ชานนท์พอจะเดินเองได้สะดวกแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่อย่าไปยุ่งกับกล้ามเนื้อส่วนบาดเจ็บอยู่ก็เท่านั้น เขาเดินกลับมาที่ห้องด้วยตัวเองในช่วงสายของวันพร้อมกับพี่เอกที่คะยั้นคะยอจะช่วยพยุงบ้าง อุ้มบ้าง ขี่หลังบ้าง พี่เอกออกปากถามตลอดทางจนถึงหน้าห้อง แต่ชานนท์ก็ใจแข็งทัดทานอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจเพราะรบกวนมามากแล้ว
หลังจากที่ชานนท์ใช้คีย์การ์ดสัมผัสตัวเครื่องล็อคอิเล็กทรอนิกส์หน้าประตู พี่เอกก็รี่เข้ามาช่วยเปิดประตูด้วยความรวดเร็วเหมือนจะมีคนคอยแย่งเขาทำยังไงอย่างนั้น
สิ่งที่กระทบสายตาชานนท์เป็นอย่างแรกคือเจ้าของห้องอีกคนที่นั่งอยู่ที่เตียงของเขาในห้องที่มีแสงยามสายสาดเข้ามาเพียงเล็กน้อย คนๆนั้นมีสีหน้าที่อิดโรยปนหงุดหงิดเพ็งมองมาที่ชานนท์และพี่เอก จนพวกเขาทั้งสองต้องสะดุดหยุดฝีเท้าด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเจอบุคคลดังกล่าวอยู่ในสภาพนี้
“เฮ้ยๆๆ! ดีนะเว้ย มายาน่าจะอธิบายเรื่องนี้แล้ว จะทำอะไรน้องกู ผ่านกูให้ได้ก่อน” พี่เอกถอยหลังมาครึ่งก้าวเพื่อมาเอาตัวมาขวางทางวรุฒที่อยู่ๆก็ลุกขึ้นยืน และทำสีหน้าและมองพี่เอกเหมือนคิดในใจว่า ‘โธ่...ไอ้อ่อน อย่างมึงขวางกูไม่ได้หรอก!’
“ผมมีเรื่องจะคุยกับมัน พี่อย่ามายุ่งได้ป่ะ!!” วรุฒยืดตัวตรงและเดินมาใกล้ขึ้นอีกสองก้าว ชานนท์ที่ยืนอยู่หลังพี่เอกสังเกตถึงความต่างระหว่างส่วนสูง 190 ซม. กับ 185 ซ.ม. ได้อย่างชัดเจน บวกกับรังสีอำมหิตของอีกฝ่ายทำให้วรุฒยิ่งดูน่าเกรงขามขึ้นมาก
“เรื่องสิ เมื่อวานเล่นน้องกูเกือบตาย คิดว่ากูจะยอมให้เกิดขึ้นอีก!!” พี่เอกยังยืนยันหนักแน่นและไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ชานนท์รู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายมาก พี่เอกกล้าหาญมาก เพราะตอนนี้ขาของเขาเริ่มสั่นเสียแล้ว
“อย่าเสือกได้ไหมครับพี่? ผมขอร้องในฐานะรุ่นน้อง อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้!”
‘เอาแล้วไง!!’ ชานนท์คิด เขากลัวไม่กล้าขยับตัว รังสีอำมหิตของวรุฒวิ่งทะลุตัวพี่เอกมาถึงเขา เขารู้สึกได้
วรุฒยังคงเดินเขามาใกล้เรื่อยๆ ทีละก้าว ส่วนพี่เอกก็ไม่ถอยเลยพร้อมตั้งท่าเตรียมพร้อมออกหมัดได้ตลอดเวลา ชานนท์จึงตัดสินใจยกมือขึ้นดึงข้อศอกพี่เอกเพื่อห้ามปรามอีกฝ่ายก่อนมีเรื่อง
“พี่เอก ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ พี่ไปร่วมกิจกรรมก่อนเถอะเดี๋ยวผมเคลียร์กับเขาเอง....” ชานนท์พูดเสียงสั่น
“แต่...มัน.... ไม่เอาละ เอ็งไปอยู่ห้องพี่ดีกว่าเพื่อความปลอดภัย” พี่เอกหันไปพูดกับชานนท์และค้อนใส่วรุฒต่อทันที
“อ้อ ที่หายไปทั้งคืนเพราะไปอยู่ห้องมันนี่เอง” เสียงแสดงความเป็นศัตรูดังขึ้นจากคนในห้อง
“ก็ห้องนี้มันไม่ปลอดภัย จะให้น้องกูมาอยู่กับฆาตกรอย่างมึงเนี่ยนะ!!”
“ใครเป็นฆาตกร?!!?!” วรุฒพุดเสียงเขียว พร้อมกับกัดฟันเสียงดัง
“พี่ๆ ผมอยู่ได้จริงๆ ยังไงผมก็เป็นผู้ชายนะ ผมเคลียร์กับเขาเองได้” ตอนนี้ชานนท์ไม่อยากให้มีเรื่องวิวาทขึ้น เขาทำใจดีสู้เสือ กัดฟันทำเข้มแข็ง ใช้มือดึงพี่เอกรั้งให้ออกจากห้อง ด้วยมือที่สั่นเทา
อยู่ๆ วรุฒก็ผ่อนลมหายใจเสียงดังและเดินตึงตังเข้าไปนั่งบนเตียงของชานนท์เช่นเดิม เหมือนเขาสัมผัสถึงชานนท์ที่เกิดอาการหวาดกลัวตนเองได้ขึ้นมา เมื่อพี่เอกเห็นดังนั้นจึงผ่อนลมหายใจตามแบบถี่ยิบพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
“พี่เอกไปเหอะ ผมโอเค ตอนนั้นผมไม่ทันตั้งตัวเลยโดนจังๆ แต่หากรู้ตัว มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก!!” เสียงชานนท์ดูฮึกเหิมขึ้นเมื่อไม่มีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากห้อง
“เฮ้อ..... โอเคๆ แต่มีอะไรไม่ดีก็โทรศัพท์หาพี่เลยนะ แค่โทรก็ได้ แค่เอ็งโทรศัพา์มาโชว์เบอร์พี่จะรีบมาเลย!!” พี่เอกยกมือจับบ่าชานนท์และเขย่าเล็กน้อย
“ครับพี่ พี่ไปเถอะ” ชานนท์ยิ้มตอบกลับไป
พี่เอกเดินห่างออกไปแต่ทุกๆ สามก้าวจะหันมาทางชานนท์เผื่อว่าชานนท์ทำท่าเปลี่ยนใจ เขาก็จะรีบเดินกลับมารับชานนท์ไปอยู่ห้องเขาทันที แต่ชานนท์ก็ได้แต่ยิ้มให้เท่านั้นจนพี่เอกเดินลับหายไปทางช่องบันไดขึ้นลง
ชานนท์สูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตู
“นนท์....... เอ่อ.... ยัยมายด์โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังหมดแล้ว แล้วยัยนั่นก็แอบไปสืบเรื่องพ่อให้ด้วย ....... กู.....ขอ.......ขอโทษนะ...” เสียงเบาในลำคอของวรุฒดังขึ้นจากที่ไม่ไกล ชานนท์หันไปทางต้นเสียงด้วยอาการแปลกใจ เขาไม่เคยได้ยินเสียงโทนนี้จากอีกฝ่าย และไม่เคยได้ยินคำขอโทษแบบเต็มๆ จากอีกฝ่ายเลย ความรู้สึกมันต่างจากเมื่อสักครู่ที่ชานนท์เจอหน้าวรุฒกันมาก
“อะไรนะ”
“กูขอโทษ กูมันใจร้อนเอง..... กูควรสืบให้แน่ใจก่อน....” วรุฒพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ชานนท์ที่เดินเข้ามาใกล้ขี้นทำให้เขาได้ยินถ้อยคำที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนอย่างวรุฒได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้น
“ไหนขอดูหน่อย มึงเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” วรุฒผุดลุกขึ้นพร้อมเดินเข้าหาชานนท์เพื่อดูใบหน้าของเขาอย่างใกล้ชิด
“เอ่อ....เรา.... ไม่เป็นไร......” ชานนท์รู้สึดประหม่าและไม่ชินกับการโดนเพื่อนร่วมห้องอย่างชานนท์หายใจรดหน้าเขาในระยะนี้ และด้วยสายตาที่โอนโยนของอีกฝ่ายทำให้ใจของชานนท์เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ
“โห... กูทำหน้ามึงช้ำและแตกไปแถบหนึ่งเลย....” วรุฒพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งลูบรอบๆรอยช้ำอย่างทะนุถนอม แสงแดดยามสายในห้องเริ่มสาดส่องเข้ามามากขึ้น ห้องที่เกือบมืดสลัวสว่างขึ้นมาก โอกาสนี้เลยทำชานนท์เห็นดวงตาที่อิดโรยและรอยช้ำใต้ดวงตาของอีกฝ่ายเหมือนเขาอดนอนทั้งคืน
“เราขอไปพักก่อนได้ไหม?” ชานนท์ใจเต้นแรงจนรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่รู้ว่ากลัววรุฒมากจนเกินไปหรือเปล่า แม้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตนั่นจะสะกดใส่สายตาชานนท์อยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ลืมสอดส่องความเคลื่อนไหวของหมัดคู่นั้นอยู่ดี ‘ทางที่ดีควรอยู่ห่างๆ’ เขาคิดทบทวนในใจซ้ำไปมา
“เอ้อ....!! ได้สิๆ มาๆ” วรุฒพูดจบก็ช่วยประคองอีกฝ่ายไปที่เตียงด้วยความระมัดระวัง นำความแปลกใจมาสู่ชานนท์อย่างมาก อะไรมันจะพลิกผันขนาดนี้
“โอย..... อูย.....” ชานนท์เมื่อมาถึงเตียงก็ค่อยๆ เอียงตัวเพื่อนอนลงบนที่นอนอันอ่อนนุ่มของเขาอย่างยากลำบาก ทุกครั้งที่เคลื่อนตัวลงไป ความเจ็บตรงที่บอบช้ำก็วิ่งเข้าเล่นงานเขาอย่างไม่ปราณี
“เฮ้ยๆ ระวังหน่อยสิ! เออ!! จริงสิ!!!” วรุฒเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเป็นห่วงอีกฝ่าย ขณะที่จะเดินไปช่วยพยุงอีกฝ่ายนอนลงให้เรียบร้อย เขาก็เหมือนนึกอะไรได้และรีบหุนหันเดินที่เตียงฟากของเขาทันที ไม่กี่อึดใจวรุฒก็เดินมาพร้อมถุงกระดาษสีขาวขนาดใหญ่
“เอ้านี่!! กูซื้อมาให้ จะได้หายไวๆ” วรุฒยื่นของที่อยู่ในมือให้ชานนท์ แต่ชานนท์มองกลับไปที่คนให้ด้วยความแปลกใจ
“เฮ้อออออ” วรุฒผ่อนลมหายใจออกมาเสียยาวก่อนจะนั่งลงข้างตัวชานนท์ และหยิบของออกจากถุงทีละชิ้น
“อันนี้ยากินแก้ช้ำ กินหลังอาหารสามมื้อ สองเม็ดนะ.....อันนี้ยาทานะทาตรงที่มีรอยช้ำจะได้หายเร็วขึ้น ทำให้สบายตัวไม่ปวดด้วย อันนี้........” วรุฒหยิบยาออกจากถุงกระดาษทีละชิ้นพร้อมสาธยายสรรพคุณของยาและวิธีใช้อย่างละเอียด พูดจบแต่ละชิ้น เขาก็วางลงบนที่นอน จนของกองพะเนินกินพื้นที่ไปครึ่งเตียง เสมือนเขายกร้านยามาไว้บนเตียงของเขา วรุฒอธิบายได้ละเอียดและดีจนชานนท์คิดว่าเภสัชกรมาเอง แต่เขาคงจำได้ไม่หมดด้วยเวลาอันแบบนี้เป็นแน่
“ให้ใช้...... หมดนี่เลยเหรอ...??..” ชานนท์ถามขณะมองกองยาที่กองอยู่ตรงหน้าเขา
“เออดิ!!”
“แล้วมันจะไม่โอเวอร์โดสเหรอ?” ชานนท์ห่วงตัวเองว่าจะเป็นอะไรไปจากการกินยาเกินขนาด
“พูดเหมือนไอ้เภสัชกรที่ร้านเลย” วรุฒทำท่าแปลกใจ
“ฮ่าๆๆ งั้นเราว่า.... เราเลือกเฉพาะที่จำเป็นก็พอนะ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้คราวหลังก็แล้วกัน” ชานนท์หัวเราะแห้งๆและตอบไป
“อืม.. ก็แล้วแต่มึง พูดเหมือนกูจะไปซ้อมมึงอีกอย่างนั้นแหละ” ถึงวรุฒจะพูดออกมาแบบนั้น แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดแต่อย่างใด เขาได้ทำสีหน้านิ่งเรียบและมองดูชานนท์เลือกยาอย่างขมักเขม่น
“อันนี้..... อืม.... กินหลังอาหาร....?” ชานนท์ขยับแว่นพร้อมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเขาขึ้นมาค้นหาคุณสมบัติของยาต่างๆ ผ่าน Google
โครก......คราก.......
เสียงท้องของชานนท์มันเรียกร้องหาอาหารตามเวลา นาฬิกาชีวิตที่ตรงเวลาที่สุดของเขาก็เรื่องกินนี่แหละ แค่พูดถึงเรื่องอาหารมันก็ร้องโวยวายทันทีว่าถึงเวลาแล้ว
“เออ มึงคงหิว... เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้กินก็แล้วกัน” วรุฒพูดจบก็ผุดลุกขึ้นพร้อมอมยิ้มกับเหตุการณ์ที่เจอ วรุฒคงไม่คิดว่าคนตัวเล็กๆ อย่างชานนท์จะมีเสียงท้องร้องที่ดังขนาดนี้ พอพูดถึงเรื่องอาหาร วรุฒเองก็รู้สึกหิวด้วยเช่นกัน
“เอ่อ...ไม่เป็นไรก็ได้.... ที่โต๊ะเรามีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เดี๋ยวเราต้มกินเองก็ได้” ชานนท์พูดด้วยหน้ามีสีแดงระเรื่อด้วยความอาย
“ไม่เอา!! ของแบบนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร! เดี๋ยวกูจัดการเอง กินของแบบนั้นเมื่อไหร่จะหาย!! นอนรอไป” สิ้นประโยควรุฒก็เดินไปหยิบกุญแจรถและเดินอออกจากห้องไปทันที ชานนท์เองก็เพิ่งสังเกตว่าชุดที่วรุฒใส่ มันเป็นชุดเดียวกันกับเมื่อวานเลยนี่นา
.....................