Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 38284 ครั้ง)

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
โอ้โห กล้าถามน้องมันเนอะ ภีม

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :hao4:


เละเทะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ขอให้เสียภูไปเถอะ สาธุ!!!

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
:hao4:


เละเทะ

เละเทะอย่างไรเอ่ย เราเขียนไม่รู้เรื่องหรือคะ หรือเนื้อเรื่องมันเยอะเกินไป แนะนำได้นะคะ

ขอบคุณค่ะ :)

ออฟไลน์ เลยร์มุจา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านมาถึงตรงนี้.     ไม่รู้แกวพระเอกจะมาดี. หรือมาร้าย จะรักจริงหรือหลอกให้รัก  ถ้ารักจริงก็ดี แต่ถ้ามาหลอกให้รักนี่ ขอกระทืบพระเอกสักทีนึงเถอะ  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
รออ่านตอนต่อไปนะ คนอ่านรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ กับพระเอกมาก

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                           - 25 -


“พี่รักภูนะ พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะยอมเชื่อพี่ครับ”

โคล้ง เคล้ง โคล้ง เคล้ง

มึงยังจะมีหน้ามาบอกรักกูอีกหรอวะไอสัสภีม แฟนเก่าก็ยังไม่เคลียร์ แต่เสือกมาพูดว่ารักกูแบบนี้ ใครเขาจะเชื่อมึงวะ ปากมันก็เอาแต่พร่ำบอกว่าไม่มีอะไรกันแล้วแต่ผมก็เห็นแม่งกระเตงกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด อย่างนี้แถวบ้านมึงเรียกว่าไม่มีหรือไงไอสัส ผมคิดไปพลางหยิบจับงานของตัวเองทำไปพลาง

“ภูเอ็งเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเลย”

พี่เก่งพูดระหว่างถือถังน้ำมันเครื่องไปเททิ้ง ก่อนจะกลับมานั่งจ้องหน้าผม

“งานภูเสร็จแล้ว พี่มีอะไรให้ภูทำอีกไหมครับ”

ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แล้วเบี่ยงประเด็นเข้าเรื่องงานแทน พี่เก่งที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่เมื่อครู่ ทำหน้าเหมือนพึ่งนึกอะไรออกแล้วชี้นิ้วไปที่หน้าอู่

“เปลี่ยนยางรถคันนั้นให้ข้าหน่อย วันนี้ลูกค้าเขาจะมารับ เสร็จแล้วเอ็งก็กลับบ้านไปเลย เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการของข้าเอง”

“แต่งานเลิกสองทุ่ม”

ผมท้วงทันที่พี่เก่งพูดจบ

“แล้วไงเอ็งไม่อยากไปดูพ่อเอ็งหรือไง ไปเหอะที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

ผมได้แต่พยักหน้ารับคำพี่เก่งไปตามเรื่อง ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนยางรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าอู่พอเสร็จ ผมก็โดนไล่กลับบ้านทันที ผมมาถึงโรงพยาบาลตอนเกือบจะทุ่ม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์ไปยังห้องที่พ่อผมนอนพักรักษาตัวอยู่ เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ก็เรียกผมไว้

“ขอโทษนะคะ คุณใช่ญาติผู้ป่วยห้อง 4050 หรือเปล่าคะ”

“ครับผมเป็นลูก”

“งั้นขอเรียนเชิญทางนี้ซักครู่คะ คุณหมอต้องการพบ”

“ครับ”

ผมพยักหน้ารับสั้นๆแล้วเดินตามหลังเจ้าหน้าที่ไปเงียบๆ เธอพาผมมาหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

“คุณหมอคะญาติคนไข้ห้อง 4050 มาแล้วคะ”

เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจบก็เปิดประตูออกไป ทิ้งให้ผมยืนมองเจ้าของห้องที่สนใจฟิล์มเอ็กเรย์ที่อยู่ในมือมากกว่าการมาของผม

“นั่งก่อนซิครับ”

พูดทั้งๆที่ยังคงจับจ้องสิ่งที่อยู่ในมือไม่วางตา เอาจริงๆนะครับผมเริ่มจะใจคอไม่ดีแล้ว ฟิล์มนั่นมันจะเกี่ยวอะไรกับพ่อของผมหรือเปล่า

“คุณรู้ใช่ไหมครับว่าพ่อคุณเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย”

“ครับ”

“ผมอยากจะให้คุณเตรียมใจไว้บ้างนะครับ เพราะจากที่ผมเห็นในฟิล์มแล้วมะเร็งมันลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆจนหมด ทางเราเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”

หมายความว่ายังไง ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แล้วทำไมครับพยายามแล้วยังไง คุณหมอกำลังจะบอกผมใช่ไหมครับว่าไม่เหลือทางไหนที่จะรักษาพ่อผมได้แล้ว ผมเชื่อว่าหมอเดี๋ยวนี้เก่งผมเชื่อว่าถ้าลองหาทางดีๆคุณหมอจะต้องหาทางช่วยพ่อผมได้ใช่ไหมครับ กรุณาตอบผมว่าได้ทีเถอะครับ

“อย่าพึ่งยอมแพ้ได้ไหมครับ อย่าพึ่งถอดใจที่จะรักษาพ่อผม”

“อย่างน้อยผมขอเวลาอยู่กับพ่อของผมต่ออีกซักนิดได้ไหมครับ”

“ตาเหงี่ยมของผม ผมของทำให้แกมีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะจากผมไปในที่ที่ไกลแสนไกล”

“ช่วยยื้อชีวิตท่านไว้อีกหน่อยได้ไหมครับ”

ผมพูดจบก็ก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเองนิ่ง แค่คิดว่าผมต้องมองดูพ่อจากไปต่อหน้า ใจดวงนี้ของผมก็เจ็บจนแทบจะแหลกสลายอยู่แล้ว ทำไมผมทุกคนที่ผมรักและทุกอย่างที่ผมมีจะต้องหายไปจากชีวิตผมซะหมด ผมทำผิดอะไรมากมายนักหรือทำไมต้องพรากทุกอย่างไปจากชีวิตผมด้วย

    หลังจากที่ผมได้รู้อาการของพ่อจากหมอ ผมก็เดินกลับมาที่ห้องพักฟื้น เปิดประตูเข้ามาผมก็เห็นร่างของชายแก่คนนึงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง โดยมีสายเครื่องช่วยหายใจห้อยระโยงรยางค์อยู่รอบๆตัว เมื่อไม่กี่วันก่อนชายแก่คนนี้ของผมยังนั่งรอผมที่เตียงพร้อมรอยยิ้มอยู่เลย แต่ทำไมวันนี้ถึงนอนนิ่งไม่ไหวติงแบบนี้ ทำไมจู่ๆพ่อถึงอาการทรุดลงแบบนี้ล่ะครับ ผมเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างเตียงพ่อ สองมือของผมยกขึ้นมากุมมือพ่อหลวมๆ มองใบหน้าทรุดโทรมของพ่ออย่างเลื่อนลอย

“พ่อครับ ภูต้องทำยังไงพ่อถึงจะไม่ทิ้งภูไปครับ”

ผมพูดแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือของพ่อเบาๆ ตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่า ความรู้สึกของคนที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไปมันเป็นยังไง ทั้งเจ็บทั้งทรมานจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ผมรู้สึกแน่นหน้าอดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกุมและบีบหัวใจของผมอยู่ ผมนั่งอยู่ข้างพ่อแบบนั้นเกือบสองชั่วโมงเต็ม นั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่พ่อและผมได้ผ่านมา ภาพในความทรงจำของผมที่มีพ่ออยู่นั้น แม้จะไม่มีอะไรให้น่าจดจำเท่าไหร่ ไม่มีคำพูดดีๆระหว่างผมและพ่อ ไม่มีเสียงหัวเราะระหว่างเรา ไม่มีการกินข้าวร่วมกัน แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยสำหรับผม แค่มีพ่ออยู่ข้างๆผมคิดมาเสมอว่าแค่นี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเบาๆสามครั้ง ก่อนที่คนมาใหม่จะเปิดประตูเข้ามา ผมเงยหน้าจากมือพ่อ หันไปมองยังแขกผู้มาใหม่ ก็เห็นน้าดากับสามีเดินถือถุงผลไม้เข้ามาเยี่ยม

“สวัสดีครับน้าดา”

“พ่อเอ็งเป็นไงบ้างวะภู น้าพึ่งมีเวลามาเยี่ยม”

น้าดาถามแล้วมองเลยไปยังเตียงที่พ่อนอนอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“พ่อเป็นมะเร็งตับครับน้าดา พ่อเหลือเวลาอยู่กับภูไม่มากแล้ว”

ผมพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคนที่ผมเห็นเป็นทั้งแม่และน้าในเวลาเดียวกันช้าๆ ปล่อยเสียงสะอื้นไห้ให้คนในอ้อมกอดฟังเงียบๆ

“โถ่ ไอภูของน้า ทำไมเอ็งถึงโชคร้ายขนาดนี้วะลูกเอ้ย”

ผมหลับตาฟังเสียงร้องไห้สลับกับคำปลอบโยนของน้าดาไปพลางคิดถึงเรื่องพ่อไปพลาง  ขณะผมเวลาแบบนี้ยังต้องการคนปลอบใจ แล้วพ่อของผมละ ถ้าท่านรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายท่านจะรู้สึกแย่แค่ไหน แล้วผมจะทำอะไรเพื่อช่วยให้พ่อรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ผมจะทำอะไรได้บ้าง ฮือออออ

“ฮึกๆๆ ภูเอ้ย ทำใจนะลูกนะ น้า ฮึก ฮืออ เสียใจด้วยจริงๆ”

“คะ ครับ น้าดาภูไม่เหลือใครแล้ว”

ผมพูดแล้วกอดน้าดาแน่นยิ่งกว่าเก่า ผมและน้าดานั่งสงบสติอารมณ์กันอยู่นานกว่าที่จะกลับมาคุยกันอย่างปกติได้ น้าดาถามเรื่องอาการพ่อผม รวมไปถึงค่าใช้จ่าย ผมก็เล่าให้น้าดาฟังว่าตอนนี้ผมกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อ น้าดาเลยอาสาจะช่วยผมหาอีกแรงโดยการรวบรวมเงินจากคนในสลัม ผมเลยขอบคุณน้าดาไปสำหรับความช่วยเหลือ และวันนี้น้าดากับลุงคมสัน สามีน้าดาเลยอาสาเฝ้าไข้พ่อแทนผมที่ต้องไปทำงาน

“งั้นภูฝากพ่อด้วยนะครับ แล้วภูจะรีบกลับมา”

“เอ็งไม่ต้องรีบหรอก กลับไปนอนพักหลังเสร็จงานซักงีบค่อยมาก็ได้”

“ครับ งั้นภูไปก่อนนะครับ”

ผมยกมือไหว้น้าดาและลุงคมสัน ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ใช้เวลาในการเดินทางไปยังที่ทำงานราวๆครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึง

“อ้าว มาแล้วหรอไอห่าภู ไปโน่นพี่เก็บข้าวกล่องที่ทางเขตแจกมาให้เอ็งกล่องนึงรีบๆไปกินก่อนเดี๋ยวรถจะออกแล้ว”

ผมพยักหน้ารับรุ่นพี่ที่ทำงานแล้ว กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถของสำนักงานที่จอดอยู่ หยิบกล่องข้าวที่ว่าขึ้นมาเปิดกิน ซักครู่ก็ได้เวลารถออก ระหว่างทางเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมเลยกดรับโดยที่รู้อยู่แล้วว่าปลายสายที่โทรหาผมคือใคร

“ภูทำไมยังไม่ออกมาอีกพี่รอตั้งนานแล้วนะ หรือวันนี้ทำโอ”

(กูขอโทษที่ไม่ได้บอก ตอนนี้กูออกมาทำงานข้างนอก)

“ทำงานอะไรอีกครับ ทำที่ไหนเดี๋ยวพี่ไปรอรั...... ภีมคะ ต้องรออีกนานไหมกว่าภูจะมายูหิวข้าวจะแย่แล้วนะ”

(พวกมึงไปแดกข้าวกันเถอะ กูกลับของกูได้)

“เอ้ยภูเดี๋ยวก่อน ภูๆ”

พอได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ นอกจากตัดสายทิ้ง พี่ยูยังอยู่กับมันแสดงว่าตั้งแต่เมื่อตอนเย็นก็คงไม่ได้แยกจากกันเลยซินะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆมันจะมายุ่งวุ่นวายอะไรกับผมอีก ในเมื่อจริงๆแล้วมันก็ยังอยากมีพี่ยูอยู่ พอละครับวันนี้ผมเจอเรื่องที่แย่มามากแล้ว จะให้รับเรื่องมันเข้าหัวอีกคนคงไม่ไหว ตอนนี้สิ่งที่ผมควรจะคิดถึงเป็นอันดับแรกคือจะทำยังไงให้พ่อมีความสุขในเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้

“ไปลงไอภูถึงแล้ว เดี๋ยวเอ็งกับไอชนะไปทำท่อโน่นนะ ที่เหลือตามกูมา”

พี่ที่เป็นหัวหน้างานบอกเสร็จก็กระโดลงจากรถเป็นคนแรก ผมลงจากรถได้ก็ไม่รีรอที่จะไปทำงานของตัวเองให้เสร็จ อย่างน้อยถ้างานผมเสร็จก่อนผมจะได้ขอพี่เขากลับไปเฝ้าพ่อต่อ

“น้าดาครับขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไร แล้วนี่กลับบ้านไปนอนมาหรือยังทำไมเร็วแบบนี้”

“ยังครับภูเกรงใจน้าดา เดี๋ยวภูหานอนเอาที่นี่ก็ได้”

“กลับไปทั้งคู่เลยทั้งน้าทั้งหลานนั่นแหละ เดี๋ยวอาดูเอง ไปเจ้าภูพาน้าดากลับบ้านด้วย เดี๋ยวอาเฝ้าแทน บ่ายๆเอ็งค่อยมาเปลี่ยน”

“แต่”

“เอ็งกล้าขัดคำสั่งผู้ใหญ่หรอวะไอนี่”

“ไปเถอะภูให้อาคมสันเขาอยู่เฝ้าน่ะดีแล้ว เอ็งควรจะได้นอนบ้างดูซิโทรมไปหมดแล้ว”

“ครับ งั้นภูฝากพ่อด้วยนะครับ”

ผมยกมือไหว้ลาอาคมสันเสร็จก็พาน้าดากลับบ้าน ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากส่งน้าดาเข้าบ้านเสร็จก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อกี้ตอนผมออกจากโรงพยาบาลมาพ่อยังไม่ได้สติ ผมหวังว่าบ่ายนี้เมื่อผมไปถึงจะเห็นพ่อนั่งรอผมอยู่บนเตียง พร้อมรอยยิ้มอย่างเมื่อหลายวันก่อนนะครับ


----------------------------------------------------

Comment เป็นกำลังใจให้น้องภูด้วยนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชีวิตภูรันทดขนาด

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ร้องไห้แป้บ  :o12:

คลื่นซัดเหลือเกินชีวิตน้องภู

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ everlastingly

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
 :sad4: สงสารภู

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สงสาร

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไมอาทิตย์นี้ไม่มาอัพเลยล่ะ รออ่านอยุ่นะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
สงสารภู โอ้ยยเหนื่อยแทนเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ อีตาภีมก็ผีเข้าผีออก เหนื่อยกับมันสุดแล้ว ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเล้ยยย คบกันมีแต่เหนื่อย กรรม! ไปจัดการตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ พ่อก็ป่วย เงินก็ต้องหา มีผีบ้าตามติดอีก เพลียแทน ผ่านมันไปให้ได้นะ ยังไงก็ต้องเจอปัญหารับมือกับมัน เอาใจช่วยนะภู~~ สนุกค่ะ อ่านรวดเดียว จะเป็นบ้าตามคู่นี้ 5555 รอตอนหน้ามาต่อเลยค่ะ ค้างงงงง ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้อ่านกัน ^^ รรรรรร

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :hao5:
สงสารเลยอ่ะ
 :pig4:

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3

                                                                          - 26 -

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาที่สายมากแล้ว ผมต้องรีบไปรับช่วงเฝ้าพ่อต่อจากอาคมสันต์ ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาบ้านแล้วแทบอยากจะเอามือทึ้งหัวตัวเองแรงๆ นี่มันจะบ่ายสองอยู่แล้วนะไอห่าภู นอนเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ผมรีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากซอยบ้านในเวลาถัดมา แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินพ้นซอยบ้านไปเสียงพร้อมมือของใครบางคนก็มารั้งผมไว้

“ภูจะรีบไปไหนครับ ไม่เห็นพี่หรอพี่ยืนรอเราเกือบชั่วโมงแล้วนะโทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับ”

“ภีม...ไปส่งกูที่โรงพยาบาลXXXที”

ผมไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่ไอภีมพูดเลยแม้แต่น้อย ใจผมตอนนี้จดจ่ออยู่แค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น ผมอยากไปถึงให้เร็วที่สุด ผมทั้งเป็นห่วงพ่อและก็เกรงใจอาคมสันต์เอามากๆด้วย

“ดะ ได้ซิ ทำไมเราเป็นอะไรหรอ ปะขึ้นรถก่อน”

ไม่รอให้ไอภีมพูดจบผมก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 30 นาทีต่อมาผมก็มาถึงโรงพยาบาล ผมเลยรีบตรงไปหาพ่อของผมทันที ผมเปิดประตูเข้ามาภาพแรกที่เห็นคือ พ่อผมยังคงนอนตาปรืออยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยสายทางการแพทย์ต่างๆ

“มาแล้วหรอเจ้าภู”

“ครับขอโทษด้วยนะครับที่ภูมาช้า พ่อเป็นยังไงบ้างครับ”

ผมขานรับแล้วถามถึงอาการของพ่อกลับแทบจะในทันที โดยที่ไม่ได้แนะนำไอคนข้างหลังที่เดินตามผมเข้ามาด้วย

“การตอบสนองน้อยลง อัตราการเต้นของหัวใจก็ไม่คงที่หมอบอกให้รอดูอาการว่าจะพ้นคืนนี้หรือเปล่า”

เหมือนทุกสรรพสิ่งภายในห้องนี้หยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ คำพูดที่อาคมสันต์บอกผมเมื่อครู่ทำให้ผมถึงกลับพูดอะไรไม่ออก ผมค่อยๆเดินไปที่เตียงพ่อช้าๆ สองมือคว้ามือที่เย็นชืดมากุมไว้แน่น และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มืออุ่นของใครบางคนวางทาบลงมาที่บ่าทั้งสองข้างของผม

“พ่อครับ พ่อจะทิ้งภูไปแล้วจริงๆหรอ ไม่จริงใช่ไหมครับ อาคมสันต์ล้อภูเล่นใช่ไหมครับ พ่อมองหน้าภูแล้วบอกซิว่ามันไม่จริง ฮึกๆๆ อย่าทำแบบนี้กับภูเลยนะครับพ่อ”

“พ่อครับหันมาพูดกับภู ภูบอกให้พ่อหันมาไง ฮืออออออ”

ผมปล่อยพูดแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ผมกลั้นความรู้สึกที่มีต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ถึงแม้ว่าการร่ำไห้ของผมจะมีเพียงเสียงสะอื้นที่ไร้คราบน้ำตา ผมก็ไม่สามารถข่มความรู้สึกที่อยากร้องไห้ของตัวเองไว้ได้

“ไม่เป็นไรนะครับคนดี ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”

เสียงทุ้มข้างหูกระซิบบอก ก่อนที่จะรั้งหน้าผมให้กลับไปซบยังอกกว้างตรงหน้า

“พ่อกูกำลังจะตายภีม ฮึกๆๆพ่อกูกำลังจะตาย”

ผมร้องไห้แล้วเผลอซบหน้าลงบนอกกว้างของมัน ขอแค่ตอนนี้ได้ไหมภีม มึงช่วยอยู่กับกูอยู่ข้างกูแบบนี้ก่อนได้ไหม

กูรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหลือใคร เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งจากกูไปไหนเลยนะ

“ใจเย็นๆก่อนครับภู ภีมเชื่อว่าพ่อภูจะต้องอาการดีขึ้นแน่ๆ ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้พ่อภูอาจจะพ้นขีดอันตรายก็ได้นะครับ ทำใจดีๆก่อนนะ ปล่อยให้พ่อเขานอนไปก่อน มานั่งนี่กับพี่มา”

ไอภีมพูดจบก็พยุงผมให้เดินตามมันไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะแถวนั้นส่งให้ผม

“ดื่มน้ำให้ใจเย็นๆก่อน เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหมอแปปนึง รอพี่ตรงนี้นะครับ”

“กูไปด้วย”

ผมวางขวดน้ำแล้วลุกขึ้นยืนตามมันทันที แต่ก็ถูกมือใหญ่กดลงให้นั่งตามเดิม

“ถ้าภูไปแล้วใครจะดูพ่อล่ะครับ อย่าดื้อรอพี่ตรงนี้”

ในที่สุดผมก็ต้องยอมให้มันไปคุยกับคุณหมอตามลำพัง ผมเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรอไอคนที่เดินออกจากห้องไปให้กลับเข้ามาอย่างใจจดใจจ่อ ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีไอภีมก็เดินกลับเข้ามา

“หมอว่าไงบ้างภีม หมอบอกว่าไงบ้าง”

“ถ้าอัตราเต้นของหัวใจกลับมาคงที่ อาการก็จะพ้นขีดอันตราย ระหว่างนี้เราต้องคอยสังเกตว่าท่านมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกบ่อยหรือเปล่าถ้ามีให้รีบแจ้งพยาบาลให้เข้ามาดู เพราะมันอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้”

ผมรับฟังเงียบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงพ่อ แล้วมองร่างที่ไร้สติอย่างเลื่อนลอย ไม่มีคำพูด ไม่มีคำปลอบใจใดๆทั้งสิ้นจากคนข้างตัว มีเพียงความอบอุ่นจากอ้อมแขนเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“กูควรจะทำตัวให้ชินยังไง ที่ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้วะภีม”

ผมพูดในสิ่งที่คิดออกมาอย่างล่องลอย ผมพูดทั้งๆที่ตัวเองไม่มีสติพอที่จะรับรู้ด้วยซ้ำว่ากำลังพูดอะไร ในหัวผมตอนนี้มันว่างไปหมด

“ ภูยังมีพี่นะ ภูจะไม่อยู่คนเดียวตามลำพังพี่สัญญา”

คำสัญญาของมึงกูจะเชื่อมันได้ไหมวะภีม กูจะเชื่อมันได้ไหม  ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ เพราะผมไม่มั่นใจเลยว่าผมสามารถเชื่อในคำสัญญาของมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะเชื่อใจมัน

“มึงพูดแล้วนะ”

ผมพูดแล้วเอนหัวพิงไหลมันช้าๆ  มันก็เอามือมาลูบหัวผมเล่นพร้อมกับจูบแผ่วเบาที่ขมับ ไอภีมอยู่เฝ้าพ่อเป็นเพื่อนผมตั้งแต่บ่ายจนตอนนี้สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว มันบอกผมว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามานอนเฝ้าพ่อเป็นเพื่อนผมด้วย ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ต้องแต่มันก็รั้นไม่ยอมฟัง ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย หลังจากที่มันไปได้ซักพักผมก็เดินไปหยิบกะละมังกับผ้าขนหนูผืนเล็กเดินเข้าไปลองน้ำในห้องน้ำแล้วเอามาเช็ดตามหน้าตามแขนให้พ่อไปเรื่อย พอเสร็จก็เดินออกมานั่งเล่นอยู่ข้างท่าน ผมคว้ามือข้างหนึ่งของท่านมากุมไว้ แล้วค่อยๆออกแรงบีบเบาๆ เป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อให้ท่าน แต่ระหว่างที่ผมนวดจู่ๆมือทั้งสองข้างของพ่อก็เกิดอาการเกร็ง นิ้วมือที่เคยวางเรียงกันเป็นระเบียบจู่ๆก็หงิกงอโดยไม่มีสาเหตุ นัยน์ตาทั้งสองข้างของพ่อที่แต่เดิมปิดสนิทเบิกกว้างจนนัยน์ตาทั้งสองข้างแทบจะถล่นออกมาจากเบ้าตาทำให้ผมรู้สึกกลัวจับใจ  ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่ว่าจะกดจะจับมือพ่อให้คลายจากการเกร็งยังไงก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจผมต้องการ ผมเลยพยายามรวบรวมสติกลับมาอีกครั้งก่อนจะกดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามา

“พ่อครับ พ่ออออ!! อย่าทำแบบนี้ซิครับพ่อ พ่อครับ พ่ออออออ”

“ถอยไปก่อนคะ คนไข้มีภาวะหัวใจล้มเหลว เตรียมเครื่องนวดหัวใจด้วย”

“ชะ ช่วยพ่อผมด้วยนะครับ ฮึกๆๆ พ่อครับบบ”

“ญาติผู้ป่วยช่วยออกไปรอข้างนอกด้วยคะ”

“ช่วยพ่อผมด้วยนะครับ พ่อออออ”

“เสียใจด้วยนะคะ ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วคะ”

ประโยคสั้นๆที่คุณหมอเดินมาพูดกับผม ทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มองดูพยาบาลสามสี่คนที่กำลังช่วยกันถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากตัวพ่อผม ผมเลยค่อยพยุงตัวเองลุกเดินไปที่เตียงของท่าน สองมือสั่นเทิ้มของผมเอื้อมไปปิดเปลือกตาของท่านอย่างแผ่วเบา ในที่สุดพ่อก็ทิ้งภูไปอีกคนแล้วซินะ ผมหวังว่าพ่อจะมีความสุขอยู่ในที่ใดที่หนึ่งหลังจากที่ทิ้งผมไปแล้ว ผมหวังว่าท่านจะไม่ต้องทุกข์ทรมานใจเหมือนที่ผ่านมา ผมหวังว่าพ่อจะไปดี

“ลาก่อนนะครับพ่อ ภูรักพ่อนะครับ”

ผมว่าแล้วก้มกอดร่างอันไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ เจ้าหน้าที่จะมาเอาตัวพ่อผมไปยังห้องชันสูตรศพ

“ระหว่างนี้ญาติผู้ป่วยเดินเรื่องขนย้ายศพได้เลยนะคะ”

พยาบาลท่านหนึ่งพูดทิ้งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคน  ผมรอจนสัญญาณตัดไปสามรอบแต่ก็ไม่เห็นมีคนรับ ภีมรับสายกูหน่อยได้ไหมวะ กูอยากได้ยินเสียงมึง แค่ตอนนี้มึงช่วยรับสายกูหน่อยได้ไหม ผมได้แต่ร้องขออยู่ในใจ ระหว่างที่หูก็แนบฟังโทรศัพท์ไปด้วยแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคนรับสาย ผมยัดโทรศัพท์เก็บลงเข้าระเป๋าไปตามเดิน แล้วเดินออกจากโรงพยาบาลเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งผมที่คอนโดไอภีม

ตอนนี้ผมอยากเจอมันมากเหลือเกิน อยากได้ยินเสียง อยากได้รับการปลอบโยน ผมอยากได้แค่นั้นจริงๆเพื่อที่จะทำให้ผมมีแรงมีกำลังใจที่จะผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ ผมเดินออกจากลิฟท์ไปยังห้องที่คุ้นเคยที่สุด ในใจก็เอาแค่คิดถึงใบหน้าของคนที่ผมตั้งใจจะมาหา ผมเดินมาหยุดอยู่หน้าห้อง แล้วค่อยๆพลักประตูที่เปิดแง้มอยู่ก่อนแล้วเข้าไปอย่างถือวิสาสะ

“ยู อืมมม ปะ ปล่อยภีมครับ”

“อื้มม ทำไมคะ ไหนๆภีมก็จะไปแล้ว ระลึกถึงความหลังของเราสองคนหน่อยจะเป็นไร”

”หยุดยู อย่าทำแบบนี้”

สองขาที่กำลังจะเดินผ่านบานประตูเข้าไปจำต้องหยุดฝีเท้าลงไว้แต่เพียงเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหันหลังในกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น ภาพของคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันอยู่ในห้องทำให้ผมไม่สามารถจะก้าวขาเดินต่อไปได้ ผมเดินกลับออกมาจากห้องนั้นเงียบๆ พร้อมกับความเจ็บปวดที่มากขึ้นภายในใจ ผมโง่เองที่คิดว่ามันจะอยู่ข้างผมจริงๆแม้ในวันที่ผมจะไม่เหลือใคร ผมโง่เองที่เผลอคิดไปแบบนั้น ผมเดินออกจากคอนโดไอภีมมาอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าควรจะทำอะไรยังไงต่อไปดี สมองผมมันว่างเปล่าไปหมด ผมเดินไปตามถนนเรื่อยๆปล่อยความคิดความเจ็บปวดต่างๆที่ผมได้รับให้ผ่านไปกับทุกย่างก้าวที่ผมเดิน ความเจ็บปวดทั้งสองอย่างที่ผมได้รับในวันนี้ไม่ว่าจะเจ็บความเจ็บปวดจากการสูญเสีย หรือความเจ็บปวดจากความไว้ใจ ผมขอสาบานว่าผมจะไม่มีวันลืม ผมจะไม่ลืมว่ามันทำให้ผมเจ็บและเสียใจแค่ไหน ผมจะจำทุกความรู้สึกเอาไว้ และจะไม่ยอมให้ใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้อีก ผมสัญญา

ผมกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อมารับศพพ่อไปทำการฌาปณกิจต่อที่วัด โดยมีน้าดาและอาคมสันต์มากับผมด้วย เมื่อซักครู่ก่อนที่ผมจะกลับเข้ามาโรงพยาบาล ผมแวะกลับไปบ้านเพื่อไปปรึกษาเรื่องงานศพของพ่อกับน้าดา น้าเขาเลยตามมาช่วยผมเดินเรื่องอีกแรง ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้ผมรับศพพ่อไปได้เลยผมเลยขอร้องให้น้าดาและอาคมสันต์ช่วยเป็นธุระพาศพพ่อผมไปที่วัดแทนผม เพราะผมต้องอยู่เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆกับทางโรงพยาบาล ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเงินค่ารักษาพอที่จะจ่าย เลยจะลองคุยว่าผมสามารถผ่อนจ่ายได้ไหม ผมเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่อถามถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่ผมต้องเคลียร์

“คนไข้เคสนี้ชำระเงินแล้วนะคะ เมื่อซักครู่นี่เอง”

คำตอบที่ผมได้มาทำให้ผมถึงกับเหวอ จ่ายแล้วหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงในมื่อผมพึ่งจะมาทำเรื่องจ่ายเงินวันนี้เอง ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยให้กลับทางโรงพยาบาลซักบาท มันต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ

“เข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ผมยังไม่ได้จ่ายเลย”

“ไม่ผิดหรอกครับน้องภู พี่จัดการให้แล้ว”


---------------------------------------------------------------

มาต่อแล้วจ้า มาดูกันต่อว่าภูจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป ฝาก comment เป้นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :3123:
 :pig4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เพื่อนของภีมใช่ป่ะที่จ่ายให้อ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
วันนี้มาต่อเถอะนะ อยากรุ้ว่าใช่พี่เขตจ่ายป่าว แล้วภุจะทำยังไงกับภีม

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
                                                                                   - 27 -

Khet part


“ไม่ผิดหรอครับพี่จัดการให้แล้ว”

“พี่เขต”

ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนเรียกพร้อมกับโอบกอดเบาๆแทนคำปลอบโยนทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดกับคนในอ้อมแขน

ภูของผมคงเสียใจไม่น้อยเลยซินะกับการสูญเสียในครั้งนี้ เจ้าตัวอุตส่าห์เพียรพยายามหาเงินทุกทางเพื่อมารักษาชีวิตพ่อ แต่กลับมาพบเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมอยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดที่คนตรงหน้าผมพยายามแบกรับไว้โดยลำพังมาตลอด อยากจะช่วยบรรเทา แม้แค่เพียงนิดเดียวผมก็อยากจะทำแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจติดต่อขอเป็นเจ้าของไข้ และพอพ่อของภูเสียทางโรงพยาบาลก็โทรหาผม แจ้งเรื่องที่พ่อภูเสียชีวิตและค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ผมเลยรีบแจ่นมาที่โรงพยาบาล และก็มาเจอภูที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินที่ผมพึ่งเดินออกมาเมื่อซักครู่

“พ่อเราไปดีแล้วนะ ท่านไปสบายแล้ว”

ทันทีที่ผมพูดคำนี้ออกมา คนในอ้อมแขนก็ปล่อยโฮออกมา เสียงสะอื้นไห้พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลซึมผ่านเสื้อยืดตัวบางของผม ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยากบอกไม่ถูก ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนตรงหน้าผมขึ้นมาจับใจ ภูร้องไห้มีน้ำตา ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าลึกๆคนตรงหน้าผมต้องเจ็บมากแค่ไหน ถึงได้เรียกน้ำตาที่ไม่เคยมีมาก่อนให้กลับมาไหลได้อีกครั้ง

“พี่เขต พ่อทิ้งภูไปแล้ว ภูไม่เหลือใครแล้ว ฮึก ฮึก”

“ภูยังมีพี่นะครับ พี่ยังอยู่ตรงนี้กับภูและจะไม่ทิ้งภูไปไหนด้วย”

ผมบอกแล้วกระชับกอดคนที่อยู่ตรงหน้าแน่นขึ้น เพื่อเป็นการย้ำให้คนในอ้อมแขนรู้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้อีกคนจริงๆ ย้ำให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง ถ้าเขาหันมามองซักหน่อย เขาจะเห็นคนที่รักเขาอีกคนอยู่ตรงนี้ และจะอยู่ตลอดไป พี่อยู่ตรงนี้นะครับภู ไม่ว่าภูต้องการให้พี่อยู่ในฐานะไหน พี่ก็พร้อมเสมอที่จะอยู่ข้างภู

งานศพผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจากความช่วยเหลือของคนในชุมชนที่น้องภูอาศัยอยู่ เท่าที่ผมเห็นทุกคนที่นี่รักและเอ็นดูภูอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าภูจะทำอะไรพวกเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ตลอดจนจบพิธีเผ่าศพ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ภูไม่ยอมรับการติดต่อจากไอภีมเลย ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนทะเลาะอะไรกัน แต่ดูเหมือนครั้งนี้ภูจะแน่วแน่มากที่จะตัดการติดต่อจากไอภีม เพราะนอกจากจะไม่รับโทรศัพท์แล้วภูยังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะหลบหน้าไอภีม ไม่กลับไปนอนบ้านหลังจากที่เห็นว่าไอภีมไปดักรอหน้าบ้านทุกวัน ขอร้องผมให้หยุดพูดถึงเรื่องของไอภีม ขอให้ผมช่วยปิดเรื่องราวต่างๆให้ รวมไปถึงขอให้ผมเอามือถือเครื่องนี้ไปคืนให้ไอภีม ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมจู่ๆภูถึงหักดิบตัวเองเช่นนี้ ทั้งๆที่ทุกครั้งเวลาที่ภูเห็นไอภีมดักรออยู่ที่หน้าซอยบ้าน นัยน์ตาคู่นั้นของภูจะดูเศร้าอยู่เสมอ ผมรู้ว่าภูรักภีมและผมก็รู้เหมือนกันว่าไอภีมเองก็รักภู แต่สิ่งที่ผมไม่รู้ก็คือ ทำไมทั้งๆที่รักกันแต่ภูถึงต้องฝืนใจตัวเองให้เจ็บแบบนี้ด้วย ทำไมถึงเลือกที่จะเดินจากมาอย่างเงียบๆ ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย

“ขอบคุณมากครับสำหรับทุกอย่าง”

เสียงเรียบเอ่ยเรียกสติผมให้กลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง ภูในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพูดขอบคุณผมระหว่างที่เก็บของชิ้นสุดท้ายลงกล่องเสร็จ หลังจากเสร็จงานศพภูก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่อยู่ทันที เห็นบอกผมว่าจะไปอาศัยอยู่ที่วัดซักสองสามวันก่อนที่จะขึ้นเหนือไปฝึกงาน ตอนแรกที่ผมได้ยินก็รู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่รู้ว่าภูตัดสินใจที่จะไปอยู่ในที่ไกลแบบนั้นโดยลำพัง แต่เจ้าตัวบอกผมว่าเขาคิดแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว ติดต่อขอไปฝึกงานที่เหนือตั้งแต่แรกเพราะอยากพาพ่อไปเจอบรรยากาศใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ แต่สุดท้ายกลับเป็นแค่ตัวเองที่ได้ไป

“ไม่เป็นไรครับพี่เต็มใจ”

ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆ หลังจากนั้นผมก็ช่วยน้องเขาย้ายของไปไว้ที่วัด ความจริงผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าไปอยู่กับผมก่อนก็ได้ ผมอยากให้ภูได้หลับสบายในที่นอนดีๆกับเขาบ้าง แต่ก็ได้แค่คิด เพราะยังไงภูคงไม่ต้องการแบบนั้นอยู่แล้วผมเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ขอบคุณครับพี่ผมรบกวนพี่เยอะเลย”

“ไม่เป็นไรครับพี่บอกแล้วว่าเต็มใจ ภูสอบเสร็จวันไหน แล้วมีสอบวันไหนบ้างมีอะไรให้พี่ช่วยไหม”

“ภูมีสอบพรุ่งนี้แค่ตัวเดียวครับสอบย้อนหลัง”

“งั้นแสดงว่าอีกสองวันภูก็จะไปแล้วซินะ”

ผมอดใจหายไม่ได้เลยที่รู้ว่าจะไม่เจอคนตรงหน้าอีกนาน ในระหว่างที่ภูไปฝึกงานพวกผมก็เรียนจบ แล้วก็ต้องเตรียมตัวเข้าสู่การใช้ชีวิตจริงๆในรูปแบบของคนทำงาน คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เว้นแต่ภูจะยอมบอกที่อยู่ของภูให้ผมได้รู้บ้าง เผื่อถ้าผมมีเวลาผมจะได้ไปเยี่ยมภูได้

“ครับ”

“ถ้าพี่ขอที่อยู่ภูไว้ภูจะให้พี่หรือเปล่าครับ ถ้าเผื่อวันไหนที่มีโอกาสไปแถบภาคเหนือพี่จะขอเจอภูได้บ้างไหม”

ภูเงียบไปซักพักเหมือกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม

“ภูขอเบอร์พี่เขตไว้ได้ไหมครับ แล้วภูจะโทรบอก”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะจดเบอร์ใส่กระดาษที่หาเจอในกระเป๋าตัวเองส่งให้ภู

“สะดวกใจเมื่อไหร่ค่อยโทรบอกพี่ก็ได้นะครับ พี่จะรอ”

ผมบอกไปตามความรู้สึกตรงๆ ภูพยักหน้ารับ เราสองคนคุยกันอยู่อีกพักก่อนที่จะแยกกัน ใจผมไม่อยากจะกลับเลยด้วยซ้ำ เพราะผมไม่รู้ว่าการที่ได้เจอภูวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของผมแล้วหรือเปล่า ผมกลัวว่าภูจะจากไปไม่โดยไม่ลา ผมกลัวว่าผมจะไม่เจอภูอีก

หลังจากที่กลับมาจากวัดผมก็ขับรถตรงมายันคอนโดตัวเองทันทีหวังว่าจะกลับมานอนเอาแรง เพราะช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมไม่ค่อยจะได้นอน เพราะต้องเตรียมตัวสอบและก็ต้องไปช่วยงานของพ่อน้องภูทำให้ผมนอนไม่พอเท่าที่ควร ที่พอกลับมาถึงผมก็เจอแขกที่ไม่ได้รับเชิญรออยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่ดูไม่ต่างจากอีกคนที่ผมพึ่งแยกมาซักเท่าไหร่นัก

“มีอะไร”

ผมถามพลางเปิดประตูห้องให้ไอภีมเข้าไป  ซึ่งมันก็เดินตามผมเข้ามาอย่างไม่ต้องรอให้เชิญเป็นรอบที่สอง

“มึงไปหาภูมาใช่ไหม”

“กูเปล่า”

“มึงอย่าโกหกกูไอสัส!!!กูรู้ว่ามึงต้องไปหาภูมาแน่ มึงบอกกูได้ไหมว่าภูอยู่ไหน ไอเขตบอกกูทีกูจะบ้าตายอยู่แล้ว!!”

ไอภีมที่ปรี่เข้ามากระชากคอผมในตอนแรก คลายมือที่กำคอเสือผมออกน้ำเสียงมันค่อยๆอ่อนลงในประโยคถัดมา นัยน์ตาคู่นั้นของมันเต็มไปด้วยความเศร้า ไอภีมทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ถามว่าผมเห็นแล้วสงสารไหม มันก็เพื่อนผมถ้าจะบอกว่าไม่สงสารผมก็คงเป็นเพื่อนที่แปลก ใช่ครับผมสงสารมัน  แต่ถึงผมจะสงสารมากแค่ไหน ผมก็ไม่สามารถบอกมันได้ว่าภูอยู่ที่ไหนและกำลังวางแผนจะทำอะไร ผมไม่สามารถบอกมันได้เลย ผมคิดว่าก่อนที่ภูจะทำแบบนี้ ภูคงตัดสินใจมาดีแล้ว ไม่งั้นภูคงไม่ยอมหักดิบตัวเองแล้วจากไอภีมไปทั้งๆที่ภูเองก็รักไอภีมมันหรอก ผมเชื่อว่าภูมีเหตุผลที่มากพอที่ตัดสินใจเลือกทางนี้

“กูไม่รู้อะไรจริงๆ ต่อให้มึงเค้นกูให้ตายยังไงกูก็ไม่มีคำตอบที่มึงต้องการหรอก”

ผมพูดแล้วค่อยๆฉุดมันให้ลุกไปนั่งบนโซฟาดีๆ

“กูตามหาภูจนทั่ว ไปดักรอที่บ้านทุกวันแต่ภูก็ไม่เคยกลับเข้ามา พอกูรู้ว่าพ่อภูตายกูก็เอาแต่คิดว่าภูจะเป็นยังไง กูเป็นห่วงแทบบ้า ตามหาให้ทั่ว ถามเอาจากเพื่อนของภูก็ไม่มีใครยอมบอกกู กูไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ฮึกๆ”

ไอภีมหลุดพูดทุกอย่างออกมาจนหมด ก่อนจะร้องไห้ออกมาเบาๆ ผมมองเพื่อนตัวเองอย่างไม่รู้ว่าผมควรจะทำอะไร ผมไม่รู้ว่าจะหาทางช่วยมันยังไงด้วยซ้ำ เพราะผมสัญญากับภูไว้แล้วว่าผมจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับภูให้มันรู้ ผมหวังว่ามันจะตามหาภูได้เองแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผม ผมหวังว่ามันจะไม่ล้มเลิกความพยายามและตามหัวใจมันกลับมาให้ได้

ผมหวังไว้อย่างนั้น ผมนั่งมองดูไอภีมเงียบๆอยู่ที่มุมห้อง  นั่งฟังเสียงแห่งความเสียใจของมันไปเรื่อย ราวกับฟังเพลงเศร้าที่ไร้เนื้อร้อง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดปลอบมันยังไง และก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน มันจะรู้ไหมว่าไม่ได้มีแค่มันที่กำลังเสียใจ แต่ยังมี ใครอีกคนที่กำลังเจ็บปวดและเสียใจไม่ต่างจากมัน และใครคนนั้นที่ผมว่า ก็กำลังจะจากไปพร้อมกับความเจ็บปวดโดยไม่มีใครรู้เลยว่าความเจ็บปวดที่แสดงออกมาให้เห็นผ่านสายตาคู่นั้นจริงๆแล้วต้นเหตุมันคืออะไร

“ภีมมึงทะเลาะอะไรกับภูหรือเปล่า”

ผมตัดสินใจถามในสิ่งที่ผมอยากรู้ออกไป โดยไม่สนแล้วว่ามันจะสมควรหรือไม่สมควรในตอนนี้ เพราะสิ่งที่ผมอยากรู้มันอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนสองคนต้องจากกันโดยที่ไม่ได้ล่ำลาก็ได้ และผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักทั้งสองคนต้องทนอยู่กับความเจ็บ อยากให้เรื่องราวถูกแก้ไขได้โดยเร็ว ผมอยากเห็นภูมีความสุข ในเมื่อคนที่สามารถทำให้ภูมีความสุขได้ไม่ใช่ผม ผมก็อยากจะภวนาให้คนที่ภูเลือกช่วยเติมเต็มชีวิตของภูแทนผม แทนผมคนที่ไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ไม่ว่าจะพยายามมากมายขนาดไหนก็ตาม

“กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรเลย จู่ๆภูก็หายไปจากชีวิตกู”

“มึงไม่รู้จริงๆหรอ”

ผมถามซ้ำอีก

“กูไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ ฮึกๆ”

มันเน้นย้ำอย่างเต็มเสียงเป็นครั้งแรก ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกครั้ง ถ้ามันไม่รู้จริงๆว่าทำอะไรผิด ผมก็คงช่วยอะไรมันไม่ได้ เรื่องนี้คนที่รู้ดีก็มีแค่มันกับภู ถ้ามันบอกว่าไม่รู้ ผมก็คงหมดหนทางที่จะช่วยผมคงต้องปล่อยให้มันจัดการเรื่องของตัวเองโดยลำพัง และก็คงต้องปล่อยให้ภูไปตามทางที่ภูเป็นคนเลือก ผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้เรื่องราวระหว่างสองคนนี้จะเป็นยังไง จะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน ผมไม่รู้เพราะนั่นมันเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง และถ้าให้ทำนายผมก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือการตั้งความหวัง หวังให้เรื่องทุกอย่างคลี่คลายและจบลงด้วยดี ผมอยากจะเห็นภูของมีความสุข ผมอยากเห็นแค่นั้น เพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมทิ้งความหวังของตัวเองไปอย่างเด็ดขาด ความหวัง….ที่จะเห็นคนที่ผมรักมีความสุข


----------------------------------------------------

แหนะๆรู้นะว่ากำลังเชียรืให้เปลี่ยนพระเอกอยู่ใช่ไหมคะ :) comment เป็นกำลังใจให้น้องภูด้วยนะ

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
วันนี้มาต่อเถอะนะ อยากรุ้ว่าใช่พี่เขตจ่ายป่าว แล้วภุจะทำยังไงกับภีม


มาต่อแล้วจ้า ตามคำเรียกร้อง :)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :katai2-1:

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
:pig4:
 :katai2-1:
หยุดสามวันต่อเพิ่มได้นะคะ เรารออ่าน แอบลุ้นๆ ว่าพรุ่งนี้ไปสอบภีมจะเจอภูไหม

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใจจริงก็อยากให้เปลี่ยนพระเอกอ่ะ5555 :laugh:
ให้มันสาสมกับที่อิพี่ภีมมันทำใว้

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่เขตนี่เกาหลีมากอ่ะ  พระรองที่แสนดี

ป.ล. เปลี่ยนพระเอกเถอะนะ  อิอิ

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3

                                                                         - 28 -

“ภูขึ้นไปดูแผงวงจรชั้นสี่ให้พี่ที เดี๋ยวพี่ไปสับคัทเอ้าท์ที่ชั้นใต้ดินก่อนพอเสร็จแล้วพี่จะวอลบอกแล้วเราค่อยตรวจสอบดูนะว่าตรงไหนมันขัดข้อง”

“ครับพี่”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะคว้ากล่องเครื่องมือเดินขึ้นไปยังชั้นสี่ของโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ผมขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหลังจากที่ทำเรื่องฝึกงานเสร็จผมก็ถูกส่งตัวมาทำงานให้กับโรงแรมชื่อดังหลายแห่งในฐานะเด็กฝึกงานแผนกช่างไฟ การได้มาฝึกงานที่นี่สนุกดีครับ พี่ๆให้ความเป็นกันเองดี เรื่องที่อยู่ที่พักก็จัดว่าดีมาก ผมแชร์บ้านอยู่กับนักศึกษาฝึกงานต่างสถานบันอีกสามคน มีกันต์ นุก และก็เอ็น ผมได้ฝึกงานที่เดียวกับเอ็น เพราะตอนจับฉลากพี่เลี้ยงที่มีหน้าที่ดูแลพวกผมตลอดการฝึกงานจับได้ชื่อผมกับเอ็นอยู่ทีมเดียวกัน เราก็เลยได้ฝึกงานด้วยกัน เอ็นเป็นคนร่าเริง คุยสนุก อัธยาศัยดี และก็เป็นบุคคลอันตรายสำหรับผมในขณะเดียวกัน เพราะเอ็นชอบบังคับให้ผมทำอะไรที่ผมไม่ชอบทำเสมอ อย่างเช่นเอ็นรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นพวกนิ่งๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย เอ็นก็ชอบหาเรื่องวุ่นวายมาให้ผมต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตลอด รู้ว่าผมเป็นคนแสดงสีหน้าไปเก่งก็พยายามจะทำให้ผมเปลี่ยนสีหน้าบางครั้งผมก็รู้สึกขอบคุณที่พยายามจะสนใจในความเป็นผม แต่บางครั้งผมก็อยากจะตะโกนใส่หน้าว่าอย่ามายุ่งกับผม ปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆคนเดียวบ้างเถอะ ผมอยากจะทำแบบนั้นแต่ก็กลัวเพื่อนจะรู้สึกไม่ดี ก็เลยปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกแกล้งมาเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเจ็บอะไร อย่างมากสุดก็แค่ขายหน้าบ้างเป็นบางเวลา

“อ้าวภู มึงก็โดนพี่เขาใช้ขึ้นมาหรอ”

เอ็นที่พึ่งเดินขึ้นมาถามผมด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงวงจรไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผม

ผมก็พยักหน้ารับไปตามเรื่อง แล้วมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิดว่ามันน่าจะเกิดปัญหาอะไรที่ทำให้ไฟดับทั้งโรงแรมแบบนี้

“แล้วเขาให้มึงทำอะไร มายืนจ้องแผงไฟอย่างเดียวหรือไง”

“กูรอพี่เขาวอลขึ้นมาก่อน”

“ภูๆพี่สับคัทเอ้าท์แล้ว ภูช่วยดูแผงวงจรไฟที่จุดหนึ่งตรงทางเข้าออกประตูหนีไฟ ส่วนเอ็นดูแผงวงจรไฟจุดที่สองตรงหน้าห้องควบคุมกล้องวงจรให้พี่ที”

“ครับ/ครับ”

ผมสองคนขานรับเสียงที่ส่งมาตามวอลเครื่องสีดำที่เหน็บอยู่ข้างตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ราวๆสิบนาทีต่อมา พวกผมก็ทำให้ไฟกลับมาใช้งานได้ตามปกติ

“ดูเหมือนสาเหตุจะมาจากใช้ไฟฟ้าเกินขนาดหว่ะ กูเห็นไฟแดงๆมันกระพริบที่แผงวงจรตรงจุดที่สอง”

เอ็นบอกเล่าให้ผมฟังระหว่างเดินลงไปยังห้องพักพนักงาน โดยมีผมพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจจนกระทั้งมาถึงห้องพัก เราก็ต่างคนต่างเก็บของเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้านกันตามเวลาเลิกงานปกติ ผมถอดชุดหมีที่สวมทับเสื้อยืดกางเกงยีนต์ของผมไว้ออก แล้วพับเก็บใส่ล็อกเกอร์ ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดดูเวลาและก็พบกับข้อความไลน์จากเพื่อนรักทั้งสองคนของผม ของไอบอล และก็ของพี่เขต ขึ้นเตือนเป็นจำนวนตัวเลขจำนวนต่างกัน ทำให้ผมต้องไล่อ่านและตอบคำถามของทีละคน ส่วนมากก็จะมีแต่คำถามประมาณว่าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม อะไรทำนองนี้ ผมอ่านข้อความจากเพื่อนๆเสร็จก็กดอ่านของพี่เขตบ้าง เนื้อหาที่ไลน์หาผมก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่มีวันไหนเลยที่พี่เขาจะไม่ไลน์หรือโทรมาหาผม พี่เขาไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดใจเวลาคุยด้วย เนื้อหาที่คุยกันก็ไม่มีอะไรมากพี่เขาชอบโทรมาเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีพี่ชายอีกคน พี่เขารู้ว่าผมไม่ต้องการจะได้ยินหรือรับรู้อะไรเขาก็จะเลี่ยงที่จะไม่พูดให้ผมฟัง ตรงจุดนี้ผมเลยรู้สึกขอบคุณพี่เขามากที่ใส่ใจความรู้สึกของผมก่อนเสมอ



หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ผมก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าผมจะเริ่มชีวิตใหม่ ผมจะใช้ชีวิตของผมให้มีความสุข ผมจะลืมเรื่องราวทุกอย่างที่เคยผ่านมาให้หมด ผมจะทำราวกับว่าที่ผ่านมาผมไม่มีความทรงจำใดๆทั้งสิ้นก่อนที่จะย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผมเสียใจจนแทบอยากจะหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

“มึงจะยืนเช็คข้อความอีกนานไหม ไม่กลับหรือไงบ้าน มานี่เลยมา”

เอ็นแขวะผมก่อนจะเดินมาโอบรอบคอพาผมออกจากที่ทำงาน แล้วก็มาแวะซื้อกับข้าวที่ตลาดกับไปกินที่บ้านกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน วันนี้เป็นเวรผมสองคนซื้อกับข้าวเข้าบ้าน เราจะแบ่งวันกันวันคู่พวกผมจะเป็นคนซื้อ วันคี่นุกกับกันต์จะเป็นคนซื้อเราสร้างกติกาการอยู่ร่วมกันขึ้นมาตั้งแต่อาทิตย์แรกๆที่เข้ามาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

“มึงจะกินอะไรเลือกมาอย่างนึง เมื่อเช้าไอห่านุกมันสั่งให้กูซื้อข่าไก่แล้ว ส่วนไอกันต์เขียวหวานไก่ กูปลาราดพริก มึงอ่ะจะแดกอะไรเร็วๆเดี๋ยวรถสองแถวมาก่อน”

เอ็นมันแทบจะไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดบ้างเลย เห็นไหมครับตั้งแต่เริ่มคุยกันมา มีแต่มันทั้งนั้นที่เป็นฝ่ายพูดไม่ยอมหยุด

ผมยืนมองกับข้าวตรงหน้าอยู่ซักพักก่อนจะชี้นิ้วไปที่ต้มจืดเต้าหู้ และนั่นก็ทำให้เอ็นเดินเข้ามาหาผมทันที

“ชี้ทำไม สั่งดิวะ ป้าครับถ้ามันสั่งไม่ออกเสียงห้ามตักให้มัน”

เอ็นเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม แล้วคอยบงการชีวิตผมอยู่ข้างหลัง ผมเห็นป้าคนขายหัวเราะเบาๆแล้วมองมาที่ผมสลับกับไอคนข้างตัว ที่ยืนจ้องผมอยู่ ผมหันไปมองหน้ามันแล้วฝาดมือลงบนไหล่มันด้วยแรงที่ไม่มากนัก หวังจะให้มันเลิกแกล้งผม แต่เปล่าเลยมันกลับยิ่งใช้ภาษากายเร่งเร้าให้ผมต้องออกปากสั่งในที่สุด

“ต้มจืดถุงนึงครับ”

ผมบอกป้าคนขาย รอไม่นานนักป้าแกก็ยื่นถุงต้มจืดมาให้ผมพร้อมกับรับเงินจากมือเอ็นไป

“ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อหนุ่ม น่ารักกันจริงๆ”

“ครับป้า วันหลังถ้าเพื่อนผมมันซื้อของแล้วไม่ยอมพูดห้ามขายให้มันนะครับ มันนิสัยไม่ดี”

ดูมันกล่าวหาผม ผมได้แต่ยืนทำหน้านิ่งมองมันกับป้าคุยกันอย่างออกรส พอมันหันมาเห็นรถสองแถวจอดเทียบตรงหน้ามันก็รีบคว้ามือผมขึ้นรถไปทันที และก็ไม่วายหันมาโทษว่าเป็นความผิดผมอีก

“รถมาไม่รู้จักโบกมือเรียกนะมึง อยากเดินกลับบ้านหรือไง”

เห็นไหมครับในที่สุดผมก็กลายเป็นคนผิดอีกแล้ว ได้ข่าวว่ากูหันไปเจอรถพร้อมมึงนะเอ็น ทำไมเอาแต่โทษกูคนเดียว ผมบ่นในใจ ตลอดทางผมก็นั่งฟังมันจ้อเรื่องที่มหาลัยมันไปเรื่อย พอผมหันหน้าออกนอกรถมันก็ล็อคคอผมให้กลับมามองมันใหม่ รำคาญมากครับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายพูดมากจะมีอยู่จริง และไม่คิดด้วยว่าผมจะได้เจอคนประเภทนี้

ก๊อก ก๊อก ก็อก!!

“กันต์นุกมึงสองตัวออกมาจัดโต๊ะแดกข้าวได้แล้วครับ พวกกูจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำกัน”

กลับมาถึงบ้าน เอ็นมันก็เดินไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของกันต์และนุกทันที พอฝ่ายนั้นเปิดประตูมามันก็จัดการสั่งเป็นชุดก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามโดยไม่ลืมลากคอผมเข้าไปด้วย

“มึงไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกูเก็บผ้าแปป”

มันว่าแล้วหยิบผ้าขนหนูซึ่งเป็นของผมยัดใส่ในมือให้แล้วดันหลังผมให้เข้าไปยืน งง แดกอยู่ในห้องน้ำ

“รีบอาบเร็ว”

มันสั่งแล้วปิดประตูใส่หน้าผมในนาทีถัดมา ผมเลยจำใจเดินไปถอดเสื้อผ้าหน้ากระจกแล้วก็เปิดฝักบัวอาบน้ำตามที่เอ็นมันบอก แต่อาบไปได้แปปเดียวเท่านั้นครับ ประตูห้องน้ำของผมก็ถูกเปิดออกโดยเพื่อนร่วมห้องของผม มันเดินเข้ามาในห้องน้ำหน้าตาเฉย วางผ้าเช็ดหัวไว้ให้ผมที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะเดินออกไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้ผมยืนแข็งทื่ออยู่คนเดียวท่ามกลางสายน้ำเย็นจัด ตอนแรกก็เย็นปกติแหละครับ แต่มันมาเย็นจัดก็ตอนที่ไอเอ็นมันเดินเข้ามาอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจสายตาผมที่มองอย่างตกใจเลยซักนิดเนี่ยแหละ มันคงเห็นทุกอย่างของผมหมดแล้ว หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็ออกมาจากห้องน้ำ เปิดมาก็เจอเอ็นนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง พอมันเห็นผมเดินออกมามันก็โยนโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้วเดินผ่านตัวผมเข้าไปอาบน้ำบ้าง โดยไม่ลืมจิกกัดผมเล่นอย่างที่มันชอบทำ

“อาบนาน ควักไส้มาล้างหรือไงมึง”

“วันนี้พี่เป้าใช้งานกูหนักมากครับไอสัส แม่งให้กูเดินขึ้นเดินลงระหว่างห้องจ่ายไฟกับห้องพักพนักงานเป็นว่าเล่นกูนี่ขาแทบลาก”

“แล้วทำไมมึงไม่ใช้ลิฟท์ละ”

เอ็นถามนุก ผมที่นั่งกินข้าวร่วมวงอยู่ที่โต๊ะเลยพลอยอยากรู้ไปด้วย ปากก็เคี้ยวทำเหมือนไม่สนใจแต่หูผมรอฟังทุกคำพูดของเพื่อนร่วมบ้าน ผมชอบฟังครับพวกมันคุยกันสนุกดี บางครั้งก็ทำให้ผมแอบขำคนเดียวได้เหมือนกัน ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ดูเหมือนพัฒนาการด้านอารมณ์ของผมจะดีขึ้น ผมหัวเราะบ่อยขึ้น แสดงสีหน้าได้ดีขึ้น ครั้งล่าสุดที่ผมไปหาหมอรับคำปรึกษาเรื่องอาการผิดปกติที่ผมเป็น หมอบอกว่าน่าจะเกิดจากภาวะทางจิตใจในวัยเด็ก ทำให้ผมปิดกลั้นตัวเองจากทุกความรู้สึก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หมอบอกว่าถ้าผมได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ซักวันอาการเหล่านี้ก็จะเบาลงและหายไปในที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวผมด้วยว่าจะทำให้สภาวะทางจิตใจของตัวเองผ่อนคลายได้มากแค่ไหน ถ้าผมทำได้ดี อาการเหล่านี้ก็จะหายไป

“พี่เขาไม่ให้ผมกับนุกใช้ลิฟท์ครับ เขาบอกว่าลิฟท์มีไว้ให้ลูกค้าใช้งานเท่านั้น โคตรสองมาตรฐานเลยนะครับว่าไหม”

กันต์พูดแบบใส่อารมณ์เต็มที่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ สงสัยจะเคืองพี่เป้ามากจริงๆ หลังจากกินข้าวเสร็จก็เป็นเวลาดูทีวี เพื่อนใหม่ของผมจะดูหนังร่วมกันทุกวันหลังอาหารเย็นที่ห้องนั่งเล่น แน่นอนว่ากิจกรรมแบบนี้ไม่เคยเป็นกิจกรรมที่คนอย่างผมต้องการเลย แต่พอหลังกินข้าวเสร็จทีไร เอ็นเจ้าเดิมจะเดินมาล็อคคอผม ให้ไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวีเป็นประจำทุกวัน ตอนแรกๆก็เกือบมีชกกัน เพราะผมไม่ชอบในความไม่เคารพสิทธิส่วนตัวของคนอื่นของเอ็น เอ็นชอบทำตัวน่ารำคาญใส่ผม ผมเหวี่ยงใส่เอ็นทุกวันในช่วงอาทิตย์แรกๆ แต่เอ็นก็ยังคงทำเหมือนเดิมทุกวันเช่นกัน จนในที่สุดผมก็ต้องแพ้ให้กับความมึนของเอ็น แล้วก็มานั่งดูหนังที่ตัวเองไม่เคยจะพิสมัยเลยที่หน้าทีวี โดยที่มีเอ็นนั่งข้างๆ ส่วนกันต์กับนุกจะมีหมอนประจำตำแหน่งคนละใบจับจองพื้นที่นอนดูทีวีที่พื้นภายในห้องรับแขก

“วันนี้ใครเป็นคนเลือกโปรแกรมหนังครับ”

กันต์ชะโงกหน้าขึ้นมาถามผมสองคน เมื่อเห็นว่าผมไม่มีคำตอบให้แน่ๆกันต์เลยหันไปหาเอ็นแทน

“หนังผี จัดไป ปิดไฟด้วยขอมืดๆ ใครกลัวก็รีบเข้าไปนอนเลยดีกว่า ฮ่าๆๆ”

หลังจากนั้นสิบนาที

“เฮ้ย!!! เหี้ยตกใจหมด ผีส้นตีนอะไรวะแม่งโผล่มาจากน้ำ”

ระหว่างที่พวกผมกำลังดูหนังเพลินๆ เสียงไอคนที่ประกาศกร้าวข่มขวัญคนอื่นเมื่อสิบนาทีที่แล้วก็ดังขึ้น พร้อมกับแรงกระแทกที่ไหล่ผมอย่างแรง หันไปก็เห็นเอ็นนั่งเบียดผมซะตัวแทบจะซ้อนกัน แรงกระแทกที่ว่านั่นคงจะเป็นเพราะสะดุ้งจนตัวโยนแล้วมากระแทกผมที่อยู่บนโซฟาตัวเดียวกันอย่างแน่นอน เอ็นไม่ได้สนใจกับตำแหน่งการนั่งของตัวเองเลยซักนิด ตาเอาแต่จ้องไปที่จอทีวี กลัวแต่ก็ยังดูคนเรานี่ก็แปลก

“เฮ้ยยย!!!ใครดึงขากู!!!”

เอาอีกแล้วครับคนข้างตัวผมมันร้องทุกห้านาที ทุกคนเงยหน้าจากหนังมามองตัวต้นเสียงกันหมด ก่อนจะมองเลยลงไปยังขาที่เจ้าตัวหาว่าใครมาดึง

“มึงดึงขากางเกงตัวเองอยู่ไอควาย!!กลัวขี้ขี้สมองแล้วมั้งมึง”

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

“กลัวเหี้ยไร กูไม่ได้กลัวซักหน่อยพวกมึงอย่ามั่ว แล้วก็มึงไม่ต้องมายิ้มเลยไอภู”

ทันทีที่เอ็นบอกว่าผมยิ้ม ผมก็รีบยกมือขึ้นจับปากตัวเองทันทีมันจริงอยู่ที่ผมรู้สึกขำ แต่ผมเนี่ยนะจะยิ้มให้คนอื่นเขาเป็นด้วยผมไม่อยากจะเชื่อเลย

“ยิ้มแล้วก็น่ารักดีนี่ครับภู ทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆ”

กันต์เสริมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมยังสติลใบ้รับประทานอยู่

“ฟันมันหลอพวกมึงไม่เห็นหรอ เพราะอย่างนี้ไงมันถึงไม่ยอมยิ้มให้ใคร”

“ฟันกูไม่หลอ”

ผมออกปากท้วงทันควัน ปากผมฟันผมเอ็นมันจะรู้ดีไปกว่าตัวผมได้ยังไง เรื่องมัวนี่ขอให้บอกเอ็นเลย ถนัดนักเชียว

“หึ เฮ้ยพวกมึงกูไปนอนแล้วนะหนังเหี้ยไรก็ไม่รู้ไม่สนุกเลย อย่าลืมปิดไฟกันด้วยล่ะ”

เอ็นสั่งเสร็จก็ลุกเตรียมจะเดินออกไปจากห้องรับแขก ผมเลยขยับตัวไปนั่งพิงโซฟาเหยียดขาเต็มความยาวครอบครองพื้นที่บนโซฟาแต่เพียงผู้เดียวแทน เพราะสองคนนั่นดูยังไงก็ไม่มีท่าทีว่าจะย้ายขึ้นมานั่งบนนี้อยู่แล้ว

“แล้วมึงจะนั่งอยู่ทำไม กูบอกจะนอนแล้ว”

“มึงก็ไปนอน”

ผมบอกมัน แล้วหันกลับไปดูหนังต่อ จะนอนแล้วยังจะมาทำเสียงน่ารำคาญใส่คนอื่นเขาอีก

“มึงก็ไปนอนด้วย ไม่งั้นกูล็อคห้องมึงนอนข้างนอกนะ”

“อื้ม”

ผมรับคำสั้นๆ ผมนอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว นอนข้างนอกนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงกรนของเอ็น คนอะไร หัวถึงหมอนเมื่อไหร่หลับกรนลั่นห้องทุกที ผมละสายตาจากเอ็นหันกลับไปดูหนังตามเดิมอีกครั้ง แต่ก็ถูกไอคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเมื่อครู่ล็อคคอลากผมให้เดินตามมันเข้าห้องนอนไปอย่างถือวิสาสะ

“เอ็นกลัวผีไม่กล้านอนคนเดียวก็บอกภูมันดีๆซิวะ ฮ่าๆๆๆ”

ก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดเสียงนุกก็ดังแทรกเข้ามา นุกบอกว่าเอ็นกลัวผี หึหึหึ ก็ท่าจะจริง เพราะถ้าไม่กลัวเตียงสองเตียงคงไม่ถูลากมาชิดกันอย่างที่ผมเห็นหรอก

“กูไม่ได้กลัว ไม่ต้องเสือกถามด้วยมานอนเร็วๆ”

เอ็นกระโดดขึ้นที่นอนก่อนผม แล้วกระชากผ้านวมขึ้นมาคลุมตัวหันหลังให้ผมเสร็จสรรพเป็นการตัดบทสนทนาผมเลยทิ้งตัวนอนลงบ้างขยับหมอนผ้าห่มให้เข้าที่ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหลับไปในที่สุด ชีวิตใหม่ของผมที่นี่ไม่เลวเลยใช่ไหมครับ ผมได้ทั้งเพื่อนดี สิ่งแวดล้อมดี การเป็นอยู่ก็ถือว่าใช้ได้ ผมสุขสบายดีทุกอย่าง ไม่ต้องดิ้นรนหางานทำนอกเวลาเพราะผมฝึกงานแบบได้ค่าแรง ไม่ต้องมานั่งปวดใจเพราะเรื่องไร้สาระใดๆอีกแล้ว ตอนนี้ผมโอเคและชอบชีวิตแบบนี้มาก และผมก็หวังว่าผมจะมีความสุขแบบนี้ไปตลอด


----------------------------------------------
เรื่องนี้มี 39 ตอนจบนะคะ นี่ก็ดำเนินมากเกินครึ่งทางแล้ว คนเขียนจะมาอัพให้ถี่ขึ้นนะคะ ฝาก comment เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด