พิมพ์หน้านี้ - ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Amo ที่ 03-12-2018 01:26:12

หัวข้อ: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-12-2018 01:26:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************


น้ำตากิเลน

สิ่งวิเศษที่คิดว่ามีเพียงแต่ในตำนาน กลับถูกค้นพบโดย ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง

บังเอิญแล้วบังเอิญอีก

เพราะความบังเอิญ ทำให้หนานเฟ่ยซาน กินสิ่งที่เรียกว่า "น้ำตากิเลน" เข้าไป

สิ่งนี้ทำให้ชีวิตนักข่าวธรรมดา ๆ อย่างเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

และเพราะความรนหาที่ของนักข่าวธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

ทำให้ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีมากมาย

 

ฝากนิยายเรื่องใหม่ ของ Amo ด้วยนะคะ


*********************


นิยายเรื่องอื่นของ Amo

หยก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61855.0) : สถานะ จบแล้ว

ม่อนเคียงดาว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70159.msg3968088#msg3968088) : สถานะ ยังไม่จบ

กลรักหวงจื่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71636.0) : สถานะ ยังไม่จบ

จิตมาร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72302.0) : สถานะ ยังไม่จบ:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll ---------- Intro…/\ 3 -12-18 ----------ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-12-2018 01:33:34
Intro…



   ภายในบริเวณบ้านที่รายล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น แต่ก็ไม่ได้อึดอัด เพราะรอบรั้วบ้านกลับมีปราการต้นไม้สูงชะลูดบดบังสายตาจากคนภายนอก ให้ยากที่จะมองสำรวจเขามาในบริเวณบ้าน

   ก่อนถึงตัวบ้านยังถูกกั้นด้วยบ่อปลาคราฟขนาดใหญ่ หากจะเดินเข้ามาภายในมีทางเดียวคือเดินข้ามสะพานปูนเล็ก ๆ เท่านั้น

   มุมหนึ่งของบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในย่านเยามะไต๋ พื้นที่โล่งแต่มีหญ้านุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดี ปรากฏชายคนหนึ่งที่ถูกลุมล้อมไปด้วยชายชุดดำ 5-6 คน ชายหนุ่มเฝ้าอมงอย่างแวดระวัง ต่างคอยดูชั้นเชิงซึ่งกันและกัน เหงื่อที่ซึมออกตามไรผมเริ่มไหลหยาดหยดมารวมกันอยู่ที่ปลายคาง ทันทีที่ ของเหลวทอดตัวลงจากปลายคาง...

   ชายชุดดำคนหนึ่ง พุ่งตัวใส่เขาพร้อมกับยกขาขึ้นเตะที่ชายโครง ผู้ที่คอยระวังตัวอยู่ก่อนแล้วยกเข่าขึ้นตั้งรับสกัดกั้น ก่อนสวนหมัดตรงเข้าที่ใบหน้า ชายชุดดำอีกคนคว้ากระชากเขาที่ไหล่ ทั้งยังลงหมัดหมายจะกระแทกใบหน้าของเขา แต่ด้วยความว่องไวเขาจึงยกแขนกันไว้พร้อมทั้งก้มตัวหลบ แต่ไหนเลยจะเป็นฝ่ายรับแต่เพียงอย่างเดียว เขาสวนหมัดอัพเปอร์คัทไปยังปลายคางของเป้าหมายทันที

   ชายอีกสองคนกำลังพุ่งมาหาเขาพร้อม ๆ กัน เขาที่เองก็เตรียมตัวตั้งรับ แต่ยังไม่ทันถึงตัว ชายชุดดำทั้งหมดกลับถอยหลังออกไป และต่างยืนสำรวมเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบทำให้เขาต้องหันหลังกลับไป

   หญิงสูงวัยแต่ยังคงความงามอยู่ทำมือทำไม้โบกให้ชายชุดดำทั้งหมดออกไปจากบริเวณนั้น ก่อนหยิบผ้าขนหนูเดินตรงมาหาเขา

   “หม่าม้า กลับมาตั้งแต่เมื่อไรครับ” ชายหนุ่มถามพร้อมรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ ผู้ที่ถูกเรียกขานกลับไม่ตอบ

   “มาออกแรงแบบนี้แสดงว่ามีแผนจะเดินทางไปไหนล่ะสิ?”

   “โถ่...ม๊า...ผมถามแต่ทำไม ม๊ากลับถามผมกลับละครับ”

   “ก็เพิ่งมาถึงนี่แหละ แล้วเราล่ะ จะตอบคำถามม๊าไหม?”

   “ครับๆ” ชายหนุ่มรับคำพร้อมยิ้มทะเล้นให้ผู้เป็นมารดา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ผมจะไปหยวนชางตูอีกครั้งครับม๊า”

   “นี่ลูกยังไม่ล้มเลิกที่จะตามหาสิ่งนั้นอีกเหรอ?”

   “ผมรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเราแล้ว แต่ผมก็อยากจะค้นคว้าและศึกษาเรื่องราวของมันต่อ”

   “ตามใจลูกก็แล้วกัน แต่เข้าไปที่นั่น ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะลูก”

   “ครับ ม๊า” เขายิ้มรับก่อนพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll ---------- Intro…][ 3 -12-18 ----------ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-12-2018 09:11:51
รอติดตาม
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 1 ---ll--- 10 -12-18 ---ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 10-12-2018 00:36:58
1

   ผมได้แต่ทอดถอนใจไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน กับงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ เป็นเพราะโฮวจีเจียนเพียงคนเดียว ทำให้ผมต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องเก็บเอกสารอยู่แบบนี้

   ผมเดินไปตามชั้นที่เรียงรายไปด้วยกล่องเก็บเอกสารมากมายที่สูงเกินที่ผมจะเอื้อมถึง ไล่มองรหัสตัวอักษรตามชั้นต่าง ๆ สลับกับมองกระดาษแผ่นเล็กในมือ จนในที่สุดผมก็เจอรหัสอักษรพร้อมตัวเลขที่ตรงกับกระดาษในมือ เอกสารข้อมูลชุดสุดท้ายที่ผมต้องการ ยังดีที่มันไม่อยู่สูงจนเกินไปนัก

   ระหว่างที่ผมรวบรวมเอกสารทั้งหมดมาไว้บนโต๊ะ และสำรวจดูจนแน่ใจว่าได้สิ่งที่ต้องการครบถ้วน ผมจึงโกยเอกสารทั้งหมดมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนที่จะเดินออกจากห้องนี้ไป

   ผมเดินขึ้นบันไดจากห้องใต้ดินซึ่งเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ของสำนักพิมพ์ ก่อนจะไปยืนรอลิฟต์ ที่มีคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะเอื้อมมือไปกดเรียกลิฟต์ได้อย่างไร ทั้ง ๆ มีเอกสารกองอยู่เต็มมือผมอย่างนี้ จนระหว่างเดินถึงกับต้องเอาคางกดกองเอกสารเหล่านั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เอกสารร่วงลงพื้น

   เมื่อลิฟต์มาถึง หญิงสาวสองคนก็ก้าวเข้าไปก่อน ผมจึงตามเข้าไป หนึ่งในนั้นมีน้ำใจถามผมว่าจะไปชั้นไหน

   “รบกวนกดชั้น 8 ครับ”

   ผมลอบสังเกต หญิงสาวทั้งสองกดชั้น 5 นั่นหมายความว่าเจ้าหล่อนทั้งสองคงอยู่สายข่าวบันเทิง แต่ก็ไม่แปลกหากจะไม่มีใครจำผมได้ เพราะผมมักจะออกไปหาข่าวภาคสนามมากกว่านั่งประจำเขียนข่าวอยู่ที่สำนักงาน

   เมื่อผมก้าวออกจากลิฟต์ คนที่ทำให้ผมต้องไปคลุกอยู่ในคลังข้อมูลเกือบค่อนวันก็เดินตรงเขามาหาผม

   “เฟ่ยซาน นายอย่าบอกนะว่าเพิ่งออกมาจากคลังข้อมูลน่ะ”

   “นายก็เห็นอยู่” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจคนตรงหน้า ก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของผม

   “เฮ้ย!! ... แล้วแบบนี้จะส่งต้นฉบับให้ บ.ก. ทันได้ยังไงวะ?”

   “แล้วทำไมนายไม่มาช่วยล่ะ กลับมาแล้วแทนที่จะเข้ามาช่วยกัน”

   “ก็ฉันไม่รู้นี่ ว่านายไปอยู่ซะที่ไหน ไม่อย่างนั้นก็ตามลงไปช่วยแล้ว โทรศัพท์มือถือก็ดันทิ้งไว้ที่โต๊ะ” จีเจียนบ่นยาว พร้อมกับมองไปยังโทรศัพท์มือถือของผมที่วางทิ้งไว้โชว์หราอยู่บนโต๊ะทำงาน

   “คลังข้อมูลมีสัญญาณที่ไหนกันเล่า นายน่าจะเดาได้ เป็นนักข่าวประสาอะไรกัน”

   “เอาน่า ๆ ไหน ๆ นายก็ขึ้นมาแล้ว ฉันก็มาช่วยแล้วนี่ไง”

   “นายเขียนข่าวก็แล้วกัน งานนายนี่ เดี๋ยวฉันช่วยหาข้อมูลสนับสนุนกับแฟ้มภาพให้” ผมพูดก่อนจะเริ่มลงมือค้นเอกสารที่ตนไปหามา โฮวจีเจียนก็ไม่ได้ว่าอะไร นั่งลงที่โต๊ะทำงานของผมแล้วเริ่มลงมือเขียนข่าวทันที

   ที่โฮวจีเจียนมานั่งทำงานที่โต๊ะของผม เป็นเพราะว่า ทั้งสองทำงานอยู่คนละสายข่าว โต๊ะทำงานผมจะอยู่ฝ่ายข่าวทั่วไป แต่โฮวจีเจียนข่าวธุรกิจและสังคมซึ่งจะอยู่ที่ชั้น 7

   จีเจียนนั้นถือเป็นเพื่อนที่ดี เพียงแต่ติดนิสัยเกียจคร้านไปสักนิด งานที่ได้รับมอบหมายมามักจะทำในช่วงวินาทีสุดท้ายเสมอ อย่างงานนี้ก็เช่นกัน ที่ต้องมาเดือดร้อนให้ผมช่วย เพราะเช้าวันนี้จีเจียนต้องไปทำข่าวด่วนเนื่องจากผู้ให้ข้อมูลขอเลื่อนนัดสัมภาษณ์กะทันหัน

   ทั้งสองช่วยกันนั่งทำงานกันจนเวลาล่วงเลยไปกระทั่งดึก แต่ก็ยังทันเวลาที่จะส่งต้นฉบับได้ทัน โฮวจีเจียนจึงจัดการนำเอกสารทั้งหมดเดินลงไปส่ง บ.ก. ที่ห้อง

   “เฟ่ยซาน นายรอฉันด้านล่างก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอเลี้ยงข้าวตอบแทนนาย”

   “อืม เดี๋ยวเจอกันข้างล่าง”

   ผมจัดการเก็บของลงกระเป๋า ปิดคอมพิวเตอร์ ปรินส์เตอร์ จากนั้นก็สำรวจความเรียบร้อยภายในแผนกอีกครั้ง ก่อนจะปิดไฟ และลงไปรอจีเจียนที่ส่วนพักคอยด้านล่าง

.........................................................................

   ย่านแหล่งช้อปปิ้ง สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี และกาสิโนชื่อดังของมาเก๊า กลางวันกับกลางคืนช่างไม่แตกต่างกันมากนัก ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลกันมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย รวมทั้งสองหนุ่มที่เพิ่งเดินทางมาถึงก็เช่นกัน

   ร่างหนึ่ง รูปร่างอวบจนเกือบอ้วนกลม ผิวขาวอมชมพู แต่ก็ดูแคล่วคล่องผิดกับรูปร่าง เดินนำชายอีกคนที่ส่วนสูงไล่เลี่ยกัน แต่กลับผอมบาง รูปร่างสมส่วนที่ดูคล้ายกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ใบหน้าถึงจะคมคายแต่ดวงตากลมโตกลับทำให้ใบหน้านั้นดูหวานละมุนน่ามอง

   “จีเจียน ทำไมนายต้องมากินข้าวถึงนี่”

   “นายไม่เบื่อหรือไง วันๆ เอาแต่กินอะไรเดิมๆ ร้านเดิมๆ ไม่แถวสำนักงาน ก็แถวคอนโดของนาย”

   “ก็ไม่นี่”

   “เอาน่า ตามใจฉันหน่อยก็แล้วกัน”

   “นายมีจุดประสงค์อะไรใช่ไหม ถึงมาที่นี่”

   “เฮ้อ...ฉันคงปิดบังอะไรนายไม่ได้เลยใช่ไหมเฟ่ยซาน”

   “คนอย่างนายนี่น้า... จะมาหาข่าว ทำไมต้องลากฉันมาเกี่ยวด้วย”

   “ฉันไม่ได้มาหาข่าว แค่มายืนยันให้เห็นกับตาเฉย ๆ ว่าเขามาแล้ว”

   “นายหมายถึงใคร?”

   “ฉันได้ข่าวมาว่า ดร.เหมิ๋น มาที่นี่”

   “ดร. เหมิ๋น? เหมิ๋นหยวนฮ่างอ่ะนะ”

   “ใช่”

   “แล้วเขาจะมาที่นี่ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ ก็แม่เขาอยู่ที่นี่”

   “แปลกสิ ดร.เหมิ๋นน่ะ ปกติแล้วหลังจากที่กลับจากขุดค้น เขาก็มักจะคลุกอยู่แต่ที่เกาลูน ส่วนหลี่ต๋าจะเป็นคนเดินทางไปหาดอกเตอร์ แต่ถ้ามาที่นี่ เป็นไปได้ว่า เขาอาจจะเจอของสิ่งนั้นแล้ว”

   “เจออะไร?”

   “น้ำตากิเลน”

   “น้ำตากิเลน มันคืออะไร?”

   “ไม่แปลกที่นายจะไม่รู้ เพราะคนทั่วไปไม่รู้ถึงการมีอยู่ของของสิ่งนี้ ด้วยอิทธิพลของเยี่ยนหวอที่ต้องการปกปิดเรื่องของวิเศษนี้ไว้”

   “ของวิเศษอย่างนั้นเหรอ?”

   “ใช่ เท่าที่ฉันได้ยินมา ก่อนที่ 3 ตระกูลใหญ่จะมอบหยกศักดิ์สิทธิ์ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจีน ก็ได้ค้นพบน้ำตากิเลนแล้ว”

   “ในเมื่อพบตั้งแต่ตอนนั้น แล้วทำไม ดร. เหมิ๋นถึงยังต้องตามหาอีกละ นั่นมันก็หลายสิบปีมาแล้ว ก่อนที่ฉันกับนายจะเกิดซะอีก”

   “มีเรื่องเล่าว่า ตอนที่ค้นพบหยกศักดิ์สิทธิ์ของปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์หยวน ได้เกิดมีความขัดแย้งกันระหว่าง 3 ตระกูล จนเกิดการนองเลือด น้ำตากิเลนสูญหายไประหว่างเดินทางออกจากหยวนซางตู”

   “แล้วไอ้น้ำตากิเลนนั่นมันหน้าตาเป็นยังไง แล้ววิเศษยังไง ถึงทำให้ 3 ตระกูลใหญ่บาดหมางกันได้ แต่เดี๋ยวนะ 3 ตระกูลอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไอ้เรื่องว่าหน้าตามันเป็นยังไงนี่ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ มีเฉพาะคนที่เข้าไปในหยวซางตูคราวนั้นแหละที่เคยเห็น”

   “อ่าว?”

   “ส่วนความวิเศษของมัน มีเรื่องเล่ากันว่า คนที่ดื่มน้ำตากิเลน โรคภัยต่าง ๆ ที่เป็นอยู่จะหายเป็นปลิดทิ้ง”

   “มันก็แค่ตำนาน ไม่มีอะไรจะมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงสักหน่อย อีกอย่างนะ จีเจียน นายเป็นนักข่าวก็ควรจะมีวิจารณญาณให้มันมากกว่านี้ ถ้านายจะทำข่าว ก็ควรมุ่งประเด็นไปในเรื่องคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไม่ดีกว่าเหรอ?”

   “ข่าวก็ส่วนข่าว แต่ความสนใจส่วนตัวมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วถ้ามันไม่มีมูลความจริง แล้ว 3 ตระกูลใหญ่จะทะเลาะเบาะแว้งกันได้ยังไง”

   “ไอ้เรื่อง 3 ตระกูลนั้นอีก เท่าที่ฉันรู้มา ผู้ที่ส่งมอบให้กับพิพิธภัณฑ์มีเพียง 2 ตระกูลเท่านั้นนี่”

   “หึ ก็อีกตระกูลหนึ่งสูญสิ้นไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วยังไงล่ะ จะว่าสูญสิ้นก็ไม่ถูก เพราะอันที่จริงก็เหลือทายาทอีกคนหนึ่ง”

   “ถ้ายังเหลือทายาท แล้วทำไม...”

   “เฟ่ยซาน เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกนายต่อไปนี้ ถือเป็นเรื่องลับสุดยอด น้อยคนนักที่จะรู้ ถ้านายรู้แล้วก็เงียบเอาไว้ก็แล้วกัน”

   “อืม”

   “ฝู่เถิง แซ่เดิมคือจุ้ย เปลี่ยนแซ่เพราะแต่งเข้าตระกูลฝู่”

   “จุ้ย...จุ้ยเถิง...จุ้ยอั้ยเต๋อ!! ”

   “ใช่”

   “พ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ในสมัยนั้นอ่ะนะ”

   “อืม”

   “เป็นไปได้ยังไงกัน หรือว่าเยี่ยนหวอจะมีธุรกิจอะไรบางอย่างที่คนทั่วไปไม่รู้”

   “ฉันก็ไม่รู้ เพราะงานข่าวของฉันไม่ได้ช่วยให้ฉันมีข้อมูลตรงนี้ แต่ถ้าเป็นนาย ก็ไม่แน่”

   “หึ!! ที่นายจะเลี้ยงตอบแทนฉัน อันที่จริงแล้วเพื่อเป็นการหลอกล่อให้ฉันทำข่าวนี้ ใช่ไหมล่ะ?”

   “เปล่า ฉันแค่จะมาดัก ดร. เหมิ๋น กับเรื่องน้ำตากิเลนเท่านั้น ส่วนเรื่องเยี่ยนหวอกับอาวุธเถื่อน...ก็แล้วแต่นาย”

   “เจ้าเล่ห์ ปากแข็ง!! ”

   “มาเถอะ ไปนั่งร้านนั้นกัน พี่โฮวคนนี้จะเลี้ยงน้องหนานเอง”

.........................................................................

   ชายหนุ่มร่างสูงอยู่ในชุดลำลอง เสื้อคอโปโลแขนยาวขาว กางเกงผ้าสีสดใส ทำให้ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นสีทองดูเด็กลงกว่าอายุจริง เขาเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทางสบาย ๆ ตรงไปยังส่วนของกาสิโน ตลอดทางที่เดินผ่านมีพนักงานคอยทักทายเขาเป็นระยะ ๆ

   “ดอกเตอร์”

   “ม๊าอยู่ในห้องวีไอพีอย่างนั้นเหรอ ฉันถึงมองหาไม่เจอ?”

   “ครับ ดอกเตอร์จะให้ผมไปเรียนเหลาป่ายเนียนไหมครับ”

   “ไม่ต้องหรอก ถ้าม๊าออกมาแล้วฝากบอกหน่อยก็แล้วกัน ว่าฉันไปรออยู่ห้องอาหาร”

   “ครับ ดอกเตอร์”

   ชายหนุ่มเดินออกจากส่วนของกาสิโน ไปยังส่วนของห้องอาหาร เขาเลือกที่จะนั่งโซนด้านนอก บริเวณสระว่ายน้ำด้านหลังโรงแรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตาม บริเวณนี้ก็ยังมีผู้คนมากมาย เขาเลือกนั่งมุมหนึ่งซึ่งคนไม่พลุกพล่านนัก ไม่นานพนักงานเดินเข้ามารับออร์เดอร์จากเขา

   “เอาแต่เครื่องดื่มมาก่อนแล้วกัน ถ้าม๊ามาถึงแล้วก็พามาหาฉันด้วยก็แล้วกัน”

   “ค่ะ ดอกเตอร์”

   ชายหนุ่มนั่งได้สักพักก็มีแขกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอเดินเข้ามาทักทายและร่วมโต๊ะด้วย ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอบุคคลทั้งสอง

   “ตั่วอี๊ ตั่วเตี๋ย” เขาลุกขึ้นทักทาย ก่อนเชิญให้ทั้งสองนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วย

   “สบายดีไหมหยวนฮ่าง”

   “ผมสบายดีครับอาอี้ ไม่คิดว่าจะเจออี้กับเตี๋ยที่นี่ เห็นว่าช่วงนี้งานยุ่งๆ ไม่ใช่เหรอครับ”

   “งานยุ่งแค่ไหน หลานชายแวะมาทั้งที เตี๋ยก็ต้องปลีกเวลามาให้ได้แหละ”

   “เตี๋ยพูดจนผมรู้สึกผิดเลยนะครับ”

   “ก็อาหยวนฮ่างมัวแต่ขลุกอยู่ที่หยวนซางตู นานๆ จะกลับเกาลูนสักที อี้ไปเยี่ยมทีไรก็คลาดกับเราตลอด นี่น้องก็บ่น ว่าจะจำเราไม่ได้อยู่แล้วนะ”

   “เจมส์เป็นยังไงบ้างครับ มาด้วยรึเปล่า”

   “ไม่ได้มาหรอก รายนั้นเขาเตรียมตัวจะไปเที่ยวไทยอยู่”

   “ไปเยี่ยมโซ้ยกู๋กับโซ้ยอี้สินะครับ”

   “อืม ดูจะตื่นเต้นใหญ่เลยล่ะ ว่าแต่หยวนฮ่างเถอะ เจอม๊าเราแล้วรึยัง?”

   “ผมเจอแล้วครับ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ แต่ก็แค่ทักทายกันนิดหน่อยครับเตี๋ย”

   “แล้วลมอะไรหอบให้อาหยวนฮ่างมาที่นี่ได้ล่ะ?”

   “ผมเจอสิ่งนั้นแล้วครับอาอี๊”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมองสีหน้าเรียบเฉยของคนทั้งสองอย่างแปลกใจ เหตุใดทั้งตั่วอี้ ตั๋วเตี๋ยถึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นหรือดีอกดีใจที่เขาเจอของสิ่งนั้นเลย

   “อี๊ไม่คิดว่าหยวนฮ่างยังตามหาสิ่งนั้นอยู่”

   “ต่อไปนี้คงมีเรื่องวุ่นวายตามมาอีกไม่น้อย” เตี๋ยของเขาได้แต่เปรยออกมา

   “แล้วหยวนฮ่างจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้นล่ะ?”

   “ผมยังไม่แน่ใจครับอี้ เลยตั้งใจจะให้ม๊าดูก่อน ว่าใช่สิ่งนั้นจริง ๆ ไหม?”

   “อี้ไม่เคยเห็นสิ่งนั้น”

   “ถ้าผมจำไม่ผิดเตี๋ยก็อยู่ใช่ไหมครับ ในตอนนั้น”

   “ใช่ ตอนนั้นมีเตี๋ย หลี่ต๋า ม๊าของเรา และพยัคฆ์”

   “คุณพยัคฆ์ด้วยเหรอครับ”

   “ถ้าอาหยวนฮ่างอยากจะยืนยัน ก็ขอให้คุณเสือเดินทางมาที่นี่ก็ได้นะ ทางนั้นเขาคงไม่ขัดข้องอะไร”

   “ก็ดีเหมือนกันนะอาหงส์ ตอนกลับคุณพยัคฆ์จะได้เดินทางไปกับเจมส์เลย”

   “จริงสินะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหงส์โทรหาหยกสักหน่อย”

   ระหว่างตั๋วอี้กำลังคุยกับโซ้ยกู๋อยู่ ม๊าของเขาก็เดินเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ม๊าทักทายเล็กน้อยก่อนที่พนักงานจะมารับออเดอร์ พวกเขาสั่งอาหารพร้อมกับไวน์อีกหนึ่งขวด เมื่อพนักงานเดินจากไปก็กลับมาคุยกันต่อ

   “มาได้จังหวะพอดีเลยนะอาเถิง”

   “นี่ถ้าฉันไม่รู้จากหยวนฮ่าง ฉันกับอาหงส์คงไม่รู้เรื่องน้ำตากิเลน”

   “ลูกชายฉันมันก็ดื้อแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าดื้อได้ใครมา ที่สำคัญฉันไม่คิดว่าหยวนฮ่างจะตามหาน้ำตากิเลนของตระกูลอาหนีเกอจนเจอ”

   “ใช่ หยวนฮ่างนี่เก่งจริง ๆ” หงส์อดที่จะชมเชยไม่ได้

   “ต้องขอบคุณของมูลของคุณคีที่ได้รวบรวมไว้ต่างหากละครับ”

   “ว่าแต่ลูกนำน้ำตากิเลนติดตัวมาด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

   “ครับ หลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมรบกวนเชิญเตี๋ยกับอี้ไปที่ห้องผมด้วยนะคะ”

   “เอาสิ ฉันก็อยากรู้นักว่าอาหนีเกอมีวิธีเก็บน้ำตากิเลนยังไง”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 1 ---ll--- 10 -12-18 ---ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 10-12-2018 19:38:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 1 ---ll--- 10 -12-18 ---ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-12-2018 07:22:01
มีความลึกลับประมานแนวหนังlost of tomb ใช่ไหมนะ
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 1 ---ll--- 10 -12-18 ---ll แฟนตาซี / สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-12-2018 09:45:34
+1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ ขอบคุณครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 2 ---ll--- 17-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-12-2018 00:11:05
2



   ผมทานอาหารกับจีเจียนเรียบร้อยแล้ว อยากจะกลับไปพักเต็มทน แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ให้นั่งดื่มเป็นเพื่อน พวกเราย้ายกันมานั่งในเลาจ์ของโรงแรมแกรนด์ฝู่ ในเครือของเยี่ยนหวอ ซึ่งดูเหมือนว่าจีเจียนไม่ได้ตั้งใจมานั่งดื่มเพียงอย่างเดียว

   “นายจะเฝ้าอยู่ที่นี่อีกนานไหม?” ผมถามขึ้นในที่สุด

   “ใจเย็นน่า พรุ่งนี้นายก็ไม่ได้มีงานที่ไหนไม่ใช่หรือไง นานๆ เราจะมานั่งดื่มแบบนี้สักที”

   “ถึงจะไม่มีงานอะไร แต่ฉันก็นัดพี่กู่เอาไว้แต่เช้า”

   “เอาน่า ขออีก 10 นาที ถ้าไม่เจอก็กลับ” จีเจียนตอบผมด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ

   คนที่มีชื่อเสียงอย่าง ดร. เหมิ๋นใช่ว่าจะมาเตร็ดเตร่เดินให้เจอกันง่าย ๆ ถึง ดร. เหมิ๋นจะไม่ได้เข้ามาดูแลธุรกิจของครอบครัวก็ตาม แต่ด้วยมันสมองอันชาญฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะก็ว่าได้ ทำให้ ดร.เหมิ๋น จบปริญญาเอกด้วยอายุยังน้อย

   มีหลายมหาวิทยาลัยทั้งในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ทาบทามให้ดอกเตอร์ไปเป็นอาจารย์สอน แต่ดอกเตอร์ก็ปฏิเสธไปเสียหมด ตั้งแต่เรียนจบมาก็ทุ่มเทให้กับงานวิจัย การขุดค้นโบราณสถาน ไปถึงสุสานเก่าแก่ ไม่ว่างานชิ้นใดที่ขึ้นชื่อว่ายาก เมื่อมาถึงมือ ดร. เหมือน กลับง่ายดังพลิกฝ่ามือ

   “จี...เจียน...”

   “เฮ้ย!! เฟ่ยซาน อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว?”

   “ไม่!! ไม่เมา... แค่มึนๆ” ผมเริ่มมึนจริง ๆ เลยตั้งใจจะไปห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นสักหน่อย

   “แล้วไง จะกลับเลยหรือว่าจะรอให้ฉันไปส่ง?”

   “ห้องน้ำ”

   “อ่อ งั้นเดี๋ยวฉันพาไป นายนี่มันคออ่อนจริง ๆ”

   “ไม่ๆ ฉัน...ไปเองได้... ทางไหน...”

   “ไหวแน่นะ?”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ เพื่อไม่ให้กระเทือนหัวผมมากนัก จากนั้นก็ลุกดินไปตามทางที่จีเจียนชี้บอก ผมแค่มึน ไม่ได้เมา ผมมันประเภทเมาแล้วหลับ และผมก็รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี

   ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเชื่องช้า เวลาเดินเร็ว แรงกระแทกของฝีเท้า มันทำให้ผมปวดหัว ผมมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจก สำรวจดูหน้าตาของตัวเอง ก็ยังดูปกติไม่เหมือนคนเมาทั่วไปที่หน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมค่อยยื่นมือไปรองใต้ก๊อกน้ำระบบเซนเซอร์ก็ทำงาน ปล่อยน้ำเย็นๆ ไหลลงฝ่ามือที่ผมรองรับไว้

   ผมจัดการล้างหน้าล้างตา เอาน้ำลูบคอของตัวเองเสร็จ พอให้ได้สดชื่น ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหยดน้ำออกไป สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกนิดหน่อย จึงเดินออกจากห้องน้ำ

   ระหว่างที่ผมดึงประตูห้องน้ำเพื่อจะออกไปหาจีเจียนนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาเช่นกัน แรงผลักประตูบวกกับแรงดึงของผมเอง ส่งผลให้ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แผ่นหลังของผมกระแทกผนังด้านข้างเต็ม ๆ ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับทำให้ผมปวดจี๊ดขึ้นไปที่หัวทันที จนต้องยกมือข้างหนึ่งกุมมันไว้

   “ขอโทษครับ เป็นอะไรรึเปล่า”

   ผมที่หลับตา มือหนึ่งกุมหัวเอาไว้ อีกมีก็โบกไปมา เพื่อจะบอกฝ่ายตรงข้ามว่าผมไม่เป็นอะไร

   “เตี๋ย มีอะไรรึเปล่าครับ”

   “คุณคนนี้เขาดูอาการไม่ค่อยดีน่ะ”

   “อืม หน้าซีดมากเลย คุณเป็นอะไรไหม?”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย” ผมตอบทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่พอได้เห็นคนตรงหน้าเท่านั้น ผมถึงกับตัวแข็งเกร็งไปทันที

   “คุณไม่เป็นไรแน่นะ หน้าคุณดูซีดมาก” ฝู่เถิง หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งจีนอเมริกัน พ่วงท้ายด้วยตำแหน่งผู้บริหารโรงแรมแกรนด์ฝู่ โฮเต็ลแอนด์กาสิโน ในเครือของเยี่ยนหวอ กำลังถามผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย

   “เตี๋ยครับ เดี๋ยวผมเดินออกไปส่งคนคนนี้เอง” นี่ก็อีกคน ดอกเตอร์ เหมิ๋นหยวนฮ่าง คนที่จีเจียนเฝ้ามองหามาเป็นชั่วโมง ๆ มายืนอยู่ตรงหน้าผม ทั้งยังอาสาเดินออกไปส่งผมที่โต๊ะอีกต่างหาก

   “ไม่เป็นไรครับ ผมออกไปเองได้ พวกคุณทำธุระของพวกคุณกันไปเถอะ” ผมรีบปฏิเสธแล้วก้าวยาว ๆ หนีทั้งสองคนออกจากห้องน้ำมาทันที

   ผมเดินกลับมาถึงโต๊ะ โดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองบุคคลทั้งสอง ถึงผมจะเป็นนักข่าว แต่ก็สัมภาษณ์บุคคลทั่วไปเท่านั้น ไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับคนมีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างนี้ ที่สำคัญ เจอพร้อมๆ กันถึงสองคน

   “เฮ้ยๆ เฟ่ยซาน นายเป็นอะไร หนีใครมา คงไม่ได้ไปอ้วกใส่ใครเขาหรอกนะ”

   “บ้า”

   “เอ๊า!! แล้วตกลงนายหนีใครมา?”

   “ฝู่เถิงกับเหมิ๋นหยวนฮ่าง”

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างและฝู่เถิงต่างมองหน้ากัน หลังจากที่คนตัวเล็กวิ่งหนีพวกเขาออกไป ก่อนจะส่ายหน้าขำ ๆ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินกลับมาสมทบกับหลี่ต๋าและหงส์ที่นั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

   จานอาหารต่าง ๆ พนักงานได้เก็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงไวน์ครึ่งขวดเท่านั้นที่ยังคงวางอยู่ในถัง ทั้งหลีต๋าและหงส์ดูเหมือนจะเลิกดื่มกันไปแล้ว

   “ไปกันนานเลย อาเถิงพาลูกฉันไปไถลที่ไหนรึเปล่า?”

   “ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะลิลลี่ เธอก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ฉันเป็นยังไง ยังมองฉันในทางที่ไม่ดีอยู่อีกเหรอ?”

   “ฉันก็แค่ล้อนายเล่นเท่านั้นแหละ ทำน้อยใจไปได้”

   “ไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหมอาเถิง” หงส์ถามเพราะเห็นว่าไปกันนานเหมือนกัน

   “ไม่มีอะไรหรอกครับอี้ เจอแขกเมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร?”

   “แล้วแขกล่ะ?”

   “น่าจะกลับไปแล้วล่ะครับ”

   “อย่างนั้นเราขึ้นไปห้องลูกกันเลย ม๊ากับอี้หงส์ไม่ดื่มแล้วล่ะ”

   “แหมะ จะให้ขึ้นห้องลูก ไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันกับหยวนฮ่างจะดื่มกันต่อไหม พูดแบบนี้บังคับกันชัดๆ”

   “หยวนฮ่างว่ายังไงลูก?”

   “ผมไม่ดื่มแล้วครับ แล้วเตี๋ย”

   “เฮ้อ...นายตอบมาแบบนั้นแล้วจะให้เตี๋ยนั่งดื่มอยู่ได้ยังไง ไปขึ้นข้างบนกัน ยังไงๆ ก็มีเรื่องน่าสนใจรออยู่”

   พวกเขาขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรม ซึ่งปรับปรุงใหม่เป็นเพนเฮ้าส์สำหรับคนในครอบครัว ซึ่งคนที่จะขึ้นมาชั้นนี้ได้ต้องผ่านการสแกนนิ้วมือเท่านั้น เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ได้รับห้องส่วนตัวมาด้วยห้องหนึ่ง

   ภายในห้องของเขาถูกตกแต่งให้คล้าย ๆ กับพิพิธภัณฑ์แสดงวัตถุโบราณ ซึ่งของที่ตั้งโชว์ล้วนแล้วเป็นสิ่งของหายทั้งนั้น แต่หากถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าสิ่งของเหล่านั้น เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาทั้งสิ้น ถึงแม้รายละเอียดของวัตถุนั้นจะเหมือนต้นแบบมากแค่ไหน แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจของเขา สิ่งของทุกชิ้นจึงมีตราประทับซ่อนไว้ในผลงาน

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเชิญทุกคนนั่งที่ห้องรับแขก และไม่วายเอาใจเตี๋ยของเขาโดยการเปิดไวน์ขวดใหม่มาให้ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน หยิบเอากล่องบุหนังใบหนึ่งออกมา

   “ของสิ่งนั้นอยู่ในนี้นะเหรอ”

   “ครับม๊า” เขาพูดพร้อมเปิดฝากล่อง ภายในมีกล่องสำริดขนาดเล็กรูปทรงแปดเหลี่ยม แกะสลักลวดลายกิเลนเหยียบก้อนเมฆซึ่งเป็นลวดลายเดียวกันกับหยกคู่กิเลนไม่มีผิด และเมื่อเปิดกล่องสำริดขึ้น ภายในพบขวดสำริดถูกฝังเอาไว้

   “น้ำตากิเลนอยู่ในนี้ครับ”

   “เป็นไปได้ยังไงที่อาหนีเกอจะเก็บของเหลวอย่างน้ำตากิเลนให้คงสภาพไว้ได้เป็นร้อยๆ ปี” เตี๋ยของเขาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ซึ่งเขาก็แปลกใจเช่นกัน

   “มันไม่ใช่ของเหลวครับ” ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดสำริดออกมาก่อน แล้วหยิบที่คีบปลายแหลมขนาดเล็กขึ้นมาคีบสิ่งที่อยู่ภายในขึ้นมา

   น้ำตากิเลนที่เขาค้นพบ เป็นยาลูกกลอนเม็ดเล็กมีสีฟ้าแวววาวราวกับไข่มุก ดูเผินๆ เหมือนกับลูกปัดทั่วไป แต่ไม่แข็ง มีลักษณะนุ่มหยุ่น

   “อาหนีเกอคงมีวิธีทำให้มันเป็นยาลูกกลอน ถึงได้เตรียมพร้อมเอาไว้ เพราะขณะชำระล้างเมฆาขาว น้ำตาหยกที่ไหลออกมามีจำนวนไม่มาก ทิ้งไว้นานก็ไม่ได้ มันจะระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว" เตี๋ยอธิบาย

   “ในขวดนี้มีน้ำตากิเลนอยู่ 4 เม็ด ผมเอาออกมาวิจัยเพื่อดูส่วนผสมแล้ว 2 ในนี้เหลืออีก 2”

   “ตอนที่อาหยวนฮ่างเอามันออกมาที่แล็บ มันไม่สลาย หรือหายไปใช่ไหม?” อี๊ถามเขาบ้าง

   “ไม่ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น ของสิ่งนี้ก็ทำเช่นเดิมตามประสงค์ของเหล่าเหมิ๋น มอบให้พิพิธภัณฑ์ไป ยกเว้นสิ่งที่อยู่ข้างใน หยวนฮ่างคงเข้าใจนะว่าอี๋หมายถึงอะไร”

   “ครับ ผมเข้าใจ แล้วน้ำตากิเลนสองเม็ดที่เหลือ อี๊จะให้ผมทำยังไงกับมันครับ”

   “ก็เอากลับไปที่แล็บ ศึกษาวิจัยเหมือนเดิม เผื่ออนาคตเราอาจจะสามารถคิดคนตัวยาอะไรที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้”

   “เรื่องน้ำตากิเลนนี้ ลูกจะให้คนอื่นรู้ถึงการมีอยู่ของมันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างในอดีต”

   “ครับม๊า ผมเข้าใจ ผมจะรีบเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งนี้ ผมหมายถึงกล่องสำริดชุดนี้ให้เสร็จ ก่อนจะส่งมอบมันให้กับพิพิธภัณฑ์”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็พักผ่อนไปเถอะ เตี๋ยกับอี้ก็จะกลับไปพักที่ห้องเหมือนกัน”

   “ม๊าไม่นอนค้างด้วยนะหยวนฮ่าง คืนนี้ม๊ามีแขกที่ต้องดูแล ท่าทางจะเล่นหนักไม่เบา”

   “ครับ”

   เขาเดินไปส่งทุกคนที่หน้าห้อง โดยไม่ลืมที่จะยกไวน์ขวดที่เปิดให้เตี๋ยไปดื่มต่อ จากนั้นเขาจึงกลับมานั่งร่างบทความของเขา คนในวงการรู้กันดีว่าน้ำตากิเลนเป็นของเหลว เพราะมีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งเขาก็เขียนบทความของเขาโดยอ้างอิงกับบันทึกเหล่านั้น และสิ่งที่เขาค้นพบจึงเหลือเพียงกล่องและขวดที่เคยบรรจุน้ำตากิเลนไว้

.........................................................................

   เมื่อคืนผมหลับสนิทเพราะเครื่องดื่มที่ดื่มไป ทำให้เช้านี้ตื่นมาอย่างสดใส จึงทำให้ผมมีโอกาสออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะตอนเช้า ก่อนจะออกมายังคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานีตำรวจ เพื่อมารอพี่กู่

   คาเฟ่นี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เป็นนักสืบ ตำรวจ ก็นักข่าวอย่างผม นานๆ จะมีอัยการมานั่งจิบกาแฟสักที่นี่สัก เพราะส่วนใหญ่เขาจะไปนั่งร้านอื่นที่... ดูสมฐานะของเขากว่านี้

   “ไงน้องหนาน มานานแล้วรึยัง โห่... นี่อย่าบอกนะว่าวิ่งมาถึงที่นี่”

   “พี่กู่” ผมยืนขึ้น ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับแขกที่ผมนัดเจอในวันนี้ “ผมนั่งรถมา ไม่ได้วิ่งมาถึงนี่สักหน่อย”

   “เมื่อคืนนี้หลับสนิทละสิ เช้านี้ถึงได้ออกไปวิ่งมา”

   “วิ่งเพลินจนลืมเวลาเลยละ พี่สั่งอะไรดื่มก่อนไหม ผมเลี้ยงเอง”

   “ไม่ต้อง ๆ พี่จัดการเองได้ รอพี่แป๊บหนึ่ง พี่ไปสั่งก่อน” นั่งรอไม่นาน พี่เขาก็กลับมาพร้อมถ้วยกาแฟในมือ

   “พี่กู่ เยียนหวอเคยทำเรื่องผิดกฎหมายไหม”

   “ทำไมเราถึงถามพี่แบบนี้ หรือว่าเราไปได้ยินอะไรมา”

   “เป็นเรื่องจริงเหรอ”

   “ถ้าในนามของเยียนหวอเอง...เหมือนจะไม่เคยนะ แต่มันมีอยู่หลายคดีเหมือนกันที่เยี่ยนหวอเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

   “เรื่องอะไรบ้างพี่”

   “เรื่องเยียนหวอไว้คราวหน้าพี่ดึงข้อมูลเก่ามาให้แล้วกัน วันนี้มาคุยเรื่องคดีที่นายขอมาก่อนดีกว่า”

   “พี่กู่ คดีนั้นเอาไว้ก่อน ผมสนใจคดีที่มือระเบิด สุ่มวางระเบิดบนรถบัสมากกว่า”

   “นายรู้เรื่องคดีนี้ได้ยังไง ไม่ใช่สิ นายรู้ได้ยังไงว่ามือระเบิดมันจงใจสุ่ม เมื่อสองวันก่อนหัวหน้าเพิ่งให้ข่าวไปว่าเป็นอุบัติเหตุ”

   “ผมสงสัยเลยลองสืบดู”

   “แล้วอะไรที่ทำให้นายสงสัย”

   “ข้อแรก รถบัสที่ระเบิดเป็นรถบัสรุ่นใหม่ ถึงจะไม่ใช่รุ่นล่าสุดแต่ก็ไม่น่าจะเก่าถึงขั้นมีน้ำมันรั่วได้ ข้อสองถ้าน้ำมันรั่วจริง ทำไมคนขับรถถึงไม่รู้ตัวแล้วทยอยปล่อยผู้โดยสารลงแล้วขับรถกลับเข้าอู่ ข้อสามทำไมรถถึงไประเบิดใจกลางเมืองและยังเป็นช่วงเวลาที่การจราจรหนาแน่นอีก ข้อสี่เชื้อไฟ อะไรคือเชื้อไฟ ถ้าไฟจะลุกจริง ๆ มันก็น่าจะมีควัน มีประกายไฟ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นมาอย่างนั้น”

   “นายนี่ช่างสังเกตไม่เบาเลยนะ แล้วอะไรทำให้นายคิดว่ามือระเบิดสุ่มเลือกรถบัส”

   “เวลา สถานที่ จำนวนคนที่บาดเจ็บ รถบัสทุกสายจะมีตารางเดินรถที่แน่นอน”

   “อืม ที่นายวิเคราะห์มาถูกทุกอย่าง”

   “พี่พอจะให้ข่าวกับผมได้ไหม?”

   “เรื่องนี้พี่ช่วยเราไม่ได้นะ ถ้าเรื่องหลุดออกไป คนจะยิ่งแตกตื่น ตำรวจอย่างพี่ก็จะทำงานยากขึ้น”

   “แล้วถ้าข้อตกลงเหมือนเดิมละพี่กู่”

   “มันอันตรายเกินไปนะเฟ่ยซาน พี่ยังไม่รู้ว่ามือระเบิดมีจุดประสงค์อะไร แล้วทำไมมันถึงจงใจให้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากขนาดนี้”

   “พี่พูดแบบนี้แสดงว่า พวกตำรวจตัดเรื่องการก่อการร้ายออกไปใช่ไหม?”

   “ใช่ ถ้าเป็นพวกนั้น มันคงไม่ระเบิดรถแค่คันเดียวหรอก”

   “เอาแบบนี้ ผมมีข้อสันนิษฐาน ถ้าพี่ตกลงตามเงื่อนไขเดิม ผมก็จะบอกให้”

   “ขนาดตำรวจที่มีหลักฐานวัตถุและพยาน ยังสรุปรูปคดีไม่ได้เลย”

   “นั่นยิ่งต้องให้ผมช่วย เอาแบบนี้ ถ้าพี่ตกลงผมจะบอกพี่ ให้พี่ลองไปสืบก่อนก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้อะไรขึ้นมาก็ถือว่าข้อตกลงของเราเป็นโมฆะ แล้วผมจะไม่ยุ่งเรื่องคดีนี้อีกเลย จนกว่าพี่จะให้ข่าวผมเอง”

   “ก็ได้ ลองดู”

   “อย่างที่ผมบอกว่าผมวิ่งเพลินไปหน่อย เลยไม่ได้กลับเข้าห้องไปเอาเอกสาร ไว้ผมเอามาให้พี่ที่หลัง”

   “อ่าวไม่แฟร์นี่”

   “พี่ฟังผมก่อนสิ อย่าเพิ่งโวยวาย”

   “งั้นว่ามา”

   “รถบัสรุ่นที่ระเบิด เป็นรถที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเมื่อสามปีก่อน โดยมีฉินหรุยกวงเป็นนายหน้านำเข้ามา จะซ่อมบำรุง หรือแม้กระทั่งอะไหล่รถบัสก็โดนผูกขาดด้วยฉินหรุยกวงเพียงผู้เดียว”

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคดีนี้”

   “ก่อนหน้าที่ฉินหรุยกวงจะนำเข้ารถรุ่นนี้ เขาได้เปิดบริษัทแท็กซี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถของบริษัทฯ ปัญหาเกิดระเบิดขึ้น ในข่าวมีผู้เสียชีวิต 3 คน คือโชเฟอร์แท็กซี่ และสามีภรรยาที่เป็นผู้โดยสาร สาเหตุของการระเบิดมาจากแก๊สรั่ว”

   “นายจะบอกว่า มือระเบิดครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการระเบิดครั้งนั้นเหรอ?”

   “มันก็มีความเป็นไปได้ รายละเอียดของคดีนั้นพี่คงต้องไปค้นเอาเองแล้วละ ผมมีแต่ข่าวเก่าในตอนนั้นที่จะส่งให้ได้ ในข่าวสรุปได้ว่า ฉินหรุยกวงมีความผิดไม่มากนัก เพราะหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้ ความผิดส่วนใหญ่ไปลงกับโชเฟอร์แท็กซี่”

   “อือ พี่จะลองกลับไปตรวจสอบดู ไปก่อนนะ” ผานกู่ลุกแล้วรีบเดินออกจากร้าน

   “เดี๋ยวสิพี่ แล้วเรื่องเยียนหวอละ” ผมวิ่งตามมาจนถึงหน้าร้าน ก่อนทวงถามเรื่องที่สงสัย

   “นัดกันคราวหน้า พี่จะหาข้อมูลมาให้ มีคำถามอะไรพี่จะตอบให้หมด” พี่กู่พูดพร้อมทั้งเอาฝ่ามือหนาขึ้นมาวางบนหัวผม แล้วโยกไปมาจนผมต้องปัดมือเขาออก

   “หึ้ย ผมไม่ใช่เด็กนะ”

   “เอาน่า ก็พี่ผานกู่คนนี้เอ็นดูเรานี่นา พี่ไปทำงานก่อนนะ”

   “อย่างลืมเรื่องข้อตกลงด้วยละ” ผมตะโกนไล่หลังนายตำรวจหนุ่มร่างใหญ่ไป มาวันนี้ผมไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยใช่ไหม

   ผมยังไม่ทันเดินพ้นหน้าคาเฟ่เลย พี่กู่ก็ส่งข้อความมาให้ผมส่งข้อมูลเกี่ยวกับข่าวที่ผมเล่าให้ฟังทางอีเมล ข้อมูลพวกนี้เป็นผลพลอยได้จากที่ไปช่วยงานจีเจียนเมื่อวาน ไหนๆ ต้องช่วยหาข้อมูลแล้ว ก็หาข้อมูลของงานตัวเองไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา

To Be Continue


หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 2 ---ll--- 17-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-12-2018 06:14:44
 เริ่มสับสนกับชื่อแต่ละคนละ555
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 3 ---ll--- 23-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 23-12-2018 22:00:59
3



   โฮวจีเจียนที่กำลังนั่งสนอกสนใจเกี่ยวกับเนื้อหาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ จนไม่ทันสังเกตว่า บ.ก. มายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว มาสะดุ้งอีกครั้งก็ตอนได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานทักทายหยุนฮั่นเตา

   “สวัสดีครับ บ.ก. มาคุยงานกับจีเจียนเหรอครับ ผมมารบกวนเวลารึเปล่า”

   “หึ ยังไม่ทันได้คุย แต่มาเจอเรื่องน่าสนใจเข้าซะก่อน” น้ำเสียง บ.ก. ดูจะหงุดหงิด คงเป็นเพราะภาพบนหน้าจอที่เขาเปิดค้างเอาไว้

   “บ.ก. ผมไม่ได้อู้นะ พอดีผมพยายามหาข้อมูลของ ดร.เหมิ๋นอยู่ไง อยากรู้ว่าเขาชอบฟังเพลงแบบไหน ดูหนังแนวไหน ไปทานข้าวที่ไหน ตอนสัมภาษณ์จะได้มีเรื่องคุยยังไงล่ะครับ”

   “เก็บ   คำแก้ตัวของนายไว้เถอะ เอานี่ บัตรเชิญสำหรับสื่อมวลชน ไปงานนั่นซะแล้วหาโอกาสขอสัมภาษณ์ ฝู่หงส์และ ดร. เหมิ๋นให้ได้” เขารับมาดูวันเวลาในบัตรแล้วได้แต่หน้าซีด พูดอะไรไม่ออก นอกจากรับปากไปก่อน

   “ครับ บ.ก.”

   “เฟ่ยซาน ได้ข้อมูลในคดีฆาตกรรม 3 ศพนั่นรึยัง” บ.ก. หันไปสนใจลูกรักอย่างหนานเฟ่ยซาน

   “จากข้อมูลที่ผมได้มา ตำรวจปักใจเชื่อแน่นอนว่าเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน เป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง นอกว่าวิธีการฆ่าและจัดการกับศพแบบเดียวกันแล้ว ตำรวจยังหาความเชื่อมโยงของเหยื่อแต่ละรายไม่ได้ครับ”

   “ยังไม่มีความคืบหน้าสินะ”

   “ครับ ส่วนตอนนี้ ถ้าผมจะขอทำคดีระเบิดรถบัส ไม่ทราบว่า บ.ก. จะอนุญาตให้ผมตามคดีนี้ได้ไหมครับ?”

   “นายสังเกตเห็นอะไรจากคดีนี้ละสิ”

   “ก็นิดหน่อยครับ”

   “คุยกับผานกู่รึยัง”

   “คุยแล้วครับ แต่เขาไม่ยอมให้ผมเข้าไปช่วยสืบ แต่ บ.ก. ไม่ต้องห่วง ผมยื่นข้อตกลงกับพี่กู่ไปแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา”

   “ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน อย่าได้ทำอะไรเกินตัว”

   “ครับ บ.ก.”

   เขาที่ได้ฟังตาลุงหยุนฮั่นเตาพูดอยู่นานสองนาน กว่าจะเดินออกจากแผนกของเขาไป ทำให้อดบ่นตามหลังอย่างขัดใจไม่ได้

   “เหอะ พอได้คุยกับลูกรักเข้าหน่อย อารมณ์ดีเชียวนะ”

   “จีเจียน นายก็นะ สนใจดูแต่ตัวอย่างหนังจนไม่เห็นว่า บ.ก. เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”

   “น้องหนานน้องรัก อย่าเพิ่งว่าพี่อย่างนี้สิ พี่โฮวคนนี้ต้องรีบทำคะแนน ก็ต้องศึกษาเอาไว้ก่อน จะได้คุยกับน้องชี่เยว่ได้ยังไงละ”

   “นายนี่มันจริง ๆ เลย เฮ้อ... ฉันแค่แวะมาเอาแฟลชไดซ์ที่ลืมไว้กับนายเมื่อวานนะ เอามา”

   “ไม่ให้ จนกว่านายจะรับปากช่วยงานฉันก่อน”

   “เฮ้ย เมื่อวานก็เพิ่งจะช่วยไป วันนี้มีมาอีกแล้วเหรอ?”

   “งานนี้สบาย ฉันแค่ให้นายไปเที่ยวแทนฉัน” เขาส่งบัตรที่ตาแก่หยุนเพิ่งให้กับเขา “ก็มันตรงกับที่ฉันนัดน้องชี่เยว่ไว้นี่ ถือว่าช่วยพี่โฮวคนนี้ให้สมหวังในความรักเถอะนะ”

   “ไม่ได้ไปเที่ยวเปล่า ฉันต้องหาทางให้นายได้สัมภาษณ์ฝู่หงส์ กับ ดร.เหมิ๋น ด้วยใช่ไหม?”

   “นายนี่ฉลาดที่สุด ตกลงตามนี้นะ”

   “เฮ้ย ฉันยังไม่ได้รับปากเลยนะ”

   “งั้นฉันก็ไม่คืนแฟลชไดซ์” เขาพูดพร้อมทั้งชูสิ่งที่เฟ่ยซานอยากได้นักอยากได้หนาคืน “ฉันรู้นะว่าในนี้มีข้อมูลข่าวของคดีเก่าอยู่ ถึงฉันไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องยังไงกับคดีรถบัสระเบิดก็เถอะ”

   “นายนี่มัน ก็ได้ๆ ฉันช่วยนายก็ได้ เอาคืนมาเลย” เฟ่ยซานทำเป็นหน้างอหงิก แม้จะคว้าแฟลชไดซ์จากมือเขาไปไว้ในมือแล้วก็ตาม

   “เฮ้ย หายงอนฉันเถอะ ถ้าฉันได้แต่งเมื่อไร ฉันจะให้นายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

   เขารีบตะโกนไล่หลังหนุ่มน้อยขี้งอน ก่อนจะมานั่งลงอย่างสบายใจ ดูโปรแกรมหนังและเตรียมจองร้านอาหารที่มีบรรยากาศโรแมนติกที่สุดเท่าที่เขาพอจะจ่ายได้ แต่ก็ต้องมาสะดุดกับบัตรตรงหน้า

   “เฮ้ย หนานเฟ่ยซาน....” เขารีบคว้าบัตรนั้นแล้วตรงดิ่งไปยังแผนกของคนที่จะต้องไปงานนี้แทนเขาทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้ามาในงานระดมทุนของบริษัทในเครือเยี่ยนหวอพร้อมกับหลี่ต๋าของเขา ถ้าม๊าไม่ขอให้เขาเป็นคู่ควงให้ในคืนนี้ งานแบบนี้เขาคงไม่เข้าร่วมด้วยแน่นอน

   “ลิลลี่ทำสำเร็จจริง ๆ” เตี๋ยเขามาทักเขากับม๊า ซึ่งดูท่าทางแล้วทั้งเตี๋ยและอี้คงอยากให้เขามางานนี้มากแน่ ๆ

   “หงส์ชวนเท่าไร หยวนฮ่างก็ไม่ยอมมา ไม่รู้จะอายอะไรกันหนักหนา ต้องให้ถึงมือหลี่ต๋า”

   “พอแล้วหงส์ อย่าแซวลูกฉันมากนัก อายเอยที่ไหนกัน ดูนี่สิ มีแต่ยิ่งขรึมกันไปใหญ่”

   “หยวนฮ่าง ในเมื่อเราก็หาน้ำตากิเลนพบแล้ว เรื่องขุดค้นก็เพลา ๆ ลงหน่อย หาเวลามาตามหาอย่างอื่นบ้าง”

   “อาเถิง หยุดพูดต่อเลยนะ ฉันรู้ถึงความหวังดีของนาย แต่หยวนฮ่างไม่ชอบให้พวกเราพูดถึงเรื่องนี้ ก็ปล่อย ๆ เขาไปก่อนเถอะ”

   “นี่ม๊าห้ามเตี๋ย หรือจะตัดพ้อผมกันแน่ เรื่องคู่ครองเมื่อถึงเวลามันก็มาเองแหละครับ ไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อย”

   “เห็นไหม สงสัยฉันจะได้อุ้มหลานตอนแก่” เขาเห็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เขาเองก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย

   “ที่เตี๋ยกับอี้อยากให้ผมมางานนี้เพราะอะไรหรือครับ”

   “ไม่ใช่เตี๋ยหรอกที่อยากให้เรามา อี้ต่างหาก”

   “วันนี้จะมีคนที่อี้นับถือมาร่วมงานด้วย เลยอยากให้หยวนฮ่างมาคำนับพวกเขาหน่อย”

   “แล้วทำไมต้องเป็นในงานนี้ด้วยละครับ ไปพบพวกท่านเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

   “ก็เพราะว่าพวกท่านเสียสละทั้งเวลา ความสุขส่วนตัว ทั้งยังคอยช่วยสนับสนุนอี้ อี้ถึงได้มีเวลามาอยู่กับหลานยังไงล่ะ ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนอย่างเรา ดังนั้นถ้าไม่ใช่ในงานนี้ก็คงจะหาโอกาสยากแล้วละ”

   หลังจากที่เขาพยักหน้ารับแล้ว ต่างคนก็ต่างต้อนรับแขกที่เข้ามาทักทาย ไม่เว้นแม้แต่แม่ของเขา เขาเลยเดินปลีกตัวออกมายังโถงด้านนอกห้องจัดเลี้ยง เขารู้สึกว่าเสียงในห้องมันอื้ออึงจนเขาหงุดหงิด

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินออกมาจนถึงโซนที่แบ่งไว้ให้สำหรับแขกสูบบุหรี่ เขารู้สึกว่ามีคนตามเขามาได้สักพัก ตั้งแต่ออกจากห้องจัดเลี้ยงมา เมื่อหันไปมองเขาก็เห็นหนุ่มร่างเล็ก หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตากลมโตดูละมุนคล้ายผู้หญิงแต่ก็ดูคุ้นตา หนุ่มคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก่อนส่งกล่องบุหรี่มาให้

   “บุหรี่ไหมครับ ดร.เหมิ๋น”

   “ฉันไม่สูบ”

   “อ่าว” ชายหนุ่มชักมือกลับแล้วเก็บกล่องบุหรี่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท แล้วไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

   “เพราะฉัน นายเลยไม่สูบอย่างนั้นเหรอ”

   “เปล่าครับ ผมเองก็ไม่สูบ”

   “ไม่สูบแล้วพกไว้ทำไม หรือพยายามเลิกสูบ”

   “ผมไม่เคยสูบครับ แค่พกไว้แบ่งปันให้คนอื่น”

   “ใจดี แจกโรคร้ายให้คนอื่นสินะ?”

   “ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนรับด้วย ที่อยากรับโรคพวกนี้เข้าไปทรมานร่างกายตัวเอง”

   “นายเองก็ไม่ควรจะไปสนับสนุนพวกเขา”

   “มันจำเป็น เพราะงานของผมต้องพึ่งพาพวกเขา”

   “มันก็แค่ข้ออ้าง”

   “ดร.เหมิ๋น ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไม่ถูกชะตา ไม่ชอบ หรือเกลียดผม แต่กรุณาพูดให้เกียรติผมบ้าง คนอะไร” ชายหนุ่มว่าเขาแล้วก็เดินกลับตรงไปยังห้องจัดเลี้ยง

   เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้สนใจหนุ่มคนนั้น เขานั่งรอให้เวลาช่วงใกล้จะพิธีการจบลง ค่อยเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ซึ่งตอนนี้ไฟภายในห้องถูกปรับหรี่ลง เน้นแสงไฟไปยังหน้าเวที เขาจึงเดินลัดเลาะไปจนถึงด้านข้างเวที เห็นหนุ่มคนที่ยื่นบุหรี่ให้เขากำลังคุยอยู่กับเตี๋ยที่ข้างเวทีฝั่งตรงข้าม เมื่อพิธีการบนเวทีจบลง แสงไฟกลับมาสว่างดังเดิม เขาจึงเดินตรงไปยังครอบครัวของเขา

   “หยวนฮ่าง ลูกไปไหนมา ม๊าก็มองหาซะทั่ว”

   “เตี๋ยรู้จักชายคนนั้นด้วยเหรอครับ” เขาถามพลางมองไปยังเตี๋ยกับอี้ที่กำลังคุยอยู่กับหนุ่มตากลม

   “เห็นเขาว่า เขาเป็นนักข่าวชื่อหนานเฟ่ยซาน จะมาขอเวลา เพื่อนัดสัมภาษณ์อาเถิงกับหงส์”

   “นักข่าวเหรอครับ”

   “มีอะไรรึเปล่าลูก”

   “ไม่มีครับ ว่าแต่ม๊าหาผม มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

   “ม๊าจะตามเรามาคำนับเหล่าเจ็กนะ แต่ตอนนี้ท่านไม่ว่าง คุยอยู่กับแขก เดี๋ยวลูกรอตรงนี้กับม๊าก่อนแล้วกัน”

   เขายืนรออยู่กับแม่ของเขา แต่ก็คอยสังเกตหนานเฟ่ยซานไปด้วย จนเมื่อชายหนุ่มคุยเสร็จเดินออกไป เตี๋ยกับอี้จึงตามมาสมทบ

   “เจ็กลู่ล่ะหลี่ต๋า”

   “โดนแขกฉกตัวไปแล้วนะสิ”

   “อากรก็คงจะตามไปเฝ้า”

   “ใช่” เขาเห็นม๊ากับอี้ยิ้มขำกันเล็กน้อย

   “เจ็กลู่เขาหน้าตาดี ถึงอายุมากแล้วก็ยังดูดี คุณกรเขาเลยต้องไปเฝ้าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แค่อาการหวงคนรักก็เท่านั้น”

   “เจ็กลู่กับอากรเขาเป็นใครกันเหรอครับเตี๋ย”

   “เจ็กลู่เป็น เจ็กแท้ๆ ของอี้เอง”

   “ม๊าเคยเป็นอดีตคู่รักกับคุณกร”

   “หลี่ต๋า อย่าพูดให้หยวนฮ่างตกใจสิ”

   “ถ้าจะให้เล่าแล้วเรื่องมันยาว เอาไว้ลูกมีเวลา ม๊าจะเล่าให้ฟัง”

   “ลิลลี่นี่เก่งนะ ตัดพ้อลูกได้ทุกเรื่อง” ฝู่เถิงแซวอย่างขบขัน

   “หงส์ว่าก็จริงอย่างที่หลี่ต๋าว่านะ พวกเรามีเวลาว่างมากกว่าหลานชายคนนี้ซะอีก”

   “หงส์ อาเถิง นี่ลูกชายฉันนะจ๊ะ ดังนั้นฉันแกล้งได้คนเดียว”

   เขายังไม่ทันได้พูดอะไร อี้หงส์ก็รีบเดินเข้าไปกอดชายหน้าสวยที่ดูภูมิฐานคนหนึ่ง ชายอีกคนก็ดูจะอายุไม่ต่างกันมากเดินตามหลังมา พวกเขาทั้งหมดเข้าไปทักทาย จึงทำให้รู้ว่าสองคนตรงหน้าคือหลิวลู่และวรากร

.........................................................................

   หลังจากที่ได้เกริ่นและขอนัดกับฝู่เถิงและฝู่หงส์เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วก็เตรียมกลับไปพัก ผมซึ่งไม่ค่อยจะชอบงานอะไรประเภทนี้เท่าไร มันอึดอัดกับการใส่สูทผูกหูกระต่าย ใส่หน้ากากเข้าหากัน อยู่แค่ดูรอบ ๆ งานอีกสักพัก เพื่อเก็บข้อมูลให้โฮวจีเจียนเขียนข่าวได้ก็พอ

   ระหว่างที่ผมเดินออกจากห้องจัดงาน ผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากงานไปพร้อมกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็ไม่ควรจะมาอยู่ในงานเลี้ยงลักษณะนี้ ท่าทางที่น่าสงสัย ในหัวผมก็ผุดเรื่องที่คุยกับจีเจียนเมื่อหลายวันก่อน เยียนหวอกับธุรกิจผิดกฎหมาย ผมจึงค่อย ๆ แอบตามไปทันที

   กลุ่มคนที่ผมตามมีกันอยู่ 4-3 คน คนที่เดินนำหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเป็นหัวหน้า พวกนั้นพากันเดินไปยังลานจอดรถใต้ตึก อยู่ๆ พวกลูกน้องก็เดินหลบไปทางอื่นกันหมด ผมเห็นแต่คนที่เป็นหัวหน้ากอดทักทายใครบางคน ด้วยมุมที่ผมหลบซ่อนอยู่ตอนนี้ ทำให้มองไม่เห็นหน้าคนมาใหม่ คุยกันไม่นาน ทั้งสองแยกกัน

   ส่วนผมก็ไม่รู้จะเลือกตามใครดี คนที่ผมตามมาตั้งแต่ตอนแรกเหมือนจะยืนรอกลุ่มคนของเขา ชายอีกคนที่เดินออกมา เขาตรงมาทางที่ผมซ่อนอยู่ ขณะที่คิดอะไรไม่ทัน จึงตัดสินใจเดินออกจากที่ซ่อน ตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่หันมองชายคนนั้น จะเรียกว่าหลับหูหลับตาเดินก็ว่าได้ เพราะไม่ทันมองทำให้ผมชนคนตรงหน้าล้มลง แต่อีกฝ่ายได้แต่เซถอยหลังไปเล็กน้อย

   “นี่นายอีกแล้วเหรอ?”

   “ด็อก... ดร.เหมิ๋น?”

   “ซุ่มซ่ามจริง” เขาพูดอย่างหงุดหงิด ผมที่เริ่มไม่ชอบขี้หน้าเขาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ยิ่งเห็นทักทายกับคนที่น่าสงสัยแล้ว ความคิดของผมที่มีต่อเขากลายเป็นติดลบทันที

   “อย่าเอาแต่โทษคนอื่น ดูตัวเองซะมั่ง หึ้ย...” ผมลุกขึ้นก่อนก้มหยิบของที่ทำตกไว้ตอนชนกับร่างสูง “ไอ้เสาไฟฟ้า” เมื่อเห็นว่าเขาสูงกว่า ตะโกนด่าออกไปแล้วรีบวิ่งตามกลุ่มคนพวกนั้นไปอย่างไม่เหลียวหลัง

   ผมผ่อนฝีเท้าลง ค่อย ๆ ย่องเบา ๆ ไปตามทางที่เห็นคนพวกนั้นมุ่งหน้าไป จนเริ่มได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างระวังตัวพร้อมกับมองหาที่ซ่อนไปด้วย คนพวกนั้นเดินมาชุมนุมกันอยู่ที่ซอกทางเดิน ซึ่งเป็นทางออกของประตูหนีไฟ ผมมองหน้าใครไม่ชัดนัก เพราะมุมที่ผมหลบถึงจะเป็นมุมที่ดีและปลอดภัยแต่ก็ไม่ทำให้มองเห็นได้ว่าพวกนั้นทำอะไร ผมจึงติดสินใจย่องไปที่บันไดลิงที่อยู่อีกมุมหนึ่ง ถึงจะไกลไปหน่อยแต่ถ้าปีนขึ้นไปได้ ผมก็จะมีมุมที่มองได้กว้างขึ้น

   ระหว่างที่กำลังปีนบันได คนอีกกลุ่มมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาสมทบ พวกนั้นคุยอะไรกันสักอย่าง เหมือนจะเป็นการทักทาย ก่อนที่จะแลกกระเป๋ากัน มันทำให้ผมขมวดคิ้ว คิดว่ามาเจออะไรเด็ด ๆ เข้าแล้ว จึงพยายามตั้งใจเฝ้าดูต่อไป และสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในกระเป๋าใบหนึ่งเป็นปืนกลมือ HK 416 PISTOL คาดว่าน่าจะมีมากกว่า 3 กระบอก ส่วนอีกใบเป็นเงินสดวางเรียงแน่นกระเป๋า พวกมันกำลังซื้อขายอาวุธกันอยู่ ผมอยากเห็นหน้า อยากได้รูปถ่ายพวกมัน แต่ด้วยระยะตรงนี้ ผมไม่สามารถถ่ายภาพพวกมันจากกล้องมือถือได้
   
   ผมเห็นพวกมันยังคงคุยกันอยู่ ฝ่ายที่ซื้อปืน HK 416 PISTOL เหมือนกำลังจะเสนออะไรให้กับพ่อค้าอาวุธ ในกระเป๋าใบเล็กมีอะไรผมไม่ได้สนใจ ผมกำลังจะปีนลงไปเพื่อหาจังหวะถ่ายรูปพวกมัน แต่...อะไรสักอย่างในกระเป๋าเสื้อสูทมันดูถ่วงๆ หนักๆ บุหรี่มันควรจะเบากว่านี้ไม่ใช่รึไง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกล่องบุหรี่ก็ไหลร่วงออกจากกระเป๋า จะคว้าไว้ก็คว้าไม่ทัน เสียงวัตถุหล่นลงพื้นทำให้พวกมันรู้ตัว ผมจึงรีบปีนบันไดลงมาและหาทางหนีเอาชีวิตรอด

.........................................................................

   การส่งมอบของวันนี้ อะไรๆ ก็ดูจะไม่เป็นใจสำหรับเขาไปเสียทุกอย่าง เมื่อแลกเปลี่ยนของกันเสร็จ แทนที่จะรีบกลับไปยังงานเลี้ยงเพื่อรอใครอีกคน  กลับต้องมาอยู่ฟังคนตรงหน้าพร่ำพูดเรื่องของยาตัวใหม่อีก

   “เจ้านายเราไม่สนใจจะค้าขายยาหรอกนะ นายเอายาของนายกลับไปได้เลย ฉันเสียเวลามากพอแล้ว” เขาพูดปฏิเสธ แล้วเตรียมจะหมุนตัวกลับ คนตรงหน้าก็รั้งเขาไว้

   “เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ของในนี้ฉันยกให้ฟรีๆ ลองให้เจ้านายพี่ไปปล่อยดูก่อน ติดใจแล้วค่อย...”

   ยังไม่ทันสิ้นคำของลูกค้า พวกเข้าก็ได้ยินเหมือนเสียงของหล่น ลูกน้องเขาพยายามมองหา แต่ก็ยังไม่เห็นตัว

   “ลูกพี่หนีไปก่อน ที่นี่พวกเราจัดการเอง” เขาจึงพยักหน้ารับ ก่อนเดินเลี่ยงเข้าประตูหนีไฟ แต่ไม่ได้ไปไหนไกล ลอบมองอยู่หลังบานประตูเผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้รีบแก้ปัญหา จนมีคนเห็นใครบางคนกำลังปีนลงจากบันไดลิง จึงพากันไปตามจับตัวเอาไว้ได้

   เป็นลูกน้องของเขาเอง ที่ลากชายหนุ่มตากลมคนหนึ่งเข้ามา เหมือนเขาจะเห็นอยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย หนุ่มคนนั้นถูกลากมาหยุดยืนต่อหน้าหวงกังโห ลูกน้องของกังโหเดินมายืนข้างๆ คนที่ดิ้นรน แล้วยื่นกล่องใบเล็กที่ข้างในมีหลอดใสสองหลอดบรรจุยาไว้ให้กังโหดู มันเป็นยาแบบเดียวกันกับที่พวกมันจะให้กับเขา

   “มึงขโมยยากูอย่างนั้นเหรอ มึงเป็นใคร”

   คนตรงหน้าไม่ตอบ กังโหจึงสั่งลูกน้องให้ลงมือซ้อมไป 2-3 ที

   “บอกมา ว่ามึงเป็นใคร แล้วเห็นอะไรมั่ง”

   “ผมแค่ออกมาสูบบุหรี่ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

   “แล้วยากูไปอยู่กับมึงได้ยังไง ค้นตัวมัน” คนของเขาช่วยค้น แต่ไม่เจอบุหรี่หรือแม้แต่ไฟแช็ก

   “มึงไม่บอกกูก็ไม่เป็นไร แต่มึงอย่าหวังว่าจะรอดไปได้” กังโหคำรามลั่นพร้อมกับเปิดกระเป๋าเอายาออกมาจำนวนหนึ่ง “พวกมึงเอาที่เหลือไปให้ลูกพี่ของมึง แล้วไปได้แล้ว ตรงนี้เป็นเรื่องของพวกกู กูจัดการเอง”

   เขาเห็นคนของเขาทยอยกันหลบออกไปจากซอกทางเดินที่เป็นจุดนัดส่งของ ส่วนกังโหก็สั่งให้ลูกน้องซ้อมไอ้หนุ่มจนมันไม่มีแรงขัดขืน

   “มึงนี่ก็อึดใช้ได้ แต่กูคงไม่เสียเวลาเล่นกับมึงแล้ว” เขาเห็นกังโหหยิบหลอดแก้วเทยาออกมารวมกับยาที่เอามาจากกระเป๋า “มึงอยากได้ยากูมากนักใช่ไหม งั้นกูยกให้” ว่าแล้วกังโหก็จับปากของคนที่พยายามดิ้นรนหาทางรอดแล้วก็ยัดยาทั้งหมดทั้งลงไป

To Be Continue


มาขยายความเรื่องชื่อตัวละครสักนิดนะคะ

ฝู่เถิง หรือ บางครั้งเรียกอาเถิง

เหมิ๋นหลีต๋า ฝู่หงส์จะเรียกเธอว่าหลีต๋า แต่ฝู่เถิงจะเรียกว่าลิลลี่ค่ะ

เนื่องจากเรื่องนี้เป็นภาคต่อมาจากเรื่อง หยก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61855.msg3703297#msg3703297) จึงได้มีการนำตัวละครบางตัวมาใช้ แต่เนื้อหาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน สามารถอ่านแยกกันได้จ้า

Amo หยิบตัวละครมาใช้ตามความเคยชินเลยทำให้หลาย ๆ คนที่เพิ่งมาอ่าน อาจจะสับสน ขอโทษด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 3 ---ll--- 23-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 26-12-2018 14:39:18
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 4 ---ll--- 31-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 31-12-2018 10:44:05
4



   เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้ามาในงานเลี้ยงอีกครั้ง คราวนี้มีคนของคุณวรากรนำเขาไปส่วนเตรียมงานด้านหลังเวที บรรยายกาศภายในห้องดูเป็นกันเอง รอบ ๆ ห้องมีแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณวรากรทั้งนั้น

   “ไม่ต้องห่วง คนกันเองทั้งนั้น” เหล่าเจ็กพูดขึ้น เหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

   “คนในห้องนี้ เป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่พาม๊าไปชำระล้างหยกศักดิ์สิทธิ์” เขาโค้งทักทายทุกคน

   “อี้เกริ่นกับเจ็กลู่ไปแล้ว ว่าหยวนฮ่างเก็บเอาไว้ 2 เม็ดเพื่อทำการวิจัย”

   “ครับ อีกสองเม็ดที่เหลือ ผมเอาออกมาจากกล่องสำริด อยู่...” เขาที่ลวงลงไปในกระเป๋ากางเกง ลูบๆ คลำๆ แต่กลับไม่เจอ “เดี๋ยวผมมานะครับ”

   เขารีบวิ่งกลับไปที่ลานจอดรถ คงจะเป็นตอนที่เขาชนกับหนานเฟ่ยซาน อาจจะหล่นอยู่แถวนั้น แต่เมื่อวิ่งมาถึงเขากลับไม่พบกล่องที่ใส่น้ำตากิเลน เห็นก็เพียงแต่กล่องบุหรี่ที่หล่นไถลไปใต้ท้องรถคันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย เขารีบวิ่งตามหาหนานเฟ่ยซานทันที หนุ่มตากลมนั่นต้องหยิบผิดไปแน่ ๆ

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวิ่งไปตามทางที่เขาเห็นหนานเฟ่ยซานมุ่งหน้าไป จนสุดทางก็ไม่พบ ใจเขาก็ร้อนรน เป็นห่วงของสำคัญที่กว่าจะหามาได้ เขาต้องใช้เวลาอยู่หลายปี เขาวิ่งดูทางซ้ายขวา ดูในรถเผื่อว่าเฟ่ยซานยังไม่ได้ไปไหน จนเหมือนเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังมาจากมุมตึก เขาจึงรีบวิ่งไปดู

   ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือคนจำนวนหนึ่งกำลังรุมทำร้ายใครบางคนอยู่ ดูจากการแต่งกายมันช่างคุ้นตาเขา จนต้องรีบวิ่งเข้าไปห้ามปราม ยิ่งเข้าใกล้ก็ทำให้เห็นว่าชายคนหนึ่งกำลังบังคับให้เฟ่ยซานกลืนอะไรลงไป

   “เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ พวกนายทำอะไรกันน่ะ”

   คนกลุ่มดังกล่าวหันมามองเขา คนที่ปิดปากเฟ่ยซานอยู่ส่งสัญญาณบางอย่างให้พวกที่เหลือ ชายร่างใหญ่ 3 คนจึงพุ่งมาหาเขา อีกคนยังช่วยมันจับเฟ่ยซานที่พยายามดิ้นรนไว้

   หมัดตรงจากชายคนหนึ่งพุ่งมาหาเขา ถ้าไม่คิดจะพูดกันดีๆ ก็คงไม่เกรงใจ เขาเอี้ยวตัวหลบเพียงเล็กน้อยก่อนชกเข้าไปที่สีข้าง จากนั้นยังไม่ปล่อยให้คนตรงหน้าได้ตั้งตัว คว้าแขนเอาไว้ได้ก็ดึงเข้าหาตัว แล้วแทงเข่าเข้าที่ท้องอีกครั้ง ทำให้ชายคนนั้นจุกลงไปนอนกองกับพื้น

   ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมา อีกคนที่พุ่งเข้ามาเตะ เขาตั้งกาดกันไว้ได้ทัน และถอยออกมาตั้งหลักเล็กน้อย แต่อีกคนที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังล็อกแขนของเขาไว้ เพื่อให้อีกคนเข้ามาจะชกเขาได้เต็มที่ เขาอาศัยคนด้านหลังเป็นฐาน ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นยันร่างคนที่พุ่งเข้ามาให้กระเด็นกลับไปกระแทกผนังอย่างแรง เขาพยายามโถมตัวลงน้ำหนักทับคนที่พยายามล็อกแขนเขาไว้

   ต่างคนต่างพยายามลุกขึ้นตั้งหลัก ซึ่งโชคดีที่เขาไวกว่าอีกคนที่น่าจะจุกเพราะน้ำหนักที่โถมใส่ เขาจึงเตะเข้าไปที่ข้อพับของชายคนนั้นก่อนเตะเสยปลายค้างอีกที

   ชายสามคนไม่สลบก็ลุกไม่ไหว เขาจึงวิ่งเข้าไปหาร่างที่ชักเกร็งนอนขดเป็นกุ้ง ชายอีกสองคนไม่รู้ว่าหนีหายไปตอนไหน เขาประคองคนตรงหน้าขึ้นมา ข้างตัวมียาเม็ดกลมกลิ้งอยู่ 2-3 เม็ด พร้อมกับกล่องใส่น้ำตากิเลนของเขา

   “เฟ่ยซาน ๆ” เขาพยายามตบหน้าเรียกสติคนที่เขาประคองอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเขาจึงรีบโทรไปหาแม่ของเขาทันที

   เหมิ๋นหยวยฮ่างเก็บยาที่ตกอยู่ข้างตัวหนานเฟ่ยซานใส่กล่อง แล้วอุ้มร่างที่ไปไม่ได้สติไปที่รถของเขา ยังไม่ทันจะถึงรถ คนของเตี๋ยก็มาถึง

   “ดอกเตอร์”

   “พวกมันอยู่ที่หน้าทางออก บันไดหนีไฟ”

   “ครับ พวกผมจะเฝ้ามันไว้จนกว่าตำรวจจะมา”

   “ดอกเตอร์ครับ” ชายอีกคนขับรถมาจอดตรงหน้าเขา ก่อนลงมาเปิดประตูด้านหลังให้

   เขาวางคนที่เริ่มชักหนักขึ้นไว้บนเบาะรถ ก่อนตามขึ้นไป จัดการคลายหูกระต่ายของคนตรงหน้าออก รถที่ออกตัวมาแล้วรีบตรงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เขาค้นตามกระเป๋าของเฟ่ยซาน เจอกระเป๋าเงินกับกุญแจรถ ส่วนโทรศัพท์เขาคิดว่าคงถูกคนพวกนั้นเอาไป

.........................................................................

   หลังจากที่ได้ข้อมูลจากหนานเฟ่ยซานแล้ว ผานกู่ก็ค้นแฟ้มคดีเก่ามาอ่านก็เป็นจริงอย่างที่เฟ่ยสานสันนิษฐาน บริษัทรถแท็กซี่ของฉินหรุยกวงน่าสงสัย หลังจากเกิดอุบัติเหตุรถแท็กซี่ระเบิดเพียงแค่ 3 เดือน หรุยกวงก็ขายบริษัทฯ ให้กับคนอื่น ต่อมาอีกปีก็เปิดบริษัทนำเข้ารถยนต์และอะไหล่ ซึ่งยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน

   รายละเอียดของคดีสรุปว่า ชายแซ่เกาซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ไม่ได้นำรถเข้าไปตรวจสภาพตัวถังแก๊สตามกำหนด จึงเป็นสาเหตุให้รถระเบิดระหว่างที่มีผู้โดยสาร ผู้เสียหายคือสองสามีภรรยาแซ่โย่ว

   “รถที่เป็นของยริษัทฯ เองมันจะตรวจสภาพตอนไหนก็ไม่ใช่ปัญหา มาอ้างว่าโชเฟอร์ไม่เอาไปตรวจตามเวลาได้ยังไง ถ้ายังไม่ตรวจก็ไม่ควรให้เอาออกมาขับสิถึงจะถูก”

   เขาพึมพำอย่างใช้ความคิด ก่อนจะกดโทรศัพท์ออกไปหาหนานเฟ่ยซาน แต่กลับติดต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจไปหาที่สำนักงาน

   “หยางผิง เตรียมตัว”

   “ไปไหนละพี่กู่”

   “ฉันจะไปสืบอะไรนิดหน่อย”

   “หัวหน้าให้ผมสืบคดีทำร้ายร่างกายเมื่อคืนนี้ ผมคงไปกับพี่ไม่ได้ นี่ต้องไปหาผู้เสียหายที่โรงพยาบาล”

   “เออ ถ้างั้นนายก็ไปเถอะ เดี๋ยวฉันแวะไปหาเฟ่ยซานก่อน”

   “โชคดีพี่”

   เขาออกจากสถานีตำรวจเพื่อไปยังไปที่สำนักงานที่เฟ่ยซานทำงานอยู่ เมื่อไปถึง เขาก็ตรงไปยังแผนกข่าวทั่วไปแต่กลับไม่เจอคนที่มาหา โทรไปอีกครั้งก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาจึงไปหาคนที่เขาคิดว่าจะพาไปพบเฟ่ยซานได้

   ผานกู่เดินเข้ามาก็เห็นโฮ่วจีเจียนชะเง้อมองมาเหมือนกัน ทั้งที่เข้าเดินเข้ามาในแผนกแล้ว จีเจียนก็ยังคงไม่ละสายตาไปจากประตูทางเข้า

   “นายรอใครอยู่รึเปล่า เห็นมองหาตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาแล้ว”

   “ก็เฟ่ยซานนะสิ ป่านนี้แล้วยังไม่มาอีก”

   “นายก็ลงไปตามที่ห้องเก็บเอกสารสิ พาฉันไปหน่อย”

   “ไม่มี”

   “น่า นำทางฉันไปหน่อยก็ได้ เห็นว่ามันไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ใช่ไหม?”

   “ผมลงไปดูแล้ว เฟ่ยซานไม่ได้อยู่ที่นั่น โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

   “นายว่ายังไงนะ ติดต่อเฟ่ยซานไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน”

   “ใช่ ผมโทรไปที่คอนโดก็ไม่มีคนรับ ผมยิ่งกลัวๆ อยู่”

   “ใจเย็นๆ น่าจีเจียน เฟ่ยซานไม่เป็นอะไรหรอก”

   “ผมรู้ ว่าคนอย่างเฟ่ยซานเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ผมนี่สิจะแย่ ถ้า บ.ก. มาถามถึงงานเมื่อคืน ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี”

   “หึ นายให้เฟ่ยซานทำงานแทนอีกแล้วสิ”

   “ก็แค่งานเลี้ยงระดมทุนของเยียนหวอกรุ๊ปเอง”

   “เอาละ ๆ เดี๋ยวฉันไปดูที่คอนโดให้ เฟ่ยซานอาจจะเมาก็ได้”

   ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากแผนกอย่างระอาแทนหนานเฟ่ยซานที่มีเพื่อนร่วมงานเห็นแก่ตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะคบกันไปทำไม ระหว่างที่รอลิฟต์อยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

   “หยางผิง ว่าไง”

   'พี่กู่ รีบมาที่โรงพยายาลเลย มันไม่ใช่คดีทำร้ายร่างกายธรรมดาแล้วละ พี่ต้องช่วยผมนะ'

   “หัวหน้าให้นายรับผิดชอบคดี นายก็จัดการไปสิ ฉันจะรีบไปหาเฟ่ยซาน”

   'ก็ถึงให้รีบมาที่โรงพยาบาลยังไงละ เฟ่ยซานเป็นผู้เสียหาย ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย'

   “นายว่ายังไงนะ เฟ่ยซานเป็นผู้เสียหาย แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า” เขาถามอย่างร้อนรน

   'พวกมันยัดยาให้เฟ่ยซานกิน ดีที่ถึงมือหมอได้ทัน ผมว่าเฟ่ยซานต้องไปเห็นอะไรเข้าแน่ ๆ พวกมันถึงได้จะฆ่าปิดปากเอา'

   “เออๆ ฉันจะรีบไป ฝากดูแลเฟ่ยซานด้วย”

.........................................................................

   โฮ่วจีเจียนตามผานกู่มาที่โรงพยาบาล เมื่อรู้ว่าหนานเฟ่ยซานถูกทำร้าย ซึ่งเป็นจังหวะที่หยุนฮั่นเตาเขามาถามเขาเรื่องนัดสัมภาษณ์ฝู่หงส์และ ดร.เหมิ๋น พอดี จึงให้เขารอดการถูกตำหนิมาได้อย่างหวุดหวิด

   เขาเดินตามผานกู่เข้ามาในห้องพักห้องหนึ่ง มองไปรอบห้องที่ดูเป็นส่วนตัวมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน

   “พี่กู่ ใครเป็นเจ้าของไข้”

   ผานกู่ไม่ได้ตอบอะไรเขา ได้แต่เดินไปที่ข้างเตียงคนไข้ ยืนมองหนานเฟ่ยซานอยู่อย่างนั้นจนเหยินหยางผิงเข้ามาในห้อง แล้วเดินมายืนอยู่ข้างๆ ผานกู่

   “พี่ไม่ต้องห่วง หมอบอกว่าเฟ่ยซานพ้นขีดอันตรายแล้ว”

   “เรื่องราวมันเป็นมายังไง”

   “เมื่อคืนมีคนโทรแจ้งว่ามีการรุมทำร้ายที่ลานจอดรถใต้โรงแรม Grand Lapa Macau พวกที่ลงมือทำร้ายเฟ่ยซานถูกคนของฝู่เถิงจับตัวไว้แล้ว ส่วนเฟ่ยซาน ดร. เหมิ๋น เป็นคนพามาส่งที่โรงพยาบาล”

   “ถ้าอย่างนั้นเจ้าของไข้ก็เป็นฝู่เถิงใช่ไหม” โฮวจีเจียนรีบแทรกถามขื้นมา ระหว่างนายตำรวจหนุ่มทั้งสอง

   “ไม่ใช่ ดร.เหมิ๋นเป็นเจ้าของไข้” เหยินหยางผิงหันมาตอบด้วยสีหน้าตำหนิ

   “ดร. เหมิ๋นอย่างนั้นเหรอ อย่างน้อยก็ยังมีโชคอยู่บ้าง” เขาคิดว่าถ้าอยู่เฝ้าเฟ่ยซานที่นี่ก็น่าจะมีโอกาสได้พบ ดร.เหมิ๋น หรือไม่ก็ฝู่เถิง

   “เฟ่ยซานไปเจออะไรมา” ผานกู่ถามขณะที่สายตายังคงมองคนไม่ได้สติบนเตียง

   “ตอนนี้ผมได้หลักฐานจากหมอมา นี่ไง” หยางผิงยื่นซองอะไรบางอย่างให้ผานกู่ “ยาที่พวกมันให้เฟ่ยซานกิน ดร.เหมิ๋นเก็บได้จากที่เกิดเหตุ เลยเอามาให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจสอบดูเพื่อหาทางรักษา”

   “พวกค้ายา”

   “ครับ ยานี่เป็นยาเสพติดประเภทยากล่อมประสาท”

   “แล้วพวกที่จับมาเมื่อคืนนี้ละ”

   “พวกมันยังไม่ยอมพูดอะไร ผมกำลังจะเอายานี่กลับไปที่สถานี รายงานหัวหน้าแล้วจะเริ่มสอบสวนพวกมันอีกที”

   “นายไปเถอะ เดี๋ยวเฟ่ยซาน ฉันเฝ้าให้เอง” โฮวจีเจียนรีบอาสาทันทีที่มีโอกาส

   “ฉันไปด้วย คดีนี้ฉันช่วยนายเอง” ผานกู่บอกกับเหยินหยางผิงก่อนพากันเดินออกจากห้องไป

   ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้อง ทั้งนั่งรอ นอนรอ เล่นเกม คุยกับน้องชี่เยว่คนสวยก็แล้ว ยังไม่เห็นว่าดร. เหมิ๋นหรือฝู่เถิงจะมาสักที รอจนกระทั่งบ่ายแก่ๆ เขาทนไม่ไหว จึงคิดจะออกไปหาอะไรทาน

   โฮ่วจีเจียนเดินมาจนถึงหน้าลิฟต์ กำลังจะเข้าไป ลิฟต์อีกตัวก็เปิดออก ขบวนคนที่เดินออกมาทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมอง เพราะในคนเหล่านั้น มีฝู่หงส์และ ดร.เหมิ๋น รวมอยู่ด้วย เขาจึงรีบวิ่งตามกลับไปทันที

   เขากำลังจะตามเข้าไปในห้อง แต่ถูกบอร์ดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าห้องกันเอาไว้ไม่ให้เข้า

   “ฉันเป็นเพื่อนของหนานเฟ่ยซาน”

   “ปล่อยให้เขาเข้ามา” เสียงฝู่หงส์ดังมาจากข้างในห้อง เขาจึงเดินเข้าไป

   “คุณเป็นเพื่อนของหนานเฟ่ยซานอย่างนั้นเหรอ” ฝู่หงส์ที่กำลังพูดกับเขาอยู่ ทำให้อดที่จะปลาบปลื้มไม่ได้

   “ผม โฮ่วจีเจียน นักข่าวฝ่ายธุรกิจและสังคมครับ” เขาแนะนำตัวพร้อมยื่นนามบัตรให้

   “อ่อ คุณนั่นเองที่หนานเฟ่ยซานบอกว่าจะขอสัมภาษณ์ฉันกับอาเถิง”

   “ครับ เอ่อ ดร. เหมิ๋นละครับ ไม่ทราบว่าเฟ่ยซานได้บอกคุยเกี่ยวกับนัดสัมภาษณ์ไหมครับ”

   “ไม่”

   “เออ ถ้าอย่างนั้นผมจะขอสัมภาษณ์คุณเกี่ยวกับสิ่งที่ขุดพบครั้งนี้ได้ไหมครับ”

   “ไม่”

   “คุณโฮ่วคะ ดิฉันว่าเรื่องนัดสัมภาษณ์เอาไว้ก่อนดีไหมคะ ตอนนี้ดิฉันว่าคุณควรจะสนใจเรื่องที่เพื่อนร่วมงานของคุณยังไม่ฟื้นจะดีกว่า”

   “อ่อ เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

   “อี้ครับ ผมขอตัวไปคุยกับหมอเจ้าของไข้หน่อยนะครับ”

   “ไหน ๆ คุณหนานก็ยังไม่ฟื้น อี้ว่าอี้กลับเลยดีกว่า”

   สองคนดังเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเขาเลย อย่างน้อยเขาก็มีคำตอบให้ บ.ก. แล้วว่าสามารถนัดสัมภาษณ์ฝู่หงส์และฝู่เถิงได้ เพียงแต่ต้องรอให้เฟ่ยซานฟื้นขึ้นมาก่อน ส่วน ดร.เหมิ๋น ช่างเป็นคนที่เงียบขรึมจนติดจะเย็นชา แล้วแบบนี้เขาจะมีวิธีไหนที่พอจะขอนัดสัมภาษณ์ได้บ้าง คิดแล้วก็เกิดหิวขึ้นมา จึงเดินออกไปเพื่อหาอะไรทานก่อนค่อยกลับมาตามตื๊อ ดร. เหมิ๋น ทีหลัง

   แต่เขาก็คิดผิด เพราะเมื่อกลับขึ้นมา หนานเฟ่ยซานก็ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วย VIP แล้วไม่ให้ใครเยี่ยมจนกว่าเฟ่ยซานจะฟื้น คนที่เข้าได้นอกจากหมอ พยาบาลแล้ว ก็จะมีเพียงคนของเยี่ยนหวอเท่านั้น

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้าไปพบทุกคนที่รอฟังข่าวอยู่ที่บ้านตระกูลฝู่ เขาเองก็เครียดไม่ใช่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ตอนนี้เหลือน้ำตากิเลนเพียง 2 เม็ด ซึ่งอยู่แล็บในเกาลูนเท่านั้น

   “หยวนฮ่าง เป็นยังไงบ้างลูก” แม่ของเขาถามทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก

   “ยังไม่ฟื้นครับ”

   “ไอ้ยากล่อมประสาทนั่น ก็บังเอิญไปเหมือนกับน้ำตากิเลน” เตี๋ยของเขาบ่นอย่างขัดใจ

   “อันที่จริงก็ไม่เหมือนกันซะที่เดียวครับ แต่ตรงนั้นมันมืด เลยทำให้พวกค้ายามันเข้าใจผิด มันคงคิดว่าหนานเฟ่ยซานไปขโมยยาของมันมา”

   “พวกเรารู้กันว่า น้ำตาหยกมีฤทธิ์ในการรักษา ถ้ามันเป็นของเหลว แต่ถ้ายาลูกกลอน ไม่รู้ว่าอาหนีเกอใส่ส่วนผสมอะไรไปบ้าง แล้วมีผลข้างเคียงยังไง”

   “ม๊าไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ เท่าที่ผมดู มันก็น่าจะยังมีผลในการรักษาอยู่ เพราะตอนที่อยู่บนรถผมสังเกตว่าหนานเฟ่ยซานจะลดอาการชักเกร็งลงไปบ้าง น่าจะเป็นผลมาจากน้ำตากิเลนที่ช่วยต้านฤทธิ์ของยากล่อมประสาท”

   “ในบันทึกที่ผ่านมา การรักษาด้วยน้ำตาหยกที่ม๊าอ่านเจอ จะเป็นการทาบนแผลสด ไม่เคยมีใครกินน้ำตากิเลนเลยนะ ม๊ากลัวว่ามันจะไม่ปลอดภัยนะสิ”

   “เท่าที่คุยกับหมอ เขาว่าหนานเฟ่ยซานพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่คนไข้ต้องการการพักฟื้น”

   “ถ้าจริงอย่างที่หยวนฮ่างว่า น้ำตากินเลนที่หนานเฟ่ยซานกินเข้าไป ช่วยระงับฤทธิ์ยากล่อมประสาท ก็อาจจะเป็นไปได้ที่มันจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” เตี๋ยออกความเห็น ซึ่งเขาเองก็คิดไม่ต่างกัน

   “แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท หยวนฮ่างรีบให้ที่แล็บทดลองโดยด่วน อี๊ไม่อยากให้คนอื่นต้องได้รับอันตรายเพราะพวกเรา”

   “ครับอี้ ผมจะรีบให้ทางแล็บจัดการทดลองโดยด่วน”

   “สำหรับเรื่องที่จะให้สัมภาษณ์กับโฮ่วจีเจียน อี๊จะเปลี่ยนเป็นขอให้หนานเฟ่ยซานมาเป็นคนสัมภาษณ์อี๊กับเตี๋ยเอง เราจะได้ค่อยจับตาดูว่าเขาได้รับผลข้างเคียงรึเปล่า”

   “อันที่จริง ผมอยากให้เขาไปทดสอบที่แล็บของเรา”

   “ถ้าอย่างนั้นหลานก็ให้โอกาสหนานเฟ่ยซานได้สัมภาษณ์สิ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไปที่เกาลูน”

   “เขาอยากสัมภาษณ์ลูกอย่างนั้นเหรอ วันนั้นไม่เห็นเกริ่นอะไรเลยนี่”

   “ไม่ใช่หนานเฟ่ยซานครับ แต่เป็นโฮ่วจีเจียน เขาเพิ่งจะมาขอนัดสัมภาษณ์ผมวันนี้ เรื่องที่เราค้นพบกล่องสำริด”

   “แล้วเฟ่ยซานเขาอยู่สายข่าวธุรกิจด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “เหมือนจะไม่ใช่ เดี๋ยวขอหงส์ดูก่อนนะ เมื่อวานเฟ่ยซานให้นามบัตรไว้เหมือนกัน นี่ไง”

   “ข่าวทั่วไป สายอาชญากรรม” แม่ของเขารับมันไปอ่าน

   “เหอะ มิน่าล่ะ ถึงได้รนหาที”

   “หยวนฮ่าง”

   “ขอโทษครับม๊า”

   “แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ม๊าจะกลับไปที่โรงแรมแล้วนะ ลูกล่ะหยวนฮ่าง”

   “ผมว่าจะลองดูที่พักใกล้ ๆ โรงพยาบาล แค่อยู่ชั่วคราวก่อน ไปพักที่โรงแรม คนค่อนข้างพลุกพล่าน ผมไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

   “จริงสิ เยียนหวอมีบ้านพักหลังหนึ่งที่ ชุง ฮอม กอก ยังไงเดี๋ยวอี๊ให้อาไฉ๋ส่งคนไปทำความสะอาดรอไว้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้หยวนฮ่างก้ไปพักได้เลย”

   “ขอบคุณครับอี้”

   เมื่อทุกคนแยกย้าย เขาเองก็เข้าห้องไปพักบ้าง ผ่านมาหนึ่งวันอาการของหนานเฟ่ยซานดีขึ้นจริงตามที่หมอบอก แต่เขากลับสงสัยรอยฟกช้ำตามร่างกาย ที่ยังดูสดใหม่เหมือนตอนที่เขาเข้าไปช่วยไม่มีผิด จะว่าน้ำตากิเลนกำลังช่วยรักษาอวัยวะภายในร่างกายอยู่จึงไใ่เห็นผลที่ภายนอกก็ไม่น่าจะใช่ ในเมื่อหมอล้างพิษจากร่างกายออกไปแล้ว มันจะเป็นได้ไหมว่าน้ำตากินเลนเองก็ถูกล้างไปในตอนนั้นด้วย

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 4 ---ll--- 31-12-18 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-01-2019 09:28:09
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 5 ---ll--- 07-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 07-01-2019 11:05:45
5

   สามวันมาแล้วที่หนานเฟ่ยซานยังไม่ฟื้น ผาแล็บกู่เองก็ถูกกัน ไม่ให้เข้าไปเยี่ยมโดยคนของเยียนหวอ ทางด้าน ไอ้สามคนที่อยู่ในห้องขังก็ไม่ยอมพูดอะไร ปิดปากเงียบอย่างเดียว

   “ดอกเตอร์”

   เขาที่กำลังคิดเรื่องคดีที่ติดค้างอยู่แถวโถงทางเดิน ได้ยินเสียงบอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทักทาย ดร.เหมิ๋น เขาจึงรีบหันกลับไปเพื่อขอคุยสักหน่อย อย่างน้อยคนคนนี้ก็อยู่ในเหตุการณ์

   “ดร. เหมิ๋น ผมขอเวลาสักครู่” เขารั้งตัวคนที่กำลังจะก้าวเข้าห้อง

   “คุณ?”

   “ผมผ่านกู่ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคดีนี้”

   “คนของผมให้การไปหมดแล้ว”

   “ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักสองสามข้อ”

   “เชิญ”

   “ผมจะขอเข้าไปเยี่ยมเฟ่ยซานหน่อยได้ไหม?”

   “เขายังไม่ฟื้น”

   “ผมเป็นห่วง อันที่จริงเขาควรจะฟื้นได้แล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญ”

   ผานกู่เดินตาม ดร. เหมิ๋นเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง มองใบหน้าที่ยังมีรอยฟกช้ำอยู่ ใบหน้าที่ควรจะเกลี้ยงเกลากลับมีรอยม่วงคล้ำ ริมฝีปากที่เคยแดงฉ่ำตอนนี้กลับซีดเซียวแตกระแหง

   “คุณมีอะไรจะถามผม เชิญได้เลย” ประโยคที่พูดทำให้เขาหันไปหาต้นเสียง

   “ที่คุณให้คนมาเฝ้าเฟ่ยซานเพราะกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าปิดปากใช่ไหม?”

   “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว”

   “ความเป็นส่วนตัว?”

   “...”

   “ทำไมคุณถึงรับเป็นเจ้าของไข้”

   “หนานเฟ่ยซานไม่มีญาติที่ไหน”

   “เหตุผลเพียงแค่นั้นเองเหรอ”

   “ใช่”

   “วันนั้นเป็นคุณใช่ไหม ที่เข้าไปช่วยเฟ่ยซาน สามคนที่ถูกคุณทำร้ายสารภาพกับผมหมดแล้ว”

   “ใช่”

   “ใครเป็นคนกรอกยาเฟ่ยซาน”

   “มันหนีไปได้”

   “พวกมันมีกี่คน”

   “5 คน”

   “คุณเห็นหน้ามันรึเปล่า”

   “มันมืด แล้วก็ผมกำลังยุ่งกับสามคนที่คุณว่า เลยไม่ทันสังเกต”

   เขาไม่รู้จะถามอะไรคนตรงหน้าอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ดร.เหมิ๋นที่ดูจะเป็นพวกนักวิชาการ ใส่แว่นกรอบทองเห่ย ๆ จะสามารถจัดการพวกนักเลงมืออาชีพได้อย่างราบคาบ แต่คำตอบแต่ละคำถาม ช่างห้วนสั้น จนอดหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรเย็นชาราวกับน้ำแข็งขั้วโลก

   “ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว เชิญคุณออกไปได้”

   “ถ้าผมจะขออยู่เฝ้าเฟ่ยซานอีกสักพัก คุณคงจะไม่ว่าอะไร” ดร. เหมิ๋นมองเขาอยู่สักครู่ก็เดินออกจากห้องไป

   ผานกู่หันกลับไปมองคนที่นอนหลับไปมองได้สติ ตั้งแต่ร่วมงานกันมา ไม่ว่าคดีที่อันตรายแค่ไหน เขามักจะคอยระวังหลัง ไม่ให้เฟ่ยซานได้รับอันตราย คิดแล้วก็อดโทษตัวเองไม่ได้ เขาควรจะอยู่ข้างๆ ในตอนนั้น เขาควรจะปกป้องเฟ่ยซาน เขาเอื้อมมือไปลูบรอยช้ำบนใบหน้าคนเจ็บอย่างแผ่วเบา ก่อนก้มลงกระซิบที่ข้างหู

   “ฟื้นขึ้นมาไวไวนะน้องหนาน พี่กู่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”

.........................................................................

   ผมต้องขมวดคิ้วเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ หวังว่ามันจะบรรเทาอาการเจ็บปวดตามร่างกายได้ แต่ยิ่งผมเริ่มได้สติมากเท่าไร กลับยิ่งทำให้ผมรับรู้ความเจ็บปวดได้มากขึ้นเท่านั้น จนต้องขยับตัวและลืมตาขึ้นหวังว่าจะพบใครที่พอขอความช่วยเหลือได้

   ภาพตรงหน้าผมมันค่อนข้างเบลอ ผมจึงพยายามยกแขนขึ้นมาหวังจะขยี้ตาเพื่อช่วยปรับโฟกัส แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นอาการปวดแปล๊บที่แขนข้างนั้น ยอมแพ้ก็ได้ ผมคิดแบบนั้นเพราะร่างกายที่ดูจะไม่อำนวย กับอาการเจ็บปวดตามเนื้อตัว ทำให้ผมหลับตาลงอย่างเดิม เดี๋ยวคงมีหมอหรือพยาบาลเข้ามา ถึงตอนนั้นผมค่อยขอยาแก้ปวดก็แล้วกัน

   ใช่แล้ว ผมรู้ว่าผมอยู่ที่โรงพยาบาล มันยืนยันได้จากอาการเจ็บที่แขนตอนผมขยับ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นสายนำเกลือ ที่สำคัญผมยังไม่ตายและที่นี่เป็นสถานที่เดียวที่จะช่วยชีวิตผมได้ ระหว่างที่ผมนอนรอความช่วยเหลือผมก็นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ว่าผมไปพบเห็นอะไร ใครมาช่วยผม ใบหน้าของคนที่ยัดยาบ้านั่นเข้าปากผม จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา ผมจึงพยายามลืมตาขึ้นมอง

   เงาเลือนรางที่เห็น ดูยังไงก็ไม่ใช่หมอหรือพยาบาล ร่างสูงใหญ่ ในชุดลำลองกับแจ็กเกต หรือพวกนั้นจะมาฆ่าผมปิดปาก ไวเท่าความคิดผมจึงพยายามขยับลุกหนี แต่ร่างกายผมกลับไม่มีแรง ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บปวดอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาเนื่องจากความกลัวไม่ได้ช่วยให้ผมมีแรงฮึดขึ้นมาเลย

   “ไปตามหมอ” ชายคนนั้นพูดห้วนสั้น แต่เสียงฟังดูคุ้น ๆ

   เขาเข้ามาประคองผมก่อนปรับเตียงให้เอนขึ้น ผมที่รู้ตัวว่าปลอดภัยแล้วจึงขยับตามแรงประคอง กะพริบตาถี่ๆ สักพักก็มองเห็นคนตรงหน้า ดร.เหมิ๋น เป็นเขาอีกแล้ว ตลอดเวลาที่รอคุณหมอ ผมกับเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เขาเองก็ไม่ได้ซักถามเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ถามอาการ เอาแต่ยืนนิ่ง ๆ มองผม

   คุณหมอเข้ามาตรวจร่างกายของผม จับนั่น ตรวจนี่ ร่างกายที่ระบบอยู่แล้ว มันคงจะยิ่งอาการหนักเพราะน้ำมือหมอเป็นแน่

   “คุณหนาน ร่างกายคุณฟื้นตัวได้ช้ามาก ยังดีที่แผลเริ่มสมานตัวบ้างแล้ว” ก็เพิ่งจะผ่านการถูกซ้อมมาเมื่อคืน จะให้หายภายในเวลาเพียงแค่วันเดียวได้ยังไง ผมก็ได้แต่คิดในใจ

   “ผมจะ...” พูดค้างได้แค่นั้น เสียงผมหายไปไหน “อื้ม อื้ม” พยายามเค้นเสียงตัวเองออกมา พยาบาลก็ยกแก้วน้ำแล้วจ่อหลอดมาที่ปากผม

   “คุณคงคอแห้ง ควรจะดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เดี๋ยวอาการคงดีขึ้น” พยาบาลที่ยกน้ำให้ผมดื่ม เธอแนะนำผมด้วยใบหน้าเป็นมิตร

   “ผม ขอยาแก้ปวด” หลังจากดื่มน้ำไปเล็กน้อย เสียงก็เริ่มกลับมา แต่ก็ทั้งเบาและแหบ

   “คุณยังปวดแผลอยู่?”

   “อืม”

   ผมเกรงว่าเสียงอันน้อยนิด จะส่งไปไม่ถึงคุณหมอ ผมจึงแสดงออกด้วยการพยักหน้าช่วยอีกแรง คุณหมอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนให้พยาบาลฉีดยาแก้ปวดเข้ากับสายน้ำเกลือ จากนั้นคุณหมอก็ไปคุยกับ ดร. เหมิ๋น

   “นี่อาจจะเป็นผลข้างเคียงจากยาที่ผู้ป่วยได้รับ”

   “แล้วผลตรวจอื่นละครับ”

   “โดยรวมก็ปกติดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดใด นอกจากเรื่องนี้”

   “หากเป็นแบบนี้ หนานเฟ่ยซานคงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน”

   “ตอนนี้คนไข้ฟื้นแล้ว สามารถทานอาหารเองได้ น่าจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น”

   “ขอบคุณครับหมอ”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อน”

   ผมได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคุยกัน มันคงเป็นเรื่องอาการของผม ยาที่พวกนั้นกรอกให้ผมคงจะเป็นยาตัวใหม่ของพวกค้ายา หมอถึงได้ดูเป็นกังวลขนาดนี้ ดร.เหมิ๋นเดินออกไปส่งคุณหมอและพยาบาลที่ด้านนอก ก่อนเดินเข้ามาหาผม

   “นายพักผ่อนไปเถอะ ไว้นายอาการดีขึ้นกว่านี้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

   นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดเลยกระมัง ตั้งแต่ที่ผมได้คุยกับ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่างมา เขาช่วยผมปรับเตียงให้ผมนอนราบลงดังเดิม

   “ขอบคุณ”

   “อืม” อย่างน้อย ๆ ดร.เหมิ๋นผู้เย็นชาก็ไม่ได้แล้งน้ำใจนัก

   ผมพอรู้ว่าตระกูลเหมิ๋นกับฝู่รู้จักและสนิทสนมกันมานานนับร้อยปี เหมิ๋นค้าขายหยก และของโบราณ เพิ่งจะมาร่วมหุ้นกับฝู่ที่แกรนด์ฝู่โฮเต็ลเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน ส่วนฝู่มีทั้งข่าวธุรกิจใส่สะอาดและธุรกิจด้านดำมืด ดร.เหมิ๋น น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อคืนแน่นอน ผมเข้าใจว่าการกระทำของเขาทั้งหมดที่ช่วยเหลือผม อาจจะเป็นการหวังผมอะไรบางอย่าง

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับไปบ้านพัก เพื่อรอเอกสารงานวิจัยที่ทีมของเขาจะส่งมาให้ค่ำนี้ ระยะนี้เขามักจะไปนั่งทำงานในห้องพักผู้ป่วย แต่เมื่อหนานเฟ่ยซานฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคนไข้

   “คุณนักสืบ หนานเฟ่ยซานฟื้นแล้ว” เขาโทรบอกผู้ที่ดูแลคดีนี้

   “จริงเหรอครับ ขอบคุณมากครับดอกเตอร์ เดี๋ยวผมเสร็จงานเมื่อไร ผมจะรีบเข้าไปทันที”

   เสียงที่ได้ยินจากปลายสายแสดงออกถึงความดีใจอย่างไม่ปิดบัง เมื่อรวมกับภาพที่เขาบังเอิญไปเห็นเข้าตอนอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เขาก็พอจะเดาได้ว่า สองคนนี้คงจะไม่ใช่คนที่รู้จักกันธรรมดา

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเขียนบนความเกี่ยวกับกล่องและขวดบรรจุน้ำตากิเลนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะเผยแพร่พร้อมทั้งส่งมอบกล่องสำริดให้กับทางพิพิธภัณฑ์ก็เป็นอันจบ เขายังไม่มีเป้าหมายใหม่ในการขุดค้น สิ่งที่เขาอยากศึกษาตอนนี้ก็มีเพียงแต่เรื่องน้ำตากิเลนที่อยู่ในแล็บเกาลูนเท่านั้น

   คอมพิวเตอร์แจ้งเตือนว่ามีอีเมลเข้า เขาจึงรีบเปิดดู เป็นอีเมลผลทดสอบล่าสุดจากซือเมิ่งอิ๋ง เมื่อวานนี้เมิ่งอิ๋งสกัดน้ำตากิเลนเม็ดหนึ่งให้กลับมาเป็นของเหลวได้สำเร็จ และเริ่มทดลองกับสัตว์เล็กจำพวกหนู ปริมาณที่ใช่ทดลองได้รับการเจือจางแต่ผลที่ได้รับกลับทำให้หนูเหล่านั้นช็อกตายหากให้พวกมันกิน แต่หากเป็นหนูที่ได้รับบาดเจ็บ นำสารสกัดจากน้ำตากิเลนหยดลงบนแผล กลับช่วยสมานแผลให้หายได้ในเวลาไม่นาน แต่หนูพวกนั้นก็ช็อกตายในเวลาต่อมาอยู่ดี

   เมื่อเขาอ่านรายงานล่าสุด เมิ่งอิ๋งปรับความเจือจางลงไปอีกจนอยู่ในภาวะสมดุลระดับหนึ่ง หนูที่มีบาดแผล หายดีกลับมาแข็งแรง และไม่มีผลข้างเคียง แต่ถ้าให้กินโดยตรงผมออกมาก็ยังเป็นเหมือนเดิม สูตรที่ถูกปรับให้เจือจางนี้ เมิ่งอิ๋งเอาไปทดลองกับกระต่าย ภายใน 12 ชั่วโมงมานี้ ตัวที่กินเข้าไปยังไม่เห็นผลใด แต่ตัวที่เป็นแผล ขนร่วง ผลออกมาดี แผลเริ่มสมาน แต่ใช้เวลานานกว่าการรักษาหนู

   “ผมได้รับผลทดลองแล้ว” เขาโทรไปที่แล็บหลังจากอ่านรายงานจบ

   “ค่ะดอกเตอร์”

   “ตอนนี้กระต่ายตัวที่กินน้ำตากิเลนเข้าไปเป็นยังไงบ้าง”

   “ก็ยังคงปกติค่ะ”

   “จากผลที่เห็น แสดงว่าถ้าเอามาใช้ภายนอก น้ำตากิเลนจะช่วยในการรักษาบาดแผลได้สินะ”

   “ดอกเตอร์ค่ะ กระต่ายตัวที่ใช้ทดลอง ทางแล็บได้รับมาจากสถาบันทดสอบเครื่องสำอาง ผิวหนังของมันเป็นแผลมาจากการทดลองพวกนั้น จนถึงขั้นเป็นโรคเรื้อน”

   “คุณกำลังจะบอกว่า มันอาจจะรักษาโรคบางอย่างได้ใช่ไหม?”

   “ใช่ค่ะ รบกวนดอกเตอร์อนุญาตให้ทำการทดลองด้วย”

   “ได้ ผมอนุญาต แต่ผมไม่อยากให้คุณทดลองกับสัตว์โดยให้มันกินอีก ยกเว้นกับสัตว์ที่เป็นโรค ในเมื่อเรารู้ว่ามันรักษาแผลได้ ผมอยากให้คุณแบ่งทีมส่วนหนึ่ง ทำการวิจัยยาที่ให้ผลเหมือนกับน้ำตากิเลน”

   “ค่ะ ดอกเตอร์ แล้วคนที่กินน้ำตากิเลนเขาไป เป็นยังไงบ้างคะ?”

   “เขาฟื้นแล้ว”

   “แล้วอาการเป็นยังไงบ้างคะ”

   “โดยรวมก็ดี เพียงแต่การฟื้นฟูร่างกายช้ากว่าคนทั่วไป”

   “หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียง”

   “อืม”

   “ดอกเตอร์จะพาเขามาที่แล็บไหมคะ?”

   “คงต้องดูจังหวะ และโอกาส เมิ่งอิ๋ง เท่านี้ก่อนนะ ผมมีสายซ้อน”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกดตัดสายก่อนรับสายของอีกคนทันที คนที่เขาลืมไปว่าต้องติดต่อกลับไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องกับหนานเฟ่ยซาน

.........................................................................

   ต้วนเจียนจงมาถึงร้านอาหารที่จองเอาไว้ โดยมีบริกรเดินนำเขาไปยังโต๊ะที่จัดให้ ไวน์ยี่ห้อดังถูกเปิดพร้อมทั้งรินใสแก้วให้ของเขา กลิ่นและรสชาติสมราคาเสียจนเขาอดพอใจไม่ได้

   “รับอาหารเลยไหมครับ”

   “รอแขกของฉันมาก่อน”

   “ครับท่าน”

   เขาละเลียดจิบไวน์ไปอย่างเชื่องช้า ไม่รีบร้อนอะไร ค่ำนี้สำหรับเขา ยังอีกยาวนานนัก กระทั่งแขกของเข้าเดินเข้ามาโดยมีบริกรคนเดิมเป็นผู้พามา

   “ดื่มไม่รอฉันเลยนะเจียนจง”

   “นายมาช้าเอง”

   “ครั้งก่อนฉันต้องขอโทษที่ไม่ได้กลับเข้าไปหา”

   “ช่างเถอะ นายมีเวลามาทานอาหารค่ำกับฉันก็ดีแค่ไหนแล้ว”

   “คำพูดนาย ทำให้ฉันนึกถึงแม่”

   “แม่นายก็คิดไม่ต่างจากฉัน”

   “ว่าแต่นายเถอะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

   “ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอด นายต่างหากที่ไม่ค่อยจะได้กลับมา”

   “ฉันยอมรับผิดก็ได้ แต่นายเลิกพูดเหมือนกับแม่ของฉันสักที” เขาหัวเราะให้กับคำพูดของแขกตรงหน้า

   “นายกลับมานี่ คงไม่ใช่เพื่อจะมางานเลี้ยงระดมทุนของเยียนหวอเพียงอย่างเดียวจริงไหม?”

   “งานนั้นฉันจำใจ”

   “ถ้าอย่างนั้น กลับมาครั้งนี้ ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่างค้นพบอะไรเข้าอีกละ พอจะบอกฉันได้ไหม?”

   “เรื่องพวกนี้นายไม่สนใจหรอก ฉันรู้ดี”

   “ก็จริง พูดมามันก็ไม่เข้าหัวฉันสักนิด”

   ต้วนเจียนจงพูดคุยกับเพื่อนเก่าอย่างเหมิ๋นหยวนฮ่างไปเรื่อยตลอดมื้ออาหารค่ำ ส่วนมากก็พูดคุยถึงเรื่องทั่วไป อย่างคนที่ไปไม่เจอกันเป็นเวลานาน

   “ฉันว่าถึงเวลาที่ฉันต้องกลับแล้วละ” หยวนฮ่างพูดจบหลังจากวางแก้วไวน์ในมือลง

   “เดี๋ยวกันสิ ฉันยังไม่ทันได้เข้าเรื่องเลย”

   “นี่ฉันนั่งคุยกับนายมาเกือบสองชั่วโมง เรื่องที่นายจะคุยยังไม่หมดอีกรึไง”

   “นายก็รู้ว่าฉันเป็นใคร”

   “เอา ให้เรื่องสุดท้ายนะ ว่ามา”

   “เรื่องนี้ฉันจริงจัง”

   “คงไม่คิดจะให้ฉันเป็นพ่อสื่อให้นายหรอกนะ”

   “นายก็พูดเป็นเล่น ผู้หญิงที่ข้างตัวนายก็มีแต่แม่ อี๊ของนาย นอกนั้นฉันไม่เห็นว่านายจะรู้จักใคร”

   “แล้วนายจริงจังเรื่องอะไรอีกนอกจากเรื่องผู้หญิง”

   “เฮอ...นายนี่มัน ฉันแค่จะขอความช่วยเหลือจากนาย”

   “เรื่องอะไร”

   “ฉันจะเช่าโกดังแถวจูไห่ของเยียนหวอ นายช่วยฉันได้ไหม?”

   “เรื่องแค่นี้ ทำไมนายไม่เข้าไปคุยที่บริษัทละ”

   “เลขาฉันติดต่อไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เรื่อง ตอนนี้สินค้าของฉันมันมาถึงแล้ว แต่ยังค้างอยู่ที่ท่าเรือ จะเอาออกมาก็ไม่รู้จะไปเก็บไว้ที่ไหน”

   “โกดังเดิมละ”

   “ฉันเพิ่งนำเข้าของเล่นลิขสิทธิ์แท้ๆ จากอเมริกาเลยนะ ฉันไม่อยากเอามันไปรวมกับของเล่นที่ผลิตเองที่นี่”

   “แล้วทำไมไม่เตรียมพร้อมก่อนนำเข้ามาละ”

   “คงต้องโทษเยียนหวอแล้วละ ที่ดำเนินการช้า ฉันรอเรื่องสัญญาเช่าโกดังนี่มาเดือนหนึ่งเต็ม ๆ”

   “เอาละๆ อย่าเพิ่งหงุดหงิดไป ฉันจะช่วยนายเอง”

   “ขอบใจ แต่ขอด่วนที่สุดนะเพื่อน ของซื้อของขาย นานไปเดี๋ยวทุนหายกำไรหด”

   “แค่นี้ใช่ไหม ฉันจะได้กลับไปทำงาน”

   “เชิญครับ ดอกเตอร์”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 5 ---ll--- 07-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-01-2019 15:11:32
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 5 ---ll--- 07-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-01-2019 19:25:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 5 ---ll--- 07-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 15:31:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 5 ---ll--- 07-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 09:17:24
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 6 ---ll--- 14-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 14-01-2019 10:26:24
6


   ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม หมอถึงบอกกับ ดร.เหมิ๋นว่า ผมฟื้นตัวช้า เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดระบมตามร่างกาย แล้วยังเมื่อคืนนี้อีก ที่ผมปวดจนทนไม่ไหว ต้องเรียกพยาบาลเข้ามาเพื่อขอยาแก้ปวด ผมเคยโดนซ้อมอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่หนักขนาดนี้ แต่อาการบวมมันก็ลดลงในเวลาไม่นาน

   “เฟ่ยซ่าน ตื่นแล้วเหรอ วันนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วนั่นจะรีบลุกไปทำอะไร”

   พี่กู่เข้ามาทันเห็นผมพยายามจะลุกขึ้นนั่ง เขาก็รีบเข้ามาช่วย ปรับเตียงให้ แต่ก็ไม่วายถามนั่นนี่ จนผมยังหาโอกาสตอบไม่ได้

   “ยังปวด ๆ อยู่ครับ”

   “แล้วจะลุกไปไหน เข้าห้องน้ำรึเปล่า เดี๋ยวพี่พาไป”

   “ไม่ครับ แค่อยากเปลี่ยนท่า กลัวว่าตัวเองจะเป็นแผลกดทับ”

   “คราวนี้นายโดนหนักมากเลยรู้ไหม แล้วยังหายช้ากว่าปกติอีก”

   “จะให้มันหายในวันสองวันได้ยังไงกันละ”

   “นี่ยังไม่มีใครบอกนายอย่างนั้นเหรอ”

   “บอกอะไรพี่ เมื่อวานจีเจียนมาก็เล่าเอาแต่เรื่องที่จะได้สัมภาษณ์สามีภรรยาแซ่ฝู่ เรื่องน้องชี่เยว่ อ่อ มีนินทา บ.ก. นิดหน่อยด้วย”

   “ยังไม่มีใครบอกนายเหรอว่านายหลับไปตั้งสามวันกว่าจะฟื้น”

   “สามวัน!! ”

   “ใช่ นี่ก็จะอาทิตย์หนึ่งแล้วที่นายรักษาตัวที่นี่”

   สามวันที่ผมหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว!! ตอนแรกที่ได้ยิน ดร.เหมิ๋นพูดกับหมอว่าผมต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันก็ไม่ทันได้คิดอะไร เข้าใจไปว่าเขาคงจะงกกับเรื่องค่าห้องที่ต้องจ่ายให้ผม แล้วถ้าผมรักษาตัวมา 5 วันแล้ว รอยช้ำที่ข้อมือผมมันควรจะหายไปแล้วไม่ใช่เหรอ มันเป็นแค่รอยจากการโดนจับกดไว้เท่านั้น

   “เฟ่ยซาน เป็นอะไรรึเปล่า เฟ่ยซาน” แรงเขย่าจากพี่กู่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่สีข้าง จนต้องซี้ดปาก “เฮ้ย พี่ขอโทษ เรายังเจ็บอยู่ใช่ไหม”

   “อืม ทำไมครั้งนี้หายช้าจัง”

   “ก็นายโดนซะน่วมขนาดนี้ พี่ล่ะเป็นห่วงแทบแย่”

   “ผมจำได้ว่า ดร.เหมิ๋นเป็นคนเข้ามาช่วยเอาไว้”

   “นายพร้อมจะให้ปากคำเลยไหม ฉันจะได้ตามหยางผิงมา”

   “ได้ครับ ผมจำหน้าคนร้ายได้ ให้พี่หยางผิงเตรียมสเกตภาพได้เลย”

   “ดี เดี๋ยวพี่จัดการให้” พี่กู่โทรศัพท์คุยกับพี่หยางผิงสักพักก็วางสายไป

   “พี่กู่ ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ เรื่องคดีรถบัส”

   “ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร แล้วก็เมื่อวานพี่ไปหาเกาเจี๋ยมา”

   “เกาเจี๋ย?”

   “อืม เกาเจี๋ยเป็นลูกชายของโชเฟอร์ที่ขับแท็กซี่คันนั้น”

   “พี่เชื่อข้อสันนิษฐานของผม”

   “ใช่ มีหลายเรื่องเกี่ยวกับฉินหรุยกวงที่พี่สงสัย”

   “แล้วเกาเจี๋ยบอกอะไรพี่บ้าง”

   “พี่ไม่ได้เจอเขาหรอกนะ แต่เจอน้องชายของโชเฟอร์ เกาอี้รับเกาเจี๋ยมาดูแลตั้งแต่พี่ชายตายไป ส่งเสียให้เรียนหนังสือ”

   “แล้วแม่ของเกาเจี๋ยละ”

   “เห็นว่าหนีไปตั้งแต่เกาเจี๋ยยังเด็ก”

   “แล้วเกาอี้คิดยังไงกับคดีนั้น”

   “เกาอี้เล่าว่า ช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ชาย เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนที่เห็นข่าวก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ชายตัวเองด้วยซ้ำ มารู้ก็ตอนที่มีคนติดต่อไปเรื่องเกาเจี๋ย”

   “ติดต่อเรื่องเกาเจี๋ย”

   “ใช่ตอนนั้นเกาเจี๋ยเพิ่งอายุ 14 หลังคดีสิ้นสุด ถ้าเกาอี้ไม่รับมาเลี้ยง เกาเจี๋ยก็ต้องไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”

   “ฉินหรุยกวงเลยโยนความผิดให้โชเฟอร์”

   “มีความเป็นไปได้มาก เพราะคนตายแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้”

   “แล้วทางด้านผู้โดยสารละ”

   “จากที่พี่ดูแฟ้มคดีนั้น สองสามีภรรยาแซ่โย่วมีลูกสาวคนหนึ่ง ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ วันที่เกิดเหตุ รถที่บ้านเกิดเสียระหว่างทางที่จะไปรับเธอจากสนามบิน เขาจึงเรียกแท็กซี่แทน วันนั้นเป็นวันที่โยว่ซินหรูกลับมาหลังจากเรียนจบ”

   “น่าเห็นใจจริงๆ”

   “พี่ยังไม่ได้นัดโยว่ซินหรู เธอค่อนข้างงานยุ่งแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะคุยกับพี่เรื่องคดี”

   “พี่จะนัดกับเธอเมื่อไร ผมอยากไปด้วย”

   “ตั้งใจว่าหลังจากที่หยางผิงสอบปากคำเราเสร็จ พี่ก็จะโทรไปนัด”

   “เธอคงจะไม่ว่างเร็ว ๆ นี้ใช่ไหมครับ”

   “พี่รู้ว่าเราอยากไปด้วย แต่คดีต้องเร่งปิด ไม่อย่างนั้นหากมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ก็จะมีคนเจ็บอีกมาก”

   “ผมอยากเห็นแฟ้มคดีนั้น”

   “น้องหนาน นายยังขยับไม่ค่อยจะได้ นอนพักให้มากๆ เรื่องงานไว้ทำหลังจากหายก็ยังไม่สาย”

   จริงอย่างพี่กู่ว่า แค่ขยับนิดหน่อยยังปวด จะมานั่งทำงานคงไม่ไหว แต่จะให้นอนอยู่แบบนี้ก็คงจะเบื่อแย่ อย่างน้อยข้อแค่ได้อ่านข้อมูลบ้างก็ยังดี

   “พี่กู่ ผมหาโทรศัพท์ไม่เจอ ไม่รู้ว่าตกอยู่ในที่เกิดเหตุรึเปล่า”

   “ไม่มีนะ หลักฐานทุกอย่างถูกเก็บไปหมดแล้ว ที่เสื้อผ้าของนายก็มีแต่กุญแจรถ กับกระเป๋าเงิน”

   “สงสัยคงทำหายที่ไหนสักแห่ง”

   “นายคงเหงาสินะ ไว้พี่ซื้อเครื่องใหม่แล้วจะแวะเอามาให้”

   “รถผมยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถนั่นใช่ไหมครับ”

   “อืม นายจะเอาอะไร”

   “วานพี่ไปเอาแทบเล็ตในรถให้ผมหน่อย แล้วก็พี่ส่งรายละเอียดทั้งสองคดีให้ผมด้วย”

   “นี่พี่ห้ามเราไม่ได้จริง ๆ สินะ”

   “ผมแค่เอามาอ่านช่วงที่เบื่อ ๆ อีกอย่าง พี่ตกลงกับผมแล้วนะ ว่าจะให้ผมร่วมสืบคดีนี้ด้วยหากข้อสันนิษฐานของผมใช้ได้”

   “เอา ๆ ตามใจ”

   “แล้วคดีฆ่ารัดคอ เป็นยังไงบ้างพี่”

   “เหมือนเดิม ยังไม่มีเบาะแสอะไรใหม่”

   “ฆาตกรยังไม่ได้ลงมืออีกก็ดี”

   “เราไม่รู้หรอกว่ามันลงมือแล้วรึยัง จนกว่าจะเจอศพ นายก็รู้นี่ว่ามันมักจะจับเหยื่อไปขังไว้ก่อน”

   “เหยื่อทั้งสามรายไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้เลย แม้กระทั่งเวลาที่ถูกจับไปขัง”

   “ใช่”

   ผมพูดคุยกับพี่กู่จนกระทั่งพี่หยางผิงมาพร้อมนายตำรวจอีกคน ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมให้ทุกคนฟัง และบอกรายละเอียดหน้าตาของคนที่จับผมกรอกยา

.........................................................................

   หวงกังโหมองโทรศัพท์ในมืออย่างครุ่นคิดถึงวิธีตามหาตัวเจ้าของมัน เวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่เขารู้ว่าไอ้หนุ่มตากลมเจ้าของเครื่องนี่ มันยังไม่ตาย โชคดีที่ภายในโทรศัพท์ไม่ได้มีการบันทึกภาพตอนที่เขากำลังซื้อขายกับอีกฝ่าย แต่ก็เสียดายที่เขาอุตส่าห์ยัดยาไปมากขนาดนั้นแล้วแท้ๆ มันยังรอดมาได้อีก ป่านนี้ มันคงลุกขึ้นมาให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว

   ส่วนคนของเขาก็ถูกตำรวจจับไป ดีที่ยังไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรออกมา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไว้ใจไอ้สามคนนั้น จึงให้คนไปเฝ้าสังเกตดูอยู่ห่าง ๆ และเพื่อเป็นการไม่ประสาท หวงกังโหสั่งให้ลูกน้องไปจัดการอะไรบางอย่างเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

   “พี่กังโห” คนของเขาก้าวเขามาเพื่อรายงาน

   “เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยไหม?”

   “เรียบร้อยครับ”

   “แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบละ”

   “ทางตำรวจเก็บตัวอย่างยาได้จากที่เกิดเหตุ แล้วจากคำให้การของพยาน ตอนนี้ตำรวจกำลังตามหาพวกเราอยู่”

   “ไอ้หนุ่มนั่นสินะ มันคงฟื้นแล้ว”

   “ไม่ใช่ครับ แต่เป็นคนที่มาช่วยมันไว้”

   “แล้วไอ้หนุ่มนั่นละ?”

   “ไอ้หนุ่มนั่น ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเกียงวู เพียงวันเดียวก็ย้ายออก”

   “มันหายเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ผมว่าตำรวจคงกลัวว่าเราจะตามไปปิดปากมัน เลยย้ายไปที่อื่น”

   “ไปสืบมา ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วจัดการมันซะ”

   “พี่กังโห มีคนของไหว่ยี่มาขอพบ” ลูกน้องอีกคนของเขา เข้ามารายงาน

   “ทางนั้นอาจจะติดใจยาของเราก็ได้”

   หวงกังโหเดินตามลูกน้องออกไป อย่างน้อยยาที่ให้พวกนั้นไปฟรีๆ ก็ไม่ได้เสียเปล่า มันกำลังจะงอกเงยออกดอกออกผลเพิ่มขึ้นในเวลาไม่ช้านี้ คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มกริ่มอยู่ภายในใจ

.........................................................................

   เหยินหยางผิงกลับเข้ามาที่สถานีก็พบกับความวุ่นวายทันที หน่วยกู้ชีพกำลังเข็นศพใครบางคนออกไป เขารีบเดินเข้าไปยังห้องขัง ก็พบหน่วยกู้ชีพอีกสองคนกำลังห่อศพผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหนานเฟ่ยซาน

   “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานคนหนึ่งที่กำลังถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ

   “ผู้ต้องหาทั้งสามคนถูกวางยา ตอนนี้หัวหน้ากำลังประชุมเครียดอยู่ในห้อง พี่หยางผิงรอถามหัวหน้าก็แล้วกัน ผมขอทำงานก่อน”

   เขาปล่อยให้ทุกคนทำงานของตัวเองไป ส่วนเข้ารีบเดินตรงไปยังห้องประชุม จากโถงทางเดิน เข้าเห็นหัวหน้ากับทีมสืบสวนเดินออกมาจากห้องพอดี

   “หัวหน้า”

   “นายคงรู้แล้วสินะว่าเกิดอะไรขึ้น”

   “ครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตามมา”

   พวกเขาพากันเดินกลับมายังโต๊ะทำงาน ทีมสืบสวนทีมที่ 2 ก็เดินตามเข้ามาด้วย เมื่อทุกคนพร้อมหัวหน้าของเขาก็เอ่ยขึ้น

   “ตอนนี้ผู้ใหญ่เป็นห่วงเรื่องที่ผู้ต้องหาตายในห้องคุมขังของสถานีเรา ถึงแม้จะเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยในคดี แต่เมื่อตายไป เราก็ยิ่งหาเบาะแสในการสืบยากเข้าไปอีก”

   “จากการตรวจสอบ ก่อนเกิดเหตุ มีชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นพ่อของหนึ่งในสามผู้ต้องหา เอาอาหารมาให้ ซึ่งชายคนนี้มาเยี่ยมลูกชายตลอดจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นวันนี้ ทางเราเองก็ไม่ได้สงสัยหรือตรวจสอบอะไร” ตู้เห่า หนึ่งในสมาชิกทีม 2 เป็นผู้รายงาน

   “ยืนยันแน่แล้วใช่ไหม ว่าสารพิษมาจากอาหารที่ชายคนนั้นเอามาให้”

   “ครับหัวหน้า”

   “หยางผิง แล้วผานกู่ละ ไม่กลับมากับนายด้วยหรือไง”

   “พี่กู่ไปสืบคดีรถบัสระเบิด เลยให้ผมเอาภาพสเกตมาเทียบกับฐานข้อมูลของเราครับ”

   “ผู้เสียหายฟื้นแล้วอย่างนั้นเหรอ”

   “ครับ แล้วนี่ก็ภาพสเกต”

   “อาเห่า เอาไปตรวจสอบ” ตู้เห่ารับไปแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำของเขา

   “หนานเฟ่ยซานให้การว่า เขาเห็นคนสองกลุ่มกำลังซื้อขายอาวุธกันอยู่ ดูเหมือนว่าพ่อค้ายาจะซื้อปืน HK 416 PISTOL จากพ่อค้าอาวุธโดยการจ่ายเป็นเงินและยาที่เราได้มาจากที่เกิดเหตุ”

   “จู้ชุน จัดคนไปคอยคุ้มครองพยาน”

   “ครับหัวหน้า”

   “แล้วจื่ออู่ไปไหน?” หัวหน้าถามถึงสมาชิกในทีมเขาอีกคนหนึ่ง”

   “พี่กู่ให้จื่ออู่ไปสืบคดีรถบัสครับหัวหน้า”

   “อืม ช่วงนี้งานพวกเราค่อนข้างจะล้นมือกันทุกคน ตอนนี้คดีนี้ก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งจากผู้ใหญ่ไม่ต่างจากคดีฆ่ารัดคอ ดังนั้นทีม 1 และ 2 ต้องร่วมกันปิดคดีนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด”

   “หัวหน้าครับ ได้คนที่ตรงกับภาพสเกตแล้วครับ” ตู้เห่าร้องบอกก่อนจะเอาภาพถ่ายมาวางไวตรงหน้าพวกเรา “หวงกังโห เจ้าของผับใหญ่หลายที่ในมาเก๊า มีประวัติเคยถูกจับในคดีใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 แต่รอดไปได้เพราะ อ้างว่าเด็กที่มาสมัครงานใช้เอกสารปลอม ซึ่งเด็กเองก็ยอมรับ ทำให้ทางตำรวจสาวไปถึงแก๊งส์ปลอมแปลงเอกสาร และทำการจับกุมได้ในที่สุด” ตู้เห่ารายงาน

   “มีแค่นี้เองอย่างนั้นเหรอ”

   “ที่เหลือก็เป็นคดีเล็กๆ อย่างพวกเมาแล้วขับบ้าง ฝ่าไฟแดงบ้าง หรือจอดในที่ห้ามจอดบ้าง ซึ่งไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเจ้าทุกข์”

   “ยังไงก็เชิญตัวมาสอบสวนก่อน”

   “ครับหัวหน้า” พวกเรารับคำแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างลอบสังเกตอยู่นอกห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นหนานเฟ่ยซานกำลังคุยอยู่กับนักสืบและตำรวจ จากที่สังเกตทำให้เขารู้ว่า เฟ่ยซานน่าจะจำหน้าคนร้ายได้ เพราะกำลังอธิบายให้กับตำรวจเพื่อสเกตภาพอยู่ เขาจึงเลี่ยงออกมาเพื่อเตรียมกลับไปทำงาน และรอผลรายงานจากแล็บ

   “ดร.เหมิ๋น” เขายังก้าวไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงนักสืบหนุ่มร้องเรียก

   “มีอะไรรึเปล่าคุณนักสืบ”

   “คุณมาเยี่ยมเฟ่ยซาน แล้วทำไมไม่เข้าไป”

   “ให้เขาได้พักผ่อนเถอะ วันนี้พวกคุณก็กวนเขามาทั้งวันแล้ว” เขาเห็นคนตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย

   “ดูคุณจะเป็นห่วงเฟ่ยซาน”

   “คงไม่เท่ากับคุณ”

   “ตอนนี้เฟ่ยซานกลายเป็นพยานในคดี แทนที่จะเป็นเพียงผู้เสียหาย”

   “แล้วคุณมาบอกผมทำไม”

   “ผมจะย้ายเขาไปในที่ปลอดภัย”

   “ถ้าคุณหมออนุญาต มันก็แล้วแต่พวกคุณ” เขาพูดจบก็เดินออกมาโดยไม่สนใจ ตรงไปยังลานจอดรถ เมื่อขึ้นรถแล้วเขาก็โทรไปหาใครคนหนึ่ง ก่อนจะออกรถและขับกลับบ้านไป

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 6 ---ll--- 14-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-01-2019 21:22:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 7 ---ll--- 21-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 21-01-2019 11:16:54
7

   ผานกู่มาคอยโยว่ซินหรูอยู่ที่คอฟฟี่ช้อปแห่งหนึ่ง ตามเวลาที่เธอนัดหมาย เนื่องจากเธอมีเวลาให้เขาเพียงช่วงพักกลางวันเท่านั้น เขาจึงเป็นฝ่ายมารอเธอก่อน

   เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านประตูหน้าร้านเข้ามา ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเธอเป็นใครจึงลุกขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขาเองที่เป็นผู้นัดเธอมา เมื่อเธอเห็นก็เดินตรงเข้ามาหาเขาทันที

   “นักสืบผาน”

   “ครับ ดื่มอะไรหน่อยไหมครับคุณโยว่”

   “ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่านะคะ”

   “ถ้าอย่างนั้นผมไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ คุณคงทราบว่าผมจะถามคุณเรื่องอะไร”

   “ค่ะ คุณมาเรื่องคดีของพ่อแม่ฉัน”

   “ครับ ผมอยากทราบเรื่องราวในตอนนั้น”

   “อันที่จริง ฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก เพราะเพิ่งจะบินกลับมามาเก๊า เรานัดกันไว้แล้วว่าพ่อกับแม่จะไปรับฉันที่สนามบิน รออยู่จนเลยเวลาไปมากพวกท่านก็ไม่มา โทรไปก็ไม่มีคนรับสาย ฉันเลยเรียกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่บ้าน

   “คุณไปอยู่ต่างประเทศหลายปี กลับมาแบบนี้ คุณเข้าบ้านได้ยังไงครับ”

   “ที่บ้านฉันมักจะวางกุญแจสำรองไว้ใต้กล่องไปรษณีย์ค่ะ”

   “แล้วตอนที่คุณกลับถึงบ้าน คุณไม่พบเห็นอะไรผิดสังเกตเหรอครับ”

   “เมื่อไปถึง ฉันรอพ่อกับแม่อยู่ที่บ้าน เพราะเห็นว่ารถของพวกท่านไม่อยู่เลยคิดว่าน่าจะออกไปรับฉัน เราอาจจะคลาดกันก็ได้”

   “แล้วคุณทราบเรื่องเมื่อไรครับ เรื่องพ่อกับแม่ของคุณ”

   “หลังจากนั้นวันหนึ่งค่ะ มีตำรวจมาที่บ้าน เขาบอกว่าตอนที่เกิดเหตุ พยายามติดต่อมาที่บ้านแล้วไม่มีคนรับสาย เลยมาหาที่บ้านฉัน แล้วบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น”

   “แล้วหลังจากนั้นละครับ”

   “พวกเขาไม่มีแม้แต่ศพของพวกท่าน ให้ฉันได้ไปจัดพิธีให้อย่างถูกต้อง จะมีก็แต่ ชายคนหนึ่งเอาเงินเล็ก ๆ น้อยๆ เป็นค่าชดเชยจากอุบัติเหตุมาให้”

   “เงินจากบริษัทแท็กซี่เหรอครับ”

   “ใช่ค่ะ ทางบริษัทฯ บอกว่ารถของเขาทำประกันไว้ ผู้โดยสารจึงได้รับเงินส่วนนี้ด้วย”

   “ใครเป็นคนนำเงินมาให้คุณ”

   “ดูเหมือนจะเป็นทนายค่ะ”

   “คุณได้เจอครอบครัวของโชเฟอร์รถแท็กซี่ไหมครับ”

   “ไม่ค่ะ เห็นว่าลูกของคนขับยังเด็กมาก แล้วก็เหลือตัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหน ฉันว่าตอนนั้นเขาคงจะส่งเด็กไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว ว่าแต่ คุณถามเกี่ยวกับคดีนี้ทำไมคะ คดีมันก็จบไปตั้งนานแล้ว หรือว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสงสัย”

   “ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น”

   “ก็จู่ ๆ คุณก็มาถามถึงคดีที่มันจบไปนานแล้วนี่คะ”

   “เรื่องนี้ผมคงจะบอกอะไรคุณไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ”

   “ค่ะ ฉันพอเข้าใจ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

   “ครับ ขอบคุณมากนะครับที่สละเวลา”

   เขามองโยว่ซินหรูเดินออกจากร้านไป โดยที่เขาไม่ได้อะไรเลย คำบอกเล่าของเธอไม่ต่างอะไรกับรายงานในคดี จะมีก็แต่ฉินหรุยกวงให้ทนายนำเงินค่าชดเชยมาให้กับเธอเท่านั้น เขานั่งอ่านข้อมูลอยู่สักพักจึงเดินทางกลับสถานี

   ผานกู่แวะซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องให้ใหม่กับหนานเฟ่ยซาน ตั้งใจว่าเสร็จงานแล้วค่อยนำไปให้ที่โรงพยาบาล ก็มาพบกับเหตุวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันเสียก่อน เขาจึงเข้าไประงับเหตุ เขาจับเด็กชายวัยรุ่นได้คนหนึ่งก่อนจะนำตัวมารวมกับคนอื่นๆ

   “จับได้หมดไหม” เขาถามนายตำรวจอีกคนก่อนส่งเด็กที่เขาจับได้ให้

   “หนีรอดไปได้ 2 คนครับ”

   “พวกนายนี่ ไม่มีอะไรทำกันรึไง ถึงหาเรื่องพวกฉันไม่หยุดไม่หย่อน” เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นเด็กตรงหน้า “ไป พากลับไปที่สถานี”

   ผานกู่ขับรถกลับเข้าไปถึงสถานี ก็พบกับความชุลมุนตั้งแต่ลานจอดรถ และตอนนี้ยังมีเด็กวัยรุ่นอยู่เกือบสิบคนที่ต้องสอบสวน เสียงเอะอะโวยวายของเด็กดังลั่นห้องโถง ไหนจะพ่อแม่ของเด็กบางคนอีกที่มาถึงก็เข้าไปทุบตีลูกของตัวเองที่ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท

   “นายชื่ออะไร” เขาเห็นเหยินหยางผิงกำลังวุ่นวายกับเด็กคนหนึ่ง

   “เกาเจี๋ย”

   “เอาเบอร์ติดต่อพ่อกับแม่มา”

   “ไม่มี พ่อตาย แม่ก็หนี” คำพูดของเด็กคนนั้นทำให้เขาที่กำลังจะเดินไปยังโต๊ะของตัวเองต้องหันไปมอง

   “แล้วเบอร์ผู้ปกครองคนอื่นละ?” ผานกู่เห็นเกาเจี๋ยนั่งเงียบไปพูดอะไร จึงเดินเข้าไปหาเหยินหยางผิง

   “หยางผิง ลุก คนนี้ฉันจัดการเอง นายไปดูคนอื่นไป”

   “มีอะไรรึเปล่าพี่กู่”

   “เหอะน่า บอกให้ลุก ก็ลุกไปสิ” หยางผิงมองเขาอย่างสงสัยแต่ก็ยอมลุกไปโดยดี

   “นายนะ มานี่ นายนั่นแหละ” หยางผิงเรียกเด็กอีกคน ไปนั่งโต๊ะถัดไปเพื่อจะสอบปากคำ

   “ชื่อเกาเจี๋ยสินะ” เขาถามเด็กตรงหน้า

   “อืม”

   “นายทำตัวแบบนี้ไม่กลัวว่าอาของนายจะเสียใจรึไง”

   “นายรู้จักกับกู๋?”

   “เขาส่งเสียให้นายเรียน เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดี นายไม่ควรทำตัวแบบนี้นะ”

   “คุณจะไปรู้อะไร”

   “ก็ไม่รู้ ถ้านายไม่บอกฉัน”

   “อย่าบอกเรื่องนี้กับกู๋ได้ไหม?”

   “ถ้าไม่บอก แล้วใครจะมารับนายกลับ”

   “ปกติข้ามวันผมก็ได้ออกไปแล้ว”

   “นายคงมีเรื่องแบบนี้บ่อยสินะ”

   เด็กตรงหน้าไม่ตอบอะไร เขาจึงให้เจ้าหน้าที่พาไปขังไว้ ส่วนเขาก็ชั่งใจว่าจะโทรบอกเกาอี้ดีหรือไม่

.........................................................................

   หลังจากผมให้ปากคำกับพี่หยางผิงจบแล้ว ไม่นานก็มีตำรวจมาคอยเฝ้าผมอยู่หน้าห้อง แทนที่บอร์ดี้การ์ดของ ดร.เหมิ๋น ทำให้ผมคิดได้ว่า ปกติผมมักจะเห็นเขาไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม แต่พอผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลกลับมีคนมาเฝ้าอยู่หน้าห้องผมตลอด หรือเขาจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าผมอาจจะถูกฆ่าปิดปาก แล้วตกลงว่า ดร.เหมิ๋นเป็นพวกเดียวกันกับคนพวกนั้นรึเปล่า ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน

   เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับคนที่ก้าวเข้ามา วันนี้เขาก็มาคนเดียว ไม่มีผู้ติดตาม เขาเห็นว่าผมมองอยู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปยังห้องน้ำ เปิดเข้าไปเหมือนต้องการหาอะไรสักอย่าง

   “นายอยู่คนเดียวเหรอ”

   “ไม่ให้อยู่คนเดียวแล้วจะให้อยู่กับใคร”

   “นักสืบผาน”

   “พี่กู่เขาก็ต้องทำงานทำการสิ จะให้มานั่งเฝ้าผมได้ยังไง”

   “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” ดร.น้ำแข็งขั้วโลก นึกจะเปลี่ยนเรื่องก็เปลี่ยน

   “ก็ว่ามาสิ”

   “นายเก็บของของฉันได้”

   “มันไม่อยู่แล้ว” เขาคงหมายถึงไอ้ยานั่น

   “รู้แล้ว”

   “ถ้าคุณรู้แล้ว คุณต้องการอะไรจากผม”

   “รู้ไหมทำไมนายถึงยังไม่ตาย”

   “ก็เพราะถึงโรงพยาบาลทันเวลาไงละ”

   “แล้วรู้ไหมว่าทำไมแผลนายถึงหายช้า”

   “คุณจะบอกว่ามันเป็นผลมาจากยาของคุณใช่ไหม?”

   “ใช่”

   “แสดงว่าคุณยอมรับว่าคุณเป็นพวกเดียวกับพวกมัน”

   “ไม่ใช่ ยาที่พวกมันให้นายกินเป็นยาเสพติดประเภทยากล่อมประสาท เรื่องนี้นายคงรู้แล้ว แต่ของของฉันมันเป็นมีฤทธิ์ในการรักษาซึ่งในโลกนี้มีเพียง 2 เม็ดเท่านั้น”

   “คุณจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง ที่ยาของพวกมัน กับยาของคุณหน้าตาเหมือนกัน”

   “ใช่”

   “ที่คุณต้องการจะคุยกับผมก็เพื่อจะบอกว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนั้น”

   “ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น”

   “อ่าว แล้วคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

   “ของสิ่งนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยกินเข้าไป นอกจากนาย ในการทดลอง ทีมวิจัยของฉัน...ใช้สิ่งนี้กับสัตว์เท่านั้น”

   “เฮ้ย”

   “ที่นายไม่ตายเพราะของสิ่งนั้นต้านฤทธิ์ยาในตัวนาย ส่วนที่แผลหายช้า คงเป็นเพราะผลข้างเคียง”

   “แล้วผมจะเป็นอะไรไหม”

   “หมอก็บอกแล้วนี่ว่านายปกติดี”

   “คุณเป็นนักโบราณคดี แล้วมาเกี่ยวกับการทดลองยาได้ยังไง หรือว่า... น้ำตากิเลน” ผมจำที่จีเจียนเคยเล่าให้ฟังได้

   “นายรู้จักสิ่งนั้น?” เขาเว้นช่วงให้ผมตอบ แต่ผมไม่ได้รู้จักมันแค่เคยได้ยินเท่านั้นเอง จึงไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรออกไป “ถ้าอย่างนั้นก็คงรู้สินะว่ามันวิเศษยังไง”

   “นี่ผมเพิ่งทำลายสมบัติของชาติไปอย่างนั้นเหรอ” ผมเริ่มกังวลแล้วสิ เป็นความผิดของผมเต็ม ๆ

   “อืม” นั่น ไม่คิดจะปลอบใจกันบ้างเลย

   “คุณจะแจ้งจับผมไหม แต่ผมไม่ผิดนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกินมันเข้าไปสักหน่อย พวกนั้นมันคิดว่าน้ำตากินเลนเป็นยาของพวกมัน”

   “ฉันมีข้อตกลง”

   “ข้อตกลงอะไรรีบว่ามาเลย”

   “นายต้องไม่พูดถึงของสิ่งนั้นอีก ทำเหมือนกับมันไม่มีอยู่จริง”

   “จะมีได้ยังไงละ ก็ผมกินมันเข้าไปหมดแล้วนี่”

   “เรื่องที่นายกินมันเข้าไปก็ต้องไม่มีใครรู้”

   “เล่าไปใครจะเชื่อ”

   “ดี เป็นอันตกลงตามนี้” ดร.เหมิ๋นลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกจากห้อง

   “แล้วคุณไม่โกรธผมเหรอที่ทำให้คุณเสียเวลาเปล่า”

   “ฉันแทบจะฆ่านายเลยละ ถ้าทำได้”

   “ผมขอโทษ”

   “ช่างมันเถอะ”

   ดร.น้ำแข็งขั้วโลกพูดโดยไม่เหลียวหลังมามองผมแม้แต่น้อย ได้แต่เดินออกนอกห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นน้ำแข็งขั้วโลกอย่างที่พี่กู่ว่าไว้ไม่มีผิด ดร.โพลาไอซ์!!

.........................................................................

   โฮวจีเจียนกำลังยืนหน้าสลดอยู่ต่อหน้า หยุนฮั่นเตาเนื่องจากเขาโดนฝู่หงส์ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ คนที่จะไปสัมภาษณ์ทางนั้นระบุไว้ว่าต้องเป็นหนานเฟ่ยซานเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุให้ตาแก่หยุนจับได้ว่าเขาให้เฟ่ยซานไปงานระดมทุนของเยียนหวอแทน

   “นี่แสดงว่า ที่เฟ่ยซานถูกทำร้าย ก็ไม่ใช่ว่าบังเอิญไปทำข่าวที่โรงแรมนั่น อย่างที่นายอ้างกับฉันสินะ”

   “ครับ บ.ก.”

   “ฉันควรทำยังไงกับนายดี”

   “บ.ก. วันนั้นผมมีธุระด่วนจริง ๆ แล้วก็ไม่คิดว่าเฟ่ยซานจะเกิดเรื่อง”

   “แล้วนายรู้รึยังว่าเฟ่ยซานไปเจออะไรมา”

   “ยังไม่ได้ถาม”

   “นายไปเยี่ยมเฟ่ยซานประสาอะไร ทำไมไม่ถามให้รู้เรื่อง”

   “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะรีบไปถามมาให้นะครับ”

   “ไม่ต้องคิดจะหนีเลย คิดว่าฉันไม่รู้จากนาย แล้วฉันจะหาทางเองไม่ได้รึยังไง”

   “เอ่อ บ.ก. รู้แล้วเหรอครับ”

   “ก็เออสิวะ ฉันเป็น บ.ก. เพราะความสามารถไม่ได้ไปหาซื้อมานะโว้ย”

   “แล้ว บ.ก. จะไม่ลงโทษผมใช่ไหม”

   “ถ้าไม่ลงโทษ ก็ไม่ใช่หยุนฮั่นเตาแล้ว”

   “โถ บ.ก. ละเว้นผมสักครั้งเถอะนะครับ”

   “ฉันละเว้นนายมาเท่าไรแล้ว คราวนี้ฉันจะไม่ให้โอกาสนายอีกต่อไป”

   “โถ..บ.ก.”

   “ไป ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”

   โฮ่วจีเจียนได้แต่จำใจยอมเดินออกจากห้องมา ใครจะไปคิดว่าฝู่หงส์จะมาถูกใจเฟ่ยซาน เขาเองก็ใช่ว่าจะไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจสักหน่อย ถ้าจะแก้ตัวใหม่ คงต้องพยายามตามตื้อ ดร.เหมิ๋นผู้แสนเย็นชา เพื่อขอสัมภาษณ์ให้ได้

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับเข้ามาที่เพนเฮ้าส์ของเขาภายในโรงแรม เพียงแค่เดินเข้ามา ไม่ต้องบอกกล่าวกับใคร แม่ของเขาคงจะรับรู้ถึงการมาของเขาได้ในไม่ช้า เมื่อเข้าไปยังห้องทำงาน สิ่งแรกที่ทำคือการอ่านรายงานจากซือเมิ่งอิ๋งที่เขากำชับให้ส่งทุกวัน

   รายงานฉบับล่าสุดไม่มีอะไรน่าสนใจ เนื่องจากผลยังคงเป็นเหมือนเดิม เรื่องที่น่าดีใจคงจะเป็นเรื่องที่กระต่ายที่ได้รับการรักษา ตอนนี้ขนอ่อนเริ่มขึ้นแล้ว ก็ถือว่าเร็วพอสมควร เสียงกริ่งหน้าประตูห้องทำให้เขาละจากหน้า แล้วเดินไปเปิดประตู

   “ทำไมม๊าไม่เข้ามาเลยละครับ หรือว่าลืมรหัส”

   “ม๊ากลัวว่าลูกจะยุ่งอยู่กับสาวที่ไหน”

   “ม๊าล้อผมเล่นแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกนะ ว่าม๊าจะไม่รู้ว่าผมอยู่คนเดียว”

   “แล้วลมอะไรพัดให้ลูกม๊ามานอนที่นี่ได้ละ”

   “ผมจะมาฝากกุญแจบ้านคืนอี๊ เลยมานอนที่นี่ซะเลย”

   “อ่าว ไม่พักที่นั่นแล้วเหรอ?”

   “ครับ ผมคุยกับหนานเฟ่ยซานแล้ว”

   “อืม แล้วเรื่องผลจากน้ำตากิเลนละ”

   “ไม่น่าจะมีอะไรแล้วครับ นอกจากเรื่องแผลที่หายช้ากว่าปกติ ถ้าเจ้าตัวเขาระวังตัวเอง ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”

   “ถ้าอย่างนั้น ม๊าจะได้บอกอาเถิงให้ถอนกำลังคนออกจากโรงพยาบาล”

   “มีตำรวจคอยเฝ้าอยู่แล้ว เตี๋ยยังให้คนไปเฝ้าเขาอีกเหรอครับ”

   “อี๊ต่างหาก ลูกก็รู้ว่าอี๊นะมองสถานการณ์ได้เฉียบขาดขนาดไหน”

   “เหมือนอี๊จะไม่ไว้ใจพวกตำรวจมากกว่า”

   “นั่นก็ด้วยส่วนหนึ่ง”

   “อีกสองวัน ผมจะส่งมอบกล่องสำริดให้พิพิธภัณฑ์ ทางนั้นเขาจะจัดงานเปิดตัวให้คนทั่วไปเข้าชมกันประมาณเดือนหน้า”

   “พูดแบบนี้แสดงว่า พอส่งมอบเสร็จก็จะกลับเกาลูนเลยใช่ไหม”

   “ครับ น่าจะมาอีกทีก็ช่วงที่จะเปิดตัวกล่องสำริด”

   “ตามใจลูกแล้วกันนะ เดี๋ยวม๊าไปดูแลแขกก่อน ค่ำๆ จะมาทานข้าวด้วย จะทานที่นี่หรือห้องอาหารข้างล่างดีละ”

   “ที่นี่แล้วกันครับ เดี๋ยวผมทำให้ทานเอง แค่ขอวัตถุดิบจากห้องครัวสักหน่อย”

   “ลูกก็โทรลงไปสั่งให้เขาเอาขึ้นมาให้แล้วกัน ม๊าไปก่อนละ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินไปส่งแม่ของเขาที่ประตู ก่อนกลับไปนั่งอ่านรายงานที่ค้างอยู่ จนกระทั่งถึงเวลาเตรียมอาหารค่ำ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 8 ---ll--- 28-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 28-01-2019 14:56:49
8



   เหมิ๋นหยวนฮ่างรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลเกียงวูแต่เช้า เพื่อพบหมอเจ้าของไข้ที่ทำการรักษาหนานเฟ่ยซาน เขาได้โทรคุยเรื่องสำคัญไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งคุณหมอเองก็ตอบรับ และยินดีช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดี

   “ดร.เหมิ๋น มาแต่เช้าแบบนี้แสดงว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนคงจะมีความสำคัญไม่น้อย”

   “ของที่ผมต้องการ”

   “หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณ ผมก็ให้ผู้ป่วยงดอาหารทันที รออีก 3 ชั่วโมงก็เจาะเลือดได้”

   “ไม่จำเป็น”

   “ให้ผมจัดการตอนนี้?”

   “ใช่”

   “ถ้าอย่างนั้น รบกวนดอกเตอร์รอสักครู่” รออยู่ไม่นาน เขาก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ

   “ขอบคุณมากครับ”

   เมื่อได้ตัวอย่างเลือดของหนานเฟ่ยซานแล้ว เขาก็รีบกลับไปที่โรงแรมทันที และพบซือเมิ่งอิ๋งมารออยู่ที่ล้อบบี้แล้ว ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เมิ่งอิ๋งได้แต่ตามเขาขึ้นไปยังเพนเฮ้าส์

   “ดอกเตอร์จะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ”

   “ไม่ลองก็ไม่รู้”

   “แต่มันอันตราย”

   “ก็แค่เล็กน้อย ผมเตรียมการไว้หมดแล้ว”

   เขาพูดพร้อมทั้งหยิบกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมาไว้ตรงหน้า เมิ่งอิ๋งก็ไม่กล้าขัดเขาอีก จากนั้นเขาก็หยิบมีดที่เตรียมไว้ขึ้นมากรีดที่ผ่ามือซ้ายของตัวเอง เลือดค่อย ๆ ไหลซึมออกมาทางปากแผล เขาได้แต่กัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

   เมิ่งอิ๋งไม่รอช้า เธอรีบหยิบหลอดเลือดที่ได้จากหนานเฟ่ยซานขึ้นมาค่อยเทใส่ฝ่ามือของเหมิ๋นหยวนฮ่าง ทันทีที่หยดเลือดกระทบบาดแผล เขาก็รับรู้ได้ถึงอาการชา ก่อนจะเริ่มคันยิบ ๆ ความเจ็บปวดค่อย ๆ บรรเทาลงจนหายไปในที่สุด

   “พอแล้ว”

   เมิ่งอิ๋งวางหลอดเลือดลงจากนั้นก็นำผ้าขาวมาซับเลือดบนฝ่ามือออก ก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดทำความสะอาด ภาพที่เห็นตรงหน้าเหลือเพียงรอยแดงเป็นทางยาวตามรอยกรีดของมีด

   “น่าอัศจรรย์จริง ๆ”

   “เรื่องของหนานเฟ่ยซานมีแค่คุณกับผมเท่านั้นที่รู้”

   “เสียดายนะคะ ที่มันใช้ข้ามสายพันธุ์ไม่ได้”

   “ถึงแม้จะใช้ได้ ผมก็ไม่มีความคิดที่จะเอาเลือดมาใช้ในการรักษาหรอกนะ”

   ที่เขารู้ว่าเลือดของหนานเฟ่ยซานช่วยรักษาบาดแผลได้เป็นเพราะเมื่อคืนนี้ซือเมิ่งอิ๋งโทรเข้ามาหลังจากที่ทานอาหารค่ำกับแม่ของเขาเสร็จไม่นาน เธอบอกกับเขาเกี่ยวกับเลือดของกระต่ายตัวที่กินน้ำตากิเลนเข้าไป

   ในตอนที่เดอกเตอร์อิ๋งจะนำเลือดของกระต่ายมาตรวจ แต่เพราะความสะเพร่าทำหลอดเลือดหล่นแตก เลือดกระเด็นไปยังกรงกระต่ายที่บาดเจ็บจากการทดสอบเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นตัวที่ยังไม่ได้รับการรักษา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เข้ามาช่วยเก็บเศษแก้วและทำความสะอาดพื้น สังเกตเห็นว่าบริเวณขา ของกระต่ายตัวหนึ่ง ซึ่งเคยมีแผลอยู่กลับเห็นเป็นเพียงขนแหว่งไปเท่านั้น จึงรีบนำรูปมาเทียบ เพราะก่อนที่จะนำเข้ามาในแล็บ สัตว์ป่วยพวกนี้ จะมีการถ่ายรูปสภาพบาดแผลและบันทึกอาการป่วยทุกตัวไว้

   ซือเมิ่งอิ๋วเมื่อรับรู้จึงลองเอาเลือดของกระต่ายตัวนั้นไปทดสอบกับสัตว์ประเภทอื่น แต่กลับไม่เป็นผล เขาจึงต้องมาทดสอบด้วยตัวเขาเองแบบนี้

   “ค่ะ”

   “ดูแลกระต่ายตัวนั้นให้ดี”

   “เจ้ากระต่ายตัวนั้น กลายเป็นกระต่ายที่มีค่ามากที่สุดในโลกไปแล้ว”

   “เรื่องกระต่ายตัวนั้น มีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”

   “แล้วคุณหนานเฟ่ยซานละคะ”

   “ถ้าไม่มีใครพูดอะไร เขาก็ปลอดภัย”

   “ดิฉันไม่แพร่งพรายแน่นอนค่ะ”

   “ดี” เขาพูดได้เพียงเท่านี้ เสียงกริ่งประตูก็ดังมาขัดจังหวะเสียก่อน เขาจึงเดินเข้าไปเปิดประตู

   “ครั้งนี้ม๊าทำถูกแล้วใช้ไหม หวังว่าคงไม่ได้มาขัดจังหวะลูกหรอกนะ”

   “ม๊าล้อผมเล่นอีกแล้ว”

   “ก็เราขึ้นมากับผู้หญิง ร้อยวันพันปีมีที่ไหน”

   “นี่ ดร.ซือเมิ่งอิ๋ง คนจากแล็บที่เกาลูน”

   “หืม มาจากเกาลูน หรือว่ามีเรื่องด่วนอะไร แล้วนี่ทำไมเลือดเต็มไปหมด”

   “คุณกลับไปได้แล้ว ทางนี้ผมจัดการต่อเอง”

   “ค่ะ ดอกเตอร์ ขอตัวก่อนนะคะคุณนายเหมิ๋น”

   เมื่อซือเมิ่งอิ๋งออกจากห้องไป ระหว่างที่เขาเก็บกวาดสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ เขาก็เล่าเรื่องที่เพิ่งจะทดลองมาหมาด ๆ ให้แม่ของเขาฟังไปด้วย พร้อมแบมือข้างที่เขากรีดให้ดูถึงผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์

   
.........................................................................

   หวงกังโหถูกพาตัวมายังสถานีตำรวจเพื่อสอบสวนคดีทำร้ายร่างกาย เขาคิดอยู่แล้วว่า ถ้าไอ้หนุ่มตากลมนั่นไม่ตาย มันต้องจำหน้าเขาได้แน่นอน ลูกน้องของเขาเองก็สืบได้ว่า มันยังนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คงยังไม่สามารถมาชี้ตัวเขาได้ในตอนนี้

   ภายในห้องสอบสวนมีเขาและนายตำรวจอีกสองคน บนโต๊ะมีซองใสที่ใส่ยาสีฟ้าเม็ดกลมอยู่ 2 เม็ด เขาเตรียมพร้อมรับมือมาแล้ว พวกตำรวจตรงหน้าไม่สามารถทำอะไรเขาได้แน่นอน

   “หวงกังโห คนที่นายพยายามฆ่าปิดปาก เขาให้การว่านายลักลอบขายยาเสพติดและอาวุธ”

   “คุณตำรวจ ข้อกล่าวหานั่น ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะ และที่คุณว่าเขากำลังจะโดนฆ่าปิดปาก คนมันกำลังจะตาย มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ถ้าสับสนจำผิดจำถูกก็เป็นได้ไม่ใช่เหรอครับ”

   “ถ้าอย่างนั้น นายไปทำอะไรที่โรงแรม Grand Lapa Macau” นายตำรวจอีกคนถามเขา

   “ก็ไปร่วมงานระดมทุนของเยียนหวอไง หลายคนในงานเป็นพยานได้ อ่อ คุณหลิวลู่เองก็เป็นพยานให้ผมได้นะ”

   “หลิวลู่รองประธานบริษัทเยียนหวอคนนั้นอะนะ คนอย่างนายไม่น่าจะไปรู้จักกับคนระดับนั้นได้”

   “นี่คุณ อย่ามาดูถูกผมจนเกินไป ถึงผมจะเปิดผับเล็ก ไม่กี่แห่ง แต่ก็เป็นธุรกิจถูกกฎหมาย แล้วก็ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามผมขยายสาขานี่”

   “หยางผิง นายไปตรวจสอบดู”

   “ครับพี่กู่” นายตำรวจคนหนึ่งออกจากห้องไป

   “นี่ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไปคุยกับคุณหลิวเรื่องเปิดผับภายในรีสอร์ตของเขาที่เกาะเฉิ่งเจ้า และเขาเองก็สนใจโครงการของผมมากด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ลงไปเอาเอกสารที่ลานจอดรถนั่นหรอก คนที่คุณอ้างว่าผมจะฆ่าเขาคงจะเห็นหน้าผมในตอนนั้น เลยสับสนไปมากกว่า”
   
   “ฉันรู้ว่านายไปที่ลานจอดรถนั่นทำไม นายไปเพื่อแลกเปลี่ยนยากับปืน แล้วยานี่ก็เป็นของนาย ยาที่นายยัดให้เฟ่ยซานกินจนเกือบตาย” นายตำรวจคนนั้นพูดขึ้นอย่างโมโหจัด

   “ผมก็บอกแล้วว่าผมไม่ได้ทำ แล้วยานี่ มันก็ไม่ใช่ของผม”

   หวงกังโหยังคงปฏิเสธหน้าตาย เพราะไร้หลักฐาน ทำให้ผานกู่พุ่งข้ามโต๊ะมากระชากคอเขากดลงบนโต๊ะ เขาพยายามเอามือปัดป้อง แต่ด้วยท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ ทำให้เขาขยับตัวได้ไม่มากนัก ก่อนที่เขาจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้ก็มีนายตำรวจ 2 เข้าเข้ามาห้ามแล้วดึงผานกู่ออกไป

   “ผานกู่ใจเย็นๆ”

   “ใช่พี่กู่ใจเย็นก่อน เดี๋ยวเรื่องจะไปกันใหญ่”

   เขาที่เป็นอิสระมองตำรวจ 3 คนกำลังยื้อยุดกันอยู่ จึงได้แต่มองเฉย ๆ และจัดการเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เก็บกระดุมแขนเสื้อที่หลุดลงบนโต๊ะกลับมากลัดเข้าที่

   “เอาเป็นว่าผมยังใจดีไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้น และจะไม่ฟ้องพวกคุณ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องสอบสวนไปทันที ด้านหลังยังได้ยินเสียงโวยวายของนายตำรวจหนุ่มดังลั่น

.........................................................................

   บรรยากาศภายในงานเลี้ยงบนเรือเฟอร์รี่ ควรจะจบลงไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีใครยอมเลิกรา ยังคงสนุกสานกันอยู่ทั้งที่เรือกำลังจะเทียบท่าในไม่กี่นาทีข้างหน้า ซึ่งเจ้าของงานรวมไปถึงเจ้าของเรือเองก็ดูจะไม่เป็นกังวลอะไร เดินออกจากงานเพื่อเตรียมลงเรือ โดยมีลูกน้องตามหลังเป็นพรวน

   เมื่อลงจากเรือ รถ Rolls Royce Phantom Limo สีขาวมาจอดรอเขาอยู่ ลูกน้องคนหนึ่งรีบเดินนำหน้าเพื่อไปเปิดประตูให้กับเขา พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกคนที่ก้าวเข้ามานั่งภายในรถด้วย

   “เรื่องที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยดีไหม?” เขาถามคนที่นั่งรออยู่บนรถก่อนแล้ว

   “หวงกังโหมันไม่ยอมรับของของมันคืน มันขอแลกเป็นปืนกลมือ 5 กระบอก”

   “หึ มันคิดว่ายาของมันจะมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือยังไง”

   “แล้วก็มีอีกเรื่องที่นายต้องทราบ”

   “ว่ามา”

   “วันที่ผมไปส่งของ มีคนเห็นพวกเราเข้า กังโหมันเป็นคนจัดการต่อ แต่พยานรอดไปได้”

   “มันเห็นหน้าแกไหม”

   “ไม่เห็นครับ ผมหลบออกมาก่อน แต่ก็แอบซุ่มดูอยู่”

   “แกไปจัดการกังโหซะ แล้วบอกมันเป็นครั้งสุดท้ายด้วยว่า ฉันรับแต่เงินสดเท่านั้น” เขาหันมาสั่งงานคนข้างๆ ที่เป็นทั้งบอร์ดี้การ์ดและคนสนิท

   “ของล็อตใหม่จะมาถึงพร้อมกับอะไหล่ แกเตรียมโกดังกับคนไว้ให้พร้อม” เขาหันกลับมาคุยงานกับคนตรงหน้าต่อ

   “ไม่เกิน 5 วัน โกดังที่จูไห่ก็พร้อมให้ขนของเข้าครับนาย”

   “ดี”

   การพูดคุยจบลงเมื่อมาถึงที่หมาย ประตูรถเปิดออกโดยมีคนของเขาก้าวลงไปก่อน จากนั้นเขาก็ก้าวตามโดยมีลูกน้องกลุ่มใหญ่ยืนรอรับ จากนั้นรถลิโม่สีขับก็เคลื่อนตัวออกไป

.........................................................................

   ผานกู่ถูกหัวหน้าตำหนิเรื่องการสอบสวนหวงกังโห ทำให้เขาถูกถอดออกจากคดีนี้ โดยให้ทีมสืบสวน 1 คนอื่นช่วยสืบต่อร่วมกับทีมที่ 2 เหยินหยางผิงก็สาระวนอยู่กับข้อมูลในคดีที่ทำร่วมตู้เห่า

   “พี่กู่ ใจเย็นๆ เถอะ ยังไงอาเห่าเขาก็จัดการได้อยู่แล้ว พยาน หลักฐานพร้อมขนาดนั้น”

   “ดูโหงวเฮ้งก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนดี”

   “เอาน่าพี่ ยังไงมันก็เอาหลิวลู่มาเป็นพยานให้มันไม่ได้แล้ว เท่านี้ก็แค่รอให้เฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาล มาชี้ตัว มันก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว”

   “หลิวลู่ว่ายังไงบ้าง”

   “เขาบอกว่าเขาได้คุยกับหวงกังโหจริง แต่ไม่ได้สนใจโครงการของหมอนั่นมากนัก มีแต่มันเองนี่แหละที่กระตือรือร้นอยากจะเปิดผับที่เกาะเฉิ่งเจ้า เลยออกไปเอาร่างโครงการมาให้ แต่ตอนที่กลับเข้ามานั้น คุณหลิวเขาไม่ได้ให้เข้าพบ เพราะเขาอยู่กับครอบครัว หวงกังโหจึงฝากเอกสารไว้ที่ผู้ช่วย”

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหลิวก็ไม่เห็นว่าหวงกังโหกลับเขาไปในงาน และเข้าไปตอนไหน”

   “ใช้ เพราะฉะนั้นหลักฐานที่อยู่ของมันจึงใช้ไม่ได้”

   “หึ ดี ฉันอยากจับมันเข้าคุกจะแย่แล้ว”

   “ตอนแรกผมกำลังเตรียมขยายผลไปยังคดีค้าอาวุธ แต่ตอนนี้คงต้องรอให้หัวหน้าสั่งแล้วล่ะ คดีนี้ก็ถือว่าเป็นคดีใหญ่ จะผิดพลาดอีกไม่ได้”

   “ก็จริงอย่างที่ทนายว่า มาคิดแล้ว เป็นฉันเองที่ใจร้อนเกินไป”

   “ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วงเฟ่ยซาน ผมเข้าใจพี่ดี”

   “ขอบใจ หยางผิง”

   “พี่กู่ หยางผิง”

   “อ่าว จื่ออู่ หายหน้าหายตาไปหลายวันเลยนะ” เหยินหยางผิงทักคนที่เข้ามาใหม่

   “นายก็เปลี่ยนไปซุ่มดูฉินหรุยกวงแทนฉันสิ อยู่กินแต่บนรถหลาย ๆ วัน ฉันว่านายคงชอบ”

   “เอาล่ะๆ เลิกบ่นได้แล้ว ได้อะไรมาบ้าง” เขาห้ามคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะพุ่งเข้าฟัดคนตัวใหญ่กว่าอย่างเหยินหยางผิง

   “เมื่อสองวันก่อน บ้านของฉินหรุยกวงโดนขโมยขึ้น ได้ของมีค่าไปเล็กน้อย แต่ที่น่าแปลกก็คือ หลังจากมีขโมยขึ้นบ้าน ฉินหรุยกวงก็จ้างยามมารักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากเดิม”

   “แสดงว่าในบ้านนั้นต้องมีอะไรซ่อนอยู่” หยางผิงพูดขึ้นเมื่อได้ยินรายงานจากจื่ออู่

   “แล้วเรื่องขโมยของละ หัวขโมยได้อะไรไปบ้าง”

   “จากข้อมูลในคดีที่ผมไปขอดูมา” จื่ออู่เปิดสมุดจดขึ้นก่อนว่าต่อ “เด็กที่ชื่อเกาเจี๋ยกับพวกอีก 2 คน ปีนรั้วและงัดหน้าต่างที่ห้องครัวเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นก็เขาไปรื้อค้นของมีค่าภายในห้องทำงาน ได้แลปท้อปไปเครื่องหนึ่ง กับนาฬิกาข้อมือที่ฉินหรุยกวงถอดแล้วลืมทิ้งไว้”

   “เกาเจี๋ยอย่างนั้นเหรอ”

   “เด็กคนที่เพิ่งถูกจับมาเมื่อวานนี่” หยางผิงหันมาถามเขา

   “ไป ไปดูว่าถูกปล่อยตัวไปแล้วรึยัง”

   พวกเขาทั้งสามคนเดินไปยังห้องที่คุมขังกลุ่มเด็กที่ทะเลาะวิวาทกันเมื่อวานนี้ ปรากฏว่าเด็กที่เหลือถูกปล่อยตัวออกไปหมดแล้ว

   “จื่ออู่ นายรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นหลุดรอดจากคดีลักทรัพย์มาได้ยังไง?”

   “รู้สึกว่ามีคนเข้ามาประกันตัวนะ แล้วฉินหรุยกวงเองก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไร เห็นว่าเป็นเด็ก”

   “เกาอี้เป็นคนไปประกันตัวรึเปล่า” เขาถามอย่างสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ เกาเจี๋ยห้ามไม่ให้เขาบอกกับเกาอี้ เรื่องที่ถูกจับ

   “ไม่ใช่ครับพี่กู่ แล้วเกาอี้นี่เป็นใคร?”
   
   “ใครเป็นคนประกันตัวเกาเจี๋ย” เป็นจริงอย่างที่เขาคิด เกาเจี๋ยไม่ต้องการให้เกาอี้รู้

   “ไม่ทราบครับ เห็นว่าไม่เกี่ยวกับฉินหรุยกวง ผมเลยไม่ได้ใส่ใจ”

   “อาจจะเกี่ยวกันก็เป็นได้ เกาเจี๋ยคือลูกชายของโชเฟอร์แท็กซี่ ที่ฉินหรุยกวงเป็นเจ้าของ”

   “มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ” หยางผิงที่ฟังมานานออกความเห็น ซึ่งจื่ออู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

   สิ่งที่เหยินหยางผิงกับเหมี่ยนจื่ออู่คุยกันมีหลายข้อที่เขาสงสัย มันทำให้เขาเดินกลับไปยังโต๊ะเพื่อค้นประวัติของเกาเจี๋ย โดยมีทั้งสองคนตามมาด้วย พวกเขาทำงานด้วยกันมานาน จึงพอจะทันความคิดของกันและกัน ยังนั่งโต๊ะได้ไม่ทันทำอะไร กัมหงก็ร้องขึ้นหลังจากวางหูโทรศัพท์

   “มีรถบัสระเบิดอยู่ที่มาเก๊าสแควร์”

   “อีกแล้วเหรอ” หัวหน้าของเขาบ่นอย่างหัวเสีย “ไปๆ พวกนายไป รีบไปจัดการ”

   พวกเขาทั้งหมดจึงรีบไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที หลังสิ้นคำสั่งของหัวหน้า

   
To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 8 ---ll--- 28-01-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-01-2019 12:05:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 9 ---ll--- 04-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 04-02-2019 21:40:57
9




   คุณหมอบอกกับผมว่า ผมสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากผลตรวจเลือดที่เจาะไปเมื่อวานไม่พบเจอสิ่งผิดปกติอะไร ส่วนร่างกายของผมตอนนี้ ก็ลายเป็นตุ๊กแก ถึงแม้จะไม่ค่อยเจ็บปวดแล้ว แต่ร่องรอยการถูกทำร้ายก็ยังคงอยู่

   เมื่อวานตอนเย็น บ.ก. มาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล เขาไม่เชื่อคำพูดของจีเจียนที่บอกว่าผมยังไม่หายดี จึงต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง หนำซ้ำผมยังโดนตำหนิที่ไปช่วยงานจีเจียนจนตัวผมเองต้องมานอนเจ็บอยู่แบบนี้ ทำให้เสียงานเสียการอีกด้วย

   ข้อมูลที่ บ.ก. เอาให้กับผมไว้เมื่อคืนก็คือภาพถ่ายที่เกิดเหตุจากช่างภาพของสำนักข่าว รถบัสระเบิดอีกคันแล้ว ภาพรถดำเป็นตอตะโก คนโดยสารเต็มคันเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี สะเก็ดระเบิดกระเด็นไปโดนผู้ที่สัญจรไปมาบริเวณนั้นทำให้ได้รับบาดเจ็บกันไปหลายราย

   “นี่ ๆ พี่รู้ว่าพรุ่งนี้เราก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว วันนี้ยังพอได้พักก็อย่าเพิ่งเอางานขึ้นมาทำสิ” พี่ผานกู่เปิดประตูห้องเข้ามาก็ไม่วายบ่นผม

   “รถบัสรุ่นเดียวกับครั้งที่แล้วเลย พี่กู่ดูสิ” ผมทำเป็นไม่สนใจคนขี้บ่น

   “ฉันรู้แล้ว นี่ก็กำลังสืบกันอยู่ นายไม่ต้องห่วง”

   “พี่กู่ พี่ส่งรายละเอียดคดีรถแท็กซี่ให้ผมรึยัง”

   “ฉันเห็นนายนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ คิดว่าฉันจะส่งให้ไหมล่ะ”

   “โถ่พี่กู บอกพี่หยางผิงส่งเข้าอีเมลให้ผมหน่อยได้ไหม ผมมีเรื่องสงสัย”

   “นายสงสัยอะไร”

   “เอาน่า ผมยังไม่แน่ใจ พี่ช่วยผมหน่อยสิ”

   “เออๆ ไม่ต้องให้หยางผิงส่งหรอก เดี๋ยวพี่กลับไปแล้วจะรีบส่งมาให้ ตอนนี้หยางผิงไปดูที่เกิดเหตุ คดีฆ่ารัดคออยู่”

   “เจออีกศพแล้วเหรอพี่”

   “อืม”

   “แล้วเป็นยังไงบ้าง”

   “ยังไม่รู้ เมื่อเช้าตรู่วันนี้มีคนโทรมาแจ้งว่าพบศพผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกรัดคอด้วยลวดหนาม เห็นพ้องยางผิงกับจื่ออู่เลยไปตรวจสอบ”

   “แล้วหวงกังโหละพี่ จับได้ไหม”

   “คดีนี้ทีม 2 รับหน้าที่ไปดูแล ว่าแต่นายเถอะ ในหัวนี่มีแต่คดี มีแต่จะหาข่าวรึไง ร่างกายตัวเองไม่สนใจเลยใช่ไหม?” พี่กู่เอานิ้วจิ้มหนักๆ ลงมาที่หัวของผมหลาย ๆ ทีจนผมต้องปัดออก

   “ขี้บ่นอะ ว่าแต่ผมแล้วพี่กู่คนเก่ง ว่างมากหรือไงถึงได้มาเฝ้าผมแบบนี้”

   “ฉันหามานายเพราะเบาะแสที่นายให้ไว้ต่างหาก”

   “ทำไม โย่วซินหรูมีอะไรน่าสงสัยอย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่มี เธอก็ไม่รู้เรื่องอะไร”

   “งั้นข้อสันนิษฐานของผมก็ใช้ไม่ได้นะสิ”

   “ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะพี่ลองดูประวัติของเกาเจี๋ยแล้ว เกาเจี๋ยนี่นับได้ว่าเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง”

   “เด็กอายุ 14 อย่างเกาเจี๋ย เนี่ยนะเป็นผู้ต้องสงสัย”

   “ปีนี้เกาเจี๋ยอายุ 19 ย่าง 20 แล้ว และระยะหลังนี้ก็ก่อคดีมาไม่น้อย เมื่อวานจื่ออู่เพิ่งสืบได้ว่า บ้านของฉินหรุยกวงถูกขโมยขึ้นบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนคนที่ย่องเข้าไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเกาเจี๋ย”

   “เด็กอายุแค่นี้ ถ้าแค่ก่อคดีเล็กน้อยก็ว่าไปอย่าง แต่เรื่องระเบิดรถนี่จะไปทำอะไรยังไง บังเอิญเกินไปรึเปล่า”

   “ก็อาจจะใช่ ถ้าพี่ไม่ไปเจอเข้ากับอีกคดีหนึ่ง”

   “เกาเจี๋ยทำอะไร”

   “เด็กนั่นกับเพื่อนแอบเข้าไปขโมยดินปืนที่โรงงานผลิตพลุแห่งหนึ่ง”

   “เด็กอย่างเกาเจี๋ย ไม่มีทางที่จะทำคนเดียวได้แน่ๆ”

   “ใช่ เขาน่าจะมีผู้สมรู้ร่วมคิด คราวที่เข้าไปขโมยของที่บ้านฉินหรุยกวง ก็มีคนไปประกันตัวเด็กคนนี้ออกมา จื่ออู่ที่ไม่รู้ว่าเกาเจียเป็นลูกของโชเฟอร์แท็กซี่ เลยไม่ได้ใส่ใจเก็บข้อมูลไว้”

   “พี่สงสัยว่าคนที่เข้าไปประกันตัว น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างนั้นเหรอ”

   “ก็มีทางเป็นไปได้อยู่ แล้วที่พี่สงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ ทำไมฉินหรุยกวงถึงไม่เอาผิดกับเกาเจี๋ย แล้วยังจ้างยามเพื่อมารักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น”

   “เป็นไปได้ไหมว่า ฉินหรุยกวงจะรู้จักกับเกาเจี๋ย”

   “พี่คงต้องตามตัวเกาเจี๋ยมาสอบสวนดูอีกที นี่พี่แวะมาหาเราก่อนค่อยเข้าสถานี”

   “พี่กู่ ช่วยตรวจสอบให้หน่อยว่ารถแท็กซี่นั่นใช่ทะเบียนนี้ไหม?”

   “38-04? นายรู้ได้ยังไง”

   “เป็นทะเบียนเดียวกันจริง ๆ ด้วย”

   “นายเจออะไร”

   “นี่คือรูปรถบัสที่ระเบิดเมื่อวาน บ.ก. เอามาให้ผม” ผมยื่นภาพให้เขาดู

   “นายให้ดูอะไร”

   “ทะเบียนรถ”

   “MM 38-04”

   “แล้วนี่ รถบัสที่ระเบิดครั้งก่อน”

   “MC 38-04”

   “นี่มัน”

   “ใช่ สองคดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกันแน่นอน”

   “ดีละ พี่จะรีบกลับไปที่สถานี แล้วรายงานให้หัวหน้าทราบ ขอบใจมากนะเฟ่ยซาน”

   พี่กู่เอามือหนามาโยกหัวผมไปมาเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ จนผมต้องปัดออกเหมือนทุกที เขาไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป

.........................................................................

   ไหว่ยี่ทำกับเขาได้เจ็บแสบจริง ๆ ไม่คิดว่านอกจากเลิกทำการค้ากันแล้วยังเล่นงานเขาอีก หวงเห็นพ้องโหได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ หลังจากที่เขากลับจากสถานีตำรวจ เขาก็พอจะรู้ว่าตำรวจพวกนั้นไม่เชื่อสิ่งที่เขาให้หารเลยสักนิด สังเกตได้จากการที่แอบส่งคนติดตามเขาอยู่ห่าง ๆ ซึ่งเขาก็ระวังตัวเป็นอย่างดี แต่ไม่คิดไม่ถึงว่าคนของไหว่ยี่จะแอบเอายาที่เขาเสนอให้มาซุกไว้ตามผับของเขา

   ที่เขารู้ว่าเป็นฝีมือของไหว่ยี่ เพราะตำรวจบุกเขามาค้นผับของเขาในคราวเดียวกันทุกที่ พวกมันยังจ้างคนใครบางคนมาแสดงเป็นผู้ขาย ให้ตำรวจล่อซื้อได้ง่าย ๆ อีก ทำทีเป็นลูกน้องที่ซัดทอดมาถึงเจ้าของผับ จนตำรวจรวบได้ทั้งหลักฐาน พยาน จนเขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน อยู่อย่างนี้

   หวงกังโหเข้ามาหลบอยู่ในสำนักงานร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหลายครั้งที่เขาใช้สถานที่นี้เป็นที่นัดส่งยา แต่ไม่ใช่กับไหว่ยี่ ลูกน้องสองสามคนที่เขาส่งไปทำงาน ก็ยังไม่กลับมา ส่วนอีกคนที่เหลือเขาใช้ให้มันออกไปซื้ออาหารก็ยังไม่กลับมาสักที ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาจึงหาที่หลบก่อน ตอนนี้เขาไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น

   เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามานั้นเชื่องช้าแต่ก็หนักแน่น คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่คนของเขาแน่ๆ ทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แล้วคอยดูสถานการณ์ไปก่อน เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เขาทุกที ๆ แล้วก็หยุด ก่อนจะออกห่างไป เจ้าของเสียงฝีเท้านั่นเดินวนไปมา ทำให้เขาเดาได้ว่ามันคงมาคนเดียว จึงอาศัยจังหวะที่มันเดินเข้ามาใกล้ ๆ หวังจะเอาปืนขู่มัน

   ด้วยความรวดเร็วหวงกังโหตัดสินใจพุ่งเข้าไปยังบุคคลตรงหน้า ชายคนนั้นเห็นเขาแล้วแต่ก็ไม่มีท่าทีจะตกใจกับปืนที่จออยู่บนขมับ สายตาที่มองมาเย็นชา ไร้ความวูบไหว ราวกับชายคนนี้ไม่ใช่คน เขาได้แต่จ้องตาคนตรงหน้าตัวแข็งทื่อ

   “นะ นายเป็นใคร”

   เขาถาม แต่คนตรงหน้ากลับไม่ตอบ เพียงแต่ใช้มือข้างหนึ่งเบนปลายกระบอกปืนที่เขาจอไว้ที่ขมับไปทางอื่น ด้วยความกลัวเขาจึงลั่นไกไปหนึ่งนัด เฉียดใบหน้าชายคนนั้นไป แต่คนตรงหน้าก็ยังมีสีหน้านิ่งสนิทราวกับปีศาจ

   “เจ้านายฝากมาบอกว่า เขารับเฉพาะเงินสดเท่านั้น”

   นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่สติจะดับวูบไป

.........................................................................

   ฉินหรุยกวงอ่านข่าวรถบัสระเบิดแล้วทำให้รู้สึกสงสัย มันไม่ควรจะบังเอิญขนาดนี้ รถที่เขาเป็นคนนำเข้ามาระเบิดไปแล้วสองคัน ในข่าวบอกว่าน้ำมันรั่ว เวลาและสถานที่ระเบิดก็ใกล้เคียงกัน เขาซึ่งกำลังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

   “เข้ามา” เลขาของเขาเดินเข้ามา

   “คุณฉินค่ะ มีนักข่าวโทรเข้ามาขอสัมภาษณ์ค่ะ”

   “เขาบอกไหมว่าเรื่องอะไร”

   “เรื่องรถบัสรุ่นที่บริษัทฯ นำเข้าเมื่อสามปีก่อนค่ะ”

   “เขานัดเมื่อไร”

   “พรุ่งนี้ บ่ายโมงตรงค่ะ”

   “ได้ ตอบตกลงไป”

   “รับทราบค่ะ คุณฉิน”

   ฉินหรุยกวงเห็นว่าเป็นการดีหากรีบให้สัมภาษณ์ และใช้ข่าวนี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการเรียกรถรุ่นนี้ทั้งหมดมาตรวจสอบและซ่อมบำรุง อย่างไรแล้วเขาก็ผูกขาดอะไหล่อยู่เพียงผู้เดียว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างแต่งตัวเป็นทางการ เพื่อออกไปส่งมอบกล่องสำริดให้กับทางพิพิธภัณฑ์ โดยมีคนของเตี๋ยมาคอยคุ้มกัน เพราะหลังจากที่เขาเผยแพร่บทความพร้อมรูปภาพไป ก็มีนักโบราณคดีหลายคนเริ่มประเมินราคาสิ่งของชิ้นนี้ บางคนตีมูลค่าสูงถึง 40 ล้านดอลล่าเลยทีเดียว

   เมื่อเขาลงลิฟต์มาก็เห็นชายในชุดสูทสีดำจำนวนหนึ่งยืนรอเขาอยู่ มีคนหนึ่งเดินเข้ามารับกระเป๋าจากเขาโดยคล้องกุญแจมือเข้าตัวเองติดกับกระเป๋าไว้ เขาเดินนำคนเหล่านั้นไปที่รถ คนที่ถือของก็เดินตามไม่ห่าง ไม่บ่อยนักที่เขาจะขุดค้นพบโบราณวัตถุที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้ แต่ก็ใช่ว่าการส่งมอบของลักษณะนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

   เมื่อเดินทางมาถึงพิพิธภัณฑ์ ก็มีคนจำนวนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงนักข่าวที่มาทำข่าวนี้ด้วย หนึ่งในนั้นเขาเห็นโฮวจีเจียน เพื่อนร่วมงานของหนานเฟ่ยซาน

   “ดอกเตอร์ เชิญทางนี้” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งนำเขาเข้าไปยังห้องประชุม คนของเขาส่วนหนึ่งช่วยกันนักข่าว ส่วนหนึ่งตามเขาไป

   เมื่อถึงห้องประชุมมีเพียงเขาและคนที่ช่วยถือของเท่านั้นที่ตามเข้าไป ส่วนคนอื่น ๆ เฝ้าอยู่หน้าห้อง โดยห้องนี้เป็นห้องกระจกด้านหนึ่ง ทำให้นักข่าวสามารถถ่ายภาพได้จากด้านนอก และมีการถ่ายทอดเรื่องที่เขาจะบรรยายให้นักข่าวร่วมฟังได้ในบริเวณที่พิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้

   เขาใช้เวลาบรรยายถึงกล่องสำริดทรงแปดเหลี่ยม และขวดสำริดที่ฝังอยู่ด้านในเป็นเวลาประมาณ 45 นาที ก่อนที่จะส่งมอบวัตถุโบราณชิ้นนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้น พวกเขาก็ถ่ายรูปร่วมกันบริเวณหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นการยืนยันการส่งมอบ ก็ถือว่าจบหน้าที่ของเขา

   หลังจากทุกอย่างจบลง นักข่าวก็เขามารุมสัมภาษณ์เขาทันที คนของเขาเข้ามากันพวกนักข่าวเอาไว้ อีกส่วนก็ไปนำรถมารับเขา

   “ดอกเตอร์ครับ ผมขอเวลาแค่แป๊บเดียว” มีนักข่าวคนหนึ่งหลุดมาได้ แต่ก็โดนคนของเขาดึงไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัวเขา

   “ผม โฮวจีเจียน เพื่อนของหนานเฟ่ยซานยังไงละครับ” เขาที่ไม่ได้สนใจเสียงที่รั้งเขาเอาไว้ กลับก้าวขึ้นรถหลังจากคนของเขาเปิดประตูให้

   “เดี๋ยวก่อนสิครับดอกเตอร์” โฮวจีเจียนยังคงตะโกนไล่หลังเขามา พร้อมกับนักข่าวคนอื่น ๆ ที่เริ่มวิ่งตามรถเขา

   “กลับไปที่โรงแรมเลยไหมครับดอกเตอร์”

   “ไม่ละ ไปบ้านตระกูลฝู่”

   เขาบอกกับคนขับรถ ตอนนี้คงมีแต่บ้านตระกูลฝู่เท่านั้นที่พอจะให้เขาหลบนักข่าวได้ อย่างน้อยก็แค่วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะได้เดินทางกลับเกาลูนสักที

   “หนานเฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาลวันนี้ใช่ไหม?” เขาก็ถามถึงคนที่มักจะว่าเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง กับคนที่นั่งอยู่ข้างคนขับ

   “ครับดอกเตอร์”

   “เตี๋ยยังให้คนคอยตามเขาอยู่?”

   “ครับ ทั้งติดตามและคุ้มกัน เพราะสถานการณ์ของคุณหนานไม่ค่อยจะดีเท่าไร”

   “ทำไม”

   “ผู้ต้องหาที่ทำร้ายคุณหนานหนีการจับกุมของตำรวจไปได้ คุณฝู่เกรงว่าคุณหนานจะโดนทำร้าย”

   “อืม”

   หนานเฟ่ยซานหากโดนทำร้าย ร่างกายก็จะหายจากอาการบาดเจ็บได้ช้า หรือจะพูดได้ว่า ถ้าต้องการเลือดในการรักษาก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ยาวนานกว่าคนธรรมดา เจ้าตัวที่ไม่รู้ว่าเลือดของตัวเองมีค่ามากมายขนาดไหน หวังว่าคงจะไม่ไปรนหาที่อย่างครั้งก่อนอีกนะ

.........................................................................

   หลังจากที่ผานกู่รวบรวมข้อมูลคดีระเบิดรถบัส พร้อมสรุปข้อสันนิษฐานให้กับหัวหน้าฟังแล้ว คนในทีมก็เห็นพ้องกันว่า คดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีรถแท็กซี่ระเบิดเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนี้เกาเจี๋ยถือเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง และทางทีมต้องสืบหาผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคน เพราะดูจากอายุและความสามารถของเกาเจี๋ยแล้ว เด็กคนนี้ไม่น่าจะทำเรื่องนี้คนเดียว

   “พี่กู่ คิดอะไรอยู่เหรอพี่?” กัมหงถามเขาขณะเดินเข้ามาในห้อง

   “ฉันติดใจเรื่องฉินหรุยกวง” กัมหงมองไปยังกระดาษที่พวกเขานำข้อมูลขึ้นไปติดไว้บนกระดาน

   “ฉินหรุยกวงเคยเป็นเจ้าของบริษัทรถแท็กซี่ เป็นคนนำเข้ารถบัสรุ่นที่เกิดระเบิด มันก็แน่อยู่แล้วที่เกาเจี๋ยจะทำไปเพื่อแก้แค้น”

   “แล้วทำไมเกาเจี๋ยถึงต้องแก้แค้นฉินหรุยกวงละ?”

   “อืม นั่นสิ คดีรถแท็กซี่ระเบิดนั่นก็เป็นอุบัติเหตุ หรือว่าเกาเจี๋ยไปเจออะไรในบ้านของฉินหรุยกวงเข้า”

   “นั่นแหละที่ฉันติดใจ แต่มันก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ เกาเจี๋ยเข้าไปบ้านของฉินหรุยกวงหลังจากรถบัสระเบิด ถ้าเกาเจี๋ยระแคะระคายอะไรจริง ๆ ก็ต้องเข้าไปขโมยก่อนที่จะลงมือทำอะไรสิ”

   “เป็นไปได้ไหมพี่กู่ ว่าคนที่รู้เรื่องของฉินหรุยกวงอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่เราหาอยู่ ส่วนเกาเจี๋ยที่ใจร้อนเกินไป เลยเข้าไปเพื่อหาอะไรบางอย่าง”

   “เรารู้แค่ว่า แรงจูงใจที่ทำให้เกาเจี๋ยก่อคดีมาจากการแก้แค้น แต่ไม่รู้ทำไม และฉินหรุยกวงซ่อนอะไรไว้”

   “รอจื่ออู่มา เราคงรู้ว่าคนที่ไปประกันตัวเกาเจี๋ยออกมาเป็นใคร”

   “แล้วคดีฆ่ารัดคอเป็นยังไง ระบุตัวตนของเหยื่อได้รึยัง”

   “ยังเลยพี่ เหยื่อรายที่ 4 นี้ไม่มีของอะไรที่จะระบุตัวตนได้เลย พี่เห่ากำลังเทียบกับคดีแจ้งความคนหายอยู่”

   “หวงกังโหก็ดันมาหนีไปได้อีก”

   “ตอนนี้พวกเราออกหมายจับหวงกับโหไปแล้ว ยังไงมันก็หนีไปไม่รอด อย่างน้อยจบไปได้อีกหนึ่งคดี ค่อยหายใจหายคอได้คล่องหน่อย”

   “จบที่ไหนกัน หวงกังโหเป็นเพียงเบาะแสที่จะพาเราไปสู่แก๊งค้าอาวุธนะ การที่มันหายไป ทำให้คดีมันค้างต่างหาก”

   “ขอโทษครับพี่กู่”

   “ช่างเถอะ นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ” เขาเห็นกัมหงเดินไปยังกระดานที่ติดข้อมูลคดีฆ่ารัดคอ ก่อนติดภาพเหยื่อรายที่สี่ไว้บนนั้น

.........................................................................

   ตั้งแต่หนานเฟ่ยซานออกจากโรงพยาบาลมา ก็ไปทำข่าวเรื่องรถบัสทันที เพราะได้เบาะแสใหม่จากตำรวจอย่างผานกู่ โฮวจีเจียนที่ตั้งใจมาดักรอเฟ่ยซานตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเข้างาน เป็นอันต้องคลาดกันไปจนได้

   ซึ่งวันนี้ หนานเฟ่ยซานไม่เข้าสำนักงานในตอนเช้าอีกแล้ว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองไปก็อดหัวเสียไม่ได้ แทนที่เฟ่ยซานจะไปขอสัมภาษณ์สองสามีภรรยาแซ่ฝู่ก่อน กลับเลือกไปสัภาษณ์คนแซ่ฉินที่มีแค่บริษัทนำอะไหล่รถยนต์เล็ก ๆ เจ้าหนึ่งเท่านั้น

   เขาหยิบนามบัตรของฝู่เถิงออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน นามบัตรใบนี้เขาได้มาจากเฟ่ยซานตั้งแต่อยู่ที่โรงพยายาล เขาโทรไปหาเจ้าของหมายเลขเพียงครั้งเดียว และยังถูกปฏิเสธกลับมาอีก จะตามขอสัมภาษณ์ ดร. เหมิ๋น รายนั้นยิ่งยากใหญ่ เพราะหลังจากที่เขาเจอ ดร. ที่พิพิธภัณฑ์เมื่อวันก่อน มารู้อีกที ดร. เหมิ๋นก็กลับเกาลูนไปเรียบร้อยแล้ว

   “น้องหนาน นายอยู่ไหนแล้วเนี่ย” เขากดโทรศัพท์หาคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้เสมอ

   ‘จีเจียนเหรอ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกคุย แค่นี้ก่อนนะ’ เขาไม่ได้คำตอบอะไรจากคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ก็โดนทางนั้นตัดสายทิ้งไป

   “นายวางหูใส่ฉันเองนะหนานเฟ่ยซาน” เขาพูดใส่โทรศัพท์อย่างเข่นเขี้ยว ก่อนจะกดตัวเลขบนนามบัตรลงไปบนโทรศัพท์

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 10 ---ll--- 11-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 11-02-2019 10:57:23
10




   บทความที่ผมรวบรวมข้อมูลมา จะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายวันนี้ ซึ่งเรื่องราวที่ผมไปสัมภาษณ์ฉินหรุยกวงมานั้น บ.ก. ให้ความแนะนำว่า คนทั่วไปยังไม่เห็นถึงจุดเชื่อมโยงของคดี หากลงข่าวไปตรง ๆ อาจจะส่งผลให้เสียรูปคดีและสำนักงานอาจจะโดนฟ้องได้

   พอผมได้ข้อมูลมา บ.ก. ก็สั่งให้จีเจียนเขียนบทความเชิงธุรกิจแทน ผมรู้ว่าจีเจียนโดน บ.ก. ลงโทษโดยการให้เขียนข่าวอยู่ที่สำนักงาน ไม่ให้ออกไปข้างนอก ข่าวที่เขียนส่วนใหญ่ คนอื่นก็หามาทั้งนั้น ดังนั้นจีเจียนจึงแทบไม่มีผลงานอะไรเลยในช่วงนี้

   ผมที่กำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลของคดีรถบัสระเบิดกับพี่กู่ เลยไม่อยากคุยกับจีเจียน

   “นายคุยกับจีเจียนก่อนก็ได้ ทางนี้ก็ไม่มีอะไรเร่งด่วน”

   “จีเจียนคงกำลังโกรธผมอยู่ เลยอยากให้เขาอารมณ์ดีขึ้นก่อนค่อยคุยกัน”

   “คนอย่างจีเจียนเนี่ยนะ จะโกรธนาย มีแต่จะขอความช่วยเหลือจากนายละสิไม่ว่า”

   “คงไม่แล้วมั้งพี่กู่ ก็ตอนนี้จีเจียนถูก บ.ก. แช่แข็งให้อยู่แต่ในสำนักงาน ไม่ให้ออกไปหาข่าวที่ไหน”

   “ส่วนหนึ่งก็เพราะนายนั่นแหละเฟ่ยซาน นายมันใจอ่อนกับจีเจียนเกินไป จนเขาเคยตัวไปแล้ว”

   “นี่ถ้าเฟ่ยซานเชื่อพี่เหยินคนนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่เหนื่อยมากขนาดนี้หรอก” พี่หยางผิงที่เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรนั้น ผมไม่ทันสังเกต พูดแทรกขึ้นมา

   “ที่ให้ผมเลิกคบกับจีเจียนอะนะ เป็นคำแนะนำที่ดีมาก” เขาอดพูดประชดประชันไม่ได้

   “เอาละๆ พอเลยทั้งสองคน มาดูข้อมูลในคดีกันต่อดีกว่า” พี่กู่รีบห้ามก่อนที่จะออกนอกเรื่องไปมากกว่านี้

   “หึ น้องหนานหันมาสนใจเราหน่อยไม่ได้เลยนะ ต้องรีบขัด”

   “พี่หยางผิงว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ถนัด”

   “ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่บ่นเรื่องงานกับพี่กู่นิดหน่อยนะ”

   “อ่อ แต่ช่วงนี้ ที่สถานีเจอแต่คดีใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ไม่แปลกหรอกที่พวกพี่จะเหนื่อยกัน”

   “ถ้าคดีนี้ปิดได้เร็ว ๆ นี้ก็คงจะดี”

   “ทางด้านเกาเจี๋ยเป็นยังไงบ้าง ได้เรื่องอะไรไหม พี่หยางผิง”

   “ทางนั้นก็ปฏิเสธไม่รู้เรื่อง ทั้งคดีเมื่อ 5 ปีก่อน และเรื่องระเบิดรถบัส”

   “ตอนนี้ฉินหรุยกวงใช้เรื่องรถบัสระเบิดมาหาผลประโยชน์ โดยการเรียกรถทุกคันเข้ามาตรวจสภาพที่ศูนย์ฯ ของเขา” ผมบอกข้อมูลที่เพิ่งสัมภาษณ์มา ให้กับนายตำรวจทั้งสอง

   “ทางบริษัทฯ ที่รับสัมปทานมาก็ต้องส่งรถไปให้มันตรวจสภาพสินะ ในเมื่อทางตำรวจให้ข่าวไปว่าสาเหตุของอุบัติเหตุมาจากน้ำมันรั่ว”

   “ผมลองถามเรื่องเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ครั้งที่เปิดบริษัทแท็กซี่ ฉินหรุยกวงก็เรียกตรวจแท็กซี่ทุกคันหลังจากคดีระเบิดสิ้นสุดลง แต่หลังจากนั้นสามเดือน ก็ขาดทุนเพราะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องขายบริษัทฯ”

   “ไม่น่าจะใช่นะเฟ่ยซาน นายดูนี่ก่อน” พี่หยางผิงที่ช่วยพี่กู่ค้นคดีเก่าเอาข้อมูลการเงินมาให้ผมดู

   “ฉินหรุยกวงได้กำไรจากการนำเข้าอะไหล่รถแท็กซี่มาจำนวนไม่น้อยเลยนะ” พี่กู่ดูตัวเลขรายละเอียดที่พี่หยางผิงกางไว้บนโต๊ะ

   “เป็นไปได้ไหมว่าผมอาจจะเข้าใจผิด ถ้านี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อหาผลประโยชน์ละ”

   “ถึงจะเป็นไปได้ เพราะฉินหรุยกวงได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ แต่ทำไมเขาต้องทำร้ายคนตั้งมากมายขนาดนั้น”

   “มาอยู่ในห้องนี้กันนี่เอง” เหมียนจื่ออู่เปิดประตูห้องประชุมเข้ามา “เฟ่ยซานนายก็อยู่ด้วยเหรอ”

   “อืม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะจื่ออู่”

   “อือ หายดีแล้วเหรอ ได้ข่าวว่านายเข้าโรงพยาบาล โทษทีนะที่ฉันไม่ได้ไปเยี่ยม”

   “ไม่เป็นไร ๆ ว่าแต่นายตามหาพวกเราทำไม”

   “ถามแบบนี้แสดงว่าคดีนี้นายก็มีเอี่ยวด้วยสินะ”
   
   “อือ”

   “คนที่ไปประกันตัวเกาเจี๋ยในคดีย่องเบาบ้านฉินหรุยกวงคือเลขาของฉินหรุยกวงเองครับพี่กู่ ผมติดต่อเธอไปแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกัน เพราะหรุยกวงใช้งานเธอเยอะมาก เธอเลยยังไม่ค่อยว่าง”

   “วนกลับมาที่ฉินหรุยกวงอีกแล้วสินะ” พี่หยางผิงพูดขึ้นมาอย่างคนคิดไม่ตก

   “ผมว่า ไม่ลองถามเกาเจี๋ยก่อนละ เด็กนั่นอาจจะไม่รู้จักฉินหรุยกวงจริง ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลขาของเขานี่ อย่างคราวที่ฉินหรุยกวงเอาเงินไปให้โหว่ซินหรู เขายังให้ทนายออกหน้าเลยไม่ใช่เหรอ”

   “เฟ่ยซานพูดมาก็มีเหตุผล เราก็ลองถามเกาเจี๋ยอีกที หลังจากนั้นค่อยไปถามฉินหรุยกวง”

   ทุกคนในห้องต่างพยักหน้ารับ จื่ออู่เดินออกไปก่อน ส่วนพี่หยางผิงกำลังรวบรวมเอกสารของคิดที่วางอยู่เกลื่อนโต๊ะ ผมเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ผมพอจะทำได้ จึงเดินออกจากห้องมา

   “เฟ่ยซาน แล้วนี่นายจะไปไหนต่อ”

   “คงกลับเข้าสำนักงานครับพี่กู่”

   “อืม กลับดีๆ ละ”

   “พี่ไม่ต้องห่วงเหรอ พี่ชุนจัดคนคอยประกบผมอยู่”

   ผมออกจากสถานีก็ตรงกลับไปยังสำนักงานทันที โดยมีรถคันหนึ่งขับตามมา ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ไว้ใจเพราะหวงกังโหยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง และผมที่จำหน้าเขาได้ เขาคงไม่ปล่อยผมไปแน่ ๆ

.........................................................................

   สองสามวันมานี้ เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่ขลุกตัวอยู่ที่ห้องทำงานของซือเมิ่งอิ๋งในแล็บ เขาไม่มีความสามารถในการทดลองหรือวิจัยสารสกัดจากน้ำตากิเลน แต่ก็ยังคงเฝ้าดูลูกทีมของเขาอยู่ไม่ห่าง

   แล็บแห่งนี้เพิ่งจะถูกเขาซื้อเมื่อไม่กี่ปีก่อน เพื่อเป็นที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับน้ำตากิเลนโดยเฉพาะ นักเคมีทุกคนที่เขาจ้างมาทำงานในแล็บส่วนนี้ ซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้น เขาเป็นคนสัมภาษณ์และรับเข้าทำงานที่นี่ด้วยตนเอง ส่วนคนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว เขาจะไม่เข้าไปยุ่มย่าม ปล่อยให้แต่ละคนทำงานตามหน้าที่ของตนเองไป

   “ดร. ค่ะ ฝ่ายบัญชีและฝ่ายทรัพยากรบุคคลถามว่าจะให้เอารายงานประจำปีไปวางไว้ที่โต๊ะทำงาน หรือจะให้เอามาให้ที่แล็บนี้ค่ะ?” ซือเมิ่งอิ๋งเปิดประตูกระจกและเพียงยื่นหน้าเข้ามาถามเขาเท่านั้น

   “รายงานประจำปีอย่างนั้นเหรอ ยังไม่ถึงเวลาเลยนี่”

   “ก็คุณมาเฝ้าอยู่ที่นี่หลายวันติดกันแบบนี้ แผนกอื่นเขาก็ต้องแตกตื่นอย่างนี้แหละค่ะ ว่าไงคะ”

   “ถ้าเข้าพร้อมก็ให้เอาไปไว้ที่ห้องทำงาน เดี๋ยวผมออกไปดู” เมิ่งอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ปิดประตูลงตามเดิม เขาจึงเก็บเอกสารบนโต๊ะลงลิ้นชักไว้ เพื่อเตรียมกลับไปห้องทำงานของตนเอง ยังไม่ทันผลักประตูออกไป เตี๋ยของเขาก็โทรมา

   “ครับเตี๋ย”

   “มะรืนนี้ เตี๋ยจะให้หนานเฟ่ยซานเข้ามาสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศที่ติดกับโกดังแถวจู่ไห่ นายจะแวะมาไหม?”

   “ทำไมครับ หนานเฟ่ยซานมาขอร้องให้เตี๋ยกล่อมผมเรื่องสัมภาษณ์เกี่ยวกับกล่องสำริดอย่างนั้นเหรอครับ”

   “ไม่ใช่หรอก เตี๋ยยังไม่ได้คุยกับเขาเลย”

   “แล้วเตี๋ยนัดกับเขาได้ยังไง”

   “นี่สิที่เตี๋ยว่าแปลก เพราะคนที่โทรเข้ามานัด ชื่อโฮวจีเจียน เขาว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกับหนานเฟ่ยซาน”

   “ครับ คนนี้ผมเคยเจอที่โรงพยาบาล”

   “อืม เขาโทรมานัดและจะเป็นคนสัมภาษณ์เตี๋ยกับอี้ ส่วนหนานเฟ่ยซานจะเป็นผู้ช่วยของเขา เพราะเฟ่ยซานไม่มีประสบการณ์ในงานข่าวเศรษฐกิจ แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ คนของเตี๋ยรายงานว่า หนานเฟ่ยซานคนนี้วิ่งทำข่าวเกี่ยวกับรถบัสระเบิดอยู่”

   “ผมก็พอเห็นข่าวอยู่ รู้สึกว่าจะสองคันแล้วใช่ไหมครับที่ระเบิด”

   “หนานเฟ่ยซานน่าจะเห็นอะไรในคดีนี้เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นจะวิ่งวุ่นสืบทำไม ในเมื่อตำรวจเองก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ”

   “เตี๋ยเชื่อเหรอครับว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

   “ถ้าครั้งแรกก็เชื่ออยู่หรอก แต่มีครั้งที่สองนี่สิ ไม่น่าจะใช่แล้วละ”

   “หนานเฟ่ยซานนี่ช่างรนหาที่แท้ๆ”

   “หนานเฟ่ยซานสนใจแต่คดีรถบัส เตี๋ยเลยเห็นว่า โฮวจีเจียนคนนี้ น่าจะนัดเข้ามาโดยพลการ ไม่ได้ปรึกษาหนานเฟ่ยซาน”

   “แต่เตี๋ยก็ตอบตกลงเขาไปแล้วนี่ครับ”

   “วันมะรืนนี้หากนายมาได้ เตี๋ยก็จะทำหน้าที่ของเตี๋ย ส่วนหยวนฮ่าง ถ้ามีโอกาสก็คอยจับตาดูหนานเฟ่ยซานไว้ เตี๋ยว่าคนอย่างโฮวจีเจียนไม่น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีนัก ถ้าเขารู้เรื่องของหนานเฟ่ยซานอย่างที่เรารู้ เตี๋ยว่ามันจะไม่เป็นผลดีกับเฟ่ยซาน”

   “ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมจะไป แต่เตี๋ยครับ เรากันเรื่องพวกนี้ออกจากหนานเฟ่ยซานไม่ได้หรอกนะครับ”

   “ถ้าอย่างนั้นหลานคงต้องหาวิธีอธิบายให้หนานเฟ่ยซานรับรู้ เขาจะได้คอยระวังตัวเองให้มากขึ้น”

   “ครับ ผมจะหาทางคุยกับเขาเอง”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินออกจากห้องทำงานของซือเมิ่งอิ่ง ตรงไปยังห้องทำงานของเขา ซึ่งเมื่อไปถึงก็พบกับกองแฟ้มต่าง ๆ วางเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ เขามีเวลาไม่มาก ดังนั้นเขาจึงต้องรีบดูงานในส่วนของทรัพยากรบุคคลก่อน

.........................................................................

   ผานกู่กำลังนั่งเผชิญหน้าอยู่กับเกาเจี๋ย ภายในห้องสอบสวน ในมือก็ถือรายละเอียดของคดีต่าง ๆ ที่เด็กตรงหน้าได้ก่อเอาไว้ ซึ่งดูจากคดีทั้งหมด เกาเจี๋ยมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีก 2 คน คือ เจียวหยง กับฉูเป่าฮุย และคดีที่พวกนั้นเข้าไปขโมยของที่บ้านของฉินหรุยกวงนั้น เด็กทั้งสองก็ได้เลขาฉินหรุยกวงช่วยประกันตัวให้

   “คุณตำรวจ คุณจะถามผมกี่ครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม”

   “งั้นฉันถามใหม่ ทำไมเลขาของฉินหรุยกวงถึงมาประกันตัวนายกับเพื่อน ๆ ในตอนที่นายไปขโมยของที่บ้านเขา”

   “พี่สาวมาเกี่ยวอะไรด้วย”

   “พี่สาวอย่างนั้นเหรอ” เกาเจี๋ยก้มหน้าเหมือนไม่อยากจะเล่าต่อ

   “ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่สาวรู้ได้ยังไงว่าผมโดนจับ”

   “นายบอกว่าเลขาของฉินหรุยกวงเป็นพี่สาว พี่สาวที่ไหน รู้จักกันมาก่อนรึยังไง”

   “พี่สาวไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมทำ ไอ้ดินปืนนั่นก็แค่จะเอาไปขู่ไอ้พวกที่ชอบหาเรื่องผม”

   “แสดงว่านายรู้จักพี่สาวของนายมาก่อน”

   “ก็แค่บังเอิญเจอกัน แล้วเห็นหน้ากันบ่อยๆ”

   “แค่บังเอิญเจอกัน แล้วทำไมเธอถึงมาประกันตัวให้นายกับเพื่อน”

   “ผมไม่รู้ เธอแค่ทักทายผมบ้าง แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย”

   “เธอเป็นเลขาของฉินหรุยกวง”

   “ผมไม่รู้ ชื่อยังไม่รู้จักเลย ก็บอกไปแล้วว่าแค่บังเอิญขึ้นรถบัสคันเดียวกันบ่อย ๆ เท่านั้น”

   “นายจะบอกว่านายไม่รู้จักชื่อเธออย่างนั้นเหรอ?”

   “ไม่รู้ เคยคิดจะลองถามดู แต่เวลาเจอกันบนรถ มันไม่มีโอกาสได้คุยสักที”

   “แล้วตอนที่เธอมาประกันตัวนาย นายไม่ได้พูดคุยกับเธออย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนประกันตัวพวกเราออกมา”

   “นายไม่รู้ว่าเธอมาประกันตัว?”

   “ใช่ ก็อย่างที่เคยบอก ว่ามันก็เหมือน ๆ กับทุกทีที่โดนขัง พอวันรุ่งขึ้นตำรวจก็ปล่อยตัวพวกเราออกมา”

   “นายไม่ได้ออกมาทันทีหลังจากที่ได้รับการประกันตัว แต่ออกมาในเช้าวันถัดไป”

   “อืม”

   “แล้วทำไมนายถึงรู้ว่าเลขาของฉินหรุยกวงเป็นคนคนเดียวกับพี่สาวที่นายรู้จัก ในเมื่อนายไม่รู้ว่ามีการประกันตัว”

   “ผม...”

   “นายปิดบังอะไรอยู่”

   “ผมบังเอิญเจอพี่สาว ตอนที่เธอออกจากบ้านหลังนั้น ผมไปดูลาดเลาเลยได้ยินเธอเรียกเจ้าของบ้านว่าเจ้านาย”

   “นายเจอเธอตั้งแต่เมื่อไร”

   “ราวสองปีก่อน ตอนที่กู๋ย้ายบ้านมาที่เขตนี้ ผมที่ต้องนั่งรถบัสไปเรียน เลยเจอเธอทุกเช้า”

   สิ่งที่ผานกู่ได้ยินนั้นทำให้เขายิ่งงงไปกันใหญ่ กุญแจสำคัญคงจะอยู่ที่เลขาของฉินหรุยกวง แต่ยิ่งสืบกลับทำให้ยิ่งห่างไกลจากมือระเบิด หรือเขาจะมาผิดทางจริง

.........................................................................

   ภายในห้องแคนทีน มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพักดื่มกาแฟยามบ่าย ต่างกำลังพูดคุยถึงหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ Jornal Tribuna de Macau กันอยู่ จนคนที่เข้ามาใหม่ต้องหันมอง ก่อนที่จะกลับไปสนใจชงเครื่องดื่มตรงหน้า

   “ฉันไม่คิดว่าเจ้านายของเราจะฉวยโอกาสแบบนี้” หญิงคนหนึ่งพับหนังสือพิมพ์เก็บไว้บนโต๊ะ ก่อนจะมาสนใจแล้วกาแฟตรงหน้าที่เริ่มจะเย็นชืด

   “สิ้นปีนี้เราคงได้โบนัสกันถ้วนหน้า” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้นอย่างดีใจ

   “ใช่สิ รถบัสตั้งหลายร้อยคัน แค่ได้เปลี่ยนอะไหล่สัก 20 % ก็กำไรเท่าไรแล้ว” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้นหลังจากจิบกาแฟจนหมดแก้ว ก่อนลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งร่วมกับคนอื่น ๆ

   “จะรีบไปไหนละ นั่งพักอีกสักสิบนาทีก็ไม่มีใครว่าหรอก”

   “ไม่เอาละ เห็นข่าวแบบนี้แล้ว ฉันรู้เลยว่าต้องมีงานตามมาอีกแน่ สินค้าที่บริษัทวิงเฮงยิบให้เรานำเข้า ฉันยังเคลียร์ให้ลูกค้าไม่เสร็จเลย ไม่อยากจะกลับบ้านดึกนะช่วงนี้” เธอพูดไปก็ล้างแก้วกาแฟในมือไปด้วย

   “แหม ให้ฉันคิดถึงเงินโบนัสปลายปีให้ชื่นใจก่อนก็ไม่ได้ มาพูดเรื่องงานตอนนี้เสียอารมณ์จริงเชียว”

   “งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงานเถอะ” หญิงสาวอีกคนว่าก่อนที่จะนำหนังสือพิมพ์ไปเก็บเข้าที่เดิม แล้วเดินออกไปยังแผนกของตัวเอง

   “นี่แก้วเธอละ” คนที่เหลือถาม

   “ฝากจัดการด้วยแล้วกันนะ” หญิงสาวคนสุดท้ายได้แต่ทำปากขมุบขมิบแต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา เพราะในห้องไม่ได้มีเพียงแต่เธอเท่านั้น

   หญิงสาวที่เพิ่งจะเข้ามาพักดื่มกาแฟ ได้แต่เหลือบมองหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเล็กน้อย ก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคนเพื่อบอกเล่าข่าวนั่นให้คนปลายสายได้รับรู้

   ‘ก็ถือว่าโชคเข้าข้างมัน แต่ต่อจากนี้ไป มันคงไม่มีโชคแล้วละ’

   “คุณมีความคิดอะไรดี ๆ อย่างนั้นเหรอ”

   ‘คุณเตรียมของในส่วนของคุณไว้ให้มากหน่อย งานคราวนี้ฉันจะลงมือเอง’

   “อืม ฉันจะเตรียมไว้ให้ แล้วคุณจะใช้มันเมื่อไร”

   ‘ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี’

   “ได้ ไม่เกินวันพรุ่งนี้ คุณได้ของที่คุณต้องการแน่” คุยจบก็นั่งพักผ่อนสักครู่ก็มีคนมาใหม่เวียนเข้ามาใช้ห้อง เธอเห็นว่าเธอออกมาจากโต๊ะทำงานของเธอนานพอควรแล้ว จึงกลับไปทำงานดังเดิม

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 10 ---ll--- 11-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-02-2019 06:43:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 11 ---ll--- 18-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 18-02-2019 23:55:31
11




   เนื่องจากฉินหรุยกวงไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ถึงแม้ว่าเขาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ใช่ว่าจะเชิญเขามาสอบถามที่สถานีได้ ยิ่งตอนนี้ฉินหรุยกวงที่มีงานล้นมือด้วยแล้ว จะหาเวลานัดคุยก็ยังยากเลย และเพื่อเป็นการช่วยพี่ผานกู่ ผมจึงใช้ให้โฮวจีเจียนออกหน้า ทำทีเข้ามาขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม

   เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับจีเจียน เพราะเขาดันไปนัดคุณฝู่เถิงเพื่อขอสัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ โดยไม่บอกกล่าวผมสักนิด นี่ถ้า บ.ก. ไม่ได้มาถามผมเรื่องหัวข้อที่จะสัมภาษณ์แล้วละก็ คนอย่างจีเจียนคงบอกผมในตอนจวนตัวเป็นแน่

   “นี่น้องหนาน เลิกทำหน้างอได้แล้ว พี่โฮวคนนี้ก็ยอมช่วยแล้วไงละ” โฮวจีเจียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมซึ่งกำลังทำหน้าขับรถอยู่

   “นายไม่ได้ใจดีช่วยฉันหรอก ฉันรู้ นายแค่อยากออกมาจากสำนักงานก็เท่านั้น”

   “เฮ้อ...ฉันคงปิดบังอะไรนายไม่ได้เลยใช่ไหมเฟ่ยซาน”

   ผมไม่พูดอะไรอีก เพราะยังเคืองโฮวจีเจียนไม่หาย ถ้าเมื่อคืนพี่กู่ไม่คิดแผนนี้ขึ้นมาได้ในระหว่างที่คุยกันถึงเรื่องคดี ผมคงจะยังไม่คุยกับจีเจียนหรอก เพราะคนอย่างเขานะ ขอโทษใครไม่เป็น

   ผมจอดรถเข้าที่ริมทาง ตามเวลาที่นัดกับอีกฝ่ายไว้ ส่วนจีเจียนเองก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ภายในรถจึงเงียบสนิท จนกระทั่งคนที่รออยู่เปิดประตูด้านหลังแล้วก้าวขึ้นมาพร้อมกาแฟอุ่น ๆ ในมือ

   “อะ จีเจียน มีของนายด้วยนะ”

   “ขอบใจ จื่ออู่”

   “นี่ของนายนะ เฟ่ยซาน”

   “อืม”

   ผมว่าแล้ว ก็ออกรถเพื่อเดินทางไปยังที่หมายกันเลย นั่นคือบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง เมื่อไปถึง ผมก็ไปติดต่อขอพบคุณฉินเลย เพราะผมได้โทรมานัดเขาล่วงหน้าไว้แล้ว

   พี่กู่และพี่หยางผิงได้โทรมานัดเพื่อขอสอบถามข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับคดีเมื่อวันก่อน แต่ฉินหรุยกวงกลับอ้างว่ายังไม่ว่าง เพราะงานรัดตัว แต่พอเป็นนักข่าวอย่างผมนัดเข้ามาบ้าง กลับไม่มีปฏิเสธแต่อย่างใด วันนี้พี่กู่จึงให้เหมียนจื่ออู่ปลอมมาเป็นผู้ช่วยของพวกเรา

   เหมียนจื่ออู่นั้นมองดูแล้วเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ถ้ามาเดินกับพวกผมก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กฝึกงานมากนัก ทั้งรูปร่างหน้าตา มองยังไงก็ไม่เหมือนคนเป็นตำรวจ

   “เชิญทางนี้ค่ะคุณหนาน”

   “ขอบคุณครับ”

   เราเดินตามเจ้าหน้าที่ต้อนรับขึ้นไปจนถึงหน้าห้องของฉินหรุยกวง เลขาสาวสวยก็เดินมาต้อนรับพวกเรา และพาไปยังห้องที่เตรียมไว้

   “ไม่ทราบว่าผมสามารถถ่ายภาพบรรยากาศรอบ ๆ ได้ไหมครับ” จื่ออู่ถามขึ้น ขณะที่เรากำลังเดินไปยังห้องจะใช้สัมภาษณ์ เธอลังเลเล็กน้อย

   “ผมอยากได้บรรยากาศที่คุณฉินทำงานจริง ๆ นะครับ” โฮ่วจีเจียนช่วยสนับสนุน

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ถ้าจะถ่ายภาพในห้องทำงานของคุณฉิน คงต้องรอขออนุญาตคุณฉินก่อนนะคะ”

   “ครับ ขอบคุณมากครับ”

   ผมกับจีเจียนจึงเดินเข้าไปที่ห้องเพื่อเตรียมสัมภาษณ์ ส่วนจื่ออู่เดินกลับทางเก่าเพื่อไปถ่ายภาพบอร์ดข่าวต่าง ๆ ในออฟฟิศ รวมถึงแผนกต่าง ๆ ที่พนักงานทำงานกันด้วย จนกระทั่งฉินหรุยกวงเดินเข้ามาในห้อง จีเจียนแนะนำตนเองเพราะทั้งยื่นนามบัตรให้ จากนั้นจีเจียนก็เริ่มถามคำถาม

   หลังจากที่จีเจียนเริ่มงานไปได้สักระยะ จื่ออู่ก็กลับเข้ามาในห้อง และถ่ายภาพของฉินหรุยกวงระหว่างตอบคำถามไปด้วย

   “คุณฉินจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอสัมภาษณ์พร้อมกับถ่ายภาพภายในศูนย์ซ่อมบำรุงในตอนนี้ ผมทราบว่าเริ่มมีรถบัสของเมาตรวจสภาพบ้างแล้ว” จีเจียนเข้ามายังประเด็นที่เราต้องการในที่สุด

   “ได้สิ ตอนนี้ใคร ๆ ก็สนใจรถรุ่นนี้นี่นะ”

   “ก่อนไปที่ศูนย์ซ่อม ผมจะขอถ่ายรูปคุณฉินภายในห้องทำงานสักหน่อยได้ไหมครับ ทางเราจะได้คัดเลือก ๆ รูปเหมาะ ๆ ไม่ลง” จื่ออู่ตั้งใจทำงานจนผมคิดว่าเขาเป็นนักข่าวไปจริง ๆ แล้ว

   หลังจากที่จื่ออู่ถ่ายรูปฉินหรุยกวงตามมุมต่าง ๆ ในห้องทำงานจนพอใจแล้ว พวกเราก็เดินตามเขาไปยังศูนย์ซ่อมด้านหลังบริษัทฯ จากทางเข้าก็เห็นว่ามีรถบัสที่กำลังเข้ารับการตรวจสภาพอยู่ 3-4 คัน จื่ออู่จึงเข้าไปถ่ายรูปทันที ก่อนกลับมาถ่ายรูปฉินหรุยกวงคู่กับรถในมุมต่าง ๆ

   “ผมจะไม่ถามคุณฉินข้อนี้คงไม่ได้ อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะครับคุณฉิน”

   “คุณโฮวคงอยากจะถามเรื่องคดีสินะ”

   “ครับ”

   “เชิญตามสบาย ถ้าผมตอบได้ ผมก็จะตอบ”

   “ผมได้ยินข่าววงในเขาพูดกันว่า รถบัสอาจจะไม่ได้ระเบิดเพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะเรื่องมีคนที่ไม่พอใจคุณฉิน จึงต้องการจะกลั่นแกล้งให้คุณเสียชื่อเสียง”

   “เรื่องนี้ผมไม่รู้มาก่อน และผมเองก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน?”

   “นี่เป็นภาพข่าวที่ทางสำนักพิมพ์ของเราเก็บเอาไว้”

   ผมเอาภาพซากรถให้ฉินหรุยกวงดู ซึ่งเป็นรถบัสที่ระเบิด 2 คัน และคดีรถแท็กซี่เมื่อ 5 ปีก่อน

   “ผมไม่เข้าใจ แล้วรถแท็กซี่นี่”

   “ใช่ครับ มันเป็นรถของบริษัทฯ เก่าของคุณ คุณฉินลองดูที่ทะเบียนรถสิครับ”

   “นี่มัน...เลขเดียวกัน”

   “ใช่ครับ มันมีความเป็นไปได้ว่าคดีมันอาจจะเกี่ยวข้องกัน”

   “ผมจำอะไรเกี่ยวกับคดีนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกคุณต้องการถามอะไรผมกันแน่”

   “คุณรู้จักเกาเจี๋ยไหมครับ”

   “ไม่รู้สิ ผมจำไม่ได้ เขาเป็นใคร”

   “เขาเป็นลูกชายของคนขับแท็กซี่”

   “คุณว่าเขาจะมาแก้แค้นผม ทั้งที่ผมก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีอย่างนั้นเหรอ”

   “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณฉิน พวกเราอยากรู้ความจริง ถึงได้ถามคุณ”

   “เรื่องเมื่อ 5 ปีก่อนผมก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเหมือนกับคดีคราวนี้ และครั้งนั้นผมก็ได้ให้ทนายจัดการเรื่องเงินช่วยเหลือให้กับทั้งสองครอบครัวไปแล้ว”
   
   “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ผมถาม คุณฉินวางใจได้ เพราะผมไม่ไปเขียนไว้ในสกู๊ปข่าวแน่นอนครับ”

   “อ่อ จริงสิ เมื่อตอนที่ผมถ่ายรูปอยู่ในบริษัทฯ ได้ยินพนักงานของคุณฉินคุยกันว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่บ้านของคุณถูกขโมยขึ้นบ้านใช่ไม่ครับ” เหมียนจื่ออู่หาโอกาสถามเรื่องเกาเจี๋ยอีกครั้ง

   “ใช่ครับ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ของก็ได้คืนมาครบแล้ว ขโมยก็ถูกจับได้ เห็นว่าเป็นแค่เด็กนักเรียน ผมเลยไม่ได้ใส่ใจเอาความอะไร ปล่อยให้ตำรวจเขาจัดการไปตามเรื่อง”

   “แล้วพวกขโมยพวกนั้นละครับ”

   “ไม่รู้สิครับ ผมได้ของของผมคืน ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรเกี่ยกับคดีอีกเลย”

   เมื่อพวกเราเห็นว่า ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรหากจะอยู่ที่นี่ต่อ ผมจึงส่งสัญญาณให้จีเจียนปิดการสัมภาษณ์ ฉินหรุยกวงถามพวกเราว่าสกู๊ปข่าวครั้งนี้จะตีพิมพ์เมื่อไร ซึ่งจีเจียนก็ตอบได้ดีทีเดียว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกำลังอ่านรายงานฉบับสุดท้ายภายในห้องของซื่อเมิ่งอิ่ง ก่อนที่จะออกเดินทางไปยังมาเก๊า ตามที่รับปากไว้กับฝู่เถิง

   “ดอกเตอร์ค่ะ ไม่ทราบว่าครั้งนี้ไปกี่วันค่ะ”

   “ถามทำไม”

   “ฉันตั้งใจยกห้องนี้ให้คุณ แล้วหาห้องทำงานใหม่ จะได้ร็ว่ามีเวลาขนย้ายห้องนานแค่ไหน อ่อ แถบตำแหน่งหัวหน้าแล็บให้ด้วยดีไหมคะ?”

   “คุณก็รู้ว่าถึงคุณพูดประชดไป ผมก็ไม่ใส่ใจ”

   “เอาเป็นว่า ฉันจะยกห้องนี้ให้คุณก็แล้วกันค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันทำงานไม่ได้”

   “ไม่เป็นไร คุณอยู่ห้องของคุณไปเถอะ”

   “แสดงว่าครั้งนี้ไปหลายวัน”

   “ก็อาจจะอยู่จนกว่าจะเปิดตัวกล่องสำริด”

   “คราวนี้ ดร. ไม่มีโครงการจะไปขุดค้นที่ไหนอีกเหรอคะ?”

   “ผมอยู่ที่นี่ ทำให้คุณอึดอัดมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ก็ถ้าคุณไม่อยู่ห้องทำงานของฉัน 24 ชั่วโมงแบบนี้นะคะ ฉันคงทำอะไรๆ ได้สะดวกกว่านี้”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณนี่ ถ้าคุณจะโทรหาสามีของคุณ”

   “โอ๊ย ดอกเตอร์ค่ะ เอาไว้ให้คุณมีแฟนเมื่อไร แล้วคุณจะรู้ ว่าเวลาคุยกับคนที่คุณรัก บางทีมันก็อยากจะคุยกันสองคน ไม่ได้อยากให้คนที่ 3 ที่ 4 มาร่วมฟังด้วย”

   “ในรายงานนี้มันบอกว่า เลือดของกระต่ายตัวนั้น รักษาโรคได้ คุณไปเอาเลือดมาจากที่ไหนอีก ในเมื่อผมไม่ให้เอาสัตว์ตัวนั้นมาทดลองแล้ว” เขาไม่ใส่ใจคำพูดที่เมิ่งอิ่งบ่น

   “เฮ้อ...ดอกเตอร์...”

   “ซือเมิ่งอิ่ง”

   “ค่ะ ก็เลือดจากครั้งที่ตกแตกนั่นแหละค่ะ มีบางหยดกระเด็นลงไปในแก้วน้ำธรรมดา ๆ จะทิ้งก็เสียดาย เลยเอามาทดสอบเรื่องสารปนเปื้อนก่อน เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรนอกจากน้ำกับเลือด ก็เลยเอามาทดลอง”

   “คุณทดลองตั้งแต่ตอนนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเพิ่งจะมารายงานเอาป่านนี้”

   “ก็ผลที่ได้มามันเห็นผลช้ามาก จนฉันคิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว”

   “ความเจือจางของเลือดกับน้ำ อัตราส่วนเท่าไร

   “โดยประมาณนะคะ 400 มิลลิลิตรต่อ 0.7 มิลลิกรัม”

   “แล้วกระต่ายพวกนั้นละ มีผลข้างเคียงยังไงบ้าง”

   “ไม่มีค่ะ กลับมาแข็งแรงดี แล้วก็ลองตรวจเลือดดูแล้ว ก็ไม่ผมว่ามีคุณสมบัติเหมือนอย่างกระต่ายตัวนั้น”

   “คุณลองผสมพันธุ์กระต่ายตัวนั้นดู ผมอยากรู้ว่ามันจะถ่ายทอดทางพันธุกรรมไหม?”

   “ได้ค่ะ เจ้านาย จะรีบทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้สนใจฟังคำประชดประชันจากอีกฝ่าย เพราะกำลังคิดว่า ขนาดกระต่ายที่กินเข้าไปในปริมาณน้อยนิด เลือดที่มีในตัวยังวิเศษถึงเพียงนี้ แล้วหนานเฟ่ยซานที่กินน้ำตากิเลนเข้าไปถึงสองเม็ดในคราวเดียวเลือดจะวิเศษขนาดไหน โชคดีที่ช็อกตายไปก่อนในตอนที่กลืนน้ำตากิเลนเข้าไป

.........................................................................

   หลังจากที่พวกเราออกจากบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง โฮวจีเจียนก็ลงรถระหว่างทาง เห็นบอกว่าจะไปหาน้องชี่เยว่ ส่วนผมก็มาส่งเหมียนจื่ออู่ที่สถานี

   “ไหนนายแค่มาส่งยังไงละ”

   “เปลี่ยนใจ มาช่วยนายดูรูปดีกว่า เผื่อมีอะไรน่าสงสัย”

   ผมบอกพร้อมกับก้าวลงจากรถ เตรียมเดินตามคนที่เดินนำเข้าสถานีไปก่อน แต่เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าสถานี กลับพบชายแก่คนหนึ่งเดินวนอยู่ที่ด้านหน้า เดินเข้าไปสองสามก้าวก็เดินออกมา แล้วเดินกลับเข้าไปใหม่

   “คุณลุง มาหาใครรึเปล่า”

   “หลานสาว”

   “หลานสาวของลุงอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่รู้ แต่ที่นี่ช่วยหาหลานได้”

   “หลานสาวลุงหายไปอย่างนั้นเหรอ มาแจ้งความใช่ไหม”

   “ใช่ ๆ มาแจ้งความ”

   “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมพาเข้าไป”

   ผมประคองชายแก่คนนั้นเข้าไปในสถานีและปล่อยเขาให้นั่งรอที่เก้าอี้ แล้วก็มองหาคนที่พอจะรับแจ้งความได้ ถ้าคาดไม่ผิด หลังจากที่จื่ออู่เอารูปมาแล้ว พี่กู่และพี่หยางผิงคงจะเข้าไปห้องประชุมเพื่อดูรูปอยู่แน่ ๆ

   “เฟ่ยซาน จื่ออู่ฝากบอกว่า ถ้านายขึ้นมาแล้วให้เข้าไปที่ห้องประชุม 2 ได้เลย”

   “กัมหง นายรับแจ้งความให้หน่อยได้ไหม?”

   “นายจะแจ้งความเรื่องอะไรละ”

   “ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นลุงคนนั้น ฉันเห็นเขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูสถานี เลยพาเข้ามา”

   “ได้สิ ไปพาลุงมา”

   ผมกลับไปประคองลุงมานั่งที่หน้าโต๊ะของชิวกัมหง เพื่อที่จะได้ให้ลงแจ้งความเรื่องหลานสาว แต่พอผมจะลุกไปยังห้องประชุม 2 ก็โดนลุงรั้งเอาไว้

   “คุณลุง มีอะไรก็บอกคุณตำรวจคนนี้เขาได้”

   “เขาไม่เชื่อลุงหรอก”

   “ทำไมผมถึงจะไม่เชื่อลุงละ” กัมหงถามออกมา แต่คุณลุงไม่ได้หันมองกัมหงเลยแม้แต่น้อย เขาออกแรงดึงแขนผมให้ก้มลง

   “เพราะลุงไม่ได้กินยา” ลุงคนนั้นกระซิบบอกผม

   “เฟ่ยซาน นายก็นั่งเป็นเพื่อนลุงเขาหน่อยแล้วกัน” คงเป็นเพราะกัมหงมีรูปร่างใหญ่โต หนักไปทางอวบอ้วนดูแล้วเหมือนหมีตัวโต ๆ ทำให้ลุงเขาไม่กล้าที่จะพูดคุยด้วย “ลุงชื่ออะไร” กัมหงถามเมื่อผมนั่งลงข้าง ๆ ลุงแล้ว

   “เว่ยหยงหมิง”

   “ลุงบอกผมว่า ลุงมาตามหาหลานสาว แล้วหลานสาวของลุงชื่ออะไร”

   “ฟ่านเอ๋อร์”

   “ฟ่านเอ๋อร์อายุเท่าไร แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไร”

   “อายุ...เท่านี้” ลุงเว่ยชี้มาที่ผม “ฟ่านเอ๋อร์ตัวเท่านี้แล้ว”

   “ลุงเว่ย คุณตำรวจเขาถามอายุ”

   “ลุงจำไม่ได้ ในนี้ไม่ได้จดไว้” พูดยังไม่ทันขาดคำ ลุงเว่ยก็หยิบสมุดทำมือเล่มเล็ก สีสันสดใสขึ้นมาพยายามเปิดไปเปิดมาอยู่หลายครั้ง “ในนี้ไม่มีอายุของฟ่านเอ๋อร์”

   “เอาละ ๆ ลุงใจเย็น ๆ นะ ขอผมดูหน่อย” ผมขอดูสมุดทำมือเล่มนั้น

   “ฟ่านเอ๋อร์หายไปตอนไหน ลุงจำได้ไหม?” กัมหงถามต่อ ระหว่างที่ผมอ่านข้อความในสมุดทำมือ

   “จำได้ ๆ ฟ่านเอ๋อร์หายไปในวันที่คุณหมอนัดให้ไปเอายา”

   “กัมหง ลุงเว่ยเป็นโรคอัลไซเมอร์” ผมบอกกับกัมหง พร้อมทั้งกางสมุดทำมือให้ดู “ดูสิ ในนี้มีข้อมูลที่อยู่ และเบอร์ติดต่อของเว่ยฟ่าน ซึ่งน่าจะเป็นหลานของลุงเว่ย”

   “ลุงเว่ย ได้โทรหาฟ่านเอ๋อร์รึยัง”

   “โทรแล้ว ๆ แต่มีผู้หญิงที่ไหนรับก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้ลุงคุยด้วย”

   กัมหงดูเบอร์ในสมุดก่อนกดหมายเลขนั้นลงไป ปรากฏว่าหมายเลขนั้นไม่มีคนรับสาย และเสียงของผู้หญิงที่ลุงเว่ยว่า ก็คงจะเป็นเสียงของระบบตอบรับอัตโนมัติ

   “นี่กัมหง เบอร์คุณหมอที่โรงพยาบาล” กัมหงไม่รอช้า รีบกดเบอร์นั้นแล้วโทรออกทันที

   “ที่นั่นโรงพยาบาลเกียงวูใช่ไหมครับ ครับผมขอสายคุณหมอจ้าวหน่อยครับ”

   “ลุงเว่ย ที่บ้านลุงอยู่กับใคร” ผมถามเผื่อหลังจากนี้จะได้ติดต่อให้คนมารับกลับไปดูแล

   “มีลุง กับฟ่านเอ๋อร์”

   “ลุงอยู่กับหลานสองคนเหรอ”

   “ใช่”

   “แล้ว ฟ่านเอ๋อร์ไม่อยู่ ลุงทำอะไรบ้าง”

   “นอน อาบน้ำ แล้วก็อ่านหนังสือที่ฟ่านเอ๋อร์ให้อ่าน”

   “ลุงทานอะไรรึยัง”

   “ฟ่านเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมาทำให้”

   “เฟ่ยซาน” กัมหงเพิ่งวางสายจากโทรศัพท์ “ฉันว่าเราพาลุงเว่ยไปหาอะไรทานก่อนเถอะ”

   “แล้วเรื่องแจ้งความละ”

   “เรื่องนั้นค่อยกลับมาทำต่อทีหลังก็ได้ ตอนนี้สุขภาพคนสำคัญกว่า”

   “คุณหมอบอกว่าอาการลุงเว่ยไม่ค่อยดีอย่างนั้นเหรอ”

   “หมอจ้าวว่า เว่ยฟ่านไม่ได้ไปเอายาตามที่นัดไว้ ซึ่งก็คือเมื่อสองวันก่อน แล้วที่นายถามลุงเว่ย ลุงแกน่าจะอยู่คนเดียวตั้งแต่หลานหายไป”

   “อือ ฉันเข้าใจแล้ว”

   ผมแล้วกัมหงพาลุงเว่ยออกมานอกสถานี เพื่อเดินไปร้านอาหารข้าง ๆ ตอนแรกลุงเว่ยจะไม่ไปเพราะคิดว่าพวกเราจะไล่เขากลับและไม่ยอมช่วยเขาหาหลานสาวให้

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 11 ---ll--- 18-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-02-2019 18:43:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 12 ---ll--- 25-02-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-02-2019 22:07:57
12



     ตู้เห่าใช้เวลาค้นคดีคนหายอยู่หลายวัน สุดท้ายก็สามารถระบุศพของเหยื่อรายที่ 4 ได้ เขาซึ่งรับหน้าที่ดูคดีคนหายในช่วงนี้ เตรียมที่จะโทรไปติดต่อให้ญาติมาดูศพ กัมหงก็เดินเข้ามาที่โต๊ะของเขา

     “พี่เห่า คดีคนหาย อีก 2 คดี”

     “อีกแล้วเหรอ”

     “ใช่ เมื่อวานมีแม่บ้านมาแจ้งความว่าลูกแฝดชายหญิงของเธอหายไปหลังจากกลับจากเรียนพิเศษ ส่วนอีกคดี เป็นลุงคนหนึ่งมาแจ้งความตามหาหลานสาวที่หายตัวไปเมื่อ สามวันก่อน”

     “ทำไมช่วงนี้คดีคนหายมันเยอะจังว่ะ?”

     “คนที่หายไปช่วงนี้มักจะมีแต่ผู้หญิง แล้วก็เด็ก นี่พี่ระบุเหงื่อรายที่ 4 ของคดีฆ่ารัดคอได้แล้วเหรอ”

     “อืม เธอถูกสามีแจ้งความว่าหายตัวไปหลังจากไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน”

     “ศพทั้ง 4 รายที่พบ ก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด และยังมาจากคดีคนหายทั้งนั้นเลยนะ”

     “อืม”

     “พี่ว่า สองคดีนี้มันจะเกี่ยวข้องกันไหม?”

     “มันอาจจะเกี่ยวข้องกันในบางคดีเท่านั้น ไอ้ฆาตกรนั่นมันเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง มันยังไม่เคยจับเด็กไปทรมาน”

     “อืม ก็จริง”

     “พี่ติดต่อไปทางสามีผู้ตายเถอะ เดี๋ยวผมจะไปช่วยพี่กู่ดูภาพรถบัสสักหน่อย เห็นว่าสามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยและผู้สมรู้ร่วมคิดได้แล้ว”

     “คงต้องยกความดีความชอบให้กับเฟ่ยซานแล้วละ เข้ามามีเอี่ยวด้วยทีไร ได้เรื่องทุกที”
 
     “นั่นสินะ พี่ก็น่าจะลองให้เฟ่ยซานมาช่วยดูเรื่องคดีคนหายนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้ อ่อ แล้วลุงที่เมื่อวานเข้ามาแจ้งความ เฟ่ยซานก็เป็นคนพาเข้ามานะ ลุงเว่ยแกเป็นโรคอัลไซเมอร์ หลง ๆ ลืม ๆ แต่เฟ่ยซานก็เชื่อสิ่งที่ลุงเว่ยแกพูด เลยรู้ว่าหลานสาวแกหายไปจริง ๆ”

     “อืม ถ้านายนั่นสนใจคดีนี้นะ คดีคนหายมันไม่น่าดึงดูดใจ ให้เอาไปเขียนข่าวนี่ นายก็รู้”

     “พี่ก็คิดมาก ช่วยก็ส่วนช่วย งานก็ส่วนงาน เฟ่ยซานเป็นคนมีน้ำใจ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่โดนเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบได้อย่างทุกวันนี้เหรอ”

     “เฟ่ยซานโดนโฮวจีเจียนเอาเปรียบอีกแล้วอย่างนั้นสิ”

     “อืม”

     กัมหงตอบแล้วเดินเข้าห้องประชุม 2 ไปแล้ว ตู้เห่าเองก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ เขาดูข้อมูลของเหยื่อรายที่ 4 ในคดี ภาพสิ่งของที่ติดตัวผู้ตาย ก่อนโทรศัพท์ไปหาสามีเพื่อให้เข้ามายืนยันศพ

.........................................................................

     วันนี้ผมมาในฐานะผู้ช่วยของโฮวจีเจียน ทำให้ต้องทำหน้าที่ขับรถให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ ไปด้วย ผมขับรถตรงไปยังท่าเรือที่ 5 เพื่อที่จะผ่านไปยังโกดังของเยี่ยนหวอ

     “เฟ่ยซาน นายต้องขับตรงไปอีก ออฟฟิศของเยี่ยนหวอตั้งอยู่แถว ๆ ท่าเรือ 5A”

     “ผ่านท่าเรือที่ 5 ก็ได้นี่ นั่นไงป้ายบอกทาง”

     “คุณฝู่บอกว่า เข้าทางท่าเรือ 5A จะใกล้ออฟฟิศเขามากกว่า ถ้านายเขาทางนี้ เดี๋ยวได้ไปหลงอยู่ข้างในโกดัง”

     “อืม ๆ เดียวฉันหาที่กลับรถก่อน นายนี่ก็มาบอกอะไรตอนจวนตัวทุกที”

     “เอาน่าน้องหนาน ถ้านายอยากมาเที่ยวเล่นแถวท่าเรือที่ 5 นี่ เดี๋ยวฉันให้นายออกมาถ่ายรูปให้เต็มที่เลย แต่ตอนนี้นายไปส่งฉันก่อน”

     “รู้แล้ว ๆ ฉันไม่ได้อยากมาเที่ยวเล่นแถวนี้สักหน่อย”

     ผมขับกลับรถแล้วขับกลับทางเก่า เพื่อตรงไปยังท่าเรือ 5A ตามที่จีเจียนบอก เมื่อผ่านทางเข้าของท่าเรือผมก็เห็นลานกว้างสุดลูกหูลูกตา ยาวไปจนถึงปากอ่าว มีเรือส่งสินค้าแล่นไปมาขวักไขว่
 
     เราแลกบัตรตรงป้อมยาม เขาให้เราเข้ายังลานจอด ที่กันไว้สำหรับผู้มาติดต่อที่ออฟฟิศโดยตรง ซึ่งจะแยกออกจากกันกับลานจอดรถส่งสินค้าที่เวียนเข้าเวียนออกกันตลอดเวลา

     “นี่เยี่ยนหวอทำธุรกิจประเภทรถส่งสินค้าด้วยอย่างนั้นเหรอ” ผมถามในขณะที่มองหาที่จอดรถอยู่

     “นี่นายไม่รู้เหรอไง” ผมไม่ตอบจีเจียนจึงพูดต่อ “เดี๋ยวนายได้ฟังฉันสัมภาษณ์นายจะต้องตกใจ เพราะเยี่ยนหวอยังมีธุรกิจอีกมากที่นายอาจจะยังไม่รู้”

     “รวมถึงเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายด้วยรึเปล่า”

     “ใครจะไปกล้าถาม ฉันยังอยากออกจากที่นี่ไปแบบมีลมหายใจนะ”

     “จีเจียน ที่นายเคยเล่าเรื่องน้ำตากิเลน นายรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง”

     “อันที่จริงมันเรียกกันว่าน้ำตาหยก เพราะมันเกิดจากหยกศักดิ์สิทธิ์”

     “แล้วมันเพี้ยนมาเป็นน้ำตากิเลนได้ยังไง”

     “มันไม่ได้เพี้ยน นายสิเพี้ยน นายไม่เคยไปดูหยกศักดิ์สิทธิ์ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหรือยังไง”

     “หยกประดับ ที่ปฐมกษัตริย์ให้กับขุนนางคนสนิท 4 ตระกูลนั่นนะเหรอ” ผมเข้ามาจอดรถในที่หนึ่งที่ว่างอยู่ ซึ่งจากตรงนี้ค่อนข้างเดินไกลพอสมควร กว่าจะถึงออฟฟิศ

     “นั่นน่ะแหละ ตระกูลฝู่ก็เป็นหนึ่งในตระกูล 4 ขุนนางนั่น”

     “แล้วมันเกี่ยวกับน้ำตากิเลน หรือน้ำตาหยกอะไรนั่นยังไง” ผมจอดรถ และดับเครื่องแล้ว ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปจากจีเจียนเลย
 
     “น้ำตากิเลนก็มาจากหยกกิเลนนั่นไง”
 
     “อ่อ”

     “คนที่สร้างหยกนี่ขึ้นมา คงมีวิธีกลั่นน้ำตาหยกออกจากหยกศักดิ์สิทธิ์นั่น มันเลยเป็นที่มาของตำนานน้ำตากิเลนที่ช่วยให้คนอายุยืนยาวได้ยังไงละ แต่มันก็เป็นความลับของคนรุ่นก่อน ๆ จนคนรุ่นหลังถึงแม้จะเป็นตระกูลฝู่เอง ก็ไม่สามารถกลั่นเอาน้ำตาหยกออกมาได้”

     “แล้วมันทำให้คนอายุยืนยาวจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ”

     “ฉันว่าคงไม่ใช่หรอก แต่มันมีจริง ๆ เพียงแต่มันไม่ได้เหลือให้เราศึกษามันแล้ว เพราะดร.เหมิ๋นค้นพบกล่องบรรจุน้ำตากิเลน ขนาดเป็นกล่องสำริด 2 ชั้นนะ น้ำตากิเลนยังเหือดแห้งไม่เหลือมาจนถึงปัจจุบันนี้เลย”

     “อ่อ” นั่นแหละ บทสรุปที่ผมอยากจะรู้ สิ่งที่ ดร.โพลาไอซ์บอกกับคนทั่วไป

     “ว่าแต่นาย ถามเรื่องนี้ทำไม”

     “ก็ครั้งก่อนไง ที่นายลากฉันไปดัก ดร. เหมิ๋นที่โรงแรมฝู่น่ะ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเขาเจอของสิ่งนั้นไหม?”

     “นายก็ถามมาซะกว้างเชียว ไปได้แล้ว เสียเวลา เดี๋ยวคุณฝู่รอนาน”

     “อืม ๆ เดี๋ยวฉันหยิบกล้องก่อน”
 
     ว่าแล้วพวกเราก็ลงจากรถ หยิบอุปกรณ์ที่จำเป็น จากนั้นผมก็เดินตามหลังจีเจียนไปยังออฟฟิศของโกดังแห่งนี้

.........................................................................

     เหมิ๋นหยวนฮ่างเฝ้ามองคนที่นั่งคุยกันบนรถอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่มีท่าทีจะลงรถไปเสียที เขาลอบมองทั้งสองคนคุยกันจนกระทั่งเดินเข้าออฟฟิศไปแล้วเขาจึงได้ก้าวลงจากรถ

     เขาเดินตามหลังคนทั้งสองไปโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ จนเลขาของเตี๋ยพาคนทั้งสองเข้าไปยังห้องรับรอง เขาจึงเดินเข้าไปหาเตี๋ยที่ห้องทำงาน

     “มาแล้วเหรอหยวนฮ่าง เตี๋ยนึกว่าเราจะมาไม่ทันซะแล้ว”

     “มาถึงพักใหญ่แล้วละครับ แต่จับตามองคนที่ต้องคุยด้วยวันนี้อยู่”

     “เจอกันแล้วเหรอ”

     “ผมเจอเขาอยู่กับเพื่อนในลานจอด เห็นตกลงอะไรอยู่นานสองนานกว่าจะเข้ามาที่นี่”

     “แล้วท่าทีพวกเขาเป็นยังไง”

     “โฮวจีเจียนดูแล้วไม่น่าจะใช่เพื่อนที่ดีของหนานเฟ่ยซานอย่างที่เตี๋ยว่า”

     “อี๊เรามองคนไม่ผิดหรอกนะ คงเห็นอะไรในตัวของโฮวจีเจียนตั้งแต่วันที่เจอกันในโรงพยาบาลแล้วละ”

     “พูดถึงอี๊ แล้วอี๊ละครับ ยังไม่มาเหรอ”

     “อี๊เราไม่มาหรอก ให้เตี๋ยรับหน้าคนเดียว อีกอย่างอี๊เขารีบไปจัดการเรื่องเจมส์ด้วย”

     “ผมก็เพิ่งได้ข่าว เมื่อตอนที่มาถึง ว่าเจมส์หายตัวไป”

     “ใช่ ไม่รู้ไปซนจนได้เรื่องที่ไหน”

     “ครั้งนี้อี๊น่าจะโกรธมากนะครับ ถึงต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”

     “ก็ยังไม่รู้หรอก ถ้าเจมส์มีเหตุผลพอ ม๊าเขาก็พร้อมจะรับฟัง”

     “แล้วนี่เตี๋ยจะให้ผมเข้าไปพร้อมเตี๋ยเลยไหมครับ”

     “ไม่ต้อง นั่งรออยู่ที่นี่ก่อน ถ้าพวกเราออกไปดูโกดังกันเมื่อไร เดี๋ยวเตี๋ยให้เฉิ่งอี้มาตาม”

     “ครับ”

     เตี๋ยเดินออกจากห้องไป เขาจึงหาหนังสือบนชั้นมานั่งอ่านรอเวลา หากพวกนั้นไปดูโกดังกัน เขาจะต้องหาโอกาสคุยกับหนานเฟ่ยซานให้ได้

.........................................................................

     ขณะนี้ทีมสืบสวนทั้งทีมที่ 1 และ 2 ต่างมารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม 1 เพื่อสรุปข้อมูลล่าสุดในคดีรถบัสระเบิดให้กับหัวหน้าได้ฟัง

     บนกระดานมีรูปรถบัสที่ระเบิดทั้งครั้งที่ 1 และ 2 ถัดไป เป็นรูปรถแท็กซี่ที่ระเบิดเมื่อ 5 ปีก่อน โดยเลขทะเบียนของรถทั้ง 3 คันเป็นเลขเดียวกัน แถวถัดมาเป็นรูปผู้เกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด ตั้งแต่รูปของโชเฟอร์แท็กซี่ และครอบครัว รูปสองสามีภรรยาแซ่โยว่และลูกสาว สุดท้ายเป็นรูปฉินหรุ่ยกวง

     “ผมตรวจสอบดูแล้ว รถรุ่นนี้ ยังมีทะเบียนรถที่เป็นเลขเดียวกันอีก 6 คัน ซึ่งผมให้คนคอยเฝ้าระวังไว้แล้ว” เหยินหยางผิงรายงาน

     “ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะจับคนร้าย ผมขอให้ฉินหรุยกวงเรียกรถที่มีเลขทะเบียนเดียวกันเข้ามาตรวจสภาพที่อู่วันนี้” ผานกู่รายงาน

     “คนร้ายต้องอาศัยจังหวะที่รถทั้งสามคันมาตรวจสภาพ ลอบขึ้นไปติดตั้งระเบิดแน่นอน” เหมี่ยนจื่ออู่ออกความเห็น

     “ผมได้ขอกำลังคนเก็บกู้ระเบิดไว้แล้ว ทุกอย่างจะพร้อมภายใน 3 นาที” ตู้เห่ารายงาน

     “ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ระวังตัวให้ดี อย่าทำอะไรให้คนร้ายไหวตัวทัน แล้วจับตัวมาให้ได้ทั้งสองคน”

     “ครับหัวหน้า” ทุกคนรับปากก่อนเดินออกจากห้องประชุมไป โดยทั้งสองทีมแบ่งนั่งรถไปคนละคัน ตามด้วยรถตำรวจอีกกันหนึ่ง รถของทีมกู้ระเบิดขับตามเป็นคันสุดท้าย

     ผานกู่นั่งอยู่ข้างเหยินหยางผิงที่เป็นคนขับรถ กำลังมุ่งตรงไปยังบริษัทฯ ของฉินหรุยกวง จากที่เหมียนจื่ออู่เอารูปที่ได้ถ่ายภายในบริษัทฯ และศูนย์ซ่อมบำรุงของฉินหล็อกยกวงเมื่อวานนี้ มาเปิดดูเพื่อหาข้อมูลผู้ต้องสงสัย ทำให้เขาพบว่า ผู้ร้ายในคดีแฝงตัวเข้ามาทำงานอยู่ที่บริษัทฯ แห่งนี้พักใหญ่แล้ว

     จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปสืบจนเป็นที่รู้แน่ชัดว่า ทั้งสองคนร่วมมือกันวางระเบิดรถบัสแน่นอน ขาดเพียงแต่พยาน และหลักฐานดังนั้น เหมียนจื่ออู่กับเขาจึงไปพบฉินหรุยกวงที่บ้าน เพื่อขอความร่วมมือ ซึ่งครั้งแรกที่ฉินหรุยกวงได้ยินก็ตกใจไม่น้อย และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยติดต่อบริษัทรับสัมปทาน ขอตรวจทั้ง 6 คันด้วยตัวเอง

     เมื่อมาถึงที่หมาย รถของตำรวจคันที่ตามมาพร้อมเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิด ก็ขับรถไปอยู่ที่ถนนอีกสายที่ขนานกับถนนหน้าบริษัทฯ ซึ่งเป็นถนนด้านหลัง เพื่อจะเข้าไปทางศูนย์ซ่อมบำรุงได้โดยตรง ส่วนพวกเขาทั้งทีม 1 และ 2 แยกย้ายกันไปตรวจค้นภายในศูนย์ทางด้านหน้าบริษัทฯ

     .

     .

     .

     ผานกู่กับเหมี่ยนจื่ออู่เดินเข้าไปสำรวจที่ศูนย์ซ่อมบำรุง โดยมีตำรวจบางส่วนที่เข้ามาทางด้านหลังสแตนบายรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาแยกย้ายกันเข้าตรวจรถที่กำลังทำการตรวจสภาพอยู่ ช่างที่กำลังทำงานต่างตกใจเมื่อเห็นพวกเขา แต่ก็ก้าวถอยออกไปแต่โดยดี จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งร้องขึ้นมา

     “พบวัตถุต้องสงสัยบนรถคันนี้”
 
     สิ้นเสียง เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดก็เข้ามากันพื้นที่ อพยพคนออกไป ผานกู่และเหมียนจื่ออู่ พบวัตถุต้องสงสัยบนรถบัสอีกคัน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่เก็บกู้ เมื่อค้นทุกซอกทุกมุมจนไม่พบวัตถุน่าสงสัย ก็เดินออกไปสมทบกับคนที่เหลือ พวกเขาเห็นตู้เห่าและจู้ชุนกำลังเดินออกมาหาพวกเขาที่จุดนัดเช่นกัน

     .

     .

     .

     ตู้เห่ากับจู้ชุน เดินเข้าไปยังด้านข้างของศูนย์ซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นที่พักผ่อนและล็อกเกอร์ของยามเฝ้าบริษัทฯ เมื่อไปถึงเขาเห็นหัวหน้ายามกำลังออกมาจากห้อง จึงแสดงตัวและเรียกไว้ เพื่อขอให้เขาพาไปยังล็อกเกอร์ของผู้ต้องสงสัย

     “ช่วยเปิดล็อกเกอร์ และตามเจ้าของมาให้พวกเราที อย่าให้ผิดสังเกตนะ”

     ตู้เห่าบอกกับหัวหน้ายาม ทางนั้นก็รีบทำตามทันที กลับไปที่ล็อกเกอร์ของตัวเอง หยิบกุญแจสำรองที่แขวนไว้ภายในตู้ออกมาหากุญแจตามหมายเลขที่ต้องการ เมื่อเปิดตู้ให้กับตู้เห่าและจู้ชุนแล้ว เขาก็ ว. เรียกให้คนที่ตำรวจต้องการตัวมาหาที่ห้องพัก

     ภายในล็อกเกอร์ของผู้ต้องสงสัย นอกจากเสื้อผ้า และหนังสือสองสามเล่ม จู้ชุนก็พบเพียงแต่เทปกาวที่ใช้ไปเกือบครึ่งม้วนวางทิ้งไว้ด้านใน

     “พี่เห่า ไม่เจอ”

     “จับไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน”

     เมื่อสรุปได้ดังนั้น จู้ชุนจึงปิดประตูล็อกเกอร์ลง รอให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบอีกครั้ง และเมื่อผู้ต้องสงสัยเดินเข้ามา พวกเขาก็แสดงตัวอีกครั้งแล้วเข้าทำการจับกุม

     “เดี๋ยวคุณตำรวจ มาจับผมทำไม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

     “เดี๋ยวก็รู้ แต่ตอนนี้นายคงต้องมากับพวกเราก่อน” ตู้เห่าใส่กุญแจข้อมือ จากนั้นก็พาผู้ต้องสงสัยเดินกลับไปสมทบกับทุกคน ซึ่งเมื่อเดินออกไปก็เห็นผานกู่และเหมียนจื่ออู่ ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

     “เจอไหมอากู่”

     “สองคัน”

     ผานกู่ตอบกลับมา และยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อก็เกินเสียงระเบิดดังขึ้นติด ๆ สองครั้งภายในบริษัทฯ และภายในศูนย์ซ่อมบำรุง พวกเขาทั้งหมดยอบตัวหลบโดยอัตโนมัติ พร้อมกับกดหัวผู้ต้องสงสัยลง เพื่อความปลอดภัย

     .

     .

     .

     เหยินหยางผิงกับชิวกัมหงเดินเข้ามาภายในบริษัทฯ ทางพนักงานที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ต้อนรับเขาอย่างดี และพาพวกเขาไปส่งที่ห้องทำงานของฉินหรุยกวง เมื่อมาถึง เลขาสาวสวยเพิ่งจะออกจากห้องของเจ้านายก็เข้ามาดูแลพวกเขาต่อ

     “พวกคุณนัดคุณฉินเอาไว้รึเปล่าคะ?”

     “นัดไว้แล้วครับ” เหยินหยางผิงตอบ

     “ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปเตรียมห้องรับรองไว้ให้พวกคุณเข้าไปนั่งรอก่อน เพราะคุณฉินยังมาไม่ถึงที่ออฟฟิศเลยค่ะ”

     “ไม่ต้องหรอกครับ วันนี้คุณฉินไม่น่าจะเข้ามาที่บริษัทฯ แล้ว” ชิวกัมหงพูดพร้อมทั้งเดินไปมองรอบ ๆ โต๊ะทำงานของเธอ

     “ผมขอเข้าไปดูห้องคุณฉินหน่อยได้ไหมครับ” เหยินหยางผิงถาม เพราะตอนที่เขาเดินเข้ามา เหมือนเห็นเธอเพิ่งเดินออกมาจากห้องของเจ้านายตัวเอง

     “เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ คุณฉินไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายภายในห้องทำงานของท่าน”

     “นอกจากคุณสินะ”

     “ก็ฉันเป็นเลขาของคุณฉินนี่คะ?”

     “นี่ ใช่กระเป๋าของคุณไหม” ฉิวกับหงชี้ไปยังกระเป๋าถือใบใหญ่ ที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเธอ

     “นี่คุณ นั่นของของฉัน ฉันว่าคุณควรอยู่ห่าง ๆ มันจะดีกว่า” เลขาสาวสวยตรงหน้ามีท่าทางลุกลี้ลุกลนจนทั้งสองคนผิดสังเกต

     “ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่เห็นว่ากระเป๋า มันดูไม่เข้ากับชุดของคุณสักเท่าไร” ชิวกัมหงเดินห่างออกมาเล็กน้อย

     “พวกคุณต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อรู้ว่าคุณฉินไม่เข้ามาบริษัทฯ แล้วจะเข้าไปในห้องคุณฉินทำไม”

     “ผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณเอาอะไรไปซ่อนในห้องคุณฉิน”

     “ฉันซ่อนอะไร ฉันก็แค่เอาเอกสารไปวางไว้ให้ตามหน้าที่”

     “ถ้าอย่างนั้น ผมโทรขอคุณฉินก่อนก็ได้” เหยินหยางผิงพูดพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำทีกดโทรออก แล้วแกล้งพูดอยู่คนเดียว “คุณฉินครับ ผมจะขอเข้าไปตรวจสอบอะไรในห้องทำงานของคุณหน่อยได้ไหมครับ .. .. แต่เลขาสาวสวยของคุณไม่ยอมให้พวกผมเข้าไป .. .. คุณช่วยบอกกับเธอหน่อยก็แล้วกันนะครับ” เขาพูดคนเดียวกับโทรศัพท์ ก่อนยื่นมันให้กับหญิงสาวตรงหน้า

     เธอยื่นมือออกมารับโทรศัพท์ในมือเขา จังหวะนั้นชิวกัมหงก็เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าของหญิงสาวไว้ เธอตกใจทำโทรศัพท์ในมือหล่น ครั้นจะกลับไปคว้ากระเป๋าคืนมาก็ทำไม่ได้ เธอจึงถอยไปที่โต๊ะและหยิบสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกล่องสิ่งเหลี่ยมขึ้นมาถือเอาไว้

     “หยางผิง” ชิวกัมหง เปิดกระเป๋าให้เหยินหยางผิงดูข้างใน เข้าเห็นวัตถุต้องสงสัยอยู่ในกระเป๋าจำนวนหนึ่ง ยังดีที่ยังไม่ได้ติดตั้งตัวจุดระเบิด

     “โยว่ซินหรู คุณยอมมอบตัวซะเถอะ ป่านนี้เกาอี้คงถูกตำรวจจับกุมตัวไปแล้ว”

     “ไม่จริง” โยว่ซินหรูพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ

     “แล้วสิ่งที่อยู่ในมือคุณ ถึงกดไประเบิดก็ไม่ทำงานหรอกนะ เพราะเจ้าหน้าที่คงปลดชนวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เหยินหยางผิงพยายามเกลี้ยกล่อม

     “พวกคุณมาขัดขวางฉันทำไม อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น คนที่ฆ่าพ่อแม่ฉันมันจะได้ตายไปชดใช้กรรมของมันแล้ว”

     “การระเบิดครั้งนั้นคุณก็รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุ”

     “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ช่ายยยย”

     “โยว่ซินหรู ใจเย็น ๆ” เหยินหยางผิงพยายามเกลี้ยกล่อม

     “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”

     โยว่ซินหรูดูเหมือนจะสติแตกไปแล้ว เธอไม่ได้ฟังสิ่งที่เหยินหยางผิงพูดเลยแม้แต่น้อย ชิวกัมหงที่พยายามจะเข้าไปจับเธอ เธอยิ่งคลุ้มคลั่ง และในตอนที่ชุลมุนกันอยู่นั่นเอง

     ภายในห้องทำงานของฉินหรุ่ยกวง

     ตู้มมมมมมม


To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 13 ---ll--- 04-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 04-03-2019 22:40:01
13




     หลังจากที่โฮวจีเจียนสัมภาษณ์คุณฝู่เถิงในห้องทำงานเรียบร้อยแล้ว คุณฝู่เถิงก็เชิญพวกเราเดินเยี่ยมชมภายในออฟฟิศของเขา โดยคุณฝู่เถิงเป็นคนอธิบายในส่วนของสายงานทั้งหมดที่เขาดูแลอยู่ที่เยี่ยนหวอ ซึ่งส่วนมากก็จะประจำอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่สำนักงานใหญ่ที่ฮ่องกง

     “แสดงว่าผู้บริหารของเยี่ยนหวอแต่ละคน จะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน คุณที่ดูแลในส่วนของงานส่งออก และการเช่าพื้นที่โกดัง คุณจึงให้นัดเรามาสัมภาษณ์ที่นี่” โฮวจีเจียนถามระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินออกไปเยี่ยมชมโกดังภายนอก

     “ใช่แล้วครับคุณโฮว งานในส่วนที่ผมดูแลมีเพียงที่นี่เท่านั้น”

     “แล้วระบบขนส่งสินค้าที่ออกจากท่าเรือ คุณก็เป็นผู้คิดริเริ่มใช่ไหมครับ”

     “นั่นมันความคิดของลูกชายผม ที่พูดเล่น ๆ แต่ผมมองว่ามันมีโอกาสจะเติบโตได้ จึงลองทำดู”

     “แล้วมันก็ได้ความนิยมไม่น้อยเลยนะครับ สำหรับ เจเจเอ็กเพรส”

     “ต้องยกความดีความชอบให้ลูกชายผม”

     “จากที่คุณฝู่เล่ามา งานที่นี่ก็ถือว่าหนักเอาการ สำหรับคนทั่วไป”

     “พวกเราวางระบบการทำงานของบริษัทฯ มาอย่างดี ทำให้จนถึงทุกวันนี้ กลไกการทำงานของที่นี่จึงเป็นไปได้โดยธรรมชาติ หากขาดผมไปสักคน งานที่นี่ก็ยังคงดำเนินการต่อไปได้”

     “แล้วในส่วนของคุณฝู่หงส์ละครับ”

     “ผมไม่ก้าวก่ายงานของภรรยาหรอกครับคุณโฮว ไว้ถ้าคุณมีโอกาสไว้คุณถามภรรยาผมเอาเองแล้วกันนะครับ”

     คุณฝู่เถิงพาเราออกมาที่หน้าออฟฟิศ ซึ่งมีรถกอล์ฟจอดรออยู่ 2 คัน ฝู่เถิงพาเชิญให้โฮวจีเจียนขึ้นไปนั่งบนรถคันแรก จากนั้นคนขับรถก็ลงมา คุณฝู่จึงเป็นคนขับพาเยี่ยมชมโดยรอบพื้นที่โกดังด้วยตัวเอง ผมที่กำลังจากก้าวขึ้นรถคันนั้นกลับถูกรั้งตัวไว้

     “นายมากับฉัน” ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียง ดร. โพลาไอซ์ ไม่รู้โผล่มาจากไหน

     “ผมต้องตามจีเจียนไปถ่ายภาพ”

     “โกดังมันก็เหมือน ๆ กันหมดนั่นแหละ นายไปกับเพื่อนนาย หรือไปกับฉันมันก็เหมือน ๆ กัน”

     “ดอกเตอร์พูดยาว ๆ ได้ด้วย?”

     “ขึ้นรถ” ดร.โพลาไอซ์ก้าวขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับแล้ว ผมที่มองไปยังจีเจียนเพื่อช่วยให้เขาตัดสินใจ กลับอ่านปากของคนที่อยู่บนรถ ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ‘ขอสัมภาษณ์ดอกเตอร์ให้ฉันด้วย’ ผมจึงจำใจก้าวขึ้นรถมา

     “งานที่นี่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับดอกเตอร์ แล้วดอกเตอร์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

     “มาคุยกับนาย”

     “นี่ก็ตรงเกิน” ผมบ่นดัง ๆ ตั้งใจให้เขาได้ยิน ก่อนยกกล้องขึ้นถ่ายรูปรอบ ๆ ส่วนที่เป็นโกดัง

     “นายมีเรื่องที่จะต้องรู้”

     “ถ้าเป็นเรื่องน้ำตากิเลน ผมรู้แล้ว บอกแล้วไงว่าพูดไปก็ไม่มีคนเชื่อ”

     “เลือดของนาย มีฤทธิ์เหมือนน้ำตากิเลน”

     “ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามันมีอยู่จริง หา!!” ผมที่เตรียมคำพูดเอาไว้กลับต้องสะดุดกับคำว่าเลือดของผม

     “เลือดของนาย สามารถรักษาบาดแผล หรือแม้กระทั่งรักษาโรคได้”

     “ผมไม่ใช่แวมไพร์นะ ที่ใครได้ดื่มเลือดแล้วจะกลายเป็นอมตะ ฆ่าไม่ตาย”

     “นายถูกฆ่า นายก็ตาย นายบาดเจ็บ ร่างกายนายก็ฟื้นตัวช้า แต่เลือดที่ไหลออกจากตัวนายมันมีค่าราวกับยาวิเศษ”

     “ละ ละ แล้ว คุณรู้ได้ยังไง” ผมถึงกับพูดติดอ่างทันที

     “มันมีบันทึกไว้”

     “ทำไมไม่เคยเห็นในบทความต่าง ๆ เลยละ”

     “ใครจะเชื่อ”

     “เออ ก็จริง ผมยังไม่เชื่อเลย”

     “เรื่องเลือดของนาย จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

     “ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ถูกบันทึกมานาน มันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้”

     “ฉันพิสูจน์มาแล้ว”

     “เฮ้ย ยังไง ตอนไหน?”

     “ก่อนนายออกจากโรงพยาบาล หมอเจาะเลือดนายมาตรวจ”

     “คุณหมอก็รู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ”

     “ไม่รู้ เรื่องเลือดของนายมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ และส่วนใหญ่ ก็เป็นคนที่ฉันไว้ใจจริง ๆ เท่านั้น”

     “คุณเอาเลือดของผมไปทดลองได้ยังไง”

     “แค่อยากตรวจให้แน่ใจ ว่านายไม่ได้รับผลข้างเคียงอื่นจากน้ำตากิเลน” ทำไมจากคำพูดของ ดร. โพลาไอซ์ มันฟังดูเหมือนเขาเป็นห่วงผม

     “แล้ว มันช่วยคนได้ยังไง คุณพอบอกวิธีหน่อยได้ไหม ผมจะได้ระวังตัว” หรือผมจะหาเงินจากเลือดของผมดี?

     “ถ้าแผลภายนอก เลือดของนายจะช่วยสมานแผล”

     “ยังไง คนเจ็บต้องกินเลือดผมเข้าไปอย่างนั้นเหรอ”

     “วิธีนั้นจะช่วยรักษาโรคที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ”

     “เฮ้ย เหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

     “นายคิดเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามีคนรู้เรื่องเลือดของนาย นายคงได้กลายเป็นหนูทดลอง”

     “แล้วดอกเตอร์จะไปจับผมไปทดลองเหรอ”

     “ฉันเป็นนักโบราณคดี ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์”

     “นี่ผมต้องเชื่อคุณใช่ไหมเนี่ย”

     “มันจะดีกับตัวนายเอง” อยู่ ๆ เขาก็จอดรถบริเวณโกดังในโซน F
 
     “ดอกเตอร์จอดตรงนี้ทำไม คงไม่คิดจะรีดเลือดผมหรอกนะ”

     “จอดรถคุยกับนาย”

     “ขับไปคุยไปก็ได้นี่”

     “วนจนครบรอบก็คุยไม่จบ”

     “ไม่จบตรงไหน ผมว่ามันจบไปแล้วด้วยซ้ำ”

     “นายเข้าใจว่ายังไง”

     “ก็เลือดของผมมันวิเศษมาก ถ้าไม่อยากเป็นหนูทดลองก็อย่างให้ใครรู้เรื่องนี้”

     “แล้วยังไงอีก”

     “อะไรคือยังไงอีก?”

     “นายมันชอบรนหาที่ เอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้”

     “ผมไม่ได้รนหาที่สักหน่อย อะไรคือรนหาที่”

     “อย่างคดีรถบัสนั่น”

     “ดร. รู้เรื่องคดีนี้ได้ยังไง”

     “ฉันรู้ก็แล้วกัน”

     “นี่คุณให้คนตามผมอย่างนั้นเหรอ?”

     “ฉันไม่ได้ทำ”

     ผมควรจะรู้สึกดีที่ ดร.โพลาไอซ์ทำเหมือนกับเป็นห่วงผม หรือว่าควรจะระแวงที่เขาให้คนติดตามผมดี ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ได้ให้คนตามผม ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ได้ยังไงว่าผมตามทำข่าวคดีรถบัสอยู่ ระหว่างที่ผมหวาดระแวง สายตาผมก็ไปสะดุดกับวัตถุบางอย่างที่หล่นอยู่ไม่ไกล จึงลงจากรถเพื่อเดินไปเก็บมันขึ้นมา

     ดร. เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ไม่ได้ทักท้วงหรือห้ามปรามอะไร ได้แต่มองตามผมเงียบ ๆ พอรู้ว่าเขาไม่สนใจผมแล้วกลับทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล ผมสลัดความคิดประหลาดนั้นออกไปจากหัว ก่อนก้มลงเก็บสมุดทำมือเล่มหนึ่งขึ้นมา ลักษณะที่สมุดมันคล้ายกับที่ผมเคยเห็น ยังไม่ทันจะได้เปิดดูด้านใน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
 
     “พี่กู่ เป็นยังไงบ้าง..อะไรนะ เดี๋ยวผมรีบไป”
 
     ผมรีบเดินกลับไปยังรถกอล์ฟ ที่มี ดร.โพลาไอซ์ทำหน้าที่เป็นสารถีนั่งรออยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมรีบ อีกทั้งยังไม่ถามอะไร เมื่อผมก้าวขึ้นรถ เขาก็ขับกลับไปยังออฟฟิศทันที

.........................................................................

     การระเบิดเกิดจากการที่โยว่ซินหรูกดตัวจุดระเบิด ทำให้ระเบิดที่ถูกวางไว้บริเวณโต๊ะทำงานของฉินหรุยกวงและภายในรถบัสคันหนึ่งระเบิดขึ้นทันที จากการระเบิดครั้งนี้ ทำให้ชิวกัมหงได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเขาถือกระเป๋าที่มีวัตถุระเบิดของโยว่ซินหรูอยู่ ส่วนภายในศูนย์ซ่อมบำรุง เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสวมเครื่องป้องกันอยู่
 
     เหยินหยางผิงและตู้เห่าแยกไปโรงพยาบาล นอกจากจะไปรอดูอาการของชิวกัมหงแล้ว พวกเขายังต้องคุมตัวโยว่ซินหรูเพื่อไปทำแผลก่อนพากลับมาสอบสวนที่สถานี ผานกู่ เหมียนจืออู่ และจู้ชุน จึงคุมตัวเกาอี้กลับมาสอบสวนก่อน ซึ่งระหว่างทางผานกู่ได้โทรบอกกับหนานเฟ่ยซานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     ผานกู่และจู้ชุนกำลังเฝ้ามองเกาอี้ผ่านทางหน้าต่างกระจกด้านเดียวอยู่เงียบ เกาอี้นั่งรออยู่ในห้องสอบสวนคนเดียว ท่าทางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เขาไปสอบถามเรื่องคดี จนเมื่อได้เวลา จู้ชุนจึงเดินออกจากห้องเพื่อเข้าไปยังห้องสอบสวน

     จู้ชุนนั่งลงตรงข้ามกับเกาอี้ ที่ตอนนี้นั่งเบี่ยงตัวหลบ ไม่กล้าสบตา สองมือก็จับกันแน่น จู้ชุนก็ได้แต่นั่งเฉย ๆ ยังไม่พูดอะไร เพื่อรอดูอาการของเกาอี้อีกครู่หนึ่ง

     “นายมีอะไรจะพูดไหม?”

     “ไม่มี”

     “นายเข้ามาสมัครเป็นยามที่ศูนย์ซ่อมบำรุงนี้เมื่อสองปีก่อน ทำไม?”

     “ก็งานมันหายาก”

     “ไม่ใช่เพราะว่านายวางแผนร่วมกับโยว่ซินหรูหรอกเหรอ?”

     “วางแผนอะไร”

     “นายไม่ต้องทำเป็นไขสือ เราตรวจพบรอยนิ้วมือของนายจากเทปที่นายเอาระเบิดไปติดไว้ใต้ที่นั่งบนรถบัส แล้วเทปพวกนั้นมันก็มาจากเทปม้วนเดียวกับที่เราค้นเจอในล็อกเกอร์ของนาย”
 
     ความเงียบเข้าปกคลุมห้องสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง เกาอี้ที่เครียดเกร็งก่อนหน้านี้ ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น เขาหันมาเผชิญหน้ากับจู้ชุน

     “มัน ฆ่าพี่เจินกุย พ่อของเกาเจี๋ย”

     “ใคร”

     “ก็ใครซะอีก ถ้าไม่ใช่ไอ้สารเลวแซ่ฉินนั่น แค่มันไปเจอพี่เจินกุยแอบจอดรถนอนพักแถวท่าเรือแค่นั้น ถึงกับต้องฆ่ากัน”

     “แค่เรื่องแอบจอดรถนอนพัก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขนาดต้องฆ่าแกงกันหรอกนะ นายเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า”

     “ไม่ วันนั้น ฉันโทรไปขอยืมเงินพี่ เขานัดฉันไปเจอแถว ๆ ท่าเรือ เพราะเขาอยากนอนพัก แต่ฉันยังไปไม่ถึง พี่ก็โทรมาเร่ง บอกว่าเห็นเจ้าของอู่คุยกับใครก็ไม่รู้ที่นั่น แล้วมันก็เห็นเขา พวกเราเลยเปลี่ยนที่นัด พอวันรุ่งขึ้น รถที่พี่ขับก็ระเบิด”

     “มันเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า”

     “ไม่ มันตั้งใจฆ่าพี่” เกาอี้ที่ปักใจเชื่อ ยืนยันหนักแน่น

     ผานกู่ฟังจู้ชุนสอบสวนอีกไม่นานเกาอี้ก็ยอมรับสารภาพว่าร่วมมือกับโยว่ซินหรูเพื่อแก้แค้นซินหรุยกวง เขาก็ออกจากห้องมา ก็พบเหยินหยางผิงที่พึ่งจะกลับเข้ามาที่สถานีพอดี

     “โยว่ซินหรูละหยางผิง”

     “สงสัยเรายังคงสอบสวนเธอไม่ได้”

     “ทำไม อาการเธอไม่ดีอย่างนั้นเหรอ”

     “ถ้าร่างกายน่ะ ไม่เป็นไร แต่จิตใจนี่สิ ตอนนี้พูดไม่รู้เรื่องจนต้องให้จิตแพทย์ตรวจอาการ”

     “เกาอี้ยอมรับสารภาพแล้ว อาชุนเพิ่งสอบปากคำเสร็จ”

     “ปิดคดีได้สักที”

     “แต่ฉันยังสงสัย”

     “มีเรื่องอะไรอีกละพี่”

     “เกาอี้บอกว่า เกาเจินกุยไปเจอฉินหรุยกวงคุยกับใครบางคนที่ท่าเรือ”
 
     “ฉินหรุยกวงทำธุรกิจนำเข้า จะแปลกอะไรถ้าเขาไปคุยกับใครแถวๆ ท่าเรือ”

     “มันก็จริง แต่ฉันก็ยังรู้สึกแปลก ๆ”

     “พี่กู่ พี่หยางผิง” หนานเฟ่ยซานที่เพิ่งมาถึงสถานีตะโกนเรียกเมื่อเห็นพวกเขา

     “ไวจังนะ สมกับเป็นนักข่าว” เหยินหยางผิงแซวหนานเฟ่ยซาน “แต่ว่า นายพาใครมาด้วยอย่างนั้นเหรอ”
 
     “ไม่ได้พามา เขาตามมาเองต่างหาก”

     “ดร. เหมิ๋นหยวนฮ่าง” เขาทักทายคนที่เดินตามหนานเฟ่ยซานมา รู้สึกไม่ค่อยชอบใจไอ้ใบหน้านิ่ง ๆ ภายใต้แว่นตากรอบทองนั่น

     “คุณนักสืบ”

     “คุณมีธุระอะไร หรือว่ามาแจ้งความเรื่องอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามเพื่อดักคอ ดร.หน้านิ่งนั่น

     “ไม่มี”

     “ถ้าอย่างนั้น ผมกับเฟ่ยซานขอตัวก่อนนะครับ” ว่าจบเขาก็เอาแขนคล้องคอหนานเฟ่ยซาน พาเดินไปยังห้องประชุม 1 ที่จืออู่กำลังเก็บข้อมูลในคดีเพื่อเตรียมส่งฟ้อง เหยินหยางผิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่ทำหน้างง ก่อนเดินตามเขาเข้ามาในห้อง

     “พี่กู่ นั่นมันอะไรกัน หึงเฟ่ยซานรึยังไง” เหยินหยางผิงเข้ามากระซิบถามเขา เมื่อเฟ่ยซานเดินไปคุยเรื่องคดีกับจืออู่

     “ฉันแค่ไม่ชอบขี้หน้าไอ้ดอกเตอร์นั่น คนอะไรเย็นชาอย่างกับน้ำแข็งขั้วโลก แล้วไหนจะไอ้หน้าตานิ่ง ๆ ที่แสนจะกวนประสาทนั่นอีก”

     “แบบนี้เขาเรียกว่าหึงนะพี่” เขาไม่อยากพูดต่อล้อต่อเถียงกับเหยินหยางผิง จึงเดินเลี่ยงออกมายืนข้างจืออู่และเฟ่ยซาน

     “นี่ไง คนนี้แหละโยว่ซินหรู” เหมียนจืออู่ชี้รูปบนกระดานให้หนานเฟ่ยซานดู

     “นี่มันเลขาของฉินหรุยกวงนี่”

     “ใช่ เพราะฉันกับนายไม่เคยเจอโยว่ซินหรูยังไงละ เลยไม่ได้นึกเอะใจอะไร”

     “ถ้าอย่างนั้น ทั้งเกาอี้และโยว่ซินหรูก็แอบเข้ามาทำงานที่นี่นะสิ”

     “ใช่แล้ว เกาอี้สมัครผ่านบริษัทรักษาความปลอดภัยเข้ามา ส่วนโยว่ซินหรูเปลี่ยนชื่อแซ่แล้วเข้ามาสมัครงานเป็นเลขาของฉินหรุยกวง”

     “พวกเขาต้องการแก้แค้นจริง ๆ สินะ”

     “อืม แต่มูลเหตุยังไม่ชัดเจน นายต้องรอถามพี่ชุนแล้วละ”

     “ว่าแต่ทั้งสองคนนี้ทำระเบิดขึ้นมาได้ยังไง”

     “สำหรับนักเคมีระดับปริญญาโทอย่างโยว่ซินหรูนะ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย เธอจบปริญาโทจากมหาวิทยาลัยที่อเมริกา”

     “แล้วกัมหงเป็นยังไงบ้าง”

     “อาการสาหัส แต่ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว” เหยินหยางผิงตอบหนานเฟ่ยซาน และถึงแม้จะได้ยินว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว พวกเขาที่อยู่กันในห้องนี้ก็ยังอดเป็นห่วงชิวกัมหงไม่ได้อยู่ดี

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 13 ---ll--- 04-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-03-2019 19:16:21
ได้อ่านนิยายแนวนี้สนุกมากค่ะ เขียนได้ดี o13

ชอบค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 14 ---ll--- 11-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 11-03-2019 22:03:39
14



   ฉินหรุยกวงที่นั่งรอข่าวจากตำรวจอยู่ที่บ้านของตัวเอง ได้รับรู้ว่าห้องทำงานของเขา และภายในศูนย์ซ่อมบำรุงได้รับความเสียหายจากการระเบิด เขาไม่เคยรู้เลยว่าเลขา สาวมากความสามารถที่จ้างมาทำงานนั้นจะเป็นลูกสาวของสองสามีภรรยาแซ่โยว่ และที่น่าตกใจคือ เธอระแคะระคายเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน

   เขานึกสงสัยว่า นอกจากเกาเจินกุยแล้ว ยังมีใครอีกที่เห็นเขาคุยกับหมอนั่นอีก แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าเรื่องระเบิดที่เกิดขึ้นในห้องทำงานของเขา เพราะยังไงโยว่ซินหรูก็ไม่มีพยาน หรือแม้กระทั่งหลักฐานที่จะเอาผิดเขาได้ สิ่งสำคัญในตอนนี้ คือการลอบเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อนำสิ่งนั้นออกมา

   “นายเห็นข่าวแล้วใช่ไหม?” ฉินหรุยกวงโทรไปหาคนที่พอจะช่วยเขาได้ในเวลานี้

   ‘เห็นแล้ว แต่ตำรวจก็จับคนร้ายได้แล้วนี่’

   “ใช่ แต่ฉันยังมีเรื่องที่ต้องการให้นายช่วย”

   ‘เรื่องอะไร จะให้ฆ่าปิดปากสองคนนั้นรึไง’

   “ไม่ต้อง ยังไงพวกมันก็ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่คิดวางระเบิดบริษัทฯ ของฉันหรอก”

   ‘แล้วนายต้องการให้ฉันช่วยอะไร’

   “บัญชีของไหว่ยี่ อยู่ในห้องทำงานฉัน”

   ‘บัญชีนั่น ไปอยู่ในห้องทำงานของนายได้ยังไง นายควรจะเก็บมันไว้ที่บ้านไม่ใช่เหรอ? ’

   “บ้านฉันถูกขโมยขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันเลยไม่ไว้ใจ ย้ายมันไปเก็บไว้ที่ทำงาน”

   ‘แล้วนี่ถ้าตำรวจเจอมันเข้าจะทำยังไง’

   “ฉันถึงให้นายช่วยยังไงละ ตอนนี้ตำรวจเฝ้าที่เกิดเหตุอยู่ ฉันจะเข้าไปยังทำไม่ได้เลย”

   ‘จะให้ฉันส่งคนลอบเข้าไปเนี่ยนะ ทำไมฉันจะต้องเสี่ยงด้วย’

   “ก็นายมีส่วนในคดีเมื่อ 5 ปีก่อน”

   ‘นายเป็นคนบอกเองว่าพวกมันไม่มีทั้งพยาน และหลักฐาน แล้วทำไมฉันจะต้องกลัว เรื่องของนาย นายก็จัดการเอาเอง ฉันให้เวลานายแค่วันเดียว ก่อนที่ฉันจะรายงานเจ้านาย’

   “แล้วถ้าเป็นซือหวูละ”

   ‘ฉันจะแนะนำอะไรนายอย่างหนึ่งนะ ถ้านายยังอยากจะมีลมหายใจอยู่ นายก็ไม่ควรจะไปยุ่งกับซือหวู จำไว้’

   คนที่เขาคิดว่าจะช่วยได้กลับไม่สนใจไยดีวางสายใส่เขา ทำให้ตอนนี้เขาคงต้องหาทางลอบเข้าไปในที่เกิดเหตุเอาเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้านายรู้ เขาคงไม่ตายดีแน่

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างคิดว่าคนอย่างหนานเฟ่ยซานไม่น่าจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าเข้าใจดีว่าเลือดของตนเองนั้นมีความสำคัญขนาดไหน แต่ดูจากท่าทางที่รีบรี่เข้ามายังสถานีทันทีที่รู้ว่าคนร้ายในคดีวางระเบิดรถบัสถูกจับกุมตัวแล้ว

   เขาตามหนานเฟ่ยซานมายังสถานี เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึงกลับไปรอที่รถ เขาต้องการเฝ้าดูว่าหนานเฟ่ยซานจะออกไปในที่อันตรายอีกไหม ในระหว่างที่เขาเฝ้ารอ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

   “ครับเตี๋ย”

   ‘มีอะไรถึงได้รีบร้อนออกไป ทั้งนายแล้วก็หนานเฟ่ยซาน’

   “หนานเฟ่ยซานรีบกลับมาทำข่าวคดีรถบัสระเบิด”

   ‘นายก็เลยตามเขาไป ปล่อยให้โฮ่วจีเจียนอยู่ที่นี่’

   “ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโฮ่วจีเจียน ถ้าเตี๋ยจะตำหนิ ก็ต้องไปตำหนิหนานเฟ่ยซาน”

   ‘นายก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับหนานเฟ่ยซาน แล้วนายตามเขาไปทำไม’

   “ผมแค่อยากให้แน่ใจว่า เขาจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง”

   ‘แต่นายไม่จำเป็นต้องตามติดเขาขนาดนั้นก็ได้ ในเมื่อคนของเตี๋ยตามเขาอยู่แล้ว’

   “หนานเฟ่ยซานพอจะรู้ตัวแล้วว่าเราให้คนตามเขา”

   ‘นายคงไปหลุดอะไรให้เฟ่ยซานรู้ตัวละสิ เตี๋ยรู้นิสัยคนของเตี๋ยดี ว่าไม่มีทางพลาด’

   “ก็นิดหน่อย”

   ‘นายก็เลยจะตามเองไปเลยสินะ’

   “ตั้งใจว่าจะดูแค่ช่วงนี้ พอพิพิธภัณฑ์เปิดตัวกล่องสำริดให้เข้าชมเมื่อไร ผมก็กลับเกาลูน”

   ‘หยวนฮ่าง เมื่อก่อนนายอาจจะยึดติดกับการค้นหาน้ำตากิเลน แต่ในตอนนี้สิ่งนั้นมันก็อยู่ที่แล็บของนาย ส่วนเรื่องของหนานเฟ่ยซาน นายก็ควรปล่อยวางได้แล้ว’

   “เอาเป็นว่า หลังจากนี้ ถ้าหนานเฟ่ยซานไม่ได้ไปทำข่าวคดีอะไรที่เสี่ยงอันตราย ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”

   ‘ถ้าอย่างนั้น นายก็ควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เฝ้าอยู่หน้าสถานีก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา’

   “คนของเตี๋ยคงรายงานไปละสิ เตี๋ยถึงได้โทรมาได้”

   ‘ถ้านายอยากรู้เรื่องของหนานเฟ่ยซาน เตี๋ยจะให้คนรายงานกับนายโดยตรงก็แล้วกัน’

   “ครับ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากฝู่เถิง แล้วมองไปรอบ ๆ ลานจอดรถหน้าสถานี ถึงเขาจะมีศักดิ์เป็นหลาน แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ว่าใครคือคนของเตี๋ย ใครกันที่รายงานเตี๋ออฟฟิศว่าเขาเฝ้าหนานเฟ่ยซานอยู่ที่หน้าสถานีนี้

.........................................................................

   ผานกู่และเหยินหยางผิงเข้ามาตรวจสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง หลังจากตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้ามาเครียพื้นที่เรียบร้อย ภายในศูนย์ซ่อมบำรุง ได้รับความเสียหายไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่กันบริเวณรอบรถบัสที่พบวัตถุระเบิดเอาไว้แล้ว แต่ในออฟฟิศส่วนของห้องทำงาน จนมาถึงหน้าลิฟต์ เสียหายอย่างหนัก

   ยังถือว่าชิวกัมหงโชคดีที่ขว้างกระเป๋าของโยว่ซินหรูออกไปนอกหน้าต่าง หากช้ากว่านั้น ทั้งตำรวจและผู้ต้องหาคงได้กลายเป็นศพกันไปแล้ว

   “พี่กู่ ให้ผมมาช่วยหาอะไร”

   “ไม่รู้สิ นายก็ดูๆ แล้วกันว่าอะไรที่น่าสงสัย”

   “พวกของน่าสงสัย ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานคงเก็บไปวิเคราะห์หมดแล้ว พี่จะให้ผมหาอะไรอีกละ”

   “ฉันยังสงสัยฉินหรุยกวง”

   “เรื่องที่เกาเจินกุยเห็นเขาคุยกับใครอย่างนั้นเหรอ?”

   “นายไม่สงสัยหรือไง ทำไมฉินหรุยกวงถึงได้เพิ่มยามรักษาความปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่บ้านก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากมาย”

   “พี่คิดว่าเขาซ่อนอะไรเอาไว้อย่างนั้นเหรอ”

   “ฉันก็ไม่รู้ แต่นายก็เห็นตัวเลขรายได้ตอนที่ฉินหรุยกวงกำลังจะปิดอู่แท็กซี่ ถ้าอู่ขาดทุนจริง ๆ ตัวเลยมันควรจะติดลบไม่ใช่เหรอ”

   “มันก็ถูกของพี่ ไหน ๆ มาแล้ว ก็ลองหา ๆ ดูหน่อยก็แล้วกัน”

   ผานกู่และเหยินหยางผิงช่วยกันตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะภายในห้องของฉินหรุยกวง ซึ่งห้องทำงานของเขาก็เหมือนห้องทำงานทั่ว ๆ ไป มีตู้เก็บเอกสารเล็กน้อย ชั้นโชว์ถ้วยรางวัลต่าง ๆ โต๊ะทำงาน โซฟาพักคอย แต่จากสภาพตอนนี้ พวกเขาคิดว่า ฉินหรุยกวงคงต้องซ่อมแซมใหม่ทั้งหมด

   เวลาผ่านไปราวชั่วโมง พวกเขาทั้งสองก็ตรวจสอบภายในห้องเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่พบอะไรน่าสงสัย เหยินหยางผิงที่ยังคงรื้อค้นซากโต๊ะทำงาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เสียหายมากที่สุด กำลังวางมือจากงานตรงหน้า

   “ผมไม่เจออะไรเลย แล้วพี่ละ”

   “ไม่เจอเหมือนกัน” ผานกูตอบพร้อมกับเดินเข้าไปสมทบกับเหยินหยางผิง

   “งั้นพวกเรากลับสถานีกันเถอะ ยังมีคดีอื่นให้ต้องไปทำอีก” หยางผิงวางมือแล้วก้าวข้ามซากโต๊ะออกมา “เฮ้ย!! ”

   “ระวัง ๆ หน่อยสิหยางผิง” ผานกู่ที่กำลังหันหลังจะเดินออกจากห้อง ต้องหันมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของหยางผิงที่สะดุดกับอะไรเข้า

   “พี่กู่ มาดูนี่สิ”

   “มีอะไร?” ผานกู่เดินเข้าไปยังจุดที่เหยินหยางผิงสะดุดเมื่อครู่

   เป็นเพราะเหยินหยางผิงสะดุดเข้ากับเศษไม้ของโต๊ะทำงาน ทำให้เศษไม้ชิ้นนั้นทิ่มลงไปบนพรม เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้นั้น

   “ทำไมฉินหรุยกวงต้องทำช่องลับไว้ใต้โต๊ะทำงานตัวเอง?”

   ผานกูจัดการงัดเศษไม้ที่ขวางทางออก ก่อนรื้อพรมที่เป็นรอยไหม้จากการระเบิดออก พบบานประตูเหล็กเล็ก ๆ ขนาดเท่าเบาะรองนั่ง และด้วยแรงระเบิดทำให้บานประตูบิดเบี้ยว กลอนจึงคลายออกแต่ก็ยังไม่สามารถเปิดดูภายในได้อยู่ดี

   “เปิดไม่ออก” ผานกู่พูดหลังจากออกแรงงัดอยู่นาน

   “เดี๋ยวผมไปหาอะไรมางัดก่อน พี่รอแป๊บหนึ่ง” เหยินหยางผิงวิ่งออกจากห้องไป

   ดูจากตำแหน่งของบานประตูลับนี้แล้ว มันน่าจะอยู่ที่ใต้ที่พักเท้าของฉินหรุยกวงพอดี และยังมีพรมปิดอีกชั้นหนึ่ง ถึงมีคนเหยียบโดนก็คงไม่ได้ยินเสียงอะไร เขามองหาสิ่งของในห้องที่พอจะงัดบานประตูเหล็กนั้นขึ้นมาได้

   “มาแล้วพี่กู่” ในมือของเหยินหยางผิงมีชะแลงติดมาด้วย

   พวกเขาสองคนช่วยกันออกแรงงัด และเนื่องจากติดเศษซากของโต๊ะทำงาน ทำให้พื้นที่ให้การออกแรงมีจำกัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน บานประตูก็ถูกเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือผ้าผืนหนา ที่วางคลุมสิ่งของด้านในไว้

   ผานกู่สวมถุงมือก่อนหยิบผ้าผืนนั้นออกมา ด้านในเป็นหลุมลึกสี่เหลี่ยม พบสมุดบันทึกจำนวนมาก ด้านหน้าสมุดเขียนระบุตัวเลขไว้ เป็นปีคริสต์ศักราช จำนวน 7-8 เล่ม เท่ากับย้อนไปราว 7-8 ปี หลังจากยกสมุดขึ้นมาแล้ว ด้านในพบกล่องบรรจุลูกกระสุนจำนวน 3-4 กล่อง และลำกล้องปืนไม่ทราบรุ่นอยู่อันหนึ่ง

   “นี่มันอะไรกัน” เหยินหยางผิงถามเขาเมื่อเห็นสิ่งของที่ซ่อนอยู่ด้านใน

   “นี่เหมือนจะเป็นบัญชีอะไรสักอย่าง มันเกี่ยวข้องกับคนที่ชื่อไหว่ยี่ ทั้งหมดถูกเขียนเป็นรหัส”

   “เหมือนพวกค้ายา”

   “ดูจากของที่อยู่ในนี้แล้ว ฉันว่าน่าจะเป็นอาวุธมากกว่า”

   “พี่กู่ หรือว่าที่เกาอี้เล่ามาจะเป็นความจริง เกาเจินกุยอาจจะไปพบเห็นอะไรเข้า ฉินหรุยกวงถึงต้องฆ่าปิดปาก”

   “เอาของพวกนี้กลับไปที่สถานีก่อน อย่างน้อยเราต้องรู้ให้ได้ว่าไหว่ยี่คือใคร”

.........................................................................

   ผมเขียนข่าวคดีรถบัสระเบิดตามรายละเอียดที่ผานกู่อนุญาตให้ลงในสื่อเรียบร้อย ก็ส่งงานไปให้ บ.ก. ตรวจสอบอีกครั้งก่อนทำการเผยแพร่ทั้งช่องทางออนไลน์ และตีพิมพ์ จากนั้นก็เก็บรายละเอียดทั้งหมดใส่แฟ้ม ก่อนนำไปรวบรวมไว้ยังคลังข้อมูลที่ชั้นใต้ดิน

   “เฟ่ยซาน เมื่อวานทำไมหนีกลับก่อน นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้เอารถไป” โฮวจีเจียนเดินเข้ามาหาเขา

   “พี่กู่โทรมาบอกเรื่องคดี ฉันเลยรีบไป” ผมวางมือจากการเก็บเอกสาร แล้วเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบแฟลชไดซ์ “เอานี่ รูปภายในออฟฟิศและแถว ๆ โกดังของเยี่ยนหวอ” ผมยื่นมันให้กับจีเจียน

   “ขอบใจ แล้วที่นายออกไปกับ ดร.เหมิ๋น นายได้ขอสัมภาษณ์เขาให้กับฉันรึเปล่า”

   “เปล่านี่ นายก็รู้ว่าดอกเตอร์พูดน้อยแค่ไหน ฉันขี้เกียจชวนคุย”

   “น้องหนานน้องรัก นายออกไปกับ ดร. เหมิ๋นเกือบครึ่งชั่วโมง นายไม่คิดจะชวนเขาคุยเลยรึยังไง ก่อนลงจากรถก็เห็นถามเรื่องน้ำตากิเลน แทนที่จะเอาไปเป็นข้อมูลคุยกับดอกเตอร์”

   “พอ ๆ หยุดบ่นได้แล้ว นายไปทำงานของนายเถอะ ถ้าคราวนี้นายเขียนข่าวฝู่เถิงออกมาดี บ.ก.อาจจะเห็นใจ เลิกแช่แข็งนายก็เป็นได้”

   “เออๆ รู้แล้ว” ผมกำลังจะเก็บข้อมูลที่เหลือใส่แฟ้มต่อ จีเจียนก็สะกิดผมอีก “นายใช้ของกุ๊กกิ๊กแบบนี้ด้วยเหรอ”

   “มันไม่ใช่ของฉัน ฉันเก็บได้แถว ๆ โกดังเมื่อวาน”

   “เดี๋ยวนี้ใครเขาใช้สมุดทำมือแบบนี้กันอยู่อีก”

   “อันที่จริงก็มีนะ คราวก่อนมีลุงคนหนึ่งพกสมุดแบบนี้ นายเอาคืนมา” ผมคว้าสมุดในมือของจีเจียนกลับมาเปิดอ่านดู

   ภายในสมุดได้จดรายละเอียดเกี่ยวกับยาหลายอย่าง ตารางนัดรับยาที่โรงพยาบาล ตารางตรวจคนไข้ วิธีการปฏิบัติและช่วยฟื้นฟูคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ข้อมูลข้างในมันทำให้ผมนึกถึงลุงเว่ย สมุดนี่ก็มีรูปแบบคล้าย ๆ กับสมุดที่ลุงเว่ยพกติดตัว ถึงผมจำลายมือที่เขียนในสมุดของลุงเว่ยไม่ได้ แต่มันก็มีส่วนคล้ายกันอยู่

   ผมวางงานที่ต้องเก็บเอาไว้บนโต๊ะทั้งอย่างนั้น ก่อนคว้ากระเป๋า แล้วตรงไปยังสถานี ถ้าผมสันนิษฐานไม่ผิด สมุดเล่มนี้อาจจะเป็นของเว่ยฟ่าน หลานสาวที่หายตัวไปของลุงเว่ย แต่ที่ผมยังไม่เข้าใจก็คือ เว่ยซานไปทำอะไรที่โกดังในเขตท่าเรือที่ 5

   “นายจะไปไหน” จีเจียนเดินตามมาถามถึงหน้าลิฟต์

   “ไปหาพี่กู่ เดี๋ยวฉันโทรบอก บ.ก. เอง นายไปทำงานของนายเถอะ” ผมพูดจบก็กดปิดลิฟต์

   ผมใช้เวลาเดินทางไปยังสถานีตำรวจไม่นาน เมื่อไปถึงพี่กู่และพี่หยางผิงไม่อยู่ ส่วนจื่ออู่ไปเยี่ยมกัมหงที่โรงพยาบาล

   “เฟ่ยซาน นายมาหาผานกู่เหรอ”

   “พี่ชุน ผมจะมาถามเรื่องคดี”

   “คดีไหนอีกละทีนี้”

   “คดีคนหาย”

   “นี่นายสนใจคดีแบบนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “ก็นิดหน่อยนะพี่ ใครรับผิดชอบคดีนี้เหรอ”

   “ทีมสืบสวนที่ 2 อาเห่าเป็นคนดูแลอยู่ นายก็ลองไปถามเขาดูสิ”

   “ขอบคุณมากพี่ชุน”

   “อ่อ เฟ่ยซาน นายจะไปไหนมาไหนก็ระวังตัวเอาไว้หน่อย ทางเรายังไม่มีเบาะแสของหวงกังโห”

   “ผมจะระวังตัว” ผมรับปากพี่จู้ชุนก่อนเดินไปยังโต๊ะของพี่ตู้เห่า “พี่เห่า”

   “อ่าว เฟ่ยซาน มาหาอากู่เหรอ?”

   “ผมมาหาพี่”

   “มาหาฉัน นายมีเรื่องอะไร”

   “พี่ชุนบอกว่าพี่ดูแลคดีคนหาย”

   “ใช่ ทำไม หรือนายมีเบาะแสของใครอย่างนั้นเหรอ”

   “ครับพี่ ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ลุงเว่ยเขาพักอยู่ที่ไหน หลังจากที่มาแจ้งความเรื่องหลานสาว”

   “ฉันขอชื่อหน่อยสิ”

   “หลานสาวที่หายไปชื่อ เว่ยฟ่าน ส่วนคนที่แจ้งความคือเว่ยหยงหมิง”

   “ฉันค้นก่อนนะ” ผมรอสักพักพี่เห่าก็เอาข้อมูลให้ผมดู “ตอนนี้เว่ยหยงหมิงอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์คนชรา”

   “แล้วพี่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเว่ยฟ่านไหม?”

   “วันที่เว่ยซานหายตัวไป เพื่อนบ้านเห็นเธอแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเดินไปยังป้ายรถบัส จากที่ตรวจดูกล้องวงจรปิดทั้งในร้าน และทางเดินไปยังป้ายรถบัสก็เห็นเธอปกติดี หลังจากนั้นก็ไม่พบอะไรอีก”

   “พี่พอจะรู้ไหมว่ารถบัสที่เธอนั่ง มันไปไหนบ้าง”

   “ฉันตรวจสอบดูแล้ว รถบัสสายที่เธอนั่งจะผ่านโรงพยาบาลเกียงวู”

   “แสดงว่าเธอหายไประหว่างที่จะไปรับยาให้กับลุงเว่ยสินะ”

   “ใช่แล้ว”

   “ผมเจอสมุดนี่ มันเหมือนกับที่ลุงเว่ยพกติดตัว แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่ของเว่ยฟ่านรึเปล่า เพราะผมจำลายมือเธอไม่ได้”

   “ฉันก็ไม่เคยเห็นสมุดเล่มนั้น คนที่เห็นก็มีแต่นายกับกัมหง”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมจะเอาไปเทียบกับสมุดที่ลุงเว่ยพกติดตัวอยู่”

   “อะไรทำให้นายคิดว่าสมุดเล่มนี้เป็นของเว่ยฟ่าน เพราะเป็นสมุดทำมือเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?”

   “เพราะข้อความข้างในต่างหาก พี่ลองเปิดดูสิ” ผมรอพี่ตู้เห่าอ่านข้อความที่จดด้านในสักพักหนึ่ง

   “ฉันจะไปกับนายด้วย ดูๆ แล้วฉันว่าสมุดเล่มนี้น่าจะเป็นของเว่ยฟ่านจริง ๆ นายไปเจอสมุดเล่มนี้ที่ไหน”

   “โกดังแถวท่าเรือที่ 5”

   “นั่นมันคนละทางกับโรงพยาบาลเลยนะ”

   “นี่อาจจะไม่ใช่คดีคนหายธรรมดา ๆ ก็ได้นะพี่เห่า”

   “นายกำลังคิดว่า เว่ยฟ่านอาจจะเป็นเหยื่อในคดีฆ่ารัดคออย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมก็ยังไม่รู้ และจนกว่าจะได้รับการยืนยันว่าสมุดเล่มนี้เป็นของเว่ยฟ่าน ผมถึงจะสืบต่อได้”

   “นายนี่ไม่น่าเป็นนักข่าวเลยนะ เป็นนักสืบหรือตำรวจน่าจะรุ่งกว่า”

   “ผมถือว่าพี่ชมผมก็แล้วกัน”

   “ไปกันเถอะ เดี๋ยวนายไปรถฉันก็แล้วกัน”

   ผมพยักหน้ารับก่อนเดินตามพี่ตู้เห่าออกจากสถานีไป ระหว่างที่เดินไปยังลานจอดรถ เจอพี่จู้ชุน เขาเลยตามพวกเราไปด้วย

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 15 ---ll--- 19-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-03-2019 07:58:23
15



     ภายใน​ซากห้องทำงาน เงาร่างหนึ่งกำลังรื้อค้นหาสิ่งของใต้ซากโต๊ะทำงาน จนพบตำแหน่งของที่เก็บของลับ ดูจากภายนอก คาดว่าน่าจะมีคนมาเปิดดูภายในแล้ว ทำให้เจ้าของร่างยิ่งเหงื่อซึมเข้าไปใหญ่ ทั้งที่อากาศภายในห้องนี้ไม่ได้ร้อนอบอ้าวแม้แต่น้อย

     “นั่นใคร!! ” เสียงที่ได้ยินมาจากประตูเข้าห้องทำให้เขาต้องรีบหาที่หลบ แต่ก็ไม่พ้นแสงไฟฉายที่สาดเข้ามายังใบหน้าของเขา จนต้องเอามือป้องแสงเอาไว้ “ไหนว่านายจะไม่ยุ่งเรื่องนี้”

     “นายมาเอาของในช่องลับนี้ไปแล้วใช่ไหม?” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเจ้าของห้องนี้ เขาก็เบาใจไปได้หน่อยหนึ่ง

     “ฉันมาไม่ทันพวกตำรวจ แต่นายสบายใจได้ บัญชีลับยังอยู่นี่” ฉินหรุยกวงพูดพร้อมทั้งชูแฟลชไดซ์ในมือให้เขาดู “พวกมันได้ไปเฉพาะบันทึกรุ่นของสินค้าที่นายใหญ่เอาเข้ามา”

     “เรื่องคดีเมื่อสามปีก่อน นายแน่ใจใช่ไหมว่าไม่มีใครเห็นเราสองคนอีก นอกจากคนขับแท็กซี่นั่น”

     “บอกตามตรง ว่าฉันก็ชักจะไม่แน่ใจ ว่าตอนนั้นเกาเจินกุยอยู่ในรถคนเดียวรึเปล่า แต่เท่าที่ฉันถาม มันก็ขอโทษฉันที่แอบไปจอดรถนอนพัก” ฉินหรุยกวงปิดไฟฉายเพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกเห็น ทำให้ภายในห้องกลับมามืดดังเดิม

     “ฉันว่า นอกจากมัน ต้องมีคนรู้เรื่องที่เราสองคนเจอกันครั้งนั้นแน่ ไม่อย่างนั้นน้องชายมันจะมาแก้แค้นนายได้ยังไง”

     “หรือเราจะจัดการเกาอี้ เหมือนที่เราจัดการเกาเจินกุย”

     “นายจะใช้วิธีไหน ในเมื่อเกาอี้อยู่ในความคุ้มครองของตำรวจ”

     “แล้วเราควรทำยังไงดี”

     “ในเมื่อมันไม่มีหลักฐาน เราก็เฉยไว้ก่อน อีกเรื่องนายไม่รู้ใช่ไหม ว่าใต้สมุดบันทึกพวกนั้นมีลำกล้องปืน CZ 452 American กับกระสุนปืนอีกกล่องหนึ่งซุกเอาไว้”

     “นายว่ายังไงนะ ลำกล้องตัวนั้นมันมาอยู่ในช่องลับนี่ได้ยังไง” ฉินหรุยกวงตกใจเมื่อได้ยินว่ามีอะไรอยู่ในนั้นอีก

     “ฉันเป็นคนเอามาใส่ไว้เอง”

     “แล้วนายทำไมไม่บอกฉัน นี่ถ้าหากเกิดตำรวจมาถาม ฉันจะไปตอบพวกนั้นว่ายังไง”

     “เราต้องหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก่อนเรื่องจะถึงหูนาย”

     “นายหมายความว่ายังไง”

     “ลำกล้องตัวนั้น มันมาจากปืนของนายใหญ่ ก่อนที่นายจะเปลี่ยนไปใช้ลำกล้อง CZ 455”

     “ถ้าตำรวจเช็กเลขบนลำกล้องขึ้นมา นายคงไม่เอาเราทั้งคู่ไว้แน่”

     “ฉันรู้ ฉันว่าเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าฉันอยู่ที่นี่ แล้วก็... บัญชีลับนั่น เอามาให้ฉันถ้านายยังไม่รู้จะเก็บมันไว้ที่ไหน ฉันก็จะเก็บมันเอาไว้ให้เอง”

     “ได้ ถ้าอย่างนั้น อีก 30 นาที เจอกันที่นัมวาน”
ฉินหรุยกวงเดินนำออกไปก่อน โดยมีเขาเดินตามออกไป พวกเขาเดินเลี่ยงไปกันคนละทาง และแยกย้ายกันไปยังจุดนัดพบ
 
.........................................................................


     ผานกู่นำหลักฐานที่ได้จากห้องทำงานของฉินหรุยกวงไปปรึกษากับหัวหน้า เนื่องจากข้อมูลในสมุดบันทึกนั่นเป็นรหัสเฉพาะ ซึ่งเขาพยายามจะหาความเกี่ยวโยงกับลำกล้องและกล่องกระสุนที่ได้มาพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถถอดความรหัสนั่นได้เลย

      ทางด้านเหยินหยางผิงนำตัวเลขที่กำกับลำกล้องไปตรวจสอบ ปรากฏว่า มันเป็นลำกล้องของปืน CZ 452 American ซึ่งเป็นปืนที่ใช่ล่าสัตว์ เจ้าของปืนกระบอกนี้คือ เหยียนหลินฟง ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นเรื่องลำกล้องนี้ก็หาความเชื่อมโยงกับฉินหรุยกวงไม่ได้อยู่ดี
 
     “เป็นยังไงบ้างพี่ หัวหน้าว่ายังไงบ้าง” เหยินหยางผิงถามทันทีที่เขาออกมาจากห้องของหัวหน้า
 
     “หัวหน้าบอกว่า ถึงมันจะน่าสงสัย แต่ก็หาความเชื่อมโยงกับฉินหรุยกวงไม่ได้ หากคดีนี้สิ้นสุด ให้ส่งของคืน”

     “เฮ้ย ได้ยังไงพี่ เห็นอยู่ว่ามันน่าสงสัย”

     “พวกเราไม่รู้แน่ชัด จะเอาอะไรไปตั้งข้อหากันละ คงต้องทำตามที่หัวหน้าบอก ระหว่างที่ยังไม่ส่งของคืนให้ฉันกับนายก็ยังมีเวลาสืบเรื่องนี้ได้อยู่”

     “จะเอาเวลาไหนมาสืบกันละพี่ คดีฆ่ารัดคอก็ยังไม่จบ ไหนจะคดีหวงกังโหอีก”

     “เอาน่า จะปล่อยไว้เฉย ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้นี่ มันคาใจฉันยังไงชอบกล”

     “พี่กู่ พี่ว่าฉินหรุยกวงจะส่งคนมาปิดปากเกาอี้ไหม?”

     “ฉันว่าฉินหรุยกวงมันคงไม่โง่ขนาดนั้น ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานเอาผิดมัน มีแต่ข้อกล่าวหาของเกาอี้ หากเขาทำแบบนั้น มันก็เท่ากับเขาร้อนตัวนะสิ”

     “จริงของพี่”

     “คุยอะไรกันอยู่ หน้าเครียดกันจัง หรือว่าพบศพเหยื่ออีกแล้ว” หนานเฟ่ยซานเข้ามาทักทายพวกเขา ขณะที่กำลังคุยเรื่องฉินหรุยกวงกันอยู่

     “ไม่ใช่อย่างนั้น นายก็อย่าเพิ่งพูดอะไรที่เป็นลางสิ นี่ก็เจอไปสี่ศพแล้ว พอแค่นี้เถอะ” เหยินหยางผิงถึงกับโอดครวญถึงคดีที่ยังค้างอยู่

     “ว่าแต่เราเถอะเฟ่ยซาน วันนี้มาเรื่องคดีอะไรอีกละ ถ้าคดีฆ่ารัดคอ พี่ยังมืดแปดด้าน” เขารีบบอกกับหนานเฟ่ยซาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามอะไร

     “ไม่ใช่หรอกพี่กู่ ผมมาหาพี่เห่า”

     “มาหาอาเห่า เรื่องคดี?”

     “อืม เรื่องคดีคนหาย อ่อแล้วผมว่าจะมาทวงข้อมูลเรื่องเยี่ยนหวอที่พี่รับปากจะเอาให้ผมด้วย”

     “พี่ลืมไปสนิทเลย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน พี่กับหยางผิงมีเรื่องที่ต้องตรวจสอบ วันนี้คงไม่ว่าง”

     “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็ได้ ผมไปหาพี่เห่าก่อนนะ” หนานเฟ่ยซานเดินไปยังโต๊ะของตู้เห่า และจู้ชุน ก่อนที่ทั้งสามจะเข้าไปในห้องประชุม

     “สงสัยน้องหนานของพี่จะไปเจออะไรเข้าอีกแล้ว” เหยินหยางผิงพูดพร้อมเอามือพาดไหล่ของเขาไว้

     “น้อยๆ หน่อยหยางผิง” เขาว่าพร้อมปัดมือของเหยินหยางผิงออก “คดีคนหายไม่น่าจะมีอันตรายอะไร คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง”

     “อาชุนอยู่ด้วยคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกพี่ ยังไงอาชุนก็ให้คนคอยดูแลเฟ่ยซานอยู่แล้วนี่ จนกว่าเราจะจับตัวหวงกัมหงได้”

     “ไอ้หมอนั่นก็ไม่รู้ไปกบดานที่ไหน มันคงไม่ได้หนีออกนอกประเทศไปแล้วนะ”

     “เป็นไปไม่ได้หรอกพี่ ถ้ามันจะหนีออกนอกประเทศ เราก็ต้องได้รับรายงานเข้ามาบ้างสิ”

     “ไป ไปทำงานได้แล้ว กัมหงยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะฉะนั้น นายไปคุยกับเพื่อนผู้ตายกับฉันแทนกัมหง”

     ผานกู่และเหยินหยางผิงพากันออกจากสถานีเพื่อตรงไปยังบริษัทฯ ที่ผู้ตายเคยทำงาน นอกจากนั้นพวกเขายังต้องไปตรวจสอบสถานที่สุดท้ายที่ผู้ตายไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เพื่อหาเบาะแสและความเชื่อมโยงของศพทั้ง 4

.........................................................................

     เหมิ๋นหยวนฮ่างได้รับรายงานจากจู้ชุน ว่าหนานเฟ่ยซานกำลังสืบคดีคนหายคดีหนึ่งอยู่ และที่หนานเฟ่ยซานสนใจคดีนี้เพราะดันไปเจอสมุดทำมือของคนที่หายตัวไปแถว ๆ โกดังของเยี่ยนหวอในวันนั้น

     “หนานเฟ่ยซานจะไปสืบเรื่องของเว่ยฟ่านที่ไหน”

     ‘เห็นเขาว่าจะไปแถว ๆ โกดังที่เจอสมุดทำมือเล่มนั้น’

     “คุณให้ใครตามเขาไปรึเปล่า?”

     ‘มีเจ้าหน้าที่ 2 นายคอยตามอยู่ ยังไงเขาก็ยังเป็นพยานในคดีค้ายาและอาวุธ’

     “ยังหาหวงกังโหไม่เจอสินะ”

     ‘ใช่ครับ ผมคิดว่า มันอาจจะถูกฆ่าตัดตอนไปแล้ว’

     “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมยังส่งตำรวจคอยตามอยู่ละ”

     ‘ทางเรายังขาดหลักฐาน และนั่นมันก็แค่ความคิดส่วนตัวของผม’

     “ถ้าทางตำรวจเลิกตามหนานเฟ่ยซานแล้วก็บอกผมด้วย”

     ‘คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ถึงตำรวจจะเลิก แต่คนของผมก็ยังคอยตามเขาอยู่ตามคำสั่งเดิม’

     “ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนี้ก็รายงานผมด้วยแล้วกัน”

     ‘ได้ครับ’

     สายถูกตัดไปแทบจะทันที ที่จู้ชุนรายงานจบ เขาไม่คิดเลยว่าคนในสถานีตำรวจยังเป็นคนของเตี๋ยเขาได้ ครั้งที่แล้วที่เขาตามหนานเฟ่ยซานไปที่สถานี จู้ชุนคงเห็นเขาจึงรายงานไปยังเตี๋ยแน่ ๆ

     เหมิ๋นหยวนฮ่างตัดสินใจออกจากห้องพักไปยังโกดัง เขาจำได้ว่าที่ที่หนานเฟ่ยซานพบสมุดเล่มนั้นน่าจะเป็นแถวๆ โซน F และถ้าเขาจำไม่ผิด ต้วนเจียจงได้เช่าโกดัง F13-F14 ไว้เพื่อเก็บของเล่นที่นำเข้ามา นั่นทำให้เขาพอจะมีข้ออ้างที่จะไปเดินเล่นแถว ๆ นั้น

     เมื่อไปถึงที่หน้าโกดัง ต้วนเจียจงก็เดินออกมาต้อนรับเขาที่ด้านหน้าทางเข้าด้วยหน้าตายิ้มแย้มเชิงหยอกล้อ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะรู้จักนิสัยกันเป็นอย่างดี

     “ตอนที่นายโทรมาบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยม ฉันนึกว่าตัวเองหูฝาดไป” ต้วนเจียจงที่เห็นว่าเขาเมินรอยยิ้มหยอกเย้านั่น เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดเหน็บแนบ

     “นายก็รู้ว่าพูดแบบนั้น มันไม่มีผลกับฉัน”

     “เย็นชาจังนะ แต่ฉันก็ดีใจที่นายคิดถึงฉัน” ต้วนเจียจงเดินนำเขาเข้าไปสู่ตัวโกดัง

    “นายเอาสินค้าเข้าเรียบร้อยดีไหม?” เขามองไปรอบ ๆ ที่ส่วนด้านหน้ากันโซนให้เป็นออฟฟิศชั่วคราว

     “เรียบร้อยดี นี่ก็ปล่อยขายออกไปหลายส่วนแล้ว ต้องขอบใจนายจริง ๆ นะหยวนฮ่าง ที่ช่วยเรื่องโกดังนี่”

     “อืม นี่ฉันก็ไม่คิด ว่านายจะใช้พื้นที่เยอะขนาดนี้” โกดังทั้งสองมีประตูเชื่อมถึงกันเป็นช่วง ๆ ขนาดพอให้รถบรรทุกวิ่งผ่านไปมาได้

     “ก็อย่างที่ฉันเคยเล่าไง ของเล่นลิขสิทธิ์จากอเมริกา มันไม่ค่อยมีใครเอาเข้ามา ฉันที่จะเปิดตลาดทางนี้ก็ต้องกักตุนไว้หน่อย จะได้ขายได้คล่อง ๆ” ต้วนเจียจงเปิดประตูและเชิญให้เขาเข้ามานั่งในออฟฟิศชั่วคราว

     “นายนี่ยังกล้าได้กล้าเสียไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

     “คนทำธุรกิจ มันก็ต้องมีวิธีตัดสินใจที่เฉียบขาด ไม่เหมือนนักโบราณคดีอย่างนาย พอไม่มีงานที่ไหน ก็เที่ยวเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงไปเรื่อย”

     “ดูเหมือนว่าออฟฟิศนายจะยังไม่เสร็จดี” เขามองส่วนออฟฟิศที่จัดวางโต๊ะเก้าอี้ลวก ๆ พอให้ทำงานได้ แม้กระทั่งโต๊ะทำงานของต้วนเจียจง ยังตั้งรวมกับพนักงานทั่วไป

     “เอาของเข้ามาได้ ตรวจสอบเสร็จก็ส่งขาย มันเลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

     “พูดแบบนี้แสดงว่ายังตรวจสอบไม่หมดละสิ”

     “แรงงานของฉันมันมีไม่พอ เลยต้องตรวจไปขายไป”

     “เสี่ยงนะ ถ้าของไม่ครบหรือศูนย์หาย”

     “เรื่องนั้นฉันป้องกันไว้แล้ว แบ่งโซนไว้อย่างดี”

     “นี่ดีแล้วใช่ไหม?”

    “นายก็ยกเว้นที่ออฟฟิศนี่ไว้หน่อยสิ หยวนฮ่าง นายเริ่มพูดประชดประชันเป็นกับเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

    “ฉันพูดประชดนายเมื่อไร?”

     “นายนี่มัน!! ”

     “แล้วกองนั่นมันคืออะไร”

     “อ่อ นายคงไม่รู้ ว่านอกจากฉันจะขายส่งไปตามดีลเลอร์ต่าง ๆ ฉันยังขายให้ผู้ซื้อโดยตรงผ่านเวปไซด์ด้วยนะ นี่ก็ค่อนข้างได้ผลตอบรับที่ดี”

     “นั่นสำหรับส่งให้ลูกค้าสินะ”

     “ใช่ นี่ก็รอให้เจเจเอ็กเพรสมารับของไปส่งให้ลูกค้า นายสนใจจะทัวร์ในโกดังของฉันไหม แต่ฉันออกตัวไว้ก่อนเลยนะ ว่าบางส่วนยังกั้นไว้ เพราะยังทำไม่เสร็จ”

     “ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็มาแล้ว” เหมิ๋นหยวนฮ่างคิดว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกสักพักค่อยออกไปตามหาหนานเฟ่ยซานก็คงไม่เป็นไร

     “งั้นเดี๋ยวฉันพาไป”

     ทั้งสองเดินออกจากออฟฟิศ ต้วนเจียจงนำเขาไปยังรถกอล์ฟคันหนี่ง เขาก้าวไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ ก่อนรถจะออกตัววนไปยังโกดังด้านใน

     ส่วนแรกเป็นส่วนของสินค้าที่คัดแยกออกมาเพื่อเตรียมบรรจุใส่กล่องขนาดใหญ่ ต้วนเจียจงก็เป็นไกด์ได้ดี อธิบายให้เขาฟังว่า กล่องเหล่านั้นจะถูกส่งไปให้ดีลเลอร์ต่าง ๆ โซนถัดมา เป็นโหลดดิ้ง สำหรับขนสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อวนในโกดังแรกจนครบ ต้วนเจียจงก็พาเขาไปยังโกดังถัดมา

     โกดังนี้ เป็นส่วนของแรงงานคน ของเล่นทั้งหมดจะถูกคัดแยกตามอายุ จากนั้นก็ติดสติกเกอร์คำแนะนำลงบนกล่องอีกครั้งซึ่งเฉพาะโซนนี้ก็กินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของโกดัง ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างปรับปรุง ซึ่งต้วนเจียจงบอกว่า ส่วนนั้นตั้งใจจะทำเป็นชั้นเก็บของ และยังมีห้องพักให้สำหรับพนักงานที่ด้านบน อีกด้วย

     “นายก็มีคนเยอะอยู่แล้วนี่ ยังไม่พออีกเหรอ?”

     “ถ้าพอ งานฉันก็ต้องทันสิ นี่ขนาดทำกัน 24 ชั่วโมง นายก็เห็น ว่าของเล่นยังกองกันอยู่ตรงโหลดดิ้งอีกตั้งเท่าไร”

     “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันแล้วกัน”

     “พูดแบบนี้แสดงว่า ครั้งนี้อยู่ที่มาเก๊านานหน่อยสินะ”

     “ก็ราว ๆ เดือนหนึ่งได้”

     “ดี ถ้ามีโอกาส ฉันจะให้นายเลี้ยงข้าวฉันคืนจากครั้งที่แล้วบ้าง” รถของพวกเขามาจอดเทียบที่หน้าออฟฟิศพอดี

     “ได้สิ นี่ฉันก็กวนเวลางานของนายมานานแล้ว ฉันกลับเลยแล้วกัน”

     “ไว้ฉันโทรหา ไม่ไปส่งนะ”

     เหมิ๋นหยวนฮ่างพยักหน้ารับ ก่อนก้าวลงจากรถ และเดินตรงไปยังทางออกของโกดัง ซึ่งก็สวนกับรถขนส่งของเจเจเอ็กเพรสที่ขับเข้ามาภายในเพื่อรับสินค้าพอดี

.........................................................................

     ผมขับรถเข้ามาทางท่าเรือที่ 5 เพื่อที่จะตรงเข้าไปยังโกดังที่เจอสมุดบันทึกของเว่ยฟ่าน ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้น ดร.โพล่าไอซ์พาผมไปตรงโซนไหนบ้าง ผมที่เอาแต่ถ่ายรูปไปเรื่อยเลยไม่ทันได้จำทาง ตอนนี้จึงได้แต่ขับรถวนอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถตามผมมา

     “ไม่ทราบว่าคุณมาบริษัทไหนครับ” เจ้าหน้าที่ถามหลังจากผมลดกระจกลง

     “ผมมาหาเพื่อนครับ แต่ไม่ได้จดชื่อบริษัทฯ มา นี่ผมโทรไปเขาก็ไม่รับสาย”

     “ผมว่าคุณควรจะโทรถามเพื่อนให้ชัดเจนก่อนค่อยไปต่อดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา”

     “ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นผมเข้าทางท่าเรือ 5A วันนี้เข้ามาอีกทางเลยหลงน่ะครับ”

     “อ่อ ถ้าอย่างนั้น แผนที่นี้น่าจะช่วยคุณได้” เจ้าหน้าที่หยิบแผนที่ออกมากาง ให้ผมดู

     “ครั้งที่แล้วผมมาทางนี้” ผมชี้ไล่ไปในแผนที่เท่าที่ผมจะนึกออก “แล้วโกดังเพื่อนผมน่าจะอยู่ประมาณตรงนี้ครับ”

     “อ่อ นั้นเป็นโซน F ครับ ตอนนี้คุณอยู่โซน Q” เจ้าหน้าที่ชี้ตรงตำแหน่งที่เราอยู่กันตอนนี้ในแผนที่

     “นี่ผมคงเลยมาไกลมาก”

     “โกดังมันก็เหมือน ๆ กันหมดถ้าดูจากด้านนอก”

     “ขอบคุณมากนะครับ”

     “ถ้าคุณวิ่งย้อนกลับไป โกดังโซน F ทางเข้าจากด้านนี้จะเริ่มที่ F25 นะครับ”

     ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณอีกครั้งก่อนกลับรถเพื่อย้อนไปทางเดิม เมื่อเลี้ยวเข้าไปในโซน F ผมจึงชะลอความเร็ว สายตาคอยสอดส่องสองข้างทาง ที่เป็นโกดังหน้าตาเหมือนกันหมดอย่างที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกไม่มีผิด ผมจึงอาศัยมองเข้าไปในช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้ บางโกดังก็สว่างจนเห็นด้านใน บางโกดังก็มืดสนิท

     ผมพยายามมองหาบริเวณที่คุ้นตา จนเกือบมาถึงปลายทางแล้วผมก็ยังไม่พบสิ่งที่ดูคุ้นตาเลย จนกระทั่งผมเห็นรถคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าโกดังตรงหน้า ไม่ไกลจากผมมานัก เขากลับรถและขับย้อนมาทางผม ระหว่างที่เราขับสวนกันนั้น ผมเผลอไปมองหน้าเจ้าของรถคันนั้นที่แล่นผ่านมา ผมเห็นเขาเต็มสองตา แต่ผมไม่รู้ว่าเขาเห็นผมด้วยรึเปล่า เพราะแสงสะท้อนจากแว่นกรอบทองนั่นทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นแววตาหลังกรอบแว่นนั่นได้ ดร.โพล่าไอซ์

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 15 ---ll--- 19-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-03-2019 09:21:14
 :pig4:
แท๊งกิ้วนักเขียนไว้ก่อน เด่วมาอ่านคร่าา
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 16 ---ll--- 26-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 26-03-2019 21:20:37
16




       ผานกู่ เหยินหยางผิง และเหมี่ยนจื่ออู่เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ หลังได้รับแจ้งว่าพบเหยื่อรายที่ 5 ของคดีฆ่ารัดคอ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยรอบ ส่วนเขาทั้งสามก็สอบถามชาวบ้านละแวกนี้

       ครั้งนี้ถือว่าฆาตกรเปลี่ยนวิธีเลือกเหยื่อ เนื่องจากทั้ง 4 ศพที่ผ่าน เหยื่อมักเป็นหญิงสาว แต่ครั้งนี้เหยื่อกลับเป็นชายแก่ และจุดที่ทิ้งศพในครั้งนี้ก็ห่างจากสถานีไปเพียงไม่กี่บล็อกเท่านั้น

       “พี่กู่ แม่บ้านคนหนึ่งจำชายแก่คนนี้ได้ เขาเป็นคนเร่ร่อนที่มักจะมานอนอยู่ในอุโมงค์ของทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน” เหมี่ยนจื่ออู่เดินมาหาเขาหลังจากสอบถามชาวบ้านเสร็จ

       “ดูจากการแต่งตัวแล้วก็พอจะเดาได้ แต่ที่แปลก นายดูนี่สิ” เขาหยิบถุงใส่หลักฐานที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานเก็บมารวมใส่กล่องให้เหมี่ยนจื่ออู่ดู

       “เขาคงเก็บได้ หรืออาจจะไม่ขโมยใครมาก็ได้นะ”

       “น่าจะเก็บได้มากกว่า เพราะมันมีอยู่ข้างเดียว”

       “ทำไมครั้งนี้ถึงเป็นผู้ชาย?”

       “นั่นนะสิ แต่ถ้าชายคนนี้อยู่ละแวกนี้ เป็นไปได้อาจจะมีคนพบเห็นขณะที่เขาหายตัวไป”

       “คงไม่มีคนสังเกตหรอกถ้าเขาจะหายตัวไป ใครกันที่จะให้สนใจชายเร่ร่อน?”

       “เราเริ่มต้นกันที่อุโมงค์ทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินก็แล้วกัน อย่างน้อยคนเร่ร่อนด้วยกันคงจะจำกันได้”

       “เฮ้ย หยางผิง พวกเราจะไปกันแล้วนะ นายเสร็จรึยัง”

       เหมี่ยนจื่ออู่ตะโกนเรียกเหยินหยางผิงที่กำลังเดินสำรวจรอบ ๆ ที่เกิดเหตุ พวกเขาเดินตรงไปที่รถ โดยมีเหยินหยางผิงวิ่งตามมา เหมี่ยนจื่ออู่ทำหน้าที่ขับรถจอดรอจนกระทั่งเหยินหยางผิงขึ้นรถเรียบร้อย

       “ได้เบาะแสอะไรเหรอพี่กู่”

       “อุโมงค์ทางเข้าสถานีรถไฟ”

       “มีคนเคยเห็นเหยื่อแถว ๆ สวนสาธารณะ เลียบอ่างเก็บน้ำ”

       “แสดงว่า เหยื่อน่าจะอาศัยอยู่ละแวกนี้ ถ้าอย่างนั้น นายกับจื่ออู่ไปสืบหาเบาะแสที่ทางเข้าสถานีรถไฟ ส่วนฉันจะไปที่สวนสาธารณะ เลียบอ่างเก็บน้ำ”

       “ทำไมผมต้องไปกับหยางผิง พี่ไปกับหยางผิงไม่ดีกว่าเหรอ ผมไปส่งพี่ก่อนที่ทางเข้าสถานีรถไฟ แล้วผมค่อยไปจอดรถที่สวนสาธารณะ แบบนี้น่าจะสะดวกกว่า”

       “ไปกับฉันแล้วมันยังไง?”

       “พอๆ เอาตามที่จื่ออู่ว่าแล้วกัน นายไปส่งฉันกับหยางผิงก่อน”

       เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมเหมี่ยนจื่ออู่ถึงไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนกับเหยินหยางผิงสองต่อสอง อยู่ด้วยกันทีไรต้องทะเลาะกันทุกที เหยินหยางผิงเองก็เหมือนกัน ปากชอบหาเรื่องคนตัวเล็กกว่าอยู่เรื่อย

       ผานกู่และเหยินยางผิงลงรถตรงทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน ทางด้านประตูที่ 3 – 4 อุโมงค์ที่เหยื่ออาศัยหลับนอนตอนกลางคืนคือทางเชื่อมประตูที่ 1-2 ที่อยู่อีกฟากถนน

       “ตรงอุโมงค์นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด”

       “ถ้ามี คนเร่ร่อนคงไม่มานอนกันหรอก”

       “เอายังไงดีพี่ เวลานี้ก็ไม่เห็นมีใครที่น่าจะนอนแถว ๆ นี้สักคน มีแต่คนใช้รถไฟใต้ดินทั้งนั้น”

       “เดินดูรอบ ๆ นี้ก่อน ถ้าพวกเขานอนกันอยู่แถว ๆ นี้ ก็น่าจะหากินกันแถวนี้ด้วย”

       “ถ้าอย่างนั้นผมไปดูตรงทางออกที่ 1-2”

       “อืม” เขายังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ หนานเฟ่ยซานก็โทรเข้ามา ไวสมกับเป็นนักข่าวจริง ๆ เขาได้แต่ส่ายหน้าระอา เพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามคนปลายสายยังไงดี เรื่องคดีนี้

.........................................................................

       เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับมาอยู่บ้านพักที่ชุง ฮอม กอก โดยมีแม่บ้านจากบ้านฝู่เข้ามาทำความสะอาดและเติมของสดเข้าตู้เย็นให้สัปดาห์ละครั้ง เขานั่งเฝ้าอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊คเพื่อรอให้อีกฝ่ายออนไลน์ ในระหว่างที่รอ เขาก็ค้นหาข้อมูลแหล่งขุดค้นที่น่าสนใจ เพื่อเตรียมเดินทางในครั้งต่อไป

       สัญญาณเตือนที่มุมจอว่าคนที่เขารออยู่ได้ออนไลน์แล้ว เข้าจึงเปิดหน้าต่างเข้าสู่ระบบ Face Time หน้าจอปรากฏให้เห็นบุคคลทางปลายทาง

       “สวัสดีครับลุงคี สบายดีไหมครับ”

       “สบายดีครับ แล้วดอกเตอร์ละครับ ได้ข่าวว่าครั้งนี้ได้อยู่มาเก๊าเป็นเดือนเลยเหรอครับ”

       “มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อยนะครับ”

       “เรื่องคนที่กินน้ำตากิเลนไปใช่ไหมครับ”

       “ก็ทำนองนั้น”

       “ระหว่างนี้คุณก็หาสะใภ้ให้คุณลตาเธอด้วยสิครับ จะได้ไม่เสียเวลา ดารา เซเลบ ที่อยู่มาเก๊าก็มีตั้งมากมาย”

       “ลุงคีพูดอย่างกับไม่รู้จักนิสัยของผม”

       “คุณอายุก็มากแล้ว คุณลตาเธอก็เป็นห่วง”

       “เอาไว้ถึงเวลา มันก็มีเองแหละครับ ว่าแต่ลุงคีอยู่ที่ไทย ได้ข่าวเจมส์ไหมครับ”

       “ยังไม่ได้ข่าวเลยครับ คุณหงส์ กับคุณหยกก็เป็นห่วงเอามากทีเดียวครับ มีคนเห็นคนที่หน้าเหมือนคุณเจมส์เดินทางขึ้นเหนือ คุณเสือเลยให้ต้นกล้าไปตามหาดู”

       “คงไม่ใช่การลักพาตัวนะครับ”

       “คุณเสือยังไม่ได้ตัดประเด็นนี้ออกไป คงต้องใจเย็น ๆ รอดูผลต่อไป”

       “ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ จะได้ไม่เสียเวลาลุงคี ผมอยากให้ลุงคีช่วยเชื่อมต่อกล้องวงจรปิดในโกดังที่จู่ไห่ เฉพาะโซน F เข้าโน้ตบุ๊คและโทรศัพท์ของผมหน่อย”

       “ทำไมคุณไม่ไปขอดูที่ออฟฟิศคุณเถิงละครับ”

       “ผมไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ”

       “ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือไม่อยากให้คุณเถิงรู้ครับ”

       “เอาเป็นว่า ก็ทั้งสองอย่างก็แล้วกันครับ”

       “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้ทันที ใช้เวลาไม่นาน”

       “ขอบคุณครับลุงคี ถ้าผมเสร็จเรื่องทางนี้ ผมอาจจะไปช่วยอี้ตามหาเจมส์อีกแรง”

       “อย่าเพิ่งเลยครับ ตอนนี้คุณโบตั๋นปิดข่าวการหายตัวไปของคุณเจมส์อยู่ ถ้าคุณมาที่นี่อีกคน คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ ขนาดแค่คุณหงส์มา สื่อยังประโคมข่าวการมาเยี่ยมน้องๆ ซะใหญ่โต”

       “เข้าใจแล้วครับ ถ้าได้เรื่องอะไรแล้ว ช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ เจมส์ไม่น่าจะเล่นซนขนาดหายไปเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์แบบนี้”

       “ได้ครับ ดอกเตอร์ลองเข้าระบบกล้องวงจรปิดในโน้ตบุ๊คดูนะครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนโทรศัพท์มือถือ เช็กข้อความได้เลยครับ ผมส่งแอปพลิเคชันไปให้เรียบร้อยแล้ว”

       “ขอบคุณครับลุงคี เท่านี้ก่อนนะครับ”

       เขาตัดสัญญาณภาพ แล้วเข้าสู่ระบบกล้องวงจรปิด ที่เขาต้องให้ลุงคีแฮ็กระบบให้เพราะเมื่อวานนี้ตอนออกจากโกดังของต้วนเจียจง เขาบังเอิญสวนกันกับหนานเฟ่ยซาน ทั้งที่ออกจากสถานีตำรวจมาก่อนเขาตั้งหลายชั่วโมง แต่กลับมาถึงโซน F หลังเขาหลายนาที ไม่รู้มัวแต่ไปสำรวจที่ไหนอยู่

       หนานเฟ่ยซานคงเห็นเขาแน่ๆ สังเกตได้จากอาการตกใจที่ขับรถสวนกัน เขาไม่อยากให้หนานเฟ่ยซานระแวง จึงทำเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วอาศัยจับตามองเอาทางกล้องวงจรปิดน่าจะดีกว่า เพราะอย่างไร ระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณโกดังก็ปลอดภัยเพียงพอ ยกเว้นเสียแต่ว่าหนานเฟ่ยซานจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่อะไรให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บอีก

.........................................................................

       ในกลางดึก ห้องห้องหนึ่งกลับสว่างด้วยแสงไฟจำนวนมาก เสียงสิ่งของกระทบกันก๊อกแก๊กมากมาย บางครั้งก็ฟังราวกับเป็นจังหวะอะไรสักอย่าง บางครั้งก็ไม่น่าฟังจนระคายหู เสียงเหล่านั้นยังคงได้ยินกันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหวูดสัญญาณดังขึ้น เสียงก๊อกแก๊กนั่นก็พลันเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของหลาย ๆ คนที่ดังขึ้น

       “เอาละ วางมือแล้วรีบ ๆ ไปกินข้าว พวกแกมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงนั้นนะ จะทำอะไรก็ให้มันรีบ ๆ ถ้างานไม่เสร็จคืนนี้อย่าหวังว่าจะได้นอน” ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งพูดใส่โทรโข่ง

       หญิงสาวและเด็กชายหญิงจำนวนเกือบ 40 ชีวิตพากันเดินออกจากที่นั่งของตัวเอง แยกย้ายกันเดินไปตามมุมห้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโต๊ะอาหาร ซึ่งมันควรจะเป็นอาหารเย็นมากกว่าอาหารมื้อดึกอย่างนี้

       “ฉินฉิน” ชายร่างใหญ่เรียกเธอเสียงดัง เด็กหญิงทำเป็นไม่ได้ยินเสียง

       “ฉินฉิน เดินมาหลบหลังน้านี่” หญิงสาวคนหนึ่งกระซิบและรั้งข้อมือให้เด็กหญิงเข้ามาหลบอยู่ในกลุ่มหญิงสาว

       “น้าฟ่าน...” เด็กสาวเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว พร้อมกับก้มหลบหลังหญิงสาวหลาย ๆ คนที่พากันเห็นใจ พร้อมเอาร่างตัวเองบังเธอไว้

       “ฉินฉิน!! ” ครั้งนี้ชายคนนั้นเรียกเธอผ่านทางโทรโข่ง ทำให้ได้ยินกันทั่วห้อง อีกมุมหนึ่งของห้อง เด็กคนหนึ่งยืนขึ้นเพื่อแสดงตัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก “อาฟง ถึงนายจะเป็นแฝดของฉินฉิน ฉันก็แยกระหว่างแกกับพี่สาวออก ไม่ต้องทำมาสะเออะ” เพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่ข้าง ๆ อาฟง พยายามฉุดข้อมือให้อาฟงนั่งลงดังเดิม

       “อาฟง อย่าทำให้มันโมโห ไม่อย่างนั้นนอกจากเราจะไม่ได้นอนกันแล้ว อาจจะต้องพากันอดข้าวเย็น” เด็กชายคนนั้นกระซิบบอก ทำให้อาฟงต้องนั่งลงอย่างจำใจ

       “นายจะให้พี่สาวฉันเสียสละเพื่อพวกเราอย่างนั้นใช่ไหม?”

       “แค่วันนี้ พวกเราคุยกันแล้วนะ ขอแค่รอ...แค่วันนี้วันเดียว” อาฟงได้แต่พยักหน้ารับ สายตาก็จ้องชายที่ถือโทรโข่งกำลังฉุดให้ฉินฉินลุกขึ้นจากกลุ่มหญิงสาว

       “ฉันอุตส่าห์ใจดีกับเธอนะฉินฉิน เธอจะได้พักก่อนใคร ๆ ในห้องนี้ยังไงละ” ชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งดึงร่างพี่สาวของเขาออกจากห้องไป

       เฝิงฟงได้แต่มองตามพี่สาวไปจนลับตา ความอยากอาหารหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขาสงสารเธอที่ต้องมาโดนไอ้พวกคนชั่วลวนลาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฝิงฉินฉินถูกพาตัวออกไป และทุกครั้งที่เธอกลับมายังห้องนอนรวม สภาพของเธอจะมีทั้งรอยช้ำจากการถูกทำร้าย รอยกัด เจ็บปวดจนถึงขึ้นลุกมาทำงานไม่ไหว ซึ่งไอ้เลวเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจเลย ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร บังคับให้เธอลุกขึ้นมาทำงานเมื่อถึงเวลา

.........................................................................

       ผมมาหาพี่หยางผิงที่สถานีแต่เช้า เนื่องจากเหยื่อรายล่าสุดในคดีฆ่ารัดคอ บังเอิญเป็นชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อของ 1 ใน 3 ของผู้ต้องหาที่รุมทำร้ายผมในคดีของหวงกังโห เมื่อวานผมรู้เรื่องของเหยื่อรายที่ 5 ที่เป็นชายแก่เร่ร่อนจากพี่กู่แล้ว ก็ยังสงสัยอยู่ว่าเพราะอะไร ฆาตกรถึงเปลี่ยนวิธีการเลือกเหยื่อ

       “พี่หยางผิง”

       “นายมาแต่เช้าเลยนะวันนี้ อาเห่ายังไม่มาเลย”

       “ผมไม่ได้มาหาพี่เห่า แต่มาเรื่องคดีฆ่ารัดคอ”

       “ก็อย่างที่รู้ ๆ ว่าเหยื่อครั้งนี้เป็นชายเร่ร่อน”

       “ผู้ชายคนนี้อ้างว่าเป็นพ่อของคนที่ซ้อมผม”

       “นายไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ฉันเพิ่งรู้เมื่อตอนที่เข้ามาที่สถานีนี้เองนะ”

       “เมื่อวานผมได้ยินเจ้าหน้าที่ที่คอยตามผม เขาจำชายคนนั้นได้”

       “นายนี่หูตาไวจริง ๆ นะ แล้วนายจะมาถามเรื่องอะไร ในเมื่อนายก็รู้เรื่องหมดแล้ว”

       “ผลชันสูตร”

       “ก็เหมือนเดิม ถูกปล่อยให้อดอาหาร ก่อนฆ่ารัดคอ อาหารมื้อสุดท้ายก่อนตายเป็นโจ๊กปู”

       “ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเหยื่อ ทั้งที่ทุกครั้งเหยื่อมักจะเป็นผู้หญิง”

       “เรื่องนี้พวกพี่กำลังหาเบาะแสอยู่”

       “แล้วมีคนเร่ร่อนคนอื่นหายตัวไปไหม”

       “เท่าที่ตรวจสอบดูเมื่อวาน ก็ไม่มีใครหายไปอีกนะ แล้วก็เราพอรู้แล้วว่าชายคนนั้นหายตัวไปตอนไหน?”

       “เมื่อไรพี่?”

       “หลังจากผู้ต้องหาโดนวางยา 2-3 วัน ไม่เกินนี้”

       “นั่นแสดงว่าเขาหายตัวไปจนถึงเมื่อวานที่พบศพ ก็ประมาณ... 10 วัน”

       “ใช่ พี่อนุมานว่า ฆาตกรมันมักจะทิ้งศพใกล้สถานที่ที่มันจับตัวเหยื่อไป”

       “ถ้าอย่างนั้น เราพบศพเหยื่อรายอื่น ๆ ที่ไหน เราก็จะรู้ว่าเหยื่อถูกจับไปบริเวณไหน?” ผมถามอย่างตื่นเต้น เพราะเริ่มมีแนวทางสืบต่อ หลังจากที่พบแต่เหยื่อ การสืบสวนกลับไม่คืบหน้าเลย

       “พี่รอสรุปรูปคดีกับทีมอยู่ ยังไม่ได้คุยกับใคร เพราะฉะนั้นนายก็อย่าเพิ่งไปสืบเอาเองละ”

       “ผมไม่ก้าวก่ายงานของพี่หรอก”

       “ไม่ก้าวก่าย แค่ต่างคนต่างทำงานใช่ไหม?”

       “เอาน่าพี่ ถือว่าช่วย ๆ กัน”

       “นายนี่น้า...ชอบทำให้พี่กู่เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย ทางที่ดีนายไปช่วยลุงเว่ยตามหาหลานสาวให้เจอก่อนเถอะ”

       “รู้แล้วน่า เรื่องเว่ยฟ่านผมก็กำลังตามหาอยู่ ถ้าเมื่อวานไม่โดน ดร.โพล่าไอซ์เข้ามาขัดจังหวะซะก่อนนะ”

       “ใครกัน ดร. โพล่าไอซ์?”

       “เอาน่า พี่ไม่ต้องรู้หรอก”

       “นายหัดฟังที่ฉันเตือนบ้าง เรื่องคดีฆ่ารัดคอนะ รอพวกเราทำงานเถอะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน ไม่เข็ดรึยังไง ถามจริง ๆ ”

       “เริ่มขี้บ่นเหมือนพี่กู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน ผมไปรอพี่เห่าดีกว่า”

       “ไม่ต้องไปรอเลย นายกลับไปทำงานของนายเลย เช้านี้เขามีสรุปคดีกัน อาเห่าไม่ว่างคุยกับนายหรอก”

       ผมโดนพี่หยางผิงไล่ออกมาจากสถานี ทำให้ผมไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปตรวจดูจุดที่ชายคนนั้นถูกทิ้งศพสักหน่อย แล้วช่วงค่ำ ๆ ค่อยไปที่โกดังโซน F ขืนไปตอนกลางวัน คงได้โดน ดร.โพลาไอซ์ก่อกวนอีกเป็นแน่

       ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับจุดทิ้งศพของทั้ง 5 คดีอยู่แล้ว เมื่อประเมินจากเวลา เขาจึงเลือกไปยังจุดที่พบศพแม่บ้านลูกสอง ซึ่งเป็นเหยื่อรายที่ 3 ของคดีนี้ ศพถูกพบอยู่ในจุดทิ้งขยะของแฟลตที่เธอพักอาศัยอยู่

       “เฟ่ยซาน จะไปไหนล่ะ?”

       “อ่าวพี่ชุน ไม่เข้าประชุมกับหัวหน้าเหรอ”

       “กำลังจะไป แล้วนายละ โดนหยางผิงไล่ให้กลับไปทำงานของตัวเองละสิ”

       “พี่ก็พูดอย่างกับตาเห็น”

       “ไม่ได้เห็นหรอก แต่ได้ยินที่พวกนายคุยกัน”

       “ผมว่าจะไปตรวจสอบจุดที่ทิ้งศพนะพี่”

       “วันนี้จะวิ่งตรวจสอบให้หมด 5 รายเลยหรือไง ไม่ไหวมั้ง... นายตัวคนเดียว”

       “ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ชุน รายเดียวก็พอแล้ว”

       “นายจะไปที่ไหนละ ถ้าหัวหน้าสั่งงาน ฉันจะได้อู้โดยไปขอข้อมูลจากนายแทน”

       “พี่ชุนล้อผมเล่นแล้ว ผมไม่ก้าวก่ายงานของตำรวจหรอกน่า”

       “ตามใจ ยังไงก็ระวังตัวหน่อย คนของฉันยังคอยตามนายอยู่”

       “ขอบคุณครับพี่ชุน แต่บอกให้คนของพี่ตามห่าง ๆ ก็ได้”

       “ทำไม อึดอัดเหรอ”

       “ก็ถ้านอกเครื่องแบบก็ไม่เป็นไร บางครั้งมาเต็มยศ ผมก็แย่ ทำงานลำบาก”

       “ได้ ฉันจะกำชับคนของฉันก็แล้วกัน”

       “ถ้าได้อย่างนั้นจะดีมาก ผมไปละพี่ แล้วเรื่องที่ผมจะไปทำอะไรเนี่ย อย่าให้พี่กู่รู้นะพี่”

       “ถึงฉันไม่บอก เขาก็เดาได้ นิสัยนายเขารู้กันทั้งสถานี”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 16 ---ll--- 26-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-03-2019 09:27:30
 o13
สนุกๆ รออ่านต่อคร่าาา
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 16 ---ll--- 26-03-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-03-2019 18:36:18
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 17 ---ll--- 1-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 01-04-2019 21:10:44
17





   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้รับรายงานจากจู้ชุนว่า หนานเฟ่ยซานจะไปหาเบาะแสในคดีฆ่ารัดคอ ซึ่งเป็นคดีที่สื่อสำนักต่าง ๆ พากันจับตามองอยู่ในขณะนี้ เขาไม่คิดว่าหนานเฟ่ยซานจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่อันตราย แต่ดูจากครั้งแรกที่พบกัน เขาก็พอเข้าใจ ว่าถ้าไม่อันตรายก็คงไม่ใช่หนานเฟ่ยซาน

   ยังดีที่การไปหาเบาะแสครั้งนี้ หนานเฟ่ยซานไปสำรวจแถวแฟลตย่านชานเมือง แต่เมื่อพิจารณาจากพิกัดแล้ว เป็นไปได้มากว่า หลังจากได้ข้อมูลจากแฟลตเพียงพอ หนานเฟ่ยซานคงตรงไปยังโกดังโซน F แน่ ๆ เขาจึงเลือกที่จะมาดักรอที่สวนสาธารณะระหว่างทางไปโกดัง

   “ผมได้รับข้อความจากคุณ” เหมิ๋นหยวนฮ่างจอดรถแล้วจึงกดโทรศัพท์ไปหาเจ้าของข้อความที่ส่งมา

   ‘กระต่ายตัวนั้นมีอาการแปลก ๆ ค่ะ’

   “แปลกยังไง ผลข้างเคียงมาจากน้ำตากิเลนรึเปล่า?”

   ‘ยังไม่ทราบค่ะดอกเตอร์ แต่ 2-3 วันมานี้ กระต่ายตัวนั้นดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ พอน้ำในขวดหมด ก็จะตะกุยกรงหนักมาก’

   “แล้วอัตราการกินอาหารละ”

   ‘ปกติดีคะ ว่าแต่คนคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะ’

   “ไม่รู้สิ ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเขาขนาดนั้น”

   ‘ขอโทษค่ะ สงสัยฉันจะถามผิดคำถาม’

   “แล้วผลตรวจอื่น ๆ ละ?” เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดประชดประชันของซือเมิ่งอิ๋ง

   ‘อัตราการเต้นของหัวใจ อยู่ที่ 150-160 ครั้งต่อนาที มากกว่าเกณฑ์ปกติมานิดหน่อย’

   “ลองตรวจเลือดดูอีกที ผมสันนิษฐานว่า น้ำตากิเลนที่กระต่ายตัวนั้นกินเข้าไป คงเข้ากับเลือดไม่ได้ เหมือนพวกโลหะหนักที่ปนเปื้อนในกระแสเลือด”

   “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เสี่ยงที่กระต่ายตัวนี้จะหัวใจวาย”

   “อืม ลองตรวจสอบดู แล้วแจ้งกลับผมด่วนที่สุด อ่อ!! คุณส่งข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจ อาการหัวใจเต้นเร็ว แล้วก็ภาวะขาดน้ำให้ผมหน่อย”

   “ได้คะดอกเตอร์”

   ซือเมิ่งอิ๋งวางสายไปในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ส่งข้อมูลที่เขาต้องการกลับมาให้มากมาย เขาไล่เปิดอ่านข้อมูลไปเรื่อย ๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งกังวล ไม่รู้ว่าหนานเฟ่ยซานจะมีอาการแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง จนกระทั่งคนที่เขานึกถึงอยู่ขับรถเข้ามาจอดอยู่ไม่ไกลจากรถของเขามากนัก

.........................................................................

   ภายในซาวน่าของฟิตเนสที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง กลับมีเพียงแขกเข้ามาใช้บริการเพียงคนเดียว ชายคนนั้นมีเพียงผ้าขนหนูพักรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ เขานั่งเอนพิงผนังไม้แอสเพนสีสว่างอย่างสบายใจ จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะการผ่อนคลายของเขา

   ลูกค้าอีกคนหนึ่งเข้ามาร่วมใช้ห้องซาวน่าร่วมกับเขา หลังจากที่บอร์ดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าห้อง เปิดประตูให้ลูกค้าคนนี้เข้ามา คนมาใหม่มีผ้าขนหนูผืนเล็กอีกผืนคลุมศีรษะเพื่อซ่อนใบหน้าเอาไว้

   “บัญชีลับและรายการสั่งของถูกตำรวจเอาไปแล้ว” ชายคนนั้นพูดหลังจากนั่งลงที่มุมหนึ่งของห้อง”

   “นายนัดมันมาที่โกดัง ฉันจะไปจัดการมันด้วยตัวเอง”

   “14 หรือ 23”

   “23 แล้วจัดคนให้พร้อม ขนของทุกอย่างออกจากที่นั่น อย่าทิ้งร่องรอยให้ตำรวจตามกลิ่นมาได้” เขาพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้อง ระหว่างรอให้คนของเขาเปิดประตู เขาหันไปมองคนที่เอาผ้าคลุมศีรษะไว้ “แล้วเรื่องที่คนของนายทำอะไรไว้ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ รีบจัดการมันก่อนจะเกิดเรื่อง” เมื่อจบประโยคประตูห้องซาวน่าก็เปิดออกพอดี เขาจึงก้าวออกไป โดยไม่สนใจว่าคนที่เหลือจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

.........................................................................

   “ต้องอัดเสียงด้วยเหรอ?”

   “นิดหนึ่งน่าลุง เผื่อผมลืม”

   “แล้วลุงเล่าได้รึยังละ”

   “ได้แล้วลุง ที่ลุงบอกว่าเจอคุณนายเจานี่ เจอที่นี่เหรอ?”

   “ใช่ วันนั้นคนที่บ้านหลังใหญ่ ๆ ตรงนั้นน่ะ เขาเอาของมาทิ้งที่นี่เยอะแยะเลยละ ฉันว่ายัยแก่เจาคงเห็นตั้งแต่บนบ้านแล้ว”

   “คุณนายเจาเลยมาคุ้ยกองของที่เขามาทิ้งสินะ”

   “ใช่ ปกติยัยแก่เจาจะมาตอนบ่าย ๆ พอถึงเวลาเย็นต้องไปเตรียมอาหารให้ลูกให้ผัวก็จะกลับไป สงสัยวันนั้นยัยนั่นคงเสียดาย เลยมาอีกทีหลังลูกผัวหลับกันแล้ว”

   “ทำไมต้องรีบขนาดนั้น มาตอนเช้าก็ยังทันนี่ลุง”

   “จะไปทันได้ยังไง ตอนตี 4 ตี 5 รถขยะก็มาขนไปหมดแล้ว เวลานั้นยัยแก่นั่นคงจะออกจากบ้านไม่ได้”

   “ลุงรู้ไหมว่า ทำไมคุณนายเจาถึงได้แอบสามีกับลูกมาคุ้ยขยะที่นี่”

   “ก็เงินเดือนของผัวยัยนั่นไม่พอให้ซื้อกับข้าว หรือซื้อของให้ลูก ๆ นะสิ จะว่าไปยัยนั่นก็น่าสงสาร ถึงได้ต้องมาคุ้ยของแล้วเอาไปจ้างเขาซ่อม ทำความสะอาดก่อนจะเอาไปขาย บ้างก็ขายได้ราคา บ้างก็ขายมาค่าซ่อมยังไม่ได้เลยคุณ”

   “หลังจากวันนั้น ลุงก็ไม่เห็นคุณนายเจาอีกเลยเหรอ”

   “ไม่เห็นเลย ลุงยังนึกสงสัยอยู่ว่ายัยนั่นหายไปไหน ทั้งที่วันนั้น ยัยแก่นั่นแย่งกล่องดนตรีใบนั้นกับลุงจะเป็นจะตาย ปากก็บอกว่าลูกคนเล็กต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษแล้ว จำเป็นต้องใช้เงินเพราะเงินที่สามีให้ไว้ ยัยนั่นดันเอาไปซื้ออย่างอื่นเสียก่อน”

   “ลุงเลยยกกล่องดนตรีให้เธอไป”

   “ใครว่า ลุงแย่งกับยัยนั่นเป็นนานสองนาน ถ้าฝนไม่ตกลงมาก่อน ลุงไม่ปล่อยให้ยัยแก่นั่นได้ไปหรอก”

   “คืนนั้นฝนตกเหรอครับ”

   “ก็ใช่นะสิ อยู่ ๆ ก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บ้านลุงนะ พื้นมันต่ำกว่าถนนที่เรายืนอยู่อีก เลยต้องรีบกลับบ้าน ก่อนน้ำจะท่วม”

   “แสดงว่าฝนตกหนักมาก”

   “ใช่ ลุงรีบวิ่งกลับบ้าน เลยไม่ได้สนใจกล่องดนตรีนั่นอีก ห่วงบ้าน”

   “กล่องดนตรีนั่นหน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ มันดูมีราคาถึงขนาดต้องแย่งกันเลยเหรอลุง”

   “กล่องนั่นมันไม่เสียหายอะไรเลย คนมีตังค์เขาเบื่อ ไม่ใช้แล้วก็ทิ้ง ยัยนั่นยังไปเจอกล่องเครื่องประดับ ข้างในมีของสวย ๆ ตั้งหลายชิ้น ถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้เงินไม่น้อย ยังงกจะเอากล่องดนตรีอีก”

   “ตอนนั้นนอกจากลุงกับคุณนายเจาแล้ว ลุงยังเห็นใครแถว ๆ นี้อีกไหม?”

   “เอ้...ลุงนึกก่อนนะ...ตอนที่มาถึงลุงจำได้ว่ามีคนมาลื้อขยะอยู่ 2 คน เห็นว่ามาหาของสำคัญที่เผลอทิ้งไป อยู่แฟลตนี้แหละ จากนั้นก็คนที่ชอบเก็บขวดพลาสติกขาย เขาพักอยู่ตรอกเดียวกับลุงนี่แหละ”

   “พอฝนตก พวกเขาหาของกันอยู่ไหมลุง”

   “ไม่ ๆ จำได้ว่าตอนที่ลุงทะเลาะกับยัยแก่เจา 2 คนที่มาจากแฟลตไม่อยู่แล้ว ส่วนคนเก็บขวดหายไปตั้งแต่ตอนไหนลุงก็ไม่ทันเห็น”

   “อ่อ ขอบคุณมากนะลุง นี่ถือเป็นค่าเสียเวลานะ”


   ผมนั่งถอดเทปเสร็จฟ้าก็มืดพอดี เมื่อดูจากเวลาตอนนี้น่าจะเหมาะกับการไปสำรวจที่โกดัง ป่านนี้ ดร.โพล่าไอซ์คงกลับบ้านกลับช่องไปแล้ว แต่ก่อนจะไป ผมแวะลงไปซื้อน้ำดื่มมาทิ้งไว้ในรถสักหน่อย หลัง ๆ มานี่ผมรู้สึกว่าร่างกายต้องการน้ำมากเป็นพิเศษ ดื่มน้ำมากขึ้น อาบน้ำนานกว่าเดิม บางครั้งรู้สึกว่าอยากจะแช่น้ำนานเลยเสียด้วยซ้ำ เสียดายที่ห้องของผมไม่มีอ่างอาบน้ำ

   นับเป็นโชคดีของผม ที่ใช้เวลาหาเบาะแสเกี่ยวกับเหยื่อรายที่ 3 ไม่นานนัก เนื่องจากจุดที่พบศพกับที่พักอาศัยของเหยื่ออยู่บริเวณเดียวกัน ศพของเธอถูกพบบริเวณที่ทิ้งขยะของแฟลต 33 ซึ่งห่างจากห้องของเธอพอสมควร เธอพักอยู่ที่แฟลต 12 ผมถึงได้มีเวลามาแวะจอดรถที่สวนสาธารณะระหว่างทางไปโกดังเพื่อถอดเทปการบันทึกเสียงระหว่างที่คุยกับลุงคนนั้น

   เมื่อพิจารณาดูแล้วจุดทิ้งขยะที่แฟลต 33 นี่เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับแฟลตอื่น ๆ เนื่องจากด้านหลังแฟลตติดกับตรอกเล็ก ๆ ทำให้มีคนละแวกใกล้เคียงแอบมาทิ้งขยะบ่อย ๆ รวมไปถึงพวกที่เก็บขยะขาย

   ผมได้สอบถามคนในตรอกเพิ่มอีก จึงพบว่าตัวเหยื่อเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มาคุ้ยขยะ ชายคนหนึ่งที่พักอยู่ในตรอกนี้ น่าจะเป็นคนที่เก็บขวดขายตามที่ลุงคนนั้นพูดถึง เห็นเธอครั้งสุดท้าย ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นวันที่เธอหายตัวไป แต่เขาไม่ทันเห็นตอนที่คุณนายเจาทะเลาะแย่งของกับลุงเก็บขยะ

   หลังจากที่ผมได้ในสิ่งที่ต้องการ แถมด้วยไอศกรีมเย็นฉ่ำในมืออีกแท่งหนึ่ง ผมก็กลับขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป โกดังเยี่ยนหวอ โซน F

.........................................................................

   เผิงฟงกับเด็กรุ่นเดียวกันอีก 4 คนถูกต้อนให้ขึ้นรถบรรทุกที่ปิดสนิท แม้กระทั่งหายใจก็ยังยาก พวกเขาถูกเกณฑ์ให้มาขนย้ายข้าวของมากมายภายในโกดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาคาดเดาว่าน่าจะเป็นโกดังละแวกเดียวกันกับที่พวกเขาถูกจับมาขังไว้เพราะใช้เวลาเดินทางไม่นาน ส่วนพวกผู้หญิงก็ยังคงทำหน้าที่ตามเดิม นั่นก็คือการประกอบอาวุธปืน

   เมื่อลงจากรถ ก็พบคนงานชายมากมาย บางคนสวมชุดหมีที่ดูเหมือนพนักงานรับจ้างขนย้ายของ บางคนก็สวมแค่เสื้อกล้ามที่ไม่ได้แสดงสังกัดใด

   “อาเฉียว นายว่าคนพวกนั้น เป็นพวกเดียวกันกับที่จับพวกเรามาไหม?” เขากระซิบถามเพื่อนที่ยืนกันอยู่ใกล้ๆ

   “ต้องดูไปก่อน นายอย่าเพิ่งใจร้อน พวกนั้นอาจจะเป็นพวกเดียวกันก็ได้ ไม่อย่างนั้นมันจะกล้าให้พวกเรามาทำงานที่นี่ มาเจอกับคนนอกอย่างนั้นเหรอ?”

   “ตรงนั้นยืนคุยอะไรกัน รีบเดินมานี่เลย!! ”

   ชายที่ขับรถพาพวกเขามา ยืนเรียกพวกเขาอยู่ไม่ไกล บริเวณนั้นเป็นกลุ่มของเด็กผู้ชายที่ถูกจับตัวมาเหมือนกับเขา บางคนเขาก็เคยเห็นหน้า บางคนก็ไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ เมื่อชายคนนั้นเรียก กลุ่มเขาก็เดินตามไปสมทบ

   เนื่องจากพวกเขายังเด็ก ไม่สามารถยกของอะไรที่หนัก ๆ ได้อย่างผู้ใหญ่ พวกเขาจึงถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้เข้าไปเก็บของพวกหนังสือ กระดาษ เอกสารต่าง ๆ ลงลังกระดาษที่เตรียมเอาไว้ อีกกลุ่มรวมทั้งเผิงฟงถูกสั่งให้ทำความสะอาดบริเวณโดยรอบพื้นที่ ที่ขนของออกไปหมดแล้ว

   “ทำไมต้องทำความสะอาดกันขนาดนี้” อาเฉียวตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นผู้ชายอีกกลุ่มที่เข้ามาพร้อมกับน้ำยาเคมีกลิ่นฉุน สำหรับทำความสะอาด

   “ฉันว่าที่นี่ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ อาจจะเคยขังใครไว้ แล้วมีคนตายที่นี่” เขาพูดโดยไม่ได้เงยหน้ามองคนพวกนั้น ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษขยะลงถุงดำต่อไป

   “อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น”

   “ฉันดูหนังมาเยอะ พวกที่เก็บกวาดขนาดนี้ มันไม่ได้ทำอะไรดีๆ หรอก”

   “หรือว่าพวกมันจะทดลองอาวุธชีวภาพ” อาเฉียวพูดขึ้นมาอย่างตกใจ

   “นายจะบ้าเหรอ ใครจะไปทำอะไรแบบนั้น ในที่แบบนี้ พวกอาวุธชีวภาพเขาก็ต้องทดลองกันในแล็บใต้ดินสิ หรือต้องเป็นห้องลับที่เขาถึงยาก ๆ ไม่ใช่โกดังสินค้าแบบนี้”

   “นายรู้ได้ไง มันอาจจะเป็นอย่างที่ฉันว่าก็ได้”

   “ก็บอกแล้วว่าฉันดูหนังมาเยอะ”

   “แล้วในหนังเขาบอกไหม ว่านายจะช่วยพี่สาวของนายยังไง”

   “ในหนังไม่ได้บอก แต่ฉันว่าฉันพอจะมีวิธีอยู่บ้าง แต่นายต้องช่วยฉัน”

   “จะให้ช่วยยังไง บอกมาเลย”

   “นายไปกระจายบอกพวกเรานะ ให้สังเกตรถที่เข้าออกจากที่นี่ ว่าคันไหนที่ไม่ได้ไปโกดังที่พวกเราอยู่ แต่ออกไปที่อื่น”

   “ฉันเข้าใจความคิดนาย แต่นายจะรู้ได้ยังไง ว่าไปที่อื่นนี่มันเป็นที่ที่ปลอดภัยกว่าที่นี่”

   “ก็ไม่รู้หรอก พวกนายต้องหาให้ได้ภายในคืนนี้ เพราะฉันจะแอบขึ้นรถคันนั้นไปเอง”

   “ถ้านายถูกจับได้ อย่าว่าแต่ช่วยฉินฉินเลย ชีวิตนายเองก็จะเอาไม่รอด”

   “ก็ตอนนี้ฉันคิดได้แค่นี้นี่ หรือนายมีวิธีที่ดีกว่านี้”

   “ฉันเห็นด้วยกับนาย ที่จะให้ฉินฉินแอบหนีไปพร้อมกับคนงานพวกนี้ แต่เรื่องวิธี มันต้องคิดให้รอบคอบก่อน ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับส่งฉินฉินไปตาย”

   “หรือว่า เราจะให้พวกพนักงานทำความสะอาดพวกนั้นช่วย”

   “ก็บอกว่าต้องดูไปก่อนยังไงเล่า ว่าพวกนั้นเป็นพวกเดียวกันกับไอ้พวกที่จับเรามาไหม?”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคอยดูคนพวกนี้ไว้สินะ”

   “เฮ้ย!! นายสองคนอย่าอู้ คุยกันอยู่ได้ อาเฉียว นายแยกไปทำงานทางโน่นเลย แล้วไม่ต้องไปชวนใครคุยอีกนะ” ชายคนหนึ่งตะโกนข้ามห้องมาสั่งอาเฉียว

   ทำให้เขาทั้งสองต้องแยกกันทำงาน ทั้งๆ ที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกันดี เขาที่เก็บเศษขยะแถวๆ นี้คนเดียว ได้แต่แอบมองพวกคนทำความสะอาดฉีดอะไรบางอย่างไปที่ผนัง ก่อนที่อีกคนที่เดินตามจะฉีดน้ำอีกรอบ ส่วนน้ำที่นองพื้นก็มีพนักงานอีกคนใช้ไม้ถูพื้นรีดน้ำออกไปด้านนอก

   เมื่อเขาเก็บเศษขยะในห้องนี้เสร็จแล้ว พวกมันก็ให้เขาไปยังส่วนของโกดังเก็บของ ที่ตอนนี้ลังไม้ต่าง ๆ ถูกขนย้ายขึ้นรถบรรทุกเกือบหมดแล้ว ชั้นเหล็กที่เคยเป็นที่เก็บลังไม้ มีชายใส่เสื้อกล้ามหลายคนกำลังตัดเหล็กพวกนั้นออกเป็นชิ้น ๆ แล้วมาวางกองรวมกันด้านหนึ่ง

   หน้าที่ใหม่ของเผิงฟงคือการโกยเศษเหล็กเหล่านั้นขึ้นรถเข็น จากนั้นก็จะมีผู้ใหญ่ตัวโต ๆ เข็นไปขึ้นรถบรรทุกอีกที ระหว่างที่เขาใช้มือหยิบจับเศษเหล็ก มีบ้างที่โดนเหล็กบาด ได้เลือดมาไม่ใช่น้อย แต่คนคุมก็ดูไม่ได้ใส่ใจในอาการบาดเจ็บของเขาเลย

   อาเฉียวที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว เดินมาช่วยงานเขาพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกหลายคน ซึ่งอาเฉียวก็ทำได้ดีตามที่รับปากเขาไว้ ทำให้เขาได้ข้อมูลเพิ่มเข้ามา

   “คนงานที่ตัดเหล็กอยู่นั่นนะ ไม่ใช่คนจีน เขาฟังที่ฉันพูดไม่ออก ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาพูดภาษาอะไร” เด็กคนหนึ่งเอาเศษผ้ามาช่วยพันมือที่มีแต่แผลของเขา พร้อมทั้งกระซิบบอก

   “มีพนักงานขนของคนหนึ่งถามฉันว่าทำไมเด็กอย่าพวกฉันถึงมาช่วยงานที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร เขาก็ถูกคนพวกนั้นลากตัวออกไป แล้วพวกคนที่ใส่ชุดหมีก็ถูกไล่กลับไปจนหมด” เด็กอีกคนหนึ่งเล่าบ้าง

   “แต่ฉันยังเห็นพวกเขาทำงานกันอยู่เลยนะ” เด็กชายที่ทำแผลให้เขาพูดขึ้น

   “นั่นเป็นคนกลุ่มใหม่ที่มา หลังจากคนกลุ่มแรกถูกไล่ออกไป”

   “แล้วยังไงต่อ” อาเฉียวดูจะใจร้อนกว่าเขาถามขึ้น

   “พอฉันชวนใครคุย ก็ไม่มีใครตอบอะไรฉันเลย ได้แต่เดินหนี”

   “แบบนี้ คนพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกมันนะสิ”

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น ฉันพยายามจะดูว่าคนพวกนั้นขนของไปไหน แต่ก็ถูกสั่งให้มาขนเหล็กกับพวกนายเสียก่อน”

   “ยังมีเวลา เดี๋ยวตอนพัก พวกนายค่อยแยกย้ายกันไปดูรอบ ๆ หามุมนั่งกินข้าว หามุมนอนหลับ หรือจะไปปลดทุกข์อะไรก็แล้วแต่พวกนายจะอ้าง”

   “อืม” เด็กหนุ่มหลายคนที่ได้ยินเขาพูดต่างพากันรับปาก ก่อนที่อาเฉียวจะบอกให้พวกนั้นกระจายข่าวบอกกันในกลุ่ม เพื่อที่จะได้เป็นหูเป็นตา เพราะคืนนี้เขาต้องหาทางหนีให้กับฉินฉินให้ได้ เพราะโอกาสของเธอเหลือเพียงพรุ่งนี้เท่านั้น

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 17 ---ll--- 1-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-04-2019 23:00:17
 o13
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 17 ---ll--- 1-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: ikou ที่ 02-04-2019 01:11:52
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 17 ---ll--- 1-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-04-2019 18:24:09
รอค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 18 ---ll--- 8-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-04-2019 21:31:57
18








   เช้านี้ผมตื่นสายกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี เมื่อวานแค่ไปหาเบาะแสที่แฟลต ต่อจากนั้นก็ไปเฝ้าดูโกดังโซน F เท่านั้น ตอนขากลับเกือบจะขับรถกลับไม่ถึงคอนโดซะแล้ว ทั้งง่วงทั้งเพลีย ผมยังไม่ลุกจากเตียง ยังอยากจะนอนต่อ แต่เพราะเสียงกริ่งประตูทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปเปิดอย่างเสียไม่ได้

   “ยังไม่ตื่นอื่นเหรอเฟ่ยซาน”

   พี่ผานกู่เดินเข้ามาในห้อง ตรงไปยังโต๊ะทานอาหาร ผมเปิดประตูแล้วเดินตามไปโดยไม่พูดอะไร ถึงโต๊ะผมก็หยิบถุงที่พี่ผานกู่ถือมา ดูว่ามีอะไรกินบ้าง

   “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเลย แล้วค่อยมากินโจ๊ก พี่มีปาท่องโก๋เจ้าที่เราชอบมาฝากด้วยนะ” ผมวางมือจากถุงแล้วเข้าไปล้างหน้าล้างตาอย่างที่พี่กู่สั่ง

   พอผมเข้าห้องน้ำเท่านั้นแหละ ที่ว่าหิว ๆ ในตอนแรกกลับลืมไปเสียหมด ผมไม่รู้ว่าผมยืนใต้ฝักบัวนานเท่าไร ออกมาจากห้องอีกทีก็ไม่เห็นพี่ผานกู่แล้ว ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มก็เห็นข้อความของพี่กู่

   
‘พี่ไปทำงานแล้วนะ โจ๊กอยู่ในไมโครเวฟ อุ่นเอาเอง

   แล้วเรื่องคดีฆ่ารัดคอ พี่จะส่งข่าวให้ อย่าไปตามสืบเองคนเดียว

   ผานกู่’

   ผมวางกระดาษโน้ตที่พี่กู่ติดไว้บนตู้เย็นลงบนโต๊ะอาหาร แล้วเดินตรงไปยังไมโครเวฟเพื่ออุ่นโจ๊ก พอได้อาบน้ำผมก็รู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อตอนตื่น ยิ่งได้ดื่มน้ำเย็น ๆ แล้วด้วย รู้สึกตัวเบาสบาย และเป็นอีกครั้งของวันที่เสียงกริ่งหน้าประตูห้องทำลายความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผม

   “พี่กู่ ลืมของเหรอ” ผมไม่ทันได้มองช่องตาแมว เพราะคิดว่าคนที่ยืนอยู่หลังบานประตูน่าจะเป็นพี่ผานกู่ แต่ไม่ใช่ “...ดอกเตอร์...”

   “นักสืบผานพักที่นี่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?”

   “คุณมาหาผมมีธุระอะไร ไม่สิ คุณรู้จักที่อยู่ผมได้ยังไง”

   “นายรับแขกแบบนี้เหรอ?”

   “ปกติผมเป็นคนมีมารยาท แต่...” ติ๊ง ติ๊ง ... ผมพูดไม่ทันจบ เสียงไมโครเวฟก็ร้องเตือน

   “ตื่นก็สาย กินอาหารเช้าเอาป่านนี้ มารยาทในการรับแขกก็ไม่มี”

   “คุณ!! ” สายตาหลังกรอบแว่นเชย ๆ สีทองนั่น มองผมอย่างประเมินไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท

เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่สักพัก ก็มีกรรมการห้ามศึก นั่นก็คือเสียงกระเพาะของผมที่ดันส่งสัญญาณพักรบออกมาให้ผมได้อาย

   “ขะ...เข้ามาสิ” ผมหลบให้เขาได้เข้ามาข้างในห้อง

   “นายไปกินข้าวก่อนเถอะ ฉันรอได้” ถึงดอกเตอร์โพลาไอซ์ไม่บอก ผมก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว จึงเดินมาหยิบถ้วยโจ๊กในไมโครเวฟ

   “คุณมีธุระอะไร?” ผมพูดทั้ง ๆ ที่กินโจ๊กอยู่ ไม่ลืมที่จะเอาปาท่องโก๋เจ้าอร่อยมากินร่วมด้วย

   “ดูนายก็สบายดีนี่ ช่วงนี้คงจะดื่มน้ำเยอะเป็นพิเศษละสิ” ผมเห็นเขามองขวดน้ำที่วางระเกะระกะเกลื่อนอยู่บนโต๊ะกลางหน้าทีวี

   “ดื่มน้ำเยอะ ๆ ไม่ดีตรงไหน?”

   “มันเป็นผลข้างเคียงจากน้ำตากิเลน”

   “ถึงจะเป็นผลข้างเคียงจากน้ำตากิเลน แต่ก็ใช่ว่าจะอันตรายอะไรนี่”

   “เมื่อคืนนายเกือบจะวูบ ตอนแอบเข้าไปที่โกดัง”

   “เฮ้ย!! คุณรู้ได้ยังไง”

   “ฉันศึกษาเรื่องน้ำตากิเลนมาเยอะ ฉันว่าฉันเคยบอกนายแล้วนะ”

   “ไม่ใช่ ผมหมายถึงเรื่อง...โกดัง” ปลายประโยคผมรู้สึกได้ถึงเสียงของตัวเองที่แผ่วลงไป

   “ก็แล้วแต่นายจะคิด”

   “สรุปแล้ว ดอกเตอร์มาเพราะเรื่องน้ำตากิเลน”

   “ใช่”

   “มาดูว่าผมดื่มน้ำเยอะไหมนะเหรอ”

   “เมื่อวานนายเกือบจะวูบตอนขับรถกลับ”

   “คุณตามผม?”

   “...”

   “ผมแค่เหนื่อยเกินไปก็เท่านั้น”

   “มีอาการอย่างอื่นอีกไหม?”

   “ก็ไม่นี่ ถ้าผมไม่สบายผมก็ไปหาหมอ ไม่เห็นต้องบอกคุณเลยนี่”

   “...” ดอกเตอร์โพลาไอซ์ไม่พูดอะไรอีกสักคำ เดินออกจากห้องของผมไปหน้าตาเฉย ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างต้องตามผมอยู่เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้เรื่องผมแอบเข้าไปที่โกดังได้ยังไง แล้วไหนจะเรื่องวูบตอนขับรถกลับอีก นี่ถึงขั้นขึ้นมาเคาะห้องของผมที่คอนโดแบบนี้ ผมเริ่มชักจะกลัวคนคนนี้แล้วสิ

.........................................................................

   หวงกังโหฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาภาวนาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ก่อนที่จะหมดสติไป หากหมดสติไปแล้วเขาก็ไม่อยากฟื้นขึ้นมาอีกเลย การได้สติขึ้นมาในครั้งหลัง ๆ เขาไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาเพื่อสำรวจสิ่งรอบข้าง เพราะยังไงก็มองอะไรไม่เห็น แม้กระทั่งฝ่ามือของตัวเอง

   เขาถูกจับมาขังไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีแม้กระทั่งแสงสว่างเล็ดลอดเขามา อากาศก็มีแต่กลิ่นอับ เหม็นกลิ่นสนิทชวนให้คลื่นไส้ เขาเป็นอิสระภายในพื้นที่แคบ ๆ สามารถเดินเหินไปส่วนไหนก็ได้ ครั้งแรกเขาพยายามหาทางหนี แต่เพราะความมืดทำให้เขาเดินชนกำแพงหลายต่อหลายครั้ง

   ในนี้ไม่มีทั้งน้ำ ทั้งอาหาร จนเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาไม่สามารถคาดเดาได้ ความหิว ความเหนื่อยล้า ความสิ้นหวังเข้ากัดกิน จนถึงตอนนี้ เขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

   เขานึกเสียใจที่วันนั้น นักฆ่าของไหว่ยี่ไม่ลงมือฆ่าเขาเสีย แต่กลับจับเขามาขังไว้ที่นี่ เท่าที่รู้มาไหว่ยี่ไม่เคยจับใครมาทรมาน แล้วคนที่จับเขามาเป็นใครกันแน่

   “หวงกังโหสินะ”

   เขาได้ยินเสียงก้องอยู่ในห้อง ซึ่งน่าจะมาจากลำโพงที่แอบติดไว้ในนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรมาก่อน แต่ถึงตอนนี้ จะเป็นเสียงอะไรเขาก็ไม่สนใจ ว่ามันจะเป็นใคร หรือจะทรมานอะไรเขาอีกก็ตาม

   “แกเป็นพวกโลภมาก ขายยา ฆ่าคน ค้ามนุษย์ แล้วเป็นยังไง เงินที่ได้มา ช่วยให้แกรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้รึเปล่าละ”

   เจ้าของเสียงนั่น รู้เกี่ยวกับธุรกิจของเข้าทั้งหมดได้ยังไงกัน พวกไหว่ยี่รู้แค่ว่า เขาขายยา กับเปิดผับเท่านั้น มันเป็นใครกัน

   “ทำไมไม่ตอบ อ่อ...ลืมไป แกคงจะไม่มีแรงสินะ เอาแบบนี้ก็แล้วกัน นายอยากกินอะไร บอกฉันมา เดี๋ยวฉันหามาให้”

   “น้าม...”

   “อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”

   หวงกังโหรู้สึกถึงฝ่ามือภายใต้ถุงมือหนังที่กำลังบีบกรามของเขาอยู่
   
   ใคร!!...
   
   แล้วมาอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เขาลืมตาขึ้นมา แต่ก็มองอะไรตรงหน้าไม่เห็นเลยแม้แต่ฝ่ามือที่บีบกรามเขาอยู่ เขาเอื้อมมือไปข้างหน้า หวังจะคว้าตัวคนที่จับเขา แต่มันกลับว่างเปล่า

   “ฉันให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย อยากกินอะไร” เสียงที่เคยก้องอยู่ในห้อง ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกระซิบที่ข้างหูของเขา พร้อมลมหายใจอุ่น ๆ ที่น่าขยะแขยง ก่อนสติเขาจะดับวูบไปอีกครั้ง

.........................................................................

   หลังจากที่ผานกู่ออกจากห้องของหนานเฟ่ยซาน เขาก็ตรงไปยังโรงพยาบาลเกียงวูเพื่อเยี่ยมชิวกัมหง เนื่องจากตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เขายังไม่เคยไปเยี่ยมคนเจ็บเลยแม้สักครั้งเดียว ถึงแม้ตอนนี้ชิวกัมหงจะฟื้นแล้ว แต่บาดแผลยังคงน่าเป็นห่วง และต้องระวังไม่ให้บาดแผลเกิดการติดเชื้อ

   เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าห้องพักของเพื่อนร่วมงาน ด้านในกลับมีเสียงหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ซึ่งหัวข้อสนทนานั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

   “ฮ่าๆ ๆ พี่กู่ทำแบบนั้นต่อหน้าเหมิ๋นหวนฮ่างจริง ๆ นะเหรอ” เสียงหัวเราะของคนนอนเจ็บ ซึ่งหัวเราได้อย่างไม่กลัวว่าจะกระเทือนบาดแผลของตัวเองเลย

   “ใช่สิ นายน่าจะได้เห็นหน้าของพี่กู่ตอนนั้นนะ หวงเฟ่ยซานอย่างกับอะไรดี ถึงจะไม่ได้พูดจา ออกปากไล่ดอกเตอร์ตรง ๆ แต่การกระทำมันก็ฟ้องชัด”

   “แล้วเฟ่ยซานละ”

   “เหมือนเดิม ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไร”

   เขาที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกสักพัก จึงเปิดประตูเข้าไป หวังให้คนในห้องเปลี่ยนเรื่องสนทนาให้มันไกลตัวของเขาหน่อย

   “อ่าว พี่กู่ ไหนว่าจะไปหาเฟ่ยซานไงละ” เหยินหยางผิงหันมาทักทาย หลังจากที่เขาเข้าห้องมาแล้ว

   “ไปมาแล้ว นายเป็นไงบ้างละ” ประโยคหลังเขาหันไปถามคนที่นอนอยู่บนเตียง

   “เบื่อจะแย่อยู่แล้วพี่กู่”

   “ทน ๆ เอาหน่อยแล้วกัน แผลยังไม่หายดี”

   “ว่าแต่พี่เถอะ ตามดูแลน้องหนานมาตั้งนาน เช้าถึง เย็นถึงขนาดนี้ เมื่อไรจะบอกความในใจกับเฟ่ยซานสักที” เขาหันไปมองหน้าเหยินหยางผิงอย่างไม่พอใจก่อนจะตอบชิวกัมหง

   “ยังไม่ถึงเวลา”

   “พี่กู่ ระวังจะเอาเถอะ เดี๋ยวจะถูกเหมิ๋นหยวนฮ่างงาบไป”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นเขาไม่คิดอะไรกับเฟ่ยซานหรอกน่า”

   “พี่กู่ นี่พี่พูดปลอบใจตัวเองรึเปล่า” หยางผิงพูดทั้ง ๆ ที่เอามือตบไหล่เขาเบาอย่างหยอกล้อ จนเขาต้องปัดออก

   “นั่นสิ ถ้าเหมิ๋นหยวนฮ่างไม่คิดอะไรกับเฟ่ยซาน เขาจะตามมาที่สถานีทำไม?” คนบนเตียงก็เห็นด้วยกับหยางผิง

   “คงเพราะคดีของโยว่ซินหรู”

   “คนไม่สนใจโลกอย่างดอกเตอร์อะนะ วันๆ ขุดแต่ดิน หาแต่ของโบราณ จะมาสนใจข่าวแบบนั้น”

   “...” ทำไมบรรยากาศในห้องพักของโรงพยาบาลมันเหมือนกับห้องสอบสวน โดยผู้ต้องหาคือเขา ส่วนชิวกัมหง และเหยินหยางผิงคือคนที่สอบปากคำ

   “ถ้าจำไม่ผิด ก่อนที่ผมจะเข้ามานอนเล่นที่นี่ เฟ่ยซานสนใจคดีคนหายอยู่นะ พี่ก็ใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดกับเฟ่ยซานให้มากขึ้นสิ มีโอกาสก็รีบ ๆ บอกไปเลย” ชิวกัมหงให้คำแนะนำ ด้วยสายตาเป็นประกาย อย่างนึกสนุกซึ่งดูไม่เข้ากันกับหุ่นหมี ๆ อย่างนั้นเลย

   “ไม่ใช่แล้วละกัมหง ตอนนี้หยางผิงน่าจะตามสืบเรื่องคดีฆ่ารัดคออยู่นะ เพราะเราได้เบาะแสใหม่จากศพรายล่าสุด” หยางผิงตอบคนที่นอนอยู่บนเตียง

   “ใช่ ดูเหมือนเมื่อวานเฟ่ยซานจะไปหาเบาะแสของคุณนายเจาที่แฟลต เมื่อเช้าตอนฉันเข้าไป เห็นสมุดจดรายละเอียดของเขาอยู่”

   “คดีนั้นอันตรายเกินไป คนร้ายก็ดูเป็นพวกโรคจิต” ชิวกัมหงมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อพวกเขาเปลี่ยนประเด็นมาพูดถึงคดีนี้

   “อืม ฉันเตือนเฟ่ยซานไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ฟัง”

   “ก็เหมือนกับที่ผมเคยบอกให้เฟ่ยซานเลิกคบโฮวจีเจียนนั่นแหละ เคยเชื่อผมซะที่ไหน”

   “พูดทีเล่นทีจริงอย่างนาย น้องหนานคงจะเชื่อหรอกนะ พี่กู่ ผมว่าพี่ต้องหาวิธีกันเฟ่ยซานออกจากคดีนี้แล้วละ”

   “ยังดีที่จู้ชุนยังให้คนคอยตามอยู่ คงจะพอเป็นหูเป็นตาให้ได้” หยางผิงพูดเหมือนจะปลอบใจเขา

   “ก็จนกว่าเราจะจับตัวหวงกังโหได้นั่นแหละ”

   “ระหว่างนี้พี่ก็รีบคิดเรื่องที่จะกันเฟ่ยซานออกจากคดีไปเสีย หรือถ้ายากนักก็รวบหัวรวบหางไปเลย โอ้ย!! ” ชิมกัมหงเอื้อมมาตบหัวของเหยินหยางผิงไม่เบานัก

   “นายนี่ก็พูดเป็นเล่นได้ทุกเรื่อง เพราะเป็นแบบนี้ไง ถึงได้คุยกับจื่ออู่ดีๆ ไม่ได้สักที”

   “หมากระเป๋านั่นมาเกี่ยวอะไรด้วย”

   “นายอย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกนะ ว่านายคิดยังไงกับจื่ออู่ พี่กู่ก็เปิดโอกาสให้หยางผิงมันบ้างสิ”

   “ให้หมาข้างถนนกับหมากระเป๋ากัดกันนะเหรอ?”

   “กัดไปกัดมาเดี๋ยวมันก็ได้กันเองแหละพี่”

   “เฮ้ย คุยเรื่องพี่กู่ เรื่องคดีอยู่ดี ๆ ทำไมวกมาลงที่เรื่องของฉันได้ละ” เหยินหยางผิงโอดครวญ แต่ท่าทางทีเล่นทีจริงอย่างนั้น ทำให้พวกเขาไม่คิดจะสงสารคนตรงหน้าแม้แต่น้อย

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเฝ้าที่ที่คอนโดนของหนานเฟ่ยซานมาตั้งแต่เช้า คนของจู้ชุนคงอยู่แถว ๆ นี้ ทำให้ระหว่างวันที่เขาไม่ได้ไปไหน กลับได้รับการดูแล ส่งน้ำส่งอาหารให้อย่างดี จนกระทั่งตกดึก เขาที่เตรียมจะกลับไปพักผ่อน เพราะคิดว่าคนที่เขาเฝ้าอยู่คงจะไม่ออกไปไหนแล้วในวันนี้ แต่เขากลับคิดผิด

   เงาร่างคุ้นตาเดินออกมาจากลิฟต์ของลานจอดรถ แล้วเดินตรงไปที่รถของตัวเอง จากนั้นไม่นาน เจ้าของรถก็ขับมันออกไป เขาที่สตาร์ทรออยู่ก่อนแล้ว จึงเคลื่อนรถออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อตามไปดูว่าวันนี้หนานเฟ่ยซานจะไปสืบหาเบาะแสอะไร ที่ไหนอีก

   จากที่เขาสังเกตหนานเฟ่ยซาน ขณะเดินมาขึ้นรถ แม้จะมองจากระยะไกลก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเฟ่ยซานดูดีกว่าที่เจอเมื่อช่วงเช้าที่ดูซีดเซียว และยังคงอ่อนเพลียอยู่ คงเป็นเพราะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

   เขาขับรถตามหนานเฟ่ยซานมาจนถึงทางเข้าโกดังโซน F เขาจึงเลือกที่จะจอดรถเอาไว้หน้าทางเข้า จากนั้นก็เดินไปยังป้อมยามจุดที่ใกล้ที่สุดเพื่อยืมจักรยานของ รปภ.

   “ดอกเตอร์จะติดวิทยุสื่อสารไปด้วยไหมครับ เผื่อตอนกลับจะได้เรียกผมให้เอารถกอล์ฟไปรับ”

   “ไม่เป็นไร”

   เขาปฏิเสธความเอื้ออาทรของเจ้าหน้าที่ ที่ประจำอยู่ที่ป้อม ก่อนจะค่อย ๆ ปั่นจักรยานลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ตามทางที่เขาคุ้นชิน ซึ่งเขามาเที่ยวเล่นกับเจมส์ที่นี่บ่อย ๆ เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก จนมาถึงโกดัง F 11 ซึ่งก็ใกล้กันกับโกดังที่ต้วนเจียจงเช่ากับเยี่ยนหวอเอาไว้

   เขาดักรออยู่สักพักก็ไม่เห็นหนานเฟ่ยซานขับรถมาทางเขา ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็สำรวจจนมาถึงโกดัง F 16 แล้ว ด้วยความร้อนใจ ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เขาจึงขี่จักรยานย้อนขึ้นไป ไม่นานเขาก็เห็นรถของเฟ่ยซานจอดหลบอยู่ที่โกดัง F 20 แต่กลับไม่เห็นตัวเจ้าของ

.........................................................................

   ฉินหรุยกวงขับรถเข้ามาจอดภายในโกดังด้วยความแปลกใจ เพียงไม่กี่วันที่เขาต้องไปจัดการเรื่องคดีระเบิดภายในบริษัทฯ และศูนย์ซ่อมบำรุงกับทางตำรวจ กลับทำให้ที่โกดังที่เคยใช้เป็นที่เก็บอะไหล่แท็กซี่ว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งเศษพลาสติกห่อสินค้าสักชิ้นเดียว

   เขาลงจากรถมาด้วยอาการหวาดวิตก ตรงหน้าเขา เจ้านายยืนรออยู่ก่อนแล้ว ข้าง ๆ กันนั้น ซือหวูยืนจ้องมาทางเขาด้วยสายตาเย็นชา ต่างจากทุกครั้งที่เจอ เขาก้าวเดินยังไม่ถึงตัวนาย รถอีกคันก็เข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ รถของเขา

   “นายมาเร็วกว่าที่ฉันคิด” เจ้าของรถคันนั้นทักทายหลังจากก้าวลงมาแล้ว

   “ซือหวูมาทำอะไรที่นี่”

   “มาจัดการคนของฉันนะสิ มันไม่รักดี ดันเอาเด็กผู้หญิงที่ฉันพามาทำงานไปนอนกก นายไม่อยากให้เกิดเรื่อง”

   เขาพยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจอยู่ดี จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินไปสมทบกับนายที่ยืนรอพวกเขาอยู่อย่างใจเย็น

   “คุณเยียน/นาย” เขาทักทายนายออกมาพร้อม ๆ กัน

   “หรุยกวง นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ที่ฉันให้เจียจงขนของทั้งหมดไปไว้ที่โกดังใหม่?”

   “แล้วแต่คุณเยียนจะจัดการเลยครับ”

   “ดี แล้วรู้ไหม ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ฉันถึงต้องมาบอกนายด้วยตัวเอง”

   “มะ ไม่ทราบครับ”

   “เรื่องที่บริษัทฯ ของนาย จัดการกับทางตำรวจเรียบร้อยไหม?”

   “เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณคุณเยียนที่เป็นห่วง”

   “คุณต้วน!! ” ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

   “เสียมารยาท ไม่เห็นรึยังไงว่าฉันมีแขกอยู่”

   “ขอโทษครับ คือผมมีเรื่องด่วน” คุณเยียนพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต

   “ว่ามา”

   “เผิงฉินฉินแอบหนีไปกับรถพนักงานขนของ”

   “ว่ายังไงนะ!! ” เขาเห็นต้วนเจียจงตกใจไม่น้อย ก่อนที่จะเหลือบตามามองที่คุณเยียน

   “ซือหวู ไปช่วยเจียจงหน่อยไป”

   “ครับนาย” จากนั้นทั้งสองคนก็พากันตามชายคนนั้นออกไปจากโกดัง ทำให้เขาต้องเผชิญหน้าอยู่กับ เยียนจูเฟิงตามลำพัง

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 18 ---ll--- 8-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 11-04-2019 13:28:44
รออ่านต่อค่ะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 19 ---ll--- 15-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-04-2019 11:54:04
19








   วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่นอน ไม่ได้ทำงานทำการอะไรเลย ทั้งที่เมื่อถึงวันหยุด ผมมักจะตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ จากนั้นค่อยมาเรียบเรียงงานที่จะต้องเขียนข่าว แต่วันนี้ผมกลับตื่นสาย ไหนยังจะเรื่องที่ ดร. โพลาไอซ์บุกเข้ามาถึงคอนโดของผมอีก มันทำให้อาหารเช้าของผมไม่อร่อยเท่าที่ควร อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี ไม่มีสมาธิทำงาน

   ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว ผมจึงรีบจัดการโหลดภาพถ่ายโกดังที่ผมไปสำรวจมาเมื่อคืนนี้ จากเมมโมรี่ของกล้องลงคอมพิวเตอร์ไว้ก่อน จากนั้นก็นั่งไล่ดูรูปทั้งหมดที่ถ่ายมา ดูอยู่ 2-3 รอบ ผมก็ยังจำไม่ได้ ว่าเก็บสมุดทำมือของเว่ยฟานได้จากที่ไหน

   จนกระทั่งผมมาผิดสังเกตกับรถบรรทุกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนจะขับวนเวียนอยู่ที่โกดัง F14 กับ F23 ในตอนแรกผมเข้าใจว่า รถบรรทุกพวกนั้นคงมารับส่งของรอบดึก แต่ดูให้ดีๆ จากภาพที่เห็น เหมือนรถพวกนั้นกำลังขนย้ายอะไรสักอย่าง ระหว่าง 2 โกดังมากกว่า ด้วยความสงสัยผมจึงไล่ดูรายชื่อผู้เช่าโกดังที่ได้มาจากโฮวจีเจียน ตั้งแต่วันที่ไปสัมภาษณ์คุณฝู่

   โกดัง F13 – F14 เป็นของบริษัทเมจิกทอยส์

   โกดัง F23 เป็นของบริษัทวิงเฮงยิม

   จากประเภทธุรกิจของทั้งสองบริษัทฯ ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน ผมจึงลองค้นข้อมูล เพื่อหาเจ้าของบริษัทฯ ทำให้ได้รู้ว่า เมจิกทอยส์เป็นบริษัทฯ ของต้วนเจียจง หนุ่มไฮโซผู้คลั่งไคล้ของเล่นเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขั้นเคยจัดนิทรรศการโชว์ของเล่นโบราณที่ตนเองสะสมไว้ให้คนทั่วไปได้ชมฟรีๆ ส่วนบริษัทวิงเฮงยิมเป็นบริษัทฯ อะไหล่รถแท็กซี่ ซึ่งไม่สามารถหาชื่อเจ้าของบริษัทฯ ได้ เนื่องจากถูกเปลี่ยนเจ้าของมานับรวมๆ ก็ 8 ครั้งภายใน 2 ปี แต่ผมกลับสะดุดกับชื่อของผู้นำเข้าอะไหล่ให้กับบริษัทฯ นี้มากกว่า คนคนนี้อีกแล้ว ฉินหรุยกวง

   เพียงแค่นั้น ก็สามารถจะเป็นสาเหตุให้ผมมาอยู่ที่โกดัง F23 แห่งนี้ได้แล้ว ตอนที่มาถึงผมเห็นรถบรรทุกยังคงขนของกันอยู่ ผมจึงแวะซุ่มดูที่โกดัง F14 สักพัก ด้านในน่าจะมีคนทำงานกัน เพราะแสงไฟที่ลอดออกมาจากภายใน ผมจึงเลือกที่จะขับรถไปจอดแอบไว้ที่โกดัง F20 ก่อนเดินมาที่นี่

   ผมเดินสำรวจภายนอกอย่างระมัดระวัง โดยเริ่มจากด้านข้าง เพราะด้านหน้ายังคงมีรถบรรทุกทยอยกันออกมา เมื่อเดินลึกเข้ามา แสงไฟจากถนนเส้นหลักก็เข้ามาไม่ถึง ผมจึงอาศัยไฟจากหน้าจอโทรศัพท์แทน ที่ผมไม่เลือกใช้ฟังก์ชันไฟฉาย เพราะเกรงว่าแสงไฟจะเป็นจุดสังเกต ให้คนที่อยู่ภายในเห็นผม

   ก่อนที่ผมจะเดินถึงประตูกลางของตัวโกดัง ผมเห็นรถขับไล่กันเข้าไป 2 คัน ซึ่งจากจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ เป็นมุมมืดคนในรถคงไม่ทันเห็นผม แต่ผมก็ไม่สามารถมองเห็นภายในได้เหมือนกัน ทำให้ผมรีบเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า แล้วมองหาช่องแสงหรือช่องหน้าต่าง อะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมสามารถมองเห็นด้านใน หรือถ้าไม่มีจริงๆ ผมคงต้องเสี่ยงไปซุ่มดูตรงประตูที่รถเพิ่งขับผ่านเข้าไป

   ยิ่งตื่นเต้น ใจผมก็ยิ่งเต้นเร็วจนรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ เหมือนคนที่ดื่มกาแฟมากเกินไปแล้วใจสั่น ซึ่งผมไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะสถานการณ์ตรงหน้ามันน่าสนใจกว่า จนกระทั่งผมมาเจอพัดลมระบายอากาศขนาดใหญ่ แต่ก็อยู่สูงเกินกว่าที่ผมจะเขย่งเท้าถึง ผมจึงอาศัยลังเปล่าที่วางทิ้งไว้แถว ๆ นั้นยกมาเรียงให้ได้ความสูงพอที่จะปีนขึ้นไปได้ กว่าจะเรียบร้อยดั่งใจ ผมก็ทั้งเหนื่อย ทั้งล้าเต็มที

   ผมมองเหตุการณ์ข้างในผ่านเลนส์กล้อง ผมเห็นฉินหรุยกวงยืนตัวเกร็งอยู่ข้างใครอีกคน ทั้งสองเหมือนจะตกลงอะไรกันได้แล้วถึงได้ยืนรออยู่เฉย ๆ อย่างนั้น ผมที่เฝ้ามองอยู่ราวชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อไม่เห็นมีใครเข้ามาเพิ่มอีก และไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ผมจึงปีนลังลงมาเพื่อกลับไปที่รถ เพราะตอนนี้ผมเริ่มไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว

.........................................................................

   ต้วนเจียจงและจางซือหวูขับรถไปดักขบวนรถบรรทุกที่เสร็จงานจากโกดัง F23 ได้ทันบริเวณโกดังโซน K โดยมีจางหวูซือออกหน้าในการขอตรวจค้นรถ จนกระทั่งเจอเผิงฉินฉินแอบอยู่บนรถคันหนึ่ง

   “เอายังไงกับเด็กคนนี้ดี” ซือหวูถามเขาหน้านิ่ง

   “ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ หนูรับรองว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” ฉินฉินคุกเข่าลงอ้อนวอนให้พวกเขาปล่อยเธอไป

   “แล้วแต่นาย ฉันยกให้”

   ต้วนเจียจงมองตามจางซือหวูที่ลากเด็กหญิงไปยัดไว้ที่ท้ายรถ ก่อนใช้แค้มป์รัดสายไฟมัดมือมัดเท้า แล้วดึงเทปมาปิดปากเด็กไว้ เขาเห็นรอยข่วนหลายรอยที่เกิดจากเด็กคนนั้น แต่ซือหวูก็ยังคงหน้านิ่ง ไร้ความรู้สึกดังเดิม

   “หึ!! รีบไปกันเถอะ คืนนี้ท่าทางนายคงมีอีกหลายงานที่ต้องทำ”

   จางซือหวูไม่พูดอะไร เดินตรงไปขึ้นรถยังด้านคนขับ เพื่อรอให้เขาตามขึ้นไป เมื่อซือหวูขับรถเข้ามาทางด้านข้างของโกดัง สายตามก็พลันเห็นใครคนหนึ่งเข้า

   “นั่นใช่คนของนายไหม?” เขามองตามสายตาของจางซือหวู

   “ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อนนายขับผ่านเลย แล้วรีบตามคนคนนี้ไป ถ้าจำไม่ผิด มันเป็นนักข่าว”

   เขาจำชายคนที่รีบปีนลงมาจากลัง และพยายามหลบไปข้าง ๆ ลังนั้นได้ มันเป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นหวงกังโหซ้อมและจับยัดยาที่โรงแรมเมื่อครั้งก่อน เขาไม่คิดว่ามันจะตามสืบมาจนถึงที่โกดังนี้

   “นาย เจียจงให้ผมไปตามจับหนู” ซือหวูรายงานทันทีที่ก้าวลงจากรถ

   “มันเป็นใคร”

   “มันเป็นนักข่าวที่หวงกังโหซ้อมเมื่อคราวนั้น” เขาตอบผู้เป็นนาย

   “มันเห็นอะไรบ้าง?” ฉินหรุยกวงรีบถามอย่างระแวง

   “ซือหวู นายยังไม่ต้องไปจับหนูตัวนั้น วันนี้งานนายเยอะแล้ว ส่วนหนูตัวนั้น เจียจง นายไปสืบมาว่ามันได้อะไรไปบ้าง”

   “ครับนาย”

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะเจียจง เรื่องที่เหลือทางนี้ให้ซือหวูจัดการ ฉันไปก่อนนะหรุยกวง”

   เขาเดินตามเยียนจูเฟิงไปยังที่รถ ก่อนทำหน้าที่เปิดประตูให้ผู้เป็นนาย จากนั้นตนเองก็ก้าวไปนั่งในตำแหน่งคนขับแทนจางซือหวู ระหว่างขับรถออกไปทางด้านหน้าโกดัง เพียงแค่เสี้ยวนาทีที่เขามองยังกระจกมองหลัง ฉินหรุยกวงที่กำลังก้าวขึ้นรถของตนเองกลับต้องล้มฟุบไปด้วยฝีมือของจางซือหวู

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเลือกที่จะทิ้งจักรยานไว้ข้าง ๆ รถของหนานเฟ่ยซาน เขาเดาว่าเจ้าของรถน่าจะป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นี้ เมื่อมองจากถนนหลักเขาเห็นว่าบริเวณโกดังที่ F8 F14 F26 มีรถเข้าออกแสดงว่าน่าจะมีคนทำงานอยู่ หนานเฟ่ยซานจอดรถระหว่าง โกดัง F14 และ F26 ซึ่งเป็นตรงกลางพอดี เขาจึงเดาไม่ถูกว่าเจ้าของรถเดินไปทางไหน

   ระหว่างที่เขากำลังจะตัดสินใจอยู่นั้น สายตาเขามองไปเห็นรถคันหนึ่งวิ่งออกมาจากโกดัง F23 ซึ่งเป็นโกดังที่ไม่น่าจะมีใครมาทำงานในเวลานี้ ที่น่าสงสัยก็คือรถที่ขับออกมา เป็นรถ ROLLS ROYCE WRAITH สีดำทำให้เขาเลือกที่จะไปยังโกดังนั้นด้วยสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

   ระหว่างที่เดินไป เขาเห็นรถอีกคันขับตามออกมาแต่วิ่งตรงมาทางเขา ด้วยสัญชาตญาณเขาจึงหลบและหาที่กำบัง ซึ่งโชคดีที่ตรงนี้มีแพลตฟอร์มเหล็กตั้งกองกันอยู่หน้าโกดัง F22 และคงจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่อาศัยแพลตฟอร์มเหล็กเป็นที่ซ่อนตัว

   “หนานเฟ่ยซาน” คนที่ยืนหลบอยู่ก่อนหันมองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว

   “ดอกเตอร์” เจ้าของชื่อขานรับเสียงแผ่ว ก่อนที่จะทิ้งร่างรูดไปกับแพลตฟอร์ม

   เขารีบเข้าไปดูและจับชีพจรของคนที่ตอนนี้หมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าชีพจรของเฟ่ยซานเต้นเร็วมาก เขามองลอดช่องระหว่างแพลตฟอร์มออกไป เห็นว่ารถอีกคันขับเลยพวกเขาไปไกลแล้ว จึงแบกร่างที่หมดสติของหนานเฟ่ยซานขึ้นมา ทำให้กล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือของหนานเฟ่ยซานหล่นลงพื้น เลนส์หลุดออกมา ซึ่งเขาไม่ทันได้เห็นตั้งแต่แรก

   เขาได้แต่ส่ายหน้าเบื่อหน่าย นอกจากจะต้องมาช่วยคนที่ชอบรนหาที่แล้ว นี่เขาคงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับเจ้าของกล้องด้วยกระมัง

   เหมิ๋นหยวนฮ่างแบกร่างของหนานเฟ่ยซานมายังรถของเจ้าตัว คลำหากุญแจรถสักพักก็เจอ จึงเปิดรถและพาร่างไร้สติยัดไว้เบาะด้านหลัง ก่อนจะก้าวไปประจำที่นั่งคนขับ แล้วขับออกไป โดยไม่ลืมแวะที่ป้อมยามเพื่อบอกเรื่องจักรยานที่เขาทิ้งมันไว้ข้างโกดัง F20

.........................................................................

   ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมจึงลุกจากเตียงที่นุ่ม และดูเหมือนจะอุ่นสบายกว่าทุกวันทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น ผมก็ควานเปะปะเพื่อหาโทรศัพท์....

   ..

   .

   หัวเตียงที่เคยเป็นไม้ มีที่สำหรับวางของกลายเป็น...

   ..

   .

   ผมลืมตาและเงยหน้าขึ้นมองทันที หัวเตียงบุผ้ากำมะหยี่สีเทาเงินที่ทั้งนุ่มและลื่นปรากฏอยู่ในสายตา

   สติผมเริ่มจะกลับมาเข้าที่เข้าทางดังเดิม ทำให้ผมจำได้แล้วว่า ก่อนจะวูบหมดสติไปผมเจอเข้ากับดอกเตอร์โพลาไอซ์ ผมมองไปรอบ ๆ ตัวทันที นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ไม่ใช่เตียงของผม เสียงโทรศัพท์ที่ร้องอยู่นี่ก็ไม่ใช่ของผม โทรศัพท์ของผมถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียง พร้อมด้วยกุญแจรถ และกระเป๋าเงินอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง จนเสียงประตูห้องน้ำ เรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง

   ชายรูปร่างคุ้นตาเดินออกมา สายตาของผมสะดุดกับกล้ามหน้าท้องรูปวีเชฟที่มุดหายลงไปใต้ผ้าขนหนูที่พันรอบเอวสอบไว้อย่างเหมิ่นเหม่ หยดน้ำที่เกาะตามร่างตรงหน้าต้องกับแสงไฟในห้องเป็นประกายระยิบระยับจนผมตาพร่า จนต้องเงยหน้าเปลี่ยนไปมองใบหน้าที่ไร้กรอบแว่นเชย ๆ สีทองที่มักจะเห็นอยู่บ่อยครั้ง ทรงผมที่มักจะจัดทรงแข็งโป๊กราวกับก้อนหินเปียกน้ำลู่ลงไปกับศีรษะทุยดูไม่เป็นทรง

   “ดอกเตอร์” เสียงผมหายไปในลำคอ คนที่เดินออกมาจากห้องน้ำไม่สนใจจะหันมองมาทางผมเลย กลับเดินอ้อมไปยังโต๊ะหัวเตียงอีกด้าน เพื่อรับโทรศัพท์ที่ตั้งเสียงสายเข้า เสียงเดียวกับโทรศัพท์ของผม

   “อืม ฉันเอง... น่าจะมีอาการวูบร่วมด้วย... ยังไม่ได้ถาม...” ดอกเตอร์โพล่าไอซ์ที่ยืนหันหลังอวดกล้ามหลังให้ผมได้กลืนน้ำลายด้วยความอิจฉา เขาหันมามองทำให้ผมต้องหลบสายตาที่เผลอจ้องกล้ามสวยๆ นั่นนานไปหน่อย เมื่อมองที่มือของตัวเอง ที่ตอนนี้มันจิกอยู่บนผ้าห่ม? จนผมต้องรีบคลายมือออก “เพิ่งฟื้น... อืม ถ้ากระต่ายตัวนั้นมีอะไรผิดปกติ รีบโทรบอกผม”

   ภายในห้องเงียบลง ผมเข้าใจว่าดอกเตอร์คงวางสายไปแล้ว จากบทสนทนา ผมเดาว่าเรื่องที่คุยต้องมีผมไปเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน และก็ไม่พ้น เรื่องของน้ำตากิเลนอะไรนั่นอีกแน่ ผมที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็มีวัตถุหนึ่งวางลงตรงหน้าผม กล้องถ่ายรูปที่เลนส์ซูมหลุดออกมา ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่วางมัน

   “นายจะนั่งอยู่แบบนั้นอีกนานไหม” ดอกเตอร์ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะเพิ่งผ่านการเช็ดมาแบบไปปรานีหนังศีรษะ สวมแว่นกรอบทองดังเดิม เขาสวมเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวอวดหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม กับกางเกงลำลองสีฟ้าสบายตา “หนานเฟ่ยซาน” ดอกเตอร์เรียกสติผมอีกครั้ง ทำไมครั้งนี้การเรียกชื่อของผม มันถึงทำให้ใจกระตุกได้ขนาดนี้

   “เออ...”

   “เฮอ...นายจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม?” ผมพยักหน้ารับ “ก่อนนายหมดสติ นายมีอาการยังไงอีก”

   “ไม่มีแรง หน้ามืด” ผมตอบคำถามของอีกฝ่าย ทั้งที่ผมนึกว่า เขาจะถามว่าผมไปทำอะไรที่นั่นซะอีก

   “แล้วก่อนหน้านั้นละ”

   “ผมคงจะเหนื่อยเพราะแบกลังหลาย ๆ ใบ เลยทำให้หายใจไม่ทัน รู้สึกว่าใจเต้นเร็ว” ดอกเตอร์ยื่นแก้วน้ำให้กับผม ซึ่งผมก็รับไว้อย่างไม่อิดออด

   “นายต้องดื่มน้ำมาก ๆ ถ้าเป็นน้ำอุ่นได้ยิ่งดี”

   “คุณรู้ว่าผมเป็นอะไร?” ผมถามหลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่

   “น้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวนาย ทำให้เลือดของนายข้นกว่าคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป”

   “แล้ว?”

   “ภาวะเลือดข้น จะทำให้ร่างกายหมุนเวียนเลือดได้ไม่ดี ไม่แปลกที่นายจะหน้ามืด อ่อนเพลียง่าย แล้วก็หมดสติ”

   “ถ้าผมไปหาหมอ มันจะหายไหม?”

   “น้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวนาย คงไม่มีทางหายไปง่าย ๆ ยาที่หมอให้มาก็แค่บรรเทาอาการ”

   “...” อยู่ ๆ ผมก็เป็นโรคเนี่ยนะ ที่สำคัญ รักษาไม่หายอีกต่างหาก

   “หากหัวใจนายเต้นเร็วผิดปกติ นายก็ควรระวังอาการที่จะตามมา บางครั้งนายอาจจะมีอาการเวียนหัว ตาพร่าร่วมด้วย” ตอนที่ผมเห็นดอกเตอร์ออกมาจากห้องน้ำแล้วใจเต้นแรง ตาพร่า นี่คงเพราะอาการกำเริบสินะ

   “ที่คุณตามผมไปที่โกดัง เพราะน้ำตากิเลนในตัวผมอย่างนั้นเหรอ?”

   “เลือดของนายมันมีค่ามาก นายไม่รู้ตัวรึไง” ไม่รู้ว่าผมคาดหวังกับคำตอบแบบไหน แต่คำตอบนี้มันทำให้ผมหงุดหงิดชอบกล

   “ผมไม่ได้ไปเสี่ยงอันตรายสักหน่อย”

   “นายอาจจะไปเจออย่างคราวที่โรงแรมนั่นอีกก็ได้”

   “นั่นมันบังเอิญต่างหาก ผมคงไม่ซวยไปเจออะไรแบบนั้นอีกหรอกน่า”

   “แล้วคราวนี้ละ”

   “ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรนี่ ผมก็ปลอดภัยกลับมา”

   “ถ้าฉันไม่ช่วย”

   “เออ ขอบคุณ” ทำไมยิ่งเถียง ผมก็ยิ่งเหมือนกับเป็นฝ่ายผิด

   “ตอนนี้นายควรจะระวังตัวให้มากกว่าเดิม เพราะนายไม่ปกติ”

   “ที่ผมผิดปกตินั่นเพราะคุณต่างหาก” ผมเริ่มทนไม่ไหว ถึงได้พาล อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของคนตรงหน้านี่แหละ ถ้าไม่พกไอ้น้ำตากิเลนนั่นติดตัวในวันนั้น ถ้าเขาไม่ชนกับผม ผมก็คงไม่ต้องกินมันเข้าไป และผมก็คงจะไม่ต้องเป็นตัวประหลาดแบบนี้

   ดอกเตอร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาผมจึงลุกขึ้นจากเตียง หวังจะไปให้พ้น ๆ หน้าดอกเตอร์โพล่าไอซ์นี่ แต่แค่ผมก้าวขาลงจากเตียง ขาผมก็ไร้เรี่ยวแรง ทรุดลงไปกองกับพื้น พอพยุงตัวเองจะลุกขึ้น กลับหน้ามืดเข้าไปอีก

   “นายยังอ่อนเพลียอยู่ คราวหน้าอย่ารีบลุกแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจะหน้ามืดเอาได้” เออ...ไม่ต้องบอกก็รู้ไหม แล้วมันจะยังมีคราวหน้าอีกเหรอ

   ผมพยายามจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันสำเร็จร่างกายผมก็ลอยหวือขึ้นมา จนทำให้จากอาการหน้ามืดแปรเปลี่ยนเป็นเวียนหัวแทน ดอกเตอร์มันจะฆ่าผมหรือยังไง เล่นอุ้มขึ้นมาเร็ว ๆ แบบนี้ ตอนนี้ผมได้แต่คอพับคออ่อน หลับตาซบลงบนซอกคอของคนที่อุ้มผมอยู่ ก่อนถูกวางลงบนเตียงดูดวิญญาณอีกครั้ง ที่ต้องเรียกมันแบบนี้เพราะวิญญาณของผมก็ถูกมันดูดออกจากร่างไปพร้อม ๆ กับสติที่ค่อย ๆ เลือนหายไป...

.........................................................................

   ผานกู่ค่อนข้างแปลกใจที่หนานเฟ่ยซานหายไปไม่ติดต่อเขาเป็นวัน ๆ อย่างนี้ เมื่อวานหลังจากที่เขาเอาโจ๊กไปให้ที่คอนโด เฟ่ยซานก็ไม่ได้ติดต่อเข้ามาอีกเลย เช้านี้โทรเข้าไปก็ไม่มีคนรับ เขาจึงเดาว่าเจ้าตัวอาจจะลืมทิ้งไว้ที่ห้อง จึงโทรเข้าไปที่สำนักพิมพ์ แต่ปรากฏว่า เฟ่ยซานก็ยังไม่ได้เข้าไปทำงาน

   เขาเดินตรงเข้ามาหาจู้ชุนที่โต๊ะ หลังจากประชุมกับหัวหน้าเรื่องคดีฆ่ารัดคอ เมื่อมาถึงก็เห็นตู้เห่ายืนคุยอยู่กับจู้ชุน

   “นั่นไง มาโน่นแล้ว” ตู้เห่ามองมาทางเขา

   “อาชุน คนของนายรายงานมารึยัง ว่าเฟ่ยซานอยู่ที่ไหน”

   “จะมีใครมาถามอีกไหม ฉันจะได้ตอบครั้งเดียว” จู้ชุนบ่นไม่จริงจังนัก

   “หมายความว่าไง?”

   “ไม่มีอะไรหรอกพี่กู่ ผมก็มาถามหาเฟ่ยซานเหมือนกัน”

   “ทำไม?”

   “พี่ไม่ต้องกังวลไป พอดีวันนี้ผมนัดกับเฟ่ยซานเอาไว้ ว่าจะไปหาเบาะแสในคดีคนหาย แต่จนป่านนี้เฟ่ยซานก็ยังไม่มา โทรไปก็ไม่มีคนรับสาย”

   “ปกติเฟ่ยซานไม่ใช่คนที่จะผิดเวลา ยิ่งเป็นเรื่องคดีด้วยแล้ว นักข่าวอย่างเฟ่ยซานไม่มีทางพลาดเด็ดขาด”

   “ผมรู้ ผมกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับเฟ่ยซานเลยมาถามอาชุนนี่แหละ”

   “ว่าไงอาชุน ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟ่ยซานรึเปล่า”

   “เมื่อคืนนี้คนของผมรายงานมาว่า เฟ่ยซานไปซุ่มดูโกดังแถวท่าเรือที่ 5 ส่วนเช้านี้ยังไม่มีรายงานอะไรเข้ามา”

   “ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเฟ่ยซานปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้” ตู้เห่าออกความเห็น

   “โกดังนั่นเกี่ยวกับคดีไหน” เขาถามออกมาอย่างสงสัย เพราะตอนนี้เฟ่ยซานตามแต่คดีฆ่ารัดคอ แล้วอีกคดีที่เขาเพิ่งรู้ก็คือคดีคนหาย

   “น่าจะเป็นคดีคนหาย เฟ่ยซานไปเจอสมุดทำมือแบบเดียวกันกับของลุงเว่ย”

   “แค่คดีคนหาย ไม่น่าจะต้องไปซุ่มดูตอนดึก”

   “หรือว่าเฟ่ยซานไปเจออะไรเข้า”

   “แบบนี้คงจะไม่ใช่คดีคนหายธรรมดาซะแล้ว” จู้ชุนที่ฟังเขาและตู้เห่าคุยกันออกความเห็น

   “ถ้าคนของนายรายงานอะไรเพิ่มเติมเข้ามา บอกฉันด้วย”

   “ครับพี่กู่”

   “ถ้าจะให้ดี ฝากคนของนายบอกเฟ่ยซานด้วย ว่าฉันรออยู่” ตู้เห่าพูดก่อนเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง

   “แล้วพี่กู่ละ จะให้คนของผมบอกอะไรเฟ่ยซานไหม”

   “ไม่ต้อง”

   “อย่างเช่น พี่เป็นห่วง อะไรทำนองนี้”

   “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง” เขาพูดย้ำจริงจัง ก่อนเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานของตนเอง

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 19 ---ll--- 15-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-04-2019 09:02:32
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 20 ---ll--- 22-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-04-2019 13:25:28
20







   ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พยายามควานมือเปะปะเหนือศีรษะเพื่อหาโทรศัพท์.... แต่ปลายนิ้วที่สัมผัส หัวเตียงบุผ้ากำมะหยี่ทำให้ผมลืมตาขึ้นมา ผมไม่ได้ฝัน ผมอยู่ในบ้านของดอกเตอร์โพล่าไอซ์จริง ๆ สิ่งแรกที่ผมหันมองคือประตูห้องน้ำ

   “ตื่นแล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงของคนที่ผมคิดว่าจะเดินออกมาจากห้องน้ำกลับมาอยู่อีกด้านซึ่งเป็นประตูทางเข้าห้อง ดอกเตอร์ยังอยู่ในชุดเดิมยืนพิงกรอบประตูอยู่

   “เออ...” ผมที่เพิ่งตั้งสติได้ ยังไม่ทันได้เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ เสียงเรียกเข้าก็เงียบลงซะก่อน

   “น้ำก็อยู่ข้าง ๆ ของของนาย ดื่มแล้วจะได้มีเสียง” ดอกเตอร์พูดพร้อมกับหันหลัง จะเดินออกจากห้องไป “แล้วนั่งแบบนั้นสักพัก ให้ร่างกายได้ปรับตัวก่อน ไม่อย่างนั้นจะวูบเหมือนเมื่อเช้าอีก”

   ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินออกจากห้องไป มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกุมหน้าอกตัวเอง ที่ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นถี่ไม่ต่างจากเมื่อเช้า จนอาการสงบลงจึงได้เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ ที่หน้าจอปรากฏมิสคอลหลายสาย วันนี้ผมนัดพี่เห่าไว้ แต่ดูจากเวลาแล้ว คงไม่ได้ไปตามนัดซะแล้ว

   “ยังลุกไม่ไหวอีกเหรอ?” ผมสะดุ้งเพราะเสียงของดอกเตอร์ที่ดังขึ้นมาทำลายความเงียบภายในห้อง

   “ปะ...เปล่า”

   “ไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะยกโจ๊กมาให้” ดอกเตอร์พูดเสร็จ ไม่รอให้ผมได้ตอบ ก็เดินออกจากห้องไป และไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมถาดในมือ

   “ผมออกไปทานข้างนอกก็ได้” ดอกเตอร์ไม่ตอบแต่กลับหันไปมองขวดน้ำที่วางอยู่ข้าง ๆ ข้าวของของผม หลังจากวางถาดที่มีถ้วยโจ๊กและน้ำส้มอีกแก้วไว้ข้าง ๆ ผม

   “นายควรจะดื่มน้ำเยอะ ๆ”

   “ผมไม่หิว” ไม่ทันขาดคำ เสียงกระเพาะในท้องของผมก็ร้องประท้วงขึ้นมา “ผมหมายถึงผมไม่ได้กระหายน้ำ”

   “ตอนนี้นายก็ทานโจ๊กนี่ไปก่อน ไม่พอก็เติมได้ ในครัวยังมีอีก ฉันทำไว้เยอะ”

   “ดอกเตอร์ทำเอง?” ผมมองโจ๊กหน้าตาหน้าทานตรงหน้า จนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นฝีมือดอกเตอร์โพลาไอซ์

   “รีบๆ กินไปเถอะ จะได้มีแรง เดี๋ยวฉันไปส่ง”

   “ที่นี่... โรงแรมฝู่?” ผมหันไปมองวิวรอบ ๆ ตัว แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่

   “บ้านลุงของฉันเอง”

   “ลุง? คุณฝู่”

   “แล้วนายจะตกใจทำไม ลุงของฉันเขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกน่า”

   นั่นสิ ผมจะตกใจทำไมกัน ผมเลิกคิดเลิกใส่ใจแล้วก็กินโจ๊กตรงหน้า ซึ่งมันหมดในเวลาอันรวดเร็วจนผมแอบเสียดายนิด ๆ ที่มันหมดไวเกินไป

   “จะเอาเพิ่มไหม” ผมพยักหน้า ดอกเตอร์จึงยกถ้วยโจ๊กไปตักเพิ่มให้ ผมที่ดื่มน้ำส้มจนหมดจึงลุกขึ้น ถือถาดเดินตามดอกเตอร์ออกไป

   “ขอบคุณ” ผมพูดหลังจากวางถาดลงบนโต๊ะอาหาร

   “นั่งก่อนสิ เดี๋ยวฉันยกไปให้”

   “ผมนึกว่าดอกเตอร์พักอยู่ที่โรงแรมซะอีก”

   “ที่นั่นมันวุ่นวาย ฉันไม่ชอบ”

   “แสดงว่า ที่เขาลือกันว่าชั้นบนสุดเป็นเพนเฮ้าส์นั่นก็เรื่องจริงนะสิ”

   “นายจะถามเพื่อไปเขียนข่าวหรือยังไง”

   “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมก็แค่ได้ยินเขาลือต่อๆ กันมาเท่านั้น”

   “เรื่องนี้ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่”

   “คุณเป็นคนยังไงกันแน่ ดอกเตอร์” ไม่รู้อะไรทำให้ผมหลุดปากถามออกไปแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะผมสับสนกับท่าทีที่เหมือนจะอ่อนโยน แต่คำพูดกลับเย็นชา ภายใต้ใบหน้านิ่ง ๆ

   ดอกเตอร์เอาถ้วยโจ๊กมาวางตรงหน้า เขาจ้องหน้าผม ผมมองเข้าไปในดวงตาภายใต้กรอบแว่นเชย ๆ นั่น ต่างคนต่างเงียบ นานเท่าไรไม่รู้จนผมเห็นดอกเตอร์ขมวดคิ้ว

   “นายเป็นอะไร อาการกำเริบหรือไง?” ดอกเตอร์ถามผมพร้อมกับเดินไปที่เครื่องกดน้ำ จากนั้นก็ยื่นแก้วน้ำอุ่นให้ผม “เฟ่ยซาน”

   ผมสะดุ้งกับเสียงของดอกเตอร์ที่เรียกชื่อของผม มารู้ตัวอีกที มือทั้งสองข้างของผมมันดันวางอยู่บนอกของผมเอง หัวใจของผมเต้นแรงตั้งแต่เมื่อไร นี่สินะ สาเหตุที่ดอกเตอร์ถึงเดินไปกดน้ำให้ผม ผมคงจะอาการกำเริบแบบไม่รู้ตัว

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างขับรถของหนานเฟ่ยซานมาส่งเจ้าตัวถึงคอนโด ตั้งแต่ที่คนข้างๆ อาการกำเริบครั้งล่าสุด เจ้าตัวก็ได้แต่นั่งเงียบมาตลอดเวลา จนกระทั่งถึงคอนโด สายตาที่บางทีก็ดูเลื่อนลอย บางครั้งก็เหมือนมีเรื่องให้คิด ซึ่งเขาคาดว่าเฟ่ยซานคงกังวลกับผมข้างเคียงที่มาจากน้ำตากิเลน

   “เรื่องเลนส์กล้องที่แตก นายก็คิดค่าเสียหายมาก็แล้วกัน ฉันจะชดใช้ให้”

   “หา!! อะไรนะ”

   “ฉันพูดถึงเรื่องเลนส์กล้อง” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานหน้าแดงขึ้นมา คงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ถึงได้โกรธหน้าดำหน้าแดงแบบนี้

   “อ่อ เออ ไม่เป็นไร...ถือซะว่าหายกันกับที่คุณช่วยผมเอาไว้”

   “ข่าวที่ได้คงจะมีค่าพอกับเลนส์กล้องเลยซินะ”

   “เออ...ก็ยังไม่รู้หรอก”

   “นายหาข่าวเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ถึงได้ไปที่โกดังนั่นทุกคืน รู้ไหมว่ามันไปก่อกวนลูกค้าของฉัน”

   “เออ...ผมก็แค่หาคน”

   “หาคน เลยไปหาที่โกดังนั่นอะนะ”

   “แล้วไปเจอเรื่องน่าสงสัยเข้า”

   “น่าสงสัยยังไง”

   “ยังไม่รู้ ผมยังตอบคุณไม่ได้ คุยอย่าเพิ่งซักอะไรผมตอนนี้ไปไหม?”

   “แสดงว่านายจะไปที่โกดังนั่นอีกสินะ”

   “ก็...ใช่”

   “เฮ้อ...เอาเป็นว่า ถ้าจะไปนายก็โทรบอกฉันหน่อยแล้วกัน”

   “โทรทำไม”

   “ก็ฉันจะไปด้วยไง”

   “ไปทำไม มีคุณตามไปด้วย ผมไม่ยิ่งทำงานลำบากเหรอ?” หนานเฟ่ยซานหันขวับมาทางเขา

   “ฉันช่วยนายมา 2 ครั้งแล้ว”

   “นั่นมัน...” คนข้าง ๆ ไม่พูดต่อ ได้แต่เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง จนเขาขับมาถึงคอนโดที่หนานเฟ่ยซานพักอยู่

   “แล้วคุณจะกลับยังไง”

   “เรียกรถกลับ”

   “ขอบคุณ” หนานเฟ่ยซานลงจากรถ เขาเองก็ลงตามก่อนส่งกุญแจรถคืนเจ้าของ

   “เฟ่ยซาน” เสียงเรียกชื่อของหนานเฟ่ยซาน ทำให้เขาหันไปมอง

   “พี่กู่” เจ้าของเสียงรีบเดินออกมาจากหน้าตึก เพื่อตรงมาหาหนานเฟ่ยซาน

   “ไปไหนมา ทำไมไม่รับสาย แล้วนี่มาด้วยกันกับดอกเตอร์ได้ยังไง”

   “ผมไปที่โกดังมา ดอกเตอร์ไปกับผมด้วย”

   “ไปสืบคดีคนหายอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมต้องไปกวนดอกเตอร์” น้ำเสียงของผานกู่ติดจะไม่พอใจนิด ๆ

   “ยังไงที่นั่นก็เป็นกิจการในเครือเยี่ยนหวอ การที่ผมให้ความร่วมมือกับนักข่าวก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร” เขาตอบกลาง ๆ เพราะดูเหมือนเฟ่ยซานคงไม่อยากพูดถึงอาการของตัวเอง

   “เออ ขอบคุณดอกเตอร์ที่ให้ความร่วมมือ และขอบคุณที่มาส่ง ผมกับพี่กู่ขอตัวไปปรึกษากันเรื่องคดีก่อนนะครับ” หนานเฟ่ยซานพูดจบก็ดึงผานกู่ตรงไปยังทางเข้าคอนโด เขาเห็นว่าหนานเฟ่ยซานน่าจะไม่เป็นอะไรมาแล้วจึงโทรเรียกรถของโรงแรมมารับ

.........................................................................

   ผานกู่ติดต่อหนานเฟ่ยซานไม่ได้ทั้งวัน โทรไปก็ไม่รับสาย และดูทีท่าว่าจะไม่โทรกลับอีกต่างหาก พอเขาไปตามจู้ชุนก็ไม่ได้ความอะไร รู้เพียงแค่เฟ่ยซานไปโกดังของเยี่ยหวอแถว ๆ ท่าเรือ เมื่อเสร็จงาน เขาจึงมาหาหนานเฟ่ยซานที่คอนโด แต่เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมาสักที กำลังจะไปตามที่โกดัง ก็เห็นรถของเฟยซานเข้ามาจอดในลานจอดด้านหน้าซะก่อน

   เขาเห็นเฟ่ยซานลงมาจากรถที่เหมิ๋นหยวนฮ่างเป็นคนขับรถให้ มาส่งถึงที่คอนโด คนที่มีชื่อเสียงระดับดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างยอมลดตัวมาขับ Suzuki Alto เพื่อมาส่งนักข่าวธรรมดา ๆ อย่างหนานเฟ่ยซาน มันเริ่มทำให้เขาระแวง ไหนจะคำพูดของเหยินหยางผิงกับชิวกัมหงที่โรงพยาบาลนั่นอีก

   “ดูเราก็ไม่ค่อยจะสนิทกับเหมิ๋นหยวนฮ่างเท่าไรนี่ แล้วทำไมถึงไปขอความช่วยเหลือเขาได้” ผานกู่ถามหนานเฟ่ยซานทันทีที่ปิดประตูห้องลง

   “มันบังเอิญนะ เขาอยู่แถว ๆ นั้นพอดี”

   “แล้วได้เรื่องอะไรไหมล่ะ”

   “เรื่องคนหายไม่ได้เรื่องอะไร แต่ผมเจอฉินหรุยกวงเมื่อคืน อยู่กับใครก็ไม่รู้”

   “ฉินหรุยกวง?”

   “ใช่ เดี๋ยวผมโหลดรูปลงคอมก่อน” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานเดินไปดื่มน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน

   “เราคงจะเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถอะ พี่แค่เป็นห่วง เอาไว้พรุ่งนี้นายเสร็จงาน คอยไปที่สถานีก็ได้”

   “พี่จะกลับแล้วเหรอ”

   “อืม เห็นเราไม่เป็นอะไร ก็หายห่วงแล้ว เล่นไม่รับสาย ไม่โทรกลับ พี่ร้อนใจจนต้องตามมาหาที่คอนโด”

   “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง พอดีมันมีเรื่อง เลยไม่สะดวกรับ แล้วก็ลืมโทรกลับด้วย”

   “คงได้เรื่องมาเยอะเลยสิ ถึงได้ลืมพี่”

   “ใช่ โกดังที่ผมไปเจอ เป็นของบริษัท วิงเฮงยิม 2 ปีนี้เปลี่ยนเจ้าของมา 7-8 คนแล้ว แต่ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของนะ คนที่นำเข้าอะไหล่แท็กซี่ให้ก็ยังเป็นฉินหรุยกวง”

   “อืม... น่าสงสัยจริง ๆ”

   “คืนก่อน โกดังนี้มีการขนของออกไปไว้อีกโกดังหนึ่ง เป็นของต้วนเจียจง ไฮโซบ้าของเล่น”

   “นายไปตอนกลางคืน แล้วก็ไปมาหลายครั้งแล้ว?”

   “ก็...เอาน่าพี่กู่ เรื่องที่ผมได้มามันไม่น่าสงสัยรึยังไงล่ะ?”

   “อืม น่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ แล้วเขาขนอะไรกันบ้าง เราเห็นรึเปล่า?”

   “ผมไม่ได้เข้าด้านใน มีแต่รูปถ่ายด้านนอก และเห็นคนเข้าออกเยอะมาก พอเมื่อคืนโกดังนั่นกลับโล่ง ไม่เหลืออะไรเลย”

   “เหมือนฉินหรุยกวงต้องการทำลายหลักฐาน นายก็เลยไปขอความช่วยเหลือกับเหมิ๋นหยวนฮ่างอย่างนั้นสิ แล้วได้เรื่องอะไรไหมล่ะ?”

   “ก็อย่างที่บอก ว่าคนที่ผมเห็น ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”

   “อืม นายพักผ่อนเถอะ พี่จะกลับไปที่สถานีแล้ว”

   “ผมขอโทษอีกทีนะพี่กู่ แล้วก็พี่เห่าด้วยอีกคน”

   “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าอย่างน้อยส่งข้อความบอกกันหน่อยก็ยังดี”

   “ครับ”

   เขาที่กำลังจะก้าวออกจากห้องของหนานเฟ่ยซาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ว่าไงหยางผิง...เจอแล้วเพิ่งกลับมาจากโกดัง...ว่าไงนะ...เมื่อไร...ได้ เดี๋ยวฉันจะไปเดียวนี้”

   “พี่กู่ มีคดีเหรอ”

   “อืม”

   “คดีไหน คดีฆ่ารัดคอรึเปล่า”

   “ไม่ใช่หรอก คดีใหม่นะ เดี๋ยวพี่รีบไปที่เกิดเหตุก่อน นายเองก็รีบโหลดรูปที่โกดังออกมาละ แล้วพรุ่งนี้ก็เข้าไปที่สถานีด้วย จะได้ช่วยกันดู”

   “ครับ”

   เขาเลี่ยงที่จะบอกความจริงกับหนานเฟ่ยซาน เพราะถ้าหากเฟ่ยซานรู้ว่าศพที่เจออยู่ที่ทะเลสาบนัมกวงเป็นศพของฉินหรุยกวง ด้วยนิสัยแล้วคงต้องตื๊อจะตามเขาไปให้ได้แน่ ๆ

.........................................................................

   เหยินหยางผิงมาที่สวนนัมกวงกับเหมี่ยนจื่ออู่ เนื่องจากได้รับรายงานว่าพบศพชายสองคนถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ กัน ศพหนึ่งอยู่ในทะเลสาบ ส่วนอีกศพถูกพบอยู่ในสวนริมทะเลสาบ

   ศพชายคนแรกที่ถูกพบโดยหญิงคนหนึ่งที่มาออกกำลังกายที่สวนนัมกวงเป็นประจำ และจุดที่เธอพบศพเป็นจุดที่เธอมักจะมานั่งรับลมเพื่อพักเหนื่อย เธอจึงโทรแจ้งตำรวจ และเมื่อทางตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบร่องรอยเลือดหยดเป็นทางมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ ซึ่งก็นำไปเจอศพของฉินหรุยกวง

   “ฉันตรวจสอบแล้วนะ ศพแรก นายจื่อหรง ทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง เคยมีคดีชิงทรัพย์ 2-3 คดี เคยติดคุกมาแล้วหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเพิ่งถูกปล่อยตัวมาเมื่อ 2 ปีก่อน” จื่ออู่สรุปข้อมูลที่ได้จากศพแรก

   “นายว่าฉินหรุยกวงมาทำอะไรที่นี่?”

   “คนอย่างฉินหรุยกวงไม่น่าจะมาเดินแถวนี้ น่าจะนับพบใครมากกว่า”

   “ฉันว่ามันบังเอิญเกินไป ที่ฉินหรุยกวงจะมาที่นี่ พอดีกับที่จื่อหรงมาปล้น”

   “ดูจากศพทั้งสอง ก็เป็นไปได้ว่าคงจะมีเรื่องกันรุนแรง”

   “ถ้าฉันกับพี่กู่ไม่ไปเจอช่องเก็บของลับนั่น ฉันคงคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่นี่ฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันเป็นการจัดฉาก เพื่อฆ่าปิดปากฉินหรุยกวงมากกว่า”

   “แล้วศพของจื่อหรงละ นายจะว่ายังไง”

   “ฉันก็ยังคิดไม่ออก ว่าจื่อหรงมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย”

   “ปมทุกอย่างชี้มาที่ฉินหรุยกวงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีเมื่อ 5 ปีก่อน คดีรถบัสระเบิด แล้วไหนจะบัญชีไหว่ยี่อีก เหมือนกับคนที่ชื่อไหว่ยี่ต้องการจะฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้เราสืบต่อได้”

   “ไอ้ไหว่ยี่นี่มันเป็นใครกันแน่”

   “อาชุนกำลังสืบอยู่นี่ หวังว่าอีกไม่นานจะได้เรื่องอะไรบ้าง”

   “นายนี่พูดดี ๆ ก็เป็นนี่”

   “แล้วฉันพูดไม่ดีตรงไหน มีแต่นายแหละที่คอยจะหาเรื่องฉัน”

   “ฉันเนี่ยนะ ฉันพูดไม่ดีตรงไหน มีแต่นายแหละตั้งท่ารังเกียจ เหมือนไม่อยากทำงานร่วมกับฉัน”

   “ก็นายมันกวนประสาท พูดเป็นเล่นไปเรื่อย”

   “แล้วเมื่อกี้นี้ฉันพูดเป็นเล่นหรือไง?”

   “ก็เปล่า”

   “ฉันไหม เป็นนายนั่นแหละจื่ออู่ ที่จ้องจับผิดฉัน หรือว่านายสนใจฉัน”

   “เพ้อเจ้อ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดจบก็เดินหนีเขาไป ทางอื่น เขามองตามเห็นคนตัวเล็กเดินไปสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาเบาะแสหรือหลักฐานเพิ่มเติม

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 21 ---ll--- 29-04-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 29-04-2019 21:19:00
21







   ตู้เห่าได้ยินจากเหยินหยางผิง ว่าหนานเฟ่ยเหลอหลาไปเห็นฉินหรุยกวงอยู่กับใครบางคนที่โกดังแถวท่าเรือ ก่อนที่ชายคนนั้นจะถูกพบเป็นศพลอยในทะเลสาบนัมกวงในวันถัดมา เขาเลยได้แต่ทอดถอนหายใจ เพราะคาดหวังว่าคดีคนหายที่เฟ่ยซานช่วยหาเบาะแสอยู่ในขณะนี้จะสามารถคลี่คลายได้เร็วขึ้น พอได้ยินแบบนี้ ข่าวฉินหรุยกวงน่าจะดึงความสนใจจากนักข่าวหนุ่มไปหมดเป็นแน่

   “พี่เห่า เป็นอะไร หน้าเครียดแต่เช้าเลย”

   “ก็คดีคนหายนะสิ ไม่คืบหน้าเอาซะเลย” เขาตอบจู้ชุนที่เดินมานั่งโต๊ะข้าง ๆ “แล้วนายละ เจอไหม คนที่ชื่อไหว่ยี่”

   “ไม่มีคนชื่อแซ่นี้ในฐานข้อมูลประชากรเลย น่าจะเป็นนามแฝงหรือฉายาอะไรแบบนั้นมากกว่า”

   “อืม...”

   “นายก็ลองเช็กไปทางสายของนายดูสิ เผื่อจะเจอ”

   “ผมให้คนพวกนั้นเช็กอยู่ แต่ยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไร แล้วพี่ละ มีคนหายอีกละสิ”

   “ใช่ คราวนี้เป็นเด็กอีกแล้ว พ่อแม่เพิ่งจะมาแจ้งความเอาป่านนี้ เห็นบอกว่าลูกชายไปเข้าค่าย ตามกำหนดต้องกลับบ้านเมื่อวานเย็น พอไม่กลับมาเลยสอบถามไปทางโรงเรียน ถึงได้รู้ว่าหายตัวไปตั้งแต่วันที่จะไปเข้าค่าย ทางโรงเรียนเองก็เข้าใจว่าพ่อแม่ยกเลิก ไม่ให้ไปค่าย”

   “ช่วงนี้เด็กหายเยอะนะพี่”

   “นั่นนะสิ ฉันเริ่มคิดแล้วว่าเป็นพวกค้ามนุษย์รึเปล่า หายไปแต่เด็กกับผู้หญิง”

   “พี่เห่า พี่ชุน”

   “อ่าว เฟ่ยซาน มาเรื่องคดีอะไรละวันนี้” จู้ชุนทักคนที่เดินมาหาพวกเขาที่โต๊ะ

   “ผมแวะมาหาพี่เห่าก่อนนะ เออ...พี่เห่า เมื่อวานผมขอโทษนะ ที่ผิดนัดกับพี่”

   “ไม่เป็นไร ฉันไม่แปลกใจหรอก ถ้านายจะไปเจอคดีที่น่าสนใจกว่า”

   “พี่รู้เรื่องที่ผมไปเจออะไรมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

   “ก็ไม่มากหรอก ได้ยินหยางผิงพูด ๆ อยู่นะ”

   “ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไปตามหาเบาะแสของเว่ยฟาน แต่ดันไปเจอโกดังที่น่าสงสัยเข้า”

   “แล้วโกดังนั่นมันเกี่ยวกับคนหายไหมล่ะ?” จู้ชุนถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

   “ไม่แน่ใจ แต่ผมว่าอาจจะเป็นไปได้นะ เพราะโกดังนั่น อยู่ ๆ ก็เกณฑ์คนมาขนของออกทั้งวันทั้งคืน จนเหลือแต่โกดังเปล่า ๆ แถมคนที่รับผิดชอบนำเข้าสินค้าให้กับโกดังนี้ก็เป็นฉินหรุยกวงอีกต่างหาก”

   “นายเลยบังเอิญไปเจอฉินหรุยกวงเข้าสินะ”

   “ใช่ ผมเห็นรถตามเข้าไปอีก 2 คันนะ แต่ไม่เห็นคนข้างใน ยังเสียดายอยู่เลยที่ถ่ายรูปไม่ทัน”

   “อืม งั้นนายก็ไปทำงานของนายเถอะ เรื่องคดีคนหายพักไว้ก่อนก็ได้”

   “นั่น เด็กหายอีกแล้วเหรอพี่” เฟ่ยซานที่ลุกขึ้น เหมือนจะออกไปทำงานของตน กลับชะงักเมื่อเห็นรูปเด็กในมือของเขา

   “อืม พ่อแม่เพิ่งมาแจ้งความเมื่อวาน ลูกหายไปเป็นอาทิตย์ เพิ่งจะรู้ตัว”

   “ผมขอดูรูปเด็กคนนั้นหน่อยได้ไหมพี่” ถึงเขาจะแปลกใจแต่ก็ส่งรูปให้ตามคำขอ หนานเฟ่ยซานจ้องรูปนั้นจนคิ้วขมวดเป็นปม

   “เฟ่ยซาน นายเป็นอะไรรึเปล่า” จู้ชุนลุกจากโต๊ะ เดินไปกดน้ำที่เครื่อง แล้วส่งให้เฟ่ยซาน

   “อะ ขอบคุณพี่ชุน” เฟ่ยซานรับน้ำไปดื่ม ก่อนจะส่งรูปใบนั้นคืน “เด็กคนนี้หน้าตาคุ้นมาก เหมือนผมเพิ่งเจอที่โกดังคืนวันก่อน”

   “แถว ๆ ที่นายเจอสมุดเว่ยฟานอย่างนั้นเหรอ”

   “ใช่พี่ อาจจะเจอเมื่อคืนก่อน เพราะโกดังที่ผมสงสัย มีรถเข้า ๆ ออก ๆ แล้วก็มีทั้งคนขนของ คนงานทำความสะอาด แล้วก็แรงงานอื่น ๆ อีกหลายชุด”

   “นายคุ้นหน้าใครอีกไหม?” เขาถามพร้อมกับส่งรูปเด็กที่หายให้เฟ่ยซานดู

   “ที่นั่นมีแต่คนงานผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย” เฟ่ยซานเปิดดูรูปไปเรื่อย ๆ

   “ถ้าฉันจะขอรูปที่นายถ่ายไว้ละ”

   “พี่ก็มาดูพร้อมกันสิ นี่ผมโหลดรูปมาแล้วนะ ว่าจะไปดูกับจื่ออู่ที่ห้องประชุม”

   “อืม งั้นเดี๋ยวฉันตามไป ขอรวบรูปแฟ้มคดีก่อน มีแต่ผู้ชายสินะ”

   “อืม”

   “ให้ผมไปช่วยไหมพี่เห่า” จู้ชุนอาสาช่วยอีกแรง “ยังไงก็ต้องรอข้อมูลเกี่ยวกับไหว่ยี่อยู่แล้ว”

   “เอาสิ ช่วยกันดูหลาย ๆ คน”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็ดูรูปของคืนวานก่อนก็แล้วกัน เรื่องฉินหรุยกวงค่อยสืบต่อหลังจากนี้”

   “ขอบใจนายมานะเฟ่ยซาน”

   “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวเจอกันที่ห้องประชุมนะ” เฟ่ยซานเดินไปยังห้องประชุมเล็กทีเหมี่ยนจืออู่เตรียมไว้ เขากับจู้ชุนรวบรวมแฟ้มคดีคนหาย โดยคัดมาเฉพาะเด็กผู้ชาย แล้วตามเข้าห้องประชุมไป

.........................................................................

   ผานกู่กับเหมี่ยนจืออู่นั่งอ่านรายงานชันสูตรพลิกศพของฉินหรุยกวงอยู่ในห้อง รอให้หนานเฟ่ยซานแวะไปหาตู้เห่าเพื่อขอโทษเรื่องเมื่อวานนี้

   “จากรายงานนี้ ดูเหมือนว่า ทั้งฉินหรุยกวงและจื่อหรงดูเหมือนมีการต่อสู้กันพอสมควร”

   “อืม สงสัยจื่อหรงคงจะตั้งใจปล้นจี้ฉินหรุยกวงจริง ๆ”

   “เสียดาย ที่เราไม่รู้ว่าฉินหรุยกวงไปพบใครที่สวนนัมกวง”

   “ถ้าได้ดูรูปของเฟ่ยซานอาจจะรู้ก็ได้” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนที่พูดถึงก็เปิดประตูเข้ามา

   “พี่กู่!! ผมก็ว่าอยู่ ว่าพี่หายไปไหน ที่แท้มานั่งรอกับจื่ออู่อยู่ที่นี่เอง”

   “ก็ว่าจะมาช่วยดูรูปนั่นแหละ เราละ มีอะไรรึเปล่า”

   “พอดีผมเห็นเด็กที่หายไป หน้าตาคล้าย ๆ กับคนที่ผมเจอที่โกดังเมื่อคืนก่อน พี่เห่าเลยจะเข้ามาขอดูรูปด้วย เพราะยังไงแถว ๆ นั้นก็เป็นที่ที่ผมเจอสมุดทำมือของเว่ยฟาน”

   “นายจะบอกว่า คดีของฉินหรุยกวงกับคดีคนหาย อาจจะเกี่ยวข้องกัน” จืออู่ถามขณะเดินไปรับแฟลชไดซ์จากเฟ่ยซาน

   “ก็แค่สงสัยนะ เลยว่าจะดูรูปการขนย้ายของจากโกดังก่อน พี่กู่จะว่ายังไง”

   “ไม่มีปัญหา เพราะยังไง ไม่ว่าจะเจออะไรที่โกดังนั้น เราก็คาดการณ์ได้ ว่าเรื่องนี้ฉินหรุยกวงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน”

   “เริ่มจากไฟล์ไหนก่อนละเฟ่ยซาน” จื่ออู่ที่นั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คถามขึ้น

   “ไฟล์แรกเลย นั่นแหละ” เฟ่ยซานบอกพร้อมทั้งจิ้มไปยังผนัง ที่มีภาพจากโปรเจคเตอร์ฉายอยู่

   “เรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นเราก็รอพี่เห่าก่อนแล้วกัน”

   “อืม ว่าแต่คดีที่พี่กู่เพิ่งไปที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ มีอะไรจะให้ข่าวผมได้บ้าง”

   “นี่นายยังไม่รู้เหรอ” จื่ออู่ทำหน้าเหลอหลา

   “ฉันยังไม่ได้บอกเฟ่ยซาน”

   “อ่อ เอาเป็นว่า เรื่องคดีเมื่อวานนายคงยังเอาไปเขียนข่าวไม่ได้หรอกนะ ต้องรอสรุปรูปคดีอีกหลายวันเลย นี่ก็มีเบาะแสใหม่มาอีกแล้ว” เหมี่ยนจื่ออู่ตอบเฟ่ยซานได้ดี เขาเองก็รีบเก็บแฟ้มชันสูตรแล้วเอาเอกสารอย่างอื่นขึ้นมาทับไว้

   “อือ ถ้างั้นก็เอางานนี้ให้จบก่อนก็แล้วกันนะ”

   พวกเขารออยู่ไม่นาน ตู้เห่าก็เดินเข้ามากับจู้ชุน ทั้งสองแจกจ่ายแฟ้มคดีคนหายให้กับพวกเราช่วยกันดู และนำรูปเด็กชายขึ้นไปติดไว้ที่บอร์ดกระจกข้าง ๆ กับผนังที่ฉายโปรเจคเตอร์

   “โห...พี่เห่า เด็กหายเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” เฟ่ยซานอุทานออกมาหลังจากตู้เห่าเดินมานั่งข้าง ๆ ส่วนจู้ชุนเดินออกจากห้องไป

   “นี่แค่ส่วนหนึ่งนะ ไม่รวมเด็กหญิง กับผู้หญิงที่หายตัวไปช่วงนี้” ตู้เห่าตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักใจ เนื่องจากคดีไม่มีความคืบหน้าเอาซะเลย

   “ใจเย็น ๆ อาเห่า อย่างน้อยก็มีเบาะแสที่น่าจะเป็นไปได้อยู่ ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับโกดังที่ฉินหรุยกวงมีเอี่ยวด้วย เราก็จะมีแนวทางในการสืบสวนมากขึ้น”

   “ทุกอย่างดูเหมือนจะโยงมาที่ฉินหรุยกวงนะ” เฟ่ยซานเปรยออกมา ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างไปจากความคิดของคนในห้องนี้เลย

   จู้ชุนที่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วอีกหลายใบ เขาวางมันไว้บนโต๊ะตัวที่ว่างอยู่ ข้าง ๆ เฟ่ยซาน ก่อนเดินไปปิดไฟดวงที่อยู่ด้านหน้าผนัง แล้วค่อยเดินไปนั่งลงข้างตู้เห่า เขาเห็นเฟ่ยซานสบตากับจู้ชุนแวบหนึ่ง ก่อนที่จื่ออู่จะเริ่มเปิดรูปที่หนานเฟ่ยซานแอบถ่ายเอาไว้

   พวกเขาดูรูปกันร่วม 30 นาทีก็ยังไม่มีอะไรน่าสงสัย สีหน้าตู้เห่าก็ดูจะผิดหวัง ที่คดีในความรับผิดชอบไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งจื่ออู่ย้อนรูปกลับไป 2 รูป

   “จื่ออู่ นายเลื่อนรูปเร็วไปแล้ว” จู้ชุนพูดขึ้น

   “ผมแค่รู้สึกคุ้น ๆ รูปก่อนหน้า เลยย้อนกลับแค่นั้นเอง พี่ก็ใจเย็นหน่อยสิ”

   รูปที่จื่ออู่หยุดดู เป็นรูปที่มีชายร่างใหญ่คนหนึ่ง เหมือนกำลังทะเลาะกับทีมทำความสะอาดที่ใส่ชุดหมี ในรูปชายคนนั้นผลัก ชายร่างเล็กกว่าล้มลงไปกองกับพื้น

   “รูปนี้มันก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจะคนงานทะเลาะวิวาทกัน” ตู้เห่าพูดออกมาอย่างเซ็ง ๆ

   “คนที่ผลักนั่น... ใช่จื่อหรงไหมพี่กู่” เหมี่ยนจื่ออู่หันมาหาเขา ทำให้เขาเพ่งมองอีกครั้ง

   “ขยายภาพหน่อยสิ”

   “นั่น จื่อหรงจริง ๆ” จื่ออู่พูดขึ้นหลังขยายภาพให้ชัดขึ้น ต้องขอบคุณเฟ่ยซานถ่ายภาพออกมาได้ชัดขนาดนี้ ถึงขยายออกมาแล้วภาพยังคงคมชัดไม่แตกจนดูภาพไม่ออก

   “คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วละ”

   “เรื่องอะไรกันพี่กู่ จืออู่?” เฟ่ยซานหันไปถามจืออู่ที ถามเขาที

   “เดี๋ยวพี่ค่อยสรุปให้ฟัง ตอนนี้ต้องช่วยกันดูภาพที่เราถ่ายมาก่อน โกดังนี่ท่าทางจะมีเรื่องอะไรซ่อนไว้แน่ๆ” เฟ่ยซานไม่ถามอะไรเขาต่อ ได้แต่นั่งเงียบดูภาพไปอย่างตั้งใจ

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างรู้ว่าหนานเฟ่ยซานไปขลุกตัวอยู่ที่สถานีตั้งแต่บ่าย เพื่อนำเรื่องที่ตัวเองได้เบาะแสไปให้ผานกู่ ซึ่งดูท่าทางคนอย่างหนานเฟ่ยซานคงเมื่อเข้าไปผัวพันกับเรื่องไหน ก็มักจะสืบได้เรื่องกลับมาทุกครั้งไป นี่อาจจะเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องเลือดวิเศษ และจากคำบอกเล่าของจู้ชุนที่ดูจะชื่นชมความสามารถของหนานเฟ่ยซานในเรื่องการสืบคดีอยู่ไม่น้อย

   เขาได้แต่บอกให้จู้ชุนช่วยดูอาการของหนานเฟ่ยซานอยู่ห่าง ๆ และค่อยหาน้ำให้ดื่มบ่อย ๆ เขารู้ว่าจู้ชุนสงสัยแต่ก็ไม่ถามต่อ คงเป็นเพราะจู้ชุนทำงานกับเตี๊ยของเขามานานก็เป็นได้

   “ดอกเตอร์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับที่พักก่อนนะคะ” ซือเมิงอิ๋งเดินเข้ามาบอกเขาในห้องทำงาน

   “อืม ขอบใจมากที่อุตส่าห์เอาเอกสารมาให้ถึงที่นี่”

   “เสียดายนะคะ ที่วันนี้ไม่ได้เจอคุณหนาน”

   “จะอยากเจอไปทำไม”

   “ก็แค่อยากรู้ว่าคนอย่างคุณหนานมีอะไรดี ถึงทำให้คนอย่างดอกเตอร์สนใจได้”

   “เธอก็รู้คำตอบดีนี่ ว่าเพราะน้ำตากิเลนในตัวของเขา”

   “เมื่อก่อนฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันไม่ใช่”

   “ไม่ใช่?...ยังไง”

   “ฉันถามจริง ๆ นะคะ ดอกเตอร์รู้สึกยังไงตอนที่รู้ว่ากระต่ายตัวนั้นช็อคตายไปเมื่อคืนนี้”

   “ก็แค่เสียดาย”

   “ใช่ค่ะ คิดเหมือนฉันเลย คนที่ต้องทำการทดลองกับสัตว์อย่างเรา ๆ ก็แค่เสียดาย”

   “อืม”

   “แล้วถ้าคุณหนานเกิดเป็นเหมือนกระต่ายตัวนั้นละคะ?”

   “มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะผมกำชับจู้ชุนไว้แล้ว”

   “ทำไมดอกเตอร์ต้องทำขนาดนั้น ในเมื่อคุณหนานก็แค่เป็นคนที่บังเอิญกินน้ำตากิเลนเข้าไป”

   “นั่นเป็นเพราะผมทำมันหล่นไว้ แล้วคนพวกนั้นก็เข้าใจผิด”

   “ถึงฉันจะร่วมงานกับคุณไม่นาน แต่ฉันว่านี่ไม่ใช่เหตุผลจริง ๆ ของดอกเตอร์ อีกอย่างน้ำตากิเลนที่แล็บก็ยังมีให้เราได้ศึกษามัน ซึ่งมันก็เพียงพอแล้ว ตัวอย่างเลือดของคุณหนานก็มีแล้ว”

   “...” เขามีทุกอย่างที่ต้องการแล้วจริง ๆ

   “ฉันได้ข่าวมาว่าทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชิญดอกเตอร์ไปร่วมสำรวจงานขุดค้นกับเขาด้วยไม่ใช่เหรอคะ ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮางที่ฉันรู้จัก มักจะตอบตกลงไปแล้วถ้าเจองานที่น่าสนใจขนาดนี้”

   “ไหนว่ากำลังจะกลับ”

   “เฮ้อ...ดอกเตอร์ไม่ต้องเลี่ยงที่จะตอบคำถามฉันเลยค่ะ”

   “ผมก็แค่รอให้งานเปิดตัวกล่องสำริดจบลงก่อน”

   “ไม่ใช่เพราะดอกเตอร์แคร์คุณหนานหรอกหรือคะ?”

   “แคร์?”

   “ใช่ค่ะ ดอกเตอร์แคร์คุณหนาน ไม่รู้ตัวเองหรือยอมรับไม่ได้กับความรู้สึกของตัวเอง ดอกเตอร์เปลี่ยนไปตั้งแต่เจอกับคุณหนาน”

   “...” เขาเลือกที่จะไม่ตอบซือเมิ่งอิ๋ง แต่คิดทบทวนตามคำพูดของคนตรงหน้า

   “ดอกเตอร์เปลี่ยนไปไม่ใช่ดอกเตอร์คนเดิมที่ฉันรู้จัก แต่ฉันยินดีนะคะ อย่างน้อยดอกเตอร์ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนแต่ก่อน เสียอย่างเดียว ปากแข็งเหมือนเดิม”

   “อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม”

   “ก็ที่ดอกเตอร์ให้ฉันส่งข้อมูลโรคที่อาจจะใกล้เคียงกับอาการของคุณหนานให้ยังไงคะ คุณดูเป็นห่วงเขามาก ถึงขั้นให้คุณจู้ช่วยดูแลแทน แล้วไหนจะวันที่คุณพาเขากลับมาที่นี่อีก ทั้งที่จริงคุณควรพาเขาไปที่โรงพยาบาลมากกว่า”

   “อืม”

   “หือ? ยอมรับแล้วเหรอคะว่ามีใจให้กับคุณหนาน”

   “ผมแค่เห็นด้วยว่าผมเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ใช่ผมมีใจให้เขา”

   “เอาเถอะค่ะๆ แล้วฉันจะรอดู ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

   พูดจบซื่อเมิ่งอิ๋งก็เดินจากไป ปล่อยให้เขาคิดหาเหตุผลว่าทำไมเขาต้องคอยตามหนานเฟ่ยซาน สั่งให้จู้ชุนทำงานเกิดหน้าที่ด้วยการดูแลแทนเขาอีก จนไปถึง...คืนนั้น คืนที่เขาพาหนานเฟ่ยซานกลับมาที่บ้าน แทนที่จะไปส่งที่คอนโด

   ร่างเล็กที่นอนเหงื่อท่วมตัวทั้งที่อยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบราวกับคนเป็นไข้ แต่อุณหภูมิร่างกายกลับเย็นลงจนน่าสงสัยว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ภาวะขาดน้ำของหนานเฟ่ยซานดูน่ากังวล จนเขาไม่รู้จะเรียกคนที่นอนกระวนกระวายไม่ได้สติให้ลุกขึ้นมาดื่มน้ำยังไง

   เขาได้แต่เอาผ้าชุบน้ำมาคอยเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา ไม่รู้เลยว่าคนไม่ได้สติจะร้อนหรือหนาวอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า หากหนานเฟยซานยังคงเหงื่อออกมากขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะขาดน้ำถึงขั้นช็อก

   วิธีเดียวที่เขานึกขึ้นมาได้ตอนนี้...

   ...

   ..

   .

   ถึงจะลังเล แต่การช่วยคนก็สำคัญ... เขานิ่งคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง

   ...

   ..

   .

   มือหนาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาหมายจะดื่ม มืออีกข้างก็ประคองศีรษะที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อให้ยกขึ้น ก่อนจะก้มลงไปประกบริมฝีปากของคนที่ไม่ได้สติ แล้วส่งผ่านน้ำอุ่นๆ เขาสู่ปากของอีกคน

   ...

   ..

   .

   เขาเงยหน้าขึ้นมา น้ำที่ควรจะลงคอคนตรงหน้า กลับไหลออกมาจากมุมปากเล็ก

   ...

   ..

   .

   ไม่ได้ผล...ความลังเลที่มีอยู่เกือบจะทำให้เขาถอดใจ แต่เมื่อนึกถึงชีวิตของคนตรงหน้า...ลองอีกครั้ง...

   ครั้งนี้เมื่อปากประกบลงไป ไม่ลืมที่จะใช้มืออีกข้างบีบจมูกเล็กเบาๆ

   ...

   ..

   .

   ได้ผล...หนานเฟ่ยซานกลืนน้ำเข้าไปได้บ้าง

   เขาทำซ้ำอีกครั้ง และครั้งนี้ จนหนานเฟ่ยซานทำให้เขาตกใจจนตัวแข็ง...

   น้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในลำคอคงจะไม่เพียงพอ...

   คนไม่ได้สติถึงได้ดูดดึงริมฝีปากของเขาด้วยริมฝีปากเล็ก ในขณะที่เขากำลังจะถอนริมฝีปากออกมา

   ...

   ..

   .

   จะทำอย่างไรละคราวนี้?




To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 22 ---ll--- 06-05-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-05-2019 13:36:19
22





   อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกไม่อยากอาหารเอาซะเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในห้องประชุมหิวแทบตาย แต่นี่กลับได้เขี่ยอาหารในจานไปมา คิดไม่ตกสักทีว่าจะติดต่อดอกเตอร์โพล่าไอซ์ได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่เจอกันล้วนบังเอิญ หรือไม่ดอกเตอร์นั่นก็เป็นคนมาหาเขาเอง พอจะต้องไปขอความร่วมมือ เขากลับไม่รู้ว่าจะติดต่อไปอย่างไร

   บ้านที่ชุง ฮอม กอกที่เคยไป ก็เห็นว่าเป็นบ้านของคุณฝู่ ถ้าไปดักรอที่นั่น ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบหรือเปล่า ให้ไปที่โรงแรมฝู่ก็คงไม่ต่างกัน

   “เป็นอะไรไป เขี่ยอยู่นั่นแหละ หรืออาหารไม่ถูกปาก” พี่กู่ที่นั่งอยู่ตรงข้าม คอยคีบนั่นนี่บนเตาย่างมาให้ผม
   
   “พอ ๆ แล้วพี่ ผมเริ่มอิ่มแล้ว”

   “วันนี้กินน้อยนะ เป็นอะไร คิดถึงเรื่องคดีอยู่หรือไง”

   “ก็นิดหน่อยครับ”

   “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว นอกเวลาแบบนี้ปล่อยวางซะบ้าง เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

   “พี่ว่า เด็กพวกนั้นจะถูกส่งไปที่ไหน ในเมื่อพวกนั้นเครียโกดังออกไปแล้ว”

   “ถ้าพวกมันย้ายของไปไว้ที่โกดัง F14 เป็นไปได้ว่าคุณต้วนอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”

   “คนที่อยู่กับฉินหรุยกวง ก็ไม่ใช่คุณต้วน”

   “เลิกคิดเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ นายทำดีที่สุดแล้ว รีบๆ กินเข้า จะได้กลับไปพัก”

   ผมไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตากินเนื้อที่พี่กู่คีบให้ พร้อมกับคิดหาวิธีติดต่อกับดอกเตอร์โพล่าไอซ์ ครั้งที่แล้วเป็นเพราะพี่ผานกู่เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน เลยไม่ได้ทันได้แลกเบอร์กับดอกเตอร์

   หลังจากที่แยกกับพี่กู่ที่ร้านอาหารแล้ว ผมก็ขับรถกลับไปยังคอนโด พอมาถึงสี่แยกผมกลับตัดสินใจเลี้ยวรถไปทางสวนนัมกวงแทน เพราะยังติดใจสาเหตุการตายของฉินหรุยกวงและจื่อหรง

   หลังจากที่เห็นจื่อหรงในภาพทะเลาะกับคนทำความสะอาด พวกเขาก็ดูรูปไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอเด็กชาย 4-5 คน และมี 2 คนถูกแจ้งความว่าหายตัวไป

   คนแรกก็คือมู่เฉิน คนที่ผมบังเอิญไปพบว่าพ่อแม่มาแจ้งความว่าหายตัวไป ตอนไปขอโทษตู่เห่า

   ส่วนอีกคนเฝิงฟง เด็กคนนี้หายไปพร้อมกับพี่สาวฝาแฝด ซึ่งหายตัวไปในเวลาไล่เลี่ยกันกับเว่ยฟ่าน

   การที่พบเด็กหายถึงสองคนและยังพบสมุดทำมือของเว่ยฟ่านแถว ๆ นั้น เป็นไปได้ว่า โกดัง F23 อาจจะเคยเป็นที่คุมขังของคนที่ถูกจับมา มันทำให้ผมอยากแอบเข้าไปในโกดังของต้วนเจียจง แต่ก็คงจะยากหน่อย เพราะเท่าที่ไปมา 2-3 ครั้ง โกดังแห่งนี้ดูเหมือนจะทำงานกัน 24 ชั่วโมง

   ผมยังนึกหาวิธีเข้าไปในโกดังนั้นไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป้าหมายกะทันหัน เมื่อนึกได้ว่าฉินหรุยกวงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย จึงจะไปตรวจสอบที่พบศพจื่อหรง และฉินละแวกรุยกวง ในเมื่อทั้งสองคนเคยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นไปได้มากว่าทั้งสองอาจจะรู้จักกันมาก่อน แต่การที่ทะเลาะกันรุนแรงจนกระทั่งต่างฝ่ายต่างจบชีวิตลง ผมว่ามันออกจะแปลกๆ ไปซะหน่อย หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าคนใดคนหนึ่งลวงอีกคนมาเพื่อฆ่าปิดปาก แต่ยังไงละ

   จากรายงานชันสูตรของฉินหรุยกวง บาดแผลตามร่างกายไม่สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่เพราะพลัดตกน้ำ และอาจจะเป็นเพราะอ่อนแรงจากการชกต่อยทำให้จมน้ำตายในที่สุด ส่วนจื่อหรงมีบาดแผลใหญ่ที่ศีรษะ เกิดจากการตีด้วยหิน ซึ่งก็พบหินก้อนดังกล่าวอยู่แถว ๆ ริมน้ำ บริเวณที่ฉินหรุยกวงตกลงไป แสดงว่าจุดนั้นเป็นจุดที่ทั้งสองทะเลาะวิวาทกัน

   รอยเลือดที่หยดเป็นทางมาจนกระทั่งพบศพของจื่อหรง ก็เป็นเลือดของเจ้าตัวซึ่งทางตำรวจคาดว่า หลังจากที่จื่อหรงทำร้ายฉินหรุยกวงจนตกน้ำ ตัวเองคงพยายามเดินกลับไปที่รถ แต่เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เลยเสียชีวิต

   ระหว่างทางผมแวะจอดรถเพื่อซื้อน้ำในร้านสะดวกซื้อแถว ๆ นั้น ...เฮ้ย...หิวน้ำอีกแล้ว...

   ขณะผมกำลังผลักประตูจะออกจากร้าน หลังจากได้น้ำดื่มเย็น ๆ มาขวดใหญ่ในถุงมา 2-3 ขวด เพื่อกลับไปที่รถ ก็บังเอิญไปชนกับชายร่างสูงที่เพิ่งเดินสวนเข้ามา

   “ขอโทษครับ” ทั้งๆ ที่ผมเป็นเอ่ยออกไปแท้ๆ แต่คนถูกชนกลับเป็นคนที่คว้าแขนประคองร่างผมไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น เพราะแรงถ่วงของน้ำในถุง

   “ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ดูหน้าซีด ๆ”

   “อ่อ ไม่เป็นไรครับ” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าอัตโนมัติ ก็แค่รู้สึกหิวน้ำ แบบนี้คงเป็นเพราะอาการกำเริบแน่ ๆ ยังดีที่ไม่ถึงขั้นตาพร่า ใจสั่น

   “ให้ผมไปส่งไหม คุณพักแถวนี้รึเปล่า” คนตรงหน้ายังคงใจดี ถามไถ่ผม จนอดเกรงใจไม่ได้

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ผ่านมาทางนี้เลยแวะซื้อของนิดหน่อย รถผมจอดอยู่หน้าร้านแค่นี้เอง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ชายคนนั้นเดินเข้าไปด้านในร้าน ส่วนผมก็เดินกลับไปที่รถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสวนนัมกวง

   ยังไม่ทันได้เคลื่อนรถไปไหน อาจจะเป็นเพราะผมดื่มน้ำนานไปหน่อย เลยได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากตึกที่ปล่อยทิ้งร้าง เยื้อง ๆ กันกับที่ผมจอดรถอยู่ ผมรีบลงจากรถ คว้ากล้อง และวิ่งไปยังจุดที่ได้ยินเสียงทันที

.........................................................................

   ผานกู่เพิ่งจะแยกจากหนานเฟ่ยซานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ทางนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ตอนแรกที่ได้ยินเจ้าตัวโทรมาแจ้งว่าพบศพของหวงกังโห เขายังไม่ตกใจเท่ากับที่คนปลายสายบอกต่ออีกว่า เหยื่อรายที่ 6 ในคดีฆ่ารัดคอ

   เมื่อเขารู้สถานที่ทิ้งศพแล้ว เขาจึงประสานงานหน่วยพิสูจน์หลักฐานให้ไปยังที่เกิดเหตุทันที ซึ่งก็รวดเร็วทันใจ เขาไม่อยากให้เฟ่ยซานอยู่ในที่เกิดเหตุคนเดียว เพราะไม่รู้ว่าฆาตกรจะยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นไหม

   ผานกู่ขับรถมาก็เห็นตำรวจจราจรกันพื้นที่ส่วนหนึ่งที่หน้าตึกร้างให้กับทีมพิสูจน์หลักฐาน เขาจึงเข้าไปจอดรถต่อท้ายรถตำรวจคันหนึ่ง รอบพื้นที่มีเทปพลาสติกกั้นไว้ คนละแวกนี้ที่อยากรู้อยากเห็นเริ่มมามุงดูกันมากขึ้น เขาชูป้ายตำรวจขึ้นก่อนมุดเทปเข้าไป

   “พี่กู่”

   “อ่าว อาชุน นายมาได้ยังไง”

   “บังเอิญผมอยู่แถว ๆ นี้พอดีกันกับที่ได้รับแจ้ง เลยแวะมานะพี่”

   “เฟ่ยซานละ”

   “เดินดูอยู่รอบ ๆ อ่อ พี่มีอะไรจะถามคนที่พบศพคนแรกไหม?”

   “ไม่ใช่เฟ่ยซานเหรอ?”

   “ไม่ใช่พี่ แต่เป็นเด็ก 2 คนนั้น” จู้ชุนชี้ไปที่เด็กชาย 2 คนที่ยืนรอผู้ปกครองมารับกลับ

   “ได้ความว่ายังไงบ้างละ”

   “เด็กสองคนนี้มักจะมาแอบใช้ที่นี่เล่นสเกตบอร์ด วันนี้ก็เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาน่าจะเป็นศพ”

   “แล้วเฟ่ยซานมาอยู่นี่ได้ยังไง”

   “ผมยังไม่ได้คุยเลย พี่ก็ลองไปคุยกับเฟ่ยซานแล้วกัน ถ้าพี่ไม่มีอะไรกับเด็ก 2 คนนี้แล้ว”

   “ไม่มี นายจัดการได้เลย ฉันไปเดินหาเฟ่ยซานก่อน”

   “อ่าว พี่ไม่ไปดูหวงกังโหก่อนเหรอ?”

   “ฉันไม่อยากไปเกะกะงานของคนอื่น” เขารู้ว่าจู้ชุนตั้งใจแซวเขา แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น เขาก็เป็นห่วงเฟ่ยซานมากกว่า

   “งานของคนอื่นที่ไหน ก็งานของพวกเราทั้งนั้นแหละพี่”

   “เออๆ” เขาตอบรับแบบขอไปที ก่อนเดินไปยังจุดพบศพ และไม่วายได้ยินเสียงจู้ชุนหัวเราะไล่หลังมา

   เขาเดินเข้าไปด้านในตึก ที่ตอนนี้มีการติดตั้งสปอร์ตไลน์เพื่อให้ความสว่างโดยรอบ หน่วยพิสูจน์หลักฐานกระจายตัวกันสำรวจและเก็บหลักฐานเพื่อกลับไปตรวจสอบ

   ศพของหวงกังโหมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพร้อมกับถ่ายรูปอยู่คนหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปหาซึ่งเจ้าหน้าที่รายนั้นก็ไม่ได้สนใจการมาของเขา ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

   หวงกังโหดูจะซูบผอมลงไปมากหลังจากที่พบกันครั้งสุดท้าย มีบาดแผลบริเวณลำคอซึ่งเกิดจากการรัดด้วยลวดหนาม แต่ที่พื้นกลับไม่มีเลือดสักหยด ที่นี่จึงไม่ใช่ที่เกิดเหตุ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดเดียวกันกับที่เจอเขาครั้งสุดท้าย อาจจะมีความเป็นไปได้มาก ว่าหวงกังโหอาจจะถูกคนร้ายจับไปหลังจากที่ถูกปล่อยตัวไปคราวนั้น

   จากการคาดการณ์ของเหยินหยางผิงที่ว่า คนร้ายอาจจะมาทิ้งศพเหยื่อในที่ที่ถูกจับตัวไป ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้อาจจะเป็นไปได้ เพราะดูสภาพโดยรอบแล้ว สถานที่นี้อาจจะเป็นที่กบดานของหวงกังโหจริง ๆ

   ตึกร้างนี้ ถึงจะเป็นตึกร้างที่ไม่มีคนใช้งาน แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากชุมชนนัก เดินไปไม่ไกลก็มีร้านสะดวกซื้อ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เขาใช้ไฟฉายส่องไปทั่วบริเวณ ซึ่งชั้นนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ห้องต่าง ๆ ถูกเก็บของที่ไม่ได้ใช้แล้ว สภาพดูก็รู้ว่าไม่ได้รับการดูแล เพราะมีทั้งฝุ่นและหยากไย่เต็มไปหมด

   ผานกู่สังเกตเห็นรอยเท้าจากฝุ่นที่พื้น มันมีรอยเด่นชัดอยู่สายหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีคนเดินเข้ามาไม่นาน ส่วนรอยเท้าอีก 2-3 สาย น่าจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นนานแล้ว เพราะถูกฝุ่นทับถมจนรอยเท้าเริ่มจาง เขาจึงเดินตามรอยเท้านั่นที่มุ่งหน้าขึ้นชั้น 3 ไปอย่างระมัดระวัง โดยพยายามไม่ย่ำทับรอยที่ปรากฏอยู่

   เขาเดินตามรอยเท้าไปจนกระทั่งถึงห้องห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด ประตูห้องถูกเปิดค้างแง้มเอาไว้ เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งเห็นเงาใครบางคนกำลังก้มๆ เงย ๆ อยู่ด้านหลังกองเก้าอี้ด้านใน เมื่อมองชัด ๆ เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

   “เฟ่ยซาน” คนที่อยู่ด้านหลังกองเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นมามองเขา พร้อมเอามือป้องแสงที่ฉายไปยังใบหน้า

   “พี่กู่ มาส่องไฟให้ผมที”

   “ทำไมนายไม่รอเจ้าหน้าที่ ขึ้นมาได้ยังไงคนเดียว”

   “ผมบอกพี่ชุนแล้วนี่”

   “ทำไมนายไม่รีบกลับบ้านไปพัก”

   “พี่กู่ มาส่องไปตรงนี้ให้ผมเถอะน่า อย่าบ่นมากเป็นคนแก่สิ”

   เขายอมเดินไปส่องไฟให้เฟ่ยซาน นับวันคนตรงหน้ายิ่งทำให้เขาเป็นห่วงมากขึ้น อันที่จริงก็ตั้งแต่ที่ถูกจับยัดยาไปเมื่อคราวก่อน เขาได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

   เมื่อเขาเดินอ้อมไปยังกองเก้าอี้จึงได้เห็นว่า ตรงกลางของกลุ่มเก้าอี้นั้น ถูกเครียให้เป็นพื้นที่ว่าง ๆ และมีเบาะรองนอนเก่า ๆ ปูไว้ รอบๆ มีเศษซากถุงพลาสติก และเศษอาหารทิ้งไว้ เฟ่ยซานไล่ถ่ายภาพตามแสงไฟที่เขาฉายไปรอบๆ

   “ที่นี่น่าจะเป็นที่กบดานของหวงกังโหจริง ๆ”

   “ผมก็คิดแบบนั้น แต่แปลกตรงรอยเท้า มันมีมากกว่าของหวงกังโห”

   “น่าจะเป็นพวกลูกน้องของมัน พอมันหายไป พวกลูกน้องก็พากันหนีไปหมด”

   “มันมีอยู่รอยหนึ่งที่ค่อนข้างแปลก พี่มาส่องไฟให้ผมทางนี้ที” เขาเดินตามเฟ่ยซานออกมาจากกองเก้าอี้ ไปยังมุมห้องอีกทางหนึ่ง “พี่ดูรอยนี้สิ”

   ถึงจะไม่ชัดเจน แต่รอยเท้านี้ก็ดูแปลกอย่างที่เฟ่ยซานว่าจริง ๆ เขาจึงส่องไฟไปยังพื้นรอบ ๆ บริเวณ ไล่ตั้งแต่หน้าประตู

   “ใช่ รอยอื่น ๆ เดินจากประตูแล้วอ้อมไปยังกองเก้าอี้นั่นทั้งหมด มีรอยนี้รอยเดียวที่เดินวนรอบ ๆ” รอยนั่นเดินวนเป็นวงกลมโดยไม่เฉียดไปยังด้านหลังกองเก้าอี้แม้แต่น้อย พิจารณาดูแล้ว เจ้าของรอยเท้าน่าจะเดินวนมากกว่า 2 รอบ

   “นั่นแหละที่ผมว่าแปลก ถ้าหวงกงโหจะมาหลบซ่อนที่นี่ ถึงเขาจะเบื่อยังไง เขาคงจะไม่เลือกเดินวนอยู่ในห้องหรอก อีกอย่าง มุมนี้ก็ใช่ว่าจะมีหน้าต่างหรือช่องให้มองลอดออกไปได้สักหน่อย”

   “อืม เสียดายที่รอยมันเกิดขึ้นนานแล้ว เลยไม่สามารถแยกแยะออกว่ารอยเท้านี้เป็นของใคร”

   “ผมว่า อาจจะเป็นของฆาตกร”

   “ก็มีความเป็นไปได้ เพียงแต่...พี่สงสัยว่า ทำไมมันถึงเลือกหวงกังโห”

   “ครั้งที่แล้วก็เป็นชายเร่ร่อน ครั้งนี้ก็เป็นคนร้ายหนีคดี มันเกี่ยวข้องกันไหม แล้วถ้าเกี่ยว มันจะเกี่ยวกันยังไง”

   “นายนี่ ช่างสงสัยจริง ๆ นะ”

   “อ่าว จะไม่ให้ผมสงสัยได้ยังไง คนหนึ่งก็เป็นคนวางยาลูกน้องของหวงกังโหซะตายคาห้องขัง คราวนี้ก็เป็นหวงกังโหซะเอง”

   เรื่องทั้งหมดอาจจะมีจุดเริ่มต้นจากที่หนานเฟ่ยซานไปเจอพ่อค้ายาและอาวุธแลกของกันที่ลานจอดรถของโรงแรมก็เป็นได้ เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ มันทำให้เขาตกใจ หากถ้าคนร้ายในคดีฆ่ารัดคอเกี่ยวข้องกับคดีค้ายาและอาวุธจริง นั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าเหยื่อในคดีที่ผ่านมา อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งถึงได้ถูกฆ่าปิดปากอย่าง 2 รายล่าสุด แล้วคนตรงหน้าเขาจะปลอดภัยไหม?

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างตามหนานเฟ่ยซานมายังจุดที่พบเหยื่อรายล่าสุดในคดีฆ่ารัดคอ เขาจอดรถอยู่ไม่ไกลจากที่ตำรวจกันพื้นที่ไว้ ตอนนี้มีกลุ่มคนมุงอยู่รอบ ๆ บริเวณเป็นจำนวนมาก เขาจึงเลือกนั่งรออยู่บนรถ รอไม่นานนักหนานเฟ่ยซานก็เดินออกมาจากฝูงชนพร้อม ๆ กับผานกู่

   ผานกู่คงเดินออกมาส่งหนานเฟ่ยซานที่รถ แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นคุยอะไรกัน เพราะหนานเฟ่ยซานยังไม่ออกรถส่วนพานกู่ก็ดูลังเลว่าจะยืนอยู่ต่อ หรือว่าจะเดินกลับเข้าไปในตึกร้าง แต่สุดท้ายนักสืบหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปทำงานของตัวเอง เขาเห็นหนานเฟ่ยซานรออยู่สักระยะ จึงขับรถออกไป แต่กลับไม่ได้มุ่งหน้ากลับที่พักของตนเอง

   รนหาที่จริง ๆ อยู่ ๆ คำคำนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา พร้อมกับส่ายหน้าระอา

   จู้ชุนรายงานกับเขาแล้วว่าหลังจากที่หนานเฟ่ยซานออกไปทานข้าวเย็นกับพานกู่ แทนที่จะกลับไปพักผ่อน คนที่รนหาที่กลับออกนอกเส้นทาง ซึ่งจู้ชุนเองก็เดาไม่ได้ว่าคนที่เขาตามอยู่จะไปที่ไหน จนหนานเฟ่ยซานมาเจอศพเหยื่อในคดีนี้ จู้ชุนจึงทำทีว่าอยู่ใกล้แล้วรีบเข้าไปประกบทันที เพราะไม่ไว้ใจว่าจะเกิดอันตรายกับหนานเฟ่ยซานหรือไม่

   เขาขับรถตามหนานเฟ่ยซานมาจนถึงสวนสาธารณะนัมกวง เขาจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม เขาเลือกที่จะเข้าไปจอดรถข้าง ๆ และเปิดประตูรถลงไปพร้อม ๆ กันทันที

   “ดอกเตอร์!! ”

   “นายมาทำอะไรที่นี่ดึกๆ ดื่น ๆ”

   “เออ...” คนตรงหน้าเหมือนสับสน ไม่รู้จะตอบเขายังไง

   “หนานเฟ่ยซาน”

   “ผมขอเบอร์ติดต่อดอกเตอร์หน่อยได้ไหม?” จบคำถาม ใบหน้าของเฟ่ยซานก็ดูจะแดงขึ้นมา

   “เอาโทรศัพท์ของนายมาสิ” เขารับโทรศัพท์จากคนตรงหน้า “นายควรจะดื่มน้ำให้มันมาก ๆ หน่อยนะ” ขณะเขากำลังกดหมายเลขโทรศัพท์ตัวเองลงไปในเครื่องอีกคน สายตาก็เหลือบไปเห็นคนตรงหน้าทำตามเขาอย่างว่าง่าย โดยการเข้าไปหยิบขวดน้ำในรถออกมาดื่ม เมื่อเห็นคนตรงหน้าดื่มเสร็จเขาจึงยื่นโทรศัพท์คืนให้

   “ดอกเตอร์มาที่นี่ได้ยังไง?” เหมือนเจ้าของเครื่องยังไม่รู้ตัว ว่าเขาตามมาตั้งแต่ที่ตึกร้าง

   “ก็ขับรถมาเรื่อย ๆ”

   “อ่อ ว่าแต่ดอกเตอร์มาทำอะไรที่นี่ค่ำๆ มืดๆ แบบนี้”

   “คำถามนี้ ฉันถามนายก่อนนะ”

   “หา...?”

   “ใช่ ฉันถามนายไปแล้ว”

   “เออ...ผมมาดูอะไรนิดหน่อย”

   “ทำไมไม่มากลางวัน วันนี้นายน่าจะกลับไปพักได้แล้วนะ”

   “ไหน ๆ ก็ขับรถมาถึงนี่แล้ว จะให้ผมกลับเลยก็เสียเที่ยวสิ”

   “หึ!! มาสวนนัมกวงค่ำๆ แบบนี้ เกิดนายหมดสติไปเพราะอาการกำเริบ ใครจะช่วยนายได้”

   “ผมไม่เป็นอะไร”

   “แล้วไอ้อาการเมื่อกี้นี้ละ อย่าบอกนะว่านายไม่ตาพร่า ใจสั่น”

   “ดอกเตอร์รู้ได้ยังไง”

   “ดื่มน้ำเข้าไปเลย แล้วถ้าจะเข้าไปในสวนนั่นก็ถือขวดน้ำเผื่อไปด้วย”

   “ดอกเตอร์ไม่ห้ามผมแล้วเหรอ?”

   “ฉันห้ามได้?” คนตรงหน้าส่ายหน้า “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปด้วย” คนตรงหน้าทำตาโตใส่ ใบหน้ากลับมาแดงอีกครั้งจนต้องยกน้ำขึ้นมาดื่มอีกที “ค่อย ๆ จิบสิ นายไม่ควรดื่มน้ำแบบนั้น เดี๋ยวได้จุกกันพอดี”

   เขาได้แต่เหนื่อยหน่าย คนตรงหน้า ที่รนหาที่ไม่พอ ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตอีก แล้วแบบนี้มันควรจะปล่อยให้คาดสายตาได้หรือไง เจ็บตัวขึ้นมาได้เข้าไปอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์แน่ ๆ

   หนานเฟ่ยซานไม่พูดอะไร ก้มตัวเข้าไปหยิบกล้องถ่ายรูป พร้อมกับขวดน้ำดื่มขวดใหม่จากเบาะด้านหลัง เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็หันมามองทางเขาก่อนจะเดินนำเข้าไปในสวน

   สวนสาธารณะเวลานี้ไร้ผู้คนแล้ว ตามทางเดินยังมีไฟส่องสว่างทำให้บรรยากาศในสวนไม่น่ากลัวจนเกินไป รอบข้างไม่มีเสียงอะไร นอกจากเสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกัน และเสียงฝีเท้าของคนสองคน

   “นายยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่านายมาที่นี่ทำไม” เขาถามใหม่อีกครั้ง

   “มาเดินดูอะไรนิดหน่อย” ซึ่งก็เป็นคำตอบเดิม ท่าทางคนที่เดินนำหน้าคงจะไม่ยอมบอกความจริงกับเขาเป็นแน่

   “นายมาตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะ คนก็ตายไปแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ” คนที่เดินนำหน้า อยู่ๆ ก็หยุดเดิน

   “ดอกเตอร์รู้อะไรมาใช่ไหม?”

   “ก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก”

   “ดอกเตอร์พูดเหมือนดอกเตอร์รู้”

   “รู้อะไร?”

   “รู้ว่าผมมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ยังถามผม”

   “ก็ฉันว่ามันเสียเวลาเปล่า ถ้านายจะมาดูที่เกิดเหตุ”

   “ผมแค่อยากมาดูให้แน่ใจนี่”

   “เรื่อง?”

   “ก้อนหิน”

   “ก้อนหิน?”

   “ก้อนหินที่เป็นอาวุธทำร้ายจื่อหรง”

   “ทำไม?”

   “ก็สวนนี่ ผมเคยมาหลายครั้ง ผมไม่เคยเห็นจะมีก้อนหินแบบนั้นที่นี่เลย มันเหมือน...”

   “นายจะบอกว่าหินนั่นมันมาจากที่อื่นอย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมไม่แน่ใจ เลยอยากมาดูให้เห็นกับตา”

   “สวนนี้ มีแลนด์มาร์คตรงกลาง ส่วนนั้นก็มีหินประดับอยู่”

   “มันไม่เหมือนกัน”

   “ยังไง?”

   “หินตกแต่งตรงมันเป็นหินแม่น้ำ แต่หินที่เป็นอาวุธมันเป็นหินภูเขา มันเหมือนกับ...”

   “แล้วคนร้ายจะพกหินนั่นมาทิ้งที่นี่ได้ยังไง”

   “ได้สิ ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ แต่เป็นที่ทิ้งศพ”

   “นายจะบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ”

   “ก็บอกว่ายังไม่แน่ใจยังไงเล่า ถ้าดอกเตอร์จะกวนผมก็ไม่ต้องตามมา ผมจะรีบเดินไปดูจะได้รีบกลับไปพัก” ว่าแล้วหนานเฟ่ยซานก็เดินต่อไปตามทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ

   เขาได้แต่ส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าหนานเฟ่ยซานจะโมโหอะไรเขา ได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้เจ้าตัวทำอะไรตามใจโดยไม่ลืมที่จะระวังด้านหลัง เขารู้สึกว่ามีคนกำลังตามเขา ไม่สิน่าจะตามหนานเฟ่ยซานมากกว่า เพราะคนของเขาหรือของเตี๋ยคงไม่ทำให้เขาจับได้ง่ายดายอย่างเช่นครั้งนี้แน่นอน

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 22 ---ll--- 06-05-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-05-2019 16:03:52
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 23 ---ll--- 27-05-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 27-05-2019 15:47:26
23




   ผมไม่มีสมาธิเลย เพราะรู้สึกเหมือนภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่ตามหลังมาแบบนี้ มันทำให้เสียวสันหลังพิกล และไอ้อาการใจสั่นนี่อีก มันทำให้ผมเดินไปพลาง ยกน้ำขึ้นจิบไปพลาง หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการใจสั่นได้

   ผมเริ่มเข้าใจถึงสภาพอาการของผมบ้างแล้ว เวลาผมตื่นเต้นหรือมีเรื่องให้คิดมาก ๆ จะรู้สึกกระหายน้ำเป็นพิเศษ จนบางครั้งถึงกับหน้าซีด แต่ถ้าเริ่มใจสั่น ตาพร่า หน้าผมจะเริ่มแดง นั่นคงทำให้ดอกเตอร์จับสังเกตอาการของผมได้

   แต่...วันนี้ที่สถานี พี่ชุนก็คอยเอาน้ำมาให้ผม หรือว่าแค่บังเอิญ ครั้งแรกตอนอยู่ที่โต๊ะพี่เห่า อีกครั้งตอนในห้องประชุม...นั่นมันคงจะบังเอิญล่ะมั้งที่โต๊ะข้าง ๆ ผมว่าง พี่เขาเลยเอาเหยือกน้ำมาวางไว้ใกล้มือผม

   “หนานเฟ่ยซาน” ผมกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ดอกเตอร์โพล่าไอซ์ก็เข้ามาจังหวะความคิดของผม

   “ถ้าดอกเตอร์เมื่อยก็หาที่นั่งรอผมแถว ๆ นี้ก็ได้”

   “ฉันจะบอกนายว่า น้ำในมือนายหมดแล้ว” ผมก้มลงมองขวดน้ำในมือ มันเป็นอย่างที่ดอกเตอร์ว่าจริง ๆ นี่ผมจิบขวดเปล่า ๆ อยู่เหรอ อยากจะมุดดินหนีจริงๆ

   “เออ...”

   “เอาเถอะ นายจะไปตรงไหน เดี๋ยวฉันกลับไปที่รถเอาน้ำมาเพิ่มให้ก็แล้วกัน”

   “ผม...ขอบคุณครับ”

   “อืม จะไปตรงไหนละ?”

   “ผมว่าจะไปตรงริมทะเลสาบ จุดที่เป็นท่าน้ำ”

   “ดึกมากแล้ว ระวังตัวด้วย เดี๋ยวฉันรีบตามไป”

   ผมพยักหน้ารับ คนตรงหน้าก็หันหลังเดินกลับไปทางเดิมทันที เพิ่งรู้ว่าดอกเตอร์เดินเร็วมาก อาจจะเป็นเพราะขายาว ๆ นั่นก็เป็นได้ และไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าภูเขาน้ำแข็งเริ่มละลายแล้ว

   ผมสะบัดความคิดบ้า ๆ นั้นทิ้งไป ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างยังไงก็เป็นดอกเตอร์โพลาไอซ์อยู่วันยังค่ำ ที่เขามาสนใจคอยตามผมเป็นเพราะน้ำตากิเลนที่อยู่ในตัวของผมต่างหาก มันคงจะวิเศษมากถึงขั้นทำให้ดอกเตอร์นักโบราณคดีชื่อดังยอมลดตัวลงมาติดตามผม

   อยู่ๆ ผมรู้สึกจุกในอก เหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้ามันร้อน ๆ ยิ่งบริเวณจมูก รามขึ้นไปยังหัวคิ้ว แล้วไหนจะดวงตาอีก ผมได้แต่พยายามกะพริบตาถี่ๆ หวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ ยังโชคดีที่ผมเดินมาถึงห้องน้ำสาธารณะพอดี จึงเข้าไปล้างหน้าล้างตา เรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา

   เมื่อผมเดินกลับออกมา ผมเห็นดอกเตอร์ก้าวยาว ๆ มุ่งหน้าไปยังริมทะเลสาบ ตอนแรกผมตั้งใจจะเรียก แต่เมื่อคิดไปอีกที ค่อย ๆ เดินตามไปดีกว่าการมีภูเขาน้ำแข็งลูกโตเดินมาหลังมาอย่างก่อนหน้านี้

.........................................................................

   ด้านหลังต้นไม้ใหญ่มีเงาร่างหนึ่งยืนแอบมองชายสองคนที่เดินตามกันไปยังริมทะเลสาบ ชายคนหนึ่งเขาเคยเห็นหน้าตามาแล้ว ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับว่า ชายทั้งสองคนนั้นกำลังจะไปยังจุดที่เขาทิ้งศพเมื่อวันก่อน

   เขาออกจากที่ซ่อนค่อย เดินตามชายสองคนข้างหน้าไปห่าง ๆ และลอบสังเกตเห็นชายคนหนึ่งเดินสำรวจจุดที่เขาฆ่าจื่อหรง พร้อมกับถ่ายรูปไปด้วย เขาจึงเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อจะได้อ้อมไปด้านหลังเพิงเก็บของให้ได้ระยะใกล้กว่านี้ จนได้ยินทั้งสองคุยกัน

   “ดอกเตอร์เป็นนักโบราณคดียังไง ถึงได้แยกแยะหินแม่น้ำกับหินภูเขาไม่ออก”

   “ที่นายถืออยู่มันคือหินเชิร์ต เกิดจากการตกผลึกใหม่ เนื่องจากน้ำพาสารละลายซิลิกาเข้าไปแล้วระเหยออก ทำให้เกิดผลึกซิลิกาแทนที่เนื้อหินเดิม หินเชิร์ตมักเกิดขึ้นใต้ท้องทะเล”

   “ไม่เห็นต้องพูดจาให้เข้าใจยาก ๆ เลย”

   “เอาเป็นว่า มันก็คือหินแม่น้ำตามที่นายเข้าใจนั่นแหละ เพียงแต่รูปร่างมันไม่ได้มนกลม ไม่แปลกที่นายจะเข้าใจว่ามันคือหินภูเขา”

   “ทำไมผมไม่เคยเห็นหินแบบนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผมก็มาที่นี่ออกจะบ่อย”

   “เขาอาจจะเพิ่งเอามาประดับตกแต่งก็ได้”

   “ผมนึกว่าหินนี้มาจากแถว ๆ โกดัง”

   “นายติดใจอะไรกับโกดังตรงนั้นนักหนา”

   “พูดไปดอกเตอร์ก็ไม่สนใจหรอก”

   “นั่นมันโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “จริงสิ ผมมีเรื่องจะให้ดอกเตอร์ช่วย...” เขาเห็นชายอีกคนนิ่งเงียบ จากมุมที่เขายืนอยู่นั้น ไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนที่ถูกขอความช่วยเหลือได้ “ดอกเตอร์..”

   “ว่ามา ถ้าฉันช่วยได้ก็จะช่วย”

   “ผมอยากเข้าไปที่โกดัง F14”

   “นายจะเข้าไปที่นั่นทำไม”

   “ผมมีเรื่องสงสัยนิดหน่อย ดอกเตอร์ช่วยผมได้ไหม?”

   “อะไรที่นายสงสัย”

   “ผมบอกดอกเตอร์ไม่ได้”

   “ฉันก็คงจะช่วยนายไปได้”

   “ดอกเตอร์...”

   “นายตรวจสอบที่นี่เสร็จรึยัง?”

   “ยัง”

   “ถ้าอย่างนั้นก็เดินดูให้เสร็จ ๆ จะได้กลับไปพักผ่อน”

   ชายคนนั้นส่งขวดน้ำในมือให้อีกคน ก่อนจะเดินตรงมาทางเขา ซึ่งด้านนี้จะมีบันไดทางลงไปยังท่าน้ำ ชายอีกคนก็กำลังเดินตามมา ทำให้เขาต้องรีบหลบไปอีกด้านหนึ่งของเพิงเก็บของนี้

.........................................................................

   ต้วนเจียจงใช้เส้นสายในการสืบหานักข่าวคนนั้นได้สำเร็จ ทำให้รู้ว่านักข่าวคนนั้นเป็นคนเขียนคอลัมน์ข่าวรถบัสระเบิดซึ่งเกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวง นักข่าวคนนี้อยู่สายงานข่าวทั่วไป หนักไปทางด้านข่าวอาชญากรรม ดังนั้นการที่นักข่าวคนนั้นไปอยู่ที่นั่น อาจจะเป็นเพราะเขาตามสืบข่าวของฉินหรุยกวงอยู่

   เขากำลังนั่งดื่มไวน์พร้อมอ่านคอลัมน์ข่าวที่เขียนโดยหนานเฟ่ยซาน ในคืนนั้น เขาเห็นนักข่าวคนนั้นกำลังปีนลงมาจากลังที่ตั้งกองทิ้งไว้ เป็นไปได้มากกว่า มันถ่ายรูปคนในโกดังไปแล้ว

   “เจ้านาย” เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรไปรายงานในสิ่งที่เขาได้มา

   ‘ได้ความว่ายังไง’

   “นักข่าวคนนั้น ชื่อหนานเฟ่ยซาน อยู่ฝ่ายข่าวอาชญากรรม เขาน่าจะตามหรุยกวงไปที่โกดัง”

   ‘แล้วมันได้อะไรไปบ้าง’

   “มันน่าจะถ่ายรูปหรุยกวงกับนายในตอนนั้นได้”

   ‘เดี๋ยวฉันให้ซือหวูจัดการ’

   “ครับ” ทางปลายสายแทบจะตัดสัญญาณทันทีที่เขาตอบรับ

   ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะฉินหรุยกวงดันมาตายไปตอนนี้ เท่ากับว่า นักข่าวคนนั้นต้องสงสัยนายของเขาเป็นแน่ และอาจจะมาที่โกดังอีกก็เป็นได้

   “นี่ฉันเอง”

   ‘อือ’

   “หนูตัวนั้นอาจจะสร้างปัญหา”

   ‘นายว่ายังไง’

   “เห็นว่าจะให้จัดการ”

   ‘ได้ ฉันจะรอคำสั่งอีกที’

   “แต่... ฉันอยากให้สืบก่อนว่า หนูตัวนั้นนอกจากถ่ายรูปของนายกับหรุยกวงได้แล้ว มันยังได้อะไรไปอีกบ้าง”

   ‘เข้าใจแล้ว ฉันจะสืบให้’

   “ขอบใจ” ทางปลายสายวางหูไปแทบจะทันที เสียงพูดที่ฟังก็รู้ว่าน่าจะซุ่มดูใครบางคนอยู่ แต่ก็มีแก่ใจรับสายจากเขา

   “พี่เจียจง ฉันติดต่อคุณเยียนไม่ได้อีกแล้ว” เสียงร้องเรียกมาพร้อม ๆ กับเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น ตามด้วยร่างระหงของหญิงสาว

   “หึ ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะอาเยว่ คุณเยียนอาจจะอยู่กับคุณนายเยียนก็ได้” เขาวางแก้วไวน์ลง ก่อนรั้งให้หญิงสาวลงมานั่งข้าง ๆ

   “ไม่จริงหรอก คุณเยียนนะ เขาเบื่อยัยคุณนายนั่นจะตาย ครั้งก่อนคุณเยียนยังบ่นอยู่เลย ว่าคุณนายหนีไปปฏิบัติธรรมที่วัดต้าเจวี๋ยอีกแล้ว”

   “เธอรู้อะไรมาก็อย่าพูดมาก แล้วสำนึกไว้ว่าเธอก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งของคุณเยียนเขา จะเอาแต่ใจยังไงก็ให้มันอยู่ในขอบเขต”

   “ชิ พี่ก็พูดแบบนี้ทุกที เป็นเพราะพี่นั่นแหละที่ทำให้ฉันเคยตัว” หญิงสาวทำหน้ากระเง้ากระงอดราวกับไม่พอใจคำเตือนของเขา แต่ก็ยังซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขาราวกับจะออดอ้อน

   “ฉันเตือนเพราะฉันหวังดี แล้วเรื่องคุณโฮวนั่นอีก ฉันรู้นะ ว่าเธอแค่หลอกเขาไปวันๆ แต่ถ้ารู้ถึงหูคุณเยียนเมื่อไร ทั้งเธอทั้งคุณโฮวอะไรนั่น อย่าหวังว่าจะรอดไปได้”

   “ไม่ต้องมาขู่ฉันเลย หมอนั่นก็แค่เพื่อนแก้เหงาพี่ก็รู้”

   “เธอก็เป็นซะแบบนี้ ป๊าถึงได้ไม่ยอมรับเธอไง”

   “ช่างผู้ชายคนนั้นปะไร ฉันมีพี่คนเป็นครอบครัวคนเดียวก็พอแล้ว อีกอย่างฉันคงไม่เหมาะจะไปปั้นหน้าตาชูคออยู่ในสังคม ทำตัวเป็นไฮโซเซเลปอย่างพี่ได้หรอกนะ มันไม่ใช่ฉัน” เธอยันตัวออกจากเขาและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

   “อาเยว่ ฉันไม่อยากให้เธอคิดแบบนี้ ยังไงเธอก็เป็นลูกของป๊าคนหนึ่ง เป็นน้องสาวฉัน”

   “แต่พี่ก็รู้ว่าฉันเป็นลูกที่เขาไม่ยอมรับ ฉันมีแค่พี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว พี่ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ทำงานของพี่ไปเถอะ ฉันไม่กวนพี่แล้ว” หญิงลุกขึ้น จัดชุดกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินออกไป

   “นั่นเธอจะไปไหน ไม่ค้างที่นี่เหรอ?”

   “ไม่ละ ว่าจะออกไปเที่ยวสักหน่อย” เธอยิ้มให้

   “ไปกับใคร?”

   “พี่ก็รู้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องถามเลย” หญิงสาวหยุดเพื่อตอบเขาที่หน้าประตู ก่อนเดินออกจากห้องไป

   มันเหมือนกับสวรรค์เล่นตลก ที่ให้เขาไปพบและรักน้องสาวคนนี้ ทั้งๆ ที่เธอเป็นเพียงลูกของหญิงบริการคนหนึ่งเท่านั้น กว่าจะตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์กันเรียบร้อย น้องสาวคนนี้ก็อายุ 14 ปีเข้าไปแล้ว แต่เมื่อความจริงปรากฏต่อหน้า ป๊าของเขาก็ยังไม่เหลียวแลเธอ จนเป็นเขาที่เลี้ยงน้องสาวคนนี้มา

   เขาอยากจะชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้กับฉี่เยว่ ตั้งใจจะหายสามีที่ดีให้กับเธอ จึงนัดเธอไปทานข้าวกับเขาพร้อมเหมิ๋นหยวนฮางที่โรงแรมฝู่ แต่ดอกเตอร์หนุ่มกลับติดพายุทะเลทรายกลับมาที่มาเก๊าไม่ได้ และในวันนั้นก็เป็นวันที่ฉี่เยว่ได้เจอกับเยียนจูเฟิง

   ในเมื่อนายพึงพอใจในตัวเธอ และเธอก็ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจที่ได้ปรนนิบัติคนอย่างนาย เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ หวังเพียงว่าจะฉี่เยว่จะไม่เอาแต่ใจจนเกินไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับนายของเขา

.........................................................................

   ผานกู่มองบอร์ดภายในห้องประชุม ที่ติดรายละเอียดและเบาะแสการสืบคดี ซึ่งตอนนี้ดูจะยุ่งเหยิง ซับซ้อนไปหมด เริ่มจากฉินหรุยกวงที่เหมือนจะเป็นเหยื่อของคดีรถบัสระเบิดแต่ก็กลับเป็นผู้ต้องสงสัยในหลาย ๆ คดี ซึ่งตอนนี้ก็ตายไปเพราะทะเลาะกับจื่อหรง ซึ่งทั้งสองคนเหมือนจะไปพัวพันกับคดีคนหายอีก

   หวงกังโห พ่อค้ายาเสพติด เจ้าของผับชื่อดังหลายแห่ง ผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายหนานเฟ่ยซานกลับกลายเป็นเหยื่อในคดีฆ่ารัดคอ และอีกคนก่อนหน้าอาจจะเป็นคนของหวงกังโหส่งมาฆ่าปิดปากลูกน้องของตัวเองถึงในห้องขัง ดูเหมือนทั้งสองคดีนี้จะมาถึงทางตัน ไม่รู้จะสืบต่อไปในทิศทางไหน

   “พี่กู่อยู่นี่เอง”

   “ได้ผลชันสูตรของหวงกังโหรึยัง”

   “ผมก็กำลังจะเข้ามาบอกพี่นี่แหละ”

   “ว่ามา”

   “สาเหตุการตายครั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกรัดคอ แต่เพราะถูกให้อดอาหารจนตาย จากนั้นฆาตกรค่อยรัดคอศพแล้วเอามาทิ้งที่ตึกร้าง”

   “เหยื่อรายอื่น ๆ มักจะได้กินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนตาย แต่ทำไมหวงกังโหถึงไม่ได้...”

   “จื่ออู่” เหยินหยางผิงเดินพรวดพราดเข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของเขา “พี่กู่” ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อเห็นเขา

   “จะเสียงดังทำไม อยู่กันแค่นี้” เขาเหมือนจะเห็นความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของสองคนนี้

   “ก็ฉันหานายไม่เจอ นี่ผลวิเคราะห์” เหยินหยางผิงส่งเอกสารให้กับจื่ออู่เพิ่มอีก 2-3 แผ่น คนตัวเล็กกว่าอ่านรายงานอย่างรวดเร็ว

   “ผมว่า ผมได้คำตอบให้พี่แล้วละพี่กู่ จากผลวิเคราะห์ที่หยางผิงเอามาให้ บอกว่า บาดแผลบริเวณลำคอ ต่างจากเหยื่อรายอื่น ๆ ฆาตกรดูเหมือนจะโกรธแค้นหวงกังโหมาก จึงลงมือกับศพรุนแรง แผลที่ได้จึงแหวะหวะกว่าศพรายอื่น ๆ”

   “ผมลองเอาผลนี้ไปให้ฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมตรวจสอบดู ในรายงานที่ได้มาก็ระบุว่า ฆาตกรรายนี้สนุกกับการได้ทรมานเหยื่อ เขาจะเล่นบทเป็นพระเจ้าคอยกุมชีวิต ให้ความหวัง ก่อนที่จะฆ่าให้ตายอย่างทรมาน ฆาตกรมักจะทิ้งสิ่งของไว้กับศพ ทางฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ตายหวงแหน” หยางผิงช่วยเสริม

   “ดูโรคจิตไม่เบา คงจะคืนให้กับผู้ตายเหมือนการไถ่บาปสินะ”

   “ผมว่าไม่ใช่การไถ่บาปหรอก น่าจะมีจุดประสงค์อื่นมากกว่า” จื่ออู่ออกความเห็น

   “อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้น” หยางผิงขมวดคิ้วถาม

   “ก็ดูอย่างศพรายสุดท้าย หวงกังโห ข้างศพเป็นพวงกุญแจเดซี่ดั๊ก มันดูไม่เข้ากับหมอนั่นเลย พี่ไม่คิดว่าแปลกเหรอ”

   สิ่งที่เหมี่ยนจื่ออู่พูดมามีเหตุผลไม่น้อย จากที่สืบประวัติหวงกังโหมา หวงกังโหไม่มีลูกหรือภรรยา แล้วเขาจะพกพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนั่นติดตัวทำไม

   “เอาอย่างนี้ บอร์ดตรงนั้นว่างอยู่ พวกนายสองคนช่วยกันรวบรวมข้อมูลของเหยื่อ สถานที่พบศพ แล้วก็สิ่งที่ฆาตกรวางทิ้งไว้ข้างศพ อ่อ รวมถึงอาหารมื้อสุดท้ายที่เหยื่อได้กินด้วย มาลองไล่กันใหม่อีกสักครั้ง”

   “ครับ/ครับ”

   ทั้งสองคนเดินจากห้องไปเพื่อเตรียมข้อมูลของเหยื่อทั้งหมด ในเวลาไม่ถึงสองเดือนฆาตกรรายนี้ฆ่าไปแล้ว 6 ศพ ถึงจะรู้ว่าสถานที่ที่เหยื่อหายไป แต่ก็ยังสืบไม่ได้เบาะแสอะไรอยู่ดี และตั้งแต่เขาทำคดีมานี่คงจะถือได้ว่า เป็นคดีที่มีเหยื่อมากที่สุดแล้วกระมัง

To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 24 ---ll--- 03-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 03-06-2019 21:45:37
24





   ผมตื่นแต่เช้า จึงออกมาวิ่งที่สวนสาธารณะ หรืออันที่จริง เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยจะหลับมากกว่า หลับตาก็เห็นแต่ใบหน้านิ่ง ๆ ภายใต้กรอบแว่นสีทองนั่น ไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไรว่าผมคิดมากเรื่องของเขา มัน...ไม่เข้าใจ...สงสัย...นี่ขนาดผมวิ่งอยู่แบบนี้ ในหัวของผมยังสลัดเรื่องของดอกเตอร์โพลาไอซ์ไปได้จริง ๆ

   “โถ่เว้ย...” ผมได้แต่ยืนหอบ มือข้างหนึ่งก็ท้าวกับต้นไม้ไว้ นี่ผมวิ่งมานานเท่าไรแล้วเนี่ย พอหยุดวิ่งกะทันหันแบบนี้ ร่างกายผมของผมเหมือนจะร้อนขึ้น ไอร้อนที่แผ่ออกมามันทำให้ผมรับรู้ได้

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมหันไปมองตามเสียง เห็นชายร่างสูงคนหนึ่ง หน้าตาคุ้น ๆ เหมือนเคยเจอที่ไหน หยุดปั่นจักรยานเพื่อถามผม

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “อย่าหักโหมสิครับ ถึงเวลามันจะกระชั้นชิดมาแล้ว แต่ซ้อมหนักแบบนี้ เกิดบาดเจ็บขึ้นมา มันจะไม่คุ้มกับที่เสียเวลาซ้อมไปนะครับ”

   “ซ้อม?”

   “ใช่ครับ ซ้อมวิ่ง คุณไม่ใช่นักวิ่งเหรอ?”

   “หา?”

   “อ่าว ผมคงเข้าใจผิด” ชายร่างสูงที่ค่อมจักรยานอยู่ เกาแก้มแก้เก้อ ๆ

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมแค่อย่างวิ่งเรียกเหงื่อ สมองจะได้ปลอดโปร่งน่ะครับ”

   “อืม แต่คุณดูหน้าซีด ๆ นะครับ จะเป็นลมรึเปล่า” ชายคนนั้นลงจากจักรยานแล้วจูงเข้ามาใกล้จุดที่ผมยืนอยู่

   “คงเสียเหงื่อมากไปหน่อย เลยกระหายน้ำน่ะครับ”

   “เอาของผมไปก่อนสิครับ” ชายคนนั้นส่งขวดที่ที่ติดอยู่กับโครงจักรยานยื่นมาให้ผม “ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ น้ำดื่มสะอาด ไม่มีสารเจือปน ปลอดภัยครับ”

   “เออ ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือออกไปรับน้ำมาดื่ม มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก

   “ผมว่าผมคุ้นหน้าคุณนะ คุณใช่คนที่ร้านสะดวกซื้อนั่นรึเปล่า?”

   “ร้านสะดวกซื้อ?”

   “ก็ร้านที่ใกล้ ๆ กับตึกที่เจอศพคนตายเมื่อคืนนี้ยังไงละครับ”

   “อ่อ เป็นคุณนั่นเอง”

   “คุณมาวิ่งไกลนะครับ หรือเป็นเพราะข่าวที่ตำรวจเจอศพที่สวนนัมกวง”

   “ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้อยู่แถวนั้น ผมพักอยู่ใกล้ ๆ สวนนี้นั่นแหละครับ”

   “อ่าว ผมเข้าใจผิดอีกแล้วเหรอครับเนี่ย แย่จริง”

   “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ ผมมาวิ่งที่นี่บ่อยๆ ไม่เคยเห็นคุณเลย”

   “ผมเหวยเต๋อ เรียกอาเต๋อก็ได้ครับ”

   “อ่อ ผมหนานเฟ่ยซานครับ เฟ่ยซาน”

   “ที่คุณไม่เคยเห็นผมก็ไม่แปลกเหรอครับ ก็ผมเพิ่งซื้อจักรยานมาใหม่ ผมเป็นคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไรน่ะครับ เอาไว้ขี่อวดสาวมากกว่า”

   “อย่างนั้นเองเหรอครับ คุณมาขี่จักรยานที่นี่ แสดงว่าพักแถว ๆ นี้ด้วยสินะครับ”

   “ใช่แล้วครับ คอนโดผมอยู่นั่น ทั้งที่จากห้องของผมก็มองลงมาเห็นสวนนี่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะลงมาวิ่งสักที ขี้เกียจน่ะครับ”

   “ดูจากรูปร่างแล้ว คุณก็ดูไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลยนะครับ” ใช่แล้วคนตรงหน้าผมรูปร่างนี่ น้อง ๆ ดอกเตอร์... ผมนึกถึงเขาอีกแล้ว

   “คุณเป็นอะไรรึเปล่า เวียนหัว หน้ามืดรึเปล่า”

   “อ่อ... ไม่เป็นไรครับ”

   “คุณนี่ตลกดีนะครับ หน้าเปลี่ยนสีได้ตลอดเลย”

   “ตลก?”

   “ขอโทษครับ ถ้าผมพูดตรงเกินไป อาจจะเสียมารยาทไปบ้าง”

   “ช่างมันเถอะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำดื่มนะครับ เดี๋ยวที่หน้าสวนมีร้านขายน้ำ ผมจะซื้อคืนให้นะครับ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ อีกอย่าง ผมคงไม่ได้ลงมาปั่นจักรยานแล้วละครับ”

   “อ่าว ทำไมละครับ”

   “ก็ดูเอาสิครับ” ผมมองรอบ ๆ สวนตายเหวยเต๋อ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก “ไม่เห็นจะมีสาว ๆ มาวิ่งสักคน ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะไปขี่อวดสาวที่ไหน”

   “หา?”

   “อันที่จริง ผมน่าจะลองไปว่ายน้ำที่สระของคอนโดนะ อืม...ท่าจะดีกว่า”

   ผมมองสำรวจเหวยเต๋อ โดยรวมแล้วเขาก็...แต่งตัวมาซะเต็มยศ เหมือนมาอวดสาวจริงๆ ท่าทางสำอาง ที่สำคัญ ไม่มีเหงื่อสักหยด

   “อ่ะ ผมคนจะพูดมากเกินไป คุณรำคาญผมรึเปล่า เราเพิ่งจะเจอกันแท้ ๆ”

   “ก็...”

   “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงกาแฟ เพื่อเป็นการขอโทษก็แล้วกัน แถว ๆ สวนมีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่ง”

   “เฮ้ย!! ”

   “จริงสิ เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน จักรยานผม คุณก็ซ้อนไม่ได้นี่นะ ซื้อมาก็แพง ดันนั่งได้คนเดียว ดูจะไม่ค่อยคุ้มซะแล้วสิ” เหวยเต๋อเดินไปพูดไปอยู่คนเดียว ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย “เฟยซาน มาเร็วสิ”

   “อ่อ อืม” มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปกับหมอนั่นหน่อยก็แล้วกัน

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮางได้รับรายงานจากจู้ชุนว่า ทางตำรวจยกเลิกคนคอยคุมกันหนานเฟยซานแล้ว เนื่องจากพบศพหวงกังโห ผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกาย

   “ดอกเตอร์จะให้ผมจัดคนเพื่อตามเฟ่ยซานต่อไหมครับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวใช้คนของเหมิ๋นดีกว่า”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมคงจำเป็นต้องถอยจากเรื่องนี้แล้ว ดอกเตอร์คงจะไม่ว่าอะไรนะครับ”

   “อืม”

   “รวมถึงเรื่องในสถานี”

   “เรื่องคดีที่พวกนายทำกันอยู่ ฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่าย ฉันสนใจแต่หนานเฟ่ยซาน”

   “รายนั้นน่ะตัวดีเลย เอาตัวไปพัวพันกับทุกคดี”

   “หมอนั่นจะสืบอะไรก็สืบไป ฉันก็แค่ให้คนตามดูเท่านั้น”

   “ครับ ผมก็ไม่อยากให้คุณเข้ามาพัวพันกับคดี เดี๋ยวคุณฝู่จะมาตำหนิผมเอาได้”

   “ฉันเข้าใจดี”

   “หมดธุระแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

   “เชิญ”

   จู้ชุนเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปแล้ว เหมิ๋นหยวนฮ่างจึงเปิดคอมเพื่อดูบันทึกกล้องวงจรปิดที่ลุงคีพ่วงให้กับเขา ดูย้อนไปในวันที่เฟ่ยซานเป็นลม ซึ่งเมื่อดู ๆ ไปเขาก็ไม่เข้าใจว่าหนานเฟ่ยซานสงสัยอะไรเกี่ยวกับโกดังโซน F จนเมื่อย้อนกลับไปดูอีกวันหนึ่ง

   “โกดังของ...เจียจง?”

   ภาพที่เห็นคือรถบรรทุกจำนวนหลายคัน วิ่งวนจากโกดังที่เข้าพบหนานเฟ่ยซานไปยังโกดังของต้วนเจียจง และนี่คงเป็นสาเหตุที่หนานเฟ่ยซานขอให้เขาพาเข้าไปที่โกดัง F14

   เขาและต้วนเจียจงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้รู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี เพื่อนของเขาคนนี้ มีเรื่องที่ให้ความสำคัญอยู่ไม่กี่เรื่อง ถ้าไม่ใช่เรื่องของเล่น ก็เรื่องน้องสาวต่างมารดา

   จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจียจงทำตัวเป็นพ่อสื่อ ต้องการให้เขาพบน้องสาว คอยพูดแต่เรื่องน้องว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ น่าสงสารอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงขั้นหลอกเขาเพื่อจะนัดดูตัวก็เคยมาแล้ว ยังดีที่เขาติดพายุ ทำให้ไม่สามารถไปตามนัดได้ และหลังจากนั้นเขาก็พูดเรื่องนี้กับต้วนเจียจงตรง ๆ ว่าเขาไม่พร้อมจะดูแลใคร

   “นายคงไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีใช่ไหม เจียจง”

.........................................................................

   ตู้เห่ามารอจู้ชุนอยู่แถวโกดัง F14 เขาขับรถวนมา 1-2 รอบเพื่อจดจำโกดังที่ต้องสงสัย จากภาพถ่ายที่ได้จากหนานเฟ่ยซาน เด็กชายที่หายไปน่าจะอยู่ที่โกดังไหนสักแห่งที่นี่

   “นายอยู่ไหนแล้ว”

   ‘อืม...แถว ๆ โกดัง F44 แล้วนายละ’

   “F23”

   “นายจอดรถรอฉันก่อน อีก 10 นาที น่าจะเจอกัน”

   ‘นายรายชื่อมาไหม? ’

   “ได้มาแล้ว”

   เขานั่งรอจู้ชุนไม่นาน จู้ชุนก็มาจอดรถต่อท้ายเขา ก่อนจะย้ายมานั่งข้าง ๆ

   “ดูรายชื่อแล้วมีโกดังไหนน่าสงสัยไหม?”

   “ไม่มีเลย แล้วก็โกดัง F13-14 ของต้วนเจียจง ทางนั้นก็แจ้งขออนุญาตที่ออฟฟิศไปแล้ว ว่าบริษัทฯ ของปรับปรุงโกดัง ดังนั้นรถบรรทุกคนงานเข้าออกเลยไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วยังเรื่องที่โกดัง F23 ขนของไปโกดัง F14 นั่นอีก เจ้าของโกดังประกาศขายเครื่องใช้สำนักงานบางส่วนผ่านทางออฟฟิศ มีหลายโกดังที่นี่ซื้อของต่อจากโกดังนี้ รวมทั้งโกดังของต้วนเจียจงด้วย”

   “เขาขายอะไรออกไปบ้าง?”

   “เท่าที่รู้ ทางออฟฟิศเยี่ยนหวอเอง ซื้อรถโฟลคลิฟต์จากที่นี่ไป 4 คัน ส่วนของที่อื่นนั้นมันเป็นการตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทางออฟฟิศไม่รู้ว่าใครซื้ออะไรไปบ้าง”

   “นายได้รายชื่อโกดังอื่น ๆ ที่รับซื้อของจากโกดัง F23 ไหม?”

   “ไม่มีเลย อย่างที่บอก ว่ามันเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทางออฟฟิศไม่มีข้อมูล”

   “นี่เราต้องไล่ถามไปตามทีละโกดังเลยหรือไง”

   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้าดูจากรายชื่อที่ได้มา นายดูนี่” จู้ชุนเปิดเอกสารให้เขาดู “นี่ไง อย่างที่นี่เป็นแค่คลังเก็บสินค้า เราก็ไม่ต้องไปตรวจสอบ” จากนั้นจู้ชุนเปิดไล่มาหน้าถัดไป “แต่ที่นี่เป็นทั้งศูนย์กระจายสินค้า และสถานที่ผลิต เราก็ต้องไปที่ตรวจสอบ”

   “แล้วเราต้องไปตรวจสอบกันกี่ที่ล่ะ ท่าทางแค่ฉันกับนายสองคน คงไม่ทันแน่ๆ”

   “ก็ต้องกลับไปที่สถานี ตรวจสอบรายชื่อบริษัทฯ ต่างๆ ที่มาเช่าโกดังก่อน ถึงจะตอบได้ ฉันไม่ได้รู้จักไปทุกบริษัทฯ หรอกนะ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้าย แล้วไปเจอกันที่สถานี”

   “นายกลับไปก่อนแล้วกัน ฉันว่าจะแวะไปเยี่ยมกัมหงสักหน่อย เห็นว่าอาทิตย์หน้าไอ้หมีนั่นจะกลับไปพักที่บ้านแล้ว”

   “กัมหงคงจะยอมอยู่บ้านเฉย ๆ หรอก”

   “เอาไว้เดี๋ยวฉันหาที่นอนให้ไอ้หมีนั่นสักห้องในสถานีก็แล้วกัน” จู้ชุนพูดติดตลกก่อนลงจากรถเขาไป

   ตู้เห่าได้แต่คิดว่า จากคดีที่เดิมคิดว่าเป็นคดีคนหายธรรมดา ๆ ตอนนี้อาจจะไม่ใช่ซะแล้ว ในเมื่อทั้งเผิงฟง และมู่เฉินเคยมาที่โกดัง F23 แห่งนี้ ฉินหรุยกวงก็อยู่ที่นี่ก่อนเสียชีวิต ตู้เห่ามองเข้าไปในโกดัง F23

   “ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”

.........................................................................

   โฮวจีเจียนเดินเข้ามาที่แผนกของหนานเฟ่ยซานอย่างอารมณ์ดี เพราะช่วงนี้เขาทำอะไรก็ถูกใจน้องฉี่เยว่ไปหมด ถึงเขาจะตามจีบและคบหาใจกันมาไม่ถึง 3 เดือน แต่ทั้งเขาและเธอก็เข้ากันได้ดี

   “น้องหนาน ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปเลยนะ” เขาเข้าไปทักทายหนานเฟ่ยซานอย่างอารมณ์

   “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย ว่าแต่นาย อารมณ์ดีแบบนี้ บก. เลิกแช่แข็งนายแล้วเหรอไง?”

   “นั่นไม่ทำให้ฉันดีใจเท่าเรื่องน้องฉี่เยว่หรอกนะ”

   “ถ้าจะไม่ผิด นายเพิ่งจีบเขาไม่กี่เดือน”

   “คบกันแล้วด้วย”

   “ก็แค่คบกัน”

   “นี่น้องหนาน น้องรัก นายควรจะร่วมดีใจกับพี่โฮ่วคนนี้ถึงจะถูก ไม่ใช่มาพูดตัดกำลังใจกันแบบนี้”

   “เอาละ ๆ นายมาหาฉันถึงที่แผนก คงไม่ได้แวะมาคุยเรื่องน้องฉี่เยว่อย่างเดียวใช่ไหม?”

   “นายนี่ รู้ใจฉันไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

   “ตกลงนายมาเรื่องอะไร”

   “คืนพรุ่งนี้มีงานเปิดตัวเรือเฟอรี่ลำใหม่ของไลออนเฟอร์รี่ นายไปขึ้นเรือแทนฉันหน่อยสิ”

   “งานแบบนี้ ทำไมนายไม่ชวนน้องฉี่เยว่ไปเดทละ”

   “ตอนแรกก็ชวนนะ เรือหรูหราขนาดนั้น แต่ฉี่เยว่เขาไม่ค่อยสบาย กลัวเมาเรือแล้วจะไม่สนุก”

   “อืม เดี๋ยวฉันไปแทนให้”

   “นายอย่าไปบอกตาแก่หยุนละ”

   “ฉันเคยบอก บก. ที่ไหน มีแต่นายแหละ หลุดปากเองทุกที”

   “นายก็อย่าไปเหยียบหางใครเหมือนคราวที่แล้วละ ยิ่งคนนี้นายอย่าไปทำให้เขาไม่พอใจก็แล้วกัน” เขาชี้ไปที่หนเาจอคอมพิวเตอร์ที่หนานเฟ่ยซานเปิดข้างอยู่ ในรูปมีชายสองคนยืนอยู่ข้างกัน คนหนึ่งเขาแค่คุ้นหน้า แต่ไม่ได้สนใจ กลับชี้ไปที่อีกคน

   “นายรู้จักคนคนนี้ด้วยเหรอ”

   “นายเพิ่งจะมาตื่นเต้น? จะไปขึ้นเรือของเขาอยู่พรุ่งนี้แล้ว แต่ก็ดี นายจะได้หาข้อมูลของเขาไว้ก่อนเผื่อฟลุ๊กเขาให้นายสัมภาษณ์ขึ้น ฉันไปละ”

   โฮ่วจีเจียนเดินออกมาจากแผนกอย่างอารมณ์ดี และไม่คิดว่าหนานเฟ่ยซานจะดูตื่นเต้นกับการทำงานแทนเขา สงสัยจะชอบบรรยากาศบนเรือเฟอร์รี่

To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 25 ---ll--- 10-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 10-06-2019 15:25:30
25


   หลังจากรู้ว่าคนในรูปอีกคนเป็นใคร ผมก็ค้นบทความเก่า ๆ ที่โฮ่วจีเจียนเป็นคนเขียนในฐานข้อมูลออกมา ผมเลือกอ่านเฉพาะบทความเกี่ยวกับ บริษัท ไลน์ออนเฟอรี่ เท่านั้น ถึงจะคัดเลือกมาแล้ว แต่บทความที่โฮ่วจีเจียนเขียนเกี่ยวกับบริษัทฯ นี้ก็มีไม่ใช่น้อย

   จากข้อมูลที่อ่านพบ บริษัท ไลน์ออนเฟอรี่ เป็นของ เยี่ยนจูเฟิง เขาเป็นนักธุรกกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรง รับช่วงที่ต่อกิจการจากพ่อ และต่อยอดธุรกิจจากแค่เรือข้ามฟาก มาเป็นธุรกิจอู่ต่อเรือขนาดใหญ่ภายในเวลาเพียง 4-5 ปี หลังจากเข้ามาดูแลกิจการแทน

   ข่าวที่โฮ่วจีเจียนเขียน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจ ตั้งแต่เรือข้ามฟาก เรือยอชต์ เรือเฟอรี่ รวมไปถึงเรือสำราญ แม้กระทั่งเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ บางส่วนก็ยังเป็นของเยี่ยนจูเฟิง

   “ฉินหรุยกวง... เยียนจูเฟิง... เรือขนส่งสินค้า...โกดัง...ท่าเรือที่ 5...”

   ผมพยายามเขียนสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา สัญชาตญาณความเป็นนักข่าวของผมมันบอกว่า สองคนนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ผมยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้

   “ต้วนเจียจง...ของเล่นนำเข้า...ก็ต้องใช้เรือขนส่งสินค้า...โกดัง...ท่าเรือที่ 5...” ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ คนนำเข้าสินค้ายังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับเยียนจูเฟิงทั้งนั้น มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ “โกดัง...ท่าเรือ...คนหาย...ค้ามนุษย์!! ”

   ถ้าเป็นอย่างที่ผมคาดเดาจริง ถ้าอย่างนั้นก็รอช้าไม่ได้ หากเป็นการค้ามนุษย์ ค้าทาสจริง ๆ พวกเด็กๆ และผู้หญิงที่หายตัวไป ป่านนี้ไม่ถูกส่งตัวออกนอกประเทศไปแล้วเหรอ? ผมรีบเก็บของแล้วคว้ากระเป๋าเพื่อไปหาพี่กู่ที่สถานีทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้ามาภายในโรงแรม ทางพนักงานก็รีบเดินมาหาเขา เพื่อพาไปยังห้องรับรองห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปเขาก็พบแต่พนักงานของโรงแรมที่คอยให้บริการอยู่

   “ม๊าละ?”

   “คุณลิลลี่ออกไปส่งแขกค่ะ เดี๋ยวคงกลับเข้ามา” เขามองไปรอบ ๆ พนักงานกำลังเก็บแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะออกไป ก่อนจะเตรียมชุดใหม่ให้กับเขา

   “แล้วเตี๋ยละ วันนี้เขามาไหม?”

   “ท่านรองไปประเทศไทยค่ะ”

   “ประเทศไทย? ... ไปทำไม?” หรือจะไปเรื่องของเจมส์

   “ท่านไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ แล้วก็ไม่ให้ทางเราพูดออกไป ถ้าไม่ใช่คุณลิลลี่หรือดอกเตอร์”

   “เข้าใจแล้ว เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ”

   “ดิฉันขอตัว”

   เขานั่งเอนลงตรงโซฟายาว จากนั้นพนักงานก็รินไวน์มาตั้งไว้ให้เขา ก่อนจะไปยืนรอให้บริการอยู่ด้านข้าง ไม่นานแม่ของเขาก็เดินเข้าห้องมา เขาจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง

   “ม๊า”

   “ม๊าคงคุยได้แป๊บเดียวแล้วละ มีทัวร์กลุ่มใหญ่มาลงที่กาสิโน อีกไม่กี่นาทีก็จะมากันแล้ว ม๊าคงต้องออกไปต้อนรับ”

   “ช่วงนี้ม๊าดูแลที่นี่คนเดียว จะให้ผมมาช่วยรึเปล่า”

   “ไม่ต้อง ม๊าแค่ต้องการให้ลูกไปเป็นเพื่อนแม่ คืนพรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวเรือลำใหม่ของคุณเยียน เดิมทีคุณเยียนเขาเชิญหงส์กับอาเถิงไปร่วมงาน”

   “ผมเข้าใจแล้ว แสดงว่าเรือลำนี้ มีกาสิโนของเราอยู่ด้วย ม๊ากับผมจึงต้องไปแทน”

   “ใช่ เรือจะออกไปวนอยู่ที่อ่าววิกเตอร์เรีย แล้วก็จะแล่นเข้าฝั่งราว ๆ เที่ยงคืน”

   “ได้ครับ แล้วให้คนของเหมิ๋นขึ้นไปด้วยไหม?”

   “คงไม่ได้ คนที่จะขึ้นได้ต้องมีบัตรเชิญเท่านั้น ทางนั้นให้เรามีผู้ติดตามไปได้แค่ 6 คน ม๊าจัดคนของฝู่ไว้แล้ว”

   “น้อยไป”

   “ม๊ารู้ แต่ดีแล้วที่หงส์กับอาเถิงไม่ได้ไป”

   “แล้วใครจะดูแลที่นี่ระหว่างที่ม๊ากับผมอยู่บนเรือละ”

   “ไม่ต้องห่วง แม่บอกอาไฉ๋ไว้แล้ว”

   “ครับ”

   “ม๊าไปเตรียมต้อนรับลูกค้าก่อนนะ”

   “ม๊าพักผ่อนบ้างนะ ผมเป็นห่วง”

   “ถ้าห่วงก็หาสะใภ้ให้ม๊าสักคนสิ จะได้มาช่วยดูแลม๊ายังไงละ”

   ม๊าของเขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ ก่อนจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมา พนักงานจะเติมไวน์ให้เขา แต่เขาปฏิเสธ ก่อนที่จะลุก แล้วเดินออกจากห้องรับรองไป

.........................................................................

   หลังจากที่จู้ชุนได้รายชื่อบริษัทฯ ทั้งหมดที่เช่าโกดังของเยี่ยนหวอมาแล้ว เหยินหยางผิง และ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เข้ามาช่วยตรวจสอบ จนกระทั่งได้รายชื่อบริษัทฯ ที่น่าจะซื้อสิ่งของต่อจากบริษัท วิงเฮงยิมที่เช่าโกดัง F23

   “เหลืออยู่แค่ 15 บริษัทฯ ที่ต้องตรวจสอบ” จู้ชุนสรุป

   “ถ้าอย่างนั้นแบ่งกันไปเป็นสองกลุ่ม ฉันกับตู้เห่า หยางผิงไปกับจื่ออู่”

   “ได้ ตกลงตามนี้”

   “เดี๋ยวก่อนหยางผิง นายอย่าเพิ่งใจร้อน ตอนไปตรวจสอบเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ทางนั้นไหวตัวทัน นายกับจื่ออู่ต้องพูดทำนองว่ามาตามหาบริษัทฯ ที่รับซื้อของโจร ห้ามเอ่ยถึงบริษัทฯ วิงเฮงยิมเด็ดขาด”

   “ทำไมละ พี่เห่า”

   “นายก็ได้ยิน ที่เฟ่ยซานอนุมานแล้ว หากมันเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์จริง ก็เป็นไปได้ว่าพวกมันไม่ได้ซ่อนคนไว้ที่โกดัง หากมันไหวตัวทัน ฉันเกรงว่าเด็ก ๆ พวกนั้นจะไม่ปลอดภัย”

   “จริงของพี่”

   “ถ้าอย่างนั้นเราก็แยกย้ายไปตรวจสอบได้ นายสองคนไปตรวจดูตามโกดังของบริษัทฯ พวกนี้” จู้ชุนสรุปอีกครั้งก่อนจะส่งเอกสารให้เหยินหยางผิงรับไป

   “เอา นายเอาไปอ่านดู เดี๋ยวฉันขับรถให้ บอกทางด้วยแล้วกัน” เหยินหยางผิงส่งต่อเอกสารให้เหมี่ยนจื่ออู่ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุมเป็นคนแรก ตามด้วยเหมี่ยนจื่ออู่

   “ดีนะที่สองคนนี้ไม่ทะเลาะกันเหมือนแต่ก่อน ดูจะเป็นคู่หูที่เข้ากันได้” ตู้เห่าเปรยขึ้นมา

   “เดี๋ยวพี่เห่าไปรอที่รถก่อน ผมขอโทรหาใครบางคนแป๊บหนึ่งแล้วจะตามไป”

   “แค่ไปตรวจสอบที่โกดัง ไม่ต้องให้สายแฝงตัวเข้าไปหรอก”

   “ไม่ใช่เรื่องโกดังหรอกพี่ เรื่องที่พี่กู่กับเฟ่ยซานจะขึ้นเรือคืนนี้ต่างหาก ผมสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้ กลัวว่าเฟ่ยซานจะไปก่อเรื่อง”

   “อืม งั้นนายไปจัดการเรื่องของนายเถอะ เดี๋ยวฉันไปรอที่รถ”

   ตู้เห่าเดินออกไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยินสิ่งที่เขาจะคุยกับทางปลายสาย เขาจึงโทรหาเหมิ๋นหยวนฮ่าง

   “ดอกเตอร์ ผมเอง”

   ‘จู้ชุน? ’

   “คุณนายเหมิ๋นได้รับเชิญให้ขึ้นเรือด้วยใช่ไหมครับ”

   ‘ใช่ แต่ทางนั้นให้คนติดตามได้แค่ 6 ฉันจะไปกับม๊าด้วย รวมเป็น 8’

   “เฟ่ยซานมีบัตรเชิญ ไปทำงานแทนโฮ่วจีเจียน พี่กู่จึงตามไปด้วย”

   ‘นายพอจะส่งคนแฝงตัวขึ้นไปบนเรือได้ไหม? ’

   “มันค่อนข้างกะทันหัน ผมน่าจะเตรียมการไม่ทัน แต่จะพยายามให้ดีที่สุด”

   ‘ม๊าไม่ไว้ใจ เยียนจูเฟิง’

   “ครั้งก่อนเฟ่ยซานถ่ายรูปเยียนจูเฟิงกับฉินหรุยกวงได้ที่โกดังของคุณ”

   ‘นายกำลังจะบอกว่า เยียนจูเฟิงอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีอะไรสักคดี? ’

   “คดีคนหาย แต่อาจจะไม่ใช่หายไปธรรมดา”

   ‘เข้าใจแล้ว พวกฉันจะระวังตัว’

   “ครับ เท่านี้ก่อนนะครับ ผมต้องไปแล้ว” เมื่อวางสายแล้ว จู้ชุนก็เดินออกไปสมทบกับตู้เห่าที่รถ ก่อนจะไปตรวจสอบบริษัทฯ ที่เช่าโกดังของเยี่ยนหวอ

.........................................................................

   พื้นที่ชั้นสองที่ต่อเติมขึ้นมาภายในโกดัง มีฟูกปูเรียงรายกันจนแน่น มีเพียงทางเดินแคบ ๆ ให้เดินผ่านเพื่อไปยังฟูกนอนของตัวเองเท่านั้น หลายคนที่หัวถึงที่นอนก็หลับไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่หลับ บางส่วนเป็นฟูกว่าง เนื่องจากเจ้าของฟูกไปทำธุระส่วนตัว

   ประตูห้องเปิดออกมาทำให้แสดงสว่างจากภายนอกส่องผ่านเข้ามาในห้องได้มากกว่าปกติ เจ้าของฟูกบางส่วนเดินเข้ามาพร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำในมือ

   “กลุ่มต่อไป ลุกขึ้นมาได้แล้ว” ชายคนที่เปิดประตูตะโกนบอก ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งลุกเดินออกไป จากนั้นประตูก็ปิดลงดังเดิม พร้อมทั้งเสียงล็อกของแม่กุญแจจากภายนอก

   “อาฟง นายหลับแล้วเหรอ?” มู่ฉินที่เพิ่งจะกลับจากการไปอาบน้ำ สะกิดถามคนที่นอนอยู่ฟูกข้าง ๆ

   “ยัง ฉันนอนไม่หลับ”

   “คิดถึงฉินฉินอยู่ละสิ”

   “อืม ไม่รู้ว่าจะหนีรอดไปได้ไหม แล้วจะบอกให้ตำรวจมาช่วยเราออกไปได้รึเปล่า”

   “นี่ก็หลายวันแล้วนะ เออ!!  จริงสิ นอกจากฉินฉินแล้ว นายสังเกตไหมว่ามีอีกคนที่ไม่อยู่เหมือนกัน”

   “ใคร!! ” เผิงฟงถามออกมาอย่างแปลกใจ ก่อนค่อยลดเสียงตัวเองลง “มีใครหนีออกไปได้อีกอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่ใช่หนีไปหรอก แต่ฉันเหมือนจะจำได้ว่าเขาหายไปวันเดียวกัน วันที่เราช่วยฉินฉินหนีอ่ะ”

   “นายหมายถึงใคร?”

   “ก็ไอ้ควายยักษ์จื่อหรงไงละ ถ้ามันอยู่ ป่านนี้มันคงคอยแต่จะมาหาเรื่องนายแล้ว”

   “จริงสิ ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ไม่เห็นมันเลย”

   “ใช่ไหมล่ะ แล้วนายดูคนมาใหม่ดิ ถึงจะไม่ทำอะไรพวกเรารุนแรงเท่าไอ้ควายยักษ์นั่น แต่ก็ค่อยจับตาดูพวกเราตลอดเลย”

   “พอฉินฉินหนีไป มันคงกลัวว่าคนอื่นจะหนีไปอีกละสิ”

   “หวังว่าฉินฉินจะตามคนมาช่วยพวกเราได้นะ”

   “ฉันหวังให้ฉินฉินกลับไปเจอแม่ได้ก็พอ”

   “นี่อาฟง นายได้ยินเรื่องจับหนูไหม?”

   “อืม ฉันพอได้ยินอยู่ แต่ที่นี่มันไม่เห็นจะมีหนูสักตัว”

   “ฉันก็ว่าอย่างนั้น เราก็อยู่ที่นี่มาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ไม่เคยเห็นจะมีหนูสักตัว แต่ที่ฉันสงสัย มีพวกนั้นบางคน คนที่สูง ๆ น่ากลัว ๆ น่ะ เขาว่า เขาจะขอเล่นกับหนูตัวนี้สักหน่อย ฉันได้ยินแล้วก็ขนลุกเลย รู้สึกสงสารหนูตัวนั้นยังไงก็ไม่รู้”

   “ทำไม กลัว?”

   “ใช่นะสิ คนอะไรก็ไม่รู้ โคตรจะน่ากลัวเลย”

   “หรือว่า...”

   “อะไร?”

   “หนูที่ผู้ชายคนนั้นว่า...อาจจะไม่ใช่หนูจริงๆ” เขาลดเสียงลดไปอีก จนเกือบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ “มันอาจจะหมายถึงคน หรือพวกเรา” สิ้นเสียงพูด ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทำให้เด็กทั้งสองพากันสะดุ้ง และรีบหลับตานอนอย่างไม่ได้นัดหมาย

.........................................................................

   ภายในห้องประชุมของสถานี มีเงาชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา เขามองเดินดูไปรอบ ๆ ห้อง ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและภาพถ่ายของคดีต่าง ๆ ที่ทีมสืบสวนที่ 1 และ 2 ร่วมสืบกันอยู่ตอนนี้ เขาอ่านข้อมูลที่ติดอยู่บนกระดานต่าง ๆ อย่างสนใจ

   คดีคนหาย มีภาพเด็กชายนับสิบติดอยู่บนกระดาน มีเด็กสองคนที่คาดว่าจะเคยเจอแล้ว แต่ตอนนี้กลับหายไปอีกอย่างไร้ร่องรอย

   คดีฆ่ารัดคอ กระดานถูกขยายเพิ่มจากเดิม โดยมีข้อมูลใหม่ และเรียบเรียงการอนุมาน เขาแค่นอนอยู่โรงพยาบาลไม่กี่วัน กลับมีเหยื่อในคดีเพิ่มขึ้นอีกจนน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า นั่นก็คือของที่พบบนศพผู้ตาย

   ชายเร่ร่อน เหยื่อรายที่ 5 มีกระดุมติดแขนเสื้อเหมือนที่เขาเคยเห็นมันเป็นของหวงกังโห ที่เป็นเหยื่อรายที่ 6 เขารีบเดินออกจากห้องประชุมมายังโต๊ะของทีมสืบสวน แต่กลับไม่มีใครอยู่สักคน

   “อ่าว พี่ชิว พี่ไม่ได้กลับไปพักที่บ้านหรอกเหรอ? หัวหน้ายังไม่ให้มาทำงานนี่ แล้วนี่มาทำอะไรละ” ตำรวจคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามาพอดี

   “เจ้าพวกนี้มันหายไปไหนหมด” เขากวาดมือชี้ไปที่โต๊ะเพื่อนร่วมงาน

   “ไปสืบคดีข้างนอกกันนะ”

   “ออ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

   “พี่ชิว ผมว่าพี่กลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนเถอะ จำได้ว่าพี่ชุนบอกว่าพี่จะออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ เรื่องงานไว้พี่ค่อยบอกพี่กู่หรือพี่เห่าที่หลังก็ได้”

   “ไม่เป็นไร นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันแค่จะหาเอกสารอะไรนิดหน่อย เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

   “พี่จะเอาอะไรละ เดี๋ยวผมช่วยหา ผมเห็นพี่เดินยังไม่ค่อยถนัด ให้ก้ม ๆ เงย ๆ หาเอกสาร เดี๋ยวก็ได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบกันพอดี”

   “ก็ดี นายช่วยฉันหารายงานชันสูตรของหวงกังโห แล้วก็รายการของที่ติดตัวผู้ตาย”

   “ได้พี่ พี่ไปนั่งพักก่อนเถอะ เดี๋ยวผมหาให้”

   เขารอไม่นาน ก็ได้เอกสารในมือ ภาพถ่ายศพในที่เกิดเหตุ หวงกังโหยังคงใช่ชุดเดิมที่เข้ามาให้ปากคำกับผานกู่ จากเวลาตายเป็นไปได้ว่า หวงกังโหถูกคนร้ายในคดีฆ่ารัดคอจับไปตั้งแต่วันนั้น สิ่งของที่อยู่กับศพ กระดุมติดแขนเสื้อ เหลืออยู่ข้างเดียว!!

.........................................................................

   บรรยากาศบริเวณท่าเรือ คึกคักไปด้วยผู้มากมายคนที่ได้รับเชิญมาขึ้นเรือลำใหม่ของไลน์ออนเฟอรี่ ไม่ว่าจะเป็นดารา เซเลป สื่อมวลชน และนักธุรกิจมากมายต่างทยอยกันมาร่วมงาน

   รถ Rolls Royce Phantom Limo สีขาวคันใหญ่เข้ามาจอดที่ท่าเรือ เรียกความสนใจจากคนที่เตรียมจะขึ้นเรือได้ไม่ยาก นักข่าวหลายคนต่างกดชัตเตอร์รั่ว ๆ ไปยังคนที่จะก้าวลงจากรถ ไม่เว้นแม้กระทั่งหนานเฟ่ยซาน

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 25 ---ll--- 10-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-06-2019 11:32:23
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 26 ---ll--- 17-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 17-06-2019 14:01:24
26





   ผานกู่คอยดูหนานเฟ่ยซานทำงานอยู่ห่าง ๆ เพราะต้องมาทำงานแทนโฮวจีเจียน ยังไงก็ต้องมีภาพและข่าวกลับไปให้หมอนั่นเขียนข่าวได้ ส่วนเรื่องการสืบคดีนั้น ถือเป็นผลพลอยได้ของงานในวันนี้

   เขาลอบสังเกตคนโดยรอบที่ท่าเรือ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในวงสังคม หรือไม่ก็วงการบันเทิง ซึ่งแจ่งตัวกันมาเต็มยศ บ้างขึ้นไปเดินชมบนเรือ บ้างยืนรอรับเยียนจูเฟิง

   “พี่กู่”

   “อ่าว นึกว่าจะอยู่นานกว่านี้”

   “คุณเยี่ยนเขาไม่ให้สัมภาษณ์ เลยได้แต่ถ่ายรูปกัน”

   เขามองตามหนานเฟ่ยซานไปยังเยียนจูเฟิง ที่มีบอดี้การ์ดคอยเดินประกบหน้าหลัง ตามด้วยทัพนักข่าวที่ค่อย ๆ ทยอยขึ้นเรือไป

   “เราก็ขึ้นไปบ้างเถอะ”

   “อ่ะ นี่บัตรของพี่ นักข่าวต้องห้อยคอไว้” หนานเฟ่ยซานส่งบัตรที่ห้อยติดสายคล้องคอให้กับเขา ซึ่งเขาก็รับมา

   “ถ้าพี่ไม่ห้อยไอ้นี่ แล้วพวกนั้นจะแยกพี่กับแขกที่มาได้ยังไง” เขามองไปยังเหล่าบอดี้การ์ดที่ยืนคุมอยู่ที่ทางขึ้นเรือ

   “นั่นไง เขามีแบ่งสีด้วยนะ ว่าใครเป็นใคร”

   หนานเฟ่ยซานชี้ไปที่ข้อมือของชายที่ใส่สูททันสมัยคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาสวมริสแบนด์สีดำอยู่

   “อืม เข้าใจแล้ว แบ่งสีแบบนี้แสดงว่ามีการแบ่งด้วยสินะว่าโซนไหน ใครเข้าได้ หรือไม่ได้บ้าง”

   “ใช่ พวกเรานักข่าวจะไม่มีริสแบนด์แบบแขกพวกนั้น แต่ก็เข้าได้ทุกส่วนที่เขาเปิดให้ชม เพื่อเป็นการทำข่าวโปรโมทเรือลำนี้ ส่วนแขกถ้าวีไอพีสุดๆ ก็สามารถเข้าห้องทำงาน และห้องส่วนตัวของเยี่ยนจูเฟิงได้ ที่สำคัญ ผมได้ยินมาว่า วันนี้เยี่ยนจูเฟิงมีนัดพิเศษ แต่กับใครนั้น ยังไม่รู้แน่ชัด”

   “แสดงว่าคนคนนี้ต้องเป็นแขกวีไอพีมากเลยสินะ”

   “ใช่ แต่ผมว่าพี่ไม่ต้องไปสนใจหรอก มันไม่น่าจะเกี่ยวกับคดี เพราะมันดูโจ่งแจ้งเกินไป ถ้าจะนัดคุยเรื่องลับๆ กันต่อหน้าหูตาของนักข่าวแบบนี้”

   “มันก็จริงอย่างที่นายว่า แต่ถึงยังไงเราก็จับตามองไว้หน่อย”

   “ยังไงผมก็ต้องจับตาดูอยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวของคนคนนี้เป็นข่าวได้แทบจะทุกเรื่อง ไปกันเถอะพี่”

   “เฟ่ยซาน”

   “หือ?”

   “ระวังตัวด้วย”

   “อืม พี่ไม่ต้องห่วงหรอก”

   เขาเดินตามหนานเฟ่ยซานขึ้นเรือไป กลุ่มของเยี่ยนจูเฟิง เดินตามหญิงสาวคนหนึ่งไป ส่วนทัพนักข่าวถูกกันไม่ให้ตามเข้าไป จึงได้แต่เดินแยกกันไปถ่ายรูปตามส่วนต่าง ๆ ของเรือ

   “นายจะไปตรงไหนก่อนละ?”

   “จากที่ได้ข้อมูลของเรือลำนี้มา เมื่อตอนไปแลกบัตร” หนานเฟ่ยซานหยิบแผ่นพับออกมากางดู “ชั้นล่างเป็นเลานจ์กับกาสิโน ชั้นนี้ เป็นห้องอาหาร ส่วนสันทนาการ ชั้นสอง...มีแต่ห้องพัก เขาเปิดให้ดูตัวอย่างแค่ 3 ห้อง ขั้นสี่เป็นห้องบอลรูม สุดท้ายดาดฟ้า”

   “แล้วตอนนี้เยียนจูเฟิงไปไหนซะละ”

   “ตามกำหนดการณ์น่าจะเตรียมเปิดตัวที่ห้องบอลรูม”

   “งั้นเราก็ไปที่นั่นกันเถอะ แขกส่วนใหญ่คงจะอยู่กันที่นั่นด้วยสินะ”

   “ไม่หรอกพี่ ได้ขึ้นเรือมาฟรีไม่กี่ชั่วโมง ผมว่าแขกส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ส่วนสันทนาการมากกว่า”

   “อ่อ”

   “ตอนนี้เราไปส่วนห้องพักน่าจะดี ส่วนนี้แขกจะไม่ค่อยสนใจ อีกอย่างผมว่านะ ถ้าหากพวกเขาจะแอบนัดคุยเรื่องอะไรกัน ห้องพักพวกนี้เหมาะที่สุด”

   “นี่เราคงจะคิดคำนวณไว้หมดแล้วสินะ ได้!! เราไปส่วนห้องพักกัน เผื่อมีโอกาสจะได้แอบไปดูห้องอื่น ๆ ก่อนงานเริ่มด้วย”

   “ผมก็คิดแบบนั้น ไปกันเถอะพี่”

   เขาพยักหน้าให้หนานเฟ่ยซานก่อนจะเดินตามไป โดยไม่ลืมที่จะสังเกตโดยอย่างระวังตัว

.........................................................................

   ความเคลื่อนไหวของหนานเฟ่ยซานและผานกู่อยู่ในสายตาของเหมิ๋นหยวนฮ่างโดยตลอด ตั้งแต่ที่สองคนนั้นเข้ามาที่ท่าเรือ ตลอดจนขึ้นเรือมาแล้ว

   “นั่นคงเป็นหนานเฟ่ยซานสินะ”

   “ครับม๊า”

   “ตัวจริงน่ารักกว่าที่เห็นในรูปซะอีก”

   “น่ารัก?”

   “อืม หรือลูกไม่เห็นด้วย?”

   “แล้วทำไมผมต้องเห็นด้วย”

   “ถึงม๊าจะอยู่แต่ในโรงแรม แต่ม๊าก็หูตาเยอะนะ”

   “ม๊าก็อย่าไปฟังพวกนั้นเยอะ มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

   “คุณลตา ดอกเตอร์” เขายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ผู้ช่วยคนสำคัญก็เดินเข้ามา

   “เป็นยังไงบ้างคะ?”

   “เรียบร้อยครับ พวกคุณสามารถดูภาพจากกล้องผ่านทางมือถือได้เลย”

   “ขอบคุณค่ะ”

   “ให้ลุงคีมาด้วยแบบนี้จะดีเหรอครับ”

   “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ครับ นานๆ ให้ผมมาเที่ยวล่องเรือแบบนี้บ้างก็ดี”

   “ลูกไม่ต้องห่วงหรอก คุณคีเขามีความสามารถมากกว่าที่ลูกเห็นอีกเยอะ” เขาเห็นม๊าและลุงคียิ้มออกมา แต่สำหรับม๊าของเขา ดูจะเจ้าเล่ห์กว่าลุงคีเยอะ

   “มีมุมหนึ่งที่ด้านท้ายเรือ มีกล้องติดอยู่มากเป็นพิเศษ” ลุงคีบอกถึงสิ่งที่สังเกตเห็น แล้วชี้ไปที่จุดบนแผ่นพับ

   “ตรงนั้นเป็นที่สำหรับขึ้นเรือโดยเรือเล็ก คงไม่น่าสงสัยหากจะติดตั้งกล้องเยอะขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเยี่ยนจูเฟิงก็ไม่แน่ค่ะ”

   “ม๊ารู้อะไรมา เกี่ยวกับคนคนนี้”

   “ตระกูลเยี่ยนเคยทำธุรกิจร่วมกับตระกูลจุ้ย ถึงแม้ว่าตระกูลจุ้ยจะไม่เหลือใครมาสานต่อธุรกิจผิดกฎหมายนั้นแล้ว แต่ม๊าก็เคยได้ยินมาว่า ยังมีกลุ่มคนที่โลภ อยากได้เงินทองจากธุรกิจนี้รวมตัวกันและเรียกตัวเองว่า ไหว่ยี่ ซึ่งยังคงค้าขายของผิดกฎหมายอยู่ และดูเหมือนเยียนจูเฟิงจะเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้นด้วย”

   “จุ้ยทำให้ฝู่ตกอยู่ในแวดวงธุรกิจดำมืดอยู่หลายปี กว่าเตี๋ยกับอี้จะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมม๊าถึงไม่ไว้ใจเยียนจูเฟิง”

   “ถึงตอนนี้ หลาย ๆ คนก็ยังคงเข้าใจผิด ว่าเยี่ยนหวอยังคงทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่” ลุงคีเสริม

   “เราก็เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย ทำไมคนถึงยังคิดแบบนั้นอยู่”

   “คงเพราะอาเถิง”

   “เตี๋ยอ่ะนะ เตี๋ยก็แค่เส้นสายเยอะ ไม่ต่างจากลุงคี แต่ทำไม...”

   “ก่อนที่อาเถิงจะแต่งงานกับหงส์ อาเถิงใช้แซ่จุ้ย” เขาไม่เคยรู้เลย ว่าแซ่เดิมของเตี๋ยคือแซ่อะไร รู้แค่ว่าเตี๋ยยินดีที่จะแต่งเข้าสกุลฝู่เหมือนป๊าของเขาที่ยินดีแต่งเข้าสกุลเหมิ๋น

   “ดอกเตอร์ไม่รู้ก็ไม่แปลก เพราะส่วนใหญ่พวกเราจะเลี่ยงพูดกันถึงเรื่องนี้” เขาเข้าใจที่ลุงคีพูด หากคนนอกมารู้ว่าเตี๋ยเคยเป็นคนตระกูลจุ้ย จุ้ยไม่ถูกกับฝู่ และฝู่เองที่เป็นคนล้มธุรกิจของจุ้ย คนที่ไม่รู้เรื่องราวในอดีตอาจจะมองเตี๋ยของเขาไปในทางที่ไม่ดี

   “การเปิดตัวของเรือลำนี้ จะมีอะไรแอบแฝงไหมครับ”

   “ลุงกับคุณลตายังไม่รู้หรอก แต่ก็ต้องระวังตัวเอาไว้”

   “จู้ชุนให้คนแฝงขึ้นเรือมาได้ 2 คน คนหนึ่งเป็นบอร์ดี้การ์ด คอยดูแลความเรียบร้อยของงาน ส่วนอีกคนเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่เลานจ์” เขาบอกข้อมูลที่รับรู้มา

   “ขึ้นเรือมากะทันหันแบบนี้ คงจะยังไม่รู้ทางหนีทีไล่ ยังไงลูกก็ให้พวกเขาคอยดูว่ามีอะไรผิดสังเกตไหม แล้วรายงานมาก็พอ ส่วนทางเรา คนแค่นี้ก็น่าจะพอ”

   “ครับม๊า”

   พวกเขาตกลงกันเรียบร้อย ก็พากันขึ้นไปบนห้องบอลรูมที่จัดงาน ส่วนเขาก็คอยมองภาพในมือถือ ซึ่งเห็นหนานเฟ่ยซานกับผานกู่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในส่วนของห้องพัก เขาได้แต่บ่นอยู่ในใจ รนหาที่อีกแล้วสินะ หนานเฟ่ยซาน

.........................................................................

   ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเกียงวู เหยินหยางผิงเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลโดยมีเหมี่ยนจื่ออู่วิ่งตามมาติด ๆ ทั้งสองคนช่วยกันมองหาชายร่างหมีที่ฝืนคำสั่งหมอ ออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อวานนี้

   “นั่น” เหมี่ยนจื่ออู่ชี้ไปที่ชายคนหนึ่ง ที่นั่งหันหลังให้พวกเขา ทั้งสองจึงเดินตรงเข้าไปหา พยาบาลที่กำลังทำแผลให้คนไข้ร่างหมีเสร็จงานตรงหน้าพอดี

   “เดี๋ยวคนไข้ไปรอรับยาด้านนอกนะคะ” พยาบาลพูดกับคนไข้อย่างใจดี

   “ผมว่าแอดมิทไปเลยดีกว่า แผลแตกซะขนาดนี้” เหยินหยางผิงดูจากปริมาณสำลีเปื้อนคราบเลือดในถาด

   “ฉันไม่เป็นไรสักหน่อย แผลปรินิด ๆ หน่อย” ชายร่างใหญ่พูดไปพลางสวมเสื้อไปพลางอย่างทะลักทุเล

   “นายควรจะรักษาตัวให้หายก่อน งานไม่หนีนายไปไหนหรอก”

   “หยางผิง ใจเย็นๆ พี่กัมหงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้”

   “นายควรหัดพูดจากดี ๆ เหมือนจื่ออู่เขาบ้างนะหยางผิง แล้วนี่...มาด้วยกันได้ยังไง” เหมี่ยนจื่ออู่เห็นท่าทางของเหยินหยางผิงยังคงหงุดหงิด จึงเป็นฝ่ายอธิบายแทน

   “พวกเราไปสืบคดีที่โกดังกันมา พอกลับเข้าสถานีก็มีคนบอกว่าพี่ไปแผลแตก เลือดอาบอยู่ในสถานี”

   “ไอ้พวกนั้นมันก็ตื่นตูมกันไปเอง ก็แค่นอนทับแผลตัวเองนิดหน่อย ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่ใช่ตำรวจ” ชิวกัมหงพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ หลังจากจัดเสื้อให้เข้าที่

   “ก็ถ้านายไม่เอาเก้าอี้ไปเรียงกันแล้วนอนในที่แคบ ๆ แบบนี้ แผลมันคงไม่แต่หรอก” เหยินหยางผิงอดที่จะบ่นไม่ได้

   “หยางผิง...” เหมี่ยจื่ออู่ปราบก่อนหันไปคุยกับคนเจ็บต่อ “ผมเข้าใจว่าพี่ไม่อยากกลับไปนอนเฉย ๆ ที่บ้าน นี่อาชุนเขาก็จะจัดห้องให้พี่ได้พักที่สถานี แต่มันยังไม่เรียบร้อย พี่ก็รอหน่อยก็แล้วกัน ทีนี้พี่อยากจะกินนอนที่สถานี พวกผมก็จะไม่ห้าม เอาเป็นว่าวันนี้ผมกับหยางผิงจะไปส่งพี่ที่บ้านเอง”

   “ฉันกลับเองได้ ที่ฉันรอพวกนายเมื่อคืนนี้ เพราะต้องการจะคุยเรื่องคดี”

   “คดีอะไรที่สำคัญขนาดนายต้องนอนรอ?” เหยินหยางผิงอย่างประชดประชัน

   “คดีฆ่ารัดคอ”

   “เฮ้ย นายอยู่โรงพยาบาลตั้งนาน ไปได้เบาะแสมาจากไหน? คงจะไม่บอกหรอกนะ ว่านายสงสัยหมอในโรงพยาบาล”

   “หยางผิง...”

   “เมื่อวานฉันเขาไปที่ห้องประชุม ได้เห็นข้อมูลที่พวกนายจัดไว้ แล้วบังเอิญฉันเห็นของอย่างหนึ่ง ที่มันอยู่ผิดที่ผิดทาง” ชิวกัมหงตอบอย่างไม่ใส่ใจเหยินหยางผิง

   “อะไร?”

   “กระดุมแขนเสื้อ”

   “อ่อ อันนั้น ก็ไม่เห็นจะแปลก ชายจรจัดคนนั้นอาจจะเก็บกระดุมนั่นมาจากที่ไหนก็ได้” เหมี่ยนจื่ออู่บอกข้อสันนิษฐานที่พวกเขาได้มาแต่แรก

   “หรืออาจจะเก็บมาจากที่ถูกขังก็ได้”

   “ทำไมนายถึงคิดว่าเป็นกระดุมของฆาตกร” เหยินหยางผิงเริ่มสนใจการอนุมานของชิวกัมหง

   “ฉันไม่ได้บอกว่าเป็นของฆาตกร แต่เป็นของเหยื่อรายอื่น”

   “เหยื่อรายอื่น?”

   “ฉันตรวจสอบรูปและรายการสิ่งของ ของหวงกังโหแล้ว กระดุมที่อยู่กับชายจรจัดเป็นแบบเดียวกันกับของที่หวงกังโหกลัดอยู่ ที่สำคัญรูปศพในที่เกิดเหตุและรายการสิ่งของตรงกัน หวงกังโหมีกระดุมติดแขนเสื้อเพียงเม็ดเดียว”

   “นายจะบอกว่า ตอนที่เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ เหยื่ออาจจะถูกขังอยู่ที่เดียวกัน”

   “เคยมากกว่า เหยื่อน่าจะถูกขังอยู่ที่เดียวกัน แต่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน”

   “แต่ชายจรจัด เป็นเหยื่อรายที่ 5 จะไปเก็บกระดุมแขนเสื้อจากเหยื่อรายที่ 6 ได้ยังไง ผมงงไปหมดแล้ว” เหมี่ยนจื่ออู่ที่เอาแต่ฟังคนทั้งสองคุยกันเริ่มไม่เข้าใจ

   “แล้วถ้าของที่อยู่กับศพรายที่ 5 ถูกวางโดยฆาตกร เพื่อท้าทายตำรวจละ ว่ารายที่ 6 คือเจ้าของกระดุมเม็ดนี้”

   “ถ้าอย่างนั้น เฮ้ย!! ” เหมี่ยนจื่ออู่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เหยินหยางผิงก็วิ่งออกจากห้องฉุกเฉินไป โดยมีเขาวิ่งตามไปติด ๆ ศพที่ 6 กับของชิ้นที่ 6 พวงกุญแจเดซี่ดั๊ก นั่นหมายความว่าตอนนี้มีเหยื่อรายที่ 7 ถูกขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง

.........................................................................

   ผมกับพี่กู่แอบเดินสำรวจตามห้องพักต่าง ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ห้องพักส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการตกแต่ง ซึ่งยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ผมกับพี่กู่จึงเดินไปยังส่วนสันทนาการเพื่อถ่ายรูปเก็บข้อมูลไปให้จีเจียนเขียนข่าว ส่วนพี่กู่ก็ลอบสำรวจไปโดยรอบ

   แขกมักจะอยู่กันในส่วนนี้ กับเลานจ์เพราะส่วนของกาสิโนยังไม่เปิดให้บริการ ผมมองไปรอบ ๆ นักข่าวคนอื่น ๆ คงจะขึ้นไปที่ห้องบอลรูมกันหมดแล้ว พี่กู่แยกไปสำรวจที่เลานจ์และกาสิโน เผื่อจะได้อะไรบ้าง

   “เฟ่ยซานนี่ เฟ่ยซานจริง ๆ ด้วย” ผมหันไปตามเสียงเรียก “นายมาได้ยังไงเนี่ย อ่าว นายเป็นนักข่าวหรอกเหรอ?” เหวยเต๋อหยิบบัตรห้อยคอของผมขึ้นมาดู

   “อาเต๋อ นาย...” ผมพยายามมองหาริสแบนด์ที่ข้อมือทั้งสองข้าง

   “นายมองหาอะไร” เหวยเต๋อก้มมองดูตัวเอง

   “ริสแบนด์”

   “อ่อ ฉันไม่มีวาสนาจะเป็นแขกของคุณเยี่ยนหรอก ฉันเป็นบอร์ดี้การ์ดคอยคุมส่วนนี้น่ะ”

   “อ่อ” ผมมองรูปร่างเขา สูงใหญ่แบบนี้ ก็เหมาะกับอาชีพนี้จริง ๆ

   “นี่เฟ่ยซาน ทำไมนายถ่ายรูปช้านักล่ะ นักข่าวคนอื่น ๆ ป่านนี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ตอนเห็นนายวิ่งอยู่ที่สวนสาธารณะ นายก็วิ่งเร็วนี่ ทำไมถึงตามคนอื่นเขาไม่ทัน หรือมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม”

   “อาเต๋อๆ ช้า ๆ”

   “นายสิช้า”

   “เฮ้อ...มีใครบอกไหม ว่านายพูดมาก”

   “ก็มีบ้างนะ สาวๆ มักจะบอกว่า ฉันเป็นคนคุยสนุก คุยได้ทุกเรื่อง อยู่ด้วยแล้วไม่เหงา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจนะ สาว ๆ ชมฉันแบบนี้แต่ก็หักอกฉันทุกที”

   “อืม ฉันเข้าใจนายนะ”

   “จริงเหรอเฟ่ยซาน นายนี่เป็นคนดีจริง ๆ เป็นการตอบแทนคนดีอย่างนาย ฉันจะเป็นไกด์ให้นายในส่วนนี้ดีไหม?”

   “ไม่ต้องหรอก นายไปทำงานของนายเถอะ ฉันมีแผ่นพับแล้ว”

   “มีแผ่นพับหรือจะสู้มีฉัน” ผมไม่เข้าใจว่าเหวยเต๋อเอาความมั่นใจมาจากไหน

   “ถ้าอย่างนั้นนายมีข่าวของคุณเยี่ยนให้ฉันไหมล่ะ ฉันจะได้เอาไปเขียนข่าว”

   “ตั้งแต่ฉันทำงานมา ฉันยังไม่เคยได้พูดคุยกับคุณเยี่ยนสักคำ เคยเห็นแต่ไกลๆ แต่...ฉันแนะนำได้นะ คุณเยี่ยนมีคนสนิทอยู่คนหนึ่ง เขาก็สนิทกับฉันด้วย”

   “เขาคือใครละ อยู่แถวนี้รึเปล่า”

   “วันนี้เขาไม่ได้ขึ้นเรือมาด้วย เห็นว่าไปทำงานให้คุณเยี่ยนที่เรือสำราญ อันที่จริงต้องกลับมาให้ทันขึ้นเรือลำนี้ แต่เรื่องลำนั้นมีปัญหาอะไรสักอย่าง เลยกลับมาเทียบท่าไม่ทันตามกำหนด แต่คุณเยียนก็ใจดีนะ ไม่ว่าสักคำ เป็นเจ้านายที่มีเหตุผลมาก”

   “อาเต๋อ ฉันคงต้องไปที่ห้องบอลรูมแล้ว เกือบจะได้เวลาที่คุณเยี่ยนจะกล่าวเปิดงานแล้วมั้ง”

   “จริงสิ เดี๋ยวนายจะพลาดเวลาสำคัญ อีกเรื่องที่ฉันจะบอกนายแค่คนเดียวเท่านั้นนะ เสร็จจากห้องนั้นแล้วไปที่ดาดฟ้าสิ”

   “ทำไม ที่นั่นมีอะไร?”

   “เห็นไหม ในแผ่นพับไม่ได้บอกละสิ ว่าที่นั่นนะ จะเห็นพลุที่คุณเยี่ยนจ้างให้คนจุดบนฝั่ง รับรองว่านายจะได้ภาพที่สวยกว่าสำนักข่าวไหนเลยแหละ”

   “อืม ขอบใจนะ ฉันไปละ”

   หนานเฟ่ยซานรีบเลี่ยงออกมาจากเหวยเต๋อ เพราะถ้าให้เขาคุยกับหมอนี่ต่อไป คงไม่ได้ทำงาน แล้วไหนยังจะสืบเรื่องของเยี่ยนจูเฟิงอีก คุยกับเหวยเต๋อตั้งนาน กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลย

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 27 ---ll--- 25-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 25-06-2019 20:48:40
27


   เหมิ๋นหยวนฮ่างลอบมองหนานเฟ่ยซานเป็นระยะผ่านกล้องวงจรปิด จนกระทั่งหนานเฟ่ยซานเดินเข้ามาในห้องบอลรูมพร้อมๆ กับผานกู่

   ภายในห้องตอนนี้หรี่ไฟลงเพื่อฉายวีทีอาร์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของไลอ้อนเฟอร์รี่ ซึ่งคงใกล้จะจบแล้ว เพราะเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ด้านข้างเวที อีกทั้งหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้ นำทางให้เยี่ยนจูเฟิงตามเธอไปในส่วนเตรียมตัว ได้เดินตรงมายังกลุ่มของเขา

   “คุณนายเหมิ๋น คุณเยี่ยนให้ดิฉันเชิญคุณและผู้ติดตามไปห้องด้านหลังเวทีค่ะ”

   “ฝากบอกคุณเยี่ยนด้วยนะคะว่าดิฉัน เป็นเพียงตัวแทนของท่านประธานมาแสดงความยินดีเท่านั้น ไม่สะดวกที่จะคุยอะไรนอกเหนือจากนี้ด้วย ในส่วนของกาสิโน คนของดิฉันได้ไปตรวจสอบความเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างดีเยี่ยม เป็นไปตามสเปคที่ทางเราแจ้งไว้ ดังนั้นคุณเยี่ยนไม่ต้องเป็นกังวล”

   “ได้ค่ะ ดิฉันจะเรียนท่านตามที่คุณนายเหมิ๋นแจ้ง” เธอคนนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินออกไป

   “เยี่ยนจูเฟิงต้องการอะไรกันแน่ ถึงอยากให้พวกเราไปหลังเวที”

   “เรือลำนี้ เป็นลำแรกของไลอ้อนเฟอร์รี่ ที่เยี่ยนหวอเขามาเปิดกาสิโน ไม่แปลกที่เยี่ยนจูเฟิงจะพยายามสร้างกระแส ว่าเขาร่วมมือกับเรา”

   “แล้วทำไมอี๊ถึงตกลงทำกาสิโนบนเรือของเยี่ยนจูเฟิง”

   “หงส์น่าจะระแคะระคายอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมส่งคุณคีมากับม๊าง่ายๆ ใช่ไมค่ะคุณคี”

   “ผมแค่มาเที่ยว ภารกิจของผมก็จัดการให้คุณลตาเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรแอบแฝงแล้วละครับ”

   “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคีคงไม่บอกฉัน ถ้าหงส์ยังไม่อยากให้ฉันรู้เรื่อง”

   ม๊าของเขากับลุงคีคุยกันมาถึงตรงนี้ วีทีอาร์ที่แสดงอยู่บานหน้าจอแอลซีดีขนาดยักษ์ก็จบลง พร้อมการปรากฏตัวของเจ้าของเรือ นักข่าวหลายสำนักรอเวลานี้มานานไม่เว้นแม้กระทั่งหนานเฟ่ยซาน

   เขาเห็นหนานเฟ่ยซานแทรกตัวเข้าไปในวงของนักข่าวคนอื่น ๆ ได้อย่างว่องไว ส่วนผานกู่ที่เขาคาดว่าน่าจะประกบติดอยู่กับหนานเฟ่ยซานกลับไม่อยู่ตรงนั้น เขาจึงมองไปรอบ ๆ ห้องบอลรูมอีกครั้ง

   “ดอกเตอร์มองหาใครครับ หนานเฟ่ยซานเข้าไปถึงหน้าเวทีแล้วมั้ง”

   “ไม่ใช่ครับลุงคี เฟ่ยซานมากับนักสืบผาน ตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้ผมเห็นเขามาด้วยกัน แต่ตอนนี้หายไปแล้ว”

   “คนที่ตามมาด้วยเป็นตำรวจอย่างนั้นเหรอ หนานเฟ่ยซานคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นนะ เส้นสายใช้ได้ทีเดียว”

   “ลุงคีอย่าพูดเล่นเลยครับ ผมฝากม๊าด้วย ผมขอไปดูเฟ่ยซานหน่อย แล้วก็นักสืบ....” ลุงคีพยักหน้าเล็กน้อย เขาจึงเดินออกจากกลุ่ม แต่มีคนจะเดินตามมา เขาจึงยกมือห้ามไว้ ทำให้ได้ยินสิ่งที่ม๊าของเขาพูดขึ้นมา

   “เฟ่ยซาน ๆ หยวนฮ่างเรียกกันอย่างสนิทสนมเลยนะ” เขาทำเป็นไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น และเดินตรงไปยังหนานเฟ่ยซานทันที

   ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินเข้าไปในกลุ่มคน ด้วยความสูงของเขา ทำให้มองเห็นเป้าหมายได้ไม่ยาก เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของนักข่าวไปอีกคน จึงได้แต่ยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งเมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ตั้งแต่หนานเฟ่ยซานก้าวเข้าขึ้นมาบนเรือลำนี้ ก็แทบไม่สังเกตเห็นเขาเลย เหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา มีแต่เขาเพียงคนเดียวกระมังที่เป็นฝ่ายลอบจับตามอง มันเริ่มทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

   ระหว่างที่คนบนเวทีก็พูดๆ ไป นักข่าวแต่ละสำนักก็ทำข่าวไป เขาก็มองไปรอบห้อง แต่ก็ยังไม่พบผานกู่ ไม่รู้ว่าไปแอบสืบอะไร

   “นิสัยรนหาที่นี่คงไม่ได้ติดมาจากนักสืบผานหรอกนะ”

   เขามองไปเรื่อย ก่อนกลับมามองหนานเฟ่ยซานอีกครั้ง ทำวนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเขาผิดสังเกตชายคนหนึ่ง จำได้ว่าเป็นคนรู้จักของหนานเฟ่ยซาน เพราะเห็นพวกเขาคุยกันอยู่นานบริเวณส่วนสันทนาการ แต่ตอนนี้กลับเดินเข้าไปด้านหลังเวที

   ที่ด้านบนเวที เยี่ยนจูเฟิงพูดจบก็เดินไปด้านข้าง แทนที่จะเข้าไปด้านหลังเวที กลับเดินตรงไปยังม๊าของเขา ทำให้นักข่าวต่างให้ความสนใจ กรูกันเข้าไปล้อมคนเหล่านั้น และดูเหมือนว่าหนานเฟ่ยซานจะเห็นเขาสักที

.........................................................................
   ผมแยกมาทำงานของผมตั้งแต่เข้าห้องบอลรูม ส่วนพี่กู่ก็ออกไปสืบหาเบาะแสอะไรสักอย่างโดยรอบ ๆ เรือ ผมอยากตามพี่กู่ไปแต่ก็ทำไม่ได้ จึงรีบทำงานของตัวเองให้เสร็จๆ จะได้ตามไปสมทบ แต่เมื่อคุณเยียนกล่าวเปิดงานใกล้จะจบ คุณเยียนกลับแนะนำให้พวกเรารู้ว่า กาสิโนบนเรือลำนี้ได้รับความร่วมมือจากเยี่ยนหวอ และที่สำคัญ เจ้าแม่แห่งวงการกาสิโนก็มาเป็นแขกพิเศษในงานนี้อีกด้วย

   ผมเร่งเดินตามขบวนนักข่าวตรงไปยังจุดที่คุณเยียนจะไป แต่ก็ดันไปเจอกับภูเขาน้ำแข็งลูกโตขวางทางอยู่ และดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นมันกำลังจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น ใจผมสั่นจนควบคุมไม่อยู่ ได้แต่กระชับกล้องในมือแน่น หวังให้อาการที่กำเริบขึ้นทุเลาลง

   “ดอกเตอร์...มางานนี้ด้วยเหรอ” ผมถามไปอย่างไม่รู้จะทักทายอะไร ดอกเตอร์เองก็ไม่คิดจะสนใจอะไรผม หันหลังเดินตรงไปยังคุณเยียนและคุณนายเหมิ๋น ผมลืมไปได้ยังไงว่าเขาเป็นแม่ลูกกัน แม่มา ลูกก็ต้องมาสิ แล้วผมก็ดันไปถามคำถามแบบนั้น...

   ระหว่างที่ผมยังคิดวนเวียนกับเรื่องคนคนนั้นอยู่ มือข้างหนึ่งที่คอยประคองกล้องถ่ายรูปก็ถูกฉวยไป ผมได้แต่เดินตามแรงลากของดอกเตอร์...จะเรียกอะไรละ ตอนนี้ดูเขาอารมณ์ไม่ดี ขี้หงุดหงิด ผิดจากภูเขาน้ำแข็งที่เย็นชาที่ผมเคยพบเห็นเป็นประจำ

   “นายเก็บบัตรนักข่าวลงไปซะ”

   “แต่...”

   “ไม่ต้องแต่ เรื่องหลังจากนี้ นายจะได้คุยเป็นการส่วนตัวกับม๊าของฉัน แล้วนายจะต้องเป็นคนเขียนข่าวเอง”

   “เดี๋ยว ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

   “ถ้าอยากรู้ก็ทำตามที่ฉันบอก เก็บบัตรนักข่าวซะ”

   ผมทำตามที่ดอกเตอร์บอก ปลดบัตรนักข่าวออกจากคอ ผมว่าผมเริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวกแล้ว มือไม้มันสั่นไปหมด ผมได้แต่ค่อยๆ เก็บบัตรใส่ลงในกระเป๋าเสื้อสูทอย่างระวังเพื่อไม่ให้ดอกเตอร์ผิดสังเกต ดอกเตอร์เองก็ยืนรอผมเงียบ ๆ อย่างใจเย็นกว่าเมื่อครู่ สายตามก็ยังคงมองไปยังแม่ของเขา จนผมเก็บเสร็จ ดอกเตอร์ก็จูงมือผมผ่าวงล้อมนักข่าวเข้าไป หรืออันที่จริงแล้ว คนของคุณนายเหมิ๋นมากกว่าที่แหวกทางให้พวกเราได้เข้าไปได้โดยง่าย

   ผมที่เป็นนักข่าว ได้แต่ถ่ายรูปคนอื่น พอต้องมาอยู่กลางดงแสงแฟลชแบบนี้ทำให้เวียนหัว ตาลายไม่น้อย ดอกเตอร์ยังดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ อีก

   “คุณหนาน มายืนมุมนี้ดีกว่าครับ” ชายที่ดูมีอายุที่สุดในกลุ่มบอดี้การ์ดของคุณนายเหมิ๋นขยับให้ผมไปยืนอยู่ในจุดที่เขาเคยยืน พอผมขยับไป ผมถึงได้รู้ว่า ตรงจุดนี้ ดอกเตอร์และชายคนนั้นยืนบังผมจากแสงแฟลชได้อย่างพอดี ผมพยายามบังคับลมหายใจเข้าออกลึกๆ หวังจะลดอาการใจสั่นที่เป็นอยู่ตอนนี้ กลัวจริง ๆ ว่าจะวูบไปต่อหน้านักข่าวด้วยกัน

   “แหม๋...คุณเยียนลดตัวลงมาเชิญดิฉันด้วยตัวเองแบบนี้ หลี่ต๋าจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงละคะ”

   “คุณนายเหมิ๋นพูดเกินไป แต่ผมไม่เล่นเองหรอกนะครับ เราจะให้แขกที่มาร่วมเล่นกับคุณแล้วรางวัลก็ไม่ใช่เงิน คุณนายคงไม่ว่าอะไร”

   ผมที่ตามมาทีหลังไม่รู้ว่าเขาสองคนคุยอะไรไปก่อนบ้างแล้ว จึงพยายามจะจับใจความให้ได้ ถึงแม้ว่าดอกเตอร์รับปากว่าคุณนายเหมิ๋นจะให้ข่าวกับผมด้วยตัวเองก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี ว่าเขาคุยอะไรกัน

   เสียงแฟลตที่ดังรัวราวกับปืนกลว่าเป็นอุปสรรคแล้ว ชายคนที่ขยับให้ผมยืน ยังยื่นหน้ามาคุยกับดอกเตอร์อีก ทำให้ผมยิ่งจับใจความไม่ได้เข้าอีก

   “*$#%& () (_#@$##! %%^*J*) +*&$@@”

   “อืม &$&*&) 34rT&@๑๓! $46^&* (%#) ^@”

   “@$#^T”

   ชายคนนั้นพูดภาษาอื่นกับดอกเตอร์ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาอะไร อาจจะเวียดนาม หรือมาเลฯ ผมฟังพวกเขาไม่ออก

   “คุณหนานไม่ต้องกังวลไปครับ ไว้ถ้าสะดวกกว่านี้ ดอกเตอร์จะเล่าทุกอย่างให้คุณรับรู้เอง” ชายคนนั้นยังมีแก่ใจหันมากระซิบบอกผม ผมได้แต่พยักหน้ารับ

   คุณเยียนเรียกตัวเลขจากริสแบนด์สีต่าง ๆ จนได้คนที่มาร่วมงาน 3 คน ทั้ง 3 จะได้ร่วมเล่นโป๊กเกอร์กับคุณนายเหมิ๋นที่กาสิโนบนเรือ โดยที่คุณเยียนไม่ใช้เงินเล่น เพราะรางวัลคือบัตรล่องเรือลำนี้ฟรีตลอดการเดินทาง ไล่ตั้งแต่แพ็กเกจสูงสุดลงมา แถมผู้ที่ได้รางวัลยังสามารถมีผู้ติดตามได้อีก 3 คน

   รางวัลที่ได้รับเรียกเสียงฮือฮาจากแขกและนักข่าวคนอื่น ๆ ได้อย่างดี จากนั้นคุณเยียนก็เชิญพวกเราไปยังห้องกาสิโน ผมที่กำลังจะเดินตามไปถูกมือของดอกเตอร์รั้งเอาไว้ หรือว่าเขายังไม่ปล่อยมือผมตั้งแต่ลากผมมา?

   “นายไม่สงสัยหรือยังไง ที่อยู่ๆ เยียนจูเฟิงถึงเดินมาหาม๊าของฉัน”

   “เขาก็บอกอยู่ว่ากาสิโนที่นี่เป็นของเยี่ยนหวอ”

   “หึ”

   “ถ้าดอกเตอร์ไม่ไปที่กาสิโน ก็ปล่อยมือผม ผมจะไปเก็บภาพทำข่าว”

   “ภาพที่กาสิโน ถ้านายอยากได้ เดี๋ยวค่อยให้คนของฉันส่งมาให้”

   “ถ้าไม่ให้ผมไปทำข่าว ดอกเตอร์จะให้ผมไปทำอะไร”

   “นายไปตามหานักสืบผาน แล้วอยู่กับเขาจนกระทั่งลงเรือ ห้ามเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนนี้ ถ้านายทำตามที่ฉันบอกได้ พรุ่งนี้นายจะได้สัมภาษณ์เหมิ๋นหลี่ต๋าเป็นการส่วนตัวที่โรงแรมแกรนด์ฝู่โฮเต็ล”

   “เดี๋ยวนะ ดอกเตอร์รู้ได้ยังไงว่าผมมากับพี่กู่ แล้วที่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

   “นายอยากรู้?”

   “อืม”

   “ก็ทำตามที่ฉันบอกสิ”

   “แล้วดอกเตอร์จะไปไหน”

   “ตามเยียนจูเฟิง”

   “ผมไปด้วย”

   “ไม่ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะไปหาข่าวตามวิธีของผมเอง ไม่ต้องพึ่งทางลัดของดอกเตอร์”

   “หนานเฟ่ยซาน”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง”

   “...”

   “ไม่ต้องมาเงียบ ผมไม่ยอมแพ้ดอกเตอร์หรอกนะ” ผมพยายามใจดีสู้เสือ ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถล้มพับลงไปได้ตลอดเวลา

   “นายนี่มันรนหาที่จริง ๆ นะ”

   “ผมเปล่าสักหน่อย หรือดอกเตอร์จะไปทำอะไรที่มันอันตราย”

   “นายเป็นห่วง?”

   “เฮ้ย!!  ไม่ใช่อย่างนั้น เออ...” จะให้ผมบอกได้ยังไงว่า ผมสงสัยเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายของเยี่ยนหวอ

   “จะมาก็ตามมา แล้วถ้าเกิดกล้องตัวนี้บังเอิญพังขึ้นมาอีกอีก ฉันไม่รับผิดชอบนะ”

   ผมเดินตามดอกเตอร์ไป ใจก็เต้นแรงมาตั้งแต่ตอนที่อยู่กลางดงแสงแฟลชนั่นจนตอนนี้ มันยังไม่ดีขึ้นเลย แต่ถ้าจะให้แวะไปหาน้ำดื่มตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ได้แต่เก็บอาการไม่ให้ดอกเตอร์จับได้เท่านั้น

.........................................................................

   ผานกู่เดินกลับมายังห้องบอลรูม ก็เห็นฝูงชนกรูกันออกมาทางประตูหน้าและหลัง ต่างเดินตรงไปยังบันได เขาซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อเห็นคนที่ห้อยบัตรนักข่าวต่างเดินไปในทิศทางเดียวกัน เขาจึงเดินตามไป กระทั่งเดินมาถึงกาสิโน เขาเห็นคนมุงดูอยู่ที่โต๊ะโป๊กเกอร์ ซึ่งมีจอถ่ายทอดภาพการเล่นในมุมบน

   คนให้ความสนใจเกมบนโต๊ะมากไม่เว้นแม้แต่พวกบรรดานักข่าว ทั้งที่บนโต๊ะไม่มีเยี่ยนจูเฟิงอยู่ในนั้น ทำให้เขานึกได้ว่า นี่คงเป็นแผนหลอกล่อนักข่าว ดึงความสนใจออกจากตัวเองแน่นอน แผนแค่นี้หนานเฟ่ยซานคงรู้ ไม่หลงกลเยียนจูเฟิงง่าย ๆ

   ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิด หนานเฟ่ยซานน่าจะต้องไปส่วนห้องพักแน่นอน เพราะที่นั่นเป็นส่วนที่เหมาะสมที่สุด หากจะนัดพบใคร

.........................................................................

   เยียนจูเฟิงเดินกลับเข้ามาในห้องด้านหลังเวที ก็พบจางซือหวูรออยู่กับแขกพิเศษของเขาแล้ว เขาจึงรีบเดินไปจับมือทักทาย ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงคุยธุรกิจกัน

   “การเดินทางเป็นยังไงบ้างครับ สะดวกสบายดีไหม?”

   “คนของคุณดูแลผมดีมาก ต้องขอบคุณ คุณต้วนอีกครั้ง ผมพอใจสินค้าล็อตนี้มาก”

   “เห็นสินค้าแล้วสินะ น้องชายคนนี้ของผมเขาเป็นคนใส่ใจลูกค้า แล้วนี่เขาไม่ขึ้นเรือมาพร้อมกับคุณจอชัวหรือยังไง”

   “มาครับ คุณต้วนเดินมาส่งผมถึงห้องนี้ เพิ่งสวนกับคุณเยียนไปเมื่อครู่”

   “อ่อ กลับไปแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นเรามาตกลงเรื่องราคาสินค้ากันเถอะ”

   “ราคาที่คุณเยียนเสนอให้มันค่อนข้างแพงเอาการอยู่นะ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่คุณลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว ผมเองก็เกรงใจ ว่ากันตามตรงเลยนะคุณเยียน ผมขอคุณเยียนแค่ 5% คงจะไม่มากไป”

   “ได้ ในเมื่อคุณจอชัวเข้าใจคนทำมาค้าขาย ขายของต้องมีกำไร ผมยอมลดให้คุณจอชัว 5% แต่ผมขอเงินสด และทันทีที่ผมได้เงิน ต้วนเจียจงจะขับเรือลำนั้นไปทิ้งไว้ให้คุณที่ท่าเรือส่วนตัวทันที”

   “ได้เรือมาเป็นของแถมมาอีกลำ แล้วยังได้ส่วนลด 5% ผมก็ถือว่าคุ้มค่า” คนของจอชัวส่งกระเป๋าให้กับจางซือหวู จากนั้นซือหวูก็วางกระเป๋าลงตรงหน้าของเขา พร้อมกับเปิดมัน “ในนั้นเป็นเงินจำนวนเต็ม เอาเป็นว่า 5% ที่คุณเยียนลดให้ผม เป็นเงินมัดจำสินค้าล็อตถัดไปก็แล้วกัน”

   “คุณจอชัวต้องการอีกเท่าไร แล้วเมื่อไร”

   “สองเท่าของล็อตนี้ และถ้ายิ่งได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี”

   “คุณต้องการเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ จำนวนไม่ใช่น้อยๆ คงจะเร็วทันใจอย่างที่คุณต้องการไม่ได้หรอกนะ และเงินมัดจำก็ดูเหมือนจะน้อยเกินไป”

   “ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าเร็วที่สุดที่คุณจะเตรียมให้ผมได้ก็แล้วกัน เรื่องเงินไม่มีปัญหา คุณแจ้งมา ผมจะให้คนจัดการให้ทันที”

   “ครบครับนาย” จางซือหวูวางเงินมัดสุดท้ายลง พร้อมปิดกระเป๋าแล้วกลับไปยืนรอที่เดิม

   “ถ้าผมรวบรวมของได้เมื่อไร จะให้คนติดต่อกลับไป”

   “ได้ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อน ว่าจะไปดูละครฉากที่คุณจัดให้คนอื่น ๆ ได้ดูบ้าง”

   “หึ โชคคงเข้าข้างผม ที่วันนี้คนที่มาตามคำเชิญกลับเป็นเหมิ๋นหลี่ต๋า”

   “อันที่จริงผมอยากเจอฝู่เถิงมากกว่า ดูสิว่าคนอย่างมันจะจำเพื่อนเก่าอย่างผมได้ไหม?”

   “อย่าวู่วามไป คุณก็รู้ว่าฝู่เถิงเจอคุณอยู่ที่นี่กับผม เขาจับได้แน่ว่าผมทำมาค้าขายกับคุณอยู่ ถ้าอยากทำลายชื่อเสียงของมันคุณต้องใจเย็น ๆ”

   “เหมิ๋นหลีต๋า นังนี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่น ขอไปดูหน้ามันสักหน่อย”

   “ตามสบาย ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า” ทั้งสองลุกจากเก้าอี้ จับมือกันอีกครั้งก่อนที่จอชัวจะเดินออกจากห้องไปพร้อมบอดี้การ์ด

   “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?” เขาหันไปถามจางซือหวู

   “งานทุกอย่างเรียบร้อยดีครับนาย เรื่องส่งของเดี๋ยวผมจะโทรไปแจ้งคุณต้วน แล้วก็...”

   “ไหนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไง”

   “หนูตัวนั้น มันขึ้นมาวิ่งเล่นบนเรือ”

   “ก็ไม่แปลกในเมื่อมันเป็นนักข่าว”

   “คุณต้วนเคยบอกว่านักข่าวคนนั้นอยู่สายงานข่าวอาชญากรรม”

   “อืม...แล้วมันมาทำอะไร?”

   “ให้ผมไปสืบดูไหมครับ”

   “ไม่ต้อง เดี๋ยวจะเสียงานใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยไป ให้คนของเราจับตาดูมันไว้จนกระทั่งลงเรือก็พอ”

   “ครับนาย”

   “แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นให้มันมาก หาโอกาสจัดการหนูตัวนั้นซะ ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องหนูตัวนั้นอีกเป็นครั้งที่ 3”

   “เข้าใจแล้วครับนาย”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 27 ---ll--- 25-06-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-06-2019 20:53:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 28 ---ll--- 08-07-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-07-2019 13:53:32
28






   เหยินหยางผิงกับเมี่ยนจื่ออู่ยื่นไล่เรียงสิ่งของที่อยู่กับตัวศพของผู้ตายใหม่ตั้งแต่แรก ตามข้อสันนิษฐานที่ได้มา เขาไม่สามารถติดต่อเพื่อนร่วมทีมคนอื่นได้นอกจากตู้เห่า เพราะทั้งผานกู่และจู้ชุนก็ติดภารกิจทั้งคู่

   “ฉันได้ตรวจสอบกับญาติของเหยื่อแล้วนะ จะมีแค่สามีของคุณนายเจาเท่านั้นที่ไม่แน่ใจว่าคุณนายเจามีกล่องใส่เข็มกลัดเนกไทรึเปล่า นอกจากนั้น ตรงกันหมดว่าของที่เราแจ้งไป เป็นของของเหยื่อจริง ๆ” ตู้เห่าบอกทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง

   “จำที่เฟ่ยซานบอกได้ไหม ที่เขาไปคุยกับคนเก็บขยะขายน่ะ” อยู่ๆ เหมี่ยนจื่ออู่ก็พูดขึ้นมา

   “เรื่องที่คุณนายเจาไปเก็บขยะมาขายใช่ไหม หรือว่ากล่องใส่เข็มกลัดเนกไทนั่นจะเก็บมาจากกองขยะ” ตู้เห่าถาม

   “ฉันว่าไม่ใช่ ถ้าจำไม่ผิด คนเก็บขยะบอกว่าคุณนายเจาเอาเงินไปซื้อของอย่างหนึ่งแล้ว เลยต้องลงมาเก็บขยะเพื่อหาค่าเรียนพิเศษให้ลูก”

   “ของขวัญ!!  กล่องใส่เข็มกลัดเนกไทนั่น อาจจะเป็นของที่คุณนายเจาเอาเงินไปซื้อ” เขาพอเดาได้ คุณนายเจาอาจจะเอาเงินไปซื้อของขวัญให้ใครสักคน ถึงต้องออกมาหารายได้เพิ่มกลางดึกอย่างการเก็บขยะ

   “เดี๋ยวฉันไปตรวจสอบกับสามีคุณนายเจาก่อน เขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าของขวัญนั้นสำหรับใคร” ตู้เห่ารีบเดินออกจากห้องไปทันที

   “ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งของเหล่านี้ก็อยู่ผิดที่ผิดทางตลอด” เหยินหยางเผิงพูดพร้อมกับย้ายตำแหน่งของภาพสิ่งของที่ถูกพบบนตัวเหยื่อแต่ละราย

   “เหยื่อรายแรก นักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่ควรจะมีสิ่งของอะไร หรือไม่ฆาตกรอาจจะยังเก็บของสิ่งนั้นไว้กับตัว...

   เหยื่อรายที่ 2 พนักงานออฟฟิศสาว คงจะเป็นสร้อยคอเส้นนี้สินะ

   เหยื่อรายที่ 3 คุณนายเจา กล่องใส่เข็มกลัดเนกไท

   เหยื่อรายที่ 4 พนักงานออฟฟิศที่เพิ่งจะแต่งงาน แหวนทองคำขาว อาจจะเป็นแหวนแต่งงานของเธอ

   เหยื่อรายที่ 5 ชายเร่ร่อน หมวกไหมพรมเก่าๆ

   เหยื่อรายที่ 6 หวงกังโห กระดุมติดแขนเสื้อ

   แล้วพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนี่ละ?”

   “คนที่จะพกพวกกุญแจนี่ น่าจะเป็นผู้หญิง ฉันลองเทียบกับผู้หญิงที่หายไปช่วงนี้แล้วลองถามญาติ ๆ ดูว่าคนที่หายไปมีของแบบนี้ติดตัวไหม?” เหมี่ยนจื่ออู่ออกความเห็น

   “อืม อย่างน้อยก็ยังมีเบาะแสให้สืบต่อ”

   “มาแล้ว ๆ เป็นจริงอย่างที่หยางผิงว่า กล่องนั่นเป็นของขวัญจริง ๆ หลังคุณนายเจาหายตัวไป 3-4 วัน จะตรงกับวันครบรอบแต่งงานของคุณนายเจาและสามี”

   “ถ้าอย่างนั้นข้อสันนิษฐานของกัมหงก็ถูกต้อง ที่น่าเป็นห่วงก็แต่ เหยื่อรายที่ 7 เจ้าของพวงกุญแจอันนี้ถูกขังอยู่ที่ไหน”

   เหยินหยางผิงชี้ไปที่รูปถ่ายพวงกุญแจเดซี่ดั๊กที่ถูกย้ายออกมาจากแถวของภาพเหยื่อรายที่ 6 อย่างหวงกังโห ทุกคนในห้องต่างพากันเงียบ ภาวนาให้หญิงเคราะห์ร้ายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่

   
.........................................................................

   ผมไม่เข้าใจดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างจริง ๆ บอกว่าจะคอยไปจับตาดูคุณเยียน แต่กลับไม่ไปไหน เดินออกมานั่งรับลมอยู่ที่ดาดฟ้าด้านท้ายเรือที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่อย่างนี้ ผมลุก นั่ง เดินวนไปมาหลายรอบ ดอกเตอร์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลุกไปไหน นั่งเอนหลังสบายใจอยู่ที่เก้าอี้อาบแดด มีบ้างที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จนใกล้เวลาที่เรือจะกลับเข้าฝั่ง

   “ดอกเตอร์ นี่ก็ใกล้เวลาที่เรือจะกลับเข้าฝั่งแล้วนะ ถ้าคุณเยียนเขาจะไปทำอะไรต่อมิอะไร ป่านนี้เขาคงทำเสร็จไปนานแล้ว”

   “อืม”

   “อ่าว แล้วไหนดอกเตอร์บอกว่าจะไปตามคุณเยียนยังไงละ”

   “เยียนจูเฟิงหลังจากที่พาม๊าไปเล่นที่กาสิโน มันก็แอบเดินกลับเข้ามาในห้องบอลรูม”

   “ดอกเตอร์รู้ได้ยังไง”

   “ฉันรู้ก็แล้วกัน”

   “ดอกเตอร์คงไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเยียนจูเฟิงหรอกนะ”

   “นายนอกจากจะรนหาที่แล้ว ปากก็ยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีกนะ” ดอกเตอร์ที่ตอนแรกลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เหมือนจะโกรธในคำพูดของผม อยู่ ๆ ก็เบือนหน้าหนี เหมือนไม่อยากจะมองหน้าผมอย่างนั้นแหละ มันยิ่งรู้สึกว่า...เขาปิดบังอะไรผมอยู่ มีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด

   “ดอกเตอร์มีเรื่องปิดบังผมใช่ไหม ที่จริงแล้วดอกเตอร์เพียงแค่ต้องการลากผมออกมาให้ห่างจากเรื่องของเยี่ยนจูเฟิงใช่ไหม เยียนจูเฟิงกับเยี่ยนหวอ นอกจากเรื่องกาสิโนแล้วยังมีเรื่องอื่นที่ร่วมมือกันอีกใช่ไหม?” ผมพูดไปพร้อมกับก้าวเข้าไปประจันหน้าดอกเตอร์

   “หนานเฟ่ยซาน” เขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง

   “ดอกเตอร์ไม่ต้องมาขึ้นเสียงใส่ผม อุ๊บ...” อยู่ๆ ดอกเตอร์ก็เอามือปิดปากผม

   “หลบ แล้วก็เงียบเอาไว้”

   ดอกเตอร์กระซิบบอกผม แล้วลากผมมาหลบอยู่ริมราวกันตกของเรือ ซึ่งด้านล่างเป็นส่วนทึบ ผมไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงคลื่น แต่พอฟังให้ดี ๆ เหมือนผมจะได้ยินเสียงเรือเล็กแล่นเข้ามาที่ด้านท้ายเรือ ผมจึงนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตื่นเต้น อาการที่ทุเลาลงแล้ว เหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีก

   ผมไม่รู้ว่าดอกเตอร์ปล่อยให้ผมเป็นอิสระตั้งแต่ตอนไหน แทนที่ดอกเตอร์จะแอบมองเขากลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ถ้าจะแอบถ่ายละก็ กล้องของผมมีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องบนมือถือเป็นไหน ๆ ไวเท่าความคิด ผมจึงยกกล้องขึ้นพาดเลนส์กับขอบราวกันตก แล้วมองภาพผ่านเลนส์กล้อง

   ผมเห็นเงาใครบางคนเดินจากเรือเล็กขึ้นมาบนเรือลำนี้ เสียดายที่ผมไม่ทันเห็นหน้า เมื่อยังเห็นเรือเล็กยังคงจอดเทียบอยู่ที่ท้ายเรือ แสดงว่าเดี๋ยวคนคนนั้นก็ต้องกลับมา ผมจึงรออย่างใจจดใจจ่อ

   “หนานเฟยซาน นายทำอะไร” ดอกเตอร์หันมากระซิบให้ ผมไม่สนใจ จดจ่ออยู่กับภาพในเลนส์กล้องต่อไป

   “ก็ทำอย่างเดียวกับดอกเตอร์ไง”

   “ฉันไม่ได้ทำอย่างที่นายทำ ลดกล้องลงมาเดียวนี้” ดอกเตอร์กระซิบออกมาอย่างหงุดหงิด “ไปได้แล้ว”

   “ไปไหน ผมยังไม่ได้รูปคนที่แอบขึ้นเรือเลย”

   ดอกเตอร์คว้ากล้องออกจากมือของผม นี่ถ้าเลนส์อันนี้พังขึ้นมาอีกนอกจากดอกเตอร์จะไม่ชดใช้แล้ว ผมยังขาดเครื่องมือทำงาน คิดขึ้นมาแล้วพาลให้โมโห กำลังจะแย่งกล้องคืนมา พุที่คุณเยียนจัดไว้ก็เริ่มจุดขึ้น ทำให้ท้องฟ้าที่ด้านหลังสว่างไสว

   “นั่นใครน่ะ!!”

   เสียงคนข้างล่างตะโกนขึ้นมาแข่งกับเสียงพุ ผมที่ลุกขึ้นมายื้อแย่งกล้องถ่ายรูปกับดอกเตอร์กำลังจะหันไปมองตามเสียงเรียก ด้วยอยากรู้ว่าใครที่แอบขึ้นเรือมา

   ยังไม่ทันได้หันไปร่างผมก็ลอยหวือไปปะทะกับร่างของดอกเตอร์ ยังดีที่เอามือทั้งสองข้างยันได้ทัน ก่อนที่ผมจะได้โวยวายอะไร ก็รู้สึกถึงมือหนากระชับรั้งอยู่ที่ท้ายทอยของผม มันเกิดอะไรขึ้น...ทำไมหน้าของดอกเตอร์...แว่นกรอบทองนั่นมันเบียดอยู่บนใบหน้าของผม ไหนจะสัมผัสชื้นๆ ที่ริมฝีปาก... ในโพรงปาก...ผม...เริ่มหายใจ...ไม่ออก...

   ภาพสุดท้ายที่ผมเห็น...ด้านหน้าของผมนอกจากใบหน้าของดอกเตอร์ที่ดูเลือนราง แต่กลับมีภาพที่เด่นชัดอีกภาพ...พุที่ถูกจุดขึ้นบนฝั่ง มันสวยงาม น่าประทับใจจนผมรู้สึกราวกับว่า พุนั่นมันระเบิดอยู่ในหัวของผม...

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างอุ้มร่างของคนที่หมดสติไปวางไว้บนเก้าอี้อาบแดดที่ตั้งไว้บนดาดฟ้า เขาค่อย ๆ คลายหูกระต่ายของคนตรงหน้าออก ช่วยปลดกระดุมเพื่อคลายความอึดให้คนที่หมดสติ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ถัดไป

   หวังว่าคนข้างล่างนั่น จะคิดว่าคู่รักแอบขึ้นมาพลอดรักกันบนดาดฟ้าเรือ เพราะโชคดีที่หนานเฟ่ยซานรูปร่างเล็กกว่าเขามาก ทำให้เงาของเขาสามารถบังเฟ่ยซานได้ทั้งตัว แสงสว่างจากพุที่ถูกจุดอยู่ด้านหลัง คงทำให้คนข้างล่างไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาในระยะไกลได้ แต่เขากลับจำทั้งต้วนเจียจง และเพื่อนอีกคนของหนานเฟ่ยซานได้อย่างดี

   หนานเฟ่ยซานถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมไม่ได้จริง ๆ ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เลย ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ทำแบบนั้น ป่านนี้คงโดนต้วนเจียจงจับได้แล้วว่ามีคนแอบถ่ายรูปพวกเขาอยู่ หนานเฟ่ยซานไม่รู้ว่าเขาสามารถเห็นคนเหล่านั้นผ่านโทรศัพท์มือถือที่ลุงคีช่วยแฮ็กระบบกล้องบนเรือให้ตั้งแต่มาถึง

   ต้วนเจียจงขึ้นเรือมาเพื่อทักทายชาวอาหรับคนหนึ่งที่เป็นแขกบนเรือ ข้าง ๆ กันยังมีเพื่อนของหนานเฟ่ยซานที่เป็นบอร์ดี้การ์ดอีกคน เขาแคปเจอร์ภาพเหล่านั้นไว้เพื่อจะตามสืบภายหลัง คลาดสายตาจากหนานเฟ่ยซานเพียงนิดเดียวก็เกือบจะเป็นเรื่องซะแล้ว

   ต้วนเจียจงมาทำอะไรบนเรือลำนี้กันแน่ และเพื่อนของหนานเฟ่ยซานคนนั้นดูเหมือนจะเป็นบอร์ดี้การ์ดบนเรือลำนี้ ซึ่งไม่ร็ว่าไปรู้จักหรือสนิทสนมกันแค่ไหน การที่แอบขึ้นมาแล้วมีคนบนเรือรู้เห็นนั้นเป็นเรื่องที่มีการเตรียมการไว้ก่อนแน่นอน แต่เรื่องอะไร เขาก็ไม่อาจคาดเดาในทางที่ไม่ดี ยิ่งกับต้วนเจียจงแล้วด้วย

   “น้ำ” หนานเฟ่ยซานที่เหมือนจะได้สติขึ้นมา

   “นายคงต้องลงไปดื่มข้างล่างแล้วละ ที่นี่ไม่มีน้ำให้นายหรอกนะ”

   “อ่า...นี่ผมอาการกำเริบอีกแล้วเหรอ”

   “...”

   หนานเฟ่ยซานขยับลุกขึ้นมานั่ง เอามือข้างหนึ่งกุมศีรษะเอาไว้ “กล้อง”

   “กล้องของนายอยู่นี่ มันปลอดภัยดี” เขาชี้ไปที่เก้าอี้ตัวถัดจากหนานเฟ่ยซานนั่งอยู่

   “ดะ ดะ ดอกเตอร์”

   “นายลุกไหวไหม?” เขาขยับหวังจะเข้าไปช่วยพยุงคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น

   “มะ ไม่ต้อง ดอกเตอร์ไม่ต้องเข้ามา ไม่ต้องเข้าใกล้ผมนะ”

   “หึ นายจะกลัวอะไร ทีตอนจะแอบถ่ายรูป หรือทำอะไรเสี่ยง ๆ ไม่เห็นจะกลัว”

   “มันไม่เหมือนกัน ก็ๆ ๆ”

   “จะบอกว่านายกลัวฉัน”

   “อืม” เขาเองเป็นฝ่ายที่ต้องตกใจเมื่อหนานเฟ่ยซานยอมรับง่าย ๆ ออกมาแบบนี้

   “กลัวฉันจะจูบอีกอย่างนั้นเหรอ”

   “เฮ้ย แล้วจะพูดออกมาทำไม ไอ้ๆ ไอ้ดอกเตอร์โพลาไอซ์ ไอ้ภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่ ไอ้ๆ”

   “นี่คือคำที่นายเรียกฉันลับหลังสินะ”

   “เออ ใครใช้ให้ดอกเตอร์ทำแบบนั้นกับผม ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย”

   “ใครจะไปรู้ว่านายคิดอะไรกับฉัน แล้วถ้านายไม่จูบฉันก่อน ฉันจะไปกล้าจูบนายคืนแบบนี้เหรอ?”

   “หา?”

   “ถือว่าฉันเอาคืนก็แล้วกัน หายกัน”

   “เฮ้ย ไอ้ดอกเตอร์บ้า ผมไปทำแบบนั้นกับดอกเตอร์ตอนไหนไม่ทราบ อย่ามาโมเมสิวะ”

   “ก็ในห้องนอนฉัน ที่บ้านฉัน คืนที่นายไปค้างกับฉันไงละ”

   “...” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานทำหน้ายู่ ทำท่าครุ่นคิด

   “ถ้านายอาการดีขึ้นแล้ว ก็ลงไปข้างล่างได้แล้ว จะได้ไปหาน้ำดื่ม”

   “...” คนที่นั่งอยู่ไม่มีท่าทีจะขยับสักนิด เขาจึงเอื้อมมือไปคว้ากล้องของคนตรงหน้าขึ้นมาถือ

   “หนายเฟ่ยซาน หรือจะให้ฉันอุ้ม”

   “หา? เฮ้ย!!  มะ มะ ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” แล้วเสียงก็แผ่วลงแต่คนที่สัญชาตญาณดีอย่างเขากลับได้ยินมันชัดเจน  “เราไปจูบเขาตอนไหนวะ ไม่เห็นจะจำได้เลย”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ เพราะถึงอย่างไรเจ้าตัวก็จำไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เจ้าตัวทำไปเพราะหมดสติ ต่างจากเขาที่มีสติตลอดเวลา แต่กลับอดไม่ได้ที่จะไปจับจ้องปากเล็กๆ ช่างเจรจาของคนที่เดินนำหน้าหนีห่างออกไปนี่จริง ๆ และครั้งนี้เขาก็พอใจกับรสสัมผัสนี้มากด้วย

.........................................................................

   ผานกู่เดินสำรวจในส่วนของห้องพักทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา จึงคิดจะเดินกลับไปยังส่วนของห้องสันทนาการ ซึ่งเป็นส่วนที่แขกอยู่กันมากที่สุดในขณะนี้ ตอนนี้ก็จบการล่องเรือแล้ว ดูได้จากพุที่ถูกจัดขึ้นตามกำหนดการณ์ปิดงานบนเรือ

   ระหว่างที่เขาจะเดินไปส่วนของห้องสันทนาการ เขาได้ยินชาวต่างชาติพูดภาษาจีนสำเนียงแปร่งหูคุยกับใครบางคนอยู่ สัญชาตญาณบอกให้เขาแอบเพื่อฟังว่าคนทั้งสองคุยกันเรื่องอะไร เขาจึงหลบเขาไปในห้องที่กำลังปรับปรุงห้องหนึ่ง แอบฟังอยู่ด้านหลังประตูห้องนั้น

   “ก็แค่คู่รักที่แอบขึ้นไปพลอดรักกันบนดาดฟ้า โรแมนติกน่าดูเลยนะ พลอดรักไปชมพุสวย ๆ ไป”

   “ถึงคุณจอชัวจะพูดแบบนั้น แต่ทางเราก็ไม่นิ่งนอนใจ จะรีบสืบให้รู้จนได้ว่าทั้งสองคนนั้นเห็นอะไรรึเปล่า”

   “อืม เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน คุณก็ไปรายงานคุณเยียนเถอะ ว่าฉันพอใจมากทั้งคุณ ทั้งของ จากตรงนี้ เดี๋ยวฉันจะไปพักนั่งเล่นรอเรือเข้าฝั่งกับแขกคนอื่น ๆ ที่เลานจ์ พอลงจากเรือนี่ฉันจะได้ไปชื่นชมสินค้าของฉันสักที”

   “ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอส่งคุณแค่นี้ ผมยังมีงานต้องทำอีกมากในคืนนี้”

   “ฮ่าฮ่า คุณเยียนคงใช้งานนายเยอะเลยสินะ เอ้า ตามสบายเลย”

   หลังจากการสนทนาจบลงผานกู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งค่อย ๆ เดินห่างออกไป เขารอฟังจนกระทั่งเสียงทุกอย่างเงียบลงจึงค่อย ๆ เปิดประตูห้อง ในหัวก็คิดถึงบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่ คนพวกนั้นต้องลักลอบทำอะไรสักอย่างเป็นแน่ เยียนจูเฟิงน่าสงสัยจริง ๆ

   คิดไม่ผิดที่ตามหนานเฟ่ยซานขึ้นมาบนเรือ ก่อนที่ฉินหรุยกวงจะตาย ได้คุยอะไรกับเยียนจูเฟิงในโกดังนั่นกันแน่ ทั้งสองน่าจะต้องขัดผลประโยชน์อะไรบางอย่าง น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นหน้าชาวต่างชาติคนนั้น

   ทั้งที่คิดว่าปลอดคนแล้วแท้ ๆ เขากลับพลาด เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาก้าวพ้นประตูห้องออกมาที่ระเบียงทางเดิน เขารู้สึกชาวาบที่สีข้าง ก่อนจะตามมาด้วยความเย็นเฉียบของวัตถุบางอย่างที่ฝังเข้ามายังร่างกายของเขา ยังไม่ทันได้หันไปมองคนที่ลอบทำร้าย มีดเล่มนั้นก็ถูกกระชากออกไปอย่างแรง

   ความเจ็บปวดวิ่งปราดเข้าใส่เขาทันทีที่มีดเล่มนั้นถูกกระชากออกไป ของเหลวอุ่นข้นไหลลงมาจนเขาต้องเอามือกดเอาไว้หวังจะบรรเทาความเจ็บปวดและห้ามเลือด ร่างกายเซไปยังราวกันตก เขารีบคว้ามันไว้เพื่อพยุงร่างกายเตรียมตั้งรับคนที่จะเข้ามาทำร้ายเข้าอีกครั้ง

   ยังไม่ทันยืนตั้งหลักได้เต็มที่ สองเท้าเขาก็ถูกยกลอยหวือข้ามราวระเบียงมา ดีที่เขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดราวระเบียงไว้ ใครกันที่มีความสามารถขนาดนี้ รู้ว่าเขาแอบอยู่หลังประตู ทั้งที่เขาทิ้งช่วงเป็นเวลานาน อีกทั้งยังโจมตีเขาได้อย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ติด ราวกับเสือที่จ้องรอเหยื่อออกจากที่ซ่อน

   “นักข่าวอีกแล้วเหรอ” เขาได้ยินเสียงคนบนทางเดินพูด ถึงได้รู้ว่าบัตรห้อยคอที่หนานเฟ่ยซานให้เขาไว้ถูกกระชากออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ชายคนนั้นเหวี่ยงป้ายห้อยคอนั่นทิ้งลงในทะเลเบื้องล่าง

   คนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะค่อย ๆ งัดนิ้วมือของเขา ที่จับราวระเบียงไว้แน่น ให้หลุดออกอย่างใจเย็น แสงไฟจากระเบียงทำให้เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนทำร้ายเข้าได้ แต่ดูจากลักษณะการแต่งตัวแล้ว น่าจะเป็นบอร์ดี้การ์ดที่ดูแลอยู่บนเรือลำนี้

   “ฉันจะส่งนายไปหาข่าวในก้นอ่าววิเตอเรียก็แล้วกัน”

   ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถรั้งราวกันตกได้อีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำอันเย็นเฉียบ เขาพยายามจะตะเกียกตะกายว่ายน้ำต่อ แต่ด้วยบาดแผลที่สีข้างที่เลือดออกมาไม่ขาดสายนั้นค่อย ๆ พรากสติสัมปชัญญะของเขาให้เลือนหายไป

.........................................................................

   เหมิ๋นหลี่ต๋าเดินออกมาจากกาสิโน เพื่อตรงไปยังส่วนของเลานจ์ซึ่งเป็นจุดนัดพบของเธอและลูกชาย โดยมีคนของเธอเดินตามมา มีนักข่าวจากหลายสำนักพยายามจะเข้ามาขอสัมภาษณ์เธอ เกี่ยวกับเรื่องการร่วมมือกันของเยี่ยนหวอกับไลน์ออนเฟอรี่ แต่คนของเธอรู้งานดี กันนักข่าวเหล่านั้นออกไปได้หมด

   กระทั่งเธอเห็นเหมิ๋นหยวนฮ่างเดินตามหนานเฟ่ยซานเข้ามาในเลานจ์ เมื่อคนที่ตัวเล็กกว่าเดินเลี่ยงไปอีกทาง กลับเป็นลูกชายของเธอที่ยื้อและดึงให้หนานเฟ่ยซานเดินตามเขามา ทั้งสองตรงเข้ามาที่กลุ่มของเธอ

   “สีหน้าไม่ค่อยดีนะคุณหนาน หยวนฮ่างทำอะไรให้คุณไม่พอใจรึเปล่า”

   “เออ... ไม่มีอะไรครับ คือผมกำลังจะไปตามหาเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่ดอกเตอร์กลับลากผมมาที่นี่”

   “เพื่อนของคุณ คนที่ขึ้นเรือขึ้นมาด้วยกันอย่างนั้นสินะ”

   “คุณนายเหมิ๋นทราบ”

   “ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดสายตาคนของฉันไปได้หรอกนะ ถ้าพวกเราสนใจ จริงไหม หยวนฮ่าง...”

   “ผมให้เฟ่ยซานสัมภาษณ์ม๊าที่โรงแรมพรุ่งนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ ม๊าคงไม่ขัดข้อง”

   “ลูกคงวางแผนไว้แล้วสินะ เอาสิ พรุ่งนี้คุณหนานสะดวกกี่โมงละ ฉันจะได้ให้เลขาจัดเวลาไว้ให้คุณ”

   “คุณนายเหมิ๋นเกรงใจเกินไปแล้ว ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอเวลาคุณ”

   “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเช็กเวลากับทางเลขาก่อนก็แล้วกัน แล้วจะให้หยวนฮ่างติดต่อคุณกลับไป ส่วนหยวนฮ่าง คุณหนานเขาจะไปตามหาเพื่อน ลูกก็ไม่ควรรั้งเขาเอาไว้”

   “คุณลตา” คุณคีเข้ามาแต่ข้อศอกเธอเบา ๆ ก่อนจะกระซิบบางอย่าง

   “คนของฉันเจอเพื่อนของคุณแล้ว เดี๋ยวตอนลงเรือคงจะได้เจอกัน ยังไงคุณหนานก็อยู่คุยกับหยวนฮ่างไปพลางๆ ก่อน”

   “เอ่อ...คุณนายเหมิ๋นครับ พี่กู่เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เขาก็ทำงานของเขา เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาและตัวคุณเอง ก็จงเชื่อคำแนะนำของฉัน”

   “ครับ”

   “ม๊า?”

   “ดูแลคุณหนานดี ๆ ละ แล้วเรื่องที่รังแกคุณหนาน อย่าคิดนะว่าไม่มีคนเห็น”

   “เรื่องอะไรครับ” คนที่ดูตกใจกลับไม่ใช่ลูกชายของเธอ แต่เป็นคนที่โดนรังแกมากกว่า

   “นายไปหาน้ำดื่มดีกว่า ก่อนที่จะวูบไปอีก” เหมิ๋นหยวนฮ่างพูดกับหนานเฟ่ยซานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สมกับเป็นลูกชายของเธอจริง ๆ เหมิ๋นหลี่ต๋ามองจนกระทั่งทั้งสองเดินห่างออกไป

   “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

   “ผมบอกจู้ชุนแล้ว หวังว่าเขาจะไปได้ทันเวลา”

   “คุณได้บันทึกภาพช่วงนั้นไว้ไหม”

   “ครับคุณลตา แต่มันเร็วมาก ผมว่าคงจะใช้เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นหน้าคนร้าย”

   “แจ้งฝู่ไฉ๋ แคนเซิลงานพรุ่งนี้ทั้งหมด ฉันไม่รับแขก” เธอหันไปสั่งบอร์ดี้การ์ดคนหนึ่ง

   “นี่คุณลตาถึงกลับแคนเซิลงานทั้งหมด เพื่อให้ว่าที่ลูกสะใภ้ได้ทำความรู้จักแม่สามีเลยเหรอครับ”

   “คุณก็รู้ว่าตาคิดอะไรอยู่ แต่เวลาที่เหลือเอาไว้คุณกับเฟ่ยซานก็ดีนะ”

   “เฟ่ยซาน ๆ ได้พูดกันไม่กี่ประโยค เรียกว่าที่ลูกสะใภ้ซะสนิทสนมเชียว”

   “หรือคุณไม่ชอบ”

   “ไม่มีใครทำให้ผมประทับใจได้เท่าคุณหยกหรอกนะครับ”

   “เล่นเอาเฟ่ยซานไปเทียบกับนางฟ้าของเยี่ยนหวอแบบนั้น เฟยซานของฉันจะเอาอะไรไปสู้”

   “นั่น กลายเป็นเฟ่ยซานของคุณไปซะแล้ว”

   เหมิ๋นหลี่ต๋าไม่อยากจะต่อความยาวไปกับคุณคี เมื่อก่อนเห็นนิ่ง ๆ แต่เหตุใดยิ่งอายุมากขึ้น กลับยิ่งขี้เล่น

   
To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 29 ---ll--- 15-07-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 15-07-2019 16:14:03
29





   ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่เรือแล่นเข้าฝั่ง ดอกเตอร์เกาะติดผมอย่างกับเงาตามตัว จนกระทั่งเรือเทียบท่าแล้ว พี่กู่ก็ยังไม่มา ผมพยายามโทรหาแต่กลับไม่มีสัญญาณ จนผมถูกดอกเตอร์และคนของคุณนายเหมิ๋นต้อนลงเรือ

   ผมยังคงมองหาพี่กู่ และเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีแล้ว ผมรอจนแขกที่มากลับไปหมด เหลือแต่พวกพนักงานที่อยู่บนเรือ ซึ่งน่าจะเก็บกวาด ทำความสะอาด ผมพยายามหาทางแอบขึ้นไปบนเรืออีกครั้งเพื่อตามหาพี่กู่

   “นายจะไปไหน?”

   “ดอกเตอร์ พี่กู่เขา...”

   “นายตามฉันมานี่” ดอกเตอร์ลากผมไปยังรถที่จอดรออยู่”

   “ผมยังไม่กลับ ผมยังไม่เจอพี่กู่เลย”

   “ถ้านายอยากเจอนักสืบผาน นายก็ตามฉันมา”

   “ดอกเตอร์เห็นพี่กู่ลงมาจากเรือตั้งแต่เมื่อไร”

   “ฉันไม่ได้เห็น แต่คนของฉันเห็น”

   “ตอนไหน ทำไมคุณไม่บอกผม”

   “นานแล้ว และฉันก็บอกนายอยู่นี่ยังไง”

   ผมกำลังจะว่าดอกเตอร์แต่ก็ต้องเงียบลง เพราะบนรถที่ผมเพิ่งถูกจับยัดเข้ามานั้นไม่ได้มีแค่ผมกับเขาสองคน ยังมีเหมิ๋นหลี่ต๋านั่งอยู่ด้วย หลังจากนั้นดอกเตอร์ก็ย้ายไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ

   “คุณหนานไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเถอะค่ะ”

   “ครับ”

   ระหว่างอยู่บนรถ ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย ถึงผมจะอยากรู้เรื่องของพี่กู่แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ ไม่กล้าถามอะไรมาก เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มชินกับความเงียบ ทำให้ผมมองไปรอบ ๆ ซึ่งเห็นว่ารถกำลังขับไปที่ไหน

   “ที่นี่...”

   “เรากำลังจะเข้าไปที่ท่าเรือ ข้างโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “แล้ว...พี่กู่”

   “นายดูเหมือนจะเป็นห่วงนักสืบผานมากเลยนะ”

   “หยวนฮ่าง” คุณนายเหมิ๋นเรียกดอกเตอร์ก่อนหันมาพูดกับผม “ตอนนี้ไม่มีใครนอกจากพวกเราและที่นี่ก็ปลอดภัยพอสมควร ดังนั้นเรื่องที่คุณหนานอยากรู้ ฉันก็จะเป็นคนบอกเอง”

   “ครับ?”

   “นักสืบผานโดนทำร้ายตอนอยู่บนเรือ”

   “หา!!  แล้วพี่กู่...เออ...ขอบคุณคุณนายเหมิ๋นที่ช่วยพี่กู่ไว้ ตอนนี้พี่กู่...”

   “ตอนนี้นักสืบผานอยู่ในความดูแลของคนของฉัน แต่อาการบาดเจ็บนั้นก็ถือว่าหนักเอาการ”

   “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยัง แล้วตอนไหนกันครับ”

   “นักสืบผานน่าจะถูกแทง แล้วผลักตกเรือ”

   “ตกเรือ!! ”

   “ไม่ต้องห่วง คนของเยี่ยนหวอไม่ประมาทอยู่แล้ว ถึงเราจะถูกจำกัดให้พาคนติดตามไปได้ไม่กี่คน แต่ท่านประธานก็ไม่ไว้ใจ ให้เรือของเราตามอยู่ห่าง ๆ”

   “เฮ้อ...โล่งอก คุณฝู่นี่รอบคอบจังเลยนะครับ”

   “ไม่ใช่อาเถิงหรอก แต่เป็นหงส์ต่างหาก”

   “คุณนายฝู่?”

   “เรื่องต่าง ๆ ภายในครอบครัวของพวกเรา นอกเหนือจากนี้ อีกไม่นานคุณคงจะได้รับรู้”

   “ผมมีเรื่องสงสัย”

   “เรื่องอะไรถ้าฉันตอบได้ ฉันก็จะตอบ”

   “ตอนที่คุณคุยอยู่กลับเยียนจูเฟิง ต่อหน้านักข่าว คนของคุณคุยอะไรกับดอกเตอร์?”

   “หยวนฮ่าง?”

   “ตอนนั้นลุงคีบอกกับผมว่า มีชาวอาหรับคนหนึ่งที่เป็นแขกบนเรือ เดินเข้าไปที่ห้องด้านหลังเวที”

   “แล้วคุณพูดภาษาอะไร แล้วทำไมต้องพูดภาษาอื่น”

   “ต่อหน้านักข่าว ลุงคีไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเราสนใจเรื่องอะไรกันอยู่จึงเลือกที่จะพูดภาษาไทย”

   “ภาษาไทย?”

   ผมรู้สึกคุ้น ๆ เรื่องนี้อยู่ ถ้าจำไม่ผิดคุณนายฝู่เคยใช้สัญชาติไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ผมยังไม่ทันได้ยืนยัน รถก็มาจอดที่ท่าเรือขนส่งสินค้า ภายในโซนโกดังของเยี่ยนหวอ ดอกเตอร์ลงจากรถและอ้อมไปเปิดประตูให้กับคุณนายเหมิ๋น ผมจึงก้าวตามลงไป

   พวกเรายืนรอกันอยู่ที่ท่าเรือ ไม่นานก็มีรอลำไม่ใหญ่มากแล่นเข้ามาเทียบท่า ดู ๆ แล้วเรือลำนี้น่าจะบรรทุกได้ประมาณ 20-25 คน คนที่ลงเรือและวิ่งเข้ามาหาพวกเรา เมื่อมองใกล้ๆ

   “พี่ชุน?”

.........................................................................

   เหยินหยางผิงเข้ามาที่สำนักงานแต่เช้า หวังจะได้พบกับผานกู่ แต่กลับไม่เจอ หลังจากที่เขา เหมี่ยนจื่ออู่และตู้เห่า ช่วยกันคัดดูคดีคนหายที่เป็นหญิงสาวก็พบว่ามีอยู่ 34 ราย คงใช้เวลาไม่นานในการโทรสอบถามญาติของผู้สูญหาย ว่าพวงกุญแจเดซี่ดั๊กนั้นเป็นของใคร

   ตู้เห่าเดินเข้ามาที่แผนกพร้อมกับจุ้ชุน ทั้งสองเดินไปก็คุยกันเรื่องคดีคนหายไปพลาง จนกระทั่งเห็นเขาเข้า

   “หยางผิง จื่ออู่ละ มารึยัง”

   “ยังไม่เห็นนะ แล้วพี่กู่ละ”

   “พี่กู่มีปัญหาเมื่อคืน คงไม่ได้เข้าสถานีอีกหลายวัน”

   “ไอ้ที่ว่ามีปัญหาเนี่ยคงไม่ได้หมายถึง”

   “บังเอิญว่าใช่”

   “หนักไหม?”

   “ปลอดภัยดี พักอีกวันสองวันก็มาทำงานได้แล้ว”

   “แล้วเฟ่ยซานละ เป็นอะไรรึเปล่า”

   “ปลอดภัยดี”

   “นายรู้ข้อมูลในคดีฆ่ารัดคอรึยัง”

   “อืม อาเห่าบอกฉันแล้ว และฉันคิดว่า พวกเราคงต้องแยกกันตรวจสอบแล้วละ”

   “แยกกันตรวจสอบ”

   “ใช่ อาชุนบังเอิญได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนที่หายไป เมื่อวานนี้ตอนที่ไปสืบคดีพร้อมพี่กู่ ฉันว่าจะไปโกดังต้องสงสัย” ตู้เห่าเป็นคนอธิบายสถานการณ์

   “ถ้าอย่างนั้น เรื่องตรวจสอบคดีฆ่ารัดคอ ฉันกับจื่ออู่จะจัดการเอง”

   “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” ชิวกัมหงที่เดินตามเข้าสถานีมาอาสาช่วยเหลือ

   “กัมหง นายไปช่วยหยางผิงก็แล้วกัน ฉันกับอาชุนต้องไปที่โกดัง” ตู้เห่าสั่งการ

   “ไปกันสองคนอย่างนั้นเหรอ?” เขาหันไปถามตู่เห่า

   “ไม่หรอก จะเอาเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นโกดังนิดหน่อย”

   “เอ้ย ไหนพี่กู่เคยบอกว่า ไม่ให้กระโตกกระตากไปยังไงละ?” เขาตกใจที่ตู้เห่าตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้หัวหน้าทีมของเขาก็นอนเจ็บอยู่ คนตักสินใจและสั่งการจึงเป็นตู้เห่าไปโดยปริยาย

   “ครั้งที่แล้วน่ะใช่ แต่ครั้งนี้มีความเป็นไปได้มากว่าโกดังต้องสงสัย น่าจะซุกซ่อนอะไรสักอย่างไว้ แล้วยังได้รับอนุญาตจากเยี่ยนหวอให้ตรวจโกดังได้”

   “นายจะไปตอนไหน” ชิวกัมหงถาม

   “รายงานพร้อมขอกำลังคนหัวหน้าเสร็จเมื่อไร ก็ไปทันที”

   “ฉันไปด้วย ส่วนกัมหง นายอยู่นี่รอจื่ออู่ งานที่นายกับจื่ออู่ต้องทำยังมี เอานี่อ่านซะ” เขาส่งเอกสารให้ชิวกัมหง “ทำงานนั่งโต๊ะไปก่อน รอให้ร่างกายของนายหายดีเมื่อไร พวกเราจะไม่ห้ามถ้านายจะออกภาคสนาม”

   เขาพูดจบก็เดินนำตู้เห่าและจู้ชุนไปยังห้องของหัวหน้า และให้จู้ชุนเล่ารายละเอียดเบาะแสที่ได้มาให้เขาฟังคร่าว ๆ อีกครั้ง

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมารอจู้ชุนอยู่ที่หน้าโกดัง F13-F14 ของต้วนเจียจง เมื่อเช้าเขาได้โทรหาเพื่อนของเขาคนนี้แล้ว แต่ทางนั้นกลับอยู่ที่ฮ่องกง อ้างว่าเดินทางไปเจรจาธุรกิจกับลูกค้า แต่ภาพที่ได้นั้นเห็นชัด ๆ ว่าเมื่อคืนต้วนเจียจงอยู่บนเรือของไลน์อ้อนเฟอรี่

   ขบวนรถจากสถานีวิ่งตรงเข้ามาหาเขาหลายคัน คันแรกที่มาถึง จู้ชุนเดินเข้ามาพร้อมกับนักสืบอีก 2 คน ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ได้แต่ยืนเพื่อรอคำสั่ง

   “สวัสดีครับ ดอกเตอร์เหมิ๋น ขอบคุณมากที่คุณยอมให้ความร่วมมือ” จู้ชุนเป็นผู้เอ่ยกับเขาอย่างเป็นทางการ

   “ที่ผมมาเพราะโกดังนี้ถูกเช่าด้วยเพื่อนของผม เดิมทีผมจะคุยกับเขาเพื่อให้คุณเข้าตรวจค้น แต่บังเอิญเขาไปติดต่อธุรกิจอยู่ที่ฮ่องกงหลายวันแล้ว คาดว่าจะกลับถึงมาค่ำนี้”

   “อย่างนั้นเหรอครับ” จู้ชุนพูดออกมาด้วยความแปลกใจ ซึ่งเขารู้ว่าจู้ชุนเข้าใจความหมายของเขา

   “ถ้าอย่างนั้น ที่เราพาคนเข้ามาวันนี้ คงไม่ใช่ว่าจะคว้าน้ำเหลวหรอกนะครับ?” นักสืบอีกคนถามเขาขึ้นมาอย่างใจร้อน

   “หยางผิง เสียมารยาท ต้องขอโทษด้วยนะครับดอกเตอร์ หวังว่าดอกเตอร์จะไม่ถือสา” ส่วนอีกคนที่มาด้วยกลับห้ามปราม

   “พวกคุณสามคนจะตามผมเข้าไปก็ได้ คนที่นี่พอจะจำผมได้ ส่วนคนของคุณ...” เขามองไปทางเจ้าหน้าที่ร่วม 10 นายที่ยืนรอคำสั่งอยู่

   “ผมจะให้เขารออยู่ที่นี่ จนกว่าจะได้รับคำสั่ง” นักสืบคนนี้ ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าทีมในภารกิจบอกกับเขา ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับก่อนเดินนำพาคนทั้งสามเข้าไปในโกดัง

   “พวกคุณควรจะเก็บตราของพวกคุณไปก่อนนะ”

   เมื่อเข้าไปถึง คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ช่วยของต้วนเจียจงเดินเข้ามาต้อนรับเขา และมองไปยังทั้งสามคนที่เดินตามหลังเขามา

   “คุณเหมิ๋น เจ้านายบอกว่าคุณจะพาลูกค้ามาดูโกดังของเรา”

   “อืม เมื่อเช้าฉันคุยกับเจียจงแล้ว คงขอดูแค่ส่วนของโกดัง F14 เท่านั้น ไม่นานก็จะไป”

   “แต่ตรงนั้นยังปรับปรุงไม่เสร็จ ผมเกรงว่า...”

   “นั่นแหละสิ่งที่ฉันอยากให้พวกเขาดู ว่าเขาสามารถปรับปรุงโกดังได้มากแค่ไหน เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสัญญา หากจะเช่าโกดังของเยี่ยนหวอ”

   “ถึงจะไปตรงนั้น แต่พวกเขาก็เข้าไปในโซนก่อสร้างไม่ได้อยู่ดี มันอันตราย”

   “ไม่เป็นไร ฉันให้เขาดูอยู่ข้างนอกก็ได้” เขาเห็นผู้ช่วยของต้วนเจียจงมีท่าทางอึดอัด “จะให้ฉันโทรหาเจียจงอีกครั้งก็ได้นะ”

   “ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณเหมิ๋นทางนี้”

   “ไม่ต้อง นายมีอะไรทำก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันขับรถพาแขกของฉันไปเองได้” เขาพูดพร้อมทั้งแบมือของกุญแจรถกอล์ฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังทีท่าทางอึดอัด แต่สุดท้ายก็วางกุญแจรถบนมือของเขา

   เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาในโกดัง F14 ได้ไม่นาน และดูแล้วก็ไม่มีคนตาม เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ตอบคำถามที่คิดว่า เหล่านักสืบน่าจะสงสัย

   “พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงเจาะจงพาไปดูที่โกดัง F14”

   “ใช่ คุณรู้ข้อมูลพวกนี้ได้ยังไง”

   “หนานเฟ่ยซานเคยขอให้ฉันพาเขาเข้ามาที่นี่ แต่ตอนนั้นฉันปฏิเสธ”

   “แล้วทำไมครั้งนี้คุณถึงยอมช่วยทางเรา”

   “ผมรู้จักต้วนเจียจงมานาน เราเป็นเพื่อนกัน ผมอยากจะยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาให้เห็นกับตาตัวเอง”

   “แล้วคุณคิดว่าคุณต้วน ทำอะไรอยู่”

   “ผมไม่รู้ แล้วพวกคุณละ?”

   “พวกเราคิดว่า”

   “หยางผิง” คนที่เป็นหัวหน้าทีมขัดขึ้น “เราไม่มีหลักฐานอะไรที่จะกล่าวหาคุณต้วนลอย ๆ เราแค่อยากจะตรวจสอบโกดังที่รับซื้อสิ่งของจากโกดัง F23 เท่านั้น”

   “โดยการพาเจ้าหน้าที่มามากมายขนาดนี้”

   “โกดังของคุณกว้างมาก และโกดังที่รับซื้อของจากโกดัง F23 ก็มีไม่ใช่น้อย การที่ผมพาคนมาเท่านี้ ยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ”

   “ถึงแล้ว”

   “ทำไมคุณถึงพาพวกเรามาที่นี่?”

   “พวกคุณก็เห็นว่าโซนด้านหน้าเป็นส่วนของแรงงานคน ผมไม่คิดว่าเจียจงจะซ่อนอะไรไว้ที่นั่น แต่ที่นี่”

   “เมื่อครู่ คนที่โกดังโน้นบอกว่าที่นี่เป็นส่วนปรับปรุง”

   “พื้นที่ทุกตารางเมตรมีค่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเช่าโกดังของเรามักจะใช้พื้นที่ให้คุ้มกับเงินที่เสียไป และการที่จะก่อสร้างแค่ชั้นวางของกับที่พักคนงาน พวกคุณคิดว่ามันน่าจะใช้เวลาเท่าไรถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป”

   “คุณหมายความว่า”

   “ตั้งแต่ผมเข้ามาที่นี่กับเจียจง จนกระทั่งตอนนี้ สภาพมันยังคงเดิม”

   “คุณกำลังจะบอกว่า เพื่อนของคุณอาจจะซ่อนอะไรเอาไว้”

   “ผมกำลังจะบอกคุณว่า ที่นี่น่าสงสัยที่สุด”

   “พอๆ หยางผิง ทำไมวันนี้นายถึงได้อารมณ์ร้อนอย่างนี้”

   “ดอกเตอร์” จู้ชุนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนกระซิบว่า “เฟ่ยซานไม่มีอะไรน่าห่วง ดอกเตอร์เองก็ใจเย็น ๆ เถอะครับ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้ฟังก็เอาแต่เงียบ และปล่อยให้นักสืบทั้งสาม สำรวจรอบ ๆ สถานที่ก่อสร้างอย่างใจเย็น ทั้งที่ตอนนี้ ใจเขานั้นคิดถึงแต่คนที่ยังนอนไม่ได้สติตั้งแต่เมื่อคืน

.........................................................................

   ภายในห้องที่ปิดสนิททุกด้าน กลับสว่างไสวไปด้วยไฟนีออนหลายสิบดวง เสียงดังที่เกินจากการทำงานดังก้องอยู่ภายในห้อง จนแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นต้นเสียงมาจากภายใน หรือภายนอกกันแน่

   คนงานต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป ถึงแม้จะเหนื่อย และง่วงสักเพียงไหน แต่พวกเขาก็ต้องเร่งงานตามคำสั่ง ทั้งที่เมื่อคืนนี้ พวกเขายังไม่ได้นอนกันเลย

   “น้าฟาน ๆ เป็นอะไรไหม?” มู่เฉินที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ กันเห็นร่างโงนเงนของเว่ยซานจึงรีบลุกขึ้นไปประคอง

   “น้าหน้ามืดนิดหน่อย”

   “ไอ้พวกนี้ก็ใจร้าย ไม่รู้จะเร่งอะไรหนักหนาไม่ให้เราได้หลับได้นอน” มู่เฉินพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด

   “คงเป็นเพราะช่วงนี้พวกมันหาคนมาเพิ่มไม่ได้นะสิ” เฝิงฟงที่นั่งอยู่ถัดไปบ่นออกมา

   “นี่ ตรงนั้นน่ะ คุยอะไรกัน คิดจะอู้งานกันอย่างนั้นเหรอ?” คนที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูห้องตะโกนออกมา

   “ตรงนี้มีคนป่วย” มู่เฉินทำใจกล้าพูดขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างพากันมองไปที่มู่เฉินและเว่ยฟาน งานในมือก็หยุดลง จนเสียงภายในห้องเงียบลง มีเพียงแต่เสียงการทำงานที่ด้านนอกเท่านั้น

   หนึ่งในคนคุมจึงเดินฝ่าวงของคนงานเข้ามาหาเว่ยฟานที่หน้าซีดอยู่ เขาจับคางของเว่ยฟานเอาไว้แน่น ก่อนหันซ้ายที ขวาที จากนั้นก็สะบัดมืออย่างแรง จนเว่ยฟานเสียการทรงตัว ดีที่มีมู่เฉินประคองเอาไว้

   “พี่ นังนี่ท่าทางจะไม่ไหวจริง ๆ เอาไงดีพี่”

   “ให้มันขึ้นไปพัก ส่วนแกอาเฉิน สาระแนดีนัก เพราะงั้นงานของนังนี่แกต้องรับผิดชอบแทนมัน”

   มู่เฉินไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาได้แต่มองตามชายที่หิ้วปีกของเว่ยฟานไปอย่างโกรธแค้น เขาเห็นชายคนนั้นพาเว่ยฟานไปยังส่วนของห้องพัก

   “อาเฉิน นายแบ่งงานของน้าฟานมา ฉันช่วยนายเอง”

   “ของนายมันก็หนักอยู่แล้ว ตั้งแต่ฉินฉินหนีไปได้ งานในส่วนของฉินฉิน นายก็ต้องเป็นคนทำ แค่นี้ฉันทำเองได้”

   เมื่อทุกอย่างกับเข้าสู่สภาวะปกติ เสียงของการทำงานในห้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่เพียงไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนกะของคนคุม ทำให้คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องระวังตัวมาก ก่อนจะแง้มประตูเล็กน้อย พอเป็นช่องให้มองเห็นหน้าคนภายนอก

   “อ่าว นายนี่เอง มาทำอะไร หรือคุณต้วนต้องการอะไร?”

   “ไม่ใช่ เพื่อนคุณต้วนมาที่นี่ พวกนายก็อย่าส่งเสียงดังให้มากนัก ไว้ถ้าเขาไปกันแล้ว ฉันจะมาบอก”

   “แต่คุณต้วนเร่งงานไม่ใช่เหรอ?”

   “แค่ 15-20 นาทีคงจะไม่เป็นไร พวกนายอยู่กันเงียบ ๆ สักพัก” ชายคนที่อยู่หน้าประตูเดินออกไปแล้วคนพวกนั้นก็ให้เขาพักได้

   “ฉันให้พวกนายพัก 20 นาที จะทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามส่งเสียง”

   “ก๊อกๆ ๆ”

   “อะไรอีก?” ชายคนนั้นหันไปเปิดประตู “อุก”

   มู่เฉินเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี จึงรีบหยิบส่วนประกอบของปืนที่เป็นเหมือนท่อยาวไว้ในมือ อาศัยช่วงชุลมุนที่คนคุมตกใจ วิ่งเข้าไปฟาดคนที่ใกล้ตัวที่สุด เฝิงฟงเองก็วิ่งเข้าไปหาอีกคนตั้งแต่เห็นมู่เฉินคว้าท่อนเหล็กนั้นแล้ว

   คนที่บุกเข้ามาเป็นชายร่างสูง 4 คน พวกเขาเป็นเพียงเด็กแต่ก็มีอีกหลายคนที่เข้ามาช่วย จนกระทั่งความวุ่นวายนั้นจบลง มีเด็กได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โชคดีที่พวกนั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ปืนในมือไร้ความหมาย

   “พวกเธอเป็นใครกัน” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกลุ่มของพวกเขาที่ยืนบังพวกน้า ๆ ที่ด้านหลัง ในมือก็กระชับท่อเหล็กไว้แน่น

   “มู่เฉิน นายคือมู่เฉินใช่ไหม?” ชายอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่เข้ามาใหม่ถามเขา

   “คุณรู้จักผมได้ยังไง?” มู่เฉินถามอย่างหวาดระแวง

   “คุณเป็นใคร” เฝิงฟงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้าวออกมาราวกับจะปกป้องเพื่อนของเขา

   “เฝิงฟง?”

   “คุณรู้จักพวกเรา?” เฝิงฟงมองหน้ามู่เฉิน สรหน้าเริ่มมีความหวัง

   “พ่อแม่นายแจ้งความว่าพวกนายหายตัวไป”

   “พวกคุณเป็นตำรวจอย่างนั้นเหรอ ฉินฉินบอกให้คุณมาช่วยพวกเราใช่ไหม?” เฝิงฟงเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่

   “เฝิงฉินฉิน?”

   “ใช่ ตอนนี้ฉินฉินปลอดภัยดีแล้วใช่ไหม?”

   “อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย ให้เราพาพวกนายออกไปจากที่นี่ก่อน”

   “เดี๋ยว ห้องข้าง ๆ ยังมีพวกมันอีกคน มันพาน้าฟานไปพักกับคนอื่น ๆ ยังไม่กลับมาเลย”

   “ป่านนี้มันคงไหวตัวทัน มันมีอาวุธไหม?” เด็กน้อยสองคนพยักหน้า “อาชุน นายกับดอกเตอร์ช่วยพาคนที่นี่หลบออกไปก่อน แล้วแจ้งคนของเราให้เข้ามาเสริม ส่วนหยางผิง นายมากับฉัน”

   มู่เฉินและเฝิงฟงเดินตามตำรวจสองคนออกไปจากห้อง เหมือนคนอื่น ๆ แต่เมื่อเดินออกมาได้ไม่เท่าไร เขาก็เห็นคนที่เข้ามาเคาะประตูคนแรกนอนสลบอยู่กับพื้น

   “อาชุน นายพาเด็กกับผู้หญิงออกไป ฉันจะไปช่วยตัวประกัน”

   “ดอกเตอร์ ไม่ได้นะครับ ถ้าคุณฝู่รู้เข้า”

   “ไม่เป็นไร นายทำงานของนายไป”

   “ดอกเตอร์ ถือว่าผมขอร้อง ในนั้นมีอาเห่ากับหยางผิงรับมืออยู่ กำลังเสริมก็กำลังจะมา ได้โปรดอย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลยครับ”

   “ฉันอยากจบงานนี้เร็ว ๆ”

   “ผมว่า คุณไปกลับไปดูเฟ่ยซานดีกว่า”

   พวกเขาทั้งหมดเดินออกมาจนถึงด้านข้างโกดัง คนทั้งสองก็หยุดคุยกันอยู่นาน สุดท้ายแล้วผู้ชายที่ใส่แว่นกรอบสีทองก็ยอม และพาพวกเขาไปที่รถตำรวจที่จอดอยู่ข้างหน้ากันหลายคัน

   “ฉันว่าฉินฉิน คงจะแจ้งให้ตำรวจพวกนี้มาช่วยเราแหละ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาเราเจอได้ยังไง”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย เป็นห่วงฉินฉินมาหลายวัน เฮ้อ...ฉันไม่เคยคิดถึงพ่อกับแม่มากขนาดนี้มาก่อนเลย”

   “ฉันก็เหมือนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”

   เด็กทั้งสองต่างหัวเราะกันอย่างเป็นสุขที่จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้สักที เขามองดูตำรวจอีกหลายนายวิ่งเข้าไปในโกดัง นั่งอยู่ในรถไม่นาน คนที่ป่วยและไม่สบายต่างก็ได้รับความช่วยเหลือจนครบ รวมถึงเว่ยฟาน

To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 29 ---ll--- 15-07-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-07-2019 10:12:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 30 ---ll--- 22-07-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-07-2019 20:54:08
30





   ตู้เห่าแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งพาคนที่ยังแข็งแรงไปสอบปากคำที่โรงพัก ส่วนที่เจ็บป่วยและมีอาการอ่อนเพลียก็ให้เจ้าหน้าที่อีกส่วนพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

   เหยินหยางผิงพาผู้ต้องหาที่ควบคุมและกักขังเด็กกับผู้หญิงเหล่านี้ไปสถานีตำรวจ ส่วนจู้ชุนดูแลควบคุมให้เจ้าหน้าที่ปิดล้อมโกดังแห่งนี้ ส่วนเขาก็ตามเจ้าหน้าที่กลับเข้าสถานี

   เมื่อไปถึงสถานี ชิวกัมหงและเหมี่ยนจื่ออู่ก็ออกมาช่วยพวกเขาสอบปากคำ ซึ่งคนที่เขาพาตัวออกมาล้วนเป็นผู้ที่ถูกแจ้งความว่าหายตัวไปทั้งสิ้น หลังจากสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว เขาก็แจ้งไปยังครอบครัวของคนเหล่านั้น เพื่อให้มารับตัวกลับบ้าน

   “พ่อ แม่” เฝิงฟงวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ ซึ่งไม่ต่างกับมู่เฉินที่มีพ่อแม่มารับตัวกลับบ้านไปแล้ว

   “เป็นยังไงบ้างลูก ลำบากมากไหม ดูลูกผอมไปนะ”

   “ไม่เป็นไร ผมแข็งแรงดี แล้วฉินฉินละแม่” เฝิงฟงมองหาฉินฉินที่คิดว่าจะมารับเขากลับบ้านด้วย

   “พี่สาวไม่ได้อยู่กับลูกเหรอ?”

   “อยู่ แต่ฉินฉินหนีออกมาได้ พี่หนีออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเห็นจะได้”

   “แม่ยังไม่เจอฉินฉินเลย” เฝิงอีอีลุกขึ้น และเดินเข้าไปยังโต๊ะของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง “คุณตำรวจค่ะ ลูกชายของฉันบอกว่า พี่สาวแกหนีออกจากที่นั่นมาเมื่อราวอาทิตย์ก่อน คุณตำรวจช่วยตามหาลูกสาวของฉันด้วยนะคะ”

   “ลูกสาว จริงสินะ คุณแจ้งว่าลูกของคุณเป็นฝาแฝด”

   “ใช่ค่ะ”

   “ได้ครับ ทางเราจะรีบตามหาให้ อาฟง นายจะช่วยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังเพิ่มได้ไหม เกี่ยวกับพี่สาวของเธอ”

   สิ่งที่เฝิงฟงเล่านั้นทำให้คนเป็นพ่อแม่ใจแทบสลายกับการกระทำของพวกมัน เฝิงฟงเล่าว่าช่วยให้ฉินฉินหนีออกมายังไง ดังนั้นตู้เห่าจึงถามถึงลักษณะรถ และบริษัทฯ ที่เข้าไปย้ายของในวันนั้นโดยเอารูปที่หนานเฟ่ยซานเป็นคนถ่ายไว้ให้เฝิงฟงดู

   “นี่ครับ ฉินฉินแอบอยู่บนรถคันนี้ แล้วก็ไอ้คนนี้ คุณตำรวจต้องจับมันมาให้ได้นะ มันนั่นแหละเป็นคนทำร้ายฉินฉิน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว มันหายตัวไปตั้งแต่วันที่ขนย้ายของเหมือนกัน”

   ตู่เห่ามองนิ้วเล็ก ๆ ที่จิ้มลงไปบนรูปของชายคนหนึ่ง จื่อหรงเป็นหนึ่งในคนที่เคยคุมแรงงานเหล่านี้ คดีนี้มันช่างซับซ้อนกว่าที่เขาจะนึกออก

   “ฉันจะช่วยตามหาฉินฉินให้”

   “พี่เห่า อ่าว...อาฟง ยังไม่กลับไปพักกันอีกเหรอ?” เหมี่ยนจื่ออู่เดินเข้ามาหาเขา

   “นายสอบปากคำหมดแล้วอย่างนั้นเหรอ?”

   “เหลือคนที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะพี่”

   “พวกคุณก็กลับไปพักผ่อนเถอะ มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับฉินฉิน แล้วผมจะติดต่อกลับไป”

   ครอบครัวเฝิงต่างลุกออกไปจากโต๊ะ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เปิดแฟ้มที่มีภาพขึ้นมา

   “ถามกับญาติคนที่หายไปแล้วนะ ไม่มีใครที่มีพวงกุญแจเดซี่ดั๊กเลย นี่ผมถามคนที่ได้สอบปากคำทุกคนแล้วด้วย” อยู่ๆ เฝิงฟงก็พุ่งตัวเข้ามาแล้วคว้ารูปนั้นไปดู

   “ผมขอดูพวงกุญแจหน่อยได้ไหม ที่ไม่ใช่รูป”

   “อาฟง นายเคยเห็นพวงกุญแจอันนี้อย่างนั้นเหรอ?”

   “ผมกับฉินฉิน ซื้อมันด้วยกันของผมเป็นโดนัลดั๊ก ของฉินฉินเป็นเดซี่ดั๊ก รองเท้าของเดซี่จะถอดออกมาได้ ฉินฉินเลยทำสัญลักษณ์เอาไว้ข้างใน”

   “จื่ออู่”

   “ได้ เดี๋ยวฉันไปเอาที่ห้องเก็บหลักฐานให้”

   และแล้วพวกเขาก็ได้เหยื่อรายที่ 7 ในคดีฆ่ารัดคอ ซึ่งก็คือเฝิงฉินฉินนั่นเอง จากการอนุมานสถานที่ทิ้งศพของฆาตกรจะเป็นที่มันเจอเหยื่อ ซึ่งตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าไอ้ฆาตกรรายนี้ไปเจอเฝิงฉินฉินที่ไหน

.........................................................................

   ผานกู่ฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองน่าจะอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง เมื่อได้สติเขาก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่สีข้าง จึงพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด แล้วเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

   เขาจำได้ว่าเขาตกลงไปในทะเล ถึงแม้จะพยายามว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดแค่ไหน แต่ด้วยความมืดมิดรอบตัว กับอาการบาดเจ็บ เขาคิดว่าเขาคงไม่มีทางรอด เขาคงโชคดีได้ชาวประมงช่วยชีวิตเอาไว้

   ผานกู่มองไปยังเหนือหัวเห็นปุ่มกดเรียกพยาบาล เขาพยายามเอื้อมมือไปกดปุ่มนั้น เขาต้องการติดต่อคนที่สถานี และที่สำคัญ หนานเฟ่ยซานจะเป็นอย่างไรบ้าง

   “นักสืบผาน คุณฟื้นแล้ว” ชายคนที่เดินเข้ามาในห้องรีบเดินมายังข้างเตียงของเขา “ไปตามหมอมา” จากนั้นก็หันไปสั่งคนข้าง ๆ

   “คุณ? ผมเคยเห็นคุณบนเรือ”

   “ใช่ ผมเป็นผู้ติดตามคุณลตา”

   “ลตา?”

   “อ่อ ผมหมายถึง คุณเหมิ๋นหลี๋ต๋า”

   “เหมิ๋น แม่ของดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง เจ้าแม่แห่งวงการกาสิโนคนนั้น”

   “ก็แล้วแต่คุณจะเรียก”

   “พวกคุณเป็นคนช่วยผม”

   “บังเอิญมากกว่า ทางเราไม่ไว้ใจเยียนจูเฟิง เลยให้เรือคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ และก็ไปเจอคุณลอยคออยู่กลางทะเล”

   “อ่อ เป็นอย่างนั้นเอง”

   “ว่าแต่คุณไปเจออะไรมา ผมจำได้ว่าคุณควรจะอยู่กับคุณหนาน”

   “แล้วเฟ่ยซานละ ปลอดภัยดีไหม?”

   “คุณหนานปลอดภัยดี ลงเรือมาพร้อมกับดอกเตอร์”

   “ค่อยยังชั่วหน่อย”

   เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง โดยมีทั้งหมอและพยาบาลเดินกันเข้ามาเพื่อจะตรวจร่างกายคนที่เพิ่งฟื้น

   “คุณพักผ่อนเถอะ คนที่สถานีรู้เรื่องคุณแล้ว ถ้าพวกเขาว่างพวกเขาจะมาเยี่ยมคุณเอง” ชายคนนั้นพูดก่อนเดินออกจากห้องไป โดยที่เขายังไม่ถามชื่อเลย เขาเป็นใครกัน ดูแล้วน่าจะมีอิทธิพลในเยี่ยนหวอไม่น้อย

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างกลับเข้ามายังโรงแรม หลังจากแยกย้ายกับจู้ชุนที่โกดัง ตอนแรกนักสืบตู้จะให้เขาเข้าไปให้ปากคำที่สถานีเพิ่มเติม แต่เขาปฏิเสธที่จะเข้าไปในวันนี้ คนของโรงแรมฝู่รีบเดินมาหาเขาทันทีที่เขาก้าวเข้ามา

   “ดอกเตอร์ค่ะ คุณคีรายงานมาว่า นักสืบผานฟื้นแล้ว”

   “ก็สมควรจะฟื้นได้แล้วละ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจพร้อมทั้งเดินตรงไปยังลิฟต์ส่วนตัว “แล้วม๊าละ?”

   “อยู่ที่ห้องของคุณค่ะ”

   “ม๊าทานอะไรรึยัง”

   “คุณลิลลี่เพิ่งสั่งอาหารขึ้นไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ไม่ทราบว่าดอกเตอร์จะรับอะไรไหมคะ ดิฉันจะได้ให้คนจัดขึ้นไปให้”

   “ไม่ต้อง ขอบใจมาก” เขาว่าก่อนก้าวเข้าลิฟต์ไป เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกมายังห้องเพนเฮ้าส์ของเขา เขาก็เดินตรงไปยังห้องนอนทันที

   เมื่อประตูเปิดออก ม๊าของเขาก็ละมือจากการซับเหงื่อให้กับหนานเฟ่ยซาน เธอลุกจากเตียงเดินตรงมาที่เขา

   “คุณหนานได้รับพรให้สามารถช่วยเหลือชีวิตคนอื่นได้ แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดหรือแม้กระทั่งอายุขัยของตัวเอง”

   “ผมเคยเตือนเขาแล้วว่าเลือดของเขานั้นมีค่ามาก” ทั้งสองต่างมองไปยังคนที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง

   “คุณหนานเป็นคนจิตใจดี เขาเสียเลือดครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตคนอื่น”

   “แต่ก็ไม่ควรจะใช้มันมากขนาดนั้น”

   “ไม่มีใครรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วต้องใช้เลือดปริมาณเท่าไร ในการช่วยชีวิตคนในแต่ละครั้ง”

   “ผานกู่ฟื้นแล้ว”

   “คุณคีโทรมาบอกม๊าแล้ว ตอนนี้หมอที่รักษานักสืบผาน ค่อนข้างสงสัย เรื่องการฟื้นตัวของเขา”

   “แล้วลุงคี”

   “ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้คุณคีเขาจัดการได้ ลูกไปดูแลคุณหนานเถอะ ม๊าจะลงไปทำงานแล้ว”

   “ม๊าควรพักผ่อนบ้าง ม๊าเองก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืน”

   “ม๊าลงไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับขึ้นมาพัก ลูกไม่ต้องห่วงหรอก”

   “ครับมา ดูแลสุขภาพด้วย”

   ม๊าของเขาพยักหน้าก่อนเดินจากห้องนอน เขาเดินตรงไปที่เตียง หนานเฟ่ยซานยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เหงื่อผุดออกมาไม่ขาดสาย แต่ร่างกายกลับเย็นจัด เขาหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อให้คนบนเตียง ก่อนจะยกแขนข้างที่มีผ้าพันแผลซุกกลับเข้าไปใต้ผ้าห่ม

   เหมิ๋นหยวนฮ่างมองไปที่โต๊ะหัวเตียง มีถาดที่ใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ ม๊าของเขาคงเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หนานเฟ่ยซานใหม่อีกครั้ง และยังดีที่ตอนนี้เลือดจากปากแผลหยุดไหลแล้ว

   “เฟ่ยซาน นายห่วงเขามากกว่าชีวิตตัวเองอย่างนั้นเหรอ?”

   เขามองไปยังใบหน้าของคนที่นอนหลับไม่ได้สติ แผงขนตายาวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ จมูกโด่งเป็นสัน แก้มเนียนแต่ไร้เลือดฝาด ริมฝีปากที่มักจะพูดให้ระคายหูดูซีดเซียว เห็นแบบนี้แล้วภายในใจของเขาก็ผุดความรู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาด

   “เฟ่ยซานไม่มีอะไรน่าห่วง ดอกเตอร์เองก็ใจเย็น ๆ เถอะครับ”  ประโยคที่จู้ชุนพูดกับเขาเมื่อเช้าผุดขึ้นมา จนเขาอดยอมรับไม่ได้ว่า เขาเป็นห่วงหนานเฟ่ยซานมากจริง ๆ แต่ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นในใจนี่มันคืออะไร

   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดึงสติของเขาออกจากห้วงความคิด เขาจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

   “ได้ความว่ายังไงบ้าง”

   “ตอนนี้ร่างกายคุณหนานนอกจากขาดน้ำแล้ว เลือดยังจางอีกด้วย คงต้องให้เลือดเพิ่ม”

   “ฉันไม่ต้องการให้เขาไปโรงพยาบาล คุณจัดคนมาดูแลเขาที่นี่”

   “ได้คะดอกเตอร์ ฉันจะให้คนไปทันที”

   “ไม่ๆ เอาอย่างนี้คุณมาคนเดียว ส่วนทีมแพทย์ ผมว่าผมพอจะขอความช่วยเหลือได้”

   “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรีบเดินทางไปทันที”

   “ระหว่างนี้ ผมต้องทำอย่างไรบ้าง”

   “ระวังอย่าให้คุณหนานช็อกเพราะขาดน้ำ คุณอาจจะต้องผสมน้ำหวานลงไป เพราะมันจะช่วยเรื่องการขาดน้ำตาลในเลือดค่ะ?”

   “เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะเมิ่งอิ๋ง”

   “ดอกเตอร์ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณหนานไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คนดีๆ อย่างเขาก็แค่ฟื้นตัวช้าเท่านั้น”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากซือเมิ่งอิ๋ง ก่อนมองไปยังหนานเฟ่ยซานอีกครั้ง เวลาไม่ถึงเดือนที่เขาเฝ้ามองคนตรงหน้า ความรู้สึกของเขามันกลับเปลี่ยนไปมากเสียจนเขาเองต้องแปลกใจ ครั้งแรกที่เจอ หนานเฟ่ยซานก็เกือบตายมาแล้ว ถึงในตอนนั้นไม่ตาย แต่เป็นเขาเองที่โกรธจนอยากจะฆ่าคนที่ทำให้เขาต้องสูญเสียน้ำตากิเลนไปซะเอง

   แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเขากลับเปลี่ยนไป เขาดีใจที่น้ำตากิเลน ช่วยให้หนานเฟ่ยซานยังมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ยาก จนอยากจะเป็นคนที่นอนทรมานอยู่ตรงนี้แทน เขาต้องทำอะไรสัก...เพื่อให้หนานเฟ่ยซานไม่ต้องเสียเลือดอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้

........................................................................

   ต้วนเจียจงตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าคนที่พาตำรวจบุกเข้าไปค้นโกดังของเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเหมิ๋นหยวนฮ่าง ยังดีที่จางซือหวูให้คนคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เขาจึงไหวตัวทัน

   “มาแล้วเหรอเจียจง เป็นยังไงบ้างละ”

   “ครับนาย ผมอยู่จนคุณจอชัวเข้ามาตรวจสอบของในเรืออีกครั้ง จึงได้กลับมา”

   “ฉันไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น ฉันถามถึงเพื่อนรักแซ่เหมิ๋นของนาย”

   “ผมยอมรับว่าผมไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าหยวนฮ่างจะเป็นคนพาตำรวจพวกนั้นเข้าไปค้นโกดัง”

   “เพื่อนของนายรู้ได้ยังไง ว่าตรงนั้นเป็นที่ที่เราให้คนประกอบของ”

   “ผมก็ไม่รู้ ครั้งแรกที่หยวนฮ่างมาที่โกดัง เรายังไม่ได้ย้ายคนจากเรือไปทำงานที่นั่นเลย”

   “หรืออาจจะเป็นเพราะหนูตัวนั้น”

   “หมายความว่ายังไง ซือหวู?” เยียนจูเฟิงหันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

   “ผมเคยเห็นหนูตัวนั้นอยู่กับเหมิ๋นหยวนฮ่างที่สวนสาธารณะ และยังตอนที่ลงจากเรือ มันกลับไปพร้อมเหมิ๋นหลี่ต๋า”

   “ฉันบอกนายแล้วใช่ไหม ว่าฉันไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก” เยี่ยนจูเฟิงลุกขึ้นมาพร้อมทั้งคว้าของใกล้มือปาใส่ศีรษะของจางซือหวูอย่างแรง เลือดสีแดงไหลลงมาตามไรผม

   “หนู? ไอ้คนที่แอบถ่ายรูปนายกับฉินหรุยกวงอย่างนั้นเหรอ?”

   “อืม” จางซือหวูพยักหน้าเล็กน้อย ไม่แม้กระทั่งจะเช็ดคราบที่ไหลลงมา

   “รีบไปจัดการมันซะ อย่าให้ฉันได้ยินเรื่องของมันอีก” เยียนจูเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ และนั่งลงตามเดิม

   “นักข่าวคนนั้นเคยแอบถ่ายรูประหว่างที่ผมกับหวงกังโหกำลังซื้อขายกันอยู่ ยังดีที่รูปในมือถือของมันไม่ได้ถ่ายติดอะไรไว้มากนัก”

   “นายหาที่หลบซ่อนตัวสักพัก อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวอะไร ตำรวจมีทั้งพยานและของกลาง ถึงตอนนี้คนของนายจะยังไม่ได้ซัดทอดอะไร นายก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี”

   “ครับนาย”

   “ซือหวู พรุ่งนี้ฉันต้องเห็นข่าวการตายของนักข่าวคนนั้น”

   “ตั้งแต่มันลงเรือมา มันก็ไม่ได้กลับไปพักที่บ้าน ที่ทำงานก็ไม่ได้ไป อยู่ๆ มันก็...”

   “นายจะบอกว่าหาตัวมันไม่เจออย่างนั้นเหรอ”

   “ครับ” ซือหวูก้มหน้าอย่างยอมรับผิด

   “เดี๋ยวก่อน ผมอาจจะช่วยซือหวูได้”

   “ยังไง” เยียนจูเฟิงหันมาถามเขาด้วยสีหน้าน่ากลัว

   “มันมีเพื่อนนักข่าวที่สนิทอยู่คนหนึ่ง ผมว่าเราน่าจะคาดคั้นเอากับคนคนนี้ได้”

   “คงไม่ได้แล้วละ เมื่อคืนมันบังเอิญได้ยินฉันกับคุณจอชัวคุยกัน ฉันเลยจัดการมันไปแล้ว”

   “เป็นไปไม่ได้ คนขี้ขลาดอย่างนั้นอะนะ จะไปแอบฟังนาย”

   “เขาอาจจะบังเอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลา แต่เพื่อความไม่ประมาท ฉันเลยจัดการมันซะ”

   “เอาละๆ ยังไงก็แล้วแต่ ซือหวู นายไปจัดการนักข่าวคนนั้นให้ได้ เจียจงคืนนี้นายไปขึ้นเรือ ฉันจะส่งนายไปเกาลูนสักพัก รอให้เรื่องซาหรือฉันจัดการเรื่องพวกนี้ได้ก่อน นายค่อยกลับมา”

   “ครับนาย/ครับ” ทั้งเขาและจางซือหวูต่างรับคำสั่งจากเยียนจูงเฟิง

   “นายครับ เรื่องฉี่เยว่”

   “ฉันจะดูแลเธอให้ ไม่ต้องห่วง”

   “ขอบคุณครับ”

   เยียนจูเฟิงพูดจบก็เดินออกจากห้องไปโดยมีจางซือหวูเดินตามหลังไป เขานั่งลงบนโซฟาแทนที่เยียนจูเฟิง นึกถึงโทรศัพท์ที่เหมิ๋นหยวนฮ่างโทรมาหาเขาแต่เช้า

   “นายรู้เรื่องนี้มากแค่ไหนกันนะ หยวนฮ่าง”

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 30 ---ll--- 22-07-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 27-07-2019 19:59:29
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 31 ---ll--- 12-08-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 12-08-2019 13:09:44
31







   เหยินหยางผิง เหมี่ยนจื่ออู่ และจู้ชุน เดินทางมาที่โรงพยาบาลแต่เช้าเพื่อเยี่ยมผานกู่ แต่เมื่อมาถึงทุกคนต่างแปลกใจที่เห็นผานกู่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล

   “เฮ้ย!!  พี่กู่ พี่ทำอะไร จะไปไหน?”

   “กลับสถานีไง?”

   “ทำตัวเป็นไอ้หมีอีกคนแล้ว” เหยินหยางผิงอดที่จะบ่นไม่ได้

   “กัมหงมาเกี่ยวอะไรด้วย ฉันไปเหมือนกับมันตั้งแต่เมื่อไร”

   “คดีมันไม่หนีพี่ไปไหนหรอก พี่ยังไม่ต้องรีบ พักรักษาตัวให้หายก่อน”

   “ที่นี่มันโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงแรมนะ ที่จะอยู่นานเท่าไรก็ได้ หมอเขาอนุญาตให้ฉันกลับ ฉันจะทู่ซี้อยู่ให้หมอพยาบาลมาด่าเอาเหรอไง?”
   
   “หา!!” ทุกคนอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

   “เป็นไปได้ยังไงพี่ ก็คืนก่อนพี่...” จู้ชุนหยุดพูดเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก

   “ฉันหายแล้ว บาดแผลสมานตัวดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หมอให้ฉันกลับไปพักที่บ้านได้”

   “สงสัยมีดไอ้หมอนั่นจะทื่อ” เหยินหยางผิงพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องตลก

   “ฉันไม่ทันเห็นหรอกว่ามีดมันทื่ออย่างที่นายว่ารึเปล่า ฉันอาจจะโชคดีที่ได้คนของฝู่ช่วยเอาไว้”

   “เฮ้อ...ตอนที่อาชุนบอกถึงอาการของพี่ พวกเราตกใจแทบแย่แต่ก็ไม่คิดว่าพี่จะหายเร็วขนาดนี้” เหมี่ยนจืออู่คลายกังวลลง “อาชุน นายคงตื่นตูมเกิดเหตุแล้วละ เล่นเอาพวกเราตกใจกันหมด” ประโยคหลังจื่ออู่หันไปพูดกับจู้ชุน

   “เอ่อ แล้วเฟ่ยซานละ เป็นยังไงบ้าง?”

   “นี่เฟ่ยซานยังไม่มาเยี่ยมพี่หรอกเหรอ จมูกไวขนาดนั้น พลาดคดีแรงงานเถื่อนไปได้ยังไง” เหยินหยางผิงมีน้ำเสียงแปลกใจ

   “ฉันก็คิดว่าเขาคงเฝ้าอยู่ที่สถานีเพราะคดีนั้นเหมือนกัน เขาไม่ได้ไปอย่างนั้นเหรอ?” ผานกู่เริ่มกังวลที่จู่ ๆ ก็ไม่มีใครพบเห็นหนานเฟ่ยซานอีกเลยหลังจากลงเรือมา

   “คุณนายเหมิ๋นยื่นข้อเสนอให้เฟ่ยซานสัมภาษณ์ หลังจากที่ลงจากเรือแล้ว เป็นไปได้ว่าตอนนี้เฟ่ยซานอาจจะอยู่ที่โรงแรมแกรนด์ฝู่” จู้ชุนออกความเห็น

   “ทำไมคุณนายเหมิ๋นถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนั้น”

   “ผมก็ไม่แน่ใจ แต่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือแน่นอน ดูเหมือนว่าเยียนจูเฟิงจะใช่คุณนายเหมิ๋นเป็นเครื่องมือ”

   “เธอคงรู้ทันจึงต้องการให้เฟ่ยซานเขียนข่าวให้กับเธอ”

   “ผมเดาว่า น่าจะเป็นแบบนั้น” ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของผานกู่

   “เยียนจูเฟิงคนนี้น่าสงสัยมาก ก่อนที่ฉันจะโดนทำร้าย ฉันได้ยินคนของมันคุยกับชาวต่างชาติ คำพูดมีเลศนัย น่าสงสัย เสียดายฉันไม่เห็นหน้าพวกมัน”

   “แล้วคนที่ทำร้ายพี่ละ พี่เห็นหน้ามันไหม”

   “ไม่เลย มันไวและเชี่ยวชาญมาก ไม่น่าจะเป็นเพียงบอร์ดี้การ์ดธรรมดา ๆ แน่ มันรู้ว่าฉันแอบอยู่หลังประตู แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ หลอกล่อจนฉันคลายใจ ฉันสงสัยว่ามันจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพ”

   “เยียนจูเฟิงมีคนที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ข้างกาย เขาน่าจะไม่ธรรมดาแน่นอน”

   “แล้วเรื่องเฝิงฉินฉินละ เป็นยังไงบ้าง”

   “เรายังไม่มีเบาะแสของเธอเลย สืบไปยังรถของบริษัทฯ ที่มาทำความสะอาด พนักงานที่ขับรถคันนั้นก็ดันมาลาออกหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนอีกคนก็เกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน ตอนนี้ยังเป็นเจ้าชายนิทราอยู่” เหมี่ยนจื่ออู่รายงาน

   “คนที่ลาออก นายมีข้อมูลไหม ว่าเป็นใคร แล้วพักอยู่ที่ไหน”

   “ได้ชื่อและที่อยู่มาแล้ว แต่ผมยังตามตัวไม่พบ ตั้งใจว่าเยี่ยมพี่เสร็จก็จะไปเฝ้าตามที่อยู่ที่ได้มา”

   “อืม แล้วอาวุธที่เจอในโกดังละ?”

   “พี่เห่าสืบเพื่อขยายผลต่อ เลยได้ความว่าปืนพวกนั้นเป็นรุ่นเดียวกับที่หวงกังโหติดต่อขอซื้อ และจากหลักฐานที่ได้มา ของพวกนี้ถูกลักลอบเอาเข้ามากับอะไหล่รถแท็กซี่และรถบัส”

   “รถแท็กซี่ รถบัส หึ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงจริงๆ สินะ เป็นไปได้ว่าการตายของฉินหรุยกวงน่าจะเป็นการขัดผลประโยชน์กัน”

   “ใช่แล้วพี่ แต่ไม่ใช่แค่ฉินหรุยกวงที่เป็นผู้ลักลอบนำเข้ามาให้ต้วนเจียจงประกอบ หรงจือที่เราพบศพพร้อมกับมัน ก็เป็นหนึ่งในผู้คุมแรงงานเถื่อนนั่น”

   “หัวหน้าว่ายังไงบ้าง?”

   “ตอนนี้ทีมที่ 2 กำลังขยายผลเพื่อสืบเรื่องพวกค้าอาวุธอยู่ ส่วนทีมของเราให้หาตัวเฝิงฉินฉินให้พบ”

   “คดีคนหายก็จบแล้วสินะ”

   “จะมีก็แต่เฝิงฉินฉินนั่นแหละที่ยังหาตัวไม่พบ เพราะดันไปพัวพันในคดีฆ่ารัดคอน่ะสิ”

   “...” ทุกคนต่างพากันเงียบเหมือนกับตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

   “คนงานทำความสะอาดคนนั้น น่าสงสัยที่สุด อยู่ ๆ ก็หายตัวไป หยางผิง นายไปกับจื่ออู่ ไปสืบมาว่าเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับคดีฆ่ารัดคอรึเปล่า”

   “ครับ/ครับ”

   “พี่จะกลับบ้านก่อนไหม เดี๋ยวผมไปส่ง” จู้ชุนถามเมื่อ 2 คนนั้นเดินออกไปจากห้อง

   “นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม?”

   “หา?”

   “เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว และฉันต้องการรู้ความจริงทั้งหมด”

   “เรื่องอะไรพี่ เรื่องคดีเมื่อกี้หยางผิงกับจื่ออู่ก็บอกพี่ไปหมดแล้ว”

   “นายรู้เรื่องอาการของฉันได้ยังไง คืนนั้นฉันไปกับเฟ่ยซานสองคน ภารกิจของนายคืออะไร ถึงได้รู้ว่าฉันบาดเจ็บ”

   “ผม...”

   “นายทำงานให้ใคร”

   “ผมแค่แอบเข้าไปสืบเรื่องคนหายที่โกดังของเยี่ยนหวอ แล้วบังเอิญเจอพี่ถูกช่วยโดยคนของคุณนายเหมิ๋น”

   “แล้วเรื่องที่เฟ่ยซานไปสัมภาษณ์คุณนายเหมิ๋น นายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือได้ยังไง”

   “ก็ข่าวที่ออกมาตอนนี้มันล้วนเป็นในทางเดียวกัน ผมก็เดาว่า...”

   “ช่างบังเอิญจังเลยนะ?”

   “มันบังเอิญจริง ๆ นะพี่”

   “อย่าให้รู้ว่านายแอบทำอะไรลับหลังฉันนะ”

   “ผมจะแอบไปทำอะไรลับหลังพี่ได้ละ ผมก็แค่ตามสืบเรื่องที่ผมสงสัยไปเรื่อย ทีเวลาเฟ่ยซานแอบไปสืบคดีคนเดียวพี่ยังไม่เห็นระแวงอะไรเลย แล้วตอนที่พวกฝู่หามพี่ลงจากเรือ ใช่ว่าผมจะเข้าไปแสดงตัว ผมตามพวกนั้นอยู่ห่าง ๆ เลยรู้ว่าพวกนั้นพาพี่ส่งโรงพยาบาล ไม่เชื่อพี่ลองไปถามพยาบาลที่อยู่เวรเมื่อคืนก็ได้”

   “นาย!! ”

   “เฮ้อ...พี่กู่ พี่ควรจะขอบคุณผมนะ ไม่อย่างนั้นคงยังไม่มีใครรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่ ว่าแต่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ถึงได้หายไวขนาดนี้”

   “ฉันก็ไม่รู้ ทั้งที่ตอนโดนแทงฉันแทบจะยืนไม่อยู่ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่ปวดแผลเลย”

   “ยาหมอคงดี พี่ก็อย่าเพิ่งหักโหมมากเลย เดี๋ยวแผลจะฉีก”

   “อืม”

   “ให้ผมไปส่งพี่แล้วกัน แล้วรถพี่ละอยู่ไหน”

   “คงยังอยู่ที่ท่าเรือ”

   “งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพี่เสร็จ ผมจะไปเอารถของพี่ให้ก็แล้วกัน พักอีกสักวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานคงยังไม่สาย”

   “อืม”

   หลังจากจู้ชุนโน้มน้าวเปลี่ยนเรื่องได้แล้วก็ช่วยผานกู่เก็บของ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากเสื้อผ้าขาดที่เปื้อนเลือดชุดหนึ่งเท่านั้น

.........................................................................

   ผมรู้สึกตัวแล้ว...แต่กลับไม่สามารถที่จะลืมตาขึ้นมาได้ ผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นบริเวณขอบตา และลมหายใจอุ่นๆ นี่ผมคงจะเป็นไข้ ถึงทำให้รู้สึกว่าร่างกายมันดูหนักอึ้งอย่างนี้

   ผมได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆ ตัวผม เสียงฝีเท้าขวักไขว่ฟังแล้วน่าจะมีมากกว่า 1 คน อาจจะเป็นหมอกับพยาบาล ผมเดาว่าอย่างนั้น ผมพยายามขยับตัวเพราะตอนผมอยากดื่มน้ำมากกว่ามาเรียบเรียงความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะลืมตาหรือเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่น้อย

   “ชีพจรปกติดีค่ะ ตอนนี้ไข้ลดลงมากแล้ว” ผมได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น คงจะเป็นพยาบาล จากนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป

   ผมรู้สึกแปลก ๆ กลิ่นที่นี่ไม่เหมือนกลิ่นของโรงพยาบาล แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นนี่ น่าจะเป็นกลิ่นน้ำมันหอมระเหยหรืออะไรสักอย่าง

   สัมผัสเย็นๆ ของนิ้วมือใครสักคนกำลังคลึงอยู่บนหว่างคิ้วของผม เขาค่อย ๆ นวดจากหว่างคิ้วมาตรงบริเวณขมับ ผมที่พยายามจะลืมตาขึ้นมองว่าคน ๆ นี้เป็นใคร แต่กลับทำไม่ได้ มือไม้มันอ่อนแรงไปหมด

   ใครกันนะที่คอยดูแลผมอยู่ หรือจะเป็นพี่กู่... ไม่ใช่สิ

   สติของผมกลับมาเกือบเต็มร้อย ทำให้ผมพอจะจำได้ว่า ก่อนที่ผมจะหมดสติไปนั้น ผมอยู่ที่ท่าเรือของโกดังเยี่ยนหวอ และพี่กู่กำลังจะตาย ผมจึงใช้เลือดของผมเพื่อรักษาพี่กู่ และมันก็ได้ผล

   ...


   ..


   .


   “พี่ชุน?”

   “เฟ่ยซาน” พี่ชุนทักทายผมก่อนจะหันไปคำนับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม “คุณลิลลี่”

   “เป็นยังไงบ้าง”

   “อาการหนักมากครับ แผลค่อนข้างลึก และเสียเลือดมาก มีโอกาสรอดน้อย”

   “พี่ชุน พี่หมายถึงพี่กู่อย่างนั้นเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


   “พี่กู่โดนแทงที่สีข้าง แล้วจับโยนลงทะเล เขาเสียเลือดมาก ตอนที่พี่ไปถึงเขาก็จมน้ำไปแล้ว คนของพี่ทำซีพีอาร์ ช่วยเขาไว้ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเถอะ” คุณนายเหมิ๋นสั่งพี่ชุน?

   “ผมเกรงว่า...” พี่ชุนมีสีหน้าหนักใจ

   “เราที่ดีที่สุดแล้วอาชุน ส่งตัวเขาไป”


   “ครับ”

   “เดี๋ยวก่อน พวกพี่พูดอะไรกันน่ะ? พี่กู่จะไม่รอดอย่างนั้นเหรอ?”


   “เฟ่ยซาน...” พี่ชุนเหมือนพยายามจะพูดอะไรกับผม แต่ผมไม่อยากฟัง เลือดของนาย มีฤทธิ์เหมือนน้ำตากิเลน เลือดของนาย สามารถรักษาบาดแผล หรือแม้กระทั่งรักษาโรคได้ คำพูดขอดอกเตอร์ก้องอยู่ในหัวของผม ทำให้ผมหันไปมองเขา

   “เฟ่ยซาน นายคิดจะทำอะไร? อย่านะ”

   ผมไม่ได้สนใจว่าดอกเตอร์จะห้ามอะไรผม ผมวิ่งเข้าไปหาพี่ผานกู่ที่ถูกคนของคุณนายเหมิ๋นสองคนช่วยกันหามลงจากเรือ พี่กู่มักจะพกมีดเล่มเล็กไว้ที่ข้อเท้า ผมจึงก้มลงไปหา ซึ่งมันก็ยังอยู่ตรงนั้น


   “หยุดเดี๋ยวนี้นะเฟ่ยซาน วางมีดลง” ดอกเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมชะงักเล็กน้อยก่อนจะปลดปลอกมีดออกแล้วกรีดลงบนฝ่ามือของตัวเอง ความรู้สึกแรกคือ เจ็บ

   เลือดหยดลงมาเป็นทาง ผมไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อ ดอกเตอร์ก็ฉวยฝ่ามือของผมไปวางไว้บนปากแผลของพี่กู่

   “วางเขาลงก่อน” ดอกเตอร์สั่งคนของเขา ตอนนี้ใบหน้าของดอกเตอร์เหมือนจะโกรธใครมาเป็นสิบชาติ น่ากลัวจนคนของเขาถอยห่างออกไปหมด แม้กระทั่งพี่ชุนเอง จะมีคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แค่คุณนายเหมิ๋นและคนติดตามอีกคน


   ฝ่ามือที่นาบอยู่ที่สีข้างของพี่กู่ จากที่สัมผัสเย็นๆ ตอนนี้มันกลับอุ่นขึ้น และเหมือนกับพี่กู่กำลังดูดเลือดจากมือของผมจนผมรู้สึกได้ถึงแรงดูดนั้น ใบหน้าของพี่กู่ที่ดูซีดเซียวกลับมามีสีสันขึ้นเล็กน้อย

   “พอแล้วเฟ่ยซาน ให้จู้ชุนพาเขาไปส่งโรงพยาบาลได้แล้ว” ผมละมือออกจากบาดแผล จึงเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ส่วนปากแผลเหมือนจะบีบตัวเข้าหากัน ถึงจะไม่สมานตัวดีเหมือนที่เคยเห็นในหนัง แต่มันก็ทำให้ผมวางใจได้มาก ผมจึงลองเอามือเข้าไปนาบอีกครั้ง แรงสูบเลือดจากฝ่ามือผมยังคงมีอยู่ “พอแล้วเฟ่ยซาน นายจะบ้าไปแล้วเหรอไง” ดอกเตอร์พยายามจะรั้งมือของผมออก แต่ผมยังคงยื้อเอาไว้ ผมแค่อยากจะช่วยให้บาดแผลมันเล็กลงกว่านี้


   ในขณะที่ผมเริ่มอ่อนแรงลง ดอกเตอร์ก็เข้ามากระชากผมออกจากพี่กู่ได้สำเร็จ คนของคุณนายเหมิ๋นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าคุณนายเหมิ๋นกับดอกเตอร์พูดสั่งการอะไรคนของพวกเขา ภาพที่ผมเห็นคือความวุ่นวายรอบ ๆ ตัวผมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะหมดสติไป

   ...


   ..


   .


   “เฟ่ยซาน นายควรจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วนะ” เสียงของดอกเตอร์ เรียกผมให้หลุดออกมาจากความคิด เขานั่นเองที่เป็นคนคอยดูแลผม

   สัมผัสที่คอยนวดที่ขมับและหว่างคิ้วให้ผมหายไปแล้ว ไม่นานผมก็รู้สึกถึงแขนที่สอดเข้ามาใต้ร่างของผม ดอกเตอร์รั้งประคองผมขึ้นมา จากนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงริมฝีปากที่ประกบลงมา ฝ่ามือที่ประคองใบหน้าของผม น้ำอุ่น ๆ ถูกปล่อยผ่านปากของเขาเข้าสู่ปากของผม สิ่งที่ดอกเตอร์ทำมันทำให้ผมอาการกำเริบ ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที นี่เขาไม่มีวิธีอื่นจะช่วยผมหรือยังไงกันนะ?

   “อื้ม...” ผมส่งเสียงได้เท่านี้ พยายามจะประท้วงที่โดนดอกเตอร์ปล้นจูบอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะผมยังคงโดนป้อนน้ำผ่านริมฝีปากไปอีกหลายครั้งจนกระทั่งดอกเตอร์พอใจ ถึงไปปล่อยผมลงไปนอนดังเดิม

   ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากได้ดื่มน้ำ อีกทั้งผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ที่กำลังซับหน้าและลำคอให้กับผม ทำให้ผมรู้สึกสบายตัว จึงพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ผมก็ทำสำเร็จ

   กว่าผมจะปรับสภาพสายตาได้ นานหลายวินาทีกว่าผมจะเห็นภาพของดอกเตอร์ที่กำลังถือผ้าขนหนู เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน จนผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง ผมอาจจะตาฝาดไปก็ได้ เมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพนั้นก็ยังคงอยู่ จากที่อาการกำเริบเมื่อครู่เริ่มทุเลาลง มันกลับกลายเป็นว่า...หัวใจของผมมันเต้นแรงขึ้นจะแทบทะลุออกมานอกอก ไอ้ดอกเตอร์บ้านั่น เขาจะรู้ไหมว่าเขากำลังทรมานผมอยู่ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา

   แล้วอาการมันยิ่งหนักขึ้นเมื่อดอกเตอร์ก้มลงมาจูบที่หน้าผากของผม ก่อนจะจบที่ริมฝีปาก เป็นการจูบจริง ๆ ที่ไม่ใช่การป้อนน้ำ แต่เป็นจูบที่โหยหาและเรียกร้องจนผมหลงไปกับรสจูบนี้ มันอร่อยกว่าน้ำเป็นไหน ๆ

.........................................................................

   เหมี่ยนจื่ออู่เฝ้าอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของพนักงานทำความสะอาดคนนั้นอยู่หลายวัน ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวอะไร ไม่มีคนเข้าออกห้องของเป้าหมายมาหลายวันแล้ว ประตูรถถูกเปิดออกโดยเหยินหยางผิง เรียกความสนใจจากเขาให้ละสายตาจากห้องที่เฝ้ามองอยู่ เหยินหยางผิงส่งแก้วกาแฟอุ่น ๆ ให้กับเขา

   “เป็นยังไงบ้าง”

   “เหมือนเดิม”

   “แล้วนายละ ไม่ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อยเหรอ”

   “ฉันไม่อยากคาดสายตาจากเป้าหมาย”

   “ฉันรู้ว่านายอยากช่วยเผิงฉินฉิน แต่นายก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย”

   “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ฉันแข็งแรงดี”

   “แน่ใจ? นายหายปวดหลังแล้วเหรอ ถ้าหายแล้วฉันจะได้ซ้ำ”

   “ไอ้หมาบ้า นายนี่มัน” เขาไม่รู้จะด่าคนที่ทำหน้าระรื่นอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างไรดี จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่พูดไม่จา จนกระทั่งเหยินหยางผิงรับโทรศัพท์

   “ครับพี่กู่...อะไรนะ? ! ? ...ครับ ผมกับจื่ออู่จะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “พี่กู่ให้เราไปที่สถาบันนิติเวช ไปตรวจสอบศพของหลานเจ๋อ”

   “หลานเจ๋อ เขาตายแล้วอย่างนั้นเหรอ”

   “อืม พี่กู่บอกว่าหลานเจ๋อถูกพบศพอยู่ที่อุโมงค์เก่า ตำรวจในท้องที่บอกว่าเขาถูกดักปล้น โจรฆ่าเขาแล้วทิ้งศพเอาไว้ในพงหญ้าแถว ๆ นั้น และเนื่องจากระบุตัวตนไม่ได้ในตอนแรกเลยเป็นศพนิรนาม”

   “เรื่องเกิดเมื่อไร?”

   “อาทิตย์ก่อน”

   “หลังจากที่เผิงฉินฉินหนีมาไม่กี่วัน”

   “อืม”

   “คนที่เกี่ยวข้องตายในวันและเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังมีส่วนรู้เห็นเรื่องเผิงฉินฉินอีก ฉันว่าเรื่องนี้มันชักยังไง ๆ อยู่”

   “อืม ตอนนี้พี่กู่กำลังไปพบญาติของคนงานอีกคนที่บาดเจ็บระหว่างทำงาน เผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง พี่กู่เองก็คิดเหมือนกันว่าการตายของทั้งสองคนนั้นมันแปลก ๆ มันดูจะบังเอิญเกินไป”

   “ถ้าอย่างนั้น เราก็รีบไปกันเถอะ”

   “นายสลับมานั่งนี่ก็แล้วกัน ฉันขับรถให้นายเอง นายจะได้งีบสักพักระหว่างทางไปสถาบัน”

   “อืม ขอบใจ”

   “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นรางวัลอย่างอื่นได้ไหม?”

   “ถ้าทำดีหวังผลแบบนี้ ฉันขับเองก็ได้” เขาปรับเบาะรถให้เข้าที่ กำลังจะสตาร์ทรถ มือของเหยินหยางผิงก็มารั้งเขาไว้

   “ฉันล้อนายเล่น มาให้ฉันขับให้ดีกว่า”

   เมื่อเห็นแววตาจริงจังของคนตรงหน้า เขาจึงยอมลงจากรถ สลับที่นั่ง จนกระทั่งเหยินหยางผิงขับรถมุ่งไปยังสถาบันนิติเวช

   ที่มุมหนึ่งของตึก ชายร่างสูงสวมเสื้อฮูดสีดำตัวโคร่งก้าวออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะหันหลังเดินไปยังห้องของหลานเจ๋อ เขาราดของเหลวที่เตรียมมาไปทั่วบริเวณห้อง ก่อนจะไปเปิดแก๊สและตั้งกาต้มน้ำร้อน จากนั้นก็เดินออกจากห้องมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 32 ---ll--- 22-08-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 22-08-2019 22:25:32
32







   หลังจากที่ผานกู่ออกจากโรงพยาบาล จนกระทั่งกลับมาทำงาน เขายังไม่เจอหนานเฟ่ยซานเลย ยังดีที่ได้รับข้อความบ้าง แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่หนานเฟ่ยลิฟต์ต้องเขียนคอลัมน์พิเศษเกี่ยวกับกาสิโนภายในโรงแรมฝู่แกรนด์โฮเต็ล จึงทำให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้าไปพักในโรงแรมได้ 1 สัปดาห์เต็ม

   “พี่กู่ คิดอะไรอยู่?”

   “อ่อ ไม่มีอะไร”

   “คิดถึงเฟ่ยซานละสิ?” เหยินหยางผิงก็ยังคงแซวเขา

   “นายไม่มีงานทำหรือไง?”

   “พี่รู้ไหมว่าโฮวจีเจียนนะอิจฉาเฟ่ยซานขนาดไหน”

   “หมอนั่นคงไม่ไปดักรอนายหรอกนะ”

   “พี่ก็โดนเหมือนกันใช่ไหม ขนาดจื่ออู่ที่ไม่ค่อยได้อยู่ที่สถานียังโดนหมอนั่นระรานเอาเลย”

   “ถึงหมอนั่นจะมาวุ่นวาย ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อทางนั้นเขาเจาะจงให้เฟ่ยซานเป็นคนทำข่าว บก.หยุนก็ต้องทำตาม ถ้าอยากได้ข่าว”

   “ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดยังไง ถึงมัวแต่มาเสียเวลาตามพวกเรา”

   “คงคิดว่าพวกเราจะพาเขาไปหาเฟ่ยซานได้นั่นแหละ”

   “แต่เฟ่ยซานนี่ก็แปลก ไปอยู่ที่โรงแรมไม่กลับบ้านกลับช่อง”

   “นายก็รู้ว่าเฟ่ยซานบ้างานขนาดไหน รายนั้นยังเคยสงสัยเยี่ยนหวอเลย ขอให้ฉันเอาข้อมูลคดีเก่าไปให้ แต่ฉันยังไม่ว่างเลย อีกทั้งยังมีคดีอื่น ๆ ดึงความสนใจของเฟ่ยซานไปจนหมด”

   “หรือว่า ครั้งนี้เฟ่ยซานเข้าไปที่โรงแรมฝู่จะมีแผน”

   “ฉันก็คิดแบบนั้น ถึงได้เป็นห่วงอยู่นี่ไง”

   “ยอมรับแล้วละสิว่าเป็นห่วง?”

   “เออ ฉันเป็นห่วงเฟ่ยซาน” สุดท้ายเขาก็หลงเข้ากับดักของเหยินหยางผิงจนได้ อีกฝ่ายดูเหมือนจะพอใจที่หลงกล จึงได้หัวเราะชอบใจจากนั้นก็เดินไปทำงานตนต่อ

   “พี่กู่” เหมียนจื่ออู่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมเอกสารชุดหนึ่ง

   “อะไร?” เขารับเอกสารมาดู

   “พี่ดูตรงนี้สิ ผมว่ามันแปลก ๆ นะ” เอกสารในมือเขาคือคำให้การของเพื่อนร่วมงาน ที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่หวังกวน พนักงานบริษัททำความสะอาดอีกคนที่เสียชีวิต

   “อืม แปลกจริง ๆ นายลองไปสืบดู ว่าผับนี้เป็นของใคร แล้วหาสาเหตุของไฟรั่วมา ทุกอย่างมันดูจะเหมาะเจาะเกินไป”

   “ผับนี้เป็นของหวงกังโห”

   “อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันโดนทางการยึดไปแล้ว”

   “ผมว่ามันน่าจะมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะหลังจากที่หวงกังโหถูกประกาศจับ ผับต่าง ๆ ของมันก็ถูกสั่งปิด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในนั้นว่าจ้างให้บริษัทฯ เข้าไปทำความสะอาด”

   “นายไปกับหยางผิง ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกที แล้วไปดูบ้านของหลานเจ๋อด้วย”

   “พี่กู่” เขาสั่งงานจื่ออู่ไม่ทันไร เหยินหยางผิงก็วิ่งเข้ามาที่โต๊ะเขา

   “นายมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวนายไปกับจื่ออู่นะ”

   “เดี๋ยวพี่ พี่ดูนี่ก่อน”

   เหยินหยางผิงขยับมายังแป้นพิมพ์หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาก่อนกดหาข่าวออนไลน์ที่เพิ่งรายงานสด ข่าวอาพาร์ทเมนต์เกิดไฟไหม้ ต้นเพลิงมาจากห้อง 240

   “ห้องนั่นมัน” เหมียนจื่ออู่ชี้ไปที่หน้าจอ เหยินหยางผิงพยักหน้าให้

   “ห้องของหลานเจ๋อ” เหยินหยางผิงบอกสีหน้าเครียด

   “พวกนายเตรียมตัว เราจะไปที่เกิดเหตุกัน”

   ผานกู่เดินออกมาตามด้วยเหยินหยางผิงและเหมี่ยนจื่ออู่ พวกเขาออกจากสถานีเพื่อตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง เขากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของโรงแรมแกรนด์ฝู่โฮเต็ลให้กับหนานเฟ่ยซาน จนเสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์

   “ดอกเตอร์ มีแผนจะไปขุดค้นที่ไหนเหรอคะ วันสองวันมานี่เห็นขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน”

   “คุณก็รู้ว่าผมทำอะไร แล้วจะถามเรื่องขุดค้นไปทำไม?”

   “ดอกเตอร์มีอารมณ์เขินอายบ้างไหมคะ?”

   “...”

   “ก็ได้ค่ะ ก็ได้ ฉันไม่ล้อคุณแล้ว เชิญคุณทำงานให้คุณหนานไปเถอะค่ะ”

   “คุณเข้ามากวนผมเพราะเรื่องนี้?”

   “เฮ้อ...จุกเลยนะคะเนี่ย ฉันแค่จะมาบอกคุณว่าฉันจะกลับเกาลูนแล้ว ก็เท่านั้น”

   “อืม เดินทางปลอดภัยนะ”

   “เย็นชาไม่เปลี่ยนเลยนะคะ” ซือเมิ่งอิงพูดก่อนเดินออกจากห้องไป “อ่าว!  คุณหนาน”

   “ดอกเตอร์ซือ”

   “คุณเข้าไปเถอะค่ะ ฉันเสร็จธุระกับดอกเตอร์เหมิ๋นแล้ว”

   “อ่า...ครับ” เขาเห็นท่าทางลังเลของหนานเฟ่ยซาน

   “เข้ามาสิเฟ่ยซาน” เขาวางมือจากงานตรงหน้า จากนั้นก็ลุกไปหาอีกคนที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมา “เบื่อที่จะนอนพักเฉยๆ แล้วละสิ” อีกฝ่ายพยักหน้าให้น้อย ๆ ไม่ยอมสบตาเขา “ไปเดินเล่นแถว ๆ สระน้ำไหม?”

   “ไปได้อย่างนั้นเหรอ?”

   “ยังไงนายก็ต้องส่งคอลัมน์ให้หยุนฮั่นเตาไม่ใช่เหรอ จะได้ไปถ่ายรูปไงละ”

   “แต่ผมไม่มีกล้อง”

   “เอาของฉันไปใช้ก่อนก็ได้” ว่าแล้วเข้าก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ก่อนเปิดตู้ใบหนึ่ง “นายเลือกเอาก็แล้วกัน”

   “โห...ทำไมดอกเตอร์มีกล้องเยอะขนาดนี้ คุณเป็นนักโบราณคดีแน่เหรอ?”

   “แล้วนักโบราณคดีเขาไม่ถ่ายรูปกันหรือไง”

   “ก็จริง แต่ไม่เห็นต้องมีเยอะขนาดนี้เลย” หนานเฟ่ยซานบ่นอุบอิบ แต่เขาก็ยังได้ยินชัดเจน

   เหมิ๋นหยวนฮ่างพาหนานเฟ่ยซานลงมายังชั้นที่เป็นสวนและสระว่ายน้ำ หวังให้อีกฝ่ายได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง หลังจากที่โดนเขาบังคับให้นอนพักอยู่แต่ในห้อง 2 วันเต็ม ๆ เมื่อลงลิฟต์มาแล้วพวกเขาต้องเดินผ่านส่วนของเลานจ์

   “นายคือแขกคนนั้นนั่นเอง”

   “แขก?” เขาชี้ไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ โถงลิฟต์ ซึ่งเป็นที่ที่เขาเจอหนานเฟ่ยซานครั้งแรก “ดอกเตอร์จำได้?”

   “ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่ได้ใส่ใจ แต่จู่ ๆ มันก็นึกขึ้นมาได้”

   “ผมมันก็แค่นักข่าวธรรมดา ๆ คนระดับดอกเตอร์ก็คงไม่ใส่ใจคนอย่างผมหรอก”

   “งอน?”

   “งอน? ใครงอน? ผมเปล่าสักหน่อย ผมพูดความจริง” หนานเฟ่ยซานพูดแล้วรีบเดินไปยังส่วนของสระว่ายน้ำ

   “ก็ได้ แล้วความจริงหลังจากนั้นละ” เขาเดินตามมาติด ๆ คำถามของเขาทำให้หนานเฟ่ยซานชะงักและหันกลับมามองที่เขา
   
   “ผมไม่รู้” คนตรงหน้าตอบคำถามทั้งที่เลี่ยงจะสบตาเขา “ดอกเตอร์ทำให้ผมสับสน จนบางครั้ง ผมก็ทำตัวไม่ถูก”

   “นายกำลังว่าฉันไม่ชัดเจน” หนานเฟ่ยซานพยักหน้า “อืม...” เขาควรจะพูดอะไร หรืออธิบายอะไรดี ในเมื่อ 2 วันที่ดูแลหนานเฟ่ยซานอย่างใกล้ชิด เขาก็แสดงออกทุกอย่างด้วยการกระทำไปหมดแล้ว
   
   “ดอกเตอร์...”

   “มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ”

   “ผมอยากกลับบ้าน”

   “ฉันจะส่งนายกลับแน่ ๆ เมื่ออาการของนายดีขึ้นกว่านี้”

   “ผมรู้ว่าผมฟื้นตัวช้า และช่วงนี้อาจจะมีอาการวูบบ่อย ๆ แต่ผมสัญญาว่าผมจะระวังตัว”

   “ไม่ได้ จนกว่าฉันจะวางใจ แล้วที่นายฟื้นตัวเร็วกว่าครั้งที่แล้ว นั่นเป็นเพราะยาของเมิ่งอิง”

   “ผมรู้ว่าเลือดของผมมีค่ามากแค่ไหน ผมพิสูจน์จนเห็นกับตาตัวเองแล้ว ผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก”

   “นายรู้ตัวก็ดีแล้ว ครบอาทิตย์ ถ้านายดีขึ้น ฉันจะไปส่ง”

   “ไม่ต้องรอจนครบอาทิตย์ไม่ได้เหรอไง ผมไปกลับก็ได้นะ ยังไงผมก็ต้องเขียนคอลัมน์จนเสร็จ”

   “ทำไมนายถึงอยากจะกลับบ้านนัก มีอะไรรึเปล่า”

   “...” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานก้มหน้า เหมือนจะอึดอัดกับอะไรสักอย่าง เขาจึงก้าวเข้าไปใกล้ ๆ

   “เฟ่ยซาน...”

   “ยะ อย่า”

   หนานเฟ่ยซานก้าวถอยหลังเล็กน้อย อีกทั้งยังเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาจึงฉวยข้อมือของอีกคนในขณะที่ไม่ได้ระวังตัว แล้วลากพากลับเข้ามาภายในโรงแรม เมื่อเข้าลิฟต์ส่วนตัว เขากดลิฟต์ขึ้นไปยังห้องของเขาทันที ก่อนที่จะกักคนตรงหน้าไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ทำให้หนานเฟ่ยซานเหมือนจะฝั่งตัวเองไปกับผนังลิฟต์

   “ดอกเตอร์” น้ำเสียงของหนายเฟ่ยซานดูจะตระหนกอยู่ไม่น้อย “ไหนบอกว่าจะให้ผมเดินเล่นที่สระยังไงละ” คนตรงหน้าพูดทั้งที่ไม่ยอมสบตาเขา

   “เรียกพี่หยวนฮ่าง”

   “ดอกเตอร์!! ”  หนานเฟ่ยซานยอมหันมาสบตาเขา

   “เรียกใหม่”

   “ทำไม?”

   “ก็นายบอกเองว่าฉันไม่ชัดเจน ฉันก็กำลังจะอธิบายว่าฉันไม่ได้สนใจเลือดในตัวนาย ไม่สนว่ามันจะมีคุณสมบัติเหมือนน้ำตากิเลน ฉันสนใจแค่นายเท่านั้น เฟ่ยซาน”

   “มัน...”

   “มันเร็วไป ใช่ ฉันรู้ แต่ที่นายสับสนแบบนี้ เป็นเพราะนายก็รู้สึกไม่ต่างกับฉันไม่ใช่เหรอ?” เขาสังเกตสีหน้าของหนานเฟ่ยซาน จนแน่ใจในคำตอบจึงเอ่ยต่อ “นายอาจจะคิดว่าที่ฉันทำดีกับนาย เป็นเพราะน้ำตากิเลน แต่ฉันยืนยันว่าไม่ใช่ ฉันห่วงนายจริง ๆ นายจะให้โอกาสฉันได้ไหม?”

   “ผม...” ความสับสนยังคงอยู่บนใบหน้าของคนที่เขากักไว้ แต่สุดท้ายแล้วหนานเฟ่ยซานก็พยักหน้ารับ

   “พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆ คบกันไปก่อน จนกว่าเราสองคนจะแน่ใจกว่านี้ แต่นายต้องไม่วิ่งเข้าหาอันตรายอีก ได้ไหม?”

   “ดอกเตอร์...”

   “เรียกใหม่”

   “ปล่อย!! ”

   “ไม่”

   “ก็มันไม่ชินนี่”

   “ก็เรียกให้ชินสิ”

   “ต้องเรียกจริง ๆ เหรอ?”

   “นายจะเรียกฉันว่าดอกเตอร์ไปตลอดชีวิตเลยรึไง?”

   “ก็...”

   “ที่นายช่วยชีวิตนักสืบผานอย่างไม่สนใจชีวิตตัวเอง ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับนายเลยนะ”

   “ก็คนมันไม่รู้นี่ว่าต้องทำยังไง”

   “ยังจะเถียง?”

   “ไม่ได้ ถะ...อื้ม....” เขาไม่ปล่อยให้หนานเฟ่ยซานได้พูดต่อ ก้มลงประกบริมฝีปากคนในอ้อมแขนจนพอใจ ถึงปล่อยให้เป็นอิสระ

   “ดอกเตอร์ทำให้ผมอาการกำเริบ”

   “นายต้องแยกแยะให้ออกนะว่าใจเต้นแรงเพราะอาการกำเริบ หรือมันเต้นแรงเพราะนายมีใจให้ฉัน” เขากระซิบข้างหู ก่อนจะปล่อยให้หนานเฟ่ยซานเป็นอิสระ “และฉันจะไม่เตือนนายอีกเป็นครั้งที่ 3 ว่าต้องเรียกฉันยังไง” เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เขาก็กดเลขบนแป้นเพื่อลงไปยังเป้าหมายเดิม

   “นั่น ดอก เอ้ย พะ..พี่ หยวน ฮ่าง” เสียงของหนานเฟ่ยซานค่อย ๆ แผ่วลง “จะไปไหน”

   “ก็จะพาเราไปเดินเล่นที่ริมสระยังไงละ ฉันรู้ว่าเราเบื่อที่ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง”

   “อืม”

   หลังจากลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างสุด เขาก็ฉวยมือของหนานเฟ่ยซานมากุมไว้ พาจูงเดินไปยังบริเวณสระว่ายน้ำ โดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองพวกเขาด้วยสายตาอย่างไร

.........................................................................

   นี่ผมใจง่ายไปรึเปล่า? ที่ปล่อยให้ดอกเตอร์เดินจูงมือผมอยู่แบบนี้ พนักงานในโรงแรมต่างมองมาที่พวกเรา จนผมได้แต่ก้มหน้า ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกอย่างผมแค่ยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับดอกเตอร์เท่านั้น ไม่ได้บอกว่าจะคบกับเขาสักหน่อย

   ผมพยายามดึงมือผมออกจากการเกาะกุมของดอกเตอร์ แต่เขากลับกระชับมือแนบเข้าไปอีก จนกระทั่งเดินมาถึงบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรม

   “เราไม่ต้องอายไปหรอก เดี๋ยวก็ชิน”

   “ดอก เอ้ย เอ่อ...พี่หยวน ฮ่าง” ทำไมการเรียกชื่อดอกเตอร์ออกมามันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้นะ “รู้ได้ยังไง พี่... ไม่ได้หันมองผมเลย”

   ดอกเตอร์พาผมไปนั่งที่โต๊ะใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ข้าง ๆ สระว่ายน้ำ ไม่ทันไรก็มีพนักงานเอาเครื่องดื่มมาให้ทั้งที่ดอกเตอร์ยังไม่ทันสั่งอะไรเลย

   “ของเฟ่ยซานเอาเป็นน้ำกีวี่ปั่นก็แล้วกัน” ดอกเตอร์สั่งบริกร ก่อนหันมาตอบคำถามของผม หลังจากที่พนักงานคนนั้นเดินออกไป

   “ครอบครัวของฉันกับครอบครัวฝู่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน แต่ก็พลัดพรากไปหลายร้อยปี พวกเรามาเจอกันอีกครั้ง สายใยความเป็นพี่น้องก็ยังคงอยู่ ม๊าของฉันเล่าว่า กว่าม๊าจะสืบหาคนตระกูลฝู่ได้ก็ใช้เวลาหลายสิบปี”

   “นี่ดอกเตอร์กำลังจะเล่าเรื่องเพื่อให้ผมนำไปเขียนคอลัมน์ใช่ไหม ผมไม่มีเครื่องอัดเทปหรือสมุดจด”

   “เฟ่ยซาน...”

   “ผมขอเวลาแป๊บเดียว ขอหาอะไรมาจดก่อน”

   “เฮ้อ...ไม่ต้องจดอะไรทั้งนั้น แล้วต้องเรียกฉันว่ายังไง?” ผมที่มัวกับตื่นเต้นที่จะได้รู้เรื่องราวของเยี่ยหวอ จึงหลุดเรียกตามความเคยชินไปจนได้

   “พี่...หยวนฮ่าง”

   “ที่ฉันเล่าให้เราฟัง ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปเขียนคอลัมน์ได้ ข้อมูลพวกนั้นฉันเตรียมให้เราหมดแล้ว แต่ที่เล่าให้ฟัง เพราะฉันเห็นเราเป็นคนในครอบครัว”

   “เอ่อ...คือ...” มันเร็วไปไหม? อยากรู้ก็อยากรู้ แต่ผมยังไม่ได้รับปากจะคบด้วยสักหน่อย “พี่ หยวนฮ่าง คือผม...”

   “เราไม่ต้องรีบคิดไปไกล ฉันก็แค่บอกความรู้สึกของฉันให้เรารับรู้ และฉันก็เห็นว่าเราเป็นคนในครอบครัวจริงๆ” ดอกเตอร์เป็นคนพูดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

   “แล้ว คุณนายเหมิ๋น หรือคุณฝู่ละ”

   “ม๊า กับอี๊ หรือแม้กระทั่งเตี๋ย เขาฝึกฉันมาดี เขารู้ว่าฉันไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังหรอก”

   “คุณนายเหมิ๋นจะไม่ผิดหวังจริง ๆ เหรอ ในเมื่อดอก...เอ้ย พี่หยวนฮ่างเป็นลูกชายคนเดียวนะ”

   “เราไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร เพราะคนภายนอกไม่มีใครรู้ ม๊าของฉันไม่ใช่สายเลือดแท้ ๆ ของเหมิ๋น เธอเป็นลูกบุญธรรมของอากง เพราะฉะนั้น ฉันเองก็ไม่ใช่สายเลือดโดยตรง ดังนั้นเรื่องการจะหาคนมารับช่วงต่อกิจการของตระกูลก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วนายเคยได้ยินเรื่องนางฟ้าของเยี่ยนหวอไหม?”

   “ผมเคยได้ยิน ว่าคุณฝู่มีน้องสองคน คนหนึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนางฟ้าของเยี่ยนหวอ เพราะเธอมีความงามจนทุกคนหลงใหล แต่เพราะเธอแต่งงานมีสามีแล้วจึงย้ายตามสามีไปอยู่ที่ประเทศไทย คนที่นี่จึงไม่เคยเห็นเธออีกเลย”

   “ไม่ใช่เลย น้องของอี๊คนนี้ ที่ทุกคนเรียกว่านางฟ้าแห่งเยี่ยนหวอ ความจริงแล้วเพราะว่าเขาเป็นคนที่ใจดีมาก ๆ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ถึงจะเป็นทายาทของตระกูลแต่ไม่เคยเอาฐานะตำแหน่งมาใช้กดขี่ผู้อื่น”

   “อ่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกัน”

   “เราเข้าใจไม่ผิดหรอกว่าเขาแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ประเทศไทย แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ เตี๋ยหยกเป็นผู้ชาย”

   “อ่อ...หา?”

   “เราฟังไม่ผิดหรอก ดังนั้นเรื่องเราสองคน ไม่มีอะไรที่น่าผิดหวังสำหรับครอบครัวฉัน”

To Be Continue

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 32 ---ll--- 22-08-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-08-2019 15:41:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 33 ---ll--- 19-09-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 19-09-2019 13:07:30
33








   การสืบคดีมาถึงทางตันอีกครั้ง คนที่พบเห็นเผิงฉินฉินเป็นคนสุดท้าย อย่างหลานเจ๋อกับหวังกวนก็ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ฆาตกรรายนี้เพียงเพื่อต้องการให้ได้เหยื่อรายต่อไป ถึงกับต้องฆ่าคนไปอีก 2 คน แต่เพราะอะไรถึงต้องทำอย่างนั้น ผานกู่ที่พยายามขบคิดเรื่องนี้เท่าไร ก็คิดไม่ออกสักที

   “พี่กู่ เป็นอะไรไปพี่หน้าเครียดเชียว? ” หนานเฟ่ยซานเดินเข้ามาที่โต๊ะของเขา

   “อ่าว เฟ่ยซาน หายหน้าหายตาไปเลยนะ เป็นยังไงละได้ไปนอนโรงแรมหรู”

   “พี่กู่ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบงานแบบนั้น แต่ก็ดีแล้วล่ะ จนงานสักทีให้ผมไปนั่งนอน ๆ เป็นอาทิตย์ ถึงจะเป็นโรงแรมหรูก็เถอะ อึดอัดจะตาย”

   “นายเข้าไปที่นั่นไม่ได้มีความคิดอะไรแอบแฝงหรือยังไง? ”

   “ก็...”

   “ช่างเถอะ แล้วได้ข่าวอย่างที่ต้องการไหม? ”

   “ได้อยู่พี่ ผมส่งให้จีเจียนแล้ว บก.ก็ไม่ว่าอะไร เขารู้ว่าผมไม่ถนัดเขียนข่าวประเภทนั้น”

   “เสียดายนะที่นายพลาดข่าวแรงงานเถื่อนน่ะ”

   “อืม แต่เห็นว่ามีเด็กหายไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นละพี่”

   “จะมาหลอกถามหาข่าวจากพี่ละสิ”

   “ไม่ได้หลอก นี่ถามเอาตรง ๆ เลย พี่ก็รู้ว่าผมไม่เขียนข่าวอะไรซี้ซั้ว”

   “อืม เด็กที่หาไปคือเผิงฉินฉิน แล้วยังเป็นเหยื่อรายถัดไปของคดีฆ่ารัดคอด้วย”

   “พี่รู้ได้ยังไง แล้วคดีฆ่ารัดคอนั่นคืบหน้าไปถึงไหน”

   “ก็ยังไปไม่ถึงไหน ตอนนี้พวกพี่ก็เจอทางตันอีกแล้ว”

   “แล้วพี่รู้ได้ยังไง ว่าเผิงฉินฉินจะเป็นเหยื่อรายถัดไป ในเมื่อเธอหายตัวไปไม่ใช่เหรอ”

   “นายตามพี่มานี่ แล้วก็จะรู้เอง” ผานกู่เดินนำหนานเฟ่ยซานไปยังห้องประชุม เขาชี้ให้หนานเฟ่ยซานได้ดูข้อมูลล่าสุดที่พวกเขาได้เบาะแสมา

   “เผิงฉินฉิน แอบหนีออกมาแล้วหายไประหว่างทางที่หนีไปอย่างนั้นเหรอ? ”

   “ใช่”

   “ผมไปพักที่โรงแรมอาทิตย์หนึ่ง เผิงฉินฉินหายตัวไปก่อนหน้านั้นประมาณ 1 อาทิตย์ จนวันนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่ 3 แล้ว ร่างกายเด็กผู้หญิงคนนั้นยังทนไหวอย่างนั้นเหรอ? ”

   “เฮ้อ...นี่แหละที่พี่ห่วง หลานเจ๋อกับหวังกวนก็ถูกฆ่าปิดปาก เราเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเผิงฉินฉิน”

   “สองคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงต้องถูกฆ่าปิดปาก”

   “สองคนนั่นเป็นพนักงานทำความสะอาด ที่นายแอบถ่ายรูปรถพวกเขาไว้ได้นั่นแหละ เผิงฉินฉินแอบขึ้นรถคันที่สองคนนั้นประจำอยู่”

   “อืม...แล้วทำไมถึงโดนฆ่า หรือว่า!! ”

   “อะไร?!! ”

   “เป็นไปได้ไหมที่สองคนนั่นเห็นหน้าฆาตกรในขณะที่มันกำลังจับตัวเผิงฉินฉินไป”

   “อืม มีความเป็นไปได้ ระหว่างทางที่รถคันนั้นออกจากโกดังกลับไปยังบริษัทฯ รถคันนั้นอาจจะจอดพักที่ไหนสักที่ เผิงฉินฉินถึงได้แอบลงจากรถมา ทำให้ฆาตกรจับตัวเธอไปได้”

   “สถานที่ที่จะหยุดจอดพักระหว่างทางสำหรับรถพวกนี้ก็มีแต่ปั๊มน้ำมันเท่านั้นแหละ”

   “ดี ดีมาก ขอบใจมากเฟ่ยซาน”

   หนานเฟ่ยซานก็สมแล้วที่เป็นหนานเฟ่ยซาน ที่มักจะมองในสิ่งคนอื่นคาดไม่ถึง หรือละเลยได้ตลอด เขารีบเดินออกไปยังแผนก เพื่อตามเหยินหยางผิง แล้วไปยังศูนย์ควบคุมการจราจรเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดทันที

.........................................................................

   เหมิ๋นหยวนฮ่างจอดรถรอหนานเฟ่ยซานอยู่หน้าสถานี ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเขาก็เห็นนักสืบผานเดินออกมาพร้อมกับนักสืบอีกคน ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไป โดยไม่มีหนานเฟ่ยซานติดตามไปด้วย แต่ก็รออยู่นาน หนานเฟ่ยซานก็ยังไม่ออกมาสักที จึงกดโทรศัพท์หาจู้ชุน

   “เฟ่ยซานยังอยู่ในสถานีไหม? ”

   ‘เฟ่ยซานเข้ามาที่นี่เหรอครับ? ’

   “อืม”

   ‘ผมยังไม่เห็นนะ’

   “เขาบอกว่าจะไปหานักสืบผาน”

   ‘พี่กู่เพิ่งจะออกไปกับหยางผิงเมื่อครู่’

   “ฉันเห็นแล้ว”

   ‘เฟ่ยซานไม่ได้ไปกับพี่กู่เหรอครับ’

   “ไม่”

   ‘เดี๋ยวผมดูให้ครับ แล้วจะรีบโทรไปบอก’

   “ถ้าเจอเฟ่ยซานแล้ว ให้บอกเขาว่าฉันรออยู่”

   ‘อ่อ ได้ครับ’

   เขารออีกสักพักหนานเฟ่ยซานก็เดินออกมาจากสถานี และเดินตรงมาที่รถของเขา ดูจากสีหน้าแล้ว คงจะไม่พอใจที่เขาเร่งเป็นแน่

   “ฉันก็เห็นว่าเราหายไปนาน”

   “แต่ก็ไม่เห็นต้องให้พี่ชุนไปตามเลยนี่”

   “นี่เรางอนฉันเพราะจู้ชุนหรอกเหรอ? ”

   “ผมยังไม่พร้อมให้คนอื่นรู้เรื่องของเรา”

   “จู้ชุนเป็นคนของเยี่ยนหวอ”

   “...”

   “เอาล่ะ คราวหน้าฉันจะระวังก็แล้วกัน”

   “ทำไมพี่ชุนถึงยอมเป็นสายให้เยี่ยนหวอ”

   “เขาไม่ได้เป็นสายให้เยี่ยนหวอ เขาเป็นเด็กที่เตี๋ยหยกให้ทุนเรียน พอเรียนจบเตี๋ยเห็นว่าจู้ชุนอยากเป็นตำรวจ เลยสนับสนุนให้ไปเรียนศิลปะป้องกันตัวอื่น ๆ ที่เยี่ยนหวอมีหุ้นอยู่ จู้ชุนเป็นคนดี เรื่องไหนที่เกี่ยวพันกับเยี่ยนหวอเขาจะคอยเป็นหูเป็นตาและระวังให้เท่านั้น”

   “ที่พี่ชุนมีสายอยู่ตามแหล่งต่าง ๆ นี่คงไม่ได้หมายถึงสายของเยี่ยนหวอหรอกนะ”

   “บังเอิญวว่าใช่”

   “ถ้าผมจะขอให้สืบอะไรให้ พี่จะว่าอะไรรึเปล่า? ”

   “ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรื่องที่เราอยากรู้เป็นเรื่องอะไร? ”

   “มีเด็กคนหนึ่งหายตัวไปก่อนที่พวกพี่จะเข้าไปช่วย เธอชื่อเผิงฉินฉิน แล้วจากที่ผมเพิ่งได้ข้อมูลจากตำรวจ ดูเหมือนว่าเธอจะถูกฆาตกรที่ฆ่ารัดคอจับตัวไปไว้ที่ไหนสักแห่ง”

   “นั่นมันงานของตำรวจนะ”

   “พี่หยวนฮ่าง เธอยังเด็กอยู่เลย แล้วนี่ก็โดนจับไปตั้งสามอาทิตย์แล้ว ผมไม่รู้ว่าเธอจะทนอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

   “เฮ้อ...ขนาดตำรวจยังตามหาไม่เจอ แล้วคนของเยี่ยนหวอจะไปตามเจอได้ยังไง เยี่ยนหวอไม่ใช่มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลที่ไหนนะเฟ่ยซาน”

   “ผมพอมีเบาะแสที่สามารถจะตามรอยคนร้ายได้ ผมสัญญาว่าจะส่งข้อมูลทุกอย่างที่สืบได้ให้พี่กู่ จะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”

   “เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเราก็แล้วกัน อยากให้ช่วยอะไรล่ะ? ”

   “ผมอยากจะขอดูกล้องวงจรปิดภายในพื้นที่โกดังท่าเรือที่ 5 ในวันที่ผมเจอกับพี่หยวนฮ่าง”

   “โทรศัพท์ของฉันดูย้อนหลังไม่ได้หรอกนะ ต้องเข้าไปดูที่ออฟฟิศ เอาเป็นว่า หลังจากเสร็จงานเปิดตัวกล่องสำริดแล้ว ฉันค่อยพาเราไปดูแล้วกัน”

   “จริงสิ วันนี้พิพิธภัณฑ์เปิดตัวกล่องสำเริดนี่นา แล้วทำไมดอก เอ้ย!! พี่หยวนฮ่างยังไม่ไปอีกล่ะ? ”

   เหมิ๋นหยวนฮ่างได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ นี่ถ้าเขาไม่อยู่รอแล้วปล่อยให้หนานเฟ่ยซานกลับสำนักงานเอง ไม่รู้ป่านนี้จะวิ่งวุ่นไปสืบคดีที่ไหนอีก เขาสั่งให้คนขับรถขับพาเขาไปพิพิธภัณฑ์ทันที โดยไม่ตอบของหนานเฟ่ยซาน

   “พี่หยวนฮ่าง ผมต้องเข้าสำนักงาน”

   “โทรไปบอกบก. หยุน ว่าเราจะไปหาข่าวที่โกดัง”

   “เผด็จการ”

   “ได้ยิน”

   เขาเห็นหนานเฟ่ยซานโทรศัพท์ไปรายงานกับหยุนฮั่นเตาตามที่เขาบอก จากนั้นก็นั่งหน้าบึ้งไปตลอดทางจนถึงพิพิธภัณฑ์ก็ไม่ยอมลงจากรถ เขาจึงให้คนของเขา 2 คน คอยดูแลและติดตามหนานเฟ่ยซานหากเจ้าตัวอยากออกไปไหน ส่วนที่เหลือก็ตามเขาเข้าพิพิธภัณฑ์

.........................................................................

   หลังจากดอกเตอร์เข้าพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว ผมก็เดินออกมานอกเขตพิพิธภัณฑ์โดยมีคนของดอกเตอร์ติดตามอยู่ห่าง ๆ พวกเขาสองคนเดินห่างจากผมมาก แต่ก็ยังอยู่ในระยะสายตาตลอด ทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อโดนเดินตามแบบนี้

   ผมค่อย ๆ เดินลงเนินมาเรื่อย ๆ จำได้ว่าก่อนทางขึ้นไปยังพิพิธภัณฑ์ มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ในตรอกร้านหนึ่ง เมื่อพบแล้วผมก็เข้าไปสั่งเครื่องดื่มก่อนหาที่นั่งในมุมที่ไม่ค่อยมีคน ผมเลือกนั่งที่ริมกระจกบานใหญ่เพื่อให้คนของดอกเตอร์สามารถมองเห็นผมได้

   อาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตนักข่าวธรรมดาของผมเปลี่ยนไปมาก ดอกเตอร์ดูแลผมเป็นอย่างดี เมื่อวานเขาก็ไปส่งผมที่บ้าน เมื่อเช้าก็ยังมารับผม ถึงผมจะต่อว่าดอกเตอร์ว่าเผด็จการก็เถอะ แต่ผมก็รู้ ว่าสิ่งเขาทำนั่นเพราะเขาเป็นห่วงผม

   หลายวันมานี้ ผมได้รู้เรื่องราวของฝู่และเหมิ๋นซึ่งมันเกินกว่าที่ผมคาดไว้ และก็มีหลายเรื่องที่คนภายนอกไม่ควรรับรู้ สาเหตุนี้นี่เองทำให้เรื่องราวของเยี่ยนหวอถึงดูอึมครึม จนคนร่ำลือไปในต่างๆ นานา

   “เฟ่ยซานนี่ ใช่เฟ่ยซานจริง ๆ ด้วย นี่นายหายไปไหนมาตั้งหลายวัน แล้วนี่มาทำข่าวอะไรแถวนี้ หรือว่ามาเรื่องเปิดตัวกล่องสำเริด? ” อาเต๋อพูดพร้อมนั่งลงตรงข้ามผม

   “อาเต๋อ นี่นายหายใจทางผิวหนังหรือไง”

   “เปล่านี่ ฉันก็หายใจเหมือน ๆ กันนายนี่แหละ นายหายไปหลายวันท่าทางจะเพี้ยนนะเนี่ย” เขาได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ กับการพูดมากของอาเต๋อ

   “ว่าแต่นายมาทำอะไรแถวนี้? ”

   “ฉันมาร้านกาแฟ ก็ต้องซื้อกาแฟสิ ถามแปลก นายไม่สบายรึเปล่า”

   “ฉันสบายดี เอาเถอะ ๆ นายไปซื้อกาแฟของนายเถอะ”

   “เดี๋ยวฉันมานะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

   ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร อาเต๋อก็พุ่งตัวออกไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ ผมมองไปด้านนอก คนของดอกเตอร์คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ส่วนอีกคน นั่งอยู่ที่โต๊ะห่างจากผมไปไม่มากนัก

   “นี่เฟ่ยซาน วันนั้นฉันเห็นนายขึ้นรถไปกับคุณนายเหมิ๋น นายไปรู้จักเขาได้ยังไง”อาเต๋อดูกระตือรือร้นเมื่อพูดถึงเรื่องคุณนายเหมิ๋น

   “ฉันเพิ่งเจอเธอเป็นครั้งแรกบนเรือนั่นแหละ แต่กับดอกเตอร์ก็รู้จักกันมาสักพักแล้ว”

   “ดอกเตอร์? หมอที่โรงพยาบาลไหนเหรอ? ”

   “ดอกเตอร์เหมิ๋นยังไงละ ลูกชายคุณนายเหมิ๋นน่ะ”

   “อ๋อ...คนขุดสมบัติอ่ะนะ”

   “คนขุดสมบัติ? ”

   “ก็ใช่ไง เขาขุดดินตามล่าสมบัติอยู่ไม่ใช่เหรอ วันนี้ก็มาที่ทำงานของฉัน มาก็สาย สงสัยคิดว่าตัวเองเป็นคนดัง”

   “นายทำงานที่พิพิธภัณฑ์อย่างนั้นเหรอ? ”

   “ฉันเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนะ บริษัทฯ ส่งไปไหนฉันก็ต้องไปสิ”

   “ฉันนึกว่านายทำงานกับคุณเยี่ยนซะอีก”

   “ใครจ้าง ฉันก็ทำหมดแหละ ว่าแต่นายช่วยฝากงานให้ฉันกับคุณนายเหมิ๋นหน่อยได้ไหม ฉันอยากทำงานในกาสิโน”

   “เฮ้ย...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเจอเธอแค่ครั้งเดียว ฉันจะไปฝากงานให้ได้ได้ยังไง”

   “จริงสินะ นายก็แค่นักข่าวธรรมดา ๆ เองนี่นะ ว่าแต่นายยังไม่ได้ตอบฉันเลย ว่านายหายไปไหนมาเป็นอาทิตย์”

   “ไปทำข่าวน่ะ เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน”

   “มาเดินเล่นแถวนี้ คงจะโดดงานละสิท่า”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

   “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่กวนเวลาพักผ่อนของนายแล้ว ไปล่ะ เดี๋ยวฉันต้องไปเข้ากะอีกที่ ไปก่อนนะ” อาเต๋อหยิบแก้วกาแฟแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไปทันที เมื่ออาเต๋อเดินลับหายไป คนของดอกเตอร์ที่อยู่ในร้านก็เดินเข้ามาหาผม

   “คนนั้นเพื่อนคุณหนานเหรอครับ”

   “อืม บังเอิญเจอกันน่ะ ทำไมเหรอหรือว่านายจะเอาไปรายงานดอกเตอร์”

   “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมเห็นเขาเดินตามคุณหนานมาตั้งแต่ตอนที่พวกเราเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์”

   “เขาเพิ่งเลิกงานจากที่นั่นนะ”

   “ครับ” เขาพยักหน้าเข้าใจก่อนเดินไปสั่งกาแฟอีกแก้ว จากนั้นเขาก็เอาไปให้เพื่อนร่วมงานอีกคน และรออยู่ข้างนอกจนกระทั่งดอกเตอร์เดินเข้ามาหาผมในร้าน

   “พี่หยวนฮ่าง มาได้ยังไง” ดอกเตอร์หันไปมองคนของเขาที่รอติดตามผมมา ทั้งสองกำลังเดินขึ้นเนินเพื่อมุ่งตรงไปยังพิพิธภัณฑ์

   “หายโกรธรึยัง? ”

   “ผมไม่ได้โกรธ”

   “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ แถวนี้มีร้านอาหารอิตาลีอยู่ ไปหาอะไรทานกัน” ดอกเตอร์เดินนำผมออกไปก่อน ผมรีบเดินเร็วตามเขาไปจนคว้าสายรัดเสื้อโค้ตไว้ได้ ดอกเตอร์ชะงักฝีเท้าทันที

   “ผมขอโทษ”

   ดอกเตอร์ไม่พูดอะไร เขาคว้ามือผมมากุมไว้ แล้วเดินจูงพาออกจากร้าน พวกเราเดินไปตามทางอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร จนผมทนไม่ไหว

   “พี่หยวนฮ่าง ผมขอโทษ ที่ผมทำให้พี่เสียงาน”

   “ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ได้ชอบมางานพวกนี้อยู่แล้ว”

   “แต่...”

   “ช่างเถอะ เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้ว เราค่อยไปที่ออฟฟิศที่ท่าเรือกัน”

   “อืม ขอบคุณครับ”

   พวกเราเดินกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงร้านอาหาร โดยปราศจากผู้ติดตาม คนทั้งหมดกลับไปทำงานของตนเอง มีเพียงชายคนหนึ่งนำกุญแจรถมาให้ดอกเตอร์ในร้านอาหารเท่านั้น

.........................................................................

   ภายในตรอกเล็ก ๆ ชายคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ รถบรรทุกขนาดเล็ก คอยเฝ้ามองคนที่นั่งทานอาหารอยู่ภายใน เขาพอจะคาดเดาสถานะของคนทั้งสองได้ ดูจากที่เหมิ๋นหยวนฮ่างให้คนคอยติดตามหนูตัวนั้นอย่างใกล้ชิดแล้ว

   แต่ก็น่าแปลก ที่อยู่ๆ คนติดตามของเหมิ๋นหยวนฮ่าง ก็พากันหายไปหมด เขาพยายามมองสอดส่องไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบใครสักคน และเมื่อมองกลับไปยังร้านอาหาร แสงสะท้อนจากกระจกแว่นตาของเหมิ๋นหยวนฮ่างมันพุ่งตรงมาที่เขา ราวกับว่าคนคนนั้นกำลังมองตรงมาที่เขาอยู่ นั่นทำให้ จางซือหวู ต้องรีบหลบและเดินออกจากตรอกนั้นไปทันที

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 34 ---ll--- 08-10-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 08-10-2019 13:16:13
34







          เหยินหยางผิงเดินเข้าในสถานีพร้อมกับเหมี่ยนจื่ออู่ เมื่อเข้ามาถึงก็พบผานกู่นั่งดูเอกสารสีหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะตัวเอง เขากับเหมี่ยนจื่ออู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจ

          “พี่กู่”

          “อืม พวกนายไปพักเถอะ เมื่อคืนคงยังไม่ได้นอนสินะ”

          “พี่กู่ เรื่องรถคันนั้น”

          “ฉันรู้แล้ว พวกนายคงไม่เจออะไรผิดสังเกตุใช่ไหม?”

          “พี่รู้ได้ไง?”

          “นี่ไง” ผานกู่ส่งเอกสารในมือให้พวกเขา

          “พี่ไปได้รูปพวกนี้มาจากไหน?” เหมี่ยนจื่ออู่ถามขึ้นหลังจากเห็นรูปในเอกสาร เขาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อรอคำตอบจากผานกู่

          “เฟ่ยซานเอามาให้เมื่อเช้า”

          “ที่นี่มัน โกดังของเยี่ยนหวอนี่” เขาจำพื้นที่แถวๆ นั้นได้ มันเป็นโซนใกล้ ๆ กับโซนที่พวกเขาเข้าไปช่วยคนที่ถูกขังไว้

          “อืม เฟ่ยซานไปขอมาจากดอกเตอร์เหมิ๋น”

          “ถ้าอย่างนั้น เราก็สามารถสืบหาเฝิงฉินฉินต่อได้แล้วสิ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดขึ้นอย่างดีใจ

          “พี่กู่ พี่เป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถามขึ้นเพราะเห็นว่าผิดสังเกตุ เหมี่ยนจื่ออู่ที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่พูดออกมา

          “ไม่มีอะไรหรอก พวกนายไปพักเถอะ เรื่องตามหาต้วนเจียจง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เขาที่กำลังจะถาม แต่กลับเป็นเหมี่ยนจื่ออู่ที่ดึงเขาออกมา เมื่อพ้นออกจาสถานีแล้ว เหมี่ยนจื่ออู่จึงพูดกับเขา

          “เจ้าหมาบ้า นี่นายดูไม่ออกเหรอว่าพี่กู่เป็นอะไร”

          “ฉันว่าเขากังวลเรื่องอื่น ถึงในรูปนั้นจะไม่เห็นหน้าผู้ชายคนที่สวมฮูด และเราก็แน่ใจได้ว่า ต้วนเจียจงรู้จักกับฆาตกรแน่นอน”

          “พี่กู่คิดถึงเรื่องเฟ่ยซาน”

          “เฟ่ยซาน? เฟ่ยซานทำไม”

          “ตั้งแต่เฟ่ยซานไปทำข่าวบนเรือ ก็ดูเหมือนกับเขาจะสนิทสนมกับดอกเตอร์เหมิ๋นมากขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไปขอรูปจากกล้องวงจรปิดภายในโกดังมาให้พวกเราง่าย ๆ แบบนี้หรอก แล้วยังตอนที่พี่กู่อยู่ที่โรงพยาบาลอีก เฟ่ยซานไม่ได้มาเยี่ยมพี่กู่เลย มัวแต่ไปทำข่าวที่โรงแรม”

          “นายจะบอกว่า เฟ่ยซานกับดอกเตอร์จอมหยิ่งนั่น...”

          “ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาสนิทกันมากแค่ไหน แต่มันก็ทำให้พี่กู่ของเราไม่สบายใจ”

          “แต่ไอ้ดอกเตอร์นั่น ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะสนใจอะไรเฟ่ยซาน”

          “พวกเราไม่เห็นก็จริง แต่ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น”

          “ชักเริ่มเป็นห่วงพี่กู่แล้วสิ”

          “อืม ไว้ฉันจะลองถามเฟ่ยซานดู”

          “แล้วนี่นายจะไปไหน ไอ้หมากระเป๋า”

          “ก็กลับไปพักสิไอ้หมาบ้า ฉันไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่เหมือนนายนี่” เหมี่ยนจื่ออู่เดินไปยังรถของตัวเองโดยมาสนใจเขาที่วิ่งตามหลังมา

.........................................................................

          ผานกู่สลัดความคิดเรื่องของหนานเฟยซานออกไป แล้วกลับมาดูข้อมูลตรงหน้าแทน เขาจะมาเสียเวลาคิดเรื่องส่วนตัวไม่ได้ เพราะมีชีวิตของเฝิงฉินฉินเป็นเดิมพันอยู่

          “อากู ฉันได้ยินว่านายได้เบาะแสเกี่ยวกับฆาตกรในคดีฆ่ารัดคอ” ชิวกัมหงเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับตู้เห่า

          “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก พวกนายดูนี่” เขาส่งรูปภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดให้คนทั้งสองดู “นี่เป็นรูปที่ได้จากกล้องวงจรปิดของโกดังเยี่ยนหวอ”
“รถคันที่ขับไปดักรถจากบริษัททำความสะอาด เราน่าจะสืบจากทะเบียนรถได้ ว่าเป็นรถของใคร” ตู้เห่าออกความเห็นหลังจากดูรูปภาพ

          “ไม่ต้องไปตรวจสอบที่ไหนหรอก นี่ไงเจ้าของรถ” ชิวกัมหงวางรูปลงบนโต๊ะก่อนชี้ไปที่ต้วนเจียจง

          “จากมุมนี้เราเห็นแค่รถสองคัน กลับกลุ่มคนออกมาคุยกัน แต่เราไม่เห็นเฝิงฉินฉินเลยนะ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าต้วนเจียจงกับอีกคนเป็นคนจับเฝิงฉินฉินไป”

          “มีกล้องอีกตัวหนึ่งจับภาพคนทั้งหมดไว้ได้ และอาจจะเห็นเผิงฉินฉินด้วย แต่เป็นเพราะกล้องตัวนั้นอยู่ไกลจากที่เกิดเหตุ เฟ่ยซานเลยไม่ได้ปรินส์รูปมาให้ เขาให้เราขอความร่วมมือไปที่โกดังของเยี่ยหวอเพื่อขอดูเทปบันทึก”

          “มันคงอยู่นอกเหนือความสามารถของเฟ่ยซานสินะ”

          “แล้วทางต้วนเจียจงเป็นยังไงบ้าง ตามหาตัวเจอไหม?” เขาหันไปถามตู้เห่าผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้

          “วันที่พวกเราเข้าไปช่วยคนออกมาจากโกดัง ต้วนเจียจงคงจะไหวตัวทัน มันกลับจากฮ่องกงมาตอนสองทุ่มเศษ แล้วก็หายไปเลย บ้านก็ไม่ได้กลับ จู้ชุนกำลังสืบอยู่ว่ามันหนีออกนอกประเทศไปรึยัง?”

          คำบอกเล่าของตู้เห่าทำให้เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเลือกหารูปที่สามารถเห็นชายที่สวมฮูดได้ชัดที่สุดเท่าที่มีในตอนนี้

          “นายเจออะไร อากู่” ชิวกัมหงถามขณะเขาพยายามเลือกรูป

          “ฉันยังไม่แน่ใจ”

          “รูปพวกนี้ก็เหมือน ๆ กันหมด นายต้องการหาอะไรกันแน่” ตู้เห่ามองดูรูปภาพที่วางกองอยู่ตรงหน้า

          “ชายคนนี้มองดูแล้ว รูปร่างเขาคล้าย ๆ กับคนที่ทำร้ายฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน”

          “จริงสิ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนคนเดียวกัน” ชิวกัมหงเห็นด้วย “ครั้งแรก เฟ่ยซานถ่ายรูปของฉินหรุยกวงอยู่กับเยียนจูเฟิง ที่โกดัง F23 ต่อมา เป็นภาพของไอ้คนนี้” ชิวกัมหงชี้ไปที่รูปของชายที่สวมฮูดในรูป “อยู่กับต้วนเจียจง แถว ๆ โซนโกดัง K”

          “อืม ว่าต่อเลยกัมหง”

          “สิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาพสองภาพนี้คือต้วนเจียจง”

          “ใช่ เรารู้ว่าต้วนเจียจงอาศัยฉินหรุยกวงลักลอบนำเข้าส่วนประกอบของปืนมากับสินค้า” ตู้เห่าขยายความ

          “ต่อมา อากู่นายโดนใครสักคนลอบทำร้ายบนเรือของเยี่ยนจูเฟิง”

          “อืม...เยี่ยนจูเฟิง ฉินหรุยกวง ต้วนเจียจง รวมถึงไอ้หมอนี่ น่าจะมีความเชื่อมโยงกัน” เขาพึมพำออกมา

          “ใช่แล้ว ตัดฉินหรุยกวงไป เพราะหมอนี่โดนฆ่าปิดปากไปแล้ว”

          “ก่อนที่ฉันจะถูกทำร้าย ฉันได้ยินว่าชาวต่างชาติคนนั้นพอใจสินค้าของเยียนจูเฟิง”

          “ถ้าวันนั้น ไอ้หมอนี่ไม่โยนนายลงทะเล พวกเราอาจจะคาดเดาไปว่า ชายคนนั้นคงซื้อเรือสักลำจากเยี่ยนจูเฟิง แต่การที่มันร้อนตัวทำร้ายนายแบบนั้น เป็นไปได้ว่าเยี่ยจูเฟิงอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนเจียจง และถ้านายบอกว่า ไอ้หมอนี่รูปร่างคล้ายกับคนที่ทำร้ายนายคืนนั้น ฉันว่ามีความเป็นไปได้มาก”

          “ถ้าเป็นจริงอย่างที่กัมหงอนุมาน อย่างนั้นก็ไม่ยากเลยถ้าเยี่ยนจูเฟิงจะให้ต้วนเจียจงลักลอบขึ้นเรือสักลำ เพื่อหนีออกนอกมาเก๊า” ตู้เห่าออกความเห็น

          “อีกข้อหนึ่ง สิ่งที่ฉันยังสงสัยอยู่ ก็คือ ต้วนเจียจงรู้ตัวได้ยังไงว่าโกดังของเขาถูกตรวจค้น”

          “เป็นไปได้ไหมว่า นอกจากโกดัง F23 F13 F14 แล้ว คนพวกนั้นอาจจะเช่าโกดังอื่น ๆ ใกล้เคียงอยู่” เขาออกความเห็น

          “เป็นไปไม่ได้ ฉันกับจู้ชุนได้รายชื่อผู้เช่าโกดังทั้งหมดมาจากเยี่ยนหวอแล้ว ไม่มีโกดังไหนที่เป็นของคนพวกนี้อีกเลย”

          “นายเช็คดูดีแล้วใช่ไหมอาเห่า”

          “ฉันกับจู้ชุนตรวจสอบกันหลายรอบแล้ว ไม่อย่างนั้น คืนที่นายโดนแทง จู้ชุนคงไม่บังเอิญไปเจอนายเข้าหรอก”

          “คืนนั้นนายรู้เหรอ ว่าจู้ชุนไปสืบคดีที่นั่น”

          “เขาบอกฉันแล้ว ว่าจะแอบเข้าไปอีกตอนกลางคืน คงคิดว่าจะเจอเบาะแสอะไรดีๆ อย่างเฟ่ยซานเจอบ้างก็เป็นได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในคืนนั้น เพิ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่นายอยู่โรงพยาบาลแล้วนั่นแหละ”

          “อืม...ตอนนี้ทางเดียวที่เราจะสืบเรื่องนี้ต่อได้ ก็มีเพียงเยี่ยนจูเฟิงเท่านั้น” ชิวกัมหงพูดกับตู้เห่า

          “เดี๋ยวก่อนนะ” เขาเริ่มเอ๊ะใจอะไรบางอย่าง

          “อะไรของนายอีก อากู่”

          “ถ้าไอ้หมอนี่มันไปจับเผิงฉินฉินที่แอบหนีจากโกดังของต้วนเจียจง”

          “ใช่ แล้วทำไม”

          “ไม่ต้วนเจียจง ก็เป็นไอ้หมอนี่ หนึ่งในสองคนนี้ที่เป็นฆาตกรฆ่ารัดคอ” ตู้เห่าและชิวกัมหงต่างพากันตกใจ และเห็นด้วยกันกับเขา

          หนึ่งในสองคนนี้เจอเฝิงฉินฉินเป็นพวกสุดท้าย และอดีตพนักงานที่อยู่ในรูปก็ต่างเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้น สองคนนี้น่าสงสัยที่สุด

.........................................................................

          ในวันหยุดของย่านช้อปปิ้ง ผู้คนมากมายต่างออกมาเดินเที่ยว จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ตนเองพอใจ รวมไปถึงซือเมิ่งอิ๋งที่มาเดินเที่ยวพร้อมกับสามี ตั้งแต่เธอได้ร่วมงานกับดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง เธอได้มีโอกาสวิเคราะห์น้ำตากิเลน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งท้าทายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

          หลังจากที่ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่าง ได้น้ำตากิเลนมาจากการขุดค้นครั้งล่าสุด เธอก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องแลปซึ่งก็นานร่วมเดือน และจากที่เธอสามารถคิดค้นยาที่ช่วยหนานเฟ่ยซานได้ในครั้งนี้ ทำให้เธอได้โบนัสพิเศษ แถมวันหยุดยาวอีกต่างหาก

          “ฉันอยากไปดูเครื่องประดับร้านนั้น” เธอบอกกับสามีของเธอ หลังจากที่ทั้งคู่เดินมองดูนั่นนี่ไปรอบ ๆ แต่ยังไม่เจออะไรที่น่าสนใจ

          “ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องเครื่องประดับคุณก็รู้... คุณเข้าไปเถอะ ผมจะไปรออยู่ที่ร้านหนังสือเก่าข้าง ๆ นั่น” สามีของเธอชี้ไปที่ร้านที่ตั้งอยู่ข้าง เธอก็ไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นทั้งสองก็ต่างแยกย้ายเข้าไปในร้านที่ตนสนใจ

          ซือเมิ่งอิ๋ง เข้าไปในร้านเลือกเครื่องประดับ 2-3 ชิ้น ไม่นานเธอก็ตามสามีเข้าไปในร้านหนังสือเก่า เธอพบสามีของเธอยืนอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่งอย่างสนใจ เธอไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ จึงเลือกที่จะเดินดูหนังสือภายในร้าน

          ระหว่างที่เธอกำลังเลือกดูหาหนังสือเพื่ออ่านฆ่าเวลาอยู่นั้น เธอบังเอิญได้ยินคนในร้านพูดคุยกัน และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงก็เป็นคนที่เพิ่งให้รางวัลเธอเมื่อไม่นานมานี้เอง เธอจึงหยิบหนังสือส่ง ๆ จากชั้นขึ้นมาทำทีอ่านโดยไม่ได้มองว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร

          “เมื่อวานเหมิ๋นหยวนฮ่างไปงานเปิดตัวกล่องสำริดที่พิพิธภัณฑ์ โดยมีนักข่าวคนนั้นตามไปด้วย” ชายที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นผู้ที่พูดพาดพิงถึงเจ้านายของเธอ

          “ทำไมในข่าวฉันไม่เห็นมัน” คนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกค้า ส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์

          “ซือหวูเห็นพวกมันอยู่ด้วยกัน นักข่าวคนนั้นไม่ได้เข้าไปในงานด้วย”

          “แล้วเมื่อไรซือหวูจะจัดการนักข่าวคนนั้น”

          “มันเกาะติดเหมิ๋นหยวนฮ่างแจ ซือหวูยังไม่มีโอกาสลงมือ”

          อีกคนที่ถูกพูดถึงคงจะเป็นคุณหนานสินะ แต่ที่คนพวกนี้ไม่รู้ก็คือ คุณหนานไม่ได้เกาะติดเจ้านายของเธอ แต่เป็นเพราะดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างไม่ยอมปล่อยคุณหนานมากกว่า

          “ให้ซือหวูสืบมาให้ได้ว่า หยวนฮ่างเสร็จจากงานเปิดตัวกล่องสำริดแล้วจะกลับมาที่นี่เมื่อไร เพราะถ้าไอ้นักข่าวนั่นมันตามมาด้วย ฉันจะได้จัดการมันด้วยตัวของฉันเอง”

          “ทั้งหมด 50 ดอลล่า”

          ชายคนที่เป็นเจ้าของร้านส่งถุงหนังสือพร้อมทั้งเรียกเก็บเงิน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่สามีเธอเข้ามาทัก มันทำให้เธอสะดุ้งตกใจ

          “อะไรกัน อ่านเพลินขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนี้คุณอ่านอะไรอยู่”

          “อ่ะ อ่าน” เธอยกหนังสือในมือขึ้นมาดูหน้าปก การเตรียมตัวของคุณแม่มือใหม่ เธอยิ่งตกใจเข้าไปอีกเมื่อสามีของเธอดูจะดีใจจนออกนอกหน้า

          “เมิ่งอิง นี่คุณ ผมดีใจที่สุดเลย” สามีเธอส่งเสียงดังพร้อมทั้งเข้ามากอดเธอไว้แน่น นั่นทำให้เรียกสายตาจากคนในร้านให้หันมามอง ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าที่เพิ่งจะคุยกับเจ้าของร้านเสร็จเมื่อครู่

          “คุณ” เธอพูดอะไรไม่ออก รีบวางหนังสือเล่มนั้นลง แล้วลากสามีเธอออกมาจากร้าน ก่อนที่จะเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ เพราะเธอไม่อยากให้ ชายคนนั้นจำเธอได้ แต่เธอจำเขาได้ดี เพราะชายคนนี้ คือคนที่ยืนกอดคอยิ้มอย่างสนิทสนมกับเจ้านายของเธออยู่ในรูปที่แขวนไว้ในห้องทำงานของเขาที่แลป... ต้วนเจียจง

.........................................................................

          ผมส่งข้อมูลที่หามาได้ทั้งหมดให้พี่กู่ตามที่สัญญากับดอกเตอร์เอาไว้ จากนั้นก็เข้ามาทำงานที่สำนักงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ ดอกเตอร์คอยตามประกบผมตลอด ถึงจะไม่แสดงตัวแต่ผมก็รู้ว่าเขาอยู่แถว ๆ นี้

          “เฟ่ยซาน ๆ ๆ” โฮวจีเจียนร้องเรียกชื่อของผมตั้งแต่ยังไม่ยังเห็นตัว ก่อนที่ผมจะเห็นร่างอวบ ๆ ของเขาวิ่งเข้ามา

          “เป็นอะไร หรือว่านายมีอะไรให้ฉันช่วยอีก”
“นี่นายเห็นฉันเป็นคนยังไง” โฮววจีเจียนยืนเอามือท้าวกับโต๊ะของเขาไว้ ก่อนหายใจหอบออกมาเป็นระยะ ๆ

          “ถ้าไม่มีอะไร ทำไมถึงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาฉันแบบนี้ละ”

          “เดี๋ยว ขอพักหายใจแป๊บ”

          “นายหายเหนื่อยแล้วตามฉันไปที่คลังข้อมูลก็แล้วกัน” ผมบอกพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะถูกโฮวจีเจียนกดให้นั่งลงดังเดิม และหันเก้าอี้เข้าหาเขา

          “เมื่อวานฉันเห็นนายกับดอกเตอร์เหมิ๋นที่ร้านอาหารแถว ๆ พิพิธภัณฑ์”

          “แล้วยังไง?”

          “แล้วยังไง นายมาถามฉันกลับแบบนี้ได้ยังไง นายตั้งใจจะไปสัมภาษณ์ดอกเตอร์เหมิ๋นไม่ใช่เหรอ แล้วได้ความว่ายังไง”

          “เปล่า ฉันแค่ไปกินข้าวกันเฉย ๆ”

          “ไปดักรอเพื่อไปกินข้าวกับเขาเฉย ๆ เนี่ยนะ”

          “ไม่ได้ไปดักรอ” ผมละไว้ไม่ได้บอกกับจีเจียนตรง ๆ ว่าผมไปกับดอกเตอร์ตั้งแต่ต้น

          “นายจะบอกว่าบังเอิญเจอกับดอกเตอร์ เลยได้กินข้าวด้วยกัน แค่นั้น?”

          “อืม” โฮวจีเจียนดูเหมือนคนหมดแรงในทันที เขาปล่อยมือออกจากผม ถอยหลังลงไปนั่งเก้าอี้ตัวถัดไป

          “เฟ่ยซานนะเฟ่ยซาน โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ ทำไมไม่เป็นฉันบ้างนนะ สวรรค์นะสวรรค์” โฮวจีเจียนยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย ๆ โทษนั่นโทษนี่ไปตามประสา

          “นายก็อย่าโลภให้มาก สำนักงานของเราได้ทั้งสัมภาษณ์คุณฝู่ก็แล้ว คุณนายเหมิ๋นก็แล้ว แค่นี้สำนักข่าวอื่น ๆ เขาก็อิจฉาเราจะแย่อยู่แล้ว ไหนจะชื่อเสียงของนายที่มากขึ้นอีก งานมีเขามาเยอะไม่ใช่หรือไง”

          “เออ ฉันยอมรับว่าช่วงนี้งานมันเข้ามาเยอะ ก็เพราะข้อมูลที่นายให้มานั่นแหละ แต่การได้ลงบทสัมภาษณ์ของดอกเตอร์เหมิ๋นนี่ถือเป็นความใฝ่ฝันของฉันเลยนะ ยิ่งงานส่งมอบกล่องสำริดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้ว่าดอกเตอร์จะกลับเกาลูนเมื่อไร”

          “ดอกเตอร์จะกลับเกาลูนอย่างนั้นเหรอ” ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย

          “ก็ใช่นะสิ ครั้งนี้ถือว่าเขาอยู่ที่มาเก๊าได้นานที่สุดแล้ว ภาวนาขออย่าให้ดอกเตอร์ไปขุดค้นอะไรที่ไหนอีกเลย ไม่อย่างนั้นคงได้หายไปเป็นปี ๆ แน่”

          “หายไปเป็นปี ๆ เลยเหรอ?”

          “ก็ใช่นะสิ อย่างครั้งนี้กว่าจะได้กล่องสำริดใบนี้มา ดอกเตอร์ก็หายไปกับทีมสำรวจเกือบ 3 ปีเลยนะ”

          “3 ปี”

          “อืม”

          ในหัวของผมตอนนี้มีแต่คำว่า 3 ปี ดอกเตอร์ใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่ กว่าจะค้นพบน้ำตากิเลน และเมื่อค้นพบกลับต้องมาเสียของมีค่านั้นให้กับคนอย่างผม ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ผมเคยเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจให้กับดอกเตอร์ไปแล้วหรือยัง

          “นี่นายจะไปไหน?” โฮ่วจีเจียนถามในขณะที่ผมเก็บของเข้ากระเป๋า

          “ฉันจะออกไปหาข่าวข้างนอกสักหน่อย”

          “ตอนนี้ไม่เห็นจะมีคดีอะไรดังไปกว่าคดีฆ่ารัดคอนั่น เฮ้ย!...อย่าบอกนะว่านายจะไปหาข่าวเกี่ยวกับคดีอันตรายนั่นน่ะ”

          “อืม ฉันจะไปหาพี่กู่หน่อย ฝากนายบอกบอ. ด้วยก็แล้วกัน

          “ได้ ๆๆ ถ้านายไปที่สถานี ฉันก็หายห่วง...”

          ผมไม่อยู่ฟังคำพร่ำเพ้อของจีเจียน และเร่งฝีเท้า เดินออกมาอย่างเร่งรีบ ผมรู้ว่าถ้าผมลงไปชั้นล่าง เมื่อออกไปนอกสำนักงาน ยังไงผมก็ต้องเจอเขา และก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้ เขาคอยอยู่ใกล้ตัวผมตลอด เมื่อผมเดินออกมายังลานจอดรถ รถของดอกเตอร์ก็เข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ ผมไม่รีรอรีบก้าวขึ้นไปทันที

          “จะออกไปหาข่าวที่ไหนอีกละ เพิ่งเข้าสำนักงานได้ไม่ถึงครึ่งวันเลยไม่ใช่เหรอ?”

          “พี่หยวนฮ่าง ผม...” อยู่ ๆ ผมก็พูดไม่ออก ความเสียใจมันจุกอกไปหมด

          “เกิดอะไรขึ้น” ดอกเตอร์จอดรถข้าง ๆ ฟุตบาทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานของผมนัก เขาหันมามองผม

          “เรื่องน้ำตากิเลน”

          “เรื่องนั้นทำไม?”

          “ผมขอโทษ ผม ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจกลืนมันเข้าไป ไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่หยวนฮ่างเสียมันไป”

          “เดี๋ยว ๆ เฟ่ยซานเกิดอะไรขึ้น” ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันเริ่มซึมออกมา พี่หยวนฮ่างก็ดึงผมเขาไปกอดเอาไว้ “ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด เราไปรู้ ไปเจออะไรมา ไหนบอกพี่มาสิ”

          “พี่ ๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี กว่าจะตามหามันเจอ แต่ ๆ แต่พี่กลับต้องเสียมันไป เพราะ เพราะคน คนอย่างผม”

          “ไม่เอา ไม่ร้อง เฟ่ยซานของพี่ เฟ่ยซานที่กล้าหาญ ทำไมมาร้องไห้เป็นเด็ก 3 ขวบแบบนี้”

          “ผมขอโทษ ผมไม่เคยขอโทษพี่เลย ผมขอโทษ”

          ดอกเตอร์ดันตัวของผมออก ผมไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ดอกเตอร์เช็ดน้ำตาของผมเบา ๆ ก่อนประคองใบหน้าของผมขึ้น ผมยังคงหลบสายตาจากคนตรงหน้า สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากของผมเรียกสายตาให้ผมมองไปข้างหน้า ดอกเตอร์จูบปากผมเบา ๆ ไม่ได้ล่วงล้ำ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง

          “เมื่อก่อนฉันอาจจะโกรธ ที่เราทำให้ฉันเสียของมีค่าขนาดนั้น แต่ตอนนี้ฉันกลับดีใจ ที่น้ำตากิเลนหนึ่งเม็ดนั้นได้ช่วยชีวิตของเราไว้ เฟ่ยซาน ฉันดีใจจริง ๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่”

          “พี่หยวนฮ่าง...”

          “ไหนจะบอกฉันได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไปรู้อะไรมา”

          “ก็แค่ โฮวจีเจียน...”

          “เฮ้อ...ฉันไม่ค่อยจะชอบเพื่อนของเราคนนี้เลย”

          “เขาไม่มีอะไรสักหน่อย เขาแค่เล่าให้ฟังว่าพี่หยวนฮ่างหายไปนาน ๆ เวลาไปขุดค้น”

          “นั่นก็จริง”

          “ผมเลยคิดว่า พี่จะใช้เวลากี่ปีกัน ในการหาน้ำตากิเลน”

          “ถ้าเราอยากรู้ฉันจะเล่าให้ฟัง นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เรารีบออกมาจากสำนักงานใช่ไหม?”

          ผมที่ออกจากอ้อมแขนของดอกเตอร์แล้ว ก็ได้แต่พยักหน้า ดอกเตอร์เองก็เริ่มออกรถ แล้วก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาน้ำตากิเลนให้ผมฟัง ตลอดทางที่เขาขับรถมาจนถึงบ้านที่ชุง ฮอม กอก


 
To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 34 ---ll--- 08-10-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 19:15:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 35 ---ll--- 02-12-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-12-2019 11:11:29
35







          เหมิ๋นหยวนฮ่างเข้ามาจอดรถภายในบ้านที่ชุง ฮอม กอก ได้สักพัก แต่ยังเล่าเรื่องการค้นหาน้ำตากิเลนค้างอยู่ ทั้งเขาและหนานเฟ่ยซานจึงยังคงนั่งอยู่ในรถ

          “น้ำตากิเลนนี้ฉันพบมันที่สุสานโตลุย ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกชายของเจงกีสข่าน สุสานนี้ลูกชายของอาหนีเกอเป็นคนดูแล”

          “ถ้าเป็นอย่างที่พี่หยวนฮ่างว่า งั้นพี่ก็มีโอกาสค้นพบน้ำตากิเลนได้ที่สุสานอื่นนะสิ”

          “ไม่แล้วละ ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่อยู่ในความดูแลของตระกูลอาหนีแล้ว” เขาเห็นหนานเฟ่ยซานทำหน้าสลดลงอีกครั้ง “ไป ลงรถเถอะ เดี๋ยวฉันเตรียมอะไรให้ทาน” หนานเฟ่ยซานเดินตามเขาเข้าบ้านมาอย่างเลื่อนลอย

          “เอ๊ะ!! เรามาที่นี่กันทำไม?” หนานเฟ่ยซานชะงักเมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก

          “เพิ่งจะรู้ตัวอย่างนั้นเหรอ ว่าฉันพาเรามาที่ไหน”

          “ก็...”

          “ช่างเถอะ ฉันจะให้นายย้ายมาอยู่ที่นี่” เขาเดินนำเข้ามายังห้องครัว

          “ย้าย ย้ายมาทำไม บ้านผมก็มี”

          “ย้ายมาแหละดีแล้ว ฉันจะได้ดูแลเราง่าย ๆ หน่อย” เขาตอบพร้อมกับเริ่มค้นหาวัตถุดิบในตู้เย็น

          “พี่อย่าทำอย่างกับผมเป็นเด็ก ๆ สิ ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาดูแล”

          “ฉันรู้ว่าเราโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แต่ฉันก็อยากจะดูแลคนของฉันนี่” เขาปิดตู้เย็นลง พร้อมกับสบตากับหนานเฟ่ยซาน แต่คนที่เถียงอยู่ปาว ๆ กลับเป็นฝ่ายหลบสายตาเขา

          “ยังไม่ได้ตกลงอะไรด้วยซะหน่อย เออ ออ ไปเองคนเดียวทั้งนั้น”

          “ได้ยิน” เขาตอบทั้งที่ไม่ได้หันไปมองคนพูด และเริ่มลงเมื่อทำอาหาร

          “ทำไมพี่ถึงได้หูดีขนาดนี้เนี่ย”

          “ก็เคยบอกแล้วว่าฉันถูกฝึกมาดี”

          “รวมถึงเรื่องทำอาหารนี่ด้วยรึเปล่า”

          “เรื่องนี้ฉันเรียนรู้จากเตี๋ยหยก”

          “พี่หยวนฮ่าง...”

          “หืม?”

          “ตอนอยู่ในรถ...ผมอยากให้พี่แทนตัวเองแบบนั้น”

          “อ่อ”

          “คำว่าอ่อนี่ มันหมายความว่ายังไงกัน”

          “ถ้าเราย้ายมาอยู่ที่นี่ เรื่องนั้นค่อยว่ากัน”

          “ขี้โกงชะมัด”

          “ได้ยิน”

          “ก็ตั้งใจพูดให้ได้ยิน”

          เมื่อก่อนเขาคงรำคาญที่มีคนมีพูดเจื้อยแจ้วแบบนี้ แต่พอตอนนี้เขากลับเพลินไปกับเสียงของหนานเฟ่ยซาน ที่ดูเหมือนจะพูดไม่หยุด แม้ว่าเขาจะตอบสั้น ๆ หรือบางครั้งไม่ตอบเลยก็ตาม

.........................................................................

          ผมนั่งทานข้าวฝีมือเดอร์เตอร์อีกครั้ง ตั้งแต่ที่ผมไปพักที่โรงแรม ดอกเตอร์ก็เป็นคนทำอาหารให้ผมทานตลอด บางครั้งก็มีคุณนายเหมิ๋นหรือคุณคีมาร่วมทานด้วย

          “ฉันให้เวลาเราเตรียมตัวอีก 2-3 วัน เก็บของแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ซะ”

          “ผมถามจริงๆ เถอะ ทำไมพี่หยวนฮ่างถึงอยากให้ผมย้ายมาอยู่ที่นี่”

          “หรือเราอยากไปอยู่ที่โรงแรม”

          “ไม่”

          “ฉันก็รู้ว่าเราคงไม่อยากเข้าไปอยู่ที่นั่น นายย้ายมาที่นี่ล่ะดีแล้ว ที่นี่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเป็นทรัพย์สินของฝู่ การที่เราเข้า ๆ ออก ๆ ที่นี่ จะได้ไม่มีใครสงสัย”

          “มันก็ต้องมีคนรู้บ้างแหละ ว่าผมมาอยู่กับพี่ เมื่อวานจีเจียนยังเห็นพี่กับผมที่ร้านอาหารเลย”

          “เราเคยเดือนร้อนเพราะเพื่อนคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันว่า เราควรจะห่าง ๆ จากเพื่อนคนนี้หน่อย”

          “จีเจียนถึงจะดูเป็นคนไม่เอาไหน แต่เขาก็เก่งมากเลยนะ เพียงแต่ช่วงนี้จีเจียไปติดพันกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้านั้นเอง”

          “ครั้งที่เราเกือบตายก็เพราะเขาให้ไปทำงานแทนไม่ใช่เหรอ แล้วไหนจะบนเรือของเยี่ยนจูเฟิงอีก”

          “พี่อย่าเพิ่งโกรธสิ”

          “ครั้งต่อ ๆ ไปเราอาจจะไม่โชคดีอย่างที่แล้ว ๆ มานะ เฟ่ยซาน”

          “ผมยอมย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ได้ พี่อย่าเพิ่งโกรธเลยนะ อ่ะ นี่ กินอันนี้ คนทำเขาทำสุดฝีมือ อร่อยมากเลยนะ” ผมคีบเนื้อผัดชิ้นหนึ่งให้ดอกเตอร์ แต่เขาก็ยังคงมองผมหน้านิ่ง ๆ เหมือนเดิม

          “เฟ่ยซาน นะ เฟยซาน”

          “รู้แล้วน่า ต่อไปนี้ผมจะระวังตัว จะไม่ไปทำงานแทนจีเจียนอีก พอใจรึยัง”

          “อืม”

          พวกเรานั่งทานอาหารเที่ยงกันเสร็จ ผมก็เข้าไปช่วยดอกเตอร์ล้างถ้วยชามในห้องครัว ระหว่างนั้นก็มีคนโทรมาหาดอกเตอร์ เขาจึงเปิดสปีกเกอร์โฟน

          “ว่าไงเมิ่งอิ๋ง”

          “ดอกเตอร์ค่ะ ฉันเจอคุณต้วนที่นี่ และเท่าที่ฉันได้ยิน ดูเหมือนคุณต้วนจะไม่พอใจคุณหนานเอามาก ๆ”

          “ผม?”

          “อ๊ะ คุณหนานอยู่ด้วยเหรอค่ะ?”

          “อืม คุณไปเจอเจียจงได้ยังไงกัน”

          “เมื่อครู่ฉันเพิ่งพบกับเขาที่ร้านขายหนังสือเก่า ในแหล่งช๊อปปิ้งค่ะ เขามาซื้อหนังสือ แต่ก็น่าแปลก ที่เขาพูดคุยกับคนขายหนังสือ เหมือนกับรู้จักทั้งดอกเตอร์และคุณหนาน”

          “คุณส่งที่อยู่และชื่อร้านให้ผม ที่เหลือผมจัดการเอง”

          “ได้ค่ะ ดิฉันไม่กวนแล้ว”

          “เดี๋ยวครับดอกเตอร์ซือ”

          “ค่ะ คุณหนาน”

          “คุณต้วนเขาเห็นคุณรึเปล่า”

          “เห็นค่ะ แต่เขาไม่รู้จักดิฉันหรอกค่ะคุณหนาน แต่ที่ดิฉันรู้จักเขา เพราะมีรูปถ่ายเขาอยู่ในห้องทำงานของดอกเตอร์”

          “อืม ขอบใจมากนะเมิ่งอิ๋ง ที่ส่งข่าวมา”

          “ดอกเตอร์กับคุณหนานก็ระวังตัวด้วยนะคะ”

          จากนั้นดอกเตอร์ซือเมิ่งอิ๋งก็ตัดสายไป ส่วนดอกเตอร์ก็ทำอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ได้เบาะแสผู้ต้องสงสัยของคดีแรงงานเถื่อนแล้วแท้ ๆ หรือเป็นเพราะต้วนเจียจงเป็นเพื่อนของดอกเตอร์

          “พี่หยวนฮ่าง”

          “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ฉันจัดการเอง”

          “พี่จะจัดการยังไง”

          “ฉันจะพาเขากลับมา แล้วส่งให้นักสืบผาน”

          “เขาเป็นเพื่อนพี่”

          “ไม่ต้องห่วง ฉันแยกแยะได้ ตอนที่ฉันไม่อยู่ที่นี่ เราก็ทำตัวดี ๆ อย่าไปบาดเจ็บที่ไหนอีก ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่าให้ฉันเป็นห่วง ทำได้ไหม?”

          ผมไม่ตอบได้แต่พยักหน้ารับส่ง ๆ ไปก่อน ในหัวยังคงคิดเรื่องของต้วนเจียจงไปด้วย

.........................................................................

          ผานกู่และเหยินหยางผิงกำลังพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อตามหาต้วนเจียจง แต่ก็ยังหาไม่พบ จนกระทั่งจู้ชุนเดินเข้ามาพวกเขาในห้องประชุม

          “เป็นไงบ้างอาชุน ได้อะไรจากสายของนายบ้าง”

          “พอได้มา แต่ก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไร?”

          “มันยังไงกัน”

          “พี่กู่ใจเย็น ๆ ผมไปสืบจากคนที่ทำงานบนเรือวันนั้น มีคนเห็นต้วนเจียจงอยู่บนเรือด้วย”

          “อืม แล้วยังไงต่อ”

          “มีแขกคนหนึ่ง ที่อยู่บนดาดฟ้า เห็นว่ามีเรือเล็กเขามาจอดเทียบที่ท้ายเรือราว ๆ 20-30 นาทีได้ จากนั้นก็ขับออกไป”

          “ตอนที่ฉันขึ้นเรือพร้อมกับเฟ่ยซาน ฉันไม่เห็นต้วนเจียจง แสดงว่า มันมากับเรือลำนั้นสินะ”

          “น่าจะใช่ หลังจากนั้น ต้วนเจียจงก็กลับเข้ามาเก๊าตอนสองทุ่มเศษ และอีกสองวันต่อมา มีเรือสำราญของเยี่ยจูเฟิงออกจากมาเก๊าไปเกาลูนและฮ่องกง แล้วจะวนกลับเข้ามาเก๊าคืนนี้”

          “นายหมายความว่าต้วนเจียจงอาจจะไปลงเรือที่เกาลูนหรือฮองกงก็เป็นได้ ใช่ไหม?”

          “ครับ ตอนนี้ผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าต้วนเจียจงได้ไปกับเรือลำนั้นหรือเปล่า และไปลงที่ไหน”

          “พี่กู่ แล้วแบบนี้เราจะไปตามหาไอ้โม่งนั่นต่อได้จากไหน” เหยินหยางผิงที่ฟังพวกเขาคุยกันอยู่นานถามขึ้น

          “คงต้องคอยจับตาดูเยี่ยนจูเฟิงเอาไว้”

          “เออ พี่กู่”

          “นายมีอะไรก็ว่ามา” เขาถามจู้ชุนที่มีท่าทีอึกอัก

          “ผมส่งสายเข้าไปทำงานกับไลท์ออนกรุ๊ปตั้งแต่วันที่พี่ขึ้นเรือ”

          “นายมีสายอยู่บนเรือ แล้วทำไมไม่บอกฉัน?”

          “มันฉุกละหุ ผมจะบอกพี่อยู่แล้ว แต่กว่าจะส่งสายเข้าไปได้มันก็ไม่ง่ายนะพี่ พอคนของผมได้ขึ้นเรือแน่นอนแล้ว พี่กับเฟ่ยซานก็ออกไปแล้ว”

          “เอาล่ะ ๆ ตกลงเรื่องสายของนาย พวกนั้นว่ายังไงบ้าง”

          “นั่นแหละปัญหา ผมติดต่อสายของผมไม่ได้สักคน ที่ส่งไปเมื่อวันก่อน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมาตามเวลาที่ต้องรายงานตัว”

          “ท่าทางเยี่ยนจูเฟิงคงจะไหวตัวทันซะแล้ว”

          “คนของเยี่ยนจูเฟิงนี่ไม่ธรรมดาเลย นอกจากจะทำให้พี่กู่เจ็บได้ ยังเก็บสายของนายซะเกลี้ยง”

          “หยางผิง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นนะ”

          “อาชุน นายไปกับจื่ออู่ คอยตามเยี่ยนจูเฟิงเอาไว้”

          “พี่กู่ จื่ออู่รับมือพวกนั้นไม่ไหวหรอกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น”

          “จื่ออู่มีความถนัดเรื่องซุ่มดู นายไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างฉันให้อาชุนไปด้วย รับรองคนของนายปลอดภัยกลับมาครบ 32 แน่”

          “นายไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยดูแลจื่ออู่ให้”

          “ระวังตัวด้วยนะอาชุน อย่าประมาท” เขาเตือนอีกครั้ง จากนั้นจู้ชุนก็เดินออกไป

          “ถ้าต้วนเจียจงไม่ได้อยู่ที่มาเก๊า เราก็ตัดมันออกไปได้ มันคงไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องที่เราตามหา คนที่ใช่น่าจะเป็นไอ้โม่งนั่น”

          “มันก็ไม่แน่ นายอย่าลืมสิ ฆาตกรจะทิ้งเหยื่อไว้ให้อดอาหาร”

          “แต่พี่ โรคจิตแบบมัน คงไม่ทิ้งเหยื่อของมันไปเฉย ๆ หรอก ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไร มันก็ยิ่งต้องเข้าไปดูเหยื่อของมันบ่อยขึ้นเท่านั้น”

          “อืม เป็นไปได้”

          “ฆาตกรมันต้องการเห็นวาระสุดท้ายของเหยื่อ มันไม่น่าจะพลาดอย่างคราวของหวงกังโห”

          ผานกู่เห็นด้วยกับเหยินหยางผิง ฆาตกรต้องการฆ่าเหยื่อของมันด้วยตัวเอง ช่วงนี้มันน่าจะต้องเฝ้าดูเหยื่ออย่างใกล้ชิดแน่นอน

.........................................................................

          ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โฮวจีเจียนถือถุงพะลุงพะลัง เขาเดินตามฉี่เยว่อย่างทุลักทุเล เธอก็ได้แต่หันมายิ้มให้กับเขา แต่ก็เดินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดหรือช่วยเหลือ เธอเดินเข้าไปยังร้านขายชุดชั้นในแบรนด์ดัง โฮวจีเจียนถึงกับกลืนน้ำลาย เขาสองจิตสองใจอยากจะตามเข้าไปดูว่าฉี่เยว่จะเลือกชุดชั้นในแบบไหน แต่อีกใจหนึ่งก็อายที่จะไปตามดูผู้หญิงเลือกซื้อ สุดท้ายเขาจึงยืนรอเธออยู่ด้านนอก

          ฉี่เยว่ที่กำลังเลือกดูชุดชั้นใน เธอไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมัน เพียงแต่เธอเบื่อที่โฮวจีเจียนเดินตามเธอต้อย ๆ พูดบอกอะไรก็ตามใจเธอไปเสียหมด นั่นทำให้เธอเริ่มจะเบื่อเขา

          “อาเยว่ ถ้าเธอเบื่อ เธอก็ควรเลิกยุ่งกับผู้ชายคนนี้ได้แล้ว”

          “อาเต๋อ นายตามฉันมาอย่างนั้นเหรอ?”

          “หึ ทำไมฉันต้องตามเธอด้วย”

          “หรือว่า” เธอพูดแค่นั้น ก่อนที่จะมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอคนที่เธอคิดว่าจะเจอ

          “เขาไม่อยู่ที่นี่”

          “แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้”

          “ทำไมฉันจะมาไม่ได้ แล้วฉันเตือนเธอไว้ ในระหว่างที่พี่ชายเธอไม่อยู่ เธอควรจะทำตัวดี ๆ เข้าไว้ ที่สำคัญ ตอนนี้พี่ชายของเธอไม่ใช่คนโปรดของไหว่ยี่อีกต่อไปแล้ว”

          “หมายความว่ายังไง”

          “ก็อย่างที่พูด ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี หากนายรู้เรื่องหมอนั่นขึ้นมา พี่ชายเธอคงไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้”

          อาเต๋อเดินออกจากร้านไป เธอได้แต่มองตาม เธอเห็นเขาเดินผ่านโอวจีเจียนไปโดยไม่สนใจจะเหลียวแลแม้แต่น้อย ถ้าตอนนี้พี่ชายของเธอมีปัญหา เธอก็ต้องหาวิธีช่วยเขาให้ได้

.........................................................................

          ผมกำลังเก็บของใช้จำเป็นใส่กระเป๋า เตรียมจะย้ายไปบ้านของดอกเตอร์ ส่วนของอื่น ๆ เอาเก็บใส่ลังไว้หมดแล้ว ดอกเตอร์จะให้คนมาขนไปทีหลัง ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่ใจหายที่อยู่ ๆ ก็ต้องย้ายออกจากบ้านของตัวเองไป

          เสียงกริ่งประตูดังมากหน้าห้อง ทำให้ผมละมือจากการจัดของตรงหน้า แล้วเดินออกไปดูว่าใครมาดึกขนาดนี้ ผมมองผ่านตาแมวเห็นบอร์ดี้การ์ดที่เคยเดินตามผมไปร้านกาแฟยืนอยู่ จึงเปิดประตูให้

          “คุณหนาน” เขาโค้งให้ผม ผมมองไปยังทางเดินไม่เห็นใครนอกจากเขา “ผมขึ้นมาคนเดียว หยวนหยางนั่งรออยู่ในรถ”

          “แล้วนาย?”

          “ผม ฟงหลิว เรียกผมว่าอาหลิวก็ได้ครับ”

          “ครับ แล้ว...อาหลิวมีอะไรกับผมรึเปล่า”

          “ดอกเตอร์ติดต่อคุณไม่ได้ เลยให้ผมขึ้นมาส่งข้อความให้กับคุณ” ผมมัวแต่เก็บของอยู่ จึงไม่รู้ว่าเผลอเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ตรงไหน

          “ผมคงลืมวางไว้ตรงไหนสักที่ แล้วแบตหมด คือผมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย”

          “ดอกเตอร์ฝากผมมาแจ้งว่า พรุ่งนี้เขาจะไปเกาลูน ไม่ได้มารับ ให้คุณหนานไปกับพวกผม”

          “ไม่ต้อง ๆ ผมขับรถไปทำงานของผมเองได้ อาหลิวไม่ต้องมารับหรอก”

          “ถ้าอย่างนั้น ตอนเย็นผมมาช่วยคุณหนานย้ายของไปที่ชุง ฮอม กอกนะครับ”

          “อันที่จริง ผมขับรถจากสำนักงานไปที่นั่นเลยก็ได้ ของผมก็มีไม่มาก”

          “ไม่ได้ครับ ผมต้องทำตามคำสั่งของดอกเตอร์ คุณหนานอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยนะครับ”

          “เฮ้อ...อย่างนั้นก็ได้”

          “ถ้าผมกับหยวนหยางทำให้คุณหนานอึดอัด หรือไม่สบายใจ ผมจะเว้นระยะห่างให้มากขึ้น แบบนี้ดีไหมครับ”

          “เว้นระยะห่าง? อะไร”

          “ดอกเตอร์ให้ผมกับหยวนหยางคอยติดตามอารักขาคุณหนานครับ”

          “หา? ตะ ตั้งแต่เมื่อไร?”

          “ตั้งแต่คุณหนานออกจากโรงแรมฝู่ครับ”

          “เออ...ผมไม่รู้ตัวเลย เอาเป็นว่าประมาณนี้ก็ได้”

          “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

          ฟงหลิวโค้งให้แล้วเดินกลับไป ผมไม่รู้ตัวเลยว่า สองคนนี้คอยติดตามผมอยู่ ผมไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงอะไร แล้วก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายสักหน่อย ผมว่าดอกเตอร์เริ่มจะห่วงผมมากเกินไปแล้ว ผมได้แต่ส่ายหน้าก่อนเข้าไปเก็บของต่อ

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 35 ---ll--- 02-12-19 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-12-2019 13:20:25
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 36 ---ll--- 16-01-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 16-01-2020 21:39:43
36








          เมื่อเหมิ๋หยวนฮ่างเดินทางมาถึงบ้านที่ถนนเยามะไต๋ ก็ตรงเข้าไปยังห้องทำงานทันที เขาต้องการจัดการเรื่องต้วนเจียจงให้เสร็จโดยเร็ว

          “ดอกเตอร์” คนของเขาที่รออยู่ในห้องทำงานโค้งทักทายเขา

          “ได้ความว่ายังไงบ้าง”

          “ร้านหนังสือนั่น เป็นที่ส่งข่าวของพวกไหว่ยี่ครับ”

          “เจียจงละ?”

          “คุณต้วน ตอนนี้พักอยู่ที่โรงแรมแถว ๆ ชอยหัง เขาจะพักอยู่ประมาณ 3-4 วันก็จะเปลี่ยนโรงแรมไปเรื่อย ๆ”

          “ทางนั้นรู้ความเคลื่อนไหวของฉัน แสดงว่าพวกนั้นต้องรู้แล้วเป็นแน่ ว่าฉันมาที่เกาลูน”

          “ตอนนี้คนของเราติดตามคุณต้วนอยู่ ส่วนที่ร้านหนังสือ ก็มีคนเฝ้าอยู่ตลอด”

          “แล้วซือหวูละ?”

          “ซือหวู หรือ จางซือหวู เป็นระดับหัวหน้าในไหว่ยี่ ไปมาไร้ร่องรอย มีไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้าเขา ข่าวที่เราได้มา จางซือหวูคนนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่จุ้ยอั้ยเต๋อเป็นผู้ชุบเลี้ยง”

          “จุ้ยอั้ยเต๋อเลี้ยงแต่นักฆ่า” เหมิ๋นหยวนฮ่างพูดขึ้นมา แล้วทำให้เขานึกถึงคำบอกเล่าของจู้ชุนขึ้นมาได้



          ...



          ..



          .



          “พี่กู่ไปแอบได้ยินชาวอาหรับคุยกับคนของเยี่ยนจูเฟิงเข้า พอออกมาจากห้องที่เขาแอบอยู่ ก็โดนใครไม่รู้ทำร้าย และผลักตกทะเล”

          “ฉันเห็นภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินจากท้ายเรือกลับเข้าไปที่ส่วนจัดงาน แต่ตรงที่นักสืบผานโดนทำร้าย ส่วนนั้นไม่มีกล้องติดอยู่เลย”

          “พี่กู่สงสัยว่า มันจะเป็นนักฆ่าที่มีประสบการณ์สูง เพราะพี่กู่แอบอยู่นานกว่าจะออกมา”

          “อาจจะเป็นใครก็ได้ในกลุ่มชาวอาหรับนั่น”

          “พี่กู่ว่าไม่ใช่ มันน่าจะเป็นคนของเยี่ยนจูเฟิง”

          “ทำไม?”

          “พี่กู่เล่าว่า หนึ่งในนั้นจะไปตรวจสอบว่าใครอยู่บนดาดฟ้าเรือ เลยส่งพวกชาวอาหรับแค่นั้น เขารอจนเสียงฝีเท้าเดินหายไปไกลแล้วค่อยออกจากห้องที่หลบอยู่ พอออกมาก็...”

          “เยี่ยนจูเฟิงมีนักฆ่าอยู่ข้างตัวแบบนี้ แสดงว่ามันต้องเป็นคนของไหว่ยี่แน่”




          ...



          ..



          .



          “เฟ่ยซาน!! ”

          “ดอกเตอร์?”

          “ติดต่อ ฟงหลิว หยวนหยาง ด่วน!! ให้พวกนั้นคอยระวังเพื่อนของเฟ่ยซาน คนที่พวกนั้นเจอแถว ๆ พิพิธภัณฑ์”

          “ครับ” คนของเขาคนหนึ่งรีบเดินออกจากห้องทำงานไป

          “ดอกเตอร์ หรือว่า...”

          “นักฆ่าที่คอยอยู่ข้างตัวเยี่ยนจูเฟิง และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายนักสืบผาน มันทำทีมาตีสนิทกับเฟ่ยซาน คนคนนั้นคือ จางซือหวู

          “ดอกเตอร์ครับ เรื่องคุณต้วน... เอ่อ...เกี่ยวข้องกับไหว่ยี่”

          “อืม ฉันเข้าใจ รายงานไป บอกเตี๋ยด้วยว่าเรื่องเจียจงฉันขอจัดการเอง”

          “ครับดอกเตอร์”

          “พวกนายแยกย้ายกันไป อย่าให้ผิดสังเกต ฉันจะไปเยี่ยมเจียจงสักหน่อย”

          “ครับดอกเตอร์”

          ทุกคนออกจากห้องทำงานไปแล้ว เขาได้แต่ยืนมองแผนภูมิต้นไม้ของตระกูลอยู่เงียบ ๆ ไม่นานเขาก็เดินออกจากห้องทำงาน เพื่อไปจัดการธุระของเขาให้เสร็จ ใจของเขาตอนนี้เป็นห่วงแต่คนที่อยู่มาเก๊า หนานเฟ่ยซาน



........................................................................



          จางซือหวูนั่งหลังตรงโดยที่หลังไม่ได้แตะพนักโซฟาแม้แต่น้อย อากาศภายในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำให้เขารูสึกเย็นสบายเลยแม้ ฝ่ามือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าของตัวเองกำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ สายตาของเขาจับจ้องอยู่เพียงโต๊ะกลางที่กั้นอยู่ระหว่างโซฟาตัวตรงข้าม

          ผู้ที่นั่งตรงข้ามเขาขยับตัวลุกขึ้น จางซือหวูถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย อีกคนกลับไม่สนใจ เดินอ้อมเก้าอี้ไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แล้วยืนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา

          ภายในห้องยังคงเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมที่พ่นออกมาจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น การนิ่งเงียบของอีกคนกลับทำให้แรงกดดันภายในห้องมีมากขึ้นจนจางซือหวูเหงื่อซึมออกมาตามไรผม ใบหน้า และแผ่นหลัง

          เวลาผ่านจากนาที เป็นชั่วโมง และหลายชั่วโมงผ่านไป จะกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

          “เข้ามา” เขาเงยหน้ามองผู้ที่เอ่ยอนุญาต แต่คนผู้นั้นกลับไม่ได้หันไปทางประตู ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

          “คุณเยียนค่ะ ได้เวลาประชุมแล้วค่ะ” เลขาสาวสวยของเยียนจูเฟิงเปิดประตูแต่ไม่ได้ก้าวเข้ามาในห้อง และได้แต่ยืนสงบเสงี่ยมรายงานอยู่หน้าห้อง

          “อืม” เยียนจูเฟิงเดินไปยังประตูห้องทันทีโดยไม่เหลียวมองมาที่เขาแม้แต่น้อย ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้

          “นายท่าน!!” จางซือหวูลุกขึ้นจากเก้าอี้และเรียกอีกคนในขณะที่กำลังเดินผ่านเขาไปหากแต่ไม่ได้รับความสนใจ จนกระทั่งถึงหน้าประตูห้อง

          “เลิกเล่นสนุกได้แล้ว หันมาจริงจังกับงานที่ฉันสั่งสักที” เยียนจูเฟิงหยุดพูดในขณะจะก้าวออกจากห้อง ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูธรรมดา แต่เขาก็หนาวไปถึงขั้วหัวใจ

          จางซือหวูสะดุ้งตื่นจากความคิดเมื่อเสียงประตูปิดลง พร้อมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง ไม่นานนัก แววตาของจางซือหวูพลันเปลี่ยนไป มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน กรามขบกันแน่น จากนั้นก็ลุกพรวดพราดออกจากห้อง

.........................................................................


          โฮวจีเจียนกำลังนั่งทานอาหารค่ำกับหนานเฟ่ยซานอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งหลังเลิกงาน ทั้งสองแทนที่จะนั่งทานอาหารและพูดคุยกันอย่างปกติ แต่ครานี้กลับนั่งเขี่ยอาหารในจานไปมา

          “เฟ่ยซาน…” โฮวจีเจียนรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เอ่ยเรียกหนานเฟ่ยซานด้วยน้ำเสียงยานคาง

          “หืม? ...” อีกฝ่ายกลับรับคำเขาอย่างไม่ได้สนใจ

          “เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง พร้อมวางช้อนส้อมในมือ ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง

          “จีเจียน ฉันขอโทษ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?” เหมือนหนานเฟ่ยซานจะหลุดออกจากความคิดของตัวเองหันมาสนใจเขา

          “นายเป็นอะไร ดูเหม่อลอย แถมยังไม่สนใจฉันอีก เป็นนายไม่ใช่เหรอที่ชวนฉันมาทานอาหารค่ำ” โฮวจีเจียนไม่ตอบ แต่กลับถามอีกคนยาวยืด

          “ฉันก็แค่เบื่อ ๆ ช่วงนี้ไม่มีคดีอะไรน่าสนใจเลย”

          “ในหัวน้อย ๆ ของนายนี่มีแต่เรื่องงานหรือไง” เขาบ่นกระปอดกระแปด

          “ฉันก็ขอโทษแล้วยังไงล่ะ หรือนายจะไม่ยกโทษให้ฉัน”

          “เอ่อๆ เรื่องแค่นั้นฉันไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก”

          “แล้วเมื่อกี้นายว่าอะไรเหรอ”

          “นี่นายคงไม่ได้ฟังจริงๆ สินะ” โฮวจีเจียนถามออกไปเพราะเขาแค่เรียกหนานเฟ่ยซานเท่านั้น

          “อืม ฉันมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ” หนานเฟ่ยซานยังคงเขี่ยอาหารในจานไปมา

          “น้องฉี่เยว่... ดูเหมือนว่าฉันจะทำอะไรให้เธอไม่พอใจเข้าซะแล้ว” โฮวจีเจียนได้โอกาสจึงลองปรึกษาหนานเฟ่ยซาน

          “เห็นวันก่อนยังดี ๆ กันอยู่เลยไม่ใช่รึไง?”

          “อืม เธอไม่ได้บอกว่าโกรธฉันเรื่องอะไร แต่ฉันรู้สึกได้”

          “ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

          “วันก่อนฉันพาเธอไปเดินห้าง ถามเธอว่าอยากทานอะไร เธอก็ไม่ตอบ แต่เดินตรงไปที่ร้านที่อยากทาน พอทานเสร็จเธอก็จ่ายเงินเองโดยไมารอให้ฉันทานเสร็จหรือให้ฉันจ่าย แล้วเธอยังเดินช้อปปิ้งเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้โดยมีฉันช่วยถือของมากมาย ตลอดเวลา แต่เธอไม่สนใจฉันเลยว่าจะเมื่อย หรือจะหนักไหม”

          “อืม มันก็แปลกๆ อยู่”

          “ใช่ไหมล่ะ? แล้วถ้าเป็นนายละเฟ่ยซาน ถ้านายไปกับแฟน นายจะทำแบบนี้รึเปล่า” โฮวจีเจียนเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน ราวกับคิดหนัก “เอาล่ะๆ นายคงไม่เข้าใจหัวอกคนมีความรักหรอก”

          “นายจริงจังกับฉี่เยว่จริงๆ เหรอ”

          “นายถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ยังไง ตั้งแต่ฉันคบก็สาวๆ มา ก็มีฉี่เยว่นี่แหละที่ไม่ได้สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา หรือฐานะทางสังคมของฉัน”

          “นี่ขนาดเธอไม่ได้สนใจฐานะของนายนะ”

          “ใช่ เธอไม่เคยใส่ใจเลยจริงๆ แรกๆ ฉันพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอเท่าที่ทำได้ แต่นายก็รู้ว่าเงินเดือนอย่างเราๆ จะไปเปย์ให้สาวๆ ได้สักแค่ไหนเชียว”

          “แล้วนายทำยังไง?”

          “ฉันก็อาศัยบัตรที่เขาให้สื่อมวลชนนั่นแหละ”

          “แต่มันใช่ว่าจะมีให้นายบ่อยๆ”

          “ใช่ ฉันเคยถามฉี่เยว่ ว่าเบื่อที่ฉันพาไปเที่ยวแบบนี้ไหน เธอกลับตอบว่าไม่เบื่อ สนุก และได้เปิดหูเปิดตา”

          “จากที่ฉันเคยเห็นรูป เธอดูเหมือนเป็นลูกคุณหนูตระกูลใหญ่สักตระกูล”

          “เธอเป็นลูกที่พ่อไม่ต้องการ แม่ของเธอบังเอิญมีเธอขึ้นมา”

          “น่าสงสารนะ”

          “ใช่ แต่เธอก็ได้พี่ชายต่างแม่เห็นใจ คอยส่งเสียเลี้ยงดูจนเธอเรียนจบ”

          “แล้วตอนนี้เธอทำงานอะไรล่ะ? หรือได้เงินจากพี่ชาย ถึงช้อปปิ้งได้ครั้งละมาก ๆ”

          “เธอทำงานอยู่บริษัทนำเข้าส่งออกสินค้า เป็นมาร์เก็ตติ้ง ชื่อบริษัทอะไรน้า...รู้สึกว่า...น่าจะเป็นวิงเฮงยิมอะไรนี่แหละ”

          “วิงเฮงยิมเหรอ… ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆ หูจัง”

          “จะไปรู้นายเหรอ”

          “เออๆ ฉันไม่ขัดนายแล้ว เล่าต่อเถอะ”

          “นายช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าฉันควรจะทำยังไงดี”

          “ฉี่เยว่ เธอต้องการความมั่นคงรึเปล่า นายกับเธอก็บคบกันมาสักพักแล้ว เธออาจจะต้องการความมั่นคงจากนาย”

          “นายหมายถึง ขอแต่งงานน่ะเหรอ?”

          “ใช่”

          “มันไม่เร็วไปเหรอ? แต่ฉันตั้งใจว่าวันครบรอบ 1 ปีที่คบกัน ฉันจะขอหมั้นเธอไว้ก่อน”

          “แล้วนายเคยได้พูดเรื่องอนาคตกับเธอรึเปล่าล่ะ?”

          “ไม่เคย”

          “ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะเริ่มเกริ่นได้แล้ว”

          “อืม ขอบใจนายมาก ไว้ฉันจะลองดู”

          โฮวจีเจียนเห็นทางออกเรื่องฉี่เยว่แล้ว ผิดกับอีกคนที่ยังคงดูหงอยเหงาดังเดิม ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่นึกว่าจัดนัดฉี่เยว่ออกมาทานอาหารค่ำและเริ่มคุยเรื่องอนาคตเมื่อไรดี











To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 37 ---ll--- 31-01-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 31-01-2020 21:51:05
37









          ภายในเขตโกดังท่าเรือที่ 5 ยามค่ำคืน กลับมีเสียงไซเรนดังระงบไปทั่ว พร้อมทั้งรถตำรวจวิ่งกันขวักไขว่ เทปสีเหลืองถูกนำมาขึงกั้นพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง หน่วยพิสูจน์หลักฐานพากันสำรวจรอบๆ ที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแทบทุกตารางนิ้ว

          ชายหญิงคู่หนึ่งพยายามวิ่งฝ่าเทปกั้นเข้ามาในที่เกิดเหตุ หากแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับกันคนทั้งสองไว้ จึงไม่ทันได้ระวัง ปล่อยให้เด็กชายคนหนึ่งมุดรอดเทปกั้นเข้ามายังที่เกิดเหตุ และวิ่งมาถึงร่างเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเพิ่งจะเคลื่อนย้ายลงถุงเก็บศพ

          เด็กชายไม่สนใจผู้ใหญ่ที่ห้ามปราบ พร้อมทั้งดิ้นขัดขืนสุดแรง จนมือข้างหนึ่งสามารถเอื้อมจับซิปตรงหน้าได้ ก่อนรูดรั้งมันลงเผยให้เห็นร่างที่นอนนิ่งด้านใน

          “ฉินฉิน…” เผิงฟงเอ่ยอย่างหมดแรง ปล่อยร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานช่วยพยุงพาเขาออกมา ก่อนจะถึงเทปกั้นที่พ่อกับแม่ยืนรออยู่ “ฉินฉิน ๆๆ” เผิงฟงตะโกนออกมาราวกับคนบ้า อีกทั้งยังดิ้นไม่หยุด จนพ่อกับแม่ต้องเข้ามาช่วยจับอีกแรง

          “อาฟง อาฟง” เผิงอีอี ทรุดตัวกอดลูกชายที่กำลังร้องไห้ออกมาไว้แน่น ส่วนตัวเองก็ได้แต่อิงไหล่สามีของตนราวกับจะหาที่พึ่งพิง

          “แม่...ฉินฉิน...ฉินฉินตายแล้ว….แม่...ฉินฉินตายแล้ว…” เฝิงฟงร้องไห้สะอึกสะอื้น มือขยุ้มเสื้อของมารดาเอาไว้แน่น

          “ไม่เป็นไรนะอาฟง ฉินฉินไปสบาย ไม่ทรมานอีกต่อไปแล้ว” เผิงกั่วลูบหัวลูกชายอย่างแผ่วเบา หวังจะปลอบประโลม

          “เป็นเพราะผม ฮื้อ…ถ้าผม.. ถ้าผม… ฮื้อ…”

          “เรื่องมันผ่านไปแล้วลูก เรื่องมันผ่านไปแล้ว…” เผิงอีอี ได้แต่กอดปลอบลูกชาย พร้อมทั้งร่ำไห้น้ำตานองหน้า เธอรู้ดีว่าลูกของเธอรู้สึกผิดขนาดไหน

          “ขอโทษนะครับ ผมว่าพวกคุณควรจะออกจากตรงนี้ ก่อนที่นักข่าวจะมาดีกว่า” ตู้เห่าเอ่ยอย่างเห็นใจ เพราะเขาเป็นผู้รับผิดชอบคดีคนหายมาตั้งแต่ต้น จึงจำเรื่องราวและรับรู้เคราะห์กรรมของพี่น้องเผิงมาโดยตลอด

          เผิงกั่วและเผิงอีอีช่วยกันพยุงรั้งเด็กชายขึ้น ตู้เห่าพาตนทั้งสองไปหลบอยู่ที่มุมหนึ่งโดยให้เจ้าหน้าที่คอยดูแล ไม่นานผานกู่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

          “อาเห่า” เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเผิงฟง ตู้เห่าพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ จากนั้นทั้งสองก็เดินเลี่ยงออกมา “เฮ้อ…ไม่คิดว่าครอบครัวเผิงจะมาถึงที่เกิดเหตุไวขนาดนี้ “ผานกู่อดเปรยออกมาไม่ได้

          “คงต้องทำใจกันอีกนาน ยิ่งเผิงฟงเอาแต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้น ฉันละเป็นห่วงสภาพจิตใจของเด็กนั่นจริง ๆ”

          “อืม แล้วนายเจออะไรในที่เกิดเหตุไหน” ผานกู่ตั้งใจถามสิ่งของที่ฆาตกรมักวางไว้ข้างตัวผู้ตาย

          “พวกเรากำลังตามหากันอยู่”

          “หมายความว่ายังไง ที่ว่าตามหากันอยู่”

          “เพราะว่า สิ่งที่นายถาม ครั้งนี้กลับไม่มีน่ะสิ”

          “หรือว่ามันจะหยุดเพียงแค่ฉินฉิน?” ผานกู่เปรยออกมาอย่างครุ่นคิด

          “ถึงมันจะหยุด แต่คดีก็ยังต้องปิด ญาติผู้เสียหายอีกมากที่ต้องการให้เราเอาตัวฆาตกรมาลงโทษ” ตู้เห่าหันไปมองครอบครัวเผิงที่พยายามจะปลอบโยนกันให้คลายความโศกเศร้า

          “อืม แล้วได้อะไรมาบ้าง?”

          “นายเห็นศพรึยัง?”

          “ฉันยังไม่ไปดูศพ มาถึงก็ตรงเข้ามาหานายเลย”

          “ฉันว่าครั้งนี้มันแปลก ๆ แต่ฉันยังไม่มั่นใจ”

          “แปลกยังไง” ผานกู่ถามอย่างสงสัย

          “นายมานี่ มาดูศพกับฉัน”

          ตู้เห่าพยักหน้าให้เป็นเชิงให้ตามเขาไป ผานกู่จึงเดินตามไปโดยไม่ถามอะไร จนไปหยุดอยู่ที่ท้ายรถคันหนึ่ง ซึ่งฝ่ายพิสูจน์หลักฐานได้ขนย้ายศพขึ้นรถ เตรียมส่งไปยังสถาบันนิติเวชของสถานี

          “ขอพวกเราดูศพหน่อย” ตู้เห่าบอกกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่กำลังยืนถือชาร์จและจดอะไรยุกยิกๆ อยู่

          “ครับ” ชายคนนั้นเหน็บชาร์จไว้ใต้รักแร้ จากนั้นก็ดึงรถที่เข็นศพลงมา แต่ตู้เห่ารั้งไว้ ทำให้ถุงบรรจุศพยื่นออกมาเพียง 2 ใน 3 ส่วน

          “แค่นี้พอ” ตู้เห่าบอก ก่อนจะรูดซิบเปิดปากถุงลงมาถึงช่วงคอของศพเท่านั้น

          สภาพศพของเผิงฉินฉินดูซูบผอม เหมือนเหยื่อรายอื่นๆ ต่างตรงที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย อีกทั้งบาดแผลจากการรัดคอยังแหวะหวะคล้ายกับศพของหวงกังโหไม่มีผิด

          “นายเห็นว่าไง?” ตู้เห่าหันมาถามเขาพร้อมทั้งรูดซิปปิดปากถุงดังเดิม และปล่อยให้เจ้าหน้าที่เก็บศพขึ้นรถ

          ทั้งสองเดินห่างออกมาจากรถขนศพเล็กน้อย ตู้เห่าก็รอคอยผานกู่ที่กำลังใช้ความคิด โดยไม่รบกวนเพื่อนร่วมงานแต่อย่างใด

          “ฉันจำรายงานที่จื่ออู่เอามาให้ได้ คราวของหวงกังโห ตามรายงานของฝ่ายประเมินพฤติกรรมบอกว่า ฆาตกรโกรธแค้นหวงกังโห เพราะสาเหตุการตายมาจากการอดอาหาร ไม่ใช่ถูกรัดคอ ทำให้ตอนที่มันจัดการศพ มันจึงกระทำด้วยความโมโห ซึ่งร่องรอยบนบาดแผลที่ถูกรัดคอของเผิงฉินฉินนั้นก็ไม่ต่างกัน” ผานกู่เรียบเรียงข้อมูลในหัวก่อนจะพูดขึ้นกับตู้เห่า

          “นายว่ารอยที่ถูกทำร้ายร่างกายนี้มาจากตัวฆาตกรหรือมาจากครั้งที่เผิงฉินฉินถูกจื่อหรงข่มขืน”

          “รอยพวกนี้ยังดูใหม่อยู่ ฉันว่าน่าจะเป็นฝีมือฆาตกร แต่เพราะอะไร?”

          “คราวของหวงกังโห ฉันพอเข้าใจได้ เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของมัน จึงยอมอดอาหารตายดีกว่าอ้อนวอนของชีวิตกับไอ้ฆาตกรนั่น แต่เฝิงฉินฉินเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง จะไปทำอะไรให้มันโกรธแค้นได้”

          “ทั้งรอยแผล ทั้งรอยฟกช้ำ อ่อ แล้วส่วนอื่นๆ ละ?” ผานกู่ไม่อยากจะเอ่อถึงการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตู้เห่ากลับเข้าใจเป็นอย่างดี

          “คงต้องรอรายงานผลจากสถาบันนิติเวช”

          “อืม…”

          “พี่กู…. พี่กู… ทางนี้” ผานกู่หันไปตามเสียงเรียก “พาผมเข้าไปหน่อย” เมื่อเห็นเจ้าของเสียง ก็ได้แต่ส่ายหน้า

          “พวกเรากลับสถานีกันเถอะ ฉันไม่ค่อยอยากให้เฟ่ยซานเข้ามาในที่เกิดเหตุ”

          “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไป กลับก็กลับ ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรที่พวกเราทำได้อยู่แล้ว” ตู้เห่าอดขำกับสีหน้าระอาของผานกู่ไม่ได้

          ผานกู่เดินตรงไปยังกลุ่มของพวกนักข่าวที่ยืนอยู่นอกเทปกั้น หนานเฟ่ยซานเห็นดังนั้นจึงขยับเข้ามาใกล้อีกนิด เมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งช่วยยกเทปกั้นขึ้น เขาก็รอดเข้าไปทันที หากแต่โดนผานกู่ที่เดินสวนออกมารั้งไว้ แล้วลากตนไปยังจุดที่ตัวเองจอดรถอยู่

          “พี่กู่ ทำไมไม่ให้ผมเข้าไป นั่นใช่ฉินฉินรึเปล่า”

          “ตามพี่กลับไปที่สถานนี แล้วเราค่อยคุยกัน”

          “แต่”

          “ไม่มีแต่”

          “งั้นผมขอถ่ายรูปรอบ ๆ อีกสักหน่อย แล้วจะรีบตามไป”

          “อืม ห้ามก่อเรื่อง”

          “แล้วผมเคยก่อเรื่องที่ไหนกันเล่า”

          “ถ่ายรูปเสร็จแล้วอย่ามัวเถลไถล อยากได้ข้อมูลอะไรก็ตามไปถามที่สถานี พี่ไปก่อน แล้วรีบตามมาล่ะ” ผานกู่บอกกันหนานเฟ่ยซานเสร็จก็เข้าไปคุยอะไรกับเจ้าหน้าที่อีกเล็กน้อย จึงขับรถกลับสถานี

........................................................................

          เหมี่ยนจืออู่และจู้ชุนได้รับคำสั่งให้จับตาดูเยียนจูเฟิง ซึ่งวันนี้ทั้งวันคนที่พวกเขาเฝ้าจับตาดูนั้นนอกจากจะไปทำงานที่บริษัท และดูงานนิดหน่อยที่อู่ต่อเรือแล้ว ก็ตรงกลับบ้าน กระทั่งตอนนี้หน้าคฤหาสน์หลังงามยังคงเงียบสนิท ไฟในบ้านหลายดวงเริ่มปิดลง เหลือเพียงไฟส่องสว่างตามแนวรั้วและสวน

          “พี่ชุน พี่ว่าในรถคันยาวๆ นั่น จะมีใครแอบอยู่ไหม?” อยู่ๆ เหมี่ยนจื่ออู่ก็เปรยขึ้นมา

          “นายหมายถึงรถ Rolls-Royce พวกนั้นน่ะเหรอ?”

          “ใช่ ข้างในคงกว้างพอจะซ่อนคนได้เป็นสิบเลยล่ะ ไหนจะติดฟิล์มจนดำมืดมองไม่เห็นข้างในอีก”

          “นายสงสัยว่าเยียนจูเฟิงจะซ่อนใครไว้ในรถอย่างนั้นเหรอ?”

          “ถ้าต้วนเจียจงไม่ได้ไปกับเรือ แต่แอบอยู่ในบ้านหลังนี้ละ?”

          “นายคิดว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเยียนจูเฟิงจะยอมให้ตัวเองไปผัวพันกับต้วนเจียจงเหรอ ถ้าง่ายแบบนั้นเราคงไม่ต้องมานอนในรถอยู่อย่างนี้หรอก”

          “นั่นสินะ เราแค่มีภาพถ่ายของเฟ่ยซานอย่างเดียว เอามาเป็นหลังฐานว่าพวกนั้นเกี่ยวข้องกันก็ไม่ได้”

          “ถ้าดูตามหลักฐาน ทั้งเยียนจูเฟิง ต้วนเจียงจง และฉินหรุยกวง 3 คนนี้แทบจะไม่ได้ติดต่อหรือรู้จักกันเลย”

          “ฉินหรุยกวงอยู่กับเยียนจูเฟิงที่โกดัง ฉินหรุยกวงนำเข้าของเล่นให้เมจิกทอย ฉินหรุยกวงตายในคืนที่เจอกับเยียนจูเฟิงพร้อมกับจื่อหรง ที่เป็นคนเฝ้าโกดังของต้วนเจียจง แล้วอะไรอีกน้า…” เหมี่ยนจื่ออู่พยายามจะเชื่อมโยงบุคคลเหล่านี้เข้าด้วยกัน ความรู้สึกมันบอกว่าใช่ แต่กลับไม่มีหลักฐาน

          “ไหวยี่”

          “เอ่อใช่ สมุดจดรายการอะไรสักอย่างของไหวยี่ ที่เจอในห้องทำงานของฉินหรุยกวง ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้แน่ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ซ่อนเอาไว้อย่างดี”

          “อืม…”

          “นี่พี่ชุน พี่ก็เป็นนักสืบนะ ทำไมเอาแต่อือ อือ อือ อยู่ได้ ไม่ช่วยกันคิดเลย”

          “ก็กำลังช่วยคิดอยู่นี่ไง ฉันไม่ได้คิดเสียงดังอย่างนายสักหน่อย”

          ในระหว่างที่จู้ชุนกำลังจะบอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองคิด เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

          “ครับพี่กู่...ครับ...วันนี้มันเขาบริษัทช่วงเช้า บ่ายไปอู่ต่อเรือ จากนั้นก็ตรงกลับบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยครับ…”

          เหมี่ยนจื่ออู่ที่ฟังอยู่พอจะเดาได้ว่าผานกู่สอบถามอะไรกับจู้ชุนบ้าง แต่อยู่ ๆ ชู้ชุนกลับมีสีหน้าไม่ดี และเคร่งเครียดขึ้นมา

          “มีอะไร” เหมี่ยนจื่ออู่กระซิบถาม เขาเห็นว่าจู้ชุนอ่านปากเขาแล้วแต่กลับไม่ตอบ ได้แต่ฟังปลายสายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “พบศพเผิงฉินฉินที่ถนนในโกดัง ท่าเรือที่ 5 จุดเดียวกันกับที่กล้องวงจรปิดของทางเยียนหวอจับภาพพวกมันได้” จู้ชุนบอกหลังจากวางสาย

          “เฮ้อ… อีกศพแล้วเหรอว่ะ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดออกมาอยากอ่อนแรง ความกระตือรือร้นที่จะหาคนร้ายก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงจิตใจที่หดหู่

          “นายอย่าเพิ่งท้อแท้ไป นี่อาจจะเป็นศพสุดท้ายของคดีนี้แล้วก็ได้”

          “พี่หมายความว่าไง จับคนร้ายได้แล้วเหรอ?”

          “ยัง แต่พี่กู่กับพี่เห่าไม่เจอสิ่งของข้างศพเหมือนทุกที”

          “เป็นแบบนั้นได้ก็ดี...จริงสิพี่ ถ้ามันทิ้งศพตรงจุดเดียวกันกับที่กล้องจับภาพได้ ตอนที่คนร้ายทิ้งศพก็ต้องจับภาพได้เหมือนกันสิ” เหมี่ยนจื่ออู่พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

          “พี่กู่บอกว่า กล้องใกล้ๆ จุดทิ้งศพถูกทำลายไปแล้ว”

          “เฮ้ย!! มันจะฉลาดไปไหนว่ะ”

          “แต่มันยังเหลืออีกตัว กล้องจากมุมที่เฟ่ยซานบอกให้เราเข้าไปดูที่ออฟฟิศของเยี่ยนหวอ ฉันเคยลองไปยืนดูจากจุดเกิดเหตุ มันมองไม่เห็นกล้องตัวนั้น”

          “เฮ้ย!! แล้วทำไมพี่ไม่บอกพี่กู่ล่ะ”

          “เรื่องนี้พี่เห่าเขารู้แล้ว พรุ่งนี้เช้าคงขอเข้าไปดูเทปที่ออฟฟิศของเยี่ยนหวอ”

          “จะได้รู้สักทีว่ามันเป็นใคร”

          “อืม ขอให้เผิงฉินฉินเป็นเหยื่อรายสุดท้ายเถอะ”

          เหมี่ยนจื่ออู่พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นทั้งสองก็กลับมาทำหน้าที่ของตนเองต่อ ไม่นานนักก็มีแท็กซี่คันหนึ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน

          “พี่ชุน!!”

          “ถ่ายรูปไว้”

          เสียงกดชัตเตอร์รัวๆ นับสิบๆ ครั้ง หยุดลงเมื่อหญิงสาวเดินผ่านประตูรั้วเล็กเข้าไปในบ้าน ทำให้เกิดคำภาพขึ้นในใจนักสืบทั้งสอง

          ‘เธอเป็นใคร’



To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 38 ---ll--- 20-02-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 20-02-2020 13:32:07
38








          ภายในตรอกที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง สะท้อนเงาของบุคคลที่เดินพาดผ่านตรอกเล็ก ๆ แห่งนี้ เสียงฝีเท้าแม้จะเดินอย่างแผ่วเบาหากแต่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในตรอกนี้กลับไม่ได้สนใจ ผู้คนในบ้านเรือนแถวนี้คงคุ้นชินเสียงฝีเท้าที่ได้ยินนานๆ ครั้งอย่างนี้ไปแล้ว

          เงาร่างพร้อมทั้งเสียงฝีเท้าดังไปจนกระทั่งกลางตรอกกลับมีเสียงฝีเท้าของคนอีกผู้หนึ่งเดินตามมาทางด้านหลัง เขาหยุด เสียงนั้นก็หยุด เขาเดินเสียงนั้นก็เดินตาม เขาจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนหันกลับไปมองต้นเสียงที่เดินตามหลังเขามา

          แสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ทำให้เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของคนที่เดินตามได้ แต่แสงสะท้อนจากแว่นที่อีกคนหนึ่งสวมอยู่ทำให้เขารู้ว่าคนคนนี้คือใคร

          “หยวนฮ่าง นายแอบตามฉันมาตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมวันนี้ถึงเลือกที่จะเปิดเผยตัวเองล่ะ” ต้วนเจียจงเอ่ยถามพร้อมส่งสายตาท้าทายออกไปอย่างไม่ปิดบัง

          “ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าฉันรู้จักกับนายจริง ๆ รึเปล่า” อีกฝ่ายตอบออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมทั้งสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างใจเย็น

          “นายไม่พาตำรวจมาด้วยรึไง หรือว่าคนอย่างนายก็คิดใช้อำนาจของเยี่ยนหวอจัดการฉันเหมือนที่แม่ของนายจัดการกับคนอื่นๆ” เขายิ้มเยาะให้กับคนตรงหน้าที่หยุดยืนอยู่ในระยะที่สามารถคุยกันได้ แต่ก็ไม่ใกล้จนเกินไป

          “นายหมายความว่าไง?” อีกคนถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสงสัย แต่ยังคงรักษาสีหน้าเฉยชาเอาไว้

          “เรื่องไหนล่ะ? เรื่องนายหรือเรื่องแม่ของนาย?”

          “แม่ของฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนนาย ฉันมาเพื่อให้โอกาสนาย มอบตัวซะเถอะเจียจง”

          “ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคนของเยี่ยนหวอ”

          “นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่” น้ำเสียงของเหมิ๋นหยวนฮ่างเหมือนต้องการตัดพ้อ ซึ่งเขาไม่สนใจมันแม้แต่น้อย

          “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง ในเมื่อเหมิ๋นกับฝู่ก็เป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เมื่อร้อยๆ ปีก่อน ฉันรู้เรื่องเหมิ๋นกับฝู่มากกว่าที่นายคิดเสียงอีกนะหยวนฮ่าง หรือแม้กระทั่งบางเรื่องฉันอาจจะรู้มากกว่านายก็เป็นได้”

          “ฉันไม่รู้ว่า นายรู้อะไรมาบ้าง แต่สิ่งที่นายรู้มาเกี่ยวกับเยี่ยนหวอมันไม่จริง”

          “เรื่องไหนที่ว่าไม่จริง เรื่องที่ฝู่เถิงหักหลังลุงแท้ๆ ของตัวเองอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเรื่องที่ฝู่เถิงขายข่าวพวกฟ้องของตัวเองให้กับรัฐบาล อ่อ!! ใช่สิก็มันเปลี่ยนสกุลมาใช้สกุลตามเมียของมันแล้วนี่นะ ไอ้จุ้ยเถิงคนทรยศนั่นน่ะ!!” ต้วนเจียจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น

          “นายเกี่ยวข้องยังไงกับจุ้ยอั้ยเต๋อ?”

          “โอ้...ดร.เหมิ๋นหยวนฮ่าง... ไม่คิดว่าดอกเตอร์ที่เอาแต่ขุดค้นโบราณสถานจะรู้เรื่องจุ้ยอั้ยเต๋อกับเขาด้วย... หึ!! นายหลอกฉันเสียสนิทเลยนะ ไม่คิดเลยว่า สุดท้ายนายก็ไม่ต่างจากแม่ของนาย หรือต่างจากมัน”

          “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่ของฉัน หรือแม้แต่เยี่ยนหวอเลย การกระทำของนายต่างหากที่ผิด การที่นายร่วมมือกับเยียนจูเฟิง คงไม่พ้นเรื่องของไหว่ยี่สินะ ฉันไม่อยากเชื่อเลย ว่านายเป็นหนึ่งในพวกมันจริงๆ”

          “นายรู้แบบนี้แล้วจะยังเกลี่ยกล่อมให้ฉันยอมมอบตัวอีกรึไง นายคิดว่าในกรงขังนั่นฉันจะปลอดภัยรึยังไง” เขาเกลียดท่าทางเฉยชาของเหมิ๋นหยวนฮ่างนัก ปากก็พูดราวกับเป็นห่วงแต่สายตาที่มองผ่านแว่นกรอบทองนั่น เหมือนต้องการจะเหยียดหยามเขาชัดๆ “วันนี้นายคงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ ฉันกับนาย ต่อจากนี้เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป” พูดจบเขาก็เดินหันหลังออกมา

          “เจียงจง...” น้ำเสียงของเหมิ๋นหยวนฮ่างที่เอ่ยชื่อเขาออกมานั้น มันช่างเจ็บปวดจนต้วนเจียจงรู้สึกได้ หากแต่เขากลับไม่สนใจมันนัก

          “จัดการซะ”

          ต้วนเจียจงพูดขึ้นเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเข้าออกของตรอกนี้เอาไว้ เขาเดินตรงไปหาคนกลุ่มนั้น เมื่อถึงตัว คนพวกนั้นกลับแหวกทางให้เขาเดินผ่านออกจากตรอกไป

          เขาเดินออกจากตรอกนั้นมาเงียบๆ เสียงผู้คนปะทะกัน เสียงประตูหน้าต่างบ้านเรือนในตรอกนั้นต่างปิดทันทีที่ได้ยินเสียงอึกทึก ต้วนเจียจงไม่คิดจะหันกลับไปมองเพื่อนเก่าของเขาแม้แต่วินาทีเดียว

........................................................................

          ภายในห้องทำงานที่มีชั้นหนังสือสูงจรดฝ้าเพดานขนาบทั้งสองข้าง โต๊ะทำงานกลับไร้คนที่ควรจะนั่งทำงานอยู่ตรงนั้น เจ้าของห้องได้แต่ยืนหันหลังให้กับชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง ฉี่เยว่ที่ไม่เคยพบเจอบรรยากาศกดดันแบบนี้จากเจ้าของห้องมาก่อนถึงกับเหงื่อซึมออกมาตามไรผม

          อาเต๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ โซฟาที่เธอนั่งก็มีสีหน้าถมึงทึงอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน ฉี่เยว่ไม่คิดว่าการที่เธอเข้ามาที่บ้านใหญ่จะเป็นเรื่องผิดอะไร แต่คนทั้งสองกลับไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยเมื่อเห็นเธอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้

          “ไปจัดการกับตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าบ้าน ทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ” เยียนจูเฟิงสั่งเสียงเรียบ แต่คำสั่งนั้นทำให้ฉี่เยว่หนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ

          “ครับนาย” อาเต๋อรับคำก่อนจะก้าวออกจากห้องไป

          “เดี๋ยวก่อน!!”

          “ครับนาย”

          “ครั้งนี้อย่าให้พลาดอีก แล้วก็เลิกเล่นสักที”

          “ครับนาย”

          อาเต๋อก้าวออกจาห้องไปนานแล้ว เขาไปเพื่อกำจัดคนที่เฝ้าอยู่หน้าบ้าน? ตำรวจอะไร? ทำงานพลาดอะไร? สิ่งที่เธอได้ยินเหล่านี้เธอไม่เคยรู้เรื่องแม้แต่น้อย ชายคนที่เธอหลงรักหัวปักหัวปำ สามารถจะกำจัดใครก็ได้เพียงแค่พูดไม่กี่คำแบบนี้เหรอ

          “เสี่ยวเยว่”

          “เฮือก!!” แม้น้ำเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มยังคงเดิม เหมือนที่คุยกับเธอทุกครั้งที่คุยกับเธอ แต่ความกลัวที่เกิดขึ้นในใจนั้น ทำให้เธออดสะดุ้งไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเรียก

          “ละ...ละ...เหล่าเยีย” ฉี่เยว่บังคับเสียงไม่ให้สั่น

          “หื้ม...เธอกลัวอย่างนั้นเหรอ…” เยียจูเฟิงเดินเข้ามานั่งข้างๆ เธอ ทำให้เธอยิ่งก้มหน้าเพื่อซ่อนแววตาหวาดกลัวเอาไว้ “เธอกลัวใคร ตำรวจที่อยู่หน้าบ้าน...หรือ” เขาโอบไหล่เธอด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างเชยคางเธอขึ้นเพื่อสบตาเขา “อืม...กลัวฉันสินะ”

          “เหล่าเยีย ฉันขอโทษ...ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณยุ่งยากใจ” เธอเอ่ยอย่างละล่ำละลัก เยียจูเฟิงที่ผละออกจากเธอ เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานทันที ราวกับคำขอโทษของเธอไร้ความหมาย “เหล่าเยีย…”

          “เรื่องของพี่ชายเธอ ตอนนี้เขายังปลอดภัยดี” เยียจูเฟิงพูดถึงเรื่องที่เธอตั้งใจจะมาขอความช่วยเหลือจากเขา “แต่เขาคงจะไม่พอใจที่เธอมาอยู่ที่นี่”

          “อยู่ที่นี่?”

          “หมายความว่า เธอจะออกจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าซือหวูจะจัดการตำรวจพวกนั้น และไม่เหลือหลักฐานอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ” คำพูดของเยียจูเฟิงที่ฟังราวกับห่วงใยเธอนั้น ไม่ได้ทำให้เธอซึ้งใจและหายหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเหมือนเขาต้องการกักเธอไว้ที่นี่มากกว่าหรือแม้แต่พร้อมที่จะกำจัดเธอหากเธอนำพาความเลวร้ายอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้น มาสู่เขา

          “เหล่าเยีย...แล้วคุณนายเยียเขา…”

          “เธออยู่ที่นี่เงียบๆ อย่าทำตัวให้มีปัญหา เธอทำได้ใช่ไหมเสี่ยวเยว่?” แม้จะฟังเหมือนคำถาม หากแต่น้ำเสียงเฉียบขาดนั้น ทำให้เธอรีบรับคำทันทีด้วยความหวาดกลัว

          “ฉะ ฉันทำได้ ฉันทำได้”

          “ดี เดี๋ยวฉันจะให้คนพาไปพัก เธอเองก็อยู่เงียบสัก 2-3 วัน”

          ฉี่เยว่ไม่คิดว่าการเข้ามาที่บ้านใหญ่คืนนี้ จะทำให้เธอได้เห็นอีกด้านหนึ่งของหนุ่มใหญ่ใจดี ที่ดูอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แค่สีหน้าเรียบเฉยในตอนนี้ กลับทำให้บรรยากาศดูกดดันมากกว่าเดิม ทำให้นักธุรกิจพันล้านที่เธอเคยรู้จักกลายเป็นมาเฟียไปในทันที

          การที่พี่ชายเธอต้องหนีหัวซุกหัวซุนแบบนี้คงไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าใช่ไหม เยียจูเฟิงผู้ก่อตั้งองค์กรไหว่ยี่ ที่พี่ชายเธอบอกว่าเป็นเพียงองค์กรการกุศลเล็กๆ ที่ช่วยเหลือชาวประมงในทะเล องค์กรมี่มักจะได้รับเงินสนับสนุนจากชาวต่างประเทศ มากกว่าคนในประเทศเดียวกันเสียอีก

          นี่เธอคงไม่ได้มารับรู้อะไรที่ไม่ควรรู้อยู่หรอกนะ!!

.........................................................................

          เมื่อนาฬิกาดิจิตอลบนแผงคอนโทรลหน้ารถบอกเวลาเข้าวันใหม่ไปแล้ว เหมี่ยนจืออู่ที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวคนที่อาศัยอยู่ในบ้านตรงข้ามผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูปเป็นครั้งคราว ได้ยืดตัวบิดความเมื่อยขบที่นั่งอยู่ในท่าเดิม ๆ เป็นเวลานาน

          “ได้เวลาเปลี่ยนรถแล้วเหรอ?” จู้ชุนที่เริ่มจะคุ้นชินกับการทำงานของเขา รู้ได้โดยไม่ต้องมองนาฬิกา หากแต่จับความเลื่อนไหวของเขาก็เดาได้

          “อืม พี่ชุนไหวไหม ผมขับได้นะ” เขาเห็นจู้ชุนที่ยังตื่นไม่เต็มตา เลยอาสาจะขับรถให้

          “ไม่เป็นไร ฉันขับได้ ได้พักสักงีบค่อยยังชั่วหน่อย”

          “รีบๆ นะพี่ ผมอยากอาบน้ำเต็มทนแล้ว” เขาบ่นออกมาตรง ๆ เพราะเขาไม่ได้อาบน้ำมา 2 วันแล้ว วันนี้ตั้งใจว่าจะอาบน้ำที่ปั้มให้สดชื่นสักหน่อย

          “อะไรกัน แค่หยางผิงจะเอารถมาเปลี่ยนให้ นี่ถึงกับต้องอาบน้ำรอเลยเหรอ”

          “มะ ไม่เกี่ยวกับไอ้หมาบ้านั่นสักหน่อย มีคดีให้ทำตั้งเยอะแยะไม่ทำ มาแย่งหน้าที่คนอื่น เอารถมาเปลี่ยนเฉยเลย”

          “ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็น ไม่คิดบ้างเหรอว่าหยางผิงอาจจะอยากได้รูปจากกล้องของนาย”

          เขาก้มลงมองกล้องถ่ายรูปในมือ ก่อนเอื้อมไปหยิบโน้ตบุ๊คที่เบาะหลังมาเปิด จากนั้นก็เริ่มถ่ายโอนรูปภาพเข้าแฟลชไดฟ์

          “พูดมากแบบนี้แสดงว่าตื่นเต็มตาแล้วใช่ไหมพี่ ตื่นแล้วก็ออกรถได้แล้ว”

          “ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน คนเขารู้กันทั้งสถานีแล้ว เรื่องนายกับหยางผิงน่ะ”

          เหมี่ยนจื่ออู่เลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไร นิสัยของจู้ชุนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ หยอกเพียงเล็กน้อยก็เลิกไปเอง ไม่นานนักจู้ชุนก็ออกรถ จุดนัดหมายเปลี่ยนรถในคราวนี้คือปั้มน้ำมันก่อนเข้าสู่ทางด่วนที่เป็นเส้นทางวิ่งเข้าเมือง

          พวกเขาจะเปลี่ยนรถทุกวันเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และสถานที่เปลี่ยนรถก็จะปรับไปเรื่อยๆ โดยมีเจ้าหน้าที่นำรถมาให้

          เขาโหลดรูปเสร็จก็จัดการเปลี่ยนแบตกล้องถ่ายรูป ง่วนกับการเช็คกล้องของตัวเองสักพักจึงได้หันมองข้างทาง

          “พี่ชุน ถึงผมอยากจะรีบอาบน้ำ แต่พี่ไม่ต้องขับเร็วขนาดนี้ก็ได้” เหมียนจื่ออู่ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าทิวทัศน์ข้างทางมันผ่านไปเร็วมาก เร็วผิดปกติ

          “หืม...ฉันก็ขับปกตินะ เนี่ยไงแค่ 100 นิดๆ เอง ยังไม่ถึง 110 เลยด้วยซ้ำ” จู้ชุนที่สายตามองถนนสลับมามองเกจ์วัดความเร็ว

          “ผมว่ามันแปลกๆ”

          จู้ชุนจึงชะลอความเร็วลง แต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลย ทำให้เขาขมวดคิ้วเครียด

          “จื่ออู่ นายเก็บแฟลชไดร์ฟได้กับตัวแล้วใช่ไหม?”

          “อืม พี่ถามทำไม”

          “ผู้หญิงคนที่เราเห็นน่าจะมีอะไรสักอย่าง จากนี้นายต้องลองสืบดูว่าเธอเป็นใคร เธออาจจะเป็นกุญแจของคดีนี้”

          “ทำไมพี่คิดแบบนั้นล่ะ?”

          “หึ!! ก็เพราะเธอเข้าบ้านหลังนั้นไปไม่ทันข้ามคืน เราก็โดนดีเข้าแล้วไง”

          “พวกมันทำอะไรกับรถอย่างนั้นเหรอ ตอนไหน!!”

          “ฉันก็ไม่รู้ เอาเป็นว่านายจับให้แน่นๆ แล้วกัน อีกไม่นานก็จะถึงปั้มแล้ว”

          เหมี่ยนจื่ออู่ได้แต่นั่งตัวเกร็งไปกับรถที่ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โชคดีดึกมากแล้ว จึงไม่มีรถวิ่งบนถนนเท่าไรให้เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุ

          ยิ่งเข้าใกล้ปั๊มที่นัดหมายเท่าไร จู้ชุนยิ่งพยายามลดเกียร์ลง เรื่อยๆ พร้อมกับเหยียบเบรคเป็นระยะๆ แต่ไม่ได้ผล จนในตอนนี้พวกเขาได้เลยปั๊มเป้าหมายไปแล้วด้วยความเร็วรถที่ยังควบคุมไม่ได้

          จู้ชุนพยายามประคองพวงมาลัยให้มั่นคงที่สุด จากนั้นค่อยๆ ดึงเบรคมือทีละนิดเพื่อไม่ให้ล้อตาย จนเกิดควันจากการเสียดสีฟุ้งไปทั่วบริเวณ เขาเลี้ยวลงมุ่งตรงไปยังทางขึ้นทางด่วน

          “พี่ชุน!!” เหมียนจื่ออู่เห็นแววว่าคืนนี้พวกเขาคงได้เจ็บตัวกันไม่มากก็น้อย

          “ความเร็วเริ่มลดลงแล้ว แต่คงจะหยุดรถไม่ได้ นี่เป็นทางเดียว เพราะฉะนั้น ฉันส่งสัญญาณให้นายโดดเมื่อไร นายก็รีบโดดลงจากรถเข้าใจไหม”

          “อืม”

          จู้ชุนขับรถพุ่งชนไม้กั้นสำหรับผ่านขึ้นทางด่วน ทำให้รถชะลอตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็ขับรถเพื่อเบียดเข้ากับแบริเออร์ข้างคนขับจนทำให้เกิดประกายไฟ เมื่อความเร็วลดลงมากพอ เขาจึงให้สัญญาณ

          “โดด!!”

          เหมียนจืออู่ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ไม่รีรอรีบกระโดดลงจากรถพร้อมกลิ้งตัวไปกับถนนเพื่อลดแรงกระแทก ในจังหวะที่เขากลิ้งตัวไปกับถนน ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในทิศทางที่เขาเพิ่งจากมา

          ‘พี่ชุน!!’ ในใจคอยภาวนาให้จู้ชุนกระโดดออกมาให้ทันเวลา

          เมื่อร่างกายของเขาหยุดนิ่งจากการกลิ้งไถล เขาพยายามจะลุกขึ้น กลับมีแสงไฟจากรถคันที่ตามหลังมา แสงแยงตาจนเขามองไม่เห็นว่าเป็นรถของใคร ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมความเจ็บแปลบกว่าตอนที่เขากระโดดลงจากรถเสียอีก

          เขาเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาหาเขา สติสุดท้ายสั่งให้กำแฟลชไดฟ์ในอกเสื้อให้แน่นเพื่อเป็นการปกป้องมันจากคนที่ลอบทำร้ายเขากับจู้ชุน

To Be Continue
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 39 ---ll--- 09-03-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 09-03-2020 22:26:43
39









          บรรยากาศยามค่ำคืนที่ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เช่นนี้ แต่ภายในปั๊มน้ำมันกลับยังมีรถเข้ามาใช้บริการอยู่เป็นระยะ ทำให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป อีกทั้งร้านมินิมาร์ทในบริเวณปั๊มยังคงเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง

          เหยินหยางผิงก้าวออกจากประตูอัตโนมัติของร้านสะดวกซื้อ ในมือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟร้อน ส่วนอีกข้างเป็นถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาเดินมายังม้านั่งที่ทางร้านจัดไว้ให้ แล้วจัดการอาหารมื้อดึกตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

          เสียงยางจากล้อรถยนต์บนถนนเรียกสายตาของเหยินหยางผิงขึ้นจากด้วยบะหมี่ ให้หันไปมอง แต่ปากก็ยังสูดเส้นบะหมี่ในถ้วยไปด้วยโดยไม่กล้วความร้อนที่ลอยอบอวลให้เห็นเป็นควันบางเบาลอยอยู่เหนือถ้วยแม้แต่น้อย

          รถยนต์คันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าปั๊มไปด้วยความเร็ว ควันจากยางรถยนต์ลอยฟุ้งเป็นสายตามรถที่เพิ่งวิ่งผ่านไป เขาละความสนใจจากรถคันนั้นมาที่ถ้วยบะหมี่ดังเดิม

          คนในรถดูคล้ายกับเจ้าหมากระเป๋าเหมือนกันนะ เหยินหยางผิงที่เห็นคนในรถเพียงแว๊บเดียวเผลอคิดถึงคนที่เขามารออยู่ค่อนคืนอย่างนี้ เขาไม่เจออีกฝ่ายมาหลายวันแล้วจึงอดที่จะเป็นห่วงไปได้

          เขาฉุกคิดขึ้นมาทันที รถคันนั้นถึงจะวิ่งด้วยความเร็ว แต่ไม่ควรมีควันขึ้นจากยางรถหากไม่ดึงเบรคมือช่วยเพื่อห้ามล้อ หวังจะลดความเร็ว ใจของเหยินหยางผิงวูบโหวงขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่ารถคันนั้นอาจจะเป็นรถของจู้ชุนและเหมี่ยนจื่ออู่

          วินาทีถัดมา รถของเขาก็พุ่งออกจากปั๊มไป หวังจะติดตามรถคันนั้นให้ทัน ลอยยางบนพื้นถนนทำให้เขาตามหารถคันนั้นได้ไม่ยาก จนเขาได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นตรงหน้า ใจของหวังอย่างยิ่ง พร้อมทั้งภาวนาขอไม่ให้เป็นไปอย่างที่เขาคิด

          เหยินหยางผิงเห็นใครคนหนึ่งกลิ้งอยู่บนถนน เขาจึงรีบขับรถเข้าไปจอดใกล้ ๆ ทันที จื่ออู่!! เขาแทบจะกระโดดลงจากรถทันทีที่จอดรถแล้ววิ่งเข้าไปหาอีกคนที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้น ยังไม่ทันจะถึงตัวของอีกฝ่าย เสียงปืนก็ดังขึ้นเหมี่ยนจืออู่ทรุดลงไปกับพื้นทันที

          “จื่ออู่!! .....” เหยินหยางผิงตะโกนเรียกเสียงดัง และพุ่งไปหาร่างที่มีเลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย เขาทำคดีมากตั้งมากมาย เห็นศพผู้เคราะห์ร้ายมานับไม่ถ้วน หากแต่ไม่มีครั้งไหนที่ความกลัวเข้าเกาะกินหัวใจของเขาเท่ากับครั้งนี้มาก่อน

.........................................................................

          ภายในห้องประชุมของสถานี ผมตั้งใจฟังพี่ผานกู่และพี่ตู้เห่าสรุปเรื่องราวในคดีของเผิงฉินฉินให้ฟัง ผมและชิวกัมหงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มีบ้างที่ชิวกัมหงจะออกความคิดเห็น จนกระทั่งทุกอย่างจบลง

          “ตอนนี้ที่เราทำได้ก็คงต้องรอให้เยี่ยจูเฟิงมันโผล่หางออกมาเอง หวังว่าอาชุนและจื่ออู่จะได้อะไรจากมันบาง” ตู้เห่าพูดขึ้นมาสีหน้าเครียด เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสืบหาคนร้ายของคดีได้เลย

          แต่ผมรู้สึกติดยังอะไรบางอย่าง มันคงเป็นสัญชาตของนักข่าวกระมั่ง ผมจึงกางสมุดโน้ตออกในหน้าที่ว่าง ๆ 2 หน้าติดกัน แล้วเริ่มลงมือเขียนสิ่งที่ผมรู้สึกลงไป โดยไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลย

          ต้วนเจียจง เป็นเจ้าของโกดังของเล่น ที่แอบซ่อนคนงานที่ถูกจับมาเพื่อประกอบอาวุธ ส่วนสำคัญของคดีนี้คือ แรงงานที่ถูกจับ กับอาวุธสงครามที่กำลังขยายผลหาตัวการ

          ฉินหรุยกวง เป็นเจ้าของโกดังที่นำเข้าอะไหล่รถแท็กซี่ อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบริษัทฯ ที่นำเข้าของเล่นให้กับต้วนเจียจง ส่วนสำคัญของคดีนั้น กลับเป็นเรื่องของการลอบวางระเบิด ผมติดใจตรงส่วนนี้ และรู้สึกว่า ฉินหรุยกวงต้องเป็นมากกว่าผู้นำเข้าของเล่นให้กับต้วนเจียจง

          “พี่ คดีระเบิดรถบัส อัยการสรุปปิดคดียังไงเหรอ?” ผมเงยหน้าจากสมุดที่จด แล้วถามออกไปโดยไม่ทันได้นึกว่าคนทั้งสามในห้องประชุมกำลังคุยเรื่องอะไรถึงได้แสดงสีหน้าเครียดออกมาเช่นนี้

          คนทั้งสามหันมามองผม ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?

          “เฟ่ยซาน นายไม่ได้ฟัง?” ผานกู่ถามออกมา ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมออกจากห้องกันแล้ว

          “โทษทีพี่ ผมแค่คิดอะไรเพลิน ๆ”

          “งั้นเลิกคิดก่อน แล้วนายจะไปด้วยกันรึเปล่า?”

          “ไปไหนพี่”

          “เฮ้อ...คงไม่ได้ยินจริง ๆ สินะ” ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ส่งให้ “พวกพี่จะไปโรงพยาบาล ไปดูศพจู้ชุน แล้วก็...ไปดูหยางผิงด้วย”

          สิ่งที่ผมได้ยินนั้นทำให้ผมตัวชาไปหมด พี่ชุนตายแล้วอย่างนั้นเหรอ ยังไงกัน เขาไปกับจื่ออู่ไม่ใช่เหรอ”

          “ละ แล้วจืออู่ละพี่” ผมรีบถามถึงอีกคนทันที

          “อยู่ในห้องไอซียู ยังไม่รู้ว่า...จะรอดไหม”

          เกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ผมทำงานมา ถึงจะถูกบ่นถูกว่าเรื่องที่ชอบเอาตัวเขาไปเสี่ยง แต่ก็ไม่เคยกลัวขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่โดนหวงกังโหจับยัดยาก็เถอะ มันคล้ายกับตอนที่พี่กู่โดนทำร้ายไม่มีผิด เพียงแต่ครั้งนี้มีคนตายจริงๆ

          เดี๋ยวนะ!! หวงกังโห ชื่อคนคนนี้มันยังไงกัน ตอนนี้ในหัวผมมันมีเรื่องให้คิดมากมาย ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าผมเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที หากแต่ผมไม่มีสมาธิจะมาวิเคราะห์มัน

          “เฟ่ยซาน นายจะไปด้วยไหม ถ้าไม่ไปก็กลับไปพัก พี่ไปก่อนนะ”

          “ห่ะ ปะ ปะ ไปสิพี่ พี่กู รอผมด้วย” ผมรีบวิ่งตามพี่กู่ไปทันที อย่างน้อยเลือดของผมอาจจะช่วยจื่ออู่ได้ เหมือนคราวที่ช่วยผานกู่ ผมสลัดความคิดอื่นๆ ออกไปทันที

.........................................................................

          เกือบจะรุ่งเช้าของวันใหม่ เจ้าของห้องยังไม่ได้นอนพักผ่อนแม้แต่น้อย สายตายังคงจับจ้องไปยังกรอบรูปในมือ จนคนที่อยู่ในห้องด้วยถึงกับถอนหายใจออกมา

          “ดอกเตอร์ค่ะ พักบางเถอะคะ ถึงบาดแผลบนร่างกายจะไม่เป็นอะไรมาก คุณก็ควรจะพักบ้างนะคะ นี่ก็ยังไม่ได้นอนทั้งคืน” ซือเมิ่งอิงพูดหลังจากเก็บกวาดอุปกรณ์ทำความสะอาดแผลไปจนหมด บาดแผลเล็กน้อยที่ได้รับถูกรักษาด้วยเลือดของหนานเฟ่ยซาน ที่เธอนำมาสกัดเก็บไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิ

          “อืม ขอบใจนะเมิ่งอิง”

          “ฉันรู้ค่ะ ว่าดอกเตอร์นั้นสนิทกับคุณต้วนมาก มิตรภาพที่มีให้กันมันอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่คุณต้วนที่มีชีวิตสองด้าน ถึงวันหนึ่งเขาจำต้องเลือก เราก็ขัดขวางเขาไม่ได้หรอกค่ะ”

          “คุณพูดเหมือนคนที่ผ่านโลกมามากอย่างนั้นแหละ”

          “ฉันก็อยู่ของฉัน ใช้ชีวิตปกตินี่แหละค่ะ จะมีแต่ดอกเตอร์เท่านั้นที่ไม่ขุดหาน้ำตากิเลน ก็กลับไปเยี่ยมครอบครัว หรือเพื่อนฝูง เท่าที่ฉันรู้ก็ดูเหมือนจะมีคุณต้วนเพียงคนเดียว”

          “คุณทำงานกับผมไม่กี่ปี กลับอ่านผมได้ทะลุปรุโปร่ง ผิดกับผมที่รู้จักเจียจงมานาน แต่เหมือนกับไม่รู้จักเขาเลย”

          “คุณต้วนเลือกจะเผยชีวิตด้านเดียวให้คุณเห็น ส่วนอีกด้านเมื่อคุณรู้จักกับมัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า ทำใจเถอะค่ะ ในเมื่อคุณต้วนเขาเลือกแล้ว นั่นแสดงใหเห็นว่า คุณต้วนด้านที่ดอกเตอร์เคยเห็น อาจจะไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้วก็ได้นะคะ”

          “ด้วยพื้นฐานครอบครัว หรือฐานะทางสังคม ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเจียจงถึงได้หันไปเดินทางเส้นนั้น”

          “จำได้ว่าคุณต้วนมีน้องสาวต่างแม่ ที่เขารักมาก แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัว แม้แต่สกุลเธอก็ยังไม่อาจจะได้ใช้แซ่ต้วน นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่เขาเลือกจะเดินทางเส้นนี้ก็ได้นะคะ”

          “ซือเมิงอิง ๆ นอกจากคุณจะเป็นนักวิทยศาตร์ที่ชาญฉลาดแล้ว คุณยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยาที่ใช้ได้ทีเดียว”

          “ถ้าดอกเตอร์มีใจจะหยอกล้อฉันได้อย่างนี้แล้ว ฉันก็สบายใจค่ะ คุณรีบทำงานที่นี่ให้เสร็จแล้วกลับไม่ดูแลคุณหนานเถอะคะ”

          “เฟ่ยซานเป็นอะไร คุณรู้อะไรมาอย่างนั้นเหรอ?”

          “คุณคิดว่าที่ฉันเข้ามาที่แลปได้รวดเร็วนี่เพราะดอกเตอร์ตามให้ฉันมาทำแผลเหรอค่ะ” ซือเมิงอิงส่ายหน้ายิ้ม “ที่จริงแล้วเพราะคุณหนานโทรมาหาฉันก่อนหน้าดอกเตอร์ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงค่ะ”

          “ทำไมเฟ่ยซานถึงได้โทรหาคุณได้ล่ะ? ทำไมถึงไม่โทรหาผม”

          “เพราะคุณหนานเขาคงรู้มั้งคะ ว่าดอกเตอร์คงไม่อนุญาต และต้องโกรธมากๆ แน่เลย”

          “นี่ไม่ใช่ว่าออกไปหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองต้องบาดเจ็บอีกนะ”

          “ไม่ใช่เลยค่ะ คือ เพื่อนคุณหนานคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ แต่รายละเอียดเป็นยังไง ฉันไม่ทราบหรอกนะคะ คุณหนานเขาเล่าเพียงว่ารถคว่ำ เป็นตายเท่ากัน คุณหนานเขาอยากช่วย จึงโทรมาหาฉันให้แนะนำวิธีช่วยเหลือเพื่อน ที่ปลอดภัยสำหรับตัวคุณหนานเอง”

          “หึ ถ้าคนที่บาดเจ็บโฮวจีเจียนคงจะดี เพื่อนคนนี้ของเฟ่ยซานดูยังไงก็ไม่นาไว้ใจ”

          “เท่าที่ทราบไม่ใช่นะคะ เห็นว่าเพื่อนเป็นนักสืบ” เธอพูดไม่จบประโยคดี ดอกเตอร์เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ทำสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที จนเธอปรับอารมณ์ตามอีกคนแทบไม่ทัน นี่เธอห่วงเจ้านายของเธอเกินเหตุไปรึเปล่า ซือเมิ่งอิงได้แต่คิดในใจ ก่อนปลีกตัวหนีบรรยากาศอันแสนอึดอัดออกมา

.........................................................................

          หลังจากที่ซือเมิ่งอิงออกจากห้องทำงานของเขาได้ไม่นาน เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์ไปออกไปทันที เขาไม่ชอบใจเลยที่เลือดของหนานเฟ่ยซานถูกเอาไปช่วยนักสืบผานถึงสองครั้งสองครา แม้ว่าครั้งนี้ เฟ่ยซานจะมีสติพอจะโทรมาขอความเห็นจากซือเมิ่งอิงก็ตามที

          ‘ดอกเตอร์…’ ปลายสายพูดเสียงสั่นเครือ ทำให้เขาอดจะใจอ่อน พยายามข่มความหงุดหงิดใจลงไป

          “อยู่ที่ไหน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

          ‘พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนเขา’

          “จู้ชุน เป็นอาชุนอย่างนั้นสินะที่เราเอาเลือดไปช่วย” ความหงุดหงิดพลันหายไปทันทีเมื่อเขาคิดว่าไม่ใช่นักสืบผาน

          ‘ผมช่วยพี่ชุนไม่ได้ ช่วยไม่ทัน ไม่สิ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย’

          “เดี๋ยว ๆ เฟ่ยซาน ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ฟงหลิวหรือหยวนหยางอยู่แถวนั้นรึเปล่า”

          ‘ไม่รู้’

          ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้อะไรรอบตัว ถึงไม่ได้ฟูมฟายอะไร แต่เขารับรู้ได้ว่าเฟ่ยซานกำลังกลัวอยู่ จึงพยายามค่อย ๆ ถาม

          “แล้วเราเอาเลือดไปช่วยใคร ถ้าไม่ใช่อาชุน”

          ‘จื่ออู่ จื่ออู่โดนยิง ตอนกระโดดลงจากรถ’

          “ไม่ต้องกลัว ถ้าเราทำตามคำแนะนำของเมิ่งอิง เพื่อนของเราต้องไม่เป็นอะไร”

          ‘อือ พี่หยวนฮ่าง เมื่อไรพี่จะกลับ’

          “ถ้าอยากให้ฉันกลับ ฉันก็จะกลับเดี๋ยวนี้”

          ‘ละ แล้วเรื่อง เอ่อ เรื่องเพื่อนพี่ละ’

          “คงไม่มีอะไรที่ฉันจะจัดการได้แล้ว ที่เหลือคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”

          ปลายสายเงียบไปสักพัก แต่เขายังพอได้ยินเสียงความวุ่นวายภายในโรงพยาบาล และเสียงนักสืบอีกหลายคนนอกจากผานกู่

          “เฟ่ยซาน ยังอยู่ไหม?”

          ‘พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนไม่มีญาติที่ไหนเลยเหรอ’

          “เท่าที่ฉันจำได้ ยายของอาชุนเพิ่งจะเสียไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน จากนั้นครอบครัวเดียวของอาชุนก็คือฝู่”

          ‘แล้วผมควรจะบอกพี่กู่ยังไง เกี่ยวกับเรื่องนี้’

          “เกิดอะไรขึ้นกับอาชุน”

          ‘พี่ชุนตายแล้ว ตอนแรกคิดว่าเพราะรถคว่ำ แต่พี่หยางผิงบอกว่าไม่ใช่ ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง’ คงจะเป็นความวุ่นวายเมื่อครู่ที่เขาได้ยินผ่านทางโทรศัพท์

          “ทำใจดีๆ ไว้นะ พี่จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ เรื่องอาชุนไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

          ‘พี่หยวนฮ่าง ผมรู้ว่ามันไม่ควร พี่มีอะไรต้องจัดการอีกหลายอย่าง แต่…’ เฟ่ยซานเว้นช่วงไปนาน จนเหมิ๋นหยวนฮ่างคิดจะพูดปลอบอีกคน แต่แล้ว ‘ผมอยากให้พี่รีบมา ผมสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แค่เรื่องน้ำตากิเลนในตัวผมก็ประหลาดพอแล้ว พี่จะว่าผมเฟ้อเจ้อก็ได้นะ แต่ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ พี่จริง ๆ’

          “พี่จะรีบกลับ ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งอยู่คนเดียว อย่าคิดมาก จะให้ฟงหลิวพาไปอยู่ที่โรงแรมก่อนไหม เดี๋ยวฉันไปรับ แล้วเราค่อยกลับบ้านที่ชุง ฮอม กอกด้วยกัน”

          ‘ผมรออยู่ที่โรงพยาบาลได้ไหม ผมอยากรอดูอาการจื่ออู่ เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้ทัน’

          “ตามใจเราแล้วกัน แต่ห้ามทำอะไรเกินตัวรู้ไหม”

          ‘ครับ’

          “อืม ฉันจะรีบกลับไปหา”

          เมื่อเหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายไปแล้วเขาก็กดโทรศัพท์หาเตี๋ยทันที ถึงแม้จะรู้ว่าเวลานี้โทรไปจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย

          ‘โทรมาแต่เช้าแบบนี้ ที่เกาลูนคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นละสิ’

          “เตี๋ยยังอยู่ไทยรึเปล่า หรือว่ากลับฮ่องกงมาแล้ว”

          ‘ฉันยังอยู่ที่ไทย เพราะตอนนี้ยังหาตัวเจมส์ไม่เจอ’

          “ได้เบาแสอะไรเกี่ยวกับเจมส์บ้างไหมครับ” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วง ถึงจะเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่เขาก็รักและเอ็นดูน้องชายทั้งสองมาก

          ‘มีร่องรอยจากที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่าเจมส์จะถูกพวกใดพวกหนึ่งสะกดรอยตามตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้า ก่อนพวกมันจะลงมือที่ลานจอดรถ’

          “น้องปลอดภัยดีไหม” เขาถามอย่างกังวล ใช่ว่าตัวเขาเองจะไม่เคยโดนลอบทำร้าย เพียงแต่มันไม่โจ่งแจ้งแบบของเจมส์ และก็คราวนี้ที่เขาโดนในตรอกนั่นเท่านั้นเอง

          ‘น่าจะหนีขึ้นไปทางเหนือของไทย แต่ทำไม เพราะอะไร เตี๋ยเองก็ยังไม่รู้’

          “น้องควรไปหาเตี๋ยหยก หรือคุณเสือไม่ใช่เหรอ”

          ‘เตี๋ยไม่อยากจะคิดว่าเจมส์จะถูกจับตัวไป เพราะฝีมือเจมส์ไม่ใช่ใครที่จะจับตัวได้ง่าย ๆ’

          ใช่แล้ว น้องคนรองของเขามีฝีมือไม่ต่างกับเขา เพราะได้ครูดีอย่างพ่อของเขา ไหนจะเตี๋ยหยก และเขาอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกจับตัวเอาง่ายๆ

          “หรือว่า...แกล้งให้อีกฝ่ายจับ”

          ‘หึ เตี๋ยก็คิดแบบนั้น นี่ม๊าเขาก็โกรธควันออกหูเลยล่ะ ถ้ากลับมาคราวนี้คงโดนม๊าเขาเล่นงานอ่วมแน่’

          เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหมิ๋นหยวนฮ่างก็สบายใจขึ้นมา แต่ก็ต้องกลับมาเครียดอีกครั้งเมื่อต้องแจ้งข่าวของใครอีกคน

          “เตี๋ย ที่ผมโทรมาแต่เช้าเป็นเพราะเรื่องของอาชุน”

          ‘เฮ้อ...เรื่องอาชุนเตี๋ยรู้ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วละ ฟงหลิวโทรเข้ามารายงาน’

          “เตี๋ยหยกรู้รึยังครับ”

          ‘ยังเลย คงต้องรอให้สาย ๆ หน่อยค่อยบอก แต่เรื่องนี้ป๊าของเรารู้แล้วนะ คาดว่าคงจะไปจัดการด้วยตัวเอง’

          “ป๊าจะมา? ที่ไหน? ฮ่องกง หรือเกาลูน?”

          ‘ฮ่องกง ได้เที่ยวบินเช้า คงถึงช่วงสายๆ’

          “เตี๋ย แค่นี้ก่อนนะ ผมจะรีบกลับไปฮ่องกงก่อน”

          เหมิ๋นหยวนฮ่างวางสายจากเตี๋ยเถิงทันที แล้วรีบเดินออกจากห้องทำงานไป ม๊าเขารู้เรื่องเฟ่ยซานแล้ว แต่ป๊านี่สิ เขายังไม่ได้บอกอะไรสักคำ ก็ใครให้ครอบครัวของเขาเป็นแบบนี้ละ ม๊าไปทาง ป๊าไปทาง เขาก็มีทางเขา ถ้าเฟ่ยซานเจอครอบครัวของเขา จะรับมือไหวไหมนะ







To Be Continued



หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 39 ---ll--- 09-03-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-03-2020 23:32:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 40 ---ll--- 30-03-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 30-03-2020 22:57:58
40








        เรื่องที่เกิดขึ้นกับจู้ชุนและหยางจื่ออู่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีคนลอบตัดสายเบรก อีกทั้งยังตามมาจัดการซ้ำเพื่อไม่ให้มีชีวิตรอดไปได้ คนร้ายทำการโจ่งแจ้งมากแม้จะพอเดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับไม่มีหลักฐานมาเอาผิดผู้กระทำ
   
        ตอนนี้ทางผู้ใหญ่ให้ปิดเรื่องที่เหมี่ยนจื่ออู่รอดชีวิตเอาไว้เป็นความลับ และย้ายคนเจ็บไปดูแลที่อื่น ผานกู่และเหยินหยางผิงกำลังทำเรื่องขนย้ายผู้เจ็บอยู่ ส่วนผมพอโล่งใจที่จื่ออู่ปลอดภัยก็พาลให้ร่างกายรู้สึกล้าขึ้นมาทันที
   
        “คุณหนาน” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาตรงหน้าเขา เป็นหยวนหยางที่นำมาให้
   
        “ขอบคุณครับ”
       
         “ตอนนี้ ที่นี่ไม่มีอะไรที่คุณทำได้แล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนไหมครับ”
   
         “เอ่อ...ผมต้องไปที่โรงแรมจริง ๆ เหรอครับ”
   
        “ดอกเตอร์กำลังจะมาที่โรงพยาบาล หากคุณต้องการพักผ่อน ฟงหลิวจะไปจัดการเรื่องห้องพักที่นี่ให้”
   
        “ที่นี่มันโรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่โรงแรม จะให้ผมแอดมิทเข้าไปด้วยเรื่องอะไร”
   
         “ที่นี่เยียนหวอถือหุ้นอยู่ เรื่องห้องพักนั้นไม่มีปัญหาครับ”
   
        “อ่า...ไม่เอาดีกว่า ถ้าดอกเตอร์กำลังจะมา ผมรออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ”
   
        “ครับ”
   
        จากนั้นหยวนหยางก็นั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากผมไป 2-3 ตัว ไม่นานฟงหลิวก็เดินเขามานั่งห่างจากพวกเราไปไม่มากนัก
   
        “เฟ่ยซาน นายกลับไปก่อนก็แล้วกัน พี่ต้องไปจัดการเรื่องสำคัญ จำไว้นะ ว่าเรื่องนี้จะเอาไปเขียนข่าวไม่ได้” พี่กู่เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม แล้วย้ำผมอีกครั้ง
   
        “อืม ผมเข้าใจ จื่ออู่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
   
        “อืม พ้นขีดอันตรายแล้ว หยางผิงกำลังดูแลอยู่”
   
         “แล้วพี่ชุนละ”
   
        “มีคนติดต่อเพื่อขอรับศพอาชุนแล้ว”
   
        “ใคร?”
   
        “เห็นว่าเป็นอาจารย์ที่รับดูแลอาชุนตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนตำรวจ”
   
       
        “...” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ใจมันโหวงๆ แปลก ๆ
   
         “ทำใจให้สบายเถอะ อาชุนไปสบายแล้ว เขาตายในหน้าที่ ตายอย่างมีเกียรติ”
   
        “ผมใจหาย พี่ชุนเป็นคนดี ไม่คิดว่าคนดีๆ อย่างพี่ชุน จะจากพวกเราไปเร็วแบบนี้”
   
         “งานอย่างเราๆ มันเสี่ยงอยู่ทุกวัน สายข่าวอย่างนายก็เห็นคนตายออกบ่อย ยังไม่ชินอีกหรือไง?”
   
        “แต่นี่มันคนใกล้ตัว”
   
        “เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกเวลา อย่าเก็บเอาไปคิดมาก”
   
        “เฟ่ยซาน” ผมเงยหน้ามองตามน้ำเสียงของอีกคน ที่ได้ยินแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
   
        “พี่หยวนฮ่าง”
   
        “พี่มารับแล้ว”
   
        “ดอกเตอร์เหมิ๋น” ผานกู่ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอีกคนก่อนถอนหายใจ “ผมฝากเฟ่ยซานด้วย ผมมีเรื่องต้องไปดูแลต่อ”
   
        “อืม”
   
        เมื่อพี่ผานกู่เดินจากไปพี่หยวนฮ่างก็นั่งลงข้าง ๆ ผม ผมจึงเอาหัวซบลงบนไหล่ของอีกคนราวกับต้องการที่พักพิง ห่างกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมผมถึงคิดถึงเขาได้ขนาดนี้
   
        “กลับไปพักเถอะ ดูท่าทางเราคงยังไม่ได้นอนใช่ไหม”
   
        “อืม นอนไม่หลับ”
   
        “กลับบ้านของเรากัน” คำๆ นี้ทำให้ผมอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก   ไม่เหลือเค้าดอกเตอร์ที่แสนจะเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ผมมักจะแอบเรียกลับหลังอีกต่อไป
   
        “พี่หยวนฮ่าง พี่ชุนมีคนรับไปดูแลแล้วนะ เขากำลังจะมา พี่กู่บอกว่าเขาเป็นอาจารย์ของพี่ชุน ผมจะขออยู่รอพบเขาก่อนได้ไหม?”
   
        “ทำไม”
   
        “ผมอยากขอบคุณเขา”
   
        “ไว้วันอื่นก็ได้ วันนี้ฉันว่าเรากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
   
        “ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอเขาไหม”
   
        “มีสิ แล้วเราจะได้เจอเขาบ่อย ๆ” ผมนั่งตัวตรงแล้วหันไปสบตากับดอกเตอร์
   
        “เขาเป็นคนของฝู่เหรอ?”
   
        “ไม่ใช่”
   
        “พี่รู้จัก”
   
        “อืม”
   
        “เขาเป็นใคร?”
   
        “เอาไว้ถึงเวลาก็รู้เอง ตอนนี้จะกลับไปพักได้รึยัง” พอสังเกตดีๆ ดอกเตอร์เองก็มีท่าทางอิดโรยไม่ต่างจากผม
   
        “พี่หยวนฮ่างก็ยังไม่ได้นอนใช่ไหม”
   
        “เพราะรีบมาหาใครกันล่ะ”
   
        “อืม งั้นเรากลับบ้านเรากัน” ผมพยักหน้ารับ แล้วเราสองคนก็เดินออกจากโรงพยาบาลมาโดยมีหยวนหยางและฟงหลิวเดินตามหลัง เมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาลก็มีรถตู้มาจอดรอรับพวกเราอยู่

.........................................................................

     
        ผานกู่ลอบมองคนทั้งสองขึ้นรถตู้ไป ตู้เห่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ตบไหล่ปลอบใจเขาเบา ๆ ก่อนเดินจากไปปล่อยให้เขาคิอะไรอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
   
        เขารู้ว่าสักวันเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น วันที่หนานเฟ่ยซานเดินเคียงคู่ไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา นาทีที่เขาเห็นสายตาของเฟ่ยซานสบตากับดอกเตอร์เหมิ๋นกับน้ำเสียงที่เรียกอีกฝ่าย เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่สามารถที่จะฉุดรั้งอีกฝ่ายได้
   
        การปล่อยหนานเฟ่ยซานไปแบบนี้คงจะดี อาชีพของเขานั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่าลมหายใจจะหมดลงวันใด เขาเองก็เกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังรอดมาได้ ผิดกับจู้ชุน ที่แม้จะรอดจากรถคว่ำแต่กลับไม่พ้นมือมัจจุราชที่ลั่นไกใส่คนไม่มีทางสู้ เขาต้องลากคอไอ้ฆาตกรนั่นมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้
   
        “อากู่ มีคนมารับอาชุนแล้ว” เสียงของชิวกัมหงเรียกสติเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน “นายไม่เป็นไรใช่ไหม เรื่องเฟ่ยซาน” กัมหงถามในระหว่างที่พวกเขาเดินไปด้วยกัน
   
        “อืม อย่างน้อย อนาคตข้างหน้า เฟ่ยซานจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกับความสูญเสียอีก”
   
        “อืม ใครเป็นเมียตำรวจก็ต้องอดทนกันทั้งนั้น และที่สำคัญ ต้องมีสติตั้งรับกับการสูญเสียอยู่ตลอดเวลา นายตัดใจได้ก็ดีแล้ว”
   
        เขาทั้งสองหยุดอยู่ที่หน้าห้องดับจิต มีชายคนหนึ่งอยู่ในชุดลำลองหากแต่ดูภูมิฐานยืนรออยู่
   
        “ผมผานกู่ หัวหน้าทีมสืบสวน ยินดีที่ได้รู้จัก”
   
        “เช่นกันครับ ผมคิม วุกเจ เคยเป็นครูฝึกให้อาชุน”
   
        “คุณไม่ใช่คนจีน?”
   
        “ผมเป็นคนไทย สัญชาติเกาหลี แต่ก็เป็นหนึ่งในครูฝึกหน่วยซีลอยู่พักหนึ่ง”
     
        “อาชุนเคยเข้าร่วมฝึกกับหน่วยซีลของสหรัฐด้วยอย่างนั้นเหรอครับ” เขาถามออกมาอย่างแปลกใจ
   
        “ใช่ครับ อาชุนเป็นเด็กที่มีความสามารถ ไม่น่ามีจุดจบแบบนี้เลย”
   
        “คุณรู้อย่างนั้นเหรอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาชุน รายงานชันสูตรนอกจากพวกเราแล้วก็ยังไม่มีคนภายนอกรับรู้”
   
        “พวกคุณบอกว่าอาชุนรถคว่ำ และโดนไฟคลอก ด้วยความสามารถของอาชุน แค่รถคว่ำไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ผมจึงเขาไปดูศพ พบรอยกระสุนที่บริเวณหน้าอก ถ้าอาชุนไม่ได้บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว จนทำให้เขาเอารถไม่อยู่ นั่นก็หมายความว่ามีหมาลอบกัดที่ลอบทำร้ายอาชุนขณะที่กำลังพยายามบังคับรถคันนั้นอยู่”
   
        “เฮ้อ...เป็นอย่างที่คุณว่า สมแล้วกับที่เป็นอาจารย์ของอาชุน”
   
        “ผมต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับคดีที่อาชุนทำทั้งหมด”
   
         “คุณคิม เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพวกเรา ผมคงไม่สามารถให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสืบสวนได้”
   
        “ผมไม่ได้ขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง”
   
        “คุณคิม ใจเย็นๆ เถอะครับ รับอาชุนกลับไปก่อน เรื่องคดีและคนร้ายเราเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หากมีความคืบหน้ายังไงทางเราจะรีบแจ้งให้ทราบ” ชิวกัมหงเข้ามาช่วยเกลี่ยกล่อมอีกแรง
   
         เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาตามทางเดิน ดังกึกก้องทำให้พวกเขาทั้งสามคนต้องหันกลับไปมองผู้ที่วิ่งเข้ามา ตู้เห่าวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ในมือถือเอกสารบางอย่างไว้ เขาพยักหน้าทักทายคุณคิมเล็กน้อยก่อนดึงเขาออกมาห่างจากอีกคน ชิวกัมหงก็เดินตามมาด้วย
   
        “คดีนี้ถูกโอนย้ายไปให้แผนกอาชญากรรมพิเศษดูแลแทน” ตู้เห่าพูดออกมาสีหน้าเครียด
   
        “นายว่ายังไงนะ” ตู้เห่าไม่ตอบ แต่ยื่นเอกสารคำสั่งให้พวกเขาอ่านเนื้อความเป็นไปตามที่ตู้เห่าบอก แต่ที่เขาต้องแปลกใจ ผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้
“คิม วุกเจ”
ผานกู่และชิวกัมหงต่างหันกลับไปมองหน้าเจ้าของชื่อที่เฝ้ามองการกระทำของพวกเขาอยู่ ก่อนที่จะเดินผ่านพวกเขาไป และในระหว่างที่เดินผ่านนั้น
   
         “10 โมงตรง พวกคุณต้องไปรายงานตัวกับผมที่สถานนี รวมทั้งเหยินหยางผิงด้วย” พูดจบก็เดินจากไป
   
        “นั่นใคร” ตู้เห่าที่ไม่รู้ว่าคนที่พึ่งเดินจากไปเป็นใครจึงได้เอ่ยถามอย่างงงวย
   
        “ดูท่า คงจะเป็นหัวหน้าใหม่ของพวกเรา” ชิวกัมหงว่าพร้อมตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วเดินจากไป

   
.........................................................................

   
        หลังจากที่แยกกับหนานเฟ่ยซานที่ร้านอาหารเมื่อคืน เพราะอีกฝ่ายมีงานด่วนเข้ามาเรื่องคดีที่ตามอยู่ จนถึงวันนี้โฮวจีเจียนก็ยังไม่พบหนานเฟ่ยซานเลย
   
        เขาตั้งใจทำตามคำแนะนำของอีกฝ่ายเรื่องคนรัก ติดตรงที่เขาติดต่อฉี่เยว่ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบกลับ จนสุดท้ายไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ เขาร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามติดต่อหนานเฟ่ยซาน อีกฝ่ายก็ไม่รับสายเช่นกัน จนเขาทนไม่ไหวต้องมาตามหาถึงที่สถานี
   
         เขาไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อยนัก เนื่องจากงานข่าวของเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานีตำรวจสักเท่าไร เมื่อมาถึงเขาพยายามที่จะมองหาคนรู้จักอย่างเหยินหยางผิง หรือเหมี่ยนจื่ออู่เพื่อนในวัยเด็กของหนานเฟ่ยซาน แต่กลับไม่พบใครสักคน
           
        “ขอโทษครับ” เขาถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เดินผ่านมา
   
        “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
   
        “ผมมาหานักสืบเหยินครับ”
   
        “อ่อ พี่หยางผิงประชุมอยู่กับทีม คงไม่ว่างออกมาพบคุณตอนนี้หรอก”
   
        “ในนั้นมีนักข่าวอยู่ด้วยรึเปล่า”
   
        “คุณคงหมายถึงเฟ่ยซาน”
   
        “ใช่ คุณรู้จักเขาเหรอ?”
   
        “ในสถานีนี้มีใครไม่รู้จักหนานเฟ่ยซานบ้าง”
   
        “อ่อ”
   
        “ไว้บ่าย ๆ คุณค่อยเข้ามาอีกทีแล้วกัน ผมว่าพี่หยางผิงคงจะประชุมอีกนาน”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        โฮวจีเจียนเดินออกมายืนอยู่ที่หน้าสถานี พยายามนึกว่าหนานเฟ่ยซานจะไปอยู่ที่ไหนได้ ถ้าเหยินยางผิงประชุมอยู่ แสดงว่านักสืบผานที่เป็นหัวหน้าหน่วยก็ต้องร่วมประชุมด้วย สองคนนั่นจึงไปได้ไปหาเบาะแสของคดีที่ไหนด้วยกันแน่นอน ส่วนที่คอนโดของเฟ่ยซานเขาก็แวะไปมาแล้วก่อนที่จะมาที่สถานีนี่เสียอีก
   
        “ขอโทษนะคะ คุณโฮวใช่ไหมค่ะ?”
   
        “อ่า ครับ ไม่ทราบว่าคุณ?”
   
        “ดิฉันเป็นเลขาของคุณเยี่ย ที่คุณเคยไปสัมภาษณ์หลายครั้งยังไงล่ะค่ะ”
   
        “อ่อครับ ขอโทษนะครับ ที่ผมจำคุณไม่ได้”
   
        “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันได้รับมอบหมายให้มาเชิญคุณเข้าไปพบคุณเยี่ยที่บ้านค่ะ”
   
        “คุณเยี่ยต้องการพบผมอย่างนั้นเหรอครับ” โฮวจีเจียนแทบจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่มิดเมื่อคนระดับนั้นต้องการพบเขา
   
        “ค่ะ”
   
        “แจ้งเวลาได้เลยครับ เดี๋ยวผมรีบจัดเวลาให้”
   
        “ตอนนี้ค่ะ”
   
        “หา ตอนนี้เลยอย่างนั้นเหรอครับ”
   
        “ใช่ค่ะ ตอนนี้”
   
        “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นให้ผมรบกวนของแผนที่บ้านคุณเยี่ยด้วยครับ”
   
        “คุณโฮวเชิญทางนี้ค่ะ ไปพร้อมกันกับดิฉันเลยก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา”
   
        “เอ่อ แล้วรถของผม”
   
        “คุณโฮวจะกังวลไปทำไมค่ะ ในเมื่อรถจอดอยู่ในสถานีตำรวจ”
   
        “อ่า...ครับ งั้นเชิญ”
   
        โฮวจีเจียนเดินตามเลขาสาวสวยของเยี่ยจูเฟิงไป ทั้งที่แปลกใจว่าคุณเยี่ยอยากพบเขาด้วยเรื่องอะไร หากแต่ความตื่นเต้นดีใจนั้นมีมากกว่า เพราะถ้าลองคิดดูแล้ว การที่เยี่ยจูเฟิงต้องการพบเขา อาจจะเป็นไปได้ว่าต้องการให้ข่าวอะไรกับเขา และเขาจะเป็นนักข่าวสำนักเดียวที่ได้ทำข่าวนี้ คิดเพียงเท่านี้เขาก็แทบจะอดใจรอเจอคุณเยี่ยไม่ไหวแล้ว




To Be Continued
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 41 ---ll--- 01-04-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 01-04-2020 01:43:45
41






 

    ผมตื่นขึ้นมาก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว การได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่นั้นพอจะทำให้ผมตั้งสติจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้บ้าง คืนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างหนักหนาสำหรับผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพบศพของเผิงฉินฉิน แล้วไหนจะเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับจื่ออู่ สุดท้ายที่ทำให้ผมรู้สึกแย่สุดๆ คงจะเป็นการตายของพี่ชุน

    ผมจัดการกับตัวเองเสร็จก็เดินออกจากห้องนอน ในบ้านที่มักจะเงียบอยู่แล้วกลับเงียบกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ในบ้านมีผมกับดอกเตอร์อยู่ ผมเดินหาจนทั่วกลับไม่พบอีกคน

    ผมเดินกลับเข้าห้องมาเพื่อหยิบโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรหาดอกเตอร์ แต่โทรศัพท์ของผมลืมชาร์จแบตไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงตอนนี้มันเลยเปิดไม่ติด ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีใครโทรตามผมบ้าง

    ผมเดินออกจากห้องนอนอีกครั้ง เดินเข้าครัวเพื่อไปหาอะไรรองท้อง เท่าที่ผมจำได้ ผมได้กาแฟไปแก้วเดียวตอนที่อยู่ในห้องประชุมของสถานี อ่อ มีน้ำดื่มอีกขวดที่ได้รับจากหยวนหยางที่โรงพยาบาล

    ผมทำอาหารง่าย ๆ กินเอง คำว่าง่ายของผมก็แค่การลวกบะหมี่สำเร็จรูปกินเท่านั้น ของสดที่อยู่ในตู้เย็นก็ปล่อยให้มันนอนนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะผมไม่มีความสามารถในการทำอาหารอย่างดอกเตอร์

    ในระหว่างที่ผมเก็บล้างถ้วยชามอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปดู เห็นเป็นรถของดอกเตอร์ มีฟงหลิวเป็นคนขับ หยวนหยางลงมาก่อนแล้วเปิดประตูให้ใครสักคนก้าวลงมาจากรถ ตามด้วยดอกเตอร์

    “@!^$*#-^!$^*)3^!#>”^*”  ชายคนนั้นหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับดอกเตอร์ ผมฟังเขาไม่ออก

    “ตาแก่ ภาษาจีน”

    “อาหลิวกับอาหยางยังฟังเข้าใจเลย”

    “นั่นเพราะป๊าบังคับให้พวกเขาต้องเรียนรู้”

    “คนนี้ก็ควรจะเรียนรู้”

    “ถึงจะต้องเรียนรู้ แต่ผมจะไม่ใช้วิธีของป๊า”

    จากที่ฟังสองคนนั่นคุยกับ ผมพอจะเดาได้ว่าผู้ที่มาด้วยคือพ่อของดอกเตอร์ ซึ่งดูๆ แล้วก็มีความคล้ายกันอยู่ ผมจึงได้แต่ยืนสงบเสงี่ยมไม่กล้าพูดอะไร นอกจากทักทายตามมารยาทเท่านั้น

    “เฟ่ยซาน นี่พ่อของฉัน”

    “สวัสดีครับ คุณเหมิ๋น”

    “ฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้แต่งงานเข้าตระกูลเหมิ๋น ไม่ต้องเรียนฉันว่าคุณเหมิ๋น เรียกป๊าเหมือนไอ้ลูกหน้าตายนี่เถอะ แต่ไม่เอานะ คำว่าตาแก่น่ะ ฟังทีไรปวดหัวใจทุกที”

    “ครับ”

    “กินอะไรรึยัง” ดอกเตอร์หันมาถามผมหลังจากที่แนะนำป๊าเสร็จ

    “เรียบร้อยแล้วครับ” ผมนึกขึ้นได้ว่ายังล้างจานไม่เสร็จ ใครเกิดเข้าไปเห็นตอนนี้คงไม่ดีแน่ๆ

    “งั้นเข้าบ้านกันเถอะ จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักที” ป๊าของดอกเตอร์พูดพร้อมทั้งเดินนำเข้าไป ผมจึงรีบตามเข้าไปและเลี่ยงเข้าไปจัดการจานชามในครัวต่อ ก่อนออกมาก็รินน้ำดื่มเย็นๆ มาให้เจ้าของบ้านทั้งสองรวมถึงผู้ติดตามที่เข้ามานั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องรับแขก

    “คนนี้เหรอที่มีน้ำตากิเลนอยู่ในตัว” ป๊าถามขึ้นหลังจากดื่มน้ำไปอึกใหญ่

    “อืม”

    “เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้นะเฟ่ยซาน ไม่อย่างนั้นอันตรายต่าง ๆ มันจะเข้ามาถึงตัว”

    “ครับป๊า” ผมรับคำเตือนจากพ่อของดอกเตอร์อย่างว่าง่าย

    “ป๊าจะจัดการเรื่องอาชุนยังไง” สองพอลูกเริ่มเปิดประเด็นคุยกัน โดยมีผมนั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเงียบ ๆ

    “ทำพิธีเสร็จก็เอาไปฝังไว้กับยายของเขา”

    “คนที่รับพี่ชุนคือป๊าเหรอครับ” เขาแทรกถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

    “อืม”

    “งั้นป๊าก็เคยเป็นอาจารย์ของพี่ชุน”

    “นั่นก็ใช่อีก”

    “เฟ่ยซานเขาอยากจะเจอป๊าเพื่อขอบคุณเรื่องของอาชุน”

    “ครับ ผมอยากขอบคุณที่ป๊าช่วยดูแลเรื่องศพพี่ชุน ผมเพิ่งรู้จากเพื่อนร่วมงานของพี่ชุนที่สถานีว่าพี่ชุนไม่มีญาติที่ไหนแล้ว”

    “อืม ถึงป๊าไม่ทำก็ยังมีคนอื่นเข้ามาช่วยอยู่ดี อาชุนไม่ได้ตัวคนเดียวอย่างที่เห็นหรอกนะ เขายังมีอาหยาง อาหลิว และพี่น้องคนอื่น ๆ อีก”

    “ฟงหลิว กับหยวนหยางเป็นพี่น้องกับพี่ชุนอย่างนั้นเหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าทั้งสองที่นั่งอยู่ใกล้ๆ  กันอีกทั้งยังทำสีหน้าปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “เห็นสองคนนั้นนิ่ง ๆ แบบนั้น แต่ในใจน่ะไม่ใช่เลย ใช่ไหม?” ป๊าหันไปมองคนทั้งสอง

    “ครับ/ครับ”

    “เรื่องของอาชุนเราไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้พี่อยากให้เราอยู่เฉย ๆ เรื่องคดีที่กำลังสืบอยู่ทั้งหมด ขอให้หยุดพักไปก่อน ถ้าจะให้ดีพี่อยากให้ลางาน ไม่ต้องไปทำสักพัก” ดอกเตอร์หันมาบอกกับผม ทำให้ผมนึกขึ้นได้

    “จริงสิ ผมขอตัวสักครู่” ผมกลับเข้าห้องไป และกลับมาใหม่พร้อมสมุดโน้ตในมือ

    “มีอะไรรึเปล่า?” ดอกเตอร์ถามหลังจากผมนั่งลงที่เดิม

    “ผมรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเยี่ยนหวอ แต่ผมอยากจะขอความช่วยเหลือ” ผมพูดออกมาตามตรง เพราะผมอยากจับคนที่ทำร้ายพี่ชุนให้ได้

    “ไม่ต้องขอความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น”

    “แต่!!...พี่หยวนฮ่าง…”

    “ฟังพี่ก่อน ที่บอกว่าไม่ต้องขอความช่วยเหลือนั่นเพราะเรื่องนี้เยี่ยนหวอได้ยื่นมือเขาไปแทรกแซงเรียบร้อยแล้ว”

    “ตั้งแต่ตอนไหน”

    “ก็ตั้งแต่ป๊าบินมาที่นี่นั่นแหละ” ป๊าเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนหันไปรับซองเอกสารจากหยวนหยางส่งมาให้ผมอ่าน

    “เอกสารแต่งตั้ง?” ผมกวาดตาอ่านข้อความในเอกสาร “คิม วุกแจ?” ในนั้นยังมีชื่อของคนที่อยู่ในทีมสืบสวนที่ 1 และ 2 ของผานกู่และตู้เห่ารวมอยู่ด้วย “ท่านรองคิม เป็นคนของเยี่ยนหวออย่างนั้นเหรอ?” ผมถามหลังจากอ่านเอกสารจบ

    “จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ก็ไม่” ผมฟังคำพูดของป๊าแล้วก็งงไปหมด แล้วเอกสารราชการนี่ ป๊าไปได้มาได้ยังไง

    “เฟ่ยซาน ป๊าไม่ใช่คนของเยี่ยนหวอ เหมือนม๊า กับพี่ พวกเรากับเยี่ยนหวอคือเครือญาติที่พร้อมจะช่วยเหลือกัน ไม่มีใครเป็นคนของใคร และไม่มีใครต้องรับคำสั่งใครอย่างที่คนนอกเข้าใจทั้งนั้น”

    “เรื่องนั้นพี่เคยเล่าให้ผมฟังแล้ว แต่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”

    “ป๊าก็คือคิม วุกเจ ท่านรองคิมที่เฟ่ยซานเอ่ยถึงเมื่อกี้ก็คือป๊ายังไงล่ะ” ป๊าจบก็หัวเราะดังลั่น ส่วนผมได้แต่ก้มหน้ารู้สึกอายจะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “มีอย่างที่ไหน พ่อของแฟนตัวเองชื่ออะไรยังไม่รู้” ประโยคสุดท้ายนี่ผมแทบอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้

    “ป๊า พอได้แล้ว เดี๋ยวถ้าแฟนผมกลัวจนหนีหายไป ป๊าต้องรับผิดชอบนะ”

    “เอาๆๆ ไม่ล้อแล้ว เฟ่ยซานก็อย่าถือสาป๊าเลยนะ นานๆ ทีจะได้เห็นไอ้ลูกหน้าตายมันเปลี่ยนสีหน้าบ้าง”

   “ครับ”

   “แล้วนี่เอาข้อมูลอะไรมาล่ะ ถึงต้องให้เยี่ยนหวอช่วย” ป๊าถามหลังจากหยุดหยอกล้อผมแล้ว

   “ครับ นี่เป็นข้อมูลที่ผมพยายามรวบรวมเท่าที่ผมมี แต่มีบางเรื่องที่ติดขัดผมเลยอยากให้ช่วยสืบ”

   “อืม”

   จากนั้นทุกคน รวมทั้งฟงหลิงและหยวนหยางก็เข้ามาฟังเรื่องที่ผมสรุปและจดออกมาคร่าว ๆ เมื่อคืน ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับพี่ชุน

   “จากทั้งหมดนี้ ผมยอมรับว่าบางเรื่องมันมาจากสัญชาตญาณและการคาดเดาของผม ไม่มีหลักฐานอะไรที่เชื่อมโยงเรื่องราวคนพวกนี้ได้”     

   “อืม ตาแหลมเหมือนกันนะไอ้ลูกชาย” หลังผมพูดจบป๊าก็พูดดอกเตอร์ แถบยังยิ้มชอบใจเสียอีก

   “หึ”

   “จากที่อาชุนสืบมาได้ วันที่คุณหนานเจอกับหวงกังโหที่โรงแรม มันกำลังซื้อขายอาวุธกับพวกไหว่ยี่” ฟงหลิวพูดถึงข้อมูลที่ผมไม่เคยได้รู้

   “ผมพอรู้จากพี่กู่ว่าพี่ชุนได้รับมอบหมายให้ไปสืบเรื่องคนที่ชื่อไหว่ยี่”

    “ไหว่ยี่เป็นแก๊งส์ค้าอาวุธข้ามชาติ ก่อตั้งโดยจุ้ยอั้ยเต๋อและพรรคพวก แต่เมื่อ 20 กว่าปีก่อนพวกไหว่ยี่ถูกตำรวจกวาดล้างไปจนหมด ไม่คิดว่าจะมีบางส่วนเหลือรอดมาจนทุกวันนี้” ป๊าอธิบายเสริม

   “ในห้องทำงานของฉินหรุยกวงพบสมุดจดเหมือนโค้ดอะไรสักอย่างของพวกไหว่ยี่ แสดงว่าฉินหรุยกวงก็เป็นคนของพวกมัน”

   “ใช่ ฉินหรุยกวงเป็นคนลักลอบนำเข้าอาวุธพวกนั้น โดยซุกซ่อนมากับสินค้าที่นำเข้ามา”

   “ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมเกาอี้กับโย่วซินหรูถึงต้องร่วมเมื่อกันวางระเบิดรถบัสเพื่อทำลายชื่อเสียงคนอย่างฉินหรุยกวง”

   “ฉินหรุยกวงเคยเปิดบริษัทฯ ให้เช่ารถแท็กซี่ และเกาเจินกุยพ่อของเกาเจี๋ยเคยทำอยู่ ดูเหมือนเกาเจี๋ยจะไปรู้อะไรบางอย่างถึงได้ถูกฆ่าปิดปาก ”

   “ป๊ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ ทางตำรวจยังไม่รู้เลย”

    “ที่ตำรวจไม่รู้เพราะไม่ได้สืบลึกไปถึงเรื่องของแก๊งส์ไหว่ยี่ยังไงล่ะ ในช่วงเวลานั้นมีคนถูกฆ่าปิดปากไม่ใช่เฉพาะเกาเจินกุยเท่านั้นนะ เหยื่อของทุกคดีล้วนเกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงทั้งนั้น”

   “แล้วทางการเอาผิดเขาไม่ได้เลยเหรอครับ”

   “ลักษณะการเสียชีวิตส่วนใหญ่ มักเป็นอุบัติเหตุ อีกทั้งเกิดในหลายๆ พื้นที่ เจ้าหน้าที่ในตอนนั้นจึงปิดคดีไปโดยไม่ได้ตรวจสอบอะไรลึกซึ้งนัก”

    “ถ้าอย่างนั้น ทั้งคดีของผม คดีรถบัสระเบิด รวมทั้งคดีของ” ผมหันไปมองหน้าดอกเตอร์เล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ต้วนเจียจง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับแก๊งไหว่ยี่”

   “ใช่ เจี่ยจงเป็นคนของพวกนั้นจริงๆ” ดอกเตอร์พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนผมเดาอารมณ์อีกคนไม่ออก
   
   “ถ้าป๊าคาดการณ์ไม่ผิด ดคีฆ่ารัดคอที่ยังปิดไม่ลงก็น่าจะเกี่ยวของกับไหว่ยี่ไม่มากก็น้อย”

   “ผมยังไม่เห็นความเชื่อมโยงของคดีเลย ว่าจะเกี่ยวกับพวกไหว่ยี่ตรงไหน” ผมถามออกไปอย่างสงสัย

   “สองศพสุดท้ายยังไงละ”

   “หวงกังโห กับเผิงฉินฉิน?”

   “ใช่ หยวนฮ่างพบคนที่น่าสงสัยบนเรือ แล้วยังเจอคนคนนั้นแถวๆ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่เฟ่ยซานกับหยวนฮ่างไปเปิดตัวกล่องสำริดอีก”

   “ขอโทษครับป๊า ผมตามไม่ทัน” สิ่งที่ป๊าพูดมันเกี่ยวกันตรงไหน

   “มีคนติดตามคุณหนานตั้งแต่อยู่บนเรือครับ อาชุนไม่อยากบอกให้คุณตกใจ แต่พวกเราสันนิษฐานว่า คนคนนี้น่าจะจำได้ว่าคุณไปเห็นการซื้อขายระหว่างหวงกังโหกับไหว่ยี่เข้า และคุณยังเป็นคนที่เข้าไปแอบถ่ายรูปฉินหรุยกวงกับเยี่ยนจูเฟิงอีกด้วย”

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคดีฆ่ารัดคอ” ผมหันไปถามฟงหลิวที่เป็นคนอธิบายซะยาวยืด แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

   “พวกนักฆ่า หากเสพติดการฆ่าคนแล้ว เมื่อไม่ได้รับคำสั่งให้ไปจัดการใคร มันก็จะดิ้นรนหาเหยื่อด้วยตัวเอง”

   “พี่หยวนฮ่างกำลังจะบอกว่า นักฆ่าที่ทำร้ายพี่กู่บนเรือ คือฆาตกรต่อเนื่องในคดีฆ่ารัดคออย่างนั้นเหรอ”

   “มีความเป็นไปได้มาก เพราะหวงกังโหรู้จักคนของไหว่ยี่ และกำลังหลบหนีตำรวจอยู่ พวกนั้นยังไงก็ต้องจัดการฆ่าปิดปากอยู่แล้ว  ส่วนเผิงฉินฉินนั้นลอบหลบหนีออกมาจากโกดังของเจียจง ถ้าเธอหนีออกมาแจ้งตำรวจได้ โกดังนั่นก็จะถูกเปิดโปง”

   “ไหน ๆ ก็ต้องกำจัดคนพวกนั้นอยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่โรคจิตอย่างมันคิดจะเล่นสนุกกับเหยื่อ”

   “หลิวฟงบอกว่า มีคนตามผม คนคนนั้นใช่ฆาตกรต่อเนื่องนั่นไหม?”

   “พวกเรายังไม่แน่ใจครับ ที่แน่ใจคือไอ้หมอนั่นน่าจะเป็นคนฆ่าอาชุน เพราะกระสุนที่หน้าอกนั่น ยิงตัดขั้วหัวใจพอดี หวังให้ตายทันที”

   “พวกคุณเลยคิดว่าการที่มันลงมือโหดเหี้ยมกับพี่ชุนแบบนี้ มันน่าจะเป็นคนคนเดียวกับฆาตกรต่อเนื่องนั่น”

    “ดูจากรายงานชันสูตรศพของฉินฉินที่ป๊าเพิ่งได้รับเมื่อเช้า จากบาดแผลที่คอ ทางฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมบอกว่า มันกำลังโกรธจึงแสดงออกด้วยการรัดคออย่างโหดเหี้ยม เช่นเดียวกับศพของหวงกังโห ต่างกันที่ หวงกังโหตายแล้วค่อยรัดคอ แต่สำหรับฉินฉิน เธอถูกรัดคอตอนที่เธอยังมีสติอยู่”

   ฟังจากที่ป๊าเล่า ทำให้ผมรู้สึกไม่ได้เลย มันหดหู่ สงสาร เด็กตัวแค่นั้นต้องมาเจออะไรที่ไม่สมควรจะเจอแบบนี้

   “เฟ่ยซาน” ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ทำให้ผมพึ่งรู้สึกตัวว่าทุกคนกำลังมองมาที่ผม “วางมือจากเรื่องนี้ซะ”

   “เชื่อหยวนฮ่างเถอะ วางมือจากคดีพวกนี้ซะ ที่เหลือป๊าจัดการเอง”

    “แต่”

    “ไม่เชื่อฝีมือป๊าอย่างนั้นเหรอ?”

    “มะ ไม่ใช่ครับ ผมเพียงแต่อยากช่วย”

    “ตอนนี้การอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ถือเป็นการช่วยงานป๊าแล้ว อย่าลืมนะว่าพวกมันกำลังตามดูเราอยู่”

    “แล้วคนที่ตามผมอยู่เป็นใครเหรอครับ?”

    “เพื่อนของคุณหนานที่เจอในร้านกาแฟ แถวๆ พิพิธภัณฑ์สภานแห่งชาติครับ” หยวนหยางตอบ

   “อาเต๋อ? อาเต๋อเขาเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยเท่านั้น เขา...เป็นคนของไหว่ยี่อย่างนั้นเหรอ?”

   ตอนแรกผมกำลังที่จะตั้งท่าเถียง หากมานึกขึ้นได้ว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับอาเต๋อมากนัก อีกทั้งพวกขบวนการค้าอาวุธคงไม่มีใครเอาป้ายมาแขวนคอบอกว่าตัวเองขายอาวุธหรอก ทำให้ประโยคหลังของผมแผ่วลงไปในที่สุด

   “ตอนนี้ก็อยู่บ้าน พักผ่อน ส่งเรื่องลางานกับที่สำนักพิพม์ด้วย” ป๊าพูดพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน หยวนหยางและฟงหลิวก็ลุกขึ้นตาม “อันนี้ป๊าขอยึดไว้ก่อน” ป๊าก้มลงมาหยิบสมุดโน๊ตของผม “แกก็ดูแลแฟนให้ดี ๆ นะ ที่เหลือป๊าจัดการเอง อ่อ!! บอกอาเถิงด้วย เรื่องไหวยี่ ป๊าคงต้องยื่นมือเขาไปสอดแล้ว”

    “อืม เดี๋ยวผมโทรบอกให้”

   จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกจากบ้านไป ภายในห้องรับแขกจึงเหลือแต่ผมกับดอกเตอร์เพียงสองคน

    “ทำไมไม่เอาข้าวต้มมาอุ่นกิน พี่ทำไว้ให้ตั้งแต่เช้า เก็บอยู่ในตู้เย็น”

    “หา?”

    “ก็เรากินบะหมี่สำเร็จรูปไม่ใช่เหรอ เที่ยงนี้น่ะ”

    “พี่รู้ได้ยังไง?”

    “กลิ่น”

    “ผมไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

   ดอกเตอร์ยิ้มให้ก่อนเอามือโยกหัวผมไปมา ผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าเขายิ้มบ่อยขึ้น




To Be Continued
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 41 ---ll--- 01-04-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 01-04-2020 21:37:20
รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 42 ---ll--- 02-04-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 02-04-2020 10:29:47
42








    หลังจากรายงานตัวและประชุมเพื่อรายงานผลของคดีเสร็จเรียบร้อย ท่านรองคิมก็ตั้งทีมพิเศษขึ้นเพื่อรับผิดชอบคดีนี้ โดยมีผานกู่ ตู้เห่า เหยินหยางผิง ชิวกัมหง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิเศษอีกสองคนที่จะเดินทางมาถึงที่สถานีบ่ายนี้

    ตอนนี้พวกเขา 4 กำลังรวบรวมข้อมูลของคดีที่ท่านรองคิมสั่งให้หาและทำการสรุปมารายงานด่วนภายในวันนี้ ซึ่งพวกเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าคดีเหล่านี้มันเกี่ยวข้องอะไรกัน

    “ฉันได้รับบันทึกคดีอุบัติเหตุรถค่ำมาแล้วนะ” ตู้เห่าโบกเอกสารที่พึ่งปริ้นส์ออกมาสดๆ ร้อน ๆ พร้อมตะโกนบอกคนในทีม “เอาเจ้าหมี” ชิวกัมหงรับมาทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากเอกสารที่อ่านอยู่

    “หยางผิง นายได้เอกสารคดีคนจมน้ำรึยัง”

    “ก็อยู่บนโต๊ะนายไง เอาไปให้แล้ว คุ้ยๆ ดู อยู่บนนั้นนั่นแหละ” เหยินยางพิงที่กำลังยุ่งอยู่บ่นทั้งที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของตัวเอง

    ชิวกัมหงควานหาอะไรบนโต๊ะ เมื่ออ่านเอกสารจบก็ตรงไปพลิกไวน์บอร์ดกลับมาสู่ด้านที่ว่างอยู่อย่างรวดเร็ว จนคนให้ห้องถึงกับต้องหยุดงานในมือเพื่อมองไปที่เขา

    “นายเจออะไร” ผานกู่เดินไปยืนดูชิวกัมหงขีดๆ เขียน ๆ ตัวหนังสืออยู่บนกระดาน ดูเหมือนจะเป็นรายชื่อของเหยื่อ และผู้เสียหายในคดี

    “นี่ นี่ นี่” ชิวกัมหงวงชื่อต่าง ๆ ในแต่ละคดี “และนี่ 4 คนนี้เคยทำงานให้กับบริษัทฯ ที่ฉินหรุยกวงเป็นเจ้าของ”

    “เฮ้ย มันจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น” เหยินหยางผิงที่เดินมาสมทบกับผานกู่ทันทีที่ได้ยิน

    “มันอาจจะไม่ใช่ความบังเอิญก็ได้ พวกนายดูนี่ คดีสุดท้ายที่ท่านรองคิมให้หา” ตู้เห่านำเอกสารที่เพิ่งปรินส์ออกมาเดินมาสมทบพวกเขาแล้วยื่นมาให้

    “อุบัติเหตุรถแท็กซี่ ผู้เสียชีวิต...เกาเจินกุย” เหยินหยางผิงอ่าน

    “ใช่ เกาเจินกุย พี่ชายของเกาอี้ผู้สมรู้ร่วมคิดกับโย่วซินหรูในคดีวางระเบิดรถบัส เขาเคยทำงานที่บริษัทให้เช่ารถแท็กซี่ของฉินหรุยกวง” ตู้เห่าตอบ

    “แล้วเหยือรายอื่นละ สถานที่ทำงาน” ผานกู่ถาม

    “เดี๋ยวฉันจะตรวจสอบบริษัทฯ ที่พวกเขาทำงาน”
ชิวกัมหงรีบเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะของตัวเองทันที เพื่อเช็คดูว่าเหยือรายอื่นๆ เกี่ยวข้องกับฉินหรุยกวงหรือไม่ พวกเขาที่เหลือจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามเดิม ผานกู่ยังไม่ทันจะเดินถึงโต๊ะก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาสองคนพร้อมกับกล่องเอกสารในมือ   

    “ท่านรองคิมให้ผมเอามาให้ครับ” ผานกู่และตู้เห่าจึงเดินไปรับ เมื่อวางบนโต๊ะประชุมตรงกลางห้องแล้วจึงเปิดดู

    “นี่มันอะไร?” ตู้เห่าพูดขึ้นอย่างสงสัย เรียกสายตาทุกคนให้เงยหน้าขึ้นมอง ซึ่งเขาเองก็สงสัย

    ภายในกล่องที่เขาเปิดดูเป็นแฟ้มคดีที่พวกเขาเพิ่งทำผ่านไปไม่นาน ทั้งคดีที่หนานเฟ่ยซานโดนทำร้าย คดีอุบัติเหตุไฟฟ้ารั่วที่ผับของหวงกังโห คดีที่ฉินหรุยกวงถูกทำร้ายจนเสียชีวิต คดีไฟไหม้ห้องพักแห่งหนึ่ง และยังมีคดียิบย่อยอีกหลายคดี

    “กล่องนี้มีแต่คดีเก่าที่พวกเราเพิ่งทำไป” ผานกู่เอ่ยขึ้น

    “กล่องนี้ก็เหมือนกัน นี่ คดีรถบัสระเบิด” ตู้เห่าวางแฟ้มลงบนโต๊ะ “นี่ คดีคนหาย”

    “หรือท่านรองต้องการตรวจสอบการทำงานของพวกเรา” เหยินหยางผิงเดินเข้ามาล้อมที่โต๊ะกลางอีกคน พร้อมทั้งหยิบแฟ้มคดีหนึ่งในกล่องออกมาเปิดอ่าน

    “ผมไม่มีเวลามาตรวจสอบการทำงานของพวกคุณหรอกนะ” เสียงเปิดประตูตามมาด้วยเสียงของท่านรองคิม

    พวกเขาทั้ง 4 ต่างยืนตรงทำความเคารพท่านรองคิมที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมกับชายอีกสองคน ที่พวกเขาพอจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง

    “ท่านรอง สองคนนั่น?” ตู้เห่าถามขึ้นเพราะเขาเคยเห็นสองคนนั่นที่โรงพยาบาล อีกทั้งดูเหมือนจะเป็นคนที่ติดตามหนานเฟ่ยซานอยู่ในช่วงนี้

    “นี่เจ้าหน้าที่พิเศษหยวนหยาง และเจ้าหน้าที่พิเศษฟงหลิว”

    “ผมเคยเห็นพวกคุณอยู่กับเฟ่ยซาน” ผานกู่ถามออกมาทันทีที่ท่านรองคิมแนะนำคนทั้งสองเสร็จ

    “พวกเราได้รับหมอบหมายให้ตามคุ้มกันคุณหนาน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของพวกคุณถอนกำลังแล้ว จากคดีที่คุณหนานถูกทำร้ายที่โรงแรม”

    “ทำไมยังต้องคุ้มกัน ในเมื่อหวงกังโหก็ตายไปแล้ว”

    “เรามานั่งคุยกันดีกว่า อย่ายืนคุยกันอยู่อย่างนี้เลย” ชิวกัมหงที่เดินมาสมทบห้ามขึ้นเมื่อเห็นผานกู่เริ่มไม่สบอารมณ์ เพราะสิ่งที่เจ้าหน้าที่พิเศษเอ่ยนั้นไม่ต่างอะไรกับการก้าวก่ายงานที่พวกเขารับผิดชอบอยู่
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว คำถามมากมายก็เกิดขึ้น รวมทั้งสาเหตุที่ต้องรื้อคดีเก่าขึ้นมาอีกด้วย หากแต่คำถามทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษทั้งสองคนตอบได้หมดจนคลายข้อสงสัย

    “ผมขอถามข้อสุดท้าย พวกคุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” ผานกู่ที่สงสัยว่าคนพวกนี้พึ่งเข้ามารับหน้าที่ได้เพียงวันเดียวกับมีข้อมูลมากกว่าพวกเขาที่ตามคดีกันมาเป็นแรมเดือน

    “นั่นเป็นเพราะพวกเราตามทำคดีไหว่ยี่มานาน และคดีทั้งหมดนี่เกี่ยวข้องกับพวกแก๊งส์ไหว่ยี่”

    “ผมเข้าใจแล้ว” ผานกู่คลายความสงสัยลง และที่คนพวกนี้ต้องตามคุ้มกันหนานเฟ่ยซานคงเป็นเพราะผู้ต้องสงสัยอีกฝ่ายคือพวกไหว่ยี่ที่ยังไม่สามารถจับกุมได้นั่นเอง

    “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราก็เริ่มลงมือทำงานกันได้ หยวนหยาง ผานกู่ พวกนายสองคนไปเกาลูน ตามจับต้วนเจียจงมาให้ได้ ผมประสานงานเจ้าหน้าที่ท้องที่ให้แล้ว ไปเอาตัวมันกลับมาให้ได้ภายในสองวัน ฟงหลิวนายไปกับเหยินหยางผิง ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเมื่อคืนนี้อีกครั้ง ชิวกัมหง นายไปสืบหาคนที่ชื่ออาเต๋อ ระวังตัวด้วย อาเต๋ออาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่ทำร้ายผานกู่บนเรือ ส่วนตู้เห่า ไปตรวจสอบมาว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปถ่ายเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับเยียจูเฟิงยังไง”

    เมื่อท่านรองคิมสั่งการเสร็จทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย   

.........................................................................

     หลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ออกมาจากห้องนอน เขาเห็นหนานเฟ่ยซานนั่งอยู่กับพื้น โดยอาศัยโต๊ะกลางของชุดรับแขกเป็นโต๊ะทำงาน หนานเฟ่ยซานกำลังตั้งใจอ่านบทความอะไรสักอย่างบนหน้าจอโน้ตบุ๊ค

    “ทำอะไรอยู่” เขาเดินไปนั่งที่โซฟาด้านหลังของหนานเฟ่ยซาน พร้อมทั้งโน้มตัวไปข้างหน้าให้ศีรษะอยู่ระดับเดียวกันกับอีกคน

    “พี่หยวนฮ่างตื่นแล้วเหรอ” เฟ่ยซานหันจากจอมาถามเขา เขาจึงเอาคางเคยไว้ที่ไหล่ของอีกคน

    “อืม อ่านอะไรอยู่ ยังไม่ได้ตอบพี่เลย”

    “อีเมลจากจีเจียน”

    “งาน?”

    “ไม่ใช่ ในเมลจีเจียนบอกว่าทำโทรศัพท์ตกแล้วหน้าจอแตก ผมเลยคุยกับเขาผ่านช่องแชทในอีเมล”

    “แล้วลางานกับบก. แล้วใช่ไหม?”

    “อืม โทรไปลาแล้ว บก.ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

    “ดีแล้ว หิวรึยัง?” อีกคนส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “พี่หยวนฮ่าง ผมรู้สึกแปลกๆ”

    “เรื่องที่ต้องมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ?”

    “ไม่ใช่ ข้อความจากจีเจียนต่างหาก”

    “แปลกยังไง?”

    “พี่ดูนี่นะ”

    หนานเฟ่ยซานเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาให้ดู ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งตอนเช้า มิสคอลของโฮวจีเจียนเกือบ 20 สาย ดูเหมือนว่าอีกคนจะร้อนใจเรื่องอะไรสักอย่าง

    และอีกแอพพลิเคชั่น ข้อความผ่านแชทพยายามถามว่าหนานเฟ่ยซานอยู่ที่ไหน ทำอะไร เหตุใดถึงไม่รับสาย อีกฝ่ายต้องการจะปรึกษาเรื่องของ ‘ฉี่เยว่’

    “ฉี่เยว่?”

    “แฟนของจีเจียน ช่วงหลังๆ นี้เธอดูเหมือนจะไม่มั่นใจในตัวจีเจียน ผมเลยแนะนำให้จีเจียนพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอในอนาคต เพราะจีเจียนไม่เคยพูดคุยเรื่องนี้กับแฟนตัวเองเลย”

    “นอกจากเป็นนักข่าว นักสืบ แล้วยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านความรักอีกอย่างนั้นเหรอ?”

    “ไม่ใช่สักหน่อย พี่หยวนฮ่างอย่างเพิ่งนอกเรื่องสิ”

    “อืม”

    “แล้วพี่ลองอ่านข้อความในแชทสิ”

    เขาไล่สายตาอ่านข้อความในแชท เมื่ออ่านไปจนสุดหน้าจอเขาก็เอื้อมมือไปขยับเม้าท์ กลายเป็นว่าคางของเขาเกยอยู่บนไหล่ซ้ายของอีกคน มือขาวขยับเม้าท์ไล่อ่านข้อความไปเรื่อย ๆ

    “พี่หยวนฮ่าง…”

    “หืม…”

    “เอ่อ ผมอึดอัด” เขาสังเกตเห็นใบหูแดงๆ ของอีกฝ่าย จึงเลิกกลั่นแกล้งหนานเฟ่ยซาน

     “เขาอาจจะเจอแฟนของเขาแล้วก็ได้” เขาตอบหลังจากอ่านข้อความจบ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นมานั่งพิงพนักโซฟา

    “ผมว่ามันแปลก ๆ ตอนที่โทรไปคุยกับบก. เขายังบ่นจีเจียนอยู่เลย บก. บอกว่าจีเจียนเข้าไปที่สำนักงานเมื่อเช้านี้ ก็เอาแต่ตามหาผม เหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่าง”

    “อืม”

    “แต่จากข้อความแชทผ่านอีเมลกลับไม่มีเรื่องของฉี่เยว่เลย ถ้าได้เจอหรือคุยกันแล้ว ถ้าเป็นจีเจียนน่ะเหรอ คงต้องรีบคุยโวไปแล้ว”

    “แล้วเราสงสัยอะไร?”

    “ผมกลัวว่าคนใกล้ตัวผมจะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าอาเต๋อคอยตามผม เขาก็อาจจะเคยเห็นจีเจียนอยู่กับผม”

    “ได้ลองโทรหาเขารึยังล่ะ?”

    “โทรแล้ว แต่จีเจียนไม่รับสาย แค่หน้าจอแตก อย่างมากก็ไม่รู้ว่าใครโทรเข้ามาเท่านั้น โทรศัพท์ไม่ได้พังสักหน่อย”

    “ลองวิดีโอคอลไปสิ”

    “จริงด้วย” หนานเฟ่ยซาน กดเรียกสายวีดีโอคอล โดยขยับโน้ตบุ๊คไม่ให้ติดใบหน้าเขาเข้าไปในเฟรมภาพ เรียกสัญญาณไม่นาน ภาพชายใบหน้ากลม ติดจะท้วมก็ปรากฎขึ้น “จีเจียน ขอโทษอีกทีนะ ฉันเพิ่งชาร์ทแบตโทรศัพท์นะ”

    “อืม ไม่เป็นไร” ภาพด้านหลังของโฮ่วจีเจียนเป็นผ่านม่านเนื้อดี ที่ดูแล้วมีราคานั่นทำให้เหมิ๋นหยวนฮ่างขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย เขามีรางสังหรณ์แปลกๆ

    “นายได้คุยกับฉี่เยว่แล้วเหรอ”

    “ฉะ ฉันเลิกกับเธอแล้ว”

    “อะ อ่าว...เอ่อ… นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” น้ำเสียงของเฟ่ยซานดูจะเห็นใจเพื่อนไม่น้อย

    “อืม ไม่เป็นไร เอ่อ...นายออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม?”

    “ฉันรู้ว่านายกำลังรู้สึกไม่ดี เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวเราไปเจอกันที่สำนักงาน อย่างน้อยนายได้ทำงาน จะได้ไม่คิดฟุ้งซาน”

    “เอ่อ… ฉัน...ไม่อยากเข้าไปที่สำนักงาน นายมาหาฉันหน่อย ฉันอยากมีเพื่อนคุย”

    “ให้ฉันไปหาที่บ้านไหม?”

    “ไม่ๆๆ” คนในจอรีบปฏิเสธอย่างมีพิรุธ “นายมาเจอฉันที่สวนสาธารณะได้ไหม”

    พรึบ!! เหมิ๋นหยวนฮ่างพับหน้าโน๊ตบุ๊คลงทันที

    “พี่หยวนฮ่าง ทำอะไร? ผมยังคุยกับจีเจียนอยู่นะ”

    “ห้ามออกไปไหน อยู่แต่ที่บ้าน เดี๋ยวพี่ไปรับเขามาหาเราที่นี่ รับปากพี่”

    “อืม” ถึงหนานเฟ่ยซานจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่างงกับการกระทำของเขา แต่ก็รับปากเขาโดยดี

    “บอกกับเขาว่าจะไปตามนัด ไม่ต้องพูดอะไรนอกจากนี้”

    “จีเจียนต้องดีใจแน่ที่เจอพี่ เขาอยากสัมภาษณ์พี่มาตั้งนานแล้ว”

    หนานเฟ่ยซานยิ้มอย่างยินดีก่อนเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คและต่อสัญญาณวิดีโอคอลอีกครั้ง หลังจากทั้งสองนัดแนะเวลาและสถานที่กันเรียบร้อย เหมิ๋นหยวนฮ่างก็ปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาฝู่เถิงทันที


       
To Be Continued

หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 42 ---ll--- 02-04-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-05-2020 03:06:35
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: Amo ที่ 06-06-2020 20:09:06
43








          เมื่อสัญญาณจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ดับลง ภายในห้องก็เงียบสนิทอีกครั้งจนน่าอึดอัด ความหวาดกลัวที่มีอยู่แล้วกลับยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ โฮวจีเจียนไม่แม้แต่จะกล้ามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งเสียงหวานที่คุ้นเคยได้เอ่ยขึ้น

          “เหลาเยีย จะให้จีเจียนไปที่สวนนั่นจริง ๆ เหรอ” ฉี่เยว่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยียจูเฟิงถามขึ้น ทั้งยังแสดงท่าทางออดอ้อนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          “ฉันคุ้น ๆ บ้านหลังนั้น เธอเงียบไปก่อน” คุณเยียเหมือนกำลังใช้ความคิด ทั้งยังปัดมือไม้ของฉี่เยว่ออกไปอย่างรำคาญ แต่เขากลับนึกอิจฉาถึงแม้จะไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ตามที

          สิ้นคำพูดของเยียจูเฟิงทำให้ในห้องกลับเงียบลงอีกครั้ง โฮวจีเจียนนึกย้อนไปในขณะที่ถูกเลขาของคุณเยียพามานี่ ไม่ใช่เรื่องสัมภาษณ์อะไรอย่างที่เขาคิดไปเอง แต่ถูกตามตัวมาเพราะเรื่องของฉี่เยว่

          เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฉี่เยว่เป็น เมีย อีกคนของเยียจูเฟิง ไม่เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียวว่านักธุรกิจชื่อดังผู้นี้มีบ้านเล็กบ้านน้อย หรือแม้แต่จะมีข่าวกับหญิงสาวคนอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาของตน

          และสิ่งที่โฮวจีเจียนได้รู้ได้เห็นในวันนี้ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ได้รู้ว่าคนอย่างเยียจูเฟิงไม่ใช่นักธุรกิจใสซื่อมือสะอาดอย่างที่แสดงออกไป ถึงแม้บางทีจะดูว่ามีเล่ห์เหลี่ยมบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เศษเสี้ยวแม้สักนิดจากที่เขาได้เห็นในวันนี้

          เขาเกือบจะจบชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ถ้าหนานเฟ่ยซานไม่ได้โทรเข้ามาหาเขา ไม่รู้ว่าลูกกระสุนจะเจาะกระโหลกพาให้สมองไหลออกมาย่างสยดสยองเช่นไร แต่คิดก็หนาวสะท้านไปทั้งกาย

          โฮวจีเจียนไม่รู้เลยว่าเพื่อนของเขาอย่างหนานเฟ่ยซานที่วัน ๆ เอาแต่ทำข้าวนั้นข่าวนี้ไปเรื่อย จะไปทำอะไรให้คนผู้นี้ไม่พอใจ เยียจูเฟิงถึงเสนอทางรอดให้กับเขาโดยการนัดหนานเฟ่ยซานออกมาเจอข้างนอก

          “ฉันนึกออกแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของจุ้ยอั้ยเต๋อ” เยียจูเฟิงเอ่ยขึ้นมา ทำให้เขาหลุดออกจากความคิดฟุ้งซ่าน และถึงกับลอบเหลือบมองผู้พูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ซือหวู ไปที่ชุง ฮอม กอก”

          “ครับ” อีกคนก็ตอบง่ายๆ ไม่คิดจะถามหรือขยายความก็รู้กัน แบ้วหนานเฟ่ยซานไปอยู่ที่ ชุง ฮอม กอกได้ยังไง ไปบ้านใคร

          คนที่ชื่อซือหวูเดินมาเอาคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเขาไปทำให้ความคิดฟุ้งซ่านของเขาหยุดลงอีกครั้ง สายตาเหลือบมองทุกคนที่ต่างทยอยกันเดินออกจากห้องไม่เว้นแม้กระทั่งฉี่เยว่

          โฮวจีเจียนพยายามส่งสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่เธอแทบจะไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ และยังปล่อยเขาทิ้งไว้ในห้องเพียงคนเดียว จนเวลาผ่านไปสักระยะ เขาจึงลองเดินไปที่ประตูห้อง ปรากฎว่ามันถูกล็อคจากด้านนอก เมื่อเดินไปดูที่หน้าต่าง ก็ไม่สามารถเปิดออกไปได้ เขาถูกขังให้อยู่ในห้องนี้ซะแล้ว ความหวังเดียวที่จะรอดไปจากที่นี่ได้คือหนานเฟ่ยซานเท่านั้น

.........................................................................

          ฉี่เยว่เดินตามหลังเยียจูฟิงมาติดๆ เธอรู้ดีว่าเขาโกรธเธอเรื่องของโฮวจีเจียนมาก เรื่องนี้จะไม่ถูกจับได้เลยถ้าไอ้อ้วนนั่นไม่กระหน่ำโทรมาหาเธอตลอดทั้งคืน

          “เหลาเยีย ยังโกรธฉันอยู่เหรอ”

          “ฉันให้เธอหาวิธีจัดการโฮวจีเจียน ถ้าเธอทำได้ ฉันจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

          เยียจูเฟิงพูดจบก็เดินเข้าห้องทำงานส่วนตัวไป ซึ่งห้องนี้หากไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่คุณนายเยียก็ไม่สามารถเข้าไปได้เช่นกัน เธอจึงต้องจำใจเดินกลับไปยังห้องนอนของเธอ

          เธอต้องหาวิธีกำจัดโฮ่วจีเจียนให้ได้ แม้ว่าเธอจะเห็นแก่ตัวสักแค่ไหน แต่เรื่องให้ไปฆ่าแกงใครนั้นเธอไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ แต่เพื่อที่เยียจูเฟิงจะได้กลับมารักและเอ็นดูเธอดังเดิม เธอคงต้องข่มความกลัวที่มีอยู่และคนที่เธอจะพึ่งพาได้คงมีแต่พี่ชายของเธอเท่านั้น เธอจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหาต้วนเจียจงทันที

          “พี่ใหญ่”

          ‘เรื่องของเธอ พี่พอจะรู้แล้ว ก็ดีเหมือนกันที่เธอไปอยู่กับเหลาเยีย อย่างน้อยพี่จะได้ไม่เป็นห่วง’

          “ฉันโทรมาไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”

          ‘เธอมีอะไร’

          “ฉันมีปัญหา ไอ้อ้วนนั่นมันดันโทรมาเมื่อคืน เหลาเยียเลยจับได้ว่าฉันแอบไปเที่ยวเล่นกับไอ้อ้วนนั่น”

          ‘ถ้าฉันเดาไม่ผิด ไอ้หมอนั่นน่าจะไม่รอด รวมทั้งเธอด้วย แล้วเธอจะทำยังไง’ น้ำเสียงของพี่ชายดูเป็นห่วงเธออย่างไม่ปิดบัง

          “บังเอิญว่าไอ้อ้วนนั่นดันเป็นเพื่อนกับคนที่เหลาเยียต้องการตัว”

          ‘ใคร?’

          “ได้ยินว่าชื่อ หนานเฟ่ยซาน”

          ‘อืม มันเป็นนักข่าว และมีรูปหลักฐานที่เหลาเยียอยู่กับคนของเขา’

          “หลักฐาน? เหลาเยียทำอะไร”

          ‘เธอไม่ต้องรู้หรอก’

          “เกี่ยวกับไหว่ยี่ใช่ไหม? อาเต๋อเคยบอกว่าพี่เองก็ถูกไหว่ยี่เพ่งเล็งอยู่”

          ‘เฮ้อ...เอาเป็นว่า เธอก็ทำตัวดี ๆ ก็แล้วกัน แล้วที่โทรมานี่ มีเรื่องอะไร ทำไมเหลาเยียถึงจะปล่อยเธอไว้’

          “เหลาเยียให้ฉันกำจัดไอ้อ้วน ถ้าฉันทำสำเร็จ เขาจะคิดเสียว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

          ‘เสี่ยวเยว่...เธอไว้ใจเหลาเยียไม่ได้หรอกนะ’

          “แต่...พี่ก็รู้ว่าฉันรักเขา”

          ‘คนอย่างเหลาเยีย เขาไม่รักใครนอกจากตัวเองหรอก’ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็เห็นกับตามาแล้ว ตอนที่เยียจูเฟิงรู้เรื่องโฮวจีเจียน เขาโกรธกระทั่งปาแก้วบรั่นดีในมือใส่หน้าเธอ จนเธอได้แผลที่ศีรษะมา

          “พี่ใหญ่…” เธอเอ่อยกับปลายสายเสียงเคลือ

          ‘พี่จะกลับมาเก๊าให้เร็วที่สุด เรื่องของไอ้อ้วนนั่น พี่จะจัดการให้เอง ตอนนี้อยู่บ้านเหลาเยียก็ระวังตัวให้ดี ทำตัวดีๆ เข้าไว้”

          “อืม พี่รีบกลับมานะ”

          ‘ได้ พี่จะรีบกลับ’

          เมื่อวางสายไปแล้ว ฉี่เยว่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง คิดตามในสิ่งที่พี่ชายของเธอพูด แต่จะให้เธอตัดใจจากเยียจูเฟิงเธอก็คงทำไม่ได้

.........................................................................

          เมื่อถึงเวลาที่โฮวจีเจียนนัดกับหนานเฟ่ยซาน รอบๆ สถานที่นัดหมายกลับไม่พบนักข่าวร่างท้วมแม้แต่น้อย เหมิ๋นหยวนฮ่างเดินสำรวจรอบ ๆ สวนสาธารณะ ก็พบเพียงแต่ผู้ที่ออกมาวิ่งออกกำลังกายยามเย็นเท่านั้น แต่ที่ผิดปกติคงจะเป็นนักวิ่งพวกนั้นมีผ้าปิดปากที่ไม่ค่อยจะเข้ากับชุดออกกำลังกายสีสันฉูดฉาดเท่าไรนัก

          เหมิ๋นหยวนฮ่างระวังตัวมาขึ้น เพราะคนน่าสงสัยพวกนั้น เขานับคร่าว ๆ มีราว ๆ 10 กว่าคนทีเดียว คนที่เตี๋ยส่งมาช่วยเขาก็อยู่ด้านนอกสวน ภายในมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดูเหมือนว่าหนานเฟ่ยซานคงจะถูกเพื่อนสนิทหักหลังอีกเป็นแน่

          เขารอโฮวจีเจียนอยู่ราว ๆ ชั่วโมง พวกนักวิ่งกำมะลอพวกนั้นก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่โดยรอบไม่ไปไหน เหมิ๋นหยวนฮ่างจึงคิดที่จะกลับไปหาหนานเฟ่ยซ่าน ยังก้าวไม่พ้นทางออกสวนสาธารณะแห่งนี้ เสียงสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น และยังไม่ทันได้ดูที่หน้าจอ พวกนักวิ่งกำมะลอก็เข้ามาสะกัดเข้าเสียก่อน ชายคนหนึ่งที่เตะเข้ามา ทำให้เขาตั้งกาดสกัดไม่ให้โดนใบหน้า ทำให้โทรศัพ์ที่อยู่ในมือข้างหนึ่งตกลงบนสนามหญ้าอย่างช่วยไม่ได้

          เขารับมือคนที่เข้ามาทำร้าย ซึ่งหลายคนที่เข้ามา เขาเห็นสังเกตเห็น คนเหล่านี้มักมาวนเวียนใกล้ๆ เขาหลายครั้ง และเพียงไม่นานคนของเตี๋ยก็เข้ามาช่วย ทำให้การทะเลาะวิวาทขยายเป็นวงกว้าง จนผู้คนที่มาออกกำลังกายจริง ๆ ถึงกลับหนีออกนอกสวนสาธารณะแห่งนี้กันแทบไม่ทัน

.........................................................................

          ดอกเตอร์ออกไปรับจีเจียนแล้ว ผมจึงเข้ามามาในห้องเขียนจดหมายลางานกับบก. ถึงจะโทรไปแจ้งแล้ว แต่เรื่องเอกสารก็ต้องทำตามหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อมันเป็นกฎของบริษัทฯ

          เมื่อผมเขียนจดหมายเสร็จก็แนบส่งไปทางอีเมล โดยไม่ลืมที่จะโทรไปกำชับกับบก. อีกครั้ง

          ‘ว่าไงเฟ่ยซาน’

          “บก. ครับ ผมส่งจดหมายลาไปทางอีเมลแล้วนะครับ หวังว่าผมคงไม่ถูกหักเงินเดือนตามหลังนะครับ”

          ‘รู้แล้วน่า พนักงานดีเด่นอย่างนาย ใครจะกล้าหักเงินเดือน ถ้าเป็นจีเจียนสิไม่ว่า’

          “วันนี้จีเจียนไม่ได้เข้าไปที่สำนักงานใช่ไหมครับ บก. ก็อย่างเพิ่งว่าเขาเลย เขาอาจจะมีเหตุจำเป็นบางอย่างก็ได้”

          ‘ใครว่าละ จีเจียนเข้ามาแล้วเมื่อเช้า มาตามหานายแค่ไม่ถึง 10 นาทีก็ออกจากสำนักงานไป จนป่านนี้หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ผมโทรไปก็ไม่รับสาย โทรจนขี้เกียจจะโทรแล้ว’

          “โทรศัพท์ของจีเจียนมีปัญหาครับ ผมเพิ่งได้คุยกับจีเจียนเมื่อชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนผ่านวิดีโอคอลทางอีเมล”

          ‘เอ่อๆ ยังไงถ้าไดคุยกันก็บอกให้มันโทรหาผมด้วย หายไปแบบนี้งานการที่สั่งให้ทำก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว ผมจะให้คนอื่นทำแทนไปก่อน บอกจีเจียนด้วย’

          “ครับ เดี๋ยวค่ำนี้ผมเจอจีเจียนแล้วจะบอกเขาให้นะครับ”

          ผมไม่รู้ว่าจะสมน้ำหน้าหรือสงสารจีเจียนดี ที่หายไปเพียงไม่ถึงวัน บก.ก็บ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็อย่างว่า จีเจียนชอบทำตัวไม่น่าไว้ใจเอง สงสัยว่าปลายปีนี้ เพื่อนคนนี้คงไม่ได้ปรับเงินเดือนเป็นแน่

          ผมปิดโน๊ตบุ๊คลง และตั้งใจว่าจะออกไปดูทีวีรอดอกเตอร์กับจีเจียนที่ห้องนั่งเลย ส่วนเรื่องทำอาหารเย็นรอนั่นลืมไปได้เลย ผมไม่ได้เก่งอย่างดอกเตอร์ที่ทำไปได้เสียอทุกอย่าง แถมเก่งไปเสียทุกเรื่อง

          ผมเดินไปยังห้องนั่งเล่น เหมือนจะได้ยินเสียงทีวีแว่ว ๆ มา เมื่อมาถึงก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ มองจากด้านหลังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ คนคนนี้ไม่ใช่ดอกเตอร์

          “คุยงานเสร็จแล้วเหรอเฟ่ยซาน” ชายคนนั้นหันกลับมา ทำให้ผมเห็นว่านอกจากที่เขาจะมานั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์แล้ว เขายังกำลังถือถ้วยโจ๊ก และนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย โจ๊กที่ดอกเตอร์ทำให้ผมเมื่อเช้า

          “อาเต๋อ นะ นะ นายเข้ามาได้ยังไง”

          “ฉันก็แค่เดินเข้าประตูมา แล้วเดินสำรวจไปเรื่อย เห็นนายคุยงานอยู่เลยไม่อยากกวน ฉันกำลังหิวเลยไปหาอะไรกินที่ห้องครัว ไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะทำโจ๊กได้อร่อยขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า อาเต๋อยังตักโจ๊กคำโตส่งเข้าปากโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร

          “แล้วนายมีธุระอะไร?”

          “เพื่อนของนายกลัวว่านายจะเบี้ยวไม่ไปตามนัด เลยให้ฉันมารับ เพื่อนของนายคนนี้ช่างรู้ใจนายจริงๆ”

          “จีเจียน จีเจียนอยู่กับไหว่ยี่อย่างนั้นเหรอ!!”

          “หืม เฟ่ยซาน นายไม่คิดเหรอว่าเพื่อนของนายคือคนของไหว่ยี่”

          “ไม่ เป็นไปไม่ได้ จีเจียนไม่ใช่คนของไหว่ยี่ พวกนายจับตัวเขาไปต่างหาก” ผมพูดไปก็พลันนึกถึงความรู้สึกของดอกเตอร์ที่รู้ว่าเพื่อนสนิทอย่างต้วนเจียจงเป็นคนของไหว่ยี่ ดอกเตอร์คงมีความรู้สึกแบบนี้สินะ

          “ตามใจนาย นายจะไปถามเจ้าตัวเองก็ได้นะ เขาก็รอนายอยู่”

          “ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ไปละ?”

          “นายไม่ไป?”

          ”...” ผมไม่ตอบอาเต๋อ พยายามคิดถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด จีเจียนรอเขาอยู่แสดงว่าที่สวนสาธารณะนั่นต้องไม่มีใคร อีกไม่นานดอกเตอร์คงจะกลับมา

          “ก็ตามใจนาย”

          อาเต๋อไม่สนใจ ตักโจ๊กกินต่อ พร้อมกับหันไปดูรายการทีวีตรงหน้าอย่างกับว่ามันน่าสนใจเต็มประดา ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร นึกได้ว่าควรโทรหาดอกเตอร์ตอนนี้น่าจะดีที่สุด แต่โทรศัพท์ของผมดันลืมหยิบมาด้วย มันวางไว้บนโต๊ะทำงานในห้องนอนรวมกับโน๊ตบุ๊ค

          ผมคิดว่าอาเต๋อคงจะไม่สนใจผมจึงค่อย ๆ ขยับตัวช้าๆ หวังจะเข้าห้องไปหยิบโทรศัพท์ แต่ผมคิดผิด เพราะอาเต๋อไม่ได้มาคนเดียว เพียงผมก้าวไปข้างหน้าไม่ถึงก้าว ก็ถูกใครไม่รู้รวบตัวจากด้านหลังพร้อมกับผ้าที่มีกลิ่นฉุนถูกโปะลงบนจมูก

          ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนหมดสติ เป็นภาพของอาเต๋อที่ยังคงนั่งกินโจ๊กพร้อมกับดูทีวีไปด้วย โดยไม่แม้แต่จะหันมาสนใจมองผมสักนิดเดียว





To Be Continued


หัวข้อ: Re: ll น้ำตากิเลน ll--- ตอนที่ 43 ---ll--- 06-06-20 ---ll แฟนตาซี/สืบสวน ll
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-03-2021 11:48:01
 :pig4:
 :3123: