ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………..
ตอนที่ 14
เพราะตำแหน่งที่ถูกยิง ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ แต่โดนเส้นเลือดใหญ่และเสียเลือดมาก หลังผ่าตัดจึงต้องอยู่ดูอาการก่อนจะถูกย้ายเข้าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
ทิวากรผู้เป็นน้องชายเป็นหมออยู่ต่างจังหวัดก็จริง แต่ก็มีคนรู้จักมากมาย อาศัยความสนิทสนมส่วนตัว พิทักษ์จึงได้อยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นกรณีพิเศษ ส่วนค่ารักษาพยาบาล คุณกอบกุลขอรับผิดชอบทั้งหมด แม้หล่อนไม่ออกปากขอโทษที่ทำให้เรื่องบานปลายก็ตามที
ชายหนุ่มอาการดีขึ้นตามลำดับ เมื่อออกมารักษาตัวอยู่ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ก็เริ่มมีเพื่อนพ้องแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน
“ยัยอรโทรไปร้องห่มร้องไห้ บอกว่ามึงถูกยิง พวกกูตกใจกันใหญ่ รีบโทรหาน้องมึง แต่ทิวบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว ไว้ค่อยมาเยี่ยมตอนมึงด่าพวกกูได้ก็พอ” เพื่อนคนหนึ่งพูดพลางหันไปมองหญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่ม
อรพิณไม่ได้เรียนรุ่นเดียวกับพวกเขา แต่เป็นน้องรหัสของศตคุณเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม ทั้งๆที่ไม่น่าจะมารวมกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย 4-5 คนได้ แต่ใครๆก็รู้ดีว่าหล่อนเข้ามาอย่างมีความหวัง
หวังหัวใจของพิทักษ์
เจ้าตัวเองก็รู้ว่าถูกคาดหวังเรื่องอะไร แต่เมื่อเคยปฏิเสธไปหน เขาก็ไม่พูดซ้ำอีก อรพิณเองก็ไม่ไปไหนเช่นกัน
หญิงสาวมองหนุ่มรุ่นพี่แล้วทำหน้ากระเง้ากระงอด
“ก็ข่าวในเน็ตบอกว่าโดนยิง พอโทรหาเบอร์พี่ทิศ ก็ไม่มีคนรับสาย ลองโทรไปที่สนามกอล์ฟ พนักงานบอกว่าโดนยิงจริง...” หญิงสาวอธิบาย เวลานั้นความร้อนใจทำให้หล่อนนั่งไม่ติด คิดหาวิธีที่จะเช็กข่าวทุกทาง
“แล้วเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมมึงโดนยิง” คำถามของศตคุณ ทำเอาพิทักษ์นิ่งไปเล็กน้อย
“จริงๆมันไม่ได้เล็งกูหรอก”
“หมายความว่ามึงโดนลูกหลงเหรอ ลุงเทียมต้องไม่เอาไอ้เวรตะไลนั่นไว้ ยิงพลาดโดนใครไม่โดน เสือกมาโดนไอ้ทิศ” นรวิชญ์โวย
“ไม่ได้พลาด...กู...บังคนนั้นไว้” เกิดเป็นความเงียบขึ้นอึดใจหนึ่งในห้องพักคนไข้ คำถามเดียวกันดังขึ้นในใจของคนทั้งกลุ่ม แต่ทุกคนก็เลือกที่จะให้ศตคุณเป็นตัวแทนตั้งคำถาม
“มึงบังใคร”
ใครบางคนที่เขาปกป้อง ใครบางคนที่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว และไม่เคยแวะมาหาเขาเลยสักครั้ง
อรพิณเองก็จับจ้องคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียง ทว่าเขากลับเงียบไม่ยอมตอบ พิทักษ์เป็นคนไม่ค่อยพูด เรื่องนี้เพื่อนพ้องต่างรู้ดีและถ้าเมื่อไรก็ตามที่ไม่พูด ให้อย่างไรก็งัดปากไม่ได้
แต่...บุคคลนิรนามที่พิทักษ์ปิดปากเงียบไม่ยอมเอ่ยชื่อ คือคนที่พิทักษ์เอาชีวิตตัวเองปกป้อง
ใครที่สำคัญขนาดนั้น ใครที่มีความหมายถึงขนาดที่ยอมทิ้งชีวิตตัวเอง เพื่อให้อีกฝ่ายปลอดภัย
เรื่องแบบนี้ ถ้าเพื่อนสนิทไม่ถาม คนบนโลกนี้ก็คงไม่มีใครกล้าถามพิทักษ์อีกแล้ว!!
“เป็นญาติมึง?” ศตคุณเปิดตัวเลือกแทนที่จะรอคำตอบแต่ฝ่ายเดียว
พิทักษ์ส่ายหน้า แต่ยังเงียบ สีหน้าดูตกอยู่ในห้วงภวังค์
“พวกกูรู้จักไหม”
พิทักษ์ส่ายหน้า และยังคงเงียบ เพื่อนทุกคนมองหน้ากัน สีหน้าของพิทักษ์เวลานี้ดูจมจ่อมกับความคิดเสียจนหากหลอกถาม...ก็อาจจะพลั้งปาก...
“ชื่ออะไร” นรวิชญ์ใจร้อนอยากรู้รีบโพล่งถาม เพียงเท่านั้นคนที่ดูเหมือนอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ก็เงยหน้ามองทันที สีหน้าของคนเจ็บยังเรียบเฉย แต่สายตามีสติครบถ้วน
“สัด! มึงถามซะมันรู้ตัว” เพื่อนคนอื่นๆออกปากด่า ผสานกับเสียงหัวเราะดังครืน
พิทักษ์ได้แต่ส่ายศีรษะระอาใจ แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร
“ท่าทางจะสำคัญมาก...สงสัยเป็นเพื่อนสะใภ้ของพวกกูแน่” ถูกเพื่อนรอบตัวด่า นรวิชญ์เลยแก้เก้อด้วยการหยอก ยิ่งไม่มีคำตอบจากคนไข้ คนถามเลยยิ่งทำหน้ากระหยิ่ม ปีนขึ้นเตียงนั่งกระแซะหมายจะเค้นคอให้ได้
“มึงไม่คิดจะบอกพวกกูหน่อยหรือว่าเพื่อนสะใภ้พวกกูชื่ออะไร”
คำตอบเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าพิทักษ์ต้องส่ายหน้า
“อักษรย่อก็ได้อ่ะ” เพื่อนอีกคนเสนอ แต่พิทักษ์ยังส่ายหน้า
“งั้นพวกกูไม่กลับ จะอยู่รอจนกว่าจะได้เจอหน้าแฟนมึง” นรวิชญ์ประกาศกร้าว ทำเอาพิทักษ์นิ่งงัน เขาถอนหายใจเบาแล้วเอ่ยเรียบๆ
“เขาไม่มาหรอก”
“มึงโดนซะขนาดนี้ เขาไม่มาได้ไง”
พิทักษ์เงียบ ดูแล้วไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกจนน่าเอะใจ เรื่องราวดูจะโรแมนติก พิทักษ์ปกป้องคนรักด้วยชีวิต แต่มาหักมุมดราม่าตรงคนที่พิทักษ์ปกป้องกลับไม่มาเยี่ยม
“อรว่า เราให้พี่ทิศพักผ่อนดีไหมคะ” เสียงของหญิงสาวหนึ่งเดียวดังขึ้น เมื่อมีคนเสนออย่างนั้นในเวลาที่คนป่วยดูจะไม่อยากตอบคำถามใดๆ จึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก ทุกคนพยักหน้าแต่ไม่วายหันไปตบไหล่ให้กำลังใจพร้อมกับนัดแนะว่าจะมาเยี่ยมใหม่
ทว่ายังไม่ทันเปิดประตูออกจากห้อง บานประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคลึงกับคนป่วยราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมา
ทิวากร เป็นน้องชายของพิทักษ์ นอกจากนั้นยังเป็นหมอ การที่เขาอยู่ที่นี่ในวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ที่แปลกคือเขาไม่ได้มาเพียงลำพังแต่เดินนำชายหนุ่มอีกคนเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยการบ่นเสียยกใหญ่
“ทำอะไรลับๆล่อๆ อยากมาเยี่ยมก็เข้ามาสิ เดินวนไปวนมาอยู่ข้างหน้า คนอื่นได้กลัวกันหมด” พอบ่นจบชุดนั้น ก็พอดีเหลือบมาเห็นกลุ่มเพื่อนสนิทของพิทักษ์ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขาจำหน้าค่าตาได้หมดทุกคน จึงยกมือไหว้ทักทายอย่างเป็นกันเอง
“มาเยี่ยมพี่ทิศหรือครับ”
“อือ แต่พวกเรากำลังจะกลับแล้ว” ทิวากรพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“เข้าไปเยี่ยมพี่ทิศสิ” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังพยักหน้ารับงกๆ แล้วรีบปลีกตัวก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในห้องพักคนป่วยด้านในทันที เพื่อนของพิทักษ์ไม่ได้สนใจคนมาเยี่ยมรายนี้เสียเท่าไร แต่อรพิณรู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด
“นั่น...ใครหรือคะ”
ทิวากรมองตามคนที่หายลับเข้าไปเยี่ยมพิทักษ์ ก่อนจะหันมายิ้มจาง
“ญาติครับ” เขาไม่อธิบายเพิ่มเติม คนอื่นๆก็ไม่ได้สนใจนัก แต่อรพิณรู้สึกเหมือนหล่อนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
คนที่หล่อนเคยเห็น...
ใช่...เคยเห็นตอนที่แวะไปหาพิทักษ์ที่สนามกอล์ฟ
ไม่สิ...คนที่หล่อนเคยเห็นคนนั้น ดูโตกว่านี้...
“ผมขอตัวไปดูพี่ทิศก่อนนะครับ” ทิวากรไม่รอให้ถูกถาม หมุนตัวเดินเข้าไปด้านในทันที ทิ้งให้อรพิณมองตามด้วยความสงสัย ทว่าสุดท้ายหล่อนก็ถูกดึงออกจากห้องไปทั้งๆที่ใจยังอยากตามเข้าไปขอดูหน้าคนมาเยี่ยมคนนั้นเหลือเกิน
…………………..
พิทักษ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าหลังจากเพื่อนออกไป คนที่เข้ามาเยี่ยมรายต่อมาคือ...จารีต
ชายหนุ่มเผลอมองเลยไปด้านหลังของคนมาเยี่ยมรายนี้ แต่ก็พบว่าไม่มีใครติดตามมาด้วย จารีตมาคนเดียว
ใครอีกคน...ไม่คิดจะมาเยี่ยมกันจริงๆ
สายตาผิดหวังของพิทักษ์ ต่อให้เด็กอนุบาลก็ดูออก จารีตได้แต่ถอนหายใจเบา ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดที่ข้างเตียงคนเจ็บ
“เป็นยังไงบ้างพี่ทิศ”
“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจที่มา” แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ พิทักษ์อยากถามถึงจิณณะ จารีตเองก็อยากบอกเล่าเรื่องของพี่ชายให้อีกฝ่ายฟัง แต่...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
“บอกไปสิว่าหลบแม่ภาอยู่ เลยไม่ได้มาแต่แรก” เสียงของทิวากรดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินตามเข้ามา จารีตยิ้มแหะๆ
“ทำไมต้องหลบ”
“ก็...พี่จิณทำให้พี่ทิศเป็นแบบนี้ ผมก็กลัวว่าน้าภาจะ....”
“จิณไม่ได้ทำ” พิทักษ์แย้ง ทว่าจารีตได้แต่ถอนหายใจ
“แต่ใครๆก็มองว่าพี่จิณทำให้พี่ทิศถูกยิง พี่จิณเองก็คิด” จารีตไม่ได้รับรู้จากปากของผู้เป็นพี่โดยตรง แต่ท่าทีนิ่งขรึมไม่สดใสเหมือนเดิม ก็บอกให้รู้ว่าจิณณะจมอยู่กับความรู้สึกผิดเพียงใด
“แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง” สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวที่จะถามถึง นับตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่เคยพบหน้ากันอีก วันนี้ข่าวที่ได้รับรู้จากคนใกล้ตัวของจิณณะคือเจ้าตัวคิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องนี้กับเขา ยิ่งทำให้ความห่วงหาในใจทบทวี
จารีตอ้าปากอยากเล่า มีหลายอย่างที่อยากบอก อย่างเรื่องที่จิณณะกลายเป็นคนเงียบขรึม จิณณะกลายเป็นคนไม่ค่อยพูด และที่สำคัญ...จิณณะไม่เคยพูดถึงพิทักษ์อีกเลย
อะไรที่ทำให้พี่ชายของเขากลายเป็นแบบนี้
เขาอยากระบายให้พิทักษ์รับรู้
แต่...สิ่งที่เขารับรู้มาจากมารดา คือข้อตกลงระหว่างพี่ชายของเขาและน้าสาว
จิดาภาขออิสรภาพคืนให้พิทักษ์ ในขณะที่จิณณะรับปากแล้วว่าจะไม่ทำให้พิทักษ์ลำบากอีก
หากหลังจากนี้ ทั้งสองคนไม่ต้องพบเจอกันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ก็...ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเห็นพี่จิณก็ยังไปทำงานเหมือนเดิม” สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำไม่สร้างความผูกพันใดๆระหว่างพี่ชายของตนเองและชายหนุ่มตรงหน้า
ทิวากรรับฟังเงียบๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยว่าวันที่เกิดเรื่อง เขาเองก็พบจิณณะที่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน สภาพที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังยังไม่สู้หน้าตาซีดเผือดและดวงตาเลื่อนลอย
ร่างกายไม่เป็นอะไร แต่สภาพจิตใจ...คงแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
“ผม...ไม่รู้ว่าจะได้มาเยี่ยมอีกไหม แต่ขอให้หายไวๆนะพี่” อย่างวันนี้จารีตก็แอบมา เขาไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นปัญหาสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้เป็นน้า หากหล่อนมองว่าเขาเป็นตัวแทนของจิณณะ ก็จะกลายเป็นความบาดหมางอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำใจแข็งไม่ดูดำดูดีอย่างที่จิณณะทำไม่ได้
“ขอบใจ”
หนุ่มรุ่นน้องไม่พูดอะไรอีก แต่ยกมือไหว้ทั้งพิทักษ์และทิวากร ทว่าพอเขาจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง เสียงของคนเจ็บกลับดังขึ้น
“ฝากบอกจิณ...ให้เขารักษาสุขภาพด้วย”
จารีตสะท้านไปทั้งใจ เขาเม้มปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์สงสาร ก่อนจะหันกลับไปยิ้มรับแทนคำพูด แล้วหมุนตัวก้าวเท้าออกจากห้อง พอบานประตูปิดลง ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือก
หากการจากลาเช่นนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ทำไม...เขากลับรู้สึกว่าไม่มีใครสักคน...ที่มีความสุขเลย
…………………….
ทั้งโกศลและจรรยารู้ดีว่านับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น จิณณะไม่เหมือนเดิม
จากคนสนุกสนานร่าเริง กลายเป็นคนนิ่งขรึม แม้จะกลับมาอยู่กรุงเทพฯทุกสุดสัปดาห์ แต่ก็มักขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีใครพูดเรื่องพิทักษ์ให้เขาฟัง ตัวเขาเองก็ไม่ถามความเป็นไปของพิทักษ์จากใครเช่นกัน
จนกระทั่งบ่ายวันศุกร์ของสัปดาห์หนึ่ง จิณณะปรากฏตัวที่กรุงเทพฯในอาคารสำนักงานบริษัทวงศ์กีรติ เพราะแทบไม่เคยมาเหยียบที่นี่เลย จึงไม่มีพนักงานคนใดรู้จักเขา แต่ชายหนุ่มไม่เร่งรีบ จัดแจงติดต่อประชาสัมพันธ์บอกว่าจะมาพบโกศล วงศ์กีรติ แจ้งชื่อว่าตนเองคือจิณณะ วงศ์กีรติ ไม่เกินห้านาที ประชาสัมพันธ์ก็แทบจะปูพรมให้เขาขึ้นไปหาบิดาบนห้องทำงาน
ตอนที่โกศลเห็นลูกชายคนโตมาหาในยามบ่ายวันทำงาน เขานิ่งงันไป รู้ว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแน่นอน
เดิมที จิณณะก็เป็นลูกชายที่บุพการีคาดเดาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ภายหลังเหตุการณ์ถูกลอบยิง เจ้าตัวกลายเป็นคนที่ยิ่งเดาอะไรไม่ได้ไปกันใหญ่
“วันนี้ไม่ทำงานหรือ”
“ผมลางานมา พอดี...ต้องเข้าไปที่กระทรวงหน่อย แถวนั้นมีร้านขนมที่พ่อชอบ เลยแวะซื้อมาฝาก” จิณณะตอบ วางถุงกล้วยแขกลงบนโต๊ะทำงานของบิดาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กวาดตามองแฟ้มเอกสารที่กระจัดกระจาย แล้วก็ยกยิ้มจาง
“งานพ่อเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
โกศลหัวเราะเบาๆ
“พูดอย่างกับจะมาช่วยงาน”
“พ่อว่าผมจะช่วยได้รึเปล่า” เสียงหัวเราะของบิดาหายวับในพริบตา โกศลขยับตัวนั่งตรง จับจ้องบุตรชายที่สายตายังไม่ละไปจากแฟ้มเอกสารกองหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ดูตกอยู่ในภวังค์ของตนเองมากกว่าจะสนใจเอกสารกองนั้น
“จิณหมายความว่ายังไง”
จิณณะเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ก่อนจะถอนหายใจเบา
“ผมลาออกจากราชการแล้ว” เกิดเป็นความเงียบชั่วอึดใจระหว่างสองพ่อลูก
“คิดว่าจะกลับมาช่วยงานพ่อ พ่อมีอะไรให้ผมช่วยบ้างไหม”
“ทำไมถึงลาออก” ลูกชายคนโตเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นพ่อก็พอจะรู้ว่าคงมีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้จิณณะยอมทิ้งอาชีพ ทิ้งตำแหน่ง ทิ้งสิ่งที่ตนเองดั้นด้นไปคว้ามา
“เพราะเรื่องของทิศใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่จิณณะไม่ตอบ
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับจิณเป็นปลัดหรือไม่ แล้วตอนนี้ทิศก็...”
“ผมแค่อยากทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น การออกจากราชการเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
“จิณคิดจะทำอะไร” เป็นอีกครั้งที่โกศลไม่ได้คำตอบเป็นคำพูด ทว่าสายตาของจิณณะที่เหลือบขึ้นจ้องมองเขานั้นแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“คิดให้ดี ก่อนจะทำอะไร” คนเป็นพ่อเตือนเสียงเข้ม
“ผมคิดดีแล้ว พ่อไม่ต้องห่วง ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงหรอก เอาเป็นว่าถ้าเรื่องออกจากราชการของผมเรียบร้อย ผมจะมาของานพ่อทำแล้วกัน ผมต้องกลับแล้ว มีธุระต้องไปเคลียร์อีกหน่อย อย่าลืมกินกล้วยแขกล่ะ” จิณณะยกมือไหว้แล้วลุกขึ้น ทว่าพอเขาหมุนตัวจะเดินออก เสียงของบิดาก็ดังขึ้นด้านหลัง
“จิณ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโกศลหมายถึงเรื่องอะไร จิณณะเองก็ไม่คิดทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินโทษใครเช่นกัน เขาหันกลับไปมองบิดา ดวงตายังเยียบเย็น เห็นแล้ววูบหนึ่งโกศลคิดถึงมารดาของตนเองเหลือเกิน
คุณกอบกุลก็มีสายตาอย่างนี้ ยามหล่อนเคียดแค้นอาฆาต
“ผมแค่จะกระตุ้นการทำงานของกฎหมายแค่นั้นเอง”
เขาเปรยเพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวก้าวเท้าออกจากห้องทำงานของบิดาทันที ธุระอีกเรื่องที่เขาต้องจัดการในวันนี้คือการใช้เส้นสายให้เป็นประโยชน์
...คุณเทียม...
………………………..
บ้านของคุณเทียมยังคงสงบเงียบ ตั้งอยู่อย่างสันโดษท่ามกลางอาณาเขตกว้างใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่จิณณะมาที่นี่เพียงลำพัง เขาต้องอาศัยเวลาในการเจรจากับคนเฝ้าประตูรั้วอัลลอยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นอึดใจต่อมา ชายวัยกลางคนที่เขาเคยพบหน้ายามมาพบคุณเทียมก็เดินออกมาดู จิณณะถึงได้เข้ามาในอาณาเขตได้อย่างสวัสดิภาพ เขาถูกพามารอที่ห้องรับแขก จากนั้นพักใหญ่ ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงได้เดินเข้ามา
แขกผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าลุกจากโซฟาแล้วยกมือไหว้
“ขอโทษที่ไม่ได้นัดไว้ก่อนครับ พอดีวันนี้มีเวลาก็เลยแวะมา”
คุณเทียมเพียงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง “มีอะไรหรือ”
จิณณะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ เขามองตรงไปยังเจ้าของบ้าน ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่ชายชราต้องเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ผมจะมาขอความช่วยเหลือ”
คนฟังยกยิ้มเย้ยหยัน
“คนที่ปลัดน่าจะไปขอ ควรจะเป็นหลานของฉัน ไม่ใช่ฉัน” พอพูดถึงหลานของคุณเทียม จิณณะก็ได้แต่เงียบ หลบสายตามองเมินไปทางอื่นราวกับไม่อยากพูดถึงใครคนนั้น คุณเทียมเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ปฏิบัติต่อคำพูดของเขาแล้วก็ได้แต่หัวเราะในคอ
“ตั้งแต่เกิดเรื่องจนวันนี้ ได้ไปเยี่ยมทิศบ้างหรือยัง”
“ผมทราบมาว่า...เขา...หายดีแล้ว” แม้แต่ชื่อ ยังไม่มีหลุดออกจากปาก
จิดาภาขออิสรภาพคืนให้ลูกเลี้ยง และเขารับปากแล้วว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้อีก ทางเดียวที่พิทักษ์จะไม่เดือดร้อนกับเรื่องของเขา ก็คือเขาต้องลืมพิทักษ์เสีย อย่าได้คิดจะไปดึงผู้ชายคนนั้นกลับเข้ามาอยู่ในวงโคจรของเขาอีกเลย
“ตอนที่ยังไม่หาย ก็ไม่ไปหาไม่ใช่หรือ”
“ผมรับปากกับน้าภาแล้วว่าจะไม่ทำให้เขาเดือดร้อนอีก”
“แล้วที่มาขอความช่วยเหลือจากฉัน คิดว่าเรื่องนี้จะไม่ถึงทิศอย่างนั้นหรือ” จิณณะรู้ดีว่าการที่เขามาขอความช่วยเหลือจากคุณเทียม ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่เรื่องจะถึงหูของพิทักษ์ แต่...ถ้าเขาคิดจะ ‘ทำ’ อิทธิพลของคุณเทียมคือสิ่งสำคัญที่เขาต้องมี
“แต่ถ้าผมไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณเทียม เรื่องที่อยากทำ ก็คงทำไม่ได้ แล้วเรื่องของนายไพศาลก็คงไม่จบ” พอพูดถึงไพศาล คุณเทียมก็เอนหลังพิงพนัก ดวงตาจับจ้องชายหนุ่มคราวหลานที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ปลัดคิดจะทำอะไร”
“ผมจะบีบมันเหมือนมันบีบผม ต้อนมันเหมือนที่มันต้อนผม” จิณณะไม่ใช่อิฐใช่ปูน ยิ่งผลกระทบตกสู่พิทักษ์ เขายิ่งผูกใจเจ็บ
หากจะผิด ก็ผิดที่ไพศาล
ไม่หยุด ไม่จบ และทำให้เขาจนตรอก
“ปลัดคิดให้ดี เป็นข้าราชการ...”
จิณณะยิ้มจางพลางส่ายหน้า
“ผมยื่นหนังสือลาออกแล้ว เมื่อเช้าก็เพิ่งเข้าไปหาผู้ใหญ่ที่กระทรวงให้ช่วยเร่งเรื่องนี้ให้” คุณเทียมมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ขยับตัวนั่งตรงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า
“ลาออกจากราชการหรือ” เขาถามซ้ำ เรื่องราวระหว่างจิณณะและคุณกอบกุลที่ฝ่ายหนึ่งเป็นข้าราชการ อีกฝ่ายต้องการให้ออกจากราชการ เข้าหูเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังเห็นจิณณะดื้อแพ่งยืดอกใส่ชุดสีกากีอย่างไม่มีย่อท้อ ทว่า...วันนี้ เจ้าตัวกลับบอกกับเขาอย่างนิ่งสงบว่าลาออกแล้ว
“ครับ” คำตอบรับยืนยันนั้นหนักแน่นเพราะเจ้าตัวคิดคำนวณมาถ้วนถี่แล้ว การอยู่ในสถานะข้าราชการ ไม่เพียงแต่ทำอะไรก็ล้วนเหมือนทำในที่แจ้ง ขยับตัวไขว้เขวออกนอกกรอบเป็นต้องถูกจับตา ไหนจะตำแหน่งปลัดอำเภอซึ่งเป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ เมื่อเทียบกับหน้าที่การงานในธุรกิจของตระกูลวงศ์กีรติที่เข้าหา ‘ผู้หลักผู้ใหญ่’ ได้มากกว่า ก็ยิ่งทำให้เห็นความแตกต่าง ที่สำคัญที่สุด...เวลานี้เขาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก เงินเดือนข้าราชการที่ไม่ได้อิงตามอัตราเงินเฟ้อยิ่งเทียบไม่ได้กับเงินเดือนในฐานะลูกหลานผู้ก่อตั้งกิจการ
สุดท้าย...จิณณะที่พยายามหนีออกจากระบบของผู้เป็นย่า ก็จำต้องกลับเข้าสู่วงโคจรนี้ด้วยการตัดสินใจของตนเอง
คุณเทียมมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาไม่หลุกหลิกซุกซนเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้ที่มาขอพบคุณเทียมในเวลานี้ราวกับไม่ใช่ ‘ปลัดจิณณะ’ ที่พิทักษ์เคยพามา แต่เป็น ‘จิณณะ วงศ์กีรติ’ หลานชายของหญิงชราผู้เคยถูกขนานนามว่า ‘งูพิษ’
เจ้าของบ้านถอนหายใจเบา มองคนตรงหน้าใหม่อีกครั้งแล้วก็ได้แต่มองเมินไปทางอื่น
จิณณะไม่เคยไปเยี่ยมพิทักษ์เลย นับตั้งแต่เกิดเรื่อง หากจะบอกว่าเป็นความใจดำอำมหิตสมกับเป็น ‘ลูกหลานงูพิษ’ ก็คงจะได้ แต่วันนี้ที่ได้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังลงมือทำอะไรบางอย่าง ถึงขั้นยอมลาออกจากอาชีพตนเอง คุณเทียมกลับรู้สึกสะท้านไปทั้งใจที่กล่าวโทษอีกฝ่ายตลอดมา
“ผมอยากให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น” จิณณะย้ำ เมื่อไม่มีอาชีพและตำแหน่งในระบบราชการแล้ว ก็ช่วยลดการเพ่งเล็งลง อย่างน้อย หากจะทำอะไรที่ ‘ร้ายแรง’ เขาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องถูกพาดหัวข่าวเรียกแขกทำนองว่า เจ้าหน้าที่ภาครัฐกระทำการอุกอาจ
“คุณกอบกุลคงดีใจพิลึก” คุณเทียมย้อนพลางหัวเราะในคออย่างไร้อารมณ์ยามพูดถึงหญิงชราผู้นั้น แต่ไม่รู้คุณกอบกุลจะดีใจได้มากน้อยแค่ไหน หากรู้ว่าการลาออกครั้งนี้ของจิณณะ มีเพียงเหตุผลเดียว
จัดการไพศาล แก้แค้นในสิ่งที่ทำกับพิทักษ์
และในเมื่อสิ่งที่จิณณะกำลังลงมือทำ ให้ประโยชน์แก่คุณเทียมถึงสองข้อ คือแก้แค้นให้หลานชายของเขา และจัดการไพศาล จึงเป็นเรื่องแน่นอนว่าคุณเทียมย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายลงมือเพียงลำพัง
เจ้าของบ้านขยับตัวนั่งหลังตรง ผายไหล่แผ่บารมี
“เอาล่ะ คุณจิณณะ อยากให้ช่วยอะไรบ้าง ลองพูดมาสิ”
………………….