chapter 02
LOVES IS INNOCENT
LOVES IS INNOCENT
ผมใช้เวลาไม่นานสำหรับการเรียนรู้เรื่องปัญหาของธูปที่พี่นันต์เป็นกังวล ซึ่งก็คือเพื่อนคนสนิทของไอ้แว่น ต้องย้ำคำว่าเพื่อนคนสนิทเพื่อเพิ่มความน่าประหลาด ทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนน่าแปลกใจ มาร์คเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เกิดและโตที่อเมริกา เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ไทยหลังจากพ่อแต่งงานใหม่ นั่นเป็นที่มาที่ชีวิตได้โคจรมาเจอธูป พี่นันต์เล่าให้ฟังว่าตอนที่มาร์คย้ายมาเรียนในไทย ธูปเป็นคนเดียวที่พูดอังกฤษปร๋อ ครูประจำชั้นเลยจับให้นั่งชิดกัน กลายเป็นคู่หูดูโอ้ตามกันมาจนถึงมหาวิทยาลัย
“อันอัน Good morning”
ระหว่างเช็กสต๊อก สำเนียงเสียงอังกฤษอเมริกันก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเจ้าตัว พี่นันต์รูปร่างผอม สูง แต่เมื่อเทียบกับมาร์คแล้วเหมือนนักกีฬาบาสยุโรปกับนักกีฬาว่ายน้ำจีน แม้มาร์คจะงอตัวลง ใช้ศอกค้ำเคาน์เตอร์แล้วก็ยังดูสูงใหญ่จนข่มบาริสต้าหุ่นเพรียวมิดสนิท
“วันนี้ธูปไม่มีเรียน”
“Yep! I knew but Kiss tung you ngai, kiss kiss”
เห็นแล้วอยากสำรอก ผมเลือกฝ่าย love wins นะครับ แต่มุกเล่นคำนี่ขอซื้อเลย ไม่นับรวมกับ ตาวาววับ สีอมฟ้าของมัน ทุกครั้งที่เจอพี่นันต์ มาร์คจะจ้องเป็นเวลานานเหมือนหมาป่าจ้องตะครุบเหยื่อ ส่วนเหยื่อที่ว่าก็นิ่งเฉย แต่เด็ดขาดว่องไวราวชีตา อาจเพราะเป็นนักร้องตามคลับเลยรู้ทันไอ้เด็กแก่แดดนี่ มาร์คไม่ค่อยพูดกับผม มันแค่เซย์ไฮ บางครั้งก็ไม่ชายตามอง จุดประสงค์ของมันชัดเจน คือมาที่ร้านเพื่อพี่นันต์ มันตั้งชื่อใหม่ให้พี่นันต์ว่าอันอัน น่ารักผิดธรรมชาติผู้ชายที่ต้นแขนเต็มไปด้วยรอยสักหนึ่งข้างเต็ม
“ถ้าไม่ได้มารับธูปก็สั่งกาแฟ ไม่ได้มีโต๊ะให้นั่งฟรี”
จริงอย่างพี่นันต์ว่า โดยเฉพาะเที่ยงลูกค้าจะเยอะเป็นพิเศษ ไม่เว้นวันทำงาน ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ ราคาที่นี่กาแฟไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของวัตถุดิบ ภรรยาของอาจารย์พิภพรับตรงจากชาวบ้านที่น่าน เป็นเมล็ดกาแฟเกอิชาที่ขึ้นชื่อในนักดื่มกาแฟ ถิ่นเดิมของกาแฟพันธุ์นี้คือปานามา ปลูกขึ้นดีในสภาพอากาศเย็น แต่มีฝนในปริมาณที่เพียงพอ
พี่นันต์รับหน้าที่ตั้งแต่รับเมล็ดกาแฟจากไปรษณีย์ คั่วบด จนถึงชงเสิร์ฟ เขาเป็นคนจัดการร้านทุกอย่างตั้งแต่คิดเมนูจนถึงคิดโปรโมชั่น แล้วนำเสนออาจารย์อีกที ร้านนี้ไม่ต่างจากการทำร้านเป็นของตัวเองโดยมีนายทุนและคอนเน็กชั่นพร้อมสรรพ แก้วกระดาษราคาถูกได้มาจากการตั้งชมรมสร้างอาชีพกับศิษย์เก่าในชุมชน อาจารย์ตระเวนไปให้ความรู้ในถิ่นที่มีวัตถุดิบ สอนทำแก้วกระดาษ หลอดกระดาษ หลังจากนั้นก็รับซื้อ ร้านนี้เลยกอปรด้วยทุกอย่างที่อาจารย์พิภพและภรรยาประดิษฐ์ รวมไปถึงบาริสต้าที่บริการด้วยใจแบบไม่ต้องกังวลว่าจะถึงกำไรขาดทุน
อดคิดไม่ได้ว่าร้านนี้มันโคตรเป็นโลกจำลองของยูโทเปีย แต่ยูโทเปียไม่มีจริง เพราะอย่างน้อยชีวิตแสนสุขของพี่นันต์ก็มีไอ้ฝรั่งขี้นกก้อร่อก้อติกน่ารำคาญ แถมมีลูกติดอย่างไอ้ธูปคอยเป็นภาระอีกคน
“Can I have hot Anan no sugar, a bit sweet by himself, serve on my crunch eiei”
อย่าว่าแต่พี่นันต์จะทำหน้าเหม็นเบื่อเลย ผมเองก็เบือนหน้าหนีไอ้เด็กนี่ไม่ทัน กูอยากโง่แปลไม่ออกทันที มาร์คขยิบตาสร้างดาเมจรุนแรง แต่พี่นันต์หันหลังไปชงโกโก้ร้อนให้มันโดยไม่ถามซ้ำ ไม่นานลูกชายเจ้าของร้านก็เข้ามาในบรรยากาศปุดๆ ธูปสวมเสื้อยืดผ้าย้วย ใส่สบาย กางเกงยีนที่ตกรุ่นจนแฟชั่นจะวนทับประวัติศาสตร์กลับมารอบใหม่ รองเท้าผ้าใบเป็นสิ่งเดียวที่ราคาแพงยับ ย่นจมูกให้แว่นขยับขึ้นชิดตาตามสไตล์
“Hi, Tube what’re you doing here?” มาร์คถามเล่นเอาผมเหวอ ไอ้ธูปทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่น กระชับเป้ชิดหลัง ชูนิ้วกลางเหี่ยวๆ ให้เพื่อนสนิท
“ร้านกู กูต้องถามมึงมากกว่าว่ามาทำเหี้ยอะไรทุกวัน”
ถือสิทธิ์ของพ่อในการเป็นเจ้าของ ก่อนตอบด้วยการเลือกโต๊ะที่ไม่ฮอตฮิต ไม่ห่างจากผมแล้วยกกระเป๋าเป้ขึ้นกาง หนังสือเรียนถูกขย้อนออกมาจากกระเป๋าผ้า ผมมองอีกคนที่เรียนคณะเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบ แม่งมาตัวเปล่าทุกวัน
“อ่านหนังสือเหรอธูป” พี่นันต์ถาม ธูปเข้ามาบ่อยไม่แพ้มาร์ค ทักผมบ้างแต่ไม่ได้คุยเป็นกิจจะลักษณะ ไอ้ธูปมันกวนตีน ผมอดทนเรียกแทนตัวเองและมันด้วยสรรพนามทีสุภาพได้ไม่นานก็เริ่มใช้ศัพย์ตามสันดาน ไม่ได้มีเรื่องให้สนิทสนมกับมัน ได้แต่มองเงียบๆ เหมือนทุกที หัวยุ่ง แต่งตัวเชย อุ้มเท็กซ์ที่ไม่ใช่หนังสือเรียนมาเกินความสามารถที่จะอ่านจบในวันเดียว ขออเมริกาโน่ไม่หวานกินคู่กับวาฟเฟิลจากพี่นันต์ ใช้จานแก้วลายสไปเดอร์แมนของตัวเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยน
“What are you doing?”
“ยุ่ง” ธูปไล่เพื่อน แต่มาร์คยังคงไปหามัน หลังเปิดร้านครึ่งชั่วโมงเริ่มมีลูกค้าเข้า ส่วนมากแวะไปสั่งกาแฟก่อนเดินมาดูของกระจุกกระจิกในโซนของใช้ บางวันก็มีทัวร์นักเรียนนักศึกษาเข้ามาทัศนศึกษา ในส่วนของการจัดกิจกรรมนั้นผมลงบุ๊คให้ร้านไว้สัปดาห์ละครั้ง ขอบคุณปลาวาฬที่สละชีพด้วยการกินพลาสติกเป็นตันที่เป็นข่าวดังตัวนั้น มันทำให้หน่วยงานสนใจผลิตภัณฑ์ลดขยะมากขึ้นผิดหูผิดตา
หนึ่งในลูกค้าประจำไม่แพ้มาร์คเป็นผู้หญิง พี่นันต์เรียกว่าคุณกานดา ครั้งแรกที่คุณกานดามาที่ร้าน มาในฐานะของคอลัมนิสต์ที่เขียนบทความส่งนิตยสารวัยรุ่น แต่หลังๆ เป็นลูกค้ประจำ ลองเกือบครบทุกเมนูที่พี่นันต์ทำ ราคาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เธอหาร้านกาแฟที่เงียบๆ ไว้ทำงานทั้งวันตามสไตล์ฟรีแลนซ์ 2018
คุณกานดาอายุมากกว่าพี่นันต์ ผมเดาจากการแต่งตัวที่เป็นเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่นันต์ ผมสีดำสนิท เรียบตรง สวมแว่นกรอบสีเดียวกับผม แต่ไม่แน่อีก ไอ้พี่นันต์ทำงานร้านเหล้า ลักษณะการแต่งตัวจะทันสมัยจัด มันเจอเด็กรุ่นๆ ทุกวัน ผมหมายถึงเด็กรุ่นใหม่คนละจำพวกกับลูกชายเจ้าของร้าน รายนั้นเสียความเป็นวัยรุ่น ชิงทำตัวแก่ก่อนแก่ไปหลายสิบปี
“Hey Tube, your girl comes” มาร์คพยายามกระซิบกระซาบแต่ไม่เบาพอกันผมออกจากบทสนทนา เรียกความ
สนใจให้ต้องกลับไปมองไอ้เด็กประหลาดสองคนนั้นอีกครั้ง
ธูปขยับตัวเล็กน้อย คราวนี้มันใช้นิ้วดันแว่นขึ้นชิดกรอบหน้า แก้มขึ้นสีระเรื่อ เช่นกันกับหูและปลายจมูก ยกศอกกระทุ้งคนพูดที่เบียดตัวลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“กูจะเลิกพูดกับมึงเป็นภาษาอังกฤษ บอกไปแล้วไง”
“Common, you don’t wanna do this”
“มึงพูดไทยไม่ชัดสักที เดือดร้อนตอนทำรายงานเป็นภาษาไทยตลอด”
เข้าใจได้ แล้วทำไมไอ้มาร์คมันไม่เรียนอินเตอร์ไปวะ
“อีกอย่าง เลิกแซวได้แล้ว กูไม่ได้คิดกับพี่กานดาแบบนั้น”
“Lor” มาร์คทำเสียงกวนประสาท ผมว่ามันอยู่ไทยนานพอจะทำรายงานเป็นภาษาไทยได้แต่หลอกใช้ไอ้แว่นมากกว่า “กานดามาทีไรก็เห็นเอาแต่แอบมอง”
“เสือก” ธูปขมุบขมิบปาก มาร์คขยับตูดออกมานั่งเก้าอี้อีกตัว เท้าแขนกับโต๊ะ ทิ้งสายตามองหญิงสาวกับบาริสต้าหนุ่มคุยกันหน้าบาร์เซ็งๆ
“มาทีไรก็เอาแต่คุยกัน เจอกันทุกวันทำอย่างกับไม่เจอกันเป็นสิบปี”
ผมเหลือบมองไปทางเคาน์เตอร์สลับกับมาร์ค สีหน้าของธูปดีขึ้นเมื่อเพื่อนไม่แซวต่อ แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองถูกจ้องก็ปรายหางตามองผมเชิงตำหนิ
“ถ้ายูยังไม่ทำอะไร ไอว่ากานดางาบอันอันไปแน่”
“พี่นันต์ไม่ชอบพี่กานหรอก”
“รู้ได้ไง ยูยังชอบเลย”
“เรียกชื่นชม” ธูปพูดไม่เต็มปาก พยายามเปิดหนังสืออ่านซ่อนอาการของตัวเอง มาร์คทนนั่งได้ไม่นานก็ไปเสนอหน้าที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง คุณกานดาเลือกโต๊ะที่ห่างจากบาร์ไม่มาก ในระยะที่เมื่อเงยหน้าแล้วจะสามารถประสานตากับบาริสต้าได้โดยไม่จงใจนัก
บาริสต้าคนเดิมกลับไปสนใจกาแฟเมื่อเก้าอี้ทรงสูงถูกรบกวนโดยลูกครึ่งตัวโต ส่วนคนที่แสร้งก้มหน้าสนใจหนังสือเมื่อครู่ก็แสดงอาการออกมาด้วยการมองลูกค้าสาวอีกฝั่งของร้านตาละห้อย
“คุณกานดาอายุเท่าไหร่วะ” ผมถาม ว่างมากพอมานั่งกับลูกชายเจ้าของร้าน ธูปเอาคางเกยหนังสือ ตายังคงมองไปที่เดิม หญิงสาวหยิบโน้ตบุ๊กขนาดพกพาขึ้นวางก่อนจัดการกับปลั๊กไฟให้เรียบร้อย
“น่าจะสามสิบมั้งครับ”
“มึงเพิ่งยี่สิบ”
“ยี่สิบก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะ”
“ห่างกันสิบปีเลยนะ”
“อีกสองปีผมเรียนจบ ตอนนั้นพี่กานดายังอายุไม่เท่าตอนแม่แต่งงานกับพ่อเลย”
“ไหนว่าไม่ได้คิดแบบนั้น แค่ชื่นชมเฉยๆ” ว่าพลางผิวปากหวือ ไอ้ธูปรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางก็หันขวับ ทำหน้าตึง
“พี่แม่งไม่มีมารยาท แอบฟังคนอื่นคุย”
“อะไร” ผมไหวไหล่ ไม่มีมารยาทจริงตามเด็กว่าแต่ไม่ยอมรับเสียอย่างก็ไม่นับว่าผิด “มันลอยมาเข้าหู ให้ทำไง”
“แกล้งหูหนวกก็ไม่มีใครว่านะ”
“ก็ได้ยินไปแล้ว ไม่คิดว่าพูดละจะมีคนเดือดร้อนไง”
ความจริงแล้วผมไม่ได้นับเรื่องที่อายุของธูปกับคุณกานดาห่างกันเป็นสิบปีเป็นประเด็น ผมไม่ได้สนใจอะไรเลยเกี่ยวกับความรัก อาจเพราะผ่านประสบการณ์มามากกว่าคนรุ่นเดียวกัน หรือไม่ก็สูญเสียแม่ พ่อออกบวช เพื่อนฝูงแยกย้ายกันไปทำงาน ผมกลายเป็นคนไม่ยึดติดกับอะไรเป็นพิเศษ เพราะที่จริงแล้วผมไม่มีอะไรเลย ผมเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ที่สังคมบัญญัติ พยายามไม่ตัดสินคนอื่น ไม่เอาตัวเองไปแทนที่ แต่ในเคสของธูปยกเป็นพิเศษ คือมันไม่เหมือนคนทั่วไป บางทีก็เงียบ บางทีก็เมินเฉย ทำมาดราวเป็นผู้ใหญ่เคร่งขรึม เอาการเอางาน แต่พอพูดเข้าเรื่องส่วนตัวก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายอื่นๆ มีความอยากรู้อยากเห็น และรับมือไม่ถูกเมื่อตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ขาดความมั่นใจ
“ก็แกล้งเป็นใบ้ได้ปะ”
“เอ้า คนปากหูปกติจะต้องทำให้ตัวเองพิการทำไม ไม่ได้จะออกไปขอทานบนสะพานลอยเสียหน่อย” ผมหัวเราะ อดขำไม่ได้ที่เห็นท่าทางราวเด็กสาวมีรักแรกแล้วเพื่อนจับได้ ธูปนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ขยับไปมา “มึงจะอายอะไร ชอบก็จีบดิ”
“นี่ผมโกรธพี่อยู่นะเว้ย”
“ไม่ต้องมาโกรธกลบเกลื่อนเลย” ผมรู้ทัน “เขินก็บอกว่าเขิน”
คราวนี้ธูปสงบลง ผ่อนหายใจเข้าออก ใบหน้าเริ่มกลับมาเป็นปกติ ปากที่เม้มเข้าหากันคลายออก สีของมันแดงกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนค่อยๆ จางไปเมื่อเลือดลมดำเนินปกติ
“มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนี่ครับ” เด็กหนุ่มว่า ยอมรับด้วยความจำนน
“มีอะไรยากวะ” ผมถาม ไม่เคยรู้สึกว่าการจีบสาวเป็นเรื่องยาก มีแค่อยากจีบหรือไม่อยากจีบ ส่วนจีบติดหรือไม่ติดไม่ใช่เรื่องที่ต้องรับผิดชอบ เป็นแค่เรื่องของรสนิยมที่เข้ากันได้หรือไม่เท่านั้น “ถ้าชอบจริงๆ ก็ลุยดิ มีอะไรต้องเสีย”
“ก็แล้วถ้าพี่กานดาไม่มาที่ร้านอีกทำไง”
“หรือจะรอให้มาพร้อมผัว”
“ไอ้พี่มังกร”
ผมไหวไหล่ ยังคงไม่เข้าใจความปอดแหกของมัน “ป๊อดขนาดนี้ยังไม่เคยมีแฟนสักคนเลยเหรอ แค่ขำๆ ก็ได้อ่ะ”
ธูปหลบตา ตากลมที่ดูบวมกว่าของจริงเพราะเลนส์หนาของแว่นพยายามซ่อนบางอย่างที่มองปราดแรกก็เดาออกโดยทันที ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนเคยมีแฟน และถ้าคนอย่างมันไม่เคยมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
“เออๆ ลองดู ครั้งแรกมันก็จะสั่นๆ แบบนี้แหละ”
“แค่จีบสาว พี่แม่งพูดเหมือนกำลังสอนให้ผมมีเซ็กซ์”
“หัวไวเหมือนกันนี่ แต่ถ้าจีบสาวเป็นแค่ ‘แค่’ของมึง จะกลัวทำไม ไม่แข่งยิ่งแพ้ไม่เคยได้ยินเหรอ เพลงพี่เบิร์ดอ่ะ”
“แล้วถ้าแข่งก็ยังแพ้อ่ะ ถ้าพี่กานดาไม่ชอบผมอ่ะ”
“ก็จะได้รู้ไงว่าไม่ชอบ”
“โห กำลังใจดีสัด”
“อ่ะๆ เดี๋ยวเป็นติวเตอร์ให้ ถือเป็นค่าข้าว” ผมยักคิ้ว อมยิ้มที่มุมปาก บางวันแม่มันว่างทำกับข้าว ธูปจะรับหน้าที่เอา
ข้าวกล่องที่แม่ทำเผื่อมาส่งผมกับพี่นันต์บ่อยๆ เพิ่งรู้ว่าบ้านมันเป็นเว็ตเจตทาเรียนเมื่อมื้อที่สามเป็นผัดผักจืดๆ เหมือนสองมื้อแรก
ธูปย่นจมูก ดูเหมือนติดท่าทางนี้เพราะต้องคอยดันแว่นให้กลับเข้าที่เมื่อน้ำหนักเลนส์ดึงตกลงมาจากสันจมูก
“ใส่ไอ้นั่นมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่”
“แว่นเหรอ” ผมพยักหน้า “จำไม่ได้”
คราวนี้ธูปขยับขาแว่น ผมเส้นใหญ่หนาถูกซ่อนหลังเลนส์เพราะความยาวเกินพอดี ผมเกือบช่วยปัดออกเพราะรำคาญ
แต่เจ้าตัวจัดการเสียก่อน
“สั้นเท่าไหร่”
“เจ็ดร้อยห้าสิบ ที่จริงมันหยุดสั้นมานานแล้วนะ ประมาณมอ.หก” ธูปตอบ หลังจากพยายามจัดการกับเส้นผมที่กระโดกกระเดกขัดกับแว่นอยู่นานก็ยอมถอดออกมา มีรอยบุ๋มของแป้นวางแว่นระหว่างหัวตากับสันจมูก ตาไม่ได้ปูดบวมเหมือนปลาทองเสียทีเดียว แต่ใต้ตาลึกโหลลงไปกว่าที่คิดเยอะ
“ไม่สนใจทำเลสิคเหรอ”
“ก็มีบ้าง” ผมหยิบแว่นมันออกมาจากมือ ส่องดูความหนาแล้วขนลุกเป็นบ้า “บางทีใส่แว่นก็น่ารำคาญ แต่ก็ใส่มานานอะ ถ้าไม่มีแว่นคงรู้สึกแปลกๆ”
“แว่นมันเสริมบุคลิกนะ” ผมว่า พลิกดูทรงไปมา “แต่ถ้ากรอบเห่ยขนาดนี้จะกลายเป็นเสียบุคลิกแทนว่ะ แก่ฉิบหาย”
“โห ผมจะไม่คิดอะไรเลยถ้าคนพูดเป็นพี่นันต์” ธูปหันมาแขวะ มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าหยามเหยียด
“อะไร”
“พี่แต่งตัวดีตายล่ะ”
“แต่งให้หล่อก็แต่งได้”
“จะบอกว่าไม่อยากแต่ง? กลัวหล่อเกิน?”
“ไม่มีเงินแต่ง จบมั้ย”
“จบครับ”
ไอ้เด็กเวร มันหัวเราะตาหยี จัดการกับหน้าม้าของตัวเองด้วยการใช้หนังยางสีดำที่ข้อมือมัดจุก เหมือนลูกหมาเป็นบ้า
“พี่ว่าถ้าผมอยากจีบพี่กานดาติดต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองก่อนเหรอ”
“เปล่า ไม่เชิง แต่มึงดูดีกว่าตอนนี้ได้ไง”
“เออ ผมรู้เรื่องนี้ Love at first sight” คุยกับเด็กเนิร์ดมันก็จะอารมณ์ประมาณนี้ “มนุษย์จะเลือกคู่จากการประเมินผ่านสายตา เป็นสาเหตุให้เรามองคนหล่อหรือสวยคล้ายๆ กัน อย่างแองเจลิน่า โจลี่ ที่ได้โหวตว่าสวยที่สุดในโลก ทั้งที่ความสวยควรจะเป็นเรื่องปัจเจก” ไอ้แว่นเริ่มพล่าม พอพูดถึงเรื่องความรู้มันไปได้ยืดยาวเกินกว่าวิชาที่เรียนในห้อง
“สัดส่วนที่สมมาตร พับประกบกันได้ดีหมายถึงพันธุกรรมที่ดี” เล่าให้เด็กชีวะอย่างผมก็ไม่แปลก แต่เซ่อไปเล่าให้พี่นันต์ฟังอาจจะโดนบดไปกับเมล็ดกาแฟ
“ใช่ๆ ประกบกันบนล่าง”
“ปากมึงเท่าหน้าผากหรือไงไอ้แว่น” แยกเขี้ยว ตะปบหน้าผากมันไปที แว่นหลุดลงมาที่ปลายจมูกอีกแล้ว ธูปยังคงยิ้มเผล่โชว์เขี้ยวเล็กๆ ที่เดิมซ่อนไว้มิดชิดก่อนผลุบหายไปเมื่อองศาของรอยยิ้มลดลง
“พี่เหยียดเพราะผมใส่แว่นเหรอ” ได้ทีบุคลิกกวนๆ กลับมาอีก ธูปผ่อนคลายลงจากหัวข้อสนทนาที่ตึงเครียดในทีแรก “พี่จะบูลลี่เพราะผมใส่แว่นไม่ได้นะ สมัยใหม่เขาไม่ล้อกันเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกกันแล้ว ไม่เคยเล่น Don’t judge challenged เหรอ”
“กูไม่เหยียดมึงเพราะแว่นหรอก แต่จะเหยียดเพราะมึงกวนตีนนี่ล่ะ เหยียดด้วยตีนสักทีดีไหม หืม?”
“ใจเย้นนน!”
ตึง!
ธูปหัวเราะเมื่อถูกผมคว้าต้นคอกดลงโต๊ะ เสียงกระแทกเบาๆ ทำให้บาริสต้าหันมองดุ ผมคลายแรงลง ได้ทีเหยื่อรีบยืดตัว คลี่เอาหัวไหล่ที่งองุ้มในทีแรกออก ดูมันมีความสุขเมื่อได้พูดความรู้ที่มีหรือพยายามประยุกต์ใช้ แต่ใช้ได้จริงหรือเปล่านั่นอีกเรื่อง เห็นมานักต่อนัก บรรดาคนเก่ง มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
“พี่กานดาหน้าตาได้สัดส่วน รูปร่างก็พอเหมาะสำหรับผม ไม่ค่อยมีผู้ชายที่ชอบผู้หญิงตัวใหญ่กว่าเหมือนที่ไม่ค่อยมีผู้หญิงชอบผู้ชายตัวเล็กกว่า ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้ว เรื่องแว่นไม่ใช่ปัญหาหรอก”
ผมยกมือขึ้นปัดจมูก ที่พูดมาทั้งหมดฟังดูจั๊กจี้หู เหมือนกำลังถูกบังคับให้เรียนวิชาสัญชาตญาณและการเอาตัวรอดของมนุษย์ในยุคหิน ไม่ใช่บทสนทนาของเด็กหนุ่มวัยกลัดมันกับหญิงสาวอายุมากกว่าที่เจ้าตัวหลงใหล
พอนึกถึงคำว่ากลัดมันคู่กับไอ้ธูปก็ขนลุกชูชันขึ้นอีกรอบ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณกานดากับธูปก็ค่อนข้างเหมาะสมกันด้วยบุคลิกภายนอก ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก กับผู้ชายท่าทางน่าเอ็นดู รูปหน้าของธูปได้มาตรฐานเหมือนที่มันพูดถึงอีกฝ่าย คือสัดส่วนของตา คิ้ว จมูกปากเป็นไปตามอัตราส่วนทองคำหรือโกลเด้นเรโช ส่วนสูงของธูปพอเหมาะกับคุณกานดา ในเรื่องของอายุที่มากกว่าไม่เป็นอุปสรรคสำหรับธูป ผมเดาว่าเพราะการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมแบบลูกคนเดียว กระทั่งผันตัวเป็นลูกคนเล็กเมื่อพ่อมันรับพี่นันต์มาอยู่ด้วยเมื่อไม่กี่ปีก่อนส่งผลให้มันชอบคนอายุมากกว่า
ธูปดึงแว่นสายตากลับไป สวมโดยไม่ใช้ความระมัดระวัง โชคดีที่มันไม่เล่นมุกขาแว่นจิ้มตาดาดๆ แบบที่ชีวิตหนึ่งมนุษย์แว่นคิดว่าเป็นมุกสุดเจ๋ง เพราะมันโคตรฝืดเฝื่อนผิดสไตล์วัยรุ่นยุค 4.0 กวนตีนอย่างไอ้ธูปไม่สอบตกเรื่องการใช้มุกตลกในการสอดแทรกบทสนทนา แต่ไม่ใช่กับเพื่อนฝรั่งของมัน
“จะเอาเรื่องส่วนสูงไปจีบเขาอย่างเดียวเหรอ ตามมาตรฐานชายไทยทั่วไปใครก็สูงกว่าคุณกานดา ถ้าไม่ใช่คนแคระ ไ
ม่ใช่ข้อได้เปรียบของมึงเลย”
“เดี๋ยวสิ ผมบอกว่าผมมีดีอย่างอื่นด้วยไง แต่แค่ยังไม่พร้อมเฉยๆ”
“อ่าฮะ แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม”
ดวงตากลมไหวระริก สั่นไหวในการตัดสินใจของตัวเอง “ไม่รู้ดิ”
“มันไม่มีคำว่าพร้อมหรอกจนกว่ามึงจะลงมือ” ผมเท้าคาง ทอดสายตามองหญิงสาวที่กำลังตกเป็นประเด็น เป็นเรื่องธ
รรมดาของความรักเมื่อจะก้าวข้ามไปอีกขั้น เผลอถอนหายใจเมื่อนึกว่าไอ้ธูปกลัวการนับไปถึงเลขสิบทั้งที่ยังไม่เริ่มนับหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
“ก็ผม...” เจ้าของเสียงขยับปลายนิ้วเคาะบนหนังสือเล่มหนา ไม่ทำให้เกิดความน่ารำคาญแต่เป็นสัญญะบอกว่าไม่มีความมั่นใจมากพอ “...ไม่รู้สิ ผมไม่เคยลงมือทำอะไรแล้วไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง”
“ล้มเหลวบ้างก็เป็นรสชาติชีวิต”
“เดี๋ยวนะ พี่แช่งตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยเหรอ ไหนว่าจะเป็นติวเตอร์”
“อ้าว ก็บอกเองว่าไม่ต้อง” ผมแหย่ แต่คนอีโก้สูงหัวรั้นอย่างมันคงไม่ยอมให้ใครสอนจีบสาวง่ายๆ แน่ เสียเชิงชายหมด “สรุปให้ช่วยไหม หรือรู้ว่าควรจีบยังไง”
“ผมก็กำลังศึกษาอยู่ ก่อนเริ่มรบอุปกรณ์ต้องพร้อมมือ พี่เร่งแบบนี้แล้วผมไม่มั่นใจเลย รู้สึกเหมือนยังไม่ถึงเวลา แต่ก็นะ...ปีนี้ก็ยี่สิบแล้ว”
ธูปพูดราวกับว่าการมีแฟนอายุยี่สิบเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน ซึ่งไม่น่าแปลกใจถ้าจะคิดแบบนั้น ทุกวันนี้คนเจอกันง่าย คบกันง่าย ท่ามกลางเพื่อนฝูงที่มีคนรักสลับสับเปลี่ยนไปมาหลายคู่ธูปคงอยากถูกนับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่น โชคดีที่มัน
สนใจเรื่องผู้หญิงมากกว่าเหล้ายา อย่างน้อยผมก็สามารถสนับสนุนมันได้เต็มปากแบบที่พ่อมันจะไม่ด่าไล่ตามหลัง
“อีกอย่าง ผมเลิกมีพี่เลี้ยงตั้งแต่อายุเจ็ดขวบแล้ว เพราะงั้นผมลุยเองดีกว่า เอาเลย เริ่มเลย!”
ผมพยักหน้า ยอมรับการตัดสินใจของเด็กหนุ่ม มันมีท่าทางมั่นอกมั่นใจครู่เดียวก็กลับไปหงอยต่อ ยังคิดไม่ตก
พูดถึงคุณกานดานับเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย ไม่ใช่สเป๊ก ผมเบื่อผู้หญิงที่อยู่ในโอวาท ง่ายต่อการคบซ้อน ไม่รู้จักระแวดระวัง ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบความท้าทาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้หญิงใสๆ เป็นเหมือนของหวาน แต่เมื่อเรียนรู้มากพอ จุดหนึ่งก็เบื่อกับการเข้าไปทำความรู้จักคนใหม่ๆ การคุยกับผู้หญิงแปลกหน้า มีปัญหาทะเลาะซ้ำซากและนั่งมองผู้หญิงที่ตัวเองทุ่มเทให้ได้มาร้องห่มร้องไห้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ผมหมดความภาคภูมิใจในเรื่องงี่เง่าประเภทที่ว่าเกิดเป็นชายต้องผ่านผู้หญิงมานักต่อนัก อาจเป็นผู้ชายที่เดินทางถึงจุดปล่อยวางไวกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
บางคนว่าชีวิตหลังเรียนจบคือชีวิตที่เพิ่งเกิด ช่วงเวลาที่โชติช่วงชัชวาลที่สุดของชายโฉดคือเมื่อมีทรัพย์สิน มีหน้าตาทางสังคม เป็นช่วงเวลาทองคำที่จะเกิดขึ้นเมื่ออายุสามสิบกลางๆ แต่ผมพอแล้ว ถ้าอายุเท่านั้นอาจออกบวชตามพ่อ ใครจะรู้ รู้แค่ตอนนี้ผมยังอยากกินมื้อเย็นครบสามมื้อและยังไม่อยากให้การใช้มือสำเร็จความใคร่กลายเป็นบาป
แน่นอน ผมยังเป็นผู้ชายวัยกลัดมันอย่างที่ธูปเคยบอก
“พี่มังกร ผมถามอย่างดิ”
ธูปพูดขึ้น มันมองหน้าผม ยังไม่อ่านหนังสือจริงจังทั้งที่เปิดทิ้งไว้นานแล้ว โน้มตัวเอาแก้มใสๆ แนบต้นแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ แก้มบวมย้วยขึ้นมาเหมือนขนมมาร์ชเมลโล่ ดูนุ่มจนน่าเอานิ้วจิ้มหรือกัดแรงๆ สักที
“พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน”
เสียงของธูปเป็นแบบของผู้ชาย ทุ้มต่ำ แหบพร่า โครงกระดูกก็เป็นแบบผู้ชายทั่วไป มีแต่แก้มที่ชวนให้นึกถึงก้นเด็ก ผมหันความสนใจกลับมาที่บทสนทนา โคลงหัวไปมา
“ไม่ชอบพวกหัวช้าหรือขี้อายอย่างล่ะ”
“นั่นมันสเป๊กสาวพิมพ์นิยมเลยนะ อยากได้เมียดุเหรอ”
“ไม่ใช่ดุสิวะ” บางคนก็แยกยากระหว่างดุกับงี่เง่า ผมถอนหายใจ จะอธิบายให้เด็กไม่รู้ประสาฟังรู้เรื่องได้ยังไง บางเรื่องมันต้องบ่มเพาะผ่านประสบการณ์ทั้งนั้น “ชอบคนที่ไม่เป็นภาระให้คนอื่น”
“ใจร้ายอะ ชีวิตคู่มันคือเกื้อกูลกัน การที่คนนึงยินดีเป็นภาระและรับภาระดูแลอีกคนไม่ใช่เหรอ”
“ใครสอนมึงมา ไปตบปากมันเลย” ให้เดาว่าคงเป็นเพื่อนผู้หญิงที่อยากได้เจ้าชายมาเป็นผัว ธูปไหวไหล่ ไม่ยอมบอก “คบกันแล้วพากันดิ่งลงเหวไม่ต้องคบ เชื่อกู”
“นี่พูดถึงชีวิตคู่นะครับไม่ใช่ธุรกิจ”
“ชีวิตคู่นี่ล่ะตัวดี ถ้าชีวิตมึงดีแล้วก็คบกับคนที่ทำให้มึงดี หรือถ้าชีวิตมึงห่วยแตกก็ไม่ต้องไปทำตัวเป็นลูกเป็ดเดินตามแม่ มันน่ารำคาญ”
“พูดแบบนี้เคยมีแฟนปะเนี่ย”
ไอ้เด็กน้อย ความรักที่มึงฝันใฝ่นั่นมันอยู่ในการ์ตูนหรือนิยายหลังข่าวเท่านั้น ผมไม่อยากลบภาพดิสนีย์แสนหวานหรือขยำดอกลาเวนเดอร์ที่ลอยลิ่วบนหัวมันทิ้ง ได้แต่ปล่อยให้ธูปทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นทัศนคติเรื่องความรักของผมเข้าจังๆ
“เอาเป็นว่า มึงไม่อยากนับหรอกว่ากูมีแฟนมาแล้วกี่คน”
ความล้มเหลวในความสัมพันธ์ที่ผมชินชาและมองเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาเพื่อผ่านพ้นไป
“ไปยืมมือพี่นันต์หรือไอ้มาร์คมายับยังไม่พอ”
ได้ทีก็ข่มอีกตลบให้เด็กแว่นกลอกตาเป็นวงกลมพร้อมทำหน้าละเหี่ยใจ
ทบค.
ขอคำแนะนำให้ทำให้หยุดง่วงทีค่ะ ง่วงไม่ไหวแบ้ลบบงงง