ภาค 8 No matter what happens, life must go on. Part I
“ฮัลโหล ฮันนี่ วันนี้ทำงานเป็นไงบ้างจ๊ะ” อินทัชส่งเสียงทักทายฝาแฝดคนพี่อย่างอารมณ์ดี จากนั้นสายตาก็ฉายแววตกใจ “โอ้โห ทำไมถึงนอนหมดแรงขนาดนั้น” พอเดินเข้าบ้านเห็นพี่ชายนอนจมหายไปในโซฟาด้วยท่าที่อ่อนระโหยโรยแรง แขนขายืดออกไปคนละทิศคนละทาง ก็อดอุทานออกมาไม่ได้
“เหนื่อยอะ เหนื่อยมาก” ฉันทัชตอบน้องสาวเสียงเนือยราวกับจะพูดไม่ไหว ชีวิตที่ต้องปรับตัวเมื่อเดินเข้าสู่เส้นทางการเป็นมนุษย์เงินเดือน
“งานยุ่งเหรอ” อินทัชถอดรองเท้าแล้วหยิบเข้าตู้เก็บให้เรียบร้อย เนื่องจากไม่อยากฟังเสียงพี่ชายบ่นตามหลัง
อินทัชมุ่นคิ้วคิดถึงเรื่องพี่ชาย จะว่าไป ฉันทัชก็เริ่มงานมาได้เดือนกว่าๆ แล้วนี่นา
“อืม ยุ่งและเยอะเสียจนไม่รู้จะทำอันไหนก่อนดี”
“ลาออกเลยสิ” อินทัชแซวพลางเดินไปนั่งข้างๆ ลูบศีรษะพี่ชายเหมือนลูบหัวสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ก็อยากจะให้เป็นสุนัขตัวเล็กหรอกนะ คอร์กี้ก็น่ารักดี ถึงแม้พี่ชายของเขาจะไม่ได้ดูตัวใหญ่หนาเทอะทะ แต่ก็ห่างไกลกับคำว่าตัวเล็กไปมากโข
“เบื่อ คนชอบสปอยล์” พี่ชายบอกพลางหลับตากอดหมอนอิงแน่น
“ไม่ได้สปอยล์เสียหน่อย ไม่ไหวก็ออกมาอยู่บ้าน” ถึงจะพูดปฏิเสธแต่อินทัชก็รู้ว่าเขากำลังทำให้ฉันทัชเสียนิสัย เขายิ้มพลางโคลงหัวกับท่าทีของพี่ชาย
อินทัชคิดออกมาได้แค่เพียงว่า จะว่าไปเขากับปาณัสม์ก็ไม่ต่างกันเลย เคยชินที่จะเอาใจอีกฝ่าย
“ไหวสิ เทมส์ไหว แค่นอนพักเหนื่อยเท่านั้นเอง”
“กินข้าวหรือยัง”
“ยังเลยอะ” ฉันทัชบอก เขานอนเหยียดตัวด้วยความอ่อนแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะลุกไปทำอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเสื้อผ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนเลย
“โชคดีที่ไทน์เอากับข้าวมาจากกองถ่ายด้วย” อินทัชชูของในมือขึ้น
“จริงเหรอ” อีกฝ่ายตาลุกวาว เมื่อรู้ว่ารอดตายแล้ว
“อืม ใช่ ที่กองถ่ายทำอาหารเยอะมาก อาหารจีนดีๆ ทั้งนั้น จะทิ้งก็เสียดาย เขาเลยแบ่งมาให้น่ะ” อินทัชอธิบาย
“เจ๊แคทนี่ ใจดีจังเลย” ฉันทัชหมายถึงชื่อตัวละครที่อินทัชรับบทแสดงในละคร
ช่วงนี้แฝดคนน้องมีงานละครเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่องว่า “สะดุดรักหัวใจ ยัยขี้เหร่” โดยละครเรื่องนี้เป็นละครจากเกาะฮ่องกง และในเรื่องมีเหตุการณ์ที่มาถ่ายทำในประเทศไทยอยู่หลายฉาก ผู้กำกับอยากได้นักแสดงเป็นคนไทยและต้องเป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่นเข้ากับบทด้วย และอินทัชนั้นตรงก็กับความต้องการของผู้กำกับทุกประการ
บทละครที่อินทัชได้รับนั้นไม่ได้เป็นตัวละครหลัก แต่ก็ถือเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้กับเรื่อง โดยอินทัชรับบทเป็นเจ้าของห้องเสื้อห้องหนึ่งในเรื่อง ที่เป็นคนเปลี่ยนโฉมปรับลุคของนางเอกสาวจากลูกเป็ดขี้เหร่ ให้เป็นนางฟ้า
“หึ ไม่ต้องมายอ” น้องสาวแค่นเสียง “ลุกไปอาบน้ำ จะได้ลงมากินข้าว” อินทัชเอ่ยปากไล่
“ไทน์ไปอาบก่อนได้ไหม เทมส์ขอนอนเฉยๆ อีกแป๊ปหนึ่ง”
อินทัชเห็นท่าทางอ่อนล้าของพี่ชาย จึงไม่ได้ขัด “ก็ได้”
“น่ารัก” ฉันทัชเอ่ยปากชมเป็นรางวัล
สองพี่น้องพากันผลัดเปลี่ยนไปอาบน้ำจนเรียบร้อยทั้งคู่ และอินทัชรับหน้าที่เป็นคนดูแลจัดเตรียมโต๊ะอาหารมื้อนี้ให้พี่ชายโดยไม่อิดออด
“สบายจัง มีคนบริการ”
“คุณฉันทัช รับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ” อินทัชสวมบทบาททันที
“เอาน้ำแดงในตู้เย็นออกมาด้วยนะ เจ๊แคท”
“น้ำส้ม น้ำโค้ก ด้วยไหมคะ”
“แค่น้ำแดงก็พอ” ฉันทัชตอบปฏิเสธ เพราะรู้ว่าน้องสาวตั้งใจประชด
อินทัชเปิดตู้เย็น เปิดน้ำแดงเทใส่แก้วตามด้วยน้ำแข็ง จัดให้พี่ชายอย่างดีก่อนจะนำมาวางบนโต๊ะ ทางด้านขวาของพี่ชาย
“ทำงานดี ไว้คืนนี้พี่จะตบรางวัลให้” ฉันทัชตอบพลางยกน้ำแดงดื่มอึกใหญ่
“ถ้าจะให้ดีก็ตบด้วยปากนะคะ”
“เล่นกับหมา หมาเลียปากตลอด” ฉันทัชพูดติดตลก
“เอาเข้าจริงก็ปอดแหก”
“ฟ้าผ่าตายกันพอดี”
“ก็ว่างั้น” อินทัชหัวเราะ เริ่มลงมือทานมื้อเย็น “เออ นี่เทมส์”
“ว่า?” ฉันทัชตอบสั้นเพราะยังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปาก
“อาทิตย์หน้าไทน์มีไปถ่ายละครที่ฮ่องกงนะ”
“อ้าว ไหนว่ามีแค่โลเคชั่นเมืองไทยไง” ฉันทัชหมายถึงบทที่น้องสาวได้รับ
“อืม ผู้กำกับเขาอยากได้รายละเอียดที่ฮ่องกงเพิ่มอะ”
“บทมันจะไม่ออกทะเลใช่ปะ”
“ไม่หรอกมั้ง” คนเป็นน้องไม่แน่ใจ “เขาคงคิดมาดีแล้วล่ะ” อินทัชบอกก่อนจะตักข้าวเข้าปากไปอีกคำ
“แล้วกลับมาทันงานวันเกิดแม่ของปาลไหม” ฉันทัชถาม
“จะไปจริงๆ เหรอ”
“ไทน์ว่า เทมส์ไม่ไปได้ไหมล่ะ” ฉันทัชถามกลับ หากอินทัชไหวไหล่เป็นคำตอบ
“ก็ไม่ได้ใช่ไหม แต่เทมส์อยากให้ไทน์ไปด้วยกัน อีกอย่างแม่ก็สั่งให้ไทน์ไปด้วย” ฉันทัชเลยพูดต่อ
“จริงๆ ก็ถามไปงั้นเองแหละ รู้ว่าคงเลี่ยงยาก ลำบากใจเหมือนกันเนอะ ตอนคบกันดันสนิทกับครอบครัวเขาไว้มาก พอเลิกกันมันเลยตัดไม่ขาด”
“อืม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรแย่ไม่ใช่เหรอ ไทน์กับแม่ก็เข้ากันได้ดีใช่ไหม”
“ใช่ แม่น่ารักมาก เหมือนเขาเป็นแม่เราจริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ” ฉันทัชยิ้ม
“เอาเถอะๆ อันที่จริงไทน์ก็ลางานสำหรับวันนั้นไว้อยู่แล้ว ไม่ยอมให้เทมส์ไปเด๋อคนเดียวในงานหรอกน่า สบายใจ หายห่วงได้”
“เยี่ยมมาก” ฉันทัชบอกอย่างพอใจ
“เรื่องงานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ฉันทัชหมายถึงงานแสดงที่เจ้าตัวรับ เพราะน้องสาวของเขาไม่ได้เติบโตมาจากการแสดง
“นิดหน่อย ไม่มากมายอะไรหรอก ค่อยๆ ปรับไป”
“เขาจะว่าหรือเปล่า”
“ไทน์บอกเขาตั้งแต่ก่อนจะตกลงรับเล่นแล้วว่าไทน์ไม่ได้แสดงละครเก่งขนาดนั้น แค่พอเล่นได้ แต่ถ้าเขายังยินดีจะให้ไทน์เล่น ไทน์ก็จะพยายาม”
“อย่างนั้นก็ยังดี เทมส์ไม่อยากให้ไทน์เครียด”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า เป็นห่วงตัวเองเถอะ งานยุ่งอะไรขนาดนั้น”
“อืม ก็เลขาคุณก้องภพลาออกไปแล้วเมื่อสิ้นเดือนใช่ปะ งานเลยตกมาอยู่ที่เทมส์คนเดียว”
“ไหวไหมเนี่ย”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว เอาจริงๆ มันไม่ได้ยากมากหรอก แค่ยังเดาอารมณ์คุณก้องภพไม่ถูก แล้วงานก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางอะ สักพักเดี๋ยวคงดีขึ้นเอง”
“เทมส์เก่งอยู่แล้ว”
“รู้ตัว ความจริงทั้งนั้น” ฉันทัชรีบยืดอกรับ
“ไม่น่าชมเล้ย” พี่ชายหลงตัวเอง น้องสาวถึงกับหนักใจทีเดียว
“วันก่อนแพรทักมา เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ด้วย”
“ดีใจล่ะสิ”
“ใช่ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาคุยกันอีก”
“ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เพื่อนโอเคก็ดีแล้วล่ะ แล้วแพรว่าไงบ้าง”
“ชวนไปกินข้าวนั่นแหละ” คนเป็นพี่เล่า
“ก็ไปสิ”
“แน่นอน อยากเจอพวกนั้นเหมือนกัน”
“เอ้อ อีกเรื่อง” ฉันทัชพูดเหมือนนึกอะไรออก
“อะไร”
“ชัดเจนก็โทรมาเหมือนกัน”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า เกี่ยวกับปาล?”
ฉันทัชส่ายหน้า “ไม่ใช่เลย ลองเดาสิว่าเรื่องอะไร”
“คิดไม่ออกอะ บอกมาเหอะ ขี้เกียจเล่นยี่สิบคำถาม” อินทัชอยากรู้ ไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นเกมส์ทายใจกับพี่ชายตัวดี
ฉันทัชทำหน้าเซ็งเล็กน้อยที่น้องสาวไม่ยอมเล่นด้วย “ไทน์ต้องไม่เชื่อแน่ๆ”
“มันไม่น่าเชื่อตั้งแต่ที่ชัดเจนโทรมาแล้วปะ ทำไมต้องโทรมา มีอะไร” แฝดน้องกลอกตา
“เขาโทรมาชวนไปกินข้าว”
“ห๊ะ!? วอท?โทรมาชวนกินข้าวทำไมวะ” นางแบบสาวอุทานอย่างลืมตัว
“พูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวเถอะ”
“เรื่องมารยาทเอาไว้ก่อน เอาเรื่องชัดเจนก่อน โทรมาชวนเทมส์ไปกินข้าวทำไม ได้ถามไหม”
“บอกอยากกินข้าวด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร”
“ตลกละ ก่อนหน้านี้เทมส์ก็ไม่เคยกินข้าวกับชัดเจนสองคนไม่ใช่หรือ”
“ใช่ เทมส์ก็ถามกลับไปขำๆ นะ ว่าชัดกลัวเทมส์ไม่มีเพื่อนกินข้าวเหรอ ถ้าเรื่องนั้นไม่เป็นไรนะ”
“แล้วมันว่าไง”
“บอกว่าเป็นห่วง”
“ไทน์ว่ามันแปลกๆ ละ นี่คิดจะตีท้ายครัวพี่มันเหรอ” อินทัชคาดการณ์
“จะตีท้ายครัวได้ไง” ฉันทัชหัวเราะ “เทมส์เลิกกับปาลแล้ว”
“เทมส์พูดเหมือนไม่แคร์ และพร้อมจะเปิดโอกาสให้ชัดอย่างนั้นล่ะ” น้องสาวหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ
“เปล่าเสียหน่อย แค่พูดไปตามความจริง”
“ถ้าชัดเจน เดินหน้าจีบจริงๆ จะทำไง”
“ก็ไม่ทำไง” ฉันทัชทำหน้าทะเล้น “ถ้าเขาพยายามจนเทมส์รับรู้ ก็ค่อยว่ากัน”
“แปลว่าเทมส์ก็โอเค?”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย เรื่องอนาคตใครจะไปรู้ จริงไหมล่ะ” ฉันทัชทิ้งปริศนาเอาไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บล้างให้
อินทัชมองแผ่นหลังของพี่ชาย หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่า คนที่ไม่ยี่หระอะไรในเวลานี้ จะเป็นคนเดียวที่ยอมทำเพื่อความรักเมื่อหลายปีก่อน
“เดี๋ยวไทน์ล้างให้เอง เทมส์จะได้พัก”
“ก็ได้ๆ” แฝดพี่บอก ละตัวเองออกมาจากอ่างล้างจานเพื่อให้แฝดน้องเข้ามาแทนที่
ถึงจะถอยออกมาแล้วแต่ฉันทัชก็ยังไม่ออกไปจากห้องครัว เมียงมองน้องสาวที่ยืนล้างจานอย่างตั้งใจ “ล้างให้สะอาดๆ นะ เวลาที่ไปเป็นสะใภ้บ้านไหนจะได้ไม่อายเขา” ฉันทัชกำชับ
“ระดับนี้แล้ว ไม่อยากจะคุย นี่อินอิน คนสวยนะ งานนอกบ้านก็เก่ง งานในบ้านก็ไม่ด้อยหรอก” หญิงสาวอวดตัวเองโดยไร้กิริยาเขินอายใดๆ
“แต่ทำกับข้าวไม่ได้เรื่อง?”
“ก็คนมันไม่ค่อยมีเวลาทำนี่” อินทัชยอมรับเรื่องอาหารว่าเขาทำไม่ได้เรื่องแถมเข้าขั้นกินไม่ได้อีกต่างหาก
“ไว้ต้องฝึกทำอาหารแล้ว แม่สามีจะได้รักและเอ็นดู รู้ไหม” ฉันทัชยังแซวต่อ
“หึ บอกแต่คนอื่น แล้วตัวเองล่ะ”
“อะไรกัน แม่สามีรักและเอ็นดูเทมส์มาก ไม่อยากจะคุยเช่นกัน” ฉันทัชบอกอย่างมั่นใจ
“เดี๋ยวนะ เทมส์เข้าใจผิดอะไรไปหรือเปล่า” อินทัชวางฟองน้ำลงในอ่างพลางหันกลับมามองพี่ชาย
“อะไร?”
“ตอนนี้ เทมส์ไม่มีแม่สามีแล้ว มีแค่แม่ของปาล” อินทัชพูดเสียงเรียบ
“อ่า..เอ่อ..จริงด้วย” พอถูกน้องสาวเตือนสติ คนเป็นพี่จึงนึกออก
สองพี่น้องสบตากันนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งฉันทัชเริ่มก่อน “งั้น...เทมส์ขึ้นไปบนห้องก่อนนะ ง่วงอะ”
...
“โอ๊ย ลูกชายฉัน เดี๋ยวนี้กลับบ้านเร็ว ผิดกับสมัยมีเมียเป็นคนละคน” คุณหญิงกิ่งกานต์แขวะลูกชายคนเล็ก ยามที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมชัดเจน
“แม่อะ หยุดประชดผมบ้างไม่ได้หรือ” ปาณัสม์โต้มารดา ชัดเจนยกมือไหว้ผู้มีพระคุณแล้วจึงเลี่ยงเดินไปอีกทางหนึ่งของบ้าน
“แกว่าฉันควรจะพูดกับแกอย่างไรดีเจ้าปาล ทำไมตอนมีแฟนถึงไม่ทำตัวแบบนี้ เอาแต่เที่ยวอุตลุด” คุณหญิงก็ไม่อยากจะดุด่าบุตรชาย แต่ปากก็อดไม่ได้ ถ้าลูกชายของนางจะคิดได้เร็วกว่านี้ เรื่องพวกนี้คงจะไม่เกิดขึ้น
“ก็ผมเบื่อ ไม่อยากไปเที่ยวแล้ว”
“ฉันเดาใจแกไม่ถูกเลยเชียว คำว่าเบื่อของแกมันช่างเปลี่ยนแปลงไปมา โลเลเหลือเกิน” มารดาเตรียมตั้งรับคำเถียงกลับของปาณัสม์ แต่เธอก็ต้องประหลาดใจ
“ใช่ครับ ผมมันคนโลเล” ชายหนุ่มยอมรับมันออกมาอย่างง่ายๆ
“แกเป็นอะไรหรือเปล่า ปาณัสม์” คนเป็นแม่เริ่มผิดสังเกต ไม่บ่อยครั้งนักที่เธอจะเรียกชื่อบุตรชายเต็มยศแบบนี้
“เปล่าครับ ผมแค่เหนื่อยเรื่องงานนิดหน่อย”
“ถ้างั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ เสร็จแล้วก็ลงมากินข้าว เดี๋ยวแม่บอกให้เด็กเตรียมไว้ให้” คุณหญิงเลยไม่เซ้าซี้อะไรบุตรชายอีก
“ขอบคุณครับ”
คุณหญิงกิ่งกานต์มองตามแผ่นหลังของบุตรชายที่หายลับเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แล้วทอดถอนหายใจ เธอเดินเข้าไปห้องนั่งเล่น กวาดสายตามองหาคนที่ต้องการ และพบว่าเจ้าตัวกำลังนั่งทานข้าวอยู่พอดี
“เดี๋ยวเตรียมอีกที่ให้คุณปาลด้วยนะ” เธอสั่งเด็กในบ้าน ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับบุตรชายคนโต
“ตาปอนด์”
“ครับแม่”
“แกสังเกตเห็นอะไรผิดปกติกับเจ้าปาลบ้างไหม”
ชายหนุ่มทำท่าคิดก่อนจะตอบ “ไม่นี่ครับ เรื่องงานที่บริษัทมันก็เหมือนเดิมนะครับแม่ นี่มันกลับมาหรือยังครับ ผมไม่ได้ยินเสียงรถ”
“อืม กลับมาเมื่อตะกี้นี่เอง แม่ไล่มันไปอาบน้ำ ช่วงนี้มันทำงานหนักกว่าเดิมหรือเปล่า”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“แกไม่คิดว่าน้องชายแกมันแปลกไปจริงหรือ” คุณหญิงถามย้ำ
“เอ้อ..อาจจะจริงอย่างที่แม่ว่าก็ได้ ผมไม่ทันสังเกตเลย พักนี้มัวแต่ยุ่งๆ เรื่องงานที่จะร่วมทำกับเพื่อนผม แล้วน้องปัณณ์ก็ออกหัดเพิ่งหายดี ผมแทบจะไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลยครับแม่”
“ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน น้องแกไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนมาสักพักแล้วนะ ตาปอนด์”
“เหรอครับ” ศรารัณคิดทบทวน “มันเกรงใจแม่หรือเปล่า”
“ตาปาลน่ะเหรอ จะเกรงใจแม่ หรือว่า....มันจะคิดถึงเทมส์ น้องเคยเกริ่นเรื่องนี้กับแกบ้างหรือเปล่า” คุณหญิงตาเป็นประกาย เธอยังไม่ละความหวัง
“ไม่เคยเลยครับ นอกจากที่แม่พูดมา ปาลมันแทบไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะครับ งานก็ยังทำไม่ผิดพลาด แถมยังได้ผลดีเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วแม่เลขานั่นล่ะ”
“คุณเกศสิรีน่ะเหรอครับ ก็เหมือนเดิมนะแม่ ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลิกกับเทมส์” ศรารัณขยายความเพิ่มขึ้น
“เอ หรือว่ามันจะเบื่อเที่ยวแล้วจริงๆ” คุณหญิงมีสีหน้าครุ่นคิด เริ่มไม่ค่อยแน่ใจ
“ปาลมันบอกแม่ว่าเบื่อเหรอครับ”
“ใช่ หรือมันจะกลุ้มใจเรื่องอื่น”
“ผมว่า เดี๋ยวผมถามมันเองดีกว่า” ลูกชายคนโตบุ้ยหน้าไปยังน้องชายที่เดินมาหาคนทั้งคู่ “นู่น...มันเดินมานั่นแล้ว”
“กำลังนินทาอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ” ปาณัสม์หรี่ตาว่าพลางระหว่างลงนั่ง เด็กในบ้านรีบตักข้าวให้ทันที
“ไม่ได้นินทา แต่กำลังเป็นห่วงต่างหาก” ศรารัณบอก
“ห่วง?มีเรื่องอะไรถึงมาห่วงผม” ปาณัสม์ทำท่าดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมายและเริ่มลงมือทานข้าวบ้าง
“แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ มีอะไรก็บอกพี่ชายคนนี้ได้นะเว้ย” พี่ชายถามน้องชายอย่างเป็นกันเอง
ไม่ทันที่ปาณัสม์จะได้ตอบอะไรกลับไป เสียงหวานใสของเด็กหญิงศราลักษณ์ที่วิ่งเข้ามาในห้องก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คุณพ่อปอนด์ขา วันนี้ที่โรงเรียนให้วาดรูปครอบครัวด้วยค่ะ” เด็กหญิงรีบเอารูปที่วาดมาจากโรงเรียนนั้นมาอวดผู้เป็นบิดาด้วยความตื่นเต้น
“ไหนพ่อปอนด์ดูหน่อยสิคะ” ร่างเล็กๆ นำกระดาษที่มือมาด้วยส่งให้ ศรารัณนำรูปวาดนั้นมาพินิจดู จะว่าไปเขาดูไม่ค่อยออกหรอก “ใครเป็นใครบ้างคะ บอกพ่อหน่อย”
“คุณพ่อดูไม่ออกหรือคะ” เด็กหญิงทำหน้าเซ็ง คนเป็นพ่อยิ้มหวานให้ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะอธิบายให้คุณพ่อฟังเอง คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งแล้วถือขนมคือคุณย่า ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ยืนจับมือกันอยู่”
“อ้าว แล้วน้องปัณณ์ล่ะคะ” ศรารัณแปลกใจกับภาพวาด ปกติ ภาพครอบครัวมักจะเป็นพ่อจับมือลูกข้างหนึ่ง แม่จับมือลูกข้างหนึ่งหรือเปล่า
“หนูก็นั่งอยู่บนม้านั่งไงคะ เนี่ยหนูให้คุณครูสอนวาดม้านั่งด้วยนะคะ สวยไหมคะพ่อปอนด์” เด็กหญิงยังคงอวดฝีมือผลงานตัวเอง
“สวยค่ะ สวยมาก ถ้างั้นนี่ก็เป็นคุณย่าแล้วก็หนูนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนอีกคนที่นั่งข้างหนูอีกฝั่ง คือใครคะ”
“อาจันทร์ไงคะพ่อ หนูคิดถึงอาจันทร์ เลยวาดอาจันทร์ด้วย” ศรารัณมองสบตากับปาณัสม์เล็กน้อย
“แล้วอาปาลล่ะคะ” ผู้เป็นพี่ถามแทนน้องชาย
“มีแค่นี้ล่ะค่ะ หนูไปหาคุณแม่ดีกว่า คุณพ่อกินข้าวเสร็จแล้ว รีบมาหาหนูนะ” เด็กหญิงศราลักษณ์ฉลาดตอบ แถมยังหนีไปจากตรงนั้นเสียดื้อๆ
“ไม่คิดว่าเด็กเจ็ดขวบจะโกรธได้นานขนาดนี้” ศรารัณบอกอย่างไม่คาดคิดในตัวบุตรสาว ว่าจะจำแม่นและจริงจังถึงเพียงนี้
“ผมเครียดที่หลานโกรธมากนะพี่ปอนด์ แต่ก็คิดว่าแป๊ปเดียวคงหาย” ปาณัสม์ถอนใจออกมา
“เป็นเดือนแล้วใช่ไหมวะ”
“ครับ”
“ขนาดหลานยังรู้” มารดาพูดลอยๆ “แกก็หาเวลาเข้าหาหลานบ่อยๆ น้องปัณณ์จะได้ใจอ่อน รู้ไหม” ถึงจะรู้สึกว่าสมควรแล้วที่บุตรชายถูกหลานสาวโกรธ แต่คุณหญิงก็ไม่อยากให้ครอบครัวต้องมีปัญหา ยิ่งกับเด็ก เธอยิ่งไม่อยากให้เด็กหญิงต้องโกรธฝังใจขนาดนั้น
“ครับแม่” ปาณัสม์รับคำพลางดันกรอบแว่นที่เลื่อนตกมาให้สูงขึ้นกว่าเดิม
“เลิกงานแล้วยังใส่แว่นอยู่อีกหรือ” ศรารัณถามน้องชาย
“มันชินน่ะ”
“แม่ครับ เรื่องงานวันเกิดของแม่ที่จะจัดปีนี้” ศรารัณไม่ได้ท้วงหรือถามอะไรต่อ เขาเริ่มเรื่อง
ใหม่
“ว่าไงจ๊ะ”
“เดี๋ยวผมจะให้เลขาเอารายชื่อแขกกับรายการอาหารมาให้แม่ดูด้วยนะครับ เผื่อว่าแม่จะอยากชวนใครเพิ่มอีก แต่คงไม่ต่างจากปีที่แล้วเท่าไหร่หรอกครับ”
“จ้ะ”
“ส่วนสถานที่จัดงาน เป็นโรงแรมเดิมดีไหมครับ เบื่อหรือยังครับ อยากเปลี่ยนที่ใหม่ไหม” ศรารัณถามเพิ่มเพราะทุกๆ ปี ก็จัดที่โรงแรมแห่งเดิม
“เรื่องสถานที่กับอาหาร แม่แล้วแต่แกกับเจ้าปาลเลย สะดวกที่ไหนก็ที่นั่นล่ะ แม่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” คุณหญิงสรุปความให้บุตรชายฟังอย่างรวดเร็ว ปกติเธอไม่ใช่คนเรื่องมากอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งบุตรชายก็รู้ใจนางเป็นอย่างดี จึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
...
สถานที่จัดงานวันเกิดของคุณหญิงกิ่งกานต์โอ่อ่าใหญ่โตสมฐานะ เนื่องจากปีนี้คุณหญิงอายุครบหกสิบปีพอดิบพอดี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทั้งสองนายจึงเอาอกเอาใจมารดาเสียยกใหญ่
“ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนโรงแรมเพื่อมาจัดงานให้ใหญ่จนเอิกเกริกขนาดนี้” คุณหญิงดุบุตรชายคนโต ทว่าใบหน้านั้นกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่แฝงความพอใจไม่น้อย
‘เจ้าเด็กพวกนี้ รู้ใจคนเป็นแม่จริงเชียว’“วันเกิดครบหกสิบปีของแม่นะครับ ผมกับเจ้าปาลจะจัดงานเล็กๆ ให้แม่ได้อย่างไร อีกอย่างเห็นรายชื่อแขกเยอะกว่าปีก่อนๆ คิดว่าผมกับเจ้าปาลจะไม่รู้หรือครับ”
“ย่ะ เจ้าตัวดี เข้าใจแม่ไปเสียหมด”
“คุณย่าขา มีความสุขมากๆ นะคะ” หลานสาวคนเดียวของบ้านวิ่งเข้ามากอดเอวผู้เป็นย่า
“ขอบใจมากจ้ะ น้องปัณณ์ก็ต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อนะรู้ไหม”
“ค่ะ คุณย่า” เด็กหญิงรับคำใบหน้าแป้นแล้นเสียจนอยากจะบีบแก้มนิ่มๆ นั้น
คุณหญิงกิ่งกานต์อยากจะต่อท้ายประโยคเหลือเกินว่า แล้วถ้าจะให้ดีก็เลิกโกรธคุณอาเขาได้แล้ว ทว่ายังไม่อยากให้เสียบรรยากาศแต่แรก จึงละเอาไว้
“แขกเริ่มทยอยมาแล้วค่ะ คุณแม่” ชลพิกา สะใภ้คนโตเดินเข้ามาสมทบทีหลัง เพราะต้องไปตรวจตราความเรียบร้อยในงานอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้งานมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด
ปกติแล้ว ในทุกๆ ปี หน้าที่นี้จะเป็นของฉันทัช แต่ปีนี้ไม่มีหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นแล้ว หญิงสาวจึงรับหน้าที่นี้แทน
“ขอบใจจ้ะ ไปพักเถอะเกด ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้อยู่ แม่เป็นห่วง” คุณหญิงบอก
“ค่ะ เดี๋ยวเกดขอตัวพาน้องปัณณ์ไปอีกห้องก่อนนะคะ” ลูกสะใภ้กล่าว คุณหญิงพยักหน้าว่ารับรู้
“แล้วเจ้าปาลล่ะ มาหรือยัง” คุณหญิงถามบุตรชายคนโตถึงบุตรชายคนเล็ก
“ยังไม่มาครับ ติดเคลียร์งานที่บริษัทนิดหน่อย แต่อีกสักพักจะตามออกมา”
“อะไรกัน วันเกิดแม่ทั้งที ยังมัวแต่ทำงานอยู่อีก” คุณหญิงบ่นแต่ก็ไม่ได้สนใจนานนักเพราะแขกผู้มีเกียรติต่างพากันทยอยเข้ามาทักทายเจ้าของงาน ทำให้คุณหญิงลืมเรื่องๆ อื่นไปเสียสนิท
...
“ไทน์สายแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน” ฉันทัชเร่งน้องสาวมาตลอดทาง จนกระทั่งรถยนต์ถูกขับเข้ามายังลานจอดรถในอาคารจอดรถของโรงแรม
“ให้มาก่อนก็ไม่เอา” เพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อินทัชจึงต้องกลับไปฮ่องกงเพื่อถ่ายซ่อมฉากหนึ่งในละคร ทำให้วันหยุดที่ขอลาไว้ถูกเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
โชคดีแค่ไหนที่ถ่ายเสร็จทัน แล้วบินกลับมาถึงไทยได้อย่างเฉียดฉิว
“ใครจะกล้าเสนอหน้ามางานคนเดียวล่ะ แล้วถ้าเจอปาลอีก เทมส์จะทำหน้ายังไง”
“อืม เข้าใจๆ รีบลงรถ” อินทัชดับเครื่องพลางเตือนความจำพี่ชาย “อย่าลืมของขวัญของแม่ด้วย”
“จริงด้วย รีบเสียจนเกือบลืมแล้วไหมล่ะ” ฉันทัชลงจากรถก็รีบหยิบของจากที่นั่งด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“พร้อมยัง” แฝดน้องถาม
“อืม เข้าไปในงานกันเถอะ”
================================
พรุ่งนี้เขมเหมือนจะงานเข้าค่ะ (เพราะวันนี้งานเข้าหนักมาก) เลยมาลงตั้งแต่คืนนี้ค่ะ
ตอนนี้มีหลายสถานการณ์เหลือเกิน ตัดไปมาแบบนี้ งงกันไหมคะ บอกเขมได้นะ
เนื่องจากตอนนี้ยาวเลยหั่นเป็นสองพาร์ทนะคะ ตอนหน้าไปเที่ยวงานวันเกิดจริงๆ แล้วค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านค่ะ
HASHTAG #ภาคต่อของความรัก
ไปคุยกันในทวิตได้น้า เขมอยากเมาท์ อิอิ
Twitter และ
Facebookถ้ามีคำผิดบอกเขมนะคะ จุ๊บๆ