บทที่ 6
วันรุ่งขึ้นผมก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เพราะหลังจากตรวจร่างกายซ้ำอีกรอบแล้วก็พบว่าไม่มีความผิดปกติอะไรเลย จนหมองงไปตามๆ กัน
เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ขอตัวเข้าห้องทันที แค่บอกว่ารู้สึกเพลียๆ อยากจะพักผ่อน ทุกคนก็รีบไล่ให้เข้าห้องเลย เมื่อล็อคประตูเรียบร้อยแล้วผมก็เปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อหาข้อมูลของไอ้คล้าวทันที
ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมยังไม่กล้าเช็ค เนื่องจากมีแม่ ป๊า เฮียแผนกับธงรบอยู่ด้วยตลอด ผมกลัวว่าถ้าเจอข้อมูลที่เกี่ยวกับมัน ผมอาจจะเผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไปก็ได้ กลัวว่าทุกคนจะเป็นห่วง จึงพยายามอดทนไว้เพื่อกลับมาเช็คในห้องส่วนตัวเพียงลำพัง
โทรศัพท์ก็ดันแบตหมด จะรอชาร์ทแบตจนเต็มก็ไม่ทันใจ เลยมาเปิดคอมพิเตอร์ในห้องเช็คไปก่อน
เรื่องที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันมหัศจรรย์เกินกว่าที่ใครจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง ผมเลยไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง กลัวจะถูกหาว่าเป็นบ้าไปซะก่อน
ระหว่างรอเครื่องเปิด หัวใจผมก็เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง สมองก็พยายามนึกข้อมูลที่พอจะมีในความทรงจำ เพื่อใช้ประกอบการค้นข้อมูล แต่ก็แทบจะจำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่ ได้แต่ใช้ชีวิตควายไปวันๆ
ผมเปิดเว็บค้นหาขึ้นมาแล้วพิมพ์คำว่า ‘ไอ้คล้าวกับทองกวาว’ ลงไป
...
มนต์รักลูกทุ่งขึ้นมาเต็มหมดเลย
เห็นแล้วก็ได้แต่กลอกตา อดจะด่าไอ้คล้าวไม่ได้ ตั้งชื่อควายได้เข้าธีมเกิ๊น มนต์รักลูกทุ่งไหมล่ะมึง ทีนี้ลำบากใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ผม
เฮ้อ! ผมได้แต่นวดขมับด้วยความเพลีย คิดหาคำค้นใหม่ที่มันเฉพาะเจาะจงกว่านี้
‘ควายชื่อทองกวาวที่ชนะเลิศการประกวดควายกับเจ้าของชื่อไอ้คล้าว’
เนื้อหากับภาพคุ้นๆ ที่ปรากฏขึ้นมาทำให้ผมรีบคลิกเข้าไปดูทันที
มันเป็นภาพของไอ้คล้าวกับทองกวาวที่ถ่ายรูปกับนายอำเภอในวันที่ชนะการประกวดควายในงานประจำปีของที่นั่น
“ฮึก!”
ไม่ใช่ฝัน ผมไม่ได้ฝันไปเองจริงๆ ด้วย ผมยกมือลูบภาพในหน้าจอด้วยดวงตาที่พร่ามัว เพราะน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด
คิดถึง.... คิดถึงเหลือเกิน... ไอ้คล้าวของทองกวาว
ผมมองภาพนั้นด้วยความโหยหา กด Favorite หน้าเว็บไว้ กดเซฟรูปนั้นเก็บลงในเครื่องและปริ้นท์ภาพนั้นมาไว้ดู ก่อนจะย้อนกลับไปดูหน้าค้นหาใหม่ เผื่อจะมีเรื่องราวต่อจากวันนั้นให้เห็นอีก
ผมไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับหัวข้อหนึ่ง
‘ดับอนาถ! ควายทองกวาว ถูกโจรย่องฆ่าถึงบ้าน เจ้าของควายหัวใจสลาย’
ผมรีบกดเข้าไปดูเนื้อหา แล้วกวาดสายตาอ่านข้อความ วันที่เกิดเหตุเป็นช่วงเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมจะฟื้นขึ้นมา ในข่าวบอกว่ามีโจรเกือบ 10 คนเข้าไปปล้นบ้านไอ้คล้าว ข่าวบอกว่าโจรคงตั้งใจจะไปขโมยควายทองกวาวและเงินรางวัลที่ได้จากการประกวด แต่ทองกวาวเข้าไปขวางจึงถูกโจรยิงตาย
ท้ายข่าวเป็นภาพของทองกวาวที่นอนจมกองเลือดมีไอ้คล้าวกับไอ้ไม้นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ คงจะมีใครสักคนถ่ายรูปนี้ไว้ น่าจะเป็นภาพที่ทองกวาวเพิ่งจะตายไป เพราะฟ้ายังมืดอยู่
ภาพต่อมาเป็นภาพของไอ้คล้าวที่ตาแดงก่ำกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าว
มันบอกว่าจะไม่ชำแหละเนื้อของทองกวาวขาย เพราะทำใจไม่ได้กับการสูญเสียควายที่เป็นเหมือนน้องมากกว่าสัตว์เลี้ยง ถึงใครจะบอกว่ามันโง่มันก็ไม่แคร์
ภาพต่อมาเป็นภาพของไอ้คล้าวกับไอ้ไม้และคนที่สนิทๆ กันในหมู่บ้าน ช่วยกันขุดหลุมแล้วฝังร่างของทองกวาวไว้ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ กับคอกของทองกวาว หลังจากเอาร่างทองกวาวฝังแล้วก็จุดธูปและโปรยดอกไม้ไว้บนหลุมอย่างสวยงาม
ยิ่งดูน้ำตาก็ยิ่งรู้สึกเศร้าจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
“ฮึก ไอ้คล้าว... ฮือออออ”
ผมได้แต่ร้องได้สะอึกสะอื้นกับเรื่องราวที่รับรู้หลังจากที่วิญญาณผมออกจากร่างของทองกวาวมา รู้สึกสงสารไอ้คล้าวจับใจ ยิ่งมีความทรงจำของทองกวาวด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเหมือนใจจะขาด
ผมร้องไห้จนเหนื่อย ตอนนี้ตาคงบวมตุ่ยไปแล้ว แต่มันห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้จริงๆ พอน้ำตาหยุดไหล ผมก็หาผ้าชุบน้ำเย็นๆ ที่ถือมาดื่มด้วยประคบตาเผื่อจะหายบวมได้บ้าง
ระหว่างที่ใช้ผ้าเย็นๆ ประคบใต้ตา ผมก็ลองหาข่าวเรื่องราวต่อจากนั้นไปด้วย ปรากฏว่าผ่านไปเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่สามารถจับโจรได้ หลังจากนั้นข่าวนี้ก็ซาลงและเงียบไป คิดว่าพ่อของไอ้เด่นน่าจะมีอิทธิพลพอตัวจึงสามารถปกปิดความผิดให้ลูกชายและเพื่อนได้ เพราะผมคิดว่าไอ้คล้าวกับไอ้ไม้น่าจะบอกข้อมูลทุกอย่างให้ตำรวจไปแล้ว ซึ่งถ้าจะหาคนผิดจริงๆ ก็คงจะสามารถหาหลักฐานมาจับพวกมันได้
ผมได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และแช่งชักหักกระดูกทั้งไอ้พวกที่ทำผิด ทั้งไอ้พวกคนที่ควรจะรักษาความถูกต้องและความยุติธรรมที่ยอมพ่ายแพ้แก่อำนาจของเงิน
นี่กูตายไปทั้งคน เอ๊ย! ทั้งตัวนะเฮ้ย!
เฮ้อ! อย่างว่าแหละ ความยุติธรรมไม่เคยมีอยู่จริงในโลกใบนี้
‘แข็งๆ เงินง้างได้อย่างใจ’ อย่างที่ใครสักคนเคยบอกไว้จริงๆ ครับ
หวังเพียงแค่ว่าสักวัน พวกมันจะถูก ‘กฎแห่งกรรม’ ลงโทษ เพราะไม่ว่ายังไง ‘กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ’
พอปลอบใจตัวเองเรื่องความยุติธรรมและคลายอารมณ์โศกเศร้าได้บ้างแล้ว ก็มานั่งนึกว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเลยก็ไม่ได้ เพราะความรู้สึก ‘รัก’ มันเต็มล้นอยู่ในหัวใจ
ครั้นจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่นิสัย เพราะตั้งแต่เด็กๆ เราสองพี่น้องก็ได้รับคำสอนจากป๊าว่าถ้าอยากได้อะไรก็ต้องใช้ความพยายาม ถ้าเราพยายามเต็มที่ก็จะไม่มีอะไรเกินความสามารถเราทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น...
ถ้าอยากได้ไอ้คล้าวมาเป็นผั... แฮ่ม! มาเป็นของตัวเอง ก็ต้องพยายาม! ต้องวางแผนล่อ เอ๊ย! วางแผนให้รอบคอบเพื่อให้ไอ้คล้าวมาติดกับและไปไหนไม่รอด
หึๆๆๆ
ก๊อกๆ! ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“แสน แสนตื่นรึยัง”
อ้าว! ชิบหายละ เฮียเรียก ผมเงยมองนาฬิกา ปรากฏว่าถึงเวลามื้อเย็นแล้ว เฮียคงมาเรียกไปกินข้าว เพิ่งรู้ว่าผมจมอยู่กับเรื่องไอ้คล้าวมานานมาก
“แสน แสน”
“ครับเฮีย เดี๋ยวล้างหน้าเสร็จแล้วแสนจะตามลงไป เฮียลงไปก่อนเลย”
ผมปิดหน้าจอแล้วรีบไปล้างหน้าล้างตา พอเห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เพราะตาบวมและแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา
เฮ้อ! จะแก้ตัวยังไงดีล่ะเนี่ย
ผมเดินลงไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อโผล่หน้าเข้าไปก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของทุกคน
“แสน เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม” แม่ถึงกับลุกเดินมาหา เมื่อเห็นสภาพของผม ส่วนป๊ากับเฮียก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน
“ไม่ได้เป็นอะไรครับ แสนแค่ฝันร้าย” ผมบอกเหตุผลที่เตรียมไว้ให้ทุกคนฟังแล้วโอบเอวแม่อ้อนๆ
“โถ ลูก ขวัญเอ๊ย ขวัญมา” แม่จับหน้าไว้แล้วจูบหน้าผากปลอบอย่างอ่อนโยน
“ไปๆ ทานข้าวกัน มีแต่ของโปรดแสนทั้งนั้นเลย” แม่จูงมือผมไปนั่งประจำที่ ก่อนจะตักนั่นตักนี่ให้ผมจนเต็มจาน
“แล้วของโปรดแผนล่ะครับแม่” เฮียแผนแกล้งโวยวายประท้วง
“แม่ไม่ให้อดก็บุญเท่าไหร่แล้วเราน่ะ กินๆ ไปเถอะจ้ะ”
“โหยยยย แม่ลำเอียง”
“ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นลูกรัก”
เฮียแผนเบ้หน้า ขณะที่ป๊ากับแม่ต่างก็หัวเราะ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูสดชื่นขึ้นมาทันที ผมได้แต่สบตากับเฮียแผนแล้วขอบคุณในใจ
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็มานั่งดูทีวีด้วยกันเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ทั้งป๊าทั้งแม่มานั่งประกบอยู่คนละข้างบนโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนเฮียแผนก็มานั่งจิ้มแท็บเล็ตบนโซฟาตัวที่อยู่ติดๆ กัน ทั้งๆ ที่โซฟาก็มีตั้งหลายตัว เหมือนทุกคนยังห่วงกับอาการของผมอยู่ ผมได้แต่มองด้วยความอ่อนใจและอุ่นใจไปพร้อมๆ กัน
ระหว่างที่นั่งรอละครเริ่ม เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ ป๊าคุยเรื่องที่บริษัทกับเฮีย เพราะตอนนี้ป๊าให้เฮียรับช่วงเป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือเกียรติก้องวัฒนาแทนป๊าอย่างเต็มตัวแล้ว ส่วนป๊าก็ถอยมาคอยเป็นที่ปรึกษาให้แทน นานๆ ถึงจะเข้าไปบริษัทสักที
แม่ก็คุยเรื่องที่ร้านอัญมณีที่หุ้นกับเพื่อนๆ ให้ฟัง บางครั้งก็คุยถึงลูกเพื่อนๆ ให้เฮียกับผมฟังด้วย เผื่อว่าเราจะสนใจดองกับลูกๆ เพื่อนแม่ ผมแอบสบตากับเฮียแล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามโน่นถามนี่แทน ถามไปถามมาก็เผลอบ่นเรื่องชื่อของตัวเองขึ้นมา
“ทำไมต้องตั้งชื่อแสนเป็นคำสร้อยของชื่อเฮียด้วยล่ะป๊า” เพราะเฮียแผนมีชื่อจริงว่า ‘ขุนแผน’ ส่วนชื่อจริงของผมคือ ‘แสนเสน่ห์’ ซึ่งป๊าบอกว่าเป็นคำสร้อยของชื่อเฮียอีกที
ป๊าผมมีชื่อจริงว่า ‘สุธน’ เพราะตอนป๊าเกิด อาม่ากำลังติดละครจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องพระสุธน - มโนราห์ ส่วนแม่ชื่อ ‘กุลุมา’ เพราะยายชอบเรื่องผู้ชนะสิบทิศ เนี่ย! ทั้งครอบครัวมีชื่อเป็นตัวเอกในวรรณคดีหมดเลย มีแต่ผมคนเดียวที่ได้คำสร้อยมา
ไม่ยุติธรรม!
“ใครใช้ให้มึงเกิดทีหลังล่ะ” ป๊ายังไม่ทันได้ตอบ เฮียที่จดจ่อกับแท็บเล็ตก็ตอบขึ้นมาด้วยความลืมตัว
“เอ๊ะ! ตาแผน พูดกับน้องดีๆ สิ ใช้คำพูดกับน้องไม่น่ารักเลย” เฮียแผนสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงแม่เอ็ด เฮียวางแท็บเล็ตลงแล้วยิ้มแหยๆ ให้แม่
อันที่จริงแต่ก่อนถ้าอยู่ลับหลังแม่ เราสองคนก็มีพูดกูมึงกันบ้าง แต่หลังจากผมฟื้นขึ้นมา เฮียก็ไม่เคยใช้คำนี้อีกเลย เพิ่งจะมาหลุดก็ตอนนี้แหละ แถมหลุดต่อหน้าแม่ด้วย หึๆๆ
“ใช่ครับแม่ เฮียแผนนิสัยไม่ดี ไม่น่ารักเอาซะเลย” พูดจบผมก็ก้มแลบลิ้นแล้วยักคิ้วให้เฮียอย่างเป็นต่อ เพราะเป็นมุมที่แม่ไม่เห็น
“แม่! ไอ้แสนแสบมันแลบลิ้นใส่แผน”
“ตาแผน อย่าหยาบคายกับน้อง ตาแสนอย่าแลบลิ้นใส่พี่ โอ๊ย! คุณคะ ห้ามลูกบ้างสิคะ”
“ฮะๆๆๆ ลูกๆ รักกันดีออก” ป๊าหัวเราะขำ เพราะรู้ดีว่าเราชอบแกล้งกันต่อหน้าป๊ากับแม่แบบนี้แหละ
“เหอะ ใครรักไอ้ตัวแสบกันครับ ดื้อขนาดนี้” เฮียแผนวางแท็บเล็ตลงแล้วหันมาปรายตามองผมด้วยหางตา
“ทำมาพูดดี ตอนน้องอยู่ห้อง ICU ใครกันนะที่แอบร้องไห้” แม่เอ่ยแซวเมื่อเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้ของเฮียแผน
“ใครร้องครับแม่ ไม่มี๊” เฮียแผนปฏิเสธเสียงสูงเลยทีเดียว
“โถ เสียงสูงเชียวนะเฮีย ไม่ร้องจริงดิ” ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างเฮียแล้วกระแซะไปใกล้ๆ
“ไปไกลๆ ตีนกูเลย”
“ตาแผน เอาอีกแล้วนะ!”
“ฮะๆๆๆๆ” ผมกับป๊าหัวเราะ เมื่อเฮียโดนเอ็ดจนคอย่น
“จริงสิครับ พูดถึงเรื่องนี้ แผนก็เพิ่งนึกออก ว่าตอนแสนอยู่โรงพยาบาล แผนเคยบนไว้ว่าถ้าแสนตื่น แผนจะบวชแก้บนเป็นเวลา 1 เดือน ป๊าครับ แม่ครับ แผนอยากบวช”
ป๊ากับแม่อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าแสดงความปลาบปลื้ม ปลื้มที่ลูกเอ่ยปากอยากบวชเอง ปลื้มที่ลูกทำในสิ่งที่ไม่เคยเชื่อเพื่อหาทางช่วยน้อง
“ได้สิลูก ตามใจแผนเลย” แม่บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แล้ววางแผนรึยังว่าจะบวชช่วงไหน” ป๊าถามต่อ
“ตอนนี้แผนกำลังเร่งเคลียร์งานอยู่ครับป๊า ถ้าเสร็จงานยุ่งๆ แล้วก็คิดว่าจะบวชเลย แต่จะรบกวนให้ป๊าเข้าไปดูบริษัทช่วงที่แผนบวชแทนหน่อยน่ะครับ”
ป๊าเพิ่งจะวางมือแล้วยกบริษัทให้เฮียแผนบริหารได้ไม่นาน ตอนนี้ป๊าจึงอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัท ถ้าป๊าเข้าไปช่วยบริหารให้ระหว่างที่เฮียบวช เฮียก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องงานอีก
“ถ้าอย่างงั้นก็ดี ระหว่างนี้ป๊าจะเข้าไปบริษัทบ่อยขึ้นก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับป๊า”
“อืม” เฮียยกมือไหว้ป๊า ซึ่งป๊าก็ขยับมาลูบหัวเฮียเบาๆ
“เฮีย”
“หือ”
“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้ลงตรงบ่าเฮียอย่างซาบซึ้งกับสิ่งที่เฮียทำให้ ผมรู้ดีว่าเฮียรักผมมากแค่ไหน เพราะวันที่เฮียร้องไห้อยู่ข้างเตียงและขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้ช่วยผม ผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย
“รักเฮียนะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กอดเฮียแผนแน่นแล้วซบหน้าลงบนบ่าเพื่อซ่อนน้ำตาไว้
“รักแสนเหมือนกัน” เฮียลูบหัวเบาๆ แล้วกอดตอบแน่นๆ ไม่แพ้กัน
ส่วนป๊ากับแม่ก็กอดกันแล้วมองมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกแสนรักและภาคภูมิใจที่ลูกทั้งสองรักกันแบบนี้
งานบวชเฮียแผนเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าตัว เฮียเลือกบวชในวัดเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี วันที่เฮียบวชมีคนมาร่วมงานไม่มาก เพราะเราบอกแค่คนที่สนิทๆ กันได้รู้เท่านั้น คนที่มาจึงมีแค่เพื่อนป๊า เพื่อนแม่ เพื่อนสนิทเฮีย และเพื่อนสนิทผมอย่างธงรบเท่านั้น
หลังเฮีย เอ๊ย! หลวงพี่บวชแล้ว แม่ก็ชวนผมเทียวไปเทียวมาทำบุญที่วัดแทบจะทุกวัน จนป๊าต้องห้ามไว้บ้างเพราะกลัวแม่จะเหนื่อยเกินไป
ส่วนผมก็มัวแต่ยุ่งๆ กับงานบวชเฮีย พอหลังงานบวชก็ต้องคอยตามแม่ไปโน่นมานี่ และต้องเข้าไปดูร้านของตัวเองต่อ เพราะตอนนี้ร่างกายแข็งแรงเต็มที่และได้รับคำอนุญาตจากทุกคนในบ้านแล้ว
ผมเลยไม่มีโอกาสได้จัดการเรื่องไอ้คล้าวต่อสักที ได้แต่มองรูปที่เอาไปล้างแล้วซ่อนไว้ทั้งในลิ้นชักใกล้ๆ เตียง ลิ้นชักโต๊ะที่ทำงาน และแอบใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ เพื่อบรรเทาความคิดถึงไปพลางๆ
เมื่อผ่านไปเกือบเดือนทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ผมจึงวางแผนไว้ว่าจะแอบไปทำบุญที่เมืองกาญฯ เพียงลำพัง หลังจากนั้นก็จะขับรถเลยไปที่สุพรรณฯ เพื่อตามหาไอ้คล้าวตามข้อมูลที่หามาได้ดูสักที
แต่หลังจากที่ไปถึงวัด ถวายภัตตาหารเพล สังฆทาน และกรวดน้ำเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่มัวแต่เตร่คุยอยู่กับเด็กวัดที่เจอและคุยกันบ่อยๆ ในช่วงนี้จนสนิทกันไปแล้ว หลวงพี่แผนก็ให้เด็กวัดคนหนึ่งมาตามผมให้ไปหา
ผมเดินตามเด็กวัดไปหาหลวงพี่ที่นั่งรออยู่บนปูนที่ล้อมโคนต้นโพธิ์ไว้ เมื่อไปถึงผมก็ก้มลงกราบอย่างไม่กลัวเปื้อน เนื่องจากพื้นบริเวณนี้สะอาดมาก เพราะมีเด็กวัดคอยปัดกวาดดูแลอย่างดี
เมื่อกราบเสร็จผมก็พนมมือมองหลวงพี่ด้วยความสงสัยว่าหลวงพี่ตามกลับมาหาทำไม
“โยมน้องตั้งใจจะไปไหน”
“ห๊ะ!” ผมตะครุบปาก เมื่อเผลออุทานออกไปด้วยความลืมตัว เพราะแปลกใจในคำถามของหลวงพี่
“แหะๆ ขอโทษครับ” หลวงพี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง
“ออกจากที่นี่แล้ว โยมน้องตั้งใจจะไปที่ไหนต่อ” คำถามที่เฉพาะเจาะจงขึ้น ทำให้ผมกลอกตานึกหาคำตอบ จะโกหกก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในวัดและอยู่ต่อหน้าพระด้วย
โอย จะตอบยังไงดี
“อย่าเพิ่งไปเลย รอหลวงพี่ก่อน เดี๋ยวค่อยไปพร้อมกัน”
“อะไรนะครับ!?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจอีกรอบ เมื่อหลวงพี่พูดเหมือนรู้ว่าผมจะไปที่ไหน
หลวงพี่แผนยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน ดวงตาที่มีแววเข้าอกเข้าใจนั้นทำให้ผมขนลุกขึ้นมาเฉยๆ แล้วหลุดปากถามสิ่งที่คิดออกไป
“หลวงพี่... ซะ... ทราบเหรอครับ” หัวใจผมเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง
หลวงพี่พยักหน้าแล้วมองมาด้วยแววตาที่เมตตาและสงสาร
“อาตมา ‘เห็น’ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว” หลวงพี่แผนมองไปข้างๆ ตัวผม ก่อนจะดึงสายตากลับมามองผม ทำให้ผมเผลอมองตามและเผลอขยับหนีอย่างไม่รู้ตัว จนหลวงพี่ยิ้มขำ ก่อนท่านจะกลับมามีสีหน้าจริงจังและเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“อดทนหน่อยนะแสน”
“ครับ... ฮึก แสนจะอดทน” เมื่อมีใครสักคนเข้าใจและรับรู้เรื่องราวที่ผมได้พบเจอมา ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกที่ต้องเก็บกดเอาไว้ด้วยความอัดอั้นจึงล้นทะลักออกมาเป็นน้ำตา
“อย่าร้อง” หลวงพี่ปลอบ เหมือนจะเผลอลุกมาปลอบตามความเคยชิน แต่ห้ามตัวเองไว้ทัน มีเพียงสายตาที่ยังคงมองมาด้วยความห่วงใย
“แสนแค่... ดีใจ” ผมเช็ดน้ำตาป้อยๆ พยายามกลั้นน้ำตาเพี่อไม่ให้หลวงพี่ต้องเป็นห่วง จนเหลือเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ
“ไม่ต้องกังวล แสนมีพี่อยู่ข้างๆ เสมอนะ” คำปลอบโยนและคำแทนตัวที่เฮียแผนชอบใช้เวลาที่ผมเสียใจ ทำให้ผมยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณครับ” อยากจะบอกรักไปเหลือเกิน แต่ก็คงไม่เหมาะสม เลยได้แต่ใช้สายตาสื่อความรู้สึก ‘รัก’ บอกไปแทน ซึ่งหลวงพี่ก็คงเข้าใจเพราะหลวงพี่ยิ้มกลับมาด้วยความอ่อนโยน
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะโยม”
“ครับ งั้นผมลากลับเลยนะครับหลวงพี่” ผมยิ้มแล้วก้มลงกราบลาท่าน เพราะไม่อยากอยู่รบกวนท่านนานไปกว่านี้
เมื่อเดินออกมาแล้ว ผมก็เดินทอดน่องซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่นในวัดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจมากกว่าที่เคย
************************************************
ก็ยังคงไม่ได้เจอกัน แหะๆๆๆ รอไปก่อนนะคะ หาตังค์เปย์ค่าตัวพี่คล้าวแป๊บ พี่คล้าวต้องเก็บเงินไปขอเมีย แค่กๆๆ
ขอบคุณสำหรับกำลังที่ให้มานะคะ สำหรับนักเขียนแล้วไม่มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ดีเท่ามีคนติดตามงานของเราแล้วค่ะ
ฝากแฮชแท็ก #มนต์รักริมทุ่ง ด้วยค่า
กราบแนบอกงามๆ กอดดดดด