พิมพ์หน้านี้ - บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: wanmai ที่ 20-09-2018 19:42:23

หัวข้อ: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 20-09-2018 19:42:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลงหรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเว็บบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใด ๆ ไปโพสที่อื่น ๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรืออีเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเมนท์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่าง ๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเว็บ  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใด ๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเว็บอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริง ๆ นั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่าง ๆ มาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ ไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้น ๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ บนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใด ๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





:L2: :L2: :L2:




หนูกลิ่นแก้วกับพี่ใหญ่ของสามทหารเสืออย่างเอวานกลับมาอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากการเขียนนิยายนานมาก รีไรท์สายลมไปก็มึน ๆ งง ๆ กับตัวเอง

พอมาเริ่มแต่งเรื่องนี้แบบจริงจังรู้สึกมันยากกว่าสมัยก่อนมาก ๆ เพราะกังวลกว่าแต่ก่อนที่อยากแต่งก็จะแต่ง สนุกอยู่คนเดียวก็จะแต่ง ไม่ต้องสมเหตุสมผลมากก็ได้ อะไรแบบนี้ พอมาตอนนี้ฟีลนั้นมันหายไป อาจด้วยวัยของเราด้วยก็ได้

ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ จากชื่อเรื่องก็ดูจะร้อนแรงเนาะ แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ชอบชื่อเรื่องเลยไม่อยากเปลี่ยน

ตอนแรกว่าจะเปลี่ยนเป็น กรุ่นกลิ่นแก้ว มันก็ละมุนไป ด้วยความที่ชอบบุหรง เลยยังใช้ชื่อเดิม เพิ่มเติมคือจะแต่งให้จบค่ะ ฮา

วันใหม่


หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 20-09-2018 19:46:45
บุหรงเริงไฟ

+ บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย +



กรุงลอนดอน ; อังกฤษ

ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชน ประตูห้องถูกเปิดออกก่อนที่ใครคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา ร่างสูงใหญ่นั้นหยุดยืนข้างเตียงที่เต็มไปด้วยสายระโยงรยางค์ สภาพคนบนเตียงราวอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ สตีฟ?” เอ่ยถามคนบนเตียงที่ค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้า ๆ แล้วหันมามองเขา

“เธอ... ไม่อยู่แล้ว” น้ำเสียงเศร้าระคนเจ็บปวดเอ่ยบอกอย่างยากเย็น

“พูดถึงเรื่องอะไร?”

“เธอตายแล้ว เอวาน...”

คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วครู่  “นี่นายยังตามเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ นายก็รู้ว่ายิ่งทำแบบนี้ พวกเขายิ่งจะไม่ปลอดภัย”

“แล้วจะให้ฉัน... ทำยังไง...?” เสียงพูดยิ่งผะแผ่วลงไปทุกที หยดน้ำตารินไหลอย่างสุดกลั้นเมื่อเอ่ยคำ “ไม่มีวันไหนเลยที่ฉัน... จะหลับเต็มตา ฉัน... ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขา... วางมือจากเรื่องนั้น... แต่นั่น... มันคือสิ่งที่... โง่บรม...”

“......”

“เอวาน...” เอื้อมคว้ามือของผู้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างยากเย็น ก่อนบีบมันเบา ๆ แทบไม่รู้สึก “พี่อยากเจอเขา... สักครั้ง ก่อนที่จะ... ไม่มีโอกาสได้เจอ... ตลอดไป...”

นัยน์ตาสีควันบุหรี่หลุบมองมือที่จับมือของตนอยู่ มันสั่นจนรู้สึกได้ ผู้ชายตรงหน้าของเขาตอนนี้แทบไม่มีแรงเหลือ แม้แต่จะยกมือยังเป็นเรื่องยาก เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ คนที่เคยเข้มแข็ง เคยมีร่างกายที่แข็งแรง กลับกลายมาเป็นแบบนี้เพราะความสิ้นหวังในชีวิต

“ได้โปรด... เอวาน... ช่วยพี่สักครั้ง ไม่ว่านาย... อยากได้อะไร... พี่จะให้นาย... ทุกอย่าง...” คนบนเตียงออกปากอย่างหมดหนทาง ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรอย่างใจคิดได้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง

“เห็นฉันเป็นคนเห็นแก่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

คำถามที่ย้อนมาราวกับประตูแห่งความหวังของคนบนเตียงถูกปิดลง ริมฝีปากซีดเซียวนั้นเหยียดยิ้มเย้ยหยันตนเอง ใช่ คนอย่างเอวาน เวสส์ เจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในลอนดอนมีหรือจะมาสนใจเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์พรรค์นี้ แต่เขาก็อดคาดหวังไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะช่วย จะด้วยเพราะสายสัมพันธ์แต่เก่าก่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ การที่เขาส่งข่าวไปและอีกฝ่ายก็รีบมาหา นั่นทำให้เขาเกิดความคาดหวัง หวัง... ว่าน้องชายคนนี้จะยอมช่วย

“แล้วฉันต้องเริ่มจากตรงไหน?”

เสียงที่ดังแทรกเข้ามาในความคิดทำให้ประตูที่ปิดลงเปิดออกอีกครั้ง ดวงตาแห้งผากนั้นกลับมีประกายความหวังขึ้นมา มองนัยน์ตาสีควันบุหรี่ที่ไม่ฉายแววใด ๆ อย่างขอบคุณ



“จะช่วยเขาจริง ๆ เหรอครับ?”

ทอมัส บอดีการ์ดของเอวาน เวส์เอ่ยถามเมื่อคอยคุ้มกันผู้เป็นนายมาถึงรถ กายสูงใหญ่เข้ามานั่งประจำที่ข้างคนขับ ขณะที่บอดีการ์ดอีกนายคอยระวังภัยอยู่ด้านหลัง

“ผมกลัวว่าเราจะมีปัญหากับทางไรท์” บอดีการ์ดหนุ่มว่าอย่างเป็นกังวล

ตระกูลไรท์เป็นเครือญาติฝั่งมารดาของเอวาน ในบรรดาวงศาคณาญาติ สตีเฟ่น ไรท์ เป็นคนเดียวที่เอวานสนิทใจที่สุด เหมือนเป็นพี่ชายที่ไปไหนไปกัน แม้ต่างก็เติบโตและมีเส้นทางชีวิตที่ไม่เหมือนกัน สำหรับเขา สตีเฟ่นก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่คนเดิมคนนั้น

สตีเฟ่นเป็นคนเจ้าชู้ประเภทที่เอวานไม่คิดว่าจะให้ความจริงจังกับใคร แต่มีช่วงหนึ่งที่เหมือนจะลงหลักปักฐานกับใครสักคนอยู่เหมือนกัน เขาจำได้ว่าพี่ชายคนนี้ดูมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นมันก็ช่างแสนสั้นเมื่อเรื่องรู้ถึงหูตระกูลไรท์ คำว่าไม่คู่ควรทำลายความสุขของสตีเฟ่นไม่มีเหลือ

เขาไม่ค่อยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรนัก แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน สตีเฟ่นก็แต่งงานกับมากาเร็ต วิลสัน นั่นทำให้คิดไปว่าสตีเฟ่นคงสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่ จากคนเคยแข็งแรงกลับป่วยไข้เพราะตรอมใจ และในเวลานี้ที่อาการมันทรุดลงทุกขณะ เฮือกสุดท้ายของชีวิต สตีเฟ่นคงอยากเจอ ‘ความสุข’ ที่ทำหล่นหายไปจริง ๆ

“แมกซ์เวล” เอ่ยเรียกบอดีการ์ดอีกคนที่นั่งข้างตน

“ครับ”

“ช่วยหาที่อยู่ของแคทเธอรีน เดลลาร์ให้ที”

“แคทเธอรีน เดลลาร์?” บอดีการ์ดข้างกายทวนคำ

“สตีฟบอกว่าเธออาศัยอยู่ในไบบิวรี่ ขอด่วนที่สุดนะ”

“ครับ”

ไม่มีการซักถามใดจากบอดีการ์ดข้างกายนอกจากรับคำและทำตาม ขณะที่สีหน้าของบอดีการ์ดอีกนายกลับยังคงเป็นกังวลไม่คลาย แม้จะเป็นเครือญาติ เขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าตระกูลไรท์จะไม่โจมตีนายของเขา หากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในตระกูลเช่นนี้


......


เดลลาร์ ดี ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าที่มีนางมาเรียม และ นายเจค เดลลาร์ สองสามีภรรยาบริหารจัดการอยู่ เป็นที่รู้กันดีว่าเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นทำธุรกิจด้านใด มีหญิงหลายรายที่ถูกล่อหลอกเข้ามาในวังวนเหล่านี้และไม่สามารถที่จะกลับออกไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหญิงสาวหรือแม้แต่เด็กหนุ่มบางคนในสถานที่แห่งนี้ก็สมัครใจที่จะทำมัน

“ไอ้เด็กเหลือขอ ฉันบอกแกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้ระวัง ให้ระวัง!”

เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านหลังร้าน นายเจคที่กำลังดูแลความเรียบร้อยหน้าร้านอยู่กับพนักงานจึงได้ชะเง้อมอง ก่อนจะผละเข้าไปดูเมื่อมันเริ่มดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์เจ้าของเสียง

“ขวดที่แกทำแตกไป รู้ไหมว่าราคามันเท่าไร ทั้งชีวิตนี้แกก็ชดใช้ไม่หมด!” จะชดใช้หมดได้อย่างไร ในเมื่อเด็กตรงหน้านางไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเลยด้วยซ้ำ

“มีอะไรกันเหรอคุณ?” นายเจคเอ่ยถามภรรยา เสียงตวาดนั้นจึงชะงักลง แต่อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นยังไม่จางแม้แต่น้อย

“จะอะไรเสียอีกล่ะ ไอ้เด็กกลิ่นแก้วที่แสนดีของคุณมันสร้างแต่เรื่อง ฉันบอกกี่ทีแล้วว่าส่งมันให้ตำรวจไป คุณก็ไม่เชื่อ”

พอได้ยินว่าจะถูกส่งให้ตำรวจ เด็กชายผู้เป็นหัวข้อสนทนาก็ออกอาการผวา มองนางมาเรียมด้วยแววอ้อนวอน แต่นางกลับสะบัดหน้าหนีอย่างไม่ไยดี

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้” นายเจคว่า

ผู้เป็นภรรยาได้แต่ทำเสียงฮึดฮัด เมื่อรู้กันดีว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ “ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ คุณก็จัดการเอาเองแล้วกัน ขออย่างเดียว อย่าให้มันมาทำข้าวของเสียหาย ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะให้มันชดใช้ด้วยการตัดนิ้วมันทีละนิ้ว!”

“......!!!”

นายเจคถอนหายใจยาวเมื่อภรรยาปึงปังออกไป หันมามองเด็กชายที่ยืนสั่นอยู่ข้างกายแล้วจึงเอ่ยกำชับ

“ได้ยินแล้วใช่ไหม?” ดวงตากลมมีแววหวาดหวั่นเมื่อหันมาทางเขา ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้ารับ เขาจึงเอ่ยต่อ “รู้แบบนั้นแล้วก็ทำตัวดี ๆ เข้าไว้ คุณนายเดลลาร์เขาจะได้เอ็นดู เข้าใจไหม?”

เด็กชายพยักหน้ารัว ทำให้มือหยาบกระด้างนั้นเอื้อมไปลูบศีรษะกลมเบา ๆ ก่อนผละไป ปล่อยให้เด็กน้อยยืนมองเศษขวดที่แตกกระจาย ทั้งพื้นยังเลอะไปด้วยน้ำเมาที่สาดกระเซ็นและไหลออกมาจากเศษซากนั่น กายผอมค่อยนั่งลงเก็บเศษแก้ว ก่อนจะมีมือหนึ่งมาคว้าข้อมือเอาไว้

“ปล่อยไว้นี่แหละ กลิ่นแก้ว เดี๋ยวฉันเก็บเอง”

มองคนพูดแล้วเด็กน้อยก็ส่ายหน้าหวือ เขารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าหวังดี แต่หากให้เธอทำแล้วมันบาดมือเธอ มิวายเขาต้องถูกลงโทษเพราะทำให้พนักงานในร้านเดลลาร์บาดเจ็บ

กลิ่นแก้วค่อยเก็บกวาดอย่างระมัดระวัง เมื่อทำเสร็จแล้วก็ไปช่วยหลังร้านทำงานต่อ ปรกติแล้วเด็กวัยนี้ควรได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ควรได้เรียนหนังสือ แต่กลิ่นแก้วกลับไร้โอกาส มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนเขาเกิดแล้ว คำพูดกรอกหูจากคุณนายเดลลาร์คือเขาเป็นเด็กเหลือขอ ไม่ควรได้รับสิทธิใด ๆ ไม่ควรออกไปพบเจอใคร เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะถูกจับเข้าคุกมืดที่เต็มไปด้วยความสกปรกเหม็นเน่า ไม่มีข้าวปลาให้กินเหมือนที่นี่ ทั้งยังจะถูกทารุณ แร่เนื้อเถือหนัง คงไม่ผิดหากเขาจะหวาดกลัว เขากลัว...

หลังจากนางแคทเธอรีน เดลลาร์ พี่สาวของนายเจคจากไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อไม่นานมานี้ นางได้ทำหนังสือยกทรัพย์สินที่มีทั้งหมดให้กลิ่นแก้ว ลูกชายเพียงคนเดียวของนาง แต่เพราะกลิ่นแก้วยังเด็ก ไม่สามารถจะจัดการอะไรได้ด้วยตนเอง นายเจคและนางมาเรียมจึงยื่นมือเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ และรับเด็กชายมาอยู่ที่ร้านด้วยเพื่อกันญาติคนอื่น ๆ ของนางแคทเธอรีนเข้ามายุ่งวุ่นวาย

ห้องนอนของครอบครัวเดลลาร์แยกจากร้านไปอีกฝั่ง หลังช่วยงานหลังร้านแล้วกลิ่นแก้วต้องขึ้นมาเก็บกวาดห้องให้เจเรมี่ ลูกชายนางมาเรียมและนายเจค ซึ่งตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

เมื่อขึ้นมาถึง ประตูห้องเจเรมี่ก็เปิดออก เด็กหนุ่มตัวสูง ผมทอง มองคนที่แหงนมองตนแล้วก็จิ๊ปาก

“อย่าให้รู้นะว่าแกแอบหยิบของในห้องฉันไป”

“ผมเปล่า” กลิ่นแก้วตาโต เขาไม่เคยหยิบอะไรในห้องเจเรมี่ไปสักชิ้น

“ให้มันแน่” ผลักเด็กให้พ้นทางแล้วเจเรมี่ก็ย่ำตึง ๆ ลงไปชั้นล่าง

กลิ่นแก้วลูบหน้าผากป้อย ๆ ก่อนก้าวเข้าห้องของเจเรมี่ไป ภายในนั้นรกใช้ได้ ทำให้เขาหน้าม่อย เจ้าตัวเล็กเริ่มลงมือเก็บกวาด เจเรมี่จะกลัวเขาขโมยอะไรไปทำไม ในเมื่อข้าวของในห้องมีแต่ชิ้นใหญ่ ๆ หากหายไปก็ต้องรู้อยู่แล้ว

นิตยสารที่ถูกกางอ่านบนเตียงยังคงวางแบอยู่ที่เดิม เลโก้ที่ต่อค้างไว้ส่วนหนึ่งกระจายเกลื่อน รกยิ่งกว่าห้องของเด็กเล็ก กลิ่นแก้วมองเลโก้บนเตียงด้วยความหวั่นใจ กลัวความซุ่มซ่ามของตัวเองจะทำให้มันพัง ตากลมหลุบมองมือของตน เริ่มคิดว่านิ้วไหนจะหายไปก่อนเพื่อนแล้วกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น

โต๊ะเขียนหนังสือของเจเรมี่ถูกจัดให้เข้าที่ เว้นที่ว่างไว้พอวางเลโก้ ก่อนที่จะค่อยช้อนมันขึ้นจากเตียงแล้วหมุนกายอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งระวังยิ่งพลาด แม้จะดูดีแล้วว่าไม่มีอะไรมาขวางทางเดินก็ยังสะดุดขาตัวเองเข้าจนได้ เลโก้เจ้าปัญหากระเด็นออกจากมือ ร่างที่กำลังจะถลาล้มกลับเหยียดแขนออกไปจนสุด ปลายนิ้วสัมผัสความแข็งกระด้างแต่ไม่สามารถดึงรั้งมันกลับมาได้

กลิ่นแก้วมองชิ้นส่วนเลโก้กระเด็นไปคนละทิศด้วยหัวใจที่หล่นวูบ ใบหน้าเขาชาและเริ่มร้อนขึ้นมา ความร้อนนั้นมันมากระจุกอยู่ที่ขอบตา น้ำตาที่คลอพาลจะไหลถูกกลืนกลับลงไปในอก นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้ แขนเล็กยกขึ้นปาดมันออกลวก ๆ ก่อนจะเก็บชิ้นส่วนที่กระเด็นกระดอนมารวมกัน ยังดีที่มันไม่ได้เสียหายมากมายนัก อย่างน้อยก็คงแค่ถูกเจเรมี่ดุด่า

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยกลิ่นแก้วก็หันมาเก็บเตียง เด็กชายชะงักมือที่เอื้อมไปหยิบนิตยสารบนนั้นเมื่อเห็นบางสิ่งที่คุ้นตา ดวงตากลมค่อยเบิกโตก่อนที่จะถลาขึ้นเตียงเจเรมี่แบบลืมกลัว นิ้วสั่น ๆ ค่อยสัมผัสมัน ใบหน้าเรียวเหลียวซ้ายแลขวา คำพูดของเจเรมี่แว่วดังเข้ามาในความคิด

‘อย่าให้รู้นะว่าแกแอบหยิบของในห้องฉันไป’

เปล่า เขาไม่ได้แอบหยิบอะไรทั้งนั้น เขาไม่...

ใจดวงน้อยเต้นระรัวแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพราย เสียงหัวใจเต้นดังจนกลบเสียงรอบข้างไปสิ้น ก่อนที่มือจะคว้าหมับ!

กลิ่นแก้วรีบจ้ำอ้าวเมื่อลงมาจากห้องเจเรมี่ สองแขนกอดอกทั้งก้มหน้างุด

“กลิ่นแก้ว”

“...!!!” คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก เผยพิรุธออกมาเต็มเปา

“จะรีบไปไหน?” พนักงานหญิงในร้านเอ่ยถามไถ่เมื่อเห็นท่าทีเด็กชายดูแปลก ๆ

“ไป... ไปเอาไม้ถูพื้นครับ”

เขาโกหก... ผู้เป็นมารดาเคยสอนไม่ให้โกหก ถ้ามีครั้งแรก มันย่อมมีครั้งต่อไป จากเรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น แต่วันนี้เขากลับโกหกเพื่อเอาตัวรอด หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคือง

เมื่อก้าวพ้นมาแล้วกลิ่นแก้วก็พรูลมหายใจยาวเหยียด หัวใจเขายังเต้นรัวไม่ยอมสงบ เสียงเพลงในร้านเดลลาร์ ดี เริ่มดังขึ้นเมื่อได้เวลาเปิดร้าน ลูกค้าทยอยมาใช้บริการเรื่อย ๆ ขณะที่ยังหัวค่ำอยู่ กลิ่นแก้วหลบฉากเข้ามาในห้องของตน สิ่งที่ซุกซ่อนถูกเอาออกมาวางบนเตียง ก่อนที่จะค้นหาบางสิ่งใต้หัวนอนมาวางเทียบกัน ฟันคมกัดริมฝีปากจนเจ็บ เขาเจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจอ

ภาพของคนคนเดียวกัน แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แม้จะต่างอิริยาบถ ก็ยังดูออกอย่างง่ายดาย หยดน้ำตาร่วงผล็อย เด็กน้อยสะอื้นฮัก คนคนนี้จะเคยรู้บ้างไหมว่าเขาเฝ้ารอ รอ... มานานมากแค่ไหน...


......


“กลิ่นแก้ว! ไอ้เด็กขี้ขโมย!!”

เสียงโหวกเหวกยังดังลั่นเช่นทุกวัน แต่คราวนี้ผสมกับเสียงร้องไห้ของเด็กชายที่คนในร้านเดลลาร์ ดี ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ความสนใจพุ่งเป้าไปยังที่มาของเสียง

“ผมขอโทษ ขอโทษ...”

เสียงสะอื้นดังแทรกเสียงฟาด ของใกล้มือถูกนางมาเรียมคว้ามาฟาดเด็กมันไม่ยั้ง นางโมโหนัก เลี้ยงดูปูเสื่อมาขนาดไหนไม่เคยจะสำนึกบุญคุณ ยังริอาจมาขโมยข้าวของอีก มันน่านัก!

เจเรมี่ยืนกอดอกมองมารดาของตนทำโทษเด็กมันด้วยความเฉยชา นิตยสารที่ค้นเจอในห้องของมันเป็นหลักฐานมัดตัวได้อย่างดี อาจจะใช่ที่ผู้เป็นมารดาลงโทษเด็กนั่นแรงไป เพราะแค่นิตยสาร เขาซื้อใหม่อีกกี่เล่มก็ได้ แต่เขาแค่ไม่ชอบพวกลักขโมย จากของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หยิบติดมือไป อีกหน่อยมันก็เป็นชิ้นใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นตีนแมวตัวยง

“เจเรมี่ ผมขอโทษ...”

เจเรมี่มองเด็กที่น้ำตานองหน้าทั้งสะดุ้งทุกครั้งที่มารดาของตนฟาดด้วยความนิ่งเฉย น้ำเสียงและสีหน้าอ้อนวอนนั้น หากเป็นคนอื่นคงสงสาร แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่ารำคาญจนต้องบอกมารดาให้หยุด

“พอได้แล้ว แม่ เสียงร้องไห้มันดังหนวกหูจะแย่”

นางมาเรียมยังฟาดด้วยความมันมือ ก่อนจะหยุดตามที่ลูกบอก “จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นขโมย เพราะถ้าแกยังทำแบบนี้ สันดานขี้ขโมย คงรู้นะว่าแกจะถูกส่งไปไหน!”

ปลายนิ้วที่ทาเล็บสีสดจิ้มหน้าผากจนกลิ่นแก้วผงะหงาย กายผอมทรุดลงไปบนพื้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อไม้ในมือนางมาเรียมถูกโยนลงพื้นไม่เบานัก พนักงานในร้านเองก็รีบหลบฉากเมื่อนางมาเรียมตวัดสายตามอง ทำให้บริเวณนั้นมีเพียงกลิ่นแก้วและเจเรมี่เท่านั้น

“ฉันบอกแกแล้ว”

เสียงเจเรมี่ดังมาเข้าหู กลิ่นแก้วยังไม่ขยับไปไหน ทรุดนั่งสะอื้นฮัก หางตาเหลือบเห็นรูปใบหนึ่งที่ปลิวลงมาตรงหน้า เขารีบคว้ามากอด น้ำตาไหลพรากทั้งกัดปากสะอื้น

“หวังลม ๆ แล้ง ๆ จริง ๆ ”

น้ำเสียงดูแคลนยังดังมากระทบใจให้เจ็บ เจเรมี่จะพูดอะไรก็ได้ คนไม่เคยขาด ไม่มีทางรู้ว่าความหวัง... คือสิ่งเดียวที่ทำให้คนขาดอย่างกลิ่นแก้วอยู่มาได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เจเรมี่จึงได้ผละไปเพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อ ขณะที่กลิ่นแก้วยังอยู่จุดเดิม นิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะขยับลุกไปทำแผลด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย

บาดแผลบนเนื้อตัวยังไม่เจ็บเท่าแผลในใจ กลิ่นแก้วทายาบนรอยช้ำ บางแห่งก็ปริแตกทำให้ต้องสูดปากเบา ๆ น้ำตาเขาไหล ไม่รู้ว่าจากบาดแผลหรือความทดท้อที่มี

ตั้งแต่มารดาจากไปไม่มีวันกลับ สิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่มีคือคนในรูปถ่าย คนที่เขาคาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบเจอ คาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะมาพาเขาออกไปจากที่นี่ แต่คนโง่เง่าอย่างเขากลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน จะไปตามหาได้อย่างไร จะมีวันที่ได้เจอไหม เขาไม่รู้อะไรเลย แต่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขายังอยู่ ยัง... หายใจอยู่


......


ตึกสูงย่านธุรกิจในลอนดอน ชายหนุ่มภายใต้สูทสีเข้มก้าวออกจากตัวลิฟท์มายังห้องประธานบริหารของเวสส์ เลขานุการด้านหน้านั้นขยับลุก แต่ยังช้ากว่าเขาที่เคาะประตูห้องเป็นการขออนุญาตแล้วเปิดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยเหลือบขึ้นมองเมื่อเขาก้าวมาหยุดตรงหน้า ซองเอกสารในมือถูกวางลงบนโต๊ะ ขณะเอ่ยรายงานในสิ่งที่ได้รับมอบหมายแก่ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

“เด็กคนนั้นอยู่ที่เดลลาร์ ดี ครับ”

“ที่ไหนนะ?” หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อย้อนถาม

“เดลลาร์ ดี ร้านอาหารแถบชานเมืองที่มีทั้งเหล้าและเนื้อสดไว้บริการ” อีกฝ่ายขยายความ

สีหน้าคนฟังครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้รับรู้ เด็กผู้ชายที่อายุไม่น่าจะเกิน 9 ขวบ จับพลัดจับผลูอย่างไรจึงไปอยู่ในที่แบบนั้นได้ ไหนข้อมูลก่อนหน้าบอกว่ามีเศรษฐินีจากไบบิวรี่มารับไปเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อหลายปีก่อน เลยพลาดที่จะได้เจอตัวเมื่อครั้งที่สตีเฟ่นส่งคนตามไปถึงสถานสงเคราะห์ คราวนี้กลับกลายเป็นว่าเด็กที่ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีจากการดูแลของเศรษฐินีนางนั้น กลับได้อยู่ในร้านขายบริการทางเพศ นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เศรษฐินีคนที่ว่า เปิดร้านแบบนี้น่ะเหรอ?”

“ไม่ใช่ครับ ร้านของน้องชาย ตอนนี้แคทเธอรีนเสียชีวิตไปแล้ว เด็กคนนั้นเลยเข้าไปอยู่ในการดูแลของนายเจคและนางมาเรียม เดลลาร์ ข้อมูลที่ได้จากคนใกล้ชิดแคทเธอรีนบอกว่าหลังจากที่หล่อนเสียก็เกิดกรณีแย่งตัวเด็ก เพราะเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมด ทำให้ต่างก็พากันอยากให้มาอยู่ในความดูแล แต่สุดท้ายแล้วเด็กคนนั้นก็เลือกที่จะไปอยู่กับนายเจคที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างครับ”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจ หากเวลานี้เด็กคนนั้นยังอยู่กับนางแคทเธอรีน คงง่ายกว่าหากจะเจรจาอะไรกัน แต่เมื่อไปอยู่กับคนอื่นซึ่งต้องการผลประโยชน์จากตัวเด็ก มันอาจจะยากสักหน่อย แต่ที่เขากำลังกังวลคือสถานที่อยู่ การอยู่ในสถานบริการแบบนั้น ไม่ใช่ว่าสองผัวเมียนั่นให้รับแขกด้วยหรอกนะ


....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 20-09-2018 19:49:58
ขณะเดียวกัน ณ บ้านหลังใหญ่ไม่ไกลจากตัวเมือง กลิ่นแก้วกอดกระเป๋าที่นำติดตัวมาแน่น ดวงตาคู่โตมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น เขาถูกนางมาเรียมส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าของบ้านอยากอุปการะเลี้ยงดู เขาไม่ได้อยากมา แม้นางมาเรียมกับนายเจคจะไม่ได้ดูแลเขาดีสักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักสองคนนั้น รวมทั้งเจเรมี่ด้วย แต่ที่นี่เขาไม่รู้จักใครเลย ไม่แม้แต่คนที่บอกว่าอยากอุปการะเลี้ยงดู

‘มิสเตอร์พาร์เลอร์เขาถูกชะตากับแก เขาเลยมาขอฉัน เขาอยากเลี้ยงดูแก อยากให้แกไปอยู่กับเขา’

นางมาเรียมว่าอย่างนั้น แต่กลิ่นแก้วไม่รู้จักมิสเตอร์พาร์เลอร์ด้วยซ้ำ นอกจากพนักงานในร้าน กลิ่นแก้วก็ไม่เคยได้พบเจอใครที่ไหน เมื่อร้านเปิดก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องใต้บันไดตลอด แล้วมิสเตอร์พาร์เลอร์จะถูกชะตากับเขาตอนไหนกัน?

‘ต่อไปนี้แกจะได้อยู่ดีกินดีไม่ต่างจากตอนอยู่กับแคทเธอรีน อยากได้อะไรแกก็แค่ทำตัวดี ๆ เชื่อฟังเขา แล้วทุกอย่างก็จะเป็นของแก’ เสียงนางมาเรียมยังแว่วดังขึ้นมาในหัว ‘เห็นไหม ฉันดีกับแกใช่ไหมล่ะ กลิ่นแก้ว ถึงแกจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ฉันบ่อย ๆ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเป็นใยแก ส่งแกไปอยู่กับคนดี ๆ เพราะฉะนั้น ไปอยู่ที่นั่นก็อย่าสร้างปัญหาให้เดือดร้อนมาถึงฉัน ถ้าแกยังพอสำนึกในบุญคุณฉันอยู่บ้าง เข้าใจไหม?’

‘แต่… ผมไม่ได้อยากไป ให้ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ ผมจะไม่เป็นตัวปัญหา อย่าส่งผมไปอยู่ที่อื่นเลยนะครับ คุณนายเดลลาร์ ได้โปรด...’

‘จุ๊ ๆ ๆ กลิ่นแก้ว’ ปลายนิ้วแตะริมฝีปากเด็กน้อยที่พร่ำวอนขอ ‘ฉันไม่ได้จะไล่แกไปไหน ถ้าแกไปอยู่ที่นู่นแล้วไม่ทำตัวมีปัญหา ถ้ามิสเตอร์พาร์เลอร์เขาพอใจ แกจะไปไหนมาไหนก็ได้ จะกลับมาที่นี่ก็ย่อมได้ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย’

‘………’

‘เพราะฉะนั้น เป็นเด็กดีนะกลิ่นแก้ว แล้วแกจะได้ทุกอย่างที่แกต้องการ’


ทุกอย่างที่ต้องการงั้นหรือ... สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอย่างเดียว แค่เพียงอย่างเดียว..

ขาเล็กก้าวตามคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์เข้าไปด้านในพร้อมใจหวาดหวั่น เพียงแค่โถงใหญ่ก็ทำให้เขาแทบอยากหยุดก้าวเดิน ผู้ที่เขากำลังจะไปพบเป็นคนแบบไหนกัน จะใจดีไหม หรือจะร้ายยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเจอมา ยิ่งคิดยิ่งทำให้ก้าวเดินช้าลง

ห้องนอนทางปีกซ้ายของบ้านถูกเปิดออก กลิ่นแก้วเดินตัวลีบเข้าไปแล้วหยุดอยู่กลางห้อง มองรอบกายงง ๆ ก่อนหันกลับมาหาคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เสร็จแล้วฉันจะพาไปพบมิสเตอร์พาร์เลอร์ เขาไม่ชอบเด็กมอมแมม”

“...ครับ” กลิ่นแก้วพยักหน้ารับ

“รออยู่ในนี้ เดี๋ยวสาวใช้จะขึ้นมาจัดการเรื่องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”

ว่าจบแล้วคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์ก็ออกจากห้องไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วยืนงง เมื่อครู่นี้พูดว่าสาวใช้จะมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาหรือ?

เด็กน้อยค่อยเดินไปนั่งลงตรงปลายเตียงก่อนวางกระเป๋าใบเก่าลงข้างกาย ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องใต้บันไดที่เขานอนหลายเท่า มันเลยดูเวิ้งว้างจนทำตัวไม่ถูก เสียงเคาะประตูทำให้ต้องดีดตัวลุก คว้ากระเป๋าบนเตียงมากอดไว้ขณะมองบานประตูค่อยเปิดออก

สาวใช้ในบ้านพาร์เลอร์เข้าไปตระเตรียมน้ำอุ่น ก่อนจะออกมาพาเขาเข้าไปอาบ กลิ่นแก้วไม่เคยต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าคนอื่นนอกจากมารดาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กกว่านี้ เวลานี้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่กลับต้องให้คนอื่นทำให้ มันยิ่งกว่าเก้อกระดาก

“จริง ๆ แล้วผมอาบเองก็ได้นะครับ” เอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความเกรงใจ มือไม้ที่ยุบยับบนเนื้อตัวทำให้รู้สึกแปลก ๆ

“มันเป็นคำสั่ง อย่าทำอะไรให้ต้องยุ่งยากนัก”

น้ำเสียงเข้ม ๆ นั่นทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป ไม่ขัดอะไรอีกเมื่อพวกหล่อนเข้ามาช่วยขัดเนื้อขัดตัวให้ ก่อนพาออกไปแต่งตัวราวตุ๊กตาก็ไม่ปาน เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจึงยกโขยงออกจากห้องไป

หลังบานประตูปิดลง ภายในห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง กลิ่นแก้วค่อยเดินไปหยิบกระเป๋ามากอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เวลานี้ได้แต่คิดถึงมารดา หากท่านยังอยู่ เขาคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ นางมาเรียมกับนายเจคไม่ได้ดีกับเขาอย่างที่คิด สองคนนั้นแค่แกล้งทำเป็นดีเพื่อให้เขาเลือกมาอยู่ด้วย อันที่จริงไม่มีใครที่หวังดีกับเขาเลยต่างหาก ไม่ว่าจะไปอยู่กับใครก็คงไม่ต่างกัน

สักพักคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์ก็เข้ามาพาเขาไปพบผู้เป็นนายของตน ภายในห้องที่กึ่ง ๆ จะเป็นห้องทำงานส่วนตัว ผู้ที่กำลังยืนทอดสายตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างพร้อมจิบชายามบ่ายไปพลางค่อยหันกลับมาเมื่อเขาไปถึง รูปร่างดูสูงใหญ่เช่นชาวตะวันตกทั่วไป เส้นผมที่เริ่มแซมสีดอกเลาผ่านการดูแลตัดเจียนได้รูป ร่องรอยบนใบหน้าบ่งบอกความอาวุโส รอยยิ้มที่ส่งมาราวเอื้ออารี แต่แววบางอย่างในดวงตาคู่นั้นกลับทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกขนลุกพิกล

“พามาแล้วครับ นาย” ผู้เป็นลูกน้องเอ่ยบอก ก่อนเลี่ยงออกไปจากห้องอย่างรู้งาน

กลิ่นแก้วเกร็งตัวเมื่อกายสูงใหญ่นั้นก้าวมาหา มือที่เอื้อมมาจับทำให้เกือบจะสะบัดออก แต่หยุดตัวเองเอาไว้ได้ทันเมื่อเสียงนางมาเรียมแว่วเข้ามาในหู อย่าก่อเรื่อง อย่าทำให้นางเดือดร้อน

เจ้าของมือชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อท่าทีต่อต้านนั้นคลายลง ริมฝีปากหนาจึงค่อยเปิดยิ้ม รั้งให้เด็กน้อยเดินตามไปยังโซฟานุ่ม ก่อนนั่งลงข้างกันแล้วเริ่มพูดคุยถามไถ่

“คุณนายเดลลาร์คงบอกหนูแล้วใช่ไหมว่าให้มาที่นี่ทำไม?”

กลิ่นแก้วพยักหน้า “ครับ”

ริมฝีปากของผู้อาวุโสกว่ายังแย้มยิ้มขณะที่ปลายนิ้วเริ่มไล้ข้างแก้มนิ่ม เด็กน้อยนั่งตัวเกร็งเมื่อเขาทัดผมให้ “ไม่ต้องกังวล ทำตัวตามสบาย”

“......” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่กลิ่นแก้วก็ทำไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้จนแทบเบียดชิด ปลายนิ้วยังไล้เลยมาหลังใบหู ระเรื่อยลงมาตามลำคอจนขนกายเด็กน้อยแข่งกันลุกตั้ง

“หนูเป็นเด็กน่ารักนะ ตัวเล็ก ๆ หน้าตาซื่อ ๆ ดูตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลาเหมือนลูกกวางตัวน้อย ๆ ที่กำลังจะถูกขย้ำ”

น้ำเสียงที่มิสเตอร์พาร์เลอร์ใช้มันดูแปลกไปหมด กลิ่นแก้วกำมือที่วางอยู่บนตักตัวเองแน่น เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อสัมผัสประหลาดนั้นยังไล้เรื่อยอยู่แถวลำคอ

เห็นอาการลูกกวางน้อยเช่นนั้นแล้วหมาป่าเฒ่าที่ใจเร็วอยากลองลิ้มรสเนื้อกวางก็จำต้องข่มใจ ค่อยขยับมานั่งปรกติแล้วลูบหัวราวเอ็นดู

“เพราะแบบนั้นฉันเลยรู้สึกถูกชะตา ฉันอยู่คนเดียวมาตลอด ถ้าได้หนูมาอยู่ด้วย ฉันคงไม่เหงา”

ดวงตากลมก้มมองแต่มือตัวเอง จนเมื่อมือใหญ่นั้นเลื่อนมากุม กลิ่นแก้วก็สะดุ้งอีกหน ค่อยช้อนสายตามองคนจับด้วยความหวาดหวั่น

“ขอบใจหนูมากนะ ที่มาอยู่ด้วยกัน”

หลังจากลูกกวางน้อยออกจากห้องไป รอยยิ้มอารีกลับเปลี่ยนเป็นมากเล่ห์ สูดดมกลิ่นหอมที่ติดมือมาราวกระหายอยาก ในที่สุดเขาก็ได้มาไว้ในครอบครองหลังจากหมายตามานาน

มันเป็นความบังเอิญที่เขาได้เจอเด็กคนนี้ ใบหน้าที่แตกต่างจากเด็กฝั่งตะวันตกหรือแม้แต่ลูกครึ่งเอเชียทั่วไปทำให้สะดุดตา ยิ่งตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ยิ่งส่งให้ดูน่าขย้ำ เขาชอบเลี้ยงดูเด็กเล็กไว้สนองความใคร่ เพราะความเหนือกว่าในทุก ๆ ด้านทำให้เขาพึงใจ เด็กด้อยเดียงสาไร้กำลังต่อต้าน เขาชอบแบบนั้น

นางมาเรียมรู้รสนิยมด้านนี้ของเขาดี แต่ก็ยังยอมส่งเด็กคนนี้มา แสดงว่านางก็เหี้ยมไม่แพ้กัน ตอนแรกนึกว่าจะยากหากเอ่ยปากว่าอยากได้ เพราะเด็กน้อยนั่นอยู่ในความดูแลของนางและสามี แต่กลับง่ายกว่าที่คิดเพราะเด็กไม่เป็นที่ต้องการมาตั้งแต่แรก

ตกค่ำ กลิ่นแก้วที่ได้รับการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนโดยสาวใช้เรียบร้อยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง มิสเตอร์พาร์เลอร์ดูแลเขาเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารการกิน ความเอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน แต่เพราะไม่คุ้นกับอะไรแบบนี้เลยทำให้รู้สึกแปลกไปหมด แถมมาอยู่ต่างถิ่นต่างที่ยิ่งทำให้กังวลจนนอนไม่หลับ

เด็กน้อยซุกกายใต้ผ้าห่ม อากาศในห้องค่อนข้างเย็นสำหรับเขา เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่เขาเองก็พยายามข่มตาให้หลับ แต่แล้วก็กลับต้องเกร็งตัวขึ้นมา เมื่อภายใต้ความมืดนั้นมีบางสิ่งกำลังคืบคลานมาชิดใกล้

เตียงนอนที่ยุบยวบจากน้ำหนักของอะไรบางอย่างทำให้กลิ่นแก้วนอนเกร็ง ผ้าห่มที่ค่อยร่นลงไปถึงช่วงเอวทำให้ต้องหลับตาแน่นทั้งลมหายใจติดขัด ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามามองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

เสียงลมหายใจที่ดังกระเส่าอยู่ใกล้หูส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำ ความอุ่นร้อนที่รินรดหลังคอพาให้ขนกายแข่งกันลุกเกรียว ความสากระคายจากอุ้งมือใหญ่ที่ค่อยลูบไล้มาตามเรียวขาทำให้เด็กน้อยเผลอกลั้นลมหายใจ

กลัว... เขากลัว... ช่วยด้วย...!



รถยนต์คันหรูแล่นออกจากบริษัทเวสส์เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน หลังจากได้ข้อมูลเรื่องเด็กที่ตนตามหา เอวาน เวสส์ก็มีคำสั่งให้คนไปสังเกตการแถวร้านเดลลาร์ ดี แต่ยังไม่เห็นถึงสิ่งผิดปรกติใด หรือแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไหนสักคน มีเพียงพนักงานร้านที่เดินเข้าออกด้านหลัง เมื่อยังไม่ถึงเวลาร้านเปิด

เอวานจึงได้ตัดสินใจที่จะไปที่นั่นเอง แม้บอดีการ์ดอย่างทอมัสจะเสนอความเห็นว่าไปพรุ่งนี้จะดีกว่าไหม แต่ผู้เป็นนายกลับอยากไปในช่วงเวลาที่ร้านเปิด อยากรู้ว่าร้านเดลลาร์ ดีที่ว่ามันเป็นประมาณไหน จะได้ไปดูด้วยว่าเด็กถูกลิดรอนสิทธิไหม หลังออกจากเวสส์มาจึงตรงไปเดลลาร์ ดี เขาไม่อยากปล่อยเวลาให้นานไป เพราะถ้านับกันตั้งแต่แคทเธอรีน เดลลาร์เสียชีวิต นี่ก็หลายเดือนแล้ว ความเป็นอยู่ของเด็กในสถานที่แบบนั้นมันน่าเป็นห่วงจนเกินจะปล่อยให้นานไปกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ หากเจอตัวเด็ก เขาอาจแหกกฎของตัวเองพากลับมาโดยไม่สนความถูกต้องเลยก็ได้

แต่ระหว่างที่รถกำลังมุ่งตรงสู่เป้าหมายก็พลันต้องหักหลบและแตะเบรกกะทันหัน เมื่อเข้าเขตชุมชนแล้วเลี้ยวตรงหัวมุมถนน มีบางอย่างพุ่งออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย บอดีการ์ดทั้งสองนายหันมาสบตากันเมื่อรถหยุดลง ก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ฝั่งคนขับลงไปดู ขณะที่อีกคนคอยคุ้มกันนายบนรถ

บอดีการ์ดหนุ่มผู้ควบหน้าที่คนขับก้าวลงไปจากรถ มือข้างหนึ่งปิดประตู ขณะที่อีกข้างแตะอาวุธใต้สูท แสงไฟจากมุมถนนพอส่องให้เห็นว่าสิ่งที่พุ่งออกมาตัดหน้ารถคืออะไร เมื่อมันยังกองอยู่จุดเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

หัวคิ้วเขาขมวดเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคือเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตามองมาที่เขา ไม่รู้ว่าที่ล้มลงไปนั้นเจ็บตรงไหนมากหรือไม่ หรือเขาจะหักหลบไม่ทันเสียก็ไม่รู้

ก่อนจะทันได้ก้าวเข้าไปถึงตัวเด็ก บอดีการ์ดหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเสียงโหวกเหวกดังมาจากอีกฝั่ง ร่างน้อยบนพื้นนั่นจะขยับลุกแต่กลับล้มลงไปเมื่อขาไม่สามารถทรงตัวได้อยู่ พยายามถัดกายมาหาทั้งสายตาวิงวอน เขาจึงก้าวเข้าไป เป็นขณะเดียวกันกับที่แขนเล็กนั่นถูกคว้าดึง

“อยู่นี่เอง มานี่!”

ชายตัวใหญ่กระชากแขนเด็กบนพื้นให้ลุกขึ้นโดยไม่อนาทรเลยว่าเด็กมันจะเจ็บ บอดีการ์ดหนุ่มมองการกระทำเหล่านั้นพลางคิด เหตุใดต้องทำอะไรรุนแรงแบบนั้นกับเด็กมันด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เขาก็คงไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เด็กตัวเล็ก ๆ ถูกรังแกต่อหน้าต่อตาได้

ขณะที่จะก้าวเข้าไป ช่วงขายาวก็ต้องชะงักเมื่อเงาร่างของใครอีกคนเดินผ่าน หันไปสบสายตากับหนุ่มผมบลอนที่เดินตามใครคนนั้นมา แล้วจึงก้าวตามไปคุ้มกันผู้เป็นนายที่ลงมาจัดการปัญหาด้วยตัวเอง

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องทำรุนแรงกันขนาดนี้?”

เอวานเอ่ยถามเสียงนิ่ง มองคนที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นอย่างต้องการคำตอบ ซึ่งฝ่ายนั้นก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจ

“เด็กนี่เป็นหัวขโมย เราแค่จะส่งมันให้ตำรวจ แต่มันหนีมา เลยต้องมาตามจับแบบนี้” ฝ่ายนั้นตอบพร้อมเตือน “มันไม่ใช่เรื่องของพวกคุณ อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”

ฟังคำตอบแล้วเอวานก็เหลือบมองเด็กชายที่ยืนสะอื้นฮัก แขนเล็ก ๆ นั้นยังถูกจับแน่น

“เด็กตัวแค่นี้น่ะเหรอ?”

สายตาฝ่ายตรงข้ามดูไม่พอใจที่มีคนเข้ามายุ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงสะบัดให้รู้ว่าไม่พอใจกับการก้าวก่ายของคนแปลกหน้า

“จะตัวแค่ไหน ขโมยก็คือขโมยอยู่วันยันค่ำ”

เอวานไม่ได้สนใจคำตอบไปมากกว่าเด็กตรงหน้า ยื่นมือออกไปหาเจ้าตัวน้อย มองสบตากลมที่มีแววหวาดกลัว เพียงครู่ มือเล็ก ๆ นั่นก็เอื้อมมาจับมือเขาไว้ แววตาคู่นั้นกำลังวอนขอให้เขาช่วยเหลือ ขณะผู้ที่จับตัวเด็กไว้พากันตกใจ ต่างหันมองหน้ากัน ก่อนมองหัวหน้าพวกตนว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้

“ถ้าจะแค่ส่งให้ตำรวจ ฉันช่วยได้” เอ่ยบอกพลางหันไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยแววตานิ่งเฉย ขณะเรียกบอดีการ์ด “ทอมัส”

“ครับ”

“โทรแจ้งตำรวจท้องที่ให้พวกเขาหน่อย”

ฝ่ายตรงข้ามเริ่มมองหน้ากันไปมาอีกหน ถ้าตำรวจมา ต้องเดือดร้อนถึงนายพวกมันแน่

“ด... เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน”

“ทำไม?” เอวานปรายมองคนทักท้วง

“เปล่า ถ้า... ถ้าพวกคุณอยากได้ตัวมันนักก็เอาไป”

“ไม่ส่งให้ตำรวจแล้วเหรอ?” ทอมัสย้อนถามแทนนายตน “ถ้าเขาผิดจริงก็รออีกนิด เดี๋ยวตำรวจก็มาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

“งั้นพวกเราจะพามันไปเอง ไม่กวนพวกคุณดีกว่า”

“พูดกลับไปกลับมาแบบนี้หมายความว่าไงวะ อ้อ หรืออันที่จริงพวกนายเป็นพวกค้ามนุษย์ แล้วเด็กนี่...” ทอมัสทอดเสียงในตอนท้าย

“อย่ามากล่าวหากันนะเว้ย ปล่อยเด็กมาได้แล้ว”

“พวกนายต่างหากที่ต้องปล่อย”

ปืนสองกระบอกเล็งมาตรงหน้า คนที่กำลังจะยื้อเด็กออกจากมือเอวานชะงักกึก ถึงพวกมันจะมีสามคนเท่ากับฝั่งนั้น แต่ไม่ได้พกอาวุธสักคน กำปั้นหรือจะสู้ไกปืน

“ว่ายังไง?” ทอมัสยิ้มยียวน แต่ภายใต้ความยียวนกลับพร้อมที่จะลั่นไกทุกเมื่อหากนายสั่ง

“เฮ้ย ปล่อยมันไป” สุดท้ายอีกฝ่ายก็ต้องยอมปล่อยอย่างจำใจ เมื่อไม่กล้าพอที่จะเสี่ยง มันไม่คุ้มกันสักนิด

เพียงแขนอีกข้างถูกปล่อยเป็นอิสระ ตัวผอม ๆ นั้นก็ถลาเข้ามาเกาะขาเอวานไว้ คนกลุ่มนั้นล่าถอยไปพร้อมสีหน้าเป็นกังวล จะรายงานนายของพวกตนว่าอย่างไร ได้แต่หวังว่านายจะเข้าใจว่าพวกตนไม่อยากให้ต้องมาเดือดร้อนเพราะเด็กเพียงคนเดียว

เอวานมองเด็กที่เกาะขาตนแน่น มือค่อยเลื่อนมาแตะไหล่เล็ก ทำให้ตากลมคู่นั้นเงยมองเขา ก่อนจะหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อทอมัสเข้ามาอุ้ม แขนเล็กผวากอดคอ มองคนอุ้มหน้าตาตื่น

เอวานเดินกลับไปที่รถโดยมีแมกซ์เวลเดินเยื้องอยู่ด้านข้าง ตามด้วยทอมัสที่อุ้มเด็กตามมา เมื่อจัดการวางเด็กลงบนเบาะหลังข้างผู้เป็นนาย ทอมัสจึงขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ เมื่อแมกซ์เวลขึ้นมานั่งข้างกันแล้วจึงสตาร์ทแล้วออกรถ

รถเคลื่อนตัวออกไปจากจุดนั้นท่ามกลางความแตกตื่นของเด็กน้อยเพียงคนเดียวในที่นี้ เหมือนว่าเจ้าตัวจะเพิ่งนึกได้ว่าขึ้นรถมากับคนแปลกหน้า ตัวเล็ก ๆ นั่นจึงได้ขยับไปนั่งชิดประตูราวระวังภัย เมื่อมือของชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ข้างกันเอื้อมมาหา เด็กน้อยก็ผงะถอยทั้งที่ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว ดวงตาคู่โตมองเจ้าของมือด้วยความหวาดระแวง

“แค่จะดูแผล”

เอวานบอกความประสงค์ แต่ตาคู่นั้นยังมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“เมื่อกี้ชนรึเปล่า?”

“......” คนถูกถามยังคงเงียบ มองเขาอยู่เป็นนานราวคิดอะไรอยู่ก่อนส่ายหน้า

“นอกจากแผลถลอกพวกนี้แล้วเจ็บตรงไหนอีกไหม?”

“เหมือนว่าข้อเท้าจะพลิกครับ” เสียงทอมัสตอบกลับมาแทน

เอวานหลุบสายตามองตามคำบอกเล่า ก่อนเอ่ยเรียกผู้ที่นั่งข้างคนขับ “แมกซ์เวล”

“ครับ?”

“มีคลินิกใกล้ ๆ แถวนี้ไหม?” หากพาไปโรงพยาบาลอาจต้องรอนานกว่าจะได้รับการรักษา เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น

“ถัดจากนี้ไปสักยี่สิบเมตรได้ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบจึงสั่งผู้ที่นั่งประจำที่คนขับ “แวะคลินิกด้วย ทอมัส”

“ครับ”

“จริงสิ” หันกลับมาทางเด็กที่ยังนั่งเบียดราวจะสิงประตูรถ “บ้านอยู่แถวไหน ทำแผลเสร็จแล้วจะพาไปส่ง”

“......” ตาโต ๆ คู่นั้นได้แต่มองหน้าเขา แววกังวลปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“คงไม่ได้เป็นหัวขโมยแบบที่พวกนั้นบอกหรอกนะ?”

“ผมไม่ใช่ขโมย ไม่ได้ขโมยอะไรเขามา” ปฏิเสธทั้งสั่นหัวคอแทบหลุด

“แล้วทำไมเขาถึงไล่ตามมาแบบนั้น?”

“......” ไร้ซึ่งคำตอบ ริมฝีปากเด็กน้อยเม้มเข้าหากันแน่น หยดน้ำตาร่วงผล็อยลงมาอีก

“ตอบไม่ได้ แสดงว่าโกหก”

“เปล่าโกหก ผมไม่ได้ขโมย” รีบปฏิเสธทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เหตุผลที่ออกจากบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ แล้วโดนไล่ตามล่ะ?” เมื่อเขาถามจี้ เด็กข้างกายก็เล่นลูกเงียบอีกรอบจึงต้องกระตุ้น “หรือฉันควรส่งให้ตำรวจแบบที่พวกนั้นบอกดี?”

พอพูดไปแบบนั้นเจ้าหนูน้อยก็ร้องหนักเลยทีนี้ เอวานถอนหายใจเบา เขาเคยแต่รับมือกับพวกมีเล่ห์เหลี่ยมและพิษสงรอบตัว แต่นี่เด็กไร้เดียงสา หรือเขาควรสวมบทโหดดูสักที

“ถ้าไม่พูดความจริง ฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ การลักขโมยเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยังไงเรื่องก็ต้องถึงตำรวจ รู้ใช่ไหม?”

ไม่ได้อยากรังแกเด็ก แต่ถ้าไม่ขู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าช่วยคนที่ควรช่วยมาไหม ถ้าทำผิดจริง เขาก็ขอรู้เหตุผลที่จะไม่ส่งตำรวจ ถ้าตัวแค่นี้ริอ่านเป็นขโมย ก็ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร

“... หนีออกมา”

“หืม?” เอวานทำเสียงในลำคอเมื่อได้ยินเสียงเบา ๆ นั่นตอบมาแบบไม่เป็นประโยค

“ที่พวกเขาตาม... เพราะผมหนีออกมาจากบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์” เด็กน้อยเล่าทั้งน้ำตายังไหลพราก “ผมกลัว... เขาน่ากลัว...”
คำบอกเล่าทำให้เอวานนิ่งคิด มิสเตอร์พาร์เลอร์อะไรนั่นทำอะไรเด็กคนนี้?

“แล้วเข้าไปทำอะไรที่นั่น?” เขายังถามต่อ

“คุณนายเด...”

พูดเพียงเท่านั้นเด็กมันก็เงียบไปเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ คิ้วเอวานขมวดเมื่อเด็กไม่ยอมเล่าต่อ คุณนายเดคืออะไร?

“ผมไม่ได้เป็นขโมยจริง ๆ นะ อย่าส่งผมให้ตำรวจเลย ผมขอร้อง จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าส่งผมให้ตำรวจเลย”

ดูท่าแล้วเด็กคนนี้คงไม่ยอมบอกเรื่องที่เข้าไปทำอะไรในบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์นั่นเป็นแน่ สิ่งที่เด็กกำลังกังวลคือตำรวจ เมื่อไม่ได้ทำความผิดทำไมต้องกลัวตำรวจ แต่ก็ไม่แน่หรอก เด็กวัยนี้อาจถูกสอนมาให้กลัวก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ดูเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่าจะเป็นฝ่ายกระทำอะไรใครที่ไหนได้

“ฉันจะไม่ส่งให้ตำรวจ” เอวานว่าอย่างนั้น “ไปหาหมอเสร็จแล้วฉันจะพากลับบ้าน พ่อแม่หนูคงเป็นห่วง ใช่ไหม?”

“......” เป็นอีกครั้งที่เด็กเงียบไป

นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยหรี่ลงอย่างจับสังเกตเมื่อเอ่ยถาม

“จำได้ใช่ไหมว่าบ้านอยู่แถวไหน?”

ดวงตากลมค่อยเฉหลบ นั่งปาดน้ำตาเงียบ ๆ ไม่ตอบอะไรกลับมาจนกระทั่งถึงคลินิก



เดลลาร์ ดี

โทรศัพท์จากนายพาร์เลอร์ทำให้นายเจครู้ว่านางมาเรียมส่งกลิ่นแก้วไปบริการตาเฒ่านั่นถึงที่ เขาออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาก็ไม่ได้สนใจว่าเด็กมันไม่อยู่ เพราะช่วงเวลาร้านเปิด กลิ่นแก้วต้องอยู่แต่ในห้องเป็นปรกติ ไม่นึกว่าผู้เป็นภรรยาจะทำเรื่องแบบนั้นลงไป กระทั่งตาเฒ่าพาร์เลอร์โทรมาโวยที่กลิ่นแก้วหนีออกมาจากบ้าน

“คุณก็รู้ว่าตาเฒ่านั่นมันโรคจิต ยังจะส่งเด็กมันไปอีก” นายเจคต่อว่าภรรยาที่เวลานี้มีสีหน้าเคร่งเครียด

“ก็ตาเฒ่านั่นอยากได้มันจนตัวสั่น ถ้ามันจะทำประโยชน์ให้เราได้บ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ?” นางตอกกลับอย่างไม่เห็นว่ามันคือความผิด

“คุณก็รู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นลูกของพี่สาวผม”

“ก็แค่ลูกบุญธรรม คุณจะเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม?” นางมาเรียมย้อน

“คุณก็รู้ว่ากลิ่นแก้วมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร!” เสียงนายเจคเริ่มดังเมื่อภรรยาไม่อินังขังขอบ

“แล้วยังไง มันเป็นบุญเป็นคุณมากเลยใช่ไหม แตะต้องไม่ได้เลยใช่ไหม?” เมื่อสามีเสียงดังใส่ อารมณ์นางมาเรียมก็ขึ้นบ้าง หลายทีแล้วที่สามีนางเข้าข้างเด็กนั่น “คุณจะเก็บมันไว้บูชาหรือไง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่เป็นแหล่งสมบัติให้เราเท่านั้นแหละ แล้วตอนนี้เราก็ถ่ายโอนอะไรมาได้ตั้งหลายอย่างแล้ว ถ้าการที่ฉันส่งมันไปทำงาน ทำให้คุณห่วงมันนักหนาก็ไปพามันกลับมาเลยไป ไปตามหามันเลย ถ้าเจอแล้วก็คุยกับตาเฒ่าพาร์เลอร์เอาเองแล้วกันว่าคุณจะเอามันคืน!”

“ทำไมคุณถึงใจไม้ไส้ระกำขนาดนี้ มาเรียม เด็กมันตัวนิดเดียว จะจงเกลียดจงชังอะไรมันนักหนา!?”

“คุณก็ว่าแต่ฉัน ทั้งที่ตัวคุณเองก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก ทำตัวเป็นคนดีมีเมตตา สุดท้ายก็ใช้ประโยชน์จากมันเหมือนกัน ถ้ามันไม่มีสมบัติพัสถาน คุณจะรับมันมาเลี้ยงดูรึไง อย่าพูดให้ขำนักเลย!”

สองสามีภรรยาสาดคำพูดใส่กัน ความโกรธาคุกรุ่นเมื่อทุกคำพูดมันจี้ใจดำของทั้งคู่ ใช่ พวกเขาก็ไม่ต่างกันหรอก หวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อนึกไปถึงว่าการให้เด็กตัวแค่นั้นไปเป็นที่รองรับอารมณ์ตาเฒ่าหื่นกามมันก็มากเกินไป ถึงอย่างไรก็ลูกบุญธรรมของพี่สาว แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเด็กมันนักก็ตาม

นายเจคพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง ตอนนี้กลิ่นแก้วอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาอาจจะต้องไปวนรถหาตามถนนแถวบ้านตาเฒ่าพาร์เลอร์ คิดได้ดังนั้นจึงตรงไปหลังร้านซึ่งเป็นทางเข้าออกของพนักงาน และด้านนอกก็เป็นที่จอดรถส่วนตัว แต่เพียงประตูเปิดออกก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นแก้วยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนั่น พอเห็นหน้าเขา น้ำตาเด็กน้อยก็ไหลอาบแก้ม

“แก้ว...”


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 20-09-2018 19:51:09
ภายในรถที่จอดเยื้องร้านเดลลาร์ ดี ไปอีกฝั่ง เอวานยังคงนั่งรอเวลาด้วยความสงบ หลังจากปล่อยให้เด็กคนนั้นกลับเข้าร้านแล้วหายเงียบไป แต่เขาก็ยังนั่งรอโดยไม่สั่งอะไร ทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายต้องรอตามไปด้วย

“นายว่าเด็กคนนั้นคือคนที่เรากำลังตามหาเหรอครับ?” ทอมัสเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้นมา

ปรกติแล้วบอดีการ์ดมีหน้าที่คุ้มกันและรอรับคำสั่ง แต่กับเอวาน เขาอนุญาตให้แสดงความเห็น ขอแค่อยู่ในกรอบที่ควรกระทำเท่านั้น ไม่ได้เคร่งกับกฎเกณฑ์อะไรมากมายนัก

แมกซ์เวลชำเลืองมองเพื่อนบอดีการ์ด ก่อนเบือนสายตาไปที่กระจกเพื่อมองผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“ร้านนี้ยังมีเด็กคนอื่นอยู่อีกเหรอ?”

คำถามจากผู้เป็นนายทำให้คนถามเงียบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ คนที่รู้คือคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างเขานี่ต่างหาก เพราะเป็นผู้ที่ไปสืบเรื่องร้านนี้มาให้นาย

สถานการณ์ผิดปรกติตรงประตูเข้าร้านทำให้ผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ก่อนแล้วขยับตัว เด็กที่หายเข้าไปในร้านเดลลาร์ ดีถูกลากออกมาข้างนอกโดยหญิงท้วมนางหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยชายอีกคนที่พยายามเข้ามาห้าม

“นายครับ” ทอมัสเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเมื่อยังเห็นว่าเงียบอยู่

เอวานมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านกระจก ก่อนจะสั่งเสียงเรียบ

“ไปเอาตัวมา”

“ครับ”



ทางเข้าออกของพนักงานร้านเดลลาร์ ดี นางมาเรียมลากไอ้เด็กเหลือขอออกมา เพราะหลังจากที่มันโผล่เข้าไปในร้านนางก็รีบโทรบอกตาเฒ่าพาร์เลอร์ว่าเจอมันแล้ว ฝ่ายนั้นจึงสั่งให้จับตัวไว้ เพราะเด็กนี่ไปกัดเขาเสียจมเขี้ยวก่อนหนีมา ทีแรกตาเฒ่านั่นจะให้นางชดใช้ค่าเสียหายพร้อมคืนเงินที่ทุ่มซื้อตัวเด็กทั้งหมด แต่นางมาเรียมเลือกไม่คืน บอกจะส่งเด็กกลับไปให้และจะสั่งสอนให้ดี ขณะที่ในใจกำลังก่นด่าถึงความโง่งมของตาเฒ่าบ้ากาม ไม่รู้จักตะล่อม ปล่อยความอยากนำทางจนเหยื่อแตกตื่นแบบนี้ โง่เง่าสิ้นดี

“ก่อเรื่องอีกแล้วนะแก ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ให้ไปอยู่ที่ดี ๆ ก็ยังสร้างเรื่องให้เขา สมองแกนี่มันทำด้วยอะไร หา!”

“ผมขอโทษ ผมแค่... ผมแค่...”

“แค่อะไร หา! ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม ดีนี่ หนีแล้วทำไมไม่ไปให้รอดล่ะ ยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ หา!”

เสียงตวาดลั่นยิ่งทำให้กลิ่นแก้วตัวสั่น เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เขาอยู่ที่นั่นไม่ได้ มิสเตอร์พาร์เลอร์อะไรนั่นน่ากลัว ความหนาหนักที่กดทับจนดิ้นหนีไม่ได้ ทั้งสัมผัสที่หยาบกระด้างและหื่นกระหายพาให้สติเขาหลุด เขาแทบไม่รับรู้ว่าทำอะไรลงไป รู้อย่างเดียวคือต้องหนี แต่พอหนีออกมาได้ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขาไม่รู้จักใครเลยนอกจากที่นี่ ขาเขาพาออกวิ่งโดยไม่รู้ทิศทาง แทบชนกับรถที่เลี้ยวมาจากมุมถนน ด้วยจนหนทาง หลังออกจากคลินิกทำให้บอกรถคันนั้นมาส่งที่นี่ แค่หวังจะกลับมาพึ่งพิง แต่เขาเพิ่งรู้ว่าคิดผิด มันไม่มีที่พึ่งสำหรับเขา ไม่เคยมี

“ไม่... ไม่ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ได้โปรด ให้ผมอยู่ที่นี่ อย่าส่งผมไปให้พวกเขา ได้โปรด...” แม้จะอ้อนวอนแค่ไหน สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นเสียงด่าทอ เขาขอโทษ... ขอโทษจริง ๆ

“แกพูดแบบนี้ตั้งกี่ครั้งกี่หนกัน ไม่ทำอีก ไม่ทำอีก ฉันเบื่อจะเชื่อแกแล้ว คราวนี้แกทำอะไรลงไปรู้ไหม แกจะทำให้พวกเราฉิบหายกันหมด ไอ้เด็กเนรคุณ! แกต้องกลับไปหาเขา เข้าใจไหม!”

ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง สองมือประกบยกไหว้วิงวอน “คุณนายเดลลาร์ ได้โปรด...”

กลิ่นแก้วเด็กโง่ แม้จะถูกทำร้าย ถูกผลักไส ก็ยังวิงวอนร้องขอ เมื่อหมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ เขาไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากคนในร้านเดลลาร์ ดี จะกลับบ้านของมารดาก็ไม่รู้จะไปอย่างไร ถึงกลับไปก็ไม่รู้จะอยู่กับใคร เมื่อผู้เป็นมารดาไม่อยู่ให้พึ่งพาอีกต่อไปแล้ว

แต่ก่อนที่ตัวผอม ๆ นั้นจะคุกเข่าลงก็ถูกใครอีกคนรั้งไว้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหยุดชะงักงัน ชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนตระหง่านง้ำอยู่ด้านหลังกลิ่นแก้วพร้อมบรรยากาศกดดัน ทำให้ความเงียบปกคลุมรอบบริเวณ

กลิ่นแก้วค่อยหันกลับไปมองคนด้านหลังด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นใคร สีหน้าเด็กน้อยก็เต็มไปด้วยคำถาม สายตาเรียบเฉยของผู้ที่หิ้วปีกเขาขึ้นมาหลุบลงมองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะเบือนไปทางเจ้าของร้านเดลลาร์ ดี

“แกเป็นใคร เข้ามายุ่งอะไรด้วย!”

นางมาเรียมร้องถาม รู้สึกถึงสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ คนพวกนี้ดูไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ทั้งการแต่งเนื้อแต่งตัว ทั้งบรรยากาศกดดันแปลก ๆ นั่นก็ด้วย นี่เจ้าเด็กเหลือขอมันพาใครมาด้วย?

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถาม แต่เลือกจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนแล้วพยักหน้าเบา ซึ่งฝ่ายนั้นก็ก้มลงอุ้มเด็กขึ้นมา ทำให้แขนเล็ก ๆ นั้นวาดมากอดคอ สีหน้าดูสับสนมึนงงกับสถานการณ์อยู่ไม่น้อย

หางตานางมาเรียมเหลือบมองสามีและลูกที่ขยับเข้ามาใกล้ ขณะที่พนักงานในร้านเริ่มโผล่มามุง รอบบริเวณเกิดความมึนงง แม้แต่ตัวกลิ่นแก้วเองยังมองคนอุ้มอย่างไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปที่ไหน แต่ก่อนที่ชายแปลกหน้าทั้งสองจะได้พากลิ่นแก้วเดินไปไหนไกล ดูเหมือนนางมาเรียมจะตั้งสติได้จึงร้องท้วง

“นี่พวกแกจะพามันไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

คนพวกนั้นเป็นใคร จะเอาตัวเด็กกลิ่นแก้วไปทำไมไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้มันเป็นของตาเฒ่าริชาร์ด พาร์เลอร์แล้ว ถ้ารู้ว่านางปล่อยให้คนอื่นพาไป ตาเฒ่าหัวงูนั่นต้องพาคนมาถล่มร้านนางแน่

“ฉันบอกให้พวกแกหยุ...!”

กริ๊ก

อาวุธในมือถูกเล็งมาเสียตรงเป้าหมาย บ่งบอกให้รู้ว่าหากพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว สมองได้กระจุยเป็นแน่ นางมาเรียมพูดไม่ออก สามีกับลูกก็ไม่คิดจะช่วยนางเลย ได้แต่แอบอยู่ด้านหลัง พนักงานดูแลความเรียบร้อยในร้านก็นิ่งสนิท เสียเงินจ้างโดยไร้ประโยชน์จริง ๆ

“พวกแกเป็นใครกันแน่?” คำถามของนางยังไร้การตอบกลับเช่นเคย เมื่อสองคนนั้นเลือกจะอุ้มไอ้เด็กเหลือขอจากไปเงียบ ๆ

นางมาเรียมมองตามด้วยความขัดเคืองโดยทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ลองกล้าชักปืนออกมาขู่โดยไม่สนกฎหมายบ้านเมืองขนาดนี้ แม้แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอง นางยังไม่รู้ว่าจะกล้าแหยมกับคนพวกนั้นไหม

กลิ่นแก้วถูกพากลับมาที่รถอีกหน กายผอมขยับชิดประตูรถเมื่อรถค่อยเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งภาพของเดลลาร์ ดีไว้แต่เพียงเบื้องหลังโดยไม่หันกลับไปมองอีก คำว่าไม่เป็นที่ต้องการมันตอกย้ำอย่างชัดเจนดีแล้ว เขาไม่รู้ว่ารถคันนี้จะนำพาเขาไปที่ไหน แต่คงไม่คิดจะร้องขอสิ่งใดเพราะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ เมื่อเสียงของเขาไม่เคยที่จะส่งไปถึงใครเลยสักคน ไม่มีใครสนใจที่จะถามความเห็นหรือความสมัครใจ ต่างก็ทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ อยากจับเขาหมุนไปทางซ้ายหรือขวาก็ทำตามแต่ใจ แม้เขาจะคิดขัดขืน มันก็ไม่เคยมีประโยชน์

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

“......” กลิ่นแก้วชะงักกับเสียงที่ดังขึ้นมาข้างกาย พยายามอดกลั้นแต่ยิ่งสะอื้นหนัก

“เช็ดน้ำตาซะ”

“......” แขนเล็กยกขึ้นเช็ดมัน ก่อนใช้มือปาดออกตามคำสั่ง

“เอนตัวลงไป แล้วหลับตา”

แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น แต่กลิ่นแก้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี อาจเพราะน้ำเสียงที่ใช้มันไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ไม่ได้ตวาดด่าทอแบบที่เคยเจอ

เมื่อเขาเอนไปพิงเบาะรถแล้วหลับตาลง ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่คลี่คลุมลงมา กลิ่นน้ำหอมจากความอุ่นนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ทั้งมือที่ลูบหน้าผากเบา ๆ และเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบราวกล่อมนอนทำให้เด็กน้อยอยากจะหลับ ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป...






❤ TBC ❤
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Kirana9165 ที่ 20-09-2018 20:38:21
ชอบมากๆ อยากอ่านแนวนี้นานล่ะ ติดใจค่ะ ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ มาต่อไวไ นะคะ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 20-09-2018 21:20:46
โคตรเลวเลยอีลุงกับป้า น่าจะเป่าหัวมันสักคน
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-09-2018 21:58:00
ชอบค่ะเหมือนอ่านนิยายโรมานซ์ฝรั่ง
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 20-09-2018 23:02:41
เจอตอนแรกไป ปรี๊ดอะปรี๊ด :katai1: :katai1: :katai1: บอกได้แค่นี้
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-09-2018 23:35:01
เด็กหนอเด็ก
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย + >>20.09.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 21-09-2018 01:10:08
ทำไมชีวิตซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้เนี่ย อิลุงป้าใจร้าย!!!
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-09-2018 18:25:11
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๒ เด็กในปกครอง



เอวานพาเด็กกลับมายังที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเวสส์นัก เป็นห้องชุดพร้อมอยู่ที่เขาซื้อไว้พักเวลามีธุระต้องไปไหนมาไหนจนดึกดื่น มันสะดวกกว่ากลับไปนอนบ้านซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร

หลังจากบอกให้เอนกายแล้วหลับตาลง ไม่นานนักเจ้าหนูน้อยก็หลับไปจริง ๆ อาจเพราะฤทธิ์ยาด้วย เขาจึงค่อยช้อนศีรษะที่พิงประตูรถให้เอนมาหา จัดท่าทางเล็กน้อยให้เด็กได้นอนหนุนตัก

กระทั่งถึงที่พักทอมัสก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถ เมื่อรถหยุดลงจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่เด็กนั่ง ขณะที่แมกซ์เวลเป็นคนเปิดประตูฝั่งของผู้เป็นนาย

เอวานสอดมือรองศีรษะเด็กน้อยแล้วค่อยดันตัวผอม ๆ นั้นขึ้นเพื่อสะดวกแก่ทอมัสที่จะเข้ามาอุ้ม แต่การกระทำทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อเด็กรู้สึกตัวตื่นในจังหวะที่ทอมัสก้มตัวเข้ามาเพื่อจะอุ้มพาดบ่า ตากลมมองบอดีการ์ดตัวใหญ่ตื่น ๆ ก่อนหันกลับไปมองเอวาน ราวเวลาหยุดหมุนไปชั่วครู่เมื่อไม่มีใครขยับ จนเห็นว่าเด็กไม่มีท่าทีต่อต้านใดนอกจากหันไปมองคนนั้นที คนนี้ที ทอมัสจึงได้อุ้มออกจากรถมา

บอดีการ์ดหนุ่มอุ้มเด็กน้อยตามผู้เป็นนายขึ้นไปบนห้องพัก โดยมีแมกซ์เวลเปิดประตูค้างไว้ให้ กายสูงใหญ่ก้าวผ่านไปวางตัวเด็กลงนั่งบนโซฟานุ่ม ขณะที่ผู้เป็นนายกำลังถอดสูทพร้อมคลายเนคไทแล้วปลดกระดุมข้อมือ

แมกซ์เวลเลี่ยงเข้าไปรินน้ำในครัวแล้วถือออกมาให้ผู้เป็นนาย ขณะที่ทอมัสยังยืนอยู่แถวนั้นเพื่อสังเกตสถานการณ์ แก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะกระจก ซึ่งนายของพวกเขาก็ยกมันขึ้นดื่มเมื่อนั่งลงข้างเด็กบนโซฟา

“นอนต่อไหม?” เอวานเอ่ยถามเมื่อวางแก้วน้ำลงหลังจากดื่มดับกระหาย

เด็กชายส่ายหน้าพร้อมตอบ “ไม่ครับ”

“หิวรึเปล่า?”

คำถามที่ตามมาทำให้คนถูกถามส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะผงะไปเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาอังหน้าผาก แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลยนั่งนิ่ง

เอวานนิ่งมองอย่างจับสังเกต ละมือจากหน้าผากของเด็กแล้วหันไปสั่งแมกซ์เวล “ถ้ามียาก่อนนอนก็จัดการด้วย”

บอกเพียงเท่านั้นแล้วก็จะลุกไป แต่เสียงที่ดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เขาต้องหยุดแล้วหันกลับไปมอง

“อ... เอ่อ... ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้ แถมพาผมไปหาหมอด้วย...”

“......” เอวานพยักหน้ารับคำขอบคุณนั้น

“ขอบคุณ...”

เสียงขอบคุณเบา ๆ ในตอนท้าย ก่อนที่ตากลมจะค่อยหลุบลงมองมือของตนเองที่กุมกันอยู่บนตัก ทำให้จากที่จะเดินไป เอวานเลยนั่งลงข้างตัวเล็กอีกหน ดวงหน้าเรียวค่อยเงยขึ้นมามองเขา

“อยู่ที่นั่นมานานแล้วเหรอ?” คำถามของเขาทำให้เด็กมีสีหน้างงงวย จึงได้ขยายความ “ที่ร้านนั่น”

เด็กชายพยักหน้ารับ เขาจึงถามต่อ

“รู้รึเปล่าว่าที่นั่น... เขาทำอะไร?”

“ก็... เป็นร้านอาหาร” หนูน้อยตอบ ความจริงมีขายเหล้าด้วย เขาเคยทำแตก มีแต่แพง ๆ ทั้งนั้น เพราะนางมาเรียมชอบว่าว่าเขาไม่มีปัญญาจะชดใช้คืน

“แค่นั้น?” คนตัวโตย้ำถาม

เด็กชายทำท่าคิดแล้วพยักหน้า “ครับ”

เพียงคำตอบนั้นหลุดออกมาก็พากันถอนหายใจทั้งนายทั้งลูกน้อง เด็กคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับสองผัวเมียนั่นบ้าง แม้แต่ที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นร้านเกี่ยวกับอะไร แล้วรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างไรเสียตั้งนาน

“แล้วที่ไปบ้านมิสเตอร์อะไรนั่นจนโดนไล่ตามเกือบรถชน บอกได้ไหมว่าไปทำไม?”

เสียงทุ้มนุ่มยังเอ่ยถาม ไม่มีแววคาดคั้น เหมือนแค่คุยกันธรรมดา แต่มันก็ทำให้คนถูกถามนิ่งไป หลุบสายตาลงมองมือตัวเองแล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งราวตัดสินใจ

“คุณนายเดลลาร์บอกว่ามิสเตอร์พาร์เลอร์ถูกชะตากับผม เขาอยากอุปการะ อยากให้ไปอยู่กับเขา คุณนายเดลลาร์เลยให้ผมไป”

สิ่งที่ได้ฟังทำให้เอวานคิ้วขมวด ดวงตาที่ฉายแววกังวลช้อนมองเขา ท่าทางดูไม่มั่นใจนักว่าควรเล่าให้เขาฟังดีไหม แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบเพื่อรอฟัง ไม่ได้เร่งเร้าหรือบังคับให้พูดออกมา เด็กชายตัวน้อยจึงได้พูดต่อ

“ตอนไปถึง... มิสเตอร์พาร์เลอร์ให้คนมาดูแลผมอย่างดี ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเขาเข้ามาใกล้ มาจับ...” ลมหายใจดูผิดจังหวะเมื่อเล่าถึงตรงนี้ เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “จนคืนนั้น เขาเข้ามาในห้อง...”

“โอเค พอแล้ว”

เด็กน้อยชะงัก มองเอวานทั้งน้ำตาร่วงผล็อย พาลทำให้คนมองชะงักตามไปด้วย เด็กเจ้าน้ำตา

“ฉันพอเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาว่าอย่างนั้น

“คุณรู้เหรอครับว่าเขาทำอะไร?”

เอ่ยถามด้วยความซื่อเสียจนอีกสามคนในห้องแทบถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีกหน เด็กน้อย ยังไม่เข้าใจโลกเอาเสียเลยจริง ๆ

“ในเมื่อเจ้าของร้านนั่นทำกับเธอขนาดนี้ แล้วทำไมยังให้ฉันกลับไปส่งที่นั่น?”

เด็กชายเม้มปาก มือเรียวเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ “ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ผมไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากครอบครัวน้าเจค ผมยังหวังว่าน้าเจคจะช่วยถ้าผมกลับไป แต่มันไม่ใช่ น้าเจคไม่มีทางช่วยอะไรผมได้ พวกเขาทุกคนไม่เคยช่วยอะไรเลย ผมเป็นตัวปัญหาสำหรับพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง...”

เอวานรั้งตัวเล็ก ๆ นั้นเข้ามาหา คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายเมื่อใบหน้าเรียวแนบซุกกับอกเขานิ่ง ก่อนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น มือหนาลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน

“ผมไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหา ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นคงไม่กระทบใจเท่าแขนที่กอดเขาแน่น ทั้งมือเล็กที่ขยุ้มกำเสื้อด้านหลัง เอวานเลื่อนมือขึ้นมาวางบนกลุ่มผมนุ่ม ค่อยลูบเบา ๆ เสียงร้องไห้นั้นยิ่งดัง เด็กในอ้อมแขนราวลูกนกตัวน้อยที่ไร้รัง กระทั่งเจอสถานที่ที่พอจะพึ่งพิงได้ แต่มันกลับกลายเป็นขุมนรก หาใช่รังนอนที่อบอุ่นไม่ คำพูดของเด็ก บางครั้งมันก็เชื่อกันได้ยาก แต่สถานการณ์ทุกอย่างมันก็บอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้วว่าใครพูดจริงหรือโกหก

พอร้องจนเหนื่อย เจ้าตัวเล็กก็หลับไปอีก ทอมัสจึงพาเข้าไปนอนในห้องโดยมีแมกซ์เวลเข้าไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ภายในห้องพักมีเพียงเสื้อผ้าของพวกเขาสามคนที่ตัวใหญ่กว่าเด็กมันหลายเท่า แมกซ์เวลจึงเลือกจะสวมเพียงเสื้อยืดของตนเองให้เด็ก เมื่อผู้เป็นนายบอกค่อยไปหาซื้อกันวันหลังเพราะดึกมากแล้ว

ขณะที่ด้านนอกนั่น เอวานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ เพราะหากเด็กคนนี้คือลูกของสตีเฟ่นจริง สิ่งที่ได้พบเจอมาทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อสถานะของเด็กเปลี่ยนไป สตีเฟ่นต้องรู้เรื่องนี้ดี เขาจะไม่ตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงได้ตามหา ด้วยความเป็นพ่อ แน่นอนว่าอยากดูแลลูกของตัวเองให้ดี และคงทนไม่ได้หากรู้ว่าลูกไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน แต่... เมื่อรู้แล้วจะทำเช่นไร?

จุดประสงค์ที่สตีเฟ่นบอกเขาแค่เพียงอยากเจอ แต่ไม่ได้บอกว่าเจอแล้วจะทำเช่นไรต่อ แต่นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาคือคนนอก รับปากเพียงพามาให้เจอก่อนลมหายใจสุดท้ายของผู้เป็นพี่ชายจะหมดลง

มือหนาลูบเสยผมอย่างคิดไม่ตก เขาไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องนี้แต่แรก ไม่ใช่ว่ากลัวไรท์ แต่กลัวความรู้สึกของตัวเอง มันอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเมื่อได้รับรู้ปัญหาที่เกินกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะรับไหวเช่นนี้ หาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ เอวาน เวสส์


......


คอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ตึกสูงดีไซน์โดดเด่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางวิวธรรมชาติและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ วิวที่เห็นจากกระจกห้องนอนทำให้กลิ่นแก้วนึกถึงบ้านของมารดา ทุกเช้าสองแม่ลูกจะออกมานั่งกินอาหารเช้ากันในสวนเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะไปโรงเรียน ที่นั่นยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ไม่ได้ถูกความสมัยใหม่กลืนไปมากนัก เขาชอบที่ได้อยู่กับมารดาเช่นนั้น ถึงจะอยู่กันสองคนแต่ก็มีความสุข มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กันทุกวัน

สีหน้าเด็กน้อยเศร้าสลดลงเมื่อความจริงคือมันไม่สามารถย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นได้อีกต่อไปแล้ว หลังมารดาจากไป สิ่งยึดเหนี่ยวเดียวคือคนในรูปถ่ายที่มารดาให้เก็บไว้ก่อนจะสิ้นใจ ร่างกายของท่านไม่แข็งแรงนัก จนกระทั่งเมื่อปีก่อนอาการก็ทรุดลงจนต้องนอนอยู่แต่บนเตียงเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกด้วยกันเช่นทุกที ตัวกลิ่นแก้วเองก็จะคอยตัดดอกไม้มาให้ มาใส่แจกันไว้

และในวันหนึ่งผู้เป็นมารดาก็ให้กล่องไม้สลักมา มันเป็นวันที่ทำให้เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วบิดาของเขายังคงอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่เคยได้พบเจอกัน มีก็เพียงรูปถ่ายใบเดียวและข้าวของที่เหมือนจะเป็นของเด็กเล็ก จำพวกกำไลข้อเท้าหรืออะไรเขาไม่แน่ใจ ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว เพราะกระเป๋าของเขาอยู่บ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ ข้าวของทุกอย่างอยู่ในนั้น คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อคงไม่มีหวังจะได้คืน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้กลิ่นแก้วหลุดจากภวังค์ ตัวเล็กเดินกะเผลกไปเปิดประตู ช้อนสายตามองผู้ชายผมบลอนผิวขาวสว่างตรงหน้า ก่อนเดินตามคนคนนั้นออกจากห้องไป

เขามาที่นี่เมื่อคืน ยังไม่ทันทำความรู้จักกับใครสักคน แต่เขาจำได้ว่ามีผู้ชายตัวโตสามคน คนที่อยู่กับเขาในตอนนี้และอีกสองคนที่ออกไปทำงานกันแล้วตั้งแต่เช้า

“นี่มิสซิสสวอนเนอร์ จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ และจะจัดการเรื่องข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้ด้วย” หนุ่มตัวโตเอ่ยแนะนำ

“สวัสดีครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยทักทายเสียงเบา ก่อนจะส่งยิ้มตอบกลับไปเมื่อมิสซิสสวอนเนอร์ยิ้มให้ นั่นพอจะทำให้เขาคลายอาการเกร็งลงไปได้บ้าง

หลังจากมิสซิสสวอนเนอร์มารับหน้าที่ดูแลเขา ผู้ชายตัวโตคนนั้นก็ออกจากห้องพักไป ปล่อยให้มิสซิสสวอนเนอร์จัดการต่อ ทั้งหาเสื้อผ้ามาให้ใส่เป็นการชั่วคราว ทำอาหารให้กินก่อนพาออกไปซื้อเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมนี้นัก ข้อเท้าของเขายังคงเจ็บ ทำให้เดินไม่ถนัด มิสซิสสวอนเนอร์จึงให้นั่งรอขณะที่เลือกเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็น



ช่วงเย็น แมกซ์เวลยังคงกลับมาก่อนสองหนุ่มที่เหลือ เพราะต้องมาเปลี่ยนให้มิสซิสสวอนเนอร์ ผู้ช่วยเลขานุการคนเก่งกลับไปพักผ่อนเมื่อหมดเวลางานในวันนี้ เจ้าตัวเล็กเดินเขยกมาชะเง้อมองหน้าประตูเมื่อเขาเปิดเข้ามา นัยน์ตาสีน้ำตาลปรายมองท่าทางนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินเข้าไปบอกมิสซิสสวอนเนอร์ให้กลับไปได้

เด็กชายเดินตามเข้ามา ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมาเสียที ทำให้บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยขึ้น

“เขากลับบ้าน”

“?” เด็กน้อยทำหน้างงกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ไม่ใช่ทุกวันที่จะนอนที่นี่”

พยักหน้าเข้าใจเมื่อคนพูดขยายความ ถึงจะประหยัดคำพูดอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพราะเมื่อเช้าก่อนที่มิสซิสสวอนเนอร์จะมา คุณคนนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนเขาตั้งนาน

“กินอะไรรึยัง?” บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยถามขณะเดินผ่านเข้าไปด้านใน

“กินแล้วครับ”

กายสูงใหญ่นั้นตรงเข้าไปในครัว จัดการเอาอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นออกมาอุ่น โดยมีเด็กน้อยคอยยืนเกาะบาร์กั้นครัวมองดู กระทั่งทำเสร็จแล้วถือจานอาหารมานั่งกินที่โต๊ะ เจ้าตัวเล็กจึงเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ แล้วอยู่มุมของใครของมันเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งเอวานและทอมัสกลับมา

“เป็นอะไร?” เอวานเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กลุกไปยืนตัวลีบอยู่ข้างโซฟาเมื่อเขานั่งลง

“เปล่าครับ”

“เปล่าก็นั่งลงสิ ยืนทำไม?”

กายผอมค่อยขยับมานั่งลงเงียบ ๆ เอวานมองการแต่งตัวของเด็กแล้วออกจะพอใจกับการเลือกชุดของผู้ช่วยเลขานุการสาวใหญ่ของตน ดูเข้ากับเด็กวัยนี้ดี คงเพราะเธอมีลูกชายวัยไล่เลี่ยกันด้วยกระมัง

“ชอบไหม?”

“...?” เด็กเอียงคอเมื่อถูกถามแบบไร้รูปประโยค

“ชุดน่ะ เข้ากับเธอดี”

เด็กชายก้มมอง ก่อนเงยมาบอก “ขอบคุณครับ”

หลังคำขอบคุณนั้น ท่าทางเด็กมันเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูด อึก ๆ อัก ๆ จนเอวานต้องเปิดให้

“มีอะไรรึเปล่า?”

“คือ... วันนี้มิสซิสสวอนเนอร์พาผมไปซื้อเสื้อผ้าข้าวของอะไรเยอะแยะไปหมด”

“อือฮึ”

“ของที่ได้มามันราคาแพงมาก ผมจะหาเงินมาใช้คืนคุณได้ยังไง...” ราวมันเป็นปัญหาระดับชาติ เมื่อสีหน้าคนพูดดูทุกข์ใจแบบจริงจังเสียเหลือเกิน

“ทำไมต้องใช้คืน?”

“ก็...”

“ฉันซื้อให้”

“......”

“คำว่า ‘ให้’ ไม่เข้าใจเหรอ?”

เด็กน้อยเงียบ เหมือนสมองจะประมวลผลไม่ทัน คนตรงหน้าบอกว่าซื้อให้ แล้วทำไมต้องให้อะไรมากมายขนาดนี้ด้วย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“แต่... เราไม่รู้จักกัน ทำไมคุณถึงให้อะไรผมมาตั้งเยอะแยะ...”

“หึ นั่นสินะ”

“......”

“ถ้าอย่างนั้นมาแนะนำตัวกันไหม?” ราวถามความเห็น เมื่อเด็กน้อยพยักหน้า เอวานจึงเริ่มก่อน “ฉันชื่อเอวาน... เอวาน เวสส์”

เด็กน้อยทวนชื่อของอีกฝ่ายในใจ ‘มิสเตอร์เวสส์’

“ทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในลอนดอน ส่วนอีกสองคนเป็นเพื่อนฉัน ชื่อทอมัสกับแมกซ์เวล”

ตากลมหันไปมองสองหนุ่มในห้อง ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อถูกแนะนำ

“ตาเธอแล้ว” เอวานว่า

“ผม... ชื่อกลิ่นแก้วครับ” เด็กน้อยเริ่มแนะนำตัวเองบ้าง “กลิ่นแก้ว เดลลาร์”

เดลลาร์ ชื่อสกุลของแคทเธอรีน แสดงว่าหล่อนรับเด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเลือกที่จะให้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์จึงใช้ชื่อสกุลเดียวกัน

“ชื่อฟังดูแปลกใช่ไหมครับ?” เอ่ยถามเมื่อแนะนำตัวเองไปแล้วอีกคนเอาแต่มอง

“ก็... เรียกยากนิดหน่อย” เอวานยอมรับ เมื่อลองเรียกในใจแล้วสำเนียงมันไม่เหมือนกับที่เด็กพูดสักนิด

เจ้าของชื่อยิ้ม มันเรียกยาก แต่มารดาก็ไม่ยอมเปลี่ยนให้เพราะชอบความหมายของชื่อ กลิ่นของดอกแก้ว ดอกไม้สีขาวกลีบบางแต่กลิ่นหอมชื่น

“แล้วพ่อแม่ล่ะ?” เอวานยังเอ่ยถามต่อทั้งที่รู้ถึงความเป็นมาดี แต่ก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง

“พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วครับ” เด็กน้อยตอบตามจริง น้ำเสียงดูเศร้าพอกับสีหน้า

“แสดงว่าถ้าออกจากที่นี่ไป ก็ไม่มีที่อยู่แล้วสิ?”

ถึงจะเป็นคำถามที่ใช้น้ำเสียงธรรมดา แต่คนถูกถามก็ถึงกับสะอึกเมื่อมันคือความจริง ใบหน้าเรียวพยักรับ “ที่นี่ผมรู้จักแค่คนในร้านเดลลาร์ ดี แต่ตอนนี้ผมกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากไปอยู่กับมิสเตอร์พาร์เลอร์...”

“ถ้างั้น...” มองแววเศร้าในดวงตาคู่โตแล้วเอวานจึงเอ่ย “อยากอยู่ที่นี่ไหมล่ะ?”

“......”

“ก็ในเมื่อไม่มีที่ไป แล้วที่นี่ก็ออกจะกว้าง ให้เธอเข้ามาอยู่ด้วยก็คงไม่ได้ทำให้มันแคบขึ้นหรอก” เอวานให้เหตุผล

“แต่... เราเพิ่งรู้จักกัน คุณไม่กลัวว่าผมจะเป็นคนไม่ดีเหรอครับ?”

ช่างน่าขำ มองเด็กที่เริ่มเป็นกังวลกับปัญหาใหม่ที่ตัวเองสร้างขึ้น ก่อนหน้าบอกยังไม่รู้จัก คราวนี้พอแนะนำตัวกันแล้วก็บอกเพิ่งรู้จัก เด็กอะไรทำไมข้อแม้เยอะจริง

“แล้วเธอเป็นคนไม่ดีรึเปล่า?”

เมื่อถูกย้อนถามมาแบบนั้น สีหน้าเด็กข้อแม้เยอะก็ดูอึ้งไปนิด ตากลมกะพริบตาปริบ ก่อนบอกเสียงเบา

“เปล่าครับ...”

“แล้วทำไมฉันต้องกลัว?”

“......” ถึงกับเงียบ ก็นั่นน่ะสิ

“หรือที่จริงแล้ว... เธอกลัว?” เอวานจี้เสียตรงจุด เมื่อสีหน้าเด็กมันบ่งบอกว่าเขาพูดถูก “ฉันดูเป็นคนไม่ดีเหรอ?”

“ผ... ผมไม่ได้คิดแบบนั้น คุณช่วยผมเอาไว้ พาไปหาหมอ แล้วยังช่วยไม่ให้ต้องกลับไปบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ด้วย แถมตอนนี้คุณก็ยังให้ผมอยู่ที่นี่ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน และผมก็ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้คุณเลย...”

เด็กน้อยรีบอธิบายเสียงรัวด้วยกลัวว่าจะเข้าใจผิด เขาไม่ได้คิดว่าคนตรงหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ใจก็แอบหวั่น เพราะขนาดน้าชายที่คิดว่ารู้จัก แต่ความจริงแล้วกลับไม่เคยรู้อะไรเลย แล้วแบบนี้เขาจะเชื่อใจคนแปลกหน้าคนนี้ได้ไหม มันก็ยังหวั่นอยู่ ผู้ชายคนนี้ยอมให้เขามาอยู่ด้วยโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน มันแปลกสำหรับเขาที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อแลกที่ซุกหัวนอนและอาหารแต่ละมื้อ ต้องทำตัวเป็นประโยชน์ถึงจะได้มา

“ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องตั้งข้อแม้อะไรมากมาย ในเมื่อฉันเต็มใจให้อยู่”

“ก็...” ชะงักไปนิดเมื่อดวงตาคมดุนั้นมองนิ่ง คงกำลังนึกตำหนิที่เขามีข้อแม้อีกแล้วสินะ “ผมอยู่ได้จริง ๆ เหรอครับ?”

เด็กชายยังเอ่ยถามซ้ำเหมือนยังไม่แน่ใจ มันจะมีจริง ๆ หรือคนที่ให้อะไรเราโดยไม่หวังผลตอบแทนแบบนี้

“ฉันบอกว่าได้ก็ได้สิ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องทำอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนเหรอครับ?” เจ้าตัวเล็กยังไม่หมดสงสัย “ผมทำความสะอาดบ้านได้นะ กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักเสื้อผ้าได้ ล้างจานก็ได้ แต่ผมทำอาหารไม่เป็น อืม... ผมทำได้แค่นี้...”

สีหน้าดูเจื่อนจ๋อยลงไปเมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้น้อยนัก ดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร ส่วนมากก็ซุ่มซ่ามทำข้าวของนางมาเรียมเสียหาย คิดแล้วก็ท้อใจ มิสเตอร์เวสส์จะให้อยู่ด้วยหรือแบบนี้

“อยู่ที่นี่ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”

เด็กน้อยตาโต “แล้ว...”

ไปต่อไม่ถูก ไม่ต้องทำอะไรก็อยู่ได้หรือ นางมาเรียมบอกว่าทุกคนที่อยู่กับนางต้องทำประโยชน์ให้นาง ไม่ใช่แค่มาอาศัยไปวัน ๆ แล้วทำไมมิสเตอร์เวสส์ถึงบอกไม่ต้องทำอะไรก็ได้

“สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด มีคนทำให้แล้ว”

“......” คำว่ามีคนทำแล้วดังสะท้อนอยู่ในหู แล้วแบบนี้เขาจะทำอะไร ยังทำอะไรได้อีกบ้าง

เอวานมองท่าทีกระวนกระวายของเด็กตรงหน้า เด็กคนนี้คงชินกับการทำอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน หากบอกให้อยู่เฉย ๆ คงไม่ได้แน่ใช่ไหม

“กลิ่นแก้ว” เอวานเรียกสติเด็กน้อยกลับมา แววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนนั้นมองเขา “ฉันไม่มีอะไรให้ทำเป็นการแลกเปลี่ยนกับการอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะอย่างที่บอกว่ามีคนทำให้ทั้งหมดแล้ว”

“......” เด็กน้อยหน้าเศร้ากับคำบอกเล่านั้น ถ้าไม่มีประโยชน์ สักวันเขาก็ต้องถูกไล่ออกไปจากที่นี่แน่

“แต่ฉันมีกฎที่หากอยากอยู่กับฉันก็ต้องทำมันให้ได้ แค่ทำมันให้ได้”

ได้ยินเช่นนั้นกลิ่นแก้วก็ยิ้มออก “ผมจะทำให้ได้”

เอวานจึงพูด “กฎของการอยู่กับฉันข้อแรก...”

“...?”

“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าขอโทษ มันจะติดเป็นนิสัย ซึ่งฉันไม่ชอบ”

ตากลมกะพริบปริบ มิสเตอร์เวสส์รู้ได้อย่างไรว่าเขาชอบพูดคำว่าขอโทษอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก เขาก็เอาแต่ขอโทษ หรือวันนี้เขาพูดขอโทษไปแล้ว แต่เพิ่งเจอหน้ากัน เขาว่าเขายังไม่ทันได้พูดนะ

“ทำได้ไหม?” เอวานเอ่ยถาม ซึ่งเด็กก็พยักหน้ารับ

“ครับ”

“ดี”

“......” เด็กน้อยเอียงคอเมื่ออีกฝ่ายพูดแค่นั้นแล้วก็จบไปดื้อ ๆ กฎที่ว่ามีแค่ข้อเดียวเองหรือ?

“อะไร?”

“แล้ว...”

“แล้ว?”

“......” ริมฝีปากบางที่เผยอค้างค่อยงับลง ไม่รู้ควรถามไหม เขาไม่ควรทำตัวน่ารำคาญใช่รึเปล่า

“ข้อสอง มีอะไรก็ให้พูด อย่าทำอึกอัก มันน่ารำคาญ”

ใจดวงน้อยเจ็บแปลบเมื่อเพิ่งคิดว่าตัวเองน่ารำคาญ “ขอโทษ... อ่า... ข...”

เอาอีกแล้ว มิสเตอร์เวสส์บอกว่าไม่ให้ขอโทษ เขาก็ยังจะขอโทษอยู่นั่น ใบหน้าเรียวเล็กก้มลง ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนนั่งใกล้ ใจยิ่งห่อเหี่ยว

เอวานเชยคางเรียวให้เงยขึ้น บังคับให้ดวงตากลมนั้นต้องมองสบ แล้วว่า “พวกเรายังไม่รู้จักกันดีพอ ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นคนยังไง และเธอก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง”

“......”

“เพราะฉะนั้น ถึงต้องเรียนรู้กันไป อะไรที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะบอก และอะไรที่เธอไม่ชอบ เธอก็สามารถพูดมันออกมาได้ เพราะถ้าไม่พูด เราก็จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ใช่ไหม?”

“......” กลิ่นแก้วพยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้ใจชื้น

“ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ที่นี่ เข้ามาอยู่ในการดูแลของฉัน ก็เท่ากับว่าเธอคือคนของฉัน จะไม่มีใครหรืออะไรมาทำร้ายเธอได้อีก”

“......” คำพูดเหล่านั้นทำเอาน้ำตาเด็กน้อยคลอพาลจะไหล

“ข้อสาม...” เพียงเท่านั้นเจ้าตัวเล็กก็รีบกลั้นน้ำตา ทำให้เอวานยิ้มขำ ยีผมนุ่มเบา ๆ “การร้องไห้ ฉันไม่ได้บอกว่าร้องไม่ได้ แต่บางครั้งถ้ามันมากไป มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้”

“......”

“ถ้าเป็นไปได้ อย่าร้องไห้กับแค่เรื่องอะไรที่มันเล็กน้อย ข่มกลั้นอารมณ์ให้เป็น เหมือนอย่างตอนนี้ที่เธอกำลังทำมัน”

ยิ่งคนตรงหน้าพูดแบบนั้น น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นมันก็ยิ่งไหลลงมา แขนเรียวจะยกขึ้นเช็ด แต่มือใหญ่ก็รวบจับข้อมือไว้ ก่อนใช้หัวแม่มือปาดเช็ดน้ำตาจากแก้มให้

นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีใครเคยทำแบบนี้ให้เขา ไม่มีใครคอยมาสอนสั่ง คอยปลอบโยน ดังเช่นที่คนคนนี้ทำ มือเล็กค่อยยกขึ้นมาวางทับมือของอีกคนที่ยังอยู่ข้างแก้ม สะอื้นเบา ๆ เมื่อเอ่ยบอก

“ขอบคุณครับ มิสเตอร์เวสส์ ขอบคุณที่ให้ผมอยู่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณ...”

กฎทุกข้อนั้นกลิ่นแก้วจะจำให้ขึ้นใจ เขาจะเข้มแข็ง จะไม่อ่อนแอ แม้จะไม่มีที่ให้ถอยหลังกลับไปอีกแล้วก็ตาม


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 26-09-2018 18:27:26
เอวานมาเยี่ยมสตีเฟ่นที่โรงพยาบาล เหตุหนึ่งก็เพื่อจะมาบอกความคืบหน้าเรื่องที่อีกฝ่ายขอให้ช่วย สตีเฟ่นบอกว่าภรรยาของตนกำลังทำเรื่องจะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน นั่นทำให้เอวานออกจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อสตีเฟ่นยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ นั่นแปลว่าอาการไม่ได้ดีพอจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

“นายดีขึ้นแล้วหรือไง?”

คนป่วยทำเสียงในลำคอ “ก็อย่างที่... นายเห็น...”

“แล้วทำไมเขาถึงจะให้กลับไป ทั้งที่อาการนายก็ไม่ได้ดีขึ้น?”

“ถึงอยู่ต่อก็... ไม่ได้มีอะไร... ดีขึ้น...”

เอวานก็พอเข้าใจในจุดนี้ การกลับไปพักฟื้นหรือไปรักษาต่อที่ไรท์ไม่ใช่เรื่องยากอะไร สายระโยงรยางค์พวกนี้ไม่เกินความต้องการของไรท์หากอยากให้มันไปติดตั้งที่นั่น หากพูดกันตามจริงค่ารักษาพยาบาลก็แพงเอาเรื่อง แต่เขาไม่คิดว่ามันคือปัญหาสำหรับคนฐานะระดับนี้ หรือที่จริงอาจมีอะไรมากกว่านั้น

“มากาเร็ตหูตาไว... เธอรู้... ว่าเรากำลังทำ... อะไรอยู่...” สตีเฟ่นไขข้อข้องใจ “ถึงได้ให้ฉัน... กลับไปอยู่ในสายตา... ของ... เธอ”

สตีเฟ่นรู้ดีว่าตนบกพร่องต่อหน้าที่ของสามี เมื่อเฝ้าคิดถึงแต่อดีต ซ้ำยังเฝ้าตามหาอยู่ไม่จบสิ้น ผู้เป็นภรรยาเองก็คงเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เธอฉลาดพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ด้านลบหรือทำตัวให้คนสมเพช ยังใช้ชีวิตอยู่บนศักดิ์ศรีที่เธอมี

“เอวาน...”

“......”

“เจอเขาไหม...?”

“ฉันไม่แน่ใจ” คำตอบนั้นทำให้คนบนเตียงคิ้วขมวด “นายเองก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาใช่ไหม?”

“เคยสิ... แต่นานมากแล้ว... กิ่งเคยแอบส่งรูปมา... ให้ดู...” ชื่อที่เอ่ยถึงทำให้มีรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมาบนริมฝีปากและแววตา สื่อให้รู้ว่ามีความพิเศษมากแค่ไหน

“นานที่ว่าคือนานแค่ไหน?” เอวานยังถามต่อ

“หลายปีแล้ว...”

“งั้นมันจะพอยืนยันได้เหรอว่าเป็นเขา?” คนเราพอโตขึ้น หน้าตามันจะเหมือนตอนยังเป็นทารกได้อย่างไร จะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเรื่องที่ทำอยู่จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

“นาย... เจอแล้วใช่ไหม?” เสียงแหบแห้งนั้นดูมีความหวังขึ้นมา

เอวานจำต้องพยักหน้า ไม่อยากปิดบัง น้ำตาอีกฝ่ายคลอเพียงได้รับรู้ ราวการรอคอยสิ้นสุดลงแล้วกระนั้น

“อยากเจอเขาไหม?”

สตีเฟ่นยิ้มจาง ก่อนตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก... แต่ฉันจะเป็นคน... ไปหาเขาเอง... เพราะคงไม่มีเหตุผลที่... จะให้เด็กคนหนึ่ง... มาเจอ... คนไม่รู้จัก... กัน...”

“สภาพนายเป็นแบบนี้ สตีฟ นายจะไปหาเขาได้ยังไง?”

เอวานออกจะหงุดหงิด ความคาดหวังของสตีเฟ่นคือการได้เจอเด็กคนนั้นไม่ใช่หรือ แล้วอาการที่มันทรุดลงไปทุกวันแบบนี้ กลับบอกว่าจะไปหาเด็กคนนั้นเอง แล้วเมื่อไรล่ะ เมื่อไรที่จะได้เจอ

“ฉันจะพาเขามาหานาย” เอวานบอก

“ไม่ เอวาน...” คนบนเตียงรีบห้าม เสียงเริ่มแผ่วลงเพราะพูดเยอะจนเกินไปแล้วในตอนนี้ “อย่าให้เขามา... อย่าให้ใครรู้... ว่าเขายังอยู่...”

“......”

“รับปากฉัน... ว่านายจะไม่ให้ใคร... รู้เรื่องนี้...”

แววจริงจังในดวงตาคู่นั้นทำให้เอวานสบถเบา ๆ ก่อนจะรับปากอย่างเสียไม่ได้ สตีเฟ่นบอกจะพยายามฮึดสู้ จะพยายามรักษาตัว จะดูแลตัวเองตามแพทย์สั่ง หากแข็งแรงขึ้นจะไปหากลิ่นแก้วด้วยตัวเอง อยากให้เอวานช่วยดูแลไปก่อน อย่าให้ใครมายุ่งกับลูกของตนได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยมากแล้ว เอวานเลยให้พัก ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อควรแก่เวลา

ออกจากห้องพักผู้ป่วยมา เอวานก็ต้องเผชิญหน้ากับมากาเร็ต วิลสัน ภรรยาคนปัจจุบันของสตีเฟ่น ชายหนุ่มหยุดเพื่อทักทายตามมารยาท ดวงตาสวยเฉี่ยวที่ถูกแต่งแต้มสีสันนั้นปราดมอง ช่วงขาเรียวยาวก้าวช้า ๆ มาหยุดอยู่ข้างกัน ใบหน้าสวยยังคงเชิดตรง ขณะพูดกับเขาที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่”

“......”

“เรื่องภายในครอบครัว คนนอก อย่าเข้ามาวุ่นวายเลยจะดีกว่า”

ร่างสมส่วนนั้นกรีดกรายผ่านไปราวเขาเป็นเพียงฝุ่นผง เอวานถอนใจเบา อย่างที่สตีเฟ่นบอก หูตามากาเร็ตไวจนน่ากลัว ถึงได้ให้เก็บเรื่องกลิ่นแก้วไว้เป็นความลับ

เวลานี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันดีจริงหรือกับการค้นหาตัวเด็กคนนั้น เมื่อรู้สึกถึงอันตรายค่อยคืบคลานเข้าใกล้เด็ก อันตรายยิ่งกว่าอยู่กับสองผัวเมียเดลลาร์เสียอีก แต่พอคิดดูอีกทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในร้านเดลลาร์ ดี ก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไร ทำไมโลกนี้ถึงได้โหดร้ายกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้มากขนาดนี้


......


บริษัทหลักทรัพย์เวสส์

ผู้เป็นบิดาเรียกเอวานเข้าไปคุย เมื่อเรื่องที่เอวานเข้าไปยุ่งกับตระกูลไรท์รู้ถึงหูท่าน ท่านเคยบอกเสมอว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับปัญหาที่ไม่ใช่ของเรา ซึ่งเอวานก็ทำเช่นนั้นมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับย้อนว่าจะไม่ให้เดือดร้อนมาถึงเวสส์ได้ นั่นทำให้ผู้เป็นบิดาถึงกับเสียงเข้มขึ้นมา

“มันไม่ใช่ว่ากลัวจะเดือดร้อนมาถึงเวสส์ แต่พ่อเป็นห่วง ไรท์อาจจะเห็นว่าลูกเป็นเครือญาติ แต่วิลสันไม่ใช่”

พอล เวสส์เตือนสติลูกชาย ถึงอย่างไรสตีเฟ่นก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของมากาเร็ต วิลสัน หล่อนคงไม่อยู่เฉยหากรู้เรื่องที่สามีแอบทำ วิลสันเป็นเจ้าพ่อสื่อ สามารถจูงใจให้คนเชื่อได้ทั้งดีและร้าย หากไม่อยากต้องตามแก้ปัญหาทีหลัง อย่ามีปัญหากับวิลสันดีที่สุด ไหนจะคนของตระกูลไรท์เองที่ห้ำหั่นกันมาตลอด ลูกชายของเขาจะกลายเป็นหมากในเกมไปไม่รู้ตัว

เอวานยังใหม่ในวงการนี้จึงยังให้ค่ากับความสัมพันธ์มากกว่าผลประโยชน์ ในขณะที่ผู้เป็นบิดายังคงยึดมั่นต่อคำว่า ความไว้ใจจะนำมาซึ่งหายนะ

“วางมือแล้วถอยออกมาซะ” พอลกำชับ เขารู้ดีว่าลูกชายเป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่เคยเลิกกลางคันจึงต้องขู่สำทับไปอีก “ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงเกวน เธอคงเป็นกังวลแน่”

“ปา” เอวานลากเสียงหนักเมื่อท่านเอามารดามาขู่เขาเช่นนั้น

พอลรู้ดีว่าเอวานรักแม่แค่ไหน เรื่องใดที่จะทำให้เกวน เจฟเฟอร์สันร้อนใจ เอวานมักหลีกเลี่ยงที่จะทำมัน เพียงเพื่อความสบายใจของมารดาเป็นหลัก

แต่กับเรื่องนี้ การปล่อยมือช่างยากนักหนา เมื่อนึกถึงหน้าเด็กน้อยด้อยเดียงสาแล้วมันทำไม่ลงจริง ๆ เวลานี้ไม่ใช่แต่เพียงคำขอของสตีเฟ่น เอวานเริ่มเอาความรู้สึกของตัวเองใส่เข้าไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว


......


โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในลอนดอน

เป็นอีกครั้งที่เอวานต้องรีบรุดมาที่นี่ ก้าวเดินที่ว่าเร็วกลับยังช้าไม่ทันใจ บอดีการ์ดทั้งสองนายเร่งฝีเท้าตามขนาบ กระทั่งถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง เมื่อเปิดเข้าไปก็ถึงกับนิ่งงัน มันไม่ใช่เรื่องโกหก ผ้าสีขาวที่คลุมร่างบนเตียงไว้ทั้งตัวนั่น...

เอวานแทบไม่ได้มองว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง เมื่อจุดสนใจคือร่างบนเตียงที่ถูกคลุมผ้าไว้ และมันกำลังจะถูกเข็นผ่านเขาไป แรงปะทะของลมเพียงบางเบาเมื่อเตียงถูกเข็นผ่านทำให้เขาชาไปทั้งร่าง ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนพวกเขายังคุยกันอยู่เลย แล้วนี่มันอะไร ไหนว่าอยากเจอลูกไง สตีฟ?

กายสูงใหญ่ยังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองวันก่อนสตีเฟ่นเพิ่งบอกว่าจะถูกย้ายกลับไปพักฟื้นที่บ้าน จะพยายามรักษาตัวเพื่อที่จะได้ไปพบลูกชายด้วยตัวเอง แล้วสองวันถัดมากลับเป็นแบบนี้ มันบ้าอะไรกัน

“มิสเตอร์เวสส์”

เอวานค่อยคืนสติเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นข้างกาย นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยปรายมามองคนเรียก โจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่น คนที่โทรไปแจ้งข่าวกับเขาจนต้องรีบรุดมาที่นี่

“เชิญทางนี้หน่อยครับ”

กายสูงใหญ่ค่อยก้าวตามไปเมื่ออีกฝ่ายเชิญ โดยมีทอมัสและแมกซ์เวลตามไปด้วย ในมุมหนึ่งที่ปลอดผู้คน บอดีการ์ดทั้งสองยืนทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขณะที่ผู้เป็นนายกำลังคุยกับคนของสตีเฟ่น ไรท์

โจฮานส่งเครื่องบันทึกเสียงให้ลูกพี่ลูกน้องของนาย อีกฝ่ายเพียงปรายสายตามองด้วยสีหน้าที่ยังเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด

“เขาสั่งเอาไว้ก่อนจากไป ว่าต้องส่งมันให้คุณ”

“......” เอวานรับมาโดยไม่พูดอะไร

“เขากังวลเรื่องที่ขอให้คุณช่วย” โจฮานยังพูดต่อ “ก่อนนี้คนที่ช่วยเขาตามสืบคือผมเอง แต่เพราะผมเป็นคนของไรท์ ทำให้ถูกจับตามอง จึงไม่สามารถตามต่อได้ แต่ข้อมูลสุดท้ายที่ผมได้มากลับทำให้อาการของเขาทรุดหนักลง เมื่อรู้ว่าเธอตายไปแล้ว เขาก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์อดทนเพราะรู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่”

เอวานถอนใจเบา มันคือลมหายใจเฮือกสุดท้ายของสตีเฟ่นแล้วจริง ๆ ไม่มีทางที่สตีเฟ่นจะกลับมาแข็งแรงจนสามารถไปเจอเด็กคนนั้นด้วยตัวเองได้แบบที่พูด

“เขารู้ดีว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวที่นำปัญหามากองไว้ที่คุณ แต่คุณเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจ และไม่เคยคิดจะหักหลังเขา”

สีหน้าเอวานยังนิ่ง ขณะที่ในใจกลับแทบระเบิดถ้อยคำมากมายใส่คนสนิทของสตีเฟ่น แต่ก็จำต้องข่มมันเอาไว้เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์

“ได้โปรด ช่วยทำตามคำขอสุดท้ายของเขาด้วยเถอะ” โจฮานโค้งตัวลงอย่างวอนขอ แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้น

เครื่องบันทึกเสียงในมือเอวานถูกกำแน่นจนสั่น เขาควรต้องรู้สึกอย่างไรกับคำว่า คำขอสุดท้าย งั้นหรือ?



เอวานกลับมาที่คอนโดมิเนียม เขาเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้ทักทายเด็กที่รีบออกมารับหน้า ทำให้เด็กน้อยได้แต่เหลียวมองตามเมื่อเห็นท่าทีของคนที่เดินผ่านไปดูแปลกจนน่าเป็นห่วง

กายหนาทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน มือกุมศีรษะแล้วซบหน้าอยู่อย่างนั้น เครื่องบันทึกเสียงวางนิ่งอยู่ข้างกาย เขายังไม่คิดจะฟังมัน เมื่อเจอแรงสะท้อนซัดมาแบบนั้น ทุกอย่างที่เคยคุยกันมันล้มเหลว สตีเฟ่นบอกกับเขาว่าจะรักษาตัวแล้วมาเจอกลิ่นแก้วด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันไรก็กลับจากไปแบบนี้

ชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อกลับออกมาก็ยืนมองเครื่องบันทึกเสียงที่ยังวางอยู่ที่เดิม ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาก่อนยัดเข้าลิ้นชักหัวเตียงแล้วงับปิด

ขณะเดียวกันข้างนอกนั้น กลิ่นแก้วได้แต่ชะเง้อมองประตูห้องนอนของมิสเตอร์เวสส์ที่ปิดเงียบ อาหารเย็นถูกตั้งโต๊ะแล้วยังไม่เห็นวี่แววว่าคนในห้องจะออกมา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาการมิสเตอร์เวสส์ดูไม่ดีเลย

“กลิ่นแก้ว”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อกำลังอยู่ในภวังค์ของตนเอง หันมองคนเรียกที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วยิ้มเจื่อน

“มากินข้าว”

กลิ่นแก้วก้าวตามคนเรียกไปที่โต๊ะ ทอมัสลงมือไปแล้วโดยไม่รอใคร ขณะที่แมกซ์เวลค่อยนั่งลงข้างกัน สายตาชำเลืองมองเด็กที่มีสีหน้าเป็นกังวลไม่ปิดบัง

“มิสเตอร์แมกซ์เวล” กลิ่นแก้วตัดสินใจเอ่ยเรียก เมื่อความอยากรู้มันมีมากเกินกว่าจะทนเงียบต่อไปได้ “มิสเตอร์เวสส์ไม่สบายเหรอครับ?”

คำถามนั้นทำให้ทอมัสเงยจากจานสปาเกตตี้มามอง ก่อนว่า “เรื่องของผู้ใหญ่”

“......” คำพูดที่ราวตำหนินั้นทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป

“กินได้แล้ว จะได้ไปแปรงฟันแล้วนอน ฟันผุไม่รู้ด้วย”

แมกซ์เวลมองคนพูดแล้วจึงเบือนสายตาไปหาเด็กน้อยที่ค่อยตักซุปในถ้วยกิน เขาไม่ได้พูดหรือบอกอะไรนอกเหนือไปจากที่ทอมัสพูดไปเมื่อครู่ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงต้องให้เวลากับผู้เป็นนายของพวกตนสักหน่อย เพราะมันกะทันหันจนไม่ทันได้ล่ำลาอะไรกันแม้แต่คำเดียว


......


พิธีศพสตีเฟ่นถูกจัดขึ้นที่โบสถ์ในวันถัดมา เอวานที่มาร่วมพิธีแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่มันก็คือความจริงที่หลีกหนีไม่ได้ ทุกคนเกิดมาต้องตายด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว บางครั้งก็จากไปแบบไม่ทันได้ล่ำลาเช่นเดียวกับสตีเฟ่นก็มีมากมาย

หลังพิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้นจนกระทั่งวันฝังศพ เอวานไม่ได้ไปเมื่อมันควรเป็นกิจของครอบครัว ในวันนั้นเขาได้ตัดสินใจฟังเสียงบันทึก คำขอสุดท้ายของสตีเฟ่น ไรท์

“สวัสดี น้องรัก”

เอวานทำเสียงหึในลำคอกับคำทักทาย

“ถ้าเจ้านี่มาอยู่ในมือนาย ก็หมายความว่าฉันคงไม่ได้อยู่ให้นายเห็นหน้าแล้ว”

น้ำเสียงที่ดังมาให้ได้ยินยังปรกติ แสดงว่าสตีเฟ่นต้องอัดไว้ก่อนที่อาการจะทรุด หัวคิ้วเอวานเริ่มขมวดเมื่อคิดเช่นนั้น

“ฉันรู้ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวที่ดึงนายเข้ามาเกี่ยว แต่นายคือความหวังเดียวที่ฉันพอจะพึ่งพาได้ นายไม่เคยหวังอะไรจากฉัน ไม่เคยคิดที่จะทำลายฉัน ไม่ดูถูกความคิด หรือแม้กระทั่งตัวตนของฉันที่ไม่เป็นที่พอใจของใครต่อใคร”

สตีเฟ่นเป็นพวกผ่าเหล่าผ่ากอ เขาเกิดมาก็เหมือนคาบช้อนเงินช้อนทอง ชีวิตไม่เคยต้องลำบาก แต่กลับไม่เคยมีความสุข เพราะการแก่งแย่งชิงดีกันของคนในตระกูล ไรท์มีธุรกิจคาสิโนซึ่งพ่วงด้วยที่พักและอาหารพร้อมความบันเทิงครบครัน มันทำเงินให้มากมายในแต่ละปี สตีเฟ่นเลือกที่จะใช้ชีวิตอิสระ ไม่เข้าไปแย่งชิงผลประโยชน์อะไรกับใคร ทำให้เขากลายเป็นพวกไม่เอาอ่าว ทุกคนปรามาสเขาไว้แบบนั้น

“นายก็คงรู้ดีว่ามันมีทางเลือกไม่เยอะนักสำหรับฉัน ฉันไว้ใจใครในครอบครัวไม่ได้เลยสักคน พวกเขาพร้อมที่จะทำลายเพียงเพราะฉันเป็นหนึ่งในคนที่จะทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์”

เอวานยังเงียบฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายบันทึกไว้ ความอัดอั้นตันใจที่มีถูกถ่ายทอดมาให้ได้ยิน ซึ่งทุกอย่างนั่นเขารู้ดี แม้สตีเฟ่นไม่บอก ก่อนที่จะมาสะดุดเมื่อเจ้าของเสียงบันทึกเอ่ยถึงเด็กที่อยู่ในความดูแลของเขาเวลานี้

“เขาเป็นเด็กดีใช่ไหม เอวาน?” น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลกว่าทุกทีเมื่อเอ่ยถึงเด็กคนนั้น “ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะดูแลเขา อยากชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่เขาและแม่ของเขาต้องลำบากยากเข็ญ ต้องระหกระเหเร่ร่อน ไร้ที่พักพิง จนกระทั่ง... เธอตายจากไป”

ความเจ็บปวดมันกัดกินลึกจนยากจะถอน สิ่งที่สตีเฟ่นพูดมันบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายผู้นี้จมอยู่กับความรู้สึกผิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สตีเฟ่นคงเฝ้าโทษตัวเองมาโดยตลอด

“ฉันให้คนเฝ้าสืบหาจนรู้ว่าลูกของฉันกับเธออยู่ที่ไหน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขายังอยู่กับแคทเธอรีน เดลลาร์ เขาคงมีสังคมที่ดี มีสิ่งแวดล้อมดี ๆ เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ และใช้ชีวิตแบบปรกติสุข แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ทำให้เขาต้องมาอยู่กับสองผัวเมียนั่น”

ถึงตรงนี้ เอวานเริ่มกำเครื่องบันทึกเสียงแน่นขึ้น สตีเฟ่นรู้ทุกอย่าง รู้ดีทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่ากลิ่นแก้วอยู่กับสองผัวเมียนั่น ไม่ใช่แค่ถูกแคทเธอรีน เดลลาร์รับเป็นบุตรบุญธรรม

“ฉันอยากเข้าไปพาเขาออกมา แต่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะลูกของฉันจะไม่มีทางปลอดภัย แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะหากไม่ถูกสองผัวเมียนั่นทำลาย ก็จะถูกหมายเอาชีวิตจากคนทางนี้ นายก็รู้ดี เรื่องผลประโยชน์ ไม่มีใครไม่ต้องการ การขจัดเสี้ยนหนามให้พ้นทาง ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา”

เอวานแทบขว้างเครื่องบันทึกเสียงในมือทิ้ง นี่เขาฟังบ้าอะไรอยู่ ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่าตนเองโง่เง่า

“ถ้าครอบครัวฉันรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของฉันจริง ถ้าเขาพิสูจน์ได้ก็อาจจะชุบเลี้ยง แต่ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น ฉันไม่อยากให้ลูกต้องเข้ามาอยู่ในวังวนเหล่านี้ แต่นอกเหนือกว่านั้น อันตรายที่ฉันพูดถึง นอกจากพี่น้อง วิลสันก็คงไม่ยอมอยู่เฉย หากมันจะทำให้มากาเร็ตสูญเสียผลประโยชน์”

เอวานเริ่มนวดขมับ มุมปากกระตุกยิ้มหยัน ที่ว่ามาทั้งหมดนั่น สตีเฟ่นต่างหากที่ร้ายกาจกว่าใคร เสียงในเครื่องยังคงพูดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเงียบเหมือนขาดหายไป เอวานนึกว่ามันหยุดแค่นั้น แต่ไม่ใช่ เมื่อเสียงเรียกดังลอดมา

“เอวาน... นายก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าชีวิตเขามันบัดซบแค่ไหน ทำไมมันต้องเกิดกับเด็กตัวแค่นี้ นายคิดว่ามันยุติธรรมแล้วเหรอ?”

“......”

“แน่นอนว่าฉันควรปกป้องดูแลเขา แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีแรงเหลือพอที่จะทำมันได้ ฉันทำมันไม่ได้ เอวาน แต่ฉันก็ปล่อยให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมแบบนั้นต่อไปอีกไม่ได้” น้ำเสียงที่เขาได้ยินดูสั่นเครือ “ทั้งหมดนั่นมันเป็นความผิดของฉัน ความผิดฉันเอง มันน่าขำที่จะมาแก้ไขอะไรตอนนี้ ฉันรู้ว่ามันคือความเห็นแก่ตัว แต่...”

“......”

“เอวาน... ฉันขอร้อง ช่วยรับฟังความเห็นแก่ตัวครั้งสุดท้ายของฉันด้วย”

“......”

“ได้โปรดดูแลเขาแทนฉัน ได้โปรดอย่าปล่อยให้เขาต้องกลับไปเผชิญเรื่องราวเหล่านั้นตามลำพัง ฉันขอร้อง ฉันขอร้องนายเป็นครั้งสุดท้าย... ครั้งสุดท้าย...”

เอวานหัวเราะในลำคอเมื่อฟังจบ ไม่มีช่องให้เขาได้ปฏิเสธ ก็เขาจะไปปฏิเสธกับใครได้เมื่อคนร้องขอไม่อยู่แล้ว อยากด่าความเห็นแก่ตัวนั้นแต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ สตีเฟ่นรู้ รู้ดีว่าหากเขาได้รู้จักเด็กคนนั้นแล้ว เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดิม เขาจะต้องไม่พอใจในความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเด็ก ต่อให้โกรธ ให้โมโห เมื่อรู้ทีหลังว่าแผนการมันถูกวางไว้แต่แรก เขาก็จะไม่มีทางทิ้งกลิ่นแก้ว

“นายมันก็ยังเหลี่ยมจัดเหมือนเดิม”

เอวานว่าเสียงหยัน สตีเฟ่นก็ยังคงเป็นสตีเฟ่น ไม่ใช่แค่เจ้าชู้ไปวัน ๆ แต่เล่ห์เหลี่ยมในแบบของไรท์ก็มีอยู่เต็มเปี่ยม ขนาดจากไปแล้วก็ยังไม่ทิ้งลาย

เครื่องบันทึกเสียงถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้เหมือนเดิมหลังจากนั้น กายหนาเอนลงนอนใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะ ความคิดมากมายกำลังตีกันในหัว ยากที่จะข่มตาหลับด้วยความหนักอึ้งที่มี มันยังเหลือทางไหนให้เขาเลือกบ้าง?


......


ป้ายหินสลักที่ตั้งอย่างมั่นคงอยู่เหนือผืนดิน เรียงรายไปรอบบริเวณแสนกว้าง มันดูเวิ้งว้างในความรู้สึก หากแต่ก็ให้ความรู้สึกสงบเมื่อเข้าใจถึงวัฏจักรของโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราทุกคนไม่มีวันหลีกหนีได้พ้น เมื่อเกิดจากดิน ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับคืนสู่ดิน

ดอกไม้ช่อใหญ่ถูกวางลงหน้าป้ายสลัก ร่างสูงใหญ่นั้นค่อยยืดตัวขึ้นยืนตรงโดยมีเด็กชายตัวเล็กยืนอยู่ข้างกัน เยื้องไปด้านหลังคือบอดีการ์ดทั้งสองนายที่คอยระวังภัย แสงแดดยามใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวไม่ร้อนมากนัก แม้ฟ้าจะกระจ่าง แต่สายลมยังคงพัดพามาบางเบา

กลิ่นแก้วอ่านชื่อที่สลักบนป้ายหิน เขาพออ่านหนังสือออกบ้าง หากไม่ใช่คำที่ยากจนเกินไปนัก มิสเตอร์เวสส์พาเขามาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกอะไร ไม่รู้ว่ามาหาใคร และชื่อสตีเฟ่น ไรท์ บนป้ายสลักคือใครก็ไม่อาจรู้ได้ บรรยากาศรอบกายราวย้อนกลับไปวันที่มารดาต้องลาลับ ในวันนั้นเขาร้องไห้ปานจะขาดใจ กระทั่งวันที่ได้มายืนอยู่หน้าหลุมศพ น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล เขารู้ดี รู้ดีว่าไม่ควรร้องห่มร้องไห้เช่นนั้น แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะทำมัน

ความรู้สึกทุกข์ตรมเริ่มคืบคลานมาเกาะกินใจ มองป้ายสลักที่แม้จะไม่ใช่ของมารดาตนแต่น้ำตาก็พาลจะไหล เมื่อราวเห็นภาพทับซ้อนเกิดขึ้นในมโนสำนึก เด็กน้อยกะพริบตาถี่ พยายามไม่ร้องไห้เพราะมิสเตอร์เวสส์บอกว่าคนเจ้าน้ำตาคือคนอ่อนแอ เขาไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับมิสเตอร์เวสส์

ตากลมช้อนมองคนตัวโตข้างกายที่ยังคงยืนเงียบ ผู้ที่นอนสงบอยู่ใต้พื้นดินคงสำคัญกับคนคนนี้ไม่น้อยเลย เพราะถึงแม้จะมีแต่ความเงียบที่โอบล้อมรอบกาย กลิ่นแก้วยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในแววตา

มือเรียวเล็กค่อยยกขึ้นจับมือใหญ่ ความอุ่นของมันเรียกสติเอวานกลับมา ดวงตาคมค่อยเบือนกลับมามอง สีหน้าเด็กน้อยข้างกายดูเป็นห่วงกังวลใจ เขามองมันนิ่งอยู่นานก่อนจะกุมมือเล็กนั้นตอบ เบือนสายตาไปที่ป้ายสลักอีกครั้งเป็นการบอกลา ก่อนผินกายกลับแล้วออกก้าวเดิน พร้อมจับจูงเด็กน้อยให้ก้าวมาเคียงกัน

‘คำขอสุดท้ายของนาย ฉันจะทำมัน’





❤ TBC ❤

บวกขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ  :กอด1:

วันใหม่
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 26-09-2018 20:52:54
ไอออกมาได้แต่คำว่า คุก คุก คุก คุก คุก 555555 // รอติดตามนะคะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 26-09-2018 21:07:07
ในที่สุดสะใภ้คนสุดท้องก็มา ดีต่อใจจริงๆคะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-09-2018 00:06:10
โอยยยย ตัวคนพ่อก็เจ้าเล่ห์ ก็รู้ว่าหวังดีกับลูกตัวเองนะ แต่แบบ... :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 27-09-2018 00:16:22
อยากปฏิเสธแต่คนที่จะฟังไม่อยู่แล้วมันทรมานนะ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-09-2018 06:25:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 27-09-2018 10:03:08
ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๒ เด็กในปกครอง + >>26.09.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-09-2018 10:09:45
จะมีดราม่าอะไรอีกไหมน๊อ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 06-10-2018 20:30:44
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ



“นี่เจ้าเด็กเหลือขอมันไปไหนแล้ว ทำให้เราซวยแล้วก็หายหัวไปเลย บ้าจริง ๆ”

เสียงโครมครามดังมาจากห้องครัวของร้านเดลลาร์ ดี พร้อมเสียงบ่นจากเจ้าของริมฝีปากที่ถูกฉาบทาด้วยสีแดงสดเข้ากับบุคลิกเปิดเผย ไฝเม็ดเล็กเหนือปากยิ่งส่งให้เธอเป็นคนพูดมากจนเกินพอดี

“นั่นสิ คนพวกนั้นพาไปที่ไหนกัน ป่านนี้จะเป็นไงบ้างไม่รู้” ผู้เป็นสามีรำพึงรำพันขณะช่วยดูแลหน้าร้าน รอเวลาเปิดทำการ

กลิ่นแก้วหายไปหลายวันแล้ว แต่คนที่นี่ก็ยังไม่ขยับตัวทำอะไร ไม่แม้แต่จะไปแจ้งความ เพราะกลัวว่าซักไปซักมาเรื่องมันจะวนกลับมาหาตนเอง เนื่องจากก็ไม่ได้ดูแลเด็กมันดีสักเท่าไร แม้แต่ตัวนายเจคเองที่รำพึงรำพันเหมือนห่วงใยก็ยังห่วงตัวเองมากกว่า

“นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ตาเฒ่าพาร์เลอร์ไม่มาถล่มร้าน แต่ที่ร้านเราต้องเสียลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างตาเฒ่านั่นก็เพราะไอ้เด็กเหลือขอคนเดียว สร้างแต่เรื่อง ถ้าซมซานกลับมานะ แม่จะเฆี่ยนให้เลือดซิบ”

หล่อนจีบปากจีบคอ ทั้งเข่นเขี้ยวในตอนท้าย เพราะยังเจ็บใจไม่หายที่ต้องจ่ายเงินคืนให้ตาเฒ่านั่น ทั้งที่บอกกันไปแล้วว่าซื้อขาด แถมตัวตาเฒ่านั่นเป็นคนทำเสียเรื่องเองด้วยซ้ำ แค่เพราะร้านนางมันไม่ใช่สถานบริการขนาดใหญ่ที่พอจะมีอำนาจต่อรองกับใครได้ จึงจำใจต้องยอม เพราะถึงอย่างไรตาเฒ่าพาร์เลอร์ก็มีอำนาจในมือมากกว่า

“โวยวายอะไรกัน แม่ แล้วนี่อาหารเช้าเสร็จหรือยัง ผมจะไปเรียนแล้ว” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีสว่างไม่ต่างจากนางมาเรียมเดินลงมาจากชั้นบน เมื่อเจ้าหล่อนเห็นดังนั้นก็รีบกุลีกุจอเข้ามาหา

“โอ้ เสร็จพอดีเลยลูก มา ๆ มากินก่อน อาหารเช้าช่วยบำรุงสมองได้ดีเชียว” พาลูกไปที่โต๊ะซึ่งอาหารเช้าถูกตระเตรียมเอาไว้แล้วดังว่า เมื่อลูกนั่งลง จึงนั่งลงอีกฝั่งก่อนพูดถึงเรื่องที่ค้างไว้เมื่อครู่ให้ลูกฟัง “แม่กำลังพูดถึงไอ้เด็กกลิ่นแก้วที่หายหัวไปเลยน่ะสิ”

“ทำไม?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อย ๆ

“นี่ก็หลายวันแล้วนะที่ไอ้หนุ่มสองคนนั่นเอาตัวมันไป ดูซิ เกือบทำให้ร้านเราโดนคนของตาเฒ่าพาร์เลอร์ถล่มแล้ว นี่ดีนะที่แม่พอมีฝีปากอยู่บ้าง”

“แล้วแม่รู้ไหมว่าคนพวกนั้นมันเป็นใคร?” เจเรมี่ก็เอ่ยถามไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าใครเป็นใคร จะพาใครไปไหน ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย

“ไม่รู้หรอก อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา เห็นลูกน้องของตาเฒ่าพาร์เลอร์บอกว่าตอนที่ไล่ตามไอ้เด็กนั่นก็มีคนมาช่วยมัน เป็นผู้ชายสามคน แต่งตัวดีเชียว ไม่น่าจะใช่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ฟังดูแล้วก็เข้าเค้าอยู่ เพราะสองคนนั่นก็ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาแบบลูกน้องตาเฒ่านั่นว่า น่าจะเป็นพวกเดียวกัน” นางมาเรียมคาดเดา

เวลานี้คนพวกนั้นพาเด็กกลิ่นแก้วไปไหนนางก็สุดจะรู้ หรือพูดให้ถูกคือไม่ได้อยากรู้ เพราะถึงเด็กนั่นจะอยู่หรือไม่อยู่ ค่าก็เท่ากัน ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนอกจากเป็นแหล่งกอบโกย และตอนนี้นางก็ทั้งกอบทั้งโกยมาหมดแล้ว ถึงได้กล้าที่จะส่งมันไปให้ตาเฒ่าพาร์เลอร์เช่นนั้น

เสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นเรียกความสนใจ นางมาเรียมมุ่นคิ้วเมื่อยังไม่ถึงเวลาร้านเปิด ร่างท้วมลุกออกไปดู เมื่อเห็นชายตัวใหญ่ภายใต้ชุดสูทก็ชะงัก ไม่คุ้นหน้าเลย

“ร้านยังไม่เปิดนะคะ คุณผู้ชาย”

นางมาเรียมเอ่ยบอกพร้อมฉีกยิ้ม แต่ดูท่าบุรุษแปลกหน้าทั้งสองนายจะไม่สนใจ กลับเดินเข้าร้านไปโดยที่นางมาเรียมได้แต่เบิกตาโต นี่มันเรื่องอะไรกันอีกแล้ว คนพวกนี้เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรในการมาครั้งนี้กัน?


......


Ace Casino คาสิโนซึ่งติดอันดับต้น ๆ ของนักเที่ยว ด้วยความโออ่าของสถานที่ ทั้งการบริการที่น่าประทับใจและมีระดับ รวมถึงการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้ในค่ำคืนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเหล่านักเที่ยวที่บ้างก็มาหย่อนใจ บ้างก็มาเพื่อดื่มกิน และบ้างก็มาเพื่อเสี่ยงโชค ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังคงคึกคักไม่เปลี่ยน

เอวานนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งในมุมส่วนตัวของห้องอาหารบนคาสิโน โดยมีบอดีการ์ดทั้งสองนายยืนขนาบด้านหลัง เขาตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว ด้วยท่าทีที่ไม่เหมือนจะเข้ามาเพื่อเสี่ยงโชคหรือแม้แต่หาความบันเทิงใส่ตัว ทั้งยังตามติดมาด้วยบอดีการ์ดตัวใหญ่ที่ไม่แม้แต่จะเสวนากับใครสักคน และอาจมีบ้างที่พอคุ้นหน้าว่าเขาเป็นใคร

Ace Casino อยู่ภายใต้การบริหารของลูกชายทั้งสามคนในตระกูลไรท์ซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ และในตอนนี้ที่สตีเฟ่นจากไปแล้วทำให้หุ้นในส่วนนั้นตกมาอยู่ในมือมากาเร็ต ผู้เป็นภรรยาตามกฎหมาย เธอเข้ามาบริหารในส่วนของความบันเทิงและอาหาร ขณะที่ฝั่งครอบครัวไรท์ควบคุมในส่วนของคาสิโนและบาร์

ไม่นานจากนั้นหญิงสาวภายใต้ชุดแซคเข้ารูปสีเข้มก็ก้าวมาพร้อมบอดีการ์ด มากาเร็ตยังสาวและสวย เมื่อเธอเป็นนักแสดงทำให้ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และด้วยความที่เข้ามาพัวพันในธุรกิจนี้ทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามอง ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็กลายเป็นข่าว แต่เพราะบิดาของเธอเป็นเจ้าพ่อสื่อซึ่งมีอิทธิพลในวงการอยู่ระดับหนึ่ง ทำให้เธอไม่ค่อยมีข่าวเสียหาย

หญิงสาวค่อยนวยนาดไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขกที่เธอเชิญมา ญาติของสามีที่เธอไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไร ใช่ ที่เอวาน เวสส์เป็นคนหนุ่มที่มีเสน่ห์ มีแต่คนอยากเข้าหา ไม่เว้นแม้แต่เธอเอง แต่แม้ชายคนนี้จะมีรอยยิ้มแตะแต้มริมฝีปากอยู่เสมอไม่ว่ากับสถานการณ์ใด แต่รอยยิ้มนั้นหาใช่รอยยิ้มต้อนรับ แต่เป็นการเตือนให้อยู่ห่าง ทำให้เธอหมดหวังจะผูกไมตรี การแต่งงานกับสตีเฟ่นจึงไม่ใช่ทางเลือกที่แย่อะไรนัก

“ขอบคุณที่มา” เอ่ยกับชายหนุ่มตรงหน้าขณะที่บริกรนำไวน์มาเสิร์ฟ

หญิงสาววนแก้วเบา ๆ กลิ่นหอมของไวน์ชั้นดีแตะจมูกทำให้เธอเปิดยิ้มสวย ก่อนเลื่อนแก้วไปชนกับแขกกิตติมศักดิ์ในค่ำคืนนี้เบา ๆ แล้วจรดแก้วกับริมฝีปากเพื่อลิ้มรสละมุน

“เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ มาดาม”

คำเรียกขานที่ดูห่างเหินไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าหายไปแต่อย่างใด ดวงตาคมเฉี่ยวช้อนมองคนพูด วางแก้วลงช้า ๆ ขณะเจรจาพาที

“จะรีบไปไหนละคะ มาถึงที่นี่แล้ว ทานอาหารด้วยกันสักมื้อเป็นไร”

เอวานยิ้มกับคำชวน “อาหารของที่นี่เป็นที่ขึ้นชื่อ แต่น่าเสียดายที่วันนี้ผมคงต้องเสียมารยาท เพราะมีธุระต้องไปต่อ”

“แหม น่าเสียดายจริง”

ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามขอบแก้วเบา ๆ ราวถ่วงเวลา แต่คนตรงหน้าเธอก็ยังไม่แสดงอาการใดให้เห็น แววตาคู่นั้นยังคงนิ่งมอง ทำให้เธอต้องเปิดปากถึงเรื่องที่เชิญมาวันนี้

“เด็กคนนั้น”

“......”

“ฉันไม่รู้นะว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของสตีฟคืออะไร ที่ฉันเชิญคุณมาเพราะอยากตกลงกับคุณ”

“......”

“ความจริงแล้ววิลสันและเวสส์ไม่เคยบาดหมางกัน หรือแม้แต่เจฟเฟอร์สันที่เป็นเครือญาติกับไรท์ก็ตาม”

“......” เอวานไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เพียงนิ่งรอ รอว่าเธอจะเข้าประเด็นที่เธออยากพูดจริง ๆ เมื่อไร

“เวลานี้สตีฟก็ไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรที่เขาขอให้คุณช่วย คุณก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้นก็ได้นะคะ เด็กคนนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลยสักนิด แล้วทำไมคุณต้องหาเรื่องใส่ตัว ฉันเองไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคุณ คุณเองก็เช่นกัน ใช่ไหม?”

“......” นัยน์ตาคมจับจ้องเธอนิ่ง ขณะที่ริมฝีปากยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อฟังเธอพูด

มากาเร็ตโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากสวยค่อยขยับ “ส่งตัวเขามาให้ฉันเถอะค่ะ ภาระที่คุณแบกไว้ มันจบแล้ว”

เอวานหัวเราะในลำคอเบา ๆ แก้วไวน์ที่ถืออยู่ค่อยวางลงบนโต๊ะ เขาพอรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเธอจากโจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่น ว่าเธอส่งคนไปที่ร้านเดลลาร์ ดี คงเพราะรู้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ที่นั่น แต่ยังช้าไปเมื่อคนคนนั้นมาอยู่ในความดูแลของเขาเสียแล้ว นัยน์ตาคมมองสบหญิงสาวตรงหน้าแล้วเอ่ยบอก

“คงไม่ได้”

“......” คำปฏิเสธนั้นทำให้มากาเร็ตเกร็งคอ

“ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องส่งเขาให้คุณ” ริมฝีปากหยักยังคงแตะแต้มด้วยรอยยิ้มบางเบา

“แต่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย” มากาเร็ตที่กลับมานั่งหลังตรงอย่างไว้ท่าทีเอ่ยแย้ง

“เขาก็ไม่เกี่ยวกับคุณเช่นกัน”

“คุณว่าอะไรนะ?”

“หรือคุณคิดว่าเขาเกี่ยว?”

“......” เผลอหลบสายตาเมื่ออีกฝ่ายมองจ้อง

“คุณคิดว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ?”

มากาเร็ตถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง “คุณไม่น่าถามคำถามนี้ เพราะคุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเป็นใคร”

“เขาเป็นคนของผม” เอวานประกาศชัด ก่อนย้ำ “เขาอยู่ในความดูแลของผม”

“คุณจะประกาศศึกกับฉันเหรอ?” ดวงตาคู่สวยมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่ชักไม่ดีเหมือนแรกเริ่ม

“ผมไม่คิดว่าเราจะเป็นศัตรูกันเพราะเด็กเพียงคนเดียว” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยบอก ก่อนทิ้งท้าย “อย่างที่คุณพูด เราไม่เคยบาดหมางกัน ผมก็หวังว่ามันจะยังเป็นเช่นนั้นอยู่”

“.......”

“ขอตัว...”

“เดี๋ยว”

กายสูงใหญ่ที่ผุดลุกต้องหยุด บอดีการ์ดทั้งสองที่กำลังจะขยับตัวตามผู้เป็นนายจึงชะงักตาม ทุกสายตาหันกลับมามองหญิงสาวเพียงคนเดียว ณ ที่นั้น

ร่างสมส่วนค่อยลุกขึ้นมาหา “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคุณต้องปกป้องเขา?”

“ผมบอกไปแล้วว่าเพราะอะไร”

“ฉันไม่เห็นว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้น”

มุมปากเอวานยกยิ้ม “ผมก็ไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากเขา”

ยิ่งพูด เธอยิ่งไม่เข้าใจ เอวาน เวสส์ คิดจะทำอะไรกันแน่ มันเป็นไปได้หรือที่รู้ทั้งรู้ว่าเด็กคนนั้นจะนำความเดือดร้อนมาให้ แต่ยังให้การช่วยเหลือโดยไม่แม้จะมีอะไรตอบแทนกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน หากเพียงเพราะทำเพื่อสตีเฟ่น มันก็มากไปสักหน่อย

“หรือว่าที่จริงคุณคิดจะใช้เขาเพื่อเข้ามาฮุบที่นี่?” มากาเร็ตคาดเดาอย่างหาข้อสรุปให้การกระทำของชายตรงหน้า

“ผมไม่สนใจหรอกว่าพวกคุณจะแย่งชิงอะไรกัน และผมก็ไม่คิดที่จะให้เด็กคนนั้นเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้ คนของผม ผมดูแลได้ และหวังว่าคุณจะจำให้ขึ้นใจ... อย่ามายุ่งกับคนของผม”

เอวานเอ่ยขอตัวอีกครั้งก่อนผละไป ปล่อยให้มากาเร็ตยืนสงบสติอารมณ์อยู่ตรงนั้น เอวาน เวสส์ ประกาศชัดแล้วว่าพร้อมเป็นศัตรูกับเธอหากเธอแตะต้องเด็กคนนั้น ทางเลือกของเธอมีแค่จะยอมเสี่ยงเพียงเพราะเด็กคนเดียวแบบที่อีกฝ่ายว่าไหมเท่านั้น

หลังออกจากคาสิโน เอวานก็กลับมาที่คอนโดมิเนียม เสียงเปิดโทรทัศน์ในห้องทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายเหลือบมองกัน เพราะปรกติแล้วกลิ่นแก้วจะอยู่เงียบ ๆ บางทีก็อ่านหนังสือที่มิสซิสสวอนเนอร์เอามาฝากจนเพลินแล้วหลับอยู่แถวโซฟาห้องนั่งเล่น หลังจากที่มิสซิสสวอนเนอร์ไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะเจ้าตัวเล็กบอกว่าอยู่คนเดียวได้ ไม่อยากรบกวนเวลางาน

กลิ่นแก้วชอบอ่านหนังสือ แต่ส่วนมากก็จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กที่มีศัพท์ไม่ยากนัก ในห้องทำงานส่วนตัวของเอวานมีแต่หนังสือวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กได้แต่ไปจับ ๆ พลิก ๆ เพราะถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ เห็นเด็กชอบอะไรแบบนี้เอวานก็อยากสนับสนุน ตอนนี้ก็กำลังดู ๆ เรื่องโรงเรียนให้อยู่ แต่อาจจะหลังจากนี้สักพักใหญ่ ๆ เพราะสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไรนัก

เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน สิ่งแรกที่เห็นคือกลิ่นแก้วที่นั่งตัวลีบอยู่บนโซฟา โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง แต่เพียงแค่นั้นเอวานก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

ร่างที่นั่งหันหลังให้ค่อยลุกขึ้นแล้วหันมาหา ก่อนเอ่ยทัก “กลับมาแล้วเหรอ?”

ห้องทำงานส่วนตัวของเอวานหลังจากนั้น ผู้ที่จับจองโซฟาในมุมพักผ่อนเวลานี้คือเกวน เจฟเฟอร์สัน มารดาของเขาเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่กับกลิ่นแก้วคนนั้นนั่นล่ะ ท่านมาหาแบบไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยปรกตินัก

“มีอะไรจะบอกแม่ไหม?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง

ริมฝีปากหยักยกยิ้มกับคำถาม ท่านไม่ได้เจาะจงว่าบอกเรื่องอะไร เขาเองก็ไม่ได้อยากยียวนให้ต้องขุ่นมัว เพราะไม่เคยปิดอะไรมาดามมาเฟียคนนี้ได้เสียทีหรอก

“มัมหมายถึงเด็กข้างนอกเหรอครับ?”เอวานเอ่ยถาม

“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไง?” ท่านย้อนมาบ้าง

ผู้เป็นลูกหัวเราะในลำคอ “ถ้ามีก็คงปิดมัมไม่ได้หรอก จริงไหมครับ?”

มาดามมาเฟียส่งค้อนให้คนเป็นลูกวงโต ก่อนว่า “รู้แบบนั้นแล้วก็ยังจะทำ”

“เปล่าสักหน่อย”

“เปล่า แล้วที่ให้เด็กคนนั้นมาอยู่ที่นี่คืออะไร?”

“ก็เขาไม่มีที่ไป” คนเป็นลูกว่าง่าย ๆ

“ก็เลยให้มาอยู่ด้วย?”

“ครับ”

“เอวาน” ผู้เป็นมารดาต้องทำเสียงดุเมื่อลูกยิ้มเฉย

“ก็มันเรื่องจริง” หนุ่มตัวโตยังว่า

“จะพูดความจริงกับแม่สักทีได้หรือยัง?”

เอวานหัวเราะเบา ๆ ทำเป็นเล่นไม่ได้เสียแล้วสิ “ก่อนที่ผมจะบอกอะไรก็ตาม ผมอยากรู้ว่ามัมรู้เรื่องนี้ได้ไงครับ?”

“ก็มีอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไงที่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกดีกว่าใคร” เกวนว่า ไม่อยากเอ่ยชื่อคนบอกสักเท่าไร

เอวานเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใครคนนั้นที่ว่าหนีไม่พ้นบิดาของเขาหรอก เขาแค่ไม่อยากเชื่อ เพราะปรกติเรื่องเสี่ยง ๆ ท่านจะไม่เอาไปบอกมารดาเขาเด็ดขาด ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงมักไม่เข้าใจ และจะก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมา แต่คราวนี้ท่านคงคิดว่ามารดาคือไม้ตายที่จะใช้หยุดเขาได้

ตามจริงความสัมพันธ์ของพวกท่านก็ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเรื่องในอดีตทำให้ไม่อาจข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นและครองรักกันได้ หรือที่จริงแล้วเพราะมันไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่แรกก็ไม่อาจรู้ เอวานอาจไม่ได้เกิดมาจากความรัก แต่นั่นไม่ได้ทำให้นึกน้อยใจหรือโทษโชคชะตาฟ้าลิขิตใด ความรักไม่ใช่สิ่งที่เขาโหยหา เพราะเขาได้มันมามากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว

“ไม่อยากเชื่อ” เอวานว่าอย่างนั้น ก่อนจะยอมเปิดปากเล่าทุกอย่างให้มารดาฟัง ฟังจบแล้วก็แล้วแต่ท่านจะคิดเห็นอย่างไร

“นี่ลูกทำอะไรลงไป รู้ตัวไหม เอวาน?” เกวนร้องถามหลังจากฟังลูกพูดจบ แน่นอนล่ะว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการกระทำของลูกในครั้งนี้

ตั้งแต่เล็กมา นอกจากครอบครัวของอดีตสามีเช่นอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เอวานก็สนิทกับสตีเฟ่น ไรท์ ซึ่งเป็นเครือญาติฝั่งเจฟเฟอร์สัน เอวานเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่ไปไหนไปกันตลอด นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดา เกวนไม่ได้คิดอะไรมาก การพึ่งพากันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่สตีเฟ่นโยนปัญหามาไว้ที่ลูกชายของเธอแบบนี้มันมากเกินไป มากจนเกินจะรับได้จริง ๆ

“ผมปล่อยเขากลับไปสู่วังวนเดิม ๆ อีกไม่ได้จริง ๆ ครับ มัม” เอวานสารภาพ

เกวนสูดลมหายใจ พยายามสงบสติอารมณ์แล้วถามอย่างมีเหตุมีผล เธอรู้ ลูกของเธอจิตใจดี เพราะเธอเลี้ยงมาให้เขาเป็นแบบนั้น ให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจนถูกพอลตำหนิอยู่เรื่อย ๆ เพราะอยากให้ลูกเป็นมาเฟียใหญ่มากกว่า แต่ผู้เป็นมารดากลับเลี้ยงให้มีความโอบอ้อมอารี

“เพราะอะไร เพราะรับปากสตีฟไว้อย่างนั้นเหรอ?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามแบบใช้เหตุผลคุยกัน

“นั่นก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ลูกรู้ใช่ไหมว่ากำลังเอากระดูกมาแขวนคอ?”

“......” ชายหนุ่มยิ้มจางเมื่อเข้าใจดีถึงเรื่องนั้น

“ไม่ใช่แค่มากาเร็ต วิลสัน แต่ถ้าไรท์รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร อย่าว่าแต่ความสุขเลย จะใช้ชีวิตปรกติได้รึเปล่ายังไม่รู้”

“เพราะแบบนี้ผมถึงปล่อยไปไม่ได้”

“......” สิ่งที่ลูกแย้งมาทำให้เกวนเงียบ

“ถ้าผมไม่ได้เจอเขา ไม่ได้รู้จักเขา ไม่ได้ดูแลเขา แม้จะแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงมองผ่านมันไปได้ง่าย ๆ เรื่องราวของเขาคงเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายที่สตีฟเล่าให้ฟัง ผมก็คงแค่ฟัง และจบแค่นั้น”

บางทีเธอน่าจะให้พอลเป็นคนเลี้ยง แบบนั้นเอวานคงเหี้ยมได้สักครึ่งของพอล เวสส์ แม้เธอจะไม่ชอบคนแบบพอล แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเอวานน่าจะได้ความบ้านั้นมาสักหน่อย

การรับอุปการะเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่หนุ่มวัยนี้จะรับเด็กมาอยู่ในความดูแล ทำให้เธอเริ่มมองเห็นความยุ่งยากที่กำลังจะตามมาในภายหลัง ยิ่งเด็กที่มีที่มาแบบนั้นอีก

“ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม เอวาน?”

เมื่อมารดาเอ่ยถามจริงจัง เอวานก็ตอบกลับหนักแน่นเพื่อยืนยันเจตนารมณ์เช่นกัน “ครับ”

“เอาล่ะ” มองความจริงจังในแววตาลูกแล้วเกวนจึงเอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ “ถ้าอยากดูแลเด็กคนนี้จริง ๆ ลูกต้องจัดการกับปัญหาที่ติดตัวเด็กมาให้ได้ แล้วแม่จะเป็นคนรับอุปการะเขาเอง”

“มัม ผมไม่ได้คิดจะเอาปัญหามาให้...”

“งั้นลูกจะทำยังไงต่อไป?” เอ่ยถามให้คิด “จะให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือไง ไม่ต้องออกไปพบเจอกับโลกกว้าง หนังสือหนังหาก็ไม่ต้องเรียนกันแล้วใช่ไหม?”

การจะมีชีวิตที่ดี ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการศึกษาก็มีส่วน หากมีความรู้บวกความสามารถ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เทียบกับต้องมาอยู่ในห้องตลอดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ที่เด็กจากมาเลยสักนิด

“เรื่องนั้นผมกำลังจัดการอยู่” เอวานบอก

“เอวาน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นราวจะเรียกสติ “การดูแลเด็กคนหนึ่งจนเขาเติบโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้มันยากนะ ยิ่งลูกยังหนุ่มยังแน่น คิดให้มันดี ๆ เสียก่อน”

“ผมเข้าใจครับ มัม แต่ผมตัดสินใจแล้ว”

เกวนถอนใจเบา ในเมื่อลูกยืนยันความตั้งใจมาเช่นนั้น เธอก็จะไม่ขัดอีก เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องพักของลูกแล้วเจอกับเด็กคนนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างจากลูกชายของเธอนัก เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองหรือเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองไม่ได้ หากต้องกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบที่ผ่านมา เธอก็ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยจริง ๆ

เอวานพูดถูก ถ้าเพียงแต่ไม่ได้พบ ไม่ได้รู้จัก หรือช่วยเหลือดูแล มันคงจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเวลานี้ไม่สามารถถอยได้แล้วก็ต้องขจัดปัญหาที่จะตามมาให้หมดสิ้นไป เด็กคนนี้จะเป็นเพียงลูกชายของแคทเธอรีน เดลลาร์ และเป็นเด็กในอุปการะของเจฟเฟอร์สัน เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกชายของสตีเฟ่น ไรท์ มาเฟียใหญ่แห่งคาสิโน

เกวนออกมาเจอกลิ่นแก้วอีกหน เด็กชายยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน พอเห็นเธอมาก็รีบลุกขึ้นยืน เมื่อเธอนั่งลง เอวานจึงนั่งลงที่โซฟาอีกตัว ก่อนบอกให้เจ้าตัวเล็กนั่งแล้วเอ่ยแนะนำให้รู้จักกับตน

“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าข้าวของให้เรียบร้อย ถ้าเอวานไม่ว่างไปส่ง ฉันจะให้คนที่เจฟเฟอร์สันมารับ” เกวนบอก

“......” กลิ่นแก้วทำหน้างง หันไปมองเอวานอย่างมีคำถาม เก็บเสื้อผ้า จะให้ไปไหน?

“เจฟเฟอร์สันคือบ้านของฉัน เธอจะไปอยู่ที่นั่น แม่ของฉันจะเป็นคนดูแลเธอต่อจากนี้”

เจ้าตัวเล็กถึงกับนิ่ง นี่เขาต้องไปอยู่ที่อื่นหรือ แล้วมิสเตอร์เวสส์จะไปอยู่ที่นั่นด้วยกันหรือเปล่า อยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม กระทั่งเห็นสายตาดุ ๆ จากมิสเตอร์เวสส์เลยนึกถึงข้อตกลงขึ้นมาได้ มีอะไรให้พูด อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง มิสเตอร์เวสส์ไม่ชอบ

“มิสเตอร์เวสส์... จะไปอยู่ที่นั่นด้วยไหมครับ?”

เกวนมองเด็กที่หันไปถามลูกชายตน ช่างเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ เสียจริง เวลานี้เอวานคงกลายเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเด็กคนนี้ไปแล้ว

“มิสเตอร์เวสส์ของเธอ เขาต้องทำงาน เวลาดูแลเธอก็คงไม่มีใช่ไหม?” เกวนเป็นคนเอ่ยขึ้น

“... ครับ” ตอบรับเสียงค่อย มันก็จริง มิสเตอร์เวสส์ต้องทำงาน แต่ระหว่างนั้นเขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็ได้นี่นา ในใจเด็กชายยังขัดแย้ง มิสเตอร์เวสส์ไม่ไปด้วย เขาก็ไม่รู้จะอยู่กับใคร

“เจฟเฟอร์สันคือบ้านของเขา ยังไงเขาก็ต้องกลับไป ไม่ต้องห่วงหรอก”

“.....”

“เอาล่ะ วันนี้พักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ร่างระหงค่อยผุดลุกเมื่อเอ่ยจบ เอวานและกลิ่นแก้วลุกตาม ชายหนุ่มสั่งบอดีการ์ดให้ไปส่งมารดาที่เจฟเฟอร์สัน ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิมแล้วเอ่ยเรียกเด็กที่ยังยืนเงียบกริบ

“กลิ่นแก้ว”

“......” ตากลมช้อนมองคนเรียก

“มานี่”

กลิ่นแก้วก้าวเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าคนเรียกอย่างว่าง่าย สายตาหลุบมองแค่มือตัวเองที่มันกุมกันอยู่ เอวานค่อยเอื้อมมาจับมือนั้น อุ้งมือเขาใหญ่จนรวบมือเล็ก ๆ นั้นไว้ได้ทั้งสองข้าง

“เงยหน้าขึ้น”

“......”

มองสบตากลมโตนั้นแล้วจึงว่า “ที่ส่งเธอไปเจฟเฟอร์สัน เพราะที่นั่นคือที่ที่ปลอดภัย เธอจะได้เรียนหนังสือ ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กทั่วไปเขาใช้กัน ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในนี้ ต่อจากนี้เธอจะมีชีวิตใหม่ จะเป็นกลิ่นแก้วคนใหม่”

“......” เด็กชายเงียบฟัง น้ำเสียงเอวานทุ้มนุ่มพาให้ไม่อยากขัดแม้สักอย่างที่คนคนนี้พูด

“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนมีความพยายามและเข้มแข็ง ฉันถึงอยากให้เธอเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข”

“ผมรู้ว่าคุณหวังดี ผมเข้าใจแล้ว ผมจะเป็นเด็กดี จะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน จะไม่สร้างปัญหาให้คุณ”

“......”

“ผมจะพยายาม”

เอวานยิ้มเมื่อเจ้ากลิ่นแก้วเข้าใจอะไรง่าย ไม่ต้องพูดอธิบายกันหลายรอบเหมือนก่อนหน้านี้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวเด็กอย่างเอ็นดู

“ฉันเห็นถึงความพยายามนั้นแล้ว เธอทำได้ดีมาก”

กลิ่นแก้วยิ้มกว้าง มือที่ลูบหัวเขาเบา ๆ มันช่างอบอุ่น การเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบที่อีกฝ่ายว่าไม่น่าหวั่นกลัวก็เพราะมีมือคู่นี้ มือที่เขาคว้าจับอย่างไม่ลังเลในวันนั้น


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :t3:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 06-10-2018 20:33:17

เจฟเฟอร์สัน

คฤหาสน์ตระกูลผู้ดีเก่าในอังกฤษ ก่อนหน้านี้แทบจะจบตำนานลงไปเมื่อเจ้าของคฤหาสน์ในขณะนั้นผลาญเงินที่มีจนแทบสิ้น การดองกับทายาทการเงินเช่นเฟอร์ริงตันคือทางออกที่พวกเขาเลือกใช้ และมันก็ได้ผลเมื่อเจฟเฟอร์สันยังคงอยู่ต่อไปได้ ช่วยต่อลมหายใจให้พวกเขาจนกระทั่งบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างเกวน เจฟเฟอร์สัน ลุกขึ้นมากอบกู้ฐานะได้สำเร็จในเวลาต่อมา

กลิ่นแก้วเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ โดยในครั้งแรกที่เหยียบย่างเข้ามามีเอวานมาส่ง หลังจากนั้นก็เป็นเกวนที่จัดการทุกอย่างแทน เธอบอกว่าการอยู่ที่นี่ไม่มีข้อปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่สิ่งที่เธอไม่ชอบคือการโกหก ถ้าจะอยู่กับเธอ กลิ่นแก้วต้องไม่มีสิ่งนั้น ซึ่งเด็กชายก็รับคำมั่นเหมาะ

เอวานจัดการเรื่องเอกสารสำคัญของเด็ก เพราะหลังจากนี้ต้องใช้ในการยืนยันตัวตนเวลาเข้าเรียน และเขาก็ได้มันมาไม่ยากเย็นเมื่อโจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่นนำมันมาให้ถึงมือในวันหนึ่ง หลังจากเจ้าตัวเล็กเข้าไปอยู่ในเจฟเฟอร์สันแล้ว

เอกสารสำคัญของกลิ่นแก้วอยู่กับสตีเฟ่นทั้งหมด เสียงคร่ำครวญในเครื่องบันทึกเสียงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สตีเฟ่นไม่ได้บอกว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่รู้ว่ากลิ่นแก้วอยู่ที่ไหน แต่หมอนั่นเคยไปเจอแคทเธอรีน เดลลาร์มาแล้ว ทั้งยังฝากฝังให้หล่อนดูแลลูกของตนเอง เคยแม้แต่เสนอค่าตอบแทนให้ แต่แคทเธอรีนไม่รับ เพราะบุญเก่าที่มีก็กินไม่หมด เธอดูแลกลิ่นแก้วได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่รับมาเลี้ยง แต่สตีเฟ่นก็ไม่อาจนิ่งเฉย จึงได้เสนอว่าค่าตอบแทนที่เขาจะให้ อยากให้เธอเก็บไว้เผื่อในอนาคตกลิ่นแก้วต้องได้ใช้

สมุดบัญชีเงินฝากของแคทเธอรีนเองก็อยู่รวมกับเอกสารของกลิ่นแก้วด้วย เป็นบัญชีที่มีข้อกำหนดว่าหากเธอเสียชีวิต สิทธิ์จะเป็นของทายาทตามกฎหมาย ซึ่งก็คือกลิ่นแก้ว เดลลาร์ ในทันที

จนถึงตอนนี้เอวานก็ได้แต่หัวเราะเสียงขื่น เมื่อถูกสตีเฟ่นปั่นหัวเอาอีกแล้ว เหมือนหมากตานี้สตีเฟ่นวางไว้เป็นอย่างดี แต่คราวนี้ไม่นึกอยากก่นด่า เพราะมันก็ดีที่หมอนั่นรอบคอบขนาดนี้ อะไร ๆ มันจะได้ง่ายขึ้น

ด้านมากาเร็ต วิลสัน หลังจากวันที่เธอเชิญเขาไปยังคาสิโน และเขายืนยันเจตนารมณ์ว่าจะไม่วางมือจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนเธอจะเงียบไปเช่นกัน ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว เพราะเอาเข้าจริงเขาไม่ควรสร้างศัตรู กลิ่นแก้วจะถูกเพ่งเล็งและไม่ปลอดภัยเสียเปล่า ๆ

กายสูงใหญ่ที่สวมเพียงกางเกงนอนขายาวก้าวออกมาพร้อมผ้าเช็ดผมที่ยังเปียกหมาด เสียงเคาะประตูทำให้เท้าที่กำลังก้าวไปยังโซฟานั่งเล่นมุมห้องนอนหยุดชะงัก ก่อนหมุนกายกลับไปเปิดประตู

เจ้ากลิ่นแก้วยืนอยู่หน้าประตูพร้อมส่งยิ้มตาหยิบหยีมาให้ เขาเลยเลี่ยงให้เดินเข้ามาในห้อง ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กเริ่มไปโรงเรียนแล้ว เป็นโรงเรียนเอกชนมีรถรับส่ง ไม่ได้ให้อยู่โรงเรียนประจำเพราะยังเล็กอยู่ เพียงแค่อยากให้เข้าสังคมมากกว่า

“ไปโรงเรียนเป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก้าวมานั่งลงบนโซฟามุมห้องขณะเช็ดผมไปด้วย

เขากลับมานอนที่นี่บ้างในวันหยุด พอได้เจอกัน กลิ่นแก้วก็มีเรื่องมารายงานตลอด เขาเป็นคนพาเด็กมาอยู่ที่นี่แต่กลับไม่ค่อยได้ดูแลอะไรมากนัก เหตุหนึ่งก็เพราะไม่ค่อยได้อยู่ที่เจฟเฟอร์สัน หากไม่ใช่วันหยุดมักจะพักที่คอนโดมิเนียมเพราะใกล้บริษัทมากกว่า ผู้ที่ดูแลความเป็นอยู่ของกลิ่นแก้วจึงเป็นมารดาของเขา ไม่ว่าจะเรื่องกินอยู่หรือเรื่องเรียน

เอวานมองเด็กเจื้อยแจ้วแล้วยิ้มบาง มารดาของเขาบอกว่าเด็กมันไม่ค่อยพูด แต่พออยู่กับเขากลับพูดเก่ง คงเพราะกฎที่เขาตั้งไว้ว่ามีอะไรให้พูด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องบังคับกันบ้างในบางที

“มิสเตอร์เวสส์...” คำเรียกขานนั้นชะงักเมื่อเจ้าของชื่อทำเสียงในลำคอ

“บอกให้เรียกว่าไง?”

เด็กน้อยเฉหลบสายตา ก็มันไม่ชิน ข้อตกลงอีกอย่างที่เอวานตั้งขึ้นคือไม่ให้เรียกมิสเตอร์เวสส์ ให้เรียกแค่เอวาน

“เอวาน...” เอ่ยเรียกออกไป พอเจ้าของชื่อยิ้มให้จึงพูดต่อเสียงออด “คุณทำอะไรให้ผมตั้งเยอะ แต่ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณเลย”

“จะคิดมากไปทำไม แค่เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตในแบบที่เธอสบายใจก็พอแล้ว”

“......” ดูเหมือนคำตอบจะไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเจ้าตัวเล็กหน้ายุ่ง

“งั้น... เอาแบบนี้” คนตัวโตเอ่ยขึ้น ซึ่งเด็กข้างกายก็ตั้งใจฟังแบบจริงจังเหลือเกิน “ถ้าเรียนจบก็เอาความรู้ที่มีมาช่วยงานมาดาม ดีไหม?”

“ดีครับ” กลิ่นแก้วฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่ยิ้มนั้นจะหุบลงเมื่อนึกขึ้นได้ “แต่... อีกตั้งหลายปีแน่ ๆ เลย”

“กี่ปีไม่สำคัญหรอก เพราะถึงยังไงเธอก็ยังจะอยู่ที่นี่ ใช่ไหม?”

รอยยิ้มสดใสนั้นกลับมาอีกครั้ง ใช่ เขาอยากอยู่ที่นี่ อยากตอบแทนผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พอจะทำได้ เขาจะทำ เขาจะตั้งใจเรียนเพื่อที่จบมาจะได้มาช่วยงานมาดามเจฟเฟอร์สัน เธอเองก็ดีกับเขามาก แม้รัศมีมาดามมาเฟียจะทำให้เธอน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น เธอมีความเป็นแม่ กลิ่นแก้วเลยชอบที่จะอยู่กับเธอ

เอวานเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าหนูนี่ชอบอยู่กับมารดาของเขา เพราะท่านชอบทำอะไรจุกจิกเวลาว่าง เขาเคยเห็นเจ้าตัวเล็กไปนั่งดูด้วยความสนใจ พอมารดาของเขาสอนก็หัวไวใช้ได้ ทำให้ท่านเอ็นดูหนักหนา จนกลายเป็นคนโปรดของมารดาเขาไปแล้วเวลานี้


......


เช้าวันทำงาน เอวานลงมาจากชั้นบน เจอกลิ่นแก้วในชุดนักเรียนเดินมากับแม่บ้าน กายสูงใหญ่หยุดยืนรอให้เด็กเดินมาถึง แววดีใจในดวงตาคู่โตฉายชัดเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้า

“จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ?” เอ่ยถามออกไป ซึ่งเด็กน้อยก็พยักหน้าพร้อมตอบรับเบา ๆ อยู่ในชุดนักเรียนแบบนี้แล้วดูเป็นเด็กเรียบร้อยเชียว “ให้ไปส่งไหม?”

“โรงเรียนมีรถรับส่งครับ” เจ้าตัวเล็กตอบกลับพาซื่อ

“อืม... ถ้าวันนี้ผู้ปกครองไปส่ง ทางโรงเรียนจะว่าอะไรไหม?”

ดวงตากลมเบิกโตจนเอวานนึกขัน เมื่อเด็กตรงหน้าบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทางโรงเรียนจะว่าเอาหรือไม่ เอวานจึงส่งมือให้จับ มือเล็กยื่นมาจับกับเขาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปขึ้นรถด้วยกันหน้าคฤหาสน์

เมื่อมาถึงโรงเรียน ก่อนเด็กน้อยจะลงรถไป เอวานก็บอกว่าเลิกเรียนจะให้คนรถมารับไปหามารดาตนที่สำนักงานของห้างสรรพสินค้า ให้รออยู่ที่นั่น หลังเลิกงานเขาจะพาไปกินข้าวนอกบ้านกันค่อยกลับเจฟเฟอร์สัน

มองส่งเด็กที่เดินเข้าโรงเรียนไปแล้วริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้มเมื่อนึกครึ้มใจ เหมือนพ่อมาส่งลูกที่โรงเรียนก็ไม่ปาน จะว่าไปแล้วเขากับกลิ่นแก้วก็ดูไม่ต่างจากคำนั้นนัก ด้วยช่วงวัยที่ห่างกันเกินกว่าจะเป็นพี่น้อง หากเขามีลูกช่วงวัยรุ่นก็คงโตเท่ากลิ่นแก้วได้แล้ว



หลังเลิกเรียน คนรถไปรับกลิ่นแก้วมายังห้างสรรพสินค้าของเจฟเฟอร์สัน เอวานโทรมาบอกมารดาว่าจะมาช้าสักหน่อยเพราะไปทำธุระแทนบิดา ผู้เป็นมารดาจึงบ่นกลับไปตามสายที่พอลใช้งานลูกจนไม่ค่อยมีเวลาพัก ทั้งที่เป็นผู้บริหารแล้ว แต่พอลยังเข้มงวดเพราะอยากให้ลูกแกร่งเหมือนตนเอง

เกวนวางสายจากลูกชายก่อนหันมาหาเด็กของลูกที่นั่งเงียบอยู่ ก่อนบอก “เดี๋ยวฉันจะไปดูร้านสักหน่อย จะรออยู่ที่นี่หรือไปด้วยกัน?”

คำถามนั้นทำให้กลิ่นแก้วเหลียวมองรอบกาย ตอนนี้เขาอยู่ภายในสำนักงานของตัวห้างสรรพสินค้าและไม่รู้จักใครนอกจากเกวน ผู้ติดตามสาวชื่อไมร่า และบอดีการ์ดตัวโตจากเวสส์ที่ส่งมาคุ้มกันมาดามมาเฟีย

“ผมขอไปด้วยครับ สัญญาว่าจะไม่ซน”

คำพูดคำจาทำให้เกวนยิ้มขำ ขยี้หัวเด็กน้อยด้วยความมันเขี้ยวก่อนจับจูงพากันลงไปดูร้านที่เธอเป็นเจ้าของ ส่วนมากจะเป็นของทำมือซึ่งเธอริเริ่มมาก่อนหน้าที่จะขยายเป็นศูนย์การค้าเช่นนี้ และที่เพิ่งเปิดตัวพร้อมที่นี่คือร้านจิวเวรี่ที่เธอแสนภูมิใจเพราะคอยดูแลเกือบทุกขั้นตอน

กลิ่นแก้วออกมาเดินเล่นด้านนอกเมื่อเกวนเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยของร้านจิวเวรี่ เธอรับแร่ที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนมาจากลูกชายของเพื่อนที่ทำเหมืองแร่พวกนี้อีกที ทำให้ได้แร่ที่มีคุณภาพ และเมื่อผ่านมือช่างผู้ชำนาญงานมันจึงกลายเป็นอัญมณีที่มีค่า ที่นี่ยังมีสินค้าหลากยี่ห้อและประโยชน์ใช้สอยอีกมากมายให้เลือกสรร แม้มันจะไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตอะไรหากเทียบกับที่อื่น แต่เกวนก็พอใจกับมันมาก เมื่อครั้งเปิดตัวใหม่ ๆ ผู้คนก็ให้ความสนใจพอสมควร ทั้งทำเลที่ตั้งยังเป็นใจ มีสิ่งเอื้อความสะดวกในการเดินทางและใกล้ที่พักอาศัยของคนระดับกลางจนถึงขั้นเศรษฐีมีเงิน

วันหยุดสุดสัปดาห์ที่นี่ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ครอบครัวเดลลาร์ก็เป็นอีกกลุ่มที่เลือกมาหย่อนใจด้วยการตากแอร์เย็นฉ่ำในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ เหตุเพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นเจเรมี่อยากมาดูหนัง เด็กหนุ่มตั้งใจจะนัดกันกับเพื่อน แต่ผู้เป็นบิดามารดากลับขอตามมาด้วยเสียอย่างนั้น นั่นทำให้เกิดอาการเซ็งเล็กน้อยเมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปดังที่ตั้งใจ

สายตาเด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าร้านจิวเวรี่ เมื่อก้าวพ้นบันไดเลื่อนมาก็หยุดยืนนิ่งทำให้นางมาเรียมก้าวมาชน ก่อนจะหันเหสายตาไปตามทางที่ลูกกำลังมอง ดวงตาที่โตจนแทบถลนอยู่แล้วยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก

“นั่นมันไอ้เด็กเหลือขอ!”

เร็วเท่าใจคิด นางมาเรียมเดินจ้ำไปหาเป้าหมายทันทีโดยมีสามีที่ออกอาการแตกตื่นลิ่วตามหลัง เจเรมี่เพียงก้าวช้า ๆ ตามไปอย่างดูสถานการณ์ วันนี้มันวันโลกาวินาศหรืออย่างไร เขาถึงได้เจอแต่เรื่องบ้า ๆ ตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้าน

เงาสะท้อนหญิงร่างท้วมในกระจกทำให้กลิ่นแก้วชะงัก ดวงตากลมเขม้นมองเมื่อมันดูคุ้นตาเหลือเกิน ก่อนที่มันจะเบิกกว้างขึ้น เมื่อหันกลับมาเจ้าของเงาสะท้อนนั้นก็เข้ามาใกล้มากแล้ว ขาเล็กก้าวถอยโดยอัตโนมัติ ก่อนหมุนกายกลับแล้วออกวิ่ง

“กลิ่นแก้ว ไอ้เด็กเหลือขอ แกจะไปไหน!!” นางมาเรียมร้องไล่หลังพลางก้าวตาม

เสียงเอะอะด้านนอกทำให้เกวนหันกลับไปมอง เธอไม่พบว่ามีสิ่งผิดปรกติที่หน้าร้าน แต่เมื่อหันมองรอบกายกลับไม่เห็นกลิ่นแก้ว บอดีการ์ดที่ติดตามเธอก้าวเข้ามาในร้าน คิ้วสวยขมวดเมื่อฟังที่อีกฝ่ายรายงาน

สองขายังพากลิ่นแก้ววิ่งไปไม่รู้ทิศ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ไม่อยากมีความทรงจำเหล่านั้นแล้ว ผู้คนที่มาจับจ่ายภายในห้างสรรพสินค้าหลายหลากทำให้ยากต่อการหลบหนี ร่างเล็กถลาล้มต่อหน้าธารกำนัลเมื่อสะดุดขาตนเอง แม้จะเจ็บแต่กลิ่นแก้วก็ยังพยายามจะลุกขึ้นวิ่งต่อ นัยน์ตาเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำใส พร่ำเรียกหาแต่เอวานแม้จะรู้ว่าเจ้าของชื่อไม่มีทางมาช่วยตนได้

แขนถูกดึงขึ้นทำให้กลิ่นแก้วสะดุ้งสุดตัว ร่างน้อยดิ้นรนทั้งสะบัดให้หลุด แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือนั้นคือใครก็ชะงักกึก เป็นขณะเดียวกันกับที่นางมาเรียมและสามีตามมาถึง

หญิงท้วมหอบเหนื่อยกับการไล่กวดเด็กชาย ริมฝีปากสีสดอ้าขึ้นหมายจะต่อว่าให้สาแก่ใจ แต่มือของลูกชายที่เอื้อมมาจับแขนทำให้นางชะงัก เพิ่งสังเกตเห็นว่าใครอยู่กับเจ้าเด็กนั่น

กลิ่นแก้วเบี่ยงกายหลบหลังร่างสูงใหญ่ที่กำลังมองอีกฝ่ายนิ่งจนเกิดความกดดันรอบบริเวณ สายตาสอดรู้จากผู้คนรอบกายทำให้ครอบครัวเดลลาร์เริ่มอยู่ไม่นิ่ง จนกระทั่งเกวนมาถึงพร้อมผู้ติดตามสาวและบอดีการ์ด บอดีการ์ดด้านหน้ากลิ่นแก้วจึงเลี่ยงให้เธอก้าวมาเผชิญหน้าสามพ่อแม่ลูกนั่น

“พากลิ่นแก้วขึ้นไปรอที่สำนักงาน และช่วยโทรตามคุณเอวานมารับด้วย”

ผู้ติดตามสาวรับคำแล้วพากลิ่นแก้วออกเดิน เด็กชายเหลียวกลับมามองทั้งสามคนนั้นอีกครั้งก่อนเดินตามแรงรั้งไป...

ภายในห้องหนึ่งของสำนักงาน กลิ่นแก้วได้แต่นั่งเงียบ ขาเขาเริ่มปวดจากการล้มกระแทกพื้น แต่ก็ยังคงนิ่งอยู่ ไม่มีใครรู้เห็นเมื่อมันซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงขายาว และเขาก็ไม่คิดจะบอก

ไมร่า ผู้ติดตามของเกวนนำขนมหวานมาให้ เด็กชายก็ไม่ยอมแตะ ทั้งที่ชอบของหวานมาก หญิงสาวได้แต่มองอย่างเป็นกังวล ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก เธอหันไปมองก่อนค้อมกายเล็กน้อยแล้วเลี่ยงออกไป

ดวงตากลมช้อนมองผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้อง ขอบตาร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลุกขึ้นแล้วโผกอดช่วงขาแกร่งพลางสะอื้น เอวานค่อยแกะแขนเล็กออกแล้วรั้งให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำใด อีกคนก็แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเครือ

“มิสเตอร์เวสส์...” เสียงดุที่ดังในลำคอทำให้กลิ่นแก้วต้องเปลี่ยนคำเรียกขาน “เอวาน... อย่าส่งผมกลับไปที่นั่นนะครับ ผมไม่อยากอยู่กับพวกเขา จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ช่วยงานอะไรที่เจฟเฟอร์สันก็ได้ อย่าส่งผมกลับไปที่นั่นเลย”

ทั้งร้องขอทั้งสะอื้นไปพลาง มืออุ่นลูบผมปลอบประโลมเด็กแสนคิดมาก “ไม่มีใครส่งเธอกลับไปที่ไหนทั้งนั้น และไม่มีทางที่ใครจะมาพาเธอไปจากที่นี่ ถ้าฉันไม่อนุญาต”

“.....” น้ำตาเด็กน้อยยังร่วงผล็อย ยิ่งเอวานให้ความมั่นใจ มันยิ่งไหลไม่หยุด

นิ้วยาวเกลี่ยน้ำตาให้เบามือ ขณะมองสบนัยน์ตาแสนซื่อนั้น “ฉันเคยบอกว่าอยู่ที่นี่แล้วเธอจะปลอดภัย ซึ่งนั่นฉันไม่ได้โกหก หากเธอจะเชื่อมันสักนิด”

“ผมเชื่อ และผมก็อยากอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณที่เจฟเฟอร์สัน”

ร่างเล็กโผเข้าซุกอกแกร่ง มือหนาลูบแผ่นหลังของเด็กน้อยเบา ๆ

“เธอจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา... ทุกอย่าง”



ลานหน้าห้างสรรพสินค้า ครอบครัวเดลลาร์ออกจากที่นั่นมาด้วยความหัวเสีย นางมาเรียมบ่นพึมเมื่อถูกอีกฝ่ายข่มขู่ นอกจากเรื่องร้านแล้ว ความปลอดภัยในชีวิตยังถูกลิดรอน นางล่ะอยากจะแจ้งความเสียนัก แต่เมื่อดูสถานะของตนกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว การแจ้งความดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดี

“แย่ แย่ที่สุด”

เจเรมี่กลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อมารดาของตนยังบ่นไม่เลิก เด็กหนุ่มเดินนำไปก่อน ปล่อยให้นางมาเรียมบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่อไปอย่างนั้น

“ทำมาเป็นข่มขู่เรา โธ่เอ๋ย เด็กนั่นมันสำคัญอะไรนักหนา” ยิ่งคิดนางยิ่งขัดเคือง

“ก็เขารับอุปการะมันแล้ว เราเข้าไปยุ่งได้ที่ไหนกัน” นายเจคว่า ลึก ๆ ก็อดโล่งอกไม่ได้ที่กลิ่นแก้วมีความเป็นอยู่ที่ดี แม้เขาจะไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็เป็นลูกบุญธรรมของพี่สาว

“นึกว่าฉันอยากยุ่งนักหรือไง ดูมันสิ แทนที่จะสำนึกในบุญคุณเราบ้าง นี่อะไร เห็นเราแล้ววิ่งหนี ทำให้คนพวกนั้นมันเข้าใจว่าเราจะไปทำร้าย บ้าจริง!”

ผู้เป็นสามีได้แต่ฟังนางบ่นด้วยความฉุนเฉียว เพราะถึงอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น พวกเขายังรักตัวกลัวตาย ไม่คิดที่จะต่อกรกับผู้ที่มีอำนาจในมือให้ทางรอดมันน้อยลงหรอก

รถยนต์ติดฟิล์มทึบแล่นผ่านทั้งสามคนไป ด้านในนั้นกลิ่นแก้วยังคงเหลียวกลับมามอง ก่อนที่มือของคนข้างกายจะเอื้อมมารั้งให้หันกลับ ตากลมช้อนมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนคนนั้น เขาจะมัวอ่อนแอไม่ได้ จะเป็นภาระให้เอวานแบบนี้ไม่ได้

เด็กชายค่อยเอื้อมมือไปวางบนมือใหญ่ นัยน์ตาคู่คมไม่ได้หันมามองเขา แต่อุ้งมืออุ่นกลับหงายขึ้นมาแล้วสอดกุมมือของเขาเอาไว้ เพียงเท่านั้นหัวใจดวงน้อยก็พลันอุ่นขึ้น

เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน อาการเจ็บที่ขาก็เริ่มเล่นงานกลิ่นแก้วหนักขึ้น เหมือนช่วงเข่ามันจะปวดมากกว่าปรกติ พอก้าวลงจากรถก็เสียวแปลบขึ้นมาจนเกือบล้มลง ดีที่ดึงชายเสื้อสูทของบอดีการ์ดตัวโตไว้ทัน

“ระวังด้วยสิ” เสียงอีกฝ่ายเอ่ยเตือน

“ขอโทษครับ มิสเตอร์ทอมัส” กลิ่นแก้วลดมือจากชายเสื้อแล้วพยายามยืนให้ตรง ตั้งใจจะออกเดินให้เป็นปรกติแต่ก็ทำไม่ได้ จนเอวานหันกลับมามอง

“เป็นอะไร?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่เด็กกลับส่ายหน้าจนต้องดุ “กลิ่นแก้ว”

“เจ็บขานิดหน่อยครับ...” อ้อมแอ้มบอกออกไป ทั้งที่เพิ่งบอกตัวเองว่าอย่าอ่อนแอ แต่ตอนนี้กลับแสดงความอ่อนแอให้เอวานเห็นอีกแล้ว เด็กช่างคิดมากก็ยังคิดมากอยู่อย่างนั้น

“ทำไมไม่บอก!?”

กลิ่นแก้วสะดุ้งเมื่ออีกคนเสียงดัง ก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกว่าตนเองทำผิดอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยขอโทษออกไป ขาก็ลอยจากพื้น แขนเรียวรีบคล้องกอดคอคนอุ้ม ตากลมเบิกโต

เอวานอุ้มเด็กเข้าคฤหาสน์ เรียกแม่บ้านให้ตามตนขึ้นไปด้านบนพร้อมกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากอาการไม่ดีคงต้องพาไปหาหมอ นึกขัดใจอยู่หน่อย ๆ ที่กลิ่นแก้วไม่ยอมบอกทั้งที่เจ็บจนแทบเดินไม่ไหว

“ได้ตัดขาเด็กก็วันนี้ล่ะ!” ยังไม่วายข่มขู่เด็กมันซ้ำอีก

ใบหน้าเรียวบิดเบ้เมื่อชักเชื่อคำขู่ของเอวานเพราะหัวเข่าที่เริ่มปวดหนักขึ้น เขาจะต้องตัดขาจริง ๆ ใช่ไหม?

“ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงขาจะถูกตัดไป เธอก็ยังเดินได้ ฉันจะซื้อขาเทียมให้เธอเอง”

“เอวาน...”

เด็กน้อยปล่อยโฮทันทีที่เขาพูดจบ สีหน้าเอวานไม่ได้รู้สึกว่าล้อเล่น เสียงสะอื้นจากเด็กในอ้อมแขนดังไปจนถึงห้องนอน แม่บ้านเข้ามาช่วยดูแผล ด้วยความที่ขยับขาลำบากทำให้ต้องเกาะเอวานไว้แล้วให้แม่บ้านช่วยถอดกางเกงออก ช่วงเข่าจนถึงหน้าแข้งขวาที่ช้ำเป็นจ้ำทำให้กลิ่นแก้วปล่อยโฮเอาอีก ด้วยความที่ขาช้ำจนน่าห่วงทำให้เอวานสั่งคนให้เอารถออก ชายหนุ่มอุ้มคนเจ็บลงไปด้านล่างอีกหนเมื่อคิดว่าไปหาหมอตรวจดูอีกทีน่าจะดีกว่า

“เอวาน หมอจะตัดขาผมไหม?” คำถามจากเจ้าตัวยุ่งดังมาพร้อมเสียงสะอื้น เอวานทำมึนไม่ตอบ ใบหน้าเซียวนั้นยิ่งสลด นั่งก้มหน้าร้องไห้เงียบ ๆ ไปจนถึงโรงพยาบาล

ผลการตรวจที่ออกมาเป็นเพียงอาการอักเสบเพราะเข่าซ้น ขาที่ช้ำก็มาจากการล้มกระแทกพื้นเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าห่วง ฟังคำวินิจฉัยของหมอแล้วกลิ่นแก้วก็หันมามองเอวานอย่างมีคำถาม

คนขี้แกล้งทำมองไม่เห็น บทจะแกล้งกัน เอวานก็ตีบทแตกกระจุย อยากแก้นิสัยมีอะไรก็เก็บไว้คนเดียวของกลิ่นแก้วให้หายไปเสียที แม้กลิ่นแก้วจะบอกว่าเชื่อเขา แต่นั่นมันไม่ใช่ทั้งหมด ยังคงมีกำแพงในใจของเด็กคนนี้ มันยังไม่ถูกทำลายลงในทันที เวลาคงช่วยให้ช่องว่างที่มองไม่เห็นนั้นมันค่อย ๆ ลดลงไป เขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

กลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน เจ้าตัวยุ่งก็บอกจะเดินเอง แต่ท่าทางจะขัดหูขัดตาทอมัสเลยจัดการอุ้มไปส่งบนห้อง ไม่สนใจเสียงร้องท้วงของเด็กน้อย แถมเอวานยังไม่ห้ามอีก แขนเล็กเลยจำต้องกอดคอบอดีการ์ดตัวโตอย่างเลี่ยงไม่ได้

เห็นเด็กเจ็บตัวแบบนี้ก็ทำให้เอวานนึกถึงตอนเจอกันครั้งแรก ตอนนั้นก็วิ่งหกล้มหกลุกมาจนข้อเท้าพลิก คราวนี้มาหัวเข่า ขนาดว่าเป็นเด็กเรียบร้อยยังได้แผลไม่หยุด นี่ถ้าดื้อสักหน่อย เขาละไม่อยากจะคิด

กลิ่นแก้วบอกขอบคุณบอดีการ์ดหนุ่มเมื่อเขาวางลง ตัวเล็กขยับไปนั่งปลายเตียง จับขาตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้สึกปวดขึ้นมานิด ๆ คุณหมอฉีดยาแก้ปวดให้ มันก็พอทุเลาบ้าง แต่ขยับเยอะก็ชักปวดตึงขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วเหมือนกัน

“แมกซ์เวลให้แม่บ้านเตรียมอาหารเย็นให้อยู่ ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน จะได้กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก” เอวานเอ่ยบอก

แผนกินข้าวนอกบ้านถูกพับหลังจากเจอสามคนนั่น กะจะกลับมากินที่เจฟเฟอร์สัน เจ้าตัวเล็กก็ขาเจ็บจนต้องไปโรงพยาบาลเอาอีก จนตอนนี้มืดค่ำแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

“ครับ”

กลิ่นแก้วรับคำก่อนค่อยลุกเดินเขยกไปยังตู้เสื้อผ้า ดูท่าเดินแล้วไม่น่ารอด เอวานจึงเข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้ ก่อนส่งแขนให้เกาะพาเข้าห้องน้ำ ช่วยถอดชุดแถมเป็นหลักให้พยุงกายไปนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ม้วนแขนเสื้อเตรียมจะอาบน้ำให้

“ผ... ผมอาบเองได้ครับ” กลิ่นแก้วรีบบอก ไม่อยากรบกวนขนาดนั้น

“ถ้าลุกยืนตรง ๆ ได้จะเชื่อ” เอวานตั้งข้อแม้ กอดอกมองเด็กน้อยหน้าจ๋อยเมื่อทำไม่ได้

“เดี๋ยวเสื้อคุณเปียก” เสียงออดอ่อยนั่นว่า

เอวานนิ่งคิด ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง”

กายสูงใหญ่ออกจากห้องน้ำไป ทำให้กลิ่นแก้วพรูลมหายใจ นอกเหนือจากกลัวเสื้อผ้าอีกฝ่ายเปียกก็คือความเกรงใจที่ผสมปนเปไปกับความอาย ก็เขาไม่ชินกับการแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้

ตัวเล็กขยับลุกโดยใช้มือข้างหนึ่งดันขอบอ่างเพื่อพยุงตัว กะว่าจะรีบอาบแล้วออกไปแต่งตัว แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรอย่างใจคิด ประตูห้องน้ำก็เลื่อนเปิด พอหันไปมองก็เห็นว่าเอวานกลับเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูพันเอวและเก้าอี้เตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง

“นั่งสิ” เอ่ยบอกเด็กที่ยืนตาโตเมื่อวางสิ่งที่ถือมาด้วยลงบนพื้นห้องน้ำ

กลิ่นแก้วกะพริบตาเรียกสติ นิ้วเล็ก ๆ ชี้ขึ้นลงเมื่อเอ่ยถาม “ทำไมพี่ถึง...”

“กลัวเสื้อฉันเปียกไม่ใช่เหรอ?”

“......” ตากลมกะพริบปริบ ริมฝีปากเผยอค้างกับเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมา

“เอ้า นั่ง”

มือเล็กคว้าจับแขนแกร่งเพื่อพยุงตัว ค่อยนั่งลงตามคำสั่ง เอวานช่วยเปิดน้ำฝักบัวราดตัวให้ เด็กน้อยก็ขัด ๆ ถู ๆ สบู่ไป เขาจึงหันมาปลดผ้าเช็ดตัวแล้วอาบให้ตัวเองบ้าง ในเมื่อเปียกแล้วก็อาบให้เสร็จไปเลยดีกว่า

หลังอาบน้ำเสร็จ เอวานก็ยังเป็นหลักให้เจ้าตัวเล็กจับพยุงเดิน จะได้ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปบนขาข้างที่เจ็บมากนัก ก่อนไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาให้

กลิ่นแก้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ยังพราวไปด้วยหยดน้ำ ยิ้มกับตัวเองเมื่อได้รับความใส่ใจดูแลขนาดนี้ ความจริงเอวานไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยตัวเองก็ได้ แค่ออกคำสั่ง คนในคฤหาสน์ก็พร้อมจะทำให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายเลือกจะดูแลเอง กลิ่นแก้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันพิเศษ

พอกลิ่นแก้วแต่งตัวเสร็จ เอวานเลยเลี่ยงออกไปห้องตัวเองเพื่อแต่งตัวบ้าง ก่อนกลับเข้ามาพร้อมแม่บ้านและอาหารสำหรับเด็กในห้อง ดึงเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือออกมานั่ง รอเด็กกินข้าวเสร็จจนกระทั่งกินยาจนเรียบร้อยถึงได้ออกไป

กลิ่นแก้วถอนใจเบา นั่งพิงหัวเตียงแล้วจับผมที่เอวานลูบก่อนออกจากห้องไปเมื่อครู่แล้วยิ้มบาง เอวานเป็นคนใจดี เขารู้สึกได้ว่าเอวานแตกต่างกับทุกคนที่เคยเจอมา นอกจากมารดาแล้วไม่เคยมีใครใส่ใจเขาได้ขนาดนี้ สิ่งที่จะตอบแทนความใจดีนั้น เอวานบอกแล้วว่าให้ตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตในแบบที่สบายใจ หลังเรียนจบให้ช่วยงานมาดามเจฟเฟอร์สัน นั่นก็พอแล้ว กลิ่นแก้วยังจำมันได้ขึ้นใจ และรู้สึกขอบคุณเสมอเพราะการที่อีกฝ่ายบอกว่าเรียนจบแล้วให้ช่วยมาดามทำงาน นั่นเท่ากับคำสัญญาว่าเขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง

ก่อนนี้กลิ่นแก้วมักคิดเสมอว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่ หลังมารดาจากไปเขาก็เคว้ง ไร้หลักยึด มีเพียงรูปของบิดาเท่านั้นที่ทำให้มีหวัง หวังว่าสักวันจะได้พบ หวังว่าสักวันจะมาพาออกไปจากความทุกข์ตรมที่มี กระทั่งตอนนี้ กลิ่นแก้วรู้แล้วว่ามันคือความเพ้อฝัน เป็นการฝันลม ๆ แล้ง ๆ แบบที่เจเรมี่เคยว่าไว้จริง ๆ เขาไม่มีทางหาคนคนนี้พบ ยิ่งเมื่อได้ออกมาสู่โลกกว้าง ได้พบเจอผู้คนและได้รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่บ้านของมารดาและเดลลาร์ ดี แต่มันกว้างกว่านั้นมาก จึงไม่มีทางเลยที่คนไร้ประโยชน์แบบเขาจะสมหวัง

แต่เมื่อเอวานยื่นมือเข้ามา มืออบอุ่นคู่นั้นคอยประคองเขาไว้เสมอไม่ว่าเมื่อไร คนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่มีส่วนเกี่ยวพัน กลับทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเขา ทำให้เวลานี้ความหมายในการมีชีวิตของกลิ่นแก้วคือเอวาน เพราะมีเอวาน ถึงรู้สึกว่าดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่...




`TBC



ยังคงไม่มีอะไรหวือหวา  :laugh:

บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 06-10-2018 23:47:04
เป็นความโชคดีของกลิ่นแก้ว ที่ครอบครัวของเอวานเอ็นดูน้อง
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-10-2018 23:54:25
อ่านแล้วอยากไปเผาร้าน3พ่อแม่ลูกนั้นจริงๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-10-2018 00:13:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 07-10-2018 00:40:13
กลิ่นแก้วน่ารักจริงๆ รีบโตนะลูก
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 07-10-2018 04:08:47
สนุกมากๆๆๆๆๆ แบบอ่านเพลินมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 07-10-2018 08:26:17
นังมักกะโรนีอย่ามายุ่งกะน้องนะ อีครอบครัวมหาภัยนั่นอีก  :fire: :m31:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-10-2018 18:53:10
เลี้ยงต้อยที่แท้ทรู
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ + >>06.10.2561<< อัปเดทค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 16:45:01
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 16-10-2018 15:11:56
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว)


ห้องผู้บริหารภายในบริษัทตระกูลวิลสัน มากาเร็ตที่มาพบบิดามีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังรายงานจากคนของบิดา หลังจากที่เธอเข้าไปบริหารงานใน Ace Casino แม้จะมีคนที่บิดาส่งไปเป็นผู้ช่วยแต่เธอก็ยังวุ่นวายกับหลายสิ่ง เพราะไม่ใช่คนของตระกูลไรท์ ทั้งยังเป็นผู้หญิง ทำให้การจะได้รับการยอมรับมันยากเย็นเหลือเกิน พี่น้องของสามีก็คอยแต่จะหาทางโจมตีให้เธอหลุดจากผังบริหาร โดยเฉพาะพี่คนโตอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ที่นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่เคยเห็นใครในสายตา และในเวลานี้เรื่องที่เธอให้คนไปเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเอวาน เวสส์และเด็กที่เธอสงสัยว่าจะเป็นลูกของสตีเฟ่นกับอดีตภรรยาก็เริ่มเป็นที่ระแคะระคาย จนเธอต้องมาพบบิดาเช่นตอนนี้

“ฟรานเชสอาจใช้จุดนี้มาเล่นงานลูก ยิ่งถ้ารู้ว่าเด็กที่อยู่กับเจ้าหนุ่มนั่นคือสายเลือดตระกูลไรท์ แม้ไม่อยากมีมารมาคอยขัดผลประโยชน์ แต่การใช้ประโยชน์จากเด็กที่ไม่มีพิษสงเพื่อกำจัดลูก คงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้น

มากาเร็ตเองก็คิดเช่นนั้น ทางเลือกเธอมีไม่มาก หากเธอยังดึงดันที่จะเอาตัวเด็กมาจากเอวาน แน่นอนว่าเธอต้องกลายเป็นศัตรูกับเอวานโดยไม่ต้องสงสัย แต่หากยังทำยึกยักไม่ลงมือสักทีจนพี่น้องตระกูลไรท์จับได้ และเด็กคนนั้นตกไปอยู่ในมือของพวกเขา ความฉิบหายก็จะมาลงที่เธอเช่นกัน ดังนั้น ทางที่ดีเธอควรต้องถอยห่างจากเด็กคนนั้นก่อน ควรรับมือกับศัตรูเพียงด้านเดียว ดีกว่าสร้างศัตรูเพิ่ม

“สั่งคนของเราให้ถอยออกมาก่อน อย่าให้ฟรานเชสระแคะระคายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด” เธอสั่งผู้ช่วยของเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรับคำในทันที

ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเห็นด้วย เวลานี้การรับมือกับพี่น้องตระกูลไรท์สำคัญกว่า ยิ่งสตีเฟ่นจากไป มากาเร็ตยิ่งรับมือกับพวกนั้นลำบาก ก่อนนี้สตีเฟ่นเป็นเพียงพวกไม่เอาอ่าว ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานในคาสิโน แล้วแต่พี่น้องจะจัดการกันเอง แต่ก็ยังไม่ยอมเทหุ้นทั้งหมดในมือไปให้ใคร และไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวาย จนกระทั่งมากาเร็ตเข้าไปดูแลในนามภรรยาผู้รับผลประโยชน์จากสามีตามกฎหมาย ยิ่งทำให้พี่น้องตระกูลไรท์ไม่ชอบใจ เพราะ Ace Casino เป็นธุรกิจของครอบครัว เธอจึงเป็นผู้หญิงคนเดียวในฝูงหมาป่า หากไม่แกร่งจริง คงยืนหยัดอยู่ไม่ได้เป็นแน่


......


บริษัทหลักทรัพย์เวสส์

แฟ้มเอกสารถูกปิดแล้วดันไปรวมกันที่มุมโต๊ะ นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลา ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้ม มือคว้าสูทที่พาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้มาสวมเพื่อเตรียมจะกลับไปพัก กายสูงใหญ่ออกจากห้องทำงานมา เลขานุการหน้าห้องที่กำลังจะรายงานบางสิ่งกลับต้องงับปากลงเมื่อผู้เป็นนายเอ่ยแทรก

“ถ้ามีงานด่วนอะไรก็ให้แมกซ์เวลจัดการไปก่อนนะครับ มิสซิสราเชล ส่วนเอกสารที่ต้องเซ็นอนุมัติ ถ้าไม่ด่วนมากก็เอาไว้พรุ่งนี้”

“เอ่อ...” มิสซิสราเชลผู้ถูกสั่งงานมีท่าทีอึกอัก เรื่องด่วนมันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่เกี่ยวกับเอกสารดังที่นายว่า

เห็นท่าทีของอีกฝ่าย เอวานก็หยุดเท้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”

ที่สุดแล้วเขาก็จำต้องเปลี่ยนเป้าหมาย เอวานเข้าพบบิดาที่ห้องทำงานของท่านเมื่อได้ทราบเรื่องจากเลขานุการสาวใหญ่ บอดีการ์ดที่พักนี้เขาเริ่มคุ้นตาอยู่ประจำการด้านหน้าห้อง ทั้งสองผงกศีรษะให้เมื่อเขาเดินผ่านเข้าไป

ภายในห้อง นอกจากบิดาของเขาแล้วยังมีแขกกิตติมศักดิ์ เธอหันมาส่งยิ้มทักทาย ซึ่งเอวานก็กดศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายเธอตอบแล้วก้าวเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งของโซฟารับแขกภายในห้องนั้น

“หนูวาเนสซ่ามาติดต่องานที่บริษัทแทนพ่อของเธอน่ะ” พอล เวสส์เอ่ยบอกกับลูกชาย

วาเนสซ่า เทย์เลอร์ บุตรสาวบริษัทคู่ค้าคนสำคัญของเวสส์ เอวานและหญิงสาวรู้จักกันมาได้สักพักจากการแนะนำของบิดาทั้งคู่ เขาค่อนข้างอึดอัดเล็ก ๆ กับการจับคู่กลาย ๆ ของบิดา แต่ก็ยังคงวางตัวในระดับที่เหมาะสม

“ไปส่งน้องสักหน่อยสิ อาหารร้านที่เอวานพาพ่อไปวันนั้นก็รสชาติดีนะ”

เอวานชะงักเมื่อผู้เป็นบิดากล่าวราวเปิดทางให้เช่นนั้น นัยน์ตาสีควันบุหรี่มองสบกับท่าน ท่านก็ทราบว่าวันนี้วันอะไร และเขาผิดนัดไม่ได้

“จริง ๆ ถ้าคุณมีธุระสำคัญต้องไป ฉันก็ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” วาเนสซ่าเอ่ยขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มหยุดคิดนานเกินไปในความรู้สึก

“ไม่หรอกครับ ถือเป็นเกียรติมากกว่าหากเราได้ทานอาหารร่วมกันสักมื้อ”

คำตอบของเอวานทำให้หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ อย่างไว้ท่าที ขณะที่ผู้เป็นบิดาเปิดยิ้มพอใจที่ลูกไม่ฉีกหน้าตน เขารู้ว่าวันนี้วันสำคัญ เอวานอาจโกรธที่เขาทำเช่นนี้ แต่ลูกควรจะขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำหากรู้ว่ามีอะไรรออยู่ระหว่างทางกลับเทย์เลอร์ โดยที่พอลหารู้ไม่ว่านั่นมันช่างเป็นความคิดที่ตื้นเขิน เอวานก็คือเอวาน ลูกชายของเกวน เจฟเฟอร์สัน ไม่มีทางหล่นไกลต้น



คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

สวนสวยถูกตกแต่งไฟประดับเล็ก ๆ เพื่อต้อนรับวันที่แสนอบอุ่นในค่ำคืนที่จะถึงนี้ บนพื้นทางเดินที่ทอดยาวสู่ตัวศาลาถูกโรยด้วยกรวดสีขาวและปักเทียนรูปร่างน่ารัก เด็กผู้ชายตัวเล็กนั่งยองจัดมันอย่างตั้งใจ ขณะที่เสียงสั่งงานของเกวนยังดังอยู่ไม่ไกล มือเล็กล้วงก้อนกรวดในกระบะมาวางเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสร็จจึงค่อยเปิดยิ้มกับผลงานของตน

เกวนมองเด็กที่ดูตั้งอกตั้งใจแล้วก็ยิ้มบาง วันนี้เป็นวันสำคัญของกลิ่นแก้วและเอวาน ถือเป็นความบังเอิญที่พอเหมาะเมื่อพวกเขาเกิดวันเดียวกัน เพียงแค่ห่างกันเกือบสองรอบก็เท่านั้น เอวานไม่ชอบให้จัดงานวันเกิด มันดูเอิกเกริกเกินไปทั้งที่มันก็แค่วันวันหนึ่งก็เท่านั้น ตลอดมาแทนที่เจ้าของวันเกิดจะอยากได้ของขวัญ ผู้เป็นมารดาเช่นเกวนกลับเป็นฝ่ายได้รับเสียเอง และเอวานก็ทำเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีกลิ่นแก้วเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเจฟเฟอร์สัน

งานวันเกิดครั้งแรกถูกจัดเมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากกลิ่นแก้วเข้ามาอยู่ที่นี่อย่างสนิทใจ เมื่อเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่ตนเองทำกลับทำให้เด็กคนหนึ่งมีรอยยิ้ม เอวานก็เลือกที่จะทำมันอีกในปีต่อมา เพราะมีเอวานอยู่ กลิ่นแก้วถึงยังยืนหยัดไม่ล้มลง เมื่อแรกช่างเป็นเด็กประหยัดคำพูดเสียจนเกวนกลัวจะกลายเป็นเด็กเก็บกดไปเสีย หลัง ๆ มานี้ดีหน่อย กล้าที่จะพูดคุยซักถามมากขึ้น ได้มองดูการเติบโตของเด็กคนนี้แล้วก็ให้นึกถึงเอวานตอนยังเล็ก คนนั้นเขาช่างอ้อนน่าดู แต่เด็กคนนี้กลับเจียมตนจนน่าห่วงว่าจะติดนิสัยไปจนโต

“แก้ว พอได้แล้ว ไป ไปล้างไม้ล้างมือแล้วเตรียมของขวัญลงมาวางที่โต๊ะ เอวานกลับมาจะได้กินข้าวเย็นกัน”

“ครับ มาดาม” เด็กชายยิ้มรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง

เวลาค่อยผ่านไปช้า ๆ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทำให้ต้องเปิดไฟให้ความสว่าง เด็กชายเข้ามาขลุกอยู่ในครัว มองกล่องของขวัญบนโต๊ะด้วยแววละห้อย เอวานยังไม่มา ยังไม่กลับมา เขาทำได้แค่รอ รอต่อไปด้วยความคาดหวัง

เกวนเลี่ยงมาโทรหาลูกชายเมื่อเลยเวลามามากกว่าปรกติ ป่านนี้เอวานน่าจะกลับมาถึงและงานวันเกิดเล็ก ๆ ก็คงเริ่มขึ้นด้วยความชื่นมื่น ผู้เป็นตากับยายรอหลานชายอยู่นานจนเกวนต้องให้คนจัดโต๊ะอาหารเย็นให้พวกท่านเสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าเอวานจะกลับมาถึงตอนไหน นี่ติดงานด่วนจนกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร

“ขอโทษครับ มัม ผมมาธุระข้างนอก วันนี้อาจกลับดึกสักหน่อย” เสียงผู้เป็นลูกตอบมาอย่างขอลุแก่โทษ

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้วันอะไร?”

“ไม่ลืมครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ มัม”

“กับแม่คงไม่เท่าไรหรอก เข้าใจถึงความจำเป็น แต่กลิ่นแก้วน่ะสิ มาอธิบายกันเองแล้วกันคุณพ่อลูกหนึ่ง”

ได้ยินเสียงเอวานหัวเราะมาตามสาย เพราะไม่เห็นน่ะสิว่าเด็กมันจ๋อยสนิทแค่ไหนถึงยังหัวเราะกับคำเย้าหยอกแกมประชดของเธอได้

ไฟประดับในสวนถูกปิดเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนดึก อาหารที่ถูกตระเตรียมถูกเก็บ บ้างก็แจกจ่ายให้คนในคฤหาสน์ได้ลิ้มรส กลิ่นแก้วมองมันถูกลำเลียงไปจากโต๊ะที่จัดไว้เสียดิบดีอย่างใจหาย ปีนี้จะไม่มีการให้ของขวัญ ไม่มีคำอวยพร ไม่มีอ้อมกอดอุ่น ๆ ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ที่เป็นเจ้าของวันเกิดร่วมกัน ไม่มีแล้ว ไม่มี...

เด็กชายค่อยเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไปด้วยใจห่อเหี่ยว พร้อมกับไฟประดับทุกดวงที่ดับลงไล่หลัง เช่นเดียวกับความหวังของเขาที่หมดลง

เอวานกลับมาหลังจากนั้นพอสมควร เสื้อสูทถอดให้แม่บ้านที่มารอรับ ชายหนุ่มคลายเนคไทแล้วพรูลมหายใจเมื่อก้าวยาว ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบน กายสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนึ่งก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป บนเตียงนอน เจ้าของห้องหลับไปแล้ว สายตาคมมองกระดาษห่อของขวัญที่ถูกแกะทิ้งไว้ข้างเตียง ก่อนเลื่อนมามองบางสิ่งในอ้อมแขนคนหลับ ค่อยนั่งลงเพียงหมิ่นเหม่บนเตียงนุ่ม ลูบกลุ่มผมนุ่มมือแล้วจึงโน้มลงไปจูบหน้าผากอุ่นอย่างที่เคยทำเสมอ

“ขอโทษนะ เด็กน้อย ไว้จะชดเชยให้” กระซิบเพียงแผ่วข้างใบหูบาง ก่อนกดจูบราตรีสวัสดิ์อีกครั้งแล้วออกจากห้องไป


......


คฤหาสน์เจฟเฟอร์สันในช่วงเช้า กลิ่นแก้วในชุดนักเรียนรีบเข้าไปในครัวเพื่อให้คนครัวช่วยปิ้งขนมปังและขอนมดื่ม หลังจัดการของทุกอย่างในเวลารวดเร็วก็วิ่งออกไปที่หน้าคฤหาสน์ วันนี้เขาตื่นสาย รถกำลังจะมารับเขาแล้ว

บอดีการ์ดด้านนอกเคลื่อนรถกอล์ฟมารับไปส่งหน้าทางเข้า เมื่อลงจากรถมายืนรอไม่นาน รถโรงเรียนก็มาถึง ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปกลับมีเสียงแตรดังขึ้นด้านหลัง รถคันคุ้นตาทำให้ต้องนิ่งมอง กระจกรถค่อยเลื่อนลงก่อนที่แมกซ์เวลจะยื่นหน้าออกมาบอก

“มาขึ้นรถ กลิ่นแก้ว”

คิ้วเด็กชายขมวด หันไปทางรถโรงเรียนที่เปิดประตูรออยู่แล้วบอกกับทางนั้นว่ารถที่บ้านจะไปส่งก่อนผละมา เมื่อเข้ามานั่งข้างอีกคนบนรถก็เห็นว่ากำลังผูกเนคไทอยู่ ได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ ก็แอบชำเลืองมอง สบเข้ากับนัยน์ตาคมที่เหมือนจะมองอยู่ก่อนแล้วจึงรีบเบือนกลับ

“ผูกเป็นไหม?” เอวานเอ่ยถาม

กลิ่นแก้วมองเนคไทเส้นเดิมที่ยังผูกไม่เสร็จ ก่อนบอก “เป็นครับ”

“ผูกให้หน่อย”

เด็กชายเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจ เขาผูกไปโรงเรียนบ่อยจนชินแล้ว แต่ไม่เคยผูกให้คนอื่น ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจริงจัง ทำให้ต้องเอื้อมมือไปผูกให้

มองเด็กที่กำลังผูกเนคไทให้อย่างตั้งใจแล้วเอวานก็อมยิ้ม กลิ่นแก้วโตขึ้นทุกวัน ได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของเด็กคนหนึ่งในฐานะผู้ปกครองมันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด จนอดนึกไปถึงสตีเฟ่นไม่ได้ หมอนั่นคงอยากมองภาพแบบนี้เหมือนกัน

ทุกปีเขายังพากลิ่นแก้วไปที่สุสาน ไปเยี่ยมสตีเฟ่น กลิ่นแก้วไม่เคยถามว่าเจ้าของหลุมศพนั้นคือใคร ไม่มีการตั้งคำถาม เหมือนว่าทุกอย่างที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกทั้งหมด

ก่อนหน้านี้เขายังต้องคอยระวังเรื่องคนของวิลสัน แต่พักหลังมาเหมือนมากาเร็ตจะมีปัญหากับฝั่งไรท์ ทำให้เงียบหายไป แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจนัก ทำให้ต้องส่งคนมาเฝ้าดูที่โรงเรียน โดยที่กลิ่นแก้วก็ไม่เคยรู้

เอวานแกล้งขยับตัวกวนสมาธิเด็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจ มือที่กำลังง่วนอยู่จึงชะงัก ตากลมช้อนขึ้นมามองเขา ทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม

“อะไร?”

“ถ้าคุณไม่อยู่นิ่ง ๆ มันอาจจะเบี้ยว” เด็กมันว่า

“ทำไม?” ผู้ใหญ่ก็ยังทำไขสือ

“ผมไม่เคยผูกให้ใคร ไม่มั่นใจว่าจะออกมาดีไหม ถ้ายังไงให้...”

“ไม่”

กลิ่นแก้วเม้มปากเมื่อถูกดักมาเช่นนั้น กะว่าจะให้บอกมิสเตอร์แมกซ์เวลทำต่อ แต่เมื่อถูกปฏิเสธทันควันจึงต้องค่อยผูกไปช้า ๆ จนเสร็จ

เมื่อมาถึงโรงเรียน กลิ่นแก้วเอ่ยขอบคุณที่มาส่งก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป มือใหญ่เอื้อมมาคว้าข้อมือไว้ ทำให้หันกลับมามองอย่างมีคำถาม

“เดี๋ยวเย็นนี้มารับ ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันก่อนกลับเจฟเฟอร์สัน โอเคไหม?”

“ครับ” กับเอวาน กลิ่นแก้วไม่เคยอิดออด ทำให้ตอบกลับไปง่าย ๆ เช่นนั้นก่อนลงรถแล้วปิดประตู

รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว กลิ่นแก้วได้แต่มองตามด้วยแววละห้อย เอวานคงลืมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร ถึงได้ไม่พูดถึงมันเลย ที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย เขาเองก็ไม่ได้อยากทำตัวมีปัญหา แต่อดน้อยใจเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่ดี แค่แอบน้อยใจคงได้ใช่ไหม เอวาน?

“โตป่านนี้แล้วยังให้ที่บ้านมาส่งอีก”

เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้กลิ่นแก้วปรายสายตาไปมอง คาร์เตอร์ เพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนนิสัยแบบนั้นทำให้กลิ่นแก้วไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เพียงก้าวเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยมีอีกคนที่รีบก้าวมาเดินข้างกัน

“นี่ เย็นนี้ฉันว่าจะเลี้ยงข้าว ไปด้วยกันไหม?” คาร์เตอร์เอ่ยชวน ก่อนรีบแก้เมื่อถูกมองหน้า “เฮ้ อย่าเข้าใจผิด ฉันชวนเพื่อนทุกคนแหละ”

ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย กลิ่นแก้วคิดในใจก่อนบอกไปเรียบ ๆ “ขอบใจที่ชวน แต่คงไม่ได้ ฉันนัดกับพี่ชายไว้แล้ว”

เพราะอยู่ในความดูแลของเกวน สถานะของเอวานจึงเป็นพี่ชาย แต่เอาเข้าจริง เอวานก็ชอบคิดว่าตัวเองเป็นพ่อมากกว่าเป็นพี่เสียอีก

“เหอะ นี่นายเป็นลูกแหง่ติดพี่เหรอ?” เย้ยออกไปตามนิสัยเพราะเสียหน้ากับการปฏิเสธไร้เยื่อใยนั่น

“ก็อาจจะใช่”

“กลิ่นแก้ว!” เสียงดังจนเจ้าของชื่อหันมามองหน้า “ฉันอุตส่าห์ชวนนายนะ กล้าปฏิเสธเหรอ ไอ้เด็กเอเชีย!”

“ฉันก็บอกนายอยู่นี่ไงว่ามีนัดกับพี่แล้ว” กลิ่นแก้วพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แม้จะถูกเรียกขานด้วยการเหยียดเชื้อชาติเช่นนั้น

“กับพี่ นายจะไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไรก็ได้!” คาร์เตอร์ว่า

“แต่ฉันจะไปวันนี้!” คนนี้ก็โต้กลับเสียงดัง ขู่ฟ่อต่างจากเวลาอยู่เจฟเฟอร์สันนัก

“เออ ฉันมันไม่สำคัญอยู่แล้วนี่”

หัวคิ้วกลิ่นแก้วขมวด มันโยงไปเรื่องนั้นได้อย่างไร “นายเป็นเพื่อน นายต้องสำคัญอยู่แล้ว คาร์เตอร์”

“แต่นายก็ไม่เลือกที่จะไปกับฉัน”

“งี่เง่าน่า มันเทียบกันได้ที่ไหน”

“ช่างเถอะ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว!”

ว่าแล้วก็เดินปึงปังจากไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วถอนหายใจตามหลังพร้อมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ อะไรหนักหนาไม่รู้

“พวกนายทะเลาะกันเหรอ?”

เด็กชายหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสะกิดไหล่พร้อมกระซิบถามเมื่อเข้าห้องเรียนกันมาแล้ว ขณะที่ครูยังอธิบายบทเรียนอยู่หน้าชั้น กลิ่นแก้วเหล่มองคาร์เตอร์ที่ทำเมินใส่

“เปล่า” ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหันกลับไปสนใจการเรียนการสอนของครูต่อ

“อะไรคือเปล่า คาร์เตอร์บอกว่านายจะไม่ไปกินข้าวกับพวกเราเย็นนี้ นายกล้าปฏิเสธเขาเหรอ?” เพื่อนยังกระซิบกระซาบ

“ก็ฉันติดธุระ แล้วอีกอย่าง เราเพิ่งจะอยู่ม.ต้น ไม่ควรใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้”

“นายกล้าพูดออกมาได้ยังไงกลิ่นแก้ว เดลลาร์ นี่เราระดับไหนแล้ว นายยังพูดเรื่องสิ้นเปลืองอีก อาหารในภัตตาคารมื้อสองมื้อไม่ได้ทำให้เราจนลงหรอก”

เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะกันครืนกับความคิดของกลิ่นแก้ว ทำให้ครูกระแอมขึ้นมา เสียงเจี๊ยวจ๊าวนั้นจึงเงียบลง

“นายน่าจะขอโทษเขานะ เขาตั้งใจชวนนาย แต่โดนปฏิเสธแบบนี้โคตรเสียหน้า” เพื่อนอีกคนด้านหลังเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ใช่ นายก็รู้ว่าคาร์เตอร์ไม่เคยง้อใคร นี่เขากลับเป็นฝ่ายชวนนายโดยไม่ผ่านลูกกระจ๊อกเลยนะ” เพื่อนคนที่เปิดประเด็นเอ่ยเสริม

“......” กลิ่นแก้วได้แต่ทำหน้าพิกล การที่คาร์เตอร์มาชวนไปกินข้าวด้วยตัวเองมันดีเลิศขนาดนั้นเลยหรือ เขาไม่เห็นรู้มาก่อน

เด็กที่นี่มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมาแต่เกิด ไม่แปลกที่จะคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก เพราะพวกเขามีเหลือกินเหลือใช้ แต่กับกลิ่นแก้วที่เคยลำบากและไม่เคยลืมช่วงเวลาเหล่านั้น ทำให้มันมีค่ามากกว่าอาหารหรู ๆ มื้อสองมื้ออย่างที่ว่า

หลังเลิกเรียน ทอมัสมารับเด็กตามคำสั่งของผู้เป็นนาย กลิ่นแก้วขึ้นรถไปโดยมีกลุ่มเพื่อนมองตาม ทำให้ทอมัสที่มองผ่านกระจกมองหลังต้องเอ่ยถามขึ้นมา

“มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เริ่มเป็นกังวลว่าเด็กของนายจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง การกลั่นแกล้งมีทุกที่ทุกสังคม ยิ่งตัวจ้อยแบบนี้จะสู้เขาไหวหรือ

“เพื่อนชวนไปกินข้าว เขาจะเลี้ยง แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะนัดกับเอวานแล้ว”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก...”

“เอวานชวนก่อน” ตัวเล็กรีบแก้ ก่อนบอกเสียงเบา “แล้วผมก็อยากกินข้าวกับเอวานมากกว่า”

ทอมัสกระตุกยิ้ม โยกหัวเด็กด้วยความเอ็นดู ก็แน่ล่ะ ถ้าต้องให้เลือก ไม่ว่านายของเขาจะนัดก่อนนัดหลัง อย่างไรเจ้าตัวเล็กนี่ก็ต้องเลือกนายของเขาอยู่ดี

รถยนต์แล่นไปตามทาง มุ่งสู่ร้านอาหารที่ผู้เป็นนายได้จองโต๊ะไว้ เมื่อมาถึงร้าน นายของเขาก็รออยู่แล้ว อาหารทุกอย่างค่อยทยอยมาวาง ดูก็รู้ว่ามันถูกจัดมาเอาใจเจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะ บรรยากาศที่ดูตึง ๆ มาตั้งแต่เช้าเลยเหมือนจะดีขึ้น

“อร่อยไหม?”

เอวานเอ่ยถามเด็กที่เพลินอยู่กับการตักอาหารเข้าปาก คนถูกถามพยักหน้ารับ ทั้งอมยิ้มตาพราว บอกให้รู้ว่ามีความสุขกับการกินแค่ไหน

“อร่อยก็กินเยอะ ๆ” เอ่ยบอกทั้งเอื้อมมือไปเช็ดมุมปากให้เบา ๆ แบบนี้ค่อยดีหน่อย แสดงว่าที่เขาผิดนัดเมื่อวานยังพอจะคุยกันได้

“เอวาน”

เสียงทายทักที่ดังขึ้นทำให้เอวานและกลิ่นแก้วหันไปมอง เอวานขยับตัวลุกเมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาหา ยื่นมือไปสัมผัสมือหญิงสาวตรงหน้าเป็นการทักทาย ขณะที่กลิ่นแก้วเหลือบสายตาขึ้นมอง ก่อนวางช้อนลงแล้วลุกขึ้นบ้าง

หญิงสาวแสนสวยตรงหน้ากลิ่นแก้วคือวาเนสซ่า เทย์เลอร์ เธอบอกว่ามาธุระแถวนี้จึงแวะมาหาอะไรกินเพราะเป็นร้านประจำของเธอ เอวานเชิญเธอร่วมโต๊ะตามมารยาท ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น บรรยากาศภายในโต๊ะเปลี่ยนไปเมื่อมีวาเนสซ่าเข้ามา อาหารที่กลิ่นแก้วรู้สึกว่าอร่อยเริ่มกร่อยแทบไม่รู้รส เมื่อรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกินไปแล้วในเวลานี้

“ของขวัญที่ให้ไปเมื่อวาน ถูกใจไหมคะ?”

วาเนสซ่าเอ่ยถามเหมือนชวนคุย แต่นั่นก็ทำให้กลิ่นแก้วชะงักมือที่กำลังตักอาหารเข้าปาก หูเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“ขอบคุณมากครับ สวยมากทีเดียว” เอวานตอบกลับไปตามมารยาทอันดี

“ฉันก็หวังว่าคุณจะชอบและใช้มันค่ะ”

ริมฝีปากหยักยังคงระบายยิ้ม ขณะที่เด็กข้าง ๆ อาหารเริ่มฝืดคอจนต้องยกน้ำขึ้นดื่ม เมื่อวานพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เพราะแบบนั้นเอวานถึงได้ผิดนัด กลิ่นแก้วเด็กโง่ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

“อิ่มแล้วเหรอ?” เอวานเอ่ยทักเมื่อเด็กยกชายผ้าบนตักขึ้นเช็ดปากหลังดื่มน้ำ

“ครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นโดยไม่หันไปมองคนถามสักนิด

“กินน้อยไปหรือเปล่า?”

“นี่ปรกติสำหรับผมแล้วครับ” เขาโกหก ใช่สิ นี่จะปรกติได้อย่างไร หากอยู่เจฟเฟอร์สันมีหรือจะเหลือ แต่ตอนนี้ไม่นึกอยากอาหารเลย แม้มันจะรสชาติดีแค่ไหนก็ตาม

เอวานรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ แต่ยังคงรักษามารยาทกับหญิงสาวร่วมโต๊ะ จนกระทั่งมื้ออาหารสิ้นสุดลง เอวานจึงเอ่ยถามหญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นั้น

“แล้วนี่กลับยังไงครับ?”

“เอารถมาค่ะ พอดีจะไปธุระต่อ คุณพ่อเลยให้คนที่บ้านขับรถมาให้ ยุ่งยากว่าไหมคะ?” เธอเอ่ยติดตลก ทั้งที่ใจจริงอยากจะให้คนถามไปส่งเสียมากกว่า แต่วันนี้ท่าทางจะไม่สะดวก เมื่อมีเด็กชายที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นน้องนั่งอยู่ด้วย

เอวานเดินมาส่งหญิงสาวที่รถพร้อมกลิ่นแก้วที่เดินตามหลังมาช้า ๆ นัยน์ตาคมเบือนกลับมามองเด็กด้านหลังเมื่อเธอขึ้นรถไปกับบอดีการ์ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เราก็กลับกันไหม หรืออยากไปเที่ยวไหนต่อ?”

“กลับเลยดีกว่าครับ” กลิ่นแก้วยิ้มบอก มันเป็นรอยยิ้มที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เอวานรู้ดีว่าเพราะอะไร แต่การจะหักหน้าหญิงสาวมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ทั้งสองคนขึ้นรถกลับคฤหาสน์ด้วยกันเงียบ ๆ เป็นความเงียบที่ชวนอึดอัด

“เมื่อวานขอโทษนะ ฉันติดธุระ เลยไม่ได้กลับไปฉลองด้วย”

“ครับ” เก็บปากเก็บคำนี่ขอให้บอก

“โกรธมากหรือไง?”

“ผมขอโทษที่นึกโกรธหน่อย ๆ อยู่เหมือนกันครับ”

เอวานอมยิ้มกับความตรงไปตรงมานั้น “ทำยังไงจะหายโกรธ?”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ”

“กลิ่นแก้ว” เอวานดุเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มประชด ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน

“ขอโทษครับ”

สีหน้าคนถูกดุดูจ๋อยลงไปถนัดตา จนเอวานต้องย้อนถามตัวเอง นี่เขาดุเกินไปหรือ?

มือหนารั้งตัวเด็กมาหา เด็กเจ้าน้ำตาเมื่อวันวานกลับไม่มีน้ำตาให้เห็น มีเพียงสีหน้าที่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดกับคำพูดก่อนหน้าของตนเอง วงแขนกว้างโอบไหล่เล็ก ลูบต้นแขนเบา ๆ เมื่อเอ่ยถาม

“เป็นอะไร หืม?”

“......” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า

“บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรก็ให้พูด”

“ก็ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันบอกไม่ถูกนี่นา”

เสียงออด ๆ ที่ดังอยู่กับอกทำให้เอวานยิ้มบาง

“ก็แล้วมันเป็นยังไงล่ะ โกรธ ไม่พอใจ หรืออยากให้ทำอะไรก็บอกสิ”

“......” ตากลมช้อนมอง แต่ยังไม่ยอมเปิดปากพูด

เอวานเลิกคิ้ว “อะไร?”

“คุณจำได้ใช่ไหมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร?”

“จำได้” เขาว่าอย่างนั้น

“แล้วที่คุณไม่ได้กลับมาฉลองด้วยกันเหมือนทุกที เพราะคุณอยู่กับมิสเทย์เลอร์ใช่ไหม?”

คนถูกถามถึงกับนิ่งไป แม้แต่บอดีการ์ดสองนายด้านหน้าก็ชะงัก คำถามนี้... เอาแล้วไง

“ใช่”

พอตอบแบบนั้นเจ้าตัวเล็กก็เงียบไปเลย ทอมัสกับแมกซ์เวลแทบไม่กล้าหายใจแรง นี่มันสถานการณ์อะไรกันวะ

“แค่นี้แหละ”

“อ้าว” เอวานถึงกับงง เมื่อเด็กพูดแค่นั้นแล้วก็ขยับออกจากอ้อมแขนของเขาเฉย “ก็เธอถาม พอฉันตอบแล้วทำไมเป็นแบบนี้ พูดความจริงก็ผิดเหรอ?”

“ไม่ผิด ผมต่างหากที่ผิด” แววบางอย่างในดวงตาทำให้อีกคนนิ่งฟัง “ผมทำให้คุณลำบากใช่ไหม?”

“......”

“บางที วันสำคัญของคุณ คุณอาจจะอยากอยู่กับเธอมากกว่า”

“กลิ่นแก้ว” เอ่ยเรียกเจ้าตัวเล็กด้วยความทดท้อ “เลิกเสียทีได้ไหมเรื่องคิดเองเออเองแล้วเสียใจเองนี่”

“......”

“ฉันไม่เคยมองว่ามันเป็นวันสำคัญ มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง จนกระทั่งเธอเข้ามา”

“......” มองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ

“เธอมีความสุขกับงานวันเกิดเล็ก ๆ ที่ฉันจัด พอใจกับแค่ของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่ได้จากฉัน”

“......” ใช่ มันเป็นแบบนั้น ไม่ว่าอะไรที่ได้จากเอวาน เขาก็รู้สึกยินดีทั้งนั้น

ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเด็กน้ำตาคลอ “เพราะแบบนั้นมันถึงได้สำคัญ เพราะมันทำให้เธอมีความสุข”

“เอวาน...”

ที่สุดแล้วเจ้าตัวเล็กก็โผเข้ามากอดแล้วร้องไห้กับอก มือใหญ่ลูบหลังไหล่เด็กน้อยที่ซุกหน้าสะอื้น กดจูบหน้าผากอุ่นพลางกระซิบบอกเบา ๆ แต่เพียงเท่านั้นก็พาเอาหัวใจคนฟังเต็มตื้น

“Happy belated birthday, my little boy.”


......

ต่อหน้าถัดไปค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 16-10-2018 15:12:49

กลิ่นแก้วตื่นเช้ามาโรงเรียนด้วยความสดใส ความน้อยอกน้อยใจที่มีปลิวหายไปกับสายลมเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวานพอกลับมาถึงเจฟเฟอร์สันก็มีของขวัญวางรออยู่บนเตียงนอนแล้ว เอวานไม่ได้ลืม ไม่เคยลืม ยังคงทำทุกอย่างเพื่อเขาเหมือนดังที่ผ่านมา

ตัวเล็กเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่โต๊ะแถวสนามหญ้าตรงข้ามอาคารเรียน คาร์เตอร์ที่ยังคงงอนไม่หายทำเป็นเมินเมื่อเขาเดินมาใกล้ กระทั่งกล่องคุกกี้ถูกวางลงบนโต๊ะ คาร์เตอร์จึงปรายสายตามามอง

“อะไร?”

“คุกกี้”

“ฉันไม่กินของพวกนี้หรอก ซื้อมาจากไหนก็ไม่รู้”

“เหรอ...” กลิ่นแก้วพึมพำเบา ๆ ก่อนหันไปหาเพื่อนอีกคน “ลอยน์ กินคุกกี้ไหม?”

“กินสิ นายก็รู้ว่าฉันชอบขนม แล้วนี่นายซื้อมาจากไหน?” ลอยน์รีบรับมาอย่างไม่ต้องหยุดคิด

“ไม่ได้ซื้อ ฉันทำเอง”

ลอยน์ทำหน้าไม่อยากเชื่อ คาร์เตอร์ที่ปฏิเสธว่าไม่กินของพวกนี้ก็ถึงกับหูผึ่ง

“นายเป็นเด็กผู้หญิงหรือไง ทำของแบบนี้ด้วย?”

“ไม่เห็นแปลกตรงไหน ปาติชิเย่เป็นผู้ชายเยอะแยะไป” กลิ่นแก้วว่า

“นายอยากเป็นปาติชิเย่เหรอ?”

“เปล่า แค่เปรียบเทียบให้ฟัง”

ลอยน์พยักหน้าหงึกหงักตามนั้นก่อนเปิดกล่องแล้วหยิบขนมออกมากิน ขณะที่คาร์เตอร์ก็คอยเหลือบมองตามทุกทีที่ขนมเข้าปากลอยน์ แต่พอกลิ่นแก้วหันมา ก็รีบหันหลบ ทำเป็นเมินไปทางอื่น

“กินไหม?” เอ่ยถามคนคอตั้งนั่งเชิดหน้าแบบไว้ท่าสุด ๆ นั่น

“ชิมดูก็ได้”

กลิ่นแก้วยิ้ม หยิบขนมมาให้คนวางท่าชิ้นหนึ่ง คาร์เตอร์จับข้อมือเล็กไว้แล้วอ้างับขนมเข้าปาก ก่อนบอก

“ก็ดี”

กลิ่นแก้วไหวไหล่ ดันขนมที่เหลือใส่ปากเพื่อนก่อนบิดข้อมือเบา ๆ ให้ปล่อย ลุกไปนั่งข้างลอยน์ที่ดูมีความสุขกับการกินกว่าใครเพื่อน

“นี่ กลิ่นแก้ว” คาร์เตอร์เอ่ยขึ้นขณะหยิบขนมชิ้นใหม่เข้าปาก ทำให้ลอยน์ตวัดสายตามามองเมื่อถูกแย่ง

“หือ?”

“เมื่อเช้านายให้พี่ชายมาส่งอีกแล้วเหรอ?”

“อืม” เมื่อคืนเอวานนอนที่เจฟเฟอร์สัน ทำให้เช้านี้ได้นั่งรถมาด้วยกันอีกวัน

“นายนี่ยังไงนะ รถรับส่งก็มี ติดพี่เกินไปแล้ว”

“ทำไมต้องว่ากันด้วย” กลิ่นแก้วหน้ามุ่ย อยู่ดี ๆ ก็มาว่า บ้ารึเปล่า

“ก็นายไม่รู้จักโตสักที มัวแต่อ้อนพี่อยู่ได้ เผื่อเขาอยากมีเวลาส่วนตัว มีนายตามติดต้อย ๆ แบบนี้ดีนักเหรอ?”

เวลาส่วนตัวอะไร เขาไม่ได้หวงห้ามไม่ให้มีสักหน่อย เอวานก็ยังมีสังคมนอกเจฟเฟอร์สัน ได้พบเจอคนมากมายแบบที่เขาไม่เคยรู้ และไม่เคยก้าวก่าย คาร์เตอร์ไม่รู้อะไรทำเป็นมาพูด

“ฉันไม่เคยคิดจะสร้างความเดือดร้อนให้เขา” กลิ่นแก้วแย้ง

“แต่ที่นายทำคือการให้เขามาเอาใจใส่นายคนเดียว โดยที่ไม่สนใจว่าเขาจะอยากมีอิสระบ้าง หรือบางทีก็อยากมีเวลากับคนรักของเขาบ้าง ใช่ไหม?” คาร์เตอร์พูดจี้ใจดำ “เถียงสิว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“เอวานบอกว่าเขาเต็มใจ!”

“ก็ถ้าเขาไม่พูดแบบนั้นนายก็โกรธเขาอีกใช่ไหมล่ะ เขาเลยต้องเอาใจนายอยู่แบบนี้”

“หยุดพูดได้แล้ว!”

“ฉันจะพูด!”

“……”

“นายโตแล้วนะ หัดทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิ ขนาดพี่สาวฉันเป็นผู้หญิงยังออกไปทำงานนอกบ้านเลย ออกไปหาประสบการณ์ ฉันเองก็อยากลองทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ติดที่อายุยังไม่ถึง ถ้าขึ้นม.ปลายเมื่อไรฉันจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก อยากลองใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตัวเองดูบ้าง”

คาร์เตอร์เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง ครอบครัวของเขาไม่ได้ยากจน แต่เขาคิดว่านั่นมันเงินของครอบครัว ของพ่อแม่ เขาอยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง เวลาหยิบจับอะไรจะได้รู้สึกว่าเป็นของตัวเองจริง ๆ

“นายไม่คิดอยากพึ่งพาตัวเองให้ได้บ้างเหรอ จะพึ่งพาพี่นายไปตลอดเลยรึไง?”

คำถามของคาร์เตอร์ทำให้กลิ่นแก้วฉุกคิด แม้ประสบการณ์ตอนอยู่เดลลาร์จะไม่ดีนัก แต่เวลานี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่กลิ่นแก้วคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เขาอยากลองพึ่งพาตัวเองแบบที่คาร์เตอร์ว่าบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาเอวาน แต่ไม่รู้เอวานจะอนุญาตไหมนะ



เมื่อกลับมาเจฟเฟอร์สัน ก่อนนอนกลิ่นแก้วก็แวะเข้ามาหาเอวานที่พักนี้กลับมานอนเจฟเฟอร์สันบ่อยขึ้น มารายงานเรื่องไปโรงเรียนเช่นทุกที ก่อนปรึกษาเรื่องที่คุยกับคาร์เตอร์เมื่อตอนกลางวัน

“อยากทำงาน?”

เอวานปิดหนังสือที่กำลังกางอ่านลงทั้งน้ำเสียงประหลาดใจ เด็กน้อยของเขาเพิ่งจะสิบสาม คิดเรื่องแบบนี้แล้วหรือ?

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะครับ เพราะว่าคงไม่มีใครรับเด็กเท่าพวกผมทำงาน คาร์เตอร์บอกว่าขึ้นม.ปลายเขาจะออกไปหาประสบการณ์”

‘คาร์เตอร์’ นี่เพื่อนหรือ มีความคิดหัวก้าวหน้าดี แต่จะพาเด็กเขาไปตะลอนหาประสบการณ์อะไรแบบนี้ ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไร

“คาร์เตอร์เป็นคนยังไง?”

“ครับ?”

“สนิทกับเขาแค่ไหน?”

น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ พอกับสีหน้าที่ไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกเช่นไรเมื่อเอ่ยถาม แต่บรรยากาศมันก็พาให้กลิ่นแก้วรู้สึกตัวเล็กลีบจากความกดดันที่มองไม่เห็น ทำไมต้องถามเรื่องคาร์เตอร์แบบจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ

“ก็... เป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนประถมครับ พอขึ้นมัธยมก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน ก็... เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันครับ...”

“......” เอวานพยักหน้าเข้าใจ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เอ่ยถามด้วยความกังวล เพราะปรกติแล้วเอวานไม่เคยถามเกี่ยวกับเพื่อนของเขาเลย มีแต่เขาที่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง ชักเริ่มใจคอไม่ดีเสียแล้ว เขาทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?

“แค่กลัวเธอคบเพื่อนไม่ดี เห็นบอกจะพากันไปหาประสบการณ์เลยอยากรู้ว่าเป็นคนยังไง จะพากันไปเหลวไหลไหม” เอวานให้เหตุผลเสียงเรียบ

เจ้าตัวเล็กถึงกับถอนหายใจออกมาเมื่อรู้เช่นนั้น “โธ่ คาร์เตอร์ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกครับ ถึงเขาจะเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีนะ”

“รู้จักเขาดีแล้วเหรอถึงพูดแบบนั้น?”

“......” กลิ่นแก้วชะงัก ตากลมมีแววตกใจให้เห็น เอวานไม่เคยดุแบบนี้

เห็นเด็กตกใจ เอวานก็กระแอมเบา ๆ แก้เก้อ “จะคบเพื่อนก็ดูให้ดี ๆ แล้วกัน”

กลิ่นแก้วเงียบไปครู่ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ “คุณ... ไม่อยากให้ผมเป็นเพื่อนกับคาร์เตอร์เหรอครับ?”

“......”

“เขาเป็นคนไม่ดีเหรอ?”

เอวานนิ่งไปนิด มองสีหน้าเป็นกังวลของเด็กแล้วถอนหายใจเบา “ฉันยังไม่เคยเจอเขาสักครั้ง คงไม่ได้รู้จักเขาดีไปกว่าเธอที่เจอเขาแทบทุกวัน เลิกคิดว่าคำพูดฉันจริงไปเสียทั้งหมดได้แล้ว ถ้าเธอรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี ไม่เคยเอาเปรียบ ไม่เคยรังแก หรือสร้างความเดือดร้อน การคบเขาเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องผิด”

“......”

“ฉันแค่เตือนเฉย ๆ ว่าให้ดูดี ๆ เวลาคบเพื่อน ไม่ได้จะดุด่าที่มีเขาเป็นเพื่อน เข้าใจไหม?”

“ครับ” เจ้าตัวเล็กเปิดยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้ารับ เมื่อบรรยากาศเริ่มดีขึ้นมาจึงเอ่ยถามต่อ เพราะยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องที่มาปรึกษา “แล้วสรุปคุณว่าเรื่องไปทำงานแบบที่คาร์เตอร์บอกมันดีไหม ใจจริงผมก็เห็นด้วยกับคาร์เตอร์นิดหน่อย ถ้าหาเงินใช้ได้เองมันก็น่าภูมิใจเหมือนกัน”

“แล้วอยากทำอะไร?” เอวานปรับท่าทีมาเป็นปรึกษาที่ดี พร้อมจะรับฟังทุกปัญหาของเด็กน้อย

“ตอนนี้ยังไม่รู้เหมือนกันครับ แค่อยากขอคำปรึกษาจากคุณว่ามันดีไหม”

“อยากทำอะไรด้วยตัวเองมันก็ดี” ที่ปรึกษาเขาว่าอย่างนั้น “แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งรีบร้อน ฉันยังเลี้ยงเธอไปได้อีกหลายปี เลี้ยงไปจนแก่เลยยังได้”

“เอวาน” ตัวเล็กทำเสียงเง้างอด ก็บอกอยู่ว่าอยากลองพึ่งตัวเอง

“ก็ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่อนุญาต จะอนุญาตเวลาที่เหมาะสม โอเคไหม?”

พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวเล็กก็ฉีกยิ้ม ขยับเข้าไปสวมกอดคนตัวโตที่นั่งพิงหัวเตียงแล้วซบแก้มกับอกแกร่งพร้อมออดอ้อน

“คุณเป็นคนดีที่หนึ่งเลย”

“ไม่ต้องมายอ”

“พูดเรื่องจริง”

“หึ” น่ามันเขี้ยวจนต้องหอมหัวไปที

พอมาคิดดูแล้ว การที่เด็กของเขามีเพื่อนแบบคาร์เตอร์ก็ไม่เลวนักหรอก แต่เขายังไม่อยากให้ห่างอกไปเร็วขนาดนั้น ยังอยากให้อ้อนไปเรื่อย ๆ ไม่อยากให้โตเลย เจ้ากลิ่นแก้ว

แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นแก้วโตขึ้นทุกวัน การดำเนินชีวิตเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นย่อมเปลี่ยนไป อาจไม่มีเจ้าตัวเล็กที่จะคอยมาออดอ้อนดังเช่นแต่ก่อน คิดแบบนั้นแล้วเอวานก็ใจหาย ลูกนกตัวน้อย ๆ ในวันนั้น วันนี้กำลังเริ่มหัดบิน อีกหน่อยพอปีกกล้าขาแข็ง คงโผไปจากอกพ่อนกกำมะลอแบบเขาสักวัน...





TBC



บวกขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-10-2018 16:11:51
เอวาน  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 16-10-2018 19:14:29
เหม่ เอวาน อยากเลี้ยงต้อยไปเรื่อยเหรอ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 16-10-2018 20:00:59
เอวานอยากเป็นแค่พ่อเหรอ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-10-2018 21:41:21
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-10-2018 22:09:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-10-2018 09:36:01
ชอบคนแก่เลี้ยงเด็ก อิอิ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 17-10-2018 09:43:47
แหมมมมมม อยากให้น้องเป็นเด็กไปนานๆเนอะ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ไง
แต่น้องตอนอ้อนก็น่ารักจริงๆ นี่นะ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-10-2018 00:38:35
นี่มันปฏิบัติการเลี้ยงต้อยชัดๆ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว) + >>16.10.2561<<
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-10-2018 09:06:14
รอๆ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 23-10-2018 15:44:48

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ



ห้องพักส่วนบุคคลบนชั้นสูงสุดของคาสิโน แสงสีในยามค่ำคืนของเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลยังคงดาดาษอยู่ภายนอกห้องที่ผนังกรุด้วยกระจกหนา แก้วเครื่องดื่มถูกยกขึ้นจิบ ขณะที่สายตายังทอดมองบรรยากาศภายนอกด้วยความเงียบงัน กระทั่งใครคนหนึ่งบุกเข้ามาภายในห้อง

“ฟราน เมื่อไรนายจะจัดการยายปีศาจนั่นสักที ฉันว่านายปล่อยไว้นานเกินไปแล้วนะ”

ผู้ที่ยืนอยู่หน้ากระจกค่อยหันกลับมายังต้นเสียง ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาพร้อมสีหน้าไม่พอใจทำให้เจ้าของห้องต้องเอ่ยปาก

“ฉันบอกแล้วไงว่าปล่อยให้ลำพองใจไปก่อน”

“ลำพองใจไปก่อนงั้นเหรอ? ลำพองมากี่ปีเข้าไปแล้ว!?” แขกผู้มาเยือนตะคอกดังเพราะอารมณ์ที่กรุ่นอยู่ภายใน

ตั้งแต่สตีเฟ่นตาย นี่มันกี่ปีเข้าไปแล้วที่มากาเร็ตเข้ามาบริหารงานต่อ แทนที่หุ้นในส่วนของสตีเฟ่นต้องตกมาเป็นของพวกเขาพี่น้อง กลับกลายเป็นคนนอกเสียอีกที่เข้ามาวุ่นวาย ไม่ใช่แค่มากาเร็ต บิดาของเธอก็เข้ามาแทรกแซงงานภายในคาสิโนด้วยอีกคน แล้วฟรานเชสโก้ยังจะใจเย็นไปถึงเมื่อไรกัน

“เธอก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ทั้งยังช่วยโปรโมตในส่วนของที่พักและอาหารให้เราอีกไม่ใช่เหรอ โอลิเวอร์?” ฟรานเชสโก้ยังเอ่ยอย่างใจเย็น

“นี่นายจะเห็นดีเห็นงามกับยายนั่นไม่ได้นะเว้ย ถูกปั่นประสาทไปอีกคนแล้วหรือไง?” เจ้าของนามโอลิเวอร์โต้กลับด้วยความหงุดหงิด เขายอมรับว่ามากาเร็ตเป็นคนสวย แต่ไม่เคยนึกพิศวาส

“ถึงยังไงมากาเร็ตก็เป็นคนที่แม่เลือกมาให้สตีฟ จะทำอะไรก็ไม่ง่ายนักหรอก” พูดกันตามความเป็นจริง สองคนนั้นแต่งกันเพราะผู้ใหญ่ มันก็พูดยากหากจะลงมือทำอะไรไป เพราะครอบครัวของเขาและวิลสันก็รู้จักกันมานานพอสมควร

“นายก็เลยจะให้หล่อนเข้ามาวุ่นวายอยู่แบบนี้น่ะเหรอ?” โอลิเวอร์ออกจะหงุดหงิดใจที่เจ้าหล่อนยังลอยหน้าอยู่ในคาสิโน ทั้งยังพาคนจากวิลสันเข้ามาแทรกแซงการทำงานคนของเขาอีก

“โอลิเวอร์ ถ้านายอยากให้ฉันจัดการ นายต้องใจเย็นกว่านี้” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเตือน

“นี่ฉันยังเย็นไม่พออีกเหรอ ฟราน?” ให้ตายเถอะ ใจเย็นมากี่ปีแล้ว ยังจะเย็นไปจนถึงเมื่อไรอีก

“ถ้านายไม่พอใจในวิธีของฉันก็จัดการเอง แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงฉันก็แล้วกัน”

เมื่อผู้เป็นพี่ชายตัดเยื่อใยมาเสียขนาดนั้น โอลิเวอร์ก็พูดไม่ออก เดือดดาลแต่ทำอะไรไม่ได้ ต้องฮึดฮัดออกจากห้องไปด้วยความหงุดหงิดที่ทบทวี

“โธ่เว้ย!”

ก็อย่างที่รู้กันว่ามากาเร็ตไม่ใช่ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาจากที่ไหน การจะเอาเธอลงจากบอร์ดบริหารต้องมีเหตุสมควร ให้วิลสันแก้ต่างไม่ออก

ฟรานเชสโก้ส่ายหน้าเบาเมื่อน้องชายออกจากห้องไปแล้ว โอลิเวอร์เป็นพวกมุทะลุ ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังสักเท่าไร มักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งจนบางครั้งก็อาจจะทำให้เสียการใหญ่ ในขณะที่สตีเฟ่น เห็นเป็นพวกเจ้าสำราญแบบนั้นกลับมีชั้นเชิงในการทำงานที่เหนือกว่า รู้จักวางแผนและมีเล่ห์เหลี่ยมพอตัว ในฐานะผู้บริหาร ฟรานเชสโก้อยากร่วมงานกับน้องชายเช่นสตีเฟ่น อยากให้มาร่วมมือกันทำให้ Ace Casino ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่เอาสักอย่าง ไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยว ให้ช่วยอยู่ห่าง ๆ พอได้ แต่ให้ออกหน้าแบบผู้เป็นพี่ชาย สตีเฟ่นไม่เอา สิ่งที่สตีเฟ่นต้องการคืออิสระ อยากใช้ชีวิตธรรมดากับผู้หญิงที่รัก สร้างครอบครัวเล็ก ๆ และอยู่กันอย่างมีความสุข

สำหรับฟรานเชสโก้แล้วเรื่องแบบนั้นมันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันไร้สาระ เขาไม่เคยคิดว่าหนุ่มเจ้าสำราญแบบสตีเฟ่นจะลงหลักปักฐานกับใครได้ กระทั่งเจอผู้หญิงคนนั้น สตีเฟ่นก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ จากที่เคยช่วยงานเขาก็กลายเป็นคนไม่สนอะไรนอกจากความเพ้อฝันบ้าบอนั่น

เสียงเตือนข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น กายสูงใหญ่ก้าวไปที่โต๊ะกระจก หยิบมันขึ้นมาเปิดไฟล์แนบ แก้วเครื่องดื่มในมือถูกยกขึ้นมาจรดริมฝีปากอีกหน กระดกน้ำสีอำพันแสนบาดคอนั้นลงไปจนหมดแล้วริมฝีปากจึงค่อยเหยียดยิ้มหยันเมื่อมองภาพถ่ายจากไฟล์แนบ

“นายคงรักลูกของนายมากสินะ สตีฟ”

ภาพเด็กผู้ชายในชุดนักเรียน ผิวสีน้ำผึ้งนั่นดูสะดุดตาไม่น้อยเลย รอยยิ้มสดใสของเด็กในรูปยิ่งทำให้มุมปากคนมองเหยียดยิ้ม

“น่าเสียดายนะ ที่นายไม่ได้อยู่ปกป้องเขา”

ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่รอดพ้นหูตาคนอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ยิ่งเป็นเรื่องของสตีเฟ่นด้วยแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่รู้ แม้แต่เด็กในรูปนี่ก็ด้วย ที่ยังนิ่งเฉยก็เพราะยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น

“ไม่ต้องเป็นห่วง สตีฟ ฉันจะดูแลเขาแทนนายเอง หึ”


……


คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

กลิ่นแก้วในชุดสุภาพเดินออกมาจากคฤหาสน์พร้อมช่อดอกไม้ในอ้อมแขน โดยมีเอวานก้าวเดินอยู่ข้างกาย ขณะที่บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองนายยืนรอท่าอยู่ข้างตัวรถ

เอวานเข้าไปนั่งเมื่อทอมัสเปิดประตูให้ ขณะที่กลิ่นแก้วส่งดอกไม้ให้แมกซ์เวลถือแล้วก้าวตามขึ้นไป วันนี้พวกเขาต้องไปที่สุสาน ไปเยี่ยมเยียนสตีเฟ่น ไรท์ ผู้ลาลับ มันเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกปี และในปีนี้ก็เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง

เกวนที่ตามมาส่งเด็กในความดูแลหน้าคฤหาสน์ได้แต่มองตามรถที่แล่นออกไปก่อนถอนหายใจเบา เอวานเคยบอกว่าไม่อยากให้เด็กของตนเข้าไปพัวพันกับคนฝั่งไรท์ แต่กลับยังพาเด็กไปที่สุสานในทุกปี ยอมรับว่าเธอแอบเป็นกังวล แต่เมื่อลูกอยากทำเพื่อคนที่จากไปก็เลยไม่ได้หวงห้ามอะไร เพราะเท่าที่ผ่านมาก็นานพอดูแล้ว เธอยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดจากฝั่งไรท์ นอกเสียจากวิลสันที่มาเฝ้าจับตาอยู่พักหนึ่งแล้วหายไป สถานการณ์ก็คงพอจะวางใจได้แล้วกระมัง

“กลิ่นแก้ว” เอวานเอ่ยเรียกเมื่อนั่งอยู่ข้างกันบนรถ

“ครับ?” คนถูกเรียกหันมายิ้มให้

“อยากกลับบ้านไหม?”

“อะไรนะครับ?” รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อยเจื่อนลงเมื่อทวนถาม เหมือนจะได้ยินอะไรผิดไป

“ที่ไบบิวรี่น่ะ”

“......”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น?” เอ่ยถามเมื่อสีหน้าเด็กข้างกายดูอึ้งไป เขาพูดอะไรผิดไปหรือ?

“ผ... ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า... ทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอครับ?”

“เดี๋ยว” เอวานแทรก ท่าทางนั้นมันอะไร เขายังไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไรสักคำ “กำลังคิดอะไรอยู่?”

“ก็... คุณจะไม่ให้อยู่ด้วย...” น้ำเสียงเบาหวิวฟังดูน่าใจหายเชียว

เมื่อเข้าใจว่าเด็กเป็นอะไร เอวานก็ยิ้มขำ “เด็กโง่ ใครพูดแบบนั้นกัน ที่ถามเพราะเห็นว่าเธอไม่ได้กลับไปนานแล้ว อาจคิดถึงบ้าน หรือคิดถึง... แม่ของเธอ”

กลิ่นแก้วถึงกับโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เอวานไม่ได้ไล่ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เอวานแค่ถามเฉย ๆ ส่วนเรื่องคิดถึงบ้าน คิดถึงมารดา เขายอมรับว่าคิดถึง อยากกลับไป แต่มันไม่มีที่สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว

กิจการของมารดาทั้งฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ท่านทำเพราะอยากใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและสงบในบั้นปลายก็ถูกขายไปแล้วโดยสองสามีภรรยาเดลลาร์ กลิ่นแก้วไม่กล้าทักท้วงเมื่อสองคนนั้นเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ เพราะพวกเขาบอกว่าจะให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่ลอนดอน ไม่มีเวลาไปดูแลกิจการของมารดาต่อ จึงขายออกไป ตอนนี้แปรสภาพไปเป็นอะไรแล้วไม่อาจรู้ บ้านที่เขาเคยอยู่ก็ประกาศขายไปแล้วเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความทรงจำและการระลึกถึงผู้เป็นมารดาเท่านั้น

“ไว้มีเวลาฉันจะพากลับไปเยี่ยมบ้าน ดีไหม?”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นข้างกายทำให้กลิ่นแก้วยิ้มบาง ถึงแม้ชีวิตเขาจะไม่เหลืออะไร แต่คนคนนี้ก็ยังอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ เป็นทั้งแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อ เป็นทั้งคนที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา

“ขอบคุณครับ” มันเป็นคำขอบคุณที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำให้

พวกเขากำลังเดินทางไปที่สุสาน กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าป้ายสลักที่เขาเอาดอกไม้ไปวางในทุก ๆ ปีนั้นมันเป็นของใคร รู้แต่ชื่อสตีเฟ่น ไรท์ แต่เขาก็ไม่เคยถามว่าเป็นใคร เพียงรู้สึกว่าต้องเป็นคนสำคัญ เอวานถึงพามาหาไม่ได้ขาดเช่นนี้

เมื่อมาถึงก็เหมือนจะมีคนมาก่อนพวกเขาแล้ว รถยนต์ที่จอดอยู่โดยมีชายฉกรรจ์ตัวสูงใหญ่เดินวนเวียนทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกว่าสถานการณ์ดูแปลกไป ยิ่งท่าทางระแวดระวังภัยของผู้ใหญ่ทั้งสาม ยิ่งทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกระแวงตามไปด้วย

ป้ายหินสลักยังคงตั้งอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ต่อให้พายุลมฝนมากระทบก็ไม่คณา มากาเร็ตยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าง สายลมโชยอ่อนพัดผ่านกายไม่ได้ทำให้เธอเย็นใจขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งเงาร่างหนึ่งเคลื่อนมาใกล้ หางตาเธอชำเลืองมองเพียงนิด เมื่อร่างนั้นหยุดยืนถัดไปเพียงเล็กน้อย เธอจึงเอ่ยขึ้น

“ไม่คิดว่าคุณจะมา”

ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่และเด็กชายตัวเล็กที่ก้าวเข้ามายืนหน้าป้ายสลักค่อยวางช่อดอกไม้ลงเหนือพื้นหินเย็นชืด มากาเร็ตมองการกระทำนั้นด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก จนกระทั่งพวกเขาก้าวถอยออกมา เด็กชายผงกศีรษะให้เธอเล็กน้อย เธอมองเลยไปยังมือของทั้งคู่ที่จับกันอยู่ ขณะที่เสียงเอ่ยทักจากชายหนุ่มตัวโตดังขึ้น

“สบายดีนะ”

ริมฝีปากมากาเร็ตเหยียดออกเล็กน้อย “หึ คุณน่าจะรู้ดีว่าการอยู่ที่นั่นไม่มีคำว่าสบาย”

“คุณกำลังรู้สึกว่าที่นั่นไม่เหมาะกับคุณ” เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยธรรมดา แต่ราวกลับมานั่งอยู่กลางใจ

“ถ้าฉันไม่เหมาะ แล้วใครกันที่เหมาะ เด็กคนนี้เหรอ?”

แววตาที่แปรเปลี่ยนทำให้เด็กชายขยับไปเบียดคนข้างกายมากขึ้น มืออีกข้างยกขึ้นมาเกาะแขนแกร่งราวหาที่พึ่ง เมื่อแววตาที่มองจ้องมาดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เอวานพยักหน้าให้แมกซ์เวลพากลิ่นแก้วออกไปก่อน เด็กยอมเดินตามบอดีการ์ดหนุ่มไปแต่โดยดี แต่ก็อดเหลียวมามองอย่างเป็นห่วงไม่ได้ เพราะบริเวณนั้นมีแต่ผู้ชายตัวใหญ่ท่าทางดูน่ากลัว คนพวกนั้นจะไม่ทำร้ายเอวานใช่ไหม?

มากาเร็ตมองเด็กที่ก้าวห่างออกไป ตั้งแต่แต่งงานกับสตีเฟ่น เธอรู้ดีว่าเขาไม่เต็มใจ เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากความรัก ไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่แรก แค่ความเหมาะสมและผลประโยชน์

สตีเฟ่นให้เธอทุกอย่างยกเว้นหัวใจ เขาเฝ้าโหยหาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เขารัก แต่มากาเร็ตก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่ารำคาญที่อีกฝ่ายเอาแต่จมอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันย้อนคืน ชีวิตคู่เป็นไปในรูปแบบต่างคนต่างอยู่ เพียงแต่ทำหน้าที่เวลาออกงานตามหน้าสื่อเท่านั้น กระทั่งวันที่มากาเร็ตได้รู้ว่าสามีของเธอและผู้หญิงในอดีตของเขามีลูกด้วยกัน เหมือนทุกอย่างที่ควรเป็นของเธอมันกำลังจะหลุดลอย เธอจะกลายเป็นเพียงคนนอกในทันทีที่สตีเฟ่นจากไป เพราะเธอไม่มีทายาทที่เป็นสายเลือดของไรท์ ลูกของผู้หญิงคนนั้นจึงกลายเป็นก้างชิ้นโตสำหรับเธอ

ความคิดแรกของมากาเร็ตคือการกำจัดเด็กให้พ้นทาง ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเมื่อมีเอวาน เวสส์อยู่ เด็กคนนั้นได้รับการปกป้อง การปกป้องที่คนอย่างเธอไม่เคยได้รับจากใครเลย

“เหมือนผมจะเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าผมไม่คิดจะให้เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกคุณ” เอวานเอ่ยขึ้นราวย้ำเตือน

มากาเร็ตค่อยละสายตามาหา “คุณจะให้ฉันเชื่อเหรอ ว่าวันหนึ่งคุณจะไม่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ทุกอย่างให้เขา?”

“ถ้าสิทธิ์ที่คุณว่ามันแลกมาด้วยความทุกข์แบบที่คุณเป็น ผมก็ไม่ต้องการให้เขาเป็นแบบนั้น”

คำพูดนั้นเล่นเอาคนฟังสะอึก ใช่ เธอเป็นทุกข์แบบที่อีกฝ่ายว่า เพียงแค่ไม่ยอมรับ เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่พยายามมาทั้งหมดนั้นเพื่ออะไรกันแน่ ความสุขบนกองเงินกองทองหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะชีวิตของเธอเวลานี้มันเต็มไปด้วยความหวาดระแวง การหาความสุขใส่ตัวช่างยากเย็น ไม่เหมือนตอนที่เธอเฉิดฉายอยู่หน้าจอในฐานะนักแสดงหญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อนึกอยากจะย้อนกลับไป เธอก็ทำไม่ได้ เธอลงจากหลังเสือไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แววตามากาเร็ตอ่อนแสงลง เมื่อเอ่ยถามเสียงเบาหวิว “ฉันจะเชื่อใจคุณได้จริงเหรอคะ?”

“ผมไม่ได้บอกให้คุณเชื่อใจ เพียงแต่อยากยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองเท่านั้น”

หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก่อนถอนหายใจ “เขาโชคดีกว่าฉันมากที่มีคุณคอยปกป้อง”

“......”

“หลายปีที่ผ่านมา คุณพยายามทำให้เขาเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่คุณกลับยังพาเขามาที่นี่ ไม่คิดว่ามันย้อนแย้งไปสักหน่อยเหรอคะ?” มากาเร็ตเอ่ยถามเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันช่างขัดกันเหลือเกินในความรู้สึก

“แล้วทำไมผมจะพาเขามาที่นี่ไม่ได้ ในเมื่อเขาอยู่ในความดูแลของผม และสตีฟก็เป็นพี่ชายของผม”

“คุณนี่ยียวนกว่าที่คิดนะคะ” เธอว่าอย่างนั้น “แต่ก็เอาเถอะ ฉันเหนื่อยที่จะต้องรบรากับใครแล้ว แต่กับฟรานเชสโก้อาจไม่คิดแบบฉัน”

“ผมรู้ว่าคุณจะไม่บอกเขา”

มากาเร็ตชะงักเมื่อเอวานโต้กลับมาเช่นนั้น ใช่สิ เธอจะให้ฟรานเชสโก้รู้ได้อย่างไร หากเขารู้ เด็กต้องถูกดึงเข้ามาในเกมอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณก็รู้ดีว่าเพราะอะไร” มากาเร็ตว่า “ถ้าเขารู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่จะเดือดร้อน เด็กของคุณได้กลายเป็นหมากในเกมของเขาแน่”

“มันจะไม่มีวันนั้น”

“ฉันจะถือว่านั่นคือคำสัญญา”

มากาเร็ตตีขลุม ซึ่งเอวานก็ไม่ได้เอ่ยแก้ ทั้งสองต่างมองสบตากันนิ่งโดยไร้ซึ่งคำพูดใดต่อจากนั้น พวกเขาไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นมิตร เพียงแต่มีผลประโยชน์บางอย่างร่วมกันก็เท่านั้น



กลิ่นแก้วยืนรอเอวานแถวร่มไม้ไม่ไกลจากบริเวณที่จอดรถนัก มือเล็กสอดกุมมือเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึง ขณะออกก้าวเดินไปที่รถก็อดเหลียวไปมองหญิงสาวที่ยังยืนอยู่จุดเดิมไม่ได้ กระตุกมือเอวานเบา ๆ ทำให้สายตาคมปรายมามอง

“ถามได้ไหมครับ?” เอ่ยขึ้นราวขออนุญาต เมื่อคนตัวโตพยักหน้าจึงว่า “คุณผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นอะไรกับคนที่ชื่อสตีเฟ่น ไรท์เหรอครับ?”

“ภรรยา”

คำตอบของเอวานทำให้กลิ่นแก้วนิ่งไปนิด รู้สึกเห็นใจเธอขึ้นมา เมื่อคิดไปว่าเธอคงทุกข์ใจไม่น้อยเลยที่สามีมาด่วนจากไปเช่นนี้

“เอวาน...”

“เลิกถามได้แล้ว กลิ่นแก้ว”

“... ครับ” เด็กชายงับปากลง ไม่ตั้งคำถามอะไรอีก

เอวานชำเลืองมองเด็กที่เงียบไปแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าตัวเล็กตั้งคำถามกับเขาบ่อยขึ้น เขารู้ดีว่าไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้ดังใจ สักวันกลิ่นแก้วต้องอยากรู้ว่าเหตุใดเขาจึงพามาที่นี่

“สตีเฟ่น ไรท์...”

“....?” อยู่ ๆ คนที่เงียบไปแล้วก็พูดขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วเลิกคิ้ว

“เขาเป็นพี่ชายของฉัน”

เจ้าตัวเล็กอ้าปากหวอเมื่อเอวานพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ที่แท้คนคนนั้นก็เป็นพี่ชายของเอวานนี่เอง มิน่าถึงได้รู้สึกว่าเอวานเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อมาที่นี่

“เธอรู้สึกไม่ดีรึเปล่าที่ฉันพามาที่นี่ทุกปี?”

กลิ่นแก้วส่ายหน้า “ถึงตอนแรกผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ผมก็รู้สึกว่าเขาต้องเป็นคนสำคัญสำหรับคุณแน่ ๆ ทุกครั้งที่มา ผมไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่ผมอยากมา อย่างน้อยถ้าคุณทุกข์ใจ ผมก็อยากอยู่ข้าง ๆ”

“ฉันดูเป็นทุกข์ขนาดนั้นเลย?”

กลิ่นแก้วย่นจมูกกับการเอ่ยเย้าของคนตัวโต มืออีกข้างเลื่อนขึ้นมาเกาะแขนแกร่งก่อนเอียงแก้มซบ ขณะที่ในใจก็อดนึกไปไม่ได้ว่าภรรยาของสตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นจะมีคนคอยปลอบใจบ้างไหม

“ผู้หญิงคนนั้น เธอดูทุกข์กว่าคุณอีก เพราะพวกคุณมีคนสำคัญคนเดียวกันสินะครับ”

เอวานไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้เด็กน้อยของเขาคิดไปแบบนั้นก็คงจะดีกว่า เมื่อโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด


......


เอวานในชุดสูทยืนหมุนแก้วเครื่องดื่มในมือท่าทางเบื่อ ๆ เขาเป็นตัวแทนบิดามาร่วมงานแต่งงานของบุคคลมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ มองดูแขกผู้ร่วมงานในวันนี้แล้วต่างคนก็ต่างสวมหน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น แม้แต่เจ้าของงานเองก็ด้วย แต่งงานเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม คิดแล้วเอวานก็ถอนหายใจ แม้เขาจะไม่ใช่พวกบูชาความรักหรือใช้ความรักนำทาง แต่หากจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนคงไม่ใช่เพราะธุรกิจหรือผลประโยชน์ที่จะเกื้อกูลกันได้เท่านั้น

แต่บิดาของเขาคงไม่คิดเช่นนั้น เมื่องานวันนี้คู่ควงของเขาคือวาเนสซ่า เทย์เลอร์ ภายในงานมีนักข่าวจากหลายสำนัก ไม่ต้องสงสัยเลยหากเรื่องระหว่างเขากับวาเนสซ่าจะกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อข่าวซุบซิบไม่ว่าจะกรอบใหญ่หรือเล็ก เพราะการออกงานร่วมกันเช่นนี้ราวเปิดตัวอยู่กลาย ๆ แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนั้น แต่หากมองในมุมของคนนอกก็คงไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากควงคู่กันมาเปิดตัว

เอวานปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่อ เขาให้เหตุผลว่าตัวเอกของวันนี้ควรเป็นเจ้าของงาน จึงไม่ขอให้สัมภาษณ์ที่มันนอกเหนือไปจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงานครั้งนี้ ทำให้วาเนสซ่าเองต้องบอกปัดนักข่าวไปเช่นเดียวกัน เพราะจะให้เธอให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่ฝ่ายเดียวก็คงจะไม่งามนัก

หลังออกจากงานเลี้ยงมาเอวานก็ไปส่งหญิงสาวที่ห้องพัก เธอย้ายมาอยู่ข้างนอกเพราะใกล้ที่ทำงาน และได้บิดาของเขาเป็นคนแนะนำที่พักให้ นอกจากใกล้บริษัทของครอบครัวเธอแล้วยังอยู่ใกล้เอวานด้วย ครั้งแรกที่ได้รู้ว่ามันคือความจงใจของบิดา เอวานก็ได้แต่ถอนใจ ดูท่านจะอยากให้เขาตกล่องปล่องชิ้นกับลูกสาวเพื่อนคนนี้เสียจริง

เอวานขึ้นไปส่งหญิงสาวบนห้อง ขณะที่บอดีการ์ดทั้งสองนายรออยู่ด้านล่าง เมื่อขึ้นมาถึงหน้าประตู วาเนสซ่าก็ชวนเข้าไปดื่มอะไรต่อข้างใน ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอก็เอ่ยดักขึ้นมา

“คราวก่อนคุณมีธุระสำคัญ หวังว่าคราวนี้จะสะดวกนะคะ”

เมื่อครั้งวันเกิดเอวาน เธอและเขาไปฉลองด้วยกัน ดึกพอสมควรเอวานก็มาส่งเธอที่ห้อง แต่กลับไม่ยอมเข้ามา อ้างว่ามีนัดสำคัญ แม้จะรู้สึกเสียหน้าแต่เธอก็ยังทำเป็นเข้าใจ กระทั่งคราวนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะหาอะไรมาปฏิเสธเธออีก แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีทีท่าจะหักหน้าเธอ ริมฝีปากอิ่มสวยจึงเปิดยิ้มน้อย ๆ ค่อยก้าวเข้าไปในห้อง ทิ้งปลายนิ้วไล้อกแกร่งผ่านสูทเนื้อดีพร้อมสายตาเชิญชวนเปิดเผย

มุมปากเอวานยกยิ้มน้อย ๆ ขณะก้าวตามหญิงสาวเข้าไปภายในห้อง เสื้อสูทค่อยถูกถอดออกช้า ๆ แขนเสลายกขึ้นคล้องกอดลำคอหนาแล้วรั้งให้โน้มลงมาหา ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันช้า ๆ ขณะที่บานประตูค่อยงับปิดลง...



เวลาผ่านไปจนดึกดื่นค่อนคืน นอกระเบียงห้องบนคฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน กลิ่นแก้วยังออกมายืนชะเง้อมองหา วันนี้วันหยุด แต่เอวานยังไม่กลับเพราะต้องไปงานเลี้ยง ทีแรกเจ้าตัวเล็กคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกลับดึกสักหน่อย แต่นี่มันดึกเกินไปแล้ว งานเลี้ยงที่ว่านั่นจะมีไปจนถึงกี่โมงกี่ยามกัน

เด็กชายถอนใจเมื่อมองไปหน้าคฤหาสน์ทีไรก็ไร้วี่แววว่าเอวานจะกลับมา รู้สึกว่าตนเองควรนอนได้แล้ว เพราะถ้าหากมาดามเจฟเฟอร์สันรู้ว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่หลับไม่นอนต้องโดนดุแน่ แต่ขณะที่กำลังจะถอดใจแล้วเข้าห้องไปนอน แสงไฟจากรถยนต์ที่ส่องมาลิบ ๆ ก็ทำให้ชะงัก เมื่อหันกลับไปมองแล้วเห็นว่ารถคันดังกล่าวตรงมาทางตัวคฤหาสน์ รอยยิ้มยินดีก็เปิดกว้าง เอวานกลับมาแล้ว

กลิ่นแก้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องแล้วลงบันไดมาหาเอวานที่ด้านล่าง อีกฝ่ายชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดเมื่อเขามาหยุดยืนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง กลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นชินลอยมาแตะจมูก ทำให้รอยยิ้มที่มีค่อยเจื่อนลง เอวานไปไหนมา?

“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” คนตัวโตเอ่ยทัก นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลา “ดึกมากแล้วนะ เกเรใหญ่แล้ว”

“นึกว่าวันนี้คุณจะไม่กลับเสียอีก”

เสียงออด ๆ นั่นทำให้ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มเอ็นดู “ก็กลับมาแล้วนี่ไง ขึ้นไปนอนได้แล้ว”

รุนหลังเด็กน้อยให้ขึ้นห้องไปนอน ไม่ทันได้สังเกตว่าตากลมนั้นคอยลอบมองอยู่ตลอด ก็ตอนจะออกไปงานเลี้ยง เสื้อผ้าหน้าผมเอวานดูเนี้ยบกว่านี้ กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ก็ไม่ตีกันวุ่นวายแบบตอนนี้ด้วย

กลิ่นแก้วมองอย่างสำรวจ เวลานี้เอวานสวมเพียงเสื้อเชิ้ตที่ติดกระดุมไม่เรียบร้อยนัก สูทถูกถอดพาดไว้ที่แขน ด้วยความที่เอวานเป็นคนผิวขาว รอยแดงที่โผล่พ้นสาบเสื้อเพียงวับแวมจึงเด่นชัดจนคิ้วกลิ่นแก้วขมวด ในงานเลี้ยงยุงเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 23-10-2018 15:45:55

ช่วงบ่ายวันต่อมา กลิ่นแก้วลงมาหาเกวนที่ศาลาในสวนของเจฟเฟอร์สัน เธอกำลังถักไหมพรม มันช่วยฝึกสมาธิ เวลาว่าง ๆ เกวนมักจะทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยเปื่อย วันไหนเจ้าตัวเล็กไม่ได้ไปโรงเรียนก็ชอบมาขลุกอยู่กับเธอ บางทีเธอก็พาไปตรวจงานที่ห้างสรรพสินค้าด้วย บางวันก็นั่งทำของจุกจิกกันสองคน ก็เพลินไปอีกแบบ

แม่บ้านยกขนมกับน้ำชายามบ่ายมาให้ กลิ่นแก้วเข้าไปช่วยรินน้ำชาให้มาดามเจฟเฟอร์สัน ก่อนกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้าม ดูเธอถักไหมพรมด้วยความสนอกสนใจต่อ

“สนใจเหรอ?” เกวนเอ่ยทัก เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มน่าเอ็นดู “อยากลองทำไหม?”

“เท่าที่ดู คงไม่ไหวครับ” กลิ่นแก้วยิ้มแหย มันงานละเอียด แค่ดูก็ยากแล้ว

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงกัน” เกวนว่า

อันที่จริงเพราะกลิ่นแก้วชอบอะไรพวกนี้ พวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือพวกงานฝีมือที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อ เพราะแบบนั้นถึงอยู่กับเกวนได้ แต่เรื่องถัก ๆ ทอ ๆ เกวนยังไม่เคยให้หัดทำ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่คงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งทำอะไรพวกนี้ มันไม่ใช่วิสัย และคงอายถ้าถูกเพื่อนล้อ

“ถ้าอยากลองก็หยิบเข็มถักขึ้นมา เดี๋ยวจะสอนให้”

กลิ่นแก้วหยิบเข็มถักจากตะกร้าไหมพรมขึ้นมาตามที่เกวนบอก แม้ตอนแรกจะยังดูเงอะงะ พอค่อยสอนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเป็นงาน แต่พอทำเป็นแล้วก็ดูจะตั้งใจเกินเหตุ เมื่อมันไม่สวยเหมือนที่เกวนทำก็หน้ามุ่ย จนเกวนยิ้มขำ

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ แรก ๆ ก็แบบนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยชินมือก็จะดีขึ้น” เกวนเอ่ยแนะ

กลิ่นแก้วยิ้มแหย มันจะดีขึ้นจริงหรือ ตอนแรกคิดว่าถ้าทำเป็นก็อยากถักเสื้อให้เอวาน แต่มาตอนนี้คงเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป แค่ถักที่รองแก้วยังเบี้ยวเลย จะไหวไหมนี่

เสียงรถเอวานดังแว่วมาทำให้เกวนหันไปมอง วันนี้เป็นวันหยุด แต่เอวานมีธุระต้องไปจัดการแทนบิดา เกวนมักจะบ่นที่พอลใช้งานลูกมากไป วันหยุดก็ไม่ได้หยุด คนของตัวเองมีเยอะแยะก็ไม่ใช้ ไม่รู้ว่าเอวานเป็นลูกหรือพนักงานกินเงินเดือนในบริษัทกันแน่ ใช้เสียคุ้มเลย

ไม่นานนักเอวานก็มาปรากฏตัวที่ศาลา เด็กยังง่วนอยู่กับการถักที่รองแก้ว กายสูงใหญ่ก้าวไปนั่งลงข้าง ๆ มองท่าทางตั้งอกตั้งใจนั้นแล้วเอ่ยถามยิ้ม ๆ

“ทำอะไร?”

กลิ่นแก้วเงยมามองแล้วยิ้มบอก “มาดามสอนถักไหมพรมครับ แต่มันยากจัง”

“พยายามเข้า ถ้าถักเป็นแล้วขอเสื้อสักตัว”

คำพูดนั้นทำให้รอยยิ้มของเจ้าตัวเล็กสดใสขึ้นมาอีกระดับ ตั้งอกตั้งใจถักต่ออย่างอารมณ์ดี เกวนที่มองสถานการณ์อยู่ถึงกับส่ายหน้า เข้าใจหลอกล่อเด็กนะพ่อคุณ

“ลูกมาก็ดีแล้ว แม่มีเรื่องจะคุยด้วยอยู่พอดี”

เกวนเอ่ยขึ้นเมื่อวางถ้วยน้ำชาในมือลงแล้วขยับนั่งในท่าที่สบาย ขณะที่เอาวานมองผู้เป็นมารดาอย่างมีคำถาม

“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้ควงสาวที่ไหนออกงานนะ?”

เป็นกลิ่นแก้วเสียอีกที่ชะงักกับคำถามนั้น ขณะที่เอวานเพียงยิ้มบาง อะไรมันจะถึงหูมาดามมาเฟียไวขนาดนี้

“สาวที่ไหนกันล่ะครับ” ชายหนุ่มทำไขสือ ไม่ยอมรับออกไปในทันที

“ก็นั่นน่ะสิ” ผู้เป็นมารดาลากเสียงทั้งยิ้มล้อในสีหน้า

ความจริงอายุขนาดเอวานก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ไหนแล้ว วัยนี้พอจะเป็นฝั่งเป็นฝา พอจะมีครอบครัวได้แล้ว แต่เอวานเคยบอกว่าไม่รีบ ซึ่งเกวนก็ไม่ได้ก้าวก่ายในส่วนนั้น แล้วแต่ความพอใจของลูก ส่วนเรื่องควงสาวออกงานได้ยินมาจากวงสนทนาในงานสัมมนาที่เธอไปเมื่อเช้านี้ บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ต่างจับกลุ่มคุยกัน ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไรจึงได้มาถามไถ่ดู

“ลูกสาวเพื่อนปาครับ” เอวานบอกยิ้ม ๆ ดูมารดาจะสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาพูดถึงบิดา “ปากับพ่อของเธอมีธุรกิจร่วมกัน เธอชื่อวาเนสซ่า เทย์เลอร์ ครับ”

วาเนสซ่า เทย์เลอร์... กลิ่นแก้วทวนชื่อนั้นในใจ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ที่ไหนกันนะ?

“กับคนนี้คือจริงจังแล้วรึยัง?” เกวนเอ่ยถามต่อ

“เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ”

“แต่ท่าทางผู้หญิงเขาจะไม่ได้คิดว่าลูกเป็นแค่เพื่อนที่ดีนะ เอวาน ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็อย่าไปให้ความหวังเขาจะดีกว่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยเตือน เพราะเท่าที่ฟังสาว ๆ เขาคุยกัน ฝั่งผู้หญิงก็ดูจะมีใจให้ลูกชายของเธออยู่

“อย่าคิดมากเลยครับ มัม มันก็แค่ข่าวซุบซิบที่เขาใส่สีตีไข่กันมาแล้วทั้งนั้น”

“เพราะแบบนั้นแหละ ฝั่งผู้หญิงเขาจะเสียหายเอา”

เกวนค่อนข้างเป็นพวกหัวโบราณเล็ก ๆ ถึงแม้สมัยนี้จะไม่ได้ถือเรื่องความสัมพันธ์ทางกายโดยไร้ซึ่งเสน่หากันแล้ว แต่เธอก็ยังยึดความถูกต้องมากกว่าถูกใจแบบที่มีความสัมพันธ์กันเพียงฉาบฉวยเท่านั้นอยู่ดี

“ผมจะระวัง” เอวานว่าอย่างนั้น

“ไม่ต้องมาบอกว่าจะระวัง จะระวังทำไม ถ้ารักกันชอบกันก็เปิดเผยไปสิ หนุ่มวัยนี้เขาสร้างครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานก็เยอะแยะ แม่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ทำเป็นมาบอกแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน แบบนี้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลยนะ”

เสียงสนทนาระหว่างแม่ลูกยังคงดังมาเข้าหู กลิ่นแก้วหยุดมือที่กำลังถักที่รองแก้วอย่างตั้งใจนั่นไปแล้ว รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก เอวานชอบผู้หญิงคนนั้นหรือ? จะแต่งงานกับเธอด้วยใช่ไหม? ไม่รู้ทำไมจิตใจถึงได้ห่อเหี่ยวแบบนี้กันนะ ไม่ชอบเลย


......


โรงยิมภายในโรงเรียนเอกชน กลิ่นแก้วมานั่งรอเพื่อนซ้อมบาสเกตบอลบนอัฒจันทร์ คาร์เตอร์ ลอยน์ และเพื่อนอีกสองสามคนในห้องลงคัดตัวนักกีฬาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กลิ่นแก้วชอบกิจกรรมนันทนาการมากกว่าจึงไม่ได้ลงคัดตัวกับเพื่อน แต่ก็โดนลากมาเฝ้าทุกทีที่ซ้อมอยู่ดี

เสียงเด็กนักเรียนหญิงรอบข้างซุบซิบกันพลางหัวเราะคิกคักทำให้กลิ่นแก้วหันไปมองด้วยความสงสัย เหมือนว่าคาร์เตอร์จะเป็นจุดสนใจเอามาก ๆ ในวันนี้ กลิ่นแก้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน จนกระทั่งเพื่อน ๆ พากันซ้อมเสร็จแล้วลงไปหาที่ด้านล่างถึงได้เข้าใจ

ชุดเสื้อกล้ามนักกีฬาที่คาร์เตอร์ใส่เปิดให้เห็นช่วงคอลงมาถึงอก ผิวคาร์เตอร์ขาวแบบชาวตะวันตก มีกระประปราย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่อยากพูดถึง เพราะจุดสนใจของกลิ่นแก้วมันอยู่ที่รอยตามคอลามลงมาถึงช่วงไหปลาร้านั่น เป็นจ้ำแดงเหมือนของเอวานเลย ไปโดนยุงที่ไหนกัดมา?

“คอนายเป็นอะไร ยุงกัดเหรอ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถาม เมื่อเช้าคาร์เตอร์ใส่ชุดนักเรียน เขาถึงไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ

คาร์เตอร์ยิ้มกริ่ม พยักพเยิดให้เพื่อนในกลุ่มตอบแทน

“ยุงที่ไหนกันล่ะ สาวต่างหาก”

กลิ่นแก้วตาโต “ใครกัด?”

คาร์เตอร์บอกว่าเป็นสาวรุ่นพี่ เมื่อวานไปเที่ยวห้องเธอมา อยู่โรงเรียนเธอออกจะคงแก่เรียนหน่อย ๆ แต่ตัวจริงนี่ร้อนแรงใช่เล่น

“ทำไมเขาต้องกัดนายด้วย นายรังแกเขาเหรอ?” กลิ่นแก้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“รังแก?”

เพื่อนในกลุ่มร้องออกมาพร้อมกันแล้วหัวเราะลั่นจนกลิ่นแก้วงง ตลกตรงไหน?

“ฉันไม่ได้รังแกอะไรเขา แล้วรอยนี่ก็ไม่ใช่รอยกัด แต่เป็นรอยดูดต่างหาก คิสมาร์กน่ะ รู้จักไหม?”

“คิสมาร์ก?”

เป็นอีกครั้งที่กลุ่มเพื่อนหัวเราะปฏิกิริยาของกลิ่นแก้ว ขณะที่คาร์เตอร์ก็ทำเป็นมองแล้วถอนใจ

“เฮ้อ พูดกับนายไปก็ไม่มีประโยชน์ เด็กน้อยจริง ๆ”

กลิ่นแก้วออกจะหมั่นไส้ที่คาร์เตอร์ทำหน้าทำตาเหมือนรู้ดี โตกว่าเขาเท่าไรกันเชียว “ฉันกับนายก็อายุพอ ๆ กัน”

“อายุเท่ากัน แต่ดูนายสิ ยังไม่โตเลย ยิ่งเรื่องพวกนี้นะ ฉันว่าคงอีกนาน” พอคาร์เตอร์พูดจบ เพื่อนในกลุ่มก็พากันหัวเราะหึ ๆ

“อีกนานอะไร เรื่องอะไร?” มาทำยึก ๆ ยัก ๆ อมพะนำอยู่นั่น ยิ่งสายตาที่เหมือนมองเด็กน้อยแบบนั้น เขาไม่ชอบเลย

“อย่าอยากรู้เลย เสียเด็กเปล่า ๆ” คาร์เตอร์ว่าพร้อมรอยยิ้มดูเหนือกว่าแบบที่กลิ่นแก้วไม่ชอบใจนัก

ทุกคนทำเหมือนรู้ดีกันไปหมด ทำเหมือนเขาเป็นคนโง่เพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม มันน่าหงุดหงิดจนเกินไปแล้ว!



ความหงุดหงิดใจถูกพกกลับมาที่เจฟเฟอร์สันด้วย ที่พึ่งหนึ่งเดียวของเขาคือเอวาน เขาโทรไปอ้อนขอนอนที่คอนโดมิเนียมด้วย เพราะไม่ใช่วันหยุด เอวานไม่กลับมานอนที่เจฟเฟอร์สันแน่หากไม่จำเป็น แล้วแบบนี้เขาจะปรึกษาใครได้

เมื่อถูกอ้อนมา เอวานจึงให้ทอมัสบึ่งรถมารับ ขณะที่เอวานเข้าไปอาบน้ำในห้อง บอดีการ์ดทั้งสองก็กำลังหาอะไรกินอยู่ในครัว กลิ่นแก้วที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินมาเกาะเคาน์เตอร์กั้นห้องครัว มองสองหนุ่มตัวโตเดินไปเดินมาแล้วตัดสินใจเอ่ยถาม

“มิสเตอร์ทอมัส”

“หือ?” ทอมัสที่กำลังรินน้ำใส่แก้วหันมาเมื่อถูกเรียก ก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม

“คุณเคยถูกผู้หญิงดูดคอไหม?”

คำถามแสนตรงไปตรงมานั่นทำเอาบอดีการ์ดตัวโตสำลักน้ำทั้งไอโขลก แมกซ์เวลส่งกล่องทิชชูให้เช็ดปาก ขณะที่กลิ่นแก้วยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองถามอะไรผิดไปหรือ?

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?” หลังจากหยุดไอจากการสำลักน้ำแล้ว ทอมัสก็เอ่ยถามเด็กหน้าซื่อที่ยังยืนเกาะขอบเคาน์เตอร์ไม่รู้เรื่องรู้ราว

“คุณเคยถูกผู้หญิงดูดคอรึเปล่า?”

กลิ่นแก้วย้ำคำถามอย่างพาซื่อ เพียงเท่านั้นบอดีการ์ดหนุ่มก็รีบจ้ำมารั้งแขนให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา เรียกได้ว่าแทบจะจับเข่าคุย ขณะที่แมกซ์เวลให้ความสนใจอยู่ห่าง ๆ

“อย่าบอกนะว่านายถูกใครดูดคอมา?”

คำถามจากบอดีการ์ดหนุ่มทำให้กลิ่นแก้วส่ายหน้า “เปล่า ไม่ใช่ผม คาร์เตอร์ต่างหาก วันนี้คอเขามีรอยแดง ๆ ผมนึกว่ายุงกัด พวกเพื่อน ๆ ผมหัวเราะกันใหญ่ บอกไม่ใช่ยุงแต่เป็นผู้หญิง”

ทอมัสทำหน้าประหลาดเมื่อฟังที่เด็กของนายเล่า เด็กพวกนี้อายุเท่าไรกันเชียว สิบสี่หรือสิบห้า? ถ้าอิงจากเด็กของนายก็ยังอยู่มัธยมต้นกันอยู่เลย ไวไฟเกินเด็กไปแล้ว

“พวกเขาบอกว่าผมไม่เข้าใจหรอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจริง ๆ คาร์เตอร์ดูภูมิใจมากที่ถูกทำแบบนั้น มันเพราะอะไรกัน แล้วทำไมเขาต้องมาดูดคอกันด้วย?”

ทอมัสสูดลมหายใจเข้าลึก จะอธิบายอย่างไรดี “คือ...”

มองเด็กที่ท่าทางจะไม่รู้อะไรจริง ๆ แล้วก็ถอนหายใจด้วยความหนักอก เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ อีกหน่อยพอกลิ่นแก้วโตขึ้นก็ต้องเจอ อธิบายให้รู้ให้เข้าใจก็น่าจะดีกว่าให้ไปลองเองแล้วพลาดพลั้งไป แต่มาถามตาใสแบบนี้ก็ค่อนข้างพูดกันยากอยู่ เจ้าเด็กคาร์เตอร์นี่มันยังไงกัน เอาอะไรมาใส่หัวเด็กของนายเขานี่

“ว่ายังไงครับ มิสเตอร์ทอมัส?” กลิ่นแก้วเอ่ยเร่ง ยิ่งอ้ำอึ้งมันยิ่งน่าสงสัย เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เลยหรือ?

“จะให้พูดยังไงดี อันที่จริงแล้ว...” ทอมัสพยายามอธิบายให้มันดูกลาง ๆ ไม่เป็นการชี้นำมากจนเกินไป แค่ให้รู้ว่ามันคืออะไร พูดไปก็สังเกตปฏิกิริยาเด็กไป

“เซ็กซ์?” กลิ่นแก้วทวนคำอย่างเลื่อนลอยเมื่อฟังที่อีกฝ่ายสรุปความในตอนท้าย

พอเห็นว่าเด็กเป็นแบบนั้น ทอมัสก็ไปต่อไม่ถูก ถ้าเจ้าหนูนี่โตกว่านี้อีกหน่อย เกเรอีกนิด คงกอดคอคุยกันได้ นี่มาแบบหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ เขาไม่กล้าป้อนข้อมูลอะไรให้เลย ให้ตายสิ

กลิ่นแก้วพอจะเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายพยายามอธิบาย เขารู้เรื่องเพศสัมพันธ์หรือเซ็กซ์ตามทฤษฎี เพราะที่โรงเรียนก็สอนเรื่องเพศศึกษา พอเข้าใจว่ามันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แม้ไม่รู้อะไรที่ลึกซึ้งไปกว่านี้ก็ตาม รอยที่คอคาร์เตอร์เกิดมาจากเหตุนั้น แล้วรอยบนตัวเอวานล่ะ คืนนั้นเอวานไปทำอะไรกับใครมา?

“อ้าว จ๋อยเลย เป็นอะไรอีก?” ทอมัสเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กดูซึมไป

กลิ่นแก้วส่ายหน้าว่าไม่ได้เป็นอะไร คว้าหมอนอิงมากอดแล้วนั่งซึมอยู่อย่างนั้น บอดีการ์ดหนุ่มเลยได้แต่เกาหัวเพราะตามอารมณ์ไม่ถูก

เอวานออกมาจากห้องหลังอาบน้ำเสร็จ บรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้หันไปมองแมกซ์เวล ทางนั้นจึงส่งสายตาไปที่ทอมัส ทำให้ดวงตาคมดุตวัดมอง คนถูกมองยกมือเสมอไหล่แล้วส่ายหน้าเบา ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าตัวเล็กนี่นะ ไม่ได้ทำอะไรเลย

ทอมัสลุกจากโซฟาแล้วเลี่ยงออกไปเมื่อผู้เป็นนายก้าวเข้ามา สายตาดุ ๆ นั่นยังมองมาอย่างคาดโทษ ทำเอาบอดีการ์ดหนุ่มเหงื่อแตกซิก ไม่น่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเด็กของนายเลย ให้ตายเถอะ

เอวานนั่งลงข้างเด็กที่นั่งกอดหมอนซบหน้านิ่งอยู่ กลิ่นสบู่หลังอาบน้ำทำให้กลิ่นแก้วก้มหน้าซุกหมอนมากขึ้น กลิ่นวันนั้นไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่เอวานชอบใช้ด้วย

“ไหน วันนี้มีเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟังไหม?”

“......” เหลือบมองเอวานแล้วถอนหายใจ

เอวานขำ “เป็นอะไร?”

กลิ่นแก้วเอาหมอนออกไปวางข้างกายก่อนกระเถิบเข้าไปกอดอีกคนอ้อน ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่ามาอารมณ์ไหน แต่เอวานก็วาดแขนกอดตอบ

“คาร์เตอร์มีแฟนแล้ว” เจ้าตัวเล็กบอก

“หืม?” เอวานเลิกคิ้วแปลกใจ

“พวกเขามีเซ็กซ์กันแล้วด้วย”

“เจ้าเด็กนั่นน่ะเหรอ ไวไฟอะไรขนาดนั้น” เอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะนึกขึ้นได้ ดันตัวเด็กออกจากอ้อมแขนแล้วเอ่ยถามระคนตกใจ “เดี๋ยว... เมื่อกี้พูดเรื่องเซ็กซ์?”

“......” กลิ่นแก้วพยักหน้า

“รู้หรือไงว่ามันหมายถึงอะไร?” รู้เลยว่าคิ้วเขากำลังขมวด

“รู้สิ ก็มิสเตอร์ทอมัสบอก”

“อ้าว”

เอวานตวัดสายตามองทอมัสที่ร้องอ้าวขึ้นมาเมื่อถูกพาดพิงถึง ก็เจ้าหนูมันถามมา เขาก็ตอบไป เขาผิดอะไร

“มันใช่เรื่องไหม?” ผู้เป็นนายว่า

“ก็... เจ้าตัวเล็กมันถาม ผมก็ตอบไป เท่านั้นเอง ไม่ได้จะชี้นำอะไรสักหน่อย...” ไม่กล้ามองตานาย ดุยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เลยมั้งน่ะ

ก็เข้าใจว่าสมัยนี้เด็กมันโตเร็ว ทั้งสื่อต่าง ๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และสภาพแวดล้อมที่เด็กอยู่ก็มีส่วนทำให้เป็นไป แต่กลิ่นแก้วของเขาโตพอจะเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้วหรือ เขาคงต้องมองเจ้าเด็กคาร์เตอร์นั่นใหม่เสียแล้ว ทีแรกนึกว่าเป็นพวกหัวก้าวหน้า มีความคิดโตเป็นผู้ใหญ่ ที่ไหนได้ โตแต่ข้างล่างเสียมากกว่ากระมัง

“เรื่องอะไรที่ไม่เป็นสาระก็อย่าไปสนใจมันมาก” เอวานว่า

“มัธยมก็ได้เรียนเพศศึกษาแล้วนะครับ” แย้งไปตามข้อเท็จจริงที่ได้เรียนมา

“เรียนเพื่อป้องกัน ไม่ใช่นำไปลองผิดลองถูก”

“มันก็จริง แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เหรอครับ?”

“เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่ควรหมกมุ่น”

“ไม่ได้หมกมุ่นสักหน่อย” นี่ก็เถียงอุบ ๆ อิบ ๆ ไปตามเรื่อง

เอวานมองเด็กของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นมา “แล้วรู้สึกยังไงที่คาร์เตอร์มีแฟน?”

“ก็ไม่รู้สึกยังไง”

“ไม่นึกอยากมีแบบเขาบ้าง?”

“ถ้าผมอยากมี คุณจะอนุญาตไหม?”

ยิ่งกว่าหมัดเด็ดมวยเจ็ดสี ถามเองก็จุกเอง นี่ลูกชายกำลังขออนุญาตมีรักในวัยเรียนหรืออย่างไร?

“เพิ่งบอกไปว่าอย่าหมกมุ่น” เขาดุ

“อ้าว ก็คุณถาม...”

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กใครให้มีแฟนเร็วขนาดนั้น ไปดื่มนมแล้วนอนไป” ว่าแล้วก็ลุกหนีไปเลย

กลิ่นแก้วอ้าปากค้าง ก็เอวานเป็นคนถามเองว่าอยากมีแบบคาร์เตอร์ไหม พอเขาถามว่าจะอนุญาตหรือเปล่าก็มาเป็นเสียแบบนี้ เอวานนี่อะไรไม่รู้ เอาใจยากจริง

กลิ่นแก้วลุกตามเอวานเข้าไปในห้อง บนเตียงนอน เอวานเปิดไฟหัวเตียงอ่านหนังสือแบบที่ชอบทำ สายตาคมมองเด็กที่เดินเข้ามาหา ร่างน้อยปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วนั่งทับขาเสียเรียบร้อย

“มีอะไร?” เอ่ยถามเด็กที่มานั่งมองไม่พูดไม่จา ขณะที่มือก็เปิดหนังสืออ่านไปพลาง

“คุณไม่อยากให้ผมมีแฟนเหรอครับ?”

คำถามนั้นทำให้มือที่กำลังเปิดหนังสือชะงัก ก่อนละสายตาจากหน้ากระดาษมาดุเด็กพูดไม่รู้เรื่อง “บอกแล้วใช่ไหมไม่ให้พูดเรื่องนี้ เป็นเด็กเป็นเล็ก”

“คนอื่นเขามีกันเยอะแยะ รุ่นน้องที่โรงเรียนยังมีแล้วเลย” ไม่ได้จะเถียง แค่ยกตัวอย่างให้ฟัง

“อิจฉาเขา?” เอวานว่า

“เปล่าอิจฉาครับ แค่เล่าให้ฟังว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว”

“เลยอยากมีกับเขาบ้าง?”

“แล้ว... ถ้าผมอยากมี คุณจะอนุญาตไหม?”

“ไม่” ตอบกลับมาโดยไม่ต้องหยุดคิด

“ทำไมล่ะครับ? เพราะผมยังเด็กเหรอ?”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง”

“......” สีหน้าเด็กดูไม่เข้าใจ เอวานบอกว่าแค่ส่วนหนึ่ง แสดงว่ายังมีเหตุผลอื่นอีกหรือ?

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ไปนอน” เอวานตัดบท ไล่ไปนอนก่อนจะมีคำถามอื่นตามมาอีก

“คุณพูดส่วนที่เหลือมาก่อนสิครับ เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้มีแฟน แบบนี้มันค้างคาใจ ผมนอนไม่หลับหรอก” เจ้าตัวเล็กไม่ยอม

“หัดมีข้อแม้นะเดี๋ยวนี้”

ฉีกยิ้มก่อนรบเร้า “บอกหน่อยสิครับ มันคาใจจริง ๆ”

เอวานถอนใจ “อีกเหตุผลหนึ่งคือ...”

“.....?”

“ไม่มีเหตุผล”

“อ้าว” เห็นไหม บอกแล้วว่าเอวานเข้าใจยาก

“ไปนอนได้แล้ว อย่าให้ได้ยินพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“......” กลิ่นแก้วหน้าเง้า โดนดุอีกแล้ว อะไรไม่รู้

ตัวผอม ๆ นั้นคลานไปปลายเตียงก่อนก้าวลงไป เดินลากขาเซ็ง ๆ จะออกจากห้อง แต่นึกอะไรขึ้นได้เลยหยุด หันกลับแล้วเดินมาที่เตียง ยืดตัวไปจูบแก้มเอวานเบา ๆ

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

ว่าแล้วก็จะผละไป แต่เอวานเรียกไว้

“เดี๋ยว มานี่ก่อน”

เมื่อเจ้าตัวเล็กหันกลับมา เอวานก็รั้งให้เข้ามาใกล้ กดจูบหน้าผากพร้อมบอกราตรีสวัสดิ์เช่นทุกที ก่อนปล่อยให้กลับไปนอนที่ห้อง เพียงบานประตูปิดลงเอวานก็ถอนหายใจเสียยืดยาว นี่เจ้าตัวเล็กมันถึงวัยมีรักแรกหรืออะไรแบบนั้นแล้วหรือ เขาก็รู้ว่าในฐานะผู้ปกครองต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกช่วงวัยของเด็ก ต้องทำความเข้าใจให้มาก แต่เรื่องนี้เขาไม่อยากเข้าใจเลย เจ้าตัวเล็กของเขาจะมีคนรักนี่นะ ให้ตายเถอะ อย่างไรก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ


......


“เอวาน เร็วสิครับ ผมจะไปสายแล้วนะ”

เสียงกลิ่นแก้วดังมาเร่งคนตัวโตให้ไปขึ้นรถกันเสียที วันนี้ช่วงเย็นเขามีนัดกับคาร์เตอร์ อีกฝ่ายชวนไปงานวันเกิดซึ่งยากที่จะปฏิเสธ เพราะชวนไปไหนก็ปฏิเสธมาหลายทีแล้วเลยออกจะเกรงใจเพื่อน เมื่อมาขออนุญาต เกวนก็อนุญาตให้ไปโดยจะให้คนไปส่งแล้วรอรับกลับด้วย กระทั่งเอวานกลับมาแล้วรู้เรื่องนั้นจึงอาสาว่าจะพาไปเอง เพราะอยากเจอเด็กคาร์เตอร์นั่นเหมือนกัน

ความจริงแล้วจุดประสงค์ของเอวานคืออยากรู้ว่าเด็กของตนคบเพื่อนแบบไหน เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรมาก แต่ถ้าเพื่อนของเจ้าตัวเล็กดูไม่เข้าทีก็จะได้เตือนเอาไว้บ้าง อยากมีสังคมดี ๆ การคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูงก็เป็นเรื่องสำคัญ คบเพื่อนแบบไหน ย่อมพากันไปสู่สังคมแบบนั้น

“จะรีบไปไหน ยังมีเวลา” เอวานว่าขณะถูกลากมาที่รถ ตื่นเต้นเกินไปแล้วเจ้าหนู

“จริง ๆ คุณให้คนไปส่งผมก็พอ ไม่ต้องไปด้วยก็ได้ ผมไม่อยากกวน” กลิ่นแก้วออกจะเกรงใจ เอวานทำงานมาเหนื่อย ๆ ยังต้องตามไปเฝ้าเขาที่งานวันเกิดเพื่อนอีก

“ไม่อยากกวนหรือไม่อยากให้ไป?”

“......”

“กลัวฉันไปแล้วจะทำงานกร่อยหรือไง?”

“เปล่าสักหน่อย...” ตัวเล็กปฏิเสธอุบอิบ คนก็บอกอยู่ว่าเกรงใจ

เอวานขึ้นรถโดยมีเด็กตามขึ้นไป ก่อนที่จะพากันมุ่งตรงไปยังบ้านของคาร์เตอร์ งานวันเกิดจัดในสวนสวยของบ้านซึ่งทอดไปถึงริมสระว่ายน้ำ ให้บรรยากาศดีไปอีกแบบ

เมื่อกลิ่นแก้วและเอวานไปถึง กลุ่มเพื่อนของคาร์เตอร์ก็ทยอยมากันบ้างแล้ว เด็กชายให้ของขวัญเพื่อน ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับกับเอวานในฐานะพี่ชายของตน คาร์เตอร์ที่ได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนาม พอมาเจอตัวจริงของพี่ชายเพื่อนแบบนี้ก็ออกจะเกร็งไม่น้อย

“เอวานคะ”

เสียงทายทักที่ออกจะคุ้นหูทำให้กลิ่นแก้วหันไปมอง สีหน้าดูประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือผู้หญิงที่เคยเจอกันในร้านอาหารเมื่อนานมาแล้ว แม้จะเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว แต่กลิ่นแก้วก็จำเธอได้

“สวัสดีครับ วาเนสซ่า” เอวานทักกลับ สัมผัสมมือเธอตามมารยาทอันดี

วาเนสซ่า? ใช่ ชื่อของเธอคือวาเนสซ่า... วาเนสซ่า เทย์เลอร์ เขาจำได้แล้ว นอกจากเคยเจอกันที่ร้านอาหารเมื่อครั้งกระโน้น กลิ่นแก้วยังได้ยินชื่อของเธอบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ไม่นึกว่าจะเป็นคนเดียวกัน

กลิ่นแก้วหันมามองเอวานที่ไม่แสดงอาการแปลกใจให้เห็น ทั้งยังส่งยิ้มให้หญิงสาวที่เข้ามาทายทัก หูได้ยินคาร์เตอร์แนะนำว่าเธอเป็นน้าสาว แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เมื่อสายตามันคอยแต่จะมองปฏิกิริยาของเอวานอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้เองสินะ...

แสงตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า ไฟประดับภายในสวนจึงถูกเปิดสร้างบรรยากาศ กลิ่นแก้วบอกกับคาร์เตอร์ไว้ตั้งแต่อีกฝ่ายชวนมางานวันเกิดแล้วว่าอยู่จนดึกไม่ได้ เกรงใจที่บ้าน อยากให้คาร์เตอร์เข้าใจ ซึ่งคาร์เตอร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เพื่อนไม่ปฏิเสธให้เสียหน้าอีกก็ดีแล้ว

บริเวณสระว่ายน้ำมีซุ้มอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ติดตามเด็กมาในวันนี้ เกวนให้แม่บ้านจัดแจงเครื่องดื่มกับอาหารไปให้ตนและเอวานที่โต๊ะสีขาวริมสระ

“ไม่คิดว่าคาร์เตอร์กับน้องชายคุณจะเป็นเพื่อนกัน” วาเนสซ่าเอ่ยขึ้นขณะมองดูเด็ก ๆ มีความสุขกับการกินและพูดคุยหยอกล้อกันอยู่กลางสวนสวย โลกมันกลมยิ่งกว่าที่คิด “พวกเขาดูสนิทกันนะคะ”

“ครับ” เอวานตอบกลับไป สายตาคมมองตามเด็กของตนที่ผละไปหาอะไรกินที่ซุ้ม โดยมีเจ้าเด็กคาร์เตอร์ตามอยู่ไม่ห่าง

“ตอนแรกฉันก็กังวลนะคะ กลัวคาร์เตอร์จะคบเพื่อนไม่ดี แต่เท่าที่ดูวันนี้กลุ่มเพื่อนของคาร์เตอร์เป็นเด็กน่ารักทีเดียว ยิ่งพอรู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นน้องชายของคุณแบบนี้ ฉันก็ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”

“......” เอวานยิ้มบาง ไม่ได้ขัดอะไรเธอ

“หวังว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะ”

“ผมก็หวังเช่นนั้น”

ดูท่าผู้ใหญ่จะพูดคุยกันถูกคอ มองความสนิทสนมระหว่างเอวานกับวาเนสซ่าแล้ว กลิ่นแก้วก็ซึมไป คาร์เตอร์ที่สังเกตปฏิกิริยาของเพื่อนอยู่ตลอดจึงกระแซะถาม

“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาคบกันอยู่ จริงไหม?”

“ไปได้ยินมาจากไหน?” กลิ่นแก้วย้อนถามกลับไป สายตายังคงจับจ้องสองหนุ่มสาวข้างสระว่ายน้ำนั่น

“ก็เคยได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน ฉันว่าพวกเขาก็เหมาะสมกันดีนะ หรือนายว่าไง?”

เบือนสายตากลับมามองคาร์เตอร์ ถ้าสองคนนั้นคบหากันจริง เขาจะว่าอย่างไรได้ เขาไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจ เพราะอย่างไรเอวานก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง มีคนรัก มีครอบครัว มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดา หากพวกเขารักกัน มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมิใช่หรือ

“นี่อย่าบอกนะว่านอกจากเป็นพวกติดพี่แล้ว นายยังหวงพี่ด้วย?” คาร์เตอร์เอ่ยเย้ากลั้วหัวเราะ

“ไม่เคยพูด” กลิ่นแก้วว่า

“นายไม่เคยพูด แต่ดูหน้านายสิ ไม่อยากให้พวกเขาคบกันใช่ไหมล่ะ กลัวถูกแย่งความรักหรือไง?” ท่าทางจะคิดถูก เพราะอีกคนหน้ามุ่ยไปเรียบร้อย “ฉันถึงบอกว่านายมันติดพี่มากเกินไป ถ้าฉันเป็นพี่ชายนายคงอึดอัดตาย”

“เอวานไม่เคยบอกว่าอึดอัด” นี่ก็เถียงกลับไป เพราะเอวานบอกว่าอย่าคิดเองเออเอง ในเมื่อเอวานไม่ได้พูดก็แสดงว่าไม่ได้คิดแบบนั้น

“เรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่ต้องรอให้เจ้าตัวเขาพูดออกมาหรอก นายน่าจะรู้สึกได้เองนะว่ามันควรหรือเปล่า” คาร์เตอร์ยังว่า

“ไม่คุยกับนายแล้ว หงุดหงิด!” แยกเขี้ยวใส่ก่อนเดินหนีไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นแถวสระว่ายน้ำ

“อะไร เถียงไม่สู้แล้วเดินหนีเหรอ?” คาร์เตอร์ร้องตามหลัง วางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะก่อนวิ่งตามไปตอแย “เพราะนายเป็นแบบที่ฉันพูดจริง ๆ ใช่ไหมเลยเถียงไม่ออก?”

“บอกว่าไม่คุยด้วยไง” กลิ่นแก้วปิดหู จ้ำหนีคนกวนใจ

ไม่ได้จะเอนเอียงไปตามคำพูดของคาร์เตอร์ แต่ว่ากันตามจริงเอวานก็ผู้ชายคนหนึ่ง จะรักจะชอบผู้หญิงสักคนก็เป็นเรื่องปรกติ บางทีเอวานอาจอยากสร้างครอบครัวแบบที่มาดามเจฟเฟอร์สันเคยพูดก็ได้ แต่การมีเขาเกาะติดอยู่แบบนี้ เอวานจะอึดอัดใจบ้างไหมนะ?

คิดมาถึงตรงนี้แล้วใจดวงน้อยก็พลันห่อเหี่ยว ถ้าเอวานมีครอบครัวแล้วเขาจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าวันนั้นมาถึง เขาจะยังอยู่กับเอวานแบบนี้ต่อไปได้ไหมนะ...?





TBC



บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-10-2018 19:01:12
น้องคับ ไปอยู่คนเดียวมั้ยลูก
แต่ติดเอวานเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 23-10-2018 19:15:39
สงสารกลิ่นแก้วจัง :ling3:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-10-2018 21:33:18
เอวาน งานเข้าแล้วเน้ออออ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 23-10-2018 22:15:32
โถถถถ น้อง ใสเหลือเกินลูก
ว่าแต่คุณพ่อกำมะลอจะทำยังไงต่อไปเนี่ย ต่อไปท่าทางจะวุ่นวายน่าดู ครอบครัวสตีเฟ่นน่าจะอยู่เฉยอีกไม่นานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 23-10-2018 23:06:21
เอวานเมื่อไรจะรู้ตัวนะ งั้นก็ให้กลิ่นแก้วมีแฟนไปก่อนเลยดีกว่า  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 23-10-2018 23:13:15
ค่อยๆเรียนรู้ไปเด็กน้อย
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-10-2018 11:43:00
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-10-2018 19:42:20
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13
หัวข้อ: Re: ◈◈บุหรงเริงไฟ◈◈ + บทที่ ๕ ปัญหาหัวใจ + >>23.10.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 27-10-2018 13:24:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-11-2018 20:31:32

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม


กลิ่นแก้วมองคนหน้าเครียดที่เดินไปเดินมาด้วยความหวั่นใจ เขาตัดสินใจว่าขึ้นภาคเรียนใหม่ของมัธยมปลายจะขอย้ายไปอยู่หอพักตามที่เคยเอามาปรึกษาเมื่อนานมาแล้ว และเอวานบอกว่ารอให้ถึงเวลาจะอนุญาตให้ออกไปอยู่ข้างนอกและทำงานหาประสบการณ์ มาวันนี้กลิ่นแก้วคิดว่าน่าจะรับผิดชอบตัวเองได้ประมาณหนึ่ง เพราะเพื่อนในกลุ่มบางคนก็อยู่หอพักกัน คาร์เตอร์ที่เคยบอกว่าขึ้นมัธยมปลายจะย้ายออกมาอยู่เองก็กำลังหาหอพักดี ๆ อยู่ ทุกคนต่างเติบโตขึ้น กลิ่นแก้วก็ไม่อยากเป็นเด็กน้อยที่คอยตามพี่ต้อย ๆ แล้วเหมือนกัน

“เอวาน หยุดเดินได้ไหมครับ ผมเวียนหัว”

“......” สายตาคมเบือนมามองคนพูด

เอวานรู้เรื่องเด็กของตัวเองอยากย้ายไปอยู่หอพักจากมารดา คงเพราะรู้ว่าถ้าขอเขา เขาต้องไม่อนุญาต จึงได้ไปขอมารดาของเขาก่อน และท่านก็ดันเห็นดีด้วย บอกว่าส่วนมากเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำจะเป็นผู้ใหญ่และรับผิดชอบตัวเองได้ดี แต่กลิ่นแก้วไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำ ถ้าอยากลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้าน ได้รู้จักดูแลรับผิดชอบตัวเองบ้างก็ไม่เลว

“ที่อยากออกไปอยู่ข้างนอก เพราะเจ้าคาร์เตอร์นั่นอีกแล้วใช่ไหม?” เอวานกอดอก เอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเดินวนจนเด็กมันบ่นว่าเวียนหัว

“เกี่ยวอะไรกับคาร์เตอร์?” เหมือนเอวานจะไม่ชอบคาร์เตอร์ กลิ่นแก้วก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่คาร์เตอร์ก็เป็นหลานชายของวาเนสซ่า คนรักของตัวเอง

“ก็เธอบอกมาดามว่ามีเพื่อนไปด้วย ถ้าไม่ใช่คาร์เตอร์แล้วเป็นใคร?”

ใช่ เขาบอกกับมาดามเจฟเฟอร์สันเช่นนั้น เพราะกลัวท่านจะห่วงที่ต้องอยู่คนเดียวจนกลายเป็นไม่อนุญาตให้ออกไปอยู่ข้างนอก

“ก็... คาร์เตอร์ก็กำลังหาหออยู่ ผมเลยให้เขาดูเผื่อด้วยเฉย ๆ” เอ่ยแก้ตัวเสียงเบา

“สรุป เพราะเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ?” คิ้วเข้มเลิกสูง เมื่อสรุปเอาเองไปเรียบร้อย

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“แล้วทำไมต้องย้ายออกไป อยู่เจฟเฟอร์สันไม่ดีตรงไหน?”

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดีสักหน่อย ผมก็แค่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง จะพึ่งพาคุณตลอดไม่ได้หรอกครับ”

กลิ่นแก้วพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเข้าใจ เมื่อโต้กลับมา

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะพึ่งพาฉันตลอดไปเลยก็ได้ เธอคนเดียว ฉันเลี้ยงไหว”

“โธ่ เอวาน ทำไมไม่เข้าใจอะไรเลยนะ” หน้าเริ่มยุ่งแล้ว ก็รู้หรอกว่าเลี้ยงไหว แต่อยากพึ่งพาตัวเองให้ได้ ไม่เข้าใจหรืออย่างไรกัน

เอวานนิ่งมองสีหน้าดื้อดึงของเจ้าตัวเล็ก รู้สึกเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ กำลังจะโผบินไปจากอก หรือนี่จะเป็นวัยต่อต้าน จากที่ไม่เคยมีข้อโต้แย้ง จากที่ไม่เคยเถียง กลับแปรเปลี่ยนไป คิดแล้วใจคนเป็นพ่อก็จะขาดรอน ๆ

“ต้องออกไปอยู่ข้างนอกให้ได้เลยใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามเสียงนิ่ง

“......” คนถูกถามปิดปากเงียบ ไม่พูดแล้ว พูดไป เอวานก็ขัดอยู่ดี

“ถ้าอยากอยู่ข้างนอก ก็มาอยู่ที่นี่ก็ได้”

เอวานเสนอทางเลือก ‘ที่นี่’ ที่ว่าก็คือคอนโดมิเนียมของเขา เขาให้ทอมัสบึ่งไปรับเจ้าตัวเล็กมา หลังรู้เรื่องจากมารดาเพราะไม่ได้กลับเจฟเฟอร์สันหลายวัน

“แล้วมันใกล้โรงเรียนหรือไงล่ะครับ?” กลิ่นแก้วถามกลับ สีหน้ายังมุ่นมุ่ยเหมือนเด็กถูกขัดใจ

คนมองถอนใจเบา “สรุปคือจะไปให้ได้?”

“......” ยังคงเล่นลูกเงียบ บทจะดื้อขึ้นมาก็ทำเอาคุณพ่อกำมะลอปวดหัวได้เหมือนกัน

“ก็ได้ ฉันอนุญาตให้ไปอยู่ข้างนอก แต่ฉันจะเป็นคนเลือกหอพักให้เอง ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องไป”

กลิ่นแก้วอ้าปากเหมือนอยากจะตอบโต้ แต่รู้ว่าพูดไปก็เท่านั้นเลยงับปากลง เพราะเอวานไม่ได้อยากให้ออกไปอยู่ข้างนอก ในเมื่อปิดประตูทางเลือกมา ก็ทำตามไว้เป็นดีที่สุด

ใจจริงกลิ่นแก้วก็ไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกสักเท่าไร แต่ด้วยความที่ไม่อยากพึ่งพาเอวานตลอดไป เพราะอีกหน่อยเอวานก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ตรงไหน มันก็จริงที่เอวานคงไม่ไล่เขาออกจากเจฟเฟอร์สัน แต่เมื่อนึกภาพตัวเองต้องยืนมองครอบครัวเอวานอยู่ห่าง ๆ แล้วมันก็เศร้าใจ ยิ่งคิดไปว่ามันจะไม่มีที่สำหรับตนเองอีกต่อไปแล้วก็ทนไม่ได้ การถอยห่างออกมาเพื่อทำใจให้ชินคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


......


เมื่อเอวานอนุญาตให้ออกมาอยู่ข้างนอกแต่ยังกั๊กเรื่องหอพักไว้ว่าจะเป็นคนเลือกให้เอง ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาอีก เพราะหอพักที่เอวานเลือกมันหรูเกินกว่าที่เด็กมัธยมปลายธรรมดาเขาอยู่กัน ทั้งสถานที่ตั้ง ทั้งความใหญ่โตของตัวอาคาร ทั้งความกว้างขวางของห้องหับ ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน และการรักษาความปลอดภัยที่เรียกได้ว่าดีเยี่ยม

“มันหรูไปแล้ว เอวาน แบบนี้ผมจ่ายไม่ไหวหรอกครับ”

กลิ่นแก้วบ่นคนเลือกหลังกลับจากการไปดูห้อง เขากะว่าจะทำงานหาเงินเช่าหอพักเอง ไม่อยากกวนค่าขนมจากเอวานเพิ่ม เพราะเลือกที่จะออกมาอยู่เองก็ไม่ควรทำให้เอวานต้องเดือดร้อน แต่ด้วยความที่เขาเพิ่งสิบหก ไม่สามารถทำงานเต็มเวลาแบบผู้ใหญ่ได้ สัปดาห์หนึ่งทำได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วเอวานมาเลือกหอพักหรูขนาดนี้ให้ เขาจะจ่ายไหวที่ไหนกัน

“ก็แล้วใครบอกว่าจะให้เธอจ่าย?” เอวานย้อนถาม นั่งมองเด็กที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนกับค่าเช่าหอพักแล้วตลกดี

“ก็มันเป็นที่ที่ผมจะอยู่ ผมก็ต้องจ่ายเองสิครับ แล้วดูคุณเลือก เห็นผมเป็นนักธุรกิจหรือไง?” กลิ่นแก้วว่า

“ใช่ เธอไม่ได้เป็นนักธุรกิจ เป็นแค่นักเรียนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีผู้ปกครองเป็นนักธุรกิจ และเห็นว่าที่นั่นมันดีสำหรับเด็กในปกครองของเขา และเขาพร้อมที่จะจ่าย”

“......” กลิ่นแก้วได้แต่กัดปากเมื่อไม่อาจโต้แย้งอะไรได้ เหมือนจะพูดกันเข้าใจแล้ว ยอมให้ออกมาแล้ว แต่ที่จริงเอวานก็ยังตีกรอบทุกอย่างให้อยู่ดี

“ถ้าอยากอยู่ข้างนอกก็ต้องอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ ฉันก็ไม่อนุญาต เลือกเอา”

“......” เจ้าตัวเล็กได้แต่ต่อว่าความเผด็จการของผู้ปกครองในใจเมื่อทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าขัดใจเอวานอยู่ดี บ้าจริง ๆ เลย

หลังจากตกลงกันเรื่องหอพักได้แล้ว กลิ่นแก้วและคาร์เตอร์จึงพากันขนของย้ายเข้าหอโดยมีวาเนสซ่าเข้ามาช่วยจัดการดูแล ตอนแรกคาร์เตอร์กะว่าจะอยู่อีกหอหนึ่งคนเดียว เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ผู้เป็นน้าสาวอย่างวาเนสซ่ากล่อมให้มาอยู่เป็นเพื่อนกลิ่นแก้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าเพิ่งออกมาอยู่ข้างนอกด้วยกันทั้งคู่ เกิดมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน และห้องก็ไม่ใช่ห้องเดี่ยว มีห้องนอนแยกด้วย กว้างขวางพอสมควรเลยทีเดียว คาร์เตอร์จึงได้ตอบตกลง ทำให้กลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปแม้จะไม่สมัครใจสักเท่าไรก็ตาม

แม้กลิ่นแก้วจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เอวานปล่อยให้วาเนสซ่าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ก็เข้าใจว่าเอวานไม่ว่างมาวันนี้ แต่ก็ไม่เห็นต้องให้เธอมาเลย ถ้าเป็นห่วงก็ให้คนที่เจฟเฟอร์สันมาก็ได้ พอเธอเข้ามาจัดแจงแบบนี้แล้วอึดอัดชะมัด ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนไม่ดี แต่เขาแค่ไม่ชอบ ก็เท่านั้น

“กลิ่นแก้วนี่ดีจัง ข้าวของไม่เยอะ ไม่เหมือนคาร์เตอร์เลย รายนั้นอะไรไม่รู้ พะรุงพะรัง ชีวิตขาดเกมไม่ได้”

หญิงสาวชวนคุย หัวเราะน้อย ๆ พอน่ารัก ขณะที่เจ้าของชื่อเพียงยิ้มบาง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เลือกที่จะจัดของไปเงียบ ๆ อย่างนั้น

“วันนี้เอวานติดประชุม ช่วงบ่ายก็มีเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ด้วย เลยวานให้ฉันมาดูแลแทน”

วาเนสซ่าไม่ได้แสดงท่าทีหงุดหงิดอะไรกับความเงียบของน้องชายเอวาน เพราะตั้งแต่รู้จักกัน เด็กคนนี้ก็ไม่ใช่คนช่างพูดนัก อาจเพราะไม่ได้สนิทกันจึงพูดกับเธอเท่าที่จำเป็น ซึ่งเธอก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไร

คาร์เตอร์ยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์และเกมที่ขนมาจากบ้าน ไม่ได้สนใจมาจัดข้าวของอย่างอื่น ทำให้วาเนสซ่าต้องคอยกำกับให้ยกเข้าไปไว้ในห้องนอน วางเกลื่อนไว้กลางทางเดินแบบนี้ไม่ไหว ก่อนจะผละไปจัดการเรื่องของกินเมื่อใกล้เที่ยง โดยมีกลิ่นแก้วที่จัดของแสนน้อยนิดของตัวเองเสร็จแล้วอาสามาช่วย

“เธอเป็นเด็กดีนะ เอวานเขาพูดถึงอยู่ตลอดเลย ถึงจะเป็นแค่เด็กในความดูแลของคุณแม่เขา แต่เขาก็เอ็นดูเธอเหมือนน้องแท้ ๆ เชียวล่ะ”

กลิ่นแก้วชะงัก “เขาบอกแบบนั้นเหรอครับ?”

วาเนสซ่าเลิกคิ้ว ก่อนยิ้มบอก “เราค่อนข้างสนิทกันน่ะ เขาเลยเล่าอะไรหลาย ๆ อย่างให้ฟัง รวมถึงเรื่องของเธอด้วย”

“อ้อ...”

“เอวานเป็นคนใจดี บางทีความใจดีของเขาก็ทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดอยู่บ่อย ๆ จนสำคัญตัวผิดไป...”

“......” ไม่รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงใคร แต่มันก็กระทบใจคนฟังอยู่ไม่น้อยเลย สำคัญตัวผิดอย่างนั้นหรือ?

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ คาร์เตอร์ก็เดินมาซ้อนหลัง เอื้อมมือข้ามไหล่มาหยิบของกินในจาน ทำให้กลิ่นแก้วสะดุ้งเฮือกทั้งหันไปฟาดด้วยความตกใจ

“คาร์เตอร์!”

“โอ๊ย!!”

“...?” วาเนสซ่าหันมามองเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ เห็นหลานชายยืนกุมแก้มขณะที่เด็กอีกคนกำลังแยกเขี้ยวใส่

“ตกใจหมด” กลิ่นแก้วต่อว่า ขวัญเอ๊ยขวัญมา โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย บ้าจริง

“ก็มัวแต่ใจลอยอะไรอยู่ หิวแล้ว” คาร์เตอร์บ่นแล้วหยิบของในจานมากินอีก

“จัดเสร็จแล้วหรือไงของน่ะ?” ผู้เป็นน้าสาวเอ่ยถาม ยกหม้อซุปมาวางบนผ้ารองที่โต๊ะกินข้าว

“เอาไว้ก่อนเถอะครับ หิวไส้จะขาดแล้ว ของค่อยจัดเมื่อไรก็ได้”

วาเนสซ่าส่ายหน้ากับข้ออ้างของหลานชาย เห็นขลุกอยู่ในห้องตั้งนาน นึกว่าจัดเสร็จแล้ว ที่ไหนได้ คงจัดโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วต่อเครื่องเล่นเกมล่ะสิ

หญิงสาวไล่เด็ก ๆ ไปล้างไม้ล้างมือ ก่อนลงมือกินอาหารเที่ยงกัน หลังจากนั้นจึงปล่อยให้พวกเขาจัดของกันต่อ ตัวเธอต้องไปทำธุระช่วงบ่าย ถ้าเสร็จธุระแล้วจะแวะมาดูอีกที


......


“ออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว?”

ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ถือว่าประมาทกว่าที่คิด มุมปากฟรานเชสโก้ยกยิ้มเมื่อได้ฟังรายงานจากคนของตน คงเพราะเขาไม่มีความเคลื่อนไหวจึงทำให้เอวานหลงลืมไปแล้วว่าเด็กมันเป็นใคร คงต้องย้ำเตือนสถานะกันหน่อยแล้วกระมัง

ขณะที่กำลังคุยกับคนของตนอยู่ โอลิเวอร์ก็เข้ามาในห้อง ฟรานเชสโก้หันไปมอง ก่อนปัดมือบอกให้คนของตนเองออกไปก่อน โอลิเวอร์ปรายสายตามองตามผู้ที่เดินออกจากห้องไป กระทั่งบานประตูปิดลง เขาจึงเอ่ยขึ้น

“รู้สึกว่านายจะใจเย็นเหลือเกินนะ ฟราน”

“มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า อย่าอารัมภบทให้มากความ” ผู้เป็นพี่ชายว่า

โอลิเวอร์ทำเสียงหึขึ้นจมูก “ฉันไม่น่าเชื่อนายเลยว่าจะจัดการทุกอย่างได้”

“......” ฟรานเชสโก้มองน้องชายนิ่ง

“สุดท้ายนายก็หลงเสน่ห์แม่นั่นจนลืมว่าหล่อนไม่ใช่คนในครอบครัว แค่มากอบโกยผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงที่พวกเราร่วมกันสร้างมา!” โอลิเวอร์เริ่มใส่อารมณ์ในน้ำเสียง

ฟรานเชสโก้บอกจะจัดการตามวิธีของตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลย มากาเร็ตก็ยังคงลอยหน้าอยู่ในฐานะบอร์ดบริหารไม่เปลี่ยน มันไม่มีอะไรเปลี่ยน ฟรานเชสโก้โกหกทั้งเพ!

“พูดจบรึยัง?” เอ่ยถามผู้เป็นน้องชายกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่อนาทรต่ออารมณ์ของอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“จบสิ จบแล้ว ต่อไปฉันจะไม่เชื่ออะไรนายอีก ฉันจะจัดการมันเอง ทั้งมากาเร็ตและ...” แสยะยิ้มก่อนว่า “ลูกชายของสตีฟ น้องรักของนายไง”

“โอลิเวอร์!” ฟรานเชสโก้ตะเบ็งเสียง ขณะที่อีกคนยังคงยิ้มอย่างเหนือกว่า

“คิดว่านายฉลาดอยู่คนเดียวเหรอ ฟราน?”

“......” สายตาคมมองคนเป็นน้องเขม็ง

“ดูถูกกันมากเกินไปแล้วมั้ง” โอลิเวอร์เย้ยหยันก่อนตัดพ้อ “สตีฟมันน้องรักของนายนี่ ทั้งที่มันทำตัวไม่ได้เรื่อง แต่นายก็คอยปกป้องมันตลอด ในขณะที่ฉันคอยช่วยนายบริหารที่นี่ สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนายมา นายกลับไม่เห็นหัว ดีแต่ไปโอ๋ไอ้น้องไม่เอาอ่าวนั่น!”

โอลิเวอร์ตะคอกดัง เรื่องนี้มันเป็นตะกอนที่ทับถมอยู่ภายในใจมาโดยตลอด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าฟรานเชสโก้ดูถูกเขา พะเน้าพะนอแต่สตีเฟ่น คนที่คิดแต่จะทิ้งพี่น้องไว้ข้างหลังแล้วหนีไปเสพสุขคนเดียว

“เสียใจด้วยนะที่มันเสือกตายไปก่อน เลยเหลือแต่น้องชายที่นายไม่เคยเหลียวแลแบบฉัน”

“นายไม่รู้อะไร...”

“ใช่!” โอลิเวอร์กระแทกเสียง “ฉันมันจะไปรู้อะไร”

ผู้เป็นพี่ชายถอนใจกับการประชดประชันนั่น “ถึงนายกับสตีฟจะต่างกัน แต่พวกนายก็เป็นน้องชายของฉัน...”

“ฉันไม่อยากฟัง”

“......”

“ต่อไปนี้ฉันจะจัดการด้วยวิธีของฉัน หวังว่านายจะไม่เข้ามาขวางนะ ฟรานเชสโก้”

ทิ้งท้ายเท่านั้นแล้วโอลิเวอร์ก็ออกจากห้องไป ปล่อยให้ฟรานเชสโก้ยืนกำหมัดแน่น ก่อนทุบลงไปบนโต๊ะด้วยแรงอารมณ์ที่ประทุอยู่ภายใน


......


เอวานกลับเข้าคอนโดมิเนียมมาหลังเสร็จงาน พอกลิ่นแก้วไม่อยู่ เขาก็ไม่ค่อยได้กลับเจฟเฟอร์สันสักเท่าไรนัก เหมือนชีวิตย้อนกลับไปช่วงยังไม่มีกลิ่นแก้วเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพะวง ยังเป็นห่วง มีไปหาบ้างช่วงวันหยุดที่เด็กมันไปทำงานที่ร้านหนังสือ เขารู้ว่าเด็กของเขามีความตั้งใจ เขารู้ดี จึงได้ยอมให้ออกไปใช้ชีวิตตามแบบที่ชอบ จะได้เรียนรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามเหมือนในจินตนาการ ความโสมมที่เคยพบเจอมาเมื่อวัยเยาว์นั้นมันยังมีอยู่ทุกที่

แม้ไม่อยากให้กลับไปพบเจอเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นอีก แต่เอวานก็เลือกที่จะมองดูอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้เด็กของตนได้เรียนรู้ และวันหนึ่ง ลูกนกตัวน้อยก็จะบินกลับมาอยู่ในอ้อมอกพ่อนกแบบเขาด้วยความสมัครใจอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถอยู่บนโลกกว้างใหญ่นี้ได้โดยไม่มีเขา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจ เมื่อเห็นชื่อคนโทร ริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้ม ก่อนกดรับด้วยความอารมณ์ดี เสียงเจ้ากลิ่นแก้วดังมาตามสาย ออดอ้อนให้ไปงานกีฬาที่โรงเรียนวันจันทร์นี้ เพื่อนในกลุ่มก็ลงแข่งด้วย ทางโรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองเข้ามาดูและเป็นกำลังใจได้ เลยอยากให้เขาไป

“แล้วฉันจะไป”

พอตอบรับไปแบบนั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวเล็กก็ดังมา

“คุณจะมาจริง ๆ นะครับ?”

“ฉันเคยโกหกหรือไง?”

กลิ่นแก้วย่นจมูกใส่โทรศัพท์ เอวานซื้อโทรศัพท์ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้ว เพราะบางทีมีกิจกรรมที่โรงเรียนทำให้ต้องกลับบ้านเลยเวลาจะได้ไม่เป็นห่วง

“กลิ่นแก้ว”

“ครับ?”

“ไม่ขาดเหลืออะไรใช่ไหม?”

น้ำเสียงห่วงใยทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป การออกมาใช้ชีวิตตามลำพังมันทำให้ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเอง ได้เจอโลกที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ได้รู้จักผู้คนหลากหลาย แต่ทุกครั้งที่กลับมาอยู่ในห้องเงียบ ๆ ก็อดคิดถึงเอวานไม่ได้ อยู่ที่นี่ไม่มีคนให้อ้อน เวลาอยากได้ยินเสียงก็ไม่กล้าโทรหา กลัวเอวานจะรำคาญ อย่างเช่นตอนนี้ที่เอาเรื่องกีฬาโรงเรียนมาอ้าง ก็แค่หาเรื่องโทรคุยด้วยเท่านั้นเอง

“ถ้ามีอะไรต้องบอก เข้าใจรึเปล่า?”

กลิ่นแก้วเผลอพยักหน้าทั้งที่คุยกันทางโทรศัพท์ หัวเราะขำตัวเองเบา ๆ ก่อนตอบกลับไป

“ครับ ขอบคุณนะ เอวาน”

พวกเขาคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยก่อนวางสายไป วันหยุดสุดสัปดาห์กลิ่นแก้วก็มาทำงานพิเศษที่ร้านหนังสือตามปรกติ โดยมีคาร์เตอร์และลอยน์ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มทำงานอยู่อีกร้านละแวกเดียวกัน

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน กลิ่นแก้วก็ออกจากร้านหนังสือมารอคาร์เตอร์และลอยน์ตามปรกติ แต่ช่วงหลังมานี้รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ เหมือนมีอะไรแปลก ๆ ที่กลิ่นแก้วเองก็บอกไม่ถูก ตอนแรกก็คิดว่ารู้สึกไปเอง กระทั่งวันนี้มันชัดเจนมากว่ามีคนตาม

ออกจากหลังร้านมา ก้าวเดินของกลิ่นแก้วก็เร่งขึ้นไปอีก แต่ยิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งเหมือนถูกไล่จี้เข้ามามากขึ้นเท่านั้น มือล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าเพื่อที่จะโทรหาเอวาน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีคนมาดักหน้า ตากลมเบิกโต ขาเรียวก้าวถอยก่อนจะหมุนกายกลับเพื่อวิ่งหนี แต่ก็ช้าไปเมื่อโดนดักไว้ทุกทาง ทำให้ได้แต่ยืนโง่ ๆ อยู่ตรงกลางอย่างทำอะไรไม่ถูก

ชายตัวสูงใหญ่สองคนที่ดักหน้าดักหลังทำให้กลิ่นแก้วไม่รู้จะถอยไปที่ไหน จุดที่เขายืนอยู่มันเป็นทางเดินข้างตัวตึก เมื่อออกจากร้านหนังสือมาทางด้านหลังก็ต้องเดินผ่านตรอกนี้เพื่อออกไปด้านหน้า และรอคาร์เตอร์กับลอยน์ที่นั่น ทำให้บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านเข้าออกนักนอกจากพนักงานร้านแถวนั้น เมื่อหาทางหนีไม่เจอ กลิ่นแก้วก็ได้แต่หวังว่าจะมีคนผ่านมาในเวลาเช่นนี้

“กลิ่นแก้ว!”

เสียงเรียกของคาร์เตอร์ทำให้จุดสนใจของชายสองคนนั้นเบนไป ขณะที่พวกเขามุ่งความสนใจไปทางต้นเสียงก็มีมือมารั้งแขนกลิ่นแก้วให้ออกวิ่ง และเมื่อสองคนนั้นรู้ตัวก็รีบไล่ตามในทันที ทำให้การวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตเกิดขึ้น

“คนพวกนั้นเป็นใครวะเนี่ย!?”

คนที่ฉุดให้กลิ่นแก้ววิ่งคือลอยน์ ถึงลอยน์จะชอบกินขนมหวานแต่ก็ไม่ได้ตัวอ้วนกลมแต่อย่างใด ทั้งยังเป็นนักบาสเกตบอลจึงค่อนข้างปราดเปรียว กลิ่นแก้วที่ขาสั้นกว่าเลยต้องวิ่งให้ทัน

“ฉันไม่รู้” ตอบเพื่อนทั้งวิ่งตามแรงลากไปด้วย

ลอยน์ดูชำนาญทางละแวกนี้ทำให้พาเขาลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยได้แบบไม่สะดุด แต่ช่วงขาที่ต่างกันระหว่างพวกเขาและฝ่ายไล่ตาม ทำให้ฝ่ายนั้นตามจี้มาถึงตัวในที่สุด

มือใหญ่เอื้อมคว้ากระชากแขนทำให้กลิ่นแก้วผงะหงาย ลอยน์ที่ถูกแรงเหวี่ยงก็เซกลับมาด้วย ทั้งคู่ล้มลงไปกอง เงยมองชายตัวใหญ่ที่ยืนตระหง่านง้ำด้วยความแตกตื่น แต่ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้น วัตถุเย็นเยียบที่จ่ออยู่ด้านหลังศีรษะก็หยุดทุกอย่างลง ชายตัวใหญ่ทั้งสองคนชะงักกึก พาให้กลิ่นแก้วและลอยน์ชะงักไปด้วย

ชายที่รั้งแขนกลิ่นแก้วไว้ค่อยปล่อยมือแล้วยกมันเสมอไหล่อย่างยอมจำนน กลิ่นแก้วจึงรีบถอยไปชิดกับลอยน์ ชำเลืองมองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ ควรออกวิ่งหรือนิ่งอยู่ เพราะไม่รู้ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ทั้งอาวุธปืนในมือทำให้ไม่กล้าขยับ แม้ไม่ได้เล็งมาที่พวกตนก็ตาม

คาร์เตอร์โผล่มาหลังจากนั้น มองชายแปลกหน้าที่วิ่งไล่ต้อนเพื่อนของตนถูกพาขึ้นรถติดฟิล์มดำไปด้วยความมึนงง ดูเหมือนสถานการณ์จะสงบลงแล้ว เขาก้าวไปหากลิ่นแก้วและลอยน์ที่ยืนอยู่กับชายแปลกหน้าอีกคน เห็นส่งโทรศัพท์ให้กลิ่นแก้วคุยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละไป

“ใครน่ะ?” คาร์เตอร์เอ่ยถามเมื่อมาถึงตัวเพื่อน

“คนของพี่ชายฉัน เดี๋ยวเขาจะไปส่งพวกนายที่หอ ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”

เมื่อครู่ชายคนนั้นส่งโทรศัพท์ให้คุยกับเอวาน เพียงได้ยินเสียง กลิ่นแก้วก็อยากจะร้องไห้ เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย เอวานบอกให้กลับไปรอที่คอนโดมิเนียม แล้วจะรีบกลับ กลิ่นแก้วก็ได้แต่รับคำ แม้อยากจะพูดอะไรมากกว่านั้นก็พูดไม่ออก

“นายโอเคใช่ไหม?” ลอยน์เอ่ยถาม สีหน้ากลิ่นแก้วดูไม่สู้ดีเท่าไร

“ไม่โอเคเท่าไร แต่ปลอดภัยก็ดีแล้ว ขอบคุณนายสองคนมากนะ”

นอกจากขอโทษที่ทำให้เพื่อนต้องเดือดร้อนไปด้วยแล้ว ก็ยังต้องขอบคุณที่เข้ามาช่วย เพราะถ้าเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นคนเดียวคงทำอะไรไม่ถูก

คนของเอวานเคลื่อนรถมาจอดบริเวณที่ทั้งสามยืนอยู่ กลิ่นแก้วจึงหันไปบอกเพื่อนให้ขึ้นรถ ก่อนที่รถจะวนไปส่งเพื่อนของเขาแล้วพาเขากลับไปรอเอวานที่คอนโดมิเนียมตามคำสั่ง

ไม่นานนักเอวานก็กลับมา เพียงเห็นหน้าเอวานก็เหมือนน้ำตามันจะรื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ บอดีการ์ดที่อยู่เฝ้ากลิ่นแก้วค่อยเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่ ตัวบางลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเอวานที่กางแขนออกรับมาไว้กับอ้อมอก กดจูบกระหม่อมบางย้ำ ๆ พลางปลอบประโลมว่าไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้วอยู่เช่นนั้น

บนโซฟานุ่ม เด็กขวัญเสียยังกอดเขาไม่ปล่อย เอวานลูบผมนุ่มเบา ๆ ปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ ให้เด็กในอ้อมแขนได้ปรับอารมณ์ เวลานี้ทอมัสและแมกซ์เวลไปจัดการเรื่องชายสองคนนั้น อีกไม่นานคงได้รู้ว่าใครส่งมา

“รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากให้ออกไปอยู่คนเดียว?” เอวานเอ่ยขึ้นมาหลังจากเงียบกันอยู่นานแล้ว

“คุณรู้เหรอครับว่าพวกเขาเป็นใคร?” ช้อนสายตามองพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เอวานพูดเหมือนรู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

“มันไม่สำคัญหรอก” เอวานว่า “มันสำคัญที่ว่าเธอมาอยู่ไกลหูไกลตาแบบนี้มันไม่ปลอดภัย ที่ฉันไม่อนุญาตก็เพราะเป็นห่วง ไม่ได้จะหวงห้ามหรือขัดความตั้งใจของเธอแบบไม่มีเหตุผล”

“ผมขอโทษครับที่เอาแต่ใจ ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้” เด็กน้อยหน้าหมอง ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง เงินทองก็ไม่ได้มีมากพอจะให้มาจี้ปล้นกัน แล้วคนพวกนั้นต้องการอะไรจากเขา?

“แบบนี้ยังอยากจะออกไปอยู่ข้างนอกอีกไหม?”

“......” พยักหน้าหงึก

“กลิ่นแก้ว” เอวานดุ ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าเด็กหัวดื้อนี่

“ผมรู้ว่าคุณสามารถดูแลผมไปได้อีกนาน แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมก็จะกลายเป็นแค่เด็กไร้ประโยชน์คนหนึ่งที่ทำอะไรเองไม่เป็น เพราะคอยแต่จะพึ่งพาคุณอยู่ตลอด” ตัวเล็กให้เหตุผล

“แล้วทำไมเราถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”

“ก็วันหนึ่งคุณก็ต้องมีครอบครัว มีคนสำคัญที่คุณอยากปกป้องดูแล”

“ถึงจะเป็นแบบนั้นจริง แต่เธอก็ยังเป็นเด็กในความดูแลของฉันอยู่ดี ทำไมต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดนั้น?”

แม้ไม่อยากจะคิด แต่มันก็สะกิดใจกับคำว่าเด็กในความดูแล ใช่สิ ก็เขาเป็นเด็กในความดูแลจริง ๆ เอวานก็พูดถูกแล้วนี่ แล้วทำไมต้องซึมแบบนี้ด้วยไม่รู้

เอวานไล่เด็กคิดมากให้ไปอาบน้ำพักผ่อน คืนนี้นอนที่นี่ไปก่อน ส่วนเรื่องหอพักค่อยดูกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร และเมื่อทอมัสกับแมกซ์เวลกลับมา เอวานจึงได้รู้ว่าชายสองคนที่ไล่ตามกลิ่นแก้ววันนี้เป็นคนของฟรานเชสโก้ รับคำสั่งให้พาตัวกลิ่นแก้วไปพบ แต่เด็กวิ่งหนีจึงเกิดการไล่ตามทั้งฉุดกระชากกันอย่างที่เห็น

“ฟรานเชสโก้งั้นเหรอ?”

ดวงตาคมหรี่ลงเมื่อกำลังครุ่นคิด ไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากฝั่งไรท์มาเป็นเวลานานมากแล้ว ไม่นึกว่าจะฉวยโอกาสที่เด็กออกมาอยู่ข้างนอกเพื่อฉกตัวไป ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะให้คนตามเฝ้า หรือคิดแล้วแต่อยากท้าทายเขากันแน่?


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-11-2018 20:33:14

ห้องทำงานของฟรานเชสโก้บน Ace Casino ได้ต้อนรับการมาเยือนของเอวาน เวสส์และบอดีการ์ดที่ลากคอคนของคาสิโนมาด้วย ทั้งสองหนุ่มยืนประจันหน้า ก่อนที่ฟรานเชสโก้จะเอ่ยถามถึงความเป็นมาของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ผมควรถามคุณมากกว่า” เอวานตอบกลับเสียงเรียบ

ฟรานเชสโก้เลิกคิ้ว “เหมือนฉันจะกำลังโดนปรักปรำอะไรอยู่รึเปล่า?”

“คนของคุณใช่ไหม?” เอ่ยถามโดยที่สายตายังจับจ้องคนตรงหน้ามากกว่าคนที่เอ่ยถึง

ฟรานเชสโก้ปรายสายตาไปมองคนของคาสิโนที่ก้มหน้าหลบสายตา ก่อนเบือนกลับมาทางเอวาน

“ใช่”

“คุณตั้งใจจะทำอะไร?”

“หมายถึงอะไร?”

“ลองถามคนของคุณดูไหม ว่าเขาทำอะไรกับคนของผม?” เอวานย้อนถาม ไม่ได้แสดงอาการอะไรเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่านะ” ฟรานเชสโก้ว่า “เอวาน ถ้าเปรียบไปแล้วนายเองก็เหมือนน้องชายของฉัน แม้ฉันจะไม่ได้สนิทกับนายเท่าสตีฟ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดร้ายกับนาย นายน่าจะรู้ดี”

“ผมคงเข้าใจอะไรผิดไปจริง ๆ” เอวานว่าอย่างนั้นหลังจากจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่นาน ริมฝีปากหยักเปิดยิ้มเมื่อเอ่ยต่อ “เจฟเฟอร์สันและไรท์เป็นเครือญาติ พวกเราไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ใช่ไหมครับ?”

“......” ฟรานเชสโก้พยักหน้าเบา พลางยิ้ม นี่มันสงครามประสาทที่แท้

“ขอโทษด้วยที่มารบกวนกะทันหัน ผมหวังว่าผมคงจะไม่ต้องเข้าใจอะไรคุณผิด ๆ แบบนี้อีก”

“......”

“ขอตัว”

ฟรานเชสโก้ผายมือ “ไม่ส่งนะ”

“หึ” ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้ม ก่อนออกจากห้องไปพร้อมบอดีการ์ดของตน

เมื่อเอวานพ้นประตูไป สีหน้าฟรานเชสโก้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเครียดขึง สายตาคมปลาบตวัดมองลูกน้องของโอลิเวอร์ที่ก้มหน้าไม่สบตา นี่หรือวิธีของโอลิเวอร์ แหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ คิดหรือว่าต่อไปจะสามารถเข้าใกล้เด็กคนนั้นได้อีก สิ้นคิดจริง ๆ


......


หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เอวานให้กลิ่นแก้วย้ายของมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมของตน ถึงมันจะไกลโรงเรียนอยู่สักหน่อย เขาก็จะให้คนของเขาไปรับไปส่ง เพราะไม่ไว้ใจให้ออกไปอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว เรื่องงานพิเศษก็ให้เลิกทำ ซึ่งกลิ่นแก้วก็ไม่กล้าขัด เหตุเพราะกลัวเจอเรื่องแบบนั้นอีก คราวนี้จะมีคนมาช่วยทันไหมไม่รู้

เรื่องคนที่มาช่วย แม้กลิ่นแก้วจะสงสัยว่าเหตุใดจึงมาได้ทันท่วงทีเช่นนั้น แต่เมื่อเอวานบอกว่าตั้งใจจะให้คนไปรับที่ร้านหนังสือแล้วมากินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว มันเลยประจวบเหมาะกับเหตุการณ์พอดี กลิ่นแก้วจึงไม่ได้ถามอะไรอีก เอวานว่าอย่างไร เขาก็ว่าอย่างนั้น เพราะถึงจะมีอะไรที่นอกเหนือกว่านั้น สุดท้ายก็เป็นเพราะเอวานเป็นห่วงอยู่ดี

เมื่อวันงานกีฬาที่รับปากว่าจะไปดูมาถึง เอวานที่สวมชุดลำลองเพื่อให้เข้ากับผู้ปกครองคนอื่นก็มาที่โรงเรียน โดยมีบอดีการ์ดอีกสองนายที่แต่งตัวแบบเดียวกันตามมา ทั้งสามหนุ่มขึ้นไปนั่งดูการแข่งขันบนอัฒจันทร์ตรงจุดรวมผู้ปกครอง ขณะที่งานดำเนินไปตามวาระ

กลุ่มเพื่อนของกลิ่นแก้วลงแข่งบาสเกตบอล เสียงเชียร์ของเด็กนักเรียนดังก้องโรงยิมเมื่อการแข่งขันเริ่มดุเดือดมากขึ้น เด็กของเขาที่เป็นฝ่ายดูแลนักกีฬาและกองเชียร์อยู่ข้างล่างโบกไม้โบกมือมาให้ เห็นรอยยิ้มสดใสนั่นแล้วก็พาใจชุ่มชื่นไม่น้อย งานกีฬานี้เป็นการแข่งขันภายในโรงเรียนที่จัดขึ้นทุกปี เพื่อให้เด็กรู้จักแพ้ ชนะ และให้อภัย นำทัพโดยรุ่นพี่ปีสุดท้ายที่คอยเป็นแม่งาน ทั้งการคัดเลือก แข่งขัน และของรางวัล

วันนี้เป็นการแข่งเพื่อชิงความเป็นหนึ่ง เป็นการแข่งวันสุดท้ายหลังจากผ่านรอบคัดเลือกและเก็บตัวกันมา จบจากนี้จะมีงานเลี้ยงปลอบใจก่อนกล่าวปิดงาน กลิ่นแก้วดูตื่นเต้นเมื่อเพื่อนในกลุ่มเป็นหนึ่งในทีมที่กำลังชิงชัยกันอยู่ตอนนี้ เสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มทำให้นักกีฬาแต่ละฝั่งดูคึกคัก แม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองยังลุ้นตามไปด้วย

เอวานมองเด็กของตัวเองที่ดูลุ้นไปตามเพื่อนแล้วยิ้มขำ เบือนสายตากลับไปในสนามก็เห็นว่าเวลาใกล้หมดลงแล้ว ฝั่งเพื่อนเจ้าตัวเล็กเป็นฝ่ายทำคะแนนนำ และลูกสุดท้ายก่อนหมดเวลาก็ได้มาจากเจ้าเด็กคาร์เตอร์ที่ชู้ตลงห่วงไปอย่างสวยงาม

เสียงนกหวีดดังยาวก่อนเสียงโห่ร้องของผู้คว้าชัยจะดังตามมาติด ๆ กลิ่นแก้วกระโดดโลดเต้นเมื่อทีมของเพื่อนในกลุ่มได้รับชัยชนะ แล้วก็แทบเซล้มเมื่อคาร์เตอร์พุ่งมากอด ด้วยอารามดีใจทำให้ไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อมือเพื่อนละมาประกบสองข้างแก้ม ก่อนกดจูบปากหนัก ๆ ไปที

เอวานนิ่งค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้นเสียเต็มตา เด็กของเขายืนนิ่งงัน ก่อนจะค่อย ๆ หันมาหาเขา ในหูเขาเหมือนมีลมร้อนพวยพุ่งขึ้นมา เสียงกรี๊ด เสียงโห่แซวของเด็กนักเรียนรอบบริเวณไม่ได้ดังเข้าหูแม้แต่น้อย กายสูงใหญ่ผุดลุก บอดีการ์ดทั้งสองนายก็รีบลุกตามทันที ก่อนจะพากันออกจากสนามแข่งไป

“เอวาน!”

กลิ่นแก้ววิ่งตามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่ออยู่ ๆ เอวานก็ลุกออกมา ไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่าที่คาร์เตอร์ทำแบบนั้น เพราะเอวานไม่ค่อยชอบคาร์เตอร์เท่าไรนัก อาจจะไม่พอใจก็ได้ แม้ว่าความเป็นจริงแล้วคาร์เตอร์แค่ดีใจมากไปหน่อยเลยไล่ฟัดจูบแก้ม จูบหน้าผากเพื่อนมั่วไปหมด

เอวานหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมองเด็กด้านหลัง “วันนี้มีกินเลี้ยงก่อนปิดงานแข่งกีฬาใช่ไหม?”

“ครับ” เอ่ยตอบไปทั้งลอบมองปฏิกิริยา แต่เอวานไม่ยอมหันมาเลย

“ถ้าเสร็จก็โทรบอกแล้วกัน เดี๋ยวจะให้ทอมัสมารับ”

“แล้วคุณจะไปไหน โรงเรียนอนุญาตให้ผู้ปกครองอยู่ร่วมงานเลี้ยงได้นะครับ” กลิ่นแก้วจะผวาตามเมื่อเอวานพูดจบก็ออกเดิน

“ฉันมีธุระ ไว้เจอกันที่ห้อง”

บอกเท่านั้นแล้วเอวานก็เดินออกไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วยืนซึมอยู่ตรงนั้นพร้อมความรู้สึกที่ว่าเอวานต้องโกรธอยู่แน่ ๆ ถึงได้ไม่ยอมหันกลับมามองกันเลย

เมื่อกลับมายังที่พักในช่วงเย็น กลิ่นแก้วก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องตัวเองแล้วออกมาหาบอดีการ์ดทั้งสองนายด้านนอก ชะเง้อชะแง้แลหาใครอีกคนที่น่าจะอยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เห็น จึงหันไปถามแมกซ์เวล

“มิสเตอร์แมกซ์เวล เอวานไปไหนครับ?”

“อยู่ในห้องทำงาน ห้ามใครรบกวน”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวคิ้วกลิ่นแก้วก็ขมวด ขนาดกลับห้องมาแล้วยังต้องทำงานอีก แถมห้ามรบกวนด้วย ไม่พักไม่ผ่อนกันเลยหรืออย่างไร หรือที่จริงแล้วไม่อยากเห็นหน้าเขากันแน่...

“อย่าคิดมากน่า ช่วงนี้งานมันยุ่ง ๆ หน่อยน่ะ นายเลยเอากลับมาตรวจสอบที่ห้อง” ทอมัสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหน้าเด็กดูจ๋อยไปถนัดตา “ไปนั่งที่โต๊ะไป อีกเดี๋ยวอาหารก็มาส่ง กินเสร็จแล้วจะได้ไปพักผ่อน เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ผมไม่หิวหรอกครับ กินมาจากโรงเรียนแล้ว วันนี้มีกินเลี้ยงกันหลังปิดงานกีฬาไง” เจ้าตัวเล็กแจกแจงให้ฟัง

“เออ จริงด้วยว่ะ” เหมือนทอมัสจะเพิ่งนึกขึ้นได้

“พวกคุณตามสบายเถอะ ผมไปดูทีวีดีกว่า” บอกไปเช่นนั้นแล้วจึงแยกไปที่ห้องนั่งเล่น

แมกซ์เวลโทรสั่งอาหารให้มาส่งบนห้องพัก เมื่ออาหารมาส่ง สองบอดีการ์ดก็นั่งกินไปเงียบ ๆ กลิ่นแก้วที่แยกไปดูโทรทัศน์ สายตาก็คอยแต่จะชำเลืองมองทางประตูห้องทำงานของเอวานอยู่บ่อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเรียกคนในห้องครัวเมื่อทนไม่ไหว

“มิสเตอร์แมกซ์เวล”

เด็กของนายส่งเสียงเรียกมา ทำให้แมกซ์เวลชะเง้อมองทางต้นเสียงเมื่อขานรับ “อะไร?”

“ห้ามรบกวนแบบเด็ดขาดเลยเหรอครับ เข้าไปไม่ได้เลยเหรอ?” เสียงออด ๆ เอ่ยถามราวขอความเห็นใจ

แมกซ์เวลถอนหายใจ “ถ้าไม่กลัวโดนดุก็เอา”

กลิ่นแก้วยิ้มแฉ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เท่ากับสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร รีบปิดโทรทัศน์แล้ววิ่งไปที่ห้องทำงานเอวานทันที

“มองอะไร?” แมกซ์เวลเอ่ยถามเมื่อทอมัสหันมามองยิ้ม ๆ

“มองคนใจอ่อนแถวนี้” อีกคนลอยหน้าบอก

แมกซ์เวลทำเสียงเหอะ ก่อนลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อ ไม่สนใจสายตาล้อเลียนของเพื่อนบอดีการ์ด ทำมาเป็นล้อเลียนเขา ทอมัสเองก็ใจอ่อนกับเด็กของนายเหมือนกันละวะ

กลิ่นแก้วที่วิ่งมาหาเอวานยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มือค่อยยกขึ้นเคาะเป็นสัญญาณเพื่อขออนุญาตก่อนเลื่อนออกนิด ๆ แล้วโผล่หน้าเข้าไปสำรวจ เอวานที่นั่งเปิดโน้ตบุ๊กทำงานอยู่บนชุดโซฟารับแขกภายในห้องค่อยปรายสายตามามองแล้วเอ่ยทัก

“เป็นจิ้งจกหรือไง?”

เจ้าตัวเล็กยิ้มแหยเมื่อถูกทักมา ค่อยแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วเลื่อนปิดประตูอย่างเบามือ เอวานเองก็ปิดโน้ตบุ๊กเมื่อเด็กมานั่งลงข้างกัน

“คุณไม่ออกไปทานอะไรเลย หิวหรือเปล่าครับ ผมเอาอะไรมาให้ไหม?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามเมื่อนั่งลงข้าง ๆ

“ไม่ล่ะ ยังไม่หิว”

เหมือนบทสนทนาจะจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อไม่มีใครพูดอะไรอีก กลิ่นแก้วก็ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงหรือชวนคุยเรื่องอื่นอย่างไร เมื่อมีเรื่องคาใจอยู่อย่างนี้จึงต้องเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ทำตัวไม่ถูก

“คุณ... หายโกรธรึยังครับ?” เอ่ยถามขึ้นมาอย่างหวั่น ๆ “ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย คาร์เตอร์แค่ดีใจมากไปหน่อย...”

“ดีใจแล้วจูบปากกันแบบนั้นเหรอ?”

“......” ริมฝีปากอิ่มเผยอค้างเมื่อถูกย้อนถามมาเช่นนั้น

“ทำบ่อยหรือเห็นว่ามันเป็นเรื่องปรกติ?”

“ผมก็ว่ามันไม่ได้แปลกตรงไหน ผมอาจอยู่ใกล้มือ เขาเลยคว้าไป...” มองตาดุ ๆ นั่นแล้วกลิ่นแก้วก็ต้องกลืนคำต้องห้ามลงไป พยายามเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัว “คนอื่นก็โดน คุณก็เห็น...”

“ไม่เห็น” เอวานแทรก “ฉันไม่ได้สนใจถึงขั้นจะมองว่าเพื่อนของเธอทำอะไรกับใครบ้าง แต่ที่แน่ ๆ เขาทำกับเธอ”

“แล้วมันเป็นความผิดผมหรือไง ผมไม่ได้เริ่มสักหน่อย ทำไมคุณต้องโกรธกันด้วยล่ะครับ?”

“นั่นน่ะสิ ทำไมนะ?”

“......” กลิ่นแก้วกัดปาก เอวานเป็นอะไร ไม่เคยยียวนแบบนี้มาก่อน “ผมขอโทษ...”

“ขอโทษเรื่องอะไร?” คนยียวนยังถาม

“อ้าว ก็คุณโกรธเรื่องอะไรล่ะครับ?”

“ไม่รู้ว่าฉันโกรธเรื่องอะไร แล้วขอโทษทำไม?”

“ก็คุณไม่ยอมคุยด้วย”

“ตอนนี้ก็คุยแล้วไง”

“เอวาน...”

คำพูดสะดุดอยู่แค่นั้นเมื่อมือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสข้างแก้ม ตากลมมองสบนัยน์ตาสีควันบุหรี่ที่ค่อยเลื่อนมายังริมฝีปาก นิ้วหัวแม่มือค่อยปาดไล้ความนุ่มที่เผยอยกอย่างไม่ตั้งใจ

“ไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อให้ใครทำแบบนี้”

“...?” เสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าการกระซิบทำให้คิ้วกลิ่นแก้วขมวด

ทั้งสายตาและปลายนิ้วของเอวานยังไม่ละไปจากริมฝีปากนุ่ม ความนุ่มนี้เคยประทับบนแก้มเขาเวลาขอบคุณ เวลาออดอ้อน หรือแม้แต่ก่อนนอนก็ยังมีจูบราตรีสวัสดิ์ มันเคยมีแค่เขาที่ได้สัมผัส แต่พอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กของเขากับเพื่อนที่โรงเรียนวันนี้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น หรือไม่ได้กระทำในเชิงชู้สาว มันก็ยังสะกิดต่อมหวงของเขาได้อยู่ดี เพียงคิดไปว่าในภายภาคหน้าต้องถูกครอบครองโดยคนอื่น ก็รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาเสียแล้ว

“คุณอย่าคิดมากสิครับ ยังไงผมกับคาร์เตอร์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน มันไม่ได้มีอะไรเสียหาย...!!”

พูดยังไม่ทันจะจบคำดีก็เหมือนโลกจะเหวี่ยงกะทันหัน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกกดลงไปบนโซฟาแล้ว ตากลมเบิกโต มองคนที่คร่อมทับอยู่ด้านบนด้วยความตื่นตะลึง

“เธออาจจะลืมไปแล้วว่าแด๊ดกับอาอัลก็เป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้น เรื่องที่ว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันมันฟังไม่ขึ้น รู้ไว้ด้วย”

แด๊ดที่เอวานเอ่ยถึงคือ อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน แม้จะไม่ใช่บิดาโดยสายเลือด แต่ก็เป็นผู้ที่ดูแลเขาและมารดามาตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก และในปัจจุบัน คนรักของอเล็กซานเดอร์ก็เป็นผู้ชาย ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวปรกติทั่วไป เอวานเคยพากลิ่นแก้วไปทำความรู้จักกับครอบครัวนี้มาแล้ว และกลิ่นแก้วก็ไม่เคยมีคำถามเกี่ยวกับคนทั้งคู่ ไม่รู้เข้าใจว่าอย่างไรเหมือนกัน

“แต่คาร์เตอร์เขามีแฟนแล้ว...” กลิ่นแก้วแย้งเสียงเบา

เรื่องที่อีกฝ่ายยกมาก็พอเข้าใจ ไม่ว่าจะเพศไหนก็รักกันได้ แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคาร์เตอร์เสียหน่อย และตัวคาร์เตอร์เองก็มีคนรักอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงด้วย คงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขาแบบที่เอวานกังวลเหมือนกัน

“แล้วยังไง มีแฟนแล้วจะเที่ยวจูบกับเพื่อนผู้ชายคนไหนก็ได้เหรอ?” สายตาคมยังจับจ้องริมฝีปากที่ขยับแก้ตัวแทนเพื่อน เมื่อไรจะหยุดพูดถึงเจ้าเด็กนั่นสักที หือ กลิ่นแก้ว?

“ทำไมคุณต้องซีเรียสขนาดนี้ด้วยล่ะครับ การจูบมันก็ถือเป็นการทักทาย แสดงความยินดี หรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ไม่ใช่...” ทุกคำตอบโต้ถูกกลืนกลับเมื่ออีกคนโน้มลงมาใกล้ ปลายจมูกโด่งอยู่ใกล้แทบใช้ลมหายใจร่วมกันได้

“แค่การทักทายกัน ใช่ไหม?”

“เอวาน!!”

กลิ่นแก้วหวีดลั่นทั้งเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่ฉกวูบลงมา ทำให้มันไถลมากดแนบอยู่ข้างแก้ม ลมหายใจอุ่น ๆ ที่รินรดพาให้ขนอ่อนลุกตั้ง หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้น

คนด้านบนนิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะผละห่างและลุกออกไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วนอนนิ่งอยู่ที่เดิมกับลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันรวดเร็วไปหมด แก้มเขายังร้อนผะผ่าวแม้ริมฝีปากของอีกคนจะผละห่างไปแล้ว

เมื่อครู่นี้ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการล้อเล่นเลยสักนิด เอวานไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่เคยเห็นเอวานในมุมนี้ มือเรียวยกขึ้นปิดปากกั้นเสียงสะอื้น ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมา มันทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งรู้สึกแปลกประหลาดแบบที่อธิบายไม่ถูก เขาเป็นบ้าอะไรไปแล้วก็ไม่รู้...

เอวานออกมาสงบสติอารมณ์ข้างนอก จุดหย่อนใจที่มีไว้ชมวิวสวย ๆ ไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบลงแม้แต่น้อย ทอมัสและแมกซ์เวลยังคงทำหน้าที่อยู่ไม่ไกลตัวเขา แต่ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรให้ระคายหู ทั้งคู่รู้ว่าควรทำตัวให้เหมือนอากาศเข้าไว้

ปล่อยเวลาให้ผ่านไปช้า ๆ จนกระทั่งทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปรกติ เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป แสงไฟในเมืองก็เข้ามาแทนที่ เอวานค่อยลุกขึ้นมา ทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายขยับตัว

“พวกนายไปพักเถอะ” เอ่ยบอกกับบอดีการ์ดของตน ซึ่งทั้งสองคนก็รับคำก่อนแยกย้ายไปตามคำสั่ง

เมื่อกลับเข้ามาด้านใน เอวานพรูลมหายใจยาว ป่านนี้กลิ่นแก้วคงเข้าห้องนอนไปแล้ว เขากะว่าจะเข้าไปจัดการงานที่ค้างบนโต๊ะอีกสักหน่อย จึงได้กลับเข้าไปในห้องทำงาน เพียงโผล่พ้นประตูก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่คิดว่าเข้าห้องไปนอนแล้วกลับหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนโซฟาตัวเดิมก่อนที่เขาจะออกไป

กายสูงใหญ่ก้าวเข้าไปหา ค่อยนั่งลงมองหน้าเด็กที่ยังคงหลับใหล ลูบกลุ่มผมนุ่มเบามือ ขณะนึกย้อนถึงความตั้งใจแรกเริ่มของตนว่าคืออะไร ที่รับเด็กคนนี้มาดูแลเพราะอะไร เพราะอยากให้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตปรกติสุขแบบคนทั่วไปมิใช่หรือ แล้วตอนนี้เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่?

นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้วเอวานก็ถอนใจ กลิ่นแก้วติดเขา ทำตามเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็ไม่เคยขัด นั่นก็เพราะความเป็นเด็กและเห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งที่ไว้ใจได้ เขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่ต้องมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่านี้

ริมฝีปากหยักกดจูบหน้าผากอุ่น ก่อนลุกขึ้นมาช้อนอุ้มให้เข้าไปนอนในห้อง กลิ่นแก้วคือเด็กในปกครอง เขาไม่ควรทำให้เด็กคนนี้แปดเปื้อน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม...






TBC



บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 07-11-2018 21:54:15
ทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ดีนะเอวาน คนที่จะเป็นพ่อ?เขาไม่โกรธลูกหรอกเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนั้นอย่าให้ความรุ้สึกหวงที่ยังแยกแยะไม่ออกว่าหวงเพราะอะไรมายึดกลิ่นแก้วไว้กับตัวเลยนะ  หรือต้องให้กลิ่นแก้วรู้จักความรักจากคนอื่นเอวานถึงจะรู้ตัว  o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-11-2018 02:02:41
แล้วเอาแม่วาเนสซ่าไปใว้ไหนแล้วล่ะ?
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-11-2018 10:02:03
กลับมานั่งคิดได้แล้วเอวาน รู้สึกยังไงกับน้องกันแน่ แล้วก็ระวังผู้หญิงของเธอด้วย  :katai1:
ช่วยเร่งมือก่อนที่น้องจะคิดมากไปมากกว่านี้  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-11-2018 10:07:37
เริ่มมีอะไร
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 08-11-2018 10:43:49
เอวานควรจะชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองให้ได้ก่อนจะมาทำน้องสับสนโดยไม่รู้ตัวนะ อีกอย่างแม่ผู้หญิงคนนั้นคืออะไรอ่ะ อย่าปล่อยให้มายุ่งกับน้องสิ ดูยังไงก็ไม่ได้เข้าหาน้องดีๆเลยเนี่ย
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๖ ดอกไม้ต้องห้าม + >>07.11.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 11-11-2018 23:25:19
อยากอ่านต่อแล้วววว
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 05-12-2018 00:37:19

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย




ห้องนอนบนคฤหาสน์หลังใหญ่ บานประตูถูกเปิดออกช้า ๆ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสายโด่ง ผู้ที่เข้ามาในห้องยืนชะเง้อชะแง้แลมองคนบนเตียงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้าวเข้าไปปลุกเพราะมันสายมากแล้ว

เอื้อมมือเขย่าแขนพร้อมเอ่ยเรียก แต่ไม่มีวี่แววว่าคนหลับจะลุกขึ้นมาอย่างที่อยากให้เป็น มิหนำซ้ำยังครางอืออาราวรำคาญเสียอย่างนั้น คนปลุกจึงปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง ก่อนจะก้มลงใกล้เพื่อเอ่ยเรียกข้างหู เผื่อจะเป็นวิธีที่ทำให้อีกคนตื่นขึ้นมาได้

เอวานป่ายปัดสิ่งกวนใจให้พ้นตัว เมื่อทำอย่างไรมันก็ยังไม่ไปไหน แขนแกร่งจึงรวบกอดเอาไว้ ตัวนุ่ม ๆ กับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แสนเคยคุ้นทำให้เขายิ่งกกกอดเอาไว้แน่น แถมลำขาหนาหนักยังพาดซ้ำเมื่อบางสิ่งในอ้อมแขนดิ้นไปมา กดใบหน้าซุกซบแล้วคิ้วเข้มก็ขมวด หอม... หอมจริง กลิ่นอะไรกัน?

“เอ... เอวาน ตื่นได้แล้วครับ”

“อือ”

เอวานครางรับในลำคอเมื่อคล้ายจะได้ยินเสียงเรียก จมูกโด่งซุกซบนวลเนื้อเมื่อกลิ่นหอมยังลอยวน สูดกลิ่นยวนใจนั้นเข้าลึกอย่างชอบใจ เขาชอบกลิ่นนี้ หอมอวลในอกไม่รู้เบื่อ มือหนาลูบสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มผ่านผ้าเนื้อลื่นหนักมือ ขณะที่ใจกลางร่างกายเกิดปฏิกิริยารับเช้าวันใหม่อย่างไม่ตั้งใจ

“อ๊ะ...”

เสียงอุทานเพียงแผ่วเบาไม่ได้ทำให้เขาหยุด กายหนาพลิกกลับขึ้นคร่อมทับ ชะโงกเงื้อมเหนือร่างเล็กก่อนโน้มลงไปหา ริมฝีปากหยักแตะจูบปากอิ่ม ค่อยบดเบียดแทรกลิ้นตวัดไล้ อ้อยอิ่งอยู่เป็นนาน

ลิ้นสากลากไล้ไล่ต้อนเรียวลิ้นที่คอยแต่จะถดหนี คนใต้ร่างตัวสั่นจนเขารู้สึกได้ เมื่อนัยน์ตาสีควันบุหรี่ลืมขึ้นมามองในระยะใกล้ก็ถึงกับชะงักค้าง ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนจะผงะหงาย

“เฮ้ย!”

เอวานตาค้างเมื่อเห็นเด็กในปกครองของตนเองอยู่ในสภาพที่มัน... เอ่อ... เรียกได้ว่าไม่เรียบร้อยนัก เมื่อผงะถอยออกมา ร่างบนเตียงก็กระถดตัวถอยออกห่างเช่นกัน แขนเรียวเท้าศอกดันตัวลุกขึ้นมานั่ง สองแก้มแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

“เข้ามา... ตั้งแต่เมื่อไร?” เอ่ยถามเด็กแก้มแดงที่นั่งเงียบ ใจหนุ่มเต้นระรัวยิ่งกว่ามีคนมารัวกลองรบ

“เมื่อกี้... ครับ” เสียงเบาเอ่ยอ้อมแอ้มตอบกลับมา

เอวานลูบหน้าแล้วพึมพำกับตนเอง “งั้นเหรอ...”

มือหนายกขึ้นเสยผมยุ่ง ๆ ของตนแรง ๆ ก่อนจะลุกลงจากเตียงนอนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันจะพ้น ก้าวเท้าก็หยุด ใบหน้าคร้ามคมหันกลับมาหาเด็กบนเตียงแล้วก้มเร็วสูดดมกลิ่นแก้มหอม

“......!!”

ตากลมเบิกมองเขาอย่างตื่นตกใจ มือเรียวกุมแก้มที่ถูกเขาหอมไปเมื่อครู่ กลิ่นหอมนั่นยังติดปลายจมูก ชัดเลย กลิ่นเดียวกันเป๊ะโดยไม่ต้องสงสัย

เอวานสบถในลำคอ ด่าตัวเองวุ่นวายที่ทำอะไรเด็กมันลงไปบ้างแล้วก็ไม่รู้ เอวานหนอเอวาน เด็กในปกครองกำลังจะทำให้ตบะเขาแตก ได้แต่ท่องบทปลอบประโลมจิตใจตนเอง

ยุบหนอ...

พองหนอ...

หอมหนอ...

นุ่มหนอ...

.

.

.

โว้ยยยยยย!!!!!!!



เอวานลงมานั่งซดกาแฟยามสายย้อมใจที่โต๊ะอาหาร เมื่อคืนแวะไปดื่มกับน้องชายอย่างอเล็กเซย์ที่ไนต์คลับหนักไปสักหน่อย เช้านี้เลยตื่นไม่ค่อยจะไหว ปรกติถ้ามันดึกมากเขามักนอนที่คอนโดมิเนียมเสียมากกว่า แต่คราวนี้กลับเลือกมานอนที่เจฟเฟอร์สัน แล้วก็ได้เรื่องเลยทีเดียว

ปลายนิ้วนวดคลึงขมับเพื่อลดอาการเครียดที่ตึงขึ้นมา เรื่องเก่าเมื่อคราวก่อนที่เขาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจนเกือบจูบเด็กมันไปอย่างสิ้นคิดก็ยังไม่ทันจะลบเลือน มาวันนี้ดันหนักกว่าเดิมเสียอีก ให้ตายเถอะ จะหาข้อแก้ตัวอะไรได้เล่าแบบนี้

ตอนนี้กลิ่นแก้วกลับมาอยู่เจฟเฟอร์สันแล้ว เพราะอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมเขาก็ไม่ค่อยจะมีเวลาดูแลสักเท่าไรนัก ให้กลับมาอยู่กับมารดาของเขาจะดีกว่า ผนวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวนั้นคงทำให้เด็กมันอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย บรรยากาศระหว่างกันมันแปลกไปจนรู้สึกได้ การอยู่ห่างเขาคงทำให้สบายใจขึ้น เขาคิดว่าอย่างนั้น

“ลงมาแล้วเหรอ?”

เสียงมารดาเอ่ยทายทักทำให้เอวานหันไปมอง “อรุณสวัสดิ์ครับ มัม”

“อรุณสวัสดิ์ตอนสายโด่งขนาดนี้เลยนะ” ท่านเอ่ยเย้า “เมื่อคืนหนักมากหรือไง เห็นทอมัสบอกไปดื่มกับเซย์มา มีเรื่องกลุ้มใจอะไรถึงดื่มกันหนักขนาดนี้?”

“เปล่ากลุ้มอะไรหรอกครับ แต่ลุกไม่ได้เพราะเจ้าเซย์มันไม่ยอม” หัวเราะน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อ รายนั้นชอบบ่นเวลาเขาไปดื่มด้วยแล้วเหมือนจิบพอเป็นพิธี เมื่อคืนเลยจัดหนักกันไป

“ไปดื่มกับพ่อหนุ่มคาสโนว่าก็ต้องทำใจสักหน่อยล่ะ ไม่เมาเพราะดีกรีก็คงเมาเพราะเนื้อนางที่ห้อมล้อม” ผู้เป็นมารดาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แล้วนี่เจ้าหนูมันไปไหน แม่ให้ขึ้นไปปลุกเราก็หายเงียบไปเลย”

เอวานชะงักเมื่อมารดาเอ่ยถาม ก่อนยิ้มบอก “อยู่บนห้องมั้งครับ”

“ช่วงนี้แม่ว่าเจ้าหนูมันดูเหม่อ ๆ นะ เครียดเรื่องอะไรไม่รู้ พอถามก็มายิ้มใส่แล้วไม่ยอมพูด จะคาดคั้นก็ทำหน้าหมองใส่อีก เลยไม่รู้กันพอดีว่าเป็นอะไร” เกวนตั้งข้อสงสัยหลังจากสังเกตมาสักพัก ราวกลับไปช่วงก่อนหน้านี้ที่เด็กมันไม่ค่อยพูดค่อยจา ทั้งที่พอโตขึ้นก็เจื้อยแจ้วดี แต่เดี๋ยวนี้ดูเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรอยู่ “เขาได้พูดอะไรให้ฟังหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้เอวานนิ่งไปนิด “... ไม่มีนี่ครับ”

ผู้เป็นมารดายังมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนคาดเดา “หรือจะแอบไปชอบเพื่อนที่โรงเรียนหรือเปล่า ลักษณะอาการนั่งเหม่อ บางครั้งก็นั่งถอนหายใจเฮือก ๆ อาจจะเป็นปัญหาหัวใจก็ได้”

“เขายังไม่คิดเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยังเด็กอยู่เลย” เอวานว่า

“อย่างกลิ่นแก้วน่ะ ไม่เรียกว่าเด็กแล้ว เอวาน” มารดาแย้ง “ช่วงวัยรุ่นมักมาคู่กับปัญหาหัวใจ”

“มัมคิดแบบนั้นเหรอครับ?” ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เป็นไปได้หรือที่เด็กของเขากำลังมีปัญหาหัวใจเช่นที่มารดาว่า ถ้ามีจริง แล้วมีกับใคร เจ้าเด็กคาร์เตอร์นั่นหรือ?

“ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเรื่องอะไรล่ะ เรื่องโดนเพื่อนแกล้งก็ไม่น่าใช่ เท่าที่รู้กลิ่นแก้วเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับหลานชายหนูวาเนสซ่าไม่ใช่เหรอ เห็นว่าคนนั้นก็ร้ายเอาเรื่อง คงไม่มีใครกล้ามาแกล้งเด็กของเราหรอก”

เธอเคยถามคนที่เอวานให้ไปเฝ้าเจ้าตัวเล็กก็ยังเห็นสนิทกับเพื่อนดี ไม่มีอะไรน่าสงสัย ข้อสงสัยตอนนี้เลยเป็นว่าอาจเป็นปัญหาหัวใจของวัยรุ่นเสียมากกว่า

“อะไรกัน พอพูดเรื่องนี้เข้าหน่อยทำหน้าเครียดเชียวนะ”

“หึ ๆ” เอวานหัวเราะในลำคอเมื่อมารดาเอ่ยล้อ

“ถ้าเกิดเด็กมันรักมันชอบใครขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไง?” เอ่ยถามลองเชิงคุณพ่อขี้หวงดูสักหน่อย

“มันยังไม่ถึงเวลาครับ ผมไม่อนุญาต” ตอบกลับทันควันจนคนถามหัวเราะลั่น

“เผด็จการจริงพ่อคนนี้ ถ้าเผื่อวันหนึ่งเจ้าหนูมันต้องแต่งงานออกเรือนไป คุณพ่อกำมะลอแถวนี้ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยหรือไง?”

“นั่นก็มากไปครับ”

“ใครจะไปรู้ โตกว่านี้อีกหน่อย ดูทรงแล้วคงเนื้อหอมพอตัว พอมีแฟนแล้วหันไปติดแฟนแทน คราวนี้แหละ คนแถวนี้ได้ตกกระป๋องแน่”

“งั้นผมก็จะเตะกระป๋องทิ้งตั้งแต่ตอนนี้เลย”

ผู้เป็นมารดาถึงกับกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ เป็นเอามากจริง ๆ พ่อคนนี้ ดูท่าทางต้องไปจองคานให้เจ้าหนูกลิ่นแก้วมันอยู่เสียแล้วกระมัง เล่นหวงกันเสียขนาดนี้

กลิ่นแก้วเพิ่งสอบปลายภาคเสร็จ อีกไม่กี่วันก็ปิดเทอม ปัญหาเรื่องเรียนคงไม่มีเพราะเป็นเด็กใฝ่เรียนและทำได้ดีมาตลอด ส่วนเรื่องหัวใจเช่นที่มารดาเขาว่ามันก็น่าคิดอยู่ เด็กวัยนี้เริ่มมีรักในวัยเรียนกันแล้ว แต่เอวานกลับคิดว่าไม่ใช่เรื่องนั้น บางทีสาเหตุอาจเป็นเพราะเขามากกว่า

ปิดเทอมนี้เอวานตัดสินใจจะพากลิ่นแก้วกลับไปเยี่ยมบ้านที่ไบบิวรี่ตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ด้วยพักนี้เด็กมันไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เขาสักเท่าไร เหมือนมีช่องว่างระหว่างกันเกิดขึ้น แม้พยายามทำทุกอย่างเป็นปรกติเหมือนเดิม แต่เขารู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม ยิ่งปล่อยนานไปยิ่งจะห่างกันออกไปทุกที เอวานได้แต่หวังว่าการใช้เวลาด้วยกันช่วงที่ไปไบบิวรี่จะทำให้พวกเขากลับมาใกล้ชิดกันได้เหมือนเดิม และเขาจะพยายาม พยายามเป็นผู้ปกครองที่ดี เป็นเพียงผู้ปกครองที่ดี...


…….


บริษัทเวสส์วันนี้ เอวานรับหน้าที่ลงไปเจรจาเรื่องผัดผ่อนหนี้สินซึ่งยืดเยื้อมานานพอสมควร แมกซ์เวลรายงานข้อมูลเกี่ยวกับลูกหนี้คนดังกล่าวว่าเป็นเจ้าของกิจการยานยนต์ผู้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ริชาร์ด พาเลอร์ แต่เพราะดึงเงินรายได้จากบริษัทมาใช้ส่วนตัวจนติดลบ ทำให้การบริหารงานภายในเสียหาย ต้องมากู้ยืมเพื่อไปต่อลมหายใจ และบิดาของเขาก็พิจารณาให้กู้ยืมโดยนำธุรกิจรถยนต์แห่งนั้นมาค้ำประกัน เมื่อการใช้คืนหนี้สินไม่เป็นไปตามสัญญา มันก็จะตกเป็นของเวสส์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“ทางเราส่งจดหมายเตือนถึงคุณหลายครั้งแล้ว คุณได้มาเจรจาผัดผ่อนไปเมื่อหลายเดือนก่อนและหายเงียบไป เราจึงได้ส่งเอกสารและโทรติดตาม แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด วันนี้เราจึงเชิญคุณมาเพื่อพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน”

ฝ่ายกฎหมายของบริษัทเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าด้วยความนุ่มนวล นอกจากเอวานและคู่กรณีแล้ว ภายในห้องยังมีเลขานุการและทนายความซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายเข้ามาร่วมในการเจรจาครั้งนี้ ขณะที่ด้านนอกห้องมีทอมัสและแมกซ์เวลยืนคุมเชิงคนของลูกหนี้กิตติมศักดิ์นายนี้อยู่

“หาทางออกร่วมกันเรอะ อยากยึดกิจการของฉันก็พูดมา” อีกฝ่ายดูท่าไม่คิดที่จะอะลุ่มอล่วย ทั้งน้ำเสียงที่ใช้ยังดูแข็งกร้าว

“ถ้ามันขายทอดตลาดได้ราคาดีก็น่าสนใจ” เอวานเอ่ยขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใยเช่นกัน

ฝ่ายกฎหมายของบริษัทเลื่อนแฟ้มสัญญาไปตรงหน้าคู่กรณี ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเจรจาแทนนายของตน

“ถ้าคุณติดต่อขอชำระหนี้แบบสม่ำเสมอ ทางเราคงยืดระยะเวลาให้คุณได้ แต่คุณกลับเลือกจะหนีหาย ทางเราก็คงต้องใช้กฎหมายเข้ามาจัดการ หวังว่าคุณจะเข้าใจตามนั้น”

“แกมันพวกหน้าเลือด” อีกฝ่ายกัดฟันกรอดเมื่อหนทางรอดถูกปิดตาย

“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามสัญญา” ฝ่ายกฎหมายของเวสส์ย้อนตามความเป็นจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ “การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้าย หากคุณยังไม่สามารถชำระหนี้สินที่มีให้ทางเราได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนด เราก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายกันต่อไป”

เมื่อการเจรจาจบลงโดยที่คู่กรณีกลับไปด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทั้งยังปรามาสที่ทางบริษัทส่งเด็กคราวลูกอย่างเอวานมาเจรจากับตนแทนที่จะเป็นพอล เวสส์ผู้เป็นเจ้าของบริษัท ช่างไร้ความน่าเชื่อถือและดูถูกกันมากจนเกินไป

เอวานออกจากห้องนั้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้อนาทรต่อคำปรามาส เรื่องนี้ไม่ควรถึงมือเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีปัญหา ในฐานะผู้บริหารก็ไม่ควรเพิกเฉยและปล่อยให้ยืดเยื้อมากกว่าที่เป็นอยู่ จะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของบริษัทเสียเปล่า ๆ ในเมื่อมีข้อสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรแบบชัดเจนก็ควรบังคับใช้ให้เป็นประโยชน์ ผู้ที่เข้ามาทำธุรกรรมกับทางเวสส์ต่างทราบดีว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร หากไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญา เวสส์ก็มีสิทธิ์ที่จะกระทำการใด ๆ ได้ตามกฎหมาย

เมื่อกลับขึ้นห้องทำงานมา ชายหนุ่มก็โทรหาเด็กในปกครองที่วันนี้ไปโรงเรียนแค่ครึ่งวัน ถ้ายังไม่ออกจากโรงเรียนมาเขาก็จะไปรับ เมื่อเด็กมันรับสายเขาจึงเอ่ยถาม

“ออกจากโรงเรียนมาหรือยัง?”

“คนรถของเจฟเฟอร์สันกำลังมารับครับ” เสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมาตามสาย

“ถ้าอย่างงั้นรออยู่ที่นั่นก่อน เดี๋ยวฉันไปรับ”

“แต่ว่ามิสเตอร์แฮ...”

“เดี๋ยวฉันโทรบอกเขากลับไปเอง”

“......” เมื่อถูกขัดมาเช่นนั้นกลิ่นแก้วก็เงียบ

“จะพาไปซื้อของ ไม่อยากได้ของไปฝากคนที่โน่นเหรอ?” เอวานขยายความให้เข้าใจ เงียบไปแบบนี้เขาใจไม่ดีสักเท่าไร

“คุณจะพาไปจริง ๆ เหรอครับ?” เอ่ยถามกลับมาอย่างไม่แน่ใจ ก่อนนี้เอวานบอกว่าปิดเทอมจะพาเขากลับไปเยี่ยมบ้าน ไม่คิดว่าจะได้ไปจริง ๆ

“ฉันเคยโกหกเธอหรือไง?” ย้อนถามแล้วเอวานก็อมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงทะเล้นตอบกลับมา

“ไม่น่าจะเคย”

“หึ งั้นรอที่นั่น ฉันจะรีบไป”

“ครับ”

เมื่อตกลงกันได้เอวานก็สั่งงานเลขานุการไว้ โดยให้แมกซ์เวลประจำอยู่ที่นี่เผื่อมีปัญหาอะไร ส่วนทอมัสให้ไปกับเขา การพาเด็กไปเลือกซื้อของฝากครั้งนี้ดูจะเป็นความคิดที่ดี เพราะความสดใสที่หายไปเสียนานเริ่มมีให้เห็น ถึงแม้ว่าพอรู้สึกตัวก็จะขยับห่างเขาทุกทีก็ตาม

“ขอบคุณนะครับที่พามาซื้อ”

เอ่ยขอบคุณคนใจดีที่พามาซื้อของฝากพร้อมรอยยิ้มน่าเอ็นดู ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากลานจอดของห้างสรรพสินค้า ไม่รู้ว่าคนรับจะชอบไหม แต่กลิ่นแก้วก็ตั้งใจเลือกที่สุดแล้ว ทีแรกกะจะใช้เงินในส่วนของตัวเองที่เอวานเก็บไว้ให้ แต่เอวานกลับใช้บัตรรูดซื้อไปเสียก่อน กลิ่นแก้วเลยจำต้องรับน้ำใจนั้น เพราะเอวานเคยบอกว่าเวลาผู้ใหญ่ให้ของไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรขอบคุณมากกว่า

“เวลาขอบคุณต้องทำยังไง?” เอวานเอ่ยทวง แต่เมื่อเห็นว่าเด็กข้างกายถึงกับนิ่งจึงบอกปัดไป “ฉันล้อเล่นน่ะ ช่างมันเถอะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก กลัวเอวานรำคาญที่ตนเองทำยึกยัก ค่อยชำเลืองมองบอดีการ์ดหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีอยู่ด้านหน้า ก่อนเบือนกลับมาทางเอวานที่หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขาที่ไม่เคยเคอะเขินกับอะไรแบบนี้ เวลานี้กลับไม่กล้า แต่เมื่อนึกไปว่าอาจจะถูกเอวานโกรธก็พยายามข่มความรู้สึกที่มี

มือเรียวค่อยเท้าเบาะเพื่อดันตัวให้อยู่ระดับเดียวกับคนข้างกาย เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้หมายจะจูบแก้มขอบคุณเช่นทุกทีที่เคยทำ แต่กลับต้องชะงักเมื่ออีกคนหันกลับมาในจังหวะที่ริมฝีปากกดแนบลงไป จากที่มันควรแตะข้างแก้มจึงเลยมาถึงมุมปากหยัก ดวงตากลมเบิกโต รีบผละห่างราวถูกของร้อน

ริมฝีปากอิ่มค่อยเม้มเข้าหากัน ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงโลดจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน มือเรียวกุมกันบนหน้าตัก ทั้งก้มหน้าหลบสายตาที่มองมาอย่างทำตัวไม่ถูก สายตาเอวานมันแปลก เขาเองก็รู้สึกแปลก ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่ เขาไม่ควรอยู่ใกล้เอวานมากไปกว่านี้ มันไม่ดีต่อการทำงานของหัวใจเอาเสียเลย


......


หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอังกฤษ ตึกรามบ้านช่องที่ก่อจากหินซึ่งอยู่มานานนับร้อยปีทำให้ดูแปลกตา แต่ก็มีมนต์ขลังในแบบของมัน ธรรมชาติของที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ ดอกไม้นานาพันธุ์ตามริมข้างทางแข่งกันออกดอกชูช่อ สายน้ำเอื่อย ๆ ไหลเย็นในลำธารที่ทอดยาวก็ใสเสียจนมองเห็นสรรพสิ่งที่แหวกว่าย ราวเป็นตัวแทนของความสงบเย็นใจ

สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ผู้คนจากต่างถิ่นแวะเวียนมาเที่ยวชมไม่ได้ขาด แต่หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้ถูกกลืนไปกับความฟุ้งเฟ้อ วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ยังคงเป็นในแบบที่เป็นมา

รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดรวมกับรถของนักท่องเที่ยวคันอื่น กลิ่นแก้วเปิดประตูลงมาจากรถ ค่อยหันมองรอบกายอย่างแสนคิดถึง เขากลับมาแล้ว กลับมาที่นี่ ที่บ้านของเขา...

เมื่อเอวานและบอดีการ์ดทั้งสองนายตามลงมา กลิ่นแก้วจึงพาทั้งหมดออกก้าวเดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นหญ้าที่แทงยอดสูง รั้วไม้เก่าคราคร่ำทอดยาวไปตามทาง ทุกอย่างยังคงเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ทางเดินที่เขาเคยเดินอยู่ทุกวัน เหมือนได้ย้อนกลับไปในวันวาน เมื่อได้กลับมาอีกครั้งก็พาลคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นขึ้นมา

เส้นทางที่พากันเดินมาเงียบกว่าที่คิด เห็นผู้คนเดินไปมาพร้อมกล้อง คงเป็นนักท่องเที่ยว กลิ่นแก้วพาขึ้นเนินที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจีและฝูงแกะ เอ่ยทักทายชายชราที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ก่อนเข้าไปพูดคุยถามไถ่ตามประสาคนเคยรู้จักมักคุ้น ชายชราคนดังกล่าวเป็นเพื่อนบ้านของกลิ่นแก้วเอง ที่นี่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือนทำให้รู้จักกันดี

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งทั้งสี่หนุ่มก็ผละมา ด้วยความที่จากบ้านไปหลายปีทำให้ชายชราออกปากว่ากลิ่นแก้วโตขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้ เจ้าถิ่นตัวบางพาเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งบนเนิน ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โตแบบเจฟเฟอร์สัน แต่ขนาดของมันก็ถือว่าใหญ่ถ้าเทียบกับในละแวกเดียวกัน บ้านของกลิ่นแก้ว แต่เวลานี้มันกลายเป็นของใครไปแล้วไม่อาจรู้

เมื่อก้าวเข้ามาบริเวณบ้าน แววตาของกลิ่นแก้วก็หม่นเศร้า เอวานรู้ว่าเด็กของเขาคงอาลัยอาวรณ์ความทรงจำที่เคยมี เขาสามารถเอาบ้านหลังนี้คืนมาให้ได้ แต่ไม่คิดจะทำ เพราะถ้าได้คืนมาแล้วกลิ่นแก้วอยากกลับมาอยู่ที่นี่ แทนที่จะเป็นผลดี คนที่แย่คงเป็นเขาแทน

พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นสักพักจึงได้เดินทางมายังสุสาน กลิ่นแก้วเดินไปวางดอกไม้ช่อสวยหน้าป้ายสลัก ริมฝีปากอิ่มเปิดยิ้ม แต่ดวงตากลับเศร้าหมอง เขารู้ว่าควรปล่อยวาง แต่มันอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ที่จะโหยหาสัมผัสอบอุ่นจากผู้เป็นมารดา

เอวานโอบไหล่เล็กแล้วรั้งเบา ๆ ให้เอนมาอิงซบ ไม่มีคำพูดใดในช่วงเวลาเช่นนี้ ได้เพียงปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านเพียงแผ่วเบา


......
ต่อหน้าถัดไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 05-12-2018 00:38:13

กลิ่นแก้วแวะไปเยี่ยมญาติพร้อมของฝากหลังจากนั้น คุณป้าแคโลรีนเป็นพี่สาวคนโตในหมู่พี่น้องเดลลาร์ เมื่อได้เจอหน้าหลานชายก็ให้รู้สึกยินดีนัก เพราะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วตั้งแต่น้องสาวของนางเสีย นางอยากเลี้ยงต้อนรับแต่กลิ่นแก้วบอกไม่ต้องมากพิธีอะไร เพราะตนเองแค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้น ผู้เป็นป้าจึงได้ให้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน มีเรื่องอยากถามไถ่พูดคุยมากทีเดียว

ครอบครัวของคุณป้าแคโลรีนมีคุณลุงแกริคผู้เป็นสามีและบรรดาลูก ๆ อีกสี่คน กลิ่นแก้วสนิทกับลูก ๆ ของคุณป้าทุกคน โดยเฉพาะเบลล่า ลูกสาวคนโตของบ้านซึ่งตอนนี้เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนไม่ไกลจากที่นี่นัก

สวนหน้าบ้านถูกตระเตรียมตั้งโต๊ะอาหาร ขณะที่ด้านในบ้านก็กำลังง่วนกับการทำอาหารเลี้ยงแขกหลังออกไปจ่ายตลาดกันมา โดยมีเบลล่าเป็นแม่ครัวใหญ่ มีลูกมือเป็นแม่บ้านและน้อง ๆ ของเธอ

“เจ้าเจคกับเมียมันก็มาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้”

ได้ยินชื่อนั้นแล้วกลิ่นแก้วก็ชะงัก โดยที่คุณป้ายังเล่าต่อเมื่อไม่ทันได้สังเกตความผิดปรกติของหลานชาย ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ร่มในสวน

“มาทำเรื่องซื้อขายบ้านของเรานั่นแหละ เพิ่งมีคนติดต่อขอซื้อมา”

คุณป้าเล่าเรื่องฟาร์มสัตว์น้ำของมารดาเขาให้ฟังว่าตอนนี้มันถูกแปรสภาพไปแล้ว ด้วยทำเลที่ค่อนข้างดีทำให้ในอนาคตมันจะกลายเป็นที่พักอีกแห่งหนึ่ง เพราะธุรกิจแถวนี้กำลังไปได้สวย มีนักท่องเที่ยวมาเยอะแต่ที่รองรับมีน้อย ร้านอาหารเองก็มีไม่มากนัก นายทุนจึงมากว้านซื้อลงทุนเพื่อขยายฐานธุรกิจของตัวเอง

“แล้วนี่อยู่ที่โน่นสุขสบายดีไหม ป้าติดต่อไม่ได้เลย โทรไปทีไรเจ้าเจคมันก็บอกไปเรียนบ้าง ย้ายไปอยู่หอบ้าง ขาดเหลืออะไรให้ป้าช่วยก็บอกนะลูก” คุณป้าบอกอย่างอารี

“ขอบคุณครับ ผมสบายดี ป้าไม่ต้องเป็นห่วง” กลิ่นแก้วยิ้มบอก

ในวันที่มารดาจากไปและเขาต้องเข้าไปอยู่ในความดูแลของญาติ ด้วยเห็นว่าคุณป้าเองก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล กลิ่นแก้วจึงไม่อยากรบกวนหรือเพิ่มภาระให้ แล้วก็ดันไปเชื่อใจนางมาเรียมกับนายเจคที่เข้ามาทำดีด้วยเสียได้ พอตอนนี้มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ แต่อย่างน้อยการตามสองคนนั้นไปก็ทำให้เขาได้เจอเอวาน

กลิ่นแก้วหันไปมองเอวานที่นั่งเงียบ ๆ อยู่มุมหนึ่งในสวนหน้าบ้าน ขณะที่สองบอดีการ์ดทำเป็นเดินเตร่อยู่แถวนั้นเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ผู้เป็นนาย ครู่หนึ่งคุณลุงของเขาก็ถือจานขนมขบเคี้ยวพร้อมเครื่องดื่มเย็น ๆ เข้าไปหา ตัวสูงใหญ่นั้นลุกขึ้นรับจานมาวางก่อนนั่งลงพูดคุยกับคุณลุงด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดอะไร

“เออ แล้วพ่อหนุ่มสามคนนั้นใครกันล่ะ ทำไมมากับเราได้?” คุณป้าเอ่ยถาม มองท่าทางแล้วไม่น่าใช่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป หลานชายนางไปรู้จักกับคนพวกนี้ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงมาด้วยกัน คำถามมากมายต่างเกิดขึ้นในหัว

“ป้าครับ” กลิ่นแก้วเอื้อมไปช้อนมือคุณป้ามากุมไว้ ก่อนตัดสินใจบอก “ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับน้าเจคแล้วนะ”

“เรื่องนั้นป้ารู้แล้ว เราย้ายไปอยู่หอใช่ไหมล่ะ?” คุณป้ายิ้มแย้มเพราะได้ยินเรื่องนี้จากน้องชายมาแล้ว

กลิ่นแก้วส่ายหน้าเบาเป็นการปฏิเสธ ก่อนหันสายตาไปทางเอวาน ริมฝีปากเปิดยิ้มบาง “ผู้ชายคนนั้นชื่อเอวาน เวสส์ครับ เขารับอุปการะผม ตอนนี้ผมเลยอยู่ในความดูแลของเขา”

“อะไรนะ?” เรื่องนี้นางไม่เคยรู้ น้องชายของนางไม่เคยบอกว่ายกหลานให้ใครไปดูแลต่อ

“เขาเป็นคนดีมากครับ ในชีวิตนี้นอกจากแม่แล้วก็มีเขานี่แหละที่ทำทุกอย่างเพื่อผมโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนอื่น ไม่เหมือน...” ละไว้เท่านั้นเมื่อไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว พูดไปก็คงเหมือนเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เพราะคุณป้าแคโลรีนไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง และคำพูดของน้าเจคคงน่าเชื่อถือมากกว่าเด็กแบบเขา

“กลิ่นแก้ว ไว้ใจเขาได้แน่เหรอลูก?” คุณป้ายังเป็นกังวล คนสมัยนี้มันไว้ใจกันยาก ยิ่งสังคมคนเมืองด้วยแล้ว ความคิดคงซับซ้อนยิ่งกว่าเราหลายเท่านัก

“ได้สิครับ เขาดูแลผมดีมากจริง ๆ นะ ถ้าไม่ได้เขา ผมคงไม่ได้เรียนหนังสือ คงไม่ได้อยู่ในที่ดี ๆ สังคมดี ๆ และคงไม่ได้กลับมาเจอป้าและทุก ๆ คนแบบนี้”

“มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพูดแบบนั้น เจ้าเจคมันโกหกเหรอ มันไม่ได้ให้เราเรียนหนังสือ มันไม่ได้ดูแลเราอย่างที่ปากมันพูดงั้นเหรอ?”

กลิ่นแก้วตบหลังมือคุณป้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยแก้ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงแต่การได้ไปอยู่กับเอวานมันทำให้ได้เจอโลกที่กว้างขึ้นเท่านั้นเอง ที่พูดมาทั้งหมดแค่จะยกความดีความชอบของเอวานให้ป้าฟังเฉย ๆ จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนดีจริง ๆ”

“พุทโธ่ ทำเอาป้าใจหาย นึกว่าเจ้าเจคกับเมียมันทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หลานชายของป้าเสียอีก”

กลิ่นแก้วหัวเราะกับท่าทีโล่งอกของคุณป้า เข้าไปกอดอ้อน ๆ เช่นที่เคยทำเมื่อครั้งยังเด็ก สายตาหญิงสูงวัยมองเลยไหล่หลานชายไปยังชายหนุ่มที่หลานบอกว่าเป็นคนดีหนักหนา ซึ่งฝ่ายนั้นก็กำลังมองมาที่นางและหลานชายเช่นกัน

คุณป้าเลี่ยงไปจัดการงานครัว ก่อนที่จะไปรวมกับสามีที่พูดคุยกับเอวานอยู่ก่อนแล้ว เบลล่าที่เสร็จงานในครัวแล้วจึงเข้ามานั่งเป็นเพื่อนน้อง หนุ่มน้อยส่งยิ้มให้เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงข้างกัน

“โตขึ้นเยอะเลยนะเจ้าตัวเล็ก พี่คิดว่าจะไม่ได้เจอนายแล้ว เพราะน้าเจคคงไม่ยอมพานายกลับมาเยี่ยมบ้านแน่ ๆ” ผู้เป็นพี่สาวว่า ที่เธอคิดแบบนั้นก็เพราะทุกครั้งที่น้าชายและน้าสะใภ้กลับมาก็มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขายที่ทางทรัพย์สินของมารดากลิ่นแก้วทั้งนั้น ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เธอก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายอะไรได้

“แต่ก็ได้เจอกันแล้วไง”

พูดพลางยิ้มเสียน่ารักจนคนเป็นพี่อดฟัดไม่ได้ ทำให้สองพี่น้องกอดกันกลม ตั้งแต่เด็ก พี่สาวคนนี้พึ่งพาได้เสมอ เป็นพี่ใหญ่ที่ออกหน้าทุกครั้งที่เขาโดนแกล้ง ได้กลับมาเจอกันแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น มาตอนนี้ทุกคนต่างเติบโต แต่ความผูกพันที่มีก็ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา

“นี่ ไปรู้จักผู้ชายคนนั้นได้ยังไงเหรอ?” เบลล่าเอ่ยถามเมื่อผละออกจากอ้อมกอดของกันและกันแล้ว เธอว่าเธอคุ้นหน้าหนึ่งในนั้น ผู้ชายที่กำลังนั่งคุยกับบิดาของเธอนั่น

“เรื่องมันยาวน่ะ แต่เขาไม่ใช่คนไม่ดีนะ” กลิ่นแก้วว่า

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” คนเป็นพี่ยิ้มล้อเมื่อน้องรีบปกป้องกันขนาดนั้น “เขาชื่ออะไรเหรอ?”

“เอวาน เวสส์ครับ”

“เอวาน เวสส์...” เธอทวนชื่อนั้นซ้ำ ๆ เพราะรู้สึกคุ้น ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อนึกขึ้นได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างก่อนเปิดยิ้ม “ใช่แล้ว เอวาน เวสส์ที่เป็นทายาทตระกูลผู้ดีเก่าอย่างเจฟเฟอร์สันนี่เอง”

“พี่รู้จักเขาเหรอ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“พี่เคยเห็นเขาตามหน้านิตยสาร” เธอไขข้อข้องใจขณะที่ปลายนิ้วก็ปัดหน้าจอโทรศัพท์ไปพลาง

“เขาเป็นนักธุรกิจ พี่อ่านนิตยสารแนวนั้นด้วย?”

“บ้าสิ นิตยสารบันเทิงต่างหาก”

“บันเทิง?”

“ใช่ คิดว่าพี่จะซื้อนิตยสารเกี่ยวกับการทำธุรกิจมาอ่านหรือไงล่ะ เอวาน เวสส์ คนนี้เป็นนักธุรกิจก็จริง แต่เขาเคยมีข่าวกับดาราสาวที่พี่ติดตามอยู่” เธอขยายความพร้อมเอารูปจากข่าวในโทรศัพท์ให้ดู “นี่ไง เป็นข่าวซุบซิบอยู่พักหนึ่งเลย เพราะคบกันไม่นานพวกเขาก็เลิกรากันไป หลายคนก็บอกว่าพวกเขาคบกันเพื่อสร้างกระแส แล้วเรื่องมันก็เงียบไป จนมาเป็นข่าวกับแม่หม้ายสามีตายอย่างมากาเร็ต วิลสัน”

“......” ไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อนี้เลย มากาเร็ต วิลสัน ภรรยาของสตีเฟ่น ไรท์ พี่ชายของเอวาน พวกเขามีข่าวอะไรกัน?

“เดี๋ยวพี่หาข่าวก่อน ข่าวนี้ค่อนข้างแรงเลย เห็นว่าแอบคั่วกัน เพราะหลังจากสามีของมากาเร็ต วิลสันตาย พวกเขาก็พบกันบ่อย ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่สามีเธอป่วย สองคนนี้จะแอบดอดไปกินกันหรือเปล่า”

“เอวานไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย” กลิ่นแก้วหน้ามุ่ย ได้ฟังแล้วรู้สึกโมโหแทน เอวานไม่ใช่คนแบบนั้น เอวานรักพี่ชายจะตาย ทุกปียังเขาไปเยี่ยมที่หลุมศพ ยังระลึกถึงเสมอ จะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร

“ข่าวพวกนี้มันขายได้น่ะกลิ่นแก้ว ความจริงมันเป็นยังไงไม่รู้หรอก แต่ถูกวิจารณ์เยอะอยู่เพราะสามีมากาเร็ต วิลสันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเอวาน เวสส์ เลยโดนประโคมข่าวว่าตีท้ายครัวญาติตัวเอง”

“......” กลิ่นแก้วไม่เคยรู้ว่ามีข่าวแบบนั้นเพราะไม่ได้สนใจข่าวซุบซิบ ที่พอรู้ก็มีเพียงเรื่องของวาเนสซ่า เทย์เลอร์ที่คาร์เตอร์มักมาพูดให้ฟังบ่อย ๆ เท่านั้น

“พูดไปก็แล้วไม่อยากเชื่อเลยว่านายจะไปรู้จักกับมหาเศรษฐีแบบเขาได้ ตระกูลเจฟเฟอร์สันเป็นผู้ดีเก่า แถมเวสส์ก็รวยมากด้วย เครือญาติของพวกเขาก็แต่คนรวย ๆ อย่างตระกูลไรท์ก็เป็นเจ้าพ่อคาสิโน พวกเขาถูกจัดอันดับว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มเจ้าเสน่ห์ด้วย”

“.......” เรื่องฐานะของเอวานเขาก็พอรู้ ทั้งมาดามเจฟเฟอร์สันและเอวานต่างก็อยู่ในโลกที่คนอย่างเขาเอื้อมไม่ถึง

“นายไปอยู่ที่นั่นเคยได้เจอพวกเขาไหม?”

“ใคร?” กลิ่นแก้วทำหน้างงเมื่ออยู่ ๆ ผู้เป็นพี่ก็เอ่ยถามขึ้นมา

“พี่น้องตระกูลไรท์ไง นี่นายไม่ได้ฟังที่พี่พูดเหรอ?”

กลิ่นแก้วยิ้มแหย “แหะ ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง”

“......” ผู้เป็นพี่สาวถึงกับค้อน นี่เธอเป็นบ้าพูดอยู่คนเดียวหรอกหรือ

“ดูพี่รู้จักพวกเขาดีจัง ไหนว่าอ่านแต่นิตยสารบันเทิงไง” ขนาดเขาอยู่กับเอวานยังไม่รู้เยอะขนาดนี้ หรือเพราะสนใจแต่เรื่องเอวานก็ไม่รู้ เรื่องของคนอื่นเลยไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร

“ก็เพราะตามข่าวบันเทิงแล้วมันโยงไปหาเอวาน เวสส์ กับ สตีเฟ่น ไรท์ ไง เลยเกิดการขุดประวัติกันขึ้นมา” เธอขยายความให้ฟัง สมัยนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาไปไกลแล้ว อยากรู้อะไรก็อยู่แค่ปลายนิ้ว “แต่น่าเสียดายน้องชายคนเล็กของตระกูลไรท์นะ ขนาดตายไปแล้วยังถูกขุดขึ้นมาวิจารณ์เพราะเรื่องที่นักข่าวไร้จรรยาบรรณใส่สีตีไข่อีก”

“พี่หมายถึงสตีเฟ่น ไรท์?”

“ใช่ ดูสิ หน้าตาก็ดี ไม่น่าด่วนจากไปเลยเนอะ ถ้าเขายังอยู่และแข็งแรงดีนี่เป็นดาราได้สบายเลย แสดงคู่กับมากาเร็ต วิลสันคงดังเป็นพลุแตก”

กลิ่นแก้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ กับอาการเหมือนเพ้อของพี่สาว ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยเจื่อนลงเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับบางสิ่งบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ มือเรียวเอื้อมคว้ามาดู เมื่อชัดแก่สายตาสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งอึ้ง

ผู้ชายสองคนในรูป แน่ล่ะว่าหนึ่งในนั้นคือเอวาน แต่อีกคนที่อยู่ข้างกันนั่น...

น้ำตาเม็ดโตร่วงผล็อยลงมาเคลียแก้ม คนที่เขาเฝ้ารอวันจะได้พบและหมดหวังไปแล้ว มาวันนี้กลับได้รู้ว่าแท้ที่จริงอยู่ไม่ไกลตัวเลย คนคนนั้นที่เขาได้พบในทุก ๆ ปี ทุกปี... ที่สุสานนั่น

...สตีเฟ่น ไรท์...



กลิ่นแก้วและสามหนุ่มลากลับเมื่อสมควรแก่เวลา แม้คุณป้าแคโลรีนจะชวนให้พักด้วยกัน แต่เอวานว่าไม่อยากรบกวน เพราะพวกตนมากันหลายคนและได้จองที่พักเอาไว้แล้ว คุณป้าจึงไม่ได้รบเร้าอะไร ทั้งยังให้ของกินของฝากมากระบุงโกย

เมื่อกลับมาถึงที่พัก เอวานก็ให้บอดีการ์ดทั้งสองนายไปพักผ่อนกันตามสะดวก เขาให้แมกซ์เวลจองห้องพักไว้สองห้อง สำหรับทอมัสกับแมกซ์เวลหนึ่งห้อง และอีกห้องสำหรับตัวเขาเองและกลิ่นแก้ว

“ป้าคุยอะไรกับคุณบ้างเหรอครับ?” กลิ่นแก้วเอ่ยถามเมื่อเข้ามาในห้องกันแล้ว ออกจะกังวลเพราะกลัวเอวานอึดอัด ทุกคนที่นั่นต่างรุมล้อมเอวานยิ่งกว่าดาราดัง

“ท่านฝากฝังให้ดูแลเธอ”

หญิงสูงวัยผู้นั้นถามถึงที่มาที่ไปว่าเหตุใดจึงได้รับกลิ่นแก้วมาอยู่ในความดูแล เอวานจึงแต่งเรื่องเล็กน้อยเพื่อความสบายใจของนาง โดยบอกกับนางว่ามารดาของตนไปเจอกลิ่นแก้วเข้าและรู้สึกเอ็นดู เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียว ด้วยหน้าที่การงานทำให้ไม่ค่อยได้อยู่บ้านสักเท่าไรนัก ท่านก็คงเหงา เมื่อรู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นกำพร้าจึงได้ขอรับอุปการะ ทางฝ่ายนายเจคและนางมาเรียมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร กลิ่นแก้วจึงได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของครอบครัวเขาเช่นตอนนี้

ถุงของฝากถูกวางไว้บนโต๊ะ วันนี้ไปนั่นมานี่กันทั้งวันเลยอยากอาบน้ำให้สบายตัว เสื้อที่สวมใส่จึงถูกถอดพ้นกาย เมื่อหันกลับมามองอีกคนในห้อง ฝ่ายนั้นก็ชะงักแล้วเฉหลบสายตา เอวานถอนใจเบากับท่าทางนั้น คว้าผ้าเช็ดตัวบนเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไป

พออีกคนลับสายตาไป กลิ่นแก้วก็ถึงกับพรูลมหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้มุมห้อง มองแสงยามเย็นลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาแล้วตัวบางก็ลุกออกไปนอกระเบียง ชื่นชมกับธรรมชาติรอบที่พักจนลืมเวลา กระทั่งคนที่เข้าไปอาบน้ำออกมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังถึงเพิ่งรู้สึกตัว

ใบหน้าเรียวหันกลับมาหา ความใกล้ชิดทำให้ชะงัก เผลอก้าวถอยไปจนชนระเบียง สติสตังถึงได้กลับมา “อ... เอ่อ เสร็จแล้วเหรอครับ?”

“อืม”

“งั้นผมไปอาบ...” จะเลี่ยงไปแต่เอวานคว้าแขนไว้ ทำให้ต้องหยุดอยู่แค่นั้น

“คุยกันหน่อยสิ”

“......” ตากลมค่อยช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความหวั่นใจ

“รู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาที่นี่?”

คำถามที่แสนจะธรรมดาพาให้โล่งใจ จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “คิดถึงครับ ขอบคุณนะครับที่พามา”

เอวานมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายนิ่ง “อะไรที่ทำให้เธอมีความสุข ทำให้ยิ้มได้ ฉันก็พร้อมจะทำมัน”

มือหนาเอื้อมแตะแก้มนุ่ม กลิ่นแก้วเกือบจะผงะถอยแต่ก็หยุดตัวเองได้ทัน เมื่อมือนั้นเพียงประคองข้างแก้มแล้วเกลี่ยเบา ๆ ตากลมมองสบนัยน์ตาสีควันบุหรี่ด้วยความสับสน

“ฉันชอบเห็นเธอยิ้มมากกว่าเป็นแบบนี้”

“......”

“ขอโทษที่ทำให้มันหายไป ยิ่งเธอห่างออกไป ฉันยิ่งปวดใจ”

“เอวาน...”

“ฉันจะพยายาม จะไม่ทำแบบนั้นอีก เพราะฉะนั้นอย่าเป็นแบบนี้เลยนะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก น้ำตามันคลอ ไม่ได้อยากจะเป็นคนอ่อนแอที่เอาแต่ร้องไห้ เขาพยายามกลั้นแล้วแต่มันก็พาลจะไหลเสียให้ได้ ทำให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปมันสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

“ผมสับสน...”

“ขอโทษ”

“ผมไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไร ความรู้สึกมันตีกันไปหมดจนผมกลัว ถึงผมจะรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ผมพยายามแล้วที่จะเข้าใจมัน แต่มองหน้าคุณทีไรมันก็นึกถึงเรื่องนั้นทุกที ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วเอวาน..”

“ขอโทษ”

“ฮึ่ก...”

“ฉันผิดเอง”

รั้งตัวบางเข้ามากอด ที่กลิ่นแก้วเป็นแบบนี้มันคือความผิดของเขา แม้จะบอกว่าไม่ตั้งใจ แต่เขาในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่าควรมีสติยั้งคิดมากกว่านี้ เขาไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างมันถลำลึกกว่าที่เป็นอยู่ วันหนึ่งข้างหน้ากลิ่นแก้วอาจต้องเจ็บเพราะเขา ซึ่งเขาคงทนไม่ได้หากวันนั้นมาถึง

เอวานให้เด็กไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นขึ้น ก่อนออกมานั่งคุยกันนอกระเบียง ลมกลางคืนค่อนข้างเย็น เขาจึงหยิบเสื้อหนาวมาคลุมให้ ซึ่งกลิ่นแก้วก็ยิ้มให้เขาพร้อมคำขอบคุณ

กายสูงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวฝั่งตรงข้าม มองวิวกลางคืนที่แสงไฟถูกเปิดให้ความสว่างก็สวยไปอีกแบบ ไกลออกไปคือทิวสนที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ทำให้มันดูลึกลับต่างจากบริเวณนี้นัก

“วันนี้พอได้ยินเรื่องของน้าเจคก็ทำให้ผมนึกไปถึงเจเรมี่ เมื่อสองสามวันก่อนผมเจอเขาด้วย” กลิ่นแก้วเอ่ยขึ้นมาขณะที่ยังทอดสายตาไปไกล

“เจเรมี่?” เอวานหันมามองคนพูดอย่างมีคำถาม

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอวานไม่รู้จักคนที่ตนพูดถึง กลิ่นแก้วจึงละสายตาจากบรรยากาศยามค่ำคืนนั้นมาหาแล้วบอก “เขาเป็นลูกชายของน้าเจคครับ”

“อ๋อ” พยักหน้ารับรู้ตามนั้น ลูกของสองผัวเมียนั่น แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ได้รับรายงานถึงความผิดปรกติจากลูกน้องที่ส่งไปเฝ้าเจ้ากลิ่นแก้วเลย “เขาทำอะไรเธอรึเปล่า?”

“เปล่าครับ เขามากับกลุ่มเพื่อน” กลิ่นแก้วบอก ก่อนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง “ผมไปกินข้าวกับคุณวาเนสซ่าแล้วก็คาร์เตอร์เลยบังเอิญเจอเขา ตอนแรกที่เห็น ผมตกใจจนเกือบวิ่งหนี แต่นึกขึ้นได้ว่าเจเรมี่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรผมเท่าไร เขาคงไม่จับตัวผมกลับไปที่นั่น และมันก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอ อยู่ดี ๆ เขาคงไม่มาจับผมกลับไปหรอก คนก็ตั้งมากมายด้วย แต่ผมก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาเท่าไรเลยเลี่ยงออกมา ไม่คิดว่าจะไปเจอเขาอีกทีที่ห้องน้ำ”

“เขาตามเธอไป?”

“ผมว่ามันบังเอิญมากกว่าครับ เพราะเขาแค่มอง ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งมันก็สมเป็นเขาดี”

ครอบครัวนั้นหายไปเลยจริง ๆ เท่าที่ได้ฟังจากคุณป้าของกลิ่นแก้วเหมือนว่าร้านเดลลาร์ ดี จะปิดตัวลงแล้ว และพวกเขาก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ไหน เพราะหลังจากจบปัญหาเรื่องกลิ่นแก้ว เอวานก็ไม่ได้ให้คนตามเรื่องต่อ แค่คนพวกนั้นไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเด็กของเขาก็ดีแล้ว

“พอได้เจอเขา ความทรงจำเก่า ๆ มันก็ย้อนมาให้นึกถึง” พูดแล้วกลิ่นแก้วก็ถอนหายใจยาว พอโตขึ้นแล้วนึกย้อนไปมันก็เห็นอะไรมากกว่าเมื่อครั้งยังเด็ก “ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนเราจะทำร้ายกันได้ขนาดนี้”

“โลกนี้ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม” เอวานว่า

กลิ่นแก้วพยักหน้าอย่างเห็นตามนั้น “ถ้าผมยังอยู่ที่นั่น ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะถูกส่งไปที่ไหนบ้าง”

เมื่อก่อนเขายังไม่เข้าใจถึงความโหดร้ายเหล่านั้น แต่ในวันนี้ที่โลกของเขามันกว้างขึ้น ได้รู้อะไรมากขึ้น ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีในสังคม สำหรับชีวิตของเด็กอายุเท่าเขาในตอนนั้น การถูกส่งไปให้ชายแปลกหน้าที่หมายจะคุกคามทางร่างกาย มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น

“แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี” ดวงตาคู่โตมองเอวานอย่างมีความหมาย ริมฝีปากค่อยคลี่ยิ้ม “โชคดีที่วันนั้นได้พบกับคุณ”

เอวานมองเด็กตรงหน้านิ่ง โตกว่านี้คงมีเสน่ห์แบบที่มารดาเขาว่า ทั้งปากคอคิ้วคางมันรับกันไปหมด แววตาที่สื่อว่ารักและเทิดทูนเขายิ่งทำให้เหมือนต้องมนต์จนเกือบโน้มไปหา

“โอ๊ย! เอวาน ทำไมต้องเขกหน้าผากผมด้วยล่ะครับ?” หนุ่มน้อยประท้วงเมื่ออยู่ ๆ หน้าผากของตนเองก็ถูกประทุษร้าย

“ไม่มีเหตุผล”

ริมฝีปากสวยอ้าหวอก่อนงับลงแล้วแอบบ่นอุบอิบ ขณะที่มือก็ลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ มองอากัปกิริยาเหล่านั้นแล้วเอวานก็ยิ้มเอ็นดู กลิ่นแก้วก็ยังคงเป็นกลิ่นแก้ว แม้ภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไป ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กผู้ชายคนเดิมคนนั้นมิใช่หรือ คนที่เขายื่นมือเข้าไปช่วยและบอกกับตัวเองว่าจะดูแลให้ดีที่สุด มันไม่ควรมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป ไม่ควรเลยสักนิด

ความกังวลใจนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเอวานเพียงคนเดียว เพราะกลิ่นแก้วเองก็ยังมีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากถาม เขามั่นใจว่าสตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นคือบิดาของเขา ไม่มีทางที่จะจำคนผิด แม้รูปใบเดียวในชีวิตรูปนั้นจะไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว มันก็ยังบันทึกอยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ สตีเฟ่น ไรท์ คนนั้นเคยรู้ไหมว่ามีเขาอยู่บนโลกใบนี้?

แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาถึงวันนี้ไม่ว่าสตีเฟ่น ไรท์คนนั้นจะรู้หรือไม่ มันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว เมื่อคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป คนที่ยังอยู่คือเอวานต่างหาก...

การที่เอวานพาเขาไปสุสานทุกปีมันหมายความว่าอะไร ก่อนนี้เขาไม่เคยคิดตั้งคำถาม ไม่เคยคิดจะหาคำตอบ คิดเพียงแต่ว่าเอวานพาไปไหนก็จะไป แต่ในวันนี้สิ่งที่ได้รู้มันทำให้เขาเริ่มคิดว่าเพราะอะไรเอวานถึงได้รับเขามาอยู่ในความดูแลและทำทุกอย่างเพื่อเขาขนาดนี้ เพียงเพราะความใจดีของเอวานเท่านั้นหรือ?

การพบกันของเรามันคือโชคชะตาหรือความตั้งใจกันแน่... เอวาน?




TBC



บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่ะ  :pig4:

วันใหม่

หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-12-2018 02:22:47
ถึงเอวานจะน่าสงสัยแต่อย่าสงสัยจนห่างกับเอวานนะ TT
ตอนนี้ก็รู้สึกแปลกๆกันทั้งคู่แล้วว  :ling2:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 05-12-2018 09:26:12
รอๆ
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 05-12-2018 11:26:31
อ้างถึง
“ขอโทษที่ทำให้มันหายไป ยิ่งเธอห่างออกไป ฉันยิ่งปวดใจ”

ขยายความของคำว่าปวดใจได้ไหมเอวาน ?
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 05-12-2018 14:37:06
ทั้งคู่สับสนกับสิ่งที่อยู่ในใจ ว่าเป็นความรักแบบใหน
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-12-2018 20:11:31
เอาสักทางสิเอวาน เลือกใครสักคน
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๗ ยากจะห้ามจิตพิสมัย + >>05.12.2561<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 05-12-2018 20:24:47
หวังว่าจะชัดเจนในเร็ววัน :mew2:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด + >>๑๗.๑๒.๒๕๖๑<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 17-12-2018 23:35:24

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด




หลังกลับจากไปเยี่ยมบ้าน กลิ่นแก้วก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้รับรู้มา หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เคยใช้ทำงานเพียงอย่างเดียว ในเวลานี้มันถูกใช้ค้นหาบางสิ่ง

สตีเฟ่น ไรท์ เป็นน้องชายคนสุดท้องของพี่น้องตระกูลไรท์ เจ้าของธุรกิจคาสิโนแห่งใหญ่ในกรุงลอนดอน แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับมากาเร็ต วิลสัน ไม่เคยมีประวัติว่ามีลูกหรือภรรยามาก่อน แต่ด้วยความเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อาจเป็นไปได้ที่จะแอบมีเล็กมีน้อยหลังแต่งงาน และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง บางทีสตีเฟ่น ไรท์อาจไม่รู้ว่ามีเขาอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้

กลิ่นแก้วไล่สายตาดูภาพข่าว ทุกงานที่สองสามีภรรยาไรท์ไปร่วมและให้สัมภาษณ์ก็ดูจะรักกันดี ยิ่งผนวกกับเมื่อครั้งที่ได้เจอมากาเร็ต วิลสันที่สุสาน เธอก็ดูเป็นทุกข์ที่สามีมาด่วนจากไป ทั้งคู่ต่างก็รักกัน แล้วเขาล่ะ? เพราะไม่ได้เกิดจากความรักจึงไม่เป็นที่ต้องการใช่ไหม?

เสียงเคาะประตูทำให้กลิ่นแก้วรีบออกจากหน้าจอที่ตนเองกำลังดู ก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก แม่บ้านขึ้นมาบอกว่ามาดามเจฟเฟอร์สันกำลังรออยู่ กลิ่นแก้วจึงรีบลงไปหา

ปรกติทางห้างสรรพสินค้าจะส่งแผนการปฏิบัติงานและผลประกอบการมาให้เกวนพิจารณา แต่จะมีการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพสินค้าของทางห้างฯทุกเดือน และของร้านนอกทุกไตรมาส ช่วงปิดภาคเรียนที่กลิ่นแก้วอยู่ติดบ้าน หากไม่ไปขลุกอยู่กับคุณตาคุณยายของเอวาน เกวนก็จะให้ไปที่ห้างฯด้วย เพื่อที่จะได้คุ้นชินกับคนที่นั่นและระบบการทำงาน

“มาแล้วเหรอ?” เกวนเอ่ยทักเมื่อเด็กเข้ามาหา เธอลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ “เดี๋ยววันนี้จะพาไปลองชุดที่ห้องเสื้อนะ วันมะรืนจะพาออกงานด้วย”

“......?” สีหน้ากลิ่นแก้วดูมึนงง มาดามเจฟเฟอร์สันจะพาไปออกงานอะไร?

เห็นเครื่องหมายคำถามบนหน้าเด็กแล้ว เกวนจึงขยายความ “อีกหน่อยพอเธอโตขึ้นแล้วมาช่วยงานฉันก็ต้องเข้าสังคม ฝึกไว้จะได้ไม่เคอะเขินเวลาต้องออกงานคนเดียว”

“มาดาม... จะให้ผมออกงานด้วยจริงเหรอครับ ผมกลัวทำขายหน้า” สีหน้าหนุ่มน้อยดูกังวล

เขาไม่เคยคิดเลยเรื่องออกงานอะไรนี่ เพราะไม่ได้อยู่จุดเดียวกับมาดามและเอวาน วันดีคืนดีจะมาพาเด็กอย่างเขาออกงาน จะพาลขายหน้าเอาเสียเปล่า

“จะกลัวไปก่อนทำไมกัน มั่นใจหน่อยสิ”

ถึงมาดามเจฟเฟอร์สันจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้มั่นใจขึ้นอยู่ดี เขาจะไปในฐานะอะไร เด็กในบ้าน? หรือเด็กในปกครองของมาดาม? งานที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ราวกับอยู่คนละโลกแบบนั้น หากเขาโผล่ไปคงดูผิดที่ผิดทาง

“ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่งานใหญ่มาก ระดับกลาง ๆ” เกวนยังว่า

กลิ่นแก้วยิ้มแหย คำว่ากลาง ๆ ของมาดามคงไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับเขาแน่ ๆ



ห้องประธานบริหาร ณ บริษัทเวสส์

เอวานถูกบิดาเรียกพบด้วยเรื่องว่าที่สะใภ้ในดวงใจ ตัวเขาไม่รู้ว่าท่านถูกใจอะไรวาเนสซ่า เทย์เลอร์หนักหนา หรือเพราะบิดาของหญิงสาวเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จึงอยากให้ผูกไมตรีหรือเกี่ยวดองกันเพื่อเกื้อหนุนทางธุรกิจเท่านั้น แต่สำหรับเขา เวสส์จะมั่นคงไม่จำเป็นต้องพึ่งจมูกใครหายใจ อนาคตข้างหน้า ธุรกิจมันสามารถผันผวนขึ้นลงเป็นวัฏจักร ต่อให้มีอีกสิบเทย์เลอร์ ถ้าถึงเวลาวิกฤติก็ต้องช่วยเหลือตัวเองกันทั้งนั้น

“ลูกก็คบหาดูใจกับหนูวาเนสซ่ามานานแล้ว ไม่คิดว่าจะหมั้นหมายกันเพื่อให้ฝ่ายหญิงสบายใจบ้างรึ?” พอล เวสส์เปิดประเด็นสนทนา หรืออีกนัยหนึ่งคือบอกจุดประสงค์ที่ตนเองต้องการ “งานเปิดตัวบริษัทของหนูวาเนสซ่าวันมะรืนนี้ นักข่าวก็คงจะไปกันหลายสำนักอยู่ ถือโอกาสแจ้งข่าวดีไปเลยดีไหม?”

“ปา” เอวานเอ่ยเรียกบิดาด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี เขาจะได้พูดให้มันชัดเจนไปเลย “ผมยอมรับว่าวาเนสซ่าเป็นผู้หญิงเก่งและน่าสนใจ แต่สถานะของผมกับเธอมันไปถึงขั้นที่ปาวาดหวังไว้ไม่ได้หรอกครับ”

“ทำไม?” น้ำเสียงของผู้เป็นบิดาเข้มขึ้น “ในเมื่อลูกบอกเองว่าเธอทั้งเก่งและน่าสนใจ แล้วทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”

“ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องแต่งงานกับใครเพื่อธุรกิจ เวสส์อยู่มาได้เพราะความสามารถในการบริหารงานของปู่และปา เมื่อมันมาอยู่ในมือผม ผมก็อยากใช้ความสามารถของตัวเองเหมือนปู่และปาเช่นกัน”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ เอวาน?” สีหน้าพอลดูไม่มีแววล้อเล่น นัยน์ตาสีเดียวกับผู้เป็นลูกมองสบกันนิ่ง “เวสส์ต้องมีทายาทสืบทอดต่อไป วาเนสซ่าคือคู่ครองที่เหมาะสมทั้งฐานะและชาติตระกูล ความสามารถเธอมีมากมาย เธอเป็นที่รู้จักในวงสังคม ครอบครัวของเธอก็กว้างขวางพอที่จะช่วยผลักดันธุรกิจของเวสส์ให้ก้าวไปได้อย่างมั่นคง หรือลูกมีใครที่ดีกว่าเธอ ถึงได้มองข้ามไป?”

“ความรักไม่ได้เกิดจากความเพียบพร้อม” เอวานว่า

“แล้วความรักที่ลูกว่ามันทำให้ธุรกิจของเรามั่นคงและรุ่งเรืองสืบไปในภายภาคหน้าไหม?” พอลย้อนถาม สองพ่อลูกยังคงสบตากันไม่หลบ

“ที่ปาถามแบบนี้เพราะไม่มั่นใจในการบริหารงานของผม?” ในที่สุดเอวานก็เอ่ยถามขึ้นมา

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อเลย เอวาน ลูกก็รู้ว่าลูกทำมันได้ดี แต่พ่อไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยเหมือนอย่างสตีฟที่ไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนมาไม่รู้ จนเรื่องราวมันบานปลายใหญ่โต และสุดท้ายก็มาตกเป็นภาระของลูกแบบนี้”

พอลรู้เรื่องเด็กในความดูแลของลูกชายดี แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะเกวนดูแลอยู่ เขาไม่อยากแตะอะไรก็ตามที่จะทำให้เธอต้องขุ่นใจ จึงได้ปล่อยผ่านไป แต่เมื่อไม่นานมานี้ลูกชายของเขากลับมีปัญหากับทางไรท์ ต่อไปเด็กนั่นต้องนำพาปัญหามาให้อย่างไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่

ไม่คิดว่าบิดาจะเอ่ยถึงกลิ่นแก้ว เอวานไม่อยากทะเลาะกับท่านเรื่องนี้ รู้ดีว่าท่านไม่เห็นด้วยที่รับเด็กมาอยู่ในความดูแล แต่ก็ยอมปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีปัญหากับมาดามมาเฟีย

เอวานขยับลุกเพื่อเลี่ยงประเด็นที่จะโยงไปหาเด็กของตนเอง เมื่อบิดามองมา เขาจึงบอก “ผมรู้ว่าปาเป็นห่วง แต่เรื่องแต่งงาน ผมอยากตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่า”

พอลทำเสียงเหอะเมื่อลูกพูดมาเช่นนั้น “รั้นสมเป็นลูกเกวน เจฟเฟอร์สันจริง ๆ”

พอได้ยินชื่อของมารดา บรรยากาศตึง ๆ ภายในห้องก็ดูจะคลายลง เอวานยกยิ้ม “ก็ถ้าการแต่งงานกับใครสักคนเพียงเพื่อผลทางธุรกิจโดยไม่สนเรื่องหัวใจมันดีจริง ๆ ป่านนี้ปาคงแต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและความสามารถ และมีทายาทมากมายมาสืบทอดกิจการของเวสส์ต่อไป โดยไม่ต้องมาเคี่ยวเข็ญผมให้ลำบากอยู่แบบนี้แล้ว จริงไหมครับ?”

บิดาของเขาไม่เคยยกหญิงใดขึ้นมาเทียบเท่ามาดามมาเฟียเช่นเกวน เจฟเฟอร์สัน แม้จะมีความสัมพันธ์กับใครก็เพียงครั้งคราว พวกท่านมีปัญหากันมาตั้งแต่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ แม้จะไม่เคยบอกว่าปัญหานั้นมันคืออะไร แต่เมื่อโตขึ้น เอวานก็พอจะคาดเดาได้ มารดาของเขาแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขณะที่เขาดันเป็นลูกชายของพอล เวสส์ ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของเฟอร์ริงตันเสมอมา เรื่องความรู้สึกของมารดา เขาคาดเดาไม่ได้ แต่ผู้เป็นบิดานั้น รักโดยไม่ต้องสงสัย

“รู้ดี” พอล เวสส์ว่า รู้สึกขัดเคืองนักเมื่อตนเองดันเปิดช่องให้ลูกชายย้อนเอาได้

เอวานยังยิ้มเฉย “ผมว่า... ผมลองเอาเรื่องนี้ไปปรึกษามาดามเกวนดูสักหน่อยดีกว่า”

“เอวาน” ผู้เป็นบิดากดเสียงต่ำปรามลูกชาย

ผู้เป็นลูกเดินยิ้มออกจากห้องไปแล้ว พอลถึงกับพ่นลมหายใจหนักหน่วง เขาไม่ได้กลัวเกวน เจฟเฟอร์สัน แค่ไม่ชอบฟังเธอบ่นก็เท่านั้น


.........


งานเปิดตัวบริษัทของวาเนสซ่า เธอหันมาจับธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ซึ่งปัจจุบันคนรักสุขภาพและความสวยงามลงทุนไปกับข้าวของเครื่องใช้และเวชภัณฑ์กันมากขึ้น จึงอยากเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของตลาดสินค้านี้ ด้วยอยากแยกออกมาจากพี่สาวและพี่เขยซึ่งเป็นผู้บริหารหลักในบริษัทของครอบครัว เธอจึงศึกษาหาข้อมูลทั้งเรื่องการตลาดและผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีภัณฑ์ รวมถึงทำเลที่ตั้งและอื่น ๆ โดยร่วมทุนกับเพื่อนที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน เพราะอยากยืนได้ด้วยขาของตัวเอง งานวันนี้จึงเป็นเพียงก้าวแรกของเธอเท่านั้น

กลิ่นแก้วที่รู้ว่าเป็นงานของวาเนสซ่าก็ไม่อยากมานัก เพราะคงเหมือนพาตัวเองไปยืนดูเอวานกับหญิงสาวควงคู่กันให้ช้ำใจเล่น แต่เมื่อไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ก็จำต้องมา งานเปิดตัวที่มาดามเจฟเฟอร์สันบอกว่ากลาง ๆ กลับดูใหญ่โตมากในความรู้สึก แขกเหรื่อในงานก็เยอะ ทั้งบุคคลในแวดวงธุรกิจและบันเทิง ทั้งช่างภาพ ทั้งนักข่าว กลิ่นแก้วไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พอมาเจอเข้าจริง ๆ ก็ประหม่าจนแทบเดินไม่เป็น

“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงเอวานดังขึ้นข้างกาย

เกวนหันมามอง ยิ้มเอ็นดูเด็กหน้าซีด ขณะที่เอวานค่อยเลื่อนมือขึ้นมาแตะแผ่นหลัง ทำให้กลิ่นแก้วยืดตัวตรงโดยอัตโนมัติ

ชายหนุ่มกระซิบบอก “ไม่เป็นไร ฉันจะคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ต้องกังวล”

กลิ่นแก้วสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยผ่อนออกยาว ๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น มาดามเจฟเฟอร์สันแตะข้อศอกเขาเบา ๆ ให้ออกเดิน แม้จะยังเกร็ง ๆ อยู่ แต่มือของเอวานที่วางอยู่ช่วงเอวด้านหลังก็ทำให้พอคลายกังวลลงไปได้บ้าง

“อย่าทำหน้าแบบนั้น” เห็นเด็กหน้าตาตื่นเมื่อเจอแสงแฟลชจากกล้องและสายตาของแขกผู้ร่วมงานแล้ว เกวนก็เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาดูถูกเธอ เธอมากับฉันในฐานะลูกชายคนเล็ก ใครกล้ามาว่า ฉันจะจัดการมันเอง”

“มาดาม...” ราวมาดามเจฟเฟอร์สันมานั่งอยู่กลางใจ เขากลัว กลัวสายตาดูถูกจากคนเหล่านั้นหากรู้ว่าเขาเป็นเพียงเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง

“อีกหน่อยเธอก็ต้องเข้ามาช่วยเอวานดูแลกิจการของเรา เรื่องพวกนี้ยังไงก็ต้องศึกษาเอาไว้ ยิ่งรู้จักคนเยอะ จะหยิบจับอะไรก็ได้เปรียบ อย่ามองตัวเองให้ต่ำ เชิดหน้าขึ้นแล้วเผชิญหน้ากับมันซะ”

กลิ่นแก้วมองมาดามเจฟเฟอร์สันด้วยความรู้สึกหลากหลาย สถานะเขาไม่ต่างอะไรกับเด็กในบ้าน แต่มาดามกลับพาเขามาที่นี่ในฐานะลูกชายคนเล็ก ทั้งยังพร้อมจะปกป้องเขาอีก ท่านช่างเมตตาเขาเหลือเกิน

หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจ เห็นเช่นนั้นแล้วเกวนก็ยิ้มพอใจ สอดมือเข้าไปคล้องแขน ดวงตากลมค่อยหันมามองเธอ เมื่อเธอยิ้มให้ เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มตอบ ก่อนที่จะพากันก้าวเดินเข้าไปในงานด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิด

“เด็กคนนั้นเหรอ?”

ร่างสูงใหญ่เช่นชาวตะวันตกค่อยก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง มองตามเด็กผู้ชายที่ก้าวเดินเคียงเกวน เจฟเฟอร์สันและเอวาน เวสส์เข้างานไปด้วยแววหมายมาด

“ใช่” อีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันตอบกลับมา ก่อนที่จะเอ่ยถาม “คุณคิดจะทำอะไร?”

คนถูกถามเพียงแค่ยกยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปล่อยให้คนถามมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้อยู่เช่นนั้น

งานเปิดตัวบริษัทของวาเนสซ่าค่อยดำเนินไปตามกำหนดการ กระทั่งเสร็จสิ้น วาเนสซ่าจึงให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยมีเอวานเข้าไปร่วมถ่ายรูปด้วย กลิ่นแก้วได้แต่มองทั้งคู่ด้วยความรู้สึกที่บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าคืออะไร จิตใจมันพาลห่อเหี่ยว อึดอัดจนต้องเอ่ยขอเกวนที่กำลังสนทนากับสมาคมคุณหญิงคุณนายแถวนั้นออกไปสูดอากาศข้างนอก

“อย่าไปไหนไกลนะ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว” เกวนบอกหลังจากเอ่ยอนุญาต เพราะเข้าใจว่าเจ้ากลิ่นแก้วคงเบื่อ

“ครับ”

กลิ่นแก้วรับคำก่อนเดินเลี่ยงออกไป โดยมีสายตาของเอวานมองตามด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มค่อยเบือนสายตากลับมาทางบอดีการ์ดของตน พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ตามกลิ่นแก้วไป เมื่อตนเองยังไม่สามารถปลีกตัวได้ในเวลานี้

ลานน้ำพุหน้าบริษัท กลิ่นแก้วมานั่งถอนใจอยู่ที่ม้านั่งบริเวณนั้น ไม่นานนักทอมัสก็เดินเข้ามาหา ตัวสูงใหญ่นั้นหยุดยืนในระดับสายตามองเห็น กลิ่นแก้วจึงขยับที่ว่างให้บอดีการ์ดหนุ่มนั่งลงข้างกัน

“เป็นไง ไอ้หนู?”

คำถามนั้นทำให้กลิ่นแก้วถอนใจอีกเฮือก “ผมคงไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้จริง ๆ”

ทอมัสหัวเราะในลำคอ “ออกงานบ่อย ๆ อีกหน่อยก็ชิน”

“ยังต้องมางานแบบนี้อีกเหรอ?”

เจ้ากลิ่นแก้วโอดครวญด้วยความทดท้อ ถึงแม้มาดามเจฟเฟอร์สันจะบอกกับใครต่อใครที่ถามไถ่ หรือแม้แต่กับสื่อที่เข้ามาสัมภาษณ์ว่าเขาคือลูกชายคนเล็ก แต่ทุกสายตาก็ยังมองเขาแปลก ๆ อยู่ดี ก็มาดามมีลูกชายคนเดียวคือเอวาน ขณะที่เขาเป็นแค่เด็กที่มาดามรับอุปการะ อย่างไรก็อยู่คนละระดับกับคนพวกนั้นอยู่ดี

ขณะที่สองหนุ่มต่างวัยกำลังคุยกันอยู่ก็มีใครอีกคนก้าวเข้ามา กลิ่นแก้วเขม้นมองเมื่อรู้สึกคุ้นตา ขณะที่ทอมัสขยับลุกในทันที นั่นทำให้กลิ่นแก้วเงยมองบอดีการ์ดหนุ่มด้วยความแปลกใจ กระทั่งใครคนนั้นเข้ามาใกล้ ดวงตากลิ่นแก้วก็เบิกกว้างขึ้น

“สวัสดี หนูน้อย”

ทอมัสเบี่ยงตัวบังเด็กของนายที่ลุกขึ้นมาเกาะแขนเขา เหลือบมองสีหน้าตื่น ๆ นั่นด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเมื่อต้องระวังภัยจากผู้มาใหม่

“ฉัน... โอลิเวอร์ ไรท์”

กลิ่นแก้วมองมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมาโดยไม่สนใจว่ามีทอมัสขวางอยู่ ก่อนเลื่อนขึ้นมามองหน้า และด้วยมารยาทจึงยื่นมือไปจับ พร้อมแนะนำตัวอย่างเสียไม่ได้

“กลิ่นแก้ว เดลลาร์ครับ”

คิ้วอีกฝ่ายเลิกสูง ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกยิ้ม กระชับมือที่ตัวเองจับอีกนิดแล้วว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก กลิ่นแก้ว เดลลาร์”

กลิ่นแก้วมองคนตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง มืออีกข้างยังเกาะแขนทอมัสแน่น เขารู้ว่าโอลิเวอร์ ไรท์คนนี้คือพี่ชายของสตีเฟ่น ไรท์จากข้อมูลที่ค้นหามา แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงเข้ามาหาเขา แค่ผ่านมา หรือมีจุดประสงค์อะไร?



หลังให้สัมภาษณ์ วาเนสซ่าและเอวานก็แยกมาที่ห้องรับรองแขกของบริษัท ภายในห้องมีเครื่องดื่มและของทานเล่นเตรียมไว้รอท่า เมื่อนั่งลงบนโซฟา วาเนสซ่าจึงเอ่ยถาม

“ดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ?”

“ขอบคุณ แต่ไม่ดีกว่าครับ” เอวานบอกปฏิเสธ กำลังหาจังหวะเหมาะ ๆ เพื่อขอตัว

วาเนสซ่าถอนใจเบา “พักนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลย ฉันเองก็มัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องบริษัท มีเวลาว่างทีก็ไม่เคยจะตรงกัน งานยุ่งเหรอคะ?”

“ครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นเมื่อกำลังพะวงว่ากลิ่นแก้วจะไปเดินหลงอยู่ตรงไหนไหม ยิ่งไม่คุ้นเคยกับสถานที่อยู่ด้วย

“เหมือนว่าฉันจะเห็นน้องชายของคุณมาด้วย”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาขณะสังเกตปฏิกิริยาคนข้างกายไปด้วย ตั้งแต่ให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้ว ถึงแม้เอวานจะพูดคุยเป็นปรกติ แต่สายตาก็คอยชำเลืองมองหาใครบางคนอยู่ตลอด แม้แต่ตอนนี้ที่กำลังคุยกับเธอก็เหมือนจะกังวลจนรู้สึกได้

“ไม่คิดว่าคุณจะพาเขาออกงานด้วยเลยนะคะ ไม่คิดหรือว่าทำแบบนี้เขาจะสำคัญตัวผิดไป?”

“หมายความว่ายังไง?” สายตาคมค่อยปรายมามองคนพูด

วาเนสซ่ายังคงยิ้มเยือน “ก็เหมือนที่คุณทำกับฉันยังไงละคะ”

“.........”

“ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ แล้วก็ดับฝันกันอย่างง่ายดายด้วยการบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดี ทั้งที่เราเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยกว่านั้น” รอยยิ้มที่มีค่อยเลือนหาย “เวลานี้คุณวางสถานะของฉันไว้ที่ตรงไหนเหรอคะ?”

เอวานถอนหายใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน เขาบอกเธอชัดเจนแล้วว่าหากเขาจะรักใครสักคน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบังคับ นี่ไม่ใช่ยุคที่จะมาคลุมถุงชนกันแล้ว อยากให้เกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่ายมากกว่า ซึ่งวาเนสซ่าก็หัวสมัยใหม่พอ แต่ก็ไม่อยากให้เขาตัดสัมพันธ์กันเร็วขนาดนั้น ในเมื่อต่างก็ไม่มีใคร มันก็ไม่มีอะไรเสียหายหากจะลองศึกษาดูใจกัน ถ้าท้ายที่สุดแล้วมันไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ เธอก็จะยอมรับแต่โดยดี

“คุณคือเพื่อนที่ดี วาเนสซ่า”

ราวตอกย้ำซ้ำเติมลงไปให้ใจเจ็บ “ฉันไม่ดีตรงไหนเหรอคะ หรือเพราะฉันไม่ใช่เด็กคนนั้น?”

“มันไม่เกี่ยวกับเขา” เอวานโต้กลับเสียงเข้ม

“ไม่เกี่ยวยังไง คุณคิดว่าฉันดูไม่ออกเหรอ ทุกครั้งที่พูดถึงเขา ทุกครั้งที่มองเขา แววตาคุณมันบอกทุกอย่างแล้ว เอวาน” วาเนสซ่าตัดพ้อต่อว่า เธอไม่ได้หูหนวกตาบอด ในสายตาของเธอมีแต่เขา ทุกปฏิกิริยาที่เขามีต่อเด็กคนนั้น ทำไมเธอจะไม่รู้สึก

เอวานมองเธอนิ่ง “เขาเป็นเด็กในความดูแล”

“คุณแน่ใจเหรอ?” หญิงสาวสวนกลับทันควัน

“อย่าดึงเขามาเกี่ยวได้ไหม?”

วาเนสซ่ารู้สึกอยากหัวเราะเยาะตัวเองนัก เมื่อผู้ชายตรงหน้าของเธอกำลังร้องขอ ไม่ได้ออกคำสั่ง แต่ร้องขอไม่ให้เธอดึงเด็กคนนั้นมาเกี่ยวข้อง เท่านี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เอวานพร้อมปกป้องเด็กคนนั้น เธอรู้มาตลอดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขามันไม่มีทางไปรอด แต่ก็พยายามประคับประคองมันเรื่อยมา คงมีแต่เธอที่พยายามอยู่คนเดียว

“คุณไม่ตะขิดตะขวงใจบ้างเลยหรือไงที่รู้สึกแบบนั้นกับเด็กในปกครองของตัวเอง?” มิหนำซ้ำยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย ประโยคสุดท้ายเธอได้แต่ทดไว้ในใจ

เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนที่กายสูงใหญ่จะขยับลุก มองหญิงสาวแสนสวยที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกที่เธอมีให้ได้อย่างเท่าเทียม

“ผมขอโทษ”

ไม่มีคำแก้ตัวใด เมื่อเอวานทิ้งไว้เพียงคำขอโทษที่เธอไม่ต้องการ วาเนสซ่าข่มกลั้นน้ำตาให้มันไหลย้อนกลับลงไปในส่วนลึก บางครั้งการเป็นคนดีก็ไม่ทำให้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการ...



เมื่อออกมาจากห้องรับรอง เอวานก็ตรงไปหามารดาซึ่งกำลังเตรียมตัวจะกลับเจฟเฟอร์สัน แต่กลิ่นแก้วที่ขอไปเดินเล่นยังไม่กลับมา ไม่รู้เดินไปถึงไหนแล้ว ว่าจะให้แมกซ์เวลไปตาม แต่เอวานบอกจะไปตามเอง ให้แมกซ์เวลพามารดาของตนไปที่รถแทน

เขาเดินหากลิ่นแก้วกระทั่งมาเจออยู่ที่สวนใกล้ลานน้ำพุ เหมือนกำลังคุยกับใครอยู่โดยมีทอมัสยืนเยื้องไปด้านหลัง ถัดไปคือผู้ชายอีกสามคนที่คอยคุมเชิง สถานการณ์ดูไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไรนัก

“กลิ่นแก้ว”

เอวานก้าวเข้าไปหาพร้อมเอ่ยเรียก ทุกสายตาหันมาทางเขา นั่นทำให้เขาเห็นว่าผู้ที่คุยกับกลิ่นแก้วอยู่คือใครเมื่อคนคนนั้นค่อยหันมา ริมฝีปากหนาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มคล้ายจะเยาะหยันอยู่ในที ก่อนที่จะผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทายเขาเชิงกวนอารมณ์

“ไม่นึกว่าจะเจอคุณที่นี่” เอวานเอ่ยทักเสียงเรียบ

“วาเนสซ่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน จะแปลกอะไรถ้าฉันจะมาแสดงความยินดีกับเธอในวันสำคัญ” อีกฝ่ายตอบกลับมา

เอวานมองนิ่ง ไม่ได้ต่อความอะไรอีกเมื่อหันสายตามาทางกลิ่นแก้ว “กลับกันเถอะ”

“ครับ” กลิ่นแก้วพยักหน้ารับ ส่งมือให้เอวานจับแล้วออกเดิน

“แล้วเจอกันใหม่ หนูน้อยเดลลาร์”

เสียงที่ดังไล่หลังทำให้ก้าวเดินของกลิ่นแก้วหยุดชะงัก ค่อยหันกลับไปมองคนพูด ก่อนจะรีบก้าวตามแรงรั้งของเอวานไป โดยมีสายตาของคนด้านหลังมองตาม

เมื่อขึ้นมาบนรถ กลิ่นแก้วก็เอ่ยขอโทษมาดามเจฟเฟอร์สันที่ตนเองเถลไถล ทำให้ต้องเสียเวลารอแบบนี้ ซึ่งมาดามก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร หลังจากทุกคนนั่งประจำที่กันแล้วรถจึงเคลื่อนตัวออกไป

ระหว่างทางกลับเจฟเฟอร์สันเต็มไปด้วยความเงียบ กลิ่นแก้วปล่อยความคิดวนกลับไปที่เหตุการณ์ตรงลานน้ำพุนั่น หลังจากที่โอลิเวอร์ ไรท์เข้ามาทักทาย

หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด + >>๑๗.๑๒.๒๕๖๑<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 17-12-2018 23:36:15

“มีเวลาคุยกันสักหน่อยไหม?”

คำถามนั้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายฉกรรจ์อีกสามนาย โอลิเวอร์ปรายสายตาส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าไปพาทอมัสออกมา เพียงฝ่ายนั้นขยับตัว กลิ่นแก้วก็รีบรั้งแขนทอมัสไว้พร้อมต่อรอง

“ผมจะคุย ถ้าให้มิสเตอร์ทอมัสอยู่ที่นี่ด้วย”

โอลิเวอร์เลิกคิ้ว ยกยิ้มมุมปาก “รู้จักต่อรองซะด้วย”

เขาปัดมือให้คนของตนถอยออกไป “คราวนี้ก็คุยกันได้แล้วสินะ?”

ว่าจบก็หยิบรูปเก่า ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทราวเตรียมการมาแล้วกระนั้น เมื่อเห็นว่ามันคือรูปอะไร กลิ่นแก้วก็ตาโต รูปใบนั้นมันอยู่ในกระเป๋าที่เขาทิ้งไว้บ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ มาอยู่กับคนคนนี้ได้อย่างไร?

“จำมันได้ไหม?”

“.........”
กลิ่นแก้วมองคนตรงหน้านิ่ง ผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร?

“เขาคือพ่อของเธอใช่ไหม?”
“.........”
กลิ่นแก้วไม่ตอบ เพียงเลื่อนสายตาไปมองรูปในมือของอีกฝ่าย

“แล้วรู้ไหมว่าคนในรูปคือน้องชายของฉัน?” ท่าทางเด็กดูไม่แปลกใจ ทำให้โอลิเวอร์กระตุกยิ้ม “อ้อ ท่าทางจะรู้แล้ว”

“.........”

“เอวานบอกอะไรกับเธอบ้างล่ะ?”

“คุณต้องการอะไร?”


แทนที่จะตอบ กลิ่นแก้วกลับเลือกตั้งคำถาม นั่นทำให้โอลิเวอร์ทำเสียงหึในลำคอ

“ใจเย็น ๆ” เขาค่อยเดินไปนั่งลงตรงม้านั่ง ท่าทางดูไม่ร้อนอกร้อนใจอะไร “ฉันแค่อยากมาทำความรู้จัก และบอกในสิ่งที่เธออาจไม่เคยรู้”

นึกถึงมันแล้วกลิ่นแก้วก็ถอนใจ บทจะรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็โถมเข้าใส่เสียจนตั้งตัวไม่ทัน ชีวิตที่เคยปรกติสุขกลับสับสนวุ่นวาย ถ้าการได้รู้มันจะทำให้เขาเป็นทุกข์ขนาดนี้ สู้ไม่รู้ไปตลอดชีวิตเสียยังจะดีกว่า

ตากลมลอบมองคนข้างกาย สีหน้าเอวานดูเคร่งเครียดเพียงเห็นว่าเขาคุยกับใคร ไม่รู้ว่าเคยมีปัญหากันมาก่อน หรือเพราะเอวานรู้เหมือนที่โอลิเวอร์ ไรท์คนนั้นรู้กันแน่

เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน ลงจากรถกลิ่นแก้วก็รีบเดินเข้าคฤหาสน์แล้วขึ้นชั้นบนไป โดยที่มีเอวานเดินตามมา มือหนาคว้าแขนเอาไว้ขณะที่กำลังจะเปิดประตู ทำให้กลิ่นแก้วหันกลับมาด้วยความตกใจ

“เขาพูดอะไรกับเธอ?”

กลิ่นแก้วมองหน้า เอวานดูเครียดจริง ๆ ทำไมถึงได้ดูกังวลใจขนาดนี้ล่ะ เอวาน...

“ผมมีเรื่องอยากถาม”

คำถามที่ถามไปไม่ได้รับคำตอบ ทั้งยังถูกถามกลับ คิ้วเอวานเลยพาลขมวดปม

“เรื่องอะไร?”

“สัญญากับผมก่อนได้ไหม ไม่ว่าเรื่องอะไร คุณจะพูดความจริง คุณจะไม่โกหกผม”

“.........” แววเว้าวอนในดวงตาคู่นั้นทำให้เอวานเลือกที่จะไม่ขัด

“ทุกปีคุณจะพาผมไปที่สุสาน ไปหาพี่ชายของคุณ...”

ลมหายใจเอวานสะดุดเมื่อกลิ่นแก้วเว้นวรรคไปนาน ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยแววสับสนและไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาจนจบประโยค

“เพราะอะไรครับ?”

เอวานเงียบไปครู่หนึ่ง นั่นทำให้กลิ่นแก้วคาดหวัง คาดหวังในคำตอบที่จะได้รับ คาดหวังว่าเอวานจะไม่โกหก

“ถ้าเธอไม่อยากไป ฉันก็จะไม่พาไปอีก”

คำตอบที่ได้ทำเอาความผิดหวังแล่นปราดไปทั้งใจ กลิ่นแก้วพยักหน้า หัวเราะเสียงแห้งทั้งที่อยากร้องไห้เต็มแก่ เอวานไม่โกหก แต่เอวานก็ไม่ยอมพูดความจริงเหมือนกัน

กลิ่นแก้วปลดมือที่รั้งตนเองไว้ออกแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป เสียงปิดประตูลงกลอนทำให้เอวานยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าโอลิเวอร์พูดอะไรกับเด็กของเขาบ้าง กระทั่งเรียกบอดีการ์ดของตนเองมาสอบถาม

ประตูห้องกลิ่นแก้วถูกเคาะ แต่ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องจะเปิดมันออกมา เมื่อรออยู่สักพักก็ยังเงียบ เอวานจึงต้องถอย ทั้งที่ความจริงเขาสามารถเรียกแม่บ้านมาเปิดให้ก็ได้ แต่อีกฝ่ายอาจยังไม่พร้อมคุย ก็คงต้องปล่อยไปก่อน


.........


เอวานแบกความกังวลไปทำงานเสียเต็มบ่า อยากจะคุยกันให้รู้เรื่องแต่กลิ่นแก้วก็ไม่ยอมออกมาคุยด้วย เขาไม่รู้ว่ากลิ่นแก้วรู้อะไรมามากแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาก็เห็นพูดถึงแต่แคทเธอรีน เดลลาร์ ทั้งยังบอกว่าบิดามารดาด่วนจากไปทั้งคู่ ไม่เห็นเคยมีครั้งไหนที่เอ่ยถึงสตีเฟ่น ไรท์ หรือแม้กระทั่งเขาพาไปที่สุสานทุกปี กลิ่นแก้วก็แค่ถามว่าเป็นใคร พอเขาบอกว่าเป็นพี่ชายก็ไม่ได้ซักไซ้หรือสงสัยอะไรอีก จนกระทั่งได้เจอกับโอลิเวอร์ ไรท์ เมื่อคืน บางที... การปิดบังต่อไปอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้

แมกซ์เวลเข้ามาในห้องทำงานพร้อมแฟ้มเอกสาร เมื่อแฟ้มถูกวางลงบนโต๊ะ เอวานจึงค่อยเลื่อนสายตามามอง ขณะที่บอดีการ์ดหนุ่มรายงาน

“นายริชาร์ด พาร์เลอร์ ได้เข้ามาชำระหนี้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ”

“ทั้งหมด?” เอวานมุ่นคิ้ว เปิดดูเอกสารภายในแฟ้มด้วยความแปลกใจ เงินมากมายขนาดนั้น นายพาร์เลอร์หามาจากไหนในเวลาเพียงไม่นาน

“ครับ ทั้งต้นและดอกเบี้ย” แมกซ์เวลยืนยันในสิ่งที่พูดข้างต้น

“รู้ที่มาของเงินก้อนนี้ไหม?” ดวงตาคมค่อยละจากแฟ้มขึ้นมามองบอดีการ์ดของตน

“พักหลังเห็นว่าเข้าออกคาสิโนเป็นว่าเล่นครับ”

“คาสิโน?” ได้ยินเช่นนั้นยิ่งเกิดความกังขา “ดวงดีขนาดนั้นเชียว?”

การพนันทำให้มีเงินพอใช้คืนทั้งต้นและดอกที่ทบกันมาเป็นระยะเวลานานได้เลยหรือ นายพาร์เลอร์แทบจะกลายเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ไม่นานนี้แล้ว แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ นายพาร์เลอร์จะได้เงินก้อนนั้นมาด้วยวิธีใดก็ไม่ใช่ธุระที่เขาต้องให้ความสนใจ เพียงใช้คืนครบก็จบเท่านั้น

“นายครับ” แมกซ์เวลส่งโทรศัพท์ของตนเองให้ผู้เป็นนาย เมื่อมีสายเรียกเข้าและตนเองกดรับก่อนสนทนากับปลายสายอยู่ครู่หนึ่ง “คนรถของเจฟเฟอร์สันครับ ตอนนี้เขาอยู่กับกลิ่นแก้ว”

ช่วงนี้กลิ่นแก้วปิดเทอมเลยไม่ได้ให้ใครเฝ้าเป็นพิเศษ แต่ก่อนออกมาเอวานได้สั่งคนของเจฟเฟอร์สันเอาไว้แล้วว่าให้ดูแลด้วย เพราะเขาและมารดาไม่อยู่ และกลิ่นแก้วก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง หากมีปัญหาอะไรก็ให้รีบรายงานมา

“เกิดอะไรขึ้น?” คิ้วเอวานขมวดเมื่อเอ่ยถามผู้ที่อยู่ปลายสาย หลังจากรับโทรศัพท์จากแมกซ์เวลมา

“เจ้าหนูกลิ่นแก้วมันขอให้ผมพามาที่สุสานครับ นาย” เสียงคนรถของคฤหาสน์รายงานมาด้วยความร้อนรน

“สุสาน?” เอวานทวนคำ “ไปทำไม?”

“ผมจะโทรบอกนายก่อน มันก็เดินลิ่วไปเลย บอกจะมาเอง ผมเลยต้องพามาครับ” คนรถละล่ำละลักด้วยกลัวความผิด พาคนของนายออกมาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาต

เอวานถอนใจ “เอาเถอะ เฝ้าไว้ก่อน อย่าให้คลาดสายตา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

“ครับ นาย”

โทรศัพท์ถูกส่งคืน กายสูงใหญ่ผุดลุกแล้วสั่งคนของตนให้เอารถออก ขณะที่ภายในหัวกำลังครุ่นคิด กลิ่นแก้วคงรู้ทุกอย่างแล้วจริง ๆ



ขณะเดียวกันที่หน้าหลุมศพสตีเฟ่น ไรท์ กลิ่นแก้วมาที่นี่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ก่อนนี้เขามาเพื่ออยู่ข้างเอวานเวลาที่เอวานทุกข์ใจ อยากอยู่ใกล้ ๆ แม้ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ในครั้งนี้เขามาด้วยความรู้สึกสูญเสีย

“ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณอยู่ตรงนี้ ผมอยากเจอคุณ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมทุกคนถึงได้จากผมไปกันหมด ทำไมถึงทิ้งผมไปกันหมด...” ไม่ว่าถ้อยคำใดก็ไม่อาจส่งไปถึงใครสักคน เขาต้องอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความโดดเดี่ยวจริงหรือ

ไม่รู้นานเท่าไรที่กลิ่นแก้วยืนอยู่ตรงนั้น ความกังวลของคนรถที่คอยชะเง้อมองอยู่ตลอดไม่ได้ทำให้เขาหันไปสนใจ ได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบข้าง จนกระทั่งเอวานก้าวเข้ามา กลิ่นแก้วรู้ว่าอีกคนยืนอยู่ข้างกาย แต่ก็ยังปล่อยให้ความเงียบมันดำเนินไปเช่นนั้น

“ก่อนที่แม่ของผมจะเสีย ท่านได้ให้กล่องใบหนึ่งกับผมมา”

“.........” เอวานค่อยหันไปมอง เมื่อเด็กข้างกายเอ่ยขึ้นมาหลังจากยืนเงียบอยู่นาน

“ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ดีก็คือ... รูปถ่าย”

“.........”

“รูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่งที่แม่บอกว่าเป็นพ่อของผม และมันก็กลายเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวผมมาที่นี่ ผมเฝ้าหวังว่าสักวันจะได้พบกับเขา คนที่ผมไม่เคยรู้แม้กระทั่งชื่อ”

พูดเพียงเท่านั้นแล้วกลิ่นแก้วก็นิ่งไป ขณะที่เอวานยังคงมองอยู่เงียบ ๆ ไม่ถาม ไม่ขัด รอจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดต่อ

“การใช้ชีวิตอยู่ที่เดลลาร์ ดี มันไม่มีความสุขเลย ทุก ๆ วันผมเฝ้าหวังว่าผู้ชายในรูปจะมาพาผมออกไปจากที่นั่น ได้แต่หวังว่าเขาจะรู้ เขาจะตามหาผม และพาผมออกไป เขาคือความหวังเดียวที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่ อยู่เพื่อรอเขา”

“.........”

“ในวันที่ผมถูกส่งไปบ้านของมิสเตอร์พาร์เลอร์และหนีออกมา รูปนั้นมันก็หายไปจากชีวิตผมแบบถาวร ความหวังหนึ่งเดียวนั้นมันหายไปแล้ว ชีวิตผมไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ในวันที่ผมสิ้นหวัง กลับมีคุณเข้ามา ทำให้ผมยังหายใจอยู่จนถึงตอนนี้”

“.........”

“ผมเลิกหวังว่าจะได้พบเขา เพราะไม่เหลืออะไรที่พอจะใช้ตามหาเขาได้ โลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่ผมจะใช้แค่ความทรงจำเพื่อตามหาเขา เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วเขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง...” ค่อยหันมองเอวานเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “พี่ชายของเขาบอกว่าผมเป็นหลาน น้องชายของเขาเฝ้าตามหาผมมาตลอด และฝากฝังให้เขาดูแลหากหาผมเจอ”

“.........” แม้จะได้ฟังจากทอมัสมาแล้ว แต่พอกลิ่นแก้วพูด คิ้วเอวานก็ยังขมวด

“เขาตามหาผมมาตั้งหลายปี จนได้รู้ว่าผมมาอยู่กับคุณ เพราะคำขอร้องก่อนตายของน้องชายเขา ซึ่งคุณปฏิเสธไม่ได้”

“.........”

“แม้คุณจะไม่เต็มใจ แต่คุณก็ไม่ยินยอมที่จะส่งผมกลับไปอยู่ในความดูแลของเขา เพราะจะเก็บผมไว้ต่อรองผลประโยชน์ที่คุณควรได้”

“ไม่จริง” เอวานปฏิเสธเสียงหนัก โอลิเวอร์มาเป่าหูอะไรเด็กของเขา!

“ใช่ ผมรู้ว่าเขาโกหก คุณไม่มีทางทำแบบนั้น และผมไม่ติดใจเรื่องนี้เลย” กลิ่นแก้วยังคงพูดต่อ น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อยเหมือนแค่พูดให้ฟัง “เรื่องเดียวที่ผมอยากรู้คือ... คุณรู้มาตลอดใช่ไหมว่าผมเป็นใคร เพราะแบบนั้นใช่ไหมคุณถึงดูแลผม เราไม่ได้เจอกันโดยบังเอิญ คุณไม่ได้อยากดูแลผมมาตั้งแต่แรก แต่เพราะคุณปฏิเสธไม่ได้ เพราะเขาไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธ คุณถึงต้องจำใจรับผมมาดูแล”

สิ่งที่กลิ่นแก้วอยากรู้และเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องที่ว่าตนเองเป็นใคร หรือใครหวังประโยชน์อะไรจากใคร หรือแม้แต่เอวานรู้เรื่องนี้ไหม กลิ่นแก้วแค่กลัว กลัวว่าตัวเองจะเป็นภาระที่เอวานจำใจต้องดูแลเพียงเพราะขัดความต้องการของพี่ชายอย่างสตีเฟ่น ไรท์ไม่ได้

“เชื่อคำพูดไม่กี่คำของคนที่เพิ่งรู้จักมากกว่าฉันงั้นเหรอ?” เอวานเอ่ยถามขึ้นมา คำว่าไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธมันกระทบใจ เมื่อเขาเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ

“คำพูดของเขามันจะไม่น่าเชื่อถือเลยถ้าคุณบอกมาว่าความจริงมันเป็นยังไง คุณพูดมาสิว่าคุณไม่รู้จักพ่อผม พูดมาสิว่าสตีเฟ่น ไรท์ไม่ใช่พ่อผม พูดออกมาสิ” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ดังไปกว่าปรกติ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและวอนขอ พูดมันออกมาสิเอวาน บอกทีว่ามันไม่ใช่

“ถ้าใช่แล้วยังไง ถ้าใช่แล้วเธอจะไปจากฉัน จะไปอยู่กับคนพวกนั้นเหรอ?”

“ผมไม่ได้พูด” กลิ่นแก้วปฏิเสธ ได้โปรดเถอะ เขาเหมือนจะขาดใจไปทุกทีแล้ว “ผมแค่อยากรู้จากปากคุณว่ามันเป็นความจริงใช่ไหม คุณต้องดูแลผมเพราะจำใจจริงเหรอ?”

เอวานถอนใจ จะเอื้อมไปคว้ามือเรียวแต่ถูกปัดออกทันควัน นั่นทำให้เขาอึ้งไปนิด ขณะที่กลิ่นแก้วมองอย่างตัดพ้อ เมื่อเอวานไม่ยอมพูด จะให้คิดเช่นไร เขาเป็นภาระที่จำใจรับมาไว้บนบ่าจริง ๆ ใช่ไหม

“ถ้าฉันตอบว่าไม่ใช่ จะทำให้เธอสบายใจขึ้นไหม?”

เพียงพูดไปเช่นนั้น แววผิดหวังก็ฉายชัดในดวงตา อย่ามองเขาแบบนี้...

“เรื่องคำขอสุดท้ายก่อนตายมันคือความจริง ฉันทำตามคำขอของเขาจริง ๆ” เห็นเด็กตรงหน้าน้ำตาไหลแล้วเอวานก็อยากคว้ามากอด แต่ก็ต้องข่มใจไว้เมื่อเอ่ยต่อ “ฉันยอมรับว่าไม่พอใจกับวิธีการมัดมือชกของเขา แต่การดูแลเธอไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ต่อให้เธอจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็ยังปล่อยให้เธอต้องกลับไปเผชิญชะตากรรมแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี”

“.........”

“ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมายังทำให้เธอเชื่อไม่ได้ว่า... ฉันเต็มใจที่จะดูแลเธอ มันไม่ใช่การฝืนใจหรือเพราะแค่รับปากใครเอาไว้ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเสียใจที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น”

“.........” กลิ่นแก้วสะอื้น ใบหน้าเรียวส่ายไปมา ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้

“มันไม่ใช่แค่หน้าที่ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ เพราะฉันอยากทำ ฉันอยากเห็นเธอยิ้ม อยากเห็นเธอมีความสุข”

มือใหญ่ค่อยเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา

“ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ขอแค่เธอมีความสุข นั่นคือความปรารถนาเดียวของฉัน”





TBC




เป็นนิยายที่ไม่ตรงกับชื่อเรื่องเอาซะเลย :D

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ + บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด + >>๑๗.๑๒.๒๕๖๑<< Update
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-12-2018 03:03:06
ตัวแปรเริ่มมาแล้ววว
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-12-2018 10:40:43
รอๆ
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-12-2018 10:42:05
เหมือนความวุ่นวายกำลังจะมา  :hao5:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 18-12-2018 22:50:50
 เริ่มเหนื่อยใจกับความเป็นผู้ใหญ่ของเอวานแล้ว เหนื่อยกับการไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อีกอย่างเหนื่อยใจกับพวกคนรวยที่ไม่รู้จักพอ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-12-2018 23:29:31
เอวานรู้ใจตัวเองซะที
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 16-01-2019 08:51:06
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 16-01-2019 10:09:45
 :L1:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 16-01-2019 10:35:00
อย่าหายไปนานน๊า คิดถึง
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๘ ความเป็นจริงที่เจ็บปวด+ // 17.12.2561
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-01-2019 16:42:18
หายไปนานจัง
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 22-01-2019 21:47:04

บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๙ สถานะใจ



“นายทำบ้าอะไร โอลิเวอร์?”

เรื่องที่โอลิเวอร์ ไรท์เข้าไปป่วนเด็กของเอวาน เมื่อมาถึงหูผู้เป็นพี่ชายอย่างฟรานเชสโก้ เขาจึงได้เรียกอีกฝ่ายมาคุย คราวก่อนที่ให้คนไปเล่นไล่จับกับเด็กมันจนเป็นเรื่องก็หนหนึ่งแล้ว คราวนี้ยังไปประกาศศักดาแบบสิ้นคิดอีก มันช่างโง่เง่านักในสายตาเขา หากสิ่งที่โอลิเวอร์ทำคือการเป่าหูเด็กคนนั้นให้คล้อยตาม ระหว่างคนที่ไม่รู้จักกันเช่นพวกเขา กับ เอวาน เวสส์ที่อยู่ด้วยมาตั้งหลายปี คิดว่าเด็กมันจะเอนเอียงมาทางนี้หรืออย่างไร

“แค่ทักทายหลานรักของนายนิดหน่อยเอง” โอลิเวอร์ยกยิ้มกวนอารมณ์

“ด้วยการอยู่ดี ๆ ก็ไปบอกว่าเป็นญาติฝ่ายพ่อของเขา?” ผู้เป็นพี่ชายย้อนถาม

“ไม่ใช่อยู่ดี ๆ” คนพูดยิ้มยวนเมื่อเว้นช่วง ก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าฉันไม่ปูทางไว้ก่อนแล้ว จะกล้าเดินเทิ่ง ๆ เข้าไปพูดแบบนั้นได้ยังไง?”

หัวคิ้วฟรานเชสโก้เริ่มมุ่นกับประโยคนั้น “หมายความว่ายังไง?”

อีกคนทำเป็นถอนใจ กายสูงใหญ่นั้นค่อยเดินไปทางตู้โชว์ที่เก็บไวน์ชั้นดีของพี่ชายเอาไว้ เขาหยิบขวดหนึ่งในนั้นออกมาแล้วพลิกดูพลางว่า

“ก็อย่างที่นายรู้ เด็กคนนั้นรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร... ฉันหมายถึงพ่อแท้ ๆ น่ะนะ” คนพูดยังเดินไปหยิบที่เปิดขวดไวน์ ราวไม่ได้กำลังพูดเรื่องที่สลักสำคัญอะไร

และเพราะฟรานเชสโก้รู้ ถึงได้เสนอเงินก้อนโตกับริชาร์ด พาร์เลอร์ นักพนันตัวยงเพื่อเอาไปใช้หนี้เวสส์ เพียงเพราะต้องการฮุบกิจการของตาเฒ่านั่นมา หนี้สินที่ตาเฒ่านั่นมีไม่ได้หมดไป แค่ย้ายมือจากเวสส์มาเป็นไรท์ก็เท่านั้น

ในความรู้สึกของโอลิเวอร์ เขาว่าสิ่งที่ผู้เป็นพี่ชายทำมันเป็นการลงทุนโดยไร้ประโยชน์ ขนาดเป็นหนี้เวสส์ ตาเฒ่านั่นยังไม่มีปัญญาจ่าย แล้วอย่างนี้มันไม่กลายเป็นหนี้สูญไปหรอกหรือ แต่ฟรานเชสโก้กลับว่าบริษัทของพาร์เลอร์มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจด้านรถยนต์อยู่บ้าง หากโอลิเวอร์อยากเข้าไปบริหารต่อ ตนก็ยกให้ แลกกับการไม่เข้าไปวุ่นวายกับลูกชายของสตีเฟ่น

‘ลงทุนขนาดนี้ ลูกสตีฟหรือลูกนายกันแน่?’

นั่นคือสิ่งที่โอลิเวอร์พูดในตอนนั้น ก็เข้าใจล่ะว่าสตีเฟ่นเป็นน้องรัก ลูกชายของสตีเฟ่นก็ต้องเป็นหลานรักเป็นธรรมดา แต่เพียงเพราะอยากเหยียบตาเฒ่าวิตถารที่เคยคิดจะแตะต้องหลานรักไว้ใต้ฝ่าเท้า ถึงกับยอมทุ่มเงินไปโดยไม่ต้องคิด แถมยังยกผลประโยชน์ที่จะได้ให้เขาอีก คงมีแต่เขากระมังที่อยู่นอกสายตาคนบูชาครอบครัวแบบฟรานเชสโก้

“แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นสตีฟ”

เสียงของพี่ชายดึงโอลิเวอร์กลับมายังปัจจุบัน มันก็จริงที่เด็กคนนั้นรู้ว่าบิดาโดยสายเลือดหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร และอยู่ที่ไหน แล้วโอลิเวอร์เอาอะไรไปมั่นใจถึงขนาดเข้าไปแสดงตัวกับเด็กเช่นนั้นกัน

“ใช่ ตอนแรกเขาไม่รู้ แต่ฉันก็เปิดโลกทัศน์เขานิดหน่อย”

คนพูดไหวไหล่ หยิบแก้วไวน์แล้วเดินกลับมาที่ชุดโซฟาภายในห้องพร้อมที่เปิดขวด ไม่สนสายตาพี่ที่มองตาม ของหายากเลยนะนี่ ห้องทำงานพี่ชายของเขานี่มันเยี่ยมจริง

“นายทำอะไร?”

คำถามนั้นทำให้โอลิเวอร์หัวเราะในลำคอ ขณะรินไวน์อย่างใจเย็น “ฉันนึกว่านายจะฉลาดและรู้ทันฉันไปทุกเรื่องเสียอีก”

“.........” สายตาคมดุนั่นจับจ้องผู้เป็นน้องชายนิ่ง

“ถ้านายยังตามเรื่องเด็กนั่นอยู่ นายน่าจะรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เอวานพามันกลับไปเยี่ยมบ้าน ฉันก็เลยให้คนไปจ้างวานพี่สาวของเด็กนั่นให้ไปกระซิบบอกน้องชายผู้น่าสงสารเสียหน่อย เผื่อจะตาสว่าง จะได้รู้ว่าพ่อของมันลงไปนอนเน่าอยู่ใต้พื้นดินที่มันไปเหยียบทุกปี”

“เด็กคนนั้นก็ยอมทำตามที่คนของนายบอกให้ทำง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?” ฟรานเชสโก้เอ่ยถาม อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น

“ตอนแรกเธอก็สงสัยว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่คงคิดแล้วว่าไม่มีผลอะไรกับน้องชายที่น่ารัก ก็แค่ไปชื่นชมผู้ปกครองของเด็กมันให้ฟังว่าหล่อเหลา ร่ำรวย มีญาติพี่น้องแสนยิ่งใหญ่แบบไรท์ แถมได้ค่าขนมอีก ก็เลยยอมทำ”

“เพราะแบบนั้นนายก็เลยเข้าไปแสดงตัว?”

“นี่มันแค่เริ่มต้น” โอลิเวอร์ยังว่าอย่างไม่อนาทร

“ถ้ามีเวลาว่างมากนักก็ไปดูแลงานในส่วนของนายซะ ปรามคนของนายบ้าง อย่าเข้าไปวุ่นวายในส่วนของห้องอาหารและคลับ มีหน้าที่แค่ส่วนไหนก็ดูแลแค่ส่วนนั้น เละเทะไม่เป็นท่า”

ฟรานเชสโก้บ่นยาว เมื่อโอลิเวอร์ปล่อยให้ลูกน้องเข้ามาดูแลงานในส่วนที่เคยเป็นของมากาเร็ต และยังลามไปวุ่นวายในส่วนที่เป็นของเธอในปัจจุบันอีก

ช่วงที่ผ่านมา มากาเร็ตยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง เธอเองก็คงเหนื่อยที่ต้องมางัดกับโอลิเวอร์บ่อย ๆ จึงถอยออกไปบริหารจัดการแค่ส่วนห้องอาหารและคลับเฮาส์ โดยเทขายหุ้นส่วนหนึ่งซึ่งเป็นสิทธิ์ของเธอ แต่โอลิเวอร์โต้ว่าหุ้นส่วนนั้นมันเป็นของไรท์มาตั้งแต่แรก เรื่องอะไรต้องมาซื้อหุ้นที่มันเป็นของครอบครัวตัวเอง แต่ฟรานเชสโก้ที่อยากให้เรื่องมันจบจึงซื้อส่วนนั้นคืนมา ก่อนที่จะมีใครที่ไหนมาชุบมือเปิบไป ทำให้เวลานี้เขามีหุ้นในมือมากที่สุด และสามารถตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จได้หากจำเป็น

และเมื่อหุ้นส่วนที่ตนเองอยากได้ตกไปอยู่ในมือของพี่ชาย โอลิเวอร์ก็ไม่สามารถปริปากอะไรได้ การจะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับคนสายเลือดเดียวกันมันมีแต่เสียกับเสีย เลยคิดเสียว่าอย่างน้อยมันก็ยังคงเป็นของไรท์ ไม่ใช่คนนอกเช่นมากาเร็ต

“ในเมื่อนายก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมไม่จัดการสักที เด็กนั่นเป็นลูกชายน้องสุดที่รักของนายไง สายเลือดไรท์ก็ควรอยู่กับไรท์ นี่ฉันทำเพื่อนายนะ”

โอลิเวอร์ยุส่งขณะที่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อผู้เป็นพี่ชายรู้เรื่องนั้นมาก่อนเขาก็ตั้งนานแล้ว เหตุใดยังใจเย็นอยู่เป็นปี ๆ โดยไม่คิดจะขยับตัวทำอะไรเลย จนเด็กมันโตขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยพอเด็กนั่นบรรลุนิติภาวะคงแตะไม่ได้แล้ว

“ถึงยังไงมันก็เป็นลูกสตีฟ ในฐานะพี่น้องฝั่งพ่อ เราตรวจดีเอ็นเอเพื่อครอบครองสิทธิ์เลี้ยงดูเด็กได้อยู่แล้ว” โอลิเวอร์ว่า

“นายกำลังฝันหวานอยู่รึไง?” ผู้เป็นพี่ชายสวนกลับมา “แน่นอนว่ามันตรวจได้ แล้วจะตรวจยังไง จะเดินเข้าไปขอมาดามเกวน เจฟเฟอร์สันที่รับรองบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าขอพาเด็กไปตรวจดีเอ็นเอ คิดว่าเธอจะยอมเรอะ?”

“ไม่ยอมก็ใช้กฎหมายบังคับไปสิ” โอลิเวอร์ว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยาก

“บังคับยังไง จะเอาอะไรไปบังคับ?”

“.........” หัวคิ้วโอลิเวอร์ขมวดเมื่อฟรานเชสโก้เอาแต่ตั้งคำถาม

“ถ้าจะให้ถึงขั้นฟ้องร้องกัน ฉันก็จะถามนายอีกว่านายจะเอาอะไรไปฟ้อง แค่คำว่าสงสัยว่าจะใช่ ศาลไม่มีทางสั่งให้พิสูจน์เพียงเพราะมูลเหตุแค่นั้น ไม่งั้นอยู่ดี ๆ นึกอยากสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นลูกก็ให้ศาลสั่งพิสูจน์กันได้ทั้งโลก”

“.........” โอลิเวอร์วางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะไม่เบานัก เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ถ้าสมมติว่าเด็กคนนั้นคือสายเลือดของไรท์แต่ไม่มีกฎหมายรองรับ กว่านายจะดันขึ้นไปต่อกรกับมากาเร็ตได้ สู้นายปะทะกับเธอไปเลยยังได้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่าเอาเด็กมาเป็นโล่เสียอีก” มองสีหน้าดื้อแพ่งของผู้เป็นน้องแล้วฟรานเชสโก้ก็ถอนใจ “ในเมื่อนายกลัวว่าจะมีคนมาแย่งผลประโยชน์ การเอาเด็กคนนั้นเข้ามา ผลประโยชน์ที่นายควรจะได้ไม่ต้องถูกแบ่งไปอีกหรอกเหรอ?”

“ถึงยังไงเด็กนั่นก็มีความเกี่ยวพันโดยสายเลือด ไม่เหมือนมากาเร็ต วิลสันที่เป็นคนอื่น แล้วอีกอย่าง เด็กกล่อมง่ายกว่าคนหัวแข็งแบบยายนั่น” โอลิเวอร์ยังว่า

“ถ้าเอาเด็กมาเพราะหวังเพียงผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ พอโดนเชือดไป นายก็หาวิธีใหม่ เอวานไม่มีทางยอมปล่อยมาแน่” ฟรานเชสโก้ยังยกเหตุผลร้อยแปด

ขณะที่อีกคนท้าเหยง “นายจะกลัวอะไร เวสส์มันจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว”

“ถ้ามีแค่เวสส์ก็คงไม่เท่าไร แต่ถ้ารวมเฟอร์ริงตันด้วย...”

“ใครมันจะยื่นเท้าเข้ามาเสือกให้ตัวเองมีปัญหา” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ โอลิเวอร์ก็แทรกขึ้นมาเสียงหยัน

“นายอาจจะลืมว่าเอวาน เวสส์ก็เป็นลูกรักของอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เมื่อลูกของเขามีปัญหา นายคิดว่าเขาจะอยู่เฉยหรือเปล่า?”

“.........” ความจริงข้อนี้ทำให้โอลิเวอร์นิ่งไป เฟอร์ริงตันก็พวกบูชาครอบครัวไม่ต่างอะไรกับฟรานเชสโก้

“กับคนที่นายคบเพื่อผลประโยชน์ พอถึงเวลาจะมีใครยื่นมือเข้ามายุ่งสักกี่คนกัน ในขณะที่เอวานมีทั้งเวสส์และเฟอร์ริงตัน นายมีอะไรพอจะไปต่อกรได้ ไม่มีใครช่วยถ้านายไม่มีผลประโยชน์มากพอ”

“.........” ท่าทีคนเป็นน้องยังกระด้างกระเดื่อง ไม่อยากยอมแม้จะจนด้วยเหตุผลแล้วก็ตาม

“หุ้นในคาสิโนส่วนที่เป็นของเราสามคนพี่น้อง มันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไป แถมเวลานี้กำลังไปได้สวยเพราะลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ซึ่งมากาเร็ตก็มีส่วนไม่น้อย”

“.........”

“ฉันรู้ว่านายรู้ ถึงได้ยังปล่อยให้เธอลอยหน้าอยู่ที่นี่แบบที่นายพูดเสมอว่าไม่ชอบ จนฉันนึกว่าจะอยู่ร่วมกันได้แล้วเสียอีก”

“นายเป็นพวกรักสงบตั้งแต่เมื่อไร?” โอลิเวอร์รวน

“ฉันเคยไม่รักสงบด้วยเหรอ?” ผู้เป็นพี่ย้อน

ฟรานเชสโก้ก็เป็นแบบนี้ แค่ไม่แตะครอบครัวที่บูชายิ่งก็จะไม่มีปัญหากับคนอย่างฟรานเชสโก้ หากเห็นว่ามีประโยชน์ก็ปล่อยผ่าน รกหูรกตาก็ทำให้หายไปแบบเงียบ ๆ ไม่กระโตกกระตากแบบโอลิเวอร์

ภายในห้องทำงานของฟรานเชสโก้กลับสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อโอลิเวอร์ออกไปแล้ว แก้วไวน์ที่หมอนั่นดื่มยังตั้งอยู่ที่เดิมพร้อมขวดและที่เปิด หนุ่มเจ้าของห้องถอนใจ หยิบขวดไวน์ไปเก็บที่เดิมแล้วเดินไปหลังโต๊ะทำงาน เปิดชั้นเก็บของข้างโต๊ะก่อนหยิบซองใส่เอกสารในนั้นออกมา

รูปถ่ายมากมายถูกเลื่อนออกมาจากซอง มือหนาค่อยหยิบมาดูทีละรูป เวลานี้เขาเหมือนเป็นโรคจิตที่ตามติดชีวิตเด็กในรูปไปแล้ว เด็กผู้ชายที่ค่อยเติบโตขึ้นท่ามกลางความสดใสจากรอยยิ้มของเจ้าตัว

เมื่อรู้สึกว่าเด็กในรูปเป็นหนึ่งในสายเลือดของไรท์ ฟรานเชสโก้ก็ไม่อยากทำอะไรรุนแรง จากที่ไม่พอใจและอยากเหยียบย่ำสิ่งที่เกิดมาจากความรักจอมปลอมที่น้องชายเทิดทูนนักหนากระทั่งยอมทิ้งทุกอย่างไป แต่เมื่อคอยเฝ้ามองและเห็นว่าเด็กคนนั้น คนที่มีสายเลือดของไรท์ไหลเวียนอยู่ไม่ต่างจากเขากำลังมีชีวิตที่ดี หากเขาดึงเข้ามาในวังวนของความกระหายอยากที่ไม่มีวันจบสิ้น รอยยิ้มที่เขาเห็นอยู่ในวันนี้ก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอีกต่อไป

เหตุที่สตีเฟ่นปิดบังซ่อนเร้นก็เพราะไม่อยากให้เขาไปดึงเด็กคนนั้นมา เพราะตัวสตีเฟ่นเองไม่เคยชอบการแก่งแย่งและอยากหนีไปให้ไกลสุดหล้า แต่ทำไม่สำเร็จ มีหรือที่จะอยากให้ลูกของตัวเองต้องมาแปดเปื้อน ต้องเข้ามารับช่วงต่อในสิ่งที่ตัวเองเคยผ่านพ้นมาและรู้ดีว่ามันสกปรกแค่ไหน

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ฟรานเชสโก้เอาแต่เฝ้าดูเด็กคนนี้อยู่ห่าง ๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนรูปถ่ายช่างคุ้นตา มันช่างเหมือน เหมือนจนเกินไป ราวเห็นภาพทับซ้อนของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่หยิ่งทะนง แม้แทบจะหมดสิ้นหนทางกลับยังเชื่อในอานุภาพของคำว่ารักจนน่าขำ

ใช่ น่าขำ เขานี่ล่ะที่น่าขำ น่าขำสิ้นดีที่เพิ่งรู้ว่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดลงไปโดยไม่สามารถแก้ไขมันได้อีก...


..........


เครื่องบันทึกเสียงถูกนำออกมาจากกล่องเก็บของที่เอวานเกือบจะทิ้งไปแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดฟังไปเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้

เอวานเดินเข้าไปหาเด็กที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียงนอนของเขา หลังจากที่เขาสารภาพทุกอย่างไป กลิ่นแก้วไม่ได้พูดอะไรนอกจากร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร จะเชื่อที่เขาพูดไหม หรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังดีหน่อยที่ยอมตามเขากลับมาโดยดี

ตัวสูงใหญ่ค่อยนั่งลงบนเตียง ส่งเครื่องบันทึกเสียงที่ไม่รู้ว่ายังใช้การได้อยู่ไหมไปให้เด็กข้างกาย กลิ่นแก้วนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยหันมามองมันด้วยแววตาว่างเปล่า

“คำขอของสตีฟ ฉันได้มันมาในวันที่เขาหมดลมหายใจไปแล้ว”

“.........” ดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้มองสิ่งที่อยู่ในมือเอวานนิ่ง

“เธอพูดถูก เขาไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธของฉันจริง ๆ” เอวานยังคงพูด ในขณะที่อีกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด “เธออยากฟังมันไหม?”
มองนิ่งอยู่นานกลิ่นแก้วถึงได้รับของชิ้นนั้นไป แต่ก็ถือเอาไว้บนหน้าตัก ไม่ได้คิดจะสนใจมันไปมากกว่านั้น พวกเขาต่างนั่งเงียบเมื่อเอวานไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะสิ่งที่อยากพูด เขาก็ได้พูดไปหมดแล้วที่สุสานนั่น ก็สุดแท้แต่ว่ากลิ่นแก้วจะคิดอย่างไร

“คุณช่วยเล่าให้ฟังได้ไหมครับ?”

เป็นนานกว่ากลิ่นแก้วจะพูดขึ้นมา เอวานจึงค่อยหันมามอง สบเข้ากับตากลมที่ช้อนมองเขาอยู่ก่อนแล้วขณะฟังคำขอ

“เรื่องของพวกเขา... เรื่องพ่อกับแม่ของผม”

กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ใช่ลูกชายโดยสายเลือดของแคทเธอรีน เดลลาร์ เคยถูกเพื่อนล้อบ่อยครั้งที่ไม่เหมือนใครในครอบครัวเลย แต่แคทเธอรีนก็คอยปลอบโยนและบอกอยู่เสมอว่าเขาเป็นลูก ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร เขาก็เป็นลูกของเธอ หากเขาเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจ แสดงว่าเขานึกเสียใจที่เป็นลูกของเธอ นั่นทำให้กลิ่นแก้วไม่ใส่ใจกับคำพูดของใครที่ไหนอีก จะเป็นมารดาที่แท้จริงหรือไม่แล้วอย่างไรล่ะ เพราะคนที่อุ้มชูและรักเขามากกว่าใครก็คือเธอคนนี้ แคทเธอรีน เดลลาร์ คนนี้คนเดียว

ช่วงที่ต้องย้ายมาอยู่กับน้าชายเช่นนายเจค กลิ่นแก้วเคยคิด เคยเฝ้าคิดว่าเหตุใดตนจึงไร้พ่อขาดแม่ ทั้งสองคนไม่ต้องการเขาหรือ เขาจึงถูกทอดทิ้ง แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นบิดาที่แท้จริงอย่างสตีเฟ่น ไรท์เฝ้าตามหา นั่นทำให้กลิ่นแก้วรู้ว่าตนไม่ได้ไม่เป็นที่ต้องการ แต่มีเหตุให้ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ทำให้เกิดความอยากรู้ว่ามารดาที่แท้จริงของตนคือใคร และอดคาดหวังไม่ได้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ คาดหวังให้ใครสักคนที่สำคัญในชีวิตยังมีลมหายใจ แต่ก็คงได้แค่หวังเมื่อเอวานบอกว่าคนคนนั้นไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

เรื่องมารดาของกลิ่นแก้ว เอวานรู้เพียงว่าเธอชื่อกิ่งกานต์ หญิงชาวเอเชียที่ถูกนายหน้าหลอกมาทำงานและปล่อยลอยแพ เธอเจอกับสตีเฟ่นได้อย่างไรนั้นเขาไม่รู้ แต่สตีเฟ่นดูจะรักเธอมากจนคิดวางมือจากทุกอย่างแล้วไปใช้ชีวิตด้วยกันที่ประเทศของเธอ ชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแก่งแย่ง แต่สิ่งที่วาดฝันไว้กลับไม่เป็นไปตามต้องการ เมื่อทั้งคู่ถูกไรท์จับแยกกัน สตีเฟ่นยอมกลับไรท์และทำทุกอย่างตามที่สั่งเพื่อแลกกับความปลอดภัยของสาวคนรัก โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเธอเป็นอยู่อย่างไร จะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอย่างที่คาดหวังไหม

กระทั่งเวลาผันผ่าน สตีเฟ่นก็ได้รับรูปถ่ายของลูกน้อยโดยไม่รู้ที่มา แต่นั่นทำให้เขาได้รู้ว่ากิ่งกานต์ไม่ได้ไปจากที่นี่ จึงได้ให้คนสนิทช่วยสืบหา แต่กว่าจะพบก็สายไป เมื่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว และไม่รู้ว่าลูกของเธอกับเขาไปอยู่ที่ไหน

สตีเฟ่นหมดอาลัยในชีวิต อาการป่วยไข้ทางใจมันรักษาไม่หายจนส่งผลมาถึงร่างกาย จากคนเคยแข็งแรงกลับโรยราแทบไม่อยากหายใจให้เหนื่อยหนัก แต่เมื่อนึกถึงลูกน้อยที่ไม่รู้ดีร้ายอย่างไรจึงฮึดสู้ต่อโรคภัย จนได้รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นอยู่กับแคทเธอรีน เดลลาร์ และเอวานก็มารับไม้ต่อ

“วันที่เราเจอกันมันคือความบังเอิญ” เอวานเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังจำได้ดี “ฉันกำลังจะไปที่เดลลาร์ ดี เพราะหลังจากที่สตีฟขอให้ตามหาเธอต่อ ฉันก็ได้ข้อมูลมาว่าเธออาศัยอยู่ที่ร้านนั่น ซึ่งมันก็เป็นความโชคดีอยู่อย่างที่ได้เจอกับเธอตอนนั้นพอดี เพราะไม่อย่างนั้นเราคงคลาดกันไปอีก”

ถึงตรงนี้กลิ่นแก้วรู้สึกอยากขอบคุณความบังเอิญนั้นเหลือเกิน หากไม่เจอกับเอวานในวันนั้น เขายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร ต้องกลับไปเผชิญชะตากรรมแบบไหน หรือต้องระหกระเหเร่ร่อนไปที่ใด

“ตอนนั้นเขาบอกกับฉันแค่ว่าอยากเจอเธอสักครั้ง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปไม่มีวันกลับ”

ได้รู้แบบนั้นแล้วกลิ่นแก้วก็สะท้อนในอก รู้สึกเจ็บร้าวเมื่อเรื่องที่ตนเองกำลังฟังคือเรื่องของบิดาซึ่งไม่มีโอกาสจะได้พบเจอกันอีกแล้ว นอกจากคำบอกเล่าเหล่านี้

“คุณก็เลยช่วยเขาตามหาผมเหรอครับ?”

เอวานถอนหายใจ “เขาเป็นทุกข์”

“.........”

“และฉันคิดว่ามันคงเป็นความปรารถนาเดียวในชีวิตของเขา เขามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเธอ”

“.........” มือเรียวกำเข้าหากัน ทำให้ของที่ถืออยู่กดกับผิวเนื้อจนเจ็บ คำว่ามีลมหายใจอยู่เพื่อรอเขา มันกระทบใจรุนแรงเหลือเกิน

“แต่เอาเข้าจริงฉันกลับโดนต้มซะเปื่อย” เอวานยิ้มขันเมื่อนึกถึงมัน ก่อนนี้เขายังเจ็บปวด โกรธเกรี้ยว เคืองขุ่น สารพัดจะเป็น แต่เมื่อเวลาผ่านพ้น กลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก “หมอนั่นรู้ดีว่าเธออยู่ที่ไหน และคอยดูแลเธออยู่ห่าง ๆ มาตลอด แต่เพราะเขากำลังจะตาย เลยคาดหวังที่จะให้ใครสักคนมาดูแลเธอต่อจากเขา คนที่จะปกป้องเธอได้ คนที่พอจะคานอำนาจไรท์ได้ และฉันก็ดันกลายเป็นคนที่ถูกเลือก”

กลิ่นแก้วพอเข้าใจความรู้สึกของเอวาน การตกเป็นเบี้ยล่าง การถูกหลอกใช้และปั่นหัว ไม่แปลกอะไรที่เอวานจะโกรธ แต่สุดท้ายความโกรธเหล่านั้นกลับหาที่ลงไม่ได้ เพราะคนต้นเรื่องไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้เพียงปัญหากับภาระที่หนักอึ้ง

“ฉันเคยไม่พอใจที่เขามันเจ้าเล่ห์ วางแผนสารพัดเพื่อมัดมือชกฉัน แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกขอบคุณ”

อุ้งมือใหญ่ค่อยสัมผัสข้างแก้มเนียน ปลายนิ้วปัดไล้เบา ๆ ขณะที่สายตาของทั้งคู่สบกันด้วยความรู้สึกที่ต่างไป

“ถ้าไม่ใช่เพราะสตีฟ ฉันคงไม่ได้เจอเธอ”

“..........” น้ำตาที่คิดว่ามันหยุดไหลไปแล้วกลับร่วงผล็อยลงมาอีก

“อย่าร้องไห้ เพราะมันทำให้ฉันปวดใจทุกทีที่สาเหตุของการร้องไห้มันมาจากฉัน”

กายสูงใหญ่ค่อยโน้มไปหา กดจูบซับน้ำตาที่ไหลเคลียแก้ม ค่อยเลื่อนมายังริมฝีปาก กดย้ำลงไปอย่างต้องการปลอบประโลม ต่อเมื่อริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นรับจูบ เอวานจึงค่อยบดเบียดกลีบปากนุ่มช้า ๆ...


..........


หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ดูเหมือนทุกอย่างจะยังดำเนินไปเป็นปรกติ แต่ในความรู้สึกส่วนลึกกลับไม่ค่อยปรกติสักเท่าไรนัก เมื่อการหักห้ามใจดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับเอวาน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเผลอไผล เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาควรจะหยุดเมื่อได้สติ แต่เขากลับยังปล่อยให้มันเป็นไป ทั้งที่เคยบอกกับกลิ่นแก้วแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก

“อยากเรียนศิลปะป้องกันตัว?”

เหมือนว่าเอวานจะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ได้ไม่นานก็มีเรื่องใหม่มาให้คิดแทน เมื่อวันหนึ่งกลิ่นแก้วก็มาขออนุญาตไปเรียนการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยเหลือตัวเองเวลาคับขันได้ ช่วงนี้มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อย ตอนเจอโอลิเวอร์ก็รู้สึกเป็นภาระให้ทอมัสต้องพะวงกับเด็กที่ไม่รู้จักเอาตัวรอดแบบตนเอง

“เฟอร์ริงตันมีสถานที่ฝึกเฉพาะทางเอาไว้ฝึกบอดีการ์ด แต่ถ้าเธอแค่อยากรู้วิธีป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน ฉันก็จะขอเซย์ให้” เอวานว่าอย่างนั้น หลังจากนิ่งฟังเหตุผลจากเด็กของตนอยู่สักพัก

กลิ่นแก้วออกจะแปลกใจที่อีกฝ่ายยอมง่าย ๆ แต่เมื่อได้ยินชื่อเฟอร์ริงตันก็เริ่มจะไม่แปลกใจแล้ว เอวานยอม แต่ก็ยังมีข้อแม้เหมือนเดิม

“ไม่ต้องถึงขั้นเฟอร์ริงตันก็ได้มั้งครับ แค่โรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวธรรมดาก็ได้”

“ฉันไว้ใจที่นี่มากกว่า”

“.........” จะแย้งอะไรได้ ก็คุณเขาพูดมาแบบนั้นแล้ว เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปล่ะนะ

อันที่จริงโรงเรียนประเภทนี้ก็มีให้เลือกมากมาย ที่ที่เอวานไปฝึกมือบ่อย ๆ ก็ไม่เลวนัก แต่อย่างที่บอก หากจะปล่อยเด็กให้ไปไกลตา เขาก็ไว้ใจเซย์มากกว่า ถึงแม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กของเขา แต่ก็ยังถือว่าสนิทกันอยู่

ทางด้านโอลิเวอร์ที่โผล่มาจนเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อคราวนั้น ช่วงนี้กลับเงียบหายไปราวไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อน บทจะมาก็มา บทจะหายก็หาย พอนิ่งนอนใจหน่อยก็คงโผล่มาอีก ไม่น่าไว้ใจเลยจริง ๆ

เอวานติดต่อเซย์เรื่องจะให้เด็กไปเรียนป้องกันตัว ซึ่งอีกฝ่ายก็ว่าจะช่วยดูให้ ช่วงนี้ยังไม่เปิดภาคเรียนใหม่ทำให้กลิ่นแก้วไปสถานฝึกบอดีการ์ดของเฟอร์ริงตันทุกวัน ตอนแรกเอวานก็เห็นดีด้วยอยู่หรอก แต่พอนานวันเข้ากลับรู้สึกว่าไม่น่าให้ไปเลย เพราะมันกลายเป็นข้ออ้างที่กลิ่นแก้วเอามาใช้ในการหลบหน้าเขา

ปรกติถ้าได้ไปโรงเรียน เวลาเขากลับเจฟเฟอร์สันช่วงวันหยุด กลิ่นแก้วจะต้องมาหา มาพูดเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง หรือแม้แต่ช่วงปิดภาคเรียนแล้วไปช่วยงานมารดาของเขาก็ยังมีเรื่องมาเจื้อยแจ้วให้ฟังทุกที แต่หลังจากไปเรียนศิลปะป้องกันตัวอะไรนั่นก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้า อ้างว่าเหนื่อยบ้าง อยากพักผ่อนบ้าง หรือบางครั้งก็ออกงานสังคมกับมารดาของเขา กลับดึกก็ง่วง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เพราะวันธรรมดาเขาไม่ได้กลับมานอนที่เจฟเฟอร์สัน ได้กลับเฉพาะช่วงเย็นของวันหยุด และออกไปทำงานในเช้าวันธรรมดา ทำให้เวลาเจอกันที่มันค่อนข้างน้อยยิ่งน้อยขึ้นไปอีก

...หรือบางที การอยู่ห่างจากเขาอาจจะดีกับกลิ่นแก้วมากกว่าก็ได้...


.........
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 22-01-2019 21:48:52

เมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ กลิ่นแก้วขอกลับมาใช้รถรับส่งของโรงเรียน โดยใช้เรื่องที่ตนเองฝึกทักษะป้องกันตัวจากเฟอร์ริงตันมาพักหนึ่งแล้วมาอ้าง และช่วงที่ผ่านมา โอลิเวอร์ ไรท์ ก็หายเงียบไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน บางทีอาจจะไม่เข้ามาวุ่นวายอีกแล้วก็ได้

แม้ในทีแรกเอวานจะไม่เห็นด้วยนัก เพราะไม่ไว้ใจฝั่งไรท์ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก หากมัวชะล่าใจอาจพลาดท่าเสียทีเอาได้ แต่เมื่อเกวนเอ่ยปากขอเพราะไม่อยากให้ตีกรอบเด็กมันนัก เอวานจึงไม่ได้ขัดอะไรอีก เพราะถึงไม่ได้ให้รถจากเจฟเฟอร์สันคอยรับส่งก็ยังมีคนที่เขาส่งไปเฝ้าคอยดูแลอยู่

ช่วงปิดภาคเรียนของกลิ่นแก้วจบลงพร้อมกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นั่น ขณะที่คาร์เตอร์ผู้มีอิสระในการใช้ชีวิตก็ยังอยู่หอพักและทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดเหมือนเดิม แม้จะยังได้ค่าขนมจากครอบครัวอยู่ แต่เด็กหนุ่มก็ยังหาประสบการณ์ในการทำงานนอกบ้านไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ที่กลิ่นแก้วกลับไปอยู่เจฟเฟอร์สัน คาร์เตอร์ก็ย้ายออกจากหอพักเดิมมาที่ใหม่ ซึ่งค่าเช่าถูกกว่าที่เดิมมากกว่ามาก แม้ห้องหับจะเล็กกว่า และสิ่งอำนวยความสะดวกจะน้อยกว่า ก็ถือว่ายังอยู่ในขั้นที่พอรับไหว แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าการออกมาอยู่นอกบ้านอย่างแท้จริง

“ที่บ้านนายสั่งห้ามไม่ให้ออกมาอยู่ข้างนอกเลยรึเปล่า?”

หลังหมดคาบวิชาสุดท้ายของวัน พวกเขาก็มารวมตัวกันตรงที่ประจำของกลุ่มเพื่อรอรถกลับบ้าน คาร์เตอร์เอ่ยถามกลิ่นแก้วซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังอยู่บ้าน เพราะหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคราวนั้น พี่ชายกลิ่นแก้วก็ให้กลับไปอยู่ที่บ้าน มาโรงเรียนก็มีรถที่บ้านคอยรับส่ง มีตอนนี้ล่ะที่เห็นว่ามาโรงเรียนเองได้แล้ว

“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปสักหน่อย ช่วงปิดเทอมฉันไปเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวมา เอวานจะได้ไว้ใจให้ไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง”

กลิ่นแก้วบอกเล่าในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ที่มาโรงเรียนเองได้ไม่ใช่เพราะเอวานไว้ใจว่าดูแลตัวเองได้แล้วหรอก เพราะมีมาดามเจฟเฟอร์สันช่วยพูดต่างหาก ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง แต่บางทีก็อยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง

“ทำอย่างกับเรียนมาแล้วนายจะต่อสู้เก่งเหมือนพระเอกหนัง ตัวแค่นี้ เจอเท่าพวกที่มาวิ่งไล่เราคราวก่อนผลักทีเดียวนายก็กระเด็นแล้ว อย่าว่าแต่ง้างหมัดเลย”

คาร์เตอร์หัวเราะเหอะ ๆ เมื่อนึกสภาพเพื่อนตามที่พูด ในกลุ่มพวกเขา กลิ่นแก้วตัวเล็กสุด ในขณะที่ลอยน์ถึงจะผอมแต่ก็สูงเกือบเท่าคาร์เตอร์ที่สูงใหญ่ตามแบบฉบับหนุ่มชาวตะวันตก ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตัวหนาสมเป็นนักกีฬาของห้องกันทั้งนั้น

“แรงสู้ไม่ได้ก็ยังมีกึ๋นล่ะน่า”

กลิ่นแก้วแย้ง ก่อนฟาดคาร์เตอร์ที่ลอยหน้าลอยตาทำปากขมุบขมิบล้อเลียนไปที ขณะที่คนโดนฟาดลูบต้นแขนตัวเองทั้งแยกเขี้ยว มือก็เล็กกว่าเขา แต่ฟาดมาทีแสบไปถึงทรวงเลย บ้าเอ๊ย

“บ้านนายห่วงนายมากไปรึเปล่า เด็กผู้ชายน่ะนะมันต้องออกไปเผชิญโลกกว้างบ้าง จะได้รู้จักดูแลตัวเองและเข้มแข็งพอเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ นี่อย่างกับจะขังเอาไว้ในกรง ไม่ต้องให้ทำอะไร จะหยิบ จะจับ จะไปไหนก็มีคนคอยรองมือรองเท้า แม่ฉันยังให้อิสระฉันได้ทำตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ แค่อย่านำความเดือดร้อนมาให้ก็พอ” คาร์เตอร์ร่ายยาวเมื่อนึกเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อน “นายไม่ลองขอพี่นายดูอีกทีล่ะ ถ้านายอยากออกมาอยู่ข้างนอก ไปอยู่ที่เดียวกับฉันก็ได้ ลอยน์ก็อยู่ห้องข้าง ๆ มันหาคนหารค่าห้องอยู่ แต่ฉันชอบฉายเดี่ยวมากกว่าน่ะนะ”

กลิ่นแก้วที่ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ถอนใจ ก็อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองอยู่หรอก แต่ก็รู้ดีว่าถ้าทำแล้วเกิดอะไรขึ้นมา คนที่เป็นห่วงที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเอวาน และยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่แค่เด็กตามชนบทธรรมดาแบบที่คิด ก็เลยเข้าใจเอวานอยู่นิดหน่อยว่าทำไมถึงเข้มงวดนัก

“ถ้านายไม่กล้า ให้ฉันช่วยไหม?” อยู่ ๆ คาร์เตอร์ก็เสนอตัวขึ้นมาหลังจากมองเพื่อนถอนหายใจเฮือก ๆ อยู่สองสามที

“ช่วยอะไร?” มองหน้าอีกฝ่ายงง ๆ จะไปคุยกับเอวานหรืออย่างไร แบบนั้นจะโดนเอวานงับหัวเอาน่ะสิ ยิ่งไม่ถูกชะตากับคาร์เตอร์อยู่

“น้าสาวฉันกับพี่ชายนายคบกันอยู่นี่ ฉันบอกน้าให้ช่วยพูดให้เอาไหม พี่ชายนายน่าจะยอมนะ ขนาดคราวก่อนยังให้นายกับฉันพักด้วยกันเลย”

มันก็จริงที่คราวก่อนเอวานยอมให้คาร์เตอร์มาเป็นเพื่อนร่วมห้องในหอพักเดียวกันเพราะวาเนสซ่าขอ แต่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้กลิ่นแก้วอารมณ์บูดขึ้นมาเฉย ๆ เลยบอกปัดไปแบบไร้เยื่อใย

“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากกวน” ว่าพลางลุกขึ้นสะพายกระเป๋า

“อะไรว้า”

คาร์เตอร์ลากเสียงไม่ได้ดั่งใจ ความจริงไม่ใช่แค่เพราะพี่ชายไม่อนุญาตหรอก เพราะกลิ่นแก้วเองก็เป็นลูกแหง่ติดพี่ด้วยถึงได้ยอมอะไรง่าย ๆ ทั้งที่มีวิธีจะทำให้ได้ออกมาใช้ชีวิตอิสระข้างนอกแบบนี้แล้ว

เด็กหนุ่มเดินตามไปคว้ากอดคอเพื่อน อีกฝ่ายฮึดฮัดแต่เพราะแขนแข็งแรงนั่นรัดไว้เลยยอมหยุดเพราะเหนื่อยเปล่า คาร์เตอร์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะพากันเดินออกมาหน้าโรงเรียนเมื่อรถรับส่งมาจอดรอแล้ว

แต่ก่อนที่จะทันได้ก้าวขึ้นรถ สองหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อมีรถส่วนตัวอีกคันแล่นมาจอดเทียบ ผู้ที่ก้าวลงจากรถมาทำให้กลิ่นแก้วหันไปมองคาร์เตอร์ อีกฝ่ายไหวไหล่ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าน้าสาวของตนเองมาทำไม



วาเนสซ่าพากลิ่นแก้วแวะร้านอาหารหลังจากพาคาร์เตอร์ไปส่งบ้านแล้ว หลานชายของเธอพอออกมาอยู่หอพักก็ไม่ค่อยกลับบ้านกลับช่อง วันนี้พี่สาวเธอเลยเรียกกลับไปทานข้าวเย็นด้วย เธอจึงอาสามารับโดยเอ่ยชวนกลิ่นแก้วมาด้วยกัน ส่งคาร์เตอร์แล้วก็จะเลยไปส่งกลิ่นแก้ว เพราะต้องผ่านเจฟเฟอร์สันก่อนจะถึงที่พักของเธออยู่แล้ว

กลิ่นแก้วที่ไม่กล้าปฏิเสธคำชวนทำให้เวลานี้ต้องมาอยู่ที่ร้านอาหารกับเธอด้วย เพราะเธอบอกแวะทานอะไรกันสักหน่อยแล้วค่อยกลับ เธอมีเรื่องจะคุยด้วย พอเห็นเขาคอยมองแต่นาฬิกาข้อมือจึงว่าจะบอกเอวานเองว่าที่กลับช้าเพราะมากับเธอ

วาเนสซ่าสั่งขนมกับน้ำมาให้เมื่อกลิ่นแก้วบอกยังไม่หิวไม่เท่าไร ขณะที่เธอก็ทานอาหารของตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน แม้จะรู้สึกได้ว่าถูกเด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามลอบมองอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม กระทั่งทานเสร็จเธอก็เช็ดปาก ยกน้ำขึ้นดื่มด้วยความใจเย็น ต่างกับผู้ร่วมโต๊ะที่เริ่มออกอาการอยู่ไม่สุขให้เห็น

“ช่วงนี้เอวานดูเครียด ๆ”

เมื่อเธอเริ่มพูด กลิ่นแก้วก็ชะงัก ตอนแรกเขาแค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกจนน่าอึดอัด แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แค่บรรยากาศระหว่างกันที่มันแปลก การเริ่มประโยคของวาเนสซ่าก็แปลก อยู่ ๆ มาพูดเรื่องเอวานเครียด ต้องการอะไรจากเขาอย่างนั้นหรือ

“เธอคงสงสัยว่าฉันพาเธอมาที่นี่ทำไม” วาเนสซ่าเริ่มเข้าประเด็น “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน”

สีหน้าคนพูดดูจริงจังขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วพลอยเกร็งไปด้วย เมื่อไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร ราวมีชนักปักหลังจากความรู้สึกที่ซุกซ่อน แม้คนอื่นไม่รู้ แต่กลิ่นแก้วก็รู้ดีแก่ใจจึงได้กลัว กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าจะล่วงรู้มัน

“เธอรู้สึกยังไงกับเอวาน?”

คำถามนั้นทำเอาใจกลิ่นแก้วถึงกับกระตุกวูบ “อ... อะไรนะครับ?”

“ฉันว่าเธอได้ยินชัดเจนดีแล้ว”

ดวงตากลมกะพริบปริบ ขยับนั่งตัวตรง กระแอมเบา ๆ เมื่อรู้สึกเสียอาการกับคำถามของอีกฝ่าย “ทำไมคุณถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ?”

“ฉันต้องการคำตอบ ไม่ใช่ให้มาถามกลับ”

หญิงสาวตรงหน้าเวลานี้ดูแตกต่างจากทุกที แม้กลิ่นแก้วจะไม่ได้สนิทกับเธอ แถมยังดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้ชอบเขานัก แต่ที่ผ่านมาเธอก็ยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดี พูดจากับเขาดี มาคราวนี้ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูเปลี่ยนไปจนรู้สึกได้ กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

“เอวานเป็นผู้มีพระคุณ เขาเป็นคนให้ชีวิตใหม่กับผม” เขาตอบกลับไปเช่นนั้น

วาเนสซ่าหัวเราะในลำคอ ไม่ต่างอะไรกันเลย ทั้งเอวานและเด็กคนนี้ คนหนึ่งก็บอกเป็นแค่เด็กในความดูแล อีกคนก็บอกเป็นผู้มีพระคุณ ตลกสิ้นดี

“ถ้าเป็นแค่นั้นจริง ฉันก็สบายใจ” ดวงตาคู่สวยมองเด็กตรงหน้าไม่ละ “เธอก็รู้ใช่ไหมว่าฉันกับเอวานกำลังคบหาดูใจกันอยู่ และอาจจะถึงขั้นหมั้นหมายหรือแต่งงานกันในอนาคต... มันควรจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่มีเธออยู่”

“..........” ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่าแววตาเธอโกรธขึ้งขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ฉันเข้าใจเธอนะ ในฐานะที่ฉันก็มีพี่สาว และเราสนิทกันมาก แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้พี่แต่งงาน ไม่อยากให้ใครมาแย่งพี่ของฉันไป ฉันต้องการให้พี่อยู่กับฉัน ฉันเกลียดคนที่มาแย่งความรักจากพี่สาวของฉัน...”

“.........” กลิ่นแก้วรู้สึกเหมือนกลืนน้ำลายลำบาก ค่อยหลุบสายตาลง เมื่อทุกคำที่เธอพูดราวกับมานั่งอยู่กลางใจ... ใจที่ดำมืดของเขา

“แต่พอฉันโตขึ้น ฉันก็ได้รู้ว่าความรักที่พี่มีให้ฉันมันไม่ได้หายไปไหน เพราะความรักที่ให้ฉันกับผู้ชายคนนั้นมันคนละแบบกัน มันไม่มีใครที่จะมาแทนที่ใคร พี่รักเขาก็ไม่ได้แปลว่าจะรักฉันน้อยลง ฉันก็ยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวที่พี่รักเสมอ เรายังรักและดูแลกันเหมือนเดิม”

“.........”

“เพราะฉันเคยผ่านจุดนั้นมา ฉันถึงเข้าใจ เพราะเธอยังเด็ก เธออาจไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันรั้งใครไว้ เธอเห็นแก่ความสุขของตัวเองจนหลงลืมไปหรือเปล่าว่าเขาก็ควรมีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ใช่มาผูกติดอยู่กับเธอแบบนี้ตลอดไป”

“.........” กลิ่นแก้วยังนิ่ง แม้อยากตอบโต้ว่าตนเองไม่ใช่ตัวถ่วงความสุขของใคร แต่ก็ทำไม่ได้ บางทีที่วาเนสซ่าพูดมันอาจจะจริงก็ได้

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เหมือนฉันเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กยังไงไม่รู้”

กลิ่นแก้วเบือนหน้าไปทางอื่น เขาไม่รู้หรอกว่าเวลานี้ตนเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ สิ่งเดียวที่รู้สึกตอนนี้คืออึดอัดคับข้องในหัวอก เขารู้ดีว่าเอวานไม่ใช่ของเขา วันหนึ่งข้างหน้าเอวานก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง ต้องทุ่มความรักความเอาใจใส่ทั้งหมดให้กับครอบครัวของตัวเอง ถ้าถึงวันนั้นแล้วเขาล่ะ?

ใช่ ที่เขารู้สึกแบบเดียวกับที่วาเนสซ่าพูด แต่พอถูกตอกย้ำ ในใจกลับยิ่งขัดแย้ง เขารั้งเอวานไว้หรือ เอวานไม่มีความสุขหรือ เขาเคยคิด ไม่ใช่ว่าไม่คิด เขาเกาะติดเอวานมากไปใช่ไหม เรียกร้องมากไปหรือเปล่า...

วาเนสซ่าถอนหายใจเบา หลังจากดูท่าทีของอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ “ถ้าพูดกันตามจริง ในอนาคตข้างหน้า คนที่จะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกับเอวานอาจไม่ใช่ฉัน เขาอาจมีคนใหม่เข้ามาในชีวิต และเราสองคนก็ต่างคนต่างไป”

“.........”

“ฉันรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอมาก เขาคงไม่สามารถลงเอยกับใครได้เพราะห่วงความรู้สึกของเธอ เขากลัวว่าเธอจะน้อยอกน้อยใจ กลัวเธอคิดว่าตัวเองหมดความสำคัญ ต่อให้เขามีใครใหม่อีกสักกี่คนก็คงวนกลับมาที่จุดเดิมอยู่ดี ถ้าเธอยังไม่ยอมปล่อยเขาไป”

ปล่อย? ทำไมเขาต้องปล่อย? เกิดคำถามขึ้นมาในหัวของกลิ่นแก้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้ยึดเอวานไว้สักหน่อย เธอกับเอวานคบกันได้ จะแต่งงานกันก็ได้ ถึงเขาไม่ชอบใจ แต่จะทำอะไรได้ จะห้ามเอวานได้หรือถ้าเอวานอยากคบกับใคร อยากแต่งกับใคร ทำไมพูดเหมือนเขาเป็นตัวปัญหาแบบนี้

กลิ่นแก้วมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “คุณเกลียดผมเหรอครับ?”

วาเนสซ่าออกจะประหลาดใจ ไม่นึกว่าเด็กตรงหน้าจะพูดมันออกมาเสียตรงขนาดนั้น

“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ชอบเธอนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเกลียด ก็คงพอ ๆ กับเธอ ไม่ได้เกลียดฉัน แต่ไม่เจอกันได้ก็ดี ใช่ไหม?” เธอหัวเราะ เมื่ออีกฝ่ายเกิดอาการชะงัก “ฉันเข้าใจถูกสินะ”

กลิ่นแก้วเม้มปาก เอ่ยบอกเสียงเบา “ผมไม่ได้เกลียดคุณ”

“ฉันรู้”

“แต่ผมก็ไม่อยากให้เอวานแต่งงานกับคุณเหมือนกัน”

เธอนิ่งไปนิด ก่อนยิ้มออกมาบาง ๆ “นั่น... ฉันก็รู้ คนที่ไม่รู้คือเธอต่างหาก”

“......?”

อยากจะถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่อีกฝ่ายกลับตัดบท

“กลับกันรึยัง เดี๋ยวฉันไปส่ง”

คิ้วกลิ่นแก้วขมวด มองหญิงสาวที่เรียกพนักงานมาคิดเงินค่าอาหารบนโต๊ะพลางครุ่นคิด เมื่อไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเธอ เขานึกว่าเธออยากให้เขาอยู่ห่างจากเอวานเสียอีก แต่คำพูดที่บอกว่าเธอรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร คนที่ไม่รู้คือเขาต่างหาก นั่นหมายความว่าอะไร เขาไม่รู้อะไรอย่างนั้นหรือ?

‘ไม่เห็นจะเข้าใจเลย’





TBC



หายไปนานเลย  :m23:

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-01-2019 00:08:07
ที่ทำอยู่ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่รังแกเด็กจ้ะแม่คุณ
ถ้าอยากคุยไปคุยกับเอวานนู่น มาคุยกับเด็กทำไม  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-01-2019 07:31:04
ผู้ใหญ่ประสาอะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-01-2019 07:54:03
ลุ้น.

 ลุ้น
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-01-2019 16:30:10
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 23-01-2019 21:45:52
เฮ่อ  :เฮ้อ: มันทำให้เราหัวร้อน  :katai1:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-01-2019 11:51:01
คิดว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่ ต้องคุยกันพร้อมหน้ากับเอวานด้วยจ๊ะ แม่มดวาเนสซ่า
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๙ สถานะใจ+ // 22.01.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 24-01-2019 17:39:40
น้องโตแล้ว รักก็บอกรักน๊าา
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-04-2019 15:34:36
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๑๐ รุดหน้า


ช่วงวันหยุด กลิ่นแก้วมาขลุกอยู่กับเซย์เพื่อเรียนการต่อสู้ป้องกันตัวจากครูฝึกบอดีการ์ดของเฟอร์ริงตัน ที่นี่เคยมีไว้สำหรับฝึกบอดีการ์ดเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อมาถึงรุ่นเซย์ก็ได้เปิดให้คนนอกเข้ามาใช้บริการ เพราะมีทั้งห้องฝึกในร่มและกลางแจ้ง ทั้งยังมีสนามยิงปืนอีกด้วย

เมื่อจะทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจ เซย์จึงเปิดประมูลพื้นที่ภายในเพื่อให้บุคคลภายนอกเข้ามาทำสัญญาเช่า ทำให้มีบริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม สปาเพื่อความผ่อนคลาย และอาจขยายไปยังบริการอื่น ๆ ในอนาคต

กลิ่นแก้วมาขลุกอยู่ที่นี่เสียครึ่งค่อนวันจนเป็นปรกติ วันไหนเซย์อยู่ก็จะพาไปกินข้าว อาจมีขับรถเที่ยวบ้าง หรือดูหนัง บางทีพาไปทิ้งไว้คฤหาสน์เฟอร์ริงตันแล้วออกไปข้างนอก พอกลับมาค่อยพาไปส่งเจฟเฟอร์สันก็มี แต่ถึงแม้จะหายไปจนเกือบเย็น เอวานก็ไม่โทรตาม เพราะรู้ว่าอยู่กับเซย์เลยไม่ห่วง

พูดถึงเอวาน พักนี้ไม่ค่อยกลับเจฟเฟอร์สันสักเท่าไรนัก มาดามเจฟเฟอร์สันบอกว่ามันเป็นเรื่องปรกติ เพราะก่อนหน้าที่กลิ่นแก้วจะเข้ามาอยู่ เอวานก็ไม่ค่อยจะกลับอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าท่านจะโทรตาม ถึงได้กลับมาที ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ กลิ่นแก้วที่ไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้ก็อดซึมไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายหลบหน้าเขา แต่พอเขาหายไปกลับหงอยได้ถึงขนาดนี้เลย แล้วแบบนี้จะปล่อยเอวานไปแบบที่วาเนสซ่า เทย์เลอร์พูดได้หรือ

ปัง! ปัง!! ปัง!!!

กลิ่นแก้วนั่งมองเซย์ที่กำลังจ่อเล็งปากกระบอกปืนไปทางเป้าหมายอย่างตั้งใจ เสียงปืนดังน่าหนวกหูจนต้องยกมือขึ้นปิด ที่ต้องมานั่งปิดหูอยู่นี่ก็เพราะเรียนในส่วนของวันนี้เสร็จแล้ว เลยต้องมารอเซย์พากลับเจฟเฟอร์สัน

ทางด้านเซย์ที่กำลังใช้สมาธิ ปลายนิ้วค่อยเหนี่ยวไก กระสุนลูกสุดท้ายถูกปล่อยออกจากกระบอกปืน พุ่งตรงไปไม่มีพลาดเป้า นั่นทำให้ริมฝีปากหยักยกยิ้มพอใจ ค่อยลดปืนในมือลงแล้วปลดอุปกรณ์ส่งให้ลูกน้องจัดการต่อ ก่อนจะเดินมาหาเด็กของพี่ชายที่นั่งรอตนอยู่

“ลองไหม?” เอ่ยถามเด็กที่นั่งรอเมื่อเดินมาถึง

“ไม่” กลิ่นแก้วส่ายหน้า เพราะถึงฝึกไปก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน พอถึงเวลาจะกล้ายิงใครที่ไหนกัน

“กลับเลยไหม ป่านนี้ผู้ปกครองคงรอแย่แล้ว” เซย์เอ่ยถามแกมยิ้ม

“เขาไม่รอหรอก บ้านยังไม่ค่อยอยากจะกลับเลย”

เซย์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเด็กนี่จะเจี๋ยมเจี้ยมออดอ้อนออเซาะเฉพาะเวลาอยู่กับพี่ชายเขาเท่านั้น แต่กับคนอื่น โดยเฉพาะเขา ก็ฤทธิ์เยอะใส่ อาจเพราะตอนเด็กเขาชอบไปแกล้งมันแรง ๆ ด้วย เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไร

“มีปัญหาอะไรกันหรือไง?” พอเขาถามไปแบบนั้นมันก็ถอนใจใส่ ไอ้เด็กนี่

“คุณว่าผมทำตัวติดกับเขามากเกินไปหรือเปล่า?” อยู่ ๆ คนถูกถามก็เอ่ยถามกลับ

“มาก” เซย์ว่า ตาโต ๆ นั่นตวัดมองฉับ แต่เขากลับไหวไหล่อย่างไม่เห็นเป็นสำคัญพร้อมตอกย้ำ “พูดความจริง”

กลิ่นแก้วทำเสียงจิ๊กจั๊ก จะอ้อมค้อมหน่อยก็ไม่ได้ ตรงเกินไปมันก็กระทบใจไม่รู้หรืออย่างไรเล่า

“แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะอึดอัดรึเปล่า?” ก็ยังจะถามต่อ

“เอามาตรฐานฉันไปเทียบกับเอวานไม่ได้หรอก ฉันไม่พร้อมมีเด็กที่ไหนมาคอยเกาะแกะ ผิดกับเอวานที่เต็มใจจะให้ทำแบบนั้น เขาโรคจิตจะตาย ชอบให้นายอ้อน ลองวันไหนนายไม่อ้อนนะ อย่างกับเมนส์ไม่มา นอกจากอารมณ์แปรปรวนแล้วยังเป็นบ้า”

มองเซย์แบบ... ขี้โม้หรือเปล่า “ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”

“รำคาญ” เซย์ว่า “พวกปากไม่ตรงกับใจ บอกตัวเองไม่สำคัญทั้งที่อยากเป็นคนสำคัญจะแย่ พอเขาไม่ใส่ใจหน่อยก็น้อยใจล่ะไม่ว่า”

เกลียดพวกคนรู้ทัน “ทำไมผมต้องมาคุยกับคนแบบคุณด้วยเนี่ย”

ว่าแล้วก็พาลจะลุกหนี แต่เซย์กดไหล่ให้นั่งลงที่เดิม “ไม่อยากคุยกับฉันก็คุยกับผู้ปกครองนายสิ มีปัญหากันแล้วปล่อยไว้แบบนี้มันจะดีเหรอ?”

“.........”

“ขนาดบ้านช่องไม่กลับนี่น่าเป็นห่วงแล้วนา” เป่าหูเด็กเข้าไปอีก “ฉันรู้ว่านายคงไม่อยากบอกฉันว่ามีปัญหาอะไรกัน และฉันก็ไม่อยากสอดรู้เพราะไม่ใช่ธุระ แต่แค่อยากจะแนะนำในฐานะที่เป็นน้องชายของเอวาน”

“.........”

“มีอะไรนายก็ควรจะพูด การเก็บเอาไว้มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเสมอไป เอวานไม่มีทางตรัสรู้ได้เอง เขาไม่ได้อ่านใจคนได้ ถ้านายไม่พูด แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่านายคิดอะไรอยู่ และเพราะเขาไม่รู้ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะเป็นกังวลจนทุกข์ใจ นายก็รู้ดีว่าเขาเป็นห่วงนายมากกว่าใคร”

“.........”

เซย์ค่อยนั่งลงข้าง ๆ แขนแข็งแรงวาดกอดคอเด็ก “ฉันไม่ได้บังคับให้นายต้องพูด ถ้านายไม่สบายใจที่จะพูดและรู้สึกว่าเก็บไว้แบบนี้มันสบายใจกว่า ก็ไม่เป็นไร” หยุดพูดไปนิดเมื่อชำเลืองมองหน้าเด็กที่ยังนั่งเงียบ “ถ้าทนเห็นเขาทุกข์ใจได้โดยไม่รู้สึกอะไรน่ะนะ”

เซย์ยักคิ้วตบท้ายทำให้อีกฝ่ายกลอกตา พ่นลมหายใจแล้วกอดอกหน้าเครียด ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังเรียกความสนใจ แต่เมื่อหยิบมันมาดูแล้วเห็นเป็นชื่อเอวานก็นิ่งไป

“รับสิ”

“.........” เงยมองเซย์แล้วส่ายหน้า

“อะไรของนายวะ บ่นว่าเขาไม่กลับบ้าน แต่พอเขาโทรมาก็ไม่รับ ทั้งที่อ้อนหน่อยเดียวเอวานก็รีบกลับแทบไม่ทันแล้ว...” มองเด็กหน้าง้ำแล้วก็ไม่เข้าใจ อะไรกันนักหนา “ฉันไปรอข้างนอกแล้วกัน ถ้าเหนียวตัวจะอาบน้ำก่อนก็ได้ ให้คนของฉันพาไป”

เซย์ลุกออกไปแล้ว เหลือเพียงกลิ่นแก้วที่ยังคงนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์จนเสียงเรียกเข้ามันเงียบไป ลมหายใจถูกทอดถอนออกมาด้วยความอัดอั้น เขาควรทำเช่นไรกับความรู้สึกที่มันตีกันอยู่ข้างในตอนนี้ดี...



คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

เกวนเดินมาหากลิ่นแก้วที่นั่งซึมอยู่ในสวน ไฟถูกเปิดให้ความสว่างเมื่อฟ้าเริ่มมืด แม่บ้านของเจฟเฟอร์สันบอกว่าหลังกลับจากเฟอร์ริงตัน กลิ่นแก้วก็นั่งอยู่แบบนั้นมาสักพักแล้ว เธอที่เพิ่งกลับจากข้างนอกจึงเดินมาดู พักนี้เอวานเองก็ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า ไม่รู้มัวยุ่งอยู่กับอะไร ทั้งที่เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหาร แต่ทำไมถึงยุ่งกว่าคนอื่นก็ไม่รู้ได้ ถ้าเธอรู้ว่าให้ไปทำงานกับพอล เวสส์ แล้วจะเป็นแบบนี้ สู้ให้มาทำกับเธอยังดีเสียกว่า

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ มืดค่ำแล้วยังไม่อาบน้ำอาบท่าอีก?”

เสียงทักของเกวนเรียกเด็กที่จมอยู่ในภวังค์ให้ค่อยหันกลับมาหา ความเศร้าหมองบนดวงหน้าที่เคยสดใสทำให้คนมองถอนใจเบา ริมฝีปากสวยเปิดยิ้มอารีเมื่อนั่งลงข้างกายผอม

เด็กตัวเล็ก ๆ เมื่อวันวาน ในเวลานี้กำลังเริ่มโตเป็นหนุ่ม แต่ในสายตาเธอ กลิ่นแก้วก็ยังคงเป็นเด็กน้อยคนเดิมคนนั้น คนที่เจอในห้องพักบนคอนโดมิเนียมของลูกชาย คนที่ทำหน้าตาตื่นตกใจเมื่อเห็นเธอเปิดประตูเข้าไปโดยพลการ ยังคงเป็นที่เอ็นดูของเธอไม่เปลี่ยน

“เป็นอะไรไป?”

เด็กน้อยของเกวนค่อยก้มหน้าลงเมื่อยังคงจำกฎข้อเดียวของเธอได้ดี ถ้าอยากอยู่กับเธอต้องไม่เป็นเด็กเลี้ยงแกะ นั่นแสดงว่าถ้าลำบากใจที่จะพูดก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องโกหก ทำให้เด็กตรงหน้าเธอยังคงเงียบอยู่ราวชั่งใจ

“เอวานไม่ยอมกลับบ้าน” ท้ายที่สุดก็เอ่ยออกมาเสียงเบา

“อือฮึ” เกวนทำเสียงรับรู้ “เขาอาจจะงานยุ่งจนไม่มีเวลาปลีกตัวก็ได้ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ ถ้าวันไหนต้องไปร่วมงานกลางคืน กลับมาดึก ๆ ก็นอนที่คอนโดฯ นานทีจะกลับมาให้เห็นหน้า เรื่องปรกติ”

มันก็ใช่ที่มาดามเคยบอกแล้ว แต่เจ้ากลิ่นแก้วก็ยังอดที่จะคิดไปมากมายไม่ได้ ตอนที่เขาเอาแต่หลบหน้า เอวานก็จะรู้สึกแบบเดียวกันนี้หรือเปล่านะ

“ไม่จริงหรอกครับ ถึงงานยุ่งหรือกลับดึกแค่ไหนเขาก็กลับ แต่นี่...” พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ “เขาอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมก็ได้”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?” เกวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ทะเลาะกันเหรอ?”

มันน่าแปลกใจน้อยอยู่เมื่อไร เมื่อตั้งแต่กลิ่นแก้วมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีครั้งไหนที่เด็กคนนี้และลูกชายของเธอจะทะเลาะอะไรกันใหญ่โต เพราะกลิ่นแก้วตามใจเอวานตลอด จะให้หันซ้ายหันขวาอย่างไรก็ไม่ขัด จะมีบ้างก็แค่งอนเวลาเอวานผิดนัด ง้อกันหน่อยเดียวก็ดีกันแล้ว แต่นี่ถึงกับบอกว่าเอวานไม่อยากเจอหน้า ปัญหามันใหญ่โตขนาดนั้นเชียว?

“ก็ไม่เชิงว่าทะเลาะกันหรอกครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยบอกหลังจากเงียบไปชั่วอึดใจ

“เล่าได้ไหม?” สบตาเด็กที่หันมามองเธอเมื่อถามไปเช่นนั้น “หรือเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้?”

เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความอึดอัด ก่อนบอกเสียงอ่อย “มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูด...”

เกวนยิ้มบาง พยักหน้าเข้าใจ “โอเค ไม่พูดก็ได้ แต่เพราะ ‘เรื่องที่ไม่ควรพูด’ นั่นใช่ไหม ถึงคิดว่าที่เอวานไม่ยอมกลับบ้านเพราะไม่อยากเจอหน้าตัวเอง?”

“มันแค่ส่วนหนึ่งครับ” กลิ่นแก้วว่า “ที่มากกว่านั้นคงเพราะผมหลบหน้าเขาก่อนด้วย”

“หลบหน้า?” เกวนทวนคำ มีการหลบหน้ากันด้วย เล่นอะไรกันเด็กสองคนนี้

กลิ่นแก้วพยักหน้ายอมรับ “เพราะผมทำตัวแบบนั้น เขาอาจจะรำคาญ หรืออาจจะโกรธจนไม่อยากกลับมา”

“ถ้าเขาโกรธ ก็ง้อเขาสิ”

“.........” หันมามองเมื่อมาดามพูดแบบนั้น

“มัวแต่หลบกันไปหลบกันมา แล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องกันเสียที” เกวนว่า ก่อนเอ่ยแนะ “ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดก็ไปขอโทษเขาซะ แต่ถ้าเขาเป็นฝ่ายผิดเพราะ ‘เรื่องที่ไม่ควรพูด’ นั่น ก็คุยกันให้รู้เรื่อง พวกเธอยังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนานนะ จะให้ปัญหาที่ฉันก็ไม่รู้ว่าใหญ่โตแค่ไหนมาบั่นทอนไปทำไม”

ฟังที่มาดามเจฟเฟอร์สันพูดแล้วกลิ่นแก้วก็คิดตาม ตอนแรกเขาคอยหลบหน้าเอวาน เพราะความรู้สึกที่มันก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจเลยไม่กล้าสู้หน้า กลัวจะทำตัวเป็นปรกติไม่ได้ กลัวอยู่ใกล้กันมากไปแล้วเอวานจะรู้ความในใจ กลัวปฏิกิริยาตอบสนองของเอวานจะเป็นด้านลบ

นั่นมันก็แค่ความบ้าของเขาฝ่ายเดียว เอวานยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขามันบ้าที่คิดไปเองและทำตัวน่าโมโหแบบนี้ โง่จริง ๆ เลยกลิ่นแก้ว อนาคตมันไม่สามารถกำหนดได้หรอกว่าจะเป็นเช่นไร มาดามพูดถูก เขาไม่ควรปล่อยให้ความทุกข์ใจเหล่านี้มันมาบั่นทอนช่วงเวลาดี ๆ ที่ควรมีร่วมกัน

เรื่องของวาเนสซ่ามันยังติดอยู่ในใจ แต่จะให้เขาทำอย่างไร จะถอยห่างจากเอวานเพราะเหตุผลที่ก็ไม่รู้ว่าจริงไหมแบบนั้นหรือ ถ้าเขาถอย แสดงว่าเขายอมรับว่าตัวเองคือตัวปัญหา ซึ่งแน่นอนล่ะว่าเขาไม่ใช่ เขามั่นใจว่าไม่เคยก้าวก่ายความสัมพันธ์ของใคร และใครที่ไหนก็ไม่ควรเข้ามาก้าวก่ายความสัมพันธ์ของเขาเช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ มาดาม”

เกวนยิ้มเอ็นดู เมื่อเด็กน้อยของเธอดูเข้าใจอะไรง่ายดี ขณะที่ในใจไพล่นึกไปถึงผู้เป็นลูกชาย เอวานน่ะ พอรู้ว่าผู้ที่ตนคิดมาตลอดว่าเป็นบิดากลับเป็นเพียงคนอื่น ก็พยายามทำตัวเข้มแข็งเพราะติดความเป็นพี่ใหญ่ ด้วยมีน้องชายต่างสายเลือดอีกสองคนคือสายลมและเซย์ ณ เฟอร์ริงตัน ลูกชายของเธอทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไรและใช้ชีวิตปรกติเสมอมา แต่ลึก ๆ แล้วกลับเปราะบางเสียยิ่งกว่าอะไร

ความเข้มแข็งของพี่ใหญ่เป็นเพียงเกราะที่เอวานสร้างขึ้นมาปกป้องความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพราะไม่ใช่คนน่าสงสาร แต่เกวนรู้ว่าลูกของเธอต้องการความรัก ความรักที่เขาเฝ้าบอกตัวเองว่ามีมากพอแล้ว ทุก ๆ คนที่อยู่รอบตัวเขารักเขา เขาไม่ได้ขาดความรัก แต่ความจริงแล้วเขากลับยังต้องการใครสักคน สักคนที่เป็นแค่ของเขาจริง ๆ

ครั้งแรกที่ลูกชายของเธอคิดจะรับกลิ่นแก้วมาอยู่ในความดูแล เกวนยังกังวลว่าจะมีปัญหาตามมา แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าดีแล้วที่มีเด็กคนนี้อยู่ ดีแล้วจริง ๆ


...........


บรรยากาศบนชั้นบริหารของเวสส์ในวันนี้ดูจะอึมครึมผิดปรกติ โดยเฉพาะหน้าห้องทำงานของเอวาน บอดีการ์ดคนสนิททั้งสองนายนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกไม่ไกลจากโต๊ะเลขานุการหน้าห้องนัก ทั้งที่ปรกติแมกซ์เวลจะอยู่ด้านในห้องทำงานกับผู้เป็นนาย แต่วันนี้ดูท่านายจะอารมณ์ไม่ดี ถึงได้ระเห็จออกมาอยู่หน้าห้องกับทอมัสแทน

นายของพวกเขาเป็นคนที่จริงจังกับงานเป็นปรกติ แต่ที่มันดูไม่ปรกติก็เพราะบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาจนแมกซ์เวลที่ว่านิ่งยังอยู่ในห้องไม่ได้ ความเครียดสะสมนี่มันน่ากลัวจริง ๆ

บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองต่างรู้ดีว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน แต่ก็ไม่สามารถยื่นจมูกเข้าไปวุ่นวายได้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองไป และรอคำสั่งจากผู้เป็นนายว่าจะให้ช่วยจัดการอะไรให้หรือไม่เท่านั้น

หลังเลิกงาน เอวานตรงดิ่งกลับที่พักทันที และเหมือนโชคเข้าข้างที่วันนี้ตารางนัดออกจะโล่งหน่อย เขาอยากพักผ่อนมากกว่าต้องไปปั้นหน้าที่ไหนอีก เมื่อเข้ามาในห้องก็คลายเนคไท คว้ารีโมทมาเปิดข่าวช่วงเย็นตามความเคยชิน ขณะที่แมกซ์เวลเลี่ยงไปรินน้ำเย็น ๆ มาให้เช่นทุกที

บอดีการ์ดของเขาทั้งสองคนดูจะทำหน้าที่สารพัดอย่าง มากกว่าแค่เป็นบอดีการ์ดเฝ้าหน้าห้องหรือตามติดคุ้มกันภัย แมกซ์เวลช่วยเขาดูแลงานในบริษัท คอยสอดส่องและสั่งการ กลับที่พักมาก็คอยจัดหาอาหารการกินให้อีก ขณะที่ทอมัสมีตำแหน่งเป็นสารถีกิตติมศักดิ์ คนหนึ่งละเอียดรอบคอบ อีกคนก็กล้าบ้าบิ่น ถ้างานไหนเสี่ยงหน่อยทอมัสก็รับไปจัดการ ถือว่าเขาโชคดีที่มีสองคนนี้คอยช่วย

เสียงรายงานข่าวในโทรทัศน์ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ เอวานแค่เปิดไว้ให้ห้องไม่เงียบจนเกินไปนัก พวกเขาอยู่กันสามคนก็จริง แต่พูดกันนับคำได้ เหมือนเอวานอยู่คนเดียว ขณะที่บอดีการ์ดทั้งสองนายคือลมฟ้าอากาศ

แก้วน้ำจากแมกซ์เวลถูกส่งมาให้ เอวานรับมาดื่มก่อนส่งคืน กะว่าจะไปอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อย เผื่อความหงุดหงิดงุ่นง่านที่มีมันจะทุเลาลงบ้าง แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปไหนก็ต้องหันมาสนใจข่าวที่ว่าด้วยการฟ้องล้มละลาย มันคงไม่น่าสนใจอะไรถ้าชื่อของบุคคลในข่าวไม่คุ้นหู ยิ่งมองภาพข่าวยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตา

“ริชาร์ด พาร์เลอร์...” เอวานพึมพำ

ครั้งล่าสุดที่เขาได้ยินชื่อนี้คือตอนที่เจ้าของชื่อนำเงินมาใช้คืนเวสส์ ซึ่งหนี้สินที่มีก็ถือว่าจบกันไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงยังถูกฟ้องล้มละลาย?

จากรายงานข่าวบอกว่าทรัพย์สินของนายพาร์เลอร์ไม่ได้ถูกขายทอดตลาด แต่เปลี่ยนมือไปอยู่กับเจ้าหนี้ และเมื่อหมดอำนาจ เรื่องคาว ๆ ก็ส่งกลิ่นคละคลุ้งทันตาเห็น ข่าวหลายสำนักต่างขุดเรื่องส่วนตัวของนายพาร์เลอร์มาตีแผ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งรสนิยมทางเพศที่ผิดแผกจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าวิปริต ทำให้นายพาร์เลอร์ถูกตั้งข้อหาจนกลายเป็นคดีความซ้อนขึ้นมาอีกทอด เจ้าทุกข์ที่เคยปิดปากเงียบเพราะเคยสู้อำนาจที่อีกฝ่ายมีไม่ไหวก็ได้โอกาสใช้สื่อขยี้ เรื่องสิทธิเด็กมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และผู้คนก็ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก แต่การหาหลักฐานมามัดตัวนายพาร์เลอร์เมื่อก่อนนั้นมันยาก เมื่อเจ้าทุกข์เป็นเพียงบุคคลธรรมดา แต่เวลานี้โอกาสมาถึงแล้วก็ต้องรีบคว้าไว้ แม้ไม่ได้อะไรกลับคืน แค่คนผิดได้รับโทษทัณฑ์อันสมควรก็ยังดี

“แมกซ์เวล”

“ครับ?” แมกซ์เวลที่อยู่ไม่ไกลกันขานรับ ขณะที่ทอมัสเองก็หันมาให้ความสนใจ

“ตอนที่นายพาร์เลอร์เอาเงินมาใช้หนี้เรา เหมือนนายจะบอกว่าเขาเข้าคาสิโนบ่อย?” สีหน้าเอวานดูเหมือนจะมีข้อกังขาเกิดขึ้น

“ปรกติถ้าไม่ไปร้านขายเนื้อก็ไปเสี่ยงโชค เขาหมดเงินไปกับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะครับ” แมกซ์เวลบอก

“แต่ก็มีเงินมาใช้หนี้เรา?”

“ช่วงก่อนหน้าที่จะนำเงินมาใช้หนี้ เขาก็ยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิม มันถึงน่าแปลกใจว่าเขานำเงินเหล่านั้นมาจากไหนครับ ถ้าจะบอกว่าโชคเข้าข้างก็ไม่น่าจะมากมายขนาดนั้น” แมกซ์เวลให้รายละเอียดเพิ่มเติม

“ที่ที่เขาไปเสี่ยงโชคคงไม่ใช่ ACE CASINO หรอกใช่ไหม?” เอวานถามเมื่อชักจะได้กลิ่นไม่ดีขึ้นมาตงิด ๆ

“เขาไปหลายที่ครับ แต่ที่บ่อยสุดก็คงเป็นที่นี่”

ฟังคำตอบของบอดีการ์ดหนุ่มแล้วคิ้วเอวานก็ขมวด คงไม่ใช่ว่าหนึ่งในเจ้าหนี้ของนายพาร์เลอร์คือไรท์หรอกนะ ทำไมดูทุกอย่างจะวนเวียนอยู่รอบตัวเขาจนพลอยเป็นกังวล กังวลว่ามันจะพัวพันไปถึงกลิ่นแก้ว...

“ตาเฒ่านั่นโดนสื่อเล่นงานซะยับ โดยเฉพาะรสนิยมวิปริตผิดมนุษย์ของมัน” ทอมัสเอ่ยด้วยอารมณ์ที่กรุ่นขึ้นมานิด ๆ “ทำลงไปได้ยังไงกับเด็กแค่ไม่กี่ขวบ”

พูดถึงเด็กเหล่านั้นแล้วก็ให้นึกถึงกลิ่นแก้ว เพราะความโชคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ เอวานรู้สึกว่าดีแล้วที่วันนั้นกลิ่นแก้วหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้น...

แค่คิด เอวานก็พาลเดือดดาลขึ้นมา เพียงคิดว่ามันจะแตะต้องเด็กของเขา เขาก็แทบอยากจะเป่ามันให้สมองไหล แม้เรื่องจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“พอไม่มีอำนาจในมือก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง” เหมือนทอมัสจะรำพึงขึ้นมาอีก

“หมาจนตรอกมันน่ากลัว”

“.........” เอวานหันไปมองแมกซ์เวลที่เอ่ยต่อจากทอมัสช้า ๆ ตามนิสัย

“เพราะไม่มีอะไรจะเสีย สู้ก็แค่ตายกันไปข้าง ถ้ามันไม่ตาย เราก็ตาย แค่นั้น”

นัยน์ตาสีควันบุหรี่คู่นั้นค่อยละจากแมกซ์เวลมา หมาจนตรอกอย่างนั้นหรือ? เขาไม่นึกกลัวหากมันจะแว้งกัด ถ้ามันจะกัดแค่เขา ไม่ลามไปถึงคนที่เขารักล่ะก็นะ

ลมหายใจถูกทอดถอนเสียยาวเหยียดเมื่อเริ่มเครียดขึ้นมาอีก วันนี้เครียดมามากพอแล้ว เขาควรพักผ่อนเสียที

“พวกนายอยากกินอะไรก็จัดการเลยแล้วกัน ไม่ต้องเผื่อฉัน”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ นาย?” ทอมัสเป็นหน่วยกล้าตายเอ่ยถามขึ้นมา ดูท่าทางนายของพวกเขาอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เช้าแล้ว

“แค่อยากนอนพักน่ะ” บอกไปเช่นนั้นแล้วเอวานก็คว้าโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกก่อนเดินเข้าห้องของตนเองไป

หลังบานประตูปิดลง เอวานก็เลื่อนเปิดหน้าจอโทรศัพท์ เห็นสายที่ไม่ได้รับค้างอยู่ แต่ไม่ต้องกดดูก็รู้ว่าไม่ใช่สายที่รอ เขาหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะเลื่อนไปยังหมายเลขที่ต้องการแล้วกดโทรหา บางทีเสียงของใครอีกคนอาจทำให้ใจเขาสงบลง

เสียงรอสายดังอยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าปลายสายจะรับ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ผิดหวังอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน ปรกติโทรหาทีไรก็รับทันทีราวตั้งระบบอัตโนมัติไว้ คราวนี้กลับเงียบกริบ ไปเล่นซนอยู่ที่ไหนกัน กลิ่นแก้ว?

กายสูงใหญ่ก้าวไปยังโต๊ะหัวเตียง วางโทรศัพท์ไว้บนนั้นแล้วเข้าไปอาบน้ำ เขาควรพักผ่อน ใช่ ควรพักทั้งร่างกายและจิตใจนั่นละ...


..........


ภายในห้องนอนบนคอนโดมิเนียม เอวานยังคงนอนอยู่บนเตียงแม้จะสายมากแล้ว หัวเขาเหมือนหนักสักสิบปอนด์ได้ นานทีปีหนจะเป็นแบบนี้สักที จนจำไม่ได้แล้วว่าป่วยครั้งล่าสุดเมื่อไร

หูเขาได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เปลือกตายังคงหนักเกินกว่าจะลืมขึ้นมามอง รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องก่อนจะได้ยินเสียงคล้ายแก้วกระทบกับอะไรบางอย่างอยู่ไม่ไกล เขายกมือขึ้นนวดขมับเมื่อเอ่ยถามคนที่กำลังทำอะไรกุกกักอยู่ข้างเตียง เพราะคิดว่าเป็นบอดีการ์ดของตนเอง

“วันนี้มีนัดสำคัญหรือเปล่า แมกซ์เวล ถ้าเลื่อนหรือปฏิเสธได้ก็จัดการเลย ฉันขอพักสักวัน”

ไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนานอกจากเตียงนอนข้างกายที่ยุบยวบจากการทิ้งน้ำหนักลงนั่ง หัวคิ้วเอวานขมวด ค่อยลืมตาขึ้นมาเมื่อเอะใจว่าผู้ที่เข้ามาในห้องคงไม่ใช่แมกซ์เวล เพราะบอดีการ์ดของตนจะไม่ถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงเช่นนี้ จนเมื่อเห็นชัดแก่สายตาว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายคือใคร คอเอวานก็เหมือนจะแห้งผากขึ้นมากะทันหัน ริมฝีปากของเขาขยับแต่ไม่อาจเอ่ยเรียกชื่อของคนที่นั่งอยู่ได้แม้แต่น้อย

“เป็นยังไงบ้างครับ?”

“.........”

“มิสเตอร์แมกซ์เวลจะเอายามาให้ ผมเลยอาสาเอาเข้ามาแทน”

ใครคนนั้นยังคงพูดคุยกับเขาเป็นปรกติ ราวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าเขาแค่ฝันไปและตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองเพ้อเพราะพิษไข้

“คุณทานอะไรหรือยังครับ?”

เอวานยังคงเงียบ นัยน์ตาสีควันบุหรี่นั้นหม่นแสง บางทีที่ผ่านมาเขาอาจไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้ แต่เป็นตอนนี้ต่างหากที่เพ้อหนัก เขาปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ขณะที่หูก็ยังได้ยินเสียงอีกคนพูดอยู่

“เดี๋ยวผมโทรสั่งอาหารมาให้คุณก่อนดีกว่า จะได้ทานยา...”

“ไม่ต้อง”

ที่สุดเขาก็พูดออกมาได้ อีกฝ่ายชะงักอยู่เพียงข้างเตียง ใบหน้าเรียวค่อยหันมามองเมื่อเขาขยับลุก หัวยังคงมึนหนัก แต่ก็พอจะทรงตัวได้

“ฉันยังไม่หิว”

บอกเพียงเท่านั้นแล้วก็ค่อยขยับลงจากเตียง ออกจะตะครั่นตะครอ ไม่สบายตัว อยากจะทิ้งตัวลงนอนแล้วปิดรับทุกการได้ยินหรือมองเห็น แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

กลิ่นแก้วมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ก้าวลับสายตาเข้าห้องน้ำไปแล้วก็เม้มปากแน่น กระบอกตารู้สึกร้อนขึ้นมาเมื่อท่าทีและน้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไร้เยื่อใย เด็กหนุ่มกะพริบตาเบา ๆ ไล่ความรู้สึก ก่อนลุกออกไปหาอะไรมารอให้เอวานรองท้องก่อนกินยา จะหาว่าจุ้นจ้านก็ได้ ก็คนมันเป็นห่วงนี่นา


....
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-04-2019 15:36:10

เอวานที่ลากสังขารเข้ามาในห้องน้ำด้วยหวังว่าจะอาบน้ำให้สดชื่นสักหน่อย กลับมานั่งทอดถอนใจอยู่ในนี้แทน การมาอยู่ที่นี่เพื่อถอยห่างจากกลิ่นแก้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เพราะแค่เห็นหน้า สิ่งที่พยายามมาก็หายวับไปหมด เหตุผลอะไรก็ไม่อยากมีมันแล้ว

พักใหญ่เอวานถึงออกจากห้องมา ได้ขยับตัว ได้อาบน้ำอาบท่าแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย สายตาคมมองเด็กที่รีบเข้ามาหา มือเรียวเอื้อมมาแตะแขนทำให้เขาเลื่อนสายตาลงไปมอง ก่อนเดินตามแรงรั้งไปที่โต๊ะอาหารที่ถูกตระเตรียมไว้แล้ว

เมื่อเอวานนั่งลง กลิ่นแก้วก็เลี่ยงไปนั่งฝั่งตรงข้าม คอยมองอีกคนกินข้าวเช้าในช่วงสายโด่งอยู่เงียบ ๆ รู้สึกคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ที่มันห่างหายไป แม้จะไม่นานนัก แต่กลับรู้สึกว่ามันนานมาก นึกขึ้นมาแล้วกลิ่นแก้วก็ได้แต่ต่อว่าตัวเองที่ทำตัวแบบนั้น ทั้งที่นี่คือสิ่งที่ต้องการ แค่ได้มองเอวาน ได้อยู่ใกล้ ๆ จะในฐานะอะไรก็ช่าง เขาต้องการแค่นี้ แค่นี้จริง ๆ

“วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง?” เอวานเอ่ยถาม เสียงเริ่มขึ้นจมูกจนรู้สึกได้

“ไม่มีครับ ที่โรงเรียนมีสอบประเมินในเครือ น่าจะหยุดไปอีกสองวันได้”

“.........” เอวานเพียงเหลือบสายตาขึ้นมอง พยักหน้ารับรู้แล้วไม่พูดอะไรอีก

“เมื่อวานคุณโทรหา...” พูดแล้วก็หยุดดูปฏิกิริยา เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งอยู่จึงพูดต่อ “พอดีผมอยู่ห้องคาร์เตอร์ หมอนั่นเปิดเพลงเสียงดังไม่เกรงใจชาวบ้านเลย ผมเลย...”

กลิ่นแก้วกลืนน้ำลายเมื่อเอวานหยุดกินข้าว รู้สึกพลาดที่พูดชื่อคาร์เตอร์ขึ้นมาตอนนี้ คิดว่าถูกดุแน่แต่ก็ไม่ เพราะเอวานยังกินข้าวต่ออีกสองสามคำแล้วดื่มน้ำ ไม่ได้ดุ และไม่ได้ถามว่าไปห้องคาร์เตอร์ทำไมด้วย นั่นทำให้กลิ่นแก้วทั้งแปลกใจและไม่เข้าใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น ขณะที่ในหัวเริ่มคิด เอวานไม่สนใจไยดีเขาแล้วใช่ไหม...

“ไปทำอะไรห้องเด็กนั่น?”

พอถามไปแบบนั้นเด็กที่กำลังก้มหน้าลงก็เงยขึ้นมาทันที มองไม่ผิดเหมือนจะเห็นแววดีใจระริกอยู่ในดวงตาคู่โต ดีใจเรื่องอะไรกัน เขากำลังหงุดหงิดอยู่

“งานกลุ่มน่ะครับ” บอกไปแบบนั้นแล้วรีบขยายความต่อเสียงระรัว “แต่ว่าไม่ได้อยู่ดึกนะครับ แล้วมาดามก็อนุญาตแล้วด้วย...”

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร”

“... ครับ” ถึงจะทำเป็นเข้ม แต่กลิ่นแก้วก็ยิ้มออกเมื่ออีกฝ่ายยังใส่ใจ

เมื่อกินข้าวเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ระหว่างรอเวลากินยา เอวานเลยว่าจะเข้าไปจัดการงานที่ทำค้างไว้ในห้องทำงาน แต่กลิ่นแก้วก็รีบผวาตามมาดักหน้า

“อย่าเพิ่งทำเลยนะครับ นั่งพักดูอะไรให้สบายใจดีกว่า เครียดกับงานมาก ๆ เดี๋ยวไม่หายกันพอดี”

เอวานมองหน้าเด็กที่ยืนขวางทางตนเองไว้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สองบอดีการ์ดหนุ่มค่อยเลี่ยงออกไปข้างนอก เมื่อผู้เป็นนายอาจต้องการความเป็นส่วนตัว

นิ่งมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ปลายนิ้วเรียวก็ค่อยเอื้อมมาเกี่ยวนิ้วเขา เพียงสัมผัสเบา ๆ ใจเอวานก็อ่อนยวบ ค่อยเมินมองไปทางอื่นเมื่อไม่อยากสบสายตาที่เต็มไปด้วยแววอ้อนของเด็กตรงหน้า

“ผมขอโทษ”

“.........” คนตัวโตยังทำเมิน

“ผมรู้ว่าทำตัวงี่เง่า ขอโทษที่คอยหลบหน้าคุณแบบนั้น”

เอวานค่อยหันมา “ถ้าไม่พอใจ เธอก็ควรพูดกับฉันตรง ๆ ฉันรู้ว่าฉันผิดที่ทำไม่ได้อย่างที่พูด ทั้ง ๆ ที่ฉันสัญญาแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่ฉันก็จูบเธออีกจนได้”

“.........”

“เธอโกรธใช่ไหม? เกลียดฉันด้วยหรือเปล่า?”

ใบหน้าเรียวส่ายดิก “ผมไม่เคยโกรธเกลียดคุณเลย และไม่มีทางด้วย”

“แต่เธอหลบหน้าฉัน”

“อ่า...” ความเป็นจริงช่างทิ่มแทงใจ “ผมก็ขอโทษแล้วไง”

“ถามจริง ๆ โกรธไหมที่ฉันทำแบบนั้น?”

ตากลมช้อนมองเขา ความรู้สึกหลากหลายปนเปอยู่ในนั้น กายผอมค่อยขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ก้มลงวางหน้าผากชนอกเขา สัมผัสเคยคุ้นแต่กลับไม่คุ้นเคย มันต่างจากเดิมจนรู้สึกได้

“ผมไม่ได้โกรธ” เสียงตอบเพียงเบา ๆ แต่คนฟังกลับได้ยินอย่างชัดเจน “ต่อให้คุณจะทำแบบนั้นอีกครั้งตอนนี้ ผมก็ไม่โกรธ”

มือหนาเลื่อนขึ้นมารั้งเด็กที่ยืนชิดกายตนเข้าสู่อ้อมกอด กดจูบกลุ่มผมนุ่มแล้ววางคางเกย ระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เขาคิดมาตลอดว่าควรทำอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลงที่มันเกิดขึ้นระหว่างกัน เพราะเขารู้ รู้ว่ากลิ่นแก้วเชื่อเขาทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือให้ทำอะไร ไม่มีทางที่จะไม่เชื่อฟัง เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่อยากที่จะชี้นำความรู้สึก แต่ก็อดกังวลไม่ได้เมื่อคิดไปว่าหากไม่มีเด็กคนนี้อยู่ข้างกายแล้วจะเป็นเช่นไร เขาอยากยึดไว้ อยากให้อยู่แบบนี้ คอยตามใจเขาแบบนี้ อยู่กับเขาแบบนี้เรื่อยไป

แขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นอีกนิด เขามันคนเห็นแก่ตัว ถ้าเขาทำให้กลิ่นแก้วเชื่อไปว่าความรู้สึกที่มีมันคือความรัก แล้ววันหนึ่ง วันที่กลิ่นแก้วได้พบกับคนที่ทำให้รัก รักในแบบที่ต่างไปจากที่เขาทำให้เข้าใจมาตลอด กลิ่นแก้วอาจนึกเสียใจ เพราะกลิ่นแก้วไม่มีทางทำร้ายเขา ถึงวันนั้นเขาคงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยสมบูรณ์ เพราะเขาจะไม่มีทางปล่อยเด็กคนนี้ไป ไม่มีทางเลย...



กลิ่นแก้วเข้ามาในห้องนอนพร้อมแก้วน้ำและยา เมื่อเปลี่ยนใจเอวานไม่ให้ทำงานได้แล้ว พอเห็นเด็กเดินมาหา เอวานที่กำลังดูรายการโทรทัศน์ตามใจเด็กอยู่จึงตบพื้นที่บนโซฟาเป็นเชิงให้นั่งลงข้างกัน

หลังจากกินยาตามคำสั่งพยาบาลสุดแสนจะพิเศษไปแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน ตัวผอมเอนไปอิงซบ อีกคนก็วาดแขนพาดบนพนักพิงด้านหลังโอบไว้หลวม ๆ พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขเล็ก ๆ แม้ไร้คำพูดจา

เอวานละสายตาจากรายการโทรทัศน์มามองคนที่เคยเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เวลาซุกอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ ในเวลานี้กลับแปรเปลี่ยน เมื่อในสายตาของเขามองเด็กคนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่มีเด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้นอีกต่อไปแล้ว

“เอวาน”

“หืม?”

เอวานขานรับในลำคอ เริ่มเบลอเล็กน้อย รู้สึกร่างกายต้องการการพักผ่อน เสียงจากรายการโทรทัศน์เหมือนกำลังกล่อมให้เขาเอนลงนอน แต่หูก็ยังคอยฟังเสียงเด็กที่ซุกอยู่กับอกตน

“ง่วงเหรอครับ?”

“เพลียนิดหน่อย”

“ผมว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ” กลิ่นแก้วยิ้มขำ “ไปนอนที่เตียงดีกว่านะครับ นอนโซฟาเดี๋ยวปวดหลัง”

กายผอมขยับลุกขึ้นยืนรอคนป่วยที่ค่อยลุกตามอย่างเกียจคร้าน ใจจริงเขาอยากนอนลงตรงนี้มากกว่า แต่พอมองหน้าคนเสนอความคิดให้ไปที่เตียงก็ไม่อยากขัด ค่อยเดินตามแรงรั้งไปด้วยความสะลึมสะลือ

เมื่อถึงเตียงเอวานก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่สนใจอะไรอีก กลิ่นแก้วค่อยโน้มก้มลงไปหา มองหน้าคนป่วยที่ปิดเปลือกตาลงแล้วนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนเขย่าแขนเรียกเบา ๆ

“เอวาน”

“อือ” ท่าทางจะไม่ไหวเอาจริง ๆ

คนมองอมยิ้มขณะเอ่ยบอก “พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว”

มือหนาเอื้อมคว้าจับแขน ขณะที่ดวงตาค่อยปรือขึ้นมามอง “กลับไปไหน?”

“กลับเจฟเฟอร์สันสิครับ” ตอบออกไปกลั้วหัวเราะ ก่อนบอกเหตุผล “ผมไม่ได้บอกมาดามว่าจะมาค้าง”

ตอบไปแบบนั้นแล้วก็เห็นว่าเอวานเงียบไป กลิ่นแก้วจึงชะโงกไปดูด้วยความสงสัยว่าหลับไปแล้วหรืออย่างไร พอมองแล้วก็อมยิ้มจาง ค่อยดึงผ้ามาห่มให้ ขณะที่มือคนหลับยังจับแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย หลับจริงหรือเปล่านี่?

“เอวาน...”

“โทรศัพท์อยู่หัวเตียง”

“หือ?”

“ฉันจะบอกแม่เองว่าเธอจะค้างที่นี่”

“.........” กลิ่นแก้วหันไปมองโทรศัพท์ก่อนหันกลับมามองมือที่จับแขนตนเองไว้ เมื่อคนที่หลับตานิ่งอยู่นั้นสั่งความมา ตกลงจะไม่ปล่อยจริง ๆ สินะ

กายผอมนั่งลงบนเตียงแล้วเอาโทรศัพท์มาให้เอวานโทรบอกมาดามเจฟเฟอร์สัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาไปวางไว้ที่เดิม ก่อนขยับขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนลงข้าง ๆ มองหน้าเอวานนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ยกตัวขึ้นแล้วจูบแก้มที่เริ่มสากไรเคราเบา ๆ ทำให้มือที่จับแขนไว้ค่อยคลายออก

กลิ่นแก้วปลดมือนั้นออกจากแขนแล้ววางลงนอนหนุน ค่อยพาดแขนกอดกายหนาทั้งอิงซบอกแกร่ง เอวานสบายใจที่มันเป็นแบบนี้ เขาเองก็ไม่อยากทำลายช่วงเวลาเหล่านี้เช่นกัน จะสถานะอะไรก็ช่าง แค่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว...


..........


ทอมัสมองนายของตนที่มีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำขนมนมเนยด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก แต่ด้วยมารยาทจึงไม่กล้าที่จะแสดงอาการอะไรมากนัก ตัวสูงใหญ่นั้นค่อยเขยิบไปหาเพื่อนบอดีการ์ดแล้วกระแซะถาม

“นายเราป่วยหนักขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”

คนถูกถามปรายมอง “ถามให้เอาไหม?”

“.........” ทอมัสหันขวับมามอง แหม ปากคอ

“ก็อยากรู้ไม่ใช่หรือไง?” อีกคนว่า

“ก็นายไม่เห็นหรือไง ทำไมต้องป้อนกันขนาดนั้น?” นี่ก็ยังข้องใจไม่หาย

แมกซ์เวลแกล้งถอนใจแรง ก่อนเอ่ยเรียก “นายครับ...”

“เฮ้ย!!” มือหนารีบตะครุบปิดปากเพื่อนด้วยความใจหายใจคว่ำ จะพากันฉิบหายไปหมดแล้วไอ้หอย!

เสียงเอะอะของสองบอดีการ์ดหนุ่มทำให้เอวานหันมามอง ขณะที่กลิ่นแก้วเองก็มองมางง ๆ ตัวต้นเหตุเลยรีบโบกมือทั้งฉีกยิ้มน่าสงสัย

“ไม่มีอะไรครับ นาย ไม่มี...”

ปรายมองไอ้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสราวพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันแล้ว แมกซ์เวลก็ใช้ศอกกระทุ้งเพื่อให้ปล่อยปากตัวเองเสียที ก่อนเดินเลี่ยงออกไปเงียบ ๆ ตามนิสัย ขณะที่ทอมัสเองก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยให้ผู้เป็นนายแล้วเดินตามเพื่อนไปเช่นกัน

เอวานส่ายหน้ากับพฤติกรรมประหลาดของบอดีการ์ดตัวเอง เมื่อหันกลับมาหากลิ่นแก้วแล้วเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ก็รู้สึกว่า เออ แบบนี้ค่อยสบายตาสบายใจขึ้นมาหน่อย

“พรุ่งนี้ช่วงค่ำฉันมีบินไปต่างประเทศนะ” เอวานเอ่ยบอกกับเด็กตรงหน้า

“คุณยังไม่หายดีเลยนะครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยท้วง เพิ่งฟื้นไข้ก็จะเดินทางไกลเสียแล้ว

“มันเลื่อนไม่ได้” คนเพิ่งฟื้นไข้ว่า “เดี๋ยวพอถึงพรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม”

“.........” เจ้ากลิ่นแก้วหน้ายุ่ง ดีกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ถึงกับหายไม่ใช่หรืออย่างไร

“เดี๋ยวซื้อของพื้นเมืองมาฝาก”

เอ่ยบอกทั้งรอยยิ้มอ่อนโยน เพราะรู้ดีว่าเด็กของตนชอบพวกงานฝีมือ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย อะไรพวกนี้ ที่ที่เขาจะไปมีอารยธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ พวกข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องประดับสวย ๆ คงมีให้เลือกมากมายทีเดียวล่ะ

“ไม่ได้เห็นแก่ของฝากสักหน่อย” กลิ่นแก้วว่า

“หึ ๆ”

“ผมรู้ว่าห้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นงานสำคัญ แต่ยังไงคุณก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ”

ความห่วงใยที่แสดงออกมาทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงนั่นทำให้เอวานอมยิ้ม ก่อนพยักหน้ารับคำเบา ๆ

“อืม”

คนเคยทำงานอย่างเอวาน พอต้องมานั่ง ๆ นอน ๆ ก็ออกจะเบื่อ แต่จะเอางานมาทำก็กลัวเด็กจะงอน เลยต้องยอมอยู่เฉย ๆ แมกซ์เวลโทรบอกเลขานุการของเขาแล้วว่าวันนี้ไม่เข้าบริษัท มีอะไรค่อยว่ากันพรุ่งนี้ วันนี้เลยดูว่างจนเกินไป

สองหนุ่มต่างวัยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการออกมานั่งรับลมนอกระเบียง คนตัวโตนั่งเอนหลังสบาย ๆ โดยมีเด็กหนุ่มหน้ามนนั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ ๆ ครู่หนึ่งกายสูงใหญ่นั้นก็ค่อยขยับเข้าไปหาคนที่เอาแต่สนใจหนังสืออ่านเล่นในมือแล้วล้มตัวลงนอน วางศีรษะบนตักอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ

“ง่วง” เขาว่าอย่างนั้นเมื่ออีกฝ่ายก้มมองเขาตาโต

“ผมลุกไปนั่ง...”

“ไม่ต้อง”

“........”

“พักสายตาแป๊บเดียว” เอวานว่า

“.........”

“ทำไม เมื่อยเหรอ?”

“เปล่าครับ กลัวคุณนอนไม่สบายมากกว่า”

ได้ยินคำตอบเช่นนั้นคนถามก็ยิ้มบาง ขณะที่คนตอบก็สอดส่ายสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าสบดวงตาพราวของคนบนตัก

“กลิ่นแก้ว”

“ครับ?”

เพราะเสียงเรียกของคนบนตักทำให้กลิ่นแก้วต้องก้มลงมอง เพิ่งรู้ว่ามันเป็นอะไรที่ผิดมหันต์ก็เมื่อถูกดวงตาคมคู่นั้นสะกด เป็นขณะเดียวกันกับที่อุ้งมือหนาเลื่อนขึ้นมากดด้านหลังคอ พร้อมกับคนบนตักที่ยกตัวขึ้นมาหา

ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากหยักกดแนบกับกลีบปากตน แช่นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยขยับเบา ๆ เหมือนลองเชิง ก่อนจะหนักหน่วงขึ้นเมื่อเขายอมโอนอ่อน ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ารสจูบคราวนี้มันร้อนเร่ากว่าปรกติ ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปราดไปถึงปลายเท้า ยิ่งอีกคนบดเบียด ยิ่งดูดดุนปลายลิ้น กลิ่นแก้วยิ่งรู้สึกเสียววาบทั้งท้องน้อย

“เอวาน...” กลิ่นแก้วเอ่ยเรียกอีกคนเสียงสั่น แต่มันยังดังไม่พอให้รสจูบแสนดูดดื่มนั้นหยุดลง และดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่

ริมฝีปากที่สร้างความปั่นป่วนนั้นค่อยผละห่างเมื่อดูดชิมความหวานจนพอใจ กายสูงใหญ่ลดตัวลงนอนหนุนตักแล้วหลับตาราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่เด็กด้อยประสบการณ์ยังใจเต้นไม่เป็นส่ำ ช่วงล่างมันวูบวาบจนอยากลุกหนี แต่ติดตรงคนบนตักที่นอนทับไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่ เขาไม่ได้กำลังโดนแกล้งอยู่ใช่ไหม ฮือ



ช่วงบ่าย ผู้เป็นมารดาโทรมาไล่บี้เรื่องยึดตัวเด็กไว้ทั้งที่ขอแค่ให้นอนค้าง นี่บ่ายแล้วยังไม่พามาส่ง เอวานเลยว่าไม่ได้บอกจะให้ค้างแค่คืนเดียว กลิ่นแก้วมีเรียนวันมะรืน เพราะฉะนั้นเย็นวันพรุ่งนี้เขาถึงจะพากลับ ก่อนจะบินไปธุระต่างประเทศ

“ดีกันแล้วใช่ไหม?”

เอวานเลิกคิ้วเมื่อมารดาถามมาเช่นนั้น “เรื่องอะไรครับ?”

“ก็ที่หนีไปนอนคอนโดฯ ไม่กลับบ้านกลับช่อง ไม่ใช่ทะเลาะกันรึไง?” ท่านย้อนถามมา “เรานี่นะ โตแต่ตัวหรือไง มีอะไรทำไมถึงไม่พูดกัน เรื่องงอนน่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหนูมันก็พอแล้ว”

ผู้เป็นลูกชายหัวเราะหึ ๆ เห็นคนที่เป็นหัวข้อสนทนาเดินมาเลยกางแขนออก อีกฝ่ายมองงง ๆ แต่ก็ยอมก้าวมาหาแล้วนั่งลงให้กอด

“ไม่งอนแล้วครับ เจ้าหนูของมัมมาง้อถึงที่ขนาดนี้” หอมหัวไปฟอดนึง มันเขี้ยว “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปส่งครับ ยังต้องการพยาบาลพิเศษอยู่”

ปลายสายทำเสียงหมั่นไส้ ก่อนจะตกลงตามนั้นแล้ววางสายไป เอวานจึงวางโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ ก้มมองเด็กตาใสที่อิงแอบชิดใกล้แล้วว่า

“อาบน้ำด้วยกันไหม?”

“หา!?” คนถูกชวนทื่อ ๆ แบบนั้นถึงกับเสียงหลง มาไม้ไหนกันนี่ เพ้อเพราะพิษไข้หรือ?

พอเห็นท่าทางตกใจขนาดนั้นเอวานจึงขยายความ บอกตอนที่กลิ่นแก้วขาเจ็บ พวกเขายังเคยอาบด้วยกัน ช่วงนั้นเขาทั้งช่วยอาบน้ำ ถูสบู่ ขัดสีฉวีวรรณให้ มาตอนนี้ที่เขาไม่สบายก็อยากให้ถูหลังให้บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เลยหรือ เรื่องตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาก็ยังยกมาอ้าง กลิ่นแก้วเลยได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยน ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเมื่ออีกฝ่ายก็เคยทำให้จริงดังว่า

ขณะที่คนชวนเข้าไปนอนแช่น้ำในอ่างรอ กลิ่นแก้วก็ยังนั่งทำใจอยู่ด้านนอก เมื่อกลางวันก็โดนจูบไปที มาตอนนี้ยังชวนอาบน้ำด้วยกันอีก เอวานมาแปลกแบบนี้เขาทำตัวไม่ถูก ได้แต่พยายามปลอบประโลมจิตใจของตัวเองให้มันสงบลง ก่อนเข้าไปในห้องอาบน้ำเมื่อทำใจได้บ้างแล้ว

เอวานขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กในปกครอง ซึ่งต่อรองกับเขาจากอาบน้ำด้วยกันเหลือเพียงถูหลังให้ ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ความเงียบ มีเพียงเสียงน้ำในอ่างดังแทรกมาเมื่อเขาขยับตัว กระทั่งกลิ่นแก้วถูหลังให้เขาเสร็จในเวลาอันรวดเร็วแล้วจะผละหนี มือหนาก็เอื้อมคว้า กายสูงใหญ่ก้าวออกจากอ่างทั้งอย่างนั้น ทำให้แผ่นหลังของร่างที่เซถอยชนเข้ากับอกเปลือย ใบหน้าเรียวถึงกับเอี้ยวมามองด้วยความความตกใจ

“ถอดสิ”

“หา?” ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งหรือคำบอกเล่า แต่เล่นเอาใจกลิ่นแก้วกระตุกวูบ

“เปียกไปหมดแล้ว”

“ม... ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนที่ห้อง...”

“เปลี่ยนที่นี่ก็ได้”

“.........” สายตาที่มองมาพาเอากลืนน้ำลายหนืดคอ

“อุตส่าห์ช่วยถูหลัง เดี๋ยวฉันถูให้บ้าง”

“อ... เอ่อ...”

“เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกันนานแล้วนะ”

“.........”

กลิ่นแก้วได้แต่ร่ำร้องในใจว่าดีแล้วที่ไม่ได้อาบด้วยกัน ก่อนจะสะดุ้งกับสัมผัสเย็นชื้นที่ช่วงเอว เมื่อชายเสื้อเลิกสูงตามมือของคนด้านหลังที่ค่อยลูบขึ้นมาช้า ๆ ความเย็นของน้ำไม่ได้ทำให้หนาวสั่น แต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบทุกจุดสัมผัสที่มือนั้นเลื่อนผ่านต่างหากที่ทำให้สั่นสะท้าน

“ถอดสิ”

“.........”

พอมองสบดวงตาคู่นั้นแล้วกลิ่นแก้วก็แทบจะร้อง ทำไมเอวานน่ากลัวแบบนี้ ฮือออ...





TBC




นิยายรายไตรมาส  :a5:

วอนพี่โมอย่าเพิ่งลบ จะมาลงให้จบจริง ๆ ไม่ติงนังค่า

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ +++

หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 07-04-2019 16:56:55
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 07-04-2019 23:55:39
โท่!เอวานอย่างน้อยก็ทำความเข้าใจกับกลิ่นแก้วก่อนได้ไหมว่ารู็สึกยังใงต่อกันไม่ใช่พอเด็กมางอแล้วจะจับกินแบบนี้ไม่ได้  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 08-04-2019 00:35:29
หายไปนานเลยคิดถึงกลิ่นแก้วค่ะ :z10:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-04-2019 02:56:26
ระวังตัวหน่อยน้ากิ่งแก้ว อันตรายมากนายคนนี้
ยังไม่เคลียร์อะไรเลย  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2019 12:01:27
โดนจับกินแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 08-04-2019 18:45:29
มาแล้วๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-04-2019 23:05:38
ชื่อเรื่องกับเนื้อเรื่องคือแบบยังไง แต่พอเข้ามาอ่านแล้วติดจ้า หลงเจ้าหนูกลิ่นแก้วเต็มๆ น่ารักใสๆ เอวานยอมรับกับตัวเองได้แล้วว่าคิดอะไรกับน้อง จูบมาหลายทีแล้วนะ นี่ขนาดชวนอาบน้ำ ตอนเด็กไม่เท่าไหร่แต่ตอนโตนี่ซิ ความหื่นมันจะเผยมาให้น้องกลัวมะ :laugh:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๐ รุดหน้า+ // 07.04.2562 (P.3)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 10-04-2019 18:46:09
 :z3: :z3: :z3:  ค้างคาในความรู้สึกกับการแสดงออกของคู่นี่
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-07-2019 10:28:41
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน


“ถอดสิ”

ดวงตาที่ฉายแววปรารถนาแบบที่ไม่คุ้นเคยทำให้กลิ่นแก้วสั่นขึ้นมาดื้อ ๆ เพราะกลัวหรือเพราะอะไรก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ในเวลานี้ เมื่ออีกคนก้มลงมาหา ยิ่งสบเข้ากับดวงตาคู่คมราวถูกสะกดตรึง ริมฝีปากเผยอขึ้นรับจูบที่แตะแผ่วเหมือนยั่วเย้า ค่อยกดเบา ๆ ราวล่อหลอกให้ตามติดเมื่อถอยห่าง ก่อนครอบครองทั้งหมดเมื่อเผลอไผล

รสจูบที่ได้รับมันช่างต่างจากทุกครั้ง แม้แต่จูบเมื่อกลางวันยังไม่เทียมเท่า เมื่อผนวกกับสัมผัสจากมือสากที่ลูบไล้ผิวกาย ยิ่งปลุกความรู้สึกในส่วนลึกขึ้นมาจนยากจะห้ามไหว

มือหนาลูบขึ้นมาตามแนวแขน กุมไหล่มนแล้วดันร่างแบบบางให้หันกลับมาหา ริมฝีปากยังตามติดเมื่อดันตัวอีกฝ่ายชิดผนังห้องอาบน้ำเย็นชืด แขนเรียวยกขึ้นคล้องกอดคอเขาตามสัญชาตญาณ ทั้งบดเบียดร่างกายเข้าหา มือเขาละลงมาจับช่วงเอว รั้งให้ชิดกับกายตนมากขึ้น ขณะที่ริมฝีปากของพวกเขายังคงบดจูบหนักหน่วง

ลิ้นร้อนตวัดรัด ไล่ต้อน ทั้งปาดชิมความหวาน ตะกรุมตะกรามราวนักเดินทางกลางทะเลทรายผู้หิวกระหาย เมื่อได้ดื่มน้ำหวานล้ำจนพอใจถึงได้ผละมาข้างแก้มเนียน ไถลเลยมายังใบหูทั้งลมหายใจกระเส่าซ่าน ใบหน้าเรียวเบี่ยงหลบให้ได้กดจูบซุกไซ้

“เอวาน...”

เสียงพร่าสั่นนั้นเหมือนโลกทั้งใบถูกเหวี่ยงกลับ เวลาอาจหยุดหมุนไปชั่วขณะเมื่อเอวานชะงักอยู่เพียงซอกคออุ่น ท่ามกลางความเงียบพวกเขานิ่งอยู่เป็นนาน กระทั่งเสียงลมหายใจหอบกระชั้นค่อยเบาลงจนกลับมาเป็นปรกติ

เอวานเสยผมที่ยังเปียกหมาด ก้าวถอยไปเล็กน้อยอย่างตัดใจ แขนที่คล้องกอดคอเขาค่อยละลงมาข้างตัวอย่างน่าใจหาย ใบหน้าเรียวนั้นเบือนหลบ ทำให้เขาต้องปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระแล้วห่างออกมาอีกนิด

“อาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”

กลิ่นแก้วยังคงยืนพิงผนังห้องน้ำนิ่ง ค่อยยกแขนขึ้นกอดอกราวปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น มองแผ่นหลังของเอวานที่ก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำชำระกายโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่ร่างสูงใหญ่นั้นจะคว้าผ้าขนหนูมาพันเอวเมื่ออาบน้ำเสร็จ

“ให้ช่วยรึเปล่า?”

สติที่เลื่อนลอยดูเหมือนจะกลับเข้าร่างเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยถาม กลิ่นแก้วส่ายหน้าเบา หันหลังให้คนถามแล้วถอดชุดที่สวมใส่ รู้ว่าอีกคนกำลังมองอยู่ แต่ไม่อยากอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำนี้นานนัก ซึ่งฝ่ายนั้นก็คงเข้าใจถึงได้ผละออกไปให้เขาหายใจหายคอได้คล่องขึ้นอีกนิด



บนเตียงภายในห้องนอน เอวานที่สวมเพียงกางเกงนอนตัวเดียวเป็นปรกตินั่งเอนหลังพิงหัวเตียง มองเด็กที่สวมชุดนอนตัวโตของตนยืนเคว้งอยู่กลางห้องหลังอาบน้ำเสร็จ ก่อนตบที่นอนข้าง ๆ ให้ก้าวมาหา ซึ่งเด็กของเขาก็ว่าง่าย ยอมขึ้นเตียงมานั่งข้างเขาเงียบ ๆ

“โกรธเหรอ?” เอ่ยถามเมื่อเด็กข้างกายเงียบผิดปรกติ มันก็น่าโกรธอยู่หรอก เล่นอะไรเลยเถิดแบบนั้น “ฉันขอโท...”

นิ้วเรียวแตะริมฝีปากทำให้เอวานชะงักคำ

“อย่าขอโทษได้ไหม?”

“.........”

“อย่าทำเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความผิดพลาด”

ดวงตาคู่โตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสกลับต้องมีแววเจ็บร้าวเช่นนั้น เล่นเอาหน่วงไปทั้งใจ เอวานคว้าเด็กข้างกายมากอด จะทำเป็นหลับหูหลับตาต่อไปอีกได้อย่างไร ทั้งความรู้สึกของเด็กในอ้อมแขนและของตัวเขาเอง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทบทวนมันอย่างจริงจังเสียที

“ที่อยากขอโทษ ไม่ใช่เพราะมันคือความผิดพลาด แต่เพราะกลัวเธอจะไม่พอใจ” เขาอธิบายช้า ๆ อยากให้เข้าใจตรงกัน “ถ้าเธอไม่ชอบ ไม่อยากทำ ฉันก็ไม่ควรบังคับ การที่เธอยอมให้ฉันทำอะไรตามแต่ใจ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะคิดอะไรมากไปกว่าแค่อยากตามใจฉัน เหมือนที่เคยเป็น”

“.........”

ดันตัวอีกฝ่ายออกมา มองสบสายตาด้วยแววจริงจัง “ฉันไม่ควรเอาเปรียบเธอแบบนี้ เธอเองก็ไม่ต้องฝืนใจตัวเองเพื่อฉัน เธอโตแล้ว มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือไม่อยากทำ...”

คำพูดที่มีสะดุดลงเมื่อเด็กตรงหน้าดันตัวขึ้นมาแตะจูบ ดวงตาทั้งคู่สบกันระยะใกล้

“ผมไม่ได้ฝืนใจตัวเอง ไม่ได้แค่อยากเอาใจคุณ ถ้าผมไม่อยากทำ ผมจะบอกคุณเอง”

“กลิ่นแก้ว...” เอวานคราง มันจะห้ามตัวเองไม่อยู่ก็เพราะอีกคนก็ช่างรู้เห็นเป็นใจ

กายผอมถูกดันลงไปนอนบนเตียงนุ่ม ตากลมเบิกโตมองคนที่ขยับขึ้นคร่อมอยู่เหนือกาย ทั้งเท้าแขนกักตัวไว้เสียอีก แววตาแปลก ๆ นั้นกลับมาอีกหน ทำเอากลิ่นแก้วหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

“เอวาน...” มันใช่เสียงเขาแน่ใช่ไหม ทำไมถึงสั่นแบบนี้ไม่รู้

“หืม?”

ใจจะกระดอนออกมานอกอก แค่การขานรับธรรมดาเองกลิ่นแก้ว ใจเย็น ๆ “ผม... ผม...”

“กลัวเหรอ?”

ความไม่มั่นใจปรากฏให้เห็นในแววตา แต่เจ้าตัวก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมแค่รู้สึกแปลก ๆ...”

“หึ ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่รู้สึก...”

ใบหน้าคร้ามคมโน้มก้มลงใกล้ มือเรียวถูกรั้งไปวางแนบอกเปลือย นัยน์ตาสีควันบุหรี่นั้นสะกดอีกฝ่ายนิ่ง

“ฉันรู้สึกมากกว่าเธอเสียอีก”

ริมฝีปากอิ่มเผยอรับจูบร้อนเมื่อสิ้นเสียงกระซิบแผ่ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเย้าหยอกหลอกล่อไปทิศทางใดก็คล้อยตามไปเสียหมด มือเรียวลูบไล้แผงอกแน่นตึง เลื่อนเลื้อยลงสู่เบื้องล่างตามแรงรั้งจากอุ้งมือใหญ่ ลูบวนไม่รู้เบื่อก่อนจะสัมผัสกับบางสิ่งที่ไม่ควร ดวงตากลมเบิกโต มองหน้าคนด้านบนด้วยความพรึงเพริด

“เห็นไหม?”

เสียงนั้นออกจะแปร่งหูอยู่สักหน่อย ขณะที่ใบหน้าเด็กใต้ร่างเห่อร้อนเมื่อสิ่งที่มือสัมผัสมันกำลังตื่นตัว อาจเพราะอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ก่อนแล้ว เพียงถูกกระตุ้นจึงพร้อมรบเช่นนี้ กลิ่นแก้วอยากจะถอยมือกลับ แต่เพียงขยับเอวานก็สูดปากเบา พาเอาอยากร้องไห้บอกไม่ถูก

เห็นแววหวาดหวั่นในดวงตาคู่นั้นแล้วเอวานก็จำต้องข่มใจ ถึงแม้กลิ่นแก้วจะพูดราวเปิดทาง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตระหนักเอาไว้ถึงความไม่ประสาที่อีกฝ่ายมี เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนมันออกช้า ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความกำหนัดที่เกิดขึ้น

“นอนเถอะ” จูบหน้าผากอุ่นเบา ๆ ก่อนผละพลิกกายลงนอนข้าง

ความเงียบโอบล้อมรอบกายคนทั้งคู่ ขณะที่จังหวะหัวใจกลิ่นแก้วยังเต้นรัวไร้หนทางสงบ ต้องปล่อยให้เวลาที่มันเดินอย่างเชื่องช้านั้นปลอบประโลม

“เอวาน...” เอ่ยเรียกคนข้างกายเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่

“ไม่เป็นไร”

“.........”

กายผอมตะแคงมาหาคนที่นอนทับแขนหลับตานิ่ง แขนเรียวพาดกอดพลางขยับตัวขึ้นไปนอนอิงอกแกร่ง เอวานกำลังอดทน เขารู้ แต่สิ่งที่เด็กโง่ ๆ อย่างเขาไม่รู้ก็คือ ในสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร

หลุบสายตาลงมองคนที่นอนอิงอกแล้วเอวานก็พรูลมหายใจ ละแขนข้างที่ใช้หนุนนอนมากอดไว้ แค่ได้เชยได้ชมแต่เพียงน้อยนิด ก็เหมือนก้าวขาเข้าตารางไปข้างหนึ่งแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ยิ่งของยั่วใจอยู่ใกล้มือ ยิ่งยากจะดึงตัวเองกลับมาได้ทุกครั้ง หากวันใดที่ยั้งใจไว้ไม่อยู่ เขาคงไม่ต่างอะไรกับตาเฒ่าโรคจิตอย่างริชาร์ด พาร์เลอร์



บ่ายวันต่อมา เอวานพาเด็กมาส่งเจฟเฟอร์สันตามที่ได้บอกกับมารดาของตนเอาไว้ ก่อนที่จะเลยไปสนามบินเพื่อเดินทางไปทำธุระยังต่างแดน เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ กลิ่นแก้วก็เอี้ยวตัวเปิดประตู แต่มือที่เอื้อมมาแตะแขนทำให้ต้องหันกลับมา บอดีการ์ดสองนายที่เบาะหน้าเองก็เหลือบสายตาขึ้นมองกระจกโดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน

“Goodbye kiss ล่ะ?”

“........” คำถามนั้นทำเอากลิ่นแก้วอ้าปากหวอ ขณะที่สองบอดีการ์ดรีบเบือนสายตามองนอกหน้าต่างรถด้วยความเร็วแสง

“ล้อเล่นน่ะ” เอวานยิ้มขำ

กลิ่นแก้วเม้มปาก ถึงเอวานจะบอกว่าล้อเล่น แต่เขาก็อยากทำ ตากลมเหลือบมองบอดีการ์ด เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงจุ๊บแก้มเอวานเบา ๆ แล้วยิ้มให้

“เดินทาง...”

ยังไม่ทันจะจบประโยคดี มือหนาก็สอดมารั้งหลังคอพร้อมฉกจูบกลีบปากนุ่ม กดหนัก ๆ ให้พอรู้สึกก่อนถอยออกมา เพียงแค่นั้นก็ทำเอาคนที่เพิ่งทำใจกล้าจุ๊บแก้มคนอื่นไปเมื่อครู่หน้าร้อนวูบวาบ

เอวานค่อยเลื่อนมือมากุมแก้มเด็กตรงหน้า นิ้วหัวแม่มือปัดไล้ริมฝีปากที่เผยอน้อย ๆ นั้น ก่อนก้มลงหาแล้วกดจูบอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่เพียงกดแนบ แต่ค่อยเลาะเล็มช้า ๆ พาให้ใจสั่น ครู่หนึ่งถึงได้ถอนจูบ

“เดินทางปลอดภัยครับ” เอ่ยบอกเสียงเบาราวกระซิบ ก่อนเปิดประตูลงรถไป

คนพูดลงจากรถไปแล้ว แต่คนบนรถยังคงยิ้มเมื่อมองตามร่างนั้นเดินเข้าตัวคฤหาสน์ไป กระทั่งหันมาแล้วเห็นว่าบอดีการ์ดของตนรีบหลบสายตากันพัลวัน หัวคิ้วเข้มก็มุ่นเล็กน้อย

“มองอะไรกัน?”

“เปล่าครับ” บอดีการ์ดหนุ่มทั้งสองนายรีบปฏิเสธราวนัดกันมา

เอวานไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเอนหลังพิงเบาะ ประสานมือบนหน้าตักด้วยท่าทีสบายอารมณ์ ขณะที่รถค่อยเคลื่อนออกจากหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ไป


.........


ห้างสรรพสินค้าของเกวน ช่วงเย็นวันสุดท้ายของการทำงานเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน บ้างก็มาหย่อนใจ จับจ่ายซื้อของ หรือแม้แต่รวมกลุ่มสังสรรค์ตามร้านรวงที่เปิดให้บริการมากมาย

ฟรานเชสโก้ก้าวออกมาจากฝั่งสำนักงานพร้อมลูกน้องผู้ภักดี ปรกติคนแบบเขามักไม่อยู่ในที่สว่าง ใครต้องการพบก็ต้องเข้าไปในถิ่นของเขา แต่ช่วงนี้กำลังมองธุรกิจด้านสว่างเพื่อขยับขยายงานอยู่ สัตว์ล่าเนื้อเช่นเขาจึงต้องออกจากถ้ำมาเช่นนี้

“พุงจะแตก”

ลอยน์ลูบท้องตนเองเพื่อประกอบคำพูด ขณะที่ตนกับกลิ่นแก้วและคาร์เตอร์ สามเพื่อนซี้เดินออกจากร้านอาหารในตัวห้างสรรพสินค้ามา

“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อใหญ่” ลอยน์ว่าพลางฉีกยิ้ม

วันนี้กลิ่นแก้วเป็นเจ้ามือ นาน ๆ ทีเจ้าเพื่อนตัวเล็กจะควักกระเป๋า ทำตัวสมถะเสียยิ่งกว่าอะไร จนคิดว่าจะเก็บเงินไว้สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่แข่งกับพี่ชายอย่างเอวาน เวสส์ หรือเปล่า

ว่าไปแล้วมีเพื่อนเป็นลูกหลานเจ้าของห้างฯก็ดีไปอย่าง ได้ส่วนลดร้านในเครือด้วย นักเรียนอย่างพวกเขาไส้แห้งมาตั้งนาน เพราะอยากใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จะกินจะใช้เกินกำลังก็ไม่ได้ นอกจากจะกลับไปอ้อนที่บ้านถึงจะได้กินของดี ๆ สักทีหนึ่ง

“คนเยอะเหมือนกันนะ” คาร์เตอร์เปรยเมื่อมองรอบ ๆ ตอนอยู่ในร้านอาหารก็รอนานเหมือนกัน ดีที่กลิ่นแก้วมีอภิสิทธิ์ เลยไม่ต้องรอจนรากงอก

“ปรกติ แถวนี้คนพลุกพล่าน” กลิ่นแก้วว่า

พวกเขาลงบันไดเลื่อนแล้วเดินออกมาลานหน้าห้างสรรพสินค้าด้วยกันพอให้อาหารย่อย วันนี้กลิ่นแก้วแค่พาเพื่อนแวะมาหาอะไรกินกันเท่านั้น ช่วงวันหยุดถึงจะมาช่วยมาดามที่นี่ ตอนนี้มาดามคงกำลังอยู่ในสำนักงาน เอวานก็ยังไม่กลับ เขาคงต้องกลับไปนั่งเหงาที่บ้านคนเดียวอีกแล้วสิ

“อะไร?” คาร์เตอร์เอ่ยถามเมื่ออยู่ ๆ กลิ่นแก้วก็หยุดเดิน ทำให้ลอยน์ต้องหยุดแล้วหันมามองด้วยอีกคน

กลิ่นแก้วที่สะดุดตากับใครบางคนจนต้องเหลียวหลังยังไม่ตอบคำถามเพื่อน แต่รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากคนกลุ่มนั้นก็ทำให้ลอยน์ถึงกับทำท่าขนลุก พลางสะกิดคาร์เตอร์ให้ดู

“แค่มาเฟียมาเที่ยวห้างฯ น่าสนใจตรงไหน?” คาร์เตอร์ว่า

แม้ว่าเพื่อนจะละความสนใจไปแล้ว แต่กลิ่นแก้วกลับยังคงมอง คิ้วเขาเริ่มขมวด ก่อนที่ขาจะก้าวออกไปโดยอัตโนมัติ

“เฮ้ย จะไปไหนวะ?”

ไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนไปไหน แต่เด็กหนุ่มอีกสองคนก็วิ่งตามกันมา ก่อนจะพากันตะลึงตาค้างเมื่อตัวผอม ๆ นั้นกระโดดถีบกลางหลังบุคคลต้องสงสัยจนถลาไปหาคนของมาเฟียใหญ่ที่คาร์เตอร์เพิ่งพูดถึง ด้วยระยะประชิดทำให้เกิดการประมือกันชุลมุน ผู้คนรายรอบต่างแตกตื่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ฟรานเชสโก้ถูกกันให้ถอยห่างจากจุดเกิดเหตุ ขณะที่จะเลี่ยงออกไปเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจอย่างเงียบเชียบกลับต้องหยุดความคิดนั้น เมื่อร่างที่ถูกคนของตนฟาดจนล้มฟุบไปนั้นผุดลุกขึ้นมาคว้าตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ พร้อมมีดที่ชักออกมาจี้คอหอย ภาพตรงหน้าทำให้ฟรานเชสโก้ยืนนิ่ง ยกมือขึ้นหยุดลูกน้องที่เร่งให้ไปจากที่นี่ ดวงตาคมจับจ้องอย่างประเมิณสถานการณ์

ปลายมีดที่จ่อคอทำให้กลิ่นแก้วแทบไม่กล้ากลืนน้ำลาย ขยับเพียงนิดมีสิทธิ์เลือดกระฉูด เรื่องป้องกันตัวหรือเอาตัวรอดในกรณีฉุกเฉินเขาเคยแต่เรียนในห้องซ้อม พอได้มาเจอสถานการณ์จริงแบบนี้ความรู้สึกมันช่างต่างกันลิบลับ ข่มใจให้สงบไม่ได้เลยจริง ๆ

ขณะที่คนร้ายลากตัวประกันให้ถอยห่างเหล่าชายฉกรรจ์ด้านหน้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้เอะใจเลยว่ามีใครเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง ฝ่ายนั้นอาศัยจังหวะเผลอพุ่งเข้าชาร์จ อารามตกใจทำให้ปลายมีดตวัด ก่อนจะกระเด็นไปไกลเมื่อถูกคว้าแขนแล้วบิดแรงจนร้องโอดโอย

ร่างสันทัดนั้นถูกทุ่มลงพื้นไม่ปรานีปราศรัย คนของฟรานเชสโก้เข้ามาช่วย ก่อนจะจัดการทุกอย่างต่อเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข้ามาระงับเหตุ ขณะที่คาร์เตอร์และลอยน์รีบเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนขึ้นมา ทั้งตรวจดูเนื้อตัวด้วยความห่วงใยระคนตกใจไม่หาย

เมื่อสถานการณ์สงบลงกลิ่นแก้วก็หันไปขอบคุณคนของเอวาน เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเข้ามาช่วย แค่รอจังหวะเท่านั้น ออกจะรู้สึกผิดที่ทำให้ต้องลำบาก เพราะโดยปรกติคนคนนี้มีหน้าที่เพียงติดตามดูความเคลื่อนไหวและคุ้มกันเขาจากอันตรายที่อาจจะเข้ามาหา ไม่ใช่เขากระโจนเข้าหาอันตรายเองแบบนี้

เอวานไม่เคยบอกเรื่องให้คนตามเขา และเขาเองก็ไม่พูดเรื่องที่รู้ว่ามีคนคอยตามประกบ เพราะรู้ว่ามันมาจากความหวังดีของเอวาน จึงเลือกที่จะเงียบและใช้ชีวิตเป็นปรกติ มีวันนี้ละที่เขาใช้ประโยชน์จากคนของเอวาน แถมยังเสี่ยงมากด้วย

“บาดเจ็บตรงไหนไหม?”

เสียงถามไถ่ที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามหันมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร กลิ่นแก้วก็ถึงกับนิ่งไป ก่อนส่ายหน้าเบา

“ไม่ครับ”

“ไม่อะไรวะ เลือดออกขนาดนี้” คาร์เตอร์โวย เมื่อเห็นอยู่คาตาว่าเลือดมันไหลจากแผลที่คอจนเพื่อนต้องกดไว้

คิ้วฟรานเชสโก้ขมวด มองเด็กที่ขึงตาใส่เพื่อนไม่ให้พูดมากแล้วว่า “ไปที่รถ ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรจริง ๆ เดี๋ยวเลือดหยุดแล้วล้างแผลนิดหน่อย...”

“ไม่ได้”

“.......”

“ฉันคงไม่ใจจืดใจดำให้คนที่เข้ามาช่วยจนได้รับบาดเจ็บต้องไปทำแผลเองหรอก ติดเชื้อขึ้นมาจะลำบาก” สายตาคมปรายมองคาร์เตอร์และลอยน์ พลางสั่ง “พาเพื่อนไปที่รถ”

คนสั่งก้าวนำไปก่อนแล้ว ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนยังยืนมองหน้ากันว่าจะเอาอย่างไรดี ก่อนที่คาร์เตอร์จะพยักหน้าส่ง ๆ ว่าเอาอย่างไรก็เอาเถอะ ให้ฝ่ายนั้นได้รับผิดชอบบ้าง แค่นี้ขนหน้าแข้งมาเฟียใหญ่ไม่ร่วงหรอก



โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องติดต่อล่วงหน้า หากกรณีฉุกเฉินก็ต้องรอตามลำดับก่อนหลัง เว้นแต่จะใช้อภิสิทธิ์ส่วนตัวเช่นเจ้าพ่อคาสิโนอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ทำให้กลิ่นแก้วได้รับการรักษาทันทีทันใดที่ไปถึง

คาร์เตอร์และลอยน์นั่งรอเพื่อนทำแผลอยู่หน้าห้อง ขณะที่มาเฟียใหญ่ยืนกอดอกเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่หน้าประตู ถ้าไม่เกรงใจหมอสักหน่อยคงได้เข้าไปนั่งในห้องทำแผลด้วยแน่ ๆ ทีเดียว

แผลของกลิ่นแก้วไม่ถึงต้องกับต้องเย็บ แค่ปลายมีดมันบาดผิวทำให้ปริเป็นทางยาวเท่านั้น ดูแลรักษาความสะอาดรอให้แผลสมานกันดี หากไม่ติดเชื้อก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

“แน่ใจนะว่าจะไม่นอนดูอาการสักคืน?” ฟรานเชสโก้เอ่ยถามเด็กที่นั่งหน้าซีด ขณะส่งถุงยาให้

“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับ หมอก็บอกอยู่ว่าไม่เป็นอะไรมาก” กลิ่นแก้วรับถุงยามา พลางว่าด้วยความเกรงใจ

“ยา กินให้ตรงเวลาด้วย” อีกฝ่ายกำชับ

“ขอบคุณครับ”

“บัตรนัดทำแผลครั้งต่อไปอยู่ในถุง มาคราวหน้าก็เข้ามาหาหมอได้เลย ไม่ต้องรอคิว”

“ครับ”

จบบทสนทนานั้นแล้วทั้งสองคนก็เงียบไป บรรยากาศพากระอักกระอวนแปลก ๆ

“เอ่อ...”

“กลับเถอะ ฉันจะไปส่ง”

“.........” มองคนสั่งแล้วกะพริบตาปริบ แต่ไม่อยากจะขัดอะไรเพราะเริ่มเจ็บแผลหนึบ ๆ ขึ้นมาแล้ว จึงตอบรับอย่างว่าง่าย “ครับ”

ลอยน์กับคาร์เตอร์ถูกส่งขึ้นรถประจำทางไปแล้วช่วงที่กลิ่นแก้วรอรับยาอยู่ ทำให้เวลานี้กลิ่นแก้วต้องนั่งรถกลับเจฟเฟอร์สันพร้อมฟรานเชสโก้และลูกน้อง การที่ต้องมานั่งข้างกันในรถมันชวนอึดอัดบอกไม่ถูก กลิ่นแก้วรู้ว่าเขาเป็นใคร และเขาก็คงรู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นใคร แต่ไม่ได้พูดหรือทำอะไรเหมือนโอลิเวอร์ ไรท์คนนั้นเคยทำ เลยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เขาจะกลับเมื่อไร?”

อยู่ ๆ คนข้างกายก็เอ่ยถามขึ้นมา ทำให้กลิ่นแก้วต้องหันมอง

“ครับ?”

“เอวาน เวสส์จะกลับมาเมื่อไร?” อีกฝ่ายทวนถามพร้อมขยายความ

“... พรุ่งนี้ครับ”

บอกไปเช่นนั้นแล้วเหมือนจะได้ยินเหมือนเสียงหึในลำคอแว่วมา แต่กลิ่นแก้วก็ไม่กล้าถามอะไร ไม่อยากต่อความ อยากให้ถึงเจฟเฟอร์สันเร็ว ๆ เสียมากกว่า

เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน ดูเหมือนมาดามเจฟเฟอร์สันจะรู้เรื่องจากคนของเอวานแล้วจึงได้มายืนรอถึงหน้าคฤหาสน์ ท่านบอกให้เขาขึ้นไปพักแล้วเรียกฟรานเชสโก้ ไรท์เข้าไปคุยด้านใน ตามศักดิ์แล้วทั้งสองเป็นน้ากับหลาน ทำให้ฟรานเชสโก้ดูจะเกรงมาดามของเขามากอยู่

กลิ่นแก้วไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน เพราะพอขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่มาดามสั่ง ออกมาแกะยากินเพราะปวดแผลแล้วก็ขึ้นเตียงนอน ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย


..........
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: wanmai ที่ 07-07-2019 10:29:31

เอวานมาถึงเจฟเฟอร์สันก่อนกำหนดเดิมเมื่อได้รับรายงานจากคนของตนว่าเกิดเรื่อง และกลิ่นแก้วก็เจ็บตัวถึงขั้นได้เลือด แต่เพียงก้าวเข้าคฤหาสน์มา คนเจ็บก็วิ่งมากอด ทำเอาอารมณ์ที่กรุ่นตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนมาถึงบ้านลดลงไปเสียเกือบครึ่ง

“เด็กโง่ ทำไมไม่ระวังตัวขนาดนี้” เขาต่อว่าทั้งกอดตัวบาง ๆ นั้นแน่น

กลิ่นแก้วยิ้มจาง พร้อมบอกให้คลายกังวล “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แผลเล็กนิดเดียวเอง”

“แล้วต้องรอให้เป็นมากก่อนหรือไง?” ดันตัวผอม ๆ นั้นออกมาสำรวจตรวจตราพลางดุ

“มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่ครับ อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมันไม่มีเวลาให้คิด ก็เลย...”

ขณะที่เด็กของเขาหาข้อแก้ตัว สายตาคมก็เลื่อนลงมามองผ้าปิดแผลที่คอ ถึงจะบอกว่าแผลมันเล็กนิดเดียว แต่เล่นเอาเขาปวดใจ มือหนายกขึ้นมาแตะผ้าปิดแผลที่คอเบา ๆ นั่นทำให้กลิ่นแก้วชะงัก ช้อนมองเอวานแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง

“เจ็บมากไหม?”

กลิ่นแก้วน้ำตาคลอ ส่ายหน้าเบา “ผมขอโทษ...”

“ชู่ว”

“.......”

“ฉันจะไม่ดุเรื่องที่ทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนั้น แต่อย่าให้มีอีก เพราะถึงจะมีคนคอยช่วยก็อย่าวางใจ เข้าใจไหม?” หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลิ่นแก้วคงรู้แล้วว่าเขาให้คนตามเฝ้า

“ก็มันประจวบเหมาะ จะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้นี่ครับ” แก้ตัวเสียงออด

“แถมช่วยถูกคนซะด้วยนะ”

ถูกย้อนมาแบบนั้นกลิ่นแก้วก็ยิ้มแห้ง เรื่องนี้ก็พาให้อึดอัดใจเหมือนกัน ฟรานเชสโก้ ไรท์ นั่น

เอวานถอนใจ “ยิ่งอยากให้หนีห่าง ก็ยิ่งได้พบเจอ ฉันจะเอาเธอไปซ่อนไว้ที่ไหนดี?”

ราวรำพึงรำพันกับตัวเองเสียมากกว่าจะถามความเห็น ทำไมคนพวกนั้นถึงเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเด็กของเขาไม่หยุดหย่อน คนนี้ผ่านไป คนนั้นก็เข้ามา เมื่อไรจะหมดเสียที

ปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มทำให้กลิ่นแก้วช้อนมองก่อนยิ้มบาง “ไม่เห็นต้องซ่อน ผมบอกแล้วไงว่าจะอยู่กับคุณ ต่อให้คุณไล่ ผมก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“ให้มันจริง”

เอวานบีบจมูกเด็กช่างเอาใจด้วยความมันเขี้ยว ก่อนกำชับให้ระวังตัวให้มากกว่านี้ เพราะถึงมีคนตามเฝ้า แต่ใช่ว่าจะปลอดภัยหากเอาตัวเข้าไปอยู่ในอันตรายเสียเอง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรับปากเร็วไวไม่ให้ต้องกังวล


.........


Ace Casino

ฟรานเชสโก้เปิดไฟล์ภาพที่ได้มาจากนักสืบ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพที่ออกจะเป็นส่วนตัว ไม่รู้ว่านักสืบที่เขาจ้างทำงานดีมากจนถึงขนาดว่าตึกที่มีความปลอดภัยสูงยังหาวิธีเก็บรูปมาให้ได้ หรือที่จริงความปลอดภัยที่โครงการนั่นโฆษณามันแค่ราคาคุยกันแน่

“ฟราน”

สายตาคมตวัดมองผู้ที่โผล่เข้ามาในห้องทำงานของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต กดออกจากหน้าไฟล์ภาพแล้วงับปิดเครื่องช้า ๆ ขณะที่อีกฝ่ายมองอาการนั้นด้วยความสงสัย

“ทำอะไร?”

“เข้ามาทำไม?” เลือกที่จะไม่ตอบแต่ถามกลับ สีหน้ายังนิ่งเฉยไม่ให้จับอะไรได้

โอลิเวอร์กอดอก หรี่ตาจับพิรุธ แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญมากกว่าอะไรก็ตามที่ผู้เป็นพี่ชายพยายามปกปิดเลยเลิกใส่ใจ แล้วหันมาพูดธุระของตนแทน

“ได้ข่าวว่าไปร่วมผจญภัยกับหลานชายสุดที่รักมา”

“.........”

“ไม่คิดว่าคนอย่างนายจะต้องให้เด็กเมื่อวานซืนเข้ามาช่วย” อีกคนยังว่า

“ฉันก็ไม่คิด”

“หือ?” คิ้วมาเฟียหนุ่มเลิกสูงเมื่อพี่ชายตอบมาเช่นนั้น

“เด็กนั่นโดดเข้ามาช่วยแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ทั้งที่ตัวเองไม่มีอาวุธในมือสักอย่าง”

“เด็กนั่นคงได้ใจนายไปโขเลยสิ”

ดวงตาคมเหลือบขึ้นมองน้อง “จะพูดอะไรกันแน่?”

ผู้เป็นน้องไหวไหล่ “เปล่า ก็แค่คิดว่านายมันชอบพวกลุย ๆ แบบนี้เป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเด็กนั่นเป็นสายเลือดเดียวกันกับเรา นายคงยิ่งให้ความสนใจ”

“นายคงไม่ได้มาหาฉันแค่เพราะเรื่องนี้หรอกนะ” ฟรานเชสโก้เบี่ยงประเด็น หยิบแฟ้มงานมาเปิดเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับผู้เป็นน้องชายมากนัก

โอลิเวอร์เดาะลิ้น พี่ชายของเขานี่ก็ช่างรู้ดีไปเสียหมด จุดประสงค์ที่มาไม่ใช่เพราะเรื่องเด็กนั่นหรอก เพราะหลังจากที่ฟรานเชสโก้เอากิจการทั้งหมดที่ยึดจากตาเฒ่าริชาร์ด พาร์เลอร์ มาแลก เขาก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายอีก

“นายจัดการเจ้านั่นยังไง?”

“หมายถึง?”

“คนที่จะเข้ามาทำร้ายนาย”

ชะงักมือที่กำลังเปิดแฟ้ม ก่อนบอกเสียงเรียบ “ส่งให้ตำรวจจัดการไปแล้ว”

“ตำรวจ?” โอลิเวอร์เสียงดัง “นายบอกว่าส่งให้ตำรวจ พระเจ้า!”

“มีปัญหาอะไรหรือไง?” ผู้เป็นพี่ชายย้อนถาม

“สมองนายมีปัญหาเหรอ ฟราน?”

“.........”

“นายก็รู้ว่าคนที่ทำธุรกิจแบบเราเคยญาติดีกับตำรวจที่ไหน แล้วนี่นายดันยกเจ้านั่นให้ตำรวจจัดการ คราวนี้ได้วุ่นวายกันแน่” ถึงจะพูดอะไรไป พี่ชายเขาก็เฉยจนน่าหมั่นไส้ โอลิเวอร์เลยได้แต่ถอนใจแรง ก่อนถาม “แล้วนายรู้ไหมมันเป็นพวกไหน?”

“ก็แค่พวกเศษสวะ”

“เหอะ ระวังมันจะย้อนกลับมาพันคอนายแล้วกัน” เขาหมั่นไส้มันจริง ๆ นะ ให้ตายเถอะ

“หมดธุระของนายแล้วหรือยัง?”

“ยัง”

“........”

“มากาเร็ต วิลล์สัน กำลังจะแต่งงานใหม่” โอลิเวอร์เข้าประเด็น

“เป็นเรื่องที่น่ายินดี” ฟรานเชสโก้ว่าอย่างนั้น

“ดูนายไม่ร้อนใจ”

“แล้วทำไมต้องร้อนใจ?”

“ก็ถ้ายายนั่นแต่งงานใหม่ สามีของหล่อนต้องเข้ามาวุ่นวายกับธุรกิจเราแน่ แล้วก็คงต่อยอดไปถึงลูกถึงหลาน จากที่ Ace เคยเป็นแค่ของเรา ได้กลายเป็นสาธารณะไปแน่ ๆ” โอลิเวอร์สาธยายถึงปัญหาที่จะตามมาหลังจากนั้น

“มันไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก” ผู้เป็นพี่ชายยังใจเย็น

“ทำไม่จะไม่ร้ายแรง...”

“ก็ถ้ากลัวว่าเขาแต่งงานมีลูกมีหลานแล้วที่นี่จะกลายเป็นหุ้นสาธารณะ นายก็แต่งบ้างสิ มีลูกมีหลาน เอามาคานอำนาจมากาเร็ตซะ ดีไหม?”

“.........” มองอีกฝ่ายเหมือนเห็นตัวประหลาด คนอย่างฟรานเชสโก้ที่ครองความโสดมาจนป่านนี้พูดเรื่องแต่งงานกับเขานี่นะ?

“ถ้าไม่หวงความโสด แม่สาวตระกูลเทย์เลอร์ก็น่าสนใจไม่หยอก หรือนายว่าไง?” ฟรานเชสโก้ชี้ทาง

วาเนสซ่า เทย์เลอร์กับโอลิเวอร์รู้จักกันมานาน นานเสียยิ่งกว่าคู่รักตามข่าวในปัจจุบันเช่นเอวาน เวสส์ เสียอีก นอกจากความสวยแล้วเธอยังได้ชื่อว่าเป็นหญิงเก่งคนหนึ่ง บริหารธุรกิจได้ ชาติตระกูลก็ดี มีหน้ามีตาในสังคม เรียกได้ว่าครบเครื่อง

“เป็นความคิดที่ไม่เลว” โอลิเวอร์ว่า “ถ้าเธอไม่ได้มีเอวาน เวสส์อยู่ก่อนแล้วน่ะนะ”

“นายกลัว?”

“แค่ไม่อยากมีปัญหากับคนกันเอง” หนุ่มตัวโตไหวไหล่

“หึ สาวเจ้าไม่เล่นด้วยมากกว่ามั้ง”

“.........” ทำเป็นรู้ทัน

“ถ้านายอยากลงหลักปักฐานกับใครสักคน เรื่องเที่ยวสนุกก็ควรจะลดลงบ้าง เอาเวลาไปใส่ใจเธอให้มาก ไม่แน่ เธออาจจะหันมามองนายบ้างก็ได้”

โอลิเวอร์ทำเสียงเหอะ “ทำไมฉันต้องให้คนที่ไม่เคยมีความรักแบบนายมาสอนด้วย?”

“..........”

“คนบูชาครอบครัวแบบนาย ชาตินี้จะมีอะไรสำคัญมากไปกว่าธุรกิจกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไหมถามจริง ๆ ?”

ว่าจบก็หมุนตัวกลับ ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป ทำให้พี่ชายร้องถาม

“จะไปไหน?”

“ทำงาน”

“มาแค่นี้?”

“เออ”

คิ้วฟรานเชสโก้ขมวดเมื่อมองตามหลังน้องชายจนพ้นประตูไป จะไปจะมาแล้วแต่อารมณ์พ่อเจ้าประคุณเขาจริง ๆ เขาส่ายหน้าหน่ายใจเบา ๆ ก่อนลุกไปล็อคประตูแล้วกลับมาที่โต๊ะเพื่อเปิดรูปในโน้ตบุ๊กดูอีกครั้งด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง

อะไรที่สำคัญมากไปกว่าธุรกิจและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอย่างนั้นหรือ...?


........


จุดรอรถหน้าโรงเรียนของกลิ่นแก้วในช่วงบ่ายแก่ ๆ หลังเลิกเรียน รถติดฟิล์มกันกระสุนคันหนึ่งแล่นมาจอดลงตรงหน้า กลุ่มของกลิ่นแก้วที่กำลังคุยกันอยู่ต้องเงียบเสียง เมื่อกระจกด้านหลังค่อยเลื่อนลงให้เห็นว่าเจ้าของรถคันดังกล่าวคือใคร คาร์เตอร์ก็กอดอกมอง รู้สึกรำคาญที่คนคนนี้เข้ามาวุ่นวายกับเพื่อนของตนไม่เลิก

“ขึ้นรถสิ”

คำบอกเล่าหรือคำสั่งไม่อาจแน่ใจ กลิ่นแก้วทำหน้างง ฝ่ายนั้นจึงต้องขยายความ

“จะพาไปทำแผล”

นั่นไม่ได้ทำให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดมากขึ้นแม้แต่น้อย กลับงงหนักกว่าเดิมเสียมากกว่า ฟรานเชสโก้ ไรท์ มาเฟียใหญ่แห่ง Ace Casino มาหาเขาถึงหน้าโรงเรียนเพื่อที่จะพาไปทำแผล อย่างนั้นหรือ?

“หมอนัดดูแผลวันนี้ไม่ใช่หรือไง?”

มันก็จริง แต่ออกจะแปลกใจอยู่ที่อีกฝ่ายจำได้ว่าตนมีนัดวันนี้ ขณะที่เพื่อนอย่างคาร์เตอร์กลอกตาหน่าย ๆ พลางว่า

“บอกเขาไปสิว่านายไปเองได้”

ลอยน์รีบกระตุกแขนคาร์เตอร์ที่พูดไม่คิด นั่นมาเฟียใหญ่เลยนะ ดูสายตาเขาตวัดมองมาสิ ทำเอาต้องกลืนน้ำลายด้วยความหวั่นใจเลย อย่าเพิ่งเอาชีวิตมาเสี่ยงด้วยการขัดคอมาเฟียแบบนี้เลยน่า คาร์เตอร์

“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่า...”

“เธอเจ็บตัวเพราะฉัน ถึงต้องรับผิดชอบ” ฟรานเชสโก้แทรก

“แค่คุณพาผมไปส่งโรงพยาบาลวันนั้นก็พอแล้วล่ะครับ แผลเล็ก ๆ แค่นี้อย่าใส่ใจเลย”

“จะเล็กจะใหญ่ ต้นเหตุก็มาจากฉัน มันคงติดค้างในใจถ้าไม่ดูแลจนเธอหายดี เพราะถึงยังไงเธอก็เป็น...” คำพูดของฟรานเชสโก้หยุดลงเมื่อในบริเวณนี้ไม่ได้มีเพียงเขาและเด็กตรงหน้า

“ผมขอบคุณน้ำใจดีของคุณ แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้เลย ผมดูแลตัวเองได้”

“หรือเธอกลัวที่ต้องไปกับฉัน?”

กลิ่นแก้วมุ่นคิ้ว รู้สึกยุ่งยากใจที่ถูกดักมาแบบนั้น “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ครับ ถึงผมจะบอกว่าดูแลตัวเองได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงทั้งที่ไม่รู้ว่าลึก ๆ คุณมาดีหรือมาร้าย ผมไม่อยากให้เอวานต้องเป็นห่วงหรือเดือดร้อนจากการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของผมอีก”

“ดูเธอเป็นห่วงความรู้สึกเขาจริงนะ” ฟรานเชสโก้ว่าเสียงเรียบ

“เพราะเขาทำทุกอย่างเพื่อผมมาโดยตลอด คงไม่แปลกอะไรถ้าผมจะเป็นห่วงความรู้สึกเขามากกว่าใคร”

“หึ”

สิ้นเสียงนั้น ฟรานเชสโก้ก็ปรายมองคนของตน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็กรูลงจากรถ คาร์เตอร์กับลอยน์พากันแตกตื่น ขณะที่กลิ่นแก้วเบิกตาโตเมื่อกลุ่มชายตัวใหญ่ยักษ์จะเข้ามาจับตัว

คนของเอวานที่ซุ่มดูอยู่แถวนั้นพุ่งมาขวาง ปากกระบอกปืนจากคนของฟรานเชสโก้ชักออกมาเล็งจ่อขณะที่คนของเอวานก็ไวพอกัน ทำให้กลายเป็นว่าทั้งสองฝั่งต่างประจันหน้าพร้อมอาวุธในมือ สร้างความแตกตื่นให้เด็กนักเรียนบริเวณนั้นจนเกิดความอลม่านย่อม ๆ ขึ้นมา

“ขึ้นรถ” คนในรถสั่งมาเสียงเข้ม

กลิ่นแก้วเม้มปาก ไม่คิดว่าจะมาไม้นี้ ทั้งที่คิดว่าจะดีกว่าน้องชายอย่างโอลิเวอร์ ที่แท้ก็ไว้ใจไม่ได้พอกัน ในเวลานี้ถ้าเขาขัดขืนคงได้เจ็บตัวกันอีก ที่ห่วงมากกว่าตัวเองก็คนของเอวานและเพื่อนที่อาจจะโดนลูกหลง แต่ถ้าเขายอมไปตามคำสั่งก็ยังพอยืดเวลาได้อีกนิด อาจจะคิดหาทางรอดออก ตอนนี้มันจวนตัว คิดอะไรไม่ทัน แต่ที่แน่ ๆ ฟรานเชสโก้คงไม่พาเขาไปฆ่าไปแกงในตอนนี้ ทำอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้มันเหมือนประกาศตัวเป็นศัตรูกับเอวานและมาดามเจฟเฟอร์สันแบบชัดเจนมากจนเกินไป

เมื่อคิดไตร่ตรองดีแล้วกลิ่นแก้วจึงยอมขึ้นรถ คาร์เตอร์กับลอยน์พากันตกใจที่เพื่อนทำอะไรแบบนั้น คนของฟรานเชสโก้ลดปืนในมือลงเพื่อเข้าประจำที่ในรถ ขณะที่คนของเอวานรีบถลามาหากลิ่นแก้ว

“เขาแค่จะพาไปทำแผล” กลิ่นแก้วบอก ก่อนหันไปทางฟรานเชสโก้ “ใช่ไหมครับ?”

ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย แววตาดุ ๆ นั่นเพียงปรายมอง ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยให้คนของเอวานได้แต่เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะโทรรายงานเรื่องนี้ให้ผู้เป็นนายทราบ






TBC

บวกขอบคุณทุกท่านค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-07-2019 12:23:47
เอวานตอนนี้เหมือนจะชัดเจนยิ่งกว่า 4k 5555555555
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 07-07-2019 13:06:53
ถึงจะมาตอนละไตรมาส แต่ละตอนก็คุ้มค่าการรอคอย จำตอนเดิมไม่ได้จนต้องกลับไปอ่านตอนก่อน เค้าสองคนรู้ใจกันก็ดีแล้ว รอเด็กโตก่อนนะเอวาน
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 07-07-2019 23:12:49
เอวานยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วสินะ o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-07-2019 00:09:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-07-2019 09:34:16
รอเขาสารภาพอยู่นะ :hao7:
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 08-07-2019 23:27:50
เกือบลืมแล้วนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 10-07-2019 22:19:44
กำลังเข้มข้นได้ที่่่่เลย o13
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-09-2019 00:38:24
รออยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
เริ่มหัวข้อโดย: toonsora ที่ 16-04-2020 22:04:39
ไม่มาต่อแล้วหรอคะ หายไปนานมากกกกกก