พิมพ์หน้านี้ - THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Blackmamba ที่ 18-09-2018 19:28:32

หัวข้อ: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 18-09-2018 19:28:32
*******************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*******************************




THIEF MAN #แฟนโจร
แบล็กแมมบ้า เขียน

(https://78.media.tumblr.com/c5853c69bad7288c79209c6a61d56287/tumblr_pfd3i8PBW71rf5soio1_1280.jpg)


ใครจะรู้ว่าแค่เปิดประตูห้องนอนทิ้งไว้

จะเป็นการอัญเชิญเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายที่ชื่อว่า 'โจรอู๋' มาสู่ชีวิตผม

ทีแรกมันขู่จะเอาผมไปขายให่เสี่ยบ้ากาม

แต่ไหงไปๆ มา...

มันกลับจับผมทำเมียแทนซะงั้น!!


.
.
.

จริงๆ เคยลงเว็บอื่นมาก่อน ชื่อเรื่อง 'เมียโจร' แต่โดนลบไป แง้งงงง

เลยเขียนใหม่แล้วลองมาลงที่นี่ดู ยังไงก็ขอฝากโจรกากๆ คนนี้ไว้ด้วยนะคะ 5555 :))


contact me: twitter @sunnblaze (https://twitter.com/SunnBlaze)

[ B L A C K M A M B A ]



# # # #  สารบัญ  # # # #

INTRO (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3889851#msg3889851)
1.ในรังโจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3889864#msg3889864)
2.ผัวกูเป็นโจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3890730#msg3890730)
3. WON'T HURT YOU (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3891882#msg3891882)
4.โจรมันชั่ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3892330#msg3892330)
5.เริ่มต้นการสืบสวน! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3892925#msg3892925)
6.ไปเดตกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3895199#msg3895199)
7.คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3898900#msg3898900)
8.คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3901384#msg3901384)
9.ลาก่อนเมียโจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3903793#msg3903793)
10.พาไปขาย!!! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3912942#msg3912942)
11.โพลิซแมน & เดลิเวอรี่บอย (1/2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3915140#msg3915140)
11.โพลิซแมน & เดลิเวอรี่บอย (2/2) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3915145#msg3915145)
12.ผัวโจร NEW VERSION (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3917710#msg3917710)
13.รักๆ เหล้าๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3922375#msg3922375)
14.ภารกิจสองผัวเมีย [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3922732#msg3922732)
14.ภารกิจสองผัวเมีย [2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3922736#msg3922736)
15.วิธีง้อเมีย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3926070#msg3926070)
16. - สืบ -  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3928156#msg3928156)
17. - เสาะ -  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3930650#msg3930650)
18. - เจาะ -  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3933065#msg3933065)
19. - เค้น -  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3938199#msg3938199)
20. เป็นแฟนกันหม้าย? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3938549#msg3938549)
21. คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3940597#msg3940597)
22. หมา หมา หมา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3943225#msg3943225)
23. ทั้งชีวิต... [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3945485#msg3945485)
23. ทั้งชีวิต...[2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3945486#msg3945486)
24. Friend With Benefits (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3947872#msg3947872)
25. แตก/หัก [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3950618#msg3950618)
25.แตก/หัก
[2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3950620#msg3950620)
26. I Hurt You Hurt [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3959904#msg3959904)
26. I Hurt You Hurt [2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3959909#msg3959909)
27. ตื๊อเท่านั้นที่รกโลก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3959912#msg3959912)
28. ขังดึก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3959914#msg3959914)
29. คนขาย หมายเลขถัดไป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3959916#msg3959916)
30. คืนดีดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3962221#msg3962221)
31. 'กูรักมึง' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3964567#msg3964567)
32. ปิดฉากความรัก part1 [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3970313#msg3970313)
32.ปิดฉากความรัก part1 [2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3970322#msg3970322)
33.ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3972931#msg3972931)
34.ปิดบัญชีแค้น [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3975230#msg3975230)
34.ปิดบัญชีแค้น [2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3975233#msg3975233)
35.ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) [1/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3976954#msg3976954)
35.ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) [2/2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3976955#msg3976955)
36.ทางรอด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3979084#msg3979084)
37.Bay is Bae (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3980877#msg3980877)
38.ก่อนม่านจะปิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3984858#msg3984858)
39.เทวดา & มาเฟีย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3984863#msg3984863)
40. เมียโจร forever [END] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3986889#msg3986889)
SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน part I (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3995636#msg3995636)
SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน part II (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3995638#msg3995638)
SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน part III (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68419.msg3995641#msg3995641)

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 18-09-2018 21:36:07
สงสารนางงงง  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-09-2018 21:05:45
คู่นี้จะรักกันยังไงเนี่ย5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 20-09-2018 14:36:21
ทำไมเขียนบรรยายได้สนุกจัง เรื่องนี้มาแนวฮาใช่มั้ยคะ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 20-09-2018 15:21:32
คนเขียนคะ อย่าลืมใส่กฎเล้าด้วยเด้ออ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 20-09-2018 19:16:34
เดี๋ยวแก้ไขใส่กฏเล้าให้นะคะ อยู่นอกบ้านแก้ในมือถือลำบาก ลงครั้งแรกตื่นเต้นไปหน่อยค่า  :o8:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-09-2018 21:08:19
เราขำ ทำไมโจรโง่ 555555555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 20-09-2018 21:39:07
โอ้ยย ขำ คู่นี้จะลงเอยกันยังไงเนี่ย 555 มาอัพไวๆนะจ้ะ รออยู่
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (18/9/18) intro
เริ่มหัวข้อโดย: Kumamon_Kung ที่ 20-09-2018 22:52:55
รอค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (20/9/18) INTRO
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 20-09-2018 23:40:56
INTRO



เสืออู๋รู้สึกพลาด


นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาอย่างไม่น่าให้อภัย และเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักถึงความประมาทของตัวเอง


“ข่าวด่วน!!! โจรหนวดหนาออกอาละวาด กวาดขโมยทรัพย์สินจากบ้านเศรษฐีย่านรัชดา มูลค่าความเสียหายกว่าสิบล้านบาท คาดว่าเป็นคนๆ เดียวกับที่ก่อคดีปล้นบ้านเหล่าเศรษฐีในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา หากผู้ใดพบเห็นโจรผู้นี้โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยค่ะ!”


เมื่อครู่ตอนเดินผ่านร้านเหล้า เขาบังเอิญเห็นภาพถ่ายใบหน้าของตัวเองชัดแจ๋วระดับ Full HD 1080p ในรายการข่าวสั้นทันด่วน...พยานซึ่งเป็นสาวใช้ให้การแก่ตำรวจว่าผู้ร้ายปล้นบ้านเป็นชายฉกรรจ์ไม่ทราบอายุ สูงเกือบสองเมตรจนทีแรกหล่อนนึกว่าเป็นเปรตไม่ใช่มนุษย์ ผิวขาวสว่างไม่รู้เอเชียหรือฝรั่ง รูปร่างใหญ่โตบึกบึนเหมือนควายป่าผสมหมีกริซลีย์ ไว้หนวดเคราดกดำครึ้มกินพื้นที่เกือบครึ่งใบหน้าช่วงล่างลามลงไปถึงลำคอ เมื่อได้รับแจ้งตำรวจก็ดำเนินการค้นหาตัวผู้ร้ายทันที

เสือหนุ่มแอบชื่นชมพวกเจ้าหน้าที่ชุดสีน้ำตาลเข้มอยู่ในใจ...ไม่ใช่เพราะความกระตือรืนร้นค้นหาตัวเขาไวเหมือนติดจรวดต่างจากคดีอื่นๆ หรอก แต่เป็นความประจบประแจงเก่งต่างหาก

แหม...นี่ถ้าผู้เคราะห์ร้ายไม่ใช่คุณนายไฮโซเจ้าของทรงผมกระบังลมโป่งพองอันลือลั่นที่ขยันออกรายการบางกอกกระซิบทุกเทปแล้วล่ะก็ มีหรือที่คุณตำรวจกับสื่อมวลชนทั้งหลายจะสนใจ เขาพลาดเองแท้ๆ ที่ไปแหย่หนวดเสือเข้าซะได้ แถมพอข่าวออกก็มีผู้เคราะห์ร้ายอีกหลายรายติดต่อมาที่สน. ว่าถูกโจรรูปพรรณสัณฐานคล้ายกันนี้ปล้นในระยะหกเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย


เออวะ ให้มันได้อย่างนี้สิ ซวยซ้ำซวยซ้อนฉิบหาย
แต่ข้าไม่ยอมให้พวกเอ็งจับง่ายๆ หรอกโว้ย!

         
เมื่อคิดว่ามาหนีมาได้ไกลแล้ว เขาก็หยุดพักใต้ต้นไม้หลังอพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่งที่ผู้อาศัยปิดไฟเข้านอนกันเกือบทุกห้องแล้ว ก่อนจะเปิดกระสอบดูข้างในสำรวจว่าได้อะไรมาบ้าง ปรากฏว่ามีสร้อยคอทองคำเส้นเท่านิ้วโป้งสามเส้น แหวนเพชรเม็ดเป้งสองวง กำไลทับทิมหนึ่งวง กับเงินสดอีกหนึ่งปึก คาดคะเนโดยสายตาน่าจะประมาณสิบล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความร่ำรวยชนิดนอนตีพุงถลุงเงินไปวันๆ ยันทายาทรุ่นที่สิบก็ไม่หมดของคุณนายผู้เป็นเจ้าทรัพย์


เสียดายว่ะ ได้นิดเดียว ถ้าไม่ติดว่านังคนใช้ต่างด้าวเสือกเข้ามาเจอซะก่อนคงกวาดได้เยอะกว่านี้


ชายหนุ่มเม้มปาก คิ้วหนาดกเข้มขมวดเข้าหากันเป็นรอยย่น มือลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราอย่างเคร่งเครียดขณะใช้ความคิด เส้นตายของเขางวดใกล้เข้ามาทุกที แต่ทรัพย์สินที่ขโมยมาได้ยังไม่ถึงครึ่งของที่ต้องการด้วยซ้ำ แล้วจะทำยังไงดี?

ทันใดนั้นเองโจรอู๋ก็เห็นแสงสว่าง...เป็นแสงจากเบื้องบนส่องประกายในความมืดมิด สำหรับเขามันเหมือนแสงสุดท้ายจากปลายอุโมงค์

แสงจากทีวีเล็ดลอดออกมาจากห้องๆ หนึ่งบนชั้นสาม

ริมฝีปากเบื้องหลังหนวดเครายาวเฟิ้มกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเกิดจากความหวัง เขานั่งลงกับพื้น ดวงตาจ้องมองประตูหลังห้องนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

รอจนกว่ามันดับไฟ... แล้วจะเข้าไปขโมยทีวี





“ตัวเอง มาทำกันเถอะ”

คนร่างเล็กสะกิดแขนคนตัวใหญ่กว่าที่นอนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แต่อีกคนกลับมีท่าทีแตกต่าง พอถูกสะกิดก็ทำท่าเบื่อหน่ายแล้วพลิกตัวหันหลังให้

“ไม่เอาเหนื่อย วันนี้ของดละกัน”

“แต่เดือนนี้เรายังไม่ได้ทำสักครั้งเลยนะ...”

“แล้วไง”

“ตัวเองไม่รักเค้าแล้วเหรอ”

“เกี่ยวกันตรงไหน รักก็ส่วนรัก เซ็กส์ก็ส่วนเซ็กส์ พอละอย่าเซ้าซี้ จะนอน ปิดทีวีด้วย แสงแยงตา” ฝ่ายที่หันหลังพูดตัดบทแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปง เขยิบห่างออกไปจนชิดติดข้างฝา

คนตัวเล็กแววตาสั่นไหว... แต่ที่สั่นกว่าคือหัวใจ

หากมองเผินๆ เขาคงเป็นคนที่น่าอิจฉาคนหนึ่ง เพราะแฟนหนุ่มร่างสูงที่กำลังนอนเหยียดยาวข้างกายคนนี้คือคนเดียวกับที่เพิ่งปรากฏตัวบนป้ายโฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์ดังกับนิตยสารแฟชั่นหลายฉบับ ชื่อของเขาคือ ‘เฟลม-เปรมประกิตติ์ ดุจเทวะ’ ชายหนุ่มผู้ใช้หน้าตาหล่อเหลาเป็นใบเบิกทางสู่วงการบันเทิงที่ใฝ่ฝันโดยเริ่มจากการเป็นเน็ตไอดอลรีวิวครีมก๊อกแก๊กในโซเชียล ก่อนจะมีคนเห็นแววความหล่อออร่าสไตล์โอปป้าเกาหลีชักชวนเข้าวงการอย่างเป็นทางการ

แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังสุดหล่อคนนี้มีแฟนเป็นผู้ชาย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่รักแฟน เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดเผย เพราะกลัวกระทบกับงานที่กำลังเรืองรุ่งพุ่งทะยานแค่นั้นเอง

“ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนเฟลม ที่นายเย็นชาแบบนี้เพราะ กำลังนอกใจเราใช่ไหม”

ตัวเล็กเขย่าตัวคนที่อยู่ในม้วนผ้าห่ม สรรพนามเปลี่ยนจากโหมดออดอ้อนเป็นโหมดจริงจัง อีกทั้งคำพูดตัดพ้อก็ทำให้อีกคนถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจ
 
“อย่ามาหาเรื่องกันนะแสงเทียน!”

“ก็นายเปลี่ยนไปอย่างนี้ จะให้คิดว่าไงล่ะ!”
 
พอถูกตะคอกใส่ แสงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระชากเสียงตอบกลับบ้าง ไม่ต่างกับการราดน้ำมันเข้ากองไฟที่อยู่ในตัวทั้งสองคน เฟลมคือเปลวไฟที่โหมแรงสมชื่อ ส่วนแสงเทียนก็รุ่มร้อนเช่นกัน ถึงจะมีอานุภาพน้อยกว่า แต่ยังไงก็คือไฟ ปะทะกันทีไรก็มีแต่เผาไหม้กันจนพังพินาศ

ทั้งคู่รู้นิสัยตัวเองดี ตลอดสามปีที่คบกันมาก็ทะเลาะกันบ้างประปราย แต่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมโอนอ่อนให้กันเสมอเพราะคำว่ารัก

ทว่าหลังจบปีสาม พ่อเปรมประกิตต์ก็ดรอปเรียนเอาดื้อๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากทำงานให้เต็มที่ซะก่อน ทำให้แสงเทียนผิดหวังและโมโหสุดๆ เพราะอีกแค่ปีเดียวก็จบแล้ว แม้เฟลมจะอ้างว่า ‘ไอดอลเกาหลีหลายคนก็ไม่เห็นจะจบมหา’ลัยกันเลย’ แสงเทียนไม่เถียงว่าหน้าตาแฟนตัวเองสูสีกับโอเซฮุนจริง  แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีไหม? สองคนเลยมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น กองไฟที่สะสมในใจมานานก็เริ่มเล่นงานทั้งคู่จนนับวันก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ

ถ้าเปรียบความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นป่าสักผืน ป่านนี้ก็คงถูกเผาราบจนเหลือต้นไม้แค่สองสามต้นเท่านั้นล่ะมั้ง

ยิ่งช่วงนี้เฟลมกำลังดัง ก็ยิ่งมีเรื่องระแคะระคายเข้ามากวนใจแสงเทียนบ่อยเป็นเงาตามตัว ไหนจะเรื่องไม่มีเวลาให้, นิสัยเปลี่ยนไป, สังคมใหม่ๆ กับผู้คนมากมายที่พยายามกลืนกินแฟนเขา ยารักษาความสัมพันธ์ขนานเอกใดๆ ก็เยียวยาบาดแผลที่เริ่มลุกลามนี้ไม่ไหว

“เราเปล่านอกใจ! นายก็รู้ว่าวันๆ เราทำงานหนักแค่ไหน เราเครียด เหนื่อย ไม่มีอารมณ์ จบป้ะ!” เฟลมเถียง

“แล้วนายคิดว่าเราไม่เหนื่อยรึไง!”

“นายเรียนอย่างเดียวไม่เหนื่อยเท่าเราหรอก แล้วนายก็มีความต้องการมากเกินไปจนเราสนองให้ไม่ไหว หัดยับยั้งชั่งใจซะบ้าง ทำไม่ได้ก็ไปห้องน้ำนู่น” เฟลมพูดจบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่แสงเทียนรั้งตัวไว้

“อะไรอีก!” นายแบบหนุ่มตวาดอย่างคนสติขาด

“ตอนนายออกไปซื้อข้าวเย็น มีเบอร์แปลกโทรเข้าเครื่องนายด้วย”

“....” รูม่านตาของเฟลมขยายกว้างเหมือนแมวตกใจเมื่ออันตรายกำลังจะถึงตัว

“เขาบอกว่าชื่อมาร์ค เป็นนายแบบรุ่นพี่ในสังกัดกับนาย เราถามว่าโทรมาทำไม แต่เขาดันถามเรากลับว่าเราเป็นอะไรกับนาย ทำไมต้องยุ่ง” แสงเทียนจ้องหน้าเฟลมเขม็งเหมือนจะทะลุทะลวง “เขาไม่รู้เหรอว่านายมีแฟนแล้ว?”

“ไร้สาระน่า” เฟลมหลบตา สายตาวอกแวก

“นายนอกใจเรา!” แสงเทียนหยิบหมอนขว้างใส่ตัวแฟน

“ไม่ได้นอกใจ!” อีกฝ่ายขึ้นเสียง ทั้งโกรธทั้งละอาย

“แล้วทำไมไม่บอกคนอื่นว่าเราเป็นอะไรกัน!”

“อย่างี่เง่าได้ปะ เราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะ” เฟลมพยายามรักษาระดับเสียงไม่ให้ดังและรุนแรงกว่านี้ เพราะรู้ว่าอาจจบเห่ได้

“คุยหลายรอบ แต่ก็ไม่รู้เรื่องซักรอบ” แสงเทียนแขวะ “ตกลงกับมาร์คคือยังไง ตอบมาตรงๆ หรือจะให้เราโทรกลับไปถามเขาเอง”

คนพูดจ้องอีกฝ่ายเขม็ง จนคนถูกจ้องเหมือนโดนต้อนจนมุม

“เออก็ได้ เราไม่ปฏิเสธว่าคุยกับพี่เขาจริง แต่ก็เพราะเรื่องงาน ตอนนี้พี่เขาดังสุด งานเยอะสุด ส่วนเรามันเด็กใหม่ คบพี่เขาไว้เพราะผลประโยชน์แค่นั้น”

“คุยหรือว่านอนด้วยกันแน่ งานนายถึงได้แน่นขนาดนี้น่ะ”

“แสงเทียน!!!” เฟลมเงื้อกำปั้นขึ้นอย่างน่ากลัวจนอีกฝ่ายสะดุ้งตัวหดหลับตาปี๋ แต่นายแบบหนุ่มก็ลดกำปั้นลงแล้วลุกจากเตียง

“จะไปไหน” คนตัวเล็กถามตามหลัง

“ไปสงบสติอารมณ์ ขืนยังคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ เรากลัวทำนายเจ็บตัว”
 
เฟลมเก็บมือถือ กระเป๋าตังค์ สะพายเป้ออกไปจากห้องภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ก็เพื่อหลบหนีความผิดอันน่าละอาย ไม่ใช่สงบสติห่าเหวอะไรทั้งนั้น 

เสียงประตูกระแทกบานพับอย่างแรงคือเสียงสุดท้ายที่แสงเทียนได้ยินจากแฟน ถัดจากนั้นร่างเล็กก็เอนตัวลงนอนหงาย ร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแฟนเขาจะไปไหน ก็ไปหาไอ้พี่มาร์คเหี้ยคนนั้นไง จะใครซะอีก

อุตส่าห์ระแวงพวกนางแบบสวยๆ เซ็กซี่ตั้งนาน ดันลืมไปว่าหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ นั่นแหละตัวดี 

 
มันคงจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วสินะ สามปีที่คบกันมาคงไม่มีค่าถ้าเทียบกับเงินทอง ชื่อเสียง ความสบาย และผู้ชายโคตรหล่อที่กำลังถาโถมถล่มทลายเข้ามาในชีวิตของนาย สิ่งเหล่านั้นเป็นความต้องการของนายมาแสนนาน...สิ่งที่เราไม่สามารถเติมเต็มให้ได้

แต่ถึงยังไง...เราก็ไม่อยากเลิกกับนายนะเฟลม





เสืออู๋รออยู่ข้างล่างจนกระทั่งห้องนั้นเงียบ จากการแอบฟังคนในห้องน่าจะมีสองคน พวกเขาทะเลาะกันเสร็จแล้วคนหนึ่งก็ออกไปจากห้อง...หรือไม่ก็ออกไปทั้งคู่ ห้องจึงเงียบกริบ โทรทัศน์ก็ถูกปิดด้วย
 
แต่จะกี่คนช่างมัน อู๋ไม่สน อู๋จะเอาทีวี

ข้างตึกมีต้นมะขามต้นใหญ่เป็นสะพานชั้นดีให้เขาปีนขึ้นไปชั้นสามของตึกได้อย่างง่ายดาย ภายในเวลาไม่นานชายหนุ่มก็ก้าวมายืนอยู่ที่ระเบียง ประตูหลังห้องที่หมายปองเปิดอ้าราวกับต้อนรับการมาเยือน

หนุ่มหนวดเยอะใช้ฝีเท้าเบาราวกับตีนแมวก้าวเข้าไปในห้องที่มืดสนิท แต่นั่นไม่เป็นปัญหา สายตาของเขามองเห็นได้ดีในความมืดจากการทำงานโดยไร้แสงไฟจนชินชากว่าครึ่งปี สิ่งแรกที่สะดุดตาจอมโจรคือบางอย่างสีขาวๆ วางยาวอยู่บนเตียง เขายื่นหน้าไปพินิจพิเคราะห์ใกล้ๆ และพบว่ามันเป็นอะไรที่สวยงามมาก

มนุษย์ตัวเล็กบอบบาง ผิวขาวเนียนเรียบไร้ขน ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนตัดหน้าม้า ขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่งปลายเชิดรั้น ริมฝีปากเล็กๆ น่ารักจิ้มลิ้ม...เกือบคิดว่าเป็นผู้หญิง ถ้ามองไม่เห็นลูกกระเดือกซะก่อน


ผู้ชายบ้าอะไรสวยสัดขนาดนี้วะ...


ราคาทีวีเครื่องละไม่ถึงหมื่น แต่คนๆ หนึ่งแถมสวยมากอาจขายได้ราคาสูงลิบ ไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยากก็รู้ว่าควรขโมยอะไร ไม่รอช้าชายหนุ่มเอาเชือกกับสก็อตเทปออกจากกระเป๋า

จับร่างเล็กขาวบางพับแขนพับขา

ปิดปากปิดตา

เอาเชือกมัด

ยัดใส่กระสอบ

แล้วหอบออกไปจากห้อง





ตุบ!!!

ชายหนุ่มโยนกระสอบลงบนพุ่มไม้หนาที่อยู่ข้างล่างอย่างแม่นยำ สาเหตุที่ไม่แบกลงไปเนื่องจากกระสอบหนักอาจปีนต้นไม้ลำบาก ดีไม่ดีกิ่งจะหักเอา

ในตอนนั้นเองคนที่อยู่ในกระสอบเริ่มรู้สึกตัว แสงเทียนเจ็บระบมทั้งร่างเหมือนถูกโยนลงจากที่สูงกระแทกกับอะไรสักอย่างที่แหลมเหมือนเข็ม ตอนแรกนึกว่าฝันเพราะลืมตาแล้วเจอแต่ความมืด แต่พอออกแรงขยับตัวก็รู้ว่าไม่ใช่ มือสองข้างของเขาถูกมัดไพล่หลัง เท้าสองข้างถูกมัดติดกัน มีผ้าปิดตากับปิดปากแน่นสนิท ทำให้ไม่สามารถขยับตัวหรือส่งเสียงได้

ชัดเจน...

มันคือการลักพาตัว!!!!

แสงเทียนเดาว่าตัวเองอยู่ในถุงกระสอบฟางเพราะสัมผัสของมันสากๆ คันๆ จากนั้นถุงก็ถูกยกขึ้นสูง... หนุ่มน้อยตกใจสุดขีด คนที่ไหนจะแบกน้ำหนักตัวหกสิบกิโลของเขาได้อย่างสบายเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ผีหรือยักษ์!

หัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ทะเลาะกับเฟลมแล้วร้องไห้จนหลับทั้งที่ไม่ได้ปิดประตูห้อง ที่ทำอย่างนั้นเพราะเขาเป็นคนขี้ร้อน แถมแอร์ก็เสือกเสีย เลยต้องเปิดให้ลมพัดเข้ามา และด้วยความที่ห้องอยู่ตั้งชั้นสาม จึงมั่นใจว่าไม่มีมนุษย์ที่ไหนปีนขึ้นมาได้ หรือถ้าจะปีนต้นไม้ กิ่งที่ใกล้ที่สุดก็ห่างจากระเบียงตั้งเป็นเมตร คนธรรมดาไม่มีทางก้าวเข้ามาได้แน่... เว้นเสียแต่ว่าขายาวโคตรๆ

และเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ไอ้หัวขโมยก้าวไวมาก นั่นหมายถึงขาของมันยาวมากเช่นกัน มันเดินเร็วจนแสงเทียนจำไม่ได้ว่าเลี้ยวไปทิศทางใดบ้าง ผ่านไปเกือบสิบห้านาทีมันก็หยุดเดิน จากนั้นเขาก็ถูกวางลง ตามด้วยเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ แล้วรถก็แล่นออกไปด้วยความเร็วที่ทำให้คนในกระสอบหวาดเสียวเยี่ยวแทบราด

แสงเทียนกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน สักพักรถก็หยุดลง กระสอบถูกยกขึ้นอีกครั้ง มีเสียงไขกุญแจ... เสียงเปิดประตู... เสียงปิดประตู... หนุ่มน้อยรู้โดยลางสังหรณ์ว่าตนได้มาอยู่ในรังโจรเรียบร้อยแล้ว

โจรเดินขึ้นบันได ก่อนจะเปิดประตูอีกครั้งและโยนกระสอบลงกับพื้นซีเมนต์อย่างไร้ความปราณี เหมือนลืมไปแล้วว่ามีมนุษย์อยู่ข้างใน คนโดนลักพาตัวเจ็บหลังอย่างสาหัสเหมือนกระดูกจะร้าว นอนตัวงอสาปแช่งไอ้โจรอยู่ในใจถึงขั้นให้มันจู๋หด

พอโจรเปิดปากกระสอบ คนที่อยู่ข้างในก็ได้สัมผัสกับกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์ลอยมากับอากาศหนาวเย็นภายในสถานที่แห่งนี้ ทั้งกลิ่นเหม็นอับชื้นจากเชื้อรา กลิ่นขยะ กลิ่นกายของผู้ชาย กลิ่นเหล้า เคล้ากลิ่นบุหรี่

โจรเทกระสอบ ส่งผลให้ร่างของแสงเทียนร่วงลงกระแทกพื้นเป็นอย่างแรก ตามด้วยเครื่องประดับและเงิน หนุ่มน้อยเจ็บมากเหมือนร่างจะแหลก แต่ก็ส่งเสียงร้องไม่ได้สักแอะ

“ตุ๊กตายาง” โจรพูด “สวยอย่างกับตุ๊กตายาง”


             
ตุ๊กตายางพ่อง!!!



โจรตบหัวแสงเทียนเต็มแรงเหมือนจะปลุก ก่อนจะสั่งด้วยเสียงแหบห้าว ฃ

“เฮ้ย ตื่นดิวะ!”

แต่แสงเทียนยังคงนอนแน่นิ่ง ทว่าข้างในสั่นสะท้ายด้วยความเจ็บและแค้น ไอ้โจรขมวดคิ้วอย่างงุนงงแล้วตบหัวอีกรอบ

“ทำไมมึงไม่ตื่น!”



ตื่นแล้วโว้ยไอ้ควาย แต่โดนปิดปากปิดตามัดแขนขาอย่างนี้ จะให้กูตอบมึงได้ไง!!!



โจรหนุ่มมองร่างเล็กของแสงเทียนอย่างใช้ความคิด

“หรือว่าเป็นตุ๊กตายางจริงๆ นิ่งได้นิ่งดี”



เดี๋ยวนะ มันคิดว่าเราเป็นตุ๊กตายางงั้นเหรอ? ถ้างั้นแกล้งทำนิ่งเป็นตุ๊กตาไปก่อนแล้วกัน เผื่อจะได้หาทางหนีทีหลัง!



โจรดึงสก็อตเทปออกจากปากของเหยื่อแบบย้อนแนวขนจนหนวดอ่อนถูกถอนเกลี้ยง ก่อนจะดึงสก็อตเทปที่ตาด้วยท่าเดียวกันจนขนตาที่ยาวหนาเป็นแพหลุดหายไปหลายเส้น แต่ถึงอย่างนั้นผู้เคราะห์ร้ายก็อดทนไม่ส่งเสียง นอนนิ่งท่าเดิม...จะตบตาเสือทั้งที ต้องนิ่งที่สุด!

โจรยังไม่หมดข้อสงสัย เอานิ้วจ่อใต้จมูกเหยื่อเพื่อทดสอบลมหายใจ แต่อีกฝ่ายกลั้นไว้เรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ย ตุ๊กตาจริงเหรอวะ”

เสียงใหญ่ทุ้มแสดงความแปลกใจ แสงเทียนได้ยินเสียงมันเกาหัวแกรกๆ จากนั้นมันก็ดึงตัวเขาขึ้นจากพื้น หนุ่มน้อยเบิกตาโพลงเหมือนตุ๊กตาเปิดปิดตาเวลาล้มลุก ทำเอาโจรตกใจ

แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของกันและกัน คนที่ตกใจมากกว่ากลับเป็นแสงเทียน

โจรเป็นชายร่างใหญ่บึกเหมือนหมี สูงพอๆ กับแป้นบาส ผิวขาวเกือบซีด ผมดกดำยุ่งไม่เป็นทรง คิ้วเข้มหนาเหมือนทางด่วน ดวงตาทรงพลังปานเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสันคมแทบจะใช้หั่นเนื้อได้ ไว้หนวดเครายาวครึ้มดั่งป่าดงพญาไฟ แต่งกายด้วยเสื้อกล้ามโชว์รอยสักรูปมังกรที่ต้นแขนขวา สวมทับด้วยเสื้อกั๊กหนังเทียมสีเลือดหมู กางเกงยีนขายาวขาดๆ เน่าๆ กับรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่น่าจะได้จากการขโมย กลิ่นกายเป็นกลิ่นเครื่องดื่มชูกำลังผสมกลิ่นบุหรี่


นี่มันไม่ใช่โจรแล้ว...

ผู้ก่อการร้ายชัดๆ!!!


นอกจากใบหน้าของโจร แสงเทียนยังมองเห็นสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ว่าเป็นห้องสภาพโทรมๆ เท่ารูหนู ผนังด้านหนึ่งมีกล่องกระดาษลังวางเรียงกันสูงเกือบถึงเพดาน รูขาดๆ ทำให้มองเห็นด้านในว่าใส่อาหารและเสื้อผ้า พื้นห้องเลอะเขรอะไปด้วยฝุ่น เศษขยะ คราบฉี่หนู และขี้ตุ๊กแก...สภาพแย่ยิ่งกว่าบ้านร้างผีสิง 
   
โจรดันแสงเทียนนอน ดึงขึ้นมานั่ง ดันลงนอน ดึงขึ้นนั่ง หลายต่อหลายครั้งราวกับจะทดสอบว่าเขาเป็นตุ๊กตาจริงหรือไม่ ซึ่งแสงเทียนก็เปิด-ปิดเปลือกตาเหมือนตุ๊กตาล้มลุกจริงๆ ทำเอาโจรถึงกับเกาหัว ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกห่างจากตัวหนุ่มน้อยเหมือนยอมแพ้
   
แสงเทียนมีความหวังว่ามันจะทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว แต่กลับผิดหวังเมื่อโจรใช้มือหยาบหนาและใหญ่ปานมือเปรตบีบรอบคอเล็กๆ ของหนุ่มน้อยอย่างโหดเหี้ยมแทน ตอนแรกแสงเทียนคิดว่ามันจะฆ่าเขา แต่ได้ยินมันบ่นกับตัวเองว่า ‘ใช้ไฟฟ้าหรือถ่านวะ’ ก็รู้ว่ามันกำลังตรวจสอบการทำงานของตุ๊กตายางต่างหาก

เหยื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ ดวงตาสั่นระริก หน้าซีดเผือด เย็นเยือกไปทั้งตัว หากยื้อไว้นานกว่านี้เขาคงขาดใจตายจริงๆ

สุดท้าย...

“แค่กๆ!” เขาแสดงต่อไปไม่ไหว ต้องไอออกมา

“เฮ้ย!!!!” โจรตะโกนเสียงดังอย่างผวาสุดชีวิต ปล่อยมือออกจากคอเหยื่ออย่างเร็ว “ทำไมไอได้!”

“ก็เป็นคนไง!”

“คนเหรอ!?”

“เออ คน!” แสงเทียนพูดเสียงแหบ สูดอากาศเข้าทางปากและจมูกยาวๆ “คุณจับผมมาทำไม!”

โกรธเกลียดแค่ไหนก็ต้องสุภาพไว้ก่อน เพราะมันถือไพ่เหนือกว่า ขืนหยาบคายพูดกูมึงใส่อาจทำให้มันยิ่งโมโห

“จะเอาไปขาย” โจรตอบหน้าซื่อ

“ขาย!?” แสงเทียนหูผึ่ง “ผมเป็นคน ไม่ใช่สินค้า จะเอาไปขายได้ไง มันผิดกฎหมายนะครับ ปล่อยผมไปเถอะ!”

“ไม่ได้ ขืนปล่อยเอ็งไปข้าก็ถูกจับสิวะ”

“ไม่หรอก ผมจะไม่แจ้งความ ไม่เอาผิดคุณเลย...จริงๆ” แสงเทียนทำหน้าออดอ้อนน่าสงสาร “เอางี้ๆ คุณอยากได้เงินเท่าไหร่บอกมา ผมจะเอามาให้ แต่คุณต้องปล่อยผมนะ”

“ไม่จำเป็นหรอก เพราะเดี๋ยวข้าเอาเอ็งไปขายก็ได้เงินอยู่แล้ว”

แสงเทียนหน้าแหย หัวสมองคิดหาแผนการเอาตัวรอดฉับไว

“อย่าเอาผมไปขายเลยนะ ผมเป็นเสาหลักของบ้าน ต้องทำงานหาเงินส่งเสียเลี้ยงดูพ่อที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ แม่เป็นอัลไซเมอร์ น้องชายเป็นเอ๋อ กับน้องสาวพิการ คุณจับผมมาอย่างนี้ ไม่ใช่ชีวิตผมคนเดียวที่จบเห่ แต่ครอบครัวของผมก็ด้วย... เมตตาผม ปล่อยผมเถอะนะครับพี่สุดหล่อ”

มือสองข้างที่ไพล่หลังไว้ไขว้นิ้วทั้งคู่ กล่าวขอโทษพ่อแม่และน้องๆ ในใจที่ถูกใช้ปู้ยี้ปู้ยำเป็นเครื่องมือเอาตัวรอด

ทว่าโจรอู๋เหมือนจะรู้ทันว่าเขาโกหก หรือไม่ก็ไม่สนใจชีวิตแสนรันทดของคนอื่น

“ไม่ปล่อยโว้ย” โจรพูดเสียงเหี้ยม

“ผม...” พยายามคิดหาคำพูดโน้มน้าวใจที่รุนแรงที่สุด “ผมเป็นเอดส์!!! คุณเอาไปขายไม่ได้! ถ้าลูกค้ารู้คงไม่ซื้อตัวผมหรอก!”

“ช่างแม่งสิ เรื่องอะไรข้าจะบอกว่าเอ็งเป็นเอดส์ พอข้าเอาเอ็งไปขายแล้วข้าก็ชิ่งหนี ส่วนมันกับเอ็งจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เกี่ยวกะข้า”



ทำไงดี มันไม่ยอมหลงกลเลย



“แต่...” ไอ้โจรคุกเข่าลงตรงหน้าแสงเทียนด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “คิดดูก็สงสารลูกค้าเหมือนกัน ถ้าเขารู้ว่าเอ็งมีโรค”

“งั้นปล่อยผมสิ” แสงเทียนส่งเสียงเว้าวอน

“ไม่เอา คนเป็นโรคร้ายเก็บไว้ก็เป็นภัยต่อสังคมเปล่าๆ ข้าว่า...” โจรล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงมาจ่อคอผู้เคราะห์ร้าย “...ฆ่ามันทิ้งเลยดีกว่า”

หัวใจของหนุ่มน้อยแทบจะหยุดเต้น เมื่อรู้ว่าวัตถุเย็นๆ ที่จอใต้คางคือปืน!!!

“หยุดก่อน อย่ายิง! ผมไม่ได้เป็นเอดส์! อย่าฆ่าผมเลย!!!”

แสงเทียนเกือบจะร้องไห้ ไอ้โจรหัวเราะอย่างชั่วร้ายแล้วเก็บปืนไว้ที่เดิม จากนั้นผลักร่างเล็กนอนลงกับพื้นแล้วขึ้นคร่อมกลางลำตัว หนุ่มน้อยใจหายวาบราวกับรับรู้ชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

“จะ... จะทำอะไร” เหยื่อถามด้วยเสียงสั่นรัว ทั้งที่พอจะเดาได้

“เล่นตุกติกดีนัก ข้าจะสั่งสอนว่าผลของการเล่นกับโจรเป็นยังไง”
 
ไม่เท้าความให้ยืดยาว คนข้างบนโน้มตัวลงมาซุกไซ้ซอกคอคนข้างล่างอย่างหื่นกระหายรุนแรงทันที แสงเทียนร้องลั่นด้วยความรังเกียจและขยะแขยงแทบขาดใจ ตำแหน่งที่โดนกัดจูบเจ็บเหมือนโดนเสือขย้ำไม่มีผิด อีกทั้งหนวดเครายาวหยาบของผู้กระทำก็ครูดบาดผิวบางของเขาจนแสบคันไปหมด
 
ขณะที่ถูกคุกคาม แสงเทียนก็คิดถึงและร่ำร้องเรียกร้องหาคนๆ หนึ่งอย่างสิ้นหวัง แม้จะรู้ว่าเสียงนี้ไม่มีวันดังไปถึง หรือต่อให้คนๆ นั้นมาจริง ก็คงจะรังเกียจสภาพที่เต็มไปด้วยมลทินของเขาจนไม่อยากแม้แต่จะเหลือบหางตามองด้วยซ้ำ


แต่เขาก็ยังหวัง


“ช่วยเราด้วย... เฟลม”




หัวข้อ: RE: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 21-09-2018 00:04:30
   
EP1
ในรังโจร



ช่างเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูจริงๆ


คำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คืออะไร คำว่าความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และกฎหมาย มีค่าแค่ไหน? ทำไมคนๆ หนึ่งถึงได้ทำร้ายอีกคนที่ไร้ทางสู้ได้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ? ตำรวจ พลเมืองดี กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าภาวนาให้คุ้มครองทุกเช้าเย็นไปอยู่ที่ไหนกันหมด?


ทำไมถึงทิ้งให้ผมถูกย่ำยีเหมือนไม่ใช่คนอยู่แบบนี้?


เมื่อคืนตอนถูกไอ้โจรชั่วช้าหน้าขนเล้าโลมอย่างหนักหน่วง ผมก็ร้องไห้จนหมดสติไปแบบไม่รู้ตัว ลืมตาตื่นอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย กระดุมเสื้อหลุดเกือบทุกเม็ด เผยให้เห็นเนื้อตัวท่อนบนซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ รวมทั้งรอยช้ำเป็นจ้ำสีแดงที่เกิดจากริมฝีปากโจร ที่น่ารังเกียจที่สุดคือ ’ของบางอย่าง’ ที่มันถล่มยิงทิ้งไว้บนร่างกายของผมไม่ต่างกับหนังโป๊โรคจิต บ่งบอกแสนยานุภาพของผู้กระทำว่ารุนแรงเพียงใด

“ตื่นซะที แม่งหลับโคตรนาน นึกว่าตายแล้ว”

ไอ้โจรนั่งพิงฝาผนังฝั่งตรงข้ามบ่นเป็นอย่างแรกเมื่อผมลืมตาสบกับมันเข้า แววตาก้าวร้าวคู่นั้น เดาไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร สมน้ำหน้า สะใจ หรืออะไรอื่น... แต่แววตาที่ผมมองมันมีแต่ความเกลียดชังและคั่งแค้นล้วนๆ หากเขียนคำด่าที่อยู่ในใจเป็นออกมาเป็นหนังสือได้ คงหนาเท่าสามก๊กเรียงต่อกันร้อยเล่มโน่นแหละ

“ตายไปก็คงดีกว่า”

เมื่อผมเปล่งเสียงพูดก็ตกใจเสียงที่แหบพร่าราวกับลำคอเต็มไปด้วยกรวดทราย ไม่แปลกเพราะเมื่อคืนผมแหกปากร้องไห้ดังลั่น ผมดันตัวเองขึ้นนั่ง กระเถิบถอยหลังออกห่างจากมันให้มากที่สุดจนแผ่นหลังติดกับผนังห้อง

"จะรีบตายไปทำไม ยังไม่ทันได้กันเลย” มันว่า

“สัด! น้ำท่วมตัวกูขนาดนี้ยังพูดอีกเหรอว่าไม่ได้!”

“ก็ใช่ไง เอ็งเสือกสลบไปก่อน ข้าเลยไม่ได้เอา ไม่ชอบลักหลับน่ะ ถึงทำก็เหมือนเอากับตุ๊กตายาง ไม่ได้อารมณ์เหมือนคนจริงๆ”

“...”
 
เออว่ะ จะว่าไปผมก็ไม่เจ็บประตูหลัง อีกทั้งไม่มีเลือดสักหยดอย่างที่ควรเป็นเมื่อถูกทารุณกรรมด้วย โอ้โห...นี่แหละคือประโยชน์ของการอ่านหนังสือจนอดนอนมาสามวันล่ะ ผมเลยเหนื่อยล้าเป็นลมไปง่ายๆ แบบนี้เขาเรียกคนดีผีคุ้มแท้ๆ!

“ขอบคุณมากนะครับคุณโจรที่ไม่ข่มขืนผม ถึงคุณจะใช้เรือนร่างผมกระตุ้นอารมณ์จนสำเร็จความใคร่จนเลอะเทอะก็เหอะ รู้ใช่ไหมล่ะว่าทำโดยไม่ใส่ถุงมันอันตราย เสี่ยงติดโรคได้ง่ายโดยเฉพาะผู้ชายอย่างเราๆ ที่คุณทำน่ะถูกต้องที่สุดแล้วครับ เซฟๆ วินๆ ทั้งสองฝ่าย”

ความโกรธเปลี่ยนเป็นความดีใจจนน้ำตาแทบไหล เช่นเดียวกับสรรพนามที่เปลี่ยนจากหยาบคายเป็นสุภาพ แต่ไอ้โจรก็เบรกผมแทบหัวทิ่ม

“เปล่า ถุงน่ะมี เยอะด้วย”

“...?”

“ปัญหาจริงๆ คือของข้าใหญ่เกินไป ยัดรูเอ็งไม่เข้าต่างหาก”

“.......”
 
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

“เอ็งชื่ออะไร” มันถามเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมโกรธจนหูดับ ปากชา หน้าร้อน ไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้

“จะบอกดีๆ หรือให้ใช้กำลัง” มันขู่ 

“แสงเทียน... เรียกเทียนก็ได้” ผมพูดลอดไรฟัน

“อายุ?”

“ยี่สิบสอง”

“ยี่สิบสอง?”

“ใช่”

“เหมือนกัน”

เหอะ น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะยี่สิบสอง นึกว่าห้าสิบซะอีก

ไอ้โจรเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นแล้วถามต่อ

“ทำงานหรือเรียน”

“ถามเพื่อ? ตอบแล้วมึงจะปล่อยกูไง้” ผมย้อน

“ก็ไม่แน่”

ผมรู้มันตอแหล แต่ก็ตอบไปงั้น

“เรียนปีสี่ คณะรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

“อยากเป็นทูตเหรอ”

มันถามเหมือนคนส่วนใหญ่ที่เคยถามผม แต่ต่างตรงที่ตาของมันแสดงความเยาะเย้ย ไม่ใช่ชื่นชม

“เปล่า” ผมว่า “อยากเป็นนักการเมือง จะได้ออกกฎหมายกวาดล้างโจรชาติชั่วให้สิ้นซาก ไม่ให้เหลือเป็นกากเดน รกแผ่นดิน”

“อื้อหือ เฉียบขาด... แต่กว่าจะถึงวันนั้น ท่านอาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้นะครับ ท่านว่าที่รัฐมนตรี”

มันเอื้อมมือมาจับปลายคางของผมเชิดขึ้นแล้วผลักใบหน้าของผมออกห่างอย่างแรง เหมือนต้องการเยาะเย้ยว่าคำพูดของผมเหลวไหล

แต่ผมขอสัญญา ถ้าหากหนีพ้นจากมันไปได้ล่ะก็ ผมจะไปแจ้งความกับตำรวจ จะแฉวีรกรรมความเหี้ยของไอ้โจรลงบนเฟซบุ๊ค ยูทูป กับเว็บดังๆ ทั้งหลายแหล่ให้รู้ทั่วกัน เรื่องนี้จะต้องดัง เรื่องนี้จะต้องเป็นข่าว นายแสงเทียน สว่างช่วงโชติจะต้องถูกอ่านชื่อในทีวีและมีภาพลงบนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งทุกฉบับ เนื่องจากเปิดโปงวีรกรรมของคนชั่วได้ ไอ้เวรที่จับผมมาจะได้ไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป มันต้องถูกจับ ถูกรุมประชนทัณฑ์ ถูกประหารชีวิต!

ผมเชื่อว่าผมคงไม่ใช่คนแรกที่โดนกระทำ อาจมีเหยื่อรายอื่นที่ถูกทารุณก่อนหน้านี้แล้วหลายราย และผมคงไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย

ถ้าหากเรื่องของผมจะเป็นกระบอกเสียงให้กับคนจำนวนมากได้รับรู้และตื่นตัวกับไอ้ภัยสังคมนี่... ก็ถือว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเหมือนกัน ผมจะยอมเป็นคนๆ นั้นก็ได้ ผมยอมตายเพื่อให้ล้านคนตื่น

แต่ก่อนอื่นผมต้องพยายามเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ยกเว้นจะหมดสิ้นหนทางจริงๆ ค่อยคิดเรื่องตาย
 
เท่าที่สังเกตด้วยสายตาอย่างละเอียดแล้ว พบว่าห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีปล่องเพดาน เป็นห้องทึบๆ มีทางออกเพียงทางเดียวคือประตู แต่ไอ้โจรล็อคอย่างแน่นหนา มีสายโซ่คล้องกลอนไว้พร้อม ไม่ต่างอะไรกับการขังตัวเอง ผมไม่รู้ว่ามันซ่อนกุญแจไว้ตรงไหน... แต่เอาเถอะ ยังไงมันต้องเปิดออกไปขี้เยี่ยวบ้างล่ะ ค่อยสังเกตเอาละกัน

ภายในกล่องกระดาษลังที่วางเรียงกันสูงชิดผนังฝั่งหนึ่งของห้อง นอกจากจะมีเสื้อผ้ากับเสบียงอาหารแล้ว ผมคิดว่าคงมีของที่มันขโมย กับยาบ้าไม่ก็อาวุธสงครามด้วยแน่ๆ ถึงได้มีจำนวนมากขนาดนั้น... พอจะมีอะไรที่สามารถปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระได้บ้างไหมนะ เช่นมีด กรรไกร หรือของมีคม ลำพังไอ้โจรคงไม่แก้มัดให้ง่ายๆ ผมต้องหาทางแก้ด้วยตัวเอง
 
ได้ยินเสียงจุดไฟแช็ก ผมละสายตาจากกล่องลังหันไปมองไอ้โจร มันกำลังจุดไฟสูบบุหรี่

“เฮ้ย จะสูบก็ไปสูบข้างนอกสิ” ผมใจหาย

“เรื่องของข้า”

“กูเป็นภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้ควัน อยากให้ไม่สบายรึไง เดี๋ยวก็ขายไม่ได้พอดี แถมต้องเสียเงินซื้อยาให้อีก”

“วะ! เรื่องมาก” โจรสบถ ลุกขึ้นยืนอย่างรำคาญเดินเข้ามาหาผม “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเอ็งเป็นภูมิแพ้ เมื่อคืนเอ็งยังโกหกเลยว่าเป็นเอดส์”

“กูเป็นภูมิแพ้จริงๆ!” นี่ผมกำลังพูดความจริง ให้ตายเถอะ!

“ไม่เชื่อ” โจรพูดแล้วพ่นควันสีเทาใส่เต็มหน้าผม

“แค่ก.... แค่กๆ!” ผมสำลักควันจนไอ แล้วก็จาม กลิ่นเหม็นจากบุหรี่ติดอยู่ในรูจมูก ขมไปถึงลำคอ

“อย่ามาแสดงละคร”

ไอ้ชั่วเป่าควันใส่หน้าผมเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ผมไอหนักขึ้น รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ ทั้งไอและจามเป็นบ้าเป็นหลัง อีกทั้งยังเคืองตาจากเขม่าควันที่มันพ่นใส่หน้าด้วย

“แค่ก... แค่ก... แหวะ... เฮือก”

แย่แล้ว... อึดอัด... ทรมาน... ผมอาจตายจริงๆ ถ้ายังมีควันพิษพวกนี้ลอยเต็มห้อง... ตาย ตายแน่ๆ

“เฮ้ย”

ไอ้โจรตกใจที่เห็นผมอาการหนักเกินกว่าจะเป็นแค่การแสดง มันถอยห่างออกไปสามก้าว แต่ก็ยืนเฉยๆ ไม่ดับบุหรี่แต่อย่างใด อาจเป็นไปได้ว่ามันกำลังรอดูผมตายอย่างทุรนทุรายต่อหน้าต่อตา

ใช่สิ โจรอย่างมันคงผ่านการฆ่าคนมานับไม่ถ้วน เพิ่มผมไปอีกสักศพคงไม่ทำ ให้มันเดือดเนื้อร้อนใจมากกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก

 
ปังๆๆๆๆ!!!!


“เฮีย!!! เปิดประตูเร็ว! มีเรื่องจะคุย!!!”

จู่ๆ ก็มีเสียงทุบประตูปึงปังพร้อมกับตะโกนเสียงดังโวยวาย โจรมองผมสลับกับประตูอย่างชั่งใจ ก่อนจะเดินไปเปิดโดยคีบบุหรี่ไว้ในปาก


กุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายของมัน...


“มีไร” โจรเปิดประตู แง้มให้คนข้างนอกเห็นเพียงครึ่งหน้า

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร ทำไมหน้าเฮียไปโชว์หราอยู่บนหนังสือพิมพ์คอลัมน์ประกาศจับ!”

คนที่อยู่ข้างนอกยัดม้วนหนังสือพิมพ์ประจำวันใส่มือไอ้โจร แต่โจรไม่แม้แต่จะอ่านสักตัวเดียว

เป็นการดีที่ประตูเปิด แม้จะช่องเล็กๆ ก็ทำให้ควันบุหรี่ที่คละคลุ้งอยู่ในห้องเบาบางลงไป ผมแอบขอบใจบุคคลที่สามที่มาได้ถูกจังหวะพอดี

ระหว่างที่โจรคุยกับคนที่อยู่ด้านนอกโดยไม่สนใจผม สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับวัตถุอย่างหนึ่งที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกายเหมือนไข่มุกในบ่อโคลน

วงเวียน... อันที่มันเอาเจาะแขนผมเมื่อคืน...วางอยู่บนพื้นห่างไปไม่ถึงเมตร!

ผมแอบเขยิบกระเถิบเข้าไปใกล้อาวุธปลายแหลมนั้นอย่างเงียบเชียบพลางมองแผ่นหลังโจรเหี้ยอย่างระมัดระวัง ทว่ามันไม่ก็ยังคุยกับลูกน้องโดยปราศจากความเอะใจใดๆ

“ก็เมื่อคืนตอนกำลังขโมย นังคนใช้ดันเดินมาเจอพอดี มันเลยสาดแสงแฟลชใส่เต็มหน้าข้า แล้วก็เป็นเรื่อง” โจรบอกคนที่มาหา

“หน้าเฮียโคตรทุเรศเลย”
 
“เออ เอ็งจะให้ข้ายิ้มแอ๊บแบ๊วใส่มันรึไงวะ”

“ทำไมไม่ทุบหัวให้สลบล่ะ จะได้ขโมยต่อ อุตส่าห์บุกบ้านเศรษฐีนีได้ทั้งที น่าจะกอบโกยได้เยอะกว่านี้แท้ๆ”

“พูดง่ายนะมึง อีนังนั่นเล่นกรี๊ดเสียงดังลั่นบ้าน ทั้งคนทั้งหมาตื่นมาไล่จับข้ากันหมด เกือบไม่รอด”
 
“เฮงซวยมากอ่ะ” คนที่อยู่หน้าประตูถอนหายใจ “ตำรวจตามหาตัวเฮียกันให้วุ่นอย่างนี้ เฮียก็ออกไปทำงานไม่ได้แล้วสิ”

“คงงั้น”

“สรุปเมื่อคืนได้อะไรมาบ้าง”

“เครื่องประดับกับเงิน รวมแล้วประมาณสิบล้าน”

“โหย น้อยจัง อย่างนี้เมื่อไหร่จะครบ ใกล้เดดไลน์เข้ามาทุกทีแล้วด้วย เฮียนะเฮีย ไม่น่าพลาดเล้ย”

“เอ็งไม่ลองเป็นข้าดูบ้างล่ะ จะรู้ว่ามันลำบากแค่ไหน” 

“ไม่อ่ะ ให้ผมไปย่องเบาอย่างเฮียคงไม่ได้หรอก เป็นโจรกรีดกระเป๋าน่ะดีแล้ว”

ในที่สุดผมก็มาถึงจุดหมายแล้วคว้าวงเวียนเอาไว้จนได้ ไม่รอช้าเอาปลายแหลมของมันแทงซ้ำๆ ตรงเชือกที่มัดมือข้างหลัง ดีที่ไม่ใช่เชือกเส้นใหญ่ เหมือนเชือกผูกรองเท้ามากกว่า ผมภาวนาสุดใจขอให้พวกมันคุยกันนานๆ อย่าเพิ่งหันมาตอนนี้เลย

“แล้วจะเอาไงกันต่อดี” ลูกน้องถาม

“พวกเอ็งก็ทำงานกันตามปกติ ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าข่าวเงียบหรือไม่อาจปลอมตัวใหม่ ข้าให้พวกเอ็งทำตามลำพังแล้วตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”

“ตามใจเฮีย”

บทสนทนาเหมือนจะจบลงแค่นั้นเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ แต่ลูกน้องก็จุดประเด็นใหม่ด้วยความสงสัย

“เฮียถอดเสื้อทำไมอ่ะ”

“...ร้อน” เว้นช่วงอย่างมีพิรุธ

“เฮียลืมรูดซิปด้วย”
 
“...”

โจรร่างใหญ่แก้มแดง แต่ลูกน้องมองไม่เห็นเพราะหนวดดกหนาบดบังใบหน้ามิด เขารูดมันปิดด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่ลูกน้องกลับหัวเราะคิก

“ไม่มีอะไรแล้วก็ไสหัวไป” ลูกพี่โบกมือไล่ ทำท่าจะปิดประตู ลูกน้องพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินจากไปแต่จู่ๆ ก็ตะโกนตามหลัง “ไอ้เบย์!”

“ครับ?”

“มาเฝ้าห้องให้ข้าแป๊บ”

“อ้าว ทำไม”

“จะไปสูบข้างนอก”
 
“...ครับๆ” ทุกทีก็สูบในห้องนี่วะ... ลูกน้องคิดขณะที่เดินกลับมาหน้าห้องลูกพี่

“ห้านาที อย่าทำอะไรของๆ ข้า เข้าใจ?”
 
“ครับเฮีย”

โจรหนวดหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้อง แล้วโจรอีกคนที่เป็นลูกน้องก็เข้ามาแทน ผมรีบขยับมาอยู่ในมุมห้อง ทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพราะไม่อยากให้มันเห็นสภาพทุเรศทุรัง อีกใจก็กลัวว่าจะถูกมันปล้ำซ้ำด้วย... แต่ก็ไม่เป็นดังหวัง มันเห็นผมจนได้

“เฮ้ย! นายเป็นใคร แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าดีๆ” โจรถาม
 
ผมไม่รู้ว่าจะตอบมันว่ายังไงเลยเงียบ ไม่รู้ว่าหมอนี่คิดอะไรของมันถึงถอดเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเอง เดินถอยหลังมาทางผม แล้วเอาคลุมร่างกึ่งเปลือยให้อย่างเก้ๆ กังๆ
 
“สวมไว้ซะ เดี๋ยวยุงกัด” เขาว่า ก่อนจะหันตัวกลับมาแล้วนั่งลง

ผมจึงเห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นผู้ชายรูปร่างใกล้เคียงผม สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบปลายๆ ไม่อ้วนไม่ผอม ผิวขาวจัด ตาชั้นเดียว ผมยาวประบ่ารุงรังกระเซอะกระเซิง ไว้หนวดเหนือริมฝีปากบนเหมือนปลิง เสื้อผ้าซอมซ่อขาดปุปะ ดูเผินๆ ดีกรีความเป็นโจรไม่น้อยไปกว่าไอ้หนวดลูกพี่เลย
 
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้แลดูร้ายกาจน้อยกว่าคือรอยยิ้มกว้างและดวงตาฉายแววเป็นมิตรที่มอบให้ผมนี่เอง ถ้าตัดผมโกนหนวดให้เกลี้ยงแล้วล่ะก็...คงเป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“หวัดดี” โจรทักทายด้วยรอยยิ้ม “เราชื่อเบย์ นายชื่ออะไร”






อีกด้านหนึ่ง

“เมียผมหาย!!!!"

เสียงตะโกนของชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบห้าและใบหน้าหล่อเหลาทำให้ตำรวจและประชาชนทั้งสน. สะดุ้งสะเทือนกันถ้วนหน้า เมื่อเขาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
 
เฟลมสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อกลับถึงอพาร์ตเม้นต์ในตอนเช้าแล้วไม่พบแสงเทียน ตอนแรกเข้าใจว่าคงงอนเลยหนีไปนอนหอเพื่อนหรือไปเรียน แต่มือถือและกระเป๋าตังค์ของแสงเทียนก็ยังอยู่ในห้อง ไม่มีทางที่จะออกไปโดยไม่พกของพวกนี้ติดตัวไปด้วย นายแบบหนุ่มดาวรุ่งจึงโทรถามเพื่อนหลายคนของแฟน แต่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแสงเทียนไม่ได้มาหา โทรหาอาจารย์ก็บอกว่าไม่ได้มาเรียน ทำให้หัวใจชายหนุ่มหล่นวูบทันที...ถ้างั้นแล้วหายไปไหน?

หรือว่าโกรธที่ทะเลาะกันเมื่อคืนเลยหนีออกจากบ้าน... แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีร่องรอยการเก็บของหนี เฟลมคิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่ได้คำตอบ จึงมาพึ่งตำรวจ

ร้อยตำรวจโทหริรักษ์ ป้องปกเกียรติ หรือที่เรียกกันว่า ‘หมวดรักษ์’ ตำรวจหนุ่มฝ่ายสืบสวนที่กำลังนั่งอ่านนิยายรักหวานแหววเพลินๆ พอได้ยินเสียงดังโหวกเหวกนั้นก็วางหนังสือลงอย่างขัดใจ

ที่จริงเวลานี้อยู่ในช่วงพักเที่ยง และเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนก็ดันไปกินข้าวข้างนอก หมวดรักษ์เลยมานั่งแทน ฉะนั้นจึงเซ็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถูกขัดจังหวะแบบนี้ก็ยิ่งเซ็งคูณสอง

“สถานที่ราชการ กรุณารักษาความสงบด้วย”

เขาบอกผู้ร้องทุกข์เชิงตำหนิ แต่ในเวลานี้เฟลมไม่สนใจเรื่องมารยาทอะไรทั้งนั้น

"เมียผมหาย! คุณต้องช่วยผม!”
 
เฟลมทุบกำปั้นลงบนโต๊ะที่หมวดนั่งอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ ท่าทางของเขาทำให้หมวดรักษ์ยิ่งหงุดหงิดกว่าเก่า เบื่อนักพวกที่ทำเหมือนปัญหาตัวเองใหญ่กว่าใครในโลกเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าบรรพบุรุษเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาสี่ชั่วอายุคน จนทายาทของตระกูลอย่างเขาไม่มีทางเลือกอื่นนับแต่ถือกำเนิดเป็นแค่ไซโกตในท้องแม่แล้วล่ะก็ ฝันไปเถอะว่าเขาจะทำอาชีพ ‘รับใช้’ ประชาชนนี่น่ะ

“หายตั้งแต่เมื่อไหร่” หมวดถาม

“ไม่รู้ ผมกลับบ้านไปแต่ไม่เจอเขา”

“ครั้งสุดท้ายที่เห็น เวลาประมาณเท่าไหร่”

“ห้าทุ่มครึ่งเมื่อคืน”

เฟลมตอบด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง ในขณะที่เขาร้อนรนจนแทบลุกเป็นไฟ หมวดรักษ์กลับยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยท่าทางเย็นใจไม่เดือดร้อน แถมยังทำหน้ามึนๆ เหมือนคนพึ่งตื่นอีก

นายแบบหนุ่มรอฟังคำพูดที่จะทำให้เขาสบายใจขึ้นได้บ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังอย่างรุนแรง

“ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แจ้งความคนหายไม่ได้”

หมวดพูดแล้วยกหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ กลายเป็นฉากกั้นระหว่างเขาและเฟลมโดยปริยาย

“อะไรนะ! ต้องรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเชียวเหรอ!? ถ้าเกิดแฟนผมถูกจับไปเรียกค่าไถ่ ถูกจับไปฆ่า หรือพาไปข่มขืนล่ะ! ต้องรอให้เขาเป็นศพก่อนใช่ไหมพวกคุณถึงจะไปตามหา!”

เฟลมระเบิดความทุกข์ร้อนใจออกมาอย่างเดือดดาล น้ำตาก็พาลจะไหลรอมร่อ

หมวดรักษ์ลดระดับหนังสือลงครึ่งหน้า ให้อีกฝ่ายได้เห็นแค่ดวงตามึนๆ

“ถ้าเป็นการเรียกค่าไถ่ เราจะออกตามหาทันทีที่คนร้ายติดต่อมา แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็แค่ต้องทำไปตามกฎ” หมวดพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ น้ำเสียงเรียบๆ “อีกอย่างคุณอย่ามาโวยวาย เพราะคุณไม่ใช่คนแรกในโลกที่ทำเมียหาย... แต่ส่วนใหญ่ผู้ร้ายก็มักจะเป็นผัวล่ะนะ”

“ผมไม่ได้ทำ!” เฟลมกำหมัด กัดฟันกรอด “เราแค่ทะเลาะกันแล้วผมก็ออกจากบ้าน กลับมาอีกทีก็ไม่เจอเขาแล้ว”

หมวดฟังโดยมีสีหน้าเรียบเฉยติดจะเย็นชา

“รอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วค่อยแจ้งความ ฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องนะครับ”

แล้วก็ลุกเดินจากเก้าอี้ไปชงกาแฟเพิ่มอีกแก้ว

เฟลมทุบโต๊ะอย่างโมโหก่อนจะเดินออกมาจากโรงพักด้วยความเจ็บใจ ทีข่าวโจรขโมยขึ้นบ้านเศรษฐีทำไมถึงไล่จับกันไวนัก แต่นี่คนหายไปทั้งคน ทำไมถึงทำเฉยเมยคนละขั้ว!

แต่จะโทษตำรวจก็ไม่ถูก เป็นความผิดของเขาเองที่ทิ้งแฟนไว้ที่ห้องคนเดียว... และยิ่งรู้สึกผิดเมื่อคิดว่าขณะที่ตนกำลังเริงรักกับรุ่นพี่นายแบบสุดฮอต แสงเทียนอาจกำลังเผชิญหน้ากับผู้ร้ายอย่างไร้ทางสู้

“เราขอโทษ...”

ร่างสูงโปร่งหยุดเดิน เอาหลังพิงกำแพงตึกอย่างอ่อนล้า ก้มหน้าปล่อยน้ำตาที่ไม่ได้ไหลมานานให้ทะลักออกมา เหมือนฉากหนึ่งในเอ็มวีที่เขาเคยแสดง แต่คราวนี้ไม่มีผู้กำกับ ไม่มีผู้ชม ไม่มีกล้อง มีแต่ของจริงล้วนๆ ทำให้เขารู้ว่าความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าการอกหักคือการจากลาที่ไร้สัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบนี้เอง

“นายอยู่ที่ไหน... เทียน”



TBC...
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-09-2018 00:25:43
รักกันเลย พาไปเย้ยแฟนเก่าด้วยนะ
ให้มันกระอักเลือดตายไปเล้ยยย555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 21-09-2018 02:46:24
สรุปเรื่องนี้พี่โจรหรือเฟลมเป็นพระเอกกันแน่นะเนี่ย ลุ้นค่ะ

กลัวม่าจังเลย ดูเหมือนเฟลมจะยังรักเทียนนะ ส่วนคุณโจร

เหมือนที่ทำอยู่โดนสั่งหรือบังคับมาให้ทำอีกที
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-09-2018 05:32:35
เพลียกับตำรวจ
ท่าทางโจรจะไม่ปล่อยเทียนง่ายๆแน่
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-09-2018 10:41:36
คูตำหนวดก็นะ​ ถ้าเทียนโดนลัดพาตัวไปฆ่าป่านนี้ก็ไม่เหลือละแหละะ​ ส่วนเฟลมเป็นไงล่ะเพิ่งจะมารู้สึกตอนที่เค้าไม่อยู่ละเห็นมั้ย​ สรุปใครพระเอกน้อออ?
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.1 ในรังโจร (20/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Warapich ที่ 22-09-2018 22:31:41
แอบตลกในความเด๋อของโจร พลอตเรื่องน่าสนใจมาก อ่านง่ายดีค่ะ ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร EP.2 ผัวกูเป็นโจร (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 23-09-2018 01:32:15
EP.2
ผัวกูเป็นโจร


“ชื่อเล่นจริงๆ เราคือบอมเบย์ Bombay ที่เป็นชื่อเดิมของเมืองมุมไบประเทศอินเดียน่ะ แต่มันยาวเกินไป คนเลยเรียกสั้นๆ ว่าบอมบ์ที่แปลว่าระเบิด หรือไม่ก็เบย์ที่แปลว่าอ่าว ความหมายชื่อเราเลยเพี้ยนไปหมด! แต่เราชอบชื่อเบย์มากกว่าเพราะว่าบอมบ์มันโหล แต่นายจะเรียกอะไรก็ได้นะ เราเพิ่งอายุยี่สิบเอ็ดเมื่อวานนี่เอง เราน่ะทำงานเป็นโจรกรีดกระเป๋าตามย่านที่คนเยอะๆ อย่างสยาม ประตูน้ำ บางทีก็สุ่มไปเรื่อยเปื่อย ขอแค่คนแออัดไว้ก่อน เป้าหมายคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะพวกนี้น่ะมีเงิน”

นับจากที่เราเริ่มคุยกันประโยคแรกจนถึงตอนนี้ก็เกือบห้านาที หมอนี่ยังพูดน้ำไหลไฟดับแทบไม่พักเลย เขาเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นภารกิจที่เคยทำ เหมือนไม่กังวลเลยว่าผมอาจจะไปแจ้งตำรวจภายหลัง บางทีเขาอาจคิดว่าผมจะมาเป็นสมาชิกใหม่ในแก๊งโจรก็ได้ ผมเลยปล่อยตามเลย ไม่ทักท้วงใดๆ ขณะเดียวกันก็เอาวงเวียนเจาะแทงเชือกที่มัดข้อมืออย่างไม่หยุดหย่อนไปด้วย

ข่าวดีคือผมทำมันขาดไปหนึ่งจากสามทบแล้ว

“เราอยู่กับพี่อู๋มานานตั้งแต่ตอนพี่แกเป็นโจรแรกๆ โน่น เขายกให้เราเป็นสมุนมือซ้าย เพราะเราเก่งเรื่องของชาวบ้าน เขาเลยให้ไปเสือก เอ๊ย! สืบหาแหล่งที่จะขโมยบ่อยๆ”


อืม... พวกนี้ทำงานกันเป็นขบวนการนี่เอง ร้ายกาจ


“แล้วพี่อู๋เขาให้นายทำงานตำแหน่งไหนล่ะ”

ในที่สุดเบย์ก็เปิดโอกาสให้ผมพูดบ้าง หลังจากเอาแต่จ้อฝ่ายเดียว

“เขาไม่ได้จับเรามาทำงานด้วยหรอก แต่จะเอาไปขาย”

“ขาย!!!” ดวงตาตี่เล็กเบิกกว้างเป็นสามเท่า “ไม่จริงน่า! พี่อู๋เคยแต่ขโมยของ ไม่เคยขโมยคน เขาไม่ใช่แมงดานะจะได้จับคนไปขาย”

“แต่เขาจับเรามา นายก็เห็น” ผมว่า

เบย์มองเท้าของผมที่ถูกมัดไว้แล้วก็หน้าเหวอไป สักพักหนึ่งไอ้โจรอู๋ก็กลับจากสูบบุหรี่เข้ามาในห้อง เบย์ลุกขึ้นยืนแหงนหน้าพูดกับมันพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าสะเอว ดูเผินๆ คล้ายเมียจับผิดผัวมากกว่าลูกน้องคุยกับลูกพี่

“พี่อู๋ เด็กคนนี้บอกว่าถูกพี่จับมาจะเอาไปขาย จริงไม่จริง!”

“ก็ตามนั้น” ไอ้โจรหน้าหนวดยักคิ้ว “เขาอายุยี่สิบสอง แก่กว่าเอ็งอีก ไปเรียกเขาเด็กได้ไง”

“นั่นไม่ใช่ประเด็น เฮียปล่อยเขาไปเหอะนะ ดูสิน่าสงสารออก”

“เอ็งก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเฮียต้องการเงินมากขนาดไหน แถมตอนนี้ก็ออกไปขโมยของไม่ได้อีกแล้ว ทางเดียวที่จะได้เงินจำนวนมากในเร็วๆ นี้ก็มีเพียงแค่เอาไอ้หน้าสวยนี่ไปขายให้เศรษฐีบ้ากาม”

“ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย เขาน่าสงสารจะตาย” เบย์ว่า แล้วก็โดนไอ้โจรอู๋เบย์บกรามพอให้หวาดเสียว

“เอ็งเป็นลูกน้อง ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า หมดหน้าที่แล้วก็ออกไป”

พูดเสร็จก็ผลักเบย์จนเซ ก่อนออกจากห้องเบย์หันมามองหน้าผม ส่งสายตาเป็นเชิงว่า ‘เข้มแข็งไว้นะ’ แล้วก็หายไป ในห้องจึงเหลือเพียงผมกับไอ้หนวดชั่วสองคน มันนั่งลงตรงหน้าผม กลิ่นบุหรี่จากตัวทำให้ผมคันจมูกฟุดฟิด จากนั้นมันก็เหลือบมองเสื้อแจ็คเก็ตที่คลุมตัวผมอย่างสงสัย

“ปิดทำไม”

“เบย์คลุมให้ เขากลัวยุงกัด”



และทำให้กูหนีพ้นจากน้ำมือของมึงได้ด้วย ไอ้ชั่ว



“ฮะ...” มันแค่นหัวเราะ “ประทับใจมันเข้าแล้วสินะ แต่อย่าไปตกหลุมรักมันล่ะ ข้าขอเตือน”


“กูไม่มีทางรักไอ้โจรเวรหน้าไหนทั้งนั้น”



เชือกทบที่สองขาดแล้ว ขอบคุณพระเจ้า



“ก็ดี๊...” ไอ้โจรอู๋ชักเสียงสูงอย่างเสแสร้ง “เอ็งไม่ต้องรักหรอก เพราะโจรแม่งก็รักใครไม่เป็นอยู่แล้ว”


“ก็ดี๊...” ผมชักเสียงสูงเลียนแบบมัน

เราจ้องตากันเขม็ง เครียดเคร่งราวกับสงครามทางจิต ดูว่าใครจะแน่กว่ากัน ผมบังคับไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวเนื่องจากดวงตาของมันสวยงามและดุดันเหมือนดวงตาราชสีห์ มองแล้วชวนให้รู้สึกหวิวๆ ...แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าดวงตาโตเหมือนกวางของผมมีพลังมากพอจะสยบมันได้ เพราะเวลาเล่นเกมจ้องตากับคนอื่นทีไร ผมชนะเสมอ

ดี... จ้องกันแบบนี้แหละ มึงจะได้ไม่สนใจว่ากูกำลังทำอะไรอยู่หลังเสื้อแจ็คเก็ต

เรากะพริบตาพร้อมกัน แล้วเกมก็จบแค่นั้น

เช่นเดียวกับเชือกทบสุดท้ายที่ข้อมือของผมขาดพอดี

“นี่ ขอใส่เสื้อผ้าบ้างได้รึเปล่า”

ผมทำเปลี่ยนเรื่อง รู้ว่าถ้าจะใส่กางเกงต้องแก้มัดเชือกที่เท้า ดังนั้นต้องโน้มน้าวใจมันให้ได้ พอหลอกให้มันเผลอสำเร็จ ผมจะได้หาจังหวะเหมาะๆ ในการหนี

“ไม่ให้ใส่” มันตอบอย่างไม่ลังเล

“กูโดนยุงกัดจนขาลายหมดแล้วนะ ขอร้องเถอะ แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวก็ได้”

ผมขอร้องมันด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน สายตาออดอ้อนสุดฤทธิ์

แล้วก็ได้ผล ไอ้โจรถอนหายใจอย่างรำคาญ

“เออๆ เดี๋ยวหาให้”

มันลุกไปที่ฝั่งหนึ่งของห้อง ค้นกล่องเสื้อผ้ารกๆ แล้วหยิบกางเกงบ็อกเซอร์มาตัวหนึ่ง สภาพอุบาทว์มากจนผมแทบร้องไห้ เนื้อผ้าเปื่อยยุ่ย ขอบเอวยานย้วย แถมยังดูเหมือนไม่ได้ซักมาสามชาติ คิดถูกรึเปล่าวะที่ขอ... แต่ช่างเถอะ ให้แก้เชือกเท้าได้เป็นพอ

“อ้ะ” มันโยนใส่ตักผม

“จะใส่ได้ไง โดนมัดอย่างนี้น่ะ” ผมย้อน

“เรื่องมาก”

มันทำหน้ายุ่งยากใจแล้วนั่งลงตรงหน้าผมอีกครั้ง มือจับที่เชือก กำลังจะแก้ปมแล้ว แต่...

“อย่าเล่นตุกติก”

“...”

“ขอเตือนว่าถ้าคิดไม่ซื่อล่ะก็ ข้าเอาจริงแน่”    
   
“...อืม” ผมทำเป็นนิ่งๆ

แล้วไอ้โจรก็แก้เชือกให้ ปรากฏรอยแดงเป็นริ้วบนผิวของผม จากนั้นมันก็ใส่กางเกงบ็อกเซอร์ให้อย่างลวกๆ

ตอนนี้แหละผมออกแรงถีบมันเข้าที่หน้าอกด้วยสองเท้า ไอ้โจรหงายหลังล้ม แล้วผมก็เอาอาวุธปลายแหลมที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมาแทงที่แขนซ้ายของมันจนมิด!

ไอ้โจรร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เลือดพุ่งกระฉูดติดหน้าผมสามหยด สะใจจริงๆ ที่เห็นมันเจ็บอย่างที่ผมเจ็บเมื่อวาน ผมรีบล้วงกระเป๋าหลังของกางเกงข้างซ้ายของมันอย่างร้อนรน และก็ได้กุญแจมาครอง! 

“อย่าคิดว่าจะง่ายนัก!”

ไอ้โจรใช้มือใหญ่บีบคอผมจนหยุดชะงัก แต่ผมก็เอาเหล็กแหลมแทงมือของมันจนต้องปล่อยไป เมื่อได้กุญแจแล้วผมก็รีบไขประตูอย่างรวดเร็ว มือสั่นมากจนเกือบจะถือไม่อยู่

ไอ้โจรลุกขึ้นมา ทำท่าจะแย่งกุญแจ

ผมไขได้แล้ว

เลยเหวี่ยงประตูใส่ตัวมันเต็มแรง!

พอประตูเปิดผมก็รีบวิ่งออกมาจากห้องขังนรกสุดฝีเท้า โชคดีที่ตึกไม่ใหญ่มากจึงหาทางออกได้อย่างไม่ยากนัก ผมวิ่งไปตามระเบียง วิ่งลงบันไดจนมาถึงชั้นล่างสุด...แต่เฮงซวย ประตูใหญ่ทางเข้าถูกล็อก!

       

ตั้งสติ แสงเทียน กุญแจนี่มันมีสองดอกไม่ใช่เหรอ อีกดอกต้องเป็นกุญแจของประตูใหญ่แน่ๆ



ผมใช้กุญแจอีกดอกไขอย่างเร่งร้อน หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก แต่โชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครตามหลังมา นั่นแสดงว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว

ในที่สุดผมก็ไขได้ ประตูบานใหญ่เปิดออกสู่โลกภายนอก สำหรับผมมันเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ เบื้องหน้ามีถนนลูกรังทอดยาวจากตัวตึกเป็นระยะทางประมาณห้าร้อยเมตรสู่ถนนคอนกรีต สองข้างทางเป็นป่ากล้วยรกทึบ ช่างเป็นทำเลที่เหมาะกับการซ่อนตัวของโจรโดยแท้
 
ผมออกวิ่งด้วยเท้าเปล่า มือกำขอบกางเกงบ็อกเซอร์เน่าไว้ตลอดเวลาเพราะไซส์ของไอ้โจรหนวดกับผมต่างกันเยอะ วิ่งไปกางเกงจะหลุดไป ระหว่างที่วิ่งก็หันไปมองข้างหลังอย่างหวาดระแวง แต่โชคดีที่ไอ้โจรสารเลวไม่ตามมา ที่ถูกประตูเหวี่ยงใส่เมื่อกี้ผมมั่นใจว่าเหวี่ยงสุดแรงเกิด มันคงสลบไปแล้ว

ระยะทางห้าร้อยเมตรดูยาวไกลเหมือนพันกิโล ผมถูกก้อนหินทิ่มตำเท้าจนวิ่งช้าเกินกว่าที่ควร แถมยังรู้สึกเวียนหัวตาลายคล้ายจะเป็นลม  อีกทั้งยังปวดร้าวระบมในทุกย่างก้าว ทันทีที่วิ่งออกมาสู่ถนนคอนกรีตได้  ผมก็เหนื่อยจนเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นถนนอย่างคนสิ้นแรง

แถวนี้ไม่คุ้นตาเลย เป็นถนนโล่งๆ ไม่มีรถวิ่งผ่าน ไม่มีป้ายบอกสถานที่ แถมยังเปลี่ยวมากด้วย ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอีกสักพักจะมีฝูงซอมบี้วิ่งเข้ามารุมแดกสมอง เพราะแม่งโคตรร้างจริงๆ อย่างกับโลกยุคดิสโทเปีย

ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ลุกขึ้นยืน มองฝั่งซ้ายขวาของถนนเผื่อจะมีรถผ่านมาสักคัน แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ยังไร้วี่แวว


พระเจ้า... ช่วยส่งใครก็ได้มาที... พาผมไปจากนรกนี่ที   


ขณะที่ดวงตาเริ่มพร่าเลือนด้วยเม็ดเหงื่อและน้ำตาคลอ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา ดูจากคนขับใส่ชุดสีเขียวแดง สวมหมวกแกป ที่เบาะมีกล่องสี่เหลี่ยม น่าจะเป็นรถส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ ผมยืนขวางถนน มอเตอร์ไซค์พอเห็นแล้วก็เหยียบเบรกดังเอี๊ยด

“เป็นบ้ารึไงวะ! ไม่เห็นเหรอว่ารถวิ่งอยู่!”
 
คนขับเปิดบังหน้าหมวกกันน็อคแล้วตะโกนด้วยสำเนียงโมโหโทโสผ่านหน้ากากอนามัยสีดำที่ปิดครึ่งหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมๆ

“ช่วย... ผม... ด้วย...”

ผมพูดด้วยเสียงแหบและเบา แม้แต่ตัวเองก็เกือบจะไม่ได้ยิน

ดวงตาโตคมของเขาฉายแววแปลกใจ

“เป็นอะไรมาล่ะ”

“ผม... กำลังหนี...” ผมว่าพลางชี้ไปด้านในถนนลูกรัง “โจร... โจรจับผมมา... ผมกำลังหนีมัน”

คนส่งเดลิเวอรี่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา จ้องเป็นพิเศษที่กางเกงบ็อกเซอร์

“แต่ผมกำลังรีบไปส่งของให้ลูกค้า”

“ผมขอติดรถไปด้วยนิดเดียว ขอแค่เจอชุมชน เจอโรงพัก เจอใครก็ได้ คงไม่รบกวนคุณเกินไป”

ผมขอร้องเขาอย่างคนสิ้นหวังไร้ที่พึ่ง แอบเสียใจที่เห็นท่าทีเฉยชา ไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายนะ แต่เขาเหมือนไม่อยากช่วยผมเลย


นี่หรือน้ำใจคน... ซาบซึ้งที่สุด


“อ่า ช่วยไม่ได้ เบาะแคบหน่อยนะ”

“...ขอบคุณ!!!”

ผมแทบจะกระโดดเมื่อได้ยินอย่างนั้น รีบขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายอย่างไม่รอช้า แล้วรถมอเตอร์ไซค์ก็เคลื่อนต่อไป ไม่กี่วินาทีที่ได้นั่งซบหลังผู้ชายคนนี้ผมก็เผลอหลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง


ขอบคุณพระเจ้า   





   
รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนรถจอด

ผมไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มันมืด เย็น และเหม็นอับ คงจะเป็นโรงพักล่ะมั้ง เดลิเวอรี่แมนพาผมมาที่นี่เพื่อให้ตำรวจช่วย เสียดายยังไม่ได้ขอชื่อกับเบอร์โทรเขาเผื่อตอบแทนบุญคุณในอนาคตเลย

“ไง ฟื้นแล้วสินะ ไอ้ตุ๊กตายาง”

“...”

เสียงผีห่าดังขึ้นที่ปลายเท้า

เสียงที่เพิ่งหนีก่อนหน้านี้ กลับมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง

พอดวงตาเปิดกว้างมองเห็นได้ชัด ความสิ้นหวังก็เข้าเกาะกุมหัวใจของผมทันที...

นี่คือห้องของไอ้โจรชาติชั่ว!

มันอะไรกัน งงไปหมดแล้ว ทำไมถึงกลับมาที่นี่ นายคนขับเดลิเวอรี่ทำอะไรของเขา! ยิ่งกว่านั้นคราวนี้ผมไม่ได้แค่ถูกมัดด้วยเชือก...

แต่ถูกล่ามโซ่!!!

"เก่งมากนะ หนีไปได้ไกลขนาดนั้น”
 
ไอ้โจรเหี้ยแสยะยิ้มโรคจิต ร่างกายเปื้อนไปด้วยเลือดไหลออกจากบาดแผลที่โดนผมแทง แต่มันดูไม่เจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ก็คงเป็นงั้นเพราะคนอย่างมันไม่มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ปกติหรอก

“เฮีย แดกข้าว”

เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงห้าวดังขึ้นที่หน้าห้องขัดจังหวะ โจรอู๋ลุกไปเปิดประตูออกกว้าง ผมจึงได้เห็นผู้ชายที่อยู่หน้าห้องคนนั้น แล้วก็แทบจะหมดสติอีกรอบ


ชายหนุ่มเดลิเวอรี่นั่นเอง


“...ไม่จริง”

ผมรู้สึกเหมือนถูกตีีนตบหน้าสามสิบห้ารอบ โลกนี้ไม่มีใครไว้ใจได้เลย!

“ต้องขอบใจเอ็งที่พาสินค้าของข้ากลับมา”

ไอ้โจรตบไหล่ชายเดลิเวอรี่อย่างคุ้นเคยแล้วหันมามองผมด้วยหางตาอย่างเยาะเย้ยถากถาง

“ผมจำบ็อกเซอร์เน่าของเฮียได้”

“หึๆ ดีมาก พวกเอ็งไปแดกก่อนเหอะ เฮียจะตามไปทีหลัง”

“ตามใจ” ชายคนนั้นว่า แล้วประตูก็ปิดลง

ไอ้โจรสารเลวย่างสามขุมเข้ามาหาผม ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง รังสีอำมหิตแผ่กระจายรอบตัว เหมือนกับปีศาจจากนรกขุมสุดท้าย

“เอ็งทำข้าเจ็บตัว”

“...”

“เอ็งฝ่าฝืนคำเตือนของข้า”

“...”

“เอ็งหนี”

“...”

“และเอ็งทำให้ข้าโกรธมาก”

มันยืนอยู่เหนือร่างของผม ร่างสูงตระหง่านทำให้มันแลดูคล้ายเปรตมากกว่ามนุษย์ แล้วมันก็นั่งยองๆ ตรงช่องหว่างขาของผม

“ข้าจะลงโทษให้สาสม”

“....ไม่...อย่า”

สมเพชตัวเองเหลือเกินที่ต้องร้องอ้อนวอนขอความเห็นใจจากเศษมนุษย์อย่างมันด้วยสภาพรันทดยิ่งกว่าหมาจนตรอก ผมทั้งกลัว โกรธ เสียใจ... แต่ไม่สามารถร้องไห้ได้อีกแล้ว

ไอ้โจรเปิดกล่องอุปกรณ์ข้างฝาแล้วหยิบอะไรสักอย่างออกมา แวบแรกผมใจหายวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เพราะเห็นว่าสิ่งที่มันถือคือสว่าน ผมคงถูกมันฆ่า-เจาะ-ศพ เป็นรูพรุนทั้งร่างแหงๆ กำลังจะท่องนะโมตัสสะ เตรียมตัวละสังขาร แต่พอมันเดินมาใกล้ๆ ก็เห็นว่าไม่ใช่สว่าน เป็นเครื่องสักต่างหาก ที่สีข้างด้านซ้ายของผมมีตัว ‘F.’ สลักติดอยู่ (แน่นอน มาจากคำว่าเฟลม) ผมจึงรู้ว่ามันหน้าตาเป็นยังไง

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอ้โจรตะปบไหล่ผมกดแนบกับพื้นป้องกันการดิ้นขัดขืนแล้วเอาปลายเข็มจรดลงบนผิวของผมอย่างป่าเถื่อน

“ไอ้เหี้ย!!!” ผมร้องเสียงดังอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ น้ำตาที่คิดว่าไหลหมดตัวแล้วก็ยังไหลออกมาเป็นสายทะลักทลายยิ่งกว่าแม่น้ำโขง “ทำไม่เป็นจะทำทำไมวะ ยาก็ไม่ทา แอลกอฮอล์ก็ไม่เช็ด! กูเจ็บนะรู้มั้ย!”

“อือ รู้ ก็อยากให้เจ็บไง”

“มึง!!!”

“หุบปาก แล้วก็อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากโดนเจาะตาย”

“ฮึก...มึงเปลี่ยนเข็มยัง!”

“ถามใช่เรื่องมั้ย” มันหรี่ตาลงแบบรำคาญ   

“กูยอมตายเพราะถูกฆ่าหรือเป็นโรคห่าอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ตายเพราะเอดส์!”

“อ้าว เมื่อคืนไหงบอกว่าเป็นล่ะ นึกว่าอยากเป็นไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่โว้ย!!!” ผมดิ้นพราดๆ ใจจะขาดรอนๆ ทั้งเจ็บทั้งกลัว “กูยอมแล้ว อย่าทำกูเลยนะ สัญญาจะไม่หนีอีก...จริงๆ”

โจรหัวเราะ ‘หึ’ ครั้งเดียวพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปาก เหมือนพวกตัวร้ายชอบทำเวลาได้ยินข้อเสนอโง่ๆ จากพระเอก และเป็นคำตอบ แทนคำว่า ‘ไม่’

“หายห่วงเหอะ กูเพิ่งเปลี่ยนเมื่อวาน ยังไม่ทันใช้”

“ฮือ...ไม่ทำได้มั้ย ขอร้องละนะ ให้กราบตีนก็ยอม” ผมวิงวอนจากใจ

แต่โจรก็ย้ำเสียงแข็ง “ไม่”

มันแก้ตัว F. เฉยๆ ด้วยการเติมตัว U. C. และ K. ต่อท้าย เปลี่ยนความหมายและทำลายตัวแทนความรักของผมโดยสมบูรณ์ ก่อนจะสร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนหน้าอกของผม ผ่านไปเกือบสิบนาทีกว่าจะทำเสร็จ แล้วก็ลุกออกไปจากตัวผม ก้มมองผลงานด้วยสายตาพึงพอใจ

“นี่จะเป็นยันต์ป้องกันไม่ให้คนอื่นมาเอาเอ็งไป และป้องกันไม่ให้เอ็งหนีจากข้าไปด้วย”

ผมก้มมองดูยันต์ที่มันว่า เป็นตัวหนังสือพาดยาวเต็มหน้าอก ตัวใหญ่เท่าควาย
 

‘ผัวกูเป็นโจร’


“หึๆ”

มันมองผมด้วยหางตาอย่างเหยียดหยามแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมนอนร้องไห้เพียงคนเดียว



ตลกร้ายสิ้นดี


ผมชื่อแสงเทียน


แต่ชีวิตตอนนี้กลับมืดมนไร้หนทางยิ่งกว่านรกขุมสุดท้ายซะอีก




TBC...




####

มาอัพเอาป่านนี้จะมีคนอ่านมั้ย 55555
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอยู่นะคะ ดีใจมากๆ เลย <3 <3 เลิ้บบบบ

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kumamon_Kung ที่ 23-09-2018 03:10:47
สงสารน้องงงงงงงงงง  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2018 03:38:34
ชีวิตน้องบัดซบจัง :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-09-2018 06:40:22
โถ่แสงเทียน มันจะมากเกินไปแล้วทำผิวสวยๆๆของน้องมีตำหนิเสียแล้ว :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Warapich ที่ 23-09-2018 09:48:33
สงสารน้องง อุตส่าห์หนีได้แร้วว ผัวเป็นโจรซะงั้น น้องเบย์์่น่ารักมาก ชอบๆ ฝั่งหลัวตัวจริงว่าไงจะตามหาเมียเองมั้ย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 23-09-2018 11:41:32
โห โคตรน่าขยะแขยงเรื่องการสักน่ะค่ะ มันสะอาดไหมอ่า ไม่รู้สิรู้สึกกลัวแทนนายเอกเลย สงสารอ่า จะเป็นไงต่อ ลุ้นมาก มาต่อบ่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 23-09-2018 14:38:01
สงสารน้องเทียนนน ฮือออ  :hao5:

ปล. แจ้งคนหายไม่ต้องรอ24ชม.แล้วแต่ดุลยพินิจตำรวจฮับ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 23-09-2018 20:11:39
โหด แท้ ..อืม ประทับตราไว้ล่ะ อิอิ เสร็จ โจร แหง่มๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 23-09-2018 22:31:57
นี่ถ้าเป็นแสงเทียนคือเลิกกับ เฟรมละนะ ผัวเราไปเป็นเมียคนอื่นงี้อ่อ อี๋ แค่คิดก็ขนลุกกกกก  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.2 'ผัวกูเป็นโจร' (23/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-09-2018 06:31:32
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.3 'WON'T HURT YOU' (25/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 25-09-2018 02:50:45
3
Won’t Hurt You



แก๊งโจรสามคนนั่งล้อมวงกินอาหารที่ห้องฝั่งตรงข้ามของห้องเสืออู๋ มื้อนี้เป็นพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนขนาดใหญ่จากร้านที่ลูกน้องโจรคนหนึ่งทำงานอยู่ กลิ่นแป้งอบนุ่มๆ โรยหน้าด้วยหมูแฮม สัปปะรด ไส้กรอก และชีสร้อนๆ หอมกรุ่นไปทั่วท้องห้องโทรมๆ

“วันนี้เฮียรักเอ็งเป็นพิเศษเลยว่ะเคฟ” หัวหน้าแก๊งกินพิซซ่าไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี คนที่ถูกพาดพิงมองหน้าลูกพี่แล้วถามขึ้น

“คนนั้นเขาเป็นแฟนเฮียเหรอ”

ลูกพี่สำลัก เอามือทุบหน้าอกเบาๆ “ไม่ใช่โว้ย เฮียจับมาจะเอาไปขายต่างหาก”

เคฟพยักหน้า แต่สายตาบอกว่าไม่เชื่อ “ดีนะที่ผมมาถึงพอดี ไม่งั้นมันคงหนีไปแจ้งความ พวกเราได้ซวยกันหมด”

“อือ เอ็งเอ่งอ้าก”

ลูกพี่พูดเสียงอู้อี้ ยัดพิซซ่าเข้าปากเป็นชิ้นที่สอง ซอสมะเขือเทศเลอะไหลเปื้อนหนวดใต้คาง เคฟมองดูพี่ชายกินอาหารอย่างหิวโหยเหมือนปอบสิงแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมวงอีกคนที่นั่งข้างๆ
 
“พี่เบย์เป็นไร ทำไมไม่กิน” น้องเล็กสะกิดแขน

“อ้อ... เปล่า”

เบย์สะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะหยิบพิซซ่าขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ความคิดของเขาคือระหว่างที่ตนและพรรคพวกกำลังกินอย่างอิ่มหนำสำราญนี้ คนที่ถูกล่ามโซ่อยู่อีกห้องหนึ่งคงหิวโหยจนไส้จะขาด
 
“เฮีย” เบย์ตัดสินใจพูด “ขอแบ่งไปให้แสงเทียนกินหน่อยได้ปะ”

เสืออู๋ที่ครองถาดพิซซ่าตวัดสายตามองลูกน้อง

“ฤทธิ์เยอะขนาดนั้นมันไม่หิวหรอก”
 
แล้วก็หยิบพิซซ่ากินต่ออย่างไม่สนใจ ตอนนี้ในถาดเหลืออีกแค่สองชิ้น

เคฟหันไปถามรุ่นพี่ “แสงเทียนคือใคร ไอ้หนุ่มคนนั้นเหรอ?”

เบย์พยักหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่พิซซ่าชิ้นสุดท้ายซึ่งถูกเฮียอู๋หยิบเข้าปากไปเคี้ยวครึ่งหนึ่งแล้ว เขาเริ่มกระวนกระวายใจ เพราะถ้าไม่มีอาหารนี้ก็ไม่มีอะไรให้กินอีก ต้องรอเคฟกลับจากทำงานตอนสามทุ่มโน่นถึงจะได้กินอีกครั้ง แสงเทียนคงทนถึงตอนนั้นไม่ไหวแน่

ในที่สุดลูกน้องหนวดปลิงก็ตัดสินใจฉกพิซซ่าที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจากปากลูกพี่อย่างกล้าหาญ ท่ามกลางความตกใจของเสืออู๋และเคฟ

“อะไรของเอ็งวะ! อย่ามาแย่งข้านะเว้ย เอาคืนมา!”
 
“เฮียกินเยอะแล้ว อ้วนขึ้นมาจะย่องเบาเข้าบ้านคนลำบาก”

พูดจบก็ลุกเดินไปยังห้องฝั่งตรงข้าม โดนเสืออู๋คำรามตามหลังแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะที่จริงเขาก็อิ่มนานแล้ว

 

   
“หิวใช่ไหม กินนี่สิ”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเบย์ที่ถือพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนครึ่งซีก เขายื่นมันให้ผมประหนึ่งนักบุญผู้อารีที่เมตตาขอทานอนาถาข้างถนน  ผมมองเห็นที่ขอบมีรอยฟันด้วย แต่เนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงไส้ตั้งแต่เมื่อวาน จะเป็นรอยฟันหรือคราบน้ำลายของใครก็ช่างแม่งเถอะ

“ขอบคุณนะ” ผมบอกเบย์อย่างจริงใจ

“ไม่เป็นไร”

เขายิ้มและป้อนพิซซ่าใส่ปากให้ ผมอมมันไว้ทั้งหมดจนแก้มตุงแล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ จะได้ไม่อิ่มเร็ว พอกลืนเสร็จแล้วเขาก็หยิบขวดน้ำมากรอกให้อีก

“ขอบคุณจริงๆ” น้ำตาผมเกือบปริ่มด้วยความซาบซึ้ง สิ่งที่เบย์ทำเปลี่ยนนิยามที่ผมมีต่อโจรทั้งโลกโดยสิ้นเชิง

“ไม่เอาน่า พูดขอบคุณบ่อยงี้เราก็เขินแย่สิ” เบย์ยิ้มตาหยี ขัดกับรูปลักษณ์โฉดชั่ว ผมเลยอดไม่ได้ที่จะพูด

“นายดูเหมือนโจรน้อยกว่านายคนส่งเดลิเวอรี่ซะอีก”

“ก็จริง นายพลาดแล้วที่ขอติดรถเขา”

ผมส่ายหน้า ถอนหายใจ “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเดลิเวอรี่จะเป็นโจรได้”

“หมอนั่นชื่อเคฟ อายุยี่สิบ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่อู๋ เคฟเป็นโจรก็จริงแต่ไม่ใช่โจรอย่างเรากับพี่อู๋หรอก เขาเป็นโจรพาร์ทไทม์ ทำงานมิจฉาชีพเฉพาะเวลาว่างเท่านั้น”


แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ?


“ที่เขาเอานายมาส่งคืนก็เพราะนายดันใส่บ็อกเซอร์พี่อู๋ แล้วนายก็รู้ว่าพวกเราเป็นโจรไง... ขืนปล่อยนายไป พวกเราซวยหมู่แน่ๆ” เบย์มีสีหน้าไม่สบายใจ เหลือบมองผมอย่างหวั่นๆ “นายคงไม่หนีอีกแล้วใช่ไหม?”

“ถ้านายคิดว่าเราสามารถหลุดจากโซ่พวกนี้ได้นะ” ผมมองโซ่ทั้งสี่เส้นแล้วถอดใจ ล่ามขนาดนี้ต่อให้เป็นกระทิงก็ดิ้นไม่หลุดหรอก
   
“สมมติว่าหนีได้ล่ะ” เบย์พูด

“เราก็จะไปแจ้งความไง พวกนายต้องถูกจับข้อหาลักพาตัว ทำร้ายร่างกาย กระทำอนาจาร พ่วงคดีกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วย”

หน้าเบย์ซีดเผือดทันที ผมรู้สึกปิ๊งเมื่อเห็นอย่างนั้น หมอนี่น่าจะขี้ใจอ่อน ดูจากการช่วยผมหลายครั้ง ดังนั้นต้องโน้มน้าวให้ได้ บางทีเขาอาจเป็นโอกาสเดียวที่จะช่วยให้ผมหนีสำเร็จ

“แต่ถ้านายช่วยเราหนี เราจะไม่พาดพิงถึงนาย”

“เฮ้ย...” เบย์เบิกตากว้าง นั่นทำให้ผมมีความหวังขึ้นมา

“โทษของพวกนายหนักมากนะ โดยเฉพาะไอ้หัวหน้าหนวดยาว ถ้าตำรวจจับมันได้ พวกเขาจะสาวถึงตัวนายและเพื่อนร่วมแก๊งแบบถอนรากถอนโคน สุดท้ายพวกนายจะถูกจำคุก รู้ใช่ไหมว่าเด็กใหม่เข้าคุกแล้วจะโดนรับน้องยังไง? ก็เหมือนเรื่อง Shawshank Redemption ไงล่ะ”

“...มันเป็นยังไงเหรอ?” เบย์แลดูสงสัย
 
“พูดไปจะหาว่าเราขู่ นายไปดูเองละกัน แต่จะบอกใบ้ให้ว่าไม่โดนซ้อมก็โดน...นั่นแหละ”

ผมยักไหล่ในช่วงท้าย เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ

เบย์น่าจะเดาออกเลยทำหน้าอยากร้องไห้ สายตาส่อแววลังเล

“ช่วยเราเถอะนะเบย์ นายก็เห็นว่าลูกพี่นายทำร้ายเราขนาดไหน สักลายติดตัวอย่างนี้แปลว่าเขาคงไม่เอาไปขายแล้ว... บางทีเขาอาจจะฆ่าเราทิ้งก็ได้”

“เฮ้ย! จริงเหรอ!” เบย์เบิกตากว้าง ปากสั่นๆ

ผมพยักหน้า “ใช่ เขาต้องฆ่าเราแน่ๆ ของมีตำหนิแบบนี้ใครจะอยากซื้อกันล่ะ”

ขณะที่เบย์อ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ดันมีมารผจญขัดขวาง...

“เฮ้ย!!! ไอ้เบย์ ให้อาหารเสร็จแล้วก็ออกไปจากห้องข้าเลย!”
 
ไอ้โจรอู๋ยืนหลังพิงประตูห้อง สองมือเท้าสะเอว สายตาคมจ้องมามาที่ผมกับเบย์อย่างดุดัน ผมยอมรับว่ามันหุ่นดีมากขนาดเฟลมยังเทียบไม่ติด ถึงขั้นเป็นนายแบบได้สบาย และคงเพอร์เฟ็คต์เลยทีเดียว ถ้าตัดหัวทิ้ง

แต่สิ่งที่ทำให้ผมฉุนมากกว่าการปรากฏของมัน ก็คือที่มันใช้คำว่า ‘ให้อาหาร’ กับผมนี่แหละ นี่คนนะไอ้เวร ไม่ใช่ยีราฟ!

“ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” เบย์บอกผมก่อนจะเดินจากผมไปพร้อมกับโอกาสที่หลุดลอย

ไอ้โจรเลวมองมาที่ผมพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“ว่าไง เตรียมรับบทลงโทษบทต่อไปรึยัง”

ฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่มันไม่ต้องการคำตอบ ในเมื่อผมไม่สามารถปฏิเสธได้ บทลงโทษที่ว่าของมันต้องไม่พ้นการข่มขืนแหงๆ และด้วยสภาพของผมตอนนี้ที่ถูกล่ามโซ่สี่เส้นทั้งแขนขา เลยดูเหมือนฉากในหนังเอ็กซ์ BDSM ไม่มีผิด ขาดก็แต่แส้กับเทียนไขเท่านั้นแหละ

ไอ้โจรอู๋นอนคร่อมเหนือร่างของผม แววตาของมันเหมือนเสือหิวกวาง

“ก่อนข้าจะขายเอ็งเร็วๆ นี้ ขอใช้ร่างกายงามๆ ให้คุ้มซักหน่อยเถอะ”

“มึงยังจะเอากูไปขายอีกเหรอ! สักหราเต็มหน้าอกอย่างนี้แล้วใครเขาจะซื้อ!”

“เรื่องอะไรข้าจะให้พวกมันเห็นรอยสักล่ะ ข้าแค่จะส่งรูปหน้าเอ็งให้ดูเท่านั้น ถึงเวลาส่งของข้าก็จะห่อหุ้มเอ็งอย่างดี กว่าลูกค้าจะเห็นรอยสักก็ต้องแก้ผ้าเอ็ง ถึงตอนนั้นข้าก็เผ่นไปไกลแล้ว”

ผมเจ็บใจกับคำว่า ‘ส่งของ’ นี่แปลว่าในสายตาของมันไม่เห็นคุณค่าความเป็นคนของผมเลยสินะ?

ไอ้ชั่วฉีกกางเกงบ็อกเซอร์ซึ่งเป็นสิ่งปกปิดร่างกายเพียงชิ้นเดียวของผมทิ้งอย่างโหดร้าย ก่อนจะปลดประตูป้อมปราการของตัวเองแล้วงัดเอาอาวุธอันน่าเกรงขามออกมา ผมสะดุ้งหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นอาวุธที่ใหญ่เกินจินตนาการและคำอวดอ้างของมัน

แม่งเอ๊ย ใหญ่กว่านี้ก็ขีปณาวุธแล้ว!

ผมหลับตาหันหน้าไปทางอื่น เพราะรังเกียจเกินกว่าจะทนดูได้ มันเอามือกดไหล่ผมยึดติดกับพื้นราวกับกลัวผมดิ้นหนีทั้งๆ ที่ถูกล่ามโซ่จนแทบขยับไม่ได้อยู่แล้ว จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างลูบคลำเรือนร่างโดยเฉพาะบั้นท้าย นั่นทำให้ผมเกิดอารมณ์อย่างไม่ตั้งใจ

“บทลงโทษนี้สำหรับที่เอ็งกล้าเล่นตุกติก ข้าจะทำให้เอ็งปวดเอวลุกไม่ได้สักสามวัน ดูซิยังจะมีปัญญาหนีได้อีกรึเปล่า”

ริมฝีปากที่อยู่เบื้องหลังหนวดสากๆ ของมันจูบพรมหน้าท้องน้อยอันเป็นจุดไวต่อความรู้สึกของผม แล้วเลื่อนขึ้นมาที่หน้าอกที่มีรอยสักอุบาทว์พาดเป็นทางยาว จูบยอดอกสีชมพูและเลียเบาๆ เชิงหยอกเย้า ทำเอาผมเสียวซ่านขนลุกซู่


อย่า แสงเทียน แข็งใจไว้ อย่าเผลอไปมีอารมณ์ร่วมกับมัน!


ไอ้โจรจูบไล่ขึ้นมาที่ไหปลาร้าแล้วจบที่ซอกคอ ทั้งหอมและจูบอย่างหื่นกระหาย เท่าที่สังเกตเหมือนมันจะชอบซุกไซ้ที่บริเวณนี้เป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะอะไร

ริมฝีปากร้อนๆ ของมันนาบลงกับผิวที่ซอกคอของผมหลายครั้ง จูบย้ำๆ จนเกิดเป็นรอยแดง ผมกัดฟันแน่นตลอดกระบวนการเล้าโลมเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องออกมาสักแอะ ส่งผลให้ไอ้โจรผละจากซอกคอแล้วมองหน้าผมอย่างฉงนใจ

“ตายด้านหรือยังไง เล้าโลมขนาดนี้ยังไม่ร้องสักนิด”

“...” ไม่ตอบ

“หึ อยากรู้นักว่าจะทนได้สักแค่ไหน”

พูดจบแล้วมันก็ทำท่าเหมือนจะจูบผม แต่ก็ไม่จูบ เบี่ยงหน้าไปซุกไซ้ซอกคออีกด้าน สงสัยจะรู้ว่าถ้าจูบ ผมกัดลิ้นมันขาดแน่ แต่มันก็แก้เผ็ดผมอย่างเจ็บแสบด้วยการเป่าลมเบาๆ ที่ใบหูของผม ‘ฟู่ว’ เพียงเล็กน้อยก็พัดพาสติของผมให้หลุดลอยไป

สุดท้ายผมก็แพ้

“สวยมาก...”

มันกระซิบแล้วจูบที่หู ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเสียวแปลบเหมือนมีกระแสไฟไหลไปทั่วร่าง

“...น่าเสียดาย”
   
โจรพูดพึมพำเหมือนบอกตัวเอง ผมฟังไม่ชัดว่ามันพูดอะไร

เมื่อปลุกเร้าอารมณ์จนพร้อม มันก็ควักซองฟอยล์ในกระเป๋าหลังกางเกงออกมาฉีกด้วยปากแล้วสวมอย่างชำนิชำนาญ และก่อนที่ผมจะปฏิเสธใดๆ มันก็จ่อแทงตรงทางเข้าแล้ว ผมสะดุ้งเฮือกตัวแข็งเกร็งกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย ความเจ็บปวดกะทันหันราวกับฝันร้ายที่ถูกยัดเยียดเข้ามาให้ ส่งผลให้ผมถีบมันออกไปสุดแรงด้วยสัญชาติญาณ

“โอ๊ย!” โจรหงายหลังก้นกระแทกพื้น “ชอบแบบรุนแรงใช่มั้ย ได้!”

“ไม่ใช่โว้ย กูเจ็บ!” ผมแหกปากลั่น ตัวสั่นสะท้าน

“เคยมีผัวมาแล้วไม่ใช่เรอะ แค่นี้ทำไมเจ็บ”

“มึงรู้ได้ไง!”

“ก็แอบฟังพวกเอ็งทะเลาะกันไงวะ เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่ผัว แต่เป็นเมีย อืมๆ ถ้างั้นก็พอเข้าใจได้ เอ็งยังไม่เคยโดนแทงสินะ ครั้งแรกก็เจ็บงี้แหละ ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

“ไปใหญ่แล้ว!!!”

ผมไม่รู้จะโกรธ เศร้า หรือขำความคิดของมันดี

อย่างไรก็ตามไอ้โจรไม่ละทิ้งปณิธานของตน มันตะปบไหล่ผมไว้อีกครั้งแล้วจับอาวุธจ่อเข้ามาเป็นครั้งที่สอง แต่เข้ามาได้ไม่ถึงห้ามิล ผมก็ดิ้นพราดๆ เหมือนปลาไหลโดนน้ำร้อน จนมันต้องล่าถอยออกไปอีกรอบ

“อดทนหน่อยไม่ได้รึไง!” มันทำเสียงฉุนเฉียว

“มึงไม่มีทางยัดขวดเบียร์ทั้งขวดเข้าไปในจมูกได้หรอก!”
 
ผมตอกกลับอย่างสุดทน ต่อให้ยัดลงก็คงขาดใจตายทั้งคู่กูกับมึง

ทีแรกผมคิดว่ามันจะทำต่อเพราะสันดานโจรย่อมเป็นเช่นนั้น มันไม่สนใจห่าเหวใดๆ นอกจากตัวเอง แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมรู้ว่าแม่งต้องเป็นโจรมือใหม่แหง โจรแท้ๆ ที่ไหนจะยื่นเงื่อนไขให้เหยื่อแบบนี้กัน

“งั้นก็ใช้ปาก” มันว่า

“เอาสิ ของถนัดเลยล่ะ” จะได้กัดแม่งให้ขาด!

แต่ไอ้โจรก็ฉลาดพอจะไหวตัวทัน “ไม่ดีกว่า ข้ารู้เอ็งคิดอะไร”

ในเมื่อไม่สามารถฝืนความต้องการไหว โจรจึงดึงดันไปต่อจนสุดด้วยการปลดล็อกโซ่เส้นหนึ่งที่มือขวาของผม มันออกคำสั่งโดยปราศจากคำพูดผ่านทางสายตาเฉียบคม เท่านั้นผมก็เข้าใจว่ามันต้องการให้ทำสิ่งใด

‘งานมือ’ คือของที่ผมโคตรไม่ถนัด...ไม่ถนัดทำให้คนอื่นน่ะ แต่ตัวเองทำบ่อยอยู่ ก็เพราะผมเหงา แฟนไปเอากับชู้ อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ

พอผมเริ่มทำ มันก็ทำให้ผมเช่นกัน นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เพราะผมไม่เคยให้ใครทำมาก่อน แม้แต่กับแฟนก็เถอะ ปกติเราทำแต่ท่าพื้นฐานเพียงอย่างเดียว นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเบื่อผมด้วยมั้ง เพราะผมแม่งไม่เก่งไม่เร้าใจไง


คิดแล้วก็โคตรเศร้า ใครบอกเซ็กส์ไม่สำคัญกับชีวิตรักวะ? ผมคนนึงล่ะขอเถียงหัวชนเตียงแรงๆ เลย...   


อ้ะๆ กลับมาที่ปัจจุบันกันก่อน

นาทีนี้โลกทั้งใบของผมเทียบได้กับนิ้วมือของโจรแค่สามนิ้ว ขณะที่มือทั้งมือของผมกำโลกของมันเกือบไม่รอบ โจรส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคอบ่งบอกความรู้สึกดี ผมเองก็ร้องด้วยความวาบหวามอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน มือของเราที่เกาะกุมโลกที่ร้อนไม่ต่างกับดวงอาทิตย์ของอีกฝ่ายค่อยๆ เร่งจังหวะจากเนิบนาบไปเร็วขึ้น ผมทั้งเจ็บและรู้สึกดี แรงบีบของมันก็กำลังพอเหมาะ โดยรวมแล้วถือว่าไม่เลว

จะว่าไปก็ไม่ใช่การข่มขืนซะทีเดียว เพราะผมยอมรับว่ามีอารมณ์ร่วมไปกับมันด้วย

แต่เหนือความรู้สึกใด... คือรู้สึกเศร้า

ผมคิดถึงเฟลม...ไม่ได้เชิงโหยหา แต่เชิงตั้งคำถาม

เขาจะรู้สึกแบบเดียวกับผมบ้างไหมตอนที่มีอะไรกับคนอื่น? จะสำนึกผิดจนอยากร้องไห้เหมือนผมรึเปล่า? จะคิดถึงหน้าผมเหมือนที่ผมคิดถึงหน้าเขาหรือไม่ เวลาเอากับใครที่ไม่ใช่แฟนตัวเอง?

ผมไม่รู้คำตอบของเขาหรอก รู้แค่คำตอบของตัวเอง

คือผมรู้สึกแย่ แย่บัดซบ แย่เหี้ยๆ แย่นรกแตกแหกห่า รู้สึกตัวเองเหมือนคนไร้ค่า ขี้ร่านสำส่อน หมดซึ่งความดีงามทุกสิ่งในชีวิต เหมือนหนอนแมลงวันในกองขี้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับความโสมม จมอยู่กับความคาวเน่าไม่มีวันได้กลับไปสู่แสงสว่างอีกแล้ว

แต่บางทีการกระทำครั้งนี้อาจหักล้างกันก็ได้ ในเมื่อเขามีชู้ ผมก็ถูกโจรล่วงเกิน เราต่างก็สกปรกพอกัน จะได้ไม่รู้สึกผิดต่อกันไง

เหอะ... แต่เขาคงไม่แคร์หรอก น่าจะดีใจด้วยซ้ำที่ผมหายไปจากชีวิต จะได้คบกับนายแบบรุ่นพี่สุดฮอตคนนั้นอย่างเปิดเผยซะที ไม่ต้องแอบกินกันเงียบๆ ลับหลังคนอื่นเหมือนเคย เขาเลิกคิดถึงผมตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหันหลังให้ผมวันนั้นแล้ว มีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่ยังเป็นบ้าคิดถึงเขา เฝ้าหวังที่สิ้นหวังว่าเขาจะมาตามหา

จู่ๆ ไอ้โจรก็หยุดการเคลื่อนไหว เอื้อมมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาจับใบหน้าของผมให้หันไปมองมัน

“ร้องไห้ทำไม”

“...” อ้าว น้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย
 
“เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ” มันถาม

“อือ... เจ็บมาก”

หัวใจของผมบีบรัดแน่นเมื่อคิดถึงเฟลมจนน้ำตาไหลออกมาเองอย่างไม่รู้ตัว... แล้วมันก็บีบหนักขึ้นเมื่อถูกไอ้โจรถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มือของมันจับที่ใบหน้าของผมเบาๆ แววตาเศร้าราวกับรู้สึกผิด ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือไม่ว่าท่าทางของมันในตอนนี้แทบจะไม่เหมือนโจรเลวคนเดิมเลย


“ข้าจะไม่ทำให้เอ็งเจ็บ”


“...”

คำพูดของมันทำให้ผมน้ำตาไหลพราก ทั้งที่มันอาจจะหมายถึงการทำให้ผมเจ็บตัวเฉยๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะรู้ว่าผมกำลังเสียใจ 

โจรพาผมไปจนสุดสายปลายทาง ไม่หงุดหงิดแม้ว่าผมจะถึงก่อน ปล่อยให้มันค้างอยู่ฝ่ายเดียว จากนั้นก็โน้มตัวลงมาสอดสองแขนใต้แผ่นหลังและโอบกอดผมไว้ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่ง ลมหายใจผ่อนคลายลง ใบหน้าแนบกันกับผม แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกคันหนวดของมันแล้ว
 
และแปลก... ที่รู้สึกอยากจะให้แขนหลุดจากโซ่


ผมอยากจะกอดมันแน่นๆ สักหนึ่งที







######

คนเขียนเป็นมนุษย์กลางคืน ชอบอัพตอนชาวบ้านหลับกันหมดแล้ว ฮ่อยยย 55555
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านทีี่ตามอ่านกันอยู่นะคะ เอาใจช่วยน้องเทียนไปด้วยกันเนอะ
อยากสกรีมก็ติดแท็ก #แฟนโจร นะฮะ อุอิ =.,=
ฝันดี & อรุณสวัสดิ์จ้า 555

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.3 'WON'T HURT YOU' (25/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-09-2018 07:22:50
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.3 'WON'T HURT YOU' (25/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-09-2018 09:06:05
เป็นโจรที่อึนมาก555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.3 'WON'T HURT YOU' (25/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 25-09-2018 09:38:53
กลุ่มโจรที่แปลก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.3 'WON'T HURT YOU' (25/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 25-09-2018 21:38:11
สงสารน้องงงงงงงงง​ แงไอโจรใจร้าย
เจ็บแทนน้องเลยทำผิวสวยๆน้องเป็นรอย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 26-09-2018 01:46:27
EP.4
โจรมันชั่ว




"มึงน่าจะโกนหนวดบ้างนะ”

ผมพูดขึ้นหลังจากตื่นขึ้นมาในหลายชั่วโมงให้หลัง พบว่าตัวเองนอนเปลือยอยู่บนพื้น มีผ้าห่มคลุมลวกๆ เหมือนนายแบบภาพฮาล์ฟนู้ด ส่วนโจรอู๋นั่งลับมีดสั้นอยู่ข้างประตู 

“ทำไมต้องโกน” มันพูดโดยไม่ละสายตาจากมีดในมือ

“ก็เวลาหอมแก้ม มันคัน จั๊กจี้”

“หึ...ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานเอ็งก็จะไม่โดนหนวดข้าบาดหน้าแล้ว”

“เพราะมึงจะโกนใช่ไหม”

“เปล่า เพราะข้าจะเอาเอ็งไปขายเร็วๆ นี้ไง” มันวางมีดลงแล้วหันมาหาผม “ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ ข้าจะได้ถ่ายรูปเอ็งสวยๆ ส่งให้ลูกค้า”
 
โจรปลดโซ่ที่เท้าของผมออกทั้งสองข้าง แค่นั้นก็ทำให้ผมใจชื้นบ้าง แต่ไม่ปลดโซ่ที่มือ (โซ่เป็นแบบพันล่ามเฉยๆ ไม่มีกุญแจไข ผูกติดอีกด้านกับตะปูข้างฝาผนัง) มันถือโซ่สองเส้นที่ผูกแขนของผมแล้วดึงให้เดินตามอย่างกับจูงหมา

“เดินเร็วๆ สิวะ!” มันหันมาสั่ง กระตุกโซ่จนผมเกือบล้มหน้าทิ่มพื้น

แม่ง...ตัวเองขายาวอย่างกับเสาไฟฟ้าก็ต้องเดินเร็วกว่าผมอยู่แล้วป่ะวะ ยังจะมาด่ากันอีก!

“ข้าบอกให้เดินเร็วๆ!” มันกระตุกโซ่อย่างแรงอีกครั้ง
 
“โอ๊ย! ไหนบอกจะไม่ทำให้กูเจ็บไง!”

“เคยได้ยินคำว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร รึเปล่า?”

“ไอ้...” อยากจะด่า แต่นึกคำที่เหี้ยกว่าคำว่าเหี้ยไม่ออก

“ที่ไม่ทำให้เจ็บ ข้าหมายถึงตอนที่เอากัน นอกนั้นไม่เกี่ยวโว้ย”

ไอ้โจรลากผมไปอย่างโหดร้ายอย่างกับผมเป็นนางเอกละครจำเลยรัก 

ไม่น่าเผลอคิดเล้ยว่ามันเป็นคนดี!!! ยังไงซะโจรก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ! ดีนะที่ไม่เผลอใจอ่อนหวั่นไหว ไอ้อารมณ์อยากจะกอดมันก่อนหน้านี้ก็แค่ดีใจที่มีใครสักคนปลอบใจในยามเศร้าเท่านั้น ผมจะระวังไม่ให้รู้สึกแบบนั้นอีก
 
ห้องน้ำอยู่ด้านในสุดฝั่งซ้ายของชั้นสาม สภาพทรุดโทรมเกินจะบรรยาย ผนังมีแต่หยากไย่ พื้นก็มีแต่ขี้จิ้งจกตกเต็ม ไอ้โจรถีบผมให้เข้าไปข้างในแล้วออกคำสั่งประหนึ่งหัวหน้าค่ายลูกเสือ

“ให้เวลาห้านาที”

“บ้าเหรอ ห้านาทีแค่ขี้ก็ไม่ทันแล้ว!” ผมเหวี่ยงใส่อย่างสุดทน

“งั้นก็สิบนาที เร็วหน่อยเดี๋ยวไม่ทันกินข้าวเย็น”

“โดนล่ามโซ่อย่างนี้แล้วจะให้อาบได้ไง”

“ไม่ได้ก็ต้องได้” มันสั่งเสียงเหี้ยม “หรือจะให้อาบให้?”

“ไม่ต้อง!!!”

ผมปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิดก่อนจะใช้เท้าถีบปิดประตู ไอ้โจรอู๋นั่งรอข้างนอกโดยถือปลายโซ่เอาไว้ มองสภาพห้องน้ำแล้วก็ต้องถอนหายใจเพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากโถส้วม กะละมัง ถังน้ำ แปรงสีฟัน กับสบู่หนึ่งก้อน ทำให้ผมนึกถึงสมัยเรียนร.ด. ตอนมอปลายที่ไปเข้าค่ายในป่า ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย ถ่ายกลางป่า คราวนั้นว่าลำบากเหี้ยๆ แล้ว เจอรังโจรที่นี่เข้าไป ค่ายแม่งกลายเป็นหรูเลยอ่ะจริงๆ

ยืนไว้อาลัยให้ความตกต่ำของชีวิตเสร็จก็นั่งคุกเข่า เอามือสองข้างตักน้ำจากถังราดหัวราดตัวอย่างทุลักทุเล นับเป็นการอาบน้ำที่ลำบากที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ และผมแน่ใจอย่างยิ่งว่าแม้แต่นักโทษในเรือนจำก็คงสุขสบายกว่าตัวเองเวลานี้ซะอีก

เอ๊ะ โซ่โดนสบู่แล้วลื่นกว่าเดิมแฮะ... ครั้งหนึ่งผมเคยแหวนคับนิ้วดึงไม่ออก เลยเอาสบู่ฟอกแล้วดึงมันก็หลุด ไม่แน่ว่าถ้าทำแบบนั้นกับโซ่เวรตะไลที่ผูกข้อมือนี้ก็อาจหลุดเหมือนกัน ต้องลองดู

“ทำไรวะ” ไอ้โจรถามเมื่อโซ่สั่นผิดปกติ

“ขัดขี้ไคล” ผมตอบ

ทันใดนั้นโซ่ก็หลุดจริงๆ พระเจ้าช่วย! หลุดทั้งสองข้างเลย! หึๆๆ คราวนี้แหละกูจะหนีให้ได้ ลาก่อนไอ้โจรชั่ว เตรียมตัวโดนเตะเข้าตะรางเถอะมึ้ง!

ผมเอาสายโซ่คล้องลูกบิดประตูไว้แล้วมองรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ เจอหนึ่งทางคือเพดานที่ผุกร่อน ไม่แน่ว่าข้างบนนั้นอาจจะเชื่อมกับบันไดหนีไฟข้างตึก คิดได้อย่างนั้นผมก็เปิดน้ำใส่กะละมังเสียงดังๆ ไม่ให้โจรรู้ แล้วเอาถังน้ำวางบนชักโครก ก่อนจะขึ้นเหยียบแล้วไต่ผนังแสนโสโครกขึ้นไปสู่ข้างบน

ฝ้าเพดานทำจากแผ่นยิปซัมซึ่งผ่านมาสิบแปดฝนสิบแปดหนาวร้าวหัวใจสิ้นดี (พี่เสกก็มา) ชำรุดจนเปิดออกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่แงะเบาๆ ผมจับไม้คานไว้แล้วดันตัวเองขึ้นมาด้านในช่องโหว่เพดานได้สำเร็จ ข้างในนี้ฝุ่นเยอะมากจนเกือบจาม แต่กลั้นไว้สุดฤทธิ์ทำเอาน้ำตาคลอ มองไปเห็นแสงสว่างอยู่ห่างไปราวสิบเมตร ต้องเป็นทางหนีไฟแน่ๆ

ผมเกาะผนังเดินไปถึงแสงสว่างนั้น และก็เป็นอย่างที่คิด...มันคือบันไดหนีไฟจริงๆ คราวนี้ไม่มีพลาด ผมจะไม่ยอมให้ใครหาว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด!!!

ในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย สองมือเอื้อมจับราวไว้มั่น จากนั้นค่อยๆ ปีนลงไปเบื้องล่างอย่างระมัดระวัง รู้สึกหนาวยามลมพัดเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แต่ช่างแม่งเถอะ ค่อยไปหาเอาข้างหน้าก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือหนีให้รอดก่อน   

ปีนลงมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงชั้นหนึ่ง ทันทีที่เท้าแตะพื้นก็รู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ หัวใจฮึกเหิมเมื่อรู้มาได้ครึ่งทางแล้ว ผมใช้แสงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาตามรอยแตกของผนังเป็นเครื่องส่องทางระหว่างหาทางออก

ในเมื่อตอนนี้มีแต่ตัวเปล่าไร้กุญแจ ก็คงต้องหาทางอื่นที่ไม่ใช่ประตู...

โชคดีที่หน้าต่างทุกบานเป็นไม้ และโชคดียิ่งกว่านั้นที่ส่วนใหญ่โดนปลวกแทะจนผุกร่อน ผมสุ่มเลือกเอาบานหนึ่งแล้วรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักมันให้เปิดออก จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ปะทะใบหน้ากับพระจันทร์เต็มดวงเด่นเป็นเหมือนเครื่องหมายแห่งชัยชนะ

ผมเกาะขอบหน้าต่าง ดันตัวเองขึ้น ใช้เท้าข้างหนึ่งยันผนัง อีกข้างก้าวขึ้นมาเหยียบข้างบนก่อน แต่ขณะที่กำลังจะยกขาอีกข้างขึ้นมาก็มีมือเย็นๆ จับข้อเท้าไว้ ผมตกใจจนเกือบพลัดตกหน้าต่าง ค่อยๆ หันไปมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ

สิ่งที่เห็นทำให้สติหลุดในทันใด...

มันคือใบหน้าขาวโพลนของผู้ชายคนหนึ่ง ดวงตาเหลือกโตที่จ้องมองมาซีดจนไม่รู้ว่าเป็นสีฟ้าหรือขาวกันแน่ ริมฝีปากไร้ซึ่งเลือดฝาด มีหนวดหนึ่งหย่อมใต้จมูกเหมือนฮิตเลอร์


เห็นแค่หัว... ตัวไม่มี


“จะ... ไป... ไหน... เหรอ...”

ผีพูดเสียงยานคางและดึงขาของผมลงจากหน้าต่าง ส่งผลให้ผมเสียการทรงตัวร่วงลงมาข้างล่างหัวฟาดพื้น แล้วทุกอย่างก็มืดมิด เช่นเดียวกับความหวังในการหลบหนีของผมที่ดับลง





อีกด้านหนึ่ง

เวลานี้เที่ยงคืนหนึ่งนาที แต่ยังไม่มีวี่แววว่าแสงเทียนจะกลับมา เฟลมจึงไปที่โรงพักอีกครั้งเพื่อแจ้งความ คราวนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เห็นหน้ามึนๆ ของหมวดคนนั้นอีก เฟลมรู้สึกเหมือนเขาไม่เต็มใจรับใช้ประชาชนเอาซะเลย พาลให้นายแบบหนุ่มไม่ถูกชะตาไปด้วย

“คุณตำรวจครับ ผมมาแจ้งความคนหาย”
 
สุดหล่อเข้าไปที่โต๊ะแจ้งความ เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หมุนโต๊ะหันหน้ามาดู ปรากฏแก่สายตาเฟลมว่าเป็นหมวดรักษ์คนเดิม กำลังอ่านนิยาย ‘อย่าเรียกฉันว่านังแพศยา’ ปกสีชมพูจี๊ดจ๊าดชวนแสบตาตัดกับรูปดอกไม้สีทองแวววาวบนหัวของนางเอก

“คุณอีกแล้ว” หมวดเลิกคิ้ว

“ใช่ ผมอีกแล้ว” เฟลมนิ่วหน้า รู้สึกผิดหวังและรำคาญตงิดๆ “เลยยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว รับแจ้งได้รึยัง”

“อืม เขายังไม่กลับมาสินะ โอเค” หมวดเซ็นเอกสารในแฟ้มด้วยลายมือไก่เขี่ยเหมือนไม่ใส่ใจ ทำเอาเฟลมฉุนเล็กน้อย


บริการชุ่ยแบบนี้ ลาออกไปขายปุ๋ยแทนก็ได้นะ!


“พวกคุณจะเริ่มตามหาเมื่อไหร่” ถามอย่างร้อนใจ

“เราต้องตั้งทีมสืบสวนขึ้นมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีตำรวจคนไหนว่างเลยนอกจากผมกับจ่าตะวัน แต่จ่าตะวันยังไม่หายป่วย อย่างเร็วสุดอาจจะเป็นมะรืนนี้ หรือพรุ่งนี้ของมะรืนนี้”

“อะไรนะ!!!” เฟลมทุบโต๊ะ ตะโกนเสียงดัง “เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ คุณรู้ไหมว่าผมทุกข์ใจแค่ไหน! ผมหวังว่าพวกคุณจะเป็นที่พึ่งให้ผมได้ แต่นี่อะไร ทั้งเย็นชาและช้ามาก!!!”

“อย่ามาโวยวาย” หมวดรักษ์กระแทกสันหนังสือใส่โต๊ะดังปึง ดวงตามึนๆ เปลี่ยนเป็นขึงขังน่าเกรงขาม “ผมเข้าใจว่าคนที่มาแจ้งความเขาทุกข์ร้อนกันทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจระบบของเรา ไม่ใช่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ งานของเราต้องใช้ความรอบคอบสูง และผมไม่สามารถทำตัวคนเดียวได้ เราต้องทำทุกอย่างไปตามกระบวนการ ขอให้เข้าใจด้วย”

เฟลมกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ

“กรอกข้อมูลให้ครบ”

หมวดยื่นเอกสารร้องทุกข์ให้ อดีตนายแบบกรอกจนครบแล้วส่งคืน หมวดรักษ์มองนาฬิกาแล้วลุกจากเก้าอี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ตำรวจอีกคนเข้ามานั่งแทนที่

“หมดเวรผมพอดี ต้องไปแล้ว เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่เราจะติดต่อกลับไปหาคุณ สวัสดี”

“อ้าว เฮ้!”

หมวดรักษ์เอาหนังสือหย่อนลงกระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เฟลมมองตามด้วยความรู้สึกแย่สุดบรรยาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกออกจากโรงพัก แล้วนั่งลงที่ม้านั่งข้างถนนอย่างหมดอาลัยตายอยาก สองมือกุมขมับ ก้มหน้าเครียด
 
วันนี้ทั้งวันเขาไม่ได้ทำเพียงแค่อยู่นิ่งๆ รอแสงเทียนกลับมาที่ห้อง แต่ทำหลายอย่างทั้งขอดูกล้องวงจรปิดทุกตัวของอพาร์ทเม้นต์และบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งเดินตามหาทุกที่ที่คิดว่าแสงเทียนจะไป โทรหาทุกคนในบัญชีรายชื่อมือถือของแฟน (ยกเว้นพ่อกับแม่แสงเทียน กลัวพวกท่านจะหัวใจวายก่อน) แต่ก็ต้องผิดหวัง ไม่มีใครรู้ข่าวของแฟนเขาเลยสักคน แสงเทียนหายไปเฉยๆ เหมือนน้ำระเหยตอนโดนแดด เผลอแป๊บเดียวก็เหลือแต่อากาศ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้สักอย่าง

เฟลมเหนื่อยแทบขาดใจ สภาวะตอนนี้ยิ่งกว่ามืดแปดด้าน คิดว่าอาจเป็นเวรกรรมคืนสนอง เบื้องบนคงลงโทษที่เขานอกใจ เพราะถ้าแสงเทียนเป็นอันตรายใดๆ ขึ้นมา ตราบาปนี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

ครู่ถัดมาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่น เฟลมสะดุ้งเฮือกรีบรับสายโดยไม่แม้แต่จะมองชื่อด้วยซ้ำ

“ฮัลโหล เทียน!”

[อะไรกันเฟลม นี่พี่เอง คืนนี้นายว่าง...]

“ไอ้เหี้ย!!! อย่าโทรมาอีกนะโว้ย!!!”   

ทันทีที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ชายหนุ่มก็ขว้างมือถือราคาแพงที่ปลายสายเป็นคนซื้อให้ลงกับพื้นอย่างแรงจนแตกกระจาย ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องกระเด็นไปคนละทิศทาง
 
“เหี้ย... แม่งเหี้ย!”

เฟลมเหยียบซ้ำจนหน้าจอแหลกละเอียดคาเท้า
 
...ไม่ต่างกับหัวใจของเขาในตอนนี้เลย





เสืออู๋ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากชั้นล่างสุด เสียงนั้นคุ้นๆ เหมือนเสียงของคนที่ตนเพิ่งจับมา แต่จะเป็นไปได้ไงในเมื่อคนๆ นั้นกำลังอาบน้ำอยู่... หรือว่ามันหนีอีกแล้ว?

คิดได้อย่างนั้นก็ถีบประตูเปิดออก พลันก็ใจหายเมื่อไม่เห็นคนอยู่ข้างใน ปลายสายโซ่ที่เคยล่ามเหยื่อคล้องไว้กลอนประตู ถังน้ำวางอยู่บนชักโครก ฝ้าเพดานเปิดอ้า ผนังมีรอยมือรอยเท้าบ่งบอกการปีนป่าย เมื่อนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าเต็มเปา

โจรหนุ่มรีบวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขายาวๆ ของเขาจะทำได้ จากนั้นมุ่งหน้าไปที่ประตูด้านหลังเพราะคิดว่าแสงเทียนคงหนีไปทางนั้น แต่ยังไม่ถึงประตู สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างขาวบอบบางนอนแผ่หลาไม่ได้สติอยู่บนพื้น แบบเดียวกับที่เขาเห็นครั้งแรกในอพาร์ทเม้นต์
 
ทว่าหนุ่มน้อยไม่ได้อยู่ลำพัง มีตัวอะไรบางอย่างนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย

“เฮ้ย ผี!!!” โจรหนุ่มสะดุ้งเมื่อใบหน้าขาวเผือดหันมามอง
 
“อ้าว... เฮีย” หน้าขาวทักด้วยเสียงยานคางเหมือนเพิ่งตื่นนอน เพิ่มความหลอนเป็นสองระดับ “ผมเอง ไม่ใช่ผี”

“ไอ้เล็ก!!! โธ่!!! ไม่ใช่ผีก็เหมือนผีนะมึง กูตกใจหมด!”

โจรอู๋สบถลั่น เอามือทาบอกอย่างโล่งใจเมื่อรู้ว่าคนๆ นั้นคือลูกน้องโจรอีกคน แต่เป็นคนที่เขาเกือบลืมไปแล้วเพราะมันเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด แถมยังชอบใส่เสื้อผ้าสีดำจนเห็นแต่หน้าขาวลอยเหมือนผี

พอหายตกใจก็นึกขึ้นได้

“เฮ้ย! มึงอย่ามอง อย่าแตะต้องเขา ถอยออกมาห่างๆ เดี๋ยวนี้!”

โจรสั่งเสียงดังพร้อมกับชี้นิ้วใส่ลูกน้อง โจรเล็กทำหน้างง เขาเลยผลักออกไปแล้วเอาตัวเองบังร่างเปลือยของแสงเทียนไว้ มือใหญ่หยิบผ้าขี้ริ้วแถวนั้นมาพันร่างกายท่อนล่างของหนุ่มน้อยก่อนจะอุ้มขึ้นจากพื้น

“เขาเป็นใครเหรอเฮีย” ลูกน้องถาม ทั้งที่รู้คำตอบจากรอยสักติดหน้าอกนั้นแล้ว แต่แค่อยากแน่ใจ

“ข้าจับมาจะเอาไปขาย” ลูกพี่บอก

“อ๋อ มิน่าล่ะถึงหนี” ลูกน้องพยักหน้า “เขากล้าบ้าบิ่นมากเลยเนอะ ปีนบันไดหนีไฟลงมาจากชั้นสามแน่ะ ถ้าผมไม่ออกมาเจอ ป่านนี้คงหนีไปได้แล้ว”

“...ไอ้ตัวแสบ” โจรอู๋แยกเขี้ยวใส่คนตัวเล็กในอ้อมแขน “ขนาดล่ามโซ่ไว้ยังจะหนีได้ เดี๋ยวคงต้องเอามัดติดเสาตอกตะปูซะแล้ว”

“เฮีย...” ลูกน้องตาโตหรี่ตาลงอย่างเพลียจิต “โซ่ที่ล่ามร่างกายจะหนาแค่ไหน ถ้าคนอยากจะหนีมันก็หนีได้ แต่โซ่ที่ล่ามหัวใจ แม้จะมองไม่เห็น แต่มันจะผูกไว้จนหนีไม่พ้น เชื่อผมสิ”

“...”

ลูกน้องกับลูกพี่มองตากัน ฝ่ายหนึ่งมีดวงตากลมใหญ่ใสแจ๋วเหมือนลูกแก้ววิเศษที่มองคนอื่นออกตั้งแต่แวบแรกและสามารถจับผิดได้อย่างง่ายดาย ผิดกับอีกฝ่ายที่แม้จะมีดวงตาดุดันทรงพลัง แต่ความสามารถในการโกหกต่ำเตี้ย แววตาล่อกแล่กส่อพิรุธชัดเจน

“พูดพล่ามอะไรของมึง ไม่มีอะไรก็กลับห้องไปได้ละ”

ลูกพี่หลบตาและโบกมือไล่ชายชุดดำ ก่อนจะอุ้มร่างของแสงเทียนเดินขึ้นบันได ทว่าลูกน้องที่อยู่ข้างหลังร้องบอก

“เมื่อกี้เขาหัวฟาดพื้นคงจะเจ็บน่าดู ทายาให้เขาด้วยนะเฮีย”

“เออๆ!” ตอบแบบขอไปที

ลูกน้องมองตามหลังลูกพี่และยิ้มกริ่มเหมือนรู้ดี พอร่างสูงหายลับตาไป เขาก็กลับเข้าห้องของตัวเอง



โจรเล็ก หรือ ‘อเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์’ หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน อายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งโจร ตำแหน่งอาชญากรคอมพิวเตอร์ สมาชิกคนเดียวในแก๊งที่ไม่ออกภาคสนาม แต่ทำงานในห้องมืดๆ ที่ชั้นหนึ่ง งานประจำคือเจาะแฟ้มตำรวจ ดัดแปลงลายนิ้วมือของผู้ร้ายไม่ให้ตรงกับคนในแก๊ง (กรณีเผลอทิ้งไว้) ตำรวจจึงไม่สามารถจับพวกเขาได้

นอกจากนี้ยังเป็นคนเลือกหาสถานที่ในการก่อเหตุกับสถานที่กบดานในแต่ละครั้ง รวมทั้งเป็นนักบัญชี จัดการเรื่องเงินอย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อไม่ให้ใครในแก๊งได้เปรียบเสียเปรียบกันด้วย
 
พูดได้เลยว่าเขานี่แหละมันสมองของแก๊งที่แท้จริง ถ้าไม่มีเขา ไอ้สามคนที่เหลือคงอยู่ในคุกนานเป็นชาติแล้ว

โจรเล็กเป็นคนไอคิวสูงปรี๊ด ฉลาดเป็นกรด แต่ขาดโอกาสในชีวิตทุกด้าน เขาถูกทิ้งในถังขยะตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงๆ สิ่งเดียวที่ติดตัวคือจดหมายของแม่ที่บอกว่าพ่อคือใคร ทว่าพอตำรวจสืบหากลับพบว่าพ่อเขาเป็นอาชญากรหลบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย แถมกว่าจะเจอตัวก็ถูกศัตรูเป่ากบาลดับคาห้องพักซะงั้น อีกทั้งพ่อยังเป็นคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครยอมรับเลี้ยงเด็กตาดำๆ อย่างเขาด้วย

เหตุนี้เด็กทารกอนาถาจึงถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และอยู่ในนั้นจวบจนอายุสิบแปดแล้วทางสถานฯ ก็ให้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อเล็กซ์เรียนมหา’ลัยเปิดแห่งหนึ่ง ไม่ได้เข้าเรียน แต่ทำงานแลกค่าจ้างขั้นต่ำอยู่เกือบสามปี ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่มีเงิน อีกทั้งยังต้องส่งเสียทางสถานฯ บ้านเก่า เนื่องจากจำนวนเด็กกำพร้าในบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี แม่ๆ ของเขาเลยมีภาระมากขึ้น รอเงินสนับสนุนจากรัฐอย่างเดียวไม่ไหว
 
อเล็กซ์ทำงานทุกอย่างตั้งแต่พนักงานร้านสะดวกซื้อ รับจ้างแปลเอกสาร สอนพิเศษเด็กนักเรียน แต่ไม่ว่าทำยังไง เงินที่ได้มาก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ดี เคยตกอับถึงขั้นนอนวัดและขอข้าวพระกิน จนบางครั้งนึกโกรธโชคชะตาของตัวเองที่น่าจะตายซะตั้งแต่ถูกทิ้งในถังขยะ จะได้ไม่ต้องรับรู้ความยากลำบากของโลกใบนี้
 
จนกระทั่งได้พบกับเบย์เมื่อหกเดือนก่อนในร้านเหล้าที่เขาเป็นเด็กเสิร์ฟ เห็นเบย์ฉกกระเป๋าชาวบ้านต่อหน้าต่อตา เลยคว้าคอไว้จากข้างหลัง ตอนนั้นเบย์ตกใจ คิดว่าจะโดนต่อยและส่งตำรวจ

แต่เปล่า...อเล็กซ์ขอส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง แลกกับที่จะไม่แจ้งความ เบย์ทั้งงงทั้งดีใจ แต่ก็ตกลง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ

พวกเขาทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี อเล็กซ์เลือกเหยื่อ ชี้เป้า เฝ้าต้นทาง ส่วนเบย์ลงมือทำ ช่วงนั้นเงินลูกค้าในร้านหายทุกวันโดยเจ้าตัวไม่รู้รวมแล้วเกือบหนึ่งแสน เป็นเวลาสามอาทิตย์ก่อนที่อเล็กซ์จะตัดสินใจว่าเงินเพียงครึ่งเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เขาต้องการมากกว่านั้น เบย์จึงชวนให้เข้าแก๊งด้วยกันเป็นโจรเต็มตัว จากนั้นชีวิตของอเล็กซ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นโจรเล็กเช่นทุกวันนี้

แต่ความจริงที่เจ้าตัวคิดก็คือเขามีเลือดโจรของพ่อตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก แค่มันเพิ่งจะฉายแววตอนโตนี่เอง

อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์มาเป็นโจรอย่างมีเป้าหมาย เขามีอุดมการณ์แรงกล้าที่จะเก็บเงินสร้างบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่เพียงพอต่อน้องๆ หลายสิบชีวิตของเขา และไว้เป็นเงินทุนการศึกษาในภายภาคหน้าของเด็กๆ ด้วย เพราะเขาไม่อยากให้น้องๆ มีชีวิตลำบากหรือกลายเป็นปัญหาสังคม เขาเชื่อว่าต้องทำได้แน่ ถ้าหากไม่ถูกจับซะก่อนน่ะนะ

เช่นเดียวกับสมาชิกในแก๊งที่มีจุดประสงค์แตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันคือ ‘อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น’ และเงินคือคำตอบของทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ

แต่กว่าจะหาเงินเองได้มันไม่ง่าย เลยขโมยจากชาวบ้านแทน ง่ายกว่าเยอะ

เรื่องราวก็เป็นอย่างนี้แหละ...
   




เมื่อมาถึงห้อง เสืออู๋ก็วางร่างบอบบาง บอบช้ำ และเขรอะฝุ่นของแสงเทียนลงกับพื้นแล้วปาดเหงื่อเล็กน้อยตามไรผมกับกรอบหน้าหนาหนวดของตน

เห็นตัวผอมๆ แบบนี้หนักไม่ใช่เล่น เมื่อวันก่อนตอนแบกใส่กระสอบมาว่าลำบากแล้ว วันนี้ก็ยังต้องอุ้มเดินขึ้นบันไดมาตั้งสามชั้น ต่อให้เป็นโจรตัวใหญ่ร่างกายแข็งแรงก็หืดขึ้นคอกันบ้าง

โจรหนุ่มนั่งลงตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า ปัดหยากไย่ออกจากผมแล้วเปิดหน้าม้าขึ้นดู เห็นหน้าผากปูดโนเป็นสีแดงๆ ก็ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี

ยาสามัญประจำบ้านมีเพียงอย่างเดียวคือยาหม่อง เขาเอื้อมไปหยิบมาทาที่แผลตรงหน้าผากของหนุ่มน้อยอย่างเบามือ คนที่ถูกทายาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ตื่น... คงจะแสบเฉยๆ

โจรยิ้ม

หมับ...

มือบอบบางของคนที่นอนอยู่จับมือใหญ่ที่กำลังทายาให้ตนเบาๆ ทำเอาเจ้าของมือใหญ่ตกใจ กลัวจะทำคนเจ็บตื่น แต่ที่กลัวกว่าคือจะหาคำแก้ตัวไม่ได้ว่าทำไมต้องทายาให้ ทั้งที่เป็นคนทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายสารพัดแท้ๆ

ทว่าคนเจ็บก็ไม่ตื่น แค่ละเมอเท่านั้น

“อย่าไปนะเฟลม....”

น้ำเสียงหวานๆ จากริมฝีปากบางกระแทกหัวใจของชายหนุ่มที่จ้องดูอยู่อย่างจัง... แม้มันจะฟังดูเศร้า และชื่อนั้นจะไม่ใช่ชื่อเขาก็ตาม แต่กลับรู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด

“...เฟลม”

แสงเทียนน้ำตาไหล เสียงสั่นน้อยๆ แต่จับมืออีกฝ่ายแน่นมากขึ้น

“อย่าร้องสิ”

เขาพูดเบาเกือบเป็นกระซิบ แต่แสงเทียนก็ยังคงร้องต่อไป ไม่รับรู้สิ่งใดที่อยู่นอกความฝัน

เสือหนุ่มโน้มตัวลงไปใกล้ อยากจะเช็ดน้ำตาให้ ทว่าก็ชะงักไว้เพราะกลัวฝ่ามือหยาบกระด้างแข็งกร้าวของตนจะบาดผิวจนหนุ่มน้อยระคายเคืองและตื่นขึ้นมาได้ เลยเคลื่อนตัวกลับไปข้างหลังเช่นเดิม


ไอ้เฟลมนั่นเป็นคนที่ทำให้เอ็งร้องไห้ใช่ไหม

ก็แล้วจะคิดถึงมันอีกทำไมเล่า...





รุ่งเช้า

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บหัว เอามือแตะหน้าผากดูก็ต้องร้องโอ๊ยเพราะหัวโนเท่าลูกมะนาว คงเป็นตอนตกหน้าต่างหัวฟาดพื้นเมื่อคืนแหงๆ มองรอบตัวเห็นว่ายังอยู่ห้องเดิม แสดงว่าหนีไม่รอดอีกครั้งหนึ่งแล้ว เย่ (ประชด)

แต่แปลกจัง ทำไมผมไม่ถูกมัด ไม่ถูกล่ามโซ่?!

“ฟื้นซะที สลบนานฉิบหาย” เจ้าของห้องที่กำลังนั่งตัดเล็บเท้าหน้าประตูพูดจิกกัดผมทันที 

“นี่มันอะไร ทำไมไม่มัดกูล่ะ” ผมถามอย่างมึนงง หันไปข้างตัวก็เห็นถุงเสื้อผ้าใหม่หลายชุด “แล้วเสื้อผ้าพวกนี้คือ?”
 
“ซื้อมาให้” โจรตอบห้วนๆ สายตาจ้องอยู่ที่เล็บเท้าตัวเอง “ที่ไม่มัดก็เพราะเอ็งคงจะหาทางหนีอยู่ดี เขาว่ายิ่งขังหมา หมายิ่งอยากออกจากกรง ข้าก็เลยเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ”


เปรียบเทียบได้ลึกซึ้งมาก


ผมก้มมองดูสภาพตัวเองแล้วก็แปลกใจอีกเพราะไม่ได้สกปรกเหมือนเมื่อคืน ดมๆ ดูก็หอมกลิ่นสบู่ด้วย

“อาบน้ำให้ใหม่เมื่อคืน” โจรบอกอย่างรู้ทัน “แต่เอ็งก็หลับได้หลับดี ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกสวนทวารตั้งสามรอบ”

“...!!!”
 
“ล้อเล่นน่ะ”

“...” เกือบด่าเป็นภาษาเหนือสำเนียงเชียงรายแล้วเชียว

“ตื่นแล้วก็ดี จะได้ถ่ายรูป”

ตัดเล็บเท้าเสร็จมันก็หันตัวมาทางผมตรงๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าว่าหนวดของมันดูบางตาลง

“ถ่ายรูปให้ลูกค้าดูน่ะเหรอ” ผมถาม ใจแอบหวั่นวิตก
 
“ใช่ แต่ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ถ่ายเอ็งทั้งๆ ที่โป๊หรอก เสื้อผ้าในถุงน่ะเลือกใส่เอาสิ”

“...อือ”

ผมพยักหน้าอย่างจำใจแล้วเปิดดูถุงเสื้อผ้า มีครบทั้งชั้นใน เสื้อ และกางเกงอย่างละสามตัว แบรนด์เนมซะด้วย ตัวละตั้งหลายร้อยแน่ะ สงสัยฝากนายเดลิเวอรี่ซื้อมั้ง ผมเลือกออกมาใส่ให้เสร็จๆ ไป
 
ผมรู้ว่าทำไมไอ้โจรถึงไม่ล่ามโซ่แถมซื้อเสื้อผ้าให้ ไม่ใช่ว่ามันใจดีสงสารผมหรอก แต่มันกำลังจะขายผมจริงๆ แล้วต่างหาก เสื้อผ้าพวกนี้ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ลูกค้าจะได้เห็นว่าผมดูดีมีชาติตระกูล ไม่ใช่ถูกทารุณเหมือนสัตว์ ที่มันทำก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ ไม่ใช่เพื่อผม

ใส่เสร็จไอ้โจรก็หยิบมือถือขึ้นมา โอ้โห ใช้รุ่นใหม่ล่าสุดที่แบมบี้วงก็อตจักรพันธ์เป็นพรีเซนเตอร์ด้วยนะแก (ขโมยมาอีกชัวร์) แล้วสั่งให้ผมยืนชิดผนังห้อง

"ยิ้มสวยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ”
 
มันสั่ง ผมก็ยิ้มแบบฝืนๆ

“ดูเฟคมาก ยิ้มออกมาจากใจสิวะ”

“คนจะโดนขายตัวเขายิ้มกันออกรึไง!” ผมสวน

“เรียนออกจะสูง เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้”

“มันเกี่ยวกันตรงไหนวะ!?”

เกลียดฉิบหายไอ้คำพูดพวกนี้ เรียนปริญญาตรีไม่ได้แปลว่าต้องทำได้ทุกอย่างครอบจักรวาลนะเว่ย นี่คนครับไม่ใช่ซูเปอร์แมน!

“ต้องทำ ไม่งั้นไม่ให้แดกข้าว”

มันลั่นคำประกาศิตที่รู้ว่าผมไม่กล้าปฏิเสธ ซึ่งก็จริง เริ่มแสบท้องละเนี่ย

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลอกตัวเองว่าคนตรงหน้าคือญาญ่าคนสวย ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างหวานหยาดเยิ้ม แววตาเป็นประกายวิ้งๆ ใส่กล้อง ยิ้มหวานขนาดนี้ถ้ามันยังติอีกล่ะก็ ผมยอมไม่แดกข้าวเลยอ่ะ
 
“เออ แบบนี้ดิ” ไอ้โจรว่าแล้วกดถ่ายสามครั้งติดกัน

“จะเอากูไปให้ลูกค้าตอนไหน” ผมถาม จะได้เตรียมใจทัน

“ข้าต้องดูก่อนว่าลูกค้าคนไหนให้ราคาเอ็งสูงที่สุด คงไม่เกินสามสี่วัน เดี๋ยวเอ็งก็เป็นอิสระ”
 
“อิสระ...” ผมทวนคำของมันอย่างขมขื่น

อิสระจากมึงก็จริง แต่หลังจากถูกลูกค้าบ้ากามปู้ยี้ปู้ยำหนำใจแล้วชีวิตกูจะเป็นยังไงต่อไป? โดนฆ่าหรือเอาไปขายเป็นทอดๆ? หรือต่อให้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนปกติ ประวัติก็คงด่างพร้อยย่อยยับ สังคมไม่ยอมรับอยู่ดี ไม่มีหรอกอิสระที่มึงว่าน่ะ นอกจากความตายเท่านั้นแหละ
 
โจรออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมกับจานข้าวยื่นให้ผม

“แดกซะ”
 
ปรากฏว่าเป็นข้าวคลุกน้ำปลา ดูแล้วอนาถยิ่งกว่าข้าวหมา แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน ผมรับมาจากมือมันและถือมานั่งกินห่างๆ

ก่อนตักข้าวเข้าปากผมหันไปบอกมันอย่างโคตรจะจริงใจ

“ขอบใจนะ”

“อือ”

ผมกินข้าว ส่วนมันก็ก้มหน้ากดมือถือ คงกำลังส่งรูปผมให้ลูกค้า

เอาเหอะวะ กูก็อยากรู้ว่าชีวิตนี้จะเฮงซวยได้ถึงขีดสุดแค่ไหน!




...

ขณะที่คนหนึ่งกินข้าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง อีกคนก็ซ่อนรอยยิ้มไว้เบื้องหลังหนวดครึ้ม เขาเลื่อนดูรูปภาพที่เพิ่งถ่ายไปหมาดๆ แล้วเลือกภาพที่ดูดีที่สุด แต่ก็เลือกไม่ได้สักทีเพราะดูดีเกินกว่าจะมีอยู่จริงทุกรูป

หนุ่มน้อยหน้าหวาน ผมสีน้ำตาล ยิ้มตาเป็นประกาย

คงจะมีแค่นางฟ้าเท่านั้นที่จะงดงามเทียบเท่าคนๆ นี้


ตั้งค่า -> ใช้เป็นวอลเปเปอร์หน้าจอ -> ตกลง


“หึๆ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแล้วหย่อนมือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม




TBC...
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-09-2018 02:50:23
จ้า!!!! พ่อโจรปากแข็ง
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-09-2018 06:41:48
ขำโจร ชอบเขาเข้าซิก็เทียนน่ารักนิ
อยากรู้ภูมิหลังของโจรทำไมมาเป็นโจรจากรูปกายผิวพรรณไม่น่าจะลำบากมาก่อนนะ :hao4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 26-09-2018 07:53:01
สงสารเทียนมากนะ แต่ทำไมขำไอ้แก้งค์โจรนี่ก็ไม่รู้  :jul3: :m20:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 26-09-2018 09:00:08
เทียนน่าสงสารนะ
แต่บางทีน้องก็ฮาเว่อร์ ขำ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 26-09-2018 11:27:44
พี่โจรเอาตังไปทำอะไรเนี่ย
ขโมยได้ตั้งเยอะ แต่ความเป็นอยู่น่าสงสารมาก  :hao3:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kumamon_Kung ที่ 26-09-2018 14:04:06
เอ๊ะ ยังไงๆ ชอบน้องเค้าแล้วหรอจ๊ะ น้องน่ารักมากใช่มั้ยล่ะ  :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-09-2018 18:45:24
555 อีโจรเหี้ย เอารูปเทียนเป็นวอลเปเปอร์ซะงั้น ตกหลุมรักเทียนแล้วสิ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.4 'โจรมันชั่ว' (26/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-09-2018 00:30:36
อิหยังนิโจรอู๋! สรุปแค่แกล้งน้องเทียนเหรอ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 27-09-2018 15:15:00

5
เริ่มต้นการสืบสวน




วันต่อมา

เฟลมเพิ่งซื้อมือถือใหม่หลังจากอันเก่าที่พี่มาร์คซื้อให้พังยับเยินไปแล้ว แต่มันดูไร้ความหมายเมื่อไม่มีใครโทรหาเขาเลยแม้แต่สายเดียว... ที่จริงก็มีอยู่ คือผู้จัดการโทรมาไล่เขาออกโทษฐานทำร้ายหัวใจพี่มาร์ค

ก็ดีเหมือนกัน! เขาไม่อยากเป็นชู้กับมันอีกแล้ว ความรู้สึกผิดที่มีต่อแสงเทียนกัดกินใจเขาจนเจ็บช้ำเกินรับไหว แม้ว่าการกระทำนี้จะเทียบเท่าการทุบหม้อข้าวตัวเอง คือไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในวงการต่อไปได้เพราะไอ้มาร์คใหญ่มาก มันต้องตามระรานเขาจนไม่ได้ผุดได้เกิดแน่ๆ

แต่เฟลมไม่แคร์ ตอนนี้ขออย่างเดียวคือให้เจอแสงเทียนเป็นพอ


ติ๊งๆๆ!!!

 
เฟลมตกใจเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์สายเข้า เบอร์ไม่คุ้นแต่ก็รับ เพราะหวังว่าอาจเป็นแสงเทียน เขาอาจใช้ตู้โทรศัพท์โทรมาก็ได้

“ฮัลโหล” ชายหนุ่มรับสาย

[คุณเปรมประกิตต์ใช่ไหมครับ] เสียงทุ้มเกือบจะคุ้นหูเอ่ยถาม

“ใช่ นั่นใคร”

[ผมร้อยตำรวจโทหริรักษ์ ป้องปกเกียรติ ผู้รับผิดชอบคดีของคุณ ตอนนี้ทีมสืบสวนพร้อมแล้ว เราจะไปที่บ้านของคุณภายในสิบห้านาที เตรียมตัวให้พร้อมด้วย]

แล้วก็วางสาย

เฟลมผิดหวังที่ไม่ใช่แสงเทียน แต่ก็ดีใจที่ตำรวจติดต่อมาซักที เพราะเขารอคอยอย่างกระวนกระวายมาตลอด ตอนนี้ความหวังของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นมาก หวังว่าตำรวจจะช่วยตามหาแฟนได้สำเร็จ

สิบห้านาทีถัดมาไม่มีขาดมีเกิน ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง เฟลมรีบลุกไปเปิดให้ เห็นผู้ชายสามคนยืนอยู่ ทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ

"สวัสดีคุณเปรมประกิตต์”

หมวดมึน (ที่เฟลมแอบตั้งชื่อให้) ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงยีนทรงลำลองกล่าวทักทายพร้อมแสดงเครื่องหมายราชการ ดูเผินๆ เหมือนหนุ่มมหา’ลัยมากกว่าตำรวจอายุยี่สิบห้า เพราะหน้าตาและการแต่งกายดูเด็กกว่าอายุจริงมาก

“สวัสดี” เฟลมทักตอบ

“พวกเราคือทีมสืบสวนคดีของคุณ ผมเป็นหัวหน้าทีม ส่วนนี่คือจ่าตะวัน และนักสืบทิวา” หมวดผายมือให้กับชายสองคนที่ยืนขนาบข้างซ้ายขวา

“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมจ่าตะวัน”

ตำรวจหนุ่มหน้าตาดีแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอบอุ่นสมชื่อตัว อดีตนายแบบผงกหัวรับตามมารยาท คิดในใจว่าถ้าหากไม่บอกว่าเป็นตำรวจคงนึกว่าเป็นมัคนายกแน่แท้ เพราะเขาสะพายย่าม สวมเสื้อผ้าฝ้ายปักลายพระภิฆเนศ กางเกงชาวเล รองเท้าแตะเชยๆ สวมกำไลลูกประคำตั้งสามเส้น แถมตัวยังหอมฟุ้งด้วยกลิ่นน้ำอบไทย เป็นผู้ชายประเภทที่เฟลมไม่เคยรู้ว่ายังมีหลงเหลืออยู่บนโลก

“สวัสดี ผมนักสืบทิวา”

สมาชิกคนสุดท้ายในทีมที่กล่าวด้วยมาดนิ่งขรึม ทีแรกเฟลมจินตนาการไว้ว่า ‘นักสืบ’ จะต้องใส่เสื้อสูท สวมหมวก พกแว่นขยาย ดูมีอายุหน่อยเหมือนเชอร์ล็อก โฮล์มส์ แต่ชายผู้นี้พลิกความคิดเขาไปร้อยแปดสิบองศา เพราะดูเผินๆ แล้วไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นนักสืบเลย...ซึ่งนั่นก็คงเป็นคุณสมบัติสำหรับอาชีพนี้ที่ต้องปกปิดตัวตนนี่เอง

เขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เป็นคนขาวตี๋ คิ้วเข้ม ดวงตาเรียว จมูกโด่งมีสันชัด แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงขาห้าส่วน กับรองเท้าหนัง จัดว่าดูดีและหล่อมาก หล่อแบบผิดที่ผิดทาง คือควรจะอยู่ในทีวีไม่ก็ป้ายไวนิลบนตึกใบหยกมากกว่าสถานที่แบบบ้านๆ อย่างนี้

ทว่านักสืบมีรังสีน่าเกรงขามแผ่ออกจากสายตาจนเฟลมรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสบตาด้วย เขาดูสง่างามและสูงส่งเหมือนหงส์ เฟลมคิดว่าชายผู้นี้คงมาจากวงศ์ตระกูลผู้ดีแน่นอน

“ยินดีที่ได้รู้จักและรบกวนด้วยนะครับ” เฟลมบอกเจ้าหน้าที่ทั้งสามคน ทั้งเกร็งและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน

“การสืบสวนจะแบ่งเป็นสามส่วน ผมจะสอบปากคำจากคุณ จ่าตะวันจะตรวจสอบสถานที่และพยาน ส่วนนักสืบทิวาจะแกะหาหลักฐานตามวิธีการของเขา เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า ตามผมมาทางนี้”

หมวดรักษ์บอกเฟลมอย่างรวบรัด ก่อนจะเดินไปที่โซฟาส่วนกลาง ห่างจากห้องของเฟลมพอสมควร จ่าตะวันกับนักสืบทิวาก็แยกย้ายทำงานในส่วนของตน หมวดลงไปชั้นล่างเพื่อดูกล้องวงจรปิด ส่วนนักสืบเข้าไปในห้องของเฟลม

ชายหนุ่มเดินตามหมวดรักษ์พลางถามอย่างงงๆ

“ทำไมเราไม่เข้าไปคุยในห้องล่ะ”

“ไม่ได้ นักสืบต้องทำงานในนั้น”
 
หมวดมีสีหน้ามึนเบลอตลอดเวลาเหมือนหลับไม่เต็มตื่น แต่การเคลื่อนไหวกลับดูกระฉับกระเฉงอย่างขัดกัน เขานั่งลงที่โซฟาแล้ววางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะตรงหน้า ชายหนุ่มเจ้าทุกข์ก็นั่งฝั่งตรงข้าม

“ผมคิดว่าคุณจะติดต่อมาเร็วกว่านี้ซะอีก”

เฟลมเปรยด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม เป็นการบอกอ้อมๆ ว่า ‘คุณแม่งโคตรช้า’

แต่กลับโดนตำรวจตอบกลับแบบเจ็บกว่า ทำหน้าหน้าแทบร้าว

“ผมเป็นตำรวจครับ ไม่ใช่ไลน์แมน ที่คุณสั่งปุ๊บแล้วจะได้ปั๊บ กว่าเราจะเตรียมความพร้อมก็ต้องใช้เวลา ทั้งเอกสาร เวลาที่เหมาะสม กับบุคลากร คุณไม่รู้หรอกว่าตำรวจคนหนึ่งต้องรับผิดชอบกี่คดีในเวลาเดียวกัน คุณคิดว่าคดีตัวเองสำคัญ ชาวบ้านคนอื่นก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จะให้ผมใส่ใจคุณเป็นพิเศษก็ไม่ยุติธรรมกับคนอื่นสิครับ”

“...”

“อีกอย่างผมก็พิจารณาแล้วว่าแฟนของคุณเป็นผู้ชาย อายุยี่สิบสอง ร่างกายแข็งแรง ไม่มีความเสี่ยงโรคจิตเวชและไม่มีประวัติอาชญกรรมใดๆ จึงค่อนข้างวางใจว่าเขาจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เราถึงรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วค่อยดำเนินการ แต่ถ้ากรณีที่เป็นผู้หญิงหรือเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เราจะทำทันที...ทีนี้พอจะเข้าใจผมบ้างหรือยัง”

“....” เฟลมทั้งละอายทั้งเสียเซลฟ์จนไม่กล้าพูดอะไร เลยแค่ผงกหัวเฉยๆ

พอเห็นท่าทีหงุดหงิดของเฟลมอ่อนลง สีหน้าจริงจังของหมวดก็กลับสู่ใบหน้ามึนเหมือนเดิม

“เอาล่ะ ผมจะเริ่มถามคำถาม คุณจงตอบให้ตรงตามความจริง”

“อืม”

“เขาหายไปตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ เวลาใด” หมวดวางมือถือของตนลงกลางโต๊ะเพื่อบันทึกเสียง

“ผมว่าผมเขียนบอกไว้ในใบแจ้งความชัดแล้วนะ”

“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะไม่โกหก หรือปั้นเรื่องขึ้นมาแล้วจำที่ตัวเองพูดไปไม่ได้”

เฟลมขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ เขารับรู้ว่าตำรวจนายนี้อาจจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรงราวกับไม้บรรทัดก็จริง แต่คำพูดคำจาที่ตรงไปตรงมานั้น บางทีก็ฟังดูเหมือนประชดประชันยังไงไม่รู้

“วันที่สิบห้า  เวลาประมาณห้าทุ่มครึ่ง”

“จงเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด”

“คืนนั้นเราเข้านอนกันตามปกติ เขาชวนมีเซ็กส์ แต่ผมเหนื่อยและง่วงมากเลยปฏิเสธไป เขาก็งอนหาว่าผมไม่รัก ยิ่งทำให้ผมรำคาญ บวกกับเขาจับได้ว่าผมแอบคุยกับคนอื่น เราเลยทะเลาะกันรุนแรง แล้วผมก็โมโหหนีออกไป ส่วนเขาร้องไห้อยู่ในห้อง... ผมไม่แน่ใจว่าเขาหายไปเวลาไหนแน่ เลยเขียนไปว่าห้าทุ่มครึ่ง เป็นเวลาที่ผมออกจากห้อง”

“โอเค ต่อเลย”

“ผมกลับมาอีกทีตอนแปดโมงเช้าแต่ไม่เห็นเขา โทรหาใครๆ ก็บอกว่าไม่รู้ ผมรออยู่นานจนแน่ใจว่าเขาหายตัวไป เลยไปแจ้งความ”
 
เฟลมเล่าด้วยใบหน้าเคร่งเครียดปนเศร้า ตำรวจหนุ่มจ้องหน้าเขาอย่างไม่ละสายตาเพื่อสังเกตทุกอิริยาบถกระทั่งเล่าจบ

“คุณแอบคบกับใคร คบกันในระดับไหน” หมวดยิงคำถามตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เฟลมละอายเหมือนถูกแทงใจดำ

“ผมบอกชื่อไม่ได้ บอกได้แค่ว่าเป็นรุ่นพี่”

“หญิงหรือชาย”

“ชาย”
 
“คุณจำเป็นต้องบอกชื่อ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคุณแสงเทียน”

เฟลมนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่เพราะหมวดพูดเหมือนพี่มาร์คเป็นคนร้าย แต่เพราะรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวกับคดีจึงตอบเลี่ยงๆ

“ไว้ถึงตอนจำเป็นจริงๆ คุณค่อยถามผมอีกทีแล้วกัน ไปพาดพิงถึงเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ผมกลัวจะโดนฟ้อง”
 
“งั้นบอกรูปแบบความสัมพันธ์แทนก็ได้ ลึกซึ้งขนาดไหนถึงกับทำให้คุณกับแฟนแตกหักกัน”
 
“ก็...เขาเป็นคนคอยช่วยเหลือผมหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเงิน งาน การใช้ชีวิต ความสัมพันธ์คล้ายๆ แฟน”

“ชู้?” หมวดซัดหมัดฮุกเข้าใส่

“... ใช่ ชู้” เฟลมยอมรับ ชาไปทั้งหน้า
 
“คุณกับคุณแสงเทียนทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน” หมวดถามต่อ ใบหน้ามึนๆ กลายเป็นจริงจังอีกครั้ง

“ก็มีบ้าง”

“ปกติทะเลาะเรื่องอะไร”

“เยอะอ่ะ เช่นผมไม่มีเวลาให้ หรือเขาหึงที่มีคนมายุ่งกับผมบ่อยๆ”
 
“ความรุนแรงระดับใด”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็แค่คลื่นธรรมดา แต่ล่าสุดคือสึนามิ ผมเหวี่ยงเขาแรงมาก แล้วก็เผลอทำร้ายร่างกายเขาด้วย...”   

เฟลมก้มหน้า มือกุมขมับหนึ่งข้าง เสียงสั่นเหมือนกำลังกลั้นร้องไห้ แต่หมวดไม่สนใจอาการเหล่านั้น งานของเขาคือสอบปากคำ ไม่ใช่ให้กำลังใจ นี่ตำรวจไม่ใช่พี่อ้อยพี่ฉอด

“ช่วยเงยหน้ามาคุยกันตรงๆ หน่อย”
 
“...” ชายหนุ่มทำตามอย่างขัดความรู้สึก ณ จุดนี้เชื่อแล้วว่าหมวดช่างเป็นคนที่ไร้ความยืดหยุ่นสิ้นดี
 
“พวกคุณคบกันมานานแค่ไหนแล้ว”

“เพิ่งครบสามปีเมื่อเดือนก่อน”

“เขากับคุณทำงานอะไร”

“ผมเป็นนายแบบ เอ่อ... อดีตนายแบบ ส่วนเขากำลังเรียนปีสี่ คณะรัฐศาสตร์”

“เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเรียนใช่ไหม”
 
“ไม่นะ สอบได้เกรดสูงตลอด ถึงจะบ่นว่าเรียนหนัก เหนื่อยงั้นงี้ แต่รวมๆ เขาก็ยังแฮปปี้กับมันนะ”

“เรื่องเงินล่ะ”

“ยิ่งไม่ใช่เลย พ่อแม่เขามีธุรกิจส่วนตัวที่ต่างจังหวัด ส่งเงินให้กินใช้เหลือเฟือทุกเดือน”

“เขามีศัตรูที่ไหนรึเปล่า”
 
“ไม่น่ามี แสงเทียนนิสัยดีจะตาย ใครอยู่ใกล้ก็รักทั้งนั้นแหละ”

‘ยกเว้นคุณ’ หมวดเกือบจะหลุดปากพูดไป

“จากหลักฐานและคำบอกเล่าทั้งหมดของคุณตอนนี้ อาจสันนิษฐานได้ว่าเขาถูกลักพาตัวไป หรือไม่ก็หนีไปเอง”

“แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะหนี” เฟลมแย้ง “เขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยแม้แต่เสื้อผ้าชิ้นเดียว”

“หือ?” หมวดทำหน้างง “เขาหายไปตอนเปลือยเหรอ?”

“เปล่า คือไม่มีเสื้อผ้าหายเลยต่างหาก...แต่จริงๆ ก็เกือบเปลือยแหละ เขาใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวน่ะ”
       
“อ้อ”

“ถ้าจะหนีอย่างน้อยก็ต้องเอามือถือ กระเป๋าตังค์ หรือเสื้อผ้าตัวอื่นไปด้วยสิ ถูกมั้ย แต่มันไม่มีอะไรหายไปเลย”

“เราจะรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้เป็นการจัดฉาก?” หมวดถาม

เฟลมถึงกับปรี๊ดแตกทันที

“ผมสาบานได้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง! ตั้งแต่วันที่เขาหายไปผมแทบจะไม่ได้แตะข้าวของในห้องเลยนอกจากแค่ตู้เย็น โซฟา กับห้องน้ำ ผมพยายามรักษาสภาพห้องให้คงเดิมที่สุด เพราะกลัวตำรวจจะคิดแบบที่คุณกำลังคิดนี่ไง! แล้วถ้าพวกคุณเก่งจริง การสืบสวนของพวกคุณแม่นยำจริง ก็คงรู้ว่าผมไม่ได้โกหก!”

หลังระบายโทสะจบตำรวจกับเจ้าทุกข์ต่างจ้องตากันด้วยอารมณ์ตึงเครียด บรรยากาศน่าอึดอัดมากจนแทบทนไม่ไหว หากปล่อยไว้ต่อไปอาจบานปลายถึงขั้นเสียงานได้

“ผมคิดว่าเราน่าจะพักสักครู่”

ตำรวจลุกจากโซฟาเดินไปตามระเบียงด้วยท่าทางสงบ เป็นการตัดจบบทสนทนาโดยปริยาย ทิ้งให้อีกคนสบถคำหยาบคายตามหลังเหมือนคนที่ถูกตำรวจตรวจจับปรับใบขับขี่กับหมวกกันน็อคตามป้อม แต่ก็ไม่กล้าด่าตรงๆ ให้ตำรวจได้ยิน



อีกด้าน

นักสืบทิวากำลังตรวจสอบสภาพห้องอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม เขาสันนิษฐานไว้สองทางคือแสงเทียนหนีไปด้วยตัวเองหรือสองถูกลักพาตัว เขาสืบหาตามข้อหนึ่งก่อน คนจะหนีออกจากบ้านต้องมีของจำเป็นติดตัวเช่นกระเป๋าตังค์ มือถือ หรือเสื้อผ้า แต่สิ่งเหล่านั้นของแสงเทียนกลับอยู่ครบ ไม่มีอะไรหายแม้แต่กางเกงในตัวเดียว (ตามที่เฟลมบอก)

แต่จะมีใครลักพาตัวไปได้อย่างไร ในเมื่อเฟลมอ้างว่าประตูหน้าห้องปิดสนิทตอนที่เขากลับมาถึง อีกทั้งก็ยังไร้ร่องรอยงัดแงะ

เพื่อความแน่ใจ นักสืบหนุ่มใช้ผงสีดำโรยหารอยนิ้วมือบนกลอนประตูหน้าห้องแล้วสแกนเข้าโน้ตบุ้คประจำตัวค้นหาในสารบบ ก็พบว่ามีเพียงรอยนิ้วมือของเฟลมและแสงเทียนแค่สองคน

ดังนั้นเขาจึงไปหาที่ประตูหลังห้องบ้าง แม้โอกาสที่ ‘ผู้ร้าย’ จะเข้าทางนี้มีน้อยมากก็ตาม เนื่องจากห้องอยู่สูงจากพื้นเกือบยี่สิบเมตร ผนังก็ไร้จุดที่จะเกาะไต่ขึ้นมาได้ กิ่งไม้ก็ไกลเกินกว่าจะก้าวถึงระเบียง... แต่อาจจะไม่ไกลนักสำหรับคนร้ายตัวสูงอย่างต่ำร้อยเก้าสิบถึงสองร้อยเซนติเมตร 
โปรยผงแล้วปรากฏรอยมือบนราวระเบียง ทำให้นักสืบหนุ่มอึ้งไป เขยิบหน้าเข้าไปใกล้ๆ พลันดวงตาเรียวเล็กก็ขยายกลายเป็นเบิกโต เพราะรอยนิ้วมือนั้นใหญ่กว่าของเฟลมและแสงเทียน นอกจากนี้เขาเพิ่งสังเกตว่ามีรอยรองเท้าด้วย

นักสืบหนุ่มสแกนนิ้วมือค้นหาผู้เป็นเจ้าของ รอการประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งก็ปรากฏชื่อที่ทำให้ผงะราวหายนะมาเยือน

“มึงอีกแล้ว... ไอ้ห่ามี่”





ค่ำแล้ว

ผมอยู่ในห้องกับไอ้โจรอู๋ทั้งวันทั้งคืน มันใช้ให้ผมทำหลายอย่างตั้งแต่ซักผ้า กวาดห้อง ถูพื้น นวดตัว ฯลฯ ราวกับผมเป็นทาสโดยบอกว่าเป็นค่าตอบแทนที่ไม่ล่ามโซ่ แต่ถ้ารู้ว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ ผมยอมถูกล่ามโซ่แต่ได้อยู่เฉยๆ ทั้งวันยังจะดีกว่า

เมื่อเช้ามันคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันไม่ยอมให้ผมได้ยินแม้แต่คำเดียว แต่ก็เดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องการขายตัวผม (แอบเห็นมันคุยแล้วเหลือบมองหน้าผมเป็นพักๆ) เมื่อกี้มันก็คุยอีกแต่สีหน้าดีขึ้น ก่อนวางสายมันก็ยิ้มน่าระรื่นด้วย อาจจะตกลงราคากันเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

“ป้ะ” มันพูด หยิบไบเกอร์แจ็คเก็ตหนังเทียมที่แขวนผนังมาสวม ท่าทางเหมือนจะออกไปข้างนอก

“ไปไหน” ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่รู้แก่ใจว่าคงไม่พ้นซ่องหรือบ้านของลูกค้านั่นแหละ

ไอ้โจรสวมแว่นดำ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้ามิดชิด แล้วบอกกับผมว่า...

“ไปเดตกัน”





TBC...


####
เหวยๆๆๆ งงเหมือนน้องเทียนกันเลยใช่มั้ย 5555
เดตกะโจรจะเป็นยังไง ฝากติดตามด้วยนะคะ <3
 
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-09-2018 15:27:39
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 27-09-2018 19:33:56
พี่โจรคุยกะนักสืบรึป่าว แต่ขำโจรมาก แบบอิหยังวะหนิ? โจรจริงดิ? เทียนเลิกหนีเถอะ หนีไปก็เจอแต่โจรแก็งนี้
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-09-2018 20:54:54
ทำไมคุณนักสืบอุทานแบบนั้นหรือรู้จักกับโจร :confuse:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 27-09-2018 21:45:13
คุณนักสืบรู้จักอีโจรอู๋หรอ​?
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-09-2018 21:48:48
5555 มาแบบนี้ก็ไปต่อไม่ถูกนะเฟ้ยย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 28-09-2018 03:32:51
ยังแยกคนกับตุ๊กตายางไม่ออก ไม่น่าเป็นโจรที่ขโมยทรัพย์สินที่มีมูลค่าได้ขนาดนั้นเลยอะ 5555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kumamon_Kung ที่ 28-09-2018 03:55:34
อ่านจบแล้วได้แต่แบบ อิหยังวะ ไปต่อไม่ถูกเลย ระแวงว่ามันจะเป็นแผนหลอกให้แสงเทียนตายใจไม่ให้คิดหนีอ่ะ แงงงงงง อย่าหลอกน้องน้าาาาาาา  :sad4: :sad4: :sad4: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 02-10-2018 04:35:13
สนุกดีชอบ มีความกวน มีความจี้ดี
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 02-10-2018 08:36:17
อ้าวคุณโจร
อย่างนี้ก็ได้เหรอ 555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 02-10-2018 18:23:20
เดี๋ยวววง  คืออะไรคุณนักสืบ รู้จักกันกับพวกโจรอู๋เหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.5 'เริ่มต้นการสืบสวน!' (27/09/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 02-10-2018 18:46:07
แน่ะ มี ดงมีเดท อีก อืมๆ เป็นคู่ ที่ดุ เดือดสูสี น่าดู แล่ว เฟลม จะ คู่ใคร เน้ออ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-10-2018 23:36:29


EP.6
ไปเดตกัน



การสืบสวนดำเนินไปตลอดทั้งวัน เฟลมโดนรีดเค้นข้อมูลทุกอย่างจนหมดไส้หมดพุง พอการสืบสวนจบลงเขาแทบจะอ้วกด้วยความเครียด

นักสืบทิวาได้หลักฐานชิ้นสำคัญคือลายนิ้วมือของคนแปลกหน้าที่ระเบียงหลังห้อง ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของชายชื่อ ‘นายอติศร แซ่อู๋’ หรือนายอาร์มี่ หนุ่มลูกครึ่งไทย-จีนวัยยี่สิบสอง ผู้ไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยและอาชีพการงานที่ชัดเจน จ่าตะวันก็ได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดของร้านเหล้าห่างจากอพาร์ตเม้นท์ไปสามช่วงตึก พบว่ามีชายร่างสูงแบกกระสอบขนาดใหญ่และตุงเหมือนใส่คนไว้ข้างในเดินผ่านหลังร้าน จ่านำภาพจากกล้องวงจรปิดเปรียบเทียบกับรูปถ่ายในฐานข้อมูล มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกัน นั่นทำให้ทุกคนอึ้งอย่างถ้วนหน้าโดยเฉพาะเฟลม

ชัดเจนว่าแสงเทียนถูกลักพาตัวไปจริงๆ

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ถ้ามีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมแล้วเราจะแจ้งคุณอีกที ขอบคุณมากที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

หมวดรักษ์บอกกับเฟลม แววตาของเขาดูเป็นมิตรขึ้นมาหน่อยหลังจากทราบตัวผู้ร้ายแน่ชัด

“ผมก็ขอบคุณเช่นกัน” เฟลมบอกเจ้าหน้าที่ทั้งสาม

เมื่อตำรวจและนักสืบออกจากห้องไปแล้ว ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวแผ่ลงกลางเตียงอย่างอ่อนล้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ของคนรักที่ยังติดอยู่บนผ้าปูที่นอนทำให้พิษจากความคิดถึงก็แล่นจับหัวใจจนเจ็บแสบ

ถึงจะรู้ตัวคนร้ายแล้ว แต่เฟลมกลับไม่รู้สึกสบายใจขึ้นเลย หนำซ้ำกลับยิ่งกลัว... กลัวแสงเทียนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรในกำมือของโจร

“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเทียน... รอก่อน... อีกไม่นานเราจะพานายกลับมา...จะพากลับมาให้ได้...”

เฟลมพูดเบาๆ ราวกับสะกดจิตตัวเอง ก่อนเปลือกตาจะเลื่อนปิดลงด้วยความเหนื่อยล้าและผล็อยหลับไป




“เดตเหรอ?”

ผมถามอย่างไม่เชื่อหูหลังจากไอ้โจรพูดว่าจะพาไปเดต มันไม่ตอบแต่เอาผ้ามาผูกปิดตาผมไว้แล้วฉุดแขนให้ลุกขึ้น ก่อนจะลากออกไปจากห้องอย่างถ่อยเถื่อน

“จะปิดตาทำไมเนี่ย!”

“เดี๋ยวเอ็งจำทางได้” 

“คนนะไม่ใช่แมว”

ผมเกาะแขนไอ้โจรเดินลงบันไดอย่างยากลำบาก แต่ช้ามากจนโจรรำคาญมันเลยอุ้มพาดบ่าแทน พอลงมาถึงชั้นล่างสุดก็ได้ยินเสียงโจรผลักสิ่งกีดขวางออกดังครืดๆ ฟังดูเหมือนเสียงกล่องกระดาษลัง จากนั้นมันก็สั่งให้ผมหมอบท่าคลานเข่า

“ลอดออกไป”

“อะไรนะ?”

“ลอดรูออกไป!”

อ๋อ ที่แท้ทางเข้าออกของพวกมันคือรูหรอกเหรอ ไอ้เราก็อุตส่าห์โง่ไขประตูปีนหน้าต่างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ารูนี้อยู่ตรงส่วนไหนของตึกอ่ะนะ

ผมคลานเข่าลอดรู ไอ้โจรคลานตามหลัง พอออกมาข้างนอกได้แล้วมันก็ฉุดให้ผมลุกขึ้นยืนอย่างแรงจนแขนเกือบเคล็ดแล้วลากเข้าไปในพงหญ้า แม้มองไม่เห็นแต่ก็รู้ว่าหญ้าเยอะมาก ผมโดนบาดแขนบาดขาจนแสบคันยิกๆ   

โจรปล่อยแขน ผมได้ยินเสียงกล่องพลาสติกถูกโยนลงพื้น ตามด้วยเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์... มันคงจะใช้รถของนายเดลิเวอรี่

“ขึ้นมา” มันสั่ง ดึงแขนผมไปนั่งที่เบาะรถส่วนหน้า

“ทำไมต้องนั่งโหลดด้วย”

“ถ้านั่งซ้อนท้ายเอ็งก็กระโดดลงรถหนีน่ะสิ”

“บ้าเหรอ ใครจะไปทำ”

“ขนาดปีนขึ้นเพดานหนียังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับอีแค่กระโดดลงรถ”

“...” ดันรู้ทันอีก

“ขึ้นมาเร็ว เดี๋ยวช้า!”

“เออๆ!” ผมจำใจนั่งโหลดหน้ามอเตอร์ไซค์อย่างเสียไม่ได้ พอเรียบร้อยแล้วไอ้โจรก็บิดแฮนด์ออกไป

ความรู้สึกตอนนี้มีหลายอย่าง... คือดีใจที่ได้ออกจากห้องขัง แต่อีกใจก็กลัวว่ามันจะพาผมไปทำมิดีมิร้ายรึเปล่า? ปากบอกจะพาไปเดต แต่มันอาจจะพาผมไปส่งลูกค้าบ้ากามก็ได้

“จะพาไปไหนกันแน่อ่ะ” ผมถาม

“เดี๋ยวก็รู้” มันพูดแล้วบิดคันเร่งเร็วขึ้น ลมเย็นๆ กระแทกหน้าของผมอย่างแรงจนหน้าชา ใช้เวลาเกือบสิบนาทีจึงถึงที่หมาย โจรชะลอความเร็วลงก่อนจะหยุดรถและดับเครื่อง แต่ก็ยังไม่แกะผ้าปิดตาให้ผมซะที

หรือว่าอยากทำเซอร์ไพรส์ แบบว่ามาเดตกันในที่ๆ คาดไม่ถึงอย่างโรงแรมหรูหรือร้านอาหารดังงี้? ล้อเล่นนะ...

โจรอู๋จับแขนผมแน่นแล้วพาเดินไปด้วยกัน บรรยากาศรอบตัวที่ผมสัมผัสได้คือความเงียบ เย็น และวังเวง อย่างกับป่าช้าหลังวัด

“ที่ไหนเนี่ยนายอู๋” ผมถาม พยายามระงับความกลัวเอาไว้

“ที่แห่งความหรรษา” มันตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนส้น “อย่าเรียกข้าว่าอู๋ นั่นน่ะชื่อแซ่”

“อ้าว ก็เห็นคนอื่นเรียก”

“มันเรียกง่ายกว่าเฉยๆ”

“แล้วจริงๆ ชื่ออะไร”

“อาร์มี่”
 
“อาร์มี่...” ผมทวน “ชื่อฟังดูดี ไม่เข้ากับหนังหน้าเลย เถื่อนๆ อย่างอู๋น่ะเหมาะแล้ว”

“อยากถูกฆ่าข่มขืนแถวๆ นี้มั้ย?”

“...” ล้อเล่นนิดเดียว ทำไมต้องใช้บทโหดด้วยวะ

เราเดินต่อไปเกือบสามนาทีจนกระทั่งได้ยินเสียงคนพูดคุยเฮฮาดังเซ็งแซ่ เสียงรถพลุกพล่าน มีแสงไฟสว่างไปทั่วบริเวณ คงจะเข้าเขตย่านชุมชนแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่โดนฆ่าหมกป่า

โจรพาผมเข้ามาในสถานที่แห่งหนึ่งก่อนจะแกะผ้าปิดตาออก ทำให้ผมเห็นว่ามันเหมือนกับล็อบบี้โรงแรมระดับกลางๆ ผู้คนที่เดินเข้าออกมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย

ผมเงยหน้าถามโจรอู๋ด้วยความสงสัย

“พามาโรงแรมทำไมวะ ถ้าจะปล้ำทำที่บ้านก็ได้มั้ย... เฮ้ย หรือว่ามึงนัดส่งตัวกูให้ลูกค้าที่นี่!”

มันหัวเราะลั่น “โอ๊ย โรงแรมห่าไร นี่บ่อน”

“ฮะ มาทำไมบ่อน!” รู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด

“ไม่ต้องถามมาก ตามมา”

โจรลากแขนผมไปที่ลิฟต์แล้วกดชั้นสิบ ก่อนจะถอดแว่นตาดำกับผ้าปิดปาก เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้เห็นอย่างไม่แคร์ใคร

“มึงมีหมายจับอยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่กลัวคนแจ้งตำรวจจับรึไง”

“ไม่ต้องห่วง ในนี้แม่งก็มีแต่โจรทั้งนั้น”

“...ขอบคุณ กูอุ่นใจขึ้นมากเลย”

ลำพังแค่เข้าบ่อนก็ว่าเลวร้ายแล้ว นี่ยังอยู่ในแหล่งซ่องสุมของโจรอีก ไม่กล้าหวังเลยครับว่าจะเอาชีวิตรอดกลับออกไปได้รึเปล่า!

พอถึงชั้นสิบ ประตูลิฟต์เปิดออก สิ่งแรกที่เจอคือชายร่างสูงดำล่ำบึ้กเหมือนกระทิงถึกแอฟริกันยืนทำหน้าโหดเหี้ยมที่หน้าลิฟต์ ในมือถือตะบองอันเขื่อง ที่เอวก็มีปืนสั้นเหน็บ ดูก็รู้ว่าคนคุมบ่อน เขามองหน้าโจรอู๋แล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ทำให้ผมรู้ว่าโจรอู๋คือลูกค้าประจำ

ระหว่างที่เดินก็พบผู้ชายแต่งตัวสกปรกซกมก รวมถึงเสี่ยแก่แป๊ะเฒ่า ขี้เหล้าขี้ยา เดินเพ่นพ่านไปมาตลอดทั้งชั้น อีกทั้งยังมีเสียงโหวกเหวยโวยวายกับเสียงเป่าปากโห่ร้อง และกลิ่นสุรายาเมาโชยออกมาจากห้องทุกห้อง ผมจึงรู้แจ้งว่าตึกแห่งนี้เปิดเป็นโรงแรมชั้นล่างเพื่อบังหน้าแหล่งอบายมุขที่อยู่ชั้นบนสุดเท่านั้น

“ทำไมต้องมาบ่อน” ผมถามโจรอย่างไม่หมดข้อสงสัย

“แก๊งของพวกข้ามีกฎว่าเวลาใครหาเงินได้ ต้องเอามาเข้ากองกลางแบ่งกัน แต่ข้าไม่ได้ออกล่าหลายวัน ปล่อยให้ลูกน้องทำ ข้าไม่อยากเป็นลูกพี่ที่แย่ก็แค่นั้น อีกอย่างมาบ่อนก็ดีกว่าไปไล่ปล้นตามบ้าน”

“แล้วพากูมาด้วยทำไม”

“คืนนี้ไม่มีใครอยู่ ข้าไม่อยากทิ้งเอ็งไว้คนเดียว เดี๋ยวหนีอีก”

“มาข้างนอกยิ่งหนีง่าย”

“แน่จริงก็ลองหนีดูสิ แต่ถ้าจับได้ ระวังจะได้ร้องไห้หนัก”

ขู่ได้ขู่ไป คอยดูเถอะ กูจะหาโอกาสหนีให้ได้ภายในคืนนี้แหละ!!!

โจรอู๋เคาะประตูที่ห้องๆ หนึ่ง พอเข้ามาแล้วก็เห็นโต๊ะยาวรูปวงรี มีคนนั่งรอบเกือบเต็ม ที่ผนังมีโทรทัศน์จอแบบขนาดใหญ่มหึมาหนึ่งเครื่อง กำลังเปิดช่องถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ บรรยากาศในห้องอื้ออึงไปด้วยเสียงเพลงจังหวะเร้าใจผสานเสียงพูดคุยเฮฮา กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่ง คนในห้องนี้มีทั้งเด็กวัยรุ่น หนุ่มวัยทำงาน ไปถึงเสี่ยวัยทอง ทันทีที่โจรอู๋ปรากฏตัว ชายกลางคนรูปร่างเหมือนอึ่งอ่างสวมเสื้อลายพร้อย ใส่สร้อยทองเส้นเท่านิ้วโป้งที่นั่งหัวโต๊ะก็โบกมือทักทาย

“ว่าไงไอ้อู๋! หายหัวไปนานนะมึง!”

“พอดีช่วงนี้ยุ่งน่ะ” โจรอู๋พูดแล้วนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ดึงให้ผมนั่งที่ว่างข้างกัน “ขอแจมด้วยคนนะเสี่ย”

“เอาเลย อีกห้านาทีเกมเริ่ม” เสี่ยบอก แล้วก็มีเด็กเดินโพยเอากระดาษมาให้โจรอู๋ มันเขียนอย่างเร็วไวแล้วส่งคืน

“ทีมไร” เสี่ยถาม

“A” โจรอู๋ตอบ

“วางเดิมพันด้วยเว้ย” เสี่ยเคาะโต๊ะตรงหน้า ซึ่งมีเงินสดและของมีค่าจากผู้ร่วมพนันหลายคนวางอยู่ “ขั้นต่ำหนึ่งพัน”

โจรอู๋ล้วงกระเป๋ากางเกงพลันก็ตกใจ “เหี้ยแล้ว ลืมเอาตังค์มา!”

“เฮ้ยๆๆ อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย ลื้อลงชื่อแล้ว ลงแล้วลงเลย ถอนไม่ได้” เสี่ยชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง “ไม่มีเงินก็เอาเมียลื้อนั่นแหละเป็นเดิมพัน”

“เฮ้ย! ไม่เอา! อย่าทำนะ” ผมใจหายวาบ จับแขนโจรอู๋แน่น มองเขาด้วยสายตาเว้าวอนเต็มที่ หวังว่าความสัมพันธ์สามวันของเราจะทำให้มันรู้สึกเห็นอกเห็นใจผมบ้าง

แต่โจรก็ยังเป็นโจร

“โอเค เดิมพันด้วยเมียของผม”

“ไอ้เหี้ย!!!”

ผมชกแขนมันเต็มแรง ไม่ใช่แค่โกรธที่มันทำเหมือนผมไม่ใช่คน แต่ยังดูถูกผมโคตรๆ ด้วยการใช้ผมแทนเงินหนึ่งพันบาท... ผมมีค่าแค่หนึ่งพันบาท!!! เวรเถอะ! หมาชิวาว่ายังราคาแพงกว่ากูอีก!!!

“ทำไมทำแบบนี้วะ!” ผมโกรธจนน้ำตาจะไหล โจรอู๋รวบตัวผมไว้แล้วเอามือปิดปาก

“ไม่ต้องกลัว ข้าชนะแน่”

“ไอ้ชั่ว! ไอ้เลว!” ผมดึงมือมันออกจากปากแล้วชกหน้าอกของมันหลายที ไม่สนว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของใคร

“เป็นเมียโจรต้องทำใจนะหนู โดนซื้อขายเปลี่ยนมือไปมาเหมือนสินค้านั่นแหละ” เสี่ยพูดกับผมพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วหันไปสั่งลูกน้อง “ไปเอาตัวมา”

ลูกน้องของเสี่ยซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ล่ำสองคนเข้ามาจับตัวผมแยกจากโจรอู๋ คนหนึ่งล็อคแขนผมไว้ข้างหลัง อีกคนยืนคุม ผมดิ้นสะบัดสุดชีวิตพร้อมกับพ่นคำด่าต่างๆ นานา แต่ก็ไม่สามารถหลุดจากการจับกุมได้ และไม่มีใครสนใจผมเลย แม้แต่โจรอู๋ พอวางของเดิมพันแล้วก็จ้องแต่จอรอให้เกมเริ่ม

“ไอ้หนวดสารเลว ไอ้คนไร้สัจจะ กูเกลียดมึง กูจะไม่ให้อภัยมึง! กูออกไปได้เมื่อไหร่ก่อนเถอะ! มึงโดนเตะเข้าห้องขังแน่!!!”

ผมแหกปากลั่น มองด้านหลังของไอ้โจรบ้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“เออ ดีๆ ด่าเก่งอย่างนี้เสี่ยชอบ หึๆๆๆ”

“ไอ้เฒ่าหัวงู!”

ผมหันไปตวาดใส่ไอ้เสี่ย จากนั้นลูกน้องร่างยักษ์ก็ฟาดสันมือใส่ท้ายทอยของผมอย่างแรง ตัดขั้ววงจรสติสัมปชัญญะเข้าสู่ความมืดทันที ภาพที่ผมเห็นหลังจากนั้น ไม่รู้ว่าความฝันหรือความจริง
 
คือพวกมันรุมโทรมผมอย่างชั่วช้าทารุณแล้วเอาร่างเฉาๆ ของผมโยนทิ้งบ่อน้ำเน่าเหมือนหมาตัวหนึ่ง... 



      
ไม่รู้ว่าผมตายไปนานแค่ไหน ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงโห่ร้องดังสนั่นลั่นห้อง บ้างร้องด้วยความดีใจ บ้างก็ร้องด้วยความเจ็บใจ เกมคงจะจบแล้วสินะ... และผมก็ยังมีลมหายใจอยู่
   
เพ่งสายตาดูจอทีวี ทีม A แพ้ทีม B ด้วยสกอร์ 2-3

นั่นหมายถึงโจรอู๋ก็แพ้เช่นกัน

คนในห้องเกือบยี่สิบคนทยอยกันออกไป เหลือเสี่ย ลูกน้องของมัน และนักพนันห้าหกคน รวมทั้งโจรอู๋ แต่หมอนั่นไม่แลหางตามองผมเลยสักนิด มันคงไม่รู้สึกอะไรหรอกเพราะยังไงก็เห็นผมเป็นแค่สินค้าชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว สมน้ำหน้ามันซะอีก เสียผมให้เสี่ยฟรีๆ ไม่ได้เงินซักบาท

“อ้าวไอ้อู๋ แพ้แล้วก็ไสหัวไปสิวะ นั่งทำห่าไรอีก” เสี่ยโบกมือไล่

โจรอู๋เลื่อนเก้าอี้ไปข้างหลัง ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าตึงเครียด ก่อนจะเดินจากที่นั่งไปอย่างเชื่องช้า ผมมองแผ่นหลังกว้างนั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วก็ใจหายฉับพลัน ถึงผมจะเกลียดมัน อยากเป็นอิสระจากมันก็จริง แต่ก็ใช่ว่าอยากถูกมันทิ้งไม่ใยดีแบบนี้นะเว่ย อีกอย่างไอ้เสี่ยเหี้ยนี่กับลูกน้องของมันก็น่ากลัวกว่าแก๊งโจรเป็นไหนๆ ถึงขนาดว่าต่อให้พวกมันฆ่าใครสักคนตาย ก็คงจะแค่มองศพด้วยหางตาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ

“ไอ้คนใจร้าย!” ผมโพล่งออกไป เสียงสั่นไหวพอๆ กับดวงตา “มึงจะทิ้งกูจริงๆ เหรอวะ” 

“...” ไอ้โจรหยุดชะงัก

“ถ้ามึงจะทำกับกูแบบนี้ มึงจะฉุดกูมาตั้งแต่แรกทำไม”

“...”

“เฮ้ยๆๆๆ ไม่ต้องโวยวายไปน้อง อยู่กับเสี่ยสบายกว่าเยอะ เหอๆๆ” ไอ้เฒ่าหัวเราะเสียงดังจนพุงกระเพื่อมน่าขยะแขยง ก่อนจะย่างเท้าเข้ามาใกล้เพื่อสัมผัสตัวผม
 
แต่จังหวะนั้นเอง โจรอู๋ก็หมุนตัวกลับมา

“อะไรของลื้ออีก!” เสี่ยแสดงอาการรำคาญ โจรอู๋ไม่ตอบ แต่ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

นั่นคือถีบหน้าอกเสี่ยจนหงายหลังล้มดังโครม

กวาดเอาเงินที่กองบนโต๊ะไปเกลี้ยง

เตะก้านคอลูกน้องร่างยักษ์ทั้งสองคนจนสลบ

แล้วฉุดผมให้วิ่งหนีไปด้วยกัน!!!!!

“จับมันนนน!!!”

เสี่ยแหกปากตะโกนลั่นด้วยความโมโหสุดขีด ลูกน้องหลายคนที่อยู่นอกห้องวิ่งตามหลังผมและโจรอู๋มาติดๆ และยิงปืนใส่เราหลายนัด

“อ๊าาาาาา!!!” ผมแหกปากตะโกนลั่นด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจ เพราะกระสุนเพิ่งผ่านสีข้างไปแบบเฉียดฉิว เสื้อเป็นรอยไหม้เลย!!!

“ตะโกนหาหอกอะไร!!!”

โจรด่าผมแล้วหันไปยิงตอบโต้ใส่พวกมันจนคนหนึ่งล้มลงไป นายเหี้ยมที่เฝ้าหน้าลิฟต์ควักปืนออกมาจะยิง แต่โจรอู๋ไวกล่าจึงยิงมือมันเลือดท่วมและปืนร่วงหลุด เขาเตะมันซ้ำพร้อมกับสั่งให้ผมกดลิฟต์ แต่ลิฟต์อยู่ที่ชั้นหนึ่งและขึ้นเครื่องหมาย ‘HOLD’ คงจะจอดแช่อีกนาน สุดท้ายเรารอไม่ไหวจึงพากันวิ่งลงบันไดหนีไฟแทน
 
“เดตเหี้ยอะไรของมึง พากันหาที่ตายชัดๆ!” ผมว่า

“ก็ใช่ไง เดตที่แปลว่าตาย เดตสะมอเร่น่ะ!!!”
 
เราสองคนวิ่งลงบันไดอย่างเร็วไวจนเกือบจะล้มหน้าทิ่ม โจรอู๋จับมือผมแน่น มืออีกข้างถือปืนไว้แน่นไม่แพ้กัน ลูกน้องของเสี่ยห้าหกคนวิ่งตามเรามาพร้อมกับยิงปืนใส่ไล่หลัง แต่เราก็หลบได้อย่างหวุดหวิด

“โอ๊ย!!!” ผมสะดุดบันไดซี่หนึ่ง เจ็บข้อเท้าแปล๊บ

“เป็นไร!”

“สงสัยข้อเท้าพลิก”

“เชี่ยเอ๊ย” โจรอู๋สบถ หันไปมองข้างหลัง ลูกน้องเสี่ยใกล้เข้ามาแล้ว “แข็งใจไว้!!!”

มันพยุงผมให้ลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกน้องพวกนั้นเลี้ยวหัวมุมบันไดวิ่งเข้ามา โจรอู๋ตัดสินใจโปรยเงินปึกหนึ่งขึ้นบนอากาศ แบงค์ปลิวกระจายเหมือนฝูงนกโบยบินเต็มบันได หลายใบปลิวปิดหน้าปิดตาพวกลูกน้องเสี่ย ส่งผลให้พวกมันทั้งห้าคนสะดุดบันไดกลิ้งกันระเนระนาด
ผมกัดฟันทนเจ็บวิ่งขากะเผลกๆ ต่อไป ในที่สุดเราก็มาถึงชั้นล่างสุดและออกสู่ด้านนอกตึกจนได้ แต่ก็ยังไม่หยุดวิ่ง โจรอู๋พาผมมาหลบอยู่ในซอยแคบๆ ห่างจากตึกพอสมควร เราหอบแฮกยิ่งกว่าหมา ผ่านไปเกือบห้านาทีไม่เห็นลูกน้องพวกนั้นตามมาแล้วก็นั่งลงกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า

“เท้าเป็นไงบ้าง” โจรถาม

“พอไหว” ผมบอก “เป็นเดตที่เฮงซวยจริงๆ”

โจรอู๋ล้วงเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงเอากองไว้บนพื้น ทั้งแบงท์ร้อยแบงก์พันเยอะมากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ช่วยกันนับ” โจรบอก

ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะนับเสร็จ แล้วโจรอู๋ก็หัวเราะเสียงดัง

“สามแสน! ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ โชคดีเป็นบ้า”

“ดีตรงไหน เกือบโดนยิงตายเนี่ยนะ แถมเกือบเป็นเมียมาเฟียแทนด้วย โคตรซวย” ผมแขวะ ยังไม่หายโมโห “ไหนขู่นักหนาว่าจะเก็บกูไว้ขายราคาสูงๆ แล้วทำไมมึงถึงหันหลังให้กูง่ายๆ”

“นี่ดูไม่ออกจริงเหรอ?”

“ดูออกไร”

“มันเป็นการแสดง ข้าแค่แกล้งให้พวกมันตายใจ จะได้ฉวยโอกาสขโมยเงินมาแบบนี้ไง”

“ตอแหล”

“เอ๊า ไม่เชื่อก็ตามใจ"

“ชาติหน้าก็ไม่มีวัน”

“จริงๆ” ไอ้โจรเสียงเข้ม “ใครจะทิ้งเอ็งลง”
 
“มีสิ มึงไง”

“ก็แค่แผนหลอกๆ เอง”
 
“ไม่รู้ แต่กูโมโหมาก” ผมว่าแล้วหันหน้าไปทางอื่น

“ไม่เอาน่า เดี๋ยวให้ห้าร้อย”

“ฟวย!”
 
“ข้าไม่ทิ้งเอ็งง่ายๆ หรอก ค่าตัวสูงเป็นล้าน ทิ้งก็โคตรโง่”

“ไอ้ผี! ถ้าจะพูดงี้ก็หุบปากเหอะ!”

ผมโมโหจริงจัง แต่ไอ้เวรนี่เหมือนจะไม่สนใจ เอาแต่ยิ้มไม่หยุดกับธนบัตรเป็นปึกๆ ในกำมือ

มันพูดอีก “เอ็งจะด่าจะโกรธข้ายังไงก็ช่าง แต่รู้ไว้ว่าเอ็งคือตัวเงินตัวทองของข้านะ”

“นั่นมันเหี้ย!”

“อ้าว”

“โง่แล้วยังจะอวดฉลาด” ผมนี่ถึงกับกุมขมับ

“งั้นเปลี่ยนใหม่ เอ็งคือตัวนำโชคของข้า”

“...กูไม่ได้ดีใจขึ้นเล้ย”

แล้วเราก็เงียบลง มีเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่อันเกิดจากการหนีตายและการทุ่มเถียงดังสลับกัน แต่พอไอ้โจรเอื้อมมือจับข้อเท้าผมแล้วบีบเบาๆ ผมก็ร้องลั่นขึ้นมาอีก

“โอ๊ย! บีบทำไม เจ็บ!”

“ก็จะดูไงว่าเจ็บตรงไหน”

“ไม่ต้องยุ่ง” ผมดึงขาจากมือมันไปทางอื่น

“อวดเก่งชิบเป๋ง”

“ก็ไม่ได้ขอให้มึงมาสนใจ”

โจรถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเพลียจิตกับผม จากนั้นก็อุ้มผมพาดบ่าเหมือนกระสอบข้าวสารเดินกลับไปที่รถ

“ไม่ต้องอุ้ม กูเดินเองได้!” ผมโวย ไอ้หมอนี่ชอบทำราวกับน้ำหนักตัวหกสิบกว่าๆ ของผมเบาเท่าลูกโป่งทุกที ไม่รู้ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นจับกังโรงสีมาก่อนหรือยังไง

“อย่าทำตัวเหมือนนางเอกนิยายได้มะ แม่งน่ารำคาญอ่ะ เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ไม่ต้องเล่นตัว เพราะยังไงกูก็ต้องดูแลมึงอยู่ดี”

“...”

เจอแบบนี้จะโมโหหรือซึ้งดีครับเนี่ย

แต่ผมก็หุบปากเนื่องจากเหนื่อยจะเถียง พอมาถึงรถมันก็วางผมลงกับเบาะ ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากช่องเก็บของหน้ารถ แล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า ตอนแรกผมงงว่ามันจะทำอะไร แต่พอมันเปิดฝาเจ้าสิ่งนั้น จมูกของผมก็รู้คำตอบเป็นอย่างแรก

“นี่มึงพกยาหม่องด้วยเหรอ” ผมแปลกใจ

“อือ ปกติออกมาข้างนอกทีไร ได้แผลทุกที” มันว่า เอานิ้วชี้ควักยาแล้วป้ายบนผิวของผม “ว้า...ขาเดี้ยงแบบนี้ จะหนียังไงไหวน้อ”

“เดี๋ยวพ่อก็ถีบยอดหน้า” ระดับตีนกูก็ตรงกับหัวมึงพอดีด้วยนะ

โจรหัวเราะ จากนั้นก็ลงมือนวด แต่...

“โอ๊ย!!!!!”

“โอ๊ย!”

ทันทีที่มันลงแรงมือ ผมก็ลงแรงตีน ถีบมันจนหงายหลังก้นทิ่มพื้น

“นี่มึงทายาหรือว่าจะฆ่ากู มือหนักชิบหาย เจ็บนะเว้ย!” ผมเอ็ดตะโร แผลปวดกว่าเดิมไปอีก เวรกรรม!

“กะแรงไม่ถูกนี่หว่า ไม่เคยทำให้ใคร” มันว่า ลุกขึ้นมาจากพื้น เอามือปัดๆ กางเกง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ “เห้ย...เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เอาดิไม่ร้อง”

“โอ๊ย! สัด! เชี่ยๆๆๆๆๆ!”

โจรอู๋ลนลานเมื่อเห็นผมน้ำตาไหล เลยเอื้อมมือมาเช็ดให้ด้วยความหวังดี แต่คือมือมันมียาหม่องติดไง น้ำตากูยิ่งไหลถล่มทลายเป็นน้ำตกเจ็ดสาวน้อยเลยจ้า!!!


“ฮืออออออ ไอ้สัด แสบ!”

“ชิบหายละ ทำไงดี” 

“ฮืออออ ตากูจะบอดมั้ย!”

“อ้ะๆๆ น้ำๆ รีบล้างเร็ว”

เป็นโมเม้นต์แห่งความพังพินาศอย่างแท้จริง ผมเทน้ำทั้งขวดราดบนหน้า ลืมตาให้น้ำผ่าน ชะล้างเอายาหม่องออกไป ไอ้โจรก็อยากมีส่วนร่วมรับผิดชอบ มันถอดเสื้อแจ็คเก็ตเอามาเช็ดๆ หน้าให้ผม กว่าจะหายแสบก็ผ่านไปเกือบสิบนาที ตัวผมเปียกซ่กอย่างกับผ่านมรสุมลูกใหญ่ ตาก็แดงเถือกบวมเป่งยิ่งกว่าตอนเลิกกับผัวอีกบอกเลย

“หายยัง” ไอ้โจรถาม สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด

“ยัง” ผมว่า “เก่งนักนะเรื่องทำกูเจ็บตัวเนี่ย”

“ไม่ได้ตั้งใจ อยากช่วยต่างหาก”

“เป็นโจรใครบอกให้ช่วยคน มันผิดกฎธรรมชาติ เห็นมั้ยว่าทำแล้วมีแต่อาเพศ” 

โจรทำหน้าหงอย ถ้าเป็นสติกเกอร์ก็คงจะมีตัวหนังสือ ‘ฮ่อย’ ไม่ก็ ‘อ๋อย’ ลอยอยู่เหนือหัว เป็นภาพแปลกตาเอามากๆ เหมือนรู้สึกผิดยังงั้น 

“แต่ก็ขอบใจในความพยายาม”

ผมบอก เท่านั้นแหละมันเลยมีสีหน้าดีขึ้น กลายเป็นสติกเกอร์ 'แฮร่' ที่ยิ้มแบบแห้งๆ แทน

ไม่ใช่ว่าผมใจอ่อนหรืออะไรนะ ก็เห็นแหละว่ามันอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้อยากแกล้งหรือจงใจให้ผมเจ็บ อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกว่ามันยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น แม้ผลลัพธ์จะออกมาตรงข้ามก็เหอะ

“หิวไหม” มันถาม

“ไม่ ง่วง”
 
“เค งั้นกลับ"

โจรขึ้นควบมอเตอร์ไซค์โดยมีผมซ้อนท้าย พอขับออกมาได้ไม่กี่เมตรผมก็ซบหน้ากับแผ่นหลังของมันแล้วหลับสนิทด้วยความเหนื่อยอ่อน



เดตสะมอเร่จริงจัง





...

โจรอู๋หันไปมองข้างหลังเห็นแสงเทียนหลับก็โล่งใจ แสดงว่าหมดฤทธิ์เดชเป็นที่เรียบร้อย ไม่ต้องกลัวว่าจะหาเรื่องทะเลาะหรือดื้อจะหนี

เหตุการณ์ในวันนี้เป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือความควบคุมทุกอย่าง จากที่วางแผนมาซะดิบดีก็ล่มไม่เป็นท่า มาด้นสดเอาหน้างานล้วนๆ

ทีแรกตั้งใจว่าจะมาคนเดียว แต่พวกลูกน้องพร้อมใจกันออกล่ายามราตรีกันหมด ไม่มีใครอยู่รัง จะทิ้งให้แสงเทียนอยู่คนเดียวก็คงไม่ดี เลยต้องหิ้วมาด้วยแบบนี้ ส่วนที่ลืมพกเงินมาด้วยก็เรื่องจริง เลยต้องใช้แสงเทียนวางเป็นเดิมพันแก้ขัดไปก่อน ไม่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น แถมยังทำเขาเจ็บตัวซ้ำซ้อนอีก คิดแล้วก็โมโหตัวเองอยู่เหมือนกัน

เรื่องเดียวที่ทำสำเร็จคือกว้านเงินพนันมาได้นี่แหละ ทำให้เข้าใกล้เป้าหมายขึ้นไปอีกก้าว ยังไงก็เท่ากับว่าคุ้มค่าเสี่ยงวันนี้ละกัน

ขับมาเจอร้านขายยาที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็แวะจอด


แต่จะลงไปยังไงวะ ไอ้ตัวข้างหลังเกาะเป็นลูกหมีโคอาล่าเลย


เหลียวซ้ายแลขวามองหาผู้ช่วย เห็นเด็กวัยรุ่นสวมชุดนักเรียนมอต้นนานาชาติคนหนึ่งเดินก้มหน้าผ่านมาพอดี ท่าทางดูหนิมๆ ไร้พิษภัย คิดว่าน่าจะใช้งานได้ไม่มีปัญหา เลยตะโกนเรียก

“เห้ย น้อง”

เด็กสะดุ้งโหยง นึกว่าโดนหาเรื่อง แต่โจรอู๋ชูแบ้งค์พันให้ดูซะก่อน เด็กเลยเอามือทาบหน้าอกราวกับรอดตาย

“มีอะไรให้ช่วยครับ”

“เข้าไปซื้อยาหม่อง ผ้าพันแผล ยาแก้ปวดทั้งแบบนวดกับแบบกินให้กูหน่อย”
 
เด็กดูงงๆ แต่ก็พยักหน้า รับเงิน เดินเข้าไปในร้าน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับของที่สั่งและตังค์ทอนภายในเวลาไม่ถึงนาที

“ขอบใจ อ่ะค่าจ้าง” โจรอู๋รับมา ให้แบ้งค์ตอบแทนน้ำใจใบหนึ่ง ก่อนจะบิดแฮนด์แล่นจากไป ทิ้งให้เด็กยืนหน้าบูดข้างหลัง

“สั่งตั้งเยอะ เงินก็เต็มกระเป๋า ให้แค่ยี่สิบเอง งกจัง”

แล้วก็เหมือนจะนึกขึ้นได้

“หน้าคุ้นๆ ยังไงไม่รู้แฮะ...”





/// มาต่อแล้วค่า มีใครรออยู่มั้ยเอ่ย? 5555
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ ทุกเม้นและบวกของคุณคือเชื้อเพลิงชั้นดีของเราเลยค่ะ
รักเด้อ แล้วเจอกันใหม่ >3<

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-10-2018 00:29:40
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-10-2018 01:02:17
แกมันเป็นโจรเก๊5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 03-10-2018 12:49:49
ขี้งก ให้ยี่สิบเอง555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-10-2018 13:40:49
ขำ ปล้นมาได้สามแสนแต่ให้ทิปยี่สิบบาท. เค็มจริงโจรอู๋
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 04-10-2018 08:10:47
นี่คงเป็นเรื่องจ้อจี้ ฮา ๆ ทั้งนั้นแสงเทียน แกเจ็บใจที่ค่าตัวเดิมพันน้อยใช่มะ ไม่บอกให้มันวางเดอมพันสามล้านล่ะ แหมมม
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 17:55:52
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 04-10-2018 22:05:26
โว้ยย จะดราม่าหรือตลกดี55555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-10-2018 22:29:47
อยากรู้บทสรุปมากมาย

แต่!!  ไหนเล็กบอกกลบลายนิ้วมือได้ทำไมตำรวจมีข้อมูลอาร์มี่ล่ะ. งง?
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-10-2018 08:33:25
ฮามาก เลย เป็นแฟนโจร ก็ได้รสชาติ แซ่บไปอีก แบบ ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-10-2018 11:05:45
ทำไมเด็กคุ้นหน้า แย่แล้วโจร(เก๊)อู๋ :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-10-2018 12:28:50
ตลกตอนจะเช็ดน้ำตา​ แต่เอายาหม่องป้ายตาน้อง​เฉยเลย5555555555 :laugh: ไอโจรขี้งกเอ้ย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.6 ไปเดตกัน (02/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-10-2018 14:48:41
มาเกาะขอบรอ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 11-10-2018 23:41:16

7
คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน



คืนนี้เบย์ออกล่าเหยื่อเช่นเคย

แต่มีอะไรแปลกไปจากเดิม คือตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราทั่วทั้งย่าน คงมาจากทางการเข้มงวดเอาจริงเอาจังกับมิจฉาชีพที่แฝงตัวในฝูงชนหลังมีผู้เสียหายร้องทุกข์บ่อยครั้งในระยะนี้ เดือดร้อนโจรอย่างเขา เข้าไปฉกกระเป๋าชาวบ้านเหมือนทุกคืนไม่ได้

โจรเบย์ซ่อนตัวอยู่ในซอยมืดเปลี่ยวห่างจากแสงสีของย่านบันเทิงไม่ไกล ดวงตาเรียวเล็กสอดส่องมองหาเหยื่อที่เดินคนเดียว... คืนนี้เขายังไม่ได้ของมีค่าเลยสักอย่าง แต่ไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง

 
โอ้ว้าว นั่นไง มีผู้หญิงเดินมาแล้ว สวรรค์โปรด!


ท่ามกลางแสงไฟสลัว เบย์เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินดุ่มๆ ท่าทางรีบเร่งใกล้เข้ามา เธอมีรูปร่างสูงผอม สวมชุดเดรสสีแดงยาวคลุมเข่า สะพายกระเป๋าหนังสีดำ กับรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ด... เข้าทางโจรอย่างแรง สาวๆ หุ่นบอบบางอย่างนี้คงทำอะไรชายฉกรรจ์อย่างเขาไม่ได้ ไหนจะใส่ส้นสูงอีก ให้ตายก็วิ่งตามไม่ทัน
 
หนุ่มผมยาวจ้องมองเธออย่างไม่กะพริบตาเหมือนเสือซุ่มในเงามืดกระทั่งเหยื่อเดินใกล้เข้ามาในระยะเหมาะสม เขาจึงออกจากที่ซ่อนแล้วกระชากกระเป๋าเธอไปอย่างไว หญิงสาวร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ ส่วนเบย์ใจชื้นเมื่อได้ของมาในมือแล้ว
 
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา เขากลับถูกของแข็งบางสิ่งขว้างใส่หัวจนต้องหยุดวิ่ง

“อย่าหนีนะมึง!!!!”

สาวเจ้าของกระเป๋าขว้างรองเท้าส้นสูงใส่หัวโจรเต็มๆ ก่อนจะวิ่งเท้าเปล่าตามหลังมาอย่างรวดเร็ว ขาของเธอเล็กและยาวปราดเปรียวราวกับเสือชีต้าห์ ทว่าเบย์ก็วิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจ

หญิงสาวขว้างรองเท้าอีกข้างในมือไปที่เท้าของโจรหนุ่มอย่างแม่นยำ เป็นการสกัดการหลบหนีที่ได้ผลกว่าขว้างใส่ศีรษะเพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายสะดุดล้ม พอเป็นเช่นนั้นแล้วเธอก็วิ่งเข้าไปหาเบย์ที่นอนคว่ำหน้า เอารองเท้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วใช้ส้นแหลมๆ ทุบใส่ใบหน้าเขาอย่างโหดเหี้ยม

“โอ๊ยๆ!” โจรร้องลั่น ยกมือปัดป้องใบหน้าและลำตัวเป็นพัลวัน

“จะขโมยของกูเหรอ! ไอ้โจรเลว!”
    
สาวโหดเอาเข่ากดทับหน้าอกเบย์จนเขาขยับไม่ได้เอารองเท้าฟาดหน้ารัวแรงจนเลือดกบปากและหน้าบากเป็นรอยริ้ว เธอแรงเยอะผิดกับรูปร่างบอบบางกระทั่งผู้ชายอย่างเบย์ยังสู้ไม่ไหว โจรหนุ่มคิดว่าบางทีเธออาจเป็นนักกีฬาต่อสู้หรือนักเลงก็ได้ ถึงโหดขนาดนี้

“โอ๊ย! พอได้แล้วอีบ้า!!!” เบย์ตวาดอย่างเหลืออด

“เอาของกูคืนมา!!!” เธอเอารองเท้าฟาดปากเขาอีกผัวะก่อนจะกระชากกระเป๋าคืนไป

เมื่อเห็นว่าเบย์นอนนิ่งในสภาพน่าเอน็จอนาถไร้พิษสงแล้ว เธอก็สวมรองเท้าเหมือนเดิมและสะบัดหน้าเดินจากไปอย่างผู้มีชัยชนะ ทิ้งให้โจรผู้ถูกหยามศักดิ์ศรีมองตามหลังอย่างเจ็บใจ
 
แต่เดินได้เพียงสามก้าวก็มีแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์สองคันพุ่งเข้ามาจากด้านหน้าพร้อมกับสัญญาณไฟสีน้ำเงินสลับแดงที่ทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง


รถตำรวจ...


โจรหนุ่มผวา ชาไปทั้งร่าง มือเท้าเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็งราด เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นเตรียมหนี


แต่... ถ้าหนีจะยิ่งน่าสงสัยไหมวะ?

เอาว่ะ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสเลยแม่ง!!!

“คุณตำรวจ ช่วยด้วยครับ ผมถูกผู้หญิงคนนั้นทำร้าย!!!”

เบย์วิ่งเข้าไปหารถตำรวจพร้อมกับชูมือชูไม้ร้องตะโกน ตำรวจสองนายเมื่อเห็นคนยืนขวางถนนก็จอดรถลงที่ตรงหน้าเขากับหญิงสาวขาโหดพอดี หล่อนหันมองเบย์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ไม่คิดว่าจะโดนแว้งกัด!
 
“ขอโทษนะคุณ พวกผมกำลังจะไปดักจับผู้ร้ายส่งยาเสพติด ช่วยหลีกทางให้ด้วย” ตำรวจนายหนึ่งร้องบอก

“ใช่ คดีเราสำคัญกว่าคุณมาก” อีกนายสมทบ
 
“อ้าวๆๆ ทำงี้ได้ไง พวกคุณไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังบาดเจ็บ เนี่ย... แผล! เลือด! ผมถูกผู้หญิงคนนั้นทำร้ายร่างกายนะครับ!” เบย์ชี้ไปที่หญิงสาวที่ยืนตัวแข็งนิ่งไม่ห่างกัน
 
ตำรวจนายหนึ่งมองไปที่หญิงสาว “จริงเหรอคุณ”
 
“มะ...มันกระชากกระเป๋าฉัน ฉันก็แค่ป้องกันตัว!” เธอพูดเสียงสั่นๆ มือกำสายกระเป๋าแน่นจนเอ็นปูดโปน
 
“อย่ามากล่าวหาผมนะ ทำไมผมต้องกระชากกระเป๋าคุณ ท่าทางคุณเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายซักหน่อย” เบย์อ้าง “แล้วผมก็ไม่ใช่โจรด้วย!”

“ผมว่าพวกคุณไปเคลียร์กันที่โรงพักเถอะ ไม่ก็หายๆ กันไปซะ พวกผมกำลังรีบ ถ้าพลาดไปสักหนึ่งนาทีต้องแย่แน่” ตำรวจนายหนึ่งพูดด้วยอาการร้อนรนแบบคนเร่งรีบจริงๆ
 
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เอาความ” หญิงสาวพูด ทำท่าจะเดินหนี

“คุณไม่เป็นไร แต่ผมเป็น! กลับมาชดใช้ค่าเสียหายกันก่อนเซ่!!!” เบย์แหกปากลั่นตามหลังอย่างไม่ยอมแพ้
 
“จ่ายๆ เขาไปเถอะคุณ เรื่องจะได้จบ”

ตำรวจนายหนึ่งบอกกับหญิงสาว แต่เธอไม่ทำตาม ซ้ำกำสายกระเป๋าแน่นประหนึ่งจะไม่ยอมให้ใครแตะต้อง ใบหน้าแสดงอาการหวาดหวั่น ถึงกับมีเหงื่อผุดตามไรผม

ในตอนนั้นเอง วิทยุสื่อสารของตำรวจนายหนึ่งก็ดังขึ้น
 
“หมวดครับ ตอนนี้เราจับกุมตัวไอ้เขียดได้แล้ว มันสารภาพว่าคนที่จะเอายามาส่งให้ชื่อนางสาว A พวกมันนัดเจอกันที่ร้านลาบในซอยสิบแปดตอนสองทุ่ม มันบอกว่า A จะสวมชุดกระโปรงสีแดงกับรองเท้าส้นสูง”

“เดี๋ยวๆๆๆ” ตำรวจขมวดคิ้วหลังจากฟังรายงาน เขาหันไปมองหญิงสาวที่ยืนตัวแข็งทื่อตรงหน้า “ชุดกระโปรงสีแดง รองเท้าส้นสูง”

เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้แล้ว หญิงสาวก็ออกเท้าวิ่งหนีอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่ไล่ตามเบย์ซะอีก แต่มีหรือจะรอดพ้นมือตำรวจทั้งสองนายพ้น พวกเขาขับมอเตอร์ไซค์ดักหน้าหลังเอาไว้แล้วลงมาจับกุมหล่อนได้สำเร็จ
 
“ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่ผิด! มีคนบังคับให้ฉันทำ!!!”

หญิงสาวดิ้นสะบัดเมื่อถูกตำรวจนายหนึ่งสวมกุญแจมือ อีกนายเปิดกระเป๋าของเธอดูข้างใน ปรากฏว่ามียาบ้าหลายห่อ รวมแล้วเป็นพันเม็ด... เบย์เสียววาบไปทั้งร่าง ยกมือทาบหน้าอกตัวเอง

ดีนะที่ตำรวจมาทัน ไม่งั้นคนร้ายอาจกลายเป็นเราแทน!!!

“ขอบคุณคุณมากนะครับ เพราะคุณมีเรื่องกับหล่อน หล่อนถึงได้หยุดชะงักที่นี่ แล้วเราก็มาเจอ ช่างโชคดีจริงๆ” ตำรวจนายหนึ่งบอกกับเบย์ “ไปโรงพักพร้อมกันเลยไหม หากคุณจะเอาผิดเธอเรื่องทำร้ายร่างกายด้วย”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ แค่ข้อหาค้ายา เธอก็คงโดนโทษหนักมากพอแล้ว ผมให้อภัยเธอแล้วกันครับ”

โจรหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล แค่ได้ยินคำว่าโรงพักก็เสียวสันหลัง  ให้มันจบๆ ไปซะดีกว่า

ครู่เดียวก็มีรถยนต์ตำรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาในซอย ก่อนที่หญิงสาวจะถูกรวบตัวขึ้นรถไปพร้อมกับของกลาง ไม่ช้าไม่นานตำรวจทุกนายก็จากไป เบย์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

ตลกร้ายชัดๆ จากโจรกลายเป็นพลเมืองดีซะงั้น... เออ ดีว่ะ!



หนุ่มผมยาวเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อกลับบ้านด้วยความรู้สึกระทึกใจไม่หาย ประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่าอย่ามองคนแค่ภายนอก  เพราะคนที่ดูอ่อนแอแท้จริงอาจน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ และอย่าเลือกเหยื่อสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง

ระยะทางหลายกิโลจากแหล่งบันเทิงกับรังโจรที่เขาเดินจนชิน วันนี้รู้สึกเหมือนมันไกลเป็นสามเท่าเพราะมีแผลทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวยันเท้า
เจ็บฉิบหาย นังบ้านั่นแรงควายชะมัด อัดกูซะเละเลย... สงสัยโด๊ปยามาล่ะมั้ง

เบย์กัดฟันเดินอย่างไม่ย่อท้อ แต่ก็นึกน้อยใจ เจ็บตัวไม่พอยังไม่ได้เงินสักบาท ไหนจะต้องไปหาซื้อยาให้เปลืองอีก เดินไปก็ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดไป

ทำไมชีวิตกูมันลำบากรากเลือดขนาดนี้วะ มีผู้ชายอายุยี่สิบเอ็ดคนไหนชีวิตโชกโชนมารผจญเยอะเท่ากูบ้าง? ต้นทุนชีวิตติดลบระดับนรกไม่พอ ยังไม่มีโอกาสเหมือนชาวบ้านเขา ขนาดเรียนแค่กศน. ยังทำให้พ่อแม่เป็นหนี้ หนีออกจากสลัมได้แต่ก็เอาสลัมออกไปจากตัวไม่พ้น ใจคอพระเจ้าจะไม่สงสารกูบ้างเหรอวะ? จะไม่เปิดประตูให้กูเจอโอกาสดีๆ บ้างจริงดิ? มองแบบไม่เข้าข้างตัวเอง กูว่ากูก็ไม่ใช่คนเลวนะ อย่างน้อยก็ไม่จบชีวิตเพราะยาเสพติด ซิ่งรถ หรือโดนฆ่าตายเหมือนเพื่อนในละแวกบ้านละกัน... กูแค่ไม่มีทางเลือก และไม่มีใครเลือกกูแค่นั้นเอง เลือกได้ใครจะอยากเป็นโจรล่ะถูกมั้ย


ถ้ามีวันนั้น...วันที่ใครสักคนฉุดกูขึ้นจากก้นเหวดำมืดไร้ทางออกนี่ได้ ทำให้กูรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่ใช่เกิดมาเพื่อตายทั้งเป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายจริงอย่างทุกวันนี้... ถ้ากูเจอคนๆ นั้น กูจะเลิกเป็นโจรเลยนะ

   
“เอ็กซ์คิวส์มี!”

“หือ?” เบย์หลุดจากห้วงความคิด หันไปมองที่ริมฟุตบาท คิดว่าน่าจะเรียกเขา เพราะแถวนี้นอกจากตนกับคนๆ นั้นแล้วก็ไม่มีใคร

ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์คันใหญ่มหึมา เขารูปร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบ แต่งตัวด้วยเสื้อกล้าม กางเกงยีนขาดๆ สวมผ้าโพกหัว หมวกปีกกว้าง และแว่นกันแดดใหญ่เกือบครึ่งหน้า โดยรวมเหมือนน้าๆ วงคาราบาว ในมือกางแผนที่อันเบ้อเริ่ม

นักท่องเที่ยวหลงทางแน่ๆ แต่ช่างหัวมันทำไม ไม่ใช่ธุระของเรา

เบย์คิดได้อย่างนั้นก็ยักไหล่แล้วเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ
 
“ยูว์! ช่วยไอหน่อยได้หม้าย? ไอ่ม่ายรู้ว์อะไรเล่ย”
 
เบย์หันไปมองข้างหลัง ชายแปลกหน้าคนนั้นเดินตามมาแล้วดึงมือไว้ ท่าทางต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

“เออๆ จะให้ช่วยอะไรล่ะ” เบย์ว่า หลีกเลี่ยงการมองหน้าตรงๆ
 
“ไอเพิ่งคัมแบ็คจากแอลเล ฟาร์อะเวย์ฟรอมแบงค็อกหล้ายปี จำทางม้ายด้าย ยูว์รู้หม้ายว่าโพลิซสเตชึ่นไปทางหน้าย?”

หนุ่มแปลกหน้ายื่นแผนที่ให้เบย์ สำเนียงการพูดไทยคำอังกฤษคำทำให้คนฟังปวดหัวปนหมั่นไส้

“จะไปไหนนะ” เบย์เท้าสะเอวถาม

“โพลิซสเตชึ่น” ชายแปลกหน้าตอบ


โพลิซสเตชั่น สถานีตำรวจใช่มั้ยวะ อย่าบอกนะว่าเจอตำรวจอีกแล้ว!!!
 
“เออ...อยู่นี่ ขับรถไปเรื่อยๆ ก็เจอเองแหละ”
 
เบย์ชี้ในแผนที่อย่างขอไปที ก่อนจะเดินหนีไวๆ ด้วยความหวาดผวา แต่หนุ่มต่างถิ่นยังไม่หายข้องใจ เดินตามหลังมาอีก

“แท้งค์ยูว์เวรี่มัช! ให้ไอตอบแทนยูว์นะ ไปดินเนอร์ด้วยกันเท๊อะ”
 
หนุ่มต่างถิ่นคว้าแขนเบย์อย่างถือวิสาสะแล้วพาเดินไปยังร้านอาหารริมทางที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน โจรหนุ่มโมโหจนแทบจะวีนใส่ คนอะไรไม่มีมารยาท!
 
แต่จะว่าไปเขาก็หิวมาก ไม่มีอะไรตกถึงไส้ตั้งแต่เช้าแล้วเพราะโดนโจรอู๋แย่งกินหมด เลยยอมเออออตามไป

เมื่อมาถึงร้าน ชายต่างแดนก็ถอดแว่นดำเผยใบหน้าที่แท้จริงซึ่งดึงดูดสายตาของลูกค้าในร้านให้หันมามองเป็นเป้าเดียว เบย์พบว่าชายผู้นี้มีหน้าตาคมสันสมชาย คิ้วหนาเข้ม ตาคม จมูกโด่ง ปากสวย มีลักยิ้มด้วย

ไม่หล่อแล้วล่ะ แต่หล่อโคตรๆ
 
แต่ดูยังไงก็คนไทยชัดๆ ไม่ใช่ชาวตะวันตกอย่างที่คิด

“ยูว์จะกินอะไร เดี๋ยวไอเลี้ยง ตอบแทนที่ยูว์ช่วยบอกทางไอ”

หนุ่มหล่อพูดพร้อมกับยิ้ม ซึ่งทำให้หล่อกว่าเดิมสองเท่า ทำเอาพนักงานที่เดินเสิร์ฟอาหารแทบชนกันเพราะมัวแต่หันมามอง แม่สาวที่เดินเข้ามารับออเดอร์ก็ดูเขินๆ บิดซ้ายบิดขวาจนเบย์เกือบอัญเชิญเข้าห้องน้ำเพราะนึกว่านางปวดขี้

เบย์สั่งร่ายยาว “ข้าวปูผัดผงกะหรี่ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง น่องไก่ทอด น้ำมะนาวแก้วใหญ่พิเศษ”

“ไอม่ายรู้จักอะไรเลย กินเหมือนยูว์ละกัน” ชายหนุ่มบอก จากนั้นพนักงานก็เดินจากไป “ถามหน่อยซี ทำม้ายยูว์มีแผลเต็มหน้าเลย”
 
“เรื่องของผม” เบย์หันหน้าหนี

“ไปฮอสพิทอลกันหม้าย?”

“ไม่ต้อง!”

เบย์กอดอก ขมวดคิ้ว หันหน้าออกไปทางนอกร้าน เป็นการเมินเฉยต่อหนุ่มต่างถิ่นอย่างจงใจ เขาไม่อยากให้ใครมายุ่งกับตัวเองทั้งสิ้นเพราะกลัวความลับแตก แต่ชายต่างแดนเป็นคนเฟรนด์ลี่ เขาไม่ชอบบรรยากาศเงียบๆ น่าอึดอัด เลยพูดกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจและเป็นมิตร

“ยูว์ชื่ออะร้าย?”

“ไม่บอก” เบย์ตอบอย่างเย็นชา

หนุ่มหล่อหน้าเจื่อน แต่ยังคงพูดต่อไป “ไออยู่ในช่วงลองฮอลิเดย์เลยคัมแบ็คโฮม คิดถึงแบงค๊อกมากๆ ม่ายได้กลับมานานแล่ว”

ใจจริงอยากพูดว่า ‘เรื่องของมึง’ แต่ก็ดูใจร้ายเกินไป เลยพูดอีกอย่างแทน “เป็นคนไทยเหรอ”

“น็อทเรียลลิ...ไอ’ม ฮาล์ฟ มายแด๊ดอิสอะเม้ริเคิ่น มายมัมอิสไทย แต่ไอโตที่แอลเล เลยพู๊ดไทยไม่ค่อยเก้ง” ชายหนุ่มบอกด้วยแววตาของเขาจริงใจและใสซื่อ แต่เบย์ได้ฟังแล้วกลับเบะปาก

“กระแดะ”

“ว้อท?”

“เป็นตำรวจเหรอ”

“ไม่ช่าย”
   
“แล้วถามหาโพลิซสเตชั่นทำไม”
   
“จะไปหาดาร์ลิ้งของอ้าย”
   
“อ๋อ เหรอ แฟนติดคุกสินะ”
   
“ไม่ช้าย แฟนไอเป็นต้ำรวจ”
   
โอเค แฟนเป็นตำรวจ แต่มันไม่ใช่ตำรวจ ค่อยโล่งไปที
   
อาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เบย์ลงมือกินอย่างหิวโหยสุดชีวิต ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็สูบอาหารทุกอย่างจนเกลี้ยง ทำเอาคนที่นั่งตรงข้ามมองอย่างอึ้งๆ พอกินน้ำแข็งก้อนสุดท้ายเสร็จก็ลุกจากเก้าอี้โดยไม่มีคำพูดใดๆ คล้ายกินแล้วหนี
   
“เฮ้ ยูว์จะรีบไปหน้าย!?” ชายหนุ่มคว้ามือของเบย์ไว้ เจ้าตัวสะดุ้งสะบัดทิ้ง
   
“กลับบ้านสิถามได้”
   
“เดี๋ยวไอไปโส้ง”
   
“ไม่ต้อง ขอบใจ ไปละ” โจรสะบัดผมยาวๆ เดินจากไปอย่างไม่ไยดี หนุ่มหล่อต่างถิ่นมองตามด้วยความรู้สึกค้างคา แล้วตะโกนตามหลังก่อนเจ้าตัวจะเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง

“ซียูว์อะเกน ลองแฮร์บอย!!!”
   
เบย์หยุดกึก หันไปพร้อมกับใบหน้าเย็นชาและชูนิ้วกลางให้ไอ้ฝรั่งเก๊ แล้วก็เดินจากไปในความมืด

หนุ่มอเมริกันแทนที่จะโกรธกับท่าทางแบบนั้น กลับหัวเราะด้วยซ้ำไป และมั่นใจอย่างประหลาดว่าต้องได้เจอกับหนุ่มผมยาวอีกแน่ๆ
   
“ลองแฮร์บอย...”



   
เมื่อกลับมาถึงรังโจรแล้วเบย์ก็ไม่เจอใครสักคนแม้แต่อเล็กซ์ ผีเฝ้าประตูที่ไม่เคยออกไปไหน พี่อู๋กับแสงเทียนก็หายไปเหมือนกัน

หรือว่าจะไปหาลูกค้าซะแล้ว? R.I.P นะแสงเทียน...ขอให้ไปสู่สุขคติ อย่างน้อยไปเป็นเด็กเสี่ยก็ดีกว่าเมียโจร

เบย์เข้ามาในห้องของตัวเอง หันมองกระจกแล้วก็สะดุ้งเฮือกกับสิ่งที่เห็น ใบหน้าของเขาแดงเถือกด้วยเลือด ปากแตก หัวโน หน้าช้ำ ถอดเสื้อออกก็เจอแผลเต็มหน้าอกลามไปถึงท้อง แผลเยอะอย่างนี้คงต้องไปโรงพยาบาลไม่ก็ซื้อยามา ปล่อยให้หายเองอย่างที่คิดตอนแรกไม่ได้แน่
   
เอาไงดีวะ วันนี้ไม่ได้เงินซักบาท จะใช้เงินกองกลางก็ต้องเบิกที่ไอ้เล็ก แต่หมอนั่นดันไม่อยู่... ทำไงดี

โจรหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงเผื่อว่าจะเจอเศษเหรียญ อย่างน้อยให้พอซื้อพลาสเตอร์แปะชั่วคราวก็ยังดี แต่โชคร้ายอย่างสาหัสที่ในกระเป๋าไม่มีอะไรเลย...นอกจากกระดาษยับๆ แผ่นหนึ่ง

เบย์ขมวดคิ้ว เขาจำไม่ได้ว่าเอากระดาษอะไรใส่ตอนไหน เลยหยิบออกมาดูอย่างงงๆ แล้วก็พบว่ามันไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าหนึ่งร้อย
   
มาจากไหน?
   
เบย์ถือเงินไว้แล้วนึกย้อนกลับไป เงินนี้ไม่ใช่ของเขา แสดงว่าเป็นของคนอื่น และคนๆ นั้นต้องไม่ธรรมดาถึงมือเบาและว่องไว เอาของสิ่งนี้ใส่ให้อย่างแนบเนียนโดยที่โจรอย่างเขาไม่รู้ตัว และที่สำคัญต้องเป็นคนอเมริกันด้วย...ซึ่งคำตอบก็มีอยู่ข้อเดียวนั่นแหละ
   
โจรหนุ่มยิ้มจนแผลข้างปากปริกว่าเดิม เลือดไหลลงไรฟัน แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่
   
“ไอ้ฝรั่งเก๊...”






////// กลับมาแล้วค่า หายไปนานมาก 555

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ แล้วก็ขอบคุณอีก! ที่ช่วยชี้ช่องโหว่ให้ด้วย แฮ่ๆ
 
เรื่องลายนิ้วมือ ที่อเล็กซ์แฮ็กไปแก้ไขได้ น่าจะเป็นลายนิ้วมือในแฟ้มอาชญากรค่ะ อย่างเช่นถ้าเขาหรือคนในแก๊งรู้ตัวว่าเผลอทำรอยมือทิ้งไว้ แล้วคดีที่ก่อเหตุเป็นข่าว/ถูกตำรวจติดตาม อเล็กซ์ก็จะเข้าไปแก้ไม่ให้ตรงกับลายนิ้วมือในทะเบียนราษฎร์ (ที่เราปั๊มกันตอนทำบัตรประชาชนแหละค่ะ) แก๊งโจรเลยลอยนวลได้เสมอๆ 

ส่วนลายนิ้วมือที่นักสืบค้นว่าเป็นโจรอู๋นั้น เป็นลายนิ้วมือในทะเบียนราษฎร์ (โจรอู๋ไม่ได้บอกอเล็กซ์) แก้ไม่ทัน เลยโป๊ะแตกค่ะ

พยายามหาเหตุผลสุดขั้ว 555

ดีใจนะคะที่ช่วยชี้จุด ชอบๆๆ มีตรงไหนน่าจะแก้ก็บอกกันได้นะคะ อยากให้เรื่องสมจริงที่สุด 555

ขอบคุณทุกคนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-10-2018 01:17:46
เนื้องอกของเบย์555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-10-2018 02:53:09
เบย์จะมีคู่
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-10-2018 08:18:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 12-10-2018 22:18:27
ยังไงๆ นี่ เบย์ จะเจอ เนื้อคู่จิ เนี่ยๆ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.7 คืนเดียวกัน & อเมริกันแมน (11/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 13-10-2018 07:12:43
หนุ่มผมยาวพบเนื้อคู่
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.8 คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 17-10-2018 20:59:31

คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย


   
คืนเดียวกัน อเล็กซ์ออกปฏิบัติการภาคสนามเป็นครั้งแรก

ตั้งแต่อยู่ในแก๊งโจรมาครึ่งปีเขาแทบไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเลย ตำแหน่งของเขาคือแฮกเกอร์ พนักงานบัญชี พ่วงตำแหน่งผีเฝ้าตึก ชีวิตอยู่แต่ในความมืดจนผิวขาวซีดอย่างกับผีจริงๆ แต่ที่ต้องออกมาข้างนอกคืนนี้เพราะโน้ตบุ้คลูกรักถูกหนูฉี่ใส่จนเจ๊ง ดังนั้นโจรหนุ่มลูกครึ่งจึงวางแผนจะไปขโมยเครื่องใหม่ที่ร้านขายคอมพิวเตอร์
   
ตอนนี้เขามาถึงสถานที่เป้าหมายแล้ว กำลังหาทางเข้าจากหลังคาร้าน... ด้วยรูปร่างผอมเพรียวดุจลำไม้ไผ่ตามประสาเด็กยากจน ทำให้เคลื่อนไหวได้ปราดเปรียวและเงียบเชียบ แม้ว่านี่จะเป็นโจรกรรมครั้งแรกแต่อเล็กซ์ก็ระวังตัวเป็นอย่างดี เขาสวมถุงมือ หมวกไหมพรม ผ้าปิดปาก และเสื้อผ้าสีดำ ปกปิดมิดชิดกลมกลืนไปกับความมืด ค่อนข้างแน่ใจว่าภารกิจจะไม่ผิดพลาด

อเล็กซ์เจอช่องลมเหนือประตูหลังร้าน ขนาดกว้างสองคืบยาวหนึ่งเมตร ถ้าเป็นคนปกติคงเข้าไม่ได้เพราะมันเล็กมาก แต่ด้วยหุ่นผอมบางกว่าคนปกติเขาจึงทำได้ โจรหนุ่มสอดขาเข้าไปก่อน ใช้เท้ายันผนัง ค่อยๆ สอดร่างกายผ่านช่องไป มือสองข้างจับขอบไว้มั่น จากนั้นก็ไต่ลงจากผนังลงสู่พื้น

ภายในร้านมืดสนิท เขาใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องหาโน้ตบุ้คสักตัว เจอแม็คบุ๊คสีขาวสะท้อนแสงไฟฉายเด้งใส่ตาอย่างจัง โดนใจอย่างแรง โจรหนุ่มไม่รอช้าใช้กุญแจผีหมุนปลดล็อคตู้โชว์ เอาเจ้าเครื่องนั้นยัดใส่กระเป๋าเป้ ตามด้วยสายชาร์จและอุปกรณ์เสริมต่างๆ เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ก่อนจะปีนกลับไปทางเดิม หัวใจของเขาเต้นระทึกตลอดการทำภารกิจ แต่พอกลับออกมาข้างนอกได้แล้วก็โล่งใจ
   
อเล็กซ์กระโดดจากหลังคามายังกำแพง แล้วลงสู่พื้นถนนด้วยท่วงท่าสง่างามและฝีเท้าเบาราวกับแมว

   
ภารกิจเสร็จสิ้น


   
เขายิ้มกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจ เงยหน้าขึ้นจากพื้นเตรียมตัวกลับบ้าน แต่...
   
“พี่ชาย!”

ทุกสิ่งเป็นอันต้องหยุดชะงัก

ตรงหน้าเขามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ อายุราวๆ สิบสี่สิบห้า สูงประมาณร้อยหกสิบเซนติเมตร รูปร่างสมส่วน หน้าตาดีจัด ผิวสีแทน แต่งตัวด้วยชุดนักเรียนม.ต้นโรงเรียนนานาชาติไฮโซชื่อดังในแถบย่านนี้ อเล็กซ์ตกใจที่เห็นเด็กชาย เพราะเด็กคงจะเห็นเขากระโดดลงจากหลังคาและรู้ว่าเขาเป็นขโมย ทีแรกโจรหนุ่มคิดจะทำร้ายร่างกายเด็กแล้วหนี แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของเขา นั่นคือสายตาเป็นประกายของเด็กชาย
   
สายตาที่มองเขาราวกับเห็นซูเปอร์ฮีโร่
   
“พี่ชายเท่จัง! ทำได้ยังไงน่ะ!”
   
“...หา?” อเล็กซ์ถึงกับเหวอเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
   
“ผมอยากเก่งเหมือนพี่ชาย สอนผมหน่อยได้มั้ยครับ”

หนุ่มน้อยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด ดวงตาเบิกกว้างและเป็นประกายในความมืดสลัว ยิ้มกว้างมองอเล็กซ์อย่างมีความหวัง
   
“พี่ไม่มีเวลายุ่งกับนายหรอก” พูดแล้วเดินหนี
   
“เดี๋ยวสิพี่ชาย!”

เด็กชายตะโกนตามหลัง แต่อเล็กซ์ไม่สนใจ เดินดุ่มๆ ต่อไปตามทางของตัวเอง แม้จะได้ยินเสียงเด็กชายคนนั้นตะโกนเรียกหลายครั้งแต่เขาก็ไม่หยุด ถึงจะเป็นเด็กก็ไว้ใจไม่ได้ และเขาไม่อยากเสียเวลาด้วย
   
อเล็กซ์เดินมาถึงหน้าปากซอย หางตาแลเห็นพวกนักเลงนั่งสุมหัวกินเหล้ากันประมาณสี่ห้าคน แต่พวกมันไม่ทำอะไรอเล็กซ์นอกจากมองเฉยๆ โจรหนุ่มเดินผ่านไป ทว่าก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงดังข้างหลัง
   
“เฮ้ยไอ้น้อง หยุดก่อนสิวะ”
   
“ท่าทางรวยนี่หว่า เอาเงินมาซิ!!!”
   
โจรหนุ่มหันไปมอง เห็นนักเลงพวกนั้นเข้าไปรุมล้อมเด็กชาย พวกมันพูดจาข่มขู่เและค้นตัวเด็ก ได้โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ไป เด็กชายกลัวจนตัวสั่นหน้าซีด พอพวกมันฉกเงินไปทั้งหมดแล้วคืนกระเป๋าตังค์เปล่าๆ ให้เจ้าของ เด็กชายมองด้วยดวงตาสั่นคลอนคล้ายจะร้องไห้ แล้วหนึ่งในนักเลงก็ตวาดใส่หน้าเขา

“ไสหัวไปได้ละ! หรือจะกินยำตีน!!!”
   
จากนั้นนักเลงอีกคนก็ผลักเด็กชายล้มลงพื้น โดยที่พวกมันไม่รู้เลยว่าทุกการเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาสีเทาอมฟ้าของอเล็กซ์ทั้งหมด
   
โจรหนุ่มหมุนตัวเดินกลับไปข้างหลัง อำพรางตัวในความมืดของต้นไม้ข้างทางจนกระทั่งเข้าใกล้เป้าหมาย แล้วจัดการฟันศอก เตะก้านคอ ทุบหัว ชกหน้า นักเลงทั้งสี่คนจนสลบเหมือดภายในพริบตาเดียว ถึงเขาจะผอมแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ประสบการณ์จากบ้านเด็กกำพร้าเฆี่ยนตีเขาให้เข้มแข็งทั้งภายในและภายนอก เขารู้ดีว่าถ้าอยากอยู่รอด ทักษะการต่อสู้สำคัญพอกับความรู้ในสมอง ซึ่งอเล็กซ์มีทั้งสองอย่าง

ขณะที่เด็กชายมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึงปนซึ้งใจ ปากอ้าค้างพูดไม่ออก อเล็กซ์ก็คุกเข่าล้วงกระเป๋ากางเกงของนักเลงคนที่ขโมยของเงินเด็กชายเอาเงินออกมา มีแค่สามร้อยยี่สิบบาท โจรหนุ่มไม่ได้เอาเงินคืน แต่เก็บใส่กระเป๋าตัวเอง
   
“ขอบคุณนะครับพี่ชายที่ช่วยผม” เด็กพูดด้วยน้ำตารื้นๆ “พี่ชายเก่งจัง วิชาตัวเบาก็ได้ ต่อสู้ก็เป็น ช่วยสอนผมหน่อยได้รึเปล่า ผมอ่อนแอ ถูกคนอื่นรังแกเสมอเลย... ผมอยากแข็งแกร่งแบบพี่ชาย...”
   
เด็กร้องไห้และพูดแทบไม่เป็นศัพท์ อเล็กซ์มองแล้วรู้สึกเอ็นดูปนสมเพช ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจช่วยหรอก แต่เห็นเงินแล้วมันอดไม่ได้ ไม่คิดว่าเด็กจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นพลเมืองดีซะงั้น
   
“ขอโทษนะ พี่ไม่ว่างขนาดนั้นหรอก” อเล็กซ์ตอบแบบถนอมน้ำใจ “นายรีบกลับบ้านเถอะ คราวหน้าก็อย่ามาเดินแถวนี้อีกละกัน”
   
“วันนี้ป๊าไม่ว่าง ผมเลยเดินกลับบ้านเอง” เด็กชายพูดแล้วปาดน้ำตา “แต่ผมดีใจที่ได้เจอพี่ชายนะ”
   
“อืม ลาก่อน” อเล็กซ์ลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
   
“พี่ชาย อย่าเพิ่งไป! ผมอยากให้พี่ชายสอนผมจริงๆ!” เด็กชายจับมืออเล็กซ์ไว้แน่น แววตาเว้าวอนสุดฤทธิ์ “ผมจ่ายเงินให้ก็ได้ แค่พี่ชายช่วยสอนผมที นะครับ... น้าาาา”
   
อเล็กซ์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเขิน
   
“ดูท่าแล้วนายน่าจะมีเงิน พี่แนะนำให้ไปจ้างครูฝึกจริงๆ ดีกว่า”
   
“แต่ผมชอบพี่ชายนี่นา”

เด็กชายพูดด้วยดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับทำให้อเล็กซ์ร้อนหน้าผ่าว โชคดีสวมผ้าปิดปากเอาไว้ ไม่งั้นเด็กจะสงสัยว่าเขากำลังคิดลึก... แต่เด็กสมัยนี้ก็แก่แดดเกิ๊น เจอหน้ากันไม่กี่นาทีพูดว่าชอบได้ไม่อายปาก
   
“พี่ต้องไปแล้ว นายเองก็ด้วย กลับบ้านซะ” อเล็กซ์พูดเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่เด็กชายดึงดันไม่ยอมปล่อย

“งั้นพี่ชายก็เอาเงินผมคืนมาเลย”
   

นั่น มีทวง

   
“งั้นพี่จะปลุกนักเลงขึ้นมาซ้อมนาย” อเล็กซ์เอาคืนบ้าง
   
เด็กชายเม้มปาก ท่าทางเหมือนคนแพ้แต่ไม่ยอมแพ้ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเฉยๆ “พี่ชายชื่ออะไร มีเบอร์มั้ย หรือว่าไลน์ก็ได้ ผมขอหน่อยสิ”
   
นอกจากจะแก่แดดแล้วยังรุกไวด้วย

“จะเอาไปทำอะไร”
   
“ผมถูกชะตา อยากรู้จักพี่ชายน่ะ” เด็กยิ้มหวานโชว์ฟันขาว
   

นี่เข้าข่ายจีบแล้วสินะ
    
“ชื่อพี่คงบอกไม่ได้ แล้วพี่ก็เล่นโซเชียลด้วย เสียใจด้วยนะ” อเล็กซ์แกะมือของเด็กชายออกจากแขน “กลับบ้านซะ เดี๋ยวป๊าเป็นห่วง”
   
โจรหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งหายไปในความมืดด้วยฝีเท้าเบาและเร็วดั่งลม เด็กชายมองตามหลังอย่างผิดหวัง แล้วเดินก้มหน้ากลับบ้านอย่างหงอยๆ แต่พอเดินมาถึงร้านคอมพิวเตอร์ ตรงจุดที่เขาพบชายชุดดำเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ความเศร้าก็หายไป

มีของบางอย่างตกอยู่ที่พื้น

เด็กชายหยิบขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น มันคือบัตรเอทีเอ็ม พลิกดูข้างหลังปรากฏลายเซ็นผู้เป็นเจ้าของ


...ALEX G. HRICKMUNZ


เด็กชายยิ้มกว้าง ราวกับเจอแสงแห่งความหวังในความมืดมิด
   
“เราต้องได้เจอกันอีกแน่... พี่ชาย”



   
เช้าวันต่อมา สถานีตำรวจ
   
“มายดาร์ลิ้ง ฮันนี่~ อ่ายมิสยูวววว์!!!”
   
ร้อยตำรวจโทหริรักษ์ตกใจจนใบหน้าหายมึนทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของใครบางคนตรงเข้ามา พอเจอหน้าคนๆ นั้นแล้วหมวดก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยดวงตาเบิกโตแบบที่ไม่เคยเป็นมานานมากแล้วนับแต่การเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน
   
“พีเท่อะ!!!”
   
“เยส! พีเท่อะอิสแบ็ค!”

ชายหนุ่มผู้มาเยือนยิ้มกว้างจนเห็นฟันทั้งแถว วิ่งเข้ามากอดหมวดรักษ์แน่นแล้วหมุนเหวี่ยงเป็นวงกลม ไม่สนสายตาตำรวจหรือผู้ร้ายหน้าไหนที่กำลังมองมาทั้งสิ้น ไม่พอยังหอมแก้มหมวดหนักๆ ข้างละสามที ถ้าหมวดไม่ตีให้หยุดก็คงจะจูบปากไปแล้ว
   
“มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกกันก่อน”

หมวดถามพลางจับแขนจับหน้าชายหนุ่มร่างสูงไปทั่ว เหมือนอยากแน่ใจว่าคนตรงหน้าคือตัวจริง
   
“ลาสต์ไนท์แล้วเบบี๋ ไอ่ไม่บอกก็อยากจะเซอร์ไพรส์งาย”
   
“แล้วนี่มาเที่ยวหรือมาทำงาน”
   
“ทราเวล เท่วจ้า”
   
“จริงเหรอ กี่วัน”
   
“หนึ่งเดือน” ผู้พันบอกยิ้มๆ “ไอ่ดีใจมาก...ไอมิสยูเวรี่ๆ เลย”
   
หมวดรักษ์ผลักหน้าอกผู้พันหนุ่มออกห่าง เพราะเขาทำท่าจะจูบอยู่นั่น “น้อยๆ หน่อย”
   
“ทำหม้าย? ยูว์อาร์มายบอยเฟรนด์”
   
“ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา และเราก็กำลังทำงานอยู่” หมวดรักษ์กอดอก สีหน้าจริงจังขึ้นมา “แล้วก็เลิกเรียกว่าบอยเฟรนด์ด้วย”
   
อีกฝ่ายหุบยิ้ม สีหน้าหมองลงทันที
   
เป็นอย่างที่หมวดว่า ทั้งคู่ไม่ใช่แฟนกัน แต่ทำเหมือนกับแฟน...เป็นอย่างนี้มานานมากแล้วตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เคยอยู่บ้านใกล้กัน เป็นเพื่อนเล่นกันมาช่วงเจ็ดปีแรกของชีวิต แรกๆ ก็คบกันดีไม่มีปัญหาอะไร แต่พอท่านนายพลเรือตรีแฮมิลทันแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ รู้ว่าลูกชายคนเดียวของท่านชักล้ำเส้นเกินคำว่าเพื่อนกับเด็กข้างบ้าน ถึงขั้นเรียกรักษ์ว่าแฟน... ท่านก็เริ่มไม่ไว้ใจ ท่านไม่อยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเบี่ยงเบนทางเพศ ท่านต้องการให้ลูกมีทายาทสืบวงศ์วารทหารหาญ สืบทอดเกียรติภูมิและทรัพย์สินมหาศาลที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้ตั้งแต่สมัยสงครามกลางเมืองไปตราบสิ้นดินฟ้า
   
พีเทอร์ทำตามใจพ่อได้เรื่องหนึ่ง
   
เขาเลือกเป็นทหารเรือเหมือนพ่อ ไต่เต้าจากทหารชั้นล่างขึ้นมาถึงระดับผู้พันภายในเวลาแค่ห้าปี จะบอกว่าใช้ความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียวก็ดูจะตอแหลไปหน่อย เอาเป็นว่าพ่อของเขาก็มีส่วนเอี่ยวประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ การผลักดันถึงขั้นอัดฉีดสุดฤทธิ์สุดเดชของท่านนายพลก็เพื่อให้ลูกเป็น ‘ชายสมชาย’ เขาคิดว่าการให้ลูกเรียนโรงเรียนชายล้วน ตามด้วยโรงเรียนนายเรือ และส่งเข้ากองทัพ ใช้ชีวิตหฤโหดกับเหล่าชายฉกรรจ์ จะทำให้จิตใจกร้าวแกร่งเช่นเดียวกับตน
   
หารู้ไม่...สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้พีเทอร์เป็นชายสมชาย แต่ดันเป็นชายเหนือชาย
   
แฟนเขามีตั้งแต่ทหารใหม่หน้าใสๆ ไปถึงผู้พันรุ่นพี่วัยเลขสาม แต่พ่อเขากลับไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้ เพราะพีเทอร์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจเรื่องความรัก ชีวิตเขาคืองาน-งาน-งาน ปฏิญาณไว้เลยว่าจะไม่คิดสร้างครอบครัวจนกว่าจะได้เป็นนายพลเอก
   
แต่นั่นก็เป็นเพียงจำอวดหน้าม่านให้พ่อเขาดู คนเดียวที่รู้ความจริงก็คือแม่ชาวไทยของเขา

แม่ของพีเทอร์เป็นสาวไทยรักอิสระ มีหัวคิดก้าวหน้า สิ่งเดียวที่นางต้องการคือให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุขเท่านั้น จึงไม่ถือสาหากลูกชายจะฝักใฝ่ผู้ชายด้วยกัน ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้เมื่อสิบกว่าปีก่อนพ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงมาก เดิมทีการอยู่คนละซีกโลกก็แย่พอแล้ว เมื่อเกิดปัญหาก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ สุดท้ายเมื่อหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้ ก็ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง ตอนนั้นพีเทอร์ยังเด็ก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่เลิกกันทำไม พอโตมาถึงเข้าใจว่าสาเหตุมาจากตัวเขาเอง
 
ตามหลักจริงๆ ผู้พันควรได้อยู่เมืองไทยกับแม่ เพราะเขาเกิดเมืองไทย โตที่ไทยด้วยน้ำมือของแม่ แต่ท่านนายพลไม่ยินยอม ท่านสู้หลังชนฝา ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิทธิในการเลี้ยงดูลูกชาย ไม่เว้นแม้แต่การแฉประวัติสาดโคลนอดีตภรรยาว่าเคยเป็นผู้หญิงกลางคืน ฐานะยากจน ไร้การศึกษา ไม่มีทางดูแลลูกชายได้ดีเท่าตน แม่ของเขาจึงยอมยกธงขาวพ่ายแพ้ ไม่ใช่เพราะยอมจำนนต่อคำครหา แต่เพราะเป็นห่วงจิตใจลูกชาย

ด้วยเหตุนี้ผู้พันจึงไปอยู่กับพ่อที่อเมริกาตั้งแต่นั้น และไม่ได้กลับมาเหยียบเมืองไทย โดนสั่งห้ามพูดภาษาไทย ไม่กระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไทยอีกเลย

สำหรับท่านการทำเช่นนี้ก็เพื่อลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับภรรยา และลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับเด็กชายรักษ์สำหรับลูกชาย แต่หารู้ไม่ว่าผู้พันแอบส่งจดหมายหาแม่เสมอ รวมไปถึงเด็กชายรักษ์ พอมีโทรศัพ์ใช้ก็โทรหากันบ้าง กระทั่งมีอินเทอร์เน็ตใช้ก็แชทกันเป็นประจำ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้พันต้องไม่ทำให้พ่อรู้ มิฉะนั้นเขาจะถูก ‘ทำทัณฑ์บนส่วนตัว’ อย่างโหดระดับเดียวกับการฝึกของหน่วยซีลเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาหมวดหริรักษ์คิดกับผู้พันพีเทอร์แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น และไม่เคยถือสาที่ผู้พันแสดงออกอย่างเปิดเผยเหมือนแฟน เนื่องจากรู้ว่าผู้พันรักแม่ ขาดแม่ คิดถึงแม่ และตนก็มีส่วนคล้ายแม่ของผู้พันมากๆ จึงไม่เคยว่าอะไร
   
“วางแผนจะทำอะไรบ้างล่ะ” หมวดถามเปลี่ยนเรื่อง
   
“อยู่กับยูว์ไง” ผู้พันบอก
   
“ไม่ได้หรอก ช่วงนี้เรายุ่งมาก มีคดีเก่ารอสะสางยาวเป็นหางว่าว นี่ก็เพิ่งมีคดีใหม่แทรกเข้ามาอีก” หมวดว่าพลางเปิดแฟ้มเอกสารรับแจ้งความอันล่าสุด
   
“คดีอะร้าย? เผื่อไอช่วยได้”
   
“เป็นทหารมายุ่งทำไม”
   
“ทหารก็จับผู้ร้ายด้าย” ผู้พันพูดขำๆ

“ไม่เป็นไรหรอก คดีเล็กๆ” หมวดยักไหล่ “แค่โจรขโมยของร้านคอมพิวเตอร์เอง”



   
อีกด้าน

ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังในห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง
   
ระหว่างเตรียมเปิดร้าน เคฟก็คิดถึงเหตุการณ์อุตลุดชุลมุนเมื่อคืนที่แล้วเมื่อสมาชิกแก๊งโจรแต่ละคนกลับมาในสภาพราวกับผ่านสงครามแล้วก็แอบขำอยู่คนเดียว ตั้งแต่เฮียอู๋กับแสงเทียนที่ไปลุยบ่อนโกยเงินเสี่ยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เบย์ถูกสาวค้ายาบ้าทำร้ายสะบักสะบอมและเกือบตกกระไดพลอยโจนเป็นผู้ร้าย กับอเล็กซ์ที่ไปขโมยของครั้งแรกและถูกเด็กตามตื๊อ เขารู้สึกโชคดีที่ตัวเองไม่ได้ออกล่าอีกคน ไม่งั้นอาจเจอเรื่องเฮงซวยด้วยเหมือนกัน
   
เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของร้านแล้วเคฟก็เข้าไปพักในห้องพักพนักงาน อีกหลายนาทีกว่าจะถึงเวลาห้างเปิด เขาเลยเปิดทีวีดูแก้เซ็ง เลื่อนดูช่องโน้นช่องนี้ แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ เกือบจะปิดแล้วไปหาอย่างอื่นทำ แต่บังเอิญเห็นข่าวอาชญากรรมซะก่อนเลยหยุดดู เผื่อว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับแก๊งตน

   
“เกิดเหตุโจรขโมยของร้านคอมพิวเตอร์คืนที่ผ่านมา มีพลเมืองดีเป็นเด็กมัธยมเก็บบัตรเอทีเอ็มของผู้ร้ายได้และไปแจ้งความ ผู้ร้ายชื่อนายอเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์ อายุยี่สิบเอ็ดปี ใบหน้าตามนี้ค่ะ (ขึ้นรูป) โดยโจรได้ขโมยแม็คบุ้คราคาแพงที่สุดในร้านไป ผู้ใดพบเห็นกรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยค่ะ!”

   
“เชี่ยแล้ว”

เคฟเสียวสันหลังวาบ มือเย็นเฉียบฉับพลัน โจรอู๋เพิ่งโดนไปวันนั้น วันนี้อเล็กซ์ก็โดนอีกคน รายต่อไปจะเป็นเขาหรือเบย์ก็ไม่รู้

หนุ่มตี๋ปิดหน้าจอโทรศัพท์ด้วยหัวใจเต้นแรงระทึก ในใจเป็นห่วงพรรคพวก ไม่รู้ป่านนี้จะรู้ตัวกันรึยังว่าหายนะใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
   
“เคฟ” ผู้จัดการร้านเรียก
   
“ครับ?” ชายหนุ่มสะดุ้ง แต่ปรับสีหน้าเป็นปกติ 
   
“พี่เพิ่งรับเด็กเข้ามาทำงานใหม่ อายุเท่าๆ กับนาย ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้เขาด้วยนะ เอ้า เข้ามา”

ผู้จัดการบอกก่อนจะกวักมือเรียกเด็กใหม่เข้ามาในห้อง
   
เด็กใหม่ที่ว่าเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงสง่า หน้าตาดีเกินไปจนไม่น่ามาลงเอยด้วยการเป็นแค่พนักงานร้านอาหาร คิ้วเข้มตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวสว่างออร่าเจิด แลดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน เสียอย่างเดียวคือดูไม่เป็นมิตร ทำหน้าเครียดอย่างกับเมียเพิ่งตาย
   
“สวัสดี ชื่อไร” เคฟทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง
   
อีกฝ่ายหน้าบึ้ง ตอบห้วนๆ
   
“เฟลม”





TBC...




/// มาต่อแล้วจ้า มีใครรอยู่มั้ย

ความซวยมาเยือนแก๊งโจรแบบคอมโบ้เซ็ตไปเลย เอาใจช่วย(?) พวกเขาด้วยนะคะ 555

คนเขียนขอลาพักร้อนหนึ่งอาทิตย์ เจอกันวันนู้นนน เลยนะจ๊ะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ เลิฟฟฟ <3

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.8 คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-10-2018 21:28:17
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.8 คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-10-2018 22:05:00
ซวยยกแก็งค์   :mc4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.8 คืนเดียวกัน & คุณชายน้อย (17/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 19-10-2018 19:49:39
โจรแกนี้ควรไปทำบุญกันสักหน่อย. ซวยแบบไม่บันยะบันยัง  :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 24-10-2018 10:03:40

9
ลาก่อนเมียโจร



“เราชื่อคณาธิป แซ่ลิ้ม ชื่อเล่นเคฟ อายุยี่สิบ จากนี้ไปจะเป็นพี่เลี้ยงให้นาย” เคฟยื่นมือไปข้างหน้า แต่เฟลมไม่ยอมจับมือด้วย

“เรียกพี่นะ นี่อายุยี่สิบสอง” เฟลมว่า

“อ๋อเหรอ” เคฟหดมือกลับ “แต่ยังไงพี่ก็เป็นรุ่นน้อง เพราะผมทำงานก่อน อายุกับประสบการณ์มันคนละเรื่อง”

“อ้อ เหรอ จะให้เรียกว่า ‘รุ่นพี่’ ด้วยมั้ย?” เฟลมประชดประชัน
   
“ได้ก็ดี”
   
“เหอะ”
   
“ล้อเล่นน่า เรียกเคฟเฉยๆ ก็พอ” เขายิ้มอย่างขำๆ ผิดกับเฟลมที่ยังฉุนอยู่ “ยืนนิ่งทำไม ไปเปลี่ยนชุดสิครับ พี่เฟลม”
   
“...เออๆ”

เด็กใหม่พยักหน้าแล้วถือชุดไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ก่อนจะกลับมาภายในเวลารวดเร็ว เคฟพาออกไปข้างนอกตรงเคาน์เตอร์แล้วสอนการรับออเดอร์ลูกค้ากับการคิดเงินแบบคร่าวๆ ซึ่งเฟลมก็ทั้งจดทั้งจำอย่างขันแข็ง เขารู้เลยว่าชายหนุ่มคนนี้หัวดี สอนแค่ทีเดียวก็ทำเป็นแล้ว ติดอยู่อย่างเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้ คือการ ‘ยิ้ม’ แบบพนักงานบริการนี่แหละ
   
เคฟอยากรู้ว่าทำไมเฟลมเอาแต่ทำหน้าเครียดตลอดเวลา เลยถามอ้อมๆ เพื่อตีสนิทก่อน... ไม่ใช่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านหรือว่าปิ๊งอะไรมันหรอก เขาแค่ไม่อยากให้ลูกค้าเห็นหน้าบึ้งๆ ของพนักงานก็เท่านั้น
   
“เออนี่ ก่อนหน้านี้ทำงานอะไรเหรอ”
   
“นายแบบ”
   
“ถึงว่าเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อน แล้วทำไมถึงเลิกเป็นซะล่ะ” ถามต่ออย่างอยากรู้
   
เฟลมนิ่วหน้าเครียดกว่าเดิม “เรื่องส่วนตัว”
   
เคฟรู้สึกหน้าแตกเล็กน้อย เหมือนถูกด่าว่าเสือกแบบอ้อมๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามเฟลมต่อ ก็มีชายสองคนเดินเข้ามาในร้าน

หนุ่มโจรแอบตกใจ เพราะพวกเขาใส่เครื่องแบบตำรวจ

   
[/i]หรือว่าพี่เล็กไม่ก็พี่อู๋โดนจับได้แล้ว? พี่ๆ อาจสารภาพว่าพวกเรามีกันเป็นแก๊ง ตำรวจก็เลยตามมาลากคอเรา!!![/i]
   
   
เคฟมือเย็น ปากซีด มองชายในชุดสีน้ำตาลเข้มทั้งสองคนด้วยแววตาหวาดหวั่น เจ้าหน้าที่สองคนนั้นท่าทางน่าเกรงขาม ใบหน้าขึงขังจริงจังมากทีเดียว
   
“สวัสดี คุณเปรมประกิตต์”

ตำรวจนายหนึ่งเข้ามายืนชิดหน้าเคาน์เตอร์ของพนักงานใหม่ เคฟแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็มาหาเฟลม
   
“สวัสดีจ่าตะวัน นักสืบทิวา” พนักงานหนุ่มทักทายด้วยสีหน้าบึ้งๆ ไม่เปลี่ยนแปลง “จะรับอะไรดีครับ”
   
“เปล่าหรอก เราไม่ได้มากิน” นักสืบทิวาพูดแล้ววางเอกสารหลายแผ่นตรงหน้าเฟลม “นี่คือเบาะแสที่เราได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับนายอติศร แซ่อู๋”
   
เคฟสะดุ้งเฮือก แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่สองนายไม่ได้สนใจเขา
   

อติศร แซ่อู๋งั้นเหรอ!

   
“ยังไงครับ” เฟลมมองเอกสารอย่างไม่เข้าใจ
   
“เราพบภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าหลายแห่งที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นนายอติศร แซ่อู๋” จ่าตะวันอธิบายพร้อมกับชี้นิ้วให้ดูในเอกสาร
   
“หมายความว่าพวกเรากำลังจะแกะรอยไปถึงรังโจรได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน” นักสืบทิวากล่าว
   
ใบหน้าบึ้งตึงของเฟลมผ่อนคลายกลายเป็นยิ้มทันที “จริงเหรอครับ ขอบคุณพวกคุณมาก”
   
“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว” จ่าตะวันยิ้ม
   
ขณะที่เฟลมเบิกบาน เคฟกลับเครียดแทน
   

ซวยจริงๆ แล้วพี่อู๋ ซวยทั้งแก๊ง ถ้าตำรวจสะกดไปถึงที่รัง สิ่งที่ทำมาตลอดทั้งหกเดือนก็ไร้ความหมาย อนาคตอันยาวไกลก็คงไม่พ้นห้องขัง

   
เจ้าหน้าที่สองนายคุยกับเฟลมต่อสักพักก่อนจะกลับไป เคฟปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะทำเป็นถามเพื่อนใหม่

“มีเรื่องอะไรเหรอ”
    
“แฟนถูกโจรลักพาตัวน่ะ” เฟลมตอบ แววตาเศร้าชั่วขณะ “แต่ตำรวจต้องจับโจรได้เร็วๆ นี้แน่ พวกเขาเก่ง ทำงานเร็ว เพิ่งแจ้งความไปไม่กี่วันเอง แต่คดีคืบหน้าไวมาก”
   
“อืม ขอให้เจอแฟนเร็วๆ นะ”
   
“ขอบใจ”
   
แล้วทั้งสองก็เงียบต่ออีกสักพัก เฟลมไล่อ่านและจดจำเมนูอาหารทั้งหมด ส่วนเคฟเช็คเครื่องคิดเงิน แต่สมาธิไม่ได้จดจ่อที่หน้าจอเลย

   
อะไรจะจุดไต้ตำตอขนาดนี้

รีบบอกคนทางโน้นให้เตรียมตัวย้ายแหล่งกบดานดีกว่า!!!



   
   
ตอนเย็น
   
โจรอู๋บอกว่าพวกเราต้องย้ายแหล่งกบดานเพราะตำรวจกำลังแกะรอยตามใกล้เข้ามาแล้ว ไหนจะอเล็กซ์ที่โดนประกาศจับออกทีวีอีก ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปอาจถูกจับได้สักวัน ผมเสียใจและผิดหวังสุดๆ ทั้งที่อีกนิดเดียวจะได้กลับไปสู่โลกภายนอกแล้วแท้ๆ
   
ตอนนี้พวกโจรกำลังขนของขึ้นรถเพื่อหลบหนีกันอย่างเร่งรีบ ของที่เอาไปมีแค่ทรัพย์สินจากการโจรกรรมล้วนๆ ส่วนอย่างอื่นโจรอู๋สั่งให้ทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อประหยัดเวลา อะไรเผาทิ้งได้ก็เผา

เคฟลงทุนเช่ารถยนต์มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ส่วนผมไม่อยู่ในกระบวนการขนย้าย ถูกปิดตามัดแขนขานั่งรออยู่ในรถอย่างเดียว พอพวกเขาขนเสร็จแล้วก็เข้ามานั่งข้างใน แล้วก็ออกเดินทาง
   
“จะไปที่ไหนกัน” ผมถาม
   
“บ้านเก่าเราเอง” เบย์ตอบ
   
ค่อยยังชั่ว นึกว่าต้องไปนอนใต้สะพานลอยซะละ
   
ระหว่างเดินทางพวกโจรก็ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด โดยเฉพาะโจรอู๋กับอเล็กซ์ที่มีหมายจับอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขานั่งด้วยกันที่เบาะหลัง ผมเลยไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน (ผมนั่งหน้าข้างโจรเคฟ) ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงจึงถึงที่หมาย

เบย์สั่งให้จอดรถเพราะทางเข้าบ้านเขาแคบมาก รถไม่สามารถเข้าได้ ต้องเดินเข้าไปอย่างเดียว ฉะนั้นพวกโจรจึงช่วยกันแบกของคนละกระสอบ ผมเองก็ถูกแกะเชือกที่มัดมือเท้า แก้ผ้าปิดตาและโดนใช้แรงงานเช่นกัน จากนั้นเคฟก็ขับรถกลับไป เขาไม่อยู่ที่นี่กับพวกเราเพราะเป็นคนเดียวที่อยู่ในสังคมตามปกติ คอยเป็นหูเป็นตาให้คนในแก๊ง คงไปเช่าห้องอยู่คนเดียวมากกว่า

ผมพบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นชุมชนแออัด บ้านทุกหลังติดกันเป็นพรืด มันคือสลัมครับ ระหว่างทางพวกเราถูกวัยรุ่นเจ้าถิ่นที่นั่งจับกลุ่มดวดเหล้าเคล้าบุหรี่พี้ยามองอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครเข้ามายุ่งสุงสิง คงเพราะกลัวรังสีมหาโหดจากโจรอู๋นี่เอง

คนอะไร้ ดุจนเสือยังต้องหนี ผียังต้องเผ่น!
 
เบย์เดินนำขบวนไปหยุดอยู่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง... เอ่อ จะให้ถูกต้องเรียกว่ากระท่อมต่างหาก เนื่องจากทั้งเล็กทั้งทรุดโทรม ตั้งอยู่ริมคลองน้ำเน่า ตัวบ้านด้านหลังโย้ไปทางคลองเหมือนพร้อมจะทิ้งตัวลงสู่ผืนน้ำได้ทุกเมื่อ
 
   
“ไม่ได้กลับมาเหยียบเป็นชาติ โสโครกเป็นบ้า ทนเอาหน่อยนะ”

เจ้าของบ้านบอกกับพวกเรา ก่อนจะเปิดประตูไม้ผุๆ เข้ามาข้างใน กลิ่นเหม็นอับกับกลิ่นซากหนูตายกระแทกจมูกพวกเราจนอ้วกแทบพุ่ง  สภาพของบ้านที่เห็นคือห้องสี่เหลี่ยมขนาดยี่สิบตารางเมตร พื้นและผนังเป็นไม้เก่าๆ ผุๆ ภายในเต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุมเหมือนถูกทิ้งร้างหลายปี เบย์เปิดสวิตช์ไฟแต่ไม่ออก คงจะถูกตัดไปนานโขแล้ว เลยเอาไฟฉายจากมือถือส่องแทน
   
“จะว่าไปพวกเราก็เพิ่งมาบ้านมึงครั้งแรก” อเล็กซ์พูดพลางกวาดสายตามองรอบๆ “สภาพแย่จริงๆ กูโคตรเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงถึงหนี”
   
“แน่สิ อยู่ต่อไปก็อดตายเปล่าๆ” เบย์มองบ้านตัวเองแบบรังเกียจเหมือนดูถังขยะ
   
“แล้วพ่อแม่มึงล่ะอยู่ไหน ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังบ้าง” โจรอู๋ถาม
   
“อยู่บ้านพักคนไร้ที่พึ่งตั้งแต่สามปีที่แล้วโน่น” เบย์ว่า
   
“ทำไมงั้น บ้านตัวเองก็มี” อเล็กซ์ถามอีก
   
“ถึงมีก็อยู่ไม่ได้ ตอนนั้นพวกแกติดหนี้พนันเสี่ยเจ้าถิ่นจนโดนขู่ฆ่าเช้าเย็น ดีนะที่ตอนนี้กูเคลียร์กับเสี่ยได้แล้ว ไม่งั้นไม่กล้ากลับมาเหยียบที่นี่หรอก” ถึงเรื่องจะเศร้าแต่เขาก็ยิ้มนิดๆ “ต้องขอบคุณเฮียที่ชวนผมไปเป็นโจร ไม่งั้นก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนให้ได้เงินมาจ่ายหนี้”
   
“ช่างเหอะ พวกเราแม่งก็ซวยเหมือนกันหมด” โจรอู๋โบกมือ
   
“ถ้ามีเงินเมื่อไหร่ ผมคงจะหาบ้านใหม่แล้วพาพ่อกับแม่กลับมาอยู่ด้วยกันอีก”

คำพูดของเบย์สะเทือนใจผมมาก นี่เองหรือสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เลือกมาเป็นโจร...ถ้ามองในแง่หนึ่งก็ถือว่าเขากตัญญูต่อพ่อแม่ ถึงได้พยายามหาเงินใช้หนี้และอยากสร้างบ้านที่มั่นคงให้พวกท่าน แต่ถ้ามองอีกแง่เขาก็ทำผิดศีลธรรมกับกฎหมายที่ขโมยเงินคนอื่น

แต่ก็นะ เรื่องอย่างนี้ผมคงไม่สามารถตัดสินถูกผิดแทนใคร เพราะผมไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา บางทีเขาอาจได้รับแรงกดดัน หรือถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกทางนั้น...ที่ผมพอจะทำได้ ก็คือพาเขากลับไปทางที่ถูกต่างหาก ผมว่าโดยเนื้อแท้แล้วเบย์ไม่ใช่คนเลวหรอก ผมยังจำความประทับใจแรกที่เขาคลุมเสื้อแจ็คเก็ตให้ผม แบ่งอาหารให้ผม และเถียงกับโจรอู๋คอเป็นเอ็นเพื่อช่วยผมในวันแรกได้

บางทีพระเจ้าอาจเหวี่ยงผมเข้ามาในกลุ่มโจรนี้เพื่อทำภารกิจบางอย่างก็เป็นได้ ใครจะรู้?
   
“ปัญหาตอนนี้คือ...เราจะทำไงต่อดี” เบย์ถามโจรอู๋และอเล็กซ์ “โดนหมายจับไปสองคน คงออกไปปล้นไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
   
“คงต้องปลอมตัวกันใหม่ แต่จะปลอมยังไงดีวะ” โจรอู๋หน้าเครียด

ผมอยากตอบเหลือเกินว่าแค่โกนหนวดก็ไม่มีใครจำพวกนายได้แล้ว แต่กลัวถูกด่าว่าเสือกเลยนั่งเงียบ ปล่อยให้พวกเขาปรึกษากันไปเรื่อยๆ จนต่างคนต่างหาว ไม่นานโจรอู๋ก็บอกให้ไปนอน แล้ววงสนทนาก็สลายตัว เบย์กับอเล็กซ์แยกไปนอนคนละมุม ส่วนโจรอู๋เดินมาหาผม

มันเอากระสอบวางนอนแทนหมอนสองใบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมลองนอนดูแล้วแต่ของในกระสอบทิ่มหัวจนนอนไม่สบาย อีกทั้งยังคันยิกๆ เลยขยับไปมา
    
“เป็นอะไร ดิ้นอยู่นั่น” โจรบ่น
   
“กระสอบแข็ง คัน นอนไม่ได้” ผมบอก
   
โจรอู๋เขยิบเข้ามาใกล้ๆ เหยียดแขนออกหนึ่งข้าง แล้วดึงเอวของผมเข้าไปชิดลำตัวของตัวเอง ยกศีรษะของผมไปวางไว้บนท่อนแขนล่ำ ใบหน้าของผมจึงแนบกับต้นคอของมัน และริมฝีปากของมันทาบอยู่บนหน้าผากของผม ไม่เพียงแค่นั้นมันยังใช้แขนอีกข้างโอบกอดผมไว้อีกด้วย ปกป้องผมจากความอากาศยามดึกที่เย็นลงและยุงที่ไต่ตอม เป็นกอดที่อบอุ่นค่อนไปทางร้อนนิดๆ
   
“กอดทำไมเนี่ย”

ผมกระซิบถามอย่างงงๆ และ เอิ่ม... เขิน ก็มันเคยทำแบบนี้ซะที่ไหนกันล่ะ ทุกทีมีแต่ใช้กำลัง

“อยากกอด มีไรมั้ย”

“...เปล่า แค่สงสัย”
   
แต่ผมว่ามันต้องคิดอะไรมากกว่านั้น เพราะมันไม่หยุดแค่กอด แต่ยังจูบเรือนผม หน้าผาก และเปลือกตาของผมอย่างแผ่วเบาราวกับจะปลอบประโลม สัมผัสเหล่านั้นอ่อนโยนน่าเคลิบเคลิ้ม ทว่าก็ทำให้ใจผมสั่นสะเทือนในเวลาเดียวกัน จากนั้นมันก็สอดมือจับท้ายทอยของผม ก่อนจะดึงเข้าไปประกบปากจูบ
   
ในตอนนั้นเองที่ผมกับมันเพิ่งนึกได้ว่า...นี่เป็นจูบแรกของเรา

ความนุ่มละมุนที่อยู่เบื้องหลังความสากของดงหนวด ก่อเกิดความรู้สึกดีมากกว่าหงุดหงิด เหมือนสายรุ้งที่อยู่เลยกลุ่มเมฆสีดำออกไป และผมก็ต้องยอมรับว่าไอ้โจรเป็นนักจูบชั้นยอด ไม่ใช่แค่จูบเป็น แต่จูบเก่งมาก...มากแบบมากๆ ผมยังไม่เคยเจอใครที่มีเทคนิคการใช้ปากกับลิ้นแพรวพราวเท่ามันมาก่อน อันนี้สาบานจากประสบการณ์เสียซิงมาสี่ปีได้เลย

ผมไม่อยากยอมรับเลยว่าจูบของมันดีถึงขั้นวิเศษ

มันรู้จักใช้แรงหนักเบา รุกเร้าและล่าถอย หยอดกระตุ้นและปล่อยทิ้งให้โหยหา เป็นวิธีการยั่วเย้าแสนชาญฉลาดและน่าหมั่นไส้
ผมชอบที่มันค่อยๆ จูบสลับกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากจากด้านข้างเข้ามาตรงกลาง แล้วใช้ปลายลิ้นดันฟันของผม เนื่องจากผมยังไม่ยอมเปิดฟันให้มันเข้ามา (ถ้าทำแบบนั้นจะดูง่ายเกินไป) แล้วก็รู้สึกดีจนขนลุกกับลวดลายปลายนิ้วที่ลูบไล้เรือนร่างอย่างปลุกเร้าอีกต่างหาก
 
แลกเปลี่ยนไออุ่นที่ริมฝีปากแก่กันจนพอใจ โจรอู๋ก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้วแกะกระดุมเสื้อ ตามด้วยถอดกางเกงของผมอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ผมสะดุ้งเฮือกเพราะไม่อยากให้ถลำลึกไปกว่าการกอดจูบเฉยๆ เลยเอามือดันหน้าอกมันไว้แล้วกระซิบบอก
   
“อย่าดีกว่า เดี๋ยวสองคนนั้นตื่น”
   
“ไม่ทำเสียงดังหรอก เอ็งก็อย่าครางดังแล้วกัน”
   
“เดี๋ยว มีถุงเหรอ ไม่มีอย่านะ”
   
“มี” มันบอก “ต่อได้ยัง”
   
“อือๆ”
   
อาจเพราะผมเสี้ยน อาจเพราะผมบ้า ถึงได้ปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำจนไม่สามารถปฏิเสธแรงยั่วเย้านี้ได้ หรืออาจเพราะคิดว่านี่เป็นครั้งแรก ครั้งสุดท้าย และครั้งเดียวของเรา ก่อนที่มันจะส่งผมให้ลูกค้าเงินหนาบ้ากามตามที่เคยพูด จากนั้นเราสองคนจะไม่ได้พบกันอีก

ผมเองก็ใช่ว่าบริสุทธิ์ใสซื่อเหมือนนางเอกนิยาย ก่อนเจอเฟลมก็เคยมีแฟน มีวันไนท์สแตนด์มาบ้าง ใช่ว่าไอ้โจรเป็นคนแรกซะเมื่อไหร่ อีกอย่างมันก็ป้องกัน แล้วจะมีอะไรเสียหายล่ะ? นอกจากผมอาจจะเจ็บจนลุกไม่ขึ้นแค่นั้น
 
สู้รบตบตีกับเสียงในใจจนได้ข้อสรุปแล้วว่าจะไม่หันหลังกลับ (หรือต่อให้หันก็ไม่ทัน) ผมจึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน

โจรใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายและเขตแดนซึ่งไวต่อสัมผัสของผมเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ตามด้วยฉีกซองอาวุธประจำตัว สวมใส่และใช้ของเหลวที่เหลือติดซองแทนตัวหล่อลื่นทาปลายนิ้ว สอดแทรกเข้ามาเป็นตัวเบิกทาง ก่อนจะตามด้วยของจริง 

ผมสะดุ้งเฮือก กัดฟันเม้มปากแน่นไม่ให้มีเสียงเล็ดลอด แรกๆ รู้สึกเหมือนโดนขวดเบียร์ยัดชัดๆ ทำเอาเจ็บจุกจนน้ำตาไหล โจรอู๋ก็ดูเป็นกังวลที่ทำให้ผมทรมานแทนที่จะรู้สึกดี มันเกือบจะถอดใจถอดกายเพราะกลัวผมตายก่อน แต่ผมเองที่รั้งมันไว้


ณ ตอนนี้ ยางอายคืออะไร ไม่รู้จัก


มันเห็นผมยังไหวก็เดินหน้าต่อ ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาทีละเล็กละน้อย แรกทียังมีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนร่างจะปริแตก เจ็บยิ่งกว่าครั้งแรกเป็นสิบเท่า ทว่าเมื่อมันเข้ามาลึกมากขึ้น ผมก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ และเมื่อมันเริ่มขยับ ผมก็กลั้นไม่ไหวเกือบร้องด้วยความวาบหวาม ดีที่โจรอู๋ก้มหน้าลงมาประกบปากจูบได้ทัน ผมจึงร้องได้แค่ในลำคอ
   
จูบของมันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับส่วนที่อยู่เบียดเสียดกันข้างล่าง ผมโดนทั้งดูด กัด ดึง ขบเม้มริมฝีปากบางอย่างดุเดือดเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาพลุ้งพล่าน ผมรับรู้ทุกความรู้สึกของมันได้อย่างชัดเจนและจูบตอบด้วยอารมณ์เดียวกัน กำแพงฟันที่เคยปิดแน่นก็เปิดอ้าเช่นเดียวกับขาสองข้าง ยอมให้มันทะลุทะลวงเข้ามาจนสุด

มันครางต่ำๆ ในลำคออย่างกลั้นไม่อยู่ ผมเองก็รู้สึกดีแทบขาดใจจนเผลอร้องออกมาบ้างเหมือนกัน และโชคดีที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มร้องครืนๆ คล้ายฝนจะตก จึงกลบเสียงของเราให้พ้นหูเพื่อนร่วมบ้านไปได้

ระหว่างที่จูบข้างล่างก็เคลื่อนไหวไม่หยุด ความเจ็บปวดถูกแทนที่ด้วยความสุขโดยสมบูรณ์ เราทั้งสองกอดรัดกันแนบแน่นเหมือนจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียว แต่มีบางสิ่งขัดจังหวะทำให้ผมต้องทุบแขนมันให้หยุด
 
“อา... อาร์มี่”
   
“อะ... อะไร” มันแลดูตกใจเล็กน้อย อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกผมเรียกชื่อจริง
   
“หยุดก่อน...เจ็บ”
   
“เจ็บเหรอ...นี่ทำเบาที่สุดแล้วนะ” โจรกระซิบบอกแล้วหยุดขยับกายท่อนล่างด้วยความแปลกใจ
    
“ไม่ใช่... เสี้ยนตำก้น”
   
“แค่นี้เอง ทนๆ ก่อน อีกแป๊บเดียว”
   
“ก็อย่ากระแทกแรงดิ”
   
“อืม... มาทำต่อเร็ว อ้าขาออกอีก... ยกสะโพกขึ้น... นั่นแหละ”
   
แล้วก็เดินเครื่องต่อ แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม ยิ่งใกล้ถึงฝั่งแล้วก็ยิ่งใส่แรงมากขึ้น กระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างเร็วและแรงจนพื้นไม้สั่นสะเทือนเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการเคลื่อนไหว ผมหันไปมองเพื่อนร่วมบ้านสองคนอย่างหวั่นใจในความมืด กลัวเสียงเหล่านี้จะปลุกพวกเขาตื่น แต่เสียงฝนฟ้าคะนองด้านนอกดังกลบทุกสิ่ง นับเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมอยากขอบคุณฝนตก

“แสงเทียน...”

“วะ...ว่า?”

“ดีรึเปล่า”

“ก็...งั้นๆ”

โจรหัวเราะ ‘หึ’ อย่างไม่เชื่อ ก่อนจะเร่งความเร็วหนักขึ้นอย่างกับจงใจจะฆ่ากันให้ตาย ท่อนลำล่ำสันร้อนระอุที่กระหน่ำฟาดลงมาซ้ำๆ นั้นทำให้ผมรู้สึกดีมากของมากที่สุดจนถึงกับน้ำตาไหล อารมณ์พุ่งสูงทะยานสู่ระดับพีค ก่อนจะระเบิดกระจายเหมือนพลุ ภายในหัวกลายเป็นสีขาวโพลนเหมือนอสุจิที่โผล่พ้นท่อนำออกมาสู่แสงสว่าง รู้สึกราวกับเกิดใหม่...หรือไม่ก็ตายไปเลย
 
ฝ่ายผู้กระทำร้องซี้ดอย่างแสบเสียวเนื่องจากถูกผมข่วนแขนและแผ่นหลังตอนที่ถึงจุดสุดยอดจนเป็นแผลถลอกเลือดซิบ มันสับต่ออีกราวสิบครั้งก่อนจะหลั่ง แต่แม้จะถึงฝั่งแล้วมันก็ยังคงค้างนิ่งในร่างของผมอยู่ ขยับเอวช้าๆ เนิบๆ ราวกับจะซึมซับความรู้สึกอันสุดยอดไว้ทุกเสี้ยวขณะ  ปากก็พึมพำว่าดี...ดีมาก ดีโคตร...โคตรดี ซ้ำอยู่อย่างนั้น

“ให้พูดใหม่อีกที” โจรกระซิบถามด้วยน้ำเสียงยียวน

“อะไร” ผมหันหน้าหนี

“ดีหรือไม่ดี”

“ก็...ไม่เลว”

โจรกระตุกยิ้มคล้ายรู้ว่าแท้จริงผมหมายความเช่นไร
   
ใช่ มันดีมากๆ ตั้งแต่โฟร์เพลย์อันเร่าร้อนไปจนถึงกระบวนท่าเด็ดขาดบาดใจ มันคือเซ็กส์จริงๆ ที่คนสองคนมีส่วนร่วมทำด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่เพียงแค่สนองความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นเซ็กส์ในอุดมคติของผมโดยแท้ และผมเศร้าเสียใจที่จะต้องบอกว่ามันดีกว่าแฟนเก่าทุกคนที่ผ่านมาของผมด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยใส่ใจอารัมภบท เปิดฉากมาปุ๊บก็เข้าเนื้อหา เร่งไปไคลแม็กซ์ แล้วก็ปิดฉากจบ บทส่งท้ายพวกนอนกอด จูบลาอะไรไม่ต้องพูดกัน แค่ไม่หันหลังให้หลังเสร็จก็บุญเท่าไหร่แล้ว
 
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมเศร้า...เศร้ามาก เมื่อไอ้โจรจูบผมอีกหลายครั้งพร้อมกับกอดและซุกไซ้ซอกคอนัวเนีย ทั้งที่มันเองแท้ๆ กล่าวหาว่าผมเป็นแค่วัตถุทางเพศ เป็นสินค้า เป็นตุ๊กตายาง แต่สิ่งที่มันทำกับผมนั้นยิ่งกว่าจงอางหวงไข่


ใช่ มันดีมากๆ 


และคงจะดีที่สุด...ถ้ามึงไม่ใช่โจร




...
   
เมื่อรับรู้ว่าคนในอ้อมกอดหลับไปแล้ว หนุ่มร่างใหญ่ก็ถอดถอนกายออกมา ทั้งที่จริงอยากจะทำอีกรอบสองรอบ แต่อีกฝ่ายคงจะเหนื่อยล้าจึงชิงหลับไปซะก่อน ดวงตาของโจรหนุ่มเป็นประกายขณะมองใบหน้าน่าเอ็นดูในความมืด... เขาจูบหน้าผาก จูบริมฝีปากที่คืนนี้เป็นของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรู้สึกอัดแน่นในใจ

ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้...
 
มือถือของชายหนุ่มสั่นเนื่องจากมีสายเข้า ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เขาติดต่อด้วยบ่อยครั้งในระยะหลายวันมานี้ เป็นคนที่อำนวยความสะดวกให้หลายๆ อย่างทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เขาจึงรีบกดรับ

[ทางนี้พร้อมแล้ว ทางนั้นล่ะ] ปลายสายพูดเข้าประเด็น ไม่มีการเกริ่นนำใดๆ

“พร้อมแล้วเหมือนกัน” โจรอู๋บอก
   
[งั้นมาพรุ่งนี้เลย] ปลายสายน้ำเสียงจริงจัง คำพูดเชิงสั่ง
   
“ตกลง เจอกัน”
   
โจรหนุ่มวางสายแล้วหันกลับมาใส่เสื้อผ้าให้หนุ่มน้อยจนเรียบร้อย ตามด้วยสวมกอดร่างบางจากด้านหลัง เอาคางเกยไหล่ กอดไว้แนบแน่นราวกับไม่อยากให้หลุดไป เขาหลับตาลงแล้วพูดเบาๆ บอกกับคนในอ้อมแขน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วก็ตาม
 
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก แต่คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้าย พรุ่งนี้เอ็งจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม”

“...”

   
“เอ็งจะไม่ได้เป็นเมียโจรอีกแล้ว...”







/// มาแล้วจ้ะ มาแบบไม่บอกไม่กล่าว 555
คิดอยู่หลายรอบมากว่า ถ้าได้กันตอนนี้จะเร็วไปมั้ย
แต่คิดในมุมโจร น่าจะช้ามากๆ ด้วยซ้ำ ก็เลยออกมาเป็นเช่นนี้
คิดเห็นยังไงติชมกันได้นะคะ <3 ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ >3<
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-10-2018 12:30:14
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-10-2018 12:33:52
หรือโจรจะส่งคืนให้ตำรวจ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 24-10-2018 16:25:17
โจรจะส่งน้องไปขายหรือส่งให้ตำรวจ??
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 24-10-2018 20:44:45
ไม่นะ อย่าขายน้องงงงงง :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 25-10-2018 02:12:11
ว้อท พี่ได้น้องแล้วจะทิ้งเลยงี้ ?  :ling1:

แสงเทียนไม่เบาเลยลูกกก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-10-2018 18:33:35
หนูจะไม่ใช่เมียโจร แต่หนูจะเป็นเมียเศรษฐี 5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 28-10-2018 19:42:48
ยังไงไง  ล่ะนี่ เค้าได้ กัน แล่ววว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 28-10-2018 23:10:54
เฮียอู๋จะเป็นอิสระแล้ว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 29-10-2018 01:02:46
NCเด็ดมากค่ะ แง เนื้อเรื่องก็สนุก รอนะคะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 29-10-2018 20:58:16
.คิดว่าไม่น่าจะขายน้องนะ

แต่คนๆนั้นเป็นใคร
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.9 ลาก่อนเมียโจร (24/10/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Yamiz1997 ที่ 11-11-2018 17:53:22
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ รออ่านอยู่นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 18-11-2018 12:39:37
10
พาไปขาย!!!




           
ผมสัมผัสได้ถึงแสงสว่างของแดดยามเช้าที่กระทบลงมาที่ใบหน้า... สัมผัสได้ถึงที่นอนนุ่มๆ และอุณหภูมิต่ำคล้ายอยู่ในห้องแอร์

เอ๊ะ... แต่เมื่อคืนเรานอนที่บ้านโกโรโกโสของเบย์ไม่ใช่เหรอ?
               
ผมลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือและลุกขึ้นนั่ง แต่พอได้เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวก็ตาสว่างทันที
               
ภาพที่แจ้งแก่ตาเบื้องหน้าเป็นห้องชุดคอนโดใหม่เอี่ยม ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูดีสไตล์โมเดิร์นเน้นสีขาวกับครีม ผนังห้องด้านหนึ่งเป็นกระจกสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองหลวงเบื้องล่างได้กว้างไกลสุดลูกตา คาดว่าน่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่าชั้นสามสิบ จากนั้นก็ก้มมองดูตัวเอง

เดี๋ยวนะ ทำไมผมนอนแผ่อยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในสภาพสวมกางเกงบ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว!

ไม่ใช่ละ... ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ

ผมลุกจากเตียงด้วยหัวใจเต้นรัวผิดปกติ เจอสมุดโน้ตและหนังสือวางอยู่โต๊ะข้างเตียงหลายเล่ม ทุกเล่มล้วนเป็นภาษาอังกฤษ เจ้าของห้องไม่น่าจะใช่คนไทย แต่เท่านั้นยังไม่สามารถสรุปได้ ผมจึงสำรวจข้างของเครื่องใช้ต่างๆ ในห้อง

ที่โต๊ะเครื่องแป้งมีแต่เครื่องสำอางแพงๆ วางเต็มไปหมด ราคารวมกันน่าจะซื้อข้าวกินได้ทั้งปีสำหรับผม ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้า เปิดดูข้างในก็เป็นอย่างที่คิด มีแต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมสุดหรูทุกชิ้น ส่วนมากเป็นชุดสูท เสื้อเชิ้ต สีพื้นๆ สไตล์วัยทำงาน คนใส่น่าจะมีวุฒิภาวะพอสมควร ไม่น่าใช่วัยรุ่นวัยเรา...

หรือจะเป็นลูกค้า!!!

หน็อยมึง... ไอ้หนวดชั่ว ไอ้ตัวเหี้ย! อุตส่าห์ยอมให้เอาเมื่อคืนแท้ๆ แม่งพากูมาขายทิ้งเฉยๆ ไม่คิดจะบอกลากันสักคำรึไงวะ!!!
               
โกรธเป็นฟืนไฟได้แป๊บเดียวก็มีเสียงซู่ซ่าดังมาจากห้องน้ำผสานกับเสียงฮัมเพลงเบาๆ ทำเอาสะดุ้งเฮือก

               
เจ้าของห้อง

               
ผมรีบเดินไปที่ประตูห้องด้วยฝีเท้าว่องไวและเงียบกริบ และในตอนนั้นเองประตูห้องน้ำก็เปิดออกพอดี
             
“What are you doing?”
               
เสียงใหญ่ทุ้มของเจ้าของห้องดังขึ้นที่ข้างหลัง ผมตัวแข็งทื่อเหมือนถูกคำสาปทันใด
               
ไม่นะ อีกแค่สามก้าวจะถึงประตูแล้ว!
               
“โอ๊ย!!!”

เขากระชากผมจากด้านหลังลากกลับไปที่เตียงอย่างรุนแรงก่อนที่ผมจะได้แตะลูกบิดประตูด้วยซ้ำ ผมพยายามจะหนีแต่เขากดไหล่ตรึงกับเตียงแน่นและนอนคร่อมอยู่เหนือร่าง ในตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นหน้าเขาชัดๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดคาดอย่างมหาศาล

ทีแรกนึกว่าจะเป็นเศรษฐีเฒ่าหน้าตาหื่นกาม แต่ที่ไหนได้กลับเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่เอง

เขามีผมสีไอซ์บลอนด์เปียกหมาดๆ จนน้ำหยดใส่หน้าผมติ๋งๆ คิ้วเข้มหนาแลดูดุดัน ดวงตาคมทรงพลังเหมือนเหยี่ยว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม ใบหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวสะอาดหมดจด รูปร่างสูงใหญ่มีกล้ามมัดกำลังดี ที่ต้นแขนขวามีรอยสักรูปมังกร ดูเท่แบบแบดส์ๆ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวพันไว้หลวมๆ แค่สะกิดนิดเดียวก็อาจหลุดได้

เห็นแล้วในหัวผมก็มีแต่คำว่าหล่อ หล่อมาก หล่อเหี้ยๆ หล่อฉิบหาย หล่อทำลายล้าง หล่อขนาดเทวดาทั้งสวรรค์ต้องร้องไห้เพราะรวมร่างกันแล้วยังหล่อไม่ถึงครึ่งของชายคนนี้

แต่...

“Damn you! Who the fuck are you! Get out of me! Let me go right now!” (ไอ้เหี้ย! มึงเป็นใครวะ! ออกไปจากตัวกู! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!)

ผมตะคอกใส่หน้ามันด้วยความโกรธจัด เพราะถึงยังไงมันก็เป็นลูกค้าบ้ากามที่ซื้อผมมาจากโจร จะหล่อแค่ไหนก็ให้อภัยไม่ได้

แต่มันกลับยิ้มให้ผมอย่างสบายใจ ราวกับคำด่านั้นไร้ความหมาย

“I bought you from the damn thief, so you’re mine” (ฉันซื้อนายมาจากไอ้โจรแล้ว เพราะงั้นนายก็เป็นของฉัน)

ไอ้ฝรั่งพูดอย่างไม่กระดากปาก แถมมีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ด้วย

“But I’m not a whore! That fucking thief kidnapped me! Let me go right now!” (แต่กูไม่ใช่โสเภณี ไอ้โจรเหี้ยนั่นลักพาตัวกูมา ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี้!!!)

ผมมองหน้ามันพร้อมกับน้ำตาซึมๆ ไอ้ฝรั่งไม่พูด แต่เลื่อนสายตาลงไปมองที่รอยสักตรงหน้าอกของผม เอียงคอเล็กน้อย แล้วก็ถามนอกเรื่อง

“What does it mean?” (นี่มันแปลว่าอะไร)
               
ถ้าบอกว่า My husband is a thief (ผัวกูเป็นโจร) มันอาจโกรธไอ้โจรหนวดที่เอาของมือสองมาขายให้ (ที่จริงมือสามต่างหาก นับจากเฟลม) ดีไม่ดีผมอาจถูกฆ่าตายระบายแค้นเอาได้ 
               
“Freedom” ผมตอบ
               
ไอ้ฝรั่งเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ “Freedom?”
               
“Yes”
               
“So, let me taste your freedom” (งั้นขอฉันลิ้มรสอิสรภาพของนายหน่อยนะ) มันว่าแล้วก้มหน้าลงเลียที่รอยสักนั้น เริ่มจากอักษรตัวแรกที่อยู่ตรงยอดอกพอดี สัมผัสชื้นๆ อุ่นๆ จากลิ้นของมันทำเอาผมขนลุกซู่
           
ฉิบหาย! อย่าเพิ่งเคลิ้มสิแสงเทียน หาทางหนีให้ได้เร็ว!!!   
               
เหมือนมันรู้ว่าผมต่อต้าน เลยใช้ไม้แข็ง คือถอดผ้าขนหนูทิ้ง และถอดบ็อกเซอร์ของผมด้วยเหมือนกัน!

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของมันและตัวเอง สภาพอย่างนี้ไม่สามารถหนีได้แล้ว

               
“Fuck you!!!” ผมตะโกนใส่หน้ามัน คำนี้ไม่จำเป็นต้องแปล

               
“Yeah, I’m going to fuck you” ไอ้ฝรั่งยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ก่อนจะทั้งกัดทั้งงับคอผมเหมือนหมาบ้าเวลาติดสัด

เหี้ยแม่ง... ทำไมชีวิตกูถึงเฮงซวยได้ขนาดนี้ ไอ้โจรว่าเลวนรกไม่รับแล้ว ไอ้ลูกค้าเหี้ยนี่ยิ่งเลวกว่าสิบเท่า ทำไมกูต้องมาเจอคนชั่วๆ อย่างนี้ด้วยวะ! แม่งเอ๊ย! ชาติก่อนกูไปก่อกรรมทำเข็ญกับใครไว้นักหนา เคยเป็นพ่อเล้าหรือแมงดารึไง ชาตินี้เจ้ากรรมนายเวรแม่งเยอะจัง! บอกทีซิต้องทำยังไง ทำบุญร้อยวัด ล้างป่าช้าร้อยแห่งเลยไหมถึงจะหาย!? 
               
ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ จากคนธรรมดา เรียนหนังสือ มีแฟน อยู่ห้องเช่า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่แค่คืนเดียวที่เปิดประตูให้ไอ้โจรหน้าขนฉวยโอกาสย่องเข้ามา ชีวิตก็พลิกผันไปคนละด้านจากหน้ามือเป็นส้นตีน

ให้ตาย...ผมจะเล่าให้คนอื่นฟังยังไงถ้ากลับออกไปสู่โลกภายนอกได้แล้ว? เป็นเมียโจรเสร็จแล้วก็โดนขายทอดตลาดงี้เหรอ? ไอ้เหี้ยสกปรกยิ่งกว่ากะหรี่ ใครที่ไหนจะรับได้วะ ต่อให้เป็นพ่อแม่ของผมแท้ๆ ก็คงลำบากใจบวกขายขี้หน้าไปจนตาย ไม่ต้องพูดถึงอนาคตเลย ไม่มีวันได้เจอรักแท้แน่ๆ หน้าที่การงานดีๆ ก็คงไม่มีวันได้ทำกับเขา เพราะแค่เสิร์ชชื่อผมในกูเกิ้ล ก็คงมีแต่คนขยะแขยง
     
แม่ง...แค่คิดก็เสียใจจนอยากตายมันซะเดี๋ยวนี้
           
เพราะมึงคนเดียว ไอ้เหี้ยโจรอู๋ มึงทำให้ชีวิตกูพังยับเยิน... ขอให้มึงโดนตำรวจจับหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ขอให้ชีวิตมึงพินาศยิ่งกว่ากู ตกนรกไปก็ขอให้โดนลงโทษสิบล้านโกฏิปี เกิดแล้วก็ตายแล้วก็เกิดแล้วก็ตายวนอยู่อย่างนั้นเหมือนหนอนในกองขี้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด
             
“ทำหน้าอย่างนั้น กำลังแช่งใครอยู่เหรอ”
               
“...ฮึ” ผมเบิกตากว้างมองหน้าไอ้ฝรั่ง     
               
เมื่อกี้มันพูดภาษาไทย!!!
               
“แกล้งเล่นนิดเดียวเอง ถึงกับร้องไห้เลยอ่อ โอ๋ๆๆ ขวัญเอยขวัญมา”
               
ไอ้ฝรั่งว่าแล้วลูบหัวผมหนึ่งที
               
เท่านั้นแหละ!
           
“ไอ้สัดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!”
               
“จุ๊ๆ ไม่เอาๆ ด่าผัวเป็นบาปนะ”

มันเอามือปิดปากผมพร้อมกับยิ้มทะเล้นทะลึ่ง แต่ผมไฟลุกจนแทบจะเผาตึกได้แล้ว!!!
               
“อื้อๆๆๆ!!!” ผมแกะมือมันออกจากปากก่อนจะด่ารัวๆ “ไอ้สัดจัญไร! ไอ้เหี้ย! ไอ้ดอก! มึงหลอกกู! ไอ้...! โว้ยยยยยย!!!”
               
ไอ้ชั่วหัวเราะแล้วจูบปากผมหนึ่งทีอย่างหน้าด้านๆ
     
“ไม่เอาน่า ดีใจที่เป็นข้าก็บอกมาตรงๆ”
               
ผมไม่พูดแต่ชกหมัดใส่หน้าขาวๆ ของมันเต็มแรงแล้วมุดตัวใต้ผ้าห่มด้วยความอับอายเกินบรรยาย ถ้าเอาน้ำแข็งมาวางบนตัวผมตอนนี้ก็คงระเหยเป็นไอแทบจะทันทีเลยมั้ง แม่งร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว ฮืออออ!!!

“...เขินแล้วแรงเยอะจังนะ”   

ไอ้เลวลูบแก้มตัวเองอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วกอดผมจากด้านหลังเอาคางเกยไหล่ แต่ผมถีบหว่างขาของมันอย่างไม่ปราณี จนมันถอยห่างออกไปพร้อมกับพวงไข่ที่บอบช้ำ

“ทำร้ายกันทำไมฮะ!”

“มึงมันชั่ว!”

“ชั่วที่ไหน อุตส่าห์ไม่เอาไปขายแล้วแท้ๆ!”

“หุบปาก ไม่อยากฟังโว้ย!”

“ลงทุนโกนหนวดสุดที่รักแล้วด้วยนะ รู้มั้ยกว่าจะทำใจโกนได้ตั้งหลายชั่วโมง ไหนจะย้อมสีผมอีก เค้ายังไม่หล่อโดนใจตัวเองอีกเหรอ?”

“ชะ... ช่างหัวมึง!”

ผมขดตัวเองเป็นก้อนกลมในผ้าห่มเหมือนดักแด้ แม้จะร้อนแต่ไม่ยอมให้ไอ้เวรนั่นเห็นตัวหรอก เดี๋ยวมันรู้ว่าผมกำลังเขิน

เออ ผมยอมรับก็ได้ว่าดีใจที่เป็นมัน ไม่ใช่ลูกค้าบ้ากามจริงๆ แต่ก็โกรธมากด้วย เล่นอะไรโคตรไม่เข้าท่า!

“เทียนจ๋า” มันสะกิดหลังผมนอกผ้าห่ม

“อย่าเรียกอย่างนั้นนะ!!” ผมตะคอก

“ทำไม พูดหวานๆ ไม่ชอบเหรอ”

“อือ พูดโหดๆ แบบเดิมเถอะ ขอร้องล่ะ”


ไม่ใช่อะไรหรอก มันน่ารักเกินไป ผมกลัวจะใจอ่อนซะก่อน แค่ใบหน้าหล่อพินาศวอดวายที่แท้จริงของมันก็ทำให้ผมเขินจะแย่แล้ว


ที่นอนข้างตัวผมทรุดลง ไอ้นรกนั่นคงนอนข้างๆ ไม่ห่างกัน (แต่ไม่เข้ามาแตะตัวผม)

“ทำไมถึงไม่ขายกูล่ะ ไหนขู่นักขู่หนา” ผมถามอย่างค้างคาใจ

หมอนั่นเงียบไปพักหนึ่ง กว่าจะตอบ

“ก็ไม่อยากขายแล้วไง”

“...”

“เมียใคร ใครก็หวงป้ะ”

“...”
           
พูดเสร็จแล้วมันก็บังอาจสวมกอดผมอีกครั้งด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างกุมเป้า ดีที่มีผ้าห่มคลุมตัวไว้ เพราะผมไม่อยากให้มันเห็นจริงๆ ว่าผมยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว... บ้าเอ๊ย!

 



           
ร้านเดลิเวอรี่
               
วันนี้ค่อนข้างวุ่นวายเพราะเป็นวันเสาร์ พนักงานอย่างเคฟก็รับออเดอร์กันแบบไม่ได้พักหายใจหายคอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มิจฉาชีพในร่างคนธรรมดาก็ยังสอดส่องหา ‘เป้าหมาย’ เหมือนอย่างเคย เขารู้ว่าวันเสาร์เป็นวันที่คนใช้เงินเยอะที่สุดในรอบสัปดาห์ ทำให้เขาสามารถมองหาคนรวยได้จากกลุ่มลูกค้านั่นเอง
               
และเคฟคิดว่าเขาเจอแล้ว
               
“ป๊าฮะ เพชรอยากกินถาดใหญ่”
               
“เยอะไปไหมลูก จะกินหมดเหรอ”
               
“ไหนป๊าบอกวันนี้จะตามใจเพชรไง”
               
“ก็ได้ๆ แต่ต้องซื้อไปกินที่บ้านนะ”
               
“คร้าบ เย้ๆ ป๊าใจดีที่สุด”
               
มีพ่อลูกคู่หนึ่งมาต่อแถวที่เคาน์เตอร์ช่องของเคฟ ลูกชายเป็นเด็กอายุประมาณสิบสี่สิบห้า หน้าตาดี ผิวสีแทน แต่งกายเนี้ยบสไตล์คุณชาย บุคลิกร่าเริงสดใส ส่วนพ่อเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อ ขาว ใส รวยออร่า เดาอายุไม่ถูก แต่วัดจากอายุลูกแล้วคงไม่ต่ำกว่าสามสิบห้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อหรูตั้งแต่หัวยันเท้า สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่เป้งส่องประกายวิบวับขับรัศมีให้ยิ่งเจิดจรัส บุคลิกดีแบบคนมีชาติตระกูลสูงส่ง... ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเศรษฐี นอกจากนี้ยังมีรังสีความ ‘เป็น’ เจืออยู่ด้วย ไม่แน่ว่าที่มากับลูกสองคน อาจเพราะไม่มีเมีย หย่าเมีย เนื่องจาก ‘เป็น’ ก็ได้ แม้เคฟจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้

           
ล็อคเป้าหมาย เอาคนนี้แหละ           
เริ่มแผนที่หนึ่ง... ใช้ความหล่อเป็นอาวุธ


   
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”

เคฟถามพร้อมกับยิ้มหวานแบบที่เขาทำกับเป้าหมายบ่อยๆ ไม่ว่าชายหรือหญิง เป็นการโปรยเสน่ห์และทดสอบไปในตัว หากอีกฝ่ายแสดงท่าทีสนใจ เขาก็จะรุกคืบต่อ แต่หากไม่... อย่างน้อยลูกค้าก็ได้รับความประทับใจในการบริการอันดีงามของเขากลับไปแทน
               
เมื่อได้รับรอยยิ้มจากพนักงานที่หน้าตาดีเหลือเชื่อ เป้าหมายก็แลดูประหม่านิดหน่อย สังเกตจากสายตาเลิกลักไม่กล้าสบตากันตรงๆ เคฟเห็นอย่างนั้นก็นึกกระหยิ่มใจ แสดงว่าเรดาร์ของเขาแม่น
           

เข้าทางละ...

               
“เอาเดอลุกซ์ไซส์ใหญ่ครับ”
               
ลูกชายเกาะขอบเคาน์เตอร์สั่งด้วยเสียงดังฟังชัด ดวงตาเป็นประกาย
               
“ทานนี่กลับบ้านครับ?”
               
“กลับบ้านครับผม”
     
“สามร้อยเก้าสิบเก้าบาทครับ” เคฟกดเครื่องคิดเงิน
               
คุณพ่อเปิดกระเป๋าตังค์แล้วควักเงินออกมาจ่าย ดวงตาอันเฉียบคมของเคฟมองเห็นธนบัตรสีน้ำตาลเป็นปึกๆ อัดแน่นอยู่ในกระเป๋าใบนั้น รวมทั้งบัตรเครดิตอีกเต็มพรืด ไม่ว่าจะบัตรเฟิร์สของแบ้งค์ม่วง วิสด้อมของแบ้งค์เขียว ไพรม์ของแบ้งค์เหลือง อัลติมาของแบ้งค์น้ำเงิน จินตนาการไม่ถูกเลยว่าจะมีเงินในบัญชีกี่ร้อยล้าน

           
แม่เจ้า...กูจะเอาคนนี้

               
ระหว่างที่รออาหาร ลูกค้าใหม่ก็บางตาลง (บวกกับเคฟที่รีบเคลียร์คิวให้เร็วที่สุด) เวลานี้จึงเหลือคนที่ยืนรอแบบห่อกลับบ้านอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม่กี่คน รวมทั้งสองพ่อลูก ทำให้เคฟสังเกตและดักฟังการสนทนาของพวกเขาได้ไม่ยาก
               
“จริงๆ ผมอยากกินในร้านมากกว่าฮะป๊า กว่าจะกลับถึงบ้านชีสก็ไม่ยืด หมดอร่อยพอดีเลยอ่ะ” ลูกชายพูดพร้อมกับทำปากเบะนิดๆ
               
“กลับไปกินบ้านน่ะดีแล้วลูก ดูสิคนเยอะ ไม่มีที่ว่างเลย” พ่อบอกพลางกวาดสายตาไปรอบร้าน

           
เริ่มแผนที่สอง... ตีสนิทแบบเนียนๆ

               
“วันหยุดก็แบบนี้แหละครับ แถมยังเป็นช่วงมื้อเที่ยงด้วย ต้องขอโทษในความไม่สะดวกจริงๆ ครับ”
     
เคฟบอกพ่อลูกด้วยรอยยิ้มสุภาพที่สุดแม้แต่พนักงานดีเด่นของโลกยังต้องกราบ แต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืองานสร้างภาพ
               
“เซ็งเลย ผมอุตส่าห์จะมาฉลองกับป๊าแท้ๆ” เด็กชายทำแก้มป่อง
               
“ฉลองอะไรเหรอครับ” เคฟถามต่อ
               
“อ้าว พี่ไม่ได้ดูข่าวเหรอ ผมเป็นคนแจ้งตำรวจจับผู้ร้ายที่ขโมยของร้านคอมพิวเตอร์ไง ผู้ร้ายชื่ออเล็กซ์อ่ะ ฮ่าๆ ฝีมือผมเองล่ะ”
               
“...เหรอครับ”


โอ้โห โลกกลมสัด มึงนี่เองทำให้พวกกูต้องย้ายบ้าน ไอ้เด็กหรรม


“เก่งจัง ตัวแค่นี้จับโจรได้แล้ว คุณพ่อคงสั่งสอนเป็นอย่างดี น่าชื่นชมจริงๆ เลยนะครับ”

ใจจริงแม้จะอยากบีบคอให้ตาย แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือแกล้งชมเด็ก ก่อนจะเบนไปมองทางคุณพ่อด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายแฝงความนัย... หรือว่าอ่อยนั่นแหละ และก็ได้ผลซะด้วย คุณพ่อผิวขาวมาก พอหน้าแดงก็เลยเห็นได้ชัดว่าเขินสายตาคมกริบของเคฟเข้าแล้ว

“ยังจับไม่ได้หรอก แต่ถ้าจับได้เร็วๆ ก็ดี...” เด็กพูด ค่อยๆ เบาเสียงลงจนเหมือนพูดกับตัวเองตอนท้าย “...จะได้เจอพี่ชายอีก”

พิซซ่าเสร็จแล้ว พนักงานด้านหลังแพ็คใส่กล่องส่งให้เคฟ ทว่าสมองอันชาญฉลาด (แกมโกง) ของเขาไม่ปล่อยให้โอกาสอันงามจบลงง่ายๆ เพียงแค่ส่งมอบสินค้า เคฟเห็นคุณพ่อหน้าเด็กมีถุงช้อปปิ้งหลายถุง ลูกชายก็มีถุงหนังสือหนักไม่แพ้กัน พนักงานหนุ่มจึงอาสาด้วยท่าทางใจดี

“ถ้าไม่รังเกียจ ผมช่วยถือไปส่งที่รถให้เอาไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ ผมถือเองได้”

คุณพ่อบอกด้วยความเกรงใจ ถือหูหิ้วถุงพิซซ่าออกจากเคาน์เตอร์ ลูกชายก็ตามไป ท่าทางพวกเขาดูพะรุงพะรังมาก เคฟมองตามหลังด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งเสียดายที่ถูกปฏิเสธ และหวั่นใจกลัวพวกเขาจะสะดุดล้มกลางทางซะก่อน

แต่ยังไม่ทันที่สองพ่อลูกจะก้าวพ้นจากร้าน หูหิ้วถุงช้อปปิ้งยี่ห้อดังที่ทำจากกระดาษของคุณพ่อก็ขาด เสื้อผ้าที่แออัดกันในนั้นร่วงลงบนพื้น หนุ่มผู้เป็นเจ้าของตกใจแล้วคุกเข่าก้มเก็บอย่างลนลานท่ามกลางสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ที่หันมามอง


เข้าแผนสาม... ทำตัวเป็นคนดีให้อีกฝ่ายประทับใจ


“ฝากเคาน์เตอร์ด้วยนะ”

เคฟแตะไหล่เพื่อนพนักงานที่ยืนข้างๆ ก่อนจะออกไปช่วยชายไฮโซเก็บของที่ตกพื้นอย่างเร็วไว

“บอกแล้วให้ผมช่วย”

คุณพ่อลูกหนึ่งก้มหน้าเก็บโดยไม่ปริปากพูด ทั้งใบหน้าและหูของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ เคฟแปลกใจตัวเองที่คิดว่าคนๆ นี้ดูน่ารัก...

พอเก็บเสร็จพนักงานหนุ่มก็ช่วยถือถุงอาหาร จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินออกนอกห้างไปที่ลานจอดรถ ลูกชายเดินนำหน้าสุด ส่วนพ่อและพนักงานเดินเคียงกันอยู่ข้างหลัง
             
“น้องเพชร เดินในที่ร่มๆ สิลูก” พ่อร้องเตือนเมื่อเห็นลูกเดินเริงร่าท้าแดดไม่กลัวดำ
               
“ป๊าไม่ทันสมัยเลย เดี๋ยวนี้เทรนด์ผิวแทนมาแรงจะตาย เพชรก็อยากเป็นหนุ่มฮอตกับเขาบ้าง” เด็กชายว่าก็เดินลั้นลาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
               
“ลูกชายคุณน่ารักจัง อายุเท่าไหร่แล้วครับ” หนุ่มร่างสูงชวนชายไฮโซที่เดินข้างๆ คุย
               
“สิบสี่ อยู่มอสอง” คุณพ่อตอบ ไม่ยอมมองหน้าเคฟตรงๆ สักที
               
“งั้นแสดงว่าคุณมีลูกไวสิครับ เพราะดูแล้วคุณยังหนุ่มมากเลย”

พนักงานหนุ่มถามพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ชายไฮโซ แต่มันกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่กล้ามองหน้าเขาไปใหญ่ เคฟจึงพอสรุปได้ว่าชายคนนี้กำลังเขินเขาแน่นอน

               
เสร็จกู...

               
“ประมาณนั้น” ชายไฮโซพูด “ผมแต่งงานตอนอายุสิบแปดเอง”
               
“โห...” เคฟประหลาดใจ บวกลบคูณหารในหัวอย่างเร็ว “งั้นตอนนี้คุณก็สามสิบสองเองสินะครับ”
               
“ใช่” ชายไฮโซพยักหน้า
               
เคฟรู้สึกทึ่งไม่น้อยกับชีวิตของชายไฮโซคนนี้ เขาแต่งงานตอนอายุสิบแปด เด็กกว่าเคฟตอนนี้อีก หนุ่มเดลิเวอรี่ลองจินตนาการว่าถ้าเขามีชีวิตเหมือนชายไฮโซป่านนี้ก็คงมีลูกโตได้สองขวบแล้ว... แต่คิดแล้วก็ขนลุก ถ้าเขามีลูก ลูกคงอดตายแน่ๆ ต่างกับชายไฮโซ รวยขนาดนี้จะมีลูกตั้งแต่กี่ขวบ มีกี่คนก็ย่อมได้
               
ทั้งสามเดินมาถึงรถของพ่อลูกที่จอดในโซนวีไอพี เป็นรถออดี้สีขาวเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุด สวยหรูมากจนเคฟตาโต แต่เขาไม่สนใจอะไรนอกจากป้ายทะเบียน เพราะมันสามารถนำไปสืบหาที่อยู่ของเจ้าของรถได้ เขาให้อเล็กซ์หาให้ทุกทีก่อนเริ่มลงมือโจรกรรม
               
“ขอบคุณมากที่ช่วยถือของมาส่ง คุณใจดีมากเลย ผมไม่เคยเจอพนักงานคนไหนมีน้ำใจเท่าคุณมาก่อน” ชายไฮโซบอกกับพนักงานหนุ่ม หลังจากขนของใส่รถเรียบร้อยแล้ว
               
“ไม่ต้องชมขนาดนั้นหรอกครับ” เคฟยิ้ม “เก็บไว้เขียนแคปชั่นพร้อมกับถ่ายรูปผมลงโซเชียลดีกว่า บริษัทจะได้เลื่อนขั้นให้ผมเป็นพนักงานดีเด่น แล้วผมก็จะได้โบนัสเพิ่ม”
               
“พูดจริง?”
               
“ล้อเล่นครับ ผมอยากช่วยคุณจากใจ” พูดจบก็ขยิบตาหนึ่งที “แต่ช่วยสแกนคิวอาร์โค้ดแล้วให้คะแนนห้าดาวผมหน่อยก็ดีนะครับ ตามใบนี้เลยครับ”
               
มีการยื่นโบชัวร์เล็กๆ ที่พกใส่กระเป๋าเสื้อให้แก่ลูกค้าไปอีก...
               
“โอ๊ย คุณนี่ เอาฮาหรือเอาจริงกันเนี่ย”

หนุ่มไฮโซยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหัวเราะตาหยี เคฟทึ่งที่ไม่เห็นริ้วรอยบนใบหน้านั้นเลยแม้แต่เศษเสี้ยว ราวกับใบหน้าของเด็กอายุสิบห้า รุ่นเดียวกับลูกของเขางั้นแหละ

“เอาฮา แต่ถ้าได้จริงก็ดีครับ”

“โอเค ชื่อ KANATHIP คณาธิปใช่มั้ย เดี๋ยวทำให้” หนุ่มรวยก็บ้าจี้รับใบนั้นไป ตามด้วยมองป้ายชื่อที่ติดหน้าอกพนักงาน

“ผิดครับ คะน้าทิพย์ต่างหาก”

“บ้า” อีกฝ่ายขำพรืด

“อย่าลืมใส่สาขาด้วยนะครับ ฝ่าย HR จะได้ให้รางวัลถูกคน”

“จ้าๆ” รับคำแล้วก็ส่ายหน้าขำๆ

“รู้ชื่อผมแล้ว จะไม่ให้ผมรู้ชื่อคุณซักหน่อยเหรอครับ?”

“...ว่าไงนะ”

ลูกค้าเปลี่ยนจากยิ้มฮาเป็นยิ้มแห้ง จากนั้นก็เกิดเดดแอร์กะทันหัน จนเคฟคิดว่าตัวเองทำพลาดมหันต์


โธ่เอ๋ยไอ้ควาย คนรวยอย่างเขาจะอยากรู้จักอะไรกับพนักงานกระจอกๆ อย่างมึง หัดสำเหนียกสถานะตัวเองซะมั่ง ได้แค่เลขทะเบียนรถก็ดีถมเถเท่าไหร่แล้ว!   


ไม่พอลูกชายวัยเจริญพันธุ์ของเขายังตะโกนจากอีกฝั่งของรถช่วยกดดันอีกทาง

“ป๊าฮะ เมื่อไหร่จะปลดล็อก หนูร้อน!”


อยากผิวแทนไม่ใช่รึไง ตากแดดต่อไปสิมึงอิเด็กเปรต


“จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบแนะนำตัวเองกับคนแปลกหน้าซักเท่าไหร่” หนุ่มไฮโซว่าพลางเอามือล้วงกระเป๋าตังค์ “แต่สักวันคุณอาจมาเป็นลูกค้าร้านผมบ้างก็ได้”

จบประโยคก็ยัดกระดาษเคลือบมันขนาดเล็กแผ่นหนึ่งใส่มือเคฟ ก่อนจะปลดล็อครถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทเครื่องขับออกไป
               
เคฟก้มมองนามบัตรในมือพลันยิ้มกว้าง บอกแล้วว่าสัญชาติญาณนักล่าของเขาไม่เคยพลาด... เหยื่อรายนี้เด็ดขาดบาดใจมากจริงๆ

 

            พัชร ธนเศรษฐไพศาลย์วงศ์

            RACHA Diamond, Ratchada Rd., Bangkok

            Email: pachara_diamondอย่าแสดงเมลบนบอร์ด

            Tel.098-XXXXXXX

            Line: pachara_diamond


             

คิดว่าตัวเองรุกมากแล้ว แต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะอีกฝ่ายกลับรุกหนักกว่าซะงั้น การให้นามบัตรที่มีข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการอ่อยดีๆ นี่เอง... หรือมองอีกแง่ก็คือการชักศึกเข้าบ้านแท้ๆ แต่อย่างไหนฝ่ายโจรอย่างเขาก็ได้เปรียบทั้งสิ้น
               
เคฟเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าอย่างดี เดินกลับไปที่ร้านพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย
               
“แล้วเจอกันครับป๋า”

 


               




///

กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษที่หายไปนาน ฮรือออ TwT

ช่วงนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเลยไม่ค่อยได้มาอัพ

แต่หลังจากนี้คงได้มาสัปดาห์ละครั้ง (แน่ๆ) ค่ะ!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รัก <3<3<3



ปล. มีใครเกลียดความสองหน้าของอีเคฟมั่ง

มารมากเลยในความคิดเรา ด้านมืดของสังคมที่แท้จริง

อาจทำให้คุณมองอาชีพบริการเปลี่ยนไปได้เลย  55555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 18-11-2018 13:14:18
เคฟใจเย็นเด้อ ถึงน้องเพชรจะน่าหมั่นไส้ มั่นหน้ามั่นโหนกแค่ไหน ก็อย่าพึ่งบีบคอน้องหักเด้อ 55555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 18-11-2018 14:18:01
คิดถึงงง มาบ่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-11-2018 15:52:11
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-11-2018 16:33:22
อิพี่อู๋ เหรอนั่น :ruready
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 18-11-2018 18:07:17
คิดถึงจังเลยค่ะะ แง่ รอพี่อู๋กับน้องเทียนอยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-11-2018 19:11:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-11-2018 01:04:13
ดีใจมาก ได้อ่านต่อ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-11-2018 22:27:28
แรกอ่านสนุกนะ แต่หลังๆหลายคู่เกิน จำไม่ได้ :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.10 พาไปขาย!!! (18/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-11-2018 16:41:47
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกดีค่ะ แบบนี้เฟลมคงอกหักแล้วล่ะซิ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน & เดลิเวอรี่บอย [1/2] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 23-11-2018 19:20:20
11
โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย



อีกด้านหนึ่ง
   
หลังจากรู้ว่าไอ้ฝรั่งหัวทองคือไอ้โจรอู๋หน้าหนวด ผมก็ทั้งด่าทั้งตีสารพัดให้สมกับความโกรธและเสียใจ แต่มันกลับไม่สำนึก ซ้ำยังทำตัวออดอ้อนจนเลือดกำเดาผมจะไหลเป็นช่วงๆ อีกต่างหาก สงสัยจะเอานิสัยเถื่อนโหดเลวทรามทิ้งไปพร้อมกับหนวดแล้วแน่ๆ
 
แต่ถึงจะหล่อขึ้น น่ารักขึ้น ผมก็ไม่ใจอ่อนง่ายๆ หรอกนะ ขอบอก!
   
“จะอธิบายให้ฟังได้รึยังว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร ทำไมเราถึงมาอยู่คอนโดหรู แล้วคนอื่นหายไปไหน ทำไมมึงถึงพูดอังกฤษได้ลื่นไหล และที่สำคัญมึงเป็นใครกันแน่!?”
   
“ช้าๆ ก็ได้ เค้าไม่รีบไปไหนหรอก ค่อยๆ ถามนะจ๊ะ”

ไอ้โจรบ้าพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับโอบไหล่ผมไปกอดไว้แนบแผงอกกว้างของตัวเอง
   
“บอกให้พูดเหมือนเดิมไง มาเค้าๆ ตัวๆ อะไร จะอ้วก!”
   
“ก็มันไม่เข้ากับหนังหน้า หล่อแบบนี้จะให้พูดเถื่อนๆ ได้ไง เค้ารู้นะว่าตัวเองชอบแบบนี้มากกว่าเวอร์ชั่นเก่า”

มันเอานิ้วสะกิดหัวไหล่ผมเบาๆ แค่นั้นผมก็แทบจะระเบิดตัวตายด้วยความเขิน แต่ต้องทำโมโหกลบเกลื่อน
   
“โว้ย! ถ้าไม่หยุดพูดจะถีบจริงๆ ด้วย!”
   
“แหม คนอะไรชอบฟังคำหยาบ ซาดิสต์จังเลย”
   
“ใครกันแน่ซาดิสต์! ชอบทำให้กูร้องไห้ หัวใจจะวายตายบ่อยๆ น่ะหา!”

“โอ๋เอ๋ ล้อเล่นเฉยๆ ไม่โกรธนะ” มันว่าแล้วเขยิบกระแซะเข้ามาใกล้ แต่ผมก็เขยิบหนีจนติดผนัง
   
“เลิกพูดกวนตีนซะที จะบอกได้รึยังว่าเรื่องมันเป็นยังไง เอาตั้งแต่มึงเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ได้ยังไง แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกัน”

ผมทำหน้าจริงจัง จ้องหน้าเขม็ง ไม่เล่นด้วยอีกต่อไป โจรอู๋ทำปากจู๋แบบเซ็งๆ แล้วก็ยอมเล่าจนได้

“ตัวจริงก็เป็นโจรนั่นแหละ ไม่ใช่เศรษฐีฝรั่งอะไรนี่หรอก”
   
“อ้าว ก็นึกว่าปลอมตัวเป็นโจร”
   
“ไม่ได้ปลอม เป็นโจรจริง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ชื่อมิสเตอร์เคล เป็นนักธุรกิจ...”
   
“ผิดกฎหมาย” ผมขัด
   
“ก็... นะ”
   
“โจรอยู่ดี” ผมถอนหายใจ “แปลว่ามึงไม่ใช่ฝรั่ง ไม่ใช่เจ้าของห้องนี้เหรอ แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง น้ำหน้าอย่างมึงคงไม่มีปัญญาซื้อห้องชุดแบบนี้เองหรอก”
   
“อย่าดูถูกกันสิ ถึงจะจริงก็เถอะ” มันทำหน้าเครียดแบบเล่นๆ “ที่จริงคือมีเส้นสายคอยช่วยเหลืออยู่ ห้องนี้เขาซื้อไว้ให้กบดานพลางๆ จนกว่าจะหาเงินครบ”
   
“เส้นเหรอ ใคร”
   
“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอก” โจรอู๋ยักไหล่แล้วลุกจากเตียง พันผ้าขนหนู เดินกลับไปที่ห้องน้ำ
   
ถึงไม่ตอบ ผมก็พอจะเดาได้ อย่างแรก ‘เส้น’ คนนั้นต้องรวยมาก ไม่งั้นคงซื้อคอนโด เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ที่หรูหราอลังการอย่างนี้ไม่ได้ บางทีเบื้องหลังของไอ้โจรนี่อาจจะมีเสี่ยเลี้ยงหรือเป็นชู้ลับของผู้มีอิทธิพลก็เป็นได้ เห็นทีว่าโจรพวกนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้วสิ แต่ยังไงเป้าหมายของผมก็ยังเหมือนเดิม คือหนีให้พ้นและไปแจ้งความจับพวกมันเข้าคุกให้หมด!
   
“ไปอาบน้ำ เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอก” โจรอู๋บอก
   
“ไปไหน”
   
“ปล้น” มันตอบหน้าตาเฉย เหมือนพูดว่าพาหมาไปเดินเล่น

“อย่าบอกนะว่าจะให้กูไปปล้นด้วย!?”
   
“ถูกต้อง” โจรยิ้มอย่างมั่นใจ
   
“ทำไมต้องไป! ถ้าถูกจับได้ขึ้นมากูก็ซวยไปด้วยน่ะสิ! ไม่ไปโว้ย!”

ผมว่าแล้วเอาผ้าห่มคลุมตัว กอดเสาหัวเตียงแน่นราวกับมันเป็นเครื่องคุ้มกันไม่ให้ไอ้โจรเอาตัวผมไปได้ 
   
“ใช่แล้ว ที่ข้าพาเอ็งไปด้วยก็เพราะอยากให้เอ็งได้ชื่อว่าเป็น ‘โจร’ ยังไงล่ะ ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งหนีไปแจ้งตำรวจในฐานะเหยื่อผู้บริสุทธิ์หรอก”
 
ไอ้โจรพูดข้างหูด้านนอกผ้าห่ม น้ำเสียงเข้มขึ้นบ่งบอกว่าเอาจริง  ก่อนจะลุกจากเตียงหยิบบุหรี่ไปสูบที่ระเบียง ผมจึงโผล่หน้าออกจากผ้าห่มและหายใจได้ทั่วท้องสักที

อยากให้กูเป็นโจรจะได้ไม่กล้าหนีเรอะ? ใครจะยอมเป็นกับมึงวะ!

ผมคว้ากางเกงบ็อกเซอร์ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็วแล้วลุกจากเตียงตรงไปที่ประตูห้องก่อนจะหมุนลูกบิดประตู

แต่ฉิบหาย...มันเปิดไม่ออก!

“ต้องแสกนลายนิ้วมือเจ้าของห้องก่อนถึงจะเปิดประตูได้ น่าเศร้าจริงๆ ที่ระบบรักษาความปลอดภัยของห้องนี้แน่นหนาเป็นพิเศษ”

เสียงหนาทุ้มฉุดให้ผมหันไปมองข้างหลัง เห็นหมอนั่นยืนยิ้มอย่างเหนือกว่า วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่สุดในจักรวาล...

“ปล้นน่ะสนุกจะตาย เชื่อเถอะ เดี๋ยวจะติดใจ” โจรอู๋ยักคิ้ว

“อุตส่าห์ปลอมตัวใหม่เป็นนักธุรกิจแล้วแท้ๆ ทำไมยังทำตัวเป็นโจรอยู่ล่ะ” ผมถามอย่างโคตรไม่เข้าใจ
   
“ก็ใช่ แต่กว่าจะได้เงินตอบแทนจากธุรกิจก็นาน กลัวไม่ทันวันใช้หนี้ ปล้นมาเก็บไว้ก่อนเพื่อความสบายใจไง”
   
“หน้าตามึงก็ดี ทำไมไม่ไปเป็นดาราหรือนายแบบ เงินเยอะเหมือนกันนะ ดีกว่าปล้นเป็นไหนๆ”
   
“เหอะ ไม่เอาหรอก อันตรายเกินไป ไม่อยากให้ใครรู้จัก เกิดมีคนจำได้ขึ้นมาว่าเป็นโจรจะลำบาก” มันพูดพลางขมวดคิ้วน้อยๆ “อย่าถามมากเลย เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ อีกหนึ่งชั่วโมงไปออกล่ากัน”
   
“เฮ้ย เอาจริงดิ!” ผมใจหายวูบ แต่ก่อนจะได้คัดค้านอะไรหมอนั่นก็ปิดประตูห้องน้ำและแหกปากร้องเพลงอย่างสบายใจไปแล้ว
   
เป็นเมียโจรยังไม่พอ นี่กูต้องเป็นโจรด้วยเหรอ!!! 
   
คนอะไรชื่อแสงเทียนแท้ๆ แต่ชีวิตแม่งมีแต่เรื่องวินาศบัดซบมืดมนไม่จบสิ้น โว้ยยยยยยย!!!


.
.
.
[ มีต่อด้านล่างนะคะ ข้อความยาวเกิน 20000 ตัว เว็บไม่อนุมัติ T_T ]
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน & เดลิเวอรี่บอย [2/2] (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 23-11-2018 19:24:26
[PART 2/2]


หลังเลิกงานห้าโมงเย็น เฟลมเดินทางไปที่สถานีตำรวจเพราะอยากรู้ความคืบหน้า เขาเซ็งที่คิดว่าต้องเจอหน้ามึนๆ กับเสียงเหวี่ยงๆ ของหมวดรักษ์ แต่คงดีกว่านั่งกลุ้มอยู่เฉยๆ ที่บ้าน ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในโรงพัก ตรงไปที่โต๊ะรับแจ้งความซึ่งหมวดรักษ์เคยนั่งเมื่อคราวก่อน แต่คนที่นั่งกลับไม่ใช่หมวด
   
“สวัสดีคุณเปรมประกิตติ์ มาทำอะไรครับ” จ่าตะวันทักทาย
   
“ผมอยากรู้ว่าตำรวจสืบไปถึงไหนแล้ว” เฟลมบอก
   
“อืม คุณมาได้จังหวะมาก อีกเดี๋ยวเราจะลงพื้นที่กันพอดี”
   
“จริงเหรอ ผมไปด้วยได้ไหม” เฟลมถามอย่างตื่นเต้น
   
“อ่า... คุณต้องไปขอหมวดรักษ์ ถ้าหมวดอนุญาตก็ไปได้”
   
“เขาอยู่ไหน”
   
“ในห้อง” จ่าตะวันชี้ไปที่ฝั่งหนึ่งของโรงพัก เฟลมพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินตรงไปยังห้องนั้นโดยไม่รอช้า
   
ความร้อนใจบวกกับประตูไม่ได้ล็อกทำให้หนุ่มหล่อเปิดเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ แล้วก็ตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าคือหมวดรักษ์กำลังยืนจัดเอกสารในตู้โดยมีผู้ชายตัวสูงอีกคนยืนประกบข้างหลังและกอดหมวดนัวเนีย ท่าทางล่อแหลมเหมือนเตรียมพร้อมจะแสดงฉากติดเรท ถ้าเฟลมไม่เข้ามาขัดจังหวะซะก่อน อดีตนายแบบอึ้งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ฝ่ายเจ้าของห้องและแขกก็เช่นเดียวกัน กว่าจะได้สติก็ผ่านไปหลายวินาที
   
“ไม่มีมารยาท ทำไมไม่เคาะประตูก่อน” หมวดพูดกับเฟลมเชิงตำหนิ เดินออกจากมุมนั้นด้วยท่าทางนิ่งเป็นปกติ
   
“ใครกันแน่ไม่มีมารยาท นี่มันสถานที่ราชการ ทำไมถึงทำเรื่องบัดสีได้ลงคอ ผมชักจะหมดศรัทธาในตัวคุณแล้วสิ”

เฟลมตอบกลับอย่างเจ็บแสบยิ่งกว่า ก็ดูสิ...ขณะที่เขาร้อนรนจะเป็นจะตายเรื่องคดีถึงกับต้องโร่มาหาหมวดที่นี่ แต่กลับเจอหมวดพลอดรักกับแฟนในที่ทำงานกลางวันแสกๆ เป็นใครก็คงเสียความรู้สึก
   
“คุณก็เห็นว่าผมยืนเฉยๆ” หมวดอ้าง “เขาต่างหากที่เข้าหาผม”
   
หมายถึงชายร่างสูงหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างหลัง
   
“แต่คุณก็ไม่ขัดขืน อืม นี่ผมคงมาขัดจังหวะใช่ไหม งั้นเชิญทำต่อเถอะ เอาให้เสร็จเลยนะ อย่าลืมล็อกประตูห้องด้วย ส่วนประชาชนที่กำลังทุกข์ร้อนอย่างผมจะถอนเรื่องแล้วไปแฉลงโซเชียล!”
   
คำพูดเหมือนประชดแต่ท่าทางเอาจริงทำให้หน้านิ่งๆ เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที หมวดวิ่งไปขวางหน้าเฟลมก่อนที่เขาจะออกไปจากห้อง
   
“โอเค คุณเปรมประกิตติ์ ผมขอโทษถ้าทำให้ไม่พอใจ แต่คุณจะถอนเรื่องไม่ได้ พวกเรามากันไกลแล้ว”
   
“ก็คุณไม่ได้สนใจคดีของผมนี่! จ่าตะวันบอกว่าพวกคุณกำลังจะออกพื้นที่กันไม่ใช่เหรอ ผมเลยมาขออนุญาตคุณว่าจะไปด้วย แต่คุณกลับจู๋จี๋กับแฟนสบายใจเฉิบ! ไม่เห็นจะพร้อมทำงานตรงไหน!”
 
“ใครบอกว่าผมไม่สนใจ ใครบอกว่าผมไม่พร้อม” หมวดจ้องหน้าเขาอย่างเขม็งเคร่งเครียด “คุณมาก็ดี งั้นไปด้วยกันเลย”
   
พูดจบหมวดก็คว้าแขนเฟลมเดินออกไปจากห้องด้วยกันโดยไม่สนใจนายทหารรูปงามที่มองตามอย่างงงๆ เลยสักนิด หมวดเดินผ่านโต๊ะของจ่าตะวันก็พยักหน้าให้จ่าตามมา จากนั้นก็ออกมานอกโรงพักไปที่ลานจอดรถ พอเข้าไปนั่งรถแล้ว หมวดก็ขับออกไปทันทีโดยไม่รอใคร
   
“อ้าว ไม่รอจ่ารึไง แล้วนักสืบล่ะ ไม่ไปด้วยกันเหรอ” เฟลมถาม
   
“เดี๋ยวจ่าก็ตามมา ส่วนนักสืบไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจะไปสถานที่นัดหมายด้วยตัวเอง” หมวดอธิบายแล้วในรถก็เงียบลง

ถึงจะออกจากโรงพักมาไกลและเวลาจะผ่านไปพอสมควรแล้ว แต่ความรู้สึกโกรธเคืองก่อนหน้านี้ในใจเฟลมก็ยังไม่หายไป ในที่สุดก็ต้องถามออกมาให้หายคาใจ
   
“ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนคุณเหรอ”
   
“เปล่า เพื่อนกัน” คนขับตอบ “เขาชอบเล่นลามปามทุกที คุณอย่าคิดลึกเลย ไม่มีอะไรหรอก”
   
“เพื่อนกันทำขนาดนั้นเลยเหรอ” เฟลมหัวเราะฝืดๆ
   
“เขาเป็นคนอเมริกัน เลยไม่ถือสาเรื่องพรรค์นี้”
   
“เชื่อตายล่ะ หน้าไทยซะขนาดนั้น” ว่าแล้วเบ้ปาก
   
“รู้จักคำว่าลูกครึ่งมั้ย?”
   
“แล้วไง”
   
“เขาโตที่อเมริกา เลยเล่นถึงเนื้อถึงตัวเป็นธรรมดา อีกอย่างเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก สนิทกันมากๆ แต่ไม่มีอะไรเกินเลยหรอกนะ”
   
“เชื่อก็โง่ละ” เฟลมกลอกตา
   
“งั้นก็ตามใจ”

หมวดพูดแล้วเอื้อมมือกดปุ่มเครื่องเล่นเพลง บรรยากาศตึงเครียดภายในรถจึงผ่อนคลายลงและเป็นการตัดบทการสนทนาโดยปริยาย

เฟลมสงสัยว่าจะไปที่ไหนแต่ไม่มีอารมณ์ถาม เลยนั่งกอดอกขมวดคิ้วไปตลอดทาง ยิ่งขับนานเท่าไหร่ก็ยิ่งห่างไกลจากตัวเมืองมากขึ้น สภาพการจราจรเกือบโล่ง บ้านเรือนสองข้างทางถนนค่อยๆ บางตาลง เริ่มเข้าเขตชานเมืองจนเกือบจะออกต่างจังหวัดในอีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า สักพักหมวดก็จอดรถข้างถนนเปลี่ยว ไม่มีอะไรนอกจากทุ่งหญ้ากับป่ารก
   
“ถึงละ ลงได้” ตำรวจหนุ่มเปิดประตูลงไปก่อน “นี่คือสถานที่ที่เราสันนิษฐานว่าเคยเป็นแหล่งกบดานของโจรที่ลักพาตัวแฟนคุณ”
   
“พวกคุณรู้ได้ไง มันไกลมากเลยนะ แล้วก็ไม่เห็นจะมีบ้านคนตรงไหน” เฟลมถามด้วยความสงสัย
   
“จ่าตะวันแกะรอยจากกล้องวงจรปิดตัวสุดท้ายพบว่าโจรใช้เส้นทางลัดซึ่งจะมาโผล่ที่ถนนสายนี้ กับนักสืบทิวาที่ได้ข้อมูลว่าแถวนี้มีตึกร้างอยู่ พวกมันอาจใช้เป็นแหล่งกบดาน” หมวดอธิบาย เฟลมฟังแล้วพยักหน้าตาม
   
“งั้นก็รีบเข้าไปสิ”
   
“ยังก่อน เราไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง รอนักสืบกับจ่าตะวันตรงนี้แล้วค่อยเข้าไปพร้อมกัน”
   
ระหว่างรอเฟลมก็เดินไปมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย ใจหนึ่งเป็นห่วงว่าแสงเทียนจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ภายในเงื้อมมือโจร อีกใจก็โกรธแค้นโจรคนนั้นจนอยากจะเข้าไปข้างในตึกแล้วลากคอมันมากระทืบให้ตายคาตีนโดยไว
   
สิบนาทีต่อมานักสืบทิวาก็มาถึงด้วยรถลีมูซีนสุดหรู เมื่อจอดแล้วคนขับรถก็เปิดประตูให้ราวกับคุณชายใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ ทำเอาหมวดและเฟลมมองตาโต
   
หมวดหริรักษ์แม้จะรู้อยู่แล้วว่านักสืบคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นถึงทายาทมหาเศรษฐี แต่ก็อดทึ่งไม่ได้กับความหรูหราโอ่อ่าของนักสืบหนุ่ม ส่วนเฟลมไม่ต้องพูดถึง... อึ้งจนอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง เหมือนไม่เคยเห็นคนรวยขนาดนี้มาก่อน คิดว่าถ้าตนรวยขนาดนี้คงไม่มาทำงานเป็นนักสืบหรอก ปวดหัวตาย ไปทำอย่างอื่นที่สบายๆ ดีกว่า
   
ไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมาจ่าตะวันก็มาถึงด้วยรถตำรวจ พอครบทีมแล้วทั้งสี่ก็เข้าไปในทางเดินลูกรังที่ติดกับถนนเส้นนั้น หมวดรักษ์เดินนำหน้าสุด ตามด้วยนักสืบทิวา จ่าตะวัน และเฟลมประกบท้าย ทางเดินสู่ตึกร้างเป็นเส้นตรงยาวประมาณสามร้อยเมตร สองฝั่งซ้ายขวาเป็นป่าหญ้ารกสูง มองตรงไปเห็นดงกล้วยทึบ และส่วนบนของตึกสีดำโผล่พ้นดงกล้วยขึ้นมา แค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวประหนึ่งดงผีสิง
   
“มีรอยล้อรถด้วย แปลว่ามีคนเข้าออกที่นี่” หมวดรักษ์มองที่พื้นถนนแล้ว “ทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์”
   
“ผมก็แน่ใจว่าโจรอยู่ที่นี่” นักสืบบอก
   
“โทรเรียกกำลังเสริมดีไหมครับหมวด” จ่าตะวันเสนอ
   
“อย่าเพิ่ง รอให้เห็นแน่นอนก่อนดีกว่า ผมกลัวโจรจะไหวตัวทัน ยิ่งมันมีตัวประกันคือคุณแสงเทียนด้วยแล้ว ถ้ามันทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” หมวดรักษ์พูด คนที่ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น
   
บัดนี้ทั้งสี่มาถึงหน้าตึกแล้ว สภาพตึกเก่าแก่ทรุดโทรมมาก เนื่องจากถูกทิ้งร้างมานานเกือบสิบปีทำให้พวกเขาอดนึกถึงฉากในหนังสยองขวัญหรือหนังฆาตกรรมไม่ได้จริงๆ
   
“เอาล่ะ เราจะแยกย้ายกันไปคนละที่ ตึกนี่มีสามชั้น นักสืบทิวาตรวจชั้นหนึ่ง จ่าตะวันชั้นสอง ส่วนผมชั้นสาม ตามนี้” หมวดรักษ์สั่ง
   
“รับทราบ” นักสืบและจ่ารับคำพร้อมกัน จากนั้นก็แยกกันไป
   
“แล้วผมล่ะ” เฟลมชี้ตัวเอง
   
“อยากลุยข้างในหรือดูต้นทางข้างนอก” หมวดถามกลับ
   
“ไปกับคุณดีกว่า...อยู่คนเดียวไม่ปลอดภัย”

หนุ่มหล่อบอก เผลอแสดงสีหน้าหวาดกลัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งโกรธทั้งแค้นแทบบ้า แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับกลัวอย่างช่วยไม่ได้
   
นักสืบทิวาส่งสัญญาณมาที่เครื่องสื่อสารของหมวดรักษ์
   
[หมวดครับ ทางด้านหลังตึกมีช่องร้าวขนาดใหญ่ น่าจะเป็นทางเข้าออกของโจร หมวดเข้ามาทางนั้นเลยนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ข้างในแล้ว ชั้นหนึ่งไม่มีสัญญาณของวัตถุต้องสงสัยและไม่มีคนอยู่ แต่ผมจะตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง ส่วนจ่าตะวันกำลังขึ้นไปชั้นสอง]
   
“รับทราบ”

หมวดรักษ์ตอบกลับ ก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังตึกพร้อมกับเฟลมที่เกาะแขนแน่น ทั้งคู่ลอดรูเข้ามาข้างในตัวตึกเป็นที่เรียบร้อย สภาพข้างในที่เห็นทำให้หดหู่ยิ่งกว่าที่เห็นภายนอก... คือมืดมาก มีแค่แสงเล็ดลอดเข้ามาตามรอยแตก กลิ่นเหม็นอับจากขยะกับซากสัตว์ตายลอยคละคลุ้งไปหมด พื้นและผนังเต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม สภาพยากที่จะเชื่อว่ามีคนอาศัยอยู่
   
หมวดรักษ์เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ระหว่างนั้นมือก็ถือปืนข้างหนึ่ง สาดส่องไฟฉายข้างหนึ่ง ใช้สายตาระมัดระวังไปด้วย เฟลมหลบอยู่ข้างหลังหมวดที่ตัวเล็กกว่าเสมือนหมวดเป็นที่กำบัง จนกระทั่งขึ้นมาถึงชั้นสามหมวดก็เดินต่อไปบนทางเดินที่เงียบสงัด
   
ห้องแต่ละห้องไม่ได้ล็อก ประตูเปิดอ้าให้เห็นข้างใน บางห้องยังมีข้าวของที่บ่งบอกว่าเคยมีคนอาศัยอยู่ อย่างเช่นเตียง ตู้ เครื่องใช้ไฟฟ้า  เสื้อผ้า ฯลฯ แต่สภาพใช้การไม่ได้แล้ว ดูไปดูมาอย่างกับบ้านผีสิงในรายการคนอวดผีไม่มีผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องที่เขาและหมวดอยู่กันตอนนี้ มีแต่ตุ๊กตาพอร์ชเลนประมาณสิบกว่าตัววางเรียงกันอยู่ในตู้โชว์ สายตาของพวกมันจ้องมองมาที่ผู้บุกรุกทั้งสองนายเป็นเป้าเดียว เฟลมกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ แต่หมวดรักษ์ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด สีหน้านิ่งๆ มึนๆ เช่นเคย
   
“ห้องนี้ดูเรียบร้อย คงเป็นของเด็กผู้หญิง โจรไม่น่าจะใช้ห้องนี้หรอก” หมวดวิเคราะห์ด้วยดวงตาเนิบๆ เหมือนจู่ๆ ก็ง่วง “ยังเหลืออีกหลายห้อง ผมว่าเราแยกกันดีกว่า คุณไปดูห้องฝั่งตรงข้ามให้หมดเลยนะ ถ้าเจออะไรผิดปกติ ให้ตะโกนดังๆ ผมจะเข้าไปช่วย”
   
“อะไรนะ!” เฟลมถามอย่างไม่เชื่อหู “จะให้ผมไปตรวจคนเดียวเหรอ”
   
“ใช่”
   
“ตั้งห้าห้องเนี่ยนะ”
   
“ใช่” หมวดยืนยัน “มีปัญหาอะไร”
   
“ทำไมถึงต้องแยกกัน ถ้าเกิดผมเจอ...อะไร...เข้าล่ะ”
   
“ผี?” หมวดเลิกคิ้ว
   
เฟลมเสียววูบเมื่อได้ยินคำนั้น “...เอิ่ม”
   
“ถูกผีหลอกกับช่วยแฟน คุณจะเลือกอะไร”
   
ขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตก “ก็ต้องช่วยแฟนดิ”
   
“งั้นก็ไปซะ ไหนๆ ก็มาด้วยแล้ว ผมอยากให้คุณช่วยมากกว่าเป็นภาระ” หมวดโบกมือไล่แล้วผลักหลังเฟลมออกไปจากห้อง

มือของชายหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าขาวซีดด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็แข็งใจเปิดประตูสำรวจห้องที่เหลืออยู่ เฟลมใช้มือถือส่องทางแทนไฟฉาย... ห้องแรกโล่ง ไม่มีข้าวของ ไม่มีร่องรอยใดๆ เขาจึงรีบออกไปห้องถัดไป
   
ห้องที่สองทำให้เฟลมขนลุกอีกครั้ง เพราะผนังห้องเต็มไปด้วยรอยเลือด ข้าวของในห้องก็กระจุยกระจาย โคมไฟแตก เตียงหัก แค่มองเผินๆ ก็รู้ว่าก่อนร้างต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ อาจจะเป็นสามีภรรยาทะเลาะกัน ฆ่ากันตายก็เป็นได้
   
เฟลมสลัดหัวไล่ความกลัวก้าวเข้าไปในห้องที่สาม ห้องนี้ค่อนข้างรก พื้นเต็มไปด้วยเศษขยะพวกถุงขนม ถุงอาหาร เฟลมสังเกตว่ามันเป็นยี่ห้อใหม่ที่เพิ่งโฆษณาไม่นานนี้เอง
   
เขาหันไปมองข้างผนังแล้วก็ตกใจจนแทบจะร้องตะโกนลั่นเพราะเห็นใบหน้าคนมีแสงส่องจากใต้คาง แต่ก็ตั้งสติได้และพบว่ามันคือกระจกสะท้อนหน้าเขาเอง ชายหนุ่มปาดเหงื่อแล้วสำรวจต่อ เจอเศษผ้าฉีกและกระดาษทิชชู่เปื้อนคราบสีเข้มคล้ายเลือด กลิ่นก็เหมือนเลือด
   
เฟลมใจหาย... นี่แสดงว่าเคยมีคนอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วเลือดนี่อาจจะเป็นของแสงเทียน
   
นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยอีก เฟลมย้ายไปยังห้องถัดไปอย่างไม่รอช้า ความกลัวของเขาเปลี่ยนเป็นความร้อนรนแทน เขามีความหวังว่าแสงเทียนอาจจะอยู่ห้องถัดไป ถัดไป หรือถัดไปใกล้ๆ นี้
   
ห้องที่สี่ไม่มีอะไร มีเพียงกลิ่นอาหารลอยอยู่ในอากาศแทรกมากับกลิ่นเหม็นอับ กลิ่นคล้ายชีส ไก่ทอด ผสมซอสมะเขือเทศ... ย้ำให้เฟลมรู้ว่าต้องมีคนอยู่ในห้องก่อนหน้าเมื่อไม่นาน
   
เขาไปห้องที่ห้า แต่ตอนจะเปิดประตูกลับพบว่ามันมีกุญแจล็อกเอาไว้ ชายหนุ่มเอะใจ กำลังจะเดินกลับไปหาหมวดรักษ์ แต่หมวดออกจากห้องอีกฝั่งมาพอดี
   
“ฝั่งผมไม่มีอะไรน่าสงสัย ฝั่งคุณล่ะ” หมวดถาม
   
“ห้องที่สามกับสี่น่าจะมีคนอยู่ ผมเจอถุงอาหารในนั้น” เฟลมบอก “แต่ห้องที่ห้านี่ มันล็อก”
   
หมวดมองลูกบิดของห้องนั้นแล้วขมวดคิ้วตาม “คุณแสงเทียนอาจจะอยู่ในนั้น”
   
“!!!” เฟลมสะดุ้ง
   
“โจรก็อาจจะอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน แต่เราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ” หมวดพูดแล้วยกปืนขึ้น เล็งไปที่ประตู “คุณแสงเทียน! นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมมาช่วยคุณ ถ้าคุณอยู่ในนั้น กรุณาส่งเสียงตอบด้วย!”
   
หมวดพูดเสียงดังจนได้ยินก้องไปทั้งชั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
   
“เขาอาจถูกมัดปากไว้ก็ได้” เฟลมว่า “พังเข้าไปเลยดีกว่า! ผมรอไม่ไหวแล้ว!”
   
“อย่าโง่น่ะ” หมวดมองเฟลมด้วยหางตา ก่อนจะยิงปืนไปที่ลูกบิดหนึ่งนัด สองนัด สามนัด แล้วกุญแจก็หลุด ประตูก็เปิดออก
   
“แสงเทียน!!!!!” เฟลมโผเข้าไปในห้องด้วยความหวัง แต่สิ่งที่พบมีเพียงความว่างเปล่า มันทำให้เขาเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นทันที หมวดรักษ์เข้ามาข้างใน กวาดสายตามองรอบๆ และสะดุดใส่คราบอะไรบางอย่างที่สะท้อนบนพื้น เขานั่งลงข้างๆ เฟลมแล้วมองมันอย่างพินิจ
   
“นี่มัน...” หมวดขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงไปใกล้สิ่งต้องสงสัย
   
“อะไร...” เฟลมถาม
   
“คราบเลือด” หมวดบอก “กับคราบน้ำอสุจิ”
   
“คุณรู้ได้ยังไง” ชายหนุ่มใจหายวาบ
   
หมวดหรี่ตา “นี่ไม่ใช่คดีแรกที่ผมรับผิดชอบ จะบอกว่าผมเจอคราบแบบนี้แล้วเป็นพันๆ ครั้ง ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคืออะไร”
   
ไม่นะ... อย่าเป็นอย่างนั้น...อย่าทำแสงเทียน!
   
หมวดกรอกเสียงลงในวิทยุสื่อสารทันที “นักสืบทิวา กรุณาขึ้นมาชั้นสามห้องในสุดด่วน ผมต้องการให้คุณช่วย”

[รับทราบครับหมวด]
   
ครู่เดียวนักสืบก็มาถึง ส่วนจ่าตะวันที่ค้นชั้นสองไม่พบสิ่งต้องสงสัยจึงไปสำรวจบริเวณรอบตึกแทน พอนักสืบมาถึงแล้วหมวดก็บอกเขา
   
“ช่วยตรวจสอบห้องนี้ที ผมอยากรู้ว่ามีใครเคยอยู่บ้าง”
   
นักสืบใช้กล้องอินฟาเรดส่องที่กลอนประตูฝั่งในห้อง พบรอยนิ้วมือจำนวนมาก เขาโปรยผง เก็บลายนิ้วมือ และสแกนเข้าเครื่องตรวจสอบประมวลผลว่าเป็นของใคร ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ได้ชื่อออกมาสองคนคือนายอติศร แซ่อู๋ แต่อีกชื่อ...
   
“แสงเทียน สว่างช่วงโชติ”

นักสืบบอก นั่นทำให้เฟลมหัวใจแทบสลาย
   

ชัดเจน... สองคนนั้นอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน

   
หมวดรักษ์ยังคงสงสัย ชี้ให้นักสืบดูคราบที่เลอะพื้น นักสืบดูด้วยสายตา ไม่ใช่เครื่องมือช่วย ก็สามารถบอกได้เลยทันที

“นี่คือน้ำอสุจิ แสดงว่ามีการร่วมเพศเกิดขึ้นในห้องนี้ และมันก็คงเป็นนายอติศรกับแสงเทียนนั่นเอง”

เฟลมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกเหยียบอย่างรุนแรงจนไม่อยากฟังต่อ
   
“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการข่มขืน ถึงได้เลือดตกยางออกแบบนี้” หมวดรักษ์พูด และวิทยุก็ดังขึ้นอีกครั้ง มาจากจ่าตะวัน “ว่าไงจ่า”
   
[หมวดครับ ผมเจอกองขี้เถ้ากองเบ้อเริ่มด้านหลังตึก คาดว่าพวกโจรน่าจะเผาหลักฐานต่างๆ ก่อนหนีไปที่อื่น คงไม่เกินระยะวันสองวันนี้เอง เพราะดินตรงที่ถูกเผายังอุ่นอยู่เลย อ้อ แล้วก็มีรอยรถยนต์สี่ล้อออกไปทางข้างหลังด้วยครับ]
   
“อืม อย่างนี้เอง ขอบใจมาก ทางนี้ก็ได้เรื่องเหมือนกัน คุณช่วยขึ้นมาสมทบกับพวกเราที”
   
[รับทราบครับ]
   
การรายงานของจ่าตะวันทำให้ทราบว่าพวกโจรได้หนีไปแล้ว เฟลมรู้สึกเจ็บใจและเสียใจจนทนไม่ไหวต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายอย่างหมดท่าไม่กลัวเสียฟอร์ม
   
“บ้าชิบ อีกนิดเดียวแท้ๆ...”

เฟลมยกมือขึ้นกุมขมับ ก้มหน้า น้ำตาหยดลงบนพื้นตรงที่แสงเทียนเคยถูกทารุณกรรม ยิ่งรู้ยิ่งเห็นว่าคนรักถูกกระทำอย่างนี้ ยิ่งตอกย้ำให้หัวใจของเฟลมยิ่งเจ็บ

แสงเทียนถูกโจรทำร้ายก็เพราะเขา... เขารับรู้ได้ถึงความเสียใจของแสงเทียนที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในอากาศของห้องเล็กๆ สกปรกๆ นี่... แสงเทียนคงจะร้องไห้ เสียขวัญ ดิ้นรนเพื่อจะหนีจากไอ้โจรสารเลวนั่น แต่จะหนีไปได้ไหม? หรือจะถูกโจรฆ่า หรือโจรจะพาแสงเทียนหนีไปที่ใหม่ด้วย?


เขาไม่รู้เลย...


เจ้าหน้าที่สามนายคุยกันอีกครู่หนึ่ง แต่เฟลมไม่ได้สนใจสักนิด เขาก้มหน้าร้องไห้อยู่บนพื้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที หมวดรักษ์ก็ฉุดให้ลุกขึ้น

“พอเถอะคุณเปรมประกิตต์ เอาแต่ร้องไห้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก”

“ใช่สิ... คุณไม่ได้เสียคนรักไปแบบผมนี่!”

เฟลมเผลอตะโกนเสียงดังใส่หน้าหมวดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่หมวดยังคงนิ่ง ไม่กระทบกระเทือนแต่อย่างใด

“ไม่ต้องเสีย ผมก็รู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน” หมวดพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“...ขอโทษ” เฟลมหันหน้าไปทางอื่นด้วยความละอายใจ “ผม...ผมแค่เป็นห่วงแสงเทียน”

“พวกเราก็ห่วงเหมือนกัน และสัญญาว่าเราจะตามหาเขา ช่วยเขากลับมาให้ได้”

หมวดพูดด้วยความหนักแน่นจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ดวงตามึนเบลอกลายเป็นประกายกล้าแบบที่เฟลมไม่เคยเห็น ทำให้อึ้งไป หัวใจที่เจ็บช้ำของเขา เหมือนกับได้พลังใหม่จากประโยคนั้นของหมวด...

“ภารกิจต่อไป จ่าตะวัน คุณช่วยประสานกับกรมขนส่ง สืบหาการเดินรถบนถนนสายนี้ช่วงหนึ่งถึงสองวันก่อนหน้า ว่ามีรถหรือบุคคลต้องสงสัยบ้างหรือไม่”

“รับทราบครับ”

“ส่วนนักสืบทิวา สืบหาแหล่งที่อาจเป็นแหล่งกบดานของโจรภายในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตร คงต้องประสานกับสน. เขตใกล้เคียงหรือจังหวัดรอบๆ ด้วย”

“รับทราบครับ”

“ผมจะเก็บหลักฐานในตึกนี้กลับไปตรวจสอบอีกที และอาจต้องมาที่นี่อีกเผื่อได้หลักฐานเพิ่ม วันนี้พอแค่นี้ก่อน นี่ก็ค่ำแล้ว แยกย้ายกันกลับได้”
จบคำของหมวดรักษ์ภารกิจก็เสร็จสิ้นลง แต่ความจริงที่พวกเขาค้นพบ เพิ่งจะเริ่มหลอกหลอนเฟลมทุกลมหายใจนับจากนี้




ทั้งสี่ออกจากตึกแล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่ม

“ผมจะไปส่งที่บ้าน”

หมวดบอกเฟลม ก่อนจะเปิดเพลงฟัง ทำให้ภายในรถไร้ซึ่งบทสนทนา แต่เฟลมก็ไม่อยากมีอยู่แล้ว เขารู้สึกเศร้าเสียใจหมดอาลัยตายอยากจนไม่มีอารมณ์จะเสวนากับมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น

แต่ความห่อเหี่ยวก็เป็นอันต้องสลายกลายเป็นความหวาดผวาเข้ามาแทนที่ เมื่ออยู่ดีๆ หมวดก็ขับรถเบี้ยวเข้าใกล้เลนของอีกฝั่งซึ่งเป็นทางที่วิ่งสวนกันมากขึ้นๆ

เท่านั้นไม่พอ ข้างหน้ายังมีรถสิบล้อวิ่งใกล้เข้ามาอีก!!!!!

“เฮ้ย หมวดๆๆๆๆๆๆ!!!” เฟลมเขย่าแขนหมวดให้อีกฝ่ายได้สติ แต่ไม่เป็นผล

ปี๊นนนนนนนน!!!

ควั่บบบบบบ!

เฟี้ยววววว

เอี๊ยดดดดดดด!!!!!


มันเกิดขึ้นเร็วมากแบบไม่น่าเชื่อ... ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดมาได้!

เฟลมหมุนพวงมาลัยหักหลบรถสิบล้อได้อย่างเฉียดฉิวชนิดที่ถ้าปล่อยไปอีกซักห้าวินาทีทั้งคู่คงถูกบดเละ พอหักหลบได้แล้วก็เอาขายัดเข้าไปที่ฝั่งคนขับเหยียบเบรกมิดเท้าจนรถตวัดเป็นวงกลมหมุนคว้างอยู่กลางถนนสามรอบ... ดีที่ไม่มีรถคันไหนวิ่งมา ไม่งั้นอาจชนซ้ำ พอรถหยุดหมุน เฟลมก็แทบอ้วก แต่แปลกที่หมวดมึนกลับนั่งนิ่งเป็นหุ่น

“ขับรถบ้าอะไรของคุณเนี่ย!!!” เฟลมตะโกนอย่างโมโหจัด อยากจะซัดหมัดใส่หน้าหมวดให้หายมึนจริงๆ

แต่...

ฟุ่บ!

หมวดคอพับ หลับไปซะงั้น

“อะไรวะ! หลับในเหรอ!” เฟลมหัวเสีย เปิดประตูลงจากรถแล้วไปอีกด้านซึ่งเป็นที่นั่งคนขับ ดันตัวหมวดไปนั่งเบาะข้างๆ อย่างลำบากลำบน แล้วตัวเองก็เป็นคนขับแทน

ฟุ่บ!

เฟลมสะดุ้ง เพราะหัวของหมวดเปลี่ยนมาซบลงที่ไหล่ของเขา ชายหนุ่มผลักไปไกลๆ แต่พอขับไปหัวหมวดก็ซบลงที่เดิมอยู่ดี ก็เลยปล่อยเลยตามเลย คิดซะว่าช่างหัวหมวดเถอะ

ขับมาจนเกือบถึงบ้านแล้วก็นึกขึ้นได้...อยู่ในสภาพนี้ จะเอาไงกับหมวดดีล่ะ? หรือจะพาไปส่งบ้าน แต่บ้านหมวดอยู่ไหน? หรือจะไปส่งที่สน. เอ่อ... แล้วตัวเขาจะกลับยังไง กระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้พกมา นั่งแท็กซี่กลับเองก็ไม่ได้


ไหนๆ ก็ช่วยผมมาเยอะแล้ว คืนนี้นอนบ้านผมก็แล้วกัน





เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผู้พันแฮมิลทันเพิ่งขับชอปเปอร์สวนกับรถตำรวจของหมวดรักษ์ เขาแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่เป็นเจ้าทุกข์ขับรถของหมวดรักษ์ ส่วนหมวดก็หลับ...

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

ทนความสงสัยไม่ไหวจึงขับตามไปด้วยความรู้สึกหวั่นๆ กลัวว่าสองคนนั้นจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล

และภาพที่เห็นตอนนี้ ก็พอจะอธิบายหลายๆ อย่างได้

รถของหมวดรักษ์จอดอยู่หน้าอพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มหล่อก็เปิดประตูรถจากด้านคนขับ เดินอ้อมไปเปิดประตูอีกด้านแล้วโอบเอวหมวดออกจากรถ ก่อนจะเดินประคองกันเข้าไปในตึก โดยหมวดซบไหล่ชายหนุ่ม ท่าทางออดอ้อนแบบที่ผู้พันไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้พันได้แต่มองทั้งสองคนเดินด้วยกันอย่างแนบชิดกระทั่งหายไปจากสายตา

“ดาร์ลิ้ง...”

หัวใจเข้มแข็งของชายชาติทหาร บัดนี้พังทลายลงด้วยคำสั้นๆ อย่าง ‘ความรัก’ จนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี...



TBC >>>>
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-11-2018 19:59:27
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-11-2018 21:33:04
โจรอู๋ติดหนี้ใครจนต้องมาเป็นโจร
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 23-11-2018 21:38:27
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว แอบลุ้นตอนต่อไป

 :pig4:

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-11-2018 22:19:54
พี่โจรดาเมจแรงมาก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.11 โพลิซแมน แอนด์ เดลิเวอรี่บอย (23/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 25-11-2018 00:08:12
ทำไมความสัมพันธ์มันซับซ้อนแบบนี้ เลือกลงเรือไม่ถูกเลยค่ะ .....
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-11-2018 21:47:27

12
ผัวโจร NEW VERSION

 

               อีกด้านหนึ่ง

               โจรอู๋รับน้องคนใหม่ล่าสุดของแก๊งด้วยภารกิจบ้าดีเดือดพอๆ กับการเอาคอไปพาดเขียง นั่นคือการเข้าร่วมขบวนการ ‘ค้าของเถื่อน’ โดยมีเจ้าสัวที่รวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศคนหนึ่งเป็นหัวหอก เบื้องหน้าเปิดบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเล แต่เบื้องหลังเป็นแหล่งซื้อขายวัตถุโบราณผิดกฎหมายระดับข้ามชาติ

               อู้หู...แค่งานแรกมันก็เล่นกูซะแล้วครับ!

               ตัวโจรอู๋ปลอมเป็นนักธุรกิจอเมริกันที่ทำงานในไทย ชื่อเคล แฮร์ริส เจฟเฟอร์สัน ส่วนผมเป็นเลขาฯ ของมัน ชื่อแสงโสม (อเล็กซ์ปลอมประวัติให้ แม่ง...ตั้งชื่อลูกพี่ตัวเองซะดูดี แต่กูนี่เมาหึ่งเชียว!)

               ความที่เป็นงานช้าง โจรอู๋เลยประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย มันเตรียมตัวดีเป็นพิเศษ เริ่มจากแปลงร่างเป็นฝรั่ง อันนี้ไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะแต่เดิมมันก็รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวจัด โครงหน้าชัด จมูกโด่งเป็นสันคม เหมือนชาวตะวันตกอยู่แล้ว แค่ย้อมผมสีทองกับใส่คอนแท็กเลนส์สีฟ้า ก็พร้อมแหกตาชาวโลกทุกคนเหมือนที่มันหลอกผมเมื่อเช้าได้เลย

              หล่อครับ เนียนครับ

              แต่...

              “มึงมีหมายจับอยู่ไม่ใช่เหรอ แทนที่จะทำตัวไม่ให้เป็นเป้าสายตา ดันปลอมซะเด่นกว่าเดิม ออกไปข้างนอกกูว่าคนคงมองกันทั้งถนน”

             ผมบอกเพราะหมั่นไส้ ไม่ใช่เป็นห่วง แต่มันกลับยักไหล่ไม่แคร์

              “แล้วมีตรงไหนเหมือนโจรอู๋คนเก่ามั้ยล่ะ”

              “ก็...ไม่”

             “ใช่มะ” บังอาจขยิบตาให้อีก “จริงๆ เอ็งควรดีใจนะ ที่มีผัวหล่อไว้อวดชาวบ้าน”

             “ผี!!!”   

             แต่แค่ปลอมเปลือกนอกยังไม่พอ มันให้อเล็กซ์สร้างประวัติปลอมๆ อย่างแนบเนียนแลกกับค่าจ้างหลักแสน (แอบได้ยินพวกมันคุยกันน่ะ) เพราะเจ้าสัวย่อมต้องสืบประวัติผู้ร่วมหุ้นอย่างละเอียดถึงรากเหง้าอยู่แล้ว รวมถึงค้นหาข้อมูลของวัตถุโบราณกว่าสิบชิ้นที่มันมีในครอบครอง (จริงๆ คือขโมยมา) อย่างลึกซึ้งทุกแง่มุม เพื่อนำไปโน้มน้าวใจเจ้าสัวยอมให้มันร่วมหุ้นด้วย พูดเลยว่าคราวนี้มันวางแผนรัดกุมสุดๆ ไม่มีช่องโหว่ตรงไหนให้เจ้าสัว หรือกระทั่งตำรวจ จับผิดได้เลย

               ที่น่าตกใจคืออะไรรู้ไหมครับ?

               คือผมรู้สึกชื่นชม แทนที่จะต่อต้านมันเนี่ยสิ

               แย่ชิบ นี่คือสิ่งที่ผมกลัวอันดับหนึ่งเลย กลัวถูกมันล้างสมอง มองชั่วเป็นดี...ไม่ได้การละ ผมต้องหาทางหนีให้เร็วที่สุดตามจุดประสงค์เดิม ก่อนที่จะถลำลึกถอนตัวไม่ขึ้น กลายเป็นคนชั่วทั้งตัวทั้งใจเหมือนมัน

               แต่อะไรๆ ก็ไม่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมีปืนเหน็บเอว

               แล้วก็ไม่ใช่แค่มัน ชายฉกรรจ์ทุกคนในห้องประชุมลับของบริษัทนั้น ต่างก็พกปืนสั้นกันถ้วนหน้า คงมีแต่ผมคนเดียวที่หน้าใสใจซื่อมือสะอาด จะเอาอะไรไปสู้ ฉะนั้นแผนการหนีจึงต้องพับไว้ก่อน...

               ผมและโจรอู๋ไปถึงที่หมายตอนเที่ยง และมันก็ทำให้ผมอึ้งถึงขั้นอ้าปากค้างแทบจะยานไปแตะส้นตีน

                แม่ง-พูด-อิ้ง-โคตร-เทพ

               คำศัพท์เฉพาะทางธุรกิจเอย สำนงสำเนียงเอย ชัดซะจนหลับตาฟังนึกว่าเจ้าของภาษามาเอง พูดคล่องรัวๆ เป็นกระสุนปืนกล ไร้แววเคอะเขินแม้แต่นิด เหมือนเกิดมาในครอบครัวนักธุรกิจที่ฟังพ่อแม่พูดกรอกหูตั้งแต่อยู่ในท้อง และทำสิ่งเดียวกันนี้มาตลอดชีวิต คือแบบ...มึ๊ง!!! มึงใช่คนๆ เดียวกับที่คิดว่ากูเป็นตุ๊กตายางเมื่อวันแรกจริงๆ เหร๊ออออ

              ที่จริงผมสงสัยตั้งแต่ตอนที่มันพูดอังกฤษใส่เมื่อเช้าแล้ว แต่นั่นแค่คำศัพท์ทั่วไปไง ใครก็พูดได้ แต่ศัพท์ที่มันพูดตอนนี้ เรียกได้ว่าถ้าผมเป็นพจนานุกรมก็ระดับอนุบาล ส่วนมันอ่ะระดับอ็อกซ์ฟอร์ด กูแปลไม่ออกสักคำเลยครับ รึว่าโจรอู๋คือร่างปลอมของมันกันแน่? ชักงงแล้วเด้อ!

              ดีนะที่เจ้าสัวมีล่ามไว้แปลให้ เพราะยังมีคนอื่นๆ ในห้องที่คงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษระดับแอดว้านซ์ ผมเลยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย

              อึ้งกับสกิลของไอ้โจรได้ไม่นานก็กลัว เพราะถูกเจ้าสัวซักประวัติชนิดเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจะต้องอาย ตัวผมไม่เท่าไหร่เพราะเป็นแค่เลขาฯ แต่ไอ้โจรเนี่ยสิ โดนสอบจนหน้ามืด ถามกระทั่งว่าบรรพบุรุษคือใคร แล้วนามสกุลเจฟเฟอร์สันนี้มาจากทางไหน ไอ้โจรก็เก็บได้ทุกเม็ด บอกสืบเชื้อสายมาจากทอมัส เจฟเฟอร์สัน หนึ่งในผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ฟังดูบ้าแต่หลักฐานมีนะครับ อเล็กซ์แม่งลงทุนสร้างแผนผังการสืบวงศ์ตระกูลขึ้นมาเลยอ่ะ ทำเป็นเล่นไป พีคสุดอะไรสุด เจ้าสัวเลยให้ผ่าน (เอาจริงแกก็คงถามไปงั้นๆ ใครมันจะมีเวลามานั่งไล่เรียงโคตรเหง้าคนอื่นวะ?)

            ด่านต่อไปโดนถามเรื่องธุรกิจที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ผมไม่รู้ว่าเส้นสายของมันทำงานอะไร แต่ไอ้ธุรกิจที่โจรอู๋นำมาแอบอ้างดันมีอยู่จริง เจ้าของก็คือมิสเตอร์เคลจริงๆ เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่งก่อตั้งไม่นาน ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่า...เส้นสายคนนั้นลงทุนตั้งบริษัทให้ไอ้โจรหรือเปล่า ไม่ก็ให้ไอ้โจรเป็นหุ่นเชิด? ถ้าเป็นงั้นจริงผมว่ามันกับเส้นสายคงสนิทกันในระดับสูงสุดของกราฟความสัมพันธ์ของมนุษย์เลยล่ะ

          อยากรู้นักว่าเป็นใคร จะถามก็ไม่กล้า ต้องรอออกไปข้างนอกก่อน

          ด่านสุดท้ายคืองานขายของเถื่อน ไอ้โจรโชว์รูปถ่ายงานศิลปะที่มันขโมยมาจากบ้านคนโน้นคนนี้ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา (แต่ตอแหลว่าซื้อจากตลาดมืด) ให้เจ้าสัวดู เจ็ดชิ้นเป็นภาพวาดจากปลายพู่กันศิลปินแห่งชาตินามอุโฆษผู้ล่วงลับ อีกสามชิ้นเป็นรูปปั้นสมัยทวาราวดี มูลค่ารวมกันแล้วกว่ายี่สิบล้านบาท ทีแรกผมสงสัยว่าตั้งยี่สิบล้านไม่พอหรือไง ทำไมมันต้องมาขายต่อให้เจ้าสัว ก็รู้ว่าเจ้าสัวมีพันธมิตรชาวต่างชาติที่จะรับซื้อต่ออีกทอดในราคาสูงเกือบเท่าตัว หรือบางรายที่อยากได้มากๆ ก็ยอมจ่ายในราคาหลายเท่า... อืม นี่เองคือเหตุผลที่มันต้องลงทุนขนาดนี้ ยอมใจทั้งโจรทั้งคนซื้อเลยครับ จัญไรไร้คำบรรยายจริงๆ

           เจ้าสัวถามซอกแซกเกี่ยวกับงานแต่ละชิ้น โดยเฉพาะที่มาที่ไป เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นของจริง หลายครั้งโจรอู๋จำข้อมูลไม่ได้ ผมก็จะคอยตอบแทน เจ้าสัวก็ดูพอใจและไม่สงสัยอะไร สุดท้ายซาตานก็นำทางโจรอู๋ให้บรรลุเป้าหมาย มันได้เซ็นสัญญาลงนามเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าสัวในที่สุด

           เราเดินกลับไปที่รถด้วยมาดนิ่งขรึม กระทั่งเข้ามานั่งข้างในเรียบร้อยแล้วก็ถอนหายใจกันจนลมแทบหมดปอด โจรอู๋ยิ้มกว้างหน้าบานลั้นลาที่งานสำเร็จ ส่วนผมสูดยาดมแรงๆ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่ตาย

           นึกขึ้นได้ว่ามีคำถามจะถาม แต่มือถือของไอ้โจรดันมีสายเข้า มันมองเบอร์แล้วกดรับ และนั่นก็ทำให้ผมอึ้งจนยาดมร่วง

           แม่ง-พูด-จีน-ได้-น้ำไหลไฟดับ!!!

            ไอ้สลัด! มันพูดได้สามภาษา นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วมั้ย ต่อมเผือกกูคันอยากรู้จะตายแล้วเนี่ยว่าตกลงมึงเป็นใคร พื้นเพเป็นไงกันแน่

แต่ผมก็ไม่มีโอกาสถาม เพราะมันคุยไปหัวเราะไปจนฟันบานเหงือกแห้งตลอดการเดินทาง นับแล้วก็เกือบสิบนาที

             ถึงจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็อ่านจากสีหน้าได้ว่าเจ้าตัวมีความสุขมาก...มากเกินไปจนขัดหูขัดตา ไม่อยากรู้อยากเห็น เลยนั่งหันหลังให้แม่ง เป็นความหงุดหงิดที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


            มันน่าไหมวะ กูร่วมเป็นร่วมตายกับมึงแท้ๆ ไม่คิดจะพูดกันซักคำ มัวแต่คุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้อยู่นั่น ไม่เห็นหัวกูบ้างไง
 

               “เป็นไร หน้าบึ้งจัง” มันเพิ่งจะวางสาย

               “จำได้ด้วยเหรอว่ามีกูอยู่ในรถ” น้ำเสียงผมก็พาลเหวี่ยงไปกับหน้าแบบไม่ทันรู้ตัว

               “พูดงี้งอนเค้าหรอ ไม่มีไรหรอกน่า แค่เพื่อนเอง”

               “ไม่ได้งอนโว้ย!” ผมเขยิบห่างจนตัวติดประตู “จะคุยกับใครก็ช่างหัวมึง บอกทำไม”

               “ก็กลัวตัวเองเข้าใจผิดอ่ะ” มันยื่นมือมาบีบแก้มผม

               “หยุดพูดหวานๆ ซักทีได้มั้ย!”

               ผมปัดมือมันออกด้วยความรำคาญ (เปล่า...จริงๆ เขิน) ไม่ชินกับมันในร่างคนขี้อ้อนขี้อ่อยแบบนี้เลยจริงๆ ให้ตายเหอะ

                “รู้ว่าสงสัย จะไม่ถามกันหน่อยเหรอ” มันพูดยั่ว

             หงุดหงิดนะ แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เลยยอมเสียฟอร์มก็ได้

                “อือ ถึงตอนนี้แล้วมึงน่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้กูฟังบ้าง เป็นใครมาจากไหน ก่อนหน้านี้ทำมาหากินอะไร ทำไมถึงมาเป็นโจร แล้วเส้นสายที่ช่วยเหลือเป็นใคร”

               “ฟังไม่ทัน” 

               “งั้นบอกประวัติส่วนตัวมาก่อน”

               “ชื่ออติศร แซ่อู๋ อายุยี่สิบสอง”

               “ไม่นับที่กูรู้อยู่แล้ว”

               “วันเกิดสิบห้ามกรา อย่าลืมซื้อของขวัญให้เค้านะ”

               “ส้นตีนกูนี่”

               “ใจร้าย”

               “เอาดีๆ อย่าให้กูโมโห กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนธรรมดา มึงเป็นคนมีการศึกษา อาจจะสูงกว่ากูด้วยซ้ำ ครอบครัวก็น่าจะมีฐานะ ถึงได้ซัพพอร์ตมึงให้เรียนรู้ได้เต็มที่ตั้งสามภาษา หน้าตาผิวพรรณมึงก็ไม่เหมือนคนจน คงไม่ได้เกิดในวรรณะโจรหรอก ใช่มั้ย?”

               “...” มันอ้าปากหวอ มองไปข้างหน้า กะพริบตาปริบๆ

               “ไอ้-อู๋” ผมเรียกเสียงเข้ม

               มันทำหน้ายุกยิก “เรื่องมันยาว”

               “ไม่เป็นไร มีเวลาเหลือเฟือ”

               “เรายังไม่สนิทกันมากพอที่จะเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังให้ฟังได้”

               “อ๋อเหรอ เออ แล้วแต่มึงเหอะงั้น”

                ผมเบนหน้าออกนอกหน้าต่างอย่างโคตรเซ็ง แม่งพูดมาได้ไงว่ายังไม่สนิทกัน แล้วเมื่อเช้าที่มึงเอากูสี่รอบติดคืออะไร! ทำความรู้จักเบื้องต้นงั้นเหรอ เหอะ!

               โจรมองผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘ยอมก็ได้’ ก่อนจะเปิดปากเล่าอย่างไม่มั่นใจนัก

               “เออๆๆ เล่าก็เล่า เลิกทำหน้าบึ้งได้ละ ไม่ชอบเลย ยิ้มหน่อยเร็ว ยิ้มแล้วน่ารักกว่าตั้งเยอะ”

               “น่ารักพ่อง!”

               “อ้าว อุตส่าห์ชมยังจะมาด่า บ้ารึเปล่า”

               “จะชมก็ชมกูว่าหล่อ เท่ อะไรก็ว่าไปสิ ไม่ใช่น่ารัก!”

               “ก็เอ็งน่ารักจริงๆ”

               มันพูดหน้าตาย แต่ผมนี่อายจนหน้าเป็นสีเลือดแล้วครับ!

               ไอ้เวรนี่มันไม่รู้รึไงว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนชมกันว่าน่ารัก ถึงผมจะหน้าตาดีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ใช่ว่าจะดีใจที่มีคนชมแบบนี้นะเว่ย

               “พูดมากอยู่ได้ จะเล่าก็เล่า” ผมตัดบท กลัวหลุดฟอร์ม

               “ประวัติส่วนตัวขออนุญาตข้ามละกัน วันหนึ่งวันใดหากข้าเลิกเป็นโจรค่อยเล่าให้ฟัง”

               “เพื่อ?”

               “เอ็งจะได้ไม่ปากโป้งไปบอกตำรวจไง” มันยักคิ้วกวนตีน ก่อนจะเล่าข้ามไปพาร์ทอื่นเฉยๆ “เรื่องเส้นสายพอจะบอกได้นิดหน่อย คือคนที่คุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อกี้แหละ เป็นเพื่อนกัน มันเป็นคนซื้อคอนโด ข้าวของ รวมทั้งรถคันนี้ให้”

               “แสดงว่ารวยมากดิ” ผมฟังแล้วตาโต

              “ใช่ เป็นคนรวยที่ใจดีมาก”


            แล้วไป เป็นเพื่อน ไม่ใช่เสี่ยเลี้ยงอย่างที่คิดตอนแรก


               “แล้วโจรอย่างมึงเป็นเพื่อนกับคนรวยได้ไง” ผมถามจี้

               มันเงียบไปแป๊บหนึ่ง เหมือนคิดหาคำตอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดออกมา “รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนที่มันจะรวยซะอีก”

ผมถามต่อ “เขาก็เป็นโจรเหมือนกันเหรอ”

               “เปล่า เป็นคนธรรมดา” 

               “แล้วงี้ไม่โดนหางเลขไปด้วยรึไง”

              “ไม่หรอก มันน่ะเก่งระดับเทพ ไม่ใช่แค่ปกปิดความผิด แก้ไขความพลาดให้พวกเราเท่านั้น ยังปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอย่างมิดชิดด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ตำรวจไม่มีทางจับได้”

               “โอ้โห พวกมึงแม่งชั่วว่ะ”

               “เสียใจด้วยนะ แต่เอ็งก็กลายเป็นคนชั่วแล้วเหมือนกัน”

               “มึงยัดเยียดให้กูเป็นหรอก” ผมถอนหายใจแรงๆ “ถามจริงเถอะ มึงต้องการเงินเท่าไหร่กันแน่ ทั้งขโมย ปล้น ต้มตุ๋นไม่หยุดหย่อนซักที”

               โจรอู๋มีสีหน้าลำบากใจ สายตามองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า แววตาแสดงความเศร้าหมอง ท่าทางเหมือนไม่อยากจะบอก

               “ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” มันเอื้อมมือไปเปิดเพลงกะจะตัดบทสนทนา แต่ผมก็กดปิดทันที

               “สำคัญหรือไม่ก็ต้องบอก ในเมื่อมึงลากกูเข้ามาเป็นโจรด้วยแล้ว เพราะงั้นกูก็มีสิทธิ์รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร”

                ผมคาดคั้นไม่ลดละ จ้องใบหน้าด้านข้างอันคมสันของมันเขม็ง

               “เอ็งเป็นคนนอก ไม่ต้องรู้หรอก” มันว่า

               นั่นทำให้ผมโมโหจนหัวร้อนเกือบระเบิด

            “คำก็คนนอก คำก็ไม่สนิท แล้วที่มึงสักติดหน้าอกกูหรานี่คืออะไร! สักเล่นๆ งี้หรอ? พูดอยู่นั่นว่ากูเป็นเมีย แต่แม่งไม่ยอมให้กูรู้เหี้ยอะไรเกี่ยวกับมึงซักอย่าง แบบนี้ก็ไม่ต่างกับเมียชั่วคราวที่เช่าเป็นชั่วโมงหรอกว่ะ!”

               “......”

               “มึงทั้งยัดทั้งเยียดตัวเองเข้ามาในชีวิตกูแท้ๆ แต่พอกูขอแง้มดูตัวมึงบ้างนิดเดียวทำเป็นหวง สันดานโคตรแย่ เห็นแก่ตัว!”

               “......”

               โจรอู๋เงียบ ผมก็เงียบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ครางหึ่ง และคราวนี้ผมเองที่กดเล่นเพลงเพื่อทำลายความเงียบ ผมไม่อยากพูดกับมันอีก พูดไปก็สองไพเบี้ย พูดไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง เปลืองพลังงานเปล่าๆ ให้ตายยังไงควายกับคนก็พูดกันไม่รู้เรื่อง

               เพลง Rain ของ The Script ไม่ได้ช่วยให้ความร้อนในหัวผมลดลง แถมเนื้อหาแบบคนอกหักยิ่งทำให้บรรยากาศแย่ลงไปอีกต่างหาก เหลือบมองทางหางตาเห็นโจรอู๋ทำหน้าเครียด คิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากเม้มเหยียดเป็นเส้นตรง มือกำพวงมาลัยแน่นจนปลายนิ้วกลายเป็นสีขาว ผมก็คิดว่าไม่ควรตกใจ หากสิบนาทีจากนี้มันจะขับไปที่เปลี่ยวๆ แล้วเอาปืนที่เหน็บเอวออกมาเหนี่ยวเปรี้ยงใส่ผม เพราะผมตระหนักได้ว่าคำด่าเมื่อครู่แรงเอาเรื่อง และค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยมีใครกล้าด่ามันแบบนั้นมาก่อน


               เอาว่ะ ไหนๆ ก็ต้องตายสักวันอยู่ดี ตายวันนี้ให้มันจบๆ ไปเลย


               “ร้อยล้าน”

               “...ฮึ? อะไรนะ”

               โจรอู๋กดปิดเพลง พูดอีกครั้ง

               “ข้าเป็นหนี้ร้อยล้าน”

           
                โอเค กูรอด


               มันยอมบอกทั้งที จะไม่พูดด้วยก็เกินไป “หนี้อะไร ทำไมเยอะขนาดนั้น”

               “เรื่องมันซับซ้อน ไว้ถึงเวลาจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่าเหลือเวลาหาเงินอีกไม่ถึงสามเดือนจะถึงเดดไลน์ เอ็งกับข้าต้องช่วยกัน”

               “นี่คือเหตุผลที่มึงดึงกูเข้าแก๊ง?”

               “ฉลาดดีนี่”

               “แล้วตอนนี้มีเท่าไหร่”

               “ยี่สิบล้าน”

               “โห ยังไม่ถึงครึ่ง ทำไมไม่ยืมเพื่อนมึงล่ะ เขารวยไม่ใช่เหรอ ถึงขนาดซื้อบ้านซื้อรถโคตรหรูให้อย่างนี้ ดีกว่าไปเป็นโจรตั้งเยอะ”

               “ทำอย่างนั้นไม่ได้ เจ้าหนี้ของข้าเป็นคนมีอิทธิพล มันไม่ถูกกับครอบครัวของเพื่อนข้า ขืนรู้ว่าข้ายืมเงินจากเพื่อน ข้ากลัวเขาจะเดือดร้อนไปด้วย แค่ที่เขาช่วยมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็เป็นหนี้บุญคุณมากแล้ว ข้าเลยตั้งใจว่ายังไงก็จะหาเงินเอง”

               “.....”

               นับตั้งแต่กลายร่างจากผู้ก่อการร้ายเป็นนายแบบฝรั่ง มันก็ทำผมประหลาดใจไปแล้วแสนครั้ง ใครจะคิดว่าโจรเหี้ยๆ ที่เคยเอาเมียเป็นของพนันในราคาพันบาท จะเป็นห่วงเป็นใยและสำนึกบุญคุณคนเป็นด้วย

               ไอ้โจรที่นั่งอยู่ข้างกันตอนนี้ไม่เหมือนโจรกากที่ผมรู้จัก แต่เป็นโจรเลเวลสูง สิ่งที่มันเปิดเผยให้ผมรู้วันนี้คงเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของตัวตนจริงๆ เท่านั้น


             ...และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับมันมากขึ้นไปอีก


              “เล่าขนาดนี้หายโกรธได้บ้างยัง?” มันถาม น้ำเสียงและสีหน้าอ่อนลงเหมือนสำนึกผิด

              “หึ” ผมหันหน้าหนี

              “คือไม่? หรือว่าหัวเราะประชด?”

              “ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” ผมเลียนแบบคำพูดมัน นั่นทำให้ไอ้เวรโอดครวญ

              “นี่...จะบอกให้ว่าไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ ขนาดไอ้สามตัวที่อยู่ด้วยกันยังไม่รู้เลย ยอมบอกเอ็งคนแรกเนี่ยแหละเชื่อป่ะ”

              “แล้วบอกทำไม ไม่ได้บังคับ”

              “อืม นั่นสิ บอกทำไม ถามตัวเองเหมือนกัน”

              “เอ๊า”

              “เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ข้าไม่อยากให้เอ็งเข้าใจข้าผิดๆ แล้วก็ไม่ชอบเวลาเอ็งโมโหด้วย เห็นแล้วรู้สึกไม่ดี อยากให้ยิ้มมากกว่า ข้าชอบเอ็งยิ้ม”

              “...”

             “ชีวิตข้าน่ะ หารอยยิ้มจากใครซักคนยากเหลือเกิน”

               “...”

               เดี๋ยว ไอ้หอก มึงกำลังทำกูเขินนะรู้ตัวรึเปล่า พูดบ้าไรวะ คิดจะจีบกูรึไง แล้วไอ้ประโยคที่ว่า ‘เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน’ เนี่ย ใครเค้าจะอยู่กับมึงไม่ทราบ! มโนนนนนนนนน

               “อ้ะ ยิ้มแล้วนี่” มันชี้หน้าผม

               “มั่ว!” ผมหันหน้าขวับไปอีกทาง ยกมือข้างหนึ่งปิดแก้ม ได้ยินมันหัวเราะคิก โถ่กูนี่...เก๊กขรึมไม่เคยรอดทุกทีสิน่า บ้าที่สุด

               แต่ก็ยอมรับแหละว่านี่คงเป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกว่ามันมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ รู้จักสำนึกผิดและแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเอง แม้จะต้องแลกกับการด่าเจ็บๆ แรงๆ ถึงจะสำนึกก็เถอะ ถือว่าควายตัวนี้ยังพอฝึกให้เชื่องได้

               “หายโกรธแล้วใช่มั้ย” มันถามเซ้าซี้

               “ไม่โว้ย”

               “ไม่หายเหรอ ได้”

               พูดจบก็ตบไฟเลี้ยว เตรียมเข้าโรงแรมม่านรูดที่อยู่ข้างหน้า

               “เฮ้ย! ไอ้สัดดดด หยุดดดด”

               “ง้อดีๆ ไม่ชอบ”

               “หายแล้ว กูหายแล้ววว!”

                ผมตบไฟเลี้ยวคืน ได้เสียงหัวเราะในลำคอเยาะเย้ยกลับมา นั่นทำให้รู้ว่ากูเองนี่แหละจ้าที่มโน ถุยยยย!   







//กลับมาพร้อมกับเซอร์ไพร้ส์ อิพี่โจรไม่ได้ไก่กาเด้อ 5555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ ทั้งขาประจำที่เม้นต์ให้กันเสมอ กับคนที่แอบให้กำลังใจเงียบๆ 555

แม้ว่าเป้าหมายของเราคือเขียนให้จบ ลงให้ครบ แต่ถ้าได้ฟีดแบ็คบ้างก็น่าจะดี อิอิ ^.^ รักทุกคนค่ะ จุ๊ฟๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-11-2018 23:31:19
ดีใจค่ะที่ได้ตีพิมพ์  :mc4:  :L2:
อยากรู้พื้นเพของโจรอู๋คงมาจากครอบครัวไม่ธรรมดาใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-11-2018 07:29:16
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-11-2018 07:32:12
อยากรู้การรวมตัวของ 4 โจร
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-11-2018 17:34:22
5555มีผัวเป็นโจรอย่างเต็มตัวสักทีนะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 30-11-2018 18:15:48
ว้าวกับลุคนี้ของอู๋มากเลย แต่ก็ดี
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-11-2018 18:26:06
ว่าอยู่ว่าอู๋ต้องไม่ธรรมดา แต่ก็สงสารเฟลมนะถึงจะหลงผิดไปบ้าง
แต่ตอนนี้ก็กลับใจและพยายามตามหาเทียนสุดความสามารถ แต่เทียนคงจะรักกับอู๋ไปแล้วล่ะตอนนี้
เฟลมคงอกหักแล้วแน่ ๆ ณ. ตอนนี้
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 01-12-2018 15:01:30
ชอบตอนนี้จังค่ะ เราชอบเรื่องนี้เพราะอู๋กับแสงเทียนไม่ใช่คู่อื่น พอบางตอนที่มีคู่อื่นมามันทำให้รู้แบบติดขัดอะ แต่ก็แล้วคนแต่งอีกนั้นแหละ แต่จะบอกว่าชอบนะคะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 05-12-2018 08:00:20
มีงอนมีง้อกันแล้ว แต่โจรตอนนี้หล่อมากเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-12-2018 22:28:41
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.12 ผัวโจร NEW VERSION (29/11/18)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 06-12-2018 20:57:52
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.13 รักๆ เหล้าๆ (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 12-12-2018 02:03:25


13
รักๆ เหล้าๆ



อีกด้านหนึ่ง ฝั่งลูกน้องโจร

เบย์ยังไม่ชินกับลุคใหม่ของตน เขาเพิ่งตัดผมสั้น โกนหนวดเครา เปลี่ยนสไตล์แต่งตัวจากโจรป่าเป็นโอปป้าเกาหลี แต่เขาไม่ชอบเพราะมันทำให้ผู้ชายเถื่อนๆ แมนๆ กลายเป็นเด็กหนุ่มใสๆ ไปซะงั้น ซึ่งขัดกับบุคลิกที่แท้จริงสิ้นดี

เวลานี้แก๊งโจรแยกกันอยู่คนละทิศละทาง เปลี่ยนชื่อที่อยู่เปลี่ยนลุคเปลี่ยนอาชีพใหม่หมด เบย์ทำงานเป็นพนักงานร้านเหล้า เช่าอพาร์ตเม้นต์แถวห้วยขวาง พี่อู๋อยู่กับแสงเทียนที่คอนโดหรูย่านสุขุมวิท  อเล็กซ์เป็นพนักงานร้านขายหนังสือมือสองต่างประเทศและอาศัยอยู่ที่นั่น ส่วนเคฟยังคงอาชีพเดิม แค่เปลี่ยนไปเช่าห้องพัก ก่อนสลายตัวแก๊งโจรได้แบ่งทรัพย์สินกองกลางกันแล้วเรียบร้อย ถ้ามีเหตุต้องรวมตัวเมื่อไหร่โจรอู๋จะเรียกเอง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

เบย์ไม่สบายใจเวลาเดินถนนแล้วมีคนมองตามหลัง อดระแวงไม่ได้ว่าบางทีอาจมีคนรู้ว่าเขาเป็นโจร แม้ว่าที่จริงแล้วคนจะมองเพราะเขาหน้าตาดีก็ตาม...นี่แหละนะที่เขาเรียกว่าวัวสันหลังหวะ

ความฝันที่จะเก็บเงินสักล้านสองล้านบาทซื้อบ้านใหม่ให้พ่อแม่ยังห่างไกลเพราะยังเก็บได้ไม่ถึงครึ่ง แต่เบย์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจมากนัก เพราะผับที่เขากำลังจะเริ่มงานได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมตัวคนรวย เสี่ยๆ ป๋าๆ มาเที่ยวกันประจำ ฉะนั้นโอกาส ‘ตกบ่อทอง’ มีสูงมาก (แม้ว่าเอาจริงๆ โอกาสโดนขุดทองจะมีมากกว่า...) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสี่ยงโดนจับเหมือนตอนเป็นโจร
 
ระหว่างที่เดินไปตามฟุตบาทก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจากข้างหลังแล้วจอดหยุดลงที่ข้างๆ ตัว เบย์หันไปมองคนขับด้วยอาการตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน พบว่าคนๆ นั้นเป็นชายร่างสูง หุ่นดี ขับมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์อย่างเท่ พลันก็เกิดความรู้สึกคล้ายเดจาวู...พร้อมๆ กับลางสังหรณ์เลวร้าย เมื่อชายคนนั้นเปิดบังหน้าหมวกกันน็อคและเอ่ยขึ้น

“เอ็กซ์คิวส์มี”


เชี่ย... ไอ้ฝรั่งเก๊!!! มาได้ไงวะเนี่ย!!!


จะว่าไป ครั้งแรกเบย์ก็เจอมันในละแวกใกล้เคียง เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่แถวนี้... โลกกลมพระเจ้าถ่มน้ำลายใส่แท้ๆ
   
เบย์รีบเดินหนีโดยไร้คำพูด แต่ชายหนุ่มต่างแดนก็บิดแฮนด์ตามหลังไปติดๆ นั่นทำให้เบย์ต้องวิ่งหนี
   
“เฮ้! โด้นท์รันอะเวย์!”

อีกฝ่ายตะโกน ณ จุดนี้เบย์แน่ใจว่ามันต้องเป็นสายตำรวจหรือไม่ก็เป็นตำรวจเองแหงๆ เพราะไม่มีทางที่อยู่ดีๆ จะบังเอิญเจอกันตั้งสองครั้งได้หรอก นอกจากเป็นโคตรของพรหมลิขิต แล้วก็ถ้ามันต้องการแค่ถามเส้นทาง ก็ไม่มีเหตุผลต้องเจาะจงว่าเป็นเขา ถึงขนาดต้องไล่ตามแบบนี้
   
“เฮย์! สต็อป! ไออยากให้ยูว์ช้วย!”

   
ช่วยห่าไรล่ะ ช่วยให้มึงได้เลื่อนขั้นเพราะจับอาชญากรได้งั้นเรอะ!


เมื่อเห็นว่าเบย์ไม่ยอมหยุด หนุ่มช็อปเปอร์เลยขับปาดหน้าขวางทางไว้ซะเลย ทำเอาเบย์หน้าซีด เหงื่อผุดตามไรผมและฝ่ามือ สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้าไม่ใช่ผู้ชายที่สูงกว่าตัวเองเกือบศอก แต่เป็นคอกเหล็กพร้อมข้าวน้ำสามมื้อกับผู้คุมถือกระบองอันเขื่อง เขาเห็นแม้กระทั่งชะตาชีวิตของตนหลังจากนี้ที่คงไม่ต่างจากพระเอกเรื่อง เดอะชอว์แชงค์ รีเดมชั่น ที่แสงเทียนเคยแนะนำให้ดู...


ลาก่อนพี่อู๋ ไอ้เล็ก ไอ้เคฟ ไว้เจอกันที่คลองเปรม


“ยูว์วิ่งหนีทำม้าย” ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ไอแค่จะชวนไปนั่งดริ้งค์”

“หา?” เบย์งงเป็นไก่ตาแตก แต่ไม่ทันจะถามต่อ ก็ถูกลากขึ้นไปซ้อนท้ายแล้วบิดรถออกไปทันที มันปุบปับกะทันหันมากจนทรงตัวไม่ทันเกือบตกจากรถ เขาคว้าเอวหนาของคนขับไว้พร้อมกับด่าไฟแลบ

“ฟัคคคคค ยูววววว์!!!!”

“รู้จักร้านเหล้าดีๆ หมาย?”

“จอดเลย! ปล่อยกู ไอ้เหี้ยยย!”

“โอ้ว It’s here? ทำม้ายไม่บอกตั้งแต่แรก”

เมื่อด่าคำนั้น รถก็แล่นมาถึงร้านอันเป็นที่ทำงานของเบย์พอดี นับเป็นความบังเอิญสองครั้งซ้อน

หนุ่มร่างสูงเหยียบเบรกกะทันหันจนหัวคนซ้อนกระแทกกับหมวกกันน็อคดังปั้ก โชคดีเหลือเกินที่ไม่เอาดั้งรับ ไม่งั้นคงจมูกหักอย่างไม่ต้องสงสัย เบย์ลงจากรถด้วยขาสั่นแทบยืนไม่อยู่ ขณะที่ปากก็พ่นคำด่าหยาบคายหมดจนคลังแสง

“อะไรของมึงวะ! เป็นบ้าเหรอ! ลากคนอื่นมาไม่ถงไม่ถามความสมัครใจกันซักคำ! สันดานต่ำชิบหาย! สมองหมาปัญญาควาย! พ่อแม่ไม่สั่งสอน! โคตรเหี้ย! ขับรถก็เหี้ย! จะรีบไปตายที่ไหน! ถ้ากูเป็นไรขึ้นมามึงจะรับผิดชอบได้มั้ย! ไอ้สัดเอ๊ย!!!!”

คนขับดับเครื่อง ถอดหมวกกันน็อก ทำหน้าไขสือ

“ยูว์พูดอะร้าย ช้าๆ หน่อยได้หม้าย ไอม่ายเข้าจาย”

“เวรรรรรร!” เบย์หัวร้อนถึงขีดสุด ชนิดที่ว่าถ้าเอาเนื้อมาวางบนหน้าผากก็คงไหม้ไปแล้ว

“โอ้ ไอซี...ยูว์โมโหที่ไอพามาช่ายมั้ย? ไอแอมซอรี่นะ ไอแค่อยากได้เพื้อนนั่งดริ้งค์”

“แล้วทำไมต้องเป็นกู!”

“ก็ยูว์เป็นวัยรุ่นเหมือนไอ น่าจะไปด้วยกานได้”

“เลยฉุดกูมาว่างั้น! ถามจริงเอาสมองหรือส้นตีนคิด!”

“อะร้ายคือโซนทีนคิด? ที่นี่มี zone for teen and kid ด้วยเร้อ? ว้าว! ไทยแลนด์อิสเวรี่โอเพิ่น ที่แอลเลบ้านไอเข้าม้ายด้ายนะ”

“โอ๊ยยยยย กูจะประสาทแดก!”

เบย์แทบจะทึ้งหัวตัวเอง ไม่รู้ว่ามันโง่จริงหรือแค่อยากกวนตีนเขาเฉยๆ แต่ช่างหัวมันทำไม รีบหนีก่อนดีกว่า


แต่จะหนีไปไหนได้ฟระ ร้านกูอยู่นี่


“มาเท้อ เดี่ยวไอเลี้ยงเอง”

หนุ่มอเมริกันกวักมือเรียกแล้วเดินนำไปก่อน เบย์ถอนหายใจให้กับความเฮงซวย คิดว่าควรทำยังไงดี ถ้าหนีจะยิ่งน่าสงสัยไหม? หนีแล้วจะไปทำที่ไหน ในเมื่อผับนี้รายได้ดีที่สุดในย่าน? หรือต่อให้ไปทำไกลๆ แต่ถ้าไอ้ฝรั่งเก๊นี่ตามไปอีกก็ศูนย์เปล่า...


เอาว่ะ ลุยแม่งเลยละกัน กูจะมอมเหล้าก่อนที่มึงจะเอากุญแจมือสวมให้กูอีก คอยดูเหอะ

 
คิดได้อย่างนั้นก็เดินตามหลังฝรั่งปลอมโดยทิ้งระยะห่างหลายก้าว เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่ามาด้วยกัน เดี๋ยวจะยุ่งไปใหญ่

ทว่าฟ้ามักไม่เข้าข้างคนเลว จึงส่งผู้จัดการร้านมาทักทาย

“อ้าวบี มากับใครเหรอนั่น”

“หวะ...หวัดดีครับพี่” เบย์ยกมือไหว้ เกือบลืมชื่อปลอมอันใหม่หมาดๆ “ใครก็ไม่รู้ครับ บ่นว่าอยากกินเหล้า ผมเลยบอกให้มาร้านนี้ แล้วก็ขอติดรถมากับเขาด้วย”

“เป็นกลยุทธิ์เรียกลูกค้าที่เหนือชั้นมาก” เจ้านายหัวเราะร่วน “ไงก็ขอให้สนุกกับการทำงานวันแรกนะ มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้”

“คะ...ครับ” หนุ่มหน้าใสยิ้ม ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป

“ยูว์ชื่อบี?” คนข้างหน้าหันมาถาม


ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากทำความรู้จัก ก็เกิดเหตุบังเอิญพลิกผันเป็นด้านตรงข้ามหมด ตลกร้ายสัดๆ เทวดาหมั่นไส้กูมากไหมครับ ขยันหางานให้กันจังนะแหม

 
“ม่ายตอบแปลว่าม่ายใช่ รึว่ายูว์ชื่อบี้? ภาษาไทยฟังคล้ายๆ กัน ไอแยกม่ายค่อยออก” เมื่ออีกฝ่ายถามซักไซ้ไม่ลดละ เจ้าของชื่อก็ตอบตัดรำคาญพร้อมกับชักสีหน้าและพ่นลมออกจมูก

“เออ! ชื่อบี”

“บี...มาจากอาร้าย บีบอย บียอนด์ รึว่าบีลีฟ?”

“บียอนเซ่มั้ง!!! พูดมากน่ามคานชิบ!”   

“อู้ววว ไอไลค์บียอนเซ่”

เบย์ถอนหายใจพรืดอย่างสุดเพลีย แม้จะยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่าว่าชายแปลกหน้าคนนี้เป็นใคร แต่ที่ฟันธงได้ล้านเปอร์เซ็นต์คือมันเป็นคนปัญญาอ่อน พูดมาก กวนตีน และขี้เสือก

“คัมมอนเบบี้ นั่งด้วยกาน”

ไม่จำเป็นต้องถามความนยินยอมพร้อมใจ หนุ่มอเมริกันก็ข้ามขั้นด้วยการจับแขนเบย์เข้าไปด้านในร้าน คนถูกลากสะบัดแขนอย่างแรง แต่ก็นั่นแหละ สู้ไปก็เท่านั้น ในเมื่อกระดูกมันคนละเบอร์

“ปล่อยนะเว้ย! ก็พามาร้านเหล้าแล้วไง จะเอาอะไรอีก”

“ไออยากให้ยูว์นั่งด้วย”

เสียงทุ้มแสดงการบีบบังคับมากกว่าอ้อนวอน ทำให้เบย์ยิ่งฉุน เขาเดาว่าไอ้เวรนี่ต้องเป็นหัวหน้าระดับสูงที่ชอบใช้อำนาจข่มขู่ลูกน้องใต้บัญชาเป็นอาจิณแหงๆ เลยลืมตัวเอานิสัยเหี้ยๆ มาใช้กับคนนอกองค์กร แบบนี้ น่าเห็นใจลูกน้องของมันจริงๆ

“ไม่นั่ง!”

“ทำไมใจร้าย ไออุตส่าห์ให้ติดรถมาด้วย”

“ได้ข่าวมึงฉุดกูมาไม่ใช่!”

ภาพคนตัวเล็กเถียงอีกคนที่สูงกว่าคอเป็นเอ็น อาจทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกขำ เพราะมันเหมือนหมาชิวาว่าเห่าใส่หมาลาบาดอร์ไม่มีผิด

รู้ตัวอีกทีก็ตอนถูกเพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาสะกิดพร้อมกับชี้นาฬิกาข้อมือ เบย์สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าอีกห้านาทีจะถึงเวลาเข้างาน เขาวิ่งแจ้นเข้าห้องสตาฟฟ์หลังร้าน โดยลืมไปว่าการกระทำนี้เท่ากับเปิดเผยให้ชายแปลกหน้ารู้ว่าเขาทำงานที่นี่...

และเบย์ก็พบว่าตนคิดถูก เมื่อกลับออกมาในชุดยูนิฟอร์มแล้วเจอไอ้ขี้ตื๊อคนนั้นนั่งเท้าคางยิ้มแป้นรอที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

“ว้าว เซอร์ไพร้ส์จัง บาร์เทนเดอร์”

“หุบปาก” หัวของเบย์ร้อนไปหมด ทั้งโกรธทั้งอาย

“เฮ้ๆๆ พูดดีๆ สิ ไอเป็นลูกค้านะ”


กูคงจะถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกเพราะลูกค้าอย่างมึงนี่แหละ


โชคร้ายที่ร้านกำลังเปิด จึงไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากอเมริกันแมนคนเดียว แปลว่าเบย์ต้องทนเหม็นขี้หน้าชายผู้นี้ไปอีกพักใหญ่ กว่านักท่องราตรีทั้งหลายจะทยอยเข้ามา

“เอาไร” บาร์เทนเดอร์ถามห้วนๆ

“ไรก็ด้าย ขอแรงๆ” ลูกค้าตอบ

“โอเค” เข้าทางกูเลยงี้ 

บาร์เทนเดอร์โล่งใจนิดหน่อยที่ลูกค้าไม่พูดจากวนส้นอย่างที่คิด พอสั่งเสร็จก็หยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วจมอยู่กับมันเงียบๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างเป็นกังวล ดวงตาคมมีแววหม่นเศร้าขณะจ้องหน้าจอแอพลิเคชั่นไลน์ที่เป็นข้อความสีเขียวล้วนๆ บ่งบอกว่าพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ หรืออาจจะยังไม่อ่าน

มีปัญหากับแฟนสินะ ก็สมควรแล้ว นิสัยแบบนี้ใครจะทน 

“ยูว์มีแฟนมั้ย” จู่ๆ ลูกค้าก็เงยหน้าถาม เบย์เลิกคิ้วแปลกใจ มาไม้ไหนของมัน

“ถามทำไม” เบย์ย้อน

“ถ้ายูว์มีแฟน ไอก็อยากรู้ว่ายูว์เคยเจอปัญหาแบบไอไหม”

เบย์ชั่งใจว่าควรจะตอบอย่างไร ถ้าตอบว่า ‘มี’ ก็อาจถูกมันชวนคุยยืดยาว (จริงอยู่ที่งานรองของบาร์เทนเดอร์คือการเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้แก่ลูกค้า แต่เขาขอยกเว้นไอ้เวรนี่คนหนึ่งละกัน) แต่ถ้าตอบว่า ‘ไม่’ ก็อาจถูกมันจีบ ใครจะรู้ว่ามันมีแฟนจริงหรือไม่จริง มันอาจวางแผนจัดฉากทั้งหมดนี้เพื่อจีบเขาก็ได้ อย่าว่างั้นว่างี้เลย ก็คนมันหน้าตาดีอ่ะ

“ถ้าม่ายอยากตอบก็ไม่เป็นราย” คงเพราะเห็นเบย์ลำบากใจ อีกฝ่ายเลยไม่เซ้าซี้

“อือ” บาร์เทนเดอร์แอบโล่งอก “เอ้านี่”

“มันคือ?”

“แดกๆ ไปเหอะ ไม่ตายหรอก”

ลูกค้ารับเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงไปละเลียดชิม พลันแววตาเศร้าๆ ก็มีประกายขึ้นหน่อยหนึ่ง

“โร้ดชาติดี” ลูกค้ายิ้ม “ทำมานานแล้วใช่หมาย?”

“เปล่า วันแรก”

“ว้าว...ยูว์อาร์โซอะเมซิ่ง”

“แน่นอน”

“ม่ายคิดจะถ่อมตัวเลยนะ” ลูกค้าหัวเราะน้อยๆ

ความจริงเมื่อก่อนเบย์เคยทำงานในผับตอนเรียนมหา’ลัยเลยมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผู้จัดการรับเขาเข้าทำงานหรอก เพราะพี่แกให้ผ่านตั้งแต่เห็นหน้าแวบแรกแล้ว ด้วยเหตุที่พี่แกให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์มากกว่ารสชาติ

‘พนักงานหล่อเรียกคนเข้าร้านได้มากกว่าเหล้าอร่อยเป็นไหนๆ’

พี่แกว่ายังงี้...

ก็เห็นทีจะจริง เพราะพอลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้าน ก็มีคนมานั่งดริ้งค์เพิ่มจนแน่น สาวๆ ในชุดเซ็กซี่สั่งเครื่องดื่มพร้อมกับแนบไลน์ไม่ก็เบอร์โทรในกระดาษให้เบย์เพียบ ผู้ชายก็ส่งสายตากรุ้มกริ่มกะลิ้มกะเหลี่ย มองเหมือนอยากจะเลียตั้งแต่เส้นผมยันส้นเท้า ส่วนนายฝรั่งเทียมก็ถูกเบียดไปอยู่ริมขอบโน่น

จากตอนแรกที่เบย์คิดว่าเป็นตำรวจแฝงตัวมาจับเขา แต่พอเห็นหนุ่มอเมริกันเอาแต่สั่งๆๆ ดื่มๆๆ แก้วแล้วแก้วเล่าไม่สนใจใครก็ทำให้เปลี่ยนความคิด ดื่มหนักอีหรอบนี้อย่าว่าแต่จะจับผู้ร้ายเลย แค่จะบังคับตัวเองยังลำบาก แต่ก็สบายเขาล่ะนะ ไม่ต้องมอมเหล้ามันให้เหนื่อย

นั่งอยู่นานหลายชั่วโมง ดื่มแล้วก็หลับ แล้วก็ดื่ม แล้วก็หลับ กระทั่งนาฬิกาชี้บอกเวลาตีหนึ่ง นักล่าราตรีทยอยกลับเหลืออยู่บางตา ยกเว้นแต่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มที่ไม่มีใครนั่งอีกนอกจากหนุ่มอเมริกัน ถึงตอนนี้เบย์เลิกคิดเรื่องมันจะมาจับเขาโดยสนิทใจไปแล้วเรียบร้อย

แต่ข่าวร้ายก็คือ ยิ่งมันเมามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอารมณ์ฉุนเฉียวมากเท่านั้น

“ยูว์รู้หมาย...แฟนของไอ...มีชู้! เขา...ไม่ร้าก...ไอแล้ววว”

พูดจบก็กระดกขวดซัดเหล้าลงคอแล้วกระแทกก้นขวดลงกับเคาน์เตอร์เสียงดัง
   
“ไออุตส่าห์...บินจากแอลเลมาหาเค้า...ยอมเบรกเดอะรูลออฟมายแดดดี้ทูซีฮิม! แต่ทำม้ายถึงทำร้ายหัวใจไอด้ายยยย!”

พูดพร่ำรำพันเสร็จก็กระแทกขวดเหล้ากับเคาน์เตอร์เสียงดังกว่าเดิมจนลูกค้าหลายคนที่อยู่ใกล้เริ่มหันมามองเชิงตำหนิ หลายคนส่งสายตาแรงๆ มาใ
ห้เบย์ประมาณว่าควรทำอะไรสักอย่างกับไอ้ตัวการขัดขวางความบันเทิงรายนี้ก่อนที่จะเสียบรรยากาศของส่วนรวม
   
“ทำม้าย...ไอไม่ดีตรงหนาย...ริช! บิ๊ก! ทอลล์! แอนด์...แฮนด์เซิ่ม! เพอร์เฟคต์ทุกย้าง...ทำไมยูว์ถึงไม่ร้ากไอ... อึกๆๆ”
   
ชายหนุ่มกรอกเหล้าลงคอจนเกลี้ยงแล้วขว้างขวดลงพื้นจนแตกเศษแก้วกระจาย เบย์เห็นท่าไม่ดีเลยเข้าไปเก็บกวาดก่อนที่ลูกค้าคนอื่นจะเหยียบ อีกทั้งยังยึดขวดเหล้าที่เหลือไปจากหนุ่มเจ้าปัญหาด้วยเพราะกลัวว่าเขาจะคลุ้มคลั่งมากกว่านี้
   
“เก็ทมีแบ็ค...” ลูกค้าจ้องหน้าอย่างไม่พอใจ
   
“เมาแล้ว พอเถอะ” เบย์จ้องหน้าขรึม
   
ผู้พันหนุ่มฉุนกึก ลุกจากเก้าอี้ เอามือตบเคาน์เตอร์ดังปึง มองเบย์อย่างดุดัน แต่เบย์ไม่รู้สึกกลัว เพราะพี่อู๋ตอนเมาน่ากลัวกว่านี้อีก
   
“ไอ’ม โซ เฮิร์ต! ไอ’ล ดริ้งค์!” ชายหนุ่มพูด
   
“มีตั้งหลายวิธีรักษาการอกหัก ไม่ใช่แค่ดื่มอย่างเดียว” เบย์บอก เป็นจังหวะเดียวกับผู้จัดการเดินผ่านมาพอดี เห็นลูกจ้างกับลูกค้าที่มาพร้อมกันกำลังจ้องหน้ากันด้วยท่าทางไม่ดีเลยเข้ามาถาม
   
“เกิดอะไรขึ้นบี”
   
“เขาเมาแล้วโวยวาย แถมขว้างขวดลงพื้นด้วยครับ” เบย์บอก
   
“ไอ’ม น็อต...เมา!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง เสียงเริ่มขาดหาย “รู้ไหมว่าไอเป็นใคร! แด๊ดดี้ไอเป็นใคร!? พวกยูว์อย่ามาทำให้ไอ...โมโห...!”
   
“เออ แล้วเป็นใครล่ะ นี่ก็อยากจะรู้เหมือนกัน” เบย์เชิดหน้าถาม
   
“ไอเป็น...!”

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง วินาทีนั้นคล้ายจะมีสติขึ้นมานิดหนึ่ง

หัวเด็ดตีนขาดเขาก็จะบอกไม่ได้ว่าเป็นพันเรือตรีพีเทอร์ ณอห์น แฮมิลทัน หัวหน้าหน่วยจู่โจมทางอากาศของกองทัพสหรัฐอเมริกา เพราะถ้าทางการรู้ว่าผู้พันมาเที่ยวร้านเหล้าเมาเละอย่างนี้ มีหวังถูกสั่งเด้งไม่ก็ลงโทษทางวินัยสถานหนักแน่ๆ
   
“พี่ว่าพาเขากลับเถอะ ท่าทางไม่ไหวแล้วล่ะ” ผู้จัดการบอก
   
“กลับยังไงล่ะพี่ เขามาช็อปเปอร์ ผมขับไม่เป็น บ้านช่องก็อยู่ไหนไม่รู้”
   
“งั้นก็พาไปนอนชั้นบนก่อน สร่างเมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

ผู้จัดการตบบ่าเบย์แล้วเดินไปทางอื่น เพราะแต่ละมุมของร้านก็มีเรื่องให้ต้องเคลียร์เช่นเดียวกัน เบย์มองลูกค้าเจ้าปัญหาที่ฟุบหน้ากับเคาน์เตอร์แล้วถอนหายใจ ก่อนจะพยุงร่างที่ใหญ่กว่าตัวเองพาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างทุลักทุเล
   

เจอเคสหนักตั้งแต่วันแรกเลยกู คิดถูกไหมวะที่มาทำงานร้านเหล้า?
   

ชั้นสองของร้านเป็นห้องพักจำนวนห้าห้องสำหรับลูกค้าที่เมาจนกลับบ้านไม่ได้ เบย์เปิดประตูห้องที่ใกล้บันไดที่สุดแล้วโยนร่างใหญ่ของชายหนุ่มลงบนเตียงอย่างส่งๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับ
   
แต่...
   
หมับ!
   
ลูกค้าลุกขึ้นมาคว้าแขนเขาไว้ แล้วดึงลงไปนอนบนเตียง!
   
“เฮ้ย!!! ปล่อยนะเว้ย!!” เบย์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ สภาพในตอนนี้คือนอนคว่ำหน้าโดยมีลูกค้าคนนั้นนอนคร่อมอยู่ข้างบน
   
“หึๆ...ฮ่ะๆๆ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะอย่างไม่น่าไว้ใจ ถอดเสื้อตัวเองเขวี้ยงทิ้งบนพื้นอย่างไม่แยแส ตามด้วยถอดเข็มขัดเอามามัดข้อมือพนักงานร้านไว้อย่างหนาแน่น
   
“เฮ้ย!!! ทำเหี้ยไรของมึง!!!”
   
“ดาร์ลิ้ง...ยูว์ทำร้ายไอ...ยูว์นอกใจไอ...ไอจาลงโทษยูว์”

เบย์ใจหายวาบ ดิ้นสะบัดขัดขืนเต็มที่ งงสุดขีดว่าคนเมาเอาปัญญาที่ไหนมัดมือคนอื่นได้ แสดงว่ามันคงทำบ่อยจนชินแล้วแหงๆ เหมือนเขาเวลาเข้าห้องน้ำที่บ้าน แม้จะสะลืมสะลือแถมปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อก็ยังเดินไปถูกเป๊ะๆ

   
เหี้ยมหาเหี้ย เจอมนุษย์ BDSM เข้าแล้วไหมกู!


แรงร่านผสานกับความรุ่นร้อนจากเครื่องดื่มหลายขนาน ทำให้ผู้พันสะบัดผ้าทิ้งไปให้พ้นตัวจนเกลี้ยงเหลือแต่ร่างกำยำเปลือยเปล่า เบย์อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ไม่รู้จะอึ้งหุ่นล่ำๆ ลีนๆ เหมือนประติมากรรมเดวิดของมีเกลันเจโล (ในเวอร์ชั่นแท่งใหญ่ไข่ฟูกว่า) หรือจะผวาที่กำลังจะถูกล่วงเกินก่อนดี เขาไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่าไอ้แท่งขนาดนั้นจะสามารถเข้าไปอยู่ในร่างของมนุษย์อีกคนได้ยังไง

ถอดของตัวเองเสร็จก็จัดการอีกฝ่ายบ้าง ฉีกเสื้อยืดของเบย์จนขาดและดึงกางเกงทั้งนอกทั้งในทิ้งไปพร้อมกัน ก่อนจะทิ้งตัวลงทับร่างบอบบางแล้วเริ่มต้นกระบวนการเล้าโลมสุดร้อนแรง โดยจูบแผ่นหลัง ไหล่ และลำคออย่างบ้าคลั่งจนเบย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บล้วนๆ ไม่มีเสียวผสม สองมือใหญ่หยาบกร้านของนายทหารลูบไล้บั้นท้ายเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ร่างเล็ก ก่อนที่นิ้วมือเรียวยาวจะสอดเข้าไปในประตูหลังเพื่อขยายช่องทาง ทำให้หนุ่มน้อยร้องลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

“โอ๊ยยยยยย”

“ฟัค...ยูว์เป็นรายยย” ถามอย่างมึนงง “โอ้...ไอซี”

เบย์โล่งอกเมื่อนิ้วถูกดึงกลับไป คิดว่ามันอาจเห็นเขาเจ็บเลยเปลี่ยนใจไม่ทำ แต่ก็โล่งได้เพียงสามวินาที เนื่องจากนิ้วถูกสอดเข้ามาใหม่ แถมยังเป็นนิ้วใหญ่กว่าเดิม เขารู้สึกได้ว่ามันเปียกลื่น มันคงทำเหมือนเดนิสทำกับแจ็คในเรื่อง โบรคแบ็ค เมาธ์เท่น ในตอนคับขัน ไม่มีตัวหล่อลื่นแต่หื่นมาก เลยใช้น้ำลายแทน
   
“ดาร์ลิ้ง...ม่ายช้อบเหรอ”
   
“ไอ้...สัส!”
   
“ดาร์ลิ้ง...ทำไมยูว์ไม่ร้ากไอ”
   
ระหว่างที่ทำก็ได้ยินชายหนุ่มฝรั่งพร่ำเพ้อถึงดาร์ลิ้งของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเบย์โมโห... เพราะอีดากลิงนั้นแท้ๆ ทำให้กูถูกไอ้เวรนี่ปล้ำ!
   
ผู้บุกรุกเปิดทางอีกคนจนพร้อมและขัดถูอาวุธของตัวเองจนแข็งขันได้ที่ จากนั้นก็แทงเข้ามาทีเดียวจนสุด ทำเอาคนถูกแทงร้องลั่นสุดเสียงเจียนจะขาดใจตาย ความเจ็บแปลบแล่นปราดไปทั่วทั้งร่างกายยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ในขณะเดียวกันคนข้างบนกลับครางต่ำๆ ในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะขยับร่างเป็นจังหวะเข้าออกช้าๆ
   
“อาห์...ดาร์ลิ้ง...ยูว์โซกู้ด...ยูว์เป็น...ของไอ”
   
“อะ...อ๊ะ...โอ๊ย!”
   
คนตัวเล็กร้องครวญครางด้วยความเจ็บอย่างสาหัส กำผ้าปูที่นอนแน่นจนยับย่น ปวดราดร้าวไปหมดทั้งตัว ยิ่งเวลาผ่านไปคนทำก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น บริเวณนั้นทั้งเจ็บและร้อนเหมือนจะหลอมละลาย

เบย์น้ำตาไหลเพราะเจ็บปวดผสมอับอาย เสียใจที่ความบริสุทธิ์ที่รักษามาตั้งยี่สิบสองปีไว้ใช้กับภรรยาในอนาคตจบลงด้วยฝีมือของคนที่เพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง...แถมยังเป็นผู้ชาย!
   
เรื่องนั้นไม่น่าเจ็บใจเท่าไหร่ แต่ถูกทำในชื่อคนอื่นนี่สิที่แค้น!!!
   
ชายหนุ่มข้างบนโอบกอดร่างของเบย์ไว้แน่น พรมจูบทั่วทั้งแผ่นหลังและซอกคออย่างหนักหน่วง ขณะที่ข้างล่างก็กระแทกกระทั้นแบบดุเดือดดุดันเหมือนรัวกระสุนในสนามรบไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับที่พร่ำคำว่าดาร์ลิ้งไม่ขาดปาก เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งถึงฝั่ง ก็ถอดถอนออกมาถะถั่งบนเรือนร่างบางจนเปรอะเปื้อนไปทั่วเหมือนสัตว์ปล่อยกลิ่นเพื่อสร้างอาณาเขต แล้วนอนคว่ำหน้าหมดแรงหลับไป
   
เบย์งัดมือออกจากเข็มขัดที่ผนึกข้อมือตนได้สำเร็จ ผลักร่างใหญ่ออกจากตัวอย่างรังเกียจ พอลุกจากเตียงก็ร้องลั่นและล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่า เจ็บเหมือนร่างจะฉีกแยกเป็นสองท่อน แต่ก็ฝืนใจกัดฟันลุกขึ้น เขาลากสังขารแสนสั่นสะท้านเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวราดน้ำแรงๆ ใส่ตัวไม่กลัวผิวช้ำ ชะล้างสิ่งน่ารังเกียจออกไปจนสิ้นกลิ่นคาว แต่เขารู้ดีว่ายังมีส่วนที่เอาออกไม่หมดตกค้างอยู่ข้างใน
   
เอาฝักบัวสำหรับชักโครกฉีดพร้อมกับเอานิ้วล้วงเข้าไปก็ร้องลั่น เพราะสิ่งที่ติดมือออกมาไม่ใช่ของชายคนนั้น แต่เป็นเลือดสดๆ ของตัวเอง

เบย์น้ำตาไหลด้วยความเจ็บใจและเจ็บตัว ปิดฝักบัวแล้วใส่เสื้อผ้ากลับสู่สภาพเดิมโดยไว เขาต้องรีบไปโรงพยาบาล

แต่ก่อนอื่น เขาต้องเอาคืนมันให้หายแค้น
   
ออกจากห้องน้ำก็หยิบกางเกงลูกค้าที่ตกพื้นขึ้นมา ล้วงหาของมีค่าในกระเป๋า ยังไงซะเขาจะต้องไม่เสียตัวฟรี อย่างน้อยไอ้เวรนี่ต้องจ่ายค่าตัวให้เขา หนึ่งร้อยดอลลาร์ที่มันให้ครั้งที่แล้วไม่เพียงพอหรอกบอกเลย คราวนี้เขาจะเอามันให้หมดตัว

จริงๆ อยากแจ้งความข้อหาล่วงละเมิดอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเขาเองมีความผิดที่ใหญ่กว่ามัน

ล้วงไปล้วงมาก็ต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อพบว่าในกระเป๋าของคนเมามีเงินแค่สามสิบบาท...แถมเป็นเหรียญล้วนๆ!

เบย์ค้นกระเป๋าเสื้อกับแจ็คเก็ตของมันทุกซอกทุกมุม รวมทั้งก้มหาตามพื้นและใต้เตียงเผื่อว่ามันจะทำเงินตกพื้น แต่ก็ไม่เจอ... สรุปว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่นี้จริงๆ
   
“ไอ้เหี้ย!”

เบย์พลิกร่างใหญ่ให้นอนหงายแล้วซัดหมัดสุดแรงเกิดใส่หน้าหล่อเหลาหนึ่งทีจนเกิดรอยแดงช้ำ แต่เจ้าตัวก็ไม่ตื่น
   
คนเจ็บกำเงินพร้อมกับมองหน้าผู้ร้ายอย่างเคียดแค้น ทว่าก็รู้ดีว่าทำอะไรมันไม่ได้ สุดท้ายเลยกัดฟันเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
   
แม่งขับช็อปเปอร์อย่างเท่ โม้ว่ามาจากแอลเออย่างนั้นอย่างนี้ นึกว่าจะรวย ที่ไหนได้แค่เงินจ่ายค่าเหล้ายังไม่มี!
   
แต่ก็ยังดี...อุตส่าห์เหลือสามสิบบาทให้กูรักษาทุกโรค นรกเอ๊ย!!!





////
ขอโทษที่มาต่อช้านะคะ พรุ่งนี้จะอัพอีกตอนให้เลยจ้า  o1
ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ

เห็นคุณนักอ่านท่านนึงคอมเม้นเรื่องคู่รอง
คือคู่รอง (พล็อตรอง) ทุกคู่ มันเชื่อมโยงกับคู่หลัก-พล็อตหลักหมดเลย ทุกคนทุกคู่มีความเกี่ยวข้องกัน จะตัดทิ้งก็ไม่ได้
แต่จะพยายามไม่ให้เยอะเกินไปละกันนะคะ 555

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.13 รักๆ เหล้าๆ (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-12-2018 03:22:01
สงสารเบย์ :jul3:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.13 รักๆ เหล้าๆ (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-12-2018 11:43:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.13 รักๆ เหล้าๆ (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-12-2018 19:35:44
โอ๊ยครั้ังแรกก็โดนข่มขืนอย่างรุนแรง น่าสงสารมาก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.13 รักๆ เหล้าๆ (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 12-12-2018 22:06:42
แทนที่จะรอถามทางนู้นก่อนว่ามีแฟนจริงไหมค่อยไร้สติ ดูสิพลอยทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วยเลย ถ้าตื่นมาแล่วก็กรุณามารับผิดชอบด้วยนะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย [1/2] == 12/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 12-12-2018 23:21:22

14
ภารกิจสองผัวเมีย



   ดึกดื่นคืนค่ำค่ำ      ชายชุดดำสุดกระหาย
คนหนึ่งยิ้มร้ายร้าย                 อีกคนหน่ายคล้ายง่วงนอน   
             “ข้ารู้เงินอยู่ไหน”      ผัวเตรียมไปอย่างรีบร้อน   
“ไปเลยกูจะนอน”                 เมียคว้าหมอนไม่สนใจ
       “เราคือทีมเดียวกัน      จะทิ้งกันได้ยังไง
ข้าไปเอ็งต้องไป                 ให้มันไวไม่งั้นโดน”      
      เมียเบื่อเหลือจะเอ่ย           ไม่อยากเลยกับการปล้น   
เบื่อสุดอีผัวโจร                 จับเราโยน...คนจัญไร

   
ก่อนหน้านี้ราวยี่สิบนาที สองสามีภรรยามีปากเสียงกันเล็กน้อย เพราะสามีได้ข่าวดีว่าเจอขุมทรัพย์เป็นร้อยล้าน เขาเร่งร้อนอยากไปฮุบโดยไว แต่ภรรยาคัดค้านเพราะนี่มันเที่ยงคืนแล้ว ทั้งเหนื่อยจากการปลอมตัวตบตาเจ้าสัวตลอดวันและง่วงมาก ทว่ามีหรือจะต่อต้านกิเลสของสามีได้ พอไม่ยอมก็ถูกอุ้มแล้วจับทุ่มลงพื้น (ที่มีพรมฟูๆ ปู) อย่างป่าเถื่อน มันขู่ว่าถ้าไม่ไป จะจับโยนลงสระว่ายน้ำ ก็เลยต้องยอมมัน
         
ทั้งสองสวมชุดดำ แว่นดำ ผ้าปิดปากดำ ถุงมือดำ เดินทางด้วยรถสีดำ อำพรางตัวอยู่ในความมืดของค่ำคืนที่เงียบสงัด มาถึงที่หมายภายในเวลาไม่กี่นาที
                 
ฝ่ายสามีเดินนำอยู่ข้างหน้า ฝ่ายภรรยาเดินตามและคอยระวังหลัง เป้าหมายของทั้งคู่คือคฤหาสน์สีขาวบนพื้นที่สิบไร่ของมหาเศรษฐีผู้เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจที่ไม่ว่าเอ่ยชื่อให้ใครฟังก็ต้องรู้จักทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะคุณเขาออกข่าวถี่ยิบ ถ้าไม่ข่าวการเมืองก็ข่าวสังคม บางทีก็ข่าวบันเทิงเรื่องกิ๊กกั๊กกับดาราสาวคนนั้นคนนี้ เรียกว่าเป็นเซเลบริตี้ที่แท้
   
สำหรับคนทั่วไปดูข่าวแล้วก็คงไม่คิดอะไร แต่สำหรับโจรอู๋ผู้มีสายตาหลักแหลมเหมือนเข็มต้นงิ้วและมีความโหยหิวระดับเปรตนรก เขามองได้ลึกกว่านั้น
       
แทนที่จะเห็นแค่ชายแก่ผู้ร่ำรวย โจรอู๋กลับมองเจาะทะลุไปถึงว่าเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ชายแก่ใส่มีมูลค่าเท่าไหร่ ไม่เพียงเท่านั้นยังหาข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกไม่ว่าจะที่อยู่อาศัย, บริษัทที่ถือหุ้นส่วน, ธนาคารที่เป็นสมาชิก, สถานที่ที่ชอบไป, บุคคลใกล้ชิด รวมทั้งลักษณะนิสัยและรสนิยมส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่คนปกติคงไม่อยากรู้ของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เขาใช้เวลาเป็นเดือนๆ ตามติดชีวิตชายแก่ วางแผนอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้วจนมั่นใจว่าจะไม่พลาด แล้วรอโอกาสที่มันไม่อยู่บ้านเข้าปล้น
         
ความทุ่มเทเหล่านี้เปลี่ยนมุมมองที่แสงเทียนมีต่อโจรอู๋แทบจะสามร้อยหกสิบองศา คราวที่แล้วว่าอึ้ง คราวนี้ยิ่งอึ้งกว่า มันทำให้เขาเห็นว่าโจรอู๋ไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยโจร
    
ทว่าถึงจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน ภรรยาก็ยังกังวลกระวนกระวายอยู่ดีเนื่องจากเป็นการโจรกรรมครั้งแรกของตน
   
“แน่ใจเหรอว่าจะปล้นที่นี่” ภรรยากระซิบถามอย่างกังวลเป็นรอบที่ล้านแปดนับตั้งแต่ออกจากบ้าน
   
“เออสิ บอกกี่รอบแล้วว่าข้าวางแผนมาดี รับรองไม่พลาด” สามียักคิ้วอย่างสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยคลายความหวาดหวั่นนัก
   
“มึงไม่คิดว่าเขาจะมียามเฝ้าบ้านรึไง”
   
“ข้าสืบมาแล้วว่ายามลากลับบ้านที่ขอนแก่น”
   
“มึงรู้ขนาดนั้น!”
    
“แหงสิ นี่ใคร” สามียิ้มมุมปากอย่างโคตรภูมิใจ
   
“แล้วกล้องวงจรปิดล่ะ? เกิดเจ้าของบ้านดูผ่านมือถือเห็นเราเข้าจะทำยังไง”
   
“บอกแล้วไงว่ามันแม่งไปเที่ยวป่าอะเมซอนนู่น เอ็งคิดว่าที่นั่นมีสัญญาณโทรศัพท์ไหมล่ะ” โจรสวนกลับ
   
“แต่ยังมีสัญญาณกันขโมยรอบบ้าน ถ้าเพื่อนบ้านได้ยินจะทำไง”
   
“ตาบอดเหรอ เห็นบ้านมันเปิดไฟสักดวงมั้ย”
   
“อ้าว กูก็ถามเพื่อความแน่ใจ ด่ากูทำไมอ่ะ”
   
“ไม่ได้ด่า แต่จะบอกว่าก่อนไปป่า ไอ้แก่มันเอาคัทเอ้าท์ลงแล้วครับเมียครับ ไฟฟ้าใช้ไม่ได้ทั้งบ้าน หัดสังเกตบ้าง”
   
คนถูกสั่งสอนรู้สึกทึ่งในความละเอียดรอบคอบของสามีและละอายในความตีตนไปก่อนไข้ของตัวเอง

“...ถ้าเขาเลี้ยงหมาล่ะ”
   
“ข้าสืบจากประวัติคนไข้ของโรงพยาบาลมาแล้วเรียบร้อย ไอ้แก่นั่นเป็นภูมิแพ้ เลี้ยงสัตว์ไม่ได้”
    
“...เค กูยอมแล้ว ถ้าโจรแม่งจะฉลาดขนาดนี้ เป็นกูๆ ยอมให้มึงปล้นก็ได้อ่ะ ไม่มีอะไรจะสู้มึงได้ละสัด”
   
“ขอบคุณที่ชม” โจรยักคิ้ว “ครั้งนี้ข้าทำการบ้านมากเป็นพิเศษ ไม่อยากพลาดเหมือนครั้งก่อนตอนปล้นบ้านยายแก่”
   
จบการโต้แย้งจนหมดข้อกังขา สามีก็เดินนำไปที่ข้างรั้วสูงชะลูดประหนึ่งกำแพงคุกอัซคาบัน มันสูงมากซะจนภรรยาแหงนมองคอตั้งบ่า แต่ความสูงใดก็สูงไม่เท่ากิเลสระดับตึกเอ็มไพร์สเตทของสามี
   
โจรอู๋หยิบเชือกออกจากกระเป๋าเป้แล้วเหวี่ยงปลายที่ผูกตะขอขึ้นเกี่ยวกับเหล็กบนขอบกำแพงรั้ว ดึงจนมั่นใจว่าแน่นดีแล้วก็ยื่นให้อีกคนปีนขึ้นไปก่อน ภรรยารับเชือกด้วยสีหน้าย่ำแย่ ถอนหายใจ แล้วไต่กำแพงโดยมโนว่าตนเป็นสไปเดอร์แมน พอข้ามไปข้างในได้แล้วก็เหวี่ยงเชือกกลับไปให้สามี ไม่กี่นาทีทั้งสองก็เข้าสู่ด่านถัดไป

ด่านนั้นคือช่องระบายอากาศที่ห้องครัว โจรอู๋ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีสมคำโม้ เขาถ่างตาดูทุกคลิปพวกรายการบุกบ้านคนดัง รวมถึงส่องอินสตาแกรมของชายแก่ที่ชอบโอ้อวดความหรูหราของบ้าน แล้วค้นหา ‘จุดบอด’ ที่จะสามารถใช้เข้ามาในตัวบ้าน จนสะดุดตาเข้ากับช่องระบายอากาศเหนือเตาแกสในห้องครัว เขาประเมินแล้วว่าขนาดของมันใหญ่พอจะลอดเข้าไปได้ ถ้าไม่ได้ก็ทุบออกเล็กน้อยคงไม่มีปัญหา พอมาถึงหน้าด่านเขาก็ย่อตัวคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าภรรยา 
   
“เป็นไร เชือกรองเท้าหลุดเหรอ” ภรรยาถาม
   
“เปล่า ให้ขี่คอ”
   
“ฮะ? อย่าบอกนะว่าจะให้ลอดเข้าไปในรูนั่น”

ภรรยามองหน้าสามีสลับกับช่องเล็กๆ ที่ผนังด้วยสีหน้าลำบากใจ ถึงจะใหญ่กว่าช่องระบายอากาศปกติ แต่ก็เล็กเกินไปสำหรับให้คนลอด
   
“ถูกต้อง เร็วๆ เรามีเวลาไม่มาก” สามีเร่งเร้า
   
ภรรยาจำใจขี่คออย่างเสียไม่ได้ ความสูงราวกับเสาไฟของสามีไม่ห่างกับช่องมาก พอเขาลุกขึ้นยืนภรรยาก็คว้าขอบช่องไว้ได้พอดี
   
“รูแคบนิดเดียวลอดไม่ได้หรอก” ภรรยาบอก
   
“ยากอะไร เอาค้อนทุบสิ” สามีสั่ง
   
“ค้อนไหน”
   
“ในกระเป๋าเอ็งไงโถ่!”
   
“โอ้โหไอ้เหี้ย ที่มึงสั่งให้กูแบกเป้หนักๆ มาตลอดทาง ที่แท้ข้างในคือค้อนเหรอ! ขอเอาทุบหัวมึงก่อนได้มั้ย!”
   
“ไม่เอาๆ ไม่ทะเลาะกัน เวลานี้ต้องสามัคคี นึกถึงเงินเข้าไว้สิ”
   
“ฟวย!”
   
ภรรยาเอาขารัดคอสามีจนไอค่อกแค่กแก้โมโห แล้วจึงรูดซิปเอาค้อนขนาดเล็กจากเป้ออกมาทุบใบพัดจนคดงอและหลุดออกทั้งอัน จากนั้นลอดรูเข้าไปข้างใน พลันก็หวนคิดถึงสมัยเป็นเด็กซนๆ ที่เคยเล่นมุดท่อ...ตอนนั้นทำไมมันสนุกตื่นเต้น ไม่เห็นกลัวเหมือนตอนนี้เลยวะ
   
แม้จะทุลักทุเล แต่ท้ายที่สุดก็ทำสำเร็จ ภรรยาหลุดผ่านด่านเข้าไปในตัวบ้านเป็นที่เรียบร้อย สามีเห็นดังนั้นก็เดินถอยหลังไปตั้งหลัก ก่อนจะวิ่งเข้าหาตัวตึก ไต่ผนัง เกาะขอบช่องลม แล้วปีนลอดรูเข้ามา เกิดความติดขัดช่วงแรกๆ เพราะไหล่เขากว้างเกินไป แต่เมื่อผ่านไปได้ก็ไหลฉลุย
   
ภายในบ้านมืดสนิทเงียบสงัด ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเหนือจากพวกเขาสองคน จากนั้นสามีก็พูด

“เริ่มภารกิจได้”


   ...

เอาล่ะ เปิดตัวยิ่งใหญ่สมกับภารกิจแรกของเมียโจรแล้วก็กลับสู่โหมดปกติซะที
   
เนื่องจากระบบไฟฟ้าถูกปิด เราสองคนจึงต้องใช้ไฟฉายส่องตลอดทาง หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่เหนื่อยจากการปีนรั้วกับลอดรูห้องครัวเท่านั้น แต่เพราะตื่นเต้นและกลัวด้วย

ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างนายแสงเทียนที่ทั้งชีวิตมีแต่ความสว่างไสวสมชื่อจะต้องมาทำอะไรชั่วสุดขั้วอย่างนี้ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ ไอ้อู๋พาผมมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับซะแล้ว
   
“คิดไปคิดมา กูว่าน่าเห็นใจเจ้าของบ้านออกนะ ทำงานมาทั้งชีวิตจนป่านนี้ถึงวัยแซยิดแล้ว อยู่ดีๆ เราจะมาชุบมือเปิบเอาของเขาในคืนเดียวเนี่ยนะ ไม่แฟร์ว่ะ”

ผมวิจารณ์ตามความรู้สึก เผื่ออาจไปสะกิดหัวใจแข็งกร้าวของโจรบ้าง ถึงตาแก่คนนั้นจะนิสัยไม่ดีนัก แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะทำเลวกับเขาได้นี่ถูกไหม?
   
“แน่ใจเหรอว่าเอ็งเรียนรัฐศาสตร์? ไม่รู้จริงเหรอว่าเบื้องหลังไอ้แก่นั่นทำอะไร? พูดมาได้ไงว่ามันทำงานมาทั้งชีวิต เงินทองที่มีอยู่ทุกวันนี้น่ะมาจากคอรัปชั่นทั้งนั้น รวมถึงเงินกูกับมึงที่จ่ายภาษีให้มันด้วย รู้แบบนี้แล้วคิดว่าใครกันแน่ที่ไม่แฟร์”
   
“...”

โห แทงใจดำจนกูไปไม่เป็นเลยสัด

แต่ก็ถูกของมันว่ะ ผมเองก็พอจะรู้ว่าเบื้องหลังความร่ำรวยของนักการเมืองหลายคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เป็นหยาดเหงื่อของประชาชน ชายแก่คนนี้ก็เช่นกัน ภาพคนใจบุญสุนทาน ชอบบริจาคเงินให้วัด โรงเรียน โรงพยาบาลอย่างใหญ่โตก็ทำเพื่อหลบเลี่ยงภาษีกับกลบข่าวฉาวๆ ทั้งนั้น แสดงว่าโจรอู๋ศึกษาเหยื่อจนทะลุปรุโปร่งจริงๆ

โจรเห็นผมเงียบก็พูดต่อ

“อีกอย่างมันก็แก่ใกล้เข้าโลงละ ลูกหลานไม่มี เมียตามกฎหมายก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครจะสืบทอดสมบัติได้ ถ้ามันตายทรัพย์สินก็กลายเป็นของรัฐหมด น่าเสียดายตายห่า”

“มึงเลยจะเอาคืนสู่ประชาชนว่างั้น?” ผมประชด

“ก็ไม่ได้โง่นี่” มันยักคิ้ว “แต่ประชาชนที่ว่าคือข้าคนเดียวนะ”

“เออ รู้!”

มหาโจรขี้เกียจทุ่มเถียงกับผมอีกเลยเดินนำไปที่ห้องรับแขกใจกลางบ้าน ผมแปลกใจที่มันเดินคล่องประหนึ่งเจ้าของบ้านเอง ขณะที่ผมเดินชนข้าวของโน่นนี่เหมือนคนตาบอด พอผมถามมันก็บอกว่าดูรายการกับรูปถ่ายภายในบ้านของชายแก่จนปะติดปะต่อส่วนต่างๆ ของบ้านได้เกือบหมด แถ,ยังซ้อมเดินในจินตนาการเป็นล้านรอบแล้ว

...ณ จุดๆ นี้ผมก็ไม่รู้จะด่าหรือชมมันดีละครับ

ด้วยความที่ไม่เคยเห็นบ้านคนรวยระดับมหาเศรษฐีมาก่อน ผมเลยอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจเหมือนได้หลุดเข้ามาในโลกใบใหม่ ก็ดูสิ ข้าวของเครื่องใช้แต่ละอย่างหรูหราอลังการทั้งนั้น ตั้งแต่โคมไฟระย้าระยิบระยับบนเพดาน ยันพรมหนังสิงสาราสัตว์ที่เยอะเหมือนขนมาทั้งป่าบนพื้น ไหนจะเฟอร์นิเจอร์สไตล์หลุยส์ที่ดูเหมือนอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์อีก ขนาดไม่ได้เปิดไฟยังแวววาวเตะตา ถ้าเปิดไฟคงยิ่งประกายเจิดจ้าจนตาพร่าแน่ๆ

“อย่ามัวเหม่อ หาของเร็วเข้า” โจรอู๋ส่งเสียงขัดอารมณ์

ของที่มันต้องการที่สุดคือเงินสด รองลงมาคือทองคำและเครื่องประดับอัญมณี เพราะเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่าย อีกประเภทคือโบราณวัตถุ เน้นภาพวาดเป็นหลัก เนื่องจากน้ำหนักเบาและเป็นที่ต้องการของเจ้าสัว ให้หลีกเลี่ยงของชิ้นใหญ่ที่ขนย้ายลำบากกับของที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ยาก ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะอยู่ในห้องนี้ ดังนั้นโจรจึงโยกย้ายไปห้องถัดไป

“คนเราจะเก็บของสำคัญไว้สองที่ ไม่ห้องนอนก็ห้องทำงาน”

โจรอู๋กล่าว ไม่รู้ว่าเกิดจากประสบการณ์ปล้นนับครึ่งปีหรือหลักจิตวิทยากันแน่ แต่ผมก็เห็นด้วยอย่างไร้ข้อโต้เถียง เพราะตัวเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน

ไอ้สิบแปดมงกุฎเดินนำขึ้นไปชั้นสองของบ้านโดยไวจนผมตามแทบไม่ทัน ไฟโลภในดวงตาของมันน่าจะลุกโชนยิ่งกว่าไฟฉาย เลยเดินเหินคล่องแคล่วไม่พลาดสักก้าว ตรงข้ามกับผมที่สะดุดล้มบ่อยจนขามีแต่รอยฟกช้ำ

“โอ๊ย จะรีบไปไหน รอกันก่อนดิ!”

ผมร้องบอกคนข้างหน้าที่เอาแต่เดินดุ่มราวกับมาตัวคนเดียว หวังว่ามันจะหยุดเดินหรือไม่ก็ถอยกลับมาช่วยพยุงผมขึ้น ทว่าการคาดหวังกับโจรก็เหมือนโยนอาหารให้หมาจรจัด คุณไม่มีทางได้อะไรตอบแทน หนำซ้ำมันจะกัดคุณให้เจ็บตัวอีกต่างหาก

“ให้มาทำงาน ไม่ได้ให้มาเป็นภาระ”

พูดแค่นี้ แล้วพี่ท่านก็เดินทิ้งกูเฉย...

ไหนใครช่วยบอกทีซิ มีพระเอกที่ไหนใจหมาเท่าไอ้เวรนี่อี๊ก!

อย่างไรก็ตามผมก็ล้มลุกคลุกคลานมาถึงชั้นสองจนได้ ชั้นนี้มีอยู่หลายห้อง ทุกห้องถูกปิดประตูลงกลอนไว้หมด ไม่รู้ว่าข้างในเป็นห้องอะไรบ้าง แต่หัวหน้าแก๊งโจรรู้ มันเดินตรงแน่วไปห้องๆ หนึ่งแล้วหยุดที่หน้าประตู สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยขณะมองกุญแจอันเบ้อเริ่มที่คล้องอยู่

“ล็อกงี้จะเข้าไปยังไง” ผมถาม

โดนโจรหรี่ตามองอย่างระอาใจ “นั่นไม่ใช่ประโยคที่ควรพูดกับโจรมืออาชีพอย่างโจรอู๋เลยนะ”

“เอ้า ก็นึกว่าเครียดที่เข้าห้องไม่ได้”

“เครียดเพราะไม่แน่ใจว่าจะหาของที่อยากได้เจอรึเปล่าต่างหาก”

มันว่าแล้วล้วงกุญแจผีที่ทำจากขดลวดออกมาไข พวงเดียวมีหลายอัน ทั้งแบบเป็นกลม แบน เหลี่ยม มันสุ่มเอาแบบกลมออกมาไข แต่ไขไม่ออก เลยเปลี่ยนเป็นแบบแบน ไขเพียงแป๊บเดียวก็มีเสียงคลิก แล้วลูกบิดก็หมุนเปิดประตูได้ โจรอู๋ยิ้มอย่างโล่งใจหน่อยๆ ก่อนจะสั่งให้แยกย้ายกันไปหาสมบัติ

ห้องนี้คือห้องทำงาน ข้าวของส่วนใหญ่ได้แก่โต๊ะทำงาน ตู้เก็บเอกสาร ชั้นหนังสือ ตู้โชว์ กับอุปกรณ์ไอทีหลายอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ แม็คบุ้ค ไอแพด กล้องถ่ายรูป รวมทั้งนาฬิการาคาแพงที่ดูเหมือนถูกถอดลืมทิ้งไว้ มูลค่ารวมกันคงเป็นล้าน แต่โจรอู๋ห้ามให้เอาอะไรไปสักอย่างเพราะมันหนัก แล้วยังต้องเอาไปขายต่อเพื่อแลกเป็นเงินให้ยุ่งยากด้วย

“ถ้าไม่เอาของพวกนี้ ก็ไม่มีอะไรให้ขโมยแล้วนะ” ผมว่า

“ค้นให้ทั่วซะก่อน ข้าว่ามันต้องมีเซฟอยู่ที่ไหนซักที่”

“ตู้เซฟเหรอ? ทำไมไม่คิดว่าอยู่ในห้องนอนล่ะ”

“เพราะการคอรัปชั่นไม่ได้ใช้แค่เงินอย่างเดียวไง ต้องใช้เอกสารอื่นๆ ด้วย ซึ่งงานเกี่ยวกับเอกสารทำในห้องทำงานคงสะดวกกว่าห้องนอน”
   
“...”

โอ้โห ผมต้องยอมรับแล้วว่ามันเป็นโจรที่โคตรฉลาด โคตรรอบคอบ มีสายตาเฉียบแหลมมองเห็นมุมที่คาดไม่ถึง คือแบบ...เป็นตัวอย่างของโจรที่แอดวานซ์กว่าโจรใดๆ มิจฉาชีพทั้งโลกต้องยกย่องมัน แต่ขณะเดียวกันมันกลับเป็นโคตรของฝันร้ายสำหรับเหยื่อที่ถูกปล้น

“แต่ไม่เห็นมีตู้เซฟเลย” ผมยังคงแย้งอยู่ ก็หาไม่เจอจริงๆ

“ของสำคัญบางครั้งก็ต้องซ่อน”

“ถ้าซ่อนแล้วเราจะรู้ได้ไง” 

“มันมีสูตร ลองสังเกตจุดแปลกๆ ที่ไม่เข้ากันดู อย่างตำแหน่งบิดเบี้ยว สีผิดเพี้ยน หรืออะไรที่เหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทาง บางทีอาจเป็นช่องทางลับไปสู่ตู้เซฟ”

“หูย ซับซ้อนเว่อร์ เชื่อแล้วว่ามึงศึกษามาลึกซึ้งจริง”

“เปล่า อันนี้ดูจากหนัง”

“โธะ!”

มหาโจรสั่งให้ผมค้นฝั่งซ้ายของห้อง ส่วนตัวมันค้นทางขวา แล้วค่อยมาบรรจบกันตรงกลาง ผมก็ทำตามไปงั้นแต่ไม่หวังว่าจะเจอช่องแห่งความลับอะไรนั่นหรอก ก็ห้องออกจะกว้าง ข้าวของก็อย่างเยอะ ทั้งแฟ้มเอกสารเป็นล้านๆ หนังสือเต็มตู้ใหญ่เท่าผนังสูงติดเพดานห้อง ไหนจะของสะสมพวกรูปปั้นโบราณหลากหลายสัญชาติ ตั้งแต่พระโพธิสัตว์สมัยทวารวดีไปถึงเทพีวีนัสของกรีก ขณะที่ผมจ้องมองรูปปั้นเหล่านั้น สายตาของเทพเจ้าทั้งหลายก็เหมือนกำลังมองผมอย่างเย้ยหยันว่า

‘ค้นไปเถอะ ให้ตายก็หาไม่เจอหรอก เจ้าคนชั่ว’

แต่ไม่เป็นไร สุดท้ายถ้าไม่ได้เงิน โจรอู๋ก็คงลักพาตัวพวกท่านไปขายเปลี่ยนเป็นเงินอยู่ดีแหละครับ อย่าลืมว่าเขาเพิ่งผูกมิตรกับเจ้าของธุรกิจค้าของโบราณเถื่อนนะ! (ใจบาปไปอีกกู)

“เจอบ้างไหม” โจรส่งเสียงถามจากอีกฝั่งของห้อง

“ไม่เลย” ผมตอบ ผละจากตู้โชว์ไปชั้นหนังสือ

เอาจริงๆ เจ้าชั้นหนังสือนี่ทำให้สมาธิของผมไขว้เขวจากภารกิจเอามาก ด้วยความที่พ่อผมเป็นครูภาษาไทย แม่เป็นอาจารย์มหา’ลัยสาขาวรรณคดีตะวันตก ผมเลยมีหนังสือเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่จำความได้ เริ่มตั้งแต่หนังสือนิทาน การ์ตูน ไปจนวรรณกรรมเด็ก ผมแน่ใจว่าไม่มีเด็กอายุเก้าขวบคนไหนจะอ่านหนังสือมากเท่าผมตอนนั้นแน่ๆ นี่เป็นเรื่องเดียวที่ผมกล้าอวดใครๆ ได้อย่างเต็มปากสมัยก่อน 

พอโตมาผมอ่านดะไม่เกี่ยงว่าจะเป็นแนวอะไร แต่ที่ชอบที่สุดก็คือวรรณกรรมคลาสสิกต่างประเทศ แล้วอีตาลุงเจ้าของบ้านก็ดันมีแนวที่ผมชอบอยู่เกือบครึ่งตู้ได้ หลายเล่มเก่าแก่คร่ำครึเหมือนอายุผู้เป็นเจ้าของ

ผมลองหยิบออกมาเล่มหนึ่ง เรื่อง ‘ผลพวงแห่งความคับแค้น’ ของจอห์น สไตน์เบ็ค มีลายเซ็นของนักเขียนเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนเขามาเมืองไทยด้วยแน่ะ! โคตรเจ๋ง!!!

ไม่ใช่แค่สไตน์เบ็ค ผมยังพบว่าอีลุงมีหนังสือฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกพร้อมลายเซ็นต์นักเขียนระดับตำนานอีกบานเลย ไล่ตั้งแต่ซาลินเจอร์, นาโบคอฟ, มอห์ม กับรุ่นเดอะอีกเพียบ ไม่รู้ว่าใช้อภิสิทธิ์อย่างไรถึงได้มันมาครอบครอง แต่น่าเสียดายที่หนังสือเหล่านั้นไร้ร่องรอยการถูกเปิดอ่าน เมื่อห้าสิบปีก่อนกระดาษเรียบยังไง ทุกวันนี้ก็เรียบยังงั้น ทำให้ผมรู้ว่าอีลุงก็แค่สะสมเอาไว้เป็นเครื่องประดับอวดแขกที่มาเยี่ยมชมบ้าน แบบเดียวกับหัวสัตว์สตัฟฟ์บนฝาผนังนั่นแหละ คิดแล้วก็น่าเสียดาย


ขโมยแม่งเลยดีไหมวะ?


“ทำอะไรชักช้าอยู่นั่น!” มหาโจรตะโกนด่า เพราะตัวมันค้นหาไปได้เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ขณะที่ผมยังยืนนิ่ง

“ก็หาทางเข้าอยู่นี่ไง” ผมโกหก จริงๆ คือตะลึงกับลิสต์หนังสืออยู่

“เร็วเข้า เรามีเวลาไม่มาก” มันสั่ง ผมก็เออออตอบไป

อีลุงนี่จัดตู้ได้สวยงามเป็นระเบียบเหมือนห้องสมุดมหา’ลัย เรียงตามชื่อผู้แต่งตั้งแต่เอถึงแซด ผมไล่นิ้วตั้งแต่อีสปไปถึงแฟลนเนอรี โอ’ คอนเนอร์ที่สิ้นสุดชั้นหนึ่ง เริ่มชั้นสองจากอีแวน ตูเกเนียฟไปถึงนาธาเนียล ฮอว์ธอร์น และชั้นสามจากโอ เฮนรี จนถึงโรเบิร์ต เบิร์นส์ โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน แล้วก็เบิร์นส์...เอ๊ะ ทำไมถึงวางแบบนี้ล่ะ

ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ พบว่าหนังสือวางผิดตำแหน่ง บทกวีของเบิร์นส์ถูกสตีเวนสันคั่นกลาง แวบแรกผมคิดว่าอีลุงคงรีบเลยใส่คืนมั่วๆ ไม่ได้สนใ0เรียง แต่ชื่อหนังสือที่ถูกแทรกกลับทำให้เอะใจ


‘เกาะมหาสมบัติ’
 
หรือจะเป็นโค้ดลับ?

ผมหยิบออกมา เอาไฟฉายส่องดูอย่างละเอียดก็พบรอยยับที่ขอบกับสันหนังสือ แถมยังมีรอยนิ้วมือบนปกหลายรอย แตกต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เนี้ยบกริบ แสดงว่าอีตาลุงต้องหยิบเล่มนี้บ่อยแน่ๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมถึงวางกลับไม่ตรงตำแหน่งล่ะ?

“บอกให้รีบไง ยังจะมายืนอ่านหนังสืออยู่อีก!”

โจรอู๋เดินเข้ามาตบหลังผมดังป้าบจนหนังสือร่วงหลุดจากมือ พอก้มเก็บแล้วก็เอามาฟาดใส่มันกลับด้วยอัตราที่แรงกว่า

“ใครบอกกูอ่าน!”

“ยังจะมาเถียง ก็เห็นยืนถืออยู่ทนโท่”

“กูกำลังแกะรหัสตามที่มึงบอกต่างหาก หนังสือมันถูกวางผิดที่ แถมชื่อเรื่องก็เกี่ยวกับสมบัติ ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวกับที่ซ่อนทรัพย์สินก็ได้”
ผมอธิบาย แต่โจรอู๋กลับส่ายหัวพร้อมกับเหยียดปากเซ็งๆ

“ปัญญาอ่อน” มันว่า “ไปดูห้องอื่นเหอะ”

ผมโกรธจนควันออกหู เกิดมาจนจะถึงวัยเบญจเพสแล้วเพิ่งเคยโดนด่าว่าปัญญาอ่อนก็คราวนี้แหละ แม่งเอ๊ย ตัวเองเป็นคนพูดแท้ๆ ว่าให้สังเกตสิ่งแปลกปลอม แล้วพอกูทำตาม กลับมาด่ากูเนี่ยนะ? สรุปว่าใครกันแน่วะที่ปัญญาอ่อน!

แต่ผมเข้าใจว่าคนโง่กับหนังสือเป็นขั้วตรงข้ามกัน เหมือนผีกระสือกับใบหนาด อยู่ใกล้แล้วมีแต่ขยาดกลัว ฉะนั้นผมจะไม่ถือสา

เอาหนังสือสอดเข้าช่องว่างอย่างขัดใจเพราะจริงๆ อยากเรียงให้ถูกต้องมากกว่า แต่ถ้าทำอย่างนั้นอีลุงเจ้าของบ้านอาจเอะใจเอาได้

เฮ้ย...เดี๋ยวนะ นั่นมันอะไรน่ะ

แสงจากไฟฉายที่ส่องทะลุช่องว่างระหว่างหนังสือที่ถูกดึงออก ทำให้ผมมองเห็นปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง จะว่าเป็นปุ่มของระบบอะไรก็ไม่ใช่ เนื่องจากมันไม่มีอักษรอย่าง ON/OFF กำกับไว้เลย

หรือว่าจะเป็นปุ่มตู้เซฟ?

“โอเค ท่านว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศที่เคารพ ถ้าท่านอยากอ่านหนังสือมากขนาดนั้น ผมจะยอมก็ได้ แต่ช่วยโกยกลับไปอ่านที่บ้านได้ไหมวะครับ มาช่วยกูหาของก่อน!”

ไอ้ผัวชั่วตะโกนเรียกหา ผมอยากตะโกนตอบมันเหลือเกินว่าหนังสือพร้อมลายเซ็นต์นักเขียนระดับโลกเหล่านี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้นับล้าน เอาแค่ชั้นเดียวก็คงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว ถ้าพวกเศรษฐีที่ประมูลไม่เรียกตำรวจมาลากคอเราเข้าตะรางซะก่อนน่ะนะ

ผมตัดสินใจยื่นแขนเข้าไปกดปุ่มปริศนานั่น เป็นจังหวะเดียวกับที่โจรอู๋กระแทกเท้าตึงตังกลับเข้ามาอย่างรำคาญ และตอนที่มันกำลังจะอ้าปากด่า ตู้หนังสือก็เลื่อนไปข้างๆ เผยให้เห็นบางอย่างที่ซ่อนเร้นบนพื้น

มันคือประตู...

“เชี่ยไรวะเนี่ย” โจรอู๋เบิกตาโพลง



V
V
V
อ่านต่อ [2/2]
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย [2/2] == 12/12/18
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 12-12-2018 23:22:48

“บอกแล้วไง” ณ จุดนี้ผมรู้สึกสะใจชิบ

เราคุกเข่าลงกับพื้น มองดูประตูลับทำด้วยโลหะที่มีความกว้างและยาวเท่าตู้หนังสือ โจรอู๋แสยะยิ้ม ตาแวววาวด้วยความละโมบ มันควักเอากุญแจผีที่คิดค้นและพัฒนาโดยอเล็กซ์ออกมาไข ไม่น่าเชื่อว่าขดลวดง่อยๆ นี้จะสามารถสะเดาะกลอนบ้านเศรษฐีได้อย่างง่ายดาย ตลกร้ายชะมัด

พอไขได้แล้ว โจรอู๋ก็เลื่อนบานประตูออก จากนั้นทางเดินลงสู่ห้องนิรภัยใต้ดินก็ปรากฏแก่สายตาเรา มันก้าวลงไปก่อนพร้อมกับสาดไฟฉายไปรอบๆ เจอสวิตซ์ไฟก็กดเปิด

ตาผมพร่าเมื่อเจอแสงสว่าง พอปรับสายตาได้ก็พบว่ามันเป็นห้องสีแคบๆ ผนังเป็นสีเทาของปูนเปลือย ทางเดินทอดยาวตรงไปด้านล่าง เราเดินลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับหัวใจเต้นแรงรัว เพราะรู้ว่ามีอะไรรออยู่ที่สุดทาง

นั่นไง ตู้เซฟขนาดใหญ่เท่าตู้เย็นจริงๆ ครับพี่น้อง!!!

เอ๊ะ เดี๋ยวๆ ทำไมกูต้องดีใจอ่ะ นี่คือกำลังทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมอยู่นะ กูควรจะกลัวดิ ไม่ได้ๆ ตั้งสติไว้ อย่าให้ผีมารซาตานครอบงำนะแสงเทียน

“มึงเข้าไปเลย กูรอตรงเนี้ย” ผมหยุดเดินแล้วบอกมัน

“ไม่ได้ งั้นจะพามาทำเพื่อ?” คนเลวจับแขนผมเดินไปด้วยกัน แต่เดินไม่กี่ก้าวก็หยุดดื้อๆ
   
“อะไรของมึง”

มันไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปกดปุ่มเล็กๆ บนผนัง ทันใดนั้นห้องก็มืดลงอีกครั้ง พลันก็ปรากฏแสงเลเซอร์ตรวจจับขโมยพาดไขว้ผนังทั้งสองฝั่งเป็นระยะทางตั้งแต่ตรงนี้ไปถึงตู้เซฟสลับซับซ้อนเหมือนกับใยแมงมุมสีแดง และมันอยู่ห่างจากเราสองคนเพียงปลายจมูก... ถ้าโจรอู๋ไม่ดึงผมไว้ ป่านนี้คงโดนเข้าไปแล้ว และหากเป็นเช่นนั้น ตู้เซฟจะส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทรักษาความปลอดภัย แล้วพวกเขาก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาที่บ้านหลังนี้โดยเร็วที่สุด เท่ากับแผนของเราถึงคราวจบเห่

“มึงรู้ได้ไงเนี่ย” ผมขนลุกซู่

“คิดว่านี่ปล้นมากี่ครั้งล่ะ?” มันถามผมกลับ นั่นเท่ากับคำตอบ

“แล้วจะทำไงล่ะทีนี้ เราฝ่าดงเลเซอร์ไปถึงข้างในไม่ได้แน่ๆ”

“ใครบอกว่าเรา เอ็งต่างหากที่ต้องเข้าไป”

“อะไรนะ!!!!!”

“ทำไมชอบให้พูดซ้ำ ความจำสั้นเหรอ ข้าบอกว่าเอ็งต้องเป็นคนเข้าไปข้างในนั้น”   
   
 “ฉิบหาย ทำไมมึงไม่เข้าไปเองล่ะ!”
   
“ถามโง่ๆ ก็ดูขนาดตัวสิ เอ็งน่ะตัวเล็กผอมแห้ง เข้าไปง่ายกว่าตัวใหญ่ๆ อย่างข้าไง” โจรว่า “อย่าช้า รีบเข้าไปเลย เดี๋ยวจะคุมให้”
   
ผมอยากกรี๊ดดังๆ ให้รู้แล้วรู้รอด! ให้ตายเถอะ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่มันพามาด้วยเพราะอยากแค่หลอกใช้รึเปล่าวะเนี่ย?
   
“อย่ามัวลีลา รีบเข้าไปได้แล้ว” ไอ้โจรเร่ง
   
ผมอยากจะวีนใส่หน้ามันจริงๆ แต่ก็ทำได้แค่คิด นาทีนี้ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ปลงเสร็จก็สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ ก่อนจะก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในเขตอันตรายนั้น
   
“ค่อยๆ ไป ระวังหัวด้วย” โจรอู๋ยืนดูพร้อมกับส่งเสียงกำกับ “ไปทางขวาอีก ช่องมันกว้างกว่า เออนั่นแหละ”
   
ผมค่อยๆ ก้าว ข้าม มุด ลอด แสงเลเซอร์หลายเส้นอย่างระมัดระวังภายใต้การควบคุมของโจรอู๋ หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นสุดจะบรรยาย ทุกวินาที ทุกการเคลื่อนไหว ช่างหวาดเสียวเหมือนเดินบนเส้นด้ายที่ข้างล่างเป็นหุบเหว หากพลาดไปนิดเดียวก็ตาย
   
ตอนนี้ผมเข้ามาได้ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามของระยะทางแล้ว กำลังพักหายใจในท่าแปลกๆ คือมือสองข้างดันพื้น เข่าข้างซ้ายแตะพื้น ขาข้างขวายกจากพื้นสูงๆ ดูไปดูมา...
   
“อย่างกับหมาเยี่ยว” โจรอู๋พูด
   
“สัด มันใช่เวลาล้อเล่นไหม!”
   
“คิก... ไปต่อเร็ว”
   
ยิ่งใกล้ตู้เซฟแสงเลเซอร์ก็ยิ่งสลับซับซ้อนมากกว่าเดิม ช่องว่างแคบลงจนน่าหวาดเสียว แต่ผมก็ผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เซฟจนในที่สุด

ด่านต่อไปคือการไขตู้ จริงๆ มันมีที่สำหรับใส่รหัส แต่ถูกสก็อตเทปแปะทับไว้ แสดงว่าอีลุงเจ้าของบ้านใช้กุญแจแทน  โจรอู๋กูรูเรื่องงัดแงะก็จัดการส่งขดลวดไถลมาตามพื้นถึงผม
   
เป็นครั้งแรกกับประสบการณ์ใช้กุญแจผี และผมก็พบว่าของบางอย่างตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ

พอประตูตู้เซฟเปิดออก ผมก็พบกับสิ่งที่อีลุงเรียกว่า ‘เกาะมหาสมบัติ’ ซักที

ในนั้นมีธนบัตรฉบับหนึ่งพัน แพ็คอย่างดีในถุงพลาสติกตีตราของธนาคาร ปึกละหนึ่งร้อยใบ เป็นหนึ่งแสนบาท ประเมินจากสายตาแล้วน่าจะมีไม่ต่ำกว่าพันปึก มูลค่ารวมหนึ่งร้อยล้านบาท...


หนึ่งร้อยล้านบาท


จำนวนเงินมหึมามหาศาลที่ไม่เคยพบเห็นทำให้ผมมึน แต่ทำให้โจรอู๋ที่อยู่ข้างหลังฉีกยิ้มด้วยความยินดี ผมได้ยินมันสูดกลิ่นเงินอันหอมหวนเข้าเต็มปอด จากนั้นมันก็ออกคำสั่ง
 
“ส่งมาให้เยอะที่สุด”

ผมก็ทำตาม กอบโกยเงินจากตู้ออกมาไถลตามพื้นส่งให้โจรอู๋ทีละปึกๆ อย่างเร็วไวประมาณร้อยปึกได้จนเป้เต็มแน่นใส่ไม่พอ แต่มีหรือที่โจรจะยอมแพ้ มันวิ่งกลับขึ้นไปข้างบนแล้วลงมาพร้อมกับถุงดำขนาดใหญ่สำหรับใส่ขยะ กะจะเอาไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มันบอกว่าการขโมยครั้งนี้ครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะปิดบัญชีหนี้ทั้งหมดที่มี แถมยังเหลือกินเหลือใช้ไปตลอดชาติอีกต่างหาก
   
ในความเป็นจริงเราเอาไปได้มากที่สุดก็แค่สี่ร้อยปึกเท่านั้น เพราะมันหนักเกินแบกไหว แต่โจรอู๋ก็ค่อนข้างพอใจ เพราะเหลืออีกแค่ไม่ถึงยี่สิบล้าน ไว้รอจากธุรกิจค้าของเถื่อนกับเจ้าสัวก็ได้
   
อ้อ นอกจากเงินแล้ว ในตู้เซฟยังมีเอกสารสำคัญๆ เกี่ยวกับการคอรัปชั่นระดับชาติของไอ้แก่ด้วยล่ะ โจรอู๋เลยให้ผมเก็บไปด้วยทุกฉบับ เผื่อเราถูกจับได้ขึ้นมา จะได้เอาไว้แบล็กเมล์ เพราะเผลอๆ โทษทัณฑ์ในคดีของไอ้แก่จะหนักหนาสาหัสกว่าเราซะอีก มันต้องไม่กล้าเอาผิดเราแน่นอน
   
ดูสิ...ฉลาดกว่านี้มีอีกไหม ถ้ามีก็ไอสไตน์แล้วครับ

เสร็จสิ้นกระบวนการ ผมก็ข้ามกำแพงเลเซอร์กลับออกมาทางเดิม รู้สึกเบาใจที่เห็นโจรอู๋ยังยืนรออยู่ตรงนั้น เพราะคิดว่ามันจะชิ่งหนีทันทีที่ได้เงิน มันมองผมอย่างเอาใจช่วย และพอผมเข้าใกล้ทางออก มันก็ยื่นมือมาให้ ผมเอื้อมมือไปจับพร้อมกับก้าวขาออกจากเส้นเลเซอร์เส้นสุดท้าย แล้วมันก็ดึงตัวผมไปกอดแน่น แน่นจนผมเกือบจมลงไปในอกหนาๆ ของมัน แค่นั้นไม่พอยังจูบขมับ จูบแก้มทั้งสองข้าง จูบจมูก จูบคาง แล้วจูบที่ปากอย่างหนักหน่วงจนปากผมช้ำ เป็นเซ็ตจูบที่บ้าคลั่งทรงพลังอย่างกับพายุเฮอริเคน แต่ขณะที่มันสุขจนจุกอก ผมแทบตายเพราะหายใจไม่ออก


เป็นโมเม้นต์ที่ไม่มีคำพูดใด แต่แม่งรู้สึกดีชิบหายเลยครับ

   
แต่ขณะเดียวกัน ผมก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่อวัยวะเบื้องล่าง ความเยือกเย็นสั่นสะท้านแล่นจากจุดนั้นเข้าจับหัวใจของผมจนแทบหยุดเต้น แต่เหมือนโจรอู๋จะไม่รู้สึกตัว
   
ไม่สิ มันไม่ควรเป็นอย่างนี้
   
มันควรจะเป็นเวลาที่แฮปปี้ ไม่ใช่...
   
“เป็นไร” โจรอู๋คลายกอดแล้วถามอย่างสงสัย คงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนผิดปกติจากตัวผม
   
“สะ...สะ...ส้นตีน” ผมเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
   
“เฮอะ? อะไร อยู่ดีๆ มาด่ากันทำไม!” โจรอู๋นิ่วหน้า แต่ผมสั่นจนแทบจะพูดไม่ได้ ไม่รู้จะอธิบายยังไง เลยชี้ให้ดูที่เท้า
   
คือจะบอกว่า ส้นตีนกูหลบแสงเลเซอร์ไม่พ้นจ้าาา!!!!
   
“เชี่ยยยยยย!!!” โจรตะโกนลั่นเมื่อเห็นแสงเลเซอร์ทะลุผ่านตำแหน่งเอ็นร้อยหวายของผม จากนั้นก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวราวกับสัญญาณเตือนภัยสึนามิ
   
ติ๊งงงงๆๆๆๆๆๆ!!!!!!
   
“ไปเร็ว!!!”

โจรอู๋จับมือผมวิ่งไปด้วยความเร็วติดจรวด ดูๆ แล้วคล้ายกับตอนที่วิ่งหนีลูกน้องเสี่ยในบ่อนไม่มีผิด แต่คราวนี้เลวห่าเหวแหกเหี้ยกว่า เพราะต้องวิ่งทั้งๆ ที่แบกเงินเป็นกระสอบขึ้นบันไดกว่ายี่สิบขั้น!
   
เราวิ่งโดยไม่หยุดพัก แล้วก็ต้องหยุดวิ่ง เพราะมีอะไรบางอย่างมาขวางทางไว้...
   
คือผู้ชายตัวดำล่ำใหญ่เหมือนควายแอฟริกา สวมเสื้อผ้าสีดำ มือขวาถือกระสอบ มือซ้ายถือปืน แวบแรกผมคิดว่าเป็นยาม แต่แวบถัดมาผมก็รู้ว่าไม่ใช่ มันคือพวกเดียวกับเรา มันคือโจร แต่ไม่ใช่คนในแก๊ง แสดงว่าไม่ใช่แค่โจรอู๋คนเดียวที่รู้ว่าตาแก่จะไม่อยู่บ้าน

ซวยแล้วไงทีนี้ โจรปล้นโจรด้วยกันเอง!
   
“เฮ้ย! มีเท่าไหร่ส่งมาให้หมด!”

ไอ้โจรคนนั้นแหกปากพร้อมกับยกปืนขู่ ขนาดตัวมันไม่ต่างกับโจรอู๋ น่าจะพอสู้กันได้

ผมมองหน้าโจรอู๋ด้วยความหวาดกลัว มันเม้มปากแน่น ก่อนจะปล่อยมือผม ล้วงเอาปืนที่เอว แล้วเข้าไปเผชิญหน้ากับโจร...
   
ซะที่ไหนล่ะ!!!!! แม่งวิ่งหนีหายไปในความมืด ทิ้งให้ผมอยู่ข้างหลังตัวสั่นงกๆ ซะงั้น!
   
ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยย

“เอ้าๆๆ ไหงปอดแหกงี้วะ ทิ้งเพื่อนเฉย” ไอ้โจรบุคคลที่สามหัวเราะ จากนั้นก้าวเข้ามาหาผม “เอาล่ะ ทีนี้ก็ส่งเงินมาให้กู ไม่งั้นหัวมึงเป็นรูแน่”
   
ผมกลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ รีบโยนเงินทั้งสองถุงและหนึ่งเป้ให้มันโดยไม่ลังเล ลาก่อนสี่สิบล้านของพวกกู น้ำตาแทบไหล เจ็บใจที่โดนชุบมือเปิบไปง่ายๆ ทั้งทีเสี่ยงตายแทบเอาตัวไม่รอด แต่เวลานี้ชีวิตย่อมสำคัญกว่า
   
ไอ้โจรแปลกหน้าเปิดปากถุงเห็นเงินอัดแน่นข้างในก็ยิ้มกว้าง พูดว่าโชคดีที่ไม่ต้องเหนื่อยขโมยเซฟเอง แล้วก็พุ่งเข้ามาจับตัวผม
   
“เฮ้ย ทำไรวะ! ได้เงินแล้วก็ปล่อยกันสิ!” ผมโวยวาย
   
“ไม่ได้ๆ กูต้องทำให้แน่ใจก่อนว่ามึงจะไม่เล่นตุกติก”

มันว่าแล้วควักเอาเชือกจากกระเป๋ากางเกงออกมามัดมือผม ก่อนจะลากไปผูกกับราวบันได ผมดิ้นสะบัดขัดขืน เอาหัวโขกมัน เตะมัน กระแทกมัน เลยถูกมันชกจนปากแตกแถมด้วยต่อยท้องจนจุกตัวงอ 
   
“ตัวเท่าหมา ฤทธิ์เยอะนักนะมึง มาจากแก๊งไหนวะ ขอดูหน้าแม่งทีซิ!” มันตวาด จากนั้นใช้ไฟฉายส่องหน้าผม แต่เนื่องจากผมสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้ามิดชิด มันจึงกระชากออก

ทันทีที่ใบหน้าของผมถูกเปิดเผย มันก็อุทานดังลั่น
   
“เหี้ย!”
   
“คน ไม่ใช่เหี้ย!”
   
“ไอ้สัด โคตรสวย”
   
“เดี๋ยวๆๆๆ”
   
“เป็นเมียกูเหอะ”
   
“ไม่!!!”

ผมแหกปากร้องอย่างเสียสติ หัวสมองตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก ทำไงดี ผมมีแค่มือเปล่า แถมมือเปล่าที่ว่ายังถูกมัดใช้การไม่ได้ด้วย แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับมัน!
   
แสงไฟจากถนนข้างนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นรางๆ ว่าใบหน้าดุดันเหี้ยมเกรียมของไอ้โจรคนนั้นมีรอยยิ้มแสนหื่นกระหาย น่าขยะแขยงยิ่งกว่าแมลงสาบ มันจับตัวผมให้หันหน้าเข้าบันไดแล้วใช้มือหยาบๆ ดึงกางเกงของผมลงจนเห็นก้นขาวๆ ที่เกือบเรืองแสงได้ความมืด แล้วก็ทำเสียงฮือฮาอย่างหื่นกระหาย
   
“แม่เจ้า ขาวชิบหาย”
   
“ไอ้สัตว์นรก! ปล่อยกู!!!”
   
“อย่าโวยวายน่าคนสวย ขอสักรอบสองรอบ เดี๋ยวกูก็ปล่อยมึง”   

“ไม่!!! ม่ายยยยยย!!!!”
   
ผมกรีดร้องสุดเสียงด้วยความรังเกียจสุดขั้วหัวใจ เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของผมไหลด้วยความอัปยศอดสูในตัวเอง คนที่ผมโกรธที่สุดไม่ใช่ไอ้โจรหื่นนี่ แต่เป็นไอ้โจรเหี้ยที่ทิ้งผมไปต่างหาก ไอ้คนเห็นแก่ตัวที่พอผมหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่ง
 
ใช่สิ สำหรับมันแล้วผมก็เป็นแค่ตุ๊กตายางเท่านั้นนี่!

คิดแล้วก็สมเพชตัวเองนัก ยังไงโจรก็เป็นโจรวันยังค่ำ ถึงมันจะทำเป็นพูดดี ทำดี กับเรามากแค่ไหน สุดท้ายแม่งก็เห็นแก่ตัว! ผมไม่น่าเผลอรู้สึกดีไปกับมันเลย!
   
โจรชั่วปลดตะขอกางเกง รูดซิป แล้วงัดเอาอาวุธทุเรศของมันออกมาขัดถู ผมขยะแขยงจนขนลุกไปหมด ไม่รู้ว่ามันเป็นเกย์จริง หรือเสี้ยนชั่ววูบอยากหาที่ระบาย หรือหวนคิดถึงรสสวาททางประตูหลังที่สัมผัสเป็นอาจิณจากคุกที่เพิ่งหลุดออกมากันแน่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ไม่กี่นาทีจากนี้ผมคงต้องกลายเป็นเมียโจรซ้ำซ้อนแน่ๆ
   
ผมหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลท่วมเบ้า

   
เอาเถอะ เอาเลย กี่รอบก็เอาเลย ชีวิตกูคงไม่เฮงซวยไปมากกว่านี้แล้วล่ะ...   



TBC..
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-12-2018 23:47:54
เอาน่ะ เดี๋ยวผัวก็มาช่วย :katai3:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 13-12-2018 00:08:56
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-12-2018 01:11:34
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 13-12-2018 13:00:12
สงสารแสงเทียนเหมือนกันนะพื้นฐานทางบ้านการศึกษาดีต้องมาซวยได้ผัวเป็นโจรอนาคตดับวูบเลย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 13-12-2018 23:12:33
อินังโจรอู่กลับมาช่วยน้องเร็วๆ :katai1: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-12-2018 20:15:35
โจรอู๋หนีเอาตัวรอดคนเดียว ปล่อยให้แสงเทียนมีผัวเป็นโจรอีกครั้ง อิอิ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kumamon_Kung ที่ 16-12-2018 10:59:32
อินังโจรชั่วมารับผิดชอบน้องเดี๋ยวนี้  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 21-12-2018 15:54:34
โจรอู๋~~~~~ รีบมาช่วยเมียเอ็งเลยนะ!
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (22/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 22-12-2018 23:55:03
 


15
วิธีง้อเมีย



ผัวะ!!! ตุ่บ!
               
“อั่ก!”
               
ไม่ทันจะปล้ำ ไอ้โจรร่างยักษ์ก็ล้มฟุบลงกับพื้น ผมทั้งงงทั้งตกใจ แต่ก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ได้ยินเสียงเหมือนของแข็งกระแทกร่างกายดังซ้ำหลายต่อหลายครั้ง หันไปมองข้างหลังก็พบว่าโจรอู๋กำลังหวดตะบองอินเดียซึ่งเป็นของสะสมของตาเฒ่าเจ้าของบ้านใส่ไอ้โจรรัวๆ จนมันกระอักเลือดสลบเหมือดคาเท้า
               
ผมมองภาพนั้นด้วยความหวาดกลัว ตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก อยากจะบอกให้มันหยุดเพราะกลัวโจรอีกคนตาย แล้วเรื่องจะเลวร้ายกว่าเก่า แต่ลิ้นก็แข็งเกินกว่าจะพูดอะไรได้

กระทำการยำจนหนำใจ โจรอู๋ก็ลากร่างน่วมๆ ของโจรอีกคนไปที่ริมหน้าต่าง ในตอนนั้นเองผมก็ได้สติ รีบร้องห้ามมันไว้
             
“เดี๋ยว! มึงจะฆ่ามันรึไง เกิดมันคอหักตายขึ้นมา เราจะซวยเอานะ!”
               
“แค่ชั้นสองเอง ไม่ตายหรอก”
               
“อย่าเลย แค่นี้มันก็สาหัสพอแล้ว”
               
โจรอู๋กัดปากอย่างขัดใจ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือจากโจร แต่ก็ไม่วายจับหัวมันโขกกับขอบหน้าต่างจนมีเลือดติด จากนั้นก็แก้มัดให้ผม ก่อนจะลงไปชั้นล่าง ออกทางช่องระบายอากาศห้องครัว แล้ววิ่งกลับไปที่รถ

เมื่อรถแล่นออกมาไกลจากคฤหาสน์หลังนั้น ผมจึงหายใจได้ทั่วท้องเสียที เช่นเดียวกับพร้อมที่จะระเบิดโทสะที่อัดแน่นในใจใส่มัน
               
“ทำไมมึงถึงทิ้งกู!”
               
“ไม่ได้ทิ้ง แค่ไปหาอาวุธมาสู้ ปืนกูหล่นหายไปไหนไม่รู้ จะให้สู้มือเปล่าได้ไง” โจรอู๋บอก สายตามองตรงไปข้างหน้า

จากการใช้สรรพนาม ‘กู-มึง’ ผิดกับทุกทีที่ใช้ ‘เอ็ง-ข้า’ ทำให้ผมรู้ว่ามันกำลังโกรธมากๆ ไม่แพ้กัน
               
“อ๋อ เหรอ แต่ทิ้งให้กูปะทะกับมันสองต่อสองเนี่ยนะ?! มึงเอาอะไรคิดวะ! รู้รึเปล่าว่ากูกลัวแค่ไหน!!!”

ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว น้ำตาไหลทะลักทลายเหมือนเด็กห้าขวบพลางทุบตีมันเป็นพัลวัน 
               
“แต่กูก็มาช่วยทันไม่ใช่เหรอ จะโวยวายหาพระแสงอะไรวะ”

“ประเด็นไม่ใช่ทันหรือไม่ทัน แต่คือมึง-ทิ้ง-กู!!!”

ผมแหกปากจนเจ็บคอ อยากจะตอกย้ำให้รู้ว่าความผิดของมันคือข้อนี้ ทว่าคนตอแหลก็ยังแถได้อยู่

“ใครบอกทิ้ง กูจะช่วยต่างหาก ถ้าทิ้งจริงกูไปตัวคนเดียวนานแล้ว ไม่กลับมาช่วยหรอก!”

“มึงกลับมาเพราะเงินอยู่ที่กู!”

“กูกลับมาเพราะมึงเป็นเมียกูต่างหาก”

“ตอแหล ถ้ามึงอยากช่วยกูจริงก็ต้องพากูหนีไปด้วยแต่แรก ไม่ใช่ทิ้งไว้แล้วค่อยกลับมาแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีของคนจริงใจ!”

“งั้นกูจะบอกอะไรให้ กูเป็นคนไม่ใช่ควาย ที่เห็นศัตรูก็พุ่งเข้าใส่ขวิดโดยไม่ได้ใช้หัวคิดเหี้ยอะไรเลย มึงอาจดูหนังหรืออ่านนิยายมากไปจนติดภาพพระเอกที่สู้กับผู้ร้ายตัวต่อตัวแบบหัวชนฝาเพื่อช่วยนางเอก แต่นี่มันชีวิตจริง กูไม่ใช่ฮีโร่ที่โดนยิงเป็นสิบนัดแต่แม่งยังไม่ตาย ทำไมกูต้องเสี่ยงในเมื่อมีวิธีอื่นที่ปลอดภัยแต่ได้ผลลัพธ์เท่ากัน คิดดูสิว่าถ้ากูสู้กับไอ้ห่านั่นจริงๆ ขึ้นมาแล้วพลาดท่าถูกมันฆ่าตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับมึง ไม่ใช่มึงหรอกเหรอที่จะซวยที่สุด”

“ทีตอนในบ่อนมึงยังทำได้เลย!” ผมเถียง “มึงสู้กับคนมีปืน แล้วก็พากูวิ่งหนีไปด้วยกัน ทำไมตอนนี้มึงทำไม่ได้!”

“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ตอนนั้นกูก็มีปืนมั้ย แต่ตอนนี้กูไม่มี แล้วที่นั่นแม่งก็ไม่ได้มืดเหมือนที่นี่ เกิดกูสู้กับมันตรงๆ แล้วเผลอยิงใส่มึงเข้าจะเป็นยังไง คิดบ้างสิ”

“ไม่ต้องมาแถ มึงมันขี้ขลาด!”

“ไม่ได้ขี้ขลาด!” มันเถียงเสียงเขียว

“กูรู้หรอกว่าที่คราวก่อนมึงกล้าสู้เพราะมึงยังไม่ได้กู มึงแค่อยากให้กูประทับใจ จะได้ยอมเป็นของมึง แต่ตอนนี้มึงได้กูแล้วไง มึงแม่งเลยทิ้งๆ ขว้างๆ กูเหมือนหมูเหมือนหมา”

“เอาอะไรมาพูด” มันส่ายหัวแรง “ตกลงมึงฉลาดหรือโง่กันแน่วะ นี่ดูรูปการไม่ออกจริงดิ?”

“รูปเหี้ยไร!” ผมแหว

“แหกหูฟังดีๆ แล้วจะเข้าใจ เหตุผลที่กูหลีกเลี่ยงการปะทะก็เพื่อไม่ให้มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้มาถึงตัวเรา โดยเฉพาะเลือด ซึ่งมันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากกูสู้กับมันตรงๆ กูอยากให้ไอ้เฒ่าเจ้าของบ้านกับตำรวจเข้าใจว่าไอ้โจรเหี้ยนั่นเป็นผู้ร้ายแค่คนเดียว ที่กูทำไปทั้งหมดไม่ใช่อยากเอาตัวรอดตามลำพัง แต่เพราะอยากปกป้องเราทั้งคู่”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวให้ดูดี ยังไงมึงมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว! ไอ้ชั่ว! ไอ้ผัวเฮงซวย!”

ผมกระหน่ำทุบมันเต็มแรง ความโกรธทำให้หูผมอื้อ ความเสียใจทำให้ดวงตาผมพร่าเบลอ ไม่ว่ามันจะอธิบายยังไง ผมก็ไม่รับรู้ทั้งสิ้น 

“โว้ย! หยุด!!! ขับรถอยู่ไม่เห็นรึไง อยากตายเหรอ!!”

เมื่อเห็นว่าผมโมโหรุนแรงเกินเยียวยา โจรอู๋ก็เลี้ยวรถจอดที่ข้างถนนใต้ทางด่วนมืดๆ เปลี่ยวๆ แล้วดับเครื่อง

“กูเกลียดมึง! เกลียดมึง!” ถึงจะหยุดรถ แต่ผมก็ไม่หยุดทุบตี

“โอ๊ย! หยุด! พอได้แล้ว!”

คนชั่วรวบมือผมไว้แล้วดึงไปกอด แต่ผมก็เอาหัวกระแทกหน้าอกของมันอย่างบ้าคลั่งเหมือนกระทิงจนมันร้องอั้กด้วยความจุก

“ให้ตาย กูไม่น่าพามึงมาเลย”

“ใช่ มึงไม่น่าพากูมา เพราะกูแม่งเป็นภาระของมึง!”

“เปล่า” เสียงของมันเข้มขึ้น “กูทำให้มึงเจออันตรายต่างหาก”
           
“โกหก ที่จริงมึงคงโมโหจนอยากตบหัวกูแรงๆ ที่เกือบทำงานล่ม”
           
“ไปใหญ่แล้วเหอะ”

“ไม่อู๋ กูรู้มึงคิดว่านี่เป็นความผิดกู มึงแค่ไม่กล้าพูดตรงๆ แต่รู้อะไรไหม มึงนั่นแหละที่ผิด! มึงต่างหากที่ทำลายชีวิตกู!! พอซะที ไอ้สถานะห่าเหวที่มึงยัดเยียดให้กูเป็น ทั้งโจร ทั้งเมียโจร กูไม่เป็นเหี้ยอะไรกับมึงอีกแล้ว!!!!”

“แสงเทียน!!!!!”

ผมไม่สนใจแล้วจริงๆ กระโดดออกจากรถแล้ววิ่งหนีสุดฝีเท้าไปยังถนนที่ทอดยาว มองหารถสักคันที่จะช่วยพาผมไปจากไอ้โจรสารเลวได้ 

ไม่ไหวแล้ว หลายเรื่องเหลือเกินที่บั่นทอนจิตใจกัน มันทำร้าย...ทำลายชีวิตของผมจนไม่มีชิ้นดี ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนหายไปพร้อมกับความเป็นโจรที่ผมไม่ตั้งใจเป็น ความดีที่เคยสั่งสมมาทั้งชีวิตก็พลอยหายไปด้วย จากแสงเทียนกลายเป็นแสงโสม สุดท้ายอาจกลายเป็นแสนโสมม แต่ผมจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ผมจะหนี ต่อให้ไม่มีรถสักคันผ่านมา ผมก็จะวิ่ง วิ่งด้วยสองเท้าที่พ่อแม่ให้มาคู่นี้นี่แหละ!

ลาก่อนไอ้อาการหวาดผวา นอนหลับไม่เต็มตาเพราะกลัวว่าจะถูกตำรวจบุกเข้ามาจับทุกคืน พอแล้วกับลมหายใจที่แขวนบนเส้นด้าย หนีตายจากกระสุนปืนครั้งแล้วครั้งเล่า จบสิ้นกันทีกับการถูกมันปฏิบัติเหมือนสิ่งของ สองอาทิตย์ก็นับว่ามากพอกับชีวิตแสนวิบัติฉิบหาย ถึงเวลาที่ผมควรจะกลับสู่โลกของตัวเองได้ซักที!

เสียงฝีเท้าหนักๆ ของโจรอู๋ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ผมเริ่มวิ่งช้าลง ไม่รู้ว่าพละกำลังหายไปไหนหมด เป็นแวบหนึ่งที่ผมนึกเสียใจว่าทำไมไม่ฟิตร่างกายให้แข็งแรงตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อครั้งยังมีโอกาส ไม่งั้นผมคงหลุดพ้นจากไอ้โจรทมิฬไปตั้งแต่การวิ่งหนีครั้งแรกแล้ว

“โอ๊ย!!! ปล่อย!!!”

โจรอู๋จับผมได้แล้วกระชากเข้าไปหาตัวเอง สองแขนแกร่งกอดรัดร่างเล็กของผมแน่นมากจนเจ็บไปหมด เหมือนมันตั้งใจจะบดกระดูกของผมให้แตกละเอียดยังไงยังงั้น

“ปล่อยกู!!!” ผมสะบัดตัวแรงๆ และเหยียบเท้ามันหลายครั้ง มันแสดงออกว่าเจ็บ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย

“อย่าไป...” มันเอาคางเกยไหล่ผมพร้อมกับกระซิบเบาๆ

ผมไม่เข้าใจเลย

“บอกให้ปล่อย!!!” ผมยืนยันคำเดิม “กูสาบานต่อซาตานก็ได้ เพราะพระเจ้าคงไม่ฟังกู! กูจะไม่เอ่ยชื่อมึงให้ใครได้ยิน ถ้าใครถามว่ากูหายไปไหนมา กูจะบอกว่ากูเป็นบ้า นั่งรถไฟไปยะลาคนเดียว! กูจะทิ้งทุกสิ่ง ลืมทุกอย่าง ทุกการกระทำที่มึงทำกับกู! ขอร้องล่ะ ปล่อยกูไปเถอะ!”

ผมแหกปากพร้อมกับดิ้นสะบัดขัดขืนเต็มเหนี่ยว ทั้งโกรธ เสียใจ สิ้นหวังเหมือนจะกลายเป็นบ้า ทว่าโจรอู๋ก็ไม่กระดิกกระเดี้ย ยังคงกอดผมจนจมอกอยู่อย่างเดิม ทำให้ผมเริ่มหายใจไม่ออก

“ไม่ปล่อย” มันยืนยันเสียงแข็ง

“ปล่อยเถอะ กูเจ็บ...”

น้ำตาไหลผมเป็นสาย อันเกิดจากความเจ็บปวดภายในหาใช่ภายนอก และดูเหมือนไอ้โจรจะเข้าใจ มันจึงโน้มตัวลงมาพูดข้างหูผมเบาๆ

“กูขอโทษ”

“.........”

“ขอโทษที่ทำให้กลัว... ขอโทษที่ทิ้งมึงไว้... ขอโทษที่ทำให้เจ็บ ขอโทษที่ทำให้เจออันตราย กูเสียใจ... เสียใจจริงๆ ไม่คิดว่าคลาดสายตาแค่นาทีเดียว จะทำให้มึงเจอเรื่องเหี้ยๆ แบบนั้น กูมันเลว เฮงซวย ทุกอย่างเป็นความผิดกูเอง ตอนนี้กูสำนึกแล้ว ขอโอกาสแก้ตัวสักครั้งได้ไหม”

“ฮึก........”

“ขอร้องล่ะ อย่าไปเลยนะ”

“........”


พอแล้ว หยุด

น้ำตาของผมเนี่ย หยุดไหลได้แล้ว



เมื่อเห็นผมเลิกต่อต้าน โจรอู๋ก็คลายกอดแล้วมายืนตรงหน้า จากนั้นประคองใบหน้าของผมแล้วประทับจูบลงมาอย่างดูดดื่มลึกซึ้ง ไม่ใช่จูบทั่วๆ ไป แต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เข้มข้นแตกต่างจากทุกครั้ง มันรุนแรงเหมือนพายุคลั่ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สั่นสะเทือนหัวใจของผมชนิดแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน คือจูบที่มาจากความรู้สึกส่วนลึกของใจ ไม่ใช่มาจากความอยากกระหายทางเรือนร่าง

“....”

“....”

โจรอู๋ถอนจูบแล้วมองตาผมราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่างผ่านดวงตาสั่นไหวระยับ ทำเอาผมเคลิ้ม วาบหวาม จนเกือบจะเผลอคล้อยตาม

แต่ก็สะบัดหน้าแล้วเดินหนีอย่างไม่สนใจ

“แสงเทียน!”

“สายไปแล้วว่ะอู๋! กูรอฟังมึงพูดคำนี้ตั้งแต่ยี่สิบนาทีที่แล้ว! มึงไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ หรอก แต่มึงไม่มีทางเลือก มึงกลัวกูหนีพ้นแล้วมึงจะโดนตำรวจจับ! มึงไม่ได้เห็นแก่กู มึงเห็นแก่ตัว!!!” 

ผมออกเท้าวิ่งอีกครั้ง ตั้งใจจะหนีจริงๆ ไม่ใช่อยากยั่วให้มันวิ่งตาม แต่ก็รู้ชะตากรรมตัวเองว่าขาที่สั้นกว่านั้นไม่สามารถพาให้ผมหนีจากขายาวๆ ของมันได้ ที่สุดโจรอู๋ก็จับผมได้อีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้กอด แต่อุ้มขึ้นพาดบ่าเลย!

“ไอ้เหี้ย! ปล่อย!!!”

ผมตะโกนโวยวายพร้อมกับทุบกำปั้นใส่แผ่นหลังที่กว้างดั่งทะเลทรายโกบีของมัน แต่มีหรือที่ควายป่าจะสะทกสะท้านต่อแรงต้านของกระต่าย

“ง้อดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้ความรุนแรงใช่ไหม ได้ ของถนัดกูอยู่แล้ว” ไอ้ชั่วพาผมเดินกลับไปที่รถ เห็นได้ชัดว่ามันเลิกใช้ไม้อ่อนกับผมแล้ว

นี่ไงล่ะ ผมมองมันผิดซะที่ไหน!

ด้วยความที่ไอ้หอกนี่สูงน้องๆ ผีเปรต  ผมเลยไม่กล้าดิ้นเพราะกลัวร่วงหัวทิ่มพื้น เลยต้องอยู่นิ่งๆ บนไหล่ยักษ์จนกระทั่งถูกอุ้มวางลงที่เบาะรถ

สุดท้ายก็ไปไม่รอด

อยากรู้ว่าต้องทำบุญกี่วัดถึงจะสลัดไอ้เจ้ากรรมนายเวรตัวนี้ทิ้งได้วะ? ใครรู้บอกผมหน่อยนะ จะเป็นบุญคุณมากๆ

โจรอู๋ขับรถต่อไป ปิดกั้นหนทางการหนีของผมโดยปริยาย ความตึงเครียดของเราทั้งสองแผ่กระจายแน่นในรถราวกับควันพิษ จนไอ้โจรทนไม่ไหวต้องเปิดประทุนระบายอากาศบูดๆ ทิ้ง เสียงลมหวือแรงระหว่างรถแล่นด้วยความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้เราไม่จำเป็นต้องพูดกัน แต่ความเงียบนั้นคือบทสนทนาที่โคตรของโคตรแย่

ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เพราะอยู่ดีๆ เครื่องก็สะดุดซะงั้น โจรอู๋หักเลี้ยวหลบเข้าข้างทางที่ใต้สะพานทางด่วนก่อนจะดับเครื่องด้วยใบหน้ายู่ยี่

“รถเป็นไร” ผมถาม

“ไม่รู้ว่ะ น่าจะมีปัญหาบางอย่าง”

“ซวยละ แถวนี้ก็ไม่มีร้านซ่อมด้วย”

“คงต้องโทรให้ไอ้เคฟมาดูให้ มันซ่อมรถเป็น”

“งั้นก็รีบโทรสิ” ผมบอก โจรอู๋พยักหน้าแล้วกดโทรศัพท์ แต่ปลายสายไม่รับ

“คงทำงานกะดึก” โจรอู๋ถอนหายใจอีก

“แล้วจะทำไงล่ะทีนี้ จากที่นี่ไปบ้านก็ไม่ใช่ใกล้ๆ แถมยังไม่มีรถผ่านไปมาอีก”

“ยากตรงไหน” โจรอู๋ยักไหล่ “ก็นอนแม่งที่นี่แหละ”

“ไม่เอา มันเสี่ยงเกินไป ลองโทรอีกรอบสิ ถ้าไม่ติดก็โทรหาเบย์ อเล็กซ์ หรือเส้นสายของมึงก็ได้ ดีกว่านอนข้างถนน”

“ไม่มีใครว่างหรอก ที่เอ็งบอกมาน่ะเขามีงานต้องทำกันทั้งนั้น อย่าไปรบกวนเลย” โจรอู๋พูดด้วยท่าทางสบายๆ ต่างกับผมที่ร้อนใจจนนั่งแทบไม่ติดเบาะ “มานอนกันเถอะ”

แล้วก็เอนเบาะลงนอนซะงั้น

เฮ้อ...เป็นงี้คงแย้งอะไรไม่ได้แล้วล่ะ

ผมไม่เอนเบาะนอนแบบมัน แต่นั่งกอดตัวเอง มองออกไปนอกรถที่มีแต่ความมืดและเงียบสงัด ทุกอย่างตอนนี้ไม่เอื้อต่อการนอนหลับจริงๆ ทั้งบรรยากาศคุกรุ่นไอแค้นที่ยังไม่จางหาย กับความผิดติดตัวที่เพิ่งก่อขึ้น ใครจะรู้ว่าไอ้โจรที่โดนทำร้ายตะกี้อาจถูกจับแล้วพาดพิงมาถึงเรา และตอนนี้ตำรวจอาจกำลังมุ่งหน้าตามล่าหัวเราอยู่ก็ได้ แบบนี้ใครจะหลับลงกันวะ ไม่เข้าใจไอ้อู๋มันจริงๆ

โจรเลวเห็นผมไม่นอนก็เอื้อมมือมาสะกิดแขน แต่ผมไม่สนใจ มันเลยใช้นิ้วไต่ๆ เข้าไปที่หว่างขาของผม

“อย่ามากวน!” ผมหันไปตวาด ดึงมือมันออกจากเป้ากางเกง

“ยังโกรธอยู่เหรอ ขอโทษแล้วไง สำนึกผิดจริงๆ หายงอนเถอะนะ”

“หุบปาก!” ผมตะโกนแล้วถอยหนีมากขึ้นอีก ทั้งๆ ที่ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว หันหลังให้ทำเป็นไม่สนใจ... แต่ที่จริงก็แอบเขินเหมือนกัน ไม่ชอบเลยเวลามันพูดจาออดอ้อนขัดกับหน้าตาเข้มๆ เพราะแม่งน่ารักแบบประหลาดบอกไม่ถูก และทำให้ผมเขินทุกที

แต่ฝันไปเถอะว่าผมจะคืนดีง่ายๆ เกิดเป็นชายต้องใจแข็ง หายโกรธตอนนี้มันเร็วไปเว้ย!

ได้ยินเสียงโจรอู๋ลุกจากเบาะของตัวเอง ลมหายใจใกล้เข้ามาทางด้านหลัง แต่กระนั้นผมก็ทำเป็นไม่สนใจ จนในที่สุดมันก็ใช้ไม้แข็ง นั่นคืออุ้มผมไปนั่งตักของตัวเองที่เบาะฝั่งคนขับ

“เฮ้ยๆๆๆ จะทำอะไร ปล่อยเลย อึดอัด!” ผมพยายามจะลุกจากตักของมัน แต่ถูกสวมกอดไว้แน่น

“อย่าโวยวาย เดี๋ยวจะได้อึดอัดมากกว่านี้อีก”

เสียงทุ้มๆ ดังที่หลังใบหูทำเอาผมขนลุกซู่ ขณะเดียวกันมือใหญ่ก็จัดการปลดตะขอแล้วดึงกางเกงของผมลงจากเอวอย่างรวดเร็วแทบไม่รู้ตัว

“เฮ้ย! ไม่เอา อย่า”

ผมดิ้นสะบัดสุดแรงเกิด แต่ยิ่งทำให้กางเกงหลุดลงไปกองกับพื้นเร็วขึ้น โจรอู๋รั้งเอวของผมไว้ด้วยแขนหนึ่งข้าง อีกข้างอยู่ข้างหลังกำลังถอดเข็มขัดของตัวเอง มันทำทุกอย่างเร็วมากจนน่าตกใจ เพียงไม่ถึงนาทีก็ถอดเสื้อผ้าของผมและตัวเองออกจนหมดเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า

“เดี๋ยวก่อน จะทำในสภาพนี้จริงๆ เหรอ!?” ผมหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ แต่ใบหน้าของไอ้โจรจริงจังมาก

“ทำไม มีปัญหาอะไร”

“นี่มันข้างถนนนะ”

“ก็ไม่เห็นมีรถสักคัน”

“แต่เดี๋ยวอาจจะมีก็ได้”

“ช่างหัวมันทำไม”

“มึงไม่แคร์ แต่กูอายโว้ย!”

“รถติดฟิล์มทึบไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่เอา! อย่าทำ โอ๊ย ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”

ไม่ทันจะพูดต่อ มันก็รวบตัวผมไปกอดจนข้างหลังของผมแนบชิดกับข้างหน้าของตัวเอง ก่อนจะจูบที่หลังหู ต้นคอ ท้ายทอย ไล่ไปที่ไหล่และแผ่นหลัง แม้ผมจะไม่มีอารมณ์อย่างว่า พอเจอแบบนี้เข้าไปก็เครื่องร้อนอย่างช่วยไม่ได้ (ให้ตายเถอะ) อาการแข็งขืนหลอมละลายกลายเป็นอ่อนระทวยเหมือนเทียนไขถูกไฟลน ทว่าก็มีจุดที่ทำให้หงุดหงิดอยู่เหมือนกัน

“จะกัดอะไรนักหนา เป็นหมาเหรอ” ผมดุ ก็แม่งเอาแต่แทะคอกูอยู่นั่นแหละ นี่คนนะ ไม่ใช่เล้ง!

“อือ ชอบด่ากูปากหมานักนี่ ก็เป็นหมาให้นี่ไง” มันว่าแล้วเปลี่ยนตำแหน่งจากคอไปที่บ่า

“เบาๆ! เนื้อกูจะหลุดติดฟันมึงละเนี่ย” ผมตะโกนพร้อมกับฟาดแขนมันทีนึง

“โทษว่ะ ก็มึงน่ากินจริงๆ”

“สัด...”

“ขาวยังกับน้ำนม นุ่มอย่างกับโมจิ ตัวก็หอม ใครเป็นกูก็คงอยากกัดให้จมเขี้ยวทั้งนั้น”

“ทำก็ทำไป ไม่ต้องพูดมาก”

ผมขัดด้วยความเขิน เกิดมาทั้งชาติยังไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของกินมากกว่ามนุษย์เท่าไอ้เวรคนนี้เลย

ระหว่างที่จูบพรมไปทั่วตัวผม มืออีกข้างหนึ่งของมันที่อยู่ข้างหลังก็ปลุกเร้าของๆ ตัวเองไปด้วย เมื่อแข็งขันได้ที่มันก็เปิดช่องเก็บของหน้ารถแล้วหยิบซองฟอยล์ออกมาฉีกด้วยปากเหมือนหมากฝรั่ง ก่อนจะสวมด้วยความรวดเร็วดั่งผู้เชี่ยวชาญ มือทั้งสองข้างจับเอวของผมยกขึ้นจากตักเล็กน้อยในระดับที่ตรงกัน หยิบเอาเจลแบบหลอดยี่ห้อตัวเคกับวายออกมาทาตรงจุดเชื่อมต่อ สักพักก็ค่อยๆ สอดใส่ ผมกัดฟันกลั้นเสียง มือกำแน่นจนชา และเมื่อถูกแทงเข้ามา น้ำตาผมก็เล็ดด้วยความเจ็บที่ยังไม่คุ้นเคย

“อย่าเกร็งสิ”

“มึงก็พูดได้ มึงไม่ใช่ฝ่ายโดน...”

“กูก็เจ็บเหมือนกัน มึงรัดกูแน่นจนจะกุดอยู่ละ ยังไม่บ่นสักคำ”

“สัด หุบปาก”

ถึงไม่เห็นหน้าแต่ผมก็รู้ว่ามันคงยิ้ม ไอ้เวรเอ๊ย มันคิดว่าที่ผมยอมให้ทำแบบนี้เพราะเริ่มใจอ่อนแล้วมั้ง แต่จะบอกให้เอาบุญ สำหรับผมน่ะร่างกายกับจิตใจแยกจากกันชัดเจน ผมสามารถมีเซ็กส์ได้ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์โกรธ เศร้า เหงา หรือเฉยๆ และไม่เกี่ยวด้วยว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร (เคยบอกแล้วผมไม่ใส สมัยที่โสดน่ะนะ) อยากก็เอา จบ เพราะงั้นถึงจะโดนมันปล้ำก็ไม่ทำให้ผมหายโมโหได้หรอก...จริงๆ!

มันคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ จนมิดสุดแล้วก็เริ่มขยับเขยื้อนเป็นจังหวะจากช้าไปเร็ว ผมทั้งเจ็บและหวาดเสียวจนเกือบเสียการทรงตัว เลยใช้สองมือเกาะพวงมาลัยไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ดังนั้นทุกครั้งเมื่อมันกระแทกกระทั้น ใบหน้าของผมจึงกระทบกับแตรเกิดซาวด์เอ็ฟเฟ็คต์ดังปี๊นๆ เป็นระยะ กลัวชิบหายว่าชาวบ้านจะได้ยินแล้วแห่มาดู แต่โชคดีที่ไม่มี

เซ็กส์เอ้าท์ดอร์นี่มันระทึกใจไม่ต่างกับหนังผีเลยว่ะ...กลัวนะ แต่ก็อยากดู
               
รอบที่หนึ่งดำเนินไปราวสิบนาที หลังจากบดเบียดเสียดสีจนถึงจุดไคลแม็กซ์แล้วเราสองคนก็หยุดนิ่งค้าง ร่างกายสั่นสะเทือน ก่อนจะปลดปล่อยออกมาไล่เลี่ยกัน นาทีนั้นเราแทบหยุดหายใจ ตัวเบาหวิว หัวหมุนคว้าง เหมือนถูกขว้างออกไปสู่แดนสุญญากาศนอกโลก
               
คนข้างหลังครางยาวอย่างพึงพอใจและเอนตัวนอนราบลงกับเบาะ ผมเกือบจะลุกออกไปแล้ว แต่มันกลับรั้งเอวผมไว้ สิ่งนั้นของมันที่อยู่ในร่างผมยังร้อนและสั่น บ่งบอกว่าความต้องการยังไม่หมดง่ายๆ
               
“กูเหนื่อยแล้ว พอก่อน” ผมท้วง
               
“อีกรอบนึง...นะ”

โจรพูดเบาๆ ด้วยเสียงหอบกระเส่า แล้วลุกขึ้นมานั่งประชันหน้ากับผม สองแขนกอดรัดแนบแน่น ก่อนจะจูบปากพร้อมกับกระแทกเอวเข้าหาอย่างหนักหน่วง แล้วผมจะทำไงได้ล่ะนอกจากอ่อนยวบยาบ ต้องกอดเกี่ยวเหนี่ยวรั้งร่างล่ำสันของมันเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองปลิวหายไปกับแรงไหวสะเทือน

เราเกือบเสร็จในท่านั่ง แต่มันผลักให้ผมนอนราบลงกับเบาะในท่าพื้นฐาน มันเคยบอกว่าชอบท่านี้เพราะไม่เหนื่อยเหมือนท่ายากๆ จะได้มีแรงไว้ทำอีกหลายครั้ง...ดูเอาเถอะครับ เล่ห์เยอะยันบนเตียง

อย่างที่เคยบอกไป มันชอบซุกไซ้ซอกคอผมเอามากๆ อย่างกับตรงนั้นเป็นบ่อกำเนิดฟีโรโมนก็ไม่ปาน ซุกไม่พอยังกัดบ้าง ดูดบ้าง คิดว่าตัวเองเป็นแวมไพร์รึไง...ผมก็เกลียดเหลือเกิน เพราะรู้สึกดีจนแทบคุมสติไม่อยู่ เผลอครางเสียงอ่อนเสียงหวานให้มันได้ใจทุกที ยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีหนวดดกๆ คอยทิ่มบาดผิวด้วยแล้ว แม่งแทบจะเป็นเดอะเบสต์ของการสัมผัส รองลงมาจากท่อนข้างล่างเลยทีเดียว

นอกจากนี้มันยังชอบมองเรือนร่างของผมประหนึ่งดูผลงานทางศิลปะ ทั้งชื่นชมและเพ้อฝันในเวลาเดียวกัน เหมือนที่กำลังทำตอนนี้เนี่ย

“สวย...”

“ฮึ?”

“เอ็งสวยเหมือนภาพวาดเลย”

“เชี่ย พูดไร......”

ผมหันหน้าหนี ร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ไม่เข้าใจว่าจะเขินทำไม

โจรอู๋โน้มตัวลงมาจนใบหน้าของเราห่างกันเพียงระยะลมหายใจ สายตาของมันเป็นประกายในความมืดสลัว เป็นแววตาอ่อนโยนที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เรามองตากันขณะที่ร่างกายท่อนล่างกลืนกินกันอย่างหนักหน่วง แล้วมันก็พูดออกมา

“เอ็งเป็นของข้า แสงเทียน เป็นเมียข้า จากนี้ไปข้าจะไม่ให้ใครทำอันตรายกับเอ็งได้อีก...จะปกป้องเอ็งด้วยชีวิต... ข้าสัญญา”

“............”

จู่ๆ หัวใจของผมก็เต้นแรงมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า

คำพูดนี้คืออะไร ใช่คำบอกรักไหม แล้วพูดทำไม ต้องการสิ่งใด? 

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บัดนี้มันได้ฝังหยั่งรากลึกเข้าไปในหัวใจ ตอกติดไว้ในวิญญาณของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ดีว่านับจากวันนี้ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าผมกับมันจะเป็นเช่นไร จะอยู่ด้วยกันหรือแยกจาก คำพูดนี้จะฝังตรึงอยู่กับผมอีกนาน ผมคงไม่อาจสลัดมันออกไปง่ายๆ

จนถึงวันตาย ก็คงไม่ลืม

...

เราร่วมรักกันสองชั่วโมงเศษตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสองกว่า เบาะหนังเปียกไปด้วยน้ำประหนึ่งแล่นผ่านงานสงกรานต์ถนนข้าวสาร สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ก่อนที่ประสาทสัมผัสทุกทางจะปิดลงด้วยความเมื่อยล้า คือรอยยิ้มมุมปากขณะที่มันสวมเสื้อผ้าให้ผมและตัวเอง แล้วสตาร์ทรถขับแล่นฉิวออกไป


ผมถึงรู้ว่ารถไม่ได้เสีย และเมียมันก็โคตรโง่เลย





///

มาแล้วจ้า ทั้งช้าทั้งดึก ฮืออออ

คำถาม: จากบทนี้ วิธีง้อเมียที่ดีที่สุดคือข้อใด (10 คะแนน)

ก.ขอโทษ

ข.จับปล้ำ

5555555

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ><
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 24-12-2018 22:48:45
ข.จับปล้ำ !!!  :-[
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-12-2018 06:34:28
นี่ก็เชื่อสนิทใจเลยว่ารถเสีย5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.14 ภารกิจสองผัวเมีย (12/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 25-12-2018 09:41:05
สนุกง่ะะะะะ ตลกดี5555 แต่แอบเศร้าง่ะ คือไม่รู้ว่าคุณโจรจะจริงใจกับแสงเทียนแค่ไหน แต่พี่แกก็แสดงการกระทำออกมาชัดเจนอยู่นะเนี่ย รออ่านต่อไปค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (23/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 27-12-2018 02:34:24
ข. อย่างมั่นใจ 555555  :-[
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (23/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 27-12-2018 04:12:56
5555. แสงเทียนเอ้ย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (23/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-12-2018 08:38:34
โหย รถเสียเนี่ยนะ พอเสร็จแล้วขับไปได้เลย ไม่น่าเลยแสงเทียน อิอิอิ
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (23/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 27-12-2018 08:55:09
แสงเทียนแรงพอเท่ากับเทียนพรรษาสิบเล่ม ก๊ากๆ  เหลืออเล็กซ์ เคฟ จะคู่ใคร
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.15 วิธีง้อเมีย (23/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-12-2018 21:58:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 --สืบ-- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 28-12-2018 22:30:19
16
-สืบ-



หมวดรักษ์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ขยี้ตางัวเงียมองรอบตัวด้วยความงุนงง พบว่านี่ไม่ใช่บ้านตน เกือบจะสงสัยว่าเป็นบ้านใคร แต่หางตาเหลือบไปเห็นผู้ชายหล่อสูงขาวเป้าใหญ่ในโปสเตอร์ติดฝาผนังซะก่อน เป็นรูปยุครุ่งเรือง (จริงๆ คือสามเดือนก่อน) ของนายแบบสุดฮอตสมชื่อเปลวไฟ ตำรวจเชื่อมโยงได้ฉับพลันว่าที่นี่คงเป็นแหล่งพำนักของคนในโปสเตอร์นี่เอง

เขาปะติดปะต่อเรื่องราวเมื่อคืนเท่าที่จำได้ ก็นึกออกว่ากำลังนั่งรถกับเปรมประกิตติ์ แต่เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น...เขาไม่รู้ บางทีอาจจะเผลอหลับในล่ะมั้ง คนที่นั่งข้างๆ เลยอาสาขับแทน

แต่หมวดก็สงสัยอยู่ดีว่าทำไมถึงถูกพามาที่นี่ แทนที่จะเป็นสน.

อยากถามให้รู้ความ ทว่าเจ้าของห้องกำลังเปิดเพลงขณะอาบน้ำดั่งกระหึ่ม ดังชนิดที่ว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็คงไม่ได้ยิน เลยเก็บความสงสัยไว้ก่อน

ตำรวจหนุ่มดูโปสเตอร์อีกครั้ง จำได้ว่าเป็นภาพถ่ายบนปกนิตยสารชื่อลองจิจูด เนื่องจากวันที่เล่มนั้นออกเป็นวันเดียวกับที่นิยายเล่มล่าสุดของแสตมป์เบอรี่วางแผงพอดี หมวดไปร้านหนังสือเพื่อซื้อนิยาย แต่กลับรู้สึกแย่เพราะพนักงานมัวแต่เชียร์ขายนิตยสารที่ว่าท่าเดียว ไม่เกรงใจสาวกแม่แตมอย่างเขาเอาซะเลย คิวที่แคชเชียร์ก็ยาวเพราะสาวๆ พากันเหมาคนละเล่มหรือหลายๆ เล่ม สุดท้ายหมวดรอจ่ายเงินไม่ไหว เลยซื้อจากออนไลน์แทน นึกแล้วก็งงใจว่าไอ้นิตยสารที่บรรจุแต่ภาพเนื้อหนังของผู้ชายที่ชาตินี้ไม่มีวันจับต้องได้ มันมีดีตรงไหนกัน?

อย่างไรก็ตาม จะเรียกนั่นเป็นการพบกันครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการของหมวดกับเปรมประกิตต์ก็ว่าได้

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงห้าวห้วนของชายผู้เป็นเจ้าทุกข์ในเวลางานดังขึ้นเมื่อเปิดประตูออกมาด้วยสภาพผ้าขนหนูผืนเดียว หมวดรักษ์สำรวจมัดกล้ามเรียงตัวสวย ณ หน้าท้องสีขาวนั้น ได้ข้อสรุปว่ามันดูดีกว่าในรูปราวๆ สิบแปดเท่าได้

“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมมาอยู่ที่นี่” แขกถาม

“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” เฟลมท่าทางโมโหทันที “คุณขับรถแล้วจู่ๆ ก็หลับในไง! เกือบโดนสิบล้อชน ผมเลยขับแทนแล้วพามาที่บ้านเนี่ย”

“อ้อ เหรอ” ดวงตาของหมวดกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่ยังดูมึนงง “สงสัยผมจะอ่านนิยายหนักจนหลับดึกไปหน่อย ขอโทษที”

“เออๆ ช่างมัน ตื่นแล้วก็ดี กลับบ้านไปเลย”

เฟลมโบกมือไล่ แอบผิดหวังที่รู้ว่าสาเหตุการอดนอนของหมวดคือติดนิยาย ไม่ใช่โหมทำคดีของตน... ตำรวจประสาอะไรกัน

หมวดรักษ์ทำท่าจะลุกจากเตียง แต่เมื่อก้มมองสภาพตัวเองแล้วก็เกิดคำถามอีก “เสื้อผมหายไปไหน ทำไมเหลือแต่เสื้อกล้าม นี่คุณลักหลับผมเหรอเปรมประกิตติ์”

ได้ยินอย่างนั้นเฟลมแทบสำลักน้ำลาย “จะบ้าเหรอ! ใครจะไปทำ! แอร์มันเสีย ผมกลัวคุณร้อนตับแตกตาย เลยถอดให้ต่างหาก”

“ว้าว เป็นห่วงกันด้วยแฮะ”

“ห่วงกะผี! ไปไหนก็ไป เดี๋ยวก็เข้างานสายหรอก”

“นี่เพิ่งหกโมงเอง” หมวดยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนต่ออีกนิดนึงนะ”

“ไม่ได้! ผมจะออกไปทำงานแล้ว ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

เฟลมโวยวายเมื่อเห็นหมวดเอนตัวลงนอน เขาเข้าไปชิดเตียงแล้วกระชากผ้าห่มออกจากตัวแขกก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้น

“โอ๊ย อย่าทำร้ายเจ้าหน้าที่สิคุณ”

“ตอนนี้คุณยังไม่เข้างาน เพราะงั้นคุณยังไม่ใช่ตำรวจ ผมไม่กลัว”

ชายหนุ่มว่าแล้วดึงแขนหมวดลุกจากเตียง แต่ฝ่ายนั้นรั้งตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น และด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งของตำรวจ จึงส่งผลให้เฟลมเป็นฝ่ายล้มลงใส่เตียงแทน

“!!!!!!!”

“!!!!!!”

แม้จะเป็นฉากที่คาดเดาได้ว่าต้องเกิดขึ้น เพราะในละครหรือนิยายร้อยละเก้าสิบเก้าต้องมี แต่พอเอาเข้าจริงใครๆ ก็คงช็อก

เฟลมล้มลงมานอนทับร่างของหมวดและผ้าขนหนูที่พันท่อนล่างก็หลุดออก เผยให้เห็นจุดยุทธศาสตร์เต็มตาจนหมวดรักษ์หายหน้ามึน ตามึนๆ กลายเป็นเบิกกว้าง เฟลมผวารีบผละจากร่างของหมวดแล้วคว้าผ้าขนหนูมาปิดด้วยท่าทางลนลาน

“อย่ามองนะ!”

เจ้าของห้องถอยห่างจากเตียงแล้วพันผ้ากลับ ใบหน้าแดงก่ำร้อนฉ่าเหมือนเพิ่งฟาดมาม่าเกาหลีมาสามห่อ

“จะอายทำไม คุณก็มีเหมือนที่ผมมีนั่นแหละ...แค่ขนาดต่างกันคนละไซส์”

“หยุดพูดเลย! ออกจากห้องผมได้แล้ว!” เจ้าของห้องออกปากไล่รอบที่สี่ล้าน

“ไหนๆ เมื่อคืนคุณก็ช่วยผมแล้ว ผมจะตอบแทนด้วยการไปส่งคุณที่ทำงาน” หมวดว่า   

“ไม่ต้อง ผมไปเองได้” อีกฝ่ายปัดทิ้งไร้เยื่อใย

“ต้นถนนเริ่มก่อสร้างทางรถไฟฟ้าแล้วนะ ลองคิดดูสิว่ารถจะติดสักแค่ไหน”

“แล้วไง ถึงไปกับคุณก็ต้องติดอยู่ดีมั้ย”

“ไม่ เพราะรถผมมีไซเรน”

“เลว” เฟลมตีแสกหน้า “นี่ผมต้องฝากชีวิตไว้กับคนเลวแบบนี้จริงๆ เหรอวะ”

คนถูกด่าหัวเราะ “ล้อเล่นน่า จะพาขึ้นทางด่วนต่างหาก ประหยัดเวลาไปได้เกือบครึ่ง ตกลงตามนี้นะ”

“มัดมือชกขนาดนี้ก็ไม่ต้องถามแล้วล่ะ”

เฟลมถอนหายใจฟึดฟัดแล้วหยิบยูนิฟอร์มร้านฟาสต์ฟู้ดไปใส่ในห้องน้ำเสร็จภายในหนึ่งนาที หมวดรักษ์หาวและบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า หยิบเสื้อของตนที่แขวนข้างฝามาสวมแล้วออกจากห้องตามหลังเฟลมไป

“หิวยัง หาข้าวกินก่อนมั้ย” หมวดถาม

“ไม่ ผมไปกินที่ร้าน”

“อ๋อ จะแวะซื้อกลางทางสินะ”

“เปล่า ที่ร้านมีให้กิน”

เฟลมตอบไม่เต็มเสียงเนื่องจากอับอาย เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังถังแตกถึงขนาดไม่มีปัญญาซื้อข้าวแดกเอง (นี่เป็นหนึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจทำงานร้านอาหาร...) สำหรับเขาคำว่า ‘กินข้าวฟรี’ ทำให้ศักดิ์ศรีถูกบั่นทอนลงจนเหี้ยน เขารู้สึกเหมือนเด็กกำพร้าหรือคนจรจัดอนาถาที่ต้องรอความเมตตาจากสถานสงเคราะห์แจกจ่ายอาหารให้

ทว่าหมวดกลับมองต่าง “แบบนี้คุณก็ประหยัดเงินได้มากโขเลยล่ะสิ ทำงานร้านอาหารมันดีแบบนี้เอง น่าอิจฉาจังนะครับ”

ไม่รู้ว่าพูดประชดหรือมองโลกในแง่ดีกันแน่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดความอายในใจให้น้อยลง

ถามว่าเหตุใดจึงเลือกงานนี้ ทั้งที่เงินจากการถ่ายแบบก็น่าจะมีอยู่เยอะแยะ นั่นก็จริง แต่เนื่องจากเขาไม่มีวันได้หวนกลับไปสู่วงการอีกแล้ว (นอกจากกลับไปซบไข่ไอ้มาร์ค...) เลยกลับไปเรียน ซึ่งก็ต้องใช้เงินมาก ทั้งค่าเทอม ค่าตำรา ค่าโปรเจ็คต์ต่างๆ หนำซ้ำแสงเทียนไม่อยู่ ค่าห้องราคาหลายพันที่เคยหารกัน เขาก็ต้องจ่ายคนเดียว ไหนจะค่ากินค่าใช้ประจำวัน กับค่าจ้างนักสืบอีกล่ะ ยิ่งคดีใช้เวลานาน ก็หมายถึงรายจ่ายบานเป็นเงาตามตัว แบบนี้จะให้อยู่เฉยๆ อย่างไรไหว เลยตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านฟาสต์ฟู้ด สาขาในห้างใหญ่ใจกลางกรุง เนื่องจากได้ค่าจ้างสูงกว่าสาขาอื่นๆ รอบนอก

เดินลงบันไดไปด้วยกันจนถึงชั้นล่างเฟลมก็โบกมือลาผสมไล่ ดึงดันจะขึ้นรถเมล์ แต่หมวดโน้มน้าวผสมบังคับให้ไปรถยนต์ด้วยกัน แม้เฟลมจะอ้างว่ารถ ‘สำหรับใช้ในราชการเท่านั้น’ แต่ใครล่ะจะฝ่าฝืนกฎหมายได้มากเท่าตัวข้าราชการเอง?

“วันนี้จะทำอะไร” เฟลมถามระหว่างนั่งรถ จริงๆ ไม่ได้อยากเสวนาด้วย แต่แรงเร้าภายในผลักดันให้เขาต้องถาม 

“ก็ทำงานน่ะสิ”

“ไม่ใช่ หมายถึงงานอะไร”

“ถ้าอยากรู้เรื่องคดีของคุณ ทำไมไม่ถามตรงๆ ล่ะ”

เฟลมหน้าร้อนผ่าว เขาเกลียดไอ้ตำรวจนี่

“เออ จะทำไรกันมั่ง”

“นักสืบทิวาจะกลับไปเก็บรายละเอียดเพิ่มที่ตึกร้าง จ่าตะวันกับผมจะลงพื้นที่สอบปากคำครอบครัวกับเพื่อนฝูงของนายอติศร เผื่อจะได้เบาะแสมากขึ้น”

“ไปตอนไหน” เฟลมตาเหลือบวาว

“ความลับทางราชการ” หมวดยักคิ้ว

“ขอผมไปด้วยได้รึเปล่า”

“ไม่ได้ คุณเป็นที่รู้จักของประชาชนพอสมควร อย่างน้อยก็กลุ่มผู้หญิงน่ะนะ ผมเกรงว่าคนจะให้ความสนใจกับคุณมากกว่าตัวคดี แล้วงานจะไม่คืบหน้า ขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ” ปากว่าอย่างนั้น แต่สีหน้าผิดหวังแรง “ว่าแต่...คุณบอกพ่อแม่ของเทียนรึยัง”

“ยัง ผมคิดว่าคุณจะบอกเองซะอีก” ตำรวจเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่ง

“ไม่ ผมไม่กล้า” เฟลมส่ายหัว “ถ้าผมบอก พวกเขาต้องสาปแช่งผมจนตกนรกหมกไหม้แน่ๆ”

“ทำไมงั้น”

“เพราะผมสัญญาว่าจะรักและดูแลเทียนให้ดีที่สุดไง คุณรู้ใช่ไหมล่ะว่าเทียนเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่หวงเขายิ่งกว่าไข่ในหิน”

“อือฮึ”

“กว่าเราจะได้คบกัน ผมต้องผ่านบททดสอบต่างๆ นานาจากพ่อแม่เขา พิสูจน์ให้เห็นว่าผมรักเทียนจริงๆ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ พ่อแม่เทียนเชื่อใจผมมาก สามปีที่ผ่านมาพวกเขารักผมเหมือนลูกอีกคน...แต่ดูตอนนี้สิ ผมทำลูกชายพวกเขาหาย ทำลายความไว้ใจของพวกเขา แล้วคุณจะให้ผมเอาความกล้าที่ไหนไปเสนอหน้าบอกพวกเขากันล่ะ”

ท้ายประโยคปลายเสียงของเฟลมสั่นเครือ เหมือนถูกคลื่นความโศกเศร้าเข้าแทรก เขาหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นระลอกสั่นไหวในแววตา เขาไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าตำรวจนายนี้

“แต่ผมว่าพ่อแม่คุณแสงเทียนควรจะรู้ บางทีอาจเป็นพวกเขาเองที่ช่วยเหลือให้ลูกชายหนีไปจากคุณ”

“ว่าไงนะ?” เฟลมหันขวับ ตาหรี่ หัวคิ้วขมวด “พูดบ้าอะไรของคุณ ก็ไหนบอกว่าเทียนโดนโจรลักพาตัว หลักฐานก็มีอยู่ทนโท่”

“ก็ไม่แน่เสมอไป”

“คุณกำลังกล่าวหาว่าแม่เทียนเป็นคนจัดฉากงั้นเหรอ? ท่านเป็นคนจิตใจดี แล้วก็เป็นถึงครูบาอาจารย์ จะทำเรื่องเลวๆ แบบนั้นเพื่ออะไร!”

เฟลมฉุนขาด โมโหจนอยากต่อยหน้าคู่สนทนาให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่เกรงใจปืนพกที่เหน็บเอวมันอยู่ล่ะก็นะ

หมวดหันไปมองคู่สนทนาด้วยดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง

“เพื่อแก้แค้นคุณไง”

“คุณอ่านนิยายมากเกินไปแล้ว” เฟลมส่ายหัว

“ในฐานะตำรวจ ผมบอกเลยว่านิยายยังไม่โหดร้ายเท่าเรื่องจริง ถ้าคุณรู้ว่าวันๆ ผมต้องเจอคดีสะเทือนขวัญอะไรบ้าง คุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงติดนิยายโลกสวยนัก...ก็เพื่อหักดิบกับโลกของความเป็นจริงไงล่ะ”

“...” เฟลมกลืนน้ำลายแทบไม่ลง

“ผมตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณแสงเทียนดูแล้ว เขาโทรหาแม่ทุกวันเสาร์ คุยครั้งละประมาณสิบนาที แต่ครั้งสุดท้ายเขาคุยถึงหนึ่งชั่วโมง ไม่คิดว่ามันแปลกๆ บ้างเหรอ”

“...วันเสาร์ วันที่เทียนหายตัวไป” เฟลมพึมพำ “เขาโทรหาแม่ตอนกี่โมง”

“ราวๆ หกโมงเย็น”

“ก่อนที่เราจะมีปากเสียงกัน”

“ใช่ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คุณแสงเทียนจะเล่าเรื่องคุณนอกใจให้แม่ฟัง เธอเลยวางแผนให้ลูกชายหลบหนีหรือจัดฉากเกมลักพาตัวขึ้น”

“ผมก็ยังคิดว่ามันเหลวไหลอยู่ดี”

“ทุกข้อสันนิษฐานล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น การตัดสินแค่ผิวเผินไม่ทำให้การสืบสวนคืบหน้า แต่จะถูกจำกัดในวงแคบๆ”

เฟลมหน้าชาอีกระลอก เจ็บใจที่ถูกตอกกลับอย่างแสบสันต์ แต่ก็ทำให้รู้ว่าตำรวจนายนี้มีเหตุมีผล และรู้ว่าตัวเองใช้อารมณ์มากเกินไป

“เคยดูหนังเรื่อง Gone Girl ไหม?” หมวดถาม

“เดวิด ฟินเชอร์กับเบ็น เอฟเฟล็ค สองยอดฝีมือคนโปรดของผม” เฟลมพยักหน้า “แต่ผมไม่คิดว่าแม่ของเทียนจะ Bitch เหมือนนังเอมี่ที่ลักพาตัวเองหรอกนะ”

“ผมก็พูดไปงั้นแหละ ถึงเธอไม่ได้ทำ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงจะพอจับสัญญาณที่ไม่ชอบมาพากลจากลูกชายได้บ้าง”

“ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งบอกเลย จนกว่าจะถึงเสาร์หน้า” เฟลมว่า “หากท่านโทรมา แสดงว่ายังไม่รู้ว่าเทียนหายตัวไป แต่ถ้าไม่...ผมจะเป็นฝ่ายโทรไปหาท่านเอง”

“ดีเหมือนกัน ไม่แน่เราอาจเจอคุณแสงเทียนภายในสี่วันที่เหลือ”   

“สาธุ” เฟลมถอนหายใจ “รับปากกับผมได้ไหมว่าถ้าคุณได้เบาะแสที่อยู่ของโจรแล้วจะพาผมไปด้วย”

“เสียใจ สิทธิ์วิสามัญคนร้ายเป็นของตำรวจเท่านั้น”

หมวดบอกอย่างรู้ทัน เฟลมพ่นลมออกจมูก

“เกลียดคุณชิบหายเลยว่ะ”



ด้านสามหนุ่มสามมุม

นักสืบทิวามีความคืบหน้าคือพบรอยนิ้วมือในตึกร้างเพิ่ม ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของชายชื่อ ‘บรรณภพ พวงเซ่’ หรือบอมเบย์ หนุ่มไทยวัยยี่สิบเอ็ดปีผู้มีทะเบียนบ้าน ณ ชุมชนสลัม กับอีกคนคือ ‘อเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์’ หนุ่มลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ผู้ร้ายที่เพิ่งมีหมายจับคดีลักทรัพย์ไปหมาดๆ ทำให้รู้ว่าโจรพวกนี้มีกันเป็นแก๊ง

นักสืบแจ้งไปยังหมวดรักษ์และจ่าตะวัน ทั้งสองเตรียมลงพื้นที่ค้นหาเบาะแสทันที โดยหมวดรักษ์ปักหลักอยู่ที่เยาวราชเพื่อตามหาฝั่งนายอติศรควบนายฝรั่งอเล็กซ์ที่สถานสงเคราะห์เด็กบ้านนกกาเหว่า ส่วนจ่าตะวันมุ่งหน้าไปยังชุมชนสลัมที่เป็นบ้านเกิดของนายบรรณภพ

หัวหน้าทีมลงพื้นที่พร้อมกับข้อมูลอาชญากรที่สุดแสนจะโหรงเหรง เนื่องจากนายอติศร แซ่อู๋ มีประวัติค่อนข้างคลุมเครือ ช่วงสิบเจ็ดปีแรกของชีวิตไม่มีข้อมูลของเขาในประเทศไทย เพราะเจ้าตัวเพิ่งย้ายทะเบียนบ้านจากปักกิ่งมาเมื่อห้าปีก่อน ข้อมูลเท่าที่ตำรวจมี ณ ตอนนี้คือบิดาของเขาชื่อนายอดิศักดิ์ ลิ้มประเสริฐไพศาลยทรัพย์ (สกุลเดิมแซ่ลิ้ม) อดีตเจ้าของภัตตาคารซีฟู้ดที่มีสาขาในไทยนับสิบ มารดาเป็นชาวจีนชื่ออู๋ฮวาเหมย ซึ่งไม่ได้ติดตามลูกและสามีมาไทย แต่ดูแลสาขาใหญ่ในปักกิ่ง นับว่านายอติศรเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยโดยแท้ รวยชนิดที่ว่าไม่มีใครคาดคิดว่าอนาคตเขาจะกลายเป็นคน ‘จน’ หรือ ‘โจร’ ไปได้

แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน

หกเดือนก่อนนายอดิศักด์มีความขัดแย้งทางธุรกิจกับหุ้นส่วนชาวจีนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนมหา’ลัยปักกิ่ง ฝ่ายนั้นบินมาหาเขาถึงไทยเพื่อเจรจากันตัวต่อตัวเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม ไปๆ มาๆ จากทะเลาะธรรมดาก็กลายเป็นชักปืนมายิงกันดับอนาถทั้งคู่ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมลงพาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในเวลานั้น

ความจริงมันควรเป็นแค่ข่าวฆาตกรรมเฉยๆ แต่เจ้าหน้าที่คิดว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงสืบไซ้ไล่เรียงจนพบว่ารายได้ทั้งหมดของบริษัทมาจากการฟอกเงินของธุรกิจผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จักรวาลภัตตาคารจึงถึงกาลอวสาน บรรดาพนักงาน ครอบครัว เพื่อนพ้อง และญาติๆ ของนายอดิศักดิ์ถูกสอบปากคำไม่เว้น โดยเฉพาะนายอติศรผู้เป็นทายาท แต่ทุกคนก็พ้นข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงิน จากนั้นไม่ถึงเดือน นายอติศรก็หายสาบสูญ โผล่มาอีกทีก็อยู่ในทีวีช่องข่าวอาชญากรรมในช่วงต้นเรื่อง

หมวดรักษ์ปักหมุดจุดแรกที่บ้านตระกูลลิ้มประเสริฐไพศาลยทรัพย์ ที่บัดนี้มีนายอดิเรก น้องชายของนายอดิศักดิ์เป็นเจ้าของบ้าน เดิมทีตำรวจหนุ่มวาดภาพไว้ว่าคงเป็นบ้านหลังใหญ่มหึมา มีสระว่ายน้ำสิบตารางวา มีสนามหญ้าให้หมาวิ่งเล่น แต่ความจริงสิ่งที่เห็นเป็นเพียงตึกแถวโทรมๆ ขนาดสามคูหาสามชั้น ชั้นล่างเปิดร้านซีฟู้ดบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างทะเลเดือด...มรดกชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพี่ชายหลงเหลือไว้ให้หลังความตาย

ตำรวจมาถึงตอนสายๆ ถามลูกจ้างพม่าว่านายอดิเรกอยู่ไหน ไอ้หนุ่มฟังเข้าใจแต่อธิบายไม่ถูก เลยชี้ไปด้านหลังร้าน หมวดรักษ์พยักหน้าขอบคุณแล้วเดินไปสุดทาง เจอเจ้าของบ้านกำลังนั่งเก้าอี้เตี้ย ล้างกุ้งในกะละมังอย่างขมักเขม้น เขาเป็นชายร่างอวบ ผิวขาวจัด แก้มสองข้างแดงปลั่งเหมือนเด็กทิเบต คิ้วหนาดกดำเหมือนปลิง เอกลักษณ์ประจำตระกูลแบบเดียวกับโจรอู๋ มั่นใจว่าไม่ผิดคน 

“สวัสดีครับคุณอดิเรก” หมวดกล่าวทักทาย

“ลื้อเป็นใครวะ เข้ามาทำไม ร้านยังไม่เปิด” ชายอวบละสายตาจากกะละมังหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญอย่างงุนงงผสมหงุดหงิด

“ผมร้อยตำรวจโทหริรักษ์ ป้องปกเกียรติ ที่โทรหาคุณเมื่อเช้า” พูดพลางแสดงเครื่องหมายข้าราชการให้ดู

“อ๋อ จำได้แล้ว แล้วไง มีอะไรรึ” นายอดิเรกหันความสนใจกลับไปที่กะละมังกุ้งตามเดิม

“ก็อย่างที่บอกไป ผมอยากสอบถามคุณเรื่องคดี”

“ของใคร ไอ้คนพ่อหรือไอ้คนลูก” น้ำเสียงที่เอ่ยถึงพี่และหลานของตนเองเจือแววชิงชังอย่างเปิดเผย “ถ้าเป็นของตัวพ่อ อั๊วพูดไปจนหมดไส้หมดพุงตั้งแต่หกเดือนที่แล้ว ขี้เกียจรื้อฝอยหาตะเข็บอีก ลื้อกลับไปดูแฟ้มสืบสวนเก่าๆ เอาเองเถอะ แต่ถ้าเป็นของไอ้ตัวลูก อั๊วไม่มีอะไรจะพูด”

“เรื่องคุณอดิศักดิ์จบไปแล้ว ผมมาเพราะเรื่องนายอติศรต่างหาก ที่คุณบอกว่าไม่มีอะไรจะพูด หมายความว่ายังไงครับ” ผู้มาเยือนถาม

อีกฝ่ายพ่นลมออกจมูกฟึดฟัดเหมือนกระทิงฉุนเฉียว

“ก็หมายความตามนั้น! อั๊วไม่รู้ห่าเหวอะไรเกี่ยวกับมันสักอย่าง!”

โกรธหลานก็พาลลงกับกุ้ง ทั้งบีบ ขย้ำ ฟาดกับน้ำจนกระทุ้งกระเทือน หมวดเห็นท่าว่าเจ้าของบ้านคงไม่เชิญเขาเข้าไปคุยเป็นกิจจะลักษณะในห้องรับแขกเป็นแน่ จึงนั่งเก้าอี้เตี้ยห่างๆ แล้วเปิดโปรแกรมอัดเสียงซะตรงนี้

“เท่าที่ผมรู้ คุณเป็นญาติฝั่งไทยที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของนายอติศร เขาน่าจะติดต่อคุณบ้างนะ”

“เฮอะ ไม่มีซะล่ะ! ตั้งแต่พ่อตายมันก็หายหัว ไม่เคยติดต่อมาจะครึ่งปีอยู่แล้ว อั๊วเจอหน้ามันอีกทีก็ตอนที่เป็นข่าวออกทีวีนี่แหละ!”

ความฉุนเฉียวของเจ้าบ้านรุนแรงขึ้น จนหมวดต้องถอยห่าง เพราะกลัวน้ำล้างคาวกระเด็นใส่

“ถึงอย่างนั้น คุณก็คงรู้จักเขาดีพอสมควร พอจะบอกได้ไหมว่าเขามีปัญหาใด ถึงได้กลายเป็น...โจร”

“ก็บอกว่าไม่รู้!” นายอดิเรกตะโกน ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก “ไอ้มี่มันเด็กจองหอง ไม่เคยเห็นหัวใคร เหมือนพ่อของมันนั่นแหละ! มีปัญหาห่ารากอะไร ฝันไปเถอะว่ามันจะบอกคนอื่น! อมพะนำไว้จนระเบิดฉิบหายในตอนท้าย แล้วก็ตาย แล้วก็หายตัว ทิ้งให้อั๊วหัวเดียวกระเทียมลีบรับเวรกรรมที่พวกมันก่อ!”

พูดจบก็โยนกะละมังกุ้งดังโครมระบายความเจ็บแค้น แล้วหันไปลงไม้ลงมือกับกะละมังปูต่อ

“...เก๊กฮวยมั้ยครับ” ตำรวจยื่นขวดน้ำหวานที่ซื้อโปรหนึ่งแถมหนึ่งจากเซเว่นให้ด้วยความหวังดี

“วางไว้ตรงนั้นเหอะ!” เฮียซีฟู้ดตะคอก หมวดเกือบจะเห็นควันพุ่งออกหูเขาอยู่แล้ว

“งั้นคุณพอรู้ไหมว่านายอติศรจะไปที่ไหน หรือที่ๆ เขาชอบไป”

“หึ... ถ้ารู้อั๊วคงไปลากคอมันมากระทืบเป็นคนแรก ไม่ต้องรอให้ตำรวจถามหรอก!”

หมวดแอบผวา ไม่บ่อยนักที่ใครจะทำให้เขาหวาดหวั่นถึงขั้นนี้ นายอดิเรกเหมือนภูเขาไฟที่เดือดปะทุอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าอาศัยอยู่ได้ด้วยเชื้อไฟแห่งความเกลียดชังพี่ชายกับหลานชายมาตลอดครึ่งปี (และคงจะอีกหลายสิบปีจนกว่าจะตายไป)

“ไอ้ห่ามี่มันเด็กผี คนไม่รักดี เหมือนกับพ่อของมัน โกหกตอแหลเจ้าเล่ห์ ไว้ใจไม่ได้ แล้วยังเห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก ถึงได้ตายเยี่ยงหมาไง! อั๊วว่าป่านนี้ไอ้มี่ก็คงมีจุดจบไม่ต่างกับพ่อมันหรอก ลื้อลองไปหาดูแถวๆ ป่าละเมาะหรือบ่อขยะดูสิ ไม่แน่อาจเจอศพมันก็ได้!”


เกลียดอะไรขนาดนั้น...


“ดูเหมือนคุณไม่ถูกกับพี่ชายและหลานเลยนะครับ” หมวดว่า

“ไม่หรอกหมวด ต้องบอกว่าอับอายที่จะร่วมสายเลือดเลยดีกว่า!”

“...” ตำรวจหนุ่มยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“ไอ้สองคนนี้ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเราเสื่อมเสีย คนหนึ่งเป็นนักทุจริต อีกคนเป็นมิจฉาชีพ! ทุกวันนี้อั๊วอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เจอใครๆ ก็ทักว่าหลานโดนจับได้รึยัง! อั๊วไม่ได้เป็นคนเอาเงินของตระกูลไปทำเรื่องชั่วๆ จนครอบครัวล้มละลาย อั๊วไม่ได้จี้ปล้นใคร แต่ทำไมอั๊วต้องมารับเคราะห์แทนไอ้เฮียเหี้ยกับหลานหอกด้วย!”

“เอ่อ...ผมว่าใจเย็นก่อนนะครับ”

“ลื้อกลับไปซะหมวด ก่อนที่อั๊วจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดถึงไอ้สองคนนี้ทีไรละมันขึ้นทุกที!”

เจ้าของบ้านเตือน ซึ่งอีกฝ่ายก็เห็นด้วยตามนั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เป็นห่วงว่านายอดิเรกจะความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกหรือหัวใจวายตายซะก่อนต่างหาก จึงยอมถอยทัพ

“งั้นผมขอรบกวนคุณแค่นี้ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ หากมีเบาะแสอะไรที่เกี่ยวกับนายอติศร ช่วยติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ”

หมวดพูดแล้วลุกขึ้นยืน เจ้าของบ้านร้องเออแล้วโบกมือลาส่งๆ

ตำรวจหมุนตัวเตรียมกลับไปทางหน้าร้าน เสียดายเพราะคิดว่าน่าจะได้ข้อมูลมากกว่านี้ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ยังเหลืออาจารย์กับเพื่อนร่วมมหา’ลัยของนายอติศรอีกหลายคนที่รอให้เขาสอบปากคำ

ระหว่างทางจากหลังไปหน้าร้าน สายตาคมกริบของหมวดก็สะดุดเข้ากับรูปถ่ายของนายอดิเรกกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฉากหลังเป็นทะเลสีคราม ในรูปนั้นทั้งสองยิ้มกว้างจนตาหยี ยิ้มที่หมวดจินตนาการไม่ออกว่าจะปรากฏบนใบหน้ายู่ยับแดงก่ำดั่งลูกท้อบูดนั้นได้

“เด็กคนนี้ ลูกชายคุณหรือครับ” ถามเสียงค่อนข้างดังถึงคนหลังบ้าน 

“ใช่ ชื่อเคฟ เป็นเด็กดีที่หนึ่งในโลกเชียวล่ะ” น้ำเสียงชื่นชมบ่งบอกความภาคภูมิใจสูงสุด “กำลังเรียนปีสามคณะวิทยาศาสตร์ มอ XXX เชียวนะ เรียนเก่ง ขยัน ทำงานหาเงินใช้เองเรียนตั้งแต่มอปลาย ไม่เคยทำให้อั๊วเดือดร้อนเลย ไม่เหมือนไอ้มี่ ลูกพี่ลูกน้องห่วยๆ”

“อืม เป็นเด็กดีขนาดนี้ คุณคงภูมิใจในตัวเขามาก”

“มากสิ”

“หน้าตาก็หล่อเหลาเอาเรื่อง”

“เหมือนอั๊วตอนหนุ่มๆ”

ริมฝีปากที่บูดบึ้งมาสิบนาทีคลี่เป็นรอยยิ้ม เหมือนหนอนน่าเกลียดกลายร่างเป็นผีเสื้อ ความรักของพ่อที่มีต่อลูกมันอัศจรรย์เช่นนี้เอง

“ไว้ว่างๆ ผมจะแวะมากินซีฟู้ดนะครับ”

“เออ”

หมวดลากลับ กดหยุดบันทึกเสียง แล้วบันทึกข้อความลงในสมุดโน้ตหัวข้อ ‘บุคคลที่รอสอบปากคำ’


เคฟ ปีสาม วิทยาศาสตร์ มอ XXX



//// งานเข้าน้องเล็กของแก๊งแล้วไง
งานนี้อยู่ทีมใครกันคะ โจรหรือตำรวจ 5555
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 28-12-2018 23:15:39
น้องเคฟเป็นน้องบักมี่หนิ (อู๋ )
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-12-2018 23:48:23
งานเข้าแล้ววว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-12-2018 23:54:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 29-12-2018 00:45:42
เคฟงานเข้า 5555555555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-12-2018 00:57:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-12-2018 18:02:34
เป็นห่วงเคฟจังเลย เป็นเพราะเฮียอู๋ ต้องให้แสงเทียนนั่งทับให้ตายไปข้าง อิอิอิ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: NaunaeZaa ที่ 29-12-2018 22:16:06
เอาแล้ววว5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 30-12-2018 12:14:03
แย่แล้วว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 30-12-2018 13:13:11
ต่อเลยได้มั้ยๆ อยากอ่านต่อแล้ววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.16 -- สืบ -- (28/12/18)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 31-12-2018 00:18:48
ทำไมเราฝักไฝ่ฝ่ายโจร :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 05-01-2019 15:19:55


17
-เสาะ-



หากจะมีอะไรสั่นไหวกระเจิดกระเจิงกว่าพายุเฮอริเคน จ่าตะวันก็คิดว่าเป็นสติสตังของตัวเอง ณ เวลานี้เนี่ยแหละ

แม้จะผ่านภารกิจร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาหลายปี แต่ตำรวจหนุ่มหน้าใสใจสะอาดก็ยังไม่ชินกับการลง ‘พื้นที่สีแดง’ เลยสักที สำหรับเขาแล้วการเข้าบ้านผีสิงยังดีกว่าการบุกแดนคนเถื่อน เพราะอย่างแรกร้ายแรงสุดก็แค่กลัวขี้หดตดหายจับไข้สามวันสามคืน แต่อย่างหลังมีสิทธิ์ถูกฝังดับดิ้นสิ้นลมกลางดงตีน

จริงอยู่ที่เขาเป็นตำรวจ มีอำนาจ มีอาวุธ แต่จะมีความหมายอะไรเมื่ออยู่ในถิ่นที่กฎหมายไม่สำคัญเท่ากฎหมู่ หนำซ้ำคำว่าตำรวจอาจทำให้เขาตายไวขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เพียงแต่ปลอมตัว แต่ยังเขียนจดหมายลา (เผื่อ) ตายไว้กับหัวหน้าด้วย ที่เหลือก็ได้แต่ภาวนาให้ผลบุญที่สั่งสมมาคุ้มครองให้มีกะลาหัวรอดกลับไป

โบราณว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แล้วเข้าแดนอันธพาลจะเป็นอะไรไปได้...นอกจากอันธพาล!

จ่าตะวันแหกลุคตัวเองจากหนุ่มเรียบร้อยเป็นแว้นบอยมาดเกรียน ทำผมแสกกลางแบบหนุ่มเทคนิคสุดคลาสสิกที่เหมือนไม่เคยหลุดจากยุคเก้าศูนย์สักที ทิ้งเสื้อลายเทพเจ้าฮินดูสุดโปรดแล้วสวมเสื้อโอเว่อร์ไซส์สกรีนลายวงร็อกในตำนานที่สาบานได้ว่าชาตินี้จะไม่มีวันฟัง ใส่กางเกงยีนส์ย้วยๆ ขาดๆ หลุดตูดเล็กน้อย กับห้อยกระเป๋าตังค์มีสายโซ่คล้องเอว ตบท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบเหยียบส้น เป็นลุคที่แม่ของเขาเห็นแล้วต้องปวดใจถึงขั้นหนีไปบวชตลอดชีวิตแหงๆ

เท่านั้นไม่พอยังพกบุหรี่ เพราะรู้ว่ากุ๊ยแถวนี้ชอบ จะได้ใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมสัมพันธไมตรี

“เสก นะ ทาทิโสต...โม ลงโทษทาชิวหา...”

สวดนะโมสามจบตามด้วยคาถาป้องกันภยันตรายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช ไอดอลเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตเรียบร้อยแล้วก็ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

จ่าตะวันก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์แต่งเครื่องโหลดต่ำท่อดังเบาะปาดซึ่งยึดจากแก๊งเด็กแว้นป่วนเมืองที่ตอนนี้ถูกขังในสน. เข้าสู่หมู่บ้านสลัมด้วยอารมณ์เดียวกับทหารหนุ่มตบเท้าเข้าสมรภูมิสงครามโลก แล้วก็สงสัยว่าทำไมนะทำไม คนจิตอ่อนอย่างเขาจะต้องเข้าแดนผู้ร้าย ขณะที่คนจิตแข็งอย่างหมวดรักษ์ได้เข้าร้านอาหารกับบ้านเด็กกำพร้า!

สิ่งแรกที่ตำรวจหนุ่มเจอคือแก๊งชายวัยฉกรรจ์เกือบสิบคนหน้าตาเหมือนเพิ่งหลุดจากคุกมาสดๆ ร้อนๆ นั่งตั้งวงก๊งเหล้ากันหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ตะโกนคุยกันควันโขมงเพราะดันเปิดเพลงต่อลำโพงดังกระหึ่มซอยจนไม่ได้ยินเสียงเพื่อนฝูง

นอกจากคาถาที่ท่องซ้ำวนไปวนมา ยังมีคำเตือนใจอีกว่า ‘อย่าไปสะดุดตีนใครเข้า’ พ่วงด้วย

จ่าตะวันเดินดุ่มผ่านแก๊งนั้นไปด้วยท่าทางเรียบเฉย โชคดีที่พวกนั้นมัวแต่สนใจสาวๆ ที่ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านเลยไม่ทันสังเกตเห็นเขา พอผ่านมาได้ก็รีบย่ำเท้าไว้สุดชีวิตไปยังบ้านหลังเป้าหมาย

ระหว่างทางก็พบความเสื่อมโทรมสารพัด เช่นคู่ผัวเมียวัยสิบสี่ทะเลาะตบตีกันเพราะอีตัวผัวมีชู้เป็นสาวรุ่นน้อง (ฮึ?!) มนุษย์ป้าอยากรวยล้อมวงกันซื้อหวยใต้ดิน สาวๆ วัยรุ่นทาแป้งขาวผิดเบอร์นั่งไขว้ห้างเรียกแขกตั้งแต่หัววันที่ร้านโคมแดง หนุ่มขี้ก้างนั่งปุ๊นกัญชาคลอเพลงบ็อบ มาร์เล่ย์บนหลังคาไม่กลัวฟ้าดิน คนจรคุ้ยหาอาหารจากถังขยะก็มีเพียบ ดูไปก็สลดใจไป รู้สึกประหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะเที่ยวชมเมืองและพบแต่ความตกต่ำน่าสังเวชของมนุษย์ ตำรวจหนุ่มเห็นแล้วก็ปลงเหมือนพระองค์ และคงจะไปบวชเหมือนพระองค์ด้วย ถ้าไม่ติดว่าเขาเคยบวชเรียนมาแล้วตั้งสิบสองพรรษาน่ะนะ

ตำรวจในร่างเด็กแว้นหยุดที่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งตามข้อมูลแล้วเป็นบ้านของนายบรรณภพ พวงเซ่ หรือบอมเบย์ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วงุนงง เขาไม่เห็นว่ามันจะเหมือนบ้านตรงไหน เพราะทั้งเล็กทั้งโทรม เก่าชำรุดผุพัง เอนโย้ไปด้านหลังเหมือนจะพร้อมถล่มลงคลองได้ตลอดเวลา ควรเรียกว่ากล่องไม้รูปสี่เหลี่ยมมากกว่า ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าของถึงทิ้งมันไปหมด

นักสืบบอกว่าพ่อแม่ของนายบรรณภพอาศัยอยู่สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งนู่น หมวดโทรไปสอบถามแล้ว นายบรรณภพไม่ได้ติดต่อพ่อแม่เลยตลอดเกือบครึ่งปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้จ่าตะวันเลยมาที่บ้านแทน คิดว่าบางทีเจ้าของอาจกลับมาเหยียบบ้าง

อาชญากรส่วนใหญ่ที่เขาเคยทำคดีมา มักไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบ แต่มีเครือข่ายคอยให้ความช่วยเหลือ และเครือข่ายที่ว่าก็คือพวกโจรด้วยกันนี่แหละ เขาสันนิษฐานเอาไว้ว่าคนในแถบนี้อาจรู้ข้อมูลของนายบรรณภพบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ข่าวร้ายก็คือ...เพื่อนฝูงของโจรบรรณภพ ครึ่งหนึ่งตาย (เสพยา, โดนฆ่า, อุบัติเหตุ) อีกครึ่งอยู่ในคุกกับโรง’บาลบ้า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้เบาะแสเป็นประโยชน์จากคนพวกนั้น

เหลืออยู่ทางเดียวคือเข้าจากฝั่งตรงข้าม – ศัตรู

เพราะบางทีคนที่เกลียดเราเข้าไส้ ก็คือคนที่รู้เรื่องของเราดีกว่าใครๆ จ่าตะวันอ้างอิงจากคดีดาราทั้งหลายที่เคยมาแจ้งความข้อหาโดนหมิ่นประมาท แบบโดนขุดประวัติที่ไม่ดีมั่ง ถูกถ่ายรูปแบล็กเมล์มั่ง ขู่จะแฉความลับเสียๆ หายๆ มั่ง ก็ล้วนมาจากฝีมือของแอนตี้ทั้งนั้น พวกนี้น่ะรู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าแฟนคลับอีก หมวดคิดว่ากรณีนี้ก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันได้

นักสืบทิวาให้ข้อมูลมาว่าพ่อแม่ของนายบรรณภพเป็นผีพนันที่แท้ เคยติดหนี้หัวโตกับเสี่ยเจ้าของบ่อนท้ายหมู่บ้าน ถูกเสี่ยทวงหนี้ระรานจนทนอยู่ต่อไปไม่ไหว ต้องระหกระเหินเดินทางไปที่อื่นจนไปจบที่สถานสงเคราะห์ บ้านโทรมๆ หลังนี้ก็โดนเสี่ยยึด (มีเอกสารโอนโฉนดบ้านในกรมที่ดินเป็นชื่อเสี่ย) เพิ่งจะถูกเปลี่ยนกลับคืนเป็นของครอบครัวพวงเซ่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน อาจเพราะเงินที่ได้จากการโจรกรรมของลูกชาย
   
และการที่จ่าตะวันถ่อมาถึงที่นี่ ก็ไม่ได้หวังว่าจะเจอนายบรรณภพร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างใด ทว่าหวังจะได้เบาะแสจากเจ้าหนี้ต่างหาก เพราะนั่นมีความเป็นไปได้สูงกว่ามาก
   
“เบย์! ไอ้บอมบ์เบย์!”
   
ตำรวจหนุ่มเก๊กเสียงกร่าง วางท่ากุ๊ย ตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน เป็นที่สะดุดหูสะดุดตาคนที่เดินผ่านไปมา ไม่เพียงเท่านั้นยังเดินวนรอบๆ บ้าน ทุบประตูหน้าต่างอย่างที่คิดว่านักเลงสุดๆ สบถคำหยาบคายกับตัวเอง แล้วก็ยืนเท้าสะเอวอย่างสุดเซ็ง
   
“อยู่ไหนของมันวะ”
   
ได้ผล มีคนสังเกตเห็นเขาจนได้ เป็นชายวัยรุ่นหุ่นหมี ขาวตี๋ หน้าตาเกือบดี แต่สีหน้าเหมือนพร้อมจะต่อยคนทั้งโลก รังสีรอบตัวดำทะมึน แผ่กลิ่นเจ้าถิ่นสุดขีด ไอ้หนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับตะโกน
   
“เห้ย! มึงเป็นใคร มาทำไรแถวนี้!”
   
จ่าตกใจจนไข่สั่น แต่ก็คุมมาดขรึม ควักบุหรี่ออกมาจุดไฟสูบปลอมๆ ก่อนจะตอบไป
   
“ผมชื่อบวบครับพี่ มาหาไอ้บอมเบย์” แม้ความจริงตัวเขาน่าจะอายุมากกว่าอีกฝ่าย แต่ก็ต้องเรียกพี่ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
   
“มีห่าไรกับมัน” หนุ่มโหดเชิดหน้า
   
“มันยืมเงินผมไปแล้วไม่คืน เลยต้องมาทวงถึงบ้านเนี่ยครับ” พูดจบก็พ่นควันออกปาก เกือบหลุดสำลัก แต่กั๊กไว้ทัน
   
“เหรอ พ่อแม่มันก็เคยเบี้ยวหนี้เหมือนกัน เหี้ยทั้งครอบครัวจริงๆ”
   
“อ้าว มันเคยติดหนี้พี่ด้วยเหรอครับ” ตำรวจหนุ่มทำทีแปลกใจ
   
“ไม่ใช่กู แต่เป็นพ่อกู ไอ้สัดตั้งสามแสน เบี้ยวแล้วเบี้ยวอีก จนพ่อกูต้องยึดบ้านมัน นี่ถ้าไอ้เหี้ยเบย์เอาเงินมาไถ่คืนไม่ทัน กูคงทุบบ้านมันทำเป็นร้านเหล้าแทนละ”

น้ำเสียงหนุ่มเจ้าถิ่นเจือแววฉุนเฉียว แต่คนฟังกลับตื่นเต้นดีใจ

ที่จริงเขาตั้งใจจะสืบหาจากชาวบ้านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตัวเสี่ยเจ้าหนี้ ไม่คิดว่าจะเจอทางลัดตั้งแต่แรกเริ่ม อ้อยเข้าปากช้างอันเบ้อเริ่มอย่างนี้ มีหรือจะปล่อยให้หลุดไปง่ายๆ จ่าตะวันรีบจุดไฟบุหรี่ยื่นให้อีกฝ่ายเพื่อซื้อเวลาไว้ทันที

“หูย เหี้ยทั้งบ้านจริงๆ ครับพี่ ถ้ารู้ว่ามันมีสันดานโจรแบบนี้ ผมคงไม่ให้มันยืมตั้งแต่แรก”

“มันเอาของมึงไปเท่าไหร่” อีกฝ่ายรับบุหรี่ไปสูบด้วยสีหน้าเรียบๆ ราวกับคุ้นเคยการถูกเลียแข้งขาจากพวกล่างๆ เป็นอาจิณ

“แปดพันแน่ะครับ” จ่าทำหน้าร้อนใจ “พี่รู้ไหมครับว่าตอนนี้มันอยู่ไหน ผมต้องการเงินคืนด่วนโคตรๆ ไม่งั้นผมโดนเมียฆ่าตายแน่”

“ไม่รู้ว่ะ” หนุ่มตี๋พ่นควัน “กูไม่เห็นหน้ามันเป็นชาติละ”

ความหวังของตำรวจหนุ่มดับวูบ

“เอ้อ แต่ลูกน้องกูบอกว่าเมื่อคืนวานตอนนั่งแดกเหล้า มันเห็นรถกระบะจอดหน้าหมู่บ้าน แล้วก็มีคนขนของเดินเข้ามาอยู่ในบ้านไอ้เบย์ด้วย”

ไฟความหวังลุกโชนอีกครั้ง “จริงเหรอครับ!”

“เออ แต่มันเมาๆ แล้วก็มืดมาก เลยไม่เห็นว่าเป็นไอ้เบย์จริงไหม”

“พอจะรู้ไหมครับว่ามันมีกันกี่คน” ตำรวจหนุ่มหัวใจเต้นรัว ข้อมูลนี้อยู่เหนือขอบเขตที่คาดหวังไว้ แต่นั่นเป็นเรื่องดีมาก

“สี่ห้าคนล่ะมั้ง”

“รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงอ่ะครับ”

“กูจะไปรู้เรอะ ไม่ได้เจอเองโว้ย!” เจ้าถิ่นคำราม
   
“อูย...ขอโทษครับพี่ ผมแค่อยากรู้ว่ามันมากับใคร เผื่อเป็นเพื่อนมัน ผมจะได้ไปตามตัวถูก”
   
“ลูกน้องกูบอกว่าไม่เห็นหน้าสักคน แต่มีคนหนึ่งที่มันจำได้ น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มมั้ง เพราะเดินนำหน้า แม่งหน้าโหดยังกะโจรใต้ ไว้หนวดเครายาวรุงรัง ตัวสูงใหญ่ล่ำยังกับหมี ทีแรกมันกะเข้าไปกวนตีน แต่เห็นไอ้ห่านั่นก็เปลี่ยนใจ แดกเหล้าต่อเงียบๆ กลัวตาย โคตรป๊อดเลย”
   
จ่าตะวันรู้สึกเหมือนมีดอกไม้ไฟแตกกระจายในหัว เกิดความปีติยินดีสว่างวาบราวกับฆารวาสบรรลุธรรม จากคำบอกเล่าของหนุ่มเจ้าถิ่นนั้น มั่นใจได้ว่าต้องเป็นนายอติศร แซ่อู๋ ไม่ผิดตัวแน่!
   
แต่เขาก็ต้องระงับความตื่นเต้นไว้ภายใต้ใบหน้ากระวนกระวาย
   
“จริงเหรอครับเนี่ย ว่าละเชียวทำไมมันถึงกล้าเบี้ยว เพราะมีพวกเยอะนี่เอง! แม่งเอ๊ย แล้วตอนนี้มันหายไปไหนแล้วครับ”
   
“ไม่รู้ว่ะ พอกูฟังลูกน้องเล่าตะกี้ กูก็กะจะมาทักทายมันเหมือนกัน กูว่ามันคงหนีไปแล้วแหง เสือกมีศัตรูเยอะก็งี้”   
   
ตำรวจหนุ่มใจแป้ว แต่เขาจะไม่ยอมให้จบเท่านี้
   
“แถวนี้มีกล้องวงจรปิดป่ะครับ ผมจะขอดูป้ายทะเบียนรถคันที่มาส่งมัน แล้วจะไปแจ้งตำรวจ”
   
“นี่มึงจริงจังไปปะเนี่ย” อีกฝ่ายออกแววขำ
   
“ต้องจริงจังสิพี่ ตั้งแปดพัน เกือบหมื่นเชียวนะครับ! ผมทำงานเป็นเดือนกว่าจะได้ เรื่องไรจะปล่อยให้ไอ้เหี้ยเบย์ชักดาบไปเฉยๆ”
   
“แถวนี้มันย่านคนจน ไม่มีกล้องห่าไรทั้งนั้นอ่ะ” อีกฝ่ายพูดดับฝัน “แต่ถ้ามึงร้อนเงิน กูมีให้กู้นะ ดอกร้อยละสิบ แต่ในฐานะมีศัตรูคนเดียวกัน กูลดให้มึงเหลือแปดก็ได้”
   
“ขะ...ขอบคุณครับพี่ แต่ไม่ดีกว่าครับ”
   
“ตามใจ โชคดี” หนุ่มตี๋หมุนตัวเตรียมเดินจากไปอีกทาง ทว่าจ่าตะวันรั้งไว้ด้วยคำถามสุดท้าย
   
“เดี๋ยวครับ พี่พอจะรู้ไหมว่าไอ้เบย์จะไปที่ไหนได้บ้าง”
   
หนุ่มตี๋หลับตา ทำท่านึกชั่วครู่
   
“ไม่รู้ กูไม่ได้สนิทกับมันขนาดนั้น”
   
“อ้าว...” 
   
“แต่กูว่าคนถังแตกอย่างมันคงไม่มีปัญญาเช่าห้องพักหรือโรงแรมหรอก คงอาศัยนอนใต้สะพานลอยมากกว่า มึงลองหาแถวนี้ดูสิ เพิ่งผ่านมาวันเดียวกูว่ามันคงไปได้ไม่ไกลหรอก”
   
พูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับควันสีเทาลอยฟุ้ง จ่าตะวันมองตามหลังด้วยความเสียดายที่ยังไม่ได้ถามอีกหลายอย่าง แต่เท่านี้ก็นับว่ามาได้ไกลมากแล้ว
   
เขาเดินหน้าหาคำตอบที่ต้องการต่อไป นั่นคือ ‘นายบอมเบย์หายไปไหน’ เที่ยวเดินถามคนโน้นคนนี้ไปทั่ว เน้นคนที่น่าจะทำงานกลางคืนหรือเช้ามืด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การหลบหนี ไล่ถามตั้งแต่เจ้าของร้านเหล้า คนขายน้ำเต้าหู้ พนักงานเซเว่น แต่คนที่ให้ความกระจ่างกลับกลายเป็นโสเภณี
   
“แก๊งผู้ชายหลายคนเมื่อคืนวานน่ะเหรอ? เห็นสิ พวกมันหอบสัมภาระรุงรังยังกับย้ายบ้าน เดินผ่านหน้าร้านหนูไป แต่ตอนตีสี่พวกมันก็มาเที่ยวร้านสามคน หน้าตาเป็นยังไงหนูจำไม่ได้ ก็มันมืดนี่นา แต่ที่แน่ๆ อ่ะหนวดยาวรุงรังกันทุกคนเลย พวกมันขอซื้อหนูกับเพื่อนแล้วก็แยกไปคนละห้อง แต่ยังไม่ทันจะเอากันก็ง่วงหลับไปก่อน คงจะโดนมอมยา เพราะตอนตื่นขึ้นมา แม่งเอ๊ย แหวนกับสร้อยทองพวกเราหายหมด!”   
   
“มันบอกรึเปล่าว่าชื่ออะไร มาจากไหน จะไปไหนกันต่อ”
   
“ไม่บอก บอกแค่ตอนกินเหล้าว่ามาเลี้ยงอำลาก่อนจากกัน”
   
“อืมๆ”

“ถ้าพี่หาเจอแล้วก็ฝากทวงสร้อยกับแหวนของพวกหนูคืนด้วยละกันนะคะ มันแพง แม่ง...พูดแล้วเจ็บใจจริงๆ!” 

“จ้ะ”

ออกจากซ่องแล้วตำรวจหนุ่มก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาหัวหน้าทีมโดยเร็ว รายงานทุกสิ่งที่เพิ่งรับรู้มาให้ทราบ ปลายสายวิเคราะห์ราวๆ หนึ่งนาทีแล้วออกคำสั่งถัดไปทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
   
[จากทั้งหมดที่คุณเล่ามา นายบอมเบย์กับพรรคพวกโจรน่าจะแบ่งทรัพย์สินและแยกย้ายกันไปแล้ว แต่ผมคิดว่าพวกเขาคงมีเงินไม่มาก ไม่งั้นคงไม่ขโมยทองของสาวๆ เพิ่ม ผมขอให้คุณประสานงานกับตำรวจเจ้าของพื้นที่ ตามหาพวกโจรตามโรงแรมและห้องเช่าราคาถูกให้ได้มากที่สุด]
   
ตบท้ายด้วยประโยคเดียวกับเจ้าถิ่น

[เพิ่งผ่านมาได้วันเดียว ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะยังไปได้ไม่ไกล]
   
“รับทราบครับหมวด”


...
   
แต่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายไม่รู้เลยว่าขณะที่ตนจำแลงกายซอกแซกซอกซอนไปทั่วย่านเสื่อมโทรม ไม่ต่างกับหนูและแมลงสาบที่วิ่งพล่าน  มหาโจรก็มองดูพวกเขาจากผนังกระจกห้องชุดสุดหรูของคอนโดสูงเสียดฟ้า บนถนนที่ขึ้นชื่อว่าแพงที่สุดในประเทศไทยอย่างเพลิดเพลิน




/// มาแบบสั้นๆ จ่าตะวันลุยเดี่ยว 555
ช่วงนี้จะเป็นพาร์ทสืบสวนของฝั่งตำรวจ มี 4 ตอน (เหลืออีก2)
แล้วถึงกลับไปรายงานฝั่งโจร
อาจไม่เร้าใจ แต่ต้องเขียนเพื่อความสมจริง & สมดุลของเส้นเรื่อง

เบื่อได้ ข้ามได้ ไม่ว่ากันค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 05-01-2019 22:39:18
 :a5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-01-2019 23:14:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-01-2019 10:04:31
55555โดนหลอกซ้ำแล้ว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-01-2019 14:46:59
ไม่เบื่อ ต้องอ่าน เพราะรู้ที่มาที่ไป รู้ทุกซอกมุม
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 08-01-2019 23:20:28
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.17 -- เสาะ -- (05/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 16:53:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 12-01-2019 13:20:46

18
-เจาะ-



แต่หมวดก็ใช่ว่าจะไปหานายเคฟได้ทันที เนื่องจากไม่มีข้อมูลของเจ้าตัว เลยฝากให้เป็นหน้าที่ของนักสืบช่วยสืบหาที่อยู่ รวมทั้งตารางเรียน/ตารางทำงาน นักสืบบอกว่าน่าจะได้ช่วงบ่ายๆ 

หมวดเลยมาหาคนอื่นก่อน

‘เจ้านกกาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทร คาบเอาข้าวมาเผื่อ ไปคาบเหยื่อมาป้อน ถนอมในรังนอน ซ่อนเอาเหยื่อมาให้กิน’

เมื่อเห็นป้ายหน้าสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เพลงนี้ก็ลอยขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ ใครหนอเป็นคนตั้งชื่อบ้าน ช่างเหมาะสมซะจนน่าเศร้าอะไรเช่นนี้

สิ่งแรกที่กระทบประสาทสัมผัสคือเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ที่วิ่งมาเกาะประตูรั้วทันทีที่เห็นผู้มาเยือนจอดลงด้านหน้าทางเข้า ตามด้วยใบหน้าใสซื่อเรียงสลอน จ้องแขกด้วยตาโตแป๋ว เป็นภาพน่ารักที่ชวนให้คนเห็นหดหู่ใจจนแทบหลั่งน้ำตา

หมวดรักษ์เปิดประตูลงมาพร้อมกับถุงขนมที่เหมามาจากห้างขายส่ง รวมทั้งเสื้อผ้า ตุ๊กตา หนังสือ และของเล่นนานา สร้างความตื่นเต้นให้เด็กๆ อีกทบเท่าทวีคูณ ได้ยินเสียงใสๆ พูดกันว่าเขาเป็น ‘เทวดา’ ‘เจ้าชาย’ ก็ทำเอาก้อนร้องไห้แล่นมาจับหน้าอกจนจุกแน่น

ผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์เป็นหญิงวัยสี่สิบ หน้าตาใจดีเหมือนคุณแม่ที่พบเห็นได้ในหนังฟีลกู๊ด เธอออกมาต้อนรับตำรวจนอกเครื่องแบบพร้อมรอยยิ้ม เชิญเข้าไปในห้องรับรองในฐานะผู้เยี่ยมเยียน (เขาไม่ได้แจ้งว่ามาทำคดี) ทำพิธีส่งมอบของบริจาค ถ่ายภาพร่วมกับบรรดาเด็กๆ และครูพี่เลี้ยง จากนั้นจึงปลีกตัวไปคุยในห้องทำงานกันตามลำพัง

ผอ. ออกอาการประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแขกหนุ่มที่พูดได้เต็มปากว่าหล่อมาก ตำรวจสงสารที่ทำให้เธอมีอาการเขินโดยไม่ใช่เรื่อง จึงหักดิบอารมณ์ด้วยข่าวชวนผวา...สาเหตุแท้จริงที่เขามาที่นี่

“ผมเสียใจที่ต้องแจ้งว่า อเล็กซ์ ฮริคมันซ์ ลูกชายของบ้านนี้ถูกออกหมายจับคดีลักทรัพย์และลักพาตัวครับ”

“อะไรนะคะ?” คิ้วสองข้างเลิกสูงจนเกิดรอยย่นบนหน้าผาก

หมวดพูดซ้ำชัดถ้อยชัดคำ “อเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์ ลูกชายของคุณถูกจับคดีลักทรัพย์และลักพาตัวครับ ผู้อำนวยการ”

“ไม่จริง...” ผอ. หน้าซีดเผือด เลือดที่สูบฉีดเหมือนถูกแช่แข็งฉับพลัน “คุณล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย”

“ไม่ครับ ผมพูดจริง”

“ที่แท้คุณคือตำรวจเหรอ”

“ใช่ครับ ผมร้อยตำรวจโทหริรักษ์ ป้องปกเกียรติ หรือเรียกสั้นๆ ว่าหมวดรักษ์” พูดแล้วแสดงเครื่องหมายราชการที่พกมาในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตให้อีกฝ่ายดู “ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกตรงๆ เพราะผมกลัวถูกคุณปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน...” อีกฝ่ายยังคงสับสน

“ตอนแรกนายอเล็กซ์โดนคดีลักทรัพย์ธรรมดา แต่พอเราสืบหาเบาะแสของอีกคดีหนึ่งซึ่งเป็นการลักพาตัว ก็พบว่าเขามีส่วนเกี่ยวพันด้วย คืออยู่ในแก๊งเดียวกัน เลยโดนพ่วงไปอีกหนึ่งคดี” 

หมวดรักษ์หยิบเอกสารจากแฟ้มออกมาวางกลางโต๊ะระหว่างตนและคู่สนทนา ผอ. หยิบเอกสารสำเนาที่บรรจุหลักฐานจากภาพในกล้องวงจรปิดและผลการพิสูจน์ลายนิ้วมือที่เย็บรวมกันหลายแผ่นขึ้นดูด้วยดวงตาเบิกกว้าง ขากรรไกรค้าง ร่างสั่นเทิ้ม

“เป็นไปไม่ได้ น้องเล็กเป็นเด็กดี ฉันเลี้ยงเขามาเองกับมือ ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น”

“หลักฐานชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธว่าเป็นคนอื่นได้นะครับ”

“เขา...เขาอาจแค่หลงผิดชั่ววูบ หรือไม่ก็ถูกใครบีบคั้นให้ต้องทำ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าน้องเล็กจงใจทำ”

“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ เขาลงมือโจรกรรมร้านคอมพิวเตอร์เพียงลำพัง อีกทั้งยังอาศัยในตึกร้างกับพวกโจรเป็นเวลานาน  ทั้งที่ในตึกมีทางออกหลายทาง และไม่พบอุปกรณ์ผูกล่ามใดๆ  จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถูกกักขังอยู่ที่นั่น นอกจากสมัครใจอยู่เอง” 

ผอ. ยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้โฮ หมวดรักษ์มองเห็นหัวใจล่มสลายในตัวเธอแบบเดียวกับที่เจอในตัวเจ้าทุกข์รายแล้วรายเล่า โดยเฉพาะบรรดาแม่ๆ ตอนรู้ว่าลูกที่รักของตนถูกจับข้อหายาเสพติดไม่ก็อาชญากรรม

“ฉันไม่เชื่อ...ไม่เชื่อ” ผอ. ร้องไห้ฟูมฟาย

“เชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ แต่มันคือความจริงครับ” ตำรวจเลื่อนเอกสารน่าสะเทือนใจไปไว้สุดขอบโต๊ะ “คุณพอจะรู้ไหมครับว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“จะให้ฉันตอบเพื่อให้คุณจับลูกฉันเข้าตะรางน่ะเหรอคะ!” เธอกระแทกเสียงประชดประชัน หันหน้าไปทางอื่น

“เพื่อหาทางช่วยเขาต่างหากล่ะครับ”

“ช่วยเหรอ ยังไง”

“ถ้าเราหาตัวเขาเจอไวและเกลี้ยกล่อมให้เขามอบตัวได้ โทษของเขาจะถูกลดหย่อนลง อาจแค่ปรับหรือจำคุกไม่นาน...แต่ถ้าเขายังไม่ปรากฏตัว ก็เท่ากับต่อต้านเรา และเราคงต้องใช้ไม้แข็ง”

น้ำเสียงของตำรวจเข้มขึ้น แววตาก็คมเฉียบอีกหลายระดับ เงาวับเหมือนคมมีด ทำให้ผอ. ถึงกับตัวเย็นเยียบ เธอกลืนน้ำลายลงคออันแห้งผากหลายครั้ง กว่าจะกลั่นถ้อยคำออกมาได้

“ทั้งหมดที่คุณพูดมา สำหรับฉันมันคือคำกล่าวหาทั้งเพ น้องเล็กอยู่ในที่แจ้งตลอดเวลา เขาอยู่ไปทุกที่ ไม่ได้หลบหนีในมุมมืดอย่างที่คุณพูดเลยสักนิด”

“หมายความว่ายังไง” หมวดรักษ์ขยับเก้าอี้ไปข้างหน้า

“ฉันได้รับโปสการ์ดจากเขาเสมอ มันถูกส่งมาจากหลายๆ ที่ เขาบอกว่ากำลังเดินทาง”

“อะไรนะ” ตำรวจเลิกคิ้วสูง สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตสมมติฐานโดยสิ้นเชิง

ผอ. มีท่าทีลังเล แต่ก็ตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ไปเปิดตู้เก็บของที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล่องคุ้กกี้สีแดง เธอเปิดมันออกอย่างระมัดระวังราวกับข้างในนั้นบรรจุตัวอ่อนของลูกนกเอาไว้ หมวดรักษ์โน้มตัวไปข้างหน้าสามสิบองศาเมื่อฝาถูกเปิดออก

“นี่ไงคะ โปสการ์ดของเขา ตราไปรษณีย์ของพื้นที่ก็ปั๊มถูกต้องทุกอัน” ว่าพลางหยิบโปสการ์ดเป็นปึกราวสิบแผ่นส่งให้แขกดู ตำรวจรับมาพินิจทีละใบ แล้วก็ตื่นตะลึงมึนงงทันใด

โปสการ์ดแต่ละใบเป็นภาพถ่ายที่ระลึกจากแหล่งท่องเที่ยวทุกภาคทั่วประเทศ ตั้งแต่ภูชี้ฟ้า ดอยอินทนนท์ เชียงคาน บ้านสร้าง บางระจัน ศรีพันวา เกาะล้าน เกาะเต่า ยันภูเขาสันกาลาคีรี ทุกใบถูกปั๊มตราไปรษณีย์ท้องถิ่นนั้นๆ ใบล่าสุดที่ได้รับคือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อเล็กซ์เขียนสั้นๆ หลังโปสการ์ดรูปปะการังว่า ‘ทะเลสวยมาก อยากให้แม่กับน้องๆ เห็นจัง สักวันจะพามาแน่นอนครับ’ อีกทั้งยังมีรูปถ่ายเซลฟี่แนบมาด้วย รูปนั้นอเล็กซ์ตัดผมสั้นเกรียนทรงสกินเฮดเหมือนนักเรียนร.ด. เป็นไปไม่ได้ที่ผมและหนวดจะงอกยาวภายในหนึ่งอาทิตย์แล้วปีนเข้าร้านคอมพิวเตอร์ดังที่เป็นข่าว

หมวดอ่านข้อความแต่ละใบ แต่ไม่มีอันไหนที่ทำให้สาวถึงตัวผู้เป็นเจ้าของได้ อเล็กซ์เลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง ราวกับทำนายไว้แล้วว่าสักวันเจ้าหน้าที่หูตาไวจะมาเจอ

“เขาเคยบอกรึเปล่าครับว่าเดินทางยังไง”

“อืม...ครั้งหนึ่งเขาเคยโทรมา ฉันก็ถาม เขาบอกว่าเงินมีจำกัด เลยโบกรถเหมือนพวกแบ็กแพ็คเกอร์ บางทีก็แกล้งเป็นฝรั่งซะเลย เพราะคนไทยไม่ค่อยชอบรับคนไทยด้วยกันเอง”

“ไม่เรียนหนังสือหรือครับ”

“เรียนค่ะ มหาลัยเปิด อยู่ปีสาม แต่ไม่ได้เข้าเรียน แค่ไปสอบ”

“แล้วเขาเอาเงินมาจากไหนในการกินใช้ประจำวัน”

ผอ. ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนโดนจับผิด “คุณคิดว่าเขาหาได้จากการโจรกรรมงั้นสิ? ผิดแล้วค่ะ เขารับจ้างทำงานพวกแปลเอกสารกับบทความภาษาอังกฤษต่างหาก เขาบอกว่าชอบงานฟรีแลนซ์ จะได้มีเวลาท่องเที่ยวเยอะๆ”

“พูดได้ว่าคุณเลี้ยงเขาแบบปล่อยสินะครับ” 

“ไม่ได้เลี้ยงหรอกค่ะ เขาเป็นอิสระจากฉันตั้งแต่อายุสิบแปด ออกจากรังไปก็ต้องบินด้วยตัวเอง ฉันเลยไม่เคยก้าวก่ายสิ่งที่เขาเลือก”   

จากนั้นผอ. ก็เริ่มเล่าเรื่องของมิสเตอร์ฮริคมันซ์ให้ฟัง ไม่ใช่เพียงเพราะทำตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อยืนยันคุณงามความดีแสนบริสุทธิ์ของลูกชายด้วย เธอเล่าตั้งแต่วันแรกที่เขาถูกทิ้งในถังขยะพร้อมกับจดหมายลาของแม่ ต่อด้วยการตายของพ่อที่เป็นอาชญากรหลบหนีเข้าประเทศ

“ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไร” ผอ. ขัดจังหวะตัวเอง “ใช่ค่ะ เขามีดีเอ็นเอของโจรอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นโจรตามพ่อเขาถูกไหมคะ สภาพแวดล้อมและการปลูกฝังเลี้ยงดูย่อมมีอิทธิพลมากกว่าพันธุกรรมอยู่แล้ว ฉันกับบรรดาคุณครูเลี้ยงดูเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่แม่จะทำให้ลูกได้ และน้องเล็กก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง เขาเป็นเด็กดี ขยัน กตัญญู สิบสองปีในระบบการศึกษาเขาได้ทุนเรียนดีตลอด ไม่เคยทำให้พวกเราเดือดร้อนเลย และถึงแม้จะออกจากบ้านไปแล้ว ก็ยังส่งเงินกับสิ่งของกลับมาให้น้องๆ เสมอ เป็นลูกตัวอย่างที่ใครเป็นแม่ก็ภูมิใจ”

หมวดรู้สึกเหมือนเดจาวูกับคำพูดคุ้นหูประมาณนี้ และค้นพบว่าบางทีปัจจัยร่วมของพ่อแม่โจร คือการที่อวยว่าลูกตัวเองประเสริฐที่สุดนี่แหละ เลยทำให้มองไม่เห็นจุดบอดใดๆ

“น้องเล็กเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แม้แต่แมลงสาบสักตัวยังไม่กล้าฆ่า แล้วคุณจะให้เขาลักพาตัวคนทั้งคนได้ยังไงกัน ฉันจินตนาการไม่ออกเลย” ผอ. ยังคงยืนกรานต่อไป

“ผมไม่ได้บอกว่าเขาทำ แต่เขาอยู่ในขบวนการ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดครับ” หมวดอธิบาย

“ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เชื่ออยู่ดี น้องเล็กเป็นเด็กอัจฉริยะ ชีวิตเขามีทางเลือกมากมาย ไม่มีทางคิดสั้นด้วยการหันไปเป็นอาชญากรหรอกค่ะ”

“แสดงว่าคุณไม่เคยดูหนังเรื่อง Catch Me If You Can* สิท่า”

ตำรวจเอนตัวพิงพนักข้างหลัง ยกมือขึ้นกอดอก จ้องใบหน้าที่แสดงความฉงนฉงายสุดขีดของอีกฝ่าย

“หนังอะไร เกย์เหรอ? ฉันไม่รู้จัก”

“งั้นผมก็แนะนำให้ไปดู แล้วคุณจะรู้ว่าพวกอัจฉริยะนี่แหละตัวดีเลย” ตำรวจรวบโปสการ์ดทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วเก็บลงแฟ้มรวบรวมหลักฐาน “ถ้าคุณไม่ขัดข้อง ผมขอยืมโปสการ์ดไปตรวจสอบสักพัก และจะส่งกลับคืนมาให้ สำหรับวันนี้ขอบคุณและสวัสดีครับ”

“เอ๊ะ!” ผอ. ตกใจ แต่ก็พูดไม่ออก ทำตัวไม่ถูก ได้แค่มองแขกลุกจากเก้าอี้ หมุนตัวเตรียมจากจร
   
แต่ก่อนไป หมวดหันมาพูดทิ้งท้าย

“หากลูกชายคุณติดต่อมา หรือมีเบาะแสอะไรเพิ่มล่ะก็ ช่วยบอกผมด้วยนะครับ ทุกรายละเอียดมีความสำคัญทั้งสิ้น และโปรดจำไว้ว่าผมกำลังช่วยเขาอยู่ ลาละครับ”

ถึงจะไขว้เขวสับสน ทว่าอย่างไรหมวดก็มั่นใจในหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ที่หลอกลวงไม่ได้มากกว่าภาพถ่ายที่อาจผ่านการโฟโต้ช็อป แม้จะยังงงว่าอเล็กซ์ไปเอาตราไปรษณีย์มาจากไหนก็ตาม
   

...

ประตูกระจกสีชาถูกเลื่อนปิด ทิ้งให้ความเงียบงัน โศกสลด และซึมเศร้าเข้ารุมเร้าผอ. เพียงผู้เดียว เธอมองดูสำเนาที่ตำรวจทิ้งไว้ให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อยากยอมรับว่าคนในรูปนั้นคืออเล็กซ์จริงๆ แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่คนเป็นแม่ที่แม้แต่เงาลูกของตัวเองก็จำได้ นับประสาอะไรกับภาพถ่ายความละเอียดต่ำสีดำขาว

ที่เธอไม่อยากยอมรับ เพราะมันเท่ากับหลายเดือนที่ผ่านมาอเล็กซ์โกหกเธอ เขาไม่ได้เที่ยวทั่วไทยอย่างที่บอก แต่เที่ยวหลอกชาวบ้านเหมือนอย่างที่พ่อของเขาเคยทำ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอกลัวที่สุด...กลัวว่าเขาจะมีชะตากรรมแบบเดียวกับพ่อโจรเลว

แต่ไม่ว่าอย่างไรความรักของแม่ก็อยู่เหนือความถูกต้อง ตราบใดที่ความจริงยังไม่ปรากฏ เธอก็ยังเชื่อมั่นในตัวอเล็กซ์อยู่ และเฝ้ารอโปสการ์ดฉบับถัดไปที่น่าจะมาถึงสัปดาห์หน้า

วูบหนึ่งผอ. นึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่ลืมบอกตำรวจ คือทุกครั้งโปสการ์ดไม่ได้ถูกนำส่งโดยบุรุษไปรษณีย์ แต่เป็นคนใส่ชุดสีเขียวๆ เอามาหย่อนไว้ กดกริ่ง แล้วก็ขับจากไปอย่างเร็วไว จนเธอไม่ทันพูดจาปราศรัยสักที กว่าจะได้ยินเสียงกริ่งวิ่งออกมาดู ก็เห็นเพียงเครื่องแบบสีเขียวไกลลิบๆ

อาจเป็นไลน์แมน

แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่ตำรวจจะสนใจ



-------------------------
*Catch Me If You Can (2002) ชื่อภาษาไทย “จับให้ได้ ถ้านายแน่จริง” กำกับโดยสตีเว่น สปีลเบิร์ก นำแสดงโดยทอม แฮ้งค์ และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ สร้างจากเรื่องจริงของแฟรงก์ วิลเลียม อแบกเนล เด็กหนุ่มอัจฉริยะจอมต้มตุ๋นที่ปลอมตัวเป็นนักบิน หมอ ทนายความ ตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี และถูกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอตามจับตัว
-------------------------


//// สั้นจนเหมือนตอนคั่นเฉยๆ 555555
อยากให้รู้ภูมิหลังพวกโจรกันน่ะค่ะ เรื่องจะได้สมจริงอีกนี้สส
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามค่ะ ^________^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Mookku_ps ที่ 13-01-2019 14:51:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-01-2019 16:27:00
 :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-01-2019 02:54:37
รออ่านน้องแสงเทียนอยู่นะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-01-2019 09:26:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-01-2019 12:18:22
เครื่องแบบเขียว ใครส่งน๊อ ส่วนหมวดรักษ์ หล่อมากจริงรึเปล่า
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ★KVH™★ ที่ 15-01-2019 12:56:15
เหมือนจะเครียดนะ
แต่ทำไมคุณแม่ตลกอ่ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.18 -- เจาะ -- (12/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 16-01-2019 19:18:42
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.19 -- เค้น -- (25/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 25-01-2019 22:34:33

- เค้น -



“คุณคือคณาธิป ลิ้มประเสริฐไพศาลยทรัพย์ ใช่ไหม?”
   
แวบแรกที่เคฟเห็นเจ้าหน้าที่ชุดน้ำตาลปรากฏตัวหน้าห้องพัก ขณะกำลังจะออกไปทำงาน เขาคิดว่าชีวิตถึงคราวจบเห่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นตำรวจคนเดียวกับที่เคยมาหาเฟลมถึงร้านเมื่อหลายวันก่อนเรื่องคดีแสงเทียน ตำรวจคงจับใครสักคนในแก๊งได้ และคนนั้นต้องสารภาพโยงมาถึงเขา แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยาก เพราะเขามั่นใจว่ากระทำการทุกอย่างโดยรอบคอบ ทั้งใช้บัตรประชาชนปลอมในการเช่ารถ และสวมถุงมือทุกครั้ง ไม่ยอมให้มีลายนิ้วมือปรากฏร่วมกับพวกโจรตลอดเวลากว่าครึ่งปี คิดแล้วคิดอีกก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าพลาดตรงไหน

จากการที่เขาเกาะติดเฟลม แสร้งตีสนิทตามประสาเพื่อนร่วมงาน แต่แอบเนียนถามเรื่องคดี ก็ได้ความคืบหน้าแค่ว่าเจอรอยนิ้วมือของพี่ๆ โจรสามคนเท่านั้น ไม่มีของเขา และตำรวจกำลังไล่ตามพวกโจรอยู่เรื่อยๆ แต่ยังจับไม่ได้

แล้วตำรวจมาหาเขาทำไม?
   
จริงสิ...หรือจะเป็นหนอนบ่อนไส้ เส้นสายของเฮียอู๋ที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง (ที่แก๊งโจรไม่เคยรู้ว่าตัวจริงเป็นใคร) บางทีคนๆ นั้นอาจทำความลับแตก แล้วความซวยก็แพร่มาถึงพวกเขา
   
เคฟกลัวจนฝ่ามือฝ่าเท้าเย็นเฉียบชุ่มเหงื่อ มือสั่นจนถือหมวกกันน็อกแทบไม่อยู่ จินตนาการไปร้อยแปดว่าจะถูกส่งไปเรือนจำไหน โดนรับน้องยังไง จะตายหรือถูกปล่อยตัวก่อน

กระทั่งตำรวจเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องกลัวหรอก คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ผมแค่จะมาถามข้อมูลบางอย่างเท่านั้น”

เจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าตาดีแต่ดูง่วงมึนเอ่ย ดูท่าน่าจะอดนอนอ่านสำนวนคดีมาทั้งคืน แต่ถึงจะมีแววตาเบลอๆ ทว่าน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังกับสรรพนาม ‘คุณ-ผม’ ที่เป็นทางการ ทั้งที่อายุทั้งคู่ไม่น่าจะห่างกันมากนัก ก็ทำเอาเคฟกดดันหวั่นสะท้าน

“ข้อมูลอะไรครับ” หนุ่มยี่สิบพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ทั้งที่ใจไปหมดแล้ว

“เรื่องลูกพี่ลูกน้องของคุณ อติศร แซ่อู๋”

“พี่อู๋...ทำไมครับ”

“คุณคงรู้แล้วว่าเขามีหมายจับติดตัว แล้วคุณก็เป็นญาติสนิท ผมเลยอยากได้เบาะแสจากคุณ ไม่ทราบพอจะมีเวลาสักครู่ไหม”

หนุ่มพาร์ทไทม์รู้สึกเหมือนโดนขวานจามกลางหัว

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ลางร้ายเริ่มกลายเป็นจริง ใครบอกตำรวจไทยทำงานช้าวะ ดูคนนี้สิ จมูกไวฉิบ ตามกลิ่นจนเกือบถึงต้นตอละเนี่ย แล้วเขาจะโกหกยังไงดี สายตาของตำรวจที่อยู่ตรงหน้าบอกเคฟว่านี่ไม่ใช่ตำรวจไก่กาหมาแมว ทว่าเป็นนักจิตวิทยาชั้นเลิศ ดวงตาง่วงงุนคู่นั้นแฝงพลังทะลุทะลวงอย่างยิ่งยวด มันคือแววตาของคนที่มีสติปัญญาและวุฒิภาวะสูง เป็นตำรวจเพียงคนเดียวที่ทำให้โจรอย่างเขารู้สึกกลัว ต่างกับตำรวจทั่วไปที่ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน...เคฟคิดว่าหากโกหกขึ้นมาสักนิดเดียว คนตรงหน้าต้องอ่านออกแน่

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือก ไหนๆ ก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว ประจันหน้าไปเลยก็แล้วกัน ถ้าจวนตัวขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะรับผิด...แต่จะไม่มีทางลากโยงไปถึงพี่ๆ เด็ดขาด

“อยากรู้อะไรก็ถามเลยครับ แต่รีบหน่อยก็ดี ผมมีงานต้องไปทำ” หนุ่มมหาลัยพูดกดดันอีกฝ่ายทางอ้อม

ฝ่ายตำรวจถามตรงไปตรงมา “คุณได้ติดต่อกับนายอติศรบ้างรึเปล่า บ่อยแค่ไหน ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

เคฟเย็นสะท้านไปถึงไขกระดูก ความจริงคือเขาติดต่อกับพี่ชายตลอดเวลา ถ้าลิมิตคู่ผัวเมียข้าวใหม่ปลามันอยู่ที่สิบครั้งต่อวัน เขากับพี่อู๋มากกว่านั้นสองเท่า คำสั่งล่าสุดเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนที่บอกให้ ‘หาแหล่งดีๆ ให้หน่อย เอาแบบทีเดียวรวย กูขี้เกียจไปบ่อย’ ยังก้องสะท้อนอยู่ในรูหู แต่หนุ่มมหาลัยหน้าใสแสดงออกเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อย

“ไม่เลยครับคุณตำรวจ ผมไม่ได้ข่าวคราวพี่อู๋หลายเดือนแล้วตั้งแต่เขาหนีออกจากบ้าน”

“จริงเหรอ ผมคิดว่าพวกคุณสนิทกันซะอีก” ตำรวจยกมือขึ้นกอดอก เป็นสัญญาณว่าไม่เชื่อ

เคฟเหงื่อผุดตามขอบไรผม หมอนี่ไม่ได้มาเล่นๆ มันรู้จริง เดาว่าคงไปสอบปากคำเตี่ยเขาที่ร้านซีฟู้ดก่อนจะมาหาเขาด้วย เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ชาย

หนุ่มมหาลัยแสร้งหัวเราะ

“เข้าใจผิดแล้วครับ ถึงเราจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็อยู่คนละบ้าน แถมพ่อๆ ยังไม่ลงรอยกันอีก เราเลยไม่สนิทกันเท่าไหร่”

นี่คือความจริงครึ่งหนึ่งตั้งแต่วัยเด็กถึงมัธยมต้น แต่พอมัธยมปลาย เคฟย้ายออกจากบ้านไปอยู่หอเดียวกับญาติผู้พี่ที่กำลังเรียนมหา’ลัยเพราะต้องเรียนพิเศษติวเข้มแอดมิชชั่น กลางวันพวกเขาแยกย้ายกันไปเรียน พวกเพื่อนๆ จึงไม่มีใครรู้เห็น แต่ตอนกลางคืนตัวติดกันเหมือนฝาแฝดอินจัน ตะลอนกรุงเที่ยวคะนองเป็นว่าเล่น

“คุณมีเบอร์เขาไหม หรือช่องทางโซเชียลอะไรก็ได้” ตำรวจซักต่อ

เคฟสั่นหัว “ไม่มีครับ พี่เขาศัตรูเยอะ เปลี่ยนเบอร์บ่อยจนผมขี้เกียจเมมแล้ว รอให้เขาโทรมาเอง เบอร์ไหนก็เบอร์นั้นแหละ โซเชียลยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดเฟซบุ้คยังไม่มี ไม่เชื่อคุณลองเสิร์ชดูได้”

ข้อนี้เคฟกล้าท้า เพราะมันคือความจริงซะยิ่งกว่าจริง พี่อู๋เป็นมนุษย์ที่ไร้ตัวตนบนโลกไซเบอร์อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่คนทั้งโลกจะมีชีวิตต่อไปบนเว็บไซต์แม้จะตายไปเป็นร้อยปี แต่พี่ชายของเขากลับไร้ชีวิตตั้งแต่ยังมีลมหายใจ พี่อู๋ไม่เอาอะไร ไม่อินกับแพลตฟอร์มใดๆ ทั้งสิ้น อย่าได้ถามหาเฟซบุ๊ค ไลน์ ไอจี ทุกวันนี้แค่มีอีเมล์ก็ดีแค่ไหน

น้องอย่างเคฟเคยสงสัยว่าอยู่มาได้ยังไง ไม่อกแตกตายหรือ? ก็ได้คำตอบว่า ‘เพื่อความเป็นส่วนตัว’ ตอนนั้นเคฟยังไม่เข้าใจ แต่ทุกวันนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง คือพี่อู๋อาจเตรียมตัวเป็นโจรมานานแล้ว
   
หมวดรักษ์จับคางอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนยิงคำถามต่อ
   
“ถ้างั้นผมขออะไรอีกอย่าง”
   
“ผมมีเวลาให้คุณอีกห้านาที ไม่งั้นผมโดนเจ้านายด่าตายแน่ รีบพูดมาเถอะ” ว่าพลางมองนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ ซึ่งเป็นเรื่องจริง
   
“ขอผมดูมือถือหน่อย”
   
“หา?” เดลิเวอรี่แมนใจหาย “นี่มันเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแล้วไหมครับ”
   
“ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่”

   
เหี้ยแม่ง ขืนให้ดูมึงก็รู้หมดสิวะ!

   
เคฟใจสั่นระรัว ทั้งกลัว ทั้งหัวร้อน ไม่ว่าเขาจะทำตามหรือปฏิเสธก็มีค่าเท่ากันคือทำให้ตำรวจยิ่งสงสัย แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูดีๆ เขาก็เลือกที่จะส่งมันให้ตำรวจ เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าลบข้อความสำคัญๆ ทิ้งไปแล้ว
   
หมวดรักษ์รับไปด้วยท่าทางอึ้งเล็กน้อย คงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมให้ง่ายดายเช่นนี้ เขาเปิดดูข้อความ ประวัติการโทร อัลบั้มรูป รวมทั้งอีเมล์และข้อความแชททั้งหลาย ถ้าเป็นคนปกติเคฟคงชกหน้าคว่ำเพราะแม่งโคตรไร้มารยาท แต่ในกรณีนี้เขาทำได้แค่กำหมัด กัดฟัน รอลุ้นให้อีกฝ่ายซอกแซกชีวิตส่วนตัวจนกว่าจะพอใจ

“คุณกับแฟนดูรักกันดีนะ”

ตำรวจหนุ่มพูด หลังจากสำรวจมือถือเสร็จและส่งคืนให้ แววตาคลายความสงสัยลงจากตอนแรกลงไปโข

“คลั่งเลยแหละ” เคฟงงๆ แต่ก็ผงกหัว เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง “หมดธุระแล้วใช่ไหม ปล่อยผมไปได้ยัง”

“โอเค ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ และผมอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ถ้านายอติศรติดต่อมา ขอให้บอกผมโดยด่วน”

หมวดหยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าตังค์ส่งให้อีกฝ่าย เคฟรับไปแกนๆ กะว่าจะฉีกทิ้งทีหลัง

“ครับ”

“โปรดรู้ไว้ว่าผมอยากช่วยเขา หากเราสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขายอมมอบตัวได้ โทษของเขาจะเบาลง แต่หากเขาขัดขืน ผมคงต้องใช้มาตรการเด็ดขาด...และคุณ...คุณเลือกเองได้ว่าอยากเป็นคนช่วย หรืออยากซวยไปกับเขา”

“.....”

“แล้วผมจะติดต่อกลับมาเมื่อจำเป็น ขอบคุณและสวัสดี”

“.....”

ร่างโปร่งในชุดสีน้ำตาลกลับหลังหันเดินจากไปอย่างสง่างาม เคฟมองตามแผ่นหลังตรงแน่วจนสุดสายตา ระบายลมหายใจที่กลั้นไว้จนหมดปอดเมื่ออีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถกระบะสีน้ำตาลขาวและขับจากไป

ไม่อยากเชื่อ...ว่าเขาจะรอดมาได้!

เคฟทั้งงง ตกใจ ดีใจ สับสนปนเปกันไปหมด เปิดดูมือถืออย่างที่ตำรวจดูของตนเมื่อกี้ สงสัยหนักมากว่าไปเปิดตรงไหน ถึงได้เข้าใจแบบนั้น แล้วก็ขนลุกกับความบังเอิญที่เหมือนตั้งใจ


Amy: เมื่อคืนเจ็บสัส รูแคบเท่าตูดหมา เกือบเข้าไม่ได้ ถลอกเลือดออกหมด คราวหน้าขอใหญ่กว่านี้
Amy: มาหาที่ห้องหน่อย อยากคย
Amy: วันนี้เอาแรงๆ หน่อยนะ
Amy: ใครที่ไหนเขาใช้ถุงยางซ้ำ ไอ้หรรมเอ๊ย เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่



เหล่านี้คือข้อความในเครื่อง ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นมาอ่าน ล้านทั้งล้านต้องตีความไปในทิศทางเดียวกันแหงๆ แต่ความจริงคือ...


-   เจ็บเพราะรูระบายอากาศบ้านเศรษฐีเฒ่ามีขนาดเล็ก ตอนลอดเลยถูกครูดเลือดออก
-   *คุย
-   เหล้าดีกรีแรงๆ
-   ถุงมือยาง


ตลกร้ายยิ่งนัก ใครจะคิดว่าการเมมชื่อพี่ชายตกไปตัวหนึ่ง จาก Army เป็น Amy และขี้เกียจเปลี่ยน บวกกับคำกำกวมผิดๆ ถูกๆ จะพลิกชะตาจากร้ายกลายเป็นดีได้ซะงั้น!

งานนี้เห็นทีซาตานจะมีฤทธิ์เดชอยู่ โจรอู๋แอนด์เดอะแก๊งจึงลอยนวลไปได้อีกครา...



/////
หายหัวไปสองสัปดาห์ ยังมีคนรอมั้ยคะ 5555
ป่วยจนทำงานไม่ได้ นิยายเลยยิ่งไม่ได้แตะค่ะ ต้องขอโทษจีจี (_ _)
พรุ่งนี้จะมาอัพให้อีกตอนเป็นการไถ่โทษแล้วกัน อิอิอิ
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามค่ะ <3 <3

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.19 -- เค้น -- (25/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-01-2019 22:58:45
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.19 -- เค้น -- (25/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-01-2019 23:42:07
 :z12: :kikkik:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.19 -- เค้น -- (25/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-01-2019 17:00:27
ข้อความ 18+
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 26-01-2019 23:43:51


20
เป็นแฟนกันหม้าย?



อีกด้านหนึ่ง

ผู้พันแฮมิลทันลืมตาตื่นสะลึมสะลือ มองรอบตัวพบว่าเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ โทรมๆ มีหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือบนผนังคล้ายห้องขัง พยายามนึกให้ออกว่าเป็นที่ไหน แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ตกค้างอย่างหนักทำให้หัวปวดหนึบหน่วงไม่เอื้อต่อการใช้ความคิดใดๆ

ลุกจากเตียง ก้มมองตัวเอง แล้วก็ยิ่งงงไปใหญ่ เพราะร่างกายเปล่าเปลือย เขาหยิบเสื้อผ้าที่กระจายบนพื้นขึ้นมาสวม ก่อนจะออกจากห้องเดินลงไปที่ชั้นล่าง เพื่อค้นหาว่าที่นี่คือที่ไหนและเกิดอะไรขึ้น

“อ้าว คุณ สร่างเมาแล้วเหรอครับ” ผู้จัดการร้านถาม ขณะนี้ร้านยังไม่เปิด เขากำลังจัดการอะไรบางอย่างอยู่ที่เคาน์เตอร์

“โนว์...ยังเลย” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไองงจัง ที่นี่ที่หนาย แล้วทำไมไอถึงนอนแก้ผ้า ยูว์รู้หมายว่าเกิดอาไรขึ้น”

ผู้จัดการร้านพยักหน้า เมื่อคืนหลังจากเบย์ (หรือชื่อใหม่ที่รู้กันคือบี) พาชายคนนี้ขึ้นไปส่งบนห้องแล้ว ประมาณยี่สิบนาทีก็กลับลงมาพร้อมกับน้ำตานองหน้าและสภาพสะบักสะบอม บอกว่าถูกลูกค้าลวนลาม...เบย์ไม่อยากเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีกเลยขอลาออก ผู้จัดการตกใจมาก บอกจะแจ้งความจับลูกค้าบ้ากามให้ แต่เบย์ปฏิเสธเสียงแข็ง บอกว่าเขาเองก็สมยอม จะเรียกว่าข่มขืนทีเดียวก็ไม่ถูก (แต่ความจริงคือ เขายอมโดนปล้ำฟรีดีกว่าเจอตำรวจ) ผู้จัดการร้านเสียดาย พยายามโน้มน้าวให้อยู่ต่อพร้อมกับเสนอเงินเดือนสูงขึ้น แต่เบย์ไม่เอาท่าเดียว ผู้จัดการจึงต้องยอมรับการตัดสินใจของลูกจ้างในท้ายที่สุด

ผู้จัดการเล่าทุกอย่างให้ชายหนุ่มรูปงามฟัง พอเล่าจบผู้พันก็ตกใจจนเกือบสร่างเมา

“ว้อท?! ไอปล้ำบี!?”

“เยส ยูทำ”

“ก็อดแดมน์... แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่หนาย”

“ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก”

“งั้นไอขอเบอร์ฮีหน่อยได้หม้าย”

“บีไม่ใช้โทรศัพท์”

“ทูแบด...” เขายกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ “ร้านยูว์มี CCTV หมาย?”

“มีแค่หน้าร้านตัวเดียว”

ผู้พันขอดูทันที ผู้จัดการร้านซึ่งปกติจะไม่อนุญาตให้คนนอกดู เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ยินยอมให้แขกหนุ่มเข้าห้องสตาฟฟ์ไปด้วยกัน เขาจำได้ว่าเบย์ออกไปตอนประมาณตีหนึ่ง พอย้อนดูก็เห็นหนุ่มน้อยเดินโซเซขึ้นรถแท็กซี่ไปจริงๆ หนุ่มอเมริกันจดหมายเลขทะเบียนรถแท็กซี่คนนั้นไว้ แต่ก่อนจะโทร ต้องรู้ข้อมูลส่วนตัวของเป้าหมายก่อน

“ไออยากรู้ เนมแอนด์แอดเดรส ของบี”

“มันเป็นความลับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไอคงให้ไม่ได้”

“แต่ฮีม่ายใช่ยัวร์ลูกช้างอีกแล้ว” ผู้พันต่อรอง

“ยังไงก็ไม่ได้ ตามจรรยาบรรณแล้วมันไม่ถูกต้อง”

ผู้พันรำคาญความดื้อรั้นของอีกฝ่าย เลยควักสมุดเช็คในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตออกมาเซ็นต์แล้วยื่นให้แบบเดียวกับที่ทำตอนอยู่อเมริกาเวลาอยากจัดการปัญหายุ่งยากหยุมหยิมให้จบๆ ไป ผู้จัดการตกใจกับจำนวนเลขศูนย์ยาวพรืด แต่อย่างไรก็ตาม เขาเลือกที่จะส่ายหน้า

“ไม่”

“ฟัค!” 

“ไม่พอ ขอเลขศูนย์เพิ่มอีกตัว โทษฐานที่ยูทำไอเสียลูกจ้างสุดเพอร์เฟ็คต์ไปทั้งคน”

เกือบด่ากราด แต่ยั้งปากไว้ทัน

ในเมื่อกล้าขอ เขาก็กล้าให้ ยื่นหมูยื่นแมวเรียบร้อยแล้วผู้จัดการก็เปิดแฟ้มเอกสารว่าจ้าง เปิดหน้าสำเนาบัตรประชาชนของบีให้อีกฝ่ายดู ผู้พันเอามือถือมาถ่ายรูปไว้ จำชื่อนั้นขึ้นใจ

‘ยันตร์ เซ่’

น่าจะเป็นลูกครึ่ง

ได้สิ่งที่ต้องการแล้วผู้พันก็ลาไปด้วยความไวแสง ขอฝากรถช็อปเปอร์ไว้ที่ร้านก่อนเพราะยังไม่สร่างเมา ก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ระหว่างทางก็โทรหาคนขับรถแท็กซี่คันที่รับเบย์ไปเมื่อคืน อ้างว่าเป็นแฟนกัน แต่ทะเลาะกันแล้วเบย์หนีไป โชเฟอร์ก็เชื่อ บอกว่าส่งเบย์ที่สถานีรถไฟฟ้าตรงแหล่งบันเทิงแห่งหนึ่ง เขาเห็นเบย์ร้องไห้เลยชวนคุยเผื่อจะทำให้หายเศร้าได้บ้าง แต่เบย์ค่อนข้างเก็บปากเก็บคำ พูดแค่ว่าจะไปดื่มให้ลืมเรื่องเฮงซวย พอถึงที่หมายก็เดินต่อเข้าซอยไปเอง คนขับเลยไม่รู้ว่าไปผับไหน 

ข่าวดีก็คือ ซอยนั้นมีผับประมาณล้านแห่งได้

แต่ความหวังยังมี ผู้พันเสิร์ชชื่อนามสกุลของเบย์ในเฟซบุ๊ค มั่นใจว่าต้องเจอ ขนาดแม่ค้าขายปลายันอาม่าวัยเหยียบร้อยยังมี นับประสาอะไรกับวัยรุ่นหน้าตาดีระดับเน็ตไอดอลอย่างนั้น

ทว่าผู้พันก็ต้องผิดหวัง เขาไม่พบใครที่พอจะเป็นเบย์ได้เลย ลองเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษก็แล้ว สลับชื่อเล่น ชื่อจริง นามสกุล กลับหัวกลับหางแปดตลบก็แล้ว ไม่เจออยู่ดี ความหวังจึงหมดลงพร้อมกับแบตเตอรี่

ปกติเวลาเขาอยากได้ข้อมูลใครก็แค่สั่งลูกน้องหาให้ หรือไม่ก็อาศัยเส้นสายเพื่อนที่ทำงานกรมตำรวจบ้าง ที่ว่าการรัฐบ้าง ค้นหาประวัติในสารบบให้ แป๊บเดียวก็ได้มาไว้ในมือ...ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่เป็นประวัติส่วนตัวครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ใช้ได้ทั้งผู้ร้ายในหมายจับ กับคนที่เขาอยากจีบ

แต่นั่นมันตอนอยู่อเมริกา

ตอนนี้เขาอยู่ไทย แล้วจะไปชี้นิ้วสั่งใครได้? หมวดรักษ์รึก็ระเบียบจัด เถรตรงเป็นไม้บรรทัด ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพทุกหยดเลือด ไม่มีทางช่วยแน่ หนำซ้ำจะด่ายันโคตรเหง้าอีกด้วยถ้ารู้ว่าเขาสำมะเลเทเมาไปปล้ำคนอื่นเข้าแบบนี้ แม้ว่าตัวหมวดเองจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเมาก็เถอะ...แต่เรื่องอะไรเขาจะบอก แค่โดนหักอกก็ช้ำแทบบ้า ถ้าให้โดนด่าซ้ำอีกล่ะก็ คงตายพอดี

เหลือทางเดียวก็คือต้องช่วยตัวเอง

ผู้พันพยายามเค้นความทรงจำเกี่ยวกับหนุ่มน้อยให้มากที่สุด แต่สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงหน้าตาน่ารักเหมือนสุนัขพันธ์มอลทีสเท่านั้น ข้อมูลใดๆ ของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ถาม เพราะตอนที่อยู่ด้วยกัน เขามัวแต่พล่ามปัญหารักร้าวของตนฝ่ายเดียว

นึกแล้วก็โมโหตัวเองที่โง่ขนาดนั้น แทนที่จะชวนคุยสร้างสัมพันธ์ใหม่ และกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีร่วมกันแท้ๆ ไม่แน่ว่าถ้าเขาทำตัวดี อาจได้คนๆ นี้มาอยู่ในชีวิตก็เป็นได้

เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าหน้าตาระดับเพื่อนดาราฮอลลีวู้ดกับยศฐาสูงลิบ แม่งไม่ได้ช่วยทำให้ความรักดีขึ้นมาบ้างเลย...



กลับถึงบ้าน อาบน้ำแต่งตัวกินข้าว แล้วค้นหาสถานบันเทิงในอินเทอร์เน็ตได้มาหลายแห่ง ผู้พันจึงใช้เวลาตลอดทั้งวันที่เหลือออกตามหาบีตามแหล่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะร้านเหล้า เล้าจน์ ผับ บาร์ ฯลฯ เอารูปสำเนาบัตรประชาชนของบีให้เจ้าของร้านดู แต่ไม่มีใครเคยเจอเลยสักคน
ตามหาขาลากชักจะท้อ ทว่าบังเอิญได้ยินสาวๆ พูดกันว่ามีบาร์เปิดใหม่ ทำเหมือนกับโฮสต์ของประเทศญี่ปุ่น พนักงานแต่ละคนงานดีมาก ก็ชักสนใจ... บีเพิ่งจะลาออกน่าจะกำลังหางานใหม่ แถมหน้าตาก็ดี ไม่แน่อาจเลือกร้านนี้ก็เป็นได้

พอมาถึงก็ถามโฮสต์คนแรกที่เจอ แต่นายคนนั้นเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อ ผู้พันจึงขอพบผู้จัดการร้าน เพราะเขาน่าจะรู้จักพนักงานทั้งหมดของตัวเอง

“มีไร” ผู้จัดการร้านปรากฎตัวด้วยสีหน้าหงุดหงิดเปิดเผย เนื่องจากกำลังติดปัญหาสารพัดในร้านอยู่

“ไอมาตามหาคนชื่อบี ที่ร้านนี้มีหมาย?”

“บีไหน” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว

“บี ยันต์ เซ่”

“อะไรนะ บียอนเซ่?”

“ไม่ช่าย บี-ยันต์-เซ่”

“บียอนเซ่ก็อยู่ฮอลลีวู้ดสิ! มาถามอะไรแถวนี้ วู้!”

“ไม่ช่ายบียอนเซ่ บี-ยันต์-เซ่”

ผู้พันล้วงกระเป๋ากางเกงเอากระดาษสำเนาบัตรของคนที่ตามหาออกมาประกอบคำอธิบาย แต่พบว่ามันหายไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่รู้ร่วงหล่นตอนไหน เขาโมโหจนแทบจะจิกหัวตัวเอง แต่ก็ไม่มากเท่าที่ผู้จัดการอยากจิกหัวเขา

“ก็บอกว่าไม่มีๆ ยังจะเซ้าซี้อยู่ได้ อยากเจอก็ไปฮอลลีวู้ดโน่นไป๊!  เสียเวลาทำมาหากินจริงเลย!” พูดเสียงดังพร้อมกับโบกมือไล่แขกอย่างไม่ไยดี แล้วเดินหายไปในห้องทำงาน ปิดประตูดังปังตามหลัง

ผู้พันแฮมิลทันถอนหายใจ เดินออกจากร้านด้วยส่วนสูงที่ลดลงสิบเซ็นต์เพราะหลังงอคอตกอย่างคนห่อเหี่ยวที่สุดในกาแล็กซี่

จะให้เขาไปที่ฮอลลีวู้ดก็ได้นะ เขามีเพื่อนเป็นดาราหลายคน บียอนเซ่ตัวจริงก็เจอมาแล้ว เคยเชิญเธอมาเล่นในงานวันเกิดเมื่อปีก่อน (แหม ก็เราใหญ่) นึกแล้วก็ขำ คนอะไรชื่อพ้องกับนักร้องระดับโลกด้วย

หรือว่าบีชอบนักร้องสากล? นี่อาจเป็นชื่อที่เขาตั้งใหม่ตามดาราในดวงใจก็เป็นได้...คิดได้อย่างนั้นก็เบนเข็มทิศไปยังร้านแนวฝรั่งๆ แทน

ผู้พันมีรายชื่อร้านแนวตะวันตกหลายที่ๆ ยังไม่ได้ไป หนึ่งในนั้นมีร้านชื่อ HOLLYWOOD ด้วย มันอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งปัจจุบัน เขาจึงเดินไป พอมาถึงก็พบว่าร้านนี้แตกต่างจากทุกร้านที่เขาไปมา มันไม่ใช่โฮสต์ ไม่ใช่บาร์ แต่เป็นเหมือนผับ มีเวทีอยู่ด้านในสุดของร้าน มีฟลอร์เต้นรำ แสงสีวิบวับชวนให้มึนหน่อยๆ คนค่อนข้างแน่นกว่าร้านแบบอื่น

ผู้พันแปลกใจว่าทำไมคนถึงเยอะ ทั้งที่สภาพร้านก็ธรรมดาค่อนไปทางเก่าด้วยซ้ำ ระบบเสียงก็ห่วย ดนตรีดังกระหึ่มปวดหู ลำโพงแตกดังซ่าๆ เหมือนงานวัด มีเสียงน่ารำคาญของดีเจแทรกมาเป็นช่วงๆ กลิ่นบุหรี่ก็เหม็นแรงตลบอบอวลจนขมคอ

แทบไม่อยากเชื่อว่าคนระดับเขาต้องลงมาเกลือกกลั้วในสถานที่เกรดต่ำเช่นนี้... แต่เอาเถอะ ขอให้เจอคนที่ตามหาเป็นพอ
   
“เอ็กซ์คิวส์มี! เมเนเจอร์อยู่ที่หนายคร้าบ?!”

ผู้พันเดินไปถามบาร์เทนเดอร์ เสียงเพลงดังมากทำให้เขาต้องตะโกนเสียงดังแข่งจนเอ็นขึ้นคอ
   
“โอ้ โนว์ ซอรี่!” พนักงานพูดมั่วแถมเดินหนี ดูท่าแล้วคงฟังไม่รู้เรื่อง ผู้พันเลยถอยออกมา เขาทนเสียงดังลำโพงแตกแหกห่านี้ไม่ไหวแล้ว

“พี่น้องค้าาาาา ถึงเวลาเฮฮากับคณะนักแสดงของเราแล้วค้าาา! เอ้าเร่เข้ามาๆๆ ขอบอกว่าคืนนี้มีทีเด็ดเพียบ! ใครที่เต้นอยู่ก็หยุดเต้น ใครที่แดกก็รีบแดก ใครที่ขี้อยู่ก็รีบขี้ ช้ากว่านี้ระวังที่หน้าเวทีเต็มนะจ๊า!”

“กรี๊ดดดด วู้ววววว”

ดนตรีปวดหูเบาลงเมื่อพิธีกรหญิงท่าทางแรดๆ ใส่เสื้อสายเดี่ยวปิดนมแค่ครึ่งเดียวคนหนึ่งขึ้นไปประกาศเรียกลูกค้าบนเวที ผู้คนกรูกันเข้าไปจับจองพื้นที่หน้าเวทีอย่างตื่นเต้น ผู้พันที่กำลังจะเดินออกจากร้านก็หยุดชะงักด้วยความสนใจ

ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอดูสักหน่อยว่าเป็นยังไง มีดีอะไรคนถึงเยอะ

“วันนี้พิเศษค้า เพราะเรามีน้องใหม่ ใสๆ แต่ไม่ซิงมาร่วมทีม! น้องมีฉายาว่าลูกชายลีจุนกิ การันตีว่าหล่อโดนใจป้าแก่ๆ อย่างพวกหล่อน แน่นอนย่ะ!”

ลูกค้าทั้งชายหญิงส่งเสียงโห่ร้องหลังจากพิธีกรพูดจบ ผู้พันแฮมิลทันค้นพบว่าจุดขายของร้านนี้คงเป็นการเล่นมุกทะลึ่งอย่างโจ่งแจ้งกับพูดหยาบคายเหมือนลูกค้าเป็นเพื่อนนี่เอง คนก็เลยรู้สึกเป็นกันเองกับร้านนี้และมาใช้บริการกันเยอะ

“พร้อมแล้วขอเสียงกรี๊ดให้ทีมแสดงของเราหน่อยเร้วววว”

พิธีกรทำท่ามือป้องหู ผู้ชมที่อยู่ข้างล่างก็ส่งเสียงดังอีกระลอก ก่อนที่นางจะหายไปจากเวทีแล้วการแสดงก็เริ่มต้นขึ้น ผู้พันกอดอกยืนมองห่างจากเวทีประมาณสิบเมตร แต่ด้วยความสูงน้องๆ เสาไฟฟ้า เลยมองเห็นเวทีได้ชัดพอๆ กับแถวหน้าสุด

การแสดงเป็นเหมือนโชว์ตลกคาเฟ่ทั่วไป นักแสดงแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มโอเว่อร์ บทพูดสอดแทรกมุกตลกเรื่องเพศเป็นส่วนใหญ่ ทั้งเสี่ยวทั้งฮา เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือจากผู้คนได้เยอะมาก รวมทั้งจากผู้พันแฮมิลทัน แม้จะมีหลายมุกที่ไม่เข้าใจ แต่รวมๆ แล้วเอ็นจอยมาก
พอถึงฉากที่น้องใหม่ออกโรง ผู้ชมก็กรี๊ดดังกว่าทุกครั้งเพราะเขาน่ารักเกินคาด คงมีแต่ผู้พันแฮมิลทันเท่านั้นที่อึ้งตาโต อ้าปากค้าง

เพราะคนๆ นั้นคือคนที่เขาตามหาตาเหลือก!!!

หนุ่มน้อยแสดงเป็นพระเอกเรื่อง ‘ผัว 2018’ ที่มีเมียสามคนตบตีแย่งชิงกัน เรียกเสียงกรี๊ดจากผู้ชมสาวๆ ได้แทบจะทุกองศาการหมุนตัว  หลายคนถามกันว่าเขาเป็นใคร ลูกครึ่งชาติไหน  มีเมียหรือผัวรึยัง บ่งบอกความฮอตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บทก็ยังฮามาก เมียแต่ละคนพูดได้ว่าไม่มีใครปกติ ทำเอาคนดูขำกรามค้าง
   
แต่ผู้พันแฮมิลทันไม่ได้สนใจเรื่องราวในการแสดงสักนิด เขาสนใจแค่บีเท่านั้น จับตาดูตั้งแต่วินาทีแรกจนกระทั่งการแสดงจบลงในอีกสิบห้านาทีต่อมา ก็ไม่รอช้ารีบไปที่หลังเวที


   
“บี!”
   
“เฮ้ย มึง ไอ้ฝรั่งเก๊!”

สีหน้าของคนถูกเรียกหวาดผวาเหมือนผู้ร้ายเจอตำรวจ ผู้พันจับข้อมืออีกฝ่ายแล้วพาเดินออกนอกร้าน ถูกหลายคนมองตามอย่างสงสัย แต่เขาไม่สนใจสายตาของใครทั้งสิ้น

“ปล่อยนะ! จะทำอะไร!”

เบย์สะบัดแขน แต่ไม่หลุด ชายหนุ่มจับไว้แน่นมากจนเป็นรอยแดง จนกระทั่งมาอยู่ที่ลานจอดรถ ค่อนข้างมืดและลับตาคน จึงปล่อยมือ

“มึงตามกูมาทำไม!”

เบย์ตะโกนถาม ใจหนึ่งโมโหเรื่องเมื่อคืนที่ถูกปล้ำ อีกใจก็กลัวว่ามันจะเป็นตำรวจตามมาลากคอเข้าคุก เพราะไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เจ้าเคฟเพิ่งโทรมาบอกว่าโดนหมวดรักษ์สอบปากคำ แสดงว่าพวกเขากำลังถูกไล่ตามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว และเขาก็ระแวงมากขึ้นทุกทีว่าไอ้ฝรั่งเก๊นี่จะเป็นตำรวจจริงๆ ไม่งั้นมันจะกัดไม่ปล่อยแบบนี้เหรอ?

แต่ไม่ว่ามันจะมาด้วยเหตุผลใด เบย์ตั้งใจว่าจะไม่มีวันยอมให้มันจับได้เป็นอันขาด

“ไอ...ไอแอมซอรี่” ผู้พันก้มหน้ามองหนุ่มน้อยด้วยแววตาเศร้า “ลาสต์ไนท์ไอเมามาก ม่ายมีสติ เลยทำเรื่องเลวๆ กับยูว์ ไอแอมซอรี่เวรี่ๆ เลยอยากมาขอโท้ดยูว์”

“เฮอะ เรื่องนี้เองเหรอ” เบย์แค่นหัวเราะ แต่ความจริงโล่งใจจนแทบกระโดดตีลังกา “ช่างมันเถอะ กูไม่เอาเรื่องมึงหรอก ปล่อยให้มันจบๆ ไปซะ แล้วไม่ต้องตามมาอีก”

หนุ่มน้อยพูดแค่นั้นแล้วเดินหนีผู้พันกลับไปในร้าน แต่ผู้พันดึงแขนเขาไว้

“อะไรอีก ปล่อย กูต้องไปทำงาน!” เบย์ตวาด

“เป็นแฟนกันหม้าย!!!”

“.......ฮะ?”

“ไออยากรับผิดชอบยูว์” ผู้พันจ้องตาแน่วแน่ “มาคบกับไอเอาหมาย?”

เบย์หน้าแดง ทั้งเขินทั้งโกรธ “ไม่เอาโว้ย กูไม่ชอบผู้ชาย”

“ไม่เป็นไร ไอชอบยูว์”

“กูบอกว่าไม่ไง! อีกอย่างมึงก็มีดาร์ลิ้งเชี่ยไรนั่นอยู่แล้วนี่ จะมาคบซ้อนทำไมวะ” เบย์เริ่มโมโห แต่ผู้พันส่ายหน้ารัวๆ

“ไม่ช่ายน้า ไอม่ายมีแฟน เขาทิ้งไอไปแล่ว”

“กูไม่อยากเป็นแฟนกับใครเพียงเพราะความรับผิดชอบ คนเป็นแฟนเขาก็ต้องเกิดจากความรักสิ เรื่องเมื่อคืนน่ะ กูจะคิดว่าเป็นแค่ฝันร้าย มึงเองก็ลืมๆ ไปซะ เข้าใจแล้วก็ไสหัวไป”

เบย์เดินเลี่ยงหนีอย่างไร้เยื่อใย แต่คนตัวสูงกว่าก็อ้าแขนดักหน้า

“ม่ายไป”

“วะ! น่ามคานชิบหาย พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!” เบย์ชักของขึ้น 

ผู้พันเอ่ยด้วยความจริงจัง “ไอชอบยูว์จริงๆ นะ”

“.....”

“ถ้ายูว์ไม่ยอมเป็นแฟนไอ ไอก็จะจีบ จนกว่ายูว์จะชอบไอ”

“....”

จากตอนแรกที่หัวร้อนเพราะโมโห ตอนนี้ความร้อนนั้นก็ลอยต่ำลงมาอยู่ที่หน้าแทน แม้บริเวณที่ทั้งคู่อยู่ตอนนี้จะมืดสลัว แต่เบย์เห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่ายเป็นประกายกล้าชัดเจน เขารู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้พูดเล่น...แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะตอบรับเจตนาของมันได้ เพราะเขาไม่ชอบผู้ชาย และเขาเป็นผู้ร้าย ส่วนมัน (อาจจะ) เป็นตำรวจ

“กูบอกล้านครั้งแล้วมั้ยว่า กู-ไม่-เอา”

“ไอก็ไม่ได้บังคับให้ยูว์เอานี่นา แค่จะจีบไปเรื่อยๆ”

“เฮอะ กะอีแค่ตังค์จ่ายค่าเหล้ายังไม่มี ฝันไปเถอะว่าจะจีบกูติด”

“ไอไม่ช้อบพกเงินสด มันชอบหาย แต่ไอมีสมุดเช็คนะ”

“จะบอกว่าจริงๆ มึงรวยใช่มั้ย เสียใจ กูไม่เชื่อว่ะ แม่ง มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ!” เบย์เอ็ดใส่หน้าพร้อมกับผลักอีกฝ่ายให้พ้นทาง
ผู้พันไม่ยอมแพ้ ตะโกนตามหลังเป็นครั้งสุดท้าย

“งั้นยูว์ชอบคนแบบหนาย!?” 

เบย์ชะงักสองวินาที แล้วหันมาพูดดังๆ หวังว่าจะกระแทกรูหูทะลุไปถึงสมองของอีกฝ่ายชัดเจน จะได้เลิกเซ้าซี้ซักที

“ขับเฟอร์รารี มีบ้านเป็นคฤหาสน์ กับเงินในธนาคารหนึ่งร้อยล้านบาท ไม่ได้ตามนี้ก็อย่ามาคุย จบนะ!!!”

พูดเสร็จก็หนีกลับเข้าร้าน ทิ้งให้ผู้พันแฮมิลทันยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม พอได้สติก็ตามเข้าไป แต่ฝูงชนจำนวนมากเบียดเสียดกันแน่นกว่าเมื่อครู่ ผู้พันจึงถูกดันไปอยู่สุดขอบร้าน เห็นนักแสดงเพียงไกลๆ และไม่มีโอกาสได้พูดกับเบย์อีก

แต่ถึงจะโดนปฏิเสธ ผู้พันก็ไม่เศร้า
   
เพราะเขาอยากจะบอกว่าไม่ใช่แค่เฟอร์รารี ยังมีแลมโบกินี บูกัตตี ออดิ เมเซอราติ คฤหาสน์ก็ไม่ได้มีแค่หลังเดียว แต่เป็นสิบ บอกมาสิว่าจะเอาที่ประเทศไหน ส่วนเงินก็ไม่ใช่แค่หนึ่งร้อยล้านบาท เป็นหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ มากกว่าที่รีเควสต์ไปสามสิบสองเท่า...
   
มันคือมวยที่เขาชนะน็อคตั้งแต่หมัดแรก




/// มาต่อให้ติดๆ อีตาผู้พันเพิ่งจะฟื้น กลัวคนอ่านลืมซะก่อนค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-01-2019 23:48:28
แสงเทียนเป็นยังไงบ้าง
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 27-01-2019 00:20:10
เบย์โชคดีได้อภิมหาเศรษฐีเป็นแฟน
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-01-2019 06:17:15
อิจฉา คนมีเศรษฐีตามจีบ เรายังว่างอยู่นะ ไม่ต้องรวยมากก็ได้ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 27-01-2019 10:46:04
เบย์ เจอของจริงแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-01-2019 21:05:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 27-01-2019 23:26:08
 :pig4: :katai2-1:รออ่านต่อนะคะ ชอบคุ่นี้อะผุ้พัน กะเบ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.20 เป็นแฟนกันหม้าย? (26/01/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 28-01-2019 12:13:22
โอ้ยยย​ ร้อยล้านดอลล่าเลยนะเบย์ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.21 คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 01-02-2019 23:45:13


21
คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก


   

ณ ร้านหนังสืออิสระเล็กๆ ในมุมหนึ่งของเมือง

ด้วยความที่หนังสือไม่ได้เป็นที่นิยมอีกต่อไป อเล็กซ์ ฮริคมันซ์ (ชื่อใหม่ตามบัตรประชาชนปลอม- อเลฮานโดร โจฟ คูนิคาลอส) เลยแทบไม่มีลูกค้าให้ต้องบริการ แต่ปกติลูกค้าร้านหนังสือก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือมากมายอยู่แล้ว เขาเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
   
ตอนนี้เขากำลังอ่านตำราภาษาโปรตุเกสอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำอย่างนี้มาสองวัน และตอนนี้ก็สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้แตกฉานราวกับเจ้าของภาษาเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังย้อมผมจากสีบลอนด์เป็นสีดำ กับทาโลชั่นผิวสีแทนให้สมกับเป็นหนุ่มละตินด้วย ให้ตายก็ไม่มีใครไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนบราซิล การปลอมตัวใหม่สำเร็จสมบูรณ์
   
พนักงานหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนาฬิกาของร้านดังบอกเวลาสี่โมง อเล็กซ์วางหนังสือลงแล้วบิดตัวแก้เมื่อย เตรียมพร้อมรับมือกับกลุ่มลูกค้าที่กำลังจะมา

ร้านนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนแค่สองร้อยเมตร ดังนั้นนักเรียนหลายคนจึงมาที่ร้านหลังโรงเรียนเลิก บางคนก็มาซื้อหนังสือ บางคนมาอ่านฟรี บางคนมานั่งดื่มเครื่องดื่มกับกินขนมในโซนคาเฟ่ บางคนแค่มาหลบแดดฝน บ้างก็มารอผู้ปกครองรับกลับบ้าน อเล็กซ์รู้สึกดีใจที่ยังมีเด็กๆ เข้าร้านหนังสือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
   
แต่วันนี้เขาอาจจะดีใจไม่ออก...
   
มีเด็กชายมอต้น ผิวแทน หน้าตาดี เดินเข้ามาในร้าน อเล็กซ์จำได้ทันทีว่าเด็กนั่นเป็นใคร แต่แทนที่จะเข้าไปต้อนรับ เขากลับหาที่หลบ
   
ก็มันคือคนที่แจ้งความจับเขาน่ะสิ!

หนุ่มลูกครึ่งลืมสนิทว่าไอ้เด็กนั่นเรียนที่นี่ และสองวันที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยเห็นมัน ไม่นึกว่าโลกจะกลมขนาดนี้
   
อเล็กซ์หลบอยู่หลังชั้นหนังสือ เหลือบตามองตามหลังเด็กอย่างระมัดระวัง เด็กนั่นก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร ท่าทางซึมเศร้ามืดมน เดินไปที่ชั้นหนังสือแนวธรรมะเหมือนจะหาหนทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทางโลก
   
เด็กแบกกระเป๋าใหญ่เท่ากระสอบปูน พอวางลงกับพื้นก็ได้ยินเสียง ปึก!! บ่งบอกความหนาแน่นของมวลสารที่อยู่ข้างใน แต่เด็กไม่หาหนังสืออ่าน กลับนั่งกอดเข่า ก้มหน้า ไหล่สั่น ร้องไห้
   
อเล็กซ์สังเกตสภาพของเด็กชาย พบว่าที่แขนของเด็กมีรอยฟกช้ำสองสามจุด น่าจะเกิดจากถูกของแข็งกระแทก คอเสื้อยับยู่ยี่ กระดุมหลุดหนึ่งเม็ด กระเป๋ากางเกงกลับออกมาข้างนอกทั้งสองข้าง กระเป๋าใบงามถูกของมีคมกรีดเป็นรอยจนหมดสง่าราศรีของแบรนด์เนม
   
ถูกรังแก... คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาเมื่อมองสภาพโดยรวม   
ตอนนั้นเด็กชายเคยพูดว่าถูกกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ เห็นทีจะจริง แต่อเล็กซ์ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ ทั้งที่เด็กชายก็ดูเป็นมิตรดีออกแท้ๆ
   
ยิ่งนานก็ยิ่งร้องไห้หนัก โจรหนุ่มในคราบพนักงานกัดริมฝีปากชั่งใจ เขากลัวเด็กนั่นจะจำเขาได้ แล้วเรื่องจะยุ่ง...แต่หากปล่อยให้เด็กร้องไห้ต่อไป ก็ดูจะใจดำเกิน  สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็ก

ความเป็นพี่ใหญ่ของบ้านเด็กกำพร้าหล่อหลอมให้เขาเป็นผู้ปกป้องและปลอบประโลมน้องๆ เขาจึงทนเห็นคนอ่อนแอถูกรังแกไม่ได้
   
“น้องคร้าบ เป็นอะร้าย” เขาพูดไทยสำเนียงฝรั่งแบบจงใจ   
   
เด็กชายสะดุ้งนิดหน่อย แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้า อเล็กซ์เห็นใบหน้าของเด็กเปื้อนน้ำตา ดวงตาบวมแดง แอบมีน้ำมูกไหลหน่อยๆ ส่วนเด็กชายเมื่อเห็นหน้าอเล็กซ์ก็ร้องเสียงดัง
   
“พี่ชาย!!!!”
   
“วะ...ว้อท?” อเล็กซ์ลนลาน
   
“พี่ชายจริงๆ ด้วย!” เด็กชายปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน “พี่อเล็กซ์!”
   
“เฮ้ย!!!!” อเล็กซ์สะดุ้งสุดตัว รีบเอามือปิดปากเด็กชายแล้วลากเข้ามุมอับลับตาคน เด็กชายดิ้นๆๆ จนอเล็กซ์ต้องกระซิบขู่กรอกหูให้หยุด เด็กจึงเลิกดิ้นพร้อมกับชูนิ้วว่าโอเค อเล็กซ์จึงยอมปล่อย
   
“ผมไม่นึกเลยว่าพี่ชายทำงานที่นี่” เด็กชายพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ อากาศเศร้าซึมก่อนหน้านี้เหมือนจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
   
“หุบปาก อย่าเพิ่งพูดมาก” อเล็กซ์ทำเสียงดุ เหลียวมองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างระแวดระวัง แล้วจ้องหน้าเด็กจริงจัง “นายจำพี่ได้ยังไง”
   
“ผมจำกลิ่นพี่ชายได้” เด็กตอบพร้อมกับยิ้มแป้น
   
“...” อเล็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก
   
ก็จริงของเด็ก ถึงเขาจะโกนหนวดเครา ตัดผมเผ้าย้อมสีเรียบร้อย ปลอมตัวปลอมชื่อใหม่ไม่เหลือเค้าโจรคนเดิมแล้ว แต่ยังใช้โรลออนกลิ่นเดิมอยู่... ไม่รู้จะโทษตัวเองที่สะเพร่า หรือโทษที่เด็กจมูกไวเหมือนหมาดี
   
“ดีใจจังที่ได้เจอพี่ชายอีก ถ้ารู้ว่าพี่ชายทำงานร้านนี้ ผมคงมาตั้งนานแล้วล่ะ ดีนะที่วันนี้หนีเรียนพิเศษมาที่นี่ เลยได้เจอกัน”
เด็กชายมองอเล็กซ์ด้วยความตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่ ไม่มีอาการซึมเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้ หรือแสดงท่าทีหวาดกลัวที่เขาเป็นโจรเลยสักนิด
   
อเล็กซ์มองชื่อที่เสื้อเด็กแล้วถอนหายใจ

“ฟังนะ นายเพชร นายรู้ตัวใช่ไหมว่าทำให้พี่เดือดร้อน”
   
“รู้ครับ” เด็กพยักหน้า แววตาใสซื่อไร้เดียงสา “ผมคิดว่าถ้าพี่ชายโดนประกาศจับ อาจจะยอมมอบตัว แล้วผมก็จะไปยืนยันตัวพี่ที่โรงพัก เราจะได้เจอกันอีกรอบไง”
   
อู้หู ความคิด
   
“พี่อุตส่าห์ช่วยนายจากนักเลง แต่นายกลับแจ้งจับพี่เนี่ยนะ”
   
“อ๊ะๆ อย่าเข้าใจผิดสิคร้าบ ผมแจ้งจับก็จริง แต่ก็จะประกันตัวให้ ผมไม่เนรคุณพี่ชายหรอกน่า”
   
อเล็กซ์ส่ายหน้าเพลียๆ “แต่ทำแบบนี้มันเกินไปนะ”
   
“ก็ผมอยากให้พี่ชายสอนผมต่อสู้จริงๆ นี่...” จู่ๆ เด็กชายก็หน้าเศร้าอีกครั้ง “ผมถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเกือบทุกวัน... วันนี้ก็โดนตีแล้วขโมยเงิน แถมกระเป๋าที่ป๊าเพิ่งซื้อให้ใหม่ก็ถูกกรีดด้วย”
   
อเล็กซ์มองเด็กชายอย่างสะเทือนใจ เขาเห็นภาพตัวเองในอดีตทับซ้อนบนตัวเด็กชายเพชร ตอนที่ถูกรุ่นพี่อันธพาลในบ้านกลั่นแกล้งถึงขั้นเลือดตกยางออก เพียงเพราะเขามีพ่อเป็นโจร ไม่ใช่แค่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น ยังถูกรีดไถเงินที่ได้จากการวาดรูป ขายขนม กับงานเล็กๆ น้อยๆ ไปแทบหมด เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานหลายปี กว่าเด็กนรกพวกนั้นจะถูกลงโทษ โดนส่งไปยังสถานพินิจเยาวชนข้อหายาเสพติด   
นั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย พลันความโกรธที่มีให้เด็กชายก็หายไปอย่างไม่รู้ตัว
   
“ทำไมนายถึงถูกแกล้งล่ะ” อเล็กซ์ถาม
   
“ไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะผมเรียนเก่ง บ้านรวย ไม่ก็หล่อเกินไปล่ะมั้ง พวกเขาเลยหมั่นไส้”

เด็กชายก้มหน้าหงอย แม้คำพูดจะฟังดูมั่นหน้ามั่นโหนก แต่มันดันเป็นเรื่องจริง คนฟังเลยเกลียดไม่ลง
   
“ไม่ใช่ว่าผมขี้แพ้นะ แต่ผมสู้ไม่ไหวจริงๆ ตอบโต้ทีไรก็ถูกทำร้าย” เด็กชายลูบแผลฟกช้ำของตัวเองเบาๆ “แต่ก็เจ็บจนชินแล้วล่ะ”
   
อเล็กซ์สงสารเด็กชายจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
   
“พี่ชายช่วยผมได้ไหม” เพชรปาดน้ำตามองหน้าอเล็กซ์ ดวงตาเปียกชื้นส่อแววเว้าวอน “ผมอยากเข้มแข็ง ไม่อยากถูกรังแกอีกแล้ว”
   
“พี่จะช่วยอะไรได้ นายควรแจ้งครูหรือฟ้องป๊าสิ” อเล็กซ์บอกปัด เขาไม่อยากมีภาระเพิ่ม จากใจจริง
   
“ไม่ได้หรอก พวกเขาขู่ว่าถ้าผมฟ้องผู้ใหญ่ จะยิ่งโดนทำร้ายมากกว่าเดิม” เด็กชายตอบเศร้าๆ “ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ...ผมต้องรับมือกับพวกเขาด้วยตัวเองเท่านั้น”
   
“งั้นนายก็ควรไปฝึกต่อสู้กับครูฝึกจริงๆ ไม่ใช่โจ... เอ่อ...คนธรรมดาอย่างพี่” อเล็กซ์ว่า แต่เด็กชายยังคงยืนยันคำเดิม
   
“ก็ผมถูกชะตากับพี่ชายนี่ พี่ชายต้องสอนผม” เพชรว่า แววตาจริงจังขึ้นมา “ไม่งั้นผมจะโทรแจ้งตำรวจจริงๆ ด้วย”
   
ดูมัน!!!
   
อเล็กซ์กัดฟันระงับความโกรธ แล้วพูดกับเด็กอย่างใจเย็น
   
“นายก็เห็นว่าพี่ต้องทำงาน จะเอาเวลาไหนไปสอนนาย อีกอย่างนายเองก็เรียนพิเศษด้วยไม่ใช่เหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
   
“เป็นไปได้สิ ร้านนี้มีหนังสือติวสอบตั้งเยอะ ผมจะอ่านในนี้แหละ  พอเสร็จแล้วเราก็ไปซ้อมต่อสู้กัน ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”
   
“เฮ้ย อย่าด่วนสรุปเอาคนเดียวสิ”
   
“อ๊ะๆ กล้าปฏิเสธเหรอ อย่าลืมนะว่าผมกุมความลับของพี่ชายอยู่”
   
“..........” ไอ้เด็กหรรมส์
   
“ว่าไงครับพี่อเล็กซ์ ฮริ...”
   
“เออๆๆๆ ก็ได้” อเล็กซ์เอามือปิดปากเด็กชายทันที “พี่ตกลง แต่นายห้ามเรียกชื่อนั้นอีกเด็ดขาดเข้าใจไหม ตอนนี้พี่ชื่ออเลฮานโดร จำไว้”
   
“อื้อๆ” เด็กชายพยักหน้า อเล็กซ์ปล่อยมือจากปาก “เย้ ขอบคุณนะครับพี่ชาย!”
   
พูดเสร็จก็กระโดดกอดอเล็กซ์หนึ่งที
   
“เฮ้ยๆ ออกไป ไม่ทันไรเล่นลามปาม” โจรหนุ่มตกใจ ผลักหัวเด็กชายที่อยู่ระดับอกของเขาออกห่างจากตัว
   
“ก็คนมันดีใจอ่ะ”
   
“ทำแบบนี้แล้วป๊านายไม่สงสัยแย่เหรอ”
   
“ป๊ามัวแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจที่บ้าน ไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของผมมากหรอก”
   
“งั้นก็แล้วไป”
   
“พี่ชายเลิกงานกี่โมง”
   
“ทุ่มนึง”
   
“ดีจัง” เด็กชายยิ้มอย่างสุขใจ “เลิกงานแล้วสอนผมหน่อยนะครับ พี่อเล...อะไรนะ”
   
“อเลฮานโดร เรียกพี่โด้เฉยๆ ละกัน เจ้านายก็เรียกพี่แบบนี้”
   
“ครับ พี่โด้”
   
“อืม อ่านหนังสือรอไปก่อนแล้วกัน พี่ต้องไปหน้าร้านแล้ว เดี๋ยวผู้จัดการสงสัย”
   
“ครับผม~” เพชรทำท่าตะเบ๊ะ อเล็กซ์ยิ้มน้อยๆ แล้วเดินออกจากมุมนั้นไปที่หน้าร้านซึ่งลูกค้ากำลังวุ่นวาย
   
แปลกดีเหมือนกัน แทนที่จะรู้สึกอึดอัดใจ เขากลับรู้สึกดี แม้จะถูกล่วงรู้ความลับถึงขั้นโดนแบล็กเมล์ แต่เขาคิดว่าตัดสินใจถูกที่เดินออกไปหา แทนที่จะหลบหนี
   
เพราะเขาชอบรอยยิ้มของเด็กนั่นมากกว่าน้ำตาของมันเป็นไหนๆ



   
อีกด้าน

เคฟรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอัญมณีเลอค่าแวววาวเยอะขนาดนี้

เขามาที่ร้านเพชรตามที่อยู่ในนามบัตรที่ได้รับเมื่อหลายวันก่อน ไม่ได้มาตัวเปล่าปลิว แต่หิ้วกล่องพิซซ่า อภินันทนาการจากร้านตัวเองมาด้วย
   
จะเข้าหาเป้าหมายทั้งที มันต้องมีใบเบิกทางซักหน่อย...

ก่อนหน้านี้เคฟให้อเล็กซ์ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับนายพัชร รู้ว่าเขาเป็นหม้าย เมียตายตั้งแต่สิบปีก่อน (หล่อนเป็นคนญี่ปุ่น ชื่ออะไรสักอย่างโกะๆ) ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลูกชายสองคน และหมาพุดเดิ้ลสามตัว พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาฯ แต่ตัวเขาชอบเพชร จึงเปิดร้านเพชร ฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐีอย่างไม่ต้องสงสัย อุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อเล็กซ์เจอชื่อของพัชรในรายนามบริจาคมูลนิธิต่างๆ เยอะมาก บริจาคทีก็หลักสิบล้านเป็นอย่างต่ำ นอกจากนี้เจ้าตัวยังไปโผล่รายการโทรทัศน์กับนิตยสารจำพวก ‘Hiso Daily เจาะลึกชีวิตเซเลป’ ’30 Under 30 เศรษฐีรุ่นใหม่ไฟแรง’ ‘ห้าสิบหนุ่มในฝัน หล่อ-รวย-ดี ที่สาวๆ ไม่มีวันได้ครอบครองทั้งชาตินี้และชาติหน้า’

เคฟตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ตั้งแต่เป็นโจรมาเพิ่งเจอรายนี้แหละที่รวยจริงจัง และท่าทางจะได้ไม่ยาก

เรานี่ช่างตาถึงจริงๆ

หนุ่มเลือดจีนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติ ก่อนจะผลักประตูกระจกก้าวเข้าไปในร้านเพชรที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้ามาในร้านแล้วก็หูตาลุกวาว เพราะเพชรเยอะเว่อร์วังอลังการอย่างที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อน   

ชายหนุ่มใช้สายตากวาดสแกนเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เห็น แปลงเป็นภาพแผนผังร้านเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ร้านเรากำลังจะปิดแล้ว”

“.....” เคฟหันไปด้านหนึ่งของร้านตามเสียง “สวัสดีครับ”

“อ้าว คุณ! ผมไม่คิดว่าจะมาจริงๆ” เจ้าของร้านเดินเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร ออร่าของเขาเปล่งประกายยิ่งกว่าเพชรเสียอีก “ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้ง แต่ว่าวันนี้คุณคงซื้อไม่ทันแล้วล่ะ”

“ผมไม่ได้มาซื้อเพชรหรอก แค่มาเยี่ยม” เคฟพูดยิ้มๆ แล้วชูถุงของฝากขึ้นมา “เดาว่าคุณยังไม่ได้กินข้าวเย็น”

พัชรยิ้มร่าเริง เคฟไม่เห็นริ้วรอยสักนิดบนหน้าเขา เหมือนใบหน้าของเด็กอายุสิบห้ามากกว่าชายวัยเลขสามที่มีลูกแล้ว

“เยี่ยมเลย แต่ขอผมปิดร้านก่อน เชิญนั่งรอที่โซฟา”

“ถ้าไม่รังเกียจให้ผมช่วยได้ไหม”

“จะบ้าเหรอ คุณเป็นแขกนะครับ”

“เปล่าครับ ผมเป็นจีน”

พัชรขำพรืด “คุณนี่ อารมณ์ดีนะเนี่ย”

“หน้าตาก็ดีด้วยครับ”

อีกฝ่ายยิ้มเขินๆ “อันนี้ไม่เถียง”

“ให้ผมช่วยเถอะครับ เพราะผมหล่อและเป็นสุภาพบุรุษ แล้วคุณก็จะได้มากินของฝากไวๆ ด้วยไง เห็นไหม มีแต่ข้อดี” 

“พูดขนาดนี้ ก็ตามใจแล้วกัน” เจ้าของร้านว่า

เคฟวางกล่องพิซซ่าไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วช่วยปิดหน้าต่าง ปิดม่าน ล็อกประตู ชายหนุ่มแปลกใจที่ไม่มีลูกจ้างเลยสักคน มีแค่พัชรคนเดียว พอปิดร้านเสร็จแล้วพัชรก็ปาดเหงื่อ สีหน้าแลดูเหนื่อยล้า

“คุณไม่มีลูกน้องเลยเหรอ” เคฟถาม

“มีสิ แต่ช่วงนี้พวกเขาลากลับบ้านน่ะ ผมเลยดูแลร้านคนเดียว” พัชรตอบยิ้มๆ “แต่ก็โอเค ผมชอบที่ได้ทำทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่เป็นเจ้าของร้านยันยามเฝ้าประตู”

จริงๆ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะทุกคำที่พูดจะเป็นลูกศรพุ่งแทงคุณ

เคฟรู้สึกสังเวชใจในความไร้เดียงสาของพัชร แล้วก็ได้ค้นพบว่าคนรวยไม่ได้เล่ห์เหลี่ยมจัดทุกคนไป

“งั้นคุณคงเหนื่อยมากสินะ”

“ก็ไม่เท่าไหร่”

“ผมไม่รู้ว่าร้านปิดตอนไหน ไม่งั้นคงมาเร็วกว่านี้ ไม่น่ามารบกวนคุณเลย ผมกลับก่อนดีกว่า คุณจะได้พักผ่อน”

ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป จริงๆ ภารกิจของเขาสำเร็จตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้านก้าวแรกแล้วล่ะ

แต่เจ้าของร้านจับแขนไว้

“รีบกลับทำไม อยู่กินด้วยกันก่อนสิ”
   
“...” เคฟเหวอเล็กๆ

คุณรู้รึเปล่าว่าคำว่า ‘อยู่กินด้วยกัน’ หมายความว่ายังไง?

“จะดีเหรอครับ”

“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ทีมีแขกมาเยี่ยมก็ดีเหมือนกัน ไปนั่งกินในห้องครัวกันเถอะ” พัชรถือถุงพิซซ่าเดินนำไปที่หลังร้าน เคฟก็เดินตามไปตามมารยาท ระหว่างทางเดินผ่านห้องน้ำ เขาก็หยุดชะงัก

“ขอผมเข้าห้องน้ำแป๊บนึงได้มั้ยครับ”

“เอาสิ” เจ้าของบ้านยักไหล่ เดินเข้าไปห้องครัวก่อน

เคฟอยากจะหัวเราะเพราะไม่คิดว่ามันจะง่ายดายเพียงนี้ พอๆ กับอยากร้องไห้ให้กับความอ่อนต่อโลกของพัชร เขาสงสารเจ้าของบ้านเหลือเกินที่ไม่ทันกลโจรเลยสักเศษเสี้ยว นี่อยู่รอดมาได้ยังไงกันนะ แต่ไม่เป็นไร...เขาจะเป็นคนมอบบทเรียนให้เอง พัชรจะได้เจ็บแค่ทีเดียว

ช่องระบายลมบนผนังขนาดพอดีกับคนๆ หนึ่งจะลอดได้ น่าจะใหญ่พอตามที่คุณเอมี่รีเควสต์มา เคฟจัดการกดชักโครกเพื่อสร้างเสียงดัง กลบเสียงคลิกเมื่อปลดล็อก

ง่ายแค่เนี้ยแหละ ปิดจ็อบ

ที่เหลือจากนี้ก็ของแถมสำหรับเขาคนเดียวล้วนๆ

“วันนี้หยุดเหรอ” เจ้าของร้านถาม เมื่อแขกออกจากห้องน้ำ เดินตามเข้ามาในครับ

“เปล่าครับ วันนี้ผมทำกะเช้า เพิ่งเลิกงานตะกี้เอง”

“คุณยังดูเด็กอยู่เลย กำลังเรียนอยู่รึเปล่า”

“ก็เรียนแหละครับ แต่ไม่ได้เรียนทุกวัน บางวันก็เรียนวิชาเดียวงี้ เวลาที่เหลือผมเลยทำงานร้านเดลิเวอรี่”

“ขยันจัง ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” พัชรทำตาโต ทั้งอึ้งและชื่นชม

“ก็มีบ้าง แต่พอนึกถึงพ่อที่ทำงานหนักกว่า ก็หายเหนื่อยไปเลยครับ” 

นี่...คนดีไหมล่ะ คะแนนกูต้องมาเต็มสิบแล้วนะจุดนี้ โกยได้โกยไว้ก่อน ถึงจะเอาไปทิ้งทีหลังก็เหอะ

“พ่อคุณต้องภูมิใจมากแน่ๆ” พัชรว่า

เคฟก้มหน้ายิ้ม เอาฝ่ามือถูท้ายทอย “ไม่รู้สิครับ คงงั้นมั้ง”

มาถึงห้องครัว พัชรเปิดถุงแล้วเอากล่องพิซซ่าออกมา เขาเพิ่งจะสังเกตว่ามีตั้งสองกล่อง 

“โห ซื้อมาทำไมเยอะแยะ ผมกินแค่สามชิ้นก็อิ่มแล้วนะเนี่ย”

“ไม่ได้ซื้อครับ ได้ฟรี”

“เอ่อ...นี่ก็ตรงไป” พัชรหัวเราะ “ไงก็เหอะ เยอะขนาดนี้ผมกินไม่หมดหรอก”

“ผมเอามาเผื่อลูกชายคุณด้วยไง เห็นน้องเขาชอบ” เคฟยิ้มหล่อ ทำเอาคุณพ่อลูกหนึ่งเขินทำหน้าไม่ถูก

ต้องแสดงให้เห็นว่าเราแคร์เขาและลูกเขา รับรองได้ใจไปอีก

“ลูกชายผมยังไม่กลับ เพิ่งให้ลงคอร์สพิเศษถึงสามทุ่มโน่น กว่าจะกลับมา พิซซ่าคงเย็นชืดพอดี” พัชรแสดงสีหน้าเสียดาย

“ว้า...รู้งี้ผมน่าจะเอาสปาเกตตี้หรือไก่ทอดมาแทน”

“ไม่เป็นไรหรอก น้องเพชรไม่เรื่องมาก ยิ่งถ้ารู้ว่าคุณตั้งใจเอามาให้ คงดีใจด้วยซ้ำ”

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นนะครับ”

ทั้งสองนั่งคนละฝั่งของโต๊ะ แล้วกินด้วยกันเงียบๆ แต่ไร้ซึ่งความกดดัน เป็นเรื่องแปลกทั้งที่พวกเขาเพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว... อาจเพราะเคฟสนิทกับคนอื่นเร็ว อัธยาศัยดีตามแบบพนักงานร้าน ส่วนพัชรก็ใจดีใจกว้าง เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายเช่นกัน

“คุณอยู่กับลูกชายแค่สองคนหรือครับ” เคฟถามท่ามกลางความเงียบ ทั้งที่จริงรู้ไปถึงรากเหง้าของครอบครัวนี้แล้ว แต่เพื่อไม่ให้น่าสงสัย

“ใช่ ผมอยู่กับลูกสองคน”

“แล้วภรรยาคุณล่ะครับ”

“...” พัชรนิ่งไป

“เอ่อ ขอโทษครับที่เสียมารยาท คุณไม่ต้องตอบก็ได้”

“เธอเสียไปตั้งสิบปีแล้วล่ะ” พัชรตอบด้วยแววตาเศร้าๆ

“แล้วคุณไม่อยากหาใหม่บ้างเหรอ”

“...” พัชรมองเคฟด้วยดวงตาโตกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับไม่เคยถูกถามคำถามนี้มาก่อน “ผมยังไม่เจอ... เอ่อ ยังไม่แน่ใจ มันค่อนข้างเป็นอะไรที่พูดยาก”

เจ้าของร้านวางพิซซ่าลงในถาด เหมือนจู่ๆ ก็หมดอารมณ์กินซะอย่างนั้น

เคฟย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับพัชร เจ้าตัวสะดุ้งแล้วเขยิบหนี

“คุณจะทำอะไร” พัชรถามโดยไม่มองหน้า เคฟเห็นว่าหูของพัชรเป็นสีแดง


ผมกำลังจะทดสอบคุณไง เคฟนึกในใจ


เขายิ้ม “เงยหน้ามาก่อน”

“...อะไรของคุณ”

“จะบอกว่าซอสเลอะปากเฉยๆ”

“....” พัชรท่าทางเคอะเขิน เอามือเช็ดๆ ปากตัวเอง แต่กลับยิ่งทำให้ซอสเลอะไปใหญ่ เคฟขำแล้วยกมือขึ้นเช็ดให้อย่างแผ่วเบา

ชั่วขณะนั้นเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของเคฟสัมผัสใบหน้า พัชรรู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างช็อตไปทั้งตัว เขาขนลุกซู่ ร้อนผ่าว รู้สึกวูบวาบที่ช่องท้องเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ฝูงใหญ่

“.....”

“.....”

เคฟเห็นทางสะดวกเลยตัดสินใจจู่โจม เขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกับอีกฝ่าย พัชรหลับตาปี๋ รู้แน่แล้วว่ากำลังจะถูกเช็ดปากด้วยปากของเคฟ

ทั้งสองคนกลั้นหายใจ ทุกอย่างในตอนนั้นราวกับหยุดนิ่ง   

แต่...

“ปะป๊า ผมกลับมาแล้วนะคร้าบ!!!”

“!!!!”

ประตูหลังห้องครัวถูกเปิดออกโดยเด็กชายที่มาพร้อมกับเสียงดัง ท่าทางเริงร่า คนที่อยู่ข้างในผงะแทบหลายหลังล้ม ถอยออกจากกันเกือบไม่ทัน

“อ้าว พี่ชายร้านขายพิซซ่านี่นา หวัดดีฮะ” เพชรไหว้ทักทาย

“หวัดดี” เคฟยิ้มให้ หน้าร้อนๆ หนาวๆ บอกไม่ถูก แต่คิดว่าเด็กชายไม่น่าจะเห็นฉากเมื่อกี้เพราะมีตู้เย็นบัง

“ลูกเพชร ทำไมกลับเร็ว เวลานี้หนูต้องเรียนคณิตศาสตร์อยู่ไม่ใช่เหรอ” ผู้เป็นพ่อสลัดความเขินเมื่อครู่ทิ้ง ปั้นหน้าเครียดใส่ลูกชาย

“วันนี้ครูไม่สบายฮะ” เด็กชายแอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง

“แล้วทำไมถึงกลับเอง ไม่โทรให้ป๊าไปรับ” พ่อคั้นต่อ

“ป๊าฮะ ผมโตแล้วนะ อยากลองขึ้นรถไฟฟ้าเองบ้าง สะดวกจะตาย ถึงเร็วกว่ารถป๊าด้วย” เด็กชายแถไถ “ฮ้าววว ง่วงมากเลย วันนี้เหนื๊อย...เหนื่อย ผมขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ”

“เดี๋ยว น้องเพชร!” พ่อเรียกไว้ แต่เด็กชายวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนเสียแล้ว “เป็นอะไรของเค้า...ท่าทางคึกคักแปลกๆ”

“เอ่อ ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ” เคฟเอ่ยพร้อมกับลุกจากเก้าอี้

“อ้อ...ครับ แล้วเจอกัน” พัชรโบกมือลา ทั้งที่แววตาเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ “ออกประตูนั้นได้เลย”

เคฟพยักหน้า เดินไปที่ประตูหลังห้องครัว แต่ก็เดินกลับมาประชิดตัวพัชรจนเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก นึกว่าจะมีฉากต่อจากเมื่อกี้ที่หยุดชะงักกลางคัน

แต่เคฟไม่ได้ทำอะไร แค่กระซิบเบาๆ

“อย่าลืมเช็ดปากด้วยนะครับ”

แค่นั้น แล้วก็จากไป

พัชรถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้าย

เขาไม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงขนาดนี้มาสิบปีเต็มๆ แล้วสินะ


..........

พอก้าวพ้นเขตร้านเพชรออกมาสู่ถนน เคฟก็โทรศัพท์หาใครบางคนอย่างไม่รอช้า

“ฮัลโหลเฮีย ได้แหล่งแล้วนะ คืนนี้มาลุยได้เลย”




/////

สวัสดียามดึกค่ะทุกคน
ตอนนี้เผยการทำงานของอิเคฟเต็มรููปแบบ (จริงๆ ก็มีแค่เนี้ย)
สำหรับเรา เจ้านี่อ่ะเลวที่สุด เลวบริสุทธิ์ เลวกว่าใครในแก๊งแล้วค่ะ เหยื่อก็น่าสงสารที่สุดเช่นกัน 5555
ส่วนใครที่คิดถึงคู่อู๋เทียน ตอนหน้าจะมาแล้วจ้ะ!

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ จุ๊ฟฟฟฟ



หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.21 คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 02-02-2019 01:22:54
เคฟ ใส่ใส้กรอก ราดมายองเนส สำหรับคุณพัชร แสนใจดี อ่อนต่อโลก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.21 คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-02-2019 01:38:21
โลกกลมเนอะ555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.21 คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-02-2019 10:43:22
อย่าปล้นคนดีเลยนะ สงสารรรร
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.21 คู่พ่อลูกที่ถูกหลอก (01/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-02-2019 11:29:35
เคฟใจร้าย :mew4: :mew6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 09-02-2019 14:58:22

22
หมา หมา หมา



“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปออกล่ากัน”

ผมเกือบจะล้มตัวลงนอนแล้ว แต่โจรอู๋ฉุดให้ลุกขึ้นมาซะก่อน มันเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นชุดดำสำหรับทำภารกิจปล้น

“ล่าอะไรของมึง เป็นมธุสรเหรอ”

ผมถามอย่างง่วงและเหนื่อย วันนี้ทั้งวันยุ่งอยู่กับงานบ้าน ทั้งซักผ้า กวาดถูบ้าน จัดข้าวของ สวมบทแม่บ้านของแท้ ปวดล้าไปหมดทั้งตัว ส่วนโจรอู๋ทำบัญชีหนี้ของตัวเอง กับเอาของที่ขโมยไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน เข้าๆ ออกๆ บ้านหลายรอบ แต่ไม่ยักกะบ่นว่าเหนื่อยสักคำ สงสัยเพราะเป็นงานที่มันรัก

“ล่าเพชรเว้ย ไอ้เคฟโทรมาบอกแหล่งเด็ดๆ อย่าช้า รีบลุกมาเร็ว”

โจรอู๋พูดด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด ตาแวววาวแบบคนขี้โลภ

“เคฟเจอ แล้วทำไมต้องให้มึงไปปล้น ทำไมไม่ทำเอง”

“มันเป็นระบบของแก๊ง เคฟไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่เป็นคนเซอร์เวย์ให้พวกเรา ถ้าเจอแหล่งดีๆ แล้วใครในแก๊งว่าง มันก็บอกให้ไป”

โจรอู๋บอกแล้วโยนชุดสีดำของผมลงบนเตียง เป็นการบังคับให้ใส่

“มึงไปเองสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้ว กูง่วง ขยันปล้นอะไรแม่งทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างไง้”

“ไม่ สนุกดีออก ลุ้นด้วยรวยด้วย”

“พักบ้างเท้อออ”

“ทำไมชอบให้บังคับ” โจรอู๋กระชากผ้าห่มออก ขึ้นมานั่งคร่อมเหนือลำตัวผม แล้วก็ถอดเสื้อผ้าให้ซะงั้น!

“ปล่อยนะไอ้เวร กูเปลี่ยนเองได้!”

ผมทุบตัวมันจนยอมลุกออกไป จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นยูนิฟอร์มของโจรอย่างจำใจ เสร็จแล้วก็เดินตามหลังโจรอู๋ออกจากห้องไปที่ลานจอดรถโซนวีไอพี เปิดประตูเฟอร์รารีสีแดงสวยหรูดูดีที่ให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นรถโจร

“แถวไหนล่ะคืนนี้” ผมถามคนขับ

“รัชดา” มันยักคิ้ว

“คราวนี้ถ้ามึงทิ้งกูอีกล่ะก็ กูจะยอมถูกปล้ำแล้วกลายเป็นเมียโจรคนอื่นจริงๆ ด้วย” ผมพูดประชด โดนโจรอู๋ทำหน้าโหดใส่

“พูดงี้ได้ไง! ใครจะยอม!”

“ก็กูนี่ไงยอม”

“ไม่เอาน่า ได้บทเรียนแล้ว ไม่ทำพลาดซ้ำสองหรอก” โจรอู๋เอียงตัวเอาไหล่ดันผมเบาๆ “อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะ ใจไม่ดีรู้ปะ”

“ถอยไปเลย...” ผมผลักมันออกห่างๆ รู้สึกรำคาญ แต่ก็แอบเขิน

โจรอู๋ใช้เวลาขับรถจากคอนโดถึงที่หมายในเวลาไม่กี่นาที มันจอดรถไว้ข้างตึกที่ห่างจากผู้คนและกล้องวงจรปิด จากนั้นดับเครื่องแล้วเดินเท้าไปยังร้านเพชรซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตร พอมาถึงหน้าร้านผมก็รู้สึกคุ้นๆ มันคือร้านเพชร RACHA Diamond ชื่อดังนี่เอง ไอ้โจรพวกนี้หัวสูงนะเนี่ย!

“เคฟใช้วิธีไหนถึงรู้ว่าควรปล้นร้านนี้ หรือว่ามาส่งพิซซ่า?”

“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม สนใจแค่เด็ดไหมแค่นั้น”

“มึงนี่...”

“ไอ้การเป็นเดลิเวอรี่แมนของมันมีดีก็ตรงนี้ ได้เข้าหาลูกค้าตัวต่อตัวถึงบ้าน มีชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ เป็นฐานข้อมูลชั้นยอด พวกเราได้ดีไม่รู้ตั้งกี่ครั้งเพราะมันนี่แหละ”

“...เลวแท้ จรรยาบรรณอาชีพอยู่ที่ไหน กูล่ะสงสารลูกค้าจริงๆ”

ผมทั้งละเหี่ยใจ ทั้งขนลุกกับความน่าสะพรึงที่คาดไม่ถึงของพวกมิจฉาชีพ เจ้าพวกนี้เปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อสังคมได้แบบหน้ามือเป็นหลังตีนโดยแท้

“จรรยาบรรณคือไร พวกข้ามีแต่จัญไรล้วนๆ”

“เก่งจัง รู้ตัวด้วย”

ขณะเดินตามหลังโจร ผมก็สังเกตสิ่งรอบข้างไปด้วย พอจะเข้าใจว่าที่เคฟเลือกที่นี่ ก็คงเพราะมันเป็นร้าน ไม่ใช่บ้าน จึงมั่นใจในระดับหนึ่งว่าไม่มีคนอยู่ข้างใน อีกทั้งสถานที่ข้างเคียงก็เป็นอาคารพาณิชย์ทั้งนั้น และทุกร้านปิดทำการหมดแล้ว ยามก็ไม่มีสักคน คงไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น นับว่าเคฟเป็นโจรที่ละเอียดรอบคอบมากๆ สมแล้วที่เป็นคนเดียวในแก๊งที่ยังไม่ถูกหมายจับ

แต่คนที่จะถูกจับคืนนี้อาจเป็นอีพี่ชายของมันก็ได้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แม่งเล่นเอากระสอบเจ็ดสีแบบแม่ค้าประตูน้ำมาใส่ของจ้า! ทั้งใหญ่ทั้งลายสะดุดตาเหลือเกิน กะมาขนทั้งร้านเลยมั้ง ถ้าโดนจับก็โทษกระสอบอย่างเดียวเลยนะ

โจรอู๋เดินนำผมมาหยุดอยู่ที่ช่องระบายลมเหนือหน้าต่าง ฝั่งทิศตะวันตกข้างอาคาร แล้วก็ชี้

“เจอแล้ว ตรงนี้เอง ขึ้นขี่คอข้าเร็ว”

“อีกละ” ผมสบถ มองช่องเล็กๆ นั้นอย่างอ่อนใจ ทั้งเล็กทั้งสูงไม่ต่างกับบ้านอีลุงคราวก่อนเลย

“ทำไปไม่ต้องบ่น”

โจรอู๋บอก ย่อตัวลงให้ผมขี่คอ ผมก็ขี่แล้วเลื่อนเปิดออก ดีใจเหลือเกินที่ไม่ต้องใช้ค้อนทุบเหมือนคราวก่อน จากนั้นก็มุดเข้ารูมาสู่ภายในร้านได้สำเร็จ ปรากฏว่าห้องนี้เป็นห้องน้ำ โจรพวกนี้แม่งสายตาซอกซอนดีจริงๆ คิดได้ไงวะเนี่ย! ผมสาบานเลยว่าในอนาคตจะล็อกหน้าต่างประตูทุกบานให้แน่น (ถ้าหากผมได้ออกไปน่ะนะ)

โจรอู๋ปีนตามเข้ามาอย่างค่อนข้างทุลักทุเล ถูกครูดจนเสื้อขาดอีกตามเคย

“ไอ้หอกเคฟ ไหนบอกรูใหญ่ ดูซิเสื้อขาดอีกละ เลือดก็ออก เดี๋ยวพวกมันก็แกะรอยดีเอ็นเอกูได้อีก ต้องมาเช็ดยุ่งยากวุ่นวาย รำคาญว่ะ”

มันเปิดประตูห้องน้ำ เปิดสวิตช์ไฟ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าที่พาดไว้ตรงราวมาชุบน้ำ เช็ดทำลายหลักฐานที่ขอบช่องระบาย ทำไปก็บ่นไปเหมือนคนแก่วัยทองขี้หงุดหงิด แต่คนที่หงุดหงิดกว่าคือผม เลยต้องสั่งสอนมันให้สำนึกสักหน่อย

“ใช้เค้าแล้วยังจะด่าเค้าอีก ใจหมาไปละมึง ไม่โทษตัวเองบ้างล่ะที่ตัวใหญ่เหมือนควายอ่ะ ทีรูกูเล็กกว่านี้มึงยังเข้าได้ เลือดกูก็ออกเยอะกว่ามึงด้วย ยังไม่เห็นจะบ่น โดนขูดแค่นี้ทำมาโวยวาย นี่มึงแมนจริงไหมฮะ เปลี่ยนกันมั้ย? เป็นเมียกูแทนมั้ย?”

ได้ผล ไอ้โจรถึงกับเหวอ

“พูดเหี้ยไร ใครจะยอม!”

“เออ ทีหลังก็ไม่ต้องบ่น”

มันทำปากยุกยิกๆ แต่ไม่พูดอะไร เหมือนเด็กผู้ชายเวลาโดนแม่ด่า คือได้แค่ทำหน้าบึ้งกับเถียงในใจ ไม่กล้าออกเสียง เพราะกลัวโดนฟาด นับเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันยอมสงบปากสงบคำกับผม และก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้ตัวว่ามีอำนาจกับมันขนาดนั้น 

โจรอู๋ส่องไฟฉายไปรอบๆ พบว่าห้องนี้เป็นห้องครัว แสงไฟไปกระทบกับถังขยะโดยบังเอิญ ผมเลยเห็นกล่องพิซซ่ายี่ห้อเดียวกับที่เคฟทำงานเข้า... น่าเสียใจแทนเจ้านายของเขาจริงๆ ที่มีพนักงานผีสิงอยู่ในร้าน กับสงสารลูกค้าที่ต้องจ่ายค่าพิซซ่าด้วยทรัพย์สินที่แพงกว่าร้อยเท่า เสียดายที่ผมไม่รู้ว่าชื่อนามสกุลของเคฟคืออะไร ทำงานสาขาไหน ไม่งั้นจะโทรไปฟ้องสำนักงานใหญ่ ให้มันถูกไล่ออกไปเป็นโจรเพียวๆ สมใจ

มหาโจรเดินนำผมไปยังหน้าร้านซึ่งมีตู้โชว์เพชรที่สวยงามอลังการส่องประกายระยิบระยับเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้า มันสวยมากจนผมต้องเอามืออุดปากไม่ให้ส่งเสียงแสดงความตื่นเต้น

“กวาดมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้” โจรสั่ง

“ให้ทำไงอ่ะ มันล็อคไว้ทุกตู้”

“ไม่ต้องกังวลไป ทีวีไอ้เล็กขอนำเสนอสินค้าขายดี...กุญแจผี! การันตีโดยสี่เสือ พวงเดียวไขได้ครอบจักรวาล”

โจรอู๋หยิบวัตถุโลหะเป็นพวงที่คุ้นตาออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วไขตู้เพชรใกล้ๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง ในพวงมีทั้งแบบกลม แบบแบน แบบสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม แบบซิกแซ็ก แบบเส้น เกือบสิบดอก ไอ้โจรสุ่มใช้ไปสองดอก หวยออกที่แบบกลม แค่หมุนคลิกเดียวก็ปลดล็อคได้ แล้วก็ยื่นให้ผมพร้อมกับยักคิ้ว

“พิเศษ วันนี้ให้คุณทดลองใช้ฟรีหนึ่งชุด”

ผมทั้งขำทั้งเกลียด “มึงมันชั่ว” 

“ถึงชั่วก็ผัวเธอ”

“สัด!”

“ไม่เอาสิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าด่าผัวเป็นบาป”

ผมส่ายหน้าแล้วเดินแยกกับมันไปคนละทาง โจรอู๋ปล้นจากตู้ที่อยู่ติดกับประตูหลังร้านเพราะมีเพชรเยอะที่สุด ส่วนผมเลือกโซนหน้าร้านที่เป็นเพชรรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น น่าจะแพงเอาเรื่อง

ขอโทษนะคุณเจ้าของร้าน แต่ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ

กริ๊ก

พอปลดล็อคแล้วผมก็เลื่อนกระจกออก ถอดสร้อย แหวน กำไล ออกจากมือปลอมในตู้โชว์อย่างเร็วไวแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพาย ก่อนจะปิดตู้ลงตามเดิมแล้วเคลื่อนย้ายไปตู้อื่นต่อ

หันไปมองโจรอู๋ รายนั้นไวกว่าผม เผลอแป๊บเดียวกวาดไปสามตู้แล้ว

ครืดๆๆ

มีเสียงบางอย่างดังจากในห้องครัว ผมกับโจรอู๋หยุดชะงักพลันมองหน้ากัน

“เสียงอะไรน่ะ” ผมถาม

“จะรู้ไหม อยู่ด้วยกัน” มันว่า

แล้วเราสองคนก็พบคำตอบเมื่อมีบางสิ่ง...ไม่สิ สามสิ่ง วิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับเสียงเห่าดังลั่น

หมาพุดเดิ้ล!!!!

“โฮ่งๆๆๆๆ”

“เฮ้ยๆๆๆ!”

“โฮ่งงงงง!!”

“โฮ่งงงง!!”

“เฮ้ย!!!!!”

เสียงคนเสียงหมาผสมกันวุ่นวายในทันทีเมื่อหมาสามตัววิ่งลอดรูด้านล่างประตูออกมา มันตรงเข้าไปหาโจรอู๋ซึ่งอยู่ใกล้แล้วรุมเห่ารุมกัดยกใหญ่ โจรอู๋ก็ร้องโวยวายแข่งกับหมาจนฟังไม่เป็นภาษาคน

“รีบๆ เก็บเร็ว!!” โจรอู๋ตะโกนบอก

“เออๆ มึงกันหมาไว้นะ”

ผมรีบกวาดเพชรจากตู้ที่สองใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว มือไม้สั่นจนทำเพชรร่วงไปหลายอัน ไม่ได้กลัวหมาแต่กลัวคนอื่นจะได้ยินแล้วแห่มาดูต่างหาก

“โอ๊ยๆๆ อย่ากัดกู!”

“เอ๋ง!!!”

ผมหันไปมองโจรอู๋ที่กั้นหมาไม่ให้เข้ามาหาผม เห็นมันถูกหมาสามตัวรุมกัดรองเท้าและกางเกงอย่างบ้าระห่ำ แล้วมันก็เตะพวกหมาอย่างแรงด้วยความโมโห

“ไอ้เหี้ย อย่าทำร้ายหมา!!!” ผมตะโกนด่าเข้าให้

“นี่ห่วงหมามากกว่าข้าเหรอ!?”

“เออ หมาตัวแค่นั้นกัดไม่ตายหรอก”

“แต่มันมีสามตัวเลยนะ!”

“ยังไงก็สู้แรงมึงไม่ได้ ห้ามตีน้อง!”

“โอ๊ยยยยยยย” ไอ้โจรลากเสียงยาว เปล่าเจ็บ แต่น่าจะเพราะเพลียจิตกับผมมากกว่า

ผมกวาดเพชรเสร็จแล้วปิดตู้ ลงล็อค จากนั้นเข้าไปหาโจรอู๋แล้วกลับไปทางออกที่ห้องน้ำด้วยกัน ระหว่างนั้นหมาก็เห่าไม่เลิก ทั้งยังกัดโจรอู๋อย่างไม่ปราณีด้วย (แปลกที่มันไม่กัดผมเลยแฮะ)

“รีบหน่อย เดี๋ยวชาวบ้านก็แห่กันมาหรอก!” โจรอู๋เร่งเร้า

“โฮ่งๆๆๆๆ!!!” พุดเดิ้ลน้อยกัดกางเกงของโจรอู๋อย่างเหนียวแน่น คาดว่าน่าจะขาดไปหลายรูแล้ว

“เงียบนะลูก อย่าเห่าสิลูก” ผมบอกหมาอย่างใจเย็น

“เร็วๆ!” โจรอู๋โวยวายพลางคุกเข่าให้ผมขี่คอ พอผมลอดรูออกมาข้างนอก มันก็ตามมาติดๆ พร้อมกับร้องโอดโอยไม่ขาดปาก แล้วเราก็วิ่งสุดฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิต

แต่เฮงซวย หมาน้อยทั้งสามวิ่งตามหลังเรามาจ้า!!!

“โว้ย ไอ้หมานรก!”

โจรอู๋หันไปด่า หยุดวิ่งแล้วถอดรองเท้าข้างหนึ่งขว้างใส่พวกมันอย่างโมโหจัด โดนใส่หัวพุดเดิ้ลสีขาวตัวเล็กจนมันร้องดังเอ๋งด้วยความเจ็บปวด

“บอกว่าอย่าทำร้ายน้องไง!!!” ผมฟาดแขนมันแรงๆ โกรธจนจะเกือบจะร้องไห้

“มึงนี่ก็เหลือเกิน! มันใช่เวลาเป็นห่วงหมามั้ย!!”

ไอ้โจรท่าทางโมโหกว่า จับมือผมแน่นวิ่งเข้าซอยแคบๆ ในชุมชน แต่หมาก็ยังตามมาอย่างไม่ลดละ

“จะไปไหน รถเราอยู่ทางโน้น” ผมกระตุกแขนเมื่อมันพาวิ่งไปคนละทางกับตอนมา

“รู้น่า ตอนนี้หลบหมาให้ได้ก่อน”

โจรพาวิ่งเข้าไปข้างตึก กระทั่งเราไม่ได้ยินเสียงหมาเห่าอีก เลยหยุดวิ่ง โจรอู๋ชะโงกหน้าไปมอง ไม่เห็นหมาตามมาแล้วก็ถอนหายใจยาว

“ไปซะที สัดเอ๊ย พุดเดิ้ลเหี้ยไรดุชิบหาย พ่อแม่งเป็นร็อตไวเลอร์รึไงวะ!”

“ไม่ต้องพูด เมื่อกี้ที่มึงตีหมา กูโกรธจริงๆ นะ” ผมทำหน้าบึ้งใส่

“เอ็งไม่เห็นว่ามันกัดข้า?” โจรอู๋ถลึงตา ชี้ให้ดูที่ร่างกายท่อนล่างอันสะบักสะบอม “เห็นมั้ยเนี่ย เยินหมดแล้ว”

ใช่ มันเยินจริงๆ กางเกงขาดเป็นรูเหมือนวิ่งผ่านดงหนามมาสามพันรอบ รองเท้าเหลือข้างเดียว เป็นสภาพที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกหมาฟัด

“เอ๊ะ...”

“อะไร”

“ฮึ...ฮ่าๆๆๆ”

“ขำอะไร เห็นกูเจ็บแล้วมีความสุขนักใช่ไหม”

“ไม่ใช่...” ผมกลั้นหัวเราะ ชี้ที่เป้ากางเกงของมัน “มึงไม่รู้ตัวเลยจริงดิ”

โจรอู๋ทำหน้างง แต่พอก้มมองที่ผมชี้เท่านั้นแหละ หน้าแดงทันที

ก็เป้ากางเกงของมันขาดเป็นรูเบ้อเริ่มเลยน่ะสิ กร๊ากกกกก!

“หัวเราะหาหอกไร!” โจรอู๋เอามือกุมเป้า ท่าทางโกรธและอายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ฮาไปใหญ่

“เสียดายจัง น่าจะงับให้ขาดๆ ไปซะทั้งพวง” ผมว่า

โจรอู๋ทำหน้าฮึดแล้วรวบตัวผมไปกอด ผลักติดผนังตึก จ้องหน้าในระยะประชิด ผมตกใจจนหยุดหัวเราะ ดูจากท่าแล้วไม่น่าไว้ใจซักนิด

“จะทำอะไร ถอยไป” ผมผลักหน้าอกมันออกห่าง แต่โจรอู๋รั้งเอวผมไว้ชิดกับตัวเองอย่างเหนียวแน่น

ชัวร์ละแบบนี้ ฉากเอ็นซีกำลังจะมาแน่ๆ

“ขาดเป้าอย่างนี้ก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลารูดซิป”

“เฮ้ย!!!”

ไอ้หอกนั่นทำให้ผมมีสภาพเท่าเทียมกับมัน ไม่สิ ด้อยกว่ามันอีก คือดึงขอบกางเกงรวมกับชั้นในของผมลงต่ำจนน้องชายโผล่ออกมาทักทายโลก จากนั้นก็จัดการสอดแขนใต้ขา ยกตัวผมขึ้นจากพื้น ผมสะดุ้งเฮือก คว้าคอมันกอดไว้เพราะกลัวร่วง

ไอ้เวรนี่มันเทพเจ้าแห่งเซ็กส์เอ้าท์ดอร์จริงๆ!!!

“เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน จะทำตรงนี้จริงเหรอ” ผมถามอย่างลนๆ

“อือดิ ทำไม”

“ไอ้หื่นเอ๊ย...คนอื่นเขามีอารมณ์กันตอนอยู่บนเตียง แต่มึงมีตอนอยู่นอกบ้าน แถมเป็นตอนหลังปล้นแล้วทุกที แม่งโรคจิตชัดๆ”   

“จิตที่ไหน เวลาลุ้นระทึกแบบนี้ อะดรีนาลีนสูบฉีดแรง แถมปล้นสำเร็จ เอ็นโดรฟินก็พลุ้งพล่าน ไม่ทำสิแปลก คิดซะว่าเป็นรางวัลแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อน โอ๊ย...!”

โจรอู๋แก้ตัวแล้วจูบตรงซอกคอผม ลมหายใจแห่งความตื่นเต้นผสานความสุขแผ่ซ่านจากริมฝีปากเข้าสู่ตัวผมอย่างเข้มข้นจนแทบคลั่ง เป็นพลังงานมหาศาลที่ต้องได้รับการปลดปล่อยโดยด่วน

นี่ไม่ใช่รางวัลแล้วล่ะ มันการลงโทษผมชัดๆ ให้ตายเถอะ

“ก็ได้ แต่กลับบ้านก่อนได้มั้ย” ผมต่อรอง

แต่เหมือนจะไม่ทัน

โจรงัดอาวุธของตัวเองออกมาแล้วเรียบร้อย ลำใหญ่แข็งขันผงาดตั้งตรงเหมือนเสาธง ที่ถึงแม้มันไม่จับก็คงจะคับจนโผล่พ้นผืนผ้าออกมาเองอยู่ดี

“เอาขาเกี่ยวเอวกูไว้แน่นๆ นะ” มันกระซิบข้างๆ หูผม

และผมก็เสือกทำตามด้วย...คนมันกลัวร่วงอ่ะ

มันถอนมือข้างหนึ่งจากใต้ขาของผมไปนวดเฟ้นเคล้าคลึงสิ่งที่อยู่กึ่งกลางร่างกายจากนุ่มนวลไปสู่หนักหน่วง เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ดูดย้ำลำคอของผมจนเป็นจ้ำแดง จากอุ่นเครื่องจนตอนนี้เริ่มร้อนระอุ ทุกทวารในร่างกายเปิดกว้างตื่นตัวพร้อมรับการเติมจากอีกฝ่ายเต็มที่ 

ผมรู้สึกกลัวเพราะหนึ่งอยู่นอกบ้าน สองเป็นท่ายืน สามกำลังโดน (หมา) ไล่ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นเอาเรื่องเลยทีเดียว

ชายหนุ่มผู้พกถุงยางอนามัยในกระเป๋าตังค์ล้วงเอาออกมาฉีกด้วยปากและสวมอย่างเร็วไว ลมหายใจของมันข้างหูของผมรุนแรง ทรงพลัง และเร่งร้อน ราวกับคลื่นลมมรสุมก่อนพายุจะโถมเข้าฝั่ง ใส่เสร็จก็บีบของเหลวที่เหลือติดซองมาถูตรงจุดเชื่อมต่อแทนตัวหล่อลื่นที่อยู่ในรถ
เมื่อต่างฝ่ายต่างพร้อมแล้วมันก็เริ่มสอดเข้ามา ผมโอบกอดรอบคอมันไว้แน่นจนแขนเกร็ง ขาที่เกาะเกี่ยวเอวมันก็เกร็งไม่แพ้กัน

“ทำตัวสบายๆ เกร็งแบบนี้มันเข้าไม่ได้”

“ก็กูกลัวร่วง...”

“ไม่ทำร่วงหรอก สัญญา”

ได้ยินอย่างนั้นผมเลยผ่อนคลายลงนิดหน่อย แล้วมันก็ค่อยๆ แทงเข้ามา...เข้ามาจนสุด แล้วเราต่างก็ร้องครางด้วยความรู้สึกอันยอดเยี่ยม อาจด้วยท่าใหม่ด้วยมั้งที่ทำให้อารมณ์แตกต่างไปจากปกติ ทั้งตื่นเต้นและหวาดเสียวกว่าเดิมสองเท่า พอเครื่องติดแล้วมันก็สับสุดขีดติดสปีดแรงเว่อร์ ถาโถมโหมกระหน่ำทั้งเร็วทั้งแรงเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ จนผมทรงตัวไม่ได้ ร่างกายสั่นสะเทือนเลือนลั่นหวั่นไหว กระแทกกระทั้นกับผนังตึกหนักมากจนกลัวว่ามันจะถล่มลงมา (แน่ใจว่านี่คือบทบรรยายเซ็กส์ ไม่ใช่วันโลกาวินาศ?) 

“เบาหน่อย” ผมจิกไหล่หนาของมันเป็นการเตือน

“ทำไม...” โจรหยุดเคลื่อนไหวแบบงงๆ

“ก้นกูถูครูดกับผนังถลอกหมดแล้วเนี่ย”

“เรื่องมากจัง จะเสร็จอยู่แล้ว ทนๆ อีกสามนาทีไม่ได้เรอะ”

“มึงก็พูดได้สิ ลองเป็นกูดูปะล่ะ”

“...เออๆ”

โจรอู๋อุ้มผมออกจากผนังตึกเปลี่ยนไปที่กระโปรงหน้าของรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ จากนั้นเดินเครื่องต่อโดยไม่หยุดพัก เหงื่อของเราแตกพลั่กจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราอยากผละออกจากกัน

ตรงข้าม...กลิ่นกายที่เปี่ยมด้วยฟีโรโมนอันแสนเซ็กซี่นี้ยิ่งดึงดูดเราเข้าหากันอย่างแนบแน่นเสียอีก ผมกับมันกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเสือสองตัวที่หิวกระหายและบ้าคลั่ง มันระดมจูบดูดขย้ำจนเนื้อผมช้ำแดง ขณะที่ผมทั้งกัดทั้งข่วนตัวมันด้วยความเจ็บแสบผสานสุขสม เราจูบกันเป็นพันครั้ง แลกเปลี่ยนเคมีทางลิ้นแก่กันอย่างไม่รู้หน่าย

ทว่าเมื่อกราฟความสุขพุ่งสูงกระฉูดใกล้เข้าสู่จุดสุดยอดนั้นเอง เราทั้งสองก็ต้องชะงัก

เพราะ...

“โฮ่งๆๆๆ!!!!!!”

น้องหมาที่ตามล่าเรามาเจอเข้าซะแล้ว!

“หมาฟาย!!!” โจรอู๋ตะโกน จำใจผละออกจากร่างของผมอย่างอารมณ์เสียสุดชีวิต “มาหาพ่องทำไมตอนนี้!!!”

“อย่าด่าน้อง” ผมลงจากรถชาวบ้าน จัดเสื้อผ้าเข้าที่เข้าทาง “รีบกลับไปที่รถเราเหอะ”

โจรอู๋ถอดเสื้อแจ็คเก็ตมัดเอวปกปิดขีปนาวุธที่ยังตั้งโด่แล้วจับมือผมวิ่งกลับไปที่รถของเรา หมาสามตัวก็วิ่งตามอย่างดื้อรั้น พอถึงรถเราก็กระโดดเข้ามานั่งแล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที ทิ้งให้หมาน้อยน่ารักเห่าตามหลังด้วยความเจ็บใจ

ระหว่างขับรถ เราทั้งสองรู้ดีว่าต่างคนต่างยังอารมณ์ค้างอยู่ โดยเฉพาะโจรอู๋ มันเหมือนคนโดนขัดจังหวะตอนหนังเข้าฉากไคลแม็กซ์ เหมือนแบตมือถือหมดตอนกำลังจะโทรฉุกเฉิน คือแม่งโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนน่ากลัว เหยียบคันเร่งมิดตีน ปาดหน้าชาวบ้านจนโดนด่ายันโคตรพ่อโคตรแม่ แต่มีหรือที่มันจะแคร์ พอติดไฟแดง มันก็สะกิดผมพร้อมกับส่งสายตาเว้าวอน

“อะไร” ผมปัดมือมัน ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ช่วยสงเคราะห์ผัวหน่อยเหอะครับ ทรมานจะตายแล้ว” มันว่า หน้าตาเหมือนจะขาดใจตายจริงๆ

“ไม่เอา อายชาวบ้านเขา”

“ไม่มีใครเห็นหรอก”

“ไม่ได้” ผมทำเสียงเข้ม

“น่านะ...ขอร้อง กว่าจะถึงบ้านคงอกแตกตายพอดี”

“สมน้ำหน้า เสือกหื่นไม่เลือกที่ดีนัก” ผมแขวะ แม้ว่าจริงๆ จะค้างไม่ต่างกับมันเลยก็เหอะ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็ไม่สำนึกน่ะสิ

แต่โจรก็ยังเป็นโจร มีหรือที่มันจะฟัง คนอย่างมันเกิดมาเพื่อแหกทุกคำสั่งอยู่แล้ว

“จะทำดีๆ หรือให้ใช้กำลัง”

“...”

“แสงเทียน”

“อือ!” ผมคำรามในลำคออย่างขัดใจ “มือหรือปากล่ะ ไอ้เวรเอ๊ย”   





///// มาแล้วค่ะ ปล้นแอนด์ปล้ำกันอีกละ
สงสารแสงเทียนค่ะบอกเลย อิอู๋หื่นไม่รู้กาลเทศะจริงๆ 5555
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ <3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-02-2019 17:20:16
โอ๊ยอะไรจะหื่นปานนั้น กำลังสงสารเจ้าของร้านเพชรอยู่ดีๆ อารมณ์เศร้าก็สดุดเพราะโจรอู๋หื่นนี่แหละ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 09-02-2019 18:16:21
เจ้าของร้านเพชร ว่าไง ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-02-2019 21:50:22
แสงเทียนกลายเป็นโจรเต็มขั้นเสียแล้ว  เจ้าของร้านเพชรซวยจริงๆหลงคารมเคฟจนเสียทรัพย์
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-02-2019 01:46:26
5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.22 หมา หมา หมา (09/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 12-02-2019 11:01:47
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 16-02-2019 00:34:15

23
ทั้งชีวิต



แม้วันนี้จะไม่มีภารกิจปล้นอะไร แต่โจรอู๋ก็หาได้อยู่นิ่ง มันเอาผ้าปิดตาผมเหมือนพาหมาไปทิ้ง แล้ว ‘ออกไปเทรน’ นอกสถานที่ เทรนที่ว่าก็คือการยิงปืน! ตอนแรกผมงงมาก มันไม่กลัวผมเอามายิงมันรึไง คำตอบของมันก็คือ...ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบคืนนั้นที่ปล้นบ้านเศรษฐีเฒ่า อีกอย่างหากเกิดอะไรกับมันขึ้นมา ก็คงดีกว่าหากผมปกป้องตัวเองได้

จุดประสงค์น่ะดีอยู่หรอก แต่พอมันพูดแบบนั้นผมก็รู้สึกเหมือนลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ อย่าหาว่าผมงมงายนะ แต่ผมว่าตัวเองมีแรงดึงดูดระดับนึง ยกตัวอย่าง


-   มีครั้งหนึ่ง อะไรดลใจผมก็ไม่ทราบ อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาจัดกระเป๋าที่กองทับถมกันเป็นปีๆ แล้วจากนั้นไม่นานแม่ก็โทรมาบอกว่าคุณตาเสีย ผมเลยได้แพ็คกระเป๋ากลับบ้านวันนั้นเลย

-   หรือจะเป็นตอนส่งไฟล์เกือบทั้งหมดในคอมพ์ไปที่อีเมลตัวเอง เผื่อว่าวันหนึ่งวันใดคอมพ์เสีย แต่หลังจากนั้นสามวันคอมก็เจ๊ง และผมก็ต้องโหลดไฟล์จากอีเมล์มาลงใหม่จริงๆ

-   ให้แฟนเก่าส่งรูปคู่ของเราทั้งหมดที่มีจากเครื่องของเขามาให้ผม ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ วันถัดมาเลิกกัน ได้กลายเป็นความทรงจำสมใจ


จะเรียกแรงดึงดูดหรือเซ้นส์แม่นก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ มีแต่เรื่องซวยๆ ผมเลยไม่สบายใจที่โจรอู๋พามาเทรนวันนี้ เพราะกลัวว่าจะต้องใช้วิชาต่อสู้จริงๆ น่ะสิ... แต่ผมก็ไม่บอกมันหรอก เดี๋ยวมันหาว่าเพ้อเจ้อ แล้วผมก็อยากออกมาข้างนอกด้วย เผื่อจะมีโอกาสหนีได้ น่าเสียดายที่โจรอู๋รู้ทัน มันพามาเทรนกับครูฝึกที่เคยสอนมันก่อนจะเป็นโจร เรียกว่าครูโจรเลยเหอะ! คนที่มาฝึก 50% ก็มีแต่พรรคพวกมิจฉาชีพเหมือนกันทั้งนั้น โจรเอยมาเฟียเอย ผมเลยหมดหวัง

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจซ้อมยิงปืน ก็ใช่ว่ามันจะพากลับบ้านทันที ยังมีหน้าพาทัวร์ต่อ!

“ระหว่างเทควันโด ยูโด คาราเต้ อยากเรียนอะไร”

“เดี๋ยวๆๆ นี่มึงจะเทรนกูเป็นโจรรึว่านักกีฬากันแน่!”

“เหอะน่า ตอบมา”

“อยากเรียนมวยไทย”

“ไม่ได้ มีให้เลือกแค่สามช้อยส์”

“ทำไมวะ ก็กูชอบอ่ะ”

“แต่ข้าไม่ชอบ ต่อยมวยแล้วกล้ามใหญ่ ไม่สวย ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กมอต้นแบบนี้น่ะดีแล้ว”

“เวร! พูดไรให้เกียรติส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบห้ากูด้วย”

“คิก...”

เอาจริงผมก็ไม่ต่างจากเด็กมอต้นแหละ ถ้าเทียบกับเปรตระดับเกือบสองเมตรอย่างมันอ่ะ

ผมเลือกเทควันโด แล้วมันก็โทรหาเพื่อนที่เป็นเส้นสาย พูดภาษาจีนช้งเช้งล้งเล้ง แล้วก็พาไปหาครูฝึกคนใหม่ทันที แน่นอนว่าเป็นครูโจรอีกเช่นเคย (เฮ!) ซ้อมตัวต่อตัวอยู่สามชั่วโมงยันหนึ่งทุ่มก็กลับ ตอนออกจากห้องฝึกนี่โจรอู๋แทบต้องหิ้วปีกผมเลยแหละ เพราะแม่งช้ำระบมทั้งตัวเลย ฮือๆ

ดีหน่อยที่ขากลับมันไม่ปิดตา ผมเลยเห็นว่าเราอยู่ที่ไหน ซึ่งก็คือสุดขอบชานเมืองเกือบออกจังหวัดข้างเคียงแล้วแน่ะ และตอนนี้มันก็จอดรถข้างถนนเพื่อลงไปฉี่ บอกอีกไกลกว่าจะถึงปั๊ม อั้นไม่ไหว ไม่เกรงใจรถเฟอร์รารี่ที่มึงขี่เล้ย! แล้วก็อาจนานหน่อยเพราะจะสูบบุหรี่ด้วย

เออ เรื่องนี้ผมตัดสินใจบอกมันตรงๆ เลยว่าไม่ชอบ

“มันไม่ได้เท่เลยนะ มันน่ารำคาญ ต่อให้มึงหล่อแค่ไหน ถ้าลมหายใจมีกลิ่นนิโคตินคือจบ”

“ก็ไม่ได้สูบเพราะอยากเท่”

“เรื่องของมึง ประเด็นคือกูไม่อยากเสี่ยงเป็นมะเร็งกับมึงด้วย”

“โอย... สูบมาสองสามปีจะให้เลิกทันทีได้ไง ลงแดงตายพอดี”

“ไม่เลิกก็เลิกกับกู เคมั้ย”

“เห้ย ไม่เอาดิ ขอเวลานิดนึง”

“กูให้โควตาแค่วันละมวน แล้วต้องไปสูบไกลๆ ด้วย”

“สองไม่ได้เหรอ”

“งั้นขอคุยกับเบย์หรืออเล็กซ์หน่อย”

“ทำไม”

“จะถามว่าอยากได้รูมเมทมั้ย”

“โอเคๆ วันละมวน”

ด้วยเหตุนี้ผมเลยยืนตบยุงรอพ่อคุณเค้าพ่นน้ำกับพ่นควัน ลืมเรื่องหนีไปซะ เพราะแถวนี้แม่งไม่มีบ้าน ไม่มีรถผ่าน ให้ผมขอความช่วยเหลือได้เลย ยอมใจในความเลือกเส้นทางอย่างรอบคอบของมันจริงๆ

เอ๊ะๆ เหมือนจะมีคนปวดฉี่เป็นเพื่อนแฮะ

มีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยว ก่อนจะจอดห่างรถของเราไปประมาณยี่สิบเมตร ไอ้นี่ก็ขับบีเอ็มว่ะ เออ โล่งใจ ไม่ใช่แค่ไอ้อู๋คนเดียวที่รวยแต่เพี้ยน

ดูเหมือนผมจะเดาผิดนิดหน่อย เพราะไม่เห็นเจ้าของรถลงมาฉี่ บางทีเขาอาจแค่จอดโทรศัพท์มั้ง

เอาไงดี เข้าไปขอความช่วยเหลือดีมั้ย? แต่ๆๆๆ ถ้าเกิดเป็นคนนิสัยไม่ดีล่ะ คงกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้แทน ทำไงดีวะ...

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจ ผู้มาใหม่ก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้ามา เป็นผู้ชายรูปร่างสูง ตัวใหญ่ไหล่กว้าง สวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีเทากับกางเกงสามส่วนสีดำ รองเท้าผ้าใบกับหมวกตกปลาสีขาว ผิวก็ขาวเจิดเหมือนหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์ อายุอานามไม่น่าจะต่างกับผมนัก

หล่อจัง ยังกะนายแบบเกาหลี

เฮ้ย ผิดๆ! เขาลงมาทำไรวะ

“素坤逸在哪里?”

“หา?”

“你是泰国人吗?”

“ซอรี่ ไอโด้นท์อันเดอร์สแตน อิงลิชพลีส”

หนุ่มคนนั้นพูดจีนใส่ผมรัวๆ นี่ก็งงว่ากูหน้าเหมือนคนจีนตรงไหน คือเป็นคนเหนือไงเลยขาวเฉยๆ พี่แกทำหน้าเก็ตแล้วก็ถามใหม่

“คนไทยเหรอ รู้ทางไปสุขุมวิทไหม”

เอ้า พูดไทยได้! สำเนียงเป๊ะไม่เหมือนนักท่องเที่ยวด้วย แสดงว่าเป็นลูกครึ่งไม่ก็เด็กสองภาษา โถ่ แล้วก็ไม่พูดแต่แรก

“รู้ครับ” ผมตอบทันควัน หัวใจเต้นแรงด้วยความหวังที่เคยดับไปแสนนาน “คุณจะไปที่นั่นเหรอ”

“อืม ขับวนแทบตายยังหาไม่เจอ จีพีเอสโคตรงง” 

คงมาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศล่ะมั้ง

“ผมบอกทางได้ แต่ขอผมติดรถไปด้วยได้ไหม”

“ฮะ?”

หันไปมองโจรอู๋ มันยังไม่ออกมาจากพงหญ้า

“คืองี้นะ ผมถูกลักพาตัวมา กำลังหาทางหนีอยู่ ผมขอติดรถคุณไปถึงแค่สถานีตำรวจก็ได้ ขอร้องล่ะ”

หนุ่มตี๋หรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ “พูดอะไรของคุณเนี่ย ลักพาตัวประเภทไหนถึงมีรถสปอร์ตขับ”

“ไม่ใช่ของผม ของโจรที่จับผมมาต่างหาก” พูดพลางหันมองข้างหลังพลาง “ถ้าคุณไม่เชื่อ ค้นหาชื่อโจรในกูเกิ้ลก็ได้ มันชื่ออติศร แซ่อู๋ ถูกประกาศจับเป็นข่าวดัง ช่วยผมด้วยนะครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว”

ดวงตาหรี่เล็กของเขาเบิกกว้างทันที

“อติศร แซ่อู๋เหรอ”

“ครับ”

เขาเหมือนจะกระตุกยิ้ม

เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ นี่ผมกำลังทำพลาดอีกแล้วรึเปล่า ลืมไปได้ไงว่าเส้นสายของอิโจรเป็นคนจีนและรวยมาก แล้วไอ้หมอนี่ก็ดันเป็นคนจีนที่รวยเหมือนกันด้วย...

“เคยได้ยินในข่าวอยู่เหมือนกัน เรื่องจริงเหรอเนี่ย” เขาว่า

โอเค ไม่ใช่

“จริงล้านเปอร์เซ็นต์เลยครับ สาบานให้ฟ้าผ่าตายเลย แต่ตอนนี้รีบหนีก่อนดีกว่า” ผมเร่งเร้า หนุ่มแปลกหน้าพยักหน้าตกลง ปราศจากความลังเลอีก โชคดีของผมจริงๆ ลาก่อนไอ้โจรอู๋!

“เฮ้ย! ทำไรน่ะ!!!”

ขณะที่ผมกำลังหนีไปกับผู้ชายอีกคน (เอ๊ะ ทำไมฟังดูทะแม่งๆ) ไอ้โจรก็โผล่ออกมาจากพงหญ้า มองผมด้วยใบหน้าตกตะลึง แต่พอเลื่อนสายตาไปดูคนที่มันอาจคิดว่าเป็นชู้ มันก็ตกใจถึงขั้นช็อค ตาเบิกโต ปากอ้าค้าง 

“มึง!!!”

“อ้าว ไม่เจอกันนาน กลายพันธุ์เป็นฝรั่งซะแล้วเหรอ”

เฮ้ย เดี๋ยว ทำไมพูดเหมือนรู้จักกันเลยล่ะ!? นี่มันเรื่องอะไรรรร!

โจรอู๋กับชายแปลกหน้าจ้องหน้ากันอยู่หลายอึดใจ สายตาที่ปะทะกันนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โจรอู๋มองอย่างอำมหิตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนนายหน้าตี๋ก็ฉีกยิ้มร้ายกาจแลดูจิตๆ ที่ชวนให้นึกถึงโจ๊กเกอร์ นั่นทำให้ผมเริ่มลังเลใจว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มากับเขา

“กลับมาเดี๋ยวนี้แสงเทียน เอ็งกำลังทำผิดมหันต์ รู้ตัวหรือเปล่า” โจรอู๋กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ

แต่หนุ่มตี๋ตอบแทน “เรื่องอะไรจะกลับ เค้าบอกกูเองว่าโดนมึงจับมา จะให้กูพาหนี”

“จริงเหรอ” โจรอู๋ตวัดสายตามาทางผม

ผมก้มหน้า เม้มปากแน่น

“ข้าไม่ว่าหรอกถ้าเอ็งจะหนี แต่ต้องไม่ใช่หนีไปกับไอ้นรกนี่ รีบกลับมาซะ!”

มหาโจรสั่งเสียงเข้ม ผมแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมันโกรธจนตัวสั่นขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่กำลังจะโดนโจรอีกคนขืนใจเมื่อคืนโน้น อยากรู้จังว่านายหน้าตี๋คนนี้เป็นใคร ก่อคดีอะไรไว้ โจรอู๋ถึงได้เกลียดนักหนา

“ไม่ใช่ตัวประกัน แต่เป็นเมียรึไง หวงจัง หืม?” หนุ่มตี๋พูดจายั่วยวน ก่อนจะจับแขนผมไว้แน่น


ท่าไม่ดีแล้ว...


“อย่าแตะต้องเขานะไอ้สวะ!!”

“สรุปว่าเป็นเมียใช่มั้ย? ดีเลย โชคเข้าข้างกูจริงๆ”

แล้วก็ลากผมกลับไปที่รถบีเอ็มอย่างไว

การกระทำนี้จุดชนวนให้อารมณ์แค้นของโจรอู๋ระเบิด มันพุ่งเข้ามาเตะเข้าก้านคอของหมอนี่เต็มแรง ด้วยแรงเหมือนพ่อควายนั้นทำให้อีกฝ่ายทรุดฮวบและผมเป็นอิสระ จากนั้นโจรอู๋ก็จับมือผมวิ่งกลับไปที่รถของเราสุดฝีเท้า

“มึงคิดว่าจะหนีกูได้เหรอไอ้สัดอู๋!!!”

หนุ่มตี๋ลุกขึ้นจากพื้น วิ่งตามหลังเรา พร้อมกับควักปืนออกมายิงสองนัดติด แต่ไม่โดน เลยวิ่งกลับไปยังรถของตัวเองแล้วขับไล่กวดเรา

ไอ้เหี้ย นี่มันมาเฟียในคราบโอปป้า!!!

“โจรอู๋ เขาเป็นใครกันแน่!” ผมถามระหว่างที่วิ่ง

“ถามได้ ก็เจ้าหนี้น่ะสิ!”

“ฮะ!!!”

“ไอ้สัดนี่ค้ามนุษย์นะรู้มั้ย! จะหนีตามมันน่ะ อยากโดนจับขายแยกชิ้นส่วนหรือส่งไปซ่องล่ะฮะ!!!”

เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัว

นี่กูทำอะไรลงป๊ายยยยยยยยยยย!!!!!

เราวิ่งกลับไปที่รถแล้วแทบจะกระโดดเข้ามานั่ง จังหวะที่โจรอู๋กำลังจะเหยียบคันเร่ง รถบีเอ็มก็พุ่งเข้าชนท้ายของเราดังโครมอย่างจงใจ โจรอู๋รีบซิ่งหนี แต่ไม่วายไอ้คันข้างหลังก็ลดกระจกลงแล้วยิงปืนใส่ท้ายรถเราอยู่ดี   

ปัง ปัง ปัง!!!

และโชคร้ายที่หนึ่งในสามนัดเจาะโดนยางหลังข้างขวา ส่งผลให้รถเซไปมา แต่ถึงอย่างนั้นโจรอู๋ก็พยายามประคองสุดชีวิต


พระเจ้า นี่มันบ้าไปแล้ว ลูกกลัว


“ฉิบหาย” โจรอู๋หน้าซีด “มันยิงโดนถังเก็บน้ำมัน เราต้องลงแล้ว เกิดมีประกายไฟขึ้นมา เอ็งกับข้าตาย”

“อะไรนะ!”

โจรอู๋จำใจหักเลี้ยวเข้าข้างทางแล้วจับมือผมวิ่งหนีสุดฝีเท้า และเป็นจริงอย่างที่มันว่า เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้นรถก็ระเบิดบึ้ม ไฟลุกท่วมอย่างเร็วไว เผามอดวอดวายไหม้ทั้งคันเหมือนฉากในหนังแอ็คชั่น  หากเราออกมาช้ากว่านี้คงถูกเผาทั้งเป็น เห็นแล้วผมก็ขนลุกซู่เสียวสะท้านไปทั่วกระดูกสันหลัง 

“ไม่ไหว ขืนวิ่งอย่างนี้ต่อไปเราโดนมันฆ่าแน่”

โจรอู๋บอกก่อนจะชะลอฝีเท้าลง อย่างที่ผมบอกว่าถนนเส้นนี้ห่างไกลบ้านเรือนผู้คน สองข้างทางก็มีแต่พงหญ้าป่าเปลี่ยว ไม่อาจขอความช่วยเหลือจากใครได้ หนำซ้ำศัตรูก็มีทั้งรถทั้งปืนครบพร้อม ต่างกับเราสองคนที่มีแต่ตัวเปล่า

และตอนนี้มันก็ขับจี้ตูดเราเข้ามาแล้ว

“มึงมีปืนใช่มั้ย เราสู้กับมันได้นะ” ผมเสนอ

โจรอู๋ส่ายหน้า “อยู่ในเก๊ะหน้ารถ”

“โธ่เว้ย!” ผมหงุดหงิดบวกผิดหวัง แต่ก็เข้าใจได้ เมื่อกี้มันฉุกละหุกจริงๆ และชีวิตเราก็สำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น ต้องหนีเอาตัวรอดก่อน “งั้นทำเป็นยอมแพ้มันไหม แล้วกูจะใช้เทควันโดสู้”

“ไม่ใช่เรื่องเล่นนะแสงเทียน ถ้ามันอ่อนหัดปานนั้น ข้าคงจัดการให้จบไปได้นานแล้ว”

“...แล้วเราจะทำไง”

โจรอู๋หันมองซ้ายขวา ก่อนดึงผมวิ่งหลบเข้าพงหญ้าที่สูงท่วมหัว มันเดินนำหน้าคอยแหวกทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแหลมคมกับพืชมีหนาม โดนบาดจนร้องซี้ดซ้าดไม่ขาดปาก คาดว่าคงเป็นแผลเลือดซิบไปทั้งหน้าทั้งตัว มันยอมทำเพื่อไม่ให้ผมที่อยู่ข้างหลังโดนบาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหันมามองเป็นระยะๆ ว่าผมโอเคมั้ย


คือมึง.....


เสียงรถบีเอ็มเงียบลงตรงตำแหน่งที่รถเราโดนเผาเป็นซาก จากนั้นเจ้าหนี้ก็แหกปากตะโกนลั่น

“ไอ้อู๋! กูรู้ว่ามึงอยู่แถวนี้! หลบทำไมวะ ขี้ขลาดเอ๊ย!”

โจรอู๋ฉุดผมให้นั่งลง คงกลัวว่าการเคลื่อนไหวจะทำให้อีกฝ่ายหาเราเจอ โชคไม่ดีมากๆ เนื่องจากพื้นดินข้างล่างเป็นแอ่งโคลนเฉอะแฉะ มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสัตว์น่าขยะแขยงอาศัยอยู่ และดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกว่ามีอะไรเลื้อยเฉียดข้อเท้าไป

“อื้อ...!!!”

คนข้างๆ เอามือปิดปากผมทันทีเหมือนรู้ทัน แล้วยังกอดผมไว้แน่นราวกับจะยืนยันว่าไม่มีวันปล่อยไปไหน ผมน้ำตาไหล กลัวยิ่งกว่าครั้งใดๆ แล้วก็รู้สึกผิดจนอยากตายด้วย นี่ถ้าผมไม่สะเออะพูดชื่อโจรอู๋ ไม่คิดจะหนีไปจากมันตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ซึ่งร้ายแรงกว่าการอยู่กับมันต่อไปเป็นล้านๆๆๆ เท่า คิดแล้วก็เกลียดตัวเองนัก

คนที่สวมกอดก้มหน้าลงมามองผม แล้วก็ตกใจที่เห็นดวงตาผมเปียกชื้น มันมองด้วยแววตาที่อ่านได้ว่า ‘ไม่เอาไม่ร้อง’ ก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ ทว่านั่นกลับทำให้ไหลหนักกว่าเก่า

ความรู้สึกผิดกัดขย้ำหัวใจของผมเจ็บไปหมด ผมอยากให้มันด่าจนหูชามากกว่าอีก เพราะยิ่งมันทำดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเท่านั้น
เจ้าหนี้ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องไปทั่ว มันอยู่ห่างจากเราราวๆ สิบห้าเมตร หาอยู่สักพักมันก็ส่องค้างไว้ตรงจุดที่เราเข้ามาพอดี ถ้าไม่เห็นรอยหญ้าโค่นล้ม ก็คงเจอเลือดของโจรอู๋ที่โดนบาดติดใบไม้

แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน มันก็เดินตามมาแล้ว

ผมฝังใบหน้าเปียกชื้นลงบนอกหนาของโจรอู๋ สัมผัสได้ว่าหัวใจมันเต้นแรงรัวระทึกยิ่งกว่ากลองศึก ส่วนมันแนบหน้ากับศีรษะผม


เอาเหอะ ถึงจะตาย ผมก็ไม่ได้ตายเพียงลำพัง อย่างน้อยก็ยังมีคนที่พยายามปกป้องผมด้วยชีวิตอยู่ทั้งคน...


“เชี่ย!”

ปัง!

อยู่ๆ เจ้าหนี้ก็ร้องเอะอะและยิงเปรี้ยงลงพื้นดิน ไม่รู้ว่าเจออะไรถึงตกใจแรงขนาดนั้น อาจเป็นตัวที่เพิ่งเลื้อยผ่านขาผมไปเมื่อกี้ เจ้าสิ่งนั้นทำให้เจ้าหนี้หยุดชะงักตรงทางเข้า

“กูรู้มึงอยู่แถวนี้ แต่กูไม่ลดตัวลงไปงมหามึงให้หมดหล่อหรอกว่ะ!”

“...” 

“เอางี้! กูมีข้อเสนอ ถ้ามึงเอาแฟนมึงมาให้กู กูจะยกหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง! ว่ายังไง! สนใจไหม!”

ผมได้ฟังแล้วใจหาย มือไม้สั่นขึ้นมาทันที จ้องตาโจรอู๋ในความมืดด้วยดวงตาสั่นคลอน จากของพนันราคาหนึ่งพันบาทในวันนั้น (ยังฝังใจไม่เลิก) สู่ตัวประกันราคาห้าสิบล้านในวันนี้ มันต้องมีไขว้เขวบ้างแน่ๆ

แต่โจรอู๋สบตาผม ดวงตามั่นคงจริงจัง

“เมียทั้งคน...ให้ตายกูก็ไม่ยกให้”

พูดแล้วจูบหน้าผากผมหนักๆ หนึ่งที พลันความกลัวของผมก็สลายหายเป็นปลิดทิ้ง เกิดความอบอุ่นซาบซ่านที่หัวใจแผ่กระจายไปทั่วร่าง
เจ้าหนี้ไม่เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ก็ตะโกนอีก
 
“ไม่ออกมาใช่ไหม เออ แล้วแต่มึง กูไม่ง้อ! ยังไงซะมึงก็เป็นลูกไก่ในกำมือกูอยู่ดี!”

“...”
 
“มึงจองศาลาล่วงหน้าไว้เลยไอ้อู๋ สิ้นเดือนนี้จบเรื่องของกูกับมึง จะได้ส่งศพไปเผาทีเดียว!”

“.....”

มีเสียงสบถอย่างขัดใจหนึ่งที ก่อนที่เจ้าหนี้จะถอนตัว สักครู่ท่อรถบีเอ็มก็คำรามลั่นแล่นจากไป เราทั้งคู่จึงหายใจได้ทั่วท้องสักที แล้วพากันออกจากที่ซ่อนกลับขึ้นมาสู่ถนน โจรอู๋ควักโทรศัพท์มาโทรหาคนที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนและเส้นสาย พูดเพียงไม่กี่คำก็วาง

“เดี๋ยวเพื่อนข้าจะมารับ” มันบอก

“กูไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าหนี้ทำเหมือนจะฆ่ามึงเลย มันไม่ได้อยากได้แค่เงินหรอกเหรอ” ผมถือโอกาสถาม โจรอู๋ได้ยินแล้วก็ถอนหายใจยาว

“เอาจริงมันก็อยากได้ทั้งสองอย่าง”

“ทำไมอ่ะ โกรธแค้นอะไรกันขนาดนั้น”

“เรื่องมันซับซ้อน” 

“เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“อยากรู้ไปทำไม”

“ก็เผื่อจะช่วยมึงได้ไง”

มันยิ้มเล็กน้อย “แค่มีเอ็งอยู่ด้วย ก็ถือว่าเป็นการช่วยข้าแล้ว”

“...ไม่ต้องมาน้ำเน่าเลย”

“ชีวิตข้ามันระยำ ข้าไม่อยากเล่าให้เอ็งเสียขวัญ”

มันดึงผมเข้าไปกอดแนบอกแล้วจรดริมฝีปากกับหน้าผาก หูของผมแนบอยู่ตรงหัวใจที่เต้นแรงระรัวของมัน ฟ้องว่ามันต่างหากที่เสียขวัญยิ่งกว่า

“รู้ไหม ข้ากลัวอะไรมากกว่าความตาย”

“กลัวโดนจับ?”

“เปล่า” มันก้มหน้าลงมองผม “กลัวรักษาเอ็งไว้ไม่ได้”

“.....”

“เอ็งรู้รึเปล่าว่าไอ้เวรนั่นไม่ได้อยากฆ่าข้าหรอกนะ แต่ที่มันไล่ตามเรา เพราะอยากได้ตัวเอ็งต่างหาก มันรู้ว่าเอ็งสำคัญกับข้า มันคิดว่าถ้าได้เอ็งไป จะทำให้ข้าทรมานยิ่งกว่าฆ่าให้ตาย”

“.......”

“มันคิดถูก”

“โจรอู๋...”

แก้มผมร้อนวูบวาบคล้ายถูกเปลวเทียนลน หัวใจก็รู้สึกพองฟูขึ้นอีกสามเท่าคล้ายจะปะทุออกมา ตัวก็หวิวๆ เหมือนจะลอย มันพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมนะ? รู้รึเปล่าว่าประโยคเหล่านั้นสื่อถึง ‘ความรู้สึกหนึ่ง’ ที่ชัดเจนกว่าพูดคำนั้นออกมาตรงๆ ซะอีก

บ้าชะมัด มันทำให้ผมทั้งเขินทั้งดีใจเหมือนจะคลั่งเลย

เรายืนกอดกันมองดูกองไฟโหมกระหน่ำเผาไหม้เครื่องยนต์ราคาหลายล้านเงียบๆ ระหว่างรอเส้นสายของโจรอู๋มาถึง ผมรู้สึกราวกับเป็นผู้รอดตายจากภัยพิบัติเรือล่ม ติดค้างอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร กำลังก่อไฟขอความช่วยเหลือจากเรือหรือเครื่องบิน แม้ว่าความจริงจะอยู่ห่างจากถนนสายหลักแค่ไม่กี่กิโลก็ตาม

ไม่กี่นาทีก็มีเสียงรถขับตรงมา ผมกับโจรอู๋ดีใจหันไปมอง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ มันคือรถบีเอ็มเหมือนของเจ้าหนี้เป๊ะ

และมันกำลังขับถอยหลังพุ่งเข้ามาหาเรา!!!

โจรอู๋พาผมกระโดดหลบเข้าข้างทางจังหวะที่รถผีสิงนั่นเกือบชน  ผมกับมันล้มกระแทกพื้นเนื้อตัวเปรอะเปื้อนกลิ้งไปคนละทาง โจรอู๋ตะโกนด่าศัตรูด้วยความเคียดแค้นจนเลือดขึ้นหน้า ผมเห็นด้วยที่ว่ามันเป็นหมาลอบกัด หลอกเราว่าไปแล้ว แต่ที่จริงซุ่มอยู่ในที่มืด รอเราออกจากที่ซ่อนแล้วกลับมาแว้งกัด นับว่ามารยาโจรเหนือชั้นกว่าโจรอู๋หลายเท่าจริงๆ สมแล้วที่เป็นศัตรูคู่แค้นกัน

เจ้าหนี้หน้าตี๋ปรี่ลงจากรถเพื่อจะเป่าหัวโจรอู๋ให้จบๆ ไป...

บ้านแม่งสิ!!! มันเข้ามาฉุดผมต่างหาก!

“ไปกับเฮียนะน้อง”

“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!!!”

โจรอู๋พูดถูก ไอ้หอกนี่อยากได้ตัวผมมากกว่าฆ่าคู่อริตัวเอง มันฉุดแขนผมขึ้นจากพื้นแล้วกระชากลากถูผมไปโดยไม่สนใจโจรอู๋แม้แต่ปลายหางตา โจรอู๋เลือดขึ้นหน้า ตอบโต้ไว้กว่าปฏิกิริยาเคมี ผุดจากพื้นพุ่งเข้าต่อยศัตรูเต็มหมัดเข้าที่ใบหน้าจนปากแตก ก่อนจะถีบจนล้มแล้วจับมือผมวิ่งหนี

ทว่าฝีเท้าไม่ไวเท่าลูกปืน

ปัง!!!

“อาร์มี่!!!!!!!!”

ไอ้สัตว์นั่นยิงผัวกู!

โจรอู๋ทรุดลงทันทีพร้อมกับมีเลือดไหลทะลักออกจากกลางหลัง ไหนครูฝึกบอกว่าเป้าไม่นิ่งยิงยากไง แล้วทำไม... ทำไม...

“ข้าไม่เป็นไร เอ็งรีบหนีไปซะ”

“ไม่! เราต้องไปด้วยกัน!”

น้ำตาผมไหลทะลักทลายเหมือนเลือดของโจรอู๋ กระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกด้านขวาเหนือซี่โครง แผลของมันทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนโดนยิงไปด้วย ความกลัวกับความรู้สึกผิดบีบคั้นจนใจผมแทบขาด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดอยากให้มันตายๆ ไปซะ แต่พอเอาเข้าจริง ผมกลับรับไม่ไหว

ไม่ไหวจริงๆ

ผมกำลังจะพยุงโจรอู๋ขึ้นมา แต่ไอ้เวรกรรมสัมพเวสีก็เข้ามาจับผมซะก่อน ผมขัดขืนสุดชีวิต มันเลยชกลิ้นปี่ผมเต็มหมัด ทำเอาผมทรุดฮวบลงทันที ไอ้วิชาสารพัดที่ฝึกมาเมื่อเช้าแม่งไร้ประโยชน์ เพราะมันสูบพลังผมไปหมดแล้ว ไม่เหลือแรงไว้ให้ใช้กับสถานการณ์จริงแม้แต่น้อย

โจรอู๋ยันตัวเองขึ้นจากพื้น ก้าวโซเซเข้ามา

“เฉินเชว่! ไอ้เหี้ย มึงมันไร้สัจจะ! หมาลอบกัด! แค่ทุกวันนี้มึงยังทรมานกูไม่พอรึไง!!!” โจรอู๋ตวาดลั่น หน้าแดงก่ำไม่ต่างกับเลือดที่ไหล
คู่อริยิ้มอ่อนๆ “มึงจะด่ากูแบบนั้นไม่ได้ เพราะสัจจะระหว่างเราแม่งไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่แรก”

“ไอ้หน้า**!!!”

“ว้าๆ อย่าด่าแม่ตัวเองสิ”

ยิ่งโจรอู๋โกรธมาก เจ้าหนี้ก็ยิ่งยั่วโมโหมากขึ้นไปอีก ผมว่าถ้าสายตาของคนสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ ไอ้พ่อค้ามนุษย์เวรตะไลนี่คงตายไปแล้วพันรอบ โจรอู๋น่ากลัวมาก ขนาดผมยังสั่น ถ้าไม่ติดว่าไอ้เวรนี่มีปืน และโจรอู๋ไม่บาดเจ็บ ผมคงได้เห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา

“ถอยไปซะ อย่าคิดจะสู้กับกู ไม่งั้นนัดนี้กูเอามึงตายจริง” เจ้าหนี้ยกปืนขู่เล็งที่หัวโจรอู๋ พร้อมกับลากผมเดินกลับไปที่รถด้วยกัน

ทันใดนั้น ฝั่งตรงข้ามก็เหมือนจะนึกขึ้นได้

“เทียน” โจรอู๋เรียก

แต่ไอ้เวรนี่ขานรับแทน “จะสั่งเสียเมียใช่ไหม เสียใจว่ะ กูไม่มีเวลารอมึงหรอก เอาเป็นว่าจะอัพเดตให้ฟังทีหลังละกัน แต่สบายใจเถอะ รับรองเมียมึงจะสบายที่มาเก๊า ไม่ก็ฮ่องกง”

คือมึงจะส่งกูขายข้ามชาติงั้นเหรอ ไอ้เปรตตตตต!

“อาร์มี่! ช่วยด้วย!” ผมร้องสุดเสียง แม้รู้ว่าไร้ผล โจรอู๋เจ็บจนเกือบประคองตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกลัวนะเทียน” โจรอู๋เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “Colt M 1911 บรรจุเต็มแม็กได้เจ็ดนัด”

“....?”

“มันไม่เหลือกระสุนให้ยิงแล้ว”

“เชี่ย!” เจ้าหนี้สบถ คงจะนึกขึ้นได้เหมือนกัน

ให้ตาย...ทำไมมึงฉลาดอย่างนี้ รู้จักยี่ห้อปืนยันจำลูกกระสุนทุกนัดที่ยิงได้! ความโง่ความควายที่ผ่านมาคือหลอกตากูใช่ไหม

เมื่อรู้ว่าสถานะเท่าเทียมกันปุ๊บ โจรอู๋ก็พุ่งเข้าใส่ไอ้พ่อค้ามนุษย์ดุจวัวกระทิงคลุ้มคลั่ง สองคนฟัดกันจนฝุ่นตลบ โจรอู๋คล้ายจะเป็นรองเพราะบาดเจ็บอยู่ แต่ก็สู้ยิบตา มีฉากโคตรโหดที่ทำเอาผมอ้าปากค้างเอามือกุมใจ คือโจรอู๋บีบเลือดจากแผลจนเต็มฝ่ามือแล้วเอาละเลงใส่เต็มหน้าคนที่ยิงมันจนแดงฉาน คนขวัญอ่อนเห็นแล้วมีสิทธิ์อ้วกพุ่งได้

ตีกันไม่กี่นาทีกรรมการก็ปรากฏตัว

เสียงรถไซเรน

“ฉิบหาย!”

สองโจรหยุดแลกหมัดแล้วหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน เป็นรถสองคันวิ่งไล่เลี่ยกันมา มีไฟสีแดงขาวน้ำเงินกับเสียงหวอๆ แหลมบาดหู คงเป็นรถตำรวจกับรถพยาบาล บางทีอาจมีชาวบ้านแจ้งความ ก็มีทั้งรถระเบิด ไฟไหม้ กับเสียงปืนตั้งเกือบสิบนัดนี่นะ

เจ้าหนี้หน้าเลือด (ทั้งความหมายตรงและอ้อม) ถีบโจรอู๋ออกไปพ้นตัวแล้ววิ่งกลับไปที่รถ คราวนี้ไปจริงไม่มีดริฟท์กลับ

“รถพยาบาลมาพอดี โชคดีชะมัด” ผมพยุงโจรอู๋ขึ้นจากพื้น เขยิบมายืนกลางถนน พวกเขาจะได้เจอเราง่ายๆ

แต่โจรอู๋กลับขัดขืน “ไม่ ข้าไม่ไป”

“เฮ้ย นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องถูกจับไม่ถูกจับนะ ชีวิตมึงต่างหากที่สำคัญที่สุด” ผมออกจะโกรธที่เห็นท่าทีดื้อดึงของมัน

“ข้าไม่เป็นไร เชื่อสิเดี๋ยวเพื่อนข้าก็มา”

“มึงกลัวกูหนี หรือแจ้งตำรวจเหรอ”

“...”

“กูไม่เลวขนาดจะทิ้งคนที่ช่วยชีวิตตัวเองได้ลงคอหรอกนะ”

“....”

“แต่กูจะเสียใจมาก ถ้าคนๆ นั้นตาย แล้วเป็นฝ่ายทิ้งให้กูอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”

“เทียน...”

โจรอู๋กอดผมจมอกจนแก้มผมเปื้อนเลือด อัตราการเต้นของหัวใจถี่ยิบและรุนแรงของมันบอกให้รู้ว่ากำลังดีใจมาก แล้วก็ทำให้ผมค้นพบว่าคนเราต่อให้แข็งกร้าวหยาบกระด้าง หรือเลวทรามสักแค่ไหน ก็ยังไร้เดียงสาทุกทีเวลารู้สึกดีกับใครสักคน

เจ้าความรู้สึกนั่น... ทำให้เด็กสิบสี่กับมหาโจรไม่แตกต่างกัน

ผมเกือบพามันส่งโรงพยาบาลสำเร็จ ถ้าหากรถโฟล์กสวาเก้นสีดำคันหนึ่งไม่โผล่มาจากถนนอีกฝั่งและเปิดประตูรับเราซะก่อน เกิดการสลับตัวที่ทำให้ผมงุนงง คือเมื่อผมกับโจรอู๋เข้ามานั่งข้างใน คนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างในก็ลงจากรถ แล้วปิดประตูตามหลังพวกเราทันที

โจรอู๋บอกว่านั่นคือเพื่อน

ดังนั้นเมื่อรถติดไซเรนสองคันมาถึง ก็ได้พบกับคนที่เป็นเจ้าของซากรถตัวจริงเพียงคนเดียว


v
v
v
(NEXT PART)
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 16-02-2019 00:37:01


[PART 2/2]



ที่คอนโด

ผมประคองโจรอู๋เข้ามาในห้องและพาไปนั่งโซฟา ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำใส่กะละมังถือกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูและกางเกงบ็อกเซอร์ (มันใส่แค่นี้นอน) แล้วจึงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้มัน เช็ดไปก็ร้องไห้ไปเพราะยังอกสั่นขวัญกระเจิงไม่หาย

เมื่อกี้ที่อยู่ในรถตู้ ชายคนหนึ่งเคลมตัวเองว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนโจรอู๋ เป็นนักศึกษาแพทย์ที่เพื่อนโจรอู๋จ้างให้มาด้วยเพราะรู้ว่าต้องบาดเจ็บแน่ เขาบอกคนขับให้จอดรถที่เปลี่ยว แล้วทำแผลให้โจรอู๋แบบเถื่อนซะยิ่งกว่าโจรแท้ๆ คือปรับเบาะเอนลงจนสุด ให้ผมช่วยถือไฟฉายส่องแทนไฟผ่าตัด แล้วพี่หมอเค้าก็งัดเอากระสุนออกมาทั้งอย่างนั้น โหดดิบโคตรพ่อโคตรแม่จนผมเกือบเป็นลม โชคดีที่ไม่โดนยิงอวัยวะสำคัญเลยทำได้ ไม่งั้นก็คงต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ

ผมโกรธมากที่โจรอู๋ดื้อด้านขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างมันยอมตายดีกว่าถูกจับ พอทำแผลเสร็จพวกเขาก็มาส่งเราที่คอนโด ผมต้องถอดเสื้อแจ็คเก็ตให้มันใส่ปิดบังร่างกายมิดชิด เพราะเสื้อของมันถูกโยนลงถังไปแล้ว ประจวบเหมาะกับเสื้อผ้าของเราเป็นแนวสปอร์ตพอดี เลยทำทีว่าไปออกกำลังกายมา หลุดรอดจากสายตาช่างสงสัยของรปภ. มาได้

เป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ผมมีลมหายใจมาเลย...

“หยุดร้องได้แล้ว”

โจรอู๋พูดพลางเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างแผ่วเบา ผมก้มหน้า น้ำตาหยดลงบนผ้าปูที่นอนเป็นดวงๆ

“ก็กูรู้สึกผิด กูเสียใจ”

“บอกแล้วไงว่าอย่าโทษตัวเอง ที่เอ็งทำไปน่ะข้าเข้าใจดี มันหล่อยังกับเทวดา เป็นใครก็อยากหนีตามทั้งนั้นแหละ”

“ยังจะมาพูดเล่น” ผมฟาดแขนมันเข้าให้

“ไม่อยากให้เครียดไง โถ่...”

“กูน่ะดีแต่หาว่ามึงเป็นตัวซวย แต่วันนี้กูเพิ่งรู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นตัวซวยของมึง...” ผมสะอึกเพราะเจ้าก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกลำคอ “ถ้ากูไม่เสือกพูดชื่อมึงให้มันฟัง มันก็คงไม่ทำกับมึงแบบนี้”

“ถ้าเอ็งไม่พูด เอ็งก็ถูกมันจับไปขายตัวนะ”

“...ก็ยังดีกว่าให้มึงตายแล้วกัน”

โจรอู๋ประคองใบหน้าผมให้เงยขึ้นสบตากับมัน ดวงตาคมแสดงความเอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยม แล้วก็หวานละมุนราวกับเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับมันกำลังมองของรักของหวงที่สุดในชีวิต

“ข้าสัญญากับเอ็งว่าจะไม่ให้ใครทำอันตรายได้ ลืมแล้วรึไง”

“เปล่า...”


“ข้าขโมยชีวิตเอ็งมา เพราะงั้นข้าจะให้ชีวิตข้าแทน”


“มึง...”

ผมโผกอดมันแล้วปล่อยโฮอย่างหมดท่า น้ำตาที่คิดว่าไหลมากแล้วก็ยังไหลถล่มทลายได้อีก ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวของมันปลดล็อคความขุ่นข้องใจที่ผ่านมาทั้งหมดของผมจนสิ้น เลือดของมันที่สูญเสียเพื่อผมวันนี้เป็นเหมือนการไถ่บาปทั้งมวลที่มันทำกับผม บาดแผลที่ผมทำให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่มันทำให้ผม หักล้างกันจนเป็นศูนย์

สถานะบ่าวกับนาย ผู้ร้ายกับเหยื่อ – เหลือแค่คนธรรมดาสองคน

คนธรรมดาที่...พิเศษ

โจรอู๋กอดผมตอบด้วยอัตราแน่นพอๆ กัน

“ครั้งแรกเลยนะที่เอ็งกอดข้า” แม้ไม่เห็นหน้า ผมก็รู้ว่ามันยิ้ม “ทำไม กลัวเหรอ”

“อือ มึงคิดว่ากูจะดีใจเหรอถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมา...เพราะกู” ผมพูดเสียงอู้อี้และสั่นเครือ

“นี่คือเป็นห่วงใช่มั้ย”

“เรื่องแค่นี้ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไปตายซะ”

มันหัวเราะราวกับไม่คิดว่านั่นเป็นคำด่า

ผมคลายกอดแล้วโอบรอบคอมันแทน ก่อนจะเอียงหน้าจูบโดยไม่ทันตั้งตัว ไอ้โจรแทบหงายหลังล้มด้วยความช็อก มันดูตื่นเต้น ทำอะไรไม่ถูก สังเกตได้จากการจูบตอบผมซึ่งดีเลย์ไปเกือบสิบวินาที ผมถอนริมฝีปากจากมันแล้วเปลี่ยนไปจูบที่ซอกคอกับใบหู เหมือนที่มันชอบทำกับผม

“เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน คิดจะทำอะไร” มันถาม น้ำเสียงส่อแววประหม่า ไม่เคยโดนรุกล่ะสิท่า โถ่ไอ้อ่อนเอ๊ย

“อยู่นิ่งๆ ไป” ผมสั่ง

“จะแก้แค้นเหรอ มายั่วกันตอนป่วยแบบนี้ข้าจะทำอะไรได้ ไม่แฟร์เลย”

“หุบปากซะ”

“...”

“เดี๋ยวออนท็อปให้เอง”

“...”

กระบวนการทุกขั้นตอนที่ผมทำให้มันวันนี้ เปิดเผย ชัดเจน ซื่อตรงยิ่งกว่าที่ผมเคยทำให้ใคร อย่าว่าแต่มันช็อกเลย ผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่กล้าทำถึงขั้นนี้ แต่คิดๆ ดูก็ตื่นเต้นท้าทายดี ในเมื่อมันอยากตายเพื่อผมนัก ผมก็จะทำให้มันตาย...ตายเพราะสำลักความสุขนี่แหละ

ภาษากายทั้งหมดที่ผมถ่ายทอดให้มันวันนี้ แทนคำพูดเดียวเท่านั้น

ถ้ามันไม่โง่เกินไป ก็น่าจะเข้าใจ




//// มาซะดึกเลย มีใครอยู่แถวนี้มั้ยคะ แฮ่...
เป็นตอนที่ยาวมาก ใช้เวลา+พลังเยอะมาก
แต่ก็ชอบมากที่สุดเช่นกัน
สองคนเริ่มมองเห็นด้านลึกๆ ของอีกฝ่ายและเปิดใจให้กันแล้ว
แต่สถานการณ์ช่างยากลำบากนัก (คนเขียนก็ด้วย T T)
ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ เลิฟฟ <3 <3

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-02-2019 02:33:29
น้องเทียนนนน
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-02-2019 09:18:24
โจรมีเรื่องอะไรกับโจรค้ามนุษย์
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.23 ทั้งชีวิต (16/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-02-2019 09:34:29
 :hao6: :hao6: :hao6:
อะไรกันเนี่ย บาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 22-02-2019 23:19:36

24
Friend With Benefits



ตีสาม

เสียงโทรศัพท์ดังทำให้โจรอู๋สะดุ้งตื่น หยิบมาดู เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก เขาปัดสายทิ้งอย่างหงุดหงิด

คราวนี้ข้อความเข้า


所以死了吗?
(ตายแล้วเหรอ?)



เขาผวาเฮือก รู้เลยว่ามันเป็นใคร จากนั้นค่อยๆ ยกศีระที่ซบหน้าอกกับแขนที่พาดก่ายเอวตนวางลงบนหมอนข้างๆ อย่างนุ่มนวล ดูท่าจะหลับลึก ก็เล่นขย่มเขาโบ้มๆ ไม่ยั้งขนาดนั้น... แต่ก็นะ ลีลาเด็ดขาดบาดใจ ทำเอาเขาสุขจนหลั่งล้นท่วมท้นตัว กระสุนมีเท่าไหร่เรียกว่าปล่อยหมดคลัง ร้ายกาจจริงๆ เจ้าตัวเล็กนี่...

ร่างใหญ่ค่อยๆ ลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ก้มลงเก็บบ็อกเซอร์ขึ้นมาใส่ เกือบร้องลั่นด้วยความเจ็บแผลแต่อุดปากทัน แล้วจึงออกไปที่ระเบียงห้อง ปิดประตูตามหลังแน่นหนา

กำลังจะโทรหาสายล่าสุด แต่ทางนั้นก็โทรมาซ้ำพอดี เขากดรับ ถามเสียงห้วนดุดัน

“มึงเอาเบอร์กูมาจากไหน”

[อ้าว ยังอยู่รึ กูนึกว่าตายห่าไปแล้ว]

“ไม่ได้ยินที่กูถามเหรอ”

[โวะ เรื่องขี้ๆ คิดว่ามึงคนเดียวรึไงที่มีแฮ็กเกอร์ในทีม]

“แล้วโทรมาเพื่อ”

[เช็คว่ามึงตายรึยัง]

“กูยังไม่ตายง่ายๆ หรอก บอกแค่นี้ ไม่มีไรแล้วก็ไสหัวไป”

[รอเดี๋ยว กูมีข้อเสนอใหม่ให้มึงด้วยนะ]

“เสนอส้นตีนไร”

[อย่างที่บอก เอาเมียมึงมาให้กู แล้วกูจะยกหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้สายป๋าๆ ชอบกันนัก รับรองกูจะไม่ให้น้องเค้าลำบาก มึงก็รู้กูมีบ้านอยู่เกาะตั้งกี่หลัง จะเลี้ยงดูอย่างดีราวราชินีเลย]

“กูไม่ให้”

[น้อยไปเหรอ งั้นหกสิบล้าน]

“พันล้านกูก็ไม่ให้” โจรอู๋พูดลอดไรฟัน “มึงล้มเลิกความคิดเหี้ยๆ นั่นซะ กูไม่มีวันยกเขาให้กากเดนมนุษย์อย่างมึงเอาไปปู้ยี้ปู้ยำหรอก”

[ห่า พูดอย่างกับมึงดีกว่ากูนักหนา กูรู้นะว่ามึงฉุดเขามา ก็ข่มขืนเขาเอาเป็นเมียไม่ใช่รึไงวะ ยังมีหน้าด่ากูอีก] ปลายสายจิกกัด

“เออกูฉุด แต่ไม่ได้ข่มขืน”

[โอ้ งั้นแสดงว่าคนนี้จริงจังล่ะสิ รักเขาใช่มั้ย]

“ไม่ใช่เรื่องส้นตีนอะไรของมึง”

[งั้นถ้ากูขอแลกกับคนที่อยู่ทางนี้มึงจะว่าไง พอสนใจขึ้นมาบ้างยัง]

“ไอ้สัด มึง!!!”

[ชักลังเลแล้วใช่ไหมล่ะ] ปลายสายหัวเราะ

“มึงแม่งไม่ใช่ลูกผู้ชาย คนใจสัตว์”

[อย่ารุนแรงดิวะ กูก็แค่ถาม] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงยียวน ผิดกับฝ่ายนี้ที่ร้อนจนไฟแทบลุก [กูเป็นห่วงมึงหรอกนะเนี่ย กลัวหาเงินไม่ทันใช้หนี้]

“มึงจะเอาเรื่องหนี้มาอ้างทำไม ในเมื่อมึงไม่ได้ต้องการเงินจากกูอยู่แล้ว”

[ใครบอกไม่อยาก แค่อยากได้อย่างอื่นเพิ่มเฉยๆ]

“งั้นกูขอบอกไว้ นอกจากเงิน มึงจะไม่ได้อะไรจากกูอีก”

[บังเอิญกูไม่ใช่พวกสนใจคำเตือนซะด้วยสิ]   

“นั่นเรื่องของมึง” กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมดุดันที่สุด “ยังไงซะกูก็ต้องปิดบัญชีมึงให้ได้ กูไม่แคร์ว่ามึงจะเล่นวิธีสกปรกแบบไหนอีก เพราะถึงวันนั้นจริง ไม่ได้มีแค่กูกับมึง ถ้ามึงตุกติก ทุกอย่างจบ”

[อ๋อ นี่รอใช้บารมีเฮียฟงคุ้มกะลาหัวเหรอ ตลกว่ะ!]

“....” โจรอู๋เจ็บใจ อยากเถียง แต่คือเรื่องจริง

[อ้ะๆ แล้วแต่ เปลี่ยนใจอยากขายเมียเมื่อไหร่ก็บอกกูละกัน กูอยากได้จริงๆ ชิบหายเอ๊ย]

“ว่างนักก็ไปชักว่าวปะสัด”

[ชักจนบวมแล้ว คิดถึงหน้าเมียมึง]

“ไอ้เหี้ย”

โจรอู๋วางสาย หัวร้อนราวไฟเผา สงบสติอารมณ์ด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนเย็นลง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง




“ทำไรอ่ะ”

ผมได้ยินเสียงเปิดปิดประตูระเบียงเลยหยิบมือถือขึ้นมาส่อง เห็นโจรอู๋เดินเข้ามาด้วยสีหน้าโคตรจะเครียด ในมือมันถือโทรศัพท์ด้วย คงไปคุยกับใครสักคน

แต่มันไม่ยักตอบ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกแกป และแว่นดำ

“นอนต่อเลย เดี๋ยวมา” พูดแค่นี้

“จะไปไหน มึงเจ็บอยู่นะ”

“ไปหาเพื่อน”

“เส้นสายคนนั้นน่ะเหรอ”

“อืม”

“ขอไปด้วยได้ไหม”

“ไม่ได้” โจรอู๋พูดเสียงเข้มจนผมตกใจ แล้วก็เดินเข้ามานั่งข้างเตียง สีหน้าหวั่นวิตกผิดปกติ “ข้าให้เอ็งไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด เอ็งต้องอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”

“กูเป็นห่วงมึง”

ผมอยากร้องไห้ แต่โจรอู๋ยิ้ม

“ข้าห่วงเอ็งมากกว่า” ว่าแล้วลูบแก้มผมเบาๆ “เอ็งก็รู้ว่าเราเพิ่งเจออะไรมา ศัตรูข้าอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพฯ แล้วมันก็หมายตาเอ็งอยู่ ขืนข้าพาเอ็งออกไปด้วย เกิดเจอมันอีกรอบ เอ็งจะซวยเอา”

“...แต่มึงก็ยังออกไป” พูดแล้วหัวใจของผมก็สั่นๆ ละสายตาจากมัน มองไปที่แผล “ทั้งที่เพิ่งถูกยิงมา”

“มันจำเป็น”

“จำเป็นขนาดไหน โทรคุยไม่ได้เหรอ”

ทำไมกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจไปได้นะเรา ก็ไม่อยากให้ไปจริงๆ นี่...

“ต้องคุยตัวต่อตัว มันสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่กับข้า แต่สำหรับเราทั้งคู่ เข้าใจหน่อยนะ” พูดจบก็ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากหนึ่งที “จะรีบกลับมา”
เสร็จแล้วก็ก้าวออกไปด้วยท่าทางเร่งรีบ ผมมองตามอย่างเป็นห่วงกระทั่งมันหายลับไปหลังประตู แล้วก็ล้มตัวลงนอนเช่นเดิม ทว่าไม่อาจข่มตาหลับได้

มีหลายอย่างเกี่ยวกับมันที่ผมยังไม่รู้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องเส้นสาย จะว่าไป...มันแทบไม่เคยปริปากเล่าให้ผมฟังสักเศษเสี้ยว แม้แต่วันนี้ที่ได้เจอกันในระยะประชิด (ถึงจะแค่แวบเดียว) ได้นั่งรถเขา ได้เพื่อนเขาช่วยชีวิตแท้ๆ แต่โจรอู๋ก็ไม่พูดถึงเขาเลยสักแอะ คิดว่าแปลกไหม

อยู่ดีๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่พึงประสงค์ในใจผม

เพื่อนแบบไหนออกไปหากันตอนตีสาม

เพื่อนแบบไหนเอาตัวเข้ารับความซวยให้กัน

เพื่อนแบบไหนซื้อบ้านซื้อรถให้กันเป็นล้านๆ

นั่นสิ...เพื่อนแบบไหน

ผมข่มตาหลับทั้งที่ในใจถูกคำถามบีบคั้นจนปวดหน่วง อีกทั้งยังมีความเป็นห่วงมันพ่วงด้วย ยิ่งทำให้การฝืนนอนต่อทรมานไปใหญ่ ไหนจะความกว้างของเตียงคิงไซส์ที่โหดร้ายสำหรับคนๆ เดียว กับกลิ่นของมันที่ติดบนปลอกหมอนและผ้าห่มอีกล่ะ มันทำให้ผมเสพติดการนอนกอดมันไปแล้ว...แย่มากๆ

พลิกตัวไปมาหลายตลบ กระทั่งล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมจึงหลับได้

ฝันดีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกลายเป็นฝันร้าย...ที่ผมภาวนาสุดใจว่าขออย่าให้เป็นจริงเลย




อีกด้านหนึ่ง

“อะไรนะ! ไอ้เฉินเชว่เหรอ!”

“เออ มันจริงๆ”

หลังจากเข้ามาในบ้าน (เรียกให้ถูกคือคฤหาสน์) ของนักสืบทิวาแล้ว โจรหนุ่มก็เล่าเหตุการณ์ปะทะกับศัตรูให้ฟัง เพราะตั้งแต่ตอนโทรขอความช่วยเหลือที่ถนน ก็ยังไม่ได้คุยกันอีก

ความจริงเขาคงอดทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ได้ ถ้าหากไม่ถูกคู่อริโทรหาเมื่อครู่ สำหรับโจรอู๋นี่คือการคุกคามอย่างใหญ่หลวง มันหาเบอร์เขาเจอง่ายๆ และก็อาจดักฟังทางโทรศัพท์ได้เช่นกัน หมายถึงเขาจะไม่มีความลับทางโทรศัพท์กับมันอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้จึงต้องมาหานักสืบถึงบ้านในเวลาตีสาม

“ตอนแรกกูคิดว่ามันบังเอิญเลยเจอมึง แต่ตอนนี้กูว่ามันน่าจะวางแผนมาแล้ว” เจ้าของบ้านนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับแขก

“กูก็ว่างั้น” โจรอู๋พยักหน้า “แต่ชื่อเจ้าของรถคือมึง แล้วมันรู้ได้ไงว่ากูขับ”

“ยากตรงไหน ก็มันรู้ไงว่ากูหนุนหลังมึงอยู่”

โจรระบายลมหายใจออกยาวๆ “กูขอโทษที่พามึงซวย ไหนจะทำรถพังอีก เกลียดตัวเองชิบหาย”

“ไม่เอาดิ ใช่ความผิดมึงที่ไหน” นับสืบเตะเท้าอีกฝ่าย “แค่เศษเหล็กเอง ไม่สะเทือนกูหรอก”

โจรอู๋ยิ้มออกนิดหน่อย

“มึงบอกว่ามันอยากได้ตัวแสงเทียนใช่มั้ย พูดจริงพูดเล่น” 

“จริง แม่งถึงได้ยิงกูเดี้ยงนี่ไง”

“แย่งนางเอกกันว่างั้น”

“มันจริงจังนะมึง ฉุดตั้งหลายครั้งกะเอาให้ได้อ่ะ”

“เข้าใจๆ แสงเทียนนี่สเปกเกย์มหาศาล สำหรับมันคงขายได้หลายล้าน”

“มันให้กูตั้งหกสิบล้าน”

“เชี่ย...”

“แต่เรื่องไรกูจะขายวะ เมียทั้งคน” โจรอู๋พูดแล้วส่ายหน้า “กูไม่น่าพาเขาเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย...”

“เอาน่า ในเมื่อแก้ไขอดีตไม่ได้ มึงแค่ทำวันนี้ให้เต็มที่ แล้วก็วางแผนอนาคตให้ดีก็พอ” ทิวาย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับโจรอู๋ วางมือลงบนไหล่ บีบแน่นๆ ให้กำลังใจ “แต่ที่กูห่วงกว่านั้นคืออะไรรู้ไหม”

“คือ?”

“ภารกิจของมึงกับเจ้าสัวปลายเดือนนี้ไง”

“กูว่ากูทำทุกอย่างรัดกุมแล้วนะ มึงห่วงตรงไหน”

“ก็ไอ้เหี้ยเฉินนี่แหละ กูกลัวมันไปป่วนงานมึง ทำให้มึงปิดจ็อบไม่สำเร็จ พอมึงไม่ได้เงินจากเจ้าสัว อีกสามวันพอถึงกำหนดเคลียร์หนี้มัน มึงก็จะถูกมันเก็บ” 

“เป็นไปได้” โจรอู๋ก้มหน้า ยกมือเท้าหน้าผาก “มึงพอจะช่วยกูได้มั้ย สร้างข่าวปลอมหรือข่าวลือเกี่ยวกับกู ว่าโจรอู๋หนีไปต่างประเทศแล้ว ไม่ก็ตำรวจได้เบาะแสพวกค้าของเถื่อน จะซื้อขายกันวันนั้นวันนี้ ให้ไอ้เฉินเชว่สับสน กูรู้มึงช่วยได้”

“หือ นี่มันเรื่องใหญ่ไม่ใช่ขี้ๆ ทุกวันนี้แค่คดีเก่ากูก็ตามล้างตามเช็ดให้มึงแทบไม่ทันแล้วนะเว่ย” ทิวานิ่วหน้า “มึงต้องไปคุยกับเจ้าสัว เปลี่ยนเป็นวันอื่นแล้วล่ะงั้น ยิ่งเร็วยิ่งดี ก่อนที่ไอ้เฉินจะรู้ทัน”

“เฮ่อ กูจะลองดู” โจรอู๋ถอนหายใจยาว เอนหลังที่พนักพิงโซฟา แหงนหน้ามองเพดาน

“ไอ้ห่าเฉิน ไม่รู้จะอยู่กรุงเทพฯ ถึงเมื่อไหร่ กูกลัวว่ามันจะเจอมึงอีกรอบแล้วฆ่ามึงก่อนถึงวันปิดบัญชี หรือฉุดแสงเทียนไปขายอย่างที่บอก ถ้าเป็นงั้นจริง คดีจะยิ่งโคตรซับซ้อน แล้วกูก็จะยิ่งปวดหัวเป็นสิบเท่า”

“ขอโทษจริงๆ ว่ะที่กูหาแต่เรื่องให้มึง...” โจรอู๋หน้าเศร้า แววตาละห้อย   

“บอกกี่ทีแล้วว่ากูเต็มใจ อยู่เฉยๆ น่าเบื่อตายชัก เป็นนักสืบเนี่ยแหละสนุกสุดแล้ว ได้ใช้สมองดี”

“เหรอ แต่กูชอบตอนรวยแล้วอยู่เฉยๆ มากกว่า”

นักสืบหัวเราะ ก่อนจะกลายเป็นเคร่งขรึม ราวกับเปลี่ยนเข้าสู่โหมดเอาจริงเอาจัง “ไหนๆ ก็ไหนๆ กูมีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง มึงจะโกรธกูก็ได้ แต่กูว่ากูต้องพูด”

“เรื่อง?”

“มึงจะไม่ปล่อยแสงเทียนจริงดิ”

“......” ถึงกับนิ่งไป “ถามทำไม”

“กูแค่อยากรู้ มึงเอาเขาไปเข้าแก๊ง พาไปปล้น จนเขากลายเป็นโจรไปกับมึงด้วย นั่นทำลายอนาคตเขาแท้ๆ”

“.....” ได้ฟังแล้วโจรอู๋รู้สึกฉุนนิดๆ

“มึงรู้ไหม เฟลมแฟนเขาเครียดมาก แสงเทียนหายไปจะเป็นเดือนแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า กูเห็นเขาทีไรแล้วเศร้าชิบหาย นี่เป็นคดีแรกที่กูทำแบบฝืนใจโคตรๆ มึงรู้ป่ะ กูรู้สึกผิดแทบตายที่บิดเบือนความจริงให้มึง แต่เอาเรื่องหลอกลวงไปบอกเขา ทั้งที่เขาไว้ใจกู เขาไม่มีที่พึ่งที่อื่นนอกจากกู”

“........” โจรอู๋เม้มปาก ไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น

“หกเดือนที่มึงปล้นชาวบ้านร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กูไม่เคยว่า แต่นี่มึงลักพาตัวคน แถมยังพาเขาไปลำบากด้วยอีก กูขอพูดจากใจ มึงปล่อยเขาไปเหอะ”

“ไม่” โจรอู๋ลุกจากโซฟา ใบหน้าตึงเครียด แววตาโกรธขึ้งทันใด  “เรื่องอื่นกูทำให้มึงได้ แต่เรื่องนี้เป็นข้อยกเว้นว่ะ จริงอยู่ที่กูขโมยเขามา แต่แล้วไง? ตอนนี้เขาเป็นเมียกูแล้ว เรากำลังไปกันได้ดี แล้วกูก็ไม่เห็นเขาจะร้องไห้หาผัวเก่าตรงไหน”

“ยังไงมึงก็ทำไม่ถูก” ทิวาลุกขึ้นมาประชันหน้า “มึงกักขังเขา ยัดเยียดความเป็นโจรให้เขา กับอีกสารพัดอย่าง”

“กูก็เห็นเขามีความสุขดีออก”

“เพราะกูช่วยมึงอยู่นี่ไง ไม่ใช่เหรอ ถ้ากูไม่ซื้อบ้านซื้อรถให้มึง อำนวยความสะดวกราวกับเทวดาให้มึง มึงจะมีอะไรนอกจากตัวเปล่า แล้วคิดดูว่ามึงในสภาพนั้นจะทำให้เขามีความสุขได้เหรอ”

“.....” หันหน้าหนี

“มึงกับเขาต่างกันนะมี่ เขาเป็นนักศึกษา เรียนดี ชีวิตดี มีอนาคตสดใสรออยู่ แต่มึงล่ะ มึงเป็นอะไร”

“แล้วไงวะ!” โจรหนุ่มขึ้นเสียง ท่าทางเขาโกรธมากจนทนไม่ได้อีกต่อไป “ก็กูรักเขา! มึงเข้าใจรึเปล่า! กูปล่อยเขาไปไม่ได้ แล้วกูก็มั่นใจว่าตอนนี้เขาก็รักกูเหมือนกัน”

“แค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ มึงต้องมองความเป็นจริง นอกจากรักแล้วมึงต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาได้ด้วย แต่นี่มึงยังเอาตัวเองแทบไม่รอดเลย”

ทิวาตะโกนพูดเสียงเข้มขึงขังไม่แพ้กัน “รักแล้วต้องกัดก้อนเกลือกิน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครมีความสุขหรอก”

“กูทำได้! กูเชื่อว่าทำได้ เคลียร์กับไอ้เฉินเมื่อไหร่ กูจะเป็นอิสระ กูจะเริ่มชีวิตใหม่กับเขา”

“ชีวิตใหม่ที่ไหน ในไทยเหรอ? มึงก็รู้บ้านเมืองที่นี่เป็นยังไง มึงทนถูกประณามจากสังคมได้เหรอ? โดนตราหน้าว่าเป็นโจรไปตลอดชีวิตน่ะ”

“กูทนได้”

“มึงทนได้ แต่แสงเทียนล่ะ เขาจะรับการเหยียดหยามไหวไหม คิดดูสิผู้คนจะนินทาเขายังไง โดนลักพาตัวไป แต่สุดท้ายเอาโจรทำผัวเนี่ยนะ? แค่คิดกูก็มองเห็นคำครหาที่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตแล้ว”

“งั้นกูจะพาเขากลับจีน” โจรอู๋เถียง

“นั่นยิ่งเลวร้ายใหญ่ เข้าถ้ำเสือชัดๆ แถมพกเหยื่อไปด้วย มึงคิดว่าไอ้เฉินจะปล่อยมึงไว้เรอะ”

“...”

“ถ้ามึงรักเขาจริง ก็ควรห่วงอนาคตเขา ทางที่ดีมึงหยุดความรู้สึกกับแสงเทียนดีกว่า”

หนุ่มโจรชักสีหน้าไม่พอใจ วินาทีนั้นทิวาเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจถูกชก แต่โจรอู๋แค่ผลักเขาออกไปห่างๆ เท่านั้น แล้วก็เดินไปที่หน้าต่างด้วยอารมณ์เดือดพล่านและขุ่นมัว

ผ่านไปหลายนาที ท่าทีดูสงบลง ทิวาจึงค่อยพูด

“อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า นอนกับกูเถอะ”   

“....”

“เตียงกูคิดถึงมึงจะแย่แล้ว”





//// เอาระเบิดมาหย่อนไว้แล้วก็ไป....

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามกันนะคะ รักจังๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-02-2019 03:54:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.24 Friend With Benefits (22/02/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-02-2019 12:42:33
ดราม่าเริ่มมาแล้ว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (2/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-03-2019 22:10:26

25
แตก/หัก



ช่วงเช้าๆ

ร้านเดลิเวอรี่เพิ่งเปิดได้ห้านาที ยังไม่มีลูกค้า เฟลมยืนประจำหน้าเคาน์เตอร์ ทำทีเอาผ้าขนหนูเช็ดโน่นเช็ดนี่ ผู้จัดการจะได้เห็นว่าเขาไม่ว่าง แม้ว่าความจริงจิตใจของเขากำลังวุ่นวายอย่างหนักจนไม่ได้หยุดพัก

เมื่อคืนมีเรื่องน่าช็อก แม่แสงเทียนโทรหาเขา เธอบอกว่ารู้เรื่องแสงเทียนหายตัวไปแล้วนะ แต่ไม่บอกว่ารู้จากใคร เธอเสียใจและโมโหมากที่ทุกคนปิดบัง ทั้งตำรวจ เฟลม และเพื่อนๆ ของลูกชาย

เฟลมอธิบายว่าช่วงแรกตำรวจยังไม่แน่ใจว่าแสงเทียนหายตัวไปจริงหรือแค่หนีเฉยๆ จากนั้นก็ต้องรอตำรวจสืบสวน กว่าจะรู้ว่าถูกโจรลักพาตัวไปก็หลายวัน และเขาตั้งใจจะบอกเธอวันพรุ่งนี้ ทว่าหัวใจคนเป็นแม่ก็แหลกสลายเกินกว่าจะรับฟังคำแก้ตัวใดๆ ไปแล้ว



‘รู้ไว้นะว่าถ้าน้องเทียนเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอเลย!’



ถ้อยคำของเธอเปรียบเสมือนน้ำกรดราดรดหัวใจเขาเละเทะไม่มีชิ้นดี พอวางสายไปเขาก็ทรุดตัวร้องไห้อยู่สองชั่วโมงรวดจนปวดหัว ลำพังก็รู้สึกผิดแทบตายอยู่แล้ว ยิ่งถูกคนที่รักแสงเทียนที่สุดในชีวิตตอกย้ำ ก็เหมือนกับตอกฝาโลงให้เขาไปครึ่งตัว



ไม่ใช่แค่แม่หรอก ผมเองก็จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเหมือนกัน...



เช้านี้เขาตื่นมาด้วยดวงตาบวมแดงอย่างกับผึ้งต่อย เลยสวมแว่นสายตาหลอกๆ แต่ก็ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ 

“หน้าเศร้าแบบนี้ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเข้าร้าน”

ลูกค้าคนแรกของวันเป็นชายในเครื่องแบบที่เขาเจอบ่อยยิ่งกว่าใครในช่วงนี้ หมวดเดินถือกระเป๋าเข้ามาในร้าน ใบหน้าง่วงๆ มึนๆ เช่นเคยใต้ตาคล้ำอย่างคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน

“มาทำไม มีอะไรคืบหน้าเหรอ”

“นั่นคำทักทายลูกค้าเหรอน่ะ” หมวดจิกกัดขำๆ “เปล่าไม่มีไรสักคืบ แค่หิว ขอสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่นึง”

เฟลมผิดหวังทันใด “ร้อยสามสิบเก้าบาท”

ตำรวจจ่ายเงิน รับบัตรคิว แล้วนั่งโต๊ะซึ่งไม่ไกลจากเคาน์เตอร์ ก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบนิยายรักหน้าปกสีชมพูออกมาอ่านระหว่างรออาหาร เฟลมทึ่งที่ขนาดง่วงจนตาปรือเกือบปิดสนิท หมวดก็ยังสามารถอ่านหนังสือได้ มหัศจรรย์คนจริงๆ

เฟลมมองแล้วแอบขำ สักพักเมื่ออาหารเสร็จ เขาก็เรียกให้ลูกค้ามารับ

“หมายเลขหนึ่งครับ”

“....” หมวดนั่งนิ่งราวกับสัตว์สตัฟฟ์ เฟลมเรียกซ้ำ แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับ คาดว่าน่าจะหลับใน (อีกแล้ว) พนักงานส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินถือถาดไปเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ

แต่ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์น่าระทึก คือหมวดเอนไปข้างหลังจนขาเก้าอี้ด้านหน้ายกจากพื้นมากขึ้น...มากขึ้น ทำมุมสี่สิบห้าองศาเตรียมหงายหลังล้มสู่พื้น

“เฮ้ย!!!”

พนักงานโยนถาดอาหารทิ้งแล้วเข้าไปประคองเก้าอี้ไว้ได้อย่างทันท่วงที หากปล่อยไว้เพียงหนึ่งวินาทีหมวดคงหัวฟาดพื้นไปแล้ว

หมวดเหมือนจะรู้สึกตัวเมื่อเห็นใบหน้าของเฟลมในระยะประชิด และตัวเขาตกอยู่ในอ้อมแขนของพนักงานหนุ่ม

“คุณจูบผมทำไมเนี่ย เปรมประกิตต์”

“ฮะ......บ้าเหรอ!!!”

เฟลมสะดุ้งจนเผลอปล่อยมือจากหมวด ส่งผลให้เก้าอี้ล้มลงกระแทกพื้น แล้วหมวดรักษ์ก็หายมึนทันที

“โอ๊ย...” หมวดกลิ้งไปนอนบนพื้น แล้วค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้น มองหน้าพนักงานอย่างเอาเรื่อง “ทำร้ายผมทำไมฮะ”

“เปล่าซักหน่อย คุณทำตัวเองต่างหาก ผมจะช่วยด้วยซ้ำ”

“ช่วยอะไร” หมวดเลิกคิ้ว “ผมก็นั่งอยู่เฉยๆ แต่คุณทำผมล้ม”

“หืมมมม” เฟลมกัดฟันกลั้นความโกรธ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพราะยังไงหมวดก็เป็นลูกค้า “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณหลับในแล้วจะหงายหลังล้ม ผมเลยเข้ามาช่วยประคองต่างหาก”

“เหรอ” หมวดสีหน้างง “งั้นจะปล่อยให้ผมร่วงทำไมเล่า เจ็บเลย”

“ก็คุณพูดอะไรบ้าๆ หาว่าผมจูบคุณ”

เฟลมรู้สึกหัวร้อนเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ตะกี้ จริงๆ ความร้อนนี้หมายถึงเขินหรือโมโหเขาก็ไม่แน่ใจ

“มันน่าคิดไหมล่ะ หน้าใกล้ซะขนาดนั้น” หมวดรักษ์ยกเก้าอี้ขึ้นจากพื้นแล้วนั่งลงตามเดิม

เฟลมขี้เกียจเถียงไร้สาระเลยเปลี่ยนเรื่อง “อ่านนิยายจนไม่ได้นอนอีกล่ะสิท่า ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“เปล่า ทำคดีต่างหาก” หมวดปฏิเสธทันควัน “ไม่ได้ดูข่าวเหรอ คดีปล้นร้านเพชรน่ะ ข่าวใหญ่จะตาย”

“รู้สึกว่ามันอยู่ในเขตรับผิดชอบของสน.ห้วยขวางไม่ใช่?”

“เพื่อนที่นั่นขอมาก็เลยไป เขาสงสัยว่าจะเป็นพวกแก๊งเดียวกับคดีเรา”

“ช่วยคนอื่น แล้วคดีของผมล่ะ”

“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็ไม่ทิ้งคดีของคุณหรอก” หมวดพูด พลันสายตาก็หันไปเจอจานสปาเกตตี้คว่ำกระจายบนพื้น แล้วก็ยิ้ม “นี่คุณเป็นห่วงผมมากสินะ ถึงกับทิ้งถาดแล้วเข้ามาช่วยเลย น่ารักจัง เอาไปสิบคะแนนเต็ม”

“ไม่ใช่! ผมแค่ไม่อยากให้มีใครตายในร้านก็แค่นั้น”

เฟลมหลุดจากอารมณ์เศร้า รีบเก็บกวาดเส้นใส่จาน เดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดพื้นจนสะอาดเรียบร้อย แล้วกลับไปที่เคาน์เตอร์

หมวดมึนแอบยิ้ม รู้สึกดีที่เห็นเฟลมยังมีอารมณ์เหวี่ยงวีนเหมือนเดิม สำหรับเขามันดีกว่าเศร้าซึมเยอะ ความจริงที่เขามาหาเฟลมแต่เช้าก็เพื่อดูอาการนี่แหละ เขากลัวเจ้าหนุ่มนี่คิดสั้นหลังถูกอดีตแม่ยายด่าสับยับเยิน พอเห็นว่ายังด่าเก่งไฟแลบก็ค่อยโล่งใจ

ถามว่าทำไมเขารู้ ก็คนที่บอกแม่ของแสงเทียนอยู่ในทีมเขาไง


“ผมไม่คิดว่าเราต้องปิด เราควรบอกเธอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”

“แต่คุณก็น่าจะปรึกษาผมก่อน”

“หมวดเอาแต่รอ แล้วก็ไม่ได้ทำ”

“แต่ยังไงผมก็เป็นหัวหน้า อย่าทำอะไรโดยพลการสิ”

“บางทีหมวดอาจจะลืมว่าผมเป็นนักสืบเอกชน ไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร”



...เป็นซะอย่างงั้น ก็หวังว่าจะปิดคดีได้เรียบร้อยก่อนที่จะเกลียดขี้หน้ากันล่ะนะ

“หมายเลขสอง” เฟลมเรียก

หมวดหันมองรอบร้าน “เรียกใคร ไม่เห็นมีคนอื่นเลย”

“คุณนั่นแหละ”

หมวดลุกจากโต๊ะเดินมารับงงๆ “ผมต้องจ่ายสองเท่ารึเปล่า”

“ไม่เป็นไร ผมรับผิดชอบเอง”

“ขอบคุณนะ ใจดีจัง ถ้ายิ้มเยอะกว่านี้รับรองได้เป็นพนักงานดีเด่นแน่ๆ”

“รีบเอาไปได้แล้ว”

เฟลมทำเป็นไม่สนใจและโบกมือไล่หมวดไปให้พ้นก่อนจะโดนล้ำเส้นมากกว่านี้ อดคิดไม่ได้ว่าหมวดจงใจมาป่วนเขารึเปล่าเนี่ย?

แต่เรื่องของหมวดดูจะเบาไปเลย เมื่อเทียบกับลูกค้าคนที่สอง เฟลมมั่นใจว่ารายนี้ต่างหากที่มาเพื่อป่วนของจริง

ชายหนุ่มรูปงาม ร่างสูงดูดีเหมือนหุ่นในตู้โชว์ ผมสีน้ำตาลแดง ผิวขาวเปล่งประกาย ออร่ากระจายอย่างที่ดูออกว่าไม่ใช่คนธรรมดา... แม้จะสวมแว่นดำอำพราง แต่เฟลมก็รู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ระยะร้อยเมตร

“Lasagna, Spicy wings, and Pepsi medium, take home please.” ผู้ชายคนนั้นสั่งโดยไม่มองหน้าพนักงาน ก้มหน้าเล่นมือถือ

เฟลมไม่กดสั่ง เพราะสองมือไม่ว่าง กำลังกำหมัดแน่น

“ไอ้มาร์ค”

เจ้าของชื่อเงยหน้ามองคนเรียกอย่างแปลกใจ (แต่เฟลมรู้ว่ามันแกล้งทำ) ถอดแว่นดำออกเพื่อมองเห็นหน้าชัดๆ แล้วก็ร้องเสียงดัง

“อ้าวเฟลม!”

“ตามมาถึงนี่เลยเหรอ” คนในเคาน์เตอร์ถามเสียงต่ำราบเรียบ ดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง 

“ไม่คิดว่าเป็นพรหมลิขิตเหรอ ที่เราได้เจอกันอีกครั้ง”

“พรมเช็ดตีนไร กูรู้ว่ามึงตามมาจากทวิตนั่น”

เมื่อวานมีลูกค้าผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาที่ร้าน พอเห็นหน้าเขาปุ๊บก็ร้องกรี๊ดกร๊าด พวกเธอจำได้ว่าเขาเป็นนายแบบที่เคยกำลังดัง แต่อยู่ๆ ก็ออกจากวงการไปแบบงงๆ เลยขอถ่ายรูปหน่อย เฟลมกระอักกระอ่วนเอามากๆ แต่ก็อนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่าอย่าบอกชื่อ อย่าเปิดวาร์ปเขาก็พอ เขาขอใช้ชีวิตเงียบๆ พวกเธอก็ตกลง

แต่ไม่กี่นาทีหลังจากพวกนางไป รู้ไหมเขาเห็นอะไรเอ่ย?

 

อิเหี้ยยยย มีพนง.คนไหนหล่อเท่านี้อีกมั้ย กูตายยยยย
#พนักงานหล่อบอกต่อด้วย #พิเฟลม
#ร้านฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอิตาลีที่อยู่ในห้างติดบีทีเอส #วาร์ปอยู่ในเธรด


 

รีทวีตกันไปหมื่นสาม

อี...ดอก

 
“หลงตัวเองไปมั้ง ทำไมพี่ต้องตามนายมาด้วย”

“กล้าสาบานไหมล่ะ”

“ไม่เอาน่า พูดกันดีๆ สิ”

“กูไม่อยากพูดกับมึง”

เขาอยากให้ไอ้เคฟอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นตัวเองชะมัด หมอนั่นเจอลูกค้าเวรตะไลเบอร์ไหนก็รับมือได้หมด ผิดกับเขาที่ความอดทนต่ำเตี้ย

“ทำไมพูดกับลูกค้าไม่เพราะเลย เดี๋ยวก็แจ้งเอชอาร์หรอก”

“ช่างหัวมึง”

เฟลมตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานหลังร้านให้มาอยู่แทน บอกว่าจะไปห้องน้ำ แต่โชคร้ายที่เพื่อนคนนั้นก็กำลังไปห้องน้ำพอดี เลยมีแต่เขาคนเดียว   

“ไม่คิดว่านายจะตกต่ำถึงขั้นนี้ จากนายแบบดาวรุ่ง กลายเป็นพนักงานร้านเดลิเวอรี่กระจอกๆ ซะงั้น”

“หุบปาก” ไอร้อนแล่นขึ้นหน้าวูบวาบ ถ้าไอ้เพื่อนคนนั้นยังไม่รีบกลับมา เขาจะต่อยไอ้ลูกค้านี่หน้าคว่ำ

“ทำไมหยาบคายจัง ลงมาอยู่ตลาดล่างแล้วเป็นงี้หรอ”

เฟลมถอดหมวกแกปร้านทิ้ง เพราะหัวเขาร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว

“นับหนึ่งถึงสาม ไม่ถอยเจ็บตัวแน่” เฟลมพูดลอดไรฟัน อีกฝ่ายผงะ รู้ว่าเอาจริง

“พี่มาดีนะเฟลม ยังไงซะเราก็คนกันเอง พี่ไม่อยากเห็นนายลำบาก กลับมาหาพี่ แล้วพี่จะลืมทุกอย่างที่นายทำ”

“หนึ่ง”

“ไม่เอาน่า”

“สอง”

มาร์คขยับไปข้างหลังหนึ่งก้าว พอให้พ้นระยะหมัด

“ห่วงแฟนเก่าที่อยู่ในข่าวเหรอ เลิกหวังดีกว่ามั้ง ป่านนี้เขาคงกลายเป็นเมียโจรไปแล้ว...”

ซ่า!!!

ถังน้ำล้างผ้าขี้ริ้วที่วางอยู่ปลายเท้า เฟลมถือมันขึ้นมาสาดใส่หน้ามาร์คทันที ทำให้อีกฝ่ายเปียกโชกและสกปรก เสื้อขาวกลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา หมวดรักษ์ที่มองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นลุกจากโต๊ะ เตรียมเข้าไปขวางถ้าเกิดการลงไม้ลงมือกัน

“ฮะๆ...” มาร์คหัวเราะ เสยผมด้านหน้าขึ้น หล่อเหมือนโฆษณาแชมพูไม่มีผิด “โกรธทำไม พี่พูดผิดตรงไหนเหรอ”

“อย่ามาแช่งแสงเทียน!!!” เฟลมตวาดลั่น โกรธจนน้ำตาจะไหล “เรื่องเป็นแบบนี้ก็เพราะมึง! มึงหลอกกู ยั่วยุกู ทำให้กูตกหลุมพรางเฮงซวยที่มึงทำ!”

“อย่าโทษคนอื่น ในเมื่อนายนั่นแหละเป็นต้นเหตุ พี่ยื่นมือให้นายจริง แต่ก็ไม่ได้บังคับ นายเองต่างหากที่ตอบรับพี่ ทำแบบนี้แล้วใครจะรู้ว่านายมีแฟนอยู่แล้วล่ะ จริงๆ คนที่ถูกกระทำคือพี่ด้วยซ้ำ”

“......”

“ยังไงก็ช่าง พี่ไม่โกรธหรอกนะ อยากกลับไปเมื่อไหร่ก็บอก”

“ไม่มีวัน!”

ทั้งคู่ทำสงครามประสาทกันสักพัก แล้วผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามา ทันทีที่เห็นนายแบบชื่อดังยืนตัวเปียกน้ำเหม็นๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ และในมือของพนักงานถือถังน้ำ เขาก็ตกใจ

“นายทำอะไรลูกค้าฮะเฟลม!!!”

“ไม่มีอะไรครับ แค่เข้าใจผิดนิดหน่อย” มาร์คพูดแล้วสวมแว่นดำกลับเข้าใบหน้า ทำท่าจะออกจากร้าน แต่ก็หันกลับมาแล้ววางธนบัตรสีเดียวกับเสื้อเปื้อนๆ ของเขาที่เคาน์เตอร์ “ทิปสำหรับนายคนเดียว”

แล้วก็เดินออกไป

เฟลมเอาเงินใส่กล่องรับบริจาคให้หมาจรจัด และถูกผู้จัดการเค้นต่อ

“ตอบพี่เดี๋ยวนี้ มันเกิดอะไรขึ้น”

“ผมเอาน้ำล้างพื้นสาดหน้ามัน”

“อะไรนะ!” ผู้จัดการเอามือกุมอก “ทำแบบนั้นทำไม!”

“ก็มันปากหมา” เฟลมเสียงเหวี่ยง 

“นายไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นใคร นั่นมาร์คเชียวนะ! มาร์ค คีแกน ดังสุดในวงการแล้วนาทีนี้ ถ้าเขาเอาเรื่องเราขึ้นมา ได้ซวยกันหมดแน่!”

“แต่มันหยามผม หยามแฟนผม ผมทนไม่ได้”

“ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นกับนาย แค้นอะไรกันมาก่อนเหรอ”

“ใช่ครับ”

ผู้จัดการเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าเฟลมเคยเป็นนายแบบ

“ยังไงนายก็ต้องหัดระงับอารมณ์บ้าง เขาเป็นลูกค้านะ นายเป็นพนักงาน แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวด้วย”

“พี่ไม่เจออย่างผม พี่ไม่เข้าใจหรอก!” เฟลมตะโกนอย่างเหลืออด ถอดผ้ากันเปื้อนของร้านฟาดลงกับเคาน์เตอร์

“เฟลม!!”

“ผมขอลาออก!”

ชายหนุ่มเดินหุนหันออกไปจากร้าน ผู้จัดการยืนอึ้ง หมวดมึนเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้ววิ่งตามเฟลมไป สถานที่ที่เฟลมเลือกคือลานจอดรถหลังห้าง มันค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งช่วงห้างเพิ่งเปิดยิ่งแทบไม่มีคน เฟลมเดินเข้าไปใกล้กำแพงแล้วเงื้อหมัดซัดใส่กำแพงอย่างบ้าคลั่ง

“โว้ยยยย!!!!!”

ชกไปตะโกนไป แต่ละหมัดรุนแรงมากจนเกิดรอยเลือดติด แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่ร่างกายเลยสักนิด เพราะข้างในเจ็บกว่าอย่างเทียบไม่ได้

ไอ้เวรมาร์ค ต่อให้มันไม่พูดเรื่องนั้น เขาก็รู้ดี รู้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นความผิดเขา รู้เต็มอกว่าแสงเทียนถูกโจรทำอะไร ทำไมต้องมีแต่คนฆ่าเขาด้วยคำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ได้

หมวดรักษ์ตามมาเจอเฟลมกำลังชกกำแพงก็ใจหายวาบ รีบเข้าไปห้าม

“ทำบ้าอะไรน่ะ! หยุดเดี๋ยวนี้!!”

“ปล่อยผม ไม่ต้องมาห้าม!!” เขาสลัดหมวดทิ้งด้วยพละกำลังที่เยอะเหมือนถูกผีเข้า

“โธ่เว้ย!” หมวดมองด้วยหัวใจสั่น กำแพงเปื้อนเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เฟลมไม่หยุดชกเสียที “พอได้แล้วไอ้โง่! จะทำร้ายตัวเองให้ได้อะไรขึ้นมา!”

“เรื่องของผม!!!” เฟลมชกอีกหมัด คราวนี้ได้ยินเสียง ‘แกรก’ เหมือนของแตก ไม่ใช่กำแพงแต่เป็นกระดูกคนชก

“บอกให้หยุด! ถ้าไม่หยุดจะใส่กุญแจมือ!”

หมวดล็อคแขนเฟลมจากข้างหลังแล้วลากออกห่างจากกำแพง เฟลมสะบัดตัวหลุดจากการจับกุม แต่ไม่พุ่งเข้าหากำแพงอีก เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

“ไอ้เหี้ยมาร์ค... ผมไม่น่าไปยุ่งกับมันเลย... ไม่น่านอกใจแสงเทียน...”

“....”

“ผมมันเลว ผมเป็นต้นเหตุทุกอย่าง... บางทีตายๆ ไปซะคงจะดี”

“อย่านะ อย่าคิดสั้นอย่างนั้น ชีวิตคุณมีค่า ถึงแสงเทียนจะถูกลักพาตัวไปก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตายซักหน่อย จริงมั้ย คุณก็พูดเองว่าเขาเป็นคนฉลาด เขาต้องเอาตัวรอดได้”

“ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ” เฟลมขัด “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาโดนข่มขืนที่ตึกร้าง จิตใจของโจรมันต่ำช้าแค่ไหนผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ดี แล้วคุณยังจะให้ผมมองโลกในแง่ดีได้ยังไง มันคงจะเลี้ยงดูแสงเทียนอย่างสุขสบายหรอกมั้ง”

“...แต่เราก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย”

หมวดพูดอย่างใจเย็น ทำให้อาการร้อนรุ่มของเฟลมอ่อนลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีน้ำตาและดูเจ็บปวดอยู่ดี

ตำรวจเอื้อมมือไปโอบกอดชายหนุ่มไว้ในอ้อมแขน อีกฝ่ายเมื่อถูกกอดก็ยิ่งร้องไห้หนัก เขากอดตำรวจตอบอย่างหมดฟอร์ม ร้องไห้จนเสื้อหมวดเปียกชื้น... เขาไม่ต้องการคำปลอบใจในเวลานี้ ต้องการเพียงแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างๆ เพื่อรับฟังปัญหาและความทุกข์ใจที่บอกใครไม่ได้

“คุณไม่ได้สู้ลำพัง... เปรมประกิตต์”

“...”

“คุณยังมีผม”

 


อีกด้าน

ผมรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจ อยู่ไม่สุขตั้งแต่เมื่อคืนที่โจรอู๋ออกไป จนกระทั่งตอนนี้จะสิบโมงแล้วยังไม่กลับ ห่วงจริงๆ ว่ามันจะโดนเจ้าพ่อชาวจีนเก็บระหว่างทางกลับบ้านรึเปล่า เฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ว่าจะมีข่าวของมันไหม แต่ถึงไม่มี ก็ไม่สบายใจอยู่ดี

อย่างน้อยน่าจะโทรบอกกันหน่อย แม้ผมไม่มีโทรศัพท์ แต่โทรเข้าออฟฟิศด้านล่างแล้วให้ผมลงไปพูดก็ได้หนิ... แต่อืม แต่คนโง่อย่างมันคงคิดไม่ได้หรอกมั้ง

กริ๊ก

“เออๆ ถึงแล้วบอกละกัน แค่นี้นะ”

เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงพูดคุ้นหู ทำให้ผมหันขวับแล้ววิ่งเข้าไปหาเหมือนเด็กน้อยที่รอพ่อแม่กลับบ้าน

“อาร์มี่!”

“ไง”

แต่ช่างน่าผิดหวังที่มันแค่เดินผ่านผมไป แก้เสื้อผ้าแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำพร้อมกับชุดที่จะเปลี่ยน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเสื้อคอเต่า ทั้งที่อากาศร้อนเหมือนนรก...และมันไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ


แปลก


“หายไปไหนมาตั้งนาน”

ผมพูดและแนบหน้ากับประตูห้องน้ำ แต่ไร้การตอบรับ ได้ยินแต่เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นดังอย่างกับสายฝน ราวกับตั้งใจกลบเสียงผม

ไม่เป็นไร กูหาเองก็ได้

ผมเก็บเสื้อผ้าของมันที่เรี่ยราดบนพื้นขึ้นมา เดจาวูเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน อ่า ใช่...ก็ตอนที่กำลังจะซักเสื้อผ้าให้เฟลมไง แล้วก็เจอแจ็คพ็อตระเบิดใส่หน้า นามบัตรกับหมายเลขห้องของชู้ หวังว่าคราวนี้ผลลัพธ์จะแตกต่างกัน ไม่งั้นผมเป็นบ้าแน่ๆ

ล้วงดูกระเป๋าเสื้อ ไม่เจออะไร แต่กลิ่นต่างหากที่ทำให้ผมสะดุด


ซีเคออล


นี่ไม่ใช่กลิ่นที่มันใช้ ถึงจะคล้ายแต่ก็ไม่ใช่ มันใช้ซีเควัน ผมใช้ขวดเดียวกับมัน ทำไมจะไม่รู้ อีกอย่างเมื่อคืนมันก็ออกไปแบบรีบๆ ไม่ได้ฉีดด้วยซ้ำ แต่ผมจำได้ว่ากลิ่นนี้มาจากไหน ก็เพื่อนที่กระโดดลงจากรถตู้ไปดูศพเฟอร์รารี่ไงล่ะ ตอนเขาผ่านหน้าผมไป กลิ่นนี้หอมฟุ้งเต็มจมูก 

“อู๋ เปิดประตูมาคุยกันหน่อย” ผมเรียกมันอีกครั้ง แต่เสียงน้ำจากฝักบัวดังมากจนมันไม่ได้ยิน ผมเลยต้องทุบประตู “อติศร แซ่อู๋! เรียกอยู่เนี่ยได้ยินไหม!”

“อะไรของเอ็ง!” มันตะโกนตอบกลับมา น้ำเสียงออกจะรำคาญ

“บอกกูมาว่ามึงไปทำอะไรที่ไหนกันแน่!”

“ก็บอกว่าไปหาเพื่อนไง!”

น้ำเสียงของมันแสดงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เปิดฝักบัวแรงขึ้นจนผมกลัวว่าผิวหนังจะแตก อาจเพราะไม่ต้องการให้ผมถามอีก แต่สิ่งไหนที่ผมสงสัยแล้ว ยังไงก็ต้องถามจนกว่าจะได้คำตอบ

“เพื่อนประสาอะไร มึงนอนกับเขาใช่ไหม!” ผมเอาหน้าแนบประตู ตะโกนด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น หัวก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

“พูดบ้าๆ!” มันเองก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นรุนแรง หรือเพราะกระแสน้ำทำให้เสียงเพี้ยนก็ไม่ทราบ

“งั้นบอกกูทีว่าน้ำหอมนี่มาจากไหน!”

“ก็ของข้าไง ถามไรเนี่ย”

นั่นไง มันโกหก


v
v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-03-2019 22:11:56


“กูนอนกับมึง ใช้ของร่วมกับมึง ซักเสื้อผ้าให้มึง จำกลิ่นมึงได้ทุกอย่าง ทำไมกูจะไม่รู้! คิดว่ากูโง่หรอ!”

ผมตะโกนพลางทุบประตูปึงปัง ยิ่งนานอารมณ์ก็ยิ่งเดือด อยากจะคุยกันตรงๆ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผมไม่ชอบเวลามีปัญหาแล้วใครคนใดหลบหน้า จะพังก็ยอมพังครั้งเดียวดีกว่าเก็บสะสมไว้ระเบิดตอนท้าย

โจรอู๋ยอมเปิดประตูจนได้ มันสวมเสื้อผ้าทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกหมาด ไม่พิรุธเลยมั้งไอ้ควาย

“ถอดเสื้อ” ผมสั่ง

“อะไรของ...”

“บอกให้ถอดเสื้อ!!!”

เป็นครั้งแรกที่ผมบังคับมัน จากทุกทีที่โดนมันบังคับฝ่ายเดียว แต่มันกลับดึงดันปัดป้องไม่ยอมให้ผมจับถอด ยิ่งทำให้ผมโมโห เลยดึงคอเสื้อมันขาดแคว่กด้ายลุ่ย เท่านั้นแหละ เขาควายก็ลอยมากระแทกหัวผมจนชามึน


มีรอยคิสมาร์กบนต้นคอมัน


“มึงทำแบบนี้ได้ยังไง...”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกอ่อนแรง คล้ายโดนสูบวิญญาณ และแย่กว่านั้นเมื่อเห็นมันทำหน้าไขสือ

“อะไร ก็เอ็งไงที่ทำ จำไม่ได้เหรอ”

“ยังจะมาแถอีก!! กูทำแค่หน้าอกมึง ไม่ใช่ที่คอ! เพราะกูไม่อยากให้คนอื่นเห็น แต่ไอ้คนนั้น...ไอ้เหี้ยคนนั้น มันคงอยากแสดงความเป็นเจ้าของมึงให้โลกรู้มากสินะ!”

“ฟังข้าหน่อย มันไม่ได้มีอะไรเลย”

“ไม่มีเหรอ...ทำขนาดนี้ยังบอกไม่มีเหรอ!” ผมฉีกเสื้อมันจนขาดกลางแหวกถึงท้อง ทันใดนั้นความลับที่ถูกเปิดเผยก็เลวร้ายกว่าที่คิด


มีคิสมาร์กตำแหน่งที่อยู่เหนือกว่าของผมตั้งห้ารอย

เหนือกว่าผม...ตั้งห้ารอย

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนทำต้องการจะหยามผมขนาดไหน



“มึงทำแบบนี้กับกูทำไม”

“เทียน ใจเย็น”

“มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง!!!”

ผมปรี่เข้าไปทุบตีชกหน้าอกของมันสุดแรงเกิด ทั้งโกรธทั้งเสียใจ น้ำตาไหลเป็นสายเหมือนเขื่อนพัง แต่ถึงจะโกรธแทบฆ่ามันได้ ผมก็ยังไม่กล้าตีฝั่งที่เป็นแผลของมันอยู่ดี ทำไมกันวะ ทั้งที่มันทำกับผมเจ็บแสบยิ่งกว่าแผลนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า ทำไมผมยังต้องห่วงมันอีก

“ไอ้สัด! กูอุตส่าห์เป็นห่วงว่ามึงจะเป็นจะตายจนนอนไม่หลับทั้งคืน! แต่มึงกลับไปเยกับคนอื่น! สารเลว!!!”

โจรอู๋รวบข้อมือผมไว้แน่น “เอ็งเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เอ็งคิด”

“งั้นก็พูดมาสิ!” ผมเงยหน้าตะโกนใส่มัน “พูดเลย! กูรอฟังอยู่!”

“.........” เงียบ

อุทกภัยไหลหลั่งจากดวงตาของผมอย่างบ้าคลั่งจนเห็นใบหน้าของมันพร่าเบลอ

“มึงตอบแทนที่เขาช่วยเหลือด้วยวิธีนี้เหรอ!!!” ผมผลักมันออกห่างๆ ด้วยความรังเกียจจากก้นบึ้งหัวใจ “เพราะอย่างนี้เองสินะ มึงถึงพกถุงยางไว้ตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อตอนตีสาม!”

“ไปกันใหญ่แล้ว”

“งั้นมึงอธิบายเรื่องทั้งหมดนี่ได้ไหมล่ะ!”

มันก้มหน้า ถอนหายใจ แล้วเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น

“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าทำ...”

ผัวะ!

หมัดขวาของผมพุ่งเข้าใบหน้าด้านซ้ายของมันทันทีโดยไม่รอให้พูดจบ โจรอู๋เบิกตากว้าง ดูช็อกมากกว่าเจ็บ ส่วนผมสั่นระริกแทบยืนไม่อยู่

“ทุเรศ!!!”

“แต่ไม่เหมือนที่ทำกับเอ็งนะ ข้าไม่ได้เต็มใจทำ”

“ไม่เต็มใจ...” ผมทวนคำทั้งน้ำตา “แต่อยู่กับเขาแปดชั่วโมง คิสมาร์กเต็มคอ เสียดสีกันจนน้ำหอมของเขาติดตัวมึง เจ็บแผลจะตายห่าแต่ก็ยังร่านออกไปหาเขาถึงที่ ไม่เต็มใจแบบไหนวะ!”

“เทียน ขอร้องล่ะ”

“มึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น! กูเป็นฝ่ายถูกมึงกระทำ กูเรียกร้องอะไรได้บ้าง! ตัวกู ใจกู ความรู้สึกกู โดนมึงทำลายป่นปี้หมดแล้ว มึงยังจะร้องขออะไรจากกูอีก!”

ผมเปล่งเสียงออกมาจากหัวใจที่แสบร้อนเหมือนโดนไฟเผา ไฟที่ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเคยมอบความอบอุ่นให้ ผมพลาดแล้วที่เผลอไป ‘รู้สึก’ อะไรกับมัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสันดานงูเห่ามันเป็นยังไง คนที่เมตตามันมีสักคนไหมที่ได้ตายดี

“มึงมันสารเลว... กูไม่น่าเชื่อใจมึงเลย...ฮึก”

ผมยกมือขึ้นปิดหน้า ปาดน้ำตาที่ร้อนเหมือนน้ำลวก ไอ้ชั่วดึงผมไปกอด แต่ผมก็ผลักมันออกทันที แค่คิดว่าอ้อมกอดนี้ถูกใช้กับคนอื่นมาแล้ว ก็ทำเอาผมขยะแขยงเต็มทนจนขนลุก

โจรอู๋มองผมด้วยแววตาปวดร้าว ราวกับใจสลาย แต่พนันได้เลย...ว่ามันไม่เจ็บเท่าเศษเสี้ยวของผม

“กูไม่คิดว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...ทั้งที่กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง แต่สุดท้ายมึงก็ไม่ต่างอะไรกับแฟนเก่ากู... มีชู้เป็นคนที่อุปถัมภ์... ฮึก... เลวทั้งคู่ เห็นกูเป็นคนโง่ใช่มั้ย”

“ไม่ใช่นะเทียน สำหรับข้าเอ็งสำคัญที่สุด คนอื่นแค่ของนอกกาย”

“อย่ามาพูดจาเห็นแก่ตัว!” ผมโพล่งขึ้น “กับเขามึงก็คงพูดแบบนี้เหมือนกัน...ว่ากูก็แค่เหยื่อที่จับมาระบายความใคร่เล่นๆ ไม่สำคัญเท่าเขาที่อุ้มชูเลี้ยงดูมึง!”

“หยุดประชดสักทีได้ไหม พูดกันดีๆ”

“งั้นกล้าบอกไหมล่ะว่าเขาเป็นใคร! ถ้ามึงบริสุทธิ์ใจล่ะก็ บอกชื่อมาสิ พากูไปหาเขาเลย! แล้วก็พูดกับเขาเหมือนที่พูดกับกูทั้งหมดเนี่ย มึงกล้าไหม!”

“...!” โจรอู๋เหมือนจะพูด แต่ก็เม้มปากไว้ ราวกับเป็นชื่อต้องห้าม “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”

“ทำไม เขาสำคัญกับมึงมากขนาดนั้นเลย? งั้นจะเก็บกูไว้ทำซากอะไร ทิ้งกูแล้วไปอยู่กับเขาเลยสิ!”

“ตั้งสติก่อนได้ไหม” มันจับแขนผมทั้งสองข้าง

“ปล่อยกู!” ผมผลักมันออกไป แต่กลับเป็นตัวเองที่เสียหลัก

โครม!!

เซชนโต๊ะกลางที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ มือไปปัดใส่แจกันตกลงมาแตก ก่อนจะเสียหลักล้มลง โดนเศษกระเบื้องแจกันแทงแขน ฝังคาอยู่หลายชิ้นเหมือนขอบกำแพงกันขโมย

“อ้าาาาากกกก!!”

“เทียน!!!”

“อย่าเข้ามา!” ผมตวาดลั่นทั้งน้ำตา เจ็บเหมือนกำลังจะตาย “มือที่มึงกอดคนอื่น... อย่าเอามาแตะต้องตัวกู!!!”

โจรอู๋มองผมด้วยใบหน้าผวา ตาค้าง ตัวสั่นระริก คงสองจิตสองใจว่าควรโทรเรียกรถพยาบาลมารับหรือพาผมไปเอง สุดท้ายมันก็ฝ่าฝืนคำสั่ง เข้ามากอดผมแล้วดึงเศษแก้วออกให้

“ออกไป!!!” ผมตวาดใส่หน้า

“ขอโทษ...”

“กูไม่รับ!”

“ขอร้องล่ะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว สัญญา”

“ไม่!!!”

“ที่รัก...”

“ไม่ต้องมาเรียก! มึงไม่ได้รักกู! มึงรักไอ้เหี้ยนั่น มึงถึงไปเอากับมัน!!! กูเกลียดมึง! เกลียดมึง!!! ได้ยินไหม! ฮือออออ”

ผมร้องไห้เหมือนโลกจะล่มสลาย หัวใจบีบรัดเหมือนจะขาดสะบั้น เจ็บครั้งไหนก็ไม่เท่าครั้งนี้ ไอ้เลวยิ่งเห็นผมต่อต้านยิ่งกอดแน่น แต่ผมก็ทุบตีปัดป่ายผลักไสมันอย่างรังเกียจเหมือนตัวเสนียดจัญไร ผมไม่อยากใจอ่อนกับความห่วงใยปลอมๆ จากมันอีกแล้ว ยอมเลือดไหลหมดตัวตายยังจะดีซะกว่า

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูดึงความสนใจของเราไป และยังไม่ทันที่เจ้าของห้องจะออกไปเปิดให้ ผู้มาเยือนก็ไขเข้ามาแล้ว

“ไอ้เบย์ ทำไมมึงมีกุญแจห้องกู”

ชื่อที่โจรอู๋เรียกทำให้ผมหันขวับ เบย์กลับมาเป็นความหวังของผมอีกครั้งหลังจากวันแรกที่ถูกลักพาตัว และคราวนี้จะไม่พลาดเป็นครั้งที่สอง

“ผมยืมเคฟมา... เฮ้ย แสงเทียน!!!!!”

เบย์เห็นสภาพผมแล้วก็ร้องลั่นเหมือนบ้านจะถล่ม เข้ามาประคองผมให้ลุกจากพื้น หันไปทางโจรอู๋ด้วยสายตาน่ากลัวราวจะกินเลือดกินเนื้อ

“เฮียทำอะไรแสงเทียน ทำไมเลือดตกยางออกแบบนี้!”

“ข้าไม่ได้ทำ มันเป็นอุบัติเหตุ” โจรอู๋สีหน้าย่ำแย่ “ส่งเขามา”

“ไม่...อย่าให้เราอยู่กับมันเลยเบย์ เราเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว”

ผมกอดคอเบย์ ร้องไห้จนพูดไม่ได้อีก

โจรอู๋มองผมด้วยใจเจ็บช้ำ เจ็บที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เบย์เข้าใจดี จึงบอกลูกพี่ “ให้อยู่กับผมซักพักก่อนมั้ย สัญญาจะพาไปโรงบาล จะดูแลอย่างดี ไว้เทียนโอเคแล้วเฮียค่อยมาเคลียร์นะ”

“...” โจรอู๋ถูจมูก สูดดังฟืด หันหน้าไปทางอื่น

“แล้วผมจะโทรหา”

เบย์พูดแค่นั้น แล้วรีบพาผมออกจากห้อง ทันทีที่ลงมาถึงชั้นล่างก็กลายเป็นที่ตกตะลึงแก่ผู้พบเห็น เพราะสภาพผมในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลและร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร คนดูแลตึกเสนอจะเรียกรถพยาบาลให้ แต่ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เลยบอกว่าจะนั่งรถแท็กซี่ไปเอง

คนที่ผมเรียกได้ว่า...เพื่อน... ยกเท้าโบกแท็กซี่ เพราะแขนไม่ว่าง พยุงผมอยู่ คันแรกที่จอดก็รับทันทีที่เห็นสภาพของผม เมื่อเข้ามานั่งแล้วเบย์ก็กอดผมไว้ตลอดทางไปสู่โรงพยาบาล

“อดทนไว้นะแสงเทียน เดี๋ยวก็ถึง”

ผมหนาวสั่น ร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก นอกจากคำสั้นๆ

“ขอบคุณ... ฮึก...เบย์...”


...ที่พาเราออกมาจากขุมนรกนั้นได้เสียที




/// มาช้า แต่ก็มานะคะ

ขอบคุณคนที่ยังติดตามเสมอมา แม้จะน้อยนิดเหลือเกิน T T

เอาใจช่วยน้องเทียนด้วย

รักค่ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-03-2019 23:11:53
เวรกรรมของเทียน
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2019 23:17:03
น่าสงสารแสงเทียนจัง
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.25 แตก/หัก (02/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: pearlluv ที่ 03-03-2019 01:37:07
 :o12: สงสารน้องเทียนนนน TT
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.26 I Hurt You Hurt == [1/2] (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-03-2019 17:09:50
26
I Hurt You Hurt
[1/2]



ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องพักเดี่ยวของโรงพยาบาล ใช้ชื่อปลอมที่พวกพยาบาลแอบขำ- แสงโสม โชคดีที่ไม่เป็นอะไรร้ายแรง แค่ถูกเย็บสี่เข็ม ถูกพันแขนสองข้างตั้งแต่ข้อศอกลงไป กับเท้าอีกหนึ่งข้าง จริงๆ หมอให้กลับบ้านได้ แต่เบย์ขอให้ผมค้างสักคืนเพื่อความสบายใจ

ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง เหมือนที่รู้ว่าอีกเหตุผลแฝงคือกลัวผมหนี

เบย์บอกว่าไปหาโจรอู๋ที่ห้องเพราะมันอยากเอาของ (ที่ขโมย) ไปขาย แต่แหล่งรับซื้ออยู่ไกลเลยจ้างให้เบย์มารับไปขายแทน แล้วจะแบ่งค่าเหนื่อยให้ เบย์เลยแวะไปยืมกุญแจจากเคฟ ไม่งั้นผมคงไม่หลุดพ้นจากไอ้โจรทมิฬแน่ๆ

“เราขอบคุณนายมาก แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ชวดเงิน” ผมบอกเขาที่นั่งข้างๆ

แต่เบย์ก็ยังพูดติดตลกทั้งที่หน้าเศร้า “ชวดที่ไหน นายนี่แหละสมบัติราคาแพงที่สุดของเฮียเค้า เนี่ย...โอนค่ารักษามาให้ตั้งหลายหมื่น เยอะกว่าค่าจ้างเราอีก”

“...”

“ไม่ชอบเหรอ โอเค เราจะไม่พูดแล้ว”

“เปล่า แค่สะเทือนใจ”

“โอ๋...ที่รัก”

เบย์กอดไหล่ผมด้วยแขนสองข้างแล้วเอาหัวพิงกับหัวผม เป็นการปลอบใจที่น่ารักมากๆ เหมือนหมีกอดกัน

“เราไม่อาจพูดได้ว่าเข้าใจนาย เพราะสิ่งที่นายเจอคงจะหนักกว่าเราเยอะ แต่เราจะอยู่ข้างนาย คอยช่วยนายเท่าที่จะทำได้ มีอะไรก็บอกเรานะ ไม่ต้องเกรงใจ”

คำพูดนี้ทำให้ผมเห็นว่าเบย์อ่อนโยนแค่ไหน เขาเป็นโจรแค่ในนามเท่านั้นแหละ

“นายก็รู้เราต้องการอะไร”

“...หนี นายชอบหนี”

ผมพยักหน้า “ใช่”

เบย์หน้าหมองลงสองระดับ “เราคงไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่อยากจะขอร้องได้มั้ย อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่นายช่วยรออีกนิดเถอะนะ ให้พวกเราทำภารกิจสำเร็จ แล้วนายค่อยไป ถ้านายไปตอนนี้...ทุกอย่างที่พวกเราทำมาตลอดครึ่งปีคงสูญเปล่า”
ผมไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของแก๊งโจรเลยสักนิด ใครจะปิดบัญชีเสร็จไม่เสร็จไม่สน โดนจับหรือไม่โดนก็ช่าง แต่สงสารเพื่อนคนนี้มากกว่า เขาพยายามช่วยผมตั้งหลายครั้ง และครั้งนี้ก็ทำสำเร็จ ผมไม่กล้าเนรคุณเขาหรอก

“ตกลงเบย์ เราจะไม่ไป จนกว่านายจะทำสำเร็จ แค่นายคนเดียวนะ คนอื่นไม่เกี่ยว”

“จริงดิ!” ตาละห้อยเหมือนหมาหงอยกลายเป็นแวววาวทันที

“อือ ตอบแทนที่นายช่วยเรา”

“น่ารักจริงๆ คนดี” เขาเอาหัวถูกับผมอย่างดีใจ “เอางี้ ถ้าออกจากโรงบาลแล้วนายไปอยู่กับเรา เจ๊เจ้านายเราน่ะใจดี คงให้นายอยู่ฟรีถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนเรา”

“อืม”

โทรศัพท์เบย์มีสายเข้า เป็นลูกพี่ของเขา เบย์มองหน้าจอสลับกับหน้าผมเหมือนลังเลใจ แล้วก็ตัดสายทิ้ง

“เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก” ผมบอก

“ไว้คุยทีหลังก็ได้ เราไม่อยากให้นายลำบากใจ”

อะไรจะน่ารักขนาดนี้

ดูเหมือนว่าตราบใดที่ยังอยู่ในแก๊ง ผมก็คงหนีโจรอู๋ไม่พ้น มันคงจะโทรถามเบย์เรื่องผมตลอดเวลา แล้วผมก็จะถูกจับตามองไม่ต่างกับตอนอยู่กับมัน ฉะนั้นผมไม่ควรหนี ผมควรเผชิญหน้ากับความจริง ต่อให้โหดร้ายแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยจะได้ไม่ค้างคาใจ

“เบย์” ผมเอ่ย “นายรู้จักเส้นสายของโจรอู๋ใช่มั้ย”

เขาคลายกอด มองหน้าผมอย่างฉงนฉงาย

“ไหนบอกสะเทือนใจไง”

“เหอะน่า พูดมาเถอะ”

เบย์ดูลังเล แต่ก็ยอมเปิดปากพูด

“เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้ช่วยเราทุกคน ช่วยแค่พี่อู๋คนเดียว พี่อู๋ก็บอกเราเหมือนที่บอกนาย ว่าเป็นแค่เพื่อน”

“เพื่อนนอนน่ะสิ” ผมพูดแล้วรู้สึกร้อนขอบตาผะผ่าว

เบย์ก้มหน้าพูดด้วยใบหน้าเศร้าลงอีก “ที่จริงมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่นายจะเข้ามาด้วยซ้ำ”

“ว่าไงนะ?”

“เราไม่อยากให้นายเสียใจ”

“ยิ่งไม่รู้จะยิ่งแย่กว่า บอกมาเถอะ เรารับได้”

ที่จริงไม่ได้หรอก แต่อยากรู้ เจ็บให้มันจบๆ ไปซะวันนี้

“เราคิดว่าพี่อู๋กับเพื่อนของเขา น่าจะมีความสัมพันธ์เชิงนั้นมานาน ตั้งแต่ที่พี่อู๋เริ่มเป็นโจรแล้วล่ะ”

“.........” หัวใจของผมหล่นวูบ   

นี่แปลว่าไม่ใช่ฝ่ายนั้นที่เป็นชู้...


แต่ผมต่างหากที่เป็น


“จะให้เล่าต่อมั้ย” เบย์ถามอย่างระมัดระวัง คงเห็นว่าผมช็อกมาก แต่ผมก็พยักหน้าให้เขาเล่า

“เราเคยเห็นรอยแบบนั้นบนตัวพี่อู๋ประมาณสี่ครั้งมั้ง ถ้าจำไม่ผิด ครั้งแรกนึกว่าลิปสติก แต่ไม่กล้าถามตรงๆ เลยถามไอ้เคฟ มันบอกพี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ จะให้ชะนีที่ไหนจูบ เราเลยรู้ตอนนั้นว่าพี่อู๋เป็นเกย์ ถามต่อว่าพี่อู๋มีแฟนเหรอ แต่มันไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่บอก”

เบย์พักหายใจ เหลือบมองหน้าผมว่าโอเคไหม ผมพยักหน้าน้อยๆ เขาเลยเล่าต่อ

“จากนั้นเราก็ไม่ได้สนใจ กระทั่งคราวต่อๆ มา สังเกตว่าก่อนพี่อู๋กลับมาในสภาพนั้น มักจะโทรคุยกับใครเป็นภาษาจีน แล้วก็ออกจากรังตอนดึกๆ ทุกทีเลย”

เหมือนเมื่อคืนเป๊ะ

“เราว่าพวกเขาน่าจะเกี่ยวข้องกันเพราะผลประโยชน์มากกว่านะ เพราะเท่าที่สังเกต เราไม่เคยเห็นพี่อู๋มีความสุขเลย จนกระทั่งได้พบนาย”

“......”

“เราไม่เคยเห็นเขาแคร์ใครเท่านายมาก่อน ไม่มีหรอกที่จะยิ้มให้คนไหน ไม่มีหรอกที่จะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของแบบที่ทำกับนาย... แม้กระทั่งตอนที่ขโมยได้เงินสิบๆ ล้าน ก็ไม่เคยเห็นเขาดีใจเท่าขโมยนายได้เลย แสงเทียน”

“.......”

เกิดความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านตรงตำแหน่งหัวใจของผม บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกดีหรือแย่ บางทีมันอาจจะเป็นสองอย่างรวมกัน... คำพูดของเบย์ทำให้ผมอยากร้องไห้อีกครั้ง ผมอยากบอกให้เขาหยุด ก่อนที่เขื่อนน้ำตาผมจะทำงาน แต่ก้อนบางอย่างแล่นมาจุกคอ เบย์จึงพูดต่อไป

“นายอาจคิดว่าเราแก้ตัวแทนพี่อู๋ แต่เราไม่อยากให้นายโกรธเกลียดเขาทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง บางทีเขาอาจมีเหตุผลเบื้องหลังก็ได้ อย่างน้อยถ้าเขามาง้อ มาอธิบาย เราก็อยากให้นายฟังเขาซักนิดนึงนะ”

“ไม่ใช่ตอนนี้....เรายังไม่พร้อม”

“โอเค แต่ระหว่างนี้เราก็อยากให้คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้นาย ถ้ามันไม่มากพอ ค่อยตัดสินใจเลิกกับเขาก็ได้ ถ้านายอยากไปจริงๆ เราคิดว่าเขาคงเข้าใจ”

“.........”

“อีกเรื่อง เล็กน้อยแต่สำคัญ เผื่อนายยังไม่รู้” เบย์พูดพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ “เขาตั้งรูปนายเป็นวอลเปเปอร์มือถือด้วยล่ะ แถมยังมีรูปแอบถ่ายตอนเผลออีกเพียบ อย่างกับคนเห่อแฟนแน่ะ พวกเราสามคนยังเคยแซวเลย”

น่าดีใจ แต่มันสายไปแล้วล่ะ

ผมหลับตา เอนตัวลงนอน เบย์รับรู้โดยอัตโนมัติว่าผมคงเหนื่อยเกินจะรับรู้อะไรได้อีก เลยลุกจากเตียงไปปิดผ้าม่าน บีบและลูบมือผมราวกับส่งต่อพลัง

“คืนนี้เราคงลางานไม่ได้ แต่จะให้ไอ้เล็กมานอนเป็นเพื่อนนายแทนนะ”

“ไม่เป็นไร อย่าเลย”

ผมบอกอย่างเกรงใจ แล้วก็แปลกใจ นี่เขาทำงานกลางคืนหรือนี่ งานแบบไหนกันนะ

เบย์ขยิบตาน่ารักแล้วหายวับไปก่อนที่ผมจะทันทักท้วง




ด้านอเล็กซ์

ทุกวันหลังเลิกเรียน อเล็กซ์จะได้ยินเสียงเรียก ‘พี่ชายยยย’ ดังมาก่อนตัวคนพูดเสมอ เด็กชายอายุสิบสี่ลูกเศรษฐีร้านเพชรกลายเป็นแขกประจำของร้านไปแล้วเรียบร้อย

ตั้งแต่รู้ว่าอเล็กซ์ทำงานที่นี่ เด็กก็ยกสิทธิ์ที่โรงเรียนสอนพิเศษกับโรงเรียนดนตรีให้เพื่อนร่วมชั้นที่ฐานะด้อยกว่าไปเรียนแทน โดยบอกครูว่ามีที่เรียนใหม่แล้ว ดังนั้นพ่อของเด็กจึงไม่รู้ว่าแท้จริงลูกกำลังติดหนุ่มรุ่นพี่

“พี่ชาย ผมมีอะไรจะอวด วันนี้ผมลองตอบโต้พวกที่มันหาเรื่องผม พวกมันเหวอไปเลยล่ะ”

เด็กเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่อเล็กซ์ก็ไม่ได้ตื่นเต้นตามคนเล่าแม้แต่น้อย เขาจัดเรียงหนังสือโดยไม่ได้หันไปมองเด็กด้วยซ้ำ

“โกหกม้าง... อย่างนายน่ะเหรอ ยังไม่ทันได้ฝึกต่อสู้เลย จะเอาอะไรไปตอบโต้พวกมัน”

“ไม่ได้ลงไม้ลงมือหรอกฮะ ผมแค่ลองด่าพวกมันกลับเฉยๆ พวกมันอึ้งเลย หลังจากนั้น...”

“นายก็ถูกพวกมันอัด”

“...แหะๆ”

พอจัดหนังสือเรียบร้อยแล้วอเล็กซ์ก็หมุนตัวไปประจันหน้ากับเด็กชาย การคาดเดาของเขาแม่นยำจริงๆ เพราะที่มุมปากของเพชรมีรอยช้ำแดงอยู่หนึ่งจุด ทั้งที่ของเก่ายังไม่หายดี

“ได้แผลกลับบ้านทุกวัน พ่อนายไม่สงสัยบ้างรึไง”

“สงสัยสิ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกความจริงล่ะ”

“บอกบ้างก็ได้ ให้พ่อนายไปจัดการเด็กเวรนั่น เรื่องจะได้จบ นายจะได้ไม่ต้องมา...เอ่อ ไม่ต้องถูกรังแกอีก”
อเล็กซ์เกือบจะหลุดพูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจเด็ก เขารู้สึกว่าช่วงนี้เด็กติดเขามากไป แต่ถ้าพูดตรงๆ เด็กคงเสียใจ

“ป๊าผมสู้พ่อของพวกมันไม่ได้หรอก” เพชรว่า “ถึงจะรวย แต่ยังไงก็แพ้นักมวยอยู่ดี”

“....อ๋อ”

“พี่ชายจะสอนการต่อสู้แบบไหนให้ผมอ่ะ ขอเจ๋งๆ กว่ามวยนะ”

“อืม พี่ว่านายไม่น่าจะเหมาะกับการต่อสู้ที่ใช้พลังเยอะๆ เอาเป็นแบบที่ใช้ความคล่องตัว พลิ้วไหว อะไรแบบนั้นน่าจะดีกว่า”

“ว้าว ตื่นเต้นจัง อยากซ้อมไวๆ”

“ใจเย็นไอ้น้อง อีกนานกว่าจะพี่เลิกงาน นั่งทำการบ้านรอไป”

“ครับผม!”

มุมประจำของเพชรคือโซนหนังสือเรียน มันไม่ค่อยมีคนเข้าไปเหมือนโซนการ์ตูนหรือนิยาย เขาจึงสามารถนั่งทำการบ้านได้อย่างมีสมาธิ ทำเสร็จแล้วก็หาหนังสือที่สนใจอ่านต่อ ได้ความรู้พอๆ กับที่เรียนพิเศษ

“นายเพชร พี่ขอถามอะไรอย่างนึงสิ” อเล็กซ์ยืนพิงชั้นหนังสือ ก้มหน้ามองเพชรที่นั่งติดพื้น

“ครับ” เด็กพูดโดยไม่ละสายตาจากหนังสือเรียนในมือ

“นายไม่กลัวพี่บ้างเหรอ”

“กลัวทำไม”

“ก็พี่เป็น...” อเล็กซ์เว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ

“ผมรู้ว่าพี่เป็นคนดี ไม่งั้นพี่คงไม่ช่วยผมจากอันธพาล” เด็กเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาสบตาอเล็กซ์ “ผมเข้าใจว่าคนเรามีเหตุผลในทุกการกระทำ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี แต่เราจะไปตัดสินคนอื่นไม่ได้เพราะเราไม่ใช่เขา...แล้วก็นะ ถึงพี่จะเคยเป็น แต่ตอนนี้พี่เปลี่ยนอาชีพแล้วนี่นา จะกลัวทำไม”

พูดจบก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

อเล็กซ์ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกผิดเล็กๆ ที่ประเมินเด็กคนนี้ต่ำไป คิดว่าเป็นแค่เด็กอ่อนแอคนหนึ่ง... แต่ที่จริงเด็กนี่จิตใจดี ฉลาด แถมยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อย่างคาดไม่ถึงด้วย

เข็มนาฬิกาหมุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน ทั้งอเล็กซ์และเพชรก็เตรียมตัวซ้อมต่อสู้ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์มในร้านหนังสือ แล้วออกจากร้านไปพร้อมกัน

“เอ้า วอร์มอัพเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้ต้องเร็วกว่าเดิม ไม่งั้นก็ไม่ได้เข้าเนื้อหาสักที” อเล็กซ์สั่งเมื่อเข้ามาถึงสนามกีฬา

“โอย...ขอลดนิดนึงได้ไหมฮะ”

“อยากแข็งแกร่งต้องไม่มีข้อแม้ ไป!”

“คร้าบบบ!” เพชรออกเท้าวิ่งเมื่ออเล็กซ์ชูกำปั้นขู่ด้วยท่าทางโหด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ดูใจดีอย่างสิ้นเชิง

เด็กชายวิ่งปะปนไปกับผู้คนหลายช่วงวัย แอบมีหยุดพักบ้าง แต่ก็ถือว่าทำเวลาได้ดีกว่าวันก่อน พอวิ่งครบสามรอบแล้วอเล็กซ์ก็ให้วิดพื้น ซิทอัพ ดึงข้อ อย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดพัก เพชรกัดฟันทำจนครบแล้วก็นอนหงายหายใจพะงาบๆ บนพื้นหญ้าอย่างหมดสภาพ

“ทำเวลาได้ดีมาก คราวนี้มาเริ่มจริงๆ กันเถอะ” อเล็กซ์ฉุดเพชรขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอาการเหนื่อยหอบของเด็ก

“ขอพักแป๊บนึงสิครับ ผมหายใจไม่ทันแล้ว”

“อย่ามาสำออย ไอ้เด็กน้อยนี่”

“ผมไม่ใช่เด็กน้อยนะ!” เพชรชักสีหน้าโมโห จ้องอเล็กซ์เขม็ง แต่มันกลับดูตลกเหมือนแมวโกรธ

“นายยังเป็นเด็กชายอยู่นี่หว่า” อเล็กซ์ยิ้มเยาะเย้ย เอื้อมมือไปลูบหัวเพชรที่อยู่แค่ระดับคางของตัวเอง สำหรับเพชรแล้วมันเป็นการหยามเรื่องความสูงที่ไม่น่าให้อภัย

“ย๊ากกกกกก!!!!” เพชรพยายามจะชกอเล็กซ์ แต่อเล็กซ์เอามือดันหัวเพชรไว้ ความยาวแขนที่ต่างกันทำให้เพชรชกได้แต่อากาศ

“ฮ่าๆๆ แน่จริงชกให้โดนสิ”

“อย่ามาล้อนะ!!” คราวนี้เพชรยกเท้าขึ้นมาถีบอากาศด้วย ยิ่งแสดงอาการว่าโกรธ มันยิ่งน่าขำสำหรับอเล็กซ์

พอเห็นว่าความพยายามไร้ผล เพชรเลยหยุดชก อเล็กซ์ก็ปล่อยมือจากหัวของเพชร (แต่ก็ยีจนมันยุ่งเหยิง) เพชรทำแก้มป่อง เบ้ปาก ทั้งน่ารักและน่าสงสารในคราวเดียว

“ผมโป้งพี่แล้ว!” เด็กชายกอดอก หันหลังให้ “ง้อด้วยล่ะ!”

ตกลงไอ้เด็กนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่วะเนี่ย   

จู่ๆ มือถือของอเล็กซ์ก็ดัง เป็นเบอร์แปลกๆ เขาตัดสินใจไม่รับจนกระทั่งมันดับไปเอง จากนั้นเข้าเว็บค้นหาเบอร์นั้น ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล... ใครโทรมา

มือถือดังขึ้นอีก เบอร์เดิม คราวนี้อเล็กซ์ตัดสินใจกดรับ แต่ไม่พูด

[ฮัลโหลอเล็กซ์ กูเบย์]

“อ้าว มึงเองเหรอ”

[เออ กว่าจะรับนะ ไอ้คนรอบคอบ]

“กูจะไว้ใจได้ไงว่าไม่ใช่คนโทรมาล้วงข้อมูลหรือแบล็กเมล์”

[พูดอย่างกับมึงให้เบอร์ใครนอกจากพวกกูสามคน]

“เอ้า ก็มึงใช้เบอร์แปลกโทรมามั้ยล่ะ”

[มือถือกูแบตหมด]

“เออ แล้วไปทำไรโรงบาล”

[ไอ้เชี่ย เสิร์ชไวชิบหาย... กูอยากให้มึงมานอนเฝ้าแสงเทียนหน่อย กูทำงานมาไม่ได้]

“เฮ้ย เขาเป็นไร”

[เรื่องยาว เดี๋ยวมึงเดินทางแล้วโทรหากู จะเล่าให้ฟัง ตอนนี้กูไม่สะดวก]

“ให้กูไปตอนนี้เลยเหรอ”

[เออ อาคารสาม ห้อง204 หาไม่เจอโทรถามกู]

“...เคๆ”

เบย์วางสายไปแล้ว อเล็กซ์ขมวดคิ้วน้อยๆ หันกลับไปมองเพชรที่ยังคงทำหน้าบึ้ง ยืนท่าเดิม คงจะรอให้ง้อจริงๆ

“นายเพชร”

“....” เด็กชายเชิดหน้าทำมุมสี่สิบห้าองศา

“วันนี้คงซ้อมไม่ได้แล้วล่ะ พี่มีธุระด่วน”

“อ้าว” เด็กถึงกับเก๊กแตก ทำหน้าหงอย “ธุระไรอ่ะ แย่จังเลย อุตส่าห์วอร์มอัพแทบตายแล้วแท้ๆ...”

“เพื่อนพี่ป่วยเข้าโรง’บาล พี่ต้องไปดูแล นายเข้าใจนะ” อเล็กซ์ลูบหัวเด็กอีกครั้ง แต่คราวนี้เพชรไม่โกรธ ปล่อยให้ลูบอย่างนั้น

“ผมเข้าใจ” เพชรพูด แต่สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่

อเล็กซ์คุกเข่าลงตรงหน้า เงยหน้ามองเพชร แล้วก็พูดพร้อมกับยิ้ม

“ยังไงนายกับพี่ก็เจอกันทุกวันอยู่แล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยฝึก โอเค้?”

“...ฮะ” พยักหน้าหงอยๆ

“เดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน” อเล็กซ์ลุกขึ้น เพชรเดินนำก้มหน้าคอตกตลอดทาง หนุ่มรุ่นพี่เห็นท่าทางหงอยของเด็กก็อดสงสารไม่ได้
หมับ

อเล็กซ์โอบคอเพชรเดินไปด้วยกัน เพชรตกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร พลันสีหน้าหงอยๆ ก็ค่อยมีรอยยิ้มผุดขึ้นแทน

“พี่อเล็กซ์ครับ”

“อะไร”

“พี่ชอบคนแบบไหนอ่ะ”

“หืม? หมายถึงสเปกงี้เหรอ”

“ฮะ...” เพชรหลบสายตา ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธ “พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน”

“ทำไมคิดว่าพี่ชอบผู้หญิงล่ะ”

“.......”

“พี่ไม่มีสเปกตายตัวหรอก แค่อยู่กับใครแล้วสบายใจก็พอ”

เพชรแก้มแดง ร้อนผ่าว

“ถามไปทำไม เป็นเด็กเป็นเล็ก”

“โถ่ ผมก็แค่สงสัยว่าพี่อายุปูนนี้แล้วทำไมยังไม่มีแฟนแค่นั้นเอง” เพชรทำหน้ากวนๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเขิน ถูกเขกหัวหนึ่งที

“แก่บ้าไร เพิ่งยี่สิบเอ็ดเหอะ”

“...เจ็บนะ”

ถึงจะบ่น แต่เพชรก็ยิ้มตลอดทางที่เดินไปกับอเล็กซ์

แบบนี้... เขาก็ยังมีความหวังสินะ!




อีกด้านหนึ่ง

เคฟถูกพี่ชายโทรเรียกให้ไปหาที่คอนโด ฟังจากเสียงก็รู้ว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ และน่าจะกำลังเมาด้วย

ทางที่เคฟใช้ไปคอนโดของโจรอู๋ต้องผ่านร้านเพชรของพัชรพอดี ดังนั้นเขาเลยแวะที่ร้านก่อน แต่วันนี้ร้านไม่เปิด ทั้งยังมีป้ายแขวนหน้าร้านไว้ด้วยว่า ‘ปิดปรับปรุง’  เคฟไม่สงสัยว่าเพราะอะไร

ถึงร้านจะปิด แต่เขาก็ยังชะโงกหน้ามองหา เผื่อเจ้าของบ้านเห็น จะได้ชวนเข้าไปข้างใน

เอาจริงนะ... เขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับพัชรหรอก แค่รู้สึกสนุกที่ได้เล่มเกมเศรษฐี พัชรเป็นคนรวยที่น่าสงสาร หัวอ่อน ขี้อาย เชื่อคนง่าย เป้าหมายของโจรโดยแท้ เคฟกะว่าจะปั่นหัวอีกฝ่ายให้หนำใจแล้วค่อยไปหาอย่างอื่นทำเมื่อหมดสนุก ส่วนเรื่องตกถังข้าวสารนั้น เขาไม่ได้หวัง ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้   

ซ่าาาา!

“เฮ้ย!!!!”

ขณะที่ยืนชะเง้อเหม่อมอง ก็มีน้ำจากเบื้องบนหล่นลงมาใส่ตัวเคฟเต็มๆ แหงนหน้าขึ้นไปมอง เห็นเจ้าของบ้านอยู่หลังกระถางต้นไม้ที่ตั้งเรียงรายตรงระเบียง ในมือถือถังน้ำ

“น้ำเย็นดีนะครับ” คนข้างล่างร้องทัก

“อ้าว เฮ้ย เคฟ! นี่ผมสาดโดนคุณเหรอ ตายแล้ว ขอโทษ!”

เจ้าของบ้านร้องด้วยความตกใจ ปล่อยถังน้ำหล่นลงพื้น เคฟได้ยินเสียงเขาวิ่งตึงตังลงบันไดมาข้างล่าง ก่อนจะปารกฏตัวที่ประตูพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่

“เข้ามาข้างในก่อน เปียกหมดแล้ว”

เคฟพยักหน้ายิ้มๆ เป็นแผนที่ไม่ต้องใช้ความพยายามดีแฮะ

“คุณมาทำอะไร” เจ้าของบ้านถามระหว่างเดินนำแขกเข้าไปด้านใน

“แค่ผ่านมา เลยอยากแวะเยี่ยมครับ แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ร้านคุณปิด”

“อืม... ผลจากการโดนโจรกรรมวันนั้น ผมต้องซื้อเพชรเข้าร้านใหม่ แล้วก็เพิ่มระบบความปลอดภัยให้มากขึ้นด้วย คงต้องปิดปรับปรุงสักพัก” พัชรเล่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณขึ้นไปอาบน้ำข้างบนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ครับ” เคฟรับคำอย่างว่าง่าย


เข้าทางกูอีกแล้ว


พัชรเดินนำขึ้นไปชั้นสอง เคฟสังเกตแทบทุกตารางนิ้ว ไม่คิดจะปล้นอะไรหรอก แต่จะได้รู้จักตัวตนของพัชรมากขึ้น เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการทำความสนิทสนม

ข้อมูลบอกเขาว่าสองพ่อลูกไม่ได้นอนที่นี่ แต่อาศัยที่คฤหาสน์บนถนนพระรามเก้า (นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาแนะนำให้พี่อู๋มาปล้น) จึงไม่แปลกที่ชั้นสองของร้านจะรกประหนึ่งป่าแอมะซอน ข้าวของวางกระจัดกระจายเหมือนโยนลงตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นชั่วนิรันดร์ ถุงเท้าใช้แล้วขดเป็นก้อนๆ นอนอยู่ใต้ชั้นหนังสือ นาฬิกาคาเทียร์ก็วางอยู่คาลังเบียร์ ไม่ได้เกรงใจราคาเป็นล้านของมันเลย เคฟเชื่อว่าถ้าหายพัชรก็คงไม่รู้

“ถอดเสื้อมาสิ เดี๋ยวผมจะเอาไปซักให้” เจ้าของบ้านเอ่ย

“ผมไม่อยากรบกวนคุณเลย”

“แต่ผมทำให้คุณเปียก”

“ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ผมผิดเองที่ผมไปยืนตรงนั้น”

“ตกลงคุณจะถอดรึเปล่า”

ทั้งสองมองหน้ากัน เกิดความเงียบชั่วขณะ แล้วเคฟก็จับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะหน้าอกของตัวเอง แววตาคมกริบมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจจนพัชรเกือบหยุดหายใจ

“อยากถอดให้ผมไหมล่ะ...”

ในเวลานี้ มีเพียงเสียงหัวใจดังตึกตักๆ เท่านั้นที่ทั้งสองคนได้ยิน

“...อยาก”

มือขาวเนียนลูบไล้แผงอกกว้าง สัมผัสผิวกายผ่านเนื้อผ้าบางเฉียบที่เปียกจนเห็นข้างใน พลันก็เกิดกระแสบางอย่างแล่นจากปลายนิ้วลามไปทั่วร่างกาย... พวกเขารู้สึกเหมือนกัน และคิดว่าสถานการณ์จากนี้ไป ไม่ควรจะอยู่ที่หน้าห้องน้ำ

เจ้าของบ้านจูงมือแขกเข้าไปในห้องนอน ผลักเขาลงที่โซฟาใกล้ประตู แล้วขึ้นคร่อมด้านบน

“ช่วยต่อให้จากครั้งที่แล้วๆ มาให้จบด้วย...เคฟ”

“อะ...อืม”

ไม่ทันตอบกลับ ริมฝีปากของคนด้านบนก็ทาบทับลงมาเสียก่อน ร่างกายของพัชรร้อนผ่าว แต่จูบของเขาร้อนยิ่งกว่า... เคฟทึ่งจนเกือบทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายถูกรุก และไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ บางทีพัชรอาจเก็บงำความเร่าร้อนไว้ในใจมาตลอดสิบปี พอเจอคนที่มีแรงดึงดูดสูงอย่างเคฟอารมณ์ก็อาจปะทุได้เป็นธรรมดา

เพชรจัดการปลดกระดุมเสื้อของร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว ตามด้วยถอดเข็มขัด ปลดตะขอ รูดซิป ดึงขอบกางเกงลง แล้วปลุกเร้าเจ้าโลกให้ตื่นด้วยสองมือกับหนึ่งปาก เคฟใจหายวาบ

บางทีอาจเป็นเขาเอง...ที่เป็นเหยื่อของป๋า!

แต่ขึ้นชื่อว่าเสือ มีหรือที่จะยอมให้ใครอยู่เหนือกว่า เขาพลิกตัวขึ้นมาแล้วจับให้อีกฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน

“นี่รึเปล่าเป็นสาเหตุที่คุณไม่หาเมียใหม่” เคฟพูดยิ้มๆ

“...คุณทำให้ผมรู้สึก” คิมพัชรแก้มแดงปลั่งดั่งอัญมณีทับทิม มือขาวเนียนลูบไล้ท่อนแขนล่ำแน่นด้วยกล้ามเนื้อของคนข้างบน “ผมอยากเป็นของคุณ...ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน”

ชายหนุ่มเลือดจีนแอบตกใจ นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดจริงๆ สงสัยจะประมาทเสน่ห์ตัวเองมากไปหน่อย เลยอ่อยซะเต็มที่เลยตอนนั้น

“มีเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนลูกผมจะกลับ... คุณทำได้ไหม” พัชรถามด้วยริมฝีปากสั่นๆ

“เหลือเฟือครับ” เคฟยิ้ม “แต่ผมขอห้านาทีไปเซเว่นก่อนนะ”

พัชรเข้าใจ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วควานหาของในลิ้นชักที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบออกมาส่งให้เคฟ หนุ่มจีนถึงกับหลุดขำ

“นี่แสดงว่าผมไม่ใช่คนแรก”

“...ก็มีบ้าง แต่นานแล้วล่ะ” พัชรเกาหูอย่างอายๆ

“โทษฮะ มันเล็กกว่าไซส์ผมอ่ะ”

“...”

“แต่คงไม่เป็นไร”

จากนั้นฉากต้องห้ามสุดเร่าร้อนก็ดำเนินขึ้น เกิดเสียงครวญครางผสานกันดังไปทั่วทั้งห้อง คนข้างบนบดขยี้เป็นจังหวะถี่ๆ หนักๆ แรงบีบรัดของถุงยางขนาดเล็กกว่าจริงหนึ่งไซส์ไม่ทำให้เขาเจ็บเท่าการเข้าสู่ร่างกายของคนด้านล่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำกับผู้ชาย จึงไม่รู้ว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แต่พอทำๆ ไปก็รู้สึกดีจนความเจ็บกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนคนข้างล่างก็ดูจะเจ็บกับขนาดของแข็งใหญ่ที่รุกล้ำเข้ามาในตัวเช่นกัน แต่ถึงจะเจ็บเพียงใดก็แอ่นกายรับแรงกระแทกด้วยความเต็มกายเต็มใจ

แรงสั่นสะเทือนจากโซฟาลุกลามไปถึงใส่ชั้นวางของที่อยู่ข้างๆ และ...

เพล้ง!

ทำให้กรอบรูปที่วางอยู่บนนั้นตกลงมาแตกกระจาย และไม่ใช่เพียงแค่กรอบรูป... แต่รวมถึงที่ใส่อัฐิกระดูกด้วย

“อ๊ะ...” เคฟหันไปมองด้วยความตกใจ

“ไม่เป็นไร... ช่างมัน... ต่อเร็ว” พัชรร้อง

ชายหนุ่มรู้สึกหนาววูบวาบ เสียวสันหลังแปลกๆ แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว... เขาก้มลงไปจูบไซร้ซอกคอของเจ้าของบ้านต่อ
ฉึก!!

“โอ๊ย!” เคฟสะดุ้ง “อย่าจิกแรงสิครับ..”

เล็บของพัชรฝังลงบนแผ่นหลังกว้างของเคฟ ถึงเขาจะเตือนอย่างนั้น แต่เล็บกลับฝังลงลึกมากขึ้นๆ ชายหนุ่มเจ็บจนต้องตะโกนดังๆ

“คุณพัชร ผมบอกว่า...!”

“........เจ็บเหรอ...”

“อึก.......”

“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าเจ็บของกู!! ไอ้ชู้ชั่ว!!!!!!

“!!!!!!!!!!!!!”

ใบหน้าที่ควรจะเป็นพัชรกลับเป็นใบหน้าของหญิงสาวในรูปถ่ายสีขาวดำซึ่งตกแตกด้านล่าง เธอเบิกตากว้างจนลูกตาถลนเกือบออกจากเบ้า เลือดไหลย้อยท่วมใบหน้าดั่งน้ำตา ริมฝีปากซีด ผิวกายขาวสนิทเหมือนกระดูก ตัวเย็นเฉียบเหมือนเนื้อแช่แข็ง ไม่พอยังมีกลิ่นเน่าผสมน้ำยาอาบศพฉุนจมูกออกจากตัวอีกด้วย

เล็บแหลมยาวของผีฝังลึกบนแผ่นหลังของเขา จนเคฟได้กลิ่นเลือดของเขาเอง... อาวุธของเขาเย็นวาบ แทบจะหดสั้นเหลือสองนิ้ว

“เคฟ”

“!!!” ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อ กะพริบตามองอีกครั้ง ข้างล่างเขาก็ยังเป็นพัชร ไม่ใช่ผีแต่อย่างใด

“เป็นอะไรไป... หยุดทำไม”

“เปล่า...”

เคฟสะบัดหน้าไล่ภาพหลอน ก่อนจะเดินเครื่องต่อจนถึงจุดหมาย  เคฟถอดถอนกายแล้วดึงสิ่งที่ครอบออกเพื่อปลดปล่อยลงบนหน้าท้องขาวเนียนตามคำขอ พลันก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายถึงขีดสุด คนข้างล่างส่งสายตาเว้าวอนเหมือนต้องการอีก ทว่าทุกอย่างต้องจบลงเพียงเท่านี้

“ป๊า!! ผมกลับมาแล้วนะคร้าบ!”

เสียงของลูกชายที่ชั้นล่างทำให้พ่อและแขกผู้มาเยือนสะดุ้งเฮือก ต่างแยกย้ายกันใส่เสื้อผ้าของตัวเองอย่างเร็วไว

“คุณออกไปทางหน้าต่างนะ ระวังด้วย” พัชรบอก แววตาออกอาการเสียดาย เคฟพยักหน้า ใส่เสื้อผ้าเปียกๆ ตามเดิมแล้วก้าวขึ้นขอบหน้าต่าง แต่ก่อนไปเขาเดินกลับมาจูบพัชรอีกที

“คราวหน้า...”

“…?”

“เตรียมไซส์ 56 ไว้นะครับ”

“....”

แล้วก็ออกไป

“ป๊าฮะ อยู่รึเปล่าเนี่ย!” เพชรร้องตะโกนมาตามบันได

“อยู่สิลูก” พัชรออกจากห้องไปหาลูกชาย ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ หวังว่าแก้มแดงปลั่งดั่งลูกท้อนี้จะดูเหมือนคนออกกำลังกายมากพอ...

“เรียกหลายครั้งไม่ตอบ” ลูกชายมองพ่อแล้วขมวดคิ้ว “ป๊าทำอะไรมา ตัวเปียกเหงื่อ หน้าก็แดง”

“ปะ..ป๊าออกกำลังกายน่ะลูก”

“ฮะ? อย่างป๊าเนี่ยนะออกกำลังกาย ไม่น่าเชื่อเลย”

“ก็ทำความสะอาดบ้านไงเล่า ว่าแต่ลูกเถอะ ทำไมวันนี้กลับเร็วกว่าปกติ” พ่อกลับเป็นฝ่ายซักไซ้ลูกชายบ้าง ก่อนที่ความจะแตก

“อ๋อ...คุณครูมีธุระด่วนน่ะครับ เลยกลับเร็ว” ลูกชายตอบพลางกลอกตามองขึ้นฟ้า

“เหรอ เอ...แล้วทำไมพักนี้หนูถึงตัวเปียกเหงื่อกลับบ้านทุกวันเลยล่ะ”

“ก็.....” เพชรอ้าปากลากเสียง มองไปรอบๆ ตัวเหมือนหาข้ออ้างไม่ถูก “ผมเดินกลับไงครับ! เหงื่อเลยออกเพียบเลย”

“อ้าว ทำไมถึงเดิน นึกว่านั่งแท็กซี่หรือรถไฟฟ้าเหมือนอย่างที่พูดซะอีก”

“ป๊าก็ บ้านเราเพิ่งโดนยกเค้า กว่าป๊าจะหาเงินก็ไม่ง่าย ผมเลยอยากช่วยป๊าประหยัดเงินไงครับ” เพชรพูดด้วยท่าทางจริงจังแล้วทำเป็นบิดเมื่อยขี้เกียจ “ไปอาบน้ำก่อนนะครับ!”

พอแยกกันแล้ว ต่างฝ่ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เกือบไป”




v
v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.26 I Hurt You Hurt (29/03/19)/
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-03-2019 17:19:51

[2/2]




เคฟกระโดดจากหลังคาลงกำแพง สู่พื้นถนนได้อย่างปลอดภัย เขาถอนหายใจยาวๆ พลันก็รู้สึกเหมือนชายชู้แอบลักลอบเข้าบ้านคนอื่น
จริงๆ จะเรียกชู้ก็ไม่ได้ ในเมื่อเมียของป๋าพัชรตายไปแล้ว

แต่ผีสาวเมื่อกี้...

“อ้าว เคฟ!”

“พี่เล็ก” อเล็กซ์อยู่ใกล้ๆ พอดี ทั้งสองแปลกใจที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญ

“พี่มาทำไร” รุ่นน้องถาม

“มาส่งเด็กเพชร” อเล็กซ์ตอบ “นายล่ะ ปีนลงหลังคามาอย่างนั้น...อย่าบอกนะว่า”

“เรียบร้อย” เคฟยิ้ม เลียมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“ร้ายกาจ” อเล็กซ์ส่ายหน้า “ไปล่ะนะ พี่ต้องไปเฝ้าแสงเทียนที่โรงบาล เจอกันใหม่”

“เดี๋ยวพี่ แสงเทียนอยู่โรงบาลเหรอ” หนุ่มจีนถามด้วยความแปลกใจ “แต่พี่อู๋เพิ่งโทรเรียกผมให้ไปหาที่คอนโด”

ทั้งสองคนมองหน้ากัน

“อย่าบอกนะว่าเลิกกันแล้ว”




โรงพยาบาล

ด้วยความที่เบย์ลางานไม่ได้ เขาเลยโทรให้อเล็กซ์มานอนเป็นเพื่อนผมแทน แม้ผมจะปฏิเสธไปหลายรอบ แต่เขาก็ดึงดันไม่ยอมให้ผมอยู่คนเดียว เพราะหนึ่งเป็นห่วง สองกลัวผมหนี และสาม...เผื่อโจรอู๋มา จะได้มีคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย ลากแม่น้ำมาซะขนาดนี้ผมเลยปล่อยตามเลย

อเล็กซ์เคาะประตูสามที ก่อนจะเข้ามาพร้อมกับโน้ตบุ้คหนีบไว้ข้างตัว เขานั่งลงที่โซฟาแล้วถาม

“หวัดดี เป็นไงบ้าง”

“เจ็บดี” ผมตอบ “ผิวแทนขึ้นนะ เปลี่ยนไปทำงานกลางแจ้งเหรอ”

“เปล่า ปลอมตัวเฉยๆ” อเล็กซ์หัวเราะ “จะว่าไป... นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราอยู่กันสองคน”

“ใช่”

“ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกร็ง หรืออยากให้เราช่วยอะไรก็บอก เรายินดี”

เขาบอกยิ้มๆ ผมพยักหน้า แต่ไม่คิดจะรบกวนอะไรเขาหรอก

นอกจาก...

“นายรู้เรื่องทั้งหมดใช่ไหม”

“เรื่องอะไร”

“เบย์คงเล่าให้ฟังแล้ว”

“อืม ถ้าเป็นเรื่องที่นายทะเลาะกับเฮียเค้าล่ะก็ใช่...”

อเล็กซ์ตอบ แต่ปลายเสียงดูแผ่วๆ เหมือนไม่มั่นใจ แถมยังเบนสายตาหลบผมอีกต่างหาก

“นายรู้แน่ๆ อเล็กซ์ เรารู้ว่านายรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่เจ้าหนี้ไปถึงเส้นสายของโจรอู๋ เพราะนายดูแลเรื่องข้อมูลให้เขา ช่วยบอกเราทีได้ไหมว่าเพื่อนที่โจรอู๋รักนักหนาคนนั้นเป็นใคร”

อเล็กซ์มีสีหน้าไม่มั่นใจ “เราก็รู้เท่าที่นายรู้”

“ไม่เชื่ออ่ะ ถึงขนาดเจาะระบบทะเบียนราษฎร์ ทำประวัติปลอมๆ ได้ เรื่องแค่นี้มีหรือที่นายจะไม่รู้ ทำไมอเล็กซ์ ทำไมถึงบอกเราไม่ได้ มันเป็นความลับระดับชาติหรือไง”

ดวงตาสีน้ำตาลคอนแท็กเลนส์ของอเล็กซ์ฉายแววหมองลง

“ไม่ใช่เลยแสงเทียน เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลยต่างหาก หน้าก็ไม่เคยเห็น ชื่อก็ไม่เคยรู้ เพราะพี่อู๋ก็ปิดบังเขากับพวกเราด้วยเหมือนกัน อีกอย่างเราไม่คิดจะสนใจอยู่แล้วเลยไม่เคยค้นหา”

“แต่นายก็หาได้ใช่มั้ย”

“ก็คงได้ แต่พี่อู๋ก็คงโกรธมาก เขาไม่อยากให้เราก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว”

“หวงสิไม่ว่า”

“ไม่หรอกน่า พี่อู๋คงมีเหตุผลแหละ”

“เรานึกเหตุผลอะไรไม่ออกจริงๆ อเล็กซ์ นอกจากมันอาย ถ้าใครรู้ว่ามันเอาร่างกายแลกเงินกับเศรษฐี”

“.....”

“เราน่าจะเตือนตัวเองว่าสันดานโจร...โจรอย่างมัน เห็นเงินสำคัญที่หนึ่งอยู่แล้ว มันทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน มีเราไว้ก็เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยหาเงิน ไม่น่าคาดหวังว่ามันจะรู้สึกลึกซึ้งอะไร ไม่งั้น... เราก็คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้”

“นายเข้าใจผิดแล้วแสงเทียน” อเล็กซ์ว่า “นายสำคัญกับพี่อู๋มากกว่าที่คิดนะ”

“เหรอ... เฮอะ... แคร์แบบไหนถึงทิ้งเราไปเอากับคนอื่น อยากรู้จริงๆ”

“....”

“ช่างเถอะ จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

ผมพูดแล้วพลิกตัวไปอีกด้านหันหลังให้อเล็กซ์ ไม่อยากให้รู้ว่าผมกำลังจะร้องไห้ อเล็กซ์ไม่พูดต่อ ทั้งห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงเคาะนิ้วป๊อกแป๊กบนคีย์บอร์ดเท่านั้น

แปลกนะ ทั้งที่หนีออกมาข้างนอกได้แล้ว แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจอย่างที่ควรจะเป็น กลับกัน ผมยิ่งกังวลกว่าตอนไม่ได้อยู่กับมันเสียอีก
ป่านนี้ใครจะทำแผลให้มัน... อุปกรณ์ตั้งหลายอย่าง ขั้นตอนก็ละเอียดยุบยิบ คนจับฉ่ายอย่างมันคงทำเองลวกๆ ชุ่ยๆ แหง แล้วแผลก็จะหายช้า เผลอๆ อักเสบหนักไปอีก

ใครจะทำกับข้าวให้มัน... ไอ้กากที่แค่ตอกไข่ยังไม่ลงกระทะ

ใครจะจ้ำจี้จ้ำไชให้มันโกนหนวด... ก่อนที่หน้ามันจะกลับไปเป็นโจรอู๋ในใบประกาศจับ

ถ้าออกไปข้างนอก มันจะเจอเจ้าหนี้หน้าตี๋คนนั้นมั้ย จะโดนตำรวจจับได้รึเปล่า...

ไม่น่าเชื่อว่าถูกทำร้ายขนาดนี้ ผมยังมีหน้าเป็นห่วงมันอีก บัดซบจริงๆ...

“เรื่องอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือสิ่งที่พี่อู๋ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของนาย”

จู่ๆ อเล็กซ์ก็พูดแทรกความเงียบขึ้นมา

ผมเงียบ แสร้งว่าหลับแล้ว

“การปิดบัง บางครั้งก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกป้องนะ แสงเทียน”

ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่อเล็กซ์บอก... แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ดี ฟังยังไงก็คือคำแก้ตัวให้ลูกพี่ชัดๆ 

“ถึงเวลา เขาจะบอกนายเอง”

อเล็กซ์พูดเหมือนรู้ใจ

แต่ผมไม่แน่ใจ...ว่าจะมีเวลารอจนถึงตอนนั้น




อีกด้าน

สองพี่น้องชาวจีนนั่งข้างกันอยู่ที่โซฟากลางห้อง คนพี่นั่งหลังพิงพนักคอหงายไปข้างหลัง เสื้อไม่ใส่ แสดงให้เห็นแผลฉกรรจ์เหนือซี่โครงขวา ที่มือข้างหนึ่งก็มีแผลเกิดจากการบีบของมีคม น่าจะเป็นเศษแจกันที่แตกกระจายอยู่ตรงพื้นนั่นเอง แผลนั้นถูกปล่อยทิ้งให้เลือดไหลและแห้งไปเองอย่างน่าหวาดเสียว เขาดื่มจนเมา ตาปรือๆ เกือบจะปิด สภาพอนาถายิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนข้างถนน

คนน้องมองด้วยความหดหู่ใจ ไม่เคยเห็นพี่ชายหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน ยกเว้นตอนเกิดวิกฤติกับครอบครัวเมื่อหกเดือนที่แล้ว

ไม่ใช่แค่เจ้าของห้องที่เยิน แต่ห้องก็เหมือนกัน เศษแจกันกระเบื้องแตกกระจายเต็มพื้น มีรอยเลือดเป็นหยดๆ ความเข้มต่างกันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เลือดของพี่เขา ข้าวของหลายอย่างถูกทำลายเพื่อระบายอารมณ์

เคฟแย่งขวดเหล้าจากพี่ชายก่อนที่เขาจะกรอกมันเข้าปาก เอาไปวางรวมกับขวดเปล่าห้าขวดบนโต๊ะ สงสัยว่าเหตุใดจึงเลือกแต่ยี่ห้อแสงโสม ช่างไม่เข้ากับคอนโดหรูๆ และลุคนายแบบฝรั่งเอาซะเลย...

“พอเถอะ เฮียดื่มเยอะไปแล้ว”

“เห้ย...เอามา” โจรอู๋พูดเสียงยาน ทำตาขวางดุน้องชาย

“ถามจริง เหล้านี่มันช่วยอะไรได้เหรอ”

“...ก็กูไม่รู้...จะทำยังไง” ความเจ็บจากหัวใจผสานกับอาการปวดหัวหนึบๆ ทำให้โจรหนุ่มหลับตาลง

“ถึงตอนนี้แล้ว ทำไมไม่บอกความจริงไปเลยล่ะ” เคฟว่า

“กูกลัวเขาจะรับไม่ได้ เอ็งคิดดูสิ ถ้าเขารู้ว่าเส้นกูคือคนที่กำลังทำคดีเรื่องของเขาเอง ปิดบังให้พ้นหูตาเจ้าหน้าที่และประชาชน โกหกแฟนเก่าและครอบครัวที่กำลังเป็นห่วงเขาแทบขาดใจ เขาจะรู้สึกยังไง...ถ้าบอกไป รับรองต้องพังกว่านี้ พังชนิดไม่มีเหลือเศษซากให้กอบกู้ พังชนิดไม่ได้ผุดได้เกิด แล้วเรื่องอะไรกูจะบอก”

”แต่ไม่บอกเลยยิ่งแย่กว่านะ แบบตอนนี้ไง”

“.....” โจรพ่นลมหายใจยาวๆ อย่างอ่อนล้า

“ผมไม่มีสิทธิ์สั่งสอนเฮีย แต่ผมแค่อยากเตือนเฮียด้วยความหวังดี คือเฮียไม่ควรจะจับปลาสองมือ”

โจรอู๋หันไปมองน้องชาย “ใช่ว่ากูอยากอยู่สถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ที่ไหน... แต่กูไม่รู้จะทำไง”

“ง่ายจะตาย เลือกใครสักคนสิ”

“....”

“ตอนนี้แสงเทียนไม่ได้อยู่กับเฮีย เท่ากับเขาก็เป็นอิสระไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเขาหนีไปได้เมื่อไหร่ เฮียจะโทษใครไม่ได้นะ”
โจรอู๋กัดฟันเม้มปากขมวดคิ้วอย่างหนักใจ

“จะให้กูทรยศวาเหรอ”

เคฟได้ยินแล้วฉุนออกจมูก “ขอโทษนะเฮีย แต่ผมขอทีเหอะ เรื่องอื่นน่ะเฮียฉลาด แต่เรื่องรักเฮียแม่งโคตรโง่เลยว่ะ”

“....” หรี่ตามองเคืองๆ

“เรื่องแค่นี้ยังคิดเองไม่ได้เหรอ พี่วาเป็นผู้มีพระคุณก็จริง แต่เฮียก็รู้ว่าเขาคิดกับเฮียยังไง ที่ผ่านมาตอนยังไม่มีแสงเทียน ผมก็พอเข้าใจ เฮียทำไปเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ในเมื่อเฮียยกให้แสงเทียนเป็นเมีย ก็แสดงว่าคนอื่นคือชู้ ไม่มีใครชอบหรอกที่แฟนตัวเองไปมีชู้น่ะ”

โจรอู๋เม้มปาก สีหน้าย่ำแย่เหมือนจะร้องไห้ แต่กลั้นไว้สุดชีวิต เคฟเห็นว่าพี่ชายยังรับฟังไหวก็ใส่ต่อ

“แสงเทียนไม่ใช่คนอ่อนแอเหมือนหน้าตาเขานะเฮีย เขาแข็งแกร่งจะตาย อย่าคิดว่าเขารับไม่ได้ นึกถึงตอนเขาหนีเฮียครั้งแล้วครั้งเล่าสิ เป็นคนอื่นคงไม่กล้าหรอก แล้วเขาก็ฉลาดด้วย ถึงได้ช่วยเฮียทำงานสำเร็จตั้งหลายครั้ง เฮียกับเขาผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะ เรื่องแค่นี้เทียบไม่ได้สักนิด”

“เขารักเฮียนะ เขาถึงได้เสียใจ รู้ไหมเนี่ย”

“......”

เจอประโยคนี้เข้าไปถึงกับสะอึก

“ถ้าเฮียบอกความจริง ผมว่าเขาต้องเข้าใจ”

โจรหนุ่มก้มหน้า น้ำตาหยดลงพื้น เคฟเข้าไปกอดคอพี่ชาย โจรอู๋ก็กอดเขาตอบ ไร้ซึ่งบทสนทนานานหลายนาที แต่ในความเงียบนั้น น้องชายรู้ดีว่าพี่ชายได้ตัดสินใจแล้ว

“ขอบใจมึงมากว่ะ”

“ไม่เป็นไร เราพี่น้องกัน”   

สองหนุ่มชกกำปั้นกันแบบแมนๆ เคฟรู้สึกดีเมื่อเห็นพี่ชายยิ้มออกในที่สุด เขาลุกจากโซฟาแล้วโบกมือลาเมื่อหน้าที่สำเร็จลุล่วง

“ผมจะไปบอกแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ บายครับ”

แล้วทั้งห้องก็เหลือเขาเพียงคนเดียว

โจรหนุ่มก้มลงไปหยิบมือถือที่โยนทิ้งบนพรมเช็ดเท้า แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เลยทำให้เซล้มลง แต่ก็นอนอยู่ตรงนั้นไม่ลุกขึ้นมา เขาจ้องดูรูปหน้าจอที่เป็นภาพหนุ่มน้อยยิ้มหวานน่ารัก ภาพที่ทำให้หัวใจพองฟูทุกทีที่เห็น แต่ตอนนี้กลับถูกบีบรัดทรมานด้วยความคิดถึง

เลื่อนดูภาพในแกลเลอรี... เขาแอบถ่ายรูปแสงเทียนไว้เยอะมาก แต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ มีทั้งภาพตอนเผลอ ตอนหลับ รวมทั้งภาพนู้ด... ทุกรูปทำให้ความคิดถึงยิ่งทวีความรุนแรง

คิดถึงรอยยิ้มสวยๆ เสียงหวานๆ กลิ่นกายหอมๆ และตัวเล็กๆ นุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตายัดนุ่นที่ถ้าไม่ได้กอดแค่คืนเดียว...คงขาดใจตาย
โจรหนุ่มพยุงร่างโทรมๆ ลุกจากพื้นอย่างทุละทุเล เดินกลับไปที่โซฟา เท้าเตะใส่ข้าวของที่กระจัดกระจายจนยุ่งกันใหญ่ แต่เขาไม่สนใจจะเก็บกวาดมัน เพราะอีกไม่นานก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

เขากดโทรหาใครบางคนก่อนที่สติจะหลุดหายด้วยฤทธิ์เหล้า

“ฮัลโหล...วา...ว่างมั้ย...กูมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”




//////////////

กราบขออภัยที่มาต่อให้ป่านนี้ ยังมีคนอยู่มั้ยคะ 555
สารภาพว่าที่ไม่ได้ลง เพราะเนื้อหามันไม่ลงตัว
ีมีพาร์ทของคู่อื่นเยอะ จนเราเองยังอยากตัดทิ้ง แต่มันจะขาดความต่อเนื่อง
แล้วจะส่งผลต่อเส้นเรื่องหลัก
เลยเอามันอย่างงี้แหละ ยาวหน่อย รำคาญหน่อย ก็ข้ามๆ ไปได้นะคะ
 
เดี๋ยวจะลงให้ทันปัจจุบันรวดเดียวเลยค่ะ :)
คิดว่าคนอ่านคงไม่รอแล้วมั้งนี่ แต่ไม่เป็นไร ดีกว่าโดนลบ แฮ่....
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.27 ตื๊อเท่านั้นที่รกโลก (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-03-2019 17:28:04


27
ตื๊อเท่านั้นที่รกโลก



ฝ่ายเบย์

หลังจากฝากแสงเทียนไว้ให้อเล็กซ์แล้วก็ไปทำงานที่ใหม่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเปลี่ยนเพื่อหนีไอ้ฝรั่งเก๊ที่ตามติดจองเวรคนนั้น

มันเป็นบาร์โฮสต์ มีพนักงานหนุ่มหน้าตาดีถึงดีมากไว้คอยบริการ ถือว่าเป็นสีสันแปลกใหม่ที่เบย์ไม่เคยลอง ทำได้เพียงไม่กี่วันก็รู้สึกชอบ ไม่ใช่แค่รายได้ดี อยู่ฟรีกินฟรี เจ้านายและเพื่อนร่วมงานนิสัยดี แต่ยังท้าทายความสามารถด้วย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ดูแลเอาใจใครเสมือนแฟน แม้จะเป็นแค่การแสดงช่วงสั้นๆ ก็เถอะ

เรื่องของเรื่องก็คือยิ่งแสดงได้ถูกใจลูกค้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งอัพค่าตัวได้มากขึ้นเท่านั้น ความสนุกมันอยู่ตรงนี้

“บี คืนนี้ลองดูมั้ย” หนุ่มรุ่นพี่เบอร์ต้นๆ ของร้านเข้ามาสะกิดจากข้างหลังพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็อยากนะครับ แต่ผมยังไม่พร้อมอ่ะ”

“กลัวเหรอ”

“จะว่างั้นก็ได้...”

“กลัวอะไร อย่าบอกนะว่าไม่เคย พี่ไม่เชื่อว่ะ น่ารักอย่างมึงจะเหลือรอดมาได้ไง”

ว่าแล้วก็หัวเราะร่า ทำเอาเบย์หน้าแดงเถือก คงอีกนานกว่าเขาจะชินกับเรื่องนั้น...

ความลับของบาร์แห่งนี้ก็คือ คุณสามารถซื้อบริการโฮสต์ได้ แต่ไม่ใช่ดีลกันสองต่อสองนะ ต้องเข้า ‘ห้องดำ’ หรือห้องประมูลซะก่อน ผู้ชนะก็ได้ตัวโฮสต์ไป งานนี้ใครกระเป๋าหนักก็ได้เปรียบ ว่ากันว่าเคยมีคนถูกประมูลสูงสุดตั้งหนึ่งแสน ราคานี้คือต่อคืนนะครับพี่น้อง... โหดพอๆ กับค่าสินสอดเลยนะนั่น

สำหรับเบย์ มันก็คือโสเภณีแบบอัพเกรดดีๆ นี่เอง

เอาตรงๆ เบย์ออกจะรังเกียจอาชีพแบบนี้ สำหรับเขาเซ็กส์เป็นเรื่องสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทำกับคนรักเท่านั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนก็ได้ (แม้ว่าความเป็นจริง เขาจะโดนไอ้เวรคนหนึ่งทำลายซะย่อยยับ...)

แต่ใช่ว่าเขาไม่สน ก็ในเมื่อออกปล้นเหมือนเดิมไม่ได้ เงินเดือนก็ไม่เยอะพอที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่ เขาก็ต้องหาเงินด้วยวิธีอื่น อีกอย่างเขาก็เสียซิงไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องหวง หลับหูหลับตาทำๆ แล้วได้เงินเป็นหมื่นเป็นแสนกลับมาก็ถือว่าคุ้ม

เบย์เริ่มงานหนึ่งทุ่ม มีเวลาหกชั่วโมงสำหรับการตัดสินใจ เพราะการประมูลจะเริ่มตอนเที่ยงคืน พนักงานบางคนเลยเรียกมันว่าโอที ไม่ก็งานนอกสถานที่ จบงานก็มารับเงินที่ร้านในวันถัดไป

สำหรับการเป็นโฮสต์ หนุ่มน้อยจดจำวิธีการทำงานของรุ่นพี่ตั้งแต่การทักทายลูกค้า การดูแลเอาอกเอาใจ เอามาปรับใช้ในแบบของตัวเอง ปกติแล้วเขาเข้าหาคนแปลกหน้าไม่เก่ง โดยเฉพาะสาวๆ สวยๆ เจอทีไรมักประหม่าทุกที แต่ปรัชญาด้านได้อายอดทำให้เขาก้าวผ่านขีดจำกัด สลัดลุคหนุ่มใสๆ กลายเป็นโฮสต์ผู้จัดจ้านในเวลาเพียงข้ามคืน

ข่าวร้ายคือโฮสต์ไม่อาจเลือกลูกค้าได้ ลูกค้าเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเลือก ใครเจอลูกค้าที่ถูกชะตาก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าเป็นชั่วโมงที่เฮงซวยสุดๆ เบย์เองเจอลูกค้าหลายประเภท หลายเพศ ตั้งแต่หนุ่มมหาลัยที่เพิ่งเข้าผับได้ ยันมนุษย์รุ่นยายนมเหี่ยวถึงขอบเตี่ยวลิง... ชีวิตนี้สีสันบันเทิงดีแท้ แต่ลูกค้าที่เขาชอบอันดับหนึ่งคือพวกเก้งวัยใกล้เคียงกัน  เพราะพวกนางคุยสนุก คุยเก่ง อารมณ์ดี พูดอะไรมาก็ฮาหมด เอ็นเตอร์เทนต์เก่งจนบางครั้งเบย์รู้สึกว่าเขาเป็นลูกค้าซะเอง แม้จะโดนแทะโลมก็ยังถือว่าขำๆ ต่างกับลูกค้าแบบอื่นที่หวังกินเขาจริงจัง... พวกนางบอกเป้าหมายไม่ใช่โฮสต์ แต่เป็นผู้ชายที่มาเที่ยวต่างหาก     

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านพ้นไป เสียงดีเจประกาศอำลาเวทีแอนด์ปิดร้าน ทำให้ลูกค้าขาจรถอนตัวออกไป เหลือแต่พวกขาประจำที่รู้ดีว่าร้านยังไม่ปิดจริงๆ เดินเข้า ‘ห้องดำ’ ที่อยู่หลังร้านเพื่อต่อสู้บนสังเวียนประมูลในเวลาต่อไป

กิจกรรมนี้เป็นที่รู้จักกันแบบปากต่อปากในหมู่ลูกค้ากระเป๋าหนักเท่านั้น และทุกคนที่จะเข้าร่วมได้ต้องมีหลักฐานการันตีความรวยด้วย เช่นรถที่ขับมาร้าน ต้องเป็นซูเปอร์คาร์โอนลี่ ที่แม้ต่อให้เช่ามาก็ยังแพงอยู่ดี หรือบัตรเครดิต (วงเงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้าน) เพื่อป้องกันการล้มมวยของพวกรวยไม่จริง ส่วนนาฬิกาหรูนั้นไม่นับ เพราะยืมเพื่อนมาได้ (เอ๊ะ)

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเข้าร่วมเพียงสามสิบคน หลักๆ เป็นสาวแก่แม่หม้ายกับเสี่ยอ้วนพุงหลามบ้ากาม นานน๊าน...จะมีคนหนุ่มหน้าตาดีๆ สักคน ตรงนี้เองที่เบย์โคตรจะลำบากใจ

โฮสต์ใหม่ผู้ใสซื่อตามพวกรุ่นพี่เข้าไป เขายังลังเลอยู่ว่าจะเข้าร่วมดีหรือไม่ เลยขอสังเกตการณ์ให้ละเอียดก่อน

ห้องดำนั้นดำแค่ชื่อห้อง แต่ภายในมีแสงไฟวูบวาบไม่ต่างกับข้างนอก ขนาดความจุห้าสิบคน กลางห้องมีเวทียกพื้นสูงพร้อมกับเสาหนึ่งต้นสำหรับให้โฮสต์บางคนเต้นเรียกคะแนน (โอ้มายก็อด เต้นรูดเสาก็มา) ลูกค้าทั้งหลายยืนจับจองพื้นที่ด้านหน้าเวที เพื่อจะได้เห็นลีลาผู้ท้าชิงชัดๆ


ไม่น่าไหวว่ะกู...แค่คิดเบย์ก็เสียววาบๆ


ดีเจที่จบงานข้างนอกก็มาจัดต่อข้างใน เปิดเพลงตื๊ดๆ เมาๆ เร้าอารมณ์ พอโฮสต์กับลูกค้าเข้ามาครบแล้วก็เปิดเวทีโดยไม่รอช้า เบิกตัวผู้ประกวดหมายเลขหนึ่ง ที่แค่แนะนำตัวด้วยการเต้นยั่วๆ บดๆ ก็ถูกถอยไปในราคาสามหมื่นในเวลาไม่ถึงสามนาที

เอด๊อกกกกกก นั่นสองเท่าของเงินเดือนกูเลยเด้อออออ!!!

เบย์ร้องลั่นอยู่ในใจ มิน่าล่ะพวกพี่ๆ ถึงติดใจกันนัก

“คนต่อไป น้องบี! หนุ่มน้อยหน้าใสวัยขบเผาะ ยังไม่เคยผ่านการขายมาก่อน! สดใสใหม่ซิงจริงๆ นะเอ้อ เอ้าๆๆ โยกๆๆ!”

“เดี๋ยวววววว!!!!”


ไอ้สัดดีเจ!!! มึงถามกูสักคำยัง!!! กูมาเซอร์เวย์เฉยๆ โว้ยฟายยยยย


จะด่าจริงก็ไม่กล้าเพราะเขาแก่กว่าหลายปี เบย์เลยทำแค่เดินหนีพร้อมกับบอกว่าไม่ แต่พวกโฮสต์รุ่นพี่นึกอยากแกล้งหรืออะไรไม่ทราบ พวกเขา
ล็อกตัวหนุ่มรุ่นน้องแล้วลากขึ้นไปปล่อยบนเวทีหน้าตาเฉย!

ไอ้พวกเหี้ยยยยยยยยย

“ว้าวๆๆๆ คนนี้เจ๊จอง!!!”

“ของอั๊วตะหาก!”

“กรี๊ด! น่ารักโคตร สเปกพี่เลยอ่า!”

เบย์เขินจนหน้าแดงไปถึงนิ้วเท้า เกิดมาไม่เคยอายอะไรขนาดนี้มาก่อน เขาจะอยากกระโดดลงเวทีแล้ววิ่งหนีสุดตีน แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากลูกค้าเบียดกันแน่นเหมือนปลาสวายรุมขนมปัง ทางเดียวที่จะรอดก็คือต้องเหยียบหัวลุงๆ ป้าๆ เค้าเท่านั้นแหละ

“กติกามีอยู่ว่าบิดละห้าพันนะคร้าบ แต่จะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าใจร้อน อิ๊ๆ ใจไม่ป้ำก็กลับบ้านนอนซะ เอาล่ะ เริ่มประมูลกันที่หนึ่งหมื่น!” ดีเจประกาศ

“เฮ้ย! ผมบอกไม่เอาไงวะพี่!” เบย์ผวาเฮือก น้ำตาจะไหล แต่เสียงเขาหาได้ไปถึงดีเจไม่ เพราะถูกเสียงคนข้างล่างกลบหมด

“สองหมื่น!” เสี่ยแก่อ้วนในเสื้อลายตะโกนพร้อมกับชูปึกเงินขึ้นเหนือหัว สายตาหื่นๆ จ้องเบย์พร้อมกับส่งเสียงหืดหาดหื่นหิวโหย ทำเอาคนโดนมองแทบร้องไห้เพราะสยองไปถึงไส้


แม่จ๋าช่วยหนูด้วยยยยย


“สามหมื่น! ไปกับเจ๊เหอะ!” สาวเฒ่า (เท่าแม่) อีกคนร้องสู้ ยื่นมือที่เต็มไปด้วยแหวนเพชรเม็ดเป้งมาจับลูบขาเบย์อย่างกระเหี้ยนกระหือรือ


กรี๊ดดดดดดดดดดดด


“อู้หูๆ น้องใหม่ของเรามาแรงเหลือเกินครับพี่น้องครับ! นี่ขนาดยังไม่ได้เต้นโชว์นะครับเนี่ย มาดูกันครับว่าน้องบี หนุ่มหน้าใสสไตล์ไอดอลเกาหลีคนนี้จะทุบสถิติหนึ่งแสนได้รึไม่! เอ้า มีใครให้มากกว่าสามหมื่นไหมคร้าบบบ?”

“สี่หมื่น!”

“ห้าหมื่น!”

“เดี๊ยวววว อะไรกันวะนี่ ผมไม่เอาาาา!”

เบย์โวยวาย แต่หาได้มีใครฟัง ราคาค่าตัวพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเจ็ดหมื่นไปแล้ว และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ ลูกค้าที่ดูท่าจะเอาให้ได้คือเสี่ยอ้วนพุงหลามหน้าตาหื่นกาม ผู้ใช้ดวงตาหยีๆ ลามเลียเรือนร่างของโฮสต์หน้าใสพร้อมกับลมหายใจเหม็นเปรี้ยว ลุงแกใส่ยับปาดหน้าทุกคนจนต้องล่าถอยเพราะสู้ราคาไม่ไหว จนในที่สุดก็เหลือแต่แกกับป้าแก่ตู้เพชรเคลื่อนที่แค่สองคน

เบย์เกือบจะทรุดเมื่อเห็นหน้าผู้ประมูลสองคนสุดท้าย จนต้องเซไปเกาะเสาไว้ ไม่งั้นจะล้ม


อิเว๊นนนนนนนน ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ให้กูเลยใช่มั้ย! เหลือแต่ถุงชาชักปักษ์ใต้กับมะเขือยาวเหี่ยวๆ เนี่ยนะ! ฆ่ากูเถอะ ฆ่ากู๊วววววว


และแล้วราคาก็พุ่งทะลุหนึ่งแสนเป็นที่เรียบร้อย เหล่าโฮสต์กับดีเจส่งเสียงฮือฮาเมื่อเด็กใหม่เลื่อยขาเก้าอี้รุ่นพี่สำเร็จ แต่เบย์น้ำตาจะไหล เพราะสำหรับเขามันคือโศกนาฏกรรมแท้ๆ

“พระเจ้าซอส! น้องบีทุบสถิติหนึ่งแสนแล้วครับ! โอ้โหไม่อยากเชื่อ! ดาวรุ่งพุ่งแรงสุดๆ เอาไม่หยุดฉุดไม่อยู่แล้วนาทีนี้! มาดูกันครับว่าจะปิดดีลที่เท่าไหร่! เอ้า หนึ่งแสนครั้งที่หนึ่ง!”

ดีเจพากย์ใส่อารมณ์ดุเดือดราวกับเวทีมวยราชประสงค์ ทำเอาอะดรีนาลีนในห้องพลุ่งพล่าน ลูกค้าที่ตกรอบกลายเป็นคนดูก็พลอยลุ้นไปด้วย ลุงอ้วนกับป้าเหี่ยวเหลียวดูหน้ากันอย่างจิกกัด ดูเหมือนฝ่ายป้าจะเสียเปรียบเพราะนางถึงกับถอดแหวนแล้วหันไปถามเจ๊ (เจ้าของร้าน) ว่า

“ใช้แหวนนี่แทนได้มั้ย จูบิลี่แท้ ราคาห้าหมื่น”

“ไม่มีปัญหาค้าาา” เจ๊ขานรับเสียงหวาน

เพื่อให้ได้นอนกับหนุ่มหล่อระดับไอดอล งานนี้เห็นทีจะมีคนหมดตัว แต่ป้าแกคงยอมล่ะ   

“แสนห้าแล้วครับ! เฮียสู้ไม่สู้!” ดีเจกระตุ้นเสี่ยอ้วน

“จิ๊บๆ!” เสี่ยยิ้มจนตาหายกลายเป็นเส้นขีด “อั๊วให้เลยสองแสน จบมั้ย!”

“โหหหหหหหหห”

ราวกับคลื่นยักษ์แห่งความตื่นเต้นเข้าถล่ม ผู้คนโห่ร้องราวกับไม่เชื่อหู เจ๊เจ้าของร้านกรี๊ดลั่นจนลูกกระเดือกสั่นคลอน (เพราะนางได้ส่วนแบ่งตั้งเจ็ด
สิบเปอร์เซ็นต์) ส่วนเบย์ถึงกับเข่าทรุด น้ำตาร่วงเผาะผ็อย

กูต้องแดกมะเขือเหี่ยวจริงๆ เหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย

“สุดยอดไปเลยครับเฮีย! มาเพื่อฆ่าทุกคนจริงๆ สิเนี่ยให้ตายเถอะ ไม่ทำให้ผิดหวังเลยครับ เอาล่ะตอนนี้น้องบีก็กำลังก้าวขึ้นราชรถเอสแอลเคไปครึ่งตัวแล้วล่ะครับ เหลือแค่นับถอยหลัง สองแสนครั้งที่หนึ่ง!”

ป้าแก่ยกมือขึ้นกุมหน้าร้องไห้งอแงออกไปจากห้อง

เบย์ก็ร้องเหมือนกัน

“หูย ดูสิครับ น้องบีปลาบปลื้มในความสำเร็จถล่มทลายของตัวเองจนถึงกับน้ำตาเล็ดเชียวครับ”


พ่องสิ กูสิ้นหวังโว้ยยยย!!!


เบย์ได้แต่ร่ำร้องในใจ แต่ลำคอตีบตันจนไม่อาจเปล่งเสียง

กูล้มมวยตัวเองได้ไหมวะ? เงินในบัญชีมีล้านกว่าๆ อยู่นะ แต่นั่นก็เป็นเงินเก็บสร้างบ้านอ่ะ ไม่อยากถอนมาใช้ไร้สาระ แต่จะให้ไปนอนกับไอ้เฒ่านั่น....

“สองแสนครั้งที่สอง!”

ไม่!!! คนอย่างเสือเบย์ไม่ยอมถูกซื้อง่ายๆ หรอก ถึงจะได้ตั้งหกหมื่นหลังหักเปอร์เซ็นต์แล้วก็เหอะ แต่ศักดิ์ศรีกูราคาแพงกว่านั้นเฟ้ย!
เบย์ลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแกร่งพร้อมกับการประกาศอีกครั้ง

“สองแสนครั้งที่สาม หมดเว...!”

“ช้าก่อน!!!”

เกิดความงุนงงสงสัยปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เมื่อมีชายคนหนึ่งตะโกนขัดคอดีเจในวินาทีสุดท้าย ทุกคนหันซ้ายหันขวามองหาว่าเขาเป็นใครและขัดขวางทำไม กระทั่งเขาเดินออกมาจากเงามืดตรงมุมห้อง รูปร่างสูงสง่าแขนขายาว อกกำยำล่ำสันนั้นทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเกรงๆ และยอมหลีกทางให้เดินโดยอัตโนมัติ

“เอ่อ ไม่ทราบพี่ชายมีข้อขัดข้องประการใดขอรับ”

ดีเจถามออกไมค์ด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เพราะขนาดตัวต่างกันเหมือนนักบาสกับขี้ยา

หนุ่มปริศนาถอดหมวกแกป ถอดแว่นดำ จ้องเขม็งไปที่คนบนเวที

เท่านั้นแหละ เบย์ก็คิดว่ายอมกินมะเขือเผาเน่าๆ ยังจะดีซะกว่า

“ไอ้ฝรั่งเก๊...”

“ไอให้หนึ่งล้าน”

“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย” นี่คือเสียงของเบย์ ดีเจ เจ๊ และโฮสต์ๆ รวมกัน

“ทุกคนได้ยินมั้ยครับ หนึ่งล้านบาท!!! ไม่ใช่แค่ทุกสถิติร้านแล้วงี้ แต่กะหร...เอ๊ย โฮสต์ทั้งโลกต้องศิโรราบให้น้องบีแล้วครับ! หูยยยย ผมขนลุกตั้งแต่หัวยันซอกตูดเลยครับเนี่ย!”

บรรยากาศของสองแสนเมื่อกี้ดูกลายเป็นขี้มดไปเลยเมื่อเจอหนึ่งล้านของไอ้ฝรั่งนี่ เรียกว่ามาเพื่อน็อค หมัดเดียวจอดของแท้ เจ๊เจ้านายของเขาถึงกับตีลังกาสามตลบมาสยบกราบเท้ามันเลยอ่ะ พวกโฮสต์ก็เข้าไปรุมล้อมเสนอตัวให้อย่างหน้าไม่อาย ส่วนลูกค้ารวมทั้งเสี่ยที่พ่ายแพ้แบบงงๆ ก็ด่าทออย่างไม่พอใจ คงมีแต่เบย์คนเดียวที่ตัวแข็งทื่อไร้ปฏิกิริยาตอบโต้


ทุกคนจะดีใจกันไปทำไม...

ทุกคนรู้มั้ยว่ากำลังจะซวยกันหมดนี่...

มันไม่ได้มาซื้อตัวเค้า...


แต่มันมาทลายซ่องต่างหากล่ะโว้ยยยย

ไอ้ฝรั่งเก๊โยนกระเป๋าเป้ที่สะพายมาให้เจ๊ สาวสองเจ้าของร้านเปิดดูแล้วก็ตาโตเท่าไข่ห่าน เพราะมันคือแบงค์พันสิบมัดในซีลจากธนาคาร รวมทั้งสิ้นหนึ่งล้านบาทถ้วน ได้เงินแล้วเจ๊ก็โกยค่ะ แต่เจ๊ไม่รู้หรอกว่าเดี๋ยวพอมันทลายซ่องแล้วมันก็ได้เงินคืน แต่เบย์รู้ แล้วทำไมต้องดีใจ

เสือในร่างโฮสต์มั่นใจแล้วว่าไอ้ฝรั่งนี่คือเจ้าหน้าที่ที่มาจับกุมเขาล้านเปอร์เซ็นต์ ก็นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่มันตามหาเขาจนเจอ ไม่ต้องอ้างว่าบังเอิญเพราะมันเกินไป เบย์ทั้งโกรธทั้งกลัว แล้วก็อาย

ทำไมเขาต้องถูกจับในสภาพกะหรี่ แทนที่จะเป็นโจร!!!

ร่างสูงย่างสามขุมเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าขึงขัง แววตาร้อนระอุประหนึ่งทหารเตรียมสังหารศัตรู ดูก็รู้ว่ากำลังโมโห สงสัยจะหงุดหงิดที่ใช้เวลานานกว่าจะตามหาตัวเบย์เจอ

แต่เสือมีหรือจะยอมถูกล่า เบย์มองหาช่องว่างด้านล่างเพื่อใช้เป็นทางลง แต่ก็อย่างที่บอกว่าคนแน่นจนแทบเหยียบกัน โชคร้ายซ้ำซ้อนที่ประตูทางออกก็อยู่ข้างหลังไอ้ฝรั่งนั่น ทว่าเบย์ไม่มีทางเลือก เขาถอยกรูดไปข้างหลังคล้ายจะหนี แล้วกระโดดผลุงพุ่งทะยานเหาะข้ามหัวผู้คนไปยังประตู รวมทั้งหัวไอ้ฝรั่งร่างโย่งด้วย ท่ามกลางความตกใจและสงสัยของทุกคนว่าทำไมเบย์ต้องหนี

แต่อีกฝ่ายก็ไวพอที่จะวิ่งเข้ามาตะครุบจนเบย์ล้มคว่ำก่อนที่จะทันคว้าลูกบิดประตู มิหนำซ้ำยังจับอุ้มขึ้นพาดบ่าด้วย

“ไอ้เวร! ปล่อยกู!” เบย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บใจ   

ไม่ว่าเขาจะดิ้นขัดขืน ทุบตีเตะถองยังไงไอ้ฝรั่งก็ดูจะไม่กระทบกระเทือนเลยสักนิด ราวกับฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี จากนั้นเบย์ก็ถูกพาตัวออกจากห้อง ทิ้งให้ผู้คนอ้าปากค้างอย่างงุนงงต่อไป

เขาถูกทุ่มลงกับเบาะหลังรถ ตามด้วยถูกจับนอนคว่ำโดยคนข้างบนใช้มือใหญ่หนาปานมือเปรตกดหัวเขาไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างรวบสองมือเขากำไว้ด้วยมือเดียวในท่าไพล่หลัง เบย์ผวาเฮือกหัวใจแทบหยุดเต้น ภาพการทารุณกรรมทางเพศคืนนั้นหวนกลับมาหลอกหลอนอีกรอบ

แต่ไอ้ฝรั่งก็ไม่ได้ปลดเข็มขัด เนคไท หรืออะไรมามัดข้อมือเขา หากแต่เป็นวัตถุแข็งๆ เย็นๆ ที่มีเสียงดัง ‘คลิก’ แล้วก็ลุกออกไป ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เสียใจด้วยบี ยูว์ถูกจับกุมแล้ว”

“............”

กุญแจมือหนักมากจนเบย์รู้ว่าไม่ใช่ความฝัน



หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.28 ขังดึก (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-03-2019 17:34:35


28
ขังดึก




ทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมทำไมต้องเป็นกู!!!


เบย์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่เบาะหลังระหว่างที่ผู้พันขับรถ พูดอะไรไม่ออกเนื่องจากช็อกเกร็งไปทั่วร่าง มีเพียงเสียงตะโกนในใจที่ดังก้องซ้ำไปมาด้วยความสิ้นหวัง ทำไมเขาต้องถูกจับทั้งที่ตอนนี้วางมือจากการโจรกรรมมาทำงานสุจริต (เหรอ) แท้ๆ

ถ้ามันทำคดีลักพาตัวแสงเทียน ทำไมมันถึงไม่ไล่กวดตัวการใหญ่อย่างพี่อู๋? มาตามลิ่วล้ออย่างเขาทำไม หรือคิดว่าจับเขาแล้วจะสาวไปถึงตัวพี่อู๋ได้? เหอะ ไม่มีวันซะหรอก เอามีดมาจ่อคอหอยเขาก็ไม่มีวันขายความเชื่อใจของพี่ชายเด็ดขาด

หรือมันจะแค่หยั่งเชิงเพื่อดูความผิดปกติของเขา? จริงๆ แล้วมันอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวจริงเขาเป็นใคร เพราะตะกี้มันเรียกเขาว่า ‘บี’ ไม่ใช่บอม/ เบย์ บางทีตอนนี้มันอาจกำลังรอให้เขาหลุดปากสารภาพด้วยตัวเองล่ะมั้ง... แต่ฝันไปเถอะว่ะ

เบย์หัวใจกระตุกวูบเมื่อเห็นสถานีตำรวจอยู่ข้างหน้า ทว่าไอ้ฝรั่งเก๊ก็ไม่ได้ตบไฟเลี้ยวเข้าไปแต่อย่างใด กลับขับผ่านไปเฉยๆ ทำให้เขาโล่งใจไปครึ่งหนึ่ง

“เป็นไร ทำไม้เงียบ”

ผู้พันถามเสียงเข้มขรึม มองอีกฝ่ายจากกระจกมองหลังด้วยดวงตาร้อนระอุ ดูเหมือนจะโกรธเบย์มากกว่าที่เบย์โกรธเขาซะอีก

“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ” คนถูกจับกุมว่า

“ยังไม่สำนึกอีกรึไงว่าทำอะไรลงไป” น้ำเสียงประชดประชัน

“เรื่อง?” เบย์ตีหน้าซื่อ รอดูเชิง

“ก็ที่ยูว์ขายตัวไง!”

“......”

“รู้มั้ยไอโมโหมาก ยูว์อาร์มายบอยเฟรนด์นะ! ทำไมถึงทำอย่างน้าน? ถามจีงไม่อายบ้างเหรอ”

“.....”


เดี๋ยวๆ นี่ไม่ได้จับเพราะกูเป็นโจรหรอกเหรอ   


“กะ...กูจะทำไรก็ไม่เกี่ยวกับมึง อย่ามาอ้างว่าเป็นบอยฟงบอยเฟรนด์ ถ้าแค่นอนด้วยกันครั้งเดียวแล้วนับว่าเป็นแฟน กูก็มีผัวเป็นแสนคนแล้วล่ะงั้น” เบย์จัดการแถ หนุ่มฝรั่งได้ฟังแล้วก็ฉุนออกจมูก

“ฮึ! ยูว์โกหกได้แย่มาก เลือดของยูว์ที่เปื้อนเตียง That night บอกไอว่าไอเป็นผัวคนแรกของยูว์ แล้วเรื่องอะไร้ไอจะให้เมียไปนอนกับคนอื่น!”

“ไอ้เหี้ย!!!” เบย์เขินจนหัวหูร้อนฉ่า ยกเท้าถีบเบาะด้านหน้าตรงตำแหน่งคนขับแรงๆ

“ยูว์คิดว่าไอไม่รู้ไม่เห็นช่ายมั้ย หึ! Don’t underestimate my skill! ไอน่ะเก่งม้ากเรื่องตามหาคน เลิกคิดจะเปลี่ยนจ็อบหนีไอด้วยนะ แอนีเวย์ไอก็จะหายูว์จนเจอ”

เบย์บอกไม่ถูกว่าจะโกรธ เขิน หรืออะไรดี แต่ที่แน่ๆ คือโล่งอก

“แล้วทำไมต้องจับมาอย่างป่าเถื่อนด้วยวะ นี่คนนะไม่ใช่สัตว์ ทำรุนแรงเกินไปแล้ว” เบย์โวย

“ก็ยูว์ชอบหนี”

นาทีนี้เขาโคตรจะเข้าใจความรู้สึกของแสงเทียนเลย...

“แต่ใส่กุญแจมือนี่มันเกินเหตุไปมั้ย!”

“It’s just a toy.” มันหัวเราะ

คนบ้าที่ไหนมีของเล่นเป็นกุญแจมือ เบย์ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ก็ไม่ขุดคุ้ย เกรงว่าจะดูเหมือนผู้ร้ายร้อนตัว และจะเผลอไปสะกิดต่อมสงสัยของมันเอาได้ เลยเปลี่ยนเรื่อง

“เงินหนึ่งล้านอีก ไปเอามาจากไหน วันก่อนค่าเหล้ายังไม่มีจ่าย”

“ก็ไอรวย”

“เหรอ ทำงานอะไรล่ะถึงรวย” คำถามฟังดูคล้ายประชด แต่คือการหยั่งเชิงในที 

คนขับกระตุกยิ้ม “เซลส์แมน”

“เชื่อตาย” เบย์กลอกตา

“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ยูว์ แต่รู้ไว้นะ ว่าไอทำไปเพราะอยากช้วยยูว์ ยูว์ควรขอบใจไอมากกว่า ไม่งั้นยูว์ต้อง sleep with คาง cock ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกว่าจะได้หนึ่งล้าน”

“คางคก ไม่ใช่คางค็อก”

“There’re cocks, too”

“คิดจะอ้างบุญคุณเหรอ เหอะ! ที่แท้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น มัดมือชกชัดๆ เนี่ยเหรอพลเมืองประเทศแห่งความเท่าเทียม เผด็จการสิไม่ว่า”

คำด่าแสบๆ จากหน้าใสๆ ทำให้ผู้พันเจ็บจี๊ดยิ่งกว่าถูกมีดบาด แต่เขาไม่ตอบโต้เพราะไม่อยากเทน้ำมันราดกองไฟ เพียงแต่ขับไปเรื่อยๆ ปล่อยเบย์ด่าดิ้นทุรนทุรายให้เหนื่อย จะได้จัดการง่ายๆ

รถของอเมริกันแมนเลี้ยวเข้าโรงแรมหรูที่มีคำว่า Lord แล้วจอดตรงที่มีป้ายวีไอพี แสดงว่าความรวยของมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จากนั้นมันก็ลงจากรถมาเปิดประตูฝั่งเขา แล้วอุ้มขึ้นพาดบ่าออกไปหน้าตาเฉย เบย์อายแทบตายกลัวใครเห็น แต่เนื่องจากเวลานี้ดึกมาก แถมยามก็หลับสัปหงก เขาจึงโล่งอกไป เจอก็แต่รีเซปชั่นของโรงแรมที่ร้องว้ายตอนฝรั่งโย่งเดินแบกเขาเข้ามา ทว่าพวกเธอก็ไม่ถามไถ่ใดๆ คงเพราะเกรงใจแขก

ความจริงผู้พันมีบ้านและคอนโดที่กรุงเทพฯ แต่ไม่พักที่นั่น เพราะไม่อยากให้ใครรู้ตัวจริง โดยเฉพาะหนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้ เขาต้องการเวลาเพื่อแน่ใจในความสัมพันธ์ก่อน อีกอย่างหากเปิดเผยตอนนี้...การกระทำผิดพลาดที่ผ่านมาอาจทำให้อาชีพอันทรงเกีรยติสูงส่งของเขาแปดเปื้อนได้

ลิฟต์เลื่อนขึ้นสู่ชั้น A หรือก็คือชั้นสิบสาม ช่างเป็นเลขมงคลเสียจริง ร่างสูงเดินไปสู่ห้องริมสุด เปิดประตู พุ่งไปยังเตียง แล้วเหวี่ยงเบย์ลงเหมือนกระสอบข้าวสาร

“เชี่ยเอ๊ย!”

หนุ่มหน้าใสร้องลั่น ร่างกระเด้งกระเด็นกระดอนเหมือนอยู่บนแทรมโบลีน เขาคิดว่าฉากต่อไปไอ้ฝรั่งต้องจับเขากระชากเสื้อผ้าแล้วเล่นบทสวาทแบบจิตวิตถารเป็นแน่ จากนั้นก็จะเฆี่ยนด้วยแส้และหยดน้ำตาเทียนใส่ร่าง

“เลิกมองไอเหมือนผู้ร้ายได้แล้ว” มิสเตอร์แฮมิลทันหรี่ตามองคนบนเตียงอย่างเพลียๆ แต่ประโยคกำกวมนั่นยิ่งทำให้เบย์ระแวงหนักไปอีก


ที่ว่าเหมือนผู้ร้าย หมายถึงกูหรือมึงอ่ะ


“จะทำไร” เบย์ถาม พยายามประคองเสียงไม่ให้สั่น ไม่งั้นจะดูเป็นคนขี้แพ้

“ไม่ได้จะทำอะไร แต่จะคุยเฉ้ยเฉย”

“คุยเรื่อง?”

หนุ่มฝรั่งนั่งลงที่เก้าอี้หวายปลายเตียง กล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง “ยูว์ต้องเลิกทำงานที่บาร์นั่น”

“ทำไมต้องเลิก มึงเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”

“คิดว่าไอใช้เงินหนึ่งล้าน for one night stand?”

“แต่กูก็ไม่ได้ขอให้มึงจ่ายซักหน่อยนี่ สมัครใจเองไม่ใช่ แล้วจะมาทำเป็นทวงบุญคุณทำไม” พูดถึงตรงนี้ก็ชักมีน้ำโห “ถ้าจะทำให้มึงเลิกตื๊อกูล่ะ
ก็ กูไม่เอาก็ได้หนึ่งล้านอ่ะ พรุ่งนี้ไปเอาเงินมึงคืนซะ!”

“โนเวย์”

“ไอ้ขี้ขลาด!”

“แปลว่าอะไร้?”


นั่นดิ ภาษาอังกฤษกูก็โง่อีก ด่าเป็นแค่ฟัคๆ ชิทๆ รู้งี้ดูหนังฟังเพลงให้มากกว่านี้ก็ดี


“ไอ้... โอ๊ย! ให้ตายกูก็ไม่รับเงื่อนไขมึงหรอก ยอมนอนกับอึ่งอ่างคางคกยังดีกว่า!”

มิสเตอร์แฮมิลทันได้ยินอย่างนั้นก็ควันออกหู ผุดลุกขึ้นด้วยดวงตาแข็งกร้าว รังสีโหดแผ่รอบกาย ทว่าก็ไม่ได้ลงไม้ลงมืออย่างที่เบย์กลัว เขาล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงให้ดู มันคือลูกกุญแจ

“This is a shackle key. Say goodbye to it.” ว่าแล้วใช้มันชี้ใส่ตัวเบย์ แสดงว่าเป็นตัวที่ไขกุญแจมือนั่นเอง จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างและเปิดบานเลื่อนออก

“เฮ้ย เดี๋ยวววววววว” ผู้ถูกตรวนร้องลั่น วิ่งปรู๊ดเข้าไปขัดขวาง ผู้พันง้างแขนค้างกลางอากาศ ก้มมองด้วยสายตาสุดจะเย็นชา

“เปลี่ยนใจแล้วรึ?”

“มึงนี่แม่ง!” เบย์พ่นลมออกจมูกฉุนๆ “ไม่ลาออกได้ไหม ออกแล้วกูจะเอาอะไรกิน”

“ไอเลี้ยงยูว์ได้”

“ไม่เอา กูไม่อยากเป็นเด็กเสี่ย!” ปฏิเสธทันควัน

“งั้นม่ายต้องลาออก แต่ห้ามขายตัวอีก โอเคมั้ย”

“....”

“ที่ไอทำก็เพื่อยูว์นะ ยูว์ทำแบบนั้นไม่มีผลดีอะไร้เลย เกิดไปเจอคนเลว โดนทำร้ายขึ้นมาจะทำยังไง? อีกทั้งเสี่ยงโร้คร้ายๆ ยูว์อยากอายุสั้นเหรอ? อิมเมจก็เสียหาย คนอื่นรู้ก็มีแต่โดนนินทา เป็นตราติดตัวไปจนตาย ยูว์ไม่คิดบ้างเหรอ?”

“พอๆๆๆๆ นี่คนหรือพระวะ เทศน์เก่งชิบ” เบย์ทำตาขวางมองอย่างเคืองๆ แล้วก็ถอนหายใจ "เออก็ได้ ไม่ขาย”

“ดี... แม้ว่าจริงๆ ยูว์ก็ไม่เคยขายอยู่แล้ว” คนถือกุญแจยิ้มอย่างพอใจ เดินกลับไปที่เก้าอี้ตัวเดิม

“ตกลงแล้วก็ปล่อยกูดิ” เบย์ท้วง

“Not yet. Tomorrow, maybe.”

“โอยยยยยย เมื่อยจะตายแล้วเนี่ย”

ผู้พันนึกสงสารเลยจับเบย์หันหน้าเข้าผนัง เอามือกดคอ ท่าเดียวกับจับผู้ร้าย จนเบย์ชักใจไม่ดี แล้วก็ไขกุญแจมือให้ แต่ไม่ได้ปล่อยหรอกนะ แค่เปลี่ยนเอามือมาไว้ข้างหน้าแทน

“ขอบคุณ!”

ทหารหนุ่มหัวเราะหึๆ แล้วลุกไปหยิบสมุดเล่มกับปากกาขึ้นมา เขียนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะฉีกแล้วยื่นให้เบย์

“อะไร” เขาขมวดคิ้วมองลายมือหวัดๆ อย่างงุนงง ทั้งอ่านไม่ออก แปลไม่ได้

“สนธิสัญญาระหว่างเรา ยูว์คงไม่คิดว่าไอจะให้เงินหนึ่งล้านง่ายๆ แค่ปากเปล่าหรอกนะ” เจ้าของกระดาษบอก “ลงนามซะ พร้อมประทับลายนิ้วมือ”


ไอ้เจ้าเล่ห์!!!! ในที่สุดก็หางงอกซักที คิดจะเอาลายนิ้วมือกูไปยืนยันในหมายจับสิท่า แผนตื้นๆ คิดเหรอว่ากูดูไม่ออก!


แม้จนตรอกแค่ไหนเบย์ก็ไม่คิดยอมแพ้

“ขอปรึกษาทนายก่อน” เบย์บอก ผู้พันถึงกับเลิกคิ้วพิศวง

นี่แน่ะ ให้มันรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กอมมือ...ทนายที่ว่าก็คืออเล็กซ์ จะให้มันแปลภาษาอังกฤษให้เฉยๆ ถ้าบอกตรงๆ ว่าอ่านไม่ออกก็ดูโง่น่ะสิ

“ตามใจ”

ผู้พันยื่นกระดาษให้ เบย์รับไป เดินไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะควักมือถือจากกระเป๋ากางเกงอย่างทุลักทุเล เอาออกมาถ่ายส่งให้อเล็กซ์ดู ผ่านไปห้านาทีเพื่อนรักก็ตอบกลับมา แปลรวมๆ ว่าตราบใดที่ยังมีชีวิต เบย์ต้องไม่ขายตัวอีก หากฝ่าฝืนจะโดนปล้ำคูณสิบเท่าของจำนวนครั้งที่ขาย

ไม่มีผลทางกฎหมายหรอก มันแค่จะหลอกเอาลายนิ้วมือมึงน่ะ ระวังด้วย’

เสริมท้ายมาแบบนี้ เบย์เลยขยำทิ้งได้อย่างสบายใจ

“เฮ้! ยูว์ทำอะไร” ผู้พันโวย

“สัญญาเอาเปรียบกันแบบนี้ จะให้ยอมรับได้ไง ฝันไปเหอะ”

เจ้าของห้องดูโกรธ แต่ก็ไม่ว่าอะไร บางทีอาจจงใจแกล้งเบย์เฉยๆ ตั้งแต่แรกก็ได้ เขาเปลี่ยนไปนอนที่โซฟาตัวยาว

“โอเค้ บี ฟรอมนาวออน ไอจะไปเฝ้ายูว์ตั้งแต่เข้างานยันเลิกงาน ถ้าเห็นยูว์ทำแบบวันนี้อีกล่ะก็ ไอจะลงโทษยูว์จริงๆ”

“.....”

“ดึกแล้ว นอนเถอะ กู้ดไนท์ สวิตช์ไฟอยู่ที่หัวเตียง”

“...จะไม่ทำอะไรกูจริงนะ”

“ไอเป็นเจนเทิลแมนมากพอน่า”

“ถุย”

“หรือยูว์อยากให้ทำ?”

“โนวววววววว์!”

ผู้พันหัวเราะหึๆ ก่อนจะหันหลังให้เบย์ ไม่รู้หลับจริงหรือเล่น แต่เบย์ก็ไม่ไว้ใจ อีกอย่างเขาชินกับการตื่นกลางคืน นอนกลางวันเป็นกิจวัตรนับแต่เป็นโจร ยังไงก็หลับไม่ลงอยู่ดี คงต้องเฝ้ายามให้ตัวเองยันหว่าง

ดวงตาใสเพิ่งมีโอกาสสอดส่องภายในห้อง ตรงมุมหนึ่งมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะกลับอเมริกา... ขอให้ไปก่อนเขากับเดอะแก๊งทำภารกิจสำเร็จทีเท๊อะ จะได้ไม่ต้องเจอกันอีกตอนเริ่มชีวิตใหม่

“ทำไมไม่หลับ”

คนบนโซฟาส่งเสียง คงเพราะเบย์ไม่ยอมปิดไฟ

“กูไม่ไว้ใจมึงอ่ะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ถึงไอจะทำ แล้วไง? ไม่ใช่ครั้งแรกนิ”

“หุบปาก!”

“งั้นดูหนังกันมั้ย ยาวๆ โต้รุ่งไปเล้ย ตระกูล Trilogy จบก็เช้าพอดี”

“เดอะฮอบบิท หลอดลิง?”

“Fifty Shades”

“XXX เหอะ!!”

ผู้พันก็เลยโดนด่าด้วยอาวุธของพระเอกไปเต็มๆ แต่ก็หัวเราะร่าอย่างไม่ถือสา แล้วก็เงียบ เบย์สังเกตจังหวะการหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ ช้าๆ ยาวๆ ก็รู้ว่าหลับจริง เลยหายใจได้ทั่วท้องซักที

จริงๆ เขาอยากหนีเลยด้วยซ้ำ แต่สภาพไม่เอื้ออำนวย ชาวบ้านจะคิดว่านักโทษแหกคุกแล้วเรื่องจะยุ่งกว่าเดิมเอาได้
ลูกกุญแจเหรอ? เหอะ อย่าหวัง ตะกี้ผู้พันเอาใส่ในกางเกงลิงแล้วเรียบร้อย ซึ่งเบย์ยอมถูกขังดีกว่าแตะต้องของๆ มัน ยี้!!

สุดท้ายเขาก็โต้รุ่งพร้อมกับซีรี่ส์ไตรโลจี

อย่าถามแล้วกันว่าเรื่องอะไร




///

เป็นพาร์ทที่วายป่วงมาก เหนื่อยแทนเบย์เลย 5555
ตอนหน้าพระนางมาแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 29-03-2019 17:44:39



29
คนขาย หมายเลขถัดไป



สิบโมงเช้า

เบย์มารับผมออกจากโรงพยาบาลแล้วพามาค้างที่ร้านของเขา เป็นตึกเดี่ยวสี่ชั้นที่ด้านล่างทำเป็นบาร์ ชั้นสองเป็นห้องพักชั่วคราว (กรณีลูกค้าเมากลับบ้านไม่ไหว) ชั้นสามเป็นที่เก็บของ ชั้นสี่เป็นห้องเปล่า ซึ่งเจ๊เจ้าของร้านให้ลูกจ้างอยู่ได้ฟรีๆ คิดแค่ค่าน้ำค่าไฟ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่เบย์เลือกทำงานที่นี่ล่ะมั้ง คือมันประหยัดดี

เบย์แนะนำผมกับเจ๊ บอกว่าเป็นเพื่อน ชื่อเทป (ตั้งใหม่ไม่ถามกันสักคำ) และยังกำชับให้ผมเรียกเขาว่า ‘บี’ ด้วย จากนั้นก็พาขึ้นห้อง เป็นห้องโล่งๆ มีแต่ตู้กับเตียง สมเป็นที่ซุกหัวนอนอย่างเดียวจริงๆ

“อยากถามตั้งแต่อยู่โรง’บาลแล้ว นายไปทำอะไรมา หน้าตาเหมือนไม่ได้หลับไม่ได้นอน” ผมถามขณะนั่งลงที่เตียง ก่อนหน้านี้ถามไม่ได้เพราะมีแต่คนนอก หมอ พยาบาล คนขับแท็กซี่

เบย์ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลา ท่าทางเหมือนจะตาย “ถูกแล้ว ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน นี่ยังไม่เคยเล่าให้ฟังใช่ป่ะ ว่ามีคนบ้าตามเราอยู่”

“หึ” ผมส่ายหัว

“มันเคยเจอเราสมัยยังเป็นโจรผมยาวรุงรังน่ะ แต่พอเราปลอมตัวใหม่ มันก็ตามหาจนเจอ เปลี่ยนมาสามที่แล้วก็ยังเจออีก เราเลยสงสัยว่ามันอาจเป็นตำรวจ ไม่ก็นักสืบ ถึงกัดเราไม่ปล่อย”

“แต่นายก็รอดมาได้ทุกที”

“อืม... คงเพราะมันยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับเราล่ะมั้ง อย่างเมื่อคืนมันก็ฉุดเราไป แถมใส่กุญแจมือ เรานึกว่ามันจะพาส่งโรงพักซะอีก แต่ก็ไม่ เหมือนขู่ให้กลัวเฉยๆ”

“เขาทำ...กับนายป้ะ” ผมถามอย่างเกรงใจ

เบย์หน้าแดงทันที “ไม่ๆๆ แค่ขังเฉยๆ”

ผมไม่เชื่อหรอก ต้องมีซัมติงระหว่างเขาสองคนแน่ๆ แต่ผมรักเบย์ เกินกว่าจะซักไซ้ให้เขาลำบากใจ

“จริงสิ เรายังไม่ได้พูดเรื่องนั้นเลย” เบย์ลุกขึ้นนั่ง มองผมด้วยใบหน้าตึงเครียด “พี่อู๋บอกว่าศัตรูของเขาหมายตานายใช่มั้ย ไอ้มาเฟียหน้าตี๋นั่นน่ะ เฮียกลัวมันจะเจอนาย ยิ่งออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ยิ่งไม่ปลอดภัย”

“แล้วไง จะให้เรากลับไปอยู่กับมันเหรอ?”

“เปล่า...เราบอกเฮียว่าจะดูแลนายไม่ให้คลาดสายตา นายเองก็ต้องระวังตัวมากๆ อย่าลงไปข้างล่างตอนร้านเปิด เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ลูกค้าต่างชาติก็เยอะ ใครจะรู้ว่าไอ้มาเฟียนั่นอาจบังเอิญมาก็ได้”

“นายจะให้เราอยู่ในห้องเฉยๆ แบบนี้ไปถึงสิ้นเดือนงั้นเหรอ อึดอัดตายพอดี” ผมถอนหายใจ

“ก็คงต้องเป็นงั้น ช่วยอดทนหน่อยนะ” เบย์บีบมือผม ทำหน้าอ้อนๆ เหมือนลูกหมา เจอแบบนี้ใครบ้างจะไม่ใจอ่อน

“เฮ้อ...เอาก็เอา แต่ขออะไรอย่างได้มั้ย”

“หลายๆ อย่างก็ได้ พี่อู๋ฝากเงินมาให้ดูแลนายตั้งเยอะ อยากได้อะไรก็บอกเราเลย”

สันดานโจรจริงๆ เอะอะก็โยนเงินให้ แต่ไม่เคยมาแคร์

“ช่วยไปซื้อหนังสือเรียนให้ที เราอยากตามเพื่อนทันตอนกลับไป”

ปลายเดือนหน้าก็เข้าช่วงสอบไฟนอลแล้ว ผมไม่อยากพลาดเพียงเพราะขาดเรียนไปหนึ่งเดือน ถึงแม้อาจารย์น่าจะเข้าใจก็เหอะ แต่ผมไม่ต้องการความสงสารเห็นใจจากใครทั้งนั้น มันจะยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ผมอยากกลับไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ได้สิ เขียนชื่อหนังสือมาเลย”

เขาเป็นเพื่อนที่โคตรน่ารัก

ผมพิมพ์ชื่อตำราเรียนทุกวิชาใส่โน้ตในมือถือของเบย์ นับเป็นครั้งแรกในรังโจรที่ได้สัมผัสโทรศัพท์ ใจจริงผมอยากโทรหาคนทางบ้าน ป่านนี้แม่คงใจแหลกสลายเพราะข่าวของผมแน่ๆ แต่ผมก็ต้องข่มใจ อีกแค่สองอาทิตย์เอง คิดซะว่ามาเข้าฝ่ายฝึกความอดทน...

พิมพ์เสร็จก็ส่งให้เบย์ เขารับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

“นายนี่หนักแน่นจริงๆ”

“เรารับปากกับนายแล้วไง”

เบย์น้ำตารื้นๆ แล้วก็สวมกอดผม กอดแน่นมาก

“นายเป็นคนดี นายไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้”

“....”

“เราสัญญานะแสงเทียน เราจะทำทุกอย่างให้นายรู้สึกดีขึ้น บรรเทาความบัดซบที่นายเจอ แม้มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ได้โปรดบอกเรานะ”

“ขอบคุณมากเบย์” เขาทำผมน้ำตาซึม ในชีวิตจริงไม่เคยมีเพื่อนคนไหนพูดกับผมแบบนี้เลย

“เรื่องพี่อู๋ก็เหมือนกัน เรารู้เต็มอกว่าเฮียเค้ารักนาย นายเองก็รู้ใช่มั้ย? เราจะพาเฮียมาขอโทษนายให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะลากคอมา”

ผมเศร้านะ แต่ก็เผลอหัวเราะจนได้

เราคลายกอดกัน แล้วเบย์ก็ไป ก่อนไปผมฝากเขาซื้อยาย้อมผมมาให้ด้วย เพราะสีผมเก่าหมองน่าเกลียดไปแล้ว

น่าเกลียดเหมือนกับตัวผมตอนนี้...




สามทุ่ม

อีกด้านหนึ่ง อติศร แซ่อู๋ยืนกอดอกพิงกำแพงบ้านของเพื่อนสนิทด้วยอาการกระวนกระวาย เขาโทรขอนัดเจอตั้งแต่เมื่อวาน ทว่าเพื่อนรักบอกปัดเนื่องจากติดงาน กว่าจะว่างให้ก็ปาเอาป่านนี้ โจรรู้หรอกว่างานนักสืบไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น แต่ทิวาต้องการถ่วงเวลามากกว่า

หลังจากยืนตบยุงรอเกือบสิบนาที เจ้าของบ้านก็ส่งข้อความบอกว่าให้เข้ามาได้ เขาเลยผลักประตูเล็กที่ปลดล็อกจากรีโมทในบ้านแล้วผลุบเข้ามาอย่างว่องไว เดินดุ่มตรงไปที่ห้องครัวท้ายบ้าน...ทางเข้าประจำ

ทิวานั่งรอที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าอิดโรย แต่สภาพทรุดโทรม ใบหน้าชอกช้ำ ตาบวมแดงก่ำ กับฝ่ามือพันแผลของผู้มาเยือนทำให้ทิวาตกใจกว่า

“มึงเพิ่งตายมารึไงเนี่ย”

“อือ”

“โทษทีเพิ่งได้กลับ มัวแต่ไปไล่ดูหลักฐานเท็จของพวกชาวบ้านที่อ้างว่าเห็นมึงกับพรรคพวก แม่งแจ้งหวังจะเอาเงินรางวัลอย่างเดียวจริงๆ โคตรน่าเบื่อเลย”

“...”

“ไหนจะผอ. ทำพวกเรา...หมายถึงพวกตำรวจหัวปั่นหัวหมุนเพราะจำเฉดสีคนส่งจดหมายของอเล็กซ์ไม่ได้อีก กูแม่งหงุดหงิดชิบ หมวดบอกให้ไปไล่หาไลน์แมน กูก็งมไปดิ แล้วยัยป้านั่นก็มาบอกทีหลังว่าน่าจะเป็นสีเขียวเข้ม กูเองก็เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะเป็นเคฟ ถามหน่อยเขียวไลน์แมนกับเขียวพิซซ่ามันเหมือนกันตรงไหนวะ? แต่กูไม่โยงเคฟมาเอี่ยวหรอกนะ วางใจได้”

ขณะที่อีกฝ่ายบ่นให้ฟังยืดยาว โจรอู๋กลับไม่แสดงความเห็น รวมถึงไม่ยอมนั่ง เขารอโอกาสเมื่อเจ้าของบ้านพูดจบก็เอ่ยขึ้น

“วา กูขอพูดตรงๆ เลยนะ”

“...ฮึ?”

“กูอยากยกเลิกเงื่อนไข Friends With Benefits ระหว่างเรา”

พูดเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม อีกฝ่ายได้ฟังแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่งกว่าจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ทำไม...”

“กูไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว จับปลาสองมือ มันถึงเวลาแล้วที่กูต้องเลือก กูอยากพอแค่นี้ ยิ่งทำต่อไปก็ไม่ดีกับใครเลย”

“ใครที่ว่า คือแสงเทียนคนเดียวมากกว่ามั้ง”

โจรถอนหายใจ “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ”

“มาไกลขนาดนี้แล้ว มึงคิดว่ากูจะกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงได้เหรอ”

โจรอู๋ก้มหน้า “กูขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดกูเอง”

“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาโทษว่าใครถูกผิดหรอก” นักสืบกลั้นน้ำตาไว้สุดฤทธิ์ ลุกขึ้นยืนหันหลังให้แล้วเสมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง

“กูซาบซึ้งในทุกสิ่งที่มึงทำเพื่อกูนะ แต่มันถึงเวลาแล้วล่ะที่กูจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง”

โจรล้วงของบางอย่างจากกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ

มันคือกุญแจคอนโด

“มึงจะหยุดปกปิดคดีให้กูก็ได้ถ้ามึงต้องการ... ไม่เป็นไร... กูขอเลือกเป็นแค่โจรธรรมดา ไม่มีรถไม่มีบ้าน กูจะวิ่งหนีตำรวจหัวซุกหัวซุน อดมื้อกินมื้อ นอนในกองขยะ ดีกว่าอยู่สบายแต่ลำบากใจ”

นักสืบมองหน้าเพื่อนด้วยความอึ้งสุดชีวิต ตาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นริก ก่อนจะตวาด น้ำตาไหลพรากอย่างสุดกลั้น

“มึงมันโคตรไม่รักดี เลี้ยงไม่เชื่อง... กูทำให้มึงขนาดไหน ทำไมมึงทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้!”

“กูขอโทษ..”

“ทั้งที่มึงเป็นคนเสนอเงื่อนไขเองแท้ๆ แต่กลับเป็นคนทำลายมัน! มึงก็รู้ว่ากูรักมึง!!!”

ทิวาเข้าไปชกหน้าอกร่างสูงทั้งน้ำตา โจรอู๋ไม่โต้ตอบ ไม่ร้องโอดโอย แม้ว่าเขาจะเจ็บมากก็ตาม เพราะเขารู้ว่าทิวาเจ็บกว่าร้อยเท่า

“มึงเคยเห็นบ้างไหมว่ากูทำอะไรเพื่อมึงบ้าง? กูยอมทิ้งครอบครัวที่จีนแล้วตามมาเรียนม.ปลายที่ไทยเพื่อจะได้อยู่กับมึง! ถึงจะเรียนคนละที่แต่กูก็ยังช่วยมึงจนเรียนจบมาได้ ไม่กลายเป็นเด็กแว้นขี้ยาเหมือนเพื่อนของมึงที่ป่านนี้ตายห่ากันไปหมดแล้ว!”

“...”

“ตอนมึงโดนพ่อจับได้ว่ามีเมียเป็นผู้ชาย เลยตัดหางปล่อยวัด ญาติคนไหนก็รังเกียจ ใครให้ที่ซุกหัวนอน ให้ข้าวมึงกิน ให้เงินมึงใช้จนเหลือรอดเป็นผู้เป็นคนมาได้ กูถามที!”

“....”

“ตอนมึงเลิกกับเมียเพราะมึงไม่มีเงินให้มันถลุง ใครที่อยู่ด้วยตอนมึงเสียใจจะเป็นจะตาย คอยทำทุกอย่างเพื่อให้มึงรู้สึกดีขึ้น!”

“....”

“ตอนพ่อมึงตาย แม่มึงถูกจับเรียกค่าไถ่ ใครเป็นคนไปเจรจากับเฉินเชว่ให้ปล่อยตัวแม่มึง...กูไม่ใช่เหรอ?”

“.....”

“แล้วที่ต้องมาเป็นนักสืบทุกวันนี้ก็เพื่อช่วยกลบเกลื่อนบิดเบือนคดีให้มึงทั้งนั้น แหกตาดูว่ากูลงทุนให้มึงแค่ไหน ทั้งกาย ใจ สมอง เงินทอง จนกูแทบไม่มีเวลาแคร์ตัวเองด้วยซ้ำ”

“.......”

“กูให้มึงได้ทุกอย่าง ถ้าขายวิญญาณได้เพื่อให้มึงไม่ต้องตาย กูก็ทำไปแล้ว แต่ดูสิ่งที่มึงตอบแทนกูสิ มีอะไรบ้าง?”[/i]

“.....”

น้ำตาของคนฟังปริ่มขอบ เขาเหลือบมองเพดานเพื่อต้านไม่ให้มันไหลออกมา

“มึงคือความรักเดียวในชีวิตกู ไม่มีมึงกูก็ไม่มีเหี้ยอะไรแล้ว แต่วันนี้มึงกลับจะทิ้งกู แค่เพราะมึงรักคนอื่น! คนที่มาทีหลังกูด้วยซ้ำ!” 

น้ำเสียงของทิวาสั่นเครือเหมือนแผ่นดินจะทรุด โจรอู๋ก้มหน้าต่ำลงไปอีกเพราะไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของฝ่ายตรงข้าม มันทำให้เขาปวดระบมไปทั้งใจ และเกรงว่าจะเผลอใจอ่อนได้

“กูขอโทษจริงๆ”

“ไอ้เหี้ย...มึงมันเหี้ย....”

นักสืบซบหน้ากับบ่ากว้างของโจร ร้องไห้ตัวสั่น สองมือกำเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดหายไป

“อย่าคิดว่ากูหักหลังเลยวา กูพยายามแล้ว...พยายามมาตลอดที่จะรักมึงแบบนั้น แต่กูก็ทำไม่ได้ กูรักมึงแบบเพื่อนตั้งแต่แรก และก็เป็นแบบนั้นมาเสมอ กูฝืนไม่ไหวจริงๆ”

“....ฮึก”

“รักแบบที่ต้องพยายามน่ะ มันไม่ใช่รักหรอกนะ”

“.....”

พูดจบก็ดันร่างอีกฝ่ายออกห่างตัวช้าๆ 

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา เงินที่มึงให้ กูจะหามาคืนทุกบาททุกสตางค์ ไม่ให้เราติดค้างกัน... ส่วนความผิดที่ทำกับมึง กูขอรับไว้ทั้งหมด ให้เวรกรรมลงโทษกูเอง แต่ขอร้องให้มันจบเท่านี้เถอะ”

“มี่...”

โจรหนุ่มผละจากอีกคน ก้าวขายาวๆ เดินหายไปจากที่ตรงนั้นอย่างเร็วไวเพียงชั่วพริบตา พอประตูปิดลง นักสืบก็ทรุดตัวอย่างอ่อนแรงลงที่พื้นร้องไห้อย่างหมดสภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อคนที่เขาคิดว่าสำคัญ กลับถูกทำลายด้วยคำพูดไม่กี่คำ เหมือนความพยายามที่ผ่านมาตลอดหลายปีเป็นสิ่งไร้ค่า เขาเจ็บจนหาคำบรรยายไม่ได้ และรู้ว่าบาดแผลนี้จะไม่มีวันหายไปชั่วชีวิต

ความพยายามไม่เท่ากับความรัก

ทิวาเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง





......

สี่ทุ่ม

เบย์ลุกจากเตียง หลังจากนอนยิงยาวตั้งแต่สี่โมงเย็น (ผมเพิ่งรู้กิจวัตรเขาเป็นแบบนี้) มนุษย์กลางคืนของแท้ทีเดียว เจ้าตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสไตล์จัดจ้านไอดอลจ๋าเอามากๆ ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงกรี๊ด แต่ในสายตาผู้ชาย เขาดูน่ารักเหมือนลูกหมาเลยอ่ะ แล้วก็สงสัยว่าไอ้โรคจิตที่เบย์เล่าให้ฟัง ถ้ามันเป็นตำรวจจริง มันจะเก่งเกินไปไหม คือโจรเบย์กับน้องบีไม่มีอะไรเป็นจุดร่วมเดียวกันสักอย่างเลยนะ เหมือนขยะเปียกกับของแบรนด์เนม ผมว่าไอ้คนนั้นคงจะหลงเสน่ห์เบย์เฉยๆ ซะมากกว่า

วันนี้เกือบทั้งวันผมอ่านตำราเรียน กราบขอบคุณเบย์ที่อุตส่าห์หามาจนครบ บางเล่มไม่มีขายก็หน้าด้าน (เจ้าตัวใช้คำนี้) เข้าไปยืมคนในคณะซีร็อกซ์เป็นเล่มมาให้ผมเลยแน่ะ ต้องใจกล้าเบอร์ไหนอ่ะ โคตรรรรรน่ารัก ผมเลยจุ๊บเหม่งเขาไปสามทีเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรจะให้

อ่านจนคิดว่าน่าจะไล่ทันเนื้อหาปัจจุบันแล้วก็หยุดพัก เบย์ยืมโน้ตบุ้คของเจ๊เจ้าของร้านมาให้ ฝันสลายตรงที่ไม่มีเน็ต แต่ดีหน่อยที่เจ๊มีแผ่นหนังเป็นคลังแสง ผมจะได้มีอะไรทำฆ่าเวลา คาดว่าจบเดือนนี้ผมอาจเปิดเพจรีวิวหนังได้เลยล่ะ

ที่ต้องหาอะไรทำไม่ใช่เพราะเบื่อหรอกนะครับ แต่ผมไม่อยากอยู่นิ่งๆ แล้วปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านน่ะ... คนเราเจ็บได้ ร้องไห้ได้ แต่อย่าให้มันฉุดรั้งชีวิต ให้ตายยังไงเราก็ต้องไปต่อ โชคดีที่ผมผ่านประสบการณ์อกหักมาหลายครั้ง รอบล่าสุดที่โดนนายแบบนอกใจก็เจ็บน้อยกว่านี้ซะที่ไหน  ผมว่าตัวเองก็พอมีภูมิต้านทานระดับนึง

ที่จริงผมเสียใจนะ เสียใจมาก แต่ก็ไม่เสียดายหากมันจะจบลง

กลับกัน...ผมดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งนึงมันเคยมี เพราะตามหลักแล้วมันไม่ใช่ความรักที่ควรเกิดขึ้นเลย มันเป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรก แล้วก็ผิดต่อมาอีกหลายทอดจนกลายเป็นความรัก...แบบผิดๆ

แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมอายุแค่ยี่สิบสองเอง ชีวิตยังอีกยาวไกล ต้องเจอคนอีกมาก คงมีใคร...ที่ไหนสักแห่ง...ที่เป็นของผมจริงๆ
ฮ่า... ฟังดูเท่ใช่มั้ย แต่เอาจริงผมก็ยังแอบหวังให้มันมาขอคืนดีอยู่นะ เบย์บอกว่ามันกำลังหาทางไปคุยกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนั้นอยู่ เลยยังมาหาผมไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าไปเพื่อเคลียร์ข้อตกลงหรือง้อเขากันแน่

ผมให้เวลามันแค่สี่สิบแปดชั่วโมง...นับจากตอนที่เราแยกกัน

ตีสามถ้ามันยังไม่มา

ผมจะเป็นฝ่ายตัดใจจากมันเอง




“เด็กใหม่เหรอ ดื่มอะไรไหม พี่เลี้ยง”

ผมลงจากห้องมาร้านด้านล่างตอนห้าทุ่มกว่าๆ เพราะอยากรู้ว่าบาร์โฮสต์หน้าตาเป็นยังไง เคยได้ยินแต่ในหนังในนิยายของญี่ปุ่น อีกอย่างเบย์ก็ไม่อยู่ ตะกี้ผมมองจากระเบียงห้องเห็นเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ออกไปกับผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง รูปร่างเขาเหมือนทหารมากกว่าตำรวจ  สเปกเบย์เป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย

ด้วยเหตุนี้ผมเลยกล้าลงมาสำรวจข้างล่าง เจอเจ๊ นางชวนให้มาทำงานซะเลยเพราะกลัวผมเบื่อ แถมมีเงินใช้ด้วย แต่ผมปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากมันไม่เหมาะกับผม ขอเดินเล่นอย่างเดียวพอ

“ไม่ใช่โฮสต์ครับ ผมเป็นเพื่อนเบ...บี มาค้างที่นี่ชั่วคราว”

ผมตอบบาร์เทนเดอร์ นั่งตรงนี้เพราะไม่อยากเดินเพ่นพ่าน เดี๋ยวจะสะดุดตาใครเข้า อ้อ ยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าผมย้อมผมแล้วน่ะ ที่เบย์ซื้อมาให้เมื่อเช้านั่นแหละ นอกจากเหตุผลเรื่องสีผมเก่าไม่สวยก็คือไม่อยากให้ใครจำได้ว่าผมเป็นคนในข่าว เดี๋ยวจะแตกตื่นกันหมด... แต่ก็ไม่น่ามีใครจำได้ เพราะรูปในข่าวคือรูปโปรไฟล์เฟซบุ้คที่นานหลายเดือนมาแล้ว จากหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลสว่างตัดหน้าม้า จนตอนนี้ย้อมดำแถมยาวจนแสกกลางได้แล้ว

ตลกชะมัด... ตอนผมหนีไม่ได้ก็หาทางหนีแทบตาย แต่ตอนนี้แค่เดินออกร้านไปง่ายๆ ผมกลับไม่มีใจจะทำ

อย่างน้อยก็รอจนตีสามแล้วกัน

“ผมดื่มไม่เก่ง มีอะไรเบาๆ ไหมครับ” ถามบาร์เทนเดอร์

“ไวน์มั้ยล่ะ”

“ก็ดีครับ”

“ดูเศร้าๆ นะเรา เอาสูตรที่ทำให้กระปี้กระเปร่าสดชื่นซู่ซ่าดีมั้ย”

“มันมีด้วยเหรอครับไวน์แบบนั้น ไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังนะ”

“ม่ายๆ สูตรนี้พี่คิดค้นเอง จะบอกว่าเมนูขายดี ลูกค้าติดตรึม” ว่าแล้วก็ยักคิ้วขยิบตาให้ ขายซะขนาดนี้ผมก็ขอลองหน่อยละกัน

มีลูกค้าท่าทางเสี่ยๆ คนหนึ่งมานั่งข้างผม สั่งด้วยเสียงอันดังว่า ‘ไอ้เคียว ไวไว!’ พี่บาร์เทนเดอร์ก็ร้องคร้าบ แล้วยื่นแก้วที่ควรจะเป็นของผมให้เสี่ย ก่อนจะกระซิบบอกผม

“โทษทีนะน้อง คนนี้ลูกค้าวีไอพี แกเป็นพวกใจร้อนน่ะ”

ผมไม่ได้ถือสาอะไร เพราะเอาจริงหัวใจตอนนี้อึนเกินกว่าจะรู้สึกอะไรด้วยแหละ

คุณเคียวทำแก้วใหม่ให้ผม เขาบอกว่าเจ้าเครื่องดื่มนี่ชื่อไวไว ที่เสี่ยเมื่อกี้เรียกคือสั่งเมนู ไม่ได้เร่ง เออแปลกดี เครื่องดื่มอะไรชื่อยังกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คงเพราะมันใช้เวลาทำแป๊บเดียวมั้ง

ผมดื่มไปหนึ่งอึก รู้สึกแสบคอเพราะความหวาน แต่รสชาติดีมาก เลยดื่มรวดเดียวหมด

“อร่อยครับ ขออีกแก้ว”

“นั่นไง เชื่อยัง” เจ้าของสูตรยิ้มเริงร่า แล้วชงให้ผมอีกแก้ว

จริงๆ ผมเป็นพวกคออ่อน มีปัญญาดื่มได้แค่ไวน์นี่แหละ อย่างอื่นที่เข้มกว่านี้ไม่ไหว ตายอย่างเดียว กะอีแค่โซจูรสพีชแบ๊วๆ ยังทำผมพับพาบมาแล้วเลย... คิดดู

ดื่มไปสองแก้วแล้วก็รู้สึกร้อนวูบวาบ ตัวเบาเหมือนเท้าจะลอย แต่ที่น่าแปลกคือมีเหงื่อออกฝ่ามือ หัวใจเต้นแรงผิดปกติ แถมไอ้หนูข้างล่างก็แข็งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บ้าปะเนี่ย!

เสี่ยอ้วนที่นั่งข้างๆ ดื่มหมดไปสามแก้วก็ควักธนบัตรพับใส่แก้วให้บาร์เทนเดอร์ ท่าทางดีดแรงยิ่งกว่าฟาดกระทิงแดงไปสิบขวด

“มาแล้วเว้ย ขึ้นแล้วเว้ย! ของมึงนี่เด็ดจริงไอ้เคียว!”

“ขอให้สนุกครับเสี่ย”

พอเสี่ยสะบัดแจ็คเก็ตดิออร์จากไป ผมก็ถามคนทำ

“คุณครับ ไวไวนี่คืออะไรกันแน่ ผมว่าดื่มแล้วมันร้อนๆ”

บาร์เทนเดอร์หัวเราะคิก แววตาหรี่ลงเหมือนตัวการ์ตูนเจ้าเล่ห์

“ไอ้ไวไว มันก็คือไวน์ผสมไวอากร้าไงล่ะครับน้อง”

“เชี่ย!!!”

“ใส่นิดเดียวเอง พอให้กระชุ่มกระชวย คิกๆ”

ชุ่มชวยเหี้ยไรล่ะ ชุ่ม Xวย สิไม่ว่า!!!

ผมจ่ายค่าเครื่องดื่ม (เบย์ให้เงินไว้) แล้วลุกจากโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย ไม่รู้ว่านิดหน่อยของไอ้ญี่ปุ่นเวรตะไลนั่นคือกี่เม็ด เลือดในตัวผมถึงได้สูบฉีดอย่างบ้าคลั่งอย่างกับฝนฟ้าคะนอง ท่อนล่างก็แข็งเป็นสาก อึดอัดทรมานจนรู้สึกจะระเบิด... ให้ตาย ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย!

ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำผมเดินเซ บวกกับแสงไฟวิบวับในร้านก็ยิ่งทำให้เมาไปใหญ่ เดินงมทางจนเจอป้าย Toilet ก็รีบพุ่งเข้าไป แต่รีบมากจนสะดุดตีนใครเข้า

“เห้ย!”

“โทษครับๆ”

ผมยกมือไหว้ข้างหนึ่ง (อีกข้างกุมเป้า กลัวมันเด้งเตะหน้าชาวบ้าน) พบว่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นอายุพอๆ กัน ทำผมสกินเฮด ระเบิดหู สักลาย ใส่เสื้อกล้ามแบบแหวกข้างยาวๆ โชว์หัวนม โคตรแว้น

แต่แทนที่จะโดนหาเรื่อง มันกลับร้อง

“เชี่ย...น่ารัก”

“ขอทางด้วยครับ”

ผมเดินเลี่ยง แต่ไอ้หนุ่มแว้นกลับขวางหน้าแล้วผลักผมติดผนัง ความจริงขนาดตัวเราไม่ต่างกันมาก ทว่าสภาพผมตอนนี้คือมึนเมา แถมอ่อนระทวยโรยแรงเหมือนขี้ผึ้งโดนไฟ พร้อมจะหลอมละลายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นจึงไม่มีแรงปัดป้องเมื่อถูกมันประกบร่าง ตามด้วยเป่าใบหู จูบต้นคอ  ก่อนจะลูบไล้เอวจนผมขนลุกซู่สยิวเสียวซ่าน

“หยุด...หยุดนะ” ผมร้องห้าม แต่เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งได้ใจ

มันยิ้ม ผมเลยเห็นว่ามันดัดฟัน เออก็น่ารักดี...

“ไม่เอาน่า ชอบไม่ใช่เหรอ”

“ไม่...” ผมผลักหน้าอกมัน ทำหน้าจริงจัง “จะทำก็ขึ้นไปข้างบน”

ตรงนี้คนเยอะ เดี๋ยวใครมาเห็นพอดี






////

ไล่ทันปัจจุบันแล้วววว
อู๋ล่ะจะมาทันมั้ย 555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-03-2019 18:44:07
ไล่อ่านทันแล้ว~ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-03-2019 20:19:00
มายาว จุใจมากๆ
 :m5: :m1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-03-2019 22:35:02
 :pig4:สงสารทิวาหาคู่ให้ด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 30-03-2019 03:46:42
อ่านจุใจ สงสารทิวา สงสารแสงเทียน
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.29 คนขายหมายเลขถัดไป (29/03/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 03-04-2019 19:52:31
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี [1/2] (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 06-04-2019 12:36:29
 


30
คืนดีดี



สกินเฮดบอยกดผมลงกับเตียงแล้วกอดจูบลูบไล้ซุกไซ้ไปทั่วตัวอย่างหื่นกระหาย ผมได้รสไวน์จากริมฝีปากของเขา บางทีหมอนี่ก็อาจซัดไวไวมาเหมือนกันก็เป็นได้ ถึงรุกเร็วแรงไวขนาดนี้

เราไม่พูดอะไรกันเลย มีเพียงเสียงร้องครางในลำคอและหอบหายใจถี่ๆ ตอนนี้เขาถอดเสื้อแล้ว ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นหนุ่มแว้นธรรมดา แต่จริงๆ หุ่นนี่นักกีฬาเลยล่ะ มีกล้ามมีซิกแพ็คสวยเชียว

อย่าหาว่าผมเลวนะ ของแบบนี้มันต้องระบาย ไม่งั้นคงอกแตกตายพอดี แล้วผมก็ไม่ได้ทำผิดศีลธรรมข้อไหนด้วย ในเมื่อตอนนี้ผมโสดแล้วนี่ ฮิฮะ...

“เห้ย มีผัวแล้วเหรอ!”

ชายหนุ่มหัวเกรียนออกอาการตกใจเมื่อถอดเสื้อผมออกแล้วเห็นรอยสักทุเรศๆ บนหน้าอก

“ไม่มี เลิกกันแล้ว” ผมกระตุกเข็มขัดของเขา “รีบถอดเร็ว...”

“เดี๋ยว โจรนี่โจรไหน” เขาถามด้วยสีหน้าตึงๆ

ผมตอบอย่างไม่เต็มใจ “...โจรอู๋”

“อู๋ไหน”

“อติศร แซ่อู๋”

“อติศร... พี่มี่ใช่ป้ะ”

“...อือ” ไอ้หอกนั่นมีลูกน้องนอกแก๊งด้วยเรอะ

“เชี่ย!!! เกือบตายแล้วไหมกู!!!”

จู่ๆ นายนั่นก็สะดุ้งโหยง ผุดลุกจากตัวผมทันทีเหมือนผีโดนพระเครื่อง

“รู้จักมันด้วยเหรอ” ผมถาม

“รู้ดิ เล่นพนันเจอกันที่บ่อนบ่อยจะตาย วันนั้นที่เขาเอานายเป็นเดิมพัน เราก็อยู่ในวงด้วย! ถึงว่าหน้าคุ้นๆ ฮึ่ย ไปละ ไม่อยากโดนฆ่า!”

“เดี๋ยวสิ!”

ไม่ทันแล้ว นายสกินเฮดเผ่นหนีไปเรียบร้อย ปล่อยให้ผมนั่งอารมณ์ค้างอยู่บนเตียงคนเดียว

นี่เองสินะคือเหตุผลที่ไอ้โจรสักลายให้ผม จะได้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับผม แต่ตัวเองกลับไปเริงรักกับคนอื่นได้เนี่ยนะ ไม่ยุติธรรมเลย

ไม่รู้ล่ะ ผมเสี้ยน ผมอยากปลดปล่อย ยังไงคืนนี้ต้องหาคนมานอนด้วยให้ได้! อยากรู้นักว่าตอนมีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟนของตัวเองมันรู้สึกยังไง เผื่อจะเข้าใจผู้ชายพวกนั้นที่นอกใจผมบ้าง!!!

จะว่าประชดชีวิตสิ้นคิดยังไงก็เอา ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วเว้ย!

ผมใส่เสื้อ ลงจากเตียง เดินคลำบันไดกลับลงมาชั้นล่างอีกครั้ง ปะปนกับผู้คนเข้าไปอยู่ในวงเต้น แค่นาทีแรกที่ก้าวเข้ามาก็ถูกผู้หญิงผู้ชายมองตาเป็นมัน ผมตั้งใจว่าจะไปกับคนแรกที่เข้าหาเลย เพราะรอไม่ไหว ไอ้ข้างล่างมันร่ำร้องอยากออกมาดูโลกจะแย่แล้ว

“มาครั้งแรกเหรอคะ ไม่เคยเห็นหน้า”

ปรากฏว่าผู้โชคดีเป็นผู้หญิงลุคเซ็กซี่แบบพริตตี้ ผมยาวสลวยย้อมสีทอง ผิวขาวเหมือนหลอดไฟนีออน ใส่ชุดเดรสสีดำสั้นๆ รัดๆ จนนมเกือบจะล้นออกมา เธอจับแก้มแล้วฉวยจูบผมไปหนึ่งที

“ครับคนสวย...ครั้งแรก”

หมายถึงกับผู้หญิงน่ะ

 


....

ยิ่งดึกคนก็ยิ่งคึกคัก นักท่องราตรีมีทั้งขาประจำและขาจรเข้ามาในผับแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย หลายคนแต่งตัวโดดเด่น เต้นสุดแรงเพื่อให้เป็นที่สะดุดตา แต่หลายคนกลับอำพรางตัวเองไม่ให้เป็นจุดสนใจ เช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ที่ใส่ชุดดำนั่งอยู่ในมุมมืดๆ ของร้านจนแทบกลืนไปกับผนัง พวกเขานั่งได้สักพักแล้ว หัวหน้ากลุ่มไขว่ห้าง อ้าปากหาว บ่งบอกว่าเบื่อและง่วงถึงขีดสุด

“ดื่มอะไรอีกไหมครับนายท่าน” บริวารที่นั่งข้างชายผู้เปล่งรัศมีผู้นำเอ่ยถาม

“ไม่เอา เบื่อละ” เจ้านายว่า

“ไปเต้นมั้ยครับงั้น” ลูกน้องอีกคนแนะนำ

“กูจะเต้นให้พวกมึงดูเรอะ พูดโง่ๆ” เจ้านายด่าแล้วยกบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ สีหน้าเซ็งจัด “ร้านอะไรวะโคตรน่าเบื่อ เนี่ยเหรอที่ได้ชื่อว่าเจ๋งสุดในย่านนี้ ไม่เห็นมีไรน่าสนใจ”

“เขาว่าดึกๆ จะมีประมูลขายตัวโฮสต์หน้าตาดีด้วยนะครับ ตรงนี้แหละไฮไลท์ ผมว่าจะลองบ้าง”

“เหี้ย พวกมึงไม่กลัวเหรอ” เจ้านายหน้าบึ้ง พ่นควันสีขาวออกจมูก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมใส่ถุง”

เจ้านายส่ายหน้า สูดควันอัดเข้าปอด พ่นออกอย่างไร้อารมณ์

“กูกลับละ พวกมึงจะอยู่ต่อก็เชิญ”

“เดี๋ยวสิคร้าบ แหม่ ถ้าไม่เด็ดจริงผมไม่พามาหรอกน่า ไม่แน่เจ้านายอาจได้น้องๆ น่ารักๆ กลับบ้านด้วยซักคนสองคน งานนี้มีแต่ได้กับได้นะครับ” พวกลูกน้องพยายามโน้มน้าวใจ

เจ้านายเอ่ยเสียงเหี้ยม “ถ้าไม่มีใครเด็ดเท่าเมียไอ้อู๋ กูจะกระทืบพวกมึงเรียงตัว”

ลูกน้องมองหน้ากัน แล้วก็ยิ้มแห้ง

เวลาล่วงเลยไปจนถึงเลขสิบสอง ดีเจกล่าวกู๊ดบายสเตจเสร็จก็ลงจากเวที ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มักไม่ทราบถึงการประมูลก็ทยอยออกจากร้าน เหลือพวกลูกค้ากระเป๋าหนักทำทีเป็นนั่งต่อ รอคนซาค่อยออก แต่ก็แอบเข้าแถวสู่ห้องดำกันไปเนียนๆ

“ยังต้องตรวจห่าเหวอะไรอีกวะ” ชายหนุ่มถือบุหรี่บ่น เมื่อต้องมาต่อแถวก่อนเข้าห้อง

“ใจเย็นครับนายท่าน  คือเค้ามีกฎว่าต้องเป็นคนรวยเท่านั้นถึงเข้าได้ เลยต้องโชว์หลักฐานก่อน พวกบัตรเครดิต กุญแจรถอะไรเงี้ยะครับ”

“เหรอ”

รู้ดังนั้นก็เดินแซงคิวลุงๆ ป้าๆ หน้าเหี่ยวแล้วเอาบัตรเอเม็กซ์แพลตตินั่มฟาดหน้าคนตรวจประตูเดินเข้าไปก่อน ลูกน้องมองตามหลังแล้วก็สะดุ้ง เจ้านายวัยรุ่นนี่มันใจร้อนจริงๆ

ดีเจเปิดไฟ เปิดเพลง แล้วเปิดฉากการประมูลโดยไม่รอใคร

“เฮลโหลอิตส์มีอะเกน ราตรีนี้ยังไม่สิ้น เรามาดิ้นกันต่อนะครับ อิ๊ๆ มาดูซิว่าคืนนี้จะมีโฮสต์คนไหนเข้าร่วมบ้าง! เอ้า สาวๆ หนุ่มๆ ทั้งหลายหมายตาใครไว้บ้างคร้าบบบ!~~”

คนที่อยู่ด้านล่างเวทีส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเป่าปากอย่างคึกครื้น คืนนี้ดีตรงที่มีหนุ่มสาวเข้าร่วมมากกว่าคืนก่อน เพราะเจ๊ได้เงินจากผู้พันไปเยอะแล้ว เลยไม่อยากโฟกัสแค่เรื่องเงินอย่างเดียว หล่อนอยากให้มีสีสันมากขึ้น ไม่อยากให้มีแต่คนแก่ๆ เหี่ยวๆ เลยลดเงื่อนไขความรวยลงอีกหน่อย จากหลักล้านเหลือหลักแสน คนก็เลยแน่นกว่าวันที่ผ่านมา จนต้องทุบผนังห้องข้างๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่

“เริ่มกันเลยดีกว่าครับ โฮสต์คนแรก... อ๊ะ! เดี๋ยวๆๆ น้องเมารึเปล่าน้อง”

ดีเจกำลังจะพูดชื่อโฮสต์ แต่ดันมีผู้ชายคนหนึ่งปีนขึ้นมาบนเวที

“ไม่ได้เมา ผมก็เป็นโฮสต์” หนุ่มคนนั้นพูด สายตาของทุกคนจ้องไปที่เขา เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่ว สาเหตุคือเขาหน้าตาดีมาก “ถ้าพี่ไม่เชื่อไปถามเจ๊ก็ได้... ผมเป็นเด็กใหม่ ชื่อเทป”

ชายหนุ่มชุดดำที่ดูอยู่ห่างๆ ถึงกับทำบุหรี่หลุดมือทันทีที่เห็นโฮสต์คนแรกปรากฏตัวบนเวที ดวงตาคมรีของเขาจ้องมองหนุ่มน้อยคนนั้นไม่กะพริบ แล้วก็สะกิดลูกน้อง

“มีไรครับนายท่าน”

“กูขอถุงอันนึง”



 

...

การประมูลชะงักเกือบนาทีเมื่อดีเจวิ่งไปถามเจ๊ที่หลังร้าน เจ๊ยืนยันว่ามีลูกจ้างชื่อเทปจริง ดีเจถึงกลับมาดำเนินรายการต่อ

“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา นี่คือน้องเทป เด็กใหม่ของผับเราเองคร้าบบบบ!!!”

ผมรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก กับการที่มีคนเป่าปากปรบมือให้เยอะๆ อย่างนี้... ตื่นเต้นชะมัดเลย

ตะกี้ผมก็พลาดอีกแล้ว จะพาสาวสวยชุดดำไปฟีทเชอริ่งแต่ผัวเธอดันโทรมาตาม พอดีเห็นคนเฮโลกันเข้ามาในนี้ก็มุดตามเค้าเข้ามา อาศัยพุงใหญ่ๆ ของเสี่ยคนหนึ่งหลบสายตาคนตรวจประตูมาได้ เพิ่งรู้ว่ามีประมูลโฮสต์ด้วยเหรอเนี่ย น่าสนใจดีนะ ได้ปลดปล่อยแถมได้เงินด้วยแน่ะ ดีจัง...คึคึคึคึ

“กติกาเหมือนเดิมครับ บิดละห้าพัน เริ่มประมูลกันที่ หนึ่งหมื่นบาท!!!”

ดีเจเปิดเพลงแดนซ์เร้าอารมณ์ ผมก็เกาะเสาเด้าเด้งสุดแรงเกิด ห้องมืดกับแสงไฟวิบวับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่ท่ามกลางกาแล็กซี่สีรุ้งเลยล่ะ ตัวก็เบาๆ เมาๆ เหมือนสุญญากาศ

ผมไม่ได้ปล่อยผีอย่างนี้มานานมากกก... เพราะแฟนเก่าของเก่าไม่ยอมให้ไป ก็เลยเต้นแรงหน่อย ฮิ... ผมไม่สนหรอกว่าใครจะมองยังไง หนึ่งเพราะผมเมา สองไม่มีใครรู้จัก และสามผมอยากได้อยากโดน

“สามล้าน”

หมัดเดียวจอด ทุกคนถึงกับช็อคไปตามกัน โดยเฉพาะผมเอง นี่กะจะไม่ให้คนอื่นมีโอกาสเลยสินะ ขี้โกงจังเลย

ชายชุดดำพร้อมด้วยสมุนติดตามอีกสามคนเดินเข้ามาทางหน้าเวที ผู้คนแหวกทางให้เขาราวกับพญาราชสีห์ เขาเงยหน้าสะท้อนกับแสงไฟ แล้วยื่นมือมาให้ผมจับ

แวบแรกผมตกใจมากที่เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ เกือบจะหายเมาแล้ววิ่งหนี แต่พอเขายิ้มให้เท่านั้น... ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

บังเอิญจังนะ แต่ก็ดี เกมนี้จะได้สนุกขึ้น... หึ... หึ

ชายชุดดำกับผมมองตากัน ก่อนที่ผมจะยื่นมือไปจับกับเขา

อยากเอากับนายแบบขาวหล่อตี๋สักครั้งในชีวิตมานานแล้วว่ะ...

 



V
V
V
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี [2/2] (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 06-04-2019 12:38:49



[2/2]



“อะไรนะ เทปขาย!!!!!”

“ก็เออสิ แกจะโวยวายทำไมยะ มีคนประมูลไปตั้งสามล้านแน่ะ แม่เจ้า ทุบสถิติแกไปอีก พีคโคตร เจ๊ขอบใจแกมากนะที่พาเพื่อนน่ารักๆ มาค้างด้วย ว่าแต่มีอีกมั้ย พามาอีกสิ ฮิๆ”

“เดี๋ยวก่อน มันเกิดขึ้นได้ไงอ่ะ”

“ก็เพื่อนแกเมาแล้วเรื้อนขึ้นไปบนเวที อ้างว่าเป็นโฮสต์ เจ๊เห็นลูกค้าชอบ แล้วเค้าก็ดูอยากขาย ก็เลยปล่อยตามเลยน่ะสิ ดีซะอีกนะ เพื่อนแกจะได้มีเงินใช้ไง”

“ฟ๊าคคคคคคคคค”

เบย์แทบจะสติแตกเมื่อได้ยินเจ๊พูด ก่อนหน้านี้พี่อู๋โทรหาเขา บอกว่าเคลียร์กับเส้นสายเรียบร้อยแล้ว กำลังจะมารับแสงเทียนกลับ เบย์ตกใจวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ถ้าพี่อู๋เห็นเขาออกมาแรดกับผู้ชาย แทนที่จะดูแลแสงเทียนไม่ให้คลาดสายตาอย่างที่รับปากไว้ เขาคงได้ตายเซ่นอารมณ์โกรธของลูกพี่แน่ๆ เลยไหว้วอนขอไอ้ฝรั่งเก๊ให้พากลับมาส่ง แลกกับการถูกจับกดในรถหนึ่งยก และเมื่อมาถึง อีเว้นต์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ทำให้เขาอยากตายจริงๆ

“ตายๆๆๆ ถ้าพี่อู๋รู้กูตาย!”

“แกจะโวยวายทำไมเนี่ย”

“ไม่โวยได้ไงล่ะเจ๊ ผัวเค้ากำลังจะมาตามอ่ะ!”

“ว้าย! จริงเหรอ! มีผัวแล้วทำไมไม่บอก” เจ๊เอามือทาบอก สีหน้าตระหนกตกใจ

“คงประชดมั้งผมว่า แล้วตอนนี้เค้าอยู่ไหน” เบย์ถามอย่างร้อนรน

“ข้างบน” เจ๊เอ่ย ก่อนจะชิ่งหนีไปอย่างไว กลัวผัวเด็กใหม่มาแล้วจะซวยเอา 

ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเดินเข้ามาแตะไหล่เบย์จากข้างหลัง หนุ่มน้อยสะดุ้งเฮือกหัวใจหล่นไปอยู่ส้นตีน ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร มือใหญ่เหมือนเปรตขนาดนี้ จำเขาได้แม้เห็นแค่ข้างหลังแบบนี้ ไม่มีทางเป็นคนอื่น

เขาค่อยๆ หันไปมองช้าๆ แล้วน้ำตาก็พลันจะไหล

“เหี้ย........”

“เรียกเฮียว่าเหี้ยเหรอ” โจรอู๋ดีดหูลูกน้องหนึ่งที แต่เบย์ชาจนไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น

“ทะ... ทำไมเฮียมาไวจัง”

“ก็บ้านเพื่อนกูอยู่ใกล้แค่นี้” ลูกพี่บอก “แสงเทียนอยู่ไหน”

“........” เงียบ นิ่ง แข็งทื่อ

“ไอ้เบย์ ข้าถามว่าเมียข้าอยู่ไหน” โจรหนุ่มจับไหล่ลูกน้อง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า “รีบพาไปหาเร็ว ใจจะขาดแล้วรู้มั้ย”

เบย์กัดปากตัวเองจนได้รสเลือด กรามแข็งจนขยับไม่ได้

“ไอ้เบย์ มึงเป็นเหี้ยไร”

“คะ...คือว่า...แสงเทียน”

“แสงเทียนทำไม”

“แสงเทียนขายตัว...”

ผัวะ!

หมัดหนักๆ จากพี่ชายซัดเปรี้ยงใส่ใบหน้าซีกซ้ายของเบย์เหมือนสายฟ้าฟาด หนุ่มน้อยเห็นดาวเดือนกระจายเต็มฟ้า

“มึงปล่อยให้เขาทำแบบนั้นได้ยังไง! ควายเอ๊ย!!!!”

“โอ๊ย... ผมไม่รู้เรื่องนะ!”

“กูสั่งให้มึงดูแลเขาอย่าให้คลาดสายตา! แล้วมึงไปทำห่าอะไรอยู่ไอ้เบย์!!!”

“ผม...ผมไปขี้!” เบย์โกหกเลิ่กลั่ก “ออกมาอีกทีเจ๊ก็บอกว่าแสงเทียนถูกซื้อตัวไปแล้ว แค่ไม่กี่นาทีนี่เอง ไม่รู้แอบเข้าไปในนั้นได้ยังไง”

โจรอู๋โกรธจนแทบจะร้องไห้ “ไอ้สัส! เหี้ยแม่ง!!!! กูไม่น่าปล่อยให้เขามากับมึงเลย!”

“ผมขอโทษนะเฮีย ผมเชื่อใจเขาอ่ะ ไม่คิดว่าเขาจะทำ”

“ขอโทษแล้วมันหายไหม!!!”

“ใจเย็นก่อนนะ เขาอาจจะยังไม่ได้ทำอะไรกันก็ได้ ถ้าเราตามทัน” เบย์บีบแขนลูกพี่หวังให้อารมณ์เดือดพล่านเบาบางลง แล้วเข้าไปถามบาร์เทนเดอร์หน้าญี่ปุ่นซึ่งอยู่ใกล้ๆ “พี่เคียว เห็นเทปรึเปล่า”

“ใคร?”

“เพื่อนผมเอง ผิวขาวผมดำหน้าหวาน ใส่เสื้อฮู้ดเหลืองลายจัสตินบีเบอร์”

“อ๋อ คนนั้นแน่เลย เห็นออกจากห้องดำแล้วขึ้นไปชั้นบนนะ”

“ขอบคุณฮะ!”

“เฮ้ย อย่าไปรบกวนเขาเลยน่า พี่ชงไวอากร้าให้หมอนั่นไปตั้งสองแก้ว ป่านนี้คงกำลังคึกอยู่ ฮิๆ”

ผัวะ!!!!

หมัดจากชายปริศนาพุ่งกระแทกหน้าบาร์เทนเดอร์หนึ่งที ทำให้เจ้าตัวหมดสติคาเคาน์เตอร์ไปเลย

“เอาห่าไรให้เมียกูแดก! ไอ้สันขวาน!!!”

“อย่าชกมั่วสิเฮียก็!” เบย์แยกเขี้ยวใส่ลูกพี่ “รีบไปข้างบนเถอะ!”

 



.....

ร่างกายของเราเปลือยเปล่า

เฉิน... เฉินอะไรซักอย่าง ซุกหน้าอยู่ที่หว่างขาของผม กำลังลากลิ้นโลมเลียพื้นที่อันอ่อนไหวและไวต่อความรู้สึกของผมอย่างเร่าร้อน ผมกระดากอายหน่อยๆ เพราะไม่ชอบให้ใครทำแบบนี้ให้ จริงๆ ก็ห้ามแล้วนะ แต่คนนี้เป็นสายเผด็จการ บอกว่าจ่ายสามล้านแล้วก็ต้องตามใจลูกค้า...

รู้หรอกว่าทำแบบนี้ไม่ดี ไอ้หมอนี่เกือบทำผัวเก่าผมตาย แถมยังจะพาผมไปขายเมืองนอก

แต่สติสัมปชัญญะของผมอ่อนแอเหลือเกิน ไม่อาจต่อสู้ความผิดชอบชั่วดี ร่างกายก็อ่อนระทวยเกินกว่าจะขัดขืน มิหนำซ้ำความต้องการยังพุ่งพรวดราวกับปรอท เอาเถอะน่ะ... ไงๆ เราก็มีแต่ตัวเปล่าเท่ากัน แถมยังอยู่ตั้งชั้นสาม มันคงไม่ฉุดผมไปง่ายๆ หรอก...

อีกอย่างอีกอย่าง... หล่อระดับนายแบบขนาดนี้ไม่ใช่จะหาแดกง่ายๆ ได้ลองสักทีก็ถือเป็นแจ็คพ็อตชีวิตไม่ใช่เหรอ... คิกๆๆ

ผมปลดปล่อยออกมาทั้งที่ปากของมันยังคาอยู่ ไอ้มาเฟียเลียเก็บเกลี้ยงทุกหยดแล้วเอาของตัวเองมายัดใส่ปากของผมบ้าง ทำเอาผมสำลักเนื่องจากขนาดใหญ่คับปากกับความยาวที่ลงไปถึงในคอ จากนั้นก็บำเรอให้มันอย่างสุดความสามารถ อมแล้วดูดอยู่ห้านาทีก็หลั่งใส่เต็มปากผมจนล้นเลอะหมอน ก่อนจะถอนออกแล้วเอาส่วนที่เหลือติดปลายไล้ใบหน้ากับหัวนมของผม ประหนึ่งจิตรกรบรรเลงพู่กันบนผืนผ้า

“เมียโจรเรอะ”

เจ้าพ่อปักกิ่งถูโคนบนรอยสักของผมไปมา จะว่าไปก็เหมือนหมาต่างถิ่นเยี่ยวทับรอยเจ้าถิ่นตัวเดิม

“ไม่เป็นไร เฮียก็เป็นโจร”

ความร้อนในกายผมลดลงครึ่งหนึ่งหลังจากการหลั่งเมื่อครู่ เหลืออีกครึ่ง...หรือก็คือหนึ่งแก้วที่ยังคงไหลเวียนในกระแสเลือด ผมต้องการเอามันออกให้หมดโดยเร็วที่สุด ก่อนที่สติจะชิงแตกตัดหน้า

“เมื่อไหร่จะใส่เข้ามาซักที”

ผมจับไอ้นั่นของไอ้นั่น ที่มันเอาแต่ทาถูๆ อยู่ที่นมนั่นแหละ รูมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมั้ยล่ะ

“แซบเหมือนกันนะเรา ไม่สงสัยเลยว่าทำไมไอ้อู๋ถึงหวงนักหนา...”

มันยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ ก่อนจะหยิบถุงยางมาฉีกด้วยปากแล้วใส่ ตามด้วยถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือแล้วเอาถูที่ก้นของผม สอดใส่นิ้วเข้ามาสำรวจเส้นทาง ทำผมครางออกเสียง

“อืออออ”

“น่ารักฉิบหาย แม่งเอ๊ย” มันก้มหน้าลงกัดต้นขาด้านในผมจมเขี้ยว

“โอ๊ย!”

ผมสะดุ้งเฮือก ถีบอกมันหงายหลังตึง แต่มันหัวเราะไม่ถือสาแล้วลุกขึ้นมาจับขาสองข้างผมยกขึ้นพาดบ่า หายใจดังหืดหาด จับแท่งจ่อแล้วเตรียมยัดหัวเข้ามา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

ปังๆๆๆ!!!!

“เหี้ยที่ไหนวะ!”

คนที่อยู่เหนือร่างผมสบถฉุนเฉียว ผมก็เซ็งเหมือนกันที่โดนขัดจังหวะ ทว่าเราก็ไม่ผละจากกัน กระทั่งได้ยินเสียงตะโกนข้างนอก

“แสงเทียนอยู่ข้างในใช่มั้ย!”

เบย์นี่นา ทำไมกลับมาไวจัง

โครมมมมม!!!

ไม่ทันได้ฟังคำตอบจากผม ประตูไม้ก็ถูกถีบอย่างแรงจนกลอนหลุดกระแทกผนังดังตึง คนถีบยืนอยู่หน้าห้องมองเข้ามาด้วยดวงตาถมึงทึงราวกับเพชฌฆาตแดนประหาร ผมถึงกับหยุดหายใจเมื่อได้สบตากับมัน ความต้องการทางเพศและความมึนเมาแทบหายสิ้น

มันไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่ถลาเข้ามาถีบหน้ามาเฟียเต็มแรง พลังตีนระดับควายป่าคลุ้มคลั่งผสมช้างตกมันทำเอาคนโดนถีบปลิวตกจากเตียงหัวกระแทกขอบโต๊ะหมดสติทันที หมดท่ามาเฟียโหดเมื่อคืนก่อนโน้นสิ้นเชิง แต่คนกระทำก็ยังไม่สาแก่ใจ กระโจนเข้ามาทั้งกระทืบเตะต่อยจนเลือดอาบหน้า ผมใช้สติครึ่งๆ กลางๆ หยิบบ็อกเซอร์ที่หล่นบนพื้นขึ้นมาใส่ด้วยมือไม้สั่นเทาแล้วร้องห้าม

“พอได้แล้ว! เดี๋ยวเขาก็ตายหรอก!”

“ยังจะมีหน้าไปห่วงมันอีก!!!!”

โจรอู๋เอาเท้าออกจากหน้าของคู่อริแล้วเข้ามาฉุดแขนผมลากเข้าห้องน้ำ ก่อนจะเปิดฝักบัวสุดแรงใส่หน้าผม

“ทำอะไรของมึงวะ!”

“ล้างเสนียด!!!”

“เจ็บนะไอ้เหี้ย! แค่ก! โอ๊ย!”

โจรสารเลวเอาฝ่ามือหนาดั่งกีบตีนควายลูบหน้าลูบตัวผมอย่างป่าเถื่อนจนสำลักน้ำนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนจะล้างเอาคราบต่างๆ ที่ชายอีกคนฝากทิ้งไว้ออกให้เกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษหางอสุจิสักตัวเดียว ผมเกือบตายใต้ฝักบัวแล้วถ้ามันไม่เห็นผมร้องไห้สะอึกสะอื้นก่อน เลยยอมหยุดและพาออกจากห้องน้ำ หยิบเสื้อกับกางเกงมาสวมให้อย่างลวกๆ และรุนแรง ก่อนจับผมอุ้มพาดบ่าลงบันไดมาข้างล่าง

“ฝากเก็บศพเหี้ยนั่นด้วยไอ้เบย์!”

“ค...ครับเฮีย”

“ไอ้เลว! มึงทำแบบนี้กับกูทำไม!”

ผมทุบหลังมันด้วยพละกำลังอ่อนด้อย แต่ความโกรธแค้นมหาศาล มันไม่ตอบแต่หายใจฮึดฮัดแรงมากเหมือนพายุเข้า พอออกมานอกร้านแล้วมันก็ปล่อยผมลงจากบ่า ก่อนจะฉุดกระชากลากถูเหมือนหมูหมาเข้ามาในซอยเปลี่ยว

“ปล่อยนะ! มึงไม่มีสิทธิ์ในตัวกู!”

“มี นี่ยังไม่ตีสามเลย” มันเถียง

“กูแค่พูดลอยๆ หรอก มึงน่ะเสียกูไปตั้งแต่ตอนที่แจ้นไปนอนกับเขาแล้ว รู้ไว้ซะ!” ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ผลักมันออกจากตัวอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “เอาจริงนะอู๋ กูยอมเป็นกะหรี่ ยอมให้ไอ้มาเฟียเหี้ยนั่นซั่มยังดีกว่ากลับไปอยู่กับผัวคิดไม่ซื่ออย่างมึง!”

“มันจะมากไปแล้วนะแสงเทียน!!!”

โจรอู๋ตะโกนจนหูผมชา ร่างกายมันสั่นสะท้านเหมือนแผ่นดินไหว ดูทั้งโกรธแค้นเสียใจและผิดหวังในตัวผมอย่างที่สุด เป็นสายตาแบบเดียวกับที่ผมมีต่อมันเมื่อวันก่อนตอนจับได้ว่ามันนอนกับคนอื่น 

แล้วน้ำตามันก็ไหล

เชี่ย คนอย่างมันร้องไห้เป็นด้วยเหรอ... เหอะ แต่ผมไม่ใจอ่อนหรอกบอกเลย ผมเสียน้ำตามากกว่ามันไปไม่รู้ตั้งกี่ลิตรแล้ว

“ได้กันแล้วใช่มั้ย”

มันเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ

ผมพยักหน้า

โจรยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าแล้วหันไปทางอื่น เหมือนไม่อยากให้ผมเห็นความแตกสลายรวดร้าวในดวงตา ทว่าไหล่ที่สั่นสะท้านก็แสดงถึงใจที่เจ็บปวดเจียนตายได้เป็นอย่างดี

“เป็นไง เข้าใจความรู้สึกกูรึยัง”

ผมถามในความเงียบ

“ข้ารู้ว่าเอ็งโกรธ อยากประชด แต่ทำแบบนี้มันเกินไปรู้มั้ย มากกว่าที่ข้าเจ็บ คือเอ็งอาจถูกมันฆ่าเอาก็ได้ เหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาหยกๆ ทำไมถึงกล้าทำ ขอถามที”

“อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย กูไม่ได้ประชดมึง กูแค่เงี่ยน ถึงไม่ได้นอนกับมัน กูก็จะนอนกับคนอื่นอยู่ดีนั่นแหละ”

“แสงเทียน!” มันขึ้นเสียง บีบไหล่ผมแน่นอย่างข่มขู่คุกคาม

“ทำไม!” ผมตะคอกกลับ เงยหน้าถลึงตามองมัน “ที่กูทำมันต่างกับมึงตรงไหน! ก็ขายตัวแลกเงินเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“เลิกพูดทุเรศๆ ซักทีได้มั้ย!”

“เรื่องนี้ไม่มีใครทุเรศเท่ามึง”

ผมผลักมันออกห่างแล้วเดินหนี แต่โจรอู๋ก็คว้าผมดึงกลับไปกอดแน่นจนแทบจมลงไปในอก เหมือนยอมให้ผมตายดีกว่าหายไป

“ข้าขอโทษ อย่าเพิ่งไปเลยนะ ฟังกันก่อน”

“.....”

“ข้าไปจบทุกอย่างกับเขาแล้ว ที่มาช้าก็เพราะเรื่องนี้... ข้าไม่กล้ามาหาเอ็งทั้งที่ยังไม่ได้เคลียร์ตัวเอง ข้ารู้ว่าเอ็งมีเรื่องสงสัยเต็มไปหมด วันนี้ข้าจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง ขอแค่โอกาสสักครั้ง... ได้ไหม”

ผมจุกในอกจนพูดอะไรไม่ออก และมันก็สรุปเอาเองว่าความเงียบเท่ากับอนุญาต

“จะเล่าของไอ้เฉินเชว่ก่อน เพราะนี่คือสาเหตุของเรื่องทั้งหมด”

น้ำเสียงของมันเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด ผมคาดว่าโทสะจะบดบังสติจนพูดจาไม่เป็นภาษาคนซะอีก ที่เป็นอย่างนี้คงเพราะมันเตรียมตัวเตรียมใจมาพูดกับผมเป็นอย่างดีแล้วมั้ง หากเอาไฟมาโหมใส่ผมที่เป็นไฟอยู่แล้ว ผลลัพธ์คงมีแต่พังพินาศ

“ข้ากับมันเคยเป็นเพื่อนกัน บริษัทของเรา... หมายถึงพ่อเรา เป็นพันธมิตรกันมานาน ข้ากับมันรู้จักกันตั้งแต่เล็กๆ ทุกอย่างปกติมาตลอดยี่สิบกว่าปี จนกระทั่งหกเดือนที่แล้วพ่อของเรายิงกันตายเป็นข่าวใหญ่โต เอ็งคงเคยอยู่มั้ง”

ผมไม่ตอบ จำไม่ได้ แต่รอฟัง

“ต่างฝ่ายต่างโทษว่าเป็นฝีมือของอีกคน แต่ไม่ว่ายังไงทั้งข้าและมันกลายก็เป็นศัตรูกันตั้งแต่นั้น ฝ่ายเสียเปรียบคือข้า เพราะบริษัทของไอ้เฉาชุ่ยใหญ่กว่า มีอิทธิพลมากกว่า กิจการของฝั่งข้ายังเป็นสีเทาๆ แต่ของมันน่ะดำสนิท มันต้องการทำลายข้าให้สมกับความแค้น เพราะครอบครัวมันมีแค่พ่อคนเดียว”

“.......”

โจรอู๋เล่ายาวรวดเดียวแทบไม่พักหายใจ แต่คนที่ลมหายใจเหมือนจะขาดหายกลับเป็นผม


นี่มึงไม่ใช่โจรไก่กาหรอกเหรอเนี่ย


“ความที่แม่ข้าดูแลสาขาที่จีน มันเลยจับเธอเป็นตัวประกัน แล้วให้ข้าหาเงินไปไถ่ร้อยล้านบาท... ถ้าหาไม่ได้ภายในกำหนด มันจะส่งเธอไปขายที่ซ่อง หรือไม่ก็ฆ่าเธอ”

“เฮ้ย.......”

หัวใจของผมดิ่งวูบ หันไปประจันหน้ากับมัน แต่มันเอาแต่ก้มหน้าซบกับบ่าของผม ความเปียกชื้นที่ผมสัมผัสได้ทำให้ปราการที่แข็งกร้าวมาตลอดสองวันอ่อนทรุดยวบทันทีราวกับปราสาททรายโดนคลื่นซัด มุมมองของผมที่มีต่อมันก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตีนทันที


เพราะอย่างนี้เองเหรอ...

ที่มันต้องหาเงินมากมายก็เพราะไปเอาไปช่วยแม่เองเหรอ



“ตอนนั้นข้าเหมือนโลกทั้งใบพัง... พังยิ่งกว่าตอนพ่อตาย มองไปทางไหนก็ไม่เจอความหวัง เหี้ยกว่านั้นคือมันห้ามไม่ให้ข้ายืมเงินใคร มันจะตรวจสอบย้อนหลังทุกบาท ถ้ารู้ว่าใครให้ข้ายืม มันจะเล่นงานไม่ไว้หน้า ข้าเลยต้องมาเป็นโจรปล้นชาวบ้าน... แต่เพื่อนข้า เส้นสายคนนั้น เขาอยากช่วย เพราะรู้ว่าข้าจะต้องลำบากมากๆ”

“เขาชื่ออะไร” ผมถามเสียงเรียบ

“ชื่อทิวา เป็นนักสืบเอกชน” โจรอู๋ถอนหายใจเบาๆ “และตอนนี้ก็กำลังรับผิดชอบคดีการหายตัวไปของเอ็งด้วย”

“อะไรนะ........” ความช็อกโจมตีผมอีกระลอก

“เพราะอย่างนี้ไงข้าถึงไม่อยากบอก ข้ากลัวเอ็งโกรธ แล้วก็... กลัวเอ็งยังมีใจให้ผู้ชายคนนั้นอยู่”

คงจะหมายถึงเฟลม

ใช่สิ ผมไม่ได้คิดถึงเฟลมนานแค่ไหนแล้วนะ...?

“กูโกรธที่มึงอมพะนำไม่บอกความจริงมากกว่า” ผมบอกอย่างฉุนๆ “แล้วเขากับมึงมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่”

โจรอู๋มีสีหน้าลำบากใจเหลือล้น

“แลกกับความช่วยเหลือที่เขาปิดบังความผิดให้ข้า รวมทั้งอำนวยความสะดวกเรื่องต่างๆ... ข้าต้องจ่ายเป็นร่างกายในการตอบแทน”

คิดไว้แล้วว่าคำตอบต้องเป็นอย่างนี้ แต่มันอดจี๊ดไม่ได้

“ข้าผิดที่เป็นฝ่ายเสนอเงื่อนไขนั้น เพราะไม่อยากเอาเปรียบเขาฝ่ายเดียว แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะทำลายทุกอย่างในอนาคต...มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ็บปวดเสมอเมื่อจับต้อง เหมือนเสี้ยนชิ้นใหญ่ฝังลึกมากๆ ที่ให้เราเลือกว่าจะผ่าออก หรือจะปล่อยให้มันทิ่มตำเราไปเรื่อยๆ จนวันตาย”

“...”

“แต่สุดท้ายข้าก็เลือกที่จะตัดทิ้ง คืนบ้านคืนรถให้เขา แล้วก็จะหาเงินมาคืนให้ทุกบาททุกสตางค์ไม่ให้ติดค้างต่อกัน ตอนนี้ข้าเหลือแต่ตัวเปล่าจริงๆ ข้าทิ้งทุกอย่างเพื่อมาหาเอ็ง... เพื่อเอ็งคนเดียว”

“.......”

“ข้าน่ะเหี้ยมาทั้งชีวิต แต่จากนี้ก็อยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อเอ็งนะ”

“... มึงแม่ง”

ผมรู้สึกร้อนขอบตา เลยหันหลังให้มันอีกครั้ง

ผมพูดผิดไปว่ามันเหมือนเฟลม แต่ไม่ใช่เลย มันต่างกับเฟลมมาก คนนั้นทิ้งผมที่อยู่กันมาสามปีเพื่อไปเลือกคนที่รู้จักแค่สามเดือนเพราะชื่อเสียงเงินทอง แต่ไอ้หมอนี่กลับทิ้งเงิน ทิ้งคนที่ซัพพอร์ตมันในทุกสถานะมาเป็นสิบๆ ปีเพื่อผมที่อยู่ด้วยกันแค่ช่วงสั้นๆ และมีแค่ตัวเปล่า คนอย่างมันถ้าไม่โง่ก็บ้ามากๆ อ่ะ... เวรเอ๊ย

“แต่กูมาทีหลังไม่ใช่เหรอ แสดงว่ามึงกับเขารักกันมาก่อน ส่วนกูก็เป็นมือที่สาม กูไม่ดีใจหรอกนะที่แย่งของคนอื่นมา” ผมว่า

โจรอู๋พ่นลมออกจมูกอย่างฉุนเฉียว

“มาก่อนแล้วไง ข้าไม่ได้คิดกับเขาเหมือนที่คิดกับเอ็ง ทุกอย่างเป็นไปเพราะสถานการณ์บีบบังคับกับผลประโยชน์ล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลย ต่อให้ข้าไม่เจอเอ็ง ข้าก็ไม่ได้รักเขาอยู่ดี”

โอเค ชัดเจน

“แต่เขาคงรักมึง ใช่มั้ย”

“...ฮื่อ” มันพยักหน้านิดๆ

“ทิ้งเขาแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ”

“ข้าคิดว่าคนเห็นแก่ตัว คือคนที่รั้งอีกคนไว้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่มีวันรักเราได้มากกว่า”

“......”

“ข้ารู้สึกผิดที่ทิ้งเขา แต่ข้ารู้มาตลอดว่าจะอยู่กันแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ เราไม่สามารถพัฒนาไปเป็นคนรัก แต่ก็กลับไปเป็นเพื่อนไม่ได้ด้วย สุดท้ายไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องจากกันอยู่ดี”

“มึงไปพูดกับเขาแบบนี้เหรอ”

“อืม”

“แรงมากนะ ไม่กลัวเขาแค้นแล้วแว้งกัดรึไง”

“อะไรจะเกิดก็เกิดเถอะ แต่ข้าจะไม่ยอมเสียเอ็งไปแน่ๆ”

“.........”

หัวใจผมเต้นผิดจังหวะ แล้วก็เกิดกระแสอุ่นๆ จากหัวใจแผ่ซ่านไปทั่วร่าง...มันเป็นความรู้สึกที่โคตรดี ยิ่งกว่าการร่วมรักไม่รู้ตั้งกี่เท่า

“ยังสงสัยเรื่องไหนอีก”

“ไม่มีแล้ว” ผมพูดห้วนๆ

“งั้น... หายโกรธแล้วใช่ม้า?”

“ไม่รู้”

“เอ้า” โจรอู๋เกาหัว ย้ายมาอยู่ตรงหน้าผม ก้มตัวลงเล็กน้อยจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน “หนูจะเอาอะไร ยังงอนตรงไหนอีกล่ะครับคนดี หืม? นี่พี่ก็เล่าหมดเปลือกแล้วนะครับ ลึกกว่านี้ก็รหัสดีเอ็นเอล่ะจ้ะ”

“เชี่ย!” ผมฟาดแขนมันแรงๆ “พูดเหี้ยไรเนี่ย ขนลุก!”

“พูดเพราะๆ ไม่ชอบ ชอบคำหยาบเหรอ”

“เออ ขอร้องล่ะ อย่าพูดสำเนียงนั้นอีกนะ”

ใจกูจะวายไอ้สัด...น่ารักเกิน

มันเห็นท่าทีผมอ่อนลงก็หัวเราะคิก แล้วผมก็ถูกสวมกอดอย่างแนบแน่นอีกครั้ง มันเอาหน้าหนวดๆ ถูนัวเนียหน้าเนียนๆ ของผมจนแอบคัน... แต่ก็เป็นความน่ารำคาญที่โคตรรู้สึกดี แบบทุกทีเวลาที่เรานอนกอดกัน... อ้อมกอดของมันก็ทำให้ผมเหมือนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ทั้งได้รับพลังและอบอุ่นในเวลาเดียว ริมฝีปากที่ประทับตรงขมับ หน้าผาก เปลือกตา ปลายจมูก และแก้ม ก็ล้วนนุ่มนวลอ่อนหวานดั่งน้ำผึ้งชโลมใจที่แห้งเหี่ยวของผมให้ฟื้นคืนชีพ

ไม่น่าเชื่อว่าห่างกันแค่ไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมง ผมจะโหยหาสัมผัสของมันมากกว่าที่รอใครบางคนมาทั้งชีวิตซะอีก และก็ยิ่งตอกย้ำว่าผมคงขาดมันไม่ได้แน่ๆ

“กลับมาอยู่ด้วยกันนะ”

มันกระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เจือแววออดอ้อนเล็กๆ

ผมไม่ตอบ แค่พยักหน้านิดเดียว

“ขอบคุณนะ... ข้าคิดถึงเอ็งมากเลยรู้มั้ย”

ผมเอ่ยเสียงเบาและสั่นเครือ

“...กูก็คิดถึงมึง”

พลันน้ำตาผมก็ไหล ด้วยความตระหนักรู้ว่าคิดถึงมันมากจริงๆ แล้วก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว

“ขอโทษนะที่ทำอะไรสิ้นคิด”

“ไม่เป็นไร คนเราพลาดกันได้ ข้าก็ทำผิดกับเอ็งตั้งหลายเรื่อง...  เอาเป็นว่าหายกัน โอเคมั้ย”

“ถ้ามีอีก กูจับเฉือนคาเตียงแน่บอกเลย”

โจรอู๋หัวเราะ เอียงหน้าจูบผมอย่างดูดดื่มเต็มปากเต็มคำ ผมก็โอบแขนรัดรอบคอมันแล้วจูบตอบอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กัน เราจูบแบบแทบไม่พักหายใจเกือบนาที ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าใครคิดถึงใครมากกว่า

“อย่าหนีไปไหนอีกนะ”

“อื้อ...ไม่หนีแล้ว”

มันกัดปากผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว “ได้ยินว่าซัดไวอากร้าเข้าไปเหรอ หืม คุณโฮสต์”

“สองแก้ว...”

โจรผลักผมหลังชิดกำแพง ดึงขอบกางเกงร่นลง แล้วบีบก้นผมหมับอย่างคันไม้คันมือ

“รออะไร... ยกขาขึ้นสิจ๊ะ”






///

มาแล้วนะ แต่จะโดนแบนมั้ย 5555

พี่เว็บไม่เท่าไหร่ กลัวแต่คนอ่านจะรับไม่ได้ แงงง T^T

พยายามหาทางลงให้ปัญหาแบบเมคเซ้นส์มากที่สุด

คือถ้าไม่ได้....กับเฮียมาเฟียเลย นี่ว่าเป็นไปไม่ได้ค่ะ ละครเกิน

แต่ถ้าเลยเถิดกว่านั้น คนเขียนเองค่ะจะรับไม่ได้ T.T

ความตั้งใจแรกที่เขียนเรื่องนี้เลยคือ ต้องการแหกค่ะ

แหกกฎของนิยายวาย หรือนิยายทั่วไป ว่านายเอกจะต้องใสซิง

ถึงได้ให้เค้ามีสามีมาก่อนเจอพระเอก แล้วก็ผ่านอะไรมาโชกโชนสุดๆ

อยากให้เข้าใจพาร์ทนี้ว่าแสงเทียนเขวมาก เศร้ามาก เมามาก และฮีทมาก

เลยทำอะไรแบบนั้นลงไป อยากให้มองเขาในฐานะมนุษย์มากกว่าภาพจำของนายเอกในอุดมคติน่ะค่ะ

แต่ยืนยันว่าจากนี้จะไม่มีฉากชวนใจหายใจคว่ำประเภทนี้อีกแล้ว

ขอบคุณที่ทนอ่านจนถึงตรงนี้ค่ะ นับถือใจคนที่ยังอยู่ด้วยมากๆ เลย TwT

รักน้าาา

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-04-2019 14:39:16
ง้อเมียสไตล์พี่อู๋5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-04-2019 14:44:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: ไร้เงา ที่ 06-04-2019 16:57:41
แต่งยังไงก็ยังรออ่านค่ะ
เพราะรักนิยายเรื่องนี้ไปแล้ว :L1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 06-04-2019 21:32:38
 :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-04-2019 22:27:38
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-04-2019 22:42:18
ถึงหมดตัวแต่พี่อู๋ยังเหลือแรงนะจ๊ะ  :impress2: :impress2:
 :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 13-04-2019 06:25:11
 :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.30 คืนดีดี (06/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-04-2019 11:41:47
ถึงนายเอกจะผ่านสมรภูมิ sex มาอย่างโชกโชน เราก็ยอมรับได้ เพราะ โครงเรื่อง นิสัยของแสงเทียน น่ารักมากๆ ภาษาสวย มีฉากระทึกเกือบทุกตอน เอกลักษณ์ของตัวละคร ชัดเจน สุดท้าย อยากให้ มาเฟียตี๋ คู่กับทิวา ได้มั๊ย สงสารทิวา
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 14-04-2019 11:38:21


31
'กูรักมึง'



ผมโดนโจรลงโทษไปสามรอบถ้วน คงไม่ต้องบอกนะครับว่าก้นระบมแค่ไหน โดนมันกระแทกกระทั้นปู้ยี้ปู้ยำขย้ำขยี้ บอบช้ำยิ่งกว่ากระสอบทราย ทำยังกะจะไม่ให้เดินได้ไปสามวันเจ็ดวัน ไหนจะขูดกำแพงแสบไปหมด แล้วผมทำได้แค่ข่วนหลังกัดไหล่มันแค่นั้น เหี้ยจริงๆ นี่ขนาดห่างกันแค่ไม่ถึงสองวันเอง ถ้าสักอาทิตย์นึงผมไม่นอนโรงบาลเลยเหรอ

เรายืนอยู่ข้างถนน มันกำลังไล่ดูโรงแรมราคาถูกในทราเวลโลกาเพื่อใช้เป็นที่ซุกหัวนอนคืนนี้ ระหว่างรอแท็กซี่ก็คุยกันในประเด็นที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง

“มึงเทเขาแบบนั้น กูกลัวเขาโกรธแล้วแฉมึงจัง เขามีข้อมูลทุกอย่างของมึงในมือ จะทำอะไรกับมึงก็ได้”

แม้จะเคลียร์เรื่องคนๆ นั้นจบ แต่ความกังวลของผมก็ยังไม่หายไป หนำซ้ำจะยิ่งทวีหนักขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าโจรอู๋สั่นหัว ใบหน้าไร้ซึ่งความกังวล

“เขาไม่ทำหรอก ถ้าทำก็เหมือนแฉความทุจริตของตัวเอง คงลอยทะเลเราเท่านั้นแหละ”

“งั้นก็ดี....”

“แต่ต้องทำใจว่าชีวิตจากนี้ไปคงไม่สบายเหมือนที่ผ่านมา เอ็งกับข้าอาจต้องอดมื้อกินมื้อ ย้ายที่ซุกหัวนอนไปเรื่อยๆ ปลอมตัวใหม่เรื่อยๆ เสี่ยงอันตรายก็ต้องเอาตัวรอดเองให้ได้ ไม่มีคนเป็นแบ็คอัพให้”

“ฟังดูน่ากลัวนะ”

“ใช่ ข้าขอโทษที่พาเอ็งมาลำบาก”

“ไม่เอาน่า มาถึงขั้นนี้มันเลยจุดที่จะโทษว่าเป็นความผิดใครแล้ว”

โจรอู๋ยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะดึงผมไปกอดตามด้วยจูบหน้าผากแรงๆ   

ยืนรอเกือบสิบนาทีก็ยังไม่ได้ขึ้น โจรบ่นว่าหิวเลยชวนไปหาข้าวกินแทน ด้วยความที่แถวนี้เป็นย่านท่องเที่ยว ร้านอาหารหลายรายจึงเปิดโต้รุ่ง บรรดานักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ผมกับโจรเลยค่อนข้างสบายใจว่าไม่มีใครรู้จักเรา (ก็ขอให้อย่าอุตริเจอญาติมันเข้าละกัน)

ผมเข้าร้านตามสั่งไปก่อน ส่วนมันแยกไปซื้อของในเซเว่น พนักงานสาวชาวประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาต้อนรับพร้อมกับเมนู ผมสั่งข้าวต้มปลากะพงแบบกลับบ้านเพราะไม่อยากอยู่ข้างนอกนานๆ

อา... นี่ผมกลายเป็นโจรเต็มตัวแล้วสินะ จะทำอะไรก็ระแวงไปหมด

เห็นรถตำรวจผ่านไปสองคัน ชักใจไม่ดี แถวนี้อยู่ใกล้โรงพักซะด้วยสิ เกิดเจอตำรวจออกเวรมากินข้าวคงซวยแน่ แคนเซิลเมนูหรือเปลี่ยนร้านทันไหมเนี่ย

แล้วก็ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง มีรถตำรวจมาจอดจริงด้วย! แต่ที่เหี้ยกว่าคือตำรวจคนนั้นมากับคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าอันดับหนึ่งในชีวิต

เฟลม!!!!!!!

อะไร ทำไม เป็นไปได้ยังไง? ทำไมเฟลมถึงอยู่กับตำรวจ ทำไมต้องมาร้านนี้ ทำไมต้องเป็นเวลานี้... แล้วทำไมยัยพนักงานต้องพาพวกเขามานั่งโต๊ะติดผมด้วยยย!!!

แฟนเก่าผู้สวมเขาให้ผมดูทรุดโทรมโศกสลดเหมือนไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เขาซูบผอมลงมาก ใบหน้าตอบจนเห็นโหนกแก้มสันกรามชัด อีกทั้งยังใต้ตาดำคล้ำอย่างคนอดนอนติดกันนานๆ ซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก คงเครียดเรื่องคดีของผมล่ะมั้ง ไม่รู้จะสงสารหรือสะใจดีที่เห็นสภาพเกือบซอมบี้ของเขา

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเจอกัน อย่างน้อยก็ตอนนี้

หัวใจผมเต้นแรงมากเหมือนจะทะลุออกมาข้างนอก ตัวเย็นเยียบแข็งทื่อ เสียวสันหลังวาบเมื่อเฟลมนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งหลังติดกับผม... ฉากกั้นระหว่างเรามีแค่ช่องว่างทางอากาศแค่สามคืบ

ห่างกัน-แค่-สามคืบ

ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง ระหว่างลุกออกไปเลยกับนั่งจนกว่าอาหารจะมาแล้วค่อยไป ใจจริงอยากทำอย่างแรก แต่มันอาจดูพิรุธเกิน
แต่ระหว่างที่รอ เกิดเขาหันมาข้างหลังแล้วจำท้ายทอยผมได้ จะเกิดอะไรขึ้น? หรือถ้าโจรอู๋เข้ามาเจอพวกเขา คงยิ่งซวยกว่า

เอาไงดีวะ

“รับอะไรดีคะ” พนักงานส่งเมนูให้สองคนนั้นแล้วรอออเดอร์

“ข้าวปูผัดผงกะหรี่” เฟลมสั่ง

“ผมเอาด้วย” ตำรวจพูด

“ทำไมต้องลอกกัน เมนูมีตั้งเยอะ”

“ก็ผมอยากกินกะหรี่ ผิดตรงไหน”

“พูดแบบนี้แสดงว่ากินบ่อย”

“แน่นอนสิ แถวนี้ถิ่นผม”

“ร้านไหนล่ะ พาไปบ้างสิ”

“จะบ้าเหรอ พูดเล่น ผมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นะคุณ มีหน้าที่ปราบปรามอบายมุขทุกประเภท เรื่องไรจะไปมั่วเอง”

“นี่แก้ตัวหรือหาเสียง”

น้ำเสียงเฟลมฟังดูเป็นกันเอง ไร้ซึ่งความประหม่ายำเกรงแบบที่ประชาชนทั่วไปมีต่อเจ้าหน้าที่ บางทีตำรวจนายนี้อาจเป็นคนรับผิดชอบคดีของผม พวกเขาเลยมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อย อายุก็ดูไม่ห่างกันมาก คง สนิทจนกลายเป็นเพื่อนกัน ถือว่าเป็นเรื่องดีนะ เพราะเพื่อนในชีวิตจริงของเฟลมน้อยมากแทบนับนิ้วได้

“ขอบคุณนะที่พาไปดูหนัง” เฟลมพูดต่อ

“บอกแล้วไงว่าไม่ได้เลี้ยง ตั๋วฟรี”

“ก็ไม่ได้หมายถึงตั๋วอย่างเดียว”

“รู้น่า ผมไม่อยากให้คุณเศร้า คนเราต้องหาอะไรผ่อนคลายบ้าง”

“อืม”

“สนุกมั้ย”

“ก็งั้นๆ”

“เหรอออ แต่ผมเห็นคุณอ้าปากค้างทั้งเรื่องเลยนะ”

เฟลมเหมือนจะเขินๆ “ผมชอบเอฟเฟกต์หรอก ดีกว่าภาคที่แล้วเยอะ”

“ไม่ใช่อึ้งในความหล่อของอนันดาเหรอ”

“มั่วละ จะอึ้งทำไม เคยเจอตัวจริงมาแล้วยังเฉยๆ”

“โห ระดับอนันดายังบอกว่าเฉย แล้วต้องระดับไหนถึงจะหล่อสำหรับคุณ”

แบบมาร์ค คีแกนไง ผมตอบในใจ

“หล่อน่ะหล่อ แต่ก็ไม่ถึงกับอ้าปากค้าง”

“เอาความมั่นใจมาจากไหน”

“ผมว่าผมก็หล่อไม่แพ้เค้า”

ตำรวจหัวเราะ “ถ้างั้นทำไมไม่ไปเป็นดาราเองซะเลยล่ะ พ่อคนหล่อกว่า”

“อย่าพูดตอกย้ำกันได้ปะ คนอย่างผมอะไรที่ทิ้งแล้วจะไม่หันกลับไปมองเป็นครั้งที่สอง”

หมายถึงเราด้วยรึเปล่าเฟลม

“ล้อเล่นน่า ผมรู้ว่าคุณอินดี้ เลือกเป็นทำร้านเดลิเวอรี่ ดีกว่าเป็นชู้ลับซุป’ตาร์”

“หมวดรักษ์!”

“ฮ่าๆ”

ผมแอบฟังพวกเขาพูดจาหยอกล้อกัน สังเกตน้ำเสียงของเฟลม... เขาก็ดูมีความสุขดีนี่นา ยังหัวเราะได้ คุยเล่นได้ เห็นทีว่าตำรวจคนนี้จะไม่ใช่แค่ดูแลคดีให้เขาอย่างเดียว ยังดูแลตัวเขาด้วย ชักสงสัยแล้วสิว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นมากกว่าเจ้าหน้าที่กับประชาชนรึเปล่า? มีพาไปดูหนัง แถมมานั่งดินเนอร์กันด้วยแน่ะ แปลกๆ แต่ถ้าเป็นจริงผมก็ดีใจด้วยนะ

“แสงเทียน”

“!!!!!!!!!!”

ชิบหาย ว่าแล้วแม่งต้องจำได้!

วินาทีที่เฟลมเรียกชื่อ ผมถึงกับหยุดหายใจ ตัวแข็งทื่อเป็นหินพันปี

ขอโทษนะอู๋ที่กูถูกจับได้ก่อนมึง แต่ไม่เป็นไร ไว้เจอกันในคุก

“ละเมอเรียกผมเป็นเขาอีกแล้วนะ” ตำรวจเอ่ย น้ำเสียงขำปนเอ็นดู

“เปล่า...” เสียงเฟลมฟังดูเก้อเขิน

โล่งอกไปที แค่เรียกผิด นี่แปลว่าเขาไม่เคยหยุดคิดเรื่องผมเลยสินะ

“ไหนๆ ก็พูดถึงเขาแล้ว คุณจะทำไงต่อ อยู่ดีๆ นักสืบทิวาก็ถอนตัวจากทีมไปแบบนี้น่ะ” เฟลมว่า

“อืม ผมกับจ่าก็ต้องทำงานหนักขึ้น แต่ยังดีที่เรารู้แล้วว่าโจรอู๋กับพรรคพวกอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวๆ สุขุมวิท”

“คุณแน่ใจได้ไง โจรกระจอกแบบนั้นเนี่ยนะจะอยู่ในสุขุมวิท”

“อย่าลืมว่าพวกเขาปล้นทรัพย์สินได้เยอะขนาดซื้อตึกที่นั่นได้สบายเลย”

อะไรนะ! นี่สืบมาไกลถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ดีที่เราย้ายออกจากสุขุมวิทมาแล้ว ไม่งั้นมีหวังถูกรวบคาคอนโดแน่ๆ ตำรวจทีมนี้โคตรไม่ธรรมดาเลย ขนาดนักสืบเป็นหนอนบ่อนไส้ให้แท้ๆ ถ้าแก๊งโจรไม่รีบปิดจ็อบให้เร็วที่สุด อนาคตคงสุ่มเสี่ยงจะไม่รอดแล้วล่ะแบบนี้

“เขาจะอยู่ไหนก็ตาม... ผมแค่อยากรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง”

“.......”

“ผมรู้ว่าทุกอย่างระหว่างเราคงไม่มีวันเหมือนเดิม... แต่สิ่งเดียวที่ผมภาวนาก็คือขอให้เขาปลอดภัย เท่านั้นก็พอ”

“.......”

ไม่รู้ว่าน้ำตาของผมไหลออกมาตอนไหน

อยากจะหันกลับไป แล้วยิ้มให้นาย... พร้อมกับบอกว่าเรายังมีชีวิตอยู่ แถมยังมีความสุขกว่าที่ผ่านมาอีกด้วย

แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมหยิบกระดาษทิชชู่เอามาปิดปากเพื่อไม่ให้ใครเห็นใบหน้า แล้วรีบก้มหน้าเดินออกจากโต๊ะนั้นอย่างเร็วไว ขืนนั่งต่อไปคงไม่วายร้องไห้จนเขาหันมามองแล้วถูกจับได้

“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคะ อาหารยังไม่เสร็จเลย” พนักงานที่อยู่หน้าร้านพูดกับผมอย่างงงๆ

ผมหยุดเดิน หยิบปากกาจากมือเธอมาเขียนใส่กระดาษทิชชู่ด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะส่งปากกาคืนพร้อมกับกระดาษที่มีข้อความข้างใน พร้อมทั้งเงินค่าข้าวต้มที่ไม่ได้กิน

“ฝากให้คนเสื้อแดงโต๊ะห้าด้วย แต่รอเขาเช็คบิลก่อนนะครับ อันนี้ค่าเสียเวลา”

แล้วก็วิ่งออกมาโดยไม่หันหลังกลับ โจรอู๋เพิ่งออกจากเซเว่นมาพอดี ผมรีบคว้าแขนมันเดินหนีออกมาไกลๆ

“อะไรของเอ็ง จะไปไหน ยังไม่ได้กินข้าวเลย”

“รีบหนีเร็ว เฟลมอยู่ในร้าน เขามากับตำรวจด้วย”

“ฮะ!?” โจรอู๋ท่าทางตกใจ เบิกตากว้าง

ผมชะโงกหน้ามองหาแท็กซี่ แต่โชคร้ายที่มันไม่มีเลยสักคัน คงเพราะมันดึกมากๆ เราเลยหลบอยู่ใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ข้างทางไปพลางก่อน

“ข้านึกว่าเอ็งจะดีใจแล้วกลับไปหาเขาซะอีก”

ผมเงยหน้ามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างโคตรไม่อยากเชื่อหู

“ทำไมมึงพูดงี้”

“ข้าคิดว่าเอ็งยังรัก...”

“หุบปากซะทีเถอะ!”

ผมตะโกนเสียงดังด้วยความอัดอั้นตันใจ กระชากคอเสื้อของมันดึงลงมาประกบปากจูบ... ค้างไว้อย่างนั้นหลายวินาที แล้วก็ขยุ้มผมมันดึงหัวออกห่าง จ้องหน้าเขม็งด้วยดวงตาจริงจังแต่ก็สั่นไหวคลอนเคลือน พูดด้วยเสียงสั่นสะท้านแต่ใจความหนักแน่น

“มึงนี่มันโง่หรือโคตรโง่กันแน่วะ! กูมีโอกาสดีๆ จะหนีกว่านี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่กูก็ยังอยู่ เพราะอะไร! กูรักมึงไงไอ้ควาย!
“.........”

“ให้ตาย... ต้องให้พูดก่อนจนได้”

“.......”

ผมก้มหน้า ขอบตาร้อนเหมือนจะมีน้ำไหล ไอ้โจรยืนทื่อโง่ๆ อ้าปากค้างอย่างโง่ๆ ยังมีหน้าตบแก้มตัวเอง

“นี่ข้าฝันไปรึเปล่า เอ็งเนี่ยนะบอกรักข้า”

“เออ ฝันมั้ง!”

ผมไสมันออกจากตัวอย่างโคตรจะหงุดหงิด เมื่อนั้นมันถึงได้สติ ดึงร่างผมไปสวมกอดแน่น.... แน่นมากจนกระดูกของผมจะแหลกเหลวด้วยแรงกอดรัดระดับงูอนาคอนด้ารัดลูกกระต่าย

“ข้าไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากเอ็ง... ไม่คิดว่าเอ็งจะคิดเหมือนกัน ข้าก็รักเอ็ง... รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้าด้วยซ้ำ ถึงได้ขโมยมา”

“ไม่ต้องพูดเลย ครั้งแรกมึงคิดว่ากูเป็นตุ๊กตายาง”

“โอ๋... สวยอย่างนี้ใครจะคิดว่าเป็นมนุษย์ล่ะฮึ เอ็งก็เล่นละครตบตาข้าซะเนียนด้วย”

“มึงมันโง่เอง...”

ผมซบหน้ากับบ่ากว้างของมัน ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา พอพูดคำนั้นออกไปแล้วผมก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับหินหนักที่ถ่วงอยู่ข้างในถูกปลดทิ้งไป หินที่ว่าคือความรู้สึกผิดที่มีต่อเฟลม ต่อครอบครัว ต่อสังคม และต่อตัวผมเอง ผมไม่กล้ายอมรับว่าผมจะรักคนที่ทำลายชีวิตตัวเองอย่างไอ้โจรคนนี้ได้ แต่เรื่องราวทั้งหลายที่ผมกับมันก้าวผ่านด้วยกันมา ทำให้ความคิดผมเปลี่ยนไป

หากตัดสถานะที่ตราหน้ามัน ตัดประกาศจับ กับหน้าตาชั่วๆ ของมันออกไป เหลือแต่ตัวเปล่าๆ กับหัวใจ มันก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อคนที่มันรัก... ยอมแลกเงินทอง ความสุขสบาย กระทั่งชีวิต เมื่อมองมันด้วยสายตาที่ปราศจากอคติ ผมก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริง

และนั่นก็ทำให้ผมกล้ายอมรับมัน เช่นเดียวกับยอมรับหัวใจตัวเอง

รู้แหละว่ามันอาจดูไม่เหมาะสมในสายตาใครๆ แต่ผมไม่สนใจแล้วล่ะ ผมตัดสินใจแล้วว่าอยากมีมันอยู่ในชีวิต แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม ผมจะผลัก จะดัน ทำทุกวิถีทางเพื่อพามันออกจากที่มืดกลับสู่แสงสว่างให้ได้ ผมตั้งใจเช่นนั้น
 
“ขอบคุณที่เอ็งรักโจรกากๆ คนนี้ แม้ว่าข้าจะทำให้เอ็งเจ็บตัวเจ็บใจบ่อยเหลือเกิน...ขอบคุณที่ไม่ทิ้ง ไม่หนีข้าไปไหน... ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้าเสมอ ชีวิตข้าคงไม่ต่างกับเศษสวะถ้าไม่มีเอ็ง... เพราะมีเอ็ง ถึงได้รู้ว่าชีวิตนี้อยู่และตายเพื่อใคร”

โจรโอบกอดผม จูบที่ขมับเบาๆ แล้วเลื่อนไปพูดที่ข้างหู... คำพูดไหลหลั่งพรั่งพรู เช่นเดียวกับน้ำตาของผมที่ไหลพราก

“......อือ”

“ข้ารักเอ็ง รัก รักมาก รักที่สุด รักกว่าทุกคนที่ผ่านมา และคงไม่มีทางรักใครได้เท่านี้อีก”

“พอแล้ว....”

ผมเอาหน้าร้อนๆ มุดกับอกของมัน รู้เลยว่าอาการเขินจนจะระเบิดตัวตายเป็นยังไง ไอ้โจรทั้งกอดทั้งหอมและถ้าไม่ติดว่าอยู่ข้างถนนมันก็คงจับผมกดซะตรงนี้

ไม่รู้ว่าแท็กซี่ผ่านไปแล้วกี่คัน แต่ช่างมัน ขอเราซึมซับความรู้สึกดีๆ ในตอนนี้ให้มากที่สุดก่อน เพราะมันจะเป็นฉากหนึ่งที่สำคัญในชีวิตที่เราไม่มีวันลืม

ฝากคำขอโทษไปถึงเฟลม...

ขอโทษที่ทำให้นายทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ขอโทษที่เราไม่หลงเหลือความรักให้นายอีกต่อไป

ขอโทษที่เราเลือกทางนี้... เลือกเป็นเมียโจร

ขอโทษ..... ที่เราคงกลับไปเป็นคนดีคนเดิมของนายไม่ได้อีกแล้ว





......

“ร้อยเก้าสิบค่ะ”

พนักงานสาวแจ้งยอดเงินกับลูกค้าทั้งสองหลังจากที่พวกเขาทานเสร็จแล้ว ชายหนุ่มรูปงามควักกระเป๋าตังค์ แต่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แล้วก็ยิ้มแห้งๆ ตำรวจที่ตั้งใจเลี้ยงอยู่แล้วเลยจ่ายแทน ก่อนทั้งคู่จะลุกออกไป

“เดี๋ยวค่ะลูกค้า” พนักงานสาวท้วงตามหลัง

“อะไรครับ” เฟลมหันกลับไปงงๆ

หญิงสาวหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนส่งให้เขา เฟลมรับไปด้วยสีหน้างงกว่าเดิม

“มีคนฝากให้คุณค่ะ” เธอบอก

“ใครครับ”

“ลูกค้าโต๊ะสี่ ที่นั่งหลังติดกับคุณน่ะค่ะ”

พนักงานสาวตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงจากไป เธอคิดว่าในกระดาษนั้นคงเป็นเบอร์โทร เพราะเคยมีลูกค้าจีบกันผ่านแม่สื่อที่เป็นพนักงานอยู่บ้าง

เฟลมคลี่กระดาษทิชชู่ดูอย่างสงสัย เห็นข้อความบางอย่างอยู่ข้างใน เป็นข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือคุ้นตา

แค่นั้น... ชายหนุ่มก็รู้สึกชาไปหมดทั้งตัว ลมหายใจขาดห้วง คล้ายวิญญาณหลุดจากร่างกะทันหัน

สายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามา ทำให้กระดาษแผ่นนั้นปลิวหลุดจากมือเขาไป


เฟลมล้มทั้งยืน




‘เราสบายดี...’




/// สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะพี่น้อง

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ ดีใจมากๆ เลย  :hao5:

โดยเฉพาะคุณ t2007 ประโยคสุดท้ายเหมือนจะรู้ความคิดคนแต่งเลยนะคะ (Oops!) 555

แล้วพบกันใหม่ค่ะ <3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-04-2019 15:58:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-04-2019 16:52:28
โจรอู๋เนี่ยหื่นจริงๆ ยังไงก็ดูแลแสงเทียนให้ดีละ มอบตัวแหละหัวใจให้ขนาดนั้น
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-04-2019 17:53:15
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: bokiee ที่ 16-04-2019 01:12:26
ตามทันแล้ว รอตอนต่อไปนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-04-2019 02:02:49
เขย่าหัวใจอีกล๊าววววว แสงเทียน เฟลม เป็นคนแปลกหน้าอย่างชัดเจน รออ่านคู่ทิวา มาเฟีย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 17-04-2019 20:01:59
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก [1/2] 02/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-05-2019 23:10:47

32
ปิดฉากความรัก



สรุปเราสองคนก็เดินไปโรงแรม เพราะโจรอู๋เลือกที่อยู่ใกล้ๆ แบบวอล์คอินแทน จริงๆ คือโรงแรมม่านรูดราคาถูกแหละ แอ๊บเป็นชาวต่างชาติกันไป นอกจากเหตุผลเรื่องความประหยัดก็คือเรื่อง (ไร้) ความปลอดภัย เพราะไม่ต้องใช้บัตรประชาชน กล้องวงจรปิดก็ไม่มี เหมาะกับพวกแอบเมียมานอนกับกิ๊กมากเลย (อ่ะ...ถ้าในอนาคตอิอู๋ไม่กลับบ้าน ผมก็จะมาตามมันที่นี่แหละ)

“ไม่เอา อย่าทำแบบนี้ กูอายนะ...”

“แล้วทำไมถึงยอมให้คนอื่นทำ”

“กูไม่รู้ กูเมา”

“ไม่ต้องอ้าง กางขาออกเดี๋ยวนี้”

“ไอ้เชี่ยนี่.....”

มหาโจรคร่อมอยู่ข้างบนร่างของผม ใบหน้าอยู่ระดับท้องน้อยกำลังเล้าโลมจุดสำคัญด้วยปาก ทำผมเขินมากเพราะไม่ค่อยยอมให้มันทำแบบนี้ให้มีแต่ตัวเองที่ทำให้มัน

“ข้าจะเลียเอาเสนียดจัญไรจากไอ้สารเลวนั่นออกจากตัวเอ็งให้เกลี้ยงเลย”

ผมไม่กล้ามอง จึงหันหน้าไปด้านข้างและหลับตาปี๋ หายใจถี่ๆ ด้วยความรู้สึกร้อนวูบไหวไปทั้งตัว ไวอากร้าอาจยังไม่หมดฤทธิ์ ผมเลยรู้สึกไวต่อสัมผัสของมันมากเป็นพิเศษ

มันทั้งดูด เลีย ขบเบาๆ ราวกับหยอกเย้า ทำเอาผมเสียวกระสันจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ถึงกับแอ่นกายเข้ารับสัมผัสจากมันแนบแน่นยิ่งขึ้น มือก็ขยุ้มผมของมันระบายอารมณ์ที่พลุ้งพล่าน

“มึง กูจะเสร็จแล้ว...เอาปากออก...”

แต่มันไม่ทำตามคำสั่ง กลับจับรั้งเอวผมไว้ไม่ให้ดิ้นหนี ไออุ่นและการสัมผัสที่ร้อนแรงจากปากของมันทำให้อารมณ์ของผมพุ่งถึงขีดสุด กระทั่งปล่อยออกมาทั้งที่ปากยังครอบคาอยู่

ผมส่งเสียงครางยาวในลำคอหลังจากพ้นจุดนั้นมาแล้ว รู้สึกผ่อนคลายลง โจรอู๋ถอดถอนริมฝีปากออกไปจากอาวุธประจำกายของผม เลียริมฝีปากอย่างเซ็กซี่ขยี้ใจที่สุด

มันถอยไปข้างหลัง นั่งชันเข่า จัดการปลุกเร้าอาวุธของตัวเองให้แข็งขันเต็มที่

ผมชันกายขึ้นจากที่นอน “ให้ทำให้มั้ย”

“ได้ก็วิเศษเลยครับ”

ผมขยับเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงไปแล้วรับเอาความเป็นชายของมันไว้ในปาก ลากลิ้นสัมผัสอย่างทั่วถึงทุกตารางนิ้วพร้อมกับใช้มือช่วย จูบสลับกับดูดเบาๆ อย่างทะนุถนอม... มันส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคออย่างพึงพอใจ มือใหญ่สอดใต้เรือนผมของผมดึงให้เข้าไปใกล้กว่าเดิม
ด้วยขนาดที่ใหญ่ยาวคับปากคับคอ ผมเลยไม่สามารถครอบครองของมันได้มิด เคยลองจนสุดว่าจะหยุดที่ไหน ปรากฏว่าทะลุลิ้นไก่ลงไป ทำเอาสำลักหน้าดำหน้าแดงแทบตายมันรู้สึกผิดกับสงสารเลยไม่ให้ผมอมหมดแท่งอีกเลย แค่ใช้ลิ้นเล่นกับครึ่งบนและใช้มือกับครึ่งล่างก็พอ เป็นความใส่ใจเรื่องเล็กๆ แต่น่าประทับใจดีนะผมว่า

มันกัดริมฝีปากล่างอย่างเสียวสะท้าน ครางออกมาเบาๆ ด้วยความสุขสม ผมกำท่อนลำขยับมือขึ้นลงเป็นจังหวะถี่ๆ พร้อมกับกัดดูดเลียส่วนปลายราวกับไอศกรีมแสนอร่อย ก่อนที่มันจะปล่อยนมข้นหวานออกมาอย่างทะลักทลาย และผมก็เลียเก็บเกลี้ยงทุกหยาดหยด มันงี้มองตาหวานเยิ้มเหมือนหัวใจจะละลาย

“น่ารักที่สุดเลย”

ผมเองก็แทบละลายเหมือนกัน...

มันกอดผมแล้วล้มตัวนอนโดยตัวเองอยู่ข้างบน ยกขาผมขึ้นชันและอ้ากางออก สวมถุงยางและใช้น้ำลายแทนตัวหล่อลื่น เอาหัวจ่อหยอกล้อแต่ไม่ยอมเข้ามา เหมือนจะแกล้งยั่วกัน ผมเลยจับยัดเข้ามาเองนักเลงพอ มันหัวเราะใหญ่

“ฤทธิ์ไวอากร้านี่แรงจริงๆ”

“ไม่มีฤทธิ์เหี้ยไรทั้งนั้นอ่ะ กูอยากโดนมึงเอา เร็วๆ เลย อย่าให้ต้องโมโหขึ้นควบเอง”

“โอ้โห.......”

“คืนนี้อยากได้เท่าไหร่ใส่มาเลยไม่ต้องยั้ง”

“ห้ามคืนคำนะ”

“อือ”

“ถ้าเตียงพังอย่าโทษข้านะ”

“อือ...” ผมลูบแขนมัน “เอวกูพังก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน...”

ดวงตาคมเกิดประกายสว่างไสว คล้ายมันดีใจจนถึงขั้นจะหลั่งน้ำตา นี่คือฉากที่เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าไปฮันนีมูนแท้ๆและความรู้สึกของเราก็ไม่ต่างกับพวกเขา ขาดก็แค่พิธีแต่งงานเท่านั้น

ระหว่างที่มันกำลังรุกคืบเข้ามาลึกมากขึ้น สองแขนใหญ่ก็โอบกอดสอดใต้ร่างของผมไว้แนบชิดสนิทกับแผงอกล่ำ สัมผัสได้ถึงหัวใจของมันที่เต้นแรงเร็วระรัวปานม้าศึกที่ฮึกเหิม ริมฝีปากของมันพรมจูบผมไปทั่วสลับกับพร่ำคำบอกรักไม่ขาดสาย

“เทียน...ที่รัก ข้ารักเอ็งนะ โคตรรักเลย”

“อืม...รู้ กูก็รักมึง”

ทุกครั้งที่ได้ยินคำนั้น ทุกครั้งที่เอ่ยออกไป ก็เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ ที่หัวใจแล่นออกไปทั่วตัวทุกที นอกจากนี้ยังรู้สึกอบอุ่นราวกับมีบางอย่างห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ คล้ายกับทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา... เป็นความรู้สึกของการเป็นที่รัก เป็นที่ปกป้อง เป็นที่ต้องการ... มันดีมากจนผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

“ร้องไห้ทำไม ฮื้ม? เจ็บตรงไหนเหรอ” มันถามเสียงเบาเจือแวววิตก แต่ผมสั่นหัว

“เปล่าแค่ดีใจ”

“หมาวัดตัวนี้ต่างหากที่ควรดีใจ ไม่ใช่นางฟ้า”

มันใช้จมูกไล้ใบหน้าของผมอย่างรักใคร่ นั่นแหละทำให้น้ำตาผมไหลจริงๆ

“โอ๋ ไม่ร้องนะครับคนดี มามีความสุขด้วยกันดีกว่า”

ผมปาดน้ำตาและร่นตัวลงไปข้างล่าง กดสะโพกตัวเองเข้าหามันจะว่าเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมมีบทบาทในเซ็กส์ของเรา (ไม่นับที่ขึ้นคร่อมมันครั้งก่อน) เพราะปกติจะนอนเป็นขอนไม้ ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบโต้ ปล่อยให้มันทำตามใจชอบเรื่องของเรื่องคือไม่อยากให้มันได้ใจ คิดว่าผมชอบลีลาของมันหรืออะไรทำนองนั้น (อืม แม้ว่าที่จริงจะชอบมากๆ)

แต่วันนี้... ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังอีกแล้ว กำแพงหัวใจและร่างกายของเราพังทลาย ผมเปิดเผยให้มันรับรู้ทุกอย่าง และก็ได้ค้นพบว่าการตรงไปตรงมานั้นง่ายกว่าเยอะ ตรงไหนดีก็บอกดี ชอบก็บอกชอบ ตรงไหนไม่ถูกใจก็พูดตรงๆ จะได้แก้ไขถูกจุด เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย อีกอย่างนะผู้ชาย (ฝ่ายรุก) ดีใจจะตายเวลาแฟนชมว่าเก่งเรื่องบนเตียงน่ะ มันเป็นเรื่องของความมั่นใจ ไม่มีอะไรเสียหายหรือน่าอาย

มันเข้ามาจนสุด จากนั้นก็คลายกอดผมแล้วเปลี่ยนไปนั่งชันเข่าในท่ามิชชั่นนารี สองมือจับยึดเอวผมไว้ ขยับเข้าออกช้าๆ เนิบนาบ พอเครื่องติดแล้วก็เร่งจังหวะเร็วยิ่งขึ้น กระแทกกระทั้นดุดันจนเตียงสั่นกระแทกผนังดังไปถึงห้องข้างๆ

“กอดหน่อย”

ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาเว้าวอน

“บอกรักเค้าก่อน”

“รัก”

“ครางชื่อด้วย”

“ไอ้เวรอู๋ ได้ทีเอาใหญ่”

“ล้อเล่นคร้าบ...” มันโน้มตัวลงมากอดผม เอาหน้าฟัดซอกคอนัวเนียเหมือนแมว

“กูชอบให้มึงกอดเวลาทำนะ” ผมบอกพลางกอดมันตอบ

“ข้าก็ชอบเวลากอดเอ็ง ชอบโดนเอ็งกัดข่วน”

“กัดคืนบ้างก็ได้”

“บ้า ข้าถนอมเอ็งแค่ไหน เรื่องอะไรจะทำให้เจ็บ” มันพูดด้วยสายตาอ่อนโยนและหวานเยิ้ม จับมือผมที่พันผ้าพันแผลอยู่ เอาไปจูบ “ขอโทษสำหรับแผลนี้ สัญญาจะดูแลให้ดีกว่าเดิม จะไม่ให้เจ็บอีกนะ”

ผมเอามือนั้นลูบหน้ามันพร้อมกับยิ้ม

“ไม่เอาน่า กูไม่ได้โกรธแล้ว”

แล้วเราก็จูบกัน พร้อมกับมันที่กระแทกเอวใส่ผมหนักหน่วงยิ่งขึ้น เนื้อผมที่ถูกมันฟาดอย่างหนักหน่วงคงจะแดงในไม่ช้า แต่ผมก็ชอบการปะทะนี้เอามากๆ ให้โดนทั้งวันทุกวันยังได้   

“แรงอีกมี่....”

“อึก... ครับเมีย”

ผมโดนมันจูบต้นคออย่างรุนแรงเหมือนแวมไพร์กัด เช่นเดียวกับมันที่โดนผมกัดไหล่เลือดซึม จุดเชื่อมต่อระหว่างเราเสียดสีกันจนร้อนราวกับไฟ แต่จะเจ็บแสบแค่ไหนก็สู้ความสุขที่พุ่งทะยานไม่ได้ ยิ่งใกล้เสร็จมันยิ่งบดขยี้ใส่ไม่ยั้ง ทั้งเร็วทั้งแรง ส่วนอื่นๆ ก็ทำงานเต็มที่ มือข้างหนึ่งกอด อีกข้างรูดให้ผม ปากบริการหัวนมทั้งกัดทั้งดูดแบบฟูลเซอร์วิส ถ้ามีลูกน้อยก็คงโดนแย่งนมจนน้องร้องไห้แล้ว

ผมเองก็ใช่ว่าเอาเปรียบมันฝ่ายเดียว ตอบแทนมากเท่าที่จะมากได้ ขย้ำหน้าอกกับกล้ามแขนล่ำๆ ลูบไล้ซิกแพ็กแน่นๆ กับกำบั้นท้ายแข็งแกร่งของมันเหมือนคนบ้า พระเจ้า มันมีบอดี้โคตรเพอร์เฟคต์ และผมพูดได้เต็มปากเลยว่าดีใจที่เป็นคนได้ครอบครอง

“มี่... ที่รัก... ดีมาก”

“อา ใช่ โคตรดีเลยเทียน”

“จะเสร็จแล้ว... เค้าจะเสร็จแล้ว”

“เหมือนกันครับที่รัก”

สองร่างของเราหลอมรวมเป็นหนึ่งแนบแน่น เสียงร้องครางดังสอดประสาน เราปรนเปรอกันและกันถึงขีดสุด กระทั่งผมสำเร็จเสร็จสมปลดปล่อยออกมาก่อน ร่างกายสั่นสะท้านขนลุกเกรียว ตัวเบาหวิวเหมือนติดจรวดพุ่งขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ ในหัวเหมือนมีพลุแตกกระจายระยิบระยับ

โจรซุกหน้ากับซอกคอผม ซอยอีกสามสี่รอบก็หลั่งคาถุง แม้จะเสร็จแล้วแต่ยังไม่ถอดถอนกายออกไป ยังคงขยับบั้นท้ายเข้าออกเบาๆ ราวกับจะซึมซับความสุขจากเมื่อครู่ให้ได้มากที่สุด

ผมลูบไล้ใบหน้าคนข้างบนอย่างแผ่วเบา

“ขออีกหลายๆ รอบเลยได้มั้ย...”

โจรอู๋เอียงหน้าเล็กน้อย จูบปากผมอย่างนุ่มนวล

“พรุ่งนี้ลุกไม่ไหวไม่รู้ด้วยนะ”

ผมก็ต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว




เช้าวันต่อมา

หลังจากเฟลมได้รับกระดาษทิชชู่ที่มีข้อความปริศนาเขาและหมวดก็ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนเนื่องจากวุ่นหาหลักฐานทั้งจากปากคำพนักงานร้านและจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงแม้จะไม่มีอะไรชัดเจน แต่เฟลมมั่นใจว่าต้องใช่แสงเทียน

เขาทั้งดีใจ เสียใจ ช็อค แต่เหนืออื่นใดคือโทษตัวเองที่ตาถั่ว อยู่ติดกันขนาดนั้นแล้วแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้หลุดมือไปจนได้ แล้วข้อความนั้นหมายความว่ายังไง ‘เราสบายดี’ คือแสงเทียนหนีออกจากแก๊งโจรได้แล้วหรือยังอยู่ในแก๊ง?

แต่สิ่งที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลยคือ ในเมื่อแสงเทียนอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นและรู้ว่าเฟลมอยู่ด้านหลัง ทำไมถึงไม่แสดงตัว? มีอะไรให้กลัวด้วยหรือ? หรือว่ายังโกรธอยู่เรื่องเป็นชู้กับมาร์ค?

เขาและหมวดอยู่ที่สน. ด้วยกันถึงเช้า หนุ่มเจ้าแห่งความทุกข์เครียดหนักถึงขั้นอาเจียน หมวดเลยต้องหิ้วกลับบ้าน แม้ว่าเจ้าตัวจะยืนยันขออยู่ต่อจนกว่าจะได้ความคืบหน้า แต่ตำรวจกลัวเขาตายก่อน

“คุณคิดว่ามันหมายความว่ายังไง...ข้อความนั้น”

เฟลมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย ใบหน้าหมองโทรมราวกับคนใกล้ตาย

ตำรวจเอ่ยเสียงเรียบ

“มันตีได้หลายความหมาย ถ้าแสงเทียนยังอยู่กับโจร อาจหมายความว่าโจรไม่ได้ทำร้ายทารุณเขา และที่แสดงตัวไม่ได้ก็อาจเพราะพวกโจรขู่ไว้ ถ้าเขาแสดงตัว พวกโจรอาจเดือดร้อน...แต่ถ้าเขาไม่ได้อยู่กับโจรแล้ว อาจหมายถึง เขาไม่อยากเจอหน้าคุณอีก หรือยังไม่พร้อม”

เฟลมหลับตา เอนหลังพิงเบาะ น้ำตาไหลอีกระลอก

“เกลียดกันขนาดนั้นเลยเหรอ”

“....”

“ผมไม่ว่าหรอก เขาไม่ผิด ผมเองก็ไม่คิดว่าชาตินี้เขาจะให้อภัย แต่ข้องใจว่าทำไมเขาเลือกจะอยู่กับโจรแทนที่จะเป็นพวกเรา”

“....”

“หรือว่าหมวด...ที่เราทำไปทั้งหมดจะสูญเปล่า เพราะแสงเทียนเลือกที่จะวิ่งหนีความช่วยเหลือจากพวกเราเอง”

หมวดอยากพูดว่าใช่ แต่อยากให้เฟลมเสียใจแค่นี้ก็พอ

“ไม่หรอกเปรมประกิตติ์ พวกเราแค่ตามเขาไม่ทัน”

บางครั้งการปิดบังก็คือการปกป้องรูปแบบหนึ่ง

หมวดจำมาจากนิยายเรื่องไหนสักเรื่อง



v
v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก [2/2] 02/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-05-2019 23:34:42


เย็นนั้น

อเล็กซ์กับเด็กเพชรนัดเจอกันที่สวนสาธารณะเช่นทุกวัน แต่วันนี้เด็กมาช้าเนื่องจากติดสอบแก้วิชาพละ (มันบอกเขาเมื่อวาน) อเล็กซ์เลยเอาหนังสือจากร้านมานั่งอ่านรอในสวนสาธารณะ เลือกม้านั่งห่างไกลผู้คนหน่อยเพราะไม่อยากให้ใครเห็น

พี่อู๋โทรมาอัพเดทว่าตำรวจสืบมาใกล้ถึงปลายจมูกแล้ว แสงเทียนก็เกือบปะทะกับแฟนเก่ากับหมวดเจ้าของคดีด้วย บังเอิญจนน่าเสียวไส้อะไรขนาดนั้น แล้วใครจะรู้ว่าแถวนี้จะไม่มีตำรวจแฝงตัวมาจับเขาเหมือนกัน

อ่านไปอ่านมาโทรศัพท์ก็เข้า เป็นเจ้าเคฟ อเล็กซ์หันมองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างระมัดระวัง ไม่เห็นคนก็กดรับ

“เออมีไร”

[พี่ ขอยืมตังค์หน่อย]

“อะไรของมึง ได้ค่านกต่อจากพี่อู๋ตั้งเยอะไม่ใช่”

[เอาเข้าพอร์ตหุ้นหมดแล้ว]

“ก็ขายสิวะ”

[ได้ไง กำลังขึ้น นี่จะเอามาซ่อมรถอ่ะ]

“อิฮอนด้าเวฟส่งพิซซ่ามึงอ่ะนะ ของบริษัทไม่ใช่ ทำไมต้องจ่ายเอง”

[ไม่ใช่มอไซ เก๋งที่บ้าน]

“ไม่ยืมไอ้เบย์ล่ะ ได้ข่าวเต้นรูดเสาโดนซื้อตัวไปเป็นล้าน”

[พี่เบย์ไม่ให้ บอกให้มายืมพี่]

“ไอ้เวรเบย์... มึงจะเอาเท่าไหร่”

[แสนสาม]

“สัด ซ่อมหรือซื้อใหม่ สมแล้วที่ไม่มีใครให้ ไปขอแม่มึงไป”

[พี่!ไม่ได้ขอ ยืมเฉยๆ เดี๋ยวเอามาคืน]

“กูไม่เชื่อ ไม่ให้ด้วย ลองถามพี่อู๋ดิ”

[ไม่เอากลัวเฮียด่า]

“แต่ไม่กลัวกู อืม โอเค้ รักกูกันมากเลยพวกมึงเนี่ย”

[ครบสามเดือนแล้วจะคืนพร้อมดอกเบี้ย]

“ไอ้ห่าเคฟ ยืมกูแบบเอทีเอ็ม แต่คืนแบบฝากประจำ ไอ้หัวฟวย ไปขอป๋าร้านเพชรมึงโน่น”

[ต้องโดนเค้าเคลมอีกแน่เลย]

“มึงสิไปเคลมเค้า ไม่ต้องทำมาพูด กูรู้มึงชอบ”

[มันก็ดี แต่ไม่สบายใจอ่ะพี่ รู้สึกเหมือนเป็นโสเภณีเลย]

“รู้ตัวช้าไปมั้ย ไม่ต้องห่วงหรอกมึง แก๊งเราไม่ได้มีมึงคนเดียวที่ขาย”

[โอ๊ย ขอบใจครับรู้สึกดีขึ้นมากกูไปหาเองก็ได้]

“เชี่ยเคฟ มึงพูดกูกับกูหรอ น้องส้นตีน”

ด่าได้ครึ่งประโยคปลายสายก็วางหูใส่ดื้อๆ ทำอเล็กซ์หัวร้อน ส่งข้อความไปด่าตามหลัง อดถามด้วยเลยว่าสรุปมันจะไปเอาเงินที่ไหน

“เป็นแบบนี้เองสินะ”

“....?”

อยู่ดีๆ ก็มีเสียงคนพูดข้างหลัง ทำหนุ่มเลือดเยอรมันสะดุ้งโหยง หันไปมองขวับ แล้วก็ตกใจกว่าเดิม

“นายเพชร”

เด็กยืนสะพายกระเป๋าไหล่เดียวอยู่ข้างหลัง ใบหน้าบึ้งตึง ตรงข้ามกับทุกครั้งที่จะตื่นเต้นดี๊ด๊าเวลาเจอเขา อเล็กซ์จึงคาดว่าเด็กน่าจะได้ยินบทสนทนาของเขากับรุ่นน้องเมื่อครู่... พลันก็เสียววาบเย็นเฉียบไปทั่วตัว ทั้งที่ปกติไม่เคยเป็น

“มาแล้วเหรอ ไปซ้อมกันเถอะ” อเล็กซ์แตะไหล่เด็กแล้วเดินนำ  แต่เพชรยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าโมโหจริงจังทันใด

“ไม่ต้องทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเลยนะ!”

“อะไรของนาย” ยังคงครองความนิ่ง

“คนหลอกลวง! คิดว่าผมโง่ใช่มั้ย!”

“เดี๋ยว ทำไมพูดงั้น”

“หยุดแถซักที ผมได้ยินหมดแล้ว!!!”

อเล็กซ์สะอึก จุกลำคอเหมือนมีก้อนอะไรมาขวาง


นรกมาเยือนแล้ว อัจฉริยะตายเพราะปากพล่อย รู้ที่ไทยอายถึงเยอรมัน


หนุ่มลูกครึ่งใจสั่นสะท้าน เขาไม่ได้กลัวคุก ไม่ได้กลัวโดนจับ แต่กลัวสายตาของเด็กชายตรงหน้า... สายตาที่โกรธแค้นและผิดหวัง เป็นสิ่งที่เขาไม่ชิน เพราะที่ผ่านมาเด็กไม่เคยแสดงสีหน้าไม่ดีกับเขาเลย

แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเป็นโจร เด็กก็ยังให้ความเคารพนับถือเขาราวกับเป็นไอดอล ตอนที่ติวหนังสือให้ สอนต่อสู้ปลอมๆ ให้ เด็กก็มองเขาด้วยความชื่นชมเสมอ อเล็กซ์เอ็นดูหัวใจบริสุทธิ์และมองโลกในแง่ดีของเด็กคนนี้มากๆ จนแทบรู้สึกว่ากำลังไถ่บาป...ขนาดนั้นเลยทีเดียว

เขายอมรับตรงๆ ว่าเสียใจ เขาทำพลาดมหันต์

“จะไม่อธิบายซักหน่อยเหรอฮะ” เด็กถามประชด

อเล็กซ์ถอนหายใจ “... พี่ไม่อยากโกหกนาย”

“แต่ที่พี่ทำมันเลวร้ายกว่าโกหกอีก” เพชรขึ้นเสียง น้ำตาคลอรื้น ปลายจมูกเป็นสีแดง “พี่รู้จักกับพี่เคฟ แสดงว่าพี่เคฟก็เป็นโจร!พวกพี่สองคนรวมหัวกันหลอกผมกับพ่อ เลวมาก!!!”

“ใจเย็นก่อนนายเพชร” อเล็กซ์พยายามจะจับไหล่ให้เด็กเย็นลง แต่ถูกผลักออกอย่างแรงเหมือนเป็นแมลงสาบน่ารังเกียจ

“อย่าเข้ามาใกล้!!!” ตอนนี้น้ำตาเพชรไหลทะลักแล้วเรียบร้อย “เรื่องพี่เป็นโจร ผมไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ แต่ที่รู้ว่าพี่คือโจรปล้นบ้านผม ผมรับไม่ได้จริงๆ! ที่พี่ยอมทำดีกับผมทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะกลัวถูกผมแฉ แต่อยากปอกลอกผมต่างหาก ผมรู้ทันพี่แล้วล่ะ!”

“ไปกันใหญ่ พี่ไม่ได้อยากหลอกนายเลยนะ”

“อยากไม่อยาก พี่ก็หลอกผมอยู่ดี! ฮึก...บ้าที่สุด ทุเรศมาก ฮึก...ผมไม่น่าหลงคิดเลยว่าพี่จะมีส่วนคนดีหลงเหลืออยู่! ยังไงโจรก็คือโจร! สันดาน!!!”

“เพชร!!!”

เด็กวิ่งหนี อเล็กซ์วิ่งตาม แต่ถูกรองเท้าขว้างใส่

“อย่าตามมา! ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ!”

“............”

พูดแค่นั้น แล้วเพชรก็วิ่งหนีด้วยรองเท้าข้างเดียวสุดฝีเท้า กลืนหายไปในฝูงชนที่วิ่งรอบสนาม อเล็กซ์วิ่งตามไป แต่ก็หาไม่เจอเสียแล้ว

เขาฟาดปากตัวเองด้วยหลังมือ เกิดมาเป็นลูกโจรยังไม่รู้สึกเกลียดตัวเองเท่านี้

เขายอมถูกจับดีกว่าให้เด็กนั่นผิดหวังเพราะออกจากคุกมาแล้วยังมีโอกาสคืนสู่สังคมได้ แต่การทำให้หัวใจคนๆ หนึ่งแตกสลาย... โอกาสแก้ตัวแทบไม่มี

อเล็กซ์ร้องไห้ครั้งแรกในรอบหลายปี

“พี่ขอโทษนะ....”




.....

“อืมมม...”

“อะ...อื้อ...เคฟ”

ห้องนอนบนชั้นสองของร้านเพชร ชายหนุ่มสองคนกำลังปฎิบัติกิจร่วมกัน เจ้าของบ้านอยู่ด้านบน แขกอยู่ด้านล่าง ต่างฝ่ายต่างกระแทกร่างเข้าหากันอย่างเร่าร้อนรุนแรง

เคฟเพิ่งเอาเท้ามาสัมผัสบ้านไม่ถึงห้านาทีเท่านั้นเหมือนพัชรรอเขาอยู่นานแล้วแม้จะไม่ได้นัดกัน เลยถูกโผกอดและลากขึ้นมาข้างบนโดยไม่ทันจะพูดสักคำด้วยซ้ำ แต่เคฟก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามน้ำ ในเมื่อเขาไม่มีอะไรต้องเสีย

“คุณนี่หื่นกว่าที่ผมคิดเยอะเลย” คนข้างล่างพูดยิ้มๆ

“คิดว่าคนที่อัดอั้นมาสิบกว่าปีรู้สึกยังไงล่ะ” คนข้างบนถาม ระหว่างที่ขยับเอวขึ้นลงตรงกลางลำตัวของอีกคน

“มีคนให้ปลดปล่อยด้วยอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“นานๆ ที... แต่ก็ไม่มีใครที่โดนใจสักคน” พัชรยิ้มน้อยๆ “จนกระทั่งได้เจอคุณ”

เคฟปฎิเสธไม่ได้ว่าวินาทีนั้น... เขาเขิน

“ลูกชายคุณรู้มั้ย”

“เรื่อง?”

“ที่คุณเป็น”

“ไม่”

“ผมกลัวเขาช็อค”

“ยังไงสักวันผมก็จะบอก เด็กสมัยนี้แยกแยะได้ น้องต้องเข้าใจ...”

ทั้งคู่โถมกายใส่กันอย่างหนักหน่วง ร้องครวญครางดังไปทั้งห้อง เตียงสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว... แต่เคฟก็ต้องสะดุดเมื่อเขาเห็นอะไรบางอย่างที่เพดาน

คุมิโกะห้อยหัวลงมาข้างล่าง ตัวครึ่งบนโผล่ออกมา อีกครึ่งหายไปในเพดาน... ผมสีดำยาวสยายห้อยลงมาปิดใบหน้าขาวซีดเธออยู่ห่างไปประมาณสามเมตร แต่พอกะพริบตา เคฟก็เห็นเธอเคลื่อนมาอยู่ตรงตำแหน่งเหนือหัวของพัชรเส้นผมห้อยลงมาปะทะหน้าเขาเต็มๆ

แกรก...แกรก

เสียงกระดูกลั่นอย่างผิดธรรมชาติเมื่อคุมิโกะหมุนคอ พอเธอหันหัวอีกด้านมา เคฟก็เห็นดวงตาสีแดงก่ำของเธอจ้องมาที่เขาด้วยความเคียดแค้น
คราวนี้เธอไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องตาเขม็งเท่านั้น

เคฟปล่อยให้พัชรเสร็จเพียงคนเดียว ส่วนตัวเขาแข็งทื่อเหมือนถูกสตัฟฟ์... ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนร่างใหญ่อย่างเหนื่อยล้าและหลับไป

เขาเหลือบตามองข้างบน... คุมิโกะหายไปแล้ว


อาจเป็นภาพหลอน


หนุ่มชาวจีนลงจากเตียงอย่างช้าๆ ไม่ให้อีกคนรู้สึกตัว ใส่เสื้อผ้ากลับคืนอย่างรวดเร็ว เขาตั้งใจจะให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายกับพัชร เพราะอีกไม่กี่วันโจรอู๋จะปิดบัญชีกับมาเฟียเฉินเชว่แล้ว หลังจากนั้นจะยุบแก๊ง พวกเขาก็ไม่ต้องเป็นโจรอีก เคฟเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับบ้านนี้อีกเหมือนกัน... ดังนั้นคืนนี้ขอกอบโกยให้หนำใจส่งท้าย

ค่อยๆ ย่องๆ ออกจากห้องนอนไปตามทางเดิน ระหว่างทางก็ฉกเอาแหวนเพชรและเครื่องประดับที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบใส่กระเป๋ากางเกงไปด้วย จนกระทั่งมาถึงชั้นล่างสุดซึ่งเป็นขุมทรัพย์ขนาดใหญ่... เขาหยิบกุญแจผีจากพี่ชายออกมา เตรียมจะไข

เคร้ง!

แต่มีอะไรบางอย่างปัดมือของเขาจนกุญแจผีปลิวหลุดไป แรงของมันมากกว่าลม เคฟสะดุ้งเล็กน้อยและรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

“ไอ้โจรชู้!”

คุมิโกะปรากฏตัวในสภาพคอขาดเลือดอาบชุดกิโมโน มือข้างหนึ่งถือหัวของตัวเองแกว่งไปมา สายตาอาฆาตจ้องมองเคฟ... ชายหนุ่มถึงกับเข่าทรุดเมื่อเห็นเธอในสภาพที่น่ากลัวยิ่งกว่าทุกครั้ง

“มึงหลอกลวงผัวกู... เหยียบย่ำหัวใจของกู...แล้วยังมีหน้ามาขโมยของ...คิดว่ากูจะให้อภัยเหรอ!!!!”

ผีสาวยกหัวขึ้นมาวางบนคอจากนั้นเข้ามาบีบคอเคฟ ผลักชายหนุ่มไปจนหลังติดผนัง ความโกรธแค้นของเธอทำให้พลังเพิ่มสูงขึ้นจนเหมือนกับพละกำลังของชายฉกรรจ์รวมกันสามคน

เคฟเริ่มหายใจไม่ออก

“กูอุตส่าห์เตือนมึงไปแล้ว มึงไม่เข็ดไม่จำเลยใช่ไหม... ได้... งั้นวันนี้กูจะสั่งสอนมึงเป็นครั้งสุดท้ายเอง!!!”

“อ่อก...!!!”

มือขาวซีดเห็นเส้นเลือดสีเขียวคล้ำเพียงข้างเดียวของคุมิโกะที่บีบคอเคฟก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับดิ้นทุรนทุราย ลมหายใจขาดห้วง
คุมิโกะยกร่างใหญ่ของชายชู้ขึ้นสูงจากพื้น เล็บสีดำยาวฝังจิกเข้าไปในเนื้อหนังของชายตรงหน้าอย่างไร้ซึ่งความปราณี เลือดของศัตรูไหลจากบาดแผลเปลี่ยนมือสีขาวซีดของเธอกลายเป็นสีแดงในพริบตา

บาดแผลที่ยับเยินเหวอะหวะจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งคร่าชีวิตเธอไปเมื่อสิบปีก่อนกลับมาปรากฎบนใบหน้าอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งกลิ่นเหม็นเน่าผสมคาวเลือดรุนแรง เคฟเห็นแล้วเกือบจะอาเจียนออกมาในทันใด แต่ติดที่ผีบีบคอเขาอยู่

เบ้าตาของคุมิโกะกลวงโบ๋ ไม่มีลูกตา เป็นเพียงรูกลมๆ สีดำมีเลือดไหลย้อยเป็นสาย แต่ชายหนุ่มรู้ได้ว่าเธอกำลังมองเขาด้วยความเกลียดชังปนสะใจ

“ใครที่มันทำให้ผัวกูเสียใจ... มันต้องตาย!!!”

เล็บสีดำของคุมิโกะปักลึกลงในคอใกล้กับเส้นเลือดใหญ่ วินาทีนั้นเคฟคิดแล้วว่าคงไม่รอด เขาเรียกหาพระเจ้า

“พระเจ้าไม่ช่วยคนชั่วอย่างมึงหรอก!”

“อึก!!!” ชายหนุ่มชักกระตุก

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งลงจากบันไดมาชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อ

“เสียงดังอะไรน่ะเคฟ!”

โครม!!!

คุมิโกะเหวี่ยงชายหนุ่มลงกับพื้นด้วยความโมโห ก่อนจะหายตัวไปในความมืด พริบตาหลังจากนั้นพัชรก็เข้ามาตรงจุดเกิดเหตุ เขาเปิดไฟและพบเคฟนอนฟุบอยู่บนพื้น ท่าทางเจ็บปวดทุรนทุราย

“เคฟ! เกิดอะไรขึ้นแล้วนี่คุณบีบคอตัวเองทำไม!”

เคฟเจ็บและมึนงง เขาก้มมองดูตัวเองและพบว่ามือเปื้อนเลือด...

“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ”

“ผมไม่เป็นไร...”เคฟผละจากอ้อมแขนของพัชร ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง แต่โชคร้ายที่เขาทำอะไรบางอย่างหล่นจากกระเป๋ากางเกง

“เอ๊ะ นี่มันแหวนของผม”

“....!!!”

พัชรก้มลงหยิบแหวนที่ตกพื้นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง แล้วมองหน้าเคฟ

“คุณขโมยเหรอ”

“...” ไม่ตอบ หันหน้าไปอีกด้าน

“บอกผมสิเคฟ คุณทำรึเปล่า!”

“ใช่ผมทำ!”

“......” ดวงตาของคนฟังสั่นคลอน มีประกายน้ำตา “ผมไม่อยากเชื่อเลย ผมคิดว่าคุณจริงใจ... ที่ไหนได้คุณก็ไม่ต่างจากใครๆ ที่เข้าหาผมเพราะเรื่องเงินทอง!”

“....” ขมวดคิ้วเม้มปากแน่น

“ทั้งที่ผมอุตส่าห์ไว้ใจคุณ คิดว่าคุณเป็นคนดี ยอมให้คุณทั้งกายและใจ... แต่ผมไม่โทษคุณหรอกนะ ผมผิดที่โง่เอง ตัดสินคนเร็วไป”

“อย่าโทษตัวเองเลย ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมต่างหากที่ผิด” เคฟคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะล้วงเอาของมีค่าทุกชิ้นที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาคืนให้เจ้าของ ยิ่งเห็นแบบนั้นพัชรก็ยิ่งช็อก

“หรือว่าคุณคือโจรที่มาปล้นร้านผม”

เคฟพยักหน้า

พัชรช็อกเป็นครั้งที่สาม

เคฟเตรียมตัวเตรียมใจถูกด่า ถูกตำรวจพาเข้าคุกทว่าพัชรกลับไม่ทำอย่างนั้น เขาคุกเข่าตรงหน้าเคฟเช่นเดียวกัน ก่อนจะพูดประโยคที่ดูเป็นไปไม่ได้ที่สุดในโลก

“ผมจะปิดเรื่องนี้ให้ ถ้าคุณตกลงคบกับผม”

“อะไรนะ” หนุ่มจีนทั้งงงทั้งอึ้ง นิ่งไปครู่ราวกับถูกกดปุ่ม Pause

“ถ้าผมแจ้งตำรวจ คุณต้องโดนจับ แล้วก็รับโทษหนักแน่ๆแต่เพราะผมรักคุณ เคฟ ผมจะช่วยคุณ”

“บ้า คุณบ้าไปแล้ว”เคฟแทบไม่อยากเชื่อหู

“ผมไม่ได้บ้า ผมพูดจริง”

“คุณกำลังยื่นมือให้งูพิษและหวังว่ามันจะยอมให้ลูบหัว”

“เปล่าเคฟ คุณไม่ใช่งู คุณเป็นคน และผมเชื่อในความเป็นคนของคุณ”

“คุณแม่ง...”

เคฟอึ้งจนเกือบจะร้องไห้ สะเทือนใจในความมองโลกในแง่ดีที่ไม่น่ามีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แล้วก็สงสัยว่าพัชรใช้ชีวิตมาแบบไหนถึงเป็นคนดีบริสุทธิ์ขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าเขาจะอยู่รอดในสังคมอันโหดร้ายนี้มาได้ตั้งสามสิบปี มิน่าเมียเขาถึงหวงนักหนา แถมดุเป็นบ้าหมาร็อตไวเลอร์แบบนั้น แม้จะตายเป็นผีก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด นางรู้ว่าสามีจะตามกลคนไม่ทัน ซึ่งก็จริง

“ผมเลว... เลวกว่าคุณคิดเยอะพัชร แต่ก็ไม่เลวพอที่จะหลอกคุณซ้ำสอง ถ้าทำแบบนั้นผมคงโคตรละอายใจ คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แน่ๆ”

“ไม่เห็นคุณต้องคิดมากเลย”

เคฟอยากจับหัวอีกฝ่ายเขย่าแรงๆ เผื่อสมองส่วนเหตุผลจะตื่น

“ให้ตาย แทนที่คุณจะลากคอผมส่งโรงพัก ด่าผมทุบตีผมให้สมกับความเสียหายยี่สิบล้าน แต่กลับสารภาพรักและให้โอกาสผม ส่วนผมก็เป็นฝ่ายสั่งสอนวิชาศีลธรรมให้คุณแทนเนี่ยนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ”

“เอาจริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เงินทองของนอกกาย แต่กว่าจะเจอคนที่เราถูกชะตา มันไม่ง่ายเลยนะ”

คราวนี้เคฟอยากเอาหัวตัวเองโขกกำแพงแทน

“เอาล่ะ ฟังนะคุณพัชร ผมไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ อาจจะหลงรูปร่างหน้าตาหรือเซ็กส์ของผมจนหน้ามืดตามัว หรือมีเหตุผลอื่นๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง คุณให้โอกาสคนได้ แต่ต้องไม่ใช่คนที่ทำลายชีวิตคุณ พูดเผื่อคุณเจอคนเลวแบบผมอีกในอนาคตด้วย อย่าพูดแบบนี้กับใครมั่วๆ”

“ผมให้คุณเพราะรักคุณ รู้สึกโชคดีที่ได้เจอคุณ แล้วก็อยากมีคุณเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต...แค่นั้นเอง”

พัชรก้มหน้าพูด ขอบตาแดงมีน้ำรื้น จนเคฟต้องหันมองทางอื่นเพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน

“ผมขอบคุณในความหวังดีที่คุณมีให้... แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้”

“ทำไม...” ดวงตาของพัชรแดงเรื่อ ริมฝีปากสั่น

“เพราะผมไม่ได้รักคุณ”

“.....”

“ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ แต่ผมอยากให้คุณหยุดคิดเรื่องผมซะ อีกอย่าง ถ้าคุณมาพัวพันกับผม ผมกลัวคุณกลายเป็นคนไม่ดีไปด้วย”

“เคฟ...”

“คุณเปลี่ยนใจไปแจ้งความเมื่อไหร่ก็ได้นะ ผมอยู่ที่เดิมนั่นแหละจะไม่หนีไปไหน คุณตามไปได้ยันบ้าน แต่ถ้าอยากช่วยผมจริงๆ ขอเป็นหลังสิ้นเดือนได้ไหมให้ผมเคลียร์ทุกอย่างแล้วผมจะเอาเงินมาคืนทุกบาททุกสตางค์ผมสัญญา”

“....”

“สุดท้าย”

“....”

“ผมขอโทษ”

“.....”

ชายหนุ่มหันหลังให้เจ้าของบ้านแล้วเดินจากไป คนข้างหลังไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จึงร้องไห้อยู่ตรงนั้น ความหวังที่ว่าจะมีใครสักคนเป็นรักแท้ครั้งสุดท้ายพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี...ทรัพย์สินมีค่าเท่าไหร่ก็ไม่อาจซื้อใจคนได้

มือที่มองไม่เห็นโอบกอดแผ่นหลังของคนที่กำลังร้องไห้ด้วยความรักและเห็นใจ ความเศร้าของเขา... ถ้าเป็นไปได้เธออยากจะรับเอาไว้ทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงเธอทำได้เพียงปลอบใจโดยที่เขาไม่รู้ตัวเท่านั้น

“ไม่เป็นไรนะคะคุณ... ฉันยังอยู่ตรงนี้เสมอ”




“ฮือ....”

เสียงร้องไห้ของเด็กชายทำให้เคฟต้องหาที่หลบแถวๆ ประตู พอเพชรเดินเข้ามาในบ้านแล้ว เคฟจึงออกไป และเป็นอย่างคาด เขาเจออเล็กซ์ (ตามมาห่างๆ) อีกครั้ง

“มาส่งเด็กนั่นสินะ เขาร้องไห้ทำไม” เคฟถาม

“...เขาได้ยินที่พี่คุยกับมึง”

“เชี่ย”หนุ่มจีนขนลุก “ได้ยินตรงไหน”

“ทั้งหมดเลย”

“เชี่ย... เชี่ย” เคฟสบถภาษาจีน แต่ไม่ได้แปลว่าขอบคุณ

“เด็กต้องบอกพ่อแน่ พัชรต้องรู้ว่ามึงเป็นโจร”

“เขารู้แล้วพี่”

“เฮ้ย ได้ไงวะ”

“ผมคันมือหยิบของมีค่าใส่กระเป๋า เจอผีเมียเก่าเขา แม่งเฮี้ยนทำร้ายผมจนเขาออกมาเห็นน่ะสิ”

“ชิบหายตายคู่ กูกับมึง ได้เข้าคุกก่อนใครแน่ รีบหนีกันเหอะงั้น”

“ไม่ต้องหรอกพี่ พัชรเขาจะไม่เอาเรื่องผม”

“ทำไมวะ”

“เขารักผมว่ะ แย่มากเลย” เคฟยิ้มขื่นๆ “เขายื่นข้อเสนอให้ผมคบกับเขาแล้วจะปิดเรื่องให้ด้วยนะ”

“เห้ย พีคสัด”

“แต่ผมปฏิเสธ”

“อ้าว ไหงงั้น”

“ก็ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขานี่”

“...แล้วมึงร้องไห้ทำไม”

“หา? ผมเนี่ยนะร้องไห้ บ้าเหรอ”

เคฟหลบตาโตๆ ของรุ่นพี่ เอานิ้วแตะตาตัวเองก็พบว่ามีน้ำตาจริงๆ ...ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

อเล็กซ์เดินไปข้างหน้า เคฟเดินตาม ระหว่างนั้นแทบไม่มีบทสนทนา เพราะต่างฝ่ายต่างอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่ไม่แพ้กัน อเล็กซ์หมดหวังที่จะได้เอ่ยคำขอโทษกับเด็กเพชร ส่วนเคฟก็รู้สึกกับพัชรมากขึ้นเรื่อยๆ เอาจริงถ้าสองพ่อลูกลากคอพวกเขาเข้าตะรางให้จบ คงจะเสียใจน้อยกว่านี้

“เดี๋ยวแก๊งเราก็ยุบ เป็นแบบนี้คงดีสุดแล้ว” รุ่นพี่พูด

“อือ จบๆ ไปก็ดี จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก” รุ่นน้องว่า

แต่พวกเขารู้ดีว่ามันเป็นแค่คำปลอบใจตัวเองเท่านั้น

......

ภายในบ้าน พอเพชรเข้ามาเห็นพ่อนั่งร้องไห้ และพ่อเห็นเขาร้องไห้เข้ามา ทั้งคู่ก็โผกอดแล้วร้องไห้ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ






////
มาช้าแต่มานะคะ ช่วงที่ผ่านมาติดงานเลยไม่สะดวกอัพ /กราบขออภัย
เข้าช่วงท้ายๆ เรื่องแล้ว อีกไม่กี่ตอนก็จบ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดนะคะ รักกกก <3

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.31 'กูรักมึง' (14/04/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 03-05-2019 14:17:02
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก (04/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 05-05-2019 23:09:13
ผ่อนคลาย เพราะความรัก ของทุกคน
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก (04/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-05-2019 02:04:25
โถๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก (04/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-05-2019 13:37:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก (04/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-05-2019 19:19:35
ในเบื้องลึกแล้ว ทุกคนต้องการความรักเสมอ แม้จะมีใครบอกว่า ความรักมันกินไม่ได้
 :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.32 ปิดฉากความรัก (04/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-05-2019 04:21:12
เหมือนเส้นขนานที่มิอาจมาบรรจบกันได้ด้วยวิถีชีวิตของโจร แต่ละคู่แต่ละคนจะลงเอยยังไงละเนี้ยยย โอ๊ยยยยกุมขมับแทน   ทั้งสงสารเห็นใจและก็สมน้ำหน้า แบบว่าอารมณ์ตีรวนกันไปหมด 555 จากแรกๆฮาๆกับโจรติ๊งต๊อง ไปๆมาๆดราม่าซะงั้น อ่านแบบรวดเดียว เหมือนจะสนุกธรรมดาแต่ว่าก็วางไม่ลง นั่นคือมันน่าติดตามไงละคะ อ่านมาๆ กลายเป็นว่าสนุกมากซะงั้น 55555 จะเอาไงดีต่อจากนี้ คิดไม่ออกเลย รอไรท์มาต่อเลยค่ะ จะยุบแก๊งค์แล้ว รอดและไหวไหมเนี้ย เป็นอะไรที่วุ่นวายมาก หลายคดีละเกิ๊นพ่อมหาโจร เอาใจช่วยละกัน 5555 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพลงให้อ่าน เห็นผ่านตามานาน เห็นชื่อตอนปิดฉากความรัก ไอ้เราก็นึกว่าจบแล้วเลยเข้ามาอ่าน ค้างเลยตอนนี้ 55555 รรรรรรค่า ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก 2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 11-05-2019 16:32:25

33
ปิดฉากความรัก (2)
Goodbye B



“แม่ไอฝากมาให้”

หลังจากวันที่เห็นหมวดรักษ์ขึ้นห้องของหนุ่มหล่อเจ้าทุกข์เมื่อหลายๆ วันที่แล้ว ผู้พันก็เพิ่งจะโผล่หน้ามาที่สถานีตำรวจอีกครั้งพร้อมกับของฝากจากแม่ เหตุผลหลักคือยังไม่พร้อมเจอหมวด อารมณ์เหมือนแฟนที่เพิ่งเลิกกัน (แม้จะคิดเองเออเองฝ่ายเดียวก็เหอะ...) เขากลัวตัวเองใจอ่อน กลับไปรู้สึกกับหมวดอีก หนุ่มฝรั่งอยากตัดใจ หลีกทางให้คนที่ใช่กว่าเขา และมูฟออนกับคนใหม่เช่นกัน

“วางไว้นั่น”

ตำรวจโบกมือมั่วๆ ไปทางโต๊ะทำงานของตน ผู้พันรู้สึกเฟลนิดหน่อยเพราะหมวดกำลังยุ่ง ถือแฟ้มเอกสารเดินไปมา ไม่แม้แต่จะชายตามองเขาด้วยซ้ำ

“นี่มันเวลาพักเที่ยงแล้วนา ยูว์ไม่พักเหรอ”

ว่าพลางนั่งลงเก้าอี้ทำงานอย่างถือวิสาสะ ถ้าไม่ติดว่าผู้กำกับออกไปข้างนอก คงโดนเตะก้นโด่งลงบันไดไปแล้วแน่ ใหญ่มาจากไหนก็เถอะ

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องเคลียร์งานก่อน เอาไว้เจอกันวันอื่นนะ ซอรี่จริงๆ” หมวดหันมาบอกด้วยสีหน้าซอรี่นิดๆ

“ไม่เป็นไร ไออยากคุย รอได้”

“ทำไมไม่อยู่กับแฟนใหม่ล่ะ” หมวดแซว ทำเอาผู้พันสะดุ้ง

“ยูว์รู้ได้ไง!”

“นี่ใคร? หมวดรักษ์ฝ่ายสืบสวนนะ อย่าลืม”

หนุ่มฝรั่งหน้าแดงเรื่อ ไปต่อไม่ถูก

“เพื่อนเราไปเจอนายที่ผับ นี่ก็สงสัยอยู่ว่าหายหน้าไปไหนหลายวัน ที่แท้มีแฟนใหม่ ว่างๆ พามาเจอบ้างสิ” เห็นอีกฝ่ายเขินจนพูดไม่ออก หมวดก็แซวอีก

“โอเค”

“You gonna back to USA next two weeks, is he supposed to be LDR or just holiday bf?”

คำถามของหมวดค่อนข้างเซ้นสิทีฟ ผู้พันนิ่งไปหลายอึดใจก่อนจะตอบ

“ไม่รู้สิ... ไอชอบเขา ถ้าเราไปกันได้ดี ไอว่าจะพากลับด้วย”

“ยัวร์แด๊ดวิลคิลยูว์ฟอร์เชอร์”

“เรื่องอะไร้ไอจะบอก พาไปจดทะเบียนส้มโร้ดเลยสิ ถึงตอนนั้นฮีจะทำอะไร้ได้”

“ร้ายกาจ” หมวดหัวเราะ ผู้พันอมยิ้ม “รอได้ก็รอไป แต่อย่ายุ่งกับของๆ เรา อีกสักชั่วโมงคงเสร็จ แต่ถ้ารอไม่ไหวก็กลับได้เลย”

หมวดชี้นิ้วสั่งก่อนจะเดินไปที่โต๊ะของจ่าตะวันที่ยุ่งอยู่หน้าจอคอมพ์ไม่แพ้กัน ทิ้งให้ผู้พันรอต่อไปอย่างเคว้งคว้าง แต่เขาก็ไม่เดือดร้อนอะไร ในเมื่อมีเวลาว่างเหลือเฟือ

การเจอหมวดรักษ์หลังถูกเขาหักอกแบบที่เจ้าตัวไม่รู้ ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ผู้พันตระหนักแล้วว่าเขากับหมวดคงไม่มีทางพัฒนาเป็นอย่างอื่นได้มากไปกว่าเพื่อน บางทีความรักที่เขาทึกทักเอาเองมาตลอด อาจเป็นเพียงความผูกพัน เพราะความรู้สึกที่เขามีต่อหมวด ไม่เหมือนที่เขามีต่อเบย์...

กับหมวด... พีเทอร์รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ด้วย มีความสุขเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ แต่ไม่ได้อยากครอบครองเป็นของตัวเอง

แต่กับเบย์ไม่ใช่... มันมีความปรารถนาร้อนแรง คิดถึงตลอดเวลา แค่อยู่ไกลก็ไม่เป็นสุข ต้องได้เห็นหน้า ได้เจอตัว ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นผัวเค้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกรุนแรงไปใหญ่ หึงหวงจนไม่อยากให้ใครหน้าไหนแตะต้องทั้งนั้น

เขาไม่ใช่พวกฝรั่งที่มาเที่ยว just for ‘ฟัน’ ความเป็นลูกผู้ชายทำให้เขารับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เรื่องที่บอกหมวดรักษ์ก็เรื่องจริง เขาจะชวนเบย์ไปอยู่อเมริกาด้วย พร้อมกับจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง บางทีเบย์อาจใจอ่อนยอมรับเขา

รอเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็อ่านแฟ้มสืบสวนเล่น แอบเหลือบมองหมวดรักษ์มัวแต่ปรึกษากับจ่าตะวันหน้าดำคร่ำเครียดไม่ได้สนใจเขาก็ค่อยโล่งใจหน่อย

แม้จะเป็นทหาร แต่บ่อยครั้งที่เดียวที่ถูกไหว้วานจากตำรวจให้ช่วยเรื่องคดีต่างๆ บางครั้งก็ต้องออกโรงร่วมกับตำรวจด้วย เช่นคดีผู้ก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ ไม่แน่อาจมีอะไรที่เขาช่วยหมวดรักษ์ได้บ้าง

แฟ้มที่ว่าเป็นคดีลักพาตัวนายแสงเทียน สว่างโชติช่วง นักศึกษาปีสี่ โดยผู้ร้ายชื่อนายอติศร แซ่อู๋ หรืออาร์มี่ อาชญากรที่มีคดีติดตัวพัวพัน  ทั้งหมดเป็นคดีโจรกรรม มีผู้สมรู้ร่วมคิดสองคน ชื่อนายบรรณภพ พวงเซ่ และอเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์ (ความจริงอาจมีมากกว่านี้ แต่ยังสืบไม่พบ) โดยนายอติศรได้ลักพาตัวแสงเทียน คนรักของเปรมประกิตต์ (ผู้ร้องทุกข์) ไปเมื่อต้นเดือน

ตำรวจตามล่าโจรแก๊งนี้อย่างจริงจัง ขณะนี้ได้หลักฐานหลายอย่าง แต่ยังสาวไม่ถึงตัว เนื่องจากแก๊งโจรได้แยกย้ายกันไปแล้ว อีกทั้งน่าจะปลอมชื่อปลอมตัวใหม่ กลายเป็นงานยากของตำรวจไปอีก

พีเทอร์คิดว่าเป็นคดีธรรมดา ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่รูปภาพอาชญากรคนหนึ่งทำให้เขาถึงกับผงะ

เกิดกระแสเย็นวาบถาโถมใส่... ผู้ชายที่เขาเจอวันแรกที่มากรุงเทพฯ คนที่เขาถามทาง ลากไปกินข้าวด้วย และแอบเอาเงินยัดใส่กระเป๋าเพราะเห็นว่าบาดเจ็บ คือคนเดียวกับผู้ร้ายในประกาศจับ

“ลองแฮร์บอย”

ผู้พันถึงกับยกมือกุมหน้าผาก สัญชาติญาณทหารเขาพลาดไปได้อย่างไรกัน

ความสงสัยสะกิดให้ผู้พันพิมพ์ชื่อผู้ร้ายในสารบบ ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นมาบนจอยิ่งไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย

 

ชื่อ : บรรณภพ พวงเซ่

เกิดวันที่ : 6 พฤษภาคม 25XX

บิดา-มารดา : นาย A – นาง B

ที่อยู่ : กรุงเทพฯ

การศึกษา : โรงเรียนอนุบาลแม่แวว-ประถมสังสรรค์ศึกษา-มัธยมชุมชนอัตคัตอุปถัมภ์

อาชีพ : ไม่พบข้อมูล

คดีที่เกี่ยวข้อง : อาชญากรรม


 

ผู้พันแฮมิลทันกดลิงค์ดังกล่าว

 

วันที่ 15 กรกฏาคม – ต่อสู้กับนาง Z ผู้ค้ายาเสพติดและจับตัวเธอส่งตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ร้าย จึงไม่ได้ทำการจับกุม

วันที่ 20 กรกฎาคม – ทีมตำรวจเข้าค้นตึกร้างบนถนน T ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งกบดานของนายอติศร แซ่อู๋ พบลายนิ้วมือของบรรณภพ พวงเซ่ และอเล็กซ์ เกรกอร์ ฮริคมันซ์ สรุปว่าปฏิบัติกันเป็นขบวนการ

วันที่ 22 กรกฏาคม – ออกหมายจับนายบรรณภพ พวงเซ่


   

ผู้พันพีเทอร์กัดริมฝีปากตัวเองแน่น รู้สึกผิดลึกๆ ที่ไม่เอะใจในตอนนั้น ทั้งทีนายบรรณภพมีท่าทางพิรุธ ดูลุกลี้ลุกลน ไม่ยอมสบตา เหมือนอยากหนีให้พ้น ถ้าพีเทอร์สังเกตอีกสักนิด เขาคงจับนายบรรณภพส่งหมวดรักษ์ได้แล้ว... และแน่นอน หมวดจะปิดคดีได้ไวขึ้น และคงจะขอบคุณเขาอย่างมาก มีแต่ดีกับดี

ทหารหนุ่มทำในสิ่งที่หมวดรักษ์ยังไม่ได้ทำ ขณะที่หมวดเอาแต่ไล่ตามโฉมปัจจุบันซึ่งพลิกแพลงไปเรื่อยๆ เขาก็ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้น คือการหา ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’ ของผู้ร้าย เพราะลักษณะดั้งเดิมไม่มีอะไรจะปิดบังได้

นายบรรณภพไม่เล่นโซเชียล จึงไม่ง่ายที่จะหาตัวเจอได้โดยตรง ผู้พันเลยใช้วิธีอ้อม ค้นหาจากชื่อโรงเรียนแทน



‘อัตคัดอุปถัมถ์ รุ่นที่ 22’



มีศิษย์เก่าเยอะมาก ผู้พันโฟกัสไปที่ผู้ชาย แต่ละรายก็บุคลิกคล้ายๆ นายบรรณภพ คือพวกเด็กอันธพาลวายร้าย ตัวลาย สายควัน ผู้พันคิดว่าโรงเรียนที่ตั้งในชุมชนแบบนี้ เด็กคงรู้จักกันทั่วถึง ไม่เหมือนโรงเรียนใหญ่ๆ ข้างนอก และนายบรรณภพก็เพิ่งจบมาแค่สามปี คงไม่นานเกินที่ใครจะลืมเขาหมดจด ต้องมีสักคนที่จำได้ มีรูปถ่าย หรือเผลอๆ จะยังติดต่อกันอยู่

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู

 

ไม่หรอก ไม่สแปม จะสแปมได้มึงต้องบอกกูว่า ค.คน อยู่ตรงไหนของแป้นพิมพ์ก่อน หาเจอได้ยังไงวะ เก่งแท้

ผู้พันสมัครบัญชีใหม่ ใช้รูปสาวสวยที่หาได้ในบอร์ดเถื่อนๆ นั่งโพสต์รูปมั่วๆ ให้ไทม์ไลน์ดูมีอะไร ก่อนจะทักแชทหมอนั่นไป ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษาที่ใช้ว่าจะไม่เนียน เพราะหมวดรักษ์ชอบแซวอยู่บ่อยๆ ว่าภาษาไทยแบบผิดๆ ถูกๆ ของผู้พันนั้น เหมือนภาษาสก๊อยไม่มีผิด

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
ทักๆ

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
ว่างัยคร้าบคนสวย อิอิอิ

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
พิรุ้จักคลชื่อบอมเบย์มั๊ย ทิเคยเรียนรุ่นเดวกะพิอ่ะ

             

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
คลไหนหว่า?? น๊องถามไปไมคับ

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
มันทำเพิ่นหนุท้อง! แร๊วมั่ยรับผิดชอบ
หนุกับเพิ่นเลยตามหาตัวมันยุ
เหนบอกเคยเรียนอัดคัดอุปถัม
เรยรองมาถามพินิแหระ

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
ไมเลวงี้ มั่ยดีเลยๆ มั่ยสมเปนลุกผุ้ชาย

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
ชั่ยคะ พิพอจะรุ้จักมันมัย
รือว่ามีเพิ่นที่รุ้จักมันมั๊ย
หนุจะดั้ยปัยตามตัวถุก

 
เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
มันยุห้องไรงะ

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
นุม่ายรุง่า
อ๋อๆ รู้แระ พิมีหนังสือรุ่นมั๊ยคะ
ถ่ายมาหั้ยก้อด้าย เดะหนุไปหาจากชื่อมันเอง

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
แปปนะคร้าฟ เดะหาหั้ย

 

ไอ้หนุ่มหายไปราวๆ สิบห้านาที ก่อนจะกลับมาพร้อมกับรูปถ่ายจากหนังสือรุ่นที่เก่าเลอะเทอะ เหมือนขุดมาจากก้นสุดของกองขยะ ยังดีที่ดูออกว่าหน้าตาคนในรูปเป็นยังไง ชื่ออะไรกันบ้าง

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
อะนี่คร้าฟ ไปหาดูน้า
รูปแตกหน่อยขออำภัย มือถือพี่มันถูก
คลจนก็งี้ มีดีแค่หัวจัย

 



อะไรของมึง...

 

ณ๊อง’ แนม’ แยมสะตอเบอร์ลี่:
กี้สๆๆๆ ดีจัยยยย ขอบคุลมากนะคร๊
พี่เนี่ยหล่อแร้วยังจัยดีอีก

 

เกม’ษสซ์ ฅนจัยยกาข แต่ฦก’ซ์เณอร์ เวอ.ทู ห้ามศแปมกู:
โสดคับ จีบได้

 



ขอโทษนะ แต่ลาก่อนเกมส์ ความสัมพันธ์ของเราจบเท่านี้แหละ

ผู้พันปิดเว็บแล้วดูรูปที่นายเกมส์ส่งมา มีหลายรูปทั้งแบบรวมทั้งระดับชั้นและแยกเป็นห้องๆ ต้องใช้เวลาและสายตาเพ่งอยู่นานกว่าจะเจอ



นายบรรณภพ พวงเซ่ อยู่ห้องสี่ เลขที่ยี่สิบ



อ่านชื่อแล้วก็ไล่ดูรูป ทันทีที่ปลายนิ้วหยุดตรงเป้าหมาย ก็เหมือนลมหายใจขาดห้วงฉับพลัน

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง จ้องภาพนักเรียนมอปลายคนนั้นด้วยอาการอึ้งสุดใจ... ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา ไร้หนวดเคราบดบัง ใบหน้าที่แท้จริงของอาชญากร คือใบหน้าเดียวกับหนุ่มน้อยที่เขากำลังรัก

แม้จะผ่านมาหลายปี แต่หน้าตาของคนๆ นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย แววตาที่ดื้อรั้น ส่อแววไม่ยอมแพ้ต่ออะไรในโลกก็เช่นกัน คือคู่เดียวกับที่เขานอนจ้องมองทุกคืน ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยน ก็มีเพียงแค่สีผม

“บี...”

ชายหนุ่มทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ราวกับพละกำลังหายไป ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ และเจ็บหัวใจเหมือนถูกเฉือนอย่างแรง ไม่คิดเลยว่าความลับหนึ่งจะเปิดเผยอีกความลับได้สะเทือนใจขนาดนี้

“Impossible...”

 



กลางคืน

เบย์นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มพลางคุยกับเคียว แต่แอบชะเง้อมองที่หน้าประตูร้านบ่อยๆ ราวกับหมาน้อยคอยเจ้าของกลับบ้าน ปากก็บอกว่ารำคาญ แต่เอาเข้าจริงก็ชอบมันอยู่เหมือนกัน เรื่องหล่อรวยไม่เกี่ยว เรื่องบนเตียงก็ไม่นับ เขาชอบความตื๊อระดับหน้าด้านหน้าทนของมัน ชอบที่ได้รู้สึกว่ามีใครสักคนหลงรักเราหัวปักหัวปำถึงขั้นนี้ แล้วก็ชอบความสุภาพบุรุษ พูดคำไหนคำนั้น ปล้ำก็คือปล้ำ ไม่ปล้ำก็คือไม่ปล้ำ ไม่ตอแหล

เอาง่ายๆ นิสัยตรงแน่ว แบบตรงข้ามกับเขานั่นแหละ

“แปลกจัง คืนนี้แฟนนายไม่มา” เคียวพูดอย่างรู้ทัน

“ไม่ใช่แฟนนะ!”

เบย์ปฏิเสธทันควัน แต่ใบหน้าสวนทางกับคำพูดโดยสิ้นเชิง ทั้งยิ้มทั้งหน้าแดงลามไปถึงหู

เคียวมองแล้วหัวเราะ “ถึงขั้นนี้ไม่ต้องปากแข็งหรอกน่า แฟนหล่อจะตาย รวยด้วย นายน่าจะภูมิใจ”

“หุบปากไปเลย”

น่าแปลกจริงๆ ห้าทุ่มแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา หรือมันจะเทเราแล้ววะ....

“บี”

เจ้าของชื่อหันขวับไปตามเสียงเรียก เผยรอยยิ้มให้คนที่เดินเข้ามาอย่างลืมตัว แต่นายทหารไม่ยิ้มเหมือนปกติ ใบหน้าแลดูเคร่งเครียดผิดปกติจนอีกฝ่ายแปลกใจ

“เป็นไรรึเปล่า” เบย์ถาม

แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ คว้าแขนเดินออกนอกร้านไปที่รถซึ่งจอดไว้โดยมไม่ดับเครื่องและขับออกไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ เบย์สังเกตเห็นสีหน้าของพีเทอร์เคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็น เหมือนมีรังสีดำทะมึนแผ่กระจายจากตัว เบย์กลัวจนไม่กล้าถามต่อ

ขับมาจอดที่โรงแรมแห่งใหม่ ก่อนจะพาคนนั่งเดินไปห้องที่จองไว้ล่วงหน้า ทันทีที่เข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ร่างใหญ่ก็ผลักร่างเล็กลงบนเตียง ขึ้นควบ ตามด้วยจูบดูดดื่มล้ำลึกปราศจากอารัมภบทใดๆ

เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างเร็วไวจนทั้งคู่เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า คนข้างบนระดมจูบไปทั่วตัวของคนข้างล่างอย่างหนักหน่วงผิดปกติ มือใหญ่กดข้อมือเล็กไว้กับเตียงแน่นราวกับกลัวคนข้างล่างจะหนี

“วันนี้แปลกไปนะ” เบย์ได้โอกาสสบตาถาม

พีเทอร์ไม่ตอบ แต่จ้องตาเขม็ง... แววตาคู่นั้นดุดันและเศร้าในคราวเดียวกัน

“บี” เขาเรียก

“อะไร”

“ยูว์รักไอบ้างรึเปล่า”

“......” เบย์ตกใจ ไม่คิดว่าจะเจอคำถามนี้

“ว่ายังไง ยูว์เคยมีความรู้สึกว่ารักไอบ้างไหม” พีเทอร์ถามซ้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“มันยังเร็วไปที่จะพูดตอนนี้...”

“....”

“แต่ถ้าคบกันนานๆ ไป... อาจจะรักก็ได้”

เมื่อพูดจบ ผู้พันก็รุกหนักทั้งกอดจูบลูบคลำกัดขย้ำราวกับเสือป่าหิวโหย หนุ่มน้อยปล่อยให้ความสงสัยลอยหายไป แล้วให้ความสุขสมเข้ามาแทนที่ ตอบโต้ฝ่ายรุกด้วยการกอดรัดไว้แน่นไม่แพ้กัน

“ไอเลิฟยูว์”

“อ๊ะ.... อื้อ”

“ไม่ว่ายูว์เป็นใคร... ไอก็เลิฟยูว์”

“พะ... พีเทอร์”

ตัวเล็กบิดกายเร่าๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายรุกคืบเข้ามา แม้จะติดใจสงสัยในสิ่งที่เขาพูด แต่เบย์ก็ไม่ได้เอ่ยถามคำใด สติอารมณ์เริ่มกระเจิดกระเจิงไปตามแรงเคลื่อนไหว

ร่างใหญ่โน้มตัวลงมากอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าซุกที่ซอกคอ จูบทำรอยสีแดงไว้พร้อมกับหอบหายใจถี่ ขณะเดียวกันท่อนล่างที่เชื่อมต่อกันก็ขยับเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แรงกระแทกจากฝ่ายรุกรุนแรงกว่าที่เคย เบย์จึงทุบหน้าอกคนข้างบนเพื่อเตือนเขา

“เบาๆ หน่อย... อ๊ะ... กลัวไม่ได้ทำอีกรึไง”

ฝ่ายข้างบนผ่อนแรงลงเล็กน้อย มองใบหน้าน่ารักนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย... แต่ฉายแววเศร้า

“Maybe last time”

“หมายความว่าไง...จะกลับเมกาแล้วเหรอ”

ผู้พันไม่พูดอะไร เพียงแค่กอดรัดร่างเล็กแนบแน่น กระแทกร่างของตนใส่ไม่ยั้ง จูบอย่างบ้าคลั่ง แล้วทั้งคู่ก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งรักร่วมกันจนหลับใหลไป

 

......

ตีสาม

เบย์รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างกายท่อนบนมีรอยคิสมาร์กหลายจุด ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปปวดหนืบ แข้งขาอ่อนแรง... แต่ใส่เสื้อผ้าแล้ว สงสัยพีเทอร์คงอาบน้ำให้

แกร๊ง

เสียงโลหะกระทบกันเมื่อเบย์ขยับตัว เขารู้สึกว่าหนักข้อมือเหมือนมีอะไรถ่วง พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าถูกสวมกุญแจมือ

ว้อท?

หนุ่มน้อยสะดุ้งสุดตัว ผุดลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบห้อง แต่ไม่พบพีเทอร์ หัวใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นส่ำราวกับกำลังบอกถึงลางร้าย

“พีเทอร์! อยู่ที่ไหน แล้วใส่กุญแจมือทำไม”

เบย์ตะโกน จากนั้นประตูระเบียงก็เปิดออก ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้อง ท่ามกลางความมืดสลัว แสงสีส้มของโคมไฟสะท้อนใบหน้าของผู้ชายตัวใหญ่เพียงเสี้ยวหนึ่ง... แต่หนุ่มน้อยเห็นชัดเจนว่าพีเทอร์กำลังยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจ

“เล่นพิเรนทร์อีกแล้วนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้”

“ไม่ได้เล่น”

“....?”

“ยูว์ถูกจับกุมแล้ว บรรณภพ พวงเซ่”

เบย์หน้าถอดสี หัวใจเหมือนหล่นไปอยู่แทบเท้า ร่างกายเย็นวูบเหมือนถูกน้ำแข็งราด พีเทอร์ยิ้มมุมปาก แลดูคล้ายมัจจุราชที่กำลังจะลากคอเบย์ไปสู่ขุมนรก

“ไม่คิดจะปฏิเสธหน่อยเหรอ”

“นี่มึง... หลอกกูเหรอ” เบย์เค้นคำพูดออกมาผ่านริมฝีปากสั่นๆ

“ใครกันแน่ที่หลอก ยูว์ไม่ใช่เหรอ” พีเทอร์จับคางของตัวเล็กยกขึ้นมองหน้าเขา “เกมโอเวอร์แล้ว เบบี๋ เตรียมตัวเข้าคุกซะ”

ผัวะ!

เบย์เอาหัวโขกหน้าพีเทอร์อย่างแรงจนอีกฝ่ายเสียหลักล้ม ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลจากจมูกและปากทันที อาศัยจังหวะนั้นลุกจากเตียงวิ่งหนี แต่ถูกตะครุบไว้ได้จากข้างหลัง

“โอ๊ย!”

ทหารหนุ่มผลักโจรล้มหน้าคว่ำกับพื้น แล้วเขาก็ขึ้นนั่งกดทับ มือใหญ่กดมือที่สวมกุญแจเหล็กของโจรไว้ข้างหลัง อีกข้างกดบีบคอยึดไว้กับพื้นแน่น เบย์ทั้งเจ็บ อึดอัด เหมือนขาดอากาศหายใจ แต่ความเจ็บจากร่างกายไม่เท่าความเจ็บในใจ

สุดท้ายก็เสียรู้ให้เจ้าหน้าที่จนได้ เจ็บใจนัก...

“อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ร่างใหญ่ขู่

“มึงเป็นใครกันแน่” เบย์ถามเสียงสั่นเครือแต่เข้มขรึม

“...พันอากาศตรีพีเทอร์ แฮมิลทัน”

“ทหาร.....”

“เยส ไอเป็นทหาร แต่ก็มีสิทธิ์จับโจรได้เหมือนกัน”

น้ำเสียงของผู้พันฟังดูแตกต่างจากผู้ชายเพี้ยนๆ ที่เบย์รู้จักอย่างสิ้นเชิง มันปราศจากความทะเล้นทะลึ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังและน่าเกรงขาม นี่คงเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันนั่นเอง

“กูสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่ามึงต้องเป็นตำรวจหรือสายสืบแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น กูก็ยังเสี่ยงไปไหนมาไหนกับมึง... เพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่ามึงไม่ใช่”

เบย์น้ำตาไหล

ทหารหนุ่มลดแรงบีบที่มือลง

“ทีแรกกูยอมมึงก็เพราะเห็นแก่เงิน... กูต้องการแค่เงิน... แต่ไปๆ มาๆ มึงกลับทำให้กูรู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ...” เบย์เว้นจังหวะพูดด้วยเสียงสะอึก หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลังด้วยหางตา “แต่ทั้งหมดที่มึงทำ... มันแค่การหลอกให้กูตายใจแค่นั้นใช่ไหม”

ผู้พันมีสีหน้าเรียบนิ่ง ตอบเพียงสั้นๆ

“ใช่”

“ที่บอกว่าชอบกู... นั่นก็โกหกใช่ไหม”

คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย “ใช่ ไอโกหก”

“.............”

"ไอเป็นทหาร จะรักคนร้ายได้ยังไง”

“............”

เบย์จุกจนพูดอะไรไม่ออก ชาราวกับถูกตบหน้าล้านครั้ง

พีเทอร์ลุกจากร่างของผู้ร้ายก่อนจะฉุดให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วผลักให้เดินไปข้างหน้าโดยมีเขาเดินประกบหลัง

“อย่าขัดขืน อย่าตุกติกเด็ดขาด” ทหารสั่งเสียงเข้ม “แต่ไอขอชื่นชมที่ยูว์ปลอมตัวหลบหนีเจ้าหน้าที่ได้นานขนาดนี้นะ ลองแฮร์บอย”

เบย์สะดุดกึก หยุดเดิน หันขวับไปมองหน้าทหารหนุ่มตาขวาง ทหารหนุ่มรู้สึกตกใจเมื่อเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตากับแววตาผิดหวังของเบย์ แต่ต้องฝืนทำหน้านิ่งไว้

“มึงรู้ตัวตนของกูทะลุปรุโปร่ง... ทุกการปลอมตัว”

“....ใช่”

“ตามกูมาตั้งแต่คืนนั้น หาเจอทุกครั้ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ”

“....อืม”

เบย์แทบทรุด รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ที่สุดในโลก

“ไอ้เหี้ย”

“......”

“ถึงกูจะปลอมตัว แต่ไม่เคยปลอมความรู้สึก... ไม่เหมือนท่าน ผู้พัน... ที่ปลอมทั้งตัวและหัวใจ!”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ไม่มีการเคลื่อนไหว นอกจากไหล่สั่นสะท้านของเบย์เท่านั้น บรรยากาศอึดอัดและเศร้าหมองจนหากปล่อยไว้นานอาจมีอาชญากรรมไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้

ผู้พันทำขึงขัง ผลักให้เบย์เดินต่อไปจนกระทั่งถึงรถ เปิดประตูข้างคนขับแล้วผลักคนร้ายให้นั่ง ปิดประตูเสียงดัง แต่เขาไม่เข้ามานั่ง กลับหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคน ซึ่งคงไม่พ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง พูดอยู่สองสามคำก็วาง

พีเทอร์ยืนพิงประตูฝั่งเบย์ แต่หันหลังให้... เพราะไม่อยากให้คนข้างในเห็นว่าเขาใกล้จะร้องไห้เต็มทน

“I’m so sorry, Darling”

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผู้พันได้พูดกับคนร้าย... แต่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน




///
ขอบคุณทุกฟีดแบ็กมากๆ เลยค่ะ
รักน้าาา <3 <3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-05-2019 19:53:57
น่าสงสารเบย์จังเลย ไม่เคยปลอมความรู้สึก อ่านแล้วเศร้าตาม
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-05-2019 21:07:17
ก็เข้าใจผู้พันช่วยหมวดรักษ์จับเบย์เพราะเป็นโจรแต่เราสงสารเบย์ที่เริ่มรู้สึกดีกับผู้พันแล้วมาโดนจับเหมือนถูกแทงข้างหลังหัวใจเจ็บเจียนตายเลยงะ :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 11-05-2019 23:41:40
เศร้านร้า เบย์ เบย์ คงมีหักมุม
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-05-2019 00:01:51
โจรก็มีหัวใจนะโว้ยยยย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-05-2019 00:45:22
ห๊อยยยยยสงสารรรโจรเบย์~~ทำไมทำอย่างเน่~~~ก็เข้าใจอยู่ ผดุงความยุติธรรม แต่มันแบบหักดิบไป๊ อร๊ายยยยแหลกสลายกับรักจอมปลอม พังๆๆ ฮื้ออเบย์จะติดคุกแล้วหรอ มีพลิกล็อคไหม?? รออออออออตอนหน้าาาาาาาาาาาาา จะว่ายังไงกันบ้างละเนี้ย โอ๊ยยย //ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่าน สนุกกกกกกกกกกกกกกกก โจรก็มีรักมีหัวใจ โจรก็คนๆนึงนะเว้ยยยยยย อิน 5555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 14-05-2019 01:18:05
เบย์โดนจับแบบนี้ซวยแน่ๆ :hao5: ทำไมฝรั่งทำเงี้ยอาาาาาา หลุดเมื่อไหร่จะขอให้น้องหนีไปจนตามไม่เจอเลย...
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 14-05-2019 14:38:03
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.33 ปิดฉากความรัก part2 "Goodbye B" (11/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-05-2019 15:51:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 19-05-2019 16:02:41



34
ปิดบัญชีแค้น (1/2)



“อะไรนะ!!!”

โจรอู๋ตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างตกใจ ทำให้ผมสะดุ้งตื่น มองนาฬิกาเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ ผมทำหน้าอยากรู้ มันก็เปิดลำโพงให้ฟัง เป็นเบย์โทรมา จะว่าเปิดเผยหรือขี้เกียจอธิบายให้ฟังทีหลังก็ไม่รู้มัน

[พูดจริงเฮีย ตอนนี้ผมโคตรกลัวเลย จะทำไงดี]

เสียงเบย์สั่นเครือปนสะอื้นไห้คล้ายกำลังจะสติแตก

“เกิดอะไรขึ้นเบย์” ผมถามด้วยใจหวั่นๆ

[เราถูกจับ]

“เฮ้ย!!!”

[แต่ตอนนี้หนีมาได้แล้ว]

“ใครจับนาย แล้วหนีได้ยังไง”

[ผู้ชายไล่ตามเราตลอดน่ะ ที่จริงมันเป็นทหาร จับเราใส่กุญแจมือ แต่เราเอาตีนกระแทกปุ่มเปิดประทุนรถ เลยหนีออกมาได้]

“เชี่ย! มึงไม่กลัวตายรึไง!” ลูกพี่โวย

[วินาทีนั้นผมไม่มีอะไรให้กลัวแล้วเฮีย ถ้าผมโดนจับ พวกเราจะซวยด้วยกันหมด]

“มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังบู๊หรอสัด ขนาดกูบ้ากว่ามึงยังไม่กล้าโดดออกรถเลย ดีนะที่บุญคุ้มกะลาหัวมึงรอดมาได้ ไม่โดนรถทับตายโหง”

โจรอู๋คล้ายจะด่า แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมรู้ เบย์เองก็รู้เช่นกัน

[บ้า ผมก็มองทางสิ เจอที่โล่งๆ ค่อยโดด]

“มึงแม่ง...” ลูกพี่ยกมือขึ้นกุมขมับ “คนทำมึงใช่ไอ้คนที่เคยเล่าให้ฟังไหม คนเมกันตัวใหญ่ๆ สูงๆ”

[อือ]

“โถ่ลูกน้องกู เสียทั้งตัวเสียทั้งใจ”

[ถ้าจะพูดงี้เอามีดมาแทงกันเหอะ] เบย์ถอนหายใจ

“แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน เดี๋ยวกูไปรับ”

[ไม่ต้องๆ ผมโอเค]

“ให้มันน้อยๆ หน่อย คิดว่ากูจะเห็นแก่ตัวปล่อยให้มึงเดี้ยงคนเดียวหรอ”

ผมแอบอมยิ้ม

[พอมีเงินอยู่น่า ไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่ต้องห่วง]

“มึงคิดจะไปไหนมาไหนทั้งที่ใส่กุญแจมือ?”

[เอาทุบกับซีเมนต์หลุดแล้วครับ เป็นแค่อลูมิเนียมอ่ะ ไอ้เหี้ยนั่นมีทั้งของเล่นของจริง คงหยิบผิด]

“ไม่มั้ง เป็นถึงทหาร ของเล่นกับของจริงน้ำหนักก็ต่างกัน มันอาจไม่ได้อยากจับมึงจริงๆ ก็ได้ แค่ขู่ให้ขวัญเสีย”

ผมฟังโจรอู๋พูดก็แอบเห็นด้วย เพราะผู้ชายที่มาติดพันเบย์คนนั้นดูหลงรักเพื่อนเราหัวปักหัวปำเหลือเกิน ยากจะเชื่อว่าจะทำร้ายกันได้... แต่มันก็แค่สันนิษฐานอ่ะนะ คนเรามองแค่ภายนอกไม่ได้

[ทำกันขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่ขู่ละเฮีย]

“กูไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่ะ มันคลั่งมึงขนาดนั้น”

[ตอแหลน่ะสิ]

“แล้วนี่มึงจะไปไหนต่อ”

[คงกลับสลัม]

“เห้ย อันตราย ตำรวจให้ชาวบ้านช่วยเป็นหูเป็นตา เอาเงินมาล่อ ขืนมึงกลับไปก็ซวยสิ”

[ไม่ๆ มีพวกที่พึ่งได้อยู่]

“คนไหน กูเห็นมีแต่ขี้ยา”

[ก็ไอ้พวกนั้นแหละ ถ้าแม่งแจ้งจับผม ผมก็แจ้งจับพวกมันข้อหายาเสพติดเหมือนกัน]

“อ่อ ศีลเสมอกัน”

[โชคดีนะเฮีย ระวังตัวด้วย]

เราต่างหากต้องพูดประโยคนั้นกับเบย์

ผมกับโจรอู๋มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจอย่างสลด หายนะลามเข้ามาใกล้ปลายจมูกพวกเราขนาดนี้ จะรอดถึงวันปิดบัญชีไหมนะ...

โจรอู๋ลุกจากเตียงไปใส่เสื้อผ้า ก่อนจะเก็บข้าวของใส่กระเป๋า

“อะไร อย่าบอกนะว่าจะย้ายที่”

“ใช่ ตำรวจว่าชิบหายแล้ว นี่แม่งมีทหารมาผสมโรงอีก เราอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าพวกมันอาจแฮ็กมือถือไอ้เบย์ รู้ว่าโทรหาข้า แล้วก็ตามมารวบเราสองคนเข้าคุก”

“แล้วจะไปไหน”

“ที่ไหนก็ได้ที่ถูกๆ” โจรอู๋โยนกระเป๋าตังค์ลงบนเตียง “เหลือเงินอยู่แค่นี้ คิดทีว่าจะเอาไง”

ผมเปิดดูข้างใน นับดูก็พบว่ามันมีเพียงสามพันบาท แต่เราต้องใช้อีกสามวันกว่าจะถึงวันปิดบัญชีหนี้ของโจร

“หักเอาจากที่ขโมยมานิดนึงไม่ได้เหรอ กูกลัวไม่พออ่ะ” ผมปิดกระเป๋าตังค์ของมันอย่างอ่อนใจ

“ไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่เรามีตอนนี้ตีเป็นเงินได้เท่าไหร่ ข้าไม่อยากให้มันขาดหายไป สามพัน สองคนสามวัน ถ้ากัดฟันใช้ยังไงก็พอน่า”

นี่แหละชีวิตจริง ไม่มีเศรษฐีคอยเป็นแบ็กอัพให้ ขอต้อนรับสู่วิถีกัดก้อนเกลือกินครับผม

โจรอู๋เห็นผมสีหน้าไม่ดีก็เข้ามายืนตรงหน้า ก่อนจะทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง... มันร้องเพลง

“มีแฟนเป็นโจร ต้องทนหน่อยน้อง~ พี่นี้ไม่มีเงินทอง มารองรับความลำบาก~”

“เชี่ย!” ผมขว้างหมอนใส่มัน ทั้งน้ำเสียงเพี้ยนๆ กับอินเนอร์ที่มาเต็ม ทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้

“อยากให้อารมณ์ดี” โจรสวมกอด เอาหน้าหนวดๆ ถูหน้าผม “ทนเอาหน่อยนะ อีกสามวันเอง”

“รู้...” ผมกอดมันตอบ

ขอเพียงแค่ไม่มีอะไรผิดแผน

 


D-Day

เมื่อวันนั้นมาถึง

เฟลมอยู่ไม่สุข ร้อนรน กระวนกระวาย เมื่อไม่มีใครบางคนตีหน้ามึนใส่มาสามวันเต็มๆ หมวดขาดการติดต่อไปเฉยๆ อย่างกับจะหายตัวตามแสงเทียนไปอีกคน

ความจริงหมวดได้เบาะแสจากพนักงานโรงแรมม่านรูดว่าเจอคู่รักชายชายรูปพรรณสัณฐานคล้ายผู้ร้ายในข่าว เลยมาให้ปากคำ เป็นข้อมูลสำคัญมากจนหมวดไม่มีเวลาไปหาเฟลม เหตุนี้ผู้ร้องทุกข์จึงไปหาหมวดที่สน. เอง เพราะไม่มีเบอร์โทร

จะขอก็ไม่กล้า มันดูส่วนตัวไป เกิดหมวดไม่ได้ก็หน้าแหกอีก

ใจหนึ่งตื่นเต้นเรื่องความคืบหน้าของคดี... อีกใจคืออยากเจอหมวด จะว่าเป็นความเคยชินก็ได้มั้ง เฟลมรู้สึกว่าเวลามีหมวด โลกก็ไม่ได้จะถล่มเหมือนตอนอยู่คนเดียว หมวดมีฟิลเตอร์ของความล่องลอยเหนือปัญหา...จะว่าหลุดโลกก็เอา เรื่องคอขาดบาดตายใดๆ ก็ไม่ทำให้หมวดรู้สึกสะทกสะท้านได้เลย ต่างกับเขาที่เหมือนแบกระเบิดขนาดใหญ่เท่าโลกไว้ตลอดเวลา

เขารู้สึกตัวเบาเวลาอยู่กับหมวด...

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความรู้สึกพิเศษหรือไม่ เพราะเขาไม่มีจิตใจจะคิดเรื่องนั้น อย่างน้อยก็จนกว่าจะเคลียร์เรื่องแสงเทียนได้

พอไปถึงสน. ก็เห็นตำรวจหลายนายหน้าดำคร่ำเครียด เหมือนกำลังเตรียมตัวออกปฏิบัติภารกิจสำคัญ รถตำรวจจอดเรียงกันเต็มลานทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ แสงไฟจากไซเรนสว่างไปทั่ว เฟลมสอดส่องสายตามองหาหมวดรักษ์ เห็นเดินวุ่นๆ อยู่ในอาคาร ชายหนุ่มรอจังหวะที่หมวดอยู่คนเดียวเดินเข้าไปหา

“อยากจะหายก็หาย ไม่คิดบอกอะไรสักคำเลยสินะ”

“อ้าว เปรมประกิตติ์” หมวดเบิกตาขึ้นเล็กน้อยมองคนตรงหน้า “มีธุระอะไรเหรอ”

“จำเป็นต้องมีด้วยรึไง” เฟลมขมวดคิ้ว

หมวดยิ้มกวน “คิดถึงผมเหรอ?”

“บ้า! ใช่ที่ไหน ใครจะไปคิดถึงคุณ!” หนุ่มหล่อปฏิเสธทันที “เล่นหายไปเฉยๆ ตั้งสามวัน ไม่บอกอะไรผมเลย ผมก็แค่สงสัย”

“พอดีมีภารกิจใหญ่แทรกน่ะ ผมเลยต้องโฟกัสกับมันก่อน”

“ใหญ่แค่ไหน”

“ระดับความมั่นคงของชาติ”

เฟลมอึ้ง เทียบแล้วคดีของเขากลายเป็นขี้ผงไปเลย

“แต่ก็น่าจะติดต่อหาผมบ้าง ไม่ใช่หายไปเฉยๆ ผมกระวนกระวายจะแย่รู้รึเปล่า”

“เป็นห่วงรึไง?” หมวดเลิกคิ้ว

“ผมไม่ได้เล่นๆ นะ ซีเรียส” เฟลมนิ่วหน้าเครียด

“โอเค ผมขอโทษที่ไม่ได้บอก ก็มันฉุกละหุกมากนี่นา ตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะ” หมวดรักษ์พูดแล้วเดินเลี่ยงไป แต่ชายหนุ่มคว้าแขนตำรวจไว้ก่อน

“เดี๋ยวหมวด”

“อะไร”

“ผมไปด้วยได้มั้ย”

“ไม่ได้! มันอันตรายเกินไป แล้วคุณก็เป็นคนนอก ผมไม่อนุญาตเด็ดขาด” หมวดปฏิเสธทันควัน แววตาจริงจังมองเฟลม

“ถ้าคุณเผลอหลับใน ขับรถออกนอกเลนเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ”

“ไม่หรอกน่า พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย”

“คุณก็เคยหลับในตอนเช้าที่ร้านของผม จนหงายหลังล้มมาแล้ว”

“.... ยังไงผมก็ให้ไปไม่ได้ นี่ผมเป็นห่วงคุณนะเปรมประกิตต์”

“แล้วคิดว่าผมไม่เป็นห่วงคุณรึไง”

พอจบประโยคนั้นของเฟลม ทั้งสองคนก็เงียบ เพราะรู้สึกอึ้ง ฝ่ายหนึ่งอึ้งที่ตัวเองพูดคำนั้นออกไป อีกฝ่ายอึ้งเพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน

เฟลมถามเบี่ยงประเด็นทันที กลัวจะนำไปสู่บรรยากาศชวนเพลี่ยงพล้ำทางใจ

“คดีนี้เกี่ยวกับแสงเทียนมั้ย”

“ไม่ เป็นคดีค้าโบราณวัตุข้ามชาติ”

“ไอ้โจรที่ลักพาตัวแสงเทียนก็เคยขโมยวัตุโบราณ ผมว่า...”

“หมวดรักษ์ ไปสแตนด์บายได้แล้ว!”

ไม่ทันที่เฟลมจะพูดจบ ผู้กำกับก็ร้องบอกซะก่อน

“ครับท่าน” หมวดขานรับ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้เฟลม “เจอกันพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน”

แล้วก็หายไป

ขบวนรถตำรวจทยอยออกจากสถานี เฟลมรอจนพวกเขาไปหมดทุกคันแล้วจึงโบกแท็กซี่หน้าสถานี

“ตามตำรวจไป”

แท็กซี่ทำหน้างง ปกติเคยเห็นแต่ตำรวจตามประชาชน

เฟลมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาต้องตาม อาจเป็นลางสังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวกับแสงเทียน... ถ้าไม่เกี่ยว เขาก็แค่กลับ ไม่ทำให้ตำรวจปวดหัวหรอก

ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน

 



สามวันที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเงินสะพัดโดยแท้

ผม โจรอู๋ กับพรรคพวกในแก๊งช่วยกันกระจายเอาทรัพย์สินที่ขโมยมาไปเปลี่ยนเป็นเงินสด ขายตามตลาดมืดบ้าง แลกเปลี่ยนกับพวกผู้มีอิทธิพลบ้าง แล้วนำเงินสดทั้งหมด (หกสิบล้าน แม่เหยด) ฝากไว้ที่ห้องเคฟ...บุรุษคนเดียวในกลุ่มที่ยังไร้หมายจับ รอรวมกับขายของเถื่อนให้ครบร้อยล้านแล้วส่งมอบให้เฉินเชว่

โจรอู๋บอกว่ามันจะนัดเจอในกรุงเทพฯ ก็ถือเป็นเรื่องดีจะได้ไม่ต้องขนเงินไปจีนให้ยุ่งยาก แถมเสี่ยงตายในเขตแดนของพวกมันอีกต่างหาก

เคฟเอาวัตถุโบราณที่โจรอู๋ฝากไว้มาส่งให้ตั้งแต่เช้ามืด ได้แก่ภาพวาดของศิลปินแห่งชาติชื่อก้องโลกผู้ล่วงลับนับสิบ พระพุทธรูปโบราณ กับเครื่องประดับของราชวงศ์สมัยทวารดี แค่ไม่กี่ชิ้นก็มูลค่ามหาศาลเกินสี่สิบล้านไปโข แน่นอนว่าโจรอู๋จะฟันกำไรชนิดจุกอกตาย

พวกอาชญากรยกพลกันไปที่โกดังร้างแถบชานเมืองที่เจ้าสัวหัวหอกของขบวนการเป็นเจ้าของ ผมในนามแสงโสม กับโจรอู๋ในนามเคลวิน ขึ้นรถตู้มากับเจ้าสัวด้วย จึงไม่เป็นที่สะดุดตาของชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ ต้องทำแบบนี้เพราะเราไม่มีรถเป็นของตัวเอง และการใช้บริการรถสาธารณะก็เสี่ยงเกินไป อเล็กซ์อัพเดตสดๆ ร้อนๆ มาว่าตำรวจเคลื่อนไหวแล้ว ยกขบวนกันไปทั้งโรงพัก แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ให้พวกเราระวังตัว เพราะอาจมีข่าวรั่วไหลเรื่องการซื้อขายวันนี้ก็ได้ หากเป็นจริง ไม่ใช่แค่โจรอู๋ที่จะถูกเก็บ แต่โดนกันทั้งขบวนการ

แทนที่จะเบาใจ ผมเลยยิ่งเครียด

มาก็มาเถอะครับ แต่ขอเป็นหลังปิดบัญชีนะท่าน ...

ลูกค้าเศรษฐีชาวต่างชาติที่เจ้าสัวเป็นคนกลางให้ก็กำลังเดินทางไปที่โกดังเช่นกัน มีชาวรัสเซีย ซาอุฯ กับฮ่องกง พวกรวยเงินเหลือทั้งนั้น

มาถึงปุ๊บก็ลงจากรถกัน แต่พอผมจะลง โจรก็จับไหล่ให้หยุด

“เอ็งไม่ต้องไป รออยู่ที่นี่”

“ทำไม” ผมงงเป็นไก่ตาแตก

“มันอันตรายเกินไป ข้าให้เอ็งไปเสี่ยงด้วยไม่ได้”

“อันตรายยังไง ไม่ได้มีศัตรูมึงอยู่ด้วยซักหน่อย”

“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”

“มาด้วยกันตั้งขนาดนี้ กูไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะ”

โจรถอนหายใจ คิ้วขมวดเคร่ง

“คราวนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา เทียน มีแต่มาเฟียตัวเป้งๆ เกิดมันเล่นตุกติกฆ่าข้าตายขึ้นมา เอ็งจะไม่ปลอดภัย”

“อย่าพูดอย่างนั้น” ผมเอามือปิดปากมันทันที แค่คิดก็ใจหายแล้ว

โจรจูบมือผม แล้วดึงออก

“ก็แค่พูดเผื่อไว้ แต่จะทำให้ดีที่สุด มันต้องผ่านไปด้วยดี และหลังจากวันนี้ไปเราจะไม่ใช่โจรอีก”

“อื้อ...”

โจรอู๋ขยี้หัวผมเหมือนลูกหมาก่อนจะลงจากรถไปพร้อมกับเจ้าสัวและบอดี้การ์ดนับสิบ เดินหายไปอย่างรวดเร็วในความมืด ทิ้งให้ผมอยู่กับบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคนเบื้องหลัง

ขอให้ภารกิจสำเร็จด้วยดี ขอให้มันปลอดภัยด้วยเถอะ...

 





ภายในโกดัง

คู่ค้าชาวต่างชาติทั้งสามคนส่งตัวแทนมา เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง ไม่คุ้มหากจะถูกตำรวจไทยรวบเอาง่ายๆ โจรอู๋กับเจ้าสัวจับมือทักทายพันธมิตรชาวฝรั่ง แขก และ...

“ไอ้สัดหมา มึงมาได้ไง”

เป็นอันต้องผวาเมื่อลูกค้าชาวฮ่องกงที่ว่ากลายเป็นคนที่เขาเอาตีนเหยียบหน้าเมื่อหลายวันก่อน รอยช้ำบวมแดงยังปรากฏให้เห็นชัด พอๆ กับสายตาลุกวาวเหมือนไฟที่จ้องมองมา

“แปลกใจทำไม ก็กูมาจากฮ่องกง”

“กูไม่คิดว่าจะเป็นมึง”

“มึงโง่ไง”

“พวกลื๊อรู้จักกันเหรอ” เจ้าสัวมองหนุ่มจีนสองคนสลับกันไปมาอย่างฉงนฉงาย

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับ” เฉินเชว่เอ่ย “ไอ้เหี้ยนี่ไม่ได้ชื่อเควิน มันชื่ออติศร แซ่อู๋ บ้านอยู่เยาวราช เป็นอาชญากรสิบคดีในหมายจับ มันคือตัวซวยของแท้ เสี่ยโดนมันแหกตาแล้วล่ะ เลิกกระแดะสปีคอิงลิชเถอะ จีนด้วยกันทั้งนั้น”

โจรอู๋หน้าร้อนผ่าว

มึงสิตัวซวย มาแหกอะไรกูตอนที่ทุกอย่างกำลังจะสำเร็จ!

“เรื่องแค่นี้ คิดว่าอั๊วไม่รู้เรอะ”

“อ้าว” ทั้งสองเป็นงง

“ก็เพราะรู้ว่าอีเป็นโจร อั๊วถึงยอมให้มาร่วมงาน ยิ่งพวกหนีคดีเก่งๆ ปลอมตัวเนียนๆ ก็แสดงว่าฝีมือขั้นเทพ”

โอ้โห คดีพลิกสัด...แล้วกูจะเสียเงินเป็นแสนให้ไอ้เล็กเมคตัวตนใหม่เพื่อ!?

“แหม เสี่ยนี่หัวคิดดีจริงๆ นะครับ” เฉินเชว่หัวเราะแบบเสแสร้ง “แต่ยังไงผมก็ขอเตือนว่าไอ้เวรนี่มันงูเห่า กัดตายหมดแม้กระทั่งคนใกล้ตัว”

“แยกแยะบ้างได้ป่ะสัด”

โจรอู๋พูดลอดไรฟันน้ำเสียงเจือโทสะ ใจจริงอยากเอากระแทกหน้ามันเหลือล้น แต่ต้องรอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อน ไม่งั้นจะเสียงานเอา เขารู้ว่าไอ้หอกนั่นก็อยากควักปืนมาเป่ากบาลตัวเองจะแย่ แต่เกรงใจเจ้าสัวกับคู่ค้าอีกสองคน อยู่กันลำพังเมื่อไหร่คงทำตามใจได้

“ปิดดีลนี้ กูขอเคลียร์บัญชีหนี้มึงต่อเลยแล้วกัน” มาเฟียกล่าว

โจรรู้ว่ามันอยากเก็บเขา ถึงได้ถ่อมาหาถึงที่ แถมยังก่อนกำหมดตั้งหลายวัน มันตั้งใจเล่นไม่ซื่อ เพราะหากรอเขาบินไปหาเองถึงจีน นอกจากเฮียฟงผู้เป็นคนกลาง (อาจจะ) ปกป้องเขาแล้ว ก็ยังง่ายที่เขาจะได้ตัวแม่คืนไปด้วย

มันต้องการฆ่าเขา... และไม่ต้องการให้ได้เจอแม่

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาบอกแสงเทียน

เขารู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นเฉินเชว่ในไทยแล้ว แต่ไม่อยากให้แสงเทียนไม่สบายใจ และไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยงภัยด้วยกัน เขาตายได้แต่แสงเทียนต้องรอด ข้างนอกนั้นมีโลกที่รอการกลับไปของแสงเทียนอยู่

แต่สำหรับเขา ไม่มี

ทว่าบางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เขาอาจชนะก็ได้ ใครจะรู้... อาจเป็นเขาที่ได้เอาคืนมันทบต้นทบดอก

โจรอู๋เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบภาพวาดทั้งสิบออกมาวาง ตัวแทนลูกค้ารัสเซียกับคนที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจดูอย่างละเอียด ใช้เวลาร่วมสิบนาทีจนแน่ใจว่าเป็นของจริง จึงตกลงรับ และยื่นกระเป๋าเอกสารที่มีเงินอัดแน่นให้เจ้าสัวกับลูกน้องไปนับ หักค่านายหน้าออก แล้วจึงส่งให้โจรอู๋ ทำเช่นนี้กับลูกค้าแขกและเฉินเชว่

ตลกดีที่คนอย่างมันบูชาพระพุทธรูป กูเองก็บาปเหมือนกัน... แต่อีกไม่กี่อึดใจเวรกรรมก็จะตามสนอง

กระบวนการดำเนินไปท่ามกลางความสุ่มเสี่ยง ไม่มีใครวางใจใครร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหนุ่มจีนทั้งสอง เจ้าสัวต้องสั่งการ์ดให้ล้อมวงรอบไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี ลูกค้าได้ของ เสี่ยได้ค่าคอมฯ โจรอู๋ได้เงิน                                                         

“ทีนี้ก็เหลือแต่เรา” เฉินเชว่พูด

“กูจะจ่ายมึง ก็ต่อเมื่อมึงปล่อยแม่กูเท่านั้น”

“เอาสิ กูคอลให้ แต่มึงต้องเอาเงินทั้งหมดมากองแทบเท้ากูก่อน”

“.....”

เสร็จธุระ แขกกับฝรั่งก็จากลา เจ้าสัวก็จะขอตัว แต่ลูกน้องกระซิบว่า ‘ถ้าพวกมันฆ่ากันตาย จะซวยลามมาถึงเสี่ยด้วยนะครับ’ เลยตัดสินใจจะอยู่ต่อเป็นคนกลาง

“ไหนๆ ก็ไหนๆ อั๊วจะช่วยพวกลื๊อไกล่เกลี่ยกันเอง จะทำอะไรก็เห็นแก่หัวหงอกอั๊วด้วยแล้วกัน”

“ไม่ต้องครับเสี่ย รบกวนเวลาเปล่าๆ” เฉินเชว่ว่า

“ไม่ได้ ที่นี่แดนอั๊ว ถ้าพวกลื๊อทำอะไรไม่เข้าท่า อั๊วนี่แหละจะซวย” เจ้าของที่ดินพูด สองศัตรูคู่แค้นมองหน้ากัน แล้วเฉินเชว่ก็พ่นลมออกจมูก

“งั้นผมไปที่อื่นก็ได้”

“ก็ดี โดนตำรวจจับได้ก็ไม่เกี่ยวกับอั๊ว”

“....” เจ้าหนี้กัดริมฝีปากล่างอย่างอึดอัดใจ ก่อนจะเอ่ยคำสรุป “เออ งั้นก็ทำแม่งที่เนี่ยแหละ”

“เอาไปก่อน ที่เหลือกูให้น้องมาส่ง”

โจรอู๋ยื่นกระเป๋าที่เพิ่งถือได้ไม่กี่นาทีให้คู่แค้น อีกฝ่ายกระชากไปอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นเขาก็ส่งโลเคชั่นให้เคฟ อีกฝ่ายส่งสติกเกอร์โอเค คาดว่าจะบึ่งมอเตอร์ไซค์มาภายในไม่เกินสิบห้านาที

“อีกตั้งนาน เสี่ยกลับก่อนเลยครับ ผมเกรงใจ” เฉินเชว่บอก

“พวกลื๊อคิดจะฆ่ากันในบ้านคนอื่น แต่ไล่เจ้าของบ้านออกไปให้พ้นเนี่ยนะ บ้ารึเปล่า!”

“ใครบอกผมจะฆ่ามัน มันสิจะฆ่าผม ไม่เชื่อดูหน้ามันสิ”

เจ้าหนี้ชี้นิ้วใส่คนตรงข้ามที่ทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อไม่มีผิด เจ้าสัวได้แต่ถอนหายใจและส่ายหัว

“อย่าฆ่าคนเลย มันบาป อั๊วเคยแล้ว ยังเสียใจมาจนทุกวันนี้ ต่อให้มันจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแต่ชาติก่อนก็เหอะ ลื๊อจะสะใจแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ แต่จะฝันร้ายไปทั้งชีวิต ไม่คุ้มหรอก เชื่ออั๊ว”

มีเพียงความเงียบจากชายทั้งสองคน กับสายตาของเฉินเชว่ที่อ่านได้ว่า ‘ผมจะไม่มีวันเสียใจ’ ที่โจรอู๋อ่านออก

“ถึงจะเป็นเรื่องของลื๊อสองคน แต่ถ้ามีอะไรไม่ถูกต้อง อั๊วก็จะไม่อยู่เฉย บอกไว้ก่อนว่าอั๊วมีเครือข่ายที่แผ่นดินใหญ่เพียบ”

“.....”

คำพูดของเจ้าสัวทำให้โจรอู๋ปลาบปลื้มจนแทบน้ำตาคลอ คนระดับนี้มีหรือจะดูไม่ออกว่าใครชั่วใครไม่ชั่ว... คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ไว้ใจ ยอมเสี่ยงตายมาลงขันด้วย

แต่ละวินาทีที่ผ่านไปยาวนานเหมือนสิบชาติ โจรอู๋ค่อนข้างกระวนกระวาย เพราะเงินตั้งยี่สิบล้านอยู่ในมือมัน ชีวิตแม่ก็อยู่ในมือมัน แต่ยังไม่ทันที่เคฟจะมาถึง เจ้าหนี้ก็ประกาศ

“กูเปลี่ยนใจละ เรื่องนี้เอาไปเคลียร์กันตอนมึงกลับจีนดีกว่า”

“ไอ้สันขวาน!!!”

ผัวะ!

โจรซัดเต็มกำลังใส่ปากมาเฟียจนเลือดพุ่งจากปาก เฉินเชว่ร้องลั่น แต่ก็คือเตรียมตัวซัดอยู่นานแล้ว รอแค่จังหวะเปิดฉาก จัดการจับกลางลำตัวโจรอู๋ทุ่มลงกับพื้นซีเมนต์แล้วซัดคืนสองหมัดติด

“เฮ้ย! บอกว่าอย่าทำร้ายกัน พวกลื๊อฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!!!”

เจ้าสัวตะโกน สั่งให้ลูกน้องเข้าไปแยกหมาบ้าสองตัวนั้นออกจากกัน แต่พวกเขาก็ต้องชะงักเมื่อเฉินเชว่ชักปืนออกมาจ่อกลางหน้าผากโจรอู๋

“อาเฉิน! ลื๊ออย่า!” เสี่ยตวาด หน้าแดงก่ำ ตัวสั่นด้วยความโมโห

“เสี่ยไม่ต้องเสือก เรื่องนี้เกี่ยวกับผมและมันแค่สองคน!”

เฉินเชว่จ้องตาโจรอู๋เป็นประกาย คล้ายสัตว์กระหายเลือดศัตรู

“มีแค่ผมกับมันที่รู้...ว่าจะต้องจบแบบนี้!!!”

ปัง!


v
v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 19-05-2019 16:08:30



(2/2)



เสียงปืนจากด้านในโกดังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว นี่ก็ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว พวกฝรั่งกับแขกชิ่งออกจากโกดังไปแล้วด้วย เหลือแต่คนฮ่องกง เจ้าสัว กับโจรอู๋เท่านั้นที่ยังอยู่ข้างใน หัวใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ ตอกย้ำความกลัวให้ยิ่งกัดกินหัวใจ กลัวเกิดเรื่องไม่ดี

และลางสังหรณ์ก็เป็นจริง

เช่นเดียวกับที่ผมรู้กระจ่างแจ้งว่าโจรอู๋ไม่ได้ทิ้งผมไว้เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น มันให้เฝ้าต้นทางด้วย

รถตำรวจนับสิบกำลังแห่เข้ามา ไฟไซเรนสว่างวูบวาบแต่ไร้สุ้มเสียง เหมือนกองทัพพญามัจจุราช

ผมปลดล็อก รีบวิ่งลงจากรถเข้าไปในโกดังสุดฝีเท้า

“โจรอู๋! อยู่ไหน!!!”

ผมตะโกนไปวิ่งไปภายในความมืด ต้องรีบบอกให้ทุกคนหนี ไม่งั้นเกิดวิสามัญหมู่โจรแน่ๆ!

โผล่มาที่กลางโกดัง ที่ซึ่งเจ้าสัวกับลูกน้องกำลังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก และโจรอู๋กำลังต่อสู้กับใครบางคนฝุ่นตลบอยู่ที่พื้น เลือดไหลนองจากหัวไหล่ ไอ้เวรนั่นยิงแฟนผมอีกแล้ว!

“หยุดตีกันเดี๋ยวนี้!!!” ผมตะโกนลั่น

“เทียน ลงมาทำไม!”

“หนีเร็ว ตำรวจมา!”

“อะไรนะ!!!” ไม่เพียงแค่โจรอู๋เท่านั้นที่ตกใจ ทั้งเสี่ยและไอ้มาเฟียเหี้ยฆ่าไม่ตายก็หน้าซีดไปตามๆ กัน

“เลิกตีกันแล้วหนีก่อน ไม่งั้นจะตายกันหมด!” ผมร้องบอก

“ออกข้างหลัง!”

เฉินเชว่วิ่งนำพวกเราทุกคนไป เหมือนลืมไปเลยว่ากำลังจะเอาชีวิตโจรอู๋อยู่ แต่โชคร้ายที่ตำรวจเข้าปิดล้อมรอบโกดังทั้งด้านซ้ายขวาหน้าหลัง พวกเราจึงติดอยู่ข้างในไม่สามารถออกไปได้

“มีทางลับใต้ดินโผล่ออกไปอาคารข้างๆ ได้ ตามอั๊วมา!”

เจ้าสัวเป็นฝ่ายนำพวกเราบ้าง ในเวลานี้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนไม่เกี่ยง ขอให้มีชีวิตรอดเป็นพอ

เป็นเหตุการณ์ระทึกขวัญสั่นประสาทแบบเดียวกับที่โจรอู๋พาผมไปเผชิญมาหลายครั้ง ทั้งวิ่งหนีกระสุน บุกป่าฝ่าดงหัวซุกหัวซุน แต่คราวนี้ความโหดร้ายหนักหนากว่าที่ผ่านมา เพราะผลลัพธ์คือตายหรือไม่ก็ถูกจับ ผมอดแปลกใจในโชคชะตาไม่ได้จริงๆ ที่คนซึ่งตำรวจพยายามช่วยเหลือทุกวิถีทาง กลับกลายเป็นคนที่วิ่งหนีตำรวจสุดฝีเท้า

“มอบตัวซะ ไม่อย่างนั้นเราจำเป็นต้องวิสามัญ!!!”

ตำรวจตะโกนผ่านโทรโข่งรถ แต่พวกเราไม่มีใครหยุด ด้วยรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าไม่เลวร้ายเท่าการหันกลับหลัง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจึงไล่กวดเราเหมือนหมาป่าล่ากระต่าย

แล้วหมาป่าก็ฉลาดมาก แทนที่จะยิงคน กลับยิงกระหน่ำใส่รถจนยางระเบิด ทำให้พวกเราหมดหนทางขับหนี

“แม่ง!!!”

อยู่ดีๆ เฉินเชว่ก็ร้องลั่นสุดเสียงและล้มลง เลือดไหลทะลักจากขา มันโดนลูกหลงตำรวจเข้าให้แล้ว ผม โจรอู๋ กับลูกน้องของมันช่วยกันพยุงมันขึ้น แต่มันสะบัดทิ้ง

“ไม่ต้องห่วงกู รีบหนีไป! อยากตายกันหมดรึไง!”

แทบไม่อยากเชื่อหู

“อดทนไว้สิวะ อีกนิดเดียว!” โจรอู๋ดึงแขนมันขึ้นมาอย่างดื้อรั้น

“กูไม่อยากเป็นตัวถ่วง!”

“กูก็ไม่เห็นแก่ตัว ปล่อยมึงตายเหมือนกัน”

“ไอ้เหี้ย มึงนี่โง่หรือโคตรโง่!”

“เออกูโง่ แต่กูไม่ได้เลว”

“ไอ้สัดอู๋!”

“อย่ามัวแต่เถียงกัน พวกลื๊อไปทางนั้น ในอาคารมีทางลับใต้ดิน ประตูอยู่ที่พื้นใต้พรม อั๊วจะไปทางนี้ แยกกันปลอดภัยกว่า” เจ้าสัวบอก ก่อนจะวิ่งไปทางด้านขวาซึ่งมีอาคารหลังใหญ่อยู่

โจรอู๋จับมือผมแน่น แววตามั่นคงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

“เทียน เอ็งวิ่งไปให้เร็วที่สุด แล้วข้าจะตามไป”

“อะไรนะ!”

“เหอะน่า!” โจรอู๋ผลักให้ผมไปทางด้านซ้ายที่เป็นอาคารชั้นเดียว แม้จะไม่เข้าใจแต่ผมก็วิ่งสุดฝีเท้า



กระสุนจากปลายกระบอกปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงไล่หลังสองหนุ่มชาวจีนมาติดๆ ขณะที่โจรอู๋พยุงร่างของเฉินเชว่ที่ได้รับบาดเจ็บหลบหนีอย่างทุลักทุเล

“มึงช่วยกูทำไม!” เฉินเชว่มองคนที่พยุงตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

“กูไม่เคยลืม ที่กูเคยโดนหมากัดตอนปอสาม แล้วมึงแบกกูจากโรงเรียนไปโรง'บาล”

“เวรเอ๊ย...” เฉินเชว่สบถ “นานเป็นชาติแล้วยังเสือกจำได้”

“กูไม่มีวันลืมบุญคุณคนหรอก”

เสี้ยววินาทีหนึ่งในแววตาของมาเฟีย โจรอู๋เห็นความเสียใจและดีใจระคนกัน

“ไอ้เหี้ย คนอย่างมึง... คนอย่างมึง...”

“แข็งใจไว้ เราต้องรอด” โจรอู๋บอก

“ถ้าไม่รอด กูจะตามไปล้างแค้นมึงถึงในนรก...” เฉินเชว่กัดฟันกลั้นเจ็บ มองหน้าคนข้างๆ “แต่ถ้ารอด... กูจะยกโทษ ยกหนี้ทั้งหมดให้มึง”

 


...

ผมเข้ามาข้างในอาคาร มองหาทางลับใต้พรมตามที่เจ้าสัวบอก เจอพรมเน่าๆ อยู่ผืนหนึ่งกลางห้อง ยกมันขึ้น เห็นประตูบานประมาณหนึ่งคูณหนึ่งฟุตก็งัดเปิดออก สำลักฝุ่นอยู่สี่รอบ มองลงไปเพื่อดูว่าไม่มีสิ่งอันตราย ก็ตัดสินใจเดินลงไป

ใช้มือคลำผนังเดินไปอย่างระมัดระวัง พบว่าไม่ใช่ห้องใต้ดิน แต่เหมือนทางลับไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง บันไดทอดยาวลงสู่ด้านล่าง ก่อนจะขึ้นสู่ด้านบน กว่าจะถึงปลายทาง ผมสำลักฝุ่นไปแล้วแสนรอบ

ปลายทางของมันคือกระต๊อบคนงานนอกรั้วโกดัง ผมเดินไปที่ข้างหน้าต่างเพื่อดูสถานการณ์ภายนอก ให้ตาย ถ้าตำรวจจะแห่กันมาขนาดนี้! ขนกันมาทั้งเขตเลยรึไง! แล้วเราจะรอดไหมนี่!

ผมผละจากหน้าต่างเพื่อจะหาที่ซ่อนตัว แต่จู่ๆ ประตูก็เปิดออกโดยใครบางคนจากข้างนอก ตอนแรกผมคิดว่าตำรวจ ทว่าพอเห็นหน้า ผมก็คิดว่ายอมถูกตำรวจยิงตายยังจะดีซะกว่า

“แสงเทียน”

“......”

หมดเวลาวิ่งหนีแล้วจริงๆ สินะ             

 



/ / / /

เข้าช่วงพีคแล้ว ใกล้จบแล้ว ใจหายยย

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงจุดนี้

รวมทั้งคนใหม่ที่เพิ่งมาอ่านนะคะ (อ้าแขนรับ)

มาเอาใจช่วยโจรกับแฟนของเขาในโค้งสุดท้ายด้วยนะคะ

รักๆๆ <3<3<3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 19-05-2019 16:54:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-05-2019 18:29:23
ใครอีกเนี่ย!!!!
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-05-2019 00:44:09
ขอให้ปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-05-2019 02:00:57
กึก!!! เฟรมหรือป่าวที่แอบตามมา?? อ่าาาาาา ทำไมมันแตกกระเจิงขนาดนี้ ยังไงดีเอาไงดี จะรอดดีๆไหมละเนี้ยแต่ละคน โอ้ยยยลุ้นนนนน!!!! ทั้งขำทั้งสงสาร โจรเพี้ยนเอ๊ยย 55555 เอาๆเอาใจช่วยให้รอดปลอดภัยดีละกัน จะโดนจับไหมนี่อันนี้ไม่รู้ รออออไรท์มาต่อตอนหน้าเลยค่า สนุกกกกกก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ เส้นทางโจรกับความรักจะจบแล้วหรอ แต่ละคู่ยังไงดีละหนออ ):
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-05-2019 08:31:24
เฟลม ใช่มั๊ย ช่วยแสงเทียนด้วย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.34 ปิดบัญชีแค้น (19/05/19)
เริ่มหัวข้อโดย: Noina_Pn ที่ 22-05-2019 13:37:30
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 25-05-2019 17:19:32

35
ปิดฉากความรัก (สุดท้าย)




เฟลมมองผมด้วยแววตาเป็นประกายแสดงความดีใจ ก่อนจะรวบตัวผมไปกอดไว้แน่น ประหนึ่งเข้าเส้นชัยของการวิ่งมาราธอนข้ามทวีป

“เทียน! เทียนจริงๆ ด้วย!”

ผมตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ที่ไม่รู้สึกอะไร แม้จะถูกเขากอดรัดและสะบัดตัวแรงๆ ราวกับร่างกายตาย หัวใจหยุดเต้น


ทำไม...ทำไม...ทำไม


“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หนีโจรมาใช่มั้ย ไม่ต้องห่วงนะ เรากับตำรวจมาช่วยแล้ว”

เฟลมคลายกอดแล้วพูดกับผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ แววตาส่องประกาย ตรงข้ามกับผมทุกอย่าง พอเห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เขาก็เริ่มมองอย่างสงสัย

“แสงเทียน นี่นายใช่ไหม?”

“....” ลิ้นของผมแข็งจนขยับไม่ได้

“นายคือแสงเทียนรึเปล่า”

เฟลมจับแขนทั้งสองข้าง จ้องหน้าผมตรงๆ ผมจ้องเขากลับด้วยดวงตาที่พร่ามัว... ไม่รู้ตัวว่าน้ำตาเอ่อล้นออกมาตั้งแต่ตอนไหน

“ใช่” ผมตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ไม่ใช่แสงเทียนที่นายรู้จัก”

“หมายความว่าไง” รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที กลายเป็นความหวาดผวาเข้ามาแทนที่

“มันคงถึงเวลาที่เราต้องบอกนายแล้ว”

“...”

“เราเป็นโจร”

“อะไร...นะ”

เฟลมเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง มือที่กำแขนของผมผ่อนแรงและหลุดออกไป อาการของเขาบ่งบอกถึงความตกตะลึงสุดชีวิต

“ไม่จริง นายถูกพวกมันบังคับใช่ไหม เราเชื่อว่าคนอย่างนายไม่มีวันทำเรื่องชั่วๆ” เฟลมพูดรัว คล้ายว่าควบคุมเสียงของตัวเองไม่ได้

“ไม่มีใครบังคับ เราเต็มใจเป็นเอง”

“ทำไม...?”

“เราแค่อยากลองใช้ชีวิตที่แตกต่าง”

“ประชดเราเหรอ?”

“ไม่จำเป็น นายไม่ได้สำคัญกับเราอีกต่อไปแล้ว”

“.......”

“จะบอกให้ว่าเราทำการโจรกรรมทุกรูปแบบ ปล้นทรัพย์สินของชาวบ้านมานับไม่ถ้วน ใช้ชีวิตเหลวแหลกเละเทะ สกปรกจนนายต้องขยะแขยง ไม่กล้าจะแตะต้องแน่...”

ระหว่างที่พูด ผมจ้องหน้าเฟลมไม่วางตา เขาเองก็มองผม แววตาของเราแสดงความเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน

“ไม่เชื่อ...” เฟลมพูดออกมาเบาๆ “นายรู้ไหมว่าตลอดเวลาที่นายหายไปเราทรมานมากแค่ไหน เป็นห่วงนายจนจะบ้าตาย แล้วก็รู้สึกผิดตลอดเวลา เราสัญญากับตัวเองว่าถ้าเจอนายอีกครั้ง เราจะ...”

“นายหมดโอกาสตั้งแต่วันที่นอกใจเราแล้ว!”

“.......”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ หลังจากที่ผมตะโกนแทรกเฟลม เพราะผมไม่สามารถอดทนฟังคำพูดอ้อนวอนของเขาได้อีกแล้ว ยิ่งฟังก็เหมือนเขาหาข้อแก้ตัว ฟังยังไงก็ฟังไม่ขึ้น

“ความจริงนายก็ไม่ได้รักเราแล้วไม่ใช่เหรอ นายร้อนใจที่เราหายตัวไปก็เพราะรู้สึกผิด ถ้าหากเราเป็นอะไรไปมันจะกลายเป็นตราบาปติดตัวนายไปตลอดชีวิต แค่นั้นเอง... ถ้านายรักเราอย่างที่นายพูด นายจะไม่นอกใจตั้งแต่แรก แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไม่เป็นอย่างนี้”

เฟลมกัดฟันเม้มปากแน่น “แต่เรากับมาร์คไม่ได้มีอะไรอีกต่อไปแล้ว มันจบแล้วเทียน”

“ระหว่างเราสองคนก็จบแล้วเหมือนกัน เราไม่ได้รักนายแล้ว”

“...นายคงไม่ได้เปลี่ยนใจไปรักโจรหรอกใช่ไหม”

น้ำเสียงของเฟลมเรียบต่ำลง ทำให้คนฟังอย่างผมขนลุกซู่

“เปล่า เรารักโจร คนที่ลักพาตัวเรานั่นแหละ” ผมตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “ไม่ใช่แค่เราเป็นโจร... แต่เป็นเมียโจรด้วย ได้ยินไหม”

ราวกับภูเขาไฟปะทุ เฟลมผลักผมอย่างแรงจนหลังกระแทกผนังเสียงดังตึง ผมเจ็บแต่ไม่ส่งเสียงร้องเพราะมัวแต่ตกใจ เขากำไหล่ผมแน่น บีบจนเจ็บไปถึงกระดูก

“ทำไมถึงทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้!!!”

เฟลมตะคอกใส่หน้าผม เหมือนคนที่ผมไม่รู้จัก

“แล้วนายจะเดือดร้อนทำไม! เราจะไปเป็นผัวเป็นเมียใครมันก็เรื่องของเรา! ทีนายยังร่านไปนอนกับไอ้ชู้นั้นได้เลย ทุเรศกว่าเราเป็นไหนๆ!!!”

ผมตะโกนกลับพลางผลักเขาออกจากตัว แต่เฟลมไม่ยอมปล่อย

“นายไม่เข้าใจ! ที่เราทำไปก็เพื่อเงิน เพื่องาน เพื่ออนาคตของเราทั้งนั้น! แต่ในใจเราก็มีแค่นาย!”

“หยุดแก้ตัวซะทีเถอะ ยิ่งฟังยิ่งทุเรศ!” ผมเหยียบเท้าเขาสุดแรง จนเฟลมร้องลั่นแล้วปล่อยมือจากตัวผม ถอยห่างไปสองสามก้าว

“ถ้าเรารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ถ้ารู้ว่าจะเสียนายไป เราคงไม่ทำ”

เฟลมพูด ดวงตาของเขาสั่นคลอน มีน้ำตารื้นๆ

ผมคิดว่ามันเป็นภาพที่น่าสมเพช

“ขอโทษด้วย แต่มันไม่ทันแล้ว”

“.....”

“เราขอย้ำอีกครั้ง... ว่านายมาช้าเกินไป

“.....”

เราสองคนมองหน้ากัน นิ่งงันไปทั้งคู่

เหมือนจะจบแค่นั้น     

แต่มันก็ไม่จบ เมื่อเขาพุ่งเข้ามาผลักผมล้มลงกับพื้นก่อนจะขึ้นคร่อมเหนือร่าง กดข้อมือยึดติดกับพื้น แล้วซุกไซ้ซอกคออย่างบ้าระห่ำ

“เฟลม! ปล่อยนะ โอ๊ย! จะทำอะไร!”

“ชอบคนเลวใช่ไหม ฮะ! ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก!”

“ฮือออ”

ผมสะบัดตัวดีดดิ้นอย่างหมดสภาพภายใต้ร่างกายอันแข็งแรงของเฟลม ความโกรธแค้นทำให้เขาขาดสติ เสียการควบคุมตัวเอง ราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง เขาฉีกกระชากเสื้อของผมจนขาดออกจากกัน ถอดเข็มขัด ดึงกางเกงลง สองมือลูบไล้อย่างรุนแรงจนเล็บครูดผิวหนังของผมถลอก เป็นริ้วแดงๆ เขาใช้ร่างของตัวเองกดทับร่างของผมไว้ แล้วจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง

แน่นอน เขากำลังจะข่มขืนผม

“อย่านะ!!!”

“นายไม่ได้รักมันหรอก นายแค่หลงผิด”


นายต่างหากที่หลงผิด


ผมฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เผื่อมันจะทำให้เขารู้สึกตัว แต่ก็หาไม่ เพลิงแค้นยังคงลุกโชนเผาผลาญและเหมือนจะโหมกระพือขึ้นเรื่อยๆ เฟลมประกบปากจูบผมอย่างหนักหน่วง บดขยี้จนได้รสเลือด ท่อนล่างที่แข็งขันบ่งบอกว่าพร้อมจู่โจม แต่ผมถีบถองปัดป้องเต็มกำลัง

“กูเกลียดมึง! ไอ้เหี้ยเฟลม! กูไม่มีวันให้อภัยมึง!”

ราวกับประกาศิตเทพเจ้า ราวกับน้ำโครมใหญ่ที่สาดไฟคลั่งให้ดับลง เขาหยุดทุกการเคลื่อนไหวและหอบหายใจหนักหน่วง

“ขอโทษ...”

“....”

“ใส่เสื้อผ้าซะ แล้วออกไปหาตำรวจด้วยกัน”

“.....”

หัวใจของผมหล่นวูบเมื่อได้ยินคำนั้น แต่ผมไม่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงแค่ใส่เสื้อผ้าแล้วนั่งอยู่มุมห้องเงียบๆ รอรับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

กึกๆ

มีเสียงดังที่พื้นตรงประตูที่ผมขึ้นมาเมื่อกี้ หลังจากนั้นก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายสองคนในสภาพไม่คาดฝัน โจรอู๋โผล่จากประตูลับมาพร้อมกับเฉินเชว่ เนื้อตัวของพวกเขาสะบักสะบอมเหมือนหมาขี้เรื้อน เปื้อนทั้งเลือดทั้งฝุ่นแบบโคตรทุเรศ ผมลุกขึ้นยืนเมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามา

แต่... เฟลมขวางหน้าผมไว้

“มึงเป็นใคร” เฟลมมองโจรอู๋ตาขวาง

“กูเหรอ ก็ผัวแสงเทียนไง” โจรอู๋ตอบ

เฟลมชักสีหน้าโมโหทันที ก่อนจะเข้าไปกระชากคอเสื้อโจรอู๋แล้วต่อยเข้าเต็มหมัด

“ไอ้สารเลว!!!”

“หยุดนะเฟลม!” ผมพยายามจะเข้าไปห้าม แต่สองคนนั้นตีกันโหดมาก เฉินเชว่คลานออกมาจากวงต่อสู้เข้ามาหาผมในสภาพอุบาทว์อย่างไม่น่าเชื่อ

“รีบหนีไป เฮียจะช่วยไอ้อู๋สู้เอง” นายมาเฟียบอกผม

“ไม่ เราต้องไปด้วยกันทั้งสามคน”

“น้องแม่งดื้อชะมัด”

“ท่าทางมึงจะแย่นะ นั่งพักก่อนเถอะ”

ผมบอกเฉินเชว่ มันพยักหน้าแล้วนั่งลงกับพื้นด้วยท่าทางเจ็บปวด เลือดไหลทะลักจากขาไม่หยุด ไม่รู้เพราะอะไรผมจึงไม่รู้สึกโกรธเกลียดมันเหมือนที่ผ่านมา... คงเพราะมันสำนึกได้แล้วมั้ง ก็หวังว่าจะไม่ใช่การแสดงละครฉากใหญ่

เฟลมและโจรอู๋แลกหมัดกันอย่างบ้าคลั่ง แต่โจรอู๋เป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะโดนยิงที่ไหล่กับเหนื่อยล้าจากการหลบหนี พละกำลังของเขาไม่สามารถต่อกรกับเฟลมที่กำลังโกรธแค้นถึงขีดสุดได้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะหยุดพวกเขายังไง

“ไอ้สัตว์นรก! เพราะมึงถึงทำให้เทียนกลายเป็นโจร!”

ผัวะ!

“ใครกันแน่วะสัตว์นรก ไม่ใช่มึงหรอกเหรอที่ทำลายใจเขา!”

ผัวะ!

“พอได้แล้ว!!!!”

ผมตะโกนแทรกเสียงด่าทอของทั้งสองคน แต่ไม่มีผลใดๆ พวกเขายังคงตีกันจนเลือดตกยางออก สภาพไม่ต่างกับหมาบ้า โจรอู๋ใช้จังหวะที่เฟลมเผลอเตะข้อพับขาจนเฟลมล้มลง จากนั้นก็เงื้อหมัดซัดเต็มหน้าซีกซ้ายจนเฟลมล้มตัวกระแทกพื้น

เหมือนโจรอู๋จะชนะแล้ว

ถ้าเฟลมไม่งัดไม้ตายออกมาใช้

“ไปลงนรกเถอะมึง...” อาวุธสีเงินวาวถูกชักออกจากเอวเข้าจ่อแสกหน้าโจรอู๋ “ตำรวจฝากกูมาเก็บมึง ลาก่อน”

ปัง!!!

“....!!!”

“........”

เสียงปืนที่ดังขึ้นหนึ่งนัดทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักในทันที ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีเสียง มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ทำงาน


มือเฟลมถูกกระสุนยิงถากเหวอะหวะเลือดท่วม


“หยุดแค่นั้นแหละ เปรมประกิตต์”

“.....”

เสียงของใครบางคนใกล้เข้ามา...ชุดสีกากีที่ทำให้เราผวายิ่งกว่าความตาย มากันนับสิบนาย ปิดล้อมพวกเราไว้เป็นวงกลมพลางเล็งปืนเข้าใส่ จนพวกเราต้องยกมือชูขึ้นเหนือหัวด้วยความจำนน

ผมเหลือบมองเฟลม ปืนที่ถือเมื่อครู่ร่วงหล่นลงแทบเท้า แต่แทนที่จะร้องโอดครวญ เขากลับอ้าปากค้างอย่างอึ้งสุดใจ

“หมวดทำแบบนี้ทำไม!”

“ลงโทษที่คุณฝ่าฝืนคำสั่งผม” ตำรวจเสียงดุมาก “และป้องกันไม่ให้คุณกลายเป็นฆาตกร”

“มันต่างหากฆาตกร มันสมควรตาย!” เฟลมโวยพลางชี้หน้าโจรอู๋

“จะยังไงก็ให้มันเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายเถอะ”

เสียงหมวดเข้มที่สุด จนเฟลมหน้าสลด จากนั้นตำรวจหลายคนที่เหลือก็เข้าจับกุมสองโจรทันที

“มี่!” ผมจะเข้าไปหาแต่ถูกหมวดคว้าตัวไว้ “ปล่อยผมนะคุณตำรวจ หรือไม่ก็จับผมไปด้วยเลย ผมก็เป็นโจรเหมือนกัน!”

“ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็ต้องสืบสวนคุณ แต่ตอนนี้ต้องจับแยกกับสองคนนั้นก่อน” หมวดพูดแล้วจับแขนผมแน่น ส่งให้ตำรวจอีกคนพาผมเดินออกไปจากอาคาร

หันไปมองข้างหลัง... เห็นโจรอู๋ถูกใส่กุญแจมือ มันเองก็มองมาที่ผมเช่นกัน แววตาเศร้าสลดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

แววตาของคนที่ยอมแพ้ หมดหวัง และเสียใจสุดชีวิต

ผมเห็นมันมีน้ำตาขณะที่เรามองหน้ากัน และห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่...

มันต้องไม่ใช่แบบนี้


 



v
v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 25-05-2019 17:25:31
[2/2]




สามชั่วโมงหลังจากนั้น

หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมและจับกุมผู้ร้ายทั้งสามนาย (โจรอู๋ เฉินเชว่ และเจ้าสัว) ได้แล้ว ก็ถูกพาตัวไปที่สถานีตำรวจทันที อีกทั้งยังสกัดจับลูกค้าชาวต่างชาติที่กำลังหลบหนีได้อย่างทันท่วงที ของกลางทั้งหมดก็ถูกยึดไว้ด้วยเช่นกัน

เฟลมถูกพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล ก่อนจะเดินทางมาโรงพักเพื่อติดตามความคืบหน้า เขาต้องการเจอแสงเทียน แต่ตำรวจไม่อนุญาต เนื่องจากแสงเทียนอยู่ในสภาพบอบช้ำ ขวัญเสีย และโศกเศร้า ไม่พร้อมเจอใครทั้งนั้น ยกเว้นพ่อแม่ที่กำลังเดินทางมาจากต่างจังหวัด หนุ่มเจ้าทุกข์จึงได้แต่นั่งเศร้า อย่างน้อยขอคุยกับหมวดก็ยังดี

“รอผมอยู่ใช่มั้ย ไปเถอะ กลับบ้านกัน”

“...”

หมวดเดินมาหยุดยืนตรงหน้า เฟลมผงกหัว ลุกขึ้นและเดินตามหลังไปโดยไม่พูดคำใด ราวกับเคยชิน

“นี่เป็นคดีใหญ่ที่สุดในรอบหกเดือนเลย และก็เป็นโชคดีจริงๆ ที่คดีหนึ่งเกี่ยวโยงไปได้อีกหลายคดี... จากตอนแรกเราจะจับกุมขบวนการค้าของเถื่อน แต่ดันได้ทั้งโจรที่ลักพาตัวแฟนคุณ ได้ทั้งมาเฟีย... ยิงปืนนัดเดียวได้นกเป็นฝูง”

หมวดรักษ์พูดขณะรถแล่นไปบนถนนที่มืดและเงียบสงัด แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากคู่สนทนา เฟลมเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างตั้งแต่อยู่ในโกดัง ที่เห็นอยู่เป็นเพียงกายหยาบ

“ผมขอโทษที่ใช้วิธีรุนแรง ทำคุณบาดเจ็บ แต่หากปล่อยให้คุณลั่นไก ผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่านี้เป็นล้านเท่า ลองคิดดูดีๆ”

“ผมอยากทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำ คุณไม่น่าขัดขวางผม...”

“เปรมประกิตติ์!” หมวดขึ้นเสียง “คุณบ้าไปแล้วรึไง พูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”

“รู้ ผมรู้อยู่ตลอด”

“ผมเข้าใจว่าคุณเสียศูนย์ แต่อย่าให้ความโกรธครอบงำจนขาดสติแบบนี้สิ มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ มีแต่จะยิ่งพัง”

“คุณไม่เข้าใจหรอก!” เฟลมตวาด ขอบตาแดงก่ำสั่นคลอน “คุณก็เห็นว่าผมแทบจะบ้าตายที่เขาหายไป! กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันทำงานก็เพราะเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง! แต่ดูสิ่งที่ผมเจอวันนี้สิ... เขาเอาโจรเป็นผัว!!! สมรู้ร่วมคิดเป็นพวกเดียวกับมัน! แล้วสิ่งที่ผมกับคุณทุ่มเทมาตลอดล่ะ เราทำไปเพื่ออะไร!!!”

หมวดถึงกับหยุดหายใจเมื่อเห็นเฟลมระเบิดอารมณ์พร้อมกับร้องไห้

“ผมเคยหวังว่าเราจะกลับมารักกันเหมือนเดิม... ถึงได้ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาเขา หวังว่าเขาจะให้อภัย แต่มันก็...”

หมวดวางมือบนบ่ากว้างของคนข้างๆ บีบแน่นๆ แทนการให้กำลังใจ แรงสั่นสะเทือนจากร่างของอีกฝ่ายทำให้ตำรวจหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเฟลมเลย

“เชื่อเถอะเปรมประกิตติ์ สิ่งที่เราทำไม่มีทางสูญเปล่า เป้าหมายของเราก็คือให้เขามีชีวิตรอดปลอดภัย เท่านั้นไม่ใช่เหรอ”

“......”

“ส่วนเรื่องความรัก แม้มันจะจบลง ก็ไม่จำเป็นต้องโทษว่าเป็นความผิดใคร แค่มูฟออนต่อไปก็พอแล้ว”

เฟลมยังคงร้องไห้อย่างหนักหน่วง หมวดเห็นท่าไม่ดี ก็จอดรถข้างทางและดึงเขามากอด...กอด...กอด ยิ่งทำอีกคนร้องไห้ทะลักทลายจนน้ำตาแทบหมดตัว

“ผมเจ็บ...  เจ็บจะตายแล้วหมวด...”

“มันจะผ่านไป เชื่อผมนะ”

“ฮึก...”

“ผมจะอยู่ตรงนี้จนกว่าคุณจะโอเค”

“....”

“จะไม่ทิ้งให้คุณอยู่คนเดียวแน่นอน”




อีกด้าน

หลังจากเหตุการณ์สงบ ผมก็ถูกคุมเข้มอยู่ในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่งพร้อมกับตำรวจเฝ้าระวังทั่วบ้านห้านาย เหมือนกับนักโทษคนหนึ่งเลย ติดต่อใครก็ไม่ได้ มีก็แต่พ่อแม่ที่กำลังนั่งรถบัสมาจากต่างจังหวัดเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าพบ แต่กว่าพวกท่านจะมาถึงก็คงพรุ่งนี้เช้า มีเพียงทีวีจอสีเหลี่ยมเก่าๆ เครื่องหนึ่งเป็นสิ่งเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
 

“ข่าวด่วน เวลาสองทุ่มของวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าปิดล้อมโกดังแห่งหนึ่งบนถนน XXX จับกุมผู้ต้องหาค้าวัตถุโบราณผิดกฎหมายได้สามราย คือนายเฉลียว นิรมิตนิมมาน หรือเจ้าสัวเหลียว นักธุรกิจเจ้าของบริษัทนำเข้าอาหารทะเลขนาดใหญ่

คนที่สองนายหวังเฉินเชว่ นักธุรกิจชาวจีน และนายอติศร แซ่อู๋ ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์และลักพาตัวที่ทางการได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ โดยมีของกลางคือโบราณวัตถุจำนวนมาก และเงินสดกว่ายี่สิบล้านบาท นอกจากนี้ตำรวจยังสกัดจับนายเคิร์ต โรแลนด์ เศรษฐีชาวรัสเซียและนายกุลมาร์ อบิชเนค ข่าน ชาวซาอุดิอาระเบีย และพรรคพวกของทั้งสองคนได้อีกด้วย ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวเพื่อรอการสืบสวนและขยายผลต่อไป...”


 
เป็นข่าวใหญ่ระดับชาติไปแล้ว

ในทีวีมีภาพตอนเจ้าสัว เฉินเชว่ และโจรอู๋ถูกตำรวจควบคุมตัว  หัวใจของผมเหมือนถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงเมื่อเห็นคนรักอยู่ในสภาพตกต่ำน่าสังเวช มันเป็นภาพที่สะเทือนใจจริงๆ และก็รู้สึกผิดที่ผมควรจะอยู่ในภาพนั้นด้วย

“ยังไม่นอนเหรอ คุณแสงเทียน”

ตำรวจนายหนึ่งเปิดประตูเข้ามา ผมไม่รู้ว่าควรโกรธเคืองหรือเบาใจดีที่เห็นหน้าเขา

“หมวดรักษ์”

“อติศรให้การว่าคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ นอกจากเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกลักพาตัวไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจะปล่อยตัวคุณในคืนนี้เลย” หมวดรักษ์บอกแล้วทำท่าจะออกจากห้อง

“เดี๋ยวก่อน มันพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอ” ผมดึงแขนตำรวจเอาไว้ หมวดหันมาแล้วพยักหน้า

“ใช่ อีกอย่างทีมสืบสวนก็ไม่พบหลักฐานที่บ่งบอกว่าคุณเป็นโจรด้วย ดังนั้นคุณจึงไม่มีความผิด”

“แต่ผมเป็นโจรจริงๆ! ผมขโมยเงินจากบ่อน ปล้นบ้านคน ขโมยเพชร ใช้เอกสารปลอม กับอีกเยอะ ถ้าคุณจับโจรอู๋ คุณก็ต้องจับผมด้วย”

ตำรวจเบิกตากว้าง แววตาของเขาที่มองผมเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่เชื่อ

“โอเค หากคุณทำผิดจริงค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ผมอนุญาตให้คุณกลับได้ เรามีนัดกันที่ห้องสอบสวนตอนเก้าโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ ตรงเวลาด้วยล่ะ สวัสดี” หมวดรักษ์หมุนลูกบิดประตูเตรียมก้าวเท้าออกไป แต่ผมก็รั้งแขนเขาไว้อีกครั้ง

“ผมอยากไปหาโจรอู๋ ให้ผมเจอหน่อยได้ไหม”

“.....”

มองหมวดด้วยสายตาอ้อนวอน มีประกายน้ำตาปริ่มจะไหล แต่ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าตำรวจตงฉินและตรงเผงยิ่งกว่าไม้บรรทัดอย่างเขาจะใจอ่อน แต่ก็ทำไปก่อนเผื่อฟลุค

หมวดทำหน้าโคตรจะเย็นชา

“ไม่ได้หรอก”

“....” นั่นไง

“ต้องรอหลังคุณให้ปากคำเสร็จก่อน ผมจะพาไป”

“....”

“เรื่องคดีถูกผิดยังไงไม่แน่ชัด แต่ความสัมพันธ์ของคุณกับนายอติศร ผมเชื่อว่าเป็นของจริง”

“......”

หมวดไม่ได้สวมแหวน

ผมสงสัยว่าทำไมเฟลมถึงไม่จีบ

 


เช้าวันต่อมา

เหมือนตื่นจากฝันร้ายเพื่อมาเจอความจริงที่ร้ายกว่า

พ่อกับแม่มาถึงกรุงเทพฯ ตีห้า และมาหาผมตอนหกโมง ทั้งสองโผกอดผมร้องไห้โดยปราศจากการสนทนาใดๆ โดยเฉพาะแม่ที่อาการหนักมาก ทั้งร้องทั้งปลอบขวัญผมจนเกือบจะเป็นลม ต้องพาไปนอนพักที่ห้องพยาบาล ส่วนพ่อไม่พูดอะไรมาก แค่ย้ำว่าจากนี้ไปต้องรักษาตัวดีๆ

ผมเสียใจที่ทำให้พวกท่านเป็นทุกข์นับเดือน ให้สัญญาว่าจากนี้ไปจะระวังตัวมากกว่านี้ ใช้ชีวิตให้ปลอดภัยกว่านี้... แล้วก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้เล่าความจริงเรื่องความสัมพันธ์กับโจรอู๋ให้ฟัง เนื่องจากพวกท่านเกลียดชังโกรธแค้นโจรเข้ากระดูก คงไม่ง่ายที่จะยอมรับ ซึ่งผมก็ต้องใช้เวลาและให้โจรพิสูจน์ตัวเองด้วยเหมือนกัน

พอพวกท่านกลับ ผมก็ออกจากที่พักเพื่อไปให้ปากคำต่อที่โรงพัก พบกับหมวดรักษ์กับจ่าตะวัน พวกเขาส่งผมไปห้องสอบสวน โดนรีดเค้นข้อมูลจนหมดไส้หมดพุง ผมตอบตามความจริงทุกอย่างไม่มีกั๊ก แต่เหมือนว่า...แทนที่จะเป็นการเปิดโปงความชั่วร้ายของแก๊งโจร กลับกลายเป็นชี้แจงความถูกต้องให้ซะงั้น

ผมเล่าประวัติ เบื้องลึกเบื้องหลังของโจรอู๋ อเล็กซ์ และเบย์ให้ตำรวจฟังอย่างละเอียด เล่าถึงแรงจูงใจที่พวกเขาต้องทำผิดกฎหมาย (แต่อเล็กซ์เบย์โชคดีหน่อยตรงที่โดนแค่คดีลักทรัพย์คนละหนึ่งคดี) ส่วนของโจรอู๋ใช้เวลานานเป็นพิเศษเพราะมีหลายเคส และเหตุจูงใจซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดไม่ทำให้ตำรวจแปลกใจ เท่ากับที่ผมบอกพวกเขาว่า

ผมไม่ได้ถูกลักพาตัว

ผมบอกว่าเสียใจที่เลิกกับแฟน อยากทำอะไรที่สิ้นคิดประชดชีวิต ประจวบกับตอนนั้นโจรปีนเข้าห้องพอดี ผมกับโจรจึงตกลงกัน จัดฉากการลักพาตัวขึ้น โดยให้เงินโจรเป็นการตอบแทน... เพราะทำแบบนี้แฟนผมจะได้รู้สึกผิดมากกว่าที่ผมจะหายตัวไปเฉยๆ ผมแค่อยากแก้แค้น

แน่นอน ผมทำเพื่อปกป้องโจรอู๋ ไม่อยากให้มันโดนข้อหาลักพาตัวพ่วงไปด้วย

เรื่องหลักฐานในตึกร้างที่คาดว่าผมถูกข่มขืน ก็อธิบายไปหมดเลยว่าไม่จริง เป็นแค่เลือดที่เกิดจากอุบัติเหตุ ส่วนอสุจิก็เกิดจากการร่วมเพศโดยสมยอม ไม่มีความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น

ตำรวจแทบยกตีนขึ้นก่ายหน้าผากเมื่อพบว่าทุกอย่างผิดคาดไปหมด

ไม่เพียงแค่นั้น ผมเล่าให้พวกเขาฟังทุกวีรกรรมการปล้น สถานที่ เวลา วิธีการ จำนวนเงิน บอกหมดเท่าที่จำได้ (แต่ไม่พาดพิงถึงนกต่ออย่างเคฟและอเล็กซ์เลย) ทำเอาตำรวจอ้าปากค้าง ไม่ทราบว่าอึ้งในความตรงไปตรงมาของผม อึ้งในความฉลาดของโจร หรืออึ้งในความชั่วกันแน่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมใช้รูปประโยคและน้ำเสียงแสดงให้ตำรวจเห็นว่าทั้งหมดที่โจรทำไปเพราะความ ‘จำเป็น’ ไม่ใช่เพราะความโลภ

สอบเครียดผ่านไปสามชั่วโมงเต็มจนได้ครบทุกประเด็นแล้ว ผมก็ถูกปล่อยตัว ถามว่าโจรทั้งสามจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง ตำรวจบอกว่าต้องรอคำตัดสินจากศาล ระหว่างนี้โจรอู๋ก็จะถูกควบคุมตัวที่นี่ไปพลางก่อน ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าถ้อยคำสำนวนทั้งหมดที่พูดไปจะช่วยพวกเขาได้บ้างไม่มากก็น้อย แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่าทำเต็มที่อย่างดีที่สุดแล้ว

“คุณทำให้พวกเราช็อกหัวหมุน”

หมวดรักษ์เอ่ย ระหว่างเดินนำผมออกจากห้องสืบสวนไปยังห้องขัง หน้าตาที่ดูมึนๆ อยู่แล้วยิ่งมึนขึ้นไปอีก

“พวกคุณต่างหากที่คิดมากกันไปเอง” ผมบอก

หมวดยิ้มอ่อนๆ

บรรยากาศภายในห้องขังช่างไม่น่าอภิรมย์ มีทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์และผู้ต้องหาหน้าตาน่ากลัวอยู่ในนั้น ดีที่โจรอู๋อยู่ห้องแรก ไม่งั้นผมคงต้องเดินฝ่าดงสายตาหลอนๆ อีกไกล 

“คุณมีเวลาสิบห้านาที” หมวดรักษ์บอกก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ผมอยู่หน้ากรงของผู้ต้องหารายล่าสุด

โจรนั่งอยู่ที่มุมมืด หัวพิงผนังหลับ ถอดเสื้อเหลือแต่กางเกง เนื้อตัวสะบักสะบอม บาดแผลที่โดนยิงถากถูกเยียวยาแบบชุ่ยๆ แต่มันก็ยังดูดีเกินจริง... เหมือนราชสีห์ที่โดนขังกรงหมา

“มี่” ผมนั่งลงที่หน้าห้องขังแล้วเรียก

“.....” เปลือกตาของมันขยับเล็กน้อย

“อาร์มี่” ผมเรียกด้วยเสียงดังมากขึ้น

“...เทียน”

มันลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางอ่อนล้าเหมือนจะขาดใจ ดวงตาบวมแดงก่ำเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักทั้งคืน ทำให้ผมใจหาย ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นมันเสียน้ำตามากขนาดนี้มาก่อน

“เข้ามาใกล้ๆ สิ” ผมกวักมือ

แต่มันไม่ขยับออกจากที่เดิม ซ้ำยังก้มหน้าไม่สบตาผม

“เอ็งกลับไปเถอะ ข้าไม่อยากให้เอ็งเห็นสภาพนี้”

“ไม่ กูไม่กลับ จนกว่าจะช่วยมึงออกมาให้ได้ หรือไม่ก็โดนจับขังเหมือนมึง”

“แสงเทียน!” มันตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง “ทำไมเอ็งพูดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าที่ข้ายอมรับผิดทั้งหมดเพื่ออะไร เพราะข้าไม่อยากให้เอ็งซวยไปด้วยไง ให้ข้าโดนคนเดียวก็พอ”

“ไร้สาระ” ผมสวนกลับพลางจ้องหน้าเขม็ง “แล้วตอนนั้นใครกันที่บอกว่าอยากให้กูเป็นโจร จะได้ซวยไปพร้อมกัน... ใครที่บอกว่าเราจะไม่ทิ้งกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... มึงไม่ใช่เหรอ”

“....” โจรอู๋กัดริมฝีปากแน่น หันหน้าไปอีกด้าน

“กูไม่มีวันทิ้งมึง กูต้องช่วยมึงออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม”

 “เอ็งอย่าพยายามเลย”

“....ทำไม”

โจรมองหน้าผมตรงๆ ทำให้ผมเห็นว่าแววตาของมันสั่นคลอน เต็มไปด้วยความเศร้าเกินบรรยาย และเมื่อเขาพูดคำๆ หนึ่งออกมา มันก็เหมือนมีมีดเสียบแทงทะลุตัดขั้วหัวใจของผมทันที

“เราเลิกกันเถอะ”

“................”

“ทางของเราสิ้นสุดแล้ว ทิ้งข้าไปซะ แล้วกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง”

“ทำไมมึงพูดแบบนี้...” ผมเกาะซี่กรงด้วยมือสั่นเทามองเข้าไปที่คนซึ่งอยู่ด้านในด้วยดวงตาพร่าเบลอ “รู้มั้ยกูแก้ต่างให้มึงทุกทาง เพื่อให้มึงไม่ต้องถูกลงโทษ หรือต่อให้โดน กูก็จะจ้างทนายยื่นอุทธรณ์ ให้มึงโดนน้อยที่สุด แต่มึงจะยอมแพ้ตั้งแต่ด่านแรกงั้นเหรอ”

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก” โจรอู๋เริ่มร้องไห้ ยกมือขึ้นกุมขมับเหมือนไม่อยากให้ผมเห็นสายตา “เฉินเชว่โดนจับ เท่ากับแม่ข้าจะไม่มีวันเป็นอิสระ... ในเมื่อช่วยแม่ไม่ได้ ชีวิตข้าก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว จะให้สู้ไปเพื่ออะไรกัน”

ผมจุกจนพูดไม่ออก แต่ก็เค้นเสียงพูด

“กูจะให้ตำรวจช่วย”

“ช่วยอะไร? ต่อให้ไอ้เฉินถูกประกันตัว คิดเหรอว่ามันจะช่วยข้า? เชื่อเถอะว่ามันจะกลับจีนได้สบายๆ มีแต่ข้าต้องก้มหน้ารับชะตากรรม”

“...มันต้องมีหนทาง กูจะพยายาม” ผมยืนกรานหนักแน่น

แต่โจรอู๋เหมือนคนที่สิ้นหวังแล้วจริงๆ

“อย่าเอาชีวิตที่มีค่าของเอ็งมาแลกกับคนอย่างข้าเลย เอ็งมีอนาคตที่สวยงามรออยู่ ส่วนข้าหลังจากนี้คงไม่พ้นอยู่ในรั้วเรือนจำ... เห็นรึเปล่าว่าเราสองคนไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้ว”

ผมคล้ายหายใจไม่ออก พยายามตั้งสติแล้วพูดออกไป แม้ว่าเสียงจะขาดๆ หายๆ ก็ตาม

“ถ้าเป็นงั้นจริง... กูจะรอจนกว่ามึงพ้นโทษ”

“ไม่เทียน ข้าไม่อยากเอาเปรียบเอ็ง... เอ็งควรเจอคนที่ดีกว่า”

“กูไม่ได้อยากได้คนดี กูอยากมีแค่มึง”

มันถอนหายใจ “ต่อให้ออกไปได้ ข้าก็ได้ชื่อว่าไอ้ขี้คุก เป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตเอ็งเปล่าๆ”

“ใครจะคิดยังไงกูไม่สน กูเลือกมึง ถึงได้อยู่ตรงนี้จนถึงตอนนี้ไง กูต้องการแค่มึงเท่านั้น คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างหัวแม่ง”

“ไม่ได้หรอกเทียน โลกไม่ได้สวยงามขนาดนั้น คิดซะว่าที่ผ่านมาเอ็งแค่ฝันร้าย แต่ตอนนี้เอ็งต้องตื่นจากความฝันได้แล้ว”

“ไม่...”

“จบกันแค่นี้เถอะนะ”

“ไม่!!!!!!!”

ผมเกาะซี่กรงแล้วร้องไห้อย่างบ้าคลั่งต่อหน้ามัน ความเจ็บปวดจากหัวใจแล่นกระจายไปทั่วทั้งร่างจนสั่นสะท้าน และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

“กูไม่เลิก! ไม่ยอม! ได้ยินไหม! มึงเคยสัญญาไงว่าจะไม่ทิ้งกู! เอาเกียรติของโจรเป็นประกัน! ลืมแล้วเหรอ! ทำให้กูรักทั้งหัวใจ แล้วจะทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง!”

ผมจ้องหน้า แต่มันหลบตา เราสองคนร้องไห้อย่างไม่มีใครยอมใคร... และเจ็บไม่น้อยไปกว่ากัน

เสียงรองเท้าหนังดังตึกๆ มาจากข้างหลัง บ่งบอกว่าเวลาของผมและโจรอู๋กำลังจะสิ้นสุดลง

“หมดเวลาแล้ว คุณแสงเทียน”

ตำรวจดึงผมขึ้นจากพื้น พาเดินออกไปจากห้องขัง แต่ผมยังหันไปมองข้างหลัง กระทั่งเราห่างกันมากขึ้น...มากขึ้น น่าเสียใจที่มันเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น

“มี่...”

ประตูห้องขังปิด

เช่นเดียวกับความรักของเราที่ปิดฉากลง...







//

ประตูปิด แต่ยังไม่จบนะคะ

อย่าเพิ่งไปไหนกันนะ!

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ รักๆๆ <3 <3

หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-05-2019 18:32:48
รอปิดคดี และเริ่มความรักอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2019 19:10:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-05-2019 19:16:48
เจ็บทุกทาง
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 25-05-2019 19:20:05
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-05-2019 19:48:19
 :mew4:
สงสารที่สุด แต่ละคนก็มีเหตุผลที่ต้องทำ แม้แต่หัวใจจะเจ็บปวดเพียงใด
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-05-2019 21:02:34
 :mew6: :hao5:  รอโจรออกจากเรือนจำอย่างสง่า
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.35 ปิดฉากความรัก (สุดท้าย) 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-05-2019 01:23:59
ยอมรับ ลดโทษ แล้วติดคุกไป เป็นนักโทษชั้นดี ไม่กี่ปีก็ออกแล้วเริ่มใหม่ ก็ยังทันนะ แสงเทียนฉลาดมาก สารภาพเลี่ยงวิธีหนีข้อกล่าวหา สมเมียโจรจริงๆ 555 ต่างก็รู้ละว่าไม่อยากเลิก ยังไงก็เอาใจช่วยคู่นี้นะ ทุกคู่ด้วย ขอบคุณที่มาต่อค่ะ สนุกกกกกกปนขำๆ 555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-06-2019 10:43:31




36
ทางรอด




ผมไม่กลับบ้าน เพราะไม่ต้องการเจอหน้าเฟลม และก็ไม่รู้ต้องใช้เวลาแค่ไหนด้วยถึงจะพร้อมเจอ บางทีอาจไม่มีวันนั้น

จริงๆ ผมไม่ได้โกรธเกลียดเขาแล้วนะ แต่เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ความรู้สึกกลับมาติดลบแบบย่ำแย่มาก เขาเป็นคนโมโหรุนแรง ผมรู้ แต่ถึงขนาดจะข่มขืนกัน ผมคงทำใจให้อภัยยาก จะโทษว่าผมใจแคบไม่ได้นะ ในเมื่อเขาทำตัวเขาเอง

หมวดรักษ์ผู้แสนดีที่ต้องไปหาเฟลมอยู่แล้วจึงอาสาจะเอาของใช้จำเป็นจากที่บ้านมาให้ (ระหว่างนี้ผมจะพักหอเพื่อนใกล้มหา’ลัย) แต่ที่ผมต้องการเพียงอย่างเดียวคือมือถือ และสิ่งแรกที่ผมทำทันทีเมื่อได้จับมันคือโทรหาเบย์

เขาบอกว่าตอนนี้อยู่บ้านเพื่อนในสลัม เห็นข่าวโจรอู๋แล้ว เพิ่งคุยกับอเล็กซ์ว่าจะเข้ามอบตัว แต่ผมห้ามหัวชนฝา

“โจรอู๋ยอมรับผิดทุกอย่างตัวคนเดียว เพื่อปกป้องเราทุกคน ฉะนั้นนายกับอเล็กซ์จะติดคุกไม่ได้”

[แต่เราทนดูพี่อู๋รับโทษคนเดียวไม่ไหว มันทุเรศเกิน การเสียสละของเขาทำให้พวกเราดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว] เบย์พูดเสียงขุ่น ซึ่งผมเข้าใจดี

“เราก็หัวอกเดียวกับนายแหละเบย์ แต่แทนที่จะแห่กันไปมอบตัว เราทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านั้นได้ มันจะช่วยทั้งตัวเราเองและโจรอู๋”

[คือ?]

“เอาทรัพย์สินทั้งหมดที่ขโมยไปคืนเจ้าของ”

[เห้ย พูดเป็นเล่น ขายไปหมดแล้วเนี่ยนะ]

“มีวิธีเดียวที่เขาจะไม่ได้รับโทษ ก็คือให้เจ้าทุกข์ถอนฟ้อง ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องคืนเงิน คืนทรัพย์สินให้พวกเขาไง เราว่ามันอาจได้ผล”

เบย์เงียบไปหลายอึดใจ คงกำลังคิดหนัก

[ถ้าเป็นสามวันก่อนคงทำได้ แต่ตอนนี้ของมันกระจายไปทั่วแล้วนะเทียน เผลอๆ ไหลออกนอกประเทศโน่นละ เราจะตามยังไง]

“เอางี้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คืนเป็นเงิน ตำรวจไม่รู้ว่าเรามีเงินอยู่ที่ห้องเคฟอีกแปดสิบล้าน รีบเอาไปกระจายคืนก่อนพวกเขาจะมาเจอดีกว่า”

[แล้วจะคืนยังไง เดินเข้าไปยื่นให้เขาตรงๆ งี้อ่อ? จะโดนรวบเอาน่ะสิ]

“เรามีวิธี ไว้จะอธิบายให้ฟัง แต่ตอนนี้ทำตามที่บอกก่อน โอเคนะ บอกอเล็กซ์กับเคฟให้ช่วยด้วย คงเร็วและง่ายขึ้น”

[โอเค เราจะพยายาม]

ถึงความรักเราอาจจะจบลง แต่ความหวังดีไม่มีทางจบ ผมจะช่วยมันสุดความสามารถ ต่อให้สุดท้ายมันจะถูกส่งไปเรือนจำจริง ก็ขอให้ระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ผมเปิดสมุดบันทึกที่พกติดตัวตอนซื้อขาย-แลกเปลี่ยนสินค้าเมื่อสามสี่วันก่อน เผื่อจะมีประโยชน์ภายหลัง ซึ่งก็มีจริงๆ

“สวัสดีครับเฮีย ผมแสงโสม อยากซื้อสร้อยเพชรที่ขายไปคืน ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่ไหมครับ”

ต่อให้ยากเย็นขนาดพลิกแผ่นดินหา ผมก็จะทำ
 



ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ภารกิจก็คืบหน้าไปหลายก้าว

ผมเคลียร์กับผู้เสียหายไปได้สองคน คือคุณหญิงสองท่านที่โดนลักทรัพย์ยามวิกาล แต่ละคนมีเครื่องประดับคนละสี่ห้าชิ้น โชคดีเหลือเกินที่ราคามันสูงมาก เลยยังไม่มีลูกค้าตลาดมืดคนไหนซื้อไป

ทำใจแข็งสู้เสือนัดคุณเธอทีละคนมาเจอที่ร้านกาแฟติดสกายวอล์คของห้างดัง ทันทีที่ผมเปิดกล่องให้ดูของที่หายไป ท่านๆ ก็เอามือกุมอก น้ำตาคลอ มือไม้สั่นระริก

ผมจะคืนของให้ แต่มีข้อแม้ว่าท่านๆ ต้องถอนฟ้องนายอติศร คุณหญิงก็ควักมือถือออกมาโทรหาทนาย สั่งให้จัดการเรียบร้อยในเวลาไม่ถึงสามนาที ผมโทรเช็กกับอเล็กซ์ พอเพื่อนบอกว่าคดีถูกแคนเซิลแล้ว ผมก็ส่งมอบของให้ ท่านๆ รับไปด้วยอาการดีใจน้ำตาไหลดั่งพบลูกที่พลัดพราก

เบย์กำลังไล่ตามสามเคส เป็นของเสี่ยบ่อนสามเจ้า ซึ่งเคลียร์ง่ายเพราะเอาคำว่า ‘ถ้าไม่ถอนฟ้องจะแฉเรื่องการพนัน’ นี่แน่ะ...คนโฉดก็ต้องเจอคนโฉดกว่าเท่านั้นถึงจะเอาอยู่

อเล็กซ์ก็สามเคส เป็นนิติบุคคล เจรจากันผ่านคอมพ์ซึ่งเจ้าตัวถนัด

เคฟก็ลงทุนลางานเพื่อรับผิดชอบเคสของตัวเองเช่นกัน – จะอะไรซะอีกนอกจากป๋าร้านเพชร

เหลือหนึ่งเคสเป็นของผม ยากชนิดหืดขึ้นคอ... ก็เคสของอีลุงนักการเมืองยังไงล่ะ อิทธิพลใหญ่กว่าคนอื่น ดีไม่ดีผมอาจถูกสั่งเก็บโดยคดียังไม่จบเลยก็ได้

หนักใจจังว่ะ...นักศึกษาตัวกะเปี๊ยกอย่างผมจะเอาอะไรบากหน้าไปสู้กับมาเฟียในคราบนักการเมืองอย่างมันได้ เผลอๆ มันจะอยากฆ่าคนที่กล้ามาลูบคมมัน มากกว่าจะอยากได้เงินยี่สิบสามสิบล้านคืนซะอีก หรือต่อให้ยอม จากนั้นมันก็อาจส่งคนมาตามรังควานหรือเก็บผมทีหลัง

นี่แหละนะ... เรียนผูกไม่ยากเท่าเรียนแก้ ตอนทำแย่ไม่ยากเท่าตอนขอโทษ

แต่ๆๆๆ เหมือนจะลืมอะไรไป

มีเอกสารแบล็กเมล์มันอยู่นี่หว่า

ผมโทรหาอเล็กซ์ทันทีที่นึกขึ้นได้ มือไม้สั่นไปหมดเพราะความตื่นเต้น มือถือโจรอู๋โดนตำรวจหิ้วไปแล้ว แต่ผมมั่นใจว่าของสำคัญอย่างนี้ ยังไงมันก็ต้องเคยส่งให้อเล็กซ์แน่ๆ

[จะเอาจริงใช่มั้ย นี่มันเล่นกับไฟชัดๆ เลยนะแสงเทียน]

สาบานเลยว่าตั้งแต่รู้จักกันมา ผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงอเล็กซ์สั่นแบบคนไม่มั่นใจเป็นครั้งแรก ขนาดอัจฉริยะยังกลัว

“เราต้องทำ ไม่งั้นโจรอู๋ไม่รอดแน่ บุกบ้านขโมยเงิน หยามกันขนาดนี้อีลุงคงเอาเรื่องถึงที่สุด” ผมบอก

อเล็กซ์ถอนหายใจ [ถ้าทำ ฝ่ายนั้นก็คงจ้างนักสืบมาสืบเรากลับ ค้นหาที่อยู่แล้วตามมายิงหัวแบบไม่ต้องสงสัยเลย]

“จะไม่มีวิธีจริงเหรอ”

[จริงๆ มี แต่ไม่อยากให้ทำ ตาเฒ่ามันต้องรู้ว่าคนทำคือพวกเรา เพราะมีแค่พวกเราที่ได้รับผลเสียจากเรื่องนี้ เราว่ามันเสี่ยงเกินไป]

“High risk, high return”

ผมกล่าวอย่างแน่วแน่

อเล็กซ์ยอมแพ้ เขาแนะนำอย่างละเอียด ผมจดจำทุกถ้อยคำ จากนั้นเขาก็ส่งไฟล์พีดีเอฟภาพเอกสารทุกหน้ามาให้ทางอีเมล์

A: จงรอบคอบที่สุด ถ้าทำพลาด พวกเราอาจตายทั้งแก๊ง

A: แต่ถ้าทำสำเร็จ คดีมีสิทธิ์ถูกยกฟ้องแบบถอนรากถอนโคน

A: โชคดี


 


ผมเริ่มปฏิบัติการตอนห้าโมงเย็น มูฟจากห้างหนึ่งไปอีกห้างหนึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกตามตัวง่าย

อเล็กซ์บอกคีย์เวิร์ดสามคำ ‘ปลอมตัว-ใช้โทรศัพท์ในช็อป-พีคไทม์’

เริ่มแรกผมแต่งตัวเลียนแบบนักท่องเที่ยวจีน เสื้อกล้ามขาว กางเกงลายช้าง สะพายเป้ สวมแว่นสวมหมวกแกป เลือกเวลาห้าโมงเย็นซึ่งเป็นช่วงเลิกงาน คนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เข้าไปในช้อปมือถือชื่อดังที่มีคนทดลองเครื่องตัวโชว์กันเต็มร้านจนแทบเหยียบตีนกัน ผมเลือกเครื่องที่อยู่ริมสุดใต้กล้องวงจรปิดพอดี ที่ถึงแม้กล้องอีกตัวจากมุมอื่นจับมาก็มองเห็นไม่ชัด แล้วเริ่มปฏิบัติการ ฟีลลิ่งประหนึ่งลิซเบธ ซาลันเดอร์ ต่อสู้กับศัตรูระดับบอสอย่างกล้าหาญผ่านคอมพิวเตอร์

-สมัครอีเมล์ใหม่

-ส่งเอกสารแบล็กเมล์ไปพร้อมกับให้ถอนแจ้งความ

-ลงชื่อออก

-ลบประวัติในเครื่อง

- เอาทิชชู่เปียกเช็ดหน้าจอ ทำลายรอยนิ้วมืออย่างเร็ว

จบ...

ใช้เวลาไม่ถึงสามนาที ผมก็เดินออกจากร้านด้วยความไวแสงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ กลายร่างเป็นหนุ่มเกาหลีติสต์ๆ เสื้อยืดตัวโคร่ง แจ็คเก็ตยีนส์ กับกางเกงทรงแบ็คกี้ กระเป๋าก็พลิกกลับเอาด้านในออกไว้ด้านนอกให้เป็นคนละสี แล้วเดินออกจากห้องน้ำและห้างไป

แต่ถึงอย่างนั้น ผมว่าถ้าอีลุงมันจะตามสืบจริงๆ ก็คงรู้แหละ แต่คงทำอะไรไม่ได้...คิดว่านะ   

 

ถึง...ท่าน XX ที่เคารพ

จงถอนฟ้องคดีล่าสุดเสีย มิเช่นนั้นเอกสารแสดงการคอรัปชั่นนี้จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน และท่านคงรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร

ส่วนเงินยี่สิบล้านที่สูญหายไป ข้าพเจ้าจะคืนให้ทันทีที่คำถอนฟ้องของท่านเป็นผล

ด้วยความเคารพอย่างสูง

จาก...ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม



...

สามชั่วโมงต่อมา

หมวดรักษ์โทรบอกผมว่าโจรอู๋พ้นโทษแล้ว ทุกข้อหา โดยไม่แจ้งต้นสายปลายเหตุ แต่จำเป็นต้องถูกขังต่ออีกอย่างต่ำสามวันเพราะยังมีเรื่องต้องสืบสวนเพิ่มเติมอีก

ประเทศไทยนี่มันประเทศไทยจริงๆ



 
...

วันต่อมา

ถึงจะพ้นโทษ ก็ยังไม่พ้นบ่วงกรรม

ผมทราบจากอเล็กซ์ว่าเฉินเชว่บินกลับจีนแล้ว เหมือนที่โจรอู๋บอกไม่มีผิด เส้นใหญ่ขนาดนั้นโดนขังคืนเดียวก็ถือว่ามากพอ อีกอย่างมันคือสัญญาณบอกว่าความตั้งใจของโจรอู๋ที่จะช่วยแม่ล้มเหลว

ข่าวร้ายกว่านั้นคือผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมโจรอู๋อีก แม้มันจะโดนเบื้องบนอุ้มให้รอดพ้นจากสถานะผู้ต้องหาแล้วก็ตาม อาจเป็นไปได้ว่าตำรวจ (โดยเฉพาะหมวดรักษ์) คิดว่าผมคือคนที่ช่วยโจรทางอ้อม เลยไม่ไว้ใจผม มีเพียงแค่เคฟที่เข้าได้เพราะเป็นญาติ ซึ่งก็ยังดี

ทันทีที่ออกจากโรงพัก เคฟก็โทรหาผมก่อนใคร เหมือนรู้ใจ ทว่าข่าวอัพเดตกลับทำให้หัวใจผมหล่นวูบ

[ตำรวจจะขังต่อเฮียต่ออีกหนึ่งอาทิตย์]

“ทำไม ไหนบอกแค่สามวันไง แล้วมันก็พ้นโทษแล้วไม่ใช่เหรอ”

[โดนตั้งข้อหาใหม่น่ะสิ พกปืนโดยไม่มีใบอนุญาต]

“เฮ้ย มันถึงกับต้องขังเป็นอาทิตย์เลยรึไง”

[ไม่รู้สิ โง่กฎหมายอ่ะ]

“ทีเฟลมยังมีเลย แถมยังจ่อหน้าจะยิงคนตายด้วยซ้ำ”

[ก็มันอยู่ฝั่งเดียวกับตำรวจมั้ยล่ะ ปืนนั่นก็ปืนตำรวจให้มัน  ตำรวจแหละสะเพร่าเอง ใครจะโง่ตั้งข้อหากับมัน ซวยกันหมดสิ]

ไอ้เคฟ เอ็งเอาความจริงมาพูดได้เจ็บมาก

[แต่ก็ดีนะที่ยื้อไว้รู้มั้ย เพราะเฮียบอกว่าออกจากคุกเมื่อไหร่จะกลับจีนทันทีเลย ไปช่วยแม่ เราก็ไม่รู้ว่าไอ้เฉินจะเชื่อถือได้แค่ไหน ปากบอกจะปล่อยแม่เฮีย แต่พอเฮียไปถึง มันอาจตลบหลังฆ่าทั้งคู่ก็ได้]

“จริงเหรอ...”

[อือ ช้าหรือเร็วเฮียก็ต้องไป นี่ก็ยังไม่อยากให้ไปเหมือนกัน]

ผมเจ็บหัวใจแปลบๆ เพราะระหว่างนี้ที่มันยังอยู่ไทย เราก็ยังรับรู้ความเป็นไปของกันและกัน ถึงมันจะเป็นฝ่ายขอเลิกผม แต่พรรคพวกก็ยังรายงานเรื่องของมันให้ผมฟังอยู่... แต่หากมันไปจีน ทุกอย่างก็จะเป็นศูนย์ ผมจะรู้ข่าวมันแค่ทางความฝันและการมโน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเป็นห่วงมัน

มาเฟียเหี้ยอย่างเฉินเชว่ ไม่รู้จะไว้ใจได้มากแค่ไหน นี่ถ้ามันยังอยู่ไทยผมก็คงจะไปเจรจาต่อรองด้วยแล้ว ขายตัวก็ขายสิกลัวอะไร ดีกว่าให้แฟนตายเป็นไหนๆ แต่มันกลับจีนไปแล้วเนี่ยสิ ผมเลยหมดปัญญา

“พอจะมีช่องทางติดต่อเฉินเชว่บ้างไหมเคฟ” ผมถาม

เขาเงียบไปสามวินาที [ไม่มี]

“...ให้ตาย”

[แต่ถ้าคิดจะช่วยเฮีย คนนี้อาจช่วยได้ เขาเคยเกือบทำสำเร็จ ถ้านายร่วมมือกัน คราวนี้อาจสำเร็จ]

ผมรู้ทันทีว่าเคฟหมายถึงใคร พลันหัวใจก็ยิ่งเจ็บแปลบกว่าเก่า

“ได้ เอาชื่อที่อยู่เบอร์โทรมาเลย”

 





บางทีมันอาจเป็นช่วงเวลาล้างบาป

เพียงแต่เจ้าของบาปไม่ว่าง ผมเลยมาเป็นตัวแทน

ความทรงจำที่ว่าโจรอู๋กับเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เคยเป็นชู้รักกันยังไม่เลือนหายไปจากใจผม ภาพรอยจูบสีแดงกับการทะเลาะต่อยตีวันนั้นยังแจ่มชัดในห้วงจิต แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสิ้นสุดลง ก็ยังไม่นานพอที่บาดแผลของพวกเราจะตกสะเก็ดจนแตะต้องมันได้อีกครั้งอยู่ดี

แต่ยังไงก็ตาม นี่เป็นทางออกสุดท้าย ต่อให้ต้องกรีดแผลรีดเลือดเจียนตาย ผมก็ต้องทำ ปณิธานที่จะปลดแอกโจรอู๋ให้เป็นไท ออกจากวงจรแห่งความชั่วร้าย... เหลือแค่ด่านนี้ด่านเดียวเท่านั้น ทำสำเร็จเมื่อไหร่ผมก็ตายตาหลับ

“สวัสดี คุณแสงเทียน”

เจ้าของบ้านเปิดประตูเล็กพร้อมกับกล่าวทักทาย ผมแปลกใจว่าทำไมบ้านใหญ่ขนาดนี้ไม่มีคนรับใช้ แสดงว่าเขาอยู่คนเดียว

“สวัสดีครับ คุณนักสืบ” ผมทักทายกลับตามมารยาท

เมื่อได้เห็นหน้าชัดๆ ผมก็รู้สึกหัวใจห่อฟีบลงเหลือเท่าตีนแมว เขาหล่อมากเลย คิ้วเข้มตาคม องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าสมส่วนอย่างกับภาพวาดผู้ชายบนปกนิยายจีนสวยๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมโจรอู๋ถึงตัดใจตัดความสัมพันธ์ได้ยากนัก เป็นผมก็คงเสียดายเหมือนกัน รู้เลยว่าต้องใจแข็งมากจริงๆ

เขามองผมด้วยสายตาเฉียบคมเหมือนจะสังเกตไปถึงก้นบึ้งความคิด ทำผมร้อนๆ หนาวๆ

“เข้ามาสิ”

นักสืบเดินนำผมเข้าไปในบ้านตรงส่วนห้องรับแขก เขาเตรียมน้ำและของทานเล่นไว้ให้ด้วย จากนั้นเราก็พูดคุยกัน โดยผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็น

“ผมอยากให้คุณช่วยเรื่องเฉินเชว่” ความจริงผมบอกไปแล้วตอนโทรหา แต่ย้ำอีกทีเพราะนักสืบยังไม่ให้คำตอบว่าจะช่วยหรือไม่

“คุณรู้มั้ยเฉินเชว่เป็นคนกลับกลอกเชื่อถือไม่ได้ การต่อรองกับมันมันให้ได้ผลเป็นเรื่องยากมากพอๆ กับลูบหัวงูเห่า”

“ผมรู้ แต่อยากพยายามดูสักครั้ง”

เขาถอนหายใจเบาๆ “ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยนะ แต่ตอนนี้ผมเองก็ตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน ผมมีความผิดที่ช่วยปกปิดบิดเบือนคดีให้ไอ้มี่และพวกคุณ สาเหตุที่ผมถอนตัวจากทีมสืบสวนก็เพราะเรื่องนี้ หมวดรักษ์ฉลาดมาก ผมกลัวถูกแฉถ้าแหย่เท้ากลับเข้าไปในคดีอีก”

“คุณกลัวถูกแฉ แต่ปล่อยให้โจรอู๋ถูกจับงั้นเหรอ” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เดือดกินไป “คุณเคยบอกว่าจะช่วยมัน แต่พอถึงเวลาวิกฤตคุณก็หนีเอาตัวรอดคนเดียว”

“คุณแสงเทียน” ทิวาพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงดุดัน

แต่ผมไม่กลัว ผมพูดความจริง “คุณอ้างว่ากลัวถูกแฉเลยไม่ช่วยโจรอู๋ต่อให้จบคดี แต่ที่จริงคุณเสียใจที่ถูกมันปฏิเสธต่างหาก”

“อย่าพูดไร้สาระ!” นักสืบเปลี่ยนจากพูดเป็นตะโกน ภาพลักษณ์นิ่งขรึมเริ่มหายไป

“หรือไม่จริงล่ะ คุณเสียใจที่โจรอู๋รักผม คุณเลยปล่อยมือมัน”

“มันต่างหากที่ปล่อยมือผม!”

“...”

“มันเป็นฝ่ายปฏิเสธความช่วยเหลือจากผมเอง นั่นเพราะมันเห็นคุณสำคัญกว่า ไม่ใช่ความผิดผม แต่เป็นคุณ!”

“....!!!”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกตะโกนใส่หน้า จากนั้นดวงตาของเขาสั่นคลอนคล้ายจะร้องไห้... ผมหน้าชา พูดไม่ออก ทั้งเสียใจและละอายใจ

“ผมขอโทษ” ผมก้มหน้ามองพื้น เช่นเดียวกับทิวาที่ก้มหน้ากุมหน้าผาก “แต่ตอนนี้ผมกับโจรอู๋เลิกกันแล้ว”

“อะไรนะ?” นักสืบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“ใช่ เลิกกันแล้ว”

 “...เดาว่ามันเป็นฝ่ายขอเลิกสินะ”

“อืม...” ผมพยักหน้า “เพราะงั้นคุณช่วยมันอีกครั้งได้ไหม”

“...” นักสืบกัดริมฝีปาก สีหน้าลำบากใจ

“โจรอู๋เคยบอกผมว่าคุณเป็นเพื่อนคนเดียวของมัน และเป็นคนเดียวที่ช่วยมันได้ทุกอย่าง ผมเองก็เชื่อแบบนั้น... ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาถ้าไม่มีคุณ มันคงถูกจับไปนานแล้ว”

“...”

“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าโจรอู๋ต้องเป็นโจรเพราะอะไร ทุกอย่างที่มันทำไปก็เพื่อช่วยแม่ และตอนนี้ก็มีแต่คุณ... คุณคนเดียวที่ช่วยให้เรื่องนี้จบด้วยดีได้ ทิวา”

“....” นักสืบยกมือขึ้นกุมขมับ

“คุณคงไม่อยากให้มันกับแม่ตายหรอกใช่ไหม”

ผมมองนักสืบด้วยสายตาวิงวอนสุดชีวิต น้ำตาพาลจะไหล แต่นักสืบไม่พูดคำใด เพียงแต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะลุกจากโซฟาเดินไปที่ข้างหน้าต่าง หันหลังให้ผม เห็นท่าทางอย่างนั้นก็ฉุนขาด ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“ถ้ามันตัดสินใจยากขนาดนั้นก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ทำให้ผมตาสว่างรู้จักคำว่าเพื่อนแท้!” ผมประชดประชันเต็มเหนี่ยว เตรียมตัวเดินออกจากห้อง “ผมจะฟ้องตำรวจว่าคุณทุจริต ปกปิดความผิดให้โจร! ที่นี้ก็เตรียมตัวไปอยู่เรือนจำพร้อมกับโจรเลยละกัน เฮอะ!”

พูดเท่านั้น ผมก็เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังออกจากห้องนั้นทันที

“เดี๋ยวก่อนคุณแสงเทียน!” เสียงของนักสืบดังตามหลัง

ผมหยุดชะงัก หันไปมองด้วยหางตา

นักสืบทำหน้ายุ่งยากใจ

“ตั้งแต่คุยกันมา ผมพูดสักคำรึยังว่าจะไม่ช่วย”







///

เห็นเป็นนางเอกตัวเล็กๆ แต่นางใจสู้นะคะ!

เอาใจช่วยคุณแสงด้วยเด้อ

รักทุกคนค่ะ <3 <3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-06-2019 14:46:43
แหม ที่ทำมาดูดีหมดนะแสงเทียน มาเสียตอนท้ายที่สบัดกระแทกเท้าออกไปเนี่ยแหละ อิอิอิ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-06-2019 15:07:49
ใจเด็ดสุดๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: MM04 ที่ 02-06-2019 16:17:01
ทิวา.. :sad4: สงสารเลยทำเพื่อเค้าแล้วทำเพื่อเค้าอีก ขอให้เธอได้เจอกับคนดีๆนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-06-2019 21:12:28
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.36 ทางรอด [02/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-06-2019 01:04:17
แสงเทียนจิตใจเด็ดเดี่ยวมาก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 08-06-2019 15:54:01


37
Bay is Bae


 
               
“พ้นโทษแล้วอ่ะ มึงออกจากบ้านกูได้ยัง”
               
หนุ่มขี้ก้างร่างลายพร้อยยืนเท้าสะเอว สีหน้ายุ่งยากลำบากใจ น้ำเสียงก็รำคาญอย่างชัดเจน 
               
“กูอยากอยู่ต่อตายล่ะ ขอบใจละกันที่ให้ซุกหัวนอน” ผู้อาศัยชั่วคราวกล่าว ก่อนจะออกจากบ้านขนาดเท่ากล่องตู้เย็น แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้น ก็โดนเจ้าของบ้านดึงแขนไว้
               
“ไม่คิดจะจ่ายค่าน้ำค่าไฟกูหน่อยไง้”
               
“ฟวยเหอะ สามวันมันจะกี่บาทกันวะ”
               
“ค่าที่มึงทำกูอดนอนกับเมีย”
               
“ไม่ต้องพูด กูได้ยินมึงเอากันบนหัวกูทุกคืน”
               
“นี่เพื่อนนะเบย์ เพื่อนต้องกินต้องใช้ป่ะว้า เป็นค่าน้ำใจก็ได้อ้ะ”
               
“กูไม่มี ถึงมีก็ไม่ให้ รู้หรอกว่ามึงจะเอาไปซื้อยา”
               
“ยาไร ไม่มี้ ทุกวันนี้แค่ยาไส้ก็แทบไม่พอ กูรู้มึงรวย นะๆ”
               
“รวยแต่เขือสิ ไปละ”
               
ร่างแห้งโอดครวญอย่างผิดหวัง แต่เบย์ไม่หันหลังกลับ เดินออกจากซอกแคบเท่าแมวเดินสู่ซอยใหญ่ ทันใดนั้นก็ต้องชะงักนิ่งเหมือนโดนสาปกะทันหัน
               
“มอร์นิ่ง”
               
“....เชี่ย”
               
เบย์กลับหลังหันทันที แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของอีกฝ่ายที่ดึงไว้
               
“ปล่อยนะไอ้เวร! กูพ้นผิดแล้ว! มึงไม่มีสิทธิ์จับกู!”
               
“ไอไม่ได้มาจับ แค่อยากคุย”
               
“กู-ไม่-คุย!”
               
ผู้ถูกจับกุมออกแรงถีบเข้ากลางเป้าของอีกฝ่าย แต่คนตัวใหญ่กว่าหลบทัน แถมยังเป็นฝ่ายล็อกขาเบย์ไว้แล้วจับเหวี่ยงขึ้นพาดบ่าหน้าตาเฉย เหมือนน้ำหนักหกสิบกว่าของเขาเบาเท่าปุยนุ่น
               
“จะพากูไปไหน! ปล่อย!!!”
               
ไม่ว่าตัวเล็กจะปฏิเสธและดิ้นหนีอย่างไรก็ไม่อาจสู้พละกำลังของทหารได้ ที่สุดก็ถูกฉุดขึ้นรถไปเหมือนทุกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่แบบเปิดประทุน จึงมั่นใจว่าเบย์จะไม่มีทางหนี

“จอดเดี๋ยวนี้นะไอ้ผู้พันจัญไร!”

คนข้างหลังตะโกนใส่หูคนขับ ทุบตีแขนหนักหน่วง แต่คนขับไร้อาการสะทกสะท้านประหนึ่งร่างกายทำด้วยโลหะ เขาไม่มีท่าทีว่าจะจอด ซ้ำยังเร่งความเร็วขึ้นอีก

เบย์โกรธจนน้ำตาซึม คาดไม่ถึงว่ามันจะใจกล้าหน้าด้านขนาดนี้ เขาทำเสียตัวเสียใจเจียนตายแล้วยังมีหน้ากลับมาทำแบบเดิมซ้ำๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดจะหาคำด่าจริงๆ

ส่วนผู้พันนั้น โดนด่ามาแล้วจนหูแทบหนวก...

 

“Pete you idiot!!! ทำอะไรลงไปใช้สมองคิดก่อนรึเปล่า แอบยุ่งกับคดีเราไม่เท่าไหร่ แต่ยูทำกับผู้ต้องหาแบบนั้นได้ไง ป่าเถื่อนสิ้นดี ยูทำให้ภาพลักษณ์เจ้าหน้าที่ไทยดูแย่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือจิตใจบรรณภพ Or who you call bae ไหนบอกว่ารักเขา แต่สิ่งที่ยูทำ is  such a shame!”

“ไอโกรธที่ฮีโกหกหลอกลวง”

“So do you”

“....”

“เราไม่รู้เลยว่าบรรณภพที่กำลังตามหาคือแฟนยู จริงๆ ยูควรปรึกษาพวกเราก่อนมั้ยว่าควรทำไง ไม่ใช่อยู่ๆ ไปจับเขาแบบนั้น นี่ถ้าเกิดเขาโดนรถชนตายขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนคิดบ้างไหม แค่ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์นะ ไม่ใช่ฆาตกร ตัวเขาก็เล็กนิดเดียว สู้ยักษ์อย่างยูไม่ได้อยู่แล้ว ทำรุนแรงเพื่ออะไร ยูแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ”

“...รักษ์ พลีส ไอเฮิร์ตจะตายแล้ว”

“ก็ดี จะได้คิดได้มั่ง ขนาดเรายังโกรธแทนเลย แล้วเจ้าตัวจะเสียใจขนาดไหน ไอ้เรื่องรักความถูกต้องของยูมันก็น่าชื่นชมอยู่หรอก แต่วิธีการมันแข็งทื่อ ซื่อบื้อ และสิ้นคิดมาก”

“Damn...ไอโทรมาขอคำแนะนำ ไม่ใช่ให้ยูซ้ำเติมนะ”

“โอเค แนะนำเหรอ go pack your shit back to LA!

“รักษ์!”


 

ขนาดหมวดที่ว่าเย็น ยังร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ไม่แปลกที่เบย์จะโมโหเกลียดชังเข้าทุกอณูรูขุมขน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้มีหรือที่จะได้คุยกันง่ายๆ ก็เบย์หนีเก่งอย่างกับอะไรดี

รถแล่นเข้าสู่เขตหมู่บ้านจัดสรรสุดหรู ผู้พันลดความเร็วลงแล้วจอดที่หน้าบ้านหลังแรก เป็นบ้านสีขาวสไตล์เฟรนช์โพรวินซิคอล ที่มีสนามหญ้าหน้าบ้านกับลานจอดรถกว้างขวาง ที่ซึ่งมีซูเปอร์คาร์จอดเรียงรายอยู่สามคัน หนึ่งในนั้นมีพอร์ชสีขาวที่เบย์จำได้ว่าถูกจับคืนนั้น

ไม่ผิดแน่ บ้านผู้พัน

“คิดจะทำอะไร จับขังในบ้านเหรอ” เบย์โวยวาย

“อย่ามองไอเป็นคนป่าเถื่อนแบบนั้นสิ”

“มึงเป็น!” ว่าแล้วก็ลงจากรถ เบย์ก็ลงแต่วิ่งหนีทันทีที่เท้าแตะพื้น

“เบย์!”

หนุ่มน้อยที่กำลังจะวิ่งหนีหยุดชะงักทันที หลังจากได้ยินเสียงเรียกข้างหลัง ซึ่งไม่ใช่เสียงของผู้พัน หันหลังกลับไปมองพบว่ามีสองคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าดีใจ เป็นคนที่เบย์ไม่ได้เจอนานกว่าครึ่งปีแล้ว และไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเร็วๆ นี้ด้วย

“พ่อ แม่!!!”

ชายและหญิงวัยกลางคนส่งยิ้มให้ลูกชาย จากนั้นเบย์ก็วิ่งเข้าไปกอดทั้งคู่ ต่างพากันน้ำตาซึมด้วยความดีใจและคิดถึง

“พ่อแม่มาอยู่ที่นี่ได้ไง” 

“ผู้พันเขาไปรับเรามา บอกว่าจะพามาเจอลูก” พ่อของเบย์บอก หนุ่มน้อยหันขวับไปมองผู้ชายตัวโตทันที

“มึงรู้เรื่องครอบครัวกูได้ยังไง”

“ชู่ว์ ไม่เอาลูก พูดกับเขาดีๆ สิ” แม่ดุ ท่าทางเกรงใจยศอันใหญ่โตกับความร่ำรวยของไอ้ฝรั่งปลอมเอามาก

“แม่ไม่รู้หรอกว่าไอ้เวรนี่ทำอะไรกับผมบ้าง”

“เอ็งโดนจับก็จริงแต่พ้นข้อหาแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะลูก” แม่พูด

“ใช่ลูก เนี่ย เขายังให้พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยนะ เราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง” พ่อบอก ทำเบย์ตกใจกว่าเดิม

“อะไรนะ! พูดจริงเหรอ!”

“เยส พ่อแม่ยู แล้วก็ยูด้วย” ผู้พันยิ้ม

แต่เบย์กลับยิ่งโกรธเป็นบ้าเป็นหลัง

“จะดูถูกกูว่าไม่มีปัญญาเลี้ยงดูพ่อแม่ตัวเองงั้นสิ? ฮะ ถึงต้องมาพึ่งชายคาบ้านมึง! คิดว่ามีเงินมีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ปรึกษากูซักคำรึยัง! นี่พ่อแม่กูไม่ใช่พ่อแม่มึง!”

“ใจเย็นก่อนเบย์” พ่อกับแม่ช่วยกันห้ามลูกชาย เพราะดูท่าเบย์จะโกรธมากกว่าดีใจในการกระทำของทหารหนุ่ม

“ผู้พันเขาเป็นคนดีนะลูก ถ้าเขาไม่ช่วย พ่อกับแม่ก็คงไม่ได้เจอหน้าลูก ลูกไม่ดีใจเหรอที่เราจะได้อยู่ด้วยกันซะที” แม่พูด

“คนรวยไม่ได้แปลว่าคนดีแม่” ลูกชายเถียง

พ่อกับแม่หน้าเหวอ แล้วพ่อก็พูด

“แต่เขาก็ช่วยเราได้ ลำพังถ้าจะรอลูกหาเงินสร้างบ้านแล้วมารับพ่อกับแม่กลับไป ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ อีกอย่างพ่อกับแม่ก็ไม่อยากเห็นลูกตกระกำลำบาก ไปเป็นโจรปล้นชาวบ้านเขาด้วย”

“แต่บ้านเราก็มี ทำไมต้องอาศัยบ้านคนอื่นอยู่”

“คนอื่นที่ไหน เขาเป็นแฟนลูกนี่” แม่พูดหน้าตาเฉย

“ไม่ใช่นะแม่!”

“ไม่ต้องปฏิเสธน่า เขาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังทุกเรื่องแล้ว” พ่อพูดพลางยิ้ม ทำเอาเบย์หัวร้อน ทั้งโกรธทั้งเขินจนทำอะไรไม่ถูก เลยวิ่งหนีไปดื้อๆ

“ใครจะอยู่ก็อยู่ไป แต่ผมไม่!”

“เบย์!” แม่ตะโกนเรียกตามหลัง

“ปล่อยเด็กๆ เขาเคลียร์กันเถอะคุณ”

พ่อบอก พยักหน้าให้ผู้พัน จากนั้นร่างสูงก็ไล่กวดตามหลังไปติดๆ

 

เบย์กระโดดขึ้นซ้อนวินหน้าหมู่บ้านแล้วให้พี่แกซิ่งสุดลิมิต เข้าย่านที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย ผู้พันทิ้งรถยนต์กระโดดควบช็อปเปอร์ขับตามไปทันที แต่ไปดักทางออกที่ (คาดว่า) เบย์โผล่ออกมา เป็นทางด้านหลังร้านหนังสือที่อเล็กซ์ทำงาน เพราะผู้พันคิดว่าเบย์เพิ่งหนีกบดานจากบ้านเพื่อนในสลัม ไม่น่ามีเงินพอจ่ายค่าวินด้วยซ้ำ ต้องจ่ายปลายทาง และปลายทางที่ใกล้ที่สุดสำหรับคนรู้จักของเบย์ ณ ตอนนี้ก็คืออเล็กซ์

ผู้พันเดาถูก

“ร้อยยี่” พี่วินบอก

เบย์หน้าเจื่อน เหลือบมองผู้พันด้วยสายตาอาฆาตเหมือนลูกหมาโกรธ หนึ่งโกรธที่มันตามทัน และสองโกรธที่หนีมัน แต่ดันต้องขอเงินมันจ่าย เพื่ออะไรวะเนี่ย...

หนุ่มช็อปเปอร์ยื่นเงินให้วินโดยไม่พูดคำใด วินดูงงๆ แต่ก็รับแล้วขับจากไป เบย์พ่นลมหายใจออกจมูกอย่างสุดจะทน

“เลิกตามซักทีได้มั้ย จะเอาอะไรจากกูอีก”

“ไออยากเคลียร์กับยู”

“คิดว่าเอาท็อปบูตส์ตบหัวแล้วเอาเงินลูบหลัง ทุกอย่างจะจบงั้นเหรอ ขอโทษนะแต่กูไม่ใจง่ายแบบนั้น”

“เบย์” ผู้พันคว้าแขนอีกคนไว้ขณะกำลังจะเดินเข้าร้านหนังสือ “ไม่เหนื่อยรึที่ต้องหนีตลอด มาคุยกันตรงๆ ดีกว่า”

“คุย? ทำกูปางตายแท้ๆ ยังคิดว่าจะคุยกันได้อีกเหรอ”

ร่างสูงคอตก สีหน้าโศกสลด “ไอ’ม โซ ซอรี่ ไอโง่เองที่ทำเรื่องสิ้นคิด แต่ไอโกร้ดมากที่ยูปิดบังเรื่องเป็นโจร”

“มึงก็ปิดบังเรื่องที่เป็นทหารเหมือนกัน”

“ไอจำเป็น ไอให้ใครรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะมายแด๊ดดี้ ฮีต้องฆ่าไอแน่ถ้ารู้ว่าทำตัวไม่ดี”

“เออ งั้นก็สมควรถูกฆ่าไปซะ”

“เบย์” ผู้พันบีบแขนกระชับขึ้น “ไอขอโทษจริงๆ ไอเสียใจที่ทำรุนแรงกับยู แต่ไม่ได้จะจับยูเข้าคุกนะ แค่ขู่เท่านั้น ถึงได้ใช้กุญแจมือปลอมไง แล้วก็เพิ่งรู้ว่ายูคือลองแฮร์บอยวันเดียวกับที่จับยูนั่นแหละ รู้จักหมวดรักษ์ใช่มั้ย? ฮี’ส มายเฟรนด์ วันนั้นแวะไปหาแล้วก็เจอรูปถ่ายยู เลยค้นหาข้อมูล ไอไม่ได้สตอล์กเกอร์ยูอย่างที่พูดเลย”

เบย์ส่ายหน้า ดวงตาสั่นคลอน “คำพูดมึงเชื่อถืออะไรไม่ได้แล้ว... มึงทำลายความเชื่อใจกูไปแล้ว...”

ผู้พันใจหวิวๆ “โอเค ไอรู้ตัวว่าทำเกินเหตุ ไอสำนึกแล้ว ยูจะลงโทษไอยังไงก็ได้ แต่ขอโอกาสแก้ตัวสักครั้งเถอะนะ”

ทว่าคนฟังส่ายหัว สีหน้าอ่อนล้าเต็มทน

“พอเถอะ หยุด อย่าพยายามเลย ลืมกูแล้วกลับอเมริกาไปซะ คิดซะว่าเรื่องห่าเหวทั้งหมดที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น แล้วก็บอกพ่อแม่กูกลับบ้านสลัมได้แล้ว กูไม่ต้องการคำขอโทษในรูปแบบหนี้บุญคุณ...หรือใดๆ จากมึงทั้งนั้น”

ชาติชายใจทหารเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกสลาย เจ็บยิ่งกว่าตอนถูกกระสุนยิง เขาข่มน้ำตาไว้สุดแรงเกิด

“ไม่เบย์ มันไม่ควรเป็นแบบนี้”

“ปล่อย”

“พลีส...”

“บอกให้ปล่อย!”

“พอได้แล้ว”

จู่ๆ ก็มีบุคคลที่สามเข้ามาขัดจังหวะ เป็นอเล็กซ์นั่นเอง เพื่อนสนิทแปลกใจที่เห็นเขาเลิกทาผิวแทน เลิกใส่คอนแท็กเลนส์ เลิกทำตัวเป็นอเลฮานโดร โจฟ คูนิคาลอส หนุ่มสเปนที่เป็นมาร่วมเดือน คงเพราะเจ้าของร้านถูกชะตา เลยไม่ถือสาแม้ว่าเขาจะเคยเป็นโจรล่ะมั้ง เลยไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

อเล็กซ์ซุ่มดูจากในร้านนานแล้ว จนทนไม่ไหวต้องออกมาแทรกแซง เขามองเพื่อนที่หน้าบูดบึ้งสลับผู้พันที่ใกล้ร้องไห้ แล้วถอนหายใจ

“เชี่ยเบย์มึงอย่าเล่นตัว ทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก รักเขาก็ปรับความเข้าใจกันซะ ดีแค่ไหนที่ทำผิดแล้วมีโอกาสแก้ไข ไม่เหมือนกู ป่านนี้แล้วยังติดต่อน้องมันไม่ได้เลย”

“......”

“เพื่อนผมรักคุณครับผู้พัน แต่โกรธที่คุณใช้วิธีรุนแรงแล้วก็ปิดบังตัวตน แค่นั้นเอง ถ้าคุณรักมันก็พยายามเข้านะ แต่ถ้าไม่ก็ปล่อยมือแล้วกลับบ้านไปเถอะ อย่ามาเล่นๆ เลยเพราะคนที่ต้องมาเหนื่อยปลอบใจมันทีหลังก็คือพวกผม”

“......”

“ไปละ เจอกัน”

สองฝ่ายต่างตกอยู่ในความเงียบ กระทั่งผู้พันชวนไปนั่งคาเฟ่ที่อยู่ข้างๆ เบย์พยักหน้า เดินเข้าไปสั่งกาแฟคนละแก้ว เลือกนั่งเก้าอี้คู่ด้านในสุดเพื่อความเป็นส่วนตัว ระหว่างรอเครื่องดื่มก็ยังคงเงียบ เหมือนรอให้อารมณ์ดุเดือดเข้าที่เข้าทาง กว่าจะพูดกันก็ผ่านไปครึ่งแก้ว

ผู้พันเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน “ไอรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ก็อยากให้ยูให้อภัย ช่วยเปิดใจแล้วรับรักไอได้มั้ย?”

“มึงไม่ได้รักกู” คนตรงข้ามเอ่ย ปลายเสียงสั่นพอๆ กับดวงตาที่หันมองออกนอกหน้าต่างร้าน

“ไอโกหก I love you to death darling แลไอก็เสียใจแทบตายที่ทำลงไป...”

เบย์ก้มหน้า เม้มปากแน่น

“ไอจริงจังนะ ถ้ายูกลัวว่าไอจะกลับอเม้ริเค่อะแล้วทิ้งยู Don’t worry ยูไปอยู่ที่โน่นกับไอได้”

“เห้ย!”

“จริงๆ” ไม่เพียงพูด เอื้อมมือมาจับมือเบย์แน่นบ่งบอกความจริงจัง เบย์ตกใจปนเขิน จะดึงออกแต่ไม่สำเร็จ “หรือถ้ายูไม่อยากไป ไม่เป็นไร้ ไอจะมาหาทุกวันหยุด รึว่ายูอยากไปเที่ยว ก็บินไปหาไอได้”

“อย่าคิดเองเออเองได้ป่ะ”

“งั้นพูดตรงๆ เลย ไอก็ไม่อยากทำให้ยูลำบากใจเหมือนกัน”

“อือ”

“ยูรักไอมั้ย”

“.....”

“Just yes or no คำเดียวก็พอ ถ้าเยส ไอขออยู่ต่อ... ถ้าโน ไอจะไม่ตื๊อให้ยูรำคาญอีก”

เบย์กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง มองออกไปนอกกระจกผนังร้าน “มันไม่ง่ายเลยนะ มึงเป็นถึงทหารยศสูง มีคนเคารพนับถือ ขืนใครรู้ว่าเป็นเกย์ไม่เดือดร้อนเอารึไง”

“I don’t give a shit”

เบย์ทำตาขวาง “มึงไม่แคร์ แต่กูแคร์”

“ที่โน่นไม่มีใครใส่ใจเรื่องชาวบ้านเหมือนที่นี่หรอกนะ”

มันหลอกด่าประเทศกูป่ะวะ

“ไอเลิฟยู เบย์ ทุกคำพูด ทุกการกระทำผ่านมา ไอทำด้วยใจ เปล่าแสดงละครเพื่อจับยูเหมือนที่วันนั้น I’m nut about you like no one before ไออยากมียูทุกวันแบบไม่ต้องจ่ายตังค์ซื้อ ยูเข้าใจมั้ย? ไอรู้ว่าสิ่งที่ไอทำวันนั้นมันทำร้ายจิตใจยู แต่ไอมาขอโทษ ยอมให้ยูลงโทษได้ตามใจ... แต่ขอโอกาสให้ไอสักครั้งได้ไหม”

“.....” ยกมือขึ้นปิดปาก ตาแดงเรื่อ

ผู้พันท้อใจกับความเงียบและนิ่งเฉย จึงตัดสินใจเอ่ย

“โอเค เบย์ ถ้ามันทำให้ยูลำบากใจขนาดนั้น ไอไปก็ได้”

“.........”

“ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีๆ ไอจะไม่มีวันลืมยูเลย ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็อย่างที่บอกไป ไอขอโทษ... ขอโทษจริงๆ

หนุ่มอเมริกันปล่อยมือที่กุมอีกคนไว้ ถอยเก้าอี้ไปด้านหลัง แล้วลุกขึ้นยืน ทว่าจังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินนั่นเองก็ต้องหยุดชะงัก


มีคนเหยียบตีน

         
“ยูเอามาเหยียบหน้าไอได้นะ ที่จริง”
         
“ซื่อบื้อชิบ”

“...?”

“แค่ครั้งเดียวนะ”

“ว้อท? เหยียบหน้า?”

“ไม่ใช่!” เบย์ลั่น “ให้แก้ตัว”

ดั่งพรวิเศษจากนางฟ้า ผู้พันยิ้มกว้างจนเห็นฟันหน้าทั้งแถว หมุนตัวกลับดึงเบย์เข้ามากอดแน่นจมอก จูบตั้งแต่หน้าผาก ปาก แก้ม ดีที่นั่งในสุดและคนไม่เยอะ ไม่งั้นคงตัวแตกตายด้วยความอายไปแล้ว

“โอ้มายก็อด ขอบคุณที่สุดๆ ไอเลิฟยู!” 

“อื้อ... พอ”

คนตัวโตกอดรัดฟัดเหวี่ยงราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เบย์ทั้งเขินทั้งขำ ขัดขืนไม่ได้ก็ปล่อยให้โดนฟัดจนหนำใจ

“จากนี้ไป ยูเป็นแฟนไออย่างเป็นทางการแล้วนะ”

เบย์ไม่พูด แค่ยิ้ม

คนตัวสูงสอดมือจับท้ายทอยแล้วก้มหน้าลงมาจะจูบ แต่ก็ต้องสะดุดกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ผู้พันทำหน้าเซ็งพร้อมกับควักมันออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกง ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอซัดเอาความสุขเหือดหายไปกว่าครึ่ง แถมยังเป็นวิดีโอคอลอีกต่างหาก เซ็งเป็นสองเท่า ไม่รับก็ไม่ได้เดี๋ยวเป็นเรื่อง

“ฮาย แด๊ด”

[พีเทอร์ มีคนฟ้องพ่อว่าลูกมีแฟนงั้นเหรอ!]

ท่านนายพลตะโกนใส่หน้าจอด้วยสีหน้าโมโห เบย์ฟังไม่ออกทุกคำแต่แค่ฟังเสียงก็เข้าใจ เห็นท่าไม่ดีเลยถอยไปห่างๆ กลัวจะถูกเห็นเข้า

“ใครมันปากดีไปฟ้องยู หรือยูส่งคนมาติดตามไอ”

[ไม่สำคัญหรอก แต่ที่พ่อรู้มาคือแฟนลูกเป็นผู้ชาย! ใช่มั้ย!!]

เสียงตะโกนของท่านนายพลดังมากจนลำโพงจะแตก แถมใบหน้าก็แดงก่ำบ่งบอกว่าโมโหที่สุด

[พ่อย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามมีแฟนเป็นผู้ชาย! ทำไมถึงกล้าขัดคำสั่งฮะ! มันคือไอ้เด็กข้างบ้านเราเมื่อก่อนใช่มั้ย! ทำไมลูกยังไม่ลืมมันซะที! รู้แบบนี้พ่อไม่มีทางให้ลูกกลับไทยเด็ดขาด!]

ผู้พันพีเทอร์กัดริมฝีปากระงับความโกรธ รอให้พ่อด่าเสร็จเขาจึงเปิดปากพูด “ต่อให้ยูจะเอาไอไปทิ้งเกาะกลางทะเลหรือเอาไปทิ้งบ่อจระเข้ ก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าไอเป็นเกย์ไม่ได้หรอกแด๊ด”

[ละ...ลูกว่าไงนะ]

“From sergeant to major ไอฟาดมาหมดแล้ว วันเดอร์มากกว่า ว่าทำไมยูเพิ่งจะมาสงสัยเอาป่านนี้”

[พีเทอร์!!!!!!]


ไอ้สัด พูดอะไรกันวะ พ่อมึงตะโกนลั่นขนาดนั้นจะหัวใจวายมั้ย


“ไอหาโอกาสจะบอกยูนานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าซักที จนวันนี้ไอเกือบเสียแฟนไป ไอจะไม่ปิดบังอีก ทั้งกับยูและกับโลก”

[ไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง พ่อไม่ยอม!]

“ไม่ถูกตรงไหน เรื่องธรรมดามาก ขนาดแม่ของไอยังมีผัวใหม่เป็นทอมเลย ทำไมไอจะมีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้”

[พีเท๊อออออ!!!]

“แด๊ดสั่งไอมาตลอดชีวิต คอนโทรลไอทุกอย่าง วันนี้ไอก็แค่อยากใช้ชีวิตของไอเองบ้าง”

[ไอ้เด็กคนนั้นทำให้ลูกเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรือ]

“ไม่มีใครทำให้ไอเปลี่ยนไปหรอก ไอเป็นมานานแล้วต่างหาก แค่ยูไม่รู้ อ้อ... แล้วมายบอยเฟรนด์ก็ไม่ใช่รักษ์ด้วย”

[แล้วมันเป็นใคร!]

ผู้พันหันไปมองเบย์ที่ยืนหลบอยู่หลังเสาไฟฟ้า แล้วกวักมือเรียก

“คัมมอน เบบี้ โด้นท์บีอะเฟรด”

เบย์ก้าวออกไปจากที่กำบังอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะฟังแค่เสียงก็รู้ว่าท่านนายพลดุมาก แต่พีเทอร์จับมือเขาไว้ เบย์จึงรู้สึกมั่นใจขึ้นนิดหน่อยจากนั้นเงยหน้าสบตากับนายพลแฮมิลทันทางวิดีโอคอล

พ่อของพีเทอร์ไม่เหมือนพีเทอร์สักนิด ตัวใหญ่ล่ำเหมือนนักมวยปล้ำ ดวงตาดุดันขึงขัง ไว้หนวดดกดำเหนือริมฝีปาก หน้าบึ้งตึงขวางโลกสุดๆ ต่างกับลูกชายลิบลับ

“H…Hi, I’m Bay.”

หนุ่มน้อยแนะนำตัวแบบตะกุกตะกัก สบตาท่านได้แค่สามวิก็ก้มหน้ามองพื้น เพราะไม่กล้าสู้สายตาโหดๆ บางทีความสัมพันธ์ของเขากับพีเทอร์อาจจบลงภายในสามนาทีนี้ก็ได้

“นี่แหละแฟนไอ ฮีน่ารัก แล้วเราก็รักกันมากด้วย” พีเทอร์โอบไหล่แฟนโชว์พ่อด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ไอไม่แคร์แล้วว่ายูจะลงโทษยังไง จะสั่งปลดหรือตัดไอจากมรดกก็เชิญ แต่ไอจะไม่ปล่อยเบย์เด็ดขาด กู๊ดบาย”
               
เบย์เสียวจี๊ดที่หัวใจเมื่อได้ยินพีเทอร์พูด นั่นแสดงถึงความจริงใจหรือไม่ก็หาที่ตายแท้ๆ
               
[เดี๋ยวก่อน!] ท่านนายพลตะโกนก่อนที่พีเทอร์จะวางสาย [พ่อจะกลับไทยเดี๋ยวนี้!]

               
พีเทอร์สะดุ้งเฮือก ส่วนเบย์ใจหายวาบ ในหัวมีแต่คำว่า ‘ชิบหาย’

               
กระทั่งท่านนายพลถูจมูกกลบเกลื่อนอาการเขิน แล้วพูดเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

               
[น้องเบย์อยากได้อะไรเป็นของฝากรึเปล่า]





///

เอาคู่รองไปคั่นเวลาก่อน กิกิ

จริงๆ ก็โกรธอีตาผู้พันมากเลยที่ทำร้ายเบย์

แต่ทุกคนในเรื่องก็มีความผิดพลาดกันหมด

และทุกคนได้โอกาสแก้ตัวเหมือนกัน

เพราะงั้น...ให้อภัยไอ้ฝรั่งเก๊ด้วยนะคะ

เลิ้ฟทุกคนที่อ่านอยู่ <3
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-06-2019 16:13:00
อ้าว พ่อผัวยอมรับแล้วเหรอ555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-06-2019 21:09:42
 :laugh: :laugh:ประโยคสุดท้ายของคุณพ่อทำไมอ่อนโยนอย่างนี้ :pigha2: :pigha2:กินดอกไม้เป็นอาหารมาแน่เลย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-06-2019 21:52:17
ดีใจกับเบย์ที่มีคนรักจริง ตอนพีเทอร์คุยกับแด๊ด อ่านไปเครียดไป แต่ไหง...หักมุมโดยไม่รู้ตัว
 :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.37 Bay is Bae [08/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-06-2019 22:36:26
น้องเบย์ เหน่แร๊ง พ่อผัวตกหลุมความน่ารัก ก๊าก
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 23-06-2019 13:03:56



38
ก่อนม่านจะปิด

     
             
อเล็กซ์เพิ่งปิดคดีตัวเองเสร็จ แต่ถ้าจะให้ถูกต้องเรียกปิดดีล
             
เขาเคลียร์กับเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์คู่กรณี โดยจ่ายเงินค่าแม็คบุ้คเต็มจำนวน บวกกับค่าปรับข้อหาลักทรัพย์ยามวิกาลหนึ่งหมื่นบาท และค่าทำขวัญที่เจ้าของร้านเรียกร้องเพิ่มอีกห้าพันบาท แล้วก็ออกจากโรงพักมาสวยๆ
               
ส่วนคดีแฮ็คเกอร์ที่เกี่ยวกับโจรอู๋ ไม่มีใครรู้ และก็คงไม่รู้ต่อไป อเล็กซ์จะปล่อยให้มันตายไปอย่างลึกลับเหมือนกับการหายไปของแม่ จากนี้ก็จะใช้ชีวิตอย่างคนปกติ ทำงานร้านหนังสือ และเรียนวันเสาร์อาทิตย์ 
               
เขาลงเรียนสถาบันเอกชนแห่งหนึ่ง สาขาอินทีเรียดีไซน์ เพื่อจะได้มีงานทำอย่างมนุษย์ทั่วไป แต่เบื้องหลังก็ยังคงรับงานแฮ็กเกอร์เหมือนเดิม
               
นับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยแท้...แต่อเล็กซ์กลับรู้สึกใจหาย       แก๊งโจรแตกสลายแล้ว ทุกคนเป็นอิสระ แต่โจรอู๋ยังถูกขังอยู่เลย แล้วลูกน้องอย่างเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีเพียงความหวังจากทิวาที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แบบนี้จะให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างสดใสได้อย่างไร
             
ไหนจะเรื่องเด็กเพชรที่จบแบบค้างคาอีก อเล็กซ์พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะติดต่อเด็กชาย ทั้งโทร แชท (เขาลงทุนสมัครโซเชียลทุกทางเพื่อจะคุยกับเด็ก) แต่เพชรไม่เคยตอบรับ แสดงว่าโกรธแค้นฝังใจ และคงไม่มีทางให้อภัยแน่ๆ
               
ก็สมควรอยู่หรอก...หลอกพ่อเขาสูญเงินตั้งกี่ล้าน แม้ว่าเจ้าเคฟจะส่งคืนครบหมดแล้วก็ตาม แต่ความเชื่อใจที่พังทลายใช่ว่าจะกอบกู้ได้
               
เหลืออยู่ทางเดียวคือแบกหน้าไปหาที่บ้าน แต่อเล็กซ์ไม่ใจกล้าหน้าด้านขนาดนั้น คงต้องปล่อยให้กลายเป็นความทรงจำ เลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้าหากพบกันโดยบังเอิญ เด็กเพชรอาจลืมความโกรธแค้นทั้งหมดและทักทายเขาเช่นทุกที
             
“พี่ชาย!”
   
เช่นทุกที..
   
อเล็กซ์ตัวเย็นวาบ หูฝาดรึเปล่า? คิดถึงมันจนหลอนใช่มั้ย?
 
“พี่อเล็กซ์ นั่นพี่ใช่มั้ย ผมจำได้นะ”

เสียงนั้นฟังดูเหนื่อยหอบ เหมือนเพิ่งวิ่งมา และตอกย้ำว่าเขาไม่ได้มโน หนุ่มลูกครึ่งเก็บอาการ ปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติสุดๆ ก่อนจะหันไปข้างหลัง แต่ก็ยังหลุดเสียงสั่นนิดๆ
     
“นายเพชร มาทำอะไรที่นี่”
               
“ผมมา... หาพี่ไง” เพชรพูดสลับหอบเหมือนลูกหมา “ตอนแรกไปหาที่ร้านหนังสือ แต่เจ้าของร้านบอกพี่มาเรียนที่นี่ ผมเลยตามมา...แฮ่ก ยินดีกับนักศึกษาใหม่ด้วยนะครับ”
               
เด็กว่าแล้วหยิบกุหลาบแดงหนึ่งดอกออกจากกระเป๋าเป้ส่งให้คนตรงหน้า แต่สีของมันแดงไม่เท่าครึ่งหนึ่งของหน้าอเล็กซ์ตอนนี้ด้วยซ้ำ
               
“จะบ้ารึไง ผู้ชายที่ไหนเขาให้ดอกไม้กัน!” เผลอตะโกนดังด้วยความเขินขั้นสุด
               
“แปลกตรงไหนอ่ะ งานแสดงความยินดีที่ไหนก็ให้ดอกไม้ทั้งนั้นนี่นา”
             
เด็กกล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อ ยื่นกุหลาบให้จนปลายแตะจมูกรุ่นพี่ อเล็กซ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้าที่ร้อนจนเหมือนจะระเบิด รับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าสะพายเร็วๆ เพราะไม่อยากให้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นแล้วเข้าใจผิดว่ากำลังสารภาพรักกัน

“พี่ติดต่อนายแทบตาย ทั้งโทรทั้งแชท ไม่คิดจะตอบ แต่อยากโผล่ก็โผล่มาง่ายๆ พร้อมดอกไม้เนี่ยนะ แย่จริงๆ”

เขาหักล้างความเขินด้วยความโกรธ ทำหน้าบึ้งใส่เด็ก แต่แทนที่จะสลด เพชรกลับยิ้มกว้าง

“อะไรนะ พี่ตามหาผมเหรอ?”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”

“เฮ้ย! ผมติดสอบทั้งอาทิตย์ ป๊ายึดมือถือ มัวแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว เพิ่งได้พักวันเนี้ย ไม่รู้เรื่องไรเลย”

“อ้าว” สรุปกูนอยด์เหี้ยอะไรตั้งนานวะ...

เพชรเห็นหน้าเหวอของอเล็กซ์ก็ยิ้มกว้างไปอีก แต่แววตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง

“เอ๊ะๆ อย่าบอกนะว่าคิดถึงผม ชอบผมอ่ะดี้ บอกมาตรงๆ เถอะ”

“เพ้อเจ้อ” อเล็กซ์หมุนตัวเดินหนี เพชรเดินตาม

“แคร์ผมขนาดนี้เลยเหรอ ดีใจอ่ะ แล้วทำไมไม่มาหาที่บ้านล่ะ คิดเองเออเองนอยด์เองไปได้”

“โอ๊ย ไร้สาระ ใครแคร์นายไม่ทราบ”

“งั้นแสดงว่าพี่กลัวผมแจ้งความจับ”

“เปล่า” อเล็กซ์หยุดเดิน “พี่กลัวนายเกลียดพี่ต่างหาก”

“....”

สีหน้าทะเล้นของเพชรเลือนหาย กลายเป็นจริงจัง เดินมายืนข้างหน้าอเล็กซ์เพื่อมองหน้ากันตรงๆ ก่อนจะพูดแบบชัดถ้อยชัดคำ

“เกลียดที่ไหน ผมชอบพี่จะตาย”

“....ฮะ?”

“ผมพูดว่า ผมชอบพี่ ชอบแบบอยากได้เป็นแฟนน่ะ ชัดมะ”

“ไอ้เด็กเวร”

“จริงๆ นะ พี่ไม่โง่ก็น่าจะรู้”

เออ ก็รู้แหละ แต่ไม่คิดว่าแกจะเป็นเอามากขนาดนี้ไง

“แต่พี่เป็นโจร”

“เคยเป็น” เพชรแก้ “จริงอยู่ที่ตอนรู้ความจริง ผมโกรธพี่มาก...มากแบบมากๆ แต่พอป๊าอธิบายให้ฟัง เรื่องพี่เคฟน่ะ ผมก็เข้าใจ พวกพี่ทำไปเพราะความจำเป็น แถมยังเอาของมาคืนด้วย โจรที่ไหนในโลกเค้าทำกัน...ผมก็เลยไม่โกรธพวกพี่แล้วล่ะ”

“....” ยังคงอึ้งอยู่

“เรื่องผ่านไปแล้วช่างมันเถอะครับ มาเริ่มใหม่กัน”

“เริ่มไร อย่าคิดเองเออเองดิ”

“อ้าว พี่ไม่ชอบผมอ่อ” เด็กดูงงๆ แต่รุ่นพี่หน้าแดง

“ก็ไม่ได้เกลียด แต่ยังไม่ได้ชอบถึงขั้นนั้น”

“เสียใจอ่า... แต่ไม่เป็นไร ผมจะจีบพี่ทุกวันจนกว่าพี่จะรักผม” พูดด้วยสีหน้าแววตามุ่งมัน จนอเล็กซ์อดขำไม่ได้

“นายนี่มันเด็กแก่แดดชะมัด”

“เดือนหน้าผมก็สิบห้า เป็นนาย ไม่ใช่เด็กชายแล้ว!” เพชรเถียง

“หึ เหรอ” อเล็กซ์หัวเราะเย้ย “แต่พี่ยังไม่อยากโดนข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกนะ”

“ไม่ๆ ผู้เยาว์ต่างหากจะพรากพี่”

“นายเพชร!!!”

“เขินเสียงดังจังครับ”

“ฝันไปเหอะ เสือที่ไหนจะยอมให้เสือตัวอื่นอยู่เหนือตัวเอง”

“ก็ไม่แน่น้า...พี่หยุดโตแล้ว แต่ผมน่ะยังโตได้อีกเยอะ แค่ปีสองปีผมก็สูงแซงพี่แล้ว คอยดูดิ”

“ส่วนสูงไม่สำคัญเท่าพละกำลัง สูงแต่อ่อนแอก็จบ”

“ผมจะเล่นกีฬาทุกชนิด ฟิตหุ่นให้แข็งแรง” กล่าวอย่างมุ่งมั่น

“อืม งั้นเริ่มวันนี้เลย อีกสามปีถ้านายแข็งแรงกว่าพี่...”

“พี่จะยอมเป็นแฟน?”

“เปล่า จะให้จีบ”

“หา! สามปี! ผมใจเหี่ยวตายพอดี”

“งั้นก็ตัดสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้เลย ขี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

“ไม่นะ! ผมสู้ได้ ผมจะสู้”

อเล็กซ์ยิ้มอย่างเอ็นดู รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถึงสามปีหรอก ก็น่ารักซะขนาดนี้ ใครจะไปใจแข็งได้นานปานนั้น

“งั้นเริ่มเลยแล้วกัน วิ่งจากนี่ถึงบ้านนาย ถ้าชนะเลื่อนมาหนึ่งเดือน ถ้าแพ้ยืดเวลาไปอีกหนึ่งปี”

“ใจร้าย!”

“สตาร์ท!”

พูดจบอเล็กซ์ก็ออกตัววิ่งไปก่อนด้วยความเร็วชนิดที่เพชรอ้าปากค้าง เด็กชายวิ่งตามหลังห่างๆ พร้อมกับแหกปากเรียกให้รอ แต่อเล็กซ์มีหรือจะอ่อนข้อให้ มีแต่หันไปแลบลิ้นใส่

ก็แค่เอกมัยไปรัชดา...แค่นี้เอ๊ง

 

อีกด้าน

เคฟคิดว่าตัวเองควรถึงเวลาตัดใจ เลิกคิดถึงความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดและใช้ชีวิตตามที่ควรเป็น เลิกเป็นมิจฉาชีพ ก้มหน้าตั้งใจเรียน ทำงานพิเศษต่อไป ป๊าที่วันๆ เครียดกับการล้างกุ้งจนหลังขดหลังแข็งจะได้สบายซักที เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่หันกลับไปทำอาชีพทุจริตอีก เป็นโจรในคราบคนดีนั้นเหนื่อยกว่าเป็นคนดีหรือโจรเพียงอย่างเดียว และการตอแหลตลอดเวลาก็ทำเขาเหนื่อย เขาเข็ดหลาบกับเรื่องยุ่งยากพวกนี้เต็มที

แต่เหมือนบางคนจะไม่เข็ด

“เชี่ยเคฟ มีคนมาหามึงแน่ะ”

เพื่อนร่วมเอกเดินมาตบไหล่ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสือใต้อาคารเรียน เคฟสงสัยว่าใครกันจะมาหาเขาถึงมหา’ลัย ตอนบ่ายสามนี่  ป๊ารึก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้ามีธุระอะไรก็คงโทรบอกก่อน เว้นแต่เป็นเรื่องเร่งด่วนมากๆ

“ใครวะ” เขาถามเพื่อน

“ไม่รู้ แต่ขับออดี้สีขาว หล่อด้วย ออร่าเจิดจ้ายิ่งกว่าแดด” เพื่อนบอกสีหน้าตื่นเต้น “แฟนมึงหรอ หรือว่าเสี่ยเลี้ยง ไม่เบานะมึงอ่ะ ขายพิซซ่าหรือขายไข่วะเนี่ย”

“สัด” เคฟชกอกเพื่อนเบาๆ “เขาอยู่ไหน”

เพื่อนชี้ไปทางลานจอดรถ เคฟเก็บหนังสือใส่กระเป๋าเดินออกไป เห็นรถสีขาวกับเจ้าของที่ขาวพอๆ กันยืนอยู่ไม่ไกล ความสว่างดั่งหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์นั้นทำให้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดตาป้องกันอาการตาพร่า

เคฟมองผู้มาเยือนด้วยสายตาสงสัย และไม่ยินดียินร้าย

“หวัดดีครับ มีธุระอะไร”

“ว่างมั้ย ไปดูหนังกัน”

อดีตโจรอึ้งเล็กน้อย “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ก็จีบคุณไง”

“ฮะ?”

“ผมรู้แล้วว่าเงินซื้อความรักของคุณไม่ได้ แต่หวังว่าความจริงใจจะซื้อได้นะ”

“แล้วมันจะต่างกันตรงไหน ถ้าคุณเอาแต่เปย์ผม”

“ใครบอก เราจะแชร์กัน คุณคิดว่าผมไม่รู้รึไงว่าต้องทำยังไงเวลามีแฟน”

“ผมก็นึกว่าคุณข้ามขั้นไปเป็นสามีเลยซะอีก”

พัชรหน้าแดง ยกมือขึ้นเกาหู “ก็จริงอยู่... แต่นั่นมันอดีต ผมอยากเริ่มต้นใหม่ แล้วก็เรียนรู้ไปพร้อมกับคุณ”

อีกฝ่ายยิ้มขำ “คุณนี่มันดื้อและตื๊อมากจริงๆ”

“ก็คงเหมือนที่อเล็กซ์บ่นให้คุณฟังเรื่องน้องเพชรนั่นแหละ”

“คุณ...รู้?” เคฟงงๆ เพราะจำได้ว่าไม่เคยเผยเรื่องความเชื่อมโยงของตนกับอเล็กซ์ให้อีกฝ่ายรู้

“ง่ายจะตาย อเล็กซ์อยู่แก๊งเดียวกับอติศร พี่ชายคุณ ก็ต้องรู้จักคุณแน่นอนสิ”

“งั้นคุณก็ยิ่งต้องตระหนักว่าผมอันตรายมากๆ”

“เรื่องนั้นผมรู้ ถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ไง” พัชรพูดยิ้มๆ แต่แววตาหนักแน่นจริงจัง

“ผมไม่อยากโดนผีเมียเก่าคุณหลอกอีก”

“ไม่ต้องห่วง เธอไปดีแล้ว”

“นี่กะดักผมทุกทางเลยใช่มั้ยเนี่ย”

“ใช่ ผมสู้แน่ ไม่ยอมให้สาวหน้าไหนได้คุณไปหรอก”

เคฟหัวเราะ จะด้วยความขบขันหรือสิ้นหวังก็ไม่รู้ได้

“โอเค โอเค คุณพัชร ผมอนุญาต แต่คุณไม่จำเป็นต้องรุนแรงขั้นนั้น ถึงผมหล่อแต่สาวๆ ก็ไม่ได้ชอบซักเท่าไหร่”

“ทำไม”

“ผมขี่แต่มอเตอร์ไซค์”

คราวนี้พัชรหัวเราะ ยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย

“งั้นก็ถึงเวลาที่สาวๆ ทั้งมอจะมองคุณจนเหลียวหลังแล้วล่ะ”

 

               
ใช้เวลาสองชั่วโมงถ้วน อเล็กซ์และเพชรวิ่งมาถึงร้านเพชรในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเพชรวิ่งตามหลังและร้องไห้กระซิกๆ เพราะพ่ายแพ้หนุ่มรุ่นพี่ ต้องรออีกสามปีกว่าเขาจะยอมให้จีบ

“เฮ้ย วันนี้ทำไมร้านปิดไวจัง” อเล็กซ์ถาม ทั้งที่เพิ่งห้าโมง ปกติร้านจะปิดเกือบสองทุ่ม

“ไม่รู้สิ สงสัยป๊าไม่อยู่มั้ง เราเข้าข้างหลังก็ได้” เพชรบอกก่อนจะเดินนำไปหลังบ้าน “อ้าว รถก็อยู่นี่นา ป๊าครับ เพชรกลับมา...!!”

“ชู่ว์!”

อเล็กซ์เอามือปิดปากเด็กไว้ทัน เพราะเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากข้างใน ทั้งสองแอบมองผ่านผ้าม่านหน้าต่างที่แง้มอยู่ก็พบภาพเด็ดที่ทำเอาตาเบิกโต... มีเงาสองเงาพาดทับกันในท่าล่อแหลมและเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงที่โซฟา

“พี่ฮะ ผมว่าเราไปที่อื่นกันเถอะ”             

เพชรแนะนำ อเล็กซ์พยักหน้า

“...พี่ก็ว่างั้น”





//

ฮายยยย

ขอโทษค่ะที่หายไปนานตั้งสองอาทิตย์

ไม่ใช่ว่าเขียนไม่เสร็จ แต่คิดว่ามันยังดีไม่พอ ก็เลยยังลังเลว่าจะลงดีมั้ย

แต่ไหนๆ ก็จะจบแล้ว ลงเลยละกัน

เดี๋ยวมาต่ออีกตอน ปิดคดีให้เสร็จสิ้นไปเลย รอแป๊บนะคะ ><
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.39 เทวดา & มาเฟีย [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 23-06-2019 13:18:22



39
เทวดา & มาเฟีย



ทิวาคิดว่าตัวเองอาจไม่รอดคืนนี้

เขาไม่คิดว่าจะโชคดีแบบคราวก่อนที่หลุดจากเงื้อมมือเฉินเชว่มาได้หลังจากเข้าไปจับเสือมือเปล่าถึงถิ่น ถ้าครั้งก่อนผู้หญิงที่มันเลี้ยงไว้ไม่เมายาคลุ้มคลั่งจะกระโดดตึกตายจนมันต้องออกไปจัดการ เขาคงไม่ได้กลับออกมาอย่างปลอดภัยแน่

โทรหามันแล้ว นัดเจอกันที่ปักกิ่งบ้านเกิด แต่เฉินเชว่บอกว่าอยู่ทองหล่อ ยังไม่กลับ ทำเอานักสืบงงตาแตก แต่ยังไม่ได้ถามต่อก็ถูกตัดสายทิ้ง บอกสั้นๆ แค่ให้มาเจอกันที่โรงแรม

มาถึงโรงแรม แจ้งรีเซปชั่นว่ามาพบแขก (แน่นอนว่าเฉินเชว่ใช้ชื่อปลอม) พนักงานโทรเข้าห้องเพื่อแจ้ง พอบอกว่าอนุญาต ทิวาก็ขึ้นลิฟต์ไป ระหว่างชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเขากลับรู้สึกตกต่ำหดหู่ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าแผนที่เตรียมมาจะได้ผลแค่ไหน

เขากลัว...ไม่ใช่กลัวตาย

แต่กลัวอย่างอื่น

“มาไวจัง”

เจ้าของห้องเปิดประตูโผล่หน้าเสี้ยวหนึ่งให้เห็นเมื่อได้ยินเสียงกดออดหน้าห้อง ทิวาถอยไปข้างหลังครึ่งก้าวโดยอัตโนมัติตามสัญชาติญาณไม่ไว้ใจ

“ไม่ต้องกลัว ที่นี่เขตปลอดอาวุธ”

ผู้อยู่หลังประตูยิ้มยียวน เปิดประตูกว้างขึ้นพร้อมกับการผายมือเชิญ ทิวาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวเข้าไป สำหรับเขามันคือห้องเชือดชัดๆ แต่ก็ข่มใจตัวเองว่าไม่เป็นไร เขาสั่ง (เสีย) แสงเทียนไว้แล้วว่าถ้าไม่ติดต่อกลับภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้โทรเรียกตำรวจได้เลย คงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่

ไม่อยากเชื่อว่าจะต้องพึ่งพาคนที่ได้ชื่อว่ามือที่สาม คนที่แย่งความรักของเขาไป แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากแสงเทียนว่าทำอะไรเพื่อช่วยโจรอู๋ไปบ้าง นักสืบก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเขาไม่มีทางใจกล้าบ้าบิ่นสิ้นคิดทำแบบเดียวกันได้ แสงเทียนทุ่มเทสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงิน คือชีวิตและหัวใจ ทิวาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมโจรอู๋ถึงเลือกคนๆ นี้...ถึงจะทำใจยอมรับยากก็เถอะ

เฉินเชว่ใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว หัวยุ่งฟู แลดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน แต่กลิ่นโลชั่นกับอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ทำให้นักสืบรู้ว่ามันอาบน้ำแล้ว แต่เพิ่งเอากับใครมาสดๆ ร้อนๆ จนยับยุ่งรุงรังต่างหาก

“ถ้ามาขัดจังหวะก็น่าจะบอกกันก่อน จะได้ไม่กวน” ผู้มาเยือนเอ่ย

“ไม่ๆ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าวาทั้งนั้น”

เอาละ...มันเอาละ

“นึกว่ากลับจีนแล้วซะอีก” นักสืบว่า

“เปล่า นั่นลูกน้อง ให้สวมรอยแทน เผื่อตำรวจเปลี่ยนใจออกหมายจับ เฮียจะได้ไม่ซวย กะรอเรื่องเงียบแล้วค่อยกลับ”

“เลวจริง” ทิวาส่ายหน้าเพลียๆ “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ไม่อยากเสียเวลา กูอยากให้มึง...”

“อ๊ะๆๆ ไม่เอาสิ กูมึงอะไรไม่น่ารักเลย” เจ้าของห้องยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากแบบกวนๆ ทำเอาทิวาควันออกหู

“อย่ามากวนตีนได้มั้ย เวลามีน้อย”

“แหม เห็นเฮียเป็นบ่อขยะรึไง อยู่ด้วยแป๊บเดียวทำเป็นรังเกียจอยากหนี ทีกับไอ้คนที่ทำหนูเจ็บช้ำปางตายนี่มีเวลาให้ทั้งชีวิตเลยนะ”

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” ทิวาตวาด ทั้งโกรธและอาย

อีกฝ่ายยิ้มไม่รู้สึกรู้สา เหมือนคำด่าคือคำชม

“เฮียเสียใจที่วาเปลี่ยนไปขนาดนี้ จากที่เมื่อก่อนเรียกเฮียจ๋าๆ วิ่งตามแจ ตอนนี้กลายเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคาย คิดแล้วก็เศร้า เพราะไอ้มี่คนเดียวเลย”

“หุบปากซะที พล่ามอะไรอยู่ได้น่ารำคาญ ถ้าไม่เข้าเรื่องจะกลับแล้วนะ” ทิวายื่นคำขาด เฉินเชว่จึงเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง

“แหม แค่อยากย้อนความหลังนิดหน่อยเอง”

“กูไม่อยาก”

“กูมันระคายหูอ่ะ หนูเหมือนเดิมได้มั้ย”

“ไปตายซะ”

“โอเคๆ เข้าเรื่องครับ”

ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ ความหลังที่ไม่ต้องการรื้อฟื้น ก็คืออดีตของเขากับมัน (และโจรอู๋) ที่เติบโตมาด้วยกัน เคยเป็นความทรงจำที่ดี

เฉินเชว่แก่กว่าเขากับโจรหลายเดือนและได้เลื่อนชั้นก่อน เขาเลยนับถือมันเป็นพี่ เรียกเฮียทุกคำ แต่โจรอู๋ไม่เคยเรียกเพราะคิดว่าเกิดปีเดียวกัน ตัวโตเท่ากัน และคนเป็นน้องก็ต้องยอมอยู่ใต้คำสั่งพี่ ถูกเอาเปรียบเสมอ เลยเรียกแค่ชื่อเฉยๆ

ทิวายอมรับว่าเมื่อก่อนเขาติดเฉินเชว่มากกว่าโจรอู๋จริง เพราะเฉินเชว่ตามใจ ในขณะที่โจรอู๋ไม่ เฉินเชว่ชอบแบ่งขนมกับของเล่นให้เขา แต่โจรอู๋ชอบแย่ง โตถึงขั้นประถม-มัธยม เฉินเชว่ก็ยังโอ๋ไม่เลิก ตามติดชีวิตเขาประหนึ่งบอดี้การ์ด เพราะเขาเป็นเด็กเรียน บุคลิกเรียบร้อย พูดน้อย เข้ากับใครไม่เก่ง เลยถูกแกล้งบ่อยๆ แต่เฉินเชว่ก็ต่อยเจ้าพวกนั้นยับ ตรงข้ามกับโจรอู๋ที่คบแต่เพื่อนนักเลง เที่ยวหาเรื่องคนโน้นคนนี้ เข้าห้องปกครองบ่อยกว่าห้องเรียน เหมือนอยู่กันคนละกาแล็กซี่

แต่ความรักมันมักผีเข้าผีออก... คนดีใช่ว่าจะถูกรักเสมอไป เขารักโจรอู๋มาตลอด ทว่าโจรอู๋กลับเมิน

เหมือนที่เฉินเชว่รักเขา แต่ถูกเขาเมินนั่นแหละ

ทิวารู้สึกเศร้าและรู้สึกผิดตอนที่ตัดสินใจย้ายตามโจรอู๋มาอยู่ไทย เพราะมันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เฮียคนนี้ใจสลายและทำลายตัวเอง พอไม่มีทิวาให้คอยดูแล ก็ไม่มีเหตุผลต้องเป็นคนดีอีกต่อไป มันเริ่มกินเหล้าสูบบุหรี่เที่ยวโสเภณีจนสุดท้ายเข้าสู่วงจรมืดของพ่อเต็มตัว ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาว่าจะไม่ยุ่ง และจะทำให้พ่อเลิกให้ได้ด้วยซ้ำ

ทิวาเสียใจ... แต่ทำไงได้ เขาห่วงโจรอู๋มากกว่า รายนั้นอยู่ในช่วงติดเพื่อนเลวสุ่มเสี่ยงจะเสียคนไม่ก็เสียชีวิต คนในครอบครัวก็เอาไม่อยู่ คงมีแต่ทิวาเท่านั้นที่โจรอู๋เชื่อฟัง นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เป็นการตัดสินใจถูก เขาพาโจรผ่านพ้นช่วงวิกฤติวัยรุ่นมาได้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทิวาไม่ได้ติดต่อเฉินเชว่เลย แต่รู้ข่าวคราวเป็นระยะ แต่ละครั้งก็สร้างความหดหู่ให้ทุกที เฉินเชว่กลายเป็นปีศาจร้ายขายมนุษย์ที่คงไม่มีทางหันหลังกลับได้

ทิวาคิดว่าเฉินเชว่คงลืมเรื่องตนไปหมดแล้ว กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อหกเดือนก่อนตอนไปเจรจาให้ปล่อยตัวแม่โจรอู๋ ทิวาจึงรู้ว่ามันไม่เคยลืม สายตาที่มองเขาแทบไม่ต่างจากเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน

สายตาที่อ่อนโยน...เหมือนกับตอนนี้

“เฮียรู้ว่าหนูมาเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นหนูไม่จำเป็นต้องพูด”

“......”

“ทำไมวา เฮียไม่เข้าใจ ทั้งที่มันไม่แคร์หนูแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว หนูก็ยังทุ่มเทให้มันอยู่ได้ ตอนนี้แม่งก็มีเมียใหม่ไปแล้วด้วย เด็กกระจอกที่ไม่มีอะไรสู้วาของเฮียได้ซักนิด ทำไมยังไม่เลิกงมงายกับมันซักที”

“กูเลิกช่วยมันตั้งนานแล้ว ที่มาก็เพราะแสงเทียนขอร้อง เด็กนั่นไม่กระจอกนะ มึงไม่รู้ล่ะสิว่ามันทำคดีปลิวเพราะไปแบล็กเมล์เบื้องบนให้ยกฟ้อง”

“.....” เหวอนิดหน่อย “แล้วทำไมวาถึงต้องช่วยมัน มันก็แค่อยากให้ผัวรอดคุก ไม่เกี่ยวกับวาเลย”

“เพราะกูอยากให้เรื่องห่าเหวนี่มันจบซักทีไง” ทิวาเน้นชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์ราวกับจะกระแทกหน้าเฉินเชว่ให้หงาย “กูไม่สนหรอกว่ามันสองคนจะลงเอยกันยังไง คืนดีหรือแยกย้ายไปคนละทาง มันไม่ใช่เรื่องของกูอยู่แล้ว แต่ในฐานะที่กูเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้มาแต่แรก เป็นคนกลางระหว่างมึงกับไอ้มี่ ไม่มีใครจะจบเรื่องของมึงสองคนได้อีกแล้วถ้าไม่ใช่กู มึงเก็ทมั้ย”

คนฟังได้แต่นิ่งฟัง ตาเรียวแทบไม่กะพริบ

“เรื่องที่อาเจ็กสองคนตาย มึงก็รู้ดีว่าไม่ใช่ความผิดไอ้มี่ มีแต่ผีพวกเค้าเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง มึงกับไอ้มี่ก็ได้บทเรียนกันทั้งคู่แล้วไม่ใช่เหรอ เสี่ยงตายในโกดังมาด้วยกันนั่นน่ะ มันไม่พาดพิงถึงมึงตอนสารภาพผิดสักคำ ทั้งที่จริงมันจะพูดก็ได้ มึงจะได้ถูกจับแล้วก็โดนสาวไส้ให้ตายไปซะ แต่มันก็ไม่พูด มันยอมรับผิดคนเดียว ยังจะเอาอะไรจากมันอีก”

เฉินเชว่หน้าชา ทว่าไม่อยากยอมง่ายๆ

“วารักมัน ก็พูดเข้าข้างมันได้สิ”

“เปล่า ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว”

“งั้นก็มารักกับเฮีย แล้วเฮียจะรีเซ็ททุกอย่างให้เป็นศูนย์”

“เดี๋ยว มันเกี่ยวกันตรงไหน”

“วาก็รู้ดีว่าเฮียคิดยังไง”

“.....”

นักสืบถึงกับสะอึก เสียววูบวาบในช่องท้องเหมือนกระแสไฟเคลื่อนที่ เขาคิดว่ามันจะไม่แตะต้องเรื่องนี้แล้วซะอีก ก็ผ่านมาแล้วตั้งเจ็ดปี อีกอย่างมันก็ฟันชะนีมาแล้วนับไม่ถ้วน...

“งงใช่มั้ย ความจริงเฮียไม่เคยลืมวา เป็นไปได้ก็อยากย้อนเวลา ไปเป็นคนดีคนเดิมของวาเสมอแหละ แต่ก็อย่างที่เห็น เฮียมาไกลมาก มันละอายใจที่จะเจอหน้าวาในสถานะนี้”

นักสืบรู้สึกมึนงง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดว่าจะได้ยิน

“มึงแคร์ความรู้สึกกูด้วยเหรอ”

“แคร์สิ แต่มันเลี่ยงไม่ได้ วงการนี้ก็เหมือนบ่อโคลนดูด พลาดก้าวลงไปเมื่อไหร่ก็มีแต่จะถูกดูดจมลึก หรือต่อให้ขึ้นมาได้ก็แต่คราบสกปรก”

“ก็รู้ตัวนี่ แล้วจะทำตั้งแต่แรกทำไมล่ะ”

“วาก็ลองถามตัวเองดู ว่าทำไมทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแย่ แต่ก็ยังฝืนทำ...ทำอยู่ได้ตั้งนานหลายปี วาหน้ามืดตามัวกับไอ้เหี้ยมี่แบบไหน เฮียก็หน้ามืดตามัวแบบเดียวกันนั่นแหละ”

“อย่ามาเทียบกับกู กูไม่เคยบอกให้มึงทำเรื่องชั่วๆ พรรค์นั้น” นักสืบตอกกลับฉุนเฉียว ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าด้วยโทสะและละอาย เกลียดคำพูดแรงๆ ของมัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทงใจดำที่สุด

“ความน่ากลัวของบาปคืออะไรรู้ไหม? คือมันทำให้เรารู้สึกดี จนเราเสพติด กลายเป็นความเคยชิน และไม่คิดว่ามันคือบาปไง เฮียเป็นพ่อเล้า วาก็เป็นชู้ชาวบ้าน เราตกนรกด้วยกันทั้งคู่”

“พอได้แล้ว!”

ทิวาตวาดลั่น ตัวสั่นหน้าแดงก่ำและร้อนรุ่ม รู้สึกราวกับโดนจับแก้ผ้าเผาประจานกลางสี่แยก ทั้งโกรธทั้งอาย เขาคิดผิดแล้วที่มาหามัน ไม่มีประโยชน์แถมยังมีแต่เสียหาย

“ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ แต่เฮียไม่อยากให้วาชี้หน้าด่าอย่างเดียว เราทั้งคู่ต่างมีเหตุผล ทุกคนมีเหตุผล เฮียเข้าใจวา วาก็ต้องเข้าใจเฮีย”

“กูว่าธุระเราจบแค่นี้” นักสืบตัดบทและหันหลังให้ ก่อนที่เขาจะเสียน้ำตาและเสียฟอร์มต่อหน้ามัน

แต่เฉินเชว่จับแขนไว้

“ถ้าวารับรักเฮีย เฮียจะปล่อยแม่ไอ้มี่”

“...”

ทิวาเบิกตากว้าง ตกใจมากกว่าดีใจ คราวก่อนที่มันยังดื้อด้านหัวชนฝาจะเอาชีวิตโจรอู๋กับแม่ให้ได้อยู่เลยแท้ๆ หรือมันจะเสียสติไปแล้ว?

“ทำไม?”

“วาคิดว่าคนในวงการนี้จะอายุยืนแค่ไหนกัน? ส่วนใหญ่ตายก่อนแก่ทั้งนั้น เฮียโคตรเหนื่อยที่ต้องหายใจบนความเป็นความตายตลอดเวลา เหนื่อยที่จะต้องสู้กับตำรวจกับมาเฟียด้วยกันเอง เหนื่อยที่ต้องคิดอุบายเอาตัวรอดสารพัด เหนื่อยกับทุกอย่าง”

“....ตอแหลป้ะ” ไม่วายจับผิด

“เฮียจะได้อะไรจากการตอแหล ในเมื่อทุกอย่างที่เฮียต้องการอยู่ในกำมืออยู่แล้ว”

“ไม่รู้สิ มึงเปลี่ยนใจง่ายเกินไป จนเชื่อยาก”

มาเฟียถอนหายใจ สีหน้าทั้งขำและหน่าย “สั้นๆ ก็คือเฮียหมดสนุกที่จะทรมานไอ้มี่เล่นแล้วไง”

“นั่นแหละยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่เลย” ทิวานิ่วหน้า “มึงไล่ฆ่ามันตั้งกี่ครั้งๆ วันนี้มาบอกจะหยุด ใครจะเชื่อ”

“วานี่...เห็นเฮียเป็นคนไร้หัวใจรึไง”

“เออ”

“จริงๆ คิดมาพักใหญ่แล้วล่ะ ยิ่งพอได้ผ่านเหตุการณ์เวรตะไลในโกดังมากับไอ้มี่ก็ยิ่งคิดได้”

“สำนึกบุญคุณใครเป็นด้วยเหรอ”

“วา...” ลากเสียงยาวอย่างละเหี่ยใจ “เฮียแค่อยากใช้ชีวิตสงบๆ แบบไม่ต้องวิ่งหลบกระสุนปืนทุกวัน อยากรักใครสักคนเหมือนที่ไอ้มี่รักแฟนมัน แล้วก็มาถามตัวเองว่าที่ผ่านมา ทำไมเฮียไม่เคยมีความรักจริงๆ จังๆ สักที...เพราะอะไร เพราะเงาของวาไม่เคยหายไปจากเฮียเลยไง”

“.....”

“เฮียเป็นคนเลว ใช่ ไม่ปฏิเสธ แต่เชื่อสิ แม้แต่คนเลวที่สุดก็อยากเป็นคนดีขึ้นเพื่อคนที่เขารัก การที่วาติดต่อมา ทำให้เฮียเปลี่ยนใจ เพราะวาคนเดียวเลย ทั้งหมดนี่คือความจริง ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

ทิวาไม่เข้าใจว่าทำไมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวกะทันหัน

“โอเค เข้าใจแล้ว”

นักสืบว่าแล้วถอดแจ็คเก็ตพาดเก้าอี้ ตามด้วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เฉินเชว่เบิกตาโต มองดูเนินอกขาวๆ ค่อยๆ เปิดเผยต่อหน้าอย่างตื่นตะลึง กระทั่งเรือนร่างท่อนบนเป็นอิสระจากเสื้ออย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนที่ทิวาจะเปิดเผยส่วนต่อไป มาเฟียหนุ่มก็ก้มหยิบเสื้อที่หล่นมาคลุมตัวเจ้าของพร้อมกับหัวเราะ

“เฮียว่าวากำลังเข้าใจผิด”

“ไม่อยากได้แบบนี้เหรอ” ออกจะเหวอหน่อยๆ

เฉินเชว่หัวเราะอีก “อยากสิ แต่ยังไม่ถึงเวลา”

“จะเอาไงแน่ พูดตรงๆ เลยดีกว่า”

“ดี ฟังนะ” สีหน้าทะเล้นทะลึ่งกลายเป็นขึงขัง “เฮียอยากได้วา แต่ถ้าเฮียทำตอนนี้ ก็จะกลายเป็นว่าวาใช้เรือนร่างของตัวเองแลกกับการช่วยไอ้มี่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่...ไร้เกียรติ...ทั้งเฮีย ไอ้มี่ และตัววาเองคงจะรังเกียจมากๆ”

“....”

“และถึงเฮียจะได้วา ก็ได้แค่ตัว ไม่มีอะไรน่าดีใจ เฮียไม่อยากทำกับวาเหมือนแค่โสเภณีคนหนึ่ง วาพิเศษกว่านั้น”

“.....”

นักสืบรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกะทันหัน สิ่งต่างๆ ที่ทำหัวสมองหนักอึ้งมานานราวกับถูกกระชากออกจนเหลือแต่ความเบาหวิว เป็นความเหลือเชื่อ เหนือความคาดหมาย จนทำอะไรต่อไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับสิ่งนี้

“บัดซบเอ๊ย...”

ทิวายกมือขึ้นปิดหน้า

เฉินเชว่จับไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“มานั่งทบทวนความหลังกันซักหน่อยมั้ย”

“อย่ามารุ่มร่ามนะ” ทิวาดึงมือออก มองด้วยสายตาเฉี่ยวๆ เหมือนแมวโกรธ “จะคุยอีกแค่เรื่องเดียว คือเรื่องน้าเหมย ถ้าไม่ได้ข้อสรุปจะกลับแล้ว”

“โอเค โอเค” เจ้าของห้องชูสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ถ้าเฮียปล่อยเค้า วาจะรับรักเฮียใช่มั้ย”

ทิวาหน้าบึ้ง เบนสายตาไปทางอื่น “บังคับกันแบบนี้ไม่ใช่ความรักหรอก”

“ทำไมจะไม่ ไอ้มี่กับเมียมันยังรักกันได้เลย”

“เลิกพาดพิงถึงมันซักที”

“งั้นก็ถือว่าเฮียขอโอกาส วาคิดดู ถ้าวารับรักเฮีย วาก็ได้ช่วยฉุดเฮียขึ้นจากนรก ช่วยแม่ไอ้มี่ แล้วก็ไถ่บาปของวาเองด้วยนะ มีแต่ข้อดีทั้งนั้น จะปฏิเสธเหรอ?”

“โยงมั่วซั่ว”

“ตกลงเอาไง เฮียไม่ใจดีแบบนี้บ่อยๆ หรอกนะ”

ทิวาหน้าบึ้ง คิ้วขมวดมุ่นยุ่งยากใจ จริงๆ ถ้ามันจะปล่อยน้าเหมย ก็แค่โทรสั่งลูกน้องแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเขาเลย ขี้โกงแท้ๆ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เอาไว้ค่อยหาทางเลิกกับมันทีหลังก็ได้ ยังไงเป้าหมายที่จะช่วยแม่ของเพื่อนก็สำคัญที่สุด

“อืม ตกลง” ทิวาเอ่ย

มาเฟียยิ้มมุมปาก ควักโทรศัพท์ออกมากดโทร แล้วยังเปิดลำโพงให้เพื่อนร่วมห้องฟังด้วยอีกต่างหาก

“พวกมึง ปล่อยนางแล้วส่งไปที่บ้านเฮียฟง”

[ฮะ! ว่าไงนะครับเจ้านาย!?]

“กูบอกให้ปล่อยนาง

[นางนี่น้องๆ หรือป้าคนนั้นครับ]

“ป้าสิโว้ย โง่จริง ถ้ามึงถามอีกรอบกูจะบินไปยิงหูมึงทิ้ง!”

[รับคราบครับ!]

บทสนทนาจบลงภายในไม่ถึงนาที ทิวาอ้าปากหวอมองหน้าเฉินเชว่เหมือนไม่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่เขาร้องขอนักหนาในตอนนั้น ตอนนี้มันกลับทำได้ง่ายๆ แค่นี้เนี้ยนะ? คงไม่แปลกถ้าเขารู้สึก ‘ขาดทุน’ กับสิ่งที่ทุ่มเทไปมากมาย ทั้งเงินทอง สมอง แรงกายแรงใจ มาวันนี้เจ้าหนี้กลับยกเลิกง่ายๆ เหมือนแค่กดปุ่มฟอร์แมต

“หรือจริงๆ มึงไม่ได้อยากฆ่าน้าเหมยอยู่แล้ว” นักสืบสงสัย

มาเฟียยักไหล่ “ก็ไม่รู้สินะ”

สิบห้านาทีต่อมา ฝ่ายโน้นโทรกลับมาอัพเดต เฉินเชว่คุยสั้นๆ แล้วส่งมือถือให้ทิวา “ทักทายเค้าหน่อยสิ”

นักสืบงงไปหมด แต่ก็รับมา “ฮัลโหล”

[วา...วาเหรอลูก]

“...น้าเหมย”

เขาขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ตัวเย็นเฉียบเหมือนจมลงผืนน้ำใต้แผ่นน้ำแข็ง มือไม้สั่นแทบทำโทรศัพท์หล่น ริมฝีปากชะงักค้างกรามแข็ง ค้างอยู่อย่างนั้นหลายวินาที ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด

“วาสบายดีไหมลูก เจอมี่บ้างไหม”

“....” นักสืบตอบไม่ได้ เพราะลำคอตีบตัน กำลังจะร้องไห้

[ได้ยินว่าหนูช่วยมี่สุดตัวเลย น้าดีใจมาก มี่โชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนแบบหนู ที่มาวันนี้ก็ด้วยใช่มั้ย? ขอบคุณมากนะลูก ชาตินี้น้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณหนูยังไงถึงจะพอ]

“ไม่เป็นไรครับ” ทิวากลั่นเสียงอันสั่นไหวออกมา “ทุกอย่างจบแล้ว ไม่มีความแค้น ไม่มีบุญคุณ ทุกคนเป็นอิสระแล้วครับ”

[จ้ะ] ปลายสายเอ่ยสั้นๆ หากน้ำเสียงมีแต่ความปลาบปลื้มเอ่อล้น [แล้วเจอกันนะจ๊ะ น้าถึงบ้านเฮียแล้วล่ะ]

“...ครับ”

วางสายปุ๊บ ก็เข่าทรุดลงกับพื้น ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนเฉินเชว่ต้องลงมากอดปลอบ

“อะไรวา ร้องไห้ทำไม เฮียก็ทำตามที่พูดแล้วไง”

ทิวาส่ายหัวไม่ตอบ แต่กอดเฉินเชว่แน่นและร้องไห้เหมือนไม่เคยร้องมาก่อนในชีวิต ที่จริงคือเขาดีใจ...ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก และก็โล่งใจมากๆ ถึงขนาดถ้าตายก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว หน้าที่ของเขาเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ โซ่ตรวนที่ผูกล่ามน้าเหมยหลุด โซ่ตรวนที่พันธนาการเขาไว้กับอาร์มี่ก็เช่นกัน จากนี้ไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป

ทุกคนเป็นอิสระ

“ไหวมั้ยเนี่ย”

เฉินเชว่เริ่มไม่สบายใจเมื่อทิวาร้องไห้ไม่หยุด กระทั่งหลายนาทีผ่านไปอาการจึงค่อยผ่อนคลายลง เงยหน้ามองเฉินเชว่ด้วยดวงตาบวมเป่งเปียกชื้น พูดด้วยเสียงแหบพร่า

“ขอบคุณนะ”

คนฟังยิ้ม “เปลี่ยนเป็นหอมแก้มแทนได้มั้ย”

“....”

“....”

แทนที่จะโดนต่อยหรือมองค้อนอย่างที่คิด กลับถูกจู่โจมด้วยจุมพิตนุ่มนวลแทน ทีแรกคนโดนจูบอึ้ง ตัวแข็งทื่อกลายเป็นเสาหิน แต่พอถูกเร้าด้วยจูบซ้ำพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างเบาๆ สติสัมปชัญญะและความอดทนก็ขาดผึงทันใด จับท้ายทอยอีกฝ่ายแล้วกดริมฝีปากบด้วยอย่างร้อนแรง ทำเอาทิวาอ่อนระทวยละลายราบลงกับพื้น อีกคนได้ทีขึ้นคร่อม สองมือล้วงรุกล้ำสัมผัสผิวขาวเนียนอย่างห้ามใจไม่ไหว

เหมือนจะเป็นรอง แต่ทิวาผลักอีกฝ่ายออกแล้วพลิกตัวมาอยู่เหนือ ดึงกางเกงทั้งนอกและในของรุ่นพี่ลงพร้อมกัน เห็นอย่างนั้นเฉินเชว่ก็ตาลุกวาว ตามด้วยทิวาโน้มตัวลงมานอนทับ จูบหูและซอกคออย่างยั่วยวนยั่วเย้าจนเขาสยิวไปทั่งร่าง บีบบั้นท้ายแน่นตึงของคนข้างบนขณะที่ส่วนกลางของร่างกายแข็งตั้งสั่นระริกเต็มที่

ทั้งคู่จูบแลกลิ้นเร่าร้อนพร้อมกับทิวาที่ลูบไล้ตามจุดไวต่อสัมผัสของอีกฝ่าย ทำเอาเฉินเชว่เกือบเสียการควบคุมตัวเอง รู้สึกอายหน่อยๆ ที่เสือผู้ผ่านเหยื่อร้อยเอ็ดเจ็ดมณฑลกลับสู้แมวแสนกลตัวนี้ไม่ได้...แต่ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่เขาสมยอมเองนั่นแหละ

เล้าโลมจนได้ที่ก็ถอยร่นลงไปอมก่อนที่อีกฝ่ายจะมีปากมีเสียง มาเฟียหนุ่มครางยาว กลายเป็นผู้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์ แต่เขาก็พอใจ สมเป็นทิวาจริงๆ รู้ว่าเขายอมก็เล่นซะไม่ปราณีเลย

“โอ้ ที่รัก ดีมากเลยครับ”

ส่งถึงฝั่งภายในสามนาที วิเศษเหลือเกิน... แต่ฝันที่จะร่วมรักก็ต้องสลายกลางอากาศ เมื่อทิวาผละริมฝีปากและเรือนร่างออกไป

“มีอะไรเหรอ?” ถามเหวอๆ

นักสืบลุกขึ้นยืนและถุยน้ำสีขาวขุ่นทิ้ง เอาแขนเสื้อเช็ดปาก

“ไปปิดโรงงานค้ามนุษย์กับซ่องก่อนค่อยว่ากัน”   

“.....”

“ไม่อยากเป็นเมียโจร”

“.......”

พูดแค่นั้นแล้วก็เลียขนให้เข้าที่เข้าทาง สะบัดหางเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เฉินเชว่นอนมองเพดานอยู่นานสองนาน






///

จริงๆ อยากเขียนพาร์ทอดีตมากเลย

เพราะมาตัดจบให้คู่กันแบบนี้ดูง่ายไปหน่อย 555

แต่เดี๋ยวมันจะยาว และอาจออกนอกเรื่องไป

ขอเก็บไว้ใส่ตอนรีไรท์ ไม่ก็ในสเปเชียลแทนละกันนะคะ


ปล. ตอนหน้าจบแล้ววววว
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-06-2019 18:48:49
ว๊าว ต่างคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ฝังใจกันมา วาตอนที่โจรอู๋ทิ้ง เราก็สงสารเหมือนกันนะ
ว่าทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรัก แต่ก็ไม่ได้สมใจ พอมารู้ว่าอีกคนก็มาตามรัก แต่ทิวาไม่สนใจของอย่างนี้ห้ามไม่ได้นะ
สับสน สับสน แต่ก็ดีใจที่เรื่องผ่านไปด้วยดีนะ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 23-06-2019 20:12:05
จบที่ยังไม่จบช่ายม้ายยย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-06-2019 20:22:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 23-06-2019 21:11:29
ทิวาร้ายกว่ามาเฟีย สมหวังทุกคู่
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.38 ก่อนม่านจะปิด [23/06/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-06-2019 01:22:34
ทิวานี่มันแมวเจ้าเล่ห์ชัดๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 02-07-2019 17:26:09


40
เมียโจร forever



ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา
   
ผมรู้สึกเหมือนมีสารพิษก่อตัวในร่างกายเมื่อกลับมาเหยียบสถานที่นี้อีกครั้ง พิษที่ว่ามันตกค้างอยู่นานแล้ว นับแต่ที่เรามีปากเสียงกัน
   
ไม่ได้จะมาคืนดี แต่มาเพื่อทำให้เรื่องจบสมบูรณ์ ผมจะขนข้าวของทุกอย่างไปอยู่หอใหม่ มากับรถกระบะรับจ้างพร้อมผู้ช่วยขนของสองคน รวมคนขับ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง เผื่อเฟลมเล่นไม่ซื่อ ยื้อผมไว้ หรือทำร้ายร่างกาย หรืออื่นๆ ก็อนุญาตให้พี่ๆ ทั้งสองรุมเขาได้

แหะ...พูดเว่อร์ไปงั้น คงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าที่ผ่านมาหรอก
   
ผมเข้ามาในหอด้วยกุญแจสำรอง พี่ยามดูตกใจผสมงงๆ คงเพราะเห็นข่าวผม และไม่คิดว่าจะกลับมาแล้วมั้ง ก็ถือว่าคิดถูกเพราะนี่คือครั้งสุดท้าย
   
ขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกับพี่หน้าโหดสองคนที่ประกบหลังฝั่งซ้ายขวาประหนึ่งบอดี้การ์ด ตรงไปยังห้องที่คุ้นเคย
   
ถามว่าทำไมต้องมาขนของออกดึกๆ ดื่นๆ ดูมีลับลมคมใน คำตอบก็คือวันนี้เฟลมมีทำงานกะดึก เข้าตั้งแต่ห้าโมง เลิกเที่ยงคืน ส่วนวันอื่นๆ ผมไม่ว่างจะมา เพราะก็ต้องกลับไปเรียนเต็มตัวเหมือนกัน

แปลว่าเวลานี้เขาจะไม่อยู่ห้อง เป็นโอกาสดีที่ผมจะมาเก็บกวาดข้าวของและจบเรื่องของเราโดยสมบูรณ์... เว้นแต่ว่าเขาไม่ไปทำงานอ่ะนะ

โชคร้ายที่เป็นเช่นนั้น

ประตูหน้าห้องมีรองเท้าสองคู่เคียงกัน คู่หนึ่งนั้นเป็นรองเท้าเธอ ฉันจำได้ดี (กรุณาอย่าใส่ทำนอง) อีกคู่เป็นรองเท้าหนังสไตล์ทางการที่ไม่ใช่เฟลมเลยสักนิด ผมหยิบขึ้นมาดู ใหญ่กว่าเขาหนึ่งไซส์
   
จ้า...พาแฟนใหม่เข้าห้องจ้า

สงสารตุ๊กตาหมีพูห์ลูกกูจริงๆ ที่ต้องนั่งดูฉากอย่างว่าของมันสองคน ให้กูขนของออกก่อนก็ไม่ได้!
   
“ทำไมไม่เคาะอ่ะน้อง” พี่หน้าโหดคนหนึ่งถาม
   
“ไม่อยากเจอหน้าแฟนเก่าอ่ะพี่” ผมบอก
   
“โห่ ปัญญาอ่อน ให้พวกพี่เข้าแทนเลยมะ” อีกคนบอก
   
“โน้ววว์ เดี๋ยวเขาแจ้งตำรวจพอดี” เพราะพวกพี่แม่งหน้าเหมือนโจรมากกว่าโจรแท้ๆ อีก “เอางี้นะครับ พี่ๆ ออกไปรอตรงระเบียงก่อน ถ้าผมเข้าไปแล้วไม่มีปัญหา เราค่อยขน แต่ถ้าไม่เวิร์ค เราจะกลับ”
   
“โอเค” พวกเขาตอบรับและเดินไปที่ระเบียงอย่างไม่ซีเรียส เพราะไงๆ ผมก็จ่ายเงินไปแล้ว
   
เอาล่ะ ทีนี้ก็อยู่ที่เรา... ผมเอาหูแนบประตู รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจรเลยอ่ะ พี่ยามข้างล่างเค้าจะดูกล้องอยู่แล้วคิดว่าผมมาปล้นห้องตัวเองเอาของไปให้ผัวโจรคนใหม่ป่ะวะ? เป็นผมๆ คิดนะเนี่ย
   
ได้ยินเสียงบานเลื่อนประตูดังครืดต่ำๆ แสดงว่าเลื่อนปิด (ถ้าเลื่อนเปิดจะดังแหลม) แปลว่าเฟลมอยู่ฝั่งในห้องนอน ถ้าผมเปิดประตูเข้าไปเขาก็คงไม่รับรู้
   
ผมเลยเปิด
   
ห้องมืดสลัว มีแสงจากถนนส่องลอดมูลี่เข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมมองสภาพห้องได้ลางๆ ทุกอย่างแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกับตอนที่ผมอยู่ ถ้าไม่เพราะเฟลมเปลี่ยนมาขยันทำความสะอาด ก็คือเขาไม่ทำ ไม่ใช้ ไม่ยุ่งกับของเหี้ยไรเลย
   
มุมที่รกมีแต่โต๊ะทำงานที่หนังสือกับชีทเรียนกองสุม เหนื่อยหน่อยนะหนุ่ม ต้องไล่ตามเพื่อนให้ทันอ่ะ แล้วก็ตะกร้าเสื้อผ้าที่สูงซะจนนึกว่ากองผ้าตลาดโรงเกลือ ดูท่าจุดไฟเผาไปเลยน่าจะง่ายกว่าซัก
   
แต่เอ๊ะ เดี๋ยวนะ
   
เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลนั่นมันอะไรเอ่ย
   
ดูเผินๆ ไม่มีสิ่งแปลกปลอม แต่เสื้อตัวนี้ที่มันดันมีเครื่องหมายติดอยู่เนี่ยสิมันกระแทกตาผม หยิบขึ้นมาส่องไฟมือถือดู ก็บอกไม่ถูกว่าอึ้ง โกรธ เสียใจ หรือโล่งใจดี
   

‘ร้อยตำรวจโท หริรักษ์ ป้องปกเกียรติ’   

   
โอเค รับทราบ ขอบคุณนะครับหมวดที่ทำหน้าที่แทนผมเป็นอย่างดี ซาบซึ้งจริงๆ
   
ผมปล่อยเสื้อสีกากีในมือลงเมื่อได้ยินเสียงเตียงอังเอี๊ยดอ๊าดมาจากโซนห้องนอนที่ปิดประตูอยู่ ลองแง้มม่านติดประตูออกนิดๆ แค่พอให้มองเห็น แต่ก็ลำบากเพราะข้างในไม่เปิดไฟเลย อืม...ปกติเฟลมชอบอยู่ที่มืดๆ นี่นะ ผมเห็นแค่เงาสองเงาซ้อนทับกันในท่านั่งกอด และก็จูบ ยากที่จะชี้ชัดว่าใครเป็นใครเพราะขนาดตัวใกล้เคียงกัน
   
โอเค
   
ผมว่าพอแค่นี้ดีกว่า ของอะไรค่อยฝากหมวดรักษ์เอาให้ก็ได้ ไหนๆ เขาก็กึ่งย้ายมาอยู่แล้วนี่
   
“ตกลงเอาไงน้อง” พี่หน้าโหดถาม เมื่อผมออกจากห้องและปิดประตูลงตามหลัง
   
“ผมเปลี่ยนใจ ไว้วันหลังละกันครับ”
   
พี่สองคนยักไหล่เหมือนคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมรู้พวกเขาไม่เดือดร้อนหรอก ดีซะอีกที่ไม่ต้องเหนื่อยขนของ แต่ได้เงินเต็มราคา เราเลยกดลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ตอนนี้เองที่มือถือผมสั่น ชื่อที่ปรากฏทำให้ผมสะดุ้งยิ่งกว่าเห็นฉากวาบหวิวเมื่อครู่ซะอีก แล้วก็ทำให้หวาดหวั่นพอกัน
   
“สวัสดีครับ”
   
[คุณแสงเทียน ผมจะบอกว่าภารกิจสำเร็จแล้วนะ ผมเคลียร์กับเฉินเชว่ได้ มันยอมปล่อยตัวแม่ไอ้มี่แล้ว]
   
“จริงเหรอ! ดีจังเลย ขอบคุณมากนะครับ เพราะคุณแท้ๆ เรื่องถึงจบลงได้ ไว้เรานัดเจอกันนะ ผมอยากตอบแทนคุณ”
   
[ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นความต้องการของผมเหมือนกัน] เสียงนักสืบฟังดูโล่งใจ แต่ก็กลายเป็นหม่นเศร้าลง [ผมมีอีกเรื่องจะบอกด้วย]
   
“ครับ”
   
[ไอ้มี่ถูกปล่อยตัวแล้ว ตอนนี้มันกำลังจะกลับจีน]
   
“เดี๋ยว กลับทำไม แม่มันก็ปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ หรือมันอยากไปเยี่ยม?”
   
[ไม่ มันจะกลับไปอยู่ถาวร]
   
“........”
   
บัดซบ เอารถสิบล้อมาชนกูให้ตายๆ ไปเถอะ

“ทำไมทิวา มันหนีอะไร”

[ไม่รู้สิ ผมยังไม่ได้คุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน ทุกอย่างฉุกละหุกไปหมด ตอนนี้มันก็กำลังเดินทางไปสนามบิน]

“เฮ้ย รีบไปไหนอ่ะ”

[ครับ ต้องรีบ มันจะบินสี่ทุ่ม]

อีกสองชั่วโมง

“สนามบินไหนคุณ”

[สุวรรณภูมิ]

เหี้ย...เดินทางจากพระรามเก้าไปสุวรรณภูมิก็ใช้เวลาสามชาติเศษ ต่อให้เหาะไปก็ไม่ทัน ไอ้โจรอู๋ไอ้คนบัดซบ มึงกะไม่ให้กูได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเลยใช่มั้ย คนใจหมา

“อ้าว เป็นไรน้อง ร้องไห้”

ผมขอไฟลท์ กล่าวขอบคุณทิวา วางสาย แล้วหันไปบอกพี่เถื่อน

“ผมจ้างพี่เพิ่ม พาผมไปสนามบินที”



....

BKK – BEI 10.00 PM : DEPARTED

ตัวหนังสือสีแดงที่บอร์ดทำเอาผมใจสลาย วิ่งไปเกาะผนังกระจก เห็นเครื่องบินลำดังกล่าวเทคออฟและพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอย่างสวยงาม ก็ถึงกับเข่าอ่อน แม้จะทำใจแล้วว่าคงไม่ทัน แต่อย่างน้อยขอแค่เห็นหน้าซักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี

โกรธว่ะ โกรธมาก มึงไม่ใช่นักโทษประหารซักหน่อยอ่ะ จะรีบหนีทำไมวะ!

ให้ตาย ผมผิดหวังมากกว่าเสียใจอีก ไม่คิดว่ามันจะใจร้ายใจดำถึงขั้นนี้ ถ้าไม่อยากเจอตัวๆ โทรมาลาซักคำก็ได้ แต่นี่แม่งไม่มีอะไรเลย ผมสงสัยจังว่าที่ผ่านมามันแค่การแสดงใช่มั้ย บอกว่ารักผมนักหนา จะไม่มีวันทิ้งกัน แต่พอผมช่วยมันพ้นคุก ช่วยแม่มันเป็นอิสระได้ แม่งก็ถีบหัวส่ง ทิ้งกันดื้อๆ

ทุเรศ! ทุเรศที่สุด! สรุปว่าผมโดนหลอกมาตลอดเลย!

“มึงรอกูก่อนไอ้เหี้ยอู๋ ไอ้สันขวาน กูจะบินไปตามหามึงถึงจีน! กูจะพาผัวใหม่ไปเย้ยมึง แล้วก็ให้เขากระทืบมึงด้วย! มึงคอยดู! ฮือออ”

ผมระเบิดน้ำตากับคำด่าที่ไม่มีวันไปถึง แต่ขอสักครั้งเถอะ ขอผมร้องไห้ให้สมกับความรักจอมปลอมบัดซบให้มันสุดๆ แล้วผมสาบาน ผมจะไม่เสียน้ำตาให้มันอีกเลยแม้แต่เศษเสี้ยว!

“ไอ้คนใจหมา! มึงไปเลย! ไปแล้วไม่ต้องกลับ! ไปตายที่ไหนก็ไป กูเกลียดมึง! เกลียดมึงงงง”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าด่าผัวเป็นบาป”

“..............!!”

“สอนไม่เคยจำเลย เอ็งนี่นะ”

“.............”

เชี่ย เสียงนี่!? ไม่จริง เป็นไปได้ไง

ผมหันขวับไปมองข้างหลัง แล้วก็แทบหงายหลังล้มเมื่อเห็นหน้ามัน ไอ้โจรเหี้ยจริงๆ ด้วย มันตัดผมโกนหนวดสลัดคราบโจรกลายเป็นนายแบบโคตรพ่อโคตรแม่หล่อ จนแอร์โฮสเตสสาวๆ หลายคนที่เดินผ่านมองตามจนขาแทบขวิดคอแทบเคล็ด มันแต่งตัวด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ปราศจากสัมภาระใดๆ แบบที่คนเดินทางควรเป็น

“ทำไมมึงไม่ไป” ผมถามเสียงสั่น

“ไม่ได้จะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” มันยิ้มให้ พร้อมกับอ้าแขนออก “คิดถึงจัง มากอดเร็ว”

ผมจึงวิ่งเข้าไปหาและชูมือขึ้น

ผัวะ!!!

ชกแม่งปากแตก

“โอ๊ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย ชกกันทำไม!” มันร้องโวยวาย กุมหน้าอันหล่อเหลาอย่างเจ็บปวด

“แกล้งกูหรอ! สนุกมากใช่ป้ะ!”

น้ำตาผมไหลมากขึ้นอีก เอาจริงก็ดีใจที่มันยังอยู่ แต่ความโกรธเยอะกว่าจนบดบังมิดเลย เล่นอะไรโคตรไม่เข้าท่า!

โจรรวบตัวผมไปกอด จูบซ้ำๆ อย่างหนักแน่นทั่วหน้า ส่วนผมทุบๆๆๆ หลังมันเหมือนคนบ้า จนกระทั่งเหนื่อยและปล่อยตัวนิ่งๆ แต่ยังคงร้องไห้อยู่

“ขอโทษ ไม่คิดว่าจะเป็นเอามากขนาดนี้” มันว่า

“กูรักมึงนะ อยากให้มึงอยู่ด้วยกัน แต่มึงบอกจะไป ใครจะไม่เสียใจบ้าง”

มันยิ้มชอบใจ “จริงๆ ต้องโทษวาต่างหาก เขาเป็นคนคิด”

“ถามจริง?”

“อือ แก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ ที่โดนเอ็งแย่งข้า”

ผมเลยสบถคำด่าหยาบลั่น ทำกันแสบมากนักสืบ!

โจรคลายกอด มองหน้าผม สีหน้าเปลี่ยนจากกวนตีนเป็นจริงจัง

“ขอบคุณมากที่เอ็งช่วยข้าจนพ้นคุก คิดไม่ถึงเลยว่าน่ารักเหมือนลูกหมาแบบนี้จะใจเด็ดเป็นบ้า ตอนฟังวาเล่าวีรกรรมของเอ็ง ข้าทึ่งมาก แล้วก็เป็นห่วงมาก ถ้าโดนพวกคุณหญิงคุณนายหรือไอ้ลุงเล่นงานแทนจะเป็นยังไงเนี่ย”

“กูไม่กลัวหรอก” ผมจับมือมัน “กูห่วงแค่มึงคนเดียว”

แววตามันสั่นระริก ก่อนจะสวมกอดผมอีกครั้ง คราวนี้แนบแน่นกว่าเดิม ผมรับรู้ได้ถึงพลังเชิงบวกที่มันถ่ายทอดมาให้อย่างเต็มล้น ทั้งความรัก ความขอบคุณ ความปลาบปลื้ม หลั่งไหลเข้าสู่ตัวผมจนหัวใจที่รุ่มร้อนก่อนหน้านี้นิ่งสงบ ผมรักที่จะอยู่แบบนี้ ปรารถนาที่จะอยู่นานๆ และจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะขาดมันไปได้ยังไง

“ขอบคุณนะ...ขอบคุณมาก จากนี้ไปถึงเวลาที่ข้าจะทำเพื่อเอ็งบ้างแล้ว มาเริ่มใหม่ด้วยกันนะ”

“อื้อ”

“ข้ารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้ามีเอ็ง ข้าก็ไม่กลัว”

“อื้อ”

“ย้ายไปอยู่สลัมกัน”

“เห้ย!!!”

“ล้อเล่น อยู่บ้านสิ”
   
โจรเช็ดน้ำตาให้ผม ผมเช็ดเลือดให้มัน ก่อนจะจับมือกันเดินผ่านฝูงชนมหาศาลแห่งสุวรรณภูมิ ไปสู่บ้านเก่าย่านเยาวราช ที่ซึ่งชีวิตใหม่ของเราจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้
   
แม้เรื่องราวของผมกับมันจะเริ่มต้นด้วยความผิดพลาด ระหว่างทางก็เจอแต่ความขรุขระ ทุลักทุเล เกือบล่มกลางคันหลายต่อหลายรอบ แต่ผมก็ดีใจที่เราผ่านมาได้ และรู้แก่ใจว่ามันคงไม่ยากเท่าบททดสอบที่รออยู่ข้างหน้า
   
แต่ไม่ว่ายังไง ผมจะไม่ถอดใจเด็ดขาด
   
ไม่มีทาง
   
สาบานด้วยเกียรติของเมียโจรเลย




THE END




////

จบแล้นนนนนนน

ที่มาลงช้า คือใจหายค่ะ ยังไม่อยากให้จบ 555

อาจจะสั้นไปหน่อย เดี๋ยวมาลงสเปเชียลตอนหน้าให้อีก 1 ตอนนะคะ

เผื่อใครค้าง ทั้งคู่พระนาย แล้วก็คู่อื่นๆ (นิดหน่อย) แฮร่

ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้

เพิ่งลงที่นี่ครั้งแรก ได้ผลตอบรับเท่านี้ก็ดีใจมากแล้วค่ะ

มันอาจไม่ใช่นิยายที่สมบูรณ์ แต่เราก็ดีใจค่ะที่ได้เขียนออกมาจนจบ

ขอบคุณที่ร่วมเดินทางอย่างทุลักทุเลมาด้วยกันค่ะ 555

รักนะ <3 <3


แบล็กแมมบ้า

2/7/19
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-07-2019 19:12:21
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-07-2019 19:47:30
เริ่มต้นใหม่กีนสักที
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-07-2019 22:36:59

คู่เฟลมกับหมวดรักษอยากรู้ใครผัวใครเมียหรือสลับบทบาทบางเวลา
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-07-2019 00:13:51
จบแล้ว มีความสุข ถึงจะบ้าๆ บวมๆ แต่พระนาย น่าตาดีมาก ทั้งคู่ ส่วนหมวดกะเฟลม ผลัดกันเนอะ และคู่อื่นๆ ก็ขอให้มีความสุขมากๆ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 15-07-2019 01:07:59
ทำไมเรื่องนี้ถึงทำเราชอบเรื่องทั้งหมดเลยก็ไม่รู้ถึงจะมีฉากแบบนอกใจก็ไม่ตะขิดตะขวงใจให้รู้สึกเฟลเพราะว่าเนื้อเรื่องมันสนุกมาก ชอบทุกคู่เลยด้วย รอตอนพิเศษนะคนเขียน ขอบคุณมากที่แต่งนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-07-2019 19:59:36
จบแล้ววววววววว
สนุกมากเลย ลงเอยด้วยดีทุกคู่
ชอบทุกคู่ น่ารักทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 23-07-2019 20:23:36
แหมมมมมมมมมมมมมมมม อิโจรซึน!!!!
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 23-07-2019 22:25:15
ชอบทุกคู่เลยอะ 555555
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 25-07-2019 00:56:45
แอบสงสารคุณพัชรนะ เคฟต้องชดเชยให้ด้วยเน้อ
 o18 o18
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 25-07-2019 10:07:17
555 ขำหลายตอนเลย
ชอบเทียนนะ สู้คนดี ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
เบย์ก็น่าร้ากกก^^

บวกจ้า
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 29-07-2019 20:41:28
ลุ้นจ่น สนุกมาก ขอบคุณผู้แต่ง ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 01-08-2019 19:55:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 03-08-2019 15:13:43
น่ารักดี สนุกแล้วก็ตลกด้วย
55555 พระเอกฉลาดดี
นายเอกหัวไว ใจไว ตัวก็ไวด้วย
ชอบทุกคู่เลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 04-08-2019 22:42:50
รออ่านสเปเชียลจ้า
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-08-2019 02:36:16
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 05-08-2019 16:11:27
ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ สนุกมาก นานๆๆทีจะเจอนิยายถูกใจ ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร --------- EP.40 เมียโจร forever [END] 02/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: bankbadboy609 ที่ 07-08-2019 02:09:09
ค้างคู่หมวดกะเฟลม แล้วว คุ่เพชรกับอเล็ก มาต่ออีกสักนิด โดยเฉพาะคู่แรก อยากอ่านฉาก 18+ มากๆๆๆ :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร [end] ---- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 10-08-2019 14:43:53

SPECIAL
หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน

PART I


   
ชีวิตหลังจากวันนั้น...ไม่ง่าย
   
หลังจากเหตุการณ์วายป่วงที่สนามบิน ตอนนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว วันนั้นโจรอู๋...ไม่ใช่สิ อาร์มี่ พาผมกลับบ้านเก่าของมันที่เยาวราช แต่จะพูดให้ถูกก็คือบ้านเจ้าเคฟนั่นแหละ เพราะบ้านจริงๆ ของมันโดนขายใช้หนี้ตั้งแต่พ่อตายแล้ว มาทักทายญาติพี่น้องและเปิดตัวแฟน ทุกคนช็อกมากที่อดีตโจรกับผู้เคราะห์ร้ายกลายเป็นคนรัก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ยุ่งอะไรเรา (ถึงมีก็ไม่แคร์)

จากนั้นมันก็พักอยู่กับอาช่วงหนึ่ง ช่วยงานที่ร้านเสมือนลูกจ้าง  มันบอกรู้สึกผิดที่เมื่อก่อนเป็นเด็กมีปัญหา ทำให้ที่บ้านเดือดร้อน และรู้สึกผิดแทนพ่อที่เอาเงินครอบครัวไปผลาญกับอบายมุข ทำให้อาลำบากถึงปัจจุบัน จากนี้จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพาครอบครัวกลับไปอยู่จุดที่สบายดังเดิม ผมล่ะภูมิใจจริงๆ ที่มันคิดได้ แต่คิดว่าอา แม่ กับวิญญาณพ่อของมันคงภูมิใจกว่าล้านเท่า
   
แต่ไม่ถึงเดือน ความตั้งใจของนายอติศรก็ล่ม

ไม่ใช่ว่าไร้หนทางหาเงินนะครับ ตรงกันข้ามเลยแหละ

อานิสงส์จากการที่เคฟได้แฟนรวย ป๋าเค้าส่งเสียมันเดือนละหกหลักเน้นๆ (เหยดเข้!) สภาพความเป็นอยู่ของนักศึกษาผู้นี้จึงดีขึ้น แต่ก็ยังดื้อทำพาร์ทไทม์อยู่แหละ มันส่งให้ที่บ้านใช้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งของตัวเอง อีกส่วนยกให้พี่ชายฟรีๆ เพราะเห็นว่าพี่ยังลำบาก แถมบอกไม่ต้องทำงานให้ที่บ้านแล้ว ไปเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองดีกว่า โคตรประเสริฐเลยพ่อคู๊ณณณ
   
ด้านอดีตหัวหน้าแก๊งนั้น ละอายใจที่จะเกาะน้องกินเฉยๆ คุณเค้าเลยเอาประสบการณ์มิจฉาชีพกว่าครึ่งปีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการก่อตั้งบริษัทด้านนิรภัย (เรียกให้หรูไว้ก่อน จึงๆ ยังมีแค่ห้อง 1 พนักงาน 1 กับคอมพ์ 1 เท่านั้น) ทำเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ป้องกันการโจรกรรมครบวงจร โดยให้อเล็กซ์ช่วยดูแลด้านไอที เคฟช่วยหาลูกค้ากับโฆษณา ส่วนผมก็ช่วยเป็นกำลังใจ...แฮร่ เสียดายเพื่อนเบย์ของเราโกอินเตอร์ตามแฟนไปอเมริกาแล้ว ไม่งั้นคงเป็นทีมสมบูรณ์
   
ทุกวันมี่มันจะโทรมาเล่าความเคลื่อนไหวให้ฟังตลอด แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะตัวเองก็เรียนเยอะจนเบลอ ยิ่งปีสุดท้ายต้องฝึกงานด้วยแล้ว เรียกว่ายุ่งยังน้อยไป ใกล้ตายจะใกล้เคียงกว่า
   
เราเจอกันเฉพาะวันหยุด มันจะมานอนค้างกับผมตั้งแต่คืนวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ ใจจริงอยากมาหาทุกวันนั่นแหละ แต่ระยะทางที่ห่างกันคนละฟากเมือง เดินทางทีนึงสามชั่วโมงก็ไม่ไหว

มันงอแงอยากย้ายมาอยู่ด้วย แต่ผมไม่เอา เดี๋ยวเบื่อขี้หน้ากันก่อน ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถ้าเราเกิดมาเพื่อคู่กันจริง จะช้าจะเร็วก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี แถมอยู่ยันตาย เพราะงั้นไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนหรอก อีกอย่างผมก็เรียนหนัก มันก็ทำงานหนัก เครียดกับเครียดมาอยู่ด้วยกันคงจะพากันเครียดมากกว่า แยกกันอยู่แหละดีแล้ว 

เรื่องเพื่อนฝูง อาจารย์ สังคมรอบข้าง แรกๆ ก็เป็นห่วงผม ระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำที่เกรงจะทำให้ผมกระทบกระเทือน แต่ผมก็บอกทุกคนว่าผมสบายดี ไม่มีอะไรต้องห่วง และก็ทำตัวปกติ เหมือนช่วงเวลาที่หายตัวไปไม่เคยมีอยู่จริง ทุกคนก็ค่อยๆ ปรับตัว และทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม

แต่จะว่าเหมือนเดิมก็ไม่เชิง มันมีอยู่แล้วพวกขี้เม้าท์ ชอบนินทาชาวบ้าน ผมได้ยินคนพูดกันแว่วเข้าหูประจำเรื่องเอาโจรทำผัว บางคนถึงกับแสดงออกชัดเจนด้วยซ้ำว่ารังเกียจ... แล้วไง ผมไม่ให้ค่าคนพวกนั้นอยู่แล้ว ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับชีวิต

ที่น่าหนักใจกว่าพวกปากปลาร้า ก็คนใกล้ตัว

ครอบครัวนี่แหละ   

จนป่านนี้ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านตรงๆ เลยว่าแฟนคือโจรที่เป็นข่าวด้วยกัน มีแต่คนพูดให้พวกท่านฟัง พ่อแม่ก็ถามผมหลายครั้ง แต่ผมก็เลือกที่จะตอบเลี่ยง เพราะถ้าบอกเมื่อไหร่ บ้านแตกแน่นอน ยิ่งตอนนี้มี่มันกำลังตั้งตัว ชีวิตยังไม่มั่นคง พ่อแม่คงยิ่งไม่ชอบ อย่างน้อยถ้ามันจดทะเบียนบริษัทสำเร็จ มีบ้านหลังใหญ่ รถสวยๆ กับเงินเยอะๆ ในบัญชีไปโชว์ พวกท่านอาจลดอคติลง

น่าเกลียดเนอะ แต่ mindset พ่อแม่ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ สำหรับชาวบ้าน (นอก) ทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอัน คือหลักฐานบ่งชี้ความสำเร็จ ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นของเราจริงหรือเป็นหนี้เพื่อให้ได้มา ขอโชว์ได้หน้าไว้ก่อนเป็นกิน เมื่อก่อนตอนคบเฟลมโชคดีหน่อยเพราะเราทั้งคู่เป็นแค่นักศึกษา แต่ตอนนี้มี่ทำงานแล้ว ผมก็ฝึกงาน เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สมควรมีทรัพย์สินได้

พวกเขาคิดอย่างนี้แหละ แม้ว่าเราจะอายุแค่ยี่สิบสองก็ตาม

ข่าวร้ายฮะ...สิ้นปีนี้พ่อแม่บอกให้ผมกลับบ้าน และมันก็คืออาทิตย์หน้านี้เองจ้าาาา ตายห่ามั้ยล่ะ

วันนี้วันศุกร์ แฟนผมมานอนด้วย ก็ว่าจะคุยเรื่องนี้กับมัน เพราะมันเองก็เปรยๆ ว่าอยากเจอพ่อแม่ผมเหมือนกัน อยากขอโทษเรื่องในอดีตแล้วก็ฝากตัวเป็นเรื่องเป็นราว แต่ผมลังเลสุดๆ เนื่องจากรู้จักพ่อแม่ตัวเองดี หัวแข็งเหมือนหินยุคโบราณขนาดนั้น ผมกับมันหืดขึ้นคอแน่

“โอ๊ย...เมื่อไหร่จะรวยซักทีโว้ย อยากแต่งเมีย!”

ไอ้บ้าเปิดประตูเข้าห้องมาพร้อมกับพูดเพ้อเจ้อ ถอดรองเท้า ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วเข้ามาซ้อนหลังผมที่กำลังนั่งพิมพ์งานในคอมพ์ หอมแก้มดังฟืดเหมือนคนหื่นกาม

“ฝันไปก่อนนะ”

“ยืมเงินไอ้พวกนั้นก่อนแล้วผ่อนทีหลังดีมั้ย รักมากอยากได้ ห้าวันเจอกันที จะขาดใจตายอยู่แล้วอ่ะ” มันพูดขณะเอาหน้านัวเนียซอกคอผม มือก็ล้วงไปเรื่อย

“ตลกละ”

“มาทำกัน”

“แป๊บ ขออีกย่อหน้า”

“เทียน...อย่าใจร้ายกับมี่ ห้าวันกับระยะทางยี่สิบกิโลจากเยาวราชถึงรังสิตไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”

“เอาน่า คิดซะว่าฝึกความอดทน”

“ความอดทนที่แท้จริงคือต้องชักว่าวทุกคืนเพราะคิดถึงเธอต่างหาก”

“มี่!” ผมเอาศอกกระแทกมันจนร้องอั้ก แต่ก็ไม่ยอมคลายกอดหรอก นี่ถ้ามันสอดใส่ทะลุเบาะได้ก็คงทำไปแล้ว

ไอ้เวรกดเซฟงานก่อนชัตดาวน์ให้ผมเสร็จสรรพโดยไม่ถามกันซักคำ แล้วก็หมุนเก้าอี้ให้ผมหันหน้าไปหามัน ก่อนจะดึงตัวเข้าไปจูบเหมือนหิวกระหายหนัก แล้วก็อุ้มกันออกไป เป็นอันว่าผมหมดทางขัดขืน

เซ็กส์ของเรายังดีอยู่ และความที่ห้าวันเจอกันที ก็ทำให้ความถี่ต่อหนึ่งคืนพุ่งสูงทะลุเพดาน บางวันต่อมาแทบไม่ต้องออกไปไหน นอนตายระบมอยู่บนเตียงสถานเดียว ทำเหมือนชาตินี้จะไม่ได้ทำอีก ถึงขั้นข้างห้องเคยมาเคาะประตูด่าเพราะเอากันหนักหน่วงจนเค้านอนไม่หลับ เป็นเอามากขนาดไหนคิดดู...

จากบทเรียนและการร้องเรียน เราเลยเปลี่ยนไปทำที่อื่นแทน บนโซฟาบ้าง บนพื้นบ้าง นอกจากไม่มีเสียงเตียงกระแทกผนัง ที่นอนก็ยังไม่เปื้อนและเปียกอีกต่างหาก ทำเสร็จค่อยอาบน้ำนอนทีเดียว

คนหื่นจับผมแก้ผ้าแล้ววางลงกับพรมขนแกะนุ่มฟูบนพื้น ปกติผมก็ชอบนอนกลิ้งเล่นบนนี้อยู่แล้ว มันฟินดี เหมือนนอนบนก้อนเมฆ แล้วมันก็ทาบทับร่างลงมาโลมเล้าเคล้าคลอ ฟัดตรงซอกคอนัวเนีย

“ขาวไปหมด น่ารักมากเลย”

“อือ...”

“คนสวยของมี่ เธอน่ะนุ่มนิ่มกว่าขนแกะร้อยเท่า”

“ไอ้บ้า”

ผมแทบอยากระเบิดตัวตายด้วยความเขิน ตั้งแต่เป็นแฟนกัน ‘อย่างเป็นทางการ’ มันก็ทิ้งตัวตนเก่าไปหมดเลย ความป่าเถื่อนสมัยเป็นโจรอู๋ไม่หลงเหลือ คำหยาบรึแทบไม่หลุดจากปาก แม้แต่ข้า-เอ็งที่ใช้จนชินก็เปลี่ยนเป็นชื่อเฉยๆ หรือบางทีก็หวานจ๋าชวนจั๊กจี้ จนบางทีผมก็อยากได้โจรอู๋คนเดิมกลับมา...มันน่ารักเกินไปอ่ะ ให้ตายก็ไม่ชิน

แลกเปลี่ยนความคิดถึงกันไปเต็มที่กี่รอบนับไม่ถ้วน นายอติศรก็อุ้มผมเข้าห้องน้ำล้างตัว ก่อนจะมานอนกอดกันต่อบนเตียง แล้วก็คุยเล่นกันระหว่างรอง่วง

“ผู้ชายน่าจะท้องได้เนอะ อยากมีลูกสาว ต้องสวยเหมือนเธอแน่เลย”

“เพ้อเจ้ออีกแล้ว” ผมยิ้มขำ

“ย้ายไปแคนาดากันเถอะ จดทะเบียนสมรส แล้วทำเรื่องอุ้มบุญ”

“จริงจัง?”

“ไอ้เบย์กับผู้พันวางแผนแล้ว เราก็ทำได้ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย”

“ก่อนคิดเรื่องนั้น ผ่านด่านพ่อแม่เค้าให้ได้ก่อนมั้ย”

สีหน้าเพ้อฝันแสนสุขของมันกลายเป็นห่อเหี่ยวทันที สอดแขนใต้ร่างดึงผมไปกอดแนบอก จูบหน้าผากนุ่มนวล และค้างอยู่อย่างนั้น

“แหงอยู่แล้ว...ต้องผ่านได้แน่นอน”

ผมไม่พูดอะไรนอกจากหอมแก้มมันหนึ่งที

เอาจริงพ่อแม่ หรือลูกในมโนของมัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญในความสัมพันธ์ของเราเลย จริงอยู่ที่พ่อแม่ลูกตัดกันไม่ขาด แต่วันหนึ่งวันใดเราก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกมั้ย? สักวันเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมควรเลือกทางเดินได้เองไม่ว่าจะเรื่องงานหรือคู่ครอง

เอาจริงการมีพ่อแม่เนี่ยแหละ คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากมีลูก 

“ป่านนี้เธอรู้ยังว่าหมวดกับแฟนเก่าเธอ ใครเป็นผัวใครเป็นเมีย”

“มี่! ถามบ้าไรเนี่ย” อยู่ดีๆ ก็หักมุมอารมณ์สุดขั้วเฉย

“ก็อยากรู้”

“ไม่รู้ หมวดผัวมั้ง” ผมว่า

“แต่มี่ว่าหมวดเมีย ดูเค้ามีความยั่วแปลกๆ”

“เรื่องของเค้ามั้ยล่ะ ไม่ได้คุยกันแล้ว” ผมออกจะหงุดหงิดนิดหน่อยเพราะมันช่างเลือกหัวข้อได้ผิดที่ผิดเวลาจริงๆ เสียอารมณ์หมดเลย

“เธอน่าจะอยู่ดูต่อจนจบ”

“ทะลึ่ง” ผมตีแขนมัน “พูดถึงแต่แฟนเก่าเรา ไม่เห็นเคยเล่าเรื่องแฟนเก่าของตัวเองบ้าง เป็นใครที่ไหนถึงขั้นยอมแตกหักกับครอบครัว แล้วก็เอาเงินไปเปย์เค้าจนหมดตัว จนต้องเดือดร้อนทิวาน่ะ”

“หูย แรงอ่า... เรื่องในอดีตไม่น่าจดจำ อย่าพูดถึงเลย” มันทำหน้ามุ่ย แต่ผมก็รุกต่อ

“ใครๆ ก็มีอดีตกันทั้งนั้น บอกมาเหอะ ไม่ว่าไรหรอก”   

มันถอนหายใจ “คนนิสัยไม่ดีน่ะ ไม่อยากพูดถึง”

“ไม่ดียังไง”

“ก็... เป็นกะเทยแรดๆ”

“เฮ้ย”

“เราเปย์เขา เขาก็เอาไปเปย์ผู้ชายคนอื่นอีกที โคตรน่าเจ็บใจ วาก็เคยเตือนว่านางอันตราย แต่ก็ดื้อไม่เชื่อ สุดท้ายพอแตกกับพ่อก็โดนเขาทิ้ง ด่าควายยังสงสารควายเลย แต่ไม่เคยได้กันนะ ตอนนั้นยังเด็กอยู่”

“แสดงว่าสวยมาก หลงหัวปักหัวปำ”   

“ไม่เลย” มันเอาหน้าซุกนมผมใหญ่ “สวยสู้ติ่งหูเธอไม่ได้สักนิด”

“จ้า”

โดนกอดออดอ้อน คุยกระหนุงกระหนิงต่ออีกพักใหญ่ มันก็หลับไป ผมเลยลุกขึ้นไปปิดไฟและนอนกอดมันจนหลับตาม

จริงๆ มีกันแค่สองคนก็ดีที่สุดแล้วนะ



V
V
มาต่อให้แล้วเด้อค่ะ หายตัวนานไปหน่อย
เพราะยิ่งเขียนยิ่งยาว ไม่จบซะที 555555
มีหลายพาร์ทนะคะ จะทยอยลง ><
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 10-08-2019 15:00:10


PART II



เวลคัมโฮม

เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมกลับบ้าน และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่รู้สึกกดดันแทนที่จะผ่อนคลายเหมือนทุกที

เราเลือกกลับเครื่องบินเพราะอยากเซฟเวลา ไม่ต้องขับรถตั้งสิบสองชั่วโมง แถมหนทางก็อันตราย โค้งเยอะเหวแยะ ยิ่งมี่ไม่เคยมา ผมก็ขับรถไม่แข็ง เลยไม่อยากเสี่ยง แม้จะอยากให้พ่อแม่เห็นว่าเราก็มีรถสวยๆ ขับก็เหอะ

พ่อกับแม่มารอรับที่สนามบิน แต่กว่าจะหากันเจอก็นาน เพราะคนล้มหลามตามประสาช่วงเทศกาล พอเจอหน้ากันปุ๊บ แม่ก็โผเข้ามากอดหอมอย่างปลาบปลื้มดีใจ ส่วนพ่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“คนดีของแม่ คิดถึงที่สุดเลย แล้วนั่นพาใครมาด้วยน่ะลูก เพื่อนเหรอ หล่อเชียว” แม่คลายกอดแล้วถามถึงคนที่อยู่ข้างหลังผม

ไม่แปลกที่แม่จะจำไม่ได้ว่าหมอนี่คือคนที่เคยเป็นข่าวกับผม เพราะมันย้อมผมกลับเป็นสีดำแล้ว ไม่ใช่หัวทองแบบตอนนั้น แล้วก็แต่งตัวดีเนี้ยบกริบหัวจรดเท้า เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนรองเท้าหนัง ทั้งยังใส่แว่นสายตากรอบบาง ดูภูมิฐานมีชาติตระกูล ขัดกับลุคเก่าที่โคตรโจร

ผมหันไปสบตาแฟน มันพยักหน้าหน่อยๆ เป็นอันเข้าใจตรงกัน

“แฟนเทียนเองแม่”

แม่ร้อง ‘โอ้’ เบาๆ พร้อมกับยกมือป้องปาก ท่าทางประหลาดใจ ส่วนพ่ออมยิ้ม

“ลูกแม่นี่แน่จริงๆ นายแบบอีกแล้วใช่มั้ย”

ผมขำคิก “ไม่ใช่ฮะ คนธรรมดา”

“หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” พ่อพูด

ใจผมสั่นวูบ คิดว่ามี่เองก็เช่นกัน มันแอบจับปลายนิ้วผมและถูเบาๆ เหมือนจะบอกว่าโอเค เป็นไงเป็นกัน ผมเลยสูดลมหายใจเข้าออกแล้วบอกพ่อไปตรงๆ

“ก็คนที่เคยเป็นข่าวกับเทียนไง”

“.....”

“.....”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคำว่า ‘เดดแอร์’ แต่คงไม่ใช่แค่เดดแล้วล่ะ คือนรกเลย สีหน้าแม่เปลี่ยนจากยิ้มเป็นบึ้งกะทันหัน ปากเหยียดคว่ำ สายตาอาฆาตมาดร้ายจนเกือบแทงคนตายได้ ส่วนพ่อก็หน้าตึง ดวงตาโกรธขึ้งแบบขัดกับบุคลิกสบายๆ อย่างชัดเจน ผมมั่นใจว่าหากเราไม่ได้อยู่ในสนามบิน ไม่พ่อก็แม่ต้องพุ่งเข้ามาตบหน้าอาร์มี่ชัวร์

แม่ไม่พูดอะไรต่อ แต่มองเราสองคนด้วยหางตาแล้วเดินหนี เป็นพ่อที่เอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นฟันกระทบ บอกเราถึงสิ่งที่ควรทำ

“พ่อว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันตอนถึงบ้าน”

ผมพยักหน้า แล้วพ่อก็เดินตามแม่ไป

“เค้ากลับแท็กซี่ก็ได้นะ” แฟนกระซิบบอกผม

“ไม่ต้อง ยังไงก็เจอกันที่บ้านอยู่ดี กลับพร้อมกันนี่แหละ”

ยิ่งขึ้นรถบรรยากาศก็ยิ่งแย่ ไม่มีใครพูดกันเลย เงียบยิ่งกว่าป่าช้าจนพ่อต้องเปิดวิทยุให้เสียงเพลงมาถมเต็มความว่างเปล่าที่แสนอึดอัด ซึ่งก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็ถึงบ้าน

ผมดีใจที่เห็นลูกหยอง เจ้าโกลเด้นท์แสนรักมานั่งกระดิกหางรอหน้าประตูรั้ว มันกระโจนเข้าใส่จนผมล้ม แล้วเราก็ปล้ำกันกลางสนามหญ้าอย่างบ้าคลั่งจนเสื้อผ้าผมเลอะไปหมด มันคิดถึงผมมากพอๆ กับที่ผมคิดถึงมัน พ่อกับแม่แม้จะเครียดแต่ก็ยังแอบเห็นอมยิ้ม มองเราอย่างเอ็นดู

อาร์มี่ทำหน้าที่เด็กยกกระเป๋าลงจากรถด้วยอาการสงบเสงี่ยมเจียมตัวจนผมสงสาร รู้สึกไม่ดีเลยเวลาเห็นมันไม่เป็นตัวของตัวเอง และไม่อยากให้มันรู้สึกแย่กับครอบครัวผมด้วย ทางที่ดีเราควรคุยให้จบเร็วๆ ถ้าพ่อแม่หัวชนฝาไม่เอามัน เราจะได้แยกตัวไปพักกันสองคน ยังไงซะผมก็ตั้งใจจะอยู่แค่สามวัน จะค้างบ้านหรือค้างข้างนอกก็ไม่ต่างกัน

“หิวรึยัง? แม่ทำกับข้าวไว้รอเทียนหลายอย่างเลยจ้ะ แต่...ไม่ได้ทำเผื่อคนอื่นนะ”

เหมือนจะดี ถ้าตอนท้ายไม่พูดประชดแล้วมองอาร์มี่ด้วยหางตา ผมล่ะอายแทนท่านจริงๆ ที่ทำกิริยาแบบนั้นออกมา หน้าร้อนหน้าชาไปหมด...แย่ ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้มี่ต้องโดนค่อนแคะอีกเยอะแน่ และผมนี่แหละจะทนไม่ไหวระเบิดก่อนมัน

“เทียนยังไม่หิว เรามาคุยกันเลยดีกว่าฮะ”

แม่ถอนหายใจ พ่อกอดอก ก่อนทั้งสองจะเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นและนั่งลงที่โซฟา ผมกับอาร์มี่นั่งฝั่งตรงข้าม เป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆ ครั้งแรก พวกท่านไม่มองหน้าอาร์มี่เลย เอาแต่จ้องมาที่ผม ส่วนผมก็หน้านิ่งสงบสยบหัวใจที่ร้อนระอุ

“ไหนบอกพ่อซิ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

“ก็เหมือนที่เทียนบอกทุกคน เราวางแผนกันเอาคืนเฟลมที่เขานอกใจ แต่ไม่คิดว่ามันจะบานปลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น...พอคดีจบเราก็คบกันเป็นแฟนจริงๆ จนถึงตอนนี้”

คำพูดของผมทำให้คิ้วของพ่อย่นเข้าหากันยิ่งขึ้นอีก อาร์มี่จับมือผมใต้โต๊ะ ฝ่ามือทั้งเย็นและมีเหงื่อ ผมบีบกลับเบาๆ แทนการบอกว่าไม่ต้องกลัว พ่อไม่มีปืน

“ลูกไม่ได้ถูกลักพาตัว แต่คดีอื่นๆ ก็ยังเป็นความจริง ยังไงมันก็คือโจรวันยังค่ำ”

แม่พูดกระแทกเสียงพร้อมกับมองตาเขียวเกรี้ยวกราด วินาทีนั้น ผมเหมือนไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลย นี่ใช่คนที่เลี้ยงดูผมด้วยความรักมาทั้งชีวิต คนที่ผมคิดว่าเข้าใจผมที่สุดจริงหรือ? ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจรังชังนั่น...เหมือนกับคนแปลกหน้า

ผมเสียใจ พูดแทบไม่ออก แต่ก็ตอบอย่างใจเย็น

“คนเราทำผิดพลาดได้ แต่เทียนสาบานได้เลยว่าตอนนี้อาร์มี่เป็นคนใหม่แล้ว เขาตั้งใจทำงานมาก แล้วก็รักเทียน ดูแลเทียนดีมากแม่”

“แต่แม่ไม่ยอมรับ”

“เทียนก็ไม่ได้ขอให้ยอมรับ แค่จะให้รับรู้”

“ยังไงแม่ก็ไม่เอามัน แม่เลี้ยงลูกมาดียิ่งกว่าไข่ในหิน จะยกให้โจรอย่างมันได้ยังไง ข้ามศพไปก่อนเถอะ”

“แม่ครับ ขอร้อง คุยกันดีๆ เทียนไม่อยากทะเลาะ”

“เลิกกันซะ ถ้าไม่เลิกก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่อีก!”

ผมเกือบร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะผิดหวัง สิ่งที่แม่ทำแย่กว่าที่ผมเตรียมใจว่าจะเจอประมาณสิบเท่า ที่ผ่านมาเวลาเรามีปัญหากัน หนักแค่ไหนก็ไม่เคยเอาความสัมพันธ์มาเดิมพัน ผมเข้าใจว่าเรื่องราวของผมกับอาร์มี่ค่อนข้างเลวร้าย แต่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ใช้ชีวิตใหม่ พวกเราก็เช่นกัน

โอเค มันอาจกะทันหันเกินไป ทำให้แม่ช็อก แต่ยังไงผมว่าแม่ก็ไม่น่าแสดงออกมาแบบนี้อยู่ดี อย่างน้อยก็เห็นแก่ความเป็นครูบาอาจารย์กับ ตำแหน่งศต.ดร. ที่นำหน้าชื่อบ้าง

“ใจเย็นก่อนแม่ คุยกันด้วยเหตุผล” พ่อปราม แม้ว่าตัวเองก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไม่แพ้กัน

“แม่เสียใจมากรู้มั้ย คนดีๆ มีตั้งเยอะ ทำไมลูกถึงเลือกมัน! ไอ้โจรสารเลวนี่! หนอย...ทำเป็นแต่งตัวดูดี ที่แท้ข้างในก็ขยะ!”

คราวนี้แม่ร้องไห้และลุกขึ้นยืนชี้หน้าอาร์มี่แล้ว ผมกลัวว่าอีกสักพักท่านจะเข้ามาทำร้าย จึงเอาตัวบังแฟนไว้ข้างหลัง

“นั่นมันแค่ภาพที่สื่อรายงาน ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเขา เทียนกล้าสาบานได้ว่ามี่กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่แล้ว และที่สำคัญเรารักกันฮะแม่”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาผมแสดงออกให้แม่รู้ว่าผมหนักแน่นมากแค่ไหน คิดว่าแม่คงเห็นว่าผมเอาจริง แล้วก็ยอมรับการตัดสินใจของผมได้เหมือนทุกครั้ง

ทว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมา ทำให้ผมแทบเข่าทรุด

“เฮอะ ไปตายไหนก็ไป ไอ้ขี้คุก!”

ผมรู้ทันที การเจรจาดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคำใดต่อ

“เทียนเสียใจที่แม่ด่วนตัดสิน ทั้งที่แม่ไม่รู้จักมี่จริงๆ ด้วยซ้ำ”

ผมบีบมือคนข้างหลังแล้วพามันเดินออกมาจากห้อง แต่มันรั้งไว้ เช่นเดียวกับแม่ที่ร้อง

“ลูกจะไปไหน!”

“ไปอยู่ที่อื่น ถึงเราคุยกันต่อไปก็ไม่รู้เรื่อง ไว้แม่ใจเย็นลงค่อยคุยกันอีกทีนะฮะ”

“นี่เทียนเลือกมันมากกว่าพ่อแม่เหรอ” พ่อเอ่ยออกมาพร้อมกับแววตาร้าวราน

“เปล่าครับ เทียนไม่ได้เลือกใคร แต่เลือกความจริง สักวันเวลาจะพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นเอง”

พูดจบก็ลากอาร์มี่ออกมาโดยไม่พูดอะไรอีกเลย แฟนเห็นผมไม่ไหวแล้วก็เดินตามมาโดยดี ผมคว้ากุญแจรถอีกคัน บอกให้ขนกระเป๋าที่มันเพิ่งขนลงขึ้นไป ก่อนจะขับออกจากบ้านทั้งน้ำตา

อยากคิดว่าตัวเองหูฝาดไปจริงๆ เกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยได้ยินแม่ด่าใครแรงเท่านี้มาก่อน พูดออกมาได้ยังไงไม่เข้าใจ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า จะยังมีใครนับถือยกมือไหว้แม่เหมือนเดิมอีกไหม ผมอยากรู้

ผมไม่เถียงว่าอาร์มี่เคยติดคุก แม้จะแค่ฝากขังอาทิตย์เดียว มันเป็นคนมีมลทินจริง แต่ก็ไม่สมควรที่มัน (รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เคยถูกขัง) จะถูกตราหน้าไปตลอดชีวิตไหม? คนที่ออกมาแล้วได้รับโอกาสแก้ตัว ตั้งใจทำแต่สิ่งดี ไม่กลับไปทำชั่วอีก การตอกย้ำเขาด้วยอคติว่า 'ไอ้ขี้คุก’ นั้นไม่ยุติธรรมเลย ยิ่งทำให้เขาเสียความเคารพในตัวเอง และที่ร้ายที่สุดอาจกลับไปสู่วงจรชั่วร้ายเดิมๆ ก็ได้ เพราะเป็นคนดีไปก็เท่านั้น ไม่มีใครยอมรับอยู่ดี

“เธอโอเคนะ” มันถามหลังจากขับมาไกลพอสมควร

“ไม่เลย”

“จริงๆ เราควรอยู่ต่อ อธิบายให้พวกท่านเข้าใจ”

“มี่...แม่ด่ามี่ขนาดนั้น ไม่ฟังเทียนด้วยซ้ำ ขืนอยู่ต่อก็เหมือนราดน้ำมันใส่ไฟ มีแต่แย่กับแย่”

“....”

“เตรียมใจไว้แล้วแหละว่าพวกเขาอาจไม่ยอมรับ แต่ไม่คิดว่าจะเหยียดกันแรงขนาดนี้ เชื่อป่ะตอนที่เราสารภาพว่าชอบผู้ชาย กับตอนพาเฟลมมาเปิดตัว ยังไม่โดนโกรธถึงกับขู่ตัดแม่ตัดลูกแบบนี้เลย”

พูดแล้วก็ร้องไห้ อาร์มี่ยื่นมือมาจับบีบ

“อย่าคิดมากที่รัก พวกท่านคงช็อกน่ะ เค้าเข้าใจ ไม่โกรธด้วย”

“แต่เราไม่ชอบให้ใครว่าเธอเสียๆ หายๆ”

“ช่วยไม่ได้ ทำตัวเอง นี่แหละเวรกรรม” อาร์มี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย หรือไม่ก็ปลง “เราต้องพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็ให้เวลาพวกท่าน บางทีอะไรๆ อาจดีขึ้น”

“ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจ”

“มี่ไม่ใช่คนขี้แพ้นี่ครับ กว่าจะได้รักกับเทียนก็สู้มาตลอด หนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว แค่นี้จะยอมแพ้ได้ไง”

ผมค่อยยิ้มออก

ทันใดนั้นก็ขึ้นได้... เราไม่มีแผนสำรองว่าจะไปนอนที่ไหน

“มี่ ดูห้องพักในเว็บเร็ว ถ้าว่างก็จองสามคืนเลย”

“ใช้ของเทียนได้มั้ย ของมี่แบตหมด”

“เอาเลย”

มันเข้าเว็บ เลื่อนดูด้วยใบหน้าเครียดเคร่ง ซึ่งคุณก็คงจะเดาออก วันที่สามสิบธันวา – โรงแรม – ภาคเหนือ คีย์เวิร์ดแห่งความสิ้นหวังชัดๆ ก่อนหน้านี้เราไม่ได้จองล่วงหน้า เพราะผมดันมั่นหน้าว่าพ่อแม่น่าจะโอเค แถมราคาที่พักก็สูงที่สุดของปีด้วย เลยไม่อยากเสี่ยง

“ไม่มีเลย เต็มหมด” อาร์มี่บอก ผมไม่แปลกใจ

“งั้นคงต้องไปขอนอนบ้านเพื่อน”

“เอาจริง?”

“ดีกว่าพักบ้านญาติ อึดอัดใจไม่ต่างกัน”

ความสัมพันธ์ของผมกับญาติๆ ไม่ค่อยราบรื่นนักหรอก ปู่ย่าตายายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นเกย์ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมบอก กลัวอาย ลุงป้าน้าอาก็ออกจะยี้อีกต่างหาก ให้ไปค้างด้วยคงแย่ยิ่งกว่านอนข้างถนนอีก

ผมคิดดูว่ามีเพื่อนคนไหนที่น่าจะช่วยได้ ก็นึกออกคนหนึ่ง บอกให้มี่ไล่หาในบัญชีรายชื่อ แล้วก็โทรหา เปิดลำโพงคุย

[ฮัลโหล]

“นิวเหรอ กูเทียนเองนะ”

[เทียนไหน]

“ทั้งตำบลก็มีอยู่เทียนเดียวมั้ยล่ะ”

[อี่แสงเทียนเหรอ? อี่พาย มึงเปลี่ยนเบอร์ก๊ะ หายหัวไปไหนเมินใบ้เมินง่าว เข้ากรุงเทพไปบะเกยโทรหากูสักเตื้อ นึกว่าต๋ายไปแล้วอิ!]

“กูยังมีชีวิตอยู่จ้า แค่ไม่ได้แอคทีฟโซเชียล”

[อี่งัวลืมตี๋น สลิดอู้ไทยหาป้อมึงหยัง]

“ผัวกูฟังไม่รู้เรื่อง”

[อ๊าย! พาผัวปิ๊กบ้านตวยอี้ แฮ่นแด๊ะ เอามาหื้อกูผ่อหน้าบ่าเดี๋ยวนี้]

“ไปแน่ แต่กูขอถามมึงก่อน ที่บ้านมึงยังพอมีห้องว่างบ้างมั้ย”

คือบ้านอีนิว เพื่อนสนิทสมัยประถมของผมนางเป็นรีสอร์ตครับ อารมณ์แบบกระท่อมหลังเล็กๆ บนเนินเขา มีประมาณยี่สิบหลัง เอาแค่รายได้ช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ วันหยุดยาว ก็อยู่ได้ทั้งปีแล้ว

[เต๋มหมดละมึง หน้าปี๋ใหม่ก็จะเอี้ย ละยะหยังมึงบะนอนบ้าน]

“กูทะเลาะกับพ่อแม่”

[อ้าว ไยอั้น เรื่องผัวมึงนะก๋า]

“อือ ถ้าไม่มีกูนอนดาดฟ้าบ้านมึงก็ได้ นะๆๆ ขอแค่มีที่ว่าง”

[เปื้อนกูตี้มอมากั๋นเป๋นซาว เต๋มบ้านหมดละอิ ดาดฟ้ายิ่งของชอบพวกมัน ย่างหมูกะทะกิ๋นตอนเค้าท์ดาวน์ ถ้ามึงจะนอนแต้ๆ กะมีแต่สนามหญ้าหน้าบ้านกูล่ะ เหลือตี้ว่างหื้อก๋างเต้นท์อยู่น้อย]

“โอยยย หนาวตายสิมึง มึงก็รู้กูขี้หนาว”

[หนาวกะหื้อผัวกอดแหน่อิ อั้นจะมีผัวไว้หยัง!]

“เชี่ย เออๆ เอาก็ได้ จองที่ให้กูด้วยละกัน ขอเช่าเต้นท์ด้วย”
   
[จ้าาา แล้วจะเข้ามาเมื่อใด]
   
“เดี๋ยวนี้เลย”
   
[เคมึง]
   
ปิดดีลเสร็จผมก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอนล่ะวะ ถึงจะหัวเปียกเพราะน้ำค้างตอนเช้าก็เถอะ
 


นังนิวต้อนรับเราสองคนดีมาก เข้ามากอดผมแล้วหมุนเป็นวงกลม รัดแน่นจนหน้าผมแทบจมนมมัน แล้วก็เต๊าะอาร์มี่หนักซะจนเขิน แวะไปไหว้พ่อแม่มัน ตามด้วยขนเต้นท์ออกมากางบนสนามหญ้า ที่ซึ่งมีนักท่องเที่ยวกางไว้แล้วจนแน่นขนัด ประมาณด้วยสายตาไม่น่าต่ำกว่าห้าสิบ ด้วยความที่ทำเลดีด้วยแหละ ตั้งอยู่บนเนินเขา มองลงไปเห็นวิวข้างล่างอย่างสวย ยิ่งตอนเช้าแดดขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก หลายคนคงฟินน่าดู (ส่วนผมไม่ตื่นเต้นหรอก ชินแล้ว)

ตอนแรกมันจะลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ผมว่าก็หนักอยู่สำหรับสามคืน เลยบีบน้ำตากอดขาอ้อนวอน มันก็ยอมลดให้ครึ่งราคา

“เห็นแก่ผัวหล่อของมึงหรอกนะ!”

เราจึงได้พักอย่างสบายใจสบายตัวซักที

เอาจริงๆ ผมเกลียดหน้าหนาวมากกก...เข้ากระดูกดำ เพราะ ตั้งแต่เด็กจนโตต้องแหกขี้ตาลุกจากที่นอนตอนตีห้า มาอาบน้ำแปรงฟันด้วยน้ำที่เย็นระดับเยือกแข็ง เดินขาแข็งไปโรงเรียน ยืนเข้าแถวหน้าเสาธงกลางหมอก สู้กับหวัดน้ำมูกไหล ผิวแตกลายแสบคัน ไหนจะตรงกับช่วงเข้าค่ายลูกเสือเนตรนารี ต้องแบกสัมภาระหนักๆ ไปนอนกลางป่า ผ่าฝืนก่อไฟหุงหาอาหารกันเอง นอนเบียดกันเต้นท์ละสิบชีวิต เหม็นคนไม่อาบน้ำบ้าง แล้วก็เข้าฐานต่างๆ อย่างลำบากลำบน แถมโดนผีป่าหลอกอีก เรียกว่าฝันร้ายชัดๆ เดี๋ยวนี้นึกย้อนกลับไปยังสงสัยเลยว่ากูผ่านมาได้ยังง้ายย...

แต่คนต่างจังหวัดจะชอบมาก เช่นแฟนผมเป็นต้น ตื่นเต้นดี๊ด๊ายิ่งกว่าเมืองจีนที่มีหิมะของตัวเองอีกมั้ง

เราอาบน้ำด้วยกันตอนสี่โมงเย็น เพราะถ้าอาบหลังจากนี้อากาศจะต่ำลงจนไข่แข็ง เกือบโดนโจรปล้ำในอ่าง แต่ผมห้ามก่อนเพราะมันหนาวสัดๆ ไม่อยากเปลือยนาน เก็บแรงไว้ตอนกลางคืนดีกว่า จะยอมให้ปล้ำข้ามปีเลย

เสร็จจากอาบน้ำก็ออกไปเที่ยวตลาด ซื้อของกินมาเตรียมเค้านท์ดาวน์ นังนิวก็ใจดีให้ยืมกระทะปิ้งย่าง เราเลยซื้อแค่อาหารสด เครื่องดื่ม กับขนมกินเล่น แวะดูตะวันตกดินที่แม่น้ำ ค่ำก็กลับ

ภายในรีสอร์ทไม่มีการเปิดเครื่องเสียง แต่พื้นที่ข้างเคียงขอบอกว่าจัดเต็ม เพลงจากงานวัดดังกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน เสียงตีกับหลายบ้านที่เปิดเพลงตั้งวงเหล้ากันเอง ครื้นเครงเฮฮากันเหลือเกิน

เมื่อก่อนตอนยังไม่โต ผมน่ะรำคาญช่วงเทศกาลมากเลย คงเพราะไม่เคยได้ออกมาเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตาด้วยแหละ เป็นเด็กโลกแคบ กินเลี้ยงกันแค่ในครอบครัว วันรวมญาติสำหรับผมคือวันรวมคนน่าเบื่อระดับชาติ ขี้โม้ขี้แซะแข่งกันอยู่นั่น บางทีก็โดนปู่ย่าตายายหิ้วไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัด เพิ่งได้เที่ยวกับเพื่อนก็ตอนเข้ามหา’ลัย ไปเค้าน์ดาวน์ตามหน้าลานห้างดังๆ ต่อด้วยตระเวนปาร์ตี้กันจนโต้รุ่ง... แต่พูดตรงๆ ผมไม่เคยสนุกเลยสักครั้ง

เพิ่งค้นพบตอนอยู่กับอาร์มี่นี่แหละว่า จะเที่ยวไหน บรรยากาศเป็นยังไง ก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่เราอยู่ด้วย... มันคือคนที่ทำให้ดนตรีน่าหนวกหูกลายเป็นสนุก เพราะผมเห็นมันสนุก และทำให้หน้าหนาวที่แสนน่าเบื่อของผมกลายเป็นฤดูที่มีความสุข เพราะผมเห็นมันมีความสุข แค่ได้นั่งข้างกันเฉยๆ ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว

นี่ล่ะมั้งความรัก

เราตั้งกระทะกันหน้าเต้นท์เช่นเดียวกับเต้นท์อื่นๆ ที่พิเศษคือมีกองไฟกลางสนามสำหรับคนที่ไม่มีกะทะ แต่อยากปิ้งของกินด้วยล่ะ แน่นอนที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเหนือก็คือข้าวหลาม งานนี้บ้านนังนิวเซอร์วิสแขกอย่างดี แจกข้าวหลามหลังละกระบอกไปเลย เลิฟสุด

ระหว่างปิ้งหมู ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย ผมชอบให้มี่เล่าประสบการณ์ตอนเป็นวัยรุ่นนักเลงให้ฟัง เพราะชีวิตมันโลดโผนมีสีสัน ต่างกับผมที่จืดสนิท ฟังไปก็เหมือนเปิดโลกใหม่ สนุกดี

“หมูกระทะอร่อยสู้หมูเทียนมั้ยคะมี่”

อีนิวเดินมาแซว ผมยกขาถีบ

“เทียนอร่อยกว่าครับ”

“อ๊าย!”

“มี่!”

“อิจฉาคนวาสนาดี สามีทั้งหล่อทั้งรักทั้งหลง มี่มีเพื่อนอีกมั้ยคะ ขาวๆ หล่อๆ แบบมี่อ่ะ แนะนำให้นินิวรู้จักหน่อย” นังเพื่อนจอมแรดแซวต่อ

“มีครับ” แฟนผมก็เล่นด้วย

“หมายถึงมีผัวหมดแล้ว เพื่อนหล่อๆ อ่ะ” ผมตบเข้าให้

“เนี่ย! ก็เป็นกันซะอย่างเงี้ยะ ชะนีอย่างพวกกูเลยไม่มีใครเอา!” นางทำเสียงวีนแบบขำๆ แล้วก็สะบัดหน้าจากไป ทิ้งผมกับมี่ขำกันสองคน

แฟนอยากรู้เรื่องวัยเด็ก ผมก็เล่าให้ฟัง คือเมื่อก่อนห้องเรามีนักเรียนแค่สิบเจ็ดคน กลุ่มผู้ชายกับผู้หญิงเลยไม่ได้แยกกันชัดเจน ส่วนใหญ่ก็อยู่กันเป็นก้อนเดียว จะแบ่งย่อยเป็นเด็กเรียน เด็กเล่น แบบนี้มากกว่า ผมกับนังนิวคือกลุ่มเด็กเล่น เน้นกิจกรรมนอกห้อง เป็นพวกแสบๆ เหมือนกัน

แล้วที่ตลกก็คือมันเคยชอบผมด้วย (ธรรมดาของคนหน้าตาดี อิๆ) แต่ผมไม่ชอบตอบ และไม่ชอบใคร ไม่สนใจ ไม่รู้จักความรัก กว่าจะมีแฟนคนแรกก็มอสาม เพราะเพิ่งค้นพบตัวเอง... แต่กว่าที่บ้านจะรู้ก็โน่น มอหก สอบติดมหา’ลัย แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทางหลังเรียนจบ

ตอนมีแฟนผมเก็บเงียบสนิทปิดทุกคน แต่มีนังนิวคนเดียวที่ผมเล่าให้ฟัง ทำเอามันร้องไห้ บอกเสียเวลาชอบตั้งนาน แล้วก็ไม่กลับไปเรียกผมว่าไอ้เทียนอีกเลย... อีทุกคำเน้นๆ

“งั้นแสดงว่าแฟนเก่าก็อยู่แถวนี้ดิ”

ตะกี้ผมเล่าว่าเรียนมัธยมประจำจังหวัด อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบกิโล

“ไม่รู้สิ ไม่ได้ติดต่อแล้ว”

“เป็นคนยังไง หล่อมั้ย”

“จะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย” ผมแอบขำ ก็ดูมันทำหน้าเข้า อย่างกับเด็กขี้หวงไปได้

“อยากรู้ว่าคนแบบไหนถึงทำเธอหวั่นไหว จนยอมจีบก่อน”

“ไม่หล่อหรอก หน้าเป็นสิว ดำๆ ล่ำๆ เหมือนกระทิง”

“ถามจริ๊ง!”

“อื้อ เทียบขี้เล็บตีนมี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ไม่หล่อ แล้วทำไมเธอจีบ”

“เขาเล่นกีฬาเก่ง ตอนนั้นคิดว่าเท่ดี”

“เคย...?” มันทิ้งประโยคทั้งหมด แต่ผมก็เข้าใจ

“ไม่เคย มากสุดแค่หอมแก้ม”

มันอมยิ้มน่าหมั่นไส้สุด แต่ผมโกหกจ้ะ จะบอกให้ว่าชายคนนั้นเป็นถึงแอมบาสเดอร์โรงเรียนเชียวแหละ หล่อระดับขึ้นป้ายไวนิล หล่อระดับคทากรไม้หนึ่ง แต่เนื่องจากชมรมของเรา (ดุริงยางค์) ต้องทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มเสมอ เลยไม่มีใครรู้ แม้แต่เพื่อนในชมรมก็เถอะ ปิดเนียนแค่ไหนคิดดู... อ้อ เรื่องแค่หอมแก้มไม่เป็นความจริง มันมากกว่านั้น แต่ไม่มีประโยชน์ที่ต้องเล่าเนอะ



v
v
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Blackmamba ที่ 10-08-2019 15:26:28

PART III



เราปิ้งย่างตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม จากนั้นก็ดื่ม อาร์มี่อนุญาตให้ผมดื่มได้แค่ไวน์ เพราะดื่มของแรงทีไรเมาสลบเหมือดทุกที เดี๋ยวไม่ได้มีอะไรกัน ส่วนตัวพี่ท่านนั้นซัดเหล้าขาว บ้าบอ

มีเพื่อนเก่าสมัยประถมกับมัธยมแวะมาทักทายผมหลายคน แค่จับมือแตะแขน แต่ก็ทำคุณเค้าฉุนเป็นเสือ แผ่รังสีออกมาจนเพื่อนไม่กล้าคุยนาน ประเด็นคือเจ้าเด็กหัวกะโปกเมื่อวานซืนพวกนั้นเติบโตมาเป็นชายหนุ่มที่ดูดีมีคุณภาพกันด้วยไง อีกทั้งยังอนาคตไกล เรียนหมอบ้าง วิศวะบ้าง ถ้าขี้เหร่และไม่เก่งเค้าคงไม่ใส่ใจหรอก 

“คิดมากไร แค่เพื่อน มี่ทำแบบนี้เพื่อนจะพาลไม่อยากคบกับเทียนเอานะ” ผมแอบดุเมื่อเพื่อนๆ ไปแล้ว

“ไม่ชอบให้ใครมาใกล้ชิดเทียน”

“เพื่อนก็คือเพื่อนมั้ยเธอ เอาจริงๆ ถ้าจะจับทำแฟนก็ทำไปนานแล้ว ไม่รอจนถึงป่านนี้หรอก”

“ก็คนมันหวงอ่ะ เทียนน่ารักขนาดนี้ ใครอยู่ใกล้ก็ต้องชอบทั้งนั้น ต่อให้เป็นเพื่อนก็เหอะ”

“เทียนไม่เหมือนมี่นะ ที่จะจับเพื่อนทำแฟนอ่ะ”

“เทียนนนนนน” มันลากเสียงอย่างคนร้อนรนและกอดออดอ้อนผมทันที ราวกับกลัวผมจะโกรธ “ไม่เอาไม่พูด เรื่องผ่านไปแล้ว มี่ขอโทษนะค้าบ ไม่หวงมั่วซั่วละค้าบ”

ผมขยี้หัวมันอย่างมันเขี้ยว เรื่องเพื่อน (ชู้) รักหักเหลี่ยมโหดถือเป็นจุดอ่อนของมัน แต่เป็นจุดแข็งของผมจริงๆ สะกิดนิดหน่อยคือยอมแพ้ราบคาบเลย ใครเป็นผู้กุมอำนาจในบ้านก็คือรู้เลยนะครับ (ฮ่า) 

อีกสองชั่วโมงก็เตรียมนับถอยหลังสู่ปีใหม่ แต่คนบางคนก็ฉลองไปแล้ว เช่นพวกที่ดอดไปเที่ยวญี่ปุ่น น่าหมั่นไส้มาก ไม่ใช่ใครที่ไหน หนุ่มฝรั่งนักเรียนดีไซน์กับเด็กน้อยหอยสังข์ของเขานั่นเอง

[หวัดดีครับเฮีย หวัดดีเมียเฮีย ยอดดอยที่นู่นหนาวเหมือนภูเขาฟูจิที่นี่รึเปล่า]

อเล็กซ์วิดีโอคอลหาหัวหน้าแก๊ง แทบจะเห็นแค่ลูกตาเพราะอำพรางตัวอยู่ในเสื้อโค้ท หมวกไหมพรม ผ้าพันคอ และเอียร์พัฟฟ์ฟูๆ มีเด็กเพชรยื่นเคี้ยวทาโกยากิเป็นแบ็คกราวด์

“ไม่หนาว เร่าร้อนมาก มึงล่ะเป็นไง ได้จับมือกันยังเหอะ” อิโจรบลัฟฟ์

[มากกว่าจับแล้ว]

“ไหนบอกรอสามปี ไม่ใจเลยมึงอ่ะ กูจะฟ้องพ่อมันว่าลูกโดนโจรลวนลาม มึงโดนจับข้อหาอนาจารเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดแน่ไอ้เล็ก”

[เสียใจนะเฮีย พ่อมันก็เป็นเหยื่อโจรเหมือนกัน โดนล้วงที่ปารีสนู่นแน่ะ คิกๆ]

“งั้นกูแจ้งตำรวจ”

[ตำรวจไหน หมวดเจ้าเก่าเขาไม่ว่างหรอก เห็นไปเที่ยวกับแฟนใหม่ที่เกาหลี]

“เกลียดมึง ไปไกลๆ ไป๊ กูจะอยู่กับเมีย”

[อ้าว แล้วญี่ปุ่นนี่ไม่ไกลเหรอ]

“มึงจะเอาใช่มั้ย”

[หยอกๆ สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะครับ ขากลับจะซื้อของไปฝาก รักนะ รักแสงเทียนด้วย ไว้เจอกัน]

“หวัดดีปีใหม่อเล็กซ์ บายจ้า” ผมโบกมือให้ ส่วนอาร์มี่แลบลิ้น

พอวางสายอเล็กซ์ไปก็นั่งคุยกันหงุงหงิง ทบทวนความทรงจำในปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่ประทับใจ อะไรที่อยากแก้ไข เรื่องคดีเราไม่พูดแล้ว เอาตั้งแต่คบกันจริงๆ เลย สารภาพว่าผมออกจะกลัวๆ เพราะเหมือนวิจารณ์กันและกัน แต่เอาเข้าจริง ผมพบว่ามันเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์อย่างมาก
   
“เทียนชอบความทุ่มเทของมี่ ทั้งที่ให้กับเทียนและกับงาน ตอนมี่จริงจังกับอะไรสักอย่าง มันเท่มากๆ เลยรู้ป่ะ รู้สึกว่าเออ เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูแลตัวเอง ดูแลแฟน ดูแลครอบครัวได้”
   
มันยิ้ม “ก็มีจุดหมายในชีวิตแล้วไง จะเที่ยวเล่นเป็นเด็กไม่ได้”
   
“ทำดี” ผมหยิกแก้มเบาๆ “แต่ที่ต้องปรับปรุงก็คือ...มี่ติดเทียนมากเกินไป รู้ว่ารักมากคิดถึงมาก แต่ต้องมีช่องว่างให้กันบ้างนะ ไอ้ที่โทรหาสามเวลาหลังอาหาร ไลน์มายิกๆ ทั้งวัน บางทีมันก็มากไป”
   
“งั้นหรอ...” หน้าหงอยลงทันที
   
“เทียนไม่ชอบเล่นมือถือก็รู้ใช่ป่ะ บางทีลืมเอาไปเรียนด้วยซ้ำ มี่โทรไม่ติดไลน์ไม่ตอบ ก็น้อยใจอีก”
   
“รำคาญหรอ”
   
“ไม่ๆ แฟนคิดถึงใครว่าน่ารำคาญ น่าดีใจออก แต่เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว จะได้ตัวติดกัน คุยกันตลอดเวลา เทียนเลยบอกให้มี่โทรหาแค่เช้าเย็น หรือไม่ก็พักกลางวันแค่นั้นพอ”
   
“ความรักของฉันมันจุกอกจนจะระเบิดตายแล้วเธอ แต่จะพยายามนะครับ ฮึก”
   
“อีกเรื่อง” ผมต่อ มันทำหน้าผวานิดๆ “มี่ขี้หึงเกินไป”
   
“อ่า... เรื่องนี้รู้ตัว”
     
“ใช่มั้ยล่ะ ขนาดแค่เพื่อนมาคุยด้วยยังหึงเลย เทียนอยากให้มี่ไว้ใจกันมากกว่านี้ เวลาบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไรจริงๆ เทียนไม่ใช่พวกชอบนอกใจคบซ้อนอยู่แล้ว ถ้าเบื่อก็จะบอกเลิกตรงๆ ไปเลย โอเค๊?”
   
“ไม่เอาไม่พูดคำนี้” มันกอดผมแน่นกว่าเดิม
   
“ก็ต้องแก้ไขนะครับ”
   
“ครับ...” ตอบเสียงอ่อนน่าเอ็นดู ผมเลยหอมแก้มปลอบใจไปหนึ่งที “หมดแล้ว ถึงตาตัวเองบ้าง”
   
“สิ่งที่ชอบ...ทุกอย่างที่เธอเป็นนั่นแหละ แม้แต่ความเย็นชาในบางที แต่มี่เข้าใจว่าเธอเป็นแมว หวงพื้นที่ส่วนตัวและรักสันโดษ ไม่ชอบให้มายุ่งวุ่นวาย ถ้าอยากเล่นด้วยก็จะมาหาเอง”
   
ผมขำคิก เข้าใจเปรียบเทียบนะ
   
“แต่แมวครับ ถ้ารักเจ้าของก็ช่วยตอบสนองกันสักนิด ถึงมนุษย์คนนี้จะตัวใหญ่ แต่หัวใจเล็กนิดเดียวเองครับ”
   
“จ้า” เจอแบบนี้เข้าไปผมก็ใจอ่อนยวบ เปลี่ยนมานั่งตักและโอบกอดรอบคอ ‘เจ้าของ’ เอาหน้าเคลียคลอออดอ้อนให้สมใจเค้า เจ้าตัวถึงเปลี่ยนจากหน้าหงอยๆ เป็นยิ้มกว้างเห็นฟันทั้งแผง หอมแก้มผมจมจมูก

จบเรื่องนิสัย ก็พูดถึงแผนการในปีถัดไป แน่นอนเราคิดเรื่องอนาคตจริงจัง เรื่องบ้าน คุยกันว่าจะซื้อคอนโดหรือบ้านเดี่ยว ถกกันเรื่องข้อดีข้อเสีย ซื้อสดหรือผ่อน ทำเลนู่นนั่นนี่ และก็เห็นตรงกันว่าอยากอยู่บ้านมากกว่า เหตุผลหลักคืออยากเลี้ยงหมาแมวเยอะๆ (บ้าป่ะ) แต่กว่าจะถึงตอนนั้นก็คงอีกพักใหญ่ ต้องรอผมเรียนจบและช่วยกันทำงานเก็บเงินก่อน

เรื่องงาน ผมตั้งใจจะทำงานกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนแถวใจกลางเมือง อาร์มี่ก็วางแผนสร้างระบบให้เป็นรูปเป็นร่าง จ้างคนเพิ่มในตำแหน่งต่างๆ ไม่แบกรับทำเองทุกอย่างจนต้องเลิกงานดึกๆ ดื่นๆ เราสองคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
 
คุยเพลินจนไม่ได้ดูเวลา รู้ตัวอีกทีคนรอบข้างก็ตะโกนนับถอยหลังจากสิบกันแล้ว พอถึงหนึ่งปุ๊บก็มีพลุแตกกระจายหลายดอกท่ามกลางท้องฟ้า อันมาจากหมู่บ้านข้างล่างเนินเขานั่นเอง สวยตระการตาจนต้องอ้าปากค้าง ฝรั่งบางคนแถวนี้ก็เขย่าขวดแชมเปญฉลอง พวกอีนิวบนดาดฟ้าบ้านเปิดเพลงครึกครื้นสมเป็นโมเม้นต์แห่งค่ำคืนที่รอคอย

อาร์มี่มองผมด้วยดวงตาระยิบระยับยิ่งกว่าดอกไม้ไฟทั้งฟ้ารวมกัน ก้มหน้าลงมาเอาปลายจมูกแตะกัน

“สุขสันต์ปีใหม่ครับที่รัก อยู่ฉลองด้วยกันแบบนี้ทุกปีเลยนะ”

“อื้อ”

“เธอคือของขวัญที่ดีที่สุดของเค้า รู้รึเปล่า”

“จ้า พอแล้ว...” เขินจนแก้มจะแตกอยู่แล้วไอ้บ้าเอ๊ยยย

ก้มหน้าลงมาจูบอย่างนุ่มนวล ผมจูบตอบ สอดลิ้นพัวพัน กัดริมฝีปากเบาๆ ยั่วเย้าพร้อมกับลูบไล้ต้นคอ ทำเอาขนอ่อนของมันลุกฮือใต้ฝ่ามือ ได้ยินเสียงหายใจแรงฮึ่มๆ แบบทนไม่ไหวแล้ว จากนั้นผมก็โดนอุ้มเข้าเต้นท์ ถูกระดมจูบรัวจนหายใจไม่ทัน ต้องตีแขนขอเวลานอก

“จะถอดเสื้อผ้ามั้ย” มันกระซิบถาม

“สิบสององศาเนี่ยนะ...ใส่เถอะ”

มันค้นหาของสำคัญในกระเป๋าเดินทางบนหัวนอน แล้วนั่งชันเข่าถอดกางเกงวอร์มลงถึงสะโพก สบถนิดหน่อยเมื่อผิวหนังสัมผัสกับอากาศเย็นโดยตรง ใส่ถุงยางเสร็จก็ทาวาสลีนแทนน้ำยาหล่อลื่น (สองในหนึ่งครับ ใช้ทาผิวได้ด้วย) จากนั้นก็สอดใส่เข้ามาและโน้มตัวลงกอดผม เอาผ้าห่มคลุมกันหนาวกับกันชาวบ้านเห็นเงา

“แข็ง...เย็น...เหมือนไอติมแท่งเลย”

“อยากกินมั้ยล่ะ สอดไส้นมด้วยนะ”

“คนเหี้ย” ผมทั้งเขินทั้งขำ “ไม่เอาไม่อร่อย”

“จ้ะ อย่ามาอ้อนทีหลังละกัน...”

ข้างนอกยังจุดพลุกันต่อเนื่อง แตกกระจายทั้งเสียงและแสงลูกแล้วลูกเล่า แต่ดูจากจำนวนกล่องถุงยางสารพัดกลิ่นและพื้นผิวที่มันเตรียมมา ผมพนันได้เลยว่าพลุรวมกันทั้งอำเภอก็จะแตกไม่มากเท่าเรา

ทำไปทำมาก็ชักร้อน เลยรูดซิปเสื้อลงนิดหน่อยให้ไหล่กับหน้าอกได้หายใจ แต่โจรมันร้าย รูดลงหมด ผมหนาวจนตัวหดเหมือนปลาโดนน็อกน้ำแข็ง ก่อนจะถูกสวมกอดไว้ภายใต้ร่างใหญ่

“เนี่ย เสร็จช้าไม่ใช่ว่าอากาศเย็น แต่ไม่เห็นนมเธอต่างหาก”

“ใช่เหรอ”

“ใช่ ยิ่งหนาวๆ แบบนี้ผิวเธอแดงอมชมพู น่ารักมากเลย”

ไม่พูดเปล่า เลียและอมหัวนมผมยังกะลูกเชอร์รี่บนยอดไอติม ซุกไซ้ซอกคอและดูดเบาๆ ให้เสียวซ่าน ผมโดนรุกเร้าหนักหน่วงทุกทางทั้งข้างล่างข้างบน อาร์มี่ใช้อวัยวะคุ้มมากตั้งแต่ปากยันแท่งขีปณาวุธ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรตอบสนองนอกจากนอนกับร้องคราง พอเริ่มจะร้องเสียงดังก็ถูกประกบปากจูบทุกครั้ง ป้องกันชาวบ้านเต้นท์ข้างเคียงด่า

ร่างกายที่บดเบียดเสียดสีกันทำลายความหนาวเย็น เกิดเป็นความอบอุ่นจนถึงขั้นร้อนระอุเข้ามาแทนที่ เหงื่อเราเริ่มผุดจนต้องเอาผ้าห่มออก เช่นเดียวกับที่มันคลายกอดผมไปนั่งชันเข่าและกระแทกเอวรัว

ผมเป็นฝ่ายถึงก่อน พลุแตกกระจายเต็มฟ้า สว่างแข่งกับดาวเดือน ร่างสั่นสะท้านทุกอณูแบบที่อากาศหนาวก็ทำให้ไม่ได้ ส่วนแฟนถึงในอีกสิบวินาทีต่อมา ดึงถุงยางออกจากท่อนล่ำแข็งขันคับแน่น แล้วแตกทะลักลงบนหน้าท้องเรียบเนียนของผมพร้อมกับเสียงครางต่ำในลำคอ จากนั้นถอยไปฉีกซองใหม่สวม สอดเข้ามาอีก

“ไม่คิดจะให้พักหายใจเลยใช่มั้ย” ผมว่า

“แน่นอน จะทรมานให้จุกตายไปเลย” มันยิ้มกริ่ม

“เดี๋ยวนะ นี่ใส่แล้วจริงดิ ทำไมมัน...”
   
“รุ่นบางพิเศษ ลองจับดู”

“...” เอื้อมมือลงไปจับที่โคน โอเค เจอขอบ ค่อยสบายใจ “แต่บางมากเลย มันจะไม่ขาดเหรอ”

“ไม่หรอก อ่านรีวิวแล้ว ไว้ใจได้” มันยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นผมกังวล “ต่อได้ยัง”

ผมพยักหน้า ท่อนจึงถูกผลักเข้ามาจนสุด ผมรู้สึกเหมือนมีไฟสปาร์กจากตรงนั้นลามไปทั่งร่างกายยันปลายเล็บ โดยเฉพาะช่วงท้องน้อยที่วูบวาบเป็นพิเศษ ใบหน้าก็ร้อนผ่าว และเมื่อมันเริ่มขยับเข้าออกก็ยิ่งรู้สึกดีมาก ดีแบบที่ไม่เคยเจอ ราวกับเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบไร้สิ่งขีดกั้น แทบจะเหมือนสด

“โห... สุดๆ เลยเทียน รู้สึกถึงข้างในของเธอไวมากอ่ะ” หน้าของมันแดงกว่าปกติ

“อือ...โคตรดีเลยมี่ ทำไมเพิ่งใช้”

“มันแพง ต้องพรีจากญี่ปุ่น นานๆ ทีก็พอ”

“โว้ยยยย” สมกับเป็นมึงจริงๆ

สับไม่ถึงสามนาทีก็ถึงที่หมายเกือบพร้อมกัน มันกดท่อนล่างเข้ากับสะโพกที่แอ่นโค้งรับตามสัญชาติญาณของผมจนมิดแล้วปล่อยข้างใน (ถุง) เต็มๆ เน้นๆ ผมรู้สึกถึงไออุ่นของมวลสารคัดหลั่งราวกับถูกสาดใส่โดยตรง สุขมากจนเกือบเสียการควบคุมตัวเอง หันหน้าซุกกับหมอนก่อนที่จะเผลอร้องออกมา... พระเจ้า น้ำตาไหลเลย อะไรจะดีขนาดนี้   

อาร์มี่ซี้ดปากอย่างเสียวสะท้านไม่แพ้กัน ค้างอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเอาออกทันที แล้วก็พูด

“แย่มากเลย”

“ฮึ? ทำไม” ผมงง

“บางเกิน เสร็จไว ไม่คุ้มตังค์”

“เอ้า! อะไรของเอ็งวะ” 
   
“เสียวกว่าก็จริง แต่อยากอยู่ในตัวเธอนานๆ มากกว่า”

ว่าแล้วโน้มตัวลงมาหอมแก้มจุ๊บปากคลอเคลีย ขยับข้างล่างเข้าออกเนิบช้าเพื่อซึมซับความสุขสุดยอดเมื่อครู่มากกว่าจะเริ่มยกใหม่ ทว่าก็ทำให้ผมถึงอีกรอบจนได้ ทำเอามันตกใจ

“เห้ย บ้าเหรอ แค่ถูเล่นๆ” พูดแล้วก็ดึงออกไปเลย เหมือนวัตถุอันตราย

“รู้สึกดีอ่ะ ชอบ” ผมเอื้อมมือตามไปจับ อาร์มี่ก็ปล่อยให้เล่นตามใจ ส่วนตัวมันก็สุ่มหยิบถุงยางสูตรต่อไปจากกระเป๋า เอาส่องกับไฟโทรศัพท์ แล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนตอนวางแผนร้ายๆ

“ทำไมต้องยิ้มแบบนั้น” ผมถาม
   
“เดี๋ยวก็รู้”

มันฉีกสวมและสอดเข้ามา เป็นแบบธรรมดา แต่สำหรับผมความธรรมดาคือดีที่สุด ไม่ว่าจะรุ่นถุงยางหรือท่ามิชชั่นนารี... จริงอยู่ที่ความแปลกใหม่ทำให้ตื่นเต้น แต่หัวใจหลักของร่วมรักก็คือความรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหาก
   
ความธรรมดาแต่ยอดเยี่ยมของมันทำผมเสร็จไปอีกรอบ แต่ตัวมันยังไม่มีวี่แวว คงสับๆ ถี่ๆ ในจังหวะเดิม ของเหลวที่ขับออกจากตัวเราทั้งคู่ทำให้เสียงดังขึ้นเวลาปะทะกัน แต่ก็ขอบคุณเสียงดนตรีที่ดังต่อเนื่องข้างนอก พอกลบไปได้ เป็นครั้งแรกที่ผมภาวนาให้พวกเขาอย่าเพิ่งหยุดเล่น
   
ผมถึงอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงเหมือนจะตาย หายใจไม่ทัน ต้องใช้ปากช่วย ทว่าแฟนก็ยังไม่ถึง จนชักแปลกใจ
   
“มี่...เป็นไรรึเปล่า ทำไมรอบนี้ช้า”
   
มันยิ้มเจ้าเล่ห์ “ให้ทาย”
   
“สูตรผสมสารหลั่งช้ารึไง”
   
“เก่งจัง ทายถูกด้วย”
   
“บ้าชิบ...ฆ่ากันทางอ้อมชัดๆ”
   
มันโน้มตัวลงมาหอมผมฟอดใหญ่ด้วยใบหน้าเอ็นดูปนขบขัน ก่อนจะกระแทกสะโพกเข้ามาหนักหน่วงยิ่งขึ้น ผมวาบหวามหนักจนต้องกัดนิ้วตัวเองระงับเสียงคราง แต่กลายเป็นถูกกล่าวหา
   
“อ่า... เทียน ทำแบบนี้โคตรยั่วเลย”
   
“อะไร แค่ดูดนิ้วเอง”
   
“อย่างอื่นน่าดูดกว่าอีก”
   
“...ไอ้บ้า”
   
“เอามั้ย รอบนี้ถึงแล้ว”
   
ผมไม่ตอบ หันหน้าหนี เอาจริงๆ ไม่ชอบในปากเท่าไหร่ เหตุผลเดียวเลยก็คือรสชาติแย่ กินได้นะแต่ไม่อยากกิน จะคายทิ้งก็เกรงใจ แต่รู้ว่าแฟนชอบ มันคงสะใจเขาอ่ะ
   
แฟนกระแทกเอวใส่ผมหนักหน่วงและถี่กระชั้นขึ้นเหมือนใกล้ถึงจุดหมาย แรงกระสันแล่นพลานไปรวมกันที่จุดนั้น แล้วผมก็เป็นฝ่ายถึงก่อนอีกเช่นเคย ไอร้อนเห่อขึ้นหน้าวูบวาบ กายบิดเร่าบีบรัดท่อนลำแข็งขันแน่นถึงขีดสุด ส่งผลให้มันถึงตาม
   
“เทียน... ที่รัก เสร็จแล้ว ถึงแล้วครับ”
   
“อื้อ... ในปากเลยมี่” ไหนๆ ก็โอกาสพิเศษ เซอร์วิสให้เค้าหน่อยก็แล้วกัน
   
ดึงออกทั้งท่อนและสิ่งที่ครอบอยู่ ถลันตัวขึ้นมาหลั่งทะลักทลายในปากผม เยอะสมกับที่กลั้นมาสิบกว่านาที แต่ก็ยังไม่สาใจ ส่งเข้ามาในปากให้กวาดล้าง ผมก็เลียเก็บจนเกลี้ยง
   
มันเอาออกแล้วลูบหน้าผมด้วยดวงตาแวววาว
   
“เยี่ยมมากคนดี... รู้สึกเป็นไง” 
    
“เค็ม”
   
โดนเอาฟาดปากหนึ่งทีแบบขำๆ
 
มันร่นตัวลงมาในระดับเดียวกันและกอดจูบผมนัวเนีย (แต่มือก็ล้วงกล่องใหม่) ทว่าผมชักเหนื่อย ขาก็ล้า ตาก็จะปิด สงสัยคงต้องพอแค่นี้
   
“ไม่เอาสิเทียน อย่าเพิ่งหลับ ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย”
   
“ทบไว้พรุ่งนี้ได้มั้ย ง่วงแล้ว”
   
“ไม่ใจเลย”
   
“ข้างนอกปิดเพลงแล้ว เดี๋ยวเสียงดัง อายเค้า”
   
“แน่ใจ? ฟังดีๆ เต้นท์ข้างๆ ก็มีเสียงเหมือนกัน”
   
“.....” เออว่ะ ไม่ใช่แค่ป้าบๆ แต่ผัวะๆ ด้วย ผัวท่าจะดุ
   
“เหลืออีกตั้งหลายสูตร มาลุ้นต่อกันเถอะ”
   
“ไม่มีแรงแล้ว”
   
“เทียนไม่ต้องใช้แรงอะไรนี่ แค่นอนเฉยๆ ลองอันนี้ดีกว่า แบบปุ่มเอ๊ะ หรือจะแบบเส้นดี”
   
“มี่------“

ท้วงไปก็เท่านั้น มันฉีกแล้วสวมเรียบร้อย อยากร้องไห้เลยครับ ไม่น่าชวนตั้งแต่แรกเลย ฆ่าตัวตายชัดๆ

“พรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นแหง“

“ลุกไม่ขึ้นก็นอน เดี๋ยวสามีจะดูแลเธอเอง”
   
“.......”
   
ก็ตามนั้นแหละครับ ฝันดีราตรีสวัสดิ์   




...

มีคนส่งข้อความมาตอนตีสามกว่าๆ ผมสะดุ้งตื่นและหยิบมือถือที่หัวนอนมาดู 


‘แม่ขอโทษที่พูดไม่ดีไปนะลูก... คุยกับพ่ออยู่นาน ตกลงกันว่าจะลองให้โอกาสนายคนนั้นดู...
ก่อนกลับกรุงเทพแวะมาหาแม่หน่อยนะ...
สุขสันต์วันปีใหม่จ้ะ รักลูกที่สุด...’



แสงไฟแยงตาทำให้คนข้างๆ พลอยตื่นด้วย ถามผมว่าทำอะไร เลยยื่นมือถือให้อ่านเอง มันยิ้มบางๆ แล้วจูบหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน

“ไม่มีใครรักเทียนมากเท่าพ่อแม่อีกแล้ว แม้แต่มี่เองก็เถอะ”

ดวงตาผมร้อนผ่าว มาจากทั้งความสุขและเศร้าปนกัน

“ไปกันเช้านี้เลยมั้ย”

มันถาม ผมไม่ตอบ แค่ผงกหัวช้าๆ

ดีใจนะแม่ยอมลดทิฐิ ปล่อยวางอคติ เปิดใจให้อาร์มี่ได้พิสูจน์ตัวเอง แม้อาจจะทำเพื่อให้ผมยอมกลับบ้านเฉยๆ ก็เถอะ อย่างน้อยก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี

ชีวิตคู่ของจริงเพิ่งเริ่มต้น ผมรู้ว่ามีบททดสอบอีกมากมายหลายด่านรอเราอยู่ข้างหน้า และรู้ดีว่าคงไม่ง่าย เราต้องฝ่าฝันไปด้วยกันอีกไกล

แต่ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว

ส่งข้อความตอบกลับแม่ ซุกตัวถูไถรับไออุ่นในอ้อมแขนของคนรัก หลับตาลง  รอการมาถึงของแสงตะวันของวันใหม่



-----------

จบตอนพิเศษเพียงเท่านี้นะคะ

ส่วนของคู่อื่นๆ ขออนุญาตเอาไปใส่ในเล่มส่ง สนพ. แล้วจะมาอัพเดทอีกครั้งค่ะ ^^

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามจนจบเลย สำหรับที่นี่เรายังเป็นมือใหม่

แต่ก็ขอบคุณที่มีคนอ่านให้กำลังใจเยอะกว่าที่คิด ดีใจมากเลยค่ะ TwT

ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าค่ะ

LOVE & THANK YOU  :mew1: :pig4: ///



หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 01-02-2020 04:05:07
อยากได้ตอนพิเศษของทิวา

 :mew2: :mew6: :call:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-02-2020 05:36:19
จะมีวางขายไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 01-04-2020 02:35:51
อ่านไปลุ้นไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางที่สุดเป็นนิยายตลกเบาสมอง ฟีลแบบอ่านเรื่อยๆเพลินๆ ความจริงอยากอ่านภาคต่อของเบย์สงสัยท่านนายพลทำไมเสียงหวานกับลูกสะใภ้ขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 02-04-2020 10:45:44
 :z13:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 10-04-2020 21:01:34
สนุกมากเลยค่ะ เป็นนิยายที่ทำให้ขำแม้ขณะหน้าสิ่วหน้าขวาน ขณะที่ซึ้งก็ทำได้ดี ฉากมหัศจรรย์ก็หวิวจริงจัง อาจจะปูเรื่องพระเอกน้อยไปทำให้ความจำเป็นที่พระเอกทำมันไม่สมจริงขาดไปนิดเดียวค่ะ  ให้ล้านดาวไปเลย
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:35:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 14-04-2020 12:27:05
ชอบมากเลยครับ  ^^
หัวข้อ: Re: THIEF MAN #แฟนโจร (end) --------- SPECIAL หนุ่มหน้าใสกับชายมลทิน [10/08/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 14-03-2024 20:21:30
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)