ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภาคต่อของความรัก - ภาคพิเศษ ภาคแห่งความวุ่นวาย END หน้า 13 UP!! 09/02/2019  (อ่าน 70744 ครั้ง)

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



-------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สี่แล้วค่ะ ขอฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะคะ




เมื่อความรัก ไม่ได้สวยหรูเหมือนในละคร

Happy Ending

ชีวิตรักในฝัน

แต่ชีวิตจริงมันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก!!

สิบปี ที่ผ่านมา

ต่างฝ่ายต่างเบื่อ

บอกหน่อยสิ

ควรจะไปต่อหรือหยุด?




==========================
ผลงานเรื่องเก่าๆ ค่ะ









เรื่องสั้นค่ะ



ฝากทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คเพื่อพูดคุยหรือติดตาม ได้ที่นี่ค่ะ จิ้มตามไปเลย

:mew1: :mew1: :mew1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 23:21:02 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

บทนำ


           
            ดอกกุหลาบสีแดงสดวางอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดสำหรับสี่คน นอกจากนั้นยังมีอาหารอีกสามอย่างและข้าวสวยอีกสองจาน วางอยู่คนละฝั่ง อาหารที่ถูกอุ่นให้ร้อนหลายต่อหลายครั้ง บัดนี้มันกลับเย็นชืดเพราะเจ้าของรสมือไม่อยากจะอุ่นมันอีกต่อไป

            ปล่อยไว้แบบนั้น กระทั่งเช้าวันใหม่

            ฉันทัชตื่นขึ้นมาพบว่าที่นอนอีกฝั่งว่างเปล่า คนรักที่อยู่ด้วยกันมาสิบปี ไม่ได้กลับบ้าน มันไม่ใช่ครั้งแรก ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับความเหนื่อยล้าภายในจิตใจ เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีขาวกั้นสายตาบางๆ

            เจ็ดนาฬิกา

            เขาคงต้องลุกขึ้นไปเก็บจานชามที่ทิ้งไว้เมื่อคืนเสียที ขืนช้าไปกว่านี้อาหารที่เน่าเสียอาจจะส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วห้อง

            ไม่ต่างกับความเน่าเฟะในจิตใจ


 
            ติ๊ด!

            เสียงคีย์การ์ดที่ทาบทับกับประตูล็อกดิจิตอลดังขึ้นขณะที่ฉันทัชกำลังจะยกจานเหล่านั้นไปล้างอยู่พอดี เขาปรายตามองผู้มาใหม่ ก่อนจะถามไปอย่างเสียไม่ได้

            “เพิ่งกลับเหรอ”

            “อืม ไปอาบน้ำก่อนนะ วันนี้มีประชุมเช้า เดี๋ยวจะสาย” อีกฝ่ายตอบมาอย่างเนือยๆ

            ไร้คำอธิบายว่าทำไมถึงไม่กลับบ้าน แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบในตัวอีกฝ่าย ฉันทัชจึงถามออกไป “กินอะไรก่อนไหม”

            “ไม่ล่ะ เดี๋ยวให้คุณสิเตรียมไว้ให้” ฉันทัชรู้จักคุณสิหรือเกศสิรี เลขาสาววัยยี่สิบแปดคนนี้เป็นอย่างดี

            “เอางั้นเหรอ”

            “อืม”

            “รีบไปอาบน้ำเถอะ” ฉันทัชตัดบทแล้วยกจานชามเข้าไปในครัวเพื่อทิ้งและล้างมันให้หมดจด ถ้าล้างคราบเศษขยะพวกนี้ไปได้เหมือนกับล้างใจของเขาได้ก็คงดี

            ไม่รู้ว่าเมื่อคืนคนรักอยู่กับใคร

            ลูกค้าหรือเลขา?

            เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว?


            เปล่าประโยชน์ที่จะคิดในเมื่อมันก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เขาจึงเริ่มลงมือล้างจานในอ่างนั้นอย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องนอน อีกฝ่ายคงจะแต่งตัวเสร็จแล้ว รายนี้อาบน้ำไวอย่างที่เขาเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำ เขาโคลงหัวนึกขำกับอาการคนรีบร้อน

            “ไปนะ” คนรักบอกอย่างเร่งรีบ คนขับรถคงรออยู่ที่ลานจอดรถคอนโดเหมือนเคย

            “อืม ไปทำงานดีๆ” ฉันทัชไม่แม้แต่จะหันไปมอง เขาตอบทั้งที่ยังเช็ดจานตรงหน้าให้แห้ง

            คนที่มาไวไปไว เดินมุ่งหน้าไปที่ประตู หางตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ร่างของชายหนุ่มหยุดชะงัก สายตาจับจ้องอยู่ที่ดอกกุหลาบสีแดงช้ำดูเปราะบางพร้อมจะร่วงโรยทันทีหากเอื้อมมือไปจับมัน

            ปาณัสม์หลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วหยิบโทรศัพท์มาดูวันที่ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังห้องครัวแทน เห็นร่างคนรักกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มสวมกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลังพร้อมกับกดจมูกที่แก้มขาวนวล

            ฉันทัชสะดุ้งเล็กน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายออกไปแล้ว

            “ไม่เอา ตัวเหม็น ยังไม่ได้อาบน้ำ” คนพูดกระเถิบตัวหนีพลางลูบแก้มที่ถูกชนด้วยกรอบแว่นของคนรัก

            “ไม่เห็นเป็นไร...ไปละ” ปาณัสม์บอกพร้อมกับวางมือแปะลงบนศีรษะของฉันทัช

            “อืม”

            เสียงปิดประตูบ่งบอกว่าอีกคนได้ออกไปแล้ว ฉันทัชเองก็เช็ดจานเสร็จแล้วเช่นกัน จังหวะที่จะเก็บจานลงในลิ้นชัก สายตาก็เห็นดอกกุหลาบปาณัสม์คงหยิบมาวางไว้ตรงนี้

            ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาพินิจดูอย่างช้าๆ ก่อนจะปล่อยมันลงในถังขยะอย่างไม่ใยดี เขาพาตัวเองเข้าไปในห้องนอน เพียงพ้นประตู ขาซ้ายก็ปะทะเข้ากับเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งบนพื้น มันเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายไม่เคยถอดเสื้อผ้าให้ลงตะกร้าผ้า

            ‘เช้านี้ถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วนะ?’

            เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าไปไว้ในที่ที่มันควรอยู่ก่อนจะไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองในห้องน้ำบ้าง ใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานจึงกลับออกมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น สมองเริ่มปลอดโปร่ง เขาเดินไปห้องที่ติดกับห้องนอน ภายในห้องมีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่บนนั้นมีหนังสือวางซ้อนกันอยู่มากมาย ผนังห้องมีชั้นหนังสือที่กินพื้นที่ความยาวของผนังและบนชั้นยังมีหนังสือเต็มชั้น

            ฉันทัชนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรด เท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างมองเห็นรถติดอยู่บนทางด่วนหรือบนสะพานในหลายๆ เส้นทาง

            วันนี้รถไฟฟ้าเสียหรือเปล่านะ เขาไม่แน่ใจเพราะไม่ได้โดยสารมันมานานหลายปี

            แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่กันทั้งนั้น เขาเองก็เช่นกัน

            ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านแปดและคิดว่าตนเองต้องเริ่มลงมือทำงานเสียที มือขาวหยิบปากกาขึ้นมาขีดฆ่าวันที่ของเมื่อวานทิ้งก่อนจะมองวันที่อย่างพอใจ


            สิบห้า กุมภาพันธ์





======================

โทนอาจจะมาหม่นๆ หน่อย แต่มันไม่เศร้าเน้อ



 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 23:56:29 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาคที่ 0.5 After Credit is not End Credit

           
ปาณัสม์เปิดประตูเข้ามานั่งทางด้านหลังในรถยนต์หรูอย่างรวดเร็ว เขาเสียเวลาไปมากแล้วถ้ายังออกสายไปกว่านี้คงจะถึงออฟฟิซประมาณสิบโมงเป็นแน่ ช่วงเช้าเขามีประชุมบอร์ดผู้บริหาร ชายหนุ่มไม่อยากให้ผู้ใหญ่หลายท่านต้องรอ

“เมื่อคืนค้างที่ออฟฟิซอีกแล้วเหรอครับคุณปาล” ลุงชมเอ่ยถามแม้ว่าอายุของคนถามจะไม่น้อยแล้วแต่ร่างกายยังคล่องแคล่วอยู่ มือที่เริ่มเหี่ยวเปลี่ยนเกียร์แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที

“ครับ กว่าจะสรุปตัวเลขกับรายงานต่างๆ เสร็จ ก็ตีห้าแน่ะ ผมเลยให้ชัดกลับไปพักก่อน สายๆ ค่อยตามเข้ามา” ปาณัสม์เอื้อเฟื้อใจดีกับคนในบ้านเสมอ ยิ่งกับลูกชายลุงชมหรือชัดเจนที่เติบโตมาด้วยกันแล้ว ยิ่งมีน้ำใจมากขึ้นไปอีก

“ถึงว่า...เจ้าชัดให้ลุงออกมารับคุณปาลแต่เช้า พักผ่อนน้อยแบบนี้ระวังร่างกายจะไม่ไหวเอานะครับ” ลุงชมบอกด้วยความเป็นห่วง เขาเห็นเจ้านายคนนี้ตั้งแต่เกิดกระทั่งเติบใหญ่ อย่างไรก็รักและห่วงเหมือนลูกหลานอีกคน

“ผมยังไหวน่า แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกลุงชม” ชายหนุ่มตอบขณะดันกรอบแว่นให้สูงขึ้น

“คุณเทมส์ไม่บ่นเอาแย่หรือครับ” ลุงชมถามถึงอีกคน

“เทมส์? บ่น? บ่นอะไรครับ” ปาณัสม์เงยหน้าจากมือถือมาสบตากับลุงชมผ่านทางกระจกหลังด้วยความไม่เข้าใจ

“ก็คุณปาลห่วงแต่งานไม่ค่อยมีเวลาให้ ระวังเธอจะน้อยใจนะครับ” ลุงชมพูดพลางกลั้วหัวเราะ

“ไม่งอนหรอกครับ คบกันมาตั้งกี่ปีแล้วถ้าเรื่องแค่นี้ยังแยกแยะไม่ได้ก็น่าเบื่อเกินไปนะครับลุง” ปาณัสม์ตอบลุงชมอย่างเหนื่อยหน่าย

“แหม้ แต่เมื่อวานเป็นวันวาเลนไทน์ไม่ใช่หรือครับคุณปาลอย่างน้อยก็น่าจะพาเธอไปข้างนอก”

“จริงด้วย ผมลืมสนิทเลย” ในใจชายหนุ่มกลับหวนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาจะออกมาจากห้อง

‘ดอกกุหลาบดอกนั้น ฉันทัชตั้งใจจะให้เขาหรือเปล่า’

“วันนี้ก็พาไปทานข้าวเสียหน่อยสิครับ เปิดหูเปิดตาบ้าง คุณเทมส์เธอคงดีใจเธอชอบไปเจอผู้คนไม่ใช่หรือครับ” ปาณัสม์โคลงหัวไปกับคำแนะนำของลุงชม

ฉันทัชคบกับเขานานเป็นสิบปี นานจนกระทั่งคนรอบข้างต่างพากันรู้นิสัยเจ้าตัวกันหมด

“ผมจะลองเก็บไปคิดดู ขอบคุณนะครับลุงชม”

ถึงจะบอกแบบนั้น แต่สุดท้ายปาณัสม์ก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท

“ได้ยินจากเจ้าชัดว่าแกเพิ่งออกจากออฟฟิซตอนตีห้า ค้างที่บริษัทอีกแล้วเหรอ มันเปลืองไฟรู้ไหม” ศรารัณหรือปอนด์ พี่ชายของปาณัสม์ที่อายุมากกว่าสี่ปีแซวขึ้นจากหัวโต๊ะประชุมเมื่อปาณัสม์นั่งลงทางด้านซ้ายมือของเขา

“พูดเหมือนลุงชมเป๊ะ ไอ้ชัดมันบอกครบทุกคนเลยมั้ง” ปาณัสม์พูด น้ำเสียงฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้พูดจริงจังอะไรนัก นอกจากแซวเล่นในหมู่คนสนิท

“ใช่หรือเปล่า” พี่ชายหรี่ตาลงพลางถามซ้ำเพราะยังไม่ได้คำตอบ

“อืม”

“พักบ้างนะเว้ย ไม่อยากให้เทมส์เป็นม่าย” ศรารัณเตือนน้องชายด้วยความหวังดีหรือแท้จริงแล้วห่วงฉันทัชหรือเปล่าก็ไม่รู้แน่

“อีกคนแล้ว” ปาณัสม์มุ่ยหน้า เช้านี้ใครๆ ก็ต่างพูดถึงฉันทัช

“อะไรอีกคนแล้ว”

“เมื่อเช้าลุงชมก็พูดแบบนี้”

“เหรอ บังเอิญจริงๆ” ศรารัณหัวเราะที่ใจตรงกันกับลุงชม

“เทมส์สบายดี ไม่ทุกข์ร้อนอะไรหรอกพี่ วันๆ ทำแต่หน้าเดิม จนผมไม่รู้แล้วว่าเทมส์คิดอะไรในใจ”

“ก็แกบ้างานเกินไป งานน่ะรักมันได้ แต่ยังไงครอบครัวก็สำคัญกว่า” พี่ชายตบบ่าน้องชาย

“ผมอยากให้บริษัทเราเติบโตกว่านี้”

“แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ” ศรารัณเลิกคิ้วพลางถามน้องชาย

“มันยังไปได้อีก พี่ก็รู้”

“พี่รู้ แต่ถ้าบริษัทเติบโตยิ่งใหญ่ แต่ข้างกายแกกลับไม่มีใครเลย จะโอเคใช่ไหม อยากได้แบบนั้นหรือไง”

ปาณัสม์ไม่ตอบ เขาเปิดแฟ้มรายงาน กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าการประชุมก็จะเริ่มขึ้น

“อย่าทำงานหนักเหมือนป๊าเลย ไม่เห็นเหรอว่าแม่น่าสงสารแค่ไหน ที่พูดน่ะไม่ได้อยากให้เครียด แต่อยากให้คิดนะไอ้น้องชาย”

“ครับ” ปาณัสม์ตัดบทด้วยคำๆ เดียวและศรารัณรู้ตัวว่าเขาควรจะพอเพียงเท่านี้

“เอ้อ..เกือบลืม” แต่ไม่ทันไรศรารัณก็พูดขึ้นมาอีก

“อะไรอีกพี่ปอนด์” น้องชายเริ่มหงุดหงิดเพราะเขาอ่านกระดาษตรงหน้าไม่รู้เรื่อง

“แม่บอกให้แกพาเทมส์ไปที่บ้านบ้าง แม่คิดถึง”

“ครับ”

“อ้อ...อีกอย่างหนึ่ง” ศรารัณยังไม่หมดเรื่องที่จะพูด

“พี่ปอนด์!” ปาณัสม์หน้าหงิก มองพี่ชายด้วยสายตาไม่พอใจผ่านแว่น

“น้องปัณณ์บอกว่าคิดถึงอาปาลกับอาจันทร์ม๊ากมาก” พี่ชายทำเสียงเลียนแบบลูกสาวออกมาลากเสียงคำว่ามากออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยนสร้างรอยยิ้มให้ผู้เป็นอาไม่น้อย

“วันนี้พี่ไปรับน้องปัณณ์เองหรือเปล่า” ศรารัณพยักหน้าตอบว่าใช่

“เดี๋ยวเย็นนี้ผมไปรับน้องปัณณ์กับพี่ด้วย” ปาณัสม์บอก เขารู้สึกอารมณ์ดี สีหน้าผ่อนคลายทันทีที่ได้ยินชื่อหลานสาว น้องปัณณ์หรือเด็กหญิงศราลักษณ์วัยเจ็ดขวบ

“แล้วเทมส์ล่ะ?” ผู้เป็นพี่ชายถามถึงอีกคน

“วันหลังเถอะ เริ่มประชุมแล้ว” ปาณัสม์ตัดบทอีกครั้งเพราะตอนนี้ผู้เข้าร่วมประชุมมากันครบแล้ว แซนด์วิชที่คุณเกศสิรีเตรียมไว้ให้ เขาก็ไม่มีโอกาสจะได้แกะมันออกมากินเพราะพี่ปอนด์คนเดียว มัวแต่ชวนคุย

‘รู้อย่างนี้กินข้าวที่บ้านมาก่อนก็ดี’

.

.

จวนเที่ยงการประชุมจึงสิ้นสุดลง ปาณัสม์หิวไส้แทบขาด ชัดเจนที่ถูกไล่กลับไปเมื่อเช้าก็มาถึงที่ประชุมตามหลังเขาไม่นาน เด็กนี่ดื้อจริงๆ บอกให้นอนพักผ่อนก่อนตอนบ่ายค่อยตามมายังไม่ยอมฟังกันอีก ถึงจะบอกว่าเด็กแต่ชัดเจนอายุน้อยกว่าเขาแค่สามปีเท่านั้นเอง

“คุณปอนด์กับคุณปาลอยากไปกินข้าวที่ไหนหรือเปล่าครับ” ชัดเจนถามขึ้นหลังจากเดินออกมาจากห้องประชุม

“อยากกินสุกี้ตรงร้านนั้นอะ นั่งรถผ่านมาหลายวันยังไม่ได้ไปลองสักที” ศรารัณพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนคนได้ของเล่นใหม่

“ไปกินที่ห้องดีกว่า มันเสียเวลาพี่ปอนด์” ปาณัสม์ขัดพี่ชาย

“ไม่เอา ไม่อยากอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ปาลไปกินเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ ชัดด้วย คุณสิด้วยนะครับ ไปกันเยอะๆ” พูดถึงเรื่องงานแล้วศรารัณค่อนข้างเคร่งขรึม เด็ดขาดไม่แพ้น้องชาย หากหลุดโหมดผู้บริหารเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีภรรยาและลูกสาวที่น่ารัก

“พี่ปอนด์ ผมบอกว่ามันเสียเวลา”

“ไปเถอะครับคุณปาล ไม่นานเท่าไหร่หรอกน่า ทานอาหารดีๆ บ้าง เมื่อเช้ายังไม่ได้กินอะไรมาไม่ใช่เหรอ” ชัดเจนช่างสังเกต เรื่องนี้ปาณัสม์รู้ดี

“สิขอสนับสนุนคุณชัดอีกเสียงค่ะ” เกศสิรียกมือสนับสนุนเสียงข้างชัดเจน

“สามต่อหนึ่ง แกแพ้แล้วปาล”

“เออ ก็ได้ กินเร็วๆ นะ” ปาณัสม์บ่น ชายหนุ่มทำหน้ายุ่งที่ถูกขัดใจ เช้านี้เขาเข้าประชุม งานที่ค้างยังไม่ได้แตะเลย

ถึงจะหน้ามุ่ยแค่ไหน แต่ร้านสุกี้ที่ศรารัณอยากลองทานนั้นก็รสชาติดี จนปาณัสม์เริ่มผ่อนคลาย เมื่อมีอาหารตกถึงท้อง อารมณ์ก็พลอยดีตามไปด้วย จังหวะที่เขาคีบเกี๊ยวกุ้งเข้าปากใจก็นึกถึงอีกคนที่อยู่คอนโด

‘จะแปลงานเพลิน จนลืมกินข้าวหรือเปล่า’

เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความไปหาคนที่คิดถึงคงไม่ยากเท่าไหร่แต่ปาณัสม์กลับไม่รู้สึกอยากทำ โตๆ กันแล้วคงจะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ

“เหม่ออะไร กินต่อสิเดี๋ยวหมดนะเว้ย” ศรารัณพูดทำลายภวังค์น้องชาย

“เอ้า แว่นขึ้นฝ้าหมดแล้ว ถอดเก็บก่อนไหมล่ะเจ้าปาล” พี่ชายกระทุ้งศอกใส่แขนปาณัสม์ ทำให้ตะเกียบในมือร่วงลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง น้องชายหันไปมองพี่ชายด้วยสายตาดุก่อนที่ชัดเจนจะแก้ปัญหานี้โดยการเรียกพนักงานมาแล้วขอตะเกียบคู่ใหม่

ปาณัสม์ถอดแว่นออกมาเช็ดฝ้าให้หมดก่อนจะพับเก็บวางไว้บนโต๊ะ

“อย่าลืมเตือนให้หยิบแว่นกลับด้วยล่ะ” ชายหนุ่มบอกพี่ชาย

“เออ ไม่ลืมหรอกน่า” ศรารัณรับปาก

“เอ๋ ถอดแว่นแล้วบอสจะมองเห็นหรือคะ” เกศสิรีสงสัย ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายังไม่เคยเห็นปาณัสม์ถอดแว่น

“เห็นสิ นี่กี่นิ้ว น้องปาล” ศรารัณตอบแทนพลางชูนิ้วถามน้องชาย

“เล่นเป็นเด็ก” ปาณัสม์ปัดมือพี่ชายทิ้ง

“ก็คนมีลูก ไม่ทำตัวเด็กตามลูกแล้วจะให้ทำตามใคร” ศรารัณเถียง

“น้องปัณณ์ทำน่ะน่ารัก แต่พี่น่ะ...” ปาณัสม์ไม่พูดต่อ ให้พี่ชายเติมคำลงในช่องว่างเอาเอง

“ไม่เล่นด้วยก็ได้” ศรารัณบ่นเล็กน้อยก่อนแล้วหันไปบอกเกศสิรี

“บอสของคุณสิมองเห็นครับ ถ้าจะสั้นก็คงสั้นแค่ห้าหรือสิบเองมั้ง”

“เพิ่งรู้เลยนะคะ แล้วบอสใส่แว่นทำไมคะ”

“ผมไม่ก็รู้มันเหมือนกัน” ศรารัณบอก

“แว่นกรองแสง เวลาอยู่หน้าคอมฯ จะได้ถนอมสายตา” ปาณัสม์ตอบให้หญิงสาวคลายความสงสัย

“บอสไม่ใส่แว่นดูแปลกตาดีค่ะ”

“แปลกยังไง” ชายหนุ่มถาม

“ไม่รู้สิคะ ไม่ชินตาล่ะมั้ง” เกศสิรีไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“ร้านนี้สิเดินผ่านหลายครั้ง กลิ่นหอมเตะจมูกมากแต่ไม่เคยเข้ามาเลย”

“ทำไมล่ะครับ” ศรารัณถามหญิงสาว

“ทานสุกี้ต้องทานกันหลายๆ คนสิคะถึงจะอร่อย” เธอตอบพลางยิ้มหวาน

“จริงด้วยครับ ผมชอบบรรยากาศที่คนในครอบครัวล้อมวงกินสุกี้กัน อร่อยมาก” ศรารัณคนรักครอบครัวบอกอย่างมีความสุข

“คุณปอนด์นี่เป็นแฟมิลี่แมนสุดๆ เลยนะคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่บอสของสิจะเป็นแฟมิลี่แมนกับเขาบ้าง” เกศสิรีเอ่ยชมคนพี่แล้วเอ่ยแซวปาณัสม์

“คนบ้างานอย่างปาล คงยากหน่อยครับ” ศรารัณนินทาน้องชายระยะเผาขน

“แฮ่ม” ปาณัสม์ส่งเสียงบอกพี่ชายให้รู้ว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้

“คุณปอนด์พูดถูกแล้วครับ ยังไงคุณปอนด์บอกคุณปาลบ้างสิครับให้พักผ่อนเยอะๆ หน่อย ผมจะได้พักบ้าง” ชัดเจนขอร้องเจ้านายอีกคน

“ไอ้ชัด!” ปาณัสม์ดุน้องชายต่างสายเลือด นี่ทุกคนกำลังรวมหัวกันบ่นเขาใช่ไหม

“พี่ก็อยากช่วยนะชัด แต่ดูมันสิดุอย่างกับหมา” ศรารัณบุ้ยหน้าไปทางคนที่พูดถึง

“...” ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าข้างปาณัสม์จริงๆ ทุกคนส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“กลับไปจะตัดเงินเดือนให้หมด” ชายหนุ่มขู่

“โหดจริงจริ๊ง ตัดเงินเดือนพี่ชายคนนี้ด้วยไหม” ศรารัณยังคงแซวน้องชายต่อไป

“ของพี่ปอนด์ ผมคงทำไม่ได้หรอก แต่ผมจะไปบอกน้องปัณณ์ว่าพ่อปอนด์แกล้งอาปาล” ปาณัสม์งัดไม้ตายออกมาใช้กับพี่ชายด้วยสีหน้าเป็นต่อ

“อย่านะปาล อย่าทำอย่างนั้นพี่ไม่แกล้งแล้ว อย่าบอกน้องปัณณ์นะพี่กลัวแล้ว” ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ปาณัสม์ก็รู้ไส้รู้พุงพี่ชายเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกลัวน้องปัณณ์โกรธตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด

เขาถือไพ่เหนือกว่าเพราะน้องปัณณ์รักอาปาลมาก ใครทำให้อาปาลกับอาจันทร์เสียใจน้องปัณณ์จะโกรธทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อปอนด์

“ขอโทษนะ ผมคงช่วยคุณสองคนไม่ได้เพราะตัวผมเองกำลังตกที่นั่งลำบาก” ศรารัณทำเสียงเศร้าแสดงละคร สบตากับชัดเจนและเกศสิรีแล้วเอ่ยขอโทษ

“ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้บอสก็เลี้ยงพวกเราก่อนตัดเงินเดือนนะคะ” หญิงสาวยิ้มแย้มบอกอีกฝ่าย ไร้ความกลัว

“เตรียมใจกันไว้ด้วยล่ะ” ปาณัสม์พูดแกมขู่ไปอย่างนั้นเอง ทุกคนต่างพากันรู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะทำจริง แต่อย่างไรมื้อนี้เขาก็เป็นคนจ่ายอย่างที่เกศสิรีพูด

“เป็นบุญของไอ้ปอนด์ ที่น้องปาล อุตส่าห์เลี้ยง” พี่ชายลูบพุงที่ยังไม่ค่อยมีนั้นเบาๆ สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจ ส่วนชัดเจนและเกศสิรีนั้นยกมือไหว้พากันขอบคุณ

.

.

ในช่วงบ่ายปาณัสม์กระดกกาแฟดำไปอีกสองแก้วถ้วน เกศสิรีทำหน้าแหยเมื่อเห็นบอสยกน้ำดำลงคอรวดเดียวโดยไม่เกรงใจความร้อนของน้ำที่ผ่านคอไปเลยแม้แต่น้อย ดีที่เธอเรียนรู้มาแล้วกาแฟต้องชงมาไม่ร้อนจนเกินไปพร้อมที่จะดื่มได้เลยทันทีเนื่องจากปาณัสม์ไม่ชอบเสียเวลารอ

เธอเบ้หน้าตอนขออนุญาตเก็บแก้วกาแฟเปล่าพลางถามว่าอีกฝ่ายจะรับอีกหรือไม่ ปาณัสม์เงยหน้าจากงานมาตอบปฏิเสธจึงเห็นสีหน้าของเลขาสาว

“ทำหน้าแบบนี้ เป็นอะไร”

“เปล่าค่ะ สิแค่สงสัยว่าบอสไม่ขมบ้างเหรอคะ”

“อะไรขม”

“กาแฟน่ะสิคะ มีแต่ผงกาแฟล้วนๆ ถ้าเป็นสิคงดื่มไม่ได้แน่นอน”

“เมื่อก่อนผมก็ไม่ดื่มขนาดนี้หรอกแต่มันเพิ่มระดับเอง อ่อนกว่านี้ไม่ได้ผลร่างกายมันดื้อด้าน”

“อ้อ...ค่ะ ถ้างั้นสิขอตัวนะคะ”

“อืม เดี๋ยวบ่ายสามผมจะออกไปข้างนอกไม่กลับเข้ามาแล้ว”

“รับทราบค่ะ” เกศสิรีรับคำแล้วเดินออกจากห้องไป

ปาณัสม์เห็นแก้วกาแฟเปล่ายังวางอยู่ที่เดิม เกศสิรีไม่ได้หยิบออกไปหรือนี่? แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวนึกขึ้นได้คงเข้ามาเก็บเองหรือไม่ก็เป็นแม่บ้าน เขามองแก้วกาแฟที่เลอะคราบดำตรงขอบแก้วแล้วนึกถึงอีกคน



“ดูสิ กาแฟดำ ขมปี๋ ปาลดื่มเข้าไปได้ยังไง” ฉันทัชทำหน้าเหยเกไม่ต่างกับเกศสิรีเมื่อสักครู่

“จันทร์ไม่ดื่มกาแฟแบบไหนก็ดื่มไม่ได้อยู่แล้ว”

“ถึงไม่ดื่มแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยดื่มนี่นา จันทร์เคยกินมาหมดแล้ว ลาเต้ มอคค่า อะไรเทือกนี้น่ะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง”

“...” ปาณัสม์มองอีกฝ่ายนิ่ง

“ยิ้มแบบนั้นทำไม” ฉันทัชร้อนตัวกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

“ยิ้มไม่ได้หรือไง”

“หน้าจันทร์มีอะไร แบบนี้ไม่น่าไว้ใจ” ฉันทัชระแวง ยกมือจับหน้าตัวเอง

“จันทร์ทำหน้าแบบนี้แล้วน่ารักดี ปาลเลยมอง ไม่ได้หรือไง”

ปาณัสม์ยังจำหน้าเหวอของฉันทัชได้ดี เขาหัวเราะขำอีกฝ่าย สุดท้ายอดทนไม่ไหวเลยต้องดึงฉันทัชเข้ามาจูบด้วย

ความหมั่นเขี้ยว แต่ก็ถูกผลักออกแทบจะทันที เขาตกใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าอีกฝ่ายรังเกียจ แต่พอเห็นสีหน้าฉันทัชก็พอเข้าใจ

“มันขมอะ” ฉันทัชอ้อมแอ้มตอบ



ปาณัสม์สลัดศีรษะแรงๆ ทีหนึ่งเพื่อดึงสติกลับมาที่งานตรงหน้าเขาไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ กลัวว่าจะอดไปรับน้องปัณณ์กับพี่ชาย

.

.

“คุณพ่อปอนด์ขา” เด็กหญิงในชุดนักเรียนหน้าตาสดใส ดวงตากลมโต แก้มแดง ผมดกดำที่ถักเปียสองข้าง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทันทีที่เห็นบิดาเดินเข้ามาในเขตรั้วโรงเรียนประถม

เด็กหญิงศราลักษณ์กระโดดกอดเอวพ่อจนกระโปรงบานเกือบเปิดออก ผู้เป็นบิดารีบตะครุบชายกระโปรงนั้นได้ทัน

“ระวังหน่อยสิลูก กระโปรงเกือบเปิดแล้ว” ศรารัณบอกบุตรสาว

“คราวหน้าหนูจะระวังค่ะ” น้องปัณณ์รีบรับคำไร้การโต้เถียง

“วันนี้พ่อไม่ได้มารับหนูคนเดียวนะ”

“เอ๋? ใครคะ อย่าบอกนะคะ...อาจันทร์.. อาจันทร์ใช่ไหมคะพ่อ” เด็กหญิงรีบรัวเท้าด้วยความตื่นเต้น ดวงตาสุกใสเป็นประกาย

“โห เราอุตส่าห์มาหา แต่เด็กแถวนี้กลับคิดถึงแต่อาจันทร์คนเดียว อาปาลน้อยใจนะเนี่ยกลับบ้านไปร้องไห้ดีกว่า” ชายหนุ่มเดินตามมาทีหลังจึงได้ยินเสียงหลานสาวพอดี เขาย่อตัวลง ทำเสียงที่แสดงออกมาว่าเสียใจนักหนากับหลานสาว

“ไม่น้อยใจนะคะอาปาล” น้องปัณณ์ผละจากเอวของบิดาเปลี่ยนเป้าหมายเป็นร่างของอาปาลทันที เด็กหญิงยกมือลูบศีรษะอาปาล อย่างที่บิดาหรือมารดาของเธอทำเวลาที่เสียใจ

“ปกติอาปาลจะมากับอาจันทร์นี่นา หนูเลยคิดว่าถ้าอาจันทร์มาอาปาลก็ต้องมาแน่นอน” เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบพยายามปลอบใจผู้เป็นอา ดึงแว่นออกมาจากใบหน้าของอาหนุ่มแล้วหอมแก้ม

“อาไม่น้อยใจหนูแล้วค่ะ ว่าไงคะ คิดถึงอาปาลไหม”

“คิดถึงค่ะ คิดถึงม๊ากมาก” เด็กหญิงทำเสียงเหมือนกับบิดาตอนที่บอกเขาในห้องประชุมไม่ผิดเพี้ยน

“อาก็คิดถึงหนูม๊ากมาก”

“แล้วอาจันทร์ไม่มาเหรอคะ” น้องปัณณ์ชะโงกมองข้ามไหล่คุณอาออกไปทางประตูโรงเรียน พลางมองซ้ายมองขวาแต่ไม่เจอร่างคนที่พูดถึง

“ไม่มาค่ะ อาจันทร์อยู่บ้าน”

“อาปาลใจร้ายไม่พาอาจันทร์มาด้วย”

“ไว้วันหลังอาปาลจะพาอาจันทร์ไปหาดีไหมคะ”

“ดีค่ะ พามาหาหนูพรุ่งนี้เลยนะคะ”

“อาไม่รับปากนะคะ” ปาณัสม์ไม่เคยโกหกหลานหรือให้ความหวัง ถ้าเขาไม่แน่ใจเขาจะไม่รับปากเด็ดขาดและ ศราลักษณ์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี

“หนูจะรอค่ะ”

“คนเก่งของอา” ปาณัสม์ลูบศีรษะหลานสาวด้วยความเอ็นดู ไม่หลงเด็กน้อยคนนี้แล้วจะให้เขาไปหลงหลานสาวบ้านไหน

“กลับบ้านกันเถอะ” ศรารัณบอกทั้งคู่ ปาณัสม์ลุกขึ้นยืนไม่ลืมที่จะอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาด้วยทำให้ตอนนี้ทั้งสามคนอยู่ในระดับความสูงสายตาเดียวกัน

“แวะกินไอติมด้วยนะคะพ่อปอนด์” เด็กหญิงกำลังออดอ้อน ศรารัณอยากจะใจอ่อนทว่าวันนี้ชลพิกา ภรรยาของเขากำชับมานักหนาว่าให้รีบกลับบ้าน

“วันหลังนะคะ วันนี้คุณแม่ให้รีบกลับบ้านค่ะ” เด็กหญิงหน้าเศร้านิดหนึ่งเมื่อได้ฟังคำตอบแต่เธอก็พยักหน้าเข้าใจ

“เก่งมากค่ะ” ศรารัณเอ่ยชมบุตรสาวพลางเอื้อมไปรับร่างของลูกสาวมาอุ้มเอง

“แล้วแกจะไปที่บ้านด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะเดี๋ยวไปกับไอ้ชัดต่อ”

“กลับคอนโด?”

“เปล่า” ชายหนุ่มยิ้มอย่ามีเลศนัย

ศรารัณรับฟังแล้วส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึงอีกคนออกมาต่อหน้าบุตรสาวเพราะเด็กมักจะจับความรู้สึกได้ค่อนข้างไว

เขาจึงเลี่ยงไปว่า “รีบกลับบ้านด้วยล่ะ”

“ครับ” ปาณัสม์บอกแล้วชะโงกหน้าไปหอมแก้มหลานสาว

“ขอแว่นอาคืนด้วยค่ะ อาไปก่อนนะคะ”

“บ๊ายบายค่ะ มาหาหนูอีกนะคะอาปาล” ศราลักษณ์โบกมือจนแทบหักกระทั่งผู้เป็นอาหายไปจากบริเวณโรงเรียน หญิงสาวจึงหันไปกอดคอคุณพ่อ

“กลับบ้านไปหาคุณแม่กันค่ะ”

แล้วใครเล่า จะไม่รักเด็กคนนี้

.

.

“กลับบ้านเลยไหมครับคุณปาล” ชัดเจนถามเมื่อปาณัสม์ขึ้นมานั่งในรถยนต์เรียบร้อยแล้ว

“ยัง เพิ่งหัววันเอง”

“เมื่อคืนคุณปาลไม่ได้นอน กลับไปพักดีกว่าไหมครับ” ชัดเจนบอกด้วยความเป็นห่วง

“ซัดกาแฟไปสองแก้วตอนนี้ดีดเลย ตาสว่างโคตรๆ หรือนายง่วง? จะกลับไปพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันขับรถกลับเอง” ปาณัสม์ทำเสียงสดชื่นราวกับได้นอนมาทั้งคืน โดยไม่ลืมนึกถึงอีกฝ่าย

“เปล่าครับ ผมได้นอนพักมาบ้างแล้ว แต่ผมว่าคุณปาลควรจะพัก” ชัดเจนหันกลับมาพูดกับเจ้านาย

“พักก็ได้” ปาณัสม์ยกมือยอมแพ้ก่อนจะลงจากรถแล้วมานั่งเบาะหน้าข้างคนขับแทน

“มานั่งตรงนี้ทำไมครับ” ชัดเจนขมวดคิ้วถาม

“นี่ไง นอน” ชายหนุ่มยิ้มขณะปรับเบาะเอนจนสุด

“ผมหมายถึงไปนอนที่คอนโดต่างหาก” ชัดเจนส่ายหน้ากับพี่ชายร่วมบ้าน พอพูดประโยคถัดมาชัดเจนกลับลดเสียงลงด้วยความเกรงใจ “คุณเทมส์จะได้ไม่เป็นห่วง”

“เขาไม่ห่วงกูหรอก” ปาณัสม์ตอบพลางหลับตาลงตัดบทไม่อยากคุยต่อ ชัดเจนอยากจะถามต่อว่าคุณปาลรู้ได้อย่างไรว่าคุณเทมส์ไม่ห่วง

“เดี๋ยวผมขับไปหาที่จอดดีๆ แล้วค่อยพักนะครับ” ปาณัสม์เลือกไม่ตอบ ชัดเจนเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงขับรถออกไป


==============================

คุยกันเล็กน้อยค่ะ
เรื่องนี้เป็นโรแมนติกดราม่า (มั้ง?)  ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
โทนของเรื่องจะเป็นสีเทาหม่นทั้งเรื่องไหม? --- ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นค่ะ

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขมอยากเล่าถึงความสัมพันธ์ที่รักกันหลังจากตอนจบเวลาที่เราดูละครหรือดูหนัง
หลายคู่ไม่ได้แฮปปี้ ไม่ได้มีความสุขเหมือนรักกันใหม่ๆ อย่างเช่นคู่นี้ค่ะ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักกัน

บางครั้งที่เรามองคนข้างกายแล้วคิดว่า เราจะไปต่อหรือหยุดนั่นแหละค่ะ คือจุดเริ่มต้นของความคิดและ
จะเป็นสิ่งที่ผลส่งผลการกระทำในวันข้างหน้า

ทั้งที่อยากแต่งเรื่องแนวนี้ แต่ยอมรับว่าตอนแต่งกลับหดหู่เลย
และหวังว่าจะสื่อความรู้สึกและอารมณ์ของตัวละครให้คนอ่านทุกท่านได้เข้าใจ


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 23:59:40 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ:

อึมครึมมาเลย
มีความรู้สึกคล้ายๆแบบนี้ตอนที่อ่านนิยายเรื่อง The wedding ของ Nicholas Sparks
ความรักที่ผ่านเวลามานาน ทำให้เกิดการละเลย คิดไปว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจ
ฮื่อ รู้สึกเศร้า

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 1 After Credit is not End Credit




เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของฉันทัชดังขึ้นบนโซฟาที่ตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ เขาพาร่างตนเองจากในครัวมาตามเสียงนั้น พอเห็นว่าเป็นสายของใคร มุมปากของเขายกยิ้ม ไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงอาการเช่นนี้ก่อนจะกดรับ

“ซาหวัดดี” ฉันทันกรอกเสียงยานคานทักทายคนโทรมา

“พูดแบบนี้หลับเลยดีกว่า คนยิ่งกำลังง่วงๆ อยู่ด้วย”

“งานยุ่งเหรอ ได้พักบ้างหรือเปล่า” ฉันทัชถามอย่างเป็นห่วง

“อืม เพิ่งได้พักนี่แหละ เดินขาแข็งไปหมด” คนพูดทุบขาของตัวเองเบาๆ หวังว่าจะบรรเทาอาการปวด

เมื่อยลงได้บ้าง

“เลิกกี่โมง ให้ไปรับไหม”

ฉันทัชได้ยินเหมือนน้ำเสียงสะบัดไม่เชื่อคำพูดของเขา

“อะไร ไม่เชื่อหรือไง” เขาเลยถามกลับไป

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บอกจะมารับ”

“ไปได้นะ ไปได้จริงๆ ไม่งอนได้ไหม” ฉันทัชกำลังง้อ

“ต่อให้มาได้ ครั้งนี้ก็มารับไม่ได้หรอก อยู่ฮ่องกงน่ะ”

“อ้าว ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เลย”

“งานด่วนกะทันหัน” ฉันทัชเหมือนได้ยินอีกฝ่ายดูดน้ำไปพักหนึ่งแล้วกลับมาพูดต่อ “แล้วนี่ทำอะไรอยู่” ปลายสายเอ่ยถามฉันทัช

“ทำกับข้าวกำลังเตรียมมื้อเย็น”

“ทำไปทำไม ทำกี่ครั้งก็ไม่เห็นมีหมากลับมากินต้องเททิ้งเสียดายของเปล่าๆ” คนพูดนั้นเหมือนเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี

“ถ้าเผื่อเขากลับมากินล่ะ” ฉันทัชหัวเราะพยายามพูดในทิศทางที่ดี

“ซื้ออาหารแช่แข็งตุนเอาไว้ให้ก็หมดเรื่อง วันไหนกลับมากินก็ค่อยเวฟเอา”

“มันไม่ดีต่อสุขภาพ”

“โอย เบื่อ พ่อพระ” ทางนั้นบ่นออกมาด้วยความขัดใจ ฉันทัชนึกหน้าอีกฝ่ายออกป่านนี้เจ้าตัวคงเบ้ปากด้วยความระอาเป็นแน่

“ไทน์..คิดถึง”

“ไทน์ อะไรเล่า อินอิน ให้เรียกแบบนี้ บอกกี่ครั้งแล้วว่าชื่ออินอิน” ปลายสายสั่งเสียงเข้ม

“คร้าบ รับทราบครับน้องอินอิน”

“นี่เทมส์”

“หือ?”

“คิดถึงเหมือนกัน” ฉันทัชยิ้ม คงมีแค่คนนี้ที่ทำให้เขายิ้มได้ตลอดเวลา

“รู้น่า”

“กลับไทยแล้วจะไปหา จะพาไปกินเหล้า” อีกฝ่ายให้สัญญา

“อืม จะรอนะ”

“ต้องวางสายแล้วนะเขาเรียกแล้ว”

“ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”

“แล้วเจอกัน”

“บาย” ฉันทัชกดวางสายพร้อมกับสีหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม เขาวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิมแล้วเดินกลับไปปรุงอาหารที่ค้างเอาไว้

ไม่ผิดจากที่คนโทรมาในเดาไว้ ตีหนึ่งแล้วปาณัสม์ยังไม่กลับบ้าน ไม่มีโทรศัพท์หรือแม้แต่ข้อความส่งมาบอกตามเคย ฉันทัชมองหน้าปัดนาฬิกาบนผนังห้องแล้วทอดถอนหายใจ เบือนสายตาไปมองอาหารเมนูเดิมเหมือนเมื่อวานที่ถูกทิ้งให้เย็นชืดอีกครั้ง

‘น่าเสียดายที่ต้องทิ้ง’

ฉันทัชคิดเพียงเท่านี้ ไม่ได้น้อยใจที่ปาณัสม์ไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เพราะมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน

ข้อดีของการที่อีกฝ่ายไม่กลับมากินข้าวเย็นก็คือ เขาไม่ต้องคิดหาเมนูใหม่ๆ เตรียมไว้ให้ ไม่ต้องมาเสียเวลาปวดหัวว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรกินดีเพราะตัวเขาเองไม่ใช่คนกินยาก ถ้าวันไหนเขาเบื่อกับข้าวรสมือตัวเองก็แค่โทรไปสั่งร้านอาหารข้างล่างขึ้นมาทานก็ได้แล้ว

ส่วนข้อเสียน่ะเหรอ คงหนีไม่พ้นที่เขาต้องเสียเวลามาทำกับข้าวและต้องมาคอยเก็บล้างน่ะสิ เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรแบบนี้เสียด้วย หากก่อนหน้านี้มีคนมาบอกว่าเขาจะต้องออกจากงานมาทำงานบ้านเขาคงหัวเราะใส่หน้าคนนั้นแล้วพูดตอกหน้ากลับไปว่า

ไม่มีวัน

ไม่รู้อย่างไร เขาถึงมาคอยทำอะไรอย่างนี้ไปได้ ตลกตัวเองเหมือนกัน

ฉันทัชอาบน้ำตั้งแต่หัวค่ำ เขาแค่รออีกฝ่าย ในเมื่อไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกลับมา ถ้าอย่างนั้นเขาขอเข้านอนก่อนแล้วกัน โตแล้วคงจะคิดได้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ

.

.

“คุณปาลกลับเถอะครับ” ชัดเจนพูดตะโกนแข่งกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มอยู่ในผับ

“ยัง ยังไม่กลับ กำลังมัน” ผู้บริหารหนุ่มไร้คราบนักธุรกิจ บัดนี้เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมออกด้วยความร้อนจากฤทธิ์สุราดีกรีสูง

“กลับเถอะครับ ดึกแล้ว ผมง่วง” ชัดเจนได้แต่ทำหน้าลำบากใจ จะลากกลับก็ทำไม่ได้ เขาจึงบอกอีกครั้ง

“กลับไปก่อนเลย” ปาณัสม์บอกอย่างไม่ใส่ใจซ้ำยังโบกมือไล่

“ไม่ได้ครับ ขืนกลับไปทั้งที่คุณเมาอยู่แบบนี้ผมถูกพ่อด่าตายเลย” ชัดเจนบอก ต่อให้ไม่ถูกด่าเขาก็ทิ้งเจ้านายไว้ไม่ได้ มันดูอันตรายเกินไปหากปล่อยปาณัสม์ไว้คนเดียว

ชัดเจนไม่เข้าใจคุณปาลเลย อายุอานามก็เลขสามแก่กว่าเขาทำไมยังชอบเที่ยวอยู่อีก มันน่าจะหมดวัยเที่ยวไปได้แล้ว

“ขออีกแป๊บ” ชัดเจนมองนาฬิกา ไม่รู้แป๊บนี้จะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่เพราะปาณัสม์บอกเขามาสามรอบแล้วน่ะสิ

ทำไมปาณัสม์ชอบมาเที่ยวแล้วทิ้งคนรักไว้ที่คอนโดให้อยู่คนเดียวเสมอทั้งที่ฉันทัชก็ชอบมาเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน



ทางด้านฉันทัช ชายหนุ่มกำลังฝันว่าตนเองได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ในฝันเขากำลังเล่นหิมะอย่างมีความสุขอยู่ในสนามหน้าบ้านหรือที่พักล่ะมั้ง เขาไม่แน่ใจ มือที่สวมถุงมือโกยหิมะขึ้นมานั้นพลางคิดว่าจะปั้นเป็นรูปอะไรดี

ถ้าอย่างนั้น ตุ๊กตาหิมะก่อนก็แล้วกัน ในฝันเขาปั้นหิมะในส่วนตัวและส่วนหัวเรียบร้อยแล้ว กำลังจะต่อแขนให้กับตุ๊กตาตัวนั้นแต่ทันใดนั้นก็มีนักเลงอันธพาลเดินดุ่มๆ มุ่งหน้ามาทางเขา ฉันทัชรู้สึกกลัวแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ ชายหนุ่มคนนั้นก้าวเข้ามาใกล้แล้วยกขาเตะตุ๊กตาหิมะนั้นจนมันพังเละไม่เป็นท่า

เขาตกใจกับภาพตรงนั้นจังหวะที่คิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรต่อก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปิดประตูห้องนอนเสียก่อน

“ปาล?” เขาเพ่งมองเงาตะคุ่มสีดำในความมืด ชายคนนั้นช่างเหมือนกับในฝัน

‘นี่เขาตื่นจากฝันแล้วหรือยัง’

“อืม ยางไม่นอน?” เสียงยานคางพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฟุ้งออกมาจากตัว บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายกำลังเมา

ปาณัสม์ทำงานหนักและเที่ยวหนักมากเช่นกัน ดังคำพูดฝรั่งที่บอกว่าWORK HARD PLAY HARDER

ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงบนที่นอนจนเตียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหว

“ตัวเหม็น” ฉันทัชยกมือปิดจมูกก่อนจะบอกอีกฝ่ายกลับไป

“เหม็นแล้วไง” อีกฝ่ายรวน

“ไปอาบน้ำแล้วค่อยมานอน”

“ไม่อาบ จะนอน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนข้างนอกจันทร์ไม่ชอบ” ฉันทัชพูดพลางใช้เท้าถีบสะโพกของปาณัสม์ให้ไกลออกไปจากตัวเอง

“อย่ามายุ่งได้ไหม!!” เสียงตวาดแม้ไม่ดังมากแต่ก็พอจะทำให้ฉันทัชสะดุ้ง

“อย่าพูดแบบนี้กับจันทร์นะปาล จันทร์ไม่ชอบ”

“โอ๊ย เบื่อ!! ... ไอ้นั่นก็ไม่ชอบ ไอ้นี่ก็ไม่ชอบ อะไรนักหนาวะ” คราวนี้ปาณัสม์ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับแหกปากเสียงดังลั่น

“พูดดีๆ ได้ไหม” ฉันทัชเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้าง

“เออ อยากให้พูดแบบไหนครับคุณจันทร์ บอกกระผมมาได้เลยครับ”

“อย่าประชด ไปอาบน้ำ” ฉันทัชยังยืนยันคำเดิม

ถึงจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มก็จ้องตาคนเมาไม่กระพริบจนปาณัสม์เลือกหลุบตาแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำ

คนเมาหายไปอาบน้ำนานจนฉันทัชเริ่มเป็นห่วง ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นอนแล้วลองบิดประตูห้องน้ำดู ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อก เขาเลยผลักเข้าไปเงียบๆ เห็นปาณัสม์นั่งหลับบนชักโครก ฉันทัชกลอกตากับภาพตรงหน้าอยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก ง่เขาวงนอนเกินกว่าจะมาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้

ฉันทัชก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้วจับไหล่อีกฝ่ายหมายจะปลุกให้ปาณัสม์รู้สึกตัวตื่นแต่ดูเหมือนแรงเบาบางนั้นจะไม่เป็นผล คงจะต้องออกแรงอีกนิด ฉันทัชใช้ฝ่ามือผลักหัวอีกฝ่ายโดยแรงไม่ได้กลัวว่าหัวคนเมาจะโขกเข้ากับกระจกที่กั้นที่อาบน้ำหรือเปล่า

‘ถ้าอีกฝ่ายเจ็บตัวล่ะ? ก็สมควรแล้ว’ ฉันทัชคิดในใจ

โชคดีของปาณัสม์ที่หัวไม่กระทบกับกระจกบานใสแล้วยังรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีก ชายหนุ่มลืมตาอย่างยากเย็นเต็มทีเห็นภาพของคนรักยืนอยู่ตรงหน้ารางๆ

“จันทร์?”

“อืม จันทร์เอง ไปอาบน้ำสิจะได้รีบนอน ง่วงแล้ว” ฉันทัชรีบบอกความต้องการทันที

“พยุงหน่อย มึน”

“เกาะดีๆ” ฉันทัชไม่ได้ช่วยพยุงอย่างที่ปาณัสม์ร้องขอ เขาแค่ตั้งหลักตัวเองให้มั่นคงแล้วให้ปาณัสม์เกาะไหล่เขาไว้เอง เสร็จแล้วจึงพาชายหนุ่มไปอาบน้ำ

จังหวะที่ปาณัสม์เข้าไปในตู้อาบน้ำชายหนุ่มเท้าลื่นจนเกือบล้ม ฉันทัชใจหายวาบด้วยความตกใจ โชคดีที่ปาณัสม์อาศัยสติอันน้อยนิดก่อนที่ตัวเองจะตายนั้นคว้าราวผ้าไว้ทัน ฉันทัชโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่เป็นอะไร

“บอกกี่ครั้งแล้ว!! เวลาจันทร์อาบน้ำ ให้ล้างคราบสบู่หรือยาสระผมดีๆ” ปาณัสม์บ่นอย่างหัวเสีย ฉันทัชชอบใช้ครีมอาบน้ำในปริมาณมากจนบางครั้งน้ำก็ชะล้างคราบที่พื้นออกไปไม่หมด

“จันทร์ลืม” ฉันทัชหน้าสลดเพราะเขาผิดเต็มๆ

“ต้องให้ปาลลื่นหัวแตกก่อนใช่ไหม ถึงจะไม่ลืม” ชายหนุ่มยังไม่หยุดใส่โทสะกับฉันทัช จนคนทำผิดเริ่มไม่พอใจขึ้นมา

“แล้วหัวแตกหรือยังล่ะ ก็ยังนี่” ฉันทัชเถียง

“อ้อ จันทร์พูดแบบนี้ต้องการให้ปาลเจ็บตัวก่อนใช่ไหม”

“ถ้าปาลไม่เมาก็ไม่ลื่นหรอก ปาลเมาเองทำไมล่ะ” ฉันทัชเถียง ไม่ยอมแพ้

“มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยนะจันทร์” ปาณัสม์ติงคนรัก

“แล้วยังไง ก็จันทร์บอกว่าลืมไง ลืมๆ ลืม ได้ยินไหม”

“ถ้าจันทร์ยังเถียงอยู่แบบนี้คงไม่มีอะไรต้องคุย”

“ทุกวันนี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอยู่แล้วนี่” ฉันทัชพ่วงเรื่องอื่นเข้ามาพูด

“จันทร์ ขอร้องอย่าดึงเรื่องอื่นเข้ามา” ปาณัสม์หลับตาพยายามข่มอารมณ์ให้เย็น หลังเหตุการณ์เกือบตาย ตอนนี้เขาหายเมาอย่างปลิดทิ้งความกลัวขับไล่พิษสุราออกไปเสียหมดสิ้น

“มันไม่ต่างกันหรอกปาล จะเรื่องไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้น”

“จันทร์โกรธอะไรปาล ตั้งแต่กลับมาก็หาเรื่องปาลตลอด” ปาณัสม์พยายามหาสาเหตุ เขาไม่ได้อยากทะเลาะกับอีกฝ่ายในค่ำคืนนี้ ง่วงนอนจะตายแล้ว

“เปล่าเลย จันทร์ไม่ได้หาเรื่องปาล อย่ามาใส่ร้ายจันทร์” ฉันทัชยังไม่ยอมหยุด

“ปาลว่าเราอย่าเพิ่งทะเลาะกันดีกว่า ปาลง่วง” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“คิดว่าปาลง่วงคนเดียวหรือไง จันทร์หลับของจันทร์อยู่ดีๆ ปาลก็มาทำเสียงดังจนตื่น”

“ก็คนมันเมา ไม่รู้ตัว”

“แล้วใครใช้ให้เมาขนาดนั้น กลับบ้านมันยากมากนักหรือไง ถึงต้องไปเมาอยู่ที่อื่นครึ่งค่อนคืน”

“อย่าบ่นมากได้ไหม เมื่อก่อนจันทร์ไม่ใช่คนขี้บ่นอะไรแบบนี้” ปาณัสม์พูด ฉันทัชที่อ่อนหวานว่าง่ายคนนั้นไปไหนแล้ว

“อย่ามาถามหาอดีตกับจันทร์ ถ้าปาลยังทำไม่ได้” ฉันทัชเถียงไม่ลดละ

“ปาลทำอะไร ถามหน่อย ปาลทำอะไร”

“เมื่อก่อนปาลเคยหายหัวไปแบบนี้หรือไง” ฉันทัชพูดต่อ

“ปาลทำงาน จันทร์ก็รู้”

“จันทร์ไม่รู้ วันๆ อยู่แต่ในบ้าน ไม่เคยได้รู้เรื่องของปาลหรอก”

“ปาลอาบน้ำก่อนได้ไหมแล้วเดี๋ยวออกไปคุยด้วย”

“ไม่ อย่ามาไล่จันทร์”

“อย่ามางี่เง่าตอนนี้ได้ไหม” ปาณัสม์เริ่มหัวเสีย ทำไมฉันทัชถึงดื้อแบบนี้

“ปาล!!”

“ออกไปก่อน” เขาเริ่มรำคาญ

“อย่าไล่จันทร์”

“ปาลบอกให้ออกไปก่อนไง หูแตกหรือไง!!” ปาณัสม์ตวาดเสียงดังใส่หน้าฉันทัช ชายหนุ่มตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ร้อยวันพันปีที่ทะเลาะ ไม่เคยทะเลาะกันเสียงดังถึงขนาดนี้ ฉันทัชมองคนตรงหน้าด้วยความเจ็บช้ำก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ไม่ลืมจะเหวี่ยงประตูให้ดังตามหลังโดยไม่กลัวว่ามันจะพังเลยแม้แต่น้อย

‘ดังๆ สิ สะใจดี’

ปาณัสม์ทุบกระจกอย่างแรงจนมันสะเทือน เขาโมโหตัวเองและรู้สึกเจ็บไม่น้อยกว่าฉันทัช

สถานการณ์ของพวกเขาเปรียบเหมือนน้ำนิ่งที่กำลังรอพายุลูกใหญ่พัดเข้ามา

ปาณัสม์ออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เขาก็เห็นฉันทัชนอนหันหลังให้ ฉันทัชนอนเงียบเสียจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นหรือหลับอยู่ในเวลานี้

“จันทร์..จันทร์..หลับหรือยัง” เขาลองเรียกชื่ออีกฝ่าย

“...” ไม่มีเสียงตอบจากคนข้างกาย นอกจากการขยับตัวเล็กน้อยที่ทำให้ปาณัสม์รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ

“เรื่องในห้องน้ำไม่โกรธนะ ปาลขอโทษปาลไม่ได้ตั้งใจ”

“...”

“ปาลรักจันทร์นะครับ ไม่โกรธนะ” ปาณัสม์บอกอีกฝ่ายอย่างเอาใจแต่ไม่ได้โกหก เขารู้สึกอย่างที่บอกฉันทัชไปจริงๆ

“จันทร์ก็ขอโทษเหมือนกัน” เสียงของฉันทัชอู้อี้เล็กน้อย ปาณัสม์คิดว่าเจ้าตัวคงร้องไห้ก่อนหน้านี้

“ปาลไม่โกรธจันทร์เลย” ปาณัสม์บอกเสียงนุ่มพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างของอีกฝ่าย

“จันทร์จะพยายามไม่เสียงดังใส่ปาล”

“ปาลก็เหมือนกัน”

“จันทร์จะพยายามไม่หาเรื่องปาล”

“ปาลก็เหมือนกัน”

“จันทร์รักปาล”

“เหมือนกัน ปาลก็รักจันทร์ม๊ากมาก” สองพยางค์สุดท้ายทำให้ฉันทัชหลุดขำเพราะมันคือคำพูดติดปากของเด็กหญิงศราลักษณ์

“คิดถึงน้องปัณณ์” ฉันทัชพูดตามที่ตัวเองคิด

“วันนี้ปาลไปหาน้องปัณณ์ที่โรงเรียนมา”

“ไม่เห็นมารับจันทร์ไปด้วยเลย” ฉันทัชพูดด้วยความน้อยใจ

“ไปไม่นานก็กลับ เดี๋ยววันหยุดเราเข้าไปหาน้องปัณณ์กันดีไหม ค้างที่บ้านด้วย คุณแม่บ่นคิดถึงอยากเจอเราสองคนหรืออยากเจอจันทร์แค่คนเดียวก็ไม่รู้”

“ทั้งปาลแล้วก็จันทร์นั่นแหละ”

“หันหน้ามาหาปาลหน่อย” คำขอร้องของปาณัสม์เหมือนจะส่งไปไม่ถึงฉันทัช เจ้าตัวนอนนิ่งในท่าเดิมจนชายหนุ่มเริ่มถอดใจ

ในที่สุดฉันทัชก็ยอมหันมาเผชิญหน้า ปาณัสม์เอื้อมมือออกไปดึงคนรักเข้ามากอดเขาไม่ชอบการทะเลาะ ฉันทัช

ก็ไม่ชอบ แต่ทำไมพักหลังเราสองคนต่างทะเลาะกันบ่อย

ทุกครั้งที่สิ้นสุดการทะเลาะ ถึงแม้เราจะขอโทษกัน

แต่ความรู้สึกที่ถูกกัดกร่อนในจิตใจมันกำลังลดทอนไปทีละนิด ทีละนิด



โดยไม่รู้ตัว





=========================

เจอคำผิดบอกน้า


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 00:03:05 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากให้ปาลโดนบอกเลิกซะจริงๆ  :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ทำไมบางทีก็เรียกเทมส์บางทีก็เรียกจันทร์อะคะ? หน่วงๆดีค่ะชอบ5555

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 2 ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า PART 1


“อาจันทร์มาแล้ว อาจันทร์ขา” ทันทีที่เห็นรถยนต์คุ้นตาแล่นเข้ามายังไม่เห็นเจ้าของชื่อ เสียงใสๆ ของเด็กหญิงก็เรียกชื่อฉันทัชดังลั่นหน้าบ้าน

“เบาๆ หน่อยลูก เสียงดังเกินไปแล้ว” ชลพิกาปรามบุตรสาว

“ค่ะ คุณแม่” เด็กหญิงศราลักษณ์รับคำมารดา ขาสั้นๆ เตรียมใส่รองเท้าเพื่อไปหาคุณอา

‘อาจันทร์ช้าจังเลย’ ไม่ทันใจ

“อาจันทร์ขา” ศราลักษณ์วิ่งลงบันไดจากมุกหน้าบ้านไปยังรถยนต์ที่เป็นเป้าหมาย

“วิ่งมาทำไมคะ เดี๋ยวหกล้ม” ฉันทัชลงจากรถก็เห็นหลานสาวยืนยิ้มหน้าแฉล้ม

“อาจันทร์ทำอะไรอยู่คะ ช๊าช้า”

“จะมีคนเห็นอาปาลบ้างไหมน้า” คนขี้อิจฉาชูของเล่นที่นำออกมาจากในรถยนต์ก็พูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่งอนนะคะ อาปาล เดี๋ยวหนูจุ๊บแก้มทีหนึ่ง” เด็กหญิงบอกอย่างเอาใจ นัยน์ตาเปล่งประกายวิบวับมองของเล่นในมือคุณอาไม่กระพริบ

“เจ้าตัวดีอยากได้ของเล่นน่ะสิไม่ว่า” ปาณัสม์รู้ทัน

“อาจันทร์อุ้มหนูหน่อยนะคะ”

“ได้เลย ไม่รู้ว่าอาจันทร์จะอุ้มไหวหรือเปล่า ลองดูก่อนละกัน” ฉันทัชบอกเป็นเรื่องที่ตกลงกันในครอบครัวไปแล้วว่าจะไม่ให้ความหวังหรือโกหกหลานสาว

เด็กหญิงศราลักษณ์ชูแขนขึ้นเพื่อให้อาจันทร์อุ้มได้อย่างสะดวก ชายหนุ่มย่อตัวลงอุ้มเด็กน้อยไม่ได้อุ้มเสียนาน ตัวหนักเอาเรื่องแฮะ

“อีกนิดเดียวอาก็จะอุ้มไม่ไหวแล้ว” ฉันทัชบอกและเขาก็ได้รางวัลเป็นหอมแก้มจากเด็กหญิงหนึ่งที

“อาปาลล่ะ?” คนขี้อิจฉาคนเดิมยังไม่ยอมพลาดโอกาสนั้นเช่นกัน

“อาจันทร์พาหนูไปหาอาปาลหน่อยค่ะ” เด็กหญิงออกคำสั่ง พอถึงตัวของปาณัสม์ เด็กหญิงจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายโดยไม่ให้น้อยหน้าอาจันทร์

“เดี๋ยวปาลอุ้มหลานให้เอง” ปาณัสม์บอกคนรัก น้ำหนักตัวของศราลักษณ์มากขึ้นกว่าเดิม เขาเพิ่งอุ้มเด็กหญิงมาเมื่อหลายวันก่อนจึงรับรู้ได้เป็นอย่างดี

“ให้อาปาลอุ้มนะคะ” ฉันทัชกระซิบบอกเด็กหญิงให้เข้าใจก่อนจะส่งต่อให้กับอาตามสายเลือด

“จันทร์ถือของเล่นหลานให้หน่อย” ฉันทัชเอื้อมมือไปหยิบถุงของเล่นนั้นมาถือไว้แทน น้องปัณณ์เริ่มซนมือน้อยดึงแว่นออกจากใบหน้าของปาณัสม์อย่างรวดเร็วพลางหัวเราะคิกคัก

“ถอดแว่นตาอาปาลอีกแล้วนะ” ปาณัสม์จิ้มจมูกหลานสาว

“อาจันทร์ก็ชอบทำเหมือนกันใช่ม้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นเลย” น้องปัณณ์เริ่มยอกย้อนเป็น เด็กหญิงไม่ยอมถูกดุคนเดียว ก็เธอเห็นอาจันทร์ชอบถอดแว่นให้อาปาลบ่อยๆ ทว่าประโยคสุดท้ายกลับทำสองอามองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนใจ

“เอาล่ะ อ้อนอาเขาพอหอมปากหอมคอเสร็จแล้ว ก็เข้าบ้านกันเสียที ข้างนอกอากาศร้อน” เสียงคุณหญิง กิ่งกานต์ ประมุขของบ้านดังขึ้นช่วยทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดนั้นลง

“ครับ แม่” ปาณัสม์รับคำก่อนจะพากันเดินเข้าไปในบ้าน

“สวัสดีครับ/สวัสดีครับ” สองหนุ่มยกมือไหว้มารดาเลยไปถึงพี่สะใภ้

“ไหว้พระเถิดจ้ะ สบายดีนะลูก”

“ครับแม่”

“แล้วเทมส์ล่ะลูก นอนไม่ค่อยพอหรือ ดูไม่สดใส” คุณหญิงไม่สนใจลูกชายในสายเลือดเท่าไหร่นัก เธอเป็นห่วงคนที่ยืนอยู่ข้างบุตรชายมากกว่า

“ครับแม่ เมื่อวานมีงานแปลด่วนเลยนอนดึกไปหน่อยครับ”

“เจ้าปาล” คุณหญิงเรียกชื่อบุตรชายเสียงเข้ม แทนที่คุณหญิงจะดุคนทำงานดึกแต่กลับมาดุปาณัสม์เสียอย่างนั้น

“อะไรแม่ ทำเสียงไม่พอใจผมทำไมเนี่ย แม่ก็ดุเทมส์เองสิ” ปาณัสม์โวยวาย

“อยู่ด้วยกันแท้ๆ ทำไมไม่ห้ามกัน แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เทมส์เลิกทำงาน”

“ทำเหมือนเขาจะเชื่อผม ไม่เอาอะ แม่พูดเองเลย” ปาณัสม์ยังดื้อแพ่งไม่ยอมทำตามความต้องการของมารดา

“อย่าทะเลาะกันเลยครับ เทมส์อยากทำเองอยู่บ้านเฉยๆ ทั้งวันมันเบื่อ”

“ยังไงก็น่าจะเลือกงานหน่อยนะลูก” คุณหญิงพูดอย่างจนใจพลางดึงมือฉันทัชเข้ามาจับไว้แล้วพาเข้าไปนั่งที่ห้องอาหาร ปาณัสม์เดินตามหลังทำปากขมุบขมิบ กับเขาล่ะบ่นนั่นนี่ พอลูกรักพูดมาประโยคเดียวแม่เขาถึงกับเสียงอ่อน

“อาปาลขาเป็นอะไร” ศราลักษณ์เห็นอาหนุ่มทำหน้าแปลกๆ จึงถามออกไป

“เปล่าค่ะ อาก็แค่..”

“อย่าสอนหลานผิดๆ เชียวนะคะน้องปาล” ชลพิการู้ทันรีบห้ามชายหนุ่ม

“ผมบอกพี่เกดแล้วว่าเรียกผมว่าปาลก็พอ เรียกน้องด้วยแล้วมันแปลกๆ”

“ก็มันติดนี่คะ น้องปัณณ์ น้องเทมส์เลยมีน้องปาลอีกคน” ชลพิกาหัวเราะ

“ปาลนะครับพี่เกด”

“พี่จะพยายามค่ะ”

“แพ้ท้องบ้างไหมครับคนนี้” ปาณัสม์ถามพี่สะใภ้ระหว่างเดินไปที่ห้องอาหาร

“ยังเลยค่ะ”

“รอบนี้ดูท้องไม่ค่อยใหญ่” ปาณัสม์มองแทบไม่ออก

“เพิ่งสองเดือนเองอีกสักพักคงใหญ่แหละ” ชลพิกาบอกอย่างอารมณ์ดี พลางลูบท้องเบาๆ

“ดูแลสุขภาพดีๆ นะครับพี่เกด ผมเป็นห่วง” ปาณัสม์รู้ว่าพี่ชายเขาและพี่สะใภ้พยายามมากแค่ไหนถึงจะตั้งท้องคนนี้ได้

“ขอบใจมากจ้ะ ปาลก็เหมือนกันนะ”

“พี่ปอนด์ไปไหนอะแม่” ปาณัสม์เดินเข้าไปในห้องเป็นคนสุดท้าย พอมาถึงก็ถามหาพี่ชายทันที

“ไปตีกอล์ฟ ลากเจ้าชัดไปด้วย วันหยุดแท้ๆ ก็ไม่ยอมให้มันพัก” คำตอบของมารดาทำเอาปาณัสม์ผิวปากหวิวด้วยความแปลกใจ นี่พี่ชายเขาต้องเข้าโมเมนต์กับนักธุรกิจท่านอื่นแล้วจริงๆ หรือนี่

ปาณัสม์อุ้มหลานสาวไปนั่งในที่ประจำของเธอ ถึงเขาจะอุ้มไหวแต่อุ้มนานๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เด็กหญิงไม่ได้ตัวเล็กเหมือนเมื่อก่อน ฉันทัชที่มายืนข้างๆ ปาณัสม์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ยื่นถุงของเล่นให้

“อาปาลให้ของเล่นค่ะ” น้องปัณณ์เห็นถุงของเล่นนั้นก็ตาลุกวาว แม้จะดีใจแค่ไหนก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ตามที่ได้รับการอบรมมา

“พี่ต้องตรวจสินค้าก่อนไหมอะ” ชลพิกาแซว

“เทมส์เป็นคนเลือกพี่เกดไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ปาณัสม์บอก ทำไมใครๆ ดูไม่ไว้ใจเขาเลย นี่เขาเป็นฝ่ายแต่งเข้ามาบ้านนี้ใช่ไหมเนี่ย

“เดี๋ยวกินข้าวกันก่อน” คุณหญิงกิ่งกานต์สั่งเด็กในบ้านเตรียมตั้งโต๊ะ

“แม่ครับ” ปาณัสม์เห็นอาหารตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม

“อะไร” คุณหญิงตอบบุตรชายด้วยเสียงห้วน มือที่สวมแหวนเพชรหลายนิ้วนั้นเอาใจตักอาหารให้ฉันทัชจนจานนั้นแทบจะไม่เหลือพื้นที่วางแล้ว

“ทำไมมีแต่ของโปรดเทมส์ ไหนของผมอะ”

“เอ้า อยากกินของโปรดตัวเองด้วยรึ” มารดาแค่นเสียงถาม

“อยากกินสิครับ”

“อย่ามาทำหน้าเศร้าเลยไอ้ลูกตัวดี แม่อยู่บ้านไม่ได้เป็นแค่คนแก่หัวหงอกที่รอให้แกมาหลอกก็แล้วกัน” คุณหญิงหรี่ตามองบุตรชายเหมือนว่าเธอรู้อะไรมา

“หาเรื่องว่าอะไรผมอีก” ทำไมวันนี้แม่ของเขาดูเกรี้ยวกราดเหลือเกิน

“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้เรื่องที่แกไม่ค่อยกลับบ้าน” คุณหญิงชี้หน้าบุตรชาย

“ก็งานผมยุ่ง” ปาณัสม์เริ่มคิดว่าตัวเองไม่น่าโวยวายเลย เหมือนงานกำลังจะงอก

“เหอะ งานยุ่งเสียจนไม่ค่อยกลับบ้าน พอกลับบ้านแต่ละทีก็ดึกดื่นอย่างนั้นใช่ไหม”

“ใครบอกแม่” เขามองไปรอบๆ โต๊ะ ชายหนุ่มไม่คิดว่าเป็นฉันทัช รายนั้นไม่ใช่คนช่างฟ้อง

“แกไม่ต้องรู้หรอก”

“ไอ้ชัดแน่ๆ” ปาณัสม์เดาด้วยความมั่นใจ

“อย่าไปว่าเจ้าชัด แม่ไปเค้นปากมันมาเอง”

“แม่ทำอย่างนั้นทำไม” ปาณัสม์ไม่กล้าเสียงดังมากเพราะกลัวหลานสาวจะได้ยินแล้วจะเลียนแบบพฤติกรรมไม่ดีของเขา ชายหนุ่มเหลือบมองน้องปัณณ์เล็กน้อยเห็นเด็กหญิงนั่งกินข้าวอย่างตั้งใจก็โล่งอก

“แกไม่ค่อยกลับบ้าน บอกให้พาเทมส์มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เอาอีก”

“มันไกลจากที่ทำงาน”

“เดี๋ยวแม่ถามเจ้าปอนด์ดูว่ามันลำบากไหม”

“มันไม่เหมือนกันครับ พี่ปอนด์เขาติดบ้าน” ปาณัสม์กำลังหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย

“ดูเอานะเทมส์ ถ้าเจอคนที่ดีกว่าก็ไปเลยนะลูกไม่ต้องทนอยู่กับมัน” คุณหญิงเลือกยุยงคนรักของบุตรชายเสียอย่างนั้น

“อ้าว แม่อะ ทำไมบอกเทมส์แบบนั้น”

“มั่นใจตัวเองเหลือเกิน คิดเองเออเอง แม่ล่ะสงสารเทมส์นัก”

“เอ่อ.. ไม่เป็นไรครับ ผมว่าเรากินข้าวกันเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นก่อน” เป็นอีกครั้งที่ฉันทัชยื่นมือเข้ามาห้ามทัพศึกระหว่างแม่ลูก

“คืนนี้ก็ค้างด้วยใช่ไหมลูก”

ฉันทัชลำบากใจ ทีแรก เขากับปาณัสม์ตั้งใจจะค้างหนึ่งคืน แต่เมื่อเช้านี้ปาณัสม์บอกว่ามีธุระในช่วงเย็น ฉันทัชคร้านจะถามอีกฝ่ายว่าเรื่องอะไร เขาเลิกถามไปนานแล้ว

“เอ่อ..ผม” เขาเตรียมจะตอบแต่ปาณัสม์กลับแย่งตอบเสียเอง “ไม่ค้างครับ”

“ทำไมล่ะ นานๆ มาที แม่นึกว่าจะค้างสักคืน”

“ตอนเย็นผมมีธุระ”

“ธุระอะไรของแกอีก วันหยุดแท้ๆ” คุณหญิงกิ่งกานต์ไม่พอใจ ตอนนี้ฉันทัชรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยตกลงว่าจะได้กินข้าวไหม

“ก็...” ปาณัสม์อึกอัก ปกติเขาเคยชินกับการที่ฉันทัชไม่ถาม พอถูกมารดาถามเข้าชายหนุ่มจึงหาคำตอบดีๆ ไม่ได้

“เหอะ ไม่ต้องพูดแม่ก็รู้”

“เจ้าปาล ถ้าเทมส์จะไม่ทนแม่จะไม่โทษเขาเลยนะ”

“แม่ก็” ปาณัสม์พูดเสียงอ่อน อยากให้มารดาหยุดว่าเขาเสียที นี่เขาเป็นลูกนะ ลูกชายแท้ๆ

“ตกลง แกยังจะไปใช่ไหม” คุณหญิงกิ่งกานต์ถามซ้ำ ปาณัสม์รู้สึกวาบที่หลังว่านี่คือคำขู่มากกว่า

“เดี๋ยวผมยกเลิกไอ้จักรมันก็ได้ครับ” ปาณัสม์เฉลย ฉันทัชได้ยินก็เดาะลิ้นเบาๆ ที่แท้ก็นัดเมากับเพื่อน

“อืม ดี” คุณหญิงบอกปิดท้าย ฉันทัชโล่งอกที่ได้ทานข้าวต่อเสียที

พอทานข้าวเสร็จเด็กหญิงศราลักษณ์รีบหยิบของเล่นที่เพิ่งได้รับมาเปิดดูทันที น้องปัณณ์ขออนุญาตมารดาไปเล่น เด็กหญิงดีอดทนรอจนอาจันทร์ทานข้าวเสร็จ ร่างเล็กจึงรีบลุกจากเก้าอี้ไปฉุดมืออาจันทร์เพื่อไปเล่นด้วยกัน

ชลพิกาขอตัวไปเตรียมขนม เดาว่าอีกสักพักบุตรสาวอาจจะหิวเพราะอารามห่วงเล่นจึงทานข้าวไปนิดเดียว ตอนนี้ในห้องอาหารจึงเหลือเพียงแค่มารดาและบุตรชายของบ้าน

“ปาล” คุณหญิงกิ่งกานต์พูดขึ้นก่อน

“ครับ”

“แม่ขอพูดกับแกตรงๆ เลยก็แล้วกัน” คุณหญิงทำหน้าเมื่อยก่อนจะพูดต่อ “เรื่องเทมส์น่ะ”

“ทำไมครับ เทมส์ทำไม”

“แกควรจะเพลาๆ เรื่องงานกับเรื่องเที่ยวหน่อย อายุก็หลักสามแล้ว”

“ทำงานมากมันก็เครียดมากอะครับ ผมก็เลยไปกินเหล้าเท่านั้นเองหรือแม่กลัวว่าผมจะมีคนอื่น ผมบอกเลยครับว่าไม่มี ผมมีจันทร์ เอ่อ เทมส์คนเดียว”

“แม่น่ะอาบน้ำมาร้อน แม่ดูออกนะว่าแกสองคนมีปัญหากันอยู่”

“ปัญหา? ไม่มีนี่ครับ” ปาณัสม์ปฏิเสธ เขาขมวดคิ้วพลางคิด เรื่องทะเลาะกันวันก่อนใช่ปัญหาหรือเปล่า

“หน้าแกมันแสดงออกชัดมากว่าเบื่อบ้าน แม่พูดถูกไหม”

ปาณัสม์สะดุ้งที่ถูกจับได้ เขายอมรับเสียงอ่อย “ก็นิดหนึ่งครับ”

“ไม่นิดล่ะ ไม่งั้นแกคงไม่ไปเที่ยวอุตลุดขนาดนี้”

“ช่วงนี้งานมันเครียดจริงๆ ครับ” ปาณัสม์หาข้ออ้างบอกมารดา

“เมื่อก่อนที่รักกันปีแรกๆ เคยไปเที่ยวหนักแบบนี้ไหม อีกคนอยู่ไหนแกก็คอยเป็นเงาตามตัวเขาไปตลอด”

“มันนานแล้วนะครับ” ปาณัสม์คร้านจะพูดว่าผ่านมาหลายปีมันจะเหมือนเดิมได้ไง

“จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แม่ขอเตือนแกไว้อย่างหนึ่ง”

“ครับ?”

“อย่าลำพองใจไปนัก เทมส์เองก็เบื่อแกไม่แพ้กัน”

“แม่คิดมากไปแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เทมส์รักผมนะแม่” ปาณัสม์ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของมารดาสักเท่าไหร่

“แล้วแกไม่รักเทมส์หรือไง”

“...” คราวนี้คำพูดของมารดาทำให้เขาต้องเงียบเพราะที่คุณหญิงพูดมามันถูกต้องตรงประเด็น

“คบกันมาสิบปีแล้วใช่ไหม”

“ครับ”

“เวลาผ่านไปเร็วจริงเหมือนว่าแกเพิ่งพาเทมส์มาแนะนำให้แม่รู้จักไม่นานนี้เอง”

“นั่นสิครับ ตอนนั้นแม่ดูไม่ชอบเทมส์มากๆ ไม่รู้ไปไงมาไง ตอนนี้รักเทมส์มากกว่าผมอีก”

“แม่ทำนิสัยไม่ค่อยน่ารักกับเทมส์ ตอนนั้นแม่ก็ปวดหัวน่าดูที่แกคบผู้หญิงมาเยอะแยะ ไม่นึกว่าบทจะจริงจังกลับเลือกผู้ชายมาเสียอย่างนั้น”

“ผมก็ไม่คิดว่าจะเลือกเทมส์เหมือนกัน แล้วทำไมแม่ถึงเปลี่ยนใจไม่เกลียดเทมส์ล่ะครับ” จะว่าไปเรื่องนี้เขาไม่เคยถามมารดาเลยสักครั้ง แค่คิดว่ามันก็ดีแล้วที่แม่กับคนรักนั้นลงรอยกันได้

“เทมส์เป็นเด็กดี ยิ่งมารู้ทีหลังว่าเทมส์ไม่มีพ่อแม่แล้วนอกจากน้องสาว แม่ก็ยิ่งเสียใจ” คุณหญิงสรุปรวบรัด ละรายละเอียดเอาไว้ เพราะมันมีมากมายที่เทมส์ คนรักของบุตรชายนั้นได้ทำเพื่อเธอ

“ผมดีใจที่แม่รักเทมส์”

“แม่พูดจริงๆ นะ แม่กลัวแกจะเสียเทมส์ไปเร็วๆ นี้” คุณหญิงยังห่วงเรื่องเดิม

“แม่คิดมากเกินไปแล้วครับ” ปาณัสม์ยืนยันความคิดเดิมก่อนจะหลุบตามองต่ำไม่กล้าสบตามารดา “อันที่จริงผมก็เป็นอย่างที่แม่ว่า ช่วงนี้เราทะเลาะกันง่ายเกินไป ง่ายไปเสียจนผมคิดว่าเราสองคนจะทนไม่ไหว”

คุณหญิงกำแก้วน้ำแน่น ไม่ผิดจากที่เธอคิด ลูกชายของเธอทั้งคู่มีปัญหากันจริงๆ แล้วดูจะเป็นปัญหาใหญ่เสียด้วย

‘เพราะอยู่ด้วยกันมานานเกินไป’

“ถ้าเทมส์ไปจากแกจะเสียใจหรือเปล่า”

“ผมคิดว่า..” ปาณัสม์หยุดคิดเพียงครู่ก่อนจะตอบ “ก็คงเสียใจแหละครับอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี”

“แกจะอยู่ได้ใช่ไหม”

“น่าจะอยู่ได้ครับ”

“แต่แม่อยู่ไม่ได้” คุณหญิงสารภาพ

“อ้าว ทำไมกลายเป็นแม่ล่ะครับ ผมนึกว่าแม่จะห่วงผม”

“เหอะ แม่ไม่ห่วงแกหรอก แม่ห่วงตัวเองแม่เอง แล้วที่สำคัญแม่ห่วงเทมส์” คุณหญิงยกน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ก่อนจะพูดต่อ “แกให้เขาออกจากงานที่เขารักมาอยู่บ้านกับแกเสียหลายปี ถ้าเลิกกันแกคิดว่าเขาจะกลับไปทำงานเดิมได้เหรอ”

“ผม..” ปาณัสม์พูดไม่ออก ตอนนั้นเขาแค่อยากมีฉันทัชอยู่ข้างๆ อยากเลี้ยงดูอีกฝ่ายไม่เคยคิดที่จะเลิกกัน เขาไม่ได้คำนึงถึงปัญหาตรงนั้นเลย

“แกคิดว่าเทมส์จะบากหน้ามาขอเงินแกหรือไง ทุกวันนี้แกให้เงินเขาบ้างหรือเปล่าแม่ก็ไม่รู้” คุณหญิงพูดเหมือนตาเห็น

“บ้าจริง เทมส์ไม่เคยขอเงินผมเลย แต่ผมมีบัตร มีเงินสดเก็บไว้ในตู้นะครับ เขาหยิบไปใช้ได้ตลอด” ปาณัสม์ฉุกคิดขึ้นมาได้

“ไม่รู้จักนิสัยเมียแกหรือไงไอ้ลูกคนนี้” คุณหญิงอยากจะหยิบไม้หรืออะไรก็ได้มาตีหัวลูกชายให้หายโง่

“ดูแลรักษาน้ำใจกันไว้ให้มาก อยู่ด้วยกันมันย่อมมีเบื่อกันบ้าง ขอแค่อย่าปล่อยมือจากกันก็พอ เข้าใจหรือเปล่า” คุณหญิงสอนบุตรชาย

“ครับ”

“ที่สำคัญ อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เวลาที่จะทะเลาะหรือโกรธกัน ให้นึกถึงตอนที่แกไปจีบเขาด้วยล่ะ กี่ปี กว่าเขาจะยอมมาอยู่ด้วย คิดให้ดี”

“ครับ” ปาณัสม์ยกมือไหว้ขอบคุณมารดา

“หากถึงที่สุดแล้วไม่ไหวก็อย่าฝืน แม่ไม่อยากให้แกสองคนต้องอยู่ด้วยกันแล้วทุกข์ แต่แม่ต้องบอกแกไว้ก่อนเลยว่าถึงจะเลิกกันไปแม่ก็ยังจะติดต่อกับเทมส์เหมือนเดิม”

“แล้วถ้าผมมีแฟนใหม่ล่ะแม่”

“นั่นเป็นหน้าที่ของแกที่จะต้องอธิบายให้คนใหม่ของแกเข้าใจ แม่จะไม่ทำตัวเป็นนางมารร้ายคอยเปรียบเทียบเทมส์กับแฟนใหม่ของแก”

“ครับ”

“ทางที่ดีก็อย่าเลิกกันนั่นแหละ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เชื่อแม่ไหมว่าหลานปัณณ์ของอาปาลน่ะจะโกรธแกมากแน่ๆ” ปาณัสม์ถึงกับใจหายวาบ เริ่มเข้าใจความรู้สึกของศรารัณเวลาที่เขายกน้องปัณณ์มาขู่อีกฝ่ายแล้ว

“แม่อะ พูดแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย ใจจะขาด” ปาณัสม์บอกมารดาด้วยสีหน้าเจ็บปวดพลางขยุ้มมือตรงหน้าอกด้านซ้าย

คุณหญิงมองบุตรชายด้วยความหมั่นไส้แล้วเอ่ยปากไล่ “ไป เข้าไปเล่นกับหลานของแกบ้าง ทำคะแนนไว้หน่อย”

“โอเคครับ คุณหญิงกิ่งกานต์ ผมจะได้ไปทวงแว่นคืนด้วย น้องปัณณ์หลานอาชอบเอาแว่นไปจริงๆ” ปาณัสม์ลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงแล้วเข้ามาหอมแก้มมารดาก่อนจะผละไปหาหลานสาวสุดที่รัก ปล่อยให้คุณหญิงส่ายหน้าเบาๆ กับอาการคนหลงหลาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 00:07:26 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter


หลังจากได้รับคำสอนจากมารดาไป สถานการณ์ระหว่างปาณัสม์กับฉันทัชน่าจะดีขึ้น ทว่าไม่ใช่เลย ทุกอย่างดูแย่ลง พวกเขาพูดคุยกันน้อยลงกว่าเดิมเพราะกลัวจะทะเลาะกัน ถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติก็ตามแต่ช่องว่างมันเริ่มลุกลามเป็นวงกว้าง พวกเขาต่างรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้ดี

วันศุกร์ถัดมา ปาณัสม์นัดเพื่อนใหม่อีกครั้งหลังจากที่ยกเลิกไป คราวก่อนเขาถูกจักรีบ่นหูชา แต่พออีกฝ่ายรู้ว่าเขาพาฉันทัชมานอนค้างที่บ้านแม่ เพื่อนตัวดีของเขาก็หยุดบ่นแล้วเปิดไฟเขียว ไร้การดึงรั้งเอาไว้จนเขาประหลาดใจ

“ทำไมชอบนัดวันศุกร์วะ” จักรีเดินเข้ามาถึงโต๊ะปุ๊บก็บ่นปั๊บ ปาณัสม์ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อนของเขานี่อะไรก็ดียกเว้นเรื่องเดียว

“หยุดบ่นเถอะ กูฟังเทมส์บ่นเยอะแล้วไม่อยากมานั่งฟังมึงอีกคน” ปาณัสม์บอกเพื่อนให้หยุดเสียที

“อ้าว ไอ้ชัด มึงก็มาด้วยเหรอ”

“ครับคุณจักร ที่จริงผมถูกคุณปาลลากมาต่างหากครับ” ชัดเจนไม่มีทีท่าจะแอบบอกคนถามเลย เขาตั้งใจให้ปาณัสม์ได้ยิน

“เดี๋ยวเตะเลยไอ้ชัดขี้ฟ้อง” ปาณัสม์ทำท่ายกขาขึ้นมาจะเตะจริงๆ ชัดเจนรู้ทันหลบหนีได้อย่างว่องไว

“ผมไปนั่งตรงนั้นดีกว่า พบคนหงุดหงิดหนึ่งอัตราพาลใส่คนอื่นไปทั่ว” ชัดเจนพูดจบก็รีบเผ่น

“อะไรกันวะ กัดกันได้ กัดกันดี ไอ้ปาลหน้ามึงบูดอย่างกับตูดเป็นไรอีก” คนมาใหม่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ดีเอ่ยถาม

“ไอ้ชัดมันถูกแม่ง้างปากให้คายเรื่องกูกับเทมส์” คนพูดอารมณ์เสียอย่างต่อเนื่อง

“เรื่องมึงกับเทมส์? ทำไมวะ”

“ช่วงนี้กูกับเทมส์มีปัญหากันนิดหน่อย”

“มึงนอกใจเทมส์เหรอ” จักรีหรี่ตามอง ท่าทางเตรียมจะบีบคอเพื่อนหากคำตอบนั้นคือใช่

“จะบ้าหรือไง ไม่เคยเว้ย แค่คิดยังไม่เคย”

“เออ กลัวเมียสุดๆ”

“เปล่า สัญญากับเขาไว้”

“ดีแล้วมึง ถึงกูจะนอนกับคนอื่นไปทั่วแต่เรื่องนอกใจหรือเป็นชู้นี่กูซีเรียสนะ”

“อืม”

“แล้วไปโกรธไอ้ชัดมันทำไม มันถูกบังคับนี่หว่า”

“ก็รู้ แค่อยากหาคนลง” ปาณัสม์หงุดหงิด อยากจะหาใครรับผิดชอบ เขาเลยเลือกชัดเจนเป็นเป้าหมาย

“เด็กจังวะ ว่ามาดิเรื่องของมึงอะ”

พอถูกถาม ปาณัสม์ก็ยกแก้วเหล้าดื่มเกือบหมด จักรีรู้ว่าเพื่อนคงมีเรื่องอึดอัดจึงไม่เร่งรัด ปล่อยให้เจ้าตัวพร้อม เพราะเขามีเวลารับฟัง

“กูคิดว่ากูเบื่อว่ะ” ปาณัสม์เริ่มเปิดปาก

“เบื่อ? เบื่ออะไรวะ งานเหรอ”

“เปล่า กูเบื่อเทมส์”

“หา! มึงตลกละ” จักรีทำท่าไม่เชื่อ

“เออ ช่วงหลังๆ กูไม่อยากกลับบ้านเลย แม่กูก็พยายามสอนกู เตือนกู แต่มันยากว่ะ”

“แล้วเทมส์ล่ะ เขารู้ไหม”

“กูไม่รู้ แม่บอกว่าเขาก็เบื่อกู”

“อ้าว ฉิบหายหนักเข้าไปอีก” จักรีอยากจะยกมือเกาหัว ติดที่ทรงผมถูกเซทมาเป็นอย่างดี เขาเลยยกน้ำเมาแก้วของเพื่อนมากระดกลงคอคลายความว้าวุ่นใจ

“ไหนมึงลองเล่ามาให้กูฟังหน่อยว่ามึงเบื่ออะไรเขานักหนา”

“ก็ปัญหาเดิมๆ ที่กูเคยบอกเขาว่าไม่ชอบไรงี้ มันก็ยังเกิดขึ้นซ้ำซาก”

“อะไรบ้าง”

“เวลาเขาอาบน้ำ ครีมนั่นครีมนี่ ประโคมเข้าไปเหอะ วันก่อนกูเมากลับบ้านเกือบลื่นล้มหัวแตก พอกูบอกเขาดันบอกเป็นเพราะกูเมา” ปาณัสม์พูดอย่างเซ็งๆ

“อะไรอีก”

“ขี้บ่น บ่นกูอย่างนั้นอย่างนี้ กูกลับบ้านก็อยากสบายหูไม่ได้อยากฟังเทศน์” ปาณัสม์พูดต่อ

“แสดงว่าที่มึงมากินเหล้าวันนี้เทมส์ก็บ่นมึงอีกอะดิ”

“เปล่า ไม่บ่น”

“อ้าว อะไรวะ กูงง” จักรียกแก้วเหล้าของปาณัสม์ขึ้นมาจะดื่มอีกแต่มันหมดไม่เหลือแล้ว เขาจึงยกมือเรียกพนักงานมาขอแก้วและเหล้าเพิ่ม

“ต่อ.. ไหนว่าเทมส์ขี้บ่น”

“เขาบ่นทุกเรื่องเว้ย ยกเว้นเรื่องกูมากินเหล้า ไม่กลับบ้าน ตลกปะวะ”

“กูว่าไม่ตลก นี่มันขั้นอันตรายว่ะ” จักรีหน้าเครียด เพื่อนเขามันดูอาการคนรักไม่ออกหรือไง

“อันตรายอะไร”

“กูเคยได้ยินอาเจ้คุยกับเจ็กที่บ้านว่าวันไหนที่อีกฝ่ายไม่พูดไม่บอกไม่ถามนี่แสดงว่าเขาทนมาใกล้ขีดสุดแล้วนะมึง”

“ไม่มั้ง”

“กลับกัน ถ้ามึงจะบ่นเทมส์ระหว่างที่เขาทำนั่นทำนี่ให้มึงเซ็งกับไม่กลับบ้านออกมากินเหล้า มึงจะบ่นเขาเรื่องไหนวะ”

“เรื่องหลังดิ”

“เออ คิดสิคิด คิดหน่อย” จักรีบอก

“คิดไม่ออก” ปาณัสม์ปัด ชายหนุ่มยังคิดไม่ออกในตอนนี้ สมองเริ่มมึน เขาดื่มเข้าไปหลายแก้วอยู่เหมือนกัน

“อะไรอีก พูดมาให้หมด”

“มึงเห็นเทมส์ตอนนี้หรือยัง ไม่เหมือนเมื่อก่อน”

“ทำไม อ้วน ผอม?”

“ไม่ใช่ วันๆ ใส่แต่เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงนอน กูกลับบ้านก็เจอแบบเดิมๆ”

“อ้าว มึงจะบ้าหรือไง มึงให้เขาอยู่บ้านทั้งวันจะให้เขาลุกขึ้นมาแต่งตัวใส่เชิ้ต เซทผมหรือไงวะ อันนี้กูไม่เห็นด้วย มึงหาเรื่องละ”

“ทำไมมึงไม่เข้าข้างกูวะ” ปาณัสม์หน้างอ

“คิดดูดีๆ นะไอ้ปาล ก่อนหน้านี้มึงเองไม่ใช่หรือที่ไม่อยากให้เขาแต่งตัว กลัวคนมาจีบ”

“ใช่” ปาณัสม์พยักหน้า

“มึงเองไม่ใช่หรือที่ให้เขาออกจากงานมาอยู่บ้านเฉยๆ”

“ก็ใช่”

“แล้วมึงเองไม่ใช่หรือที่ไม่อยากพาเขามากินเหล้าเพราะมึงเกลียดความขี้หึง ขี้หวงของตัวเอง”

“ก็ถูก”

“แล้วทำไมวันนี้มึงถึงโทษเขาวะ”

“กู..” ปาณัสม์พูดไม่ออกเพราะเขาขี้หึงและขี้หวงอีกฝ่ายมาก ถูกต้องตามที่จักรีเพื่อนของเขาบอกทุกประโยค ในช่วงแรกเขาไม่อยากพาฉันทัชออกมาด้วยเพราะหวง พอหลายปีผ่านไป มันกลับเป็นความเคยชินที่เขาลืมไปเสียสนิทว่าทำไมเขาถึงไม่พาอีกฝ่ายไปไหนมาไหน

“เขาอดทนกับมึงมากนะปาล กูอะนับถือเทมส์เลย”

“ทำไมมึงพูดเหมือนกูผิด”

“กูไม่รู้นะ เทมส์คงมีข้อเสียอย่างที่มึงพูดแหละ แต่มึงเองก็มีข้อเสียเหมือนกันหรือเปล่าวะ”

จังหวะนั้นพนักงานเสิร์ฟกลับมาเสิร์ฟตามรายการที่สั่งพอดี จักรีหยิบกระเป๋าเงินออกมาจ่าย ไม่ลืมจะให้ทิปด้วย รู้ดีว่าอาชีพเหล่านี้เงินเดือนน้อยอยู่ได้เพราะทิปอย่างแท้จริง

“กูถามจริงๆ ได้นอนด้วยกันบ้างไหม” จักรีไม่ได้คิดจะละลาบละล้วงหรืออยากรู้อยากเห็น เขาถามเพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ

“นอน...ก็นอนนะ”

“กูหมายถึงเซ็กซ์”

“ขอคิดแป๊บ” ได้ยินแบบนี้ จักรีอยากจะทึ้งหัวตัวเอง แสดงว่ามันต้องไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ชายหนุ่มให้เพื่อนใช้เวลาคิดไปเท่าที่อยากคิด ตัวเขาหันเข้าหาโซดา น้ำแข็ง และเหล้าดีกว่า

ตอนที่จักรีเริ่มดื่มอึกแรก เขาก็เกือบจะเหล้าพุ่งใส่หน้าเพื่อนรัก ทันทีที่ได้ยิน

“มึงว่ายังไงนะ”

“กูบอกว่ากูจำไม่ได้ แต่...น่าจะสักสองปีมั้ง” ปาณัสม์ไหวไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ

“มึงไม่สู้หรอวะ”

“ไม่นะ” ปาณัสม์หยุดคิดอีก นี่เขาคงใกล้เมาแล้วมั้ง หัวเริ่มหนักๆ “ตอนเช้าน้องชายกูก็ตื่นมารับอรุณดีอะ”

“หรือว่าเทมส์ไม่โอเคกับมึง”

“ก็ไม่นะ เขาปกติ” ปาณัสม์หรี่ตามองจักรีอย่างไม่ไว้ใจ “มึงอย่ามาซอกแซกถามสุขภาพเมียกู”

“คนรักกันแต่ไม่นอนด้วยกัน มึงว่ามันไม่ผิดปกติเหรอ”

“ของมันกินจนชินแล้ว ก็ลดปริมาณลงหรือเปล่า” ปาณัสม์บอก

“แล้วเทมส์ไม่ว่าเหรอที่มึงไม่ทำการบ้าน”

“เขาไม่เห็นพูดอะไร”

“กูว่าชีวิตรักพวกมึงมีโอกาสขาเตียงหักแน่ว่ะ เรื่องบนเตียงสำคัญกับชีวิตคู่นะเว้ย”

“จะหักได้ยังไง บ้านกูเตียงแข็งแรงดี” ปาณัสม์ไม่เข้าใจ ความรักของเขาไปเกี่ยวอะไรกับขาเตียง

“กูเปรียบเปรย ไอ้นี่เริ่มเมาแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“มึงมาช้าอะ กว่าจะมากูก็กินไปครึ่งขวดแล้ว”

จักรีไม่สนใจที่เพื่อนประชด เขาพูดต่อ “ทำไมกูรู้สึกว่าเทมส์จะทิ้งมึงวะไอ้ปาล”

“กูแค่เบื่อเขาแต่ไม่เคยคิดเลิกกับเขา”

“กูรู้ว่ามึงรักคนยาก การที่มึงไม่คิดไม่ได้แปลว่าเขาไม่คิด”

“กูไม่ดีตรงไหน กูพูดได้อย่างไม่อายปากนะเว้ย หน้าอย่างกู การงาน ฐานะแบบนี้ การศึกษาก็ไม่ด้อยกว่าใคร กูมีตรงไหนไม่ดีวะ”

“นิสัยมึงไง จะบอกให้นะ ถ้ากูเป็นเทมส์ กูเลิกกับมึงไปนานแล้วไอ้ปาล ไอ้หลงตัวเอง” จักรีผลักหัวเพื่อนเบาๆ แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะปาณัสม์ล้มตึงลงไปเลย โชคดีว่าวันนี้คนแน่นมันเลยล้มตึงใส่นักท่องเที่ยวข้างหลัง

เสียงคนแตกฮือกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง จักรีปรี่เข้าไปรับเพื่อนมาจากผู้มีพระคุณด้านหลังไว้พลางขอบคุณพวกเขา และไม่ลืมที่จะยกเหล้าที่ยังเหลือเกือบเต็มขวดให้ไปเป็นของกำนัลแทนน้ำใจ หางตาเห็นชัดเจนรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เมาขนาดนี้เลยเหรอวะ พาลูกพี่มึงกลับคอนโดหน่อย”

“ครับคุณจักร” ชัดเจนพยุงปาณัสม์ไปนั่งที่โซฟาก่อน เขาต้องเก็บของปาณัสม์กลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเนคไท เสื้อสูทตัวนอก ชัดเจนส่ายหัว บอกให้อีกฝ่ายถอดทิ้งไว้ในรถก็ไม่ยอมฟังกันบ้างเลย รู้ไหมเวลาขากลับมันลำบากแค่ไหน

“กูถามหน่อย”

“ครับ?”

“ไอ้ปาลมาเที่ยวบ่อยแค่ไหน”

ทำไม ใครๆ ก็อยากถามเรื่องปาณัสม์จากปากของไอ้ชัดเจนคนนี้ แล้วพอเจ้าตัวรู้เข้าก็พานโกรธเขาอีก

“บอกมาเถอะ ไม่บอกไอ้ปาลมันหรอก” จักรีบอกอย่างเข้าใจในความลำบากใจของชัดเจน “กูเป็นห่วงไอ้ปาลกับเทมส์”

“บ่อยครับแทบจะทุกวันที่ว่าง”

“มึงคงเหนื่อยแย่ที่ต้องมาดูแลคนไม่ได้เรื่อง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”

“กูนึกภาพไอ้ปาลตอนที่เลิกกับเทมส์ไม่ออกเลยว่ะ”

“ครับ?” เพราะในผับเสียงดัง ชัดเจนจึงไม่ได้ยินคำพูดของจักรี

“ช่างเถอะ ขับรถพาลูกพี่มึงกลับคอนโดดีๆ ล่ะ”

“ครับ”

“ถึงแล้วก็ส่งข้อความมาบอกกูหน่อย กูเป็นห่วง”

“แล้วคุณจักรกลับเลยไหม หรือจะอยู่ที่นี่ต่อครับ”

จักรียิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “เออ หาเหยื่อกินก่อนค่อยกลับ”

.

.

ชัดเจนเหนื่อยเหมือนวิ่งรอบสนามฟุตบอลมาสักสิบรอบได้ เขาแบกปาณัสม์ขึ้นหลังแล้วพาอีกฝ่ายขึ้นมายังชั้นที่เจ้าตัวอยู่อย่างทุลักทุเล กว่าจะหาคีย์การ์ดเข้าห้องได้ก็เสียเวลาไปนานพอดูครั้นจะกดกริ่งก็กลัวจะปลุกฉันทัชให้ตื่น

เขาเกรงใจ

เมื่อเข้ามาในห้องได้ ชัดเจนก็เปิดไฟก่อนเป็นอันดับแรก เขาเคยมาที่นี่หลายต่อครั้งจึงพอจะคุ้นที่คุ้นทางอยู่บ้าง ชายหนุ่มพาเจ้านายมานอนพักบนโซฟาก่อน เดินวนรอบโซฟาหลายรอบว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อดี ปกติปาณัสม์ยังพอมีสติเดินเข้าคอนโดเอง แต่รอบนี้ล้มตึงหงายท้องไปเลย

“เอาไงดี เอาไงดี” ชัดเจนยังคิดไม่ตก เขาไม่กล้าเคาะประตูห้องนอนของฉันทัช หากจะปล่อยเจ้านายนอนอยู่ตรงนี้ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ชัดเจนเดินไปที่โต๊ะกินข้าว ขอนั่งพักระหว่างคิดก็แล้วกัน ทว่าเขาดันเห็นโพสท์อิทสี่เหลี่ยมแผ่นเล็กวางแปะอยู่บนโต๊ะเลยถือวิสาสะดึงมันขึ้นมาอ่านดู

‘วันนี้ไปนอนบ้านไทน์

CHAN’

อ่านโน้ตสั้นๆ นั้น ชัดเจนก็พอจะเข้าใจว่าฉันทัชไม่อยู่ เขาลุกขึ้นเก็บเก้าอี้สอดไว้ในโต๊ะอย่างเดิมและก้มลงแบกปาณัสม์เข้าไปในห้องนอน จัดแจงถอดรองเท้าให้ชายหนุ่ม เปิดแอร์และห่มผ้าให้เรียบร้อย นั่งมองผู้เป็นนายอยู่สักพัก เขาก็กลับออกมาไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปบอกจักรีอย่างที่อีกฝ่ายสั่ง

ตลอดทางที่กลับบ้าน ชัดเจนคิดเรื่องของคนในคอนโดนี้ไม่หยุด ไม่รู้ว่าถึงพรุ่งนี้เช้า ปาณัสม์จะอาละวาดแค่ไหนที่รู้ว่าคนรักไม่กลับบ้าน

น่าแปลก ในขณะที่ปาณัสม์จะกลับบ้านหรือไม่กลับ จะไปไหนหรือไม่ไปไหน ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องบอกหรือรายงานฉันทัชเลยสักครั้ง

กลับกันหากอีกฝ่ายทำบ้างล่ะก็ เรื่องราวที่ตามมานั้นดูจะเป็นเรื่องใหญ่โตไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉันทัชทำแบบนี้ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

ถึงจุดแตกหักแล้วหรือ?

================================

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมเดี๋ยวเทมส์ เดี๋ยวจันทร์
อ่านไปเรื่อยๆ น้า จะมีเฉลยค่า
ขอบคุณค่ะ

HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 00:08:05 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ถ้าเราเป็นจันทร์คงเลิกไปตั้งแต่ครึ่งปีแรกแล้วละนะ ไม่อยู่ทนถึง 2 ปี หรอก

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ก็แค่บอก ว่าเบื่อ ยังเชื่อถือ
ก็แค่ปล่อย วางมือ หยุดยื้อสอง
ก็แค่ไป คนละทาง อย่างใจปอง
มันก็จบ เป็นคู่ครอง ของสองเรา

จบนะ..จบเหอะ
ปวดใจกันไป..เปล่าๆ

ปาล...คนดีดีไม่รู้จักรักษา(จันทร์)ไว้
รอวันสมน้ำหน้า..นะจ๊ะ
ฮ่าฮ่า

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เทมส์นี่รักปาลมากเลยนะครับ แทบไม่ต่างอะไรกับกินรีที่ยอดถอดปีกอยู่กับมนุษย์โดยยอมเพียงเพราะความรัก น่าเสียดายที่ความรักนี้เกือบจะเป็นการทุ่มเมให้กับความรักจนลืมที่จะรักตัวเองไป

ปาลบอกให้ไม่ต้องออกไปทำงาน...ก็ยอม
ปาลไม่อยากให้แต่งตัวหรือเลือกเสื้อผ้าดูดีใส่เพราะกลัวคนมาจีบ...ก็ยอม
ปาลไม่ให้ออกไปเที่ยวกับตัวเองเพราะกลัวว่าอารมณ์หึงตัวเองจะทำให้ทะเลาะกัน แถมยังไม่ให้เทมส์ออกไปสังสรรค์อีก...ก็ยอม

ยอมทำอาหารที่คนรักชอบ แม้อีกฝ่ายจะไม่เคยกลับมาทาน
ยอมทำงานแปลอยู่กับบ้าน โดยไม่เคยขอเงินอีกฝ่ายสักแอะ
ยอมไม่พูดอะไรขณะที่อีกฝ่ายไม่เคยใส่ใจในสิ่งที่ละเลยตัวเองไปเลย (เช่นความใส่ใจในมุมอื่นๆของชีวิตเทมส์ นี่ผมไม่ได้หมายถึงเพศสัมพันธ์ด้วยนะครับ)

ไม่มีลูกเป็นโซ่คล้องใจด้วย แต่ยอมขนาดนี้และคบมาได้ถึงสิบปีขนาดนี้ ต้องรักขนาดไหนกันครับ

คือมองมุมไหนผมก็เห็นแต่การละเลยของปาณัสน่ะครับ ปาลอยากจะมีลูกรึเปล่า? เพราะเห็นว่าชอบเล่นกับหลานมาก พอถูกขู่เรื่องหลานก็ใจหายวาบเลย เพราะมีลูกกับเทมส์ไม่ได้้ เลยเป็นสาเหตุหนึ่งให้เบื่อความสัมพันธ์เดิมๆรึเปล่าครับ?

ถ้าเป็นอย่างนั้น เบื่อเค้าแล้ว แถมยังเอาแต่ใจให้อีกฝ่ายทำอย่างที่ตัวเองอยากได้ขนาดนั้น แล้วจะทิ้งเค้า ผมว่าคุณเป็นคนที่ไม่ได้มองอะไรไปข้างหน้าเยอะๆเลยนะครับ เรื่องพวกนี้ควรจะคิดก่อนจะขอใครสักคนคบ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญที่อาจทำให้ชีวิตคู่พังได้

ส่วนเทมส์ จะยอมน่ะผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่จะรักใคร ต้องรู้จักรักตัวเองด้วย

จะไม่ดีกว่าเหรอครับถ้าจะหยิบปีกที่เคยวางทิ้งไว้มาสวม
จะไม่ดีกว่าเหรอครับที่จะบินออกไปเจอสิ่งที่เข้าใจและยอมรับเราอย่างที่เราเป็น

เสียเวลาในชีวิตไปยังไม่เท่าไหร่ แต่เสียทักษะหรือความงดงามในตัวเองไปเพราะความรักที่ยอมทน นี่มันไม่ค่อยจะเหมาะนะครับ ผมเห็นเรื่องปูมาว่า เทมส์ถ้าแต่งตัว คงจะดูดีไม่น้อยเลย และคงเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีด้วย ปาลถึงกลัวตัวเองจะหึงถ้าเทมส์ออกไปสังสรรค์ ความสามารถที่เรียนมาก็ยังขัดเกลาอยู่ด้วยการรับงานฟรีแลนซ์ พรสวรรค์ในตัวเองพวกนี้จะเกื้อหนุนคุณมากๆในการทำงานนะครับ แต่น่าเสียดายที่เทมส์ไม่ได้มีโอกาสเฉิดฉายเรื่องพวกนี้

อย่างที่แม่ปาณัสกับจักรีบอกน่ะครับ อันตรายนะ วันไหนที่กินรีเริ่มทนทานความเจ็บปวดไม่ไหว และเรียนรู้ที่จะเริ่มรักตัวเอง เมื่อกินรีที่สวมปีกแล้ว มันจะสวยขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า จะสวยเหมือนของเดิมที่คุณอยากจะได้มันมา และถึงตอนนั้น แค่จะตามหามันก็ยากแสนยากแล้ว และจะยอมให้เค้าถอดปีกมาอยู่กับคุณอีก เป็นไปแทบไม่ได้เลยครับ

ใช่แหละ คบกันมาสิบปี จะให้แปปๆไม่ทน มันก็ไม่ใช่วิสัยของคนรักกัน แต่รอยร้าวแบบนี้ พอถึงจุดที่ความรักสิบปียังรั้งไว้ไม่อยู่ มันก็จะแตกร้าวนะครับ

ถ้าปาณัสอยากจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ด้วยทัศนคติแบบนี้ ผมว่ายากครับ คงต้อง Learn it by hard way
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2018 22:50:35 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 2 ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า PART END


ฉันทัชนั่งอยู่โซนบาร์ในร้านโปรดของคนที่นัดเขามาวันนี้ เขารออีกฝ่ายมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ไม่ได้นึกโกรธเพราะอีกฝ่ายไม่เคยมาตรงเวลาเลยสักครั้ง แม้กระทั่งบอกว่าจะมารับสุดท้ายก็มาบอกในนาทีสุดท้ายว่าให้นั่งแท็กซี่มาร้านเองเสียอย่างนั้น ยังดีที่โทรบอกไม่ปล่อยให้เขารอเก้อ

ฉันทัชไม่โกรธหรอก เขาเข้าใจและชินแล้ว

ระหว่างที่ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ฉันทัชได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เสียงคนเซ็งแซ่เหมือนกำลังพูดถึงประเด็นอะไรสักอย่าง ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าคนที่เขารอเดินเข้ามาในร้านแล้ว

ฉันทัชหมุนเก้าอี้มาอีกด้านเพื่อมองดูว่าใช่คนที่นัดหรือเปล่า แผ่นหลังของเขาพิงกับขอบเคาท์เตอร์บาร์ ขาข้างหนึ่งวางนิ่งสนิทอยู่บนพื้น ส่วนอีกข้างเหยียบกับที่วางเท้าของเก้าอี้สตูลบาร์ ข้อศอกด้านซ้ายวางพาดอยู่บนเคาท์เตอร์ ส่วนมือขวาถือแก้วเหล้า เขย่ามันเล็กน้อย สายตาที่ดูเอื่อยเฉื่อยเป็นประจำกลับกล้าแกร่งขึ้นมาขณะจ้องมองคนมาใหม่อย่างไม่วางตา ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว คนรอบๆ บริเวณนี้ก็เหมือนถูกแช่แข็งด้วยกันทั้งนั้น ทุกสายตาจับจ้องไปยังคนเดียว

คนมาใหม่เดินเข้ามาไม่เร่งรีบ ราวกับใจดีเอื้อเฟื้อให้ทุกคนได้มองจนพอใจ ฉันทัชยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีโปรยเสน่ห์ของเจ้าตัว คนนั้นใส่ชุดสูทแบบผู้หญิงทำงาน เสื้อเชิ้ตสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อสูทลำลองสีดำ กางเกงแสล็คสีดำ ปล่อยผมยาวตรงสลวย ดูเป็นผู้หญิงทำงานเก่งและน่าค้นหาไปพร้อมๆ กัน

ฉันทัชคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนหากอีกฝ่ายแต่งตัวดีในขณะที่เขาสวมเพียงเสื้อยืดง่ายๆ มา เขาคนที่ใส่แต่เสื้อยืดกับกางเกงนอนเป็นปกตินั้น สลัดคราบแมวบ้านเป็นแมวป่าแทน เสื้อเชิ้ตที่นานๆ จะถูกหยิบมาใส่ พร้อมปลดกระดุมลงสองเม็ดเพื่อความไม่อึดอัด พลางให้มองเห็นแผงอกรำไร ผนวกกับกางเกงยีนส์เข้ารูปพอดีตัว ดูขายาวได้ รองเท้าหนังถูกนำออกมาใช้หลังจากถูกปัดฝุ่น ผมที่เคยปล่อยเซอร์กลับถูกเซทไว้อย่างดี ไม่ถึงกับเรียบร้อย แค่ให้มันยุ่งอย่างมีชั้นเชิง เขาไม่ใช่คนที่ชอบสวมเครื่องประดับมากมายนักเลยเลือกใส่เพียงนาฬิกากับแหวนวงเดียวที่สวมติดนิ้วอยู่เป็นประจำ

อีกฝ่ายเดินมาถึงตัวเขาพอดี นั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดไป

“สวยเหมือนเดิมนะน้องอินอิน” น้ำเสียงนุ่มทักอีกฝ่ายออกไปเป็นคำแรก

“ได้ยินแบบนี้ก็ชื่นใจ เทมส์ก็เหมือนกันหล่อเหมือนเดิม” หญิงสาวก้มหน้าลงมาจูบแก้มชายหนุ่มไม่แรงนักแต่ก็มากพอที่จะเห็นคราบลิปสติกติดอยู่ที่แก้ม เธอหัวเราะคิกคักพลางหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดแก้ม

“ขอโทษที่มาสาย งานมันเลทอะ”

“แก้ตัวตลอด” ฉันทัชจุ๊ปากเบาๆ “ใช้ได้ที่ไหน บอกเทมส์ว่าจะไปรับเป็นมั่นเป็นเหมาะ สุดท้ายให้มาเองเสียได้” ฉันทัชพูดไปอย่างนั้น เขาไม่ได้จริงจัง

“ขอโทษ ไม่โกรธไทน์นะ”

“เลี้ยงเหล้าแล้วจะหายโกรธ”

“สบายมาก เลี้ยงทั้งชีวิตเลยยังได้”

“มากไป”

“พูดจริงๆ” หญิงสาวเอื้อมมือมาปัดปอยผมข้างหน้าของฉันทัชออกให้ “ผอมลงหรือเปล่า”

“รู้ไหมว่าเวลาเจอกันไม่ควรทักด้วยคำพูดแบบนี้ ผอมลง อ้วนขึ้น ตัวดำ สิวเขรอะ” ฉันทัชบอก

“ถ้าไม่ใช่เทมส์ ไม่มีทางที่ไทน์จะมาถามอะไรแบบนี้หรอก ที่ถามเพราะเป็นห่วง ปาลมันดูแลไม่ดีหรือไง”

“ก็เหมือนเดิม”

“แล้วนี่บอกหรือเปล่าว่ามากับไทน์ ไม่อยากให้มันมาอาละวาดที่ร้านหรอกนะ ยิ่งร้านนี้เป็นร้านโปรดของไทน์อยู่ด้วย” หญิงสาวว่าเพราะเธอชอบร้านนี้มาก

“บอกสิ ต้องบอกอยู่แล้ว”

“บอกว่า?”

“บอกว่าวันนี้ไม่กลับ นอนบ้านไทน์”

“เหอะ เดี๋ยวปิดเครื่องรอเลยดีกว่า” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน

“ขอโทษครับ ขอไอดีหน่อยได้ไหม” ยังไม่ทันที่คนสองจะพูดอะไรต่อก็มีบุรุษแปลกหน้าเดินเข้ามาหาทั้งคู่

“ขอคนไหนล่ะคะ” หญิงสาวแกล้งถามเสียงหวาน ขนาดแสงไฟสลัวๆ ยังพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะหน้าแดงหรือเขินอาย

“คุณนั่นแหละครับ”

“ขอเราเหรอ ว้า นึกว่ามาขออีกคน” หญิงสาวต่อคำเล่นลิ้นกับอีกฝ่าย

“อีกคนก็ขอครับ” ทางนั้นว่า

“โลเลจัง เลือกสักคนสิ”

“ผมมาขอไอดีคุณ ส่วนเพื่อนผมที่อยู่โต๊ะนั้น” ชายหนุ่มชี้ไปโต๊ะของตัวเอง ทางนั้นยกแก้วชูขึ้นเหมือนทักทายแต่คนถูกขอไม่ได้โต้ตอบอะไร “ขอของคนนี้”

“โอ๊ะ เสน่ห์แรงเหมือนเคย ให้ดีไหมน้า” หญิงสาวทำหน้าครุ่นคิด “เทมส์เห็นโต๊ะนั้นไหม หน้าตาหล่อเหมือนกันน้า” หญิงสาวชักจูงฉันทัชให้มองแต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจ

“ได้ไหมครับ” คนที่มาเยือนถามถึงเบอร์อีกครั้ง

“เพื่อนนายชอบผู้ชายเหรอ ดูออกไหมว่าเขาเป็นผู้ชาย”

“ครับ เพื่อนผมเห็นคุณคนนี้เอ่อ เทมส์ใช่ไหม นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”

“อยากให้นะ แต่เทมส์อะ มีแฟนแล้วคงไม่ได้” หญิงสาวบอกแล้วชูมือซ้ายของฉันทัชให้อีกฝ่ายได้เห็นแหวนที่เจ้าตัวสวมอยู่แล้วจึงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “แต่เราอะโสดนะ”

“จริงเหรอครับ ไม่น่าเชื่อ คนสวยอย่างคุณไม่น่าโสด”

“โสดจริงๆ” หญิงสาวย้ำ

“แล้วผมขอไอดีคุณได้หรือเปล่า”

หญิงสาวลุกขึ้นไปยืนข้างผู้มาเยือน พอยืนเทียบแบบนี้ อีกฝ่ายถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้สูงมากทีเดียว ดูจะสูงเลยหัวของเขาไปอีกคืบ หญิงสาวก้มหน้าลงมากระซิบที่หู “ได้สิ ถ้านายชอบผู้หญิงที่เคยมีดุ้นมาก่อนอะนะ ถึงตอนนี้จะเฉาะแล้วก็เถอะ”

“ยังสนใจเขาอยู่ไหมอะตัวเอง” เธอถอยกลับมานั่งดังเดิม

“เอ่อ..ไม่ดีกว่าครับ” อีกฝ่ายพอได้ยินก็หน้าผิดสีทันที

“ก็ว่างั้น บายนะ” หญิงสาวบอกราวกับเจอเรื่องพวกนี้จนเคยชิน

“ไปแกล้งเขา นิสัยไม่ดี” ฉันทัชเอ็ดอีกฝ่ายไม่จริงจัง

“คนของเราก็ใช่ย่อย รู้ทั้งรู้ว่าโต๊ะนั้นอยากได้เทมส์แต่ก็ทำนิ่ง ให้เหยื่อร้อนรน อย่าคิดว่าไทน์ดูไม่ออก เทมส์ไม่ได้ใสซื่ออย่างหน้าตา” หญิงสาวปาดนิ้วลงบนจมูกฉันทัชเพื่อเย้าแหย่

“รู้ดี”

“คนเป็นฝาแฝดกัน ถ้าไม่รู้จักคนที่เกิดมาพร้อมกันก็ขายหน้าแย่สิ จริงไหม”

อินทัชคือน้องชายที่ลืมตาดูโลกตามหลังฉันทัชเพียงแค่สองนาที ตั้งแต่เด็ก อินทัชก็แสดงออกชัดเจนว่าอยากเป็นเด็กผู้หญิง เขาถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเรื่องที่ตนเองเป็นตุ๊ด เจ้าตัวกลับมาร้องไห้กับพี่ชายอยู่ทุกวัน ผิดกับฉันทัช เขาอยากเป็นผู้ชาย แต่ใจคงเหมือนน้องชายหรือน้องสาวที่ต่างชอบผู้ชายเหมือนกัน

แม่ของเขาเกือบสติแตกตอนที่รู้เรื่อง เธอมีลูกชายสองคน แต่กลับเป็นแบบนี้ ทว่าแม่เขาเป็นหญิงแกร่ง เก็บสติคืนมาไว้กับตัวได้อย่างรวดเร็ว พอถึงวัยที่อินทัชจะแปลงเพศได้ แม่ก็ถามว่าเจ้าตัวอยากทำหรือเปล่า เพราะมันคือความฝันของเด็กผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง

ในวันนี้น้องชายของเขา ไม่สิ น้องสาวของเขากลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว มีหน้าอกที่ได้รูปกำลังดี เรื่องนี้ฉันทัชขอเจ้าตัวไว้เองว่าขอไซซ์ที่กำลังพอดีมือ แล้วคนที่ได้สัมผัสหน้าอกน้องคนนี้เป็นคนแรกน่ะเหรอ ก็เขาไง หลังจากการเปลี่ยนแปลงช่วงบนและล่าง อินทัชเจ็บปวดไม่น้อย มันไม่ใช่เรื่องสนุก หรือเรื่องตื่นเต้น การศัลยกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะบริเวณไหน นั้นค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว

อินทัชอดทนต่อสู้ฝ่าฟันกับความเจ็บปวดจนผ่านมาได้ เจ้าตัวบอกว่าคุ้มที่จะเจ็บ นอกจากความฝันที่จะเป็นผู้หญิงแล้วหญิงสาวอยากเป็นนางแบบ แม่บอกว่าแม่ช่วยไม่ได้หรอกที่จะผลักดันลูกเข้าวงการนี้ หากอยากทำอาชีพนี้ก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง

ในที่สุด อินทัชก็ทำสำเร็จ หญิงสาวเป็นหนึ่งในนางแบบที่มีความรับผิดชอบ ไม่เรื่องมากและทำงานดี ดังนั้นผู้ว่าจ้างหลายๆ บริษัทมักจะเอ็นดูและเรียกไปทำงานอยู่เสมอโดยไม่สนเรื่องเพศเพราะอาชีพนี้คือทำหน้าที่ไม้แขวนให้ดีก็เพียงพอ ช่วงนี้อินทัชมีงานค่อนข้างเยอะ เจ้าตัวมีอีเวนต์เดินแบบเกือบทุกวันและเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงเดี๋ยวนี้เอง

“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบผิดปกติ” อินทัชสังเกตพี่ชายมาสักพักจึงถามออกไป

“ไม่นี่ ก็เหมือนเดิม”

“อย่าหลอก”

“ไม่อยากพูดที่นี่”

“ถ้ากลับบ้านแล้วยังไม่ยอมพูดอีกคืนนี้จะปล้ำเทมส์ให้หนำใจเลย”

“เป็นสาวเป็นนางพูดแบบนี้กับผู้ชายได้ไง เดี๋ยวตีตายเลย” ฉันทัชทำเสียงดุใส่ แต่คนฟังไม่นึกกลัว

“อยากถูกตีจัง” อินทัชเท้าคางระหว่างพูด แววตาดูเชิญชวน

“ถ้าคิดจะเล่นแบบนั้นก็เตรียมตัวสู้รบกับปาลด้วยแล้วกัน ถ้าเขายังอยากสู้” ทิ้งปริศนาไว้แบบนั้นทำให้อินทัชยิ่งอยากรู้

“โอเค ไม่ถามละ รอถึงบ้านแล้วคุยทีเดียว เพราะฉะนั้นก่อนจะกลับ มอมเหล้าเทมส์ดีกว่า” อินทัชเดาจากทั้งคำพูดและท่าทางของพี่ชายแล้ว ดูจะไม่ใช่เรื่องเล็ก

“ตลกละ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เทมส์ก็ยอมรับแก้วจากน้องสาวขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งก่อนจะส่งคืน

“งานเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี เรื่อยๆ อะ เพิ่งส่งงานแปลไปให้เจ้าหนึ่งเมื่อวาน”

“มีเงินใช้ไหม เอาเงินไทน์ได้นะ ไทน์มีเงินเยอะ ไม่ต้องทำงานหนักล่ะ” อินทัชเสนอบอกอย่างใจป้ำแต่ฉันทัชเลือกส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ

“ไม่เชื่อเหรอ บอกแล้วไงว่าเลี้ยงเทมส์ได้สบาย”

“เชื่อ แต่ที่ไม่เอาเพราะที่อยู่ตอนนี้มันไม่ต้องใช้เงิน”

“ปาลมันให้เงินเทมส์บ้างหรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เรียกว่าให้ไหม ปาลทิ้งบัตรกับเงินสดเอาไว้ในตู้ที่คอนโด”

“หยิบมาใช้บ้างไหม” ฉันทัชส่ายหน้าเบาๆ อินทัชถึงกับปวดหัว

“โอ๊ย ทิฐิอีก พอเขาไม่พูด ก็ปากหนักไม่ถาม”

“ไม่เดือดร้อนไง เลยไม่ได้อะไร”

“เทมส์ก็เป็นเสียอย่างนี้อะ ทุกทีเลย ถ้าเป็นไทน์จะถามไปให้จบๆ”

“ก็ไม่อยากถามนี่” พี่ชายพูดเสียงเนือยๆ

“ใช่ ไทน์ก็ลืมไปทั้งที่หน้าตาเหมือนกันแท้ๆ นิสัยดันไม่เหมือนกัน เห็นไทน์โผงผางแต่ใจเย็น ขณะที่เทมส์นิ่งเฉย แต่เป็นคนใจร้อน ตรงข้ามกันเป็นบ้า”

“ปวดหู” ฉันทัชทำท่าแคะขี้หู รำคาญที่น้องสาวพูด

“เชอะ ทำท่าเบื่อเราแบบนี้ทุกที” อินทัชพูดแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาค้นอะไรกุกกัก “เดี๋ยวมานะ ตรงนี้ไฟมันมืด มองไม่เห็น”

“อืม”

หญิงสาวเดินไปทางห้องน้ำ เขาคุ้นว่ามีจุดสำหรับสูบบุหรี่ที่อยู่ใกล้ๆ ห้องน้ำเป็นที่ที่มีแสงไฟสว่างชัดที่สุด หากจะจีบหรือจะคว้าใครขึ้นเตียง ก่อนตัดสินใจให้พาอีกฝ่ายมาเช็คสภาพหน้าที่ตรงนี้เสียก่อน แล้วคุณจะได้กระจ่างแจ้งว่าควรจะไปต่อหรือหยุด บางทีอาจจะมีเหตุการณ์ประมาณว่า จู่ๆ คุณก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องกลับบ้านด่วนโดยพลัน

อินทัชเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ เธอไม่ได้สนใจนัก ทว่าตอนเดินผ่านหางตาก็อดสังเกตไม่ได้ว่า คนๆ นั้นมีลักษณะตัวที่สูงใหญ่มากทีเดียว ขนาดเธอที่สูงเกือบร้อยแปดสิบบวกกับส้นสูงอีกสองนิ้ว ยังรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายสูงกว่าตนเอง หญิงสาวเว้นระยะจากกลุ่มควันเหล่านั้นออกมาสักสองเมตร แล้วจึงเปิดกระเป๋าเพื่อหาของบางอย่างต่อ

“หาไลท์เตอร์อยู่เหรอ เอาของผมไปใช้ก่อนไหม” คนตัวสูงถามด้วยความเอื้อเฟื้อพลางยื่นของที่ว่านั้นให้ บุหรี่กับที่จุดบุหรี่มันเป็นแพคเกจคู่สำหรับนักสูบ

“เปล่า ไม่ได้มาสูบบุหรี่” อินทัชเงยหน้ามองคนหวังดี เธอไม่ได้อยากอธิบายแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะเซ้าซี้ “พอดีจะหาของแต่ไฟข้างในมันมืด”

“อย่างนั้นเหรอ นึกว่าสูบเหมือนกัน” ได้ยินคำตอบแบบนั้นอีกฝ่ายเลยชักมือกลับลงไปในกระเป๋ากางเกงแทน

“ขอบคุณนะ” หญิงสาวตัดบท

เขาคนนั้นดับบุหรี่ในมือลงบริเวณที่ทิ้งบุหรี่ อินทัชคิดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับเข้าไปข้างใน เธอคิดผิดเพราะเขาจุดบุหรี่อีกตัวขึ้นมาใหม่

“มาเที่ยวที่นี่บ่อยหรือ”

“บ่อยเท่าที่ว่าง”

“อืม เหมือนกัน”

“...”

“ไว้เจอกันใหม่นะ” เขาบอกแล้วดับบุหรี่ทั้งที่ยังสูบไม่หมดนั้นลงก่อนจะเดินหายไป

.

.

“ไปเสียนาน” ฉันทัชทักน้องสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมานั่งข้างๆ

“อือ หาของไม่เจออะ” อินทัชพูดอย่างหัวเสียเล็กน้อย ไม่รู้เธอลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า

“ของอะไร สำคัญหรือเปล่า” พี่ชายถามด้วยความเป็นห่วง

“คิดว่าสำคัญแหละ”

“อะไรกัน ทำงานหนักจนแยกแยะไม่ออกแล้วหรือไงว่าอันไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ” ฉันทัชผลักหัวน้องสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“บ้า ไม่ใช่สักหน่อย มันสำคัญกับไทน์นะ แต่ไม่รู้ว่าจะสำคัญกับใครอีกคนหรือเปล่า”

“ใครอะ? นี่มีความลับไม่บอกเทมส์เหรอ” ฉันทัชสงสัย

“เดี๋ยวเทมส์ก็รู้” หญิงสาวหัวเราะพลางเอนตัวมาซบไหล่พี่ชาย เธอเขี่ยนิ้วของฉันทัชเล่นเบาๆ

“หึงนะ” ฉันทัชเลยรับมุกด้วยการกระซิบที่ข้างหูน้องสาว

“เพ้อเจ้อ”

“คุณครับโต๊ะนั้นฝากมาให้” เสียงพนักงานบอกจากทางด้านหลังพลางวางแก้วเหล้าข้างตัวฉันทัช

“ให้คนไหน” อินทัชทำหน้าตาใสซื่อถาม

“คุณผู้ชายคนนี้ครับ”

“จากใครล่ะ”

“ทางนั้นครับ” พนักงานชี้มือไปยังทางคนที่มอบไมตรี อินทัชมองตามแล้วยิ้มให้โต๊ะนั้น ส่วนฉันทัชนิ่งเฉยไม่คิดแม้แต่จะมอง

“ขอบใจนะ” ฉันทัชว่าแล้วก็ผลักแก้วเหล้าไปรวมกับแก้วอื่นๆ ที่ได้รับมาอีกสี่ห้าแก้วก่อนหน้านี้ อินทัชจึงหยิบเงินยื่นให้เป็นค่าทิปสำหรับชายหนุ่ม เมื่อพนักงานบรรลุตามเป้าหมายที่ได้รับมาแล้วก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ

“ไม่อยู่เฝ้าแป๊บเดียว แมลงหวี่แมลงวันเต็มเลยแฮะ ไม่แปลกใจเลยที่ปาลมันไม่อยากให้เทมส์ออกมาข้างนอก” พูดจบแล้วทำท่าปัดโต๊ะไปมาราวกับไล่แมลงเหล่านั้นให้ออกไป

“หึ กี่ปีแล้ว เมื่อไหร่จะปล่อยกันบ้าง อายุก็มากขึ้นไปทุกวัน” เสียงเยาะในลำคอของฉันทัชบอกอย่างไม่ใส่ใจ

“คนเข้าหามันต้องแปรผกผันอายุสิมันถึงจะปล่อย แต่นี่อะไร นานๆ ออกมาเที่ยวที คนเข้ามาเยอะ ถ้าเป็นแบบนี้ ไทน์ก็ไม่ชอบหรอก”

“ทำอย่างกับว่าตัวเองไม่มี” ไม่รู้ว่าฉันทัชหมายถึงอินทัช น้องสาวหรือปาณัสม์ คนรัก

“กลับบ้านกันเถอะ”

“จะกลับแล้วเหรอ” สายตาอ้อนวอนจากพี่ชายที่กำลังกะพริบตาปริบๆ ขอความเห็นใจ

“ไทน์เพิ่งลงเครื่องมาเอง เสร็จแล้วก็รีบมาหาเทมส์เลย ไทน์เหนื่อยอะ ตามใจหน่อยไม่ได้เหรอ พรุ่งนี้เดี๋ยวเจ๊พาไปดูหนังนะ”

ฉันทัชรู้ว่าน้องสาวไม่ได้เหนื่อยจริงอย่างปากว่าแต่เจ้าตัวอยากพาเขากลับเพื่อเลี่ยงการปะทะกับปาณัสม์ เขาเลยตอบเสียงเอื่อยๆ ว่า “กลับก็ได้”

.

.

บ้านเดี่ยวขนาดสองชั้น กินพื้นที่ประมาณห้าสิบห้าตารางวาในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่อินทัชซื้อไว้หลังจากที่เจ้าตัวเริ่มหาเงินได้ บ้านของน้องสาวที่ซื้อไว้ให้พี่ชาย

“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน อินทัชก็พูดขึ้น

“บ้า นี่บ้านไทน์”

“บ้านไทน์ก็เหมือนบ้านเทมส์นั่นแหละ ไปอาบน้ำ สระผมด้วย อยากจับผมนิ่มๆ ของเทมส์”

“อืม คืนนี้ให้เทมส์นอนห้องไหน”

“ถามแบบนี้เดี๋ยวตีปากเลย ต้องนอนกับไทน์สิ”

“อยากโดนตีจัง” ถ้าคิดว่าอินทัชร้ายกาจที่ชอบหยอกล้อพี่ชายคนนี้แล้วล่ะก็ ฉันทัชเองก็ไม่น้อยหน้าในเรื่องนี้เช่นกัน

“ทำจริงแล้วจะหาว่าไม่เตือน” น้องสาวขู่

“ก็ดีนะ น่าสนใจ เกิดมายังไม่เคยนอนกับผู้หญิงเหมือนกัน” พี่ชายมองน้องสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งสายตาที่เหมือนว่าฉันทัชอยากจะลิ้มลองรสแปลกใหม่

“พอๆ เล่นด้วยไม่ได้เลย ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” อินทัชโบกมือไล่อีกฝ่ายอีกครั้ง

“รับทราบครับน้องอินอิน” ฉันทัชหัวเราะที่แกล้งน้องสาวได้ก็เดินขึ้นข้างบน หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วพาร่างของตัวเองหายเข้าไปในห้องน้ำ

“ง่วงยัง” ฉันทัชถามน้องสาว พวกเขานอนห่มผ้าห่ม สายตามองเพดานด้วยกันทั้งคู่

“ยัง”

“ไม่เหนื่อยเหรอ”

“รอเทมส์เล่านิทาน”

“โตแล้ว เขาไม่ฟังนิทานกันหรอก”

“อยากฟังนิทานชีวิต นิทานของเทมส์” อินทัชเงียบสักพักก่อนจะพูดขึ้นใหม่ พลิกตัวมากทางพี่ชาย

“เฮ้อ..ก็ได้ ตั้งใจฟังล่ะ” พี่ชายถอนหายใจ

“เทมส์คิดว่าเทมส์เบื่อ” ฉันทัชเริ่มเล่า

“เบื่อ? เบื่ออะไร”

“ทุกอย่างเลย”

“ปาลด้วยเหรอ” อินทัชถาม

“ใช่ นั่นล่ะสาเหตุของการเบื่อเลย”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่รู้สิ มันจำเจ เดิมๆ มั้ง ปาลบ้างาน ไม่ค่อยกลับบ้าน ติดเที่ยวกินเหล้า เราทะเลาะกันบ่อยมากจนพักหลังเทมส์กับปาลเริ่มไม่คุยกันเพราะกลัวทะเลาะ”

“...”

“ครั้งล่าสุดที่ทะเลาะกัน ปาลตวาดไล่เทมส์ออกมาจากห้องน้ำ”

“ทะเลาะกันในห้องน้ำเนี่ยนะ” อินทัชขมวดคิ้ว คู่นี้นี่มันอย่างไร ฉันทัชเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์วันนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ

“ไทน์ว่าปาลก็ผิดที่เมาแต่นั่นมันก็ธรรมดาสำหรับคนเมาปะ ส่วนเทมส์ก็ผิดที่ชวนทะเลาะ”

“ไม่เข้าข้างเทมส์อะ”

“ว่ากันไปตามถูกผิดสิ ไทน์เป็นคนนอกย่อมมองสถานการณ์ออกอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังไม่รู้จักนิสัยกันอีกเหรอ”

“ปาลชอบทำให้เทมส์เอือม ถอดเสื้อผ้าทิ้งไม่เป็นที่เป็นทางบ้างล่ะ ทำบ้านรกบ้างล่ะ”

“เทมส์ไม่มีเลยสิ? อ๊ะๆ อย่ามองไทน์แบบนั้น” น้องสาวรีบบอกอย่างรู้ทันเมื่อเห็นพี่ชายทำตาขวาง “อย่าลืมว่าไทน์ก็เคยอยู่กับเทมส์มาก่อนนะ เรื่องครีมอาบน้ำนั่นก็ใช่ เรื่องที่เทมส์ชอบบ่นนั่นก็ด้วย ไหนจะเรื่องที่เทมส์ใจร้อนอีกล่ะ”

“เทมส์เป็นของเทมส์แบบนี้”

“ปาลมันก็เป็นของมันแบบนี้เหมือนกัน”

“ไทน์!” ฉันทัชชักฉุนที่น้องสาวดูจะเข้าข้างอีกฝ่ายมากกว่า

“ไม่โมโหน่า แล้วยังไงต่อ”

“ก็ไม่ไง คือเบื่ออะ”

“ไม่รักปาลแล้วเหรอ”

“รักมันก็รัก ส่วนเรื่องเบื่อมันก็เบื่อ เทมส์อยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอกบ้าง” ฉันทัชบอกตามความรู้สึก

“อยากทำงานเหรอ” อินทัชครุ่นคิด

“อืม”

“ไว้จะหางานให้แต่ต้องบอกปาลด้วยล่ะ”

“งานประจำเหรอ” พี่ชายหันมามองตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น

“ไม่ใช่ งานเล็กๆ น้อยๆ พอให้ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง”

“ก็ยังดี” ฉันทัชบอกอย่างมีความหวัง

“ถามตรงๆ นะ แล้วต้องตอบตรงๆ ด้วย”

“ว่ามาสิ”

“อยากเลิกกับปาลไหม” อินทัชถาม

“...”

“เรื่องเงินเทมส์ไม่ต้องเป็นห่วง รู้ใช่ไหม ถ้าเลิกกับปาลได้ เทมส์จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำทั้งหมด”

“อืม”

“เลิกไหม” อินทัชถามอีกครั้ง

“ไม่เลิก ตราบเท่าที่ปาลไม่ทำผิดสัญญา” ฉันทัชส่ายหน้า




================================

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์มากๆ ค่ะ ยาวมาก ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง
ตื้นตันมาก ตกใจมากค่ะ จนหวั่นที่จะแต่งต่อเลย
แต่อย่างไรก็จะพยายามให้มากที่สุดนะคะ เรื่องนี้แต่งล่วงหน้าไว้พอประมาณแล้ว
หากมีตรงไหนขัดใจผู้อ่านก็ขออภัยล่วงหน้านะคะ
และมีข้อสงสัยหรืองงที่จุดไหน สอบถามมาได้เลย เขมจะมาตอบให้ค่ะ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2019 00:10:12 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
บอกไม่ถูกว่าใครถูกหรือผิด แต่ความเบื่อคงมาจากปาลไม่เคยปล่อยให้เทมส์ได้ทำงานบ้างล่ะมั้งนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ถึงมันจะ เล็กน้อย ฝอยฝุ่นผง
แต่ถ้ามัน ปลิวลง ตรงตาสอง
น้ำตาไหล ใช้ล้าง อย่างเนืองนอง
ระคายเคือง เปลื้องหมอง หม่นนัยน์ตา

สิ่งเล็กเล็ก อาจจะกลาย เป็นเรื่องใหญ่
ถ้ากระทบ เนื้อในใจ ให้ผวา
ฝังติดค้าง ขุ่นข้น จนระอา
จะทับถม แน่นหนา คาหัวใจ

ถ้ายังคิดจะอยู่เป็นคู่กันต่อ..ก็ต้องเคลียร์
อยู่เพราะทน หรือทนเพราะอยู่
มันก็ทำให้รู้สึกอึดอัด ทรมานไม่ต่างกันทั้งสองคน

รอลุ้นกันต่อไป หุหุ

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
สนุกครับ มาลุ้นว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
พอมาดูจากมุมของเทมส์ บางจุดก็ดูประหลาดจริงๆเหมือนกันนะครับ เรื่องประทินผิวอันนี้ผมไม่ว่าอะไรนะ มันเป็นความสุขของเขาที่ได้ดูแลตัวเองนี่นา (หัวเราะ) แต่เรื่องชอบบ่นกับใจร้อนนี่มันแปลกๆครับ มันมีพาร์ทบรรยายที่ปาลบอกว่าปกติเทมส์จะไม่ชอบหาเรื่องทะเลาะนะ เมื่อก่อนเทมส์อ่อนหวานว่าง่าย แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปล่ะ? มันควรจะเป็นนิสัยเฉพาะตัวที่ไม่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมนะครับ

ปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างชาย-ชาย มันจะมีเรื่องทะเลาะน้อยกว่าผู้หญิงนะครับ เพราะว่าผู้ชายน่ะจะรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร (ในเชิงเพศลักษณะ) เนื่องจากตัวเองเป็นผู้ชาย และคู่ก็เป็นผู้ชาย เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ค่อยชอบทำอะไรที่ทำให้เพศเดียวกันรำคาญโดยสัญชาตญาณนะครับ นี่เป็นประเด็นหลักของความสัมพันธ์ชาย-ชาย

เทมส์เองก็คงไม่ชอบให้ใครมาบ่น (ผู้ชายร้อยละเก้าสิบไม่ชอบ) แล้วทำนิสัยชอบบ่นทำไม? ในเมื่อสมัยก่อนก็ไม่ใช่นิสัยแบบนี้ เพราะเบื่อหรือระอากับนิสัยของปาลเหรอครับ แต่เอาจริงๆ เราไม่ควรทำนิสัยที่เราเองไม่ชอบใส่คนที่เราเบื่อนะครับ นั่นเป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบเด็กๆ มันมีวิธีแก้ปัญหาตั้งหลายอย่างกับนิสัยที่เราไม่ชอบ ลองพูดดีๆหรืออย่างขึ้นเสียง หัดควบคุมตัวเอง อย่างฉากห้องน้ำ ผมเข้าใจว่าเทมส์ง่วงแล้วเจอปาลหาเรื่องตำหนิอีก เลยน้อยใจ ทำให้โพล่งนิสัยที่ตัวเองไม่ค่อยชอบออกไปเพราะจะเอาชนะ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีน่ะนะครับ อย่าใช้อารมณ์ตีรวนชวนทะเลาะแล้วก็อย่าขึ้นเสียง คุยกันดีๆ อีกฝ่ายเมาก็มองให้เป็นเรื่องขำๆสิ ถ้าหนักไปก็เตือนบ้างด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ไม่ใช่ไปบังคับกะเกณฑ์ อย่าทำอะไรที่ตัวเราเองไม่ชอบครับ เป็นผู้ชายด้วยกันน่าจะรู้ง่ายกว่าผู้หญิงอีก (แต่นี่แยกกับประเด็นการละเลยและชอบบังคับของปาลนะ คนละเรื่อง)

ส่วนเรื่องใจร้อน ผมยังไม่เห็นนะ ซึ่งดีแล้ว เพราะอยู่ด้วยกันมาสิบปีมันควรจะใจเย็นขึ้น เท่าที่อ่านปัจจุบัน เทมส์ก็ค่อนข้างยอมและทำตามที่ปาลบอกตลอดนะครับ อาจจะมีบางอย่างที่ติดนิสัยมา (อย่างเรื่องทาครีมหรืออาบน้ำโดยใช้อุปกรณ์เยอะ) แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สงสัยเพราะปาลละเลยแล้วก็ทำเหมือนไม่ค่อยสนใจเทมส์ล่ะมั้ง เลยทำให้นิสัยเริ่มจะเปลี่ยนเพราะความใจร้อนหงุดหงิด ซึ่งอันนี้ไม่ดีนะครับ การที่นิสัยเปลี่ยน มันไม่เข้ากับนิสัยอ่อนหวานว่าง่ายของเดิมที่คุณมี ความอ่อนหวานว่าง่ายมันเป็นเสน่ห์ที่คุณควรจะมี อย่าให้พฤติกรรมแย่ๆมาทำให้เราด้อยค่าลงไป แล้วก็เห็นแม่ของปาณัสม์บอกว่าตอนนี้เทมส์ไม่มีใครแล้ว มีแค่น้อง(สาว) และเทมส์ก็เคยทำให้แม่ของปาณัสม์ประทับใจในหลายๆอย่าง แสดงว่าเดิมเทมส์ต้องนิสัยน่ารักและดี ดังนั้นก็ควรจะคิดถึงตัวตนของตัวเองสมันก่อนให้มากๆสิครับ

ถ้าเทมส์ดีแล้วก็นิสัยอ่อนหวานว่าง่าย เจอเรื่องแบบนี้เข้าใปจนในที่สุดยอมไม่ไหว แล้วจะเลิกกัน อันนี้ผมไม่ว่าเทมส์นะครับ แต่ถ้าเทมส์เอาเรื่องการละเลยของปาลมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองเปลี่ยนนิสัย แล้วไปทะเลาะกันจนทำให้มีปัญหา อันนี้ผมไม่โอเค คุณแค่หาข้ออ้างไปเรื่อยครับ ต้องแก้ตัวเองให้ดีก่อนสิครับ เราถึงจะตัดสินใจเดินตามทางเลือกของเราอย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วไปโทษคนอื่น ควรจะรักษาความมีเสน่ห์และความดีดุจเกลือรักษาความเค็มสิ

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รักกันมานาน​ ความเบื้อมันก็ต้องมีเป็นธรรมดา​ รอลุ้นว่าจะตัดสินใจยังไงต่อไป​  :กอด1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ เขมกันต์

  • nothing’s else I can say
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +164/-9
    • Twitter

ภาค 3 เมื่อชีวิตคู่ไม่ได้เป็นปลายทางของชีวิต Part I



            ปาณัสม์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หัวแทบระเบิด เขากุมศีรษะเอาไว้แน่น พยายามลืมตาขึ้นมอง นี่เขาอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มใช้เวลาสักพักจึงพอรับรู้ว่ามันคือห้องนอนของเขาเอง ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง มือก็ควานไปยังพื้นที่ที่นอนด้านข้าง

            “จันทร์..จันทร์” เขาเรียกชื่อคนรักด้วยความเคยชิน ตั้งใจจะขอยาแก้ปวดมาบรรเทาอาการปวดศีรษะทว่าไม่มีเสียงตอบรับ

            “จันทร์” ปาณัสม์เรียกเสียงดังขึ้นอีกนิด หากยังไม่มีเสียงตอบกลับมาอยู่ดี อยากจะเรียกให้ดังกว่านี้ แต่เขารู้สึกเหมือนมีคนเอาค้อนมาตอกที่ศีรษะอย่างรุนแรง ชายหนุ่มทนไม่ไหวเลยหลับไปอีกครั้ง

             ปาณัสม์ตื่นมาอีกครั้ง อาการปวดหัวบรรเทาลงไปมากโข เขาลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ร่างกายสดชื่น เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง เขาถอดผ้าปูที่นอนไปกองไว้ข้างเตียงแล้วปูใหม่อย่างเรียบร้อย

            “จันทร์ มีอะไรกินบ้าง ปาลหิวข้าว” ปาณัสม์ยังคงไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากคนรัก

            เขาเดินตามหาฉันทัชทั่วห้อง ไม่เว้นแม้กระทั่งในตู้เสื้อผ้าหรือใต้เตียง แทบจะทุกซอกทุกมุม ทว่าก็ไม่เจออีกฝ่าย ทำให้ปาณัสม์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสติแตก ฉันทัชไม่เคยทำตัวเหลวไหลไปไหนมาไหนโดยไม่บอก

            ชายหนุ่มอยู่ไม่เป็นสุขราวกับหนูติดจั่น เขาพยายามรออีกฝ่ายแต่ทำได้เพียงห้านาทีก็ทนไม่ไหว รีบเดินกลับเข้าห้องนอนไปคุ้ยหาโทรศัพท์ที่ไม่รู้ตกอยู่มุมไหน ระหว่างนั้นเขานึกเอะใจ รีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าอีกทีแล้วตรวจดูเสื้อผ้าของฉันทัช

            เขาคลายความกังวลออกมาเล็กน้อยที่เสื้อผ้าอีกฝ่ายยังอยู่ครบ ก่อนจะเดินออกไปอีกห้องที่เป็นห้องทำงานของฉันทัช เห็นอุปกรณ์การทำงานทุกอย่างยังอยู่ครบเช่นกัน เขาเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง ฉันทัชเป็นคนมีความรับผิดชอบ คงไม่ทิ้งเขาและทิ้งงานไปแบบนี้หรอก

            ปาณัสม์กลับมาหาโทรศัพท์อีกครั้งเมื่อเจอแล้วเขารีบกดโทรออกด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เคยโทรหาอีกฝ่าย ชื่อคนรักยังอยู่ในเบอร์พิเศษ โทรด่วนแต่เขากลับไม่เคยใช้เลย


            .
            .
            ฉันทัชตื่นเช้าตามความเคยชิน เห็นน้องสาวยังหลับอยู่เลยลุกไปล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย ออกมาอีกครั้งก็เห็นคนที่หลับลืมตาแล้ว มองหน้าเขาทำตาปริบๆ

            “เช้านี้อยากกินอะไรจ๊ะคนสวย” เขาทักน้องสาว

            “กินพี่จันทร์ได้ไหมคะ” พี่น้องคู่นี้ต่างไม่มีใครยอมกัน

            “กินพี่เทมส์น่ะพอได้ ถ้าจะกินพี่จันทร์น่ะไม่ได้ ปาลไม่ยอมหรอก”

            “แหวะ ตื่นมาก็เลี่ยน พูดได้แบบนี้แสดงว่าอารมณ์ดีแล้วใช่ไหม” อินทัชยิ้มอย่างมีเลศนัย

            “อืม”

            “คิดถึงปาลแล้ว?”

            “ก็นิดหน่อย” ฉันทัชจับท้ายทอยตัวเองแก้เขิน

            “เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะไปส่ง” อินทัชลุกขึ้นนั่ง ยืดแขนเหนือศีรษะเพื่อบิดขี้เกียจ เสื้อยืดที่เริ่มย้วยเลิกขึ้นอวดช่วงเอวขาวให้พี่ชายได้เห็นแต่เจ้าตัวไม่สนใจ

            “ไม่เป็นไร กลับไปก็เจอ วันนี้อยากไปดูหนังกับไทน์ก่อน”

            “ห่วงเล่นอีก”

            “นานๆ จะได้ออกที สรุปว่าจะกินอะไร ถ้าเลือกไม่ได้จะทอดไข่ดาวกับไส้กรอกให้กิน” ฉันทัชถาม

            “อยากกินข้าวผัดอะ” อินทัชรีบบอก

            “งั้นต้องหุงข้าวก่อน รอได้ไหม”

            “ได้” อินทัชลุกออกจากที่นอน หยิบผ้าเช็ดตัวหน้าห้องน้ำแล้วชะโงกหน้าหอมแก้มพี่ชายเบาๆ ทีหนึ่งแล้วจึงเดินนวยนาดเข้าห้องน้ำไป

            กว่าอินทัชจะอาบน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าแบบแต่งอย่างไรให้ดูเหมือนไม่แต่งแล้ว ฉันทัชก็ทำกับข้าวเสร็จพอดี พี่ชายเลยขอตัวไปอาบน้ำบ้าง เขาเห็นเสื้อของน้องสาววางพาดอยู่ปลายเตียง มันเป็นเสื้อของอินทัชที่เขาพอจะใส่ได้ ส่วนกางเกงก็ตัวเดิม

            “ใส่ได้หรือเปล่า”

            “ใส่ได้ คิดว่าจะใส่ไม่ได้เสียอีก” ฉันทัชบอกก่อนจะลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าวที่ตั้งอยู่ช่วงกลางบ้านติดกำแพงมุมหนึ่ง

            “ต้องได้อยู่แล้ว ช่วงตัวพอๆ กันแต่ไทน์มีนม ยังไงเทมส์ก็ใส่ได้แหละ” เจ้าตัวบอกอย่างอารมณ์ดีแล้วเริ่มตักข้าวเข้าปาก

“อร่อย”

            “กินให้หมดด้วย” ฉันทัชสั่ง

            “จะฟาดให้เรียบ ถึงจะต้องไปใช้กรรมในยิมก็ช่างมัน...อื้อ แล้วเทมส์อะ ออกกำลังกายบ้างเปล่า” อินทัชตักข้าวผัดเข้าปากอีกคำ

            “ไปสิ...ไปใช้ส่วนกลางของคอนโดให้คุ้ม”

            “แน่ใจ?”

            “หึ ไม่อยากอ้วนอะ” ฉันทัชหัวเราะ

            “แบบไหนไทน์ก็รัก” อินทัชอ้อนพี่ชาย

            “ปากหวาน”

            “ชิมหน่อยไหม”

            “กินข้าวเถอะ” ฉันทัชตัดบท ก็เป็นเสียอย่างนี้ เวลาที่อีกฝ่ายรุกอีกฝ่ายจะถอย



            .
            .
            “อยากดูเรื่องอะไรจ๊ะฮันนี่” อินทัชกอดคอพี่ชาย มองหน้าจอแสดงรายชื่อหนังที่กำลังเข้าฉาย วันนี้พี่น้องแต่งตัวคล้ายๆ กัน ยิ่งดูเหมือนเป็นฝาแฝดต่างเพศ เป็นที่ดึงดูดสายตาจากผู้คนรอบข้าง

            “เดี๋ยวก็เป็นข่าวหรอก” ฉันทัชเตือน แม้น้องสาวเขาจะเป็นเพียงนางแบบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้จัก

            “ไม่เห็นจะกลัว ยังไงเทมส์ก็เป็นพี่ จูบปากโชว์ยังได้”

            “ไม่เอา กลัวมีภาพหลุด” ฉันทัชหัวเราะ

            “ว่าไงดูเรื่องอะไรดี” อินทัชถามซ้ำ

            “เรื่องนี้ดีไหม” จังหวะที่ชี้นิ้วไปที่จอนั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

            ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาดู พอเห็นว่าเป็นใคร ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

            “ใครโทรมา” หญิงสาวถาม

            “ดูสิ” ฉันทัชโชว์ชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู


            ‘Parn’
            โลกแตกเหอะ


            “งานจะเข้าไหมเนี่ย รับเถอะเทมส์ เดี๋ยวหมามันอาละวาด”

            “อืม”

            “ว่าไง” ฉันทัชกดรับ เขาไม่ได้คุยกับคนรักผ่านทางโทรศัพท์มานานเท่าไหร่แล้ว

            “อยู่ไหน” เสียงขุ่นมัวบ่งบอกถึงอารมณ์ไม่พอใจของปาณัสม์ลอดผ่านมาจนฉันทัชสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

            “ข้างนอก”

            “ข้างนอก ทำไมไม่บอก” ทางนั้นยังพูดต่ออย่างไม่สบอารมณ์

            “หืม? จันทร์ก็เขียนโน้ตบอกปาลแล้วไง”

            “โน้ตอะไร ไม่มี” ชายหนุ่มบอก ยังคงน้ำเสียงหงุดหงิด

            “บนโต๊ะกินข้าวก็ไม่มีเหรอ”

            ปาณัสม์เดินไปดูบนโต๊ะอาหารตามที่ฉันทัชบอก “ไม่มี”

            “ไม่มีได้ไงหรือว่าจะปลิว” ฉันทัชตอบพลางคิด เขามั่นใจว่าเขียนโน้ตแล้ววางไว้บนนั้นแน่ๆ

            “ตลกละจันทร์ ห้องเราไม่ได้เปิดหน้าต่าง ไม่มีพัดลม ถามหน่อยมันจะปลิวได้ไง”

            “จันทร์เขียนบอกไว้จริงๆ นะ”

            “อยู่ไหน ปาลจะไปรับ”

            “ตอนนี้อยู่กับไทน์อะ เดี๋ยวเย็นๆ จันทร์กลับเอง ปาลไม่ต้องเป็นห่วง” ฉันทัชบอกอีกฝ่ายด้วยความลำบากใจ

            “อยู่ไหน” เสียงทุ้มกดต่ำถามอีกครั้ง

            “อยู่ที่ห้างกำลังจะดูหนัง”

            “ปาลจะไปรับ รออยู่นั่นแหละ หนังอะไรก็ไม่ต้องดู”

            “อย่างี่เง่าได้ไหม” ฉันทัชเสียงดังขึ้น พอถูกอินทัชแตะที่ข้อศอก จึงรู้ตัวว่ากำลังจะใส่อารมณ์จึงลดเสียงลง

“เดี๋ยวจันทร์ดูหนังเสร็จ จะให้ไทน์ไปส่ง”

            “อยู่ห้างไหน บอกมา!” คนโทรมายังไม่ยอมลดราวาศอก

            “แค่นี้ก่อนนะ” ฉันทัชกดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันทีแล้วแบมือยื่นไปตรงหน้าอินทัชด้วย

            “อะไร เทมส์”

            “เอาโทรศัพท์มาจะปิดเครื่อง”

            “บล็อกก็พอ เผื่อมีคนโทรมาเรื่องงาน...จะยังดูไหม หรือกลับเลย” อินทัชเป็นฝ่ายจัดการด้วยตัวเอง

            “ไม่กลับ ดูเรื่องนี้กัน”

            “ดูเสร็จแล้วต้องกลับบ้านนะ” อินทัชไม่ใช่ว่าจะสบายใจ ปาณัสม์มีนิสัยอย่างไรเขารู้ดีไม่ต่างจากพี่ชาย

            “อืม”


            ‘สถานการณ์เกือบจะดีขึ้นแล้วเชียว’
 


            .
            .

            “ไม่ให้ขึ้นไปส่งแน่นะ” อินทัชถามอย่างเป็นกังวล

            “ไม่เป็นไร สบายมาก นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ปาลไม่ใช่คนโกรธนาน” ฉันทัชปลดเบลท์ออกจากตัว

            “เทมส์แน่ใจว่าเขียนโน้ตบอกปาลใช่ไหม?”

            “อืม มั่นใจว่าเขียนแน่ๆ ไทน์ก็รู้ว่าเทมส์ไปไหนมาไหนบอกเขาเสมอ”

            “แล้วมันหายไปไหน”

            “ช่างเถอะ ยังไงปาลก็อารมณ์เสียไปแล้ว...ไปนะ” ฉันทัชอยากจะบอกว่าอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

            “อืม”

            “ถึงแล้วบอกด้วยล่ะ ไม่ใช่ไปต่อนะ” ฉันทัชดักคออีกฝ่าย

            “รู้ทัน นานๆ จะว่าง ขอเที่ยวหน่อย”

            “อยากไปด้วย” พี่ชายทำเสียงออดอ้อน

            “คนมีครอบครัวแล้วก็ขึ้นห้องไปเลยไป” น้องสาวหยิกปากพี่ชายนิดหนึ่งให้หายหมั่นเขี้ยวพอประมาณก่อนจะโบกมือไล่

            “แล้วเจอกันนะ น้องอินอิน”

            “จ้ะฮันนี่”


 
            ติ๊ด!!

            เสียงคีย์การ์ดทาบกับประตูดังขึ้น ฉันทัชเปิดประตูเข้ามาเบาๆ พยายามทำเสียงให้เงียบที่สุด เขาแอบขำตัวเองทำไมต้องกลัวอีกฝ่ายจะรู้ตัวด้วยนะ ห้องมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร สงสัยปาณัสม์คงจะออกไปข้างนอกกระมัง คิดได้อย่างนั้นชายหนุ่มก็โล่งใจ แต่จังหวะที่เขาเปิดสวิตช์ไฟ สายตามองเห็นเงาตะคุ่มตรงโซฟาพลันให้สะดุ้งเฮือก เขาจึงรีบเปิดไฟ

            “ตกใจหมด มานั่งทำอะไรมืดๆ อยู่ตรงนี้คนเดียว” ฉันทัชถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นปาณัสม์ที่นั่งนิ่งเหมือนเป็นหุ่นที่โซฟา

            “สนุกไหม” ปาณัสม์ถามเสียงเรียบ

            “หนังสนุกมาก” ฉันทัชคิดว่าคนถามหมายถึงหนังที่เขาเพิ่งไปดูมา

            “ไม่ได้หมายถึงหนัง”

            “อะไร?”

            “ปาลหมายถึงสนุกไหมที่หายไปแบบนี้” น้ำเสียงไม่พอใจถามออกมาจากปากปาณัสม์

            “ใจเย็นๆ ก่อนนะปาล” ฉันทัชรีบวางของแล้วเข้าไปนั่งใกล้ๆ จับมืออีกฝ่ายไว้

            “จันทร์เขียนโน้ตบอกปาลไว้แล้วจริงๆ นะ แล้วเมื่อคืนนี้จันทร์ก็ไปกับไทน์ ไม่มีอะไรให้ปาลต้องเป็นห่วงเลย ปาลเชื่อจันทร์นะ”

            ปาณัสม์ดึงมือออกแล้วยืนขึ้นเต็มความสูง เขาเดินไปที่โต๊ะอาหาร

            “ไหนล่ะโน้ต?อยู่ไหน ไม่เห็นมีเลย” ชายหนุ่มกวาดมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรง

            “จันทร์ก็ไม่รู้แต่จันทร์เขียนแล้วจริงๆ” ฉันทัชลุกตามอีกฝ่ายไป

            “จันทร์คิดจะทำอะไรกันแน่ อยากให้ปาลเครียดใช่ไหมถึงทำแบบนี้”

            “เปล่า ไม่ใชสักหน่อย จันทร์ไม่ได้คิดแบบนั้น” ฉันทัชพยายามอธิบาย

            “ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันยังไม่พอหรือ อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่าเดิมเหรอไง” ปาณัสม์หันหลังให้ฉันทัช เขามองออกไปนอกหน้าต่างคอนโด กลัวว่าถ้าเห็นใบหน้าอีกฝ่าย เขาอาจจะระงับโทสะไม่ได้

            “ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้าง ห๊ะ!! ทำไมถึงไม่ฟังจันทร์บ้างเลย บอกว่าเปล่า ทำไมไม่เชื่อ” ฉันทัชกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ปาณัสม์รีบหันกลับมาด้วยความไม่สบายใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ ทว่าฉันทัชไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยดตรงหน้าเขา

            “มีเรื่องอะไรก็โทษจันทร์ก่อนทุกครั้ง ไม่เคยฟังกันเลย...แล้วทีปาลล่ะ เคยบอกจันทร์ไหมว่าไปไหน ทำอะไร ทำไมไม่กลับ จะกลับกี่โมง กับข้าวที่จันทร์ทำไว้ รู้ไหมว่าทิ้งทุกวัน” ฉันทัชพูดเสียงดัง

            “ทำไมตัวเองทำได้แล้วจันทร์ถึงทำบ้างไม่ได้ ทำไมพอเป็นจันทร์แล้วมันถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่” ฉันทัชดึงแขนเสื้อของปาณัสม์เต็มแรงด้วยความโมโห

            “ค่อยๆ พูด อย่าโมโห”

            “ตอบจันทร์สิ ตอบมา!!” เมื่ออารมณ์ถึงขีดสุด ฉันทัชจึงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป

“จะทนไม่ไหวแล้ว รู้ไหม”ฉันทัชไม่อยากพูดประโยคนี้ เขาไม่อยากพูดมันออกมาเลย มือที่จับแขนเสื้อของปาณัสม์ค้างไว้ก่อนปล่อยมือออกแล้วรีบหยิบของที่วางไว้บนพื้นเข้าห้องนอนไป
 
           เสียงประตูห้องนอนถูกปิดลงอย่างไม่เบามือ ปาณัสม์เงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง มือทั้งสองข้างยังกำแน่น เขายอมรับว่าตัวเองโมโหอีกฝ่ายมากที่ฉันทัชหายไปโดยไม่บอกกล่าวแต่เขาอึดอัดใจทุกครั้งเวลาที่เห็นอีกฝ่ายร้องไห้


            ‘คบกับปาลนะ แล้วปาลจะไม่ให้จันทร์ร้องไห้อีกเลย’


            .
            .
            “ว่าไงฮันนี่ ราบรื่นดีไหม” เสียงคุ้นหูจากคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อสักครู่โทรกลับมาด้วยความเป็นห่วง

            “อือ” ฉันทัชดึงทิชชู่ข้างหัวเตียงออกมาเช็ดน้ำตา

            “เสียงสั่นแบบนี้แสดงว่าทะเลาะกันแน่ๆ ไหวไหม เทมส์” อินทัชถอนหายใจออกมา

            “อือ”

            “แล้วปาลอยู่ไหน ให้น้องอินอินไปอัดมันเลยไหม” คำพูดติดตลกของน้องสาวทำให้พี่ชายหลุดเสียงหัวเราะออกมาได้บ้าง

             “จะบ้าหรือไง เป็นผู้หญิงไปอัดผู้ชายได้ไง” ฉันทัชเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ปาลอยู่นอกห้อง”

            “หนีมาอยู่ในห้องนอนอีกแล้วสิ” คนพูดพอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ “ลองคุยกันใหม่อีกทีดีไหม ปาลมันก็โกรธแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว รู้ใช่ไหมว่าทำไมปาลถึงโกรธ”

            “รู้ แต่เขียนโน้ตบอกแล้วจริงๆ”

            “ตอนนี้ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เทมส์เขียนหรือว่าไม่เขียนโน้ต ประเด็นคือปาลมันเป็นบ้า มันเป็นห่วง มันหวงเทมส์ มันขี้หึง คบกับคนบ้าก็เป็นแบบนี้ เข้าใจหรือเปล่า” อินทัชพยายามพูดให้อีกฝ่ายหายเครียด

            “ไม่คิดว่ามันจะบ้าขนาดนี้นี่นา” การที่ฉันทัชโต้ตอบอะไรแบบนี้แสดงว่าเจ้าตัวเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว

“อีกอย่างตะกี้ก็เสียงดังใส่ปาลด้วย ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่ทำอีก” ฉันทัชสารภาพ

            “เด็กดื้อเอ๊ย บอกกี่ทีแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเป็นไฟ ให้เราเป็นน้ำ ไฟเจอกับไฟ ก็เละสิ”

            “ไม่ทันละ”

            “ยังพอทัน ถ้าเทมส์จะเดินออกไปหาปาลแล้วขอโทษมันดีๆ”

            “แต่ปาลหาเรื่องเทมส์ก่อน” ฉันทัชเถียง

            “มัวแต่คิดว่าใครต้องขอโทษใครก่อน งั้นไทน์ขอถามหน่อย เทมส์จะมีความสุขใช่ไหม”

            ฉันทัชคิดก่อนจะตอบปลายสาย “ไม่หรอก”

            “การขอโทษ ไม่ใช่การเสียหน้าแต่เป็นการที่เราจะกลับมามีความสุขได้เร็วขึ้น”

            “ให้คนโสดมาสอนต้องภูมิใจให้มากเลยนะเนี่ย” ฉันทัชแซวน้องสาว

            “ทำผัดกะเพราไม่เป็น ไม่ได้แปลว่าไม่รู้ว่าผัดกะเพราแบบไหนอร่อยนะ ความรักก็เช่นกัน ไม่มีแฟนก็ไม่ได้แปลว่าไม่รู้นี่นา ฉันใดก็ฉันนั้น” อินทัชพูดยาว

            “สาธุ” ฉันทัชตอบสั้นๆ พอให้น้องได้หมั่นไส้

            “ไม่กวนละ วางสายไทน์เสร็จก็ไปล้างหน้าแล้วไปนั่งตักอ้อนปาลมันดีๆ ล่ะ รู้ไหมฮันนี่”

            “คิดอะไรบ้าๆ แต่จะลองดูก็แล้วกัน”

            “ไปละ เดี๋ยวหนุ่มๆ รอ” อินทัชบอกก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็ว

            อินทัชวางสายเสร็จก็ลงจากรถยนต์คู่ใจ เข้าไปในร้านประจำทันที หญิงสาวนั่งละเลียดชิมรสชาติแอลกอฮอล์อย่างไม่รีบร้อน ในใจก็นึกเป็นห่วงพี่ชายอยู่ครามครัน ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้สำเร็จหรือไม่

            “วันนี้ก็มาอีกหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง อินทัชรู้สึกเหมือนเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก เจ้าตัวจึงหันกลับไปดู

            “อ้อ คุณคนเมื่อวาน” ดวงตาเรียวสวยไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่

            “ครับ”

            “คุณเองก็มาอีกนี่”

            “วันนี้ผมว่าง ลูกชายไปนอนค้างบ้านคุณย่า” อินทัชเลิกคิ้วกับคำตอบตรงๆ ไม่มีหมกเม็ด


            อินทัชยิ้มตามมารยาท เธอไม่ใช่หญิงสาวที่ไร้เดียงสา อย่างน้อยเธอก็ยังมีความเป็นผู้ชายอยู่บ้างล่ะ พอจะรู้เท่าทันอีกฝ่ายหรอกน่า ผู้ชายประเภทนี้แปลว่ารักสนุกไม่คิดผูกพันอย่างแท้จริง เจ้าตัวจะไม่ยอมถูกจับหากไม่ยินยอม แล้วหากผู้หญิงคนไหนดันตกหลุมรักคนแบบนี้ไปล่ะก็มีแต่น้ำตาตกเท่านั้น เพราะเขาจะย้อนใส่หน้าว่า ‘ผมบอกคุณไปตั้งแต่แรกแล้วนี่’

            “ที่เข้ามาทักนี่ ต้องการอะไรล่ะ” ในเมื่ออีกฝ่ายพูดตรง อินทัชเองก็จะถามอย่างตรงๆ

            เขาทำหน้าประหลาดใจที่ถูกถามกลับ “ถามตรงเหมือนกันนะ”

            “จะได้เข้าเรื่องไวๆ”

            “ทีแรกถูกตา ตอนนี้ถูกใจ”

            “อยากนอนด้วยว่างั้น?” อินทัชพูดต่อให้เสร็จสรรพ

            “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” นั่นไง หญิงสาวอยากจะตบเข่าฉาดให้กับความแม่นยำในการคาด
คะเนของตัวเอง

            “งั้นจะบอกให้นะ ฉันเคยเป็นผู้ชายมาก่อน” หญิงสาวชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง คำพูดเดิมๆ ถูกหยิบมาใช้อีกครั้งเวลาอยากจะไล่คนไปให้พ้นหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มให้แล้วลงมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ เสียอีก

            “ตรงนั้นยังมีอยู่ไหม” เขาพูดแค่นั้น หากสายตาที่มองลงมากลับสื่อความหมายได้เป็นอย่างดี

            “ไม่มีแล้ว” หญิงสาวกลอกตา

            “น่าเสียดาย อยากลองอยู่พอดี แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา ดีเสียอีก อย่างน้อยก็มั่นใจว่า
คุณจะไม่ท้อง”

            “ของปลอมมันไม่เหมือนของจริงหรอก” อินทัชพูดอีกพยายามไล่คนไม่รู้จัก

            “อยากรู้เสียแล้วสิว่าต่างกันยังไง”


            “วันนี้อยากมานั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้อยากนอนกับใคร” ในที่สุดอินทัชก็พูดอย่างที่ใจคิด

            “ถ้าอย่างนั้น ผมจะนั่งเป็นเพื่อนคุณ”







================================

Part 1 สั้นไปหน่อย part หน้าจะยาวกว่านี้ค่ะ  :call:

นิยายเรื่องนี้ ไม่ได้มีความหวือหวาหรือตื่นเต้น
ออกจะเป็นแนวเล่าไปเรื่อยๆ เสียมากกว่า
ขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วย หากไม่ได้ตรงใจ

**เรื่องนี้ไม่ได้มีคู่รองที่ชัดเจนหรอกนะคะ

ขอบคุณค่ะ


HASHTAG #ภาคต่อของความรัก ไปคุยกันในทวิตได้น้า

ติดตามพูดคุยกันได้ที่นี่ค่ะ

Twitter และ Facebook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2019 16:35:53 โดย เขมกันต์ »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
PostIt หาย ฝีมือชัดเจนเหรอ
ดูจะเป็นประเด็นให้เกิดเรืองนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
หวงและห่วงแบบไหน..ไม่เข้าใจ
ถึงได้ชอบไปเที่ยวไหนๆ กลับดึกดื่นทุกวัน
ไม่เห็นจะอยากกลับบ้าน มาสนใจดูแล ห่วงใยใส่ใจกัน

มันแปลกๆอ่ะ

เธอรักฉัน ก็ต้องตาม เอาใจฉัน
ถ้ารักกัน ก็ต้องอยู่ ดูห้องหอ
ฉันรักเธอ ไม่จำเป็น มานอนรอ
ถ้ารักกัน ต้องไม่ขอ เลิกเที่ยวกิน(เหล้า)

ต้องยังงี้..หราาาาาาาาาาา ปาล
หุหุ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด