ตอนที่ 4
กูว่า...กูชอบมึง
ผมนั่งทำงานเขียนๆลบๆจนเวลาล่วงไปยังบ่ายสองท้องก็เริ่มครวญครางประท้วงว่าเลยเวลามื้อเที่ยงมานานแล้ว ไม่สามารถทนได้ไหวอีกต่อไปแล้ว ต้องหาบางอย่างมาใส่ท้องให้น้ำย่อยทำงานได้แล้ว ดังนั้นผมจึงบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยขบและลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นเพื่อหาของประทังชีวิต
บนเตามีข้าวต้มเหลืออยู่ในหม้อนิดหน่อย แต่คาดว่าน่าจะไม่พอกิน
ในตู้เย็นก็มีแต่ของที่ไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้เลย จำพวกโยเกิร์ต นมจืด ผลไม้ตระกูลเบอรี่
มันจะเป็นตู้เย็นที่ดูมีประโยชน์เกินไปแล้ว ร่างกายผมต้องการโปรตีนจำพวกเนื้อสัตว์ ฮือ
เอาไงดีวะ จะเข้าไปปลุกอิเจ๊ตอนนี้ต้องโดนงับหัวตายแน่เลย ปลุกเจ้าหญิงตอนกำลังนิทราโทษคือตายสถานเดียว และผมยังไม่อยากตาย ทุกวันนี้กว่าจะเอาชีวิตรอดในดินแดนยมทูตได้ก็แย่ละ ผมจะไม่เดินเข้าไปในปากจระเข้เองแน่นอน
กินข้าวต้มประทังชีวิตไปก่อนก็ได้วะ
คิดได้ดังนั้นผมเลยจัดการเปิดเตาแก๊สอุ่นข้าวต้มเครื่องที่เหลือในหม้อ เอ ตอกไข่ใส่ลงไปด้วยดีกว่า แล้วก็จะแซ่บขนาดถ้าได้พริกป่นอีกสักนิด น้ำส้มสายชูกับน้ำตาลอีกสักหน่อย อืม อยู่ไหนน้า
“เอ๊ะ”
ขณะที่ผมกำลังเปิดตู้หาเครื่องปรุง รื้อของเข้าๆออกๆกระดาษแข็งๆก็ตกลงมา พอหยิบมาดูเท่านั้นแหละ...
โอวก็อด ชีวิตรอดแล้ว!!
มีใบสั่งอาหารอยู่ในห้องก็ไม่บอก!
ผมหยิบกระดาษขนาดเอสี่ที่เคลือบแข็งขึ้นมาก่อนกวาดสายตาอ่านบรรดาเมนูอาหารที่เรียงรายอยู่พร้อมราคา ‘ร้านตามบอก’ แหม มีบริการเดลิเวอรี่พร้อมราคาน่าคบหาแบบนี้มีหรือที่นายกรชวินจะพลาด!
ผมเดินพลางกระโดดอย่างอารมณ์ดีไปหยิบมือถือในห้องนั่งเล่นแล้วจัดการโทรไปตามเบอร์ที่ให้ไว้ แล้วทันทีที่เสียงสำเนียงอิสานของปลายสายดังขึ้น ผมก็จัดการสั่งรายการอาหารให้สมกับร้านตามบอก บอกพริกแกงได้พริกเผา สั่งกระเพราได้ฉู่ฉี่ ง่อววว
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องที่อยู่จัดส่งเพราะเพียงแค่บอกว่าส่งห้องเจ๊พิชชี่คนสวย คุณป้าก็จำคอนโดได้ทันที ฮู่วเร่! คราวนี้ก็นอนตีพุงรอกันไป อิอิ
ผมนอนตีป้อมรอได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังลั่นห้อง
“ครับ?”
“มีคนมาส่งอาหาร ให้ขึ้นไปเลยมั้ยคะ”
“ขึ้นมาเลยครับ”
ผมรับคำก่อนที่จะวางหูลง เดินย่องๆไปหยิบกระเป๋าสีน้ำตาลแบรนด์ไฮสตรีทที่วางอยู่โต๊ะข้างหัวเตียงในห้องนอน ก่อนควักแบงค์สีม่วงออกมาหนึ่งใบ และค่อยๆปิดเบาๆและวางไว้ที่เดิม
ก็ไม่ได้สั่งมากินคนเดียวเนอะ สั่งมาเผื่อคนที่หลับอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ถือว่าขโมยเนอะ แชร์ๆกัน ผมเป็นคนออกแรงสั่ง อิเจ๊เป็นคนออกตังก็แล้วกัน แฟร์ๆ ครึ
ปิ๊งป่อง
เสียงสวรรค์ พี่มารอรับออเจ้าแล้วจ้า
“มาแล้วค้าบบบ”
แอ๊ด
“อาหารที่สั่งมาสะ...อ้าว”
“...!!”
“ไหนว่าอยู่บ้านไง”
“อะไอ้แฟ้ม”
ชิบหายแล้ว! ช่วยผมหาหน่อย ไม่ใช่หาชิบนะ ไม่ได้เล่นมุก หมายถึงหาที่ซ่อนเนี่ย ขอวาบเลยได้มั้ย ฮือออ
ฟึ่บ
ปัง
ก่อนสมองจะประมวลผลหาข้อแก้ตัวอะไรได้ สัญชาตญาณก็สั่งให้เด้งตัวออกมาจากห้องและปิดประตูเพื่อไม่ให้ไอ้สายตาที่สาดส่องเข้าไปด้านในมองเห็นอะไร
“เอ่อ...”
ผมยืนเก้ๆกังๆอย่างไม่รู้จะเอ่ยทักหรืออธิบายอย่างไร มือไม้ก็ไม่รู้จะต้องจัดวางตรงไหนได้แต่ยกขึ้นๆลงๆ อย่ามามองกูด้วยสายตาจับผิดแบบนั้นสิ สมองกำลังประมวลผล มันไม่สั่งงาน อย่ากดดันกู T^T
“ทั้งหมด 259 บาท”
“หะหา?” อยู่ๆก็โพล่งขึ้น คนที่กำลังเค้นสมองเพื่อตอบคำก็ได้แต่อ้าปากเหวอทำตาปริบๆอย่างตามไม่ทัน แต่พอเห็นถุงอาหารที่ยื่นมาก็เริ่มเข้าใจ “อ่อ”
ผมยื่นมือไปรับพร้อมส่งเงินให้
“ไม่ทอนนะ ทิป”
นั่นแบงค์ห้าร้อยนะโว้ยยยยย
เป็นเวลาปกติคงไม่ยอม แต่นี่ต้องเอาตังทอนสองร่อยกว่าบาทปิดปากมันสินะ T^T
“ทำงานได้สองวันก็เจอของดี หึ อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะมึง”
“ระรู้อะไร”
“ก็นี่ห้องใครล่ะ”
“อะเอ่อ...”
มึงรู้แล้วเร้อออออออออ
“มึงอย่าบอกใครนะ กูขอ T^T” ผมกระโจนไปกอดแขนมันไว้ ส่งสายตาอ้อนวอนให้ไอ้เพื่อนสนิท นี่ถ้าเป็นไอ้การ์ดจะไม่หนักใจเท่านี้เลย
แต่นี่เป็นไอ้แฟ้มปากรั่ว แฟ้มรู้สามโลกรู้ มนุษย์ต่างดาว นักอวกาศที่ไปสำรวจดาวอังคารยังรู้เลย ฮือ
“หึๆไม่ได้กลับบ้านสินะมึงอะ” มันเอาฝ่ามือยันศีรษะผมออกจากการถูไถต้นแขนมันพลางมองด้วยสายตารู้ทัน เออ กูพลาด “แล้วที่ป่วยนี่...”
สายตาเจ้าเล่ห์กวาดมองไปทั่วร่างกายพลางยิ้มเหยียด “ไวไฟนะมึงอะ ไหนว่ารุก”
นี่แฟ้มเพื่อนรักหรือเจนญาณทิพย์ จะมองทะลุปรุโปร่งเกินไปแล้ว หมดกันตาร์ฉลามบุกในตำนาน T^T
“กะกู...คือ...”
คิดสิ เค้นสิ แก้ตัวสิ เถียงมันไปซี้!!
“แล้วโกหกพวกกูสองคนด้วยนะ” มันยังจี้ต่อ “แหมกลับบ้าน แหมป่วย แหมไข้ป่าแดก แหมตอแหล”
“ฮือออ อย่าโกรธกูเลยน้า กูขอโทษ T^T” กูต้องคุกเข่าสำนึกผิดมั้ยอะ ไม่อยากให้มันโกรธเลย แล้วดูมันดิ หน้านิ่งได้อีก กูจะร้องแล้วนะ “ขอโทษจริงๆนะเว้ย คะคือๆๆๆคือกู...เอ่อ...อาย”
ในที่สุดผมก็ยอมรับออกไป มาถึงขั้นนี้ปิดบังอะไรคงไม่ได้แล้ว ท่าทางมันก็ดูไม่ตกใจอะไรมากที่ผมกับ...เอ่อ...อิเจ๊บั่มบั๊มกัน คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็เพื่อนสนิทละวะ คงไม่เอาไปโพทนาให้ขายขี้หน้ากัน
แต่อย่าตีหน้านิ่งใส่กูงี้สิ ใจคอไม่ดี
ผมจะร้องแล้วจริงๆนะ
ผมแคร์เพื่อนนะเว้ย แต่ก็อยากให้มันเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดินฟ้าอากาศที่จะเล่าให้ฟังกันได้ง่ายๆ มันลำบากใจ ฮือ
“มะมึง...T^T”
“เออ กูเข้าใจ ก็ลุ้นๆอยู่ เดี๋ยวไปส่งอาหารต่อก่อนค่อยมาสำเร็จโทษที่มึงโกหก” มันยีผมจนฟู ผลักใบหน้าออกแล้วชี้คาดโทษ ก่อนก้มลงไปหยิบกระเป๋าเก็บความร้อนใบใหญ่ที่ใส่อาหารไว้
ผมเดินหน้าหงอยตามหลังไปส่งมันที่ลิฟท์
แต่ขณะที่มันก้าวเข้าไปและประตูลิฟท์กำลังจะปิดลงผมก็เข้าใจท่าทีที่ดูไม่ตกใจของมันได้อย่างชัดเจน
“ดีใจกับมึงและพี่เต้ด้วยนะ ลงเอยกันสักที หึ”“...!!”
หะหือ
อะไรนะ!
ผมกับพี่เต้!?
ว็อท!?
นั่นล่ะ สุดท้ายก็เดินกลับห้องไปแบบมึนๆ คืออะไร กูงงไปหมดแล้ว พี่เต้เกี่ยวอะไรด้วย หรือยังไง แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปนะ ปล่อยให้ประตูลิฟท์ปิดลงและเลขชั้นเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ
ตอนนี้กรชวินต้องการเวลาตั้งสติและคิดแป๊บ
แอ๊ด
“หิว”
นั่นไง อยู่เงียบๆได้ที่ไหนล่ะ เปิดประตูเข้ามาก็เจอผีหน้าขาวนั่งโพกหัวในชุดคลุมอาบน้ำสีฟ้านั่งหน้าหงิกอยู่บนโซฟาละ
ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ชูถุงอาหารในมือขึ้นให้ดูแล้วเดินลอยๆเข้าไปในครัว
แต่ยังไม่ทันได้จัดการเทลงจาน อีกฝ่ายก็เดินตามหลังมาติดๆ
“เป็นไร”
เฮือก
จะยื่นหนังหน้ามาถามก็ไปล้างเอาไอ้โคลนขาวๆบนหน้าออกก่อนไหม เหมือนจะเข้ามาสิงกันมากกว่าอะ มาร์กได้ทุกวันแล้วผมก็ตกใจได้ทุกวันด้วย ยังกะผีจูออน
วันดีคืนดีตื่นมาหัวใจจะวายคิดว่าใครขโมยลูกนิมิตที่วัดมา แม่งเหมือนเอาทองคำเปลวมาแปะหน้า ไม่ชินโว้ยยยย
“เปล่า”
“ทำหน้าเหมือนโดนดูดวิญญาณ โดนผีเข้าสิงป่ะวะ เฮ้! นี่ใคร มาเข้าสิงอิกลูต้าระวังมันจับย่อยไม่ได้ไปผุดไปเกิดนะ”
“อย่ากวนตีนได้ป่ะ?”
กำลังใช้สมองเว้ย อย่ามาทำเป็นอารมณ์ดีแหย่กันตอนนี้ได้ป่ะ ใช่สิ ได้นอนหลับเต็มตื่นแล้วนี่ เมื่อเช้าแทบจะแดกหัวกัน
แล้วเหมือนผมจะแหย่เท้าหาเสี้ยน เพราะอีกฝ่ายตอนนี้หยุดหยอกผมแล้วแต่หรี่ตามองแทน
พลั่ก
“ปากดีนะ” ผลักหัวผมจนเกือบโขลกข้างฝาตู้เย็น แล้วก็สะบัดตูดเดินเข้าห้องนอนไป
แง้ เมื่อกี้เห็นนะว่าจะยกเท้าถีบ ต้องขอบใจมั้ยที่ยังยั้งเท้าแล้วใช้มือแทน ดูมีมารยาทจัง T^T
พอผมจัดอาหารลงจานเสร็จก็ยกออกไปวางบนโต๊ะกระจกตัวเล็กในห้องนั่งเล่น ยังไม่ทันจะจุดธูปเรียกนางมารร่วมห้องก็เดินเฉิดฉายออกมาในชุดกางเกงขาสั้นสีชมพูพาสเทลโชว์เรียวขากับเสื้อกล้ามสีขาวโชว์ผิวเนียนสวยกับผมยาวตรงพริ้วสลวย
มันจะดูออร่าจับอะไรขนาดนั้นวะ
“ขอน้ำส้มคั้นสดด้วยนะ”
ฮึ่ย นางมารก็คือนางมารล่ะวะ ไม่น่าไปเผลอเชยชม
ผมเดินกระแทกเท้าเข้าไปในครัวเทน้ำส้มคั้นเย็นๆในเหยือกลงในแก้วใส ก่อนนำมาวางให้กับอีกฝ่ายแล้วนั่งลงบนพื้นพรมเพื่อกินข้าวบ้าง
แล้วพอได้พริกแกงเครื่องในไก่ไข่ดาวกรอบๆกับต้มจืดเต้าหู้หมูสับก็เหมือนความตึงเครียดในสมองจะผ่อนเบาลง สมองโล่งขึ้นเยอะเลย ถามว่ายังมีความกังวลเรื่องโป๊ะแตกอยู่มั้ยก็กังวล แต่มันก็โล่งขึ้นเมื่อปริมาณอาหารเต็มกระเพาะ
สรุปที่หงุดหงิดเพราะกูหิวสินะ
“เอิ๊ก”
“ทุเรศ”
“โทษๆฮ่าๆ”
ไม่ได้ตั้งใจนะ มันกลั้นไม่ได้เลยเผลอเรอออกมานิดนึง อย่าทำหน้ารังเกียจน้องขนาดนั้น ครึ
“หึ อิ่มแล้วก็อารมณ์ดี ที่เมื่อกี้ทำหน้าเป็นตูดหมาแก่ ตกลงมีเรื่องไร ถ้ายังยึกยักกูจะไม่ถามแล้วนะ จะจับโยนลงระเบียงไปเลย”
นี่คนนะ คนหล่อมากด้วย ทำไมพูดง่ายเหมือนปล่อยแมลงปอแบบนั้นอะ
“ก็...”
ผมตัดสินใจเล่าให้อิเจ๊ฟัง อย่างน้อยก็ช่วยกันคิดช่วยกันตัดสินใจ ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันแจวช่วยกันพาย อย่างน้อยอิเจ๊มันก็ผ่านโลกมามากกว่าผมตั้งสามปี เผื่อจะคิดหาทางออกอะไรได้
“สรุปคือเพื่อนมึงมาเป็นคนส่งอาหาร มาโป๊ะเจอมึง เลยคิดว่ามึงหอบผ้าหอบผ่อนมาเป็นผัวเมียให้ไอ้เต้ไรนั่น?”
ผัวเมีย....น่าเกลียดชิบ
“อือ ทำไมเจ๊ไม่บอกผมวะว่าไอ้แฟ้มมันเป็นคนส่งอาหารอะ”
“เอ้า นั่นมันร้านเพื่อนกู ทุกทีเพื่อนกูไม่ก็น้องมันมาส่ง มึงอะเป็นเพื่อนสนิทกันภาษาอะไรถึงไม่รู้ว่าเพื่อนทำงานที่ไหน”
“ก็ปกติมันทำงานเสิร์ฟที่ร้านกาแฟ เป็นพนักงานร้านถ่ายเอกสาร ล้างจานร้านข้าวต้ม ส่งพิซซ่า คอลเซนเตอร์ เล่นดนตรีตอนกลางคืน...”
“พอๆกูพอจะรู้ละ”
นี่ยังไม่ถึงครึ่งเลยนะของงานที่ไอ้แฟ้มทำ
“แล้วเอาไงดีอะเจ๊”
“ก็อยากเป็นเมียกูหรือไอ้เต้ไรนั่นล่ะ แต่เอ๊ะ ผู้ชายสูงๆตี๋ๆดีกรีเดือนแพทย์ปีที่แล้วใช่มั้ย”
“ก็...อืม”
“อะแฮ่ม โอเคเอาใหม่ อยากเป็นเมียกูหรือน้องเต้ล่ะ”
แหม รู้ว่าหล่อก็ดัดเสียงหวานละมุนเชียวนะอิเจ๊ เก็บนอ! เขตปลอดสัตว์สงวน!
“ก็แล้วทำไมมันถึงเข้าใจว่าผมกับพี่เต้...”
“ก็น้องเต้เขาพักอยู่ที่นี่ ชั้น 16”
หะหา...
ซวยแล้วไง ดีนะเดี้ยงอยู่ ไม่ไปเดินเพ่นพ่านให้ใครเห็นมาก
“แล้วเอาไงดีวะเจ๊” ถ้าไอ้แฟ้มมันไปแซวพี่เต้ความต้องแตกแน่
“อยากเป็นของใครก็บอกเพื่อนไปแบบนั้น พี่เต้อะไรนั่นก็ดูชอบมึงนิไม่น่ายากอะไร นอกเสียจากว่ามึงอยากเป็นเมียกูมากกว่า”
เมีย...
อีกแล้ว...
ทำไมอิเจ๊พูดง่ายจังวะ ให้เดินไปบอกไงอะ ‘เฮ้ มึงเข้าใจผิดนะ กูอะไม่ได้เป็นเมียพี่เต้ แต่เป็นของอิเจ๊พิชชี่ปีสี่ตุ๊ดสวยๆที่เคยมาจับหรรมมึงอะจำได้มั้ย’ แบบนี้ก็ได้หรอ T^T
“เจ๊...ขอถามไรหน่อยดิ”
ผมมีเรื่องคาใจยันหัวใจยิบๆ พออีกคนเลิกคิ้วประมาณว่ามีอะไรผมก็ค่อยๆถามออกมา
“คือ...มึงอะเจ๊ ชอบพูดว่าเราเอ่อ...เป็นผัวๆเมียๆอะ ไม่รู้สึกกระดากไรเลยหรอวะ...”
เนี่ย มันแปลกๆอะ คืออิเจ๊มันก็ตุ๊ดป่ะวะ คือถึงแม้จะยังไม่ได้ทำนม ตัดงวงและพวงไข่ แต่ดูรวมๆแล้วมันก็คือตุ๊ดสวยๆคนนึงเลยนะเว้ย ตุ๊ดที่มีจริตจะก้าน ตุ๊ดที่เห็นผู้ชายหล่อๆแล้วนอโผล่เหมือนที่พูดถึงไอ้พี่เต้เมื่อกี้อะ
แต่ยังไงอะ มันกลับพูดว่าเราเป็นผัวเมียกันได้แบบหน้าตาเฉย
หรือมันอยากได้ผมเป็นผัววะ ลำบากใจจริงๆเกิดมาหล่อเนี่ย ก็รู้ตัวอะนะว่ามาดแมนแฮนด์ซัมแค่ไหน แต่เหตุการณ์ในคืนนั้นมันก็ตามหลอกหลอนว่ะ แล้วไหนจะขนาดตัวที่เอิ่ม...ผมไม่อยากแหงนหน้าคุยกับเมียตัวเอง แล้วก็ไม่อยากโดนเมียอุ้มไปไหนมาไหนด้วย
แต่เมื่อกี้อิเจ๊มันพูดว่า...เมียกู
“กูก็แค่พูดเรื่องจริงอะ ไม่เห็นต้องคิดไร”
“ไม่เอาดิเจ๊”
“เอาไปแล้วไง”
“ใช่เรื่องล้อเล่นหรอวะ”
“ที่ใส่เข้าไปคืนนั้นไม่ใช่ท่อรถมอเตอร์ไซค์นะเผื่อเข้าใจผิด”
“อิเจ๊พิช!!”
นอกจากปากจะจัดกว่าเครื่องกินเหรียญแล้ว ก็ยังสัปดนได้อีกนะเจ๊ อ่อนใจว่ะ แล้วใครเอาฮีทกันมาเป่าหู ร้อนโว้ยยยย
“มึงจะคิดไรมากอะ จะรูปลักษณ์เป็นไงมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ” อิเจ๊เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง สายตาที่มองตาทำให้ผมรู้สึกวูบวาบนั่งไม่ติดที่ “แค่เรารู้สึกดีๆให้กันมันก็พอป่าวอะ”
“เฮ้ยเจ๊ เรามันแค่ผิดพลาดเว้ย”
“มึงคิดงั้นหรอ”
“เออดิ เมาทั้งคู่ป่ะ หรือเจ๊ตั้งใจ...”
“โอ๊ย!! อย่ามโน! คืนนั้นถ้าไม่เมาเอาเงินมาฟาดหัวล้านนึงก็ไม่ได้เห็นขาอ่อนกูหรอก!”
“ถ้าสิบล้านอะ”
“ร่างสัญญามาเลย กันเบี้ยว”
ขอยาดกรอกตาสามที
“ดอกขจรสมชื่อกลุ่มจริงๆ”
“ฮ่าๆ ที่กูหมายถึงคือหลังจากนั้นต่างหาก”
กึก
งงอะ เจ๊ต้องการสื่ออะไรวะ หลังจากนั้นคืออะไร หลังจากคืนนั้นก็เจ็บไง เจ็บโคตรๆ ขี้ลำบากไปหลายวัน ต้องให้อิเจ๊มาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำป้อนยา เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ทายาเช้าเย็น หนักๆเข้าต้องอุ้มไปขี้ในห้องน้ำเลยก็มี เรียกได้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ไปหลายวัน และถึงแม้จะยังพอเดินได้อิเจ๊ก็ยังเป็นโรคหวาดระแวงกลัวแผลในที่ลับผมอักเสบ ยังจิกหัวด่าทุกครั้งที่เคลื่อนตัว เลยต้องยอมให้อิเจ๊มันอุ้มไปมา
บางทีก็น่าเบื่อเนอะนอนอยู่แต่ในห้องนอน อีกฝ่ายก็ด่าไปงั้นแหละสุดท้ายก็ยอมใจอ่อนพาออกมานั่งเล่นดูทีวีที่โซฟาบ้าง นั่งรับลมริมระเบียงบ้าง
แต่พออาการผมดีขึ้นก็อย่างที่เห็นอะ โดนใช้โดนกดขี่เยี่ยงทาส เดินได้หน่อยก็โดนใช้ช่วยงานใช้ทำกับข้าว ทำงานบ้าน นี่ยังไม่รวม...
เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ
มันแปลกๆป่ะวะ
มะมันเหมือนกับว่าเราสองคนเป็น เอ่อ เป็น...
“ก็แค่...เอ่อ...รับผิดชอบปะ ตะต่อไปก็ใช้ชีวิตของใครของมันตามที่ตกลงกันไว้ไง”
อย่างมองกันด้วยสายตากดดันแบบนี้ดิ กูไม่มีทางคิดอะไรกับเจ๊หรอก แล้วเจ๊ก็ไม่ต้องมารู้สึกอะไรกับกูด้วย มันผิดที่ผิดทางมาตั้งแต่เริ่ม…
...แล้วมันจะเดินต่อไปได้ดียังไงวะ
“งั้นลองมั้ย”
“ละลองอะไร”
“ก็ลองไง ว่าตอนนี้น่ะ...”
จุ๊บ
“...!”
ไวกว่าความคิดริมฝีปากบางสีชมพูก็ฉกวูบลงมา ใบหน้าเนียนใสของอีกฝ่ายที่โคลสอัพเข้ามาใกล้จนมองเห็นเป็นภาพเบลอให้ผมเบิกตากว้างและเสี้ยววินาทีต่อมาก็ยกมือขึ้นเพื่อดันอีกฝ่ายออก แต่ก็ถูกรั้งข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียว และมืออีกข้างได้ยึดต้นคอผมไว้เพื่อไม่ให้หันใบหน้าหนี
รสชาติสตอเบอรี่หวานๆของลิปกลอสบนริมฝีปากนุ่มหยุ่นของอีกฝ่ายทำให้สติผมเริ่มเลือนลาง สมองขาวโพลนเมื่อปลายลิ้นนิ่มค่อยๆไล้ลงบนริมฝีปากของผมอย่างหยอกล้อและล่อลวงให้ผมเผยอริมฝีปากให้ความอุ่นนุ่มนั้นเข้ามาซุกซนไปตามแนวฟัน
ก่อนแทรกเข้ามาเกี่ยวพันเกลียวลิ้นให้ร่างกายเกร็งไปทุกสัดส่วนสวนทางกับหัวใจกลับเต้นระรัวกับความวาบหวามที่กำลังได้ลิ้มลอง
สมองผมตีรวนอย่างสับสนและคัดค้านสิ่งที่เป็น
แต่...
ยิ่งอีกฝ่ายละเลียดและอ่อนโยน ร่างกายก็โอนอ่อนคล้อยตาม...จังหวะการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นจังหวะกลองหนักๆที่อื้ออึงอยู่ในหัว
คิดอะไรไม่ออกเลย...
ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...ที่ลิ้นและริมฝีปากตอบโต้สัมผัสของอีกฝ่าย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน...กับการบดเบียดแลกเปลี่ยนชิมรสชาติของน้ำบ่อน้อยของกันและกัน
และไม่รู้ว่าเพราะอะไร...ผมถึงรู้สึกดี อยากได้อีก อยากจูบต่อไปเรื่อยๆ
“กูว่า...กูชอบมึง”
#เมียตุ๊ด
ง่อววววว ฟ้าผ่า ฟ้าผ่าจ้าาาา >O<