Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rewrite : ถึงร้าย...ก็รัก >>>> (09/07/2019) ตอนที่ 38 จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ  (อ่าน 38315 ครั้ง)

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อัพทุกวันได้จะดีมาก อยากรู้ด้านภูเป็นไงบ้าง

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ดีแล้วละภู ทำตอนนี้ให้ดีกับตัวเรา ปล่อยใจให้มันโล่งๆสักพัก ข้างหน้าจะมีหมาบ้ามาตามเจอไหมหรือยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที ดูดิ๊ว่าไอ้พี่ภีมมันจะทำอะไรเพื่อภูบ้าง ถนัดแต่ทำให้เสียใจ เห๊อะ!! อินค่ะ 5555 สนุกก รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณนะคะที่มาอัพ :)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เปลี่ยนให้เอ็นเป็นพระเอกก็ได้นะ  อิอิ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชีวิตใหม่ที่มีความสุข

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
                                                                                   
                                                                             - 29 -


    ท่ามกลางการประชุมที่ตึงเครียด เสียงโต้เถียงกันถึงประเด็นของหัวข้องานต่างๆดังขึ้นเป็นเสียงซาว แต่ผมในฐานนะผู้บริหารหน้าใหม่กลับทำได้เพียงแค่ทอดสายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง ผมไม่สนใจว่าบทสรุปของการประชุมจะเป็นเช่นไร ผมไม่สนเพราะผมไม่ได้เลือกที่จะมานั่งที่นี่ด้วยความเต็มใจของผมเอง ผมมานั่งเสียเวลาอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ผมควรจะเอาเวลาอันมีค่าของผมใช้ตามหาใครบางคนใครบางคนที่ผมรักมากที่สุด เกือบจะหนึ่งเดือนเต็มๆที่ผมไม่ได้เจอหน้าภู ไม่ได้ยินเสียง หรือแม้แต่ข่าวคราวผมก็ไม่เคยได้ยิน ผมคิดถึงภูเหลือเกิน ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรภูถึงเดินจากผมไป ทั้งๆที่วันนั้นเราก็ไม่ได้ทะเลาะหรือผิดใจอะไรกัน ผมกลับมาหาภูอีกที่ที่โรงพยาบาลหลังจากเคลียร์เรื่องระหว่างยูกับผมเสร็จ ผมก็รีบกลับมาทันที แต่ทางโรงพยาบาลกลับบอกว่าภูย้ายศพพ่อไปที่วัดแล้ว และก็ไม่ได้บอกด้วยว่าย้ายไปที่วัดไหน ผมกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก แค่นึกว่าวินาทีนั้นภูจะต้องเศร้าและเสียใจแค่ไหน ผมก็ยิ่งนึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้อยู่ข้างภูในตอนนั้น

ผมพยายามโทรหาแต่ภูก็ไม่ยอมรับ ฝากข้อความส่งไลน์ไปให้วันละเป็นร้อยๆรอบ แต่ก็ไม่เคยเปิดอ่านหรือมีการตอบรับกลับมาให้ผมเลย ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำยังไง ผมกำลังจะบ้าตาย ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมก็เลิกที่จะตามหาภูไม่ได้

ผมไปรอภูที่หน้าบ้านทุกวัน ไปหาที่คณะ เจอเกด เกดก็ไม่ยอมพูดอะไรให้ผมฟัง สุดท้ายผมก็ต้องไปขอความช่วยเหลือไอเขต แต่ผลออกมาก็เหมือนเดิม ไม่มีใครยอมพูดอะไรเกี่ยวกับภูให้ผมรู้เลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน ซอยหน้าบ้านภูที่ผมไปดักรออยู่ทุกวัน แม้ผมจะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวย้ายออกไปแล้ว แต่ผมก็หวังว่าซักวันนึงผมจะเจอภูอยู่ที่นี่ ผมยังคงไปรอทุกวันด้วยความหวังเพียงน้อยนิดของผม



"คุณภีมคะ มีความเห็นยังไงการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทเราคะ”


"คุณภีมคะ”


"คุณภีม”



"เอาตามที่เห็นว่างานเปิดตัวสินค้าจะไม่เจ้งแล้วกัน แค่นี้ใช่ไหมเสียเวลา!!!”

ผมพูดจบก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไปยังนอกห้องประชุมทันทีโดยไม่สนใจสายตาคู่ไหนทั้งนั้นที่จ้องมามาที่ผม ผมบอกแล้วใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่ทางที่ผมเป็นคนเลือก เพราะฉะนั้นไม่ว่างานเปิดตัวจะเจ้งไม่เป็นท่าหรืออะไรผมก็จะไม่สนใจทั้งสิ้น สิ่งที่ผมควรจะสนใจตอนนี้คือ ตามหาภูให้เจอ



"ไอท๊อปนักสืบคนที่มึงติดต่อให้กู ได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว ไหนมึงบอกว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็เจอไง นี่มันจะเดือนแล้วนะ มึงจะให้กูรอไปถึงไหน!!!”

ผมกดโทรศัพท์ไปหาไอท๊อปทันทีที่กลับมาถึงห้องทำงาน ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลางขยับไทค์ให้หลวม ผมรู้สึกร้อนและหงุดหงิดกับอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าผมจะมองอะไรจะทำอะไรทุกเรื่องก็กลายเป็นน่ารำคาญไปซะหมด ผมเป็นเอามากใช่ไหมครับ ผมเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันที่ภูหายไปจากชีวิตผม


"ใจเย็นดิวะ กูก็เร่งให้อยู่ทุกวันเนี่ย แต่มันยังไม่ได้เรื่องแล้วจะให้กูทำยังไงวะ”

ปลายสายตอบกลับมาอย่างเหนื่อยใจ ผมรู้ว่าผมสร้างความรำคาญให้มันพอสมควร แต่จะให้ผมทำยังไง ช่วยกันตามหาหลายๆคนก็ดีกว่าผมคนเดียวหาไม่ใช่หรอ ถ้ามันจะรำคาญและบ่นใส่ผมบ้างก็คงไม่ผิด


"จ่ายเงินค่าเสียเวลาแล้วเปลี่ยนนักสืบคนใหม่ซะ กูรอต่อไปไม่ได้แล้ว”



"เฮ้อ เออ รับทราบครับคุณชาย มึงผ่อนคลายตัวเองบ้างซิวะไอห่า ใจเย็นๆค่อยๆคิดมากกว่านี้ได้ไหม กูรู้มึงอยากได้น้องเขากลับมาเร็วๆ แต่ถ้าน้องกลับมาแล้วมึงยังมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง โมโหร้ายแบบนี้ น้องเขาจะอยากอยู่กับมึงหรือไง ในระหว่างที่มึงรอ ทำไมมึงไม่คิดเปลี่ยนตัวเองเพื่อน้องเขาด้วยเลยวะ รักก็ต้องเปลี่ยนได้ซิ นี่กูว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของมึงแล้วนะ แต่ยิ่งเห็นมึงกูยิ่งหงุดหงิด”

ผมฟังคำปรามของไอท็อปเงียบๆ ไม่ได้เถียงแต่ก็ไม่ได้ยอมรับในคำพูดมันมากนัก พอมันบ่นเสร็จผมก็ตัดสายทิ้ง นั่งเยียดขาอย่างผ่อนคลายพาดบนโต๊ะทำงานของตัวเองเงียบๆ



"ภูถึงพี่จะไม่รู้ว่าภูอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไร แต่พี่หวังนะครับว่าภูจะสบายดี พี่คิดถึงภูเหลือเกิน คิดถึง คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”

ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงแล้วขังตัวเองให้อยู่ในโลกของความฝัน บางครั้งบางวันและบางคืนผมแทบที่จะไม่อยากออกมาจากโลกใบนั้นเลย โลกใบนั้นทำให้ผมได้เจอภูเกือบทุกวัน ได้เห็นเรื่องราวต่างๆที่ผ่านจากความฝัน มีทั้งเรื่องที่ดีและแย่ป่นกันไป บางภาพของความทรงจำ เมื่อผมได้เห็นมันอีกครั้งผมก็อยากจะกลับไปแก้ไข ผมตื่นขึ้นมาในทุกเช้าพร้อมกับความคิดที่ว่า ถ้าผมรู้ว่าผมจะรักภูมากขนาดนี้ ผมจะทำดีกับภูให้มากๆ ผมตื่นมาพร้อมกับความคิดแบบนี้ทุกวัน ผมเหนื่อยแต่ก็ยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะทำทุกอย่าง ทุกอย่างเลยจริงๆขอแค่ได้เห็นภูอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรผมก็จะยอมแลกทั้งนั้นแม้แต่ศักดิ์ศรีและความเป็นคนของผม

ปึง!!!!!!



"แกจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันภีม ฉันให้แกเข้ามาพัฒนาบริษัทนะไม่ได้ให้แกมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆแบบนี้”

ผมรับรู้ทุกอย่างตั้งแต่เสียงประตูเปิดจนถึงเสียงฝีเท้าที่เดินผ่านประตูห้องทำงานผมเข้ามา แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเจอกับอะไรทั้งนั้น ผมเลยเลือกที่จะปิดตาและนั่งอยู่ในท่าเดิมโดยไม่สนใจแม้ว่าคนที่เดินเข้ามาแว้ดๆใส่ผมนั้นจะเป็นพ่อของผมก็ตาม



"ออกไปก่อนได้ไหมครับภีมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยอะไรกับใครได้จริงๆ”


"นี่แกไล่พ่อหรอเจ้าภีม แกกล้าดียังไงมาไล่พ่อตัวเองแบบนี้!!!!”


"ผมขอร้องแค่ตอนนี้ได้ไหมครับ”


"แกเป็นอะไรของแก มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


"พ่อครับขอภีมอยู่คนเดียว ได้ไหมครับขอร้อง แล้วหลังจากนี้ถ้าพ่อจะด่าจะว่าอะไรภีมจะรับฟังอย่างดี แต่แค่ตอนนี้ปล่อยภีมไปก่อนไม่ได้หรอครับ”

เปลือกตาผมทั้งสองข้างยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม ผมคิดว่าผมหลับตาแน่นแล้ว แต่ทำไมน้ำตามันถึงไหลผ่านหางตาคู่นี้ของผมได้



"ภีม!!ลูก โอเคพ่อเข้าใจแล้ว พ่อจะออกไปก่อน พ่อจะออกไป พักผ่อนนะดีขึ้นแล้วโทรหาพ่อด้วย”

หลังจากที่พ่อเดินออกจากห้องไป ผมก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาในที่สุด ที่ผ่านมาผมพยายามจะกดความรู้สึก กดน้ำตาแห่งความเสียใจนี้ไม่ให้มันไหลออกมาตลอด ผมไม่อยากดูเหมือนคนขี้แพ้ เพราะผมเชื่อว่าผมยังมีความหวังเรื่องของภูอยู่

ถึงผมจะไม่รู้ว่าความหวังของผมมันมีทางจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ผมก็เลือกที่จะรอ ผมจะรอวันที่ภูกลับมายืนอยู่ข้างผมอีกครั้ง พี่จะรอเรานะภู พี่จะรอ


สองวันต่อมาหลังจากวันที่ผมเดินออกจากห้องประชุมมาดื้อๆ โดยที่ไม่ได้ฟังรายละเอียดของงานอย่างถี่ถ้วนนัก เป็นเหตุให้วันนี้ผมก็ต้องเดินกลับเข้ามานั่งในที่ประชุมอีกครั้งเพื่อฟังรายละเอียดงานอย่างจริงจัง



"เมื่อครั้งที่แล้วเรามีการพูดถึงเรื่องเปิดตัวสินค้าใหม่ และคอนเซปของงาน ซึ่งเราได้คอนเซปและรูปแบบของงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างรูปแบบงาน และคอนเซปเราจัดทำแฮนเอ้าท์ไว้ที่ด้านหน้าของทุกท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วคะ เชิญรับชมไปพร้อมกันนะคะ”

“สำหรับสถานที่จัดงาน เราเซ็ทให้โรงแรมในเครือบริษัทของเราเป็นสถานที่จัดงานคะ อันนี้ท่านประทานใหญ่ฝากมาเพราะท่านอยากให้เราทำการโปรโมทโรงแรมของเครือบริษัทเราไปด้วย”



"โรงแรมในเครือเรามีตั้งหลายที่ท่านประทานได้บอกหรือเปล่าครับว่าที่ไหน”

เป็นคำถามที่ดี อันนี้ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ผมอยากรู้ว่าแม่จะใช้โรงแรมไหนเป็นสถานที่เปิดตัวสินค้า เพราะบริษัทเรามีโรงแรมในเครืออยู่ตั้งเกือบสิบจังหวัด จนบางครั้งผมอดสงสัยไม่ได้ว่าธุรกิจไหนกันแน่ของครอบครัวผมที่เป็นธุรกิจหลัก เวชสำอางหรือโรงแรม



"โรงแรมที่เชียงใหม่คะ กำหนดงานคืออาทิตย์หน้า ส่วนรายละเอียดและกำหนดการต่างๆทางดิฉันได้ส่งเข้าเมลทุกคนแล้ว มีใครมีคำถามเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ ถ้าไม่มีงั้นรายงานการประชุมในส่วนของดิฉันคงมีเรื่องแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้”

จบการประชุม ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อเช็ครายละเอียดต่างๆของงาน และก็เคลียร์เอกสารเก่าๆที่ทำค้างไว้ งานเปิดตัวสินค้าที่จะถึงนี้เป็นงานใหญ่ไม่ใช่น้อย สังเกตได้จากตัวเลขในรายงานงบประมาณ นี่ขนาดไม่รวมค่าสถานที่ตัวเลขยังสูงขนาดนี้ แล้วถ้าหากเพิ่มค่าสถานที่จัดงานเข้าไปจะเป็นยังไงนะ ผมนั่งดูรายละเอียดของงานจากเอกสารที่ได้รับมาอย่างคราวๆ ดูกำหนดการตารางงานต่างๆ ทำการนัดแนะตารางงานกับคุณเรยา ผมกะว่าหลังจากจบงานเปิดตัว ผมจะอยู่เที่ยวที่เชียงใหม่อีกซักสามสี่วัน เลยให้คุณเรยาช่วยเคลียร์ตารางงานให้ หลังจากที่เราคุยกันเรื่องงานเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกลับมาถึงก็อาบน้ำอาบท่าแล้วมานั่งรอโทรศัพท์อยู่ที่หน้าทีวี รอรับรายงานความคืบหน้าเรื่องของภูที่ผมจ้างนักสืบคนใหม่ให้ช่วยสืบให้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้เรื่องหรือเปล่า ผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่เกือบชั่วโมง สายที่ผมรอคอยก็โทรเข้ามา



"ว่าไงได้เรื่องอะไรบ้าง”

กดรับได้ผมก็เป็นฝ่ายออกปากถามทันที ปลายสายเงียบไปพักเหมือนกำลังเช็คข้อมูลอะไรซักอย่าง เพราะตลอดเวลาที่ผมถือสายรอ ผมจะได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ นั่นยิ่งทำให้คนรออย่างผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีความหวัง


"ดูเหมือนว่าเราเจอตัวคุณภูแล้วครับ”



-------------------------------------------
มาต่อแล้วจ้า Comment เป็นกำลังใจให้ด้วยเน้อ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ้าวๆๆๆเอาละเว้ย เจอตัวแล้ว ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน จะเป็นยังไงบ้างละหนอถ้าเจอหน้า รู้แล้วสินะ เสียไปเขามีค่าต่อใจแค่ไหนไอ้พี่ภีม เสีย0เลย 5555555 สนุกกค่า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรตอนต่อไปเล้ย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น่าจะง้อยากอยู่นะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะบังเอิญโลกกลมหรือเปล่า  ถ้านุ้งภูทำงานอยู่ที่โรงแรมของอิภีมที่เชียงใหม่?

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
:pig4: :pig4: :pig4:

จะบังเอิญโลกกลมหรือเปล่า  ถ้านุ้งภูทำงานอยู่ที่โรงแรมของอิภีมที่เชียงใหม่?


55555 พล๊อตนิยายเดาออกง่ายนิ๊ดเดียว

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต่อเถอะ อยากรู้ภีมจะง้อยังไง เจอภูอยู่กับเพื่อนแล้วจะหึงหน้ามืดอีกป่าว

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
วันนี้ไล่อ่านมาจนบทนี้สนุกค่ะรอตอนต่อ :pig4: :3123: :pig4:

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เสารืนี้ไม่มาต่อเหรอ

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หายอ่ะ ตกลงภีมเจอภูไหม

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ไปอ่านในธัญ สรุปเรื่องแฟนเก่าไม่เคลียร์เลยสักนิด ที่กลับมาที่เกาะกันเป็นตังเมที่จูบกัน อยู่ๆนางก็หายไป ว็อทเดอะ แต่งได้ชุ่ยมากอ่ะ น่าจะมีอะไรมากกว่านี้เปล่า นี้พอเนื้อเรื่องพากันมาเชียงใหม่ปุ๊ปนางก็หายหัวไปเลย เอิ่ม … :ruready

ออฟไลน์ Piggyyoungy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตกลงภีมจะเจอภูไหม หายไปนานแล้วอ่ะ คนแต่งเป้นไรป่าว มันขาดความต่อเนื่อง

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3

                                                                       - 30 -

วันหยุดในช่วงอากาศดีๆเช่นนี้ควรจะเป็นวันที่ผมได้นอนหลับอย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานมาเกือบตลอดห้าวัน เสาร์อาทิตย์เช่นนี้ผมควรจะให้รางวัลตัวเองโดยการนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาภายในห้องนอนไม่ใช่หรอ ผมควรจะได้ทำเช่นนั้น แล้วทำไมวันนี้ผมถึงต้องถูกลากมาน้ำตกในวันที่อากาศดีๆแบบนี้ด้วย ผมนั่งปลงตกเอนหัวพิงกระจกรถมองสองข้างทางไปเรื่อยโดยมีเสียงพูดคุยหัวเราะของเพื่อนร่วมฝึกงานทั้งสามดังเป็นระรอก ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนี้ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนมากมาย เมื่อคืนหลังจากกลับบ้านมาก็ลากกันไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่น ต่อด้วยชวนกันดื่ม เช้ามาก็ลากกันมาเที่ยวน้ำตกอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยกันบ้างเลย ครั้นผมจะไม่ไปก็โดนผู้บังคับบัญชาการของบ้านออกคำสั่งแกมบังคับให้ผมต้องออกมาด้วยอย่างเสียไม่ได้ และพอมาถึงน้ำตกที่ว่า ต่างคนต่างก็ไม่รีรอที่จะกระโจนลงน้ำ สาดว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ผมนั่งมองเพื่อนๆทั้งสามคนอยู่บนโขกหินใกล้ๆ เสียงน้ำตกและสีเขียวของธรรมชาติช่วยทำให้ผมผ่อนคลาย ใจผมรู้สึกสงบมากขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะเอนกายหลับตาลงท่ามกลางความเป็นธรรมชาติเช่นนี้

“มานอนทำเหี้ยอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกับพวกกู”

เสียงแบบนี้ไม่ต้องเปิดตาดูให้ยุ่งยากผมก็รู้ว่าผู้ที่มาทำลายความสุนทรีย์ของผมคือใคร ผมเลยนอนพลิกตัวหันหนีไปอีกด้าน เป็นการตัดบนสนทนาทันที

“กวนตีนได้ใครวะมึงเนี่ย ไปสัส ลุกๆ อย่าให้กูต้องถีบลงน้ำนะ”

“กูไม่อยากเล่น”

“กูไม่ได้ถามว่ามึงอยากไหมแต่กูบอกให้ลง”

“เอ็นกูไม่ลง”

ผมรีบคว้าแขนมันไว้แน่นจังหวะที่มันพยายามจะดันผมให้ลงไปในน้ำจริงๆ ผมไม่อยากเปียกและอีกอย่างผมก็ชอบที่จะนอนอยู่บนโขกหินนี้มากกว่าที่จะเล่นน้ำด้วย เอ็นหยุดพยายามที่จะดันผมให้ตกน้ำ พอผมเงยหน้ามองก็เห็นเจ้าตัวยืนมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นว่าผมมองกลับเอ็นมันก็ทำเป็นสะบัดมือออกจากแขนผม ราวกับแขนของผมเป็นของร้อนยังไงยังงั้น

“อยากนอนก็นอนไปเลยมึง แล้วอย่ามาบ่นที่หลังนะว่าไม่ได้เล่นน้ำ”

“อืม”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะทิ้งตัวนอนอีกครั้ง แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆเอ็นถึงหน้าแดง  แล้วยอมทิ้งความพยายามที่จะแกล้งผมไปง่ายๆ แม้ผมจะไม่รู้แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับผม เพราะผมจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องถูกรบกวนจากเอ็น

ช่วงเย็นก่อนกลับบ้านเราก็แวะหาอะไรกินกันในร้านอาหารเล็กๆที่ดูแล้วน่าจะแพงไม่น้อย พวกผมไม่มีใครคิดที่จะก้าวขาลงจากรถเพราะเกรงกลัวต่อค่าอาหารที่ต้องจ่าย แต่พอเอ็นบอกว่าจะเป็นเจ้ามือกันต์กับนุกเลยยอมลงไปแต่โดยดีผมเองก็ด้วย ของฟรีนานๆทีรับเอาไว้บ้างคงไม่เสียหายหรอกมั้งครับ

“อยากกินอะไรก็สั่งนะ นานๆทีกูจะใจดีเลี้ยงข้าวซักทีจะกินะไรก็สั่งเลย”

เอ็นพูดขึ้นระว่างที่กันต์และนุกกำลังเลือกเมนูอาหารกันอยู่ ผมเลื่อนเมนูกลับไปวางไว้ที่ขอบโต๊ะตามเดิม เรื่องอาหารผมไม่ค่อยจะสันทัดเท่าไหร่นัก ผมเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามคนที่เหลือเป็นคนจัดการ หลังจากที่ผมเลิกให้ความสนใจกับเมนูอาหารตรงหน้าแล้ว ผมก็เลือกที่จะชมทัศนียภาพภายในร้านอาหารแห่งนี้แทน ร้านอาหารที่ผมนั่งอยู่นี้เป็นร้านอาหารในสวน รอบด้านมองไปจะเห็นเหล่าแม็กไม้ ภูเขาสีเขียว และดอกไม้นานาพรรณปลูกอยู่ล้อมรอบ ภายในร้านเป็นไม้สักทั้งหลังจัดทำบรรยากาศด้านในให้เหมือนกับบ้าน มีวงดนตรีคลาสสิกบรรเลงเพลงอยู่ด้านหน้าโซนวีไอพี มีเปียโนหนึ่งหลังตั้งอยู่กลางร้าน ค่อยให้ความเพลินเพลินกับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เป็นร้านอาหารที่ไม่เลวเลยสำหรับผม

“มองอะไรของมึงไม่แดกไงข้าว ทำไมไม่สั่ง”

มาอีกแล้วครับความจู้จี้ของเอ็น ผมย้ายสายตากลับมาที่คนข้างตัว เอ็นทำหน้าไม่พอใจใส่ผมก่อนจะเลื่อนเมนูมาให้ผมตรงหน้า

“สั่งอย่างน้อยสองอย่าง ไม่งั้นมื้อนี้มึงจ่าย”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไรเลย เอ็นมันก็ยื่นคำขาดมาให้ผมอีกครั้ง แล้วจ้องผมตลอดเวลาที่ผมพลิกหน้ากระดาษเลือกเมนูอาหาร กดดันกันสุดๆ ทีกับกันต์และนุกเอ็นไม่เห็นจะไปวุ่นวายด้วยแบบผมเลย มีแต่ผมคนเดียวที่โดยเอ็นกวนใจตลอด

“ปลากระพงทอดน้ำปลาครับ”

ผมสั่งแล้วปิดเมนูยื่นคืนให้บริกรไป คิดว่าเรื่องคงจะจบแต่เปล่าเลยครับ

“มึงอยากจ่ายหรือไงกูบอกว่าให้สั่งสองอย่าง”

“เอ็นครับผมว่าแค่ภูยอมสั่งนี่ก็ดีแล้วนะครับอย่าไปบังคับภูเขามากซิ รู้ครับว่าเป็นห่วงแต่แบบนี้ภูจะอึดอัดเอานะครับ”

“เชี่ยกันต์ปากมากนะมึง หุบปากเลยสัส”

กันต์พูดแล้วชักสีหน้าใส่เอ็น ในขณะเดียวกันกันต์ก็โดนนุกกระแทกศอกใส่สีข้าง ผมมองการกระทำเหล่านั้นอย่างเงียบๆ เพราะผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ส่วนเอ็นเมื่อถูกกันต์ดุ ก็ล้มเลิกความพยายามที่จะให้ผมสั่งอาหารเพิ่มแล้ว หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นระหว่างรออาหารมาเสริฟ

“เอ็นไม่โกรธผมใช่ไหมครับ ผมแค่กลัวภูอึดอัด”

“ไม่โกรธ แล้วมึงอึดอัดหรือไง”

เอ็นนิ่งไปพักก่อนจะตอบ แล้วก็นะครับคุยกันอยู่สองคนแท้ๆจะลากผมเข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม แต่ในเมื่อถามผมก็คงต้องบอก

“ไม่อึดอัด แต่รำคาญ”

ผมตอบไปตามความเป็นจริง ผมไม่ได้อึดอัดแต่ก็ไม่ค่อยชอบใจที่ถูกรังควาญความเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ถึงแม้ทุกอย่างที่เอ็นทำจะเป็นการทำเพื่อตัวผมแต่ผมก็รู้สึกรำคาญใจอยู่ดี

“แล้วภูอยากให้เอ็นเป็นแบบไหนล่ะครับ”

“แค่เป็นเพื่อนที่ดีก็พอ”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ ภูตอบตรงมากวะกูชอบ เอ็นมึงจะทำไงล่ะทีนี้ภูอยากให้มึงเลิกกวนตีนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีมึงจะทำได้หร้อคนอย่างมึง”

“กูทำไม่ได้”

บทสนทนาและเสียงหัวเราะเมื่อครู่หายไปแทบจะในทันที เมื่อทุกคนได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของเอ็น

แต่ก่อนที่ใครจะได้ถามอะไร เสียงโวกเหวกโวยวายภายในร้านก็ดังขึ้น ทำให้พวกผมต้องหันกลับไปมอง ผมเห็นมีกลุ่มนักธุรกิจประมาณห้าหกคนเดินผ่านประตูร้านเข้ามาแล้วเดินหายเข้าไปในโซนวีไอพีด้านหน้า คนกลุ่มนั้นดูแล้วท่าจะมีอิทธิพลกับร้านอาหารแห่งนี้ไม่น้อย ตลอดทางเดินผมเห็นไม่ว่าจะพนักงานในร้านหรือแม้แต่เจ้าของร้านต่างก็กล่าวทักทายคนมาใหม่อยากเป็นกันเอง ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ผมมองตามไปเรื่อยจนกระทั้งสายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่ง ร่างสูงโปรงที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นที่สุด จู่ๆภาพของคนที่ผมคิดว่าจะลืมมันก็ฉายย้อนเข้ามาในหัว ผมมองไปที่คนๆนั้นแล้วได้แต่ภวนาในใจว่ามันจะไม่ใช่อยากที่ผมคิด คนคนนั้นที่ผมเห็นผมขอให้มันไม่ใช่ไอภีม คนที่ผมเลือกแล้วว่าจะลืมขอให้ไม่ใช่มัน ขอให้ผมแค่คิดไปเอง

เช้าวันต่อมาที่ทำงาน ผมกับเอ็นก็มาทำงานกันเป็นปกติหลังจากที่ได้ใช้วันหยุดที่แสนมีค่าไปกับการกินเที่ยวแล้ว วันนี้ผมก็ต้องกลับมาทำหน้าที่เด็กฝึกงานที่โรงแรมตามเดิม ผมเดินไปหยิบฟ้มเอกสารที่พี่ๆทิ้งไว้ให้ ข้างหน้าแฟ้มมีโพสอิทที่เขียนเกี่ยวกับงานคร่าวๆวันนี้ที่ผมต้องทำ แต่ระหว่างที่ผมกำลังกวาดสายตาดูลิสงานอยู่นั้นหัวหน้างานของผมก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาผม

“ภูเดี๋ยวอีกสองวันทางโรงแรมเราจะมีงานเปิดตัวสินค้าใหม่ ถ้าวันนั้นพวกแก พี่หมายถึงแกกับเอ็นถ้าไม่มีอะไรทำอยากจะให้มาช่วยกันในงานได้ไหม สะดวกหรือเปล่า พอดีวันนั้นเด็กที่มีมันไม่พอจริงๆหว่ะ พี่ไม่รู้จะทำไงดี”

“ครับ แล้วเอ็นพี่บอกหรือยัง”

“ยังเลยฝากบอกมันที ไอห่านี่คุยด้วยยากชอบกวนตีน”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะเดินถือแฟ้มงานที่อ่านอยู่เมื่อครู่เดินสำรวจจุดเชื่อมต่อไฟฟ้าทุกจุดของโรงแรม ที่ผมได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับตัวงานเมื่อครู่พร้อมกับรูปถ่ายของสายไฟที่มีรอยไหม้ขนาดใหญ่มาให้ดู และให้ผมจัดการซ่อม เสร็จแล้วก็ให้ไปรายงานผลที่ห้องพักพนักงานนี่คือสิ่งที่เจ้าโพสอิทใบเล็กเขียนแปะไว้หน้าแฟ้มงาน ผมเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะใช้บันไดหนีไฟเดินไปยังห้องจ่ายไฟที่มีสายไฟไหม้ตามที่ได้รับแจ้งมา ผมใช้เวลาในการซ่อมเกือบสามชั่วโมงเนื่องจากต้องเปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งเส้น และสายไฟที่ว่านั่นมันก็ไม่ใช่เล็กเลยกว่าจะเสร็จก็เข้าเวลาพักเที่ยงพอดี ผมเลยเดินกลับขึ้นมาที่ห้องพักพนักงาน เปิดประตูมาก็เจอเอ็นนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“มึงไปไหนมาวะ กูเดินหาซะทั่วไม่เห็นเจอ”

เอ็นว่าแล้วยื่นข้าวกล่องส่งมาให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำเย็นมาเทใส่แก้วให้ผมด้วย

“ขอบใจ มึงกินแล้วหรอ”

“แดกแล้วใครจะรอมึง แล้วนี่สรุปไปไหนมา”

“เปลี่ยนสายไฟที่ห้องจ่ายไฟ ตามหากูมีอะไรหรือเปล่า”

ผมย้อนถามพลางเปิดกล่องข้าวที่อยู่ในมือกิน  พอจะหาถุงพริกน้ำปลามาเติมใส่ข้าว เอ็นมันก็แกะถุงแล้วยื่นมาให้ตรงหน้าแล้ว ผมนี่แทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย

“ไม่มี แดกๆไปเหอะข้าวเย็นหมดแล้วกูอุตส่าห์ตากแดดลงไปซื้อมาให้แดก”

“งั้นวันหลังกูไปให้จะกินอะไรบอกกูไว้แล้วกัน”

ผมว่าพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พอกินเสร็จผมกับเอ็นก็แยกกันไปทำงาน ผมเดินไปตรวจแผงไฟในส่วนที่ผมยังไม่ได้ไปสำรวจต่อ แต่ระหว่างนั้นผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่หัวหน้าทีมว่าผู้บริหารโรงแรมต้องการพบตัวผม และนั่นก็ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ครับ ผมหรอครับพี่”

“เออ เอ็งนั่นแหละนี่พี่ยัง งงๆอยู่เลยนะว่าเขาอยากจะเจอแกทำไม”

“ครับ เดี๋ยวผมจะรีบไป”

ผมเดินมาถึงหน้าห้อง ห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่พอควร หน้าห้องเขียนว่า ‘ผู้บริหาร’ ผมเลยเคาะประตูก่อนจะผลักเข้าไป เมื่อมีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ผมเดินผ่านประตูห้องเข้ามา ก็เจอคนที่อยู่ในห้องก่อนแล้วยืนหันหลังให้ผมอยู่ ร่างสูงตรงหน้า ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ มือทั้งสองข้างซุกอยู่ภายใต้กระเป๋ากางเกงสแลคสีดำเข้ม ไม่ได้สนใจในการมาของผมเลยแม้แต่นิด ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักไปเสียเอง

“สวัสดีครับ”

ผมกล่าวทักอย่างสุภาพ และก็เฝ้ารอให้คนตรงหน้าหันกลับมาให้ความสนใจกับผมเสียที ผมยืนรออยู่เกือบห้านาที แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ผู้บริหารที่เรียกผมมาก็ยังยืนอยู่ท่าเดิม ผมยืนมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดข้างในใจแปลกๆ ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นๆกับแผ่นหลังนั่นเหลือเกิน ผมคุ้นมาก และมันก็เริ่มจะคุ้นไปเสียทุกอย่างเมื่อผมได้ลองมองคนตรงหน้าดีๆ เขาช่างเหมือนคนๆนั้นมากเหลือเกิน เหมือนจนทำให้ผมรู้สึกใจหายวูบ และแทบอยากจะเดินหนีออกจากห้องนี้ไปด้วยซ้ำ

“หึ ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ”

“คะ ครับ”

ผมพยายามสลัดความคิดบ้าๆเมื่อครู่ทิ้ง ก่อนจะหันพุ่งความสนใจไปที่คนตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อกี้ผมได้ยินเหมือนเขากำลังพูดอะไรกับผมซักอย่าง แต่ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก

“ฉันถามว่า ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ………ภูตะวัน”

(Comment เป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                       - 31 -

“ฉันถามว่า ฝึกงานอยู่ที่นี่เองหรอ………ภูตะวัน”

ผมถามพร้อมกับหันไปมองยังคนมาใหม่ ทันทีที่ภูเห็นผมแววตาสดใสในแวบแรกที่ผมเห็นเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยแทบจะในทันที เห็นแบบนั้นแล้วผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลกๆ ใจอยากจะเดินเข้าไปกอดและบอกว่าผมคิดถึงภูแค่ไหน ผมทรมานแค่ไหนตลอดเวลาที่ภูหายไป แต่ผมก็ขลาดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้น ผมกลัวว่าถ้าหากผมทำพลาดอะไรไป แม้จะแค่เพียงนิดเดียวภูก็อาจจะหนีผมไปอีก

“ไม่ทราบว่าต้องการพบผมเรื่องอะไรครับ”

ภูถามด้วยน้ำเสียงสุภาพราวกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งเจอกันวันแรกอย่างไงอย่างนั้น

“อย่าทำแบบนี้กับพี่ได้ไหมภู เราคุยกันดีๆก่อนได้ไหมครับ”

ผมเดินไปหยุดตรงหน้าภูเพื่อขอโอกาสให้ผมได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผมได้ทำพลาดไป และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะขอแก้ไขมันอีกซักครั้ง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย

“ขอโทษนะครับ ผมว่าคุณอาจจำคนผิดผมพึ่งเจอคุณวันนี้เป็นวันแรก เราคงไม่มีเรื่องต้องคุยกัน”

ภูเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะขยับถอยห่างจากผมไปอีกก้าวเพื่อให้ระยะห่างระหว่างผมกับภูมากขึ้น ผมไม่ชอบสายตาแบบนั้นของภูเลย นัยต์ตาของภูตอนนี้ไม่มีแม้แต่ภาพเงาสะท้อนของผมด้วยซ้ำ**

“พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะยอมคุยกับพี่ พี่ต้องทำยังไงภูถึงจะให้โอกาสพี่ได้แก้ตัว…พี่รั….”

“ถ้าไม่มีอะไร งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคภูก็แทรกเสียงขึ้นก่อนจะก้าวขายาวๆไปที่หน้าประตู

“เดี๋ยวก่อนภู!!!”**

ผมเปิดประตูออกไปแทบจะในทันที เพื่อที่จะตามไปคุยกับภูให้รู้เรื่อง แต่ทว่าพอเปิดประตูออกมา ผมกลับเจอใครอีกคนกำลังโอบไหล่ภูอยู่ด้วยท่าทีสนิทสนมก่อนจะพากันเดินเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่เยื่องกับห้องทำงานของผม และนั่นก็ทำให้ผมไม่พอใจเอามากๆ ผมไม่รู้ว่าไอเด็กคนนั้นเป็นอะไรกับภู แถมภูยังยอมให้มันแตะต้องตัวง่ายๆอีก เท่าที่ผมเห็นไอเด็กนั่นต้องคิดอะไรกับภูมากกว่าเพื่อนแน่ๆ แต่ที่ผมไม่รู้คือภูคิดกับมันแค่เพื่อนหรือเปล่า ตอนนี้ผมมองภูไม่ออกเลยซักอย่าง ผมกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง ระหว่างทำงานผมก็เอาแต่คิดว่าจะหาวิธีเข้าใกล้ภูยังไง ผมไม่อยากปล่อยให้มันนานไปกว่านี้ ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้ภูกลับมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าห้อง เรียกสติผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง คุณเรยาเปิดประตูเข้ามาผมพร้อมกับแฟ้มเอกสาร ก่อนจะเอ่ยปากบอกถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาหาผมถึงในห้องทำงาน

“คุณภีมค่ะเรยาจะมาแจ้งรายละเอียดงานคร่าวๆให้ฟังก่อนเผื่อคุณภีมต้องการปรับแก้อะไรค่ะ”

ผมปล่อยให้เรยาอธิบายลำดับขั้นตอนของงานไปเรื่อยๆ เนื้อหาก็จะประมาณว่าคอนเซปงานเป็นยังไง สถานที่เป็นยังไง ผมต้องทำอะไรบ้าง จนมาถึงส่วนที่ผมสนใจที่สุด

“ผู้ช่วยที่คุณว่า ผมขอเลือกเองได้ไหม”

“คะ?. . ."

“แต่มันจะดีหรอคะคุณภีม ทำไมไม่ใช้คนของเราเป็นผู้ช่วยคุณละคะ เด็กคนนั้นจะรู้งานหรอ”

“ดีหรือไม่ดีผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง คุณมีหน้าที่อะไรก็ไปทำเถอะ แล้วเรียกเขาขึ้นมาหาผมด้วย”

“คะคุณภีม งั้นเรยาขอตัวก่อนนะคะ”

ผมพยักหน้ารับอย่างรำคาญใจ แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองตามเดิม ก่อนที่ผมจะเจอภู ผมทั้งมีความสุข ทั้งตื่นเต้นที่จะได้เจอภูอีกครั้ง วันนั้นวันที่ผมได้รับโทรศัพท์และรู้ว่าภูของผมอยู่ที่ไหน ผมเหมือนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก

ผมรู้สึกโล่งใจ และก็ขอบคุณมากที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผมไม่ได้เจอภู ภูเองก็ใช้ชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ขอบคุณที่ภูดูแลตัวเองเป็นอย่างดีในช่วงเวลาที่ไม่มีผม ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กๆก็ตาม ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า ถึงภูไม่มีผม ภูก็สามารถอยู่ได้ ผมไม่อยากคิดแบบนั้น จนกระทั่งเมื่อวานที่ผมได้เจอภู ภูทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักผมมาก่อน นัยน์ตาคู่นั้นนิ่งเฉย ซึ่งต่างไปจากเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าภูจะมองผมด้วยสายตาแบบนี้กี่ครั้ง ผมก็ยังเห็นความรู้สึกเบาบางผ่านนัยน์ตาคู่นั้นเสมอ แต่ครั้งนี้ผมมองไม่เห็นอะไรเลย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าห้อง ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดพร้อมกับการมาของคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดเกือบสองเดือน

ภูเดินผ่านบานประตูเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานผมเงียบๆ ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้ของภูเลยจริงๆ ไม่ชอบเลยที่ภูทำเหมือนไม่รู้จักกัน

“มาเร็วดีหนิ กินข้าวหรือยัง”

“เรื่องที่จะให้ผมช่วย ผมสามารถทำมันตอนนี้เลยได้ไหมครับ”

คำตอบที่ไม่ตรงคำถามของคนตรงหน้า เขาจะรู้บ้างไหมว่ากำลังทำให้ใครคนนึงเจ็บโดยที่เขาไม่รู้ตัว ภูไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ไม่สบตาตรงๆ ทำแบบนี้ทำไมไม่ฆ่าพี่ให้ตายซะเลยล่ะภู จะทรมานพี่แบบนี้ทำไม

“งานเดี๋ยวค่อยทำ ตอบพี่มาก่อนว่ากินข้าวมาหรือยัง”

“รบกวนเข้าเรื่องซักทีได้ไหมครับ ผมยังมีงานต้องทำ”

“มันยากมากเลยหรอภู แค่ตอบพี่ว่าภูกินข้าวมาหรือยัง มันยากมากเลยหรอไงแค่พี่อยากจะคุยกับภู”

ผมพูดออกมาตามความรู้สึกที่มันจุกแน่นอยู่เต็มหัวใจ ตอนนี้ผมพูดเลยว่าผมน้อยใจคนตรงหน้าของผมมาก ภูไม่มีท่าทีอะไรเลยในขณะที่ผมร้อนใจจนทำอะไรแทบจะไม่ถูก คนที่ผมรักยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคน แต่ผมกลับทำไม่ได้แม้แต่พูดคุยด้วยผมก็ไม่สามารถทำได้

“มึงกับกูไม่มีอะไรต้องพูดกัน ต่อจากนี้แม้กูจำเป็นต้องเจอหน้ามึง หรือมึงจำเป็นต้องเข้ามาอยู่ในกรอบสายตากู ก็อย่าได้ทำเป็นรู้จักกูอีก มึงจะเป็นแค่ธาตุอากาศสำหรับกูนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป กูก็หวังว่ามึงก็จะทำเหมือนที่กูทำ”

“ภู!!!”

“คุณภีมคะได้เวลาประชุมแล้วคะ”

เรยาเดินเข้ามารายงานถึงสิ่งที่ผมต้องทำเป็นลำดับต่อไปพร้อมกับแฟ้มการประชุม ทำให้ผมหมดโอกาสที่จะคุยกับภูให้รู้เรื่อง ภูเมื่อเห็นว่าเรยาเดินเข้ามา เจ้าตัวก็รีบชิ่งออกไปทันที

“คุณภีมเป็นอะไรหรือเปล่าคะสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

เรยาเดินเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไร ฉันจะไปประชุมแล้วเอกสารพร้อมแล้วใช่ไหม”

“คะเรียบร้อยแล้ว”

“เด็กคนเมื่อกี้นี้ หลังประชุมเสร็จช่วยเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วคุณก็ช่วยบอกเขาถึงสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ที”

“ได้คะ คุณภีมไปประชุมก่อนเถอะคะเดี๋ยวทางนี้เรยาจะจัดการให้เอง”

ผมพยักหน้ารับคำเบาๆแล้วหยิบแฟ้มเอกสารจากมือเลขาของผมเดินเข้าห้องประชุมไป

การประชุมกินเวลายืดยาวไปกว่าสามชั่วโมง ผมได้รับรายงานผ่านทางไลน์ของเลขาผมว่า เขาบรีพงานให้ภูเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ภูก็กำลังไปทำงานในส่วนของตัวเองอยู่ ตอนนี้ภูเองก็น่าจะอยู่ในห้องพักพนักงาน คิดได้แค่นั้นผมก็รีบเดินไปยังห้องพักพนักงานที่ว่านั่นทันที

“ภูมึงใช้ยาสระผมของกูใช่ไหม กลิ่นนี้กูจำได้”

“ของกูหมด”

“สัสขโมยของคนอื่นใช้แล้วรับสารภาพหน้าด้านๆแบบนี้หรอ”

“ให้กูแก้แค่ตรงนี้ใช่ไหม”

“ไหนๆ”

ผมหยุดมือที่กำลังจะผลักประตูบานนั้นเข้าไป ผมหยุดฝีเท้าตัวเองไว้แค่หน้าประตู ภาพข้างในทำให้ผมโกรธจะแทบจะพังประตูเสียให้ได้ ไอเด็กคนเมื่อวานกำลังยืนซ้อนหลังภูอยู่ แถมยังยื่นหน้าผ่านไหล่ภูไปจนแก้มเกือบจะชิด ผมโกรธและสิ่งที่ทำให้ผมโกรธมากไปกว่าเดิมนั่นก็คือ ภูไม่คิดที่จะหลบ ภูปล่อยให้คนอื่นโดนตัวง่ายๆนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมโมโหเป็นที่สุด

“ภู!!!ออกมานี่”

ผมเดินไปกระชากแขนภูให้ออกห่างจากไอเด็กนรกนั่นทันที ภูมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ แล้วกระชากมืออกจากแขนผมอย่างแรง

“มีอะไรครับคุณภีม”

“ออกมาคุยเรื่องงานกันหน่อย”

ผมพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ลึกๆ สีหน้าภูเมื่อครู่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น ไม่ใช่หน้านิ่งๆ เฉยๆอย่างที่เคย สีหน้าเมื่อครู่ของภู มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น แล้วก็พาลทำให้ผมน้อยใจ

“ยังมีอะไรที่ผมต้องรู้อีกหรอครับ”

“นั่นซิครับ วันนี้เพื่อนผมโดนเรียกไปตั้งหลายครั้งนี่ยังคุยกันไม่จบอีกหรือไง งานนี่ท่าจะยุ่งมาก ให้ผมไปช่วยอีกคนไหม”

ไอเด็กนรกนั่นมันแทรกปากขึ้นมาแล้วดันภูไปอยู่ข้างหลังมัน

“ไม่จำเป็น ภูตะวันตามฉันมาที่ห้องทำงานด้วย”

ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ไอเด็กนรกนั่นมันกวนส้นตีนผมมาก มันจงใจประกาศตัวเป็นศรัตรูกับผมชัดๆ มันชอบภูใช่ว่าผมจะไม่รู้ แต่ผมพูดไว้ตรงนี้เลยว่าคนอย่างมันจะทำได้แค่ชอบเท่านั้น เพราะถึงตายผมก็ไม่ยอมปล่อยภูไปให้มันเด็ดขาด ผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ภูกลับมาเหมือนเดิม ความรักที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นระหว่างผมกับภู ผมอยากจะสานมันต่อ ผมจะไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้แน่ ผมขึ้นมารอภูที่ห้องทำงานไม่นานมากนัก เจ้าตัวก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับสีหน้านิ่งๆ

“นั่งลงก่อน”

ผมพูดแล้วเดินนำภูไปที่โซฟาในห้องทำงาน

“งานพรุ่งนี้ภูคิดว่าภูทำไหวไหม มันจุกจิกเกินไปหรือเปล่า”

ผมถาม งานที่ภูได้รับจริงๆก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นผู้ติดตามให้ผม ความจริงหน้าที่นี้ควรจะเป็นของเรยาเพราะเธอคือเลขาส่วนตัวของผม หรือไม่ก็คนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องงานเป็นอย่างดีอย่างเช่นทีมผู้จัดงานหรือไม่ก็ทีมวางแผน ทั้งๆที่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมกลับเลือกให้ภูมาอยู่ใกล้ๆ ผมยอมที่จะเรียนรู้งานอย่างหนัก เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้ด้วยดี เรื่องให้ภูมาเป็นผู้ติดตามนั้นก็แค่ข้ออ้าง จริงๆแล้วผมแค่อยากอยู่กับภูตลอดทั้งวันก็แค่นั้นเอง

“ไหวครับ เชิญคุณภีมพูดเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ”

เย็นชาเหลือเกิน แต่ละคำพูดที่พูดกับผม บางครั้งผมก็ท้อนะครับ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี อยากคุยด้วยอยากปรับความเข้าใจ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าควรจะเริ่มยังไง เห็นท่าทีของภูแล้วผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย

“พรุ่งนี้เช้าภูต้องแวะเอาสูทจากห้องเสื้อที่คุณเรยาติดต่อไว้ มาให้พี่ที่ห้องก่อน 8 โมง นี่คีย์การ์ดและรหัสผ่าน มาถึงภูก็เปิดประตูเข้ามาได้เลยไม่ต้องกดออดเรียกพี่นะ”

“ครับ ถ้านี่คือส่วนหนึ่งของงาน”

“หลังจากนั้นเราต้องไปทำงานนอกสถานที่ด้วยกันอันนี้ภูก็รู้ใช่ไหมครับ คุณเรยาได้บอกไว้หรือเปล่า”

“ไม่ได้แจ้งไว้ครับ”

“งั้นเอาเป็นว่ารับรู้นะ แล้วนี่ภูจะกลับบ้านยังไง ให้พี่ไปส่งไหม”

“เพื่อนผมรออยู่ ไม่เป็นไรครับ”

เพื่อนที่ว่าก็คงจะเป็นไอเด็กนรกนั่นซินะ แค่คิดถึงหน้ามันแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่รู้ว่าภูรู้แล้วและแกล้งทำเป็นไม่รู้ หรือภูจะไม่รู้เลยจริงๆว่าไอเอ็นไอเด็กนรกนั่นมันคิดกับภูยังไง ถ้ารู้แล้วทำไมภูยังทำเฉย หรือภูเองก็คิดไม่ต่างจากมัน

ไม่นะ!!!ไม่มีทาง ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ๆ

“ภูพี่แค่กังวลไปเองใช่ไหม ภูบอกพี่หน่อยว่าพี่แค่กังวลไปเอง”

.

.

.

“กูไม่รู้ว่ามึง……….กังวลเรื่องอะไรของมึง”

“ นั่นมันเรื่องของมึง……. แต่กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าอย่าทำเหมือนรู้จักกูอีก ไม่ซิทางที่ดี…… มึงอย่าพยายามทำอะไรอีกเลย”

“ภู!!!”

“ถ้าคุณภีมไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

“เดี๋ยวก่อนซิภู ภู!!!!”

ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปอย่างบ้าคลั่ง ภูไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา สองเท้าก้าวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล เห็นแบบนี้แล้วผมประมาณตัวเองไม่ถูกเลยว่าควรจะเริ่มทุกอย่างเช่นไรดี ภูเย็นชากับผมมาก มันเลยดูเหมือนกับว่าเมื่อไหร่ที่ผมเริ่มขยับ ภูก็จะตั้งท่าจะถอย และเมื่อไหร่ที่ผมพร้อมจะพูด ภูก็ปฎิเสธที่จะฟัง สถานการณ์ระหว่างเราสองคนตอนนี้มันเป็นเช่นนี้  และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่มันจะดีขึ้น สิ่งที่ผมพอจะทำได้ในเวลานี้คือรออย่างอดทนและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ในตอนนี้ ผมทำได้เพียงแค่……รอ

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                           - 32 -

6:30

“สวัสดีครับผมมารับสูทให้คุณภีมครับ”

“คะ กรุณารอด้านหน้าซักครู่นะคะ”

หลังจากได้สูทมาเป็นที่เรียบร้อย ผมก็รีบนำสูทตัวที่ว่าไปยังห้องที่ไอภีมมันอยู่ โดยใช้คีย์การ์ดและรหัสผ่านตามที่มันให้ผมไว้ พอผมเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นไอภีมมันนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก สวมแค่เชิ้ตตัวในสีขาวกับกางเกง

สแสลคเข้ารูปสีดำเท่านั้น  คาดว่ามันคงจะรอสูทที่ผมอยู่

“สูทได้แล้วครับ”

“ครับ เดี๋ยวพี่ไปเปลี่ยน ภูมานั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้”

ไอภีมมันหันมาบอกผม ก่อนจะเดินมารับสูทที่มือผมแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมเลยเดินไปนั่งรอมันที่โซฟาตัวที่มันเพิ่งลุกไปเมื่อซักครู่ รอไม่นานนักมันก็เดินกลับ

“ยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหม อะดื่มนมกับอาหารเช้านี้ก่อน ภูพอจะทานได้ใช่ไหมครับ”

อาหารเช้าแบบง่ายๆและนมหนึ่งแก้วถูกนำมาวางตรงหน้าผม ผมเงยหน้ามองคนที่นำมาให้ด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ทานซิครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”

ไอภีมมันเร่งผมให้กินอาหารที่มันเอามาให้ ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยน และนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกโมโห ผมรู้สึกโมโหกับท่าทีเหล่านั้นของมันโดยที่ไม่มีสาเหตุ ผมไม่อยากได้ยินคำพูดดีๆจากมัน ไม่อยากให้มันมาทำดีด้วย ผมไม่ชอบและไม่ต้องการ

“ผมไม่หิว”

ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ทำให้มันรู้ไปเลยว่าผมไม่ต้องการความหวังดีใดๆทั้งสิ้นจากมัน

“ทำไมล่ะหรือไม่ชอบอาหารแบบนี้”

“เปล่าครับ แล้วก็กรุณาหยุดสนใจเรื่องของผมซักที ผมอึดอัด”

ไอภีมนิ่งไปพักกับคำพูดของผม มันพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะยกจานและแก้วนมเดินไปเก็บไว้ตามเดิม

“งั้นไปกันเถอะ ภูคงอยากเสร็จงานไวๆ”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ ไอภีมสวมสูทตัวที่ผมเอามาให้แล้วเดินนำหน้าผมออกไป มันเดินนำผมมาขึ้นรถเปิดประตูให้ผมเสร็จมันก็เดินวนกลับไปนั่งประจำยังที่คนขับ ตลอดการเดินทางไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้น ผมเงียบมันเงียบ มีแต่เสียงแอร์เบาๆเท่านั้นที่ดังคลอเป็นเพื่อนตลอดการเดินทาง

ห้องประชุม

ผมไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามานั่งทำไมในห้องนี้ ห้องประชุมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศตรึงเครียด มีเสียงถกเถียงกันเป็นระยะๆ ในระหว่างการประชุม เห็นแล้วอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ไอภีมให้ผมเข้ามานั่งข้างๆมัน เพื่อให้ผมช่วยจดรายงานการประชุม ผมว่ามันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ งานมันผมไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง ตัวสินค้าเอย กระบวนการขนส่งเอย แต่ละเรื่องที่พูดๆกันในที่ประชุมนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เด็กฝึกงานสาขาวิศวะกรรมไฟฟ้าอย่างผมจะเข้าใจ ผมรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศในห้องประชุมมาก ไม่รู้ว่าผมจะต้องนั่งอยู่ในนี้อีกนานแค่ไหนการประชุมถึงจะสิ้นสุดลง  ผมคิดไปพลางหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาจิบ แต่คาดว่าผมคงจะจิบมันบ่อยเกินน้ำตรงหน้าผมถึงได้แห้งขอด จนไม่เหลือน้ำในแก้วเลยซักหยดเช่นนั้น ผมเลยวางแก้วลงตามเดิมแล้วนั่งทนคอแห้งต่อไป

“คุณปภาวีครับ รบกวนขอน้ำเปล่าและก็โกโก้ร้อนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ของว่างด้วยก็ได้”

ไอภีมแทรกเสียงขึ้นระหว่างที่พี่พนักงานคนหนึ่งกำลังอธิบายถึงชาร์ตงานอะไรบางอย่าง ทุกสายตาในห้องประชุมหันไปมองไอภีมเป็นตาเดียวกัน ก่อนพี่คนที่ชื่อปภาวีจะเดินออกไปตามคำสั่งที่ได้รับ การประชุมก็ดำเนินการต่อ

“คุณภูคะน้ำ โกโก้ร้อน และของว่างคะ”

“คะ ครับ แต่ผม”

“คุณภีมให้เอามาให้คะ ตามสบายเลยนะคะ”

ไม่ทันที่ผมจะได้กล่าวปฎิเสธทั้งน้ำและขนมเค้กชิ้นหนึ่งก็ถูกยกมาวางตรงหน้า ผมเลยหันไปมองยังไอคนออกคำสั่งก็เห็นมันนั่งหันหน้าไปทางจอมอนิเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมด้วยความที่หิวน้ำอยู่เป็นทุน เลยยกน้ำขึ้นดื่มเล็กน้อย เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก ทั้งน้ำและขนมตรงหน้าก็ถูกผมส่งลงกระเพาะหมด ไม่ไหวครับหิว มันลากผมมาตั้งแต่ก่อนแปดโมง นี่ปาเข้าไปบ่ายแล้ว ไม่หิวเห็นทีคงจะไม่ได้

“เหนื่อยไหม เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วพี่จะกลับโรงแรมเลย เรามีงานต้องทำกันอีก”

“ไม่ครับ แต่ผมว่างานนี้คงไม่เหมาะกับผม ผมมาโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย มันอาจจะดีกว่าถ้าคุณจะหาผู้ช่วยคนใหม่”

“เป็นภูนั่นดีแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่พาไปทานข้าวก่อน”

ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วเดินตามหลังมันไป พอมาถึงร้านอาหารไปภีมมันก็จัดการสั่งอาหารให้ผมเองซะหมด หลังจากที่มันถามว่าผมจะกินอะไรแล้วผมไม่ยอมตอบมัน ไม่ใช่หยิ่งหรืออะไรนะครับ ตอนนี้ผมกำลัง งง กับตัวเองอย่างรุนแรง ผมสงสัยว่าทำไมในบางครั้งผมก็รู้สึกต่อต้านมัน ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเจอ ไม่อยากข้องเกี่ยว ไม่อยากแม้แต่ที่จะคุยด้วย แต่ในบางครั้งผมก็รู้สึกตรงกันข้าม อย่างเช่นตอนนี้ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มของคนตรงหน้า สีหน้าและน้ำเสียง ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งๆที่ผมไม่ควรจะรู้สึกอย่างนั้นกับมันได้อีก แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้

“หิวมากหรือเปล่าให้พี่สั่งของทานเล่นให้ไหม”

“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร”

“เป็นไรครับ เหนื่อยหรอ”

“เปล่า แปปนึงนะ”

ผมบอกมันเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูมันสั่นมาได้ซักพักแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่ว่างหยิบขึ้นมาดู

“ว่าไงเอ็น”

แค่ผมเอ่ยชื่อคนปลายสาย ไอภีมมันก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองผมแทบจะในทันที แล้วก็ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผม

(ทำไมพึ่งรับ มึงทำอะไรอยู่)

“ทำงาน มีอะไรหรือเปล่า”

(ออกมาก่อนไม่ปลุกกู แล้วแดกข้าวยัง)

“กำลังจะกิน มึงล่ะ”

(ยัง มึงรีบแดกข้าวเลยเดี๋ยวกูก็จะไปหาอะไรแดกแล้ว เจอกันในงานนะ)

“อืม”

“เอ็นเป็นใคร พี่ถามได้ไหมครับ”

หลังจากที่ผมวางหูจากเอ็นไป ไอภีมมันก็ยิงคำถามใส่ผมทันทีด้วยสีหน้าเครียดๆ หน้ามันเครียดยิ่งกว่าตอนมันนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยซ้ำ

“เพื่อน”

“แค่นั้นจริงๆหรอ”

“อืม”

“ภูไม่ได้คิดอะไรกับเขาใช่ไหม”

“ทำไมกูต้องคิด นั่นเพื่อนกู”

ผมไม่ค่อยเข้าใจกับคำถามมันเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก มันอยากจะคิดอะไรก็ปล่อยมันไป ในเมื่อความจริงมันเป็นยังไง มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และผมก็ไม่เห็นความจำเป็นด้วยที่ต้องไปนั่งอธิบายให้มันฟัง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี พี่จะได้สบายใจ”

“เกี่ยวอะไรกับมึง”

“เกี่ยวซิครับ ทุกเรื่องของภูมันเกี่ยวกับพี่หมด”

“ขออนุญาตลงอาหารนะคะ”

ผมนั่งมองหน้ามันนิ่ง คำว่าทุกเรื่องของผม เกี่ยวกับมันหมด ทำให้ผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลกๆ ความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได้รู้สึกมาซักพักแล้ว ถ้าจะให้นับจริงๆก็ตั้งแต่ผมเลือกที่จะจากมา ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกโหว่งในใจแบบนั้นอีก จนกระทั่งผมได้เจอมันอีกครั้ง

“กินเยอะๆนะ”

หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็ถูกพากลับมาที่โรงแรม ลากขึ้นห้องไปทำเอกสารอะไรบางอย่าง ตอนนี้ผมกำลังช่วยมันพิมพ์คำกล่าวเปิดงาน โดยที่มีมันนั่งกำกับอยู่ข้างๆ

“เปลี่ยนคำว่ากระผม เป็นผมแทนไหม ขนาดกูพิมพ์ยังกระดากมือเลย”

“ฮ่าๆๆ ครับพี่ก็ว่าอย่างนั้น”

“ตรงนี้ด้วยครับภู”

“เดี๋ยวกูแก้ข้างบนอยู่”

“ไหนล่ะไม่เห็นแก้เลย พี่รอดูอยู่เนี่ย”

“กูกะ!!!สัส กูหมายถึงงานไม่ใช่เสื้อผ้า”

“ฮ่าๆๆๆ พี่ก็นึกว่าเสื้อผ้า อุตส่าห์ตั้งใจดู”

ไอภีมหัวเราะใส่หน้าผม ดูมันจะมีความสุขเหลือเกินหลังจากที่แกล้งผมได้ ผมเลิกสนใจใจมันแล้วย้ายสายตากลับเข้ามาที่จอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ตั้งใจทำงานของตัวเองให้เสร็จ บอกตรงๆผมเริ่มไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆแล้ว ยิ่งอยู่ผมก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกดี จากที่ผมตั้งใจว่าจะทำตัวเด็ดขาด ตั้งใจว่าจะเย็นชาให้ถึงที่สุด แต่ดูเหมือนเรื่องพวกนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมไม่น้อย ก่อนหน้านี้ผมแทนตัวเองด้วยคำสุภาพมาตลอด พอได้คลุกคลีอยู่กับมันเข้าหน่อยสรรพนามก็เปลี่ยนไป จากผม เป็นกู จากคุณ เป็นมึง ผมเผลอทำตัวตามสบายกับมันจนมากเกินไป ซึ่งผมไม่ควรเลย ไม่ควรลืมแม้แต่นิดว่า กว่าที่ผมจะมีวันนี้ได้ ผมเคยเจ็บเพราะมันมาแค่ไหน ผมต้องบอกกับตัวเองว่าอย่าเชื่อใจมันอีก อย่ายอมให้มันเข้ามามีอิทธิพลเหนือหัวใจตัวเองเหมือนที่ผ่านมาอีก และอย่าให้อภัยมัน

“เสร็จแล้วมีอะไรให้กูทำอีกไหม”

“ไม่มีแล้วครับ ภูไปพักเถอะ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”

พอได้ยินว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ผมเลยเดินออกจากห้องนั้นมา โดยไม่ได้บอกลาเจ้าของห้อง ผมเลือกที่จะเดินออกมาเงียบๆพยายามทำใจให้สงบ แล้วตรงไปที่ห้องพักพนักงาน เพื่อเริ่มงานในส่วนของเด็กฝึกงานอย่างเพื่อนคนอื่นบ้างซักที

เข้ามาถึงคนแรกที่ผมเจอก็เอ็นเลยครับ กำลังนั่งทำรีพอร์ทรายวันอยู่ ทำหน้ายุ่งเป็นตูดลิงเชียว

“งานเยอะหรอ”

“อ่าว กลับมาแล้วหรอ ไปทำห่าอะไรมาทั้งวัน”

เอ็นถาม มือมันก็เคาะแป้นพิมพ์ไปเรื่อย

“ทำงาน”

ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินไปนั่งเล่นที่โต๊ะตัวเองบ้าง วันนี้ผมสบายหน่อยไม่ต้องมานั่งเขียนรายงานส่งเหมือนมัน เพราะวันนี้ผมไม่ได้ลงพื้นที่เหมือนเพื่อนฝึกงานคนอื่น

“ไปกับไอท่านประธานนั่นมาใช่ไหม”

“อืม”

“มึงกับมันเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ กูรู้สึกได้”

“ทำไม”

“มันดูหวงมึง”

“เพ้อเจ้อแล้วมึง ทำงานไป”

“จริงๆนะ แล้วกูก็ไม่ชอบมันด้วย”

“ทำงานไป กูของีบหน่อย”

ผมตัดบทสนทนาโดยการเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาเบาๆ เอ็นทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่พอเห็นผมหลับตาลง มันก็เงียบไป ผมยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ เพราะใจผมมันไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยสงบ ผมกลัวว่าซักวันหนึ่งเกาะที่ผมพยายามสร้างเพื่อใช้ป้องกันตัว มันจะพังลง ผมกลัวว่าผมจะกลับเจ็บเหมือนเดิม และผมก็กลัวว่าผม…จะแพ้ใจตัวเอง

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                                   - 33 -

ห้องโถงใหญ่ว่างๆภายในโรงแรมถูกเนรมิตให้เป็นสถานะที่เปิดตัวสินค้าอย่างหรูหรา ภายในงานเต็มไปด้วยสื่อมวลชนจากสำนักข่าวเกือบทุกช่อง รวมไปถึงนักธุรกิจชื่อดังอีกหลายคน นั่งรวมตัวกันที่โต๊ะวีไอพีด้านหน้าติดกับเวที พูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับธุรกิจการค้าของตัวเอง ความจริงแล้วที่ผมพูดมามันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวผมเลยซักนิด เรื่องธุรกิจห่าเหวอะไรนั่นก็ไม่เห็นน่าสนใจ และเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้ผมเลยรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ต้องมายืนฟังอะไรพวกนี้

“คุณภีมนี่เก่งจริงๆนะครับ อายุยังน้อยก้าวขึ้นมาเป็นประธานบริษัทซะแล้ว”

“ไม่หรอกครับ ผมแค่รับช่วงแทนคุณแม่ไม่กี่เดือนเอง”

“แต่ก็น่าอิจฉาอยู่ดีนะคะ หน้าตาก็ดี แถมเก่งอีกต่างหาก ไม่ทราบว่ามีใครจองตัวเป็นลูกเขยหรือยังคะ ถ้ายังดิฉันของจองตัวไว้ให้ลูกสาวคนเล็กได้ไหม แกใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย”

เรียนจบแล้วต้องมีสามีเลยหรือไงครับคุณป้า ผมคิดในใจระหว่างยืนรอไอท่านประธานส้นตีนนี่ทักทายกับแขกของมัน

“น่าเสียดายนะครับ พอดีผมเองก็มีคนที่รักอยู่แล้ว คงฝากตัวเป็นเขยของคุณหญิงสมรไม่ได้”

“คุณยงคุณหญิงอะไรกันคะ เรียกว่าป้าก็ได้ แต่เดี๋ยวนะภีมของป้ามีคู่มั่นแล้วจริงๆหรือจ๊ะ ทำไมป้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ครับมีแล้ว และผมก็รักเขามากด้วย แต่ตอนนี้เราสองคนผิดใจกันนิดหน่อย ผมคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะขอร้องให้เขายกโทษให้ผม”

ประโยคนี้มันพูดเสร็จก็หันมามองหน้าผม ผมเลยแสร้งหันหน้าหลบไปทางอื่น

“เดี๋ยวเดียวก็ดีกันแล้วเป็นแฟนกันง้อนิดเดียวก็หาย เอาเป็นว่าป้าเอาใจช่วยนะจ๊ะ”

กว่ามันและหญิงป้ามันจะคุยเสร็จ เล่นเอาผมปวดขาไปหมด มองนาฬิกาที่ข้อมือนี่มันก็เกือบได้เวลาที่มันต้องขึ้นกล่าวเปิดงานแล้วด้วย ผมเลยจำใจสะกิดบอกมันตามหน้าที่

“คุณภีมครับเกือบได้เวลาแล้วครับ เชิญที่เวที”

ผมบอกแล้วผายมือให้มันเดินไปยังเวที ซึ่งตอนนี้ทางบนเวทีก็ให้สัญญาณมาแล้วเช่นกัน

ไอภีมเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว โดยที่มีผมยืนอยู่ข้างๆคอยส่งแฟ้มที่ใส่คำกล่าวเปิดงานให้ หลังจากเสร็จผมก็ต้องเดินตามมันไปยังอาณาบริเวณโดยรอบ เหนื่อยมากครับ ขนาดผมเดินตามมันต้อยๆอย่างนี้ยังรู้สึกเมื่อยและกระหายน้ำเลย แล้วมันล่ะ ทั้งเดินทั้งพูดไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไง อย่าเข้าใจผิดว่าผมห่วงมันนะครับ ผมก็แค่สงสัย

“น้ำหน่อยไหมครับภู”

เสียงพร้อมแก้วน้ำถูกยื่นมาตรงหน้าผม พอเงยหน้ามองเจ้าของแก้วน้ำสีใสข้างหน้า ริมฝีปากผมก็เผลอขยับยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของแก้วน้ำตรงหน้าผมอยู่ในชุดสูดสีดำทันสมัย ใบหน้าคมเข้ม ส่งยิ้มให้ผม และก็เป็นยิ้มที่มักจะทำให้ผมอุ่นใจได้ตลอด แม้กระทั่งตอนนี้

“พี่เขต”

ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเบาๆ โดยไม่สนใจแก้วน้ำที่คนตรงหน้าตั้งใจจะส่งให้เลยซักนิด

“ดื่มน้ำก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามพี่เขตออกมายังบริเวณระเบียงของห้องโถง โดยทิ้งไอภีมให้คุยกับเหล่าลูกค้าของมันตามลำพัง

“มาได้ยังไงครับ”

“พี่มาเป็นเพื่อนแม่ครับ และก็กะว่าจะมาดูหน้าน้องชายของพี่ซักหน่อย”

พี่เขตพูดแล้วยกมือขยี้หัวผมเล่น พี่เขายังชอบยุ่งกับหัวของผมเหมือนเดิม ชอบทำให้มันยุ่ง แต่ก็แปลกนะครับถึงผมจะไม่ชอบที่หัวยุ่ง แต่ผมกลับชอบที่พี่เขาสัมผัสผมอย่างนั้น มันอบอุ่นดี

“มากี่วันครับ รีบกลับไหม”

“ทำไมครับอยากให้พี่อยู่กับเรานานๆหรอ”

“เปล่าครับ ผมแค่อยากเลี้ยงข้าวพี่ แต่ถ้าพี่กวนอย่างนี้ผมไม่เลี้ยงแล้ว”

ผมพูดแล้วย้ายสายตาจากคนข้างตัว ไปมองวิวตรงหน้าแทน ปล่อยให้ลมทะเลพัดหน้าเล่น

“ใจร้ายจังเว้ยไอน้องคนนี้ พี่คงอยู่ต่ออีกสองวันน่ะครับ ต้องกลับไปเคลียร์งานต่อ ตอนนี้พี่ยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรเลย”

“ครับ”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า ครับ แล้วมองตรงไปยังทางเดิม ชีวิตในวัยทำงานนี่มันไม่สนุกเลย มีแต่เรื่องเครียดๆ แถมยังต้องใส่หน้ากากคุยกันอีก ต่อให้ไม่ชอบหน้าแค่ไหนแต่เพื่องานเพื่อธุรกิจก็ต้องยอม เหมือนกับไอคนที่เดินคุยกับใครอื่นเขาไปทั่วในห้องโถงนั่นไงครับ หลายต่อหลายครั้งระหว่างที่ผมเดินตามมันไปพบปะพูดคุยกับแขกท่านอื่น ผมเห็นมันทำหน้าหนายๆก่อนจะเดินเข้าไปทักอยู่หลายครั้ง พอคุยเสร็จเดินออกมาผมก็เห็นมันทำหน้าเซ็งๆแล้วก็เดินเข้าไปคุยกับแขกกลุ่มใหม่ เห็นแล้วปวดหัวแทนจริงๆ

“คิดอะไรอยู่ครับหน้ามุ้ยเชียว”

“เปล่าครับไม่มีอะไร พี่เขตเดี๋ยวภูต้องกลับเข้าไปทำงานแล้ว ไว้พรุ่งนี้ภูจะโทรหานะครับ”

ผมบอกกับพี่เขตแล้วเดินกลับเข้ามาในงานเงียบๆ ตาก็มองหาคนที่ผมต้องตามประกบตัววันนี้ไปทั่ว และก็เจอไอภีมยืนจิบไวน์อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ผมยืนอยู่นัก ผมเลยเดินเข้าไปหามัน

“ขอโทษที่หายไปโดยไม่ได้บอกครับ”

“ไม่เป็นไร ภูกลับไปพักได้แล้วพี่ว่าจะกลับขึ้นห้องพักแล้วเหมือนกัน”

ไอภีมมันพูดโดยที่ไม่มองหน้าผมมาตั้งแต่เมื่อกี้ พอพูดเสร็จมันก็หันหลังให้ผมแล้วเดินออกจากงานไปเลย ทิ้งให้ผมมองตามหลังไปด้วยความไม่เข้าใจ

หลังจากอยู่ช่วยเก็บงานจนเรียบร้อยผมกับเอ็นก็ตรงกลับบ้านพักกันทันที วันนี้ไม่ว่าผมและมันจะทำงานในฝ่ายไหนเราสองคนต่างก็เหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ นั่นก็ไม่แปลกเลยที่พอหัวถึงหมอนแล้วจะต่างคนต่างหลับ เพราะวันนี้เป็นวันที่เราเหนื่อยมากจริงๆ

เช้าวันต่อมาการทำงานของพวกผมก็กลับเข้ามาอยู่ในโหมดปกติ วันนี้พี่ในแผนกส่งผมไปทำงานนอกสถานที่ และตอนนี้ผมก็กำลังยืนรอรถประจำทางอยู่

“ภูขึ้นรถมาซิเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

รถสีดำคันหรูที่ผมไม่ได้เห็นมาเกือบสามเดือน จอดสนิทอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับที่เจ้าของรถเปิดกระจกออกมาชวนให้ผมขึ้นรถ

“กูไปเองได้”

ผมตอบแล้วมองผ่านรถที่จอดอยู่ข้างหน้าไป

“ขึ้นมาเถอะเดี๋ยวสายนะ อย่าลืมภูฝึกงานอยู่ไปสายจะได้โดนดุเอา”

ที่มันพูดมาก็มีเหตุผลครับ ถึงผมจะไม่อยากนั่งรถไปกับมัน แต่นี่มันก็ใกล้ถึงเวลานัดกับทางโน่นแล้วด้วย ไปสายผมคงต้องถูกรายงานเรื่องนี้แน่ ผมลังเลอยู่พักก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ ผมไม่ได้อยากนั่งข้างมันนะครับ แต่มันเป็นมารยาท ผมทำไปเพราะมารยาทล้วนๆ และก็จากใจจริงด้วยครับ

“เมื่อคืนปวดขาไหม รับนี่ไปซิมันเป็นยาคลายกล้ามเนื้อพี่แวะซื้อมาให้กะจะเอาไปให้ภูอยู่พอดี”

ไอภีมยื่นถุงยามาให้ ผมรับมาไว้ในมือก่อนจะเปิดดูข้างในก็พบกับยาหลากหลายชนิดอยู่รวมกันในถุง

ทั้งยาแก้อักเสบ คลายกล้ามเนื้อ แก้ปวด บรรเทาปวด รวมไปถึงยานวดทั้งสูตรร้อนและเย็น ผมมองยาในถุงแล้วก็เกิดคำถาม

“กะเอาหายหรืออิ่ม ยาเยอะขนาดนี้ใครจะไปแดกหมด”

ผมว่าแล้วส่งยาในถุงคืนให้มัน

“พี่ไม่รู้ว่าภูมีอาการแบบไหนบ้าง ก็เลยซื้อมาเผื่อไว้ เลือกเอาอันที่ตรงกับอาการภูไปซิ เดี๋ยวพี่เปิดน้ำให้”

พูดจบมันก็กระวีกระวาดเอื้อมมือไปหยิบน้ำจากเบาะหลังมาเปิดส่งให้ผม เห็นแบบนั้นแล้วความรู้สึกข้างในของผมมันก็ตีกันรวนไปหมด ใจหนึ่งผมก็รู้สึกดีใจที่มันทำอะไรให้ผมด้วยความตั้งใจ แต่อีกใจก็เอาแต่คิดถึงเรื่องที่มันทำไว้กับผม ผมไม่รู้เลยตอนนี้ว่าความรู้สึกไหนกันแน่คือความรู้สึกจริงๆของผม ผมไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกยังไง

“ภีม”

“ครับ”

“มึงกลับมาอีกทำไม”

ผมถามออกไปอย่างเลื่อนลอย ไอภีมลดมือที่ถือน้ำลง ก่อนจะขยับปากตอบคำถามของผม

“พี่ไม่ได้กลับมา แต่พี่ไม่เคยไปไหนเลยต่างหาก”

“หึ”

ผมแคนเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เคยไปไหนหรอ ทำไมมึงพูดดีจังวะ

“ภูอาจจะไม่เชื่อก็ได้ถ้าพี่จะพูดแบบนี้ เอาจริงๆคือพี่ไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆภูถึงไปจากพี่ ทั้งๆที่วันนั้นเราสองคนเข้าใจกันแล้ว ทั้งๆที่ภูพึ่งจะเปิดใจยอมรับพี่ แล้วทำไมจู่ๆภูถึงหายไป”

ไอภีมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหาที่จอดรถแล้วหันมาคุยกับผมตรงๆ

“……………………………..”

“ภูบอกพี่ได้ไหม ถ้าพี่ผิดจริงพี่จะไม่ขอร้องหรืออ้อนวอนให้ภูให้อภัยพี่เลย ภูบอกพี่ได้ไหมครับว่าเพราะอะไร”

“มึงปล่อยให้กูรอมึงอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนมึงก็กลับไปหายู พวกมึงทำอะไรกันวันนั้นมึงคงจำได้อย่าให้กูต้องพูดเลย มึงรู้อะไรไหมไอภีมวันนั้นกูตามมึงกลับไปที่ห้อง เพราะกูไม่อยากอยู่คนเดียวหลังจากที่กูรู้ว่าพ่อกูตาย กูอยากเจอมึง แต่พอกูเปิดประตูไปเจอมึงสองคน มึงรู้ไหมว่ากูต้องเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน มึงรู้ไหมไอภีม!!!”

ผมเริ่มเปิดปากพูดทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจด้วยเสียงเรียบ นัยน์ตาทั้งสองข้างของผมร้อนผ่าว มองคนที่อยู่ในกรอบสายตาของผมนิ่ง ไอภีมส่ายหน้าไปมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เหมือนกับมันต้องการปฎิเสธว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่เรื่องจริง

“มันไม่ใช่อย่างนั้นครับภู มันไม่ใช่ ภูฟังพี่ก่อนได้ไหม พี่จะอธิบายให้ฟัง ไม่ว่าภูจะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไงพี่ขอให้เราฟังพี่หน่อยได้ไหม นะครับภู”

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                           - 34 -

“กูไม่อยากฟัง”

“แต่พี่อยากพูด!!! ขอแค่ให้พี่ได้พูดไม่ว่าภูจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ภู วันนั้นพี่ไม่ได้ทิ้งภู พี่กลับไปเอาของที่ห้องแล้วเจอยูอยู่ในห้องพอดี ภูอาจจะคิดว่าพี่แก้ตัวก็ได้ แต่ตอนนั้นยูเป็นฝ่ายจูบพี่ พี่ไม่ทันตั้งตัว พี่ขอโทษจริงๆที่ทำให้ภูเข้าใจผิดแบบนั้น พี่ขอโทษ”

ผมนั่งฟังทุกคำพูดของมันนิ่งๆ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเชื่อดีไหม ผมควรจะเชื่อมันหรอว่าวันนั้นมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด

ภาพที่ผมเห็นกับสิ่งที่มันพูด มันเป็นไปได้หรอครับที่มันจะเป็นแค่เรื่องที่ผมเข้าใจผิดไปเอง

“ที่พี่พูดมาทั้งหมด พี่จะไม่ขอให้ภูเชื่อ พี่แค่อยากทวงความยุติธรรมให้ตัวเองบ้าง ภูจะเชื่อหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของภู”

ไอภีมพูดเสียงเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กๆให้ผม ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากเบือนหน้าหันออกไปนอกหน้าต่าง

ถึงแม้ว่าผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดเป็นเรื่องจริงแน่แท้แค่ไหน แต่แปลกที่จู่ๆข้างในผมถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

หรือว่าตัวผมเองคาดหวังจะให้สิ่งที่มันพูดเป็นเรื่องจริงอยู่ ถ้าใช่ผมมันต้องบ้าไปแล้วแน่เลย

“เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งภูที่ทำงานแล้วเดี๋ยวพี่บอกกับทางนั้นให้เองว่าภูมาสายเพราะพี่ภูจะได้ไม่โดนดุไม่ต้องห่วงนะครับ”

หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปซักพัก ไอภีมมันก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูดีกว่าเมื่อซักครู่ ก่อนจะขับรถมุ่งไปยังเป้าหมายเดิมของผม ผมไม่ได้ตอบหรือรับคำอะไรสิ่งที่ผมทำคือเงียบแล้วมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างแทน ตอนนี้ในหัวผมหนักอึ้งไปหมด ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่ผมควรเชื่อ และอะไรคือสิ่งที่ผมอยากเชื่อ ผมบอกตัวเองไม่ได้เลยซักอย่าง

“ภูเอายาไปด้วยซิ แล้วก็กินด้วยนะครับจะได้หาย”

ผมเปิดประตูลงจากรถที่ขับมาจอดสนิทที่หน้าตึกซึ่งเป็นสถานที่ฝึกงานของผมวันนี้  ก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกของคนในรถอีกครั้งก็พบกับถุงยายื่นผ่านกระจกรถออกมาส่งให้ผม ผมเลยรับมาไว้ในมือก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวตึกโดยไม่มีแม้แต่คำว่าขอบคุณให้กับความมีน้ำใจของคนตรงหน้า เมื่อผมเข้ามาถึงก็ยกมือขอโทษพี่ๆที่นั่งอยู่ในห้องพร้อมกับแนะนำตัวเอง หลังจากนั้นผมพี่ๆเขาก็พาผมไปดูงานแล้วเริ่มอบรมงานให้ผม การอบรมงานวันนี้กินเวลาไปเกือบหกชั่วโมงเต็ม เนื้อหาความรู้และประสบการณ์วันนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อผมมาก ไม่เสียใจเลยที่ถูกส่งตัวมาทำงานนอกสถานที่แบบนี้ ระหว่างที่ผมกำลังรอรถกลับบ้านผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่เขต คนที่ผมอยากจะเรียกเขาว่าพี่ชายเป็นที่สุด

“สวัสดีครับ”

(อยู่ไหนภู เลิกงานยัง)

“ครับเลิกแล้ว”

(งั้นดีเลย พี่หิวข้าว ใครนะบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ)

“ครับ พี่เขตอยากกินอะไร บอกร้านผมมาก็ได้เดี๋ยวผมตามไป”

(งั้นเอาเป็นร้านXXXXแล้วกันพี่อยากกินอาหารเหนือ เดี๋ยวพี่ไปรอเราที่นั่นนะ

“ครับ”

ผมวางสายจากที่เขตไปก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รถเมลมาถึง ผมเลยรีบเดินขึ้นรถไป ตูดนั่งถึงเบาะได้โทรศัพท์จากเอ็นก็เข้ามา โทรมาก็คงไม่พ้นถามว่าผมอยู่ไหน ทำอะไร เมื่อไหร่จะกลับ กินข้าวหรือยัง ผมไม่บอกก็พอจะเดาออกใช่ไหมครับว่าไอคนที่ผมพูดถึงคือใคร เจ้าแห่งความจุกจิกมีมันอยู่คนเดียวแหละครับ

“ว่าไงเอ็น”

ผมรับสายด้วยเสียงเฉื่อย

(มึงอยู่ไหร่วะ จะกลับบ้านยัง)

“อยู่บนรถ แต่กูยังไม่กลับบ้านนะนัดพี่ไว้”

(พี่ไหน ใครพี่มึง ไหนมึงบอกว่าเป็นลูกคนเดียวไง)

“จุ้น แค่นี้นะจะวางแล้ว”

ผมแกล้งดุมัน และเตรียมจะตัดสายตามที่ผมบอกแต่ปลายสายมันเรียกผมไว้ก่อน

(กลับกี่โมง อย่าดึกมากนะไม่งั้นกูไม่เปิดประตูให้เข้าห้อง)

“อืม จะรีบกลับ”

ผมรับคำสั้นๆแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าไป เอ็นมักจะเป็นแบบนี้เสมอคอยเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผมตลอด บางครั้งก็เยอะเกินจนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมมีพ่ออีกคน  สำหรับเอ็นอะไรก็แล้วแต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม เอ็นจะต้องอยากรู้ไปซะหมด และจะดูแลใจใส่กับเรื่องของผมเป็นพิเศษ พึ่งจะรู้จักกันแท้ๆ แต่เอ็นปฏิบัติกับผมราวกับรู้จักกันมานาน จบฝึกงานไปแล้วผมคงจะเหงาไม่น้อยเพราะผมจะไม่ค่อยได้ฟังเสียงบ่นของเอ็นแบบนี้อีก ผมคิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมาเบาๆ รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ความคิดความรู้สึกของผมก็เปลี่ยนไปตามระยะทางและเวลาในการเดินทาง จากเรื่องของเอ็น ผมก็คิดวกกลับเข้ามาถึงเรื่องเมื่อเช้า นัยน์ตาที่จริงจังคู่นั้นยามอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก ความตั้งใจเดิมที่ผมเคยพูดเคยบอกตัวเอง เกือบจะพังไม่เป็นท่า ฟังดูแล้วตลกสิ้นดีใช่ไหมครับ ทั้งๆผมเคยโดนทำร้ายมามากมายแค่ไหน และต้องทนให้มันล้อเล่นกับความรู้สึกผมมามากเท่าไหร่ ผมควรจะจำและหาโอกาสที่จะเอาคืน ผมควรจะทำอย่างนั้น ทำตามความตั้งใจเดิมขอผมในตอนแรก แต่ทำไมมาวันนี้ผมถึงลังเล

เขต

ย้อนไปเมื่อคืนวาน

“กูจะช่วยเท่าที่กูทำได้แล้วกัน ที่เหลือมึงคงต้องพยายามด้วยตัวเอง สัส หมัดหนักชิบหาย”

“ช่วยไม่ได้ ถ้ามึงเห็นคนที่มึงรักทำหน้ามีความสุขขนาดนั้นเวลาอยู่กับคนอื่นมึงทนได้หรือไง แล้วอีกอย่างมึงหลอกกู หลอกว่ามึงไม่รู้ว่าภูอยู่ไหน ทั้งที่มึงรู้”

“กูไม่มีทางเลือก ในเมื่อน้องเขาต้องการแบบนั้นมึงจะให้กูทำยังไง ใช่ว่ากูไม่อยากบอก แต่กูบอกไม่ได้”

บทสนทนานี้เกิดขึ้นหลังจากที่ผมกับไอภีมซัดกันมาชุดใหญ่ จู่ๆไอภีมมันก็เดินเข้ามาหาผมแล้วชกเอาๆ ผมทั้งตกใจทั้งโมโหเลยชกมันกลับไปบ้าง แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เราไม่ได้ชกกันโชว์ใคร มันเดินตามผมมาที่ลานจอดรถแล้วก็ชกกันที่ลานจอดรถนั่นแหละ พ้นสายตาผู้คนดี ชกกันเสร็จก็พากันเดินไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งบริเวณโรงแรม ใบหน้าของเราสองคนไม่ค่อยมีบาดแผลให้เห็นชัดเท่าไหร่นัก ถ้าใช้รองพื้นกับแป้งกลบเอาก็คงพอได้ เรื่องหน้าเอาไว้ก่อน ผมว่าเรามาดูกันดีกว่าว่าไอผู้ชายเลือดร้อนตรงหน้าผมมันจะทำยังไงกับชีวิตมันต่อไป ดูมันจะเฮิร์ทไม่เบากับเรื่องของภู แค่เห็นผมคุยกับภูมันยังโกรธมากขนาดนี้ แล้วถ้ามันรู้ว่าที่ผ่านมาผมอยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องนักสืบที่ผมกับไอท็อปช่วยกันดัดหลังมันทำให้มันไม่ได้รับข่าวคราวใดๆเกี่ยวกับเรื่องของภู ทั้งเรื่องที่ผมรู้ที่อยู่และติดต่อภูมาตลอดโดยไม่ให้มันรู้ ทั้งหมดที่ผมพยายามปิดบังมัน ถ้ามันรู้มันจะโกรธผมมากกว่านี้ไหม

“มึงรู้ไหมทำไมภูถึงหายไปดื้อๆ มึงเป็นคนเดียวที่ภูไว้ใจภูน่าจะบอกมึง”

“แล้วถ้ากูบอกว่าไม่รู้ล่ะ มึงจะเชื่อไหม”

ผมตอบแบบย้อนถาม อย่างที่รู้ๆกันใช่ไหมครับว่าถึงผมจะเป็นคนที่ภูไว้ใจก็จริง แต่ภูก็ไม่เคยพูดอะไรให้ผมฟังเลย เอาแต่เก็บความทุกข์ไว้ที่ตัวเองเสมอ สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้นก็แค่อยู่ข้างๆ โดยที่ผมไม่สามารถที่จะปลอบอะไรได้ด้วยซ้ำ

“ภูไม่พูดอะไรให้มึงฟังเลยหรอ ติดต่อกันมาตลอดเลยหนิ”

ไอภีมถามอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ผมหันมามองหน้ามันแวบนึงก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าแทน จะว่าไปแล้วมันก็น่าเจ็บเหมือนกันนะครับ ทั้งๆที่ผมคิดว่าเป็นแค่พี่ก็ได้แท้ๆ คิดว่าเป็นได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆเวลาที่ต้องมาพูดให้ภูกับไอภีมเข้าใจกันมันไม่ง่ายเลยซักนิดที่ผมจะพูดไปแล้วยิ้มไป

“ภูไม่เคยบอกอะไรกูเลย เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองหมด ช่วงเวลานั้นคงเลวร้ายมากสำหรับภู ทั้งเสียพ่อ ทั้งถูกมึงรังแก”

“กูเลวมากเลยใช่ไหม”

“อืม เลวกว่านรกก็คือมึงเนี่ยแหละ”

“สัส ได้ทีด่ากูใหญ่เลยนะ”

ไอภีมหันมาหัวเราะใส่ผม ก่อนที่เราสองคนจะเงียบกันไปทั้งคู่ เหม่อมองท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้าไปด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จนกระทั่งไอภีมเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน

“เขตกูรักภูมากมึงรู้ใช่ไหม”

ไอภีมพูดขึ้นมาลอยๆ ใบหน้ามันยังคงแหงนดูท้องฟ้าเบื้องหน้า ผมหันมามองมันเพื่อรอฟังในสิ่งที่มันจะพูด ไอภีมเว้นวรรคไปครู่ก่อนจะเอยประโยคถัดมา

“กูอยากมีภู ต่อให้กูต้องยืมมือมึงกูก็จะทำ”

ไอภีมพูดด้วยน้ำเสียงติดจะเศร้า มันทิ้งประโยคนั้นไว้ให้ผมก่อนจะเดินจากไปเงียบๆ นั่นคือการขอความช่วยเหลืออย่างอ้อมๆของมึงซินะ เท่ห์เหลือเกินพูดประโยคกินใจเสร็จแล้วก็เดินจากไป เฮ้ออ ต้องรับหน้าที่ผสานรอยร้าวของคนอื่นแล้วสร้างรอยร้าวให้ตัวเองเนี่ยนะ เขตเอ้ย ชีวิตมึงพระเอกมากเลย ให้ตายซิ

(อยู่ไหนภู เลิกงานยัง)

“ครับเลิกแล้ว”

(งั้นดีเลย พี่หิวข้าว ใครนะบอกว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ)

“ครับ พี่เขตอยากกินอะไร บอกร้านผมมาก็ได้เดี๋ยวผมตามไป”

(งั้นเอาเป็นร้านXXXXแล้วกันพี่อยากกินอาหารเหนือ เดี๋ยวพี่ไปรอเราที่นั่นนะ)

“พอใจยังไอคุณชาย”

หลังจากวางสายไปผมก็หันไปบอกไอภีมที่ยืนลุ้นบทสนทนาระหว่างผมกับภูอยู่ข้างๆ นัดทานอาหารเย็นวันนี้ของผมและภูไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป เพราะไอภีมมันวางแผนที่จะเข้าไปร่วมวงด้วยโดยจะแกล้งทำเป็นบังเอิญไปเจอผมและภูในร้านอาหาร แล้วเนียนขอนั่งด้วย ดินเนอร์อันแสนหวานของผมเป็นอันพังสลายภายในพริบตา ผมจะไม่ให้มันไปด้วยก็ไม่ได้ ไม่งั้นมันก็จะมารังควาญผมจนทำงานไม่ได้เหมือนวันนี้แน่

สองทุ่มโดยประมาณผมพาตัวเองมาถึงร้านอาหารเหนือร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งตั้งอยู่ริมถนน แม้ร้านจะดูไม่หรูอะไรเลยแต่อยากบอกนะครับว่าอาหารที่นี่อร่อยมาก ผมเคยมากินอยู่ครั้งสองครั้งตอนมาเที่ยวกับเพื่อนๆผมรับประกันได้

ผมนั่งรอภูอยู่เพียงครู่เดียว ร่างบางในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยชุดหมีสีเลือดหมูเข้มครึ่งตัวก็เดินผ่านประตูเข้ามาแล้วตรงมายังที่ผมนั่งอยู่ ภูในชุดหมีแบบช่างไฟฟ้านี่น่ารักมากเลยครับ ตัวขาว ปากแดงๆส้มๆ ตาเรียวเล็ก และที่ผมชอบที่สุดก็กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆของคนตรงหน้านี่แหละครับ เห็นเมื่อไหร่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งมือเข้าไปทักทายความนุ่มตรงหน้านั้นทุกที

“หยุดเล่นหัวผมได้แล้วครับ นิสัยทำหัวคนอื่นยุ่งนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย”

ภูเอ็ดผมด้วยสีหน้านิ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มให้รู้ว่าเมื่อครู่เจ้าตัวแค่เอ็ดเล่นๆไม่ได้จริงจังในคำพูดนัก จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ภูของผมยิ้มเก่งขึ้นนะครับสังเกตไหม ดูมีชีวิตชีวา ยิ้มง่าย แถมยังพูดเก่งกว่าเดิมอีก เห็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก

“ยิ้มอะไรครับไม่สั่งหรือไงอาหารไหนบอกหิว”

“สั่งครับ เดี๋ยวนี้ดุพี่แล้วหรอภู ร้ายนะเรา”

“หึๆๆ สั่งเถอะครับผมเองก็หิวแล้ว”

ครืดดดด

PHEM: คุยอะไรกัน ทำไมมึงต้องเอามือมึงไปขยี้หัวภูด้วย

ผมอ่านข้อความไลน์ที่ส่งมาแล้วก็ยิ้มสะใจอยู่คนเดียว หันมองไปรอบๆก็เห็นไอภีมนั่งไขวห้างเอาเมนูบังหน้าอยู่ที่โต๊ะตรงข้ามกับผม

KHATE: ไม่เสือกดิ เรื่องของกู วันนี้ภูน่ารักเนอะ เห็นแล้วอยากกอด

ผมส่งข้อความกลับไปยั่วประสาทคน หลังจากนั้นซักพักก็ได้ยินเสียงแก้วน้ำกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง มันคงจะคลั่งที่ผมแหย่ไปแบบนั้น  ไอภีมเลือนเมนูออกจากหน้าหันมาทำตาขวางใส่ผม ผมเลยแกล้งแหย่มันเล่นอีก

“ภูยื่นหน้ามาซิ อะไรดำๆเปรอะหน้าน่ะ”

“ตรงไหนครับ”

เจ้าตัวถามแล้วเอามือปัดป่ายไปทั่วหน้า

“มานี่มะเดี๋ยวเช็ดออกให้”

ผมว่าแล้วกวักมือเรียกให้คนตรงหน้ายื่นหน้ามาให้ ภูลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้ามาให้ผมเช็ดให้แต่โดยดี และนั่นก็ทำให้โทรศัพท์ผมสั่นไม่หยุด สะใจจริงๆ ทีนี้เข้าใจยังล่ะเวลาเที่ยวไปทำอย่างนี้กับสาวที่ไหนแล้วภูรู้สึกยังไง เจอเข้ากับตัวคงรู้แล้วซินะมึง

“สั่งไปแค่นั้นจะพอหรอครับ จะสั่งอีกก็ได้นะ”

ภูถามผมหลังจากที่สั่งอาหารเสร็จ

“พอแล้วครับ ไม่อิ่มสั่งเพิ่มก็ได้พี่ไม่รีบ”

ผมว่า ระหว่างรออาหารเราก็นั่งคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ผมเลยลองถามภูเกี่ยวกับเรื่องไอภีมว่าได้เจอมันบ้างไหม ภูก็ไม่ได้ปิดบังอะไรผมนะครับ น้องมันก็เล่าให้ฟังว่าเจอแล้วก็ได้ทำงานด้วยกันอีก ท่าทีตอนพูดก็ดูเรื่อยๆ เหมือนคุยเรื่องทั่วไป

สงสัยครั้งนี้ไอภีมมันจะเจองานหินเข้าแล้วจริงๆ

ครืดดด

ครืดดดดด

ครืดดดดดดดดดดดดดด

“พี่ครับผมว่าเปิดอ่านหน่อยเถอะครับสั่นจนโต๊ะสะเทือนหมดแล้ว”

ผมหัวเราะให้กับคนตรงหน้าก่อนจะหยิบมือถือมาเปิดอ่านไลน์ที่ไอคนแถวนี้มันส่งมา 34 ข้อความ พยายามมากจริงๆไอห่าภีม มันไลน์มาบอกประมาณว่าอาหารมาซักพักมันจะเดินเข้ามาเลย แล้วกำชับผมว่าอย่าแตะต้องภูของมันอีก

“มีธุระด่วนต้องรีบกลับหรือเปล่าครับ”

“อ่อ ไม่มีครับข้อความไร้สาระน่ะไม่มีอะไร แล้วภูฝึกงานเสร็จวันไหนครับ”

“อีกสองอาทิตย์ก็เสร็จแล้วครับ”

“งั้นกลับกรุงเทพไปจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“คงจะเช่าหออยู่มั้งครับ หรือถ้ายังหาไม่ได้เดี๋ยวผมไปอยู่กับหลวงพี่ก่อนก็ได้”

“อืม งั้นมีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแล้วกันถ้าพี่ช่วยได้พี่จะช่วย ตอนนี้เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าโน่นอาหารมาโน่นแล้ว”

ผมพูดแล้วบุ้ยปากไปยังด้านหลังที่บริกรกำลังยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ พร้อมกับแก้วเหล้าขวดเหล้าพร้อมมิกเซอร์ที่ตามมา

“ภูสั่งเหล้ามาด้วยหรอครับ”

“ครับ ผมอยากดื่ม”

ครืดดดดดดดดดดดด

PHEM: ไอเขตมึงจะมอมภูหรือไง แค่แดกข้าวจะสั่งเหล้ามาทำไม

คลั่งให้ตายไปเลยมึง ฮ่าๆๆ น้องเขาอยากเมาเว้ยไม่ใช่กู

ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมหลังจากที่กดปิดเครื่องไป ก่อนจะหันมาหยิบแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าขึ้นดื่ม

อึกใจเดียวหลังจากที่อาหารถูกยกมาเสริฟ ไอภีมก็ดำเนินตามแผนการที่มันวางไว้

“อ้าวว ไอเขต ภู ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้”

ตอแหลจริงๆเพื่อนกู หน้าตานี่ไปหมดเลยนะครับแสดงได้สมบทบาทจริงๆ แต่เดี๋ยวนะครับมันเข้าใจบทบาทตัวเองจริงหรือเปล่าเนี่ยแทนที่จะทำหน้าตกใจ เพราะบังเอิญมาเจอคนรู้จักที่ร้าน แม่งเสือกค้อนผมอย่างเอาเป็นเอาตายแทนซะงั้น

“แล้วมึงล่ะ มาทำอะไรที่นี่”

ผมแกล้งย้อนถามในขณะที่ภูกินก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้สนใจแขกที่มาใหม่เลยซักนิด

“กะ กูมากินข้าวนะ หิ๊ว หิว”

โอยยย ขำ ใครมาเห็นไอภีมผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีมาทำตัวเป็นเด็กน้อยเรียกร้องความสนใจแบบนี้คงได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ดูเล่นเป็นแน่ หิว มากเลยเนอะมึงน่ะ

“หิวก็ไปหาอะไรกินซิ”

ผมว่าแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ ไม่ได้ทำตามแผนที่มันบอกไว้ แผนที่ว่าคือผมต้องชวนมันนั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่เรื่องอะไรผมจะยอมมันง่ายๆ มีของดีให้ดูก็ต้องดูนานๆ

“กูหิวทนไม่ไหวแล้วกว่าอาหารจะมา”

ไอภีมกัดฟันพูด ตานี่ก็จ้องผมจนแทบจะทะลักออกมาจากเบ้า

“ไม่นะ กูว่าเร็วอยู่เมื่อกี้ซักไปไม่ถึง10 นาทีก็มาเสิร์ฟแล้ว”

ผมยังแกล้งต่อ เหลือบมองคนตรงหน้าก็เห็นเจ้าตัวแอบยิ้มมุมปากเหมือนกัน คงจะรู้แล้วซินะว่าไอภีมมันต้องการอะไร

“สิบนาทีกูก็รอไม่ได้ ภูครับพี่ขอนั่งกินด้วยคนนะครับเดี๋ยวพี่จ่ายเอง”

ไร้คำตอบรับ แต่ก็ไม่มีคำปฏิเสธเช่นกัน ภูนั่งกินข้าวจิบเหล้าไปเงียบๆ หันมาตอบคำถามผมบ้างประปราย

**“กินยาที่พี่ให้ไปหรือยังครับ อาการปวดขาดีขึ้นไหม” **



ผ่านไป10 วินาที

“ไม่ได้กิน กูไม่ได้ปวด”

ฮาร์ดคอลสุดๆ ไอภีมนี่เหมือนหมาเชื่องไปเลยครับ

“ดื่มเยอะไปแล้วครับภู มีเรื่องไม่สบายใจหรอ”

ผมถามแล้วคว้าแก้วเหล้าในมือภูวางลงกับโต๊ะ

“ผมไม่เมาครับ ผมอยากเมา เผื่อผมเมาแล้วผมจะสามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้”

ภูตอบแล้วคว้าแก้วขึ้นไปดื่มอีก ไอภีมหันมามองหน้าผมในเชิงถามว่าภูเป็นอะไร ผมเลยไหวไหล่ตอบกลับไป เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ภูเป็นคนที่นิ่งมากเลยครับคืออาการดูก็รู้ว่าเมา แต่ยังคงน้ำเสียงและความนิ่งได้ดีราวกับเกลือที่รักษาความเค็มไว้เลย

“มีอะไรหรือเปล่าครับเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”

“อย่าเสือก เพราะมึงนั่นแหละมึงทำให้กูต้องมาพึ่งของพวกนี้”

ภูตอบเสียงเรียบแล้วดกเหล้าพรวดเดียวหมดแก้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวเอยปากบอกอยากกินเหล้า เป็นเพราะไอภีมนี่เอง ภูคงจะเป็นประเภทเมาแล้วพูดความจริง

“พี่ทำอะไรอีกครับบอกมาซิ ด่าพี่มาเลยก็ได้แต่หยุดดื่มก่อนภูไม่ไหวแล้วนะ”

“มึงทำให้กูเขว มึงไม่น่ากลับเข้ามาในชีวิตกูอีก”

ผมนั่งมองคนทั้งคู่แล้วก็ได้แต่หวังว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ ผมทนนั่งฟังอยู่ได้อีกนิดหน่อย ก็ทนฟังต่อไม่ไหว

เลยขอตัวกลับก่อน พระรองอย่างผมก็เจ็บเป็นนะครับ ดีๆกันซักที ต่างคนต่างก็รักกัน แต่ก็ไม่ยอมทำความเข้าใจกัน

ภูครับพี่หวังว่าภูจะหาคำตอบให้ตัวเองได้โดยเร็วนะครับ พี่อยากเห็นน้องพี่มีความสุขเร็วๆ ถึงแม้ความสุขนั้นพี่ไม่สามารถสร้างให้ภูได้ แค่ขอยืนดูห่างๆก็ยังดี รีบๆมีความสุขนะครับภู

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                                 - 35 -

ภีม

หลังจากที่เขตกลับบ้านไปก็เหลือเพียงแค่ผมกับคนขี้เมาตรงหน้าสองคน ผมนั่งมอง ใบหน้าหวานที่ติดจะนิ่งเฉยตลอดเวลา ของภูที่กำลังแดงกร่ำจากพิษเหล้า ริมฝีปากเรียวบางขึ้นสีอ่อนๆจากการขบกัดของฟันคม เหมือนเจ้าตัวกำลังอดกลั้นอดทนกับอะไรบางอย่าง เห็นแบบนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างเบามือ

“อย่ากัดปากอย่างนี้ซิครับ เดี๋ยวเลือดก็ออกหรอก”

“เสือก เลือดออกมันก็ปากกู”

ภูสะบัดหน้าหนีจากมือของผม แล้วทำท่าจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก แต่ผมมือไวคว้าไว้ได้ก่อน

“พอแค่นี้ดีกว่าภู พี่ไม่ให้ภูดื่มแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

“ปล่อยกู!!!”

คนตัวเล็กงอแง แล้วสะบัดมือผมจนแก้วเหล้าที่แย่งมาเมื่อครู่เกือบหล่นแตก แถมยังจ้องหน้าผมอย่างจะเอาเรื่องอีก ทีไอเขตพูดเตือนนี่ครับทุกคำ มันน่าน้อยใจนัก

“ภูบอกว่าพี่เป็นเหตุทำให้ภูต้องมาพึ่งของพวกนี้ใช่ไหม งั้นภูบอกได้ไหมครับว่ามันเรื่องอะไร พูดออกมาเลยภูจะได้สบายใจไง จะด่าจะตีพี่ก็ได้ พี่ยอม ขออย่างเดียวเลิกดื่มเถอะนะครับ”

ผมพูดแล้วถือโอกาสรวบมือคนเมาขึ้นมากุมไว้หลวมๆ รอฟังทุกคำพูดของคนตรงหน้าอย่างตั้งใจ

“ไอภีมที่มึงพูด.... กูจะเชื่อมันได้ไหม.......”

“กูสับสน กูกลัว กูไม่เข้าใจ ทำไมกูถึงอยากจะลองเชื่อมึงอีกทำไมกูถึงอยากคิดว่ามึงไม่ได้โกหก”

“มึงทำอะไรกับใจกู”

ไม่รู้ว่าเพราะความคับข้องใจหรือเป็นเพราะพิษเหล้ากันแน่ ที่ทำให้ภูหลุดพูดทุกอย่างที่คิดออกมาให้ผมฟังจนหมด นัยน์ตาคู่สวยตรงหน้าแม้จะคงความนิ่งไว้เหมือนทุกครั้ง แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความวูบไหวในดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ภูกำลังอ่อนไหว และเรื่องที่ทำให้คนใจแข็งอย่างภูหวั่นไหวคือเรื่องของผม ผมดีใจจนไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ออกมาเป็นคำพูดยังไง ผมบีบกระชับมือของคนตรงหน้าแน่น

“พี่ขอร้องเชื่อพี่ได้ไหมครับ ทุกอย่างที่พี่พูดพี่สาบานว่ามันคือเรื่องจริง และความรู้สึกที่พี่มีต่อภูมันก็เป็นของจริง พี่รักภู พี่ต้องการภู เพราะฉะนั้นช่วยเปิดใจรับพี่อีกซักครั้งได้ไหมครับ เปิดใจรับผู้ชายเลวๆคนนี้อีกซักครั้งจะได้ไหม มันคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภู”

ผมพูดแล้วซุกหน้าลงบนฝ่ามือของคนตรงหน้า ภูมองผมนิ่ง ก่อนที่หยาดน้ำสีใส่จะไหลลงมาอาบทั้งสองข้างแก้มของเจ้าตัว

ภูกำลังร้องไห้ และน้ำตานั่นก็เป็นน้ำตาที่ไหลเพื่อผม สำหรับคนอื่นเขาคงจะทุกข์ใจที่เห็นคนที่ตัวเองรักต้องเสียน้ำตา แต่สำหรับผมแล้วน้ำตาของภูกลับทำให้ผมดีใจและมีความสุขจนแทบบ้า ภูร้องไห้เพื่อผม ภูเก็บเรื่องต่างๆของผมมาคิด

แสดงว่าภูเองก็ยังมีใจให้ผมอยู่ ผมคิดแบบนี้ได้ใช่ไหมครับ ผมให้ความหวังตัวเองแบบนี้ได้ใช่ไหม

“กูกลัว........แต่กูจะเชื่อมึง”

สิ้นคำบอกเล่าของคนตรงหน้า ผมก็คว้าร่างภูเข้ามากอดแน่น โดยไม่สนใจเลยว่าเราสองคนอยู่ที่ไหน และเป็นอะไร ผมรู้อย่างเดียวว่าผมไม่อยากปล่อยคนตรงหน้านี้ไปอีกแล้ว ชีวิตผมที่ไม่มีภู ผมไม่ต้องการแบบนั้นอีกแล้ว

“ปล่อยกู มึงจะกอดทำไม”

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้ภูต้องเสียใจอีกพี่สัญญา”

หลังจากอาหารเย็นมื้อนั้น ผมก็ขับรถไปส่งภูที่บ้านพัก ใจจริงผมอยากจะอยู่กับภูตลอดทั้งคืน อยู่ที่ไหนก็ได้ขอแค่มีภูอยู่ข้างๆ ผมไม่อยากให้เราสองคนต้องแยกกันอีก ถึงแม้จะแค่แยกกันไปพักผ่อนผมก็ไม่ต้องการ พึ่งจะดีกันวันนี้และภูเองก็ดูเมาๆ ผมกลัวเหลือเกินว่าเช้ามาเจ้าตัวจะลืมหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมคงบ้าตายแน่

“ภูครับภูจะจำเรื่องวันนี้ได้ใช่ไหม”

ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“กูไม่ใช่ปลาทอง ถึงกูเมากูก็รู้ว่ากูกำลังทำอะไร”

ภูตอบเสียงเรียบ  ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป ผมนี่ก็แปลกนะครับ ทั้งๆที่ก็ได้รับการยืนยันขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ไม่วายเป็นกังวลอยู่ดี ภูกำลังจะเดินเข้าบ้านแล้วด้วย

“กลับไปนอนเถอะ กูบอกว่าจำได้ก็จำได้ซิ”

ภูหันกลับมาพูดเบาๆแล้วหมุนตัวเดินเข้าเข้ารัวบ้านไป ผมเลยรีบเปิดประตูรถลงไปเพื่อที่จะพูดประโยคสั้นๆ

“พี่รักภูนะ ฝันดีครับภู”

ผมพูด ภูหยุดฟังแปปนึงก่อนก้าวขาเดินต่อ วันนี้ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับสำหรับผม ทุกอย่างมันคงกำลังจะดีขึ้น

ต่อไปนี้ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เป็นทั้งคนรักที่ดี เพื่อนที่ดี และจะเป็นพี่ที่ดีให้กับภูของผมด้วย ผมจะไม่ทำให้ภูรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ผมจะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นของภูด้วยความรักของผม

เช้าวันต่อมา ผมรีบลงจากห้องพักมายืมดอมๆมองๆอยู่แถวหน้าห้องที่เด็กฝึกงานใช้พักระหว่างทำงาน ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมจะได้เจอภู ในสภาพเต็มร้อย ผมอยากรู้ว่าเจ้าตัวจะจำเรื่องเมื่อคืนได้ไหม แค่คิดผมก็ใจเต้นจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว

“ภูมึงยังไม่ได้บอกกูเลยว่าทำไมเมื่อคืนถึงได้แดกเยอะขนาดนั้น เครียดอะไร”

“ไม่มีอะไรกูอยากกินบ้างไม่ได้หรือไง”

“ได้น่ะมันได้แต่ทุกครั้งที่มึงจะกิน มึงต้องมีกูไปด้วย ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่ากูจะยอมให้มึงกินอีก”

“.......................................”

“รับปากดิเร็ว มึงมันดื้อไอภู ดื้อเงียบรับปากกูก่อนนนน เร็วๆๆ”

“เออ”

“ดีมาก”

ผมได้ยินหมดทุกคำพูดครับและตอนนี้ก็รู้สึกคันตีนมากด้วย ผมล่ะเกลียดไอเด็กเปรตนี่จริงๆ ชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการภูของผมอยู่เรื่อย ออกคำสั่งบ้าง บังคับบ้าง เห็นแล้วก็โมโห ภูก็ใจดีกับคนอื่นไปทั่วเพราะนิสัยแบบนี้ไงคนเขาถึงได้ชอบแกล้ง

มัวแต่พูดเพลินภูกำลังจะเดินผ่านตรงที่ผมยืนอยู่แล้วทำไงดีๆ!!!

“สวัสดีครับ”

เอ๊ะเดี๋ยวกูเป็นผู้บริหารนะเว้ยทำไมกล่าวทักเด็กฝึกงานได้เรียบร้อยแบบนี้ ขอโทษนะครับตอนนี้ใจผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วจริงๆ

“สวัสดีครับคุณภีมมาทำอะไรแถวนี้แต่เช้าเลยครับ”

เสือก อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากพูด แต่ไม่ได้ครับผมจะต้องรักษาท่าที ผมจะหยาบคายทำลายภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าภูไม่ได้ อดทนไว้ภีม อดทนไว้

“เดินตรวจงานน่ะ และก็ภูช่วยมาพบฉันที่ห้องหน่อยซิ”

ประโยคแรกเสียงผมนี่โคตรแข็ง แต่ประโยคหลังนี่นุ่มนวลเสียจนคนฟังจับน้ำเสียงได้

“ครับเดี๋ยวผมตามไป”

ภูรับคำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนเสียจนผมใจหายหรือว่า ภูจะลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วจริงๆ

ระหว่างที่นั่งรอภูอยู่ในห้องผมก็เอาแต่คิดไปต่างๆนานา จนกระทั่งเสียงประตูดังขึ้น พร้อมกับภูที่เดินผ่านบานประตูเข้ามา

“เรียกผมมามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับคุณภีม”

ผมแทบจะล้มทั้งยืน ท่าทางการพูด น้ำเสียงและสีหน้า ไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้เลย แสดงว่าเรื่องเมื่อคืนนั้นถูกลืมไปหมดแล้วซินะ ใจฝ่อห่อเหี่ยวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เมื่อคืนผมไม่น่าปล่อยให้ภูกลับบ้านเลย ผมพลาดแล้ว

พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

ภูพูดแล้วเตรียมเดินออกจากห้องไป ส่วนผมน่ะหรอตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรทั้งนั้นครับ แรงจะเรียกชื่อคนที่กำลังจะเดินออกไปยังไม่มีเลย คิดว่าจะถามแต่ก็กลัวคำตอบ และถึงแม้ว่าภูจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปจริงๆ ผมก็จะพยายามใหม่พยายามมันไปเรื่อยๆจนกว่าภูจะยอมเปิดใจให้ผม ผมจะพยายาม พยายามให้มากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ผมขอนั่งพิงเก้าอี้แห่งความพ่ายนี้ตัวนี้ซักพักนะครับ ขอให้ผมมีแรงมากกว่านี้แม้จะนิดหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยตอนเดินผ่านภูผมจะได้ไม่เข่าอ่อนแล้วทรุดลงตรงหน้าเขา โอยยยยย อยากร้องไห้เว้ย!!!! อีกแค่นิดเดียวแท้ๆเลย

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3


                                                                       - 36 -

ผมเดินออกจากห้องประธานใหญ่มาพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่คนในห้องทำหน้าหมดอะไรตายอยาก ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าของคนหมดหวัง ไอภีมมันคงคิดว่าผมลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้วจริงๆ เรื่องที่ผมบอกว่าจะลองเชื่อมันอีกซักครั้ง

แต่เปล่าครับ ผมไม่ได้ลืม ผมยังจำได้ทุกถ้อยคำที่ตัวเองพูด และก็จำได้ทุกถ้อยคำที่มันพูดเช่นกัน เมื่อกี้ผมก็แค่แกล้งมันเฉยๆ ในเมื่อมันเอาแต่คิดว่าผมจะลืม จนต้องมาดักรอเจอผมตอนเช้าแบบนี้ เห็นทีคงต้องแกล้งให้มันคลั่งตายไปข้าง

ในระหว่างที่ผมกำลังเดินไปยังห้องพักเด็กฝึกงานโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อที่โทรเข้ามาผมก็รีบกดรับทันที

“ว่าไงครับพี่”

คำทักสั้นๆสบายๆแบบนี้ คงไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกใช่ไหมครับว่าปลายสายคือใคร

“ภูพอจะมีเวลาให้พี่ซักเดี๋ยวไหม พอดีพี่กำลังจะกลับกรุงเทพเลยแวะมาหาภูก่อน พี่รออยู่ตรงม้านั่งข้างโรงแรมนะ”

“เอ่อ ครับเดี๋ยวผมเดินไป”

ผมรับคำสั้นๆก่อนจะเดินเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าโรงแรมทันที พอออกมาถึงก็เห็นพี่เขตในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนนั่งส่งยิ้มให้ผมอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

“เมื่อคืนเป็นไงบ้าง ดื่มหนักแบบนั้นตอนนี้เราโอเคแล้วใช่ไหม”

พี่เขตถาม ผมเลยพยักหน้ารับเบาๆแทนคำตอบ

“ดีแล้ว เรานี่เห็นเงียบๆคอแข็งเหมือนกันนี่หว่า กลับกรุงเทพไปอย่างนี้สงสัยเราคงต้องดวลกันซักหน่อยแล้ว”

พี่เขตพูดขำๆ แล้วก็เงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม

“ภูครับขอบคุณนะครับที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข พี่มาเจอภูครั้งนี้ได้เห็นภูยิ้ม หัวเราะ และพูดมากกว่าที่เคยบอกตรงๆว่าพี่ดีใจมาก และพี่ก็อยากจะให้ภูเป็นแบบนี้ไปตลอด อย่าฝังตัวเองอยู่กับความทุกข์อีกเลยนะครับ ถ้าตอนนี้ภูรู้แล้วว่าอะไรคือความสุข ภูก็แค่เลือกที่จะรับมา ฟังเสียงหัวใจตัวเอง แล้วทำในสิ่งที่อยากทำ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันจะเป็นไงก็เรื่องของมัน สิ่งที่ภูควรจะให้ความสำคัญจริงๆคือวันนี้ และ ณ เวลานี้ต่างหาก ภูเข้าใจความหมายใช่ไหมครับ”

“ครับผมเข้าใจ ผมสัญญาว่าผมจะมีความสุข ขอบคุณนะครับสำหรับทุกอย่างที่พี่ทำให้ผม”

ผมพูดแล้วยิ้มให้คนตรงหน้า สิ่งที่พี่เขตพูด ผมว่าผมเข้าใจความหมายของมันดี ที่ผ่านมาพี่เขาคงจะยืนมองผมอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเสมอ ถึงได้รับรู้ทุกปัญหาทุกความรู้สึกของผม และก็คอยภวนาให้ผมมีความสุขอยู่ตลอด พี่เขตคือพี่ชายที่ดีโคตรๆของผม ไม่ซิผมยกให้เป็นฮีโร่ของผมเลย

“ได้ยินอย่างนั้นพี่ก็ดีใจ พี่จะแวะมาบอกเราแค่นี้แหละ ไว้เจอกันอีกทีที่กรุงเทพนะครับ แล้วพี่จะโทรหาบ่อยๆ”

“ครับพี่ เดินทางปลอดภัยครับ”

ผมยืนมองพี่เขตเดินจากไปจนลับสายตาแล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ งานวันนี้ของผมก็ไม่มีอะไรมากครับเดินตรวจโน่นตรวจนี่ แล้วก็กลับเข้ามาเขียนรีพอร์ท ซึ่งมันก็ไม่ได้เยอะอะไรด้วยผมทำจนเสร็จแล้วเหลือก็แต่ส่งเมลและปิดเครื่อง

“ภูวันนี้เวรเราสองคนซื้อกับข้าวนะ มึงทำรีพอร์ทเสร็จยัง”

“ใกล้แล้ว เออ กูว่าวันนี้จะกลับดึก ไม่ต้องรอกูกินข้าวก็ได้”

ผมละสายตาจากหน้าจอคอมเงยหน้าขึ้นไปบอกกับคนตรงหน้า



มึงจะไปไหนอีก!!!”

ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆเอ็นก็ขึ้นเสียงใส่ผม ก่อนหน้านี้ก็ทีแล้วพอผมบอกว่าจะกลับบ้านดึกเอ็นก็ทำหน้าบึ่งใส่ผม อะไรของเขาจะมาโมโหใส่ผมเรื่องอะไร

“แถวนี้แหละ”

ผมตอบปัดๆแล้วก้มหน้าจัดการงานของตัวเองต่อ เครื่องนี่ทำไมมันดับช้าจังผมกดชัตดาวน์ไปนานแล้วนะ

“บอกกูไม่ได้หรอว่าจะไปไหน”

“อื้ม เจอกันที่บ้านนะ”

ผมทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกเดินจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไป กว่าหน้าจอจะดับผมเกือบจะได้อยู่ตอบคำถามเอ็นอีกซักข้อสองข้อดีนะที่มันดับก่อนที่เอ็นจะยิงคำถามใหม่มาให้ผม หลังจากที่เดินเลี่ยงเอ็นมาได้ ผมก็เดินออกไปยืนรอรถสองแถวหน้าโรงแรม ที่ผมไม่ยอมบอกเอ็นว่าจะไปไหน เพราะผมไม่อยากให้เจ้าตัวรู้ว่าผมตั้งใจที่จะซื้อของที่ระลึกให้ อีกแค่สองอาทิตย์ไม่ซิอาทิตย์กว่าๆผมก็จะฝึกงานเสร็จแล้ว คงไม่ได้เจอกับเอ็น นุและกันต์บ่อยๆ เลยอยากจะให้อะไรเล็กๆน้อยๆเป็นของต่างหน้า แต่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าสามคนนั้นชอบอะไรกัน เลยกะว่าจะลองมาเดินตลาดตอนกลางคืนแถวๆนี้ดู

ตลาดที่ผมกำลังเดินอยู่นั้นมีของฝากน่ารักๆเต็มไปหมด ทั้งตุ๊กตา เสื้อผ้า โปสการ์ด ของทำมือ มันเยอะซะจนผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มมองหาอะไรก่อนเป็นอย่างแรก และระหว่างที่ผมเดินเข้าร้านโน่นออกร้านนี้ โทรศัพท์ในกระเป๋าผมก็ดังขึ้น ผมเลยหยิบขึ้นมากดรับโดยที่ไม่ทันได้ดูว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคือใคร

“ครับ”

(ภูเลิกงานแล้วหรอ ตอนนี้อยู่ไหนครับ)

“ภูอยู่ตลาดครับ พี่เขตถึงกรุงเทพแล้วหรอ ......ป้าครับผมขอดูอันนั้นหน่อย”

ผมถามปลายสายแล้วก็ร้องบอกป้าคนขายให้หยิบหุ่นกระป๋องทำมือมาให้ผมดู

(พี่ภีมครับไม่ใช่เขต)

ปลายสายตอบกลับมา ผมเลยรีบยกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นชื่อมันโชว์หราอยู่หน้าจอ

“ครับคุณภีมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(ยุ่งอยู่หรอครับ ไม่สะดวกเดี๋ยวพี่โทรไปใหม่ก็ได้)

ผมลอบยิ้มเล็กๆให้กับคู่สายของตัวเอง เสียงเศร้าเชียวนะมึงไอภีม

“คุณภีมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

(มีนิดหน่อยแต่ถ้าภูไม่ว่างไว้วันหลังก็ได้ครับ)

“ผมอยู่ตลาดแถวโรงแรมถ้าคุณภีมมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆเดี๋ยวผมย้อนกลับไปหาก็ได้ครับ”

(ไม่ต้องครับ งั้นพี่ไปหาเราได้ไหมเราสะดวกหรือเปล่า)

“ก็ได้ครับ งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟหน้าตลาดก็แล้วกัน”

ผมกดวางสายไปพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย การแกล้งคนมันสนุกแบบนี้เองทำไมผมพึ่งจะมารู้นะ ผมเดินดูอะไรอีกนิดหน่อยแล้วก็เดินไปหน้าตลาดเพื่อไปรอไอภีมตามที่คุยกันไว้เมื่อครู่ ไม่นานนักไอภีมมันก็เปิดประตูร้านเข้ามา

“รอนานไหมครับ พอดีก่อนออกมาพี่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ภูสั่งเครื่องดื่มหรือยังถ้ายังเดี๋ยวพี่ไปสั่งให้”

มาถึงโต๊ะได้ไอภีมมันก็ร้อนรน ถามโน่นถามนี่แล้วเตรียมจะลุกไปสั่งเครื่องดื่มให้ตามที่มันบอก

เห็นแล้วก็ขำ ผมไม่คิดเลยนะครับว่าผู้ชายที่เพรียกพร้อมอย่างมันจะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้ให้กับผม คนที่มันเคยเกลียดยิ่งกว่าอะไร คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ไอภีมจะยอมให้ผมมากขนาดนี้

“ไม่เป็นไรครับผมสั่งไปเรียบร้อยแล้ว”

ผมยังคงแกล้งเล่นละครต่อไป ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าในแบบที่ผมชอบทำ มันเลยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม

“มีอะไรหรือเปล่าครับอุตส่าห์ตามผมมาถึงที่นี่”

“งั้นพี่ไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ภูจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้จริงๆหรอครับ ภูจำไม่ได้หรอว่าภูพูดอะไรกับพี่”

“มีอะไรพิเศษหรอครับ”

“แสดงว่าจำไม่ได้ซินะ”

ไอภีมพูดแล้วทำเสียงเศร้า ไม่ใช่แค่เสียงนะครับนัยน์ตาคู่นั้นของมันก็แสดงอารมณ์ออกมาให้ผมเห็นอย่างไม่คิดที่จะปิดบังเลยซักนิด เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ทนเล่นละครต่อไปไม่ได้ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าผมทนเห็นหน้าเศร้าๆของมันไม่อีกแล้ว

“กูไม่ใช่ปลาทองนะ เรื่องพึ่งผ่านมาเมื่อคืนทำไมกูจะจำไม่ได้”

ทันทีที่ผมพูดออกไปแบบนั้น ไอภีมมันก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“ภู”

“มึงเองก็จำให้ได้เถอะว่าพูดอะไรไว้กับกูบ้าง มันจะไม่มีครั้งที่สามแล้วนะภีม”

“ครับพี่สัญญา พี่สัญญาครับภู”

พูดจบมันก็คว้ามือผมขึ้นมากุมไว้หลวมๆ ก่อนจะกดจูบเบาๆลงบนหลังมือของผม ผมเลยรีบชักมือออก

“เหี้ย!! ทำอะไรของมึง”

ไอคนถูกด่าแทนที่จะสลดแต่เสือกยิ้มกว้างแล้วกระชับมือผมแน่นยิ่งกว่าเดิม

“พี่รักภูนะครับ พี่รักภูมากจริงๆ”

“เออ กูได้ยินแล้ว”

ผมรับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียง แล้วดึงมือตัวเองกลับมาได้ในที่สุด หลังจากนั้นผมก็ชวนมันเดินเป็นเพื่อนซื้อของ

เดินเข้าร้านโน่น ออกร้านนี้เหมือนที่ผมทำในตอนแรก แต่ที่ไม่เหมือนคือผมมีความสุขกว่าตอนแรกนิดหน่อยตรงที่มีไอภีมเดินอยู่ข้างๆ

“ภูครับ ภูจะซื้อของพวกนี้ไปให้ใครหรอ เห็นตั้งใจเลือกเชียว”

ไอภีมถามระหว่างที่ยืนรอผมเลือกของบางอย่าง มือมันก็หยิบจับของที่คล้ายๆกันกับที่ผมถืออยู่ขึ้นมาดู

“ให้เอ็น และก็เพื่อนร่วมบ้าน”

ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็เลือกของต่อไป มันเลือกยากจริงๆนะครับ ผมไม่รู้เลยว่าควรจะให้อะไรกับใครดี เอ็นชอบอะไร นุชอบอะไร แล้วกันต์ชอบอะไร ผมไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง กลัวเลือกไปคนรับจะไม่พอใจ ยิ่งคิดหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน

“เครียดขนาดนั้นเลยหรือไงครับ พี่ว่าจะให้อะไรมันก็ไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญจริงๆคือความตั้งใจต่างหาก แค่ภูตั้งใจจะซื้อให้พี่ว่าเพื่อนๆก็ดีใจแล้ว ลองเลือกดูซักอย่างซิครับ ใช้ใจเลือก ไม่ต้องคิดอะไรมาก”

ผมฟังไอภีมพูดไปพลางอมยิ้มไปพลาง ลืมเรื่องที่จะหาของไปสนิทเลยเพราะมัวแต่ฟังมันเพลิน

“ได้หรือยังครับ หรือไม่ถูกใจร้านนี้ภูจะเดินดูร้านอื่นก่อนก็ได้นะ”

“ไม่ต้อง กูเอานี่ให้เพื่อนกูก็ได้”

ผมบอกแล้วหยิบ โปสการ์ดสามใบขึ้นมา มันเป็นรูปน้ำตกที่พวกผมเคยไปเที่ยวด้วยกัน ผมจำได้ว่าวันนั้นเรามีความสุขกันแค่ไหน และมันก็น่าจะดีถ้าผมจะเลือกของสิ่งนี้ให้เป็นของที่ระลึก

“ภูจะซื้ออะไรอีกไหมครับ หรืออยากไปไหนต่อไหม เดี๋ยวพี่พาไป”

ผมไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้าแล้วเดินขนานกับมันไปเรื่อย ผมไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่อยากแยกจากมันตอนนี้ด้วยเหมือนกัน สิ่งที่พี่เขตพูดกับผมวันนี้ทำให้ผมกล้าที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ผมกล้าที่จะยอมฟังเสียงของตัวเองว่าผมต้องการอะไร และกล้าที่จะเลือกทำอย่างอิสระ นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ไอภูในวันนี้ดูต่างไปจากที่เคย

หลังจากเดินเล่นกันอยู่ซักพักผมก็ขอให้มันพาไปส่งที่บ้าน  พอรถมาจอดเทียบหน้าบ้านไอภีมมันก็เอื้อมมือมาปลดเบลท์

ออกจากตัวผมก่อนจะถอยกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม โดยที่ปากก็ยังคงส่งยิ้มให้ผมไปเรื่อย

“กลับบ้านดีๆนะ กูเข้าบ้านและ”

ผมบอกแล้วเตรียมเปิดประตูลงจากรถ แต่เสียงมันก็รั้งผมไว้ ไอภีมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแล้วก็สะบัดหัวสองสามทีก่อนจะพูดบางประโยคกับผมซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะใช่คำที่เจ้าตัวอยากจะพูดจริงๆตั้งแต่แรก

“ภู ฝันดีนะครับ”

มันบอกสั้นๆ แล้วทำหน้าเสียดาย

“มีอะไรหรือเปล่า อยากจะพูดอะไร”

ผมถามเรียบๆ แล้วตั้งใจรอฟังในสิ่งที่มันอยากพูด ไอภีมเหลือบตามองผมแบบชั่งใจก่อนจะถามซ้ำเพื่อความมั่นใจ

“พี่พูดได้หรอ”

“ก็ลองพูดมา”

“พี่ขอจูบภูหน่อยได้ไหม”

มันพูดแล้วหลับตาปี๋ รอคำตอบจากผม

“ก็เอาซิ”

ผมพูดหน้านิ่ง เอาจริงๆก็อยากแกล้งมันด้วย มันจะกล้าจูบผมที่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์แบบนี้จริงๆหรอ มันจะไม่หมดอารมณ์ก่อนที่จะจูบหรือไง ในระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรสนุกๆ ไอภีมมันก็ยื่นหน้าเข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่สนสีหน้าของผมเลยซักนิด ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะแกล้งเขา กลายเป็นตอนนี้ผมประหม่าแทนซะเองกับระยะห่างที่ย่นเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากผมกับมันก็ถูกดึงดูดเข้าหากัน ริมฝีปากผมถูกไอภีมต้อนให้เปิดออกรับสัมผัสอุ่นจากปลายลิ้น ก่อนจะกวาดลิ้นไปทั่วโพลงปาก และครอบปากลงบนริมฝีปากบนของผมอีกครั้งดูดเม้มอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเป็นฝ่ายผละออก

“กูไปจริงๆแล้ว”

ผมพูดแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถมาทันที ขืนผมยังอยู่ต่อมันต้องเห็นแน่นว่าหน้าผมแดงแค่ไหน ตั้งใจจะแกล้งเขาแต่เสือกเสียท่าซะเอง น่าอายจริงๆไอภู ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมหัวใจที่พองโต ผมนั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ที่ห้องรับแขกซักพักก่อนจะเดินเข้าห้องไป เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะผมคาดว่าเอ็นน่าจะยังรอผมอยู่และผมก็ไม่อยากโดนคาดคั้นอะไรมากด้วย ผมเลยต้องทำตัวเองให้เป็นปกติก่อนที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเพื่อนขี้บ่นอย่างเอ็น และก็เป็นอย่างที่คิดเปิดประตูเข้าไปได้แค่ก้าวเดียวเอ็นก็ใส่ผมเป็นชุด ทั้งคำถามทั้งคำบ่น โน่นกว่าผมจะฟังจบทั้งหมดก็ดึกมากแล้วผมเลยเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแล้วกลับมาทิ้งตัวนอนบนเตียง ซึ่งไอคนขี้บ่นของผมมันก็หลับไปเป็นที่เรียบร้อยสงสัยคงจะเหนื่อย

อีกไม่กี่วันเราสามคนคงต้องบอกลากันอย่างจริงจังแล้ว ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ผมก็รู้สึกผูกพันกับเพื่อนใหม่ของผมมาก ผมคงจะรู้สึกเหงานิดหน่อยที่จะไม่ได้เจอพวกมันอีก โดยเฉพาะเอ็นผมคงจะเหงาหูเป็นพิเศษที่ไม่มีมันคอยเจ้ากี้เจ้าการคอยบ่นผมทุกเรื่องเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เฮ้อ ถ้าเราสามคนได้เรียนอยู่ที่เดียวกันก็คงจะดีซินะ

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3



                                                                          - 37 -

ในที่สุดภูของผมก็ฝึกงานเสร็จซักที ตอนนี้ภูกลับมาเรียนปีสุดท้ายที่กรุงเทพแล้ว และก็พักอยู่ที่คอนโดของผมด้วย

ตอนแรกภูก็ไม่ยอมหรอกครับ แต่เพราะหาหอพักไม่ได้จริงๆ ภูเลยจำใจต้องขนของย้ายมานอนคอนโดผม เช้าผมก็ไปส่ง พอเย็นผมก็เป็นคนไปรับภูกลับบ้าน ดูแล้วช่างเป็นชีวิตที่มีความสุขเหลือเกิน ผมบอกว่าแค่ดูเหมือนนะครับ เพราะจริงๆแล้วทุกวันนี้ผมมีเรื่องที่หงุดหงิดใจไม่น้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดีของภู ผมอาจจะดูจิตเล็กๆก็ได้ที่รู้สึกไม่ชอบใจในความเปลี่ยนแปลงนั้น ถ้าผมรู้ซักนิดนะครับว่าภูผู้เย็นชาพอได้ละลายน้ำแข็งในตัวเองออกบ้างแล้วจะเป็นที่นิยมมากขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมให้ภูละลายน้ำแข็งนั่นเลย ดูอย่างตอนนี้ซิขนาดผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ ยังยืนคุยกับผู้หญิงได้หน้าตาเฉย ยิ้มด้วย หัวเราะด้วย ทีกับผมนี่นิ่งใส่ตลอด น้อยใจนะครับ แต่ก็พูดไม่ได้กลัวพูดไปภูจะมองว่าผมไร้สาระ ทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่ ผมเลยได้แต่เงียบแล้วทำเป็นมองข้ามมาตลอด

“มานานแล้วหรอ”

นี่คือประโยคแรกที่เจ้าตัวหันมาทักผม ในขณะที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้นานเกือบสิบนาทีแล้ว

“ไม่นานครับพี่พึ่งมา”

ผมโกหกก่อนจะยิ้มให้คนตรงหน้า แล้วเดินไปเปิดประตูให้ ระหว่างทางผมก็นั่งเงียบมาตลอด ภูก็เช่นเดียวกัน ขานั้นเขาไม่ค่อยถนัดพูดอยู่แล้วครับโดยเฉพาะกับผมนี่ยิ่งไม่พูดอะไรด้วยเลย จะมีก็นานๆครั้ง ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยว่าเมื่อไหร่เมื่อไหร่กันที่ภูเป็นฝ่ายเริ่มชวนผมคุยก่อน พอรู้ว่าผมกำลังคิดน้อยใจภูอีกผมก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการขับรถอย่างเดียว ผมไม่ควรทำให้ตัวเองรู้สึกแย่แบบนี้ ในเมื่อผมรักภู เรื่องแค่นี้ผมก็ต้องรับได้ซิ เพราะนี่มันคือนิสัยของภู ผมขับรถพาภูกลับมาถึงที่คอนโดพอถึงห้องพักผมก็บอกให้ภูไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็เตรียมอาหารเย็นอยู่ที่ห้องครัว ไม่นานนักภูก็เดินออกจากห้องมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์มขายาวสีเทาชุดนอนประจำของเขาในช่วงนี้ ภูเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์มองดูผมที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของอยู่พักเจ้าตัวจึงเอ่ยปากช่วย

“มีอะไรให้กูช่วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่จัดการเอง ภูอาบน้ำแล้วไปนั่งดูทีวีรอก่อนก็ได้”

ผมบอกแล้วก้มหน้าก้มตาหันผักที่วางกองอยู่บนเขียง อึกใจต่อมาทั้งเขียงและมีดที่อยู่ในมือผมก็ถูกภูแย่งไป

“ทำอะไรครับภู อาบน้ำแล้วนะ”

“มึงไปอาบน้ำแล้วนั่งรอกูอยู่หน้าทีวี ตรงนี้กูจัดการเอง”

“แต่”

“ภีมอย่าดื้อ ไปอาบน้ำ”

ภูหันมาเอ็ดผม ผมเลยต้องทำตามที่เจ้าตัวพูดอย่างว่าง่าย นานทีได้กินกับข้าวฝีมือเจ้าตัวบ้างก็ไม่เลว

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานมากนักก็ออกมานั่งรอภูอยู่ที่หน้าทีวีตามคำสั่งทุกประการ คอยชะเง้อมองตลอดเวลาเผื่อเจ้าตัวมีอะไรจะให้ผมช่วย

“ภีมเอาแครอทมาทำอะไร”

ภูตะโกนถามมาจากในครัว ผมเลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

“อ่อ พี่ว่าจะทำผัดผักรวมใส่แครอทให้ภูกิน แล้วนี่ภูทำอะไรไปบ้างครับ”

ผมถามแล้วชะโงกมองอาหารที่อยู่ในจาน

“กูผัดผักไปแล้วแต่ไม่ได้ใส่แครอท มึงกินได้ใช่ไหม”

ภูถามด้วยน้ำเสียงของคนรู้สึกผิด ทำหน้าเสียด้วย โอยยย น่ารัก อยากคว้าตัวเข้ามากอดปลอบแต่ก็ต้องอดทนไว้

“ได้ซิครับพี่ว่าจะใส่ให้ภูกินนั่นแหละ”

ผมว่าแล้วลูบหัวปลอบคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะรีบชักมือกลับ เดี๋ยวนี้เรื่องถูกตัวภูเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมอยู่ใกล้ภูหรือได้สัมผัสภูเพียงเล็กๆน้อยๆผมก็คิดที่อยากจะสัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ ผมแอบคิดไม่ดีไม่ร้ายกับภูมาตลอดเวลาที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกันแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรล่วงเกิน  เพราะผมกลัวว่าถ้าผมทำภูจะหนีผมไปอีก ผมเลยต้องซ่อนความต้องการของตัวเองไว้ลึกๆ เพื่อรักษาภูไว้ แม้มันจะทรมานผมมากก็ตาม

“ภีมเสร็จแล้ว”

หลังจากที่ปรุงอาหารเสร็จภูก็ตะโกนเรียกผมให้มานั่งที่โต๊ะกินข้าว ก่อนจะตักข้าวใส่จานส่งให้ผม แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีจานข้าวของเจ้าตัววางอยู่ก่อนแล้ว

“วันนี้เรียนเป็นไงบ้างครับ เหนื่อยไหม”

ในระหว่างมื้ออาหารผมเกรงว่ามันจะเงียบจนเกินไปเลยชวนคนตรงหน้าคุย ซึ่งภูก็เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงของผมนะครับมองหน้าผมตาแป๋วเลยแต่ดูคำตอบ

“เรื่อยๆกูเรียนนะไม่ได้ทำงานเหมือนมึงจะได้เหนื่อย”

ถามดีๆก็ตอบดีๆบ้างซิครับ ที่คนอื่นภูยังพูดดีด้วยได้เลย แต่ทีกลับพี่ทำไมภูถึงไม่ยอมพูดดีๆด้วยบ้าง ให้เรียกพี่ก็ไม่ยอม เรียกชื่อเฉยๆก็ไม่เอา หยุดพูดกูมึงก็ทำไม่ได้ ภูจะรู้บ้างไหมว่าพี่ก็น้อยใจเป็นนะ

“ภีมพรุ่งนี้ไม่ต้องมารับกูนะ เลิกเรียนกูจะไปกินข้าวกับเอ็น คงกลับดึกมึงก็หาข้าวกินเลยแล้วกัน”

ภูบอกผมนิ่งๆแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ คำบอกเล่าของภูถ้าฟังผ่านๆมันก็เหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ก็แค่ไปกินข้าวกับเพื่อนธรรมดาๆ แต่มันไม่ใช่สำหรับผมไง ทั้งๆที่ภูรู้ว่าเอ็นรู้สึกยังไงกับภู แต่ภูก็ยังจะออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ภูรู้ว่าผมไม่ชอบให้ภูอยู่กับเอ็น แต่ภูก็เลือกที่จะมองข้ามความรู้สึกผม แล้วเลือกเอ็นก่อนผมเสมอ ผมไม่รู้ว่าผมรักภูมากเกินไปจนเก็บเรื่องต่างๆมาคิดให้เป็นปัญหาอยู่คนเดียวหรือจริงๆแล้วภูรักผมน้อยไปกันแน่ หลังจากที่ประโยคนั้นหลุดมาจากปากภูผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมเร่งกินข้าวในจานตัวเองจนหมด เสร็จแล้วก็เก็บจานไปล้าง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อไปยกเอกสารออกมาทำงานต่อที่ห้องรับแขก โดยที่ไม่ลืมปูที่นอนของตัวเองทิ้งไว้ ตั้งแต่ภูย้ายมาอยู่กับผม ผมก็ปูที่นอนนอนอยู่ข้างเตียงภูมาตลอด ผมให้เกียรติภู อยากแสดงให้ภูเห็นว่าผมรักภูจริงๆและไม่ได้คิดที่จะเอาเปรียบภูเลย ผมทำถึงขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมภูถึงไม่เข้าใจผมบ้างเลยนะ

“ทำไมไม่ไปทำในห้อง โต๊ะทำงานมึงก็อยู่ข้างในไม่ใช่หรือไง”

“พี่กลัวภูจะนอนไม่หลับ ไม่เป็นไรภูไปนอนเถอะพี่ทำงานตรงนี้ได้”

ผมบอกโดยไม่หันหน้าไปมองคู่สนทนา มือก็รื้อๆเอกสารที่เคลียร์ยังไม่เสร็จออกมาทำต่อ

“แต่นี่มันห้องมึง ถ้ามึงทำแบบนี้กูลำบากใจ”

ภูพูดเสียงเรียบแต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“แต่พี่เต็มใจ ไปนอนเถอะพรุ่งนี้มีสอบย่อยตอนเช้าด้วยเดี๋ยวจะตื่นสายเอา”

ผมทิ้งไว้แค่นั้นแล้วก็ไม่ได้หันไปสนใจคนด้านหลังอีก ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้อง พร้อมกับร่างของภูที่หายไปกับหลังบานประตูบานนั้น ฝันดีนะครับภู ผมพูดเบาๆ แล้วลงมือทำงานอย่างจริงจังเสียที

เช้าวันต่อมาผมก็ขับรถมาส่งภูตามปกติ พอรถมาจอดถึงหน้าคณะภูก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว แต่ทว่าก็ยังไม่ยอมลงจากรถ

“มึงมีอะไรจะพูดกับกูหรือเปล่า”

น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความไม่พอใจไว้ของเจ้าตัว ทำให้ผมต้องย้ายสายตากลับไปมอง ภูเองก็ทำเช่นเดียวกับผม หันกลับมามองผมแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ส่วนเรื่องที่ถามว่ามีอะไรจะพูดไหม ถ้าผมบอกไปว่าเย็นนี้อย่าไปกับไอเหี้ยนั่นเลยภูจะทำให้ผมได้หรือเปล่า ภูจะฟังคำขอร้องของผู้ชายคนนี้หรือไม่ ถ้าผมพูดไปภูจะยอมทำให้ไหม แน่นอนว่าไม่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่ผมจะพูดไป

“ตั้งใจทำข้อสอบนะครับ แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ”

นี่คือสิ่งที่ผมพูดก่อนที่เจ้าตัวจะกระชากประตูแล้วลงจากรถไป ดูเหมือนตอนนี้ไม่ว่าผมจะทำอะไรมันก็ผิดไปหมดเลยเนอะ

แค่อวยพรให้ยังผิดเลย

ภู

ไอเหี้ยภีมแม่งจะเอาไงกับกูกันแน่วะ ตั้งแต่ฝึกงานจบมันก็สองเดือนแล้วนะที่ผมย้ายมาอยู่กับมัน แรกๆมันทั้งทำดีกับผม ดูแลเอาใจใส่ผมสารพัดอยู่ไม่เคยห่างจากตัวผม แต่หลังๆมานี้ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป มันพยายามไม่อยู่ใกล้ผม โดนตัวผมนิดหน่อยก็รีบตีตัวออกห่าง แถมยังไม่ยอมนอนร่วมเตียงเดียวกันอีก เมื่อก่อนเคยหึงเวลาที่เอ็นมาหา แต่เดี๋ยวนี้มันกลับไม่ใส่ใจอะไรเลยซักอย่าง ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากห้ามไม่ให้ผมไป แบบนี้มันหมายความว่าไงถ้ามันไม่ได้หมดรักผมแล้ว

“ภูเป็นไรหน้าบึ่งเชียว”

เกดเดินมาทิ้งตัวนั่งตรงที่ว่างข้างผมก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เปล่าไม่มีอะไร เอสล่ะไม่ได้มาด้วยกันหรอ”

“อย่าให้กูพูดเลย เดี๋ยวนี้เอสชอบทำตัวแปลกๆเหมือนไม่อยากไปไหนมาไหนกับเราเลย โดนตัวเรานิดหน่อยก็สะบัดออก ขนาดเราแกล้งขอไปเจอแฟนเก่าเอสยังไม่ห้ามเลย ฮึกๆๆ ภู เราว่าเอสคงเบื่อเราแล้วแหละ”

เบื่อหรอ คำพูดของเกดทำให้ผมใจหายอย่างบอกไม่ถูก เรื่องที่เอสทำกับเกดช่างเหมือนกับที่ไอภีมทำกับผมเสียเหลือเกิน

เวลาหมดรักกันทำกันง่ายๆแบบนี้เลยหรือไง มันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอวะ แม่งเอ้ย!!!

“เกดอย่าร้องไห้ เดี๋ยวเราไปถามเอสให้ ใจเย็นก่อนนะ”

ผมพูดแล้วลูบหัวปลอบเกดเบาๆ

ตอนเย็นผมเรียกเอสไปคุยหลังตึก เอสทำหน้า งง เล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกผมเรียกไปคุยแบบนั้น แต่ก็ยอมตามมาแต่โดยดี

“มีอะไรวะเรียกมาคุยซะลึกลับเชียว”

“กูไม่อ้อมค้อมนะ พักนี้มึงมีคนอื่นนอกจากเกดหรือเปล่า”

“เฮ้ย!!มึงพูดห่าอะไรเนี่ย กูจะไปมีใคร ขืนกูมีเกดคงได้ฆ่ากูทิ้งแน่”

“เกดบอกกูว่าพักนี้มึงเปลี่ยนไป ตีตัวออกห่าง คำนี้คงใช้ได้กับเรื่องที่เกดเล่าให้กูฟัง”

“เดี๋ยวก่อน เกดบอกมึงว่าไงบ้าง”

เอสย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง ปกติผมเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร แต่ครั้งนี้ผมขอเถอะเพราะนอกจากมันจะเกี่ยวข้องกับคนข้างตัวผมแล้ว ผมยังอยากรู้เป็นการส่วนตัวด้วยว่าทำไมเอสถึงทำแบบนั้น เผื่อผมจะเข้าใจด้วยเหมือนกันว่าทำไมไอภีมถึงทำกับผมคล้ายกับที่เอสทำกับเกด

“ไม่ไปไหนมาไหนด้วยกัน โดนตัวไม่ได้ ขอเจอแฟนเก่าก็ให้เจอ”

ผมบอกทุกรายละเอียดอย่างใจเย็น เอสยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนจะเริ่มอธิบายให้ผมฟังทีละข้อ และหน้าก็เริ่มแดงทีละสเตป

“กูพูดไปแล้วอย่าเสือกหัวเรากูนะ มึงก็ผู้ชายมึงก็น่าจะรู้นะว่าเวลาอยู่ใกล้แฟนตัวเองแล้วมึงจะรู้สึกยังไง เวลาอยู่กับเกดกูก็อยากจะทำอะไรที่แฟนเขาทำกัน แต่กูก็ทำไม่ได้เพราะกูอยากให้เกียรติเขา อยากถนอมเขา อยากให้เขารู้ว่ากูจริงจังไม่ได้จะคบแค่เล่นๆ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันมันทำให้กูลำบากใจ กูเลยต้องทิ้งระยะห่างบ้างไม่ใช่ว่ากูเบื่อหรือหมดรัก แต่เป็นเพราะกูรักมากต่างหาก รักจนกลัวว่าจะเสียเขาไป”

ผมได้ฟังแบบนั้นแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาดื้อๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของผมเลย แต่ผมกลับรู้สึกดีราวกับได้ฟังเรื่องของตัวเองยังไงก็ไม่รู้ และก็ทำให้ผมอยากรู้ว่าไอภีมจะคิดอย่างเดียวกันกับที่ไอเอสคิดหรือเปล่า วันนี้ผมเลยตัดสินใจยกเลิกนัดพวกเอ็น แล้วตรงดิ่งกลับคอนโดทันที

22:30

เสียงกดรหัสผ่านพร้อมกับเสียงเปิดประตูเข้ามา ทำให้ผมรู้ว่าไอภีมมันกลับมาแล้ว ผมที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกแกล้งทิ้งตัวหลับทันที ที่เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ไอภีมเดินมาหยุดฝีเท้าตรงหน้าผมก่อนจะคว้ารีโมทขึ้นมากดปิดทีวีที่ผมดูทิ้งไว้

“ไงคนใจร้าย ไหงมานอนหลับตรงนี้ล่ะครับ”

เสียงไอภีมที่ดังอยู่ตรงหน้าฟังดูเหมือนตัดพ้อผมยังไงชอบกล มือหนาไล้เกลี่ยข้างแก้มผมอย่างเบามือ ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวนั่งพิงหลังข้างโซฟาตัวที่ผมนอนอยู่

“วันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนเป็นไงบ้างครับ อร่อยไหม อร่อยกว่ากินกับพี่หรือเปล่า พี่กะว่าจะกลับมาถามเราซักหน่อยทำไมถึงรีบชิงหลับก่อนล่ะ เฮ้อออ”

ห่า!!!ตกใจหมดเลยตอนมันพูดผมนึกว่ามันจะรู้ว่าผมแกล้งหลับ แต่ที่ไหนได้มันแค่ตัดพ้อกับตัวเอง ผมนอนมองไอภีมแล้วแอบยิ้มเบาๆ เมื่อเช้าทำเป็นเข้ม พอตกเย็นมานั่งคร่ำครวญนะมึง ไม่อยากให้ไปทำไมไม่บอกดีๆ กูก็ว่ากูถามแล้วนะว่ามีอะไรจะพูดกับกูไหม เสือกทำเข้มใส่กูซะงั้น

“ไม่อยากให้กูไปทำไมไม่บอกดีๆ”

“เฮ้ย!!ภู ยังไม่หลับหรอ”

ไอภีมดูท่าจะตกใจที่จู่ๆผมก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง แถมยังคว้าคอมันเข้ามากอดเอาหัวเกยไว้บนหัวมันอีก

“ภีมมึงกับกูเป็นอะไรกัน”

ผมถามเสียงเรียบมือก็กระชับคนในอ้อมแขนไว้แน่นขึ้น

“คนรักครับ”

“ในเมื่อเราเป็นคนรักกัน ทำไมมึงถึงไม่นอนเตียงเดียวกับกู ไม่แตะต้องกู ทำไมมึงไม่ทำเหมือนที่คนรักคู่อื่นเขาทำกัน”

ที่ผมถามอย่างนี้เพราะผมอยากรู้ว่ามันเป็นเหตุผลเดียวกับเอสหรือเปล่า ที่มันไม่ยอมแตะต้องผม เพราะมันให้เกียรติผมอย่างที่เอสให้เกดหรือเปล่า ผมอยากรู้แค่เรื่องนั้น

“ถามตรงอย่างนี้พี่ก็คงต้องตอบตรง ทุกครั้งที่พี่อยู่ใกล้ภู ภูรู้ไหมว่าพี่คิดยังไงบ้าง พี่อยากรู้ว่าถ้าพี่จูบภู ถ้าพี่ได้สัมผัสภู ภูจะมีสีหน้ายังไงนะ แล้วถ้าพี่จับภูกดล่ะ ภูจะรู้สึกดีหรือเปล่า ตลอดเวลาที่พี่อยู่กับภูพี่คิดแต่เรื่องพวกนี้”

“มึงมันลามก”

ผมว่าแล้วดึงแขนที่โอบรอบคอมันไว้กลับ แต่ก็ถูกมันจับไปคล้องไว้ที่เดิม

“พี่ยอมรับครับว่าพี่ลามก พี่ถึงต้องทนมาตลอดไง พี่เลยนอนข้างล่างแทนที่จะนอนบนเตียงนุ่มๆกับภู เพราะพี่อยากแสดงให้ภูเห็นว่าพี่จริงใจกับภู พี่สามารถรักภูได้แม้ไม่ต้องมีสัมผัสทางกาย พี่อยากให้ภูมองเห็นตรงนั้น”

ผมนั่งฟังไปยิ้มไป แล้วก็ดึงคนที่นั่งอยู่ข้างล่างให้ขึ้นมานั่งอยู่ในระดับเดียวกัน

“ขอบคุณ”

ผมพูดจบก็กดปาดลงบนฝีปากของคนตรงหน้าเบาๆก่อนจะผละออก ไอภีมทำหน้าอึ่งๆเหมือนกับไม่อยากเชื่อว่าผมจะเป็นฝ่ายจูบมันก่อน แต่ก็แวบเดียวแหละครับหลังจากที่สติมันกลับมาอย่างเต็มที่มันก็ยกยิ้มมุมปากส่งให้ผม

“อ่อยพี่แบบนี้ คืนนี้พี่คงหยุดแค่จูบไม่ได้แล้วนะภู”

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3

                                                                    - 38 (ตอนจบ) -


“ภีมตื่นได้แล้ว วันนี้มึงมีประชุมตอนเช้านะ”

เสียงภูร้องปลุกผมจากปลายเตียงพร้อมกับแรงดึงเบาๆที่ต้นแขนทั้งสองข้าง ทำให้ผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงอยู่ดี

“ตื่นแล้วก็ลุกซิ เดี๋ยวไปประชุมสายนะ”

“ลุกไม่ไหวภูดึงพี่ลุกขึ้นหน่อยซิ”

อ้อนครับได้ โอกาสก็ต้องรีบอ้อน ผมกางแขนทั้งสองข้างออกอย่างเกียจคร้าน หลับตาพริ้มรอให้ภูมาดึง และภูก็มาครับ ภูดึงมือทั้งสองข้างของผมเข้าหาตัวอย่างแรงหวังจะให้ผมลุก แต่บังเอิญว่าแรงผมดันเยอะกว่าเลยดึงร่างเล็กของคนตรงหน้าให้ลงมานอนทับอกตัวเองแทน

“เหี้ยภีมปล่อย เล่นห่าอะไรแต่เช้าวะ”

ไอด่าแล้วทำหน้าแดงนี่พี่ขอเตือนว่าอย่าทำดีกว่ามั้งครับน้องภู เห็นแล้วมันน่าจับฟัดซักยกสองยกจริงๆ คนอะไรยิ่งโตยิ่งน่ารัก

“ไหนละมอร์นิ่งคิส”

“มอร์นิ่งเหี้ยอะไร พ่อมึงเป็นฝรั่งหรอ ปล่อยดิ เร็วๆ กูอึดอัด”

ดูปากซิครับ เดี๋ยวนี้นอกจากเขาจะพูดเก่งขึ้นแล้วยังด่าเก่งอีกด้วยนะครับ และผมก็มักจะโชคดีได้รับคำด่านั่นบ่อยๆ

“ไม่จูบไม่ปล่อย และก็ไม่เรียกพี่ก็จะไม่ปล่อยเหมือนกัน”

“เรื่องเยอะนะมึง”

“ภูก็ทำตามที่พี่ขอซิ เรื่องจะได้น้อย”

ผมว่าแล้วหรี่ตาดูคนในอ้อมกอด ภูขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม ก่อนจะทำตามคำขอของผมที่ละข้อ

โดยเริ่มจากจูบเบาๆที่ริมฝีปากผม

“พี่ภีมครับตื่นไปทำงานได้แล้วครับ”

น่ารักกกกกกกกก!!!ตื่นเลยครับทีนี้ ไม่ใช่ตานะแต่เป็นภีมน้อยต่างหาก และดูเหมือนภูจะรู้สึกถึงการตื่นตัวของภีมน้อย เจ้าตัวถึงได้หน้าแดงขึ้นมาทันควัน

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับมันตื่นแล้ว”

ผมแกล้งแหย่น้องมันแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป เอาเป็นว่าวันนี้ที่ผมสนุกกับการแกล้งน้องเพลินทำให้ผมเกือบเข้าประชุมสาย โชคดีนะครับที่รถติดไม่มาก ไม่งั้นมีหวังได้เลื่อนประชุมเป็นวันอื่นแน่ หลังจากประชุมเสร็จผมก็กลับเข้ามาเคลียร์งานต่อที่ห้องทำงาน วันนี้กะว่าจะรีบเคลียร์ให้เสร็จแล้วรับภูไปกินข้าวดูหนัง ผมกับภูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยนักเลยกะจะใช้วันนี้ให้คุ้มซะหน่อย ว่าแล้วผมก็เร่งมือทำงานจนเสร็จ

14:30

ผมกดโทรศัพท์หาภูรอสายไม่นานมากเจ้าตัวก็กดรับ แหนะรับโทรศัพท์เร็วแบบนี้แสดงว่าว่างอยู่แน่เลย

“อะไร”

โห รับสายได้ดิบเถื่อนมากแฟนกู

“ทำอะไรอยู่ครับ ว่างไหม”

“มีอะไร”

“ไปดูหนังกันพี่เลิกงานแล้ว”

“ไม่ไป ไม่ชอบ”

“งั้นภูอยากไปไหนครับ”

อย่างนี้แหละครับ ภูไม่ค่อยชอบเดินห้าง ไม่ว่าผมจะชวนไปทำธุระหรือเดินเล่นอะไรที่ห้างเจ้าตัวมักจะอิดออดไม่ยอมไปลูกเดียวไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ช่างเถอะครับในเมื่อน้องเขาไม่ชอบผมก็จะไม่บังคับ ให้น้องไปในที่ที่อยากไปจะดีกว่า ว่าแต่ภูของผมเขาอยากจะไปไหนนะ ไม่เห็นเคยบ่นว่าอยากจะไปไหนเลย

“ไม่อยาก เลิกแล้วก็กลับมา”

ภูตอบแบบเร็วๆแล้ววางสายไป อ้าว เป็นอะไรอีกละครับทีนี้ เดาอารมณ์ไม่ถูกเลย หลังจากที่วางสายไปผมก็หยิบกระเป๋าหยิบเสื้อสูทของตัวเองมาถือไว้ในมือ แล้วตรงกลับคอนโดตามที่คุณชายเขาสั่งทันที พอกลับมาถึงก็เห็นภูกำลังนั่งดูหนังอยู่ คาดว่าจะเป็นหนังดีวีดีที่ซื้อมา ดูซิตั้งหน้าตั้งตาดูเชียว ไม่รับรู้แม้กระทั่งการมาของผมเลยด้วยมั้ง

“ดูอะไรอยู่ครับ ท่าทางซีเรียสเชียว”

ไม่มีเสียงตอบรับ แสดงว่าไม่รู้สึกตัว และถ้าผมมัวแต่ยืนรอให้ภูหันมาเห็น ผมคงต้องยืนจนหนังจบเป็นแน่ แล้วเรื่องอะไรผมจะยอมล่ะครับ ในเมื่อไม่หันมาซักทีผมก็เลยเดินแทรกหน้าไปให้เห็นซะก็สิ้นเรื่อง ผมเดินไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกับเจ้าตัว ยกแขนที่กอดหมอนอิงออกแล้ววางหัวตัวเองลงบนตักนิ่มแทน ภูหันมามองผมแล้วขยับตัวให้ผมได้นอนบนตักเจ้าตัวดีๆ ก่อนจะหันกลับไปดูหนังต่อ ไม่มีเสียงพูดคุยตั้งแต่ตอนนั้น ภูนั่งดูหนังเงียบๆ ส่วนผมก็อาศัยความนิ่มของหมอนจำเป็นดิ่งสู่ห้วงนิทรา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

“ภีมลุกปวดขา”

แรงสะกิดเบาๆที่หัวทำให้ผมรู้สึกตัว ผมตื่นตั้งแต่ตอนที่ภีมพลักหัวผมครั้งแรกแล้วแต่ผมไม่ยอมลืมตา แกล้งทำเป็นหลับลึกให้ไอคนขี้วีนมันโกรธเอา

“ภีมมมม”

“ไอภีมมม”

“พี่ภีม”

เด้งตัวทันทีพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า แหม เวลาที่ภูเรียกผมว่าพี่แล้วมันทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยใจยังไงก็ไม่รู้ ผมบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากได้ยินอีก อยากให้เจ้าตัวเรียกผมว่าพี่แบบนี้อีกหลายๆครั้ง แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เรียกผมว่าพี่ตลอด ไม่รู้ว่าจะหวังมากไปไหมนะ

“ตื่นอยู่แล้วทำไมไม่รีบลุก เจ็บขา”

“ก็ถ้าพี่ลุกเร็วจะได้ยินภูเรียกพี่ว่าพี่ภีมหรอ”

ผมแกล้งแหย่แล้วคอยสังเกตอาการคนข้างตัว แก้มแดงเชียวเขินซิท่า

“อยากให้เรียกขนาดนั้นเลย”

“จะเป็นพระคุณมากถ้าภูจะเรียกอย่างนั้น”

ผมตอบแล้วทาบมือทั้งสองข้างไว้ที่ข้างแกก้มของคนตรงหน้า ก่อนจะจ้องมอง นัยน์ตาคู่สวยมองผมกลับมาอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ขืนตัวออก

“เรียกพี่ว่าพี่ภีมนะครับ พี่โตกว่าเรานะ พี่อยากให้ภูเรียกพี่ว่าพี่ เหมือนที่เรียกไอเขตได้ไหมครับ”

“อืม”

“อืมอะไรครับ พี่ไม่เข้าใจ”

ได้โอกาสแบบนี้คงต้องขอเอาคืนซักหน่อย เด็กดื้อส่งสายตาคาดโทษมาให้ผม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ แล้วยิ่งไอแก้มแดงๆนั้นพอผมได้เห็นใกล้ๆก็อยากจะขโมยหอมซักฟอดสองฟอดคงจะชื่นใจไม่น้อย ดูซิครับคนอะไรก็ไม่รู้ยิ่งโกรธยิ่งน่ารัก

“เข้าใจแล้ว ปล่อยดิ”

เจ้าตัวพูดทั้งปากยื่นๆอย่างนั้นแหละครับ เพราะถูกผมบีบแก้มทั้งสองข้างไว้ ผมเลยแตะปากเล่นเบาๆบนปากยื่นตรงหน้า

‘จุ๊บ’

คนตรงหน้าทำหน้าตื่น แก้มที่แดงอยู่แล้วทวีความแดงขึ้นเป็นสิบเท่า ไม่รู้ว่าแดงเพราะเขินหรือเพราะโมโหกันแน่  แต่ใครจะสนล่ะครับ เวลาเห็นแก้มแดงๆแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีจริงๆนี่นา ปกติจะเห็นภูในรูปแบบก้อนน้ำแข็งเดินได้ พอได้มาเห็นก้อนน้ำแข็งที่ทำท่าจะละลายต่อหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่ ผมไม่ได้โรคจิตนะก็แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเฉยๆ

“ขี้แกล้งหว่ะ”

“บอกมาก่อนเข้าใจว่าอะไร ตอบดีๆด้วยล่ะ”

“เรียกพี่”

“เรียกใครครับ พูดให้มันดีๆซิ เร็วไม่งั้นพี่จูบนะ แล้วภูก็รู้หนิว่าพอได้จูบแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ หรือไม่ต้องเรียกก็ได้แต่ข้ามไปขั้นนั้นเลยดีไหม”

ผมพูดแล้วทำท่าจะกดเจ้าตัวนอนลงบนโซฟา แต่ภูก็ใช้แขนดันไว้สุดพลัง

“พี่ภีม ต่อไปนี้ให้เรียกว่าพี่ภีม พอใจยัง พอใจแล้วปล่อย”

ภูของผมพูดรัวเร็ว มือก็ดันค้างอยู่ที่หน้าอกผม เมื่อได้คำตอบเป็นที่พอใจผมก็คลายมือออก แล้วกวักมือเรียกเจ้าตัวให้มานั่งตรงหน้าผม โดยมีผมนั่งซ้อนหลังอยู่บนโซฟา ภูเดินมานั่งอย่างว่าง่ายแถมยังเอนหัวพิงกับหน้าอกผมอีก อ่อยหรือเปล่านะทำแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ

“ไม่อยากไปไหนจริงๆหรอครับ พี่อุตส่าห์ว่างนะ”

ผมพูดแล้วกดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมนิ่มตรงหน้า กลิ่นแชมพูอ่อนๆกลิ่นเดียวกับที่ผมใช้หอมติดจมูก นั่นเลยทำให้ผมต้องก้มลงไปสูดกลิ่นหอมๆนั้นอยู่หลายครั้ง

“อยู่บ้านดีแล้ว ออกข้างนอกเหนื่อย พะ พี่ภีมจะได้พักด้วย”

“พูดอย่างนี้เป็นห่วงพี่หรอครับ”

ผมแกล้งแหย่ ในใจก็คิดไว้แล้วล่ะครับว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบไหน คนอย่างภูตะวันหรอจะยอมรับว่าเป็นห่วงผมแบบง่ายๆ หัวดื้อซะขนาดนั้น ไม่บอกว่าเปล่า ก็คงไม่พูดอะไรเลยนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากจะแกล้ง

“อืม ช่วงนี้งานเยอะ นอนน้อย ปะ เป็นห่วง”

ผมไม่รู้นะว่าตอนพูดเจ้าตัวทำหน้ายังไง แต่ ฮือออ ซึ้งใจแสดงว่าที่ผ่านมาภูเองก็คอยสังเกตผมอยู่ตลอดเวลาเลยซินะ รู้ด้วยว่าผมนอนน้อย งานเยอะ  เห็นเงียบๆเฉยๆใส่ตลอดแบบนั้นไม่รู้เลยว่าจะเป็นห่วงกันด้วย  เด็กคนนี้จะทำให้ผมหลงไปถึงไหนเนี่ย

“ขอบคุณครับ พี่ดีใจนะที่เราเป็นห่วง”

“พี่รักภูนะครับ รักมาก มากที่สุดเลยด้วย”

ผมพูดแล้วกอดคนในอ้อมแขนแน่ ราวกับต้องการยืนยันในสิ่งที่ผมพูดให้เจ้าตัวได้รับรู้ ให้มันสื่อไปถึงเจ้าตัว และดูเหมือนคำพูดเหล่านั้นจะส่งไปถึงภูได้จริงๆเมื่อเจ้าตัวยกมือขึ้นมาลูบแขนผมเบาๆพร้อมกับคำพูดที่ผมเคยเฝ้ารอมาตลอด

“ผมก็รักพี่ครับ”



**The End **



จบแล้วนะคะสำหรับเรื่องราวความรักระหว่างภูและภีมขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเลยนะคะที่ให้ความสนใจนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนสุดท้าย และฝากติดตามผลงานเรื่องต่อไปที่จะมาลงในเร็วๆนี้ด้วยนะคะ


ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ไปอ่านในธัญ สรุปเรื่องแฟนเก่าไม่เคลียร์เลยสักนิด ที่กลับมาที่เกาะกันเป็นตังเมที่จูบกัน อยู่ๆนางก็หายไป ว็อทเดอะ แต่งได้ชุ่ยมากอ่ะ น่าจะมีอะไรมากกว่านี้เปล่า นี้พอเนื้อเรื่องพากันมาเชียงใหม่ปุ๊ปนางก็หายหัวไปเลย เอิ่ม … :ruready


วิจารณ์แรงไปไหมคะ ไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่านไม่เห็นจะต้องมาใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนเขียนแบบนี้เลย เราไม่ได้คาบปากกามาเกิดนะคะจะได้แต่งเรื่อง เขียนเรื่องได้ถูกใจคนอ่านไปเสียทุกคน ไม่ดีตรงไหนก็แค่บอก มนุษย์ต่างจากสัตว์ทั่วไปอย่างไรก็น่าจะรู้นี่คะ เป็นมนุษย์มีความคิด มีความรู้สึกผิด ชอบชั่วดี คิดตริตรองเป็น และก็สามารถสรรหาคำวิจารณ์ดีๆมาใช้ได้ แต่นี่อะไร แต่งได้ชุ่ยมาก มันใช่คำที่ควรจะนำมาใช้ไหมคะ ประดิษฐ์ประดอยคำก่อนนำมาใช้ดีกว่าไหมคะ คนอื่นเขาจะมองอย่างไรที่คุณวิจารณ์คนอื่นเช่นนี้ อย่าใจแคบมากไปนะคะ ลองให้โอกาสคนอื่นเขาดูบ้าง เราไม่เคยบอกเลยนะคะว่านิยายเราสนุกต้องอ่าน ผู้บริโภคทุกคนมีสิทธิ์เลือก ต่อไปอย่าใช้คำพูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจใครอีกนะคะ ท่องไว้เราเป็นสัตว์ประเสิรฐ


ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ wookyu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ตกลงภีมจะเจอภูไหม หายไปนานแล้วอ่ะ คนแต่งเป้นไรป่าว มันขาดความต่อเนื่อง

ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน มาต่อให้จนจบแล้วค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด