บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บุหรงเริงไฟ +บทที่ ๑๑ เจ้าพ่อคาสิโน+ // 07.07.2562 (P.4)  (อ่าน 12092 ครั้ง)

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลงหรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเว็บบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใด ๆ ไปโพสที่อื่น ๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรืออีเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเมนท์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่าง ๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเว็บ  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใด ๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเว็บอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริง ๆ นั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่าง ๆ มาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ ไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้น ๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ บนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใด ๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





:L2: :L2: :L2:




หนูกลิ่นแก้วกับพี่ใหญ่ของสามทหารเสืออย่างเอวานกลับมาอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากการเขียนนิยายนานมาก รีไรท์สายลมไปก็มึน ๆ งง ๆ กับตัวเอง

พอมาเริ่มแต่งเรื่องนี้แบบจริงจังรู้สึกมันยากกว่าสมัยก่อนมาก ๆ เพราะกังวลกว่าแต่ก่อนที่อยากแต่งก็จะแต่ง สนุกอยู่คนเดียวก็จะแต่ง ไม่ต้องสมเหตุสมผลมากก็ได้ อะไรแบบนี้ พอมาตอนนี้ฟีลนั้นมันหายไป อาจด้วยวัยของเราด้วยก็ได้

ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ จากชื่อเรื่องก็ดูจะร้อนแรงเนาะ แต่ก็ไม่ได้ร้อนมากขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ชอบชื่อเรื่องเลยไม่อยากเปลี่ยน

ตอนแรกว่าจะเปลี่ยนเป็น กรุ่นกลิ่นแก้ว มันก็ละมุนไป ด้วยความที่ชอบบุหรง เลยยังใช้ชื่อเดิม เพิ่มเติมคือจะแต่งให้จบค่ะ ฮา

วันใหม่


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2019 10:21:27 โดย wanmai »

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บุหรงเริงไฟ

+ บทที่ ๑ ดอกไม้ของมาเฟีย +



กรุงลอนดอน ; อังกฤษ

ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชน ประตูห้องถูกเปิดออกก่อนที่ใครคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา ร่างสูงใหญ่นั้นหยุดยืนข้างเตียงที่เต็มไปด้วยสายระโยงรยางค์ สภาพคนบนเตียงราวอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ สตีฟ?” เอ่ยถามคนบนเตียงที่ค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้า ๆ แล้วหันมามองเขา

“เธอ... ไม่อยู่แล้ว” น้ำเสียงเศร้าระคนเจ็บปวดเอ่ยบอกอย่างยากเย็น

“พูดถึงเรื่องอะไร?”

“เธอตายแล้ว เอวาน...”

คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังนิ่งไปชั่วครู่  “นี่นายยังตามเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ นายก็รู้ว่ายิ่งทำแบบนี้ พวกเขายิ่งจะไม่ปลอดภัย”

“แล้วจะให้ฉัน... ทำยังไง...?” เสียงพูดยิ่งผะแผ่วลงไปทุกที หยดน้ำตารินไหลอย่างสุดกลั้นเมื่อเอ่ยคำ “ไม่มีวันไหนเลยที่ฉัน... จะหลับเต็มตา ฉัน... ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขา... วางมือจากเรื่องนั้น... แต่นั่น... มันคือสิ่งที่... โง่บรม...”

“......”

“เอวาน...” เอื้อมคว้ามือของผู้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างยากเย็น ก่อนบีบมันเบา ๆ แทบไม่รู้สึก “พี่อยากเจอเขา... สักครั้ง ก่อนที่จะ... ไม่มีโอกาสได้เจอ... ตลอดไป...”

นัยน์ตาสีควันบุหรี่หลุบมองมือที่จับมือของตนอยู่ มันสั่นจนรู้สึกได้ ผู้ชายตรงหน้าของเขาตอนนี้แทบไม่มีแรงเหลือ แม้แต่จะยกมือยังเป็นเรื่องยาก เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ คนที่เคยเข้มแข็ง เคยมีร่างกายที่แข็งแรง กลับกลายมาเป็นแบบนี้เพราะความสิ้นหวังในชีวิต

“ได้โปรด... เอวาน... ช่วยพี่สักครั้ง ไม่ว่านาย... อยากได้อะไร... พี่จะให้นาย... ทุกอย่าง...” คนบนเตียงออกปากอย่างหมดหนทาง ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรอย่างใจคิดได้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง

“เห็นฉันเป็นคนเห็นแก่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

คำถามที่ย้อนมาราวกับประตูแห่งความหวังของคนบนเตียงถูกปิดลง ริมฝีปากซีดเซียวนั้นเหยียดยิ้มเย้ยหยันตนเอง ใช่ คนอย่างเอวาน เวสส์ เจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในลอนดอนมีหรือจะมาสนใจเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์พรรค์นี้ แต่เขาก็อดคาดหวังไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะช่วย จะด้วยเพราะสายสัมพันธ์แต่เก่าก่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ การที่เขาส่งข่าวไปและอีกฝ่ายก็รีบมาหา นั่นทำให้เขาเกิดความคาดหวัง หวัง... ว่าน้องชายคนนี้จะยอมช่วย

“แล้วฉันต้องเริ่มจากตรงไหน?”

เสียงที่ดังแทรกเข้ามาในความคิดทำให้ประตูที่ปิดลงเปิดออกอีกครั้ง ดวงตาแห้งผากนั้นกลับมีประกายความหวังขึ้นมา มองนัยน์ตาสีควันบุหรี่ที่ไม่ฉายแววใด ๆ อย่างขอบคุณ



“จะช่วยเขาจริง ๆ เหรอครับ?”

ทอมัส บอดีการ์ดของเอวาน เวส์เอ่ยถามเมื่อคอยคุ้มกันผู้เป็นนายมาถึงรถ กายสูงใหญ่เข้ามานั่งประจำที่ข้างคนขับ ขณะที่บอดีการ์ดอีกนายคอยระวังภัยอยู่ด้านหลัง

“ผมกลัวว่าเราจะมีปัญหากับทางไรท์” บอดีการ์ดหนุ่มว่าอย่างเป็นกังวล

ตระกูลไรท์เป็นเครือญาติฝั่งมารดาของเอวาน ในบรรดาวงศาคณาญาติ สตีเฟ่น ไรท์ เป็นคนเดียวที่เอวานสนิทใจที่สุด เหมือนเป็นพี่ชายที่ไปไหนไปกัน แม้ต่างก็เติบโตและมีเส้นทางชีวิตที่ไม่เหมือนกัน สำหรับเขา สตีเฟ่นก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่คนเดิมคนนั้น

สตีเฟ่นเป็นคนเจ้าชู้ประเภทที่เอวานไม่คิดว่าจะให้ความจริงจังกับใคร แต่มีช่วงหนึ่งที่เหมือนจะลงหลักปักฐานกับใครสักคนอยู่เหมือนกัน เขาจำได้ว่าพี่ชายคนนี้ดูมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นมันก็ช่างแสนสั้นเมื่อเรื่องรู้ถึงหูตระกูลไรท์ คำว่าไม่คู่ควรทำลายความสุขของสตีเฟ่นไม่มีเหลือ

เขาไม่ค่อยรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรนัก แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน สตีเฟ่นก็แต่งงานกับมากาเร็ต วิลสัน นั่นทำให้คิดไปว่าสตีเฟ่นคงสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่ จากคนเคยแข็งแรงกลับป่วยไข้เพราะตรอมใจ และในเวลานี้ที่อาการมันทรุดลงทุกขณะ เฮือกสุดท้ายของชีวิต สตีเฟ่นคงอยากเจอ ‘ความสุข’ ที่ทำหล่นหายไปจริง ๆ

“แมกซ์เวล” เอ่ยเรียกบอดีการ์ดอีกคนที่นั่งข้างตน

“ครับ”

“ช่วยหาที่อยู่ของแคทเธอรีน เดลลาร์ให้ที”

“แคทเธอรีน เดลลาร์?” บอดีการ์ดข้างกายทวนคำ

“สตีฟบอกว่าเธออาศัยอยู่ในไบบิวรี่ ขอด่วนที่สุดนะ”

“ครับ”

ไม่มีการซักถามใดจากบอดีการ์ดข้างกายนอกจากรับคำและทำตาม ขณะที่สีหน้าของบอดีการ์ดอีกนายกลับยังคงเป็นกังวลไม่คลาย แม้จะเป็นเครือญาติ เขาก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าตระกูลไรท์จะไม่โจมตีนายของเขา หากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในตระกูลเช่นนี้


......


เดลลาร์ ดี ร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าที่มีนางมาเรียม และ นายเจค เดลลาร์ สองสามีภรรยาบริหารจัดการอยู่ เป็นที่รู้กันดีว่าเบื้องลึกเบื้องหลังนั้นทำธุรกิจด้านใด มีหญิงหลายรายที่ถูกล่อหลอกเข้ามาในวังวนเหล่านี้และไม่สามารถที่จะกลับออกไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหญิงสาวหรือแม้แต่เด็กหนุ่มบางคนในสถานที่แห่งนี้ก็สมัครใจที่จะทำมัน

“ไอ้เด็กเหลือขอ ฉันบอกแกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้ระวัง ให้ระวัง!”

เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านหลังร้าน นายเจคที่กำลังดูแลความเรียบร้อยหน้าร้านอยู่กับพนักงานจึงได้ชะเง้อมอง ก่อนจะผละเข้าไปดูเมื่อมันเริ่มดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์เจ้าของเสียง

“ขวดที่แกทำแตกไป รู้ไหมว่าราคามันเท่าไร ทั้งชีวิตนี้แกก็ชดใช้ไม่หมด!” จะชดใช้หมดได้อย่างไร ในเมื่อเด็กตรงหน้านางไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเลยด้วยซ้ำ

“มีอะไรกันเหรอคุณ?” นายเจคเอ่ยถามภรรยา เสียงตวาดนั้นจึงชะงักลง แต่อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นยังไม่จางแม้แต่น้อย

“จะอะไรเสียอีกล่ะ ไอ้เด็กกลิ่นแก้วที่แสนดีของคุณมันสร้างแต่เรื่อง ฉันบอกกี่ทีแล้วว่าส่งมันให้ตำรวจไป คุณก็ไม่เชื่อ”

พอได้ยินว่าจะถูกส่งให้ตำรวจ เด็กชายผู้เป็นหัวข้อสนทนาก็ออกอาการผวา มองนางมาเรียมด้วยแววอ้อนวอน แต่นางกลับสะบัดหน้าหนีอย่างไม่ไยดี

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้” นายเจคว่า

ผู้เป็นภรรยาได้แต่ทำเสียงฮึดฮัด เมื่อรู้กันดีว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ “ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ คุณก็จัดการเอาเองแล้วกัน ขออย่างเดียว อย่าให้มันมาทำข้าวของเสียหาย ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะให้มันชดใช้ด้วยการตัดนิ้วมันทีละนิ้ว!”

“......!!!”

นายเจคถอนหายใจยาวเมื่อภรรยาปึงปังออกไป หันมามองเด็กชายที่ยืนสั่นอยู่ข้างกายแล้วจึงเอ่ยกำชับ

“ได้ยินแล้วใช่ไหม?” ดวงตากลมมีแววหวาดหวั่นเมื่อหันมาทางเขา ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้ารับ เขาจึงเอ่ยต่อ “รู้แบบนั้นแล้วก็ทำตัวดี ๆ เข้าไว้ คุณนายเดลลาร์เขาจะได้เอ็นดู เข้าใจไหม?”

เด็กชายพยักหน้ารัว ทำให้มือหยาบกระด้างนั้นเอื้อมไปลูบศีรษะกลมเบา ๆ ก่อนผละไป ปล่อยให้เด็กน้อยยืนมองเศษขวดที่แตกกระจาย ทั้งพื้นยังเลอะไปด้วยน้ำเมาที่สาดกระเซ็นและไหลออกมาจากเศษซากนั่น กายผอมค่อยนั่งลงเก็บเศษแก้ว ก่อนจะมีมือหนึ่งมาคว้าข้อมือเอาไว้

“ปล่อยไว้นี่แหละ กลิ่นแก้ว เดี๋ยวฉันเก็บเอง”

มองคนพูดแล้วเด็กน้อยก็ส่ายหน้าหวือ เขารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าหวังดี แต่หากให้เธอทำแล้วมันบาดมือเธอ มิวายเขาต้องถูกลงโทษเพราะทำให้พนักงานในร้านเดลลาร์บาดเจ็บ

กลิ่นแก้วค่อยเก็บกวาดอย่างระมัดระวัง เมื่อทำเสร็จแล้วก็ไปช่วยหลังร้านทำงานต่อ ปรกติแล้วเด็กวัยนี้ควรได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ควรได้เรียนหนังสือ แต่กลิ่นแก้วกลับไร้โอกาส มันผิดพลาดตั้งแต่ตอนเขาเกิดแล้ว คำพูดกรอกหูจากคุณนายเดลลาร์คือเขาเป็นเด็กเหลือขอ ไม่ควรได้รับสิทธิใด ๆ ไม่ควรออกไปพบเจอใคร เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะถูกจับเข้าคุกมืดที่เต็มไปด้วยความสกปรกเหม็นเน่า ไม่มีข้าวปลาให้กินเหมือนที่นี่ ทั้งยังจะถูกทารุณ แร่เนื้อเถือหนัง คงไม่ผิดหากเขาจะหวาดกลัว เขากลัว...

หลังจากนางแคทเธอรีน เดลลาร์ พี่สาวของนายเจคจากไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อไม่นานมานี้ นางได้ทำหนังสือยกทรัพย์สินที่มีทั้งหมดให้กลิ่นแก้ว ลูกชายเพียงคนเดียวของนาง แต่เพราะกลิ่นแก้วยังเด็ก ไม่สามารถจะจัดการอะไรได้ด้วยตนเอง นายเจคและนางมาเรียมจึงยื่นมือเข้ามาจัดการทุกอย่างให้ และรับเด็กชายมาอยู่ที่ร้านด้วยเพื่อกันญาติคนอื่น ๆ ของนางแคทเธอรีนเข้ามายุ่งวุ่นวาย

ห้องนอนของครอบครัวเดลลาร์แยกจากร้านไปอีกฝั่ง หลังช่วยงานหลังร้านแล้วกลิ่นแก้วต้องขึ้นมาเก็บกวาดห้องให้เจเรมี่ ลูกชายนางมาเรียมและนายเจค ซึ่งตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

เมื่อขึ้นมาถึง ประตูห้องเจเรมี่ก็เปิดออก เด็กหนุ่มตัวสูง ผมทอง มองคนที่แหงนมองตนแล้วก็จิ๊ปาก

“อย่าให้รู้นะว่าแกแอบหยิบของในห้องฉันไป”

“ผมเปล่า” กลิ่นแก้วตาโต เขาไม่เคยหยิบอะไรในห้องเจเรมี่ไปสักชิ้น

“ให้มันแน่” ผลักเด็กให้พ้นทางแล้วเจเรมี่ก็ย่ำตึง ๆ ลงไปชั้นล่าง

กลิ่นแก้วลูบหน้าผากป้อย ๆ ก่อนก้าวเข้าห้องของเจเรมี่ไป ภายในนั้นรกใช้ได้ ทำให้เขาหน้าม่อย เจ้าตัวเล็กเริ่มลงมือเก็บกวาด เจเรมี่จะกลัวเขาขโมยอะไรไปทำไม ในเมื่อข้าวของในห้องมีแต่ชิ้นใหญ่ ๆ หากหายไปก็ต้องรู้อยู่แล้ว

นิตยสารที่ถูกกางอ่านบนเตียงยังคงวางแบอยู่ที่เดิม เลโก้ที่ต่อค้างไว้ส่วนหนึ่งกระจายเกลื่อน รกยิ่งกว่าห้องของเด็กเล็ก กลิ่นแก้วมองเลโก้บนเตียงด้วยความหวั่นใจ กลัวความซุ่มซ่ามของตัวเองจะทำให้มันพัง ตากลมหลุบมองมือของตน เริ่มคิดว่านิ้วไหนจะหายไปก่อนเพื่อนแล้วกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น

โต๊ะเขียนหนังสือของเจเรมี่ถูกจัดให้เข้าที่ เว้นที่ว่างไว้พอวางเลโก้ ก่อนที่จะค่อยช้อนมันขึ้นจากเตียงแล้วหมุนกายอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งระวังยิ่งพลาด แม้จะดูดีแล้วว่าไม่มีอะไรมาขวางทางเดินก็ยังสะดุดขาตัวเองเข้าจนได้ เลโก้เจ้าปัญหากระเด็นออกจากมือ ร่างที่กำลังจะถลาล้มกลับเหยียดแขนออกไปจนสุด ปลายนิ้วสัมผัสความแข็งกระด้างแต่ไม่สามารถดึงรั้งมันกลับมาได้

กลิ่นแก้วมองชิ้นส่วนเลโก้กระเด็นไปคนละทิศด้วยหัวใจที่หล่นวูบ ใบหน้าเขาชาและเริ่มร้อนขึ้นมา ความร้อนนั้นมันมากระจุกอยู่ที่ขอบตา น้ำตาที่คลอพาลจะไหลถูกกลืนกลับลงไปในอก นี่ไม่ใช่เวลามาร้องไห้ แขนเล็กยกขึ้นปาดมันออกลวก ๆ ก่อนจะเก็บชิ้นส่วนที่กระเด็นกระดอนมารวมกัน ยังดีที่มันไม่ได้เสียหายมากมายนัก อย่างน้อยก็คงแค่ถูกเจเรมี่ดุด่า

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยกลิ่นแก้วก็หันมาเก็บเตียง เด็กชายชะงักมือที่เอื้อมไปหยิบนิตยสารบนนั้นเมื่อเห็นบางสิ่งที่คุ้นตา ดวงตากลมค่อยเบิกโตก่อนที่จะถลาขึ้นเตียงเจเรมี่แบบลืมกลัว นิ้วสั่น ๆ ค่อยสัมผัสมัน ใบหน้าเรียวเหลียวซ้ายแลขวา คำพูดของเจเรมี่แว่วดังเข้ามาในความคิด

‘อย่าให้รู้นะว่าแกแอบหยิบของในห้องฉันไป’

เปล่า เขาไม่ได้แอบหยิบอะไรทั้งนั้น เขาไม่...

ใจดวงน้อยเต้นระรัวแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพราย เสียงหัวใจเต้นดังจนกลบเสียงรอบข้างไปสิ้น ก่อนที่มือจะคว้าหมับ!

กลิ่นแก้วรีบจ้ำอ้าวเมื่อลงมาจากห้องเจเรมี่ สองแขนกอดอกทั้งก้มหน้างุด

“กลิ่นแก้ว”

“...!!!” คนถูกเรียกสะดุ้งเฮือก เผยพิรุธออกมาเต็มเปา

“จะรีบไปไหน?” พนักงานหญิงในร้านเอ่ยถามไถ่เมื่อเห็นท่าทีเด็กชายดูแปลก ๆ

“ไป... ไปเอาไม้ถูพื้นครับ”

เขาโกหก... ผู้เป็นมารดาเคยสอนไม่ให้โกหก ถ้ามีครั้งแรก มันย่อมมีครั้งต่อไป จากเรื่องเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น แต่วันนี้เขากลับโกหกเพื่อเอาตัวรอด หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคือง

เมื่อก้าวพ้นมาแล้วกลิ่นแก้วก็พรูลมหายใจยาวเหยียด หัวใจเขายังเต้นรัวไม่ยอมสงบ เสียงเพลงในร้านเดลลาร์ ดี เริ่มดังขึ้นเมื่อได้เวลาเปิดร้าน ลูกค้าทยอยมาใช้บริการเรื่อย ๆ ขณะที่ยังหัวค่ำอยู่ กลิ่นแก้วหลบฉากเข้ามาในห้องของตน สิ่งที่ซุกซ่อนถูกเอาออกมาวางบนเตียง ก่อนที่จะค้นหาบางสิ่งใต้หัวนอนมาวางเทียบกัน ฟันคมกัดริมฝีปากจนเจ็บ เขาเจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจอ

ภาพของคนคนเดียวกัน แม้เวลาจะเปลี่ยนไป แม้จะต่างอิริยาบถ ก็ยังดูออกอย่างง่ายดาย หยดน้ำตาร่วงผล็อย เด็กน้อยสะอื้นฮัก คนคนนี้จะเคยรู้บ้างไหมว่าเขาเฝ้ารอ รอ... มานานมากแค่ไหน...


......


“กลิ่นแก้ว! ไอ้เด็กขี้ขโมย!!”

เสียงโหวกเหวกยังดังลั่นเช่นทุกวัน แต่คราวนี้ผสมกับเสียงร้องไห้ของเด็กชายที่คนในร้านเดลลาร์ ดี ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ความสนใจพุ่งเป้าไปยังที่มาของเสียง

“ผมขอโทษ ขอโทษ...”

เสียงสะอื้นดังแทรกเสียงฟาด ของใกล้มือถูกนางมาเรียมคว้ามาฟาดเด็กมันไม่ยั้ง นางโมโหนัก เลี้ยงดูปูเสื่อมาขนาดไหนไม่เคยจะสำนึกบุญคุณ ยังริอาจมาขโมยข้าวของอีก มันน่านัก!

เจเรมี่ยืนกอดอกมองมารดาของตนทำโทษเด็กมันด้วยความเฉยชา นิตยสารที่ค้นเจอในห้องของมันเป็นหลักฐานมัดตัวได้อย่างดี อาจจะใช่ที่ผู้เป็นมารดาลงโทษเด็กนั่นแรงไป เพราะแค่นิตยสาร เขาซื้อใหม่อีกกี่เล่มก็ได้ แต่เขาแค่ไม่ชอบพวกลักขโมย จากของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หยิบติดมือไป อีกหน่อยมันก็เป็นชิ้นใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นตีนแมวตัวยง

“เจเรมี่ ผมขอโทษ...”

เจเรมี่มองเด็กที่น้ำตานองหน้าทั้งสะดุ้งทุกครั้งที่มารดาของตนฟาดด้วยความนิ่งเฉย น้ำเสียงและสีหน้าอ้อนวอนนั้น หากเป็นคนอื่นคงสงสาร แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่ารำคาญจนต้องบอกมารดาให้หยุด

“พอได้แล้ว แม่ เสียงร้องไห้มันดังหนวกหูจะแย่”

นางมาเรียมยังฟาดด้วยความมันมือ ก่อนจะหยุดตามที่ลูกบอก “จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นขโมย เพราะถ้าแกยังทำแบบนี้ สันดานขี้ขโมย คงรู้นะว่าแกจะถูกส่งไปไหน!”

ปลายนิ้วที่ทาเล็บสีสดจิ้มหน้าผากจนกลิ่นแก้วผงะหงาย กายผอมทรุดลงไปบนพื้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อไม้ในมือนางมาเรียมถูกโยนลงพื้นไม่เบานัก พนักงานในร้านเองก็รีบหลบฉากเมื่อนางมาเรียมตวัดสายตามอง ทำให้บริเวณนั้นมีเพียงกลิ่นแก้วและเจเรมี่เท่านั้น

“ฉันบอกแกแล้ว”

เสียงเจเรมี่ดังมาเข้าหู กลิ่นแก้วยังไม่ขยับไปไหน ทรุดนั่งสะอื้นฮัก หางตาเหลือบเห็นรูปใบหนึ่งที่ปลิวลงมาตรงหน้า เขารีบคว้ามากอด น้ำตาไหลพรากทั้งกัดปากสะอื้น

“หวังลม ๆ แล้ง ๆ จริง ๆ ”

น้ำเสียงดูแคลนยังดังมากระทบใจให้เจ็บ เจเรมี่จะพูดอะไรก็ได้ คนไม่เคยขาด ไม่มีทางรู้ว่าความหวัง... คือสิ่งเดียวที่ทำให้คนขาดอย่างกลิ่นแก้วอยู่มาได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เจเรมี่จึงได้ผละไปเพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อ ขณะที่กลิ่นแก้วยังอยู่จุดเดิม นิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะขยับลุกไปทำแผลด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย

บาดแผลบนเนื้อตัวยังไม่เจ็บเท่าแผลในใจ กลิ่นแก้วทายาบนรอยช้ำ บางแห่งก็ปริแตกทำให้ต้องสูดปากเบา ๆ น้ำตาเขาไหล ไม่รู้ว่าจากบาดแผลหรือความทดท้อที่มี

ตั้งแต่มารดาจากไปไม่มีวันกลับ สิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่มีคือคนในรูปถ่าย คนที่เขาคาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบเจอ คาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะมาพาเขาออกไปจากที่นี่ แต่คนโง่เง่าอย่างเขากลับไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน จะไปตามหาได้อย่างไร จะมีวันที่ได้เจอไหม เขาไม่รู้อะไรเลย แต่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขายังอยู่ ยัง... หายใจอยู่


......


ตึกสูงย่านธุรกิจในลอนดอน ชายหนุ่มภายใต้สูทสีเข้มก้าวออกจากตัวลิฟท์มายังห้องประธานบริหารของเวสส์ เลขานุการด้านหน้านั้นขยับลุก แต่ยังช้ากว่าเขาที่เคาะประตูห้องเป็นการขออนุญาตแล้วเปิดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยเหลือบขึ้นมองเมื่อเขาก้าวมาหยุดตรงหน้า ซองเอกสารในมือถูกวางลงบนโต๊ะ ขณะเอ่ยรายงานในสิ่งที่ได้รับมอบหมายแก่ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

“เด็กคนนั้นอยู่ที่เดลลาร์ ดี ครับ”

“ที่ไหนนะ?” หัวคิ้วเข้มขมวดเมื่อย้อนถาม

“เดลลาร์ ดี ร้านอาหารแถบชานเมืองที่มีทั้งเหล้าและเนื้อสดไว้บริการ” อีกฝ่ายขยายความ

สีหน้าคนฟังครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้รับรู้ เด็กผู้ชายที่อายุไม่น่าจะเกิน 9 ขวบ จับพลัดจับผลูอย่างไรจึงไปอยู่ในที่แบบนั้นได้ ไหนข้อมูลก่อนหน้าบอกว่ามีเศรษฐินีจากไบบิวรี่มารับไปเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อหลายปีก่อน เลยพลาดที่จะได้เจอตัวเมื่อครั้งที่สตีเฟ่นส่งคนตามไปถึงสถานสงเคราะห์ คราวนี้กลับกลายเป็นว่าเด็กที่ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีจากการดูแลของเศรษฐินีนางนั้น กลับได้อยู่ในร้านขายบริการทางเพศ นี่มันเรื่องอะไรกัน

“เศรษฐินีคนที่ว่า เปิดร้านแบบนี้น่ะเหรอ?”

“ไม่ใช่ครับ ร้านของน้องชาย ตอนนี้แคทเธอรีนเสียชีวิตไปแล้ว เด็กคนนั้นเลยเข้าไปอยู่ในการดูแลของนายเจคและนางมาเรียม เดลลาร์ ข้อมูลที่ได้จากคนใกล้ชิดแคทเธอรีนบอกว่าหลังจากที่หล่อนเสียก็เกิดกรณีแย่งตัวเด็ก เพราะเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมด ทำให้ต่างก็พากันอยากให้มาอยู่ในความดูแล แต่สุดท้ายแล้วเด็กคนนั้นก็เลือกที่จะไปอยู่กับนายเจคที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างครับ”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจ หากเวลานี้เด็กคนนั้นยังอยู่กับนางแคทเธอรีน คงง่ายกว่าหากจะเจรจาอะไรกัน แต่เมื่อไปอยู่กับคนอื่นซึ่งต้องการผลประโยชน์จากตัวเด็ก มันอาจจะยากสักหน่อย แต่ที่เขากำลังกังวลคือสถานที่อยู่ การอยู่ในสถานบริการแบบนั้น ไม่ใช่ว่าสองผัวเมียนั่นให้รับแขกด้วยหรอกนะ


....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ขณะเดียวกัน ณ บ้านหลังใหญ่ไม่ไกลจากตัวเมือง กลิ่นแก้วกอดกระเป๋าที่นำติดตัวมาแน่น ดวงตาคู่โตมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น เขาถูกนางมาเรียมส่งมาที่นี่ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าของบ้านอยากอุปการะเลี้ยงดู เขาไม่ได้อยากมา แม้นางมาเรียมกับนายเจคจะไม่ได้ดูแลเขาดีสักเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักสองคนนั้น รวมทั้งเจเรมี่ด้วย แต่ที่นี่เขาไม่รู้จักใครเลย ไม่แม้แต่คนที่บอกว่าอยากอุปการะเลี้ยงดู

‘มิสเตอร์พาร์เลอร์เขาถูกชะตากับแก เขาเลยมาขอฉัน เขาอยากเลี้ยงดูแก อยากให้แกไปอยู่กับเขา’

นางมาเรียมว่าอย่างนั้น แต่กลิ่นแก้วไม่รู้จักมิสเตอร์พาร์เลอร์ด้วยซ้ำ นอกจากพนักงานในร้าน กลิ่นแก้วก็ไม่เคยได้พบเจอใครที่ไหน เมื่อร้านเปิดก็ถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องใต้บันไดตลอด แล้วมิสเตอร์พาร์เลอร์จะถูกชะตากับเขาตอนไหนกัน?

‘ต่อไปนี้แกจะได้อยู่ดีกินดีไม่ต่างจากตอนอยู่กับแคทเธอรีน อยากได้อะไรแกก็แค่ทำตัวดี ๆ เชื่อฟังเขา แล้วทุกอย่างก็จะเป็นของแก’ เสียงนางมาเรียมยังแว่วดังขึ้นมาในหัว ‘เห็นไหม ฉันดีกับแกใช่ไหมล่ะ กลิ่นแก้ว ถึงแกจะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ฉันบ่อย ๆ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเป็นใยแก ส่งแกไปอยู่กับคนดี ๆ เพราะฉะนั้น ไปอยู่ที่นั่นก็อย่าสร้างปัญหาให้เดือดร้อนมาถึงฉัน ถ้าแกยังพอสำนึกในบุญคุณฉันอยู่บ้าง เข้าใจไหม?’

‘แต่… ผมไม่ได้อยากไป ให้ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ ผมจะไม่เป็นตัวปัญหา อย่าส่งผมไปอยู่ที่อื่นเลยนะครับ คุณนายเดลลาร์ ได้โปรด...’

‘จุ๊ ๆ ๆ กลิ่นแก้ว’ ปลายนิ้วแตะริมฝีปากเด็กน้อยที่พร่ำวอนขอ ‘ฉันไม่ได้จะไล่แกไปไหน ถ้าแกไปอยู่ที่นู่นแล้วไม่ทำตัวมีปัญหา ถ้ามิสเตอร์พาร์เลอร์เขาพอใจ แกจะไปไหนมาไหนก็ได้ จะกลับมาที่นี่ก็ย่อมได้ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย’

‘………’

‘เพราะฉะนั้น เป็นเด็กดีนะกลิ่นแก้ว แล้วแกจะได้ทุกอย่างที่แกต้องการ’


ทุกอย่างที่ต้องการงั้นหรือ... สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงอย่างเดียว แค่เพียงอย่างเดียว..

ขาเล็กก้าวตามคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์เข้าไปด้านในพร้อมใจหวาดหวั่น เพียงแค่โถงใหญ่ก็ทำให้เขาแทบอยากหยุดก้าวเดิน ผู้ที่เขากำลังจะไปพบเป็นคนแบบไหนกัน จะใจดีไหม หรือจะร้ายยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเจอมา ยิ่งคิดยิ่งทำให้ก้าวเดินช้าลง

ห้องนอนทางปีกซ้ายของบ้านถูกเปิดออก กลิ่นแก้วเดินตัวลีบเข้าไปแล้วหยุดอยู่กลางห้อง มองรอบกายงง ๆ ก่อนหันกลับมาหาคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เสร็จแล้วฉันจะพาไปพบมิสเตอร์พาร์เลอร์ เขาไม่ชอบเด็กมอมแมม”

“...ครับ” กลิ่นแก้วพยักหน้ารับ

“รออยู่ในนี้ เดี๋ยวสาวใช้จะขึ้นมาจัดการเรื่องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”

ว่าจบแล้วคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์ก็ออกจากห้องไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วยืนงง เมื่อครู่นี้พูดว่าสาวใช้จะมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาหรือ?

เด็กน้อยค่อยเดินไปนั่งลงตรงปลายเตียงก่อนวางกระเป๋าใบเก่าลงข้างกาย ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องใต้บันไดที่เขานอนหลายเท่า มันเลยดูเวิ้งว้างจนทำตัวไม่ถูก เสียงเคาะประตูทำให้ต้องดีดตัวลุก คว้ากระเป๋าบนเตียงมากอดไว้ขณะมองบานประตูค่อยเปิดออก

สาวใช้ในบ้านพาร์เลอร์เข้าไปตระเตรียมน้ำอุ่น ก่อนจะออกมาพาเขาเข้าไปอาบ กลิ่นแก้วไม่เคยต้องเปลื้องผ้าต่อหน้าคนอื่นนอกจากมารดาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กกว่านี้ เวลานี้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง แต่กลับต้องให้คนอื่นทำให้ มันยิ่งกว่าเก้อกระดาก

“จริง ๆ แล้วผมอาบเองก็ได้นะครับ” เอ่ยบอกเสียงเบาด้วยความเกรงใจ มือไม้ที่ยุบยับบนเนื้อตัวทำให้รู้สึกแปลก ๆ

“มันเป็นคำสั่ง อย่าทำอะไรให้ต้องยุ่งยากนัก”

น้ำเสียงเข้ม ๆ นั่นทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป ไม่ขัดอะไรอีกเมื่อพวกหล่อนเข้ามาช่วยขัดเนื้อขัดตัวให้ ก่อนพาออกไปแต่งตัวราวตุ๊กตาก็ไม่ปาน เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจึงยกโขยงออกจากห้องไป

หลังบานประตูปิดลง ภายในห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง กลิ่นแก้วค่อยเดินไปหยิบกระเป๋ามากอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เวลานี้ได้แต่คิดถึงมารดา หากท่านยังอยู่ เขาคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ นางมาเรียมกับนายเจคไม่ได้ดีกับเขาอย่างที่คิด สองคนนั้นแค่แกล้งทำเป็นดีเพื่อให้เขาเลือกมาอยู่ด้วย อันที่จริงไม่มีใครที่หวังดีกับเขาเลยต่างหาก ไม่ว่าจะไปอยู่กับใครก็คงไม่ต่างกัน

สักพักคนของมิสเตอร์พาร์เลอร์ก็เข้ามาพาเขาไปพบผู้เป็นนายของตน ภายในห้องที่กึ่ง ๆ จะเป็นห้องทำงานส่วนตัว ผู้ที่กำลังยืนทอดสายตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างพร้อมจิบชายามบ่ายไปพลางค่อยหันกลับมาเมื่อเขาไปถึง รูปร่างดูสูงใหญ่เช่นชาวตะวันตกทั่วไป เส้นผมที่เริ่มแซมสีดอกเลาผ่านการดูแลตัดเจียนได้รูป ร่องรอยบนใบหน้าบ่งบอกความอาวุโส รอยยิ้มที่ส่งมาราวเอื้ออารี แต่แววบางอย่างในดวงตาคู่นั้นกลับทำให้กลิ่นแก้วรู้สึกขนลุกพิกล

“พามาแล้วครับ นาย” ผู้เป็นลูกน้องเอ่ยบอก ก่อนเลี่ยงออกไปจากห้องอย่างรู้งาน

กลิ่นแก้วเกร็งตัวเมื่อกายสูงใหญ่นั้นก้าวมาหา มือที่เอื้อมมาจับทำให้เกือบจะสะบัดออก แต่หยุดตัวเองเอาไว้ได้ทันเมื่อเสียงนางมาเรียมแว่วเข้ามาในหู อย่าก่อเรื่อง อย่าทำให้นางเดือดร้อน

เจ้าของมือชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อท่าทีต่อต้านนั้นคลายลง ริมฝีปากหนาจึงค่อยเปิดยิ้ม รั้งให้เด็กน้อยเดินตามไปยังโซฟานุ่ม ก่อนนั่งลงข้างกันแล้วเริ่มพูดคุยถามไถ่

“คุณนายเดลลาร์คงบอกหนูแล้วใช่ไหมว่าให้มาที่นี่ทำไม?”

กลิ่นแก้วพยักหน้า “ครับ”

ริมฝีปากของผู้อาวุโสกว่ายังแย้มยิ้มขณะที่ปลายนิ้วเริ่มไล้ข้างแก้มนิ่ม เด็กน้อยนั่งตัวเกร็งเมื่อเขาทัดผมให้ “ไม่ต้องกังวล ทำตัวตามสบาย”

“......” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่กลิ่นแก้วก็ทำไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้จนแทบเบียดชิด ปลายนิ้วยังไล้เลยมาหลังใบหู ระเรื่อยลงมาตามลำคอจนขนกายเด็กน้อยแข่งกันลุกตั้ง

“หนูเป็นเด็กน่ารักนะ ตัวเล็ก ๆ หน้าตาซื่อ ๆ ดูตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลาเหมือนลูกกวางตัวน้อย ๆ ที่กำลังจะถูกขย้ำ”

น้ำเสียงที่มิสเตอร์พาร์เลอร์ใช้มันดูแปลกไปหมด กลิ่นแก้วกำมือที่วางอยู่บนตักตัวเองแน่น เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อสัมผัสประหลาดนั้นยังไล้เรื่อยอยู่แถวลำคอ

เห็นอาการลูกกวางน้อยเช่นนั้นแล้วหมาป่าเฒ่าที่ใจเร็วอยากลองลิ้มรสเนื้อกวางก็จำต้องข่มใจ ค่อยขยับมานั่งปรกติแล้วลูบหัวราวเอ็นดู

“เพราะแบบนั้นฉันเลยรู้สึกถูกชะตา ฉันอยู่คนเดียวมาตลอด ถ้าได้หนูมาอยู่ด้วย ฉันคงไม่เหงา”

ดวงตากลมก้มมองแต่มือตัวเอง จนเมื่อมือใหญ่นั้นเลื่อนมากุม กลิ่นแก้วก็สะดุ้งอีกหน ค่อยช้อนสายตามองคนจับด้วยความหวาดหวั่น

“ขอบใจหนูมากนะ ที่มาอยู่ด้วยกัน”

หลังจากลูกกวางน้อยออกจากห้องไป รอยยิ้มอารีกลับเปลี่ยนเป็นมากเล่ห์ สูดดมกลิ่นหอมที่ติดมือมาราวกระหายอยาก ในที่สุดเขาก็ได้มาไว้ในครอบครองหลังจากหมายตามานาน

มันเป็นความบังเอิญที่เขาได้เจอเด็กคนนี้ ใบหน้าที่แตกต่างจากเด็กฝั่งตะวันตกหรือแม้แต่ลูกครึ่งเอเชียทั่วไปทำให้สะดุดตา ยิ่งตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ยิ่งส่งให้ดูน่าขย้ำ เขาชอบเลี้ยงดูเด็กเล็กไว้สนองความใคร่ เพราะความเหนือกว่าในทุก ๆ ด้านทำให้เขาพึงใจ เด็กด้อยเดียงสาไร้กำลังต่อต้าน เขาชอบแบบนั้น

นางมาเรียมรู้รสนิยมด้านนี้ของเขาดี แต่ก็ยังยอมส่งเด็กคนนี้มา แสดงว่านางก็เหี้ยมไม่แพ้กัน ตอนแรกนึกว่าจะยากหากเอ่ยปากว่าอยากได้ เพราะเด็กน้อยนั่นอยู่ในความดูแลของนางและสามี แต่กลับง่ายกว่าที่คิดเพราะเด็กไม่เป็นที่ต้องการมาตั้งแต่แรก

ตกค่ำ กลิ่นแก้วที่ได้รับการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนโดยสาวใช้เรียบร้อยนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง มิสเตอร์พาร์เลอร์ดูแลเขาเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารการกิน ความเอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน แต่เพราะไม่คุ้นกับอะไรแบบนี้เลยทำให้รู้สึกแปลกไปหมด แถมมาอยู่ต่างถิ่นต่างที่ยิ่งทำให้กังวลจนนอนไม่หลับ

เด็กน้อยซุกกายใต้ผ้าห่ม อากาศในห้องค่อนข้างเย็นสำหรับเขา เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่เขาเองก็พยายามข่มตาให้หลับ แต่แล้วก็กลับต้องเกร็งตัวขึ้นมา เมื่อภายใต้ความมืดนั้นมีบางสิ่งกำลังคืบคลานมาชิดใกล้

เตียงนอนที่ยุบยวบจากน้ำหนักของอะไรบางอย่างทำให้กลิ่นแก้วนอนเกร็ง ผ้าห่มที่ค่อยร่นลงไปถึงช่วงเอวทำให้ต้องหลับตาแน่นทั้งลมหายใจติดขัด ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตามามองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

เสียงลมหายใจที่ดังกระเส่าอยู่ใกล้หูส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำ ความอุ่นร้อนที่รินรดหลังคอพาให้ขนกายแข่งกันลุกเกรียว ความสากระคายจากอุ้งมือใหญ่ที่ค่อยลูบไล้มาตามเรียวขาทำให้เด็กน้อยเผลอกลั้นลมหายใจ

กลัว... เขากลัว... ช่วยด้วย...!



รถยนต์คันหรูแล่นออกจากบริษัทเวสส์เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน หลังจากได้ข้อมูลเรื่องเด็กที่ตนตามหา เอวาน เวสส์ก็มีคำสั่งให้คนไปสังเกตการแถวร้านเดลลาร์ ดี แต่ยังไม่เห็นถึงสิ่งผิดปรกติใด หรือแม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ไหนสักคน มีเพียงพนักงานร้านที่เดินเข้าออกด้านหลัง เมื่อยังไม่ถึงเวลาร้านเปิด

เอวานจึงได้ตัดสินใจที่จะไปที่นั่นเอง แม้บอดีการ์ดอย่างทอมัสจะเสนอความเห็นว่าไปพรุ่งนี้จะดีกว่าไหม แต่ผู้เป็นนายกลับอยากไปในช่วงเวลาที่ร้านเปิด อยากรู้ว่าร้านเดลลาร์ ดีที่ว่ามันเป็นประมาณไหน จะได้ไปดูด้วยว่าเด็กถูกลิดรอนสิทธิไหม หลังออกจากเวสส์มาจึงตรงไปเดลลาร์ ดี เขาไม่อยากปล่อยเวลาให้นานไป เพราะถ้านับกันตั้งแต่แคทเธอรีน เดลลาร์เสียชีวิต นี่ก็หลายเดือนแล้ว ความเป็นอยู่ของเด็กในสถานที่แบบนั้นมันน่าเป็นห่วงจนเกินจะปล่อยให้นานไปกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ หากเจอตัวเด็ก เขาอาจแหกกฎของตัวเองพากลับมาโดยไม่สนความถูกต้องเลยก็ได้

แต่ระหว่างที่รถกำลังมุ่งตรงสู่เป้าหมายก็พลันต้องหักหลบและแตะเบรกกะทันหัน เมื่อเข้าเขตชุมชนแล้วเลี้ยวตรงหัวมุมถนน มีบางอย่างพุ่งออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย บอดีการ์ดทั้งสองนายหันมาสบตากันเมื่อรถหยุดลง ก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผู้ที่อยู่ฝั่งคนขับลงไปดู ขณะที่อีกคนคอยคุ้มกันนายบนรถ

บอดีการ์ดหนุ่มผู้ควบหน้าที่คนขับก้าวลงไปจากรถ มือข้างหนึ่งปิดประตู ขณะที่อีกข้างแตะอาวุธใต้สูท แสงไฟจากมุมถนนพอส่องให้เห็นว่าสิ่งที่พุ่งออกมาตัดหน้ารถคืออะไร เมื่อมันยังกองอยู่จุดเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

หัวคิ้วเขาขมวดเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคือเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตามองมาที่เขา ไม่รู้ว่าที่ล้มลงไปนั้นเจ็บตรงไหนมากหรือไม่ หรือเขาจะหักหลบไม่ทันเสียก็ไม่รู้

ก่อนจะทันได้ก้าวเข้าไปถึงตัวเด็ก บอดีการ์ดหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อเสียงโหวกเหวกดังมาจากอีกฝั่ง ร่างน้อยบนพื้นนั่นจะขยับลุกแต่กลับล้มลงไปเมื่อขาไม่สามารถทรงตัวได้อยู่ พยายามถัดกายมาหาทั้งสายตาวิงวอน เขาจึงก้าวเข้าไป เป็นขณะเดียวกันกับที่แขนเล็กนั่นถูกคว้าดึง

“อยู่นี่เอง มานี่!”

ชายตัวใหญ่กระชากแขนเด็กบนพื้นให้ลุกขึ้นโดยไม่อนาทรเลยว่าเด็กมันจะเจ็บ บอดีการ์ดหนุ่มมองการกระทำเหล่านั้นพลางคิด เหตุใดต้องทำอะไรรุนแรงแบบนั้นกับเด็กมันด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขา แต่เขาก็คงไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เด็กตัวเล็ก ๆ ถูกรังแกต่อหน้าต่อตาได้

ขณะที่จะก้าวเข้าไป ช่วงขายาวก็ต้องชะงักเมื่อเงาร่างของใครอีกคนเดินผ่าน หันไปสบสายตากับหนุ่มผมบลอนที่เดินตามใครคนนั้นมา แล้วจึงก้าวตามไปคุ้มกันผู้เป็นนายที่ลงมาจัดการปัญหาด้วยตัวเอง

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องทำรุนแรงกันขนาดนี้?”

เอวานเอ่ยถามเสียงนิ่ง มองคนที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นอย่างต้องการคำตอบ ซึ่งฝ่ายนั้นก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจ

“เด็กนี่เป็นหัวขโมย เราแค่จะส่งมันให้ตำรวจ แต่มันหนีมา เลยต้องมาตามจับแบบนี้” ฝ่ายนั้นตอบพร้อมเตือน “มันไม่ใช่เรื่องของพวกคุณ อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”

ฟังคำตอบแล้วเอวานก็เหลือบมองเด็กชายที่ยืนสะอื้นฮัก แขนเล็ก ๆ นั้นยังถูกจับแน่น

“เด็กตัวแค่นี้น่ะเหรอ?”

สายตาฝ่ายตรงข้ามดูไม่พอใจที่มีคนเข้ามายุ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงสะบัดให้รู้ว่าไม่พอใจกับการก้าวก่ายของคนแปลกหน้า

“จะตัวแค่ไหน ขโมยก็คือขโมยอยู่วันยันค่ำ”

เอวานไม่ได้สนใจคำตอบไปมากกว่าเด็กตรงหน้า ยื่นมือออกไปหาเจ้าตัวน้อย มองสบตากลมที่มีแววหวาดกลัว เพียงครู่ มือเล็ก ๆ นั่นก็เอื้อมมาจับมือเขาไว้ แววตาคู่นั้นกำลังวอนขอให้เขาช่วยเหลือ ขณะผู้ที่จับตัวเด็กไว้พากันตกใจ ต่างหันมองหน้ากัน ก่อนมองหัวหน้าพวกตนว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้

“ถ้าจะแค่ส่งให้ตำรวจ ฉันช่วยได้” เอ่ยบอกพลางหันไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยแววตานิ่งเฉย ขณะเรียกบอดีการ์ด “ทอมัส”

“ครับ”

“โทรแจ้งตำรวจท้องที่ให้พวกเขาหน่อย”

ฝ่ายตรงข้ามเริ่มมองหน้ากันไปมาอีกหน ถ้าตำรวจมา ต้องเดือดร้อนถึงนายพวกมันแน่

“ด... เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน”

“ทำไม?” เอวานปรายมองคนทักท้วง

“เปล่า ถ้า... ถ้าพวกคุณอยากได้ตัวมันนักก็เอาไป”

“ไม่ส่งให้ตำรวจแล้วเหรอ?” ทอมัสย้อนถามแทนนายตน “ถ้าเขาผิดจริงก็รออีกนิด เดี๋ยวตำรวจก็มาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”

“งั้นพวกเราจะพามันไปเอง ไม่กวนพวกคุณดีกว่า”

“พูดกลับไปกลับมาแบบนี้หมายความว่าไงวะ อ้อ หรืออันที่จริงพวกนายเป็นพวกค้ามนุษย์ แล้วเด็กนี่...” ทอมัสทอดเสียงในตอนท้าย

“อย่ามากล่าวหากันนะเว้ย ปล่อยเด็กมาได้แล้ว”

“พวกนายต่างหากที่ต้องปล่อย”

ปืนสองกระบอกเล็งมาตรงหน้า คนที่กำลังจะยื้อเด็กออกจากมือเอวานชะงักกึก ถึงพวกมันจะมีสามคนเท่ากับฝั่งนั้น แต่ไม่ได้พกอาวุธสักคน กำปั้นหรือจะสู้ไกปืน

“ว่ายังไง?” ทอมัสยิ้มยียวน แต่ภายใต้ความยียวนกลับพร้อมที่จะลั่นไกทุกเมื่อหากนายสั่ง

“เฮ้ย ปล่อยมันไป” สุดท้ายอีกฝ่ายก็ต้องยอมปล่อยอย่างจำใจ เมื่อไม่กล้าพอที่จะเสี่ยง มันไม่คุ้มกันสักนิด

เพียงแขนอีกข้างถูกปล่อยเป็นอิสระ ตัวผอม ๆ นั้นก็ถลาเข้ามาเกาะขาเอวานไว้ คนกลุ่มนั้นล่าถอยไปพร้อมสีหน้าเป็นกังวล จะรายงานนายของพวกตนว่าอย่างไร ได้แต่หวังว่านายจะเข้าใจว่าพวกตนไม่อยากให้ต้องมาเดือดร้อนเพราะเด็กเพียงคนเดียว

เอวานมองเด็กที่เกาะขาตนแน่น มือค่อยเลื่อนมาแตะไหล่เล็ก ทำให้ตากลมคู่นั้นเงยมองเขา ก่อนจะหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อทอมัสเข้ามาอุ้ม แขนเล็กผวากอดคอ มองคนอุ้มหน้าตาตื่น

เอวานเดินกลับไปที่รถโดยมีแมกซ์เวลเดินเยื้องอยู่ด้านข้าง ตามด้วยทอมัสที่อุ้มเด็กตามมา เมื่อจัดการวางเด็กลงบนเบาะหลังข้างผู้เป็นนาย ทอมัสจึงขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ เมื่อแมกซ์เวลขึ้นมานั่งข้างกันแล้วจึงสตาร์ทแล้วออกรถ

รถเคลื่อนตัวออกไปจากจุดนั้นท่ามกลางความแตกตื่นของเด็กน้อยเพียงคนเดียวในที่นี้ เหมือนว่าเจ้าตัวจะเพิ่งนึกได้ว่าขึ้นรถมากับคนแปลกหน้า ตัวเล็ก ๆ นั่นจึงได้ขยับไปนั่งชิดประตูราวระวังภัย เมื่อมือของชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ข้างกันเอื้อมมาหา เด็กน้อยก็ผงะถอยทั้งที่ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว ดวงตาคู่โตมองเจ้าของมือด้วยความหวาดระแวง

“แค่จะดูแผล”

เอวานบอกความประสงค์ แต่ตาคู่นั้นยังมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“เมื่อกี้ชนรึเปล่า?”

“......” คนถูกถามยังคงเงียบ มองเขาอยู่เป็นนานราวคิดอะไรอยู่ก่อนส่ายหน้า

“นอกจากแผลถลอกพวกนี้แล้วเจ็บตรงไหนอีกไหม?”

“เหมือนว่าข้อเท้าจะพลิกครับ” เสียงทอมัสตอบกลับมาแทน

เอวานหลุบสายตามองตามคำบอกเล่า ก่อนเอ่ยเรียกผู้ที่นั่งข้างคนขับ “แมกซ์เวล”

“ครับ?”

“มีคลินิกใกล้ ๆ แถวนี้ไหม?” หากพาไปโรงพยาบาลอาจต้องรอนานกว่าจะได้รับการรักษา เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น

“ถัดจากนี้ไปสักยี่สิบเมตรได้ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบจึงสั่งผู้ที่นั่งประจำที่คนขับ “แวะคลินิกด้วย ทอมัส”

“ครับ”

“จริงสิ” หันกลับมาทางเด็กที่ยังนั่งเบียดราวจะสิงประตูรถ “บ้านอยู่แถวไหน ทำแผลเสร็จแล้วจะพาไปส่ง”

“......” ตาโต ๆ คู่นั้นได้แต่มองหน้าเขา แววกังวลปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“คงไม่ได้เป็นหัวขโมยแบบที่พวกนั้นบอกหรอกนะ?”

“ผมไม่ใช่ขโมย ไม่ได้ขโมยอะไรเขามา” ปฏิเสธทั้งสั่นหัวคอแทบหลุด

“แล้วทำไมเขาถึงไล่ตามมาแบบนั้น?”

“......” ไร้ซึ่งคำตอบ ริมฝีปากเด็กน้อยเม้มเข้าหากันแน่น หยดน้ำตาร่วงผล็อยลงมาอีก

“ตอบไม่ได้ แสดงว่าโกหก”

“เปล่าโกหก ผมไม่ได้ขโมย” รีบปฏิเสธทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้น

“เหตุผลที่ออกจากบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ แล้วโดนไล่ตามล่ะ?” เมื่อเขาถามจี้ เด็กข้างกายก็เล่นลูกเงียบอีกรอบจึงต้องกระตุ้น “หรือฉันควรส่งให้ตำรวจแบบที่พวกนั้นบอกดี?”

พอพูดไปแบบนั้นเจ้าหนูน้อยก็ร้องหนักเลยทีนี้ เอวานถอนหายใจเบา เขาเคยแต่รับมือกับพวกมีเล่ห์เหลี่ยมและพิษสงรอบตัว แต่นี่เด็กไร้เดียงสา หรือเขาควรสวมบทโหดดูสักที

“ถ้าไม่พูดความจริง ฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ การลักขโมยเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยังไงเรื่องก็ต้องถึงตำรวจ รู้ใช่ไหม?”

ไม่ได้อยากรังแกเด็ก แต่ถ้าไม่ขู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าช่วยคนที่ควรช่วยมาไหม ถ้าทำผิดจริง เขาก็ขอรู้เหตุผลที่จะไม่ส่งตำรวจ ถ้าตัวแค่นี้ริอ่านเป็นขโมย ก็ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร

“... หนีออกมา”

“หืม?” เอวานทำเสียงในลำคอเมื่อได้ยินเสียงเบา ๆ นั่นตอบมาแบบไม่เป็นประโยค

“ที่พวกเขาตาม... เพราะผมหนีออกมาจากบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์” เด็กน้อยเล่าทั้งน้ำตายังไหลพราก “ผมกลัว... เขาน่ากลัว...”
คำบอกเล่าทำให้เอวานนิ่งคิด มิสเตอร์พาร์เลอร์อะไรนั่นทำอะไรเด็กคนนี้?

“แล้วเข้าไปทำอะไรที่นั่น?” เขายังถามต่อ

“คุณนายเด...”

พูดเพียงเท่านั้นเด็กมันก็เงียบไปเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ คิ้วเอวานขมวดเมื่อเด็กไม่ยอมเล่าต่อ คุณนายเดคืออะไร?

“ผมไม่ได้เป็นขโมยจริง ๆ นะ อย่าส่งผมให้ตำรวจเลย ผมขอร้อง จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าส่งผมให้ตำรวจเลย”

ดูท่าแล้วเด็กคนนี้คงไม่ยอมบอกเรื่องที่เข้าไปทำอะไรในบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์นั่นเป็นแน่ สิ่งที่เด็กกำลังกังวลคือตำรวจ เมื่อไม่ได้ทำความผิดทำไมต้องกลัวตำรวจ แต่ก็ไม่แน่หรอก เด็กวัยนี้อาจถูกสอนมาให้กลัวก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ดูเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่าจะเป็นฝ่ายกระทำอะไรใครที่ไหนได้

“ฉันจะไม่ส่งให้ตำรวจ” เอวานว่าอย่างนั้น “ไปหาหมอเสร็จแล้วฉันจะพากลับบ้าน พ่อแม่หนูคงเป็นห่วง ใช่ไหม?”

“......” เป็นอีกครั้งที่เด็กเงียบไป

นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยหรี่ลงอย่างจับสังเกตเมื่อเอ่ยถาม

“จำได้ใช่ไหมว่าบ้านอยู่แถวไหน?”

ดวงตากลมค่อยเฉหลบ นั่งปาดน้ำตาเงียบ ๆ ไม่ตอบอะไรกลับมาจนกระทั่งถึงคลินิก



เดลลาร์ ดี

โทรศัพท์จากนายพาร์เลอร์ทำให้นายเจครู้ว่านางมาเรียมส่งกลิ่นแก้วไปบริการตาเฒ่านั่นถึงที่ เขาออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาก็ไม่ได้สนใจว่าเด็กมันไม่อยู่ เพราะช่วงเวลาร้านเปิด กลิ่นแก้วต้องอยู่แต่ในห้องเป็นปรกติ ไม่นึกว่าผู้เป็นภรรยาจะทำเรื่องแบบนั้นลงไป กระทั่งตาเฒ่าพาร์เลอร์โทรมาโวยที่กลิ่นแก้วหนีออกมาจากบ้าน

“คุณก็รู้ว่าตาเฒ่านั่นมันโรคจิต ยังจะส่งเด็กมันไปอีก” นายเจคต่อว่าภรรยาที่เวลานี้มีสีหน้าเคร่งเครียด

“ก็ตาเฒ่านั่นอยากได้มันจนตัวสั่น ถ้ามันจะทำประโยชน์ให้เราได้บ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ?” นางตอกกลับอย่างไม่เห็นว่ามันคือความผิด

“คุณก็รู้ว่ากลิ่นแก้วเป็นลูกของพี่สาวผม”

“ก็แค่ลูกบุญธรรม คุณจะเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม?” นางมาเรียมย้อน

“คุณก็รู้ว่ากลิ่นแก้วมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร!” เสียงนายเจคเริ่มดังเมื่อภรรยาไม่อินังขังขอบ

“แล้วยังไง มันเป็นบุญเป็นคุณมากเลยใช่ไหม แตะต้องไม่ได้เลยใช่ไหม?” เมื่อสามีเสียงดังใส่ อารมณ์นางมาเรียมก็ขึ้นบ้าง หลายทีแล้วที่สามีนางเข้าข้างเด็กนั่น “คุณจะเก็บมันไว้บูชาหรือไง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่เป็นแหล่งสมบัติให้เราเท่านั้นแหละ แล้วตอนนี้เราก็ถ่ายโอนอะไรมาได้ตั้งหลายอย่างแล้ว ถ้าการที่ฉันส่งมันไปทำงาน ทำให้คุณห่วงมันนักหนาก็ไปพามันกลับมาเลยไป ไปตามหามันเลย ถ้าเจอแล้วก็คุยกับตาเฒ่าพาร์เลอร์เอาเองแล้วกันว่าคุณจะเอามันคืน!”

“ทำไมคุณถึงใจไม้ไส้ระกำขนาดนี้ มาเรียม เด็กมันตัวนิดเดียว จะจงเกลียดจงชังอะไรมันนักหนา!?”

“คุณก็ว่าแต่ฉัน ทั้งที่ตัวคุณเองก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก ทำตัวเป็นคนดีมีเมตตา สุดท้ายก็ใช้ประโยชน์จากมันเหมือนกัน ถ้ามันไม่มีสมบัติพัสถาน คุณจะรับมันมาเลี้ยงดูรึไง อย่าพูดให้ขำนักเลย!”

สองสามีภรรยาสาดคำพูดใส่กัน ความโกรธาคุกรุ่นเมื่อทุกคำพูดมันจี้ใจดำของทั้งคู่ ใช่ พวกเขาก็ไม่ต่างกันหรอก หวังผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อนึกไปถึงว่าการให้เด็กตัวแค่นั้นไปเป็นที่รองรับอารมณ์ตาเฒ่าหื่นกามมันก็มากเกินไป ถึงอย่างไรก็ลูกบุญธรรมของพี่สาว แม้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเด็กมันนักก็ตาม

นายเจคพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลง ตอนนี้กลิ่นแก้วอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาอาจจะต้องไปวนรถหาตามถนนแถวบ้านตาเฒ่าพาร์เลอร์ คิดได้ดังนั้นจึงตรงไปหลังร้านซึ่งเป็นทางเข้าออกของพนักงาน และด้านนอกก็เป็นที่จอดรถส่วนตัว แต่เพียงประตูเปิดออกก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นแก้วยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนั่น พอเห็นหน้าเขา น้ำตาเด็กน้อยก็ไหลอาบแก้ม

“แก้ว...”


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ภายในรถที่จอดเยื้องร้านเดลลาร์ ดี ไปอีกฝั่ง เอวานยังคงนั่งรอเวลาด้วยความสงบ หลังจากปล่อยให้เด็กคนนั้นกลับเข้าร้านแล้วหายเงียบไป แต่เขาก็ยังนั่งรอโดยไม่สั่งอะไร ทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายต้องรอตามไปด้วย

“นายว่าเด็กคนนั้นคือคนที่เรากำลังตามหาเหรอครับ?” ทอมัสเอ่ยถามแทรกความเงียบขึ้นมา

ปรกติแล้วบอดีการ์ดมีหน้าที่คุ้มกันและรอรับคำสั่ง แต่กับเอวาน เขาอนุญาตให้แสดงความเห็น ขอแค่อยู่ในกรอบที่ควรกระทำเท่านั้น ไม่ได้เคร่งกับกฎเกณฑ์อะไรมากมายนัก

แมกซ์เวลชำเลืองมองเพื่อนบอดีการ์ด ก่อนเบือนสายตาไปที่กระจกเพื่อมองผู้เป็นนายที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“ร้านนี้ยังมีเด็กคนอื่นอยู่อีกเหรอ?”

คำถามจากผู้เป็นนายทำให้คนถามเงียบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ คนที่รู้คือคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างเขานี่ต่างหาก เพราะเป็นผู้ที่ไปสืบเรื่องร้านนี้มาให้นาย

สถานการณ์ผิดปรกติตรงประตูเข้าร้านทำให้ผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ก่อนแล้วขยับตัว เด็กที่หายเข้าไปในร้านเดลลาร์ ดีถูกลากออกมาข้างนอกโดยหญิงท้วมนางหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยชายอีกคนที่พยายามเข้ามาห้าม

“นายครับ” ทอมัสเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเมื่อยังเห็นว่าเงียบอยู่

เอวานมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านกระจก ก่อนจะสั่งเสียงเรียบ

“ไปเอาตัวมา”

“ครับ”



ทางเข้าออกของพนักงานร้านเดลลาร์ ดี นางมาเรียมลากไอ้เด็กเหลือขอออกมา เพราะหลังจากที่มันโผล่เข้าไปในร้านนางก็รีบโทรบอกตาเฒ่าพาร์เลอร์ว่าเจอมันแล้ว ฝ่ายนั้นจึงสั่งให้จับตัวไว้ เพราะเด็กนี่ไปกัดเขาเสียจมเขี้ยวก่อนหนีมา ทีแรกตาเฒ่านั่นจะให้นางชดใช้ค่าเสียหายพร้อมคืนเงินที่ทุ่มซื้อตัวเด็กทั้งหมด แต่นางมาเรียมเลือกไม่คืน บอกจะส่งเด็กกลับไปให้และจะสั่งสอนให้ดี ขณะที่ในใจกำลังก่นด่าถึงความโง่งมของตาเฒ่าบ้ากาม ไม่รู้จักตะล่อม ปล่อยความอยากนำทางจนเหยื่อแตกตื่นแบบนี้ โง่เง่าสิ้นดี

“ก่อเรื่องอีกแล้วนะแก ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ให้ไปอยู่ที่ดี ๆ ก็ยังสร้างเรื่องให้เขา สมองแกนี่มันทำด้วยอะไร หา!”

“ผมขอโทษ ผมแค่... ผมแค่...”

“แค่อะไร หา! ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม ดีนี่ หนีแล้วทำไมไม่ไปให้รอดล่ะ ยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ หา!”

เสียงตวาดลั่นยิ่งทำให้กลิ่นแก้วตัวสั่น เขาไม่รู้จะทำอย่างไร เขาอยู่ที่นั่นไม่ได้ มิสเตอร์พาร์เลอร์อะไรนั่นน่ากลัว ความหนาหนักที่กดทับจนดิ้นหนีไม่ได้ ทั้งสัมผัสที่หยาบกระด้างและหื่นกระหายพาให้สติเขาหลุด เขาแทบไม่รับรู้ว่าทำอะไรลงไป รู้อย่างเดียวคือต้องหนี แต่พอหนีออกมาได้ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขาไม่รู้จักใครเลยนอกจากที่นี่ ขาเขาพาออกวิ่งโดยไม่รู้ทิศทาง แทบชนกับรถที่เลี้ยวมาจากมุมถนน ด้วยจนหนทาง หลังออกจากคลินิกทำให้บอกรถคันนั้นมาส่งที่นี่ แค่หวังจะกลับมาพึ่งพิง แต่เขาเพิ่งรู้ว่าคิดผิด มันไม่มีที่พึ่งสำหรับเขา ไม่เคยมี

“ไม่... ไม่ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ได้โปรด ให้ผมอยู่ที่นี่ อย่าส่งผมไปให้พวกเขา ได้โปรด...” แม้จะอ้อนวอนแค่ไหน สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นเสียงด่าทอ เขาขอโทษ... ขอโทษจริง ๆ

“แกพูดแบบนี้ตั้งกี่ครั้งกี่หนกัน ไม่ทำอีก ไม่ทำอีก ฉันเบื่อจะเชื่อแกแล้ว คราวนี้แกทำอะไรลงไปรู้ไหม แกจะทำให้พวกเราฉิบหายกันหมด ไอ้เด็กเนรคุณ! แกต้องกลับไปหาเขา เข้าใจไหม!”

ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง สองมือประกบยกไหว้วิงวอน “คุณนายเดลลาร์ ได้โปรด...”

กลิ่นแก้วเด็กโง่ แม้จะถูกทำร้าย ถูกผลักไส ก็ยังวิงวอนร้องขอ เมื่อหมดสิ้นหนทางแล้วจริง ๆ เขาไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากคนในร้านเดลลาร์ ดี จะกลับบ้านของมารดาก็ไม่รู้จะไปอย่างไร ถึงกลับไปก็ไม่รู้จะอยู่กับใคร เมื่อผู้เป็นมารดาไม่อยู่ให้พึ่งพาอีกต่อไปแล้ว

แต่ก่อนที่ตัวผอม ๆ นั้นจะคุกเข่าลงก็ถูกใครอีกคนรั้งไว้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหยุดชะงักงัน ชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนตระหง่านง้ำอยู่ด้านหลังกลิ่นแก้วพร้อมบรรยากาศกดดัน ทำให้ความเงียบปกคลุมรอบบริเวณ

กลิ่นแก้วค่อยหันกลับไปมองคนด้านหลังด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อเห็นว่าเป็นใคร สีหน้าเด็กน้อยก็เต็มไปด้วยคำถาม สายตาเรียบเฉยของผู้ที่หิ้วปีกเขาขึ้นมาหลุบลงมองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะเบือนไปทางเจ้าของร้านเดลลาร์ ดี

“แกเป็นใคร เข้ามายุ่งอะไรด้วย!”

นางมาเรียมร้องถาม รู้สึกถึงสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ คนพวกนี้ดูไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ทั้งการแต่งเนื้อแต่งตัว ทั้งบรรยากาศกดดันแปลก ๆ นั่นก็ด้วย นี่เจ้าเด็กเหลือขอมันพาใครมาด้วย?

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถาม แต่เลือกจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนแล้วพยักหน้าเบา ซึ่งฝ่ายนั้นก็ก้มลงอุ้มเด็กขึ้นมา ทำให้แขนเล็ก ๆ นั้นวาดมากอดคอ สีหน้าดูสับสนมึนงงกับสถานการณ์อยู่ไม่น้อย

หางตานางมาเรียมเหลือบมองสามีและลูกที่ขยับเข้ามาใกล้ ขณะที่พนักงานในร้านเริ่มโผล่มามุง รอบบริเวณเกิดความมึนงง แม้แต่ตัวกลิ่นแก้วเองยังมองคนอุ้มอย่างไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปที่ไหน แต่ก่อนที่ชายแปลกหน้าทั้งสองจะได้พากลิ่นแก้วเดินไปไหนไกล ดูเหมือนนางมาเรียมจะตั้งสติได้จึงร้องท้วง

“นี่พวกแกจะพามันไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

คนพวกนั้นเป็นใคร จะเอาตัวเด็กกลิ่นแก้วไปทำไมไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้มันเป็นของตาเฒ่าริชาร์ด พาร์เลอร์แล้ว ถ้ารู้ว่านางปล่อยให้คนอื่นพาไป ตาเฒ่าหัวงูนั่นต้องพาคนมาถล่มร้านนางแน่

“ฉันบอกให้พวกแกหยุ...!”

กริ๊ก

อาวุธในมือถูกเล็งมาเสียตรงเป้าหมาย บ่งบอกให้รู้ว่าหากพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว สมองได้กระจุยเป็นแน่ นางมาเรียมพูดไม่ออก สามีกับลูกก็ไม่คิดจะช่วยนางเลย ได้แต่แอบอยู่ด้านหลัง พนักงานดูแลความเรียบร้อยในร้านก็นิ่งสนิท เสียเงินจ้างโดยไร้ประโยชน์จริง ๆ

“พวกแกเป็นใครกันแน่?” คำถามของนางยังไร้การตอบกลับเช่นเคย เมื่อสองคนนั้นเลือกจะอุ้มไอ้เด็กเหลือขอจากไปเงียบ ๆ

นางมาเรียมมองตามด้วยความขัดเคืองโดยทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ลองกล้าชักปืนออกมาขู่โดยไม่สนกฎหมายบ้านเมืองขนาดนี้ แม้แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอง นางยังไม่รู้ว่าจะกล้าแหยมกับคนพวกนั้นไหม

กลิ่นแก้วถูกพากลับมาที่รถอีกหน กายผอมขยับชิดประตูรถเมื่อรถค่อยเคลื่อนตัวออกไป ทิ้งภาพของเดลลาร์ ดีไว้แต่เพียงเบื้องหลังโดยไม่หันกลับไปมองอีก คำว่าไม่เป็นที่ต้องการมันตอกย้ำอย่างชัดเจนดีแล้ว เขาไม่รู้ว่ารถคันนี้จะนำพาเขาไปที่ไหน แต่คงไม่คิดจะร้องขอสิ่งใดเพราะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ เมื่อเสียงของเขาไม่เคยที่จะส่งไปถึงใครเลยสักคน ไม่มีใครสนใจที่จะถามความเห็นหรือความสมัครใจ ต่างก็ทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำ อยากจับเขาหมุนไปทางซ้ายหรือขวาก็ทำตามแต่ใจ แม้เขาจะคิดขัดขืน มันก็ไม่เคยมีประโยชน์

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว”

“......” กลิ่นแก้วชะงักกับเสียงที่ดังขึ้นมาข้างกาย พยายามอดกลั้นแต่ยิ่งสะอื้นหนัก

“เช็ดน้ำตาซะ”

“......” แขนเล็กยกขึ้นเช็ดมัน ก่อนใช้มือปาดออกตามคำสั่ง

“เอนตัวลงไป แล้วหลับตา”

แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น แต่กลิ่นแก้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี อาจเพราะน้ำเสียงที่ใช้มันไม่ได้กระโชกโฮกฮาก ไม่ได้ตวาดด่าทอแบบที่เคยเจอ

เมื่อเขาเอนไปพิงเบาะรถแล้วหลับตาลง ร่างกายก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่คลี่คลุมลงมา กลิ่นน้ำหอมจากความอุ่นนั้นทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ทั้งมือที่ลูบหน้าผากเบา ๆ และเสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบราวกล่อมนอนทำให้เด็กน้อยอยากจะหลับ ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป...






❤ TBC ❤

ออฟไลน์ Kirana9165

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากๆ อยากอ่านแนวนี้นานล่ะ ติดใจค่ะ ติดตามค่ะ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ มาต่อไวไ นะคะ

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โคตรเลวเลยอีลุงกับป้า น่าจะเป่าหัวมันสักคน

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ชอบค่ะเหมือนอ่านนิยายโรมานซ์ฝรั่ง

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เจอตอนแรกไป ปรี๊ดอะปรี๊ด :katai1: :katai1: :katai1: บอกได้แค่นี้

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ทำไมชีวิตซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้เนี่ย อิลุงป้าใจร้าย!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๒ เด็กในปกครอง



เอวานพาเด็กกลับมายังที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทเวสส์นัก เป็นห้องชุดพร้อมอยู่ที่เขาซื้อไว้พักเวลามีธุระต้องไปไหนมาไหนจนดึกดื่น มันสะดวกกว่ากลับไปนอนบ้านซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร

หลังจากบอกให้เอนกายแล้วหลับตาลง ไม่นานนักเจ้าหนูน้อยก็หลับไปจริง ๆ อาจเพราะฤทธิ์ยาด้วย เขาจึงค่อยช้อนศีรษะที่พิงประตูรถให้เอนมาหา จัดท่าทางเล็กน้อยให้เด็กได้นอนหนุนตัก

กระทั่งถึงที่พักทอมัสก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถ เมื่อรถหยุดลงจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่เด็กนั่ง ขณะที่แมกซ์เวลเป็นคนเปิดประตูฝั่งของผู้เป็นนาย

เอวานสอดมือรองศีรษะเด็กน้อยแล้วค่อยดันตัวผอม ๆ นั้นขึ้นเพื่อสะดวกแก่ทอมัสที่จะเข้ามาอุ้ม แต่การกระทำทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อเด็กรู้สึกตัวตื่นในจังหวะที่ทอมัสก้มตัวเข้ามาเพื่อจะอุ้มพาดบ่า ตากลมมองบอดีการ์ดตัวใหญ่ตื่น ๆ ก่อนหันกลับไปมองเอวาน ราวเวลาหยุดหมุนไปชั่วครู่เมื่อไม่มีใครขยับ จนเห็นว่าเด็กไม่มีท่าทีต่อต้านใดนอกจากหันไปมองคนนั้นที คนนี้ที ทอมัสจึงได้อุ้มออกจากรถมา

บอดีการ์ดหนุ่มอุ้มเด็กน้อยตามผู้เป็นนายขึ้นไปบนห้องพัก โดยมีแมกซ์เวลเปิดประตูค้างไว้ให้ กายสูงใหญ่ก้าวผ่านไปวางตัวเด็กลงนั่งบนโซฟานุ่ม ขณะที่ผู้เป็นนายกำลังถอดสูทพร้อมคลายเนคไทแล้วปลดกระดุมข้อมือ

แมกซ์เวลเลี่ยงเข้าไปรินน้ำในครัวแล้วถือออกมาให้ผู้เป็นนาย ขณะที่ทอมัสยังยืนอยู่แถวนั้นเพื่อสังเกตสถานการณ์ แก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะกระจก ซึ่งนายของพวกเขาก็ยกมันขึ้นดื่มเมื่อนั่งลงข้างเด็กบนโซฟา

“นอนต่อไหม?” เอวานเอ่ยถามเมื่อวางแก้วน้ำลงหลังจากดื่มดับกระหาย

เด็กชายส่ายหน้าพร้อมตอบ “ไม่ครับ”

“หิวรึเปล่า?”

คำถามที่ตามมาทำให้คนถูกถามส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะผงะไปเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาอังหน้าผาก แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลยนั่งนิ่ง

เอวานนิ่งมองอย่างจับสังเกต ละมือจากหน้าผากของเด็กแล้วหันไปสั่งแมกซ์เวล “ถ้ามียาก่อนนอนก็จัดการด้วย”

บอกเพียงเท่านั้นแล้วก็จะลุกไป แต่เสียงที่ดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เขาต้องหยุดแล้วหันกลับไปมอง

“อ... เอ่อ... ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้ แถมพาผมไปหาหมอด้วย...”

“......” เอวานพยักหน้ารับคำขอบคุณนั้น

“ขอบคุณ...”

เสียงขอบคุณเบา ๆ ในตอนท้าย ก่อนที่ตากลมจะค่อยหลุบลงมองมือของตนเองที่กุมกันอยู่บนตัก ทำให้จากที่จะเดินไป เอวานเลยนั่งลงข้างตัวเล็กอีกหน ดวงหน้าเรียวค่อยเงยขึ้นมามองเขา

“อยู่ที่นั่นมานานแล้วเหรอ?” คำถามของเขาทำให้เด็กมีสีหน้างงงวย จึงได้ขยายความ “ที่ร้านนั่น”

เด็กชายพยักหน้ารับ เขาจึงถามต่อ

“รู้รึเปล่าว่าที่นั่น... เขาทำอะไร?”

“ก็... เป็นร้านอาหาร” หนูน้อยตอบ ความจริงมีขายเหล้าด้วย เขาเคยทำแตก มีแต่แพง ๆ ทั้งนั้น เพราะนางมาเรียมชอบว่าว่าเขาไม่มีปัญญาจะชดใช้คืน

“แค่นั้น?” คนตัวโตย้ำถาม

เด็กชายทำท่าคิดแล้วพยักหน้า “ครับ”

เพียงคำตอบนั้นหลุดออกมาก็พากันถอนหายใจทั้งนายทั้งลูกน้อง เด็กคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับสองผัวเมียนั่นบ้าง แม้แต่ที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นร้านเกี่ยวกับอะไร แล้วรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างไรเสียตั้งนาน

“แล้วที่ไปบ้านมิสเตอร์อะไรนั่นจนโดนไล่ตามเกือบรถชน บอกได้ไหมว่าไปทำไม?”

เสียงทุ้มนุ่มยังเอ่ยถาม ไม่มีแววคาดคั้น เหมือนแค่คุยกันธรรมดา แต่มันก็ทำให้คนถูกถามนิ่งไป หลุบสายตาลงมองมือตัวเองแล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งราวตัดสินใจ

“คุณนายเดลลาร์บอกว่ามิสเตอร์พาร์เลอร์ถูกชะตากับผม เขาอยากอุปการะ อยากให้ไปอยู่กับเขา คุณนายเดลลาร์เลยให้ผมไป”

สิ่งที่ได้ฟังทำให้เอวานคิ้วขมวด ดวงตาที่ฉายแววกังวลช้อนมองเขา ท่าทางดูไม่มั่นใจนักว่าควรเล่าให้เขาฟังดีไหม แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบเพื่อรอฟัง ไม่ได้เร่งเร้าหรือบังคับให้พูดออกมา เด็กชายตัวน้อยจึงได้พูดต่อ

“ตอนไปถึง... มิสเตอร์พาร์เลอร์ให้คนมาดูแลผมอย่างดี ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเขาเข้ามาใกล้ มาจับ...” ลมหายใจดูผิดจังหวะเมื่อเล่าถึงตรงนี้ เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “จนคืนนั้น เขาเข้ามาในห้อง...”

“โอเค พอแล้ว”

เด็กน้อยชะงัก มองเอวานทั้งน้ำตาร่วงผล็อย พาลทำให้คนมองชะงักตามไปด้วย เด็กเจ้าน้ำตา

“ฉันพอเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาว่าอย่างนั้น

“คุณรู้เหรอครับว่าเขาทำอะไร?”

เอ่ยถามด้วยความซื่อเสียจนอีกสามคนในห้องแทบถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีกหน เด็กน้อย ยังไม่เข้าใจโลกเอาเสียเลยจริง ๆ

“ในเมื่อเจ้าของร้านนั่นทำกับเธอขนาดนี้ แล้วทำไมยังให้ฉันกลับไปส่งที่นั่น?”

เด็กชายเม้มปาก มือเรียวเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ “ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ผมไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากครอบครัวน้าเจค ผมยังหวังว่าน้าเจคจะช่วยถ้าผมกลับไป แต่มันไม่ใช่ น้าเจคไม่มีทางช่วยอะไรผมได้ พวกเขาทุกคนไม่เคยช่วยอะไรเลย ผมเป็นตัวปัญหาสำหรับพวกเขา ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง...”

เอวานรั้งตัวเล็ก ๆ นั้นเข้ามาหา คำพูดทุกอย่างถูกกลืนหายเมื่อใบหน้าเรียวแนบซุกกับอกเขานิ่ง ก่อนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น มือหนาลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน

“ผมไม่ได้ตั้งใจสร้างปัญหา ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นคงไม่กระทบใจเท่าแขนที่กอดเขาแน่น ทั้งมือเล็กที่ขยุ้มกำเสื้อด้านหลัง เอวานเลื่อนมือขึ้นมาวางบนกลุ่มผมนุ่ม ค่อยลูบเบา ๆ เสียงร้องไห้นั้นยิ่งดัง เด็กในอ้อมแขนราวลูกนกตัวน้อยที่ไร้รัง กระทั่งเจอสถานที่ที่พอจะพึ่งพิงได้ แต่มันกลับกลายเป็นขุมนรก หาใช่รังนอนที่อบอุ่นไม่ คำพูดของเด็ก บางครั้งมันก็เชื่อกันได้ยาก แต่สถานการณ์ทุกอย่างมันก็บอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้วว่าใครพูดจริงหรือโกหก

พอร้องจนเหนื่อย เจ้าตัวเล็กก็หลับไปอีก ทอมัสจึงพาเข้าไปนอนในห้องโดยมีแมกซ์เวลเข้าไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ภายในห้องพักมีเพียงเสื้อผ้าของพวกเขาสามคนที่ตัวใหญ่กว่าเด็กมันหลายเท่า แมกซ์เวลจึงเลือกจะสวมเพียงเสื้อยืดของตนเองให้เด็ก เมื่อผู้เป็นนายบอกค่อยไปหาซื้อกันวันหลังเพราะดึกมากแล้ว

ขณะที่ด้านนอกนั่น เอวานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ เพราะหากเด็กคนนี้คือลูกของสตีเฟ่นจริง สิ่งที่ได้พบเจอมาทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อสถานะของเด็กเปลี่ยนไป สตีเฟ่นต้องรู้เรื่องนี้ดี เขาจะไม่ตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงได้ตามหา ด้วยความเป็นพ่อ แน่นอนว่าอยากดูแลลูกของตัวเองให้ดี และคงทนไม่ได้หากรู้ว่าลูกไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน แต่... เมื่อรู้แล้วจะทำเช่นไร?

จุดประสงค์ที่สตีเฟ่นบอกเขาแค่เพียงอยากเจอ แต่ไม่ได้บอกว่าเจอแล้วจะทำเช่นไรต่อ แต่นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาคือคนนอก รับปากเพียงพามาให้เจอก่อนลมหายใจสุดท้ายของผู้เป็นพี่ชายจะหมดลง

มือหนาลูบเสยผมอย่างคิดไม่ตก เขาไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องนี้แต่แรก ไม่ใช่ว่ากลัวไรท์ แต่กลัวความรู้สึกของตัวเอง มันอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเมื่อได้รับรู้ปัญหาที่เกินกว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะรับไหวเช่นนี้ หาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ เอวาน เวสส์


......


คอนโดมิเนียมในกรุงลอนดอน ตึกสูงดีไซน์โดดเด่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางวิวธรรมชาติและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ วิวที่เห็นจากกระจกห้องนอนทำให้กลิ่นแก้วนึกถึงบ้านของมารดา ทุกเช้าสองแม่ลูกจะออกมานั่งกินอาหารเช้ากันในสวนเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะไปโรงเรียน ที่นั่นยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ไม่ได้ถูกความสมัยใหม่กลืนไปมากนัก เขาชอบที่ได้อยู่กับมารดาเช่นนั้น ถึงจะอยู่กันสองคนแต่ก็มีความสุข มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กันทุกวัน

สีหน้าเด็กน้อยเศร้าสลดลงเมื่อความจริงคือมันไม่สามารถย้อนเวลากลับไปช่วงนั้นได้อีกต่อไปแล้ว หลังมารดาจากไป สิ่งยึดเหนี่ยวเดียวคือคนในรูปถ่ายที่มารดาให้เก็บไว้ก่อนจะสิ้นใจ ร่างกายของท่านไม่แข็งแรงนัก จนกระทั่งเมื่อปีก่อนอาการก็ทรุดลงจนต้องนอนอยู่แต่บนเตียงเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกด้วยกันเช่นทุกที ตัวกลิ่นแก้วเองก็จะคอยตัดดอกไม้มาให้ มาใส่แจกันไว้

และในวันหนึ่งผู้เป็นมารดาก็ให้กล่องไม้สลักมา มันเป็นวันที่ทำให้เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วบิดาของเขายังคงอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่เคยได้พบเจอกัน มีก็เพียงรูปถ่ายใบเดียวและข้าวของที่เหมือนจะเป็นของเด็กเล็ก จำพวกกำไลข้อเท้าหรืออะไรเขาไม่แน่ใจ ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว เพราะกระเป๋าของเขาอยู่บ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ ข้าวของทุกอย่างอยู่ในนั้น คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เมื่อคงไม่มีหวังจะได้คืน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้กลิ่นแก้วหลุดจากภวังค์ ตัวเล็กเดินกะเผลกไปเปิดประตู ช้อนสายตามองผู้ชายผมบลอนผิวขาวสว่างตรงหน้า ก่อนเดินตามคนคนนั้นออกจากห้องไป

เขามาที่นี่เมื่อคืน ยังไม่ทันทำความรู้จักกับใครสักคน แต่เขาจำได้ว่ามีผู้ชายตัวโตสามคน คนที่อยู่กับเขาในตอนนี้และอีกสองคนที่ออกไปทำงานกันแล้วตั้งแต่เช้า

“นี่มิสซิสสวอนเนอร์ จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ และจะจัดการเรื่องข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้ด้วย” หนุ่มตัวโตเอ่ยแนะนำ

“สวัสดีครับ” กลิ่นแก้วเอ่ยทักทายเสียงเบา ก่อนจะส่งยิ้มตอบกลับไปเมื่อมิสซิสสวอนเนอร์ยิ้มให้ นั่นพอจะทำให้เขาคลายอาการเกร็งลงไปได้บ้าง

หลังจากมิสซิสสวอนเนอร์มารับหน้าที่ดูแลเขา ผู้ชายตัวโตคนนั้นก็ออกจากห้องพักไป ปล่อยให้มิสซิสสวอนเนอร์จัดการต่อ ทั้งหาเสื้อผ้ามาให้ใส่เป็นการชั่วคราว ทำอาหารให้กินก่อนพาออกไปซื้อเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมนี้นัก ข้อเท้าของเขายังคงเจ็บ ทำให้เดินไม่ถนัด มิสซิสสวอนเนอร์จึงให้นั่งรอขณะที่เลือกเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็น



ช่วงเย็น แมกซ์เวลยังคงกลับมาก่อนสองหนุ่มที่เหลือ เพราะต้องมาเปลี่ยนให้มิสซิสสวอนเนอร์ ผู้ช่วยเลขานุการคนเก่งกลับไปพักผ่อนเมื่อหมดเวลางานในวันนี้ เจ้าตัวเล็กเดินเขยกมาชะเง้อมองหน้าประตูเมื่อเขาเปิดเข้ามา นัยน์ตาสีน้ำตาลปรายมองท่าทางนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนเดินเข้าไปบอกมิสซิสสวอนเนอร์ให้กลับไปได้

เด็กชายเดินตามเข้ามา ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมาเสียที ทำให้บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยขึ้น

“เขากลับบ้าน”

“?” เด็กน้อยทำหน้างงกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ไม่ใช่ทุกวันที่จะนอนที่นี่”

พยักหน้าเข้าใจเมื่อคนพูดขยายความ ถึงจะประหยัดคำพูดอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพราะเมื่อเช้าก่อนที่มิสซิสสวอนเนอร์จะมา คุณคนนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนเขาตั้งนาน

“กินอะไรรึยัง?” บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยถามขณะเดินผ่านเข้าไปด้านใน

“กินแล้วครับ”

กายสูงใหญ่นั้นตรงเข้าไปในครัว จัดการเอาอาหารสำเร็จรูปในตู้เย็นออกมาอุ่น โดยมีเด็กน้อยคอยยืนเกาะบาร์กั้นครัวมองดู กระทั่งทำเสร็จแล้วถือจานอาหารมานั่งกินที่โต๊ะ เจ้าตัวเล็กจึงเลี่ยงไปนั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ แล้วอยู่มุมของใครของมันเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งเอวานและทอมัสกลับมา

“เป็นอะไร?” เอวานเอ่ยถามเมื่อเห็นเด็กลุกไปยืนตัวลีบอยู่ข้างโซฟาเมื่อเขานั่งลง

“เปล่าครับ”

“เปล่าก็นั่งลงสิ ยืนทำไม?”

กายผอมค่อยขยับมานั่งลงเงียบ ๆ เอวานมองการแต่งตัวของเด็กแล้วออกจะพอใจกับการเลือกชุดของผู้ช่วยเลขานุการสาวใหญ่ของตน ดูเข้ากับเด็กวัยนี้ดี คงเพราะเธอมีลูกชายวัยไล่เลี่ยกันด้วยกระมัง

“ชอบไหม?”

“...?” เด็กเอียงคอเมื่อถูกถามแบบไร้รูปประโยค

“ชุดน่ะ เข้ากับเธอดี”

เด็กชายก้มมอง ก่อนเงยมาบอก “ขอบคุณครับ”

หลังคำขอบคุณนั้น ท่าทางเด็กมันเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูด อึก ๆ อัก ๆ จนเอวานต้องเปิดให้

“มีอะไรรึเปล่า?”

“คือ... วันนี้มิสซิสสวอนเนอร์พาผมไปซื้อเสื้อผ้าข้าวของอะไรเยอะแยะไปหมด”

“อือฮึ”

“ของที่ได้มามันราคาแพงมาก ผมจะหาเงินมาใช้คืนคุณได้ยังไง...” ราวมันเป็นปัญหาระดับชาติ เมื่อสีหน้าคนพูดดูทุกข์ใจแบบจริงจังเสียเหลือเกิน

“ทำไมต้องใช้คืน?”

“ก็...”

“ฉันซื้อให้”

“......”

“คำว่า ‘ให้’ ไม่เข้าใจเหรอ?”

เด็กน้อยเงียบ เหมือนสมองจะประมวลผลไม่ทัน คนตรงหน้าบอกว่าซื้อให้ แล้วทำไมต้องให้อะไรมากมายขนาดนี้ด้วย ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“แต่... เราไม่รู้จักกัน ทำไมคุณถึงให้อะไรผมมาตั้งเยอะแยะ...”

“หึ นั่นสินะ”

“......”

“ถ้าอย่างนั้นมาแนะนำตัวกันไหม?” ราวถามความเห็น เมื่อเด็กน้อยพยักหน้า เอวานจึงเริ่มก่อน “ฉันชื่อเอวาน... เอวาน เวสส์”

เด็กน้อยทวนชื่อของอีกฝ่ายในใจ ‘มิสเตอร์เวสส์’

“ทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในลอนดอน ส่วนอีกสองคนเป็นเพื่อนฉัน ชื่อทอมัสกับแมกซ์เวล”

ตากลมหันไปมองสองหนุ่มในห้อง ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าเล็กน้อยเมื่อถูกแนะนำ

“ตาเธอแล้ว” เอวานว่า

“ผม... ชื่อกลิ่นแก้วครับ” เด็กน้อยเริ่มแนะนำตัวเองบ้าง “กลิ่นแก้ว เดลลาร์”

เดลลาร์ ชื่อสกุลของแคทเธอรีน แสดงว่าหล่อนรับเด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเลือกที่จะให้เป็นทายาทโดยสมบูรณ์จึงใช้ชื่อสกุลเดียวกัน

“ชื่อฟังดูแปลกใช่ไหมครับ?” เอ่ยถามเมื่อแนะนำตัวเองไปแล้วอีกคนเอาแต่มอง

“ก็... เรียกยากนิดหน่อย” เอวานยอมรับ เมื่อลองเรียกในใจแล้วสำเนียงมันไม่เหมือนกับที่เด็กพูดสักนิด

เจ้าของชื่อยิ้ม มันเรียกยาก แต่มารดาก็ไม่ยอมเปลี่ยนให้เพราะชอบความหมายของชื่อ กลิ่นของดอกแก้ว ดอกไม้สีขาวกลีบบางแต่กลิ่นหอมชื่น

“แล้วพ่อแม่ล่ะ?” เอวานยังเอ่ยถามต่อทั้งที่รู้ถึงความเป็นมาดี แต่ก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง

“พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วครับ” เด็กน้อยตอบตามจริง น้ำเสียงดูเศร้าพอกับสีหน้า

“แสดงว่าถ้าออกจากที่นี่ไป ก็ไม่มีที่อยู่แล้วสิ?”

ถึงจะเป็นคำถามที่ใช้น้ำเสียงธรรมดา แต่คนถูกถามก็ถึงกับสะอึกเมื่อมันคือความจริง ใบหน้าเรียวพยักรับ “ที่นี่ผมรู้จักแค่คนในร้านเดลลาร์ ดี แต่ตอนนี้ผมกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากไปอยู่กับมิสเตอร์พาร์เลอร์...”

“ถ้างั้น...” มองแววเศร้าในดวงตาคู่โตแล้วเอวานจึงเอ่ย “อยากอยู่ที่นี่ไหมล่ะ?”

“......”

“ก็ในเมื่อไม่มีที่ไป แล้วที่นี่ก็ออกจะกว้าง ให้เธอเข้ามาอยู่ด้วยก็คงไม่ได้ทำให้มันแคบขึ้นหรอก” เอวานให้เหตุผล

“แต่... เราเพิ่งรู้จักกัน คุณไม่กลัวว่าผมจะเป็นคนไม่ดีเหรอครับ?”

ช่างน่าขำ มองเด็กที่เริ่มเป็นกังวลกับปัญหาใหม่ที่ตัวเองสร้างขึ้น ก่อนหน้าบอกยังไม่รู้จัก คราวนี้พอแนะนำตัวกันแล้วก็บอกเพิ่งรู้จัก เด็กอะไรทำไมข้อแม้เยอะจริง

“แล้วเธอเป็นคนไม่ดีรึเปล่า?”

เมื่อถูกย้อนถามมาแบบนั้น สีหน้าเด็กข้อแม้เยอะก็ดูอึ้งไปนิด ตากลมกะพริบตาปริบ ก่อนบอกเสียงเบา

“เปล่าครับ...”

“แล้วทำไมฉันต้องกลัว?”

“......” ถึงกับเงียบ ก็นั่นน่ะสิ

“หรือที่จริงแล้ว... เธอกลัว?” เอวานจี้เสียตรงจุด เมื่อสีหน้าเด็กมันบ่งบอกว่าเขาพูดถูก “ฉันดูเป็นคนไม่ดีเหรอ?”

“ผ... ผมไม่ได้คิดแบบนั้น คุณช่วยผมเอาไว้ พาไปหาหมอ แล้วยังช่วยไม่ให้ต้องกลับไปบ้านมิสเตอร์พาร์เลอร์ด้วย แถมตอนนี้คุณก็ยังให้ผมอยู่ที่นี่ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน และผมก็ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้คุณเลย...”

เด็กน้อยรีบอธิบายเสียงรัวด้วยกลัวว่าจะเข้าใจผิด เขาไม่ได้คิดว่าคนตรงหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ใจก็แอบหวั่น เพราะขนาดน้าชายที่คิดว่ารู้จัก แต่ความจริงแล้วกลับไม่เคยรู้อะไรเลย แล้วแบบนี้เขาจะเชื่อใจคนแปลกหน้าคนนี้ได้ไหม มันก็ยังหวั่นอยู่ ผู้ชายคนนี้ยอมให้เขามาอยู่ด้วยโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน มันแปลกสำหรับเขาที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อแลกที่ซุกหัวนอนและอาหารแต่ละมื้อ ต้องทำตัวเป็นประโยชน์ถึงจะได้มา

“ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องตั้งข้อแม้อะไรมากมาย ในเมื่อฉันเต็มใจให้อยู่”

“ก็...” ชะงักไปนิดเมื่อดวงตาคมดุนั้นมองนิ่ง คงกำลังนึกตำหนิที่เขามีข้อแม้อีกแล้วสินะ “ผมอยู่ได้จริง ๆ เหรอครับ?”

เด็กชายยังเอ่ยถามซ้ำเหมือนยังไม่แน่ใจ มันจะมีจริง ๆ หรือคนที่ให้อะไรเราโดยไม่หวังผลตอบแทนแบบนี้

“ฉันบอกว่าได้ก็ได้สิ”

“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องทำอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนเหรอครับ?” เจ้าตัวเล็กยังไม่หมดสงสัย “ผมทำความสะอาดบ้านได้นะ กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักเสื้อผ้าได้ ล้างจานก็ได้ แต่ผมทำอาหารไม่เป็น อืม... ผมทำได้แค่นี้...”

สีหน้าดูเจื่อนจ๋อยลงไปเมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้น้อยนัก ดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร ส่วนมากก็ซุ่มซ่ามทำข้าวของนางมาเรียมเสียหาย คิดแล้วก็ท้อใจ มิสเตอร์เวสส์จะให้อยู่ด้วยหรือแบบนี้

“อยู่ที่นี่ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”

เด็กน้อยตาโต “แล้ว...”

ไปต่อไม่ถูก ไม่ต้องทำอะไรก็อยู่ได้หรือ นางมาเรียมบอกว่าทุกคนที่อยู่กับนางต้องทำประโยชน์ให้นาง ไม่ใช่แค่มาอาศัยไปวัน ๆ แล้วทำไมมิสเตอร์เวสส์ถึงบอกไม่ต้องทำอะไรก็ได้

“สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด มีคนทำให้แล้ว”

“......” คำว่ามีคนทำแล้วดังสะท้อนอยู่ในหู แล้วแบบนี้เขาจะทำอะไร ยังทำอะไรได้อีกบ้าง

เอวานมองท่าทีกระวนกระวายของเด็กตรงหน้า เด็กคนนี้คงชินกับการทำอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน หากบอกให้อยู่เฉย ๆ คงไม่ได้แน่ใช่ไหม

“กลิ่นแก้ว” เอวานเรียกสติเด็กน้อยกลับมา แววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนนั้นมองเขา “ฉันไม่มีอะไรให้ทำเป็นการแลกเปลี่ยนกับการอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะอย่างที่บอกว่ามีคนทำให้ทั้งหมดแล้ว”

“......” เด็กน้อยหน้าเศร้ากับคำบอกเล่านั้น ถ้าไม่มีประโยชน์ สักวันเขาก็ต้องถูกไล่ออกไปจากที่นี่แน่

“แต่ฉันมีกฎที่หากอยากอยู่กับฉันก็ต้องทำมันให้ได้ แค่ทำมันให้ได้”

ได้ยินเช่นนั้นกลิ่นแก้วก็ยิ้มออก “ผมจะทำให้ได้”

เอวานจึงพูด “กฎของการอยู่กับฉันข้อแรก...”

“...?”

“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าขอโทษ มันจะติดเป็นนิสัย ซึ่งฉันไม่ชอบ”

ตากลมกะพริบปริบ มิสเตอร์เวสส์รู้ได้อย่างไรว่าเขาชอบพูดคำว่าขอโทษอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก เขาก็เอาแต่ขอโทษ หรือวันนี้เขาพูดขอโทษไปแล้ว แต่เพิ่งเจอหน้ากัน เขาว่าเขายังไม่ทันได้พูดนะ

“ทำได้ไหม?” เอวานเอ่ยถาม ซึ่งเด็กก็พยักหน้ารับ

“ครับ”

“ดี”

“......” เด็กน้อยเอียงคอเมื่ออีกฝ่ายพูดแค่นั้นแล้วก็จบไปดื้อ ๆ กฎที่ว่ามีแค่ข้อเดียวเองหรือ?

“อะไร?”

“แล้ว...”

“แล้ว?”

“......” ริมฝีปากบางที่เผยอค้างค่อยงับลง ไม่รู้ควรถามไหม เขาไม่ควรทำตัวน่ารำคาญใช่รึเปล่า

“ข้อสอง มีอะไรก็ให้พูด อย่าทำอึกอัก มันน่ารำคาญ”

ใจดวงน้อยเจ็บแปลบเมื่อเพิ่งคิดว่าตัวเองน่ารำคาญ “ขอโทษ... อ่า... ข...”

เอาอีกแล้ว มิสเตอร์เวสส์บอกว่าไม่ให้ขอโทษ เขาก็ยังจะขอโทษอยู่นั่น ใบหน้าเรียวเล็กก้มลง ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนนั่งใกล้ ใจยิ่งห่อเหี่ยว

เอวานเชยคางเรียวให้เงยขึ้น บังคับให้ดวงตากลมนั้นต้องมองสบ แล้วว่า “พวกเรายังไม่รู้จักกันดีพอ ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นคนยังไง และเธอก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง”

“......”

“เพราะฉะนั้น ถึงต้องเรียนรู้กันไป อะไรที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะบอก และอะไรที่เธอไม่ชอบ เธอก็สามารถพูดมันออกมาได้ เพราะถ้าไม่พูด เราก็จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง ใช่ไหม?”

“......” กลิ่นแก้วพยักหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้ใจชื้น

“ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ที่นี่ เข้ามาอยู่ในการดูแลของฉัน ก็เท่ากับว่าเธอคือคนของฉัน จะไม่มีใครหรืออะไรมาทำร้ายเธอได้อีก”

“......” คำพูดเหล่านั้นทำเอาน้ำตาเด็กน้อยคลอพาลจะไหล

“ข้อสาม...” เพียงเท่านั้นเจ้าตัวเล็กก็รีบกลั้นน้ำตา ทำให้เอวานยิ้มขำ ยีผมนุ่มเบา ๆ “การร้องไห้ ฉันไม่ได้บอกว่าร้องไม่ได้ แต่บางครั้งถ้ามันมากไป มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้”

“......”

“ถ้าเป็นไปได้ อย่าร้องไห้กับแค่เรื่องอะไรที่มันเล็กน้อย ข่มกลั้นอารมณ์ให้เป็น เหมือนอย่างตอนนี้ที่เธอกำลังทำมัน”

ยิ่งคนตรงหน้าพูดแบบนั้น น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นมันก็ยิ่งไหลลงมา แขนเรียวจะยกขึ้นเช็ด แต่มือใหญ่ก็รวบจับข้อมือไว้ ก่อนใช้หัวแม่มือปาดเช็ดน้ำตาจากแก้มให้

นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีใครเคยทำแบบนี้ให้เขา ไม่มีใครคอยมาสอนสั่ง คอยปลอบโยน ดังเช่นที่คนคนนี้ทำ มือเล็กค่อยยกขึ้นมาวางทับมือของอีกคนที่ยังอยู่ข้างแก้ม สะอื้นเบา ๆ เมื่อเอ่ยบอก

“ขอบคุณครับ มิสเตอร์เวสส์ ขอบคุณที่ให้ผมอยู่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ขอบคุณ...”

กฎทุกข้อนั้นกลิ่นแก้วจะจำให้ขึ้นใจ เขาจะเข้มแข็ง จะไม่อ่อนแอ แม้จะไม่มีที่ให้ถอยหลังกลับไปอีกแล้วก็ตาม


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
เอวานมาเยี่ยมสตีเฟ่นที่โรงพยาบาล เหตุหนึ่งก็เพื่อจะมาบอกความคืบหน้าเรื่องที่อีกฝ่ายขอให้ช่วย สตีเฟ่นบอกว่าภรรยาของตนกำลังทำเรื่องจะให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน นั่นทำให้เอวานออกจะแปลกใจไม่น้อยเมื่อสตีเฟ่นยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ นั่นแปลว่าอาการไม่ได้ดีพอจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

“นายดีขึ้นแล้วหรือไง?”

คนป่วยทำเสียงในลำคอ “ก็อย่างที่... นายเห็น...”

“แล้วทำไมเขาถึงจะให้กลับไป ทั้งที่อาการนายก็ไม่ได้ดีขึ้น?”

“ถึงอยู่ต่อก็... ไม่ได้มีอะไร... ดีขึ้น...”

เอวานก็พอเข้าใจในจุดนี้ การกลับไปพักฟื้นหรือไปรักษาต่อที่ไรท์ไม่ใช่เรื่องยากอะไร สายระโยงรยางค์พวกนี้ไม่เกินความต้องการของไรท์หากอยากให้มันไปติดตั้งที่นั่น หากพูดกันตามจริงค่ารักษาพยาบาลก็แพงเอาเรื่อง แต่เขาไม่คิดว่ามันคือปัญหาสำหรับคนฐานะระดับนี้ หรือที่จริงอาจมีอะไรมากกว่านั้น

“มากาเร็ตหูตาไว... เธอรู้... ว่าเรากำลังทำ... อะไรอยู่...” สตีเฟ่นไขข้อข้องใจ “ถึงได้ให้ฉัน... กลับไปอยู่ในสายตา... ของ... เธอ”

สตีเฟ่นรู้ดีว่าตนบกพร่องต่อหน้าที่ของสามี เมื่อเฝ้าคิดถึงแต่อดีต ซ้ำยังเฝ้าตามหาอยู่ไม่จบสิ้น ผู้เป็นภรรยาเองก็คงเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เธอฉลาดพอที่จะไม่แสดงอารมณ์ด้านลบหรือทำตัวให้คนสมเพช ยังใช้ชีวิตอยู่บนศักดิ์ศรีที่เธอมี

“เอวาน...”

“......”

“เจอเขาไหม...?”

“ฉันไม่แน่ใจ” คำตอบนั้นทำให้คนบนเตียงคิ้วขมวด “นายเองก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาใช่ไหม?”

“เคยสิ... แต่นานมากแล้ว... กิ่งเคยแอบส่งรูปมา... ให้ดู...” ชื่อที่เอ่ยถึงทำให้มีรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นมาบนริมฝีปากและแววตา สื่อให้รู้ว่ามีความพิเศษมากแค่ไหน

“นานที่ว่าคือนานแค่ไหน?” เอวานยังถามต่อ

“หลายปีแล้ว...”

“งั้นมันจะพอยืนยันได้เหรอว่าเป็นเขา?” คนเราพอโตขึ้น หน้าตามันจะเหมือนตอนยังเป็นทารกได้อย่างไร จะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเรื่องที่ทำอยู่จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

“นาย... เจอแล้วใช่ไหม?” เสียงแหบแห้งนั้นดูมีความหวังขึ้นมา

เอวานจำต้องพยักหน้า ไม่อยากปิดบัง น้ำตาอีกฝ่ายคลอเพียงได้รับรู้ ราวการรอคอยสิ้นสุดลงแล้วกระนั้น

“อยากเจอเขาไหม?”

สตีเฟ่นยิ้มจาง ก่อนตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก... แต่ฉันจะเป็นคน... ไปหาเขาเอง... เพราะคงไม่มีเหตุผลที่... จะให้เด็กคนหนึ่ง... มาเจอ... คนไม่รู้จัก... กัน...”

“สภาพนายเป็นแบบนี้ สตีฟ นายจะไปหาเขาได้ยังไง?”

เอวานออกจะหงุดหงิด ความคาดหวังของสตีเฟ่นคือการได้เจอเด็กคนนั้นไม่ใช่หรือ แล้วอาการที่มันทรุดลงไปทุกวันแบบนี้ กลับบอกว่าจะไปหาเด็กคนนั้นเอง แล้วเมื่อไรล่ะ เมื่อไรที่จะได้เจอ

“ฉันจะพาเขามาหานาย” เอวานบอก

“ไม่ เอวาน...” คนบนเตียงรีบห้าม เสียงเริ่มแผ่วลงเพราะพูดเยอะจนเกินไปแล้วในตอนนี้ “อย่าให้เขามา... อย่าให้ใครรู้... ว่าเขายังอยู่...”

“......”

“รับปากฉัน... ว่านายจะไม่ให้ใคร... รู้เรื่องนี้...”

แววจริงจังในดวงตาคู่นั้นทำให้เอวานสบถเบา ๆ ก่อนจะรับปากอย่างเสียไม่ได้ สตีเฟ่นบอกจะพยายามฮึดสู้ จะพยายามรักษาตัว จะดูแลตัวเองตามแพทย์สั่ง หากแข็งแรงขึ้นจะไปหากลิ่นแก้วด้วยตัวเอง อยากให้เอวานช่วยดูแลไปก่อน อย่าให้ใครมายุ่งกับลูกของตนได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเหนื่อยมากแล้ว เอวานเลยให้พัก ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อควรแก่เวลา

ออกจากห้องพักผู้ป่วยมา เอวานก็ต้องเผชิญหน้ากับมากาเร็ต วิลสัน ภรรยาคนปัจจุบันของสตีเฟ่น ชายหนุ่มหยุดเพื่อทักทายตามมารยาท ดวงตาสวยเฉี่ยวที่ถูกแต่งแต้มสีสันนั้นปราดมอง ช่วงขาเรียวยาวก้าวช้า ๆ มาหยุดอยู่ข้างกัน ใบหน้าสวยยังคงเชิดตรง ขณะพูดกับเขาที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่”

“......”

“เรื่องภายในครอบครัว คนนอก อย่าเข้ามาวุ่นวายเลยจะดีกว่า”

ร่างสมส่วนนั้นกรีดกรายผ่านไปราวเขาเป็นเพียงฝุ่นผง เอวานถอนใจเบา อย่างที่สตีเฟ่นบอก หูตามากาเร็ตไวจนน่ากลัว ถึงได้ให้เก็บเรื่องกลิ่นแก้วไว้เป็นความลับ

เวลานี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันดีจริงหรือกับการค้นหาตัวเด็กคนนั้น เมื่อรู้สึกถึงอันตรายค่อยคืบคลานเข้าใกล้เด็ก อันตรายยิ่งกว่าอยู่กับสองผัวเมียเดลลาร์เสียอีก แต่พอคิดดูอีกทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในร้านเดลลาร์ ดี ก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไร ทำไมโลกนี้ถึงได้โหดร้ายกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้มากขนาดนี้


......


บริษัทหลักทรัพย์เวสส์

ผู้เป็นบิดาเรียกเอวานเข้าไปคุย เมื่อเรื่องที่เอวานเข้าไปยุ่งกับตระกูลไรท์รู้ถึงหูท่าน ท่านเคยบอกเสมอว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับปัญหาที่ไม่ใช่ของเรา ซึ่งเอวานก็ทำเช่นนั้นมาตลอด แต่ครั้งนี้กลับย้อนว่าจะไม่ให้เดือดร้อนมาถึงเวสส์ได้ นั่นทำให้ผู้เป็นบิดาถึงกับเสียงเข้มขึ้นมา

“มันไม่ใช่ว่ากลัวจะเดือดร้อนมาถึงเวสส์ แต่พ่อเป็นห่วง ไรท์อาจจะเห็นว่าลูกเป็นเครือญาติ แต่วิลสันไม่ใช่”

พอล เวสส์เตือนสติลูกชาย ถึงอย่างไรสตีเฟ่นก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีของมากาเร็ต วิลสัน หล่อนคงไม่อยู่เฉยหากรู้เรื่องที่สามีแอบทำ วิลสันเป็นเจ้าพ่อสื่อ สามารถจูงใจให้คนเชื่อได้ทั้งดีและร้าย หากไม่อยากต้องตามแก้ปัญหาทีหลัง อย่ามีปัญหากับวิลสันดีที่สุด ไหนจะคนของตระกูลไรท์เองที่ห้ำหั่นกันมาตลอด ลูกชายของเขาจะกลายเป็นหมากในเกมไปไม่รู้ตัว

เอวานยังใหม่ในวงการนี้จึงยังให้ค่ากับความสัมพันธ์มากกว่าผลประโยชน์ ในขณะที่ผู้เป็นบิดายังคงยึดมั่นต่อคำว่า ความไว้ใจจะนำมาซึ่งหายนะ

“วางมือแล้วถอยออกมาซะ” พอลกำชับ เขารู้ดีว่าลูกชายเป็นคนที่ทำอะไรแล้วไม่เคยเลิกกลางคันจึงต้องขู่สำทับไปอีก “ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงเกวน เธอคงเป็นกังวลแน่”

“ปา” เอวานลากเสียงหนักเมื่อท่านเอามารดามาขู่เขาเช่นนั้น

พอลรู้ดีว่าเอวานรักแม่แค่ไหน เรื่องใดที่จะทำให้เกวน เจฟเฟอร์สันร้อนใจ เอวานมักหลีกเลี่ยงที่จะทำมัน เพียงเพื่อความสบายใจของมารดาเป็นหลัก

แต่กับเรื่องนี้ การปล่อยมือช่างยากนักหนา เมื่อนึกถึงหน้าเด็กน้อยด้อยเดียงสาแล้วมันทำไม่ลงจริง ๆ เวลานี้ไม่ใช่แต่เพียงคำขอของสตีเฟ่น เอวานเริ่มเอาความรู้สึกของตัวเองใส่เข้าไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว


......


โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในลอนดอน

เป็นอีกครั้งที่เอวานต้องรีบรุดมาที่นี่ ก้าวเดินที่ว่าเร็วกลับยังช้าไม่ทันใจ บอดีการ์ดทั้งสองนายเร่งฝีเท้าตามขนาบ กระทั่งถึงหน้าประตูห้องหนึ่ง เมื่อเปิดเข้าไปก็ถึงกับนิ่งงัน มันไม่ใช่เรื่องโกหก ผ้าสีขาวที่คลุมร่างบนเตียงไว้ทั้งตัวนั่น...

เอวานแทบไม่ได้มองว่ามีใครอยู่ในห้องบ้าง เมื่อจุดสนใจคือร่างบนเตียงที่ถูกคลุมผ้าไว้ และมันกำลังจะถูกเข็นผ่านเขาไป แรงปะทะของลมเพียงบางเบาเมื่อเตียงถูกเข็นผ่านทำให้เขาชาไปทั้งร่าง ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนพวกเขายังคุยกันอยู่เลย แล้วนี่มันอะไร ไหนว่าอยากเจอลูกไง สตีฟ?

กายสูงใหญ่ยังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองวันก่อนสตีเฟ่นเพิ่งบอกว่าจะถูกย้ายกลับไปพักฟื้นที่บ้าน จะพยายามรักษาตัวเพื่อที่จะได้ไปพบลูกชายด้วยตัวเอง แล้วสองวันถัดมากลับเป็นแบบนี้ มันบ้าอะไรกัน

“มิสเตอร์เวสส์”

เอวานค่อยคืนสติเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นข้างกาย นัยน์ตาสีควันบุหรี่ค่อยปรายมามองคนเรียก โจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่น คนที่โทรไปแจ้งข่าวกับเขาจนต้องรีบรุดมาที่นี่

“เชิญทางนี้หน่อยครับ”

กายสูงใหญ่ค่อยก้าวตามไปเมื่ออีกฝ่ายเชิญ โดยมีทอมัสและแมกซ์เวลตามไปด้วย ในมุมหนึ่งที่ปลอดผู้คน บอดีการ์ดทั้งสองยืนทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ขณะที่ผู้เป็นนายกำลังคุยกับคนของสตีเฟ่น ไรท์

โจฮานส่งเครื่องบันทึกเสียงให้ลูกพี่ลูกน้องของนาย อีกฝ่ายเพียงปรายสายตามองด้วยสีหน้าที่ยังเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกใด

“เขาสั่งเอาไว้ก่อนจากไป ว่าต้องส่งมันให้คุณ”

“......” เอวานรับมาโดยไม่พูดอะไร

“เขากังวลเรื่องที่ขอให้คุณช่วย” โจฮานยังพูดต่อ “ก่อนนี้คนที่ช่วยเขาตามสืบคือผมเอง แต่เพราะผมเป็นคนของไรท์ ทำให้ถูกจับตามอง จึงไม่สามารถตามต่อได้ แต่ข้อมูลสุดท้ายที่ผมได้มากลับทำให้อาการของเขาทรุดหนักลง เมื่อรู้ว่าเธอตายไปแล้ว เขาก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อ แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์อดทนเพราะรู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่”

เอวานถอนใจเบา มันคือลมหายใจเฮือกสุดท้ายของสตีเฟ่นแล้วจริง ๆ ไม่มีทางที่สตีเฟ่นจะกลับมาแข็งแรงจนสามารถไปเจอเด็กคนนั้นด้วยตัวเองได้แบบที่พูด

“เขารู้ดีว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวที่นำปัญหามากองไว้ที่คุณ แต่คุณเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจ และไม่เคยคิดจะหักหลังเขา”

สีหน้าเอวานยังนิ่ง ขณะที่ในใจกลับแทบระเบิดถ้อยคำมากมายใส่คนสนิทของสตีเฟ่น แต่ก็จำต้องข่มมันเอาไว้เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์

“ได้โปรด ช่วยทำตามคำขอสุดท้ายของเขาด้วยเถอะ” โจฮานโค้งตัวลงอย่างวอนขอ แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้น

เครื่องบันทึกเสียงในมือเอวานถูกกำแน่นจนสั่น เขาควรต้องรู้สึกอย่างไรกับคำว่า คำขอสุดท้าย งั้นหรือ?



เอวานกลับมาที่คอนโดมิเนียม เขาเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้ทักทายเด็กที่รีบออกมารับหน้า ทำให้เด็กน้อยได้แต่เหลียวมองตามเมื่อเห็นท่าทีของคนที่เดินผ่านไปดูแปลกจนน่าเป็นห่วง

กายหนาทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน มือกุมศีรษะแล้วซบหน้าอยู่อย่างนั้น เครื่องบันทึกเสียงวางนิ่งอยู่ข้างกาย เขายังไม่คิดจะฟังมัน เมื่อเจอแรงสะท้อนซัดมาแบบนั้น ทุกอย่างที่เคยคุยกันมันล้มเหลว สตีเฟ่นบอกกับเขาว่าจะรักษาตัวแล้วมาเจอกลิ่นแก้วด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันไรก็กลับจากไปแบบนี้

ชายหนุ่มเข้าไปอาบน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อกลับออกมาก็ยืนมองเครื่องบันทึกเสียงที่ยังวางอยู่ที่เดิม ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาก่อนยัดเข้าลิ้นชักหัวเตียงแล้วงับปิด

ขณะเดียวกันข้างนอกนั้น กลิ่นแก้วได้แต่ชะเง้อมองประตูห้องนอนของมิสเตอร์เวสส์ที่ปิดเงียบ อาหารเย็นถูกตั้งโต๊ะแล้วยังไม่เห็นวี่แววว่าคนในห้องจะออกมา เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาการมิสเตอร์เวสส์ดูไม่ดีเลย

“กลิ่นแก้ว”

เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อกำลังอยู่ในภวังค์ของตนเอง หันมองคนเรียกที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วยิ้มเจื่อน

“มากินข้าว”

กลิ่นแก้วก้าวตามคนเรียกไปที่โต๊ะ ทอมัสลงมือไปแล้วโดยไม่รอใคร ขณะที่แมกซ์เวลค่อยนั่งลงข้างกัน สายตาชำเลืองมองเด็กที่มีสีหน้าเป็นกังวลไม่ปิดบัง

“มิสเตอร์แมกซ์เวล” กลิ่นแก้วตัดสินใจเอ่ยเรียก เมื่อความอยากรู้มันมีมากเกินกว่าจะทนเงียบต่อไปได้ “มิสเตอร์เวสส์ไม่สบายเหรอครับ?”

คำถามนั้นทำให้ทอมัสเงยจากจานสปาเกตตี้มามอง ก่อนว่า “เรื่องของผู้ใหญ่”

“......” คำพูดที่ราวตำหนินั้นทำให้กลิ่นแก้วเงียบไป

“กินได้แล้ว จะได้ไปแปรงฟันแล้วนอน ฟันผุไม่รู้ด้วย”

แมกซ์เวลมองคนพูดแล้วจึงเบือนสายตาไปหาเด็กน้อยที่ค่อยตักซุปในถ้วยกิน เขาไม่ได้พูดหรือบอกอะไรนอกเหนือไปจากที่ทอมัสพูดไปเมื่อครู่ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงต้องให้เวลากับผู้เป็นนายของพวกตนสักหน่อย เพราะมันกะทันหันจนไม่ทันได้ล่ำลาอะไรกันแม้แต่คำเดียว


......


พิธีศพสตีเฟ่นถูกจัดขึ้นที่โบสถ์ในวันถัดมา เอวานที่มาร่วมพิธีแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่มันก็คือความจริงที่หลีกหนีไม่ได้ ทุกคนเกิดมาต้องตายด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว บางครั้งก็จากไปแบบไม่ทันได้ล่ำลาเช่นเดียวกับสตีเฟ่นก็มีมากมาย

หลังพิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้นจนกระทั่งวันฝังศพ เอวานไม่ได้ไปเมื่อมันควรเป็นกิจของครอบครัว ในวันนั้นเขาได้ตัดสินใจฟังเสียงบันทึก คำขอสุดท้ายของสตีเฟ่น ไรท์

“สวัสดี น้องรัก”

เอวานทำเสียงหึในลำคอกับคำทักทาย

“ถ้าเจ้านี่มาอยู่ในมือนาย ก็หมายความว่าฉันคงไม่ได้อยู่ให้นายเห็นหน้าแล้ว”

น้ำเสียงที่ดังมาให้ได้ยินยังปรกติ แสดงว่าสตีเฟ่นต้องอัดไว้ก่อนที่อาการจะทรุด หัวคิ้วเอวานเริ่มขมวดเมื่อคิดเช่นนั้น

“ฉันรู้ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวที่ดึงนายเข้ามาเกี่ยว แต่นายคือความหวังเดียวที่ฉันพอจะพึ่งพาได้ นายไม่เคยหวังอะไรจากฉัน ไม่เคยคิดที่จะทำลายฉัน ไม่ดูถูกความคิด หรือแม้กระทั่งตัวตนของฉันที่ไม่เป็นที่พอใจของใครต่อใคร”

สตีเฟ่นเป็นพวกผ่าเหล่าผ่ากอ เขาเกิดมาก็เหมือนคาบช้อนเงินช้อนทอง ชีวิตไม่เคยต้องลำบาก แต่กลับไม่เคยมีความสุข เพราะการแก่งแย่งชิงดีกันของคนในตระกูล ไรท์มีธุรกิจคาสิโนซึ่งพ่วงด้วยที่พักและอาหารพร้อมความบันเทิงครบครัน มันทำเงินให้มากมายในแต่ละปี สตีเฟ่นเลือกที่จะใช้ชีวิตอิสระ ไม่เข้าไปแย่งชิงผลประโยชน์อะไรกับใคร ทำให้เขากลายเป็นพวกไม่เอาอ่าว ทุกคนปรามาสเขาไว้แบบนั้น

“นายก็คงรู้ดีว่ามันมีทางเลือกไม่เยอะนักสำหรับฉัน ฉันไว้ใจใครในครอบครัวไม่ได้เลยสักคน พวกเขาพร้อมที่จะทำลายเพียงเพราะฉันเป็นหนึ่งในคนที่จะทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์”

เอวานยังเงียบฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายบันทึกไว้ ความอัดอั้นตันใจที่มีถูกถ่ายทอดมาให้ได้ยิน ซึ่งทุกอย่างนั่นเขารู้ดี แม้สตีเฟ่นไม่บอก ก่อนที่จะมาสะดุดเมื่อเจ้าของเสียงบันทึกเอ่ยถึงเด็กที่อยู่ในความดูแลของเขาเวลานี้

“เขาเป็นเด็กดีใช่ไหม เอวาน?” น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลกว่าทุกทีเมื่อเอ่ยถึงเด็กคนนั้น “ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะดูแลเขา อยากชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่เขาและแม่ของเขาต้องลำบากยากเข็ญ ต้องระหกระเหเร่ร่อน ไร้ที่พักพิง จนกระทั่ง... เธอตายจากไป”

ความเจ็บปวดมันกัดกินลึกจนยากจะถอน สิ่งที่สตีเฟ่นพูดมันบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายผู้นี้จมอยู่กับความรู้สึกผิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สตีเฟ่นคงเฝ้าโทษตัวเองมาโดยตลอด

“ฉันให้คนเฝ้าสืบหาจนรู้ว่าลูกของฉันกับเธออยู่ที่ไหน มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขายังอยู่กับแคทเธอรีน เดลลาร์ เขาคงมีสังคมที่ดี มีสิ่งแวดล้อมดี ๆ เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ และใช้ชีวิตแบบปรกติสุข แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ทำให้เขาต้องมาอยู่กับสองผัวเมียนั่น”

ถึงตรงนี้ เอวานเริ่มกำเครื่องบันทึกเสียงแน่นขึ้น สตีเฟ่นรู้ทุกอย่าง รู้ดีทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่ากลิ่นแก้วอยู่กับสองผัวเมียนั่น ไม่ใช่แค่ถูกแคทเธอรีน เดลลาร์รับเป็นบุตรบุญธรรม

“ฉันอยากเข้าไปพาเขาออกมา แต่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะลูกของฉันจะไม่มีทางปลอดภัย แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะหากไม่ถูกสองผัวเมียนั่นทำลาย ก็จะถูกหมายเอาชีวิตจากคนทางนี้ นายก็รู้ดี เรื่องผลประโยชน์ ไม่มีใครไม่ต้องการ การขจัดเสี้ยนหนามให้พ้นทาง ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา”

เอวานแทบขว้างเครื่องบันทึกเสียงในมือทิ้ง นี่เขาฟังบ้าอะไรอยู่ ยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่าตนเองโง่เง่า

“ถ้าครอบครัวฉันรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของฉันจริง ถ้าเขาพิสูจน์ได้ก็อาจจะชุบเลี้ยง แต่ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น ฉันไม่อยากให้ลูกต้องเข้ามาอยู่ในวังวนเหล่านี้ แต่นอกเหนือกว่านั้น อันตรายที่ฉันพูดถึง นอกจากพี่น้อง วิลสันก็คงไม่ยอมอยู่เฉย หากมันจะทำให้มากาเร็ตสูญเสียผลประโยชน์”

เอวานเริ่มนวดขมับ มุมปากกระตุกยิ้มหยัน ที่ว่ามาทั้งหมดนั่น สตีเฟ่นต่างหากที่ร้ายกาจกว่าใคร เสียงในเครื่องยังคงพูดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเงียบเหมือนขาดหายไป เอวานนึกว่ามันหยุดแค่นั้น แต่ไม่ใช่ เมื่อเสียงเรียกดังลอดมา

“เอวาน... นายก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าชีวิตเขามันบัดซบแค่ไหน ทำไมมันต้องเกิดกับเด็กตัวแค่นี้ นายคิดว่ามันยุติธรรมแล้วเหรอ?”

“......”

“แน่นอนว่าฉันควรปกป้องดูแลเขา แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีแรงเหลือพอที่จะทำมันได้ ฉันทำมันไม่ได้ เอวาน แต่ฉันก็ปล่อยให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมแบบนั้นต่อไปอีกไม่ได้” น้ำเสียงที่เขาได้ยินดูสั่นเครือ “ทั้งหมดนั่นมันเป็นความผิดของฉัน ความผิดฉันเอง มันน่าขำที่จะมาแก้ไขอะไรตอนนี้ ฉันรู้ว่ามันคือความเห็นแก่ตัว แต่...”

“......”

“เอวาน... ฉันขอร้อง ช่วยรับฟังความเห็นแก่ตัวครั้งสุดท้ายของฉันด้วย”

“......”

“ได้โปรดดูแลเขาแทนฉัน ได้โปรดอย่าปล่อยให้เขาต้องกลับไปเผชิญเรื่องราวเหล่านั้นตามลำพัง ฉันขอร้อง ฉันขอร้องนายเป็นครั้งสุดท้าย... ครั้งสุดท้าย...”

เอวานหัวเราะในลำคอเมื่อฟังจบ ไม่มีช่องให้เขาได้ปฏิเสธ ก็เขาจะไปปฏิเสธกับใครได้เมื่อคนร้องขอไม่อยู่แล้ว อยากด่าความเห็นแก่ตัวนั้นแต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ สตีเฟ่นรู้ รู้ดีว่าหากเขาได้รู้จักเด็กคนนั้นแล้ว เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดิม เขาจะต้องไม่พอใจในความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเด็ก ต่อให้โกรธ ให้โมโห เมื่อรู้ทีหลังว่าแผนการมันถูกวางไว้แต่แรก เขาก็จะไม่มีทางทิ้งกลิ่นแก้ว

“นายมันก็ยังเหลี่ยมจัดเหมือนเดิม”

เอวานว่าเสียงหยัน สตีเฟ่นก็ยังคงเป็นสตีเฟ่น ไม่ใช่แค่เจ้าชู้ไปวัน ๆ แต่เล่ห์เหลี่ยมในแบบของไรท์ก็มีอยู่เต็มเปี่ยม ขนาดจากไปแล้วก็ยังไม่ทิ้งลาย

เครื่องบันทึกเสียงถูกเก็บใส่ลิ้นชักไว้เหมือนเดิมหลังจากนั้น กายหนาเอนลงนอนใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะ ความคิดมากมายกำลังตีกันในหัว ยากที่จะข่มตาหลับด้วยความหนักอึ้งที่มี มันยังเหลือทางไหนให้เขาเลือกบ้าง?


......


ป้ายหินสลักที่ตั้งอย่างมั่นคงอยู่เหนือผืนดิน เรียงรายไปรอบบริเวณแสนกว้าง มันดูเวิ้งว้างในความรู้สึก หากแต่ก็ให้ความรู้สึกสงบเมื่อเข้าใจถึงวัฏจักรของโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนเราทุกคนไม่มีวันหลีกหนีได้พ้น เมื่อเกิดจากดิน ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับคืนสู่ดิน

ดอกไม้ช่อใหญ่ถูกวางลงหน้าป้ายสลัก ร่างสูงใหญ่นั้นค่อยยืดตัวขึ้นยืนตรงโดยมีเด็กชายตัวเล็กยืนอยู่ข้างกัน เยื้องไปด้านหลังคือบอดีการ์ดทั้งสองนายที่คอยระวังภัย แสงแดดยามใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวไม่ร้อนมากนัก แม้ฟ้าจะกระจ่าง แต่สายลมยังคงพัดพามาบางเบา

กลิ่นแก้วอ่านชื่อที่สลักบนป้ายหิน เขาพออ่านหนังสือออกบ้าง หากไม่ใช่คำที่ยากจนเกินไปนัก มิสเตอร์เวสส์พาเขามาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกอะไร ไม่รู้ว่ามาหาใคร และชื่อสตีเฟ่น ไรท์ บนป้ายสลักคือใครก็ไม่อาจรู้ได้ บรรยากาศรอบกายราวย้อนกลับไปวันที่มารดาต้องลาลับ ในวันนั้นเขาร้องไห้ปานจะขาดใจ กระทั่งวันที่ได้มายืนอยู่หน้าหลุมศพ น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล เขารู้ดี รู้ดีว่าไม่ควรร้องห่มร้องไห้เช่นนั้น แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะทำมัน

ความรู้สึกทุกข์ตรมเริ่มคืบคลานมาเกาะกินใจ มองป้ายสลักที่แม้จะไม่ใช่ของมารดาตนแต่น้ำตาก็พาลจะไหล เมื่อราวเห็นภาพทับซ้อนเกิดขึ้นในมโนสำนึก เด็กน้อยกะพริบตาถี่ พยายามไม่ร้องไห้เพราะมิสเตอร์เวสส์บอกว่าคนเจ้าน้ำตาคือคนอ่อนแอ เขาไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับมิสเตอร์เวสส์

ตากลมช้อนมองคนตัวโตข้างกายที่ยังคงยืนเงียบ ผู้ที่นอนสงบอยู่ใต้พื้นดินคงสำคัญกับคนคนนี้ไม่น้อยเลย เพราะถึงแม้จะมีแต่ความเงียบที่โอบล้อมรอบกาย กลิ่นแก้วยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในแววตา

มือเรียวเล็กค่อยยกขึ้นจับมือใหญ่ ความอุ่นของมันเรียกสติเอวานกลับมา ดวงตาคมค่อยเบือนกลับมามอง สีหน้าเด็กน้อยข้างกายดูเป็นห่วงกังวลใจ เขามองมันนิ่งอยู่นานก่อนจะกุมมือเล็กนั้นตอบ เบือนสายตาไปที่ป้ายสลักอีกครั้งเป็นการบอกลา ก่อนผินกายกลับแล้วออกก้าวเดิน พร้อมจับจูงเด็กน้อยให้ก้าวมาเคียงกัน

‘คำขอสุดท้ายของนาย ฉันจะทำมัน’





❤ TBC ❤

บวกขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ  :กอด1:

วันใหม่

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ไอออกมาได้แต่คำว่า คุก คุก คุก คุก คุก 555555 // รอติดตามนะคะ  :hao6:

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ในที่สุดสะใภ้คนสุดท้องก็มา ดีต่อใจจริงๆคะ ชอบๆ

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอยยยย ตัวคนพ่อก็เจ้าเล่ห์ ก็รู้ว่าหวังดีกับลูกตัวเองนะ แต่แบบ... :เฮ้อ:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อยากปฏิเสธแต่คนที่จะฟังไม่อยู่แล้วมันทรมานนะ

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
จะมีดราม่าอะไรอีกไหมน๊อ

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๓ ลมหายใจในมือเธอ



“นี่เจ้าเด็กเหลือขอมันไปไหนแล้ว ทำให้เราซวยแล้วก็หายหัวไปเลย บ้าจริง ๆ”

เสียงโครมครามดังมาจากห้องครัวของร้านเดลลาร์ ดี พร้อมเสียงบ่นจากเจ้าของริมฝีปากที่ถูกฉาบทาด้วยสีแดงสดเข้ากับบุคลิกเปิดเผย ไฝเม็ดเล็กเหนือปากยิ่งส่งให้เธอเป็นคนพูดมากจนเกินพอดี

“นั่นสิ คนพวกนั้นพาไปที่ไหนกัน ป่านนี้จะเป็นไงบ้างไม่รู้” ผู้เป็นสามีรำพึงรำพันขณะช่วยดูแลหน้าร้าน รอเวลาเปิดทำการ

กลิ่นแก้วหายไปหลายวันแล้ว แต่คนที่นี่ก็ยังไม่ขยับตัวทำอะไร ไม่แม้แต่จะไปแจ้งความ เพราะกลัวว่าซักไปซักมาเรื่องมันจะวนกลับมาหาตนเอง เนื่องจากก็ไม่ได้ดูแลเด็กมันดีสักเท่าไร แม้แต่ตัวนายเจคเองที่รำพึงรำพันเหมือนห่วงใยก็ยังห่วงตัวเองมากกว่า

“นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ตาเฒ่าพาร์เลอร์ไม่มาถล่มร้าน แต่ที่ร้านเราต้องเสียลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างตาเฒ่านั่นก็เพราะไอ้เด็กเหลือขอคนเดียว สร้างแต่เรื่อง ถ้าซมซานกลับมานะ แม่จะเฆี่ยนให้เลือดซิบ”

หล่อนจีบปากจีบคอ ทั้งเข่นเขี้ยวในตอนท้าย เพราะยังเจ็บใจไม่หายที่ต้องจ่ายเงินคืนให้ตาเฒ่านั่น ทั้งที่บอกกันไปแล้วว่าซื้อขาด แถมตัวตาเฒ่านั่นเป็นคนทำเสียเรื่องเองด้วยซ้ำ แค่เพราะร้านนางมันไม่ใช่สถานบริการขนาดใหญ่ที่พอจะมีอำนาจต่อรองกับใครได้ จึงจำใจต้องยอม เพราะถึงอย่างไรตาเฒ่าพาร์เลอร์ก็มีอำนาจในมือมากกว่า

“โวยวายอะไรกัน แม่ แล้วนี่อาหารเช้าเสร็จหรือยัง ผมจะไปเรียนแล้ว” เด็กหนุ่มผู้มีผมสีสว่างไม่ต่างจากนางมาเรียมเดินลงมาจากชั้นบน เมื่อเจ้าหล่อนเห็นดังนั้นก็รีบกุลีกุจอเข้ามาหา

“โอ้ เสร็จพอดีเลยลูก มา ๆ มากินก่อน อาหารเช้าช่วยบำรุงสมองได้ดีเชียว” พาลูกไปที่โต๊ะซึ่งอาหารเช้าถูกตระเตรียมเอาไว้แล้วดังว่า เมื่อลูกนั่งลง จึงนั่งลงอีกฝั่งก่อนพูดถึงเรื่องที่ค้างไว้เมื่อครู่ให้ลูกฟัง “แม่กำลังพูดถึงไอ้เด็กกลิ่นแก้วที่หายหัวไปเลยน่ะสิ”

“ทำไม?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะกินอาหารตรงหน้าไปเรื่อย ๆ

“นี่ก็หลายวันแล้วนะที่ไอ้หนุ่มสองคนนั่นเอาตัวมันไป ดูซิ เกือบทำให้ร้านเราโดนคนของตาเฒ่าพาร์เลอร์ถล่มแล้ว นี่ดีนะที่แม่พอมีฝีปากอยู่บ้าง”

“แล้วแม่รู้ไหมว่าคนพวกนั้นมันเป็นใคร?” เจเรมี่ก็เอ่ยถามไปอย่างนั้น ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าใครเป็นใคร จะพาใครไปไหน ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย

“ไม่รู้หรอก อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา เห็นลูกน้องของตาเฒ่าพาร์เลอร์บอกว่าตอนที่ไล่ตามไอ้เด็กนั่นก็มีคนมาช่วยมัน เป็นผู้ชายสามคน แต่งตัวดีเชียว ไม่น่าจะใช่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ฟังดูแล้วก็เข้าเค้าอยู่ เพราะสองคนนั่นก็ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาแบบลูกน้องตาเฒ่านั่นว่า น่าจะเป็นพวกเดียวกัน” นางมาเรียมคาดเดา

เวลานี้คนพวกนั้นพาเด็กกลิ่นแก้วไปไหนนางก็สุดจะรู้ หรือพูดให้ถูกคือไม่ได้อยากรู้ เพราะถึงเด็กนั่นจะอยู่หรือไม่อยู่ ค่าก็เท่ากัน ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรนอกจากเป็นแหล่งกอบโกย และตอนนี้นางก็ทั้งกอบทั้งโกยมาหมดแล้ว ถึงได้กล้าที่จะส่งมันไปให้ตาเฒ่าพาร์เลอร์เช่นนั้น

เสียงกริ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นเรียกความสนใจ นางมาเรียมมุ่นคิ้วเมื่อยังไม่ถึงเวลาร้านเปิด ร่างท้วมลุกออกไปดู เมื่อเห็นชายตัวใหญ่ภายใต้ชุดสูทก็ชะงัก ไม่คุ้นหน้าเลย

“ร้านยังไม่เปิดนะคะ คุณผู้ชาย”

นางมาเรียมเอ่ยบอกพร้อมฉีกยิ้ม แต่ดูท่าบุรุษแปลกหน้าทั้งสองนายจะไม่สนใจ กลับเดินเข้าร้านไปโดยที่นางมาเรียมได้แต่เบิกตาโต นี่มันเรื่องอะไรกันอีกแล้ว คนพวกนี้เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรในการมาครั้งนี้กัน?


......


Ace Casino คาสิโนซึ่งติดอันดับต้น ๆ ของนักเที่ยว ด้วยความโออ่าของสถานที่ ทั้งการบริการที่น่าประทับใจและมีระดับ รวมถึงการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้ในค่ำคืนนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเหล่านักเที่ยวที่บ้างก็มาหย่อนใจ บ้างก็มาเพื่อดื่มกิน และบ้างก็มาเพื่อเสี่ยงโชค ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังคงคึกคักไม่เปลี่ยน

เอวานนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งในมุมส่วนตัวของห้องอาหารบนคาสิโน โดยมีบอดีการ์ดทั้งสองนายยืนขนาบด้านหลัง เขาตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว ด้วยท่าทีที่ไม่เหมือนจะเข้ามาเพื่อเสี่ยงโชคหรือแม้แต่หาความบันเทิงใส่ตัว ทั้งยังตามติดมาด้วยบอดีการ์ดตัวใหญ่ที่ไม่แม้แต่จะเสวนากับใครสักคน และอาจมีบ้างที่พอคุ้นหน้าว่าเขาเป็นใคร

Ace Casino อยู่ภายใต้การบริหารของลูกชายทั้งสามคนในตระกูลไรท์ซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ และในตอนนี้ที่สตีเฟ่นจากไปแล้วทำให้หุ้นในส่วนนั้นตกมาอยู่ในมือมากาเร็ต ผู้เป็นภรรยาตามกฎหมาย เธอเข้ามาบริหารในส่วนของความบันเทิงและอาหาร ขณะที่ฝั่งครอบครัวไรท์ควบคุมในส่วนของคาสิโนและบาร์

ไม่นานจากนั้นหญิงสาวภายใต้ชุดแซคเข้ารูปสีเข้มก็ก้าวมาพร้อมบอดีการ์ด มากาเร็ตยังสาวและสวย เมื่อเธอเป็นนักแสดงทำให้ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และด้วยความที่เข้ามาพัวพันในธุรกิจนี้ทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามอง ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็กลายเป็นข่าว แต่เพราะบิดาของเธอเป็นเจ้าพ่อสื่อซึ่งมีอิทธิพลในวงการอยู่ระดับหนึ่ง ทำให้เธอไม่ค่อยมีข่าวเสียหาย

หญิงสาวค่อยนวยนาดไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขกที่เธอเชิญมา ญาติของสามีที่เธอไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไร ใช่ ที่เอวาน เวสส์เป็นคนหนุ่มที่มีเสน่ห์ มีแต่คนอยากเข้าหา ไม่เว้นแม้แต่เธอเอง แต่แม้ชายคนนี้จะมีรอยยิ้มแตะแต้มริมฝีปากอยู่เสมอไม่ว่ากับสถานการณ์ใด แต่รอยยิ้มนั้นหาใช่รอยยิ้มต้อนรับ แต่เป็นการเตือนให้อยู่ห่าง ทำให้เธอหมดหวังจะผูกไมตรี การแต่งงานกับสตีเฟ่นจึงไม่ใช่ทางเลือกที่แย่อะไรนัก

“ขอบคุณที่มา” เอ่ยกับชายหนุ่มตรงหน้าขณะที่บริกรนำไวน์มาเสิร์ฟ

หญิงสาววนแก้วเบา ๆ กลิ่นหอมของไวน์ชั้นดีแตะจมูกทำให้เธอเปิดยิ้มสวย ก่อนเลื่อนแก้วไปชนกับแขกกิตติมศักดิ์ในค่ำคืนนี้เบา ๆ แล้วจรดแก้วกับริมฝีปากเพื่อลิ้มรสละมุน

“เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ มาดาม”

คำเรียกขานที่ดูห่างเหินไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าหายไปแต่อย่างใด ดวงตาคมเฉี่ยวช้อนมองคนพูด วางแก้วลงช้า ๆ ขณะเจรจาพาที

“จะรีบไปไหนละคะ มาถึงที่นี่แล้ว ทานอาหารด้วยกันสักมื้อเป็นไร”

เอวานยิ้มกับคำชวน “อาหารของที่นี่เป็นที่ขึ้นชื่อ แต่น่าเสียดายที่วันนี้ผมคงต้องเสียมารยาท เพราะมีธุระต้องไปต่อ”

“แหม น่าเสียดายจริง”

ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามขอบแก้วเบา ๆ ราวถ่วงเวลา แต่คนตรงหน้าเธอก็ยังไม่แสดงอาการใดให้เห็น แววตาคู่นั้นยังคงนิ่งมอง ทำให้เธอต้องเปิดปากถึงเรื่องที่เชิญมาวันนี้

“เด็กคนนั้น”

“......”

“ฉันไม่รู้นะว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของสตีฟคืออะไร ที่ฉันเชิญคุณมาเพราะอยากตกลงกับคุณ”

“......”

“ความจริงแล้ววิลสันและเวสส์ไม่เคยบาดหมางกัน หรือแม้แต่เจฟเฟอร์สันที่เป็นเครือญาติกับไรท์ก็ตาม”

“......” เอวานไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เพียงนิ่งรอ รอว่าเธอจะเข้าประเด็นที่เธออยากพูดจริง ๆ เมื่อไร

“เวลานี้สตีฟก็ไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรที่เขาขอให้คุณช่วย คุณก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้นก็ได้นะคะ เด็กคนนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลยสักนิด แล้วทำไมคุณต้องหาเรื่องใส่ตัว ฉันเองไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับคุณ คุณเองก็เช่นกัน ใช่ไหม?”

“......” นัยน์ตาคมจับจ้องเธอนิ่ง ขณะที่ริมฝีปากยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อฟังเธอพูด

มากาเร็ตโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากสวยค่อยขยับ “ส่งตัวเขามาให้ฉันเถอะค่ะ ภาระที่คุณแบกไว้ มันจบแล้ว”

เอวานหัวเราะในลำคอเบา ๆ แก้วไวน์ที่ถืออยู่ค่อยวางลงบนโต๊ะ เขาพอรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเธอจากโจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่น ว่าเธอส่งคนไปที่ร้านเดลลาร์ ดี คงเพราะรู้แล้วว่ามีใครบางคนอยู่ที่นั่น แต่ยังช้าไปเมื่อคนคนนั้นมาอยู่ในความดูแลของเขาเสียแล้ว นัยน์ตาคมมองสบหญิงสาวตรงหน้าแล้วเอ่ยบอก

“คงไม่ได้”

“......” คำปฏิเสธนั้นทำให้มากาเร็ตเกร็งคอ

“ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องส่งเขาให้คุณ” ริมฝีปากหยักยังคงแตะแต้มด้วยรอยยิ้มบางเบา

“แต่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย” มากาเร็ตที่กลับมานั่งหลังตรงอย่างไว้ท่าทีเอ่ยแย้ง

“เขาก็ไม่เกี่ยวกับคุณเช่นกัน”

“คุณว่าอะไรนะ?”

“หรือคุณคิดว่าเขาเกี่ยว?”

“......” เผลอหลบสายตาเมื่ออีกฝ่ายมองจ้อง

“คุณคิดว่าเขาเป็นใครงั้นเหรอ?”

มากาเร็ตถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง “คุณไม่น่าถามคำถามนี้ เพราะคุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาเป็นใคร”

“เขาเป็นคนของผม” เอวานประกาศชัด ก่อนย้ำ “เขาอยู่ในความดูแลของผม”

“คุณจะประกาศศึกกับฉันเหรอ?” ดวงตาคู่สวยมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่ชักไม่ดีเหมือนแรกเริ่ม

“ผมไม่คิดว่าเราจะเป็นศัตรูกันเพราะเด็กเพียงคนเดียว” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยบอก ก่อนทิ้งท้าย “อย่างที่คุณพูด เราไม่เคยบาดหมางกัน ผมก็หวังว่ามันจะยังเป็นเช่นนั้นอยู่”

“.......”

“ขอตัว...”

“เดี๋ยว”

กายสูงใหญ่ที่ผุดลุกต้องหยุด บอดีการ์ดทั้งสองที่กำลังจะขยับตัวตามผู้เป็นนายจึงชะงักตาม ทุกสายตาหันกลับมามองหญิงสาวเพียงคนเดียว ณ ที่นั้น

ร่างสมส่วนค่อยลุกขึ้นมาหา “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคุณต้องปกป้องเขา?”

“ผมบอกไปแล้วว่าเพราะอะไร”

“ฉันไม่เห็นว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้น”

มุมปากเอวานยกยิ้ม “ผมก็ไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากเขา”

ยิ่งพูด เธอยิ่งไม่เข้าใจ เอวาน เวสส์ คิดจะทำอะไรกันแน่ มันเป็นไปได้หรือที่รู้ทั้งรู้ว่าเด็กคนนั้นจะนำความเดือดร้อนมาให้ แต่ยังให้การช่วยเหลือโดยไม่แม้จะมีอะไรตอบแทนกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน หากเพียงเพราะทำเพื่อสตีเฟ่น มันก็มากไปสักหน่อย

“หรือว่าที่จริงคุณคิดจะใช้เขาเพื่อเข้ามาฮุบที่นี่?” มากาเร็ตคาดเดาอย่างหาข้อสรุปให้การกระทำของชายตรงหน้า

“ผมไม่สนใจหรอกว่าพวกคุณจะแย่งชิงอะไรกัน และผมก็ไม่คิดที่จะให้เด็กคนนั้นเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้ คนของผม ผมดูแลได้ และหวังว่าคุณจะจำให้ขึ้นใจ... อย่ามายุ่งกับคนของผม”

เอวานเอ่ยขอตัวอีกครั้งก่อนผละไป ปล่อยให้มากาเร็ตยืนสงบสติอารมณ์อยู่ตรงนั้น เอวาน เวสส์ ประกาศชัดแล้วว่าพร้อมเป็นศัตรูกับเธอหากเธอแตะต้องเด็กคนนั้น ทางเลือกของเธอมีแค่จะยอมเสี่ยงเพียงเพราะเด็กคนเดียวแบบที่อีกฝ่ายว่าไหมเท่านั้น

หลังออกจากคาสิโน เอวานก็กลับมาที่คอนโดมิเนียม เสียงเปิดโทรทัศน์ในห้องทำให้บอดีการ์ดทั้งสองนายเหลือบมองกัน เพราะปรกติแล้วกลิ่นแก้วจะอยู่เงียบ ๆ บางทีก็อ่านหนังสือที่มิสซิสสวอนเนอร์เอามาฝากจนเพลินแล้วหลับอยู่แถวโซฟาห้องนั่งเล่น หลังจากที่มิสซิสสวอนเนอร์ไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเพราะเจ้าตัวเล็กบอกว่าอยู่คนเดียวได้ ไม่อยากรบกวนเวลางาน

กลิ่นแก้วชอบอ่านหนังสือ แต่ส่วนมากก็จะเป็นหนังสือสำหรับเด็กที่มีศัพท์ไม่ยากนัก ในห้องทำงานส่วนตัวของเอวานมีแต่หนังสือวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เด็กได้แต่ไปจับ ๆ พลิก ๆ เพราะถึงอ่านก็ไม่เข้าใจ เห็นเด็กชอบอะไรแบบนี้เอวานก็อยากสนับสนุน ตอนนี้ก็กำลังดู ๆ เรื่องโรงเรียนให้อยู่ แต่อาจจะหลังจากนี้สักพักใหญ่ ๆ เพราะสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไรนัก

เมื่อก้าวเข้ามาด้านใน สิ่งแรกที่เห็นคือกลิ่นแก้วที่นั่งตัวลีบอยู่บนโซฟา โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง แต่เพียงแค่นั้นเอวานก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

ร่างที่นั่งหันหลังให้ค่อยลุกขึ้นแล้วหันมาหา ก่อนเอ่ยทัก “กลับมาแล้วเหรอ?”

ห้องทำงานส่วนตัวของเอวานหลังจากนั้น ผู้ที่จับจองโซฟาในมุมพักผ่อนเวลานี้คือเกวน เจฟเฟอร์สัน มารดาของเขาเอง ผู้หญิงที่นั่งอยู่กับกลิ่นแก้วคนนั้นนั่นล่ะ ท่านมาหาแบบไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ดูท่าสถานการณ์จะไม่ค่อยปรกตินัก

“มีอะไรจะบอกแม่ไหม?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง

ริมฝีปากหยักยกยิ้มกับคำถาม ท่านไม่ได้เจาะจงว่าบอกเรื่องอะไร เขาเองก็ไม่ได้อยากยียวนให้ต้องขุ่นมัว เพราะไม่เคยปิดอะไรมาดามมาเฟียคนนี้ได้เสียทีหรอก

“มัมหมายถึงเด็กข้างนอกเหรอครับ?”เอวานเอ่ยถาม

“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไง?” ท่านย้อนมาบ้าง

ผู้เป็นลูกหัวเราะในลำคอ “ถ้ามีก็คงปิดมัมไม่ได้หรอก จริงไหมครับ?”

มาดามมาเฟียส่งค้อนให้คนเป็นลูกวงโต ก่อนว่า “รู้แบบนั้นแล้วก็ยังจะทำ”

“เปล่าสักหน่อย”

“เปล่า แล้วที่ให้เด็กคนนั้นมาอยู่ที่นี่คืออะไร?”

“ก็เขาไม่มีที่ไป” คนเป็นลูกว่าง่าย ๆ

“ก็เลยให้มาอยู่ด้วย?”

“ครับ”

“เอวาน” ผู้เป็นมารดาต้องทำเสียงดุเมื่อลูกยิ้มเฉย

“ก็มันเรื่องจริง” หนุ่มตัวโตยังว่า

“จะพูดความจริงกับแม่สักทีได้หรือยัง?”

เอวานหัวเราะเบา ๆ ทำเป็นเล่นไม่ได้เสียแล้วสิ “ก่อนที่ผมจะบอกอะไรก็ตาม ผมอยากรู้ว่ามัมรู้เรื่องนี้ได้ไงครับ?”

“ก็มีอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไงที่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกดีกว่าใคร” เกวนว่า ไม่อยากเอ่ยชื่อคนบอกสักเท่าไร

เอวานเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใครคนนั้นที่ว่าหนีไม่พ้นบิดาของเขาหรอก เขาแค่ไม่อยากเชื่อ เพราะปรกติเรื่องเสี่ยง ๆ ท่านจะไม่เอาไปบอกมารดาเขาเด็ดขาด ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงมักไม่เข้าใจ และจะก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมา แต่คราวนี้ท่านคงคิดว่ามารดาคือไม้ตายที่จะใช้หยุดเขาได้

ตามจริงความสัมพันธ์ของพวกท่านก็ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากเรื่องในอดีตทำให้ไม่อาจข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นและครองรักกันได้ หรือที่จริงแล้วเพราะมันไม่มีคำว่ารักมาตั้งแต่แรกก็ไม่อาจรู้ เอวานอาจไม่ได้เกิดมาจากความรัก แต่นั่นไม่ได้ทำให้นึกน้อยใจหรือโทษโชคชะตาฟ้าลิขิตใด ความรักไม่ใช่สิ่งที่เขาโหยหา เพราะเขาได้มันมามากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว

“ไม่อยากเชื่อ” เอวานว่าอย่างนั้น ก่อนจะยอมเปิดปากเล่าทุกอย่างให้มารดาฟัง ฟังจบแล้วก็แล้วแต่ท่านจะคิดเห็นอย่างไร

“นี่ลูกทำอะไรลงไป รู้ตัวไหม เอวาน?” เกวนร้องถามหลังจากฟังลูกพูดจบ แน่นอนล่ะว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการกระทำของลูกในครั้งนี้

ตั้งแต่เล็กมา นอกจากครอบครัวของอดีตสามีเช่นอเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เอวานก็สนิทกับสตีเฟ่น ไรท์ ซึ่งเป็นเครือญาติฝั่งเจฟเฟอร์สัน เอวานเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่ไปไหนไปกันตลอด นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดา เกวนไม่ได้คิดอะไรมาก การพึ่งพากันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่สตีเฟ่นโยนปัญหามาไว้ที่ลูกชายของเธอแบบนี้มันมากเกินไป มากจนเกินจะรับได้จริง ๆ

“ผมปล่อยเขากลับไปสู่วังวนเดิม ๆ อีกไม่ได้จริง ๆ ครับ มัม” เอวานสารภาพ

เกวนสูดลมหายใจ พยายามสงบสติอารมณ์แล้วถามอย่างมีเหตุมีผล เธอรู้ ลูกของเธอจิตใจดี เพราะเธอเลี้ยงมาให้เขาเป็นแบบนั้น ให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจนถูกพอลตำหนิอยู่เรื่อย ๆ เพราะอยากให้ลูกเป็นมาเฟียใหญ่มากกว่า แต่ผู้เป็นมารดากลับเลี้ยงให้มีความโอบอ้อมอารี

“เพราะอะไร เพราะรับปากสตีฟไว้อย่างนั้นเหรอ?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามแบบใช้เหตุผลคุยกัน

“นั่นก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ลูกรู้ใช่ไหมว่ากำลังเอากระดูกมาแขวนคอ?”

“......” ชายหนุ่มยิ้มจางเมื่อเข้าใจดีถึงเรื่องนั้น

“ไม่ใช่แค่มากาเร็ต วิลสัน แต่ถ้าไรท์รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร อย่าว่าแต่ความสุขเลย จะใช้ชีวิตปรกติได้รึเปล่ายังไม่รู้”

“เพราะแบบนี้ผมถึงปล่อยไปไม่ได้”

“......” สิ่งที่ลูกแย้งมาทำให้เกวนเงียบ

“ถ้าผมไม่ได้เจอเขา ไม่ได้รู้จักเขา ไม่ได้ดูแลเขา แม้จะแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนั้น ผมคงมองผ่านมันไปได้ง่าย ๆ เรื่องราวของเขาคงเป็นเพียงเรื่องตลกร้ายที่สตีฟเล่าให้ฟัง ผมก็คงแค่ฟัง และจบแค่นั้น”

บางทีเธอน่าจะให้พอลเป็นคนเลี้ยง แบบนั้นเอวานคงเหี้ยมได้สักครึ่งของพอล เวสส์ แม้เธอจะไม่ชอบคนแบบพอล แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเอวานน่าจะได้ความบ้านั้นมาสักหน่อย

การรับอุปการะเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่หนุ่มวัยนี้จะรับเด็กมาอยู่ในความดูแล ทำให้เธอเริ่มมองเห็นความยุ่งยากที่กำลังจะตามมาในภายหลัง ยิ่งเด็กที่มีที่มาแบบนั้นอีก

“ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม เอวาน?”

เมื่อมารดาเอ่ยถามจริงจัง เอวานก็ตอบกลับหนักแน่นเพื่อยืนยันเจตนารมณ์เช่นกัน “ครับ”

“เอาล่ะ” มองความจริงจังในแววตาลูกแล้วเกวนจึงเอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ “ถ้าอยากดูแลเด็กคนนี้จริง ๆ ลูกต้องจัดการกับปัญหาที่ติดตัวเด็กมาให้ได้ แล้วแม่จะเป็นคนรับอุปการะเขาเอง”

“มัม ผมไม่ได้คิดจะเอาปัญหามาให้...”

“งั้นลูกจะทำยังไงต่อไป?” เอ่ยถามให้คิด “จะให้เขาอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือไง ไม่ต้องออกไปพบเจอกับโลกกว้าง หนังสือหนังหาก็ไม่ต้องเรียนกันแล้วใช่ไหม?”

การจะมีชีวิตที่ดี ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการศึกษาก็มีส่วน หากมีความรู้บวกความสามารถ การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เทียบกับต้องมาอยู่ในห้องตลอดแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ที่เด็กจากมาเลยสักนิด

“เรื่องนั้นผมกำลังจัดการอยู่” เอวานบอก

“เอวาน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นราวจะเรียกสติ “การดูแลเด็กคนหนึ่งจนเขาเติบโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้มันยากนะ ยิ่งลูกยังหนุ่มยังแน่น คิดให้มันดี ๆ เสียก่อน”

“ผมเข้าใจครับ มัม แต่ผมตัดสินใจแล้ว”

เกวนถอนใจเบา ในเมื่อลูกยืนยันความตั้งใจมาเช่นนั้น เธอก็จะไม่ขัดอีก เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องพักของลูกแล้วเจอกับเด็กคนนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ต่างจากลูกชายของเธอนัก เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองหรือเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองไม่ได้ หากต้องกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบที่ผ่านมา เธอก็ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยจริง ๆ

เอวานพูดถูก ถ้าเพียงแต่ไม่ได้พบ ไม่ได้รู้จัก หรือช่วยเหลือดูแล มันคงจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเวลานี้ไม่สามารถถอยได้แล้วก็ต้องขจัดปัญหาที่จะตามมาให้หมดสิ้นไป เด็กคนนี้จะเป็นเพียงลูกชายของแคทเธอรีน เดลลาร์ และเป็นเด็กในอุปการะของเจฟเฟอร์สัน เป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกชายของสตีเฟ่น ไรท์ มาเฟียใหญ่แห่งคาสิโน

เกวนออกมาเจอกลิ่นแก้วอีกหน เด็กชายยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน พอเห็นเธอมาก็รีบลุกขึ้นยืน เมื่อเธอนั่งลง เอวานจึงนั่งลงที่โซฟาอีกตัว ก่อนบอกให้เจ้าตัวเล็กนั่งแล้วเอ่ยแนะนำให้รู้จักกับตน

“พรุ่งนี้เก็บเสื้อผ้าข้าวของให้เรียบร้อย ถ้าเอวานไม่ว่างไปส่ง ฉันจะให้คนที่เจฟเฟอร์สันมารับ” เกวนบอก

“......” กลิ่นแก้วทำหน้างง หันไปมองเอวานอย่างมีคำถาม เก็บเสื้อผ้า จะให้ไปไหน?

“เจฟเฟอร์สันคือบ้านของฉัน เธอจะไปอยู่ที่นั่น แม่ของฉันจะเป็นคนดูแลเธอต่อจากนี้”

เจ้าตัวเล็กถึงกับนิ่ง นี่เขาต้องไปอยู่ที่อื่นหรือ แล้วมิสเตอร์เวสส์จะไปอยู่ที่นั่นด้วยกันหรือเปล่า อยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม กระทั่งเห็นสายตาดุ ๆ จากมิสเตอร์เวสส์เลยนึกถึงข้อตกลงขึ้นมาได้ มีอะไรให้พูด อย่าอึกอักอ้ำอึ้ง มิสเตอร์เวสส์ไม่ชอบ

“มิสเตอร์เวสส์... จะไปอยู่ที่นั่นด้วยไหมครับ?”

เกวนมองเด็กที่หันไปถามลูกชายตน ช่างเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ เสียจริง เวลานี้เอวานคงกลายเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวของเด็กคนนี้ไปแล้ว

“มิสเตอร์เวสส์ของเธอ เขาต้องทำงาน เวลาดูแลเธอก็คงไม่มีใช่ไหม?” เกวนเป็นคนเอ่ยขึ้น

“... ครับ” ตอบรับเสียงค่อย มันก็จริง มิสเตอร์เวสส์ต้องทำงาน แต่ระหว่างนั้นเขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็ได้นี่นา ในใจเด็กชายยังขัดแย้ง มิสเตอร์เวสส์ไม่ไปด้วย เขาก็ไม่รู้จะอยู่กับใคร

“เจฟเฟอร์สันคือบ้านของเขา ยังไงเขาก็ต้องกลับไป ไม่ต้องห่วงหรอก”

“.....”

“เอาล่ะ วันนี้พักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ร่างระหงค่อยผุดลุกเมื่อเอ่ยจบ เอวานและกลิ่นแก้วลุกตาม ชายหนุ่มสั่งบอดีการ์ดให้ไปส่งมารดาที่เจฟเฟอร์สัน ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิมแล้วเอ่ยเรียกเด็กที่ยังยืนเงียบกริบ

“กลิ่นแก้ว”

“......” ตากลมช้อนมองคนเรียก

“มานี่”

กลิ่นแก้วก้าวเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าคนเรียกอย่างว่าง่าย สายตาหลุบมองแค่มือตัวเองที่มันกุมกันอยู่ เอวานค่อยเอื้อมมาจับมือนั้น อุ้งมือเขาใหญ่จนรวบมือเล็ก ๆ นั้นไว้ได้ทั้งสองข้าง

“เงยหน้าขึ้น”

“......”

มองสบตากลมโตนั้นแล้วจึงว่า “ที่ส่งเธอไปเจฟเฟอร์สัน เพราะที่นั่นคือที่ที่ปลอดภัย เธอจะได้เรียนหนังสือ ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กทั่วไปเขาใช้กัน ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในนี้ ต่อจากนี้เธอจะมีชีวิตใหม่ จะเป็นกลิ่นแก้วคนใหม่”

“......” เด็กชายเงียบฟัง น้ำเสียงเอวานทุ้มนุ่มพาให้ไม่อยากขัดแม้สักอย่างที่คนคนนี้พูด

“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนมีความพยายามและเข้มแข็ง ฉันถึงอยากให้เธอเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข”

“ผมรู้ว่าคุณหวังดี ผมเข้าใจแล้ว ผมจะเป็นเด็กดี จะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน จะไม่สร้างปัญหาให้คุณ”

“......”

“ผมจะพยายาม”

เอวานยิ้มเมื่อเจ้ากลิ่นแก้วเข้าใจอะไรง่าย ไม่ต้องพูดอธิบายกันหลายรอบเหมือนก่อนหน้านี้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวเด็กอย่างเอ็นดู

“ฉันเห็นถึงความพยายามนั้นแล้ว เธอทำได้ดีมาก”

กลิ่นแก้วยิ้มกว้าง มือที่ลูบหัวเขาเบา ๆ มันช่างอบอุ่น การเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบที่อีกฝ่ายว่าไม่น่าหวั่นกลัวก็เพราะมีมือคู่นี้ มือที่เขาคว้าจับอย่างไม่ลังเลในวันนั้น


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :t3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เจฟเฟอร์สัน

คฤหาสน์ตระกูลผู้ดีเก่าในอังกฤษ ก่อนหน้านี้แทบจะจบตำนานลงไปเมื่อเจ้าของคฤหาสน์ในขณะนั้นผลาญเงินที่มีจนแทบสิ้น การดองกับทายาทการเงินเช่นเฟอร์ริงตันคือทางออกที่พวกเขาเลือกใช้ และมันก็ได้ผลเมื่อเจฟเฟอร์สันยังคงอยู่ต่อไปได้ ช่วยต่อลมหายใจให้พวกเขาจนกระทั่งบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างเกวน เจฟเฟอร์สัน ลุกขึ้นมากอบกู้ฐานะได้สำเร็จในเวลาต่อมา

กลิ่นแก้วเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ โดยในครั้งแรกที่เหยียบย่างเข้ามามีเอวานมาส่ง หลังจากนั้นก็เป็นเกวนที่จัดการทุกอย่างแทน เธอบอกว่าการอยู่ที่นี่ไม่มีข้อปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่สิ่งที่เธอไม่ชอบคือการโกหก ถ้าจะอยู่กับเธอ กลิ่นแก้วต้องไม่มีสิ่งนั้น ซึ่งเด็กชายก็รับคำมั่นเหมาะ

เอวานจัดการเรื่องเอกสารสำคัญของเด็ก เพราะหลังจากนี้ต้องใช้ในการยืนยันตัวตนเวลาเข้าเรียน และเขาก็ได้มันมาไม่ยากเย็นเมื่อโจฮาน คนสนิทของสตีเฟ่นนำมันมาให้ถึงมือในวันหนึ่ง หลังจากเจ้าตัวเล็กเข้าไปอยู่ในเจฟเฟอร์สันแล้ว

เอกสารสำคัญของกลิ่นแก้วอยู่กับสตีเฟ่นทั้งหมด เสียงคร่ำครวญในเครื่องบันทึกเสียงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สตีเฟ่นไม่ได้บอกว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่รู้ว่ากลิ่นแก้วอยู่ที่ไหน แต่หมอนั่นเคยไปเจอแคทเธอรีน เดลลาร์มาแล้ว ทั้งยังฝากฝังให้หล่อนดูแลลูกของตนเอง เคยแม้แต่เสนอค่าตอบแทนให้ แต่แคทเธอรีนไม่รับ เพราะบุญเก่าที่มีก็กินไม่หมด เธอดูแลกลิ่นแก้วได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่รับมาเลี้ยง แต่สตีเฟ่นก็ไม่อาจนิ่งเฉย จึงได้เสนอว่าค่าตอบแทนที่เขาจะให้ อยากให้เธอเก็บไว้เผื่อในอนาคตกลิ่นแก้วต้องได้ใช้

สมุดบัญชีเงินฝากของแคทเธอรีนเองก็อยู่รวมกับเอกสารของกลิ่นแก้วด้วย เป็นบัญชีที่มีข้อกำหนดว่าหากเธอเสียชีวิต สิทธิ์จะเป็นของทายาทตามกฎหมาย ซึ่งก็คือกลิ่นแก้ว เดลลาร์ ในทันที

จนถึงตอนนี้เอวานก็ได้แต่หัวเราะเสียงขื่น เมื่อถูกสตีเฟ่นปั่นหัวเอาอีกแล้ว เหมือนหมากตานี้สตีเฟ่นวางไว้เป็นอย่างดี แต่คราวนี้ไม่นึกอยากก่นด่า เพราะมันก็ดีที่หมอนั่นรอบคอบขนาดนี้ อะไร ๆ มันจะได้ง่ายขึ้น

ด้านมากาเร็ต วิลสัน หลังจากวันที่เธอเชิญเขาไปยังคาสิโน และเขายืนยันเจตนารมณ์ว่าจะไม่วางมือจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนเธอจะเงียบไปเช่นกัน ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว เพราะเอาเข้าจริงเขาไม่ควรสร้างศัตรู กลิ่นแก้วจะถูกเพ่งเล็งและไม่ปลอดภัยเสียเปล่า ๆ

กายสูงใหญ่ที่สวมเพียงกางเกงนอนขายาวก้าวออกมาพร้อมผ้าเช็ดผมที่ยังเปียกหมาด เสียงเคาะประตูทำให้เท้าที่กำลังก้าวไปยังโซฟานั่งเล่นมุมห้องนอนหยุดชะงัก ก่อนหมุนกายกลับไปเปิดประตู

เจ้ากลิ่นแก้วยืนอยู่หน้าประตูพร้อมส่งยิ้มตาหยิบหยีมาให้ เขาเลยเลี่ยงให้เดินเข้ามาในห้อง ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กเริ่มไปโรงเรียนแล้ว เป็นโรงเรียนเอกชนมีรถรับส่ง ไม่ได้ให้อยู่โรงเรียนประจำเพราะยังเล็กอยู่ เพียงแค่อยากให้เข้าสังคมมากกว่า

“ไปโรงเรียนเป็นไงบ้าง?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก้าวมานั่งลงบนโซฟามุมห้องขณะเช็ดผมไปด้วย

เขากลับมานอนที่นี่บ้างในวันหยุด พอได้เจอกัน กลิ่นแก้วก็มีเรื่องมารายงานตลอด เขาเป็นคนพาเด็กมาอยู่ที่นี่แต่กลับไม่ค่อยได้ดูแลอะไรมากนัก เหตุหนึ่งก็เพราะไม่ค่อยได้อยู่ที่เจฟเฟอร์สัน หากไม่ใช่วันหยุดมักจะพักที่คอนโดมิเนียมเพราะใกล้บริษัทมากกว่า ผู้ที่ดูแลความเป็นอยู่ของกลิ่นแก้วจึงเป็นมารดาของเขา ไม่ว่าจะเรื่องกินอยู่หรือเรื่องเรียน

เอวานมองเด็กเจื้อยแจ้วแล้วยิ้มบาง มารดาของเขาบอกว่าเด็กมันไม่ค่อยพูด แต่พออยู่กับเขากลับพูดเก่ง คงเพราะกฎที่เขาตั้งไว้ว่ามีอะไรให้พูด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องบังคับกันบ้างในบางที

“มิสเตอร์เวสส์...” คำเรียกขานนั้นชะงักเมื่อเจ้าของชื่อทำเสียงในลำคอ

“บอกให้เรียกว่าไง?”

เด็กน้อยเฉหลบสายตา ก็มันไม่ชิน ข้อตกลงอีกอย่างที่เอวานตั้งขึ้นคือไม่ให้เรียกมิสเตอร์เวสส์ ให้เรียกแค่เอวาน

“เอวาน...” เอ่ยเรียกออกไป พอเจ้าของชื่อยิ้มให้จึงพูดต่อเสียงออด “คุณทำอะไรให้ผมตั้งเยอะ แต่ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณเลย”

“จะคิดมากไปทำไม แค่เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตในแบบที่เธอสบายใจก็พอแล้ว”

“......” ดูเหมือนคำตอบจะไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเจ้าตัวเล็กหน้ายุ่ง

“งั้น... เอาแบบนี้” คนตัวโตเอ่ยขึ้น ซึ่งเด็กข้างกายก็ตั้งใจฟังแบบจริงจังเหลือเกิน “ถ้าเรียนจบก็เอาความรู้ที่มีมาช่วยงานมาดาม ดีไหม?”

“ดีครับ” กลิ่นแก้วฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่ยิ้มนั้นจะหุบลงเมื่อนึกขึ้นได้ “แต่... อีกตั้งหลายปีแน่ ๆ เลย”

“กี่ปีไม่สำคัญหรอก เพราะถึงยังไงเธอก็ยังจะอยู่ที่นี่ ใช่ไหม?”

รอยยิ้มสดใสนั้นกลับมาอีกครั้ง ใช่ เขาอยากอยู่ที่นี่ อยากตอบแทนผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่พอจะทำได้ เขาจะทำ เขาจะตั้งใจเรียนเพื่อที่จบมาจะได้มาช่วยงานมาดามเจฟเฟอร์สัน เธอเองก็ดีกับเขามาก แม้รัศมีมาดามมาเฟียจะทำให้เธอน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น เธอมีความเป็นแม่ กลิ่นแก้วเลยชอบที่จะอยู่กับเธอ

เอวานเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าหนูนี่ชอบอยู่กับมารดาของเขา เพราะท่านชอบทำอะไรจุกจิกเวลาว่าง เขาเคยเห็นเจ้าตัวเล็กไปนั่งดูด้วยความสนใจ พอมารดาของเขาสอนก็หัวไวใช้ได้ ทำให้ท่านเอ็นดูหนักหนา จนกลายเป็นคนโปรดของมารดาเขาไปแล้วเวลานี้


......


เช้าวันทำงาน เอวานลงมาจากชั้นบน เจอกลิ่นแก้วในชุดนักเรียนเดินมากับแม่บ้าน กายสูงใหญ่หยุดยืนรอให้เด็กเดินมาถึง แววดีใจในดวงตาคู่โตฉายชัดเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้า

“จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ?” เอ่ยถามออกไป ซึ่งเด็กน้อยก็พยักหน้าพร้อมตอบรับเบา ๆ อยู่ในชุดนักเรียนแบบนี้แล้วดูเป็นเด็กเรียบร้อยเชียว “ให้ไปส่งไหม?”

“โรงเรียนมีรถรับส่งครับ” เจ้าตัวเล็กตอบกลับพาซื่อ

“อืม... ถ้าวันนี้ผู้ปกครองไปส่ง ทางโรงเรียนจะว่าอะไรไหม?”

ดวงตากลมเบิกโตจนเอวานนึกขัน เมื่อเด็กตรงหน้าบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทางโรงเรียนจะว่าเอาหรือไม่ เอวานจึงส่งมือให้จับ มือเล็กยื่นมาจับกับเขาอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปขึ้นรถด้วยกันหน้าคฤหาสน์

เมื่อมาถึงโรงเรียน ก่อนเด็กน้อยจะลงรถไป เอวานก็บอกว่าเลิกเรียนจะให้คนรถมารับไปหามารดาตนที่สำนักงานของห้างสรรพสินค้า ให้รออยู่ที่นั่น หลังเลิกงานเขาจะพาไปกินข้าวนอกบ้านกันค่อยกลับเจฟเฟอร์สัน

มองส่งเด็กที่เดินเข้าโรงเรียนไปแล้วริมฝีปากหยักก็เปิดยิ้มเมื่อนึกครึ้มใจ เหมือนพ่อมาส่งลูกที่โรงเรียนก็ไม่ปาน จะว่าไปแล้วเขากับกลิ่นแก้วก็ดูไม่ต่างจากคำนั้นนัก ด้วยช่วงวัยที่ห่างกันเกินกว่าจะเป็นพี่น้อง หากเขามีลูกช่วงวัยรุ่นก็คงโตเท่ากลิ่นแก้วได้แล้ว



หลังเลิกเรียน คนรถไปรับกลิ่นแก้วมายังห้างสรรพสินค้าของเจฟเฟอร์สัน เอวานโทรมาบอกมารดาว่าจะมาช้าสักหน่อยเพราะไปทำธุระแทนบิดา ผู้เป็นมารดาจึงบ่นกลับไปตามสายที่พอลใช้งานลูกจนไม่ค่อยมีเวลาพัก ทั้งที่เป็นผู้บริหารแล้ว แต่พอลยังเข้มงวดเพราะอยากให้ลูกแกร่งเหมือนตนเอง

เกวนวางสายจากลูกชายก่อนหันมาหาเด็กของลูกที่นั่งเงียบอยู่ ก่อนบอก “เดี๋ยวฉันจะไปดูร้านสักหน่อย จะรออยู่ที่นี่หรือไปด้วยกัน?”

คำถามนั้นทำให้กลิ่นแก้วเหลียวมองรอบกาย ตอนนี้เขาอยู่ภายในสำนักงานของตัวห้างสรรพสินค้าและไม่รู้จักใครนอกจากเกวน ผู้ติดตามสาวชื่อไมร่า และบอดีการ์ดตัวโตจากเวสส์ที่ส่งมาคุ้มกันมาดามมาเฟีย

“ผมขอไปด้วยครับ สัญญาว่าจะไม่ซน”

คำพูดคำจาทำให้เกวนยิ้มขำ ขยี้หัวเด็กน้อยด้วยความมันเขี้ยวก่อนจับจูงพากันลงไปดูร้านที่เธอเป็นเจ้าของ ส่วนมากจะเป็นของทำมือซึ่งเธอริเริ่มมาก่อนหน้าที่จะขยายเป็นศูนย์การค้าเช่นนี้ และที่เพิ่งเปิดตัวพร้อมที่นี่คือร้านจิวเวรี่ที่เธอแสนภูมิใจเพราะคอยดูแลเกือบทุกขั้นตอน

กลิ่นแก้วออกมาเดินเล่นด้านนอกเมื่อเกวนเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยของร้านจิวเวรี่ เธอรับแร่ที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนมาจากลูกชายของเพื่อนที่ทำเหมืองแร่พวกนี้อีกที ทำให้ได้แร่ที่มีคุณภาพ และเมื่อผ่านมือช่างผู้ชำนาญงานมันจึงกลายเป็นอัญมณีที่มีค่า ที่นี่ยังมีสินค้าหลากยี่ห้อและประโยชน์ใช้สอยอีกมากมายให้เลือกสรร แม้มันจะไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่โตอะไรหากเทียบกับที่อื่น แต่เกวนก็พอใจกับมันมาก เมื่อครั้งเปิดตัวใหม่ ๆ ผู้คนก็ให้ความสนใจพอสมควร ทั้งทำเลที่ตั้งยังเป็นใจ มีสิ่งเอื้อความสะดวกในการเดินทางและใกล้ที่พักอาศัยของคนระดับกลางจนถึงขั้นเศรษฐีมีเงิน

วันหยุดสุดสัปดาห์ที่นี่ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ครอบครัวเดลลาร์ก็เป็นอีกกลุ่มที่เลือกมาหย่อนใจด้วยการตากแอร์เย็นฉ่ำในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ เหตุเพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเช่นเจเรมี่อยากมาดูหนัง เด็กหนุ่มตั้งใจจะนัดกันกับเพื่อน แต่ผู้เป็นบิดามารดากลับขอตามมาด้วยเสียอย่างนั้น นั่นทำให้เกิดอาการเซ็งเล็กน้อยเมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปดังที่ตั้งใจ

สายตาเด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าร้านจิวเวรี่ เมื่อก้าวพ้นบันไดเลื่อนมาก็หยุดยืนนิ่งทำให้นางมาเรียมก้าวมาชน ก่อนจะหันเหสายตาไปตามทางที่ลูกกำลังมอง ดวงตาที่โตจนแทบถลนอยู่แล้วยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีก

“นั่นมันไอ้เด็กเหลือขอ!”

เร็วเท่าใจคิด นางมาเรียมเดินจ้ำไปหาเป้าหมายทันทีโดยมีสามีที่ออกอาการแตกตื่นลิ่วตามหลัง เจเรมี่เพียงก้าวช้า ๆ ตามไปอย่างดูสถานการณ์ วันนี้มันวันโลกาวินาศหรืออย่างไร เขาถึงได้เจอแต่เรื่องบ้า ๆ ตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้าน

เงาสะท้อนหญิงร่างท้วมในกระจกทำให้กลิ่นแก้วชะงัก ดวงตากลมเขม้นมองเมื่อมันดูคุ้นตาเหลือเกิน ก่อนที่มันจะเบิกกว้างขึ้น เมื่อหันกลับมาเจ้าของเงาสะท้อนนั้นก็เข้ามาใกล้มากแล้ว ขาเล็กก้าวถอยโดยอัตโนมัติ ก่อนหมุนกายกลับแล้วออกวิ่ง

“กลิ่นแก้ว ไอ้เด็กเหลือขอ แกจะไปไหน!!” นางมาเรียมร้องไล่หลังพลางก้าวตาม

เสียงเอะอะด้านนอกทำให้เกวนหันกลับไปมอง เธอไม่พบว่ามีสิ่งผิดปรกติที่หน้าร้าน แต่เมื่อหันมองรอบกายกลับไม่เห็นกลิ่นแก้ว บอดีการ์ดที่ติดตามเธอก้าวเข้ามาในร้าน คิ้วสวยขมวดเมื่อฟังที่อีกฝ่ายรายงาน

สองขายังพากลิ่นแก้ววิ่งไปไม่รู้ทิศ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ไม่อยากมีความทรงจำเหล่านั้นแล้ว ผู้คนที่มาจับจ่ายภายในห้างสรรพสินค้าหลายหลากทำให้ยากต่อการหลบหนี ร่างเล็กถลาล้มต่อหน้าธารกำนัลเมื่อสะดุดขาตนเอง แม้จะเจ็บแต่กลิ่นแก้วก็ยังพยายามจะลุกขึ้นวิ่งต่อ นัยน์ตาเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำใส พร่ำเรียกหาแต่เอวานแม้จะรู้ว่าเจ้าของชื่อไม่มีทางมาช่วยตนได้

แขนถูกดึงขึ้นทำให้กลิ่นแก้วสะดุ้งสุดตัว ร่างน้อยดิ้นรนทั้งสะบัดให้หลุด แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือนั้นคือใครก็ชะงักกึก เป็นขณะเดียวกันกับที่นางมาเรียมและสามีตามมาถึง

หญิงท้วมหอบเหนื่อยกับการไล่กวดเด็กชาย ริมฝีปากสีสดอ้าขึ้นหมายจะต่อว่าให้สาแก่ใจ แต่มือของลูกชายที่เอื้อมมาจับแขนทำให้นางชะงัก เพิ่งสังเกตเห็นว่าใครอยู่กับเจ้าเด็กนั่น

กลิ่นแก้วเบี่ยงกายหลบหลังร่างสูงใหญ่ที่กำลังมองอีกฝ่ายนิ่งจนเกิดความกดดันรอบบริเวณ สายตาสอดรู้จากผู้คนรอบกายทำให้ครอบครัวเดลลาร์เริ่มอยู่ไม่นิ่ง จนกระทั่งเกวนมาถึงพร้อมผู้ติดตามสาวและบอดีการ์ด บอดีการ์ดด้านหน้ากลิ่นแก้วจึงเลี่ยงให้เธอก้าวมาเผชิญหน้าสามพ่อแม่ลูกนั่น

“พากลิ่นแก้วขึ้นไปรอที่สำนักงาน และช่วยโทรตามคุณเอวานมารับด้วย”

ผู้ติดตามสาวรับคำแล้วพากลิ่นแก้วออกเดิน เด็กชายเหลียวกลับมามองทั้งสามคนนั้นอีกครั้งก่อนเดินตามแรงรั้งไป...

ภายในห้องหนึ่งของสำนักงาน กลิ่นแก้วได้แต่นั่งเงียบ ขาเขาเริ่มปวดจากการล้มกระแทกพื้น แต่ก็ยังคงนิ่งอยู่ ไม่มีใครรู้เห็นเมื่อมันซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงขายาว และเขาก็ไม่คิดจะบอก

ไมร่า ผู้ติดตามของเกวนนำขนมหวานมาให้ เด็กชายก็ไม่ยอมแตะ ทั้งที่ชอบของหวานมาก หญิงสาวได้แต่มองอย่างเป็นกังวล ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออก เธอหันไปมองก่อนค้อมกายเล็กน้อยแล้วเลี่ยงออกไป

ดวงตากลมช้อนมองผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้อง ขอบตาร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลุกขึ้นแล้วโผกอดช่วงขาแกร่งพลางสะอื้น เอวานค่อยแกะแขนเล็กออกแล้วรั้งให้ไปนั่งด้วยกันที่โซฟา ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำใด อีกคนก็แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเครือ

“มิสเตอร์เวสส์...” เสียงดุที่ดังในลำคอทำให้กลิ่นแก้วต้องเปลี่ยนคำเรียกขาน “เอวาน... อย่าส่งผมกลับไปที่นั่นนะครับ ผมไม่อยากอยู่กับพวกเขา จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ช่วยงานอะไรที่เจฟเฟอร์สันก็ได้ อย่าส่งผมกลับไปที่นั่นเลย”

ทั้งร้องขอทั้งสะอื้นไปพลาง มืออุ่นลูบผมปลอบประโลมเด็กแสนคิดมาก “ไม่มีใครส่งเธอกลับไปที่ไหนทั้งนั้น และไม่มีทางที่ใครจะมาพาเธอไปจากที่นี่ ถ้าฉันไม่อนุญาต”

“.....” น้ำตาเด็กน้อยยังร่วงผล็อย ยิ่งเอวานให้ความมั่นใจ มันยิ่งไหลไม่หยุด

นิ้วยาวเกลี่ยน้ำตาให้เบามือ ขณะมองสบนัยน์ตาแสนซื่อนั้น “ฉันเคยบอกว่าอยู่ที่นี่แล้วเธอจะปลอดภัย ซึ่งนั่นฉันไม่ได้โกหก หากเธอจะเชื่อมันสักนิด”

“ผมเชื่อ และผมก็อยากอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณที่เจฟเฟอร์สัน”

ร่างเล็กโผเข้าซุกอกแกร่ง มือหนาลูบแผ่นหลังของเด็กน้อยเบา ๆ

“เธอจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา... ทุกอย่าง”



ลานหน้าห้างสรรพสินค้า ครอบครัวเดลลาร์ออกจากที่นั่นมาด้วยความหัวเสีย นางมาเรียมบ่นพึมเมื่อถูกอีกฝ่ายข่มขู่ นอกจากเรื่องร้านแล้ว ความปลอดภัยในชีวิตยังถูกลิดรอน นางล่ะอยากจะแจ้งความเสียนัก แต่เมื่อดูสถานะของตนกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว การแจ้งความดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดี

“แย่ แย่ที่สุด”

เจเรมี่กลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายเมื่อมารดาของตนยังบ่นไม่เลิก เด็กหนุ่มเดินนำไปก่อน ปล่อยให้นางมาเรียมบ่นเป็นหมีกินผึ้งต่อไปอย่างนั้น

“ทำมาเป็นข่มขู่เรา โธ่เอ๋ย เด็กนั่นมันสำคัญอะไรนักหนา” ยิ่งคิดนางยิ่งขัดเคือง

“ก็เขารับอุปการะมันแล้ว เราเข้าไปยุ่งได้ที่ไหนกัน” นายเจคว่า ลึก ๆ ก็อดโล่งอกไม่ได้ที่กลิ่นแก้วมีความเป็นอยู่ที่ดี แม้เขาจะไม่ใช่คนดีนัก แต่อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็เป็นลูกบุญธรรมของพี่สาว

“นึกว่าฉันอยากยุ่งนักหรือไง ดูมันสิ แทนที่จะสำนึกในบุญคุณเราบ้าง นี่อะไร เห็นเราแล้ววิ่งหนี ทำให้คนพวกนั้นมันเข้าใจว่าเราจะไปทำร้าย บ้าจริง!”

ผู้เป็นสามีได้แต่ฟังนางบ่นด้วยความฉุนเฉียว เพราะถึงอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น พวกเขายังรักตัวกลัวตาย ไม่คิดที่จะต่อกรกับผู้ที่มีอำนาจในมือให้ทางรอดมันน้อยลงหรอก

รถยนต์ติดฟิล์มทึบแล่นผ่านทั้งสามคนไป ด้านในนั้นกลิ่นแก้วยังคงเหลียวกลับมามอง ก่อนที่มือของคนข้างกายจะเอื้อมมารั้งให้หันกลับ ตากลมช้อนมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนคนนั้น เขาจะมัวอ่อนแอไม่ได้ จะเป็นภาระให้เอวานแบบนี้ไม่ได้

เด็กชายค่อยเอื้อมมือไปวางบนมือใหญ่ นัยน์ตาคู่คมไม่ได้หันมามองเขา แต่อุ้งมืออุ่นกลับหงายขึ้นมาแล้วสอดกุมมือของเขาเอาไว้ เพียงเท่านั้นหัวใจดวงน้อยก็พลันอุ่นขึ้น

เมื่อกลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน อาการเจ็บที่ขาก็เริ่มเล่นงานกลิ่นแก้วหนักขึ้น เหมือนช่วงเข่ามันจะปวดมากกว่าปรกติ พอก้าวลงจากรถก็เสียวแปลบขึ้นมาจนเกือบล้มลง ดีที่ดึงชายเสื้อสูทของบอดีการ์ดตัวโตไว้ทัน

“ระวังด้วยสิ” เสียงอีกฝ่ายเอ่ยเตือน

“ขอโทษครับ มิสเตอร์ทอมัส” กลิ่นแก้วลดมือจากชายเสื้อแล้วพยายามยืนให้ตรง ตั้งใจจะออกเดินให้เป็นปรกติแต่ก็ทำไม่ได้ จนเอวานหันกลับมามอง

“เป็นอะไร?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่เด็กกลับส่ายหน้าจนต้องดุ “กลิ่นแก้ว”

“เจ็บขานิดหน่อยครับ...” อ้อมแอ้มบอกออกไป ทั้งที่เพิ่งบอกตัวเองว่าอย่าอ่อนแอ แต่ตอนนี้กลับแสดงความอ่อนแอให้เอวานเห็นอีกแล้ว เด็กช่างคิดมากก็ยังคิดมากอยู่อย่างนั้น

“ทำไมไม่บอก!?”

กลิ่นแก้วสะดุ้งเมื่ออีกคนเสียงดัง ก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกว่าตนเองทำผิดอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยขอโทษออกไป ขาก็ลอยจากพื้น แขนเรียวรีบคล้องกอดคอคนอุ้ม ตากลมเบิกโต

เอวานอุ้มเด็กเข้าคฤหาสน์ เรียกแม่บ้านให้ตามตนขึ้นไปด้านบนพร้อมกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากอาการไม่ดีคงต้องพาไปหาหมอ นึกขัดใจอยู่หน่อย ๆ ที่กลิ่นแก้วไม่ยอมบอกทั้งที่เจ็บจนแทบเดินไม่ไหว

“ได้ตัดขาเด็กก็วันนี้ล่ะ!” ยังไม่วายข่มขู่เด็กมันซ้ำอีก

ใบหน้าเรียวบิดเบ้เมื่อชักเชื่อคำขู่ของเอวานเพราะหัวเข่าที่เริ่มปวดหนักขึ้น เขาจะต้องตัดขาจริง ๆ ใช่ไหม?

“ไม่ต้องกลัวหรอก ถึงขาจะถูกตัดไป เธอก็ยังเดินได้ ฉันจะซื้อขาเทียมให้เธอเอง”

“เอวาน...”

เด็กน้อยปล่อยโฮทันทีที่เขาพูดจบ สีหน้าเอวานไม่ได้รู้สึกว่าล้อเล่น เสียงสะอื้นจากเด็กในอ้อมแขนดังไปจนถึงห้องนอน แม่บ้านเข้ามาช่วยดูแผล ด้วยความที่ขยับขาลำบากทำให้ต้องเกาะเอวานไว้แล้วให้แม่บ้านช่วยถอดกางเกงออก ช่วงเข่าจนถึงหน้าแข้งขวาที่ช้ำเป็นจ้ำทำให้กลิ่นแก้วปล่อยโฮเอาอีก ด้วยความที่ขาช้ำจนน่าห่วงทำให้เอวานสั่งคนให้เอารถออก ชายหนุ่มอุ้มคนเจ็บลงไปด้านล่างอีกหนเมื่อคิดว่าไปหาหมอตรวจดูอีกทีน่าจะดีกว่า

“เอวาน หมอจะตัดขาผมไหม?” คำถามจากเจ้าตัวยุ่งดังมาพร้อมเสียงสะอื้น เอวานทำมึนไม่ตอบ ใบหน้าเซียวนั้นยิ่งสลด นั่งก้มหน้าร้องไห้เงียบ ๆ ไปจนถึงโรงพยาบาล

ผลการตรวจที่ออกมาเป็นเพียงอาการอักเสบเพราะเข่าซ้น ขาที่ช้ำก็มาจากการล้มกระแทกพื้นเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าห่วง ฟังคำวินิจฉัยของหมอแล้วกลิ่นแก้วก็หันมามองเอวานอย่างมีคำถาม

คนขี้แกล้งทำมองไม่เห็น บทจะแกล้งกัน เอวานก็ตีบทแตกกระจุย อยากแก้นิสัยมีอะไรก็เก็บไว้คนเดียวของกลิ่นแก้วให้หายไปเสียที แม้กลิ่นแก้วจะบอกว่าเชื่อเขา แต่นั่นมันไม่ใช่ทั้งหมด ยังคงมีกำแพงในใจของเด็กคนนี้ มันยังไม่ถูกทำลายลงในทันที เวลาคงช่วยให้ช่องว่างที่มองไม่เห็นนั้นมันค่อย ๆ ลดลงไป เขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

กลับมาถึงเจฟเฟอร์สัน เจ้าตัวยุ่งก็บอกจะเดินเอง แต่ท่าทางจะขัดหูขัดตาทอมัสเลยจัดการอุ้มไปส่งบนห้อง ไม่สนใจเสียงร้องท้วงของเด็กน้อย แถมเอวานยังไม่ห้ามอีก แขนเล็กเลยจำต้องกอดคอบอดีการ์ดตัวโตอย่างเลี่ยงไม่ได้

เห็นเด็กเจ็บตัวแบบนี้ก็ทำให้เอวานนึกถึงตอนเจอกันครั้งแรก ตอนนั้นก็วิ่งหกล้มหกลุกมาจนข้อเท้าพลิก คราวนี้มาหัวเข่า ขนาดว่าเป็นเด็กเรียบร้อยยังได้แผลไม่หยุด นี่ถ้าดื้อสักหน่อย เขาละไม่อยากจะคิด

กลิ่นแก้วบอกขอบคุณบอดีการ์ดหนุ่มเมื่อเขาวางลง ตัวเล็กขยับไปนั่งปลายเตียง จับขาตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้สึกปวดขึ้นมานิด ๆ คุณหมอฉีดยาแก้ปวดให้ มันก็พอทุเลาบ้าง แต่ขยับเยอะก็ชักปวดตึงขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วเหมือนกัน

“แมกซ์เวลให้แม่บ้านเตรียมอาหารเย็นให้อยู่ ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน จะได้กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก” เอวานเอ่ยบอก

แผนกินข้าวนอกบ้านถูกพับหลังจากเจอสามคนนั่น กะจะกลับมากินที่เจฟเฟอร์สัน เจ้าตัวเล็กก็ขาเจ็บจนต้องไปโรงพยาบาลเอาอีก จนตอนนี้มืดค่ำแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

“ครับ”

กลิ่นแก้วรับคำก่อนค่อยลุกเดินเขยกไปยังตู้เสื้อผ้า ดูท่าเดินแล้วไม่น่ารอด เอวานจึงเข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้ ก่อนส่งแขนให้เกาะพาเข้าห้องน้ำ ช่วยถอดชุดแถมเป็นหลักให้พยุงกายไปนั่งลงบนขอบอ่างอาบน้ำ ม้วนแขนเสื้อเตรียมจะอาบน้ำให้

“ผ... ผมอาบเองได้ครับ” กลิ่นแก้วรีบบอก ไม่อยากรบกวนขนาดนั้น

“ถ้าลุกยืนตรง ๆ ได้จะเชื่อ” เอวานตั้งข้อแม้ กอดอกมองเด็กน้อยหน้าจ๋อยเมื่อทำไม่ได้

“เดี๋ยวเสื้อคุณเปียก” เสียงออดอ่อยนั่นว่า

เอวานนิ่งคิด ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง”

กายสูงใหญ่ออกจากห้องน้ำไป ทำให้กลิ่นแก้วพรูลมหายใจ นอกเหนือจากกลัวเสื้อผ้าอีกฝ่ายเปียกก็คือความเกรงใจที่ผสมปนเปไปกับความอาย ก็เขาไม่ชินกับการแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้

ตัวเล็กขยับลุกโดยใช้มือข้างหนึ่งดันขอบอ่างเพื่อพยุงตัว กะว่าจะรีบอาบแล้วออกไปแต่งตัว แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรอย่างใจคิด ประตูห้องน้ำก็เลื่อนเปิด พอหันไปมองก็เห็นว่าเอวานกลับเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูพันเอวและเก้าอี้เตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง

“นั่งสิ” เอ่ยบอกเด็กที่ยืนตาโตเมื่อวางสิ่งที่ถือมาด้วยลงบนพื้นห้องน้ำ

กลิ่นแก้วกะพริบตาเรียกสติ นิ้วเล็ก ๆ ชี้ขึ้นลงเมื่อเอ่ยถาม “ทำไมพี่ถึง...”

“กลัวเสื้อฉันเปียกไม่ใช่เหรอ?”

“......” ตากลมกะพริบปริบ ริมฝีปากเผยอค้างกับเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมา

“เอ้า นั่ง”

มือเล็กคว้าจับแขนแกร่งเพื่อพยุงตัว ค่อยนั่งลงตามคำสั่ง เอวานช่วยเปิดน้ำฝักบัวราดตัวให้ เด็กน้อยก็ขัด ๆ ถู ๆ สบู่ไป เขาจึงหันมาปลดผ้าเช็ดตัวแล้วอาบให้ตัวเองบ้าง ในเมื่อเปียกแล้วก็อาบให้เสร็จไปเลยดีกว่า

หลังอาบน้ำเสร็จ เอวานก็ยังเป็นหลักให้เจ้าตัวเล็กจับพยุงเดิน จะได้ไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปบนขาข้างที่เจ็บมากนัก ก่อนไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาให้

กลิ่นแก้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ยังพราวไปด้วยหยดน้ำ ยิ้มกับตัวเองเมื่อได้รับความใส่ใจดูแลขนาดนี้ ความจริงเอวานไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยตัวเองก็ได้ แค่ออกคำสั่ง คนในคฤหาสน์ก็พร้อมจะทำให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายเลือกจะดูแลเอง กลิ่นแก้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันพิเศษ

พอกลิ่นแก้วแต่งตัวเสร็จ เอวานเลยเลี่ยงออกไปห้องตัวเองเพื่อแต่งตัวบ้าง ก่อนกลับเข้ามาพร้อมแม่บ้านและอาหารสำหรับเด็กในห้อง ดึงเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือออกมานั่ง รอเด็กกินข้าวเสร็จจนกระทั่งกินยาจนเรียบร้อยถึงได้ออกไป

กลิ่นแก้วถอนใจเบา นั่งพิงหัวเตียงแล้วจับผมที่เอวานลูบก่อนออกจากห้องไปเมื่อครู่แล้วยิ้มบาง เอวานเป็นคนใจดี เขารู้สึกได้ว่าเอวานแตกต่างกับทุกคนที่เคยเจอมา นอกจากมารดาแล้วไม่เคยมีใครใส่ใจเขาได้ขนาดนี้ สิ่งที่จะตอบแทนความใจดีนั้น เอวานบอกแล้วว่าให้ตั้งใจเรียนและใช้ชีวิตในแบบที่สบายใจ หลังเรียนจบให้ช่วยงานมาดามเจฟเฟอร์สัน นั่นก็พอแล้ว กลิ่นแก้วยังจำมันได้ขึ้นใจ และรู้สึกขอบคุณเสมอเพราะการที่อีกฝ่ายบอกว่าเรียนจบแล้วให้ช่วยมาดามทำงาน นั่นเท่ากับคำสัญญาว่าเขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง

ก่อนนี้กลิ่นแก้วมักคิดเสมอว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่ หลังมารดาจากไปเขาก็เคว้ง ไร้หลักยึด มีเพียงรูปของบิดาเท่านั้นที่ทำให้มีหวัง หวังว่าสักวันจะได้พบ หวังว่าสักวันจะมาพาออกไปจากความทุกข์ตรมที่มี กระทั่งตอนนี้ กลิ่นแก้วรู้แล้วว่ามันคือความเพ้อฝัน เป็นการฝันลม ๆ แล้ง ๆ แบบที่เจเรมี่เคยว่าไว้จริง ๆ เขาไม่มีทางหาคนคนนี้พบ ยิ่งเมื่อได้ออกมาสู่โลกกว้าง ได้พบเจอผู้คนและได้รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่บ้านของมารดาและเดลลาร์ ดี แต่มันกว้างกว่านั้นมาก จึงไม่มีทางเลยที่คนไร้ประโยชน์แบบเขาจะสมหวัง

แต่เมื่อเอวานยื่นมือเข้ามา มืออบอุ่นคู่นั้นคอยประคองเขาไว้เสมอไม่ว่าเมื่อไร คนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่มีส่วนเกี่ยวพัน กลับทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเขา ทำให้เวลานี้ความหมายในการมีชีวิตของกลิ่นแก้วคือเอวาน เพราะมีเอวาน ถึงรู้สึกว่าดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่...




`TBC



ยังคงไม่มีอะไรหวือหวา  :laugh:

บวกขอบคุณทุกท่านเช่นเคยค่า  :L2:


ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เป็นความโชคดีของกลิ่นแก้ว ที่ครอบครัวของเอวานเอ็นดูน้อง

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อ่านแล้วอยากไปเผาร้าน3พ่อแม่ลูกนั้นจริงๆ  :katai1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Rateesiri

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 143
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กลิ่นแก้วน่ารักจริงๆ รีบโตนะลูก

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
สนุกมากๆๆๆๆๆ แบบอ่านเพลินมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
นังมักกะโรนีอย่ามายุ่งกะน้องนะ อีครอบครัวมหาภัยนั่นอีก  :fire: :m31:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เลี้ยงต้อยที่แท้ทรู

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
บุหรงเริงไฟ

บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว)


ห้องผู้บริหารภายในบริษัทตระกูลวิลสัน มากาเร็ตที่มาพบบิดามีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังรายงานจากคนของบิดา หลังจากที่เธอเข้าไปบริหารงานใน Ace Casino แม้จะมีคนที่บิดาส่งไปเป็นผู้ช่วยแต่เธอก็ยังวุ่นวายกับหลายสิ่ง เพราะไม่ใช่คนของตระกูลไรท์ ทั้งยังเป็นผู้หญิง ทำให้การจะได้รับการยอมรับมันยากเย็นเหลือเกิน พี่น้องของสามีก็คอยแต่จะหาทางโจมตีให้เธอหลุดจากผังบริหาร โดยเฉพาะพี่คนโตอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ที่นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่เคยเห็นใครในสายตา และในเวลานี้เรื่องที่เธอให้คนไปเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเอวาน เวสส์และเด็กที่เธอสงสัยว่าจะเป็นลูกของสตีเฟ่นกับอดีตภรรยาก็เริ่มเป็นที่ระแคะระคาย จนเธอต้องมาพบบิดาเช่นตอนนี้

“ฟรานเชสอาจใช้จุดนี้มาเล่นงานลูก ยิ่งถ้ารู้ว่าเด็กที่อยู่กับเจ้าหนุ่มนั่นคือสายเลือดตระกูลไรท์ แม้ไม่อยากมีมารมาคอยขัดผลประโยชน์ แต่การใช้ประโยชน์จากเด็กที่ไม่มีพิษสงเพื่อกำจัดลูก คงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้น

มากาเร็ตเองก็คิดเช่นนั้น ทางเลือกเธอมีไม่มาก หากเธอยังดึงดันที่จะเอาตัวเด็กมาจากเอวาน แน่นอนว่าเธอต้องกลายเป็นศัตรูกับเอวานโดยไม่ต้องสงสัย แต่หากยังทำยึกยักไม่ลงมือสักทีจนพี่น้องตระกูลไรท์จับได้ และเด็กคนนั้นตกไปอยู่ในมือของพวกเขา ความฉิบหายก็จะมาลงที่เธอเช่นกัน ดังนั้น ทางที่ดีเธอควรต้องถอยห่างจากเด็กคนนั้นก่อน ควรรับมือกับศัตรูเพียงด้านเดียว ดีกว่าสร้างศัตรูเพิ่ม

“สั่งคนของเราให้ถอยออกมาก่อน อย่าให้ฟรานเชสระแคะระคายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด” เธอสั่งผู้ช่วยของเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรับคำในทันที

ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเห็นด้วย เวลานี้การรับมือกับพี่น้องตระกูลไรท์สำคัญกว่า ยิ่งสตีเฟ่นจากไป มากาเร็ตยิ่งรับมือกับพวกนั้นลำบาก ก่อนนี้สตีเฟ่นเป็นเพียงพวกไม่เอาอ่าว ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานในคาสิโน แล้วแต่พี่น้องจะจัดการกันเอง แต่ก็ยังไม่ยอมเทหุ้นทั้งหมดในมือไปให้ใคร และไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวาย จนกระทั่งมากาเร็ตเข้าไปดูแลในนามภรรยาผู้รับผลประโยชน์จากสามีตามกฎหมาย ยิ่งทำให้พี่น้องตระกูลไรท์ไม่ชอบใจ เพราะ Ace Casino เป็นธุรกิจของครอบครัว เธอจึงเป็นผู้หญิงคนเดียวในฝูงหมาป่า หากไม่แกร่งจริง คงยืนหยัดอยู่ไม่ได้เป็นแน่


......


บริษัทหลักทรัพย์เวสส์

แฟ้มเอกสารถูกปิดแล้วดันไปรวมกันที่มุมโต๊ะ นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลา ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้ม มือคว้าสูทที่พาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้มาสวมเพื่อเตรียมจะกลับไปพัก กายสูงใหญ่ออกจากห้องทำงานมา เลขานุการหน้าห้องที่กำลังจะรายงานบางสิ่งกลับต้องงับปากลงเมื่อผู้เป็นนายเอ่ยแทรก

“ถ้ามีงานด่วนอะไรก็ให้แมกซ์เวลจัดการไปก่อนนะครับ มิสซิสราเชล ส่วนเอกสารที่ต้องเซ็นอนุมัติ ถ้าไม่ด่วนมากก็เอาไว้พรุ่งนี้”

“เอ่อ...” มิสซิสราเชลผู้ถูกสั่งงานมีท่าทีอึกอัก เรื่องด่วนมันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่เกี่ยวกับเอกสารดังที่นายว่า

เห็นท่าทีของอีกฝ่าย เอวานก็หยุดเท้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”

ที่สุดแล้วเขาก็จำต้องเปลี่ยนเป้าหมาย เอวานเข้าพบบิดาที่ห้องทำงานของท่านเมื่อได้ทราบเรื่องจากเลขานุการสาวใหญ่ บอดีการ์ดที่พักนี้เขาเริ่มคุ้นตาอยู่ประจำการด้านหน้าห้อง ทั้งสองผงกศีรษะให้เมื่อเขาเดินผ่านเข้าไป

ภายในห้อง นอกจากบิดาของเขาแล้วยังมีแขกกิตติมศักดิ์ เธอหันมาส่งยิ้มทักทาย ซึ่งเอวานก็กดศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายเธอตอบแล้วก้าวเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งของโซฟารับแขกภายในห้องนั้น

“หนูวาเนสซ่ามาติดต่องานที่บริษัทแทนพ่อของเธอน่ะ” พอล เวสส์เอ่ยบอกกับลูกชาย

วาเนสซ่า เทย์เลอร์ บุตรสาวบริษัทคู่ค้าคนสำคัญของเวสส์ เอวานและหญิงสาวรู้จักกันมาได้สักพักจากการแนะนำของบิดาทั้งคู่ เขาค่อนข้างอึดอัดเล็ก ๆ กับการจับคู่กลาย ๆ ของบิดา แต่ก็ยังคงวางตัวในระดับที่เหมาะสม

“ไปส่งน้องสักหน่อยสิ อาหารร้านที่เอวานพาพ่อไปวันนั้นก็รสชาติดีนะ”

เอวานชะงักเมื่อผู้เป็นบิดากล่าวราวเปิดทางให้เช่นนั้น นัยน์ตาสีควันบุหรี่มองสบกับท่าน ท่านก็ทราบว่าวันนี้วันอะไร และเขาผิดนัดไม่ได้

“จริง ๆ ถ้าคุณมีธุระสำคัญต้องไป ฉันก็ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” วาเนสซ่าเอ่ยขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มหยุดคิดนานเกินไปในความรู้สึก

“ไม่หรอกครับ ถือเป็นเกียรติมากกว่าหากเราได้ทานอาหารร่วมกันสักมื้อ”

คำตอบของเอวานทำให้หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ อย่างไว้ท่าที ขณะที่ผู้เป็นบิดาเปิดยิ้มพอใจที่ลูกไม่ฉีกหน้าตน เขารู้ว่าวันนี้วันสำคัญ เอวานอาจโกรธที่เขาทำเช่นนี้ แต่ลูกควรจะขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำหากรู้ว่ามีอะไรรออยู่ระหว่างทางกลับเทย์เลอร์ โดยที่พอลหารู้ไม่ว่านั่นมันช่างเป็นความคิดที่ตื้นเขิน เอวานก็คือเอวาน ลูกชายของเกวน เจฟเฟอร์สัน ไม่มีทางหล่นไกลต้น



คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน

สวนสวยถูกตกแต่งไฟประดับเล็ก ๆ เพื่อต้อนรับวันที่แสนอบอุ่นในค่ำคืนที่จะถึงนี้ บนพื้นทางเดินที่ทอดยาวสู่ตัวศาลาถูกโรยด้วยกรวดสีขาวและปักเทียนรูปร่างน่ารัก เด็กผู้ชายตัวเล็กนั่งยองจัดมันอย่างตั้งใจ ขณะที่เสียงสั่งงานของเกวนยังดังอยู่ไม่ไกล มือเล็กล้วงก้อนกรวดในกระบะมาวางเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสร็จจึงค่อยเปิดยิ้มกับผลงานของตน

เกวนมองเด็กที่ดูตั้งอกตั้งใจแล้วก็ยิ้มบาง วันนี้เป็นวันสำคัญของกลิ่นแก้วและเอวาน ถือเป็นความบังเอิญที่พอเหมาะเมื่อพวกเขาเกิดวันเดียวกัน เพียงแค่ห่างกันเกือบสองรอบก็เท่านั้น เอวานไม่ชอบให้จัดงานวันเกิด มันดูเอิกเกริกเกินไปทั้งที่มันก็แค่วันวันหนึ่งก็เท่านั้น ตลอดมาแทนที่เจ้าของวันเกิดจะอยากได้ของขวัญ ผู้เป็นมารดาเช่นเกวนกลับเป็นฝ่ายได้รับเสียเอง และเอวานก็ทำเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีกลิ่นแก้วเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเจฟเฟอร์สัน

งานวันเกิดครั้งแรกถูกจัดเมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากกลิ่นแก้วเข้ามาอยู่ที่นี่อย่างสนิทใจ เมื่อเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่ตนเองทำกลับทำให้เด็กคนหนึ่งมีรอยยิ้ม เอวานก็เลือกที่จะทำมันอีกในปีต่อมา เพราะมีเอวานอยู่ กลิ่นแก้วถึงยังยืนหยัดไม่ล้มลง เมื่อแรกช่างเป็นเด็กประหยัดคำพูดเสียจนเกวนกลัวจะกลายเป็นเด็กเก็บกดไปเสีย หลัง ๆ มานี้ดีหน่อย กล้าที่จะพูดคุยซักถามมากขึ้น ได้มองดูการเติบโตของเด็กคนนี้แล้วก็ให้นึกถึงเอวานตอนยังเล็ก คนนั้นเขาช่างอ้อนน่าดู แต่เด็กคนนี้กลับเจียมตนจนน่าห่วงว่าจะติดนิสัยไปจนโต

“แก้ว พอได้แล้ว ไป ไปล้างไม้ล้างมือแล้วเตรียมของขวัญลงมาวางที่โต๊ะ เอวานกลับมาจะได้กินข้าวเย็นกัน”

“ครับ มาดาม” เด็กชายยิ้มรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง

เวลาค่อยผ่านไปช้า ๆ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทำให้ต้องเปิดไฟให้ความสว่าง เด็กชายเข้ามาขลุกอยู่ในครัว มองกล่องของขวัญบนโต๊ะด้วยแววละห้อย เอวานยังไม่มา ยังไม่กลับมา เขาทำได้แค่รอ รอต่อไปด้วยความคาดหวัง

เกวนเลี่ยงมาโทรหาลูกชายเมื่อเลยเวลามามากกว่าปรกติ ป่านนี้เอวานน่าจะกลับมาถึงและงานวันเกิดเล็ก ๆ ก็คงเริ่มขึ้นด้วยความชื่นมื่น ผู้เป็นตากับยายรอหลานชายอยู่นานจนเกวนต้องให้คนจัดโต๊ะอาหารเย็นให้พวกท่านเสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าเอวานจะกลับมาถึงตอนไหน นี่ติดงานด่วนจนกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร

“ขอโทษครับ มัม ผมมาธุระข้างนอก วันนี้อาจกลับดึกสักหน่อย” เสียงผู้เป็นลูกตอบมาอย่างขอลุแก่โทษ

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้วันอะไร?”

“ไม่ลืมครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ มัม”

“กับแม่คงไม่เท่าไรหรอก เข้าใจถึงความจำเป็น แต่กลิ่นแก้วน่ะสิ มาอธิบายกันเองแล้วกันคุณพ่อลูกหนึ่ง”

ได้ยินเสียงเอวานหัวเราะมาตามสาย เพราะไม่เห็นน่ะสิว่าเด็กมันจ๋อยสนิทแค่ไหนถึงยังหัวเราะกับคำเย้าหยอกแกมประชดของเธอได้

ไฟประดับในสวนถูกปิดเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนดึก อาหารที่ถูกตระเตรียมถูกเก็บ บ้างก็แจกจ่ายให้คนในคฤหาสน์ได้ลิ้มรส กลิ่นแก้วมองมันถูกลำเลียงไปจากโต๊ะที่จัดไว้เสียดิบดีอย่างใจหาย ปีนี้จะไม่มีการให้ของขวัญ ไม่มีคำอวยพร ไม่มีอ้อมกอดอุ่น ๆ ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ที่เป็นเจ้าของวันเกิดร่วมกัน ไม่มีแล้ว ไม่มี...

เด็กชายค่อยเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไปด้วยใจห่อเหี่ยว พร้อมกับไฟประดับทุกดวงที่ดับลงไล่หลัง เช่นเดียวกับความหวังของเขาที่หมดลง

เอวานกลับมาหลังจากนั้นพอสมควร เสื้อสูทถอดให้แม่บ้านที่มารอรับ ชายหนุ่มคลายเนคไทแล้วพรูลมหายใจเมื่อก้าวยาว ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบน กายสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนึ่งก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป บนเตียงนอน เจ้าของห้องหลับไปแล้ว สายตาคมมองกระดาษห่อของขวัญที่ถูกแกะทิ้งไว้ข้างเตียง ก่อนเลื่อนมามองบางสิ่งในอ้อมแขนคนหลับ ค่อยนั่งลงเพียงหมิ่นเหม่บนเตียงนุ่ม ลูบกลุ่มผมนุ่มมือแล้วจึงโน้มลงไปจูบหน้าผากอุ่นอย่างที่เคยทำเสมอ

“ขอโทษนะ เด็กน้อย ไว้จะชดเชยให้” กระซิบเพียงแผ่วข้างใบหูบาง ก่อนกดจูบราตรีสวัสดิ์อีกครั้งแล้วออกจากห้องไป


......


คฤหาสน์เจฟเฟอร์สันในช่วงเช้า กลิ่นแก้วในชุดนักเรียนรีบเข้าไปในครัวเพื่อให้คนครัวช่วยปิ้งขนมปังและขอนมดื่ม หลังจัดการของทุกอย่างในเวลารวดเร็วก็วิ่งออกไปที่หน้าคฤหาสน์ วันนี้เขาตื่นสาย รถกำลังจะมารับเขาแล้ว

บอดีการ์ดด้านนอกเคลื่อนรถกอล์ฟมารับไปส่งหน้าทางเข้า เมื่อลงจากรถมายืนรอไม่นาน รถโรงเรียนก็มาถึง ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปกลับมีเสียงแตรดังขึ้นด้านหลัง รถคันคุ้นตาทำให้ต้องนิ่งมอง กระจกรถค่อยเลื่อนลงก่อนที่แมกซ์เวลจะยื่นหน้าออกมาบอก

“มาขึ้นรถ กลิ่นแก้ว”

คิ้วเด็กชายขมวด หันไปทางรถโรงเรียนที่เปิดประตูรออยู่แล้วบอกกับทางนั้นว่ารถที่บ้านจะไปส่งก่อนผละมา เมื่อเข้ามานั่งข้างอีกคนบนรถก็เห็นว่ากำลังผูกเนคไทอยู่ ได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ ก็แอบชำเลืองมอง สบเข้ากับนัยน์ตาคมที่เหมือนจะมองอยู่ก่อนแล้วจึงรีบเบือนกลับ

“ผูกเป็นไหม?” เอวานเอ่ยถาม

กลิ่นแก้วมองเนคไทเส้นเดิมที่ยังผูกไม่เสร็จ ก่อนบอก “เป็นครับ”

“ผูกให้หน่อย”

เด็กชายเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจ เขาผูกไปโรงเรียนบ่อยจนชินแล้ว แต่ไม่เคยผูกให้คนอื่น ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจริงจัง ทำให้ต้องเอื้อมมือไปผูกให้

มองเด็กที่กำลังผูกเนคไทให้อย่างตั้งใจแล้วเอวานก็อมยิ้ม กลิ่นแก้วโตขึ้นทุกวัน ได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของเด็กคนหนึ่งในฐานะผู้ปกครองมันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด จนอดนึกไปถึงสตีเฟ่นไม่ได้ หมอนั่นคงอยากมองภาพแบบนี้เหมือนกัน

ทุกปีเขายังพากลิ่นแก้วไปที่สุสาน ไปเยี่ยมสตีเฟ่น กลิ่นแก้วไม่เคยถามว่าเจ้าของหลุมศพนั้นคือใคร ไม่มีการตั้งคำถาม เหมือนว่าทุกอย่างที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกทั้งหมด

ก่อนหน้านี้เขายังต้องคอยระวังเรื่องคนของวิลสัน แต่พักหลังมาเหมือนมากาเร็ตจะมีปัญหากับฝั่งไรท์ ทำให้เงียบหายไป แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจนัก ทำให้ต้องส่งคนมาเฝ้าดูที่โรงเรียน โดยที่กลิ่นแก้วก็ไม่เคยรู้

เอวานแกล้งขยับตัวกวนสมาธิเด็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจ มือที่กำลังง่วนอยู่จึงชะงัก ตากลมช้อนขึ้นมามองเขา ทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม

“อะไร?”

“ถ้าคุณไม่อยู่นิ่ง ๆ มันอาจจะเบี้ยว” เด็กมันว่า

“ทำไม?” ผู้ใหญ่ก็ยังทำไขสือ

“ผมไม่เคยผูกให้ใคร ไม่มั่นใจว่าจะออกมาดีไหม ถ้ายังไงให้...”

“ไม่”

กลิ่นแก้วเม้มปากเมื่อถูกดักมาเช่นนั้น กะว่าจะให้บอกมิสเตอร์แมกซ์เวลทำต่อ แต่เมื่อถูกปฏิเสธทันควันจึงต้องค่อยผูกไปช้า ๆ จนเสร็จ

เมื่อมาถึงโรงเรียน กลิ่นแก้วเอ่ยขอบคุณที่มาส่งก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป มือใหญ่เอื้อมมาคว้าข้อมือไว้ ทำให้หันกลับมามองอย่างมีคำถาม

“เดี๋ยวเย็นนี้มารับ ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันก่อนกลับเจฟเฟอร์สัน โอเคไหม?”

“ครับ” กับเอวาน กลิ่นแก้วไม่เคยอิดออด ทำให้ตอบกลับไปง่าย ๆ เช่นนั้นก่อนลงรถแล้วปิดประตู

รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว กลิ่นแก้วได้แต่มองตามด้วยแววละห้อย เอวานคงลืมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร ถึงได้ไม่พูดถึงมันเลย ที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย เขาเองก็ไม่ได้อยากทำตัวมีปัญหา แต่อดน้อยใจเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่ดี แค่แอบน้อยใจคงได้ใช่ไหม เอวาน?

“โตป่านนี้แล้วยังให้ที่บ้านมาส่งอีก”

เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้กลิ่นแก้วปรายสายตาไปมอง คาร์เตอร์ เพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนนิสัยแบบนั้นทำให้กลิ่นแก้วไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เพียงก้าวเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยมีอีกคนที่รีบก้าวมาเดินข้างกัน

“นี่ เย็นนี้ฉันว่าจะเลี้ยงข้าว ไปด้วยกันไหม?” คาร์เตอร์เอ่ยชวน ก่อนรีบแก้เมื่อถูกมองหน้า “เฮ้ อย่าเข้าใจผิด ฉันชวนเพื่อนทุกคนแหละ”

ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย กลิ่นแก้วคิดในใจก่อนบอกไปเรียบ ๆ “ขอบใจที่ชวน แต่คงไม่ได้ ฉันนัดกับพี่ชายไว้แล้ว”

เพราะอยู่ในความดูแลของเกวน สถานะของเอวานจึงเป็นพี่ชาย แต่เอาเข้าจริง เอวานก็ชอบคิดว่าตัวเองเป็นพ่อมากกว่าเป็นพี่เสียอีก

“เหอะ นี่นายเป็นลูกแหง่ติดพี่เหรอ?” เย้ยออกไปตามนิสัยเพราะเสียหน้ากับการปฏิเสธไร้เยื่อใยนั่น

“ก็อาจจะใช่”

“กลิ่นแก้ว!” เสียงดังจนเจ้าของชื่อหันมามองหน้า “ฉันอุตส่าห์ชวนนายนะ กล้าปฏิเสธเหรอ ไอ้เด็กเอเชีย!”

“ฉันก็บอกนายอยู่นี่ไงว่ามีนัดกับพี่แล้ว” กลิ่นแก้วพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แม้จะถูกเรียกขานด้วยการเหยียดเชื้อชาติเช่นนั้น

“กับพี่ นายจะไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไรก็ได้!” คาร์เตอร์ว่า

“แต่ฉันจะไปวันนี้!” คนนี้ก็โต้กลับเสียงดัง ขู่ฟ่อต่างจากเวลาอยู่เจฟเฟอร์สันนัก

“เออ ฉันมันไม่สำคัญอยู่แล้วนี่”

หัวคิ้วกลิ่นแก้วขมวด มันโยงไปเรื่องนั้นได้อย่างไร “นายเป็นเพื่อน นายต้องสำคัญอยู่แล้ว คาร์เตอร์”

“แต่นายก็ไม่เลือกที่จะไปกับฉัน”

“งี่เง่าน่า มันเทียบกันได้ที่ไหน”

“ช่างเถอะ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว!”

ว่าแล้วก็เดินปึงปังจากไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วถอนหายใจตามหลังพร้อมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ อะไรหนักหนาไม่รู้

“พวกนายทะเลาะกันเหรอ?”

เด็กชายหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสะกิดไหล่พร้อมกระซิบถามเมื่อเข้าห้องเรียนกันมาแล้ว ขณะที่ครูยังอธิบายบทเรียนอยู่หน้าชั้น กลิ่นแก้วเหล่มองคาร์เตอร์ที่ทำเมินใส่

“เปล่า” ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหันกลับไปสนใจการเรียนการสอนของครูต่อ

“อะไรคือเปล่า คาร์เตอร์บอกว่านายจะไม่ไปกินข้าวกับพวกเราเย็นนี้ นายกล้าปฏิเสธเขาเหรอ?” เพื่อนยังกระซิบกระซาบ

“ก็ฉันติดธุระ แล้วอีกอย่าง เราเพิ่งจะอยู่ม.ต้น ไม่ควรใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้”

“นายกล้าพูดออกมาได้ยังไงกลิ่นแก้ว เดลลาร์ นี่เราระดับไหนแล้ว นายยังพูดเรื่องสิ้นเปลืองอีก อาหารในภัตตาคารมื้อสองมื้อไม่ได้ทำให้เราจนลงหรอก”

เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะกันครืนกับความคิดของกลิ่นแก้ว ทำให้ครูกระแอมขึ้นมา เสียงเจี๊ยวจ๊าวนั้นจึงเงียบลง

“นายน่าจะขอโทษเขานะ เขาตั้งใจชวนนาย แต่โดนปฏิเสธแบบนี้โคตรเสียหน้า” เพื่อนอีกคนด้านหลังเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ใช่ นายก็รู้ว่าคาร์เตอร์ไม่เคยง้อใคร นี่เขากลับเป็นฝ่ายชวนนายโดยไม่ผ่านลูกกระจ๊อกเลยนะ” เพื่อนคนที่เปิดประเด็นเอ่ยเสริม

“......” กลิ่นแก้วได้แต่ทำหน้าพิกล การที่คาร์เตอร์มาชวนไปกินข้าวด้วยตัวเองมันดีเลิศขนาดนั้นเลยหรือ เขาไม่เห็นรู้มาก่อน

เด็กที่นี่มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมาแต่เกิด ไม่แปลกที่จะคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก เพราะพวกเขามีเหลือกินเหลือใช้ แต่กับกลิ่นแก้วที่เคยลำบากและไม่เคยลืมช่วงเวลาเหล่านั้น ทำให้มันมีค่ามากกว่าอาหารหรู ๆ มื้อสองมื้ออย่างที่ว่า

หลังเลิกเรียน ทอมัสมารับเด็กตามคำสั่งของผู้เป็นนาย กลิ่นแก้วขึ้นรถไปโดยมีกลุ่มเพื่อนมองตาม ทำให้ทอมัสที่มองผ่านกระจกมองหลังต้องเอ่ยถามขึ้นมา

“มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เริ่มเป็นกังวลว่าเด็กของนายจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง การกลั่นแกล้งมีทุกที่ทุกสังคม ยิ่งตัวจ้อยแบบนี้จะสู้เขาไหวหรือ

“เพื่อนชวนไปกินข้าว เขาจะเลี้ยง แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะนัดกับเอวานแล้ว”

“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก...”

“เอวานชวนก่อน” ตัวเล็กรีบแก้ ก่อนบอกเสียงเบา “แล้วผมก็อยากกินข้าวกับเอวานมากกว่า”

ทอมัสกระตุกยิ้ม โยกหัวเด็กด้วยความเอ็นดู ก็แน่ล่ะ ถ้าต้องให้เลือก ไม่ว่านายของเขาจะนัดก่อนนัดหลัง อย่างไรเจ้าตัวเล็กนี่ก็ต้องเลือกนายของเขาอยู่ดี

รถยนต์แล่นไปตามทาง มุ่งสู่ร้านอาหารที่ผู้เป็นนายได้จองโต๊ะไว้ เมื่อมาถึงร้าน นายของเขาก็รออยู่แล้ว อาหารทุกอย่างค่อยทยอยมาวาง ดูก็รู้ว่ามันถูกจัดมาเอาใจเจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะ บรรยากาศที่ดูตึง ๆ มาตั้งแต่เช้าเลยเหมือนจะดีขึ้น

“อร่อยไหม?”

เอวานเอ่ยถามเด็กที่เพลินอยู่กับการตักอาหารเข้าปาก คนถูกถามพยักหน้ารับ ทั้งอมยิ้มตาพราว บอกให้รู้ว่ามีความสุขกับการกินแค่ไหน

“อร่อยก็กินเยอะ ๆ” เอ่ยบอกทั้งเอื้อมมือไปเช็ดมุมปากให้เบา ๆ แบบนี้ค่อยดีหน่อย แสดงว่าที่เขาผิดนัดเมื่อวานยังพอจะคุยกันได้

“เอวาน”

เสียงทายทักที่ดังขึ้นทำให้เอวานและกลิ่นแก้วหันไปมอง เอวานขยับตัวลุกเมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาหา ยื่นมือไปสัมผัสมือหญิงสาวตรงหน้าเป็นการทักทาย ขณะที่กลิ่นแก้วเหลือบสายตาขึ้นมอง ก่อนวางช้อนลงแล้วลุกขึ้นบ้าง

หญิงสาวแสนสวยตรงหน้ากลิ่นแก้วคือวาเนสซ่า เทย์เลอร์ เธอบอกว่ามาธุระแถวนี้จึงแวะมาหาอะไรกินเพราะเป็นร้านประจำของเธอ เอวานเชิญเธอร่วมโต๊ะตามมารยาท ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น บรรยากาศภายในโต๊ะเปลี่ยนไปเมื่อมีวาเนสซ่าเข้ามา อาหารที่กลิ่นแก้วรู้สึกว่าอร่อยเริ่มกร่อยแทบไม่รู้รส เมื่อรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกินไปแล้วในเวลานี้

“ของขวัญที่ให้ไปเมื่อวาน ถูกใจไหมคะ?”

วาเนสซ่าเอ่ยถามเหมือนชวนคุย แต่นั่นก็ทำให้กลิ่นแก้วชะงักมือที่กำลังตักอาหารเข้าปาก หูเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองคน

“ขอบคุณมากครับ สวยมากทีเดียว” เอวานตอบกลับไปตามมารยาทอันดี

“ฉันก็หวังว่าคุณจะชอบและใช้มันค่ะ”

ริมฝีปากหยักยังคงระบายยิ้ม ขณะที่เด็กข้าง ๆ อาหารเริ่มฝืดคอจนต้องยกน้ำขึ้นดื่ม เมื่อวานพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เพราะแบบนั้นเอวานถึงได้ผิดนัด กลิ่นแก้วเด็กโง่ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

“อิ่มแล้วเหรอ?” เอวานเอ่ยทักเมื่อเด็กยกชายผ้าบนตักขึ้นเช็ดปากหลังดื่มน้ำ

“ครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นโดยไม่หันไปมองคนถามสักนิด

“กินน้อยไปหรือเปล่า?”

“นี่ปรกติสำหรับผมแล้วครับ” เขาโกหก ใช่สิ นี่จะปรกติได้อย่างไร หากอยู่เจฟเฟอร์สันมีหรือจะเหลือ แต่ตอนนี้ไม่นึกอยากอาหารเลย แม้มันจะรสชาติดีแค่ไหนก็ตาม

เอวานรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ แต่ยังคงรักษามารยาทกับหญิงสาวร่วมโต๊ะ จนกระทั่งมื้ออาหารสิ้นสุดลง เอวานจึงเอ่ยถามหญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นั้น

“แล้วนี่กลับยังไงครับ?”

“เอารถมาค่ะ พอดีจะไปธุระต่อ คุณพ่อเลยให้คนที่บ้านขับรถมาให้ ยุ่งยากว่าไหมคะ?” เธอเอ่ยติดตลก ทั้งที่ใจจริงอยากจะให้คนถามไปส่งเสียมากกว่า แต่วันนี้ท่าทางจะไม่สะดวก เมื่อมีเด็กชายที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นน้องนั่งอยู่ด้วย

เอวานเดินมาส่งหญิงสาวที่รถพร้อมกลิ่นแก้วที่เดินตามหลังมาช้า ๆ นัยน์ตาคมเบือนกลับมามองเด็กด้านหลังเมื่อเธอขึ้นรถไปกับบอดีการ์ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เราก็กลับกันไหม หรืออยากไปเที่ยวไหนต่อ?”

“กลับเลยดีกว่าครับ” กลิ่นแก้วยิ้มบอก มันเป็นรอยยิ้มที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เอวานรู้ดีว่าเพราะอะไร แต่การจะหักหน้าหญิงสาวมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ทั้งสองคนขึ้นรถกลับคฤหาสน์ด้วยกันเงียบ ๆ เป็นความเงียบที่ชวนอึดอัด

“เมื่อวานขอโทษนะ ฉันติดธุระ เลยไม่ได้กลับไปฉลองด้วย”

“ครับ” เก็บปากเก็บคำนี่ขอให้บอก

“โกรธมากหรือไง?”

“ผมขอโทษที่นึกโกรธหน่อย ๆ อยู่เหมือนกันครับ”

เอวานอมยิ้มกับความตรงไปตรงมานั้น “ทำยังไงจะหายโกรธ?”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ”

“กลิ่นแก้ว” เอวานดุเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มประชด ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน

“ขอโทษครับ”

สีหน้าคนถูกดุดูจ๋อยลงไปถนัดตา จนเอวานต้องย้อนถามตัวเอง นี่เขาดุเกินไปหรือ?

มือหนารั้งตัวเด็กมาหา เด็กเจ้าน้ำตาเมื่อวันวานกลับไม่มีน้ำตาให้เห็น มีเพียงสีหน้าที่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดกับคำพูดก่อนหน้าของตนเอง วงแขนกว้างโอบไหล่เล็ก ลูบต้นแขนเบา ๆ เมื่อเอ่ยถาม

“เป็นอะไร หืม?”

“......” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า

“บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรก็ให้พูด”

“ก็ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันบอกไม่ถูกนี่นา”

เสียงออด ๆ ที่ดังอยู่กับอกทำให้เอวานยิ้มบาง

“ก็แล้วมันเป็นยังไงล่ะ โกรธ ไม่พอใจ หรืออยากให้ทำอะไรก็บอกสิ”

“......” ตากลมช้อนมอง แต่ยังไม่ยอมเปิดปากพูด

เอวานเลิกคิ้ว “อะไร?”

“คุณจำได้ใช่ไหมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร?”

“จำได้” เขาว่าอย่างนั้น

“แล้วที่คุณไม่ได้กลับมาฉลองด้วยกันเหมือนทุกที เพราะคุณอยู่กับมิสเทย์เลอร์ใช่ไหม?”

คนถูกถามถึงกับนิ่งไป แม้แต่บอดีการ์ดสองนายด้านหน้าก็ชะงัก คำถามนี้... เอาแล้วไง

“ใช่”

พอตอบแบบนั้นเจ้าตัวเล็กก็เงียบไปเลย ทอมัสกับแมกซ์เวลแทบไม่กล้าหายใจแรง นี่มันสถานการณ์อะไรกันวะ

“แค่นี้แหละ”

“อ้าว” เอวานถึงกับงง เมื่อเด็กพูดแค่นั้นแล้วก็ขยับออกจากอ้อมแขนของเขาเฉย “ก็เธอถาม พอฉันตอบแล้วทำไมเป็นแบบนี้ พูดความจริงก็ผิดเหรอ?”

“ไม่ผิด ผมต่างหากที่ผิด” แววบางอย่างในดวงตาทำให้อีกคนนิ่งฟัง “ผมทำให้คุณลำบากใช่ไหม?”

“......”

“บางที วันสำคัญของคุณ คุณอาจจะอยากอยู่กับเธอมากกว่า”

“กลิ่นแก้ว” เอ่ยเรียกเจ้าตัวเล็กด้วยความทดท้อ “เลิกเสียทีได้ไหมเรื่องคิดเองเออเองแล้วเสียใจเองนี่”

“......”

“ฉันไม่เคยมองว่ามันเป็นวันสำคัญ มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง จนกระทั่งเธอเข้ามา”

“......” มองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ

“เธอมีความสุขกับงานวันเกิดเล็ก ๆ ที่ฉันจัด พอใจกับแค่ของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่ได้จากฉัน”

“......” ใช่ มันเป็นแบบนั้น ไม่ว่าอะไรที่ได้จากเอวาน เขาก็รู้สึกยินดีทั้งนั้น

ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเด็กน้ำตาคลอ “เพราะแบบนั้นมันถึงได้สำคัญ เพราะมันทำให้เธอมีความสุข”

“เอวาน...”

ที่สุดแล้วเจ้าตัวเล็กก็โผเข้ามากอดแล้วร้องไห้กับอก มือใหญ่ลูบหลังไหล่เด็กน้อยที่ซุกหน้าสะอื้น กดจูบหน้าผากอุ่นพลางกระซิบบอกเบา ๆ แต่เพียงเท่านั้นก็พาเอาหัวใจคนฟังเต็มตื้น

“Happy belated birthday, my little boy.”


......

ต่อหน้าถัดไปค่ะ  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด