไฟฉาย มันก็ชนสิ” โอ้ยย เจ็บ ต้นไม้ทำไมไม่หลีกทางคนหล่อวะ ไอ้ต้นไม้บ้าเอ้ยย
“ก็มันเริ่มสว่างแล้วนิ ฉันก็นึกว่าจะมองเห็น” ไอ้เห็นก็พอเห็นอยู่หรอก แต่มันรางๆ งัย พอเดินเร็วมันก็ไม่ทันมอง “แล้วเป็นอะไรมากไหม”
“ก็เจ็บนิดหน่อย…เจ็บ!! ผมเจ็บ งั้นผมก็ไม่ได้ฝันสิ!!” นี่ผมไม่ได้ฝันจริงๆ ดิ ดีนะไอ้ผู้กองไม่ตบผม ไม่งั้นตายแน่ๆ เลือดคงกลบปาก
“นี่เธอคิดว่าตัวเองกำลังฝัน!! หนักกว่าที่ฉันคิดนะเนี่ย เฮอออ…” อะไร ส่ายหัวแล้วถอนหายใจทำมัย “ไปได้แล้ว ตามมา!” ครับๆ ไปก็ได้ครับ
“แตงกวาตรงนี้มันโตแล้วนิ ถ้ารออีกเป็นเดือนมันจะไม่แก่ก่อนเหรอ” มันโตพอกินแล้วนะ น่ากินอะ แอบกินสักลูกดีกว่า
“อร่อยไหม” แหะๆ แตงกวาเต็มปาก ผมเลยได้แต่พยักหน้าตอบ “แตงกวาแปลงนี้ เราจะส่งให้ค่ายต่างๆ ก่อน จะส่งไปพร้อมกับข้าวแปลงนี้ด้วย ที่เหลือค่อยกลับมาเก็บเกี่ยวไปส่งที่ภูเก็ต” เข้าใจแล้วครับ แล้วผมก็กินต่อ
เราเดินไปหลายแปลงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงสถานที่สุดท้ายสักที สถานที่นี้คือดงกล้วยนั้นเอง มันกว้างใหญ่มากกกก ปลูกเป็นแปลงๆ ไว้ มีพื้นที่ว่างกว้างประมาณ 3 เมตร ขั้นกลางแต่ละแปลง
“ทำไมต้องทำพื้นที่ว่างขั้นกลางไว้ ปลูกรวมกันเลยไม่ได้เหรอ” เนี่ยถ้าปลูกรวมกันเลย ไม่เว้นพื้นที่ว่าง เราจะได้กล้วยเพิ่มขึ้นเยอะเลยนะ
“เจ้าของสวนเค้าบอกว่ามันเป็นกล้วยคนละพันธุ์”
“เจ้าของสวนยังอยู่เหรอ แล้วแกก็ให้กล้วยเราเหรอ ใจดีจัง” แบ่งกล้วยที่ตัวเองปลูกตั้งหลายไร่แจกจ่ายคนอื่น เป็นคนดีมากเลย
“ใช่ แกเป็นคนดี และเก่งด้วย ครอบครัวแกรอดทุกคนเลย”
“น่าอิจฉาเนอะ” ถ้าครอบครัวผมเป็นแบบนั้นบ้าง…ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิดๆๆ
“อือ” แล้วนี่จะทำเสียเศร้าทำไม ไม่ได้การแล้ว อารมณ์แบบนี้ความบ้าต้องบังเกิด ความบรรเจิดทางอารมณ์จะได้ตามมา
“คุณผู้กองว่าจะมีนางตานีไหม?”
“จะจริงจังสักสองนาทีไม่ได้เหรอ”
“นี่ผมจริงจังนะ” ผมไม่จริงจังตรงไหน บอกผมหน่อยสิ
“เฮ้ออ…ไปต่อ!!” ไปไหนอ่าา
“เราดูครบแล้วนิ ต้องกลับบ้านสิ” จะไปไหนอีก มันจะแปดโมงแล้วนะ แล้วก็หนักด้วย ได้ของแถมมาเพียบเลย เป็นมันเทศ แครอท และแตงกวาใส่ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่สวยมากเลย แต่เสียอย่างเดียวใหญ่ไปนิดนึง ใส่ของเต็มแล้วหนัก ไอ้ผู้กองก็ไม่ช่วยถือ
“ไปหากล้วยสักเคลือ”
“มันสุกแล้วหรอ”
“มันก็สุกเรื่อยๆ แหละ” อ๋อ เข้าใจไม่มีปัญหาคาใจเรื่องกล้วยสุกแล้ว แต่มีเรื่องเดียวที่กำลังคาใจ
“ใครแบกกลับ” คาใจมากๆ เลย ปัญหานี้
“เธอไง” หน้าผมคงเหวอมากจนไอ้ผู้กองหัวเราะ “ฮาๆๆ ล้อเล่นหนะ เดี๋ยวฉันแบกกลับเอง” มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไหม แค่ของในตะกร้า ก็จะแอบหย่อนทิ้งกลางทางหลายรอบแล้ว นี่ต้องท่องตลอดทางเลย สงสารคนไม่มีกินๆๆ ไม่งั้นแอบหย่อนทิ้งไปครึ่งตะกร้าแล้ว “จะเอากล้วยอะไร”
“มันมีอะไรบ้าง” ผมไม่รู้หลอกกล้วยมีกี่พันธุ์ เอากล้วยอะไรมาผมก็กินหมดไม่เคยถาม ว่ามันเป็นกว่ากล้วยมันพันธุ์อะไร
“ลุงแกปลูกอยู่สี่พันธุ์ กล้วยไข่ กล้วยหอมทอง กล้วยหอมเขียว และกล้วยน้ำว้า จะเอาอะไร” ไม่รู้เว้ยยย
“อะไรก็ได้” ง่ายสุดแล้ว
“งั้นเอากล้วยหอมทอง” ผมพยักหน้าให้ ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่ขอออกความคิดเห็นกับเรื่องนี้
ไอ้ผู้กองเข้าไปในป่ากล้วยได้พักนึงแล้ว กล้วยมีต้องเยอะทำไมนานจัง หรือนางตานีจับทำสามีไปแล้ว โถ่ๆๆ น่าสงสารแมนนี่
“กำลังเพ้อฝันอะไรอีกหละ” มาแล้ว สงสัยนางตานีไม่อยากกิน คงไม่เร้าใจพอ… หูยยย กล้วยสีเหลืองสวยมากกก น่ากิน ผมไม่สนใจคำถาม แต่ถามกลับแทน
“ทำไมไปนาน ตรงนี้ก็มี ตรงนั้นก็สุกเป็นสีเหลืองแล้ว” บริเวณใกล้ๆ ก็มี จะต้องเข้าไปไกลๆ ทำมัยไม่เข้าใจคุณผู้กองเค้าจริงๆ
“ตรงนั้นมันยังเหลืองไม่มาก เอาไปก็ต้องบ่มก่อนถึงจะอร่อย ฉันเลยต้องหาเคลือที่สุกงอมแล้วกินได้เลยไง และที่สำคัญปล่อยไว้มันก็เน่าทิ้งน่าเสียดาย” อ๋อ เข้าใจก็ได้ “งั้นกลับได้แล้ว เด็กๆ คงมารอเธอกินข้าวแล้ว” สมควรกลับตั้งนานแล้ว แล้วไอ้คำว่าเธอแสลงหูชะมัด
ผมขอตัวแบกตระกล้ากลับก่อนนะ ผมจะพยายามไม่หย่อนของในตะกร้าทิ้งระหว่างทางแล้วกัน
ในที่สุด วันเก็บเกี่ยวก็มาถึงๆๆๆ เราต้องเปิดตัวอย่างอลังการซักหน่อย เพราะทุกคนมายืนให้กำลังใจลุงสนที่เป็นคนขับรถเกี่ยวข้าว แกเป็นเจ้าของรถเองแหละ แกเช็ครถไว้เป็นอาทิตย์แล้ว เพราะลุงเค้าได้รับหน้าที่สำคัญ
คนที่มาทำนาทำไร่ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในจังหวัดที่อาสามาทำอย่างเต็มใจ ส่วนคนที่ไม่ชอบเค้าก็ไม่บังคับ ผู้กองให้เหตุผลว่าไม่อยากบังคับใจใคร ใครไม่อยากช่วย ก็ไม่ต้องช่วย ไม่อยากระแวงกันเอง แค่ระแวงซอมบี้ก็เกินพอแล้ว
ก็จริงนะ คนไม่มีใจจะทำ เราไม่รู้ว่าเค้าจะทำเต็มที่รึเปล่า จะใส่ใจรึเปล่า ถ้าทำแบบไม่ใส่ใจ แล้วเกิดความเสียหายขึ้นมาจะแย่เอา
ลุงสนจะเริ่มแล้วๆ อื้นนน!! แค่ติดเครื่องเสียงก็ดังขนาดนี้แล้ว ถ้าลงไปเกี่ยวข้าวจะดังขนาดไหน ซอมบี้ระแวกนี้ มารวมตัวกันที่นี่แน่นอน สุดหล่อขอฟันธง!!
แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ถึงจะมาก็ไม่เยอะหรอก เพราะแถวนี้เราจัดการเกือบหมดแล้ว ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือที่อื่นนะสิ แต่มันคืออนาคต อย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน ตอนนี้เราต้อง…
“ลุงสนสุดยอดเลย ขอขึ้นไปด้วยคนสิ!!” อยากขึ้นไปลองขับดูจริงๆ
“อย่าแม้แต่จะคิด” ไม่เคยจะหนีเสียงมารผจญพ้นเลย “ขนาดน้องไนท์ยังอยู่เฉยๆ เลย” มันเกี่ยวกันตรงไหนละเนี่ย
“ครับ” ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่จะอยู่ดูแลน้องไนท์เท่านั้น
“แล้วเนี่ยสองพ่อลูกมหาภัยไม่มาหรอ” แมนนี่ถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นคุณโรสกับพ่อ
“ตอนไปเข้าห้องน้ำที่บ้าน เห็นนอนเปิดแอร์ที่ห้องรับแขก” ไอ้น้องริวเดินมาจากบ้านพอดี เลยตอบข้อสงสัยของแมนนี่
“หนอยย ฉันก็ว่าอยู่ เปิดแค่ไฟไม่ได้ใช้อย่างอื่น แผงโซลาร์เซลล์ก็ตั้งเยอะ ทำมัยไฟมันหมดก่อนเช้า ที่แท้ก็ยายนี่นี่เอง” หมดก่อนเช้าจริงๆ นะครับ ผมตื่นมาเปิดไฟไม่ติดเลย ต้องใช้ไฟฉายแต่งตัวก่อนออกไปกับผู้กอง “เดี๋ยวเจอฉัน งานก็ไม่ช่วย ยังจะมาผลาญพลังงานไฟฟ้าอีก ริวน้อยไปกับฉัน เอ่อ ผู้กองขา...แมนนี่ไปจัดการยัยโรสนะคะ” ไอ้ผู้กองพยักหน้าตอบ แมนนี่ยิ้มแป้นเลย ความชั่วร้ายก่อเกิดขึ้นบนใบหน้าทันที
“ผมเพิ่งมานะ จะดูลุงสนเกี่ยวข้าว”
“เดี๋ยวค่อยดู ลุงแกยังเกี่ยวอีกนาน แกได้ดูจนตะแฉะแน่ ไม่ต้องห่วง ตามมา” ปากบอกตามมา แต่มือดึงคอเสื้อไอ้ริวไปแล้ว เพื่อประโยชน์สุขของทุกคนแมนนี่จึงออกโรง ขอสดุดีแมนนี่คนแมน เห็นแล้วคิดถึงไอ้แมนเพื่อนยาก
ลุงแกเกี่ยวข้าวซักพักก็เอาข้าวเปลือกมาเท ลงในผ้าสีฟ้าๆ ที่ปูไว้ที่พื้น เป็นผ้าสีฟ้าๆ บางๆ ป้าๆ แกบอกว่าเป็นผ้ามุ้งเขียว บางคนเรียกผ้าแยงเขียว แต่มันเป็นสีฟ้านะ ผมสงสัยทำมัยไม่เรียกผ้ามุ้งฟ้า ผ้าแยงฟ้า ในเมื่อมันเป็นสีฟ้า ผมหละไม่เข้าใจจริงๆ
เอาหละข้ามเรื่องผ้าไปก่อน มาเข้าเรื่องต่อดีกว่า พอเทข้าวลงผ้าแล้ว ป้าๆ ลุงๆ เขาก็มากรอกข้าวใส่ถุงกระสอบเอาฟางมัดปากถุงไว้ แล้วให้พี่ทหารแบกขึ้นรถ เพื่อเอาไปไว้ในยุ้งฉาง
ส่วนผม กับแมนนี่ และริวที่กลับมาจากจัดการสองพ่อลูก ก็กลับมารวมกับผมเพื่อลาดตะเวนดูรอบๆ วันนี้มีซอมบี้มาให้เรายิงมากกว่าปกตินิดหน่อย ส่วนมิว ลมหนาว และมิดไนท์ยืนดูแลพวกลุง ป้า น้า อาทำงาน เพราะพวกพี่ทหาร และพี่ผู้ชายไปใช้แรงงานแบกถุงข้าวเปลือกหมดแล้ว คงจะหนักน่าดู บางคนแทบทรุด
“แมนนี่มึงว่าเมฆมันครึ้มๆ ปะวะ” ท้องฟ้าเริ่มครึ้มๆ หวังว่าคงไม่มีฝนนะ
“จริง อยู่ตั้งนานไม่ตก คงไม่ใจร้ายมาตกวันนี้หรอกมั้ง” มันไม่แน่หรอก
“มันก็ไม่แน่นะพี่” ไอ้ริวพูดตรงกับที่ผมคิดเลย
“เรารีบเดินให้ทั่ว แล้วกลับไปเถอะ เผื่อฝนตกจริงๆ จะได้ช่วยกันแบกข้าวไปเก็บ”
“อีอุ่น ดูสภาพพวกเราสามคน มึงคิดว่าจะมีสักคนไหมที่แบกข้าวได้” ใช้คำว่าสภาพเลยเหรอ? แค่ตัวเล็กนิดๆ หน่อยๆ ใช้คำว่าสภาพเลยเหรอ ผมหนะความสูงมาตรฐานชายไทยเลยนะ แต่ติดจะตัวบางไปนิดเอง
“ผมแบกได้นะพี่” แกหนักสุดเลยไอ้น้องริว ถึงจะสูงที่สุดในเราสามคน แต่ก็ผอมที่สุดด้วย
“อีน้องริวค่ะ ไปทำให้น้ำหนักขึ้นซักสิบกิโล ก่อนค่ะ ค่อยคิดจะแบก” จริง ดูแล้วคาดว่าถุงข้าวจะทับแบนก่อน
เราพูดกันไปเดินกันไปจนทั่ว แล้วกลับมารวมกับทุกคน ฟ้ามันครึ้มมากแล้ว สงสัยคงตกแน่ๆ คุณผู้กองบอกให้ลุงสนหยุดก่อน เอาข้าวมาเทให้หมด แล้วรีบกรอกข้าวใส่ถุงเพื่อนำไปเก็บ ตอนนี้เราทุกคนมาช่วยกันกรอกข้าวใส่ถุง โดยมีมิดไนท์ตะโกนเชียร์
“ทุกคนสู้ๆ ทุกคนสู้ตาย ฝนตกมาเป็นสาย เปียกกระจายไปเลยอู้!…” เพลงอะไรวะเนี่ย น้องไนท์ลูก อย่าเพิ่งมาบอกให้เปียกสิ
“เค้าว่ากันว่า ไม่อยากให้ฝนตกต้องปักตะไคร้” ปักตะไคร้ก็มา เสียงป้าคนนึงเสนอมา
“แล้วทำยังไงครับ” ไอ้น้องริวก็สนใจทันที
“ข้าก็ไม่รู้อะไรมากหรอก แต่ได้ยินมาว่าให้สาวพรหมจรรย์มาปักตะไคร้กลับด้านฝนจะไม่ตก” สาวพรหมจรรย์! จะหาที่ไหนวะเนี่ย ที่นี้ก็มีแต่เด็กๆ กับป้าๆ และผู้ชาย
“โห ป้าขา จะไปหาสาวพรหมจรรย์ที่ไหนได้ละค่ะ”
“ก็อีหนูที่ยืนกางร่มนั้นไง” พวกเราทุกคนหันไปมองคุณโรสที่ยืนกางร่มอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่อ…คือ ใต้ต้นไม้ก็มีร่มเงาอยู่แล้ว ยังต้องกางร่มอีกเหรอ ที่สำคัญ ฟ้าครึ้มมาก ถ้าจะบอกว่ากางกันฝน คุณโรสก็กางตั้งแต่ก่อนฟ้าจะครึ้มแล้ว
“หนูว่าอย่าเลย เดี๋ยวพายุจะเข้าเปล่าๆ” แมนนี่ทำหน้าไม่เห็นด้วยอย่างแรง
“ข้าว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะเว้ย” ป้าอีกคนพูดขึ้น
“เออ จริง ไหนๆ มันก็จะตกแล้ว ลองซักหน่อยจะเป็นไร” เสียงป้าอีกคนก็เสริมขึ้นมา ผมว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะ เห็นด้วยกับป้าๆ เลย
“เอาไง เอากันค่ะ อีอุ่นไปหักตะไคร้มาสิ” ผมอีกแล้วเหรอ เฮ้อ…คนหล่อเซ็ง
“คราบๆๆ ตามบัญชาครับ” แล้วก็ต้องเดินไปเอาตะไคร้ ที่รั่วบ้านปลูกพืชไว้เยอะมาก มีทั้งตะไคร้ มะกรูด มะนาว และอีกมาก แบบไม่ต้องออกไปเก็บไกล ถ้าต้องการใช้ก็มาเก็บ
ผมได้ตะไคร้มาหนึ่งกำมือ หวังว่าคงพอนะ
เดินกลับมาเจอคุณโรสยืนหน้างอ อยู่ท่ามกลางคุณป้าๆ และเด็กๆ ทั้งหลาย
“ทำมัยฉันต้องทำยะ ไร้สาระ” เธอเชิดไม่ยอมทำ
“ทำไปก็ไม่เสียหายหรอกหนู แค่ปักตะไคร้ลงดินเอง” คุณป้าคนนึงพูดขึ้น
“หรือมีผัวเยอะ ก็บอกมาจะได้ไม่มีใครเซ้าซี้” คู่ปรับตลอดกาลมาแล้ว
“อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ฉันยังบริสุทธิ์อยู่”
“งั้นเธอก็ทำสิยะ กล้าป่าวว” แมนนี่ยั่วยุคุณโรส พร้อมยิ้มยั่ว ไม่ใช่ยั่วยวนนะ แต่เป็นยั่วโมโห
“ฉันทำก็ได้ยะ เห็นแก่ผู้กองนะ” แต่สีหน้าคุณโรสไม่ดีเลยนะครับ
คุณป้าก็กรอกข้าวไปด้วย รอฟังคำตอบไปด้วย แบบมือทำ แต่หูฟัง ฮาๆๆๆ
“ดี อีอุ่นตัดใบตะไคร้ออกสิ แล้วเอามาให้คุณโรสเค้าซะ” เรียกคุณเหมือนให้เกียรติ แต่น้ำเสียงนี่คนละทางเลย “ปักกลับหัวนะยะ ไม่ใช่ปลูกตะไคร้” แมนนี่ยังพูดต่อ
“ฉันรู้ยะ ไม่ได้โง่ ฉันมีการศึกษาพอ” เกี่ยวอะไรกับปักตะไคร้เนี่ย
“ดี พูดขอให้ฝนไม่ตก แล้วปักตะไคร้ซะ”
“รู้แล้ว” คุนโรสนั่งยองๆ “ขอให้ฝนไม่ตก” แล้วเธอก็ปักตะไคร้ลง
ซ่า!! ฝนตกลงมาทันที ทุกคนอ้าปากค้าง แล้วฝนก็ตกแรงด้วยนะ
“กรีสสส ฉันไม่ทำแล้ว ไร้สาระ โง่ดักดาน พวกไม่มีการศึกษา” ทุกคนอึ่งหนักไปอีก คุณเธอด่าเสร็จ ก็กลางร่มวิ่งกลับบ้านทันที
“ฉันเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยนะ ยังไม่มีการศึกษาพอเหรอ” ป้าคนนึงพูดขึ้น
“อย่าไปสนใจชะนีขี้วีนเลยค่ะพี่ๆคนสวย นางไม่รู้จักการทำเพื่อคนอื่นหรอกค่ะ ถึงบางครั้งมันจะดูไร้สาระ แต่ลองก็ไม่เสียหายนิค่ะ เราไม่ผิดหรอกค่ะ อย่างสนใจหล่อนเลย”
เราเลิกสนใจเรื่องคุณโรส แล้วช่วยกันกรอกข้าวต่อ
“มิว ลมหนาว น้องบี พามิดไนท์เข้าบ้านก่อนเร็ว เดี๋ยวไม่สบาย ไอ้ริว!! ไปดูเด็กๆ ที่บ้านให้หน่อย” ผมไม่อยากปล่อยเด็กๆ ไว้กับสองพ่อลูกนั่น สองคนนั้นอาจจะทำ หรือไม่ทำอะไรเด็กๆ ก็ได้ แต่ผมไม่อยากเสี่ยง ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
“น้องไนท์กำลังสนุกเลย น้ำฝนเย็นๆ น้องไนท์ชอบ” เจ้าตัวเล็กไม่อยากไป ทำหน้าอ้อนใหญ่เลย
“ไปเถอะ เดี๋ยวไม่สบายแล้วอดออกมาเล่นข้างนอกนะ ถ้าป่วยต้องนอนอยู่บ้านคนเดียวเหงาแย่เลย” ไม่ใช่ผมหรอกครับที่พูด แต่เป็นไอ้ผู้กองต่างหาก โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยังกะผี
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวไม่สบาย” ลมหนาวเดินมาจูงมือเด็กน้อยให้เดินตาม มิดไนท์ก็เดินตามโดยดี หวังว่าจะไม่ป่วยกันนะ
“เด็กๆ แข็งแรงกันจะตาย ไม่ป่วยกันหรอกน่า” ใครถามไม่ทราบ ก็ได้แต่คิดในใจ ส่วนสิ่งที่พูดไป คือ…
“ครับ” เหมือนเดิม และเหตุผลเดิมครับ
ท้ายที่สุดการปักตะไคร้ก็ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม สรุปแล้วข้าวของเราก็เปียกฝนไปกว่าสิบกระสอบ แล้วยุติการเกี่ยวข้าวในวันนี้ พรุ่งนี้หวังแต่ว่าฝนจะไม่ตก ส่วนผักผลไม้ก็สดชื่นเมื่อโดนฝน แต่ข้าวคงต้องตากให้แห้งในวันถัดไป จบการรายงาน โดยนายไออุ่นสุดหล่อ
ฝนตกไปชั่วโมงกว่าๆ ก็หยุด แต่ในนายังมีน้ำอยู่ พรุ่งนี้น้ำคงแห้งหมดถ้าฝนไม่ตกอีกนะ ทุกคนกลับที่พักของตัวเอง เมื่อกินข้าวเที่ยงที่บ้านหลังใหญ่เสร็จ
“งัยสุดหล่อของมัม ทำอะไรอยู่เอ่ยย ฟอดดด” ผมเข้ามาหอมเจ้าเด็กน่ารักของผม ที่นอนคว่ำอยู่บนฟูก
“ระบายสีที่มัมเอามาให้คราฟผม” ไนท์เงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม แล้วก้มลงไประบายสีต่อ “สวยมัยคราฟ น้องไนท์ระบายสีคุณกวางเป็นสีเหลืองๆ” อวดใหญ่เลยนะ
“สวยมากครับ แต่คุณกวางต้องสีน้ำตาลนะครับ” น้องไม่เคยเห็นสัตว์เลยไม่รู้ว่าแต่ละตัวสีอะไร ชื่ออะไร เราต้องคอยบอกน้อง เพราะช่วงที่ซอมบี้กำลังระบาดน้องเพิ่งอายุ 4 ขวบเอง คุณน้ายังไม่ได้พาไปโรงเรียน น้องเลยยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมกับหนาวพยายามสอนน้องทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้
“จริงหรอคราฟ น้องไนท์อยากเห็นจัง”
“ถ้ามัมได้ไปห้างอีก จะเอาหนังสือภาพมาฝากเยอะๆ เลย ดีไหม” คราวที่แล้วของเยอะเกินผมเลยเอามาแค่สีไม้ และสมุดระบายสีเท่านั้น
“ดีคราฟ ดีมักมากเลยย น้องไนท์ชอบดูรูปๆ คุณสัตว์ทั้งหลาย” เจ้าตัวกางมือออก ทำท่าประกอบกับสัตว์ทั้งหลาย อย่างน้ารัก
“ไออุ่น!” เสียงเหมือนใครเรียก
“ครับจ่า มืออะไรหรอ” จ่านี่เองนึกว่าเสียงใคร
“ผู้กองเรียกไปพบในห้องวิทยุ” เพื่อ?
“พบเรื่องอะไรครับ” อยากเจอทำมัยไม่เดินมาเอง ขาไม่มีหรือไง
“เรื่องเดินสำรวจ อะไรเนี่ยแหละ” เฮ้ยย หรือจะบอกไม่ต้องตื่นเช้าไปเดินดูความเรียบร้อยด้วยกันแล้ว ต้องใช่แน่ๆ ผู้กอง ก็ใจดีอยู่นะเนี่ย
ผมรีบเดินไปด้วยความหวังล้นเปี่ยม จะได้นอนตื่นสายแล้ววโว้ยย จะไม่ต้องแบกผักผลไม้หนักๆ แล้วว!!
“มีอะไรครับคุณผู้กอง” ผมเปิดประตูห้องวิทยุได้ ก็ถามทันที ในห้องมีแค่ผู้กองที่ก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรไม่รู้
“เรื่องเดินสำรวจ” ใช่แน่ ใช่แน่ๆ ครึครึ “ฉันอยากให้เย็นนี้เธอกับริวไปเดินสำรวจ และดูแล คนที่ไปตัดกล้วยหน่อย พอดีลุงบอกว่าเห็นกล้วยสุกหลายเคลือเลย
“แล้วเรื่องเดินสำรวจตอนเช้าหละ” คาดหวังสุดๆ
“ก็ไปเหมือนเดิม” ได้ยินเสียงไหมครับ เสียงความหวังผมที่แตกสลายไง เสียงดังมากเลย
“อย่าบอกนะที่รีบมาเนี่ย คิดว่าฉันจะยกเลิกโทษ ฮาๆๆๆ คิดได้เนอะ” ไม่ต้องมาเยาะเย้ย ไอ้ผู้กองปีศาจ “หึหึ ไม่เป็นไรน่า ไปเดินสำรวจตอนเช้าสนุกจะตาย” ตรงไหน!!
“เหรอครับ” ครับสนุกมาก สนุกจริงจริ๊งง “ทำมัยไม่ชวนคุณโรสไปหละ เธอคงเต็มใจมากแน่ๆ”
“จะเอาไปเป็นภาระทำไม ไปกับเธอดีกว่าเยอะ” ดีกว่าสิ แทบจะแบกของอยู่คนเดียวหนิ เชอะ “แล้ววันนี้ตากฝนนานเลย ตัวร้อนรึเปล่าดูสิ” ผมยังไม่ทันตั้งตัว มือหนาๆ ก็ทาบที่หน้าผากผม แล้วยังไม่พอยังจับแก้มผมด้วย ไอ้ผู้กองบ้าาา!! “ตัวไม่ร้อนนะ แต่หน้าแดงนิดๆ”
โดนแดดมาเหอะแก้มถึงแดง หนอยย ยังมีหน้ามายิ้ม ผมทำตาเขียวใส่ ยังไม่ทันพูดอะไรเลย เสียงวิทยุสื่อสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง ก็ส่งเสียง
(“ทีที03 เรียกกองเหยี่ยว ได้ยินแล้วตอบด้วย”) เมื่อได้ยินเสียงผู้กองก็เข้าไปหาวิทยุสื่อสารเครื่องโตทันที ผมไม่ได้ออกจากห้องแต่ทำตัวรีบๆ ติดผนังไว้ เอาจริงๆ เลยนะ อยากเผือกอะ อิอิ
“กองเหยี่ยวได้ยินแล้ว พูดมาได้เลย” ผู้กองตอบกลับ
(“พูดธรรมดาได้ปะวะ ขี้เกียจ”)
“มึงเนี่ยนะ เออ มีอะไรว่ามา” ดูลักษณะการคุยน่าจะเป็นเพื่อนกัน
(“มีเรื่องหวะ”) ผมหูผึ่งเลยครับงานนี้
“อะไร”
(“แกจำเรื่องพวกโจเมื่อสี่เดือนที่เรียกตัวเองว่า ฝูงหมาป่า ได้ไหมวะ”)
“อือ จำได้มีอะไร” มีโจรฝูงหมาป่าด้วย
(“พวกมันปล้นผลไม้ และเสบียงที่ ทีที04ไปหามา พวกนั้นอุตสาห์ไปหาผลไม้ในสวนต่างๆ มาให้คนในค่าย ระหว่างที่รอข้าว และเข้าไปหาเสบียงที่ห้างชานเมืองกรุงเทพแท้ๆ แต่โดนพวกมันปล้นไปหมดเลย”) น่าสงสารจัง อุตสาห์ออกไปหามาอย่างยากลำบากแท้ๆ
“มีใครเป็นอะไรมากไหม”
(“ทหารและอาสาตายเป็นสิบเลยหวะ”) พวกโจรมันเลวจริงๆ
“แล้วที่ค่ายนนทบุรียังมีอาหารเหลือไหม”
(“ไม่เท่าไหร่หวะ กูเลยเอาจากค่ายทีที06 ที่นครนายกให้ก่อน” ) เฮ้อ..ค่อยโล่งอกนิดนึง ไอ้ผู้กองทำหน้าเครียดขณะพูด
“เออดี มีอะไรก็ช่วยๆ กันไปก่อน อีกไม่เกินสองสัปดาห์จะขนเสบียงไปให้”
(“แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นั้นสิวะ”) ยังมีอีกเหรอเนี่ย โอ้ยยคนหล่อกลุ้มใจ
“ว่ามา”
(“ตอนนั้นมีอาสาหลุดข้อมูลบอกพวกมันว่า เรามีค่ายที่คอยปลูกข้าว และพืชผักผลไม้ ที่กาญจนบุรี มันรู้ว่าอยู่อำเภอไหน แต่ไม่รู้ที่ตั้งแน่นอนหรอก”)
“ชิบ หาย แล้ว”
“นี่เธอยังไม่ไปอีกเหรอ เฮ้ออ ไหนๆ ก็ฟังแล้ว ฟังต่อให้จบเลยแล้วกัน” ไอ้ผู้กองหันมาพูดกับผมเบาๆ ด้วยหน้าที่นิ่งเกินปกติ “ไอ้โฟรคพูดต่อ”
(“เออๆ ฉันให้คนคอยตามอยู่ห่างๆ ตอนนี้มันกำลังกลับรังมันอยู่ ลูกน้องฉันเข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้หวะ โทษที แต่ฉันคาดว่าอีกไม่เกินอาทิตย์มันคงไปที่กาญจนบุรีแน่ๆ”) อยู่ดีๆ ก็งานเข้า เค้าว่ากันว่า คนหน้ากลัวกว่าผี คงเป็นเรื่องจริงสินะ
แค่สู้กับซอมบี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ยังต้องมาสู้กับคนกันเองอีก เฮ้ออ คนหล่อหละกลุ้มใจ