บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)  (อ่าน 12097 ครั้ง)

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

กลิ่นแก้วตื่นเช้ามาโรงเรียนด้วยความสดใส ความน้อยอกน้อยใจที่มีปลิวหายไปกับสายลมเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวานพอกลับมาถึงเจฟเฟอร์สันก็มีของขวัญวางรออยู่บนเตียงนอนแล้ว เอวานไม่ได้ลืม ไม่เคยลืม ยังคงทำทุกอย่างเพื่อเขาเหมือนดังที่ผ่านมา

ตัวเล็กเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่โต๊ะแถวสนามหญ้าตรงข้ามอาคารเรียน คาร์เตอร์ที่ยังคงงอนไม่หายทำเป็นเมินเมื่อเขาเดินมาใกล้ กระทั่งกล่องคุกกี้ถูกวางลงบนโต๊ะ คาร์เตอร์จึงปรายสายตามามอง

“อะไร?”

“คุกกี้”

“ฉันไม่กินของพวกนี้หรอก ซื้อมาจากไหนก็ไม่รู้”

“เหรอ...” กลิ่นแก้วพึมพำเบา ๆ ก่อนหันไปหาเพื่อนอีกคน “ลอยน์ กินคุกกี้ไหม?”

“กินสิ นายก็รู้ว่าฉันชอบขนม แล้วนี่นายซื้อมาจากไหน?” ลอยน์รีบรับมาอย่างไม่ต้องหยุดคิด

“ไม่ได้ซื้อ ฉันทำเอง”

ลอยน์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ คาร์เตอร์ที่ปฏิเสธว่าไม่กินของพวกนี้ก็ถึงกับหูผึ่ง

“นายเป็นเด็กผู้หญิงหรือไง ทำของแบบนี้ด้วย?”

“ไม่เห็นแปลกตรงไหน ปาติชิเย่เป็นผู้ชายเยอะแยะไป” กลิ่นแก้วว่า

“นายอยากเป็นปาติชิเย่เหรอ?”

“เปล่า แค่เปรียบเทียบให้ฟัง”

ลอยน์พยักหน้าหงึกหงักตามนั้นก่อนเปิดกล่องแล้วหยิบขนมออกมากิน ขณะที่คาร์เตอร์ก็คอยเหลือบมองตามทุกทีที่ขนมเข้าปากลอยน์ แต่พอกลิ่นแก้วหันมา ก็รีบหันหลบ ทำเป็นเมินไปทางอื่น

“กินไหม?” เอ่ยถามคนคอตั้งนั่งเชิดหน้าแบบไว้ท่าสุด ๆ นั่น

“ชิมดูก็ได้”

กลิ่นแก้วยิ้ม หยิบขนมมาให้คนวางท่าชิ้นหนึ่ง คาร์เตอร์จับข้อมือเล็กไว้แล้วอ้างับขนมเข้าปาก ก่อนบอก

“ก็ดี”

กลิ่นแก้วไหวไหล่ ดันขนมที่เหลือใส่ปากเพื่อนก่อนบิดข้อมือเบา ๆ ให้ปล่อย ลุกไปนั่งข้างลอยน์ที่ดูมีความสุขกับการกินกว่าใครเพื่อน

“นี่ กลิ่นแก้ว” คาร์เตอร์เอ่ยขึ้นขณะหยิบขนมชิ้นใหม่เข้าปาก ทำให้ลอยน์ตวัดสายตามามองเมื่อถูกแย่ง

“หือ?”

“เมื่อเช้านายให้พี่ชายมาส่งอีกแล้วเหรอ?”

“อืม” เมื่อคืนเอวานนอนที่เจฟเฟอร์สัน ทำให้เช้านี้ได้นั่งรถมาด้วยกันอีกวัน

“นายนี่ยังไงนะ รถรับส่งก็มี ติดพี่เกินไปแล้ว”

“ทำไมต้องว่ากันด้วย” กลิ่นแก้วหน้ามุ่ย อยู่ดี ๆ ก็มาว่า บ้ารึเปล่า

“ก็นายไม่รู้จักโตสักที มัวแต่อ้อนพี่อยู่ได้ เผื่อเขาอยากมีเวลาส่วนตัว มีนายตามติดต้อย ๆ แบบนี้ดีนักเหรอ?”

เวลาส่วนตัวอะไร เขาไม่ได้หวงห้ามไม่ให้มีสักหน่อย เอวานก็ยังมีสังคมนอกเจฟเฟอร์สัน ได้พบเจอคนมากมายแบบที่เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยก้าวก่าย คาร์เตอร์ไม่รู้อะไรทำเป็นมาพูด

“ฉันไม่เคยคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้เขา” กลิ่นแก้วแย้ง

“แต่ที่นายทำคือการให้เขามาเอาใจใส่นายคนเดียว โดยที่ไม่สนใจว่าเขาจะอยากมีอิสระบ้าง หรือบางทีก็อยากมีเวลากับคนรักของเขาบ้าง ใช่ไหม?” คาร์เตอร์พูดจี้ใจดำ “เถียงสิว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“เอวานบอกว่าเขาเต็มใจ!”

“ก็ถ้าเขาไม่พูดแบบนั้นนายก็โกรธเขาอีกใช่ไหมล่ะ เขาเลยต้องเอาใจนายอยู่แบบนี้”

“หยุดพูดได้แล้ว!”

“ฉันจะพูด!”

“……”

“นายโตแล้วนะ หัดทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิ ขนาดพี่สาวฉันเป็นผู้หญิงยังออกไปทำงานนอกบ้านเลย ออกไปหาประสบการณ์ ฉันเองก็อยากลองทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ติดที่อายุยังไม่ถึง ถ้าขึ้นม.ปลายเมื่อไรฉันจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก อยากลองใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองดูบ้าง”

คาร์เตอร์เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง ครอบครัวของเขาไม่ได้ยากจน แต่เขาคิดว่านั่นมันเงินของครอบครัว ของพ่อแม่ เขาอยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง เวลาหยิบจับอะไรจะได้รู้สึกว่าเป็นของตัวเองจริง ๆ

“นายไม่คิดอยากพึ่งพาตัวเองให้ได้บ้างเหรอ จะพึ่งพาพี่นายไปตลอดเลยรึไง?”

คำถามของคาร์เตอร์ทำให้กลิ่นแก้วฉุกคิด แม้ประสบการณ์ตอนอยู่เดลลาร์จะไม่ดีนัก แต่เวลานี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่กลิ่นแก้วคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาอยากลองพึ่งพาตัวเองแบบที่คาร์เตอร์ว่าบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาเอวาน แต่ไม่รู้เอวานจะอนุญาตไหมนะ



เมื่อกลับมาเจฟเฟอร์สัน ก่อนนอนกลิ่นแก้วก็แวะเข้ามาหาเอวานที่พักนี้กลับมานอนเจฟเฟอร์สันบ่อยขึ้น มารายงานเรื่องไปโรงเรียนเช่นทุกที ก่อนปรึกษาเรื่องที่คุยกับคาร์เตอร์เมื่อตอนกลางวัน

“อยากทำงาน?”

เอวานปิดหนังสือที่กำลังกางอ่านลงทั้งน้ำเสียงประหลาดใจ เด็กน้อยของเขาเพิ่งจะสิบสาม คิดเรื่องแบบนี้แล้วหรือ?

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะครับ เพราะว่าคงไม่มีใครรับเด็กเท่าพวกผมทำงาน คาร์เตอร์บอกว่าขึ้นม.ปลายเขาจะออกไปหาประสบการณ์”

‘คาร์เตอร์’ นี่เพื่อนหรือ มีความคิดหัวก้าวหน้าดี แต่จะพาเด็กเขาไปตะลอนหาประสบการณ์อะไรแบบนี้ ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไร

“คาร์เตอร์เป็นคนยังไง?”

“ครับ?”

“สนิทกับเขาแค่ไหน?”

น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ พอกับสีหน้าที่ไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกเช่นไรเมื่อเอ่ยถาม แต่บรรยากาศมันก็พาให้กลิ่นแก้วรู้สึกตัวเล็กลีบจากความกดดันที่มองไม่เห็น ทำไมต้องถามเรื่องคาร์เตอร์แบบจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ

“ก็... เป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนประถมครับ พอขึ้นมัธยมก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็... เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันครับ...”

“......” เอวานพยักหน้าเข้าใจ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เอ่ยถามด้วยความกังวล เพราะปรกติแล้วเอวานไม่เคยถามเกี่ยวกับเพื่อนของเขาเลย มีแต่เขาที่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง ชักเริ่มใจคอไม่ดีเสียแล้ว เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?

“แค่กลัวเธอคบเพื่อนไม่ดี เห็นบอกจะพากันไปหาประสบการณ์เลยอยากรู้ว่าเป็นคนยังไง จะพากันไปเหลวไหลไหม” เอวานให้เหตุผลเสียงเรียบ

เจ้าตัวเล็กถึงกับถอนหายใจออกมาเมื่อรู้เช่นนั้น “โธ่ คาร์เตอร์ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกครับ ถึงเขาจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีนะ”

“รู้จักเขาดีแล้วเหรอถึงพูดแบบนั้น?”

“......” กลิ่นแก้วชะงัก ตากลมมีแววตกใจให้เห็น เอวานไม่เคยดุแบบนี้

เห็นเด็กตกใจ เอวานก็กระแอมเบา ๆ แก้เก้อ “จะคบเพื่อนก็ดูให้ดี ๆ แล้วกัน”

กลิ่นแก้วเงียบไปครู่ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ “คุณ... ไม่อยากให้ผมเป็นเพื่อนกับคาร์เตอร์เหรอครับ?”

“......”

“เขาเป็นคนไม่ดีเหรอ?”

เอวานนิ่งไปนิด มองสีหน้าเป็นกังวลของเด็กแล้วถอนหายใจเบา “ฉันยังไม่เคยเจอเขาสักครั้ง คงไม่ได้รู้จักเขาดีไปกว่าเธอที่เจอเขาแทบทุกวัน เลิกคิดว่าคำพูดฉันจริงไปเสียทั้งหมดได้แล้ว ถ้าเธอรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี ไม่เคยเอาเปรียบ ไม่เคยรังแก หรือสร้างความเดือดร้อน การคบเขาเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

“......”

“ฉันแค่เตือนเฉย ๆ ว่าให้ดูดี ๆ เวลาคบเพื่อน ไม่ได้จะดุด่าที่มีเขาเป็นเพื่อน เข้าใจไหม?”

“ครับ” เจ้าตัวเล็กเปิดยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้ารับ เมื่อบรรยากาศเริ่มดีขึ้นมาจึงเอ่ยถามต่อ เพราะยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องที่มาปรึกษา “แล้วสรุปคุณว่าเรื่องไปทำงานแบบที่คาร์เตอร์บอกมันดีไหม ใจจริงผมก็เห็นด้วยกับคาร์เตอร์นิดหน่อย ถ้าหาเงินใช้ได้เองมันก็น่าภูมิใจเหมือนกัน”

“แล้วอยากทำอะไร?” เอวานปรับท่าทีมาเป็นปรึกษาที่ดี พร้อมจะรับฟังทุกปัญหาของเด็กน้อย

“ตอนนี้ยังไม่รู้เหมือนกันครับ แค่อยากขอคำปรึกษาจากคุณว่ามันดีไหม”

“อยากทำอะไรด้วยตัวเองมันก็ดี” ที่ปรึกษาเขาว่าอย่างนั้น “แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันยังเลี้ยงเธอไปได้อีกหลายปี เลี้ยงไปจนแก่เลยยังได้”

“เอวาน” ตัวเล็กทำเสียงเง้างอด ก็บอกอยู่ว่าอยากลองพึ่งตัวเอง

“ก็ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่อนุญาต จะอนุญาตเวลาที่เหมาะสม โอเคไหม?”

พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวเล็กก็ฉีกยิ้ม ขยับเข้าไปสวมกอดคนตัวโตที่นั่งพิงหัวเตียงแล้วซบแก้มกับอกแกร่งพร้อมออดอ้อน

“คุณเป็นคนดีที่หนึ่งเลย”

“ไม่ต้องมายอ”

“พูดเรื่องจริง”

“หึ” น่ามันเขี้ยวจนต้องหอมหัวไปที

พอมาคิดดูแล้ว การที่เด็กของเขามีเพื่อนแบบคาร์เตอร์ก็ไม่เลวนักหรอก แต่เขายังไม่อยากให้ห่างอกไปเร็วขนาดนั้น ยังอยากให้อ้อนไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้โตเลย เจ้ากลิ่นแก้ว

แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นแก้วโตขึ้นทุกวัน การดำเนินชีวิตเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นย่อมเปลี่ยนไป อาจไม่มีเจ้าตัวเล็กที่จะคอยมาออดอ้อนดังเช่นแต่ก่อน คิดแบบนั้นแล้วเอวานก็ใจหาย ลูกนกตัวน้อย ๆ ในวันนั้น วันนี้กำลังเริ่มหัดบิน อีกหน่อยพอปีกกล้าขาแข็ง คงโผไปจากอกพ่อนกกำมะลอแบบเขาสักวัน...





TBC



บวกขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เหม่ เอวาน อยากเลี้ยงต้อยไปเรื่อยเหรอ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เอวานอยากเป็นแค่พ่อเหรอ  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ชอบคนแก่เลี้ยงเด็ก อิอิ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
แหมมมมมม อยากให้น้องเป็นเด็กไปนานๆเนอะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ไง
แต่น้องตอนอ้อนก็น่ารักจริงๆ นี่นะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
นี่มันปฏิบัติการเลี้ยงต้อยชัดๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ



ห้องพักส่วนบุคคลบนชั้นสูงสุดของคาสิโน แสงสีในยามค่ำคืนของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลยังคงดาดาษอยู่ภายนอกห้องที่ผนังกรุด้วยกระจกหนา แก้วเครื่องดื่มถูกยกขึ้นจิบ ขณะที่สายตายังทอดมองบรรยากาศภายนอกด้วยความเงียบงัน กระทั่งใครคนหนึ่งบุกเข้ามาภายในห้อง

“ฟราน เมื่อไรนายจะจัดการยายปีศาจนั่นสักที ฉันว่านายปล่อยไว้นานเกินไปแล้วนะ”

ผู้ที่ยืนอยู่หน้ากระจกค่อยหันกลับมายังต้นเสียง ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาพร้อมสีหน้าไม่พอใจทำให้เจ้าของห้องต้องเอ่ยปาก

“ฉันบอกแล้วไงว่าปล่อยให้ลำพองใจไปก่อน”

“ลำพองใจไปก่อนงั้นเหรอ? ลำพองมากี่ปีเข้าไปแล้ว!?” แขกผู้มาเยือนตะคอกดังเพราะอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ภายใน

ตั้งแต่สตีเฟ่นตาย นี่มันกี่ปีเข้าไปแล้วที่มากาเร็ตเข้ามาบริหารงานต่อ แทนที่หุ้นในส่วนของสตีเฟ่นต้องตกมาเป็นของพวกเขาพี่น้อง กลับกลายเป็นคนนอกเสียอีกที่เข้ามาวุ่นวาย ไม่ใช่แค่มากาเร็ต บิดาของเธอก็เข้ามาแทรกแซงงานภายในคาสิโนด้วยอีกคน แล้วฟรานเชสโก้ยังจะใจเย็นไปถึงเมื่อไรกัน

“เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ทั้งยังช่วยโปรโมตในส่วนของที่พักและอาหารให้เราอีกไม่ใช่เหรอ โอลิเวอร์?” ฟรานเชสโก้ยังเอ่ยอย่างใจเย็น

“นี่นายจะเห็นดีเห็นงามกับยายนั่นไม่ได้นะเว้ย ถูกปั่นประสาทไปอีกคนแล้วหรือไง?” เจ้าของนามโอลิเวอร์โต้กลับด้วยความหงุดหงิด เขายอมรับว่ามากาเร็ตเป็นคนสวย แต่ไม่เคยนึกพิศวาส

“ถึงยังไงมากาเร็ตก็เป็นคนที่แม่เลือกมาให้สตีฟ จะทำอะไรก็ไม่ง่ายนักหรอก” พูดกันตามความเป็นจริง สองคนนั้นแต่งกันเพราะผู้ใหญ่ มันก็พูดยากหากจะลงมือทำอะไรไป เพราะครอบครัวของเขาและวิลสันก็รู้จักกันมานานพอสมควร

“นายก็เลยจะให้หล่อนเข้ามาวุ่นวายอยู่แบบนี้น่ะเหรอ?” โอลิเวอร์ออกจะหงุดหงิดใจที่เจ้าหล่อนยังลอยหน้าอยู่ในคาสิโน ทั้งยังพาคนจากวิลสันเข้ามาแทรกแซงการทำงานคนของเขาอีก

“โอลิเวอร์ ถ้านายอยากให้ฉันจัดการ นายต้องใจเย็นกว่านี้” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเตือน

“นี่ฉันยังเย็นไม่พออีกเหรอ ฟราน?” ให้ตายเถอะ ใจเย็นมากี่ปีแล้ว ยังจะเย็นไปจนถึงเมื่อไรอีก

“ถ้านายไม่พอใจในวิธีของฉันก็จัดการเอง แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงฉันก็แล้วกัน”

เมื่อผู้เป็นพี่ชายตัดเยื่อใยมาเสียขนาดนั้น โอลิเวอร์ก็พูดไม่ออก เดือดดาลแต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องฮึดฮัดออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิดที่ทบทวี

“โธ่เว้ย!”

ก็อย่างที่รู้กันว่ามากาเร็ตไม่ใช่ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาจากที่ไหน การจะเอาเธอลงจากบอร์ดบริหารต้องมีเหตุสมควร ให้วิลสันแก้ต่างไม่ออก

ฟรานเชสโก้ส่ายหน้าเบาเมื่อน้องชายออกจากห้องไปแล้ว โอลิเวอร์เป็นพวกมุทะลุ ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังสักเท่าไร มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจนบางครั้งก็อาจจะทำให้เสียการใหญ่ ในขณะที่สตีเฟ่น เห็นเป็นพวกเจ้าสำราญแบบนั้นกลับมีชั้นเชิงในการทำงานที่เหนือกว่า รู้จักวางแผนและมีเล่ห์เหลี่ยมพอตัว ในฐานะผู้บริหาร ฟรานเชสโก้อยากร่วมงานกับน้องชายเช่นสตีเฟ่น อยากให้มาร่วมมือกันทำให้ Ace Casino ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เอาสักอย่าง ไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยว ให้ช่วยอยู่ห่าง ๆ พอได้ แต่ให้ออกหน้าแบบผู้เป็นพี่ชาย สตีเฟ่นไม่เอา สิ่งที่สตีเฟ่นต้องการคืออิสระ อยากใช้ชีวิตธรรมดากับผู้หญิงที่รัก สร้างครอบครัวเล็ก ๆ และอยู่กันอย่างมีความสุข

สำหรับฟรานเชสโก้แล้วเรื่องแบบนั้นมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันไร้สาระ เขาไม่เคยคิดว่าหนุ่มเจ้าสำราญแบบสตีเฟ่นจะลงหลักปักฐานกับใครได้ กระทั่งเจอผู้หญิงคนนั้น สตีเฟ่นก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ จากที่เคยช่วยงานเขาก็กลายเป็นคนไม่สนอะไรนอกจากความเพ้อฝันบ้าบอนั่น

เสียงเตือนข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น กายสูงใหญ่ก้าวไปที่โต๊ะกระจก หยิบมันขึ้นมาเปิดไฟล์แนบ แก้วเครื่องดื่มในมือถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปากอีกหน กระดกน้ำสีอำพันแสนบาดคอนั้นลงไปจนหมดแล้วริมฝีปากจึงค่อยเหยียดยิ้มหยันเมื่อมองภาพถ่ายจากไฟล์แนบ

“นายคงรักลูกของนายมากสินะ สตีฟ”

ภาพเด็กผู้ชายในชุดนักเรียน ผิวสีน้ำผึ้งนั่นดูสะดุดตาไม่น้อยเลย รอยยิ้มสดใสของเด็กในรูปยิ่งทำให้มุมปากคนมองเหยียดยิ้ม

“น่าเสียดายนะ ที่นายไม่ได้อยู่ปกป้องเขา”

ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่รอดพ้นหูตาคนอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ยิ่งเป็นเรื่องของสตีเฟ่นด้วยแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่รู้ แม้แต่เด็กในรูปนี่ก็ด้วย ที่ยังนิ่งเฉยก็เพราะยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น

“ไม่ต้องเป็นห่วง สตีฟ ฉันจะดูแลเขาแทนนายเอง หึ”


……


คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

กลิ่นแก้วในชุดสุภาพเดินออกมาจากคฤหาสน์พร้อมช่อดอกไม้ในอ้อมแขน โดยมีเอวานก้าวเดินอยู่ข้างกาย ขณะที่บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองนายยืนรอท่าอยู่ข้างตัวรถ

เอวานเข้าไปนั่งเมื่อทอมัสเปิดประตูให้ ขณะที่กลิ่นแก้วส่งดอกไม้ให้แมกซ์เวลถือแล้วก้าวตามขึ้นไป วันนี้พวกเขาต้องไปที่สุสาน ไปเยี่ยมเยียนสตีเฟ่น ไรท์ ผู้ลาลับ มันเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกปี และในปีนี้ก็เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง

เกวนที่ตามมาส่งเด็กในความดูแลหน้าคฤหาสน์ได้แต่มองตามรถที่แล่นออกไปก่อนถอนหายใจเบา เอวานเคยบอกว่าไม่อยากให้เด็กของตนเข้าไปพัวพันกับคนฝั่งไรท์ แต่กลับยังพาเด็กไปที่สุสานในทุกปี ยอมรับว่าเธอแอบเป็นกังวล แต่เมื่อลูกอยากทำเพื่อคนที่จากไปก็เลยไม่ได้หวงห้ามอะไร เพราะเท่าที่ผ่านมาก็นานพอดูแล้ว เธอยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดจากฝั่งไรท์ นอกเสียจากวิลสันที่มาเฝ้าจับตาอยู่พักหนึ่งแล้วหายไป สถานการณ์ก็คงพอจะวางใจได้แล้วกระมัง

“กลิ่นแก้ว” เอวานเอ่ยเรียกเมื่อนั่งอยู่ข้างกันบนรถ

“ครับ?” คนถูกเรียกหันมายิ้มให้

“อยากกลับบ้านไหม?”

“อะไรนะครับ?” รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อยเจื่อนลงเมื่อทวนถาม เหมือนจะได้ยินอะไรผิดไป

“ที่ไบบิวรี่น่ะ”

“......”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?” เอ่ยถามเมื่อสีหน้าเด็กข้างกายดูอึ้งไป เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?

“ผ... ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า... ทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอครับ?”

“เดี๋ยว” เอวานแทรก ท่าทางนั้นมันอะไร เขายังไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไรสักคำ “กำลังคิดอะไรอยู่?”

“ก็... คุณจะไม่ให้อยู่ด้วย...” น้ำเสียงเบาหวิวฟังดูน่าใจหายเชียว

เมื่อเข้าใจว่าเด็กเป็นอะไร เอวานก็ยิ้มขำ “เด็กโง่ ใครพูดแบบนั้นกัน ที่ถามเพราะเห็นว่าเธอไม่ได้กลับไปนานแล้ว อาจคิดถึงบ้าน หรือคิดถึง... แม่ของเธอ”

กลิ่นแก้วถึงกับโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เอวานไม่ได้ไล่ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เอวานแค่ถามเฉย ๆ ส่วนเรื่องคิดถึงบ้าน คิดถึงมารดา เขายอมรับว่าคิดถึง อยากกลับไป แต่มันไม่มีที่สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

กิจการของมารดาทั้งฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ท่านทำเพราะอยากใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและสงบในบั้นปลายก็ถูกขายไปแล้วโดยสองสามีภรรยาเดลลาร์ กลิ่นแก้วไม่กล้าทักท้วงเมื่อสองคนนั้นเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ เพราะพวกเขาบอกว่าจะให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่ลอนดอน ไม่มีเวลาไปดูแลกิจการของมารดาต่อ จึงขายออกไป ตอนนี้แปรสภาพไปเป็นอะไรแล้วไม่อาจรู้ บ้านที่เขาเคยอยู่ก็ประกาศขายไปแล้วเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความทรงจำและการระลึกถึงผู้เป็นมารดาเท่านั้น

“ไว้มีเวลาฉันจะพากลับไปเยี่ยมบ้าน ดีไหม?”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นข้างกายทำให้กลิ่นแก้วยิ้มบาง ถึงแม้ชีวิตเขาจะไม่เหลืออะไร แต่คนคนนี้ก็ยังอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ เป็นทั้งแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อ เป็นทั้งคนที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา

“ขอบคุณครับ” มันเป็นคำขอบคุณที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำให้

พวกเขากำลังเดินทางไปที่สุสาน กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าป้ายสลักที่เขาเอาดอกไม้ไปวางในทุก ๆ ปีนั้นมันเป็นของใคร รู้แต่ชื่อสตีเฟ่น ไรท์ แต่เขาก็ไม่เคยถามว่าเป็นใคร เพียงรู้สึกว่าต้องเป็นคนสำคัญ เอวานถึงพามาหาไม่ได้ขาดเช่นนี้

เมื่อมาถึงก็เหมือนจะมีคนมาก่อนพวกเขาแล้ว รถยนต์ที่จอดอยู่โดยมีชายฉกรรจ์ตัวสูงใหญ่เดินวนเวียนทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกว่าสถานการณ์ดูแปลกไป ยิ่งท่าทางระแวดระวังภัยของผู้ใหญ่ทั้งสาม ยิ่งทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกระแวงตามไปด้วย

ป้ายหินสลักยังคงตั้งอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ต่อให้พายุลมฝนมากระทบก็ไม่คณา มากาเร็ตยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง สายลมโชยอ่อนพัดผ่านกายไม่ได้ทำให้เธอเย็นใจขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งเงาร่างหนึ่งเคลื่อนมาใกล้ หางตาเธอชำเลืองมองเพียงนิด เมื่อร่างนั้นหยุดยืนถัดไปเพียงเล็กน้อย เธอจึงเอ่ยขึ้น

“ไม่คิดว่าคุณจะมา”

ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่และเด็กชายตัวเล็กที่ก้าวเข้ามายืนหน้าป้ายสลักค่อยวางช่อดอกไม้ลงเหนือพื้นหินเย็นชืด มากาเร็ตมองการกระทำนั้นด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก จนกระทั่งพวกเขาก้าวถอยออกมา เด็กชายผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อย เธอมองเลยไปยังมือของทั้งคู่ที่จับกันอยู่ ขณะที่เสียงเอ่ยทักจากชายหนุ่มตัวโตดังขึ้น

“สบายดีนะ”

ริมฝีปากมากาเร็ตเหยียดออกเล็กน้อย “หึ คุณน่าจะรู้ดีว่าการอยู่ที่นั่นไม่มีคำว่าสบาย”

“คุณกำลังรู้สึกว่าที่นั่นไม่เหมาะกับคุณ” เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยธรรมดา แต่ราวกลับมานั่งอยู่กลางใจ

“ถ้าฉันไม่เหมาะ แล้วใครกันที่เหมาะ เด็กคนนี้เหรอ?”

แววตาที่แปรเปลี่ยนทำให้เด็กชายขยับไปเบียดคนข้างกายมากขึ้น มืออีกข้างยกขึ้นมาเกาะแขนแกร่งราวหาที่พึ่ง เมื่อแววตาที่มองจ้องมาดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เอวานพยักหน้าให้แมกซ์เวลพากลิ่นแก้วออกไปก่อน เด็กยอมเดินตามบอดีการ์ดหนุ่มไปแต่โดยดี แต่ก็อดเหลียวมามองอย่างเป็นห่วงไม่ได้ เพราะบริเวณนั้นมีแต่ผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางดูน่ากลัว คนพวกนั้นจะไม่ทำร้ายเอวานใช่ไหม?

มากาเร็ตมองเด็กที่ก้าวห่างออกไป ตั้งแต่แต่งงานกับสตีเฟ่น เธอรู้ดีว่าเขาไม่เต็มใจ เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากความรัก ไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่แรก แค่ความเหมาะสมและผลประโยชน์

สตีเฟ่นให้เธอทุกอย่างยกเว้นหัวใจ เขาเฝ้าโหยหาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เขารัก แต่มากาเร็ตก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่ารำคาญที่อีกฝ่ายเอาแต่จมอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันย้อนคืน ชีวิตคู่เป็นไปในรูปแบบต่างคนต่างอยู่ เพียงแต่ทำหน้าที่เวลาออกงานตามหน้าสื่อเท่านั้น กระทั่งวันที่มากาเร็ตได้รู้ว่าสามีของเธอและผู้หญิงในอดีตของเขามีลูกด้วยกัน เหมือนทุกอย่างที่ควรเป็นของเธอมันกำลังจะหลุดลอย เธอจะกลายเป็นเพียงคนนอกในทันทีที่สตีเฟ่นจากไป เพราะเธอไม่มีทายาทที่เป็นสายเลือดของไรท์ ลูกของผู้หญิงคนนั้นจึงกลายเป็นก้างชิ้นโตสำหรับเธอ

ความคิดแรกของมากาเร็ตคือการกำจัดเด็กให้พ้นทาง ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเมื่อมีเอวาน เวสส์อยู่ เด็กคนนั้นได้รับการปกป้อง การปกป้องที่คนอย่างเธอไม่เคยได้รับจากใครเลย

“เหมือนผมจะเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าผมไม่คิดจะให้เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกคุณ” เอวานเอ่ยขึ้นราวย้ำเตือน

มากาเร็ตค่อยละสายตามาหา “คุณจะให้ฉันเชื่อเหรอ ว่าวันหนึ่งคุณจะไม่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ทุกอย่างให้เขา?”

“ถ้าสิทธิ์ที่คุณว่ามันแลกมาด้วยความทุกข์แบบที่คุณเป็น ผมก็ไม่ต้องการให้เขาเป็นแบบนั้น”

คำพูดนั้นเล่นเอาคนฟังสะอึก ใช่ เธอเป็นทุกข์แบบที่อีกฝ่ายว่า เพียงแค่ไม่ยอมรับ เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่พยายามมาทั้งหมดนั้นเพื่ออะไรกันแน่ ความสุขบนกองเงินกองทองหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะชีวิตของเธอเวลานี้มันเต็มไปด้วยความหวาดระแวง การหาความสุขใส่ตัวช่างยากเย็น ไม่เหมือนตอนที่เธอเฉิดฉายอยู่หน้าจอในฐานะนักแสดงหญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อนึกอยากจะย้อนกลับไป เธอก็ทำไม่ได้ เธอลงจากหลังเสือไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แววตามากาเร็ตอ่อนแสงลง เมื่อเอ่ยถามเสียงเบาหวิว “ฉันจะเชื่อใจคุณได้จริงเหรอคะ?”

“ผมไม่ได้บอกให้คุณเชื่อใจ เพียงแต่อยากยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองเท่านั้น”

หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก่อนถอนหายใจ “เขาโชคดีกว่าฉันมากที่มีคุณคอยปกป้อง”

“......”

“หลายปีที่ผ่านมา คุณพยายามทำให้เขาเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่คุณกลับยังพาเขามาที่นี่ ไม่คิดว่ามันย้อนแย้งไปสักหน่อยเหรอคะ?” มากาเร็ตเอ่ยถามเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันช่างขัดกันเหลือเกินในความรู้สึก

“แล้วทำไมผมจะพาเขามาที่นี่ไม่ได้ ในเมื่อเขาอยู่ในความดูแลของผม และสตีฟก็เป็นพี่ชายของผม”

“คุณนี่ยียวนกว่าที่คิดนะคะ” เธอว่าอย่างนั้น “แต่ก็เอาเถอะ ฉันเหนื่อยที่จะต้องรบรากับใครแล้ว แต่กับฟรานเชสโก้อาจไม่คิดแบบฉัน”

“ผมรู้ว่าคุณจะไม่บอกเขา”

มากาเร็ตชะงักเมื่อเอวานโต้กลับมาเช่นนั้น ใช่สิ เธอจะให้ฟรานเชสโก้รู้ได้อย่างไร หากเขารู้ เด็กต้องถูกดึงเข้ามาในเกมอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณก็รู้ดีว่าเพราะอะไร” มากาเร็ตว่า “ถ้าเขารู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่จะเดือดร้อน เด็กของคุณได้กลายเป็นหมากในเกมของเขาแน่”

“มันจะไม่มีวันนั้น”

“ฉันจะถือว่านั่นคือคำสัญญา”

มากาเร็ตตีขลุม ซึ่งเอวานก็ไม่ได้เอ่ยแก้ ทั้งสองต่างมองสบตากันนิ่งโดยไร้ซึ่งคำพูดใดต่อจากนั้น พวกเขาไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นมิตร เพียงแต่มีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกันก็เท่านั้น



กลิ่นแก้วยืนรอเอวานแถวร่มไม้ไม่ไกลจากบริเวณที่จอดรถนัก มือเล็กสอดกุมมือเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึง ขณะออกก้าวเดินไปที่รถก็อดเหลียวไปมองหญิงสาวที่ยังยืนอยู่จุดเดิมไม่ได้ กระตุกมือเอวานเบา ๆ ทำให้สายตาคมปรายมามอง

“ถามได้ไหมครับ?” เอ่ยขึ้นราวขออนุญาต เมื่อคนตัวโตพยักหน้าจึงว่า “คุณผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นอะไรกับคนที่ชื่อสตีเฟ่น ไรท์เหรอครับ?”

“ภรรยา”

คำตอบของเอวานทำให้กลิ่นแก้วนิ่งไปนิด รู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมา เมื่อคิดไปว่าเธอคงทุกข์ใจไม่น้อยเลยที่สามีมาด่วนจากไปเช่นนี้

“เอวาน...”

“เลิกถามได้แล้ว กลิ่นแก้ว”

“... ครับ” เด็กชายงับปากลง ไม่ตั้งคำถามอะไรอีก

เอวานชำเลืองมองเด็กที่เงียบไปแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าตัวเล็กตั้งคำถามกับเขาบ่อยขึ้น เขารู้ดีว่าไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ดังใจ สักวันกลิ่นแก้วต้องอยากรู้ว่าเหตุใดเขาจึงพามาที่นี่

“สตีเฟ่น ไรท์...”

“....?” อยู่ ๆ คนที่เงียบไปแล้วก็พูดขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วเลิกคิ้ว

“เขาเป็นพี่ชายของฉัน”

เจ้าตัวเล็กอ้าปากหวอเมื่อเอวานพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่แท้คนคนนั้นก็เป็นพี่ชายของเอวานนี่เอง มิน่าถึงได้รู้สึกว่าเอวานเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อมาที่นี่

“เธอรู้สึกไม่ดีรึเปล่าที่ฉันพามาที่นี่ทุกปี?”

กลิ่นแก้วส่ายหน้า “ถึงตอนแรกผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมก็รู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนสำคัญสำหรับคุณแน่ ๆ ทุกครั้งที่มา ผมไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่ผมอยากมา อย่างน้อยถ้าคุณทุกข์ใจ ผมก็อยากอยู่ข้าง ๆ”

“ฉันดูเป็นทุกข์ขนาดนั้นเลย?”

กลิ่นแก้วย่นจมูกกับการเอ่ยเย้าของคนตัวโต มืออีกข้างเลื่อนขึ้นมาเกาะแขนแกร่งก่อนเอียงแก้มซบ ขณะที่ในใจก็อดนึกไปไม่ได้ว่าภรรยาของสตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นจะมีคนคอยปลอบใจบ้างไหม

“ผู้หญิงคนนั้น เธอดูทุกข์กว่าคุณอีก เพราะพวกคุณมีคนสำคัญคนเดียวกันสินะครับ”

เอวานไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้เด็กน้อยของเขาคิดไปแบบนั้นก็คงจะดีกว่า เมื่อโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด


......


เอวานในชุดสูทยืนหมุนแก้วเครื่องดื่มในมือท่าทางเบื่อ ๆ เขาเป็นตัวแทนบิดามาร่วมงานแต่งงานของบุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ มองดูแขกผู้ร่วมงานในวันนี้แล้วต่างคนก็ต่างสวมหน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น แม้แต่เจ้าของงานเองก็ด้วย แต่งงานเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม คิดแล้วเอวานก็ถอนหายใจ แม้เขาจะไม่ใช่พวกบูชาความรักหรือใช้ความรักนำทาง แต่หากจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนคงไม่ใช่เพราะธุรกิจหรือผลประโยชน์ที่จะเกื้อกูลกันได้เท่านั้น

แต่บิดาของเขาคงไม่คิดเช่นนั้น เมื่องานวันนี้คู่ควงของเขาคือวาเนสซ่า เทย์เลอร์ ภายในงานมีนักข่าวจากหลายสำนัก ไม่ต้องสงสัยเลยหากเรื่องระหว่างเขากับวาเนสซ่าจะกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อข่าวซุบซิบไม่ว่าจะกรอบใหญ่หรือเล็ก เพราะการออกงานร่วมกันเช่นนี้ราวเปิดตัวอยู่กลาย ๆ แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้น แต่หากมองในมุมของคนนอกก็คงไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากควงคู่กันมาเปิดตัว

เอวานปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่อ เขาให้เหตุผลว่าตัวเอกของวันนี้ควรเป็นเจ้าของงาน จึงไม่ขอให้สัมภาษณ์ที่มันนอกเหนือไปจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงานครั้งนี้ ทำให้วาเนสซ่าเองต้องบอกปัดนักข่าวไปเช่นเดียวกัน เพราะจะให้เธอให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่ฝ่ายเดียวก็คงจะไม่งามนัก

หลังออกจากงานเลี้ยงมาเอวานก็ไปส่งหญิงสาวที่ห้องพัก เธอย้ายมาอยู่ข้างนอกเพราะใกล้ที่ทำงาน และได้บิดาของเขาเป็นคนแนะนำที่พักให้ นอกจากใกล้บริษัทของครอบครัวเธอแล้วยังอยู่ใกล้เอวานด้วย ครั้งแรกที่ได้รู้ว่ามันคือความจงใจของบิดา เอวานก็ได้แต่ถอนใจ ดูท่านจะอยากให้เขาตกล่องปล่องชิ้นกับลูกสาวเพื่อนคนนี้เสียจริง

เอวานขึ้นไปส่งหญิงสาวบนห้อง ขณะที่บอดีการ์ดทั้งสองนายรออยู่ด้านล่าง เมื่อขึ้นมาถึงหน้าประตู วาเนสซ่าก็ชวนเข้าไปดื่มอะไรต่อข้างใน ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอก็เอ่ยดักขึ้นมา

“คราวก่อนคุณมีธุระสำคัญ หวังว่าคราวนี้จะสะดวกนะคะ”

เมื่อครั้งวันเกิดเอวาน เธอและเขาไปฉลองด้วยกัน ดึกพอสมควรเอวานก็มาส่งเธอที่ห้อง แต่กลับไม่ยอมเข้ามา อ้างว่ามีนัดสำคัญ แม้จะรู้สึกเสียหน้าแต่เธอก็ยังทำเป็นเข้าใจ กระทั่งคราวนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหาอะไรมาปฏิเสธเธออีก แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีทีท่าจะหักหน้าเธอ ริมฝีปากอิ่มสวยจึงเปิดยิ้มน้อย ๆ ค่อยก้าวเข้าไปในห้อง ทิ้งปลายนิ้วไล้อกแกร่งผ่านสูทเนื้อดีพร้อมสายตาเชิญชวนเปิดเผย

มุมปากเอวานยกยิ้มน้อย ๆ ขณะก้าวตามหญิงสาวเข้าไปภายในห้อง เสื้อสูทค่อยถูกถอดออกช้า ๆ แขนเสลายกขึ้นคล้องกอดลำคอหนาแล้วรั้งให้โน้มลงมาหา ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันช้า ๆ ขณะที่บานประตูค่อยงับปิดลง...



เวลาผ่านไปจนดึกดื่นค่อนคืน นอกระเบียงห้องบนคฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน กลิ่นแก้วยังออกมายืนชะเง้อมองหา วันนี้วันหยุด แต่เอวานยังไม่กลับเพราะต้องไปงานเลี้ยง ทีแรกเจ้าตัวเล็กคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกลับดึกสักหน่อย แต่นี่มันดึกเกินไปแล้ว งานเลี้ยงที่ว่านั่นจะมีไปจนถึงกี่โมงกี่ยามกัน

เด็กชายถอนใจเมื่อมองไปหน้าคฤหาสน์ทีไรก็ไร้วี่แววว่าเอวานจะกลับมา รู้สึกว่าตนเองควรนอนได้แล้ว เพราะถ้าหากมาดามเจฟเฟอร์สันรู้ว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่หลับไม่นอนต้องโดนดุแน่ แต่ขณะที่กำลังจะถอดใจแล้วเข้าห้องไปนอน แสงไฟจากรถยนต์ที่ส่องมาลิบ ๆ ก็ทำให้ชะงัก เมื่อหันกลับไปมองแล้วเห็นว่ารถคันดังกล่าวตรงมาทางตัวคฤหาสน์ รอยยิ้มยินดีก็เปิดกว้าง เอวานกลับมาแล้ว

กลิ่นแก้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องแล้วลงบันไดมาหาเอวานที่ด้านล่าง อีกฝ่ายชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดเมื่อเขามาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง กลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นชินลอยมาแตะจมูก ทำให้รอยยิ้มที่มีค่อยเจื่อนลง เอวานไปไหนมา?

“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” คนตัวโตเอ่ยทัก นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา “ดึกมากแล้วนะ เกเรใหญ่แล้ว”

“นึกว่าวันนี้คุณจะไม่กลับเสียอีก”

เสียงออด ๆ นั่นทำให้ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มเอ็นดู “ก็กลับมาแล้วนี่ไง ขึ้นไปนอนได้แล้ว”

รุนหลังเด็กน้อยให้ขึ้นห้องไปนอน ไม่ทันได้สังเกตว่าตากลมนั้นคอยลอบมองอยู่ตลอด ก็ตอนจะออกไปงานเลี้ยง เสื้อผ้าหน้าผมเอวานดูเนี้ยบกว่านี้ กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ก็ไม่ตีกันวุ่นวายแบบตอนนี้ด้วย

กลิ่นแก้วมองอย่างสำรวจ เวลานี้เอวานสวมเพียงเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมไม่เรียบร้อยนัก สูทถูกถอดพาดไว้ที่แขน ด้วยความที่เอวานเป็นคนผิวขาว รอยแดงที่โผล่พ้นสาบเสื้อเพียงวับแวมจึงเด่นชัดจนคิ้วกลิ่นแก้วขมวด ในงานเลี้ยงยุงเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

ช่วงบ่ายวันต่อมา กลิ่นแก้วลงมาหาเกวนที่ศาลาในสวนของเจฟเฟอร์สัน เธอกำลังถักไหมพรม มันช่วยฝึกสมาธิ เวลาว่าง ๆ เกวนมักจะทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย วันไหนเจ้าตัวเล็กไม่ได้ไปโรงเรียนก็ชอบมาขลุกอยู่กับเธอ บางทีเธอก็พาไปตรวจงานที่ห้างสรรพสินค้าด้วย บางวันก็นั่งทำของจุกจิกกันสองคน ก็เพลินไปอีกแบบ

แม่บ้านยกขนมกับน้ำชายามบ่ายมาให้ กลิ่นแก้วเข้าไปช่วยรินน้ำชาให้มาดามเจฟเฟอร์สัน ก่อนกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้าม ดูเธอถักไหมพรมด้วยความสนอกสนใจต่อ

“สนใจเหรอ?” เกวนเอ่ยทัก เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มน่าเอ็นดู “อยากลองทำไหม?”

“เท่าที่ดู คงไม่ไหวครับ” กลิ่นแก้วยิ้มแหย มันงานละเอียด แค่ดูก็ยากแล้ว

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงกัน” เกวนว่า

อันที่จริงเพราะกลิ่นแก้วชอบอะไรพวกนี้ พวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือพวกงานฝีมือที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ เพราะแบบนั้นถึงอยู่กับเกวนได้ แต่เรื่องถัก ๆ ทอ ๆ เกวนยังไม่เคยให้หัดทำ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่คงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งทำอะไรพวกนี้ มันไม่ใช่วิสัย และคงอายถ้าถูกเพื่อนล้อ

“ถ้าอยากลองก็หยิบเข็มถักขึ้นมา เดี๋ยวจะสอนให้”

กลิ่นแก้วหยิบเข็มถักจากตะกร้าไหมพรมขึ้นมาตามที่เกวนบอก แม้ตอนแรกจะยังดูเงอะงะ พอค่อยสอนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเป็นงาน แต่พอทำเป็นแล้วก็ดูจะตั้งใจเกินเหตุ เมื่อมันไม่สวยเหมือนที่เกวนทำก็หน้ามุ่ย จนเกวนยิ้มขำ

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ แรก ๆ ก็แบบนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยชินมือก็จะดีขึ้น” เกวนเอ่ยแนะ

กลิ่นแก้วยิ้มแหย มันจะดีขึ้นจริงหรือ ตอนแรกคิดว่าถ้าทำเป็นก็อยากถักเสื้อให้เอวาน แต่มาตอนนี้คงเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป แค่ถักที่รองแก้วยังเบี้ยวเลย จะไหวไหมนี่

เสียงรถเอวานดังแว่วมาทำให้เกวนหันไปมอง วันนี้เป็นวันหยุด แต่เอวานมีธุระต้องไปจัดการแทนบิดา เกวนมักจะบ่นที่พอลใช้งานลูกมากไป วันหยุดก็ไม่ได้หยุด คนของตัวเองมีเยอะแยะก็ไม่ใช้ ไม่รู้ว่าเอวานเป็นลูกหรือพนักงานกินเงินเดือนในบริษัทกันแน่ ใช้เสียคุ้มเลย

ไม่นานนักเอวานก็มาปรากฏตัวที่ศาลา เด็กยังง่วนอยู่กับการถักที่รองแก้ว กายสูงใหญ่ก้าวไปนั่งลงข้าง ๆ มองท่าทางตั้งอกตั้งใจนั้นแล้วเอ่ยถามยิ้ม ๆ

“ทำอะไร?”

กลิ่นแก้วเงยมามองแล้วยิ้มบอก “มาดามสอนถักไหมพรมครับ แต่มันยากจัง”

“พยายามเข้า ถ้าถักเป็นแล้วขอเสื้อสักตัว”

คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มของเจ้าตัวเล็กสดใสขึ้นมาอีกระดับ ตั้งอกตั้งใจถักต่ออย่างอารมณ์ดี เกวนที่มองสถานการณ์อยู่ถึงกับส่ายหน้า เข้าใจหลอกล่อเด็กนะพ่อคุณ

“ลูกมาก็ดีแล้ว แม่มีเรื่องจะคุยด้วยอยู่พอดี”

เกวนเอ่ยขึ้นเมื่อวางถ้วยน้ำชาในมือลงแล้วขยับนั่งในท่าที่สบาย ขณะที่เอาวานมองผู้เป็นมารดาอย่างมีคำถาม

“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้ควงสาวที่ไหนออกงานนะ?”

เป็นกลิ่นแก้วเสียอีกที่ชะงักกับคำถามนั้น ขณะที่เอวานเพียงยิ้มบาง อะไรมันจะถึงหูมาดามมาเฟียไวขนาดนี้

“สาวที่ไหนกันล่ะครับ” ชายหนุ่มทำไขสือ ไม่ยอมรับออกไปในทันที

“ก็นั่นน่ะสิ” ผู้เป็นมารดาลากเสียงทั้งยิ้มล้อในสีหน้า

ความจริงอายุขนาดเอวานก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ไหนแล้ว วัยนี้พอจะเป็นฝั่งเป็นฝา พอจะมีครอบครัวได้แล้ว แต่เอวานเคยบอกว่าไม่รีบ ซึ่งเกวนก็ไม่ได้ก้าวก่ายในส่วนนั้น แล้วแต่ความพอใจของลูก ส่วนเรื่องควงสาวออกงานได้ยินมาจากวงสนทนาในงานสัมมนาที่เธอไปเมื่อเช้านี้ บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ต่างจับกลุ่มคุยกัน ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไรจึงได้มาถามไถ่ดู

“ลูกสาวเพื่อนปาครับ” เอวานบอกยิ้ม ๆ ดูมารดาจะสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพูดถึงบิดา “ปากับพ่อของเธอมีธุรกิจร่วมกัน เธอชื่อวาเนสซ่า เทย์เลอร์ ครับ”

วาเนสซ่า เทย์เลอร์... กลิ่นแก้วทวนชื่อนั้นในใจ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ที่ไหนกันนะ?

“กับคนนี้คือจริงจังแล้วรึยัง?” เกวนเอ่ยถามต่อ

“เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ”

“แต่ท่าทางผู้หญิงเขาจะไม่ได้คิดว่าลูกเป็นแค่เพื่อนที่ดีนะ เอวาน ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็อย่าไปให้ความหวังเขาจะดีกว่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเตือน เพราะเท่าที่ฟังสาว ๆ เขาคุยกัน ฝั่งผู้หญิงก็ดูจะมีใจให้ลูกชายของเธออยู่

“อย่าคิดมากเลยครับ มัม มันก็แค่ข่าวซุบซิบที่เขาใส่สีตีไข่กันมาแล้วทั้งนั้น”

“เพราะแบบนั้นแหละ ฝั่งผู้หญิงเขาจะเสียหายเอา”

เกวนค่อนข้างเป็นพวกหัวโบราณเล็ก ๆ ถึงแม้สมัยนี้จะไม่ได้ถือเรื่องความสัมพันธ์ทางกายโดยไร้ซึ่งเสน่หากันแล้ว แต่เธอก็ยังยึดความถูกต้องมากกว่าถูกใจแบบที่มีความสัมพันธ์กันเพียงฉาบฉวยเท่านั้นอยู่ดี

“ผมจะระวัง” เอวานว่าอย่างนั้น

“ไม่ต้องมาบอกว่าจะระวัง จะระวังทำไม ถ้ารักกันชอบกันก็เปิดเผยไปสิ หนุ่มวัยนี้เขาสร้างครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานก็เยอะแยะ แม่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ทำเป็นมาบอกแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน แบบนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลยนะ”

เสียงสนทนาระหว่างแม่ลูกยังคงดังมาเข้าหู กลิ่นแก้วหยุดมือที่กำลังถักที่รองแก้วอย่างตั้งใจนั่นไปแล้ว รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก เอวานชอบผู้หญิงคนนั้นหรือ? จะแต่งงานกับเธอด้วยใช่ไหม? ไม่รู้ทำไมจิตใจถึงได้ห่อเหี่ยวแบบนี้กันนะ ไม่ชอบเลย


......


โรงยิมภายในโรงเรียนเอกชน กลิ่นแก้วมานั่งรอเพื่อนซ้อมบาสเกตบอลบนอัฒจันทร์ คาร์เตอร์ ลอยน์ และเพื่อนอีกสองสามคนในห้องลงคัดตัวนักกีฬาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กลิ่นแก้วชอบกิจกรรมนันทนาการมากกว่าจึงไม่ได้ลงคัดตัวกับเพื่อน แต่ก็โดนลากมาเฝ้าทุกทีที่ซ้อมอยู่ดี

เสียงเด็กนักเรียนหญิงรอบข้างซุบซิบกันพลางหัวเราะคิกคักทำให้กลิ่นแก้วหันไปมองด้วยความสงสัย เหมือนว่าคาร์เตอร์จะเป็นจุดสนใจเอามาก ๆ ในวันนี้ กลิ่นแก้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน จนกระทั่งเพื่อน ๆ พากันซ้อมเสร็จแล้วลงไปหาที่ด้านล่างถึงได้เข้าใจ

ชุดเสื้อกล้ามนักกีฬาที่คาร์เตอร์ใส่เปิดให้เห็นช่วงคอลงมาถึงอก ผิวคาร์เตอร์ขาวแบบชาวตะวันตก มีกระประปราย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่อยากพูดถึง เพราะจุดสนใจของกลิ่นแก้วมันอยู่ที่รอยตามคอลามลงมาถึงช่วงไหปลาร้านั่น เป็นจ้ำแดงเหมือนของเอวานเลย ไปโดนยุงที่ไหนกัดมา?

“คอนายเป็นอะไร ยุงกัดเหรอ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถาม เมื่อเช้าคาร์เตอร์ใส่ชุดนักเรียน เขาถึงไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ

คาร์เตอร์ยิ้มกริ่ม พยักพเยิดให้เพื่อนในกลุ่มตอบแทน

“ยุงที่ไหนกันล่ะ สาวต่างหาก”

กลิ่นแก้วตาโต “ใครกัด?”

คาร์เตอร์บอกว่าเป็นสาวรุ่นพี่ เมื่อวานไปเที่ยวห้องเธอมา อยู่โรงเรียนเธอออกจะคงแก่เรียนหน่อย ๆ แต่ตัวจริงนี่ร้อนแรงใช่เล่น

“ทำไมเขาต้องกัดนายด้วย นายรังแกเขาเหรอ?” กลิ่นแก้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“รังแก?”

เพื่อนในกลุ่มร้องออกมาพร้อมกันแล้วหัวเราะลั่นจนกลิ่นแก้วงง ตลกตรงไหน?

“ฉันไม่ได้รังแกอะไรเขา แล้วรอยนี่ก็ไม่ใช่รอยกัด แต่เป็นรอยดูดต่างหาก คิสมาร์กน่ะ รู้จักไหม?”

“คิสมาร์ก?”

เป็นอีกครั้งที่กลุ่มเพื่อนหัวเราะปฏิกิริยาของกลิ่นแก้ว ขณะที่คาร์เตอร์ก็ทำเป็นมองแล้วถอนใจ

“เฮ้อ พูดกับนายไปก็ไม่มีประโยชน์ เด็กน้อยจริง ๆ”

กลิ่นแก้วออกจะหมั่นไส้ที่คาร์เตอร์ทำหน้าทำตาเหมือนรู้ดี โตกว่าเขาเท่าไรกันเชียว “ฉันกับนายก็อายุพอ ๆ กัน”

“อายุเท่ากัน แต่ดูนายสิ ยังไม่โตเลย ยิ่งเรื่องพวกนี้นะ ฉันว่าคงอีกนาน” พอคาร์เตอร์พูดจบ เพื่อนในกลุ่มก็พากันหัวเราะหึ ๆ

“อีกนานอะไร เรื่องอะไร?” มาทำยึก ๆ ยัก ๆ อมพะนำอยู่นั่น ยิ่งสายตาที่เหมือนมองเด็กน้อยแบบนั้น เขาไม่ชอบเลย

“อย่าอยากรู้เลย เสียเด็กเปล่า ๆ” คาร์เตอร์ว่าพร้อมรอยยิ้มดูเหนือกว่าแบบที่กลิ่นแก้วไม่ชอบใจนัก

ทุกคนทำเหมือนรู้ดีกันไปหมด ทำเหมือนเขาเป็นคนโง่เพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม มันน่าหงุดหงิดจนเกินไปแล้ว!



ความหงุดหงิดใจถูกพกกลับมาที่เจฟเฟอร์สันด้วย ที่พึ่งหนึ่งเดียวของเขาคือเอวาน เขาโทรไปอ้อนขอนอนที่คอนโดมิเนียมด้วย เพราะไม่ใช่วันหยุด เอวานไม่กลับมานอนที่เจฟเฟอร์สันแน่หากไม่จำเป็น แล้วแบบนี้เขาจะปรึกษาใครได้

เมื่อถูกอ้อนมา เอวานจึงให้ทอมัสบึ่งรถมารับ ขณะที่เอวานเข้าไปอาบน้ำในห้อง บอดีการ์ดทั้งสองก็กำลังหาอะไรกินอยู่ในครัว กลิ่นแก้วที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินมาเกาะเคาน์เตอร์กั้นห้องครัว มองสองหนุ่มตัวโตเดินไปเดินมาแล้วตัดสินใจเอ่ยถาม

“มิสเตอร์ทอมัส”

“หือ?” ทอมัสที่กำลังรินน้ำใส่แก้วหันมาเมื่อถูกเรียก ก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม

“คุณเคยถูกผู้หญิงดูดคอไหม?”

คำถามแสนตรงไปตรงมานั่นทำเอาบอดีการ์ดตัวโตสำลักน้ำทั้งไอโขลก แมกซ์เวลส่งกล่องทิชชูให้เช็ดปาก ขณะที่กลิ่นแก้วยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองถามอะไรผิดไปหรือ?

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?” หลังจากหยุดไอจากการสำลักน้ำแล้ว ทอมัสก็เอ่ยถามเด็กหน้าซื่อที่ยังยืนเกาะขอบเคาน์เตอร์ไม่รู้เรื่องรู้ราว

“คุณเคยถูกผู้หญิงดูดคอรึเปล่า?”

กลิ่นแก้วย้ำคำถามอย่างพาซื่อ เพียงเท่านั้นบอดีการ์ดหนุ่มก็รีบจ้ำมารั้งแขนให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา เรียกได้ว่าแทบจะจับเข่าคุย ขณะที่แมกซ์เวลให้ความสนใจอยู่ห่าง ๆ

“อย่าบอกนะว่านายถูกใครดูดคอมา?”

คำถามจากบอดีการ์ดหนุ่มทำให้กลิ่นแก้วส่ายหน้า “เปล่า ไม่ใช่ผม คาร์เตอร์ต่างหาก วันนี้คอเขามีรอยแดง ๆ ผมนึกว่ายุงกัด พวกเพื่อน ๆ ผมหัวเราะกันใหญ่ บอกไม่ใช่ยุงแต่เป็นผู้หญิง”

ทอมัสทำหน้าประหลาดเมื่อฟังที่เด็กของนายเล่า เด็กพวกนี้อายุเท่าไรกันเชียว สิบสี่หรือสิบห้า? ถ้าอิงจากเด็กของนายก็ยังอยู่มัธยมต้นกันอยู่เลย ไวไฟเกินเด็กไปแล้ว

“พวกเขาบอกว่าผมไม่เข้าใจหรอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริง ๆ คาร์เตอร์ดูภูมิใจมากที่ถูกทำแบบนั้น มันเพราะอะไรกัน แล้วทำไมเขาต้องมาดูดคอกันด้วย?”

ทอมัสสูดลมหายใจเข้าลึก จะอธิบายอย่างไรดี “คือ...”

มองเด็กที่ท่าทางจะไม่รู้อะไรจริง ๆ แล้วก็ถอนหายใจด้วยความหนักอก เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ อีกหน่อยพอกลิ่นแก้วโตขึ้นก็ต้องเจอ อธิบายให้รู้ให้เข้าใจก็น่าจะดีกว่าให้ไปลองเองแล้วพลาดพลั้งไป แต่มาถามตาใสแบบนี้ก็ค่อนข้างพูดกันยากอยู่ เจ้าเด็กคาร์เตอร์นี่มันยังไงกัน เอาอะไรมาใส่หัวเด็กของนายเขานี่

“ว่ายังไงครับ มิสเตอร์ทอมัส?” กลิ่นแก้วเอ่ยเร่ง ยิ่งอ้ำอึ้งมันยิ่งน่าสงสัย เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เลยหรือ?

“จะให้พูดยังไงดี อันที่จริงแล้ว...” ทอมัสพยายามอธิบายให้มันดูกลาง ๆ ไม่เป็นการชี้นำมากจนเกินไป แค่ให้รู้ว่ามันคืออะไร พูดไปก็สังเกตปฏิกิริยาเด็กไป

“เซ็กซ์?” กลิ่นแก้วทวนคำอย่างเลื่อนลอยเมื่อฟังที่อีกฝ่ายสรุปความในตอนท้าย

พอเห็นว่าเด็กเป็นแบบนั้น ทอมัสก็ไปต่อไม่ถูก ถ้าเจ้าหนูนี่โตกว่านี้อีกหน่อย เกเรอีกนิด คงกอดคอคุยกันได้ นี่มาแบบหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ เขาไม่กล้าป้อนข้อมูลอะไรให้เลย ให้ตายสิ

กลิ่นแก้วพอจะเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายพยายามอธิบาย เขารู้เรื่องเพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์ตามทฤษฎี เพราะที่โรงเรียนก็สอนเรื่องเพศศึกษา พอเข้าใจว่ามันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แม้ไม่รู้อะไรที่ลึกซึ้งไปกว่านี้ก็ตาม รอยที่คอคาร์เตอร์เกิดมาจากเหตุนั้น แล้วรอยบนตัวเอวานล่ะ คืนนั้นเอวานไปทำอะไรกับใครมา?

“อ้าว จ๋อยเลย เป็นอะไรอีก?” ทอมัสเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กดูซึมไป

กลิ่นแก้วส่ายหน้าว่าไม่ได้เป็นอะไร คว้าหมอนอิงมากอดแล้วนั่งซึมอยู่อย่างนั้น บอดีการ์ดหนุ่มเลยได้แต่เกาหัวเพราะตามอารมณ์ไม่ถูก

เอวานออกมาจากห้องหลังอาบน้ำเสร็จ บรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้หันไปมองแมกซ์เวล ทางนั้นจึงส่งสายตาไปที่ทอมัส ทำให้ดวงตาคมดุตวัดมอง คนถูกมองยกมือเสมอไหล่แล้วส่ายหน้าเบา ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าตัวเล็กนี่นะ ไม่ได้ทำอะไรเลย

ทอมัสลุกจากโซฟาแล้วเลี่ยงออกไปเมื่อผู้เป็นนายก้าวเข้ามา สายตาดุ ๆ นั่นยังมองมาอย่างคาดโทษ ทำเอาบอดีการ์ดหนุ่มเหงื่อแตกซิก ไม่น่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเด็กของนายเลย ให้ตายเถอะ

เอวานนั่งลงข้างเด็กที่นั่งกอดหมอนซบหน้านิ่งอยู่ กลิ่นสบู่หลังอาบน้ำทำให้กลิ่นแก้วก้มหน้าซุกหมอนมากขึ้น กลิ่นวันนั้นไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่เอวานชอบใช้ด้วย

“ไหน วันนี้มีเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟังไหม?”

“......” เหลือบมองเอวานแล้วถอนหายใจ

เอวานขำ “เป็นอะไร?”

กลิ่นแก้วเอาหมอนออกไปวางข้างกายก่อนกระเถิบเข้าไปกอดอีกคนอ้อน ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่ามาอารมณ์ไหน แต่เอวานก็วาดแขนกอดตอบ

“คาร์เตอร์มีแฟนแล้ว” เจ้าตัวเล็กบอก

“หืม?” เอวานเลิกคิ้วแปลกใจ

“พวกเขามีเซ็กซ์กันแล้วด้วย”

“เจ้าเด็กนั่นน่ะเหรอ ไวไฟอะไรขนาดนั้น” เอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะนึกขึ้นได้ ดันตัวเด็กออกจากอ้อมแขนแล้วเอ่ยถามระคนตกใจ “เดี๋ยว... เมื่อกี้พูดเรื่องเซ็กซ์?”

“......” กลิ่นแก้วพยักหน้า

“รู้หรือไงว่ามันหมายถึงอะไร?” รู้เลยว่าคิ้วเขากำลังขมวด

“รู้สิ ก็มิสเตอร์ทอมัสบอก”

“อ้าว”

เอวานตวัดสายตามองทอมัสที่ร้องอ้าวขึ้นมาเมื่อถูกพาดพิงถึง ก็เจ้าหนูมันถามมา เขาก็ตอบไป เขาผิดอะไร

“มันใช่เรื่องไหม?” ผู้เป็นนายว่า

“ก็... เจ้าตัวเล็กมันถาม ผมก็ตอบไป เท่านั้นเอง ไม่ได้จะชี้นำอะไรสักหน่อย...” ไม่กล้ามองตานาย ดุยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เลยมั้งน่ะ

ก็เข้าใจว่าสมัยนี้เด็กมันโตเร็ว ทั้งสื่อต่าง ๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และสภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ก็มีส่วนทำให้เป็นไป แต่กลิ่นแก้วของเขาโตพอจะเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้วหรือ เขาคงต้องมองเจ้าเด็กคาร์เตอร์นั่นใหม่เสียแล้ว ทีแรกนึกว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้า มีความคิดโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ไหนได้ โตแต่ข้างล่างเสียมากกว่ากระมัง

“เรื่องอะไรที่ไม่เป็นสาระก็อย่าไปสนใจมันมาก” เอวานว่า

“มัธยมก็ได้เรียนเพศศึกษาแล้วนะครับ” แย้งไปตามข้อเท็จจริงที่ได้เรียนมา

“เรียนเพื่อป้องกัน ไม่ใช่นำไปลองผิดลองถูก”

“มันก็จริง แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เหรอครับ?”

“เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่ควรหมกมุ่น”

“ไม่ได้หมกมุ่นสักหน่อย” นี่ก็เถียงอุบ ๆ อิบ ๆ ไปตามเรื่อง

เอวานมองเด็กของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นมา “แล้วรู้สึกยังไงที่คาร์เตอร์มีแฟน?”

“ก็ไม่รู้สึกยังไง”

“ไม่นึกอยากมีแบบเขาบ้าง?”

“ถ้าผมอยากมี คุณจะอนุญาตไหม?”

ยิ่งกว่าหมัดเด็ดมวยเจ็ดสี ถามเองก็จุกเอง นี่ลูกชายกำลังขออนุญาตมีรักในวัยเรียนหรืออย่างไร?

“เพิ่งบอกไปว่าอย่าหมกมุ่น” เขาดุ

“อ้าว ก็คุณถาม...”

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กใครให้มีแฟนเร็วขนาดนั้น ไปดื่มนมแล้วนอนไป” ว่าแล้วก็ลุกหนีไปเลย

กลิ่นแก้วอ้าปากค้าง ก็เอวานเป็นคนถามเองว่าอยากมีแบบคาร์เตอร์ไหม พอเขาถามว่าจะอนุญาตหรือเปล่าก็มาเป็นเสียแบบนี้ เอวานนี่อะไรไม่รู้ เอาใจยากจริง

กลิ่นแก้วลุกตามเอวานเข้าไปในห้อง บนเตียงนอน เอวานเปิดไฟหัวเตียงอ่านหนังสือแบบที่ชอบทำ สายตาคมมองเด็กที่เดินเข้ามาหา ร่างน้อยปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วนั่งทับขาเสียเรียบร้อย

“มีอะไร?” เอ่ยถามเด็กที่มานั่งมองไม่พูดไม่จา ขณะที่มือก็เปิดหนังสืออ่านไปพลาง

“คุณไม่อยากให้ผมมีแฟนเหรอครับ?”

คำถามนั้นทำให้มือที่กำลังเปิดหนังสือชะงัก ก่อนละสายตาจากหน้ากระดาษมาดุเด็กพูดไม่รู้เรื่อง “บอกแล้วใช่ไหมไม่ให้พูดเรื่องนี้ เป็นเด็กเป็นเล็ก”

“คนอื่นเขามีกันเยอะแยะ รุ่นน้องที่โรงเรียนยังมีแล้วเลย” ไม่ได้จะเถียง แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง

“อิจฉาเขา?” เอวานว่า

“เปล่าอิจฉาครับ แค่เล่าให้ฟังว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว”

“เลยอยากมีกับเขาบ้าง?”

“แล้ว... ถ้าผมอยากมี คุณจะอนุญาตไหม?”

“ไม่” ตอบกลับมาโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ทำไมล่ะครับ? เพราะผมยังเด็กเหรอ?”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”

“......” สีหน้าเด็กดูไม่เข้าใจ เอวานบอกว่าแค่ส่วนหนึ่ง แสดงว่ายังมีเหตุผลอื่นอีกหรือ?

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ไปนอน” เอวานตัดบท ไล่ไปนอนก่อนจะมีคำถามอื่นตามมาอีก

“คุณพูดส่วนที่เหลือมาก่อนสิครับ เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้มีแฟน แบบนี้มันค้างคาใจ ผมนอนไม่หลับหรอก” เจ้าตัวเล็กไม่ยอม

“หัดมีข้อแม้นะเดี๋ยวนี้”

ฉีกยิ้มก่อนรบเร้า “บอกหน่อยสิครับ มันคาใจจริง ๆ”

เอวานถอนใจ “อีกเหตุผลหนึ่งคือ...”

“.....?”

“ไม่มีเหตุผล”

“อ้าว” เห็นไหม บอกแล้วว่าเอวานเข้าใจยาก

“ไปนอนได้แล้ว อย่าให้ได้ยินพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“......” กลิ่นแก้วหน้าเง้า โดนดุอีกแล้ว อะไรไม่รู้

ตัวผอม ๆ นั้นคลานไปปลายเตียงก่อนก้าวลงไป เดินลากขาเซ็ง ๆ จะออกจากห้อง แต่นึกอะไรขึ้นได้เลยหยุด หันกลับแล้วเดินมาที่เตียง ยืดตัวไปจูบแก้มเอวานเบา ๆ

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

ว่าแล้วก็จะผละไป แต่เอวานเรียกไว้

“เดี๋ยว มานี่ก่อน”

เมื่อเจ้าตัวเล็กหันกลับมา เอวานก็รั้งให้เข้ามาใกล้ กดจูบหน้าผากพร้อมบอกราตรีสวัสดิ์เช่นทุกที ก่อนปล่อยให้กลับไปนอนที่ห้อง เพียงบานประตูปิดลงเอวานก็ถอนหายใจเสียยืดยาว นี่เจ้าตัวเล็กมันถึงวัยมีรักแรกหรืออะไรแบบนั้นแล้วหรือ เขาก็รู้ว่าในฐานะผู้ปกครองต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกช่วงวัยของเด็ก ต้องทำความเข้าใจให้มาก แต่เรื่องนี้เขาไม่อยากเข้าใจเลย เจ้าตัวเล็กของเขาจะมีคนรักนี่นะ ให้ตายเถอะ อย่างไรก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ


......


“เอวาน เร็วสิครับ ผมจะไปสายแล้วนะ”

เสียงกลิ่นแก้วดังมาเร่งคนตัวโตให้ไปขึ้นรถกันเสียที วันนี้ช่วงเย็นเขามีนัดกับคาร์เตอร์ อีกฝ่ายชวนไปงานวันเกิดซึ่งยากที่จะปฏิเสธ เพราะชวนไปไหนก็ปฏิเสธมาหลายทีแล้วเลยออกจะเกรงใจเพื่อน เมื่อมาขออนุญาต เกวนก็อนุญาตให้ไปโดยจะให้คนไปส่งแล้วรอรับกลับด้วย กระทั่งเอวานกลับมาแล้วรู้เรื่องนั้นจึงอาสาว่าจะพาไปเอง เพราะอยากเจอเด็กคาร์เตอร์นั่นเหมือนกัน

ความจริงแล้วจุดประสงค์ของเอวานคืออยากรู้ว่าเด็กของตนคบเพื่อนแบบไหน เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรมาก แต่ถ้าเพื่อนของเจ้าตัวเล็กดูไม่เข้าทีก็จะได้เตือนเอาไว้บ้าง อยากมีสังคมดี ๆ การคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูงก็เป็นเรื่องสำคัญ คบเพื่อนแบบไหน ย่อมพากันไปสู่สังคมแบบนั้น

“จะรีบไปไหน ยังมีเวลา” เอวานว่าขณะถูกลากมาที่รถ ตื่นเต้นเกินไปแล้วเจ้าหนู

“จริง ๆ คุณให้คนไปส่งผมก็พอ ไม่ต้องไปด้วยก็ได้ ผมไม่อยากกวน” กลิ่นแก้วออกจะเกรงใจ เอวานทำงานมาเหนื่อย ๆ ยังต้องตามไปเฝ้าเขาที่งานวันเกิดเพื่อนอีก

“ไม่อยากกวนหรือไม่อยากให้ไป?”

“......”

“กลัวฉันไปแล้วจะทำงานกร่อยหรือไง?”

“เปล่าสักหน่อย...” ตัวเล็กปฏิเสธอุบอิบ คนก็บอกอยู่ว่าเกรงใจ

เอวานขึ้นรถโดยมีเด็กตามขึ้นไป ก่อนที่จะพากันมุ่งตรงไปยังบ้านของคาร์เตอร์ งานวันเกิดจัดในสวนสวยของบ้านซึ่งทอดไปถึงริมสระว่ายน้ำ ให้บรรยากาศดีไปอีกแบบ

เมื่อกลิ่นแก้วและเอวานไปถึง กลุ่มเพื่อนของคาร์เตอร์ก็ทยอยมากันบ้างแล้ว เด็กชายให้ของขวัญเพื่อน ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับกับเอวานในฐานะพี่ชายของตน คาร์เตอร์ที่ได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนาม พอมาเจอตัวจริงของพี่ชายเพื่อนแบบนี้ก็ออกจะเกร็งไม่น้อย

“เอวานคะ”

เสียงทายทักที่ออกจะคุ้นหูทำให้กลิ่นแก้วหันไปมอง สีหน้าดูประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือผู้หญิงที่เคยเจอกันในร้านอาหารเมื่อนานมาแล้ว แม้จะเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่กลิ่นแก้วก็จำเธอได้

“สวัสดีครับ วาเนสซ่า” เอวานทักกลับ สัมผัสมมือเธอตามมารยาทอันดี

วาเนสซ่า? ใช่ ชื่อของเธอคือวาเนสซ่า... วาเนสซ่า เทย์เลอร์ เขาจำได้แล้ว นอกจากเคยเจอกันที่ร้านอาหารเมื่อครั้งกระโน้น กลิ่นแก้วยังได้ยินชื่อของเธอบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ไม่นึกว่าจะเป็นคนเดียวกัน

กลิ่นแก้วหันมามองเอวานที่ไม่แสดงอาการแปลกใจให้เห็น ทั้งยังส่งยิ้มให้หญิงสาวที่เข้ามาทายทัก หูได้ยินคาร์เตอร์แนะนำว่าเธอเป็นน้าสาว แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เมื่อสายตามันคอยแต่จะมองปฏิกิริยาของเอวานอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้เองสินะ...

แสงตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า ไฟประดับภายในสวนจึงถูกเปิดสร้างบรรยากาศ กลิ่นแก้วบอกกับคาร์เตอร์ไว้ตั้งแต่อีกฝ่ายชวนมางานวันเกิดแล้วว่าอยู่จนดึกไม่ได้ เกรงใจที่บ้าน อยากให้คาร์เตอร์เข้าใจ ซึ่งคาร์เตอร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เพื่อนไม่ปฏิเสธให้เสียหน้าอีกก็ดีแล้ว

บริเวณสระว่ายน้ำมีซุ้มอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ติดตามเด็กมาในวันนี้ เกวนให้แม่บ้านจัดแจงเครื่องดื่มกับอาหารไปให้ตนและเอวานที่โต๊ะสีขาวริมสระ

“ไม่คิดว่าคาร์เตอร์กับน้องชายคุณจะเป็นเพื่อนกัน” วาเนสซ่าเอ่ยขึ้นขณะมองดูเด็ก ๆ มีความสุขกับการกินและพูดคุยหยอกล้อกันอยู่กลางสวนสวย โลกมันกลมยิ่งกว่าที่คิด “พวกเขาดูสนิทกันนะคะ”

“ครับ” เอวานตอบกลับไป สายตาคมมองตามเด็กของตนที่ผละไปหาอะไรกินที่ซุ้ม โดยมีเจ้าเด็กคาร์เตอร์ตามอยู่ไม่ห่าง

“ตอนแรกฉันก็กังวลนะคะ กลัวคาร์เตอร์จะคบเพื่อนไม่ดี แต่เท่าที่ดูวันนี้กลุ่มเพื่อนของคาร์เตอร์เป็นเด็กน่ารักทีเดียว ยิ่งพอรู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นน้องชายของคุณแบบนี้ ฉันก็ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”

“......” เอวานยิ้มบาง ไม่ได้ขัดอะไรเธอ

“หวังว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ”

“ผมก็หวังเช่นนั้น”

ดูท่าผู้ใหญ่จะพูดคุยกันถูกคอ มองความสนิทสนมระหว่างเอวานกับวาเนสซ่าแล้ว กลิ่นแก้วก็ซึมไป คาร์เตอร์ที่สังเกตปฏิกิริยาของเพื่อนอยู่ตลอดจึงกระแซะถาม

“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาคบกันอยู่ จริงไหม?”

“ไปได้ยินมาจากไหน?” กลิ่นแก้วย้อนถามกลับไป สายตายังคงจับจ้องสองหนุ่มสาวข้างสระว่ายน้ำนั่น

“ก็เคยได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน ฉันว่าพวกเขาก็เหมาะสมกันดีนะ หรือนายว่าไง?”

เบือนสายตากลับมามองคาร์เตอร์ ถ้าสองคนนั้นคบหากันจริง เขาจะว่าอย่างไรได้ เขาไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจ เพราะอย่างไรเอวานก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง มีคนรัก มีครอบครัว มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดา หากพวกเขารักกัน มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมิใช่หรือ

“นี่อย่าบอกนะว่านอกจากเป็นพวกติดพี่แล้ว นายยังหวงพี่ด้วย?” คาร์เตอร์เอ่ยเย้ากลั้วหัวเราะ

“ไม่เคยพูด” กลิ่นแก้วว่า

“นายไม่เคยพูด แต่ดูหน้านายสิ ไม่อยากให้พวกเขาคบกันใช่ไหมล่ะ กลัวถูกแย่งความรักหรือไง?” ท่าทางจะคิดถูก เพราะอีกคนหน้ามุ่ยไปเรียบร้อย “ฉันถึงบอกว่านายมันติดพี่มากเกินไป ถ้าฉันเป็นพี่ชายนายคงอึดอัดตาย”

“เอวานไม่เคยบอกว่าอึดอัด” นี่ก็เถียงกลับไป เพราะเอวานบอกว่าอย่าคิดเองเออเอง ในเมื่อเอวานไม่ได้พูดก็แสดงว่าไม่ได้คิดแบบนั้น

“เรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเขาพูดออกมาหรอก นายน่าจะรู้สึกได้เองนะว่ามันควรหรือเปล่า” คาร์เตอร์ยังว่า

“ไม่คุยกับนายแล้ว หงุดหงิด!” แยกเขี้ยวใส่ก่อนเดินหนีไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นแถวสระว่ายน้ำ

“อะไร เถียงไม่สู้แล้วเดินหนีเหรอ?” คาร์เตอร์ร้องตามหลัง วางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะก่อนวิ่งตามไปตอแย “เพราะนายเป็นแบบที่ฉันพูดจริง ๆ ใช่ไหมเลยเถียงไม่ออก?”

“บอกว่าไม่คุยด้วยไง” กลิ่นแก้วปิดหู จ้ำหนีคนกวนใจ

ไม่ได้จะเอนเอียงไปตามคำพูดของคาร์เตอร์ แต่ว่ากันตามจริงเอวานก็ผู้ชายคนหนึ่ง จะรักจะชอบผู้หญิงสักคนก็เป็นเรื่องปรกติ บางทีเอวานอาจอยากสร้างครอบครัวแบบที่มาดามเจฟเฟอร์สันเคยพูดก็ได้ แต่การมีเขาเกาะติดอยู่แบบนี้ เอวานจะอึดอัดใจบ้างไหมนะ?

คิดมาถึงตรงนี้แล้วใจดวงน้อยก็พลันห่อเหี่ยว ถ้าเอวานมีครอบครัวแล้วเขาจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าวันนั้นมาถึง เขาจะยังอยู่กับเอวานแบบนี้ต่อไปได้ไหมนะ...?





TBC



บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น้องคับ ไปอยู่คนเดียวมั้ยลูก
แต่ติดเอวานเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
สงสารกลิ่นแก้วจัง :ling3:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอวาน งานเข้าแล้วเน้ออออ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โถถถถ น้อง ใสเหลือเกินลูก
ว่าแต่คุณพ่อกำมะลอจะทำยังไงต่อไปเนี่ย ต่อไปท่าทางจะวุ่นวายน่าดู ครอบครัวสตีเฟ่นน่าจะอยู่เฉยอีกไม่นานแล้วนะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เอวานเมื่อไรจะรู้ตัวนะ งั้นก็ให้กลิ่นแก้วมีแฟนไปก่อนเลยดีกว่า  :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ค่อยๆเรียนรู้ไปเด็กน้อย

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LoveAlone

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม


กลิ่นแก้วมองคนหน้าเครียดที่เดินไปเดินมาด้วยความหวั่นใจ เขาตัดสินใจว่าขึ้นภาคเรียนใหม่ของมัธยมปลายจะขอย้ายไปอยู่หอพักตามที่เคยเอามาปรึกษาเมื่อนานมาแล้ว และเอวานบอกว่ารอให้ถึงเวลาจะอนุญาตให้ออกไปอยู่ข้างนอกและทำงานหาประสบการณ์ มาวันนี้กลิ่นแก้วคิดว่าน่าจะรับผิดชอบตัวเองได้ประมาณหนึ่ง เพราะเพื่อนในกลุ่มบางคนก็อยู่หอพักกัน คาร์เตอร์ที่เคยบอกว่าขึ้นมัธยมปลายจะย้ายออกมาอยู่เองก็กำลังหาหอพักดี ๆ อยู่ ทุกคนต่างเติบโตขึ้น กลิ่นแก้วก็ไม่อยากเป็นเด็กน้อยที่คอยตามพี่ต้อย ๆ แล้วเหมือนกัน

“เอวาน หยุดเดินได้ไหมครับ ผมเวียนหัว”

“......” สายตาคมเบือนมามองคนพูด

เอวานรู้เรื่องเด็กของตัวเองอยากย้ายไปอยู่หอพักจากมารดา คงเพราะรู้ว่าถ้าขอเขา เขาต้องไม่อนุญาต จึงได้ไปขอมารดาของเขาก่อน และท่านก็ดันเห็นดีด้วย บอกว่าส่วนมากเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำจะเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบตัวเองได้ดี แต่กลิ่นแก้วไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำ ถ้าอยากลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าน ได้รู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองบ้างก็ไม่เลว

“ที่อยากออกไปอยู่ข้างนอก เพราะเจ้าคาร์เตอร์นั่นอีกแล้วใช่ไหม?” เอวานกอดอก เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเดินวนจนเด็กมันบ่นว่าเวียนหัว

“เกี่ยวอะไรกับคาร์เตอร์?” เหมือนเอวานจะไม่ชอบคาร์เตอร์ กลิ่นแก้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่คาร์เตอร์ก็เป็นหลานชายของวาเนสซ่า คนรักของตัวเอง

“ก็เธอบอกมาดามว่ามีเพื่อนไปด้วย ถ้าไม่ใช่คาร์เตอร์แล้วเป็นใคร?”

ใช่ เขาบอกกับมาดามเจฟเฟอร์สันเช่นนั้น เพราะกลัวท่านจะห่วงที่ต้องอยู่คนเดียวจนกลายเป็นไม่อนุญาตให้ออกไปอยู่ข้างนอก

“ก็... คาร์เตอร์ก็กำลังหาหออยู่ ผมเลยให้เขาดูเผื่อด้วยเฉย ๆ” เอ่ยแก้ตัวเสียงเบา

“สรุป เพราะเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ?” คิ้วเข้มเลิกสูง เมื่อสรุปเอาเองไปเรียบร้อย

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“แล้วทำไมต้องย้ายออกไป อยู่เจฟเฟอร์สันไม่ดีตรงไหน?”

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดีสักหน่อย ผมก็แค่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง จะพึ่งพาคุณตลอดไม่ได้หรอกครับ”

กลิ่นแก้วพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเข้าใจ เมื่อโต้กลับมา

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะพึ่งพาฉันตลอดไปเลยก็ได้ เธอคนเดียว ฉันเลี้ยงไหว”

“โธ่ เอวาน ทำไมไม่เข้าใจอะไรเลยนะ” หน้าเริ่มยุ่งแล้ว ก็รู้หรอกว่าเลี้ยงไหว แต่อยากพึ่งพาตัวเองให้ได้ ไม่เข้าใจหรืออย่างไรกัน

เอวานนิ่งมองสีหน้าดื้อดึงของเจ้าตัวเล็ก รู้สึกเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ กำลังจะโผบินไปจากอก หรือนี่จะเป็นวัยต่อต้าน จากที่ไม่เคยมีข้อโต้แย้ง จากที่ไม่เคยเถียง กลับแปรเปลี่ยนไป คิดแล้วใจคนเป็นพ่อก็จะขาดรอน ๆ

“ต้องออกไปอยู่ข้างนอกให้ได้เลยใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามเสียงนิ่ง

“......” คนถูกถามปิดปากเงียบ ไม่พูดแล้ว พูดไป เอวานก็ขัดอยู่ดี

“ถ้าอยากอยู่ข้างนอก ก็มาอยู่ที่นี่ก็ได้”

เอวานเสนอทางเลือก ‘ที่นี่’ ที่ว่าก็คือคอนโดมิเนียมของเขา เขาให้ทอมัสบึ่งไปรับเจ้าตัวเล็กมา หลังรู้เรื่องจากมารดาเพราะไม่ได้กลับเจฟเฟอร์สันหลายวัน

“แล้วมันใกล้โรงเรียนหรือไงล่ะครับ?” กลิ่นแก้วถามกลับ สีหน้ายังมุ่นมุ่ยเหมือนเด็กถูกขัดใจ

คนมองถอนใจเบา “สรุปคือจะไปให้ได้?”

“......” ยังคงเล่นลูกเงียบ บทจะดื้อขึ้นมาก็ทำเอาคุณพ่อกำมะลอปวดหัวได้เหมือนกัน

“ก็ได้ ฉันอนุญาตให้ไปอยู่ข้างนอก แต่ฉันจะเป็นคนเลือกหอพักให้เอง ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องไป”

กลิ่นแก้วอ้าปากเหมือนอยากจะตอบโต้ แต่รู้ว่าพูดไปก็เท่านั้นเลยงับปากลง เพราะเอวานไม่ได้อยากให้ออกไปอยู่ข้างนอก ในเมื่อปิดประตูทางเลือกมา ก็ทำตามไว้เป็นดีที่สุด

ใจจริงกลิ่นแก้วก็ไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกสักเท่าไร แต่ด้วยความที่ไม่อยากพึ่งพาเอวานตลอดไป เพราะอีกหน่อยเอวานก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ตรงไหน มันก็จริงที่เอวานคงไม่ไล่เขาออกจากเจฟเฟอร์สัน แต่เมื่อนึกภาพตัวเองต้องยืนมองครอบครัวเอวานอยู่ห่าง ๆ แล้วมันก็เศร้าใจ ยิ่งคิดไปว่ามันจะไม่มีที่สำหรับตนเองอีกต่อไปแล้วก็ทนไม่ได้ การถอยห่างออกมาเพื่อทำใจให้ชินคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


......


เมื่อเอวานอนุญาตให้ออกมาอยู่ข้างนอกแต่ยังกั๊กเรื่องหอพักไว้ว่าจะเป็นคนเลือกให้เอง ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาอีก เพราะหอพักที่เอวานเลือกมันหรูเกินกว่าที่เด็กมัธยมปลายธรรมดาเขาอยู่กัน ทั้งสถานที่ตั้ง ทั้งความใหญ่โตของตัวอาคาร ทั้งความกว้างขวางของห้องหับ ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และการรักษาความปลอดภัยที่เรียกได้ว่าดีเยี่ยม

“มันหรูไปแล้ว เอวาน แบบนี้ผมจ่ายไม่ไหวหรอกครับ”

กลิ่นแก้วบ่นคนเลือกหลังกลับจากการไปดูห้อง เขากะว่าจะทำงานหาเงินเช่าหอพักเอง ไม่อยากกวนค่าขนมจากเอวานเพิ่ม เพราะเลือกที่จะออกมาอยู่เองก็ไม่ควรทำให้เอวานต้องเดือดร้อน แต่ด้วยความที่เขาเพิ่งสิบหก ไม่สามารถทำงานเต็มเวลาแบบผู้ใหญ่ได้ สัปดาห์หนึ่งทำได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วเอวานมาเลือกหอพักหรูขนาดนี้ให้ เขาจะจ่ายไหวที่ไหนกัน

“ก็แล้วใครบอกว่าจะให้เธอจ่าย?” เอวานย้อนถาม นั่งมองเด็กที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับค่าเช่าหอพักแล้วตลกดี

“ก็มันเป็นที่ที่ผมจะอยู่ ผมก็ต้องจ่ายเองสิครับ แล้วดูคุณเลือก เห็นผมเป็นนักธุรกิจหรือไง?” กลิ่นแก้วว่า

“ใช่ เธอไม่ได้เป็นนักธุรกิจ เป็นแค่นักเรียนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีผู้ปกครองเป็นนักธุรกิจ และเห็นว่าที่นั่นมันดีสำหรับเด็กในปกครองของเขา และเขาพร้อมที่จะจ่าย”

“......” กลิ่นแก้วได้แต่กัดปากเมื่อไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ เหมือนจะพูดกันเข้าใจแล้ว ยอมให้ออกมาแล้ว แต่ที่จริงเอวานก็ยังตีกรอบทุกอย่างให้อยู่ดี

“ถ้าอยากอยู่ข้างนอกก็ต้องอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ ฉันก็ไม่อนุญาต เลือกเอา”

“......” เจ้าตัวเล็กได้แต่ต่อว่าความเผด็จการของผู้ปกครองในใจเมื่อทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าขัดใจเอวานอยู่ดี บ้าจริง ๆ เลย

หลังจากตกลงกันเรื่องหอพักได้แล้ว กลิ่นแก้วและคาร์เตอร์จึงพากันขนของย้ายเข้าหอโดยมีวาเนสซ่าเข้ามาช่วยจัดการดูแล ตอนแรกคาร์เตอร์กะว่าจะอยู่อีกหอหนึ่งคนเดียว เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ผู้เป็นน้าสาวอย่างวาเนสซ่ากล่อมให้มาอยู่เป็นเพื่อนกลิ่นแก้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าเพิ่งออกมาอยู่ข้างนอกด้วยกันทั้งคู่ เกิดมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน และห้องก็ไม่ใช่ห้องเดี่ยว มีห้องนอนแยกด้วย กว้างขวางพอสมควรเลยทีเดียว คาร์เตอร์จึงได้ตอบตกลง ทำให้กลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปแม้จะไม่สมัครใจสักเท่าไรก็ตาม

แม้กลิ่นแก้วจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เอวานปล่อยให้วาเนสซ่าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ก็เข้าใจว่าเอวานไม่ว่างมาวันนี้ แต่ก็ไม่เห็นต้องให้เธอมาเลย ถ้าเป็นห่วงก็ให้คนที่เจฟเฟอร์สันมาก็ได้ พอเธอเข้ามาจัดแจงแบบนี้แล้วอึดอัดชะมัด ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่เขาแค่ไม่ชอบ ก็เท่านั้น

“กลิ่นแก้วนี่ดีจัง ข้าวของไม่เยอะ ไม่เหมือนคาร์เตอร์เลย รายนั้นอะไรไม่รู้ พะรุงพะรัง ชีวิตขาดเกมไม่ได้”

หญิงสาวชวนคุย หัวเราะน้อย ๆ พอน่ารัก ขณะที่เจ้าของชื่อเพียงยิ้มบาง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เลือกที่จะจัดของไปเงียบ ๆ อย่างนั้น

“วันนี้เอวานติดประชุม ช่วงบ่ายก็มีเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ด้วย เลยวานให้ฉันมาดูแลแทน”

วาเนสซ่าไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไรกับความเงียบของน้องชายเอวาน เพราะตั้งแต่รู้จักกัน เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่คนช่างพูดนัก อาจเพราะไม่ได้สนิทกันจึงพูดกับเธอเท่าที่จำเป็น ซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร

คาร์เตอร์ยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์และเกมที่ขนมาจากบ้าน ไม่ได้สนใจมาจัดข้าวของอย่างอื่น ทำให้วาเนสซ่าต้องคอยกำกับให้ยกเข้าไปไว้ในห้องนอน วางเกลื่อนไว้กลางทางเดินแบบนี้ไม่ไหว ก่อนจะผละไปจัดการเรื่องของกินเมื่อใกล้เที่ยง โดยมีกลิ่นแก้วที่จัดของแสนน้อยนิดของตัวเองเสร็จแล้วอาสามาช่วย

“เธอเป็นเด็กดีนะ เอวานเขาพูดถึงอยู่ตลอดเลย ถึงจะเป็นแค่เด็กในความดูแลของคุณแม่เขา แต่เขาก็เอ็นดูเธอเหมือนน้องแท้ ๆ เชียวล่ะ”

กลิ่นแก้วชะงัก “เขาบอกแบบนั้นเหรอครับ?”

วาเนสซ่าเลิกคิ้ว ก่อนยิ้มบอก “เราค่อนข้างสนิทกันน่ะ เขาเลยเล่าอะไรหลาย ๆ อย่างให้ฟัง รวมถึงเรื่องของเธอด้วย”

“อ้อ...”

“เอวานเป็นคนใจดี บางทีความใจดีของเขาก็ทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดอยู่บ่อย ๆ จนสำคัญตัวผิดไป...”

“......” ไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงใคร แต่มันก็กระทบใจคนฟังอยู่ไม่น้อยเลย สำคัญตัวผิดอย่างนั้นหรือ?

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ คาร์เตอร์ก็เดินมาซ้อนหลัง เอื้อมมือข้ามไหล่มาหยิบของกินในจาน ทำให้กลิ่นแก้วสะดุ้งเฮือกทั้งหันไปฟาดด้วยความตกใจ

“คาร์เตอร์!”

“โอ๊ย!!”

“...?” วาเนสซ่าหันมามองเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ เห็นหลานชายยืนกุมแก้มขณะที่เด็กอีกคนกำลังแยกเขี้ยวใส่

“ตกใจหมด” กลิ่นแก้วต่อว่า ขวัญเอ๊ยขวัญมา โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย บ้าจริง

“ก็มัวแต่ใจลอยอะไรอยู่ หิวแล้ว” คาร์เตอร์บ่นแล้วหยิบของในจานมากินอีก

“จัดเสร็จแล้วหรือไงของน่ะ?” ผู้เป็นน้าสาวเอ่ยถาม ยกหม้อซุปมาวางบนผ้ารองที่โต๊ะกินข้าว

“เอาไว้ก่อนเถอะครับ หิวไส้จะขาดแล้ว ของค่อยจัดเมื่อไรก็ได้”

วาเนสซ่าส่ายหน้ากับข้ออ้างของหลานชาย เห็นขลุกอยู่ในห้องตั้งนาน นึกว่าจัดเสร็จแล้ว ที่ไหนได้ คงจัดโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วต่อเครื่องเล่นเกมล่ะสิ

หญิงสาวไล่เด็ก ๆ ไปล้างไม้ล้างมือ ก่อนลงมือกินอาหารเที่ยงกัน หลังจากนั้นจึงปล่อยให้พวกเขาจัดของกันต่อ ตัวเธอต้องไปทำธุระช่วงบ่าย ถ้าเสร็จธุระแล้วจะแวะมาดูอีกที


......


“ออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว?”

ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ถือว่าประมาทกว่าที่คิด มุมปากฟรานเชสโก้ยกยิ้มเมื่อได้ฟังรายงานจากคนของตน คงเพราะเขาไม่มีความเคลื่อนไหวจึงทำให้เอวานหลงลืมไปแล้วว่าเด็กมันเป็นใคร คงต้องย้ำเตือนสถานะกันหน่อยแล้วกระมัง

ขณะที่กำลังคุยกับคนของตนอยู่ โอลิเวอร์ก็เข้ามาในห้อง ฟรานเชสโก้หันไปมอง ก่อนปัดมือบอกให้คนของตนเองออกไปก่อน โอลิเวอร์ปรายสายตามองตามผู้ที่เดินออกจากห้องไป กระทั่งบานประตูปิดลง เขาจึงเอ่ยขึ้น

“รู้สึกว่านายจะใจเย็นเหลือเกินนะ ฟราน”

“มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า อย่าอารัมภบทให้มากความ” ผู้เป็นพี่ชายว่า

โอลิเวอร์ทำเสียงหึขึ้นจมูก “ฉันไม่น่าเชื่อนายเลยว่าจะจัดการทุกอย่างได้”

“......” ฟรานเชสโก้มองน้องชายนิ่ง

“สุดท้ายนายก็หลงเสน่ห์แม่นั่นจนลืมว่าหล่อนไม่ใช่คนในครอบครัว แค่มากอบโกยผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงที่พวกเราร่วมกันสร้างมา!” โอลิเวอร์เริ่มใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

ฟรานเชสโก้บอกจะจัดการตามวิธีของตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลย มากาเร็ตก็ยังคงลอยหน้าอยู่ในฐานะบอร์ดบริหารไม่เปลี่ยน มันไม่มีอะไรเปลี่ยน ฟรานเชสโก้โกหกทั้งเพ!

“พูดจบรึยัง?” เอ่ยถามผู้เป็นน้องชายกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่อนาทรต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“จบสิ จบแล้ว ต่อไปฉันจะไม่เชื่ออะไรนายอีก ฉันจะจัดการมันเอง ทั้งมากาเร็ตและ...” แสยะยิ้มก่อนว่า “ลูกชายของสตีฟ น้องรักของนายไง”

“โอลิเวอร์!” ฟรานเชสโก้ตะเบ็งเสียง ขณะที่อีกคนยังคงยิ้มอย่างเหนือกว่า

“คิดว่านายฉลาดอยู่คนเดียวเหรอ ฟราน?”

“......” สายตาคมมองคนเป็นน้องเขม็ง

“ดูถูกกันมากเกินไปแล้วมั้ง” โอลิเวอร์เย้ยหยันก่อนตัดพ้อ “สตีฟมันน้องรักของนายนี่ ทั้งที่มันทำตัวไม่ได้เรื่อง แต่นายก็คอยปกป้องมันตลอด ในขณะที่ฉันคอยช่วยนายบริหารที่นี่ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนายมา นายกลับไม่เห็นหัว ดีแต่ไปโอ๋ไอ้น้องไม่เอาอ่าวนั่น!”

โอลิเวอร์ตะคอกดัง เรื่องนี้มันเป็นตะกอนที่ทับถมอยู่ภายในใจมาโดยตลอด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าฟรานเชสโก้ดูถูกเขา พะเน้าพะนอแต่สตีเฟ่น คนที่คิดแต่จะทิ้งพี่น้องไว้ข้างหลังแล้วหนีไปเสพสุขคนเดียว

“เสียใจด้วยนะที่มันเสือกตายไปก่อน เลยเหลือแต่น้องชายที่นายไม่เคยเหลียวแลแบบฉัน”

“นายไม่รู้อะไร...”

“ใช่!” โอลิเวอร์กระแทกเสียง “ฉันมันจะไปรู้อะไร”

ผู้เป็นพี่ชายถอนใจกับการประชดประชันนั่น “ถึงนายกับสตีฟจะต่างกัน แต่พวกนายก็เป็นน้องชายของฉัน...”

“ฉันไม่อยากฟัง”

“......”

“ต่อไปนี้ฉันจะจัดการด้วยวิธีของฉัน หวังว่านายจะไม่เข้ามาขวางนะ ฟรานเชสโก้”

ทิ้งท้ายเท่านั้นแล้วโอลิเวอร์ก็ออกจากห้องไป ปล่อยให้ฟรานเชสโก้ยืนกำหมัดแน่น ก่อนทุบลงไปบนโต๊ะด้วยแรงอารมณ์ที่ประทุอยู่ภายใน


......


เอวานกลับเข้าคอนโดมิเนียมมาหลังเสร็จงาน พอกลิ่นแก้วไม่อยู่ เขาก็ไม่ค่อยได้กลับเจฟเฟอร์สันสักเท่าไรนัก เหมือนชีวิตย้อนกลับไปช่วงยังไม่มีกลิ่นแก้วเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพะวง ยังเป็นห่วง มีไปหาบ้างช่วงวันหยุดที่เด็กมันไปทำงานที่ร้านหนังสือ เขารู้ว่าเด็กของเขามีความตั้งใจ เขารู้ดี จึงได้ยอมให้ออกไปใช้ชีวิตตามแบบที่ชอบ จะได้เรียนรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามเหมือนในจินตนาการ ความโสมมที่เคยพบเจอมาเมื่อวัยเยาว์นั้นมันยังมีอยู่ทุกที่

แม้ไม่อยากให้กลับไปพบเจอเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นอีก แต่เอวานก็เลือกที่จะมองดูอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้เด็กของตนได้เรียนรู้ และวันหนึ่ง ลูกนกตัวน้อยก็จะบินกลับมาอยู่ในอ้อมอกพ่อนกแบบเขาด้วยความสมัครใจอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถอยู่บนโลกกว้างใหญ่นี้ได้โดยไม่มีเขา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจ เมื่อเห็นชื่อคนโทร ริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้ม ก่อนกดรับด้วยความอารมณ์ดี เสียงเจ้ากลิ่นแก้วดังมาตามสาย ออดอ้อนให้ไปงานกีฬาที่โรงเรียนวันจันทร์นี้ เพื่อนในกลุ่มก็ลงแข่งด้วย ทางโรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองเข้ามาดูและเป็นกำลังใจได้ เลยอยากให้เขาไป

“แล้วฉันจะไป”

พอตอบรับไปแบบนั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวเล็กก็ดังมา

“คุณจะมาจริง ๆ นะครับ?”

“ฉันเคยโกหกหรือไง?”

กลิ่นแก้วย่นจมูกใส่โทรศัพท์ เอวานซื้อโทรศัพท์ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว เพราะบางทีมีกิจกรรมที่โรงเรียนทำให้ต้องกลับบ้านเลยเวลาจะได้ไม่เป็นห่วง

“กลิ่นแก้ว”

“ครับ?”

“ไม่ขาดเหลืออะไรใช่ไหม?”

น้ำเสียงห่วงใยทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป การออกมาใช้ชีวิตตามลำพังมันทำให้ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเอง ได้เจอโลกที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ได้รู้จักผู้คนหลากหลาย แต่ทุกครั้งที่กลับมาอยู่ในห้องเงียบ ๆ ก็อดคิดถึงเอวานไม่ได้ อยู่ที่นี่ไม่มีคนให้อ้อน เวลาอยากได้ยินเสียงก็ไม่กล้าโทรหา กลัวเอวานจะรำคาญ อย่างเช่นตอนนี้ที่เอาเรื่องกีฬาโรงเรียนมาอ้าง ก็แค่หาเรื่องโทรคุยด้วยเท่านั้นเอง

“ถ้ามีอะไรต้องบอก เข้าใจรึเปล่า?”

กลิ่นแก้วเผลอพยักหน้าทั้งที่คุยกันทางโทรศัพท์ หัวเราะขำตัวเองเบา ๆ ก่อนตอบกลับไป

“ครับ ขอบคุณนะ เอวาน”

พวกเขาคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยก่อนวางสายไป วันหยุดสุดสัปดาห์กลิ่นแก้วก็มาทำงานพิเศษที่ร้านหนังสือตามปรกติ โดยมีคาร์เตอร์และลอยน์ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มทำงานอยู่อีกร้านละแวกเดียวกัน

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน กลิ่นแก้วก็ออกจากร้านหนังสือมารอคาร์เตอร์และลอยน์ตามปรกติ แต่ช่วงหลังมานี้รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ เหมือนมีอะไรแปลก ๆ ที่กลิ่นแก้วเองก็บอกไม่ถูก ตอนแรกก็คิดว่ารู้สึกไปเอง กระทั่งวันนี้มันชัดเจนมากว่ามีคนตาม

ออกจากหลังร้านมา ก้าวเดินของกลิ่นแก้วก็เร่งขึ้นไปอีก แต่ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเหมือนถูกไล่จี้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น มือล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าเพื่อที่จะโทรหาเอวาน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีคนมาดักหน้า ตากลมเบิกโต ขาเรียวก้าวถอยก่อนจะหมุนกายกลับเพื่อวิ่งหนี แต่ก็ช้าไปเมื่อโดนดักไว้ทุกทาง ทำให้ได้แต่ยืนโง่ ๆ อยู่ตรงกลางอย่างทำอะไรไม่ถูก

ชายตัวสูงใหญ่สองคนที่ดักหน้าดักหลังทำให้กลิ่นแก้วไม่รู้จะถอยไปที่ไหน จุดที่เขายืนอยู่มันเป็นทางเดินข้างตัวตึก เมื่อออกจากร้านหนังสือมาทางด้านหลังก็ต้องเดินผ่านตรอกนี้เพื่อออกไปด้านหน้า และรอคาร์เตอร์กับลอยน์ที่นั่น ทำให้บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านเข้าออกนักนอกจากพนักงานร้านแถวนั้น เมื่อหาทางหนีไม่เจอ กลิ่นแก้วก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนผ่านมาในเวลาเช่นนี้

“กลิ่นแก้ว!”

เสียงเรียกของคาร์เตอร์ทำให้จุดสนใจของชายสองคนนั้นเบนไป ขณะที่พวกเขามุ่งความสนใจไปทางต้นเสียงก็มีมือมารั้งแขนกลิ่นแก้วให้ออกวิ่ง และเมื่อสองคนนั้นรู้ตัวก็รีบไล่ตามในทันที ทำให้การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตเกิดขึ้น

“คนพวกนั้นเป็นใครวะเนี่ย!?”

คนที่ฉุดให้กลิ่นแก้ววิ่งคือลอยน์ ถึงลอยน์จะชอบกินขนมหวานแต่ก็ไม่ได้ตัวอ้วนกลมแต่อย่างใด ทั้งยังเป็นนักบาสเกตบอลจึงค่อนข้างปราดเปรียว กลิ่นแก้วที่ขาสั้นกว่าเลยต้องวิ่งให้ทัน

“ฉันไม่รู้” ตอบเพื่อนทั้งวิ่งตามแรงลากไปด้วย

ลอยน์ดูชำนาญทางละแวกนี้ทำให้พาเขาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยได้แบบไม่สะดุด แต่ช่วงขาที่ต่างกันระหว่างพวกเขาและฝ่ายไล่ตาม ทำให้ฝ่ายนั้นตามจี้มาถึงตัวในที่สุด

มือใหญ่เอื้อมคว้ากระชากแขนทำให้กลิ่นแก้วผงะหงาย ลอยน์ที่ถูกแรงเหวี่ยงก็เซกลับมาด้วย ทั้งคู่ล้มลงไปกอง เงยมองชายตัวใหญ่ที่ยืนตระหง่านง้ำด้วยความแตกตื่น แต่ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้น วัตถุเย็นเยียบที่จ่ออยู่ด้านหลังศีรษะก็หยุดทุกอย่างลง ชายตัวใหญ่ทั้งสองคนชะงักกึก พาให้กลิ่นแก้วและลอยน์ชะงักไปด้วย

ชายที่รั้งแขนกลิ่นแก้วไว้ค่อยปล่อยมือแล้วยกมันเสมอไหล่อย่างยอมจำนน กลิ่นแก้วจึงรีบถอยไปชิดกับลอยน์ ชำเลืองมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ควรออกวิ่งหรือนิ่งอยู่ เพราะไม่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ทั้งอาวุธปืนในมือทำให้ไม่กล้าขยับ แม้ไม่ได้เล็งมาที่พวกตนก็ตาม

คาร์เตอร์โผล่มาหลังจากนั้น มองชายแปลกหน้าที่วิ่งไล่ต้อนเพื่อนของตนถูกพาขึ้นรถติดฟิล์มดำไปด้วยความมึนงง ดูเหมือนสถานการณ์จะสงบลงแล้ว เขาก้าวไปหากลิ่นแก้วและลอยน์ที่ยืนอยู่กับชายแปลกหน้าอีกคน เห็นส่งโทรศัพท์ให้กลิ่นแก้วคุยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละไป

“ใครน่ะ?” คาร์เตอร์เอ่ยถามเมื่อมาถึงตัวเพื่อน

“คนของพี่ชายฉัน เดี๋ยวเขาจะไปส่งพวกนายที่หอ ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”

เมื่อครู่ชายคนนั้นส่งโทรศัพท์ให้คุยกับเอวาน เพียงได้ยินเสียง กลิ่นแก้วก็อยากจะร้องไห้ เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย เอวานบอกให้กลับไปรอที่คอนโดมิเนียม แล้วจะรีบกลับ กลิ่นแก้วก็ได้แต่รับคำ แม้อยากจะพูดอะไรมากกว่านั้นก็พูดไม่ออก

“นายโอเคใช่ไหม?” ลอยน์เอ่ยถาม สีหน้ากลิ่นแก้วดูไม่สู้ดีเท่าไร

“ไม่โอเคเท่าไร แต่ปลอดภัยก็ดีแล้ว ขอบคุณนายสองคนมากนะ”

นอกจากขอโทษที่ทำให้เพื่อนต้องเดือดร้อนไปด้วยแล้ว ก็ยังต้องขอบคุณที่เข้ามาช่วย เพราะถ้าเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นคนเดียวคงทำอะไรไม่ถูก

คนของเอวานเคลื่อนรถมาจอดบริเวณที่ทั้งสามยืนอยู่ กลิ่นแก้วจึงหันไปบอกเพื่อนให้ขึ้นรถ ก่อนที่รถจะวนไปส่งเพื่อนของเขาแล้วพาเขากลับไปรอเอวานที่คอนโดมิเนียมตามคำสั่ง

ไม่นานนักเอวานก็กลับมา เพียงเห็นหน้าเอวานก็เหมือนน้ำตามันจะรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ บอดีการ์ดที่อยู่เฝ้ากลิ่นแก้วค่อยเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่ ตัวบางลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเอวานที่กางแขนออกรับมาไว้กับอ้อมอก กดจูบกระหม่อมบางย้ำ ๆ พลางปลอบประโลมว่าไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้วอยู่เช่นนั้น

บนโซฟานุ่ม เด็กขวัญเสียยังกอดเขาไม่ปล่อย เอวานลูบผมนุ่มเบา ๆ ปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ ให้เด็กในอ้อมแขนได้ปรับอารมณ์ เวลานี้ทอมัสและแมกซ์เวลไปจัดการเรื่องชายสองคนนั้น อีกไม่นานคงได้รู้ว่าใครส่งมา

“รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากให้ออกไปอยู่คนเดียว?” เอวานเอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบกันอยู่นานแล้ว

“คุณรู้เหรอครับว่าพวกเขาเป็นใคร?” ช้อนสายตามองพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เอวานพูดเหมือนรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

“มันไม่สำคัญหรอก” เอวานว่า “มันสำคัญที่ว่าเธอมาอยู่ไกลหูไกลตาแบบนี้มันไม่ปลอดภัย ที่ฉันไม่อนุญาตก็เพราะเป็นห่วง ไม่ได้จะหวงห้ามหรือขัดความตั้งใจของเธอแบบไม่มีเหตุผล”

“ผมขอโทษครับที่เอาแต่ใจ ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้” เด็กน้อยหน้าหมอง ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง เงินทองก็ไม่ได้มีมากพอจะให้มาจี้ปล้นกัน แล้วคนพวกนั้นต้องการอะไรจากเขา?

“แบบนี้ยังอยากจะออกไปอยู่ข้างนอกอีกไหม?”

“......” พยักหน้าหงึก

“กลิ่นแก้ว” เอวานดุ ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าเด็กหัวดื้อนี่

“ผมรู้ว่าคุณสามารถดูแลผมไปได้อีกนาน แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมก็จะกลายเป็นแค่เด็กไร้ประโยชน์คนหนึ่งที่ทำอะไรเองไม่เป็น เพราะคอยแต่จะพึ่งพาคุณอยู่ตลอด” ตัวเล็กให้เหตุผล

“แล้วทำไมเราถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”

“ก็วันหนึ่งคุณก็ต้องมีครอบครัว มีคนสำคัญที่คุณอยากปกป้องดูแล”

“ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง แต่เธอก็ยังเป็นเด็กในความดูแลของฉันอยู่ดี ทำไมต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดนั้น?”

แม้ไม่อยากจะคิด แต่มันก็สะกิดใจกับคำว่าเด็กในความดูแล ใช่สิ ก็เขาเป็นเด็กในความดูแลจริง ๆ เอวานก็พูดถูกแล้วนี่ แล้วทำไมต้องซึมแบบนี้ด้วยไม่รู้

เอวานไล่เด็กคิดมากให้ไปอาบน้ำพักผ่อน คืนนี้นอนที่นี่ไปก่อน ส่วนเรื่องหอพักค่อยดูกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร และเมื่อทอมัสกับแมกซ์เวลกลับมา เอวานจึงได้รู้ว่าชายสองคนที่ไล่ตามกลิ่นแก้ววันนี้เป็นคนของฟรานเชสโก้ รับคำสั่งให้พาตัวกลิ่นแก้วไปพบ แต่เด็กวิ่งหนีจึงเกิดการไล่ตามทั้งฉุดกระชากกันอย่างที่เห็น

“ฟรานเชสโก้งั้นเหรอ?”

ดวงตาคมหรี่ลงเมื่อกำลังครุ่นคิด ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากฝั่งไรท์มาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่นึกว่าจะฉวยโอกาสที่เด็กออกมาอยู่ข้างนอกเพื่อฉกตัวไป ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะให้คนตามเฝ้า หรือคิดแล้วแต่อยากท้าทายเขากันแน่?


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

ห้องทำงานของฟรานเชสโก้บน Ace Casino ได้ต้อนรับการมาเยือนของเอวาน เวสส์และบอดีการ์ดที่ลากคอคนของคาสิโนมาด้วย ทั้งสองหนุ่มยืนประจันหน้า ก่อนที่ฟรานเชสโก้จะเอ่ยถามถึงความเป็นมาของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ผมควรถามคุณมากกว่า” เอวานตอบกลับเสียงเรียบ

ฟรานเชสโก้เลิกคิ้ว “เหมือนฉันจะกำลังโดนปรักปรำอะไรอยู่รึเปล่า?”

“คนของคุณใช่ไหม?” เอ่ยถามโดยที่สายตายังจับจ้องคนตรงหน้ามากกว่าคนที่เอ่ยถึง

ฟรานเชสโก้ปรายสายตาไปมองคนของคาสิโนที่ก้มหน้าหลบสายตา ก่อนเบือนกลับมาทางเอวาน

“ใช่”

“คุณตั้งใจจะทำอะไร?”

“หมายถึงอะไร?”

“ลองถามคนของคุณดูไหม ว่าเขาทำอะไรกับคนของผม?” เอวานย้อนถาม ไม่ได้แสดงอาการอะไรเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่านะ” ฟรานเชสโก้ว่า “เอวาน ถ้าเปรียบไปแล้วนายเองก็เหมือนน้องชายของฉัน แม้ฉันจะไม่ได้สนิทกับนายเท่าสตีฟ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดร้ายกับนาย นายน่าจะรู้ดี”

“ผมคงเข้าใจอะไรผิดไปจริง ๆ” เอวานว่าอย่างนั้นหลังจากจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่นาน ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มเมื่อเอ่ยต่อ “เจฟเฟอร์สันและไรท์เป็นเครือญาติ พวกเราไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ใช่ไหมครับ?”

“......” ฟรานเชสโก้พยักหน้าเบา พลางยิ้ม นี่มันสงครามประสาทที่แท้

“ขอโทษด้วยที่มารบกวนกะทันหัน ผมหวังว่าผมคงจะไม่ต้องเข้าใจอะไรคุณผิด ๆ แบบนี้อีก”

“......”

“ขอตัว”

ฟรานเชสโก้ผายมือ “ไม่ส่งนะ”

“หึ” ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้ม ก่อนออกจากห้องไปพร้อมบอดีการ์ดของตน

เมื่อเอวานพ้นประตูไป สีหน้าฟรานเชสโก้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเครียดขึง สายตาคมปลาบตวัดมองลูกน้องของโอลิเวอร์ที่ก้มหน้าไม่สบตา นี่หรือวิธีของโอลิเวอร์ แหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ คิดหรือว่าต่อไปจะสามารถเข้าใกล้เด็กคนนั้นได้อีก สิ้นคิดจริง ๆ


......


หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอวานให้กลิ่นแก้วย้ายของมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมของตน ถึงมันจะไกลโรงเรียนอยู่สักหน่อย เขาก็จะให้คนของเขาไปรับไปส่ง เพราะไม่ไว้ใจให้ออกไปอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว เรื่องงานพิเศษก็ให้เลิกทำ ซึ่งกลิ่นแก้วก็ไม่กล้าขัด เหตุเพราะกลัวเจอเรื่องแบบนั้นอีก คราวนี้จะมีคนมาช่วยทันไหมไม่รู้

เรื่องคนที่มาช่วย แม้กลิ่นแก้วจะสงสัยว่าเหตุใดจึงมาได้ทันท่วงทีเช่นนั้น แต่เมื่อเอวานบอกว่าตั้งใจจะให้คนไปรับที่ร้านหนังสือแล้วมากินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว มันเลยประจวบเหมาะกับเหตุการณ์พอดี กลิ่นแก้วจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เอวานว่าอย่างไร เขาก็ว่าอย่างนั้น เพราะถึงจะมีอะไรที่นอกเหนือกว่านั้น สุดท้ายก็เป็นเพราะเอวานเป็นห่วงอยู่ดี

เมื่อวันงานกีฬาที่รับปากว่าจะไปดูมาถึง เอวานที่สวมชุดลำลองเพื่อให้เข้ากับผู้ปกครองคนอื่นก็มาที่โรงเรียน โดยมีบอดีการ์ดอีกสองนายที่แต่งตัวแบบเดียวกันตามมา ทั้งสามหนุ่มขึ้นไปนั่งดูการแข่งขันบนอัฒจันทร์ตรงจุดรวมผู้ปกครอง ขณะที่งานดำเนินไปตามวาระ

กลุ่มเพื่อนของกลิ่นแก้วลงแข่งบาสเกตบอล เสียงเชียร์ของเด็กนักเรียนดังก้องโรงยิมเมื่อการแข่งขันเริ่มดุเดือดมากขึ้น เด็กของเขาที่เป็นฝ่ายดูแลนักกีฬาและกองเชียร์อยู่ข้างล่างโบกไม้โบกมือมาให้ เห็นรอยยิ้มสดใสนั่นแล้วก็พาใจชุ่มชื่นไม่น้อย งานกีฬานี้เป็นการแข่งขันภายในโรงเรียนที่จัดขึ้นทุกปี เพื่อให้เด็กรู้จักแพ้ ชนะ และให้อภัย นำทัพโดยรุ่นพี่ปีสุดท้ายที่คอยเป็นแม่งาน ทั้งการคัดเลือก แข่งขัน และของรางวัล

วันนี้เป็นการแข่งเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง เป็นการแข่งวันสุดท้ายหลังจากผ่านรอบคัดเลือกและเก็บตัวกันมา จบจากนี้จะมีงานเลี้ยงปลอบใจก่อนกล่าวปิดงาน กลิ่นแก้วดูตื่นเต้นเมื่อเพื่อนในกลุ่มเป็นหนึ่งในทีมที่กำลังชิงชัยกันอยู่ตอนนี้ เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มทำให้นักกีฬาแต่ละฝั่งดูคึกคัก แม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองยังลุ้นตามไปด้วย

เอวานมองเด็กของตัวเองที่ดูลุ้นไปตามเพื่อนแล้วยิ้มขำ เบือนสายตากลับไปในสนามก็เห็นว่าเวลาใกล้หมดลงแล้ว ฝั่งเพื่อนเจ้าตัวเล็กเป็นฝ่ายทำคะแนนนำ และลูกสุดท้ายก่อนหมดเวลาก็ได้มาจากเจ้าเด็กคาร์เตอร์ที่ชู้ตลงห่วงไปอย่างสวยงาม

เสียงนกหวีดดังยาวก่อนเสียงโห่ร้องของผู้คว้าชัยจะดังตามมาติด ๆ กลิ่นแก้วกระโดดโลดเต้นเมื่อทีมของเพื่อนในกลุ่มได้รับชัยชนะ แล้วก็แทบเซล้มเมื่อคาร์เตอร์พุ่งมากอด ด้วยอารามดีใจทำให้ไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อมือเพื่อนละมาประกบสองข้างแก้ม ก่อนกดจูบปากหนัก ๆ ไปที

เอวานนิ่งค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นเสียเต็มตา เด็กของเขายืนนิ่งงัน ก่อนจะค่อย ๆ หันมาหาเขา ในหูเขาเหมือนมีลมร้อนพวยพุ่งขึ้นมา เสียงกรี๊ด เสียงโห่แซวของเด็กนักเรียนรอบบริเวณไม่ได้ดังเข้าหูแม้แต่น้อย กายสูงใหญ่ผุดลุก บอดีการ์ดทั้งสองนายก็รีบลุกตามทันที ก่อนจะพากันออกจากสนามแข่งไป

“เอวาน!”

กลิ่นแก้ววิ่งตามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่ออยู่ ๆ เอวานก็ลุกออกมา ไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่าที่คาร์เตอร์ทำแบบนั้น เพราะเอวานไม่ค่อยชอบคาร์เตอร์เท่าไรนัก อาจจะไม่พอใจก็ได้ แม้ว่าความเป็นจริงแล้วคาร์เตอร์แค่ดีใจมากไปหน่อยเลยไล่ฟัดจูบแก้ม จูบหน้าผากเพื่อนมั่วไปหมด

เอวานหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมองเด็กด้านหลัง “วันนี้มีกินเลี้ยงก่อนปิดงานแข่งกีฬาใช่ไหม?”

“ครับ” เอ่ยตอบไปทั้งลอบมองปฏิกิริยา แต่เอวานไม่ยอมหันมาเลย

“ถ้าเสร็จก็โทรบอกแล้วกัน เดี๋ยวจะให้ทอมัสมารับ”

“แล้วคุณจะไปไหน โรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองอยู่ร่วมงานเลี้ยงได้นะครับ” กลิ่นแก้วจะผวาตามเมื่อเอวานพูดจบก็ออกเดิน

“ฉันมีธุระ ไว้เจอกันที่ห้อง”

บอกเท่านั้นแล้วเอวานก็เดินออกไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วยืนซึมอยู่ตรงนั้นพร้อมความรู้สึกที่ว่าเอวานต้องโกรธอยู่แน่ ๆ ถึงได้ไม่ยอมหันกลับมามองกันเลย

เมื่อกลับมายังที่พักในช่วงเย็น กลิ่นแก้วก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องตัวเองแล้วออกมาหาบอดีการ์ดทั้งสองนายด้านนอก ชะเง้อชะแง้แลหาใครอีกคนที่น่าจะอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เห็น จึงหันไปถามแมกซ์เวล

“มิสเตอร์แมกซ์เวล เอวานไปไหนครับ?”

“อยู่ในห้องทำงาน ห้ามใครรบกวน”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวคิ้วกลิ่นแก้วก็ขมวด ขนาดกลับห้องมาแล้วยังต้องทำงานอีก แถมห้ามรบกวนด้วย ไม่พักไม่ผ่อนกันเลยหรืออย่างไร หรือที่จริงแล้วไม่อยากเห็นหน้าเขากันแน่...

“อย่าคิดมากน่า ช่วงนี้งานมันยุ่ง ๆ หน่อยน่ะ นายเลยเอากลับมาตรวจสอบที่ห้อง” ทอมัสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหน้าเด็กดูจ๋อยไปถนัดตา “ไปนั่งที่โต๊ะไป อีกเดี๋ยวอาหารก็มาส่ง กินเสร็จแล้วจะได้ไปพักผ่อน เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ผมไม่หิวหรอกครับ กินมาจากโรงเรียนแล้ว วันนี้มีกินเลี้ยงกันหลังปิดงานกีฬาไง” เจ้าตัวเล็กแจกแจงให้ฟัง

“เออ จริงด้วยว่ะ” เหมือนทอมัสจะเพิ่งนึกขึ้นได้

“พวกคุณตามสบายเถอะ ผมไปดูทีวีดีกว่า” บอกไปเช่นนั้นแล้วจึงแยกไปที่ห้องนั่งเล่น

แมกซ์เวลโทรสั่งอาหารให้มาส่งบนห้องพัก เมื่ออาหารมาส่ง สองบอดีการ์ดก็นั่งกินไปเงียบ ๆ กลิ่นแก้วที่แยกไปดูโทรทัศน์ สายตาก็คอยแต่จะชำเลืองมองทางประตูห้องทำงานของเอวานอยู่บ่อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรียกคนในห้องครัวเมื่อทนไม่ไหว

“มิสเตอร์แมกซ์เวล”

เด็กของนายส่งเสียงเรียกมา ทำให้แมกซ์เวลชะเง้อมองทางต้นเสียงเมื่อขานรับ “อะไร?”

“ห้ามรบกวนแบบเด็ดขาดเลยเหรอครับ เข้าไปไม่ได้เลยเหรอ?” เสียงออด ๆ เอ่ยถามราวขอความเห็นใจ

แมกซ์เวลถอนหายใจ “ถ้าไม่กลัวโดนดุก็เอา”

กลิ่นแก้วยิ้มแฉ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เท่ากับสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร รีบปิดโทรทัศน์แล้ววิ่งไปที่ห้องทำงานเอวานทันที

“มองอะไร?” แมกซ์เวลเอ่ยถามเมื่อทอมัสหันมามองยิ้ม ๆ

“มองคนใจอ่อนแถวนี้” อีกคนลอยหน้าบอก

แมกซ์เวลทำเสียงเหอะ ก่อนลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อ ไม่สนใจสายตาล้อเลียนของเพื่อนบอดีการ์ด ทำมาเป็นล้อเลียนเขา ทอมัสเองก็ใจอ่อนกับเด็กของนายเหมือนกันละวะ

กลิ่นแก้วที่วิ่งมาหาเอวานยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มือค่อยยกขึ้นเคาะเป็นสัญญาณเพื่อขออนุญาตก่อนเลื่อนออกนิด ๆ แล้วโผล่หน้าเข้าไปสำรวจ เอวานที่นั่งเปิดโน้ตบุ๊กทำงานอยู่บนชุดโซฟารับแขกภายในห้องค่อยปรายสายตามามองแล้วเอ่ยทัก

“เป็นจิ้งจกหรือไง?”

เจ้าตัวเล็กยิ้มแหยเมื่อถูกทักมา ค่อยแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วเลื่อนปิดประตูอย่างเบามือ เอวานเองก็ปิดโน้ตบุ๊กเมื่อเด็กมานั่งลงข้างกัน

“คุณไม่ออกไปทานอะไรเลย หิวหรือเปล่าครับ ผมเอาอะไรมาให้ไหม?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามเมื่อนั่งลงข้าง ๆ

“ไม่ล่ะ ยังไม่หิว”

เหมือนบทสนทนาจะจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อไม่มีใครพูดอะไรอีก กลิ่นแก้วก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงหรือชวนคุยเรื่องอื่นอย่างไร เมื่อมีเรื่องคาใจอยู่อย่างนี้จึงต้องเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ทำตัวไม่ถูก

“คุณ... หายโกรธรึยังครับ?” เอ่ยถามขึ้นมาอย่างหวั่น ๆ “ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย คาร์เตอร์แค่ดีใจมากไปหน่อย...”

“ดีใจแล้วจูบปากกันแบบนั้นเหรอ?”

“......” ริมฝีปากอิ่มเผยอค้างเมื่อถูกย้อนถามมาเช่นนั้น

“ทำบ่อยหรือเห็นว่ามันเป็นเรื่องปรกติ?”

“ผมก็ว่ามันไม่ได้แปลกตรงไหน ผมอาจอยู่ใกล้มือ เขาเลยคว้าไป...” มองตาดุ ๆ นั่นแล้วกลิ่นแก้วก็ต้องกลืนคำต้องห้ามลงไป พยายามเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัว “คนอื่นก็โดน คุณก็เห็น...”

“ไม่เห็น” เอวานแทรก “ฉันไม่ได้สนใจถึงขั้นจะมองว่าเพื่อนของเธอทำอะไรกับใครบ้าง แต่ที่แน่ ๆ เขาทำกับเธอ”

“แล้วมันเป็นความผิดผมหรือไง ผมไม่ได้เริ่มสักหน่อย ทำไมคุณต้องโกรธกันด้วยล่ะครับ?”

“นั่นน่ะสิ ทำไมนะ?”

“......” กลิ่นแก้วกัดปาก เอวานเป็นอะไร ไม่เคยยียวนแบบนี้มาก่อน “ผมขอโทษ...”

“ขอโทษเรื่องอะไร?” คนยียวนยังถาม

“อ้าว ก็คุณโกรธเรื่องอะไรล่ะครับ?”

“ไม่รู้ว่าฉันโกรธเรื่องอะไร แล้วขอโทษทำไม?”

“ก็คุณไม่ยอมคุยด้วย”

“ตอนนี้ก็คุยแล้วไง”

“เอวาน...”

คำพูดสะดุดอยู่แค่นั้นเมื่อมือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสข้างแก้ม ตากลมมองสบนัยน์ตาสีควันบุหรี่ที่ค่อยเลื่อนมายังริมฝีปาก นิ้วหัวแม่มือค่อยปาดไล้ความนุ่มที่เผยอยกอย่างไม่ตั้งใจ

“ไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อให้ใครทำแบบนี้”

“...?” เสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าการกระซิบทำให้คิ้วกลิ่นแก้วขมวด

ทั้งสายตาและปลายนิ้วของเอวานยังไม่ละไปจากริมฝีปากนุ่ม ความนุ่มนี้เคยประทับบนแก้มเขาเวลาขอบคุณ เวลาออดอ้อน หรือแม้แต่ก่อนนอนก็ยังมีจูบราตรีสวัสดิ์ มันเคยมีแค่เขาที่ได้สัมผัส แต่พอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กของเขากับเพื่อนที่โรงเรียนวันนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น หรือไม่ได้กระทำในเชิงชู้สาว มันก็ยังสะกิดต่อมหวงของเขาได้อยู่ดี เพียงคิดไปว่าในภายภาคหน้าต้องถูกครอบครองโดยคนอื่น ก็รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาเสียแล้ว

“คุณอย่าคิดมากสิครับ ยังไงผมกับคาร์เตอร์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน มันไม่ได้มีอะไรเสียหาย...!!”

พูดยังไม่ทันจะจบคำดีก็เหมือนโลกจะเหวี่ยงกะทันหัน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกกดลงไปบนโซฟาแล้ว ตากลมเบิกโต มองคนที่คร่อมทับอยู่ด้านบนด้วยความตื่นตะลึง

“เธออาจจะลืมไปแล้วว่าแด๊ดกับอาอัลก็เป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้น เรื่องที่ว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันมันฟังไม่ขึ้น รู้ไว้ด้วย”

แด๊ดที่เอวานเอ่ยถึงคือ อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน แม้จะไม่ใช่บิดาโดยสายเลือด แต่ก็เป็นผู้ที่ดูแลเขาและมารดามาตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก และในปัจจุบัน คนรักของอเล็กซานเดอร์ก็เป็นผู้ชาย ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวปรกติทั่วไป เอวานเคยพากลิ่นแก้วไปทำความรู้จักกับครอบครัวนี้มาแล้ว และกลิ่นแก้วก็ไม่เคยมีคำถามเกี่ยวกับคนทั้งคู่ ไม่รู้เข้าใจว่าอย่างไรเหมือนกัน

“แต่คาร์เตอร์เขามีแฟนแล้ว...” กลิ่นแก้วแย้งเสียงเบา

เรื่องที่อีกฝ่ายยกมาก็พอเข้าใจ ไม่ว่าจะเพศไหนก็รักกันได้ แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคาร์เตอร์เสียหน่อย และตัวคาร์เตอร์เองก็มีคนรักอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงด้วย คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาแบบที่เอวานกังวลเหมือนกัน

“แล้วยังไง มีแฟนแล้วจะเที่ยวจูบกับเพื่อนผู้ชายคนไหนก็ได้เหรอ?” สายตาคมยังจับจ้องริมฝีปากที่ขยับแก้ตัวแทนเพื่อน เมื่อไรจะหยุดพูดถึงเจ้าเด็กนั่นสักที หือ กลิ่นแก้ว?

“ทำไมคุณต้องซีเรียสขนาดนี้ด้วยล่ะครับ การจูบมันก็ถือเป็นการทักทาย แสดงความยินดี หรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ไม่ใช่...” ทุกคำตอบโต้ถูกกลืนกลับเมื่ออีกคนโน้มลงมาใกล้ ปลายจมูกโด่งอยู่ใกล้แทบใช้ลมหายใจร่วมกันได้

“แค่การทักทายกัน ใช่ไหม?”

“เอวาน!!”

กลิ่นแก้วหวีดลั่นทั้งเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่ฉกวูบลงมา ทำให้มันไถลมากดแนบอยู่ข้างแก้ม ลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดพาให้ขนอ่อนลุกตั้ง หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้น

คนด้านบนนิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะผละห่างและลุกออกไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วนอนนิ่งอยู่ที่เดิมกับลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันรวดเร็วไปหมด แก้มเขายังร้อนผะผ่าวแม้ริมฝีปากของอีกคนจะผละห่างไปแล้ว

เมื่อครู่นี้ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการล้อเล่นเลยสักนิด เอวานไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นเอวานในมุมนี้ มือเรียวยกขึ้นปิดปากกั้นเสียงสะอื้น ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมา มันทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งรู้สึกแปลกประหลาดแบบที่อธิบายไม่ถูก เขาเป็นบ้าอะไรไปแล้วก็ไม่รู้...

เอวานออกมาสงบสติอารมณ์ข้างนอก จุดหย่อนใจที่มีไว้ชมวิวสวย ๆ ไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบลงแม้แต่น้อย ทอมัสและแมกซ์เวลยังคงทำหน้าที่อยู่ไม่ไกลตัวเขา แต่ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรให้ระคายหู ทั้งคู่รู้ว่าควรทำตัวให้เหมือนอากาศเข้าไว้

ปล่อยเวลาให้ผ่านไปช้า ๆ จนกระทั่งทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปรกติ เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป แสงไฟในเมืองก็เข้ามาแทนที่ เอวานค่อยลุกขึ้นมา ทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายขยับตัว

“พวกนายไปพักเถอะ” เอ่ยบอกกับบอดีการ์ดของตน ซึ่งทั้งสองคนก็รับคำก่อนแยกย้ายไปตามคำสั่ง

เมื่อกลับเข้ามาด้านใน เอวานพรูลมหายใจยาว ป่านนี้กลิ่นแก้วคงเข้าห้องนอนไปแล้ว เขากะว่าจะเข้าไปจัดการงานที่ค้างบนโต๊ะอีกสักหน่อย จึงได้กลับเข้าไปในห้องทำงาน เพียงโผล่พ้นประตูก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่คิดว่าเข้าห้องไปนอนแล้วกลับหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟาตัวเดิมก่อนที่เขาจะออกไป

กายสูงใหญ่ก้าวเข้าไปหา ค่อยนั่งลงมองหน้าเด็กที่ยังคงหลับใหล ลูบกลุ่มผมนุ่มเบามือ ขณะนึกย้อนถึงความตั้งใจแรกเริ่มของตนว่าคืออะไร ที่รับเด็กคนนี้มาดูแลเพราะอะไร เพราะอยากให้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตปรกติสุขแบบคนทั่วไปมิใช่หรือ แล้วตอนนี้เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่?

นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้วเอวานก็ถอนใจ กลิ่นแก้วติดเขา ทำตามเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็ไม่เคยขัด นั่นก็เพราะความเป็นเด็กและเห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งที่ไว้ใจได้ เขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่ต้องมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่านี้

ริมฝีปากหยักกดจูบหน้าผากอุ่น ก่อนลุกขึ้นมาช้อนอุ้มให้เข้าไปนอนในห้อง กลิ่นแก้วคือเด็กในปกครอง เขาไม่ควรทำให้เด็กคนนี้แปดเปื้อน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม...






TBC



บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่ะ  :L2:


ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
ทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ดีนะเอวาน คนที่จะเป็นพ่อ?เขาไม่โกรธลูกหรอกเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนั้นอย่าให้ความรุ้สึกหวงที่ยังแยกแยะไม่ออกว่าหวงเพราะอะไรมายึดกลิ่นแก้วไว้กับตัวเลยนะ  หรือต้องให้กลิ่นแก้วรู้จักความรักจากคนอื่นเอวานถึงจะรู้ตัว  o18 o18 o18

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แล้วเอาแม่วาเนสซ่าไปใว้ไหนแล้วล่ะ?

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
กลับมานั่งคิดได้แล้วเอวาน รู้สึกยังไงกับน้องกันแน่ แล้วก็ระวังผู้หญิงของเธอด้วย  :katai1:
ช่วยเร่งมือก่อนที่น้องจะคิดมากไปมากกว่านี้  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เริ่มมีอะไร

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
เอวานควรจะชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองให้ได้ก่อนจะมาทำน้องสับสนโดยไม่รู้ตัวนะ อีกอย่างแม่ผู้หญิงคนนั้นคืออะไรอ่ะ อย่าปล่อยให้มายุ่งกับน้องสิ ดูยังไงก็ไม่ได้เข้าหาน้องดีๆเลยเนี่ย

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อยากอ่านต่อแล้วววว

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย




ห้องนอนบนคฤหาสน์หลังใหญ่ บานประตูถูกเปิดออกช้า ๆ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสายโด่ง ผู้ที่เข้ามาในห้องยืนชะเง้อชะแง้แลมองคนบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้าวเข้าไปปลุกเพราะมันสายมากแล้ว

เอื้อมมือเขย่าแขนพร้อมเอ่ยเรียก แต่ไม่มีวี่แววว่าคนหลับจะลุกขึ้นมาอย่างที่อยากให้เป็น มิหนำซ้ำยังครางอืออาราวรำคาญเสียอย่างนั้น คนปลุกจึงปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง ก่อนจะก้มลงใกล้เพื่อเอ่ยเรียกข้างหู เผื่อจะเป็นวิธีที่ทำให้อีกคนตื่นขึ้นมาได้

เอวานป่ายปัดสิ่งกวนใจให้พ้นตัว เมื่อทำอย่างไรมันก็ยังไม่ไปไหน แขนแกร่งจึงรวบกอดเอาไว้ ตัวนุ่ม ๆ กับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แสนเคยคุ้นทำให้เขายิ่งกกกอดเอาไว้แน่น แถมลำขาหนาหนักยังพาดซ้ำเมื่อบางสิ่งในอ้อมแขนดิ้นไปมา กดใบหน้าซุกซบแล้วคิ้วเข้มก็ขมวด หอม... หอมจริง กลิ่นอะไรกัน?

“เอ... เอวาน ตื่นได้แล้วครับ”

“อือ”

เอวานครางรับในลำคอเมื่อคล้ายจะได้ยินเสียงเรียก จมูกโด่งซุกซบนวลเนื้อเมื่อกลิ่นหอมยังลอยวน สูดกลิ่นยวนใจนั้นเข้าลึกอย่างชอบใจ เขาชอบกลิ่นนี้ หอมอวลในอกไม่รู้เบื่อ มือหนาลูบสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มผ่านผ้าเนื้อลื่นหนักมือ ขณะที่ใจกลางร่างกายเกิดปฏิกิริยารับเช้าวันใหม่อย่างไม่ตั้งใจ

“อ๊ะ...”

เสียงอุทานเพียงแผ่วเบาไม่ได้ทำให้เขาหยุด กายหนาพลิกกลับขึ้นคร่อมทับ ชะโงกเงื้อมเหนือร่างเล็กก่อนโน้มลงไปหา ริมฝีปากหยักแตะจูบปากอิ่ม ค่อยบดเบียดแทรกลิ้นตวัดไล้ อ้อยอิ่งอยู่เป็นนาน

ลิ้นสากลากไล้ไล่ต้อนเรียวลิ้นที่คอยแต่จะถดหนี คนใต้ร่างตัวสั่นจนเขารู้สึกได้ เมื่อนัยน์ตาสีควันบุหรี่ลืมขึ้นมามองในระยะใกล้ก็ถึงกับชะงักค้าง ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนจะผงะหงาย

“เฮ้ย!”

เอวานตาค้างเมื่อเห็นเด็กในปกครองของตนเองอยู่ในสภาพที่มัน... เอ่อ... เรียกได้ว่าไม่เรียบร้อยนัก เมื่อผงะถอยออกมา ร่างบนเตียงก็กระถดตัวถอยออกห่างเช่นกัน แขนเรียวเท้าศอกดันตัวลุกขึ้นมานั่ง สองแก้มแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

“เข้ามา... ตั้งแต่เมื่อไร?” เอ่ยถามเด็กแก้มแดงที่นั่งเงียบ ใจหนุ่มเต้นระรัวยิ่งกว่ามีคนมารัวกลองรบ

“เมื่อกี้... ครับ” เสียงเบาเอ่ยอ้อมแอ้มตอบกลับมา

เอวานลูบหน้าแล้วพึมพำกับตนเอง “งั้นเหรอ...”

มือหนายกขึ้นเสยผมยุ่ง ๆ ของตนแรง ๆ ก่อนจะลุกลงจากเตียงนอนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันจะพ้น ก้าวเท้าก็หยุด ใบหน้าคร้ามคมหันกลับมาหาเด็กบนเตียงแล้วก้มเร็วสูดดมกลิ่นแก้มหอม

“......!!”

ตากลมเบิกมองเขาอย่างตื่นตกใจ มือเรียวกุมแก้มที่ถูกเขาหอมไปเมื่อครู่ กลิ่นหอมนั่นยังติดปลายจมูก ชัดเลย กลิ่นเดียวกันเป๊ะโดยไม่ต้องสงสัย

เอวานสบถในลำคอ ด่าตัวเองวุ่นวายที่ทำอะไรเด็กมันลงไปบ้างแล้วก็ไม่รู้ เอวานหนอเอวาน เด็กในปกครองกำลังจะทำให้ตบะเขาแตก ได้แต่ท่องบทปลอบประโลมจิตใจตนเอง

ยุบหนอ...

พองหนอ...

หอมหนอ...

นุ่มหนอ...

.

.

.

โว้ยยยยยย!!!!!!!



เอวานลงมานั่งซดกาแฟยามสายย้อมใจที่โต๊ะอาหาร เมื่อคืนแวะไปดื่มกับน้องชายอย่างอเล็กเซย์ที่ไนต์คลับหนักไปสักหน่อย เช้านี้เลยตื่นไม่ค่อยจะไหว ปรกติถ้ามันดึกมากเขามักนอนที่คอนโดมิเนียมเสียมากกว่า แต่คราวนี้กลับเลือกมานอนที่เจฟเฟอร์สัน แล้วก็ได้เรื่องเลยทีเดียว

ปลายนิ้วนวดคลึงขมับเพื่อลดอาการเครียดที่ตึงขึ้นมา เรื่องเก่าเมื่อคราวก่อนที่เขาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจนเกือบจูบเด็กมันไปอย่างสิ้นคิดก็ยังไม่ทันจะลบเลือน มาวันนี้ดันหนักกว่าเดิมเสียอีก ให้ตายเถอะ จะหาข้อแก้ตัวอะไรได้เล่าแบบนี้

ตอนนี้กลิ่นแก้วกลับมาอยู่เจฟเฟอร์สันแล้ว เพราะอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมเขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลสักเท่าไรนัก ให้กลับมาอยู่กับมารดาของเขาจะดีกว่า ผนวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นคงทำให้เด็กมันอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย บรรยากาศระหว่างกันมันแปลกไปจนรู้สึกได้ การอยู่ห่างเขาคงทำให้สบายใจขึ้น เขาคิดว่าอย่างนั้น

“ลงมาแล้วเหรอ?”

เสียงมารดาเอ่ยทายทักทำให้เอวานหันไปมอง “อรุณสวัสดิ์ครับ มัม”

“อรุณสวัสดิ์ตอนสายโด่งขนาดนี้เลยนะ” ท่านเอ่ยเย้า “เมื่อคืนหนักมากหรือไง เห็นทอมัสบอกไปดื่มกับเซย์มา มีเรื่องกลุ้มใจอะไรถึงดื่มกันหนักขนาดนี้?”

“เปล่ากลุ้มอะไรหรอกครับ แต่ลุกไม่ได้เพราะเจ้าเซย์มันไม่ยอม” หัวเราะน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อ รายนั้นชอบบ่นเวลาเขาไปดื่มด้วยแล้วเหมือนจิบพอเป็นพิธี เมื่อคืนเลยจัดหนักกันไป

“ไปดื่มกับพ่อหนุ่มคาสโนว่าก็ต้องทำใจสักหน่อยล่ะ ไม่เมาเพราะดีกรีก็คงเมาเพราะเนื้อนางที่ห้อมล้อม” ผู้เป็นมารดาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แล้วนี่เจ้าหนูมันไปไหน แม่ให้ขึ้นไปปลุกเราก็หายเงียบไปเลย”

เอวานชะงักเมื่อมารดาเอ่ยถาม ก่อนยิ้มบอก “อยู่บนห้องมั้งครับ”

“ช่วงนี้แม่ว่าเจ้าหนูมันดูเหม่อ ๆ นะ เครียดเรื่องอะไรไม่รู้ พอถามก็มายิ้มใส่แล้วไม่ยอมพูด จะคาดคั้นก็ทำหน้าหมองใส่อีก เลยไม่รู้กันพอดีว่าเป็นอะไร” เกวนตั้งข้อสงสัยหลังจากสังเกตมาสักพัก ราวกลับไปช่วงก่อนหน้านี้ที่เด็กมันไม่ค่อยพูดค่อยจา ทั้งที่พอโตขึ้นก็เจื้อยแจ้วดี แต่เดี๋ยวนี้ดูเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่ “เขาได้พูดอะไรให้ฟังหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้เอวานนิ่งไปนิด “... ไม่มีนี่ครับ”

ผู้เป็นมารดายังมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนคาดเดา “หรือจะแอบไปชอบเพื่อนที่โรงเรียนหรือเปล่า ลักษณะอาการนั่งเหม่อ บางครั้งก็นั่งถอนหายใจเฮือก ๆ อาจจะเป็นปัญหาหัวใจก็ได้”

“เขายังไม่คิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยังเด็กอยู่เลย” เอวานว่า

“อย่างกลิ่นแก้วน่ะ ไม่เรียกว่าเด็กแล้ว เอวาน” มารดาแย้ง “ช่วงวัยรุ่นมักมาคู่กับปัญหาหัวใจ”

“มัมคิดแบบนั้นเหรอครับ?” ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เป็นไปได้หรือที่เด็กของเขากำลังมีปัญหาหัวใจเช่นที่มารดาว่า ถ้ามีจริง แล้วมีกับใคร เจ้าเด็กคาร์เตอร์นั่นหรือ?

“ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเรื่องอะไรล่ะ เรื่องโดนเพื่อนแกล้งก็ไม่น่าใช่ เท่าที่รู้กลิ่นแก้วเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับหลานชายหนูวาเนสซ่าไม่ใช่เหรอ เห็นว่าคนนั้นก็ร้ายเอาเรื่อง คงไม่มีใครกล้ามาแกล้งเด็กของเราหรอก”

เธอเคยถามคนที่เอวานให้ไปเฝ้าเจ้าตัวเล็กก็ยังเห็นสนิทกับเพื่อนดี ไม่มีอะไรน่าสงสัย ข้อสงสัยตอนนี้เลยเป็นว่าอาจเป็นปัญหาหัวใจของวัยรุ่นเสียมากกว่า

“อะไรกัน พอพูดเรื่องนี้เข้าหน่อยทำหน้าเครียดเชียวนะ”

“หึ ๆ” เอวานหัวเราะในลำคอเมื่อมารดาเอ่ยล้อ

“ถ้าเกิดเด็กมันรักมันชอบใครขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไง?” เอ่ยถามลองเชิงคุณพ่อขี้หวงดูสักหน่อย

“มันยังไม่ถึงเวลาครับ ผมไม่อนุญาต” ตอบกลับทันควันจนคนถามหัวเราะลั่น

“เผด็จการจริงพ่อคนนี้ ถ้าเผื่อวันหนึ่งเจ้าหนูมันต้องแต่งงานออกเรือนไป คุณพ่อกำมะลอแถวนี้ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยหรือไง?”

“นั่นก็มากไปครับ”

“ใครจะไปรู้ โตกว่านี้อีกหน่อย ดูทรงแล้วคงเนื้อหอมพอตัว พอมีแฟนแล้วหันไปติดแฟนแทน คราวนี้แหละ คนแถวนี้ได้ตกกระป๋องแน่”

“งั้นผมก็จะเตะกระป๋องทิ้งตั้งแต่ตอนนี้เลย”

ผู้เป็นมารดาถึงกับกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ เป็นเอามากจริง ๆ พ่อคนนี้ ดูท่าทางต้องไปจองคานให้เจ้าหนูกลิ่นแก้วมันอยู่เสียแล้วกระมัง เล่นหวงกันเสียขนาดนี้

กลิ่นแก้วเพิ่งสอบปลายภาคเสร็จ อีกไม่กี่วันก็ปิดเทอม ปัญหาเรื่องเรียนคงไม่มีเพราะเป็นเด็กใฝ่เรียนและทำได้ดีมาตลอด ส่วนเรื่องหัวใจเช่นที่มารดาเขาว่ามันก็น่าคิดอยู่ เด็กวัยนี้เริ่มมีรักในวัยเรียนกันแล้ว แต่เอวานกลับคิดว่าไม่ใช่เรื่องนั้น บางทีสาเหตุอาจเป็นเพราะเขามากกว่า

ปิดเทอมนี้เอวานตัดสินใจจะพากลิ่นแก้วกลับไปเยี่ยมบ้านที่ไบบิวรี่ตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ด้วยพักนี้เด็กมันไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เขาสักเท่าไร เหมือนมีช่องว่างระหว่างกันเกิดขึ้น แม้พยายามทำทุกอย่างเป็นปรกติเหมือนเดิม แต่เขารู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม ยิ่งปล่อยนานไปยิ่งจะห่างกันออกไปทุกที เอวานได้แต่หวังว่าการใช้เวลาด้วยกันช่วงที่ไปไบบิวรี่จะทำให้พวกเขากลับมาใกล้ชิดกันได้เหมือนเดิม และเขาจะพยายาม พยายามเป็นผู้ปกครองที่ดี เป็นเพียงผู้ปกครองที่ดี...


…….


บริษัทเวสส์วันนี้ เอวานรับหน้าที่ลงไปเจรจาเรื่องผัดผ่อนหนี้สินซึ่งยืดเยื้อมานานพอสมควร แมกซ์เวลรายงานข้อมูลเกี่ยวกับลูกหนี้คนดังกล่าวว่าเป็นเจ้าของกิจการยานยนต์ผู้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ริชาร์ด พาเลอร์ แต่เพราะดึงเงินรายได้จากบริษัทมาใช้ส่วนตัวจนติดลบ ทำให้การบริหารงานภายในเสียหาย ต้องมากู้ยืมเพื่อไปต่อลมหายใจ และบิดาของเขาก็พิจารณาให้กู้ยืมโดยนำธุรกิจรถยนต์แห่งนั้นมาค้ำประกัน เมื่อการใช้คืนหนี้สินไม่เป็นไปตามสัญญา มันก็จะตกเป็นของเวสส์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“ทางเราส่งจดหมายเตือนถึงคุณหลายครั้งแล้ว คุณได้มาเจรจาผัดผ่อนไปเมื่อหลายเดือนก่อนและหายเงียบไป เราจึงได้ส่งเอกสารและโทรติดตาม แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด วันนี้เราจึงเชิญคุณมาเพื่อพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน”

ฝ่ายกฎหมายของบริษัทเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าด้วยความนุ่มนวล นอกจากเอวานและคู่กรณีแล้ว ภายในห้องยังมีเลขานุการและทนายความซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายเข้ามาร่วมในการเจรจาครั้งนี้ ขณะที่ด้านนอกห้องมีทอมัสและแมกซ์เวลยืนคุมเชิงคนของลูกหนี้กิตติมศักดิ์นายนี้อยู่

“หาทางออกร่วมกันเรอะ อยากยึดกิจการของฉันก็พูดมา” อีกฝ่ายดูท่าไม่คิดที่จะอะลุ่มอล่วย ทั้งน้ำเสียงที่ใช้ยังดูแข็งกร้าว

“ถ้ามันขายทอดตลาดได้ราคาดีก็น่าสนใจ” เอวานเอ่ยขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใยเช่นกัน

ฝ่ายกฎหมายของบริษัทเลื่อนแฟ้มสัญญาไปตรงหน้าคู่กรณี ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเจรจาแทนนายของตน

“ถ้าคุณติดต่อขอชำระหนี้แบบสม่ำเสมอ ทางเราคงยืดระยะเวลาให้คุณได้ แต่คุณกลับเลือกจะหนีหาย ทางเราก็คงต้องใช้กฎหมายเข้ามาจัดการ หวังว่าคุณจะเข้าใจตามนั้น”

“แกมันพวกหน้าเลือด” อีกฝ่ายกัดฟันกรอดเมื่อหนทางรอดถูกปิดตาย

“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามสัญญา” ฝ่ายกฎหมายของเวสส์ย้อนตามความเป็นจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ “การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้าย หากคุณยังไม่สามารถชำระหนี้สินที่มีให้ทางเราได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนด เราก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายกันต่อไป”

เมื่อการเจรจาจบลงโดยที่คู่กรณีกลับไปด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทั้งยังปรามาสที่ทางบริษัทส่งเด็กคราวลูกอย่างเอวานมาเจรจากับตนแทนที่จะเป็นพอล เวสส์ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ช่างไร้ความน่าเชื่อถือและดูถูกกันมากจนเกินไป

เอวานออกจากห้องนั้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้อนาทรต่อคำปรามาส เรื่องนี้ไม่ควรถึงมือเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีปัญหา ในฐานะผู้บริหารก็ไม่ควรเพิกเฉยและปล่อยให้ยืดเยื้อมากกว่าที่เป็นอยู่ จะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของบริษัทเสียเปล่า ๆ ในเมื่อมีข้อสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบบชัดเจนก็ควรบังคับใช้ให้เป็นประโยชน์ ผู้ที่เข้ามาทำธุรกรรมกับทางเวสส์ต่างทราบดีว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร หากไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญา เวสส์ก็มีสิทธิ์ที่จะกระทำการใด ๆ ได้ตามกฎหมาย

เมื่อกลับขึ้นห้องทำงานมา ชายหนุ่มก็โทรหาเด็กในปกครองที่วันนี้ไปโรงเรียนแค่ครึ่งวัน ถ้ายังไม่ออกจากโรงเรียนมาเขาก็จะไปรับ เมื่อเด็กมันรับสายเขาจึงเอ่ยถาม

“ออกจากโรงเรียนมาหรือยัง?”

“คนรถของเจฟเฟอร์สันกำลังมารับครับ” เสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมาตามสาย

“ถ้าอย่างงั้นรออยู่ที่นั่นก่อน เดี๋ยวฉันไปรับ”

“แต่ว่ามิสเตอร์แฮ...”

“เดี๋ยวฉันโทรบอกเขากลับไปเอง”

“......” เมื่อถูกขัดมาเช่นนั้นกลิ่นแก้วก็เงียบ

“จะพาไปซื้อของ ไม่อยากได้ของไปฝากคนที่โน่นเหรอ?” เอวานขยายความให้เข้าใจ เงียบไปแบบนี้เขาใจไม่ดีสักเท่าไร

“คุณจะพาไปจริง ๆ เหรอครับ?” เอ่ยถามกลับมาอย่างไม่แน่ใจ ก่อนนี้เอวานบอกว่าปิดเทอมจะพาเขากลับไปเยี่ยมบ้าน ไม่คิดว่าจะได้ไปจริง ๆ

“ฉันเคยโกหกเธอหรือไง?” ย้อนถามแล้วเอวานก็อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงทะเล้นตอบกลับมา

“ไม่น่าจะเคย”

“หึ งั้นรอที่นั่น ฉันจะรีบไป”

“ครับ”

เมื่อตกลงกันได้เอวานก็สั่งงานเลขานุการไว้ โดยให้แมกซ์เวลประจำอยู่ที่นี่เผื่อมีปัญหาอะไร ส่วนทอมัสให้ไปกับเขา การพาเด็กไปเลือกซื้อของฝากครั้งนี้ดูจะเป็นความคิดที่ดี เพราะความสดใสที่หายไปเสียนานเริ่มมีให้เห็น ถึงแม้ว่าพอรู้สึกตัวก็จะขยับห่างเขาทุกทีก็ตาม

“ขอบคุณนะครับที่พามาซื้อ”

เอ่ยขอบคุณคนใจดีที่พามาซื้อของฝากพร้อมรอยยิ้มน่าเอ็นดู ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากลานจอดของห้างสรรพสินค้า ไม่รู้ว่าคนรับจะชอบไหม แต่กลิ่นแก้วก็ตั้งใจเลือกที่สุดแล้ว ทีแรกกะจะใช้เงินในส่วนของตัวเองที่เอวานเก็บไว้ให้ แต่เอวานกลับใช้บัตรรูดซื้อไปเสียก่อน กลิ่นแก้วเลยจำต้องรับน้ำใจนั้น เพราะเอวานเคยบอกว่าเวลาผู้ใหญ่ให้ของไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรขอบคุณมากกว่า

“เวลาขอบคุณต้องทำยังไง?” เอวานเอ่ยทวง แต่เมื่อเห็นว่าเด็กข้างกายถึงกับนิ่งจึงบอกปัดไป “ฉันล้อเล่นน่ะ ช่างมันเถอะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก กลัวเอวานรำคาญที่ตนเองทำยึกยัก ค่อยชำเลืองมองบอดีการ์ดหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีอยู่ด้านหน้า ก่อนเบือนกลับมาทางเอวานที่หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขาที่ไม่เคยเคอะเขินกับอะไรแบบนี้ เวลานี้กลับไม่กล้า แต่เมื่อนึกไปว่าอาจจะถูกเอวานโกรธก็พยายามข่มความรู้สึกที่มี

มือเรียวค่อยเท้าเบาะเพื่อดันตัวให้อยู่ระดับเดียวกับคนข้างกาย เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้หมายจะจูบแก้มขอบคุณเช่นทุกทีที่เคยทำ แต่กลับต้องชะงักเมื่ออีกคนหันกลับมาในจังหวะที่ริมฝีปากกดแนบลงไป จากที่มันควรแตะข้างแก้มจึงเลยมาถึงมุมปากหยัก ดวงตากลมเบิกโต รีบผละห่างราวถูกของร้อน

ริมฝีปากอิ่มค่อยเม้มเข้าหากัน ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงโลดจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน มือเรียวกุมกันบนหน้าตัก ทั้งก้มหน้าหลบสายตาที่มองมาอย่างทำตัวไม่ถูก สายตาเอวานมันแปลก เขาเองก็รู้สึกแปลก ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่ เขาไม่ควรอยู่ใกล้เอวานมากไปกว่านี้ มันไม่ดีต่อการทำงานของหัวใจเอาเสียเลย


......


หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอังกฤษ ตึกรามบ้านช่องที่ก่อจากหินซึ่งอยู่มานานนับร้อยปีทำให้ดูแปลกตา แต่ก็มีมนต์ขลังในแบบของมัน ธรรมชาติของที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ ดอกไม้นานาพันธุ์ตามริมข้างทางแข่งกันออกดอกชูช่อ สายน้ำเอื่อย ๆ ไหลเย็นในลำธารที่ทอดยาวก็ใสเสียจนมองเห็นสรรพสิ่งที่แหวกว่าย ราวเป็นตัวแทนของความสงบเย็นใจ

สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ผู้คนจากต่างถิ่นแวะเวียนมาเที่ยวชมไม่ได้ขาด แต่หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกกลืนไปกับความฟุ้งเฟ้อ วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ยังคงเป็นในแบบที่เป็นมา

รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดรวมกับรถของนักท่องเที่ยวคันอื่น กลิ่นแก้วเปิดประตูลงมาจากรถ ค่อยหันมองรอบกายอย่างแสนคิดถึง เขากลับมาแล้ว กลับมาที่นี่ ที่บ้านของเขา...

เมื่อเอวานและบอดีการ์ดทั้งสองนายตามลงมา กลิ่นแก้วจึงพาทั้งหมดออกก้าวเดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นหญ้าที่แทงยอดสูง รั้วไม้เก่าคราคร่ำทอดยาวไปตามทาง ทุกอย่างยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ทางเดินที่เขาเคยเดินอยู่ทุกวัน เหมือนได้ย้อนกลับไปในวันวาน เมื่อได้กลับมาอีกครั้งก็พาลคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นขึ้นมา

เส้นทางที่พากันเดินมาเงียบกว่าที่คิด เห็นผู้คนเดินไปมาพร้อมกล้อง คงเป็นนักท่องเที่ยว กลิ่นแก้วพาขึ้นเนินที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีและฝูงแกะ เอ่ยทักทายชายชราที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ก่อนเข้าไปพูดคุยถามไถ่ตามประสาคนเคยรู้จักมักคุ้น ชายชราคนดังกล่าวเป็นเพื่อนบ้านของกลิ่นแก้วเอง ที่นี่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนทำให้รู้จักกันดี

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งสี่หนุ่มก็ผละมา ด้วยความที่จากบ้านไปหลายปีทำให้ชายชราออกปากว่ากลิ่นแก้วโตขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้ เจ้าถิ่นตัวบางพาเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งบนเนิน ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โตแบบเจฟเฟอร์สัน แต่ขนาดของมันก็ถือว่าใหญ่ถ้าเทียบกับในละแวกเดียวกัน บ้านของกลิ่นแก้ว แต่เวลานี้มันกลายเป็นของใครไปแล้วไม่อาจรู้

เมื่อก้าวเข้ามาบริเวณบ้าน แววตาของกลิ่นแก้วก็หม่นเศร้า เอวานรู้ว่าเด็กของเขาคงอาลัยอาวรณ์ความทรงจำที่เคยมี เขาสามารถเอาบ้านหลังนี้คืนมาให้ได้ แต่ไม่คิดจะทำ เพราะถ้าได้คืนมาแล้วกลิ่นแก้วอยากกลับมาอยู่ที่นี่ แทนที่จะเป็นผลดี คนที่แย่คงเป็นเขาแทน

พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นสักพักจึงได้เดินทางมายังสุสาน กลิ่นแก้วเดินไปวางดอกไม้ช่อสวยหน้าป้ายสลัก ริมฝีปากอิ่มเปิดยิ้ม แต่ดวงตากลับเศร้าหมอง เขารู้ว่าควรปล่อยวาง แต่มันอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ที่จะโหยหาสัมผัสอบอุ่นจากผู้เป็นมารดา

เอวานโอบไหล่เล็กแล้วรั้งเบา ๆ ให้เอนมาอิงซบ ไม่มีคำพูดใดในช่วงเวลาเช่นนี้ ได้เพียงปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านเพียงแผ่วเบา


......
ต่อหน้าถัดไปค่ะ  :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด