THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]  (อ่าน 59547 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อย่าปล้นคนดีเลยนะ สงสารรรร

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
เคฟใจร้าย :mew4: :mew6:

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

22
หมา หมา หมา



“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปออกล่ากัน”

ผมเกือบจะล้มตัวลงนอนแล้ว แต่โจรอู๋ฉุดให้ลุกขึ้นมาซะก่อน มันเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นชุดดำสำหรับทำภารกิจปล้น

“ล่าอะไรของมึง เป็นมธุสรเหรอ”

ผมถามอย่างง่วงและเหนื่อย วันนี้ทั้งวันยุ่งอยู่กับงานบ้าน ทั้งซักผ้า กวาดถูบ้าน จัดข้าวของ สวมบทแม่บ้านของแท้ ปวดล้าไปหมดทั้งตัว ส่วนโจรอู๋ทำบัญชีหนี้ของตัวเอง กับเอาของที่ขโมยไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน เข้าๆ ออกๆ บ้านหลายรอบ แต่ไม่ยักกะบ่นว่าเหนื่อยสักคำ สงสัยเพราะเป็นงานที่มันรัก

“ล่าเพชรเว้ย ไอ้เคฟโทรมาบอกแหล่งเด็ดๆ อย่าช้า รีบลุกมาเร็ว”

โจรอู๋พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด ตาแวววาวแบบคนขี้โลภ

“เคฟเจอ แล้วทำไมต้องให้มึงไปปล้น ทำไมไม่ทำเอง”

“มันเป็นระบบของแก๊ง เคฟไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่เป็นคนเซอร์เวย์ให้พวกเรา ถ้าเจอแหล่งดีๆ แล้วใครในแก๊งว่าง มันก็บอกให้ไป”

โจรอู๋บอกแล้วโยนชุดสีดำของผมลงบนเตียง เป็นการบังคับให้ใส่

“มึงไปเองสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว กูง่วง ขยันปล้นอะไรแม่งทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างไง้”

“ไม่ สนุกดีออก ลุ้นด้วยรวยด้วย”

“พักบ้างเท้อออ”

“ทำไมชอบให้บังคับ” โจรอู๋กระชากผ้าห่มออก ขึ้นมานั่งคร่อมเหนือลำตัวผม แล้วก็ถอดเสื้อผ้าให้ซะงั้น!

“ปล่อยนะไอ้เวร กูเปลี่ยนเองได้!”

ผมทุบตัวมันจนยอมลุกออกไป จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูนิฟอร์มของโจรอย่างจำใจ เสร็จแล้วก็เดินตามหลังโจรอู๋ออกจากห้องไปที่ลานจอดรถโซนวีไอพี เปิดประตูเฟอร์รารีสีแดงสวยหรูดูดีที่ให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นรถโจร

“แถวไหนล่ะคืนนี้” ผมถามคนขับ

“รัชดา” มันยักคิ้ว

“คราวนี้ถ้ามึงทิ้งกูอีกล่ะก็ กูจะยอมถูกปล้ำแล้วกลายเป็นเมียโจรคนอื่นจริงๆ ด้วย” ผมพูดประชด โดนโจรอู๋ทำหน้าโหดใส่

“พูดงี้ได้ไง! ใครจะยอม!”

“ก็กูนี่ไงยอม”

“ไม่เอาน่า ได้บทเรียนแล้ว ไม่ทำพลาดซ้ำสองหรอก” โจรอู๋เอียงตัวเอาไหล่ดันผมเบาๆ “อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะ ใจไม่ดีรู้ปะ”

“ถอยไปเลย...” ผมผลักมันออกห่างๆ รู้สึกรำคาญ แต่ก็แอบเขิน

โจรอู๋ใช้เวลาขับรถจากคอนโดถึงที่หมายในเวลาไม่กี่นาที มันจอดรถไว้ข้างตึกที่ห่างจากผู้คนและกล้องวงจรปิด จากนั้นดับเครื่องแล้วเดินเท้าไปยังร้านเพชรซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร พอมาถึงหน้าร้านผมก็รู้สึกคุ้นๆ มันคือร้านเพชร RACHA Diamond ชื่อดังนี่เอง ไอ้โจรพวกนี้หัวสูงนะเนี่ย!

“เคฟใช้วิธีไหนถึงรู้ว่าควรปล้นร้านนี้ หรือว่ามาส่งพิซซ่า?”

“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม สนใจแค่เด็ดไหมแค่นั้น”

“มึงนี่...”

“ไอ้การเป็นเดลิเวอรี่แมนของมันมีดีก็ตรงนี้ ได้เข้าหาลูกค้าตัวต่อตัวถึงบ้าน มีชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ เป็นฐานข้อมูลชั้นยอด พวกเราได้ดีไม่รู้ตั้งกี่ครั้งเพราะมันนี่แหละ”

“...เลวแท้ จรรยาบรรณอาชีพอยู่ที่ไหน กูล่ะสงสารลูกค้าจริงๆ”

ผมทั้งละเหี่ยใจ ทั้งขนลุกกับความน่าสะพรึงที่คาดไม่ถึงของพวกมิจฉาชีพ เจ้าพวกนี้เปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อสังคมได้แบบหน้ามือเป็นหลังตีนโดยแท้

“จรรยาบรรณคือไร พวกข้ามีแต่จัญไรล้วนๆ”

“เก่งจัง รู้ตัวด้วย”

ขณะเดินตามหลังโจร ผมก็สังเกตสิ่งรอบข้างไปด้วย พอจะเข้าใจว่าที่เคฟเลือกที่นี่ ก็คงเพราะมันเป็นร้าน ไม่ใช่บ้าน จึงมั่นใจในระดับหนึ่งว่าไม่มีคนอยู่ข้างใน อีกทั้งสถานที่ข้างเคียงก็เป็นอาคารพาณิชย์ทั้งนั้น และทุกร้านปิดทำการหมดแล้ว ยามก็ไม่มีสักคน คงไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น นับว่าเคฟเป็นโจรที่ละเอียดรอบคอบมากๆ สมแล้วที่เป็นคนเดียวในแก๊งที่ยังไม่ถูกหมายจับ

แต่คนที่จะถูกจับคืนนี้อาจเป็นอีพี่ชายของมันก็ได้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แม่งเล่นเอากระสอบเจ็ดสีแบบแม่ค้าประตูน้ำมาใส่ของจ้า! ทั้งใหญ่ทั้งลายสะดุดตาเหลือเกิน กะมาขนทั้งร้านเลยมั้ง ถ้าโดนจับก็โทษกระสอบอย่างเดียวเลยนะ

โจรอู๋เดินนำผมมาหยุดอยู่ที่ช่องระบายลมเหนือหน้าต่าง ฝั่งทิศตะวันตกข้างอาคาร แล้วก็ชี้

“เจอแล้ว ตรงนี้เอง ขึ้นขี่คอข้าเร็ว”

“อีกละ” ผมสบถ มองช่องเล็กๆ นั้นอย่างอ่อนใจ ทั้งเล็กทั้งสูงไม่ต่างกับบ้านอีลุงคราวก่อนเลย

“ทำไปไม่ต้องบ่น”

โจรอู๋บอก ย่อตัวลงให้ผมขี่คอ ผมก็ขี่แล้วเลื่อนเปิดออก ดีใจเหลือเกินที่ไม่ต้องใช้ค้อนทุบเหมือนคราวก่อน จากนั้นก็มุดเข้ารูมาสู่ภายในร้านได้สำเร็จ ปรากฏว่าห้องนี้เป็นห้องน้ำ โจรพวกนี้แม่งสายตาซอกซอนดีจริงๆ คิดได้ไงวะเนี่ย! ผมสาบานเลยว่าในอนาคตจะล็อกหน้าต่างประตูทุกบานให้แน่น (ถ้าหากผมได้ออกไปน่ะนะ)

โจรอู๋ปีนตามเข้ามาอย่างค่อนข้างทุลักทุเล ถูกครูดจนเสื้อขาดอีกตามเคย

“ไอ้หอกเคฟ ไหนบอกรูใหญ่ ดูซิเสื้อขาดอีกละ เลือดก็ออก เดี๋ยวพวกมันก็แกะรอยดีเอ็นเอกูได้อีก ต้องมาเช็ดยุ่งยากวุ่นวาย รำคาญว่ะ”

มันเปิดประตูห้องน้ำ เปิดสวิตช์ไฟ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าที่พาดไว้ตรงราวมาชุบน้ำ เช็ดทำลายหลักฐานที่ขอบช่องระบาย ทำไปก็บ่นไปเหมือนคนแก่วัยทองขี้หงุดหงิด แต่คนที่หงุดหงิดกว่าคือผม เลยต้องสั่งสอนมันให้สำนึกสักหน่อย

“ใช้เค้าแล้วยังจะด่าเค้าอีก ใจหมาไปละมึง ไม่โทษตัวเองบ้างล่ะที่ตัวใหญ่เหมือนควายอ่ะ ทีรูกูเล็กกว่านี้มึงยังเข้าได้ เลือดกูก็ออกเยอะกว่ามึงด้วย ยังไม่เห็นจะบ่น โดนขูดแค่นี้ทำมาโวยวาย นี่มึงแมนจริงไหมฮะ เปลี่ยนกันมั้ย? เป็นเมียกูแทนมั้ย?”

ได้ผล ไอ้โจรถึงกับเหวอ

“พูดเหี้ยไร ใครจะยอม!”

“เออ ทีหลังก็ไม่ต้องบ่น”

มันทำปากยุกยิกๆ แต่ไม่พูดอะไร เหมือนเด็กผู้ชายเวลาโดนแม่ด่า คือได้แค่ทำหน้าบึ้งกับเถียงในใจ ไม่กล้าออกเสียง เพราะกลัวโดนฟาด นับเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันยอมสงบปากสงบคำกับผม และก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้ตัวว่ามีอำนาจกับมันขนาดนั้น 

โจรอู๋ส่องไฟฉายไปรอบๆ พบว่าห้องนี้เป็นห้องครัว แสงไฟไปกระทบกับถังขยะโดยบังเอิญ ผมเลยเห็นกล่องพิซซ่ายี่ห้อเดียวกับที่เคฟทำงานเข้า... น่าเสียใจแทนเจ้านายของเขาจริงๆ ที่มีพนักงานผีสิงอยู่ในร้าน กับสงสารลูกค้าที่ต้องจ่ายค่าพิซซ่าด้วยทรัพย์สินที่แพงกว่าร้อยเท่า เสียดายที่ผมไม่รู้ว่าชื่อนามสกุลของเคฟคืออะไร ทำงานสาขาไหน ไม่งั้นจะโทรไปฟ้องสำนักงานใหญ่ ให้มันถูกไล่ออกไปเป็นโจรเพียวๆ สมใจ

มหาโจรเดินนำผมไปยังหน้าร้านซึ่งมีตู้โชว์เพชรที่สวยงามอลังการส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้า มันสวยมากจนผมต้องเอามืออุดปากไม่ให้ส่งเสียงแสดงความตื่นเต้น

“กวาดมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้” โจรสั่ง

“ให้ทำไงอ่ะ มันล็อคไว้ทุกตู้”

“ไม่ต้องกังวลไป ทีวีไอ้เล็กขอนำเสนอสินค้าขายดี...กุญแจผี! การันตีโดยสี่เสือ พวงเดียวไขได้ครอบจักรวาล”

โจรอู๋หยิบวัตถุโลหะเป็นพวงที่คุ้นตาออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วไขตู้เพชรใกล้ๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง ในพวงมีทั้งแบบกลม แบบแบน แบบสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม แบบซิกแซ็ก แบบเส้น เกือบสิบดอก ไอ้โจรสุ่มใช้ไปสองดอก หวยออกที่แบบกลม แค่หมุนคลิกเดียวก็ปลดล็อคได้ แล้วก็ยื่นให้ผมพร้อมกับยักคิ้ว

“พิเศษ วันนี้ให้คุณทดลองใช้ฟรีหนึ่งชุด”

ผมทั้งขำทั้งเกลียด “มึงมันชั่ว” 

“ถึงชั่วก็ผัวเธอ”

“สัด!”

“ไม่เอาสิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าด่าผัวเป็นบาป”

ผมส่ายหน้าแล้วเดินแยกกับมันไปคนละทาง โจรอู๋ปล้นจากตู้ที่อยู่ติดกับประตูหลังร้านเพราะมีเพชรเยอะที่สุด ส่วนผมเลือกโซนหน้าร้านที่เป็นเพชรรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น น่าจะแพงเอาเรื่อง

ขอโทษนะคุณเจ้าของร้าน แต่ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ

กริ๊ก

พอปลดล็อคแล้วผมก็เลื่อนกระจกออก ถอดสร้อย แหวน กำไล ออกจากมือปลอมในตู้โชว์อย่างเร็วไวแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนจะปิดตู้ลงตามเดิมแล้วเคลื่อนย้ายไปตู้อื่นต่อ

หันไปมองโจรอู๋ รายนั้นไวกว่าผม เผลอแป๊บเดียวกวาดไปสามตู้แล้ว

ครืดๆๆ

มีเสียงบางอย่างดังจากในห้องครัว ผมกับโจรอู๋หยุดชะงักพลันมองหน้ากัน

“เสียงอะไรน่ะ” ผมถาม

“จะรู้ไหม อยู่ด้วยกัน” มันว่า

แล้วเราสองคนก็พบคำตอบเมื่อมีบางสิ่ง...ไม่สิ สามสิ่ง วิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเสียงเห่าดังลั่น

หมาพุดเดิ้ล!!!!

“โฮ่งๆๆๆๆ”

“เฮ้ยๆๆๆ!”

“โฮ่งงงงง!!”

“โฮ่งงงง!!”

“เฮ้ย!!!!!”

เสียงคนเสียงหมาผสมกันวุ่นวายในทันทีเมื่อหมาสามตัววิ่งลอดรูด้านล่างประตูออกมา มันตรงเข้าไปหาโจรอู๋ซึ่งอยู่ใกล้แล้วรุมเห่ารุมกัดยกใหญ่ โจรอู๋ก็ร้องโวยวายแข่งกับหมาจนฟังไม่เป็นภาษาคน

“รีบๆ เก็บเร็ว!!” โจรอู๋ตะโกนบอก

“เออๆ มึงกันหมาไว้นะ”

ผมรีบกวาดเพชรจากตู้ที่สองใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว มือไม้สั่นจนทำเพชรร่วงไปหลายอัน ไม่ได้กลัวหมาแต่กลัวคนอื่นจะได้ยินแล้วแห่มาดูต่างหาก

“โอ๊ยๆๆ อย่ากัดกู!”

“เอ๋ง!!!”

ผมหันไปมองโจรอู๋ที่กั้นหมาไม่ให้เข้ามาหาผม เห็นมันถูกหมาสามตัวรุมกัดรองเท้าและกางเกงอย่างบ้าระห่ำ แล้วมันก็เตะพวกหมาอย่างแรงด้วยความโมโห

“ไอ้เหี้ย อย่าทำร้ายหมา!!!” ผมตะโกนด่าเข้าให้

“นี่ห่วงหมามากกว่าข้าเหรอ!?”

“เออ หมาตัวแค่นั้นกัดไม่ตายหรอก”

“แต่มันมีสามตัวเลยนะ!”

“ยังไงก็สู้แรงมึงไม่ได้ ห้ามตีน้อง!”

“โอ๊ยยยยยยย” ไอ้โจรลากเสียงยาว เปล่าเจ็บ แต่น่าจะเพราะเพลียจิตกับผมมากกว่า

ผมกวาดเพชรเสร็จแล้วปิดตู้ ลงล็อค จากนั้นเข้าไปหาโจรอู๋แล้วกลับไปทางออกที่ห้องน้ำด้วยกัน ระหว่างนั้นหมาก็เห่าไม่เลิก ทั้งยังกัดโจรอู๋อย่างไม่ปราณีด้วย (แปลกที่มันไม่กัดผมเลยแฮะ)

“รีบหน่อย เดี๋ยวชาวบ้านก็แห่กันมาหรอก!” โจรอู๋เร่งเร้า

“โฮ่งๆๆๆๆ!!!” พุดเดิ้ลน้อยกัดกางเกงของโจรอู๋อย่างเหนียวแน่น คาดว่าน่าจะขาดไปหลายรูแล้ว

“เงียบนะลูก อย่าเห่าสิลูก” ผมบอกหมาอย่างใจเย็น

“เร็วๆ!” โจรอู๋โวยวายพลางคุกเข่าให้ผมขี่คอ พอผมลอดรูออกมาข้างนอก มันก็ตามมาติดๆ พร้อมกับร้องโอดโอยไม่ขาดปาก แล้วเราก็วิ่งสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต

แต่เฮงซวย หมาน้อยทั้งสามวิ่งตามหลังเรามาจ้า!!!

“โว้ย ไอ้หมานรก!”

โจรอู๋หันไปด่า หยุดวิ่งแล้วถอดรองเท้าข้างหนึ่งขว้างใส่พวกมันอย่างโมโหจัด โดนใส่หัวพุดเดิ้ลสีขาวตัวเล็กจนมันร้องดังเอ๋งด้วยความเจ็บปวด

“บอกว่าอย่าทำร้ายน้องไง!!!” ผมฟาดแขนมันแรงๆ โกรธจนจะเกือบจะร้องไห้

“มึงนี่ก็เหลือเกิน! มันใช่เวลาเป็นห่วงหมามั้ย!!”

ไอ้โจรท่าทางโมโหกว่า จับมือผมแน่นวิ่งเข้าซอยแคบๆ ในชุมชน แต่หมาก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละ

“จะไปไหน รถเราอยู่ทางโน้น” ผมกระตุกแขนเมื่อมันพาวิ่งไปคนละทางกับตอนมา

“รู้น่า ตอนนี้หลบหมาให้ได้ก่อน”

โจรพาวิ่งเข้าไปข้างตึก กระทั่งเราไม่ได้ยินเสียงหมาเห่าอีก เลยหยุดวิ่ง โจรอู๋ชะโงกหน้าไปมอง ไม่เห็นหมาตามมาแล้วก็ถอนหายใจยาว

“ไปซะที สัดเอ๊ย พุดเดิ้ลเหี้ยไรดุชิบหาย พ่อแม่งเป็นร็อตไวเลอร์รึไงวะ!”

“ไม่ต้องพูด เมื่อกี้ที่มึงตีหมา กูโกรธจริงๆ นะ” ผมทำหน้าบึ้งใส่

“เอ็งไม่เห็นว่ามันกัดข้า?” โจรอู๋ถลึงตา ชี้ให้ดูที่ร่างกายท่อนล่างอันสะบักสะบอม “เห็นมั้ยเนี่ย เยินหมดแล้ว”

ใช่ มันเยินจริงๆ กางเกงขาดเป็นรูเหมือนวิ่งผ่านดงหนามมาสามพันรอบ รองเท้าเหลือข้างเดียว เป็นสภาพที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกหมาฟัด

“เอ๊ะ...”

“อะไร”

“ฮึ...ฮ่าๆๆๆ”

“ขำอะไร เห็นกูเจ็บแล้วมีความสุขนักใช่ไหม”

“ไม่ใช่...” ผมกลั้นหัวเราะ ชี้ที่เป้ากางเกงของมัน “มึงไม่รู้ตัวเลยจริงดิ”

โจรอู๋ทำหน้างง แต่พอก้มมองที่ผมชี้เท่านั้นแหละ หน้าแดงทันที

ก็เป้ากางเกงของมันขาดเป็นรูเบ้อเริ่มเลยน่ะสิ กร๊ากกกกก!

“หัวเราะหาหอกไร!” โจรอู๋เอามือกุมเป้า ท่าทางโกรธและอายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ฮาไปใหญ่

“เสียดายจัง น่าจะงับให้ขาดๆ ไปซะทั้งพวง” ผมว่า

โจรอู๋ทำหน้าฮึดแล้วรวบตัวผมไปกอด ผลักติดผนังตึก จ้องหน้าในระยะประชิด ผมตกใจจนหยุดหัวเราะ ดูจากท่าแล้วไม่น่าไว้ใจซักนิด

“จะทำอะไร ถอยไป” ผมผลักหน้าอกมันออกห่าง แต่โจรอู๋รั้งเอวผมไว้ชิดกับตัวเองอย่างเหนียวแน่น

ชัวร์ละแบบนี้ ฉากเอ็นซีกำลังจะมาแน่ๆ

“ขาดเป้าอย่างนี้ก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลารูดซิป”

“เฮ้ย!!!”

ไอ้หอกนั่นทำให้ผมมีสภาพเท่าเทียมกับมัน ไม่สิ ด้อยกว่ามันอีก คือดึงขอบกางเกงรวมกับชั้นในของผมลงต่ำจนน้องชายโผล่ออกมาทักทายโลก จากนั้นก็จัดการสอดแขนใต้ขา ยกตัวผมขึ้นจากพื้น ผมสะดุ้งเฮือก คว้าคอมันกอดไว้เพราะกลัวร่วง

ไอ้เวรนี่มันเทพเจ้าแห่งเซ็กส์เอ้าท์ดอร์จริงๆ!!!

“เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน จะทำตรงนี้จริงเหรอ” ผมถามอย่างลนๆ

“อือดิ ทำไม”

“ไอ้หื่นเอ๊ย...คนอื่นเขามีอารมณ์กันตอนอยู่บนเตียง แต่มึงมีตอนอยู่นอกบ้าน แถมเป็นตอนหลังปล้นแล้วทุกที แม่งโรคจิตชัดๆ”   

“จิตที่ไหน เวลาลุ้นระทึกแบบนี้ อะดรีนาลีนสูบฉีดแรง แถมปล้นสำเร็จ เอ็นโดรฟินก็พลุ้งพล่าน ไม่ทำสิแปลก คิดซะว่าเป็นรางวัลแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อน โอ๊ย...!”

โจรอู๋แก้ตัวแล้วจูบตรงซอกคอผม ลมหายใจแห่งความตื่นเต้นผสานความสุขแผ่ซ่านจากริมฝีปากเข้าสู่ตัวผมอย่างเข้มข้นจนแทบคลั่ง เป็นพลังงานมหาศาลที่ต้องได้รับการปลดปล่อยโดยด่วน

นี่ไม่ใช่รางวัลแล้วล่ะ มันการลงโทษผมชัดๆ ให้ตายเถอะ

“ก็ได้ แต่กลับบ้านก่อนได้มั้ย” ผมต่อรอง

แต่เหมือนจะไม่ทัน

โจรงัดอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเรียบร้อย ลำใหญ่แข็งขันผงาดตั้งตรงเหมือนเสาธง ที่ถึงแม้มันไม่จับก็คงจะคับจนโผล่พ้นผืนผ้าออกมาเองอยู่ดี

“เอาขาเกี่ยวเอวกูไว้แน่นๆ นะ” มันกระซิบข้างๆ หูผม

และผมก็เสือกทำตามด้วย...คนมันกลัวร่วงอ่ะ

มันถอนมือข้างหนึ่งจากใต้ขาของผมไปนวดเฟ้นเคล้าคลึงสิ่งที่อยู่กึ่งกลางร่างกายจากนุ่มนวลไปสู่หนักหน่วง เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ดูดย้ำลำคอของผมจนเป็นจ้ำแดง จากอุ่นเครื่องจนตอนนี้เริ่มร้อนระอุ ทุกทวารในร่างกายเปิดกว้างตื่นตัวพร้อมรับการเติมจากอีกฝ่ายเต็มที่ 

ผมรู้สึกกลัวเพราะหนึ่งอยู่นอกบ้าน สองเป็นท่ายืน สามกำลังโดน (หมา) ไล่ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นเอาเรื่องเลยทีเดียว

ชายหนุ่มผู้พกถุงยางอนามัยในกระเป๋าตังค์ล้วงเอาออกมาฉีกด้วยปากและสวมอย่างเร็วไว ลมหายใจของมันข้างหูของผมรุนแรง ทรงพลัง และเร่งร้อน ราวกับคลื่นลมมรสุมก่อนพายุจะโถมเข้าฝั่ง ใส่เสร็จก็บีบของเหลวที่เหลือติดซองมาถูตรงจุดเชื่อมต่อแทนตัวหล่อลื่นที่อยู่ในรถ
เมื่อต่างฝ่ายต่างพร้อมแล้วมันก็เริ่มสอดเข้ามา ผมโอบกอดรอบคอมันไว้แน่นจนแขนเกร็ง ขาที่เกาะเกี่ยวเอวมันก็เกร็งไม่แพ้กัน

“ทำตัวสบายๆ เกร็งแบบนี้มันเข้าไม่ได้”

“ก็กูกลัวร่วง...”

“ไม่ทำร่วงหรอก สัญญา”

ได้ยินอย่างนั้นผมเลยผ่อนคลายลงนิดหน่อย แล้วมันก็ค่อยๆ แทงเข้ามา...เข้ามาจนสุด แล้วเราต่างก็ร้องครางด้วยความรู้สึกอันยอดเยี่ยม อาจด้วยท่าใหม่ด้วยมั้งที่ทำให้อารมณ์แตกต่างไปจากปกติ ทั้งตื่นเต้นและหวาดเสียวกว่าเดิมสองเท่า พอเครื่องติดแล้วมันก็สับสุดขีดติดสปีดแรงเว่อร์ ถาโถมโหมกระหน่ำทั้งเร็วทั้งแรงเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ จนผมทรงตัวไม่ได้ ร่างกายสั่นสะเทือนเลือนลั่นหวั่นไหว กระแทกกระทั้นกับผนังตึกหนักมากจนกลัวว่ามันจะถล่มลงมา (แน่ใจว่านี่คือบทบรรยายเซ็กส์ ไม่ใช่วันโลกาวินาศ?) 

“เบาหน่อย” ผมจิกไหล่หนาของมันเป็นการเตือน

“ทำไม...” โจรหยุดเคลื่อนไหวแบบงงๆ

“ก้นกูถูครูดกับผนังถลอกหมดแล้วเนี่ย”

“เรื่องมากจัง จะเสร็จอยู่แล้ว ทนๆ อีกสามนาทีไม่ได้เรอะ”

“มึงก็พูดได้สิ ลองเป็นกูดูปะล่ะ”

“...เออๆ”

โจรอู๋อุ้มผมออกจากผนังตึกเปลี่ยนไปที่กระโปรงหน้าของรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ จากนั้นเดินเครื่องต่อโดยไม่หยุดพัก เหงื่อของเราแตกพลั่กจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราอยากผละออกจากกัน

ตรงข้าม...กลิ่นกายที่เปี่ยมด้วยฟีโรโมนอันแสนเซ็กซี่นี้ยิ่งดึงดูดเราเข้าหากันอย่างแนบแน่นเสียอีก ผมกับมันกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเสือสองตัวที่หิวกระหายและบ้าคลั่ง มันระดมจูบดูดขย้ำจนเนื้อผมช้ำแดง ขณะที่ผมทั้งกัดทั้งข่วนตัวมันด้วยความเจ็บแสบผสานสุขสม เราจูบกันเป็นพันครั้ง แลกเปลี่ยนเคมีทางลิ้นแก่กันอย่างไม่รู้หน่าย

ทว่าเมื่อกราฟความสุขพุ่งสูงกระฉูดใกล้เข้าสู่จุดสุดยอดนั้นเอง เราทั้งสองก็ต้องชะงัก

เพราะ...

“โฮ่งๆๆๆ!!!!!!”

น้องหมาที่ตามล่าเรามาเจอเข้าซะแล้ว!

“หมาฟาย!!!” โจรอู๋ตะโกน จำใจผละออกจากร่างของผมอย่างอารมณ์เสียสุดชีวิต “มาหาพ่องทำไมตอนนี้!!!”

“อย่าด่าน้อง” ผมลงจากรถชาวบ้าน จัดเสื้อผ้าเข้าที่เข้าทาง “รีบกลับไปที่รถเราเหอะ”

โจรอู๋ถอดเสื้อแจ็คเก็ตมัดเอวปกปิดขีปนาวุธที่ยังตั้งโด่แล้วจับมือผมวิ่งกลับไปที่รถของเรา หมาสามตัวก็วิ่งตามอย่างดื้อรั้น พอถึงรถเราก็กระโดดเข้ามานั่งแล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที ทิ้งให้หมาน้อยน่ารักเห่าตามหลังด้วยความเจ็บใจ

ระหว่างขับรถ เราทั้งสองรู้ดีว่าต่างคนต่างยังอารมณ์ค้างอยู่ โดยเฉพาะโจรอู๋ มันเหมือนคนโดนขัดจังหวะตอนหนังเข้าฉากไคลแม็กซ์ เหมือนแบตมือถือหมดตอนกำลังจะโทรฉุกเฉิน คือแม่งโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนน่ากลัว เหยียบคันเร่งมิดตีน ปาดหน้าชาวบ้านจนโดนด่ายันโคตรพ่อโคตรแม่ แต่มีหรือที่มันจะแคร์ พอติดไฟแดง มันก็สะกิดผมพร้อมกับส่งสายตาเว้าวอน

“อะไร” ผมปัดมือมัน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ช่วยสงเคราะห์ผัวหน่อยเหอะครับ ทรมานจะตายแล้ว” มันว่า หน้าตาเหมือนจะขาดใจตายจริงๆ

“ไม่เอา อายชาวบ้านเขา”

“ไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่ได้” ผมทำเสียงเข้ม

“น่านะ...ขอร้อง กว่าจะถึงบ้านคงอกแตกตายพอดี”

“สมน้ำหน้า เสือกหื่นไม่เลือกที่ดีนัก” ผมแขวะ แม้ว่าจริงๆ จะค้างไม่ต่างกับมันเลยก็เหอะ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็ไม่สำนึกน่ะสิ

แต่โจรก็ยังเป็นโจร มีหรือที่มันจะฟัง คนอย่างมันเกิดมาเพื่อแหกทุกคำสั่งอยู่แล้ว

“จะทำดีๆ หรือให้ใช้กำลัง”

“...”

“แสงเทียน”

“อือ!” ผมคำรามในลำคออย่างขัดใจ “มือหรือปากล่ะ ไอ้เวรเอ๊ย”   





///// มาแล้วค่ะ ปล้นแอนด์ปล้ำกันอีกละ
สงสารแสงเทียนค่ะบอกเลย อิอู๋หื่นไม่รู้กาลเทศะจริงๆ 5555
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ <3

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
โอ๊ยอะไรจะหื่นปานนั้น กำลังสงสารเจ้าของร้านเพชรอยู่ดีๆ อารมณ์เศร้าก็สดุดเพราะโจรอู๋หื่นนี่แหละ
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เจ้าของร้านเพชร ว่าไง ^^

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
แสงเทียนกลายเป็นโจรเต็มขั้นเสียแล้ว  เจ้าของร้านเพชรซวยจริงๆหลงคารมเคฟจนเสียทรัพย์

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
5555

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

23
ทั้งชีวิต



แม้วันนี้จะไม่มีภารกิจปล้นอะไร แต่โจรอู๋ก็หาได้อยู่นิ่ง มันเอาผ้าปิดตาผมเหมือนพาหมาไปทิ้ง แล้ว ‘ออกไปเทรน’ นอกสถานที่ เทรนที่ว่าก็คือการยิงปืน! ตอนแรกผมงงมาก มันไม่กลัวผมเอามายิงมันรึไง คำตอบของมันก็คือ...ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบคืนนั้นที่ปล้นบ้านเศรษฐีเฒ่า อีกอย่างหากเกิดอะไรกับมันขึ้นมา ก็คงดีกว่าหากผมปกป้องตัวเองได้

จุดประสงค์น่ะดีอยู่หรอก แต่พอมันพูดแบบนั้นผมก็รู้สึกเหมือนลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ อย่าหาว่าผมงมงายนะ แต่ผมว่าตัวเองมีแรงดึงดูดระดับนึง ยกตัวอย่าง


-   มีครั้งหนึ่ง อะไรดลใจผมก็ไม่ทราบ อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาจัดกระเป๋าที่กองทับถมกันเป็นปีๆ แล้วจากนั้นไม่นานแม่ก็โทรมาบอกว่าคุณตาเสีย ผมเลยได้แพ็คกระเป๋ากลับบ้านวันนั้นเลย

-   หรือจะเป็นตอนส่งไฟล์เกือบทั้งหมดในคอมพ์ไปที่อีเมลตัวเอง เผื่อว่าวันหนึ่งวันใดคอมพ์เสีย แต่หลังจากนั้นสามวันคอมก็เจ๊ง และผมก็ต้องโหลดไฟล์จากอีเมล์มาลงใหม่จริงๆ

-   ให้แฟนเก่าส่งรูปคู่ของเราทั้งหมดที่มีจากเครื่องของเขามาให้ผม ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ วันถัดมาเลิกกัน ได้กลายเป็นความทรงจำสมใจ


จะเรียกแรงดึงดูดหรือเซ้นส์แม่นก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ มีแต่เรื่องซวยๆ ผมเลยไม่สบายใจที่โจรอู๋พามาเทรนวันนี้ เพราะกลัวว่าจะต้องใช้วิชาต่อสู้จริงๆ น่ะสิ... แต่ผมก็ไม่บอกมันหรอก เดี๋ยวมันหาว่าเพ้อเจ้อ แล้วผมก็อยากออกมาข้างนอกด้วย เผื่อจะมีโอกาสหนีได้ น่าเสียดายที่โจรอู๋รู้ทัน มันพามาเทรนกับครูฝึกที่เคยสอนมันก่อนจะเป็นโจร เรียกว่าครูโจรเลยเหอะ! คนที่มาฝึก 50% ก็มีแต่พรรคพวกมิจฉาชีพเหมือนกันทั้งนั้น โจรเอยมาเฟียเอย ผมเลยหมดหวัง

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจซ้อมยิงปืน ก็ใช่ว่ามันจะพากลับบ้านทันที ยังมีหน้าพาทัวร์ต่อ!

“ระหว่างเทควันโด ยูโด คาราเต้ อยากเรียนอะไร”

“เดี๋ยวๆๆ นี่มึงจะเทรนกูเป็นโจรรึว่านักกีฬากันแน่!”

“เหอะน่า ตอบมา”

“อยากเรียนมวยไทย”

“ไม่ได้ มีให้เลือกแค่สามช้อยส์”

“ทำไมวะ ก็กูชอบอ่ะ”

“แต่ข้าไม่ชอบ ต่อยมวยแล้วกล้ามใหญ่ ไม่สวย ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กมอต้นแบบนี้น่ะดีแล้ว”

“เวร! พูดไรให้เกียรติส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้ากูด้วย”

“คิก...”

เอาจริงผมก็ไม่ต่างจากเด็กมอต้นแหละ ถ้าเทียบกับเปรตระดับเกือบสองเมตรอย่างมันอ่ะ

ผมเลือกเทควันโด แล้วมันก็โทรหาเพื่อนที่เป็นเส้นสาย พูดภาษาจีนช้งเช้งล้งเล้ง แล้วก็พาไปหาครูฝึกคนใหม่ทันที แน่นอนว่าเป็นครูโจรอีกเช่นเคย (เฮ!) ซ้อมตัวต่อตัวอยู่สามชั่วโมงยันหนึ่งทุ่มก็กลับ ตอนออกจากห้องฝึกนี่โจรอู๋แทบต้องหิ้วปีกผมเลยแหละ เพราะแม่งช้ำระบมทั้งตัวเลย ฮือๆ

ดีหน่อยที่ขากลับมันไม่ปิดตา ผมเลยเห็นว่าเราอยู่ที่ไหน ซึ่งก็คือสุดขอบชานเมืองเกือบออกจังหวัดข้างเคียงแล้วแน่ะ และตอนนี้มันก็จอดรถข้างถนนเพื่อลงไปฉี่ บอกอีกไกลกว่าจะถึงปั๊ม อั้นไม่ไหว ไม่เกรงใจรถเฟอร์รารี่ที่มึงขี่เล้ย! แล้วก็อาจนานหน่อยเพราะจะสูบบุหรี่ด้วย

เออ เรื่องนี้ผมตัดสินใจบอกมันตรงๆ เลยว่าไม่ชอบ

“มันไม่ได้เท่เลยนะ มันน่ารำคาญ ต่อให้มึงหล่อแค่ไหน ถ้าลมหายใจมีกลิ่นนิโคตินคือจบ”

“ก็ไม่ได้สูบเพราะอยากเท่”

“เรื่องของมึง ประเด็นคือกูไม่อยากเสี่ยงเป็นมะเร็งกับมึงด้วย”

“โอย... สูบมาสองสามปีจะให้เลิกทันทีได้ไง ลงแดงตายพอดี”

“ไม่เลิกก็เลิกกับกู เคมั้ย”

“เห้ย ไม่เอาดิ ขอเวลานิดนึง”

“กูให้โควตาแค่วันละมวน แล้วต้องไปสูบไกลๆ ด้วย”

“สองไม่ได้เหรอ”

“งั้นขอคุยกับเบย์หรืออเล็กซ์หน่อย”

“ทำไม”

“จะถามว่าอยากได้รูมเมทมั้ย”

“โอเคๆ วันละมวน”

ด้วยเหตุนี้ผมเลยยืนตบยุงรอพ่อคุณเค้าพ่นน้ำกับพ่นควัน ลืมเรื่องหนีไปซะ เพราะแถวนี้แม่งไม่มีบ้าน ไม่มีรถผ่าน ให้ผมขอความช่วยเหลือได้เลย ยอมใจในความเลือกเส้นทางอย่างรอบคอบของมันจริงๆ

เอ๊ะๆ เหมือนจะมีคนปวดฉี่เป็นเพื่อนแฮะ

มีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยว ก่อนจะจอดห่างรถของเราไปประมาณยี่สิบเมตร ไอ้นี่ก็ขับบีเอ็มว่ะ เออ โล่งใจ ไม่ใช่แค่ไอ้อู๋คนเดียวที่รวยแต่เพี้ยน

ดูเหมือนผมจะเดาผิดนิดหน่อย เพราะไม่เห็นเจ้าของรถลงมาฉี่ บางทีเขาอาจแค่จอดโทรศัพท์มั้ง

เอาไงดี เข้าไปขอความช่วยเหลือดีมั้ย? แต่ๆๆๆ ถ้าเกิดเป็นคนนิสัยไม่ดีล่ะ คงกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้แทน ทำไงดีวะ...

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจ ผู้มาใหม่ก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้ามา เป็นผู้ชายรูปร่างสูง ตัวใหญ่ไหล่กว้าง สวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีเทากับกางเกงสามส่วนสีดำ รองเท้าผ้าใบกับหมวกตกปลาสีขาว ผิวก็ขาวเจิดเหมือนหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์ อายุอานามไม่น่าจะต่างกับผมนัก

หล่อจัง ยังกะนายแบบเกาหลี

เฮ้ย ผิดๆ! เขาลงมาทำไรวะ

“素坤逸在哪里?”

“หา?”

“你是泰国人吗?”

“ซอรี่ ไอโด้นท์อันเดอร์สแตน อิงลิชพลีส”

หนุ่มคนนั้นพูดจีนใส่ผมรัวๆ นี่ก็งงว่ากูหน้าเหมือนคนจีนตรงไหน คือเป็นคนเหนือไงเลยขาวเฉยๆ พี่แกทำหน้าเก็ตแล้วก็ถามใหม่

“คนไทยเหรอ รู้ทางไปสุขุมวิทไหม”

เอ้า พูดไทยได้! สำเนียงเป๊ะไม่เหมือนนักท่องเที่ยวด้วย แสดงว่าเป็นลูกครึ่งไม่ก็เด็กสองภาษา โถ่ แล้วก็ไม่พูดแต่แรก

“รู้ครับ” ผมตอบทันควัน หัวใจเต้นแรงด้วยความหวังที่เคยดับไปแสนนาน “คุณจะไปที่นั่นเหรอ”

“อืม ขับวนแทบตายยังหาไม่เจอ จีพีเอสโคตรงง” 

คงมาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศล่ะมั้ง

“ผมบอกทางได้ แต่ขอผมติดรถไปด้วยได้ไหม”

“ฮะ?”

หันไปมองโจรอู๋ มันยังไม่ออกมาจากพงหญ้า

“คืองี้นะ ผมถูกลักพาตัวมา กำลังหาทางหนีอยู่ ผมขอติดรถคุณไปถึงแค่สถานีตำรวจก็ได้ ขอร้องล่ะ”

หนุ่มตี๋หรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ “พูดอะไรของคุณเนี่ย ลักพาตัวประเภทไหนถึงมีรถสปอร์ตขับ”

“ไม่ใช่ของผม ของโจรที่จับผมมาต่างหาก” พูดพลางหันมองข้างหลังพลาง “ถ้าคุณไม่เชื่อ ค้นหาชื่อโจรในกูเกิ้ลก็ได้ มันชื่ออติศร แซ่อู๋ ถูกประกาศจับเป็นข่าวดัง ช่วยผมด้วยนะครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว”

ดวงตาหรี่เล็กของเขาเบิกกว้างทันที

“อติศร แซ่อู๋เหรอ”

“ครับ”

เขาเหมือนจะกระตุกยิ้ม

เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ นี่ผมกำลังทำพลาดอีกแล้วรึเปล่า ลืมไปได้ไงว่าเส้นสายของอิโจรเป็นคนจีนและรวยมาก แล้วไอ้หมอนี่ก็ดันเป็นคนจีนที่รวยเหมือนกันด้วย...

“เคยได้ยินในข่าวอยู่เหมือนกัน เรื่องจริงเหรอเนี่ย” เขาว่า

โอเค ไม่ใช่

“จริงล้านเปอร์เซ็นต์เลยครับ สาบานให้ฟ้าผ่าตายเลย แต่ตอนนี้รีบหนีก่อนดีกว่า” ผมเร่งเร้า หนุ่มแปลกหน้าพยักหน้าตกลง ปราศจากความลังเลอีก โชคดีของผมจริงๆ ลาก่อนไอ้โจรอู๋!

“เฮ้ย! ทำไรน่ะ!!!”

ขณะที่ผมกำลังหนีไปกับผู้ชายอีกคน (เอ๊ะ ทำไมฟังดูทะแม่งๆ) ไอ้โจรก็โผล่ออกมาจากพงหญ้า มองผมด้วยใบหน้าตกตะลึง แต่พอเลื่อนสายตาไปดูคนที่มันอาจคิดว่าเป็นชู้ มันก็ตกใจถึงขั้นช็อค ตาเบิกโต ปากอ้าค้าง 

“มึง!!!”

“อ้าว ไม่เจอกันนาน กลายพันธุ์เป็นฝรั่งซะแล้วเหรอ”

เฮ้ย เดี๋ยว ทำไมพูดเหมือนรู้จักกันเลยล่ะ!? นี่มันเรื่องอะไรรรร!

โจรอู๋กับชายแปลกหน้าจ้องหน้ากันอยู่หลายอึดใจ สายตาที่ปะทะกันนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โจรอู๋มองอย่างอำมหิตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนนายหน้าตี๋ก็ฉีกยิ้มร้ายกาจแลดูจิตๆ ที่ชวนให้นึกถึงโจ๊กเกอร์ นั่นทำให้ผมเริ่มลังเลใจว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มากับเขา

“กลับมาเดี๋ยวนี้แสงเทียน เอ็งกำลังทำผิดมหันต์ รู้ตัวหรือเปล่า” โจรอู๋กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ

แต่หนุ่มตี๋ตอบแทน “เรื่องอะไรจะกลับ เค้าบอกกูเองว่าโดนมึงจับมา จะให้กูพาหนี”

“จริงเหรอ” โจรอู๋ตวัดสายตามาทางผม

ผมก้มหน้า เม้มปากแน่น

“ข้าไม่ว่าหรอกถ้าเอ็งจะหนี แต่ต้องไม่ใช่หนีไปกับไอ้นรกนี่ รีบกลับมาซะ!”

มหาโจรสั่งเสียงเข้ม ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันโกรธจนตัวสั่นขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่กำลังจะโดนโจรอีกคนขืนใจเมื่อคืนโน้น อยากรู้จังว่านายหน้าตี๋คนนี้เป็นใคร ก่อคดีอะไรไว้ โจรอู๋ถึงได้เกลียดนักหนา

“ไม่ใช่ตัวประกัน แต่เป็นเมียรึไง หวงจัง หืม?” หนุ่มตี๋พูดจายั่วยวน ก่อนจะจับแขนผมไว้แน่น


ท่าไม่ดีแล้ว...


“อย่าแตะต้องเขานะไอ้สวะ!!”

“สรุปว่าเป็นเมียใช่มั้ย? ดีเลย โชคเข้าข้างกูจริงๆ”

แล้วก็ลากผมกลับไปที่รถบีเอ็มอย่างไว

การกระทำนี้จุดชนวนให้อารมณ์แค้นของโจรอู๋ระเบิด มันพุ่งเข้ามาเตะเข้าก้านคอของหมอนี่เต็มแรง ด้วยแรงเหมือนพ่อควายนั้นทำให้อีกฝ่ายทรุดฮวบและผมเป็นอิสระ จากนั้นโจรอู๋ก็จับมือผมวิ่งกลับไปที่รถของเราสุดฝีเท้า

“มึงคิดว่าจะหนีกูได้เหรอไอ้สัดอู๋!!!”

หนุ่มตี๋ลุกขึ้นจากพื้น วิ่งตามหลังเรา พร้อมกับควักปืนออกมายิงสองนัดติด แต่ไม่โดน เลยวิ่งกลับไปยังรถของตัวเองแล้วขับไล่กวดเรา

ไอ้เหี้ย นี่มันมาเฟียในคราบโอปป้า!!!

“โจรอู๋ เขาเป็นใครกันแน่!” ผมถามระหว่างที่วิ่ง

“ถามได้ ก็เจ้าหนี้น่ะสิ!”

“ฮะ!!!”

“ไอ้สัดนี่ค้ามนุษย์นะรู้มั้ย! จะหนีตามมันน่ะ อยากโดนจับขายแยกชิ้นส่วนหรือส่งไปซ่องล่ะฮะ!!!”

เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัว

นี่กูทำอะไรลงป๊ายยยยยยยยยยย!!!!!

เราวิ่งกลับไปที่รถแล้วแทบจะกระโดดเข้ามานั่ง จังหวะที่โจรอู๋กำลังจะเหยียบคันเร่ง รถบีเอ็มก็พุ่งเข้าชนท้ายของเราดังโครมอย่างจงใจ โจรอู๋รีบซิ่งหนี แต่ไม่วายไอ้คันข้างหลังก็ลดกระจกลงแล้วยิงปืนใส่ท้ายรถเราอยู่ดี   

ปัง ปัง ปัง!!!

และโชคร้ายที่หนึ่งในสามนัดเจาะโดนยางหลังข้างขวา ส่งผลให้รถเซไปมา แต่ถึงอย่างนั้นโจรอู๋ก็พยายามประคองสุดชีวิต


พระเจ้า นี่มันบ้าไปแล้ว ลูกกลัว


“ฉิบหาย” โจรอู๋หน้าซีด “มันยิงโดนถังเก็บน้ำมัน เราต้องลงแล้ว เกิดมีประกายไฟขึ้นมา เอ็งกับข้าตาย”

“อะไรนะ!”

โจรอู๋จำใจหักเลี้ยวเข้าข้างทางแล้วจับมือผมวิ่งหนีสุดฝีเท้า และเป็นจริงอย่างที่มันว่า เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้นรถก็ระเบิดบึ้ม ไฟลุกท่วมอย่างเร็วไว เผามอดวอดวายไหม้ทั้งคันเหมือนฉากในหนังแอ็คชั่น  หากเราออกมาช้ากว่านี้คงถูกเผาทั้งเป็น เห็นแล้วผมก็ขนลุกซู่เสียวสะท้านไปทั่วกระดูกสันหลัง 

“ไม่ไหว ขืนวิ่งอย่างนี้ต่อไปเราโดนมันฆ่าแน่”

โจรอู๋บอกก่อนจะชะลอฝีเท้าลง อย่างที่ผมบอกว่าถนนเส้นนี้ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน สองข้างทางก็มีแต่พงหญ้าป่าเปลี่ยว ไม่อาจขอความช่วยเหลือจากใครได้ หนำซ้ำศัตรูก็มีทั้งรถทั้งปืนครบพร้อม ต่างกับเราสองคนที่มีแต่ตัวเปล่า

และตอนนี้มันก็ขับจี้ตูดเราเข้ามาแล้ว

“มึงมีปืนใช่มั้ย เราสู้กับมันได้นะ” ผมเสนอ

โจรอู๋ส่ายหน้า “อยู่ในเก๊ะหน้ารถ”

“โธ่เว้ย!” ผมหงุดหงิดบวกผิดหวัง แต่ก็เข้าใจได้ เมื่อกี้มันฉุกละหุกจริงๆ และชีวิตเราก็สำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น ต้องหนีเอาตัวรอดก่อน “งั้นทำเป็นยอมแพ้มันไหม แล้วกูจะใช้เทควันโดสู้”

“ไม่ใช่เรื่องเล่นนะแสงเทียน ถ้ามันอ่อนหัดปานนั้น ข้าคงจัดการให้จบไปได้นานแล้ว”

“...แล้วเราจะทำไง”

โจรอู๋หันมองซ้ายขวา ก่อนดึงผมวิ่งหลบเข้าพงหญ้าที่สูงท่วมหัว มันเดินนำหน้าคอยแหวกทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแหลมคมกับพืชมีหนาม โดนบาดจนร้องซี้ดซ้าดไม่ขาดปาก คาดว่าคงเป็นแผลเลือดซิบไปทั้งหน้าทั้งตัว มันยอมทำเพื่อไม่ให้ผมที่อยู่ข้างหลังโดนบาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหันมามองเป็นระยะๆ ว่าผมโอเคมั้ย


คือมึง.....


เสียงรถบีเอ็มเงียบลงตรงตำแหน่งที่รถเราโดนเผาเป็นซาก จากนั้นเจ้าหนี้ก็แหกปากตะโกนลั่น

“ไอ้อู๋! กูรู้ว่ามึงอยู่แถวนี้! หลบทำไมวะ ขี้ขลาดเอ๊ย!”

โจรอู๋ฉุดผมให้นั่งลง คงกลัวว่าการเคลื่อนไหวจะทำให้อีกฝ่ายหาเราเจอ โชคไม่ดีมากๆ เนื่องจากพื้นดินข้างล่างเป็นแอ่งโคลนเฉอะแฉะ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสัตว์น่าขยะแขยงอาศัยอยู่ และดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกว่ามีอะไรเลื้อยเฉียดข้อเท้าไป

“อื้อ...!!!”

คนข้างๆ เอามือปิดปากผมทันทีเหมือนรู้ทัน แล้วยังกอดผมไว้แน่นราวกับจะยืนยันว่าไม่มีวันปล่อยไปไหน ผมน้ำตาไหล กลัวยิ่งกว่าครั้งใดๆ แล้วก็รู้สึกผิดจนอยากตายด้วย นี่ถ้าผมไม่สะเออะพูดชื่อโจรอู๋ ไม่คิดจะหนีไปจากมันตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ซึ่งร้ายแรงกว่าการอยู่กับมันต่อไปเป็นล้านๆๆๆ เท่า คิดแล้วก็เกลียดตัวเองนัก

คนที่สวมกอดก้มหน้าลงมามองผม แล้วก็ตกใจที่เห็นดวงตาผมเปียกชื้น มันมองด้วยแววตาที่อ่านได้ว่า ‘ไม่เอาไม่ร้อง’ ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ ทว่านั่นกลับทำให้ไหลหนักกว่าเก่า

ความรู้สึกผิดกัดขย้ำหัวใจของผมเจ็บไปหมด ผมอยากให้มันด่าจนหูชามากกว่าอีก เพราะยิ่งมันทำดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเท่านั้น
เจ้าหนี้ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องไปทั่ว มันอยู่ห่างจากเราราวๆ สิบห้าเมตร หาอยู่สักพักมันก็ส่องค้างไว้ตรงจุดที่เราเข้ามาพอดี ถ้าไม่เห็นรอยหญ้าโค่นล้ม ก็คงเจอเลือดของโจรอู๋ที่โดนบาดติดใบไม้

แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน มันก็เดินตามมาแล้ว

ผมฝังใบหน้าเปียกชื้นลงบนอกหนาของโจรอู๋ สัมผัสได้ว่าหัวใจมันเต้นแรงรัวระทึกยิ่งกว่ากลองศึก ส่วนมันแนบหน้ากับศีรษะผม


เอาเหอะ ถึงจะตาย ผมก็ไม่ได้ตายเพียงลำพัง อย่างน้อยก็ยังมีคนที่พยายามปกป้องผมด้วยชีวิตอยู่ทั้งคน...


“เชี่ย!”

ปัง!

อยู่ๆ เจ้าหนี้ก็ร้องเอะอะและยิงเปรี้ยงลงพื้นดิน ไม่รู้ว่าเจออะไรถึงตกใจแรงขนาดนั้น อาจเป็นตัวที่เพิ่งเลื้อยผ่านขาผมไปเมื่อกี้ เจ้าสิ่งนั้นทำให้เจ้าหนี้หยุดชะงักตรงทางเข้า

“กูรู้มึงอยู่แถวนี้ แต่กูไม่ลดตัวลงไปงมหามึงให้หมดหล่อหรอกว่ะ!”

“...” 

“เอางี้! กูมีข้อเสนอ ถ้ามึงเอาแฟนมึงมาให้กู กูจะยกหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง! ว่ายังไง! สนใจไหม!”

ผมได้ฟังแล้วใจหาย มือไม้สั่นขึ้นมาทันที จ้องตาโจรอู๋ในความมืดด้วยดวงตาสั่นคลอน จากของพนันราคาหนึ่งพันบาทในวันนั้น (ยังฝังใจไม่เลิก) สู่ตัวประกันราคาห้าสิบล้านในวันนี้ มันต้องมีไขว้เขวบ้างแน่ๆ

แต่โจรอู๋สบตาผม ดวงตามั่นคงจริงจัง

“เมียทั้งคน...ให้ตายกูก็ไม่ยกให้”

พูดแล้วจูบหน้าผากผมหนักๆ หนึ่งที พลันความกลัวของผมก็สลายหายเป็นปลิดทิ้ง เกิดความอบอุ่นซาบซ่านที่หัวใจแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เจ้าหนี้ไม่เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ก็ตะโกนอีก
 
“ไม่ออกมาใช่ไหม เออ แล้วแต่มึง กูไม่ง้อ! ยังไงซะมึงก็เป็นลูกไก่ในกำมือกูอยู่ดี!”

“...”
 
“มึงจองศาลาล่วงหน้าไว้เลยไอ้อู๋ สิ้นเดือนนี้จบเรื่องของกูกับมึง จะได้ส่งศพไปเผาทีเดียว!”

“.....”

มีเสียงสบถอย่างขัดใจหนึ่งที ก่อนที่เจ้าหนี้จะถอนตัว สักครู่ท่อรถบีเอ็มก็คำรามลั่นแล่นจากไป เราทั้งคู่จึงหายใจได้ทั่วท้องสักที แล้วพากันออกจากที่ซ่อนกลับขึ้นมาสู่ถนน โจรอู๋ควักโทรศัพท์มาโทรหาคนที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนและเส้นสาย พูดเพียงไม่กี่คำก็วาง

“เดี๋ยวเพื่อนข้าจะมารับ” มันบอก

“กูไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าหนี้ทำเหมือนจะฆ่ามึงเลย มันไม่ได้อยากได้แค่เงินหรอกเหรอ” ผมถือโอกาสถาม โจรอู๋ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาว

“เอาจริงมันก็อยากได้ทั้งสองอย่าง”

“ทำไมอ่ะ โกรธแค้นอะไรกันขนาดนั้น”

“เรื่องมันซับซ้อน” 

“เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็เผื่อจะช่วยมึงได้ไง”

มันยิ้มเล็กน้อย “แค่มีเอ็งอยู่ด้วย ก็ถือว่าเป็นการช่วยข้าแล้ว”

“...ไม่ต้องมาน้ำเน่าเลย”

“ชีวิตข้ามันระยำ ข้าไม่อยากเล่าให้เอ็งเสียขวัญ”

มันดึงผมเข้าไปกอดแนบอกแล้วจรดริมฝีปากกับหน้าผาก หูของผมแนบอยู่ตรงหัวใจที่เต้นแรงระรัวของมัน ฟ้องว่ามันต่างหากที่เสียขวัญยิ่งกว่า

“รู้ไหม ข้ากลัวอะไรมากกว่าความตาย”

“กลัวโดนจับ?”

“เปล่า” มันก้มหน้าลงมองผม “กลัวรักษาเอ็งไว้ไม่ได้”

“.....”

“เอ็งรู้รึเปล่าว่าไอ้เวรนั่นไม่ได้อยากฆ่าข้าหรอกนะ แต่ที่มันไล่ตามเรา เพราะอยากได้ตัวเอ็งต่างหาก มันรู้ว่าเอ็งสำคัญกับข้า มันคิดว่าถ้าได้เอ็งไป จะทำให้ข้าทรมานยิ่งกว่าฆ่าให้ตาย”

“.......”

“มันคิดถูก”

“โจรอู๋...”

แก้มผมร้อนวูบวาบคล้ายถูกเปลวเทียนลน หัวใจก็รู้สึกพองฟูขึ้นอีกสามเท่าคล้ายจะปะทุออกมา ตัวก็หวิวๆ เหมือนจะลอย มันพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมนะ? รู้รึเปล่าว่าประโยคเหล่านั้นสื่อถึง ‘ความรู้สึกหนึ่ง’ ที่ชัดเจนกว่าพูดคำนั้นออกมาตรงๆ ซะอีก

บ้าชะมัด มันทำให้ผมทั้งเขินทั้งดีใจเหมือนจะคลั่งเลย

เรายืนกอดกันมองดูกองไฟโหมกระหน่ำเผาไหม้เครื่องยนต์ราคาหลายล้านเงียบๆ ระหว่างรอเส้นสายของโจรอู๋มาถึง ผมรู้สึกราวกับเป็นผู้รอดตายจากภัยพิบัติเรือล่ม ติดค้างอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร กำลังก่อไฟขอความช่วยเหลือจากเรือหรือเครื่องบิน แม้ว่าความจริงจะอยู่ห่างจากถนนสายหลักแค่ไม่กี่กิโลก็ตาม

ไม่กี่นาทีก็มีเสียงรถขับตรงมา ผมกับโจรอู๋ดีใจหันไปมอง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ มันคือรถบีเอ็มเหมือนของเจ้าหนี้เป๊ะ

และมันกำลังขับถอยหลังพุ่งเข้ามาหาเรา!!!

โจรอู๋พาผมกระโดดหลบเข้าข้างทางจังหวะที่รถผีสิงนั่นเกือบชน  ผมกับมันล้มกระแทกพื้นเนื้อตัวเปรอะเปื้อนกลิ้งไปคนละทาง โจรอู๋ตะโกนด่าศัตรูด้วยความเคียดแค้นจนเลือดขึ้นหน้า ผมเห็นด้วยที่ว่ามันเป็นหมาลอบกัด หลอกเราว่าไปแล้ว แต่ที่จริงซุ่มอยู่ในที่มืด รอเราออกจากที่ซ่อนแล้วกลับมาแว้งกัด นับว่ามารยาโจรเหนือชั้นกว่าโจรอู๋หลายเท่าจริงๆ สมแล้วที่เป็นศัตรูคู่แค้นกัน

เจ้าหนี้หน้าตี๋ปรี่ลงจากรถเพื่อจะเป่าหัวโจรอู๋ให้จบๆ ไป...

บ้านแม่งสิ!!! มันเข้ามาฉุดผมต่างหาก!

“ไปกับเฮียนะน้อง”

“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!!!”

โจรอู๋พูดถูก ไอ้หอกนี่อยากได้ตัวผมมากกว่าฆ่าคู่อริตัวเอง มันฉุดแขนผมขึ้นจากพื้นแล้วกระชากลากถูผมไปโดยไม่สนใจโจรอู๋แม้แต่ปลายหางตา โจรอู๋เลือดขึ้นหน้า ตอบโต้ไว้กว่าปฏิกิริยาเคมี ผุดจากพื้นพุ่งเข้าต่อยศัตรูเต็มหมัดเข้าที่ใบหน้าจนปากแตก ก่อนจะถีบจนล้มแล้วจับมือผมวิ่งหนี

ทว่าฝีเท้าไม่ไวเท่าลูกปืน

ปัง!!!

“อาร์มี่!!!!!!!!”

ไอ้สัตว์นั่นยิงผัวกู!

โจรอู๋ทรุดลงทันทีพร้อมกับมีเลือดไหลทะลักออกจากกลางหลัง ไหนครูฝึกบอกว่าเป้าไม่นิ่งยิงยากไง แล้วทำไม... ทำไม...

“ข้าไม่เป็นไร เอ็งรีบหนีไปซะ”

“ไม่! เราต้องไปด้วยกัน!”

น้ำตาผมไหลทะลักทลายเหมือนเลือดของโจรอู๋ กระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกด้านขวาเหนือซี่โครง แผลของมันทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนโดนยิงไปด้วย ความกลัวกับความรู้สึกผิดบีบคั้นจนใจผมแทบขาด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดอยากให้มันตายๆ ไปซะ แต่พอเอาเข้าจริง ผมกลับรับไม่ไหว

ไม่ไหวจริงๆ

ผมกำลังจะพยุงโจรอู๋ขึ้นมา แต่ไอ้เวรกรรมสัมพเวสีก็เข้ามาจับผมซะก่อน ผมขัดขืนสุดชีวิต มันเลยชกลิ้นปี่ผมเต็มหมัด ทำเอาผมทรุดฮวบลงทันที ไอ้วิชาสารพัดที่ฝึกมาเมื่อเช้าแม่งไร้ประโยชน์ เพราะมันสูบพลังผมไปหมดแล้ว ไม่เหลือแรงไว้ให้ใช้กับสถานการณ์จริงแม้แต่น้อย

โจรอู๋ยันตัวเองขึ้นจากพื้น ก้าวโซเซเข้ามา

“เฉินเชว่! ไอ้เหี้ย มึงมันไร้สัจจะ! หมาลอบกัด! แค่ทุกวันนี้มึงยังทรมานกูไม่พอรึไง!!!” โจรอู๋ตวาดลั่น หน้าแดงก่ำไม่ต่างกับเลือดที่ไหล
คู่อริยิ้มอ่อนๆ “มึงจะด่ากูแบบนั้นไม่ได้ เพราะสัจจะระหว่างเราแม่งไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่แรก”

“ไอ้หน้า**!!!”

“ว้าๆ อย่าด่าแม่ตัวเองสิ”

ยิ่งโจรอู๋โกรธมาก เจ้าหนี้ก็ยิ่งยั่วโมโหมากขึ้นไปอีก ผมว่าถ้าสายตาของคนสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ ไอ้พ่อค้ามนุษย์เวรตะไลนี่คงตายไปแล้วพันรอบ โจรอู๋น่ากลัวมาก ขนาดผมยังสั่น ถ้าไม่ติดว่าไอ้เวรนี่มีปืน และโจรอู๋ไม่บาดเจ็บ ผมคงได้เห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา

“ถอยไปซะ อย่าคิดจะสู้กับกู ไม่งั้นนัดนี้กูเอามึงตายจริง” เจ้าหนี้ยกปืนขู่เล็งที่หัวโจรอู๋ พร้อมกับลากผมเดินกลับไปที่รถด้วยกัน

ทันใดนั้น ฝั่งตรงข้ามก็เหมือนจะนึกขึ้นได้

“เทียน” โจรอู๋เรียก

แต่ไอ้เวรนี่ขานรับแทน “จะสั่งเสียเมียใช่ไหม เสียใจว่ะ กูไม่มีเวลารอมึงหรอก เอาเป็นว่าจะอัพเดตให้ฟังทีหลังละกัน แต่สบายใจเถอะ รับรองเมียมึงจะสบายที่มาเก๊า ไม่ก็ฮ่องกง”

คือมึงจะส่งกูขายข้ามชาติงั้นเหรอ ไอ้เปรตตตตต!

“อาร์มี่! ช่วยด้วย!” ผมร้องสุดเสียง แม้รู้ว่าไร้ผล โจรอู๋เจ็บจนเกือบประคองตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกลัวนะเทียน” โจรอู๋เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “Colt M 1911 บรรจุเต็มแม็กได้เจ็ดนัด”

“....?”

“มันไม่เหลือกระสุนให้ยิงแล้ว”

“เชี่ย!” เจ้าหนี้สบถ คงจะนึกขึ้นได้เหมือนกัน

ให้ตาย...ทำไมมึงฉลาดอย่างนี้ รู้จักยี่ห้อปืนยันจำลูกกระสุนทุกนัดที่ยิงได้! ความโง่ความควายที่ผ่านมาคือหลอกตากูใช่ไหม

เมื่อรู้ว่าสถานะเท่าเทียมกันปุ๊บ โจรอู๋ก็พุ่งเข้าใส่ไอ้พ่อค้ามนุษย์ดุจวัวกระทิงคลุ้มคลั่ง สองคนฟัดกันจนฝุ่นตลบ โจรอู๋คล้ายจะเป็นรองเพราะบาดเจ็บอยู่ แต่ก็สู้ยิบตา มีฉากโคตรโหดที่ทำเอาผมอ้าปากค้างเอามือกุมใจ คือโจรอู๋บีบเลือดจากแผลจนเต็มฝ่ามือแล้วเอาละเลงใส่เต็มหน้าคนที่ยิงมันจนแดงฉาน คนขวัญอ่อนเห็นแล้วมีสิทธิ์อ้วกพุ่งได้

ตีกันไม่กี่นาทีกรรมการก็ปรากฏตัว

เสียงรถไซเรน

“ฉิบหาย!”

สองโจรหยุดแลกหมัดแล้วหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน เป็นรถสองคันวิ่งไล่เลี่ยกันมา มีไฟสีแดงขาวน้ำเงินกับเสียงหวอๆ แหลมบาดหู คงเป็นรถตำรวจกับรถพยาบาล บางทีอาจมีชาวบ้านแจ้งความ ก็มีทั้งรถระเบิด ไฟไหม้ กับเสียงปืนตั้งเกือบสิบนัดนี่นะ

เจ้าหนี้หน้าเลือด (ทั้งความหมายตรงและอ้อม) ถีบโจรอู๋ออกไปพ้นตัวแล้ววิ่งกลับไปที่รถ คราวนี้ไปจริงไม่มีดริฟท์กลับ

“รถพยาบาลมาพอดี โชคดีชะมัด” ผมพยุงโจรอู๋ขึ้นจากพื้น เขยิบมายืนกลางถนน พวกเขาจะได้เจอเราง่ายๆ

แต่โจรอู๋กลับขัดขืน “ไม่ ข้าไม่ไป”

“เฮ้ย นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องถูกจับไม่ถูกจับนะ ชีวิตมึงต่างหากที่สำคัญที่สุด” ผมออกจะโกรธที่เห็นท่าทีดื้อดึงของมัน

“ข้าไม่เป็นไร เชื่อสิเดี๋ยวเพื่อนข้าก็มา”

“มึงกลัวกูหนี หรือแจ้งตำรวจเหรอ”

“...”

“กูไม่เลวขนาดจะทิ้งคนที่ช่วยชีวิตตัวเองได้ลงคอหรอกนะ”

“....”

“แต่กูจะเสียใจมาก ถ้าคนๆ นั้นตาย แล้วเป็นฝ่ายทิ้งให้กูอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”

“เทียน...”

โจรอู๋กอดผมจมอกจนแก้มผมเปื้อนเลือด อัตราการเต้นของหัวใจถี่ยิบและรุนแรงของมันบอกให้รู้ว่ากำลังดีใจมาก แล้วก็ทำให้ผมค้นพบว่าคนเราต่อให้แข็งกร้าวหยาบกระด้าง หรือเลวทรามสักแค่ไหน ก็ยังไร้เดียงสาทุกทีเวลารู้สึกดีกับใครสักคน

เจ้าความรู้สึกนั่น... ทำให้เด็กสิบสี่กับมหาโจรไม่แตกต่างกัน

ผมเกือบพามันส่งโรงพยาบาลสำเร็จ ถ้าหากรถโฟล์กสวาเก้นสีดำคันหนึ่งไม่โผล่มาจากถนนอีกฝั่งและเปิดประตูรับเราซะก่อน เกิดการสลับตัวที่ทำให้ผมงุนงง คือเมื่อผมกับโจรอู๋เข้ามานั่งข้างใน คนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างในก็ลงจากรถ แล้วปิดประตูตามหลังพวกเราทันที

โจรอู๋บอกว่านั่นคือเพื่อน

ดังนั้นเมื่อรถติดไซเรนสองคันมาถึง ก็ได้พบกับคนที่เป็นเจ้าของซากรถตัวจริงเพียงคนเดียว


v
v
v
(NEXT PART)

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0


[PART 2/2]



ที่คอนโด

ผมประคองโจรอู๋เข้ามาในห้องและพาไปนั่งโซฟา ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำใส่กะละมังถือกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูและกางเกงบ็อกเซอร์ (มันใส่แค่นี้นอน) แล้วจึงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้มัน เช็ดไปก็ร้องไห้ไปเพราะยังอกสั่นขวัญกระเจิงไม่หาย

เมื่อกี้ที่อยู่ในรถตู้ ชายคนหนึ่งเคลมตัวเองว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนโจรอู๋ เป็นนักศึกษาแพทย์ที่เพื่อนโจรอู๋จ้างให้มาด้วยเพราะรู้ว่าต้องบาดเจ็บแน่ เขาบอกคนขับให้จอดรถที่เปลี่ยว แล้วทำแผลให้โจรอู๋แบบเถื่อนซะยิ่งกว่าโจรแท้ๆ คือปรับเบาะเอนลงจนสุด ให้ผมช่วยถือไฟฉายส่องแทนไฟผ่าตัด แล้วพี่หมอเค้าก็งัดเอากระสุนออกมาทั้งอย่างนั้น โหดดิบโคตรพ่อโคตรแม่จนผมเกือบเป็นลม โชคดีที่ไม่โดนยิงอวัยวะสำคัญเลยทำได้ ไม่งั้นก็คงต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ

ผมโกรธมากที่โจรอู๋ดื้อด้านขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างมันยอมตายดีกว่าถูกจับ พอทำแผลเสร็จพวกเขาก็มาส่งเราที่คอนโด ผมต้องถอดเสื้อแจ็คเก็ตให้มันใส่ปิดบังร่างกายมิดชิด เพราะเสื้อของมันถูกโยนลงถังไปแล้ว ประจวบเหมาะกับเสื้อผ้าของเราเป็นแนวสปอร์ตพอดี เลยทำทีว่าไปออกกำลังกายมา หลุดรอดจากสายตาช่างสงสัยของรปภ. มาได้

เป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ผมมีลมหายใจมาเลย...

“หยุดร้องได้แล้ว”

โจรอู๋พูดพลางเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา ผมก้มหน้า น้ำตาหยดลงบนผ้าปูที่นอนเป็นดวงๆ

“ก็กูรู้สึกผิด กูเสียใจ”

“บอกแล้วไงว่าอย่าโทษตัวเอง ที่เอ็งทำไปน่ะข้าเข้าใจดี มันหล่อยังกับเทวดา เป็นใครก็อยากหนีตามทั้งนั้นแหละ”

“ยังจะมาพูดเล่น” ผมฟาดแขนมันเข้าให้

“ไม่อยากให้เครียดไง โถ่...”

“กูน่ะดีแต่หาว่ามึงเป็นตัวซวย แต่วันนี้กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นตัวซวยของมึง...” ผมสะอึกเพราะเจ้าก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกลำคอ “ถ้ากูไม่เสือกพูดชื่อมึงให้มันฟัง มันก็คงไม่ทำกับมึงแบบนี้”

“ถ้าเอ็งไม่พูด เอ็งก็ถูกมันจับไปขายตัวนะ”

“...ก็ยังดีกว่าให้มึงตายแล้วกัน”

โจรอู๋ประคองใบหน้าผมให้เงยขึ้นสบตากับมัน ดวงตาคมแสดงความเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม แล้วก็หวานละมุนราวกับเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับมันกำลังมองของรักของหวงที่สุดในชีวิต

“ข้าสัญญากับเอ็งว่าจะไม่ให้ใครทำอันตรายได้ ลืมแล้วรึไง”

“เปล่า...”


“ข้าขโมยชีวิตเอ็งมา เพราะงั้นข้าจะให้ชีวิตข้าแทน”


“มึง...”

ผมโผกอดมันแล้วปล่อยโฮอย่างหมดท่า น้ำตาที่คิดว่าไหลมากแล้วก็ยังไหลถล่มทลายได้อีก ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวของมันปลดล็อคความขุ่นข้องใจที่ผ่านมาทั้งหมดของผมจนสิ้น เลือดของมันที่สูญเสียเพื่อผมวันนี้เป็นเหมือนการไถ่บาปทั้งมวลที่มันทำกับผม บาดแผลที่ผมทำให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่มันทำให้ผม หักล้างกันจนเป็นศูนย์

สถานะบ่าวกับนาย ผู้ร้ายกับเหยื่อ – เหลือแค่คนธรรมดาสองคน

คนธรรมดาที่...พิเศษ

โจรอู๋กอดผมตอบด้วยอัตราแน่นพอๆ กัน

“ครั้งแรกเลยนะที่เอ็งกอดข้า” แม้ไม่เห็นหน้า ผมก็รู้ว่ามันยิ้ม “ทำไม กลัวเหรอ”

“อือ มึงคิดว่ากูจะดีใจเหรอถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมา...เพราะกู” ผมพูดเสียงอู้อี้และสั่นเครือ

“นี่คือเป็นห่วงใช่มั้ย”

“เรื่องแค่นี้ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไปตายซะ”

มันหัวเราะราวกับไม่คิดว่านั่นเป็นคำด่า

ผมคลายกอดแล้วโอบรอบคอมันแทน ก่อนจะเอียงหน้าจูบโดยไม่ทันตั้งตัว ไอ้โจรแทบหงายหลังล้มด้วยความช็อก มันดูตื่นเต้น ทำอะไรไม่ถูก สังเกตได้จากการจูบตอบผมซึ่งดีเลย์ไปเกือบสิบวินาที ผมถอนริมฝีปากจากมันแล้วเปลี่ยนไปจูบที่ซอกคอกับใบหู เหมือนที่มันชอบทำกับผม

“เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน คิดจะทำอะไร” มันถาม น้ำเสียงส่อแววประหม่า ไม่เคยโดนรุกล่ะสิท่า โถ่ไอ้อ่อนเอ๊ย

“อยู่นิ่งๆ ไป” ผมสั่ง

“จะแก้แค้นเหรอ มายั่วกันตอนป่วยแบบนี้ข้าจะทำอะไรได้ ไม่แฟร์เลย”

“หุบปากซะ”

“...”

“เดี๋ยวออนท็อปให้เอง”

“...”

กระบวนการทุกขั้นตอนที่ผมทำให้มันวันนี้ เปิดเผย ชัดเจน ซื่อตรงยิ่งกว่าที่ผมเคยทำให้ใคร อย่าว่าแต่มันช็อกเลย ผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่กล้าทำถึงขั้นนี้ แต่คิดๆ ดูก็ตื่นเต้นท้าทายดี ในเมื่อมันอยากตายเพื่อผมนัก ผมก็จะทำให้มันตาย...ตายเพราะสำลักความสุขนี่แหละ

ภาษากายทั้งหมดที่ผมถ่ายทอดให้มันวันนี้ แทนคำพูดเดียวเท่านั้น

ถ้ามันไม่โง่เกินไป ก็น่าจะเข้าใจ




//// มาซะดึกเลย มีใครอยู่แถวนี้มั้ยคะ แฮ่...
เป็นตอนที่ยาวมาก ใช้เวลา+พลังเยอะมาก
แต่ก็ชอบมากที่สุดเช่นกัน
สองคนเริ่มมองเห็นด้านลึกๆ ของอีกฝ่ายและเปิดใจให้กันแล้ว
แต่สถานการณ์ช่างยากลำบากนัก (คนเขียนก็ด้วย T T)
ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ เลิฟฟ <3 <3


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
« ตอบ #189 เมื่อ: 16-02-2019 00:37:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น้องเทียนนนน

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
โจรมีเรื่องอะไรกับโจรค้ามนุษย์

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :hao6: :hao6: :hao6:
อะไรกันเนี่ย บาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
«ตอบ #193 เมื่อ22-02-2019 23:19:36 »


24
Friend With Benefits



ตีสาม

เสียงโทรศัพท์ดังทำให้โจรอู๋สะดุ้งตื่น หยิบมาดู เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก เขาปัดสายทิ้งอย่างหงุดหงิด

คราวนี้ข้อความเข้า


所以死了吗?
(ตายแล้วเหรอ?)



เขาผวาเฮือก รู้เลยว่ามันเป็นใคร จากนั้นค่อยๆ ยกศีระที่ซบหน้าอกกับแขนที่พาดก่ายเอวตนวางลงบนหมอนข้างๆ อย่างนุ่มนวล ดูท่าจะหลับลึก ก็เล่นขย่มเขาโบ้มๆ ไม่ยั้งขนาดนั้น... แต่ก็นะ ลีลาเด็ดขาดบาดใจ ทำเอาเขาสุขจนหลั่งล้นท่วมท้นตัว กระสุนมีเท่าไหร่เรียกว่าปล่อยหมดคลัง ร้ายกาจจริงๆ เจ้าตัวเล็กนี่...

ร่างใหญ่ค่อยๆ ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ก้มลงเก็บบ็อกเซอร์ขึ้นมาใส่ เกือบร้องลั่นด้วยความเจ็บแผลแต่อุดปากทัน แล้วจึงออกไปที่ระเบียงห้อง ปิดประตูตามหลังแน่นหนา

กำลังจะโทรหาสายล่าสุด แต่ทางนั้นก็โทรมาซ้ำพอดี เขากดรับ ถามเสียงห้วนดุดัน

“มึงเอาเบอร์กูมาจากไหน”

[อ้าว ยังอยู่รึ กูนึกว่าตายห่าไปแล้ว]

“ไม่ได้ยินที่กูถามเหรอ”

[โวะ เรื่องขี้ๆ คิดว่ามึงคนเดียวรึไงที่มีแฮ็กเกอร์ในทีม]

“แล้วโทรมาเพื่อ”

[เช็คว่ามึงตายรึยัง]

“กูยังไม่ตายง่ายๆ หรอก บอกแค่นี้ ไม่มีไรแล้วก็ไสหัวไป”

[รอเดี๋ยว กูมีข้อเสนอใหม่ให้มึงด้วยนะ]

“เสนอส้นตีนไร”

[อย่างที่บอก เอาเมียมึงมาให้กู แล้วกูจะยกหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้สายป๋าๆ ชอบกันนัก รับรองกูจะไม่ให้น้องเค้าลำบาก มึงก็รู้กูมีบ้านอยู่เกาะตั้งกี่หลัง จะเลี้ยงดูอย่างดีราวราชินีเลย]

“กูไม่ให้”

[น้อยไปเหรอ งั้นหกสิบล้าน]

“พันล้านกูก็ไม่ให้” โจรอู๋พูดลอดไรฟัน “มึงล้มเลิกความคิดเหี้ยๆ นั่นซะ กูไม่มีวันยกเขาให้กากเดนมนุษย์อย่างมึงเอาไปปู้ยี้ปู้ยำหรอก”

[ห่า พูดอย่างกับมึงดีกว่ากูนักหนา กูรู้นะว่ามึงฉุดเขามา ก็ข่มขืนเขาเอาเป็นเมียไม่ใช่รึไงวะ ยังมีหน้าด่ากูอีก] ปลายสายจิกกัด

“เออกูฉุด แต่ไม่ได้ข่มขืน”

[โอ้ งั้นแสดงว่าคนนี้จริงจังล่ะสิ รักเขาใช่มั้ย]

“ไม่ใช่เรื่องส้นตีนอะไรของมึง”

[งั้นถ้ากูขอแลกกับคนที่อยู่ทางนี้มึงจะว่าไง พอสนใจขึ้นมาบ้างยัง]

“ไอ้สัด มึง!!!”

[ชักลังเลแล้วใช่ไหมล่ะ] ปลายสายหัวเราะ

“มึงแม่งไม่ใช่ลูกผู้ชาย คนใจสัตว์”

[อย่ารุนแรงดิวะ กูก็แค่ถาม] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงยียวน ผิดกับฝ่ายนี้ที่ร้อนจนไฟแทบลุก [กูเป็นห่วงมึงหรอกนะเนี่ย กลัวหาเงินไม่ทันใช้หนี้]

“มึงจะเอาเรื่องหนี้มาอ้างทำไม ในเมื่อมึงไม่ได้ต้องการเงินจากกูอยู่แล้ว”

[ใครบอกไม่อยาก แค่อยากได้อย่างอื่นเพิ่มเฉยๆ]

“งั้นกูขอบอกไว้ นอกจากเงิน มึงจะไม่ได้อะไรจากกูอีก”

[บังเอิญกูไม่ใช่พวกสนใจคำเตือนซะด้วยสิ]   

“นั่นเรื่องของมึง” กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมดุดันที่สุด “ยังไงซะกูก็ต้องปิดบัญชีมึงให้ได้ กูไม่แคร์ว่ามึงจะเล่นวิธีสกปรกแบบไหนอีก เพราะถึงวันนั้นจริง ไม่ได้มีแค่กูกับมึง ถ้ามึงตุกติก ทุกอย่างจบ”

[อ๋อ นี่รอใช้บารมีเฮียฟงคุ้มกะลาหัวเหรอ ตลกว่ะ!]

“....” โจรอู๋เจ็บใจ อยากเถียง แต่คือเรื่องจริง

[อ้ะๆ แล้วแต่ เปลี่ยนใจอยากขายเมียเมื่อไหร่ก็บอกกูละกัน กูอยากได้จริงๆ ชิบหายเอ๊ย]

“ว่างนักก็ไปชักว่าวปะสัด”

[ชักจนบวมแล้ว คิดถึงหน้าเมียมึง]

“ไอ้เหี้ย”

โจรอู๋วางสาย หัวร้อนราวไฟเผา สงบสติอารมณ์ด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนเย็นลง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง




“ทำไรอ่ะ”

ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตูระเบียงเลยหยิบมือถือขึ้นมาส่อง เห็นโจรอู๋เดินเข้ามาด้วยสีหน้าโคตรจะเครียด ในมือมันถือโทรศัพท์ด้วย คงไปคุยกับใครสักคน

แต่มันไม่ยักตอบ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกแกป และแว่นดำ

“นอนต่อเลย เดี๋ยวมา” พูดแค่นี้

“จะไปไหน มึงเจ็บอยู่นะ”

“ไปหาเพื่อน”

“เส้นสายคนนั้นน่ะเหรอ”

“อืม”

“ขอไปด้วยได้ไหม”

“ไม่ได้” โจรอู๋พูดเสียงเข้มจนผมตกใจ แล้วก็เดินเข้ามานั่งข้างเตียง สีหน้าหวั่นวิตกผิดปกติ “ข้าให้เอ็งไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด เอ็งต้องอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”

“กูเป็นห่วงมึง”

ผมอยากร้องไห้ แต่โจรอู๋ยิ้ม

“ข้าห่วงเอ็งมากกว่า” ว่าแล้วลูบแก้มผมเบาๆ “เอ็งก็รู้ว่าเราเพิ่งเจออะไรมา ศัตรูข้าอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพฯ แล้วมันก็หมายตาเอ็งอยู่ ขืนข้าพาเอ็งออกไปด้วย เกิดเจอมันอีกรอบ เอ็งจะซวยเอา”

“...แต่มึงก็ยังออกไป” พูดแล้วหัวใจของผมก็สั่นๆ ละสายตาจากมัน มองไปที่แผล “ทั้งที่เพิ่งถูกยิงมา”

“มันจำเป็น”

“จำเป็นขนาดไหน โทรคุยไม่ได้เหรอ”

ทำไมกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจไปได้นะเรา ก็ไม่อยากให้ไปจริงๆ นี่...

“ต้องคุยตัวต่อตัว มันสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่กับข้า แต่สำหรับเราทั้งคู่ เข้าใจหน่อยนะ” พูดจบก็ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากหนึ่งที “จะรีบกลับมา”
เสร็จแล้วก็ก้าวออกไปด้วยท่าทางเร่งรีบ ผมมองตามอย่างเป็นห่วงกระทั่งมันหายลับไปหลังประตู แล้วก็ล้มตัวลงนอนเช่นเดิม ทว่าไม่อาจข่มตาหลับได้

มีหลายอย่างเกี่ยวกับมันที่ผมยังไม่รู้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องเส้นสาย จะว่าไป...มันแทบไม่เคยปริปากเล่าให้ผมฟังสักเศษเสี้ยว แม้แต่วันนี้ที่ได้เจอกันในระยะประชิด (ถึงจะแค่แวบเดียว) ได้นั่งรถเขา ได้เพื่อนเขาช่วยชีวิตแท้ๆ แต่โจรอู๋ก็ไม่พูดถึงเขาเลยสักแอะ คิดว่าแปลกไหม

อยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ในใจผม

เพื่อนแบบไหนออกไปหากันตอนตีสาม

เพื่อนแบบไหนเอาตัวเข้ารับความซวยให้กัน

เพื่อนแบบไหนซื้อบ้านซื้อรถให้กันเป็นล้านๆ

นั่นสิ...เพื่อนแบบไหน

ผมข่มตาหลับทั้งที่ในใจถูกคำถามบีบคั้นจนปวดหน่วง อีกทั้งยังมีความเป็นห่วงมันพ่วงด้วย ยิ่งทำให้การฝืนนอนต่อทรมานไปใหญ่ ไหนจะความกว้างของเตียงคิงไซส์ที่โหดร้ายสำหรับคนๆ เดียว กับกลิ่นของมันที่ติดบนปลอกหมอนและผ้าห่มอีกล่ะ มันทำให้ผมเสพติดการนอนกอดมันไปแล้ว...แย่มากๆ

พลิกตัวไปมาหลายตลบ กระทั่งล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมจึงหลับได้

ฝันดีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกลายเป็นฝันร้าย...ที่ผมภาวนาสุดใจว่าขออย่าให้เป็นจริงเลย




อีกด้านหนึ่ง

“อะไรนะ! ไอ้เฉินเชว่เหรอ!”

“เออ มันจริงๆ”

หลังจากเข้ามาในบ้าน (เรียกให้ถูกคือคฤหาสน์) ของนักสืบทิวาแล้ว โจรหนุ่มก็เล่าเหตุการณ์ปะทะกับศัตรูให้ฟัง เพราะตั้งแต่ตอนโทรขอความช่วยเหลือที่ถนน ก็ยังไม่ได้คุยกันอีก

ความจริงเขาคงอดทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ได้ ถ้าหากไม่ถูกคู่อริโทรหาเมื่อครู่ สำหรับโจรอู๋นี่คือการคุกคามอย่างใหญ่หลวง มันหาเบอร์เขาเจอง่ายๆ และก็อาจดักฟังทางโทรศัพท์ได้เช่นกัน หมายถึงเขาจะไม่มีความลับทางโทรศัพท์กับมันอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้จึงต้องมาหานักสืบถึงบ้านในเวลาตีสาม

“ตอนแรกกูคิดว่ามันบังเอิญเลยเจอมึง แต่ตอนนี้กูว่ามันน่าจะวางแผนมาแล้ว” เจ้าของบ้านนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับแขก

“กูก็ว่างั้น” โจรอู๋พยักหน้า “แต่ชื่อเจ้าของรถคือมึง แล้วมันรู้ได้ไงว่ากูขับ”

“ยากตรงไหน ก็มันรู้ไงว่ากูหนุนหลังมึงอยู่”

โจรระบายลมหายใจออกยาวๆ “กูขอโทษที่พามึงซวย ไหนจะทำรถพังอีก เกลียดตัวเองชิบหาย”

“ไม่เอาดิ ใช่ความผิดมึงที่ไหน” นับสืบเตะเท้าอีกฝ่าย “แค่เศษเหล็กเอง ไม่สะเทือนกูหรอก”

โจรอู๋ยิ้มออกนิดหน่อย

“มึงบอกว่ามันอยากได้ตัวแสงเทียนใช่มั้ย พูดจริงพูดเล่น” 

“จริง แม่งถึงได้ยิงกูเดี้ยงนี่ไง”

“แย่งนางเอกกันว่างั้น”

“มันจริงจังนะมึง ฉุดตั้งหลายครั้งกะเอาให้ได้อ่ะ”

“เข้าใจๆ แสงเทียนนี่สเปกเกย์มหาศาล สำหรับมันคงขายได้หลายล้าน”

“มันให้กูตั้งหกสิบล้าน”

“เชี่ย...”

“แต่เรื่องไรกูจะขายวะ เมียทั้งคน” โจรอู๋พูดแล้วส่ายหน้า “กูไม่น่าพาเขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย...”

“เอาน่า ในเมื่อแก้ไขอดีตไม่ได้ มึงแค่ทำวันนี้ให้เต็มที่ แล้วก็วางแผนอนาคตให้ดีก็พอ” ทิวาย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับโจรอู๋ วางมือลงบนไหล่ บีบแน่นๆ ให้กำลังใจ “แต่ที่กูห่วงกว่านั้นคืออะไรรู้ไหม”

“คือ?”

“ภารกิจของมึงกับเจ้าสัวปลายเดือนนี้ไง”

“กูว่ากูทำทุกอย่างรัดกุมแล้วนะ มึงห่วงตรงไหน”

“ก็ไอ้เหี้ยเฉินนี่แหละ กูกลัวมันไปป่วนงานมึง ทำให้มึงปิดจ็อบไม่สำเร็จ พอมึงไม่ได้เงินจากเจ้าสัว อีกสามวันพอถึงกำหนดเคลียร์หนี้มัน มึงก็จะถูกมันเก็บ” 

“เป็นไปได้” โจรอู๋ก้มหน้า ยกมือเท้าหน้าผาก “มึงพอจะช่วยกูได้มั้ย สร้างข่าวปลอมหรือข่าวลือเกี่ยวกับกู ว่าโจรอู๋หนีไปต่างประเทศแล้ว ไม่ก็ตำรวจได้เบาะแสพวกค้าของเถื่อน จะซื้อขายกันวันนั้นวันนี้ ให้ไอ้เฉินเชว่สับสน กูรู้มึงช่วยได้”

“หือ นี่มันเรื่องใหญ่ไม่ใช่ขี้ๆ ทุกวันนี้แค่คดีเก่ากูก็ตามล้างตามเช็ดให้มึงแทบไม่ทันแล้วนะเว่ย” ทิวานิ่วหน้า “มึงต้องไปคุยกับเจ้าสัว เปลี่ยนเป็นวันอื่นแล้วล่ะงั้น ยิ่งเร็วยิ่งดี ก่อนที่ไอ้เฉินจะรู้ทัน”

“เฮ่อ กูจะลองดู” โจรอู๋ถอนหายใจยาว เอนหลังที่พนักพิงโซฟา แหงนหน้ามองเพดาน

“ไอ้ห่าเฉิน ไม่รู้จะอยู่กรุงเทพฯ ถึงเมื่อไหร่ กูกลัวว่ามันจะเจอมึงอีกรอบแล้วฆ่ามึงก่อนถึงวันปิดบัญชี หรือฉุดแสงเทียนไปขายอย่างที่บอก ถ้าเป็นงั้นจริง คดีจะยิ่งโคตรซับซ้อน แล้วกูก็จะยิ่งปวดหัวเป็นสิบเท่า”

“ขอโทษจริงๆ ว่ะที่กูหาแต่เรื่องให้มึง...” โจรอู๋หน้าเศร้า แววตาละห้อย   

“บอกกี่ทีแล้วว่ากูเต็มใจ อยู่เฉยๆ น่าเบื่อตายชัก เป็นนักสืบเนี่ยแหละสนุกสุดแล้ว ได้ใช้สมองดี”

“เหรอ แต่กูชอบตอนรวยแล้วอยู่เฉยๆ มากกว่า”

นักสืบหัวเราะ ก่อนจะกลายเป็นเคร่งขรึม ราวกับเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเอาจริงเอาจัง “ไหนๆ ก็ไหนๆ กูมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง มึงจะโกรธกูก็ได้ แต่กูว่ากูต้องพูด”

“เรื่อง?”

“มึงจะไม่ปล่อยแสงเทียนจริงดิ”

“......” ถึงกับนิ่งไป “ถามทำไม”

“กูแค่อยากรู้ มึงเอาเขาไปเข้าแก๊ง พาไปปล้น จนเขากลายเป็นโจรไปกับมึงด้วย นั่นทำลายอนาคตเขาแท้ๆ”

“.....” ได้ฟังแล้วโจรอู๋รู้สึกฉุนนิดๆ

“มึงรู้ไหม เฟลมแฟนเขาเครียดมาก แสงเทียนหายไปจะเป็นเดือนแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า กูเห็นเขาทีไรแล้วเศร้าชิบหาย นี่เป็นคดีแรกที่กูทำแบบฝืนใจโคตรๆ มึงรู้ป่ะ กูรู้สึกผิดแทบตายที่บิดเบือนความจริงให้มึง แต่เอาเรื่องหลอกลวงไปบอกเขา ทั้งที่เขาไว้ใจกู เขาไม่มีที่พึ่งที่อื่นนอกจากกู”

“........” โจรอู๋เม้มปาก ไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น

“หกเดือนที่มึงปล้นชาวบ้านร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กูไม่เคยว่า แต่นี่มึงลักพาตัวคน แถมยังพาเขาไปลำบากด้วยอีก กูขอพูดจากใจ มึงปล่อยเขาไปเหอะ”

“ไม่” โจรอู๋ลุกจากโซฟา ใบหน้าตึงเครียด แววตาโกรธขึ้งทันใด  “เรื่องอื่นกูทำให้มึงได้ แต่เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้นว่ะ จริงอยู่ที่กูขโมยเขามา แต่แล้วไง? ตอนนี้เขาเป็นเมียกูแล้ว เรากำลังไปกันได้ดี แล้วกูก็ไม่เห็นเขาจะร้องไห้หาผัวเก่าตรงไหน”

“ยังไงมึงก็ทำไม่ถูก” ทิวาลุกขึ้นมาประชันหน้า “มึงกักขังเขา ยัดเยียดความเป็นโจรให้เขา กับอีกสารพัดอย่าง”

“กูก็เห็นเขามีความสุขดีออก”

“เพราะกูช่วยมึงอยู่นี่ไง ไม่ใช่เหรอ ถ้ากูไม่ซื้อบ้านซื้อรถให้มึง อำนวยความสะดวกราวกับเทวดาให้มึง มึงจะมีอะไรนอกจากตัวเปล่า แล้วคิดดูว่ามึงในสภาพนั้นจะทำให้เขามีความสุขได้เหรอ”

“.....” หันหน้าหนี

“มึงกับเขาต่างกันนะมี่ เขาเป็นนักศึกษา เรียนดี ชีวิตดี มีอนาคตสดใสรออยู่ แต่มึงล่ะ มึงเป็นอะไร”

“แล้วไงวะ!” โจรหนุ่มขึ้นเสียง ท่าทางเขาโกรธมากจนทนไม่ได้อีกต่อไป “ก็กูรักเขา! มึงเข้าใจรึเปล่า! กูปล่อยเขาไปไม่ได้ แล้วกูก็มั่นใจว่าตอนนี้เขาก็รักกูเหมือนกัน”

“แค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ มึงต้องมองความเป็นจริง นอกจากรักแล้วมึงต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาได้ด้วย แต่นี่มึงยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย”

ทิวาตะโกนพูดเสียงเข้มขึงขังไม่แพ้กัน “รักแล้วต้องกัดก้อนเกลือกิน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครมีความสุขหรอก”

“กูทำได้! กูเชื่อว่าทำได้ เคลียร์กับไอ้เฉินเมื่อไหร่ กูจะเป็นอิสระ กูจะเริ่มชีวิตใหม่กับเขา”

“ชีวิตใหม่ที่ไหน ในไทยเหรอ? มึงก็รู้บ้านเมืองที่นี่เป็นยังไง มึงทนถูกประณามจากสังคมได้เหรอ? โดนตราหน้าว่าเป็นโจรไปตลอดชีวิตน่ะ”

“กูทนได้”

“มึงทนได้ แต่แสงเทียนล่ะ เขาจะรับการเหยียดหยามไหวไหม คิดดูสิผู้คนจะนินทาเขายังไง โดนลักพาตัวไป แต่สุดท้ายเอาโจรทำผัวเนี่ยนะ? แค่คิดกูก็มองเห็นคำครหาที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตแล้ว”

“งั้นกูจะพาเขากลับจีน” โจรอู๋เถียง

“นั่นยิ่งเลวร้ายใหญ่ เข้าถ้ำเสือชัดๆ แถมพกเหยื่อไปด้วย มึงคิดว่าไอ้เฉินจะปล่อยมึงไว้เรอะ”

“...”

“ถ้ามึงรักเขาจริง ก็ควรห่วงอนาคตเขา ทางที่ดีมึงหยุดความรู้สึกกับแสงเทียนดีกว่า”

หนุ่มโจรชักสีหน้าไม่พอใจ วินาทีนั้นทิวาเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจถูกชก แต่โจรอู๋แค่ผลักเขาออกไปห่างๆ เท่านั้น แล้วก็เดินไปที่หน้าต่างด้วยอารมณ์เดือดพล่านและขุ่นมัว

ผ่านไปหลายนาที ท่าทีดูสงบลง ทิวาจึงค่อยพูด

“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า นอนกับกูเถอะ”   

“....”

“เตียงกูคิดถึงมึงจะแย่แล้ว”





//// เอาระเบิดมาหย่อนไว้แล้วก็ไป....

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันนะคะ รักจังๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
«ตอบ #194 เมื่อ23-02-2019 03:54:14 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
«ตอบ #195 เมื่อ23-02-2019 12:42:33 »

ดราม่าเริ่มมาแล้ว

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (2/03/19)
«ตอบ #196 เมื่อ02-03-2019 22:10:26 »


25
แตก/หัก



ช่วงเช้าๆ

ร้านเดลิเวอรี่เพิ่งเปิดได้ห้านาที ยังไม่มีลูกค้า เฟลมยืนประจำหน้าเคาน์เตอร์ ทำทีเอาผ้าขนหนูเช็ดโน่นเช็ดนี่ ผู้จัดการจะได้เห็นว่าเขาไม่ว่าง แม้ว่าความจริงจิตใจของเขากำลังวุ่นวายอย่างหนักจนไม่ได้หยุดพัก

เมื่อคืนมีเรื่องน่าช็อก แม่แสงเทียนโทรหาเขา เธอบอกว่ารู้เรื่องแสงเทียนหายตัวไปแล้วนะ แต่ไม่บอกว่ารู้จากใคร เธอเสียใจและโมโหมากที่ทุกคนปิดบัง ทั้งตำรวจ เฟลม และเพื่อนๆ ของลูกชาย

เฟลมอธิบายว่าช่วงแรกตำรวจยังไม่แน่ใจว่าแสงเทียนหายตัวไปจริงหรือแค่หนีเฉยๆ จากนั้นก็ต้องรอตำรวจสืบสวน กว่าจะรู้ว่าถูกโจรลักพาตัวไปก็หลายวัน และเขาตั้งใจจะบอกเธอวันพรุ่งนี้ ทว่าหัวใจคนเป็นแม่ก็แหลกสลายเกินกว่าจะรับฟังคำแก้ตัวใดๆ ไปแล้ว



‘รู้ไว้นะว่าถ้าน้องเทียนเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอเลย!’



ถ้อยคำของเธอเปรียบเสมือนน้ำกรดราดรดหัวใจเขาเละเทะไม่มีชิ้นดี พอวางสายไปเขาก็ทรุดตัวร้องไห้อยู่สองชั่วโมงรวดจนปวดหัว ลำพังก็รู้สึกผิดแทบตายอยู่แล้ว ยิ่งถูกคนที่รักแสงเทียนที่สุดในชีวิตตอกย้ำ ก็เหมือนกับตอกฝาโลงให้เขาไปครึ่งตัว



ไม่ใช่แค่แม่หรอก ผมเองก็จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเหมือนกัน...



เช้านี้เขาตื่นมาด้วยดวงตาบวมแดงอย่างกับผึ้งต่อย เลยสวมแว่นสายตาหลอกๆ แต่ก็ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ 

“หน้าเศร้าแบบนี้ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเข้าร้าน”

ลูกค้าคนแรกของวันเป็นชายในเครื่องแบบที่เขาเจอบ่อยยิ่งกว่าใครในช่วงนี้ หมวดเดินถือกระเป๋าเข้ามาในร้าน ใบหน้าง่วงๆ มึนๆ เช่นเคยใต้ตาคล้ำอย่างคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน

“มาทำไม มีอะไรคืบหน้าเหรอ”

“นั่นคำทักทายลูกค้าเหรอน่ะ” หมวดจิกกัดขำๆ “เปล่าไม่มีไรสักคืบ แค่หิว ขอสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่นึง”

เฟลมผิดหวังทันใด “ร้อยสามสิบเก้าบาท”

ตำรวจจ่ายเงิน รับบัตรคิว แล้วนั่งโต๊ะซึ่งไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบนิยายรักหน้าปกสีชมพูออกมาอ่านระหว่างรออาหาร เฟลมทึ่งที่ขนาดง่วงจนตาปรือเกือบปิดสนิท หมวดก็ยังสามารถอ่านหนังสือได้ มหัศจรรย์คนจริงๆ

เฟลมมองแล้วแอบขำ สักพักเมื่ออาหารเสร็จ เขาก็เรียกให้ลูกค้ามารับ

“หมายเลขหนึ่งครับ”

“....” หมวดนั่งนิ่งราวกับสัตว์สตัฟฟ์ เฟลมเรียกซ้ำ แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับ คาดว่าน่าจะหลับใน (อีกแล้ว) พนักงานส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินถือถาดไปเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ

แต่ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์น่าระทึก คือหมวดเอนไปข้างหลังจนขาเก้าอี้ด้านหน้ายกจากพื้นมากขึ้น...มากขึ้น ทำมุมสี่สิบห้าองศาเตรียมหงายหลังล้มสู่พื้น

“เฮ้ย!!!”

พนักงานโยนถาดอาหารทิ้งแล้วเข้าไปประคองเก้าอี้ไว้ได้อย่างทันท่วงที หากปล่อยไว้เพียงหนึ่งวินาทีหมวดคงหัวฟาดพื้นไปแล้ว

หมวดเหมือนจะรู้สึกตัวเมื่อเห็นใบหน้าของเฟลมในระยะประชิด และตัวเขาตกอยู่ในอ้อมแขนของพนักงานหนุ่ม

“คุณจูบผมทำไมเนี่ย เปรมประกิตต์”

“ฮะ......บ้าเหรอ!!!”

เฟลมสะดุ้งจนเผลอปล่อยมือจากหมวด ส่งผลให้เก้าอี้ล้มลงกระแทกพื้น แล้วหมวดรักษ์ก็หายมึนทันที

“โอ๊ย...” หมวดกลิ้งไปนอนบนพื้น แล้วค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้น มองหน้าพนักงานอย่างเอาเรื่อง “ทำร้ายผมทำไมฮะ”

“เปล่าซักหน่อย คุณทำตัวเองต่างหาก ผมจะช่วยด้วยซ้ำ”

“ช่วยอะไร” หมวดเลิกคิ้ว “ผมก็นั่งอยู่เฉยๆ แต่คุณทำผมล้ม”

“หืมมมม” เฟลมกัดฟันกลั้นความโกรธ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะยังไงหมวดก็เป็นลูกค้า “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณหลับในแล้วจะหงายหลังล้ม ผมเลยเข้ามาช่วยประคองต่างหาก”

“เหรอ” หมวดสีหน้างง “งั้นจะปล่อยให้ผมร่วงทำไมเล่า เจ็บเลย”

“ก็คุณพูดอะไรบ้าๆ หาว่าผมจูบคุณ”

เฟลมรู้สึกหัวร้อนเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตะกี้ จริงๆ ความร้อนนี้หมายถึงเขินหรือโมโหเขาก็ไม่แน่ใจ

“มันน่าคิดไหมล่ะ หน้าใกล้ซะขนาดนั้น” หมวดรักษ์ยกเก้าอี้ขึ้นจากพื้นแล้วนั่งลงตามเดิม

เฟลมขี้เกียจเถียงไร้สาระเลยเปลี่ยนเรื่อง “อ่านนิยายจนไม่ได้นอนอีกล่ะสิท่า ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“เปล่า ทำคดีต่างหาก” หมวดปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้ดูข่าวเหรอ คดีปล้นร้านเพชรน่ะ ข่าวใหญ่จะตาย”

“รู้สึกว่ามันอยู่ในเขตรับผิดชอบของสน.ห้วยขวางไม่ใช่?”

“เพื่อนที่นั่นขอมาก็เลยไป เขาสงสัยว่าจะเป็นพวกแก๊งเดียวกับคดีเรา”

“ช่วยคนอื่น แล้วคดีของผมล่ะ”

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็ไม่ทิ้งคดีของคุณหรอก” หมวดพูด พลันสายตาก็หันไปเจอจานสปาเกตตี้คว่ำกระจายบนพื้น แล้วก็ยิ้ม “นี่คุณเป็นห่วงผมมากสินะ ถึงกับทิ้งถาดแล้วเข้ามาช่วยเลย น่ารักจัง เอาไปสิบคะแนนเต็ม”

“ไม่ใช่! ผมแค่ไม่อยากให้มีใครตายในร้านก็แค่นั้น”

เฟลมหลุดจากอารมณ์เศร้า รีบเก็บกวาดเส้นใส่จาน เดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดพื้นจนสะอาดเรียบร้อย แล้วกลับไปที่เคาน์เตอร์

หมวดมึนแอบยิ้ม รู้สึกดีที่เห็นเฟลมยังมีอารมณ์เหวี่ยงวีนเหมือนเดิม สำหรับเขามันดีกว่าเศร้าซึมเยอะ ความจริงที่เขามาหาเฟลมแต่เช้าก็เพื่อดูอาการนี่แหละ เขากลัวเจ้าหนุ่มนี่คิดสั้นหลังถูกอดีตแม่ยายด่าสับยับเยิน พอเห็นว่ายังด่าเก่งไฟแลบก็ค่อยโล่งใจ

ถามว่าทำไมเขารู้ ก็คนที่บอกแม่ของแสงเทียนอยู่ในทีมเขาไง


“ผมไม่คิดว่าเราต้องปิด เราควรบอกเธอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”

“แต่คุณก็น่าจะปรึกษาผมก่อน”

“หมวดเอาแต่รอ แล้วก็ไม่ได้ทำ”

“แต่ยังไงผมก็เป็นหัวหน้า อย่าทำอะไรโดยพลการสิ”

“บางทีหมวดอาจจะลืมว่าผมเป็นนักสืบเอกชน ไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร”



...เป็นซะอย่างงั้น ก็หวังว่าจะปิดคดีได้เรียบร้อยก่อนที่จะเกลียดขี้หน้ากันล่ะนะ

“หมายเลขสอง” เฟลมเรียก

หมวดหันมองรอบร้าน “เรียกใคร ไม่เห็นมีคนอื่นเลย”

“คุณนั่นแหละ”

หมวดลุกจากโต๊ะเดินมารับงงๆ “ผมต้องจ่ายสองเท่ารึเปล่า”

“ไม่เป็นไร ผมรับผิดชอบเอง”

“ขอบคุณนะ ใจดีจัง ถ้ายิ้มเยอะกว่านี้รับรองได้เป็นพนักงานดีเด่นแน่ๆ”

“รีบเอาไปได้แล้ว”

เฟลมทำเป็นไม่สนใจและโบกมือไล่หมวดไปให้พ้นก่อนจะโดนล้ำเส้นมากกว่านี้ อดคิดไม่ได้ว่าหมวดจงใจมาป่วนเขารึเปล่าเนี่ย?

แต่เรื่องของหมวดดูจะเบาไปเลย เมื่อเทียบกับลูกค้าคนที่สอง เฟลมมั่นใจว่ารายนี้ต่างหากที่มาเพื่อป่วนของจริง

ชายหนุ่มรูปงาม ร่างสูงดูดีเหมือนหุ่นในตู้โชว์ ผมสีน้ำตาลแดง ผิวขาวเปล่งประกาย ออร่ากระจายอย่างที่ดูออกว่าไม่ใช่คนธรรมดา... แม้จะสวมแว่นดำอำพราง แต่เฟลมก็รู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ระยะร้อยเมตร

“Lasagna, Spicy wings, and Pepsi medium, take home please.” ผู้ชายคนนั้นสั่งโดยไม่มองหน้าพนักงาน ก้มหน้าเล่นมือถือ

เฟลมไม่กดสั่ง เพราะสองมือไม่ว่าง กำลังกำหมัดแน่น

“ไอ้มาร์ค”

เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนเรียกอย่างแปลกใจ (แต่เฟลมรู้ว่ามันแกล้งทำ) ถอดแว่นดำออกเพื่อมองเห็นหน้าชัดๆ แล้วก็ร้องเสียงดัง

“อ้าวเฟลม!”

“ตามมาถึงนี่เลยเหรอ” คนในเคาน์เตอร์ถามเสียงต่ำราบเรียบ ดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง 

“ไม่คิดว่าเป็นพรหมลิขิตเหรอ ที่เราได้เจอกันอีกครั้ง”

“พรมเช็ดตีนไร กูรู้ว่ามึงตามมาจากทวิตนั่น”

เมื่อวานมีลูกค้าผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาที่ร้าน พอเห็นหน้าเขาปุ๊บก็ร้องกรี๊ดกร๊าด พวกเธอจำได้ว่าเขาเป็นนายแบบที่เคยกำลังดัง แต่อยู่ๆ ก็ออกจากวงการไปแบบงงๆ เลยขอถ่ายรูปหน่อย เฟลมกระอักกระอ่วนเอามากๆ แต่ก็อนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่าอย่าบอกชื่อ อย่าเปิดวาร์ปเขาก็พอ เขาขอใช้ชีวิตเงียบๆ พวกเธอก็ตกลง

แต่ไม่กี่นาทีหลังจากพวกนางไป รู้ไหมเขาเห็นอะไรเอ่ย?

 

อิเหี้ยยยย มีพนง.คนไหนหล่อเท่านี้อีกมั้ย กูตายยยยย
#พนักงานหล่อบอกต่อด้วย #พิเฟลม
#ร้านฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอิตาลีที่อยู่ในห้างติดบีทีเอส #วาร์ปอยู่ในเธรด


 

รีทวีตกันไปหมื่นสาม

อี...ดอก

 
“หลงตัวเองไปมั้ง ทำไมพี่ต้องตามนายมาด้วย”

“กล้าสาบานไหมล่ะ”

“ไม่เอาน่า พูดกันดีๆ สิ”

“กูไม่อยากพูดกับมึง”

เขาอยากให้ไอ้เคฟอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นตัวเองชะมัด หมอนั่นเจอลูกค้าเวรตะไลเบอร์ไหนก็รับมือได้หมด ผิดกับเขาที่ความอดทนต่ำเตี้ย

“ทำไมพูดกับลูกค้าไม่เพราะเลย เดี๋ยวก็แจ้งเอชอาร์หรอก”

“ช่างหัวมึง”

เฟลมตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานหลังร้านให้มาอยู่แทน บอกว่าจะไปห้องน้ำ แต่โชคร้ายที่เพื่อนคนนั้นก็กำลังไปห้องน้ำพอดี เลยมีแต่เขาคนเดียว   

“ไม่คิดว่านายจะตกต่ำถึงขั้นนี้ จากนายแบบดาวรุ่ง กลายเป็นพนักงานร้านเดลิเวอรี่กระจอกๆ ซะงั้น”

“หุบปาก” ไอร้อนแล่นขึ้นหน้าวูบวาบ ถ้าไอ้เพื่อนคนนั้นยังไม่รีบกลับมา เขาจะต่อยไอ้ลูกค้านี่หน้าคว่ำ

“ทำไมหยาบคายจัง ลงมาอยู่ตลาดล่างแล้วเป็นงี้หรอ”

เฟลมถอดหมวกแกปร้านทิ้ง เพราะหัวเขาร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว

“นับหนึ่งถึงสาม ไม่ถอยเจ็บตัวแน่” เฟลมพูดลอดไรฟัน อีกฝ่ายผงะ รู้ว่าเอาจริง

“พี่มาดีนะเฟลม ยังไงซะเราก็คนกันเอง พี่ไม่อยากเห็นนายลำบาก กลับมาหาพี่ แล้วพี่จะลืมทุกอย่างที่นายทำ”

“หนึ่ง”

“ไม่เอาน่า”

“สอง”

มาร์คขยับไปข้างหลังหนึ่งก้าว พอให้พ้นระยะหมัด

“ห่วงแฟนเก่าที่อยู่ในข่าวเหรอ เลิกหวังดีกว่ามั้ง ป่านนี้เขาคงกลายเป็นเมียโจรไปแล้ว...”

ซ่า!!!

ถังน้ำล้างผ้าขี้ริ้วที่วางอยู่ปลายเท้า เฟลมถือมันขึ้นมาสาดใส่หน้ามาร์คทันที ทำให้อีกฝ่ายเปียกโชกและสกปรก เสื้อขาวกลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา หมวดรักษ์ที่มองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นลุกจากโต๊ะ เตรียมเข้าไปขวางถ้าเกิดการลงไม้ลงมือกัน

“ฮะๆ...” มาร์คหัวเราะ เสยผมด้านหน้าขึ้น หล่อเหมือนโฆษณาแชมพูไม่มีผิด “โกรธทำไม พี่พูดผิดตรงไหนเหรอ”

“อย่ามาแช่งแสงเทียน!!!” เฟลมตวาดลั่น โกรธจนน้ำตาจะไหล “เรื่องเป็นแบบนี้ก็เพราะมึง! มึงหลอกกู ยั่วยุกู ทำให้กูตกหลุมพรางเฮงซวยที่มึงทำ!”

“อย่าโทษคนอื่น ในเมื่อนายนั่นแหละเป็นต้นเหตุ พี่ยื่นมือให้นายจริง แต่ก็ไม่ได้บังคับ นายเองต่างหากที่ตอบรับพี่ ทำแบบนี้แล้วใครจะรู้ว่านายมีแฟนอยู่แล้วล่ะ จริงๆ คนที่ถูกกระทำคือพี่ด้วยซ้ำ”

“......”

“ยังไงก็ช่าง พี่ไม่โกรธหรอกนะ อยากกลับไปเมื่อไหร่ก็บอก”

“ไม่มีวัน!”

ทั้งคู่ทำสงครามประสาทกันสักพัก แล้วผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามา ทันทีที่เห็นนายแบบชื่อดังยืนตัวเปียกน้ำเหม็นๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ และในมือของพนักงานถือถังน้ำ เขาก็ตกใจ

“นายทำอะไรลูกค้าฮะเฟลม!!!”

“ไม่มีอะไรครับ แค่เข้าใจผิดนิดหน่อย” มาร์คพูดแล้วสวมแว่นดำกลับเข้าใบหน้า ทำท่าจะออกจากร้าน แต่ก็หันกลับมาแล้ววางธนบัตรสีเดียวกับเสื้อเปื้อนๆ ของเขาที่เคาน์เตอร์ “ทิปสำหรับนายคนเดียว”

แล้วก็เดินออกไป

เฟลมเอาเงินใส่กล่องรับบริจาคให้หมาจรจัด และถูกผู้จัดการเค้นต่อ

“ตอบพี่เดี๋ยวนี้ มันเกิดอะไรขึ้น”

“ผมเอาน้ำล้างพื้นสาดหน้ามัน”

“อะไรนะ!” ผู้จัดการเอามือกุมอก “ทำแบบนั้นทำไม!”

“ก็มันปากหมา” เฟลมเสียงเหวี่ยง 

“นายไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นใคร นั่นมาร์คเชียวนะ! มาร์ค คีแกน ดังสุดในวงการแล้วนาทีนี้ ถ้าเขาเอาเรื่องเราขึ้นมา ได้ซวยกันหมดแน่!”

“แต่มันหยามผม หยามแฟนผม ผมทนไม่ได้”

“ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นกับนาย แค้นอะไรกันมาก่อนเหรอ”

“ใช่ครับ”

ผู้จัดการเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าเฟลมเคยเป็นนายแบบ

“ยังไงนายก็ต้องหัดระงับอารมณ์บ้าง เขาเป็นลูกค้านะ นายเป็นพนักงาน แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวด้วย”

“พี่ไม่เจออย่างผม พี่ไม่เข้าใจหรอก!” เฟลมตะโกนอย่างเหลืออด ถอดผ้ากันเปื้อนของร้านฟาดลงกับเคาน์เตอร์

“เฟลม!!”

“ผมขอลาออก!”

ชายหนุ่มเดินหุนหันออกไปจากร้าน ผู้จัดการยืนอึ้ง หมวดมึนเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้ววิ่งตามเฟลมไป สถานที่ที่เฟลมเลือกคือลานจอดรถหลังห้าง มันค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งช่วงห้างเพิ่งเปิดยิ่งแทบไม่มีคน เฟลมเดินเข้าไปใกล้กำแพงแล้วเงื้อหมัดซัดใส่กำแพงอย่างบ้าคลั่ง

“โว้ยยยย!!!!!”

ชกไปตะโกนไป แต่ละหมัดรุนแรงมากจนเกิดรอยเลือดติด แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่ร่างกายเลยสักนิด เพราะข้างในเจ็บกว่าอย่างเทียบไม่ได้

ไอ้เวรมาร์ค ต่อให้มันไม่พูดเรื่องนั้น เขาก็รู้ดี รู้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นความผิดเขา รู้เต็มอกว่าแสงเทียนถูกโจรทำอะไร ทำไมต้องมีแต่คนฆ่าเขาด้วยคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ได้

หมวดรักษ์ตามมาเจอเฟลมกำลังชกกำแพงก็ใจหายวาบ รีบเข้าไปห้าม

“ทำบ้าอะไรน่ะ! หยุดเดี๋ยวนี้!!”

“ปล่อยผม ไม่ต้องมาห้าม!!” เขาสลัดหมวดทิ้งด้วยพละกำลังที่เยอะเหมือนถูกผีเข้า

“โธ่เว้ย!” หมวดมองด้วยหัวใจสั่น กำแพงเปื้อนเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เฟลมไม่หยุดชกเสียที “พอได้แล้วไอ้โง่! จะทำร้ายตัวเองให้ได้อะไรขึ้นมา!”

“เรื่องของผม!!!” เฟลมชกอีกหมัด คราวนี้ได้ยินเสียง ‘แกรก’ เหมือนของแตก ไม่ใช่กำแพงแต่เป็นกระดูกคนชก

“บอกให้หยุด! ถ้าไม่หยุดจะใส่กุญแจมือ!”

หมวดล็อคแขนเฟลมจากข้างหลังแล้วลากออกห่างจากกำแพง เฟลมสะบัดตัวหลุดจากการจับกุม แต่ไม่พุ่งเข้าหากำแพงอีก เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ไอ้เหี้ยมาร์ค... ผมไม่น่าไปยุ่งกับมันเลย... ไม่น่านอกใจแสงเทียน...”

“....”

“ผมมันเลว ผมเป็นต้นเหตุทุกอย่าง... บางทีตายๆ ไปซะคงจะดี”

“อย่านะ อย่าคิดสั้นอย่างนั้น ชีวิตคุณมีค่า ถึงแสงเทียนจะถูกลักพาตัวไปก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตายซักหน่อย จริงมั้ย คุณก็พูดเองว่าเขาเป็นคนฉลาด เขาต้องเอาตัวรอดได้”

“ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ” เฟลมขัด “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาโดนข่มขืนที่ตึกร้าง จิตใจของโจรมันต่ำช้าแค่ไหนผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ดี แล้วคุณยังจะให้ผมมองโลกในแง่ดีได้ยังไง มันคงจะเลี้ยงดูแสงเทียนอย่างสุขสบายหรอกมั้ง”

“...แต่เราก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย”

หมวดพูดอย่างใจเย็น ทำให้อาการร้อนรุ่มของเฟลมอ่อนลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีน้ำตาและดูเจ็บปวดอยู่ดี

ตำรวจเอื้อมมือไปโอบกอดชายหนุ่มไว้ในอ้อมแขน อีกฝ่ายเมื่อถูกกอดก็ยิ่งร้องไห้หนัก เขากอดตำรวจตอบอย่างหมดฟอร์ม ร้องไห้จนเสื้อหมวดเปียกชื้น... เขาไม่ต้องการคำปลอบใจในเวลานี้ ต้องการเพียงแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างๆ เพื่อรับฟังปัญหาและความทุกข์ใจที่บอกใครไม่ได้

“คุณไม่ได้สู้ลำพัง... เปรมประกิตต์”

“...”

“คุณยังมีผม”

 


อีกด้าน

ผมรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจ อยู่ไม่สุขตั้งแต่เมื่อคืนที่โจรอู๋ออกไป จนกระทั่งตอนนี้จะสิบโมงแล้วยังไม่กลับ ห่วงจริงๆ ว่ามันจะโดนเจ้าพ่อชาวจีนเก็บระหว่างทางกลับบ้านรึเปล่า เฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ว่าจะมีข่าวของมันไหม แต่ถึงไม่มี ก็ไม่สบายใจอยู่ดี

อย่างน้อยน่าจะโทรบอกกันหน่อย แม้ผมไม่มีโทรศัพท์ แต่โทรเข้าออฟฟิศด้านล่างแล้วให้ผมลงไปพูดก็ได้หนิ... แต่อืม แต่คนโง่อย่างมันคงคิดไม่ได้หรอกมั้ง

กริ๊ก

“เออๆ ถึงแล้วบอกละกัน แค่นี้นะ”

เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงพูดคุ้นหู ทำให้ผมหันขวับแล้ววิ่งเข้าไปหาเหมือนเด็กน้อยที่รอพ่อแม่กลับบ้าน

“อาร์มี่!”

“ไง”

แต่ช่างน่าผิดหวังที่มันแค่เดินผ่านผมไป แก้เสื้อผ้าแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำพร้อมกับชุดที่จะเปลี่ยน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเสื้อคอเต่า ทั้งที่อากาศร้อนเหมือนนรก...และมันไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ


แปลก


“หายไปไหนมาตั้งนาน”

ผมพูดและแนบหน้ากับประตูห้องน้ำ แต่ไร้การตอบรับ ได้ยินแต่เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นดังอย่างกับสายฝน ราวกับตั้งใจกลบเสียงผม

ไม่เป็นไร กูหาเองก็ได้

ผมเก็บเสื้อผ้าของมันที่เรี่ยราดบนพื้นขึ้นมา เดจาวูเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน อ่า ใช่...ก็ตอนที่กำลังจะซักเสื้อผ้าให้เฟลมไง แล้วก็เจอแจ็คพ็อตระเบิดใส่หน้า นามบัตรกับหมายเลขห้องของชู้ หวังว่าคราวนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างกัน ไม่งั้นผมเป็นบ้าแน่ๆ

ล้วงดูกระเป๋าเสื้อ ไม่เจออะไร แต่กลิ่นต่างหากที่ทำให้ผมสะดุด


ซีเคออล


นี่ไม่ใช่กลิ่นที่มันใช้ ถึงจะคล้ายแต่ก็ไม่ใช่ มันใช้ซีเควัน ผมใช้ขวดเดียวกับมัน ทำไมจะไม่รู้ อีกอย่างเมื่อคืนมันก็ออกไปแบบรีบๆ ไม่ได้ฉีดด้วยซ้ำ แต่ผมจำได้ว่ากลิ่นนี้มาจากไหน ก็เพื่อนที่กระโดดลงจากรถตู้ไปดูศพเฟอร์รารี่ไงล่ะ ตอนเขาผ่านหน้าผมไป กลิ่นนี้หอมฟุ้งเต็มจมูก 

“อู๋ เปิดประตูมาคุยกันหน่อย” ผมเรียกมันอีกครั้ง แต่เสียงน้ำจากฝักบัวดังมากจนมันไม่ได้ยิน ผมเลยต้องทุบประตู “อติศร แซ่อู๋! เรียกอยู่เนี่ยได้ยินไหม!”

“อะไรของเอ็ง!” มันตะโกนตอบกลับมา น้ำเสียงออกจะรำคาญ

“บอกกูมาว่ามึงไปทำอะไรที่ไหนกันแน่!”

“ก็บอกว่าไปหาเพื่อนไง!”

น้ำเสียงของมันแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เปิดฝักบัวแรงขึ้นจนผมกลัวว่าผิวหนังจะแตก อาจเพราะไม่ต้องการให้ผมถามอีก แต่สิ่งไหนที่ผมสงสัยแล้ว ยังไงก็ต้องถามจนกว่าจะได้คำตอบ

“เพื่อนประสาอะไร มึงนอนกับเขาใช่ไหม!” ผมเอาหน้าแนบประตู ตะโกนด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น หัวก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

“พูดบ้าๆ!” มันเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นรุนแรง หรือเพราะกระแสน้ำทำให้เสียงเพี้ยนก็ไม่ทราบ

“งั้นบอกกูทีว่าน้ำหอมนี่มาจากไหน!”

“ก็ของข้าไง ถามไรเนี่ย”

นั่นไง มันโกหก


v
v
v

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
«ตอบ #197 เมื่อ02-03-2019 22:11:56 »



“กูนอนกับมึง ใช้ของร่วมกับมึง ซักเสื้อผ้าให้มึง จำกลิ่นมึงได้ทุกอย่าง ทำไมกูจะไม่รู้! คิดว่ากูโง่หรอ!”

ผมตะโกนพลางทุบประตูปึงปัง ยิ่งนานอารมณ์ก็ยิ่งเดือด อยากจะคุยกันตรงๆ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผมไม่ชอบเวลามีปัญหาแล้วใครคนใดหลบหน้า จะพังก็ยอมพังครั้งเดียวดีกว่าเก็บสะสมไว้ระเบิดตอนท้าย

โจรอู๋ยอมเปิดประตูจนได้ มันสวมเสื้อผ้าทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกหมาด ไม่พิรุธเลยมั้งไอ้ควาย

“ถอดเสื้อ” ผมสั่ง

“อะไรของ...”

“บอกให้ถอดเสื้อ!!!”

เป็นครั้งแรกที่ผมบังคับมัน จากทุกทีที่โดนมันบังคับฝ่ายเดียว แต่มันกลับดึงดันปัดป้องไม่ยอมให้ผมจับถอด ยิ่งทำให้ผมโมโห เลยดึงคอเสื้อมันขาดแคว่กด้ายลุ่ย เท่านั้นแหละ เขาควายก็ลอยมากระแทกหัวผมจนชามึน


มีรอยคิสมาร์กบนต้นคอมัน


“มึงทำแบบนี้ได้ยังไง...”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกอ่อนแรง คล้ายโดนสูบวิญญาณ และแย่กว่านั้นเมื่อเห็นมันทำหน้าไขสือ

“อะไร ก็เอ็งไงที่ทำ จำไม่ได้เหรอ”

“ยังจะมาแถอีก!! กูทำแค่หน้าอกมึง ไม่ใช่ที่คอ! เพราะกูไม่อยากให้คนอื่นเห็น แต่ไอ้คนนั้น...ไอ้เหี้ยคนนั้น มันคงอยากแสดงความเป็นเจ้าของมึงให้โลกรู้มากสินะ!”

“ฟังข้าหน่อย มันไม่ได้มีอะไรเลย”

“ไม่มีเหรอ...ทำขนาดนี้ยังบอกไม่มีเหรอ!” ผมฉีกเสื้อมันจนขาดกลางแหวกถึงท้อง ทันใดนั้นความลับที่ถูกเปิดเผยก็เลวร้ายกว่าที่คิด


มีคิสมาร์กตำแหน่งที่อยู่เหนือกว่าของผมตั้งห้ารอย

เหนือกว่าผม...ตั้งห้ารอย

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนทำต้องการจะหยามผมขนาดไหน



“มึงทำแบบนี้กับกูทำไม”

“เทียน ใจเย็น”

“มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง!!!”

ผมปรี่เข้าไปทุบตีชกหน้าอกของมันสุดแรงเกิด ทั้งโกรธทั้งเสียใจ น้ำตาไหลเป็นสายเหมือนเขื่อนพัง แต่ถึงจะโกรธแทบฆ่ามันได้ ผมก็ยังไม่กล้าตีฝั่งที่เป็นแผลของมันอยู่ดี ทำไมกันวะ ทั้งที่มันทำกับผมเจ็บแสบยิ่งกว่าแผลนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ทำไมผมยังต้องห่วงมันอีก

“ไอ้สัด! กูอุตส่าห์เป็นห่วงว่ามึงจะเป็นจะตายจนนอนไม่หลับทั้งคืน! แต่มึงกลับไปเยกับคนอื่น! สารเลว!!!”

โจรอู๋รวบข้อมือผมไว้แน่น “เอ็งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เอ็งคิด”

“งั้นก็พูดมาสิ!” ผมเงยหน้าตะโกนใส่มัน “พูดเลย! กูรอฟังอยู่!”

“.........” เงียบ

อุทกภัยไหลหลั่งจากดวงตาของผมอย่างบ้าคลั่งจนเห็นใบหน้าของมันพร่าเบลอ

“มึงตอบแทนที่เขาช่วยเหลือด้วยวิธีนี้เหรอ!!!” ผมผลักมันออกห่างๆ ด้วยความรังเกียจจากก้นบึ้งหัวใจ “เพราะอย่างนี้เองสินะ มึงถึงพกถุงยางไว้ตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อตอนตีสาม!”

“ไปกันใหญ่แล้ว”

“งั้นมึงอธิบายเรื่องทั้งหมดนี่ได้ไหมล่ะ!”

มันก้มหน้า ถอนหายใจ แล้วเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น

“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าทำ...”

ผัวะ!

หมัดขวาของผมพุ่งเข้าใบหน้าด้านซ้ายของมันทันทีโดยไม่รอให้พูดจบ โจรอู๋เบิกตากว้าง ดูช็อกมากกว่าเจ็บ ส่วนผมสั่นระริกแทบยืนไม่อยู่

“ทุเรศ!!!”

“แต่ไม่เหมือนที่ทำกับเอ็งนะ ข้าไม่ได้เต็มใจทำ”

“ไม่เต็มใจ...” ผมทวนคำทั้งน้ำตา “แต่อยู่กับเขาแปดชั่วโมง คิสมาร์กเต็มคอ เสียดสีกันจนน้ำหอมของเขาติดตัวมึง เจ็บแผลจะตายห่าแต่ก็ยังร่านออกไปหาเขาถึงที่ ไม่เต็มใจแบบไหนวะ!”

“เทียน ขอร้องล่ะ”

“มึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น! กูเป็นฝ่ายถูกมึงกระทำ กูเรียกร้องอะไรได้บ้าง! ตัวกู ใจกู ความรู้สึกกู โดนมึงทำลายป่นปี้หมดแล้ว มึงยังจะร้องขออะไรจากกูอีก!”

ผมเปล่งเสียงออกมาจากหัวใจที่แสบร้อนเหมือนโดนไฟเผา ไฟที่ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเคยมอบความอบอุ่นให้ ผมพลาดแล้วที่เผลอไป ‘รู้สึก’ อะไรกับมัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสันดานงูเห่ามันเป็นยังไง คนที่เมตตามันมีสักคนไหมที่ได้ตายดี

“มึงมันสารเลว... กูไม่น่าเชื่อใจมึงเลย...ฮึก”

ผมยกมือขึ้นปิดหน้า ปาดน้ำตาที่ร้อนเหมือนน้ำลวก ไอ้ชั่วดึงผมไปกอด แต่ผมก็ผลักมันออกทันที แค่คิดว่าอ้อมกอดนี้ถูกใช้กับคนอื่นมาแล้ว ก็ทำเอาผมขยะแขยงเต็มทนจนขนลุก

โจรอู๋มองผมด้วยแววตาปวดร้าว ราวกับใจสลาย แต่พนันได้เลย...ว่ามันไม่เจ็บเท่าเศษเสี้ยวของผม

“กูไม่คิดว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...ทั้งที่กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง แต่สุดท้ายมึงก็ไม่ต่างอะไรกับแฟนเก่ากู... มีชู้เป็นคนที่อุปถัมภ์... ฮึก... เลวทั้งคู่ เห็นกูเป็นคนโง่ใช่มั้ย”

“ไม่ใช่นะเทียน สำหรับข้าเอ็งสำคัญที่สุด คนอื่นแค่ของนอกกาย”

“อย่ามาพูดจาเห็นแก่ตัว!” ผมโพล่งขึ้น “กับเขามึงก็คงพูดแบบนี้เหมือนกัน...ว่ากูก็แค่เหยื่อที่จับมาระบายความใคร่เล่นๆ ไม่สำคัญเท่าเขาที่อุ้มชูเลี้ยงดูมึง!”

“หยุดประชดสักทีได้ไหม พูดกันดีๆ”

“งั้นกล้าบอกไหมล่ะว่าเขาเป็นใคร! ถ้ามึงบริสุทธิ์ใจล่ะก็ บอกชื่อมาสิ พากูไปหาเขาเลย! แล้วก็พูดกับเขาเหมือนที่พูดกับกูทั้งหมดเนี่ย มึงกล้าไหม!”

“...!” โจรอู๋เหมือนจะพูด แต่ก็เม้มปากไว้ ราวกับเป็นชื่อต้องห้าม “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

“ทำไม เขาสำคัญกับมึงมากขนาดนั้นเลย? งั้นจะเก็บกูไว้ทำซากอะไร ทิ้งกูแล้วไปอยู่กับเขาเลยสิ!”

“ตั้งสติก่อนได้ไหม” มันจับแขนผมทั้งสองข้าง

“ปล่อยกู!” ผมผลักมันออกไป แต่กลับเป็นตัวเองที่เสียหลัก

โครม!!

เซชนโต๊ะกลางที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ มือไปปัดใส่แจกันตกลงมาแตก ก่อนจะเสียหลักล้มลง โดนเศษกระเบื้องแจกันแทงแขน ฝังคาอยู่หลายชิ้นเหมือนขอบกำแพงกันขโมย

“อ้าาาาากกกก!!”

“เทียน!!!”

“อย่าเข้ามา!” ผมตวาดลั่นทั้งน้ำตา เจ็บเหมือนกำลังจะตาย “มือที่มึงกอดคนอื่น... อย่าเอามาแตะต้องตัวกู!!!”

โจรอู๋มองผมด้วยใบหน้าผวา ตาค้าง ตัวสั่นระริก คงสองจิตสองใจว่าควรโทรเรียกรถพยาบาลมารับหรือพาผมไปเอง สุดท้ายมันก็ฝ่าฝืนคำสั่ง เข้ามากอดผมแล้วดึงเศษแก้วออกให้

“ออกไป!!!” ผมตวาดใส่หน้า

“ขอโทษ...”

“กูไม่รับ!”

“ขอร้องล่ะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว สัญญา”

“ไม่!!!”

“ที่รัก...”

“ไม่ต้องมาเรียก! มึงไม่ได้รักกู! มึงรักไอ้เหี้ยนั่น มึงถึงไปเอากับมัน!!! กูเกลียดมึง! เกลียดมึง!!! ได้ยินไหม! ฮือออออ”

ผมร้องไห้เหมือนโลกจะล่มสลาย หัวใจบีบรัดเหมือนจะขาดสะบั้น เจ็บครั้งไหนก็ไม่เท่าครั้งนี้ ไอ้เลวยิ่งเห็นผมต่อต้านยิ่งกอดแน่น แต่ผมก็ทุบตีปัดป่ายผลักไสมันอย่างรังเกียจเหมือนตัวเสนียดจัญไร ผมไม่อยากใจอ่อนกับความห่วงใยปลอมๆ จากมันอีกแล้ว ยอมเลือดไหลหมดตัวตายยังจะดีซะกว่า

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดึงความสนใจของเราไป และยังไม่ทันที่เจ้าของห้องจะออกไปเปิดให้ ผู้มาเยือนก็ไขเข้ามาแล้ว

“ไอ้เบย์ ทำไมมึงมีกุญแจห้องกู”

ชื่อที่โจรอู๋เรียกทำให้ผมหันขวับ เบย์กลับมาเป็นความหวังของผมอีกครั้งหลังจากวันแรกที่ถูกลักพาตัว และคราวนี้จะไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง

“ผมยืมเคฟมา... เฮ้ย แสงเทียน!!!!!”

เบย์เห็นสภาพผมแล้วก็ร้องลั่นเหมือนบ้านจะถล่ม เข้ามาประคองผมให้ลุกจากพื้น หันไปทางโจรอู๋ด้วยสายตาน่ากลัวราวจะกินเลือดกินเนื้อ

“เฮียทำอะไรแสงเทียน ทำไมเลือดตกยางออกแบบนี้!”

“ข้าไม่ได้ทำ มันเป็นอุบัติเหตุ” โจรอู๋สีหน้าย่ำแย่ “ส่งเขามา”

“ไม่...อย่าให้เราอยู่กับมันเลยเบย์ เราเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว”

ผมกอดคอเบย์ ร้องไห้จนพูดไม่ได้อีก

โจรอู๋มองผมด้วยใจเจ็บช้ำ เจ็บที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เบย์เข้าใจดี จึงบอกลูกพี่ “ให้อยู่กับผมซักพักก่อนมั้ย สัญญาจะพาไปโรงบาล จะดูแลอย่างดี ไว้เทียนโอเคแล้วเฮียค่อยมาเคลียร์นะ”

“...” โจรอู๋ถูจมูก สูดดังฟืด หันหน้าไปทางอื่น

“แล้วผมจะโทรหา”

เบย์พูดแค่นั้น แล้วรีบพาผมออกจากห้อง ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็กลายเป็นที่ตกตะลึงแก่ผู้พบเห็น เพราะสภาพผมในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลและร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร คนดูแลตึกเสนอจะเรียกรถพยาบาลให้ แต่ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เลยบอกว่าจะนั่งรถแท็กซี่ไปเอง

คนที่ผมเรียกได้ว่า...เพื่อน... ยกเท้าโบกแท็กซี่ เพราะแขนไม่ว่าง พยุงผมอยู่ คันแรกที่จอดก็รับทันทีที่เห็นสภาพของผม เมื่อเข้ามานั่งแล้วเบย์ก็กอดผมไว้ตลอดทางไปสู่โรงพยาบาล

“อดทนไว้นะแสงเทียน เดี๋ยวก็ถึง”

ผมหนาวสั่น ร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก นอกจากคำสั้นๆ

“ขอบคุณ... ฮึก...เบย์...”


...ที่พาเราออกมาจากขุมนรกนั้นได้เสียที




/// มาช้า แต่ก็มานะคะ

ขอบคุณคนที่ยังติดตามเสมอมา แม้จะน้อยนิดเหลือเกิน T T

เอาใจช่วยน้องเทียนด้วย

รักค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2019 22:15:37 โดย Blackmamba »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
«ตอบ #198 เมื่อ02-03-2019 23:11:53 »

เวรกรรมของเทียน

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
«ตอบ #199 เมื่อ02-03-2019 23:17:03 »

น่าสงสารแสงเทียนจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
« ตอบ #199 เมื่อ: 02-03-2019 23:17:03 »





ออฟไลน์ pearlluv

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
«ตอบ #200 เมื่อ03-03-2019 01:37:07 »

 :o12: สงสารน้องเทียนนนน TT

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.26 I Hurt You Hurt == [1/2] (29/03/19)
«ตอบ #201 เมื่อ29-03-2019 17:09:50 »

26
I Hurt You Hurt
[1/2]



ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องพักเดี่ยวของโรงพยาบาล ใช้ชื่อปลอมที่พวกพยาบาลแอบขำ- แสงโสม โชคดีที่ไม่เป็นอะไรร้ายแรง แค่ถูกเย็บสี่เข็ม ถูกพันแขนสองข้างตั้งแต่ข้อศอกลงไป กับเท้าอีกหนึ่งข้าง จริงๆ หมอให้กลับบ้านได้ แต่เบย์ขอให้ผมค้างสักคืนเพื่อความสบายใจ

ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง เหมือนที่รู้ว่าอีกเหตุผลแฝงคือกลัวผมหนี

เบย์บอกว่าไปหาโจรอู๋ที่ห้องเพราะมันอยากเอาของ (ที่ขโมย) ไปขาย แต่แหล่งรับซื้ออยู่ไกลเลยจ้างให้เบย์มารับไปขายแทน แล้วจะแบ่งค่าเหนื่อยให้ เบย์เลยแวะไปยืมกุญแจจากเคฟ ไม่งั้นผมคงไม่หลุดพ้นจากไอ้โจรทมิฬแน่ๆ

“เราขอบคุณนายมาก แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ชวดเงิน” ผมบอกเขาที่นั่งข้างๆ

แต่เบย์ก็ยังพูดติดตลกทั้งที่หน้าเศร้า “ชวดที่ไหน นายนี่แหละสมบัติราคาแพงที่สุดของเฮียเค้า เนี่ย...โอนค่ารักษามาให้ตั้งหลายหมื่น เยอะกว่าค่าจ้างเราอีก”

“...”

“ไม่ชอบเหรอ โอเค เราจะไม่พูดแล้ว”

“เปล่า แค่สะเทือนใจ”

“โอ๋...ที่รัก”

เบย์กอดไหล่ผมด้วยแขนสองข้างแล้วเอาหัวพิงกับหัวผม เป็นการปลอบใจที่น่ารักมากๆ เหมือนหมีกอดกัน

“เราไม่อาจพูดได้ว่าเข้าใจนาย เพราะสิ่งที่นายเจอคงจะหนักกว่าเราเยอะ แต่เราจะอยู่ข้างนาย คอยช่วยนายเท่าที่จะทำได้ มีอะไรก็บอกเรานะ ไม่ต้องเกรงใจ”

คำพูดนี้ทำให้ผมเห็นว่าเบย์อ่อนโยนแค่ไหน เขาเป็นโจรแค่ในนามเท่านั้นแหละ

“นายก็รู้เราต้องการอะไร”

“...หนี นายชอบหนี”

ผมพยักหน้า “ใช่”

เบย์หน้าหมองลงสองระดับ “เราคงไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่อยากจะขอร้องได้มั้ย อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่นายช่วยรออีกนิดเถอะนะ ให้พวกเราทำภารกิจสำเร็จ แล้วนายค่อยไป ถ้านายไปตอนนี้...ทุกอย่างที่พวกเราทำมาตลอดครึ่งปีคงสูญเปล่า”
ผมไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของแก๊งโจรเลยสักนิด ใครจะปิดบัญชีเสร็จไม่เสร็จไม่สน โดนจับหรือไม่โดนก็ช่าง แต่สงสารเพื่อนคนนี้มากกว่า เขาพยายามช่วยผมตั้งหลายครั้ง และครั้งนี้ก็ทำสำเร็จ ผมไม่กล้าเนรคุณเขาหรอก

“ตกลงเบย์ เราจะไม่ไป จนกว่านายจะทำสำเร็จ แค่นายคนเดียวนะ คนอื่นไม่เกี่ยว”

“จริงดิ!” ตาละห้อยเหมือนหมาหงอยกลายเป็นแวววาวทันที

“อือ ตอบแทนที่นายช่วยเรา”

“น่ารักจริงๆ คนดี” เขาเอาหัวถูกับผมอย่างดีใจ “เอางี้ ถ้าออกจากโรงบาลแล้วนายไปอยู่กับเรา เจ๊เจ้านายเราน่ะใจดี คงให้นายอยู่ฟรีถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนเรา”

“อืม”

โทรศัพท์เบย์มีสายเข้า เป็นลูกพี่ของเขา เบย์มองหน้าจอสลับกับหน้าผมเหมือนลังเลใจ แล้วก็ตัดสายทิ้ง

“เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” ผมบอก

“ไว้คุยทีหลังก็ได้ เราไม่อยากให้นายลำบากใจ”

อะไรจะน่ารักขนาดนี้

ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังอยู่ในแก๊ง ผมก็คงหนีโจรอู๋ไม่พ้น มันคงจะโทรถามเบย์เรื่องผมตลอดเวลา แล้วผมก็จะถูกจับตามองไม่ต่างกับตอนอยู่กับมัน ฉะนั้นผมไม่ควรหนี ผมควรเผชิญหน้ากับความจริง ต่อให้โหดร้ายแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยจะได้ไม่ค้างคาใจ

“เบย์” ผมเอ่ย “นายรู้จักเส้นสายของโจรอู๋ใช่มั้ย”

เขาคลายกอด มองหน้าผมอย่างฉงนฉงาย

“ไหนบอกสะเทือนใจไง”

“เหอะน่า พูดมาเถอะ”

เบย์ดูลังเล แต่ก็ยอมเปิดปากพูด

“เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้ช่วยเราทุกคน ช่วยแค่พี่อู๋คนเดียว พี่อู๋ก็บอกเราเหมือนที่บอกนาย ว่าเป็นแค่เพื่อน”

“เพื่อนนอนน่ะสิ” ผมพูดแล้วรู้สึกร้อนขอบตาผะผ่าว

เบย์ก้มหน้าพูดด้วยใบหน้าเศร้าลงอีก “ที่จริงมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่นายจะเข้ามาด้วยซ้ำ”

“ว่าไงนะ?”

“เราไม่อยากให้นายเสียใจ”

“ยิ่งไม่รู้จะยิ่งแย่กว่า บอกมาเถอะ เรารับได้”

ที่จริงไม่ได้หรอก แต่อยากรู้ เจ็บให้มันจบๆ ไปซะวันนี้

“เราคิดว่าพี่อู๋กับเพื่อนของเขา น่าจะมีความสัมพันธ์เชิงนั้นมานาน ตั้งแต่ที่พี่อู๋เริ่มเป็นโจรแล้วล่ะ”

“.........” หัวใจของผมหล่นวูบ   

นี่แปลว่าไม่ใช่ฝ่ายนั้นที่เป็นชู้...


แต่ผมต่างหากที่เป็น


“จะให้เล่าต่อมั้ย” เบย์ถามอย่างระมัดระวัง คงเห็นว่าผมช็อกมาก แต่ผมก็พยักหน้าให้เขาเล่า

“เราเคยเห็นรอยแบบนั้นบนตัวพี่อู๋ประมาณสี่ครั้งมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ครั้งแรกนึกว่าลิปสติก แต่ไม่กล้าถามตรงๆ เลยถามไอ้เคฟ มันบอกพี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ จะให้ชะนีที่ไหนจูบ เราเลยรู้ตอนนั้นว่าพี่อู๋เป็นเกย์ ถามต่อว่าพี่อู๋มีแฟนเหรอ แต่มันไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่บอก”

เบย์พักหายใจ เหลือบมองหน้าผมว่าโอเคไหม ผมพยักหน้าน้อยๆ เขาเลยเล่าต่อ

“จากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ กระทั่งคราวต่อๆ มา สังเกตว่าก่อนพี่อู๋กลับมาในสภาพนั้น มักจะโทรคุยกับใครเป็นภาษาจีน แล้วก็ออกจากรังตอนดึกๆ ทุกทีเลย”

เหมือนเมื่อคืนเป๊ะ

“เราว่าพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกันเพราะผลประโยชน์มากกว่านะ เพราะเท่าที่สังเกต เราไม่เคยเห็นพี่อู๋มีความสุขเลย จนกระทั่งได้พบนาย”

“......”

“เราไม่เคยเห็นเขาแคร์ใครเท่านายมาก่อน ไม่มีหรอกที่จะยิ้มให้คนไหน ไม่มีหรอกที่จะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของแบบที่ทำกับนาย... แม้กระทั่งตอนที่ขโมยได้เงินสิบๆ ล้าน ก็ไม่เคยเห็นเขาดีใจเท่าขโมยนายได้เลย แสงเทียน”

“.......”

เกิดความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านตรงตำแหน่งหัวใจของผม บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกดีหรือแย่ บางทีมันอาจจะเป็นสองอย่างรวมกัน... คำพูดของเบย์ทำให้ผมอยากร้องไห้อีกครั้ง ผมอยากบอกให้เขาหยุด ก่อนที่เขื่อนน้ำตาผมจะทำงาน แต่ก้อนบางอย่างแล่นมาจุกคอ เบย์จึงพูดต่อไป

“นายอาจคิดว่าเราแก้ตัวแทนพี่อู๋ แต่เราไม่อยากให้นายโกรธเกลียดเขาทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง บางทีเขาอาจมีเหตุผลเบื้องหลังก็ได้ อย่างน้อยถ้าเขามาง้อ มาอธิบาย เราก็อยากให้นายฟังเขาซักนิดนึงนะ”

“ไม่ใช่ตอนนี้....เรายังไม่พร้อม”

“โอเค แต่ระหว่างนี้เราก็อยากให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาย ถ้ามันไม่มากพอ ค่อยตัดสินใจเลิกกับเขาก็ได้ ถ้านายอยากไปจริงๆ เราคิดว่าเขาคงเข้าใจ”

“.........”

“อีกเรื่อง เล็กน้อยแต่สำคัญ เผื่อนายยังไม่รู้” เบย์พูดพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ “เขาตั้งรูปนายเป็นวอลเปเปอร์มือถือด้วยล่ะ แถมยังมีรูปแอบถ่ายตอนเผลออีกเพียบ อย่างกับคนเห่อแฟนแน่ะ พวกเราสามคนยังเคยแซวเลย”

น่าดีใจ แต่มันสายไปแล้วล่ะ

ผมหลับตา เอนตัวลงนอน เบย์รับรู้โดยอัตโนมัติว่าผมคงเหนื่อยเกินจะรับรู้อะไรได้อีก เลยลุกจากเตียงไปปิดผ้าม่าน บีบและลูบมือผมราวกับส่งต่อพลัง

“คืนนี้เราคงลางานไม่ได้ แต่จะให้ไอ้เล็กมานอนเป็นเพื่อนนายแทนนะ”

“ไม่เป็นไร อย่าเลย”

ผมบอกอย่างเกรงใจ แล้วก็แปลกใจ นี่เขาทำงานกลางคืนหรือนี่ งานแบบไหนกันนะ

เบย์ขยิบตาน่ารักแล้วหายวับไปก่อนที่ผมจะทันทักท้วง




ด้านอเล็กซ์

ทุกวันหลังเลิกเรียน อเล็กซ์จะได้ยินเสียงเรียก ‘พี่ชายยยย’ ดังมาก่อนตัวคนพูดเสมอ เด็กชายอายุสิบสี่ลูกเศรษฐีร้านเพชรกลายเป็นแขกประจำของร้านไปแล้วเรียบร้อย

ตั้งแต่รู้ว่าอเล็กซ์ทำงานที่นี่ เด็กก็ยกสิทธิ์ที่โรงเรียนสอนพิเศษกับโรงเรียนดนตรีให้เพื่อนร่วมชั้นที่ฐานะด้อยกว่าไปเรียนแทน โดยบอกครูว่ามีที่เรียนใหม่แล้ว ดังนั้นพ่อของเด็กจึงไม่รู้ว่าแท้จริงลูกกำลังติดหนุ่มรุ่นพี่

“พี่ชาย ผมมีอะไรจะอวด วันนี้ผมลองตอบโต้พวกที่มันหาเรื่องผม พวกมันเหวอไปเลยล่ะ”

เด็กเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่อเล็กซ์ก็ไม่ได้ตื่นเต้นตามคนเล่าแม้แต่น้อย เขาจัดเรียงหนังสือโดยไม่ได้หันไปมองเด็กด้วยซ้ำ

“โกหกม้าง... อย่างนายน่ะเหรอ ยังไม่ทันได้ฝึกต่อสู้เลย จะเอาอะไรไปตอบโต้พวกมัน”

“ไม่ได้ลงไม้ลงมือหรอกฮะ ผมแค่ลองด่าพวกมันกลับเฉยๆ พวกมันอึ้งเลย หลังจากนั้น...”

“นายก็ถูกพวกมันอัด”

“...แหะๆ”

พอจัดหนังสือเรียบร้อยแล้วอเล็กซ์ก็หมุนตัวไปประจันหน้ากับเด็กชาย การคาดเดาของเขาแม่นยำจริงๆ เพราะที่มุมปากของเพชรมีรอยช้ำแดงอยู่หนึ่งจุด ทั้งที่ของเก่ายังไม่หายดี

“ได้แผลกลับบ้านทุกวัน พ่อนายไม่สงสัยบ้างรึไง”

“สงสัยสิ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกความจริงล่ะ”

“บอกบ้างก็ได้ ให้พ่อนายไปจัดการเด็กเวรนั่น เรื่องจะได้จบ นายจะได้ไม่ต้องมา...เอ่อ ไม่ต้องถูกรังแกอีก”
อเล็กซ์เกือบจะหลุดพูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจเด็ก เขารู้สึกว่าช่วงนี้เด็กติดเขามากไป แต่ถ้าพูดตรงๆ เด็กคงเสียใจ

“ป๊าผมสู้พ่อของพวกมันไม่ได้หรอก” เพชรว่า “ถึงจะรวย แต่ยังไงก็แพ้นักมวยอยู่ดี”

“....อ๋อ”

“พี่ชายจะสอนการต่อสู้แบบไหนให้ผมอ่ะ ขอเจ๋งๆ กว่ามวยนะ”

“อืม พี่ว่านายไม่น่าจะเหมาะกับการต่อสู้ที่ใช้พลังเยอะๆ เอาเป็นแบบที่ใช้ความคล่องตัว พลิ้วไหว อะไรแบบนั้นน่าจะดีกว่า”

“ว้าว ตื่นเต้นจัง อยากซ้อมไวๆ”

“ใจเย็นไอ้น้อง อีกนานกว่าจะพี่เลิกงาน นั่งทำการบ้านรอไป”

“ครับผม!”

มุมประจำของเพชรคือโซนหนังสือเรียน มันไม่ค่อยมีคนเข้าไปเหมือนโซนการ์ตูนหรือนิยาย เขาจึงสามารถนั่งทำการบ้านได้อย่างมีสมาธิ ทำเสร็จแล้วก็หาหนังสือที่สนใจอ่านต่อ ได้ความรู้พอๆ กับที่เรียนพิเศษ

“นายเพชร พี่ขอถามอะไรอย่างนึงสิ” อเล็กซ์ยืนพิงชั้นหนังสือ ก้มหน้ามองเพชรที่นั่งติดพื้น

“ครับ” เด็กพูดโดยไม่ละสายตาจากหนังสือเรียนในมือ

“นายไม่กลัวพี่บ้างเหรอ”

“กลัวทำไม”

“ก็พี่เป็น...” อเล็กซ์เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ

“ผมรู้ว่าพี่เป็นคนดี ไม่งั้นพี่คงไม่ช่วยผมจากอันธพาล” เด็กเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาสบตาอเล็กซ์ “ผมเข้าใจว่าคนเรามีเหตุผลในทุกการกระทำ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี แต่เราจะไปตัดสินคนอื่นไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เขา...แล้วก็นะ ถึงพี่จะเคยเป็น แต่ตอนนี้พี่เปลี่ยนอาชีพแล้วนี่นา จะกลัวทำไม”

พูดจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

อเล็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกผิดเล็กๆ ที่ประเมินเด็กคนนี้ต่ำไป คิดว่าเป็นแค่เด็กอ่อนแอคนหนึ่ง... แต่ที่จริงเด็กนี่จิตใจดี ฉลาด แถมยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อย่างคาดไม่ถึงด้วย

เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน ทั้งอเล็กซ์และเพชรก็เตรียมตัวซ้อมต่อสู้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์มในร้านหนังสือ แล้วออกจากร้านไปพร้อมกัน

“เอ้า วอร์มอัพเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้ต้องเร็วกว่าเดิม ไม่งั้นก็ไม่ได้เข้าเนื้อหาสักที” อเล็กซ์สั่งเมื่อเข้ามาถึงสนามกีฬา

“โอย...ขอลดนิดนึงได้ไหมฮะ”

“อยากแข็งแกร่งต้องไม่มีข้อแม้ ไป!”

“คร้าบบบ!” เพชรออกเท้าวิ่งเมื่ออเล็กซ์ชูกำปั้นขู่ด้วยท่าทางโหด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ดูใจดีอย่างสิ้นเชิง

เด็กชายวิ่งปะปนไปกับผู้คนหลายช่วงวัย แอบมีหยุดพักบ้าง แต่ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีกว่าวันก่อน พอวิ่งครบสามรอบแล้วอเล็กซ์ก็ให้วิดพื้น ซิทอัพ ดึงข้อ อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก เพชรกัดฟันทำจนครบแล้วก็นอนหงายหายใจพะงาบๆ บนพื้นหญ้าอย่างหมดสภาพ

“ทำเวลาได้ดีมาก คราวนี้มาเริ่มจริงๆ กันเถอะ” อเล็กซ์ฉุดเพชรขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอาการเหนื่อยหอบของเด็ก

“ขอพักแป๊บนึงสิครับ ผมหายใจไม่ทันแล้ว”

“อย่ามาสำออย ไอ้เด็กน้อยนี่”

“ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะ!” เพชรชักสีหน้าโมโห จ้องอเล็กซ์เขม็ง แต่มันกลับดูตลกเหมือนแมวโกรธ

“นายยังเป็นเด็กชายอยู่นี่หว่า” อเล็กซ์ยิ้มเยาะเย้ย เอื้อมมือไปลูบหัวเพชรที่อยู่แค่ระดับคางของตัวเอง สำหรับเพชรแล้วมันเป็นการหยามเรื่องความสูงที่ไม่น่าให้อภัย

“ย๊ากกกกกก!!!!” เพชรพยายามจะชกอเล็กซ์ แต่อเล็กซ์เอามือดันหัวเพชรไว้ ความยาวแขนที่ต่างกันทำให้เพชรชกได้แต่อากาศ

“ฮ่าๆๆ แน่จริงชกให้โดนสิ”

“อย่ามาล้อนะ!!” คราวนี้เพชรยกเท้าขึ้นมาถีบอากาศด้วย ยิ่งแสดงอาการว่าโกรธ มันยิ่งน่าขำสำหรับอเล็กซ์

พอเห็นว่าความพยายามไร้ผล เพชรเลยหยุดชก อเล็กซ์ก็ปล่อยมือจากหัวของเพชร (แต่ก็ยีจนมันยุ่งเหยิง) เพชรทำแก้มป่อง เบ้ปาก ทั้งน่ารักและน่าสงสารในคราวเดียว

“ผมโป้งพี่แล้ว!” เด็กชายกอดอก หันหลังให้ “ง้อด้วยล่ะ!”

ตกลงไอ้เด็กนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่วะเนี่ย   

จู่ๆ มือถือของอเล็กซ์ก็ดัง เป็นเบอร์แปลกๆ เขาตัดสินใจไม่รับจนกระทั่งมันดับไปเอง จากนั้นเข้าเว็บค้นหาเบอร์นั้น ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล... ใครโทรมา

มือถือดังขึ้นอีก เบอร์เดิม คราวนี้อเล็กซ์ตัดสินใจกดรับ แต่ไม่พูด

[ฮัลโหลอเล็กซ์ กูเบย์]

“อ้าว มึงเองเหรอ”

[เออ กว่าจะรับนะ ไอ้คนรอบคอบ]

“กูจะไว้ใจได้ไงว่าไม่ใช่คนโทรมาล้วงข้อมูลหรือแบล็กเมล์”

[พูดอย่างกับมึงให้เบอร์ใครนอกจากพวกกูสามคน]

“เอ้า ก็มึงใช้เบอร์แปลกโทรมามั้ยล่ะ”

[มือถือกูแบตหมด]

“เออ แล้วไปทำไรโรงบาล”

[ไอ้เชี่ย เสิร์ชไวชิบหาย... กูอยากให้มึงมานอนเฝ้าแสงเทียนหน่อย กูทำงานมาไม่ได้]

“เฮ้ย เขาเป็นไร”

[เรื่องยาว เดี๋ยวมึงเดินทางแล้วโทรหากู จะเล่าให้ฟัง ตอนนี้กูไม่สะดวก]

“ให้กูไปตอนนี้เลยเหรอ”

[เออ อาคารสาม ห้อง204 หาไม่เจอโทรถามกู]

“...เคๆ”

เบย์วางสายไปแล้ว อเล็กซ์ขมวดคิ้วน้อยๆ หันกลับไปมองเพชรที่ยังคงทำหน้าบึ้ง ยืนท่าเดิม คงจะรอให้ง้อจริงๆ

“นายเพชร”

“....” เด็กชายเชิดหน้าทำมุมสี่สิบห้าองศา

“วันนี้คงซ้อมไม่ได้แล้วล่ะ พี่มีธุระด่วน”

“อ้าว” เด็กถึงกับเก๊กแตก ทำหน้าหงอย “ธุระไรอ่ะ แย่จังเลย อุตส่าห์วอร์มอัพแทบตายแล้วแท้ๆ...”

“เพื่อนพี่ป่วยเข้าโรง’บาล พี่ต้องไปดูแล นายเข้าใจนะ” อเล็กซ์ลูบหัวเด็กอีกครั้ง แต่คราวนี้เพชรไม่โกรธ ปล่อยให้ลูบอย่างนั้น

“ผมเข้าใจ” เพชรพูด แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

อเล็กซ์คุกเข่าลงตรงหน้า เงยหน้ามองเพชร แล้วก็พูดพร้อมกับยิ้ม

“ยังไงนายกับพี่ก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยฝึก โอเค้?”

“...ฮะ” พยักหน้าหงอยๆ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน” อเล็กซ์ลุกขึ้น เพชรเดินนำก้มหน้าคอตกตลอดทาง หนุ่มรุ่นพี่เห็นท่าทางหงอยของเด็กก็อดสงสารไม่ได้
หมับ

อเล็กซ์โอบคอเพชรเดินไปด้วยกัน เพชรตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร พลันสีหน้าหงอยๆ ก็ค่อยมีรอยยิ้มผุดขึ้นแทน

“พี่อเล็กซ์ครับ”

“อะไร”

“พี่ชอบคนแบบไหนอ่ะ”

“หืม? หมายถึงสเปกงี้เหรอ”

“ฮะ...” เพชรหลบสายตา ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธ “พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน”

“ทำไมคิดว่าพี่ชอบผู้หญิงล่ะ”

“.......”

“พี่ไม่มีสเปกตายตัวหรอก แค่อยู่กับใครแล้วสบายใจก็พอ”

เพชรแก้มแดง ร้อนผ่าว

“ถามไปทำไม เป็นเด็กเป็นเล็ก”

“โถ่ ผมก็แค่สงสัยว่าพี่อายุปูนนี้แล้วทำไมยังไม่มีแฟนแค่นั้นเอง” เพชรทำหน้ากวนๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขิน ถูกเขกหัวหนึ่งที

“แก่บ้าไร เพิ่งยี่สิบเอ็ดเหอะ”

“...เจ็บนะ”

ถึงจะบ่น แต่เพชรก็ยิ้มตลอดทางที่เดินไปกับอเล็กซ์

แบบนี้... เขาก็ยังมีความหวังสินะ!




อีกด้านหนึ่ง

เคฟถูกพี่ชายโทรเรียกให้ไปหาที่คอนโด ฟังจากเสียงก็รู้ว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ และน่าจะกำลังเมาด้วย

ทางที่เคฟใช้ไปคอนโดของโจรอู๋ต้องผ่านร้านเพชรของพัชรพอดี ดังนั้นเขาเลยแวะที่ร้านก่อน แต่วันนี้ร้านไม่เปิด ทั้งยังมีป้ายแขวนหน้าร้านไว้ด้วยว่า ‘ปิดปรับปรุง’  เคฟไม่สงสัยว่าเพราะอะไร

ถึงร้านจะปิด แต่เขาก็ยังชะโงกหน้ามองหา เผื่อเจ้าของบ้านเห็น จะได้ชวนเข้าไปข้างใน

เอาจริงนะ... เขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับพัชรหรอก แค่รู้สึกสนุกที่ได้เล่มเกมเศรษฐี พัชรเป็นคนรวยที่น่าสงสาร หัวอ่อน ขี้อาย เชื่อคนง่าย เป้าหมายของโจรโดยแท้ เคฟกะว่าจะปั่นหัวอีกฝ่ายให้หนำใจแล้วค่อยไปหาอย่างอื่นทำเมื่อหมดสนุก ส่วนเรื่องตกถังข้าวสารนั้น เขาไม่ได้หวัง ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้   

ซ่าาาา!

“เฮ้ย!!!!”

ขณะที่ยืนชะเง้อเหม่อมอง ก็มีน้ำจากเบื้องบนหล่นลงมาใส่ตัวเคฟเต็มๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง เห็นเจ้าของบ้านอยู่หลังกระถางต้นไม้ที่ตั้งเรียงรายตรงระเบียง ในมือถือถังน้ำ

“น้ำเย็นดีนะครับ” คนข้างล่างร้องทัก

“อ้าว เฮ้ย เคฟ! นี่ผมสาดโดนคุณเหรอ ตายแล้ว ขอโทษ!”

เจ้าของบ้านร้องด้วยความตกใจ ปล่อยถังน้ำหล่นลงพื้น เคฟได้ยินเสียงเขาวิ่งตึงตังลงบันไดมาข้างล่าง ก่อนจะปารกฏตัวที่ประตูพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่

“เข้ามาข้างในก่อน เปียกหมดแล้ว”

เคฟพยักหน้ายิ้มๆ เป็นแผนที่ไม่ต้องใช้ความพยายามดีแฮะ

“คุณมาทำอะไร” เจ้าของบ้านถามระหว่างเดินนำแขกเข้าไปด้านใน

“แค่ผ่านมา เลยอยากแวะเยี่ยมครับ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ร้านคุณปิด”

“อืม... ผลจากการโดนโจรกรรมวันนั้น ผมต้องซื้อเพชรเข้าร้านใหม่ แล้วก็เพิ่มระบบความปลอดภัยให้มากขึ้นด้วย คงต้องปิดปรับปรุงสักพัก” พัชรเล่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณขึ้นไปอาบน้ำข้างบนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ครับ” เคฟรับคำอย่างว่าง่าย


เข้าทางกูอีกแล้ว


พัชรเดินนำขึ้นไปชั้นสอง เคฟสังเกตแทบทุกตารางนิ้ว ไม่คิดจะปล้นอะไรหรอก แต่จะได้รู้จักตัวตนของพัชรมากขึ้น เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการทำความสนิทสนม

ข้อมูลบอกเขาว่าสองพ่อลูกไม่ได้นอนที่นี่ แต่อาศัยที่คฤหาสน์บนถนนพระรามเก้า (นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาแนะนำให้พี่อู๋มาปล้น) จึงไม่แปลกที่ชั้นสองของร้านจะรกประหนึ่งป่าแอมะซอน ข้าวของวางกระจัดกระจายเหมือนโยนลงตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์ ถุงเท้าใช้แล้วขดเป็นก้อนๆ นอนอยู่ใต้ชั้นหนังสือ นาฬิกาคาเทียร์ก็วางอยู่คาลังเบียร์ ไม่ได้เกรงใจราคาเป็นล้านของมันเลย เคฟเชื่อว่าถ้าหายพัชรก็คงไม่รู้

“ถอดเสื้อมาสิ เดี๋ยวผมจะเอาไปซักให้” เจ้าของบ้านเอ่ย

“ผมไม่อยากรบกวนคุณเลย”

“แต่ผมทำให้คุณเปียก”

“ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ผมผิดเองที่ผมไปยืนตรงนั้น”

“ตกลงคุณจะถอดรึเปล่า”

ทั้งสองมองหน้ากัน เกิดความเงียบชั่วขณะ แล้วเคฟก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะหน้าอกของตัวเอง แววตาคมกริบมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจจนพัชรเกือบหยุดหายใจ

“อยากถอดให้ผมไหมล่ะ...”

ในเวลานี้ มีเพียงเสียงหัวใจดังตึกตักๆ เท่านั้นที่ทั้งสองคนได้ยิน

“...อยาก”

มือขาวเนียนลูบไล้แผงอกกว้าง สัมผัสผิวกายผ่านเนื้อผ้าบางเฉียบที่เปียกจนเห็นข้างใน พลันก็เกิดกระแสบางอย่างแล่นจากปลายนิ้วลามไปทั่วร่างกาย... พวกเขารู้สึกเหมือนกัน และคิดว่าสถานการณ์จากนี้ไป ไม่ควรจะอยู่ที่หน้าห้องน้ำ

เจ้าของบ้านจูงมือแขกเข้าไปในห้องนอน ผลักเขาลงที่โซฟาใกล้ประตู แล้วขึ้นคร่อมด้านบน

“ช่วยต่อให้จากครั้งที่แล้วๆ มาให้จบด้วย...เคฟ”

“อะ...อืม”

ไม่ทันตอบกลับ ริมฝีปากของคนด้านบนก็ทาบทับลงมาเสียก่อน ร่างกายของพัชรร้อนผ่าว แต่จูบของเขาร้อนยิ่งกว่า... เคฟทึ่งจนเกือบทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายถูกรุก และไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ บางทีพัชรอาจเก็บงำความเร่าร้อนไว้ในใจมาตลอดสิบปี พอเจอคนที่มีแรงดึงดูดสูงอย่างเคฟอารมณ์ก็อาจปะทุได้เป็นธรรมดา

เพชรจัดการปลดกระดุมเสื้อของร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว ตามด้วยถอดเข็มขัด ปลดตะขอ รูดซิป ดึงขอบกางเกงลง แล้วปลุกเร้าเจ้าโลกให้ตื่นด้วยสองมือกับหนึ่งปาก เคฟใจหายวาบ

บางทีอาจเป็นเขาเอง...ที่เป็นเหยื่อของป๋า!

แต่ขึ้นชื่อว่าเสือ มีหรือที่จะยอมให้ใครอยู่เหนือกว่า เขาพลิกตัวขึ้นมาแล้วจับให้อีกฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน

“นี่รึเปล่าเป็นสาเหตุที่คุณไม่หาเมียใหม่” เคฟพูดยิ้มๆ

“...คุณทำให้ผมรู้สึก” คิมพัชรแก้มแดงปลั่งดั่งอัญมณีทับทิม มือขาวเนียนลูบไล้ท่อนแขนล่ำแน่นด้วยกล้ามเนื้อของคนข้างบน “ผมอยากเป็นของคุณ...ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน”

ชายหนุ่มเลือดจีนแอบตกใจ นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดจริงๆ สงสัยจะประมาทเสน่ห์ตัวเองมากไปหน่อย เลยอ่อยซะเต็มที่เลยตอนนั้น

“มีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนลูกผมจะกลับ... คุณทำได้ไหม” พัชรถามด้วยริมฝีปากสั่นๆ

“เหลือเฟือครับ” เคฟยิ้ม “แต่ผมขอห้านาทีไปเซเว่นก่อนนะ”

พัชรเข้าใจ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วควานหาของในลิ้นชักที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบออกมาส่งให้เคฟ หนุ่มจีนถึงกับหลุดขำ

“นี่แสดงว่าผมไม่ใช่คนแรก”

“...ก็มีบ้าง แต่นานแล้วล่ะ” พัชรเกาหูอย่างอายๆ

“โทษฮะ มันเล็กกว่าไซส์ผมอ่ะ”

“...”

“แต่คงไม่เป็นไร”

จากนั้นฉากต้องห้ามสุดเร่าร้อนก็ดำเนินขึ้น เกิดเสียงครวญครางผสานกันดังไปทั่วทั้งห้อง คนข้างบนบดขยี้เป็นจังหวะถี่ๆ หนักๆ แรงบีบรัดของถุงยางขนาดเล็กกว่าจริงหนึ่งไซส์ไม่ทำให้เขาเจ็บเท่าการเข้าสู่ร่างกายของคนด้านล่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำกับผู้ชาย จึงไม่รู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แต่พอทำๆ ไปก็รู้สึกดีจนความเจ็บกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนคนข้างล่างก็ดูจะเจ็บกับขนาดของแข็งใหญ่ที่รุกล้ำเข้ามาในตัวเช่นกัน แต่ถึงจะเจ็บเพียงใดก็แอ่นกายรับแรงกระแทกด้วยความเต็มกายเต็มใจ

แรงสั่นสะเทือนจากโซฟาลุกลามไปถึงใส่ชั้นวางของที่อยู่ข้างๆ และ...

เพล้ง!

ทำให้กรอบรูปที่วางอยู่บนนั้นตกลงมาแตกกระจาย และไม่ใช่เพียงแค่กรอบรูป... แต่รวมถึงที่ใส่อัฐิกระดูกด้วย

“อ๊ะ...” เคฟหันไปมองด้วยความตกใจ

“ไม่เป็นไร... ช่างมัน... ต่อเร็ว” พัชรร้อง

ชายหนุ่มรู้สึกหนาววูบวาบ เสียวสันหลังแปลกๆ แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว... เขาก้มลงไปจูบไซร้ซอกคอของเจ้าของบ้านต่อ
ฉึก!!

“โอ๊ย!” เคฟสะดุ้ง “อย่าจิกแรงสิครับ..”

เล็บของพัชรฝังลงบนแผ่นหลังกว้างของเคฟ ถึงเขาจะเตือนอย่างนั้น แต่เล็บกลับฝังลงลึกมากขึ้นๆ ชายหนุ่มเจ็บจนต้องตะโกนดังๆ

“คุณพัชร ผมบอกว่า...!”

“........เจ็บเหรอ...”

“อึก.......”

“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าเจ็บของกู!! ไอ้ชู้ชั่ว!!!!!!

“!!!!!!!!!!!!!”

ใบหน้าที่ควรจะเป็นพัชรกลับเป็นใบหน้าของหญิงสาวในรูปถ่ายสีขาวดำซึ่งตกแตกด้านล่าง เธอเบิกตากว้างจนลูกตาถลนเกือบออกจากเบ้า เลือดไหลย้อยท่วมใบหน้าดั่งน้ำตา ริมฝีปากซีด ผิวกายขาวสนิทเหมือนกระดูก ตัวเย็นเฉียบเหมือนเนื้อแช่แข็ง ไม่พอยังมีกลิ่นเน่าผสมน้ำยาอาบศพฉุนจมูกออกจากตัวอีกด้วย

เล็บแหลมยาวของผีฝังลึกบนแผ่นหลังของเขา จนเคฟได้กลิ่นเลือดของเขาเอง... อาวุธของเขาเย็นวาบ แทบจะหดสั้นเหลือสองนิ้ว

“เคฟ”

“!!!” ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อ กะพริบตามองอีกครั้ง ข้างล่างเขาก็ยังเป็นพัชร ไม่ใช่ผีแต่อย่างใด

“เป็นอะไรไป... หยุดทำไม”

“เปล่า...”

เคฟสะบัดหน้าไล่ภาพหลอน ก่อนจะเดินเครื่องต่อจนถึงจุดหมาย  เคฟถอดถอนกายแล้วดึงสิ่งที่ครอบออกเพื่อปลดปล่อยลงบนหน้าท้องขาวเนียนตามคำขอ พลันก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายถึงขีดสุด คนข้างล่างส่งสายตาเว้าวอนเหมือนต้องการอีก ทว่าทุกอย่างต้องจบลงเพียงเท่านี้

“ป๊า!! ผมกลับมาแล้วนะคร้าบ!”

เสียงของลูกชายที่ชั้นล่างทำให้พ่อและแขกผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือก ต่างแยกย้ายกันใส่เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเร็วไว

“คุณออกไปทางหน้าต่างนะ ระวังด้วย” พัชรบอก แววตาออกอาการเสียดาย เคฟพยักหน้า ใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ตามเดิมแล้วก้าวขึ้นขอบหน้าต่าง แต่ก่อนไปเขาเดินกลับมาจูบพัชรอีกที

“คราวหน้า...”

“…?”

“เตรียมไซส์ 56 ไว้นะครับ”

“....”

แล้วก็ออกไป

“ป๊าฮะ อยู่รึเปล่าเนี่ย!” เพชรร้องตะโกนมาตามบันได

“อยู่สิลูก” พัชรออกจากห้องไปหาลูกชาย ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ หวังว่าแก้มแดงปลั่งดั่งลูกท้อนี้จะดูเหมือนคนออกกำลังกายมากพอ...

“เรียกหลายครั้งไม่ตอบ” ลูกชายมองพ่อแล้วขมวดคิ้ว “ป๊าทำอะไรมา ตัวเปียกเหงื่อ หน้าก็แดง”

“ปะ..ป๊าออกกำลังกายน่ะลูก”

“ฮะ? อย่างป๊าเนี่ยนะออกกำลังกาย ไม่น่าเชื่อเลย”

“ก็ทำความสะอาดบ้านไงเล่า ว่าแต่ลูกเถอะ ทำไมวันนี้กลับเร็วกว่าปกติ” พ่อกลับเป็นฝ่ายซักไซ้ลูกชายบ้าง ก่อนที่ความจะแตก

“อ๋อ...คุณครูมีธุระด่วนน่ะครับ เลยกลับเร็ว” ลูกชายตอบพลางกลอกตามองขึ้นฟ้า

“เหรอ เอ...แล้วทำไมพักนี้หนูถึงตัวเปียกเหงื่อกลับบ้านทุกวันเลยล่ะ”

“ก็.....” เพชรอ้าปากลากเสียง มองไปรอบๆ ตัวเหมือนหาข้ออ้างไม่ถูก “ผมเดินกลับไงครับ! เหงื่อเลยออกเพียบเลย”

“อ้าว ทำไมถึงเดิน นึกว่านั่งแท็กซี่หรือรถไฟฟ้าเหมือนอย่างที่พูดซะอีก”

“ป๊าก็ บ้านเราเพิ่งโดนยกเค้า กว่าป๊าจะหาเงินก็ไม่ง่าย ผมเลยอยากช่วยป๊าประหยัดเงินไงครับ” เพชรพูดด้วยท่าทางจริงจังแล้วทำเป็นบิดเมื่อยขี้เกียจ “ไปอาบน้ำก่อนนะครับ!”

พอแยกกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เกือบไป”




v
v
v

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.26 I Hurt You Hurt (29/03/19)/
«ตอบ #202 เมื่อ29-03-2019 17:19:51 »


[2/2]




เคฟกระโดดจากหลังคาลงกำแพง สู่พื้นถนนได้อย่างปลอดภัย เขาถอนหายใจยาวๆ พลันก็รู้สึกเหมือนชายชู้แอบลักลอบเข้าบ้านคนอื่น
จริงๆ จะเรียกชู้ก็ไม่ได้ ในเมื่อเมียของป๋าพัชรตายไปแล้ว

แต่ผีสาวเมื่อกี้...

“อ้าว เคฟ!”

“พี่เล็ก” อเล็กซ์อยู่ใกล้ๆ พอดี ทั้งสองแปลกใจที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญ

“พี่มาทำไร” รุ่นน้องถาม

“มาส่งเด็กเพชร” อเล็กซ์ตอบ “นายล่ะ ปีนลงหลังคามาอย่างนั้น...อย่าบอกนะว่า”

“เรียบร้อย” เคฟยิ้ม เลียมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“ร้ายกาจ” อเล็กซ์ส่ายหน้า “ไปล่ะนะ พี่ต้องไปเฝ้าแสงเทียนที่โรงบาล เจอกันใหม่”

“เดี๋ยวพี่ แสงเทียนอยู่โรงบาลเหรอ” หนุ่มจีนถามด้วยความแปลกใจ “แต่พี่อู๋เพิ่งโทรเรียกผมให้ไปหาที่คอนโด”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน

“อย่าบอกนะว่าเลิกกันแล้ว”




โรงพยาบาล

ด้วยความที่เบย์ลางานไม่ได้ เขาเลยโทรให้อเล็กซ์มานอนเป็นเพื่อนผมแทน แม้ผมจะปฏิเสธไปหลายรอบ แต่เขาก็ดึงดันไม่ยอมให้ผมอยู่คนเดียว เพราะหนึ่งเป็นห่วง สองกลัวผมหนี และสาม...เผื่อโจรอู๋มา จะได้มีคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย ลากแม่น้ำมาซะขนาดนี้ผมเลยปล่อยตามเลย

อเล็กซ์เคาะประตูสามที ก่อนจะเข้ามาพร้อมกับโน้ตบุ้คหนีบไว้ข้างตัว เขานั่งลงที่โซฟาแล้วถาม

“หวัดดี เป็นไงบ้าง”

“เจ็บดี” ผมตอบ “ผิวแทนขึ้นนะ เปลี่ยนไปทำงานกลางแจ้งเหรอ”

“เปล่า ปลอมตัวเฉยๆ” อเล็กซ์หัวเราะ “จะว่าไป... นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราอยู่กันสองคน”

“ใช่”

“ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกร็ง หรืออยากให้เราช่วยอะไรก็บอก เรายินดี”

เขาบอกยิ้มๆ ผมพยักหน้า แต่ไม่คิดจะรบกวนอะไรเขาหรอก

นอกจาก...

“นายรู้เรื่องทั้งหมดใช่ไหม”

“เรื่องอะไร”

“เบย์คงเล่าให้ฟังแล้ว”

“อืม ถ้าเป็นเรื่องที่นายทะเลาะกับเฮียเค้าล่ะก็ใช่...”

อเล็กซ์ตอบ แต่ปลายเสียงดูแผ่วๆ เหมือนไม่มั่นใจ แถมยังเบนสายตาหลบผมอีกต่างหาก

“นายรู้แน่ๆ อเล็กซ์ เรารู้ว่านายรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เจ้าหนี้ไปถึงเส้นสายของโจรอู๋ เพราะนายดูแลเรื่องข้อมูลให้เขา ช่วยบอกเราทีได้ไหมว่าเพื่อนที่โจรอู๋รักนักหนาคนนั้นเป็นใคร”

อเล็กซ์มีสีหน้าไม่มั่นใจ “เราก็รู้เท่าที่นายรู้”

“ไม่เชื่ออ่ะ ถึงขนาดเจาะระบบทะเบียนราษฎร์ ทำประวัติปลอมๆ ได้ เรื่องแค่นี้มีหรือที่นายจะไม่รู้ ทำไมอเล็กซ์ ทำไมถึงบอกเราไม่ได้ มันเป็นความลับระดับชาติหรือไง”

ดวงตาสีน้ำตาลคอนแท็กเลนส์ของอเล็กซ์ฉายแววหมองลง

“ไม่ใช่เลยแสงเทียน เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลยต่างหาก หน้าก็ไม่เคยเห็น ชื่อก็ไม่เคยรู้ เพราะพี่อู๋ก็ปิดบังเขากับพวกเราด้วยเหมือนกัน อีกอย่างเราไม่คิดจะสนใจอยู่แล้วเลยไม่เคยค้นหา”

“แต่นายก็หาได้ใช่มั้ย”

“ก็คงได้ แต่พี่อู๋ก็คงโกรธมาก เขาไม่อยากให้เราก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว”

“หวงสิไม่ว่า”

“ไม่หรอกน่า พี่อู๋คงมีเหตุผลแหละ”

“เรานึกเหตุผลอะไรไม่ออกจริงๆ อเล็กซ์ นอกจากมันอาย ถ้าใครรู้ว่ามันเอาร่างกายแลกเงินกับเศรษฐี”

“.....”

“เราน่าจะเตือนตัวเองว่าสันดานโจร...โจรอย่างมัน เห็นเงินสำคัญที่หนึ่งอยู่แล้ว มันทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน มีเราไว้ก็เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยหาเงิน ไม่น่าคาดหวังว่ามันจะรู้สึกลึกซึ้งอะไร ไม่งั้น... เราก็คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้”

“นายเข้าใจผิดแล้วแสงเทียน” อเล็กซ์ว่า “นายสำคัญกับพี่อู๋มากกว่าที่คิดนะ”

“เหรอ... เฮอะ... แคร์แบบไหนถึงทิ้งเราไปเอากับคนอื่น อยากรู้จริงๆ”

“....”

“ช่างเถอะ จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

ผมพูดแล้วพลิกตัวไปอีกด้านหันหลังให้อเล็กซ์ ไม่อยากให้รู้ว่าผมกำลังจะร้องไห้ อเล็กซ์ไม่พูดต่อ ทั้งห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงเคาะนิ้วป๊อกแป๊กบนคีย์บอร์ดเท่านั้น

แปลกนะ ทั้งที่หนีออกมาข้างนอกได้แล้ว แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น กลับกัน ผมยิ่งกังวลกว่าตอนไม่ได้อยู่กับมันเสียอีก
ป่านนี้ใครจะทำแผลให้มัน... อุปกรณ์ตั้งหลายอย่าง ขั้นตอนก็ละเอียดยุบยิบ คนจับฉ่ายอย่างมันคงทำเองลวกๆ ชุ่ยๆ แหง แล้วแผลก็จะหายช้า เผลอๆ อักเสบหนักไปอีก

ใครจะทำกับข้าวให้มัน... ไอ้กากที่แค่ตอกไข่ยังไม่ลงกระทะ

ใครจะจ้ำจี้จ้ำไชให้มันโกนหนวด... ก่อนที่หน้ามันจะกลับไปเป็นโจรอู๋ในใบประกาศจับ

ถ้าออกไปข้างนอก มันจะเจอเจ้าหนี้หน้าตี๋คนนั้นมั้ย จะโดนตำรวจจับได้รึเปล่า...

ไม่น่าเชื่อว่าถูกทำร้ายขนาดนี้ ผมยังมีหน้าเป็นห่วงมันอีก บัดซบจริงๆ...

“เรื่องอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือสิ่งที่พี่อู๋ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของนาย”

จู่ๆ อเล็กซ์ก็พูดแทรกความเงียบขึ้นมา

ผมเงียบ แสร้งว่าหลับแล้ว

“การปิดบัง บางครั้งก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกป้องนะ แสงเทียน”

ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่อเล็กซ์บอก... แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ดี ฟังยังไงก็คือคำแก้ตัวให้ลูกพี่ชัดๆ 

“ถึงเวลา เขาจะบอกนายเอง”

อเล็กซ์พูดเหมือนรู้ใจ

แต่ผมไม่แน่ใจ...ว่าจะมีเวลารอจนถึงตอนนั้น




อีกด้าน

สองพี่น้องชาวจีนนั่งข้างกันอยู่ที่โซฟากลางห้อง คนพี่นั่งหลังพิงพนักคอหงายไปข้างหลัง เสื้อไม่ใส่ แสดงให้เห็นแผลฉกรรจ์เหนือซี่โครงขวา ที่มือข้างหนึ่งก็มีแผลเกิดจากการบีบของมีคม น่าจะเป็นเศษแจกันที่แตกกระจายอยู่ตรงพื้นนั่นเอง แผลนั้นถูกปล่อยทิ้งให้เลือดไหลและแห้งไปเองอย่างน่าหวาดเสียว เขาดื่มจนเมา ตาปรือๆ เกือบจะปิด สภาพอนาถายิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนข้างถนน

คนน้องมองด้วยความหดหู่ใจ ไม่เคยเห็นพี่ชายหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน ยกเว้นตอนเกิดวิกฤติกับครอบครัวเมื่อหกเดือนที่แล้ว

ไม่ใช่แค่เจ้าของห้องที่เยิน แต่ห้องก็เหมือนกัน เศษแจกันกระเบื้องแตกกระจายเต็มพื้น มีรอยเลือดเป็นหยดๆ ความเข้มต่างกันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เลือดของพี่เขา ข้าวของหลายอย่างถูกทำลายเพื่อระบายอารมณ์

เคฟแย่งขวดเหล้าจากพี่ชายก่อนที่เขาจะกรอกมันเข้าปาก เอาไปวางรวมกับขวดเปล่าห้าขวดบนโต๊ะ สงสัยว่าเหตุใดจึงเลือกแต่ยี่ห้อแสงโสม ช่างไม่เข้ากับคอนโดหรูๆ และลุคนายแบบฝรั่งเอาซะเลย...

“พอเถอะ เฮียดื่มเยอะไปแล้ว”

“เห้ย...เอามา” โจรอู๋พูดเสียงยาน ทำตาขวางดุน้องชาย

“ถามจริง เหล้านี่มันช่วยอะไรได้เหรอ”

“...ก็กูไม่รู้...จะทำยังไง” ความเจ็บจากหัวใจผสานกับอาการปวดหัวหนึบๆ ทำให้โจรหนุ่มหลับตาลง

“ถึงตอนนี้แล้ว ทำไมไม่บอกความจริงไปเลยล่ะ” เคฟว่า

“กูกลัวเขาจะรับไม่ได้ เอ็งคิดดูสิ ถ้าเขารู้ว่าเส้นกูคือคนที่กำลังทำคดีเรื่องของเขาเอง ปิดบังให้พ้นหูตาเจ้าหน้าที่และประชาชน โกหกแฟนเก่าและครอบครัวที่กำลังเป็นห่วงเขาแทบขาดใจ เขาจะรู้สึกยังไง...ถ้าบอกไป รับรองต้องพังกว่านี้ พังชนิดไม่มีเหลือเศษซากให้กอบกู้ พังชนิดไม่ได้ผุดได้เกิด แล้วเรื่องอะไรกูจะบอก”

”แต่ไม่บอกเลยยิ่งแย่กว่านะ แบบตอนนี้ไง”

“.....” โจรพ่นลมหายใจยาวๆ อย่างอ่อนล้า

“ผมไม่มีสิทธิ์สั่งสอนเฮีย แต่ผมแค่อยากเตือนเฮียด้วยความหวังดี คือเฮียไม่ควรจะจับปลาสองมือ”

โจรอู๋หันไปมองน้องชาย “ใช่ว่ากูอยากอยู่สถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ที่ไหน... แต่กูไม่รู้จะทำไง”

“ง่ายจะตาย เลือกใครสักคนสิ”

“....”

“ตอนนี้แสงเทียนไม่ได้อยู่กับเฮีย เท่ากับเขาก็เป็นอิสระไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเขาหนีไปได้เมื่อไหร่ เฮียจะโทษใครไม่ได้นะ”
โจรอู๋กัดฟันเม้มปากขมวดคิ้วอย่างหนักใจ

“จะให้กูทรยศวาเหรอ”

เคฟได้ยินแล้วฉุนออกจมูก “ขอโทษนะเฮีย แต่ผมขอทีเหอะ เรื่องอื่นน่ะเฮียฉลาด แต่เรื่องรักเฮียแม่งโคตรโง่เลยว่ะ”

“....” หรี่ตามองเคืองๆ

“เรื่องแค่นี้ยังคิดเองไม่ได้เหรอ พี่วาเป็นผู้มีพระคุณก็จริง แต่เฮียก็รู้ว่าเขาคิดกับเฮียยังไง ที่ผ่านมาตอนยังไม่มีแสงเทียน ผมก็พอเข้าใจ เฮียทำไปเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ในเมื่อเฮียยกให้แสงเทียนเป็นเมีย ก็แสดงว่าคนอื่นคือชู้ ไม่มีใครชอบหรอกที่แฟนตัวเองไปมีชู้น่ะ”

โจรอู๋เม้มปาก สีหน้าย่ำแย่เหมือนจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้สุดชีวิต เคฟเห็นว่าพี่ชายยังรับฟังไหวก็ใส่ต่อ

“แสงเทียนไม่ใช่คนอ่อนแอเหมือนหน้าตาเขานะเฮีย เขาแข็งแกร่งจะตาย อย่าคิดว่าเขารับไม่ได้ นึกถึงตอนเขาหนีเฮียครั้งแล้วครั้งเล่าสิ เป็นคนอื่นคงไม่กล้าหรอก แล้วเขาก็ฉลาดด้วย ถึงได้ช่วยเฮียทำงานสำเร็จตั้งหลายครั้ง เฮียกับเขาผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะ เรื่องแค่นี้เทียบไม่ได้สักนิด”

“เขารักเฮียนะ เขาถึงได้เสียใจ รู้ไหมเนี่ย”

“......”

เจอประโยคนี้เข้าไปถึงกับสะอึก

“ถ้าเฮียบอกความจริง ผมว่าเขาต้องเข้าใจ”

โจรหนุ่มก้มหน้า น้ำตาหยดลงพื้น เคฟเข้าไปกอดคอพี่ชาย โจรอู๋ก็กอดเขาตอบ ไร้ซึ่งบทสนทนานานหลายนาที แต่ในความเงียบนั้น น้องชายรู้ดีว่าพี่ชายได้ตัดสินใจแล้ว

“ขอบใจมึงมากว่ะ”

“ไม่เป็นไร เราพี่น้องกัน”   

สองหนุ่มชกกำปั้นกันแบบแมนๆ เคฟรู้สึกดีเมื่อเห็นพี่ชายยิ้มออกในที่สุด เขาลุกจากโซฟาแล้วโบกมือลาเมื่อหน้าที่สำเร็จลุล่วง

“ผมจะไปบอกแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ บายครับ”

แล้วทั้งห้องก็เหลือเขาเพียงคนเดียว

โจรหนุ่มก้มลงไปหยิบมือถือที่โยนทิ้งบนพรมเช็ดเท้า แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เลยทำให้เซล้มลง แต่ก็นอนอยู่ตรงนั้นไม่ลุกขึ้นมา เขาจ้องดูรูปหน้าจอที่เป็นภาพหนุ่มน้อยยิ้มหวานน่ารัก ภาพที่ทำให้หัวใจพองฟูทุกทีที่เห็น แต่ตอนนี้กลับถูกบีบรัดทรมานด้วยความคิดถึง

เลื่อนดูภาพในแกลเลอรี... เขาแอบถ่ายรูปแสงเทียนไว้เยอะมาก แต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ มีทั้งภาพตอนเผลอ ตอนหลับ รวมทั้งภาพนู้ด... ทุกรูปทำให้ความคิดถึงยิ่งทวีความรุนแรง

คิดถึงรอยยิ้มสวยๆ เสียงหวานๆ กลิ่นกายหอมๆ และตัวเล็กๆ นุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่ถ้าไม่ได้กอดแค่คืนเดียว...คงขาดใจตาย
โจรหนุ่มพยุงร่างโทรมๆ ลุกจากพื้นอย่างทุละทุเล เดินกลับไปที่โซฟา เท้าเตะใส่ข้าวของที่กระจัดกระจายจนยุ่งกันใหญ่ แต่เขาไม่สนใจจะเก็บกวาดมัน เพราะอีกไม่นานก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

เขากดโทรหาใครบางคนก่อนที่สติจะหลุดหายด้วยฤทธิ์เหล้า

“ฮัลโหล...วา...ว่างมั้ย...กูมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”




//////////////

กราบขออภัยที่มาต่อให้ป่านนี้ ยังมีคนอยู่มั้ยคะ 555
สารภาพว่าที่ไม่ได้ลง เพราะเนื้อหามันไม่ลงตัว
ีมีพาร์ทของคู่อื่นเยอะ จนเราเองยังอยากตัดทิ้ง แต่มันจะขาดความต่อเนื่อง
แล้วจะส่งผลต่อเส้นเรื่องหลัก
เลยเอามันอย่างงี้แหละ ยาวหน่อย รำคาญหน่อย ก็ข้ามๆ ไปได้นะคะ
 
เดี๋ยวจะลงให้ทันปัจจุบันรวดเดียวเลยค่ะ :)
คิดว่าคนอ่านคงไม่รอแล้วมั้งนี่ แต่ไม่เป็นไร ดีกว่าโดนลบ แฮ่....

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0


27
ตื๊อเท่านั้นที่รกโลก



ฝ่ายเบย์

หลังจากฝากแสงเทียนไว้ให้อเล็กซ์แล้วก็ไปทำงานที่ใหม่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเปลี่ยนเพื่อหนีไอ้ฝรั่งเก๊ที่ตามติดจองเวรคนนั้น

มันเป็นบาร์โฮสต์ มีพนักงานหนุ่มหน้าตาดีถึงดีมากไว้คอยบริการ ถือว่าเป็นสีสันแปลกใหม่ที่เบย์ไม่เคยลอง ทำได้เพียงไม่กี่วันก็รู้สึกชอบ ไม่ใช่แค่รายได้ดี อยู่ฟรีกินฟรี เจ้านายและเพื่อนร่วมงานนิสัยดี แต่ยังท้าทายความสามารถด้วย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ดูแลเอาใจใครเสมือนแฟน แม้จะเป็นแค่การแสดงช่วงสั้นๆ ก็เถอะ

เรื่องของเรื่องก็คือยิ่งแสดงได้ถูกใจลูกค้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งอัพค่าตัวได้มากขึ้นเท่านั้น ความสนุกมันอยู่ตรงนี้

“บี คืนนี้ลองดูมั้ย” หนุ่มรุ่นพี่เบอร์ต้นๆ ของร้านเข้ามาสะกิดจากข้างหลังพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็อยากนะครับ แต่ผมยังไม่พร้อมอ่ะ”

“กลัวเหรอ”

“จะว่างั้นก็ได้...”

“กลัวอะไร อย่าบอกนะว่าไม่เคย พี่ไม่เชื่อว่ะ น่ารักอย่างมึงจะเหลือรอดมาได้ไง”

ว่าแล้วก็หัวเราะร่า ทำเอาเบย์หน้าแดงเถือก คงอีกนานกว่าเขาจะชินกับเรื่องนั้น...

ความลับของบาร์แห่งนี้ก็คือ คุณสามารถซื้อบริการโฮสต์ได้ แต่ไม่ใช่ดีลกันสองต่อสองนะ ต้องเข้า ‘ห้องดำ’ หรือห้องประมูลซะก่อน ผู้ชนะก็ได้ตัวโฮสต์ไป งานนี้ใครกระเป๋าหนักก็ได้เปรียบ ว่ากันว่าเคยมีคนถูกประมูลสูงสุดตั้งหนึ่งแสน ราคานี้คือต่อคืนนะครับพี่น้อง... โหดพอๆ กับค่าสินสอดเลยนะนั่น

สำหรับเบย์ มันก็คือโสเภณีแบบอัพเกรดดีๆ นี่เอง

เอาตรงๆ เบย์ออกจะรังเกียจอาชีพแบบนี้ สำหรับเขาเซ็กส์เป็นเรื่องสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทำกับคนรักเท่านั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนก็ได้ (แม้ว่าความเป็นจริง เขาจะโดนไอ้เวรคนหนึ่งทำลายซะย่อยยับ...)

แต่ใช่ว่าเขาไม่สน ก็ในเมื่อออกปล้นเหมือนเดิมไม่ได้ เงินเดือนก็ไม่เยอะพอที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่ เขาก็ต้องหาเงินด้วยวิธีอื่น อีกอย่างเขาก็เสียซิงไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องหวง หลับหูหลับตาทำๆ แล้วได้เงินเป็นหมื่นเป็นแสนกลับมาก็ถือว่าคุ้ม

เบย์เริ่มงานหนึ่งทุ่ม มีเวลาหกชั่วโมงสำหรับการตัดสินใจ เพราะการประมูลจะเริ่มตอนเที่ยงคืน พนักงานบางคนเลยเรียกมันว่าโอที ไม่ก็งานนอกสถานที่ จบงานก็มารับเงินที่ร้านในวันถัดไป

สำหรับการเป็นโฮสต์ หนุ่มน้อยจดจำวิธีการทำงานของรุ่นพี่ตั้งแต่การทักทายลูกค้า การดูแลเอาอกเอาใจ เอามาปรับใช้ในแบบของตัวเอง ปกติแล้วเขาเข้าหาคนแปลกหน้าไม่เก่ง โดยเฉพาะสาวๆ สวยๆ เจอทีไรมักประหม่าทุกที แต่ปรัชญาด้านได้อายอดทำให้เขาก้าวผ่านขีดจำกัด สลัดลุคหนุ่มใสๆ กลายเป็นโฮสต์ผู้จัดจ้านในเวลาเพียงข้ามคืน

ข่าวร้ายคือโฮสต์ไม่อาจเลือกลูกค้าได้ ลูกค้าเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเลือก ใครเจอลูกค้าที่ถูกชะตาก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นชั่วโมงที่เฮงซวยสุดๆ เบย์เองเจอลูกค้าหลายประเภท หลายเพศ ตั้งแต่หนุ่มมหาลัยที่เพิ่งเข้าผับได้ ยันมนุษย์รุ่นยายนมเหี่ยวถึงขอบเตี่ยวลิง... ชีวิตนี้สีสันบันเทิงดีแท้ แต่ลูกค้าที่เขาชอบอันดับหนึ่งคือพวกเก้งวัยใกล้เคียงกัน  เพราะพวกนางคุยสนุก คุยเก่ง อารมณ์ดี พูดอะไรมาก็ฮาหมด เอ็นเตอร์เทนต์เก่งจนบางครั้งเบย์รู้สึกว่าเขาเป็นลูกค้าซะเอง แม้จะโดนแทะโลมก็ยังถือว่าขำๆ ต่างกับลูกค้าแบบอื่นที่หวังกินเขาจริงจัง... พวกนางบอกเป้าหมายไม่ใช่โฮสต์ แต่เป็นผู้ชายที่มาเที่ยวต่างหาก     

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านพ้นไป เสียงดีเจประกาศอำลาเวทีแอนด์ปิดร้าน ทำให้ลูกค้าขาจรถอนตัวออกไป เหลือแต่พวกขาประจำที่รู้ดีว่าร้านยังไม่ปิดจริงๆ เดินเข้า ‘ห้องดำ’ ที่อยู่หลังร้านเพื่อต่อสู้บนสังเวียนประมูลในเวลาต่อไป

กิจกรรมนี้เป็นที่รู้จักกันแบบปากต่อปากในหมู่ลูกค้ากระเป๋าหนักเท่านั้น และทุกคนที่จะเข้าร่วมได้ต้องมีหลักฐานการันตีความรวยด้วย เช่นรถที่ขับมาร้าน ต้องเป็นซูเปอร์คาร์โอนลี่ ที่แม้ต่อให้เช่ามาก็ยังแพงอยู่ดี หรือบัตรเครดิต (วงเงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้าน) เพื่อป้องกันการล้มมวยของพวกรวยไม่จริง ส่วนนาฬิกาหรูนั้นไม่นับ เพราะยืมเพื่อนมาได้ (เอ๊ะ)

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเข้าร่วมเพียงสามสิบคน หลักๆ เป็นสาวแก่แม่หม้ายกับเสี่ยอ้วนพุงหลามบ้ากาม นานน๊าน...จะมีคนหนุ่มหน้าตาดีๆ สักคน ตรงนี้เองที่เบย์โคตรจะลำบากใจ

โฮสต์ใหม่ผู้ใสซื่อตามพวกรุ่นพี่เข้าไป เขายังลังเลอยู่ว่าจะเข้าร่วมดีหรือไม่ เลยขอสังเกตการณ์ให้ละเอียดก่อน

ห้องดำนั้นดำแค่ชื่อห้อง แต่ภายในมีแสงไฟวูบวาบไม่ต่างกับข้างนอก ขนาดความจุห้าสิบคน กลางห้องมีเวทียกพื้นสูงพร้อมกับเสาหนึ่งต้นสำหรับให้โฮสต์บางคนเต้นเรียกคะแนน (โอ้มายก็อด เต้นรูดเสาก็มา) ลูกค้าทั้งหลายยืนจับจองพื้นที่ด้านหน้าเวที เพื่อจะได้เห็นลีลาผู้ท้าชิงชัดๆ


ไม่น่าไหวว่ะกู...แค่คิดเบย์ก็เสียววาบๆ


ดีเจที่จบงานข้างนอกก็มาจัดต่อข้างใน เปิดเพลงตื๊ดๆ เมาๆ เร้าอารมณ์ พอโฮสต์กับลูกค้าเข้ามาครบแล้วก็เปิดเวทีโดยไม่รอช้า เบิกตัวผู้ประกวดหมายเลขหนึ่ง ที่แค่แนะนำตัวด้วยการเต้นยั่วๆ บดๆ ก็ถูกถอยไปในราคาสามหมื่นในเวลาไม่ถึงสามนาที

เอด๊อกกกกกก นั่นสองเท่าของเงินเดือนกูเลยเด้อออออ!!!

เบย์ร้องลั่นอยู่ในใจ มิน่าล่ะพวกพี่ๆ ถึงติดใจกันนัก

“คนต่อไป น้องบี! หนุ่มน้อยหน้าใสวัยขบเผาะ ยังไม่เคยผ่านการขายมาก่อน! สดใสใหม่ซิงจริงๆ นะเอ้อ เอ้าๆๆ โยกๆๆ!”

“เดี๋ยวววววว!!!!”


ไอ้สัดดีเจ!!! มึงถามกูสักคำยัง!!! กูมาเซอร์เวย์เฉยๆ โว้ยฟายยยยย


จะด่าจริงก็ไม่กล้าเพราะเขาแก่กว่าหลายปี เบย์เลยทำแค่เดินหนีพร้อมกับบอกว่าไม่ แต่พวกโฮสต์รุ่นพี่นึกอยากแกล้งหรืออะไรไม่ทราบ พวกเขา
ล็อกตัวหนุ่มรุ่นน้องแล้วลากขึ้นไปปล่อยบนเวทีหน้าตาเฉย!

ไอ้พวกเหี้ยยยยยยยยย

“ว้าวๆๆๆ คนนี้เจ๊จอง!!!”

“ของอั๊วตะหาก!”

“กรี๊ด! น่ารักโคตร สเปกพี่เลยอ่า!”

เบย์เขินจนหน้าแดงไปถึงนิ้วเท้า เกิดมาไม่เคยอายอะไรขนาดนี้มาก่อน เขาจะอยากกระโดดลงเวทีแล้ววิ่งหนีสุดตีน แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากลูกค้าเบียดกันแน่นเหมือนปลาสวายรุมขนมปัง ทางเดียวที่จะรอดก็คือต้องเหยียบหัวลุงๆ ป้าๆ เค้าเท่านั้นแหละ

“กติกามีอยู่ว่าบิดละห้าพันนะคร้าบ แต่จะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าใจร้อน อิ๊ๆ ใจไม่ป้ำก็กลับบ้านนอนซะ เอาล่ะ เริ่มประมูลกันที่หนึ่งหมื่น!” ดีเจประกาศ

“เฮ้ย! ผมบอกไม่เอาไงวะพี่!” เบย์ผวาเฮือก น้ำตาจะไหล แต่เสียงเขาหาได้ไปถึงดีเจไม่ เพราะถูกเสียงคนข้างล่างกลบหมด

“สองหมื่น!” เสี่ยแก่อ้วนในเสื้อลายตะโกนพร้อมกับชูปึกเงินขึ้นเหนือหัว สายตาหื่นๆ จ้องเบย์พร้อมกับส่งเสียงหืดหาดหื่นหิวโหย ทำเอาคนโดนมองแทบร้องไห้เพราะสยองไปถึงไส้


แม่จ๋าช่วยหนูด้วยยยยย


“สามหมื่น! ไปกับเจ๊เหอะ!” สาวเฒ่า (เท่าแม่) อีกคนร้องสู้ ยื่นมือที่เต็มไปด้วยแหวนเพชรเม็ดเป้งมาจับลูบขาเบย์อย่างกระเหี้ยนกระหือรือ


กรี๊ดดดดดดดดดดดด


“อู้หูๆ น้องใหม่ของเรามาแรงเหลือเกินครับพี่น้องครับ! นี่ขนาดยังไม่ได้เต้นโชว์นะครับเนี่ย มาดูกันครับว่าน้องบี หนุ่มหน้าใสสไตล์ไอดอลเกาหลีคนนี้จะทุบสถิติหนึ่งแสนได้รึไม่! เอ้า มีใครให้มากกว่าสามหมื่นไหมคร้าบบบ?”

“สี่หมื่น!”

“ห้าหมื่น!”

“เดี๊ยวววว อะไรกันวะนี่ ผมไม่เอาาาา!”

เบย์โวยวาย แต่หาได้มีใครฟัง ราคาค่าตัวพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเจ็ดหมื่นไปแล้ว และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ ลูกค้าที่ดูท่าจะเอาให้ได้คือเสี่ยอ้วนพุงหลามหน้าตาหื่นกาม ผู้ใช้ดวงตาหยีๆ ลามเลียเรือนร่างของโฮสต์หน้าใสพร้อมกับลมหายใจเหม็นเปรี้ยว ลุงแกใส่ยับปาดหน้าทุกคนจนต้องล่าถอยเพราะสู้ราคาไม่ไหว จนในที่สุดก็เหลือแต่แกกับป้าแก่ตู้เพชรเคลื่อนที่แค่สองคน

เบย์เกือบจะทรุดเมื่อเห็นหน้าผู้ประมูลสองคนสุดท้าย จนต้องเซไปเกาะเสาไว้ ไม่งั้นจะล้ม


อิเว๊นนนนนนนน ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ให้กูเลยใช่มั้ย! เหลือแต่ถุงชาชักปักษ์ใต้กับมะเขือยาวเหี่ยวๆ เนี่ยนะ! ฆ่ากูเถอะ ฆ่ากู๊วววววว


และแล้วราคาก็พุ่งทะลุหนึ่งแสนเป็นที่เรียบร้อย เหล่าโฮสต์กับดีเจส่งเสียงฮือฮาเมื่อเด็กใหม่เลื่อยขาเก้าอี้รุ่นพี่สำเร็จ แต่เบย์น้ำตาจะไหล เพราะสำหรับเขามันคือโศกนาฏกรรมแท้ๆ

“พระเจ้าซอส! น้องบีทุบสถิติหนึ่งแสนแล้วครับ! โอ้โหไม่อยากเชื่อ! ดาวรุ่งพุ่งแรงสุดๆ เอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้วนาทีนี้! มาดูกันครับว่าจะปิดดีลที่เท่าไหร่! เอ้า หนึ่งแสนครั้งที่หนึ่ง!”

ดีเจพากย์ใส่อารมณ์ดุเดือดราวกับเวทีมวยราชประสงค์ ทำเอาอะดรีนาลีนในห้องพลุ่งพล่าน ลูกค้าที่ตกรอบกลายเป็นคนดูก็พลอยลุ้นไปด้วย ลุงอ้วนกับป้าเหี่ยวเหลียวดูหน้ากันอย่างจิกกัด ดูเหมือนฝ่ายป้าจะเสียเปรียบเพราะนางถึงกับถอดแหวนแล้วหันไปถามเจ๊ (เจ้าของร้าน) ว่า

“ใช้แหวนนี่แทนได้มั้ย จูบิลี่แท้ ราคาห้าหมื่น”

“ไม่มีปัญหาค้าาา” เจ๊ขานรับเสียงหวาน

เพื่อให้ได้นอนกับหนุ่มหล่อระดับไอดอล งานนี้เห็นทีจะมีคนหมดตัว แต่ป้าแกคงยอมล่ะ   

“แสนห้าแล้วครับ! เฮียสู้ไม่สู้!” ดีเจกระตุ้นเสี่ยอ้วน

“จิ๊บๆ!” เสี่ยยิ้มจนตาหายกลายเป็นเส้นขีด “อั๊วให้เลยสองแสน จบมั้ย!”

“โหหหหหหหหห”

ราวกับคลื่นยักษ์แห่งความตื่นเต้นเข้าถล่ม ผู้คนโห่ร้องราวกับไม่เชื่อหู เจ๊เจ้าของร้านกรี๊ดลั่นจนลูกกระเดือกสั่นคลอน (เพราะนางได้ส่วนแบ่งตั้งเจ็ด
สิบเปอร์เซ็นต์) ส่วนเบย์ถึงกับเข่าทรุด น้ำตาร่วงเผาะผ็อย

กูต้องแดกมะเขือเหี่ยวจริงๆ เหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย

“สุดยอดไปเลยครับเฮีย! มาเพื่อฆ่าทุกคนจริงๆ สิเนี่ยให้ตายเถอะ ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ เอาล่ะตอนนี้น้องบีก็กำลังก้าวขึ้นราชรถเอสแอลเคไปครึ่งตัวแล้วล่ะครับ เหลือแค่นับถอยหลัง สองแสนครั้งที่หนึ่ง!”

ป้าแก่ยกมือขึ้นกุมหน้าร้องไห้งอแงออกไปจากห้อง

เบย์ก็ร้องเหมือนกัน

“หูย ดูสิครับ น้องบีปลาบปลื้มในความสำเร็จถล่มทลายของตัวเองจนถึงกับน้ำตาเล็ดเชียวครับ”


พ่องสิ กูสิ้นหวังโว้ยยยย!!!


เบย์ได้แต่ร่ำร้องในใจ แต่ลำคอตีบตันจนไม่อาจเปล่งเสียง

กูล้มมวยตัวเองได้ไหมวะ? เงินในบัญชีมีล้านกว่าๆ อยู่นะ แต่นั่นก็เป็นเงินเก็บสร้างบ้านอ่ะ ไม่อยากถอนมาใช้ไร้สาระ แต่จะให้ไปนอนกับไอ้เฒ่านั่น....

“สองแสนครั้งที่สอง!”

ไม่!!! คนอย่างเสือเบย์ไม่ยอมถูกซื้อง่ายๆ หรอก ถึงจะได้ตั้งหกหมื่นหลังหักเปอร์เซ็นต์แล้วก็เหอะ แต่ศักดิ์ศรีกูราคาแพงกว่านั้นเฟ้ย!
เบย์ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแกร่งพร้อมกับการประกาศอีกครั้ง

“สองแสนครั้งที่สาม หมดเว...!”

“ช้าก่อน!!!”

เกิดความงุนงงสงสัยปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เมื่อมีชายคนหนึ่งตะโกนขัดคอดีเจในวินาทีสุดท้าย ทุกคนหันซ้ายหันขวามองหาว่าเขาเป็นใครและขัดขวางทำไม กระทั่งเขาเดินออกมาจากเงามืดตรงมุมห้อง รูปร่างสูงสง่าแขนขายาว อกกำยำล่ำสันนั้นทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเกรงๆ และยอมหลีกทางให้เดินโดยอัตโนมัติ

“เอ่อ ไม่ทราบพี่ชายมีข้อขัดข้องประการใดขอรับ”

ดีเจถามออกไมค์ด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เพราะขนาดตัวต่างกันเหมือนนักบาสกับขี้ยา

หนุ่มปริศนาถอดหมวกแกป ถอดแว่นดำ จ้องเขม็งไปที่คนบนเวที

เท่านั้นแหละ เบย์ก็คิดว่ายอมกินมะเขือเผาเน่าๆ ยังจะดีซะกว่า

“ไอ้ฝรั่งเก๊...”

“ไอให้หนึ่งล้าน”

“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย” นี่คือเสียงของเบย์ ดีเจ เจ๊ และโฮสต์ๆ รวมกัน

“ทุกคนได้ยินมั้ยครับ หนึ่งล้านบาท!!! ไม่ใช่แค่ทุกสถิติร้านแล้วงี้ แต่กะหร...เอ๊ย โฮสต์ทั้งโลกต้องศิโรราบให้น้องบีแล้วครับ! หูยยยย ผมขนลุกตั้งแต่หัวยันซอกตูดเลยครับเนี่ย!”

บรรยากาศของสองแสนเมื่อกี้ดูกลายเป็นขี้มดไปเลยเมื่อเจอหนึ่งล้านของไอ้ฝรั่งนี่ เรียกว่ามาเพื่อน็อค หมัดเดียวจอดของแท้ เจ๊เจ้านายของเขาถึงกับตีลังกาสามตลบมาสยบกราบเท้ามันเลยอ่ะ พวกโฮสต์ก็เข้าไปรุมล้อมเสนอตัวให้อย่างหน้าไม่อาย ส่วนลูกค้ารวมทั้งเสี่ยที่พ่ายแพ้แบบงงๆ ก็ด่าทออย่างไม่พอใจ คงมีแต่เบย์คนเดียวที่ตัวแข็งทื่อไร้ปฏิกิริยาตอบโต้


ทุกคนจะดีใจกันไปทำไม...

ทุกคนรู้มั้ยว่ากำลังจะซวยกันหมดนี่...

มันไม่ได้มาซื้อตัวเค้า...


แต่มันมาทลายซ่องต่างหากล่ะโว้ยยยย

ไอ้ฝรั่งเก๊โยนกระเป๋าเป้ที่สะพายมาให้เจ๊ สาวสองเจ้าของร้านเปิดดูแล้วก็ตาโตเท่าไข่ห่าน เพราะมันคือแบงค์พันสิบมัดในซีลจากธนาคาร รวมทั้งสิ้นหนึ่งล้านบาทถ้วน ได้เงินแล้วเจ๊ก็โกยค่ะ แต่เจ๊ไม่รู้หรอกว่าเดี๋ยวพอมันทลายซ่องแล้วมันก็ได้เงินคืน แต่เบย์รู้ แล้วทำไมต้องดีใจ

เสือในร่างโฮสต์มั่นใจแล้วว่าไอ้ฝรั่งนี่คือเจ้าหน้าที่ที่มาจับกุมเขาล้านเปอร์เซ็นต์ ก็นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มันตามหาเขาจนเจอ ไม่ต้องอ้างว่าบังเอิญเพราะมันเกินไป เบย์ทั้งโกรธทั้งกลัว แล้วก็อาย

ทำไมเขาต้องถูกจับในสภาพกะหรี่ แทนที่จะเป็นโจร!!!

ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าขึงขัง แววตาร้อนระอุประหนึ่งทหารเตรียมสังหารศัตรู ดูก็รู้ว่ากำลังโมโห สงสัยจะหงุดหงิดที่ใช้เวลานานกว่าจะตามหาตัวเบย์เจอ

แต่เสือมีหรือจะยอมถูกล่า เบย์มองหาช่องว่างด้านล่างเพื่อใช้เป็นทางลง แต่ก็อย่างที่บอกว่าคนแน่นจนแทบเหยียบกัน โชคร้ายซ้ำซ้อนที่ประตูทางออกก็อยู่ข้างหลังไอ้ฝรั่งนั่น ทว่าเบย์ไม่มีทางเลือก เขาถอยกรูดไปข้างหลังคล้ายจะหนี แล้วกระโดดผลุงพุ่งทะยานเหาะข้ามหัวผู้คนไปยังประตู รวมทั้งหัวไอ้ฝรั่งร่างโย่งด้วย ท่ามกลางความตกใจและสงสัยของทุกคนว่าทำไมเบย์ต้องหนี

แต่อีกฝ่ายก็ไวพอที่จะวิ่งเข้ามาตะครุบจนเบย์ล้มคว่ำก่อนที่จะทันคว้าลูกบิดประตู มิหนำซ้ำยังจับอุ้มขึ้นพาดบ่าด้วย

“ไอ้เวร! ปล่อยกู!” เบย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บใจ   

ไม่ว่าเขาจะดิ้นขัดขืน ทุบตีเตะถองยังไงไอ้ฝรั่งก็ดูจะไม่กระทบกระเทือนเลยสักนิด ราวกับฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี จากนั้นเบย์ก็ถูกพาตัวออกจากห้อง ทิ้งให้ผู้คนอ้าปากค้างอย่างงุนงงต่อไป

เขาถูกทุ่มลงกับเบาะหลังรถ ตามด้วยถูกจับนอนคว่ำโดยคนข้างบนใช้มือใหญ่หนาปานมือเปรตกดหัวเขาไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างรวบสองมือเขากำไว้ด้วยมือเดียวในท่าไพล่หลัง เบย์ผวาเฮือกหัวใจแทบหยุดเต้น ภาพการทารุณกรรมทางเพศคืนนั้นหวนกลับมาหลอกหลอนอีกรอบ

แต่ไอ้ฝรั่งก็ไม่ได้ปลดเข็มขัด เนคไท หรืออะไรมามัดข้อมือเขา หากแต่เป็นวัตถุแข็งๆ เย็นๆ ที่มีเสียงดัง ‘คลิก’ แล้วก็ลุกออกไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เสียใจด้วยบี ยูว์ถูกจับกุมแล้ว”

“............”

กุญแจมือหนักมากจนเบย์รู้ว่าไม่ใช่ความฝัน




ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.28 ขังดึก (29/03/19)
«ตอบ #204 เมื่อ29-03-2019 17:34:35 »



28
ขังดึก




ทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมต้องเป็นกู!!!


เบย์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่เบาะหลังระหว่างที่ผู้พันขับรถ พูดอะไรไม่ออกเนื่องจากช็อกเกร็งไปทั่วร่าง มีเพียงเสียงตะโกนในใจที่ดังก้องซ้ำไปมาด้วยความสิ้นหวัง ทำไมเขาต้องถูกจับทั้งที่ตอนนี้วางมือจากการโจรกรรมมาทำงานสุจริต (เหรอ) แท้ๆ

ถ้ามันทำคดีลักพาตัวแสงเทียน ทำไมมันถึงไม่ไล่กวดตัวการใหญ่อย่างพี่อู๋? มาตามลิ่วล้ออย่างเขาทำไม หรือคิดว่าจับเขาแล้วจะสาวไปถึงตัวพี่อู๋ได้? เหอะ ไม่มีวันซะหรอก เอามีดมาจ่อคอหอยเขาก็ไม่มีวันขายความเชื่อใจของพี่ชายเด็ดขาด

หรือมันจะแค่หยั่งเชิงเพื่อดูความผิดปกติของเขา? จริงๆ แล้วมันอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวจริงเขาเป็นใคร เพราะตะกี้มันเรียกเขาว่า ‘บี’ ไม่ใช่บอม/ เบย์ บางทีตอนนี้มันอาจกำลังรอให้เขาหลุดปากสารภาพด้วยตัวเองล่ะมั้ง... แต่ฝันไปเถอะว่ะ

เบย์หัวใจกระตุกวูบเมื่อเห็นสถานีตำรวจอยู่ข้างหน้า ทว่าไอ้ฝรั่งเก๊ก็ไม่ได้ตบไฟเลี้ยวเข้าไปแต่อย่างใด กลับขับผ่านไปเฉยๆ ทำให้เขาโล่งใจไปครึ่งหนึ่ง

“เป็นไร ทำไม้เงียบ”

ผู้พันถามเสียงเข้มขรึม มองอีกฝ่ายจากกระจกมองหลังด้วยดวงตาร้อนระอุ ดูเหมือนจะโกรธเบย์มากกว่าที่เบย์โกรธเขาซะอีก

“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ” คนถูกจับกุมว่า

“ยังไม่สำนึกอีกรึไงว่าทำอะไรลงไป” น้ำเสียงประชดประชัน

“เรื่อง?” เบย์ตีหน้าซื่อ รอดูเชิง

“ก็ที่ยูว์ขายตัวไง!”

“......”

“รู้มั้ยไอโมโหมาก ยูว์อาร์มายบอยเฟรนด์นะ! ทำไมถึงทำอย่างน้าน? ถามจีงไม่อายบ้างเหรอ”

“.....”


เดี๋ยวๆ นี่ไม่ได้จับเพราะกูเป็นโจรหรอกเหรอ   


“กะ...กูจะทำไรก็ไม่เกี่ยวกับมึง อย่ามาอ้างว่าเป็นบอยฟงบอยเฟรนด์ ถ้าแค่นอนด้วยกันครั้งเดียวแล้วนับว่าเป็นแฟน กูก็มีผัวเป็นแสนคนแล้วล่ะงั้น” เบย์จัดการแถ หนุ่มฝรั่งได้ฟังแล้วก็ฉุนออกจมูก

“ฮึ! ยูว์โกหกได้แย่มาก เลือดของยูว์ที่เปื้อนเตียง That night บอกไอว่าไอเป็นผัวคนแรกของยูว์ แล้วเรื่องอะไร้ไอจะให้เมียไปนอนกับคนอื่น!”

“ไอ้เหี้ย!!!” เบย์เขินจนหัวหูร้อนฉ่า ยกเท้าถีบเบาะด้านหน้าตรงตำแหน่งคนขับแรงๆ

“ยูว์คิดว่าไอไม่รู้ไม่เห็นช่ายมั้ย หึ! Don’t underestimate my skill! ไอน่ะเก่งม้ากเรื่องตามหาคน เลิกคิดจะเปลี่ยนจ็อบหนีไอด้วยนะ แอนีเวย์ไอก็จะหายูว์จนเจอ”

เบย์บอกไม่ถูกว่าจะโกรธ เขิน หรืออะไรดี แต่ที่แน่ๆ คือโล่งอก

“แล้วทำไมต้องจับมาอย่างป่าเถื่อนด้วยวะ นี่คนนะไม่ใช่สัตว์ ทำรุนแรงเกินไปแล้ว” เบย์โวย

“ก็ยูว์ชอบหนี”

นาทีนี้เขาโคตรจะเข้าใจความรู้สึกของแสงเทียนเลย...

“แต่ใส่กุญแจมือนี่มันเกินเหตุไปมั้ย!”

“It’s just a toy.” มันหัวเราะ

คนบ้าที่ไหนมีของเล่นเป็นกุญแจมือ เบย์ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ก็ไม่ขุดคุ้ย เกรงว่าจะดูเหมือนผู้ร้ายร้อนตัว และจะเผลอไปสะกิดต่อมสงสัยของมันเอาได้ เลยเปลี่ยนเรื่อง

“เงินหนึ่งล้านอีก ไปเอามาจากไหน วันก่อนค่าเหล้ายังไม่มีจ่าย”

“ก็ไอรวย”

“เหรอ ทำงานอะไรล่ะถึงรวย” คำถามฟังดูคล้ายประชด แต่คือการหยั่งเชิงในที 

คนขับกระตุกยิ้ม “เซลส์แมน”

“เชื่อตาย” เบย์กลอกตา

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ยูว์ แต่รู้ไว้นะ ว่าไอทำไปเพราะอยากช้วยยูว์ ยูว์ควรขอบใจไอมากกว่า ไม่งั้นยูว์ต้อง sleep with คาง cock ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกว่าจะได้หนึ่งล้าน”

“คางคก ไม่ใช่คางค็อก”

“There’re cocks, too”

“คิดจะอ้างบุญคุณเหรอ เหอะ! ที่แท้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น มัดมือชกชัดๆ เนี่ยเหรอพลเมืองประเทศแห่งความเท่าเทียม เผด็จการสิไม่ว่า”

คำด่าแสบๆ จากหน้าใสๆ ทำให้ผู้พันเจ็บจี๊ดยิ่งกว่าถูกมีดบาด แต่เขาไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากเทน้ำมันราดกองไฟ เพียงแต่ขับไปเรื่อยๆ ปล่อยเบย์ด่าดิ้นทุรนทุรายให้เหนื่อย จะได้จัดการง่ายๆ

รถของอเมริกันแมนเลี้ยวเข้าโรงแรมหรูที่มีคำว่า Lord แล้วจอดตรงที่มีป้ายวีไอพี แสดงว่าความรวยของมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จากนั้นมันก็ลงจากรถมาเปิดประตูฝั่งเขา แล้วอุ้มขึ้นพาดบ่าออกไปหน้าตาเฉย เบย์อายแทบตายกลัวใครเห็น แต่เนื่องจากเวลานี้ดึกมาก แถมยามก็หลับสัปหงก เขาจึงโล่งอกไป เจอก็แต่รีเซปชั่นของโรงแรมที่ร้องว้ายตอนฝรั่งโย่งเดินแบกเขาเข้ามา ทว่าพวกเธอก็ไม่ถามไถ่ใดๆ คงเพราะเกรงใจแขก

ความจริงผู้พันมีบ้านและคอนโดที่กรุงเทพฯ แต่ไม่พักที่นั่น เพราะไม่อยากให้ใครรู้ตัวจริง โดยเฉพาะหนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้ เขาต้องการเวลาเพื่อแน่ใจในความสัมพันธ์ก่อน อีกอย่างหากเปิดเผยตอนนี้...การกระทำผิดพลาดที่ผ่านมาอาจทำให้อาชีพอันทรงเกีรยติสูงส่งของเขาแปดเปื้อนได้

ลิฟต์เลื่อนขึ้นสู่ชั้น A หรือก็คือชั้นสิบสาม ช่างเป็นเลขมงคลเสียจริง ร่างสูงเดินไปสู่ห้องริมสุด เปิดประตู พุ่งไปยังเตียง แล้วเหวี่ยงเบย์ลงเหมือนกระสอบข้าวสาร

“เชี่ยเอ๊ย!”

หนุ่มหน้าใสร้องลั่น ร่างกระเด้งกระเด็นกระดอนเหมือนอยู่บนแทรมโบลีน เขาคิดว่าฉากต่อไปไอ้ฝรั่งต้องจับเขากระชากเสื้อผ้าแล้วเล่นบทสวาทแบบจิตวิตถารเป็นแน่ จากนั้นก็จะเฆี่ยนด้วยแส้และหยดน้ำตาเทียนใส่ร่าง

“เลิกมองไอเหมือนผู้ร้ายได้แล้ว” มิสเตอร์แฮมิลทันหรี่ตามองคนบนเตียงอย่างเพลียๆ แต่ประโยคกำกวมนั่นยิ่งทำให้เบย์ระแวงหนักไปอีก


ที่ว่าเหมือนผู้ร้าย หมายถึงกูหรือมึงอ่ะ


“จะทำไร” เบย์ถาม พยายามประคองเสียงไม่ให้สั่น ไม่งั้นจะดูเป็นคนขี้แพ้

“ไม่ได้จะทำอะไร แต่จะคุยเฉ้ยเฉย”

“คุยเรื่อง?”

หนุ่มฝรั่งนั่งลงที่เก้าอี้หวายปลายเตียง กล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง “ยูว์ต้องเลิกทำงานที่บาร์นั่น”

“ทำไมต้องเลิก มึงเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”

“คิดว่าไอใช้เงินหนึ่งล้าน for one night stand?”

“แต่กูก็ไม่ได้ขอให้มึงจ่ายซักหน่อยนี่ สมัครใจเองไม่ใช่ แล้วจะมาทำเป็นทวงบุญคุณทำไม” พูดถึงตรงนี้ก็ชักมีน้ำโห “ถ้าจะทำให้มึงเลิกตื๊อกูล่ะ
ก็ กูไม่เอาก็ได้หนึ่งล้านอ่ะ พรุ่งนี้ไปเอาเงินมึงคืนซะ!”

“โนเวย์”

“ไอ้ขี้ขลาด!”

“แปลว่าอะไร้?”


นั่นดิ ภาษาอังกฤษกูก็โง่อีก ด่าเป็นแค่ฟัคๆ ชิทๆ รู้งี้ดูหนังฟังเพลงให้มากกว่านี้ก็ดี


“ไอ้... โอ๊ย! ให้ตายกูก็ไม่รับเงื่อนไขมึงหรอก ยอมนอนกับอึ่งอ่างคางคกยังดีกว่า!”

มิสเตอร์แฮมิลทันได้ยินอย่างนั้นก็ควันออกหู ผุดลุกขึ้นด้วยดวงตาแข็งกร้าว รังสีโหดแผ่รอบกาย ทว่าก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออย่างที่เบย์กลัว เขาล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงให้ดู มันคือลูกกุญแจ

“This is a shackle key. Say goodbye to it.” ว่าแล้วใช้มันชี้ใส่ตัวเบย์ แสดงว่าเป็นตัวที่ไขกุญแจมือนั่นเอง จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างและเปิดบานเลื่อนออก

“เฮ้ย เดี๋ยวววววววว” ผู้ถูกตรวนร้องลั่น วิ่งปรู๊ดเข้าไปขัดขวาง ผู้พันง้างแขนค้างกลางอากาศ ก้มมองด้วยสายตาสุดจะเย็นชา

“เปลี่ยนใจแล้วรึ?”

“มึงนี่แม่ง!” เบย์พ่นลมออกจมูกฉุนๆ “ไม่ลาออกได้ไหม ออกแล้วกูจะเอาอะไรกิน”

“ไอเลี้ยงยูว์ได้”

“ไม่เอา กูไม่อยากเป็นเด็กเสี่ย!” ปฏิเสธทันควัน

“งั้นม่ายต้องลาออก แต่ห้ามขายตัวอีก โอเคมั้ย”

“....”

“ที่ไอทำก็เพื่อยูว์นะ ยูว์ทำแบบนั้นไม่มีผลดีอะไร้เลย เกิดไปเจอคนเลว โดนทำร้ายขึ้นมาจะทำยังไง? อีกทั้งเสี่ยงโร้คร้ายๆ ยูว์อยากอายุสั้นเหรอ? อิมเมจก็เสียหาย คนอื่นรู้ก็มีแต่โดนนินทา เป็นตราติดตัวไปจนตาย ยูว์ไม่คิดบ้างเหรอ?”

“พอๆๆๆๆ นี่คนหรือพระวะ เทศน์เก่งชิบ” เบย์ทำตาขวางมองอย่างเคืองๆ แล้วก็ถอนหายใจ "เออก็ได้ ไม่ขาย”

“ดี... แม้ว่าจริงๆ ยูว์ก็ไม่เคยขายอยู่แล้ว” คนถือกุญแจยิ้มอย่างพอใจ เดินกลับไปที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ตกลงแล้วก็ปล่อยกูดิ” เบย์ท้วง

“Not yet. Tomorrow, maybe.”

“โอยยยยยย เมื่อยจะตายแล้วเนี่ย”

ผู้พันนึกสงสารเลยจับเบย์หันหน้าเข้าผนัง เอามือกดคอ ท่าเดียวกับจับผู้ร้าย จนเบย์ชักใจไม่ดี แล้วก็ไขกุญแจมือให้ แต่ไม่ได้ปล่อยหรอกนะ แค่เปลี่ยนเอามือมาไว้ข้างหน้าแทน

“ขอบคุณ!”

ทหารหนุ่มหัวเราะหึๆ แล้วลุกไปหยิบสมุดเล่มกับปากกาขึ้นมา เขียนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะฉีกแล้วยื่นให้เบย์

“อะไร” เขาขมวดคิ้วมองลายมือหวัดๆ อย่างงุนงง ทั้งอ่านไม่ออก แปลไม่ได้

“สนธิสัญญาระหว่างเรา ยูว์คงไม่คิดว่าไอจะให้เงินหนึ่งล้านง่ายๆ แค่ปากเปล่าหรอกนะ” เจ้าของกระดาษบอก “ลงนามซะ พร้อมประทับลายนิ้วมือ”


ไอ้เจ้าเล่ห์!!!! ในที่สุดก็หางงอกซักที คิดจะเอาลายนิ้วมือกูไปยืนยันในหมายจับสิท่า แผนตื้นๆ คิดเหรอว่ากูดูไม่ออก!


แม้จนตรอกแค่ไหนเบย์ก็ไม่คิดยอมแพ้

“ขอปรึกษาทนายก่อน” เบย์บอก ผู้พันถึงกับเลิกคิ้วพิศวง

นี่แน่ะ ให้มันรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กอมมือ...ทนายที่ว่าก็คืออเล็กซ์ จะให้มันแปลภาษาอังกฤษให้เฉยๆ ถ้าบอกตรงๆ ว่าอ่านไม่ออกก็ดูโง่น่ะสิ

“ตามใจ”

ผู้พันยื่นกระดาษให้ เบย์รับไป เดินไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะควักมือถือจากกระเป๋ากางเกงอย่างทุลักทุเล เอาออกมาถ่ายส่งให้อเล็กซ์ดู ผ่านไปห้านาทีเพื่อนรักก็ตอบกลับมา แปลรวมๆ ว่าตราบใดที่ยังมีชีวิต เบย์ต้องไม่ขายตัวอีก หากฝ่าฝืนจะโดนปล้ำคูณสิบเท่าของจำนวนครั้งที่ขาย

ไม่มีผลทางกฎหมายหรอก มันแค่จะหลอกเอาลายนิ้วมือมึงน่ะ ระวังด้วย’

เสริมท้ายมาแบบนี้ เบย์เลยขยำทิ้งได้อย่างสบายใจ

“เฮ้! ยูว์ทำอะไร” ผู้พันโวย

“สัญญาเอาเปรียบกันแบบนี้ จะให้ยอมรับได้ไง ฝันไปเหอะ”

เจ้าของห้องดูโกรธ แต่ก็ไม่ว่าอะไร บางทีอาจจงใจแกล้งเบย์เฉยๆ ตั้งแต่แรกก็ได้ เขาเปลี่ยนไปนอนที่โซฟาตัวยาว

“โอเค้ บี ฟรอมนาวออน ไอจะไปเฝ้ายูว์ตั้งแต่เข้างานยันเลิกงาน ถ้าเห็นยูว์ทำแบบวันนี้อีกล่ะก็ ไอจะลงโทษยูว์จริงๆ”

“.....”

“ดึกแล้ว นอนเถอะ กู้ดไนท์ สวิตช์ไฟอยู่ที่หัวเตียง”

“...จะไม่ทำอะไรกูจริงนะ”

“ไอเป็นเจนเทิลแมนมากพอน่า”

“ถุย”

“หรือยูว์อยากให้ทำ?”

“โนวววววววว์!”

ผู้พันหัวเราะหึๆ ก่อนจะหันหลังให้เบย์ ไม่รู้หลับจริงหรือเล่น แต่เบย์ก็ไม่ไว้ใจ อีกอย่างเขาชินกับการตื่นกลางคืน นอนกลางวันเป็นกิจวัตรนับแต่เป็นโจร ยังไงก็หลับไม่ลงอยู่ดี คงต้องเฝ้ายามให้ตัวเองยันหว่าง

ดวงตาใสเพิ่งมีโอกาสสอดส่องภายในห้อง ตรงมุมหนึ่งมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะกลับอเมริกา... ขอให้ไปก่อนเขากับเดอะแก๊งทำภารกิจสำเร็จทีเท๊อะ จะได้ไม่ต้องเจอกันอีกตอนเริ่มชีวิตใหม่

“ทำไมไม่หลับ”

คนบนโซฟาส่งเสียง คงเพราะเบย์ไม่ยอมปิดไฟ

“กูไม่ไว้ใจมึงอ่ะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ถึงไอจะทำ แล้วไง? ไม่ใช่ครั้งแรกนิ”

“หุบปาก!”

“งั้นดูหนังกันมั้ย ยาวๆ โต้รุ่งไปเล้ย ตระกูล Trilogy จบก็เช้าพอดี”

“เดอะฮอบบิท หลอดลิง?”

“Fifty Shades”

“XXX เหอะ!!”

ผู้พันก็เลยโดนด่าด้วยอาวุธของพระเอกไปเต็มๆ แต่ก็หัวเราะร่าอย่างไม่ถือสา แล้วก็เงียบ เบย์สังเกตจังหวะการหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ ช้าๆ ยาวๆ ก็รู้ว่าหลับจริง เลยหายใจได้ทั่วท้องซักที

จริงๆ เขาอยากหนีเลยด้วยซ้ำ แต่สภาพไม่เอื้ออำนวย ชาวบ้านจะคิดว่านักโทษแหกคุกแล้วเรื่องจะยุ่งกว่าเดิมเอาได้
ลูกกุญแจเหรอ? เหอะ อย่าหวัง ตะกี้ผู้พันเอาใส่ในกางเกงลิงแล้วเรียบร้อย ซึ่งเบย์ยอมถูกขังดีกว่าแตะต้องของๆ มัน ยี้!!

สุดท้ายเขาก็โต้รุ่งพร้อมกับซีรี่ส์ไตรโลจี

อย่าถามแล้วกันว่าเรื่องอะไร




///

เป็นพาร์ทที่วายป่วงมาก เหนื่อยแทนเบย์เลย 5555
ตอนหน้าพระนางมาแล้วค่ะ

ออฟไลน์ Blackmamba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0



29
คนขาย หมายเลขถัดไป



สิบโมงเช้า

เบย์มารับผมออกจากโรงพยาบาลแล้วพามาค้างที่ร้านของเขา เป็นตึกเดี่ยวสี่ชั้นที่ด้านล่างทำเป็นบาร์ ชั้นสองเป็นห้องพักชั่วคราว (กรณีลูกค้าเมากลับบ้านไม่ไหว) ชั้นสามเป็นที่เก็บของ ชั้นสี่เป็นห้องเปล่า ซึ่งเจ๊เจ้าของร้านให้ลูกจ้างอยู่ได้ฟรีๆ คิดแค่ค่าน้ำค่าไฟ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เบย์เลือกทำงานที่นี่ล่ะมั้ง คือมันประหยัดดี

เบย์แนะนำผมกับเจ๊ บอกว่าเป็นเพื่อน ชื่อเทป (ตั้งใหม่ไม่ถามกันสักคำ) และยังกำชับให้ผมเรียกเขาว่า ‘บี’ ด้วย จากนั้นก็พาขึ้นห้อง เป็นห้องโล่งๆ มีแต่ตู้กับเตียง สมเป็นที่ซุกหัวนอนอย่างเดียวจริงๆ

“อยากถามตั้งแต่อยู่โรง’บาลแล้ว นายไปทำอะไรมา หน้าตาเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน” ผมถามขณะนั่งลงที่เตียง ก่อนหน้านี้ถามไม่ได้เพราะมีแต่คนนอก หมอ พยาบาล คนขับแท็กซี่

เบย์ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลา ท่าทางเหมือนจะตาย “ถูกแล้ว ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน นี่ยังไม่เคยเล่าให้ฟังใช่ป่ะ ว่ามีคนบ้าตามเราอยู่”

“หึ” ผมส่ายหัว

“มันเคยเจอเราสมัยยังเป็นโจรผมยาวรุงรังน่ะ แต่พอเราปลอมตัวใหม่ มันก็ตามหาจนเจอ เปลี่ยนมาสามที่แล้วก็ยังเจออีก เราเลยสงสัยว่ามันอาจเป็นตำรวจ ไม่ก็นักสืบ ถึงกัดเราไม่ปล่อย”

“แต่นายก็รอดมาได้ทุกที”

“อืม... คงเพราะมันยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับเราล่ะมั้ง อย่างเมื่อคืนมันก็ฉุดเราไป แถมใส่กุญแจมือ เรานึกว่ามันจะพาส่งโรงพักซะอีก แต่ก็ไม่ เหมือนขู่ให้กลัวเฉยๆ”

“เขาทำ...กับนายป้ะ” ผมถามอย่างเกรงใจ

เบย์หน้าแดงทันที “ไม่ๆๆ แค่ขังเฉยๆ”

ผมไม่เชื่อหรอก ต้องมีซัมติงระหว่างเขาสองคนแน่ๆ แต่ผมรักเบย์ เกินกว่าจะซักไซ้ให้เขาลำบากใจ

“จริงสิ เรายังไม่ได้พูดเรื่องนั้นเลย” เบย์ลุกขึ้นนั่ง มองผมด้วยใบหน้าตึงเครียด “พี่อู๋บอกว่าศัตรูของเขาหมายตานายใช่มั้ย ไอ้มาเฟียหน้าตี๋นั่นน่ะ เฮียกลัวมันจะเจอนาย ยิ่งออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ยิ่งไม่ปลอดภัย”

“แล้วไง จะให้เรากลับไปอยู่กับมันเหรอ?”

“เปล่า...เราบอกเฮียว่าจะดูแลนายไม่ให้คลาดสายตา นายเองก็ต้องระวังตัวมากๆ อย่าลงไปข้างล่างตอนร้านเปิด เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ลูกค้าต่างชาติก็เยอะ ใครจะรู้ว่าไอ้มาเฟียนั่นอาจบังเอิญมาก็ได้”

“นายจะให้เราอยู่ในห้องเฉยๆ แบบนี้ไปถึงสิ้นเดือนงั้นเหรอ อึดอัดตายพอดี” ผมถอนหายใจ

“ก็คงต้องเป็นงั้น ช่วยอดทนหน่อยนะ” เบย์บีบมือผม ทำหน้าอ้อนๆ เหมือนลูกหมา เจอแบบนี้ใครบ้างจะไม่ใจอ่อน

“เฮ้อ...เอาก็เอา แต่ขออะไรอย่างได้มั้ย”

“หลายๆ อย่างก็ได้ พี่อู๋ฝากเงินมาให้ดูแลนายตั้งเยอะ อยากได้อะไรก็บอกเราเลย”

สันดานโจรจริงๆ เอะอะก็โยนเงินให้ แต่ไม่เคยมาแคร์

“ช่วยไปซื้อหนังสือเรียนให้ที เราอยากตามเพื่อนทันตอนกลับไป”

ปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงสอบไฟนอลแล้ว ผมไม่อยากพลาดเพียงเพราะขาดเรียนไปหนึ่งเดือน ถึงแม้อาจารย์น่าจะเข้าใจก็เหอะ แต่ผมไม่ต้องการความสงสารเห็นใจจากใครทั้งนั้น มันจะยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมอยากกลับไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ได้สิ เขียนชื่อหนังสือมาเลย”

เขาเป็นเพื่อนที่โคตรน่ารัก

ผมพิมพ์ชื่อตำราเรียนทุกวิชาใส่โน้ตในมือถือของเบย์ นับเป็นครั้งแรกในรังโจรที่ได้สัมผัสโทรศัพท์ ใจจริงผมอยากโทรหาคนทางบ้าน ป่านนี้แม่คงใจแหลกสลายเพราะข่าวของผมแน่ๆ แต่ผมก็ต้องข่มใจ อีกแค่สองอาทิตย์เอง คิดซะว่ามาเข้าฝ่ายฝึกความอดทน...

พิมพ์เสร็จก็ส่งให้เบย์ เขารับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“นายนี่หนักแน่นจริงๆ”

“เรารับปากกับนายแล้วไง”

เบย์น้ำตารื้นๆ แล้วก็สวมกอดผม กอดแน่นมาก

“นายเป็นคนดี นายไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้”

“....”

“เราสัญญานะแสงเทียน เราจะทำทุกอย่างให้นายรู้สึกดีขึ้น บรรเทาความบัดซบที่นายเจอ แม้มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ได้โปรดบอกเรานะ”

“ขอบคุณมากเบย์” เขาทำผมน้ำตาซึม ในชีวิตจริงไม่เคยมีเพื่อนคนไหนพูดกับผมแบบนี้เลย

“เรื่องพี่อู๋ก็เหมือนกัน เรารู้เต็มอกว่าเฮียเค้ารักนาย นายเองก็รู้ใช่มั้ย? เราจะพาเฮียมาขอโทษนายให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะลากคอมา”

ผมเศร้านะ แต่ก็เผลอหัวเราะจนได้

เราคลายกอดกัน แล้วเบย์ก็ไป ก่อนไปผมฝากเขาซื้อยาย้อมผมมาให้ด้วย เพราะสีผมเก่าหมองน่าเกลียดไปแล้ว

น่าเกลียดเหมือนกับตัวผมตอนนี้...




สามทุ่ม

อีกด้านหนึ่ง อติศร แซ่อู๋ยืนกอดอกพิงกำแพงบ้านของเพื่อนสนิทด้วยอาการกระวนกระวาย เขาโทรขอนัดเจอตั้งแต่เมื่อวาน ทว่าเพื่อนรักบอกปัดเนื่องจากติดงาน กว่าจะว่างให้ก็ปาเอาป่านนี้ โจรรู้หรอกว่างานนักสืบไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น แต่ทิวาต้องการถ่วงเวลามากกว่า

หลังจากยืนตบยุงรอเกือบสิบนาที เจ้าของบ้านก็ส่งข้อความบอกว่าให้เข้ามาได้ เขาเลยผลักประตูเล็กที่ปลดล็อกจากรีโมทในบ้านแล้วผลุบเข้ามาอย่างว่องไว เดินดุ่มตรงไปที่ห้องครัวท้ายบ้าน...ทางเข้าประจำ

ทิวานั่งรอที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าอิดโรย แต่สภาพทรุดโทรม ใบหน้าชอกช้ำ ตาบวมแดงก่ำ กับฝ่ามือพันแผลของผู้มาเยือนทำให้ทิวาตกใจกว่า

“มึงเพิ่งตายมารึไงเนี่ย”

“อือ”

“โทษทีเพิ่งได้กลับ มัวแต่ไปไล่ดูหลักฐานเท็จของพวกชาวบ้านที่อ้างว่าเห็นมึงกับพรรคพวก แม่งแจ้งหวังจะเอาเงินรางวัลอย่างเดียวจริงๆ โคตรน่าเบื่อเลย”

“...”

“ไหนจะผอ. ทำพวกเรา...หมายถึงพวกตำรวจหัวปั่นหัวหมุนเพราะจำเฉดสีคนส่งจดหมายของอเล็กซ์ไม่ได้อีก กูแม่งหงุดหงิดชิบ หมวดบอกให้ไปไล่หาไลน์แมน กูก็งมไปดิ แล้วยัยป้านั่นก็มาบอกทีหลังว่าน่าจะเป็นสีเขียวเข้ม กูเองก็เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะเป็นเคฟ ถามหน่อยเขียวไลน์แมนกับเขียวพิซซ่ามันเหมือนกันตรงไหนวะ? แต่กูไม่โยงเคฟมาเอี่ยวหรอกนะ วางใจได้”

ขณะที่อีกฝ่ายบ่นให้ฟังยืดยาว โจรอู๋กลับไม่แสดงความเห็น รวมถึงไม่ยอมนั่ง เขารอโอกาสเมื่อเจ้าของบ้านพูดจบก็เอ่ยขึ้น

“วา กูขอพูดตรงๆ เลยนะ”

“...ฮึ?”

“กูอยากยกเลิกเงื่อนไข Friends With Benefits ระหว่างเรา”

พูดเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม อีกฝ่ายได้ฟังแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ทำไม...”

“กูไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว จับปลาสองมือ มันถึงเวลาแล้วที่กูต้องเลือก กูอยากพอแค่นี้ ยิ่งทำต่อไปก็ไม่ดีกับใครเลย”

“ใครที่ว่า คือแสงเทียนคนเดียวมากกว่ามั้ง”

โจรถอนหายใจ “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”

“มาไกลขนาดนี้แล้ว มึงคิดว่ากูจะกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงได้เหรอ”

โจรอู๋ก้มหน้า “กูขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดกูเอง”

“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาโทษว่าใครถูกผิดหรอก” นักสืบกลั้นน้ำตาไว้สุดฤทธิ์ ลุกขึ้นยืนหันหลังให้แล้วเสมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง

“กูซาบซึ้งในทุกสิ่งที่มึงทำเพื่อกูนะ แต่มันถึงเวลาแล้วล่ะที่กูจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง”

โจรล้วงของบางอย่างจากกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ

มันคือกุญแจคอนโด

“มึงจะหยุดปกปิดคดีให้กูก็ได้ถ้ามึงต้องการ... ไม่เป็นไร... กูขอเลือกเป็นแค่โจรธรรมดา ไม่มีรถไม่มีบ้าน กูจะวิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุน อดมื้อกินมื้อ นอนในกองขยะ ดีกว่าอยู่สบายแต่ลำบากใจ”

นักสืบมองหน้าเพื่อนด้วยความอึ้งสุดชีวิต ตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นริก ก่อนจะตวาด น้ำตาไหลพรากอย่างสุดกลั้น

“มึงมันโคตรไม่รักดี เลี้ยงไม่เชื่อง... กูทำให้มึงขนาดไหน ทำไมมึงทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้!”

“กูขอโทษ..”

“ทั้งที่มึงเป็นคนเสนอเงื่อนไขเองแท้ๆ แต่กลับเป็นคนทำลายมัน! มึงก็รู้ว่ากูรักมึง!!!”

ทิวาเข้าไปชกหน้าอกร่างสูงทั้งน้ำตา โจรอู๋ไม่โต้ตอบ ไม่ร้องโอดโอย แม้ว่าเขาจะเจ็บมากก็ตาม เพราะเขารู้ว่าทิวาเจ็บกว่าร้อยเท่า

“มึงเคยเห็นบ้างไหมว่ากูทำอะไรเพื่อมึงบ้าง? กูยอมทิ้งครอบครัวที่จีนแล้วตามมาเรียนม.ปลายที่ไทยเพื่อจะได้อยู่กับมึง! ถึงจะเรียนคนละที่แต่กูก็ยังช่วยมึงจนเรียนจบมาได้ ไม่กลายเป็นเด็กแว้นขี้ยาเหมือนเพื่อนของมึงที่ป่านนี้ตายห่ากันไปหมดแล้ว!”

“...”

“ตอนมึงโดนพ่อจับได้ว่ามีเมียเป็นผู้ชาย เลยตัดหางปล่อยวัด ญาติคนไหนก็รังเกียจ ใครให้ที่ซุกหัวนอน ให้ข้าวมึงกิน ให้เงินมึงใช้จนเหลือรอดเป็นผู้เป็นคนมาได้ กูถามที!”

“....”

“ตอนมึงเลิกกับเมียเพราะมึงไม่มีเงินให้มันถลุง ใครที่อยู่ด้วยตอนมึงเสียใจจะเป็นจะตาย คอยทำทุกอย่างเพื่อให้มึงรู้สึกดีขึ้น!”

“....”

“ตอนพ่อมึงตาย แม่มึงถูกจับเรียกค่าไถ่ ใครเป็นคนไปเจรจากับเฉินเชว่ให้ปล่อยตัวแม่มึง...กูไม่ใช่เหรอ?”

“.....”

“แล้วที่ต้องมาเป็นนักสืบทุกวันนี้ก็เพื่อช่วยกลบเกลื่อนบิดเบือนคดีให้มึงทั้งนั้น แหกตาดูว่ากูลงทุนให้มึงแค่ไหน ทั้งกาย ใจ สมอง เงินทอง จนกูแทบไม่มีเวลาแคร์ตัวเองด้วยซ้ำ”

“.......”

“กูให้มึงได้ทุกอย่าง ถ้าขายวิญญาณได้เพื่อให้มึงไม่ต้องตาย กูก็ทำไปแล้ว แต่ดูสิ่งที่มึงตอบแทนกูสิ มีอะไรบ้าง?”[/i]

“.....”

น้ำตาของคนฟังปริ่มขอบ เขาเหลือบมองเพดานเพื่อต้านไม่ให้มันไหลออกมา

“มึงคือความรักเดียวในชีวิตกู ไม่มีมึงกูก็ไม่มีเหี้ยอะไรแล้ว แต่วันนี้มึงกลับจะทิ้งกู แค่เพราะมึงรักคนอื่น! คนที่มาทีหลังกูด้วยซ้ำ!” 

น้ำเสียงของทิวาสั่นเครือเหมือนแผ่นดินจะทรุด โจรอู๋ก้มหน้าต่ำลงไปอีกเพราะไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของฝ่ายตรงข้าม มันทำให้เขาปวดระบมไปทั้งใจ และเกรงว่าจะเผลอใจอ่อนได้

“กูขอโทษจริงๆ”

“ไอ้เหี้ย...มึงมันเหี้ย....”

นักสืบซบหน้ากับบ่ากว้างของโจร ร้องไห้ตัวสั่น สองมือกำเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดหายไป

“อย่าคิดว่ากูหักหลังเลยวา กูพยายามแล้ว...พยายามมาตลอดที่จะรักมึงแบบนั้น แต่กูก็ทำไม่ได้ กูรักมึงแบบเพื่อนตั้งแต่แรก และก็เป็นแบบนั้นมาเสมอ กูฝืนไม่ไหวจริงๆ”

“....ฮึก”

“รักแบบที่ต้องพยายามน่ะ มันไม่ใช่รักหรอกนะ”

“.....”

พูดจบก็ดันร่างอีกฝ่ายออกห่างตัวช้าๆ 

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา เงินที่มึงให้ กูจะหามาคืนทุกบาททุกสตางค์ ไม่ให้เราติดค้างกัน... ส่วนความผิดที่ทำกับมึง กูขอรับไว้ทั้งหมด ให้เวรกรรมลงโทษกูเอง แต่ขอร้องให้มันจบเท่านี้เถอะ”

“มี่...”

โจรหนุ่มผละจากอีกคน ก้าวขายาวๆ เดินหายไปจากที่ตรงนั้นอย่างเร็วไวเพียงชั่วพริบตา พอประตูปิดลง นักสืบก็ทรุดตัวอย่างอ่อนแรงลงที่พื้นร้องไห้อย่างหมดสภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อคนที่เขาคิดว่าสำคัญ กลับถูกทำลายด้วยคำพูดไม่กี่คำ เหมือนความพยายามที่ผ่านมาตลอดหลายปีเป็นสิ่งไร้ค่า เขาเจ็บจนหาคำบรรยายไม่ได้ และรู้ว่าบาดแผลนี้จะไม่มีวันหายไปชั่วชีวิต

ความพยายามไม่เท่ากับความรัก

ทิวาเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง





......

สี่ทุ่ม

เบย์ลุกจากเตียง หลังจากนอนยิงยาวตั้งแต่สี่โมงเย็น (ผมเพิ่งรู้กิจวัตรเขาเป็นแบบนี้) มนุษย์กลางคืนของแท้ทีเดียว เจ้าตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสไตล์จัดจ้านไอดอลจ๋าเอามากๆ ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงกรี๊ด แต่ในสายตาผู้ชาย เขาดูน่ารักเหมือนลูกหมาเลยอ่ะ แล้วก็สงสัยว่าไอ้โรคจิตที่เบย์เล่าให้ฟัง ถ้ามันเป็นตำรวจจริง มันจะเก่งเกินไปไหม คือโจรเบย์กับน้องบีไม่มีอะไรเป็นจุดร่วมเดียวกันสักอย่างเลยนะ เหมือนขยะเปียกกับของแบรนด์เนม ผมว่าไอ้คนนั้นคงจะหลงเสน่ห์เบย์เฉยๆ ซะมากกว่า

วันนี้เกือบทั้งวันผมอ่านตำราเรียน กราบขอบคุณเบย์ที่อุตส่าห์หามาจนครบ บางเล่มไม่มีขายก็หน้าด้าน (เจ้าตัวใช้คำนี้) เข้าไปยืมคนในคณะซีร็อกซ์เป็นเล่มมาให้ผมเลยแน่ะ ต้องใจกล้าเบอร์ไหนอ่ะ โคตรรรรรน่ารัก ผมเลยจุ๊บเหม่งเขาไปสามทีเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรจะให้

อ่านจนคิดว่าน่าจะไล่ทันเนื้อหาปัจจุบันแล้วก็หยุดพัก เบย์ยืมโน้ตบุ้คของเจ๊เจ้าของร้านมาให้ ฝันสลายตรงที่ไม่มีเน็ต แต่ดีหน่อยที่เจ๊มีแผ่นหนังเป็นคลังแสง ผมจะได้มีอะไรทำฆ่าเวลา คาดว่าจบเดือนนี้ผมอาจเปิดเพจรีวิวหนังได้เลยล่ะ

ที่ต้องหาอะไรทำไม่ใช่เพราะเบื่อหรอกนะครับ แต่ผมไม่อยากอยู่นิ่งๆ แล้วปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านน่ะ... คนเราเจ็บได้ ร้องไห้ได้ แต่อย่าให้มันฉุดรั้งชีวิต ให้ตายยังไงเราก็ต้องไปต่อ โชคดีที่ผมผ่านประสบการณ์อกหักมาหลายครั้ง รอบล่าสุดที่โดนนายแบบนอกใจก็เจ็บน้อยกว่านี้ซะที่ไหน  ผมว่าตัวเองก็พอมีภูมิต้านทานระดับนึง

ที่จริงผมเสียใจนะ เสียใจมาก แต่ก็ไม่เสียดายหากมันจะจบลง

กลับกัน...ผมดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งนึงมันเคยมี เพราะตามหลักแล้วมันไม่ใช่ความรักที่ควรเกิดขึ้นเลย มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรก แล้วก็ผิดต่อมาอีกหลายทอดจนกลายเป็นความรัก...แบบผิดๆ

แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมอายุแค่ยี่สิบสองเอง ชีวิตยังอีกยาวไกล ต้องเจอคนอีกมาก คงมีใคร...ที่ไหนสักแห่ง...ที่เป็นของผมจริงๆ
ฮ่า... ฟังดูเท่ใช่มั้ย แต่เอาจริงผมก็ยังแอบหวังให้มันมาขอคืนดีอยู่นะ เบย์บอกว่ามันกำลังหาทางไปคุยกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนั้นอยู่ เลยยังมาหาผมไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าไปเพื่อเคลียร์ข้อตกลงหรือง้อเขากันแน่

ผมให้เวลามันแค่สี่สิบแปดชั่วโมง...นับจากตอนที่เราแยกกัน

ตีสามถ้ามันยังไม่มา

ผมจะเป็นฝ่ายตัดใจจากมันเอง




“เด็กใหม่เหรอ ดื่มอะไรไหม พี่เลี้ยง”

ผมลงจากห้องมาร้านด้านล่างตอนห้าทุ่มกว่าๆ เพราะอยากรู้ว่าบาร์โฮสต์หน้าตาเป็นยังไง เคยได้ยินแต่ในหนังในนิยายของญี่ปุ่น อีกอย่างเบย์ก็ไม่อยู่ ตะกี้ผมมองจากระเบียงห้องเห็นเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ออกไปกับผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง รูปร่างเขาเหมือนทหารมากกว่าตำรวจ  สเปกเบย์เป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย

ด้วยเหตุนี้ผมเลยกล้าลงมาสำรวจข้างล่าง เจอเจ๊ นางชวนให้มาทำงานซะเลยเพราะกลัวผมเบื่อ แถมมีเงินใช้ด้วย แต่ผมปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากมันไม่เหมาะกับผม ขอเดินเล่นอย่างเดียวพอ

“ไม่ใช่โฮสต์ครับ ผมเป็นเพื่อนเบ...บี มาค้างที่นี่ชั่วคราว”

ผมตอบบาร์เทนเดอร์ นั่งตรงนี้เพราะไม่อยากเดินเพ่นพ่าน เดี๋ยวจะสะดุดตาใครเข้า อ้อ ยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าผมย้อมผมแล้วน่ะ ที่เบย์ซื้อมาให้เมื่อเช้านั่นแหละ นอกจากเหตุผลเรื่องสีผมเก่าไม่สวยก็คือไม่อยากให้ใครจำได้ว่าผมเป็นคนในข่าว เดี๋ยวจะแตกตื่นกันหมด... แต่ก็ไม่น่ามีใครจำได้ เพราะรูปในข่าวคือรูปโปรไฟล์เฟซบุ้คที่นานหลายเดือนมาแล้ว จากหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลสว่างตัดหน้าม้า จนตอนนี้ย้อมดำแถมยาวจนแสกกลางได้แล้ว

ตลกชะมัด... ตอนผมหนีไม่ได้ก็หาทางหนีแทบตาย แต่ตอนนี้แค่เดินออกร้านไปง่ายๆ ผมกลับไม่มีใจจะทำ

อย่างน้อยก็รอจนตีสามแล้วกัน

“ผมดื่มไม่เก่ง มีอะไรเบาๆ ไหมครับ” ถามบาร์เทนเดอร์

“ไวน์มั้ยล่ะ”

“ก็ดีครับ”

“ดูเศร้าๆ นะเรา เอาสูตรที่ทำให้กระปี้กระเปร่าสดชื่นซู่ซ่าดีมั้ย”

“มันมีด้วยเหรอครับไวน์แบบนั้น ไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังนะ”

“ม่ายๆ สูตรนี้พี่คิดค้นเอง จะบอกว่าเมนูขายดี ลูกค้าติดตรึม” ว่าแล้วก็ยักคิ้วขยิบตาให้ ขายซะขนาดนี้ผมก็ขอลองหน่อยละกัน

มีลูกค้าท่าทางเสี่ยๆ คนหนึ่งมานั่งข้างผม สั่งด้วยเสียงอันดังว่า ‘ไอ้เคียว ไวไว!’ พี่บาร์เทนเดอร์ก็ร้องคร้าบ แล้วยื่นแก้วที่ควรจะเป็นของผมให้เสี่ย ก่อนจะกระซิบบอกผม

“โทษทีนะน้อง คนนี้ลูกค้าวีไอพี แกเป็นพวกใจร้อนน่ะ”

ผมไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเอาจริงหัวใจตอนนี้อึนเกินกว่าจะรู้สึกอะไรด้วยแหละ

คุณเคียวทำแก้วใหม่ให้ผม เขาบอกว่าเจ้าเครื่องดื่มนี่ชื่อไวไว ที่เสี่ยเมื่อกี้เรียกคือสั่งเมนู ไม่ได้เร่ง เออแปลกดี เครื่องดื่มอะไรชื่อยังกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คงเพราะมันใช้เวลาทำแป๊บเดียวมั้ง

ผมดื่มไปหนึ่งอึก รู้สึกแสบคอเพราะความหวาน แต่รสชาติดีมาก เลยดื่มรวดเดียวหมด

“อร่อยครับ ขออีกแก้ว”

“นั่นไง เชื่อยัง” เจ้าของสูตรยิ้มเริงร่า แล้วชงให้ผมอีกแก้ว

จริงๆ ผมเป็นพวกคออ่อน มีปัญญาดื่มได้แค่ไวน์นี่แหละ อย่างอื่นที่เข้มกว่านี้ไม่ไหว ตายอย่างเดียว กะอีแค่โซจูรสพีชแบ๊วๆ ยังทำผมพับพาบมาแล้วเลย... คิดดู

ดื่มไปสองแก้วแล้วก็รู้สึกร้อนวูบวาบ ตัวเบาเหมือนเท้าจะลอย แต่ที่น่าแปลกคือมีเหงื่อออกฝ่ามือ หัวใจเต้นแรงผิดปกติ แถมไอ้หนูข้างล่างก็แข็งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บ้าปะเนี่ย!

เสี่ยอ้วนที่นั่งข้างๆ ดื่มหมดไปสามแก้วก็ควักธนบัตรพับใส่แก้วให้บาร์เทนเดอร์ ท่าทางดีดแรงยิ่งกว่าฟาดกระทิงแดงไปสิบขวด

“มาแล้วเว้ย ขึ้นแล้วเว้ย! ของมึงนี่เด็ดจริงไอ้เคียว!”

“ขอให้สนุกครับเสี่ย”

พอเสี่ยสะบัดแจ็คเก็ตดิออร์จากไป ผมก็ถามคนทำ

“คุณครับ ไวไวนี่คืออะไรกันแน่ ผมว่าดื่มแล้วมันร้อนๆ”

บาร์เทนเดอร์หัวเราะคิก แววตาหรี่ลงเหมือนตัวการ์ตูนเจ้าเล่ห์

“ไอ้ไวไว มันก็คือไวน์ผสมไวอากร้าไงล่ะครับน้อง”

“เชี่ย!!!”

“ใส่นิดเดียวเอง พอให้กระชุ่มกระชวย คิกๆ”

ชุ่มชวยเหี้ยไรล่ะ ชุ่ม Xวย สิไม่ว่า!!!

ผมจ่ายค่าเครื่องดื่ม (เบย์ให้เงินไว้) แล้วลุกจากโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่านิดหน่อยของไอ้ญี่ปุ่นเวรตะไลนั่นคือกี่เม็ด เลือดในตัวผมถึงได้สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งอย่างกับฝนฟ้าคะนอง ท่อนล่างก็แข็งเป็นสาก อึดอัดทรมานจนรู้สึกจะระเบิด... ให้ตาย ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย!

ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำผมเดินเซ บวกกับแสงไฟวิบวับในร้านก็ยิ่งทำให้เมาไปใหญ่ เดินงมทางจนเจอป้าย Toilet ก็รีบพุ่งเข้าไป แต่รีบมากจนสะดุดตีนใครเข้า

“เห้ย!”

“โทษครับๆ”

ผมยกมือไหว้ข้างหนึ่ง (อีกข้างกุมเป้า กลัวมันเด้งเตะหน้าชาวบ้าน) พบว่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นอายุพอๆ กัน ทำผมสกินเฮด ระเบิดหู สักลาย ใส่เสื้อกล้ามแบบแหวกข้างยาวๆ โชว์หัวนม โคตรแว้น

แต่แทนที่จะโดนหาเรื่อง มันกลับร้อง

“เชี่ย...น่ารัก”

“ขอทางด้วยครับ”

ผมเดินเลี่ยง แต่ไอ้หนุ่มแว้นกลับขวางหน้าแล้วผลักผมติดผนัง ความจริงขนาดตัวเราไม่ต่างกันมาก ทว่าสภาพผมตอนนี้คือมึนเมา แถมอ่อนระทวยโรยแรงเหมือนขี้ผึ้งโดนไฟ พร้อมจะหลอมละลายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นจึงไม่มีแรงปัดป้องเมื่อถูกมันประกบร่าง ตามด้วยเป่าใบหู จูบต้นคอ  ก่อนจะลูบไล้เอวจนผมขนลุกซู่สยิวเสียวซ่าน

“หยุด...หยุดนะ” ผมร้องห้าม แต่เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งได้ใจ

มันยิ้ม ผมเลยเห็นว่ามันดัดฟัน เออก็น่ารักดี...

“ไม่เอาน่า ชอบไม่ใช่เหรอ”

“ไม่...” ผมผลักหน้าอกมัน ทำหน้าจริงจัง “จะทำก็ขึ้นไปข้างบน”

ตรงนี้คนเยอะ เดี๋ยวใครมาเห็นพอดี






////

ไล่ทันปัจจุบันแล้วววว
อู๋ล่ะจะมาทันมั้ย 555

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ไล่อ่านทันแล้ว~ :katai2-1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มายาว จุใจมากๆ
 :m5: :m1:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4:สงสารทิวาหาคู่ให้ด้วยเถอะ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อ่านจุใจ สงสารทิวา สงสารแสงเทียน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด