บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)  (อ่าน 12120 ครั้ง)

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

กลิ่นแก้วแวะไปเยี่ยมญาติพร้อมของฝากหลังจากนั้น คุณป้าแคโลรีนเป็นพี่สาวคนโตในหมู่พี่น้องเดลลาร์ เมื่อได้เจอหน้าหลานชายก็ให้รู้สึกยินดีนัก เพราะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วตั้งแต่น้องสาวของนางเสีย นางอยากเลี้ยงต้อนรับแต่กลิ่นแก้วบอกไม่ต้องมากพิธีอะไร เพราะตนเองแค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้น ผู้เป็นป้าจึงได้ให้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน มีเรื่องอยากถามไถ่พูดคุยมากทีเดียว

ครอบครัวของคุณป้าแคโลรีนมีคุณลุงแกริคผู้เป็นสามีและบรรดาลูก ๆ อีกสี่คน กลิ่นแก้วสนิทกับลูก ๆ ของคุณป้าทุกคน โดยเฉพาะเบลล่า ลูกสาวคนโตของบ้านซึ่งตอนนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนไม่ไกลจากที่นี่นัก

สวนหน้าบ้านถูกตระเตรียมตั้งโต๊ะอาหาร ขณะที่ด้านในบ้านก็กำลังง่วนกับการทำอาหารเลี้ยงแขกหลังออกไปจ่ายตลาดกันมา โดยมีเบลล่าเป็นแม่ครัวใหญ่ มีลูกมือเป็นแม่บ้านและน้อง ๆ ของเธอ

“เจ้าเจคกับเมียมันก็มาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้”

ได้ยินชื่อนั้นแล้วกลิ่นแก้วก็ชะงัก โดยที่คุณป้ายังเล่าต่อเมื่อไม่ทันได้สังเกตความผิดปรกติของหลานชาย ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ร่มในสวน

“มาทำเรื่องซื้อขายบ้านของเรานั่นแหละ เพิ่งมีคนติดต่อขอซื้อมา”

คุณป้าเล่าเรื่องฟาร์มสัตว์น้ำของมารดาเขาให้ฟังว่าตอนนี้มันถูกแปรสภาพไปแล้ว ด้วยทำเลที่ค่อนข้างดีทำให้ในอนาคตมันจะกลายเป็นที่พักอีกแห่งหนึ่ง เพราะธุรกิจแถวนี้กำลังไปได้สวย มีนักท่องเที่ยวมาเยอะแต่ที่รองรับมีน้อย ร้านอาหารเองก็มีไม่มากนัก นายทุนจึงมากว้านซื้อลงทุนเพื่อขยายฐานธุรกิจของตัวเอง

“แล้วนี่อยู่ที่โน่นสุขสบายดีไหม ป้าติดต่อไม่ได้เลย โทรไปทีไรเจ้าเจคมันก็บอกไปเรียนบ้าง ย้ายไปอยู่หอบ้าง ขาดเหลืออะไรให้ป้าช่วยก็บอกนะลูก” คุณป้าบอกอย่างอารี

“ขอบคุณครับ ผมสบายดี ป้าไม่ต้องเป็นห่วง” กลิ่นแก้วยิ้มบอก

ในวันที่มารดาจากไปและเขาต้องเข้าไปอยู่ในความดูแลของญาติ ด้วยเห็นว่าคุณป้าเองก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล กลิ่นแก้วจึงไม่อยากรบกวนหรือเพิ่มภาระให้ แล้วก็ดันไปเชื่อใจนางมาเรียมกับนายเจคที่เข้ามาทำดีด้วยเสียได้ พอตอนนี้มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ แต่อย่างน้อยการตามสองคนนั้นไปก็ทำให้เขาได้เจอเอวาน

กลิ่นแก้วหันไปมองเอวานที่นั่งเงียบ ๆ อยู่มุมหนึ่งในสวนหน้าบ้าน ขณะที่สองบอดีการ์ดทำเป็นเดินเตร่อยู่แถวนั้นเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ผู้เป็นนาย ครู่หนึ่งคุณลุงของเขาก็ถือจานขนมขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มเย็น ๆ เข้าไปหา ตัวสูงใหญ่นั้นลุกขึ้นรับจานมาวางก่อนนั่งลงพูดคุยกับคุณลุงด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอะไร

“เออ แล้วพ่อหนุ่มสามคนนั้นใครกันล่ะ ทำไมมากับเราได้?” คุณป้าเอ่ยถาม มองท่าทางแล้วไม่น่าใช่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป หลานชายนางไปรู้จักกับคนพวกนี้ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงมาด้วยกัน คำถามมากมายต่างเกิดขึ้นในหัว

“ป้าครับ” กลิ่นแก้วเอื้อมไปช้อนมือคุณป้ามากุมไว้ ก่อนตัดสินใจบอก “ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับน้าเจคแล้วนะ”

“เรื่องนั้นป้ารู้แล้ว เราย้ายไปอยู่หอใช่ไหมล่ะ?” คุณป้ายิ้มแย้มเพราะได้ยินเรื่องนี้จากน้องชายมาแล้ว

กลิ่นแก้วส่ายหน้าเบาเป็นการปฏิเสธ ก่อนหันสายตาไปทางเอวาน ริมฝีปากเปิดยิ้มบาง “ผู้ชายคนนั้นชื่อเอวาน เวสส์ครับ เขารับอุปการะผม ตอนนี้ผมเลยอยู่ในความดูแลของเขา”

“อะไรนะ?” เรื่องนี้นางไม่เคยรู้ น้องชายของนางไม่เคยบอกว่ายกหลานให้ใครไปดูแลต่อ

“เขาเป็นคนดีมากครับ ในชีวิตนี้นอกจากแม่แล้วก็มีเขานี่แหละที่ทำทุกอย่างเพื่อผมโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนอื่น ไม่เหมือน...” ละไว้เท่านั้นเมื่อไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว พูดไปก็คงเหมือนเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เพราะคุณป้าแคโลรีนไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง และคำพูดของน้าเจคคงน่าเชื่อถือมากกว่าเด็กแบบเขา

“กลิ่นแก้ว ไว้ใจเขาได้แน่เหรอลูก?” คุณป้ายังเป็นกังวล คนสมัยนี้มันไว้ใจกันยาก ยิ่งสังคมคนเมืองด้วยแล้ว ความคิดคงซับซ้อนยิ่งกว่าเราหลายเท่านัก

“ได้สิครับ เขาดูแลผมดีมากจริง ๆ นะ ถ้าไม่ได้เขา ผมคงไม่ได้เรียนหนังสือ คงไม่ได้อยู่ในที่ดี ๆ สังคมดี ๆ และคงไม่ได้กลับมาเจอป้าและทุก ๆ คนแบบนี้”

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพูดแบบนั้น เจ้าเจคมันโกหกเหรอ มันไม่ได้ให้เราเรียนหนังสือ มันไม่ได้ดูแลเราอย่างที่ปากมันพูดงั้นเหรอ?”

กลิ่นแก้วตบหลังมือคุณป้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยแก้ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงแต่การได้ไปอยู่กับเอวานมันทำให้ได้เจอโลกที่กว้างขึ้นเท่านั้นเอง ที่พูดมาทั้งหมดแค่จะยกความดีความชอบของเอวานให้ป้าฟังเฉย ๆ จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนดีจริง ๆ”

“พุทโธ่ ทำเอาป้าใจหาย นึกว่าเจ้าเจคกับเมียมันทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หลานชายของป้าเสียอีก”

กลิ่นแก้วหัวเราะกับท่าทีโล่งอกของคุณป้า เข้าไปกอดอ้อน ๆ เช่นที่เคยทำเมื่อครั้งยังเด็ก สายตาหญิงสูงวัยมองเลยไหล่หลานชายไปยังชายหนุ่มที่หลานบอกว่าเป็นคนดีหนักหนา ซึ่งฝ่ายนั้นก็กำลังมองมาที่นางและหลานชายเช่นกัน

คุณป้าเลี่ยงไปจัดการงานครัว ก่อนที่จะไปรวมกับสามีที่พูดคุยกับเอวานอยู่ก่อนแล้ว เบลล่าที่เสร็จงานในครัวแล้วจึงเข้ามานั่งเป็นเพื่อนน้อง หนุ่มน้อยส่งยิ้มให้เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างกัน

“โตขึ้นเยอะเลยนะเจ้าตัวเล็ก พี่คิดว่าจะไม่ได้เจอนายแล้ว เพราะน้าเจคคงไม่ยอมพานายกลับมาเยี่ยมบ้านแน่ ๆ” ผู้เป็นพี่สาวว่า ที่เธอคิดแบบนั้นก็เพราะทุกครั้งที่น้าชายและน้าสะใภ้กลับมาก็มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขายที่ทางทรัพย์สินของมารดากลิ่นแก้วทั้งนั้น ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เธอก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายอะไรได้

“แต่ก็ได้เจอกันแล้วไง”

พูดพลางยิ้มเสียน่ารักจนคนเป็นพี่อดฟัดไม่ได้ ทำให้สองพี่น้องกอดกันกลม ตั้งแต่เด็ก พี่สาวคนนี้พึ่งพาได้เสมอ เป็นพี่ใหญ่ที่ออกหน้าทุกครั้งที่เขาโดนแกล้ง ได้กลับมาเจอกันแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น มาตอนนี้ทุกคนต่างเติบโต แต่ความผูกพันที่มีก็ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา

“นี่ ไปรู้จักผู้ชายคนนั้นได้ยังไงเหรอ?” เบลล่าเอ่ยถามเมื่อผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันแล้ว เธอว่าเธอคุ้นหน้าหนึ่งในนั้น ผู้ชายที่กำลังนั่งคุยกับบิดาของเธอนั่น

“เรื่องมันยาวน่ะ แต่เขาไม่ใช่คนไม่ดีนะ” กลิ่นแก้วว่า

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” คนเป็นพี่ยิ้มล้อเมื่อน้องรีบปกป้องกันขนาดนั้น “เขาชื่ออะไรเหรอ?”

“เอวาน เวสส์ครับ”

“เอวาน เวสส์...” เธอทวนชื่อนั้นซ้ำ ๆ เพราะรู้สึกคุ้น ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อนึกขึ้นได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนเปิดยิ้ม “ใช่แล้ว เอวาน เวสส์ที่เป็นทายาทตระกูลผู้ดีเก่าอย่างเจฟเฟอร์สันนี่เอง”

“พี่รู้จักเขาเหรอ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“พี่เคยเห็นเขาตามหน้านิตยสาร” เธอไขข้อข้องใจขณะที่ปลายนิ้วก็ปัดหน้าจอโทรศัพท์ไปพลาง

“เขาเป็นนักธุรกิจ พี่อ่านนิตยสารแนวนั้นด้วย?”

“บ้าสิ นิตยสารบันเทิงต่างหาก”

“บันเทิง?”

“ใช่ คิดว่าพี่จะซื้อนิตยสารเกี่ยวกับการทำธุรกิจมาอ่านหรือไงล่ะ เอวาน เวสส์ คนนี้เป็นนักธุรกิจก็จริง แต่เขาเคยมีข่าวกับดาราสาวที่พี่ติดตามอยู่” เธอขยายความพร้อมเอารูปจากข่าวในโทรศัพท์ให้ดู “นี่ไง เป็นข่าวซุบซิบอยู่พักหนึ่งเลย เพราะคบกันไม่นานพวกเขาก็เลิกรากันไป หลายคนก็บอกว่าพวกเขาคบกันเพื่อสร้างกระแส แล้วเรื่องมันก็เงียบไป จนมาเป็นข่าวกับแม่หม้ายสามีตายอย่างมากาเร็ต วิลสัน”

“......” ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้เลย มากาเร็ต วิลสัน ภรรยาของสตีเฟ่น ไรท์ พี่ชายของเอวาน พวกเขามีข่าวอะไรกัน?

“เดี๋ยวพี่หาข่าวก่อน ข่าวนี้ค่อนข้างแรงเลย เห็นว่าแอบคั่วกัน เพราะหลังจากสามีของมากาเร็ต วิลสันตาย พวกเขาก็พบกันบ่อย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่สามีเธอป่วย สองคนนี้จะแอบดอดไปกินกันหรือเปล่า”

“เอวานไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” กลิ่นแก้วหน้ามุ่ย ได้ฟังแล้วรู้สึกโมโหแทน เอวานไม่ใช่คนแบบนั้น เอวานรักพี่ชายจะตาย ทุกปียังเขาไปเยี่ยมที่หลุมศพ ยังระลึกถึงเสมอ จะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร

“ข่าวพวกนี้มันขายได้น่ะกลิ่นแก้ว ความจริงมันเป็นยังไงไม่รู้หรอก แต่ถูกวิจารณ์เยอะอยู่เพราะสามีมากาเร็ต วิลสันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเอวาน เวสส์ เลยโดนประโคมข่าวว่าตีท้ายครัวญาติตัวเอง”

“......” กลิ่นแก้วไม่เคยรู้ว่ามีข่าวแบบนั้นเพราะไม่ได้สนใจข่าวซุบซิบ ที่พอรู้ก็มีเพียงเรื่องของวาเนสซ่า เทย์เลอร์ที่คาร์เตอร์มักมาพูดให้ฟังบ่อย ๆ เท่านั้น

“พูดไปก็แล้วไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะไปรู้จักกับมหาเศรษฐีแบบเขาได้ ตระกูลเจฟเฟอร์สันเป็นผู้ดีเก่า แถมเวสส์ก็รวยมากด้วย เครือญาติของพวกเขาก็แต่คนรวย ๆ อย่างตระกูลไรท์ก็เป็นเจ้าพ่อคาสิโน พวกเขาถูกจัดอันดับว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มเจ้าเสน่ห์ด้วย”

“.......” เรื่องฐานะของเอวานเขาก็พอรู้ ทั้งมาดามเจฟเฟอร์สันและเอวานต่างก็อยู่ในโลกที่คนอย่างเขาเอื้อมไม่ถึง

“นายไปอยู่ที่นั่นเคยได้เจอพวกเขาไหม?”

“ใคร?” กลิ่นแก้วทำหน้างงเมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นพี่ก็เอ่ยถามขึ้นมา

“พี่น้องตระกูลไรท์ไง นี่นายไม่ได้ฟังที่พี่พูดเหรอ?”

กลิ่นแก้วยิ้มแหย “แหะ ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง”

“......” ผู้เป็นพี่สาวถึงกับค้อน นี่เธอเป็นบ้าพูดอยู่คนเดียวหรอกหรือ

“ดูพี่รู้จักพวกเขาดีจัง ไหนว่าอ่านแต่นิตยสารบันเทิงไง” ขนาดเขาอยู่กับเอวานยังไม่รู้เยอะขนาดนี้ หรือเพราะสนใจแต่เรื่องเอวานก็ไม่รู้ เรื่องของคนอื่นเลยไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร

“ก็เพราะตามข่าวบันเทิงแล้วมันโยงไปหาเอวาน เวสส์ กับ สตีเฟ่น ไรท์ ไง เลยเกิดการขุดประวัติกันขึ้นมา” เธอขยายความให้ฟัง สมัยนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาไปไกลแล้ว อยากรู้อะไรก็อยู่แค่ปลายนิ้ว “แต่น่าเสียดายน้องชายคนเล็กของตระกูลไรท์นะ ขนาดตายไปแล้วยังถูกขุดขึ้นมาวิจารณ์เพราะเรื่องที่นักข่าวไร้จรรยาบรรณใส่สีตีไข่อีก”

“พี่หมายถึงสตีเฟ่น ไรท์?”

“ใช่ ดูสิ หน้าตาก็ดี ไม่น่าด่วนจากไปเลยเนอะ ถ้าเขายังอยู่และแข็งแรงดีนี่เป็นดาราได้สบายเลย แสดงคู่กับมากาเร็ต วิลสันคงดังเป็นพลุแตก”

กลิ่นแก้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ กับอาการเหมือนเพ้อของพี่สาว ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยเจื่อนลงเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับบางสิ่งบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ มือเรียวเอื้อมคว้ามาดู เมื่อชัดแก่สายตาสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งอึ้ง

ผู้ชายสองคนในรูป แน่ล่ะว่าหนึ่งในนั้นคือเอวาน แต่อีกคนที่อยู่ข้างกันนั่น...

น้ำตาเม็ดโตร่วงผล็อยลงมาเคลียแก้ม คนที่เขาเฝ้ารอวันจะได้พบและหมดหวังไปแล้ว มาวันนี้กลับได้รู้ว่าแท้ที่จริงอยู่ไม่ไกลตัวเลย คนคนนั้นที่เขาได้พบในทุก ๆ ปี ทุกปี... ที่สุสานนั่น

...สตีเฟ่น ไรท์...



กลิ่นแก้วและสามหนุ่มลากลับเมื่อสมควรแก่เวลา แม้คุณป้าแคโลรีนจะชวนให้พักด้วยกัน แต่เอวานว่าไม่อยากรบกวน เพราะพวกตนมากันหลายคนและได้จองที่พักเอาไว้แล้ว คุณป้าจึงไม่ได้รบเร้าอะไร ทั้งยังให้ของกินของฝากมากระบุงโกย

เมื่อกลับมาถึงที่พัก เอวานก็ให้บอดีการ์ดทั้งสองนายไปพักผ่อนกันตามสะดวก เขาให้แมกซ์เวลจองห้องพักไว้สองห้อง สำหรับทอมัสกับแมกซ์เวลหนึ่งห้อง และอีกห้องสำหรับตัวเขาเองและกลิ่นแก้ว

“ป้าคุยอะไรกับคุณบ้างเหรอครับ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามเมื่อเข้ามาในห้องกันแล้ว ออกจะกังวลเพราะกลัวเอวานอึดอัด ทุกคนที่นั่นต่างรุมล้อมเอวานยิ่งกว่าดาราดัง

“ท่านฝากฝังให้ดูแลเธอ”

หญิงสูงวัยผู้นั้นถามถึงที่มาที่ไปว่าเหตุใดจึงได้รับกลิ่นแก้วมาอยู่ในความดูแล เอวานจึงแต่งเรื่องเล็กน้อยเพื่อความสบายใจของนาง โดยบอกกับนางว่ามารดาของตนไปเจอกลิ่นแก้วเข้าและรู้สึกเอ็นดู เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว ด้วยหน้าที่การงานทำให้ไม่ค่อยได้อยู่บ้านสักเท่าไรนัก ท่านก็คงเหงา เมื่อรู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นกำพร้าจึงได้ขอรับอุปการะ ทางฝ่ายนายเจคและนางมาเรียมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร กลิ่นแก้วจึงได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของครอบครัวเขาเช่นตอนนี้

ถุงของฝากถูกวางไว้บนโต๊ะ วันนี้ไปนั่นมานี่กันทั้งวันเลยอยากอาบน้ำให้สบายตัว เสื้อที่สวมใส่จึงถูกถอดพ้นกาย เมื่อหันกลับมามองอีกคนในห้อง ฝ่ายนั้นก็ชะงักแล้วเฉหลบสายตา เอวานถอนใจเบากับท่าทางนั้น คว้าผ้าเช็ดตัวบนเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไป

พออีกคนลับสายตาไป กลิ่นแก้วก็ถึงกับพรูลมหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้มุมห้อง มองแสงยามเย็นลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาแล้วตัวบางก็ลุกออกไปนอกระเบียง ชื่นชมกับธรรมชาติรอบที่พักจนลืมเวลา กระทั่งคนที่เข้าไปอาบน้ำออกมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังถึงเพิ่งรู้สึกตัว

ใบหน้าเรียวหันกลับมาหา ความใกล้ชิดทำให้ชะงัก เผลอก้าวถอยไปจนชนระเบียง สติสตังถึงได้กลับมา “อ... เอ่อ เสร็จแล้วเหรอครับ?”

“อืม”

“งั้นผมไปอาบ...” จะเลี่ยงไปแต่เอวานคว้าแขนไว้ ทำให้ต้องหยุดอยู่แค่นั้น

“คุยกันหน่อยสิ”

“......” ตากลมค่อยช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความหวั่นใจ

“รู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาที่นี่?”

คำถามที่แสนจะธรรมดาพาให้โล่งใจ จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “คิดถึงครับ ขอบคุณนะครับที่พามา”

เอวานมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายนิ่ง “อะไรที่ทำให้เธอมีความสุข ทำให้ยิ้มได้ ฉันก็พร้อมจะทำมัน”

มือหนาเอื้อมแตะแก้มนุ่ม กลิ่นแก้วเกือบจะผงะถอยแต่ก็หยุดตัวเองได้ทัน เมื่อมือนั้นเพียงประคองข้างแก้มแล้วเกลี่ยเบา ๆ ตากลมมองสบนัยน์ตาสีควันบุหรี่ด้วยความสับสน

“ฉันชอบเห็นเธอยิ้มมากกว่าเป็นแบบนี้”

“......”

“ขอโทษที่ทำให้มันหายไป ยิ่งเธอห่างออกไป ฉันยิ่งปวดใจ”

“เอวาน...”

“ฉันจะพยายาม จะไม่ทำแบบนั้นอีก เพราะฉะนั้นอย่าเป็นแบบนี้เลยนะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก น้ำตามันคลอ ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอที่เอาแต่ร้องไห้ เขาพยายามกลั้นแล้วแต่มันก็พาลจะไหลเสียให้ได้ ทำให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปมันสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

“ผมสับสน...”

“ขอโทษ”

“ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไร ความรู้สึกมันตีกันไปหมดจนผมกลัว ถึงผมจะรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ผมพยายามแล้วที่จะเข้าใจมัน แต่มองหน้าคุณทีไรมันก็นึกถึงเรื่องนั้นทุกที ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วเอวาน..”

“ขอโทษ”

“ฮึ่ก...”

“ฉันผิดเอง”

รั้งตัวบางเข้ามากอด ที่กลิ่นแก้วเป็นแบบนี้มันคือความผิดของเขา แม้จะบอกว่าไม่ตั้งใจ แต่เขาในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่าควรมีสติยั้งคิดมากกว่านี้ เขาไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างมันถลำลึกกว่าที่เป็นอยู่ วันหนึ่งข้างหน้ากลิ่นแก้วอาจต้องเจ็บเพราะเขา ซึ่งเขาคงทนไม่ได้หากวันนั้นมาถึง

เอวานให้เด็กไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นขึ้น ก่อนออกมานั่งคุยกันนอกระเบียง ลมกลางคืนค่อนข้างเย็น เขาจึงหยิบเสื้อหนาวมาคลุมให้ ซึ่งกลิ่นแก้วก็ยิ้มให้เขาพร้อมคำขอบคุณ

กายสูงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้าม มองวิวกลางคืนที่แสงไฟถูกเปิดให้ความสว่างก็สวยไปอีกแบบ ไกลออกไปคือทิวสนที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ทำให้มันดูลึกลับต่างจากบริเวณนี้นัก

“วันนี้พอได้ยินเรื่องของน้าเจคก็ทำให้ผมนึกไปถึงเจเรมี่ เมื่อสองสามวันก่อนผมเจอเขาด้วย” กลิ่นแก้วเอ่ยขึ้นมาขณะที่ยังทอดสายตาไปไกล

“เจเรมี่?” เอวานหันมามองคนพูดอย่างมีคำถาม

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอวานไม่รู้จักคนที่ตนพูดถึง กลิ่นแก้วจึงละสายตาจากบรรยากาศยามค่ำคืนนั้นมาหาแล้วบอก “เขาเป็นลูกชายของน้าเจคครับ”

“อ๋อ” พยักหน้ารับรู้ตามนั้น ลูกของสองผัวเมียนั่น แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ได้รับรายงานถึงความผิดปรกติจากลูกน้องที่ส่งไปเฝ้าเจ้ากลิ่นแก้วเลย “เขาทำอะไรเธอรึเปล่า?”

“เปล่าครับ เขามากับกลุ่มเพื่อน” กลิ่นแก้วบอก ก่อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง “ผมไปกินข้าวกับคุณวาเนสซ่าแล้วก็คาร์เตอร์เลยบังเอิญเจอเขา ตอนแรกที่เห็น ผมตกใจจนเกือบวิ่งหนี แต่นึกขึ้นได้ว่าเจเรมี่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรผมเท่าไร เขาคงไม่จับตัวผมกลับไปที่นั่น และมันก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอ อยู่ดี ๆ เขาคงไม่มาจับผมกลับไปหรอก คนก็ตั้งมากมายด้วย แต่ผมก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาเท่าไรเลยเลี่ยงออกมา ไม่คิดว่าจะไปเจอเขาอีกทีที่ห้องน้ำ”

“เขาตามเธอไป?”

“ผมว่ามันบังเอิญมากกว่าครับ เพราะเขาแค่มอง ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งมันก็สมเป็นเขาดี”

ครอบครัวนั้นหายไปเลยจริง ๆ เท่าที่ได้ฟังจากคุณป้าของกลิ่นแก้วเหมือนว่าร้านเดลลาร์ ดี จะปิดตัวลงแล้ว และพวกเขาก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหน เพราะหลังจากจบปัญหาเรื่องกลิ่นแก้ว เอวานก็ไม่ได้ให้คนตามเรื่องต่อ แค่คนพวกนั้นไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเด็กของเขาก็ดีแล้ว

“พอได้เจอเขา ความทรงจำเก่า ๆ มันก็ย้อนมาให้นึกถึง” พูดแล้วกลิ่นแก้วก็ถอนหายใจยาว พอโตขึ้นแล้วนึกย้อนไปมันก็เห็นอะไรมากกว่าเมื่อครั้งยังเด็ก “ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนเราจะทำร้ายกันได้ขนาดนี้”

“โลกนี้ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม” เอวานว่า

กลิ่นแก้วพยักหน้าอย่างเห็นตามนั้น “ถ้าผมยังอยู่ที่นั่น ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะถูกส่งไปที่ไหนบ้าง”

เมื่อก่อนเขายังไม่เข้าใจถึงความโหดร้ายเหล่านั้น แต่ในวันนี้ที่โลกของเขามันกว้างขึ้น ได้รู้อะไรมากขึ้น ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในสังคม สำหรับชีวิตของเด็กอายุเท่าเขาในตอนนั้น การถูกส่งไปให้ชายแปลกหน้าที่หมายจะคุกคามทางร่างกาย มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น

“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี” ดวงตาคู่โตมองเอวานอย่างมีความหมาย ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้ม “โชคดีที่วันนั้นได้พบกับคุณ”

เอวานมองเด็กตรงหน้านิ่ง โตกว่านี้คงมีเสน่ห์แบบที่มารดาเขาว่า ทั้งปากคอคิ้วคางมันรับกันไปหมด แววตาที่สื่อว่ารักและเทิดทูนเขายิ่งทำให้เหมือนต้องมนต์จนเกือบโน้มไปหา

“โอ๊ย! เอวาน ทำไมต้องเขกหน้าผากผมด้วยล่ะครับ?” หนุ่มน้อยประท้วงเมื่ออยู่ ๆ หน้าผากของตนเองก็ถูกประทุษร้าย

“ไม่มีเหตุผล”

ริมฝีปากสวยอ้าหวอก่อนงับลงแล้วแอบบ่นอุบอิบ ขณะที่มือก็ลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ มองอากัปกิริยาเหล่านั้นแล้วเอวานก็ยิ้มเอ็นดู กลิ่นแก้วก็ยังคงเป็นกลิ่นแก้ว แม้ภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กผู้ชายคนเดิมคนนั้นมิใช่หรือ คนที่เขายื่นมือเข้าไปช่วยและบอกกับตัวเองว่าจะดูแลให้ดีที่สุด มันไม่ควรมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ไม่ควรเลยสักนิด

ความกังวลใจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเอวานเพียงคนเดียว เพราะกลิ่นแก้วเองก็ยังมีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากถาม เขามั่นใจว่าสตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นคือบิดาของเขา ไม่มีทางที่จะจำคนผิด แม้รูปใบเดียวในชีวิตรูปนั้นจะไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว มันก็ยังบันทึกอยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ สตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นเคยรู้ไหมว่ามีเขาอยู่บนโลกใบนี้?

แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาถึงวันนี้ไม่ว่าสตีเฟ่น ไรท์คนนั้นจะรู้หรือไม่ มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว เมื่อคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป คนที่ยังอยู่คือเอวานต่างหาก...

การที่เอวานพาเขาไปสุสานทุกปีมันหมายความว่าอะไร ก่อนนี้เขาไม่เคยคิดตั้งคำถาม ไม่เคยคิดจะหาคำตอบ คิดเพียงแต่ว่าเอวานพาไปไหนก็จะไป แต่ในวันนี้สิ่งที่ได้รู้มันทำให้เขาเริ่มคิดว่าเพราะอะไรเอวานถึงได้รับเขามาอยู่ในความดูแลและทำทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนี้ เพียงเพราะความใจดีของเอวานเท่านั้นหรือ?

การพบกันของเรามันคือโชคชะตาหรือความตั้งใจกันแน่... เอวาน?




TBC



บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่ะ  :pig4:

วันใหม่


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ถึงเอวานจะน่าสงสัยแต่อย่าสงสัยจนห่างกับเอวานนะ TT
ตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆกันทั้งคู่แล้วว  :ling2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อ้างถึง
“ขอโทษที่ทำให้มันหายไป ยิ่งเธอห่างออกไป ฉันยิ่งปวดใจ”

ขยายความของคำว่าปวดใจได้ไหมเอวาน ?

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ทั้งคู่สับสนกับสิ่งที่อยู่ในใจ ว่าเป็นความรักแบบใหน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอาสักทางสิเอวาน เลือกใครสักคน

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
หวังว่าจะชัดเจนในเร็ววัน :mew2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด




หลังกลับจากไปเยี่ยมบ้าน กลิ่นแก้วก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้รับรู้มา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เคยใช้ทำงานเพียงอย่างเดียว ในเวลานี้มันถูกใช้ค้นหาบางสิ่ง

สตีเฟ่น ไรท์ เป็นน้องชายคนสุดท้องของพี่น้องตระกูลไรท์ เจ้าของธุรกิจคาสิโนแห่งใหญ่ในกรุงลอนดอน แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับมากาเร็ต วิลสัน ไม่เคยมีประวัติว่ามีลูกหรือภรรยามาก่อน แต่ด้วยความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อาจเป็นไปได้ที่จะแอบมีเล็กมีน้อยหลังแต่งงาน และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง บางทีสตีเฟ่น ไรท์อาจไม่รู้ว่ามีเขาอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้

กลิ่นแก้วไล่สายตาดูภาพข่าว ทุกงานที่สองสามีภรรยาไรท์ไปร่วมและให้สัมภาษณ์ก็ดูจะรักกันดี ยิ่งผนวกกับเมื่อครั้งที่ได้เจอมากาเร็ต วิลสันที่สุสาน เธอก็ดูเป็นทุกข์ที่สามีมาด่วนจากไป ทั้งคู่ต่างก็รักกัน แล้วเขาล่ะ? เพราะไม่ได้เกิดจากความรักจึงไม่เป็นที่ต้องการใช่ไหม?

เสียงเคาะประตูทำให้กลิ่นแก้วรีบออกจากหน้าจอที่ตนเองกำลังดู ก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก แม่บ้านขึ้นมาบอกว่ามาดามเจฟเฟอร์สันกำลังรออยู่ กลิ่นแก้วจึงรีบลงไปหา

ปรกติทางห้างสรรพสินค้าจะส่งแผนการปฏิบัติงานและผลประกอบการมาให้เกวนพิจารณา แต่จะมีการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพสินค้าของทางห้างฯทุกเดือน และของร้านนอกทุกไตรมาส ช่วงปิดภาคเรียนที่กลิ่นแก้วอยู่ติดบ้าน หากไม่ไปขลุกอยู่กับคุณตาคุณยายของเอวาน เกวนก็จะให้ไปที่ห้างฯด้วย เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับคนที่นั่นและระบบการทำงาน

“มาแล้วเหรอ?” เกวนเอ่ยทักเมื่อเด็กเข้ามาหา เธอลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ “เดี๋ยววันนี้จะพาไปลองชุดที่ห้องเสื้อนะ วันมะรืนจะพาออกงานด้วย”

“......?” สีหน้ากลิ่นแก้วดูมึนงง มาดามเจฟเฟอร์สันจะพาไปออกงานอะไร?

เห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าเด็กแล้ว เกวนจึงขยายความ “อีกหน่อยพอเธอโตขึ้นแล้วมาช่วยงานฉันก็ต้องเข้าสังคม ฝึกไว้จะได้ไม่เคอะเขินเวลาต้องออกงานคนเดียว”

“มาดาม... จะให้ผมออกงานด้วยจริงเหรอครับ ผมกลัวทำขายหน้า” สีหน้าหนุ่มน้อยดูกังวล

เขาไม่เคยคิดเลยเรื่องออกงานอะไรนี่ เพราะไม่ได้อยู่จุดเดียวกับมาดามและเอวาน วันดีคืนดีจะมาพาเด็กอย่างเขาออกงาน จะพาลขายหน้าเอาเสียเปล่า

“จะกลัวไปก่อนทำไมกัน มั่นใจหน่อยสิ”

ถึงมาดามเจฟเฟอร์สันจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้มั่นใจขึ้นอยู่ดี เขาจะไปในฐานะอะไร เด็กในบ้าน? หรือเด็กในปกครองของมาดาม? งานที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ราวกับอยู่คนละโลกแบบนั้น หากเขาโผล่ไปคงดูผิดที่ผิดทาง

“ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่งานใหญ่มาก ระดับกลาง ๆ” เกวนยังว่า

กลิ่นแก้วยิ้มแหย คำว่ากลาง ๆ ของมาดามคงไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับเขาแน่ ๆ



ห้องประธานบริหาร ณ บริษัทเวสส์

เอวานถูกบิดาเรียกพบด้วยเรื่องว่าที่สะใภ้ในดวงใจ ตัวเขาไม่รู้ว่าท่านถูกใจอะไรวาเนสซ่า เทย์เลอร์หนักหนา หรือเพราะบิดาของหญิงสาวเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จึงอยากให้ผูกไมตรีหรือเกี่ยวดองกันเพื่อเกื้อหนุนทางธุรกิจเท่านั้น แต่สำหรับเขา เวสส์จะมั่นคงไม่จำเป็นต้องพึ่งจมูกใครหายใจ อนาคตข้างหน้า ธุรกิจมันสามารถผันผวนขึ้นลงเป็นวัฏจักร ต่อให้มีอีกสิบเทย์เลอร์ ถ้าถึงเวลาวิกฤติก็ต้องช่วยเหลือตัวเองกันทั้งนั้น

“ลูกก็คบหาดูใจกับหนูวาเนสซ่ามานานแล้ว ไม่คิดว่าจะหมั้นหมายกันเพื่อให้ฝ่ายหญิงสบายใจบ้างรึ?” พอล เวสส์เปิดประเด็นสนทนา หรืออีกนัยหนึ่งคือบอกจุดประสงค์ที่ตนเองต้องการ “งานเปิดตัวบริษัทของหนูวาเนสซ่าวันมะรืนนี้ นักข่าวก็คงจะไปกันหลายสำนักอยู่ ถือโอกาสแจ้งข่าวดีไปเลยดีไหม?”

“ปา” เอวานเอ่ยเรียกบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี เขาจะได้พูดให้มันชัดเจนไปเลย “ผมยอมรับว่าวาเนสซ่าเป็นผู้หญิงเก่งและน่าสนใจ แต่สถานะของผมกับเธอมันไปถึงขั้นที่ปาวาดหวังไว้ไม่ได้หรอกครับ”

“ทำไม?” น้ำเสียงของผู้เป็นบิดาเข้มขึ้น “ในเมื่อลูกบอกเองว่าเธอทั้งเก่งและน่าสนใจ แล้วทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”

“ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องแต่งงานกับใครเพื่อธุรกิจ เวสส์อยู่มาได้เพราะความสามารถในการบริหารงานของปู่และปา เมื่อมันมาอยู่ในมือผม ผมก็อยากใช้ความสามารถของตัวเองเหมือนปู่และปาเช่นกัน”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ เอวาน?” สีหน้าพอลดูไม่มีแววล้อเล่น นัยน์ตาสีเดียวกับผู้เป็นลูกมองสบกันนิ่ง “เวสส์ต้องมีทายาทสืบทอดต่อไป วาเนสซ่าคือคู่ครองที่เหมาะสมทั้งฐานะและชาติตระกูล ความสามารถเธอมีมากมาย เธอเป็นที่รู้จักในวงสังคม ครอบครัวของเธอก็กว้างขวางพอที่จะช่วยผลักดันธุรกิจของเวสส์ให้ก้าวไปได้อย่างมั่นคง หรือลูกมีใครที่ดีกว่าเธอ ถึงได้มองข้ามไป?”

“ความรักไม่ได้เกิดจากความเพียบพร้อม” เอวานว่า

“แล้วความรักที่ลูกว่ามันทำให้ธุรกิจของเรามั่นคงและรุ่งเรืองสืบไปในภายภาคหน้าไหม?” พอลย้อนถาม สองพ่อลูกยังคงสบตากันไม่หลบ

“ที่ปาถามแบบนี้เพราะไม่มั่นใจในการบริหารงานของผม?” ในที่สุดเอวานก็เอ่ยถามขึ้นมา

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อเลย เอวาน ลูกก็รู้ว่าลูกทำมันได้ดี แต่พ่อไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเหมือนอย่างสตีฟที่ไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนมาไม่รู้ จนเรื่องราวมันบานปลายใหญ่โต และสุดท้ายก็มาตกเป็นภาระของลูกแบบนี้”

พอลรู้เรื่องเด็กในความดูแลของลูกชายดี แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะเกวนดูแลอยู่ เขาไม่อยากแตะอะไรก็ตามที่จะทำให้เธอต้องขุ่นใจ จึงได้ปล่อยผ่านไป แต่เมื่อไม่นานมานี้ลูกชายของเขากลับมีปัญหากับทางไรท์ ต่อไปเด็กนั่นต้องนำพาปัญหามาให้อย่างไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่

ไม่คิดว่าบิดาจะเอ่ยถึงกลิ่นแก้ว เอวานไม่อยากทะเลาะกับท่านเรื่องนี้ รู้ดีว่าท่านไม่เห็นด้วยที่รับเด็กมาอยู่ในความดูแล แต่ก็ยอมปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีปัญหากับมาดามมาเฟีย

เอวานขยับลุกเพื่อเลี่ยงประเด็นที่จะโยงไปหาเด็กของตนเอง เมื่อบิดามองมา เขาจึงบอก “ผมรู้ว่าปาเป็นห่วง แต่เรื่องแต่งงาน ผมอยากตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า”

พอลทำเสียงเหอะเมื่อลูกพูดมาเช่นนั้น “รั้นสมเป็นลูกเกวน เจฟเฟอร์สันจริง ๆ”

พอได้ยินชื่อของมารดา บรรยากาศตึง ๆ ภายในห้องก็ดูจะคลายลง เอวานยกยิ้ม “ก็ถ้าการแต่งงานกับใครสักคนเพียงเพื่อผลทางธุรกิจโดยไม่สนเรื่องหัวใจมันดีจริง ๆ ป่านนี้ปาคงแต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและความสามารถ และมีทายาทมากมายมาสืบทอดกิจการของเวสส์ต่อไป โดยไม่ต้องมาเคี่ยวเข็ญผมให้ลำบากอยู่แบบนี้แล้ว จริงไหมครับ?”

บิดาของเขาไม่เคยยกหญิงใดขึ้นมาเทียบเท่ามาดามมาเฟียเช่นเกวน เจฟเฟอร์สัน แม้จะมีความสัมพันธ์กับใครก็เพียงครั้งคราว พวกท่านมีปัญหากันมาตั้งแต่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ แม้จะไม่เคยบอกว่าปัญหานั้นมันคืออะไร แต่เมื่อโตขึ้น เอวานก็พอจะคาดเดาได้ มารดาของเขาแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่เขาดันเป็นลูกชายของพอล เวสส์ ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของเฟอร์ริงตันเสมอมา เรื่องความรู้สึกของมารดา เขาคาดเดาไม่ได้ แต่ผู้เป็นบิดานั้น รักโดยไม่ต้องสงสัย

“รู้ดี” พอล เวสส์ว่า รู้สึกขัดเคืองนักเมื่อตนเองดันเปิดช่องให้ลูกชายย้อนเอาได้

เอวานยังยิ้มเฉย “ผมว่า... ผมลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษามาดามเกวนดูสักหน่อยดีกว่า”

“เอวาน” ผู้เป็นบิดากดเสียงต่ำปรามลูกชาย

ผู้เป็นลูกเดินยิ้มออกจากห้องไปแล้ว พอลถึงกับพ่นลมหายใจหนักหน่วง เขาไม่ได้กลัวเกวน เจฟเฟอร์สัน แค่ไม่ชอบฟังเธอบ่นก็เท่านั้น


.........


งานเปิดตัวบริษัทของวาเนสซ่า เธอหันมาจับธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ซึ่งปัจจุบันคนรักสุขภาพและความสวยงามลงทุนไปกับข้าวของเครื่องใช้และเวชภัณฑ์กันมากขึ้น จึงอยากเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของตลาดสินค้านี้ ด้วยอยากแยกออกมาจากพี่สาวและพี่เขยซึ่งเป็นผู้บริหารหลักในบริษัทของครอบครัว เธอจึงศึกษาหาข้อมูลทั้งเรื่องการตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีภัณฑ์ รวมถึงทำเลที่ตั้งและอื่น ๆ โดยร่วมทุนกับเพื่อนที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน เพราะอยากยืนได้ด้วยขาของตัวเอง งานวันนี้จึงเป็นเพียงก้าวแรกของเธอเท่านั้น

กลิ่นแก้วที่รู้ว่าเป็นงานของวาเนสซ่าก็ไม่อยากมานัก เพราะคงเหมือนพาตัวเองไปยืนดูเอวานกับหญิงสาวควงคู่กันให้ช้ำใจเล่น แต่เมื่อไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ก็จำต้องมา งานเปิดตัวที่มาดามเจฟเฟอร์สันบอกว่ากลาง ๆ กลับดูใหญ่โตมากในความรู้สึก แขกเหรื่อในงานก็เยอะ ทั้งบุคคลในแวดวงธุรกิจและบันเทิง ทั้งช่างภาพ ทั้งนักข่าว กลิ่นแก้วไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พอมาเจอเข้าจริง ๆ ก็ประหม่าจนแทบเดินไม่เป็น

“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงเอวานดังขึ้นข้างกาย

เกวนหันมามอง ยิ้มเอ็นดูเด็กหน้าซีด ขณะที่เอวานค่อยเลื่อนมือขึ้นมาแตะแผ่นหลัง ทำให้กลิ่นแก้วยืดตัวตรงโดยอัตโนมัติ

ชายหนุ่มกระซิบบอก “ไม่เป็นไร ฉันจะคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องกังวล”

กลิ่นแก้วสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยผ่อนออกยาว ๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น มาดามเจฟเฟอร์สันแตะข้อศอกเขาเบา ๆ ให้ออกเดิน แม้จะยังเกร็ง ๆ อยู่ แต่มือของเอวานที่วางอยู่ช่วงเอวด้านหลังก็ทำให้พอคลายกังวลลงไปได้บ้าง

“อย่าทำหน้าแบบนั้น” เห็นเด็กหน้าตาตื่นเมื่อเจอแสงแฟลชจากกล้องและสายตาของแขกผู้ร่วมงานแล้ว เกวนก็เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาดูถูกเธอ เธอมากับฉันในฐานะลูกชายคนเล็ก ใครกล้ามาว่า ฉันจะจัดการมันเอง”

“มาดาม...” ราวมาดามเจฟเฟอร์สันมานั่งอยู่กลางใจ เขากลัว กลัวสายตาดูถูกจากคนเหล่านั้นหากรู้ว่าเขาเป็นเพียงเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง

“อีกหน่อยเธอก็ต้องเข้ามาช่วยเอวานดูแลกิจการของเรา เรื่องพวกนี้ยังไงก็ต้องศึกษาเอาไว้ ยิ่งรู้จักคนเยอะ จะหยิบจับอะไรก็ได้เปรียบ อย่ามองตัวเองให้ต่ำ เชิดหน้าขึ้นแล้วเผชิญหน้ากับมันซะ”

กลิ่นแก้วมองมาดามเจฟเฟอร์สันด้วยความรู้สึกหลากหลาย สถานะเขาไม่ต่างอะไรกับเด็กในบ้าน แต่มาดามกลับพาเขามาที่นี่ในฐานะลูกชายคนเล็ก ทั้งยังพร้อมจะปกป้องเขาอีก ท่านช่างเมตตาเขาเหลือเกิน

หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจ เห็นเช่นนั้นแล้วเกวนก็ยิ้มพอใจ สอดมือเข้าไปคล้องแขน ดวงตากลมค่อยหันมามองเธอ เมื่อเธอยิ้มให้ เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มตอบ ก่อนที่จะพากันก้าวเดินเข้าไปในงานด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิด

“เด็กคนนั้นเหรอ?”

ร่างสูงใหญ่เช่นชาวตะวันตกค่อยก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง มองตามเด็กผู้ชายที่ก้าวเดินเคียงเกวน เจฟเฟอร์สันและเอวาน เวสส์เข้างานไปด้วยแววหมายมาด

“ใช่” อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันตอบกลับมา ก่อนที่จะเอ่ยถาม “คุณคิดจะทำอะไร?”

คนถูกถามเพียงแค่ยกยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปล่อยให้คนถามมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้อยู่เช่นนั้น

งานเปิดตัวบริษัทของวาเนสซ่าค่อยดำเนินไปตามกำหนดการ กระทั่งเสร็จสิ้น วาเนสซ่าจึงให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยมีเอวานเข้าไปร่วมถ่ายรูปด้วย กลิ่นแก้วได้แต่มองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกที่บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร จิตใจมันพาลห่อเหี่ยว อึดอัดจนต้องเอ่ยขอเกวนที่กำลังสนทนากับสมาคมคุณหญิงคุณนายแถวนั้นออกไปสูดอากาศข้างนอก

“อย่าไปไหนไกลนะ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว” เกวนบอกหลังจากเอ่ยอนุญาต เพราะเข้าใจว่าเจ้ากลิ่นแก้วคงเบื่อ

“ครับ”

กลิ่นแก้วรับคำก่อนเดินเลี่ยงออกไป โดยมีสายตาของเอวานมองตามด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มค่อยเบือนสายตากลับมาทางบอดีการ์ดของตน พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ตามกลิ่นแก้วไป เมื่อตนเองยังไม่สามารถปลีกตัวได้ในเวลานี้

ลานน้ำพุหน้าบริษัท กลิ่นแก้วมานั่งถอนใจอยู่ที่ม้านั่งบริเวณนั้น ไม่นานนักทอมัสก็เดินเข้ามาหา ตัวสูงใหญ่นั้นหยุดยืนในระดับสายตามองเห็น กลิ่นแก้วจึงขยับที่ว่างให้บอดีการ์ดหนุ่มนั่งลงข้างกัน

“เป็นไง ไอ้หนู?”

คำถามนั้นทำให้กลิ่นแก้วถอนใจอีกเฮือก “ผมคงไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้จริง ๆ”

ทอมัสหัวเราะในลำคอ “ออกงานบ่อย ๆ อีกหน่อยก็ชิน”

“ยังต้องมางานแบบนี้อีกเหรอ?”

เจ้ากลิ่นแก้วโอดครวญด้วยความทดท้อ ถึงแม้มาดามเจฟเฟอร์สันจะบอกกับใครต่อใครที่ถามไถ่ หรือแม้แต่กับสื่อที่เข้ามาสัมภาษณ์ว่าเขาคือลูกชายคนเล็ก แต่ทุกสายตาก็ยังมองเขาแปลก ๆ อยู่ดี ก็มาดามมีลูกชายคนเดียวคือเอวาน ขณะที่เขาเป็นแค่เด็กที่มาดามรับอุปการะ อย่างไรก็อยู่คนละระดับกับคนพวกนั้นอยู่ดี

ขณะที่สองหนุ่มต่างวัยกำลังคุยกันอยู่ก็มีใครอีกคนก้าวเข้ามา กลิ่นแก้วเขม้นมองเมื่อรู้สึกคุ้นตา ขณะที่ทอมัสขยับลุกในทันที นั่นทำให้กลิ่นแก้วเงยมองบอดีการ์ดหนุ่มด้วยความแปลกใจ กระทั่งใครคนนั้นเข้ามาใกล้ ดวงตากลิ่นแก้วก็เบิกกว้างขึ้น

“สวัสดี หนูน้อย”

ทอมัสเบี่ยงตัวบังเด็กของนายที่ลุกขึ้นมาเกาะแขนเขา เหลือบมองสีหน้าตื่น ๆ นั่นด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเมื่อต้องระวังภัยจากผู้มาใหม่

“ฉัน... โอลิเวอร์ ไรท์”

กลิ่นแก้วมองมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาโดยไม่สนใจว่ามีทอมัสขวางอยู่ ก่อนเลื่อนขึ้นมามองหน้า และด้วยมารยาทจึงยื่นมือไปจับ พร้อมแนะนำตัวอย่างเสียไม่ได้

“กลิ่นแก้ว เดลลาร์ครับ”

คิ้วอีกฝ่ายเลิกสูง ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกยิ้ม กระชับมือที่ตัวเองจับอีกนิดแล้วว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก กลิ่นแก้ว เดลลาร์”

กลิ่นแก้วมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง มืออีกข้างยังเกาะแขนทอมัสแน่น เขารู้ว่าโอลิเวอร์ ไรท์คนนี้คือพี่ชายของสตีเฟ่น ไรท์จากข้อมูลที่ค้นหามา แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงเข้ามาหาเขา แค่ผ่านมา หรือมีจุดประสงค์อะไร?



หลังให้สัมภาษณ์ วาเนสซ่าและเอวานก็แยกมาที่ห้องรับรองแขกของบริษัท ภายในห้องมีเครื่องดื่มและของทานเล่นเตรียมไว้รอท่า เมื่อนั่งลงบนโซฟา วาเนสซ่าจึงเอ่ยถาม

“ดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ?”

“ขอบคุณ แต่ไม่ดีกว่าครับ” เอวานบอกปฏิเสธ กำลังหาจังหวะเหมาะ ๆ เพื่อขอตัว

วาเนสซ่าถอนใจเบา “พักนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลย ฉันเองก็มัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องบริษัท มีเวลาว่างทีก็ไม่เคยจะตรงกัน งานยุ่งเหรอคะ?”

“ครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นเมื่อกำลังพะวงว่ากลิ่นแก้วจะไปเดินหลงอยู่ตรงไหนไหม ยิ่งไม่คุ้นเคยกับสถานที่อยู่ด้วย

“เหมือนว่าฉันจะเห็นน้องชายของคุณมาด้วย”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาขณะสังเกตปฏิกิริยาคนข้างกายไปด้วย ตั้งแต่ให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้ว ถึงแม้เอวานจะพูดคุยเป็นปรกติ แต่สายตาก็คอยชำเลืองมองหาใครบางคนอยู่ตลอด แม้แต่ตอนนี้ที่กำลังคุยกับเธอก็เหมือนจะกังวลจนรู้สึกได้

“ไม่คิดว่าคุณจะพาเขาออกงานด้วยเลยนะคะ ไม่คิดหรือว่าทำแบบนี้เขาจะสำคัญตัวผิดไป?”

“หมายความว่ายังไง?” สายตาคมค่อยปรายมามองคนพูด

วาเนสซ่ายังคงยิ้มเยือน “ก็เหมือนที่คุณทำกับฉันยังไงละคะ”

“.........”

“ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ แล้วก็ดับฝันกันอย่างง่ายดายด้วยการบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดี ทั้งที่เราเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยกว่านั้น” รอยยิ้มที่มีค่อยเลือนหาย “เวลานี้คุณวางสถานะของฉันไว้ที่ตรงไหนเหรอคะ?”

เอวานถอนหายใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน เขาบอกเธอชัดเจนแล้วว่าหากเขาจะรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบังคับ นี่ไม่ใช่ยุคที่จะมาคลุมถุงชนกันแล้ว อยากให้เกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่ายมากกว่า ซึ่งวาเนสซ่าก็หัวสมัยใหม่พอ แต่ก็ไม่อยากให้เขาตัดสัมพันธ์กันเร็วขนาดนั้น ในเมื่อต่างก็ไม่มีใคร มันก็ไม่มีอะไรเสียหายหากจะลองศึกษาดูใจกัน ถ้าท้ายที่สุดแล้วมันไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ เธอก็จะยอมรับแต่โดยดี

“คุณคือเพื่อนที่ดี วาเนสซ่า”

ราวตอกย้ำซ้ำเติมลงไปให้ใจเจ็บ “ฉันไม่ดีตรงไหนเหรอคะ หรือเพราะฉันไม่ใช่เด็กคนนั้น?”

“มันไม่เกี่ยวกับเขา” เอวานโต้กลับเสียงเข้ม

“ไม่เกี่ยวยังไง คุณคิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอ ทุกครั้งที่พูดถึงเขา ทุกครั้งที่มองเขา แววตาคุณมันบอกทุกอย่างแล้ว เอวาน” วาเนสซ่าตัดพ้อต่อว่า เธอไม่ได้หูหนวกตาบอด ในสายตาของเธอมีแต่เขา ทุกปฏิกิริยาที่เขามีต่อเด็กคนนั้น ทำไมเธอจะไม่รู้สึก

เอวานมองเธอนิ่ง “เขาเป็นเด็กในความดูแล”

“คุณแน่ใจเหรอ?” หญิงสาวสวนกลับทันควัน

“อย่าดึงเขามาเกี่ยวได้ไหม?”

วาเนสซ่ารู้สึกอยากหัวเราะเยาะตัวเองนัก เมื่อผู้ชายตรงหน้าของเธอกำลังร้องขอ ไม่ได้ออกคำสั่ง แต่ร้องขอไม่ให้เธอดึงเด็กคนนั้นมาเกี่ยวข้อง เท่านี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เอวานพร้อมปกป้องเด็กคนนั้น เธอรู้มาตลอดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันไม่มีทางไปรอด แต่ก็พยายามประคับประคองมันเรื่อยมา คงมีแต่เธอที่พยายามอยู่คนเดียว

“คุณไม่ตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือไงที่รู้สึกแบบนั้นกับเด็กในปกครองของตัวเอง?” มิหนำซ้ำยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย ประโยคสุดท้ายเธอได้แต่ทดไว้ในใจ

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนที่กายสูงใหญ่จะขยับลุก มองหญิงสาวแสนสวยที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกที่เธอมีให้ได้อย่างเท่าเทียม

“ผมขอโทษ”

ไม่มีคำแก้ตัวใด เมื่อเอวานทิ้งไว้เพียงคำขอโทษที่เธอไม่ต้องการ วาเนสซ่าข่มกลั้นน้ำตาให้มันไหลย้อนกลับลงไปในส่วนลึก บางครั้งการเป็นคนดีก็ไม่ทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ...



เมื่อออกมาจากห้องรับรอง เอวานก็ตรงไปหามารดาซึ่งกำลังเตรียมตัวจะกลับเจฟเฟอร์สัน แต่กลิ่นแก้วที่ขอไปเดินเล่นยังไม่กลับมา ไม่รู้เดินไปถึงไหนแล้ว ว่าจะให้แมกซ์เวลไปตาม แต่เอวานบอกจะไปตามเอง ให้แมกซ์เวลพามารดาของตนไปที่รถแทน

เขาเดินหากลิ่นแก้วกระทั่งมาเจออยู่ที่สวนใกล้ลานน้ำพุ เหมือนกำลังคุยกับใครอยู่โดยมีทอมัสยืนเยื้องไปด้านหลัง ถัดไปคือผู้ชายอีกสามคนที่คอยคุมเชิง สถานการณ์ดูไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไรนัก

“กลิ่นแก้ว”

เอวานก้าวเข้าไปหาพร้อมเอ่ยเรียก ทุกสายตาหันมาทางเขา นั่นทำให้เขาเห็นว่าผู้ที่คุยกับกลิ่นแก้วอยู่คือใครเมื่อคนคนนั้นค่อยหันมา ริมฝีปากหนาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มคล้ายจะเยาะหยันอยู่ในที ก่อนที่จะผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทายเขาเชิงกวนอารมณ์

“ไม่นึกว่าจะเจอคุณที่นี่” เอวานเอ่ยทักเสียงเรียบ

“วาเนสซ่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน จะแปลกอะไรถ้าฉันจะมาแสดงความยินดีกับเธอในวันสำคัญ” อีกฝ่ายตอบกลับมา

เอวานมองนิ่ง ไม่ได้ต่อความอะไรอีกเมื่อหันสายตามาทางกลิ่นแก้ว “กลับกันเถอะ”

“ครับ” กลิ่นแก้วพยักหน้ารับ ส่งมือให้เอวานจับแล้วออกเดิน

“แล้วเจอกันใหม่ หนูน้อยเดลลาร์”

เสียงที่ดังไล่หลังทำให้ก้าวเดินของกลิ่นแก้วหยุดชะงัก ค่อยหันกลับไปมองคนพูด ก่อนจะรีบก้าวตามแรงรั้งของเอวานไป โดยมีสายตาของคนด้านหลังมองตาม

เมื่อขึ้นมาบนรถ กลิ่นแก้วก็เอ่ยขอโทษมาดามเจฟเฟอร์สันที่ตนเองเถลไถล ทำให้ต้องเสียเวลารอแบบนี้ ซึ่งมาดามก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร หลังจากทุกคนนั่งประจำที่กันแล้วรถจึงเคลื่อนตัวออกไป

ระหว่างทางกลับเจฟเฟอร์สันเต็มไปด้วยความเงียบ กลิ่นแก้วปล่อยความคิดวนกลับไปที่เหตุการณ์ตรงลานน้ำพุนั่น หลังจากที่โอลิเวอร์ ไรท์เข้ามาทักทาย


ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

“มีเวลาคุยกันสักหน่อยไหม?”

คำถามนั้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายฉกรรจ์อีกสามนาย โอลิเวอร์ปรายสายตาส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าไปพาทอมัสออกมา เพียงฝ่ายนั้นขยับตัว กลิ่นแก้วก็รีบรั้งแขนทอมัสไว้พร้อมต่อรอง

“ผมจะคุย ถ้าให้มิสเตอร์ทอมัสอยู่ที่นี่ด้วย”

โอลิเวอร์เลิกคิ้ว ยกยิ้มมุมปาก “รู้จักต่อรองซะด้วย”

เขาปัดมือให้คนของตนถอยออกไป “คราวนี้ก็คุยกันได้แล้วสินะ?”

ว่าจบก็หยิบรูปเก่า ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทราวเตรียมการมาแล้วกระนั้น เมื่อเห็นว่ามันคือรูปอะไร กลิ่นแก้วก็ตาโต รูปใบนั้นมันอยู่ในกระเป๋าที่เขาทิ้งไว้บ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ มาอยู่กับคนคนนี้ได้อย่างไร?

“จำมันได้ไหม?”

“.........”
กลิ่นแก้วมองคนตรงหน้านิ่ง ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร?

“เขาคือพ่อของเธอใช่ไหม?”
“.........”
กลิ่นแก้วไม่ตอบ เพียงเลื่อนสายตาไปมองรูปในมือของอีกฝ่าย

“แล้วรู้ไหมว่าคนในรูปคือน้องชายของฉัน?” ท่าทางเด็กดูไม่แปลกใจ ทำให้โอลิเวอร์กระตุกยิ้ม “อ้อ ท่าทางจะรู้แล้ว”

“.........”

“เอวานบอกอะไรกับเธอบ้างล่ะ?”

“คุณต้องการอะไร?”


แทนที่จะตอบ กลิ่นแก้วกลับเลือกตั้งคำถาม นั่นทำให้โอลิเวอร์ทำเสียงหึในลำคอ

“ใจเย็น ๆ” เขาค่อยเดินไปนั่งลงตรงม้านั่ง ท่าทางดูไม่ร้อนอกร้อนใจอะไร “ฉันแค่อยากมาทำความรู้จัก และบอกในสิ่งที่เธออาจไม่เคยรู้”

นึกถึงมันแล้วกลิ่นแก้วก็ถอนใจ บทจะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็โถมเข้าใส่เสียจนตั้งตัวไม่ทัน ชีวิตที่เคยปรกติสุขกลับสับสนวุ่นวาย ถ้าการได้รู้มันจะทำให้เขาเป็นทุกข์ขนาดนี้ สู้ไม่รู้ไปตลอดชีวิตเสียยังจะดีกว่า

ตากลมลอบมองคนข้างกาย สีหน้าเอวานดูเคร่งเครียดเพียงเห็นว่าเขาคุยกับใคร ไม่รู้ว่าเคยมีปัญหากันมาก่อน หรือเพราะเอวานรู้เหมือนที่โอลิเวอร์ ไรท์คนนั้นรู้กันแน่

เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน ลงจากรถกลิ่นแก้วก็รีบเดินเข้าคฤหาสน์แล้วขึ้นชั้นบนไป โดยที่มีเอวานเดินตามมา มือหนาคว้าแขนเอาไว้ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ทำให้กลิ่นแก้วหันกลับมาด้วยความตกใจ

“เขาพูดอะไรกับเธอ?”

กลิ่นแก้วมองหน้า เอวานดูเครียดจริง ๆ ทำไมถึงได้ดูกังวลใจขนาดนี้ล่ะ เอวาน...

“ผมมีเรื่องอยากถาม”

คำถามที่ถามไปไม่ได้รับคำตอบ ทั้งยังถูกถามกลับ คิ้วเอวานเลยพาลขมวดปม

“เรื่องอะไร?”

“สัญญากับผมก่อนได้ไหม ไม่ว่าเรื่องอะไร คุณจะพูดความจริง คุณจะไม่โกหกผม”

“.........” แววเว้าวอนในดวงตาคู่นั้นทำให้เอวานเลือกที่จะไม่ขัด

“ทุกปีคุณจะพาผมไปที่สุสาน ไปหาพี่ชายของคุณ...”

ลมหายใจเอวานสะดุดเมื่อกลิ่นแก้วเว้นวรรคไปนาน ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยแววสับสนและไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาจนจบประโยค

“เพราะอะไรครับ?”

เอวานเงียบไปครู่หนึ่ง นั่นทำให้กลิ่นแก้วคาดหวัง คาดหวังในคำตอบที่จะได้รับ คาดหวังว่าเอวานจะไม่โกหก

“ถ้าเธอไม่อยากไป ฉันก็จะไม่พาไปอีก”

คำตอบที่ได้ทำเอาความผิดหวังแล่นปราดไปทั้งใจ กลิ่นแก้วพยักหน้า หัวเราะเสียงแห้งทั้งที่อยากร้องไห้เต็มแก่ เอวานไม่โกหก แต่เอวานก็ไม่ยอมพูดความจริงเหมือนกัน

กลิ่นแก้วปลดมือที่รั้งตนเองไว้ออกแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป เสียงปิดประตูลงกลอนทำให้เอวานยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าโอลิเวอร์พูดอะไรกับเด็กของเขาบ้าง กระทั่งเรียกบอดีการ์ดของตนเองมาสอบถาม

ประตูห้องกลิ่นแก้วถูกเคาะ แต่ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องจะเปิดมันออกมา เมื่อรออยู่สักพักก็ยังเงียบ เอวานจึงต้องถอย ทั้งที่ความจริงเขาสามารถเรียกแม่บ้านมาเปิดให้ก็ได้ แต่อีกฝ่ายอาจยังไม่พร้อมคุย ก็คงต้องปล่อยไปก่อน


.........


เอวานแบกความกังวลไปทำงานเสียเต็มบ่า อยากจะคุยกันให้รู้เรื่องแต่กลิ่นแก้วก็ไม่ยอมออกมาคุยด้วย เขาไม่รู้ว่ากลิ่นแก้วรู้อะไรมามากแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาก็เห็นพูดถึงแต่แคทเธอรีน เดลลาร์ ทั้งยังบอกว่าบิดามารดาด่วนจากไปทั้งคู่ ไม่เห็นเคยมีครั้งไหนที่เอ่ยถึงสตีเฟ่น ไรท์ หรือแม้กระทั่งเขาพาไปที่สุสานทุกปี กลิ่นแก้วก็แค่ถามว่าเป็นใคร พอเขาบอกว่าเป็นพี่ชายก็ไม่ได้ซักไซ้หรือสงสัยอะไรอีก จนกระทั่งได้เจอกับโอลิเวอร์ ไรท์ เมื่อคืน บางที... การปิดบังต่อไปอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้

แมกซ์เวลเข้ามาในห้องทำงานพร้อมแฟ้มเอกสาร เมื่อแฟ้มถูกวางลงบนโต๊ะ เอวานจึงค่อยเลื่อนสายตามามอง ขณะที่บอดีการ์ดหนุ่มรายงาน

“นายริชาร์ด พาร์เลอร์ ได้เข้ามาชำระหนี้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ”

“ทั้งหมด?” เอวานมุ่นคิ้ว เปิดดูเอกสารภายในแฟ้มด้วยความแปลกใจ เงินมากมายขนาดนั้น นายพาร์เลอร์หามาจากไหนในเวลาเพียงไม่นาน

“ครับ ทั้งต้นและดอกเบี้ย” แมกซ์เวลยืนยันในสิ่งที่พูดข้างต้น

“รู้ที่มาของเงินก้อนนี้ไหม?” ดวงตาคมค่อยละจากแฟ้มขึ้นมามองบอดีการ์ดของตน

“พักหลังเห็นว่าเข้าออกคาสิโนเป็นว่าเล่นครับ”

“คาสิโน?” ได้ยินเช่นนั้นยิ่งเกิดความกังขา “ดวงดีขนาดนั้นเชียว?”

การพนันทำให้มีเงินพอใช้คืนทั้งต้นและดอกที่ทบกันมาเป็นระยะเวลานานได้เลยหรือ นายพาร์เลอร์แทบจะกลายเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ไม่นานนี้แล้ว แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ นายพาร์เลอร์จะได้เงินก้อนนั้นมาด้วยวิธีใดก็ไม่ใช่ธุระที่เขาต้องให้ความสนใจ เพียงใช้คืนครบก็จบเท่านั้น

“นายครับ” แมกซ์เวลส่งโทรศัพท์ของตนเองให้ผู้เป็นนาย เมื่อมีสายเรียกเข้าและตนเองกดรับก่อนสนทนากับปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง “คนรถของเจฟเฟอร์สันครับ ตอนนี้เขาอยู่กับกลิ่นแก้ว”

ช่วงนี้กลิ่นแก้วปิดเทอมเลยไม่ได้ให้ใครเฝ้าเป็นพิเศษ แต่ก่อนออกมาเอวานได้สั่งคนของเจฟเฟอร์สันเอาไว้แล้วว่าให้ดูแลด้วย เพราะเขาและมารดาไม่อยู่ และกลิ่นแก้วก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง หากมีปัญหาอะไรก็ให้รีบรายงานมา

“เกิดอะไรขึ้น?” คิ้วเอวานขมวดเมื่อเอ่ยถามผู้ที่อยู่ปลายสาย หลังจากรับโทรศัพท์จากแมกซ์เวลมา

“เจ้าหนูกลิ่นแก้วมันขอให้ผมพามาที่สุสานครับ นาย” เสียงคนรถของคฤหาสน์รายงานมาด้วยความร้อนรน

“สุสาน?” เอวานทวนคำ “ไปทำไม?”

“ผมจะโทรบอกนายก่อน มันก็เดินลิ่วไปเลย บอกจะมาเอง ผมเลยต้องพามาครับ” คนรถละล่ำละลักด้วยกลัวความผิด พาคนของนายออกมาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต

เอวานถอนใจ “เอาเถอะ เฝ้าไว้ก่อน อย่าให้คลาดสายตา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

“ครับ นาย”

โทรศัพท์ถูกส่งคืน กายสูงใหญ่ผุดลุกแล้วสั่งคนของตนให้เอารถออก ขณะที่ภายในหัวกำลังครุ่นคิด กลิ่นแก้วคงรู้ทุกอย่างแล้วจริง ๆ



ขณะเดียวกันที่หน้าหลุมศพสตีเฟ่น ไรท์ กลิ่นแก้วมาที่นี่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ก่อนนี้เขามาเพื่ออยู่ข้างเอวานเวลาที่เอวานทุกข์ใจ อยากอยู่ใกล้ ๆ แม้ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ในครั้งนี้เขามาด้วยความรู้สึกสูญเสีย

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณอยู่ตรงนี้ ผมอยากเจอคุณ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมทุกคนถึงได้จากผมไปกันหมด ทำไมถึงทิ้งผมไปกันหมด...” ไม่ว่าถ้อยคำใดก็ไม่อาจส่งไปถึงใครสักคน เขาต้องอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความโดดเดี่ยวจริงหรือ

ไม่รู้นานเท่าไรที่กลิ่นแก้วยืนอยู่ตรงนั้น ความกังวลของคนรถที่คอยชะเง้อมองอยู่ตลอดไม่ได้ทำให้เขาหันไปสนใจ ได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบข้าง จนกระทั่งเอวานก้าวเข้ามา กลิ่นแก้วรู้ว่าอีกคนยืนอยู่ข้างกาย แต่ก็ยังปล่อยให้ความเงียบมันดำเนินไปเช่นนั้น

“ก่อนที่แม่ของผมจะเสีย ท่านได้ให้กล่องใบหนึ่งกับผมมา”

“.........” เอวานค่อยหันไปมอง เมื่อเด็กข้างกายเอ่ยขึ้นมาหลังจากยืนเงียบอยู่นาน

“ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ดีก็คือ... รูปถ่าย”

“.........”

“รูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่งที่แม่บอกว่าเป็นพ่อของผม และมันก็กลายเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวผมมาที่นี่ ผมเฝ้าหวังว่าสักวันจะได้พบกับเขา คนที่ผมไม่เคยรู้แม้กระทั่งชื่อ”

พูดเพียงเท่านั้นแล้วกลิ่นแก้วก็นิ่งไป ขณะที่เอวานยังคงมองอยู่เงียบ ๆ ไม่ถาม ไม่ขัด รอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดต่อ

“การใช้ชีวิตอยู่ที่เดลลาร์ ดี มันไม่มีความสุขเลย ทุก ๆ วันผมเฝ้าหวังว่าผู้ชายในรูปจะมาพาผมออกไปจากที่นั่น ได้แต่หวังว่าเขาจะรู้ เขาจะตามหาผม และพาผมออกไป เขาคือความหวังเดียวที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่ อยู่เพื่อรอเขา”

“.........”

“ในวันที่ผมถูกส่งไปบ้านของมิสเตอร์พาร์เลอร์และหนีออกมา รูปนั้นมันก็หายไปจากชีวิตผมแบบถาวร ความหวังหนึ่งเดียวนั้นมันหายไปแล้ว ชีวิตผมไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ในวันที่ผมสิ้นหวัง กลับมีคุณเข้ามา ทำให้ผมยังหายใจอยู่จนถึงตอนนี้”

“.........”

“ผมเลิกหวังว่าจะได้พบเขา เพราะไม่เหลืออะไรที่พอจะใช้ตามหาเขาได้ โลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่ผมจะใช้แค่ความทรงจำเพื่อตามหาเขา เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วเขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง...” ค่อยหันมองเอวานเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “พี่ชายของเขาบอกว่าผมเป็นหลาน น้องชายของเขาเฝ้าตามหาผมมาตลอด และฝากฝังให้เขาดูแลหากหาผมเจอ”

“.........” แม้จะได้ฟังจากทอมัสมาแล้ว แต่พอกลิ่นแก้วพูด คิ้วเอวานก็ยังขมวด

“เขาตามหาผมมาตั้งหลายปี จนได้รู้ว่าผมมาอยู่กับคุณ เพราะคำขอร้องก่อนตายของน้องชายเขา ซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้”

“.........”

“แม้คุณจะไม่เต็มใจ แต่คุณก็ไม่ยินยอมที่จะส่งผมกลับไปอยู่ในความดูแลของเขา เพราะจะเก็บผมไว้ต่อรองผลประโยชน์ที่คุณควรได้”

“ไม่จริง” เอวานปฏิเสธเสียงหนัก โอลิเวอร์มาเป่าหูอะไรเด็กของเขา!

“ใช่ ผมรู้ว่าเขาโกหก คุณไม่มีทางทำแบบนั้น และผมไม่ติดใจเรื่องนี้เลย” กลิ่นแก้วยังคงพูดต่อ น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อยเหมือนแค่พูดให้ฟัง “เรื่องเดียวที่ผมอยากรู้คือ... คุณรู้มาตลอดใช่ไหมว่าผมเป็นใคร เพราะแบบนั้นใช่ไหมคุณถึงดูแลผม เราไม่ได้เจอกันโดยบังเอิญ คุณไม่ได้อยากดูแลผมมาตั้งแต่แรก แต่เพราะคุณปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธ คุณถึงต้องจำใจรับผมมาดูแล”

สิ่งที่กลิ่นแก้วอยากรู้และเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องที่ว่าตนเองเป็นใคร หรือใครหวังประโยชน์อะไรจากใคร หรือแม้แต่เอวานรู้เรื่องนี้ไหม กลิ่นแก้วแค่กลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นภาระที่เอวานจำใจต้องดูแลเพียงเพราะขัดความต้องการของพี่ชายอย่างสตีเฟ่น ไรท์ไม่ได้

“เชื่อคำพูดไม่กี่คำของคนที่เพิ่งรู้จักมากกว่าฉันงั้นเหรอ?” เอวานเอ่ยถามขึ้นมา คำว่าไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธมันกระทบใจ เมื่อเขาเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ

“คำพูดของเขามันจะไม่น่าเชื่อถือเลยถ้าคุณบอกมาว่าความจริงมันเป็นยังไง คุณพูดมาสิว่าคุณไม่รู้จักพ่อผม พูดมาสิว่าสตีเฟ่น ไรท์ไม่ใช่พ่อผม พูดออกมาสิ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ดังไปกว่าปรกติ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและวอนขอ พูดมันออกมาสิเอวาน บอกทีว่ามันไม่ใช่

“ถ้าใช่แล้วยังไง ถ้าใช่แล้วเธอจะไปจากฉัน จะไปอยู่กับคนพวกนั้นเหรอ?”

“ผมไม่ได้พูด” กลิ่นแก้วปฏิเสธ ได้โปรดเถอะ เขาเหมือนจะขาดใจไปทุกทีแล้ว “ผมแค่อยากรู้จากปากคุณว่ามันเป็นความจริงใช่ไหม คุณต้องดูแลผมเพราะจำใจจริงเหรอ?”

เอวานถอนใจ จะเอื้อมไปคว้ามือเรียวแต่ถูกปัดออกทันควัน นั่นทำให้เขาอึ้งไปนิด ขณะที่กลิ่นแก้วมองอย่างตัดพ้อ เมื่อเอวานไม่ยอมพูด จะให้คิดเช่นไร เขาเป็นภาระที่จำใจรับมาไว้บนบ่าจริง ๆ ใช่ไหม

“ถ้าฉันตอบว่าไม่ใช่ จะทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม?”

เพียงพูดไปเช่นนั้น แววผิดหวังก็ฉายชัดในดวงตา อย่ามองเขาแบบนี้...

“เรื่องคำขอสุดท้ายก่อนตายมันคือความจริง ฉันทำตามคำขอของเขาจริง ๆ” เห็นเด็กตรงหน้าน้ำตาไหลแล้วเอวานก็อยากคว้ามากอด แต่ก็ต้องข่มใจไว้เมื่อเอ่ยต่อ “ฉันยอมรับว่าไม่พอใจกับวิธีการมัดมือชกของเขา แต่การดูแลเธอไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ต่อให้เธอจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็ยังปล่อยให้เธอต้องกลับไปเผชิญชะตากรรมแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี”

“.........”

“ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมายังทำให้เธอเชื่อไม่ได้ว่า... ฉันเต็มใจที่จะดูแลเธอ มันไม่ใช่การฝืนใจหรือเพราะแค่รับปากใครเอาไว้ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเสียใจที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น”

“.........” กลิ่นแก้วสะอื้น ใบหน้าเรียวส่ายไปมา ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้

“มันไม่ใช่แค่หน้าที่ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ เพราะฉันอยากทำ ฉันอยากเห็นเธอยิ้ม อยากเห็นเธอมีความสุข”

มือใหญ่ค่อยเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา

“ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ขอแค่เธอมีความสุข นั่นคือความปรารถนาเดียวของฉัน”





TBC




เป็นนิยายที่ไม่ตรงกับชื่อเรื่องเอาซะเลย :D

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ตัวแปรเริ่มมาแล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เหมือนความวุ่นวายกำลังจะมา  :hao5:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 เริ่มเหนื่อยใจกับความเป็นผู้ใหญ่ของเอวานแล้ว เหนื่อยกับการไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อีกอย่างเหนื่อยใจกับพวกคนรวยที่ไม่รู้จักพอ  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เอวานรู้ใจตัวเองซะที

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อย่าหายไปนานน๊า คิดถึง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๙ สถานะใจ



“นายทำบ้าอะไร โอลิเวอร์?”

เรื่องที่โอลิเวอร์ ไรท์เข้าไปป่วนเด็กของเอวาน เมื่อมาถึงหูผู้เป็นพี่ชายอย่างฟรานเชสโก้ เขาจึงได้เรียกอีกฝ่ายมาคุย คราวก่อนที่ให้คนไปเล่นไล่จับกับเด็กมันจนเป็นเรื่องก็หนหนึ่งแล้ว คราวนี้ยังไปประกาศศักดาแบบสิ้นคิดอีก มันช่างโง่เง่านักในสายตาเขา หากสิ่งที่โอลิเวอร์ทำคือการเป่าหูเด็กคนนั้นให้คล้อยตาม ระหว่างคนที่ไม่รู้จักกันเช่นพวกเขา กับ เอวาน เวสส์ที่อยู่ด้วยมาตั้งหลายปี คิดว่าเด็กมันจะเอนเอียงมาทางนี้หรืออย่างไร

“แค่ทักทายหลานรักของนายนิดหน่อยเอง” โอลิเวอร์ยกยิ้มกวนอารมณ์

“ด้วยการอยู่ดี ๆ ก็ไปบอกว่าเป็นญาติฝ่ายพ่อของเขา?” ผู้เป็นพี่ชายย้อนถาม

“ไม่ใช่อยู่ดี ๆ” คนพูดยิ้มยวนเมื่อเว้นช่วง ก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าฉันไม่ปูทางไว้ก่อนแล้ว จะกล้าเดินเทิ่ง ๆ เข้าไปพูดแบบนั้นได้ยังไง?”

หัวคิ้วฟรานเชสโก้เริ่มมุ่นกับประโยคนั้น “หมายความว่ายังไง?”

อีกคนทำเป็นถอนใจ กายสูงใหญ่นั้นค่อยเดินไปทางตู้โชว์ที่เก็บไวน์ชั้นดีของพี่ชายเอาไว้ เขาหยิบขวดหนึ่งในนั้นออกมาแล้วพลิกดูพลางว่า

“ก็อย่างที่นายรู้ เด็กคนนั้นรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร... ฉันหมายถึงพ่อแท้ ๆ น่ะนะ” คนพูดยังเดินไปหยิบที่เปิดขวดไวน์ ราวไม่ได้กำลังพูดเรื่องที่สลักสำคัญอะไร

และเพราะฟรานเชสโก้รู้ ถึงได้เสนอเงินก้อนโตกับริชาร์ด พาร์เลอร์ นักพนันตัวยงเพื่อเอาไปใช้หนี้เวสส์ เพียงเพราะต้องการฮุบกิจการของตาเฒ่านั่นมา หนี้สินที่ตาเฒ่านั่นมีไม่ได้หมดไป แค่ย้ายมือจากเวสส์มาเป็นไรท์ก็เท่านั้น

ในความรู้สึกของโอลิเวอร์ เขาว่าสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายทำมันเป็นการลงทุนโดยไร้ประโยชน์ ขนาดเป็นหนี้เวสส์ ตาเฒ่านั่นยังไม่มีปัญญาจ่าย แล้วอย่างนี้มันไม่กลายเป็นหนี้สูญไปหรอกหรือ แต่ฟรานเชสโก้กลับว่าบริษัทของพาร์เลอร์มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจด้านรถยนต์อยู่บ้าง หากโอลิเวอร์อยากเข้าไปบริหารต่อ ตนก็ยกให้ แลกกับการไม่เข้าไปวุ่นวายกับลูกชายของสตีเฟ่น

‘ลงทุนขนาดนี้ ลูกสตีฟหรือลูกนายกันแน่?’

นั่นคือสิ่งที่โอลิเวอร์พูดในตอนนั้น ก็เข้าใจล่ะว่าสตีเฟ่นเป็นน้องรัก ลูกชายของสตีเฟ่นก็ต้องเป็นหลานรักเป็นธรรมดา แต่เพียงเพราะอยากเหยียบตาเฒ่าวิตถารที่เคยคิดจะแตะต้องหลานรักไว้ใต้ฝ่าเท้า ถึงกับยอมทุ่มเงินไปโดยไม่ต้องคิด แถมยังยกผลประโยชน์ที่จะได้ให้เขาอีก คงมีแต่เขากระมังที่อยู่นอกสายตาคนบูชาครอบครัวแบบฟรานเชสโก้

“แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นสตีฟ”

เสียงของพี่ชายดึงโอลิเวอร์กลับมายังปัจจุบัน มันก็จริงที่เด็กคนนั้นรู้ว่าบิดาโดยสายเลือดหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร และอยู่ที่ไหน แล้วโอลิเวอร์เอาอะไรไปมั่นใจถึงขนาดเข้าไปแสดงตัวกับเด็กเช่นนั้นกัน

“ใช่ ตอนแรกเขาไม่รู้ แต่ฉันก็เปิดโลกทัศน์เขานิดหน่อย”

คนพูดไหวไหล่ หยิบแก้วไวน์แล้วเดินกลับมาที่ชุดโซฟาภายในห้องพร้อมที่เปิดขวด ไม่สนสายตาพี่ที่มองตาม ของหายากเลยนะนี่ ห้องทำงานพี่ชายของเขานี่มันเยี่ยมจริง

“นายทำอะไร?”

คำถามนั้นทำให้โอลิเวอร์หัวเราะในลำคอ ขณะรินไวน์อย่างใจเย็น “ฉันนึกว่านายจะฉลาดและรู้ทันฉันไปทุกเรื่องเสียอีก”

“.........” สายตาคมดุนั่นจับจ้องผู้เป็นน้องชายนิ่ง

“ถ้านายยังตามเรื่องเด็กนั่นอยู่ นายน่าจะรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เอวานพามันกลับไปเยี่ยมบ้าน ฉันก็เลยให้คนไปจ้างวานพี่สาวของเด็กนั่นให้ไปกระซิบบอกน้องชายผู้น่าสงสารเสียหน่อย เผื่อจะตาสว่าง จะได้รู้ว่าพ่อของมันลงไปนอนเน่าอยู่ใต้พื้นดินที่มันไปเหยียบทุกปี”

“เด็กคนนั้นก็ยอมทำตามที่คนของนายบอกให้ทำง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?” ฟรานเชสโก้เอ่ยถาม อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น

“ตอนแรกเธอก็สงสัยว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่คงคิดแล้วว่าไม่มีผลอะไรกับน้องชายที่น่ารัก ก็แค่ไปชื่นชมผู้ปกครองของเด็กมันให้ฟังว่าหล่อเหลา ร่ำรวย มีญาติพี่น้องแสนยิ่งใหญ่แบบไรท์ แถมได้ค่าขนมอีก ก็เลยยอมทำ”

“เพราะแบบนั้นนายก็เลยเข้าไปแสดงตัว?”

“นี่มันแค่เริ่มต้น” โอลิเวอร์ยังว่าอย่างไม่อนาทร

“ถ้ามีเวลาว่างมากนักก็ไปดูแลงานในส่วนของนายซะ ปรามคนของนายบ้าง อย่าเข้าไปวุ่นวายในส่วนของห้องอาหารและคลับ มีหน้าที่แค่ส่วนไหนก็ดูแลแค่ส่วนนั้น เละเทะไม่เป็นท่า”

ฟรานเชสโก้บ่นยาว เมื่อโอลิเวอร์ปล่อยให้ลูกน้องเข้ามาดูแลงานในส่วนที่เคยเป็นของมากาเร็ต และยังลามไปวุ่นวายในส่วนที่เป็นของเธอในปัจจุบันอีก

ช่วงที่ผ่านมา มากาเร็ตยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เธอเองก็คงเหนื่อยที่ต้องมางัดกับโอลิเวอร์บ่อย ๆ จึงถอยออกไปบริหารจัดการแค่ส่วนห้องอาหารและคลับเฮาส์ โดยเทขายหุ้นส่วนหนึ่งซึ่งเป็นสิทธิ์ของเธอ แต่โอลิเวอร์โต้ว่าหุ้นส่วนนั้นมันเป็นของไรท์มาตั้งแต่แรก เรื่องอะไรต้องมาซื้อหุ้นที่มันเป็นของครอบครัวตัวเอง แต่ฟรานเชสโก้ที่อยากให้เรื่องมันจบจึงซื้อส่วนนั้นคืนมา ก่อนที่จะมีใครที่ไหนมาชุบมือเปิบไป ทำให้เวลานี้เขามีหุ้นในมือมากที่สุด และสามารถตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จได้หากจำเป็น

และเมื่อหุ้นส่วนที่ตนเองอยากได้ตกไปอยู่ในมือของพี่ชาย โอลิเวอร์ก็ไม่สามารถปริปากอะไรได้ การจะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับคนสายเลือดเดียวกันมันมีแต่เสียกับเสีย เลยคิดเสียว่าอย่างน้อยมันก็ยังคงเป็นของไรท์ ไม่ใช่คนนอกเช่นมากาเร็ต

“ในเมื่อนายก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมไม่จัดการสักที เด็กนั่นเป็นลูกชายน้องสุดที่รักของนายไง สายเลือดไรท์ก็ควรอยู่กับไรท์ นี่ฉันทำเพื่อนายนะ”

โอลิเวอร์ยุส่งขณะที่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อผู้เป็นพี่ชายรู้เรื่องนั้นมาก่อนเขาก็ตั้งนานแล้ว เหตุใดยังใจเย็นอยู่เป็นปี ๆ โดยไม่คิดจะขยับตัวทำอะไรเลย จนเด็กมันโตขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยพอเด็กนั่นบรรลุนิติภาวะคงแตะไม่ได้แล้ว

“ถึงยังไงมันก็เป็นลูกสตีฟ ในฐานะพี่น้องฝั่งพ่อ เราตรวจดีเอ็นเอเพื่อครอบครองสิทธิ์เลี้ยงดูเด็กได้อยู่แล้ว” โอลิเวอร์ว่า

“นายกำลังฝันหวานอยู่รึไง?” ผู้เป็นพี่ชายสวนกลับมา “แน่นอนว่ามันตรวจได้ แล้วจะตรวจยังไง จะเดินเข้าไปขอมาดามเกวน เจฟเฟอร์สันที่รับรองบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าขอพาเด็กไปตรวจดีเอ็นเอ คิดว่าเธอจะยอมเรอะ?”

“ไม่ยอมก็ใช้กฎหมายบังคับไปสิ” โอลิเวอร์ว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยาก

“บังคับยังไง จะเอาอะไรไปบังคับ?”

“.........” หัวคิ้วโอลิเวอร์ขมวดเมื่อฟรานเชสโก้เอาแต่ตั้งคำถาม

“ถ้าจะให้ถึงขั้นฟ้องร้องกัน ฉันก็จะถามนายอีกว่านายจะเอาอะไรไปฟ้อง แค่คำว่าสงสัยว่าจะใช่ ศาลไม่มีทางสั่งให้พิสูจน์เพียงเพราะมูลเหตุแค่นั้น ไม่งั้นอยู่ดี ๆ นึกอยากสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นลูกก็ให้ศาลสั่งพิสูจน์กันได้ทั้งโลก”

“.........” โอลิเวอร์วางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะไม่เบานัก เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ถ้าสมมติว่าเด็กคนนั้นคือสายเลือดของไรท์แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ กว่านายจะดันขึ้นไปต่อกรกับมากาเร็ตได้ สู้นายปะทะกับเธอไปเลยยังได้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าเอาเด็กมาเป็นโล่เสียอีก” มองสีหน้าดื้อแพ่งของผู้เป็นน้องแล้วฟรานเชสโก้ก็ถอนใจ “ในเมื่อนายกลัวว่าจะมีคนมาแย่งผลประโยชน์ การเอาเด็กคนนั้นเข้ามา ผลประโยชน์ที่นายควรจะได้ไม่ต้องถูกแบ่งไปอีกหรอกเหรอ?”

“ถึงยังไงเด็กนั่นก็มีความเกี่ยวพันโดยสายเลือด ไม่เหมือนมากาเร็ต วิลสันที่เป็นคนอื่น แล้วอีกอย่าง เด็กกล่อมง่ายกว่าคนหัวแข็งแบบยายนั่น” โอลิเวอร์ยังว่า

“ถ้าเอาเด็กมาเพราะหวังเพียงผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ พอโดนเชือดไป นายก็หาวิธีใหม่ เอวานไม่มีทางยอมปล่อยมาแน่” ฟรานเชสโก้ยังยกเหตุผลร้อยแปด

ขณะที่อีกคนท้าเหยง “นายจะกลัวอะไร เวสส์มันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว”

“ถ้ามีแค่เวสส์ก็คงไม่เท่าไร แต่ถ้ารวมเฟอร์ริงตันด้วย...”

“ใครมันจะยื่นเท้าเข้ามาเสือกให้ตัวเองมีปัญหา” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ โอลิเวอร์ก็แทรกขึ้นมาเสียงหยัน

“นายอาจจะลืมว่าเอวาน เวสส์ก็เป็นลูกรักของอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เมื่อลูกของเขามีปัญหา นายคิดว่าเขาจะอยู่เฉยหรือเปล่า?”

“.........” ความจริงข้อนี้ทำให้โอลิเวอร์นิ่งไป เฟอร์ริงตันก็พวกบูชาครอบครัวไม่ต่างอะไรกับฟรานเชสโก้

“กับคนที่นายคบเพื่อผลประโยชน์ พอถึงเวลาจะมีใครยื่นมือเข้ามายุ่งสักกี่คนกัน ในขณะที่เอวานมีทั้งเวสส์และเฟอร์ริงตัน นายมีอะไรพอจะไปต่อกรได้ ไม่มีใครช่วยถ้านายไม่มีผลประโยชน์มากพอ”

“.........” ท่าทีคนเป็นน้องยังกระด้างกระเดื่อง ไม่อยากยอมแม้จะจนด้วยเหตุผลแล้วก็ตาม

“หุ้นในคาสิโนส่วนที่เป็นของเราสามคนพี่น้อง มันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แถมเวลานี้กำลังไปได้สวยเพราะลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ซึ่งมากาเร็ตก็มีส่วนไม่น้อย”

“.........”

“ฉันรู้ว่านายรู้ ถึงได้ยังปล่อยให้เธอลอยหน้าอยู่ที่นี่แบบที่นายพูดเสมอว่าไม่ชอบ จนฉันนึกว่าจะอยู่ร่วมกันได้แล้วเสียอีก”

“นายเป็นพวกรักสงบตั้งแต่เมื่อไร?” โอลิเวอร์รวน

“ฉันเคยไม่รักสงบด้วยเหรอ?” ผู้เป็นพี่ย้อน

ฟรานเชสโก้ก็เป็นแบบนี้ แค่ไม่แตะครอบครัวที่บูชายิ่งก็จะไม่มีปัญหากับคนอย่างฟรานเชสโก้ หากเห็นว่ามีประโยชน์ก็ปล่อยผ่าน รกหูรกตาก็ทำให้หายไปแบบเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตากแบบโอลิเวอร์

ภายในห้องทำงานของฟรานเชสโก้กลับสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อโอลิเวอร์ออกไปแล้ว แก้วไวน์ที่หมอนั่นดื่มยังตั้งอยู่ที่เดิมพร้อมขวดและที่เปิด หนุ่มเจ้าของห้องถอนใจ หยิบขวดไวน์ไปเก็บที่เดิมแล้วเดินไปหลังโต๊ะทำงาน เปิดชั้นเก็บของข้างโต๊ะก่อนหยิบซองใส่เอกสารในนั้นออกมา

รูปถ่ายมากมายถูกเลื่อนออกมาจากซอง มือหนาค่อยหยิบมาดูทีละรูป เวลานี้เขาเหมือนเป็นโรคจิตที่ตามติดชีวิตเด็กในรูปไปแล้ว เด็กผู้ชายที่ค่อยเติบโตขึ้นท่ามกลางความสดใสจากรอยยิ้มของเจ้าตัว

เมื่อรู้สึกว่าเด็กในรูปเป็นหนึ่งในสายเลือดของไรท์ ฟรานเชสโก้ก็ไม่อยากทำอะไรรุนแรง จากที่ไม่พอใจและอยากเหยียบย่ำสิ่งที่เกิดมาจากความรักจอมปลอมที่น้องชายเทิดทูนนักหนากระทั่งยอมทิ้งทุกอย่างไป แต่เมื่อคอยเฝ้ามองและเห็นว่าเด็กคนนั้น คนที่มีสายเลือดของไรท์ไหลเวียนอยู่ไม่ต่างจากเขากำลังมีชีวิตที่ดี หากเขาดึงเข้ามาในวังวนของความกระหายอยากที่ไม่มีวันจบสิ้น รอยยิ้มที่เขาเห็นอยู่ในวันนี้ก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอีกต่อไป

เหตุที่สตีเฟ่นปิดบังซ่อนเร้นก็เพราะไม่อยากให้เขาไปดึงเด็กคนนั้นมา เพราะตัวสตีเฟ่นเองไม่เคยชอบการแก่งแย่งและอยากหนีไปให้ไกลสุดหล้า แต่ทำไม่สำเร็จ มีหรือที่จะอยากให้ลูกของตัวเองต้องมาแปดเปื้อน ต้องเข้ามารับช่วงต่อในสิ่งที่ตัวเองเคยผ่านพ้นมาและรู้ดีว่ามันสกปรกแค่ไหน

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ฟรานเชสโก้เอาแต่เฝ้าดูเด็กคนนี้อยู่ห่าง ๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนรูปถ่ายช่างคุ้นตา มันช่างเหมือน เหมือนจนเกินไป ราวเห็นภาพทับซ้อนของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่หยิ่งทะนง แม้แทบจะหมดสิ้นหนทางกลับยังเชื่อในอานุภาพของคำว่ารักจนน่าขำ

ใช่ น่าขำ เขานี่ล่ะที่น่าขำ น่าขำสิ้นดีที่เพิ่งรู้ว่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไปโดยไม่สามารถแก้ไขมันได้อีก...


..........


เครื่องบันทึกเสียงถูกนำออกมาจากกล่องเก็บของที่เอวานเกือบจะทิ้งไปแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดฟังไปเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้

เอวานเดินเข้าไปหาเด็กที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียงนอนของเขา หลังจากที่เขาสารภาพทุกอย่างไป กลิ่นแก้วไม่ได้พูดอะไรนอกจากร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จะเชื่อที่เขาพูดไหม หรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังดีหน่อยที่ยอมตามเขากลับมาโดยดี

ตัวสูงใหญ่ค่อยนั่งลงบนเตียง ส่งเครื่องบันทึกเสียงที่ไม่รู้ว่ายังใช้การได้อยู่ไหมไปให้เด็กข้างกาย กลิ่นแก้วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยหันมามองมันด้วยแววตาว่างเปล่า

“คำขอของสตีฟ ฉันได้มันมาในวันที่เขาหมดลมหายใจไปแล้ว”

“.........” ดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้มองสิ่งที่อยู่ในมือเอวานนิ่ง

“เธอพูดถูก เขาไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธของฉันจริง ๆ” เอวานยังคงพูด ในขณะที่อีกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด “เธออยากฟังมันไหม?”
มองนิ่งอยู่นานกลิ่นแก้วถึงได้รับของชิ้นนั้นไป แต่ก็ถือเอาไว้บนหน้าตัก ไม่ได้คิดจะสนใจมันไปมากกว่านั้น พวกเขาต่างนั่งเงียบเมื่อเอวานไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะสิ่งที่อยากพูด เขาก็ได้พูดไปหมดแล้วที่สุสานนั่น ก็สุดแท้แต่ว่ากลิ่นแก้วจะคิดอย่างไร

“คุณช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”

เป็นนานกว่ากลิ่นแก้วจะพูดขึ้นมา เอวานจึงค่อยหันมามอง สบเข้ากับตากลมที่ช้อนมองเขาอยู่ก่อนแล้วขณะฟังคำขอ

“เรื่องของพวกเขา... เรื่องพ่อกับแม่ของผม”

กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ใช่ลูกชายโดยสายเลือดของแคทเธอรีน เดลลาร์ เคยถูกเพื่อนล้อบ่อยครั้งที่ไม่เหมือนใครในครอบครัวเลย แต่แคทเธอรีนก็คอยปลอบโยนและบอกอยู่เสมอว่าเขาเป็นลูก ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร เขาก็เป็นลูกของเธอ หากเขาเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจ แสดงว่าเขานึกเสียใจที่เป็นลูกของเธอ นั่นทำให้กลิ่นแก้วไม่ใส่ใจกับคำพูดของใครที่ไหนอีก จะเป็นมารดาที่แท้จริงหรือไม่แล้วอย่างไรล่ะ เพราะคนที่อุ้มชูและรักเขามากกว่าใครก็คือเธอคนนี้ แคทเธอรีน เดลลาร์ คนนี้คนเดียว

ช่วงที่ต้องย้ายมาอยู่กับน้าชายเช่นนายเจค กลิ่นแก้วเคยคิด เคยเฝ้าคิดว่าเหตุใดตนจึงไร้พ่อขาดแม่ ทั้งสองคนไม่ต้องการเขาหรือ เขาจึงถูกทอดทิ้ง แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นบิดาที่แท้จริงอย่างสตีเฟ่น ไรท์เฝ้าตามหา นั่นทำให้กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ได้ไม่เป็นที่ต้องการ แต่มีเหตุให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทำให้เกิดความอยากรู้ว่ามารดาที่แท้จริงของตนคือใคร และอดคาดหวังไม่ได้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ คาดหวังให้ใครสักคนที่สำคัญในชีวิตยังมีลมหายใจ แต่ก็คงได้แค่หวังเมื่อเอวานบอกว่าคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

เรื่องมารดาของกลิ่นแก้ว เอวานรู้เพียงว่าเธอชื่อกิ่งกานต์ หญิงชาวเอเชียที่ถูกนายหน้าหลอกมาทำงานและปล่อยลอยแพ เธอเจอกับสตีเฟ่นได้อย่างไรนั้นเขาไม่รู้ แต่สตีเฟ่นดูจะรักเธอมากจนคิดวางมือจากทุกอย่างแล้วไปใช้ชีวิตด้วยกันที่ประเทศของเธอ ชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแก่งแย่ง แต่สิ่งที่วาดฝันไว้กลับไม่เป็นไปตามต้องการ เมื่อทั้งคู่ถูกไรท์จับแยกกัน สตีเฟ่นยอมกลับไรท์และทำทุกอย่างตามที่สั่งเพื่อแลกกับความปลอดภัยของสาวคนรัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเธอเป็นอยู่อย่างไร จะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่คาดหวังไหม

กระทั่งเวลาผันผ่าน สตีเฟ่นก็ได้รับรูปถ่ายของลูกน้อยโดยไม่รู้ที่มา แต่นั่นทำให้เขาได้รู้ว่ากิ่งกานต์ไม่ได้ไปจากที่นี่ จึงได้ให้คนสนิทช่วยสืบหา แต่กว่าจะพบก็สายไป เมื่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว และไม่รู้ว่าลูกของเธอกับเขาไปอยู่ที่ไหน

สตีเฟ่นหมดอาลัยในชีวิต อาการป่วยไข้ทางใจมันรักษาไม่หายจนส่งผลมาถึงร่างกาย จากคนเคยแข็งแรงกลับโรยราแทบไม่อยากหายใจให้เหนื่อยหนัก แต่เมื่อนึกถึงลูกน้อยที่ไม่รู้ดีร้ายอย่างไรจึงฮึดสู้ต่อโรคภัย จนได้รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่กับแคทเธอรีน เดลลาร์ และเอวานก็มารับไม้ต่อ

“วันที่เราเจอกันมันคือความบังเอิญ” เอวานเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังจำได้ดี “ฉันกำลังจะไปที่เดลลาร์ ดี เพราะหลังจากที่สตีฟขอให้ตามหาเธอต่อ ฉันก็ได้ข้อมูลมาว่าเธออาศัยอยู่ที่ร้านนั่น ซึ่งมันก็เป็นความโชคดีอยู่อย่างที่ได้เจอกับเธอตอนนั้นพอดี เพราะไม่อย่างนั้นเราคงคลาดกันไปอีก”

ถึงตรงนี้กลิ่นแก้วรู้สึกอยากขอบคุณความบังเอิญนั้นเหลือเกิน หากไม่เจอกับเอวานในวันนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร ต้องกลับไปเผชิญชะตากรรมแบบไหน หรือต้องระหกระเหเร่ร่อนไปที่ใด

“ตอนนั้นเขาบอกกับฉันแค่ว่าอยากเจอเธอสักครั้ง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปไม่มีวันกลับ”

ได้รู้แบบนั้นแล้วกลิ่นแก้วก็สะท้อนในอก รู้สึกเจ็บร้าวเมื่อเรื่องที่ตนเองกำลังฟังคือเรื่องของบิดาซึ่งไม่มีโอกาสจะได้พบเจอกันอีกแล้ว นอกจากคำบอกเล่าเหล่านี้

“คุณก็เลยช่วยเขาตามหาผมเหรอครับ?”

เอวานถอนหายใจ “เขาเป็นทุกข์”

“.........”

“และฉันคิดว่ามันคงเป็นความปรารถนาเดียวในชีวิตของเขา เขามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเธอ”

“.........” มือเรียวกำเข้าหากัน ทำให้ของที่ถืออยู่กดกับผิวเนื้อจนเจ็บ คำว่ามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเขา มันกระทบใจรุนแรงเหลือเกิน

“แต่เอาเข้าจริงฉันกลับโดนต้มซะเปื่อย” เอวานยิ้มขันเมื่อนึกถึงมัน ก่อนนี้เขายังเจ็บปวด โกรธเกรี้ยว เคืองขุ่น สารพัดจะเป็น แต่เมื่อเวลาผ่านพ้น กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก “หมอนั่นรู้ดีว่าเธออยู่ที่ไหน และคอยดูแลเธออยู่ห่าง ๆ มาตลอด แต่เพราะเขากำลังจะตาย เลยคาดหวังที่จะให้ใครสักคนมาดูแลเธอต่อจากเขา คนที่จะปกป้องเธอได้ คนที่พอจะคานอำนาจไรท์ได้ และฉันก็ดันกลายเป็นคนที่ถูกเลือก”

กลิ่นแก้วพอเข้าใจความรู้สึกของเอวาน การตกเป็นเบี้ยล่าง การถูกหลอกใช้และปั่นหัว ไม่แปลกอะไรที่เอวานจะโกรธ แต่สุดท้ายความโกรธเหล่านั้นกลับหาที่ลงไม่ได้ เพราะคนต้นเรื่องไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้เพียงปัญหากับภาระที่หนักอึ้ง

“ฉันเคยไม่พอใจที่เขามันเจ้าเล่ห์ วางแผนสารพัดเพื่อมัดมือชกฉัน แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกขอบคุณ”

อุ้งมือใหญ่ค่อยสัมผัสข้างแก้มเนียน ปลายนิ้วปัดไล้เบา ๆ ขณะที่สายตาของทั้งคู่สบกันด้วยความรู้สึกที่ต่างไป

“ถ้าไม่ใช่เพราะสตีฟ ฉันคงไม่ได้เจอเธอ”

“..........” น้ำตาที่คิดว่ามันหยุดไหลไปแล้วกลับร่วงผล็อยลงมาอีก

“อย่าร้องไห้ เพราะมันทำให้ฉันปวดใจทุกทีที่สาเหตุของการร้องไห้มันมาจากฉัน”

กายสูงใหญ่ค่อยโน้มไปหา กดจูบซับน้ำตาที่ไหลเคลียแก้ม ค่อยเลื่อนมายังริมฝีปาก กดย้ำลงไปอย่างต้องการปลอบประโลม ต่อเมื่อริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นรับจูบ เอวานจึงค่อยบดเบียดกลีบปากนุ่มช้า ๆ...


..........


หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ดูเหมือนทุกอย่างจะยังดำเนินไปเป็นปรกติ แต่ในความรู้สึกส่วนลึกกลับไม่ค่อยปรกติสักเท่าไรนัก เมื่อการหักห้ามใจดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับเอวาน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเผลอไผล เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาควรจะหยุดเมื่อได้สติ แต่เขากลับยังปล่อยให้มันเป็นไป ทั้งที่เคยบอกกับกลิ่นแก้วแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก

“อยากเรียนศิลปะป้องกันตัว?”

เหมือนว่าเอวานจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องใหม่มาให้คิดแทน เมื่อวันหนึ่งกลิ่นแก้วก็มาขออนุญาตไปเรียนการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยเหลือตัวเองเวลาคับขันได้ ช่วงนี้มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อย ตอนเจอโอลิเวอร์ก็รู้สึกเป็นภาระให้ทอมัสต้องพะวงกับเด็กที่ไม่รู้จักเอาตัวรอดแบบตนเอง

“เฟอร์ริงตันมีสถานที่ฝึกเฉพาะทางเอาไว้ฝึกบอดีการ์ด แต่ถ้าเธอแค่อยากรู้วิธีป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน ฉันก็จะขอเซย์ให้” เอวานว่าอย่างนั้น หลังจากนิ่งฟังเหตุผลจากเด็กของตนอยู่สักพัก

กลิ่นแก้วออกจะแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมง่าย ๆ แต่เมื่อได้ยินชื่อเฟอร์ริงตันก็เริ่มจะไม่แปลกใจแล้ว เอวานยอม แต่ก็ยังมีข้อแม้เหมือนเดิม

“ไม่ต้องถึงขั้นเฟอร์ริงตันก็ได้มั้งครับ แค่โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวธรรมดาก็ได้”

“ฉันไว้ใจที่นี่มากกว่า”

“.........” จะแย้งอะไรได้ ก็คุณเขาพูดมาแบบนั้นแล้ว เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปล่ะนะ

อันที่จริงโรงเรียนประเภทนี้ก็มีให้เลือกมากมาย ที่ที่เอวานไปฝึกมือบ่อย ๆ ก็ไม่เลวนัก แต่อย่างที่บอก หากจะปล่อยเด็กให้ไปไกลตา เขาก็ไว้ใจเซย์มากกว่า ถึงแม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กของเขา แต่ก็ยังถือว่าสนิทกันอยู่

ทางด้านโอลิเวอร์ที่โผล่มาจนเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อคราวนั้น ช่วงนี้กลับเงียบหายไปราวไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน บทจะมาก็มา บทจะหายก็หาย พอนิ่งนอนใจหน่อยก็คงโผล่มาอีก ไม่น่าไว้ใจเลยจริง ๆ

เอวานติดต่อเซย์เรื่องจะให้เด็กไปเรียนป้องกันตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ว่าจะช่วยดูให้ ช่วงนี้ยังไม่เปิดภาคเรียนใหม่ทำให้กลิ่นแก้วไปสถานฝึกบอดีการ์ดของเฟอร์ริงตันทุกวัน ตอนแรกเอวานก็เห็นดีด้วยอยู่หรอก แต่พอนานวันเข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าให้ไปเลย เพราะมันกลายเป็นข้ออ้างที่กลิ่นแก้วเอามาใช้ในการหลบหน้าเขา

ปรกติถ้าได้ไปโรงเรียน เวลาเขากลับเจฟเฟอร์สันช่วงวันหยุด กลิ่นแก้วจะต้องมาหา มาพูดเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง หรือแม้แต่ช่วงปิดภาคเรียนแล้วไปช่วยงานมารดาของเขาก็ยังมีเรื่องมาเจื้อยแจ้วให้ฟังทุกที แต่หลังจากไปเรียนศิลปะป้องกันตัวอะไรนั่นก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้า อ้างว่าเหนื่อยบ้าง อยากพักผ่อนบ้าง หรือบางครั้งก็ออกงานสังคมกับมารดาของเขา กลับดึกก็ง่วง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะวันธรรมดาเขาไม่ได้กลับมานอนที่เจฟเฟอร์สัน ได้กลับเฉพาะช่วงเย็นของวันหยุด และออกไปทำงานในเช้าวันธรรมดา ทำให้เวลาเจอกันที่มันค่อนข้างน้อยยิ่งน้อยขึ้นไปอีก

...หรือบางที การอยู่ห่างจากเขาอาจจะดีกับกลิ่นแก้วมากกว่าก็ได้...


.........

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ กลิ่นแก้วขอกลับมาใช้รถรับส่งของโรงเรียน โดยใช้เรื่องที่ตนเองฝึกทักษะป้องกันตัวจากเฟอร์ริงตันมาพักหนึ่งแล้วมาอ้าง และช่วงที่ผ่านมา โอลิเวอร์ ไรท์ ก็หายเงียบไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน บางทีอาจจะไม่เข้ามาวุ่นวายอีกแล้วก็ได้

แม้ในทีแรกเอวานจะไม่เห็นด้วยนัก เพราะไม่ไว้ใจฝั่งไรท์ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก หากมัวชะล่าใจอาจพลาดท่าเสียทีเอาได้ แต่เมื่อเกวนเอ่ยปากขอเพราะไม่อยากให้ตีกรอบเด็กมันนัก เอวานจึงไม่ได้ขัดอะไรอีก เพราะถึงไม่ได้ให้รถจากเจฟเฟอร์สันคอยรับส่งก็ยังมีคนที่เขาส่งไปเฝ้าคอยดูแลอยู่

ช่วงปิดภาคเรียนของกลิ่นแก้วจบลงพร้อมกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นั่น ขณะที่คาร์เตอร์ผู้มีอิสระในการใช้ชีวิตก็ยังอยู่หอพักและทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดเหมือนเดิม แม้จะยังได้ค่าขนมจากครอบครัวอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็ยังหาประสบการณ์ในการทำงานนอกบ้านไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ที่กลิ่นแก้วกลับไปอยู่เจฟเฟอร์สัน คาร์เตอร์ก็ย้ายออกจากหอพักเดิมมาที่ใหม่ ซึ่งค่าเช่าถูกกว่าที่เดิมมากกว่ามาก แม้ห้องหับจะเล็กกว่า และสิ่งอำนวยความสะดวกจะน้อยกว่า ก็ถือว่ายังอยู่ในขั้นที่พอรับไหว แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าการออกมาอยู่นอกบ้านอย่างแท้จริง

“ที่บ้านนายสั่งห้ามไม่ให้ออกมาอยู่ข้างนอกเลยรึเปล่า?”

หลังหมดคาบวิชาสุดท้ายของวัน พวกเขาก็มารวมตัวกันตรงที่ประจำของกลุ่มเพื่อรอรถกลับบ้าน คาร์เตอร์เอ่ยถามกลิ่นแก้วซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังอยู่บ้าน เพราะหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคราวนั้น พี่ชายกลิ่นแก้วก็ให้กลับไปอยู่ที่บ้าน มาโรงเรียนก็มีรถที่บ้านคอยรับส่ง มีตอนนี้ล่ะที่เห็นว่ามาโรงเรียนเองได้แล้ว

“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปสักหน่อย ช่วงปิดเทอมฉันไปเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวมา เอวานจะได้ไว้ใจให้ไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง”

กลิ่นแก้วบอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ที่มาโรงเรียนเองได้ไม่ใช่เพราะเอวานไว้ใจว่าดูแลตัวเองได้แล้วหรอก เพราะมีมาดามเจฟเฟอร์สันช่วยพูดต่างหาก ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง แต่บางทีก็อยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

“ทำอย่างกับเรียนมาแล้วนายจะต่อสู้เก่งเหมือนพระเอกหนัง ตัวแค่นี้ เจอเท่าพวกที่มาวิ่งไล่เราคราวก่อนผลักทีเดียวนายก็กระเด็นแล้ว อย่าว่าแต่ง้างหมัดเลย”

คาร์เตอร์หัวเราะเหอะ ๆ เมื่อนึกสภาพเพื่อนตามที่พูด ในกลุ่มพวกเขา กลิ่นแก้วตัวเล็กสุด ในขณะที่ลอยน์ถึงจะผอมแต่ก็สูงเกือบเท่าคาร์เตอร์ที่สูงใหญ่ตามแบบฉบับหนุ่มชาวตะวันตก ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตัวหนาสมเป็นนักกีฬาของห้องกันทั้งนั้น

“แรงสู้ไม่ได้ก็ยังมีกึ๋นล่ะน่า”

กลิ่นแก้วแย้ง ก่อนฟาดคาร์เตอร์ที่ลอยหน้าลอยตาทำปากขมุบขมิบล้อเลียนไปที ขณะที่คนโดนฟาดลูบต้นแขนตัวเองทั้งแยกเขี้ยว มือก็เล็กกว่าเขา แต่ฟาดมาทีแสบไปถึงทรวงเลย บ้าเอ๊ย

“บ้านนายห่วงนายมากไปรึเปล่า เด็กผู้ชายน่ะนะมันต้องออกไปเผชิญโลกกว้างบ้าง จะได้รู้จักดูแลตัวเองและเข้มแข็งพอเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ นี่อย่างกับจะขังเอาไว้ในกรง ไม่ต้องให้ทำอะไร จะหยิบ จะจับ จะไปไหนก็มีคนคอยรองมือรองเท้า แม่ฉันยังให้อิสระฉันได้ทำตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ แค่อย่านำความเดือดร้อนมาให้ก็พอ” คาร์เตอร์ร่ายยาวเมื่อนึกเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน “นายไม่ลองขอพี่นายดูอีกทีล่ะ ถ้านายอยากออกมาอยู่ข้างนอก ไปอยู่ที่เดียวกับฉันก็ได้ ลอยน์ก็อยู่ห้องข้าง ๆ มันหาคนหารค่าห้องอยู่ แต่ฉันชอบฉายเดี่ยวมากกว่าน่ะนะ”

กลิ่นแก้วที่ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ถอนใจ ก็อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองอยู่หรอก แต่ก็รู้ดีว่าถ้าทำแล้วเกิดอะไรขึ้นมา คนที่เป็นห่วงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเอวาน และยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่แค่เด็กตามชนบทธรรมดาแบบที่คิด ก็เลยเข้าใจเอวานอยู่นิดหน่อยว่าทำไมถึงเข้มงวดนัก

“ถ้านายไม่กล้า ให้ฉันช่วยไหม?” อยู่ ๆ คาร์เตอร์ก็เสนอตัวขึ้นมาหลังจากมองเพื่อนถอนหายใจเฮือก ๆ อยู่สองสามที

“ช่วยอะไร?” มองหน้าอีกฝ่ายงง ๆ จะไปคุยกับเอวานหรืออย่างไร แบบนั้นจะโดนเอวานงับหัวเอาน่ะสิ ยิ่งไม่ถูกชะตากับคาร์เตอร์อยู่

“น้าสาวฉันกับพี่ชายนายคบกันอยู่นี่ ฉันบอกน้าให้ช่วยพูดให้เอาไหม พี่ชายนายน่าจะยอมนะ ขนาดคราวก่อนยังให้นายกับฉันพักด้วยกันเลย”

มันก็จริงที่คราวก่อนเอวานยอมให้คาร์เตอร์มาเป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักเดียวกันเพราะวาเนสซ่าขอ แต่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้กลิ่นแก้วอารมณ์บูดขึ้นมาเฉย ๆ เลยบอกปัดไปแบบไร้เยื่อใย

“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากกวน” ว่าพลางลุกขึ้นสะพายกระเป๋า

“อะไรว้า”

คาร์เตอร์ลากเสียงไม่ได้ดั่งใจ ความจริงไม่ใช่แค่เพราะพี่ชายไม่อนุญาตหรอก เพราะกลิ่นแก้วเองก็เป็นลูกแหง่ติดพี่ด้วยถึงได้ยอมอะไรง่าย ๆ ทั้งที่มีวิธีจะทำให้ได้ออกมาใช้ชีวิตอิสระข้างนอกแบบนี้แล้ว

เด็กหนุ่มเดินตามไปคว้ากอดคอเพื่อน อีกฝ่ายฮึดฮัดแต่เพราะแขนแข็งแรงนั่นรัดไว้เลยยอมหยุดเพราะเหนื่อยเปล่า คาร์เตอร์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะพากันเดินออกมาหน้าโรงเรียนเมื่อรถรับส่งมาจอดรอแล้ว

แต่ก่อนที่จะทันได้ก้าวขึ้นรถ สองหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อมีรถส่วนตัวอีกคันแล่นมาจอดเทียบ ผู้ที่ก้าวลงจากรถมาทำให้กลิ่นแก้วหันไปมองคาร์เตอร์ อีกฝ่ายไหวไหล่ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าน้าสาวของตนเองมาทำไม



วาเนสซ่าพากลิ่นแก้วแวะร้านอาหารหลังจากพาคาร์เตอร์ไปส่งบ้านแล้ว หลานชายของเธอพอออกมาอยู่หอพักก็ไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง วันนี้พี่สาวเธอเลยเรียกกลับไปทานข้าวเย็นด้วย เธอจึงอาสามารับโดยเอ่ยชวนกลิ่นแก้วมาด้วยกัน ส่งคาร์เตอร์แล้วก็จะเลยไปส่งกลิ่นแก้ว เพราะต้องผ่านเจฟเฟอร์สันก่อนจะถึงที่พักของเธออยู่แล้ว

กลิ่นแก้วที่ไม่กล้าปฏิเสธคำชวนทำให้เวลานี้ต้องมาอยู่ที่ร้านอาหารกับเธอด้วย เพราะเธอบอกแวะทานอะไรกันสักหน่อยแล้วค่อยกลับ เธอมีเรื่องจะคุยด้วย พอเห็นเขาคอยมองแต่นาฬิกาข้อมือจึงว่าจะบอกเอวานเองว่าที่กลับช้าเพราะมากับเธอ

วาเนสซ่าสั่งขนมกับน้ำมาให้เมื่อกลิ่นแก้วบอกยังไม่หิวไม่เท่าไร ขณะที่เธอก็ทานอาหารของตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน แม้จะรู้สึกได้ว่าถูกเด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลอบมองอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม กระทั่งทานเสร็จเธอก็เช็ดปาก ยกน้ำขึ้นดื่มด้วยความใจเย็น ต่างกับผู้ร่วมโต๊ะที่เริ่มออกอาการอยู่ไม่สุขให้เห็น

“ช่วงนี้เอวานดูเครียด ๆ”

เมื่อเธอเริ่มพูด กลิ่นแก้วก็ชะงัก ตอนแรกเขาแค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกจนน่าอึดอัด แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แค่บรรยากาศระหว่างกันที่มันแปลก การเริ่มประโยคของวาเนสซ่าก็แปลก อยู่ ๆ มาพูดเรื่องเอวานเครียด ต้องการอะไรจากเขาอย่างนั้นหรือ

“เธอคงสงสัยว่าฉันพาเธอมาที่นี่ทำไม” วาเนสซ่าเริ่มเข้าประเด็น “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน”

สีหน้าคนพูดดูจริงจังขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วพลอยเกร็งไปด้วย เมื่อไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร ราวมีชนักปักหลังจากความรู้สึกที่ซุกซ่อน แม้คนอื่นไม่รู้ แต่กลิ่นแก้วก็รู้ดีแก่ใจจึงได้กลัว กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าจะล่วงรู้มัน

“เธอรู้สึกยังไงกับเอวาน?”

คำถามนั้นทำเอาใจกลิ่นแก้วถึงกับกระตุกวูบ “อ... อะไรนะครับ?”

“ฉันว่าเธอได้ยินชัดเจนดีแล้ว”

ดวงตากลมกะพริบปริบ ขยับนั่งตัวตรง กระแอมเบา ๆ เมื่อรู้สึกเสียอาการกับคำถามของอีกฝ่าย “ทำไมคุณถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ?”

“ฉันต้องการคำตอบ ไม่ใช่ให้มาถามกลับ”

หญิงสาวตรงหน้าเวลานี้ดูแตกต่างจากทุกที แม้กลิ่นแก้วจะไม่ได้สนิทกับเธอ แถมยังดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้ชอบเขานัก แต่ที่ผ่านมาเธอก็ยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดี พูดจากับเขาดี มาคราวนี้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

“เอวานเป็นผู้มีพระคุณ เขาเป็นคนให้ชีวิตใหม่กับผม” เขาตอบกลับไปเช่นนั้น

วาเนสซ่าหัวเราะในลำคอ ไม่ต่างอะไรกันเลย ทั้งเอวานและเด็กคนนี้ คนหนึ่งก็บอกเป็นแค่เด็กในความดูแล อีกคนก็บอกเป็นผู้มีพระคุณ ตลกสิ้นดี

“ถ้าเป็นแค่นั้นจริง ฉันก็สบายใจ” ดวงตาคู่สวยมองเด็กตรงหน้าไม่ละ “เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกับเอวานกำลังคบหาดูใจกันอยู่ และอาจจะถึงขั้นหมั้นหมายหรือแต่งงานกันในอนาคต... มันควรจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่มีเธออยู่”

“..........” ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าแววตาเธอโกรธขึ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ฉันเข้าใจเธอนะ ในฐานะที่ฉันก็มีพี่สาว และเราสนิทกันมาก แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้พี่แต่งงาน ไม่อยากให้ใครมาแย่งพี่ของฉันไป ฉันต้องการให้พี่อยู่กับฉัน ฉันเกลียดคนที่มาแย่งความรักจากพี่สาวของฉัน...”

“.........” กลิ่นแก้วรู้สึกเหมือนกลืนน้ำลายลำบาก ค่อยหลุบสายตาลง เมื่อทุกคำที่เธอพูดราวกับมานั่งอยู่กลางใจ... ใจที่ดำมืดของเขา

“แต่พอฉันโตขึ้น ฉันก็ได้รู้ว่าความรักที่พี่มีให้ฉันมันไม่ได้หายไปไหน เพราะความรักที่ให้ฉันกับผู้ชายคนนั้นมันคนละแบบกัน มันไม่มีใครที่จะมาแทนที่ใคร พี่รักเขาก็ไม่ได้แปลว่าจะรักฉันน้อยลง ฉันก็ยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวที่พี่รักเสมอ เรายังรักและดูแลกันเหมือนเดิม”

“.........”

“เพราะฉันเคยผ่านจุดนั้นมา ฉันถึงเข้าใจ เพราะเธอยังเด็ก เธออาจไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันรั้งใครไว้ เธอเห็นแก่ความสุขของตัวเองจนหลงลืมไปหรือเปล่าว่าเขาก็ควรมีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ใช่มาผูกติดอยู่กับเธอแบบนี้ตลอดไป”

“.........” กลิ่นแก้วยังนิ่ง แม้อยากตอบโต้ว่าตนเองไม่ใช่ตัวถ่วงความสุขของใคร แต่ก็ทำไม่ได้ บางทีที่วาเนสซ่าพูดมันอาจจะจริงก็ได้

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เหมือนฉันเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กยังไงไม่รู้”

กลิ่นแก้วเบือนหน้าไปทางอื่น เขาไม่รู้หรอกว่าเวลานี้ตนเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ สิ่งเดียวที่รู้สึกตอนนี้คืออึดอัดคับข้องในหัวอก เขารู้ดีว่าเอวานไม่ใช่ของเขา วันหนึ่งข้างหน้าเอวานก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง ต้องทุ่มความรักความเอาใจใส่ทั้งหมดให้กับครอบครัวของตัวเอง ถ้าถึงวันนั้นแล้วเขาล่ะ?

ใช่ ที่เขารู้สึกแบบเดียวกับที่วาเนสซ่าพูด แต่พอถูกตอกย้ำ ในใจกลับยิ่งขัดแย้ง เขารั้งเอวานไว้หรือ เอวานไม่มีความสุขหรือ เขาเคยคิด ไม่ใช่ว่าไม่คิด เขาเกาะติดเอวานมากไปใช่ไหม เรียกร้องมากไปหรือเปล่า...

วาเนสซ่าถอนหายใจเบา หลังจากดูท่าทีของอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ “ถ้าพูดกันตามจริง ในอนาคตข้างหน้า คนที่จะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกับเอวานอาจไม่ใช่ฉัน เขาอาจมีคนใหม่เข้ามาในชีวิต และเราสองคนก็ต่างคนต่างไป”

“.........”

“ฉันรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอมาก เขาคงไม่สามารถลงเอยกับใครได้เพราะห่วงความรู้สึกของเธอ เขากลัวว่าเธอจะน้อยอกน้อยใจ กลัวเธอคิดว่าตัวเองหมดความสำคัญ ต่อให้เขามีใครใหม่อีกสักกี่คนก็คงวนกลับมาที่จุดเดิมอยู่ดี ถ้าเธอยังไม่ยอมปล่อยเขาไป”

ปล่อย? ทำไมเขาต้องปล่อย? เกิดคำถามขึ้นมาในหัวของกลิ่นแก้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้ยึดเอวานไว้สักหน่อย เธอกับเอวานคบกันได้ จะแต่งงานกันก็ได้ ถึงเขาไม่ชอบใจ แต่จะทำอะไรได้ จะห้ามเอวานได้หรือถ้าเอวานอยากคบกับใคร อยากแต่งกับใคร ทำไมพูดเหมือนเขาเป็นตัวปัญหาแบบนี้

กลิ่นแก้วมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “คุณเกลียดผมเหรอครับ?”

วาเนสซ่าออกจะประหลาดใจ ไม่นึกว่าเด็กตรงหน้าจะพูดมันออกมาเสียตรงขนาดนั้น

“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ชอบเธอนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียด ก็คงพอ ๆ กับเธอ ไม่ได้เกลียดฉัน แต่ไม่เจอกันได้ก็ดี ใช่ไหม?” เธอหัวเราะ เมื่ออีกฝ่ายเกิดอาการชะงัก “ฉันเข้าใจถูกสินะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก เอ่ยบอกเสียงเบา “ผมไม่ได้เกลียดคุณ”

“ฉันรู้”

“แต่ผมก็ไม่อยากให้เอวานแต่งงานกับคุณเหมือนกัน”

เธอนิ่งไปนิด ก่อนยิ้มออกมาบาง ๆ “นั่น... ฉันก็รู้ คนที่ไม่รู้คือเธอต่างหาก”

“......?”

อยากจะถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่อีกฝ่ายกลับตัดบท

“กลับกันรึยัง เดี๋ยวฉันไปส่ง”

คิ้วกลิ่นแก้วขมวด มองหญิงสาวที่เรียกพนักงานมาคิดเงินค่าอาหารบนโต๊ะพลางครุ่นคิด เมื่อไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเธอ เขานึกว่าเธออยากให้เขาอยู่ห่างจากเอวานเสียอีก แต่คำพูดที่บอกว่าเธอรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร คนที่ไม่รู้คือเขาต่างหาก นั่นหมายความว่าอะไร เขาไม่รู้อะไรอย่างนั้นหรือ?

‘ไม่เห็นจะเข้าใจเลย’





TBC



หายไปนานเลย  :m23:

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ที่ทำอยู่ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่รังแกเด็กจ้ะแม่คุณ
ถ้าอยากคุยไปคุยกับเอวานนู่น มาคุยกับเด็กทำไม  :m16: :m16:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ผู้ใหญ่ประสาอะไรเนี่ย

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
ลุ้น.

 ลุ้น

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เฮ่อ  :เฮ้อ: มันทำให้เราหัวร้อน  :katai1:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
คิดว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่ ต้องคุยกันพร้อมหน้ากับเอวานด้วยจ๊ะ แม่มดวาเนสซ่า

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
น้องโตแล้ว รักก็บอกรักน๊าา

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๑๐ รุดหน้า


ช่วงวันหยุด กลิ่นแก้วมาขลุกอยู่กับเซย์เพื่อเรียนการต่อสู้ป้องกันตัวจากครูฝึกบอดีการ์ดของเฟอร์ริงตัน ที่นี่เคยมีไว้สำหรับฝึกบอดีการ์ดเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อมาถึงรุ่นเซย์ก็ได้เปิดให้คนนอกเข้ามาใช้บริการ เพราะมีทั้งห้องฝึกในร่มและกลางแจ้ง ทั้งยังมีสนามยิงปืนอีกด้วย

เมื่อจะทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ เซย์จึงเปิดประมูลพื้นที่ภายในเพื่อให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำสัญญาเช่า ทำให้มีบริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม สปาเพื่อความผ่อนคลาย และอาจขยายไปยังบริการอื่น ๆ ในอนาคต

กลิ่นแก้วมาขลุกอยู่ที่นี่เสียครึ่งค่อนวันจนเป็นปรกติ วันไหนเซย์อยู่ก็จะพาไปกินข้าว อาจมีขับรถเที่ยวบ้าง หรือดูหนัง บางทีพาไปทิ้งไว้คฤหาสน์เฟอร์ริงตันแล้วออกไปข้างนอก พอกลับมาค่อยพาไปส่งเจฟเฟอร์สันก็มี แต่ถึงแม้จะหายไปจนเกือบเย็น เอวานก็ไม่โทรตาม เพราะรู้ว่าอยู่กับเซย์เลยไม่ห่วง

พูดถึงเอวาน พักนี้ไม่ค่อยกลับเจฟเฟอร์สันสักเท่าไรนัก มาดามเจฟเฟอร์สันบอกว่ามันเป็นเรื่องปรกติ เพราะก่อนหน้าที่กลิ่นแก้วจะเข้ามาอยู่ เอวานก็ไม่ค่อยจะกลับอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าท่านจะโทรตาม ถึงได้กลับมาที ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ กลิ่นแก้วที่ไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้ก็อดซึมไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายหลบหน้าเขา แต่พอเขาหายไปกลับหงอยได้ถึงขนาดนี้เลย แล้วแบบนี้จะปล่อยเอวานไปแบบที่วาเนสซ่า เทย์เลอร์พูดได้หรือ

ปัง! ปัง!! ปัง!!!

กลิ่นแก้วนั่งมองเซย์ที่กำลังจ่อเล็งปากกระบอกปืนไปทางเป้าหมายอย่างตั้งใจ เสียงปืนดังน่าหนวกหูจนต้องยกมือขึ้นปิด ที่ต้องมานั่งปิดหูอยู่นี่ก็เพราะเรียนในส่วนของวันนี้เสร็จแล้ว เลยต้องมารอเซย์พากลับเจฟเฟอร์สัน

ทางด้านเซย์ที่กำลังใช้สมาธิ ปลายนิ้วค่อยเหนี่ยวไก กระสุนลูกสุดท้ายถูกปล่อยออกจากกระบอกปืน พุ่งตรงไปไม่มีพลาดเป้า นั่นทำให้ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ค่อยลดปืนในมือลงแล้วปลดอุปกรณ์ส่งให้ลูกน้องจัดการต่อ ก่อนจะเดินมาหาเด็กของพี่ชายที่นั่งรอตนอยู่

“ลองไหม?” เอ่ยถามเด็กที่นั่งรอเมื่อเดินมาถึง

“ไม่” กลิ่นแก้วส่ายหน้า เพราะถึงฝึกไปก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน พอถึงเวลาจะกล้ายิงใครที่ไหนกัน

“กลับเลยไหม ป่านนี้ผู้ปกครองคงรอแย่แล้ว” เซย์เอ่ยถามแกมยิ้ม

“เขาไม่รอหรอก บ้านยังไม่ค่อยอยากจะกลับเลย”

เซย์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเด็กนี่จะเจี๋ยมเจี้ยมออดอ้อนออเซาะเฉพาะเวลาอยู่กับพี่ชายเขาเท่านั้น แต่กับคนอื่น โดยเฉพาะเขา ก็ฤทธิ์เยอะใส่ อาจเพราะตอนเด็กเขาชอบไปแกล้งมันแรง ๆ ด้วย เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไร

“มีปัญหาอะไรกันหรือไง?” พอเขาถามไปแบบนั้นมันก็ถอนใจใส่ ไอ้เด็กนี่

“คุณว่าผมทำตัวติดกับเขามากเกินไปหรือเปล่า?” อยู่ ๆ คนถูกถามก็เอ่ยถามกลับ

“มาก” เซย์ว่า ตาโต ๆ นั่นตวัดมองฉับ แต่เขากลับไหวไหล่อย่างไม่เห็นเป็นสำคัญพร้อมตอกย้ำ “พูดความจริง”

กลิ่นแก้วทำเสียงจิ๊กจั๊ก จะอ้อมค้อมหน่อยก็ไม่ได้ ตรงเกินไปมันก็กระทบใจไม่รู้หรืออย่างไรเล่า

“แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะอึดอัดรึเปล่า?” ก็ยังจะถามต่อ

“เอามาตรฐานฉันไปเทียบกับเอวานไม่ได้หรอก ฉันไม่พร้อมมีเด็กที่ไหนมาคอยเกาะแกะ ผิดกับเอวานที่เต็มใจจะให้ทำแบบนั้น เขาโรคจิตจะตาย ชอบให้นายอ้อน ลองวันไหนนายไม่อ้อนนะ อย่างกับเมนส์ไม่มา นอกจากอารมณ์แปรปรวนแล้วยังเป็นบ้า”

มองเซย์แบบ... ขี้โม้หรือเปล่า “ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

“รำคาญ” เซย์ว่า “พวกปากไม่ตรงกับใจ บอกตัวเองไม่สำคัญทั้งที่อยากเป็นคนสำคัญจะแย่ พอเขาไม่ใส่ใจหน่อยก็น้อยใจล่ะไม่ว่า”

เกลียดพวกคนรู้ทัน “ทำไมผมต้องมาคุยกับคนแบบคุณด้วยเนี่ย”

ว่าแล้วก็พาลจะลุกหนี แต่เซย์กดไหล่ให้นั่งลงที่เดิม “ไม่อยากคุยกับฉันก็คุยกับผู้ปกครองนายสิ มีปัญหากันแล้วปล่อยไว้แบบนี้มันจะดีเหรอ?”

“.........”

“ขนาดบ้านช่องไม่กลับนี่น่าเป็นห่วงแล้วนา” เป่าหูเด็กเข้าไปอีก “ฉันรู้ว่านายคงไม่อยากบอกฉันว่ามีปัญหาอะไรกัน และฉันก็ไม่อยากสอดรู้เพราะไม่ใช่ธุระ แต่แค่อยากจะแนะนำในฐานะที่เป็นน้องชายของเอวาน”

“.........”

“มีอะไรนายก็ควรจะพูด การเก็บเอาไว้มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเสมอไป เอวานไม่มีทางตรัสรู้ได้เอง เขาไม่ได้อ่านใจคนได้ ถ้านายไม่พูด แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่านายคิดอะไรอยู่ และเพราะเขาไม่รู้ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะเป็นกังวลจนทุกข์ใจ นายก็รู้ดีว่าเขาเป็นห่วงนายมากกว่าใคร”

“.........”

เซย์ค่อยนั่งลงข้าง ๆ แขนแข็งแรงวาดกอดคอเด็ก “ฉันไม่ได้บังคับให้นายต้องพูด ถ้านายไม่สบายใจที่จะพูดและรู้สึกว่าเก็บไว้แบบนี้มันสบายใจกว่า ก็ไม่เป็นไร” หยุดพูดไปนิดเมื่อชำเลืองมองหน้าเด็กที่ยังนั่งเงียบ “ถ้าทนเห็นเขาทุกข์ใจได้โดยไม่รู้สึกอะไรน่ะนะ”

เซย์ยักคิ้วตบท้ายทำให้อีกฝ่ายกลอกตา พ่นลมหายใจแล้วกอดอกหน้าเครียด ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังเรียกความสนใจ แต่เมื่อหยิบมันมาดูแล้วเห็นเป็นชื่อเอวานก็นิ่งไป

“รับสิ”

“.........” เงยมองเซย์แล้วส่ายหน้า

“อะไรของนายวะ บ่นว่าเขาไม่กลับบ้าน แต่พอเขาโทรมาก็ไม่รับ ทั้งที่อ้อนหน่อยเดียวเอวานก็รีบกลับแทบไม่ทันแล้ว...” มองเด็กหน้าง้ำแล้วก็ไม่เข้าใจ อะไรกันนักหนา “ฉันไปรอข้างนอกแล้วกัน ถ้าเหนียวตัวจะอาบน้ำก่อนก็ได้ ให้คนของฉันพาไป”

เซย์ลุกออกไปแล้ว เหลือเพียงกลิ่นแก้วที่ยังคงนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์จนเสียงเรียกเข้ามันเงียบไป ลมหายใจถูกทอดถอนออกมาด้วยความอัดอั้น เขาควรทำเช่นไรกับความรู้สึกที่มันตีกันอยู่ข้างในตอนนี้ดี...



คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

เกวนเดินมาหากลิ่นแก้วที่นั่งซึมอยู่ในสวน ไฟถูกเปิดให้ความสว่างเมื่อฟ้าเริ่มมืด แม่บ้านของเจฟเฟอร์สันบอกว่าหลังกลับจากเฟอร์ริงตัน กลิ่นแก้วก็นั่งอยู่แบบนั้นมาสักพักแล้ว เธอที่เพิ่งกลับจากข้างนอกจึงเดินมาดู พักนี้เอวานเองก็ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า ไม่รู้มัวยุ่งอยู่กับอะไร ทั้งที่เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหาร แต่ทำไมถึงยุ่งกว่าคนอื่นก็ไม่รู้ได้ ถ้าเธอรู้ว่าให้ไปทำงานกับพอล เวสส์ แล้วจะเป็นแบบนี้ สู้ให้มาทำกับเธอยังดีเสียกว่า

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ มืดค่ำแล้วยังไม่อาบน้ำอาบท่าอีก?”

เสียงทักของเกวนเรียกเด็กที่จมอยู่ในภวังค์ให้ค่อยหันกลับมาหา ความเศร้าหมองบนดวงหน้าที่เคยสดใสทำให้คนมองถอนใจเบา ริมฝีปากสวยเปิดยิ้มอารีเมื่อนั่งลงข้างกายผอม

เด็กตัวเล็ก ๆ เมื่อวันวาน ในเวลานี้กำลังเริ่มโตเป็นหนุ่ม แต่ในสายตาเธอ กลิ่นแก้วก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนเดิมคนนั้น คนที่เจอในห้องพักบนคอนโดมิเนียมของลูกชาย คนที่ทำหน้าตาตื่นตกใจเมื่อเห็นเธอเปิดประตูเข้าไปโดยพลการ ยังคงเป็นที่เอ็นดูของเธอไม่เปลี่ยน

“เป็นอะไรไป?”

เด็กน้อยของเกวนค่อยก้มหน้าลงเมื่อยังคงจำกฎข้อเดียวของเธอได้ดี ถ้าอยากอยู่กับเธอต้องไม่เป็นเด็กเลี้ยงแกะ นั่นแสดงว่าถ้าลำบากใจที่จะพูดก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องโกหก ทำให้เด็กตรงหน้าเธอยังคงเงียบอยู่ราวชั่งใจ

“เอวานไม่ยอมกลับบ้าน” ท้ายที่สุดก็เอ่ยออกมาเสียงเบา

“อือฮึ” เกวนทำเสียงรับรู้ “เขาอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลาปลีกตัวก็ได้ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ ถ้าวันไหนต้องไปร่วมงานกลางคืน กลับมาดึก ๆ ก็นอนที่คอนโดฯ นานทีจะกลับมาให้เห็นหน้า เรื่องปรกติ”

มันก็ใช่ที่มาดามเคยบอกแล้ว แต่เจ้ากลิ่นแก้วก็ยังอดที่จะคิดไปมากมายไม่ได้ ตอนที่เขาเอาแต่หลบหน้า เอวานก็จะรู้สึกแบบเดียวกันนี้หรือเปล่านะ

“ไม่จริงหรอกครับ ถึงงานยุ่งหรือกลับดึกแค่ไหนเขาก็กลับ แต่นี่...” พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ “เขาอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมก็ได้”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?” เกวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ทะเลาะกันเหรอ?”

มันน่าแปลกใจน้อยอยู่เมื่อไร เมื่อตั้งแต่กลิ่นแก้วมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เด็กคนนี้และลูกชายของเธอจะทะเลาะอะไรกันใหญ่โต เพราะกลิ่นแก้วตามใจเอวานตลอด จะให้หันซ้ายหันขวาอย่างไรก็ไม่ขัด จะมีบ้างก็แค่งอนเวลาเอวานผิดนัด ง้อกันหน่อยเดียวก็ดีกันแล้ว แต่นี่ถึงกับบอกว่าเอวานไม่อยากเจอหน้า ปัญหามันใหญ่โตขนาดนั้นเชียว?

“ก็ไม่เชิงว่าทะเลาะกันหรอกครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยบอกหลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ

“เล่าได้ไหม?” สบตาเด็กที่หันมามองเธอเมื่อถามไปเช่นนั้น “หรือเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้?”

เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความอึดอัด ก่อนบอกเสียงอ่อย “มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด...”

เกวนยิ้มบาง พยักหน้าเข้าใจ “โอเค ไม่พูดก็ได้ แต่เพราะ ‘เรื่องที่ไม่ควรพูด’ นั่นใช่ไหม ถึงคิดว่าที่เอวานไม่ยอมกลับบ้านเพราะไม่อยากเจอหน้าตัวเอง?”

“มันแค่ส่วนหนึ่งครับ” กลิ่นแก้วว่า “ที่มากกว่านั้นคงเพราะผมหลบหน้าเขาก่อนด้วย”

“หลบหน้า?” เกวนทวนคำ มีการหลบหน้ากันด้วย เล่นอะไรกันเด็กสองคนนี้

กลิ่นแก้วพยักหน้ายอมรับ “เพราะผมทำตัวแบบนั้น เขาอาจจะรำคาญ หรืออาจจะโกรธจนไม่อยากกลับมา”

“ถ้าเขาโกรธ ก็ง้อเขาสิ”

“.........” หันมามองเมื่อมาดามพูดแบบนั้น

“มัวแต่หลบกันไปหลบกันมา แล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องกันเสียที” เกวนว่า ก่อนเอ่ยแนะ “ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ไปขอโทษเขาซะ แต่ถ้าเขาเป็นฝ่ายผิดเพราะ ‘เรื่องที่ไม่ควรพูด’ นั่น ก็คุยกันให้รู้เรื่อง พวกเธอยังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนานนะ จะให้ปัญหาที่ฉันก็ไม่รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหนมาบั่นทอนไปทำไม”

ฟังที่มาดามเจฟเฟอร์สันพูดแล้วกลิ่นแก้วก็คิดตาม ตอนแรกเขาคอยหลบหน้าเอวาน เพราะความรู้สึกที่มันก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจเลยไม่กล้าสู้หน้า กลัวจะทำตัวเป็นปรกติไม่ได้ กลัวอยู่ใกล้กันมากไปแล้วเอวานจะรู้ความในใจ กลัวปฏิกิริยาตอบสนองของเอวานจะเป็นด้านลบ

นั่นมันก็แค่ความบ้าของเขาฝ่ายเดียว เอวานยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขามันบ้าที่คิดไปเองและทำตัวน่าโมโหแบบนี้ โง่จริง ๆ เลยกลิ่นแก้ว อนาคตมันไม่สามารถกำหนดได้หรอกว่าจะเป็นเช่นไร มาดามพูดถูก เขาไม่ควรปล่อยให้ความทุกข์ใจเหล่านี้มันมาบั่นทอนช่วงเวลาดี ๆ ที่ควรมีร่วมกัน

เรื่องของวาเนสซ่ามันยังติดอยู่ในใจ แต่จะให้เขาทำอย่างไร จะถอยห่างจากเอวานเพราะเหตุผลที่ก็ไม่รู้ว่าจริงไหมแบบนั้นหรือ ถ้าเขาถอย แสดงว่าเขายอมรับว่าตัวเองคือตัวปัญหา ซึ่งแน่นอนล่ะว่าเขาไม่ใช่ เขามั่นใจว่าไม่เคยก้าวก่ายความสัมพันธ์ของใคร และใครที่ไหนก็ไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายความสัมพันธ์ของเขาเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ มาดาม”

เกวนยิ้มเอ็นดู เมื่อเด็กน้อยของเธอดูเข้าใจอะไรง่ายดี ขณะที่ในใจไพล่นึกไปถึงผู้เป็นลูกชาย เอวานน่ะ พอรู้ว่าผู้ที่ตนคิดมาตลอดว่าเป็นบิดากลับเป็นเพียงคนอื่น ก็พยายามทำตัวเข้มแข็งเพราะติดความเป็นพี่ใหญ่ ด้วยมีน้องชายต่างสายเลือดอีกสองคนคือสายลมและเซย์ ณ เฟอร์ริงตัน ลูกชายของเธอทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไรและใช้ชีวิตปรกติเสมอมา แต่ลึก ๆ แล้วกลับเปราะบางเสียยิ่งกว่าอะไร

ความเข้มแข็งของพี่ใหญ่เป็นเพียงเกราะที่เอวานสร้างขึ้นมาปกป้องความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพราะไม่ใช่คนน่าสงสาร แต่เกวนรู้ว่าลูกของเธอต้องการความรัก ความรักที่เขาเฝ้าบอกตัวเองว่ามีมากพอแล้ว ทุก ๆ คนที่อยู่รอบตัวเขารักเขา เขาไม่ได้ขาดความรัก แต่ความจริงแล้วเขากลับยังต้องการใครสักคน สักคนที่เป็นแค่ของเขาจริง ๆ

ครั้งแรกที่ลูกชายของเธอคิดจะรับกลิ่นแก้วมาอยู่ในความดูแล เกวนยังกังวลว่าจะมีปัญหาตามมา แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าดีแล้วที่มีเด็กคนนี้อยู่ ดีแล้วจริง ๆ


...........


บรรยากาศบนชั้นบริหารของเวสส์ในวันนี้ดูจะอึมครึมผิดปรกติ โดยเฉพาะหน้าห้องทำงานของเอวาน บอดีการ์ดคนสนิททั้งสองนายนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกไม่ไกลจากโต๊ะเลขานุการหน้าห้องนัก ทั้งที่ปรกติแมกซ์เวลจะอยู่ด้านในห้องทำงานกับผู้เป็นนาย แต่วันนี้ดูท่านายจะอารมณ์ไม่ดี ถึงได้ระเห็จออกมาอยู่หน้าห้องกับทอมัสแทน

นายของพวกเขาเป็นคนที่จริงจังกับงานเป็นปรกติ แต่ที่มันดูไม่ปรกติก็เพราะบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาจนแมกซ์เวลที่ว่านิ่งยังอยู่ในห้องไม่ได้ ความเครียดสะสมนี่มันน่ากลัวจริง ๆ

บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองต่างรู้ดีว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน แต่ก็ไม่สามารถยื่นจมูกเข้าไปวุ่นวายได้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองไป และรอคำสั่งจากผู้เป็นนายว่าจะให้ช่วยจัดการอะไรให้หรือไม่เท่านั้น

หลังเลิกงาน เอวานตรงดิ่งกลับที่พักทันที และเหมือนโชคเข้าข้างที่วันนี้ตารางนัดออกจะโล่งหน่อย เขาอยากพักผ่อนมากกว่าต้องไปปั้นหน้าที่ไหนอีก เมื่อเข้ามาในห้องก็คลายเนคไท คว้ารีโมทมาเปิดข่าวช่วงเย็นตามความเคยชิน ขณะที่แมกซ์เวลเลี่ยงไปรินน้ำเย็น ๆ มาให้เช่นทุกที

บอดีการ์ดของเขาทั้งสองคนดูจะทำหน้าที่สารพัดอย่าง มากกว่าแค่เป็นบอดีการ์ดเฝ้าหน้าห้องหรือตามติดคุ้มกันภัย แมกซ์เวลช่วยเขาดูแลงานในบริษัท คอยสอดส่องและสั่งการ กลับที่พักมาก็คอยจัดหาอาหารการกินให้อีก ขณะที่ทอมัสมีตำแหน่งเป็นสารถีกิตติมศักดิ์ คนหนึ่งละเอียดรอบคอบ อีกคนก็กล้าบ้าบิ่น ถ้างานไหนเสี่ยงหน่อยทอมัสก็รับไปจัดการ ถือว่าเขาโชคดีที่มีสองคนนี้คอยช่วย

เสียงรายงานข่าวในโทรทัศน์ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ เอวานแค่เปิดไว้ให้ห้องไม่เงียบจนเกินไปนัก พวกเขาอยู่กันสามคนก็จริง แต่พูดกันนับคำได้ เหมือนเอวานอยู่คนเดียว ขณะที่บอดีการ์ดทั้งสองนายคือลมฟ้าอากาศ

แก้วน้ำจากแมกซ์เวลถูกส่งมาให้ เอวานรับมาดื่มก่อนส่งคืน กะว่าจะไปอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อย เผื่อความหงุดหงิดงุ่นง่านที่มีมันจะทุเลาลงบ้าง แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนก็ต้องหันมาสนใจข่าวที่ว่าด้วยการฟ้องล้มละลาย มันคงไม่น่าสนใจอะไรถ้าชื่อของบุคคลในข่าวไม่คุ้นหู ยิ่งมองภาพข่าวยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตา

“ริชาร์ด พาร์เลอร์...” เอวานพึมพำ

ครั้งล่าสุดที่เขาได้ยินชื่อนี้คือตอนที่เจ้าของชื่อนำเงินมาใช้คืนเวสส์ ซึ่งหนี้สินที่มีก็ถือว่าจบกันไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงยังถูกฟ้องล้มละลาย?

จากรายงานข่าวบอกว่าทรัพย์สินของนายพาร์เลอร์ไม่ได้ถูกขายทอดตลาด แต่เปลี่ยนมือไปอยู่กับเจ้าหนี้ และเมื่อหมดอำนาจ เรื่องคาว ๆ ก็ส่งกลิ่นคละคลุ้งทันตาเห็น ข่าวหลายสำนักต่างขุดเรื่องส่วนตัวของนายพาร์เลอร์มาตีแผ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งรสนิยมทางเพศที่ผิดแผกจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าวิปริต ทำให้นายพาร์เลอร์ถูกตั้งข้อหาจนกลายเป็นคดีความซ้อนขึ้นมาอีกทอด เจ้าทุกข์ที่เคยปิดปากเงียบเพราะเคยสู้อำนาจที่อีกฝ่ายมีไม่ไหวก็ได้โอกาสใช้สื่อขยี้ เรื่องสิทธิเด็กมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และผู้คนก็ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก แต่การหาหลักฐานมามัดตัวนายพาร์เลอร์เมื่อก่อนนั้นมันยาก เมื่อเจ้าทุกข์เป็นเพียงบุคคลธรรมดา แต่เวลานี้โอกาสมาถึงแล้วก็ต้องรีบคว้าไว้ แม้ไม่ได้อะไรกลับคืน แค่คนผิดได้รับโทษทัณฑ์อันสมควรก็ยังดี

“แมกซ์เวล”

“ครับ?” แมกซ์เวลที่อยู่ไม่ไกลกันขานรับ ขณะที่ทอมัสเองก็หันมาให้ความสนใจ

“ตอนที่นายพาร์เลอร์เอาเงินมาใช้หนี้เรา เหมือนนายจะบอกว่าเขาเข้าคาสิโนบ่อย?” สีหน้าเอวานดูเหมือนจะมีข้อกังขาเกิดขึ้น

“ปรกติถ้าไม่ไปร้านขายเนื้อก็ไปเสี่ยงโชค เขาหมดเงินไปกับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะครับ” แมกซ์เวลบอก

“แต่ก็มีเงินมาใช้หนี้เรา?”

“ช่วงก่อนหน้าที่จะนำเงินมาใช้หนี้ เขาก็ยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิม มันถึงน่าแปลกใจว่าเขานำเงินเหล่านั้นมาจากไหนครับ ถ้าจะบอกว่าโชคเข้าข้างก็ไม่น่าจะมากมายขนาดนั้น” แมกซ์เวลให้รายละเอียดเพิ่มเติม

“ที่ที่เขาไปเสี่ยงโชคคงไม่ใช่ ACE CASINO หรอกใช่ไหม?” เอวานถามเมื่อชักจะได้กลิ่นไม่ดีขึ้นมาตงิด ๆ

“เขาไปหลายที่ครับ แต่ที่บ่อยสุดก็คงเป็นที่นี่”

ฟังคำตอบของบอดีการ์ดหนุ่มแล้วคิ้วเอวานก็ขมวด คงไม่ใช่ว่าหนึ่งในเจ้าหนี้ของนายพาร์เลอร์คือไรท์หรอกนะ ทำไมดูทุกอย่างจะวนเวียนอยู่รอบตัวเขาจนพลอยเป็นกังวล กังวลว่ามันจะพัวพันไปถึงกลิ่นแก้ว...

“ตาเฒ่านั่นโดนสื่อเล่นงานซะยับ โดยเฉพาะรสนิยมวิปริตผิดมนุษย์ของมัน” ทอมัสเอ่ยด้วยอารมณ์ที่กรุ่นขึ้นมานิด ๆ “ทำลงไปได้ยังไงกับเด็กแค่ไม่กี่ขวบ”

พูดถึงเด็กเหล่านั้นแล้วก็ให้นึกถึงกลิ่นแก้ว เพราะความโชคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ เอวานรู้สึกว่าดีแล้วที่วันนั้นกลิ่นแก้วหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้น...

แค่คิด เอวานก็พาลเดือดดาลขึ้นมา เพียงคิดว่ามันจะแตะต้องเด็กของเขา เขาก็แทบอยากจะเป่ามันให้สมองไหล แม้เรื่องจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“พอไม่มีอำนาจในมือก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง” เหมือนทอมัสจะรำพึงขึ้นมาอีก

“หมาจนตรอกมันน่ากลัว”

“.........” เอวานหันไปมองแมกซ์เวลที่เอ่ยต่อจากทอมัสช้า ๆ ตามนิสัย

“เพราะไม่มีอะไรจะเสีย สู้ก็แค่ตายกันไปข้าง ถ้ามันไม่ตาย เราก็ตาย แค่นั้น”

นัยน์ตาสีควันบุหรี่คู่นั้นค่อยละจากแมกซ์เวลมา หมาจนตรอกอย่างนั้นหรือ? เขาไม่นึกกลัวหากมันจะแว้งกัด ถ้ามันจะกัดแค่เขา ไม่ลามไปถึงคนที่เขารักล่ะก็นะ

ลมหายใจถูกทอดถอนเสียยาวเหยียดเมื่อเริ่มเครียดขึ้นมาอีก วันนี้เครียดมามากพอแล้ว เขาควรพักผ่อนเสียที

“พวกนายอยากกินอะไรก็จัดการเลยแล้วกัน ไม่ต้องเผื่อฉัน”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นาย?” ทอมัสเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยถามขึ้นมา ดูท่าทางนายของพวกเขาอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว

“แค่อยากนอนพักน่ะ” บอกไปเช่นนั้นแล้วเอวานก็คว้าโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกก่อนเดินเข้าห้องของตนเองไป

หลังบานประตูปิดลง เอวานก็เลื่อนเปิดหน้าจอโทรศัพท์ เห็นสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่ แต่ไม่ต้องกดดูก็รู้ว่าไม่ใช่สายที่รอ เขาหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะเลื่อนไปยังหมายเลขที่ต้องการแล้วกดโทรหา บางทีเสียงของใครอีกคนอาจทำให้ใจเขาสงบลง

เสียงรอสายดังอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าปลายสายจะรับ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ผิดหวังอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน ปรกติโทรหาทีไรก็รับทันทีราวตั้งระบบอัตโนมัติไว้ คราวนี้กลับเงียบกริบ ไปเล่นซนอยู่ที่ไหนกัน กลิ่นแก้ว?

กายสูงใหญ่ก้าวไปยังโต๊ะหัวเตียง วางโทรศัพท์ไว้บนนั้นแล้วเข้าไปอาบน้ำ เขาควรพักผ่อน ใช่ ควรพักทั้งร่างกายและจิตใจนั่นละ...


..........


ภายในห้องนอนบนคอนโดมิเนียม เอวานยังคงนอนอยู่บนเตียงแม้จะสายมากแล้ว หัวเขาเหมือนหนักสักสิบปอนด์ได้ นานทีปีหนจะเป็นแบบนี้สักที จนจำไม่ได้แล้วว่าป่วยครั้งล่าสุดเมื่อไร

หูเขาได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เปลือกตายังคงหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมามอง รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องก่อนจะได้ยินเสียงคล้ายแก้วกระทบกับอะไรบางอย่างอยู่ไม่ไกล เขายกมือขึ้นนวดขมับเมื่อเอ่ยถามคนที่กำลังทำอะไรกุกกักอยู่ข้างเตียง เพราะคิดว่าเป็นบอดีการ์ดของตนเอง

“วันนี้มีนัดสำคัญหรือเปล่า แมกซ์เวล ถ้าเลื่อนหรือปฏิเสธได้ก็จัดการเลย ฉันขอพักสักวัน”

ไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนานอกจากเตียงนอนข้างกายที่ยุบยวบจากการทิ้งน้ำหนักลงนั่ง หัวคิ้วเอวานขมวด ค่อยลืมตาขึ้นมาเมื่อเอะใจว่าผู้ที่เข้ามาในห้องคงไม่ใช่แมกซ์เวล เพราะบอดีการ์ดของตนจะไม่ถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงเช่นนี้ จนเมื่อเห็นชัดแก่สายตาว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายคือใคร คอเอวานก็เหมือนจะแห้งผากขึ้นมากะทันหัน ริมฝีปากของเขาขยับแต่ไม่อาจเอ่ยเรียกชื่อของคนที่นั่งอยู่ได้แม้แต่น้อย

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

“.........”

“มิสเตอร์แมกซ์เวลจะเอายามาให้ ผมเลยอาสาเอาเข้ามาแทน”

ใครคนนั้นยังคงพูดคุยกับเขาเป็นปรกติ ราวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าเขาแค่ฝันไปและตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองเพ้อเพราะพิษไข้

“คุณทานอะไรหรือยังครับ?”

เอวานยังคงเงียบ นัยน์ตาสีควันบุหรี่นั้นหม่นแสง บางทีที่ผ่านมาเขาอาจไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้ แต่เป็นตอนนี้ต่างหากที่เพ้อหนัก เขาปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ขณะที่หูก็ยังได้ยินเสียงอีกคนพูดอยู่

“เดี๋ยวผมโทรสั่งอาหารมาให้คุณก่อนดีกว่า จะได้ทานยา...”

“ไม่ต้อง”

ที่สุดเขาก็พูดออกมาได้ อีกฝ่ายชะงักอยู่เพียงข้างเตียง ใบหน้าเรียวค่อยหันมามองเมื่อเขาขยับลุก หัวยังคงมึนหนัก แต่ก็พอจะทรงตัวได้

“ฉันยังไม่หิว”

บอกเพียงเท่านั้นแล้วก็ค่อยขยับลงจากเตียง ออกจะตะครั่นตะครอ ไม่สบายตัว อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วปิดรับทุกการได้ยินหรือมองเห็น แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

กลิ่นแก้วมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ก้าวลับสายตาเข้าห้องน้ำไปแล้วก็เม้มปากแน่น กระบอกตารู้สึกร้อนขึ้นมาเมื่อท่าทีและน้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไร้เยื่อใย เด็กหนุ่มกะพริบตาเบา ๆ ไล่ความรู้สึก ก่อนลุกออกไปหาอะไรมารอให้เอวานรองท้องก่อนกินยา จะหาว่าจุ้นจ้านก็ได้ ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา


....
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เอวานที่ลากสังขารเข้ามาในห้องน้ำด้วยหวังว่าจะอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อย กลับมานั่งทอดถอนใจอยู่ในนี้แทน การมาอยู่ที่นี่เพื่อถอยห่างจากกลิ่นแก้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เพราะแค่เห็นหน้า สิ่งที่พยายามมาก็หายวับไปหมด เหตุผลอะไรก็ไม่อยากมีมันแล้ว

พักใหญ่เอวานถึงออกจากห้องมา ได้ขยับตัว ได้อาบน้ำอาบท่าแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย สายตาคมมองเด็กที่รีบเข้ามาหา มือเรียวเอื้อมมาแตะแขนทำให้เขาเลื่อนสายตาลงไปมอง ก่อนเดินตามแรงรั้งไปที่โต๊ะอาหารที่ถูกตระเตรียมไว้แล้ว

เมื่อเอวานนั่งลง กลิ่นแก้วก็เลี่ยงไปนั่งฝั่งตรงข้าม คอยมองอีกคนกินข้าวเช้าในช่วงสายโด่งอยู่เงียบ ๆ รู้สึกคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ที่มันห่างหายไป แม้จะไม่นานนัก แต่กลับรู้สึกว่ามันนานมาก นึกขึ้นมาแล้วกลิ่นแก้วก็ได้แต่ต่อว่าตัวเองที่ทำตัวแบบนั้น ทั้งที่นี่คือสิ่งที่ต้องการ แค่ได้มองเอวาน ได้อยู่ใกล้ ๆ จะในฐานะอะไรก็ช่าง เขาต้องการแค่นี้ แค่นี้จริง ๆ

“วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง?” เอวานเอ่ยถาม เสียงเริ่มขึ้นจมูกจนรู้สึกได้

“ไม่มีครับ ที่โรงเรียนมีสอบประเมินในเครือ น่าจะหยุดไปอีกสองวันได้”

“.........” เอวานเพียงเหลือบสายตาขึ้นมอง พยักหน้ารับรู้แล้วไม่พูดอะไรอีก

“เมื่อวานคุณโทรหา...” พูดแล้วก็หยุดดูปฏิกิริยา เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งอยู่จึงพูดต่อ “พอดีผมอยู่ห้องคาร์เตอร์ หมอนั่นเปิดเพลงเสียงดังไม่เกรงใจชาวบ้านเลย ผมเลย...”

กลิ่นแก้วกลืนน้ำลายเมื่อเอวานหยุดกินข้าว รู้สึกพลาดที่พูดชื่อคาร์เตอร์ขึ้นมาตอนนี้ คิดว่าถูกดุแน่แต่ก็ไม่ เพราะเอวานยังกินข้าวต่ออีกสองสามคำแล้วดื่มน้ำ ไม่ได้ดุ และไม่ได้ถามว่าไปห้องคาร์เตอร์ทำไมด้วย นั่นทำให้กลิ่นแก้วทั้งแปลกใจและไม่เข้าใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ขณะที่ในหัวเริ่มคิด เอวานไม่สนใจไยดีเขาแล้วใช่ไหม...

“ไปทำอะไรห้องเด็กนั่น?”

พอถามไปแบบนั้นเด็กที่กำลังก้มหน้าลงก็เงยขึ้นมาทันที มองไม่ผิดเหมือนจะเห็นแววดีใจระริกอยู่ในดวงตาคู่โต ดีใจเรื่องอะไรกัน เขากำลังหงุดหงิดอยู่

“งานกลุ่มน่ะครับ” บอกไปแบบนั้นแล้วรีบขยายความต่อเสียงระรัว “แต่ว่าไม่ได้อยู่ดึกนะครับ แล้วมาดามก็อนุญาตแล้วด้วย...”

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร”

“... ครับ” ถึงจะทำเป็นเข้ม แต่กลิ่นแก้วก็ยิ้มออกเมื่ออีกฝ่ายยังใส่ใจ

เมื่อกินข้าวเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ระหว่างรอเวลากินยา เอวานเลยว่าจะเข้าไปจัดการงานที่ทำค้างไว้ในห้องทำงาน แต่กลิ่นแก้วก็รีบผวาตามมาดักหน้า

“อย่าเพิ่งทำเลยนะครับ นั่งพักดูอะไรให้สบายใจดีกว่า เครียดกับงานมาก ๆ เดี๋ยวไม่หายกันพอดี”

เอวานมองหน้าเด็กที่ยืนขวางทางตนเองไว้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สองบอดีการ์ดหนุ่มค่อยเลี่ยงออกไปข้างนอก เมื่อผู้เป็นนายอาจต้องการความเป็นส่วนตัว

นิ่งมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ปลายนิ้วเรียวก็ค่อยเอื้อมมาเกี่ยวนิ้วเขา เพียงสัมผัสเบา ๆ ใจเอวานก็อ่อนยวบ ค่อยเมินมองไปทางอื่นเมื่อไม่อยากสบสายตาที่เต็มไปด้วยแววอ้อนของเด็กตรงหน้า

“ผมขอโทษ”

“.........” คนตัวโตยังทำเมิน

“ผมรู้ว่าทำตัวงี่เง่า ขอโทษที่คอยหลบหน้าคุณแบบนั้น”

เอวานค่อยหันมา “ถ้าไม่พอใจ เธอก็ควรพูดกับฉันตรง ๆ ฉันรู้ว่าฉันผิดที่ทำไม่ได้อย่างที่พูด ทั้ง ๆ ที่ฉันสัญญาแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่ฉันก็จูบเธออีกจนได้”

“.........”

“เธอโกรธใช่ไหม? เกลียดฉันด้วยหรือเปล่า?”

ใบหน้าเรียวส่ายดิก “ผมไม่เคยโกรธเกลียดคุณเลย และไม่มีทางด้วย”

“แต่เธอหลบหน้าฉัน”

“อ่า...” ความเป็นจริงช่างทิ่มแทงใจ “ผมก็ขอโทษแล้วไง”

“ถามจริง ๆ โกรธไหมที่ฉันทำแบบนั้น?”

ตากลมช้อนมองเขา ความรู้สึกหลากหลายปนเปอยู่ในนั้น กายผอมค่อยขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ก้มลงวางหน้าผากชนอกเขา สัมผัสเคยคุ้นแต่กลับไม่คุ้นเคย มันต่างจากเดิมจนรู้สึกได้

“ผมไม่ได้โกรธ” เสียงตอบเพียงเบา ๆ แต่คนฟังกลับได้ยินอย่างชัดเจน “ต่อให้คุณจะทำแบบนั้นอีกครั้งตอนนี้ ผมก็ไม่โกรธ”

มือหนาเลื่อนขึ้นมารั้งเด็กที่ยืนชิดกายตนเข้าสู่อ้อมกอด กดจูบกลุ่มผมนุ่มแล้ววางคางเกย ระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เขาคิดมาตลอดว่าควรทำอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นระหว่างกัน เพราะเขารู้ รู้ว่ากลิ่นแก้วเชื่อเขาทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือให้ทำอะไร ไม่มีทางที่จะไม่เชื่อฟัง เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่อยากที่จะชี้นำความรู้สึก แต่ก็อดกังวลไม่ได้เมื่อคิดไปว่าหากไม่มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกายแล้วจะเป็นเช่นไร เขาอยากยึดไว้ อยากให้อยู่แบบนี้ คอยตามใจเขาแบบนี้ อยู่กับเขาแบบนี้เรื่อยไป

แขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นอีกนิด เขามันคนเห็นแก่ตัว ถ้าเขาทำให้กลิ่นแก้วเชื่อไปว่าความรู้สึกที่มีมันคือความรัก แล้ววันหนึ่ง วันที่กลิ่นแก้วได้พบกับคนที่ทำให้รัก รักในแบบที่ต่างไปจากที่เขาทำให้เข้าใจมาตลอด กลิ่นแก้วอาจนึกเสียใจ เพราะกลิ่นแก้วไม่มีทางทำร้ายเขา ถึงวันนั้นเขาคงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยสมบูรณ์ เพราะเขาจะไม่มีทางปล่อยเด็กคนนี้ไป ไม่มีทางเลย...



กลิ่นแก้วเข้ามาในห้องนอนพร้อมแก้วน้ำและยา เมื่อเปลี่ยนใจเอวานไม่ให้ทำงานได้แล้ว พอเห็นเด็กเดินมาหา เอวานที่กำลังดูรายการโทรทัศน์ตามใจเด็กอยู่จึงตบพื้นที่บนโซฟาเป็นเชิงให้นั่งลงข้างกัน

หลังจากกินยาตามคำสั่งพยาบาลสุดแสนจะพิเศษไปแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน ตัวผอมเอนไปอิงซบ อีกคนก็วาดแขนพาดบนพนักพิงด้านหลังโอบไว้หลวม ๆ พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขเล็ก ๆ แม้ไร้คำพูดจา

เอวานละสายตาจากรายการโทรทัศน์มามองคนที่เคยเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เวลาซุกอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ ในเวลานี้กลับแปรเปลี่ยน เมื่อในสายตาของเขามองเด็กคนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีเด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นอีกต่อไปแล้ว

“เอวาน”

“หืม?”

เอวานขานรับในลำคอ เริ่มเบลอเล็กน้อย รู้สึกร่างกายต้องการการพักผ่อน เสียงจากรายการโทรทัศน์เหมือนกำลังกล่อมให้เขาเอนลงนอน แต่หูก็ยังคอยฟังเสียงเด็กที่ซุกอยู่กับอกตน

“ง่วงเหรอครับ?”

“เพลียนิดหน่อย”

“ผมว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ” กลิ่นแก้วยิ้มขำ “ไปนอนที่เตียงดีกว่านะครับ นอนโซฟาเดี๋ยวปวดหลัง”

กายผอมขยับลุกขึ้นยืนรอคนป่วยที่ค่อยลุกตามอย่างเกียจคร้าน ใจจริงเขาอยากนอนลงตรงนี้มากกว่า แต่พอมองหน้าคนเสนอความคิดให้ไปที่เตียงก็ไม่อยากขัด ค่อยเดินตามแรงรั้งไปด้วยความสะลึมสะลือ

เมื่อถึงเตียงเอวานก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่สนใจอะไรอีก กลิ่นแก้วค่อยโน้มก้มลงไปหา มองหน้าคนป่วยที่ปิดเปลือกตาลงแล้วนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนเขย่าแขนเรียกเบา ๆ

“เอวาน”

“อือ” ท่าทางจะไม่ไหวเอาจริง ๆ

คนมองอมยิ้มขณะเอ่ยบอก “พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว”

มือหนาเอื้อมคว้าจับแขน ขณะที่ดวงตาค่อยปรือขึ้นมามอง “กลับไปไหน?”

“กลับเจฟเฟอร์สันสิครับ” ตอบออกไปกลั้วหัวเราะ ก่อนบอกเหตุผล “ผมไม่ได้บอกมาดามว่าจะมาค้าง”

ตอบไปแบบนั้นแล้วก็เห็นว่าเอวานเงียบไป กลิ่นแก้วจึงชะโงกไปดูด้วยความสงสัยว่าหลับไปแล้วหรืออย่างไร พอมองแล้วก็อมยิ้มจาง ค่อยดึงผ้ามาห่มให้ ขณะที่มือคนหลับยังจับแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย หลับจริงหรือเปล่านี่?

“เอวาน...”

“โทรศัพท์อยู่หัวเตียง”

“หือ?”

“ฉันจะบอกแม่เองว่าเธอจะค้างที่นี่”

“.........” กลิ่นแก้วหันไปมองโทรศัพท์ก่อนหันกลับมามองมือที่จับแขนตนเองไว้ เมื่อคนที่หลับตานิ่งอยู่นั้นสั่งความมา ตกลงจะไม่ปล่อยจริง ๆ สินะ

กายผอมนั่งลงบนเตียงแล้วเอาโทรศัพท์มาให้เอวานโทรบอกมาดามเจฟเฟอร์สัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาไปวางไว้ที่เดิม ก่อนขยับขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนลงข้าง ๆ มองหน้าเอวานนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ยกตัวขึ้นแล้วจูบแก้มที่เริ่มสากไรเคราเบา ๆ ทำให้มือที่จับแขนไว้ค่อยคลายออก

กลิ่นแก้วปลดมือนั้นออกจากแขนแล้ววางลงนอนหนุน ค่อยพาดแขนกอดกายหนาทั้งอิงซบอกแกร่ง เอวานสบายใจที่มันเป็นแบบนี้ เขาเองก็ไม่อยากทำลายช่วงเวลาเหล่านี้เช่นกัน จะสถานะอะไรก็ช่าง แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว...


..........


ทอมัสมองนายของตนที่มีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำขนมนมเนยด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก แต่ด้วยมารยาทจึงไม่กล้าที่จะแสดงอาการอะไรมากนัก ตัวสูงใหญ่นั้นค่อยเขยิบไปหาเพื่อนบอดีการ์ดแล้วกระแซะถาม

“นายเราป่วยหนักขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”

คนถูกถามปรายมอง “ถามให้เอาไหม?”

“.........” ทอมัสหันขวับมามอง แหม ปากคอ

“ก็อยากรู้ไม่ใช่หรือไง?” อีกคนว่า

“ก็นายไม่เห็นหรือไง ทำไมต้องป้อนกันขนาดนั้น?” นี่ก็ยังข้องใจไม่หาย

แมกซ์เวลแกล้งถอนใจแรง ก่อนเอ่ยเรียก “นายครับ...”

“เฮ้ย!!” มือหนารีบตะครุบปิดปากเพื่อนด้วยความใจหายใจคว่ำ จะพากันฉิบหายไปหมดแล้วไอ้หอย!

เสียงเอะอะของสองบอดีการ์ดหนุ่มทำให้เอวานหันมามอง ขณะที่กลิ่นแก้วเองก็มองมางง ๆ ตัวต้นเหตุเลยรีบโบกมือทั้งฉีกยิ้มน่าสงสัย

“ไม่มีอะไรครับ นาย ไม่มี...”

ปรายมองไอ้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสราวพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันแล้ว แมกซ์เวลก็ใช้ศอกกระทุ้งเพื่อให้ปล่อยปากตัวเองเสียที ก่อนเดินเลี่ยงออกไปเงียบ ๆ ตามนิสัย ขณะที่ทอมัสเองก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยให้ผู้เป็นนายแล้วเดินตามเพื่อนไปเช่นกัน

เอวานส่ายหน้ากับพฤติกรรมประหลาดของบอดีการ์ดตัวเอง เมื่อหันกลับมาหากลิ่นแก้วแล้วเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ก็รู้สึกว่า เออ แบบนี้ค่อยสบายตาสบายใจขึ้นมาหน่อย

“พรุ่งนี้ช่วงค่ำฉันมีบินไปต่างประเทศนะ” เอวานเอ่ยบอกกับเด็กตรงหน้า

“คุณยังไม่หายดีเลยนะครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยท้วง เพิ่งฟื้นไข้ก็จะเดินทางไกลเสียแล้ว

“มันเลื่อนไม่ได้” คนเพิ่งฟื้นไข้ว่า “เดี๋ยวพอถึงพรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม”

“.........” เจ้ากลิ่นแก้วหน้ายุ่ง ดีกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ถึงกับหายไม่ใช่หรืออย่างไร

“เดี๋ยวซื้อของพื้นเมืองมาฝาก”

เอ่ยบอกทั้งรอยยิ้มอ่อนโยน เพราะรู้ดีว่าเด็กของตนชอบพวกงานฝีมือ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย อะไรพวกนี้ ที่ที่เขาจะไปมีอารยธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ พวกข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องประดับสวย ๆ คงมีให้เลือกมากมายทีเดียวล่ะ

“ไม่ได้เห็นแก่ของฝากสักหน่อย” กลิ่นแก้วว่า

“หึ ๆ”

“ผมรู้ว่าห้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นงานสำคัญ แต่ยังไงคุณก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ”

ความห่วงใยที่แสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงนั่นทำให้เอวานอมยิ้ม ก่อนพยักหน้ารับคำเบา ๆ

“อืม”

คนเคยทำงานอย่างเอวาน พอต้องมานั่ง ๆ นอน ๆ ก็ออกจะเบื่อ แต่จะเอางานมาทำก็กลัวเด็กจะงอน เลยต้องยอมอยู่เฉย ๆ แมกซ์เวลโทรบอกเลขานุการของเขาแล้วว่าวันนี้ไม่เข้าบริษัท มีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้ วันนี้เลยดูว่างจนเกินไป

สองหนุ่มต่างวัยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการออกมานั่งรับลมนอกระเบียง คนตัวโตนั่งเอนหลังสบาย ๆ โดยมีเด็กหนุ่มหน้ามนนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ ครู่หนึ่งกายสูงใหญ่นั้นก็ค่อยขยับเข้าไปหาคนที่เอาแต่สนใจหนังสืออ่านเล่นในมือแล้วล้มตัวลงนอน วางศีรษะบนตักอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ

“ง่วง” เขาว่าอย่างนั้นเมื่ออีกฝ่ายก้มมองเขาตาโต

“ผมลุกไปนั่ง...”

“ไม่ต้อง”

“........”

“พักสายตาแป๊บเดียว” เอวานว่า

“.........”

“ทำไม เมื่อยเหรอ?”

“เปล่าครับ กลัวคุณนอนไม่สบายมากกว่า”

ได้ยินคำตอบเช่นนั้นคนถามก็ยิ้มบาง ขณะที่คนตอบก็สอดส่ายสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าสบดวงตาพราวของคนบนตัก

“กลิ่นแก้ว”

“ครับ?”

เพราะเสียงเรียกของคนบนตักทำให้กลิ่นแก้วต้องก้มลงมอง เพิ่งรู้ว่ามันเป็นอะไรที่ผิดมหันต์ก็เมื่อถูกดวงตาคมคู่นั้นสะกด เป็นขณะเดียวกันกับที่อุ้งมือหนาเลื่อนขึ้นมากดด้านหลังคอ พร้อมกับคนบนตักที่ยกตัวขึ้นมาหา

ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากหยักกดแนบกับกลีบปากตน แช่นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยขยับเบา ๆ เหมือนลองเชิง ก่อนจะหนักหน่วงขึ้นเมื่อเขายอมโอนอ่อน ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารสจูบคราวนี้มันร้อนเร่ากว่าปรกติ ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดไปถึงปลายเท้า ยิ่งอีกคนบดเบียด ยิ่งดูดดุนปลายลิ้น กลิ่นแก้วยิ่งรู้สึกเสียววาบทั้งท้องน้อย

“เอวาน...” กลิ่นแก้วเอ่ยเรียกอีกคนเสียงสั่น แต่มันยังดังไม่พอให้รสจูบแสนดูดดื่มนั้นหยุดลง และดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่

ริมฝีปากที่สร้างความปั่นป่วนนั้นค่อยผละห่างเมื่อดูดชิมความหวานจนพอใจ กายสูงใหญ่ลดตัวลงนอนหนุนตักแล้วหลับตาราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่เด็กด้อยประสบการณ์ยังใจเต้นไม่เป็นส่ำ ช่วงล่างมันวูบวาบจนอยากลุกหนี แต่ติดตรงคนบนตักที่นอนทับไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่ เขาไม่ได้กำลังโดนแกล้งอยู่ใช่ไหม ฮือ



ช่วงบ่าย ผู้เป็นมารดาโทรมาไล่บี้เรื่องยึดตัวเด็กไว้ทั้งที่ขอแค่ให้นอนค้าง นี่บ่ายแล้วยังไม่พามาส่ง เอวานเลยว่าไม่ได้บอกจะให้ค้างแค่คืนเดียว กลิ่นแก้วมีเรียนวันมะรืน เพราะฉะนั้นเย็นวันพรุ่งนี้เขาถึงจะพากลับ ก่อนจะบินไปธุระต่างประเทศ

“ดีกันแล้วใช่ไหม?”

เอวานเลิกคิ้วเมื่อมารดาถามมาเช่นนั้น “เรื่องอะไรครับ?”

“ก็ที่หนีไปนอนคอนโดฯ ไม่กลับบ้านกลับช่อง ไม่ใช่ทะเลาะกันรึไง?” ท่านย้อนถามมา “เรานี่นะ โตแต่ตัวหรือไง มีอะไรทำไมถึงไม่พูดกัน เรื่องงอนน่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหนูมันก็พอแล้ว”

ผู้เป็นลูกชายหัวเราะหึ ๆ เห็นคนที่เป็นหัวข้อสนทนาเดินมาเลยกางแขนออก อีกฝ่ายมองงง ๆ แต่ก็ยอมก้าวมาหาแล้วนั่งลงให้กอด

“ไม่งอนแล้วครับ เจ้าหนูของมัมมาง้อถึงที่ขนาดนี้” หอมหัวไปฟอดนึง มันเขี้ยว “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่งครับ ยังต้องการพยาบาลพิเศษอยู่”

ปลายสายทำเสียงหมั่นไส้ ก่อนจะตกลงตามนั้นแล้ววางสายไป เอวานจึงวางโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ ก้มมองเด็กตาใสที่อิงแอบชิดใกล้แล้วว่า

“อาบน้ำด้วยกันไหม?”

“หา!?” คนถูกชวนทื่อ ๆ แบบนั้นถึงกับเสียงหลง มาไม้ไหนกันนี่ เพ้อเพราะพิษไข้หรือ?

พอเห็นท่าทางตกใจขนาดนั้นเอวานจึงขยายความ บอกตอนที่กลิ่นแก้วขาเจ็บ พวกเขายังเคยอาบด้วยกัน ช่วงนั้นเขาทั้งช่วยอาบน้ำ ถูสบู่ ขัดสีฉวีวรรณให้ มาตอนนี้ที่เขาไม่สบายก็อยากให้ถูหลังให้บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เลยหรือ เรื่องตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาก็ยังยกมาอ้าง กลิ่นแก้วเลยได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยน ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายก็เคยทำให้จริงดังว่า

ขณะที่คนชวนเข้าไปนอนแช่น้ำในอ่างรอ กลิ่นแก้วก็ยังนั่งทำใจอยู่ด้านนอก เมื่อกลางวันก็โดนจูบไปที มาตอนนี้ยังชวนอาบน้ำด้วยกันอีก เอวานมาแปลกแบบนี้เขาทำตัวไม่ถูก ได้แต่พยายามปลอบประโลมจิตใจของตัวเองให้มันสงบลง ก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำเมื่อทำใจได้บ้างแล้ว

เอวานขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กในปกครอง ซึ่งต่อรองกับเขาจากอาบน้ำด้วยกันเหลือเพียงถูหลังให้ ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ความเงียบ มีเพียงเสียงน้ำในอ่างดังแทรกมาเมื่อเขาขยับตัว กระทั่งกลิ่นแก้วถูหลังให้เขาเสร็จในเวลาอันรวดเร็วแล้วจะผละหนี มือหนาก็เอื้อมคว้า กายสูงใหญ่ก้าวออกจากอ่างทั้งอย่างนั้น ทำให้แผ่นหลังของร่างที่เซถอยชนเข้ากับอกเปลือย ใบหน้าเรียวถึงกับเอี้ยวมามองด้วยความความตกใจ

“ถอดสิ”

“หา?” ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งหรือคำบอกเล่า แต่เล่นเอาใจกลิ่นแก้วกระตุกวูบ

“เปียกไปหมดแล้ว”

“ม... ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนที่ห้อง...”

“เปลี่ยนที่นี่ก็ได้”

“.........” สายตาที่มองมาพาเอากลืนน้ำลายหนืดคอ

“อุตส่าห์ช่วยถูหลัง เดี๋ยวฉันถูให้บ้าง”

“อ... เอ่อ...”

“เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกันนานแล้วนะ”

“.........”

กลิ่นแก้วได้แต่ร่ำร้องในใจว่าดีแล้วที่ไม่ได้อาบด้วยกัน ก่อนจะสะดุ้งกับสัมผัสเย็นชื้นที่ช่วงเอว เมื่อชายเสื้อเลิกสูงตามมือของคนด้านหลังที่ค่อยลูบขึ้นมาช้า ๆ ความเย็นของน้ำไม่ได้ทำให้หนาวสั่น แต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบทุกจุดสัมผัสที่มือนั้นเลื่อนผ่านต่างหากที่ทำให้สั่นสะท้าน

“ถอดสิ”

“.........”

พอมองสบดวงตาคู่นั้นแล้วกลิ่นแก้วก็แทบจะร้อง ทำไมเอวานน่ากลัวแบบนี้ ฮือออ...





TBC




นิยายรายไตรมาส  :a5:

วอนพี่โมอย่าเพิ่งลบ จะมาลงให้จบจริง ๆ ไม่ติงนังค่า

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ +++


ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด