ลายที่ 15
Punishment
(ทัณฑ์ทรมาน)
สิ่งเดียวที่แม่ต้องการคือการเห็นป่านมีชีวิตที่สุขสบาย เติมเต็มชีวิตครอบครัวที่ขาดแหว่ง ฉีกสะบั้น
ตั้งแต่จำความได้ ป่านรู้แค่ว่าหม่ามี้ต้องทำงานทุกวันเพื่อเลี้ยงปากท้องสองแม่ลูกจนมั่นคง ขณะที่คนคนนั้น... คนที่เลือกเดินอีกเส้นทางเพื่อตามหาความฝัน ขาดการติดต่อไปนับสิบปี
พ่อของป่านเป็นจิตรกรมีฝีมือ เคยมีชื่อเสียงอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งมีเอเจนซี่ติดต่อนำงานไปแสดงที่ต่างประเทศ ไม่มีใครคัดค้าน เพราะนอกจากเงินก้อนใหญ่ที่ช่วยให้สุขสบายได้ระยะหนึ่งยังเป็นหนทางเติบโตบนเส้นทางฝัน แต่ความยินดีก็อยู่ได้เพียงชั่วคราว เมื่อมีเงื่อนไขบางอย่างที่รั้งตัวเขาไว้ไม่ให้กลับบ้าน
พ่อของป่านเป็นคนทะเยอทะยาน ช่างฝัน ขณะเดียวกันก็รักอิสระเกินกว่าจะปล่อยให้โอกาสนั้นลอยหลุดมือไป
ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไม่กลับมาอีก
ขณะที่แม่กำลังก้าวหน้ากับหน้าที่การงานจนไม่ทันหวาดระแวงกับคลื่นใต้น้ำที่ค่อยๆ ก่อตัว ไม่ทันระวังสงสัยกับจำนวนเงินที่ส่งมาและความถี่ของการติดต่อที่ค่อยๆ ขาดหาย
รู้ตัวอีกที... ผู้ชายคนนั้นก็สร้างครอบครัวใหม่อยู่ในที่ห่างไกล
ครั้งสุดท้ายที่ป่านได้เจอพ่อ เขามาพร้อมกับทะเบียนหย่าและค่าเลี้ยงดูก้อนสุดท้าย
ป่านไม่เคยเข้าใจว่าความฝันของพ่อคืออะไร ในความฝันนั้นมีป่านกับแม่อยู่ด้วยไหม... ป่านไม่เข้าใจอะไรเลย
ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตอนนี้ ทำไมถึงกลับมา
“หม่ามี้บอกว่าน้องป่านกำลังจะเรียนหมอ อีกหน่อยคงมารักษาปะป๊าได้” รู้ดีว่าเป็นเพียงการชวนคุยเพื่อคลายบรรยากาศแสนอึดอัดเท่านั้น
เพราะต่อให้เป็นแบบนั้นจริง ก็คงไม่อาจรักษา...
“ทีแรก ปะป๊าคิดว่าน้องป่านจะเป็นจิตรกรเหมือนปะป๊า”
“...”
“แต่แบบนี้ก็คงดีแล้วล่ะ” ในหัวของเด็กน้อยขาวโพลนเกินกว่าจะตอบโต้อะไร ได้เพียงยืนนิ่งพยายามกลืนก้อนความรู้สึกมากมายที่กำลังเอ่อล้นกลับลงไปอย่างเงียบงัน
แทนที่จะมองหน้าบิดาที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ดวงตาสองข้างเลือกก้มลงมองพื้นสีขาวชืดชาของโรงพยาบาลด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ป่านกับแม่คงโกรธพ่อมาก” แม้จะเตรียมใจมาแล้วว่าคงไม่พ้นได้ยินคำขอโทษ ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงรู้สึกผิดถ้อยคำตอบโต้ก็ถูกกลืนหายไป ป่านเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาอิดโรย ใบหน้าตอบซีดที่จำแทบไม่ได้
ป่านเคยคิดว่าตัวเองเกลียดเขา
เคยคิดว่าแม่คงโกรธ เกลียดผู้ชายคนนี้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย
ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้ป่านมาพบ ไม่ให้โอกาสเราสองคนพ่อลูกได้อยู่ตามลำพังเพื่อนปรับความเข้าใจกัน
และความจริง ป่านไม่ได้เกลียดเขา
แม้สิ่งที่พอทำจะไม่สามารถอภัยได้ง่ายๆ ทว่าสิ่งที่ทั้งสองคนแม่ลูกต้องการคือต่างคนต่างมีชีวิตที่เป็นสุขมากกว่าการได้เห็นอีกฝ่ายในสภาพป่วยไข้หมดอาลัย
“คุณอยากเห็นผมใส่เสื้อกาวน์ไหม”
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาป่านสับสนกับเส้นทางตัวเอง ตั้งคำถาม วาดฝันรูปแบบชีวิตที่แตกต่างออกไป แต่ยังคงมองไม่เห็นภาพตัวเองมีความสุขไม่ว่าจะทางเลือกไหนๆ
แต่ตอนนี้ป่านได้คำตอบแล้ว
ถ้ามันคือความหวัง คือความภูมิใจ
“อีกหกปี... จนกว่าผมจะเรียนจบ มารักษาคุณ...รอได้ไหม”
ต่อให้เป็นคำโกหก
“อืม พ่อจะรอ”
แต่หากเติมเชื้อไฟ ยื้อกำลังใจในการมีชีวิตของตรงหน้าได้ ป่านก็พอใจ
ตลอดทางกลับจากโรงพยาบาลมีเพียงความเงียบงันและความอึดอัดกระจายฟุ้งเต็มบรรยากาศ
แม่ไม่ได้เอ่ยอะไร และป่านก็ได้แต่ปล่อยให้คำมากมายวนเวียนอยู่ในหัวโดยไม่เอ่ยถาม ...ทุกอย่างมันถาโถมเกินรับทัน
“วันนี้ไม่ต้องไปเรียนพิเศษดีไหม” ขับรถออกมาได้เกินครึ่งทางแม่ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
ป่านยิ้มจางๆ รู้ดีว่าแม่หายโกรธกับสิ่งที่ตัวเองทำแล้วถึงได้เลิกมึนตึงเป็นฝ่าเริ่มบทสนทนา น้ำเสียงแม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็เหลือเพียงความอ่อนโยนห่วงใย
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กดีส่ายหน้า แม่จึงหันกลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ถ้าเหนื่อยก็พัก หม่ามี้ไม่อยากให้ป่านหักโหมเกินไป” ฝ่ามือเอื้อมมาแตะใบหน้าอิดโรยของลูกชายแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรครับ ป่านไหว” ป่านจับมือหม่ามี้แนบแก้มตัวเองแล้วยิ้มกว้าง “เดี๋ยวต่อไปคงเหนื่อยกว่านี้อีกคงต้องเตรียมตัวไว้ จริงไหมครับ”
ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมบทสนทนา แต่ป่านก็รู้ว่าแม่ได้ยินทุกอย่าง
เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าไม่ใช่แค่เพราะความมั่นคงในอนาคต ยังเป็นเพราะไม่อยากให้ป่านเดินตามรอยเท้าของผู้ให้กำเนิด จะเป็นยังไง ถ้าป่านเลือกเดินทางตามพรสวรรค์ที่พ่อทิ้งไว้ให้... ตอนจบอาจจะลงเอยแตกต่าง แต่อดีตแสนยากเย็นคงทำให้แม่ไม่อาจวางใจให้ป่านเลือกทางนั้น เพราะแบบนั้นทันทีที่ได้ยินว่าป่านจะเรียนหมอแม่จึงดีใจมาก พร้อมผลักดัน สนับสนุนสุดกำลัง
และป่านก็จะไม่ทำให้หม่ามี้ผิดหวัง
“ป่านขอโทษนะครับ” ไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยขอโทษเรื่องอะไร อาจเป็นทุกๆ เรื่องที่ป่านทำให้แม่ไม่สบายใจ
ภายในรถเงียบลงอีกครั้ง ด้วยจังหวะการจราจรยามบ่ายที่ไม่หนาแน่นทำให้รถไม่ติดนัก ไม่ทันไรก็ถึงปลายทาง ทว่าแทนที่จะจอดหน้าสถาบันกวดวิชาแม่กลับยังขับรถเรื่อยมา หักเลี้ยวเข้าในซอยที่ป่านคุ้นเคย
ก่อนจะจอดที่หน้าร้านสักของพี่วา
“เรื่องที่ป่านเป็นเกย์... แม่รู้มานานแล้ว”
“...” ป่านควรจะตกใจทว่ากลับไม่ได้ตกใจเท่าที่คิด
ถ้ามีใครในโลกนี้รู้จักป่านดีที่สุดนอกจากตัวเอง ก็คงเป็นหม่ามี้
“หม่ามี้รอ ว่าเมื่อไหร่ป่านจะบอกหม่ามี้ แต่ป่านเลือกที่จะโกหก เพราะแบบนี้หม่ามี้ถึงโกรธ เข้าใจไหม”
ได้แต่พยักหน้า ในใจยังรู้สึกผิด ทว่าเจือโล่งใจ
“แกร๊บเหรอ? หม่ามี้เห็นแกร๊บลูบหัวลูกชายหม่ามี้นะคะ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าแดงแจ๋เมื่อถูกจับได้
“พี่วาเขา...” อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าควรแก้ตัวอะไร สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มแหยออกมา
“ป่านชอบพี่เขาใช่ไหม”
“ครับ” ผิดกับคำถามนี้ที่รีบพยักหน้าตอบทันควัน
หม่ามี้ได้แต่ถอนใจ ยังรู้สึกหนักใจกับความแตกต่าง ทั้งอายุ ทั้งภาพลักษณ์ ไม่คิดว่าน้องป่านจะมีรสนิยมแบบนี้
ดูจากสายตา น่าจะเกือบสามสิบแล้วล่ะมั้ง...
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ให้พี่เขาไปส่งบ้านด้วยแล้วกัน”
สิ่งเดียวที่ป่านต้องการในตอนนี้คือไออุ่น
“อ้าว ทำไมวันนี้มาเร็ว เพิ่งจะบ่ายสอง... หืม? ทำไมอยู่ๆ มากอด...”
กลิ่นกาย และอ้อมกอดจากคนรัก
“พี่ครับ มาทำกัน”
“หา?” ความโหยหา ความสุขสมที่จะช่วยลบความอึดอัดกดทับภายในใจ
“มาทำกัน”
ตอนนี้ เวลานี้ วินาทีนี้
“เฮ้ย เดี๋ยว อย่าเพิ่งถอด”
สิ่งเดียวที่ต้องการคืออ้อมกอด คือสัมผัสลึกซึ้ง เติมเต็ม ตักตวง ฉีกทึ้งตะกละตะกลาม
“น้อง...”
“พี่ จูบผมหน่อย...” จุมพิตย้อมความรู้สึกให้ยิ่งมัวเมา “กอดผมนะ นะครับ”
“...” รสจูบรุนแรงเจือหวานล้ำทวีปลุกปั่นความกระหายหาทรมาน
“วา...”
ลืมความจริง ลืมความฝัน
ลืมอดีต อนาคต ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
“รู้ใช่ไหม ต่อให้ร้องไห้อ้อนวอนทีหลัง พี่ก็จะไม่หยุดให้”
กระโจนสู่โลกอีกใบที่เหลือเพียงกันและกัน
วาบอกตัวเองเสมอว่าต้องหักห้ามใจ มันยังไม่ถึงเวลา น้องยังบริสุทธิ์เกินกว่าจะล่วงเกินตามใจ
เก็บงำความรู้สึก ความใคร่ ความกระหายจะกลืนกินทั้งตัวไว้มิดชิด ไม่แพร่งพราย
ยินดีจะทะนุถนอมไปอีกปี สองปี หรือสิบปีจนกว่าน้องจะยินยอมพร้อมใจ
แล้วนี่มันอะไรกัน
ทิวากรอ่านออกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บางสิ่งผิดปกติทว่าสติแข็งขืนกลับถูกบั่นทอนทีละนิด...ด้วยรสจูบ ด้วยกลิ่นกาย เสียงกระซิบที่เรียกชื่อเขาซ้ำๆ
“วา...”
เตลิดสิ้นท่ากับดวงตาหวานที่จับจ้องอย่างเว้าวอน ยั่วเย้า
ราวผลึกหีบลับแตกกระจาย สัตว์ร้ายหิวกระหายถูกปลดปล่อยให้อาละวาดตามใจ
ตะครุบเหยื่อ กระชากทึ้งเนื้อหวาน กัดกินไม่รู้จักอิ่ม ตะกรุมตะกราม
“แน่ใจแล้วเหรอว่าจะทำแบบนี้” ถามเพียงเป็นพิธี เพราะความยับยั้งชั่งใจเหลือเพียงน้อยนิด เมื่อร่างเปลือยเปล่าถูกกดลงกับเตียงสัก ขาสองข้างแยกห่าง สั่นระริกแทบสิ้นแรง
“ผมอยากเป็นของวา” เพียงเท่านั้นคล้ายปีศาจจำแลงกลับร่าง ความแข็งขึงที่จดจ่อช่องทางกดกระซวกเข้าจมลึกเกินครึ่งทาง
เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นขณะที่ตัวตนแช่ค้าง ร่างกายกำยำโน้มทาบแผ่นหลัง พรมจูบผิวแก้ม ใบหู ก่อนบังคับเอี้ยวคอกลับมารับจุมพิตที่ริมฝีปาก
มัวเมา ปลุกเร้าความปรารถนาให้คลายทรมาน
โดยไม่รู้ตัว กลืนกินตัวตนใหญ่คับเข้ามาในร่างจนสุดทาง
ความเจ็บกลับกลายเป็นกระสัน ปรารถนาเสียดซ่านจนหลุดเสียงครางอีกครั้ง ภายในบีบรัดความแข็งขึงคับแน่นจนอึดอัดยิ่งเร่งให้อยากถาโถมกระแทกกระทั้น
เจ้าของร่างกำยำยืดตัวยืนเต็มความสูง มือทั้งสองข้างประคองสะโพก บีบเค้นสลับฟาดจนขึ้นรอยมือแดงช้ำอย่างไม่อาจห้าม ถอนกายออก ก่อนสอดใส่ ถอนกายซ้ำ กระแทกสุดทาง ดวงตาคมจับจ้องรอยสักบนสะโพกขาว แสยะยิ้มก่อนยิ่งเร่งจังหวะรัวเร็วเกินตั้งรับ ร่างบอบบางโยกคลอนเปล่งเสียงหวีดสั่น
ฝูงผีเสื้อถูกกระตุ้นให้กระเพื่อมไหวเริงระบำ
ก่อนจะกระชากร่างน้องกลับมายืนทาบทับ หมุนตัวสู่กระจกสะท้อนใบหน้าที่แดงซ่านด้วยราคะ อวดร่างกายที่ดูดดึงขยับโยกในจังหวะเดียวกันอย่างงดงาม
มือปะป่ายบีบเค้นเนื้อนุ่มหอมหวาน ขย้ำจนขึ้นรอยทั่วร่าง ริมฝีปากจุมพิตทั่วลำคอและไหล่บางตักตวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้อิ่ม
“Stop kissing...”
“...” กลิ่นราคะคลุ้งกระจายฉีกสติขาดสะบั้น ความแยกแยะถูกผิดเลือนราง
“Bite me…”
“...” ถลำลึก...
เหลือเพียงสองร่างเปลือยเปล่าที่ตอบสนองตามแรงปรารถนามัวเมา หลากท่วงท่า ทำตามสัญชาตญาณราวกับสัตว์
“Please…”
เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงครางเจือเสียงคำราม เสียงเตียงเหล็กลั่นตามจังหวะถี่เร็ว
เอี๊ยดอ๊าด... เอี๊ยดอ๊าด
เร่งเร้า รุนแรง เสียวซ่าน...
จนถะถั่งปลดปล่อยหยาดราคะ กระชากความสุขสมสู่จุดสูงสุดไปพร้อมกัน
#มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน
มีความกังวลเล็กน้อยเรื่องจังหวะเรื่องที่อาจจะแปลกประหลาด
ถ้าไม่โอเค หรือผิดพลาดตรงไหนบอกได้เสมอเลยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม
รักมากๆ
-Martian-