-16-
“งานเลี้ยงในครั้งนี้ ลูกต้องเข้าร่วมด้วย”
“เหตุผลล่ะ”
“งานวันเกิดท่านทูต ท่านเกริ่นเองว่าอยากเจอลูก”
เกรย์มองหน้ามารดาที่เป็นคนพูดโดยไม่ได้ตอบอะไรเพิ่มเติ่ม ก่อนจะเบนสายตาไปหาบิดาที่นั่งจิบน้ำเงียบๆ ไม่ปฏิเสธหรือตอบรับ เห็นท่าทีเหล่านั้นแล้วเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าที่แม่พูดคงเป็นเรื่องจริง แต่มีหรือที่จะอ่านเจตนาของฝั่งคนชวนไม่ออก คงจะเห็นด้วยที่อยากให้ไปเจอกับลูกสาวของฝ่ายนั้นถึงไม่ยอมปฏิเสธมากกว่า
ทั้งที่รู้ว่าเขาพาลูกแกะมาที่นี่ด้วยแท้ๆ...
“เกรย์...” เสียงของคนที่ขลุกอยู่ในครัวตั้งแต่เช้าดังขึ้นอย่างร่าเริง พร้อมกันกับที่เจ้าตัวเดินถือจานขนมเข้ามาด้านใน ประมุขดูจะตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อม แต่เมื่อเห็นคนสำคัญยิ้มและพยักหน้าให้เข้าไปหา เขาก็รีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว “อันนี้คุ้กกี้กาแฟไม่หวานครับ แต่ผมไม่ได้ทำเองนะ เห็นพี่เมดทำอยู่เลยเข้าไปยืนดูด้วยเฉยๆ เรื่องขนมนี่ไม่ไหวจริงๆ”
ประมุขหันไปอธิบายให้พ่อแม่เกรย์ฟังแล้วเลื่อนจานไปให้ ท่านผู้นำบ้านหน้านิ่งไม่แสดงอาการใดๆ แต่ก็ยังหยิบตามมารยาทไปทานหนึ่งชิ้น ต่างจากคุณผู้หญิงที่นั่งเชิดไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หากยังไม่ทันที่ลูกแกะน้อยจะรู้สึกตัวว่าถูกเมิน คนที่นั่งอยู่ข้างกายก็โน้มตัวไปหยิบจานคุ้กกี้มาถือไว้และเริ่มลงมือทานด้วยตัวเอง
“กินด้วยกันสิ” เกรย์ส่งคุ้กกี้ชิ้นหนึ่งให้ถึงปาก ซึ่งแน่นอนว่าคนว่าง่ายย่อมอ้าปากรับโดยไม่เสียเวลาคิด
“อร่อย”
เมื่อเห็นคนของตัวเองยิ้มได้ เกรย์ก็ป้อนให้ไม่ขาดช่วง สายตาเบนไปมองมารดาที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความไม่พอใจ คล้ายจะมีประกายไฟกำเนิดขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ โชคดีที่พ่อของเขากระแอมเบาๆ เพื่อดึงความสนใจของทุกคนกลับไปเสียก่อน
“ชวนไปด้วยกันสิ”
“คุณคะ!”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ เถอะ โตๆ กันหมดแล้ว” พอถูกเตือนด้วยน้ำเสียงที่ดูดุดันขึ้นหนึ่งระดับ คาร่าก็ยอมถอนหายใจแล้วนั่งขมวดคิ้วนิ่งๆ โดยไม่ขัดอะไรอีก เห็นดังนั้นเอริคจึงส่ายหน้าหน่าย หันกลับไปหาลูกชายอีกครั้ง “ถ้าอยากทำอะไรให้มันชัดเจน ก็ชวนเขาไปด้วยกัน พิสูจน์ตัวเองให้พ่อกับแม่แล้วก็คนอื่นๆ เห็นว่าเขาสมควรจะยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ”
“พูดเรื่องอะไรกันเหรอครับ”
เกรย์มองหน้าคนเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ก่อนจะหันไปมองหน้าพ่อ พยายามค้นหาความจริงเบื้องหลังสายตาอ่านยากที่เหมือนกันกับเขาแทบทุกอย่าง กระทั่งแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคิดแบบที่พูดและไม่มีอะไรแอบแฝง จึงหันกลับมาพูดกับลูกแกะที่นั่งรอฟังคำตอบอีกครั้ง
“อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงวันเกิดของท่านทูตเพื่อนพ่อ ฉันเองก็ต้องไปเหมือนกัน ลูกแกะอยากไปด้วยไหม” เกรย์ถามอย่างไม่กดดัน คล้ายจะบอกว่าหากไม่อยากไปเขาก็จะไม่บังคับ ทว่าลูกแกะตัวน้อยที่ได้ฟังคำพูดของพ่อเขาไปแล้วมีหรือจะยอมถอยง่ายๆ แม้จะยังไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายที่พ่อแม่อยากให้เกรย์ไปงานนี้คืออะไร แต่แค่ได้ยินคำว่าพิสูจน์ตัวเอง เจ้าตัวก็ไม่แสดงท่าทีลังเลใดๆ ออกมาแล้ว
“ไปครับ” ประมุขพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ หลังจากนั้นบรรยากาศรอบด้านก็เงียบลงด้วยไม่มีใครพูดอะไรออกมา คาร่าไม่ได้ขัดเมื่อคนที่ไม่ชอบร้องบอกจะไปด้วย เช่นเดียวกันกับคนที่หยิบยกโอกาสให้ ซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงมีเจตนาดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะตัวเองก็รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้พูดภาษาฝรั่งเศสไม่เป็น แต่กลับต้องไปพบเจอกับแขกใหญ่โตมากมายในงาน
“ไม่ต้องห่วง”
ความมั่นใจที่มีมากอยู่แล้วทวีคูณขึ้นหลายส่วนเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของคนสำคัญที่ส่งรอยยิ้มและแววตาอบอุ่นมาให้ มาถึงตอนนี้แม้ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ประมุขก็มั่นใจว่าเกรย์จะอยู่เคียงข้าง ไม่หนีไปไหนแน่นอน
“คุณผู้หญิงครับ ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากถามให้แน่ใจ... คุณท่านด้วย”
“ว่ามาสิ” เอริคเป็นผู้ตอบแทน เพราะรู้ว่าภรรยาคงไม่ยอมตอบคำถามง่ายๆ
“ผมอยากทราบว่าทำไมพวกคุณถึงไม่ชอบผม ทำไมถึงไม่อยากให้ผมยุ่งกับเกรย์ และทำไมต้องกีดกันกันมากขนาดนั้น ช่วยบอกกันตรงๆ ได้ไหม ผมจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อ”
ถามตรงๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ...
เกรย์เลิกคิ้วมองใบหน้าของลูกแกะน้อยที่ดูจริงจังเอามากๆ แล้วก็ลอบยิ้มขำ ลองเจอคนซื่อถามตรงๆ แบบนี้เข้าไป ต่อให้เป็นพ่อหรือแม่ของเขาก็ต้องมีเหวอกันบ้าง ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาภายนอกให้เห็นจะๆ เพราะเก็บอารมณ์เก่งกันทั้งบ้าน หากคนที่อยู่ด้วยกันมานานย่อมมองเห็นแววตาที่ดูวูบไหวด้วยความประหลาดใจนั่นได้อย่างชัดเจน
“ฉันไม่ได้ดีใจที่ลูกชายรักกับเธอ... แต่ก็ไม่ได้คิดกีดกันอะไร ตราบเท่าที่เธอไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ และมีความสามารถเหมาะสมที่จะยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ” เอริคเป็นผู้ที่พูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ทุกสิ่งล้วนออกมาจากใจจริง
“ผมเข้าใจครับ” ประมุขพยักหน้ารับ มือทั้งสองข้างกอบกุมกันไว้แน่น ขณะหันไปมองคุณผู้หญิงของบ้านที่ยังนั่งเชิดไม่สนใจอะไร แต่เพราะสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการรอฟังคำตอบ ประมุขจึงจ้องค้างอยู่อย่างนั้นจนคล้ายเป็นการกดดัน กระทั่งผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจและช่ำชองในเรื่องของการเจรจาต่างๆ ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
เธอไม่ชอบแววตาใสซื่อนั่นเลยจริงๆ...
“ครอบครัวของฉันไม่เหมือนครอบครัวของเธอ” ในที่สุดคาร่าก็เริ่มพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนเคย “เราทุกคนต่างมีหน้ามีตาในสังคม เกรย์น่าจะเคยบอกแล้วว่าหากอยู่ที่นี่ แทบจะไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับเรา นั่นเป็นเพราะอำนาจและชื่อเสียงที่สั่งสมมาเนิ่นนาน และถึงสามีของฉันจะบอกว่าขอแค่เธอเหมาะสมก็พอ แต่คิดหรือว่าการที่เธอเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งจะคู่ควรใช้คำว่าเหมาะสมได้”
“…”
“ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเพศเดียวกัน แต่ยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรเกรย์ได้ มีแต่เขาที่ต้องคอยปกป้องดูแลเธอ แบบนั้นไม่ใช่ว่าเธอเข้ามาเพื่อทำให้ลูกชายของฉันเหนื่อยขึ้นหรือไง”
“ผม…”
“แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาดูแลเธอได้ เผลอๆ ต่อให้ต้องเหนื่อยกว่าเดิมอีกกี่เท่าก็คงบอกว่าไม่เป็นไร แต่เธอคิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะยินดีหรือไง แม้ฉันจะเป็นแม่ที่ไม่ค่อยได้พูดคุยดีๆ กับลูกนักก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจอะไรเลย”
ประมุขพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร่าเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา เขาเงียบและนิ่งไปนานจนคนที่นั่งอยู่ด้านข้างและพยายามไม่พูดอะไรแทรกเพราะถูกขอร้องทางสายตาเริ่มเป็นห่วง เกรย์กอบกุมมือลูกแกะน้อยเอาไว้ รั้งแขนอีกคนให้ลุกขึ้นยืนและจูงคนที่ยังขมวดคิ้วเหม่อลอยไม่เลิกให้ตามออกไปด้านนอก
“ไม่ว่ายังไง ผมก็ไม่มีวันยอมให้ลูกแกะหายไปแน่นอน” เขาพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพาคนสำคัญเดินออกไปโดยไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังอีกเลย
คาร่ามองตามแผ่นหลังของลูกชายที่โตไวมาแต่ไหนแต่ไรไปจนสุดสายตา มาถึงตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือไม่ที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นดูแลตัวเอง คิดและตัดสินใจอะไรได้ตั้งแต่เด็กๆ จนแทบไม่เคยต้องร้องขออะไรจากเธอเลย
“เด็กคนนั้นเหมือนคุณขึ้นทุกวันเลยนะคะ”
“หึ…” เอริคหัวเราะในลำคอโดยไม่ได้ตอบอะไร ในใจคิดว่าลูกชายเหมือนเขามากก็จริง แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะถ้าเขาคิดเหมือนกันกับเกรย์ ไม่ยอมแต่งงานหรือเลือกคนที่พ่อแม่เลือกให้ ทุกอย่างคงไม่ได้ออกมาในรูปแบบอย่างที่เป็นอยู่
อันที่จริงมันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน... ไม่รู้ว่าถ้าในเวลานั้น เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเขามีคนของตัวเองอยู่แล้ว การแต่งงานเพื่อชื่อเสียงและธุรกิจระหว่างเขากับคาร่าจะยังเกิดขึ้นหรือเปล่า
แต่สิ่งหนึ่งที่เอริคแน่ใจก็คือ...ลูกชายของเขาคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกคนผิดแน่นอน เหลือก็แต่ให้เจ้าตัวพิสูจน์ออกมาให้เห็นเท่านั้น
นับตั้งแต่เกรย์พาลูกแกะของเขาออกมานอกบ้าน อีกคนก็เอาแต่เหม่อลอย ทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาจนเขาไม่อยากกวน กระทั่งพาขึ้นมานั่งบนรถเย็นๆ โดยยังไม่เริ่มเดินทางไปไหนก็ยังนิ่งไม่ขยับ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เปิดหน้าต่างบอกวิคเตอร์และการ์ดคนอื่นให้เตรียมพร้อม อีกสิบห้านาทีจะออกไปข้างนอก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของคนคุ้นเคย
[มีอะไร]
“เดี๋ยวฉันจะพาลูกแกะไปหา”
[มุขมาที่นี่?]
“อืม” เกรย์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของลูกแกะน้อยแล้วตอบกลับเป็นภาษาฝรั่งเศส “เจอแม่พูดอะไรใส่นิดหน่อยเลยคิดมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าคิดอะไร นายช่วยดูหน่อยแล้วกัน ลูกแกะบ่นอยากเจอมาหลายวันแล้ว”
[พาไปเจอพ่อแม่แล้วเหรอ]
“หลายวันแล้ว”
[ถ้าให้เดาคงเรื่องอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะสมสินะ] เสียงเรียบเย็นจากปลายสายเอ่ยอย่างรู้เท่าทัน ได้ฟังดังนั้นมุมปากของเกรย์ก็ยกขึ้นเล็กน้อย
“สมแล้วที่อยู่ในวงการเดียวกันมานาน นายคงรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกผู้ใหญ่คิดยังไง แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่มีทางปล่อยลูกแกะไปแน่นอน จริงๆ จะให้ปลอบเองก็ทำได้ แค่คิดว่าถ้าได้เจอพี่ชายคนโตเขาน่าจะดีใจมากกว่าก็เท่านั้น” เจ้าของใบหน้าคมคายผู้มีรอยยิ้มขี้เล่นติดอยู่บนใบหน้าเสมอเบนสายตาออกไปมองนอกรถ เพื่อไม่ให้คนด้านข้างที่เริ่มรู้สึกตัวและหันมามองด้วยความสงสัยเห็นสีหน้าเย็นชาของเขายามพูดประโยคถัดไป “เพราะงั้นอย่าได้คิดพูดให้ลูกแกะไปจากฉันเด็ดขาด...”
เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าลูกแกะตัวน้อยรักครอบครัวมากขนาดไหน แม้เขาจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมไปจากกันง่ายๆ พิสูจน์เอาจากหลายเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าลูกแกะจะไม่คิดจากไป หากได้รับคำแนะนำผิดๆ จากพี่ชายในช่วงเวลาที่ยังอ่อนแอและคิดมากอยู่
ถ้าเป็นแบบที่พูดจริงๆ ต่อให้เป็นเพื่อนเขาก็ไม่เอาไว้แน่
[หึหึ... ความมั่นใจหายไปไหนหมด ปกติเกรย์ไม่ใช่คนขี้กลัวแบบนี้ไม่ใช่หรือไง]
“ก็คงเหมือนกับนายตอนที่มีคนสำคัญเป็นของตัวเอง” เกรย์สวนกลับทันควันพร้อมรอยยิ้ม มือยกขึ้นลูบหัวลูกแกะน้อยที่ยื่นหน้ามาหาเพราะเขาไม่ยอมหันกลับไปมองอย่างเอ็นดู “เราก็เป็นเพื่อนกันมานาน... นายคงไม่มานึกอยากรู้เอาตอนนี้ว่าฉันทำอะไรได้บ้างใช่ไหม คิง”
[…]
“อย่าลืมว่าตอนนี้นายไม่เหลืออำนาจอะไรแล้ว เพราะงั้นคงไม่อยากเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนเป็นอย่างอื่นใช่ไหม” ประกายเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาสีฟ้าคู่สวยไปวูบหนึ่ง หากกลับทำเอาคนที่จ้องมองอยู่สะดุ้งจนตัวโยน แต่แค่พักเดียวก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่นแทน
“เกรย์... คุณคุยกับพี่จักรเหรอ ห้ามขู่พี่จักรนะ”
“ฉันจะดีใจหรือเสียใจที่นายเริ่มเข้าใจภาษาฝรั่งเศสแล้วดีนะ” เกรย์รีบเก็บอารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดลงไปและบ่นงึมงำใส่ลูกแกะที่เริ่มกลับมายิ้มได้เป็นภาษาอังกฤษ
“ต้องดีใจสิ”
[จะมาตอนไหน]
พอได้ยินเสียงคนกลางเล็ดลอดเข้ามาในสาย อารมณ์ของชายหนุ่มสองคนก็กลับมาคงที่อีกครั้ง คนที่เกือบจะตีกันกลับมาเป็นเพื่อนสนิทเช่นเคย โดยที่ไม่มีใครคิดยกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ขึ้นมาพูดถึงอีกเลย
“สี่สิบนาทีน่าจะถึง”
[อืม]
หลังจากสายถูกตัดไปแล้ว เกรย์ก็เปิดม่านโบกมือออกคำสั่งให้การ์ดทั้งหลายเข้าประจำที่เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย วิคเตอร์ที่ปกติจะนั่งอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังเวลาประมุขไปไหนมาไหนเปิดประตูขึ้นไปนั่งด้านหน้าเคียงคู่คนขับ กลายเป็นการ์ดประจำตัวของประมุขที่ต้องตามติดกันไปทุกที่โดยสมบูรณ์
“คุณคุยอะไรกับพี่เหรอ แล้วนี่เราจะไปไหนกันครับ”
“ไปทำให้ลูกแกะอารมณ์ดีไง”
“ผม…”
“ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องพูด” เกรย์ยกมือปิดปากคนที่ทำท่าจะเล่าทุกอย่างออกมาให้ฟังอย่างง่ายดายเอาไว้แล้วส่งยิ้มไปให้ “เอาไว้ไปคุยกับตัวช่วยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่ต้องรีบหรอก”
“ตัวช่วย... คุณหมายถึงพี่เหรอ” ลูกแกะน้อยทำตาโต ท่าทางตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอพี่ชายเอามากๆ จนเขาอดคิดในใจไม่ได้ว่าถ้าลูกแกะมีหูเหมือนสัตว์อื่นๆ มันคงจะกระดุกกระดิกไปมาอย่างร่าเริงแน่ๆ
“ฉันบอกแล้วว่าจะพาไปหา ลูกแกะคิดว่าฉันจะผิดสัญญาเหรอ”
“ไม่อยู่แล้ว”
“ใช่แล้ว... ฉันไม่มีทางผิดสัญญา และไม่มีทางผิดคำพูดด้วย” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองคนสำคัญอย่างมีความหมาย แม้ใจจริงไม่ค่อยอยากให้ลูกแกะไปเจอพี่ชาย เพราะกลัวจะติดฝ่ายนั้นจนลืมสนใจกัน แต่เขาก็ยังดีใจที่อย่างน้อยชื่อของเพื่อนก็ทำให้อีกคนลืมเรื่องเครียดๆ ไปได้ชั่วคราว
ใช้เวลาเดินทางสามสิบกว่านาที รถตู้คันใหญ่พร้อมรถการ์ดอีกสองคันก็มาหยุดอยู่หน้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง แทบจะทันทีที่เกรย์ก้าวเท้าลงจากรถ พนักงานของโรงแรมก็วิ่งเข้ามาหา และให้การต้อนรับอย่างใกล้ชิดจนคนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกตกใจ ประมุขต้องคอยโค้งให้บรรดาพนักงานทั้งหญิงและชายไปตลอดทางด้วยความเกรงใจ กว่าทุกอย่างจะกลับสู่โหมดปกติก็ตอนที่เขาขึ้นลิฟต์มาพร้อมเกรย์แล้ว
“ตกใจเหรอ หน้าเหวอเชียว” คนขี้แกล้งหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดเฉลยว่าอันที่จริงจะบอกให้พวกที่มารับสลายตัวไปแต่แรกก็ได้ หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ลูกแกะน้อยเอง เพราะขยันทำหน้าทำตาน่าเอ็นดูให้เขาเห็นบ่อยเหลือเกิน
“ตกใจสิครับ พวกเขาทำอย่างกับคุณเป็นเจ้าของที่นี่” ว่าจบคนพูดก็ยกมือลูบหน้าลูบตาที่เพิ่งหลุดจากอาการตกอกตกใจยกใหญ่ กว่าจะรู้สึกตัวว่ารอยยิ้มของเกรย์ที่ไม่ได้ปฏิเสธอะไรมีความหมายว่าอย่างไรก็ตอนที่อีกฝ่ายจูงมือเดินออกจากลิฟต์ไปแล้ว
ที่บอกว่ามีธุรกิจหลายอย่างนี่ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด....
ห้องพักซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขามีขนาดกว้างขวาง เมื่อขึ้นมาถึงการ์ดทุกคนก็เดินไปประจำที่อย่างรู้งาน ราวกับคุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว เกรย์เปิดประตูเดินเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะพร้อมลูกแกะข้างกาย จากนั้นก็เดินไปกอดอกพิงกำแพง รอให้ลูกแกะน้อยที่กำลังมองสำรวจรอบๆ หันไปเห็นเจ้าของห้องเอง
“พี่จักร!”
แล้วก็เป็นไปตามคาด...
เพียงแค่ได้หันไปเห็นพี่ชายที่นั่งอยู่บนโซฟา โดยมีรถวีลแชร์จอดทิ้งอยู่ด้านข้าง ลูกแกะตัวน้อยก็ตะโกนเรียกด้วยความดีใจแล้วพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เกรย์ยืนยิ้มมองคนเย็นชาทำอะไรไม่ถูกเมื่อน้องชายตรงเข้าไปกอดเอวตัวเองไว้แน่นขำๆ รอจนเห็นว่าลูกแกะของเขาชักจะกอดคนอื่นนานเกินไปจึงเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟา แล้วเกี่ยวเอวเจ้าตัวให้กลับมานั่งด้านข้างตามที่ควรเป็น
“คุณพาผมมาหาพี่จริงๆ ด้วย” ลูกแกะขนฟูหันมาพูดกับเกรย์พร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ชายผู้หวงน้องขมวดคิ้วยามเห็นมือของเกรย์เกาะอยู่ที่เอวผอมพอดี
“ฉันบอกว่าจะพามาหาตั้งแต่อยู่บนรถแล้วไม่ใช่เหรอ นี่ไม่เชื่อกันหรือไง” คนที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากแววตาเย็นชาของจักรพรรดิพูดกับคนในอ้อมแขนเสียงนุ่ม ทั้งยังยกมือขึ้นบีบจมูกลูกแกะด้วยความมันเขี้ยว “ฉันอนุญาตให้ลูกแกะสนใจคนอื่นมากกว่าฉันสองชั่วโมง รีบคุยก่อนจะหมดเวลาเร็วเข้า”
พอถูกกำหนดเวลาแบบไม่จริงจังนัก คนที่เชื่อฟังเกรย์ยิ่งกว่าอะไรก็เบิกตากว้าง พยักหน้าหงึกๆ ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและหันไปหาจักรพรรดิพร้อมรอยยิ้มหวานจ๋อยอีกครั้ง
“พี่จักร มาอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง มุขคิดถึงมากเลย” ถึงจะได้รับอนุญาตให้สนใจพี่ชายแล้ว แต่ประมุขก็ยังไม่เมินเฉยต่อคนข้างกาย เขาเลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อให้เกรย์ฟังได้ง่าย ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าแม้อีกฝ่ายจะพูดภาษาไทยได้แบบประหลาดๆ และอ่านเขียนไม่ได้ หากก็ฟังออกแทบทุกคำ
ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับทำให้คนขี้หวงยิ้มกริ่ม มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยงานกับจิมเงียบๆ และยินยอมให้ลูกแกะของตัวเองพูดคุยกับพี่ชายโดยไม่ขัดอะไรอีก
“สบายดี แล้วอยู่กับเกรย์เป็นยังไงบ้าง” จักรพรรดิตอบน้องชายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้อ่อนลงอย่างสุดความสามารถ
“ดีมากเลยครับ เกรย์ดูแลมุขดีมากเลย”
“เหรอ... แล้วที่บ้านเกรย์ดูแลดีด้วยหรือเปล่า” คนรู้ทันหรี่ตามองสังเกตท่าทีของน้องชายที่ชะงักไปครู่หนึ่งอย่างพิจารณา เมื่อแน่ใจแล้วว่าคำตอบคืออะไรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าอยู่แล้วไม่สบายใจก็ถอยออกมา”
.
.
(ต่อด้านล่าง)