ตัวสำรอง - บทที่ 23 ขอบใจนายมาก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตัวสำรอง - บทที่ 23 ขอบใจนายมาก  (อ่าน 10357 ครั้ง)

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ



ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



#มะลิ

สำหรับผมการได้เฝ้ามองเขาก้าวออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร

แค่ได้นั่งมองอยู่ตรงมุมสนาม เป็นเพียงผู้ชมที่ดีคนหนึ่ง

และรอดูความสำเร็จของเขา

.
.
.

แต่ทำไมความรู้สึกลึกๆ กลับไม่ใช่อย่างนั้น

ผมอยากวิ่ง อยากวิ่งให้เร็ว อยากวิ่งให้ทันเขา

และอยากเคียงข้างเขาเพื่อเข้าสู่เส้นชัยด้วยกัน

 

................................................................

 

#คมสัน

สำหรับผม การได้หันกลับไปมองคนที่ตามหลังอยู่

เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าเขายังไม่ยอมแพ้

และพร้อมแซงหน้าผมไปได้ทุกเมื่อ

.
.
.

แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว

ภาพของคนตัวเล็กที่วิ่งตามมา

ผมอยากเห็นเขา อยากเห็นคนที่วิ่งตามหลังอีกครั้ง

 

#ตัวสำรอง

 
ชวนพูดคุยในคอมเม้นได้ตลอดจ้า :)

หมายเหตุ
ลงไว้หลายที่ทั้ง
ธัญวลัย http://www.tunwalai.com/story/251592/ตัวสำรอง?page=1
readAwrite https://www.readawrite.com/a/befadb43ba9c2c20826468f72f3ed7b2
Jamplay www.jamplay.world/yaoi-yuri/book5b9247b5e3ef4900101120e2
ซึ่งเว็บไซต์เหล่านี้จะมีตอนพิเศษที่เปิดให้ทุกคนร่วมสนับสนุนนักเขียน
แต่ถึงแม้ไม่ได้อ่านตอนพิเศษก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อเนื้อหาหลัก
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2020 09:04:27 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 1 เส้นชัยสุดท้าย​



ในวันที่ร้อนอบอ้าวกลางฤดูหนาว ความเงียบสงบไม่ได้มาเยือนดั่งที่ควรเป็น กลับแทนที่ด้วยเสียงดังกระหึ่มทั่วบริเวณ เสียงกลองคองก้าตีดังลั่นสนาม นกหวีดแหลมปี๊ดให้เสียงสัญญาณ เหล่ากองเชียร์ตะโกนลั่นจากทุกมุมสนามดังปะทะกันสนั่น สรรพเสียงขับเคี่ยวกันเปล่งออกมา เพราะนี่เป็นวันสำคัญซึ่งทุกคนในโรงเรียนต่างรอคอย วันที่จะได้ใช้ชีวิตไปพร้อมกับท่วงทำนองแห่งความสุข



บทเพลงขับขานยังดังก้องกล่อมโสตประสาทอยู่เรื่อยไป ผู้คนต่างร้องบรรเลงเพลงเชียร์ ปล่อยเวลาให้เคลื่อนคล้อยไปอย่างเชื่องช้า ในวันร้อนอบอ้าวที่สุดวันหนึ่งกลางฤดูหนาวยังไร้วี่แววจะผ่านพ้นไป

เฮ้อ...

เสียงถอดถอนใจลากยาวค้านกระแสมวลชนที่กำลับขับเคลื่อนอยู่ขณะนี้ เด็กชายวัย 15 ปีเศษ กึ่งนั่งกึ่งนอน พิงอยู่ใต้ต้นมะขาม บนพื้นหญ้าเหี้ยนเตียน เขาจ้องเข้าไปในสนาม มองเด็กวัยไล่เลี่ยกับตัวเองกำลังแข่งขันกีฬาอย่างสนุกสนาน แม้เขาจะสวมชุดฟอร์มไม่ต่างจากนักกีฬาเหล่านั้น แต่หน้าที่ช่างต่างกันลิบลับ ทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกแยกเช่นนี้

นักวิ่งตัวจริงต่างรวมตัวกันอยู่ที่จุดรวมพล เตรียมพร้อมสำหรับรายการแข่งขันถัดไปตามหน้าที่ของตน หน้าที่ของนักกีฬาตัวจริง --- คงไม่มีคนไหนพรั่งพร้อมด้วยเวลาว่างจนสามารถเหยียดยาวทำตัวเกียจคร้านแบบที่เขากำลังเป็นอยู่นี้ เพราะหน้าที่ของเขาจบลงแล้ว จบไปตั้งแต่พิธีเปิดสนามเริ่มขึ้น

หน้าที่ของตัวสำรอง

เด็กชายผู้ว่างเว้นจากภารกิจทั้งปวง ในที่สุดก็ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา จมลึกลงไปช้า ๆ กระทั่งห้วงหนึ่งพาเขาย้อนกลับไปในความนึกคิดและความทรงจำของวันหนึ่ง วันสำคัญซึ่งเขามีหน้าที่เช่นเดียวกับนักกีฬาทุกคนในสนาม

.

​.

.

ในเย็นวันหนึ่งต้นฤดูหนาวซึ่งร้อนอบอ้าว แสงอาทิตย์โรยราลงทุกขณะ บนสนามกว้างปกคลุมด้วยผืนหญ้าแห้งกรอบที่ไม่อาจระบุสายพันธุ์ได้ ถูกโรยทางด้วยเส้นสีขาวลากยาวจรดกันเป็นวงล้อมหลายชั้น เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานใหญ่ที่ใกล้เข้ามา

‘คมสัน มะลิ เตรียมตัวได้ จะถึงตาพวกเธอแล้ว’ อาจารย์พละประจำโรงเรียนตะโกนลั่นจากข้างสนามเส้นสีขาวจากฝุ่นผงถูกโรยเป็นทางใช้เป็นลู่วิ่ง บ่งบอกได้ว่างานกีฬาและกรีฑาประจำปีของโรงเรียนละแวกนี้ใกล้เข้ามาแล้วนั่นเอง

‘ครับ’ ‘ครับ’ เสียงตอบกลับจากสองชื่อที่ถูกเอ่ย

‘พร้อมไหมมะลิ’ คมสันพูดกับเพื่อนสนิทตรงหน้า ซึ่งขณะนี้กลายเป็นคู่แข่งขัน ทั้งสองเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน บ้านของมะลิและคมสันอยู่ในละแวกเดียวกัน ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก อีกทั้งครอบครัวของทั้งคู่ต่างรู้จักมักคุ้นกันดี จึงไม่แปลกหากจะนิยามคนทั้งสองว่าเป็น เพื่อนบ้าน เพื่อนเรียน และเพื่อนสนิทที่คอยดูแลกันตลอดมา รวมทั้งเรื่องวิ่งนี้ด้วย

‘ไม่มั่นใจเลย แล้วคมสันล่ะพร้อมไหม’มะลิตอบกลับนักวิ่งอันดับหนึ่งของโรงเรียนเสียงแผ่ว ถึงเขาจะเคยฝึกซ้อมร่วมกันบ่อยแค่ไหน แต่นี่เป็นการแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกของมะลิ ซึ่งเขาไม่มั่นใจเอาเสียเลย

ปกติมีเพียงคมสันที่จะเข้าคัดตัว ส่วนมะลิมักเลี่ยงไม่ลงสมัคร เหตุผลนั่นก็เพราะสายตาของใครหลายคนที่จ้องมา สภาพภายนอกของเขามักถูกประเมินก่อนได้แสดงศักยภาพ ทุกครั้งไปที่มะลิจะถูกสบประมาทเกี่ยวกับขนาดตัว กระทั่งโดนคัดออกเพียงเพราะว่า ‘เตี้ย’ เรื่องมันก็นานมาแล้ว นานจนมะลิเองแทบลืมเลือนเช่นกัน มีเพียงตัวเขาและเพื่อนตัวสูงที่รับรู้ความเจ็บปวดนั้น

‘ก็ค่อนข้างมั่นใจ แต่พอเห็นมะลิวิ่งทีไรทำให้อดคิดไม่ได้ว่าวันนี้จะแพ้หรือเปล่า’

‘ไม่เป็นแบบนั้นหรอก คมสันวิ่งเก่งที่สุดในโรงเรียนใคร ๆ ก็รู้’ นั่นคือความจริงที่มะลิและนักวิ่งทุกคนในโรงเรียนทราบดี

‘แต่คงไม่มีใครรู้ว่ามะลิก็เก่งเหมือนกัน’

‘ฮาฮาฮา’ มะลิหัวเราะกลบเกลื่อน แม้ได้รับคำชมเช่นนั้น แต่ไม่ทำให้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กชายร่างเล็กคนหนึ่ง สูงไม่ถึงไหล่ของคมสัน การให้มะลิคัดเลือกตัวแทนร่วมกับเพื่อนคนนี้ ในมุมมองของคนอื่นคงเป็นเพียงการแข่งคั่นเวลา หรือการทำตามระเบียบแบบแผน เนื่องจากมีผู้สมัครเกินหนึ่งคน ย่อมต้องมีการคัดเลือกเป็นธรรมดา แม้จะทราบผลอยู่แล้วก็ตาม เวทีนี้เป็นของคมสัน ส่วนมะลิเป็นตัวประกอบ

แม้มะลิไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่ามา แต่ความสามารถและศักยภาพของคมสันเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีเหตุที่ครั้งนี้เขายอมลงสมัครคัดเลือก ไม่พ้นการที่คมสันชักชวน แกมบังคับ และคอยตามตื้ออยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดเขาก็จนใจตอบรับ โดยไม่ได้คาดหวังใด ๆ กับผลการแข่ง เพียงวิ่งเล่นกับเพื่อนเหมือนที่ฝึกด้วยกันตลอดมา มะลิคิดเพียงเท่านี้ เขาพยายามย้ำกับตัวเองว่าเพียงแค่นี้จริง ๆ

ถ้าเป็นคนอื่นจะไม่คิดมากเลย อาจชนะด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นคมสันนะ จะไหวจริงหรือ... ความคิดของมะลิไปไกลเกินจะกู่กลับแล้ว

แดดยามเย็นคล้อยต่ำทุกขณะ การคัดเลือกนักกีฬาเพื่อแข่งขันกรีฑาประเภทลู่พ้นไปทีละระยะตามที่มีผู้สมัครไว้ เหลือเพียงหนึ่งการแข่งที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในขณะนี้ ก่อนที่มะลิและคมสันจะลงสนามชิงชัยบนเส้นทาง1,500 เมตร การแข่งที่ถูกเฝ้าคอยโดยเด็กชายทั้งสอง

ทุกรายการแข่งไม่มีการบังคับ นักเรียนคนไหนสนใจก็เพียงสมัครเข้าร่วม หากไม่ผ่านการคัดเลือกอาจถูกส่งไปเป็นตัวสำรอง สวัสดิการนักกีฬา หรือร่วมเป็นกองเชียร์กับเพื่อนคนอื่น โรงเรียนแห่งนี้ไม่เน้นหนักด้านกีฬามากนัก ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม จะมีก็เพียงคนเดียวที่คอยสร้างชื่อเสียงและความสำเร็จให้วงการกีฬาของโรงเรียน เขาเป็นนักวิ่งระดับจังหวัด ตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวซึ่งสร้างความภูมิใจให้แก่สถาบัน นับว่าโชคดีที่เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้ และสำหรับมะลิคงโชคดีมาก เพราะเขาคนนั้นคือคู่แข่งของตนในขณะนี้

คมสัน เป็นนักกีฬาประจำจังหวัด ผู้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน กับมะลิที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย นอกเสียจากร่างกายเล็กกระทัดรัด กอปรกับผิวขาวซีดคล้ายขาดสารอาหารก็ไม่ปาน มะลิคือใคร น้อยคนจะรู้จักเขา ไม่มีความโดดเด่นในวงการนี้ เป็นเพียงตัวประกอบในสนามเพื่อให้คมสันได้รับความชอบธรรม นั่นแหละมะลิ

ปี๊ด! เมื่อสัญญาณนกหวีดแหลมสูงสิ้นเสียง นักวิ่งสองคนสุดท้ายของการคัดเลือกระดับโรงเรียนจึงเริ่มออกตัวไปอย่างไม่เร่งรีบ ระยะทาง 1,500 เมตรต่อจากนี้ยังอีกไกล การแข่งนี้แม้ตัวเก็งคนสำคัญอย่างคมสันจะได้รับการกล่าวขวัญจากรอบข้างว่าไม่มีทางแพ้เด็กตัวเล็กอย่างมะลิเป็นแน่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคมสันจะยอมอ่อนข้อให้กับคู่แข่ง เมื่อถึงครึ่งสนาม คนตัวสูงจึงค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นนำร่างเล็กที่ขนาบข้างตีคู่มาด้วยกันตั้งแต่เริ่ม ทั้งคู่เพิ่มความเร็วเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการแข่งที่แท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าในระดับโรงเรียนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เมื่อหนึ่งในผู้เข้าร่วมเคยสัมผัสประสบการณ์การวิ่งระดับประเทศมาแล้ว ย่อมไม่ประมาทคู่แข่ง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม สี่รอบสนามคมสันมีเวลาเพียง 4 นาทีเศษ ซึ่งเป็นสถิติประจำตัว เพื่อไปยังจุดหมาย

ด้านเด็กชายมะลิที่วิ่งตามหลังคมสันเพียงไม่กี่ก้าวขณะนี้ยังรักษาจังหวะต่อไป สำหรับเขาที่คอยตามแผ่นหลังนี้มาโดยตลอด ถึงตอนนี้ก็ยังคงทึ่งกับช่วงขายาวที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอ การวิ่งหนึ่งก้าวของคมสันจึงเท่ากับก้าวครึ่งหรืออาจเป็นสองก้าวของมะลิเลยก็ว่าได้

มะลิจึงกลบปมในส่วนนี้โดยการฝึกฝนทุกเย็นร่วมกับคมสัน ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก็ค้านหัวชนฝากับการทำอะไรที่เหนื่อยและเปล่าประโยชน์อย่างนี้ แต่ในท้ายที่สุดกลายเป็นคมสันที่นั่งคอยคนตัวเล็กหลังจบการซ้อมในแต่ละวันของตัวเอง เพราะมะลิดึงดันจะวิ่งต่อเรื่อย ๆ

ถึงกระนั้น มะลิก็ไม่เคยชนะคมสันแม้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะฝึกหนักกว่าหรือเพียรพยายามเพียงใด ผลสุดท้าย แผ่นหลังกว้างนั้นจะวิ่งนำหน้าเขาเข้าสู่เส้นชัยไปก่อน เป็นเช่นนั้นเสมอ

‘ครูว่าใครจะชนะครับ’ เจนภพนักวิ่ง 800เมตร พึ่งชนะการคัดเลือกและกำลังพักเหนื่อย เอ่ยถามอาจารย์ที่พ่วงตำแหน่งผู้ฝึกสอนประจำโรงเรียน ขณะนี้ทั้งสองนั่งอยู่บริเวณอัฒจรรย์ขนาดย่อมข้างสนาม เจนภพเป็นอีกคนที่รับรู้ถึงความสามารถอันน่าอิจฉาของคมสัน ไม่ว่าทางจังหวัดมีงานแข่งขันรายการใด คมสันจะเป็นรายชื่ออันดับต้น ๆ ที่ถูกคัดเลือกจากผู้จัดโดยตรง ความสามารถของคมสันเป็นของจริงจนยากจะปฏิเสธ

‘คมสัน’ เสียงของพิชัย อาจารย์ประจำวิชาพละและสุขศึกษา ผู้คัดเลือกและฝึกซ้อมนักวิ่งแต่ละประเภท ซึ่งเป็นหน้าที่พิเศษเพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากการสอน กล่าวอย่างไม่จริงจังนัก

‘ผมก็คิดแบบนั้นครับ แล้วทำไมครูไม่ให้คมสันเป็นตัวแทนเลย แข่งไปก็น่าจะรู้ผลอยู่แล้วนี่ครับ’เจนภพพูดออกไปตามความคิดของตน แม้รู้อยู่แล้วว่าคำกล่าวของตนอาจไปกระทบกับคู่แข่งคนนั้นของคมสัน แต่นั่นก็คือความจริงที่ประจักษ์ เขาคิดเช่นนั้นและไม่มีทางที่จะมีความคิดอื่นใดมาหักลบ

‘จะทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อมีคนสมัครก็ต้องมีการคัดเลือก’นั่นคือเหตุผลที่มะลิได้โอกาสในการแข่งนี้ โอกาสอันน้อยนิด

‘ว่าแต่คู่แข่งของคมสันชื่ออะไรนะ เคยเห็นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้’ เจนภพเอ่ยกับตัวเอง เพราะไม่คุ้นกับคู่แข่งของคมสันเลย ปกติเขามักถูกเรียกไปคัดตัวพร้อมกับคมสันและเพื่อนอีกสองสามคน แต่คนตัวเล็กนั้นไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยถูกเรียกชื่อเลยสักครั้ง คิดยังไงถึงกล้าแข่งวิ่ง 1,500เมตรกับคมสัน เขาไม่รู้หรือไงว่าคมสันพึ่งได้เหรียญทองระดับจังหวัดจากการแข่งรายการนี้ และได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันในระดับประเทศอีกด้วย

ส่วนบรรยากาศในสนาม แสงรอบตัวเริ่มโรยราลงทุกที ทว่าการแข่งยังไปถึงแค่สองรอบสนาม มะลิและคมสันยังคงประกบคู่อย่างเหนียวแน่น ฝ่ายที่ตามหลังอยู่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหวังนำคู่แข่งของตน ด้านคมสันซึ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากข้างหลังก็เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกขั้น แม้ว่านั่นเป็นการเพิ่มภาระให้ขาทั้งสองข้างอย่างทวีคูณก็ตาม แต่การปล่อยให้มะลิแซงขึ้นไปนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ คมสันรู้ดีกว่าใคร

‘เกินคาดเลยนะเนี่ย เด็กที่วิ่งตามหลังคมสันยังประกบติดอยู่ ตัวแค่นั้นไล่ตามนักกีฬาตัวจริงได้ เกินคาดจริง ๆ นึกว่าจะถูกทิ้งห่างไปไกลเสียอีก’ อาจารย์คนเดิมกล่าวขึ้นลอย ๆ ขณะสังเกตนาฬิกาจับเวลาในมือไปพลาง ผ่านรอบสามตัวเลขที่วิ่งอยู่ตอนนี้ถือได้ว่าสร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก อีกแค่ 500เมตร จะถึงเส้นชัยเวลายังไม่ขยับไปไกลเกินสถิติเดิมของคมสัน อีกทั้งยังเหลือพอจะสร้างสถิติใหม่ให้กับนักวิ่งประจำจังหวัดคนนี้ แต่ที่น่าตกใจกว่านั่นคงเป็นเด็กตัวเล็กที่วิ่งตามหลังมาอย่างไม่ทิ้งห่าง เขาไม่อยากคิดเลยว่าหากเด็กตัวเล็กคนนั้นแซงคมสันขึ้นไปได้ จะเกิดอะไรขึ้น

ด้วยระยะไม่ถึง 400 เมตร จุดหมายข้างหน้าทำให้คมสันฝืนร่างกายต่อความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจนถึงตอนนี้ คมสันเร่งจังหวะเท่าที่จะทำได้ เค้นแรงกายออกมาจนถึงที่สุดเพื่อเข้าใกล้เส้นชัยให้ไวขึ้นแม้เพียงเสี้ยววินาที แต่คนตามหลังกลับสร้างความกดดันอย่างไม่ลดละตั้งแต่เริ่มออกตัว แม้คมสันจะนำหน้าอยู่ก็ไม่ได้ทำให้มีความคิดว่าจะเป็นผู้ชนะเลย บรรยากาศบางอย่างกลับยิ่งกดทับตัวเขาและกำลังบอกว่าครั้งนี้อาจแพ้ให้กับมะลิ

ไม่ว่าจะเร่งจังหวะ ก้าวให้ยาวขึ้น หรือพยายามหนี คนข้างหลังก็ยังตามติดอย่างกับเงาประดับตัว ไม่คิดเลยว่าเพื่อนที่อ้อนวอนให้ช่วยฝึกซ้อมด้วยกันทุกวัน  จะสร้างผลกระทบหนักหน่วงได้เพียงนี้ แม้คมสันรู้อยู่แก่ใจว่ามะลิซ้อมหนักกว่าตัวเองที่เป็นถึงนักกีฬาประจำจังหวัด ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะสร้างผลกระทบกระทั่งทำให้เขาคิดว่าตัวเองจะแพ้ได้ และไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ตัวเขาเองกำลังกลัวคู่แข่ง ราวกับวิ่งหนีคนข้างหลังอยู่อย่างนั้น วิ่งอย่างสุดกำลัง จนแทบหมดเรี่ยวแรง สิ่งที่หวั่นเกรงมาตลอดเริ่มเผยเค้าลาง ความหวาดหวั่นคอยกัดกินทุกก้าวที่คมสันวิ่งไปอย่างทรมาน

กว่าที่คมสันจะรู้ตัว --- เมื่อสบจังหวะมะลิได้ฉีกแนววิ่งออกมาทางขวามือ เพิ่มความเร็วเพื่อขึ้นขนาบข้างคู่แข่งซึ่งวิ่งนำอยู่ แม้ต้องวิ่งหนักขึ้นเป็นสองเท่าของคนตรงหน้า แต่ครั้งนี้ ขอแค่ครั้งนี้ ครั้งเดียวก็ยังดี เขาอยากวิ่งนำหน้าคมสันให้ได้ เขาอยากเอาชนะเพื่อนสนิทที่วิ่งมาด้วยกันตลอดแม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม

ขาคู่เล็กเริ่มอ่อนล้าใกล้ถึงขีดจำกัด ความกดดันส่งผลถึงภายใน หัวใจบีบรัดยิ่งกว่าการซ้อมใด ๆ มะลิฝืนทนจนปวดหนึบทั่วทั้งร่าง ขาทั้งสองก้าวออกไปข้างหน้าคล้ายกับวิ่งอยู่บนลานตะปู ทุกย่างก้าวสร้างความเจ็บปวด จากปลายนิ้วเท้าสู่ข้อเท้าส่งขึ้นไปผ่านขั้วหัวใจเข้าสู่สมองและสั่งการออกมาเป็นความทุกข์ทรมาน

แต่หยุดไม่ได้ เขาหยุดมันไม่ได้แล้วตอนนี้ หากหยุดทุกอย่างก็จบ ทุกสิ่งที่ทำมา ทุกการฝึกซ้อมตลอดหลายปี และสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีค่าเลยถ้าเขาหยุดลงตรงนี้

‘โอ๊ย’

ร่างเล็กวิ่งขึ้นมาประกบคู่คนตัวสูง เพียงไม่กี่ก้าวทั้งคู่จะถึงเส้นชัย เสียงรอบตัวขาดหายไปโดยพลัน ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่รอบสนาม มะลิรับรู้เพียงความเจ็บใต้ฝ่าเท้าข้างขวาที่ออกก้าวไปอย่างหนักหน่วง ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะขาดหายไปชั่วขณะ และแทนที่ด้วยความเจ็บปวดซึ่งแล่นเข้ามาทั่วทั้งร่าง

เหตุการณ์ที่ทำให้นักกีฬาทุกคนซึ่งอยู่บริเวณสนามต้องตกตะลึง คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากภาพของเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งขึ้นนำนักกีฬาประจำจังหวัด บนทางตรงช่วงสุดท้ายของการคัดเลือกตัวแทนนักกรีฑาชายประเภทลู่ระยะ 1,500 เมตร ภาพของเด็กชายจืดจางซึ่งไม่เป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ในโรงเรียนและสำหรับวงการกีฑาของโรงเรียนก็เช่นกัน คงไม่ต้องพูดถึงระดับอำเภอ หรือระดับจังหวัด ไม่เคยปรากฏรายชื่อเขาเลยสักครั้ง

เด็กคนนั้นล้มกลิ้งลงไปหน้าเส้นชัย ก่อนคนตัวสูงจะกลับมาวิ่งนำและได้รับชัยชนะไปครอบครอง ภาพที่ปรากฏแก่ทุกสายตาหยุดทุกการกระทำของพวกเขา หลายคนจ้องมองภาพตรงหน้าอยู่เป็นนาน และคงเป็นภาพที่ถูกตราตรึงในความทรงจำของใครหลายคนไปอีกนาน โดยเฉพาะคนที่เคยสบประมาทเด็กชายร่างเล็กที่สลบไปกลางลู่วิ่งที่พึ่งโรยทางไว้

ฝุ่นผงขาวพุ้งกระจายรอบตัวมะลิที่ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากความผิดหวังซึ่งแล่นเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด เป็นความรู้สึกสุดท้ายก่อนหมดสติลง

ความพ่ายแพ้ เขารับรู้เพียงเท่านี้

‘แพ้ให้กับคมสันอีกแล้ว’ ‘ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ’ ‘เจ็บใจชะมัด’ เสียงก้องภายในของคนตัวเล็ก สะท้อนไปมาและกังวานอยู่เป็นนาน พร้อมกับภาพภวังค์ฝันค่อย ๆ เลือนราง

.

.

.

เด็กชายใต้ต้นมะขาม ตื่นขึ้นจากห้วงฝัน รอบตัวเขายังอบอวลด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน เสียงเพลงยังคงขับกล่อมโสตประสาทอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงเหล่านั้นปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาจากฝันอันเลือนลาง พร้อมบอกกับเขาว่า นี่แหละโลกแห่งความเป็นจริง วันนี้ยังอีกยาวไกล หากคิดว่าการนอนเพื่อฆ่าเวลาจะช่วยให้ข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ เขาคิดผิดแล้ว



“เฮ้อ... เมื่อไหร่จะเลิกซักที”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2018 16:47:46 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
​บทที่ 2 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง



ไอดินโชยลมขึ้นมาแตะจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ เป็นหลักฐานว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา มีเม็ดฝนจำนวนไม่น้อยร่วงหล่นลงมา หรือนี่อาจเป็นสัญญาณของสายฝนชุดใหม่ ความเย็นในบรรยากาศกลบลบความวุ่นวายของการเริ่มต้นภาคการศึกษาใหม่ เหล่าเด็กหญิงชายต่างตื่นตาในวันแรกของการเปิดเรียน แม้แต่วิชาการที่หลายคนท้อใจก็ยังเป็นคาบเรียนที่มีเสียงพูดคุยไม่ขาดสาย ยากจะห้ามปราม ไม่ต่างจากหยาดฝนบนฟ้าที่ไม่มีใครต้านทานได้

“คาบต่อไปเป็นชั่วโมงกิจกรรม ที่หอประชุมจะมีรุ่นพี่มาแนะนำกิจกรรมจากชมรมต่าง ๆ ขอให้นักเรียนไปที่นั่นหลังจากเลิกเรียนคาบนี้ เข้าใจนะคะ” เสียงประกาศจากอาจารย์สาวประจำชั้น

“ครับ” “ค่ะ” นักเรียนภายในชั้นตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ด้วยเสียงสดใสยิ่งกว่าเดิม

“เอาล่ะ งั้นพอแค่นี้ เจอกันใหม่วันพรุ่งนี้ค่ะ”

“นักเรียนเคารพ” “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณค่ะ”

สิ้นเสียงกล่าวขอบคุณ แทนที่ด้วยเสียงขยับเลื่อนโต๊ะเก้าอี้และเสียงสนทนาของเหล่าวัยรุ่นชายหญิงทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ เด็กนักเรียนคนใดสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนแห่งนี้ก็จะคุ้นเคยกับสถานที่และบรรยากาศเหล่านี้เป็นอย่างดี ไม่ตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมแปลกตาเท่านักเรียนหน้าใหม่ที่พึ่งย้ายเข้ามา ซึ่งกำลังประสบอยู่ขณะนี้ หนึ่งในนั้นมีมะลิรวมอยู่

“มะลิ นายจะเข้าชมรมอะไร คิดเอาไว้หรือยัง” เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นข้างกาย

“ยังไม่รู้เลย แล้วต้นตอเลือกได้หรือยัง” เมื่อยังไม่มีคำตอบให้แก่ความสงสัยนั้น มะลิจึงร้องถามกลับไป

“เหมือนกัน ขอไปดูก่อนว่ามีชมรมอะไรบ้าง” ต้นตอตอบ

“งั้นรีบไปดูตอนที่คนยังไม่เยอะ”

ต้นตอเป็นเพื่อนเก่าที่จบจากโรงเรียนเดียวกัน นับว่ายังโชคดีที่มะลิไม่ถูกทิ้งไว้ในสถานที่แปลกหน้าแห่งนี้เพียงลำพัง ทั้งคู่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนกการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มะลิเลือกเรียนที่นี่ก็หนีไม่พ้นเหตุผลง่าย ๆ เพราะสถานศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเดิม ซึ่งหมายความว่า ระยะทางจากโรงเรียนและบ้านของเขายังสามารถเดินไปกลับได้สะดวก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มะลิเลือกเดินมาโรงเรียนด้วยกำลังขาของตนเช่นเดิม ที่นี่เป็นเพียงโรงเรียนมัธยมระดับอำเภอซึ่งห่างไกลความเจริญจากเมืองใหญ่ โรงเรียนเล็ก ๆ สำหรับคนตัวเล็กอย่างมะลิ

เสียงตะโกนดังระงมทั่วหอประชุม พื้นที่ส่วนใหญ่แออัดไปด้วยนักเรียนรุ่นพี่และรุ่นน้องมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 เข้าใหม่ และรุ่นพี่ระดับชั้นอื่น ๆ ซึ่งเข้ามาชิงตัวเด็กใหม่ นี่เป็นช่องทางเพิ่มจำนวนสมาชิกชมรมรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยม บรรยากาศภายในหอประชุมถึงคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อมีนักเรียนคนไหนเดินผ่านจุดประชาสัมพันธ์ของชมรม ก็จะฉุดกระชากลากถูผู้ที่ผ่านไปมานั้นเข้ารับฟังการนำเสนอชมรมพวกตนอย่างไม่ถามไถ่ความสมัครใจ เป็นการชุมนุมที่ชุลมุนวุ่นวายครั้งหนึ่งของโรงเรียน

มะลิกับต้นตอพากันเดินทั่วหอประชุม ต้นตอคอยดึงมะลิไปนั่นมานี่ตลอดเวลา ฝ่ายมะลิก็เดินตามเพื่อนตนต้องการ เพราะไม่ค่อยมีชมรมใดน่าสนใจ แม้ในใจจะมีอยู่แล้วหนึ่งชมรม แต่ยังไม่เห็น คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าจะเจอไหม จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่เจอ

“หาอะไรอยู่มะลิ เห็นชะเง้อมองตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ต้นตอสังเกตเพื่อนของตนที่คอยสอดส่องไปทั่วอย่างสงสัย จนต้องไถ่ถามออกมา

“หาชมรมกรีฑา” มะลิตอบออกไปตามจริง แม้จะผิดหวังกับการแข่งในครั้งนั้นไม่น้อย แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้รับกลับมานอกจากความพ่ายแพ้

“ใช่พวกชมรมวิ่งหรือเปล่า” ต้นตอย้ำคำจำกัดความของคำว่ากรีฑาของเพื่อนตนอีกครั้ง

“ใช่ ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า”

“ลองไปถามอาจารย์ที่โต๊ะด้านหน้าดูไหม เมื่อกี้เดินทั่วแล้วก็ยังไม่เห็นเลยนะชมรมที่ว่า” ต้นตอเป็นผู้เสนอความคิด ก่อนทั้งคู่จะเดินฝ่าฝูงชนออกมาด้านนอกหอประชุม บริเวณด้านหน้ามีโต๊ะอาจารย์ซึ่งคอยกำกับดูแลความเรียบร้อยของกิจกรรมครั้งนี้ ทั้งสองมองตรงไปยังจุดหมายดังกล่าว ก่อนพบกับอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่บริเวณนั้น จึงตรงดิ่งเข้าไปพร้อมยกมือไหว้และแนะนำตัวพอเป็นพิธี จากนั้นก็เอ่ยจุดประสงค์ที่เข้ามา

“ไม่มี” เสียงของความหวังที่พังทลายและร่วงหล่นในใจมะลิ แม้ไม่ส่งเสียงออกมา แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ากำลังผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ

“จริงหรือครับ” มะลิเอ่ยออกไปอย่างลืมตัว มีเพียงเขาที่ผิดหวังกับคำตอบนั้น จากความคาดหวังที่สร้างไว้นับตั้งแต่ก้าวเข้ามายังสถานศึกษาแห่งใหม่ เขาอยากเริ่มต้นอีกครั้งที่โรงเรียนนี้ แม้ไม่มีชื่อเสียงทางด้านกรีฑาหรือการวิ่ง แต่เขาก็อยากเดินตามความฝันอย่างที่คมสันเคยทำไว้ ไม่ถึงกับต้องนำชื่อเสียงมาให้กับโรงเรียนหรือตนเอง มะลิไม่ได้คาดหวังชื่อเสียงหรืออื่นใด เพียงต้องการวิ่งและทำในสิ่งที่รักต่อไป

“ก่อนหน้านี้ก็เคยมีอยู่หรอก พออาจารย์พละคนก่อนย้ายไปก็ไม่มีใครดูแลแล้วยุบในที่สุด ว่าแต่เธอสองคนสนใจชมรมกรีฑาอย่างนั้นหรือ แต่ถึงจะมีชมรมก็เป็นกรีฑาประเภทลู่วิ่งธรรมดา วิ่งเก่งหรือเปล่าเรา ตัวเล็กทั้งคู่เลย” อาจารย์คนเดิมชี้แจงแถลงไขความสงสัยของนักเรียนทั้งสอง

“เปล่า ๆ ไม่ใช่ผมครับ คนนี้เลย” ต้นตอรีบปฏิเสธโดยพลัน

“เธอ” อาจารย์หนุ่มมองมาที่มะลิอย่างไม่เชื่อสายตา

“ใช่ครับ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอบคุณมากครับ” มะลิตัดบท เตรียมเดินออกมาพร้อมแบกความผิดหวังนั้นไว้ แต่ก่อนที่เขาและเพื่อนจะก้าวออกไปพ้นบริเวณ ก็ถูกรั้งตัวไว้เสียก่อน

“จะรีบไปไหน เด็กสมัยนี้ถอดใจง่ายกันจริง” เสียงบ่นไม่จริงจังฉุดเด็กชายทั้งคู่ไว้

“อะไรหรือครับ” มะลิเอ่ยออกไปตามความสงสัย

“ก็เรื่องชมรมไง ถ้าหากไม่มีเธอก็ตั้งเอง ไม่เห็นยาก” สิ้นเสียง มะลิเป็นเพียงคนเดียวที่ฉุกคิดตามคำแนะนำที่ได้รับ แต่ว่า...

“มีผมคนเดียวจะตั้งได้หรือครับ” เขาไม่ได้มีเพื่อนมากมายเหมือนคนอื่นและไม่รู้จักใครที่เล่นกีฬา นอกจากคมสัน

“ลองหาเพื่อนที่สนใจเหมือนกันดูก่อน ถ้าหาได้สักสามคนรวมเธอแล้ว ให้มาติดต่อครูอีกครั้ง ครูสอนคณิตอยู่ที่ตึก 3” ผู้เป็นอาจารย์ชี้แจงแก่มะลิอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือ เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังกำลังก้าวออกไป จนต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่อาจสร้างความวุ่นวายให้เขาในอนาคต

“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่รู้ว่าจะหาเพื่อนคนอื่นที่สนใจเหมือนกันได้ไหม”

“ลองดูก่อน ก็ไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่หรือ” อาจารย์หนุ่มย้ำกับเด็กตัวเล็กอีกครั้ง

“ครับ” เขาคงต้องพยายามดูสักครั้ง มะลิคิดเช่นนั้น

“ขอบคุณมากครับ” สองเสียงประสานกันถือเป็นการจบบทสนทนา มะลิและต้นตอขอตัวออกจากบริเวณนั้น



มะลิแยกย้ายกับคมสันหลังจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น คมสันได้ทุนนักกีฬาโรงเรียนดังในตัวจังหวัด ซึ่ง เหนือความคาดหมายใด ๆ หากวัดจากผลงานก็เป็นเครื่องการันตีอย่างดีเยี่ยม นับว่าสมความคาดหวังของคมสันที่ต้องการพัฒนาฝีเท้าของตนในสถานศึกษาที่พร้อมรองรับความสามารถและอนาคตของเขา ส่วนมะลินั้นไม่โดดเด่นอะไร ยากที่จะมีทุนในแบบเดียวกันมาเชื้อเชิญ จึงตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนไร้ชื่อใกล้บ้านแห่งนี้แทน อีกทั้งมะลิก็ไม่ได้คิดเอาดีทางกีฬาเพื่อเลี้ยงชีพในอนาคต คงเป็นเพียงงานอดิเรกที่รักมากเท่านั้น 

“จะเอายังไงต่อมะลิ” เป็นต้นตอที่เรียกคนตัวเล็กกลับจากภวังค์

“คงต้องลองหาคนที่อยากวิ่งและอยากเข้าชมรมดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ค่อยหาชมรมอื่นแทน”

“สู้ ๆ นะเพื่อน” ต้นตอให้กำลังใจเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่สมัยโรงเรียนเดิม แม้ทั้งคู่จะอยู่ห้อเดียวกันตั้งแต่มัธยมต้น ทว่าไม่บ่อยนักที่ได้พูดคุยหรือทำความคุ้นคุยกัน เป็นเพราะมะลิมักจะตัวติดคมสันที่เป็นนักวิ่งของโรงเรียนมากกว่า --- มาสนิทกันได้ครั้งนี้คงเพราะทั้งคู่ไม่มีเพื่อนจากห้องเดิมในชั้นเรียนนี้เลย

“แล้วต้นตอล่ะ จะเข้าชมรมอะไร” มะลิถามไถ่เพื่อนของเขากลับ

“น่าจะเป็นชมรมวิทยาศาสตร์ อยากทดลองอะไรสนุก ๆ เหมือนที่พี่เขาบอก”ทั้งสองแยกย้ายไปตามชมรมที่ตนสนใจ ต้นตอกลับเข้าไปในหอประชุมเพื่อเลือกชมรม ต่างจากมะลิที่กำลังมองหาลู่ทางเพื่อก่อตั้งชมรมกรีฑาขึ้นมาอีกครั้ง

คำพูดกับการกระทำนั้นช่างต่างกันลิบลับ ที่ว่าจะหาเพื่อนเข้าชมรมให้ครบสามคน แต่มะลิกลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรและจากตรงไหน สุดท้ายก็ต้องขอความช่วยเหลือจากต้นตออย่างไม่มีทางเลือก และยากจะเลี่ยง

“นาย ๆ สนใจตั้งชมรมกรีฑากับเราไหม”

‘คงไม่ได้ เพราะเข้าชมรมปิงปองไปแล้ว’

“สนใจเข้าชมรมกรีฑาหรือเปล่าครับ”

‘ชมรมกรีฑาหรือ เขาทำอะไรกันบ้าง’

“ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป็นชมรมเลย กำลังหาคนเพื่อเสนอให้อาจารย์”

‘ดูแล้วท่าจะลำบาก ไม่เข้าดีกว่า’

“สนใจกีฬาวิ่งไหมครับ”

“ชอบวิ่งไหมครับ”

“อยากเข้าชมรมกรีฑาหรือเปล่าครับ”

“มีชมรมหรือยังครับ สนใจก่อตั้งชมรมกรีฑากับผมไหมครับ”

“ถ้าไม่มีชมรม มาก่อตั้งชมรมกรีฑาด้วยกันไหมครับ”



วันที่สองของภาคเรียนใหม่ บริเวณทางเดินขึ้นตึกระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หากใครผ่านไปผ่านมา อาจได้เห็นและได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มสองคน กำลังตะโกนเรียกร้องความสนใจจากเหล่านักเรียนโดยรอบ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขัดเขินกับใบหน้าขึ้นสีทุกครั้งที่คนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังทำหน้าที่ของตนต่อไป

“ไม่เห็นมีใครมาสมัครสักคน ตอนนี้อายจนร้อนไปทั้งหน้าแล้ว” ต้นตออดบ่นออกมาไม่ได้ แต่ก็ยังช่วยเหลือมะลิต่อไป เพราะรู้สึกเห็นใจคนตัวเล็ก เห็นเพื่อนแล้วเหมือนเขาเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งที่ต้องปกป้องคนตัวเล็ก

“ทนอีกหน่อยนะต้นตอ” มะลิหันกลับไปอ้อนวอนเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาพอจะร้องขอให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ก็ได้ ๆ”

“ขอบคุณมากต้นตอ”

“สนใจเข้าชมรมกรีฑาไหมครับ”

“ได้วิ่งด้วยนะ สนุกมาก ๆ”

“ใครชอบวิ่งเชิญทางนี้ได้เลยครับ มาตั้งชมรมกรีฑากัน”



เสียงกริ่งบอกสัญญาณว่าเวลาพักหมดลงแล้ว นักเรียนชายหญิงที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วบริเวณ ต่างกลับมายังห้องเรียนของตนตามเดิม ภารกิจหาสมาชิกชมรมกรีฑาเป็นอันต้องยุติลงเพียงเท่านี้

“สงสัยนายคงต้องหาชมรมอื่นอยู่แล้วล่ะ เราทำสุดความสามารถแล้วนะ แต่ไม่มีใครสนใจสักคน” ต้นตอกล่าวอย่างเห็นใจ เขาจนปัญญาจะช่วยเหลือแล้วจริง ๆ

“เป็นอย่างที่นายพูดนั่นแหละ ตอนเย็นคงต้องไปแจ้งอาจารย์คนนั้นก่อนว่า ไม่ตั้งชมรมกรีฑาแล้ว” น้ำเสียงค่อย ๆ หดเล็กลงไป พร้อมความหวังที่มอดดับของมะลิ

“เสียใจด้วยมะลิ ถ้านายยังเลือกไม่ได้ ลองมาเข้าชมรมกับฉันก็ได้นะ”         

“นั่นสินะ ชมรมวิทยาศาสตร์ก็เข้าท่าเหมือนกัน” ดูเหมือนว่ามะลิจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตัดใจจากความฝันที่จะสานต่อการวิ่งของตนและคงต้องกลับไปวิ่งคนเดียวอีกครั้ง

เฮ้อ... เสียงถอนหายใจของมะลิลากยาวอย่างเหนื่อยอ่อน

“งั้นเข้าเรียนก่อน เลิกแล้วเดี๋ยวเราพามะลิไปที่ชมรม ดูว่าจะชอบไหม”ต้นตอเสนอระหว่างที่ทั้งสองเดินไปตามทางยาวของอาคารเพื่อเข้าเรียนคาบบ่าย

“แบบนั้นก็ได้ หลังจากนี้ค่อยไปหาอาจารย์ บอกแกว่าไม่ได้ตั้งชมรมแล้ว”ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากคนข้างกาย มีเพียงแรงผลักดันจากวงแขนที่รุดให้มะลิก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้ง มะลิที่ก้าว เป็นการปลอบประโลมในแบบฉบับของต้นตอ

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 3 เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (2​)

เมื่อชั่วโมงกิจกรรมมาถึง มะลิซึ่งยังไม่มีชมรมสังกัดจึงถูกพามาที่ห้องชมรมของต้นตอที่ลงชื่อไว้ โดยแรกเริ่มเดิมทีมะลิคิดว่าเพื่อนของเขาสมัครเข้าชมรมวิทยาศาสตร์ตามที่เคยเปรยไว้ แต่ภาพที่ปรากฏอยู่นี้ไม่ใกล้เคียงกับห้องทดลองตามที่มะลิสร้างมโนภาพไว้เลยแม้แต่น้อย สมาชิกของชมรมอีกสี่คนที่เหลือซึ่งจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือจนไม่สนใจผู้มาเยือนอย่างเขาและต้นตอที่เป็นสมาชิกแม้แต่น้อย

“สรุปแล้วไม่ใช่ชมรมวิทยาศาสตร์หรอกหรือ” มะลิย้ำคำถามเดิมกับต้นตอเป็นครั้งที่สาม เพราะไม่คิดว่าต้นตอซึ่งเป็นเด็กเรียน อีกทั้งยังสนใจทางวิทยาศาสตร์จะกลายเป็น... เอ่อ...

“ชมรมอีสปอร์ต” ใช่ ชมรมนี้เป็นชมรมในสายกีฬาที่ไม่ต้องใช้สมรรถนะของร่างกาย เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าร่วมได้อย่างง่ายดาย จนหลายคนไม่จัดเป็นกีฬาด้วยซ้ำ

“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ” มะลิยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่ต้นตอเลือกสังกัดชมรมเกม หากการเล่นกรีฑาไม่เหมาะกับมะลิแล้วล่ะก็ ชมรมนี้ยิ่งไม่เหมาะกับต้นตอร้อยเท่า

“ชมรมวิทยาศษสตร์คนเต็มแล้ว เห็นว่ารับแค่ 40 คน พอเดินหาอีกก็ถูกชวนและลงชื่อไปอย่างงง ๆ ฮาฮาฮา” เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนไม่ช่วยให้มะลิสบายใจขึ้นแม้แต่นิดเดียว ทว่าต้นตอก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเช่นกัน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ทราบถึงความพิศวงซึ่งนำพาให้มารู้จักชมรมแบบนี้ได้

“เปลี่ยนใจก็ทันหนิ ย้ายเถอะเราว่ามันไม่เหมาะกับนาย” มะลิเสนอทางเลือกให้แก่ต้นตอโดยไม่มองรอบข้างเลยว่า สมาชิกอีกสี่คนที่เหลืออยู่ในห้องว่างโล่ง ห้องซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากฝุ่นและคาบสกปรกในบางตำแหน่งกำลังหันมาจ้องเขม่น พวกเขาละจากหน้าจอชั่วครู่เพื่อมองดูคนที่กำลังทำลายความฝันของชมรมแห่งนี้

“ไม่เป็นไรหรอกมะลิ เราอยากลองอะไรใหม่ ๆ ดูเหมือนกัน อาจสนุกก็ได้นะ” ต้นตอยังคงมองโลกในแง่ดี ซึ่งขัดใจมะลิไม่น้อยที่เพื่อนไม่ยอมรับฟังความหวังดีจากตน

“นี่นายกำลังดูถูกอีสปร์อตของเราอยู่นะ นายตัวเล็ก” เด็กหนุ่มตัวสูงโย่งเอ่ยขึ้นทลายบทสนทนาระหว่างมะลิกับต้นตอ         

“เราไม่ได้จะว่าอะไรชมรมพวกนาย แค่คิดว่าเพื่อนของเราไม่เหมาะกับอะไรพวกนี้เท่านั้นเอง” มะลิโต้กลับไป ทำใจดีสู้เสือ แม้คนตัวสูงจะเดินเข้ามาใกล้ทุกทีก็ตาม รวมถึงสามคนที่เหลือด้วย มีทั้งคนที่ตัวเล็กกว่ามะลิ ซึ่งไม่อาจเชื่อสายตา และคนที่พุงกลมโต หรือคนที่ดูสมส่วน ทุกคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างชัดเจน

“ชมรมอีสปอร์ตของเราปีนี้จะเข้าแข่งขันระดับประเทศและจะชนะทุกทีมด้วยเกมอีโอวี ดังนั้นต้นตอมีความสำคัญสำหรับพวกเรา เราไม่ปล่อยให้ต้นตอออกจากชมรมไปได้หรอก” นายตัวสมส่วนซึ่งสวมแว่นกรอบหนาพูดยาวเหยียดออกมา

“ก็ตามนั้นแหละมะลิ พอดีพวกเขาขาดคน เกม เอ้ย...กีฬานี้จำเป็นต้องมีสมาชิกห้าคนเพื่อลงแข่ง ฉันเลยต้องช่วยพวกเขา” ต้นตอเผยเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขายืนยันจะเข้าร่วมชมรมเกมหรืออีสปอร์ตให้แก่เพื่อนของตน แม้ลึก ๆ แล้วเขายังสับสนไม่น้อยกับการตัดสินใจนี้

“แต่...” มะลิเตรียมจะค้านอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรหรอก ลองดูสักครั้ง เผื่อเราจะชอบก็ได้ ใครจะไปรู้ใช่ไหม” คำพูดและรอยยิ้มปิดท้ายของต้นตอสะกิดใจมะลิ ไม่ให้เอ่ยค้านหรือทัดทานความมุ่งมั่นนั้น

นั่นเพราะว่า ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเสี่ยงที่จะทำในสิ่งที่ไม่ถนัดเอาเสียเลย ชนิดที่ว่าถูกบังคับอย่างไม่มีทางเลี่ยง --- จนทุกวันนี้สิ่งนั้นกลับกลายเป็นความชอบ ความหลงใหล และความรักที่ไม่อาจละทิ้งไปได้

“งั้นตามใจนายละกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้”

“อืม ขอบใจมากมะลิ”

ฝนโปรยลงมาในช่วงเย็นปะทะกันสาดร้องระงม เมื่อห่าฝนลงเม็ดหนักขึ้น เสียงจึงดังก้องไปทั่วกลบการได้ยินปกติจนต้องตะโกนร้องเรียก เด็กนักเรียนชายหญิงพากันวิ่งหลบสายฝน หนีความเปียกชื้นจากที่โล่งเข้าสู่ตัวอาคาร เสียงเล็กเสียงน้อยซึ่งเคยกระจายอยู่ทั่วโรงเรียน ตอนนี้กลับมากระจุกตัวอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เปล่งออกมางัดง้างกับเสียงห่าฝนฟังศัพท์

กระนั้นก็ตาม มะลิเป็นเพียงไม่กี่คนที่ไม่หยุดอยู่ใต้ร่มอาคารเพื่อหลบฝน กลับวิ่งฝ่าออกไปปะทะไอเย็น เพื่อไปยังตึก 3 จุดหมายของเขาคือห้องพักครู ทั้งที่ยังไม่ทราบว่าอาจารย์ที่ตนตามหาชื่ออะไรและอยู่ห้องไหนของตึก คงต้องค่อย ๆ หาไปทีละห้อง มะลิคิดเช่นนั้นขณะปัดละอองฝนและสะบัดหยดน้ำจากเส้นผม

“นักเรียน นักเรียน นักเรียน!”

ฝนเทลงมาราวฟ้าทลายจนเสียงในบรรยากาศถูกตัดไปเป็นเสียงห่าฝนชุดโตเพียงอย่างเดียว แทบไม่ได้ยินอื่นใดรอบกาย มะลิไม่รับรู้ถึงที่มาของเสียงเรียกชื่อตนเอง ไม่ว่าจากทิศไหนก็มีแต่เสียงฝนดังระงม กอปรกับขณะนี้เขามุ่งความสนใจไปที่ตามหาอาจารย์คนหนุ่มอย่างแข็งขัน ไม่รู้แม้จะทั่งว่ามีคนเอาไม้เรียวยาวมาเคาะศีรษะของตนอย่างจัง เพราะมัวแต่มองไปทางนั้นทางนี้ ไม่สนใจผู้เรียกหา

“โอ๊ย...” มะลิร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงแรงกระทบบนหัว นั่นเป็นการเคาะครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกแค่รู้สึกเพียงมีอะไรมาสะกิด ไม่เฉลียวใจว่าจะเป็นไม้เรียวพร้อมกับคนที่ตามหา

“ไม่ต้องมาโอ๊ยเลยนะ ครูเรียกทำไมไม่ตอบ” เจ้าของเสียงและคนที่มะลิกำลังตามหาอยู่ ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

“หา! อ้าว อาจารย์สวัสดีครับ ผมกำลังตามหาอาจารย์อยู่พอดี”

“ครูก็ตามหาเธอเหมือนกัน เรียกแล้วด้วยแต่ไม่สนใจ”

“เปล่านะครับ ผมไม่ได้ยินจริง ๆ” เขาตอบไปตามจริง เสียงฝนที่ไม่ยอมลดลงแม้แต่น้อยทำให้ไม่ได้ยินเสียงรอบตัว

“ช่างเถอะ ตามครูมามีเรื่องจะคุยด้วย” กฤษไม่ติดใจเรื่องนั้น ก่อนพามะลิไปยังห้องพักอาจารย์ซึ่งเขาประจำอยู่

มะลิตามหลังอาจารย์ที่ยังไม่ทราบแม้แต่ชื่อ บนทางเดินยาวหน้าห้องเรียนชั้นสามไปยังห้องพักอาจารย์ฝั่งขวาของตึก เมื่อเข้าไปมะลิสังเกตเห็นเพื่อนนักเรียนชายอีกสองคนที่เนื้อตัวมอมแมมและเปียกชุ่มไม่ต่างจากเขา คาดว่ารออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว คนหนึ่งมีใบหน้าไม่สบอารมณ์กับอีกคนที่กำลังเกรงกลัว ความต่างซึ่งปรากฏชัดบนดวงหน้าทั้งสอง แม้ยืนคู่กันแต่บรรยากาศช่างต่างกันลิบลับ มะลิแอบคิดเมื่อเหลือบไปมองเพื่อนนักเรียน

“นึกว่าหนีไปแล้ว” อาจารย์เอ่ยกับนักเรียนชายสองคนก่อนหน้า แต่เรื่องนั้นไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้มะลิเท่าสิ่งที่อาจารย์กำลังเอ่ยกับทั้งคู่

“นี่ไงคนที่จะตั้งชมรมกรีฑา และพวกเธอสองคนต้องเข้าร่วมด้วย” จับความได้ว่า สองคนนี้อยากเข้าชมรมกรีฑาที่เขาจะก่อตั้ง มะลิพึ่งหมดความหวังไปเนื่องจากไม่สามารถหาผู้ร่วมอุดมการณ์ได้ แต่ความหวังนั้นกลับถูกจุดขึ้นใหม่อีกครั้ง ในห้องนี้

“แนะนำตัวกับเพื่อนสิ” เสียงนั้นปลุกมะลิจากภวังค์ ซึ่งเขาหลุดออกไปเพ้อฝันชั่วครู่

“อ้อครับ สวัสดีผมมะลิ เออพอดีว่าอยากตั้งชมรมกรีฑาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงจะชื่อกรีฑาก็คงซ้อมได้แค่วิ่งเท่านั้น นายสองคนสนใจเข้าชมรมใช่ไหม” ประโยคยืดยาวที่ไม่ได้ตระเตรียมล่วงหน้า ส่งผลให้คำพูดนั้นแฝงความไม่มั่นใจและประหม่าจนมะลิอยากพูดใหม่เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือของชมรมที่จะตั้งขึ้นแก่เพื่อนทั้งสองอีกครั้ง แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอฟังคำตอบรับจากเพื่อนใหม่

“เปล่า” “เปล่า”สองเสียงจากคนสองคนตรงหน้าประสานกันอย่างพร้อมเพรียง

“อ้าว!”

ความหวังพึ่งถูกจุดขึ้นมาถูกย่ำยีอีกครั้งด้วยคำพูดเพียงคำเดียวที่ประสานกันอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีคำอธิบายหรือคำขยายใดให้คนตัวเล็กเข้าใจความหมายเพิ่มเติม มีเพียงสีหน้าเบื่อหน่ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนตัวโต มะลิไม่รู้จะจัดการสถานการณ์นี้อย่างไร ทำได้เพียงร่ำร้องภายในอย่างเหนื่อยอ่อน กับความหวังที่ถูกเหวี่ยงลงก้นเหว

“ถูกต้อง พวกเขาสองคนไม่อยากเข้าชมรมกรีฑาของเธอหรอก แต่ถูกบังคับต่างหาก”

“หมายความว่าไงครับอาจารย์” ยิ่งสร้างความงุนงงให้แก่มะลิ เมื่อคำอธิบายของอาจารย์ไม่ได้ช่วยเพิ่มความเข้าใจหรือไขข้อสงสัยของมะลิแม้แต่น้อย

“ความประพฤติไม่ดีเท่าไหร่ เปิดเทอมได้แค่สองวันก็สร้างวีรกรรมน่าปวดหัวให้ครู เลยลงโทษด้วยการบังคับเข้าชมรมกรีฑาที่ไม่มีสมาชิกไง ดีใจไหมเพราะชมรมที่เธออยากจะตั้งเป็นจริงขึ้นมาแล้ว” แสงไฟแห่งความหวังถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่แสงเทียนอย่างที่วาดไว้ กลับเป็นแสงนีออนซึ่งถูกกดเปิดขึ้นมา เพราะความหวังที่รับมอบมา ช่างไร้ความจริงใจสิ้นดี

“เธอสองคนก็แนะนำตัวกับเพื่อนสิ” ผู้เป็นอาจารย์เพียงคนเดียวในห้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เสมอ” ห้วน

“ใจกล้า” สั้น

“ยินดีที่ได้รู้จัก...” เสียงตอบรับแผ่วเบาในปลายประโยคของมะลิที่ส่งกลับไป รู้ตัวอีกทีก็คล้ายกับ กล่าวให้สายลมและเสียงฝน เพราะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทั้งสองต่างไม่สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ใบหน้าเรียบเฉยของเสมอและใจกล้า แสดงออกมาอย่างสัตย์จริงว่า ถูกบังคับมาอย่างแน่นอน

บัดนี้ ชมรมกรีฑาแห่งโรงเรียนอันไกลโพ้น ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ด้วยจำนวนสมาชิกทั้งสิ้นสามคน พร้อมอาจารย์ที่ปรึกษาหนึ่งท่าน รอยยิ้มแต้มไปด้วยหยาดน้ำตาของมะลิกับภาพถ่ายรวมครั้งแรก ทำให้เขาแทบไม่อยากนึกฝันถึงวันคืนข้างหน้าว่า อนาคตของชมรมจะออกมาเป็นเช่นไร จะเดินไปในทิศทางไหน---หรือเขาควรไปลงแข่งกีฬาอีสปอร์ตกับต้นตอ

เฮ้อ...





สนธยาละล่วงไป บ้านสองชั้นที่ประดับประดาด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ แสงไฟจากภายในส่องออกมาพอให้รู้ตำแหน่งแห่งที่ เพื่อให้เจ้าของตัวเล็กซึ่งกลับมาในตอนหัวค่ำมองเห็นทาง
“กลับมาแล้วครับ” เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวบ้านมะลิก็ไม่รีรอ ตะโกนออกไปให้ผู้เป็นมารดาทราบ

“จ้า... มากินข้าวในครัวเร็ว” หญิงวัยกลางคนส่งเสียงกลับมาไม่ดังมาก
มะลิมุ่งไปยังตำแหน่งของเสียง พอก้าวพ้นกรอบประตูที่เชื่อมระหว่างตัวบ้านกับครัวซึ่งแยกออกไป หญิงร่างเล็กแสนคุ้นเคยปรากฏต่อหน้า รอยเหี่ยวย่นที่ปรากฏไม่สามารถบดบังรูปหน้าแสนอารีของหล่อนลงได้ ใบหน้านั้นเผยยิ้มทันทีที่เห็นลูกชายคนเล็กของบ้านเข้ามาในครัว

“กลับช้าอีกแล้วนะ” หล่อนดุพอให้ลูกชายเข้ามาง้อตามประสาไม่จริงจังมาก เพราะมะลิกลับบ้านเวลานี้ตั้งแต่เมื่อสามปีที่ก่อน แม้คราวแรกหล่อนจะบ่นทุกวี่วันก็ตาม แต่คราวนั้นยังพอทุเลาได้ที่มีเพื่อนสนิทของลูกชายซึ่งมักกลับมาพร้อมกัน ทว่าตอนนี้ย้ายไปเรียนในตัวเมืองแล้ว ทำให้ลูกชายของหล่อนต้องกลับบ้านมืดค่ำเพียงลำพัง นี่สิน่าเป็นห่วง จนหล่อนเริ่มกลับมาทบทวนดูมีทีแล้วว่าควรให้เป็นเช่นนี้หรือจะห้ามปรามดูสักครั้ง

“วันนี้ซ้อมวิ่งที่โรงเรียนเดิม แม่ไม่ต้องห่วงหรอก มีเพื่อนเก่าเดินกลับด้วยกันตั้งเยอะ” แม้นั่นจะเป็นความจริง แต่ก็เป็นความจริงแค่บางส่วน เฉพาะวันนี้เท่านั้นที่เขาบังเอิญเจอกลุ่มเพื่อนเก่ามาเล่นฟุตบอล จึงมีโอกาสกลับพร้อมกัน ส่วนวันอื่น ๆ นั้นมะลิอาจต้องเดินกลับตามลำพัง หากเป็นอย่างนั้นจริงเขาจะทำความคุ้นเคยกับความเหง่านั้นได้ไหมนะ

“คราวหน้าก็กลับเร็วกว่านี้หน่อยสิ แม่เป็นห่วงนะแบบนี้” หล่อนกล่าวเสริมอีกเล็กน้อย ก่อนกับข้าวที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะ

ครอบครัวนี้มีด้วยกันสี่คน มะลิเป็นลูกชายคนเล็ก ส่วนพี่ชายเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา แม่ของเขาเป็นแม่บ้านไม่ได้ออกไปทำงานประจำที่ไหน มีเพียงพ่อรับราชการคอยเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัว บ่อยครั้งที่ต้องเข้าเวรดึกดื่นไม่ได้กลับบ้าน ปล่อยให้ลูกชายคนเล็กและภรรยาอยู่กันสองคนเช่นเดียวกับวันนี้ บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่จึงดูเงียบเหงาไม่น้อย

“พรุ่งนี้อาจกลับค่ำหน่อยนะครับ มะลิสมัครเข้าชมรมวิ่ง อาจต้องอยู่ซ้อม”หันไปพูดกับมารดาระหว่างช่วยหยิบจับจานชาม

“วิ่งอีกแล้ว แม่เห็นเราวิ่งมาตั้งแต่ตอนนั้นไม่เห็นตัวสูงขึ้นเลย ดูคมสันเขาสิ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งสูง” หล่อนไม่ได้ห้ามปรามหรืออนุญาตลูกชาย เนื่องจากรู้กันดีว่ามะลิไม่ใช่เด็กเกเร คำขอของลูกชายคนนี้จึงเหมือนคำบอกเล่าให้ทราบ เพื่อไม่ให้เป็นห่วง แต่นั่นยิ่งทำให้หล่อนห่วงหนักเข้าไปอีก

“โถ่... แม่” มะลิโอดครวญกับคำสบประมาทจากมารดา กลบเกลื่อนความรู้สึกลึก ๆ ที่ได้รับ มะลิรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นห่วงเขา

“เอาเถอะ ขากลับก็ให้กลับพร้อมคนอื่น ๆ ไม่ใช่อยู่ซ้อมจนดึกดื่นไม่ยอมกลับบ้านนะ กินข้าวกันดีกว่า”หล่อนรีบเปลี่ยนบทหลังเห็นเด็กน้อยหม่นลง ยิ่งความรู้สึกผิดที่ฉายชัดบนใบหน้านั้น หล่อนยิ่งไม่กล้าทำร้ายดวงใจน้อย ๆ นี้ได้ ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหนก็คงไม่เท่ากับการเห็นเด็กคนนี้มีความสุขกับสิ่งที่เขารัก อย่างน้อยมะลิก็ไม่เคยเลิกลาในสิ่งที่เลือก ตลอดสามปีที่ผ่านมาช่วยยืนยันความจริงข้อนี้ได้

“ครับ” มะลิกลับมายิ้มได้อีกครั้ง


ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
เขียนดี น่าติดตาม เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 4 แข่งขัน​​



เป็นอีกวันที่ทำให้มะลิใจเต้นแรง ตื่นไปกับบรรยากาศแปลกใหม่รอบกาย สนามแห่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นการออกตัวครั้งใหม่ ชมรมกรีฑาซึ่งเขามีส่วนในการก่อตั้งขึ้นมา แม้จะประสบเจออุปสรรคนับตั้งแต่ก้าวแรก แต่อย่างน้อยวันนี้และที่นี่ เขาจะได้ออกวิ่งอีกครั้ง

หมดคาบเรียนในห้องสี่เหลี่ยม มะลิและต้นตอแยกย้ายกันไปตามชมรมของตน โดยที่ต้นตอตอนนี้กลายเป็นเจ้าพ่อเกมเมอร์ไปเสียแล้ว กระนั้นก็ไม่น่าห่วงเท่าทีแรกที่มะลิรู้ว่าเพื่อนจะเข้าชมรมเกม เพราะการเรียนและความตั้งใจของต้นตอยังอยู่ครบ การบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมายภายในชั้นเรียนก็จะเร่งจัดการให้เสร็จ ส่วนเวลาที่เหลือคือการศึกษาคู่มือและเทคนิคในการเล่นเพื่อแข่งขันอีสปอร์ต

มะลิมายังจุดนัดพบข้างสนามฟุตบอล ซึ่งถูกแบ่งเนื้อที่และใช้ร่วมกับชมรมกีฬาอื่น ๆ จากที่สังเกตดูหลายชมรมจะเริ่มอบอุ่นร่างกายและวิ่งรอบสนามก่อนแยกย้ายหามุมที่เหมาะสม แต่ไม่ว่าจะมองไปมุมไหน ๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของชมรมกรีฑา เขาอาจตื่นเต้นจนมาเร็วกว่ากำหนด

“รวมตัวได้” เสียงเรียกจากอาจารย์ที่ปรึกษาด้านหลัง ก่อนชายหนุ่มที่เขาตามหาจะเดินเข้ามายังจุดที่มะลิยืนอยู่ เขารีบพาตัวเองไปยืนข้างหน้าอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างมั่นคง เฝ้ารอการเริ่มต้นกิจกรรมชมรม

“ทำไมมีแค่เธอมาคนเดียวล่ะ เพื่อนอีกสองคนหายไปไหน” อาจารย์หนุ่มถามคำถามที่มะลิเองก็สงสัยไม่ต่างกัน และคงยากที่จะหาคำตอบให้ได้

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมพึ่งมาถึงก็นึกว่าสองคนนั้นจะมารออยู่ที่สนามแล้ว”

“ครูไม่เริ่มกิจกรรมจนกว่าจะมาครบทุกคน” เสียงประกาศชัดของที่ปรึกษา ทำภาพฝันที่มะลิวาดไว้มลายอีกครั้ง

“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะครับ” มะลิร้องถามไปอย่างไม่เข้าใจสาเหตุ ในเมื่อเขาอยู่ตรงนี้และพร้อมวิ่งเต็มที่แล้ว แม้จะเหลือเพียงคนเดียวในชมรมก็ตาม

เขาแค่อยากวิ่งเท่านั้นเอง

“กิจกรรมชมรมก็ต้องทำร่วมกันเป็นชมรม จะให้ครูสอนเธอคนเดียวไม่ได้” คำตอบที่ได้ไม่ทำให้มะลิสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย เพราะนั่นหมายความว่าเขายังลงสนามไม่ได้หากสองคนที่เหลือไม่อยู่ตรงนี้

“แล้วผมต้องทำยังไงครับ”

“เธอก็ไปตามเพื่อนคนที่เหลือ” สิ้นเสียง มะลิไม่รอช้าวิ่งออกนอกเขตสนามเร็วพลัน ตามหาสมาชิกชมรมอีกสองคนที่เหลือ

สมาชิกที่มีแค่สามคนก็สร้างความลำบากให้คนตัวเล็กไม่ใช่น้อย เพราะอีกสองคนไม่เต็มใจเข้าร่วมตั้งแต่ต้น เป็นการบังคับจากบทลงโทษ ความกระตือรือร้นจึงผิดกันมาก จากที่ดูท่าทีจากเมื่อวานนี้ มะลิก็คิดไว้ลึก ๆ แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ชมรมที่พึ่งก่อตั้งกลับมาประสบมรสุมอีกระลอกใหญ่ มองไปทางไหนก็เจอแต่อุปสรรค มากเสียจนคนตัวเล็กเริ่มท้อ

“เสมอ เสมอใช่ไหม อย่าหนีนะ”มะลิตะโกนลั่นเมื่อเห็นคนหน้าคุ้น ถึงเคยเจอแค่ครั้งเดียวแต่เขาจำสีหน้าและท่าทางของเพื่อนตัวสูงซึ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเองคนนี้ได้ดี

พบสมาชิกที่ตามหาคนแรกแล้ว แต่ไม่ทำให้มะลิใจชื้นขึ้นเลย เมื่อเป้าหมายไม่ยอมอยู่นิ่งให้เข้าหา กลับวิ่งหนีไปในทิศตรงกันข้ามอย่างเร็ว ภาพของเด็กหนุ่มสองคนวิ่งไล่กัน คงเป็นทำให้ผู้พบเห็นคิดไปว่า เพื่อนสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แท้จริงแล้วใครจะทราบว่า มะลิต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการไล่กวดสมาชิกชมรมตัวสูงกว่าเขาเกือบเท่าตัว แถมยังเป็นสมาชิกที่วิ่งเร็วไม่น้อย อีกทั้งเส้นทางตรงหน้าก็ไม่ได้ราบเรียบเหมือนลู่วิ่งในสนาม ทางคดเคี้ยว ทางลาดชัน มีอะไรต่อมิอะไรขวางตามเส้นทางที่คนตัวสูงวิ่งนำอยู่

แฮกแฮก... หยุดนะเสมอ ทำไมนายไม่ไปที่สนาม”มะลิร้องออกไปทั้งที่ขายังก้าวต่อไป

“ไม่ไป แล้วอย่ามาตาม แฮกแฮก...” คนถูกไล่ก็เริ่มเหนื่อยเมื่อต้องวิ่งติดต่อกันเป็นเวลานานและดูท่าคนที่ไล่จะไม่ละความพยายามง่าย ๆ

“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่หยุด นายทำให้ฉันไม่ได้ฝึกรู้ไหม อาจารย์ให้มาตามพวกนายสองคนไปที่สนาม แฮกแฮก...” คำพูดยืดยาวถูกพ้นออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับขาคู่เล็กที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมแพ้

“บอกแล้วไงว่าไม่ไป จะตามมาทำไม” แต่ดูจะไร้ผลเมื่อคนตรงหน้ายังไม่จำนน ทั้งที่ล้าเต็มทนและใกล้จะหมดแรงแล้วก็ตาม

“ไม่ นายต้องไป” มะลิเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก

“นายเป็นคนยังไงกันแน่ ทำไมไม่ฟังคนอื่นบ้าง แล้วทำไมวิ่งเร็วอย่างนี้ แฮกแฮก...”

คนตัวสูงกว่าที่วิ่งนำหน้าอยู่ในขณะนี้กำลังหมดแรง ทั้งที่คิดว่าหนีได้ไม่ยาก ก็ดูขนาดตัวของคนข้างหลังที่สูงไม่พ้นหัวไหล่เขาด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงอึด ถึก ทน จนตอนนี้เขาจะหมดแรงเสียเอง ความอ่อนล้าเริ่มครอบงำขาทั้งสองข้าง แต่พอหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไล่ตามพร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างหลัง ร่างเล็กก็ใกล้เข้ามาจนจะถึงตัวเขา

ส่วนคนตัวเล็กที่วิ่งตามหลังมานั้น เมื่อยล้าไม่แพ้กัน เหงื่อไหลเป็นทางชุ่มไปทั้งตัวจนรู้สึกได้ ช่วงขาที่ยาวของคนตัวสูงกอปรกับทางวิ่งที่ลดเลี้ยวไปมา ทำให้ไม่สามารถจับตัวสมาชิกชมรมคนนี้ได้สักที มะลิยังไม่ลดความพยายามเพื่อคว้าตัวเสมอที่ใกล้หมดแรง ส่วนเสมอก็ไม่ละความพยายามเพื่อวิ่งหนีมะลิไม่ต่างกัน จนท้ายที่สุด...

“จับได้แล้ว”มะลิจับแขนเสมอไว้แน่น

“ก็ได้ ๆ ยอมแพ้แล้ว แฮกแฮก...” เสมอเอ่ยมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนเลือกไม่ต่อกรกับคนตัวเล็กอีก สภาพของเขาขณะนี้ไม่คล้ายกลับจากแข่งฟุตบอลกลางแดดจ้า

“เห็นใจกล้าหรือเปล่า นึกว่าอยู่ด้วยกัน” มะลิถามถึงสมาชิกอีกคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

“เห็นบอกว่าจะไปหาอาจารย์ที่สนาม ไปลาออกจากชมรม” เสมอตอบกลับเรียบเฉย ไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของคนข้างกาย

“ว่าไงนะ แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ วิ่งหนีอยู่ได้ ไปเร็ว...” เมื่อรู้ว่าอีกคนอยู่ที่สนามฟุตบอลก็รีบคว้าตัวคนตัวสูงซึ่งเรี่ยวแรงยังไม่กลับมาวิ่งอีกครั้ง

คนตัวเล็กวิ่งกึ่งลากกึ่งจูงคนตัวโตกว่า ลัดเลาะไปตามทางเดินและทางซึ่งคิดว่าเร็วที่สุด เพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

พอมาถึงขอบสนามก็พบสมาชิกคนสุดท้ายตามที่หวังไว้ แต่ชายหนุ่มหน้านิ่งที่เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์อยู่ในขณะนี้ กำลังเดินออกจากสนามไปยังอีกฟากหนึ่ง ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาก็ไม่มีทีท่าจะห้ามปรามสมาชิกชมรมซึ่งกำลังเดินออกห่างไปเรื่อย ๆ

ส่วนใจกล้าที่เดินพ้นระยะสนทนาระหว่างตัวเองกับอีกสามคนซึ่งอยู่ทางโน้น หันกลับไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่วิ่งเข้ามาในสนามฟุตบอล เขาแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่ามะลิจะกลับมาเร็วขนาดนี้ แถมยังลากเสมอเพื่อนของตนกลับมาด้วย ทว่าตอนนี้เขาลาออกจากชมรมและไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว จึงเลือกเดินเลี่ยงออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดบทสนทนาใด ๆ กับตัวปัญหาที่ทำท่าจะพุ่งเข้ามา

ถึงอย่างนั้นใจกล้าก็หนีไม่พ้น เพราะเจ้าตัววิ่งเข้ามาขวางทางไม่ให้เดินต่อได้ กางแขนคู่เล็กราวจะหยุดยั้งเขาไว้ได้ แต่ไม่เลย มันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด อย่างมากก็ทำได้เพียงรั้งเขาไว้รับฟังเสียงบ่นจากคนตรงหน้าเท่านั้น

“นายจะไปไหน” มะลิทิ้งเสมอไว้กับอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนวิ่งตรงไปขวางใจกล้า คนตัวเล็กกางแขนที่คิดว่ากว้างเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย หวังกั้นไม่ให้คนตัวสูงเดินผ่านไป แต่กลับไร้ผล สิ่งที่มะลิทำอยู่นั้นไม่ต่างอะไรกับเด็กอนุบาลเข้ามาขวางทางเด็กโตกว่า

“หลีกไป ฉันจะไปทำธุระ” เสียงห้วนไร้เยื่อใยส่งตรงถึงมะลิ

“ไม่ให้ไปทั้งนั้น นายเป็นสมาชิกของชมรมกรีฑา ก็ต้องอยู่ซ้อมกับพวกเรา”คนตัวเล็กตอบกลับด้วยเสียงสั่นกลัวเล็กน้อย

“ฉันลาออกชมรมนี้แล้ว” ใจกล้าย้ำชัดถึงจุดยืน

“ว่าไงนะ ใครอนุญาตเรื่องนี้กัน”

“ครูเอง” เสียงจากคนที่เฝ้ามองสถานการณ์ เอ่ยออกมาทำลายความหวังเพียงหนึ่งเดียวของมะลิอีกครั้ง ความหวังที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันถูกทำให้ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นหลายครั้งหลายครา พอเขามีหวังขึ้นมาก็ถูกขว้างปาลงไปอย่าไร้เยื่อใย ทำไมยากเย็นขนาดนี้ เขาแค่อยากวิ่งเท่านั้น

“อาจารย์ครับ เป็นแบบนี้ได้ไง ก็ไหนบอกว่าเขามีโทษ เลยทำโทษโดยการเป็นสมาชิกชมรมนี้ไม่ใช่หรือครับ” มะลิยังไม่ยอมถอย

“ใจกล้าบอกจะรับโทษอื่นที่ไม่ใช่การอยู่ชมรมนี้”

“แต่ว่า...”

ทุกคำกล่าวถูกกลืนไปชั่วขณะ บริเวณสนามฟุตบอลยังคงได้ยินเสียงของกิจกรรมของนักเรียนหลายระดับชั้นหลากชมรมที่มารวมตัวกัน แต่ความเงียบกลับเข้าปกคลุมพื้นที่ซึ่งชายทั้ง 4 กำลังยืนอยู่ หนึ่งในนั้นสลดลงเพราะความผิดหวัง อีกหนึ่งไม่สนใจเรื่องราวความเป็นไปของโลก ส่วนสองคนที่เหลือก็ไร้หนทางจะแก้สถานการณ์ตรงหน้า

“มาแข่งกัน” เสียงของมะลิทำลายความเงียบงันอันน่าอึดอัดลง

“อะไร” ใจกล้าตอบกลับเร็วพลันด้วยความสงสัย

“แข่งวิ่งไง ฉันท้านายแข่ง” จู่ ๆ คนตัวโตกว่าอย่างใจกล้าก็ถูกท้าทายด้วยคนตัวเล็กเท่าเด็กประถม

“หรือว่านายไม่กล้าแข่งกับฉัน” หน้าเศร้าสลดเมื่อครู่หายไปสิ้น เหลือไว้เพียงความมั่นอกมั่นใจ ว่าตนนั้นสามารถชนะคนตัวสูงตรงหน้าได้อย่างแน่นอน แต่อีกใจหนึ่งก็ประหวั่นจนต้องปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็ขอพยายามทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในขณะนี้ ถึงแม้จะแพ้ ก็คงดีกว่าปล่อยคน ๆ นี้ไปโดยไม่ทำอะไร

“มะลิ ฉันว่านายอย่าไปท้าใจกล้าจะดีกว่านะ ใจกล้าเขา...” เสมอร้องเตือนคนตัวเล็กอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ถึงความสามารถของเพื่อนตนเป็นอย่างดี

“ถ้านายแพ้ต้องอยู่ชมรมต่อและต้องมาซ้อมทุกวัน ห้ามขาด” แต่ดูท่ามะลิจะไม่รับฟังความหวังดีนั้น ยังคงประกาศกร้าว หนักแน่น มั่นคง

คนตัวเล็กอารมณ์ร้อนถึงขีดสุด ไม่ฟังคำทัดทาน คำร้องเตือนใด ๆ ทั้งสิ้น มะลิจะรู้หรือไม่ว่าผู้ที่กำลังท้าทายอยู่นั้น เป็นอดีตนักวิ่งระดับจังหวัด การันตีด้วยเหรียญรางวัลมากมาย แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาเลือกโรงเรียนรอบนอกแห่งนี้เป็นสถานศึกษาในระดับมัธยมปลาย โรงเรียนที่ไม่มีแม้กระทั่งชมรมกรีฑา

เสมอก็หวังว่าใจกล้าจะไม่ทำร้ายจิตใจของมะลิด้วยการวิ่งนำอย่างขาดลอยหรอกนะ ถึงไม่สนิทกันหรือรู้จักเป็นส่วนตัว แต่เสมอก็อดสงสารคนที่มีความมุ่งมั่นจะก่อตั้งชมรมอย่างจริงจังอย่างมะลิไม่ได้ ดูจากการตามล่าตัวเขาเมื่อครู่

“หรือมะลิอาจชนะ...”จู่ ๆ เสมอก็นึกขึ้นได้ว่ามะลิพึ่งแสดงความสามารถของตนให้เขาเห็น การวิ่งไล่จับกันเมื่อกี้ทำให้เสมอเริ่มลังเล และแอบหวังว่าคนตัวเล็กจะล้มยักษ์อย่างใจกล้าได้

ด้านผู้ถูกท้าทาย ไม่มีความกระตือรือร้นกับการแข่งขันเฉพาะกิจนี้แม้แต่น้อย เขาจะปฏิเสธเด็กเมื่อวานซืนที่มาท้าวิ่งก็ย่อมได้ เพราะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน และคงไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขาเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างใจกล้าก็พ้นวัยที่ใช้มุขไม่แน่จริงแล้วด้วย

ทว่า การหนีปัญหาไม่ใช่นิสัยของใจกล้า โดยเฉพาะปัญหาที่แสนจะเล็กกระจ้อยและง่ายต่อการรับมืออย่างที่เป็นอยู่นี้ ยิ่งไม่มีวันเกิดขึ้น เขาอยากจบเรื่องวุ่น ๆ ของชมรมกรีฑาโดยไม่ให้ใครมีข้อแม้อีก

“ตกลงฉันรับคำท้า ถ้าฉันชนะต้องสัญญาว่าจะไม่ตามตื้อและมาวุ่นวายอีกเด็ดขาด”ใจกล้าตกปากรับคำขอของมะลิ น้ำเสียงและแววตานั้นแสดงออกชัดเจนว่าตนเหนือกว่า

“ตกลง” ฝ่ายผู้ท้าทายตอบกลับด้วยความมั่นใจไม่ต่างกัน

“คงต้องรบกวนอาจารย์เป็นกรรมการให้ทีนะครับ” มะลิจะหันไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลนอกวงสนทนา ให้เป็นผู้ตัดสินการแข่งอย่างไม่เป็นทางการที่กำลังจะเกิดขึ้น

“เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องทำตามความสมัครใจของเธอสองคน มะลิเธอแน่ใจนะว่าจะแข่งขันกับใจกล้า ผลสุดท้ายครูหวังว่าเธอจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกนะ” กฤษซึ่งยืนดูบทสนทนาเมื่อครู่โดยไม่คิดจะห้ามปราม เพราะการถกเถียงที่เกิดขึ้นไม่ได้นำไปสู่ความร้าวฉานหรือความรุนแรงใด หากแต่เป็นการแข่งขันอย่างขาวสะอาด แต่ก็อดเป็นห่วงคนตัวเล็กที่คิดจะต่อกรกับอดีตนักกีฬา แม้ใจกล้าจะเกเร ใจร้อน หัวแข็ง และดื้อดึงไปบ้าง ถึงอย่างนั้นพอเป็นเรื่องวิ่งแล้วล่ะก็ เขาเอาจริงและทุ่มเทชนิดที่ว่าไม่ยอมใครเลย

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าต้องทำให้ใจกล้าอยู่ชมรมให้ได้ ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตามครับ”

“แล้วเสมอล่ะ เธอจะแข่งกับพวกเขาไหม ถ้าหากไม่แข่งแปลว่าเธอยอมรับที่จะอยู่ชมรมนะ” กรรมการจำเป็นหันไปให้ความสนใจกับบุคคลที่ไร้บทสนทนาตั้งแต่มาถึง เสมอยืนลังเลอยู่ชั่วอึดใจ

“เอาตามตรงผมไม่ได้อยากอยู่ชมรมนี้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าให้ผมแข่งกับใจกล้าแล้วละก็ เอ่อ... ขอเป็นสมาชิกดีกว่าครับ” เด็กหนุ่มที่ไร้ความมั่นใจในตัวเอง ให้คำตอบที่ดูเหมือนจะน้อมรับความพ่ายแพ้ตั้งแต่เกมยังไม่เริ่ม

ด้านอาจารย์ปรึกษาก็กำลังพิเคราะห์เด็กหนุ่มทั้งสามอย่างตั้งใจ กฤษพอมองเห็นบุคลิกของแต่ละคนในการแข่งขันครั้งนี้ ทั้งคนที่กล้าเกินตัว คนที่ไม่สนโลกแต่มีความสามารถเพรียบพร้อม หรือแม้กระทั่งคนขี้กลัวเกินกว่าเหตุ เป็นเด็กหนุ่มที่ต่างกันสุดขั้ว

“งั้นเธอสองคนไปเตรียมตัวให้พร้อม อีก 15นาทีเจอกัน เสมอครูวานไปซื้อน้ำเปล่าให้หน่อย” สิ้นเสียง นักเรียนทั้งสามก็แยกย้ายไปเตรียมตัว มีสองคนที่ไปเปลี่ยนชุดสำหรับแข่ง อีกคนคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือตามคำร้องขอของอาจารย์ที่ปรึกษา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2018 18:24:19 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
“งั้นเธอสองคนไปเตรียมตัวให้พร้อม อีก 15 นาทีเจอกัน เสมอครูวานไปซื้อน้ำเปล่าให้หน่อย” สิ้นเสียง นักเรียนทั้งสามก็แยกย้ายไปเตรียมตัว มีสองคนที่ไปเปลี่ยนชุดสำหรับแข่ง อีกคนคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือตามคำร้องขอของอาจารย์ที่ปรึกษา





************





บทที่ 5 คนตัวเล็ก









อาจารย์คณิตศาสตร์มองลูกศิษย์ของตนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ส่วนหนึ่งก็คาดการณ์ผลการแข่งขันไว้แล้ว เพราะตัวเขาเองรู้จักกับใจกล้ามาก่อน จึงเข้าใจความสามารถและศักยภาพของเด็กคนนี้ดี อีกทั้งใจกล้านั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของตน ทำให้รู้นิสัยใจคอพอสมควร ทางแม่ของเด็กฝากฝังให้ช่วยดูแล แต่เจ้าตัวดันสร้างปัญหาให้กับเขาตั้งแต่เปิดเรียนอย่างนี้ ความเกเรของเด็กหนุ่มไม่เป็นสองรองใคร แต่ความสามารถด้านกีฬาโดยเฉพาะการวิ่ง ใจกล้าก็หาคู่เทียบเคียงได้ยากเช่นกัน ลำพังเด็กร่างเล็กอย่างมะลิ คงล้มนักกีฬาของจังหวัดได้ยากหรืออาจไม่ได้เลย



ถึงแม้อีกด้านหนึ่งกฤษก็ยังหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น หากมะลิเอาชนะคนที่มั่นใจในความสามารถอย่างใจกล้าได้สักครั้ง บางทีอาจเปลี่ยนความคิดและนิสัยเกเรของเด็กคนนั้นได้เสียที และอาจช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปให้ครบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น



เขาอยากให้ใจกล้าคนเดิมกลับมา



มะลิเปลี่ยนชุดสำหรับซ้อมวิ่ง เด็กชายร่างเล็กในเสื้อแขนสั้น กางเกงสูงเลยเข่า และรองเท้านักเรียน ช่างดูเป็นเด็กประถมมากกว่ามัธยมปลาย อีกด้าน ใจกล้าก็ไม่ต่างกับมะลิ อาจมากกว่าด้วยรองเท้าสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ



เมื่อกลับมารวมตัวอีกครั้ง มะลิก็ได้สำรวจคู่แข่งของตนและอดคิดไม่ได้ว่า คนที่จะลาออกจากชมรมอย่างใจกล้าทำไมถึงพร้อมยิ่งกว่าเขาที่ต้องการตั้งชมรม ชุดของใจกล้าไม่ต่างอะไรกับนักวิ่งมืออาชีพเลย ส่วนเขานั้นเป็นได้แค่เด็กถือเส้นชัย



จากที่มองในแง่ลบมาตลอด มะลิเริ่มเปลี่ยนใจ ทั้งยังแอบชื่นชมไม่น้อย จนคิดไปไกลว่าอาจเจอคนที่คล้ายกับเขา คนที่ชอบวิ่งเหมือนกัน ก็ดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหล่านั้นสิ ถ้าไม่วิ่งจริงจังไม่มีทางครอบครองของพวกนั้นได้หรอก ขนาดเขายังไม่มีเลย



“เอาล่ะ มาคุยกันก่อนว่าพวกเธอจะแข่งยังไง เลือกระยะและตกลงกันเองนะ” กฤษเอ่ยขึ้นหลังนักกีฬาพร้อมสำหรับการแข่งขันเฉพาะกิจครั้งนี้แล้ว



“ให้เด็กคนนี้เลือกละกัน” ใจกล้าชิงตอบก่อน เขาคิดว่าตนเป็นต่อ ระยะทางใกล้ไกลย่อมไม่เป็นปัญหา และจะไม่เกี่ยงใด ๆ หากคนตัวเล็กเลือกวิ่งระยะสั้น แม้ว่าเขาจะวิ่งระยะไกลมาก่อนก็ตาม



“นายเรียกใครว่าเด็ก เราอายุเท่ากันนะ” มะลิซึ่งไม่ค่อยต่อปากต่อคำกับใคร อดไม่ได้ที่จะโวยวายเมื่อถูกใจกล้าล้อเลียนเรื่องขนาดตัว ถึงจะเอาอายุมาเป็นข้ออ้าง แต่คนตัวเล็กรู้ดีกว่านั่นสื่อถึงอะไร คงจะคิดว่าเขาเหมือนเด็กประถมตามที่มะลิเคยถูกสบประมาทมาก่อน



“ตัวแค่นี้” ดูเหมือนว่าอาการที่มะลิแสดงออกมาก็ไม่ได้ทำให้ใจกล้าเกรงกลัวแต่อย่างใด



“นายนี่มัน... งั้นผมขอวิ่ง 1,500 เมตรครับอาจารย์” มะลิเลิกสนใจคนตรงหน้า หันไปตอบคำถามของอาจารย์ที่ปรึกษาและใช้สิทธิ์ที่ใจกล้ามอบให้เขาเป็นผู้เลือกระยะการแข่ง ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน สร้างความประหลาดใจให้อีกสามที่เหลือ ซึ่งออกตัวทัดทานด้วยความหวังดี



“1,500 เธอไหวจริง ๆ ใช่ไหมมะลิ ครูไม่ได้ดูถูกเธอหรอกนะ เพียงแต่...” กฤษร้องออกมาอย่างเป็นห่วง เกรงกว่าคนตัวเล็กจะใช้อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลมาตัดสินใจ



“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ ขอระยะนี้แหละครับ” ทว่า มะลิกลับไม่สนใจความตื่นตะลึงเหล่านั้น พร้อมปฏิเสธความห่วงใยที่กฤษมีให้ เขาย้ำความต้องการของตนแก่กรรมการเฉพาะกิจอย่างชัดเจน และหันไปท้าทายคู่แข่งว่าเอาด้วยไหมกับข้อเสนอนี้ แน่นอนว่าใจกล้ารับคำท้ากลับการพยักหน้าตอบ



“ตามใจนาย ฉันยังไงก็ได้ ยังไงก็ชนะอยู่แล้ว” แถมท้ายด้วยคำพูดเกินตัวที่เหมือนจะรู้ผลการแข่ง ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม



แต่สำหรับใจกล้า เขาไม่มีทางแพ้



“เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน” มะลิสวนกลับเร็วพลัน



“เอาล่ะ ๆ อย่างพึ่งมีเรื่องกัน ตกลงเลือก 1,500 เมตรนะ” กฤษเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดจึงรีบออกตัวไกล่เกลี่ยก่อนที่เรื่องจะไปไกลกว่านี้



“ครับ” ทั้งสองเห็นพ้องและขานรับอย่างพร้อมเพรียง



“สนามฟุตบอลนี้ไม่มีลู่วิ่ง แต่ขนาดก็ได้มาตรฐาน รอบหนึ่งก็ราว ๆ 400 เมตร ฉะนั้นพวกเธอจะต้องวิ่งคนละ 4 รอบสนาม ไม่อนุญาตให้วิ่งเข้ากรอบสี่เหลี่ยม ส่วนเส้นชัยอยู่ตรงจุดออกตัว ไม่มีข้อสงสัยใช่ไหม”



“ไม่มีครับ” “ไม่”



“ประที่ได้ ครูจะนับถอยหลังเป็นสัญญาณออกตัว ถึงเลขหนึ่งพวกเธอสองคนก็เริ่มแข่งได้ พร้อมนะ”



ทั้งคู่เตรียมพร้อมสำหรับออกตัว หากมีลู่วิ่งอยู่บนพื้นสนาม มะลิจะอยู่ลู่ในสุด ถัดออกมาขวามือเป็นใจกล้า กฤษที่รับบทเป็นกรรมการนับถอยหลังจากสามก่อนมาสิ้นสุดที่หนึ่ง สิ้นเสียง ทั้งมะลิและใจกล้าพุ่งออกไปในจังหวะเกือบพร้อมกัน เพียงเสี้ยววินาทีทำให้ใจกล้าก้าวนำไปก่อน แต่อึดใจเดียวมะลิขึ้นมาตีคู่เสมอกัน และเมื่อรักษาระยะของตนได้ ทั้งสองจึงหันมาควบคุมจังหวะไม่ให้ช้าหรือเร็วเกินไป โดยยังรักษาระดับให้เข้ากับคู่แข่งอย่างเหมาะสม ไม่มีใครขึ้นนำในช่วงแรก จนใกล้จบรอบที่หนึ่ง ปรากฏว่า ใจกล้าเร่งขึ้นหน้าไปก่อน วิ่งมาปิดทางมะลิที่ลู่ในสุดซึ่งถูกสมมติขึ้น



มะลิที่หวังจะจัดการคู่แข่งได้โดยง่าย เพราะดันไปคิดว่าเป็นแค่เด็กชายเกเรธรรมดาคนหนึ่ง ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง



นายคนนี้ไม่ใช่ย่อยเลยต่างหาก



ใจกล้าเริ่มทิ้งห่างมะลิทีละเล็กทีละน้อย ด้วยร่างกายสมบูรณ์พร้อม ช่วงขาที่ยาวทำให้ก้าวไปได้อย่างเหนือกว่า กอปรกับการฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันจริงร่วมกับนักกีฬาคนอื่น ๆ นั้นหนักหนาและสาหัส เปรียบได้ว่าการวิ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว ใจกล้ามั่นใจในการแข่งครั้งนี้อย่างมาก แทบไม่มีความเป็นไปได้ใดที่จะนำเขาไปสู่ความพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายที่ตัวเล็กกว่า ซึ่งวิ่งตามหลังเขาอยู่ในขณะนี้ ไม่มีทางและไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน



“เด็กคนนั้นคิดยังไงของเขากัน ถึงไปท้าแข่งกับใจกล้า” กฤษเอ่ยเบา ๆ กับตัวเอง



“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เขาคงไม่รู้ว่าใจกล้าเคยเป็นนักวิ่งอันดับต้น ๆ ของจังหวัด” เสมอที่ได้ยินประโยคนั้นเข้า จึงสมทบความคิดของอาจารย์ที่ปรึกษา



“ชักสงสารเด็กคนนั้นขึ้นมาแล้วสิ” กฤษต่อบทสนทนาซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญกับเสมอ เขาดีใจที่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังสนใจกิจกรรมตรงหน้า ไม่ทำตัวเหินห่างหรือคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตน ช่วยให้กฤษสบายใจขึ้นอีกเล็กน้อย หากว่าชมรมนี้มีโอกาสก่อตั้งขึ้นจริง ๆ เสมอก็คงเต็มที่กับกิจกรรม --- ตอนนี้อนาคตของชมรมกรีฑาจึงฝากไว้กับการวิ่งของมะลิ



เข้าสู่ช่วงกลางของรอบที่สอง ใจกล้ายังนำมะลิอยู่หลายช่วงตัว ดูเหมือนว่าคนตัวสูงจะได้เปรียบไม่น้อย มะลิซึ่งตามหลังยังรักษาจังหวะเอาไว้ ไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นนำแต่อย่างใด กระนั้นก็ดูไม่ออกว่าเรี่ยวแรงของคนตัวเล็กจะตกลงไป สีหน้าของมะลิยังปกติดี ฟอร์มการวิ่งของมะลิในสายตาคนนอกอย่างกฤษนับว่ายอดเยี่ยม ราวกับคุ้นชินสถานการณ์



ส่วนความกดดันจากการถูกไล่ตามก็ค่อย ๆ พวยพุ่งจนสร้างผลกระทบให้ผู้นำอย่างใจกล้า



‘ยังมีแรงเหลืออยู่อีกหรือนี่’ ใจกล้าซึ่งวิ่งอยู่ต้องคอยพะวงคู่แข่งจากข้างหลังจนเสียสมาธิ การวิ่งจึงเรรวน จังหวะผิดปกติ เดี๋ยวเร่งเดี๋ยวผ่อน จนตัวเขาเองรู้สึกได้



ซึ่งไม่รอดพ้นสายตาของอาจารย์ที่ปรึกษา กฤษลูบคางด้วยความสงสัย เขากำลังสังเกตอดีตนักกีฬาที่ กระสับกระส่ายไม่เป็นตัวของตัวเองเลย การวิ่งสะเปะสะปะนั้นสร้างภาระให้กับร่างกายอย่างหนัก สีหน้าของใจกล้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย



ด้านมะลิเริ่มเร่งจังหวะขึ้นเพื่อลดช่องว่างระหว่างเขากับใจกล้าให้เหลือหนึ่งช่วงตัว กระทั่งเข้าสู่รอบที่สาม ระยะห่างลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ ด้วยการเพิ่มความเร็วอย่างต่อเนื่องของมะลิ ก่อนเข้าสู่รอบสุดท้าย คนตัวเล็กทวีความเร็วจนเกินขีดจำกัด หวังจะขึ้นไปขนาบข้างใจกล้าที่วิ่งนำอยู่



เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อคนตัวเล็กที่ทุกคนไม่คิดว่าจะทนต่อการวิ่งระยะนี้ได้ เข้ากดดันใจกล้าที่นำอยู่ ทีละก้าว ทีละก้าว สร้างความประหลาดใจให้อดีตนักวิ่งประจำจังหวัด ซึ่งแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า มะลิจะตามเขาทัน



‘เป็นไปได้ไง ทำไมยังตามอยู่ได้ น่าจะหมดแรงไปตั้งแต่รอบสองแล้วไม่ใช่หรือไง’ ใจกล้าคิดขณะชำเลืองมองคนข้างหลัง



“ไม่น่าเชื่อ” เสียงหนึ่งจากข้างสนาม



เสมอที่จับตาการแข่งมาตั้งแต่ต้น แทบขยี้ตาตัวเองให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นความจริง ภาพของคนตัวเล็กกำลังไล่กวดนักกีฬาประจำจังหวัดอย่างไม่ลดละ ตั้งแต่รอบสองเป็นต้นมา ระยะห่างที่ใจกล้าทำไว้ค่อย ๆ ลดลง จากหลายช่วงตัวเหลือเพียงไม่กี่ก้าว



ในที่สุด มะลิขึ้นมาเทียบเคียงใจกล้าได้สำเร็จ



“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละ เด็กคนนั้นทำได้จริง ๆ ตอนนี้ก็รอบสุดท้ายแล้วด้วย ไม่แน่นะ...” กฤษอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาเมื่อสถานการณ์ในสนามเปลี่ยนไป เขาแทบห้ามความคิดของตนไม่ได้ เมื่อสิ่งที่แว็บเข้ามาในหัวกำลังบอกว่ามะลิจะชนะใจกล้า



“เป็นใครกันแน่คนที่ชื่อมะลินั่นน่ะ” เสมอเผลอพูดกับตัวเอง มะลิไม่ใช่นักกีฬาหรือนักวิ่งที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอย่างแน่นอน ข้อนั้นเขารับประกันได้ แล้วการวิ่งระดับนี้ นายไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่มีคนรู้จักนักกีฬาที่ชื่อมะลิ ไม่เคยมีชื่อ และไม่ปรากฏตัวในการแข่งใด ๆ ตลอดเวลานานไปหลบอยู่ที่ใดกันแน่



ในสนามขณะที่กำลังได้ใจอยู่นั้นใจกล้าเผลอผ่อนแรง กลับปรากฏร่างของผู้ท้าชิงตัวเล็กขึ้นมาเทียบเคียง มะลิวิ่งขึ้นมาทางขวามือของใจกล้า จังหวะการก้าวที่มั่นคง ความมั่นใจในฝีเท้าของตนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอดีตนักกีฬาอย่างเขา อีกทั้งสีหน้านั้นไม่บ่งบอกถึงความสิ้นหวังแม้แต่น้อย กลับเป็นดวงหน้าซึ่งเปื้อนไปด้วยความกล้าหาญ ใบหน้าที่มุ่งมั่นจะคว้าชัย



ใจกล้าที่มีความมั่นใจในฝีเท้าของตนเป็นที่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคู่แข่งเป็นเพียงเด็กชายไร้ชื่อในวงการวิ่งเช่นนี้แล้ว เขาแทบไม่ต้องใช้แรงหรือความสามารถเพื่อเอาชนะเลยสักนิด นั่นเป็นความเชื่อก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะขึ้นมาตีคู่กับเขาในระยะประชิด ชนิดที่ว่าแค่เอียงหน้าไปทางขาวสักนิดก็จะพบกับคู่แข่งซึ่งเคยสบประมาทเอาไว้กำลังจะขึ้นนำเขาไป



เขาคิดผิดที่ดูถูกคน ๆ นี้















โค้งสุดท้ายในรอบที่สี่ มะลิวิ่งเต็มกำลังไม่ต่างจากใจกล้าที่ไม่คิดจะยอมแพ้ ความได้เปรียบทางสรีระคอยหนุนให้เด็กหนุ่มร่างสูงพุ่งออกไปอย่างแน่วแน่ เพียงก้าวเดียวก็ขึ้นหน้าไปได้ไกล เทียบเป็นสองเท่าของร่างเล็ก แม้ใจกล้าจะตะลึงกับเรื่องไม่คาดฝันอย่างการถูกตามจนขึ้นมาเทียบเคียงเช่นนี้ แต่ก็ไม่ทำให้ความกระหายชัยชนะของเขาลดลงแม้แต่น้อย กลับเพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เขาต้องเอาจริงเสียที



‘ไม่ธรรมดาจริง ๆ คนที่ชื่อใจกล้า’ วูบหนึ่งมะลินึกชื่นชมความสามารถของคู่แข่ง แม้มีท่าทีไม่น่าชอบใจหลายเรื่อง แต่เมื่อลงสนาม เด็กเกเรอย่างใจกล้ากลับแสดงทักษะออกมาราวกับคนละคน



นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาล้มลงไป มะลิก็ได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้อย่างสาสม แม้เขาไม่เคยเอาชนะคมสันเพื่อนของตนได้ แต่ไม่มีการแข่งใดที่เขานึกเสียใจเท่าครั้งนั้น เพราะเป็นการแข่งเพียงหนึ่งเดียวที่เขาทุ่มเททุกสิ่งลงไป ผลสุดท้ายก็คว้าได้เพียงความเจ็บปวด นั่นทำให้มะลิได้รู้ว่าตนยังพยายามไม่พอ



จากวันนั้นเป็นต้นมามะลิจึงมุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก แม้ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแข่งกับคมสันอีกครั้งหรือไม่ แต่ก็เพื่อสักวันหนึ่ง วันที่เขาจะได้ใช้ความพยายามที่สั่งสมมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และเมื่อวันนั้นมาถึงเขาจะไม่เอ่ยโทษความสูง จะไม่กล่าวร้ายร่างกายที่ได้รับมา และไม่ร้องขอโอกาสซึ่งไม่เคยเข้ามาในชีวิต เพราะสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่วิ่งต่อไป ก้าวไปข้างหน้า อย่าหันกลับไปมองอดีต หรือกล่าวโทษโชคชะตาอีก สู้และพากเพียรไม่ให้น้อยหน้าคมสันที่กำลังพยายามอยู่



และในวันนี้ ครั้งนี้ การแข่งนี้ เขากำลังทุ่มเททุกสิ่งที่มีอีกครั้งเพื่อคว้าชัย



ขาเรียวคู่เล็กก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับขายาวคู่นั้น ทั้งสองกำลังพุ่งตรงสู่เส้นชัย ร้อยเมตรสุดท้ายจะเป็นตัวชี้ขาด เพียงเสี้ยววินาทีที่จะตัดสินว่าชมรมกรีฑาจะได้ก่อตั้งหรือไม่และใจกล้าจะได้เป็นสมาชิกหรือได้รับอิสระตามที่ตนต้องการ ไม่ว่าทางไหนก็ไม่สามารถหยุดยั้งทั้งคู่ไว้ได้



บัดนี้ทั้งคู่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแข่ง การเดินทางใกล้สิ้นสุด เหล่าผู้ท้าชิงทั้งสองได้ลืมเลือนข้อสัญญาที่ให้ไว้แก่กันไปสิ้น ทั้งมะลิและใจกล้าต่างวิ่งไปตามสัญชาตญาณ ลู่สนามสมมติกลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้การแข่งดุเดือดยิ่งขึ้น ขณะนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขากำลังมุ่งความสนใจ ปลายขอบของสนามฟุตบอลซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวแรก คือตัวตัดสิน จุดมุ่งหมายสุดท้ายซึ่งต่างฝ่ายก็ต้องการฝากรอยไว้เป็นคนแรก

มะลิล้มลงในที่สุด แต่เป็นการล้มหลังเส้นชัยที่ข้ามผ่านไปแล้ว



กฤษและเสมอวิ่งเข้าไปประคองทั้งคู่เอาไว้ก่อนจะทิ้งดิ่งลงพื้นด้วยความเหนื่อยและเมื่อยล้า เสมอตะโกนขอน้ำจากชมรมฟุตบอลที่หยุดดูการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการของชมรมไร้ชื่อซึ่งยังไม่ถูกก่อตั้ง



“ทำได้ดีมากมะลิ” กฤษกล่าวกับหนุ่มน้อยในอ้อมแขน



“แต่สุดท้ายก็แพ้นะครับ” มะลิตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุดจะกลั้น ความอ่อนเพลียเล่นงานเขาไปทั้งตัว ทว่าคงไม่เท่าความผิดหวังซึ่งถาโถมและซัดกระหน่ำให้แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ น้ำตาของคนตัวเล็กหยาดลงมาอย่างยากจะหยุดยั้ง



เขาคงต้องหาชมรมอื่นแทนชมรมกรีฑาที่ไม่อาจก่อตั้งได้อีกต่อไป

เพราะเขาพ่ายให้กับใจกล้า









.

.

.







‘แพ้อีกแล้ว’




ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
​บทที่ 6 ที่ปรึกษา​



เสียงห่าฝนตกกระทบกลบทุกสรรพเสียงโดยรอบจนแทบไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างกัน เป็นอีกวันที่ฝนเทลงมาอย่างไม่บอกกล่าว บ่ายแก่ก่อนเริ่มกิจกรรมเสริมทักษะ เหล่าชมรมกลางแจ้งทั้งหลายต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ เมื่อพวกตนต้องงดกิจกรรมเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นกีฬาหรือนันทนาการต่าง ๆ กลางสายฝน ส่วนชมรมวิชาการซึ่งอยู่ในตึกเรียนและห้องกิจกรรมนั่นไม่เดือดร้อนกับฝนชุดดังกล่าว เพียงแค่อบอ้าวกว่าปกติเท่านั้นที่ไม่ค่อยชอบใจเอาเสียเลย



ด้านนักเรียนที่ยังไม่สังกัดชมรมใด ทั้งกีฬา นัทนาการ และวิชาการ ก็ต้องออกตามหาตามหากันต่อไป เช่นเดียวกันกับเด็กชายร่างเล็ก ซึ่งจำใจเข้าไปสมัครสมาชิกกับชมรมกีฬาอิเล็กทรอนิกส์หรือการแข่งขันอีสปอร์ต ที่เขาค้านหัวชนฝาว่าไม่มีวันเข้าร่วม แต่ทว่า นักเรียนทุกคนจำเป็นต้องมีชมรมใดชมรมหนึ่งสังกัดอยู่ภายในสัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียน ซึ่งขณะนี้ก็เดินทางมาถึงวันศุกร์ วันสุดท้ายของการรั้งรอ



“แน่ใจนะว่าจะเข้าอีสปอร์ตกับฉัน” ต้นตอเอ่ยขึ้นหลังทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากเพื่อนตนและได้รับรู้ความเศร้าหมองจากดวงตาคู่นั้น เหตุเพราะคนตัวเล็กไม่สามารถก่อตั้งชมรมกรีฑาได้ ทั้ง ๆ ที่วันก่อนนั้น เพื่อนของเขาพึ่งมาบอกกล่าวความดีใจที่ได้ตั้งชมรมตามปรารถนาแล้วก็ตาม แต่พอถึงวันนี้ มะลิกลับมาบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเย็นวานให้เขาฟัง



“อืม... คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ” เสียงเรียบนิ่งไม่สมกับเป็นตัวเองของมะลิเอ่ยออกมา ยิ่งทำให้เพื่อนของเขาเป็นห่วงมากขึ้น



“ถ้านายว่างั้นฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ มาอยู่ชมรมเดียวกันก็ดีไปอีกแบบจะได้ปรึกษากัน ฉันก็เล่นไม่เก่งเหมือนกัน” ต้นตอยังคงปลอบคนตัวเล็ก และถึงจะพูดออกไปเช่นนั้น ความดีใจของเขาก็คงไม่ใช่ความในใจอย่างสัตย์จริง ในเมื่อการขังมะลิไว้ในห้องสี่เหลี่ยมเช่นนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ต้นตอชอบใจเอาเสียเลย เขาเองก็อยากเห็นมะลิอยู่ในสนามโล่งและวิ่งอยู่บนลู่มากกว่า



“ขอบใจ” เด็กชายหันไปกล่าวกับเพื่อนตนอีกครั้ง ก่อนผลักบานประตูห้องชมรมอีสปอร์ตเข้าไปพร้อมกับต้นตอ เพื่อเริ่มต้นกิจกรรมชมรมในวันแรกของเขา



ก่อนที่ประตูกระจกใส ซึ่งถูกเหนี่ยวรั้งด้วยระบบกลไกป้องกันการกระแทกจะปิดลง เสียงสุดท้ายถูกส่งออกมาเล็ดลอดรอยแง้มก่อนประตูกระจกจะปิดสนิท เสียงนั้นเรียกความสนใจของมะลิซึ่งก้าวเข้ามาในห้องที่มีเหล่าสมาชิกชมรมคนอื่นนั่งก้มหน้ามองจอโทรศัพท์มือถืออยู่ก่อนแล้ว


‘เสียงอะไร’ มะลิคิดในใจ เขาได้ยินเสียงเรียกคล้ายชื่อของตน แต่ไม่มั่นใจว่าใช่หรือเพียงหูแว่วไปเอง


‘ไม่หรอกมั้ง’ เขาคิดพลางเดินต่อไปเพื่อให้ต้นตอแนะนำเขากับเพื่อนร่วมชมรม และขอคำปรึกษาเรื่องกีฬาอีสปอร์ต



“มะลิ มะลิ นี่ มะลิ” เสียงเรียกซึ่งใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่ง ประตูบานเดิมเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาดังลั่น จนสมาชิกในห้องหันมามองด้วยสายตาตำหนิ รวมทั้งต้นตอเองก็สงสัยเช่นกันว่าใครที่เข้ามาตะโกนลั่นโดยไม่สนใจมารยาท



“มากับฉันก่อน” ขณะที่มะลิกำลังรวบรวมสติเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกลากออกจากห้องชมรมอีสปอร์ตโดยไม่มีการบอกกล่าว



ต้นตอคอยทักท้วงการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก แต่กลับไร้ผล รู้ตัวอีกทีมะลิก็หายไปพร้อมกับคนแปลกหน้า



“มีอะไรเสมอ จู่ ๆ ก็...” มะลิตะโกนแข่งเสียงสายฝนที่ล้อมรอบบรรยากาศอยู่ในขณะนี้



“ตามมาเหอะ อาจารย์เรียก” เสมอตอบกลับโดยไม่ขยายความใด ๆ ให้มะลิเข้าใจ กลับเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น เพราะนัดหมายที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขาต้องเหนื่อยวิ่งตามหามะลิทั่วโรงเรียน จึงไม่มีกะจิตกะใจอธิบายเหตุผลในตอนนี้



ฝนซาลง... ก่อนทิ้งไว้เพียงความเปียกชื้น กลิ่นไอดินลอยมาเตะจมูก กลุ่มก้อนทึมเทาค่อย ๆ สลายไปและเปิดพื้นที่ให้ฟ้าครามเข้ามาแทนความหมองหม่น สภาพอากาศเป็นใจให้กิจกรรมนอกห้องเรียนเริ่มต้นขึ้น ชมรมกลางแจ้งต่างออกมาจับจองพื้นที่ทั่วบริเวณ พร้อมเสียงเจี๊ยวจ๊าวให้โรงเรียนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง









มะลิและเสมอมาถึงสนามกว้างลานเดิมกับเมื่อวานที่เขาพ่ายแพ้ให้กับใจกล้า ซึ่งอาจารย์คนเดิมรออยู่ก่อนแล้ว และที่มากไปกว่านั้นคือการได้เห็นใจกล้าก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย มะลิสับสนการกระทำของเสมอและการรวมตัวกันของว่าที่สมาชิกชมรมกรีฑาซึ่งไม่ถูกก่อตั้งทั้งสามคน หากนับรวมที่ปรึกษาก็จะเป็นสี่



“เรียกผมมามีอะไรหรือเปล่าครับ” มะลิไม่รอช้า เอ่ยถามเหตุผลเพื่อคลายข้อสงสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่เสมอเข้าไปลากเขาออกจากห้องชมรมอีสปอร์ต



“เรื่องชมรมไง ลืมแล้วหรือว่าเธออยากตั้ง” อาจารย์คณิตศาสตร์คนเดิมเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของเด็กหนุ่ม



“ก็ผมแพ้แล้ว...” มะลิตอบกลับเบาหวิว จนแทบไม่ได้ยินเสียงในท้ายประโยค



“ฉันจะเข้าชมรม แค่นี้ก็ตั้งได้แล้วไม่ใช่หรือไง” จู่ ๆ คนที่ยืนเงียบก็โพล่งขึ้นมา ยิ่งทำให้มะลิสับสนเข้าไปอีก



“ใจกล้าและเสมอเปลี่ยนใจเข้าชมรม พอรวมเธอด้วยก็เป็นสาม ก็จะตั้งชมรมกรีฑาได้ เข้าใจหรือยัง” ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มขยายความให้คนตัวเล็กฟังอีกครั้ง



มะลินิ่งงันไม่ตอบโต้ เรื่องราวไม่คาดฝันที่ได้ยินทำให้เขาหวั่นเกรง ในหัวของมะลิกำลังประมวลสถานการณ์ตรงหน้าว่าที่ได้รับฟังนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่อำกันเล่น เพราะจากประสบการณ์ที่ได้ประสบมาไม่นานมานี้เตือนเขาว่าอย่าหลงระเริงกับความบังเอิญหรือเชื่อถือสิ่งที่เกิดขึ้น จนกว่าจะได้เริ่มกิจกรรมชมรมอย่างแท้จริง



'เอาล่ะ วันนี้คงซ้อมไม่ได้ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ เตรียมชุดมาเปลี่ยนให้พร้อม เข้าใจนะทุกคน' เสียงนั้นยังก้องอยู่ในภวังค์ แม้ขณะนี้มะลิจะอยู่ในห้องนอนของตนแล้วก็ตาม



ราวกับความฝัน เขาแทบไม่อยากตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นนี้เป็นเพียงภาพลวงตา



นี่เขากลับมาวิ่งได้จริง ๆ หรือ















“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน ครูชื่อกฤษ”



การเดินทางแสนสั้น ทว่าก่อปัญหานับร้อยให้กับเด็กชายตัวเล็กที่คิดจะก่อตั้งชมรมกรีฑาด้วยตัวของเขาเอง บัดนี้อุปสรรคด่านแรกได้ผ่านพ้นไป กิจกรรมชมรมกรีฑาจึงเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์เวลาบ่ายคล้อยกับแสงแดดอ่อน ๆ เหมาะแก่การดำเนินกิจกรรมของนักเรียนทั้งหลาย นั่นรวมถึงชมรมเล็ก ๆ แห่งนี้ด้วย



เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ หวังให้เกิดความสนิทสนมระหว่างสมาชิก เนื่องจากกีฬาเป็นกิจกรรมที่ไม่สามารถกระทำด้วยตัวคนเดียวแล้วบรรลุผล ไม่ว่าประเภทเดี่ยวหรือทีม อย่างน้อยหากได้รับความร่วมมือจากคนรอบข้างย่อมดีกว่าการฝ่าฟันอุปสรรคไปตามลำพัง ต้องมีเพื่อนคอยแบ่งปันประสบการณ์ มีผู้ให้คำปรึกษา หรือแม้แต่คู่แข่งที่เป็นแรงผลักดัน คนเหล่านี้จะคอยขับเคลื่อนให้นักกีฬาเดินหน้าต่อไป เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และมุ่งสู่ความสำเร็จ



ต่อมา ก่อนเริ่มการฝึกซ้อม หนีไม่พ้นการอบอุ่นร่างกายอย่างพอเหมาะพอควร เพื่อลดโอกาสการบาดเจ็บและปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ แน่นอนว่าทั้งสามทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี 



เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจเพิ่มจังหวะแรงดันขึ้น เหงื่อไหลย้อยลงมาคล้ายเป็นสัญญาณออกตัว กฤษเรียกทั้งสามมาพูดคุยถึงระยะวิ่งที่แต่ละคนถนัด เมื่อได้ความแล้วจึงปล่อยตัวนักวิ่งออกไป วันแรกนี้กฤษจะดูสมรรถภาพทางกาย เพื่อทราบขีดความสามารถของนักกีฬาแต่ละคนก่อนกลับไปวางแผนการฝึกซ้อมเฉพาะบุคคลอีกครั้ง



“วิ่งคนละสามรอบสนามแล้วกลับมาหาครู ยังไม่ต้องแข่งกัน ครูแค่จะดูจังหวะของแต่ละคนเท่านั้น ถ้าเข้าใจแล้วก็มาเริ่มกันเลย”



ทั้งสามออกตัวพร้อมเพรียง ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ใจกล้าตัวสูงที่สุดในกลุ่มมีช่วงขาที่กว้างกว่าสองคนที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด จังหวะการเปลี่ยนเท้าค่อนข้างไว ไม่หน่วงช้า เป็นผลจากการฝึกซ้อมในอดีต ส่วนเสมอถึงแม้ไม่ได้เป็นนักวิ่ง แต่เคยเล่นฟุตบอลมาก่อน การก้าวเท้าสั้นและกระชับ แต่ไม่สม่ำเสมอ คงต้องปรับตัวกับประเภทกีฬาที่เปลี่ยนไปพอสมควร ส่วนอีกคนที่กำลังวิ่งอยู่กลางวงล้อมความสูง เด็กตัวเล็กที่ช่วงขาแคบกว่าคนอื่น แต่แรงส่งจากภายในทำให้การก้าวสั้น ๆ เป็นไปอย่างสม่ำเสมอรวดเร็ว ไม่มีจังหวะเสียเปล่า และไม่ปรากฏความหน่วงค้างหรือติดขัด อีกทั้งยังรักษาระดับการวิ่งได้อย่างเหมาะสม ลงตัว คงเพราะการฝึกอย่างหนักที่ทำได้ถึงขนาดนี้ กฤษค่อย ๆ พิจารณาไปทีละคน ก่อนทั้งสามจะจบรอบด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน



นอกจากนั้นกฤษยังต้องการบันทึกสถิติในหนึ่งรอบสนามทีละคน โดยอนุญาตให้ใช้กำลังอย่างเต็มที่และทำเวลาออกมาดีที่สุด เนื่องจากเป็นระยะซึ่งครอบคลุม สามารถเห็นขีดจำกัดและสมรรถภาพในแต่ละช่วงของนักกีฬา ตั้งแต่ระยะร้อยเมตรแรกไปจนถึงร้อยเมตรหลัง ทั้งนี้กฤษจะบันทึกเวลาในทุกช่วง เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ประกอบกับข้อมูลชุดแรก



แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทุกขณะ ก่อนอัสดงละล่วงไป ทั้งสามใช้เวลาไม่นานสำหรับการวิ่งหนึ่งรอบสนาม แต่คงมากไปสำหรับชมรมอื่นซึ่งเคยกระจายอยู่รอบสนาม บัดนี้เหลือผู้ใช้งานเพียงสี่คน



ใจกล้าทดสอบเป็นคนแรก ตามด้วยมะลิ และเสมอ กฤษมองการวิ่งของนักกีฬาคนสุดท้าย ที่ทำเวลาในช่วงร้อยเมตรแรกได้ดีที่สุด เพราะไม่ได้ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ การรักษาจังหวะจึงไม่คงที่และแปรปรวน ส่วนผู้นำนั้นคงไม่ต้องพูดถึงมาก เพราะช่วงขาที่ยาวและรวดเร็ว สมกับตำแหน่งนักกีฬาอันดับต้นของจังหวัด เมื่อวิ่งเสร็จทุกคนจึงเรียกรวมเพื่อสรุปผล



“เริ่มจากเสมอ เธอวิ่งได้ดีช่วง 100เมตรแรก แต่คุมจังหวะไม่ค่อยได้” กฤษหันไปมองเจ้าตัว เมื่อพูดจบก็ย้ายตำแหน่งไปที่คนต่อไป



“ใจกล้าทำได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ติดแค่ช่วงกลางสนามที่ยังไม่นิ่งพอ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แค่อยากให้ปรับปรุง เพราะหากเจอคู่แข่งแบบเดียวกับมะลิเมื่อวานนี้ ก็คง...”



“เข้าใจครับ” เสียงตอบกลับฉะฉานหนักแน่นของใจกล้า ทำให้กฤษพอใจไม่น้อย ที่อดีตเด็กเกเรยอมรับคำแนะนำจากเขา



“คนสุดท้าย มะลิ เธอรักษาจังหวะของตัวเองได้สม่ำเสมอที่สุด แต่ด้วยความที่ตัวเล็กจึงไม่แปลกหากจะโดนทิ้งห่างเรื่องเวลาในช่วงท้าย ภาพรวมยังถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าอยากเร็วขึ้นคงต้องเร่งจังหวะตั้งแต่ต้นเกม”



“ครับ” เสียงตอบรับจากลูกศิษย์ตัวเล็ก



สำหรับมะลิ เขารู้ศักยภาพของตนดี คำติชมและการวิเคราะห์ของกฤษจึงเป็นการยืนยันความจริงและย้ำความสามารถของเขาในตอนนี้ได้ดี ทำให้เขารู้และตระหนักว่าตนเองต้องพยายามฝึกฝนให้มากขึ้น เพื่อก้าวต่อไป ก้าวไปข้างหน้า และก้าวให้ทันใจกล้าหรือใครก็ตามที่วิ่งอยู่บนลู่เดียวกัน



หากจะมีเรื่องแปลกใจคงหนีไม่พ้นใจกล้าที่เป็นนักกีฬาระดับจังหวัด มะลิไม่รู้อะไรเลย เมื่อวานที่ไปท้าแข่งก็ไม่ทันคิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน จนแพ้เข้าให้ ซึ่งคงโทษใครไม่ได้นอกเสียจากความบุ่มบ่ามของตัวเอง



“ส่วนเรื่องจังหวะและความยาวการก้าว ครูไม่สามารถบอกได้ว่าแบบไหนจะดีที่สุดในแต่ระยะ เพราะทุกคนมีศักยภาพต่างกันออกไป วิธีวิ่งของแต่ละคนย่อมแตกต่าง ทฤษฎีที่มีการพูดถึงไว้บ้างก็มาจากการสุ่มเลือกคนส่วนใหญ่ ซึ่งครูไม่นำมาใช้กับคนส่วนน้อยอย่างพวกเธอ โดยเฉพาะมะลิ ดังนั้นสิ่งที่ครูอยากให้พวกเธอทำก็คือ ขัดเกลาวิธีการวิ่งของตัวเองให้ดีที่สุด”



มะลิรู้สึกประหลาดใจ ทั้งยังประทับใจในความสามารถของกฤษ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานนะอาจารย์ที่ปรึกษาได้อย่างเหลือเชื่อ ในมุมมองของมะลิ กฤษไม่ใช่แค่ทุ่มเทกับชมรมซึ่งจับพลัดจับผลูมาดูแลโดยบังเอิญ อาจารย์ยังใส่ใจและทำงานอย่างละเอียดรอบคอบตั้งแต่วันแรก สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้มะลินับถือกฤษจากใจจริง



“ครับ”เด็กหนุ่มสามคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง



หลังจากที่ปรึกษาแจงรายละเอียดผลการวิเคราะห์นักวิ่งแต่ละคนเสร็จสิ้น สมาชิกชมรมคนอื่นก็เตรียมตัวแยกย้าย



“อ้าวมะลิ ยังไม่เก็บของอีกหรือ”กฤษร้องถามคนตัวเล็กที่เดินไปยังขอบสนาม ทำท่าทางเหมือนจะกลับไปวิ่งอีกครั้ง ซึ่งกฤษคิดว่าตนพูดชัดแล้วว่าให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน



“ผมจะอยู่ซ้อมอีกหน่อยครับ” มะลิตอบกลับตามปกติ



“การพักผ่อนก็สำคัญนะอย่าหักโหมมาก นี่ก็เย็นแล้วด้วย” ที่ปรึกษาชมรมอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้การฝึกซ้อมวันนี้จะไม่หนักหนามาก แต่ก็ทำให้ทั้งสามเหนื่อยอ่อนพอควร



“ปกติผมซ้อมกับเพื่อนทุกวัน มันไม่ชินเท่าไหร่หากต้องรีบกลับตอนนี้ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”



“งั้นตามใจเธอแล้วกัน ดูแลตัวเองด้วย” กฤษจ้องมองลูกศิษย์ตนอย่างพิจารณาก่อนอนุญาตให้ทำตามความประสงค์ คงไปขัดความตั้งใจไม่ได้



“ขอบคุณครับ”



สามคนที่เหลือเก็บของเตรียมตัวกลับ ฝั่งอาจารย์นั้นไม่มีอะไรมาก เพราะแค่มาควบคุมและกำกับดูแลความเรียบร้อย มีเพียงเป้ใบเล็กติดตัวมา ส่วนอีกสองคนกำลังคลายกล้ามเนื้ออยู่ข้างสนาม



“ว่าแต่ปกติของเธอนี่กี่โมง” ก่อนกลับกฤษหันไปทางมะลิอีกครั้ง พร้อมถามออกไปตามความสงสัย



“ประมาณ 2ทุ่มครับ” มะลิก็ตอบมาราบเรียบ แต่คำตอบนั้นยิ่งทำให้กฤษทึ่งในความพยายามของเด็กคนนี้ไม่น้อย



“การพักผ่อนก็เป็นเรื่องสำคัญนะ อย่างลืมข้อนี้เสียล่ะ” ผู้เป็นอาจารย์ย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง



“ครับอาจารย์”



เมื่อสิ้นสุดคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา มะลิจึงออกวิ่งอีกครั้ง เป็นการวิ่งระยะไกลที่เขาซ้อมอยู่ทุกวัน หลังจากมะลิวิ่งออกไปพ้นบริเวณ ความนิ่งงันก็เข้ามาปกคลุมคนทั้งสามที่ยืนอยู่ข้างสนาม ทุกสายตาจ้องมองชายร่างเล็กที่ก้าวออกไปเมื่อครู่



กฤษคิดว่าตนมองเด็กเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลย เขายังดูแค่ผิวเผิน สิ่งที่ตนรับรู้เป็นเพียงเปลือกนอกของแก่นแท้ นักกีฬาของเขามีอะไรมากกว่าที่คิด กฤษคงต้องปรับแผนการซ้อมของทั้งสามเสียใหม่ แม้แผนเดิมพึ่งเสร็จไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้ ทว่าหากเขาเสนอแผนซ้อมที่อ่อนข้ออย่างนั้นให้กับนักกีฬา คงถูกหัวเราะจากเด็กพวกนี้อย่างแน่นอน



“ชักตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ”เขาพูดกับตัวเอง พอให้สายลมและแสงดาวรับรู้ถึงความตื่นเต้นที่เริ่มปะทุขึ้นจากภายใน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2018 20:22:01 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 7 - แค่เสมอก็พอแล้ว



ภาคเรียนใหม่สร้างความคุ้นชินให้แก่นักเรียนชายหญิงทั้งหน้าเก่าและใหม่ หลายคนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและเพื่อนได้เป็นอย่างดี ความตื่นตระหนกเมื่อคราวพบคนแปลกหน้าในครั้งก่อน เริ่มละลายลงไป ความสนิทสนมจึงเข้ามาแทนที่ทีละน้อย กลั่นกรองให้กลายเป็นมิตรภาพในสักวันหนึ่ง




กระนั้น ยังมีบางสิ่งที่เวลาร่วมเดือนไม่อาจทลายกำแพงความแปลกต่างออกไปได้ มีบางอย่างซึ่งคงต้องใช้เวลาฝึกฝนและเพียรพยายามอย่างหนัก กว่าจะสามารถเรียกได้เต็มปากว่าสิ่งนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตมัธยม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกิจกรรมชมรมที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวต่างมีหนทางของตน ทั้งผู้ถูกเลือกจากความถนัด ผู้ได้เลือกจากความชอบส่วนตัว อีกทั้งผู้ที่ต้องจำนนกับทางเลือก เขาและเธอเหล่านั้นกำลังก้าวเข้าสู่บททดสอบครั้งใหม่ในการใช้ชีวิตวัยรุ่น รอยต่อแห่งอนาคตที่จะกำหนดทิศทางชีวิตของพวกเขา ด้วยตัวพวกเขาและผองเพื่อนรอบกายว่าเส้นทางนั้นจะโรยไปด้วยกลีบดอกไม้หรือกรวดทรายกันแน่



ต้นตอเป็นหนึ่งในคนที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคด่านแรกอย่างโหดหิน เพราะกิจกรรมชมรมอีสปอร์ตแท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากคำครหาจากรอบกายที่ว่าเป็นเพียงชมรมเกม ที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นเกม ซึ่งในจุดนี้ก็ยากจะปฏิเสธ เพราะสมาชิกอีกสี่คนทำเช่นนั้นจริง ๆ



ต้นตอมักถามตัวเองอยู่เสมอเมื่อก้าวเข้ามาในห้องชมรมว่า เขาเหมาะกับอีสปอร์ตจริงหรือ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในห้องแห่งนี้ ไม่ทำให้ต้นตอเกิดความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่มีความสุขกับการถูกบังคับให้ฝึกฝนเกมที่เขาไม่ถนัด และคิดว่าไม่มีวันที่เขาจะมีฝีมือเทียบชั้นคนอื่นได้



ความทุกข์จึงบังเกิดขึ้นโดยไม่มีการนัดหมาย เขาคงน่าเป็นห่วงจนเพื่อนข้างกายจับสังเกตได้ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าควรออกห่างที่แห่งนั้น เพราะขณะนี้ต้นตอกำลังแผ่ความทุกข์ออกไปรอบกาย จนทำให้คนอื่นทุกข์ตามไปด้วย



“ให้ฉันช่วยอะไรไหมต้นตอ นายดูแย่ลงมากเลย” เสียงที่แสดงความห่วงใยจากมะลิ ซึ่งเขาไม่อาจคว้าได้



“ไม่เป็นไร นายไปซ้อมวิ่งเถอะ” เพราะมัวแต่ห่วงคนอื่น ไม่อยากให้ใครมาทนทุกข์ไปกับตน และไม่อยากเป็นภาระของเพื่อน



“มีอะไรก็บอกได้นะ นายอย่าลืมล่ะว่าเราเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นนายก็ช่วยฉันตั้งเยอะ ถ้ามีปัญหาจริง ๆ บอกได้ทุกเมื่อ” มะลิยังไม่ยอมถอย



“อืม ขอบใจ” เสมอก็ไม่ยอมแพ้ ดื้อดึงจะจัดการปัญหาของตนเพียงลำพัง









ตลอดเดือนแรกของการเปิดภาคเรียน ชมรมกรีฑายังดำเนินกิจกรรมไปตามปกติ กฤษเข้ามาดูแลการฝึกซ้อมรายบุคคล หลังเก็บสถิติและข้อมูลต่าง ๆ หลายสัปดาห์ โดยเขาต้องการเน้นจุดเด่นของแต่ละคนให้มากที่สุด เพื่อเสริมจุดแข็งและเพิ่มข้อได้เปรียบของพวกเขา ส่วนปัญหาที่พบหรือจุดด้อยก็คงต้องค่อย ๆ ปรับแก้เป็นรายคน งานนี้ผู้ที่รับบทหนักที่สุดน่าจะเป็นเสมอ เนื่องจากมีพื้นฐานในการวิ่งและรักษาสมดุลน้อยที่สุด แต่ด้วยสมรรถภาพทางกายที่พร้อมเป็นทุนเดิม จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ส่วนมะลิและใจกล้าก็ได้รับการแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อย โดยยังยึดการฝึกหลักของแต่ละคนเป็นแกน เนื่องจากผลที่ออกมาถือว่าน่าพอใจ จะเสริมก็แต่การแก้ข้อบกพร่องบางประการที่ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น เพื่อหลังจากนี้ เมื่อเก็บข้อมูลด้านความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการใช้โปรแกรมฝึก ค่อยเพิ่มเติมเสริมแต่งไปทีละส่วน กฤษจ้องมองชุดข้อมูลในมือ ก่อนกวาดสายตาไปยังลูกศิษย์ที่กำลังฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน



บรรยากาศการฝึกของชมรมที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามะลิ ราวกับฝันซึ่งเขาถวิลหามาตลอด แต่นี่ไม่ใช่ความฝัน ภาพตรงหน้านั้นเป็นความจริง ความยินดีแทบปิดเอาไว้ไม่มิด ชมรมที่ตนอุตส่าห์ฝ่าฟันก่อตั้งขึ้นมา ขณะนี้มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์กำลังมุ่งมั่นฝึกฝนกันอย่างตั้งใจ กอปรกับหนึ่งในสมาชิกเป็นถึงนักกีฬาระดับจังหวัด นั้นแปลว่าเขามีคู่แข่งซึ่งแข็งแกร่งอยู่ใกล้ตัว สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ อาจารย์ที่ปรึกษาที่ทุ่มเทเวลา แรงกาย และแรงใจให้กับพวกเขา คงไม่มีช่วงเวลาไหนจะเป็นสุขเท่าตอนนี้อีกแล้ว มะลิยิ้มออกมาระหว่างที่ขาคู่นั้นยังก้าวไปข้างหน้า



“อาจารย์ครับ ทำไมเวลาของผมยังไม่ดีขึ้นเลย ก็ทำตามตารางฝึกแล้วนะครับ” อดีตนักกีฬาฟุตบอลโอดครวญกับที่ปรึกษาหลังจากมองดูสถิติการวิ่งของตนที่ยังไปไม่ถึงไหน



สำหรับเสมอ เขาเองก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่ยอมตกปากรับคำเข้าร่วมชมรมกรีฑาซึ่งไม่เคยอยู่ในแผนการใช้ชีวิตมอปลายที่เขาวางไว้ อีกทั้งเรื่องที่ว่าจะต้องไปวิ่งแข่งกับใครเขานั้นยิ่งแล้วใหญ่ เขาอยากหยุดเรื่องกีฬาไว้ด้วยซ้ำ นั่นต่างหากเป็นความตั้งใจและแผนการชีวิตของเขา



แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด ถูกความกดดันและแรงชักจูงบางอย่างดึงเขาเข้ามาในชมรมแห่งนี้ ชมรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและการแข่งขันอีกแล้ว ต่างกันเพียงการแข่งในครั้งนี้หัวใจสำคัญคือตัวเอง เขาต้องวิ่งด้วยเท้าของตัวเอง และแข่งกับตัวเองทุกช่วงเวลา คู่แข่งเป็นเพียงสีสันประดับลู่วิ่ง ที่คอยให้เขาเข้าเส้นชัยโดยมีตัวประกอบตามหลังมา



เมื่อคิดเช่นนั้น เสมอจึงบอกกับตัวเองว่าไม่เสียหายอะไร เพราะตัวเขาเองก็มีความสุขและสนุกที่ได้ทำกิจกรรมตรงหน้านี้พอสมควร ถึงแม้จะตามหลังเพื่อนอีกสองคนที่เหลืออยู่พอสมควร แต่การฝึกตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้เขาเห็นพัฒนาการของตัวเองในทุกวัน ในแต่ละรอบสนามที่วิ่ง พลอยทำให้กำลังใจอยากวิ่งให้ดีขึ้นไปอีก



ถึงอย่างนั้น ด้วยความร้อนใจจึงต้องร้องถามกับที่ปรึกษาเช่นนี้



“นี่พึ่งผ่านไปแค่สามอาทิตย์เองนะเสมอ รีบไปหรือเปล่า” ใจกล้ากำลังเตรียมตัววิ่งจับเวลา หันมาพูดกับเสมอก่อนออกตัวฝึกซ้อมตามตารางฝึกของตน เสมอยังไม่ทันโต้ตอบ ใจกล้าก็วิ่งเลยระยะสนทนาไปเสียแล้ว



“อย่างที่ใจกล้าพูดนั่นแหละ เราต้องฝึกซ้อมอีกถึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ลองมองไปที่มะลิสิ เธอคิดว่าเขาเก่งไหม” อาจารย์กฤษเสริมความคิดเห็นของใจกล้า ก่อนแลกบทบาทมาเป็นผู้ตั้งคำถามแทนเสมอ



“เก่งครับ” เสมอตอบออกไปตามจริง



“ก็ตามนั้น มะลิเก่ง แต่ไม่ใช่เพราะวันนี้หรือเมื่อวานที่เขาฝึกฝน แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา นั่นคือความพยายามที่เห็นผลในวันนี้ เธอเข้าใจใช่ไหม” กฤษไม่ตั้งใจจะเปรียบเทียบนักเรียนของเขาหรือเทียบเคียงใครกับใครทั้งสิ้น เพียงแต่มะลิเป็นความหมายของความพยายามอย่างดีที่สุดในเวลานี้



“เข้าใจครับ ขอบคุณมากครับ ผมขอตัวไปซ้อมต่อ” เสมอเข้าใจเป็นอย่างดี เขาแค่อยากได้แรงผลักดันจากใครสักคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้คงไม่ต้องให้ถึงมือที่ปรึกษา เสมออาจทำเพียงชำเลืองมองไปที่มะลิ เพื่อเพิ่มแรงใจในการวิ่งไปข้างหน้าของเขา







เสมออยากขอบคุณมะลิจากใจจริง ที่คอยเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ให้แก่เขา ผู้ซึ่งเคยพ่ายแพ้มาตลอด เสมอบอกกับตัวเองในวันนี้ว่า จะลองสู้อีกครั้ง สู้กับความล้มเหลวในอดีต เขาอยากก้าวข้ามหุบเหวซึ่งดึงดูดให้ล่วงหล่นลงทุกครั้งที่พยายามก้าวข้าม --- ครั้งนี้เสมอจะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อผ่านไปให้ได้



“พักก่อนใจกล้า เดี๋ยวให้เสมอใช้สนามต่อ” เสียงตะโกนจากข้างสนามของที่ปรึกษา ทำให้ใจกล้าที่วิ่งอยู่ เปลี่ยนทิศทางและมุ่งมายังจุดพักตามคำแนะนำของที่ปรึกษา



ใจกล้าเห็นพัฒนาการของตนในช่วงนี้ หลังจากหยุดชะงักมาหลายเดือน และดูเหมือนว่าจะพัฒนาเร็วยิ่งขึ้นเมื่อมีเพื่อนร่วมทีมอย่างมะลิเป็นคู่แข่ง การที่ได้เห็นความพยายามของมะลิ ทำให้เขาต้องหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ให้กับคน ๆ นั้นตั้งแต่จบมัธยมต้นเขาก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ โดยมักใช้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ทำตัวเกเรจนถูกส่งมาเรียนยังโรงเรียนห่างไกลนี้ แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เมื่อเขาได้เจอกับคนตัวเล็ก คนที่ค้านเหตุผลทุกประการที่มีอยู่ซึ่งเขาเคยหยิบยกมาใช้ เหตุผลซึ่งมีไว้ให้คนขี้ขลาดนำมาเป็นข้ออ้าง เหตุผลที่ผู้พ่ายแพ้อย่างเขาใช้อยู่เรื่อยมา สำหรับมะลิ เหตุผลเหล่านั้นกลับไม่สามารถทำอะไรได้ มะลิไม่ได้พิเศษ ไม่มีพรสวรรค์ เพียงแค่ไม่มีข้ออ้างให้กับความพ่ายแพ้



มะลิฝึกซ้อมและวิ่งออกไป การวิ่งของคนตัวเล็กก็พลอยทำให้คนรอบข้างอยากจะวิ่งตาม มะลิทำให้เขาเปลี่ยนไป ใจกล้ารู้ตัวดีว่าตนไม่ใช่คนที่จะมาจมปลักอยู่กับความพ่ายแพ้ ขณะนี้เขากลับมาฝึกซ้อมอย่างที่ควรจะเป็น และซ้อมให้หนักยิ่งขึ้นอย่างที่คนตัวเล็กทำให้เขาเห็น แม้โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้โดดเด่นเรื่องกีฬาเมื่อเทียบกับโรงเรียนในตัวเมืองหรือโรงเรียนเดิมของเขา แต่กลับมีเพื่อนและคู่แข่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าโรงเรียนไหน ๆ



“วันนี้ก็จะอยู่ซ้อมกับมะลิใช่ไหม” เสมอพึ่งกลับมาจากการวิ่งระยะสั้น ร้องถามใจกล้าที่เตรียมพร้อมออกตัวอีกครั้งหลังเขากลับมา



“ใช่ แล้วนายล่ะ จะกลับแล้วหรือ”



“ไม่รู้สิ เห็นพวกนายสองคนซ้อมหนักทุกวัน ฉันก็อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน”



“สรุปทั้งสามยังไม่กลับใช่ไหม” กฤษขอเข้าร่วมวงสนทนาของทั้งคู่



“ครับครู ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา กลับก่อนได้เลยครับ”



“ไม่ดีกว่า วันนี้ขออยู่ซ้อมกับพวกนายด้วย พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ไม่เห็นต้องรีบกลับเลยว่าไหม”



สามศิษย์กับหนึ่งอาจารย์ยังจดจ่อกับการฝึกซ้อม ในขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายตัวไปยังทิศตะวันตก เพื่อจบบทบาทของตน แต่การฝึกซ้อมและคำแนะนำต่าง ๆ ที่พรั่งพรูออกมาคงยากจะหยุดยั้ง



“ผ่านไปเดือนกว่าแล้วที่ซ้อมกันมา พวกเธอทุกคนทำได้ดีมาก แต่รู้ไหมว่าอะไรที่จะวัดความสำเร็จของพวกเธอได้ดีที่สุด”



“การแข่ง” ใจกล้าร้องขึ้นอย่างรู้ทัน สมกับเป็นอดีตนักกีฬาชื่อดัง รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้น



“ใช่แล้ว การแข่งขันเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อจะได้รู้พัฒนาการของแต่ละคน”กฤษเอ่ยออกมา ตอบรับความคาดหวังของใจกล้า



“ครูจะจัดแข่งสามคนหรือครับ” เสมอเอ่ยถามอย่างสงสัย และคาดเดาตามสภาพการณ์ เนื่องจากมองดูสมาชิกในชมรมแล้ว คงยากที่จะเป็นสิ่งอื่น



“งั้นก็ดี” ใจกล้าอุทานออกมาอย่างยินดี เขาเองมีความคาดหวังที่จะแข่งขันกับมะลิอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมีความพร้อมด้วยกันทั้งคู่ อีกอย่างการวัดฝีมือกับเพื่อนร่วมทีมก็เป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญสำหรับการพัฒนาตัวเอง หากคราวนี้ได้แข่งขันภายในจริง ๆ ล่ะก็ เขาพร้อมสนับสนุนอย่างแน่นอน การฝึกซ้อมตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาช่วยให้ร่างกายกลับมากระฉับกระเฉงเข้าที่เข้าทางเหมือนก่อน หรืออาจยิ่งกว่าเดิม



“เปล่า ไม่ใช่การแข่งภายใน” เสียงของกฤษทำลายความหวังของใจกล้าลง



“หมายความว่าไงครับ” มะลิถามอย่างสงสัย



“ก็หมายความว่าเราจะไปแข่งกับโรงเรียนอื่นไงล่ะ”



“จริงหรือ โรงเรียนอะไร” ใจกล้าตะโกนเสียงดังอย่างออกอาการ ทั้งที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์ร่วมสักเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้ตามคาดหวัง ทว่าการแข่งร่วมกับต่างโรงเรียนก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับเขาคู่แข่งมากเท่าไหร่ย่อมเป็นผลดีต่อการพัฒนา



“ยังไม่กำหนดโรงเรียน ตอนนี้ครูกำลังติดต่อไปก็หลายที่เหมือนกัน ไม่รู้จะตอบรับเราไหม แต่เตรียมตัวไว้เลย เร็ว ๆ นี้แน่นอน”



การฝึกซ้อมภายในโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้กับชมรมที่เล็กยิ่งกว่าชมรมใด กำลังอบอวลไปด้วยความตื่นตัวของนักกีฬาทั้งสามคน เพราะนี่เป็นครั้งแรกของมะลิและเสมอ ที่จะได้ร่วมการแข่งขันกับโรงเรียนอื่น คู่แข่งที่ไม่เคยรู้จักทั้งชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถ อีกทั้ง ครั้งนี้จะเป็นการคืนสู่สนามของใจกล้า บรรยากาศของความหนักหน่วงซึ่งเพิ่มเติมเข้ามา จนทั้งสามแทบอดทนรอให้ถึงวันแข่งจริงไม่ไหวเสียแล้ว



เหงื่อไหลย้อยลงมากระทบกับแสงสุดท้ายซึ่งลาลับไปในที่สุด ดวงอาทิตย์หมดหน้าที่ไปในดินแดนซีกนี้ ส่วนการฝึกซ้อมของนักกีฬาทั้งสามและหนึ่งผู้ฝึกสอนยังดำเนินต่อไป









ระหว่างทางกลับบ้าน เสมอจำต้องแยกกับทุกคน ชายหนุ่มอดีตนักกีฬาฟุตบอลเดินเตะก้อนหินทรงกลมหน้าตาคล้ายลูกบอลขนาดย่อมไปเรื่อยตามทางเข้าสู่บ้านของตน ที่ตั้งอยู่จนสุดซอยแห่งนี้ บรรยากาศยามดึกซึ่งอากาศกดตัวต่ำลงเหมือนจะช่วยคลายความเหนื่อยล้า แต่ไร้ลมโบกจนความร้อนที่สะสมติดตัวมาตั้งแต่โรงเรียนเร่งให้เขากลับบ้านเพื่ออาบน้ำชำระล้างความร้อนและเหงื่อไคลออกจากตัว หากว่าไม่ถูกขัดขวางโดยอดีตเพื่อนร่วมทีมเสียก่อน



“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ที่โรงเรียนก็ไม่ยักจะเห็นหน้า แต่มาสังเกตวันนี้ว่าไปเข้าชมรมวิ่งกับพวกตัวเล็ก ๆ นี่คิดจะเอาชนะคนแบบนั้นแล้วดีใจล่ะสิท่า” เสียงเย้ยหยันเปล่งออกมาจากชายหนุ่มผิวเข้ม ที่เดาะลูกบอลพร้อมกันอย่างชำนาญ



“ไม่ได้เกี่ยวกับนาย ขอตัวนะ” เสมอไม่อยากต่อความให้ยืดเยื้อ จึงเลี่ยงออกมาให้พ้นทางซึ่งถูกขวางโดยชายที่กำลังเตะลูกบอลมาทางนี้



“อย่าพึ่งกวนได้ไหม มันดึกแล้วฉันอยากกลับไปอาบน้ำ” ฝ่ายโดนรังควานโอดครวญออกมาอย่างเหลืออด ทั้งยังต้องรับลูกฟุตบอลจากคนตรงหน้ามาไว้ใต้เท้าอย่างจำนน



“คิดจริงหรือว่าคนอย่างนายจะเอาดีทางนี้ได้ แค่ฟุตบอลยังเป็นตัวสำรองตลอดชาติเลย ไปวิ่งอย่างมากก็แค่ชนะเพื่อนตัวเตี้ยคนนั้น ถ้าไปแข่งข้างนอกก็แพ้อยู่ดี ฉันว่านายควรเลิกไปเถอะ ไม่ต้องเล่นมันหรอก ไม่มีกีฬาไหนที่เหมาะกับนายทั้งนั้น” คำพูดแดกดันกับวาจาว่าร้ายยังพรั่งพรูไม่หยุด



เสมอไม่โต้ตอบ เพียงส่งลูกบอลใบเดิมกลับไปยังเจ้าของ แล้วเลี่ยงออกมาในที่สุด เขาไม่คิดจะยอมแพ้ตามคำพูดของอดีตเพื่อนร่วมทีมหรืออดีตกัปตันทีมของตน แค่ตอนนี้เวลาพักผ่อนสำคัญยิ่งกว่าคำพูดอีกฝ่ายเป็นไหน ๆ



“เอาแต่หนีอยู่นั่นแหละ”

“ระวังได้เป็นตัวสำรองอีกล่ะ”

“อย่างนายแข่งไปก็เท่านั้น”

“ไม่เชื่อก็คอยดู”

“ฉันจะรอวันที่นายแพ้อีกครั้ง”





เสียงเดิมยังไล่หลังมาไม่หยุดหย่อน

'ช่างเถอะมันก็แค่อดีต' เสมอย้ำกับตัวเอง




ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 8 - อีกด้านหนึ่งของความพยายาม


กลิ่นยาคลายกล้ามเนื้อลอยฟุ้งไปทั่ว เสียงฝีเท้าหนักแน่นบดเบียดกับพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม บอลยางหลากประเภทกระทบไปมาบนพื้นต่างชนิดกัน นี่เป็นบรรยากาศของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาอันดับต้นของจังหวัด

โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการส่งเสริมด้านกีฬาในแต่ละประเภทอย่างเป็นระบบ มีการให้ทุนแก่นักกีฬามากความสามารถจากทั่วประเทศ แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนและหลากหน่วยงาน เหตุผลหลักที่ผู้สนับสนุนเลือกลงทุนในโรงเรียนแห่งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผลสัมฤทธิ์ของการฝึกซ้อมซึ่งออกมาในรูปรางวัล ผลงาน และหน้าตาทางสังคม จึงดึงดูดเหล่าสปอนเซอร์จากทั่วประเทศเข้ามาขยับขยายและพัฒนาโครงข่ายวงการกีฬาในสถานศึกษาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ซึ่งก้าวข้ามหลายโรงเรียนไปอย่างเทียบไม่ติด ทั้งหอพักที่คอยให้บริการนักกีฬาทุกประเภท เพื่อให้สอดคล้องกับการฝึกซ้อม

นอกจากนี้ สนามกีฬาซึ่งได้มาตรฐานระดับสากลก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของโรงเรียน ที่ช่วยเสริมสร้างทักษะ ความพร้อม และมาตรฐานให้กับนักกีฬาอย่างมาก เป็นที่แน่นอนว่า โรงเรียนประจำภูมิภาคแห่งนี้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการกีฬาทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ ด้วยความพร้อมทุกด้าน คงไม่แปลกหากการแข่งขันรายการใหญ่ระดับประเทศ เลือกใช้สถานที่ของโรงเรียนเป็นสนามแข่งขันและให้สถานศึกษาแห่งนี้เป็นเจ้าภาพในรายการสำคัญต่าง ๆ

กรีฑาประเภทลู่เป็นหนึ่งในชมรมที่คอยคว้าชัยและสร้างชื่อให้กับโรงเรียนในระดับประเทศ จึงมีผู้สนับสนุนด้านอุปกรณ์ฝึกซ้อม ตลอดจนสนามใช้แข่งขัน ซึ่งเป็นลู่วิ่งมาตรฐานระดับสากล ใช้สำหรับการฝึกซ้อมตลอดทั้งปี ราวกับมีการแข่งรายการใหญ่จัดขึ้นที่สนามแห่งนี้ทุกวัน ซึ่งช่วยผลักดัน สร้างความฮึกเหิม และเสริมความมั่นใจให้เหล่านักกีฬา แน่นอนว่านักกรีฑาเยาวชนหลายพันคนต่างหมายปองจะได้มาอยู่ในสนามแห่งนี้ในฐานะเจ้าถิ่น ทว่าเทียบเชิญกลับมีจำกัด สำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการทาบทามให้มาเป็นนักกีฬาในสนามแห่งนี้

“เอาล่ะ มารวมตัวก่อน” สิ้นเสียง กลุ่มนักเรียนหญิงชายจำนวนไม่น้อยที่กระจัดกระจายอยู่เมื่อสักครู่ ต่างมารวมตัวอยู่ตรงหน้าเจ้าของเสียงเรียก

“วันนี้ รอบจัดอันดับประจำวันจะเป็นการวิ่งจับเวลาของแต่ละประเภท โดยแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะไกลตามลำดับ ไม่ต้องทำทุกช่วง แค่วิ่งเฉพาะช่วงของตัวเองก็พอ ให้ผู้หญิงเริ่มก่อน” หนึ่งในผู้ฝึกสอนเอ่ยขึ้น

“อีกเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบ วันเสาร์นนี้จะมีการแข่งซ้อมเล็ก ๆ ไม่ใช่รายการใหญ่แต่ใครถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนก็ขอให้ทำเต็มที่” หัวหน้าผู้ฝึกสอนชี้แจงกำหนดการณ์คร่าว ๆ ของการแข่งซึ่งถูกร้องขอมา เป็นการแข่งกระชับมิตรอย่างไม่เป็นทางการ

“กับโรงเรียนอะไรครับ” หนึ่งในกลุ่มนักกีฬาชายถามด้วยความสงสัย

บ่อยครั้งชมรมกีฬาต่าง ๆ จะถูกเทียบเชิญหรือขอความร่วมมือในการฝึกซ้อมและแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการ แต่ส่วนมากมักปฏิเสธ เพราะศักยภาพของนักกีฬานอกโรงเรียนไม่ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีความเสี่ยงที่จะทำให้นักกีฬาบาดเจ็บ แต่ครั้งนี้กลับตกปากรับคำเอาตั้งแต่ต้นเทอมอย่างนี้ เหล่านักกีฬาปีโตก็อดสงสัยไม่ได้

“ไม่รู้เหมือนกันจำชื่อไม่ได้ คงจะเป็นโรงเรียนนอกอำเภอ เห็นบอกว่ามีสมาชิกแค่สามคนเอง”

สิ้นเสียง ความครื้นเครงก็เข้ามาแทนที่ความสงบเมื่อครู่ เสียงหัวเราะของนักกีฬามากกว่าสามสิบคนประสมโรงฮาลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อทราบกำลังของคู่แข่ง เหล่านักวิ่งโรงเรียนดังแทบไม่รู้สึกหวั่นเกรง คาดว่าคงเป็นการแข่งที่ง่ายดายราวกระต่ายกับเต่า เพียงแต่แปลกใจที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนรับคำท้าครั้งนี้

“หยุดหัวเราะ ผมคงไม่รับปากหากโรงเรียนนั้นไม่มีฝีมือ อีกอย่าง ไม่ว่าคู่แข่งจะมีกี่คนไม่ได้เป็นตัววัดชัยชนะในสนาม คนที่เข้าเส้นชัยก่อนเท่านั้นที่ผมต้องการ ไม่ใช่จำนวน อย่าลืมเสียล่ะ” ความเงียบเข้าปกคลุมโดยพลัน ความจริงที่เปล่งออกมาจากอดีตนักวิ่งของประเทศสยบทุกคนให้หยุดฟัง

“แล้วจะส่งใครไปแข่งครั้งนี้ค่ะ” ผู้กล้าคนแรกที่ทำลายความเงียบงันนั้นลง

“คู่แข่งเป็นนักเรียนชายทั้งหมดมาแค่สามคน วิ่ง 200เมตร800เมตร และ1,500เมตร ระยะละคน เป็นเด็กมอ 4ทั้งหมด ฉะนั้นจะคัดเลือกจากรุ่นเดียวกันนี้”

“งั้นส่งผู้ชายไปสามคนใช่ไหมครับ”

“เปล่า เราจะส่งประเภทละ 7คน ให้ครบจำนวนลู่วิ่งในสนาม ส่วนเรื่องคัดคนไปแข่ง จะเลือกหลังจากการฝึกวันนี้เสร็จ สำหรับคนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดในรุ่นเล็กจะได้แข่งรายการวันเสาร์นี้”

การฝึกเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากผู้ฝึกสอนแจงรายละเอียดให้นักวิ่งแต่ละประเภทและแต่ละช่วง สนามเงียบเหงาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ความวุ่นวายกลับมาครอบครองอีกครั้ง แทบทุกแห่งล้วนถูกจับจองโดยนักกรีฑาหลากหลายประเภท การจับเวลาวันนี้แม้ไม่มีผลต่อการจัดอันดับระดับชาติ แต่ในระดับโรงเรียนแล้ว ชมรมกรีฑาเป็นชมรมหนึ่งที่แข่งขันจัดอันดับภายในตลอดทั้งปี เพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นแก่นักกีฬาและปลุกเร้าความเป็นผู้นำให้คงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่แปลกหากความกดดันจะปกคลุมไปทั่วสนามในขณะนี้ โดยเฉพาะกรีฑาประเภทลู่

คมสันย้ายมาศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่นี่ โดยโครงการรับตรงจากผลงานด้านกีฬา เขาถูกทาบทามจากโรงเรียนก่อนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตรงกับช่วงที่ผ่านเข้ารอบรายการใหญ่ระดับจังหวัดและคว้าชัยในเวลาต่อมา แม้แต่ในระดับชาติก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้จักชื่อเสียงของเขา

การจากบ้านมายังโรงเรียนห่างไกลเช่นนี้ ไม่ส่งผลต่อการปรับตัวมากเท่าที่ควร เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงก็ต้องฝึกซ้อมเพื่อเก็บสถิติและข้อมูลต่าง ๆ หลังจากการฝึกตามโปรแกรมเฉพาะกลุ่มจึงถูกส่งมาให้ ซึ่งต้องเข้าร่วมเรื่อยมา แทบไม่มีเวลามาสนใจการปรับตัว ทุกวินาทีที่เขาว่างเว้นจากการเรียน นั่นหมายถึง การฝึก

“ระยะต่อไปคือ 1,500เมตร เตรียมตัวให้พร้อม” เสียงตะโกนมาจากที่ไกล เป็นสัญญาณให้คมสันและเพื่อนร่วมระยะเตรียมความพร้อม

หลังเสียงประกาศ ห้านาทีต่อมา นักวิ่ง 1,500 เมตร เข้าประจำที่ในสนาม รอเพียงสัญญาณออกตัว เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ชั่วอึดใจ นักกีฬาในลู่วิ่งต่างพากันพุ่งไปข้างหน้า จนครบรอบแรกฝั่งลู่วิ่งด้านนอกจึงเร่งฝีเท้าขึ้นนำ เป็นการช่วงชิงในเสี้ยววินาที ก่อนที่ทุกคนจะรักษาระยะและจังหวะของตนไว้สำหรับเส้นทางที่ยังยาวไกล

การวิ่งในระยะค่อนข้างยาวเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือจังหวะและการแบ่งช่วงเพื่อใช้แรงสำหรับวิ่งให้ครบรอบ เพื่อเหลือกำลังในการขับเคี่ยวช่วงท้าย ครั้นจะหุนหันพลันแล่นวิ่งสุดกำลังตั้งแต่ต้นหรือเชื่องช้าจนถูกทิ้งห่างเกินระยะ ไม่ว่าทางไหนก็อาจทำให้ผู้วิ่งไม่สามารถคว้าชัยมาครองได้สำเร็จ ฉะนั้น หากสามารถรักษาจังหวะของตนไว้ ไม่ตามหลังคู่แข่งจนเกินไปและไม่เร่งรีบถึงขั้นหมดแรงเสียก่อน คอยควบคุมและวางแผนในช่วงต่าง ๆ ให้เหมาะสม คือหนทางสู่การเป็นผู้นำและคว้าชัยมาในที่สุด แม้โดยหลักการไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่พื้นฐานเรียบง่าย แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยหากต้องทำตามหลักการนั้น ลำพังแค่ควบคุมจังหวะของตัวเองยังต้องพึ่งการฝึกซ้อมอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอจึงจะสามารถสร้างความสมดุลของตนเองได้อย่างมั่นคง ซึ่งนักวิ่งทุกคนในลู่ทราบถึงข้อนี้ดี

ขณะนี้เข้าสู่รอบสุดท้ายของการจับเวลาระยะ 1,500 เมตร ผู้นำเป็นอดีตนักกีฬาจากโรงเรียนเอกชน ซึ่งถูกทาบทามมายังโรงเรียนแห่งนี้เช่นเดียวกับอีกหลายคน ตามหลังมาด้วยนักกีฬาจากโรงเรียนไร้ชื่อด้านกรีฑา หากแต่เจ้าตัวนั้นโดดเด่นในเวทีระดับชาติ ทั้งสองทิ้งห่างจากกลุ่มใหญ่ประมาณสามช่วงตัว และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ทั้งคู่ต้องขับเคี่ยวกันเพื่อคว้าชัยในครั้งนี้ไปครอง

โค้งสุดท้ายเป็นการเร่งความเร็วอย่างเต็มกำลัง เรี่ยวแรงที่เก็บสะสมตั้งแต่รอบแรกถูกปลดปล่อยออกมาในร้อยเมตรสุดท้าย ทั้งสองวิ่งอยู่ในระนาบเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมถอย รีดเค้นกำลังมาใช้อย่างสุดความสามารถ เสี้ยววินาทีเป็นตัวตัดสิน ฝ่ายคมสันพยายามวิ่งขึ้นนำอีกคนด้วยแรงที่เหลืออยู่ ขาคู่ยาวก้าวขึ้นหน้าอย่างมั่นคง ก่อนเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก ตามด้วยนักวิ่งจากโรงเรียนเอกชน และคนอื่นที่เหลืออยู่

“แพ้ ชนะ 15 ตอนนี้เสมอกันแล้วนะคมสัน” สิทธิพลนักวิ่งคู่แข่งซึ่งขับเคี่ยวกันเมื่อครู่ กล่าวกับคมสันซึ่งเป็นผู้ชนะในครั้งนี้

“ฮาฮาฮา นายนี่จริงจังกับเรื่องแพ้ชนะเกินไปหรือเปล่า” คมสันตอบกลับคู่แข่งและเพื่อนร่วมทีมอย่างไม่ไยดีมากนัก เขาไม่ใส่ใจสถิติที่ฝั่งตรงข้ามเก็บรวบรวมสักเท่าไหร่

“ฉันแค่หาคู่แข่งที่สามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้ ซึ่งก็คือนาย ถึงจะนำหน้าฉันไปเล็กน้อยที่เอาชนะรุ่นพี่เมื่อวันก่อน แต่แค่นั้นฉันไม่ยอมแพ้หรอก อีกไม่นานจะตามนายให้ทัน” สิทธิพลไม่มีทีท่าท้อถอย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

“ฉันควรดีใจใช่ไหม” คมสันยังคงใช้น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ตอบกลับไป ระหว่างคลายกล้ามเนื้อ พร้อมมองดูการแข่งที่เหลือในสนาม

“ต่อไปเป็นระยะ 3,000 เมตร ขอให้นักกรีฑาในประเภทนี้ทุกคนมาเตรียมตัวด้วย” ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนตะโกนบอกนักกีฬาในรอบถัดไป

เมื่อการฝึกซ้อมของวันสิ้นสุดลง นักกรีฑาทุกคนต่างทยอยกันไปจัดการธุระส่วนตัวที่ห้องอาบน้ำรวม และรวมกันอีกครั้งในโรงอาหาร หลังจากนั้นจะมีการวางแผนและสรุปผลการฝึกที่ห้องประชุมกลาง เป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของชมรมกีฬา นับเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำในระดับชาติอย่างเต็มรูปแบบ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2018 00:02:02 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
วัยรุ่นนี่ดีจังน้า  อ่านแล้วเห็นพลังของช่วงวัยนี่ดีจริงๆ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……

นานๆมีเรื่องที่ปูพื้นจากกีฬาให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความพยายาม ก้อดีนะ

ติดตามอ่านน้าาาา.

เอามาเป็นแรงจูงใจให้กับสิ่งที่ตั้งใจจะทำอยู่ตอนนี้ ให้ลงมือทำสักที


 :ped149: :ped149: :ped149: :ped149: :ped149:


……


ออฟไลน์ MinorMa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
ปูพื้นหลังมาดีมาก​ คนเขียนข้อมูลแน่นสุด​ รอตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 9 - เตรียมความพร้อม

กลางดึกเป็นเวลาพักผ่อนที่ดีที่สุด อาจเป็นช่วงเวลาเดียวที่นักกีฬาสามารถเสาะหาได้ หากไม่นับรวมเวลาเรียน หลังการประชุมสรุปผลการฝึกซ้อม จะมีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง สำหรับให้นักนักกีฬาจัดการธุระส่วนตัว ทำการบ้าน หรือกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ การนั่งเล่นและพูดคุยภายในห้องพัก โรงอาหาร หรือตามสถานที่ซึ่งแสงไฟส่องถึงก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยม เพราะช่วยผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน

“คิดยังไงกับการแข่งวันเสาร์” สิทธิพลเอ่ยขึ้นระหว่างทอดน่องอยู่นอกโรงอาหารกับเพื่อนร่วมทีมที่เอาชนะตนไปเมื่อเย็น

“ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แค่แข่งซ้อมด้วย คงไม่หินมากหรอก” คมสันตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติและสีหน้าเรียบเฉย เพื่อยืนยันคำพูดของตน

ทั้งคู่พูดคุยระหว่างทางเดินโรงอาหารกับห้องพัก เขาสองคนเป็นเพื่อนร่วมห้องที่วิ่งในระยะเดียวกัน อาจเรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่ง เป็นเด็กใหม่ในโรงเรียนแห่งนี้ จึงช่วยเหลือกันในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าสังคม ทำให้สนิทสนมจนกลายเพื่อนกันในที่สุด เว้นก็แต่ในสนามซึ่งไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน ทุกครั้งที่วิ่งสนามเดียวกัน สิทธิพลและคมสันจะกลายเป็นคนแปลกหน้า

สำหรับสิทธิพล ชื่นชอบการวิ่งตั้งแต่จำความได้ เพราะอาศัยอยู่ในตัวจังหวัด ครอบครัวจึงส่งเสริมและพาไปชมกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะกรีฑาประเภทลู่ที่เขาเฝ้าชมจากข้างสนามอย่างใจจดใจจ่อ และชื่นชมนักวิ่งที่มีชื่อเสียงหลายคน จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขา สิทธิพลถูกส่งตัวไปฝึกกับนักกรีฑาอาชีพรุ่นเยาว์และลงแข่งทั้งรายการเล็กรายการใหญ่ในจังหวัดตลอดมา

สุดท้ายจึงได้รับการเสนอทุนจากโรงเรียนแห่งนี้

“งั้นมาแข่งกันว่าใครจะชนะวันเสาร์นี้” สิทธิพลเสนอ

“คนแพ้เลี้ยงข้าวทั้งเดือน” คมสันสนองตอบด้วยการวางเงื่อนไข

“ตกลง” ฝ่ายท้าก็รับเงื่อนไขที่คมสันให้มาอย่างง่ายดาย มั่นใจอย่างที่สุดว่าทั้งตนและเพื่อนต้องเป็นผู้นำในการแข่งระยะ 1,500 เมตร อย่างแน่นอน ไม่ได้ยกยอพวกตนแต่อย่างใด เพราะนั่นคือความจริงซึ่งอ้างอิงจากสถิติการวิ่งของพวกเขาตั้งแต่เข้ามาในสถานศึกษาแห่งนี้ จะพบว่าทั้งสองต่างผลัดกันแพ้และชนะขึ้นไปเป็นผู้นำตลอดมา ในรุ่นนี้หรือในระยะดังกล่าวแทบไม่มีคู่แข่งสำหรับพวกเขา

“นายคิดว่ารุ่นพวกเรา ในจังหวัดจะมีคนที่สามารถเอาชนะนายได้ไหม นอกจากฉัน”

“นั่นคำถามหรือกำลังอวดตัวเองกันแน่” คมสันตอบกลับอย่างเร็ว กับคำถามแปลก ๆ ของเพื่อน

“เถอะน่าตอบมาเร็ว นายเคยแข่งรายการใหญ่หลายครั้งสมัยมอต้น คิดว่าคงเจอคู่แข่งมาพอควร ต้องเจอบ้างแหละคนเก่ง ๆ”

“ถ้าในจังหวัดนี้ อายุประมาณเราไม่น่าจะมี แต่ก็ไม่มั่นใจขนาดนั้น”

“แล้วเคยแพ้ใครหรือเปล่า”

“แรก ๆ ก็แพ้บ่อยเหมือนกัน พอซ้อมหนักขึ้นก็ไม่เคย แค่เกือบ ๆ อืม...”

“คิดอะไรอยู่” ท้ายประโยคทำให้สิทธิพลสงสัย

“กำลังนึกถึงเรื่องเก่า ๆ จะเรียกว่าแพ้ก็ได้ หรือไม่แพ้กันนะ...”

“ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด” คำตอบของคมสันทิ้งความสงสัยให้แก่คู่สนทนาอย่างสิทธิพล

คมสันหลงเข้าไปในภวังค์ของตน เขากำลังนึกย้อนถึงวันวาน เรื่องราวของตนกับเพื่อนสมัยเด็ก ชายร่างเล็กที่คอยวิ่งตามเขาอยู่ตลอดเวลา คนที่ไม่ชอบออกกำลังกายไม่ว่ากีฬาประเภทไหนก็มักปฏิเสธก่อนได้เริ่มเสมอ

อาจเป็นเพราะไม่มีเพื่อนคนไหนยอมรับในตัวเขาคนนั้นนอกจากคมสัน แรก ๆ แค่นั่งมองคมสันทำอะไรต่อมิอะไร สุดท้ายคนที่คอยนั่งดูอยู่ข้างสนามและปล่อยให้เวลาผ่านไป กลับลุกขึ้นมาวิ่งตาม แม้ถูกทิ้งห่างไปหลายช่วงตัว จนเอ่ยปากยอมแพ้และชักชวนคมสันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

พอเวลาผ่านไปเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนตัวเล็ก ที่ยิ่งเล็กไปอีกเมื่อมองจากข้างหลัง เด็กคนนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และในที่สุดคมสันก็มองเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ทรมาน สีหน้าของคนไม่มีความสุข
ทว่าตอนไหนไม่ทราบที่เพื่อนคนนั้นวิ่งออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม ในที่สุดความสนุกสนานจึงแต่งแต้มไปทั่วทั้งสนาม วันเวลาที่เขาและคนตัวเล็กฝึกซ้อมร่วมกันกลายเป็นห้วงแห่งความสุขซึ่งหวนนึกถึงทุกครั้งที่เหนื่อยล้า

กระทั่งวันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ร้อนอบอ้าว เย็นวันนั้นเองที่สีหน้าของเพื่อนคนนี้แปรเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ต้องมองกลับไปข้างหลังอีกแล้ว เพราะผู้ที่ไล่ตามและใบหน้าที่คุ้นตากำลังขึ้นนำเขาอยู่ในตอนนั้น พร้อมกับสีหน้าที่ไม่ใช่ความสุขหรือความสนุกสนาน หากแต่เป็นใบหน้าของคนที่กำลังกระหายชัยชนะ เขารู้ได้ทันทีว่า วันนั้นได้พ่ายแพ้ให้กับเพื่อนตัวเล็กไปเสียแล้ว แพ้ให้กับคนไม่ถนัดกีฬาทุกประเภท คนที่จ้องมองเข้าจากริมสนาม บัดนี้คน ๆ นั้นขึ้นมาเทียบเคียงเขาในที่สุด

“อาจมีก็ได้ คนที่เก่งกว่าฉัน” คำพูดลอยลมที่ดังขึ้นมา เรียกสิทธิพลให้หันกลับไปจ้องมองเจ้าของเสียง แต่กลับไม่ได้รับการขยายความแต่อย่างใด สิทธิพลจึงปล่อยให้คนข้างกายตกอยู่ในภวังค์ต่อไป ปล่อยให้ความเงียบงันเข้ามาครอบครองพื้นที่ในค่ำคืนไร้ดาว



.
.
.


อีกด้านหนึ่ง ณ โรงเรียนห่างไกล แม้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนใด ก็ใช่ว่านักกีฬาในเรียนเล็ก ๆ จะไร้ซึ่งความฝัน เพราะจนถึงขณะนี้ชมรมกรีฑาที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ยังฝึกซ้อมกันอยู่ในสนามฟุตบอล สนามซอฟท์บอล สนามวิ่ง และสนามต่าง ๆ ตามที่สภาพจะเอื้ออำนวย สิ่งที่พัฒนาและเพิ่มเติมเข้ามาคงจะเป็นแสงไฟจากความอนุเคราะห์ของที่ปรึกษาชมรม ซึ่งเสาะหาลู่ทางนำมาติดตั้งจนสำเร็จ เป็นผลให้การฝึกราบรื่นยิ่งขึ้น

นักกีฬาทั้งสามคนกำลังวิ่งอยู่ในสนาม ไม่ใช่การแข่งขันแต่อย่างใด แต่กำลังฝึกซ้อมเพื่อสร้างจังหวะของตนเอง โดยมีอาจารย์คณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหนึ่งคนคอยควบคุมดูแลอยู่ข้างสนาม เขาเป็นทั้งคนจดบันทึกสถิติ ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของนักกีฬาแต่ละคน เพื่อนำกลับไปออกแบบตารางการฝึกซ้อมเฉพาะตัวให้กับสมาชิกทั้งสามคน โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งหากนักวิ่งคนใดสามารถก้าวพ้นขีดกำกัดของตัวเองได้

เป็นที่ทราบกันว่าโรงเรียนในละแวกนี้ไม่มีความโดดเด่นทางด้านกีฬา ยิ่งกับกรีฑาที่ไม่มีโรงเรียนไหนพร้อมในเรื่องสนามแข่ง จึงเป็นเรื่องยากในการฝึกกับสนามจริงและหาคู่ซ้อมใกล้เคียง โชคยังพอเข้าข้างที่กฤษรู้จักเพื่อนซึ่งเป็นนักวิ่งที่ผันตัวไปเป็นผู้ฝึกสอนในโรงเรียนดังและโดดเด่นทางด้านกีฬา ชมรมกรีฑาที่มีสมาชิกเพียงสามคนจึงได้โอกาสที่หาได้ยากมา

“พรุ่งนี้แล้วนะที่เราจะได้แข่งในสนามจริงร่วมกับนักวิ่งโรงเรียนอื่น พวกเธอทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม” กฤษเอื้อนเอ่ยเรื่องน่ายินดีที่ว่าให้กับนักกีฬาทั้งสามอีกครั้ง

“ครับ” สามเสียงสอดรับตอบกลับมา

“จะดีมากหากวันนี้พวกเธอกลับไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพรุ่งนี้เช้ามาเจอกันหน้าโรงเรียนตอนตีห้าครึ่ง”

“เช้ามาก” เสียงบ่นจากเสมอ แต่ก็เป็นเสียงร้องภายในใจของสองคนที่เหลือเช่นกัน

“ครูรู้ว่าอาจลำบากสักหน่อยในการตื่นแต่เช้า สำหรับวันหยุดด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แต่เพื่อทดสอบพัฒนาการของพวกเธอทุกคนก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เข้าใจใช่ไหม”

“ครับ”

แม้จะได้รับคำแนะนำว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็น แต่การแข่งสนามจริงอย่างเป็นทางการของมะลิ ก็ทำให้เขาตื่นเต้นจนไม่อาจข่มตานอน มะลิพลิกตัวไปมานานหลายชั่วโมง ความง่วงไม่เข้ามาทดแทนอาการตื่นตระหนกเลยสักนิด ‘เขาต้องทำยังไงถึงจะหลับได้อย่างสนิท ถ้าหากยังนอนไม่หลับพรุ่งนี้เขาจะวิ่งได้ไหม อาจแพ้ก็ได้ ต้องแพ้แน่ ๆ ไม่ไหวแล้วนอนไม่ได้เลย’ ความว้าวุ่นที่รุมทำร้ายเด็กน้อยผู้ตื่นเวที

เวลาค่อยๆ ย่างเข้าสู่วันใหม่ แม้จำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการพักผ่อนคงไม่เพียงพอหากวัดตามสัดส่วนมาตรฐาน แต่สำหรับมะลิ แค่นั้นก็มากเกินจำเป็นแล้วล่ะ ‘ดีกว่าไม่ได้นอนเลย’

แตกต่างจากสองคนที่เหลืออยู่ คนหนึ่งอาจไม่ใช่นักกรีฑามาก่อน แต่ก็เป็นนักกีฬาอีกประเภทหนึ่ง จึงไม่ตื่นสนามอย่างที่ควรจะเป็น แม้จะเป็นครั้งแรกของเขาสำหรับการแข่งวิ่งก็ตาม ด้านนักกีฬาผู้มากประสบการณ์ ไม่แม้แต่จะคิดกังวลใจกับการแข่งขันพรุ่งนี้ เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติที่คุ้นชินและเจอมาบ่อยครั้งในช่วงหลายปี จึงหลับสนิทไปตั้งแต่หัวค่ำ เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

ตอนนี้สมาชิกทั้งสามคนของชมรมกรีฑาทุกคนอาจหลับใหลไปในนิทราแล้ว ทิ้งไว้เพียงอาจารย์หนุ่ม ซึ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกับเด็กชายตัวเล็กอย่างมะลิ เพียงแต่ว่า ยังหาหนทางรับมือกับนักกีฬาโรงเรียนคู่แข่งที่เด่นดังไม่ได้ตามที่คาดไว้ทั้งหมด เพราะมีเรื่องน่าเป็นห่วงอยู่หลายเรื่องด้วยกัน


‘คงไม่เป็นไรหรอก ต้องเชื่อใจพวกนั้น’

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บทที่ 10 - พบกันอีกครั้ง



เช้ามืดที่ไม่อาจมืดมิด ซึ่งแสงจากดวงจันทร์ยังคงทำหน้าที่ไม่บกพร่อง อากาศชื้นจากฝนโปรยลงมาก่อนหน้า ส่งให้อุณภูมิโดยรอบลดต่ำลงกว่าปกติ ความเย็นคอยกล่อมประสาทให้ผู้คนเข้าสู่นิทรา เช้าวันหยุดซึ่งควรเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนบนที่นอน แทนการตื่นตั้งแต่แสงแรกยังมาไม่ถึงเช่นนี้

แต่เช้านี้ก็มีคนที่ตื่นขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนพระจันทร์เพิ่มขึ้นสี่คน พวกเขามาจากชมรมกีฬาวิ่งในโรงเรียนเล็ก ๆ ที่รวมตัวกันเพื่อเดินทางจากอำเภอห่างไกลไปสู่ตัวเมืองใหญ่ ระยะทางกินเวลาหลายชั่วโมง จึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปถึงที่หมายก่อนเวลานัด และเผื่อเวลาสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น

ความง่วงงันปรากฏชัดบนใบหน้าของเด็กทั้งสาม ขัดกับผู้เป็นอาจารย์ที่ยังคงค้างความตึงเครียดไว้บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะกล่าวกับตัวเองว่าให้เชื่อในตัวเด็กเหล่านี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังข่มความกังวลไว้ไม่หมด

การเดินทางครั้งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เนื่องจากไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงคงเป็นความผิดของชมรมตั้งใหม่นี้ด้วย เพราะมีสมาชิกเพียง 3 คน การขออนุญาตหรือการเบิกค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องลำบาก ฉะนั้น วันนี้รถคู่ใจของกฤษจึงเป็นพาหนะนำทุกคนไปสู่จุดหมายปลายทางยังโรงเรียนแห่งการกีฬาอันมีชื่อเสียงโด่งดัง

เช่าตรู่วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับอากาศในเมืองใหญ่ที่ร้อนอบอ้าว พวกเขาทั้งสี่มาถึงที่หมายตามคาดการณ์ เมื่อเข้ามาในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่านักกีฬาที่ต่างออกมาฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขัน ทั้งฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล และกีฬาประเภทอื่น ๆ อีกหลากชนิด

ในขณะที่นักกีฬาหลายชีวิตกำลังมุ่งมั่นฝึกซ้อมตามตารางฝึกของตนอย่างเป็นปกติ ทว่าเหล่าผู้มาเยือนก็กำลังประสบปัญหา เพราะขณะนี้ทั้งสี่ยังหาสนามกีฬากลางซึ่งเป็นจุดหมายไม่พบ ด้วยขนาดของโรงเรียน แทบทุกชมรมต่างมีโรงยิมและสนามฝึกซ้อมเป็นของตน จำนวนกีฬานับครึ่งร้อยกับจำนวนตึกที่ไม่น้อยหน้ากัน อาคารหลังใหญ่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ ทำให้พวกเขาสับสนเส้นทางและพากันหลงวนเวียนอยู่รอบโรงเรียนใหญ่เป็นนาน ยังผลให้เวลาล่วงเลยไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

“พอจะรู้ทางไปสนามกีฬากลางไหมครับ” อาจารย์ที่ปรึกษาทำหน้าที่สอบถามเส้นทาง

“ต้องตรงไปอีกครับ”

“ขอบคุณมาก”

แต่ถึงกระนั้น คำบอกกล่าวจากปากต่อปากยิ่งทำให้กฤษสับสน กว่าจะพบจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพึ่งวิธีการสุดท้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากใช้ตั้งแต่แรกคงไม่ต้องวนรถหาไปทั่วโรงเรียนแบบนี้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ทำให้อาจารย์หนุ่มไม่ยอมตัดสินใจโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทที่เป็นธุระจัดการแข่งขันครั้งนี้ได้

“ฮาฮาฮาไอ้กฤษหลงทาง แกหลงทาง ฮาฮาฮา” เสียงของธนัฐดังก้องอย่างไม่อายลูกศิษย์ที่มองดูผู้ฝึกสอนจอมโหดกำลังหัวเราะอย่างไม่เชื่อสายตา

“อย่ามาหัวเราะนะ ก็ใครให้โรงเรียนแกใหญ่ขนาดนี้ ป้ายบอกทางก็ไม่ได้เรื่อง” กฤษปรามเบา ๆ พร้อมส่งสายตาเชือดเฉือนกลับไป แถมด้วยการโทษนั้นโทษนี่อย่างไม่เป็นตัวเอง

“ก็มันตลกจริงนี่ เอาล่ะ ๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ฉันชื่อธนัฐเป็นผู้ฝึกสอนนักกรีฑาประเภทลู่ประจำโรงเรียนแห่งนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก” ธนัฐหันมาเอ่ยกับนักผู้มาเยือน

เป็นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ไม่มีผิด นักกีฬาหน้าใหม่อย่างมะลิทึ่งในความพร้อมของโรงเรียนใหญ่จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะนักกีฬาของที่นี่ ทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก แค่มองดูก็รู้แล้วว่าสภาพร่างกายแบะจิตใจของพวกเขาพร้อมสำหรับการแข่งขันทุกเมื่อ อีกทั้งยังเสริมทัพความแข็งแกร่งด้วยอุปกรณ์ทันสมัย ตลอดจนสนามกีฬาที่ได้มาตรฐานตรงหน้านี้ด้วย นี่สินะความห่างชั้นที่ไม่มีวันก้าวข้ามไปได้ มีแต่ต้องใช้ความพยายามเข้าสู้เท่านั้น

“จริงด้วย” มะลิเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท

เรื่องที่ว่าเพื่อนคนสำคัญของเขาเรียนได้ทุนนักกีฬามาศึกษาต่อในโรงเรียนแห่งนี้ เขาลืมไปได้ยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่คมสันก็บอกตลอดว่าได้ทุนเรียนต่อที่นี่

“มะลิ ?”

“คมสัน ?”

“มะลิจริง ๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

จู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า เป็นคมสันตัวจริงเสียงจริง แม้จะดูต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ‘เขาสูงขึ้นใช่ไหม’ มะลิถามตัวเองในใจ ไม่ได้เอ่ยออกไป ‘ไม่สิต้องสูงกว่าเดิมแน่นอน ดูแข็งแรงขึ้นอีกด้วย’ อาจเป็นเพราะต้องฝึกหนักในสภาพแวดล้อมแบบนี้ทุกวัน เลยเปลี่ยนเพื่อนคนสนิทของะลิ จากที่แกร่งอยู่แล้วก็ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก แล้วอย่างนี้เขาจะเอาอะไรไปเทียบเคียงคมสันได้ พอมะลิพยายามก้าวตามให้ทัน คมสันก็จะขึ้นนำอีกก้าวหนึ่ง ทิ้งเขาไว้ข้างหลังตามเคย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เพื่อนตัวสูงก็ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง

“เธอสองคนรู้จักกันด้วยหรือ” ธนัฐผู้ฝึกสอนของคมสันถามขึ้น รวมทั้งคนอื่น ๆ ก็ดูจะแปลกใจไม่น้อย

“ครับโค้ช เพื่อนสนิทผมเอง” คมสันตอบกลับไป

“ฮาฮา งั้นพวกนายก็อย่าอ่อนข้อให้ล่ะ”ธนัฐกล่าวทีเล่นทีจริง เพราะยังไม่อาจประเมินคู่แข่งได้หากยังไม่ลงสนาม

“มะลิ นี่นายรู้จักคน ๆ นี้ด้วยหรือ ตัวแทนจังหวัดปีที่แล้ว” คนที่แปลกใจมากที่สุดคงไม่พ้นใจกล้า เนื่องด้วยคนตรงหน้าที่ยืนเคียงคู่กับเพื่อนร่วมทีมของเขาและมีท่าทีสนิทสนมกัน เป็นคนเดียวกับที่เอาชนะใจกล้าในการแข่งขันคัดเลือกตัวแทนระดับจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว เหตุผลที่แท้จริงของความพ่ายแพ้ที่ใจกล้าได้รับในวันนั้น เมื่อมองออกไปยังคนทั้งสองแล้ว แทบไม่แปลกใจในความสามารถของมะลิเลย

มะลิช่วยแถลงข้อสงสัยให้แก่เพื่อร่วมทีม รวมทั้งที่ปรึกษาชมรมซึ่งให้ความสนใจไม่แพ้กัน ใจกล้าฟังเรื่องราวของคนตัวโตที่มีคู่แข่งอย่างคนตัวเล็ก และคนตัวเล็กที่มีคู่ซ้อมอย่างนักวิ่งระดับจังหวัด อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงมีแค่คมสันที่ถูกส่งมาคัดตัวแทนจังหวัดตลอดสามปีที่พวกเขาเข้าสู่วงการวิ่งสมัครเล่น ฝีมืออย่างมะลินั้นเทียบได้กับคมสันเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมไม่เคยเห็นนักกีฬาตัวเล็กตรงหน้าในการแข่งขันใดเลย นี่แหละเรื่องที่ใจกล้าหรือแม้แต่กฤษค้างคาอยู่

“คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะรู้จักนักกีฬาชื่อดังแบบนี้” กฤษเอ่ยกับมะลิ คล้ายเป็นการกล่าวชมคมสันไปในตัว

“ชมเกินไปแล้วครับ แค่ตอนนั้นไม่มีมะลิในสนามเท่านั้นล่ะครับ ไม่งั้นคงเกรงน่าดู” คมสันมักทำตัวไม่ถูกเมื่อมีผู้กล่าวชมเช่นนี้ ก่อนหันไปยกยอเพื่อนตัวเล็กของตนอย่างสัตย์จริง

“โอ้โห... แปลกนะที่คมสันเอ่ยชมคู่แข่งแบบนี้ แล้วคนไหนล่ะที่ชื่อมะลิ เธอใช่ไหม” ธนัฐหันไปกล่าวกับเสมอ

“ไม่ใช่ครับ คนนี้ต่างหาก” เสมอปฏิเสธทันควัน ก่อนชี้เป้าหมายให้แก่ผู้เข้าใจผิด

“นี่ทำให้ฉันแปลกใจนะรู้ไหม เธอเองหรือที่ชื่อมะลิ ชักอยากเห็นฝีมือแล้วสิ” ธนัฐตกตะลึงกับเด็กตรงหน้า ไม่ใช่ในความน่ายำเกรง แต่เป็นความไม่น่ายำเกรงนั่นต่างหาก เด็กคนนี้ดูภายนอกแล้วบอกได้เต็มปากว่าธรรมดามาก

“อย่าประมาทลูกศิษย์ฉันแล้วกัน” กฤษเอ่ยขึ้นมา

“มั่นใจขนาดนี้ ฉันเองก็ไม่ออมมือให้หรอกนะ งั้นให้นักกีฬาของนายไปเตรียมตัวได้ เด็กของเราซ้อมกันตั้งแต่เช้าแล้ว ยกสนามให้พวกนายไปซ้อมจนพอใจ พร้อมแข่งเมื่อไหร่ก็บอกได้ทุกเมื่อ”

“ขอบคุณครับ” เสียงลูกศิษย์จากโรงเรียนห่างไกลดังก้อง ก่อนที่ทุกคนจะไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่ใกล้เข้ามา

ห้องพักนักกีฬาที่ธนัฐจัดให้นั้นค่อนข้างเพรียบพร้อม อาจเรียกได้ว่าอยู่ในมาตรฐานระดับเดียวกับการแข่งขันจริง ซึ่งเกินความคาดหวังของพวกเขา --- พอทุกคนจัดการเรื่องเครื่องแต่งกายสำหรับการวิ่งเสร็จ กฤษก็เรียกประชุมวางแผนก่อนการแข่งขัน เป็นภาพแปลกตาของนักกีฬาทั้งสามอย่างยิ่ง เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นกฤษในโหมดจริงจังเช่นนี้ ที่ปรึกษาของพวกเขาดูเครียดจนจับสังเกตได้ พาให้บรรยากาศกดต่ำลงไปทุกขณะ และส่งผลให้ทุกคนในห้องกว้างแห่งนี้หม่นหมองลงไปด้วย

“นี่พวกเธออย่าทำหน้าสลดตามครูแบบนั้นสิ ก่อนอื่นต้องขอโทษที่เป็นแบบนี้”กฤษรู้สึกตัวก่อนใคร เพราะไม่เพียงเขาที่กำลังเครียด แต่กำลังพาให้ทุกคนจมดิ่งไปด้วย

“วันนี้ครูดูจริงจังกว่าทุกวันนะครับ” มะลิเอ่ย

“ใช่ครับ” เสมอเห็นพ้องด้วย

“ก็คิดมากเรื่องแผนการแข่งวันนี้ ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือเปล่าที่ให้พวกเธอซ้อมแข่ง” กฤษแถลงไขความคับข้องภายในใจให้แก่ลูกศิษย์ของตน

“อย่าคิดมากเลยครับ ถึงผลจะออกมาเป็นยังไง อย่างน้อยวันนี้ก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งแรกของเรา โดยเฉพาะมะลิกับเสมอ”ใจกล้าเสริมอย่างมีเหตุผล เขาที่คล้ายจะผ่อนคลายที่สุดดึงทุกคนกลับมา

“ใช่ครับ” อีกสองคนขานรับคำกล่าวนั้น

‘ปกติต้องเป็นอาจารย์ที่ต้องให้กำลังใจนักกีฬา แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันต้องให้ลูกศิษย์มาให้กำลังใจแทน ฉันนี่มันจริง ๆ เลย’ กฤษอดเศร้าใจไม่ได้ที่ตนเป็นแบบนั้น และต้องขอบคุณคำพูดของเด็กพวกนี้ ซึ่งช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากก้นเหว ความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวานราวกับหายไปในพริบตา เป็นเขาเองที่คิดมากจนเกินเหตุ ทั้งที่เรื่องแบบนี้น่าจะเกิดขึ้นกับนักกีฬามากกว่าตัวผู้ฝึกสอน แต่ดูพวกเขาสิ ไม่มีทีท่าร้อนรนหรือกดดันเลย จะปล่อยให้ที่ปรึกษาอย่างเขามาแสดงความอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้แล้ว

“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาวางแผนรับมือสำหรับการแข่งในวันนี้กันเถอะ” กฤษที่กลับมาจากหุบเหวแห่งความว้าวุ่นใจ เอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัด เพื่อให้กำลังใจทุกคน รวมทั้งตัวเขาเอง

“ครับ”สามหนุ่มตอบรับ

บรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง นักกีฬาจากโรงเรียนเล็ก ๆ อย่างมะลิและเพื่อนอีกสองคน ตั้งใจมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่าการไขว่คว้าชัยชนะ ครั้งนี้ทั้งสามเพียงต้องการวัดผล การฝึกซ้อมที่สั่งสมมาว่าทำให้พวกเขาก้าวไปได้ไกลแค่ไหน หากชนะก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้

“ธนัฐขอคุยด้วยหน่อย” กฤษเข้าไปปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการแข่งขั้นในวันนี้

“ว่าไงอาจารย์กฤษ” ธนัฐตอบกลับเพื่อนสนิทตน

“ทางเราอยากเปลี่ยนรูปแบบการแข่งเล็กน้อย” ฝ่ายผู้มาเยือนแจ้งความประสงค์แก่เจ้าถิ่น

“ยังไงล่ะ” ธนัฐไม่ขัด

“จากเดิมที่จะส่งสามคน คนละประเภท ขอเปลี่ยนเป็นส่งสามคนตามเดิมแต่ทุกคนลงทั้งสามประเภท จะได้หรือเปล่า”

“ทางเราไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ธนัฐตอบรับคำขอ

วันนี้เป็นการแข่งขันเล็ก ๆ จึงไม่จริงจังมาก นักกีฬาที่คัดมาอาจต้องตัดออกบางคน แต่เชื่อว่าพวกเขาก็คงไม่เสียใจกับการแข่งอย่างไม่เป็นทางการนี้ ธนัฐคิดเช่นนั้น

“ขอบคุณมาก” กฤษขอบคุณอย่างเป็นพิธีการต่อเพื่อนของตน

“งั้นพวกนายไปเตรียมตัวซ้อมได้เลย ทางนี้ขอคุยกับนักกีฬาเรื่องเปลี่ยนแปลงรูปแบบก่อน พร้อมเมื่อไหร่ก็แข่งได้เลย”

“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณจากเด็กหนุ่มทั้งสาม ที่ตามมาสมทบ

นักกีฬาและอาจารย์จากโรงเรียนผู้ท้าชิง เตรียมความพร้อมทางร่างกายในสนาม เป็นครั้งแรกของมะลิที่ได้สัมผัสกับพื้นยางของสนามแข่ง ปกติหากไม่ใช่พื้นหญ้าก็เป็นผืนดินเปล่า ๆ ดีที่สุดก็แค่มีเส้นเขตแดนโรยทับให้พอรู้ว่าเป็นลู่วิ่งเท่านั้น ส่วนใจกล้ากลับคุ้นชินและเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากสมัยมัธยมต้นมีโอกาสใช้สนามลักษณะนี้นับครั้งไม่ถ้วน

ขณะนี้ทั้งสามเริ่มทดสอบการวิ่งจริงหลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จเรียบร้อย มีอาจารย์กฤษคอยกำกับอยู่ข้างสนาม ทั้งใจกล้า เสมอ และมะลิ กำลังวิ่งอยู่ในลู่วิ่งเพื่อทดสอบความเร็วเฉพาะตัว เป็นวิธีที่ใช้ประจำในชมรม โดยจะวิ่งทดสอบเป็นระยะทางประมาณ 800 เมตร เพื่อเก็บสถิติของแต่ละช่วงการวิ่งและที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ฝึกสอนรับรู้ศักยภาพก่อนการแข่งขันจริงของลูกทีมทุกคน สำหรับนำมาใช้ปรับแต่งและวางแผนก่อนเริ่มการแข่ง ตลอดจนเช็คความผิดปกติ เป็นการป้องเหตุไม่คาดฝันและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อก่อนการแข่ง

“กลับมาครบทุกคนแล้วใช่ไหม ครูไม่มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมมาก แค่อยากบอกว่า ทำให้เต็มที่ แล้วอย่ากดดันตัวเอง ผลแพ้ชนะมันไม่สำคัญเท่ากับการที่พวกเธอจะได้รู้ถึงความสามารถของตนอย่างแท้จริง เอาล่ะไปเตรียมตัวได้”

“ขอบคุณครับ” ทั้งสามเสียงเปล่งออกมาพร้อมเพรียง

‘ปี๊ด...’

สัญญาณนกหวีดจากกรรมการประจำสนาม เรียกนักกีฬาทุกคนมารวมตัวกันบริเวณลู่วิ่ง เพราะไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการ จึงต้องอธิบายกฎและข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายให้นักกีฬาทั้งหมดได้รับทราบอีกครั้ง การแข่งในวันนี้จะแบ่งเป็นสามระยะ คือ 200 800 และ 1,500 เมตร โดยผู้ท้าชิงทั้งสามจะลงแข่งทุกประเภท โรงเรียนเจ้าถิ่นจึงต้องส่งนักกีฬาประจำลู่วิ่งทั้งหมด 15 คน สำหรับสามรายการ หนึ่งคนต่อหนึ่งประเภท เนื่องจากนักกีฬาของโรงเรียนเจ้าถิ่นมีจำนวนมากพอ ไม่ว่าผู้ท่าชิงจะมีจำนวนเท่าใด มากหรือน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะเปิดรับการแข่งขันกระชับมิตรเช่นนี้ หากไม่ใช่กรณีพิเศษจริง ๆ โรงเรียนอื่นไม่มีทางได้รับโอกาสเช่นนี้แน่นอน

“รายการแรกเป็นการวิ่งระยะสั้น 200 เมตร นักกีฬาลงสนามได้” กรรมการประจำสนามคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

นักกีฬาทั้งหมดลงสนาม รายการแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น สมาชิกชมรมกรีฑาผู้ท้าชิงทั้งสามคน ซึ่งพกความมุ่งมั่นมาเก็บเกี่ยวสิ่งที่จะได้รับหลังจากนี้ ฝ่าระยะทางไกลเพื่อมาแสดงผลการฝึกซ้อมให้คู่แข่งได้ประจักษ์ถึงการมีอยู่ของพวกเขา


ปั้ง!







- - - - - - -
ไม่มีคนอ่านเลย #คิดแล้วเศร้า
บทที่ 10 แล้วแต่ยังอยู่หน้าแรกอยู่เลย 555
มีข้อติชมหรือแนะนำก็บอกกันได้นะ
เห็นของคนอื่นเขาแค่บทนำก็ขึ้นไปแล้วหน้าสองหน้าสาม
ไอ้เราก็จมจ่อมอยู่หน้าเดิมทุกวัน
จนคิดว่าจะเลิกลงแล้ว #น้อยใจ
ปล. ไม่ต้องสนใจนักเขียนมาก แค่อยากระบาย 555

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
เรายังติดตามอยู่นะ อย่าเพิ่งเลิกเขียน
เราชอบเรื่องนี้มากนะ สนุกดีค่ะ
สู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้ :mew1: :mew1:
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ InDefinition

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
​บทที่ 11 - เริ่มแข่ง​



ปั้ง! เสียงสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้นพร้อมกับร่างซึ่งพุ่งออกจากที่ยันเท้า แรงส่งมหาศาลถูกปล่อยโดยไม่คิดจะผ่อนหรือถนอมเอาไว้ เมื่อระยะจากจุดเริ่มต้นสู่เส้นชัยนั้นสั้นเพียงเสี้ยวนาที จึงไม่อาจรีรอเก็บหอมรอมริบเรี่ยวแรงไว้ใช้ช่วงท้ายเหมือนกับการวิ่งระยะอื่น



ฝีเท้าทุกคู่ถี่รัวราวเครื่องจักร ขับเคี่ยวกันอย่างไม่คิดอ่อนข้อ เมื่อพวกเขาเข้าสู่ลู่วิ่งทุกคนที่อยู่บนสนามคือคู่แข่ง ฝีเท้าหนักแน่นสมกับเป็นโรงเรียนแห่งการกีฬาอันดับต้น ๆ ของประเทศ แม้การแข่งอย่างไม่ทางการครั้งนี้ไม่ถูกให้ความสำคัญเท่ากับการแข่งรายการจริง แต่เจ้าถิ่นก็ไม่ยอมปล่อยให้โรงเรียนไร้นามขึ้นนำพวกเขาไปได้



ธนัฐมองดูลูกศิษย์ของตนอย่างพึงใจ เมื่อผ่านไปครึ่งทางยังสามารถครองความเป็นผู้นำเอาไว้ได้ อาจแปลกใจอยู่บ้างที่ลำดับถัดมาเป็นนักกีฬาจากทีมเยือน เด็กชายซึ่งเขาคุ้นหน้าพอควร อาจเป็นนักกีฬาคนเดียวกับที่เคยขับเคี่ยวในรุ่นเล็กเมื่อปีก่อน ไม่คิดว่าจะย้ายไปอยู่ในโรงเรียนเล็กแบบนั้น



ถัดมายังเป็นลูกทีมของเขาที่แย่งยื้อลำดับสองกับนักกีฬาต่างโรงเรียนโดยไม่มีใครยอมใคร แต่ที่สะกิดใจเขาในเวลานี้คงเป็นคนตัวเล็กซึ่งเหมือนจะชื่อมะลิ เด็กท่าทางขี้โรคไม่สมกับการเป็นนักวิ่ง ทว่า คมสันกลับเอ่ยชมไม่ขาดปาก เด็กคนนั้นอยู่ในอันดับสี่ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมจากโรงเรียนเดียวกัน ขาคู่เล็กก้าวเร็วจนน่าเหลือเชื่อ แต่กระนั้นก็ไม่เห็นจะดีเด่นจนสามารถขึ้นนำเป็นจ่าฝูงได้



แม้จะเคยผ่านหูผ่านตาเรื่องนักกีฬาตัวเล็กบางคนที่ใช้ความกระทัดรัดของร่างกายฝ่าฟันอุปสรรคในสายอาชีพ จนประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในวงการกรีฑา แต่นี่ก็เล็กเกินกว่าจะเอาไปเทียบกับกลุ่มนั้น เด็กชายมะลิคนนี้ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับกีฬา โดยเฉพาะการวิ่งประเภทลู่ที่จำเป็นต้องพึ่งสรีระที่สมบูรณ์ของร่างกายพอสมควร หากเป็นมาราธอนก็ว่าไปอย่าง แบบนั้นยังมีลุ้นเรื่องความอึดอยู่บ้าง



‘คมสันคงชมเกินไปล่ะมั้ง’ ธนัฐตอบตัวเอง



เสี้ยวนาทีผ่านไป การแข่งขันจบลงอย่างรวดเร็ว นักกีฬาเจ้าถิ่นครองความเหนือกว่าด้วยการก้าวเข้าสู่เส้นชัยก่อนที่ผู้ท้าชิงอย่างใจกล้าซึ่งตาหลังเพียงครึ่งก้าวจะได้อันดับสองไปครอง เมื่อมองจากข้างสนาม ทั้งคู่สูสีจนแทบแยกไม่ออก อันดับสามยังคงเป็นเจ้าถิ่นที่แสดงศักยภาพให้ประจักษ์แก่ทุกสายตา ส่วนอีกสองคนจากโรงเรียนห่างไกลซึ่งตามหลังมาติด ๆ เข้าเส้นชัยด้วยอันดับสี่ร่วม อย่างน้อยทั้งคู่ก็สามารถเอาชนะนักกีฬาคนอื่น ๆ จากโรงเรียนดังได้ ไม่ตกไปอยู่อันดับบ๋วยของแถว



กฤษไม่แปลกใจกับผลการแข่งเมื่อครู่ เขารู้ดีถึงความสามารถของคู่แข่ง การวิ่งระยะสั้นแม้ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ ทว่าผลของการฝึกฝนกลับต่างออกไป เพียงเสี้ยวนาทีนั้นนักกีฬาจะต้องนำตัวเองไปอยู่หลังเส้นชัยให้ได้ ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ยิ่งคู่แข่งเพียบพร้อมไปด้วยวิทยาการทางกีฬา ย่อมได้เปรียบในด้านนี้ ส่วนอีกมุมกฤษคงต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียวที่ฝึกซ้อมนักกีฬาของตนไม่เพียงพอ ทั้งยังไม่ได้เจาะลึกไปถึงรายละเอียดของการวิ่งระยะนี้ --- มีอีกหลายสิ่งที่เขาจำต้องมอบให้แก่เด็กทั้งสาม เริ่มจากการออกแบบโปรแกรมฝึกที่เหมาะสมกว่านี้



“พักครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นให้นักกีฬาระยะ800เมตรลงสนามได้” ธนัฐแจ้งให้ทุกคนทราบ หลังจบการแข่งระยะแรก ที่วิ่งผ่านความยาวเพียง 200 เมตร



กฤษเรียกนักกีฬาของตนเข้ามาพักที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวข้างสนาม กำชับทุกคนเรื่องอุณภูมิร่างกายอย่าให้เย็นลง เพราะการแข่งรอบต่อไปจะเริ่มในอีกไม่ช้า สภาพของทั้งสามยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่เหนื่อยอ่อนจนผิดสังเกต แต่การใช้พลังงานมหาศาลทุ่มไปกับระยะทางเพียงสั้น ๆ เมื่อครู่ ก็อาจส่งผลกระทบในรอบหลังจากนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่กฤษข้ามการแข่งขัน 100 เมตรและ 400 เมตรไปที่ระยะ 800 เมตรในทันที อีกทั้งการใช้เรี่ยวแรงไปพร้อมกับความกดดันเช่นนั้นย่อมทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียได้ง่าย กลับกันการเลือกระยะที่ยาวกว่า นักกีฬายังพอมีเวลาไตร่ตรองว่าช่วงไหนควรช้า ช่วงไหนควรเร็ว แม้อาจใช้เวลาในการวิ่งมากกว่าเดิม แต่ไม่กดดันเท่า



การส่งนักกีฬาที่มีสภาพร่างกายสมบูรณ์พร้อมลงสนามประลองความเหนือกว่ากับคู่แข่ง แม้นั่นจะเป็นการตัดสินใจตามปกติวิสัยและไม่ใช่เรื่องแปลก กระนั้นก็ตามหากมองข้ามความพร้อมของสภาพจิตใจไป อาจไม่เป็นผลดีนัก เพราะนั้นจะกลายเป็นทางเลือกที่เลวร้ายที่สุด ในการส่งนักกีฬาลงสนาม



เรื่องนั้นกฤษทราบดี เขาไม่มีทางปล่อยให้นักกีฬาที่แสดงความผิดปกติเหล่านั้นลงลู่วิ่งอย่างแน่นอน ‘ไม่อยากให้ใครต้องมาผิดพลาดอีกแล้ว’



“ขอโทษด้วยนะครับที่เอาชนะไม่ได้เลย” เสมอกล่าวทำลายความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศรอบข้าง ความตึงเครียดปะทุขึ้นหลังกลับมาที่ม้านั่ง ซึ่งเขาทนความเงียบงันนี้ไม่ไหว



“ไม่ต้องขอโทษหรอก อย่างน้อยทุกคนก็เห็นแล้วว่าพวกเขามีศักยภาพและความสามารถแค่ไหน ใช่ไหม” ทั้งสามพยักหน้าเห็นพ้องกับอาจารย์ที่ปรึกษาและโค้ชของพวกตน เรื่องความสามารถของทีมเหย้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีกแล้ว ทุกคนประจักษ์ชัดด้วยตัวเอง



“พวกเธอยังต้องวิ่งอีกสองรอบ อย่าลืมแบ่งแรงให้กับช่วงท้ายด้วยล่ะ ระยะพวกนี้เรามีลุ้น เท่าที่ดูจากการแข่งเมื่อกี้ก็ยังไม่หมดหวังไปเสียทีเดียว ส่วนรอบที่ผ่านมาใจกล้าทำเกินความคาดหมายของครู รักษามาตราฐานนี้ได้ด้วยล่ะ” ใบหน้าของคนที่ถูกชมยังนิ่งงันแทบจะไม่แสดงความพึงใจออกมาให้เห็น อาจเพราะสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งและขึ้นเป็นที่หนึ่งได้ คำชมที่ใจกล้าได้รับจึงกลายเป็นเพียงคำปลอบเท่านั้น



“เสมอก็ไม่น่าห่วง ระยะ 800 เมตรอาจเป็นทางถนัดของเธอก็ได้...” อดีตนักฟุตบอลกับคำกล่าวนั้น เพราะเขาไม่ได้หวังไปเทียบเคียงกับเหล่านักวิ่งตัวจริงในสนาม ทว่าพอลงสนาม ความรู้สึกอยากชนะก็เริ่มก่อตัวทีละนิด ยิ่งที่ปรึกษามองเห็นศักยภาพ ตัวเขาก็พลอยมีกำลังมากขึ้น



“ส่วนมะลิ วิ่งระยะสั้นถือว่าเกินคาด ยังไงก็ฝากระยะอื่น ๆ ด้วยแล้วกัน” กฤษทิ้งท้ายกับนักกีฬาตัวเล็ก ก่อนเสียงสัญญาณจากเพื่อนสนิทของเขาจะเรียกนักกีฬาทุกคนไปรวมตัวอีกครั้ง --- การแข่งในรอบถัดไปจึงเริ่มต้นขึ้น



“เอาล่ะไปกันได้แล้ว” กฤษร้องบอกลูกทีม



“ครับ” สามเสียงตอบกลับไปอย่างพร้อมเพรียงเช่นเคย



สองคนแรกวิ่งออกไปยังจุดรวมพล เหลืออีกหนึ่งซึ่งยังอยู่ที่เดิม กฤษฉงนกับการกระทำของนักกีฬาที่ยังไม่ขยับไปตามเสียงเรียก



“มีอะไรหรือเปล่ามะลิ หรือว่าบาดเจ็บ” อาจารย์ที่ปรึกษาถามไถ่พร้อมแสดงความเป็นห่วง หากเป็นเช่นนั้นจริง คงต้องถอนตัวจากการแข่งนี้



“เปล่าครับ ผมแค่มีเรื่องอยากจะปรึกษาอาจารย์ คือว่า...”



นักกีฬาเตรียมพร้อมอยู่บนลู่วิ่ง รอเพียงเสียงสัญญาณปล่อยตัวจากผู้คุม ปั้ง! สิ้นเสียง การแข่งระยะ 800 เมตรจึงเริ่มต้น สองรอบสนามที่บางคนอาจทำได้ดีในช่วงการวิ่งนี้หรือบางคนอาจไม่ถนัด



การแข่งรอบที่สองของเหล่าผู้ท้าชิงดำเนินไปได้ครึ่งทาง ขณะนี้ใจกล้าเป็นผู้นำในสนาม ทิ้งห่างนักกีฬาโรงเรียนดังประมาณหนึ่งช่วงตัว ส่วนอีกสองคนที่เหลือกำลังไต่ระดับขึ้นมา เสมออยู่ลำดับสี่พยายามย่นระยะของตนลงเรื่อย ๆ ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งมาอยู่ลำดับที่สามเมื่อถึงช่วง 200 เมตรสุดท้าย ส่วนมะลิยังรักษาตำแหน่งอยู่ที่ลำดับหก ความเร็วแม้ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ลดลงเช่นกัน ซึ่งข้อได้เปรียบนี้ส่งผลให้อันดับของเขาเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรง คู่แข่งข้างหน้าค่อย ๆ ร่นถอยลงมาเองเมื่อเรี่ยวแรงถูกใช้ไปจนสิ้น ร่างกายจึงไม่อาจฝืนใจก้าวต่อไปได้ ผลก็คืออันดับของมะลิขยับขึ้นเองทั้งที่ยังรักษาความเร็วคงที่



ธนัฐชื่นชมความสามารถของเด็กทั้งสามที่มาท้าชิงนักกีฬาจากโรงเรียนเขาจนสิ้นสภาพไปหลายคน นับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเด็กตัวสูงที่กำลังขึ้นนำอยู่ขณะนี้ สมกับเป็นจ้าวเหรียญเงินระดับจังหวัด คิดแล้วก็เสียดายที่ไม่ได้ตัวมาอยู่ในทีม



รอบนี้ดูท่าลูกทีมของธนัฐดูจะพ่ายให้กับนักวิ่งต่างถิ่นเสียแล้ว คงต้องปรับปรุงการฝึกซ้อมในระยะนี้เพิ่ม เพราะแค่ชมรมเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกแค่สามคน ยังชิงอันดับหนึ่งและสามไปได้เช่นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับประเทศ เพราะยังมีคนเก่งกว่านี้อีกหลายเท่าตัว



มะลิวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับห้า ด้วยการรักษาความเร็วทั้งสองรอบสนาม เหตุผลที่ไม่ก้าวขึ้นนำในช่วงท้ายก็เพราะว่า ต้องเก็บแรงไปใช้ในรอบถัดไป การแข่ง 1,500 เมตร ในอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ มะลิต้องเจอคู่แข่งอย่างคมสัน เขาไม่มีทางตามหลังคนตัวสูงได้แน่หากทุ่มแรงทั้งหมดในรอบนี้



มะลิแค่อยากอยู่ในสภาพพร้อมที่สุดก่อนไปเจอกับคมสัน



“พักครึ่งชั่วโมงครับ”



นักกีฬาทั้งสามวิ่งกลับมายังจุดพัก ดื่มเกลือแร่ทดแทนการเสียเหงื่อและพักเอาแรงเพื่อไปต่อกรกับคู่แข่งในรอบสุดท้าย เหงื่อไหลโทรมกาย ความเหนื่อยล้าเพิ่มเข้ามายิ่งกว่าครั้งแรกที่ออกแรงในสนาม สภาพตอนนี้นับว่าเกือบถึงขีดสุดของพวกเขาแล้ว แม้การฝึกซ้อมจะหนักกว่าการแข่งหลายเท่าตัว แต่เมื่อเป็นการลงสนามจริง สิ่งที่เพิ่มเข้ามามากกว่าระยะทางที่ก้าวออกไปคือ ความกดดันมหาศาลจากคู่แข่งรอบกาย ซึ่งขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตนขึ้นเป็นผู้นำและเข้าสู่เส้นชัยเป็นคนแรก การขับเคี่ยวที่มีมากกว่าการซ้อมหลายสิบเท่า เป็นปัจจัยที่บั่นทอนแรงกายชั้นดี



“ดีมาก เห็นไหมว่าพวกเธอก็ทำได้ ทุกคนที่แข่งในวันนี้เป็นตัวจริงระดับแนวหน้าของจังหวัดทั้งนั้น” กฤษเอ่ยชมลูกศิษย์ของตนจากใจจริง แม้เขาจะพูดและให้กำลังใจเด็กทั้งสามมากเพียงใด แต่จะไม่มีประโยชน์ใดเลยหากทุกคนไม่พิสูจน์คำเยินยอนั้นด้วยการแสดงความพยายามจนสำเร็จผล ไม่เช่นนั้นคำพูดของเขาก็จะเป็นเพียงลมปากไร้น้ำหนัก



“แต่ก็แค่รุ่นเดียวกันแหละครับ พวกรุ่นใหญ่ไม่มากันสักคน” ใจกล้าเอ่ยขัดจังหวะความยินดีของทีม ซึ่งก็เป็นความจริงที่พวกเขาต้องยอมรับ นักกีฬาที่ร่วมแข่งในวันนี้เป็นล้วนเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งเข้ามา ความสามารถจึงไม่อาจเทียบได้กับรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นขุมกำลังของโรงเรียนแห่งนี้อย่างแท้จริง



“เอาเถอะ ตอนนี้พวกเธอต้องก้าวข้ามรุ่นเดียวกันนี้ให้ได้เสียก่อน หากชนะพวกเขา ลำดับต่อไปพวกเธอก็จะไปพบกับคู่แข่งที่แท้จริง”



“เก่งขนาดนั้นเลยหรือครับ” เสมอกลั้นความสงสัยไว้ไม่อยู่ สำหรับเขาแค่ที่เจออยู่นี้ก็เกินจะรับมือแล้ว อันดับสี่ในรอบแรกและอันดับที่สามที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เขาอยากชนะเข้าไปใหญ่ แต่พอทราบว่านักกีฬาที่พึ่งขับเคี่ยวกันมานี้ยังไม่เก่งที่สุดในการแข่งอย่างเป็นทางการ ก็พลันให้ความฮึกเหิมหดหายไปไม่น้อย



“ฉันบอกอะไรไม่ได้หรอก แต่ที่แน่ ๆ คู่แข่งของเราในวันนี้ ก็มีหนึ่งคนที่เทียบเคียงกับรุ่นใหญ่เหมือนกัน เห็นว่าเคยชนะมาหนึ่งรายการ”



“ใครครับ” คราวนี้เป็นใจกล้าที่เอ่ยออกมา เมื่อทราบถึงคู่แข่งที่เหนือกว่า ร่างกายของเขาก็เต้นระรัว อยากจะประชันความสามารถ ยิ่งชัยชนะที่ได้รับมาเมื่อครู่เป็นตัวเร่งความกระหายให้ลุกโชนขึ้น



ใจกล้าสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ถอยและไม่ขอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว จะให้เขายอมแพ้ทั้งที่ยังมีคนพยายามอยู่ในความไม่พร้อม ซึ่งอาจด้อยกว่าเขาในหลายด้าน คนเหล่านั้นกำลังพยายามอยู่อย่างไม่ลดละ เขาคงไม่มีหน้าไปสู้ใครได้อีก หากพาตัวเองไปจ่อมจมกับความท้อแท้ที่ไร้เหตุผล --- พลันสายตาก็หันไปสบกับคนตัวเล็กข้างกาย



“คมสัน” คำตอบนั้นกระตุ้นให้ใจกล้าและมะลิกระตือรือร้นอยากเร่งเวลาพักให้ไวยิ่งขึ้น เมื่อชื่อคุ้นหูถูกเอ่ยถึง ทั้งสองซึ่งเป็นคู่แข่งและเคยพ่ายแพ้ให้กับคมสันมาโดยตลอด แทบอดทนรอไม่ไหวที่จะได้วัดฝีมือกันอีกครั้ง



“เก่งขนาดนั้นเลยหรือคนที่ชื่อคมสัน” เสมอหันไปถามเพื่อนร่วมทีมทั้งสอง เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีปฏิกิริยากับคนชื่อนี้ไม่น้อย



“ตัวแทนจังหวัด” คำตอบจากใจกล้าหยุดความสงสัยทั้งหมด ไม่ต้องกล่าวถึงความสามารถของคมสันเพราะเป็นที่ประจักษ์แก่นักกีฬาในรุ่นเดียวกันทุกคน



นักกีฬารอบ 1,500 เมตร มารวมตัวเมื่อเสียงผู้คุมข้างสนามเรียกเตรียมความพร้อม คมสันที่เฝ้าคอยการแข่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ ก้าวออกมาพร้อมความตื่นเต้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สาเหตุนั้นอาจเป็นเพราะคนตรงหน้านี้ก็ได้ ที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ คนตัวเล็กที่ตามหลังไม่เคยห่าง เป็นยิ่งกว่าเงาติดตาม ทุกครั้งที่ออกวิ่งไปพร้อมกัน จะเป็นเขาเองที่ต้องเหนื่อยอ่อน พอหันกลับไปมองครั้งใด ใบหน้าแห่งความมุ่งมั่นจากคนตัวเล็กที่ไม่เคยทิ้งห่าง จ้องจะคว้าชัยไปจากเขาตลอดเวลา นั่นแหละมะลิที่คมสันรู้จัก



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตามข้อมูลข่าวสารและข่าวพูดคุยกันได้ที่   

facebook.com/inDefinitionStory
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-10-2018 21:20:18 โดย InDefinition »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

คนเขียนใจเย็นๆอย่าน้อยใจไป
ขอบคุณสำหรับตอนใหม่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด