บุหรงเริงไฟ
บทที่ ๔ ความกังวลของคนเป็นพ่อ(คุณทูนหัว)
ห้องผู้บริหารภายในบริษัทตระกูลวิลสัน มากาเร็ตที่มาพบบิดามีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ฟังรายงานจากคนของบิดา หลังจากที่เธอเข้าไปบริหารงานใน Ace Casino แม้จะมีคนที่บิดาส่งไปเป็นผู้ช่วยแต่เธอก็ยังวุ่นวายกับหลายสิ่ง เพราะไม่ใช่คนของตระกูลไรท์ ทั้งยังเป็นผู้หญิง ทำให้การจะได้รับการยอมรับมันยากเย็นเหลือเกิน พี่น้องของสามีก็คอยแต่จะหาทางโจมตีให้เธอหลุดจากผังบริหาร โดยเฉพาะพี่คนโตอย่างฟรานเชสโก้ ไรท์ ที่นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็ไม่เคยเห็นใครในสายตา และในเวลานี้เรื่องที่เธอให้คนไปเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเอวาน เวสส์และเด็กที่เธอสงสัยว่าจะเป็นลูกของสตีเฟ่นกับอดีตภรรยาก็เริ่มเป็นที่ระแคะระคาย จนเธอต้องมาพบบิดาเช่นตอนนี้
“ฟรานเชสอาจใช้จุดนี้มาเล่นงานลูก ยิ่งถ้ารู้ว่าเด็กที่อยู่กับเจ้าหนุ่มนั่นคือสายเลือดตระกูลไรท์ แม้ไม่อยากมีมารมาคอยขัดผลประโยชน์ แต่การใช้ประโยชน์จากเด็กที่ไม่มีพิษสงเพื่อกำจัดลูก คงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้น
มากาเร็ตเองก็คิดเช่นนั้น ทางเลือกเธอมีไม่มาก หากเธอยังดึงดันที่จะเอาตัวเด็กมาจากเอวาน แน่นอนว่าเธอต้องกลายเป็นศัตรูกับเอวานโดยไม่ต้องสงสัย แต่หากยังทำยึกยักไม่ลงมือสักทีจนพี่น้องตระกูลไรท์จับได้ และเด็กคนนั้นตกไปอยู่ในมือของพวกเขา ความฉิบหายก็จะมาลงที่เธอเช่นกัน ดังนั้น ทางที่ดีเธอควรต้องถอยห่างจากเด็กคนนั้นก่อน ควรรับมือกับศัตรูเพียงด้านเดียว ดีกว่าสร้างศัตรูเพิ่ม
“สั่งคนของเราให้ถอยออกมาก่อน อย่าให้ฟรานเชสระแคะระคายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด” เธอสั่งผู้ช่วยของเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรับคำในทันที
ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเห็นด้วย เวลานี้การรับมือกับพี่น้องตระกูลไรท์สำคัญกว่า ยิ่งสตีเฟ่นจากไป มากาเร็ตยิ่งรับมือกับพวกนั้นลำบาก ก่อนนี้สตีเฟ่นเป็นเพียงพวกไม่เอาอ่าว ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารงานในคาสิโน แล้วแต่พี่น้องจะจัดการกันเอง แต่ก็ยังไม่ยอมเทหุ้นทั้งหมดในมือไปให้ใคร และไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวาย จนกระทั่งมากาเร็ตเข้าไปดูแลในนามภรรยาผู้รับผลประโยชน์จากสามีตามกฎหมาย ยิ่งทำให้พี่น้องตระกูลไรท์ไม่ชอบใจ เพราะ Ace Casino เป็นธุรกิจของครอบครัว เธอจึงเป็นผู้หญิงคนเดียวในฝูงหมาป่า หากไม่แกร่งจริง คงยืนหยัดอยู่ไม่ได้เป็นแน่
......
บริษัทหลักทรัพย์เวสส์
แฟ้มเอกสารถูกปิดแล้วดันไปรวมกันที่มุมโต๊ะ นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลา ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้ม มือคว้าสูทที่พาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้มาสวมเพื่อเตรียมจะกลับไปพัก กายสูงใหญ่ออกจากห้องทำงานมา เลขานุการหน้าห้องที่กำลังจะรายงานบางสิ่งกลับต้องงับปากลงเมื่อผู้เป็นนายเอ่ยแทรก
“ถ้ามีงานด่วนอะไรก็ให้แมกซ์เวลจัดการไปก่อนนะครับ มิสซิสราเชล ส่วนเอกสารที่ต้องเซ็นอนุมัติ ถ้าไม่ด่วนมากก็เอาไว้พรุ่งนี้”
“เอ่อ...” มิสซิสราเชลผู้ถูกสั่งงานมีท่าทีอึกอัก เรื่องด่วนมันก็มีอยู่หรอก แต่ไม่เกี่ยวกับเอกสารดังที่นายว่า
เห็นท่าทีของอีกฝ่าย เอวานก็หยุดเท้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
ที่สุดแล้วเขาก็จำต้องเปลี่ยนเป้าหมาย เอวานเข้าพบบิดาที่ห้องทำงานของท่านเมื่อได้ทราบเรื่องจากเลขานุการสาวใหญ่ บอดีการ์ดที่พักนี้เขาเริ่มคุ้นตาอยู่ประจำการด้านหน้าห้อง ทั้งสองผงกศีรษะให้เมื่อเขาเดินผ่านเข้าไป
ภายในห้อง นอกจากบิดาของเขาแล้วยังมีแขกกิตติมศักดิ์ เธอหันมาส่งยิ้มทักทาย ซึ่งเอวานก็กดศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายเธอตอบแล้วก้าวเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งของโซฟารับแขกภายในห้องนั้น
“หนูวาเนสซ่ามาติดต่องานที่บริษัทแทนพ่อของเธอน่ะ” พอล เวสส์เอ่ยบอกกับลูกชาย
วาเนสซ่า เทย์เลอร์ บุตรสาวบริษัทคู่ค้าคนสำคัญของเวสส์ เอวานและหญิงสาวรู้จักกันมาได้สักพักจากการแนะนำของบิดาทั้งคู่ เขาค่อนข้างอึดอัดเล็ก ๆ กับการจับคู่กลาย ๆ ของบิดา แต่ก็ยังคงวางตัวในระดับที่เหมาะสม
“ไปส่งน้องสักหน่อยสิ อาหารร้านที่เอวานพาพ่อไปวันนั้นก็รสชาติดีนะ”
เอวานชะงักเมื่อผู้เป็นบิดากล่าวราวเปิดทางให้เช่นนั้น นัยน์ตาสีควันบุหรี่มองสบกับท่าน ท่านก็ทราบว่าวันนี้วันอะไร และเขาผิดนัดไม่ได้
“จริง ๆ ถ้าคุณมีธุระสำคัญต้องไป ฉันก็ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” วาเนสซ่าเอ่ยขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มหยุดคิดนานเกินไปในความรู้สึก
“ไม่หรอกครับ ถือเป็นเกียรติมากกว่าหากเราได้ทานอาหารร่วมกันสักมื้อ”
คำตอบของเอวานทำให้หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ อย่างไว้ท่าที ขณะที่ผู้เป็นบิดาเปิดยิ้มพอใจที่ลูกไม่ฉีกหน้าตน เขารู้ว่าวันนี้วันสำคัญ เอวานอาจโกรธที่เขาทำเช่นนี้ แต่ลูกควรจะขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำหากรู้ว่ามีอะไรรออยู่ระหว่างทางกลับเทย์เลอร์ โดยที่พอลหารู้ไม่ว่านั่นมันช่างเป็นความคิดที่ตื้นเขิน เอวานก็คือเอวาน ลูกชายของเกวน เจฟเฟอร์สัน ไม่มีทางหล่นไกลต้น
คฤหาสน์เจฟเฟอร์สัน
สวนสวยถูกตกแต่งไฟประดับเล็ก ๆ เพื่อต้อนรับวันที่แสนอบอุ่นในค่ำคืนที่จะถึงนี้ บนพื้นทางเดินที่ทอดยาวสู่ตัวศาลาถูกโรยด้วยกรวดสีขาวและปักเทียนรูปร่างน่ารัก เด็กผู้ชายตัวเล็กนั่งยองจัดมันอย่างตั้งใจ ขณะที่เสียงสั่งงานของเกวนยังดังอยู่ไม่ไกล มือเล็กล้วงก้อนกรวดในกระบะมาวางเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสร็จจึงค่อยเปิดยิ้มกับผลงานของตน
เกวนมองเด็กที่ดูตั้งอกตั้งใจแล้วก็ยิ้มบาง วันนี้เป็นวันสำคัญของกลิ่นแก้วและเอวาน ถือเป็นความบังเอิญที่พอเหมาะเมื่อพวกเขาเกิดวันเดียวกัน เพียงแค่ห่างกันเกือบสองรอบก็เท่านั้น เอวานไม่ชอบให้จัดงานวันเกิด มันดูเอิกเกริกเกินไปทั้งที่มันก็แค่วันวันหนึ่งก็เท่านั้น ตลอดมาแทนที่เจ้าของวันเกิดจะอยากได้ของขวัญ ผู้เป็นมารดาเช่นเกวนกลับเป็นฝ่ายได้รับเสียเอง และเอวานก็ทำเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีกลิ่นแก้วเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเจฟเฟอร์สัน
งานวันเกิดครั้งแรกถูกจัดเมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากกลิ่นแก้วเข้ามาอยู่ที่นี่อย่างสนิทใจ เมื่อเห็นว่าสิ่งเล็ก ๆ ที่ตนเองทำกลับทำให้เด็กคนหนึ่งมีรอยยิ้ม เอวานก็เลือกที่จะทำมันอีกในปีต่อมา เพราะมีเอวานอยู่ กลิ่นแก้วถึงยังยืนหยัดไม่ล้มลง เมื่อแรกช่างเป็นเด็กประหยัดคำพูดเสียจนเกวนกลัวจะกลายเป็นเด็กเก็บกดไปเสีย หลัง ๆ มานี้ดีหน่อย กล้าที่จะพูดคุยซักถามมากขึ้น ได้มองดูการเติบโตของเด็กคนนี้แล้วก็ให้นึกถึงเอวานตอนยังเล็ก คนนั้นเขาช่างอ้อนน่าดู แต่เด็กคนนี้กลับเจียมตนจนน่าห่วงว่าจะติดนิสัยไปจนโต
“แก้ว พอได้แล้ว ไป ไปล้างไม้ล้างมือแล้วเตรียมของขวัญลงมาวางที่โต๊ะ เอวานกลับมาจะได้กินข้าวเย็นกัน”
“ครับ มาดาม” เด็กชายยิ้มรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่ง
เวลาค่อยผ่านไปช้า ๆ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทำให้ต้องเปิดไฟให้ความสว่าง เด็กชายเข้ามาขลุกอยู่ในครัว มองกล่องของขวัญบนโต๊ะด้วยแววละห้อย เอวานยังไม่มา ยังไม่กลับมา เขาทำได้แค่รอ รอต่อไปด้วยความคาดหวัง
เกวนเลี่ยงมาโทรหาลูกชายเมื่อเลยเวลามามากกว่าปรกติ ป่านนี้เอวานน่าจะกลับมาถึงและงานวันเกิดเล็ก ๆ ก็คงเริ่มขึ้นด้วยความชื่นมื่น ผู้เป็นตากับยายรอหลานชายอยู่นานจนเกวนต้องให้คนจัดโต๊ะอาหารเย็นให้พวกท่านเสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าเอวานจะกลับมาถึงตอนไหน นี่ติดงานด่วนจนกลับมาไม่ได้หรืออย่างไร
“ขอโทษครับ มัม ผมมาธุระข้างนอก วันนี้อาจกลับดึกสักหน่อย” เสียงผู้เป็นลูกตอบมาอย่างขอลุแก่โทษ
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้วันอะไร?”
“ไม่ลืมครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ มัม”
“กับแม่คงไม่เท่าไรหรอก เข้าใจถึงความจำเป็น แต่กลิ่นแก้วน่ะสิ มาอธิบายกันเองแล้วกันคุณพ่อลูกหนึ่ง”
ได้ยินเสียงเอวานหัวเราะมาตามสาย เพราะไม่เห็นน่ะสิว่าเด็กมันจ๋อยสนิทแค่ไหนถึงยังหัวเราะกับคำเย้าหยอกแกมประชดของเธอได้
ไฟประดับในสวนถูกปิดเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนดึก อาหารที่ถูกตระเตรียมถูกเก็บ บ้างก็แจกจ่ายให้คนในคฤหาสน์ได้ลิ้มรส กลิ่นแก้วมองมันถูกลำเลียงไปจากโต๊ะที่จัดไว้เสียดิบดีอย่างใจหาย ปีนี้จะไม่มีการให้ของขวัญ ไม่มีคำอวยพร ไม่มีอ้อมกอดอุ่น ๆ ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ที่เป็นเจ้าของวันเกิดร่วมกัน ไม่มีแล้ว ไม่มี...
เด็กชายค่อยเดินกลับเข้าคฤหาสน์ไปด้วยใจห่อเหี่ยว พร้อมกับไฟประดับทุกดวงที่ดับลงไล่หลัง เช่นเดียวกับความหวังของเขาที่หมดลง
เอวานกลับมาหลังจากนั้นพอสมควร เสื้อสูทถอดให้แม่บ้านที่มารอรับ ชายหนุ่มคลายเนคไทแล้วพรูลมหายใจเมื่อก้าวยาว ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบน กายสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนึ่งก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป บนเตียงนอน เจ้าของห้องหลับไปแล้ว สายตาคมมองกระดาษห่อของขวัญที่ถูกแกะทิ้งไว้ข้างเตียง ก่อนเลื่อนมามองบางสิ่งในอ้อมแขนคนหลับ ค่อยนั่งลงเพียงหมิ่นเหม่บนเตียงนุ่ม ลูบกลุ่มผมนุ่มมือแล้วจึงโน้มลงไปจูบหน้าผากอุ่นอย่างที่เคยทำเสมอ
“ขอโทษนะ เด็กน้อย ไว้จะชดเชยให้” กระซิบเพียงแผ่วข้างใบหูบาง ก่อนกดจูบราตรีสวัสดิ์อีกครั้งแล้วออกจากห้องไป
......
คฤหาสน์เจฟเฟอร์สันในช่วงเช้า กลิ่นแก้วในชุดนักเรียนรีบเข้าไปในครัวเพื่อให้คนครัวช่วยปิ้งขนมปังและขอนมดื่ม หลังจัดการของทุกอย่างในเวลารวดเร็วก็วิ่งออกไปที่หน้าคฤหาสน์ วันนี้เขาตื่นสาย รถกำลังจะมารับเขาแล้ว
บอดีการ์ดด้านนอกเคลื่อนรถกอล์ฟมารับไปส่งหน้าทางเข้า เมื่อลงจากรถมายืนรอไม่นาน รถโรงเรียนก็มาถึง ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปกลับมีเสียงแตรดังขึ้นด้านหลัง รถคันคุ้นตาทำให้ต้องนิ่งมอง กระจกรถค่อยเลื่อนลงก่อนที่แมกซ์เวลจะยื่นหน้าออกมาบอก
“มาขึ้นรถ กลิ่นแก้ว”
คิ้วเด็กชายขมวด หันไปทางรถโรงเรียนที่เปิดประตูรออยู่แล้วบอกกับทางนั้นว่ารถที่บ้านจะไปส่งก่อนผละมา เมื่อเข้ามานั่งข้างอีกคนบนรถก็เห็นว่ากำลังผูกเนคไทอยู่ ได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ ก็แอบชำเลืองมอง สบเข้ากับนัยน์ตาคมที่เหมือนจะมองอยู่ก่อนแล้วจึงรีบเบือนกลับ
“ผูกเป็นไหม?” เอวานเอ่ยถาม
กลิ่นแก้วมองเนคไทเส้นเดิมที่ยังผูกไม่เสร็จ ก่อนบอก “เป็นครับ”
“ผูกให้หน่อย”
เด็กชายเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจ เขาผูกไปโรงเรียนบ่อยจนชินแล้ว แต่ไม่เคยผูกให้คนอื่น ไม่รู้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจริงจัง ทำให้ต้องเอื้อมมือไปผูกให้
มองเด็กที่กำลังผูกเนคไทให้อย่างตั้งใจแล้วเอวานก็อมยิ้ม กลิ่นแก้วโตขึ้นทุกวัน ได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของเด็กคนหนึ่งในฐานะผู้ปกครองมันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด จนอดนึกไปถึงสตีเฟ่นไม่ได้ หมอนั่นคงอยากมองภาพแบบนี้เหมือนกัน
ทุกปีเขายังพากลิ่นแก้วไปที่สุสาน ไปเยี่ยมสตีเฟ่น กลิ่นแก้วไม่เคยถามว่าเจ้าของหลุมศพนั้นคือใคร ไม่มีการตั้งคำถาม เหมือนว่าทุกอย่างที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกทั้งหมด
ก่อนหน้านี้เขายังต้องคอยระวังเรื่องคนของวิลสัน แต่พักหลังมาเหมือนมากาเร็ตจะมีปัญหากับฝั่งไรท์ ทำให้เงียบหายไป แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจนัก ทำให้ต้องส่งคนมาเฝ้าดูที่โรงเรียน โดยที่กลิ่นแก้วก็ไม่เคยรู้
เอวานแกล้งขยับตัวกวนสมาธิเด็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจ มือที่กำลังง่วนอยู่จึงชะงัก ตากลมช้อนขึ้นมามองเขา ทำให้คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม
“อะไร?”
“ถ้าคุณไม่อยู่นิ่ง ๆ มันอาจจะเบี้ยว” เด็กมันว่า
“ทำไม?” ผู้ใหญ่ก็ยังทำไขสือ
“ผมไม่เคยผูกให้ใคร ไม่มั่นใจว่าจะออกมาดีไหม ถ้ายังไงให้...”
“ไม่”
กลิ่นแก้วเม้มปากเมื่อถูกดักมาเช่นนั้น กะว่าจะให้บอกมิสเตอร์แมกซ์เวลทำต่อ แต่เมื่อถูกปฏิเสธทันควันจึงต้องค่อยผูกไปช้า ๆ จนเสร็จ
เมื่อมาถึงโรงเรียน กลิ่นแก้วเอ่ยขอบคุณที่มาส่งก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป มือใหญ่เอื้อมมาคว้าข้อมือไว้ ทำให้หันกลับมามองอย่างมีคำถาม
“เดี๋ยวเย็นนี้มารับ ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันก่อนกลับเจฟเฟอร์สัน โอเคไหม?”
“ครับ” กับเอวาน กลิ่นแก้วไม่เคยอิดออด ทำให้ตอบกลับไปง่าย ๆ เช่นนั้นก่อนลงรถแล้วปิดประตู
รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว กลิ่นแก้วได้แต่มองตามด้วยแววละห้อย เอวานคงลืมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร ถึงได้ไม่พูดถึงมันเลย ที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย เขาเองก็ไม่ได้อยากทำตัวมีปัญหา แต่อดน้อยใจเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่ดี แค่แอบน้อยใจคงได้ใช่ไหม เอวาน?
“โตป่านนี้แล้วยังให้ที่บ้านมาส่งอีก”
เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้กลิ่นแก้วปรายสายตาไปมอง คาร์เตอร์ เพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นคนนิสัยแบบนั้นทำให้กลิ่นแก้วไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เพียงก้าวเดินเข้าไปในโรงเรียนโดยมีอีกคนที่รีบก้าวมาเดินข้างกัน
“นี่ เย็นนี้ฉันว่าจะเลี้ยงข้าว ไปด้วยกันไหม?” คาร์เตอร์เอ่ยชวน ก่อนรีบแก้เมื่อถูกมองหน้า “เฮ้ อย่าเข้าใจผิด ฉันชวนเพื่อนทุกคนแหละ”
ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย กลิ่นแก้วคิดในใจก่อนบอกไปเรียบ ๆ “ขอบใจที่ชวน แต่คงไม่ได้ ฉันนัดกับพี่ชายไว้แล้ว”
เพราะอยู่ในความดูแลของเกวน สถานะของเอวานจึงเป็นพี่ชาย แต่เอาเข้าจริง เอวานก็ชอบคิดว่าตัวเองเป็นพ่อมากกว่าเป็นพี่เสียอีก
“เหอะ นี่นายเป็นลูกแหง่ติดพี่เหรอ?” เย้ยออกไปตามนิสัยเพราะเสียหน้ากับการปฏิเสธไร้เยื่อใยนั่น
“ก็อาจจะใช่”
“กลิ่นแก้ว!” เสียงดังจนเจ้าของชื่อหันมามองหน้า “ฉันอุตส่าห์ชวนนายนะ กล้าปฏิเสธเหรอ ไอ้เด็กเอเชีย!”
“ฉันก็บอกนายอยู่นี่ไงว่ามีนัดกับพี่แล้ว” กลิ่นแก้วพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แม้จะถูกเรียกขานด้วยการเหยียดเชื้อชาติเช่นนั้น
“กับพี่ นายจะไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไรก็ได้!” คาร์เตอร์ว่า
“แต่ฉันจะไปวันนี้!” คนนี้ก็โต้กลับเสียงดัง ขู่ฟ่อต่างจากเวลาอยู่เจฟเฟอร์สันนัก
“เออ ฉันมันไม่สำคัญอยู่แล้วนี่”
หัวคิ้วกลิ่นแก้วขมวด มันโยงไปเรื่องนั้นได้อย่างไร “นายเป็นเพื่อน นายต้องสำคัญอยู่แล้ว คาร์เตอร์”
“แต่นายก็ไม่เลือกที่จะไปกับฉัน”
“งี่เง่าน่า มันเทียบกันได้ที่ไหน”
“ช่างเถอะ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว!”
ว่าแล้วก็เดินปึงปังจากไป ปล่อยให้กลิ่นแก้วถอนหายใจตามหลังพร้อมส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ อะไรหนักหนาไม่รู้
“พวกนายทะเลาะกันเหรอ?”
เด็กชายหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสะกิดไหล่พร้อมกระซิบถามเมื่อเข้าห้องเรียนกันมาแล้ว ขณะที่ครูยังอธิบายบทเรียนอยู่หน้าชั้น กลิ่นแก้วเหล่มองคาร์เตอร์ที่ทำเมินใส่
“เปล่า” ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหันกลับไปสนใจการเรียนการสอนของครูต่อ
“อะไรคือเปล่า คาร์เตอร์บอกว่านายจะไม่ไปกินข้าวกับพวกเราเย็นนี้ นายกล้าปฏิเสธเขาเหรอ?” เพื่อนยังกระซิบกระซาบ
“ก็ฉันติดธุระ แล้วอีกอย่าง เราเพิ่งจะอยู่ม.ต้น ไม่ควรใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้”
“นายกล้าพูดออกมาได้ยังไงกลิ่นแก้ว เดลลาร์ นี่เราระดับไหนแล้ว นายยังพูดเรื่องสิ้นเปลืองอีก อาหารในภัตตาคารมื้อสองมื้อไม่ได้ทำให้เราจนลงหรอก”
เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะกันครืนกับความคิดของกลิ่นแก้ว ทำให้ครูกระแอมขึ้นมา เสียงเจี๊ยวจ๊าวนั้นจึงเงียบลง
“นายน่าจะขอโทษเขานะ เขาตั้งใจชวนนาย แต่โดนปฏิเสธแบบนี้โคตรเสียหน้า” เพื่อนอีกคนด้านหลังเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ใช่ นายก็รู้ว่าคาร์เตอร์ไม่เคยง้อใคร นี่เขากลับเป็นฝ่ายชวนนายโดยไม่ผ่านลูกกระจ๊อกเลยนะ” เพื่อนคนที่เปิดประเด็นเอ่ยเสริม
“......” กลิ่นแก้วได้แต่ทำหน้าพิกล การที่คาร์เตอร์มาชวนไปกินข้าวด้วยตัวเองมันดีเลิศขนาดนั้นเลยหรือ เขาไม่เห็นรู้มาก่อน
เด็กที่นี่มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมาแต่เกิด ไม่แปลกที่จะคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก เพราะพวกเขามีเหลือกินเหลือใช้ แต่กับกลิ่นแก้วที่เคยลำบากและไม่เคยลืมช่วงเวลาเหล่านั้น ทำให้มันมีค่ามากกว่าอาหารหรู ๆ มื้อสองมื้ออย่างที่ว่า
หลังเลิกเรียน ทอมัสมารับเด็กตามคำสั่งของผู้เป็นนาย กลิ่นแก้วขึ้นรถไปโดยมีกลุ่มเพื่อนมองตาม ทำให้ทอมัสที่มองผ่านกระจกมองหลังต้องเอ่ยถามขึ้นมา
“มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เริ่มเป็นกังวลว่าเด็กของนายจะโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง การกลั่นแกล้งมีทุกที่ทุกสังคม ยิ่งตัวจ้อยแบบนี้จะสู้เขาไหวหรือ
“เพื่อนชวนไปกินข้าว เขาจะเลี้ยง แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะนัดกับเอวานแล้ว”
“อ้าว แล้วทำไมไม่บอก...”
“เอวานชวนก่อน” ตัวเล็กรีบแก้ ก่อนบอกเสียงเบา “แล้วผมก็อยากกินข้าวกับเอวานมากกว่า”
ทอมัสกระตุกยิ้ม โยกหัวเด็กด้วยความเอ็นดู ก็แน่ล่ะ ถ้าต้องให้เลือก ไม่ว่านายของเขาจะนัดก่อนนัดหลัง อย่างไรเจ้าตัวเล็กนี่ก็ต้องเลือกนายของเขาอยู่ดี
รถยนต์แล่นไปตามทาง มุ่งสู่ร้านอาหารที่ผู้เป็นนายได้จองโต๊ะไว้ เมื่อมาถึงร้าน นายของเขาก็รออยู่แล้ว อาหารทุกอย่างค่อยทยอยมาวาง ดูก็รู้ว่ามันถูกจัดมาเอาใจเจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะ บรรยากาศที่ดูตึง ๆ มาตั้งแต่เช้าเลยเหมือนจะดีขึ้น
“อร่อยไหม?”
เอวานเอ่ยถามเด็กที่เพลินอยู่กับการตักอาหารเข้าปาก คนถูกถามพยักหน้ารับ ทั้งอมยิ้มตาพราว บอกให้รู้ว่ามีความสุขกับการกินแค่ไหน
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ” เอ่ยบอกทั้งเอื้อมมือไปเช็ดมุมปากให้เบา ๆ แบบนี้ค่อยดีหน่อย แสดงว่าที่เขาผิดนัดเมื่อวานยังพอจะคุยกันได้
“เอวาน”
เสียงทายทักที่ดังขึ้นทำให้เอวานและกลิ่นแก้วหันไปมอง เอวานขยับตัวลุกเมื่อเจ้าของเสียงเดินเข้ามาหา ยื่นมือไปสัมผัสมือหญิงสาวตรงหน้าเป็นการทักทาย ขณะที่กลิ่นแก้วเหลือบสายตาขึ้นมอง ก่อนวางช้อนลงแล้วลุกขึ้นบ้าง
หญิงสาวแสนสวยตรงหน้ากลิ่นแก้วคือวาเนสซ่า เทย์เลอร์ เธอบอกว่ามาธุระแถวนี้จึงแวะมาหาอะไรกินเพราะเป็นร้านประจำของเธอ เอวานเชิญเธอร่วมโต๊ะตามมารยาท ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น บรรยากาศภายในโต๊ะเปลี่ยนไปเมื่อมีวาเนสซ่าเข้ามา อาหารที่กลิ่นแก้วรู้สึกว่าอร่อยเริ่มกร่อยแทบไม่รู้รส เมื่อรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกินไปแล้วในเวลานี้
“ของขวัญที่ให้ไปเมื่อวาน ถูกใจไหมคะ?”
วาเนสซ่าเอ่ยถามเหมือนชวนคุย แต่นั่นก็ทำให้กลิ่นแก้วชะงักมือที่กำลังตักอาหารเข้าปาก หูเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะเงี่ยฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองคน
“ขอบคุณมากครับ สวยมากทีเดียว” เอวานตอบกลับไปตามมารยาทอันดี
“ฉันก็หวังว่าคุณจะชอบและใช้มันค่ะ”
ริมฝีปากหยักยังคงระบายยิ้ม ขณะที่เด็กข้าง ๆ อาหารเริ่มฝืดคอจนต้องยกน้ำขึ้นดื่ม เมื่อวานพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เพราะแบบนั้นเอวานถึงได้ผิดนัด กลิ่นแก้วเด็กโง่ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
“อิ่มแล้วเหรอ?” เอวานเอ่ยทักเมื่อเด็กยกชายผ้าบนตักขึ้นเช็ดปากหลังดื่มน้ำ
“ครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้นโดยไม่หันไปมองคนถามสักนิด
“กินน้อยไปหรือเปล่า?”
“นี่ปรกติสำหรับผมแล้วครับ” เขาโกหก ใช่สิ นี่จะปรกติได้อย่างไร หากอยู่เจฟเฟอร์สันมีหรือจะเหลือ แต่ตอนนี้ไม่นึกอยากอาหารเลย แม้มันจะรสชาติดีแค่ไหนก็ตาม
เอวานรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ แต่ยังคงรักษามารยาทกับหญิงสาวร่วมโต๊ะ จนกระทั่งมื้ออาหารสิ้นสุดลง เอวานจึงเอ่ยถามหญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นั้น
“แล้วนี่กลับยังไงครับ?”
“เอารถมาค่ะ พอดีจะไปธุระต่อ คุณพ่อเลยให้คนที่บ้านขับรถมาให้ ยุ่งยากว่าไหมคะ?” เธอเอ่ยติดตลก ทั้งที่ใจจริงอยากจะให้คนถามไปส่งเสียมากกว่า แต่วันนี้ท่าทางจะไม่สะดวก เมื่อมีเด็กชายที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นน้องนั่งอยู่ด้วย
เอวานเดินมาส่งหญิงสาวที่รถพร้อมกลิ่นแก้วที่เดินตามหลังมาช้า ๆ นัยน์ตาคมเบือนกลับมามองเด็กด้านหลังเมื่อเธอขึ้นรถไปกับบอดีการ์ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เราก็กลับกันไหม หรืออยากไปเที่ยวไหนต่อ?”
“กลับเลยดีกว่าครับ” กลิ่นแก้วยิ้มบอก มันเป็นรอยยิ้มที่ต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เอวานรู้ดีว่าเพราะอะไร แต่การจะหักหน้าหญิงสาวมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ทั้งสองคนขึ้นรถกลับคฤหาสน์ด้วยกันเงียบ ๆ เป็นความเงียบที่ชวนอึดอัด
“เมื่อวานขอโทษนะ ฉันติดธุระ เลยไม่ได้กลับไปฉลองด้วย”
“ครับ” เก็บปากเก็บคำนี่ขอให้บอก
“โกรธมากหรือไง?”
“ผมขอโทษที่นึกโกรธหน่อย ๆ อยู่เหมือนกันครับ”
เอวานอมยิ้มกับความตรงไปตรงมานั้น “ทำยังไงจะหายโกรธ?”
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ”
“กลิ่นแก้ว” เอวานดุเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มประชด ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน
“ขอโทษครับ”
สีหน้าคนถูกดุดูจ๋อยลงไปถนัดตา จนเอวานต้องย้อนถามตัวเอง นี่เขาดุเกินไปหรือ?
มือหนารั้งตัวเด็กมาหา เด็กเจ้าน้ำตาเมื่อวันวานกลับไม่มีน้ำตาให้เห็น มีเพียงสีหน้าที่บ่งบอกว่ารู้สึกผิดกับคำพูดก่อนหน้าของตนเอง วงแขนกว้างโอบไหล่เล็ก ลูบต้นแขนเบา ๆ เมื่อเอ่ยถาม
“เป็นอะไร หืม?”
“......” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้า
“บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรก็ให้พูด”
“ก็ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันบอกไม่ถูกนี่นา”
เสียงออด ๆ ที่ดังอยู่กับอกทำให้เอวานยิ้มบาง
“ก็แล้วมันเป็นยังไงล่ะ โกรธ ไม่พอใจ หรืออยากให้ทำอะไรก็บอกสิ”
“......” ตากลมช้อนมอง แต่ยังไม่ยอมเปิดปากพูด
เอวานเลิกคิ้ว “อะไร?”
“คุณจำได้ใช่ไหมว่าเมื่อวานเป็นวันอะไร?”
“จำได้” เขาว่าอย่างนั้น
“แล้วที่คุณไม่ได้กลับมาฉลองด้วยกันเหมือนทุกที เพราะคุณอยู่กับมิสเทย์เลอร์ใช่ไหม?”
คนถูกถามถึงกับนิ่งไป แม้แต่บอดีการ์ดสองนายด้านหน้าก็ชะงัก คำถามนี้... เอาแล้วไง
“ใช่”
พอตอบแบบนั้นเจ้าตัวเล็กก็เงียบไปเลย ทอมัสกับแมกซ์เวลแทบไม่กล้าหายใจแรง นี่มันสถานการณ์อะไรกันวะ
“แค่นี้แหละ”
“อ้าว” เอวานถึงกับงง เมื่อเด็กพูดแค่นั้นแล้วก็ขยับออกจากอ้อมแขนของเขาเฉย “ก็เธอถาม พอฉันตอบแล้วทำไมเป็นแบบนี้ พูดความจริงก็ผิดเหรอ?”
“ไม่ผิด ผมต่างหากที่ผิด” แววบางอย่างในดวงตาทำให้อีกคนนิ่งฟัง “ผมทำให้คุณลำบากใช่ไหม?”
“......”
“บางที วันสำคัญของคุณ คุณอาจจะอยากอยู่กับเธอมากกว่า”
“กลิ่นแก้ว” เอ่ยเรียกเจ้าตัวเล็กด้วยความทดท้อ “เลิกเสียทีได้ไหมเรื่องคิดเองเออเองแล้วเสียใจเองนี่”
“......”
“ฉันไม่เคยมองว่ามันเป็นวันสำคัญ มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง จนกระทั่งเธอเข้ามา”
“......” มองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ
“เธอมีความสุขกับงานวันเกิดเล็ก ๆ ที่ฉันจัด พอใจกับแค่ของขวัญชิ้นเล็ก ๆ ที่ได้จากฉัน”
“......” ใช่ มันเป็นแบบนั้น ไม่ว่าอะไรที่ได้จากเอวาน เขาก็รู้สึกยินดีทั้งนั้น
ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเด็กน้ำตาคลอ “เพราะแบบนั้นมันถึงได้สำคัญ เพราะมันทำให้เธอมีความสุข”
“เอวาน...”
ที่สุดแล้วเจ้าตัวเล็กก็โผเข้ามากอดแล้วร้องไห้กับอก มือใหญ่ลูบหลังไหล่เด็กน้อยที่ซุกหน้าสะอื้น กดจูบหน้าผากอุ่นพลางกระซิบบอกเบา ๆ แต่เพียงเท่านั้นก็พาเอาหัวใจคนฟังเต็มตื้น
“Happy belated birthday, my little boy.”
......
ต่อหน้าถัดไปค่ะ