Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Whose fault? ผิด...ที่ใคร (Drama,Yaoi) ผิดครั้งที่ 43 จบแล้ว 22/03/2562  (อ่าน 37424 ครั้ง)

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





****************************************************************************************



                                                                          บทย่อ


     'คนอย่างมึง ไม่เกิดมาซะก็ดี' ...เป็นคำพูดของพ่อบังเกิดเกล้าผู้ให้กำเนิดมีให้กับลูกชายตัวจ้อยที่นอนตัวสั่นระริกรองรับอารมณ์รุนแรงจากความโกรธและไม่พอใจที่เกิดขึ้นทุกวัน

     แต่แล้ววันหนึ่งก็มีมือมาดึงเขาออกไปจากขุมนรกที่เด็กคนหนึ่งไม่สามารถหนีพ้นออกมาได้ด้วยตัวเอง

     ชะเอมเด็กกำพร้าผู้น่าสงสาร...มีมหาเศรษฐีใหญ่โตเก็บไปเลี้ยง...เหมือนหนูตกถังข้าวสาร...ใครๆ ก็พูดกัน หากแต่ความเป็นจริงชะเอมไม่เคยคิดหลงระเริงว่าเป็นหนูผู้โชคดี ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นหงส์ขาวแต่กลับเป็นเป็ดขี้เหร่สีดำที่อยู่ผิดที่

     แม้จะรู้สึกขอบคุณแต่กลับสำเหนียกตนว่าไม่คู่ควรเสมอมา

     เขาได้พบกับ 'คิน'  ลูกชายของผู้มีพระคุณที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป...คนที่กลายมาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

     หากแต่เรื่องราวความรักเคล้าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานก็เกิดขึ้นเมื่อ 'เรย์' เพื่อนสนิทของคินที่แอบชอบเพื่อนตัวเองข้างเดียวคิดไม่ซื่อ ทำทุกหนทางให้คินเข้าใจตัวเขาผิดจนถูกเกลียดเข้าไส้

     'ถ้าหากเขาตาย คินก็คงจะดีใจใช่มั้ย'

     คำพูดของพ่อที่เลือนหายไปในความทรงจำตามกาลเวลาก็กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

     'ความรัก' กับ 'ชีวิต' หากสองสิ่งนี้สามารถแลกกันได้...ตัวเขาก็พร้อมยินดีทุกเมื่อ

     
     ****************************************************************

เรื่อง Whose Fault ผิดที่ใคร
E-book ราคา 650฿ จำหน่ายแล้วที่ meb,ookbee นะคะ

สำหรับหนังสือ
ราคาเซ็ต : 900 บาท/2เล่ม (รวมส่ง kerry)
เนื้อหา :
ตอนหลัก 43 ตอน + ตอนพิเศษ 7 ตอน (ไม่มีลงในเว็บ)
-สินดิน ตอน สักวันหนึ่ง
-สินดิน ตอน รับผิดชอบ
-คินชะเอม ตอน ข่าวดี
-คินชะเอม ตอน หวง! หึง!
-คินชะเอม ตอน รถใหม่
-คินชะเอม ตอน แอดมิน สาววายจงเจริญ
-คินชะเอม ตอน ชะเอม

โอนได้ที่ :
เลขที่บัญชี 147-244654-5
ชื่อบัญชี กรองแก้ว ดิลกฤทธิศักดิ์
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

ช่องทางแจ้งชำระเงิน : -ผ่าน inbox เพจ H.Rui Novels
แจ้งแล้วแนบหลักฐานและชื่อที่อยู่ เบอร์โทรเพื่อจัดส่งมาพร้อมกันเลยนะคะ

สงสัยอะไรทักมาถามได้ที่เพจ H.Rui Novels โลดดด
เลิฟนักอ่านทุกคนเสมอๆ <3

                       
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2019 19:47:02 โดย โฮเซกิ รุย »

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร Introduction
«ตอบ #1 เมื่อ09-09-2018 15:05:03 »

                                                                Whose Fault ?
                                                                                     

                                                                   ผิด...ที่ใคร
                                                                                     

                                                                  Introduction
                         
                                 

          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



           ปึง


            เสียงประตูกระแทกปิด ทำให้ใครบางคนที่หิ้วท้องรออยู่สะดุ้งเล็กน้อยแต่ความรู้สึกยินดีแล่นวาบขึ้นในหัวใจ ร่างโปร่งลุกจากโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่เจ้าตัวไม่ได้ให้ความสนใจนักมาต้อนรับคนที่เพิ่งกลับบ้าน เสียงฝีเท้าลงหนักเบาที่ไม่ได้ยินมาหลายวันเรียกรอยยิ้มแย้มดีใจจากเขา


            “กลับมาแล้วเหรอ” เขาเอ่ย


             แต่คนที่กลับมาไม่แม้แต่จะสนใจ เดินผ่านหน้าไปแบบไม่ชายตามองเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุ...ไร้ตัวตน ทิ้งใครอีกคนยืนก้มหน้านิ่งงัน ริมฝีปากบางเม้มแน่นพอๆ กับเล็กที่จิกเข้าฝ่ามือ เพียงชั่วอึดใจ ก็คลายออกทำเหมือนปกติ


                                       
              ไม่รู้สึกอะไร




               “นี่ กลับมาทั้งที มากินข้าว...คิน ทำอะไร!?” ร่างโปร่งถามเสียงดังทันทีที่เห็นว่าอีกคนกำลังคุกเข่าก้มๆ เงยๆ เก็บเสื้อผ้าพับลวกๆ ใส่กระเป๋าใบใหญ่ที่วางข้างๆ




                “...” แต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ร่างสูงทำราวกับไม่ได้ยิน และมือก็ยังคงจับกางเกง เสื้อกล้าม สิ่งที่จำเป็นเข้ากระเป๋า




                 “หยุดเลยนะ” เมื่อเห็นพฤติกรรมดังนั้น ขาก้าวเข้าห้องเข้าไปพร้อมทั้งกระชากสิ่งที่อยู่ในมือใหญ่ “ผมไม่ให้คินไปไหนทั้งนั้น”  เรียกสายตาคมดุตวัดมองที่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แล้ว




                  “ปล่อย” คำพูดที่ออกมาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนเอือมระอา แต่ร่างโปร่งไม่สนใจ ยังคงยื้ดยุดเสื้อผ้าและเทของที่อยู่ในกระเป๋าออกมากองเต็มพื้น



                   “เอมทำอะไร” ร่างสูงตะคอกใส่



                   “คินนั่นแหละทำอะไร” ได้ยินคำถามจากอีกคนทำให้ร่างสูงพ่นลมหายใจแรงๆ ราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นคำถามโง่ๆ


                   “ทำตัวน่ารำคาญขึ้นทุกวัน เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่อยากอยู่ด้วย”



                    “เอมทำอะไรให้คินรำคาญ คินก็บอกมาสิ” คนถามกัดปากแน่น ขอบตาเริ่มแดงแต่ยังกลั้นไว้ มือใหญ่กระตุกสิ่งที่ยื้อยุดเมื่อครู่ออกแต่คราวนี้ช่างง่ายดายเพราะมือบางสั่น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะจับ




                     “อย่าให้พูด” เสียงทุ้มแค่นใส่แบบไม่แคร์ว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง นั่นทำให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบใบหน้าเงียบไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น



                      ผ่านไปชั่วครู่เดียวแต่เหมือนนานหลายนาที เสียงรูดซิป และร่างสูงขยับลุกขึ้นยืน มือสะพายกระเป๋าบนบ่า ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตัว รีบเดินตามแผ่นหลังกว้างออกไปขณะที่คินกำลังเอื้อมมือเปิดประตู



                       “เป็นเพราะ ‘มัน’ ใช่ไหม”



                        “...”



                        “เพราะมันใช่ไหม!” เมื่อคำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ร่างบางจึงตวาดเสียงสูง พฤติกรรมก้าวร้าวที่เขาไม่เคยคิดจะทำ



                        แต่ครั้งนี้มันเกินรับไหวแล้วจริงๆ



                        “ไม่ใช่” เสียงเข้มดังทุ้ม แม้แต่เสียงโทรทัศน์ก็ไม่อาจกลบได้



                         “...”



                         “อย่ามาโทษคนอื่น” ดวงตาคมปรายสายตามองเห็นคนตัวเล็กยืนตาแดงน้ำตาไหล แต่แล้วก็ทำใจหลับตาเอ่ยในสิ่งที่คิด “ถ้าจะโทษใคร...ก็โทษที่ตัวเอมเอง”



                          เขาตัดสินใจแล้ว



                          ร่างสูงหมุนตัวหันหลัง ถึงจะติดตากับภาพที่เห็น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาลังเลเดินออกจากห้องนี้ไป



                          ห้องที่เขา...ไม่สิ ‘เรา’ เคยเรียกมันว่าบ้าน



                                       
                           ปึง



                           เสียงประตูครั้งที่สอง ปิดลงด้วยความรู้สึกดิ่งลงเหว กับร่างโปร่งที่ยืนนิ่งค้าง อยู่กับเสียงสะท้อนที่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา



                            ภาพของคนที่รักมากที่สุด เดินหันหลังออกจากห้องไม่มีความลังเล ขาเรียวที่สั่นเกร็งยืนหยัดอยู่ไม่ไหวไร้เรี่ยวแรงทรุดลงคุกเข่ากับพื้น อวัยวะในอกบีบรัดแทบหายใจไม่ออก มือเล็กเกาะกุมตรงที่เต้นรุนแรงเจ็บปวด ไหล่และหลังบางคู้ห่อสั่นระริก



                            “ฮึก...”



                            ทั้งๆ ที่วันนี้ควรจะเป็นวันที่ดี



                            กับข้าวหลากหลายที่เตรียมไว้เป็นอาหารเย็นสำหรับสองคนก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครแตะต้อง



                            เสียงร้องไห้เครือสะอื้นดังต่อเนื่องยาวนาน ไม่อดกลั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครได้ยิน


                                 

     

                            ถ้าจะโทษใคร...ก็โทษที่ตัวเอมเอง







                     ************************Whose fault? ************************


                                       






                   คลอดเรื่องใหม่แบบงงๆ ใครชอบความดราม่า เชิญมาทางนี้
                                       

                   คอมเมนท์ให้กำลังใจชะเอมและคินได้นะจ๊า
                                     

                    ขอบคุณนักอ่านผู้น่ารักทุกท่านที่เข้ามา
                                     

                   เชิญติชมได้เลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2018 14:58:56 โดย โฮเซกิ รุย »

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
                                                               

                                                                       Whose Fault ?
                                     

                                                                         ผิด...ครั้งที่ 1



           โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม






            แกรก



             ร่างบางเปิดประตูห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ก้าวออกจากห้องน้ำทั้งที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่าง หยดน้ำเกาะอยู่ทั่วร่างกายที่ผ่ายผอมกว่าแต่ก่อน



              ขณะนำผ้าขนหนูอีกผืนขยี้เส้นผมหอมสบู่ที่เปียกชื้น ดวงตาเหลือบมองเห็นหน้าจอมือถือที่สว่างวาบอยู่บน จึงรีบเดินเข้าไป ในใจพองโตแอบหวังว่าใครบางคนจะโทรมาหา แต่แล้วเมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏ หัวใจที่เต้นรัวก็แผ่วลง




                ...ลุงเกษม...




                "ครับ สวัสดีครับคุณลุง..."



                 ("สวัสดีตอนเช้า ชะเอม หืม...ตื่นเช้าเหมือนกันนี่นา") เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู ทำให้คนฟังต้องแอบอมยิ้ม



                  "ไม่หรอกครับ พอดีเพิ่งอาบน้ำเสร็จด้วย...คุณลุงโทรมามีอะไรรึเปล่าครับ" น้ำเสียงอ่อนใสแกมสงสัย เรียกเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝั่ง



                   ("ก็คิดถึงน่ะสิ ลุงไม่ได้เจอชะเอมนานแล้วนะ โทรหาเจ้าคินก็ไม่รับ สงสัยจะยังไม่ตื่น") ได้ยินชื่อนั้นทำเอาร่างบางอึกอัก ไม่รู้จะตอบอะไร ดีนะที่คุยโทรศัพท์ไม่งั้นคงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนไม่อยากตอบของเขาแน่



                   "ผมก็คิดถึงคุณลุงครับ" เขาเลือกที่จะข้ามประเด็นตรงนั้นไป แล้วก็ได้แต่ถอนใจโล่งอกที่คนฟังไม่ติดใจอะไร หนำซ้ำคำพูดนั้นทำเอาคนฟังชื่นอกชื่นใจอีกต่างหาก



                    ("ถ้างั้นชะเอมมาเจอลุงบ้างสิ นัดกินข้าวเย็นกันไหม เอ้อ ถ้าไงลุงฝากลากเจ้าคินมันมาด้วยละกัน มีแต่หนูที่มันยอมฟังนะ ขนาดพ่อแท้ๆ ของมันยังไม่ฟังเลย") เสียงหัวเราะดังปิดท้ายราวกับประโยคที่พูดออกมาตลกนักหนา แต่หารู้ไม่ว่าคนฟังยิ้มแหย



                     ทำไมกลับมาประเด็นเดิมได้เนี่ย



                     "คือ..." เอมกลืนน้ำลายเบาๆ หลับตาในหัวคิดหาคำพูดพยายามอธิบาย "ช่วงนี้คินเขางานยุ่งมากครับ แล้วก็ต้องไปค้างหอเพื่อนที่ทำงานกลุ่มเดียวกัน...เขาไปค้างได้สามวันแล้วล่ะครับ" ร่างบางเอ่ยคำโป้ปดรัวเร็วพร้อมเอ่ยขอโทษผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตในใจและ ปลอบใจตัวเอง



                      ไม่เป็นไร ยังไงก็มีเรื่องที่ไปจากที่นี่สามวันแล้วก็เป็นเรื่องจริงล่ะนะ



                      ("อ้าว! จริงเหรอ นี่ลุงไม่เห็นรู้เรื่องเลย งานกลุ่มที่ว่าคืองานที่คณะมันใช่มั้ย")



                      เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ "ครับ" ต่อมาได้ยินเสียงร้องออพร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง



                      ("งั้นไม่เป็นไรๆ เอาเป็นช่วงที่ทั้งหนูและคินว่างพร้อมกันก็แล้วกัน")



                      "...ได้ครับ" รับคำพร้อมพรูลมหายใจ



                      ("แล้วหนูอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย นี่ลุงว่าถึงเจ้าคินจะไปทำงานกลุ่มก็น่าจะกลับมานอนที่คอนโด...ไม่น่าปล่อยอยู่คนเดียวเลยนะ แล้วนี่จะไปเรียนยังไง") เกษมเอ่ยเสียงเครียดราวกับจะตามคนที่อยู่ในบทสนทนากลับมาคุยเดี๋ยวนี้เลยทำเอาร่างบางปฏิเสธละล่ำละลัก



                      ขืนทำแบบนั้นคินยิ่งได้เขม่นเขามากกว่าเดิมสิ



                     "อะ...เออ มะไม่เป็นไรครับ เขานอนกับเพื่อนน่าจะสะดวกมากกว่า ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วย ส่วนเรื่องไปเรียนไม่ต้องห่วงนะครับ ผมนั่งรถเมล์ไปได้"



                      ("เจ้าลูกคนนี้นี่มันจริงๆ เลย") เกษมบ่นแต่ไม่วายถามย้ำ ("เอางั้นเหรอ ลุงตามใจชะเอมนะ")



                     "ครับ ผมอยู่คนเดียวได้ไม่มีปัญหา" ร่างบางเอ่ยเสียงอ่อน



                     ("โอเค แล้วเรื่องเงินล่ะ") เกษมเปลี่ยนเรื่อง ปกติถ้าเป็นคนอื่นถามจุกจิก ชะเอมอาจจะบอกปัดด้วยความรำคาญไปแล้ว แต่กับลุงเกษมเขาเข้าใจว่าทุกคำถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ("เงินที่ลุงให้พอใช้มั้ย เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ลุงโอนให้นะ")



                     "ไม่ต้องก็ได้ครับ ทุกวันนี้เอมก็ใช้ไม่หมดแล้ว ที่เหลือเก็บยังใช้ได้อีกหลายเดือนเลย" ร่างบางรีบปฏิเสธ อยู่ๆก็ขนลุกเพราะอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนต้องหยิบรีโมทกดปิด ตอนนี้ตัวเขาแห้งแล้ว เส้นผมก็ชื้นไม่มีหยดน้ำ



                      ("...แต่เดือนที่แล้วลุงก็ไม่ได้โอนให้นี่")



                     "นั่นเพราะเดือนก่อนคุณลุงให้มาเยอะ ผมยังใช้ไม่หมดไงครับ" ชะเอมบอกอย่างดื้อดึง



                      ("เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่ถ้าชะเอมมีอะไรอยากได้ต้องบอกลุงนะ อย่าลืมว่าหนูก็เป็นลูกของลุงคนหนึ่ง ไม่ต้องเกรงใจ") เกษมเอ่ยเสียงอ่อนโยน เพราะรู้ดี เขาเป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มากับมือ ทั้งความเกรงใจที่ยกตัวเองออกห่าง ถึงจะมองว่าเขาเป็นพ่อแต่ก็ยังไม่เรียกว่าพ่อ แต่เขาก็ภูมิใจ ชะเอมเป็นเด็กที่ดีเหลือเกิน



                      ชะเอมฟังแล้วแน่นอก ไม่ว่ายังไงคุณลุงก็ใจดีกับเขาเสมอมา น้ำตาเหมือนจะรื้นขึ้นมาเพราะความตื้นตัน



                     ผู้มีพระคุณของเขา สักวันจะต้องตอบแทน



                     "ครับคุณลุง ถ้ายังไงผมขอวางก่อนนะครับ จะได้ไปแต่งตัว" ชะเอมเอ่ยเสียงอู้อี้ คุยเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องยาวทุกที ดูเหมือนอีกฝั่งก็จะรู้จึงยอมถอย




                     ("โอเค ถ้างั้นเอาไว้เจอกันนะ อย่าลืมกินข้าวเช้าล่ะ ลุงเป็นห่วงนะ")



                     "ครับ คุณลุงก็ดูแลตัวเองนะครับ สวัสดีครับ"



                      ชะเอมกดวางสาย เหลือบมองนาฬิกาแล้วเดินไปที่ตู้เพื่อแต่งตัวไปมหาวิทยาลัย







         ************************Whose fault? ************************







                     เพราะวันนี้มีเรียนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น นอกจากต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะต้องนั่งรถประจำทางมาเองแล้วยังต้องทำข้าวเช้าและข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยงมาด้วย ถึงฝีมืออาหารจะไม่ค่อยอร่อยมากแต่ก็ยังพอกินได้ เพราะปกติต้องทำอาหารให้ทั้งตัวเขาและคินเป็นประจำ อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับเขามากเพราะทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย และสมองก็ปลอดโปร่งทำให้การเรียนตอนเช้าเป็นไปได้ด้วยดีอีกด้วย



                     ร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะด้วยตั้งแต่กำเนิด สภาพแวดล้อม หรืออะไรก็แล้วแต่...ที่ทุกวันนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ได้ เพราะการดูแลตัวเองและการระมัดระวังหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย



                     ไม่มีใครเลือกเกิดได้...และชะเอมก็ทำใจได้กับเรื่องนี้มานานแล้ว



                     พอนึกถึงเรื่องใครอีกคนก็ทำให้ใจหม่นเศร้า พยายามบอกตัวเองว่าต้องหาเวลาไปคุยและเคลียร์กันให้เข้าใจ เพราะยิ่งเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่ดีทั้งตัวเขาเอง และจะทำให้คุณลุงเกษมไม่สบายใจได้



                     ชะเอมเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคุณลุงเกษมรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ทั้งที่มีลูกชายซึ่งก็คือคินอยู่แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเขาไปถูกชะตาอะไรกับคุณลุงแต่ก็ขอบคุณมาตลอด



                      ขอบคุณที่เก็บเขามาเลี้ยง



                     ขอบคุณที่ให้ความสำคัญ



                     ขอบคุณที่ดึงเขาขึ้นมาจากขุมนรก



                     ถึงจะจำได้ลางๆ แต่ชะเอมมีความทรงจำไม่ดีกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ไม่มีวันไหนที่เขาไม่โดนทุบตีหรือทำร้ายร่างกายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากพ่อขี้เหล้าและติดการพนัน วันไหนอารมณ์เสียจากการเล่นก็โดนลูกหลงจากอารมณ์ลงหนักจนสลบ ฟื้นขึ้นมาก็โดนแล้วโดนอีกกระหน่ำลงมาทั้งมือทั้งเท้า ไม่เคยเลยที่วันไหนจะได้อยู่อย่างสงบ จนวันหนึ่งเขาก็ทนไม่ไหววิ่งหนีออกมา จนได้มาอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า



                     ไม่มีการแจ้งตำรวจเรื่องเด็กหาย หรือประกาศตามหาตัวแต่อย่างใด เพราะเขาไม่เคยทำประโยชน์ให้กับพ่อบังเกิดเกล้า แถมยังเป็นภาระ นอกจากจะเป็นที่รองมือรองเท้าเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น



                     จนกระทั่ง...ถูกลุงเกษมเก็บมา



                     ขณะกำลังยืนบนรถประจำทางเบียดกับผู้คนที่ไปทำงาน ชะเอมรู้สึกวิงเวียนและผะอืดผะอมกับกลิ่นเหงื่อของฝูงชนและควันรถ แต่ก็ยังอดกลั้นพยายามไม่แสดงอาการอยากจะอาเจียนออกมา



                     "นาย...ไหวมั้ย?" ได้ยินเสียงถามอย่างเป็นห่วงจากด้านข้าง ทำให้เขามองตามเสียง เห็นผู้ชายตัวพอๆ กับเขาใส่ชุดนักศึกษาซึ่งสังเกตเนคไทมีตรามหาลัยเดียวกันยืนอยู่ สีหน้าขมวดคิ้วมุ่น



                     "หน้านายโคตรซีดเลย" น้ำเสียงทุ้มใส ฟังแล้วเหมือนทำให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย



                     "อื้ม" ชะเอมยิ้มอ่อน "น่าจะ"



                     "อืม แปปนะ" คนข้างๆ พูด ชะเอมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยเห็นอีกคนล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนควานหาอะไร  บางอย่าง ก่อนล้วงออกมาบิดสิ่งที่อยู่ในมือแล้วจ่อเข้าใกล้หน้า ได้กลิ่นมินต์เย็นๆ ลอยออกมา ช่วยลดความผะอืดผะอมที่อยู่ในอกได้มาก



                     "ใกล้ถึงแล้วทนหน่อยละกัน ถ้าไม่ไหวยืนพิงเราได้"



                     ร่างบางกระพริบตาปรับภาพที่พร่ามัว สูดลมหายใจลึกให้กลิ่นเย็นๆ เข้าก่อนพยักหน้านิดๆ



                     "...ขอบใจนะ"



                     อีกฝ่ายยิ้มส่ายหน้านิดๆ ราวกับบอกว่าไม่เป็นไร



                     ราวสิบนาทีกว่าจะถึงหน้าประตู ชะเอมถึงกับโล่งอก ส่งยาดมที่เพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกันคืนกับมือ



                     "ขอบใจมากนะ เจ้านี่ช่วยได้เยอะเลย...เอ่อ นาย"



                     "เราชื่อราม อยู่คณะอักษรปี3"



                     สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างบางที่ยังหน้าซีดเซียวเบิกตานิดๆ



                     "เอ๊ะ บังเอิญจัง อยู่คณะเดียวกันเลย"



                     "ชะเอม ปีเดียวกันเอกจีน ใช่มั้ย" ยิ่งได้ยินยิ่งอึ้งนิ่งค้าง ทำคนมองอย่างรามหัวเราะร่วน




                     "ทำไมรู้" น้ำเสียงใสเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบสายตาเหลือบเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่าน หน้าเลี้ยวเข้าประตูมหาลัยวิ่งไปทางตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์



                     เขาจำรถคันนั้นได้ดี



                     ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำทะเบียน กท1222



                     รถของคิน



                     บางทีเขาก็คิดว่าดีจริงๆ ที่รถคันนั้นฟิล์มดำทึบพอที่จะมองไม่เห็นข้างใน เขาไม่อยากจะรับรู้อะไรที่ทำให้ใจเขาเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว



                     ถึงในใจจะรู้ดีว่าในรถนอกจากคินแล้วมีใครคนอื่นอยู่ด้วย แทนที่ตรงที่เขาเคยนั่ง



                     "ที่ลือกันว่าเอมเลิกกับคินแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ อะเอ่อ...โทษที"



                     เสียงที่ดังข้างๆ ทำให้ร่างบางรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว กว่าจะเข้าใจว่ารามพูดอะไรรถคันนั้นก็วิ่งลับสายตาไปแล้ว



                     "อืม ไม่เป็นไร" ร่างบางหันมาพูดกับอีกฝ่าย "ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย"



                     "อย่ายิ้มแบบนั้นสิ" รามพึมพำพูดเสียงอ่อย เขาไม่เคยเห็นใครยิ้มรวดร้าวเท่าคนตรงหน้ามาก่อนเลย น้ำตาคลอกับแววตาเจ็บปวดที่สื่อออกมาทำเอารู้สึกผิดที่เผลอปากเปราะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป



                     "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ" เสียงที่เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบา ไม่รู้ว่าบอกกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอ หรือบอกกับตัวเองกันแน่ชะเอมเอื้อมมือที่สั่นจนรู้สึกได้กระชับกระเป๋าสะพายข้างเข้ากับไหล่ เดินผ่านมุ่งตรงไปยังตึกคณะที่อยู่อีกฝั่ง



                     "เอม...นายพกนี่ไว้ดีกว่านะ หน้าซีดอีกแล้วรู้ตัวไหม" กล่าวไม่เอาคำตอบ แถมของที่ว่ายังถูกยัดใส่มือแบบพลการ อีกต่างหาก พบว่ามันคือยาดมหลอดเดิม



                      "นายหิ้วของมาเยอะจัง มาเดี๋ยวเราช่วยถือ"



                      "เอ๊ะ! เอ่อ...ไม่เป็นไร เราถือได้" ร่างบางเบี่ยงไหล่เบาๆ เขาไม่กล้ารบกวนคนที่เพิ่งรู้จักกันขนาดนั้นหรอก



                     จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้สังเกตเพื่อนใหม่ ที่บอกว่าตัวเองชื่อราม ตัวสูงกว่านิดไม่ถึงห้าเซน ตัวหนากว่าเขาหน่อย ผิวออกขาวเหลือง ตาเรียวตี่เหมือนคนจีน ปากนิดจมูกหน่อย ดูรวมๆ ก็เรียกได้ว่าหน้าตาค่อนข้างดีเลย



                     "ขอบใจ" ได้ยินรามว่าแล้วร่างบางก็รู้สึกหวิวๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมือเย็นขนาดไหน รู้สึกมึนๆ เหมือนจะเป็นลม



                     ข้าวเช้าก็กินมาแล้วนี่นา



                     ขณะคิดมือก็แกะยาดมขึ้นมาสูดแรงๆ



                     "เออนี่รามยังไม่ได้บอกเราเลยว่ารู้จักเราได้ยังไง" เอมถามอย่างสงสัย ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้ว ถามเสียงสูง



                     "นี่ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองดังขนาดไหน"



                      "หืม" ร่างบางหัวเราะ "ถามจริง" น้ำเสียงไม่อยากเชื่อ



                     "โห...พลาดแล้ว นี่จะบอกให้นะว่าเรื่องของนายกับคิน ไม่มีใครในมหาลัยนี้ไม่รู้จักหรอก" รามพูดรัว แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้ตัวช้าเกินไปว่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ เสียจริง "โทษทีเอม มันเผลอ"



                     ชะเอมยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ แต่ในใจแอบกระตุก "แล้ว...ยังไง ได้ยินมาแบบไหนล่ะ"



                     "ก็...ทั้งเรื่องดี" รามอึกอัก แต่ไม่อยากโกหก เขาไม่ชอบโกหก "แล้วก็ไม่ดีด้วย" เขาเหลือบมองสีหน้าร่างเล็กกว่าตัวเองที่เดินเยื้องด้านหน้า ใบหน้าขาวซีดกับเส้นผมสีดำออกน้ำตาลคลอเคลีย นัยน์ตาดำกลมโตใสว่างเปล่า มักจะสะท้อนความเศร้าออกมา ในตอนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่



                     รามรู้จักชะเอมเพียงแค่ชื่อมานานตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาได้เกือบปี เป็นคนที่ทั้งสวยและหล่อเป็นที่หมายปองของสาวๆ และหนุ่มๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เรือนร่างผอมแอบมีกล้ามเนื้อเล็กน้อยทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์ ผิวขาวผ่องใสราวกับไม่เคยโดนแดดแผดเผา ให้ความรู้สึกอยากปกป้อง แต่ฝันของใครหลายคนต้องสลายเมื่อรู้ว่าหนุ่มหน้าหวานคบอยู่กับคินหนุ่มหล่อวิศวะ มีดีทั้งด้านเรียนและกีฬา แถมบ้านยังร่ำรวยอีกด้วย นิสัยก็ดี เพอร์เฟ็คต์แบบที่ใครๆ ก็ไม่อาจสู้จึงต้องยอมแพ้ถอยกันไปหลายราย แต่ทางคินก็ใช่ย่อย หล่อขนาดนั้นก็ต้องมีตุ๊ดกะเทยและชะนีทั้งหลายยอมถวายตัวเข้าไปเกาะแกะตลอด แต่เห็นว่าคินรักเดียวใจเดียวไม่ยอมเผื่อใจให้ใคร ทำให้ทั้งคู่เป็นคู่รักในมหาวิทยาลัยที่เขาล่ำลือกันว่าเป็นคู่ที่โชคดีที่สุด



                         แต่ข่าวล่าสุดที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน ระหว่างเรียนปีสองเทอมสอง ทั้งคู่เกิดทะเลาะด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่วงในว่ากันว่าคือ 'มือที่สาม' ซึ่งใครคนนั้นคือ เรย์ เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับคิน เป็นหนุ่มร่างเล็กอ้อนแอ้น หน้าตาน่ารักคล้ายทอมมากกว่าเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ กล่าวคือเรย์เจอกับคินมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เวลาเรียนก็อยู่ด้วยกัน และเกิดชอบคินเข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าคินคบกับเอมอยู่ เลยเก็บความในใจไว้จนกระทั่งแพ้ความอ่อนโยน และความใกล้ชิดทำให้เก็บงำคำว่ารักไว้ไม่ไหว สารภาพออกมาตอนไปเลี้ยงจบการสอบกลางภาค ชะเอมเผลอไปได้ยินเข้าเลยเกิดเป็นเรื่องทะเลาะ พยายามกีดกันถึงขั้นทำร้ายเรย์ และไม่ให้เข้าใกล้คินเลย ซึ่งแน่นอนคินไม่เห็นด้วยเพราะเห็นเรย์เป็นเพื่อนสนิทและมองว่าสิ่งที่เอมทำมันเกินกว่าเหตุ จึงยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กระท่อนกระแท่นเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนคินทนไม่ไหวกับความเอาแต่ใจของชะเอมจึงขอเลิก แล้วไปคบกับเรย์แทน



                     ถึงจะได้ยินแบบนั้นมาก็เถอะ...



                     แต่จากที่คุยครั้งแรกในรอบสามปีที่เรียนคณะเดียวกันมา ดูๆ แล้วไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างชะเอม หนุ่มบอบบาง ดูท่าทางเรียบร้อยคนนี้จะไปหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น



                     แถมท่าทางเงียบๆ และแววตาเศร้านั่นอีก



                     หรือว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องไม่จริง



                     ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าคณะอักษรศาสตร์แล้ว ก่อนที่จะแยกทางกัน รามก็ถอนใจ ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปยุ่งได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะ... "นี่...เรื่องที่เราได้ยินมา" ร่างบางภายใต้ชุดนักศึกษาหันมาสบตา "เป็นเรื่องจริงรึเปล่า"



                    รามค้นหาสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตากลมดำเหมือนลูกกวางนั้น



                     "เรื่องไหนเหรอ"




                     "ที่เขาว่านาย...ทำร้ายเรย์" เขาไม่ได้ต้องการย้อนความทรงจำในอดีตทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวด เขาก็แค่อยากรู้... ไม่รู้ทำไม



                     ได้แต่หวังว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาลือกัน ก็เท่านั้น



                     น่าเสียดายที่รามพบว่าในแววตาคู่นั้นมีเพียงแค่...ความว่างเปล่า




                     "แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ"



                     คราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคน และชะเอมก็ไม่ได้ต้องการคำตอบด้วย ทั้งคู่ยืนเงียบจ้องตากัน จนกระทั่งร่างบางเป็นคนถอนหายใจแผ่วเบา



                     "เรื่องยาดม ขอบใจมาก เราขอตัวก่อน" พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าตึก ทิ้งใครอีกคนยืนนิ่ง



                     "เอม... " เสียงเรียกแผ่วของรามคล้อยหลังร่างบางที่เดินไปไกล กลืนหายไปกับสายลม



                     อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น



                     ขอโทษ...




                     แน่นอนว่าถ้าหากรามสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิด จะพบว่าภายใต้เปลือกตาของชะเอม ในความว่างเปล่านั้นมีความเสียใจอยู่



                     เสียใจในการกระทำของตัวเองที่ไม่สามารถแก้ไขได้



                     แต่แน่นอน ถ้าหากย้อนกลับไป



                     ร่างบางก็ยังยืนยัน...ว่าจะทำเช่นเดิม







  ************************Whose fault? ************************







                         การลงนิยายในเล้ามันยากมากเลย ต้องเคาะต้องกะบรรทัด ยังไงแปลกๆ ถถถถถถ

                         หรือรุยรู้สึกไปเองคนเดียว  :hao5:


                         คอมเมนต์ให้กำลังใจน้องชะเอมด้วยนะคะ

                         ปล.รุยแก้ไขแล้วนะคะ ต้องขอบคุณคุณ nonlapan ที่มาช่วยบอก

                         พบว่าในมือถือมันเว้นวรรคได้(โคตร) อุบาทว์จริงๆ ค่ะ (ซาบซึ้ง*^*)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2018 16:30:53 โดย โฮเซกิ รุย »

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #3 เมื่อ09-09-2018 17:29:12 »

ลองมาเช็กการจัดหน้าในโทรศัพท์ดูนะคะ เราว่าแปลกจริงๆ แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องน่าสนใจมาก รอติดตามนะคะ  o13

ออฟไลน์ Tak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #4 เมื่อ10-09-2018 02:03:45 »

ชอบบบบบบ แอบรักราม

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

                                                                 Whose Fault ?
 

                                                                  ผิด...ครั้งที่ 2


       "เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ เจอกันคาบหน้านะนักศึกษาทุกคน" เมื่อได้ยินศาสตราจารย์สอนวิชาประจำเอกกล่าว หลังจากร่างท้วมพ้นออกจากห้องไม่ถึงก้าวก็มีเสียงเฮเหมือนดีใจที่จะได้กินข้าว หรือเสียงถอนหายใจที่รอดพ้นจากคาบแห่งความเครียดนี้ซะที ซึ่งชะเอมคือหนึ่งในนั้น


       เสียงจอแจของคนนับร้อยเดินออกจากห้องเลคเชอร์ใหญ่ เพื่อไปโรงอาหารตอนพักเที่ยง ชะเอมรอให้คนออกจากห้องออกไปก่อนสักพักแล้วค่อยเดินออกมาเพราะไม่อยากเดินเบียดเสียดกับผู้คน ทั้งกลิ่นเหงื่ออับชื้นและกลิ่นตัวที่ไม่คุ้นชิน ยิ่งคิดยิ่งทำให้วิงเวียนผะอืดผะอมได้อีกครั้งเหมือนตอนที่เผชิญเหตุการณ์บนรถเมล์เมื่อเช้า
       


       ยังไงซะเขาก็ทำข้าวกล่องมา ไม่ต้องรีบไปแทรกคนเพื่อต่อคิวรอซื้ออาหารด้วย ร่างบางกระชับกระเป๋าขึ้นไหล่เดินหาโต๊ะในสวนใกล้ๆ โรงอาหารที่มีต้นไม้เยอะๆ ให้ความร่มเย็นเพื่อนั่งทานข้าว ก็อย่างที่บอกในโรงอาหารตอนนี้คงเต็มไปด้วยผู้คน อย่าว่าแต่หาที่นั่งเลย แค่จะเดินยังยากที่จะเลี่ยงการเบียดเสียด
       

       ตากลมใสกวาดตามอง โต๊ะส่วนใหญ่ก็มีคนนั่งอยู่ประปรายอยู่แล้ว มีทั้งนั่งคนเดียวบ้าง กลุ่มบ้าง ไม่เหลือโต๊ะที่ว่างเลย


       "เฮ้! นาย...ชะเอม!" เจ้าของชื่อหันซ้ายหันขวาเมื่อได้ยินเสียงเรียก แล้วก็เห็นใครโบกมือโหยงเหยงอีกด้านหนึ่ง


       ...ราม?



       คนดังกล่าวกวักมือเรียกเขาด้วย ร่างบางมองรอบๆกาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขาจริงๆ ไม่ได้เรียกคนอื่น จากนั้นก็เดินเข้าไปหา พบว่ารามนั่งอยู่กับเพื่อนอีกสองคนที่มองมาทางเขาเช่นกัน


       "ราม มีอะไรเหรอ"


       "อ้าว ก็เห็นนายหาที่นั่ง" รามทำหน้างง "หรือไม่ใช่"


       "มันก็ใช่อยู่หรอก" ชะเอมทำหน้างงกลับ เลิกคิ้วสูง "แล้วนายเรียกเราทำไมอะ"


       ได้ยินประโยคนั้นทำเอารามอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ



       "อุ๊บ! ฮ่าๆๆ ทะ โทษที เห็นหน้านิ่งๆ แบบนี้แต่ซื่อ(บื้อ)ชะมัด!" เพื่อนของรามที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ผิวสีแทนอยู่ๆ ก็ตบโต๊ะหัวเราะซะเสียงดังจนชะเอมสะดุ้ง โต๊ะรอบข้างหันมามองอย่างสนใจ


       "ไอ้ดิน เบาๆ สิวะ" เพื่อนอีกคนของรามพูด พร้อมกำปั้นใหญ่เขกลงบนศีรษะคนที่หัวเราะให้หุบปากเสียที ทำเอาหนุ่มผิวคล้ำหน้ามุ่ยร้องโอดโอยยกมือลูบหัวตำแหน่งที่เจ็บป้อยๆ
       

       ตอนนี้คนที่มองหันกลับไปทำกิจกรรมของตนเองแล้ว ชะเอมจึงดึงความสนใจมาที่รามเหมือนเดิม


       "ก็เราเห็นนายหาโต๊ะ เลยจะเรียกมานั่งด้วยกันไง" รามพูดไปงงไป ทำไมเขาต้องมานั่งอธิบายอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย "...หรือว่ารังเกียจ"


       ทำให้ร่างบางที่กำลังยืนงงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบส่ายหน้าจนผมสะบัด


       "ไม่เลยๆ" ดีเสียอีก ยังไงแถวนี้ก็ไม่มีโต๊ะว่างแล้วด้วย "...ถ้ายังไงขอรบกวนด้วยแล้วกันครับ" ชะเอมพูดพร้อมกับก้มหัวน้อยๆ ทักทายเพื่อนของรามที่นั่งอยู่ก่อนแล้วซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มทักทายกลับมา รามก็หย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามยิ้มยินดีเหมือนที่เขาไม่ปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะด้วย



       อันที่จริงชะเอมก็แอบรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่มีคนเรียกมานั่งด้วย แถมเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกัน


       ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเขาไม่เคยสนิทกับใครเป็นพิเศษ ไม่มีคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท ชีวิตนี้มีแค่ลุงเกษมกับ...คินมาตลอด จนกระทั่งเมื่อเช้าได้บังเอิญเจอกับเพื่อนใหม่อย่างราม แถมตอนนี้ยังมีเพื่อนของรามอีก


       "เอ่อ เอม" รามเกริ่นในขณะที่เห็นคนตรงหน้าหยิบถุงผ้าวางบนโต๊ะเรียกความสนใจให้ร่างบางหันมามองคู่สนทนา "เรื่องเมื่อเช้า...ขอโทษนะ"

       ใบหน้าขาวมองนิ่ง ทำให้รามยิ่งลนลานนึกว่าคนตรงหน้ายังโกรธอยู่



       "คือว่าเราชอบพูดอะไร เอ่อ...ไม่ค่อยเข้าหูคนอื่นเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้คิดอะไรไม่ดีนะ! คือ...แบบ" พอเห็นท่าทางลำบากใจที่พยายามอธิบายแล้วชะเอมก็นึกออก พลันร้องขึ้นมาเหมือนนึกได้



       "อ๋อ...เรื่องเมื่อเช้า"



       "เอ๊ะ?" รามงง


       "ก็เรื่องเมื่อเช้าไง ที่รามบอก" ชะเอมเอ่ยเสียงเรียบ


       
       "เอ่อ ใช่" ยังงงอยู่



       "เราไม่ได้โกรธ ไม่ต้องขอโทษหรอก"


       "อ้าว แล้วเมื่อกี้ที่ทำหน้านิ่งๆ เราก็นึกว่า..."



       "อ๋อ นั่นเรากำลังนึกอยู่" ปากบางพูดแทรก มือหยิบกล่องข้าวขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วแกะฝา เหลือบตามองยังเห็นรามงง "เรากำลังนึกอยู่ว่ารามพูดเรื่องอะไรไง"


       รามยิ้มค้าง แต่เพื่อนอีกสองคนที่นั่งฟังแอบขำจนไหล่สั่น


       "อุ๊บ! หึหึ..."



       ทำไมเวลาคุยกับชะเอมแล้วรู้สึกเหมือนคุยกันคนละเรื่องยังไงชอบกล


       ดูนิ่งๆ เอ๋อๆ เบลอๆ บอกไม่ถูก


       "แสดงว่าไม่ได้โกรธ?" หนุ่มผิวเหลืองตาเรียวถามย้ำ



       "อื้ม ไม่ได้โกรธ" ชะเอมส่ายหน้าย้ำคำพูดว่าไม่ได้โกรธจริงๆ "ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่"



       รามมองหน้าขาวของชะเอม ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาเหมือนกับไม่ได้พูดเรื่องของตัวเองอยู่ ทุกครั้งที่พูดจะมีแต่ใบหน้านิ่งๆ ถ้าไม่รู้จักอาจจะถูกมองว่าเป็นคนหยิ่งๆ


       เขายังไม่เคยเห็นรอยยิ้มจริงๆ สักครั้ง


       "อันที่จริงเป็นเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ สำหรับนี่" ชะเอมแบมือคืนสิ่งของชิ้นเล็กที่รามให้มาเมื่อเช้าก่อนแยกกัน "ขอบคุณอีกครั้งนะ ช่วยได้มากเลยล่ะ"



       "ไม่เป็นไร ชะเอมเก็บไว้เถอะ เราซื้อใหม่ก็ได้" รามยักไหล่ปฏิเสธ



       "ไม่ได้" คิ้วบางขมวดแน่น "เราต่างหากที่ต้องไปซื้อเอง อันนี้ของราม เราคืน"


       รามผงะเมื่อมือยื่นเข้ามาใกล้หน้า



       "แต่... " ใบหน้าคมลังเล แน่นอนว่าแพ้คนหัวดื้ออย่างชะเอม เพราะว่าเผลอสบตากับดวงตากลมที่จ้องมาอย่างไม่ลดละ ถึงจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่แววตาก็เหมือนจะบอกว่า เอาสิ ถ้าไม่เอาคืน ก็จะยื่นมันอย่างนี้แหละ



       "ก็ได้ๆ" รามยอมแพ้ นิ้วเรียวหยิบยาดมหลอดเล็กบนมือบางหย่อนใส่กระเป๋ากางเกง "พอใจแล้วนะ"



       "อื้ม" ชะเอมพยักหน้าสีหน้าพอใจ



       ถึงใครๆ จะคิคว่าแค่ยาดมหลอดเดียวจะอะไรนักหนา ซื้อใหม่ก็แค่ไม่กี่บาท แต่ร่างบางรู้สึกติดค้าง ถ้ายืมมาก็ต้องคืน สิ่งนั้นเขาไม่ได้ซื้อมาเอง มันไม่ใช่ของๆ เขา



       และแน่นอนว่าถ้าไม่ได้รามช่วยไว้เมื่อเช้า เขาก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงมหาวิทยาลัยได้อย่างปลอดภัยรึเปล่า



       "โอ้โฮ...มีข้าวกล่องด้วย" หนุ่มผิวคล้ำยื่นหน้ามามองกล่องข้าวสีทึบเหมือนกับเห็นของแปลกจนชะเอมที่ไม่คุ้นกับการกระทำถึงกับผงะ เจ้าตัวที่เห็นปฏิกิริยาถึงกับหัวเราะร่า "โทษทีๆ พอดีเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครเอาข้าวมากินน่ะ แหม เคยเห็นล่าสุดก็ตอนประถม"



       คำอธิบายที่ร่างบางยังไม่ทันได้ตอบอะไร ใครอีกคนที่นั่งข้างๆ เขาที่ก็พูดขึ้นมาก่อน



       "คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักกันเลย" ก่อนทำท่านึกแล้วยักไหล่ "แต่ยังไงพวกเราก็รู้จักนายอยู่แล้วล่ะนะ ฉันชื่อสิน ส่วนไอ้หมอนี่ชื่อดำ เรียนเอกเดียวกับราม ยินดีที่ได้รู้จักนะชะเอม" สินกล่าวยิ้มๆ พร้อมแนะนำหนุ่มคล้ำคนที่นั่งตรงข้ามตัวเองด้วย ทำเอาคนตัวใหญ่โบกหัวเพื่อนข้ามโต๊ะ




       ผัวะ!



       "ดำบ้านมึง!" ดินแยกเขี้ยวแหว "เอมอย่าไปฟังมัน กู...เอ่อ ระ เราชื่อดิน ยินดีที่ได้รู้จัก" คำสรรพนามที่เรียกตัวเองไม่คุ้นชิน อาจเพราะดูภายนอกแล้วชะเอมเป็นคนเรียบร้อยพูดเพราะทำให้ดินไม่กล้าที่จะพูดแบบที่เคยพูดกับเพื่อนคนอื่น
       

       "พูดเพราะกับเขาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ได้ยินแล้วแสยงว่ะ" สินเยาะ



       "ไอ้เวรนี่!" มือใหญ่โบกหัวอีกรอบ แต่คราวนี้สินรู้ทัน หลบได้ ทำให้ดินคว้าได้แต่อากาศ ส่วนรามนั่งขำ



       "ไม่เป็นไรดิน พูดอย่างที่ถนัดก็ได้" ชะเอมพูดอย่างไม่คิดอะไร



       "เอมไม่ต้องถือสากับไอ้ดำนี่นะ ถึงปากมันจะไม่ดี...ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่แค่ปากไม่ดี แต่ก็เป็นคนดีใช้ได้" คำแนะนำของสินที่พูดไปหัวเราะไปทำดินเกือบกระโจนเข้าไปฟัดอีกรอบ ถ้าไม่ได้ยินประโยคหลังซะก่อน เลยได้แต่นั่งฮึดฮัด


       ร่างบางที่มองการกัด...เอ่อ เถียงกันของเพื่อนใหม่นามว่าสินและดิน (หรือจะเรียกว่าทะเลาะกันฝ่ายเดียวของดินก็ว่าได้) ทำเอาทั้งงงปนขำ


       "ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากตัวด้วยนะ"



       เสียงใสหัวเราะในลำคอ ทำให้ทั้งสามคนมองค้าง



       "อา ให้ตายเหอะ" รามคราง



       "เอม..." คราวนี้เป็นสิน



       "กูว่ากูเข้าใจแล้วว่ะ ที่ว่าชะเอมเป็นหนุ่มรูปงาม" และดิน


       ใครบ้างที่เห็นชะเอมหนุ่มหน้าหวานในยามนี้แล้วจะไม่ใจเต้น ผิวขาวผ่อง ริมฝีปากบางอมส้ม จมูกเล็ก ใบหน้ามนที่รับกับเส้นผมสีดำออกน้ำตาลเมื่อโดนแดดส่อง ขนตายาวเป็นแพ ตากลมโตดำเหมือนลูกกวาง ยิ่งวาววับไปด้วยประกายระยิบระยับทำให้ยิ่งมีเสน่ห์ ใครที่เผลอจ้องมองก็ทำเอาตกหลุ่มได้ง่ายๆ เลยทีเดียว


       และสามเกลอก็ตกหลุมเสน่ห์พราวที่ไม่รู้ตัวของชะเอมไปเรียบร้อยแล้ว



       คนโดนมองเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำบาป(?) พอเห็นว่าโดนจ้องก็ทำหน้าสงสัย กระพริบตาปริบ และยังกินข้าวต่อแบบไม่สนใจอีกด้วย ทำเอาทั้งสามหันมามองหน้ากันแล้วคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับความซื่อและบื้อของร่างบางเพื่อนใหม่ดี ก่อนถอนหายใจแยกย้ายหันมาสนใจจานข้าวของตัวเองบ้าง



       ผ่านไปสักพัก โต๊ะรอบข้างที่เคยจอแจก็เริ่มเบาบางลงเพราะลุกออกไปประปราย ชะเอมมองนาฬิกา ยังมีเวลาก่อนที่จะเข้าเรียนคาบบ่ายอีกหลายนาที ยังไงเขาก็ไม่มีธุระรีบไปไหน เลยเลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิม


       "ทำไมนายถึงเอาข้าวกล่องมากินล่ะ ซื้อไม่สะดวกกว่าเหรอ" สินถาม ทำให้คนที่ชอบเผือกอย่างดินพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งอันที่จริงรามก็แอบสงสัย

       

       เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยเห็นใครพกข้าวกล่องมากินกันหรอก ล่าสุดที่เคยเห็นก็ตอนเรียนประถม แต่ตอนนั้นพ่อแม่บางคนก็ไม่มีเวลาว่างทำกับข้าวให้ตังลูกมาซื้อข้าวกินเองกันแล้ว บางคนจะพกข้าวกล่องมาก็เขินอายเกินกว่าจะเปิดกินต่อสาธารณชน (ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะอายทำไม)



       "ก็...จะพูดยังไงดี" ชะเอมนึก ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน มือก็หยิบทิชชู่ที่พกมาเช็ดริมฝีปาก การกระทำที่เหมือนผู้ดีมีมารยาททำเอาดินที่ปกติจะทำตัวค่อนข้างไม่คิดมาก (สกปรก) กระพริบตาปริบ


       "พอดีเราทำข้าวเช้ากินเองอยู่แล้ว อืม...ก็เลยทำเผื่อตอนกลางวันด้วย มันประหยัดดี" ร่างบางบอก ทำให้ทั้งรามและสินร้องออพลางพยักหน้า ส่วนดินร้องโอ้โฮอย่างทึ่ง



       "จริงเหรอ สุดยอดเลยนะ ทำอาหารเป็นเนี่ย" สินว่า ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นแถมกินได้(แบบไม่ตายซะก่อน) มีไม่มากนักหรอก ชะเอมยิ้มรับคำชม



       "ไม่หรอก"


       "ว่างๆ สอนบ้างดิ" ดินพยักหน้าเออออเห็นด้วยกับสิน แต่พอสินได้ยินดินพูดแบบนั้นก็ไม่วายแขวะ



       "คนอย่างมึงนี่นะ"



       "ทำไม คนอย่างกูจะทำไม" ดินหันขวับ



       "คนอย่างมึงก็แดกเป็นอย่างเดียวไง ริคิดจะทำอาหาร สงสารคนกินจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะท้องเสียท้องร่วง" คำสบประมาทของสินทำเอาดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชะเอมมองหน้าทั้งสองเถียงสลับไปมาพร้อมกับเหงื่อตก



       "กูขอให้มึงแดกไง" คนผิวคล้ำย้อนเสียงสูง



       "ถึงขอให้แดกกูก็ไม่แดกหรอก"



       "พวกมึงทั้งสองคนหยุดเถียงเป็นเด็กอนุบาลกันสักทีได้มั้ยวะ เถียงแม่งทุกวัน ไม่เบื่อรึไง" รามทำหน้าเอือมพูดแทรกเพื่อห้ามศึก



       "ก็มึงดูมันพูด/ไม่เบื่อว่ะสนุกดี" ดินและสินพูดพร้อมกัน และหันขวับพร้อมจะฟัดกันอีกรอบ



       "พอๆๆ พอเลย" รามยื่นมือแยกสองคนออก "พวกมึงนี่นะ"



       ชะเอมนั่งมองการเถียงกันเหมือนชมละครตลก เขารู้ว่ารามที่ทำหน้าเหม็นเบื่อคอยห้ามทัพเพื่อนทั้งคู่ที่ตัวโตกว่าตัวเอง จริงๆ ก็ไม่ได้เบื่อหรอก ดูจากแววตาประกาย กับทั้งสินและดินที่เขาว่ากันว่ายิ่งทะเลาะกันยิ่งรักกัน ทั้งสามคนดูสนิทกันมาก



       "ถ้าดินอยากเรียน เราสอนให้ได้นะ" ชะเอมบอกเสียงใส ดินหันมามองชะเอมแล้วหันกลับไปมองสิน ยิ้มพลางยักคิ้วสองจึ้ก



       "รับรองว่ากินแล้วไม่ท้องร่วงแน่นอน" ชะเอมแซวยิ้มๆ เท่านั้นแหละสินหัวเราะใส่หน้าดินทันที คนตัวคล้ำโชว์นิ้วกลางกลับแทนคำด่า



       "แต่เราว่าเอมดูลูกคุณหนูจะตาย ไม่นึกว่าจะมานั่งทำอะไรกินเอง แถมบอกว่าประหยัดเนี่ย เหลือเชื่อเลยแฮะ" รามว่า
ชะเอมอึกอัก ที่เขาประหยัดเพราะไม่อยากรบกวนลุงเกษมต่างหาก ที่สำคัญเขาไม่เคยบอกใครเรื่องที่ว่าเป็นลูกกำพร้าที่พ่อของคิน ลุงเกษมเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม และให้ความเอาใจใส่ดูแลเหมือนลูกแท้ๆ ของตัวเอง เขาก็นับถือและให้ความเคารพลุงเกษมเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ เช่นกัน แต่ไม่กล้าเรียกว่า...พ่อ เพราะเขารู้มาตลอดว่าไม่มีสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ลุงเกษมเคยบอกว่าให้เรียก
และเพราะไม่มีความจำเป็นต้องไปป่าวประกาศให้ใครรู้เรื่องนี้ อันที่จริงเขากับคินก็ใช้นามสกุลเดียวกัน เพราะว่าไม่มีใครเคยถามหรือใส่ใจ จึงไม่มีใครรู้ว่าเขากับคินเกี่ยวข้องกันแบบไหนนอกจากจะเป็นคนที่เคยรักกัน



       ในมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาเป็นพันคน ใครจะมาใส่ใจกับชื่อและนามสกุลของคนสองคน และเขาก็ไม่มีเพื่อนในคณะเดียวกัน เอกเดียวกันด้วย เรื่องความเกี่ยวข้องของเขาและคินจึงยังเป็นความลับต่อไป



       "เพราะถ้าเราทำอาหารกินเอง สามารถเลือกวัตถุดิบทำเองได้ แล้วก็สะอาดกว่าด้วย" ร่างบางว่า ความเป็นเหตุเป็นผลทำให้ทั้งสามคนฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย



       "จะว่าไปก็จริงแฮะ" ดินพูดพึมพำ พลางนึกไปถึงสิ่งที่เห็นตอนชะโงกหน้ามองในข้าวกล่อง



       "ว่าแต่รามเรียนเอกอะไรนะ" ชะเอมพยายามเปลี่ยนเรื่องและก็ดูเหมือนจะได้ผล



       "พวกเราเรียนเอกญี่ปุ่น" สินเหลือบมองเห็นรามที่ตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ จึงตอบแทน



       "ทำไมถึงเลือกญี่ปุ่นล่ะ?" ชะเอมสงสัย ตามความคิดร่างบาง เขาชอบเรียนภาษา แล้วคิดว่าภาษาจีนเป็นภาษาที่สำคัญรองจากภาษาอังกฤษจึงเลือกเรียนเอกจีน เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่เขาได้อยู่แล้ว และสามารถเรียนด้วยตัวเองได้


       "ไม่รู้จะเรียนอะไรน่ะ" รามว่า



       "ชอบดูการ์ตูน" ดินยิ้มกว้างตอบอย่างภูมิใจ



       "พอดีพ่อเป็นคนญี่ปุ่น เขาเลยอยากให้เรียนเอาไว้ เผื่อย้ายไปอยู่นู่นเลย" สินบอก ดูเป็นคนมีเหตุผลที่สุด
ร่างบางครางในลำคอรับ จะว่าไป ดูไปดูมาสินก็เหมือนลูกครึ่งญี่ปุ่นจริงๆ แต่คงเป็นครึ่งญี่ปุ่น ครึ่งยุโรปล่ะนะ เพราะสินตัวใหญ่กว่าดินอีก แล้วผิวก็ขาวมาก


       เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งคุยกับเพื่อน รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แย่



       "เออ แล้วนั่นน่ะ ทำรึยัง" อยู่ๆ สินก็เอ่ยขึ้นมาไม่เป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำเอาคนทั้งโต๊ะงง



       "อะไร" ดินถาม เขากำลังดูดน้ำกับจานข้าวที่ว่างเปล่าวางอยู่ตรงหน้าที่กินเสร็จตั้งนานแล้ว ดินได้ฉายาว่าเป็นพวกกินเร็ว เขาว่าคนกินเร็วจะเคี้ยวข้าวไม่ละเอียดทำให้อ้วน แต่หนุ่มผิวคล้ำนอกจากจะไม่อ้วนแล้ว หนำซ้ำยังหุ่นดีมากแถมมีกล้ามพอให้เห็นว่าเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย


       "ก็การบ้านของวิลเลี่ยมไง ส่งวันนี้นะเว้ย" รามตอบให้



       "หะ!!!!!!!?" ดินร้องลั่น ชิบ-หาย!


       เสียงร้องของดินทำชะเอมสะดุ้ง


       "กูบอกมึงตั้งแต่เมื่อวานละนะ" สินถอนหายใจ แต่แววตาประกายขำ "มัวแต่เล่นเกม"



       "สิน...โธ่ มึง ...เวรละไง ส่งกี่โมงนะ ส่งกี่โมง" ดินถามร้อนรนลุกขึ้นเก็บจาน



       "ลอกกูไหม ให้ยืม แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ" สินยิ้มทั้งปากทั้งตา ดูลับลมคมในแต่ดินรู้ความหมายหน้าแดงระเรื่อ



       "ไอ้เวร...ไม่เอาเว้ย คนกำลังรีบ เล่นอยู่ได้" ดินหลบตาแต่สินเห็นว่าใบหูแดงก็อดหัวเราะหึๆ ไม่ได้ มือเรียวคว้าหยิบกระเป๋าพาดไหล่



       "รามกูไปก่อน เอมด้วย โทษทีนะ ไว้คราวหน้าเจอกัน" ดินพูดรัว แล้ววิ่งออกไป ไม่ทันมองรามที่พยักหน้า และร่างบางที่ยังเอ๋อๆ โบกมือน้อยๆ ลา



       "เดดไลน์บ่ายโมงครึ่งนะดิน!" สินตะโกนบอกดินที่ยังไปไม่ไกล



       "เออ!ขอบใจ!" ได้ยินเสียงตอบมาแว่วๆ สินก็หัวเราะในลำคอเบาๆ พอละสายตาจากแผ่นหลังที่ลับไปจากมุมตึก หันมาก็พบสายตาเจ้าเล่ห์ของราม



       "ฮันแน่" หนุ่มผิวเหลืองส่งเสียงแซว



       "อะไรของมึง"



       "ตีกันจนได้เรื่องนะพวกมึง ตอนไหนอะไร กูไม่เห็นรู้เลย" รามว่า "เฮ้อ ต่อไปคนที่โสดก็มีแค่กูนะสิ"



       "หึหึ" สินไม่พูดอะไร เพียงแต่หัวเราะ



       "ไอ้นี่" รามมองอย่างหมั่นไส้ "มีข่าวดีอะไรก็บอกกูด้วยละกัน"



       "เออ"



       สินเนี่ยเป็นพวกพูดน้อยกับเรื่องของตัวเอง...ใช่มั้ยนะ



       ชะเอมนั่งมองเงียบๆ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้



       "วิลเลี่ยมนี่ชื่ออาจารย์ใช่ไหม" ร่างบางฉุกคิด "เอ๊ะ ว่าแต่อาจารย์คณะเรามีคนชื่อวิลเลี่ยมด้วยเหรอ"



       รามกับสินมองหน้ากัน ก่อนหัวเราะพรืด



       "ไม่ใช่ๆ นั่นน่ะฉายาอาจารย์เฉลิมพงษ์ต่างหาก" คนตอบคือสินที่พูดไปกลั้นขำไป



       "เอ๋" ชะเอมร้องเสียงสูง "แต่นั่นเขาเป็นอาจารย์นะ ไปตั้งฉายาเรียกห้วนๆ แบบนั้นได้ยังไง" ร่างบางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง สำหรับเขาอาจารย์ทุกคนเป็นผู้ให้ศาสตร์และความรู้ ต้องให้เกียรติและเคารพอย่างมาก เพราะเขาอาวุโสมากกว่า แถมอาจารย์เฉลิมพงษ์เขาก็อายุตั้งเกือบแปดสิบปีแล้ว ถือว่าเป็นอาจารย์ที่อาวุโสที่สุดในคณะอักษรศาสตร์เลย



       "ไม่เป็นไรเลย เราแค่คุยกันเล่นๆ 'จารย์แกไม่รู้สักหน่อย" สินมองสีหน้าเคร่งเครียดของร่างบาง เหมือนเป็นคนโดนตั้งฉายาเสียเอง



       "ใช่ๆ ก็แบบวิลเลี่ยม จากหัวเลี่ยมไง" รามหัวเราะร่า แล้วชี้ตรงศีรษะตัวเอง ทำให้พานนึกไปถึงอาจารย์เฉลิมพงษ์ ที่มีรูปร่างท้วมอุ้ยอ้าย เวลาเดินหน้าท้องจะยื่นนำหน้ามาก่อนเลย ส่วนที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นเส้นผมที่เบาบางจนเริ่มเห็นศีรษะเกลี้ยงเกลา



       วิลเลี่ยม...หัวเลี่ยม




       "จริงด้วยเนอะ" ชะเอมหลุดหัวเราะคิก ยิ้มตาปิด ทำให้คนมองอย่างรามและสินยิ้มตามได้ง่ายดาย



       "ใช่ไหมๆ" รามเท้าคางมองคนตรงหน้า เขาชอบที่ร่างบางมีรอยยิ้มที่สุด ไม่เคยเห็นคนยิ้มสวยขนาดนี้มาก่อน...คนอะไรยิ้มแล้วโลกสดใส


       "อ๊ะ แต่ว่ายังไงก็ไม่ดีนะ" ชะเอมหยุดหัวเราะ ยิ้มเขินๆ นี่เขาเพิ่งจะหัวเราะขบขันกับฉายาของอาจารย์ที่เคารพ ถึงอาจารย์จะไม่เห็นก็เถอะ "ห้ามเรียกแบบนั้นอีกเด็ดขาดเลย"



       "น่าๆ แค่เรียกกันเฉพาะพวกเรา" สินพูดไกล่เกลี่ยกับคนที่ท่าทางเอาจริงเอาจัง



       "เฉพาะ...เรา" ร่างบางนิ่งงันกับคำพูดที่ออกมาจากปากสิน




       รู้สึก...แปลกๆ




       "ใช่ เฉพาะพวกเรา"



       สายลมพัดใบไม้ปลิวไสว เส้นผมสีดำไหวไปตามแรงลมลู่กับใบหน้ามน ดวงตาดำกลมโตวาววับไปด้วยน้ำตาชั่วครู่แค่เพียงกระพริบตาทีก็หายไป



       ตลอดชีวิตนี้เขามีแค่ผู้มีพระคุณอย่างลุงเกษมที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ กับคินที่เป็นทั้งพี่น้องและคนรัก เขาใช้ชีวิตมาโดยมีสองคนนี้อยู่เคียงข้างมาตลอด แม้แต่เพื่อนที่คุยได้อย่างสนิทสนม...ก็ไม่เคยมี




       รามเป็นเพื่อนคนแรก ที่เขาบังเอิญได้พบบนรถเมล์ เป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่เขารู้สึกขอบคุณ จากนั้นได้พบเพื่อนอย่างสินและดินอีกด้วย...ที่มากไปกว่านั้นคือทั้งสามคนเป็นคนดี





       รามมองใบหน้ามนที่ประดับยิ้มเศร้าอีกแล้ว เขาคิดถูกแล้วที่ดึงชะเอมมาอยู่กับพวกเขา เขามั่นใจว่าเพื่อนอย่างสินและดินจะทำให้ร่างบางประดับด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขได้



       คนอย่างเอมไม่เหมาะกับรอยยิ้มเศร้าๆ หรอก




       "มาเอม ขอไลน์หน่อย" ชะเอมกระพริบตาปริบๆ มองมือที่แบตรงหน้า




       "ไลน์เหรอ"



       "อืม ส่งมือถือมาเดี๋ยวทำให้" รามกระดิกนิ้วเร่ง มือขาวเลยหยิบโทรศัพท์ยี่ห้อคุ้นตาสีขาวเหมือนใหม่ออกมาสแกนนิ้วก่อนจัดแจงวางบนมือที่ยังแบอยู่


       "อ่ะ"


       รามกดที่แอพสีเขียว ก่อนเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นแถบกล่องบทสนทนาแค่สองแถบ แถบหนึ่งคือลุงเกษม ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร...และอีกแถบก็คือคิน



       เขาพอจะรู้(เพราะได้ยินจากข่าวลือ)ว่าชะเอมเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง เพราะในมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยเห็นอยู่กับใครนอกจากคิน แต่นึกไม่ถึงว่าในไลน์ แอพที่เอาไว้ติดต่อกับคนอื่นๆ อย่างสะดวกสบาย ชะเอมก็มีแค่สองคนที่ติดต่อ


       แล้วพ่อกับแม่ล่ะ?



       "ราม" เสียงเรียกของสิน ทำให้ความคิดของรามหยุดลง



       "เออๆ โทษที เหม่อนิดหน่อย" รามอดโคลงหัวระอากับความเสือกของตัวเองไม่ได้ กดจึ้กๆ แล้วส่องคิวอาร์โค้ดของเขาเข้าเครื่องชะเอม กดแอดแล้วส่งสติกเกอร์


       ไลน์! เสียงเตือนเข้าเครื่องรามทันที


       "เดี๋ยวเราลากชะเอมเข้ากลุ่มพวกเรานะ มีไอ้สินกับดินอยู่ด้วย"

       "อะ อื้ม" ชะเอมพยักหน้ารับมือถือไปดู พบว่ามีแจ้งเตือนเชิญชวนเข้ากลุ่ม กดตกลง

       chÄim เข้าร่วมกลุ่ม




       >>>ต่อรีพลายถัดไปค่ะ<<<

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #6 เมื่อ14-09-2018 21:13:31 »

      >>>ต่อจากข้างบนนะคะ<<<





       ตึ๊ง!


       :DiN : ใครวะ ชะเอมเหรอ 1:05PM


       RamĀ : เออ เพิ่งขอไลน์เมื่อกี้ 1:05PM



       :DiN : จริงงงดิ้ เออดีๆ คราวหน้าจะได้ชวนไปดูหนัง กูอยากดูเรื่องนี้พอดีเลย ที่ออกสัปดาห์หน้า ไปกันนะพวกมึง ชะเอมด้วย 1:06PM



       เสียงแจ้งเตือนทั้งสามดังขึ้นพร้อมกันเมื่อดินที่เพิ่งเผ่นไปหลายนาทีก่อนพิมพ์ลงไลน์กลุ่ม ซึ่งสินก็ควักมือถือออกมาดูบ้าง


       RamĀ : วันไหน กี่โมง 1:07PM



       NissiN : ว่าแต่นี่มึงทำงานเสร็จแล้วเหรอ 1:07PM



       :DiN : วันพุธดิ ต้องไปวันนี้ มันลดราคา 1:09PM




       :DiN : เออน่า ใกล้เสร็จแล้ว 1:09PM




       :DiN : กูไปทำต่อก็ได้ 1:09PM



       :DiN ส่งสติกเกอร์



       ทั้งสามคนก้มหน้ามองมือถือ ไม่มีใครพูดอะไรมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของสินกับสติกเกอร์หน้าบึ้ง



       "เอมมีไลน์พวกเราแล้ว มีอะไรก็แชทเข้ามาได้นะ" รามเก็บมือถือ



       "ใช่ อ่านไลน์ด้วย ดินมันชอบหาเรื่องนู่นนี่มาคุยตลอดแหละ ถ้าไม่ตอบมันจะน้อยใจเอา" สินบอก แต่มือก็จิ้มโทรศัพท์ไม่หยุด ซึ่งชะเอมก็นึกภาพคนตัวล่ำซันอย่างดินน้อยใจไม่ออก



       ถ้าเป็นเรื่องของดิน สินมักจะพูดไปยิ้มขำไป ซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำนักหนา เหมือนเช่นตอนนี้


       "อื้ม โอเค" ชะเอมตอบรับ ยกดูนาฬิกาข้อมือ แล้วลุกขึ้น "งั้นเดี๋ยวเราขอไปก่อนนะ จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว"



       "โอเค งั้นพวกเราก็ไปหาไอ้ดินกันบ้างเหอะ" รามบอก รวบของบนโต๊ะ



       "งั้นไว้เจอกันเอม" สินพยักหน้า พร้อมรามที่ยิ้มให้



       "เจอกัน" ชะเอมยิ้มบางหันหลังเดินแยกไปอีกทาง









************************Whose fault? ************************








       "ไง เป็นอย่างที่กูบอกมั้ย" หลังเดินแยกับชะเอมมาแล้ว อยู่ๆ รามก็พูดขึ้นมา แต่ดูเหมือนสินจะเข้าใจ



       "อืม"



       รามเคยเล่าเรื่องของชะเอมให้ทั้งสินและดินฟัง จริงๆ พวกเขา ไม่สิ...คนทั้งมหาลัยก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับร่างบางมาบ้างไม่มากก็น้อย และแน่นอนเขาไม่สนใจหรอก ก็มันไม่ใช่เรื่องของเขานี่...



       แต่เมื่อเช้ารามมาเล่าเรื่องที่ได้คุยกับคนดังที่ว่าให้ฟัง ก็ทำให้อยากรู้จัก อยากลองคุย และความบังเอิญทำให้เราได้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน



       "นี่มึง...คงไม่ได้แอบชอบชะเอมหรอกใช่ไหม" สินถามแกมขำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยแม้แต่นิด กับเรื่องของความรู้สึกคน



       "หืม" รามหันมามองตาโต "อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น"



       "ก็มึงมองเขาตาค้างเชียว"



       ได้ยินดังนั้น รามนิ่งอึ้งกับสิ่งที่เพื่อนพูดระเบิดหัวเราะ



       "ก็ตอนเอมเขายิ้ม มันน่ามองเสียขนาดนั้น หรือมึงว่าไม่" พอโดนรามถามกลับ สินก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ตอนนั้นแม้แต่โต๊ะข้างๆ ยังแอบมองเลย



       "สิน..."



       รามหยุดเดิน ทำให้คนที่เดินนำอย่างสินต้องหยุด



       "กูไม่ได้ชอบเอม"



       "..."



       "ก็แค่รู้สึกว่าจะปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ ลางสังหรณ์กูมันบอกแบบนั้น" หนุ่มลูกครึ่งไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่พยักหน้า ถึงจะบอกว่า


       เรื่องของชะเอมที่ได้ยินมาไม่เกี่ยวกับเขาก็เถอะ แต่...



       "อืม เพราะยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว" สินพูด "มึงว่าไงกูก็ว่าตามนั้นแหละ"



       เพราะลางสังหรณ์ของรามมันก็แม่นดีซะด้วย



       "...ขอบใจว่ะ"



       ตึ๊ง!ตึ๊ง!



       พลันเสียงแจ้งเตือนดังขัดสนทนา



       :DiN : พวกมึงอยู่ไหน อาจารย์เข้าแล้ว รีบมาให้ไวเลย! 1:29PM



       :DiN ส่งสติกเกอร์



       "รีบไปเหอะ วิลเลี่ยมเข้าคลาสละ" สินว่าแล้วออกวิ่ง ทำให้รามที่ขาสั้นกว่าวิ่งตามไป



       "ชิบหายแล้ว อาจารย์แม่งเช็คชื่อตรงเวลาซะด้วย"


       ทั้งแววตา...และรอยยิ้ม
       

       ช่างแตกต่างกับข่าวลือว่าร้ายที่เขาว่ากันจริงๆ











       เรื่องมันยังไงกันแน่นะ








************************Whose fault? ************************



       สวัสดีค่า เจอกันอีกแล้ว กับชะเอมผู้น่ารัก ทั้งเอ๋อ และเป๋อ
       คือเอมมันเป็นเด็กน้อย เลี้ยงมาแบบยุงไม่ให้ไต่ ริ้นไรไม่ให้ตอม (?) จะพูดจะทำอะไรมันตามใครไม่ค่อยทัน โดนพ่อบุญธรรมโอ๋เอ๋ตลอด น่ารักน่าเอ็นดู
       ไม่มีคินที่รักแต่ก็มีมิตรภาพดีๆ จากราม สิน ดิน(บอกเลยคู่นี้มีซัมติง) นะจ๊า ไม่ตอนหน้าก็ตอนโน้น คินโผล่แน่นอน(มาพร้อมกับนังเรย์)
       มาเม้นให้กำลังใจชะเอมด้วยเน้อ


      เมื่อกี้เผลอไปตั้งกระทู้ใหม่เฉยเลย ลบไม่เป็นด้วย (ฮือ  :sad4: )

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #7 เมื่อ15-09-2018 07:10:53 »

 :L2:

ออฟไลน์ Fengfang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #8 เมื่อ15-09-2018 08:57:39 »

จะมีคนจริงใจมาจีบเอมไหมนะ เปลี่ยนพระเอกไปเลยจะได้รู้ว่าของมีค่าควรรักษาไว้

ออฟไลน์ cxerxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #9 เมื่อ15-09-2018 11:47:07 »

หน่วงจังค่ะ
*กอดชะเอม*

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-09-2018 11:47:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
Re: Whose fault? ผิด...ที่ใคร
«ตอบ #10 เมื่อ15-09-2018 12:35:39 »

กระทู้ใหม่ลบให้แล้วนะคะ
เวลาอัพนิยายให้เปลี่ยนหัวเรื่องด้วยว่าอัพตอนที่เท่าไหร่ วันที่เท่าไหร่ คนตามอ่านจะได้รู้
มีอะไรก็แจ้งโมฯได้ค่ะ มีหลายคน

โมฯเล้า

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ขอบคุณคุณโมที่มาเตือนค่ะ

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าอัพเดทหัวข้อยังไง

แต่ก็รู้เองเฉยเลยแบบงงๆ  :-[

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
                                                         

                                                             Whose Fault ?



                                                             ผิด...ครั้งที่ 3







          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม











          'งี่เง่าชะมัด ยังคิดอยู่เหรอว่าที่คินเขาคบกับนายเพราะว่ารักน่ะ' ใบหน้าน่ารักยามนี้แสยะยิ้มร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ



          'นาย...กะ กำลังจะพูดอะไร' เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก



          'หึ จะบอกอะไรให้เอาบุญ ที่คินยังคบกับนายเพราะแค่ความรับผิดชอบ' ปากยิ้มหวานแต่ดวงตาฉายแววดูถูกเหยียดหยัน 'ไม่ใช่ความรัก'



          '...ไม่ใช่' ดวงหน้ามนซีดเผือดไร้สี สิ่งที่เคยคิดเมื่อได้ยินยิ่งตอกย้ำ



          'คินเป็นคนดี เขารับผิดชอบกับคำพูดของพ่อ ไม่ใช่เพราะอยากดูแลนาย ไม่ใช่เพราะรักนาย ชะเอม รู้ไว้ซะด้วย!!'



          'ไม่ใช่!'



          '...' คนตัวเล็กกว่าไม่พูดอะไรแต่แค่นเสียงอย่างสมเพชกับภาพที่เห็น



          'คนอย่างนายจะไปรู้อะไร!?'



          'ก็ฉันเป็นแฟนคิน' เรื่องที่ได้ยินยิ่งที่ให้ชะเอมนิ่งอึ้งหน้าชา 'มีเรื่องไหนที่ฉันไม่ควรรู้ล่ะ กับเรื่องของเด็กกำพร้า ไม่มีใครต้องการอย่างนาย เขาก็เป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันเองเลย'



          '...ไม่จริง...คินน่ะเหรอ...'



          ดวงหน้ามนส่ายไปมาช้าๆ อย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาเหม่อลอย หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลอาบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ เรื่องที่สำคัญอย่างนั้น ไม่มีทางที่คินจะเล่าให้ใครฟัง...อย่างนั้นเหรอ แล้วคนตรงหน้าล่ะ รู้ได้ยังไง



          'สงสัยเขาคงอยากเลิกกับนายเต็มแก่แต่ไม่อยากบอกตรงๆ เพราะเห็นว่าโตมาด้วยกัน เขาก็เลยให้ฉันมาบอกเอง หึหึ เป็นไง ช็อคเลยสิ'



          ไม่อยาก...ฟังแล้ว



          'อ้อ แล้วก็อีกไม่นานคินเขาจะย้ายมาอยู่กับฉัน อยู่กับนายแล้วเขาต้องลำบากพาไปนู่นมานี่ แถมเรียนกันคนละคณะอีก ฉันไม่อยากให้คินเขาเหนื่อยมาก'



          ร่างบางไม่เคยรู้เลยว่าตอนที่คินจะอยู่กับเขา ต้องดูแล คอยไปรับไปส่งทุกวัน จะเหนื่อยหรือเปล่า...คินไม่เคยบ่น ไม่เคยบอก ไม่เคยว่าอะไรเลย เพราะคิดว่ารักกัน เรื่องอยากเอาใจใส่ก็เป็นเรื่องธรรมดา



          แต่กลับเล่าให้ฟังกับคนตรงหน้า กับคนที่เขานึกว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทของคิน...เรย์



          'ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ก็อย่ามาเกาะแกะเขาอีกเลยนะ สงสารคิน สงสารพ่อคินด้วย' คนตัวเล็กถอนใจ ส่ายหน้าน้อยๆเหมือนเห็นใจ ยื่นมาหวังจะไปตบไหล่แต่ก็โดนปัดมือออกมาซะก่อน ทำเอาเรย์ชะงักและเหยียดรอยยิ้ม 'อันที่จริงถ้าฉันเป็นพ่อคิน อาจจะคิดอยู่หน่อยๆ แหละว่าเมื่อไหร่กาฝากอย่างแกจะออกไปซะที' สรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปทันที แต่ไม่ทำให้ชะเอมสนใจ แต่อีกประโชคต่างหากที่ทำให้เขานึกโมโห กำหมัดแน่น น้ำตาที่คลอเหือดแห้งไปแล้ว



          'หยุดพูดนะ ลุงเกษมไม่ใช่คนแบบนั้น!' ชะเอมตวาดดังลั่น แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ฟัง



          'ไปอ่อยอะไรไว้ล่ะ เขาถึงได้เลี้ยงดูแกต่อ หึ เอาคนลูกไม่พอยังจะไปเอาพ่ออีก น่าสมเพ...'





          เพียะ!





          ชะเอมสะบัดมือฟาดเข้าไปที่ใบหน้าอีกคนเต็มแรงไม่ยั้ง จะว่าอะไรเขาเขาไม่ว่า แต่มาดูถูกคนที่มีบุญคุณต่อเขาขนาดนี้ แถมมาด่าว่าเสียๆหายๆ เขายอมไม่ได้!



          การกระทำครั้งนี้เขาเพียงหวังแค่ให้อีกคนหยุดพูดว่าร้ายเท่านั้น แต่แล้ว...



          แกร๊ก



          เขาก็เห็นรอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้น



          เพล้ง!!



          'โอ๊ย! เอมทำอะไร เรย์เจ็บ ฮือ'



          'เกิดอะไรขึ้น!?'



          ชะเอมทั้งตกใจ ทั้งอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ๆ คนที่ยืนทะเลาะกับเขาเมื่อสักครู่ ปัดแจกันที่วางอยู่บนชั้นข้างๆ ลงมาจนแตกกระจายเต็มพื้น และล้มลงบนเศษแก้วชิ้นน้อยใหญ่ทำให้ได้เลือดออกมาทั้งขาและมือ ไหลรวมกับน้ำแจกันที่เจิ่งนองจนแยกไม่ออก



          ช่างประจวบเหมาะกับคินที่กลับออกมาจากไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างของคอนโด เห็นฉากที่ชวนเข้าใจผิดแบบนี้ ทำเอาร่างบางพูดไม่ออก



          'เรย์เป็นอะไรมากไหม...เอมทำแบบนี้ทำไม เรย์เขาทำอะไรให้เหรอถึงต้องทำกันรุนแรงแบบนี้' ไม่ผิดจากที่คิด เมื่อเห็นสภาพของเพื่อน...ของแฟนตัวเองบาดเจ็บ ก็หันมาตะคอกทันทีไม่คิดถามไถ่ น้ำเสียงช่างแตกต่างจากที่พูดกับอีกคน



          แววตาดุทำให้ชะเอมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี



          'เอมไม่ได้ทำนะคิน ก็เขา...' ร่างบางทำหน้าจะร้องไห้ พยายามจะอธิบาย ไม่เคยเห็นคินโกรธเขาขนาดนี้มาก่อน ยิ่งตอกย้ำเรื่องที่เรย์เป็นแฟนใหม่ของร่างสูงเข้าไปอีก ทำให้ใจชะเอมสั่นไหว



          คินคงอยากเลิกกับนายเต็มแก่แล้ว แต่ไม่อยากบอกตรงๆ





          ยังไม่ทันพูดจบก็โดนร่างเล็กที่ตอนนี้ร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมอกแกร่งก็ดึงความสนใจของคินไปซะก่อน



          'คิน เรย์เจ็บ เจ็บมากเลย' ร่างเล็กเอื้อมมือกอดคอซบไหล่กว้างร้องไห้พูดเสียงอู้อี้ ทำให้เลือดที่มือเปรอะเสื้อประปรายแต่คินก็ไม่ว่าอะไร กลับกระชับแขนอุ้มประคองขึ้น



          'ไม่เป็นไรนะเรย์' เสียงทุ้มอ่อนโยนกระซิบปลอบข้างหู ให้คนในอ้อมกอดเลิกขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังเจ็บแผล 'เดี๋ยวคินพาไปโรงพยาบาล แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย'



          ร่างสูงเดินหยิบกระเป๋าเงินกับกุญแจรถขณะอุ้มอีกคนด้วยแขนข้างเดียว แสดงความแข็งแรงแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน



          'เอมไปด้วย' เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้ชะเอมนึกเป็นห่วง เลยอยากตามไปดูอาการด้วย แต่กลับต้องหน้าซีด เมื่อโดนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา



          'ไม่ต้อง'



          'แต่...'



          'อยู่ที่นี่แล้วเก็บห้องให้สะอาด กลับมาแล้วเราค่อยคุยกัน' ขายาวหันหลังเดินออกจากห้องไม่เหลียวมามองร่างบางที่ยืนนิ่ง ยิ่งได้เห็นแววตายิ้มเยาะฉายชัดออกมาจากคนที่คิดว่าบาดเจ็บสาหัสก่อนประตูจะปิดลง ยิ่งทำให้ชะเอมเข้าใจอะไรมากขึ้น



          เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจของ 'มัน'



          'คิน...'



          ปัง!



          เสียงประตูที่ปิดลง และแผ่นหลังที่ซ้อนกันกับในอีกสามวันต่อมาที่คินหายไปและกลับเข้ามาเก็บของทั้งหมดออกไป ประกาศว่าจะย้ายออกซึ่งเป็นไปตามที่ใครบางคนบอกทุกอย่าง



          'เพราะมันใช่มั้ย!!'



          'ไม่ใช่...ไม่ใช่เพราะเขา ถ้าจะโทษใคร'





          แผ่นหลังที่เดินจากไป





          'ก็โทษตัวเอง'





          มือที่เอื้อมไปอีกนิด ห่างกันเพียงฝ่ามือกั้นจะคว้าเอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ไม่ทัน



          พร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง



          ปัง!









          เฮือก!



          มือที่ชะงักค้างกลางอากาศ ตาเบิกโพลงพลันหรี่ลงเมื่อพบแสงที่สาดส่องลอดหน้าต่างยามเช้า ร่างบางลดมือลงและตั้งสติพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่คอนโด ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อะไรทั้งนั้น





          ...แค่ความฝัน





          เสียงหอบหายใจและเหงื่อที่ชุ่มไปทั้งตัวทำให้เขาลุกขึ้นจากที่นอน ผ่อนลมหายใจให้แผ่วเบา ลูกอกพบหัวใจที่เต้นแรงรัวจนเจ็บ จากนั้นก็เสยผมที่ชุ่มเหงื่อลูบหน้าลูบตาแล้วลุกขึ้นหยิบของเตรียมอาบน้ำ



          ไม่แปลกเลยที่เขาจะฝันอะไรแบบนี้



          เพราะมันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่ยังฝังใจ



          นับตั้งแต่เขาทะเลาะและ(ถูกเข้าใจว่า)ทำร้ายเรย์ คินพาเรย์ไปโรงพยาบาลทำแผล แต่ไม่กลับมาคุยกันอย่างที่บอก หายไปสามวันกลับมาอีกทีก็ทำหน้าตึงเย็นชาใส่เขา เก็บเสื้อผ้าแล้วออกไป



          แผ่นหลังที่เดินจากไป...ยังติดตา วันนั้นเขาร้องไห้อย่างหนัก



          ร่างบางสะบัดหัว ขณะยืนสระผมใต้ฝักบัวน้ำไหล อยู่เงียบๆ คนเดียวแล้วชอบคิดอะไรไม่เข้าท่า



          ชะเอมขยี้หัวแล้วชโลมด้วยน้ำชะล้างออก ฟองสบู่ไหลจากบนลงล่างไล้ตามสรีระผอมบางที่เห็นซี่โครงแต่ละซี่ชัดเจนเมื่อยกแขน



          เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางรีบไล้ตัวให้สบู่ออกให้หมดอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าไม่มีฟองแล้ว ก็คว้าผ้าขนหนูพันท่อนล่าง อีกผืนคล้องคอ รีบเดินออกไปไม่ทันระวัง เท้าที่กำลังเปียกลื่นทำให้ก้าวพลาดหงายท้อง



          แย่ล่ะ...!!



          ปั่ก! ตึง!



          ด้วยสัญชาตญาณ จึงรีบคว้าขอบอ่างล้างหน้าไว้แต่มือก็ดันเปียกลื่นจับไว้ไม่อยู่ทำให้ต้นแขนกระแทกเข้าที่คอห่านที่อยู่ข้างๆ อย่างจัง



          "โอ๊ย" ร่างบางหลุดปากครางซี้ดด้วยความเจ็บรวดร้าว ถึงจะดีที่ศีรษะไม่ได้กระแทกหรือได้รับความกระทบกระเทือนส่วนใดมาก แต่แค่ความเจ็บที่แขนก็ทำเอาน้ำตาเล็ด



          เพราะมัวแต่นั่งโอดโอย ตอนนี้เสียงโทรศัพท์จึงเงียบไปแล้ว ร่างบางสำรวจตัวเองก่อนค่อยๆ ใช้แขนซ้ายที่ไม่เจ็บพยุงตัวเองลุกขึ้น แขนขวาข้างถนัดยังหนึบๆ ชาๆ อยู่เลย



          ก้นก็เจ็บ โอย ให้ตายเถอะ ซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้ ชะเอมค่อนขอดตัวเองในใจ





          ชะเอมเดินไปกดปุ่มดูโทรศัพท์ พบว่ามีแถบสายที่ไม่ได้รับขึ้นชื่อว่าพระราม และ ไลน์กลุ่มซึ่งแน่นอนว่ามีแค่กลุ่มเดียวที่เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งดึงเขาเข้าไปร่วม แน่นอนว่าก็เป็นข้อความที่รามเพิ่งส่งมา เขาจึงรู้ว่ารามจะโทรหาเขาแต่เขาไม่ได้รับสาย จึงส่งข้อความมาทางไลน์นั่นเอง



          RamĀ : เอม พรุ่งนี้มีธุระไปไหนรึเปล่า ไปห้างกันเหอะ **@**chÄim



          chÄim : ไม่ได้ไปไหนนะ พรุ่งนี้เราว่าง



          RamĀ : โอเค งั้นพรุ่งนี้สิบโมงเจอกันที่ห้างแถว XYZ มาเป็นใช่มั้ย



          chÄim : อื้ม



          chÄim : นี่รามมีเบอร์เราด้วยเหรอ



          RamĀ : อ้อ นั่นเหรอ ก็ตอนที่แอดไลน์ เราใช้เครื่องนายโทรเข้าเครื่องเราเองแหละ ถือโอกาสบันทึกเบอร์ให้ด้วยเลย โทษทีๆ



          RamĀ : ก็คิดว่ามีเบอร์ติดต่อไว้มันสะดวกกว่าน่ะ





          ชะเอมพยักหน้าน้อยๆ เห็นด้วย เพราะปกติเวลาเขามีธุระอะไรจะโทรตลอด เลยไม่ค่อยได้ใช้งานเจ้าแอพสีเขียวนี้เท่าไหร่ เพราะหนึ่งเลยคือสะดวกกว่า และสองรวดเร็วกว่าด้วย โดยเฉพาะเวลามีธุระเร่งด่วน





          ร่างบางโยนมือถือลงบนเตียงนุ่ม แต่ก็หยิบขึ้นมาใหม่เพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมถามอะไรไปบางอย่าง





          chÄim : ว่าแต่จะไปทำอะไรกันเหรอ





          แต่รอแล้วรอเล่ายังไม่มีคนอ่านข้อความจึงโยนมือถือไว้เช่นเดิม เดินไปเปิดประตูหยิบเสื้อผ้า พอเหลือบเห็นรอยช้ำสีแดงม่วงที่ต้นแขนเป็นวงกว้างผ่านกระจก นี่เขาลืมไปได้ไงว่าเขาเพิ่งกระแทกกับชักโครกอย่างแรง พอไม่รู้ว่ามีแผลก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่พอเห็นปั๊บก็เจ็บปุ๊บทำเอาต้องร้องซี้ด



          ชะเอมหยิบเสื้อโปโลมาใส่ แขนเสื้อสั้นทำให้เห็นรอยช้ำแดงน่าเกลียด จึงถอดออก ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวแทน รอยช้ำนี้ทำให้ยิ่งเป็นอุปสรรคกับการยกแขนขึ้นลง ทำให้การใส่และถอดเสื้อเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะความเจ็บปวด



          สงสัยช่วงนี้คงต้องใส่เสื้อเชิ้ตไปก่อนน่าจะดีกว่า...





          ตึ๊ง



          NissiN : เอมลืมรึเปล่าว่ามะรืนนี้ต้องไปค่ายปลูกป่าของมหาลัยแล้วนะ พรุ่งนี้พวกเราสามคนเลยนัดกันไปซื้อของจำเป็นกันไง



          chÄim : อ๋อ จริงด้วย



          chÄim : โอเค งั้นไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะ



          :DiN : เห้ยๆๆ ว่าแต่ไอ้ราม นี่มึงมีเบอร์ของชะเอมได้ไงวะ อะไรๆ กูไม่ยอมนะเว้ย @Ram****Ā





          ชะเอมหลุดหัวเราะกับข้อความของดิน พอเห็นรามไม่ตอบ มือขาวก็กดโทรศัพท์จึ้กๆ ตอบแทน





          chÄim : ไม่เป็นไรดิน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาเบอร์เราก็ได้นะ :)



          chÄim : แต่ต้องแลกกับเบอร์ดินนะ เราแลกเบอร์กัน



          :DiN : โคตรโอเคเลยค้าบ นางฟ้าใจดีของดิน





          หลังจากนั้นก็มีการเถียงกันระหว่างสินกับดิน(อีกแล้ว) ถึงจะงงๆ กับนางฟ้าใจดีแต่ชะเอมก็ไม่ได้ติดใจอะไรปล่อยให้ทั้งสอนคนทะเลาะกันในข้อความต่อไป



          ตั้งแต่วันนั้นที่ได้กินข้าวด้วยกันกับทั้งสามคน เขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่เพราะยังไงก็เรียนกันคนละเอก ถึงจะคณะเดียวกันก็เถอะ แถมปีสามแล้วด้วยเลยไม่มีวิชาเรียนที่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่ตอนปีหนึ่งก็มีบางวิชาที่ต้องเรียนพื้นฐานรวมกับเอกอื่นแท้ๆ



          ชะเอมส่องกระจก จับหน้าลูบผม จัดแต่งเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงสแลคสีดำไซส์เล็กสุดในตู้ที่เคยใส่พอดีบัดนี้มันหลวมโพรกจนต้องหาเข็มขัดมาใส่ อันที่จริงไม่ใช่แค่กางเกงที่หลวม เสื้อก็ด้วย



          เพราะช่วงนี้มีหลายๆ เรื่องประดังประเดเข้ามา ทำให้ทั้งเครียดและนอนน้อยกว่าเดิม น้ำหนักจะลดก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ได้เพราะปัญหาที่จะตามมานี่สิ...ยุ่งยาก



          มือจับเอวอย่างสำรวจแล้วใบหน้านิ่วคิ้วขมวด

          ไม่ได้การละ เขาต้องขุนน้ำหนักตัวเองให้ขึ้นมากกว่านี้อีกซักหน่อย





          เมื่อเห็นว่าใบหน้ากับผมเป็นทรงเรียบร้อยดีแล้ว ก็ใส่ถุงเท้าหยิบกระเป๋าเงินเปิดดูว่าไม่ลืมคีย์การ์ดจึงใส่รองเท้าหนังมันเงาดูดี กวาดตาสำรวจห้องก่อนเดินออกมา



          "อ้าว คุณชะเอม โอ้โห วันนี้แต่งตัวหล่อมากเลย จะออกไปธุระที่ไหนเหรอครับ" ยามที่คอยเปิดประตูกระจกให้คนเดินเข้าออกทักทายร่างบาง



          "สวัสดีครับลุงธรรม วันนี้จะออกไปทานข้าวกับคุณลุงครับ แล้วลุงทานข้าวรึยังครับ" ลุงยามนามว่าธรรมมองดูการกระทำอ่อนน้อมของคนหนุ่ม น้อยคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองแล้วยังรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ นอกจากจะให้ความเคารพแล้วชะเอมยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ไม่ถือตัวให้กับคนรอบข้างแม้คนๆ นั้นจะทำงานเป็นยาม ตำแหน่งอันต่ำต้อย ด้วยการถามไถ่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วชื่นอกชื่นใจคนแก่อย่างเขาเป็นอย่างมาก



          ถ้ามีลูกแบบชะเอมคงทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย



          งามทั้งภายนอกและภายในจริงจริ๊ง



          "อู๊ย ทานเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว กับข้าวเมียลุงนะอร่อยอย่าบอกใคร" ลุงยามว่าแล้วลูบปาก ท่าทางนั้นทำให้ชะเอมหัวเราะเสียงใส เชื่อแล้วล่ะว่าอร่อยจริงๆ



          "ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าลุงต้องเอาอาหารฝีมือภรรยาลุงมาฝากเอมบ้างแล้วล่ะ โทษฐานทำให้เอมอยากกิน" เสียงทุ้มใสเอ่ยแซวๆ แต่ลุงธรรมพยักหน้าอย่างเต็มใจ แต่แล้วกลับชะงักลังเล



          "ถ้าเป็นคุณชะเอมล่ะก็ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าจะดีหรือ คุณชะเอมไม่เหมือนพวกเราๆ ถ้าทานแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ลุงมิต้องเสียหายหลายล้านหรอกหรือไปทำร้ายลูกเต้าเค้า" ลุงธรรมว่าอย่างลำบากใจ เขาน่ะมั่นใจในฝีมือเมียตัวเองแน่ๆ ล่ะ แต่คนรวยกับคนจนท้องไม่เหมือนกัน กินเข้าไปแล้วท้องเสียเขาจะทำยังไง แค่ลำพังงานที่ทำอยู่ ชดใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดแน่



          ชะเอมหัวเราะเสียงดัง แต่ยังคงกิริยาที่น่ารัก น่าเอ็นดูให้กับคนเดินผ่านไปมา



          "โธ่ ลุงธรรมครับ ผมก็เป็นคนเหมือนกับลุง เหมือนกับภรรยาลุงนั่นแหละ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ถ้ายังไงภรรยาลุงสะดวกก็ฝากผมได้นะ ผมอยากกิน"





          ธรรมไม่โกรธสักนิดที่คนรุ่นอายุน้อยกว่าเขาตั้งหลายรอบหัวเราะใส่ เขารู้ว่าคนหนุ่มอย่างชะเอม ทั้งกิริยาใสซื่อ อ่อนโยนและมีความเอาใจใส่คน ไม่มีทางหัวเราะเยาะอย่างดูถูกแน่



          ธรรมพยักหน้ารัว "ได้ครับได้ เอ๊ะว่าแต่คุณชะเอมจะไปทานข้าว ไปยังไงครับ"



          "เดี๋ยวผมนั่งแทกซี่ไปน่ะครับ"



          "อ้าว แล้วคุณคินล่ะครับ" ธรรมทำหน้างงปนสงสัย อย่าถามว่ารู้จักได้ยังไง ยามอย่างเขาทำงานที่นี่มานานก่อนคินและเอมจะย้ายเข้ามาอยู่เสียอีก คนเข้านอกออกในทั้งเก่าและใหม่เขาต้องจำได้และต้องรู้จักทั้งหมด



          "คินเค้า...ไปค้างหอเพื่อนทำงานกลุ่ม แล้วก็เอารถไปด้วยน่ะครับ ช่วงนี้เลยต้องเดินทางแบบนี้ไปก่อน" ชะเอมตอบเท่านี้เพื่อไม่อยากต่อบท ซึ่งดูเหมือนธรรมจะเข้าใจ



          "ไม่เห็นยากเลย ให้คุณเกษมออกรถใหม่ให้สิครับ ลุงว่าเดินทางแบบนี้ลำบากออก" ธรรมเอ่ยด้วยความเป็นห่วง แต่ชะเอมส่ายหน้า



          "ไม่ดีกว่าครับลุงธรรม เอมขับรถไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ รถคันนึงก็ราคาแพง เอมไม่อยากรบกวนคุณลุง" ชะเอมยิ้มบาง พอนึกขึ้นได้ว่าต้องไปไหนต่อก็เอ่ยลา "ถ้างั้นผมคงต้องขอตัวก่อน คุยกับลุงธรรมซะนานเลย ผมก็ไปก่อนนะครับ" ชะเอมมองนาฬิกาข้อมือแล้วรีบเดินออกไป ธรรมพยักหน้าเข้าใจและเปิดประตูให้ตามหน้าที่



          "เชิญครับเชิญ เดินทางปลอดภัยนะครับคุณชะเอม" ธรรมมองตามแผ่นหลังเล็กบางขึ้นรถแทกซี่ไป ก็ถอนใจ

          รบกวนอะไรกัน คุณเกษมน่ะ ประธานบริษัทใหญ่ระดับร้อยล้านเลยนะ









          ************************Whose fault? ************************







          ชะเอมโชคดีเป็นลูกหลานเศรษฐี ใครๆ ต่างก็พูดแบบนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่จริงเลย



          เขาน่ะแต่เดิมฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าไม่มีลุงเกษมเขาก็ไม่มีอะไรเลย ทุกวันนี้ก็เหมือนกาฝากอย่างที่เรย์เคยปรามาสไว้ เขาอยากเรียนจบเร็วๆ เพื่อจะทำงานหาเงิน ถ้าเป็นไปได้ก็จะคืนสิ่งที่ได้มาจากลุงเกษมทั้งหมด ถึงจะคิดไว้ว่า แม้ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็คืนให้ไม่หมดก็เถอะ



          อยากทำเท่าที่ทำได้



          ร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวหลวมโพรก เดินอยู่ในห้างที่เพิ่งมาถึง จุดนัดพบคือร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่ลุงเกษมชอบทาน ชะเอมเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นป้ายประกาศบางอย่างที่ติดอยู่หน้าร้านอาหาร





          ‘รับสมัครพนักงานเสิร์ฟ 2 ตำแหน่ง และ พนักงานทำความสะอาด 1 ตำแหน่ง

          เบอร์ติดต่อ 09X-XXXXXXX หรือติดต่อโดยตรงได้ที่หน้าร้าน

          ต้องการด่วน ภายในวันที่ X เดือน XX’





          ชะเอมตาเป็นประกาย



          นี่แหละ!!



          ตอนเรียนก็เรียนไป ส่วนเวลาว่างทำงานพิเศษหาเงินเก็บไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็ไม่ต้องรอจนเรียนจบก็ได้ ระหว่างนี้เขาก็หารายได้ได้แล้ว



          แต่เนื่องจากเวลาใกล้นัดเต็มที ร่างบางจึงควักโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปป้ายประกาศนั้นไว้ แล้วค่อยติดต่อมาทีหลังก็ได้ ร่างบางยิ้มกว้างดีใจเหมือนเด็กๆ เดินมาจนถึงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่นัดไว้ไม่รู้ตัว



          "ยินดีต้อนรับค่าคุณลูกค้า มากี่ท่านคะ" พนักงานต้อนรับเมื่อเห็นร่างบางแต่งกายดูดีก็รีบเข้ามาพูดตามหน้าที่อย่างร่าเริงสดใส ชะเอมก็ยิ้มรับ



          "พอดีว่าจองโต๊ะไว้น่ะครับ ในชื่อคุณเกษมศักดิ์"



          "อ๋อได้เลยค่ะ สักครู่นะคะ" พนักงานหญิงเอ่ยก่อนกดบนหน้าจอบางอย่างที่เธอถือติดตัวเอาไว้ก่อนจะผายมือ "โต๊ะคุณเกษมศักดิ์นะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ"






            >>>>>>>ต่อรีพลายถัดไปค่ะ<<<<<<<




ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
           

             >>>>>>ต่อจากด้านบนนะคะ<<<<<<<




          ร่างบางก้าวตามพนักงานหญิงที่นำทางเข้าไปในร้านค่อนข้างเกือบสุด ค่อนข้างเงียบเพราะไม่ค่อยมีคนนั่ง เป็นที่โปรดของลุงเกษมเลย ชะเอมเอ่ยขอบคุณพนักงานหญิงคนนั้นก่อนเธอเดินไปบริการลูกค้าคนอื่น



          "อ้าว คุณลุง สวัสดีครับ" ด้วยความที่ร้านนี้ทำที่นั่งให้ที่พิงหลังสูงเหนือศีรษะ ทำให้ชะเอมเพิ่งสังเกตว่ามีใครมาก่อนแล้ว ก็คือลุงเกษมนั่นเอง ร่างบางจึงไหว้อย่างอ่อนน้อมเมื่อเจอคนที่อาวุโสกว่า



          "อ้าวชะเอม มาแล้วเหรอ มาลูก มานั่งข้างลุงนี่" เกษมพยักหน้ารับไหว้พร้อมตบที่นั่งข้างตัว ชะเอมก็หย่อนตัวลงนั่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ



          "มาเร็วจังครับ"



          ทั้งๆ ที่เป็นวันธรรมดา แต่ประธานบริษัทอย่างเกษมศักดิ์ก็ยังปลีกตัวมาเพื่อหาเวลาทานข้าวกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แน่นอนว่าเลขาของเกษมศักดิ์ต้องเป็นคนจัดเวลาให้ หลังเสร็จจากตรงนี้อีกเดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่บริษัททำงานต่อแล้ว ดังนั้นการแต่งกายของเขาในยามนี้ช่างดูภูมิฐาน แม้จะล่วงเลยไปอายุเกือบจะห้าสิบก็ยังดูหล่อเหลาเหมือนสมัยหนุ่ม กิริยาท่าทางทำให้คนรอบด้านก้มหัวเคารพด้วยความเต็มใจ แต่อยู่กับครอบครัวแล้วจะเปลี่ยนไปอีกคนเลยทีเดียว



          "ก็ลุงคิดถึง ไม่รู้ใครแถวนี้คิดถึงลุงบ้างรึเปล่า"



          "โธ่ คิดถึงสิครับ คิดถึงมาก" ชะเอมลากเสียงยาว เมื่อเห็นคนแก่ขี้น้อยใจบ่นอุบอิบ



          "ไหน คิดถึงก็มาให้ลุงกอดหน่อยเร็ว" เกษมไม่ทันให้อีกคนอนุญาตก็คว้าคนข้างๆ มากอดแนบอกแน่น กดจมูกลงบนกลางกระหม่อมด้วยความคิดถึงและความรักใคร่เอ็นดู ร่างบางหัวเราะคิกคักเอื้อมมือกอดตอบพร้อมกดจมูกเล็กสูดกลิ่นกายหอมๆ จากคนตัวใหญ่กว่า





          เฮ้อ เด็กคนนี้นี่น้า จะโตยังไงก็น่ารักอยู่ดี





          "ทำไมผอมแบบนี้เอม นี่ผอมลงใช่ไหม กินข้าวบ้างรึเปล่าหือ" มือใหญ่ลูบสำรวจผ่านทั้งเอว และหลัง นี่ผอมจนกระดูกสันหลังโผล่เป็นลูกๆ เลย



          "โอ๊ย! เจ็บ..." ร่างบางสะดุ้งเมื่อลุงเกษมจับเข้าที่ต้นแขน และดันเป็นข้างที่เจ็บอยู่ซะด้วย ถึงจะจับไม่แรงแต่ก็สะเทือนกับแผลจนต้องร้องออกมา



          "เป็นอะไร ชะเอม" เกษมขมวดคิ้ว เสียงเข้ม เจอเสียงดุแบบนี้ร่างบางเลยจำใจตอบ



          "เอ่อ คือ เมื่อเช้าเอมซุ่มซ่ามนิดหน่อยก็เลย..." ชะเอมตอบเสียงอ่อย ไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาโดนอะไรมา เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง



          "ไปทำอะไรมา ไหนลุงขอดูแผล" คนแก่กว่าเอ่ย



          "ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย คุณลุงมารอนานแล้ว น่าจะหิว สั่งอะไรไปรึยังครับ เดี๋ยวเอมเรียกพนักงานให้นะ" ชะเอมพูดรัวเร็วรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วรีบยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟแถวๆ นั้นโดยลืมตัวใช้ข้างขวาข้างถนัดที่เจ็บไม่ทันไรก็ต้องร้องอูยเบาๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นแขนซ้ายแทน แน่นอนว่าทุกการกระทำไม่รอดพ้นตาคมเหมือนเหยี่ยวที่ผ่านชีวิตมากว่าสามสิบปีในวงการธุรกิจ



          ท่าทางลนลานนั้นมีหรือคนที่เลี้ยงมากับมืออย่างเกษมจะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าไง



          ถึงชะเอมจะหัวดื้อ หรือขี้อ้อนยังไงแต่เรื่องนี้เกษมศักดิ์ไม่ยอมอ่อนให้แน่นอน



          "เอม..." เสียงเข้มเอ่ยเรียก แต่ร่างบางกวาดตามองหาพนักงาน ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่แอบเหงื่อตก



          "เอม ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่ระมัดระวัง ไม่ยอมดูแลตัวเอง ไม่ให้ลุงดูว่าเป็นอะไร ลุงจะให้เรากลับไปอยู่ที่บ้านกับลุง แล้วก็..." ไม่ต้องรอให้พูดจบ ชะเอมหันขวับทันทีที่ได้ยินว่ากลับไปอยู่บ้าน



          "โธ่ ลุงเกษม...เอมไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ นะครับ" ใบหน้ามนมุ่ย ปากบางขมุบขมิบบอก



          "ถ้าไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่บอกก็ให้ลุงดูแผลสิ"



          "...เอมไม่อยากให้คุณลุงเป็นห่วง"



          "ลุงรู้ ลุงเลี้ยงเอมมากับมือ ไม่รู้หรือว่าคิดอะไรลุงรู้หมดน่ะ" มือใหญ่วางบนหัวเล็กโยกไปโยกมาเหมือนปลอบใจกับหน้าบึ้งๆ "แล้วเอมก็รู้ว่าทำไมลุงถึงต้องเป็นห่วง เอมร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่คาดคิดขึ้นมา เอมนึกถึงลุงบ้างมั้ยว่าลุงจะเป็นห่วงมากยิ่งกว่านี้ แค่เห็นรอยนี่ลุงก็จะอกแตกตายอยู่แล้ว"



          ชะเอมน้ำตาคลอกับความเป็นห่วงและความอ่อนโยนที่ได้รับ แต่ก็ได้นิ้วโป้งใหญ่ของเกษมปาดทิ้งก่อนไหลลงมาจนแพขนตาชุ่ม



          "เอมขอโทษ" ร่างบางประกบมือไหว้แนบอก ท่าทางนั้นทำให้เกษมศักดิ์ยิ้ม ก่อนรวบคนตัวเล็กมากอดปลอบลูบหัว เขาทั้งรักและเอ็นดูคนตรงหน้ามากจริงๆ อีกทั้งยังเป็นห่วงมากจนไม่อยากให้อยู่ห่างสายตา ที่ให้ไปอยู่ข้างนอกเพราะเจ้าคินไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยหรอกนะ ถึงจะจำได้ว่ากว่าจะคุยกันรู้เรื่องก็เกือบบ้านแตกก็เถอะ



          เกษมศักดิ์รู้ดีว่าชะเอมยังคิดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของตน แม้ทางการจะเป็นลูกบุญธรรมอย่างถูกกฎหมาย ใช้นามสกุลเดียวกัน ยังคิดและสำเหนียกตนอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นใคร เกษมศักดิ์ไม่ว่าที่ชะเอมจะคิดหาเงินมาคืนทั้งๆ ที่เขาคิดว่าไม่จำเป็นเลยสักนิดเพราะที่ให้ทั้งหมดกับเด็กคนนี้เป็นสิ่งที่ให้ด้วยความเต็มใจ และอีกอย่างมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับสมบัติทั้งหมดที่ครอบครัวของเกษมศักดิ์มี มีครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าถ้าจะตอบแทนพระคุณล่ะก็เรียกเขาว่าพ่อดีกว่า แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น...





          ‘ไม่...ไม่ได้หรอกครับ มันมากเกินไป แค่ที่ผมได้รับนี่ก็มากพอแล้ว อีกอย่าง...ผมไม่มีสิทธิ์จะเรียกแบบนั้นหรอกครับ’





          นั่นทำให้เขารู้ทันทีว่าชะเอมคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน



          ถึงเขาจะอายุปูนนี้แล้ว แต่เกษมยอมรับว่าเขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชะเอม เด็กที่มีแต่ความอ่อนโยนคนนี้ตีตัวออกห่างจากครอบครัวเขาไป และนั่นเขาไม่ยอมแน่ เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา ลูกแท้ๆ ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับสิทธิ์นั้น แต่เขายัดเยียดให้ตั้งแต่รับเด็กนั่นมาเลี้ยงแล้ว



          ทั้งที่อยากจะให้เอาแต่ใจกับเขามากกว่านี้แท้ๆ



          "งั้นมา เปิดแผลให้ลุงดูหน่อย" เกษมดันร่างกว่าเขาออก แกะกระดุมตรงข้อมือของแขนเสื้อเชิ้ตแล้วค่อยๆ ถกขึ้น ด้วยความที่เสื้อมันหลวมจึงสามารถดึงขึ้นได้จนเห็นแผลช้ำแดงม่วงแถมมีสีคล้ำน่ากลัวเป็นวงกว้างกินบริเวณตั้งแต่ข้อศอกยาวจนเกือบถึงรักแร้ มันชัดเจนมากกว่าตอนดูในกระจกเมื่อเช้าเสียอีก





          ชะเอมดูรอยช้ำของตัวเองแล้วแอบกลืนน้ำลาย ไม่เท่าใบหน้าคมของเกษมที่บัดนี้ขมึงเครียด แผ่รังสีน่ากลัว ถ้าเป็นการ์ตูนคงมีไอสีดำลอยปกคลุม





          "เอมไปหาหมอมารึยัง รอยช้ำแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ" ไม่ใช่แค่หน้าแต่เสียงก็เครียดด้วย มือใหญ่ยังคงสำรวจพร้อมแตะแขนเบาๆ กลัวว่าจะกระทบกระเทือน มิน่าล่ะเมื่อกี้ถึงได้ร้องโอดโอยนัก



          "คือ เพิ่งลื่นล้มเมื่อเช้าก็เลยยังไมได้ไปครับ แค่กระแทกเองครับ แบบนี้สักอาทิตย์หนึ่งก็คงหาย" เสียงใสเอ่ยไกล่เกลี่ย



          "ถ้าเป็นคนอื่นลุงก็จะเห็นด้วยนะ แต่นี่ลุงแค่จับเบาๆ ยังสะดุ้งเลย เจ็บมากล่ะสิ" เกษมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวลเจือความเป็นห่วง ก่อนปล่อยแขนให้เด็กน้อยของเขาดึงแขนเสื้อลงเหมือนเดิม "หลังทานข้าวเสร็จไปหาหมอกับลุง จะได้ตรวจอย่างอื่นไปด้วยเลย"



          ชะเอมกัดริมฝีปาก คราวนี้เขาค้านอะไรไม่ได้ จึงต้องพยักหน้าและตอบรับอย่างจำใจ



          "ลุงว่า...เอมมาอยู่ที่บ้านกับลุงเถอะ มีคนดูแลทั่วถึง จะไปไหนมาไหนก็มีคนรับส่ง" อีกสักพักหนึ่งที่กว่าพนักงานเสิร์ฟจะมารับออเดอร์ คนวัยทองแต่งตัวดูดีมีภูมิฐานอย่างเกษมศักดิ์นั่งเท้าคางมองเด็กหนุ่มใบหน้าขาวใสด้านข้าง ผิวหน้าเนียนเด้งอย่างกับเด็กๆ



          พอนึกถึงรอยช้ำนั่นแล้วต้องขมวดคิ้วย่น ตีนกาจะขึ้นอีกวันละหลายๆ รอบ



          "ตะ แต่...เมื่อกี้คุณลุงสัญญาแล้ว" ชะเอมมองหน้าเกษมตาปรอย เสียงใสสั่นเครือ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบ รู้ดีว่าทุกอย่างที่ลุงเกษมทำให้เพราะความเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้แล้ว



          เกษมพยายามไม่สบตากลมที่มองมา ราวกับจะรู้ว่าถ้าจ้องมากกว่านี้ต้องแพ้...แพ้สายตานั่นแน่



          "เฮ้อ ก็ได้ๆ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วนะ" เกษมศักดิ์ถอนหายใจยกมือยอมแพ้ นี่เขาใจอ่อนอีกจนได้ ก็ดูสิ เล่นทำหน้าหงอย เสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอแบบนั้น จะไม่ให้ใจอ่อนก็ใจร้ายเกินไปแล้ว!



          เกษมศักดิ์ ชายหนุ่มรุ่นพ่อที่ยังคงไฟแรงในวงการธุรกิจ เป็นแชมป์ที่ไม่เคยแพ้ใคร แม้จะเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดกาลอย่าง ลักขณา



          แต่ถึงกระนั้นเกษมก็ยังมีคนที่ชนะเขาตลอดกาลซึ่งก็คือ ชะเอม ลูกบุญธรรมของเขานั่นเอง ในบางครั้งชะเอมก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าศัตรูทางธุรกิจ แม้จะไม่ต้องใช้มารยาเล่ห์เหลี่ยมใดๆ



          เกษมกำหมัดใต้โต๊ะแน่น ให้คำสาบานกับตัวเองอย่างมั่นเหมาะ

          คราวหน้าไม่ว่าจะมาไม้ไหนก็จะไม่ยอมใจอ่อนให้อีกแล้ว นะ... แน่นอน*!*









          ************************Whose fault? ************************











          มาอีกตอนแว้วววว

          ขอกำลังใจให้ชะเอมและคนเขียนด้วยเน้อ

          ไม่แน่ใจว่าจะได้อัพถี่ (นี่ถี่แล้วเหรอ) แบบตอนนี้มั้ย งื้อๆ

          เลิฟอิพ่อ(ลุงเกษม) มันแพ้ลูกชะเอมทุกทางจริงจริ๊งงงงง

          ขนาดลูกแท้ๆ อย่างนังคินพ่อมันยังไม่หวง ไม่ห่วงเท่าชะเอมเลย กระซิก นางเอกของแม่(ปาดน้ำตา)

          รักคนอ่านทุกคนจริงๆ จ้า ปล.ตอนหน้านังคินโผล่แล้วนะจ๊ะ (มาพร้อมกับศัตรูตัวฉกาจ)



ออฟไลน์ Tak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แอบจิ้นลุงอ่ะ

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
สนุกมากกกกกก รอนะคะ ทำไมเรามองว่าพระเอกงี่เง่าจัง 555555  :hao7:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สงสารชะเอม,,,

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
       


                                                                  Whose Fault ?



                                                                     ผิด...ครั้งที่ 4





           โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



           ‘ต่อไปนี้ ชะเอม เด็กคนนี้จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับเรา’





           ‘คิน ลูกต้องคอยดูแลเอมไว้นะ ลูกเป็นตัวแทนของพ่อแล้ว พ่อฝากคินด้วยนะ’





           ‘คิน!’ เสียงใสที่เขามักได้ยินทุกครั้ง เด็กที่อายุเท่าเขาแต่ตัวเล็กและผอมบางกว่ามาก ผิวขาวละเอียด หน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย ‘คินเท่จัง...เท่มากๆ เลย! คินเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวของเอมเลยนะ!’





           เด็กชายสองคนที่วิ่งเล่นในสวนสาธารณะกว้างซึ่งเป็นของโครงการในหมู่บ้านคนที่มีฐานะร่ำรวย มีทั้งต้นไม้ให้ความร่มเย็น และเครื่องเล่นไว้ให้ครอบครัวน้อยใหญ่มานั่งปิกนิก พาเด็กๆ มาวิ่งออกกำลังกาย แต่ในวันนี้เห็นจะมีแต่เด็กแค่สองคนตามลำพัง และระหว่างนั้นก็มีสุนัขตัวเล็กวิ่งผ่านมาเห็นเด็กทั้งสองคนจึงหวังเข้ามาเล่นสนุกด้วย แต่หารู้ไม่เด็กชายชะเอมที่ตัวใหญ่กว่าสุนัขแค่นิดเดียวหวาดกลัวสัตว์สี่ขาวิ่งแจ้นไปเกาะหลังเด็กชายคินที่ตัวใหญ่กว่าตนแน่นไม่ปล่อย และเด็กชายผู้กล้าก็ใช้กิ่งไม้ที่หล่นแถวนั้นกวัดแกว่ง ส่งเสียงชิ่วๆ ไล่สุนัขตัวนั้นวิ่งหนีหางจุกตูดไป





           และการกระทำนั้นทำให้เด็กชายชะเอมแสนจะปลื้มชื่นชม มองเด็กชายคินตาเป็นประกาย ไม่ว่าจะเจออะไรน่ากลัว คนนี้แหละจะต้องปกป้องเขาได้แน่นอน





            ‘จะบ้าเหรอ อัศวินขี่ม้าขาวน่ะต้องมาช่วยเจ้าหญิงสิ แล้วเอมก็ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย’ เด็กชายคินที่โดนชม แถมมองซะชื่นชมอย่างกับเทิดทูนเขา เก้อเขินจนต้องพูดอะไรไม่ตรงกับใจคิด



            ‘บะ...บ้า’ เด็กชายชะเอมเบะปาก น้ำตาคลอหน่วยอย่างสะเทือนใจ คินหาว่าเขาบ้า ทั้งๆ ที่ชอบคินมากแท้ๆ ‘คินว่าเอมบ้า ฮึก ฮือ คินเกลียดเอมแล้ว’



            เด็กชายชะเอมใสซื่อ และบริสุทธิ์เกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกที่มากกว่าชอบและเกลียด ดังนั้นอาการปากไม่ตรงกับใจของคิน แน่นอนว่าชะเอมต้องไม่เข้าใจ



            ชะเอมปล่อยโฮ มือเล็กกำเสื้อตัวเองแน่น ไม่คิดจะเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้าจนเปียกชุ่ม อยู่ๆ คนตัวเล็กกว่าก็ร้องไห้เสียงดังทำให้คินเลิ่กลั่กมองรอบข้างหวังหาคนช่วยแต่ไม่พบใคร จะปลอบก็ไม่รู้ต้องทำยังไง รู้แต่คำพ่อสอนว่าทำผิดต้องขอโทษ แต่...ว่าแต่เขาทำอะไรผิด ก็ยังไม่เข้าใจ



            ‘ฮึก...ฮือออ’ ชะเอมยังคงร้องไห้ เด็กชายไม่รู้อะไร รู้แต่ว่าคินเกลียดเขา แต่เขาไม่อยากโดนเกลียด เขาชอบคิน เหมือนที่ชอบคุณลุง รักคุณลุง และตอนนี้เขาทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ...ก็เลยร้องไห้



            เสียงร้องไห้ดังต่อเนื่อง น้ำตาไหลไม่มีทีท่าจะหมดหยดลงบนเสื้อตัวน้อยจนคอเสื้อชื้น ตากลมเริ่มแดง จมูกเล็กก็แดง ทำให้คินตัดสินใจเอ่ย จะผิดอะไรก็ไม่รู้แล้ว! ช่างมันก่อนละกัน!



            ‘โอเคโอเค ขอโทษคินขอโทษ เอมไม่ร้องนะ ขืนร้องเสียงดังเดี๋ยวหมาตัวเมื่อกี้กลับมาอีกไม่รู้ด้วย’ จะขอโทษดีๆ เด็กชายคินมันก็ทำไม่เป็น แถมยังไปขู่ให้กลัวหวังให้หยุดร้องไห้ แต่ดันได้ผลตรงกันข้าม เด็กชายชะเอมร้องไห้ลั่นกว่าเดิม ทั้งเสียใจ ทั้งกลัว



            ‘ไม่มาๆ! มันไม่มาแล้วล่ะ แต่ถึงจะมาคินจะไล่ไปให้เองนะ เอมไม่ต้องกลัว มีคินอยู่เอมไม่ต้องกลัว’ คราวนี้เด็กชายคินเริ่มรู้ว่าจะต้องพูดยังไง เพราะเด็กชายชะเอมหยุดร้องทันทีแต่ยังมีสะอื้น



            ‘ละ...แล้ว ฮึก แล้วคินจะคอยไล่ให้ตลอดไปมั้ย’



            ‘หา?’ คินทำหน้างง ไอ้หมาตัวนั้นมันมีเจ้าของแล้วจะมายุ่งทำไมบ่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด แต่พอมองตากลมที่บวมแดงเพราะร้องไห้ของอีกคนแล้วต้องพูดเอาใจ ‘อะ...เอ่อ ตลอดไปสิ ตลอดไปเลย’



            ขืนให้ร้องอีกก็ไม่รู้จะหยุดได้เมื่อไหร่



            ‘แต่คินเกลียดเอม ฮึก’



            ‘จะบ้า...เอ่อ ไม่ใช่ คินไม่ได้เกลียดเอม คินไม่เคยเกลียดเอม’



            ‘แล้วคินชอบเอมมั้ย’



            ‘เอ๊ะ? ...เอ่อ’ คำถามนี้มันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย เด็กชายคินอึกอัก เก้อเขินเกินกว่าจะตอบออกมาเป็นคำพูด จึงคิดเลี่ยงไม่ตอบคำถามนี้ หันหลังเดินนำออกไป ‘สายมากแล้ว ป่ะ รีบกลับบ้านกันเถอะ’



            ‘...ฮึก’



            เด็กชายคินหยุดชะงัก ค่อยๆ หันไปเห็นสายตาตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจ หรืออะไรบางอย่างที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำส่งมายังเขา เด็กชายชะเอมเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วและเริ่มผลิตน้ำตาออกมาอีกแล้ว และ...มันกำลังจะไหล



            ‘ชอบสิ! คินชอบชะเอม ชอบมาก’ สาบานได้ว่าเขาไม่เคยอายฟ้าดินขนาดนี้มาก่อนเลย



            นี่มันกลางสวนสาธารณะ! ...ของหมู่บ้านด้วย!



            ‘โอเค๊ พอใจยัง คราวนี้กลับบ้านได้แล้วนะ’ คินคว้ามือเล็กของเด็กชายชะเอมที่เริ่มยิ้มออกให้เดินตามมาด้วยกันเหมือนกับจะกลัวอีกคนหลงทาง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น



            การกระทำชัดเจนขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก



            ชะเอมมองมือใหญ่ที่กุมมือเขา ไล่สายตาจนถึงแผ่นหลังที่ก้าวเดินอยู่ด้านหน้า มืออีกข้างที่ว่างก็ปาดน้ำตาทิ้ง ริมฝีปากบางแอบอมยิ้ม



            ‘เอมก็ชอบคินนะ...ชอบที่สุดเลย’



            ขาทั้งสองคู่ยังคงก้าวต่อไป และชะเอมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเด็กชายคินที่เดินนำอยู่ก็แอบยิ้มเหมือนกัน





            ...พร้อมกับความรู้สึกที่ชัดเจน และเสียงหัวใจที่เต้นดังอยู่ในอก







          และนั่น คือเรื่องราวระหว่างเขากับชะเอม สมัยยังอายุเพียงแค่สิบสองปี









           ************************Whose fault? ************************









            วันนี้เรย์ชวนพวกเขามานั่งกินไอติมที่ร้านใกล้ๆ มหาวิทยาลัยหลังจากเรียนเสร็จ ดังนั้นในร้านขนมหวานครบวงจรชื่อดังแห่งนี้ที่ปกติก็เต็มไปด้วยนักศึกษาอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งคึกคักมากกว่าเดิมเมื่อกลุ่มของคินมาเยือน ก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนหน้าตาดีของคณะวิศวะและมีคินเป็นอดีตเดือนเมื่อสองปีที่แล้ว จึงโดนจับตามองจากสาวๆ ในร้านเป็นตาเดียว





            “กรี๊ด นั่นคินไม่ใช่เหรอแก”



            “ใช่ๆ วันนี้วันดีมากันทั้งกลุ่มเลย คิกคิก อาหารตาอาหารใจ”



            “คุณเม็ดทรายไม่มาสักหน่อย จะเรียกว่าครบได้ยังไง โธ่ เจ้าหญิงของผม”



            “มึงก็พูดเบาๆ หน่อย เดี๋ยวแฟนโหดเขามาได้ยินเข้ามึงได้กลายเป็นกระสอบทราย นอนแดกข้าวต้มที่โรงพยาบาลเป็นเดือนแน่”



            “บรึ๋ย นักกีฬามวยมือหนึ่งของมหาลัยนั่นอ่ะนะ น่ากลัวสัตว์”



            “เรย์ก็มานะ น่ารักกว่ารูปในเพจคิวท์บอยอีก หึย อิจฉาตากลมๆ เหมือนตุ๊กตาเลยอ้า”



            “สงสัยข่าวที่ว่าเรย์เป็นแฟนคินท่าจะจริงนะ ดูดิ หว๊านหวาน”



            “เสียดายผู้ชายกินกันเอง”



            “แต่ฉันว่าคินเหมาะกับชะเอมมากกว่านะ”



            “เขาว่าเรย์แย่งคินมาจากเอมว่ะ หน้าด้านชิบ แย่งแฟนเขามาหน้าตาเฉย”



            “จริงเหรอ แล้วข่าวที่ลือกันเรื่องนั้นล่ะ”



            และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ อีกมากมายที่ลอยเข้าหูทั้งห้าคนที่นั่งอยู่กลางร้าน โต๊ะที่ใกล้เคาท์เตอร์ที่สุด เรย์ยกมือเรียกพนักงานด้วยรอยยิ้มนางฟ้าที่ทำเอาหนุ่มสาวใจละลาย แต่จะรู้หรือไม่ว่าในใจร้อนเป็นไฟกับคำนินทาที่ไม่เข้าหู แต่ต้องรักษาภาพพจน์เอาไว้





            คินกับเพื่อนๆ ที่ไม่สนใจรอบข้างก็นั่งดูเมนูกัน



            “มึงเอาไร”



            “อยากกินโทสต์ เอาหน้าไรดี กูอยากกินช็อคโกแลต มึงกินกับกูมั้ยเอก”



            “ก็เอาดิ แต่ขอกูเพิ่มท็อปปิ้งกล้วยกับสตอเบอรี่” เสียงทุ้มดังเรียบตอบกลับ



            “เหย ไม่เอา มันเสียรสชาติ” เสียงใสแย้งเบ้หน้าเมื่อนึกถึงรสเปรี้ยวๆ ของผลไม้



            “งั้นมึงกินคนเดียว” เอกบอกหน้านิ่ง กวาดตามองเมนูอื่น



            “เห้ย ไม่เอาดิ” ตาลอ้าปากค้าง “อ่ะๆ แค่กล้วยกับสตอเบอรี่นะ งั้น...ขอโทสต์ช็อกโกแลตเพิ่มท็อปปิ้งกล้วยกับสตอเบอรี่ครับผม” เจ้าตัวหันไปสั่งกับพนักงานหญิงที่รอรับออเดอร์ เอกยิ้มลับหลังตาลแต่ต้องรีบหุบเมื่ออีกคนหันมา



            “กูไม่เห็นเข้าใจ มึงกินไปได้ยังไง ผลไม้มันไม่เห็นเข้ากับของหวาน”



            “เอาน้ำอะไร”



            “อะไรวะ คนเขาถามก็ไม่ตอบ” ตาลบ่นอุบ แต่ชะโงกหน้ามองเมนูในมือเอก ไม่รู้ตัวว่าใบหน้าชิดกับอีกคนขนาดไหน “เอา...ช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีม”



            “โทสต์ก็ช็อกโกแลต น้ำก็ช็อกโกแลต ไม่เลี่ยนหรือไง” เอกว่า แค่นึกก็ผะอืดผะอมแทน



            “ม่าย” ตาลทำเสียงยาน ยิ้มโชว์เขี้ยวตาหยี “ก็กูชอบอ่ะ”



           “เพิ่มชาเขียวเย็นแก้วนึงกับช็อกโกแลตปั่นเพิ่มวิปครีมแก้วนึงครับ” เอกสั่งของตัวเองและไม่ลืมที่จะสั่งเมนูหวานเลี่ยนของตาลด้วย



            “ผมขอไอติมชุด A แต่ขอเปลี่ยนรสไอติมเป็นนี่ นี่ นี่ แล้วก็นี่ครับ” เรย์ดูอยู่นานก่อนจะชี้เมนูสั่งพนักงานให้จด



            “มึงไม่กินเหรอคิน”



            “เออ แปป” ปากรับคำส่วนตากวาดมองกระดาษเคลือบอีกรอบนึง ไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่า... “กาแฟดำร้อนแก้วนึงครับ”



            “ดูเมนูตั้งนาน” ตาลหัวเราะกับคนที่เพิ่งสั่งเมนูขมๆ ในร้านขนมหวาน



           “ก็ไม่รู้จะสั่งอะไร เดี๋ยวแย่งพวกมึงกิน กูต้องล้างปากด้วยไอ้นี่แหละ” คินตอบขณะส่งแผ่นเมนูให้พนักงานหญิง



            “อะรายยย แย่งกูกินนิดเดียวกูหารเท่าเลยนะ” ตาลพูดเหมือนหวงเงินแต่จริงๆ หวงขนมตัวเองมากกว่า



            “จ่ายให้เลยก็ได้” คินยักคิ้วข้างเดียว ชวนยำตีน



            “ใช่ซี่ ไอ้หนุ่มหล่อพ่อรวย***ใหญ่” ตาลว่าฉายาคินอย่างหมั่นไส้ ถ้าแถวนี้มียางลบดินสอปากกาเขาหยิบปาใส่หัวไอ้หล่อมันไปแล้ว



             แต่เกรงว่าสาวๆ ในร้านจะมาทึ้งหัวเขาแทนน่ะสิ

           “กูไม่อยากแย่งขนมหวานๆ ของมึงหรอกไอ้น้ำตาลเบาหวานแดก” คินย้อนบ้าง

         “ไอ้เชี่ยคิน! อย่าพูดชื่อนั้นออกมาสิวะ แม่ง” ตาลแหวหน้าแดงสลับขาวเพราะกลัวใครมาได้ยิน นั่นมันชื่อเต็มเขาเอง ‘น้ำตาล’ ชื่ออันน่ารักผิดกับหน้าตาหล่อเหลาที่มารดาประทานให้ตอนเกิด ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เขาอายเลยบอกเพื่อนๆ ว่าชื่อตาลเฉยๆ



            แล้วไอ้คินมันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ...



ก็เพราะไอ้เอกหน้านิ่งเพื่อนสนิทสมัยเด็กนี่แหละเป็นคนแฉ!!



            คิดแล้วแค้นใจ



            “น่ารักออก” นั่นไง ไม่ทันขาดคำ



            “เพราะมึงเลยเอก” เอาผิดกับคินไม่ได้ (กลัวคนในร้านรุม) ก็คนข้างๆ นี่แหละต้องรับเคราะห์



            “กู? กูทำไม?” ไอ้คนผิดมันยังไม่รู้ตัว



            “ก็เพราะมึงแฉกู”



            “แค่เพราะกูเรียกมึงว่าน้ำตาลเนี่ยนะ”



            “เชี่ย! อย่าพูดดัง” มือเรียวปิดปากคนข้างๆ แน่น “ไอ้ห่าหนิ บอกว่าอยู่ข้างนอกห้ามเรียก ห้ามเรียก ไม่เข้าใจหรือไง”



            “...” ขนาดไม่มีปากพูดมันยังกลอกตานิ่งๆ ได้กวนส้น



           “เข้า ใจ มั้ย” ตาลเน้นคำรอดไรฟัน เมื่ออีกคนพยักหน้าจึงยอมปล่อยมือ แต่ก็โดนมือใหญ่รั้งข้อมือเอาไว้ ไม่ทันผละหนีใบหน้าคมที่โน้มเข้าใกล้ใบหู



           “งั้นอยู่กันตาม ‘ลำพัง’ เรียกได้ใช่มั้ย” ลมร้อนๆ ที่เป่ารดทำให้ตาลต้องหดคอ ใบหูแดงก่ำ



           “...เชี่ยแม่ง” ตาลอุบอิบไม่ตอบดึงข้อมือออกจากการเกาะกุม ก้มหน้าจนหน้าม้าบังมิดไม่เห็นสีหน้า แต่ไม่อาจซ่อนหูกับคอแดงๆ ได้



           เอกยิ้มตาพราว



           “พวกมึงนี่ยังไง อย่างกับผัวเมีย” คินหัวเราะแซวไม่คิดเอาคำตอบ ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นทำให้ตาลหน้าแดงเรื่อ





           คินเห็นเพื่อนสองคนที่สนิทกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม จนเรียนมหาลัยยังเรียนคณะเดียวกันเอกเดียวกัน ทั้งคู่มาเจอกับคินตอนรับน้องพร้อมๆ กับเรย์ เอกจะเป็นคนหน้านิ่ง ไม่ค่อยพูด แต่ถ้าอยู่กับตาลก็จะพูดมากเป็นพิเศษ กับบุคลิกนิ่งๆ เข้ากับหน้าคมเข้ม ตัวสูงใหญ่พอๆ กับเขา ผิวสีเข้มกว่าแต่ก็ไม่ได้ดำ เอกก็โดนเลือกประกวดเป็นเดือนแต่เจ้าตัวปฏิเสธเพราะไม่ชอบความวุ่นวาย ยุ่งยากผิดกับเขาที่โดนบังคับเนื่องจากไม่มีคนยอมเป็นแล้ว ตำแหน่งที่ได้มานี้เพราะความจนใจ  ส่วนตาล หรือ ‘น้ำตาล’ บุคลิกขี้เล่น กวนๆ จุดเด่นที่เจ้าตัวชอบอวดคือฟันเขี้ยวอันเล็กๆ เวลายิ้ม ผมสั้นหยักศกน้อยๆ สีน้ำตาลอ่อนโดยพันธุกรรม เสริมความน่ารัก เหมาะกับใบหน้าขาว ความสูงไม่มากไม่น้อย แต่รูปร่างค่อนข้างบาง ของกินที่ชอบคือ ช็อกโกแลต(อันที่จริงเป็นของหวานทุกชนิด แต่อันนี้พิเศษสุด)





           คินล่ะสงสัยจริงว่าไอ้ตาลมันกินของหวานซะขนาดนั้นทำไมไม่อ้วน กลับผอมลงไปอีก มันชอบบ่นว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เวลามาร้านของหวานทีไรจัดเต็มทุกที เขาจึงให้ฉายามันไปว่าน้ำตาลเบาหวานแดก





           คินมองเอกกับตาล ด้วยบุคลิกของพวกมันสองคนดูแล้วไม่น่าจะคบกันได้เลย แถมมันก็ยังชอบเถียงกันอย่างกับเป็นแฟน...ที่ได้กันแล้ว



            จู่ๆ คินก็คิดถึงชะเอมขึ้นมา



           คินยังจำคำพูดที่เคยบอกกับชะเอมในวันวานได้



          ‘คินชอบเอม ชอบมาก...’



           แต่ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง เขาลืมไปหมดแล้ว...**\นั่นมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจความรัก





           และตอนนี้คินไม่ใช่เด็ก...เขาโตแล้ว





           “คิน เหม่ออะไรน่ะ เอ้านี่ช้อน มาๆ กินไอติมกัน” คินรู้สึกตัวเมื่อใครอีกคนสะกิดแขน หันไปมองเห็นช้อนเหล็กเย็นๆ ที่สัมผัสแขนอยู่ คินรับช้อนมาพร้อมกับถ้วยไอติมยักษ์เลื่อนมาด้านหน้า มือใหญ่จึงผลักกลับไปหาคนตัวเล็ก





           “ไว้ตรงเรย์แหละ คินกินไม่เยอะหรอก”



           เรย์ยิ้มรับ ไม่พูดอะไร จัดการกับของหวานเย็นๆ ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนคินก็กินบ้าง สลับกับกาแฟดำ





           ที่คินคบกับเอมอยู่จนถึงวันนี้ เพราะอะไร?



           เพราะรัก...ไม่สิ เพราะพ่อที่เคยฝากให้เขาดูแล...เป็นตัวแทนของพ่อต่างหาก





           คินสังเกตเห็นไอติมช็อกโกแลตเลอะมุมปากเล็ก มือใหญ่หยิบทิชชู่แผ่นบนโต๊ะช่วยเช็ดให้



           “ค่อยๆ กิน เลอะหมดแล้ว”



           ทั้งแววตา ทั้งสัมผัสที่มุมปาก แผ่วเบาและอ่อนโยนจนทำให้เรย์หน้าแดง ใจเต้นแรงสูบฉีด





           แล้วทำไมใจถึงเจ็บปวดเมื่อเห็นร่างบางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้



           นั่นเพราะเป็นคนในครอบครัวไง...เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเขาใช้ชีวิตกับชะเอมมาตลอดไม่ต่างกัน





           คินรู้และเห็นทุกอย่าง เรย์ชอบเขา ทั้งใบหน้าน่ารักที่แดงก่ำ ทั้งแววตาที่หลงใหล หลงรัก





           คินยังคงรู้สึกขัดแย้ง สับสน...และไม่เข้าใจ



           ดังนั้นเขาควรให้โอกาสตัวเอง เปิดใจคบกับใครคนใหม่





           ถ้าหากเป็นเรย์ จะทำให้เขาเข้าใจความรักได้รึเปล่า





           เพื่อเข้าใจคำว่า ‘รัก’ ให้มากขึ้น





           “อะ อ...อืม ขอบใจนะคิน” ร่างบางยังคงหน้าแดงหูแดง ใช้ช้อนตักไอติมเข้าปากแก้เขิน เรียกรอยยิ้มของคินได้เป็นอย่างดี











           และนี่คือ จุดเริ่มต้น









           ************************Whose fault? ************************



>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อด้านล่างค่ะ<<<<<<<<<<<<<<<<<<


ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนนะคะ<<<<<<<<<<<<<<<<



           “...น”



           “...คิน”



           “คิน!”



           “อะ เอ่อ ว่า?” ร่างสูงสะดุ้งออกจากภวังค์ นี่เขากำลังเหม่อคิดอะไรอยู่ระหว่างขับรถเนี่ย ไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง



           ดีนะติดไฟแดงกลางสี่แยกอยู่



           พวกเรากำลังอยู่ระหว่างทางกลับคอนโดของเรย์หลังจากกินไอติมก็แยกย้ายกับพวกเอก ช่วงนี้เขามาอยู่กับร่างเล็กหลายวันแล้ว



            “โธ่ คิน ไม่ได้ฟังที่เรย์พูดเลยใช่ไหมเนี่ย” คนตัวเล็กที่อยู่ในระยะใกล้ หน้าเบลอจนโฟกัสไม่ได้ คินจึงต้องผละหน้าออกมาเว้นระยะห่าง เห็นใบหน้าน่ารักบูดบึ้ง แก้มพองลมจนมือใหญ่ต้องเอื้อมไปบีบ



           “ตัวอะไรเนี่ย แก้มกลมๆ ปลาบู่รึเปล่า หึหึ”



           “โอ๊ยยย คิน เจ็บๆๆ ปลาบู่ที่ไหนจะน่ารักขนาดนี้เล่า! เจ็บน้า ปล่อยเรย์ก่อน” มือเล็กตบแขนใหญ่ที่หยิกแก้มตนรัวๆ แต่ร่างสูงหาได้สะเทือนไม่ แต่ก็ยอมละมือออกมาก่อนหน้าเล็กจะเบี้ยวไปมากกว่านี้



           “โห หลงตัวเองซะ”



           “ใช่ แล้วก็รอคนแถวๆ นี้หลงด้วย”



           “มุกนี้โคตรขำ” คินหัวเราะ เรย์เห็นดังนั้นจึงหน้ามุ่ย



           “เล่นมุกกลับหน่อยก็ไม่ได้” มือเล็กบิดเนื้อตรงต้นแขนใหญ่ด้วยความหมั่นไส้แบบไม่ออมมือ



           “อูย” มือใหญ่ลูบตรงที่โดนหยิกเบาๆ “แผลหายแล้วซ่าเชียวนะ”



           ตาคมกวาดสำรวจตามเนื้อตัวของเรย์ ผิวขาวๆ ที่เคยมีบาดแผลเพราะโดนเศษแก้วบาดหายไปจนเกือบหมด



            “หายที่ไหน นี่ไง ยังมีแผลอยู่ตรงขาเลย ตรงแขนก็มีนะ” มือเล็กรีบชี้ตรงที่บอก “โดยเฉพาะตรงนี้อ่ะ คินดูสิ”



           คินชะงักเพราะเรย์ชี้ตรงมุมปากที่เคยแตก แต่แน่นอนว่าผ่านมาหลายวัน แถมเขาก็คอยทายาให้ทุกวัน ตอนนี้เลยเป็นแค่แผลตกสะเก็ดสีแดงจางๆ ถ้ามองไกลๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน





           เมื่อมองแผลที่มุมปากแล้วก็พลันนึกถึงรอยนิ้วมือที่เคยประทับอยู่ข้างแก้มก็จางหายไปเหมือนกับมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน ถ้าไม่เห็นก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันนั้นชะเอมจะเป็นคนทำจริงๆ ร่างบางคนเดิมที่เขารู้จักน่ารักน่าเอ็นดู ไม่เคยมีนิสัยก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน





           คนเดิมที่เขาเคยรู้จักอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว





           ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยเขากับชะเอมก็เริ่มห่างๆ กัน เพราะนอกจากจะเรียนคนละคณะกันแล้ว ยังมีเรื่องที่เคยทะเลาะกันเรื่องของเรย์มาแล้ว ช่วงก่อนขึ้นปีสาม ทะเลาะกันเรื่องว่าเรย์บอกชอบเขา ซึ่งคินก็ตกใจเพราะไม่คิดมาก่อนว่าเพื่อนที่สนิทใกล้ชิด ทั้งเรียนและทำงานมาด้วยกันจะรู้สึกกับตนแบบนี้ แต่แน่นอนเขาห้ามความรู้สึกของใครไม่ได้ แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ของคินกับชะเอมกระท่อนกระแท่น จนเกือบถึงขั้นแตกหัก



            เขาเจอเรย์ตอนเข้ามามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตั้งแต่รับน้องก็อยู่ด้วยกันมาตลอด เรย์เป็นคนร่าเริง นิสัยดี น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจใส่เพื่อน ไม่น่าจะมีอะไรที่ไปขัดแย้ง ขัดใจชะเอมได้



           คินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชะเอมถึงต้องทำกับเรย์รุนแรงถึงขนาดนั้น... ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายกันจนบาดเจ็บ





           “แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้วน่า ไหนพูดนักหนาว่าตัวเองน่ารักไง แผลแค่นี้จะกลัวอะไรฮึ” ร่างสูงเลิกคิ้ว มองคนตัวเล็กกว่ามองมาตัดพ้อพูดเสียงเศร้า



           “ไม่ต้องน่ารักก็ได้”



           “หืม?”



           “ก็ถ้าเรย์หายดี คินก็ไม่สนใจเรย์แล้วใช่มั้ยล่ะ” แม้เสียงพูดของอีกคนจะเบาแต่คินก็ได้ยิน เขาชะงัก





           ‘เรย์ชอบคิน ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนะ’





           นั่นสินะ เขาจะลืมได้ยังไงว่าเรย์รู้สึกกับตัวเองแบบไหน ตั้งแต่นั้นมาที่เขาต้องทะเลาะกับชะเอม แต่ว่านะ...



           “ถ้างั้นคินจะคอยดูแลเรย์จนกว่าจะหายเลยดีมั้ย”



           “แค่หายเท่านั้นเหรอ”



           เพราะว่าชะเอมทำให้เรย์เจ็บ เขาจึงอยากชดใช้ให้เรย์แทนชะเอม



           ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ...





           “อ่ะๆ จะอยู่ด้วยจนกว่าจะพอใจเลย โอเคยัง” ร่างสูงพยักหน้า เสียงทุ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือใหญ่ลูบหัวทุยเล็กขนาดพอดีมือ



           “จริงนะ ห้ามโกหกเรย์นะ” คนตัวเล็กยิ้มดีใจ แต่ในใจเป็นหลุมดำมืดเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา





           ไม่พอ...



           ได้แค่นี้น่ะ...ยังไม่พอหรอก





            “นี่ พรุ่งนี้คิน...ไปกินข้าวกับพ่อใช่ป่ะ”



            ร่างสูงที่เดินอยู่ชะงักกึก หันขวับมามองคนพูดทันที



            “เรย์รู้ได้ยังไง” เสียงทุ้มเอ่ยเย็นชา ไม่มีเค้าอ่อนโยนอีก



            “คือ...” ร่างบางหน้าเสีย แต่กลบเกลื่อนด้วยความกล้า “คือว่าเรย์ไปเห็นตอนไลน์มันเด้งน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งนะ ตะ แต่...” เรย์พูดอะไรไม่ออก





           ร่างบางโกหก เขาเองแหละที่เป็นคนปดรหัสเข้าเครื่องตอนร่างสูงนอนหลับไม่รู้ตัว



           เขารู้ว่าคินไม่ชอบคนยุ่งเรื่องของตัวเอง แต่เขาต้องการรู้เรื่องคินทุกอย่าง ไม่อยากให้คินมีความลับกับเขาแม้แต่เรื่องเดียว



            บรรยากาศอึดอัดเกิดขึ้นนานหลายนาที จนไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว คินเปลี่ยนเกียร์ออกรถ เหลือบมองเห็นหน้าซึมๆ แล้วถอนหายใจ ใจมันโกรธได้ไม่นาน



เหมือนภาพมันซ้อนทับกับ...ใครบางคน





            “เอาเถอะ เพราะงั้นพรุ่งนี้เรย์คงต้องอยู่คนเดียววันนึง” คินยิ้มบางเมื่อเห็นอีกคนทำปากยื่น “เดี๋ยวคินรีบกลับ”



            เรย์หลับตาพริ้มรับสัมผัสเบาของมือใหญ่ที่ลูบศีรษะ ยิ่งโยกหัวเข้าหาเมื่อรู้สึกว่าสัมผัสนั้นจะละออก



            ร่างบางยิ้ม รู้สึกดีใจที่คินไม่โกรธเขาเรื่องก้าวก่ายสิทธิ์ส่วนบุคคล ถ้าเป็นคนอื่นคินคงเย็นชาไม่พูดด้วยไปหลายวัน และเขาไม่ใช่คนอื่นสำหรับคิน





           บางทีคินน่าจะ...ชอบเขามากกว่าที่คิด





           เรย์คิดเข้าข้างตัวเองแล้วใจลิงโลด



            “แล้วถ้าพรุ่งนี้...เรย์ขอไปด้วยได้ไหม เรย์อยากรู้จัก อยากคุยกับพ่อของคินมานานแล้ว”





          ...จะได้ ‘ฝากเนื้อฝากตัว’ กับ(ว่าที่)พ่อสามี





            “ไม่ดีมั้ง” ร่างสูงละมือออก



            “ทำไมล่ะ พ่อคินดุเหรอ...” ร่างเล็กหน้าสลดอย่างแนบเนียน “หรือว่าคินไม่อยากให้คนนอกอย่างเรย์ไป...”



            “มันไม่ใช่อย่างนั้น” คินอึกอักไม่อยากบอก แต่สุดท้ายก็พูดออกไป “พรุ่งนี้ชะเอมเขามาด้วยนะ”



            คินมองสีหน้าของร่างเล็ก เขาเข้าใจว่าเจ็บตัวแบบนั้นมาก็คงไม่น่าจะอยากไปเจอกับคนที่ทำร้ายตัวเองหรอก และดูเหมือนเขาจะเข้าใจถูก เพราะเรย์สีหน้าเหยเก แววตาที่สบก็ฉายแววสั่นกลัว



            “จริงเหรอ” ปากบางสั่นระริก “มะ ไม่เป็นไรหรอก ก็ถ้าคินกับพ่อคินไม่ว่าอะไร เรย์อยากไป แล้วเรย์ก็อยากคุยกับเอมให้เข้าใจด้วย วันนั้นเอมต้องเข้าใจอะไรเรย์ผิดสักอย่าง”



            คินขมวดคิ้วมุ่น ยังคงขับรถด้วยมือข้างเดียว อีกข้างปล่อยวางอยู่ตัก



            “ให้เรย์ไปนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่สบายใจกันทั้งสามคนเปล่าๆ” พอเห็นสีหน้าชั่งใจ สองแขนเล็กก็รีบคว้าแขนใหญ่มากอดพูดเสียงออดอ้อน ช้อนตามองและทำท่าทางที่คิดว่าน่ารักที่สุด “นะคิน...เรย์อยากสนิทกับเอมจริงๆ อย่างน้อยเอมเขาก็เป็นแฟน(เก่า)คินนี่นา” คำนั้นละไว้ในใจ แอบหัวเราะเยาะคนที่สามที่แม้จะอยู่ในบทสนทนาแต่ก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่ข้างคินแล้วในตอนนี้



           หลักฐานก็คือคินเลือกที่จะอยู่กับเขาไงล่ะ



           “น้าคิน นะๆ”



            “แต่คินกลัวว่าจะเป็นแบบวันนั้นอีก”



           “ไม่เป็นไร เรย์เป็นผู้ชายนะ เป็นแผลเดี๋ยวก็หาย เรย์ไม่เจ็บหรอก” เรย์หัวเราะคิก ยกนิ้วจิ้มจึ้กๆ เข้าที่อกแน่นข้างซ้าย “คินรู้จักชะเอมดี เอมเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลแบบนั้น ถ้าได้คุยกันดีๆ ต้องเข้าใจแน่”



            เรย์พูดตะล่อมด้วยน้ำเสียงหวาน แล้วในใจก็ลิงโลดเมื่อได้ยินคำพูดที่ต้องการ



           “อืม พ่อคินไม่ว่าอะไรหรอก ถ้าเรย์อยากไปก็ไปพร้อมคินก็แล้วกัน” คินพยักหน้าจำใจ



           ไม่ใช่แค่เรย์ เขาก็อยากจะเคลียร์กับชะเอมเหมือนกัน



           ร่างบางยิ้มกว้าง เรย์รู้...รู้ว่าร่างสูงยังตะขิดตะขวงใจเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่



           ใช่แล้ว คินน่ะรู้จักชะเอมดี...แต่ว่าคินก็ยังไม่เคยเห็นด้านร้ายๆ ของมัน เขาจะเผยธาตุแท้ของมันเอง เขาจะทำให้หลายๆ อย่างมันชัดเจนขึ้นในวันพรุ่งนี้



           ชะเอม...กูรอมาตลอดสองปี สองปีที่คอยอยู่เคียงข้างคิน แม้จะอยากได้เขามากแค่ไหน ก็มีกาฝากอย่างมึงมาคอยรั้งเขาเอาไว้ กูจะทำให้คินเป็นอิสระจากมึงให้ได้



           และมึงต้องโดนทิ้ง



           คินเขาจะต้องเป็นของกู





           ของกู...คนเดียว











************************Whose fault? ************************









            อีเรย์มันร้าย(มาก)ค่ะทุกโค้น

            จริงๆ ตอนแรกอยากเขียนแสดงความรู้สึกของคินมากกว่านี้

      คินมันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ชอบให้คนเอาอกเอาใจ พอเจอความก้าวร้าวของชะเอมเข้าไป(แบบไม่เคยเจอมาก่อน) มันเลยงงๆ บวกโลเล เลยขออยู่กับเรย์ไปก่อนดีกว่า (สบายใจกว่าด้วย)

            อารมณ์ของแต่ละตัวละคร จะมาแบบตอนละนิดละหน่อย ก็ขอให้ติดตามกันไปนะคะ

            ใครแอบกรี๊ดแอบเชียร์คู่สินดิน หรือ เอกน้ำตาล ก็มีลุ้นตอนพิเศษ

            รักทุกคนนะคะ เจอกันตอนหน้า




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pim14

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เชียร์ให้ชะเอมมีคนใหม่ที่แซ่บกว่า ดีกว่า มั่นคงกว่า มาดูแลค่ะ
ส่วนคินก็ถิอเป็นพระรองไปละกัน 555 สวีทกับนังเรย์ตามสบายเลยจ้า อยากให้น้องเอมได้คนไม่โลเลและหูเบาค่ะ
ถ้าคินจะกลับมาเป็นพระเอก ก็ให้คลานและซมซานกลับมานะคะ เคืองมากกกกกก

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนหน้าเอมเตรียมโดนทำร้ายจิตใจอีกแหงเลย จังหวะนี้ต้องส่งบทให้รามทำคะแนนแล้ววว

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ยิ่งอ่านพาร์ทเรย์ยายิ่งหัวร้อน คนอะไรน่าเกลียดจริงๆ ฝั่งพระเอกก็โง่มากกกกกก หัวร้อนอ่ะ // รู้สึกว่าให้น้องเค้าหาแฟนใหม่เถอะ ผช.ดีๆมีเยอะแยะ

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


                                                                 Whose Fault ?


                                                                  ผิด...ครั้งที่ 5





          โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม







            กลับมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังเต็มไปด้วยเสียงจอแจ ที่โต๊ะหนึ่งด้านในร้านพ่อลูก(เกษมคิดอยู่ฝ่ายเดียว)สนุกกับการผลัดกันตักอาหารให้กันไปมา





            “กินนี่ครับ อร่อยมาก” มือเล็กคีบเนื้อปลาสดๆ ของโปรดใส่จานคนข้างๆ แต่คนวัยทองที่โตแต่ตัวไม่คีบเอง อ้าปากเหมือนเด็กเล็ก ชะเอมส่ายหน้าอมยิ้มขำทำเป็นเมิน แต่ก็ต้องยอมคีบเนื้อปลาจากจานป้อนคนที่ยังอ้าปากรอก่อนที่แมลงวันจะบินเข้าไปแทน





            “เอมกินบ้างเถอะ มา เดี๋ยวลุงตักให้” เกษมเคี้ยวเนื้อในปากตุ้ยๆ อย่างมีความสุข อยู่กับเจ้าตัวเล็กเขามีความสุขจนต้องกระดี๊กระด๊าคีบโน่นนั่นนี่ผิดวัย(?)ใส่จานชะเอมจนพูน



            “คุณลุงเยอะไปแล้วครับ เอมกินไม่หมด”



            “กินไปเยอะๆ นั่นแหละดี รู้ตัวบ้างไหมว่าผอมลงมาก เดี๋ยวไปเจออากฤษล่ะโดนดุหนักแน่” เกษมติงเสียงดุ ทำเสียงแบบนี้เจ้าตัวเล็กจะได้กลัวซะบ้าง ไม่ทันขาดคำเจ้าตัวร้องเอ๋ยาว



            “แต่ว่าเอมก็กินอาหารตามเวลาที่คุณลุงกับคุณหมอบอกทุกมื้อแล้วนี่นา” ชะเอมมุ่ยปาก



            ...ส่วนเรื่องนอนไม่ค่อยหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอกับสารพัดเรื่องที่มีให้คิดให้เครียด เก็บไว้ก่อนไม่บอกดีกว่า



            “ไม่ต้องเลย รู้ทั้งรู้ว่าต้องควบคุมน้ำหนักตัวเอง พออยู่คนเดียวแล้วปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวลุงจะ...”





            “โอเคคร้าบ เอมกินแล้วๆ กินหมดเลย” เอมโบกตะเกียบในมือขัดคำพูดทันทีเพราะรู้ว่าเกษมจะพูดอะไรต่อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการกินเนื้อสารพัดยัดเข้าปากเคี้ยวหงุบๆ คนมองก็ได้แต่หัวเราะหึหึ



          “เห็นมั้ยครับ กินหมดแล้ว แค่ก! แค่กๆ...”



            “เอ้า เอม ค่อยๆ สิลูก กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด เด็กคนนี้” เกษมลูบหัวลูบหลังเบาๆ ด้วยความเอ็นดูพลางหยิบแก้วน้ำส่งให้คนไอหน้าดำหน้าแดงค่อยๆ จิบ สักพักหนึ่งอาการดีขึ้นแล้วมือใหญ่ละออกจากแผ่นหลังบาง มองนาฬิกาข้อมือ





            “เจ้าคินมันไปไหนเนี่ย ทำไมมาสายขนาดนี้”





            หัวข้อคุยที่เปลี่ยนกะทันหัน ทำเอาเอมสำลักน้ำที่จิบอยู่อีกรอบ แต่ดีที่เก็บอาการทัน



            ลืมไปซะสนิท ว่าวันนี้คินก็มาด้วย...



            “...รถติดมั้งครับ” เอมนึกถึงความเป็นไปได้ เลยช่วยตอบแทน ส่วนมือบางหยิบทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก



            “เหรอ...แต่ตอนลุงมา รถก็ไม่ติดนะ” เกษมมุ่นคิ้วนึก “แล้วตอนเอมมารถติดรึเปล่า”



            “เอ่อ...นิดหน่อยครับ” เอมเกาหัว เขาไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะดูเหมือนตอนนั่งแทกซี่ก็เหม่อๆ ไม่ได้ดูทางซะด้วยสิ “อีกแปปนึงละมั้งครับ เอมว่าคินน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”



            ตรู๊ด...ตรู๊ด



            ไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ของเกษมดังขึ้น มือใหญ่หยิบขึ้นมาดูปรากฏชื่อที่ไม่ต้องคาดเดาก็กดรับ





            “ฮัลโหลไอ้ลูกชาย...เออ...เหรอ...โอเค...อะไรนะ...โอเคๆ เดี๋ยวสั่งไว้ให้...สองที่นะ...แค่นี้ เจอกัน” ชะเอมตงิดกับบทสนทนาที่เกษมพูดตอบรับกับอีกฝั่งของปลายสาย แต่ไม่พูดอะไรทำเพียงมองหน้าคนตัวใหญ่ข้างๆ เมื่อเกษมวางสายก็เลิกคิ้วมองโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วก็หันมาพูดกับร่างบาง





            “เจ้าคินถึงแล้ว กำลังวนหาที่จอดอยู่ เอมเรียกพนักงานให้ลุงหน่อย เจ้าคินฝากสั่งออเดอร์มาถึงจะได้กินเลย”





            “ครับ...” ใบหน้ามนพยักหัว ยังติดใจอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ถาม หันไปยกมือเรียกพนักงานตามที่คุณลุงบอก “พี่ครับ สั่งออเดอร์หน่อยครับ”





            “สักครู่นะคะ...” พนักงานหญิงเดินหายไปพักหนึ่ง จึงกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับกระดาษจด “รับอะไรดีคะ”





            “ขอซาชิมิหนึ่งที่ ข้าวหน้าปลาไหลสอง กับชาเขียวร้อนสอง” เกษมศักดิ์ชี้เมนูตามที่ไอ้ลูกชายบอก ชะเอมหันขวับมามองทันทีเมื่อเห็นเกษมสั่งมาเพิ่มเยอะจนแปลกใจทั้งๆ ที่บนโต๊ะยังกินไม่หมด





            “เดี๋ยวครับ คุณลุงจะกินอีกเหรอ”





            “ลุงเปล่า ทั้งหมดนี่ของเจ้าคินมัน” เกษมส่ายหน้าก่อนถามเจ้าตัวเล็กว่าจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ย คำตอบที่ได้รับคือส่ายหน้า จึงหันไปบอกพนักงาน “เท่านี้ล่ะครับ”





            “เห็นคินมันพาเพื่อนมาด้วยนะ เลยบอกลุงให้สั่งเผื่อไปด้วยเลย” เมื่อพนักงานเดินไปแล้วเกษมจึงหันมาคุยต่อเพราะใบหน้ามนสงสัยไม่หาย



            อะไรนะ...



            ชะเอมชะงักค้าง ไม่รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าซีด มือกำตะเกียบแน่น



            เพื่อนของคิน? ปกติมาทานอาหารกับครอบครัวคินไม่เคยพาเพื่อนมาด้วยเลยสักครั้ง...แล้วทำไม?



            ร่างบางไม่อยากคาดเดาว่าเพื่อนของคินคนนี้คือใคร ในใจทั้งเสียใจ น้อยใจ ไม่พอใจ ความรู้สึกทั้งหลายปนเปกันไปหมด เพราะรู้ทั้งรู้ว่ายังไงเพื่อนที่คินพามาก็น่าจะเป็นคนๆ เดียวกับที่คิด...



            เกษมศักดิ์เหลือบมองชะเอมที่ตอนนี้นั่งนิ่งไปแล้วตั้งแต่ได้ยินว่าคินจะพาเพื่อนมา ใบหน้าซีด เม้มปากแน่นจนขาว ในใจนึกเป็นห่วงร่างบางแค่ไหนแต่เขาที่เป็นพ่อไม่อยากเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนของลูกๆ



            ถึงจะไม่รู้สถานการณ์อะไร แต่ก็พอจะเดาได้ เกษมผ่านอะไรมามาก และอยากให้ชะเอมฝ่าฟันผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถ้าถึงตอนที่เจ้าตัวเล็กไม่สามารถจัดการได้ คนเป็นพ่อ(บุญธรรม)อย่างเขาถึงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งก็ต้องยุ่ง



            ไม่อยากเสียไปอีกแล้ว ไม่ว่าใคร...



            “สวัสดีครับพ่อ โทษทีครับวันนี้คินตื่นสายไปหน่อยแถมรถก็ติดอีก” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายดังขึ้นทำให้แผ่นหลังบางที่นั่งนิ่งสะดุ้งเฮือก เนื่องจากพวกเขาสองคนที่มาถึงก่อนนั่งหันหลังให้กับคนที่เดินเข้ามาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าร่างสูงเข้ามาตอนไหน แต่ชะเอมยังคงนั่งหลังตรงไม่ได้หันไปมอง





            “อ้าว มาถึงแล้วเหรอ มาๆ นั่งก่อน” เกษมกวักมือ ถึงจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอาการของร่างบางที่นั่งตัวเกร็ง แต่พยายามกลบอาการแต่ก็ไม่รอดสายตาคมของพ่อ(บุญธรรม)หรอก





            มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้





            “พ่อคินสวัสดีครับ...คินเข้าไปนั่งข้างใน เดี๋ยวเรย์นั่งข้างนอก” เสียงใสดังระรื่น ที่แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่า ‘เพื่อน’ ของคินคือใคร



            “ชะเอม หวัดดี”



            ใบหน้าน่ารักของเรย์ขยับมาอยู่ในระดับสายตาพอดีกัน อาจจะเตี้ยกว่าหน่อยเพราะเรย์ตัวเล็กกว่า เมื่อทั้งคู่หย่อนตัวลงนั่งก็พอดีกับที่พนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหารที่เพิ่งสั่งอย่างตรงเวลา เอมรู้สึกดีใจนิดหน่อยที่เขาไม่ต้องทักใครอีกคนกลับไป ซึ่งอีกคนก็ดูเหมือนจะไม่ถือสาว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่





            “โอ้ มาถึงก็ได้กินเลย คงจะหิวกันแล้ว กินเลยนะ พอดีพ่อกับชะเอมกินกันเรียบร้อยแล้วล่ะ” เกษมพูดเสียงสดใสขึ้นระหว่างที่พนักงานเสิร์ฟอาหาร เพราะดูออกว่ามีคนหนึ่งที่เริ่มอารมณ์ดิ่งลงตั้งแต่สองคนใหม่เดินเข้ามา ไม่สิ ตั้งแต่รู้ว่าคินจะพาใครมามากกว่า





            “พ่อ นี่เรย์เพื่อนผมเอง เรย์นี่พ่อของคิน” คินผายมือและพูดแนะนำพ่อกับเพื่อนของตนให้รู้จักกัน ซึ่งเรย์ก็ยิ้มกว้างสว่างไสวดีใจจนออกนอกหน้า





          “สวัสดีฮะคุณอา” ร่างเล็กพนมมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ใครเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดู ซึ่งเกษมก็ยิ้มรับ เอมนั่งมองอย่างนิ่งเฉย แต่มือบางบนตักจิกกันแน่น



          ตั้งแต่มาถึง คินยังไม่ทักทาย ไม่สบตาเขาสักนิด



          ทำไม...โกรธเขาถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ?



          “สวัสดีเรย์ หนูเรียนคณะเดียวกับเจ้าคินเหรอ” เสียงทุ้มถามคำถามเบสิกเมื่อต้องเจอกับเพื่อนของลูกชายตัวเอง

          “ใช่ฮะ เจอกันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็อยู่กลุ่มเดียวกันตลอดฮะ” คำสรรพนามที่ส่อถึงความเอ็นดู ยิ่งทำให้เรย์รู้สึกเข้าใกล้พ่อของ ‘เพื่อน’ ได้มากกว่าเดิม เรย์มองหน้าพ่อของคินตาใส คินได้เค้าหน้าของพ่อมาเต็มๆ ทั้งหล่อเหลา ทั้งดูน่าเกรงขาม   



            “เหรอ” เกษมมองหน้าเรย์ เพื่อนของคินคนนี้น่ารักจริงๆ พูดก็เพราะ อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้ใหญ่เห็นก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา “วันนี้มาด้วยกันใช่ไหม คนนี้เหรอเจ้าคินที่เอมบอกว่าลูกออกไปค้างหอพื่อนแล้วทำงานกลุ่มด้วยกัน” เกษมหันไปถามลูกชายที่นั่งกินข้าวหน้าปลาไหลอยู่ เจ้าตัวชะงักไม่ทันได้ตอบอะไร กลับทำให้ชะเอมซะอีกที่นั่งเหม่อมองหน้าคินได้ยินคำถามก็ร้อนรนรีบตอบกลับมาแทน





            “ครับคุณลุง...เพื่อนคนนี้แหละครับ”



            “อ๋อ...เหรอ” เกษมรับคำแบบไม่คิดจะถามอะไรต่อ แต่ใจสงสัยหนัก



            คินที่เข้าใจอะไรบางอย่างหันไปมองหน้าร่างบางที่นั่งเซื่องซึม ตอนแรกคินก็สงสัยอยู่ว่าตั้งแต่เขาย้ายของออกมาอยู่กับเรย์ได้เกือบเดือน ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกเข้าจากพ่อสักสายที่จะโทรมาด่าหรือต่อว่าที่เขาออกมาโดยทิ้งชะเอมไว้คนเดียว พ่อเขาน่ะหวงชะเอมจะตายไป





            ตอนนี้คินรู้แล้วว่าเอมโกหกเกษมว่าเขาไปค้างหอเรย์เพื่อทำงาน



            ว่าแต่ทำไมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ...ถ้าเอมไม่ชอบเรย์นัก ก็โทรรายงานพ่อเขาให้ตามตัวเขากลับก็สิ้นเรื่อง



            เรย์ได้ยินเรื่องราวต่างๆ ก็มองหน้าชะเอมที่นั่งอยู่ตรงข้าม ถึงใบหน้าน่ารักจะแย้มรอยยิ้ม แต่แววตาหมั่นไส้อย่างปิดไม่มิด โดยไม่มีใครสังเกตเห็นส้นเท้าหุ้มด้วยรองเท้าหนากระแทกบดขยี้ลงบนเท้าของชะเอมอย่างแรง จนร่างบางสะดุ้งร้องอย่างเจ็บปวด เรียกความสนใจจากคินและเกษมได้อย่างดี



            “เอมเป็นอะไรรึเปล่า” เรย์ตัดหน้าถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง



            “มะ ไม่เป็นไร” เห็นสายตาจากคนทั้งสามมองมาก็รีบปฏิเสธเสียงเบา นั่งตัวลีบติดกับพนักพิงให้ห่างจากคนตรงหน้าที่คิดว่าไกลที่สุด



          “เหรอ” เรย์มองอย่างสมเพชก่อนก้มหน้าทานอาหารหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



          หึ...ทำเป็นทำตัวน่าสงสาร เรียกร้องความสนใจ



          “แล้วจะทำงานเสร็จเมื่อไหร่ หืม รู้ไหมว่าคินไม่อยู่เอมยิ่งซุ่มซ่าม เนี่ยเมื่อเช้าเพิ่งล้มกระแทกไปที”



          “คุณลุงครับ” เอมรีบเอ่ยขัดเกษมที่คิดจะพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง





          แค่นี้ เรย์ก็หมั่นไส้เขามากพอแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจออะไรอีกด้วย





          “ไม่ได้เอม ต้องบอกให้คินรู้ไว้หน่อย จะได้กลับมาดูแลกันบ้าง ปล่อยให้เราอยู่คนเดียวแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”



          “คิน...เค้าทำงานครับคุณลุง เอมอยู่คนเดียวได้ เราคุยกันแล้วไงครับ” เอมพูดเสียงเบา พยายามอธิบาย

          เรย์มองท่าทางละล่ำละลักนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้มากกว่าเดิมหลายเท่า ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง แต่ใจจริงอยากเอาคินกลับไปกกจนตัวสั่นล่ะสิไม่ว่า!



          “ลุงรู้ แต่ลุงเป็นห่วง แล้วที่เราตกลงกันคือลุงบอกว่าเอมต้องมีคินอยู่ด้วย...”





          ตรู๊ด...ตรู๊ด...



          เสียงเรียกเข้าดังขัดขึ้นมา ทำให้เกษมศักดิ์ต้องรับสาย คุยสักพักก็วาง



          “เอม ลุงต้องรีบไปก่อน มีธุระด่วนเข้ามา” มือใหญ่ลูบศีรษะพอดีมือก่อนหันไปคุยกับลูกชาย “คิน พ่อฝากพาเอมไปโรงพยาบาลดูแผลหน่อย ถ้าไม่บังคับชะเอมคงไม่ไป”





          “ครับ” คินพยักหน้า แม้ในใจจะติดสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นตรวจสุขภาพ...ตามปกติ



          "อ้าว ชะเอมเป็นอะไร? เจ็บตรงไหนเหรอ" เรย์ทำหน้างุนงงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่เจ้าตัวเม้มปากไม่ตอบ เกษมที่ยืนมองอยู่เลยตอบแทน



          "พอดีเอมลื่นล้มเมื่อเช้าก็เลยมีแผลฟกช้ำน่ะ...ซุ่มซ่ามจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้ ไม่มีวันไหนที่ไม่ทำให้ลุงเป็นห่วง" มือใหญ่ลูบหัวชะเอมหนักๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน



          ซึ่งพอคินได้ยินก็หันขวับไปมองร่างบางที่นั่งก้มหน้าทันที



          "อ๋อฮะ" เรย์รับคำ แต่ส่งสายตาจิกกัด



          สำออย...





          “เอาล่ะคินพ่อฝากด้วยนะ...แล้วลุงจะโทรมา” เกษมพูดกับเจ้าลูกชายก่อนหันมากำชับเสียงดุกับเอมไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ รับไหว้จากเรย์ ก่อนเดินออกจากร้านไป





          คราวนี้เหลือกันอยู่แค่สามคนตามลำพังแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีแต่ชะเอมกับคินเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด





          "คิน กินนี่สิ อร่อยมากเลย" เรย์คีบเนื้อปลาสดๆ จ่อตรงปากร่างสูง คินชะงักมองหน้าเรย์สลับกับชะเอมที่มองมาอย่างเจ็บปวด



          "ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ" แต่ก่อนจะอึดอัดไปมากกว่านี้ ร่างเล็กก็หัวเราะขึ้นมาเหมือนตลกอะไรนักหนา วางสิ่งที่คีบลงบนจานแทน





          สะใจชะมัด





          ชะเอมเบือนหน้ามองออกไปข้างนอกกระจกใสราวกับมีอะไรน่าสนใจมากกว่าข้างใน แต่หูก็ยังได้ยินบทสนทนาที่ไม่อยากได้ยิน



          “เสียดายจัง เพิ่งมาถึงแปปเดียวพ่อคินก็ไปซะแล้ว อยากคุยมากกว่านี้แท้ๆ น้า คุณอามาดเข้มมากเลย”



          “เอาน่า พ่อยุ่งๆ น่ะ”



          “นั่นสิเนอะ งั้นไว้ครั้งหน้าถ้าคินกเรย์ขอมาอีกนะ”



          “...อืม”


         
          "แล้วหลังจากพาเอมไปโรงพยาบาล เราจะไปไหนกันต่อมั้ยคิน"



          "เรย์อยากไปไหนล่ะ"



          "อืม..." ร่างเล็กทำท่านึก "อันที่จริงเรย์อยากกินไอติมที่นี่ต่อแต่สงสัยต้องเปลี่ยนโปรแกรมแล้วล่ะ เพราะคินมี 'ธุระ' ต่อนี่นา"



          "เมื่อวานเพิ่งกินไป นี่จะกินอีกแล้วเหรอ?" เสียงทุ้มหัวเราะขำปนเอ็นดูยิ่งทำให้ชะเอมจิกแขนแน่นจนเป็นรอยเล็บ


          อย่าร้องไห้นะ ชะเอม...อดทนไว้





          ภาพคนที่เดินผ่านไปมาข้างนอกจู่ๆ ก็เบลอพร่าไปหมด ร่างบางกระพริบตาหนักๆ หลายทีเพื่อไล่น้ำตา



          “โธ่ คินก็รู้ว่าเรย์ชอบกินไอติมมากกกขนาดไหน”


          เสียงหัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุขของสองคนที่ยิ่งทำให้คนที่สามนั่งฟังก็ยิ่งห้ามน้ำตาได้ยากมากขึ้นทุกที นานจนทนไม่ไหว ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินออกมาจากร้านทันที





          "เอม เดี๋ยว! จะไปไหน" ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มไล่ตามหลังมายิ่งทำให้ชะเอมเร่งฝีเท้าเดินหนี เช็ดน้ำตาที่เอ่อออกมาด้วยแขนเสื้อ






          "โอ๊ย!!" มือใหญ่คว้าเข้าเต็มๆ ที่ต้นแขนเล็กโดนเข้าที่แผลจังๆ





          "เป็นอะไรเอม" คินถามขมวดคิ้ว แต่มือไม่ได้ปล่อย กลับจับแน่นกว่าเดิมเพราะกลัวร่างบางจะเดินหนีไปอีก





          "เจ็บ คิน...ปล่อย ฮึก" ชะเอมไม่ได้ฟัง มืออีกข้างพยายามแกะมือใหญ่ที่จับแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งเรื่องเมื่อครู่แล้วยังความเจ็บที่ได้รับทำให้น้ำตายิ่งไหลอาบหน้า



          “เอม...อย่าดิ้น”





          คินพูดแต่ดูเหมือนร่างเล็กจะไม่ยอมฟัง ทั้งดิ้นพล่าน ทั้งตะกุยแกะมือของคินที่จับตัวเองเหมือนรังเกียจกันก็ไม่ปาน ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นทำให้คินยิ่งบีบแขนเล็กแน่นไม่รู้ตัว ขายาวเดินลากคนผอมให้ตามกลับไปทางเดิม ซึ่งร่างบางขัดขืนไม่ได้เพราะความเจ็บ



          “ฮึกกก...เจ็บ ปล่อยแขนเอมนะ”



          “ถ้าคินปล่อยก็ห้ามวิ่งหนี” คินหยุดเดินหันมาต่อรอง ชะเอมพยักหน้ามุ่ยรัว



          “หยุดร้องไห้ด้วย” คำตอบที่ได้รับคือพยักหน้าอีกที ร่างสูงวางใจเลยค่อยๆ คลายมือออก ชะเอมกอบกุมต้นแขนตัวเองทันทีแต่ก็ไม่กล้าแตะแรง แถมยังรู้สึกเหมือนแผลเต้นตุบๆ อย่างกับมีชีพจรอยู่ในนั้น คินมองใบหน้ามนที่เบะปากเบ้หน้าอย่างรู้สึกประหลาดใจ



          “ร้องไห้ทำไม” คินถาม รีบคว้ามืออีกคนจับเพราะเห็นทำท่าจะเดินถอยหนีอีก แต่คราวนี้ไม่มีท่าทีขัดขืนเหมือนตอนแรก



          “เจ็บแผล” กับเพราะเรื่องที่คนตรงหน้าคุยกระหนุงกระหนิงกันในร้านอาหารเหมือนเห็นเขาเป็นอากาศธาตุนั่นแหละ ร่างสูงถอนหายใจกับคำตอบสั้นห้วนของคนตัวสูงแค่จมูก



          และเขาก็เพิ่งสังเกตสัมผัสใต้ฝ่ามือว่าชะเอมผอมลงขนาดนี้...ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน



          "ทำไมไม่บอกว่าคินจับโดนแผล" คินขมวดคิ้ว ร้องไห้โวยวายจะไปรู้ได้ยังไง

          แล้วคินสนใจด้วยเหรอ...ชะเอมคิด





          “จู่ๆ เดินออกมาทำไม” คินถอนใจ ถามดีๆ ก็ไม่ตอบ





          “...คินยุ่งอะไรด้วย” เอมเบือนหน้าหนี หูยังคงได้ยินเสียงของทั้งสองดังก้อง จำบทสนทนาได้เป็นอย่างดี เรียกความน้อยใจตีตื้นขึ้นมาในอก “เอมจะไปไหนก็เรื่องของเอม”





          “ตอบไม่ตรงคำถาม”





          “...”





          “เฮ้อ ทำไมทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้”





          “ใช่! เอมไม่มีเหตุผลแล้วไง” ร่างบางตวาด “คินจะมายุ่งทำไม”





          “ชะเอมที่คินรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้” คินยิ่งคุยยิ่งรู้สึกเหมือนกับคุยกันคนละเรื่อง ตอนแรกหวังว่าจะได้เคลียร์และทำความเข้าใจเรื่องที่ทะเลาะกันก่อนหน้า วันนี้คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง





          “เอมก็เป็นแบบนี้แหละ ก็เอมไม่ใช่เรย์นี่” น้ำเสียงเอือมระอาของคิน ยิ่งทำให้ชะเอมเอ่ยประชด ทั้งๆ ที่สิ่งที่อยากจะคุยด้วยมันไม่ใช่แบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการพูดแบบนี้



          เพราะน้อยใจ...





          “เอม! อย่าประชด...เรย์เขาเกี่ยวอะไรด้วย”



          อ๋อ...พูดถึงไม่ได้เลยงั้นสิ แค่พูดชื่อมันขึ้นมาไม่ได้เลย







          “ปกป้องกันนักก็กลับไปหามันสิ จะออกมาตามเอมทำไม!” ร่างบางสะบัดมือหวังให้การเกาะกุมหลุดออก แต่ไม่เป็นผล



          >>>>>>>>>>>>>>>>>>ติดตามต่อด้านล่างจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<






ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



        >>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนเด้อจ้า<<<<<<<<<<<<<<






          "คิน! เป็นอะไรรึเปล่า" เรย์ที่เพิ่งเดินมาจากร้านเดิมไม่ไกลก็เจอคนที่ตามหา สายตาจับจ้องมองมือที่จับกุมกันแน่น "ออกมาตั้งนานแล้วเรย์เลยมาตาม มายืนยุดยื้อเถียงอะไรกันเสียงดังตรงนี้ คนเขามองกันหมดแล้ว"





          พอเห็นใครเดินมา มือบางยิ่งสะบัดแรงขึ้น แกะก็แกะไม่ออก และดูเหมือนร่างสูงก็ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย





          "มัวทำอะไรอยู่ ของบนโต๊ะยังเหลืออีกเพียบเลย กลับไปกินข้าวกันเถอะ" ร่างบางคว้าแขนคิน ก่อนเอ่ยตำหนิอีกคน "แล้วเอม จู่ๆ เดินออกมาทำไม รู้มั้ยทำแบบนี้เดือดร้อนคนอื่น คินยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย"





          "ไม่เป็นไรเรย์ คินกินไปนิดหน่อยแล้ว" ชะเอมมองสายตากับคำพูดที่เหมือนเป็นห่วงกันของคนสองคน ก็เม้มปากแน่น ลำคอส่งเสียงหึเหมือนไม่สน แต่ใจก็รู้สึกเป็นห่วง





          "คินไปสิ มีคนมาตามแล้วนี่"





          "เอมก็ต้องไปกับคิน” คินจับมือบางแน่น กลายเป็นว่าทั้งสามคนเกาะเกี่ยวกันเหมือนกับว่าร่างสูงกำลังควงหนุ่มน่ารักสองคนไปเดทยังไงยังงั้น



          “บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง!”



          “ไม่ยุ่งไม่ได้ พ่อบอกให้พาเอมไปโรงพยาบาล เดี๋ยวคินพาไป"



          อ้อ...แสดงว่าที่ตามมาตั้งแต่แรกไม่ใช่เพราะเป็นห่วง



          'รับผิดชอบ'



          "เอมไปเองได้ คินปล่อย" คำๆ หนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ชะเอมน้ำตารื้น ใบหน้าของคนที่ชอบบัดนี้พร่ามัว



          ทำไมวันนี้ถึงบ่อน้ำตาตื้นนักนะ

          คิน...เพราะคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขากลายเป็นคนอ่อนแอแบบนี้...





          “ไม่ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวคินพาไป” คินกระชับมือดึงให้ร่างบางเดินตาม





          “ถ้าชะเอมเค้าว่าอย่างนั้น ก็ให้เค้าไปเองเถอะคิน ไม่ใช่เด็กอนุบาลซักหน่อย” เรย์ที่ได้แต่มองก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้กับความเล่นตัวของชะเอม แถมหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีกที่คินจับมืออีกคนไม่ปล่อย ยื้ดยุดกันกลางห้างอย่างกับเหมือนแฟนที่ทะเลาะกัน



          ร่างบางมองคนตัวเล็กกว่าด้วยหางตาเหมือนเข้าใจเรื่องต่ำๆ ที่อีกคนคิด ก่อนหันไปย้ำกับคิน





          “ตามนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณลุงถามอะไรเอมจะบอกให้นะ เอมจะไลน์ไปบอกคินด้วย จะได้ตอบตรงกัน คุณลุงจะได้ไม่สงสัย”





          “...” คินเพียงปรายตามองคนที่พูดละล่ำละลัก ไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไร





          ชะเอมรู้ว่าที่คินทำแบบนี้เพราะเกษมศักดิ์ฝากให้ดูแล





          ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าตลอดมาที่คินคบเขาเพราะต้องการจะทำตามคำพูดที่คุณลุงบอกเอาไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก...ไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นอย่างที่เรย์พูดไม่มีผิด







          ถึงจะรักคินมากแค่ไหน แต่เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากคนที่ถูกบังคับให้ทำถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจ







          "แล้วอีกอย่างคินก็ต้องพาเรย์ไปต่อ เอมไม่อยากรบกวนหรอก" ร่างบางก้มหน้าพูด สัมผัสจากมือใหญ่ละออก ทำให้ใจน้อยๆ ยิ่งวูบโหวง





          “พูดพอรึยัง”



          แต่แล้วมือบางถูกคว้าเอาไว้อีกครั้งก่อนถูกลากให้ก้าวตามไป





          “เรย์ไปจัดการเรื่องค่าอาหารให้หน่อยเดี๋ยวคินคืน” คินบอกนิ่ง เรย์พยักหน้าอย่างจำใจ คนตัวเล็กรู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไร และตอนนี้คินก็กำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง





          “คินอยากคุย...เรื่องครั้งก่อนนะ เอมไม่อยากคุยเหรอ” เมื่ออยู่กันสองคนอีกครั้ง จู่ๆ คินก็พูดขึ้นมา ชะเอมแค่นเสียง





          “คนที่ไม่อยากคุยคือคินมากกว่ามั้ง”





          “หมายความว่าไง”





          “ก็ใครล่ะ บอกว่าจะกลับมาคุยกัน แล้วตอนนั้นคินหายไปไหนตั้งสามวัน กลับมาก็เก็บข้าวของไป แล้วอย่างนี้จะต้องคุยอะไรอีกเหรอ! มีอะไรอีกที่เราต้องเคลียร์กัน...ทั้งที่มันชัดเจนอยู่แล้วแท้ๆ” ชะเอมตัดพ้อ ทำไมต้องทำให้เขานึกถึงมันขึ้นมาอีก แค่อยากจะลืมยังทำไม่ได้เลย





          ทุกๆ การกระทำมันชัดเจนว่าคิน...เลือกเรย์





          “นั่นน่ะ...”





          “ดูเหมือนพ่อของคินจะจัดการให้แล้วล่ะ” เรย์วิ่งกลับมาบอก คินเพียงพยักหน้าให้ ก่อนหันไปมองหน้าร่างบางสื่อความหมายว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันซึ่งชะเอมไม่เข้าใจ เดินก้าวขายาวนำทาง จนทำให้คนขาสั้นทั้งสองต้องก้าวเร็วกว่าเดิม





          “คิน...จะไปไหน เอมบอกแล้วไงว่าไปโรงพยาบาลเองได้”





          “อย่าดื้อ!” คินบอกสั้นๆ คำเดียว จากนั้นไม่ว่าชะเอมจะพูดจะโวยอะไรจนคนมอง คินก็ไม่สนใจ





          อีกอย่างชะเอมก็รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ สักพักก็ไม่พูดอะไรอีกจึงเดินตามมาสงบเสงี่ยม





          ทั้งสามเดินจนมาถึงลานจอดรถ คินก็ดันชะเอมขึ้นที่นั่งข้างคนขับ เรย์รู้หน้าที่ก็นั่งข้างหลัง ร่างสูงอ้อมขึ้นรถปิดประตูและบึ่งออกมาทันที ท่ามกลางจราจรอันติดขัดและท้องฟ้ามืดครึ้ม





          จุดหมายคือโรงพยาบาล









          ************************Whose fault? ************************









          ทั้งสามมาถึงโรงพยาบาลโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ จนน่าอึดอัด คินติดต่อแพทย์กฤษณะที่จะเข้าพบก่อนเดินนำร่างเล็กทั้งสอง ที่เรย์ได้แต่เดินตามมาหน้าห้องตรวจ





          “เรื่องที่คุยกันค้างไว้...ไว้ให้อาหมอดูแผลเอมเสร็จแล้วค่อยคุย” คินถอนใจที่ชะเอมทำเหมือนคำพูดของเขาเข้าหูแล้วก็ทะลุออกไปโดยไม่ผ่านสมอง





          “เรย์รออยู่ด้านนอกนะ”





          “ไม่ต้อง! นั่งรอข้างนอกทั้งคู่แหละ หรือไม่ก็ไปทำ‘ธุระ’ที่พวกคินคุยกัน เอมกลับเองได้ โอเคนะ” ชะเอมยกมือขึ้นท่าปรางห้ามญาติเบรคร่างสูงที่คิดจะเข้าไปพบอาหมอกับเขา







          ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด







          ชะเอมเลื่อนประตูแล้วแง้มปิดทันที ไม่ทันให้คินถามหรือพูดอะไร







          ************************Whose fault? ************************













          สวัสดีค่ะ ทุกโคน

          ใครหมั่นไส้เรย์ก็อดทนไว้ก่อนนะ  :katai1: คนแบบนี้จะต้องได้รับกรรม
         

          ถึงชะเอมเป็นเด็กดี แต่เวลาขัดใจก็งี่เง่าเหมือนกันนะตะเอง (กับคินคนเดียวด้วย)

          ให้กำลังใจรุยด้วยน้า เจอกันตอนหน้าจ้า รักคนอ่านทุกคน เลิฟเลิฟ


ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากอ่านต่อแล้วววววววววว // เรย์นี่มีนเรย์ยา!  :katai1:

ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2






                                                                 Whose Fault ?



                                                                   ผิด...ครั้งที่ 6









            โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม













            ฟู่...



            ชะเอมเป่าลมโล่งอก



            “อ้าว ชะเอม”



            “เอ่อ สวัสดีครับ อาหมอ” ชะเอมค้อมหัวแทบไม่ทัน...เมื่อกี้เผลอทำท่าแปลกๆ ไปแล้วสิ



            “ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงหน้าประตู มานั่งนี่สิมา” น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนคล้ายกับเกษมศักดิ์มาก ทำให้ชะเอมรับคำอย่างว่าง่าย รู้สึกวางใจเหมือนไม่เคยมีเรื่องอึดอัดมาก่อนหน้านี้



            “...ครับ”



            “แล้วนี่ไปทำอะไรมา หื้ม ตอนพยาบาลมาแจ้งว่ามีคนขอพบอาก็สงสัยอยู่ว่าใคร...ครั้งก่อนที่มาหาอายังไม่ถึงอาทิตย์เลย นี่มาอีกแล้วเหรอ” กฤษณะแซวอย่างหยอกล้อ



            “พอดีว่า...เมื่อเช้าเอมล้มนิดหน่อยครับ แล้ววันนี้ดันนัดกินข้าวกับคุณลุง กะจะปิดแต่คุณลุงรู้ซะก่อน เลยไล่ให้มาหาอาหมออ่ะครับ นี่ถ้าไม่มาหาเดี๋ยวคุณลุงก็โทรมาเช็คอีก” เด็กน้อยหย่อนตัวลงนั่งเล่าหมดเปลือก แถมยังเกาหลังคอหัวเราะแหะๆ ปิดท้าย



            "พักผ่อนไม่พอ บวกกับมีเรื่องเครียดแถมมาครั้งนี้ยังเอาแผลมาให้ดูอีก ยังไงกันเนี่ย นี่ถ้าเอมเป็นเด็กอาตีตูดแดงไปแล้วนะ"



            "ขอโทษครับอาหมอ พอดีเอมซุ่มซ่ามไปหน่อยก็เลย...” ร่างบางรู้ว่าแก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น จริงๆ มันก็ไม่ใช่แผลหรอกครับ ก็แค่รอยช้ำเอง"



            เพราะรู้ว่าโกหกเรื่องอาการอย่างไรก็โกหกไม่ได้เพราะเดี๋ยวยังไงสุดท้ายคุณหมอคนเก่งคนนี้ก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี



            กฤษณะรู้จักกับชะเอมมานานแล้ว นานเกือบจะเท่ากับอายุของร่างบาง เพราะเคยเป็นคนไข้คนสำคัญแถมยังเป็นลูกบุญธรรมของรุ่นพี่ที่สนิทกันอย่างคุณเกษมศักดิ์ที่ตอนนี้กลายเป็นนักธุรกิจชื่อดังระดับร้อยล้านอีกด้วย สมัยก่อนเกษมศักดิ์ยังถูกเรียกว่าหนุ่มหล่อรวยเพอร์เฟคต์เก่งไปซะทุกด้าน...เหมือนกับลูกชายของเขา...เหมือนคินตอนนี้ไม่มีผิด



            “มา งั้นเปิดไอ้แค่รอยช้ำของเอมให้อาดูหน่อยซิ” กฤษณะบอกแซวๆ ซึ่งเอมก็ถกแขนเสื้อขึ้น แต่พอพับไปถึงศอกก็ร้องขึ้นมาเบาๆ เพราะเนื่องจากรอยช้ำมันน่าจะอักเสบมากจนไม่สามารถไปโดนมันได้แม้จะแค่เบาๆ ก็ตาม แถมตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงเส้นเลือดบริเวณขมับเต้นตุบๆ เล็กน้อย เจ็บคอ ลมหายใจร้อนผ่าว มือบางพยายามปราณีตพับแขนเสื้อให้เบาที่สุดแต่ยังไงก็แตะโดนบริเวณที่เจ็บอยู่ดี เอมจึงต้องเอาแขนเสื้อลงก่อนปลดกระดุม “ขอโทษนะครับ”



            กฤษณะนั่งมองขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนเบิกตากว้างเมื่อร่างบางถอดเสื้อเชิ้ตแล้วหันหลังให้ เห็นรอยช้ำน่ากลัวยาวตั้งแต่เหนือข้อศอกเลยขึ้นไปกินบริเวณต้นแขนเกือบทั้งหมด ยิ่งผิวขาวๆ ของชะเอมยิ่งขับให้สีแดงม่วงก่ำเด่นชัดขึ้นจนคนมองเหยหน้าเจ็บแทน



            "ให้ตายสิ นี่มันไม่ใช่แค่รอยช้ำแล้วเอมเอ๊ย” ไปล้มอีท่าไหนถึงได้รอยฝากขนาดนี้ กฤษณะจับไหล่บางเข้ามาดูใกล้ๆ พยายามไม่แตะเข้าใกล้รอยน่ากลัวมาก เพราะเขาสังเกตเห็นอาการที่แสดงออกตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นี่แค่แตะไหล่ยังสะดุ้ง...อาจเพราะหวาดกลัวอาการเจ็บปวดที่จะได้รับ



            นับว่าเกษมศักดิ์คิดถูกแล้วที่ไล่ให้เจ้าตัวเล็กนี่มาหาหมอ ไม่งั้นเจ้าตัวคงจะไม่มาหาเองแน่ถ้าไม่อาการหนักจนทนไม่ไหว



            “แล้วคินล่ะ อายังไม่เห็นเลย ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ นี่ดูแลกันยังไง มันน่าจับตีก้นทั้งคู่เลย" กฤษณะบ่นยาวตามประสาคนวัยทองโดนขัดใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ในสายตาของเขาก็ยังมองเห็นทั้งคู่เป็นเด็กน้อยเสมอ



            "น่าจะอยู่ข้างนอกครับ พอดีเค้าพาเพื่อนมาด้วยเอมเลยให้นั่งรอข้างนอก" เอมบอกเสียงหงอยเซื่องซึม



            ป่านนี้ไม่รู้จะกลับไปรึยัง...อาจจะไปหาอะไรกิน เดินเล่นสนุกสนานกับเรย์แล้วก็ได้



            "ไม่ให้เข้ามาจะดีเหรอ นี่เอมมีไข้อ่อนๆ ด้วย น่าจะเพราะรอยช้ำที่กระแทกอย่างแรง ไม่คืนนี้หรือพรุ่งนี้อาจจะมีไข้หนักได้ ควรมีใครมาฟังอาการเพื่อกลับไปจะได้ดูแลอย่างถูกต้องนะ" กฤษณะบอกอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่แค่ในฐานะหมอคนหนึ่ง แต่เพราะเขาเคยดูแลชะเอมตั้งแต่ที่เกษมรับมาเลี้ยงใหม่ๆ ดังนั้นเด็กคนนี้ก็เปรียบเสมือนหลานแท้ๆ ของเขา



            “ไม่ต้องหรอกครับ พอดีช่วงนี้คินทำงานกลุ่มค้างหอเพื่อน เอมไม่อยากรบกวน”



            “อ้าวเหรอ งานกลุ่มมันยุ่งขนาดนั้นเชียว...หรือจะให้อาคุยกับคินให้ดี อาการเอมน่าเป็นห่วงกว่านะ เป็นหนักแล้วไม่มีใครดูแลมันจะลำบาก” กฤษณะคิดก่อนเสนอ แน่นอนว่าชะเอมที่ฟังก็ส่ายหน้าหวือทันที



            “ไม่ต้องหรอกครับ เอมไม่เป็นไร เดี๋ยวกินยาที่อาหมอให้ก็น่าจะหายแล้วล่ะครับ ยาอาหมอดีที่สุด” ชะเอมยกนิ้วโป้ง ปากชมเปาะ แต่ตาไม่ยอมสบ ทำให้กฤษณะรู้ทันที



            เด็กคนนี้ จะขี้เกรงใจถึงไปไหนนะ



            “โอเค...ถ้าเอมไม่เรียก งั้นอาไปเรียกเอง อยู่หน้าห้องใช่มั้ย” นายแพทย์ยกมือเท้าโต๊ะทำท่าจะยันตัวขึ้นยืน ทันใดนั้นร่างบางก็รีบยกมือห้ามอย่างที่คิด



            "โอเคครับ ถ้างั้นเดี๋ยวเอมค่อยไปบอกคินต่อก็ได้" ชะเอมรู้ว่าดื้อไปก็เท่านั้น ขี้เกียจปฏิเสธ สู้รับปากไปก่อน แต่จะทำตามที่บอกไหมนั่นอีกเรื่อง



            แล้วเขาก็ไม่อยากให้คินมาดูแลเพราะสงสาร...เขาอยากให้คินมาดูแลเพราะอยากดูแลกันจริงๆ



            นายแพทย์กฤษณะฟังแล้วถอนหายใจ
           


            "แล้วยาที่อาให้ไว้เมื่อเดือนก่อนกินตามที่บอกทุกวันรึเปล่า"



            "ครับ อาหมอ แล้ว...อาหมอไม่ได้บอกคุณลุงใช่มั้ยครับ?"



            "อืม ก็ยังไม่ได้บอกนะ...แต่เอมต้องกินยาตามที่บอกและมาตรวจทุกเดือนตามนัดของอา ถ้าเห็นว่าอาการคงที่ ไม่มีอะไรผิดปกติ อาก็จะไม่บอก สัญญาได้รึเปล่า?" กฤษณะต่อรอง ใจจริงเขาไม่อยากปิดบัง แต่เขาก็เป็นอีกคนที่แพ้ลูกอ้อนของชะเอม ตอนนี้ยังพออนุโลมได้เพราะอาการยังไม่หนักมาก อาการที่เคยหายขาดไปนานหลายปีกลับมากำเริบอีกครั้งเมื่อประมาณเดือนก่อน ชะเอมโทรมาหาบอกว่ามีอาการเจ็บช่วงอก เขาจึงนัดมาตรวจก็พบว่าร่างบางมีอาการเครียดหนักและอยู่ในสภาวะอารมณ์กดดันทำให้ร่างกายรับภาระหนักและอาการแย่ลง กฤษณะจึงต้องจัดยาที่เคยร้างรามานานให้กินตามเวลาอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง โรคนี้ใช่ว่าจะหายขาดไม่ได้ แต่ต้องดูแลอาหารการกินอย่างดี และการพักผ่อนต้องเพียงพอ แน่นอนว่าเรื่องอารมณ์ก็เช่นกัน สภาพแวดล้อมจึงสำคัญมาก



            "ครับ"



            “แต่อาบอกตามตรงนะว่าอาก็ยังไม่เห็นด้วยที่เอมปิดบังเรื่องนี้กับพี่เกษม” กฤษณะพูดขึ้น จริงๆ เคยบอกเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เจ้าตัวซึ่งขี้เกรงใจไม่มีใครเกินทำให้ปฏิเสธที่จะฟัง “เอมเคยคิดบ้างมั้ยว่าเขาจะรู้สึกยังไงถ้ามารู้ทีหลัง หืม”



            ร่างบางชะงัก เมื่อเสียงทุ้มของกฤษณะสะกดจิตเขาให้กลับมานั่งคิด...ไม่เคยคิดเลย เคยคิดแต่ว่าไม่อยากทำให้คุณลุงเป็นห่วงหรือกังวล ถ้าหากว่าเขาเป็นอะไรขึ้นมาก็ยังมีคินที่เป็นสายเลือดแท้ๆ ของตนเหลืออยู่



            “อาอยากให้เรารู้เอาไว้ ไม่ว่าเอมจะคิดอะไรก็ตาม พี่เกษมเขาก็รักเอมเหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่งนะ” แพทย์กฤษณะพูดราวกับอ่านใจตนออก “เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้ เขาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”



            และอีกอย่างถ้าหากเกษมศักดิ์มารู้จากปากกฤษณะทีหลังว่าชะเอมลูกสุดที่รักของตัวเองป่วย เขาต้องคอขาดไม่ได้ผุดได้เกิดแน่...แค่นึกถึงดีกรีอดีตเฮดว้ากรุ่นแรกอย่างรุ่นพี่เกษมก็ทำให้เขาเสียวสันหลังขึ้นมาได้อีกครั้ง



            “เอมอยากเห็นคุณลุงร้องไห้เหรอ”



            “ไม่...ไม่ครับ อาหมอ” จู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาไร้สาเหตุ มือยกขึ้นขยี้ตาทันที



            “ถ้างั้นเก็บเรื่องที่อาพูดวันนี้ไปคิดให้ดีนะ” แพทย์วัยสี่สิบกว่าเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าน้ำตาซึมก็ยิ้มพอใจ ยังไงซะคนที่เด็กคนนี้ก็ยังอ่อนโยนไม่เปลี่ยน ต้องนึกถึงเกษมศักดิ์เป็นอันดับแรกอยู่แล้ว "เอาล่ะ งั้นสำหรับวันนี้อาให้ยาแก้ปวดระงับแผลอักเสบ ยาแก้ไข แล้วก็ยานวดไว้นะ กินตามที่หน้าซองเขียนไว้ ส่วนยาทาก็ใช้จนกว่ารอยช้ำจะทุเลาลงนะเอม"



            "ครับ"



            “แล้วก็ช่วงนี้อย่าพยายามขยับแขนมาก อารู้ว่าทำได้ยากเพราะเป็นแขนข้างที่เราถนัด...ใส่เสื้อที่ถอดง่ายใส่ง่าย ไม่ต้องลำบากยกแขนขึ้น” กฤษณะพูดในขณะตวัดเขียนสติกเกอร์หน้าซองใส่ยาด้วยลายมือที่อ่านไม่ออก "อาทิตย์หน้ามีนัดตรวจกับอา ห้ามเลื่อน ห้ามลืม และมาให้ตรงเวลา เข้าใจนะ"



            "ครับ ขอบคุณมากครับอาหมอ" ชะเอมยิ้มอ่อนยกมือไหว้ก่อนลุกขึ้น



            "ป่ะ เดี๋ยวอาไปส่ง" กฤษณะเดินไปเลื่อนประตูเปิด



            ครืด...



            "สวัสดีคิน" กฤษณะเอ่ยทักทายคนนั่งรอหน้าห้อง



            ชะเอมรู้สึกแปลกใจที่คินยังอยู่...และแน่นอนว่าถ้าคินยังอยู่เรย์ก็ต้องอยู่



            "หวัดดีครับ อากฤษ" คินลุกขึ้นไหว้ เรย์ที่นั่งข้างๆ ก็ลุกตาม ไหว้บ้างแล้วส่งยิ้ม



            "สวัสดีครับคุณหมอ" คำทักทายเป็นกันเองเหมือนเคยเจอกันมาก่อน ทำให้ชะเอมมองอย่างแปลกใจ



            "อ้าวเรย์ นี่มาด้วยกันเหรอ หรือว่าไปทำอะไรมาอีก ฮึ? แผลคราวที่แล้วดีขึ้นเยอะแล้วนะ เห้อ เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่รู้จักระวังเอาซะเลย" กฤษณะตบไหล่เล็ก ประโยคหลังพึมพำแต่ร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยังได้ยิน ชะเอมหน้าชา เพราะนึกขึ้นได้ว่าที่คินพาเรย์มาโรงพยาบาลครั้งก่อนคงเป็นที่นี่ และคนที่ทำแผลให้คงเป็นอากฤษนี่แหละ ไม่งั้นคงไม่ทักทายเหมือนคนรู้จักกันแบบนี้



            "ครับ เพราะคุณหมอทำแผลให้ กับคินที่ช่วยดูแลให้ทุกวันก็เลยหายเร็วแบบนี้ล่ะครับ" เรย์เบ่งกล้ามทำท่าเหมือนคนแข็งแรง น่าเอ็นดูจนเรียกเสียงหัวเราะก้องโถงทางเดิน



            แน่ล่ะว่าชะเอมยืนนิ่งไม่มีอารมณ์ร่วมหัวเราะไปด้วยแน่ๆ



            “อ้าวคิน อย่ามัวแต่ดูแลเรย์จนลืมชะเอมนะ วันนี้อาการไม่ค่อยดีด้วย อาว่า...”



            "ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะไปห้องน้ำแล้วขอตัวกลับเลยครับ สวัสดีครับอาหมอ" ชะเอมแทรกขึ้นตัดบทบอกลาผู้อาวุโสที่สุดก่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางทันทีไม่สนใจคนที่เหลือ เขาไม่หวังให้คินไปส่งที่คอนโดอยู่แล้ว ถึงคุณลุงจะบอกให้พามาโรงพยาบาล แต่แน่นอนขากลับเขากลับเองได้เพราะเขารู้ว่าคินมี 'ธุระ' ต้องไปทำต่อ



            แต่...



            ซ่า



            ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจ



            ร่างบางถอนหายใจ มองหยาดฝนที่หล่นมาจากทั่วท้องฟ้าปกคลุมสถานที่ที่เขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที ลมหายใจร้อนผ่าวมากขึ้นจนจนอยากจะกลับไปพักไวๆ

            ท่ารถแทกซี่อยู่ไกลออกไปแต่ไม่ได้ไกลเกินกว่าจะเดินไปไม่ได้ อาจจะตัวเปียกนิดหน่อยคนขับจะให้ขึ้นรถรึเปล่าเท่านั้น...ละอองฝนที่กระเซ็นมาถึงที่ที่ชะเอมยืนอยู่ทำให้รู้สึกหนาวแม้จะใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็เถอะ ขาเรียวต้องก้าวถดตัวกลับมาอีกนิด



            หรือว่าจะรออีกสักพักให้ฝนซาก่อนดี...



            "ไม่เข้าห้องน้ำแล้วเหรอ"



            "..!" คนที่กำลังยืนเหม่อถึงกับสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ ใครก็ไม่รู้ข้างๆ เอ่ยขึ้นมา ชะเอมผละออกมาอัตโนมัติห่างประมาณสองสามช่วงไหล่ สายตาเผลอกวาดมองหาใครอีกคน



            "คุณหมอเรียกคินไปคุย ไม่ต้องหาหรอก"



            เรย์บอก ชะเอมไม่ตอบอะไรกลับไป ถอยออกมาอีกสองก้าว



            เขาไม่อยากอยู่ใกล้ๆ กับเรย์ตามลำพังอีก...ขืนเกิดอะไรขึ้นมาไม่วายความซวยจะต้องมาลงที่เขา



             แต่คนตัวเล็กกว่าเดินตามติดประชิดตัวจนสุดขอบที่ฝนสาดที่ดูเหมือนจะหนักมากขึ้น ตากลมใสตวัดมองแบบไม่ชอบใจ แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไร



            "ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ นี่ตามมาเพราะอยากมาเคลียร์เรื่องเก่าๆ นะเนี่ย บอกมาสิเคืองอะไร ฉันสิต้องเคืองนายไม่ใช่เหรอ ดูดิ แผลที่นายตบฉันน่ะ เกือบหายละ" นิ้วจิ้มจึกๆ ที่แก้ม ทั้งท่าทาง สีหน้า น้ำเสียงล้วนแล้วเต็มไปด้วยความยียวน เรียกอารมณ์กรุ่นของชะเอมได้เป็นอย่างดี แต่เขาไม่อยากซ้ำรอยเดิม เขารู้ความร้ายกาจของเรย์แล้ว และจะไม่มีทางตกหลุมกับดักที่ใครอีกคนขุดไว้อีกเด็ดขาด เพราะว่าตกไปแล้วยากที่จะขึ้นมา



            ถึงจะขึ้นมาจากหลุมได้ ก็ใช่ว่าสภาพจะเหมือนเดิม



            ถ้าเลี่ยงได้ เขาก็จะเลี่ยง



            ร่างบางตัดสินใจเดินฝ่าฝนออกไปหารถขึ้นกลับบ้าน เพราะถ้าเลือกยืนอยู่แบบมีความกวนใจ กับเดินเปียกไปเพื่อเลี่ยงคุยกับคนอย่างเรย์ ชะเอมเลือกอย่างสองโดยไม่ต้องคิด



            "เห้ย เดี๋ยวดิ!" ไม่น่าเชื่อว่าคนตัวเล็กจะตามมารังควานเขา คว้าแขนไว้แน่นซึ่งโชคดีไม่ใช่ข้างที่เจ็บ ทำให้ทั้งสองคนยืนยุดยื้ออยู่กลางฝนกระหน่ำบนถนนหน้าโรงพยาบาล



            "อะไรวะ คนคุยด้วยไม่คุยด้วย ไร้มารยาท"



            "ปล่อย!" เสียงตะโกนของชะเอมเบาไปเลยเมื่อโดนเสียงฝนกลบ



            "พ่อแม่ไม่สั่งสอนรึไง อ้อ ลืมไปนายมันไม่มีพ่อแม่นี่หว่า! ห้ะ!"



            "บอกให้ปล่อย!!" คราวนี้เขาโมโหจริงๆ แล้ว ความอดทนหมดทันทีเมื่อคำพูดฟังไม่เข้าหู ยิ่งขมับที่เต้นตุ้บๆ แรงโมโหก็ถูกจุดอย่างไม่ต้องมีใครเติมฟืน ชะเอมสะบัดแขนข้างที่ถูกจับอย่างแรง เพราะทั้งเปียกฝนและแรงเหวี่ยงทำให้มือลื่นหลุดง่ายดาย ร่างบางหลับหูหลับตาผลักใครอีกคนให้ออกไปให้ห่าง เตรียมวิ่งหนี



            ปริ๊นนน!!!





            โครม! ปั่ก!



            แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อจู่ๆ ร่างของเรย์ที่ถูกชะเอมผลักล้มถูกรถมอเตอร์ไซค์จากที่ไหนไม่รู้วิ่งเข้ามาชนจนร่างกระเด็นไปหลายเมตรเพราะแรงกระแทก





            ชะเอมตัวชายืนแข็งทื่อเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว



            ร่างของเรย์...นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เลือดที่ไหลเจิ่งนองรอบตัวเริ่มไหลกระจายวงกว้างปะปนกับน้ำฝน



            เป็นเพราะเรา...ถ้าเราไม่...





            "ไม่...จริง..."







            ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ เสียงโหวกเหวกโวยวายของคนในโรงพยาบาลที่วิ่งออกมาดู ไม่รู้ใครเป็นใคร หูของชะเอมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงซ่าของหยาดฝน



             >>>>>>>>>>>>>>>>>ติดตามต่อด้านล่างนะจ๊ะ<<<<<<<<<<<<<<<<<<<


ออฟไลน์ โฮเซกิ รุย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2



           >>>>>>>>>>>>>>>>>>ต่อจากด้านบนเด้อจ้า<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<











            ตึกๆๆๆ



            "ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกนะคะ ห้ามเข้ามานะคะ ต้องรออยู่ด้านนอกค่ะ" พยาบาลบอกกับชะเอมที่แทบจะเข้าไปผ่าตัดด้วย ร่างบางถูกกันออกมาก่อนที่ประตูจะปิดลง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งเก้าอี้รออยู่หน้าห้องไอซียู หัวใจเต้นระรัวยังตื่นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาไม่หาย



            ถึงจะเป็นคนที่ไม่ชอบ แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะให้คนๆ นี้ตาย เขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

            ชะเอมคู้ตัวแผ่นหลังงองุ้ม กุมมือไม้ที่สั่นระริกแน่นราวกับภาวนา





            ขอร้องล่ะ...อย่าเป็นอะไรไปเลย





            ขอให้ปลอดภัยทีเถอะ





            "ชะเอม!"



            เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นทันที เห็นกฤษณะใส่เสื้อกราวด์กำลังรีบร้อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาทางนี้พร้อมกับร่างสูงของคิน ร่างบางลุกขึ้น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลทันทีเหมือนเห็นคนที่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้



            "อาหมอ อาหมอครับ"



            "ไม่เป็นไรเอม อามาแล้ว ใจเย็นๆ หน้าซีดมากเลย นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ"



            "อาหมอช่วยด้วย...ช่วยด้วยครับ" บัดนี้ชะเอมเหมือนเด็กน้อยที่ทำอะไรไม่เป็น ไม่รู้จะทำยังไง ขนาดมือสั่นๆ ของตัวเองยังไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน



            "ใจเย็นๆ เอม นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวอามานะ เดี๋ยวอามา" มือใหญ่ลูบหน้ามนที่เปียกชื้นไม่รู้ว่าเป็นฝน เหงื่อ หรือน้ำตากันแน่ ซึ่งชะเอมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง



            "ฮึกๆ คะ ครับ" ตาได้แต่มองแผ่นหลังเดินผ่านเข้าประตูไป เมื่อประตูแง้มปิด ร่างบางถูกกระชากด้วยมือแข็งแรงคู่เดิมจากคนเดิมที่มองมาอย่างเขม็ง



            “มันเกิดอะไรขึ้น” คินเขย่าคนที่อยู่ในมือ ถามเสียงดังก้องทางเดิน เมื่อไม่ทันใจเพราะคนตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไรเสียทีก็ต้องขึ้นเสียงให้ดังยิ่งกว่าเดิม "เกิดอะไรขึ้น...อธิบายมา!"



            "ขะ ขอโ...ทษ  คิน เอมขอโทษ"



            "คินไม่ต้องการคำขอโทษ ตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"



            "เอม...ไม่ได้ตั้งใจ...เอม...ผลักเรย์ ฮึก ละแล้ว ก็มีมอเตอร์ไซค์...มา...ชน" ร่างบางอธิบายไปสะอื้นไปอย่างน่าสงสาร ส่ายหน้าไปมาทั้งสับสนและยังสะเทือนใจ "เอมไม่รู้ เอมไม่ได้ตั้งใจ เอมขอโทษ" คินฟังแล้วนิ่งไปหลายนาที นิ่งไปจนน่ากลัว จู่ๆก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ



            "เรย์ไปทำอะไรให้นาย"



            คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ



            "เรย์ไปทำอะไรนายเหรอ ทำไมต้องทำถึงขั้นฆ่าแกงกันด้วย ห้ะ ตอบมาเซ่!" คินตะคอก ร่างบางยิ่งตัวสั่นขวัญเสียหนัก



            "เอมไม่ได้ตั้งใจนะคิน เอมไม่ได้ตั้งใจ"



            ในยามนี้ไม่มีใครที่สามารถปลอบใจเขาได้ ต้องเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้ายเพียงลำพัง



            "ถ้าเรย์เป็นอะไรไป นายจะทำยังไง"



            "เอมไม่รู้” ร่างบางเสียงสั่นปากสั่น สะอื้นไม่มีน้ำตา



            “ไม่รู้ได้ยังไง! เขาเจ็บก็เพราะนาย...ถ้าเรย์ตาย ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ!” คำตอบที่ไร้ความรับผิดชอบ ยิ่งทำให้โมโหเลือดขึ้นหน้า ใส่แต่คำพูดเจ็บแสบคิดหวังว่าจะให้อีกคนสำนึกเพียงเท่านั้น



            อยากให้เจ็บ อยากให้สำนึก



            “เอมจะ...รับผิดชอบ"



            "นายจะรับผิดชอบยังไง รับผิดชอบไหวเหรอ" คินแค่นเสียงดูถูก นัยน์ตามีแต่ไฟสุม มองไม่เห็นว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคือใคร



            รู้แต่ว่ามันเป็นคนที่ทำร้ายเพื่อนของเขา



            "ถะ...ถ้า ค่ารักษา เอม..."



            "หมายถึงเงินของพ่อเหรอ หึ" ร่างบางหน้าชา ถ้าเป็นคนอื่นชะเอมจะไม่เจ็บหัวใจเท่านี้เลย แต่นี่เป็นคิน น้ำเสียงดูถูกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน



            แค่คิดว่าที่คินทำแบบนี้ทั้งหมดก็เพื่อเรย์...เจ็บเหมือนถูกฉีกอกควักหัวใจออกมาเหยียบย่ำ



            "เงินแค่นี้ ครอบครัวเรย์เขาก็มีปัญญาจ่าย เงินของพ่อฉันเขาไม่ต้องการหรอก"



            "ละ แล้ว...ฮึก จะให้ทำยังไง" ร่างบางเสียงสั่นเครือทั้งไร้เรี่ยวแรง และหน้ามนก็ซีดเซียวเหมือนจะเป็นลม หนาวสั่นเพราะเสื้อเชิ้ตและกางเกงเปียกชื้นแนบเนื้อเย็นเฉียบ แต่น่าแปลกที่ลมหายใจกลับร้อนผะผ่าว



            "เอม ไม่รู้...คินจะให้ทำยังไง...ก็ได้" ตากลมกระพริบถี่เมื่อภาพร่างสูงตรงหน้าทั้งพร่าทั้งเบลอ ปลายนิ้วชาจนรู้สึกได้ จะประคองตัวให้ยืนอยู่ก็เหมือนจะทำได้ยากขึ้นทุกที



            "เลิกกัน ทำได้มั้ยล่ะ" น้ำเสียงของคินช่างเย็นชาไร้ความรู้สึก ชะเอมช็อคตามองค้าง คิดอะไรไม่ออก “ฉันกับนาย”





            หัวใจเต้นช้าลง...





            “เป็น...อย่างอื่นไม่ได้...เหรอ ฮึก ทำไมถึงต้องขั้นเลิกกันด้วย” มือเล็กกำชายเสื้อของคินพยายามขอร้อง อะไรก็ได้



            ไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียวอีกแล้ว



            ความผิดของเขามันมากมายขนาดไหน



            “ยังต้องถามอีกเหรอ”



            “เอมไม่เข้าใจ ไม่เอาเอมไม่เลิกนะ” ทำไมร่างสูงถึงทำเหมือนไม่แยแส...ไม่แคร์ความรู้สึกของเราบ้างเลย



            ไม่อยากจบกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ ความเข้าใจผิดที่ยังค้างคา



            “ฉันไม่อยากทนคบกับคนใจอำมหิตอย่างนายแล้ว!” คินปัดมือที่จับเสื้อของเขาออกอย่างแรง ในแววตาปนเปทั้งโมโห ทั้งโกรธ สุมอยู่ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กกำพร้าโดนพ่อทิ้ง...เพราะนิสัยอย่างงี้ไง”



            “...”



            ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ็บจนชาไปแล้วหรือยังไง คำต่อว่าที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะออกจากปากของคนที่ชะเอมรักนั้นร้ายกาจจนใจของเขาแทบรับไม่ไหว มันช่างทรมาน



            ไม่อยากฟังแล้ว



            “เข้าใจแล้วก็ทำตามด้วย แล้วจากนี้ไปก็อย่ามายุ่งกับเรย์อีก”



            ...พอทีเถอะ







            ปึง!



            เสียงเปิดประตูทำให้ร่างสูงหันขวับ เดินตรงเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่



            “เป็นไงบ้างครับอาหมอ”



            "คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว"



            กฤษณะถอดหน้ากากปิดหน้าออก ด้านหลังตามมาด้วยเตียงเข็นร่างของเรย์นอนบอบช้ำพาไปอีกทาง คินก้มหัวขอบคุณกฤษณะก่อนเดินตามเตียงเข็นไปติดๆ ด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ถามไถ่อาการอะไรจากกฤษณะอีกเพียงเพราะแค่ได้ยินคำว่าปลอดภัย...เดินไปไม่แม้แต่ชายตามองคนข้างหลัง



            “อะไรของเจ้าคิน” กฤษณะขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังใหญ่ที่เดินออกไป ก่อนจะผงะเมื่อมีแรงปะทะเข้าที่ลำตัว



            "อาหมอ" ชะเอมโผเข้าไปกอด ร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ”



            ถึงจะไม่ชอบยังไงเขาก็ไม่ได้ต้องการให้เรย์ตาย ไม่เคยแม้แต่จะคิด...และเขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกร ดังนั้นอากฤษณะที่ช่วยชีวิตเรย์เอาไว้ เขาไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี



            "ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว" กฤษณะโอบร่างผอมบางแนบอก มือใหญ่หยาบกร้านลูบหัวลูบหลังปลอบโยนเด็กเสียขวัญ “ร้องไห้อะไรขนาดนี้ เรย์ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย แค่หัวแตกกับถลอกเอง เย็บไปไม่กี่เข็มหรอก”



            “ฮือ ฮือ ครับ อาหมอ” ร่างบางยังกอดแน่นซุกอกกว้างร้องไห้ไม่หยุด กฤษณะเข้าใจว่าชะเอมคงจะเสียใจมากที่เห็นคนรู้จักโดนชนต่อหน้าต่อตา



            ถึงจะโล่งใจที่เรย์ปลอดภัยดี แต่ในตอนนี้ความเสียใจมันมีมาก...มากมายนัก



            นายแพทย์กฤษณะชะงักเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ ยกมือดันไหล่บางออกลูบหน้าอิดโรยแถมอังหน้าผาก สัมผัสถึงความร้อนที่แผ่ออกมา



            "เอม หนูตัวร้อนมากเลย เพราะตากฝนแหงๆ แล้วนี่ต้องมานั่งตากแอร์อีก สงสัยจะไม่สบายแล้วล่ะ ไปๆ เดี๋ยวอาไปส่งที่คอนโด"



            "แต่ว่า อะ เอมอยากไปเยี่ยม..." มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ทั้งๆ ที่หนักหัวและครั่นเนื้อครั่นตัว



            ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเห็นกับตาว่าเรย์ปลอดภัยแล้วจริงๆ



            "เขาไม่เป็นไรแล้วน่า แค่ต้องนอนพักรอให้ฟื้นแค่นั้นเอง นี่ไม่เชื่ออาหมอคนนี้เหรอ หืม?" คุณหมอเอ่ยเสียงดุ อันที่จริงจะให้พูดว่าตอนนี้เด็กดื้อตรงหน้ากฤษณะคนนี้ต่างหากที่ดูน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า



            "คะ ครับ" ร่างบางพยักหน้าจำใจอย่างเหนื่อยๆ



            ...อยากจะพักแล้วเหมือนกัน



            "เอาล่ะ นั่งรอนี่ เดี๋ยวอาไปหยิบของก่อน" กฤษณะกำชับแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กระฉับกระเฉงสมกับเป็นคุณหมอมือหนึ่ง ทำอะไรรวดเร็วรอบคอบละเอียดว่องไว



            ชะเอมมองแผ่นหลังสีขาวไปจนลับทางเดิน ผ่อนลมหายใจที่ร้อนผ่าวเข้าออกเบาๆ ก่อนปรือเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน













            ************************Whose fault? ************************















            ภายในความมืดมิด สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้น ทั้งแผ่วเบาและช้าจนเหมือนจะหยุด





            'เลิกกัน'



            ความสัมพันธ์ของเรากับคิน...จบลงแล้ว





            สิ่งที่เรามีเพียงสิ่งเดียว คือ ความสัมพันธ์ของเขากับคินที่เหมือนกับเส้นด้ายบางๆ



            แต่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแค่ชีวิตอันไร้ค่า ที่ไม่มีใครต้องการ...รอแค่วันที่มันจะจบลง



            อยากจะคิดว่านี่เป็นแค่ความฝัน...ฝันร้ายที่ตื่นมาแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิม



            ชีวิตต่อจากนี้จะเป็นยังไง



            ชะเอมไม่รู้...ไม่มีใครรู้





            คุณลุง



            คนที่เขาคิดถึงที่สุดในตอนนี้



            “ฟืด...ฮึก” ร่างบางกุมมือที่สั่นทั้งสองแน่น...ไม่ได้ จะให้คุณลุงรู้ไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม จะต้องทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติ ไม่อยากให้คุณลุงต้องกังวล...เขาจะต้องทำใจกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด









            ปวด...หัว



            ในหัวเต้นตุบคิดอะไรไม่ค่อยออก



            ...ตอนนี้ต้องทำอะไร



            จากนี้ต้องทำอะไร



            พรุ่งนี้...เราจะทำยังไง



            ก่อนอื่น...อันดับแรกเขาต้อง...โทรหาคุณลุงว่าวันนี้มาหาอาหมอแล้วไม่งั้นคุณลุงจะเป็นห่วง...จากนั้น...จากนั้น...อะไรนะ



            ใช่...เขากำลังจะกลับห้อง...แต่ข้างนอกฝนกำลังตก...







            ปวดหัว





            แล้วก็...แล้วก็...



            “เอม!!”



            เสียงเรียกจากที่ไหนสักแห่ง...ไกลออกไป





            และจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย













            ************************Whose fault? ************************















            สวัสดีค่า

            กลับมาอีกแล้วกับคินชะเอม

            ใครสงสัย เก็บความสงสัยไว้ มารอดูตอนหน้า (ถ้าตอนหน้าแล้วยังสงสัย ก็รอตอนต่อๆไป ฮา)
           
            ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ดีๆ นะค้า มันเป็นกำลังใจให้รุยมากๆ

            ติดตามตอนต่อไปจ้า






ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากยกตำแหน่งพระเอกงี่เง่าแห่งปีให้เลย แค่ตอนเก็บของออกไปนี่ก็ว่า *** ละนะ ตอนนี้ *** กว่าอีก หงุดหงิด อีกกี่ตอนน้องถึงจะเดินหน้าต่อได้ละเนี่ย เห้อม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด