[ ___________© โคตรหวง © ___________ ] # EP .08 # หน้า5 #- 17.04.2020 -
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ ___________© โคตรหวง © ___________ ] # EP .08 # หน้า5 #- 17.04.2020 -  (อ่าน 31347 ครั้ง)

ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คิดถึงค่ะ ดีใจที่กลับมาอัพแล้ว ต้องรีบดูวันที่เลยว่าวันที่อัพคือวันไหน

สงสารบุญ รออ่านต่อไปว่าครามจะเปลี่ยนตัวเองได้หรือเปล่า

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ครามใจร้ายมาก :ling1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
น้องบุญลูกแม่ T^T

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ต้องเสียไปก่อนหรือป่าว ครามถึงจะคิดได้

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ช่วยไม่ได้นะบุญ อยากโง่เอาใจไปผูกไว้ที่เขาเอง. ถ้าฉลาดก็ทำแบบที่ครามทำ. คบแค่เซ็กส์เฟรนด์. แล้วก็คบคนอื่นไปด้วย แฟร์ดี. หรือไม่ก็ทิ้งครามไปเลยจะยิ่งสะใจ

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
ทำไมต้องปล่อยให้คนอื่นทำร้ายจิตใจอยูซ้ำๆซากๆ ตัวเรา เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก แต่ถ้าเลือกที่จะอยู่แบบนี้ ก็ต้องทนเรื่องแบบนี้อยู่ซ้ำๆ ชอบหรอ?

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ appattap

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บุญต้องรักมากแค่ไหน ถึงต้องยอมอะไรขนาดนั้นอ่ะ ไม่มีความสุขก็หยุด อ่านแล้วแบบไม่ชอบครามสุดๆ นิสัยแบบนี้ไม่ควรมีคนรัก

ออฟไลน์ South94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอตอนต่อไปนะคะะะะะะะ
สงสารน้องบุญ แง้~~~~~ :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คิดถึงน้องบุญแล้วจ้า

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อยากให้มาอัพบ่อยกว่านี้อ่ะะะะ

ออฟไลน์ South94

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากอ่านน้องบุญต่อแล้วค่า
รอตอนต่อไปนะคะะะะ

ออฟไลน์ yanggi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
วันนึงก็ต้องมาสนิทกับพี่ว่านแน่เลย.... นาฬิกาก็เหมือนกัน!!!

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
กลับมาอ่านอีกแล้วววววว คิดถึงมากเลย เมื่อไหร่ครามจะเลิกใจร้าย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
รออยู่นะคะ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
แงงงง เรื่องมันเศร้าา

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
บุญควรจะคิดได้สักทีหาคนรักเถอะ ส่วนครามเอาไว้เป็นที่ระบายอารมณ์พอ เดี๋ยว
มาต่อเถอะนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2

ตอนที่ 3


เสียงนาฬิกาปลุกเตือนเจ้าของผ่านทางโทรศัพท์ เรือนร่างเซ็กซี่ผงกหัวขึ้นมาจากแผงอกอุ่น เอื้อมไปหยิบมากดปิดเสียงอันน่ารำคาญให้เงียบลง

"อรุณสวัสดิ์ค่ะที่รัก"
เหลียวมองคนข้างกายก่อนขยับเข้าไปกระซิบเสียงนุ่มยามเห็นหนุ่มร่วมเตียงค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมา เธอมองชายหนุ่มตาไม่กะพริบ ผมชี้ฟูจากการเพิ่งตื่นหมาดๆ ก็ไม่อาจลบความหล่อให้น้อยลงเลย ใบหน้าได้รูปยังคงดูดีในสายตาของเธอ

“ฮันนี่ทำให้ครามหลับสบายขนาดนี้เลยเหรอคะ” หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อทั้งตัวถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมเเขนเเข็งเเรง มือสวยลูบไล้เรือนร่างกำยำด้วยความหลงใหลที่คอยมอบความสุขให้เเก่กันตลอดทั้งคืน

“วันนี้เราไปดูหนังกันดีมั้ยคะ”

ครามหาวหวอด เหลือบมองเวลาจากนาฬิกาบนผนังห้อง เมื่อเห็นว่ายังไม่เที่ยงก็ไม่อยากออกไปไหน
“ฉันไม่ชอบดูหนัง”


“เเต่ฮันนี่อยากดูหนังกับครามนี่นา ไปกับฮันนี้หน่อยน้า” หญิงสาวออดอ้อน เธออยากให้เขาพาไปห้าง อยากช้อปปิ้งเเละอยากเดินควงเเขนกับหลุ่มหล่อให้หญิงรายอื่นมองตามด้วยความอิจฉาเล่น

“ว้า เเต่ตอนนี้ฉันอยากกอดเธออีกเเล้วนี่สิ”

เขากระตุกยิ้มร้าย สองมือล้วงไปบีบขยำทรวงอกสล้าง จัดการกระตุกผ้าห่มให้หลุดออก ร่างอรชรเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าห่อหุ้มบิดส่ายบนเตียงกว้าง หญิงสาวร้องวี๊ดว้ายอย่างคนมีจริตแต่ไม่ได้ขัดขืน มีเเต่จะจำยอมท่าเดียว ใจหวังให้เขาเริ่มบทเรียนเร่าร้อนเหมือนเมื่อคืน

“ยังจะต่ออีกหรอคะ เมื่อคืนทำฮันนี่ปวดไปทั่งตัวเเล้วน้า”



“ตามใจกันหน่อยไม่ได้หรือไง”



“เเหม...กับครามฮันนี้ไม่กล้าขัดหรอกค่ะ ครามก็รู้ว่าฮันนี่ตามใจครามเก่งมากเเค่ไหน”
บทสนทนาทั้งคู่ยังคงดำเนินไปด้วยเรื่องอย่างว่า เธอย้ายมานั่งทับบนตักของเขา ขาเรียวโอบรอบสะโพกเเกร่งเเน่น คนสองคนเกือบจะได้เสียเหงื่อตอนฟ้าสว่างแล้ว ถ้าเกิดไม่มีเสียงโทรเข้าดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน

ครามหยุดมือที่กำลังฟ้อนเฟ้นร่างขาวโพลน ถอนหายใจหงุดหงิด เเต่ก็ยอมเอี้ยวตัวไปหยิบมือถือที่ตั้งอยู่แถวโคมไฟหัวเตียง

“ไปอาบน้ำ” เพราะรายชื่อคนที่โทรเข้ามาคือคนในครอบครัว ไม่ต้องการให้คนอื่นมานั่งฟัง เขาหันไปบอกคู่นอนด้วยน้ำเสียงโทนปกติแต่ใช้สายตาเป็นการบังคับให้ทำตาม หญิงสาวเบ้หน้าขัดใจ กระนั้นก็ยอมลุกออกจากตัวของเขาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว โดยไม่กล้าเเสดงออกให้อีกคนเห็นนัก เธอใช้ผ้าเช็ดตัวมาห่อเรือนร่างเเล้วก้มเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาถือเข้าห้องน้ำไปด้วย

“ครับพ่อ”

ลับหลังหล่อน เขาถึงกดรับสายบิดา



[ครามพรุ่งนี้เเกว่างหรือเปล่า]



“ว่างครับ ผมไม่มีเรียน”



[งั้นพรุ่งนี้เเกเข้าไปดูไร่แทนพ่อหน่อยได้ไหม พอดีพรุ่งนี้พ่อมีนัดคุยเรื่องที่ดินกับคุณธีระน่ะ]

ไร่ที่ว่าคือสวนผลไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่แถบภาคเหนือ เป็นธุรกิจที่ทำให้ตระกูลของเขามีรายได้มหาศาลมาจนถึงทุกวันนี้ เเม้จะมีลูกน้องหลายร้อยชีวิตคอยคุมงานให้อย่างดีเพียงใด แต่ทุกๆ เดือนนายจ้างก็ต้องเข้าไปตรวจเช็กทุกอย่างด้วยตัวเองให้ละเอียดอีกรอบ หากวันไหนที่พ่อไม่ว่าง เขาก็ต้องเข้าไปจัดการดูแลแทน

เขาเป็นลูกคนเดียวทำให้ต้องช่วยดูเเลธุรกิจของครอบครัวมาตั้งเเต่อายุเเค่สิบเเปด

“ได้ครับ ประมาณเที่ยงผมจะเข้าไป”



[ชวนบุญไปด้วยก็ดีนะ พ่อกลัวน้องจะเรียนหนักจนไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวไหน ยิ่งชอบหมกตัวอยู่เเต่ในห้องอาจจะเครียดได้ เเกควรพาน้องไปด้วยคราม]



“พ่อไม่บอกผมก็พาไปอยู่แล้ว”



[โอเค งั้นพ่อไปประชุมก่อนล่ะ]

คนเป็นพ่อชิงวางสายก่อน ปล่อยให้เขานั่งจ้องหน้าจอสีเหลี่ยมเเน่นิ่ง ไม่ต้องคิดนานมือก็กดออกไปยังเบอร์ที่โทรหาบ่อยที่สุด...วันเสาร์ใครอีกคนคงจะนอนกลิ้งอยู่บนเตียงตามเคย พลันคิ้วเข้มก็ต้องขมวดหนักเมื่อปลายสายไม่มีใครกดรับ ครั้นลองกดซ้ำอีกหนก็ยังไม่มีสัญญาณตอบกลับ

เกือบสิบนาที ที่ครามวุ่นอยู่กับการกดปุ่มโทรออกไม่พักเว้น...โดยไร้วี่เเววคนรับสาย

"ครามคะฮันนี้เสร็จแล้วนะ”

ร่างระหงออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อวาน ไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนในห้อง เธอปรี่เข้ามานั่งกอดแขนออเซาะตามนิสัย ในหัวคิดแต่จะอ้อนขอร่างสูงให้ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมเพิ่มอีกใบ

“ครามไม่สนใจฮันนี่เลย ฮันนี่อาบน้ำเสร็จแล้วน้า”



“เงียบก่อน” ปากว่าทั้งที่ตาจับจ้องเเต่หน้าจอโทรศัพท์



“ครามโทรหาใครเหรอคะ”

หญิงสาวไม่ละความพยายาม ยังถามจ้อไม่หยุด ส่วนเขาทำหูทวนลมเพราะเริ่มรำคาญ



“ครามคะฟังฮันนี่...”



“ไม่หุบปากก็กลับบ้านไป รำคาญ”

น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยไล่ไม่ไว้หน้า เธอช็อกฉับพลัน ผละตัวยืนขึ้นเต็มความสูง ปากตะโกนใส่หน้าชายหนุ่มปาวๆ อย่างคนไม่ยอมแพ้

“ครามกล้าไล่ฮันนี่หรอคะ!”



“ต้องให้พูดซ้ำ?”

เขาเอ่ยเสียงกร้าวพร้อมชี้นิ้วไปทางประตู วินาทีนี้เขาต้องการให้ผู้หญิงขี้วีนรีบไสหัวออกไปให้พ้นหูพ้นตาโดยเร็ว ก่อนที่เขาจะเผลอระเบิดอารมณ์ใส่ไปมากกว่าที่เป็น

“แต่ครามรับปากกับฮันนี่แล้วนะว่าจะพาไปดูหนัง” เธอพูดเสียงติดสั่น แต่ยังไม่เลิกตอแย

เขาเสยผมหงุดหงิด ถ้าเกิดรู้ว่าเจ้าหล่อนจะพูดยากพูดเย็นขนาดนี้ น่าจะหยุดแค่วันไนท์สแตนด์ให้มันจบๆ ไป ไม่น่ายืดเยื้อความสับพันธ์ทางกายนานจนอีกฝ่ายได้ใจหลงนึกว่าเป็นคนพิเศษจนปีกกล้าขาเเข็งขึ้นมา มือหนาหยิบกระเป๋าสตางค์ก่อนลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหญิงสาว เเล้วยัดธนบัตรสีเทาแปดใบใส่ในมือเธอ

“พอใจยัง ถ้าหมดธุระแล้วก็กรุณาออกไปได้แล้ว อ้อ...แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกล่ะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันใจร้าย”



“กรี๊ดดด ครามทำกับฮันนี้แบบนี้ไม่ได้นะ” เธอกระแทกเสียงใส่ รู้ว่าเงินที่ได้คือค่าตัวที่เขาจ่ายเพื่อใช้ไล่กลับ



“แล้วทำไมจะไม่ได้ ฉันได้ตัวเธอเเละเธอก็ได้เงินฉัน” เขาชี้หน้าพร้อมเพิ่มระดับเสียงข่ม “รีบออกไปก่อนที่เธอจะไม่ได้อะไรจากฉันสักอย่างเดียว”

เจ้าหล่อนเเสดงอาการฟึดฟัดใหญ่โต เดินกระเเทกเท้าปึงปังออกจากห้อง ในอกร้อนรุ่นไปด้วยความโกรธเคือง แต่ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อเธอรู้ดีว่าคำพูดของผู้ชายคนนี้เด็ดขาดเพียงใด นึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่เป็นได้เเค่คู่นอนชั่วคราวไม่ใช่ตัวจริง






เสียงกดแป้นพิมพ์ดังขึ้นในห้องสี่เหลี่ยม บุญตื่นตั้งเเต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เพื่อมานั่งพิมพ์งานที่ค้างต่อให้เสร็จ เริ่มรู้สึกปวดหลังเนื่องจากนัั่งเเช่นานอยู่หลายชั่วโมง เเต่ก็ไม่ยอมหยุดพัก ยังคงปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำงานเสร็จครบหมดทุกอย่างโดยที่ใช้เวลาไปถึงสี่ชั่วโมงเต็ม

ครั้นจะกดปิดโน๊ตบุ๊ค เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

บุญหันไปตามเสียงเคาะ...ไม่ได้เเปลกใจ...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนๆ นั้น

“บุญเปิดประตู”

ร่างเล็กโคลงหัว ให้รอนิดรอหน่อยยังจะใจร้อนมาเร่งกันอีก เจ้าของห้องลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้คนด้านนอก เพียงเเค่ประตูอ้ากว้างคนตัวสูงกว่าก็เบียดตัวเข้ามาในห้อง ก่อนผลักปิดจนเกิดเสียงดังปัง บุญสะดุ้งตกใจปากกำลังจะถาม ทว่าใครอีกคนไวกว่า

“โทรศัพท์อยู่ไหน”

กายใหญ่จ้องหน้าอย่างกดดัน ยิ่งทำให้ใครอีกคนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกได้เเต่ยืนเงอะงะ



“พี่ถามว่าโทรศัพท์เราอยู่ไหน”

คราวนี้ถึงขั้นตะคอกเสียงดังจนบุญสะดุ้งอีกครั้ง สายตากวาดมองรอบด้านเพื่อหาโทรศัพท์ พลันฉุกนึกขึ้นมาได้ว่าอยู่ในกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่เมื่อวานก็รีบก้าวจ้ำๆ ไปในห้องนอน กำลังจะก้มไปหยิบกลับคว้าได้เพียงลม เพราะคนที่เดินตามหลังมาชิงหยิบเอาไปได้ก่อน

ครามกดใส่รหัสผ่านทำเหมือนมันเป็นของตัวเอง ก่อนหันหน้าจอสี่เหลี่ยมมาทางเขา

“ช่วยตอบพี่หน่อยว่าเรามีโทรศัพท์ไว้ทำไม”

เขาตาโตตอนเห็นสายที่ไม่ได้รับอยู่สามสิบกว่าสาย หายคาใจจนกระจ่างชัดทุกสิ่ง รู้เเล้วว่าทำไมครามถึงโผล่มาที่ห้องในวันที่เขาไม่มีเรียนรวมถึงยังโมโหใส่

“ผมปิดเสียงตั้งเเต่เมื่อวานเเล้วลืมเปิด อีกอย่างผมก็ทำรายงานอยู่จึงไม่มีเวลาเช็กโทรศัพท์ด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะเมินสายของครามนะ”

บอกตามความจริงไม่ได้โกหก ปกติตอนเรียนจะชอบปิดเสียงไว้ แต่พอเห็นข้อความจากครามที่ส่งมาเมื่อวาน เขาก็ไม่ได้ยุ่งกับมือถืออีกเลย จำได้เเค่ว่าตัวเองเดินอยู่ริมถนนเเบบเรื่อยเปื่อยเเล้วเเวะกินข้าวเย็นตรงร้านหน้าปากซอย ครั้นกลับถึงห้องก็อาบน้ำนอน ตื่นขึ้นมาก็มัวหมกมุ่นอยู่กับงานลูกเดียว นั่นจึงทำให้ไม่รู้ว่ามีคนโกรธจนตามมาหาถึงที่ เพียงเเค่เขาไม่รับโทรศัพท์

“อย่าให้มีครั้งหน้า”



“อือ”



“อย่าทำให้เป็นห่วง” ครามเสียงอ่อนลง ใช้สองมือประคองใบหน้าขาวให้หันมามองกัน สารภาพเลยว่าตอนที่โทรไปแล้วไม่มีคนรับ เขาร้อนรนเเทบอยู่ไม่เป็นสุข ทั้งกังวลทั้งกลัวปะปนมั่วไปหมด กลัวจะเกิดอันตรายขึ้นกับอีกฝ่ายตอนเขาไม่ได้อยู่ด้วย...รวมไปถึง

กลัวว่าบุญอาจหนีกันไป

“จะทำอะไรก็ทำ”

หอมเเก้มใสฟอดหนึ่ง เเล้วผละตัวออกมานั่งบนโซฟา เขาไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เจ้าของเพราะยังต้องไล่อ่านข้อความส่วนตัวที่คนตัวเล็กใช้คุยกับเพื่อนต่อ กดเช็กทั้งไลน์รวมถึงเบอร์แปลกที่ไม่รู้จักเเบบละเอียดยิบ

“ไม่กลับเหรอ”

ตาคมหันมองยังต้นเสียงที่กำลังเก็บข้าวของบนเตียงให้เข้าที่เข้าทาง ปากถามเขา ทว่ามือเอาแต่ก้มเก็บชีสงานที่กองระเนระนาดใส่แฟ้ม ก่อนเอาไปวางไว้บนชั้นเก็บเอกสารจนเป็นระเบียบ เดินกลับมาพับผ้าห่มและปัดไรฝุ่นออกจากเตียง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่จนเสร็จเรียบร้อย

หึ..เป็นแมวที่เนี้ยบจริงๆ

“ไม่”

บุญเเอบบึนปาก ไม่ตอบพรุ่งนี้เลยล่ะ...

ทางด้านอีกคนได้เเต่กลั้นยิ้ม เพราะทันเห็นสีหน้าของไอ้ตัวเล็ก คงคิดว่าเขาไม่เห็นถึงกล้าทำ ไม่รอช้ากดเปิดกล้องหลังเพราะอยากจะถ่ายอิริยาบทต่างๆ ของอีกคนเก็บไว้ดูเล่น ทว่าไม่ทันได้ถ่ายสักภาพที จู่ๆ ตัวจริงก็ก้าวดุ่มๆ มายืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า

“ครามวันนี้วันเสาร์”



“พี่รู้”



“มันตรงกับวันหยุด”



“เรื่องนี้พี่ก็รู้”



“ครามบอกว่าวันเสาร์เป็นวันส่วนตัวของผม เเละวันนี้ก็ต้องเป็นวันหยุดของผมนะ”



“เปลี่ยนเป็นวันของเราวันนึง”



"คราม"

บุญเม้มปากเป็นเส้นตรง สองมือบีบเข้าหากัน ยืนเงียบไปเเป๊บนึงก่อนหุนหันเดินเลี่ยงไปอีกด้านโดยไม่พูดไม่จา มือคว้าผ้าเช็ดตัวมาหนึ่งผืนเเล้วก้าวฉับๆ เข้าห้องน้ำ ไม่วายกระเเทกปิดประตูเเรงๆ ให้เกิดเสียงดังก้อง ทิ้งให้คนมองตามได้เเต่หัวเราะไปกับอาการเเสนงอนนั่น

งอนเขา เเต่ก็ไม่กล้าเถียงเขากลับ ทำได้เเค่หนีไปอาบน้ำ

ครามก้มอ่านข้อความในไลน์ของคนในห้องน้ำไปเรื่อยๆ พอไม่เจอสิ่งผิดปกติก็เบาใจ วางมือจากการตรวจเช็กเเล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา

ดวงตาสีดำขลับกวาดมองทั่วห้องนอนที่ตกเเต่งสไตล์มินิมอที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะเพราะห้องไม่ได้กว้างใหญ่ เเต่ก็ไม่ได้คับเเคบจนน่าอึดอัดสำหรับการอยู่คนเดียว ทีเเรกพ่อของเขาอยากให้พวกเราสองคนอยู่ด้วยกันที่คอนโด...เเต่บุญค้านหัวชนฝา ไม่ยอมท่าเดียว อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย บอกว่ากลัวเขาจะอึดอัด อยากให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวบ้างล่ะ ทั้งยังมีหน้าจะขอไปอยู่หอในรวมกับคนอื่นๆ อีก ซึ่งเขาไม่มีทางยอม เเละพ่อเขาก็ไม่เห็นด้วย กลายเป็นว่าสรุปเลยต้องหาอพาร์ตเมนต์ที่ดีที่สุดเเละอยู่ใกล้ๆ มหาลัยให้บุญอยู่เเทน

ครามหยุดสายตาไว้ที่ภาพถ่ายใบหนึ่ง ค่อยๆ ผลุดลุกเดินเข้าไปใกล้ อันที่จริงที่เขาเลือกเรียนบริหารธุรกิจมีเหตุผลเดียวคือต้องรับช่วงต่อจากพ่อในเรื่องของกิจการที่บ้าน ต่างจากใครบางคนที่เรียนสถาปัตย์เพราะชอบถ่ายภาพ ชอบวาดรูปเเถมยังวาดเก่งมากๆ อีกด้วย บุญหลงใหลศิลปะเกือบทุกเเขนง ทำให้ตามฝาผนังสีครีมล้วนประดับไปด้วยรูปภาพที่ถ่ายจากกล้องโพลารอยด์เกือบสิบใบหรืออาจจะมากกว่านั้น ส่วนใหญ่เจ้าตัวจะเน้นถ่ายท้องฟ้าไม่ก็พวกดอกไม้ เเต่กลับมีภาพถ่ายใบหนึ่งที่เเตกต่างจากทุกใบ

เพราะมันคือภาพตอนที่เขาใส่ชุดนักเรียนมอปลายในวันจบการศึกษาชั้นมอหก เขาจำได้ว่าวันนั้นตัวเองยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอยิ้มกว้างๆ นะ”

“ไม่ได้เดี๋ยวตีนกาขึ้น”

“พี่ยังเด็กอยู่เลย ไม่ขึ้นหรอกน่า”

“แล้วจะถ่ายไปทำไม”

“เอาไว้ดูก่อนนอนจะได้หลับฝันดี” 


เรื่องราวที่อบอวลไปด้วยความสุขแวบเข้ามาในหัวจนเขาเผลอยิ้มออกมา มือกำลังจะดึงภาพใบนั้นออกมาดูใกล้ๆ กลับทำไม่ทันเมื่อมีเสียงหนึ่งแทรกห้ามไว้ก่อน

“อย่าดึงออก”



“พี่เเค่ขอดูเอง”



"ดูก็ดูเเค่ตาสิ ไม่เห็นจะต้องดึงออกมาเลย"



"อย่าลืมว่าภาพนี้พี่เป็นนายเเบบนะ พี่ควรมีสิทธิ์จะทำอะไรกับรูปก็ได้"



“แต่ผมเป็นคนถ่ายเเละมันก็เป็นของๆ ผม ครามห้ามยุ่ง”



“เดี๋ยวให้ถ่ายใหม่ ภาพนี้พี่ขอละกัน”



"ไม่ให้ก็คือไม่ให้ ครามอยากได้ก็ไปให้คนอื่นถ่ายให้เองสิ อย่ามายุ่งกับของๆ ผม"

บุญเตือนนิ่งๆ ทำเป็นมองไม่เห็นคนที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ ร่างบางที่มีเพียงผ้าขนหนูคลุมสะโพกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเเล้วคว้าเสื้อยืดสีขาวออกจากไม้เเขวน เเต่มีมือดีถือวิสาสะยัดกลับเข้าไป

“ไม่ให้ใส่ตัวนี้” ครามเข้ามายืนประชิดด้านหลัง ดึงเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนมาให้คนตัวเล็กสวมเเทนตัวเมื่อกี้ “ใส่ตัวนี้”



“ครามออกไปรอข้างนอกก่อน”



“พูดว่าไรนะพี่ไม่ได้ยิน” ร่างสูงทำเป็นไม่ได้ยินเเต่กลับก้มสูดกลิ่นผิวเนื้อหอมเเถวลาดไหล่ขาว



“บอกว่าให้ออกไปก่อน ผมจะเเต่งตัว”



“กล้าไล่พี่เเล้วเหรอเดี๋ยวนี้”



“ไม่ได้ไล่ แค่ขอให้ทำตาม”



“หึ ไม่ไปยุ่งอยู่”

คำว่ายุ่งของครามคือการแต่งตัวให้กับตุ๊กตาตัวน้อย เขาจับให้อีกคนหันมาเผชิญหน้ากัน ดึงผ้าขนหนูให้หลุดลงบนพื้น ดวงตาสีดำจับจ้องร่างนุ่มนิ่มด้วยสายตาเป็นประกาย กวาดมองตั้งเเต่ลำคอไล่ลงมาจนถึงขาอ่อนขาวเนียวที่มีรอยตีตราอยู่ทั่วผิวขาวของคนตัวเล็ก

ฝีมือทั้งหมดเขาเป็นคนทำ...เเละเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์เเตะต้อง

“แก้มแดงนี่เขินหรือว่าอาย”



“คราม!”

เขาหลุดขำเมื่อเห็นเเก้มที่เเดงขึ้นสีระเรื่อชวนน่ามอง บุญเป็นเด็กขี้อาย ถึงจะเเก้ผ้าต่อหน้ากันอยู่หลายครั้งเเต่ก็ยังไม่เลิกอายเขาอยู่ดี...ซึ่งเขาดันชอบมองปฏิกิริยาน่ารักๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่เคยนึกเบื่อเลยสักครั้ง

“พี่เห็นเรามาหมดเเล้วน่าจะอายทำไม เอ๊ะ..หรือว่าเขิน”



“ไม่ใช่ทั้งสอง”



“โกหกเก่ง”



“ใส่กางเกงให้ได้แล้ว”

ครามมองหน้าคนที่กำลังกลบเกลื่อนความเขินด้วยการพาเปลี่ยนเรื่อง ปากพูดได้แต่ร่างกายกลับสวนทางกันลิบลับ หน้าแดงลามถึงใบหูยังไม่ยอมรับ..ครามเลิกเเกล้งยอมติดกระดุมให้ครบทุกเม็ด ก่อนจะหยิบกางเกงยีนส์สีซีดรวมถึงชั้นในมาไว้ในมือแล้วย่อตัวนั่งลงจนเข่าติดพื้น เพื่อให้ไอ้ตัวเล็กหย่อนขาเข้ามาใส่ได้ง่าย มือเรียวจับไหล่กว้างไว้ตามสัญชาตญาณ

“เดี๋ยวเเวะไปตัดผมด้วย” มองบุญที่อยู่ในชุดที่เขาเลือกให้ด้วยความพอใจ มือลูบเส้นผมนุ่มที่ยาวรดต้นคอ รวมถึงผมด้านหน้าก็ยาวจนแทบจะทิ่มตาเรียวสวยอยู่รอมร่อ

“ไม่เอา ค่อยตัดวันหลัง”



“ตามใจ...เเล้วเมื่อวานนอนกี่โมง”



“สามทุ่ม”



“นึกว่าจะนอนไม่หลับเพราะไม่มีพี่ให้กอดซะอีก”

บุญชะงักขณะก้มลงผูกเชือกรองเท้า ไม่ได้เเย้งเเต่ก็ไม่อยากยอมรับ ปล่อยให้คนตัวสูงคิดเองเออเองไปคนเดียว

“ครามจะพาไปไหน”

โดนลากออกจากห้องโดยมีคนเผด็จการยึดคีย์การ์ดไปใส่ในมือของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

“กินข้าว”






เวลาเกือบเที่ยงตรงกับอาหารมื้อแรกของทั้งสองคน

เมนูขึ้นชื่อของทางร้านถูกมายกเสิร์ฟวางเรียงตรงหน้า บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่เขาไม่ค่อยจะโปรดมันสักเท่าไหร่ แต่พอทองได้ร้องประท้วงแล้วล่ะก็ อะไรเขาก็กินได้ไม่เกี่ยงว่ามันจะมีรสชาติยังไง

“เขี่ยผักออกอีกแล้ว”

ขอยกเว้นจำพวกผักสีเขียวเพราะมันไม่ถูกปากเขาจริงๆ มีครั้งหนึ่งเคยฝืนกินจนถึงกับสำลักออกมา ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็คงดูออก ถึงได้เอื้อมมือมาตักใบคะน้าในจานเขาไปใส่ในจานตัวเอง

แลกกับการต้องนั่งฟังเสียงบ่นอีกตามเคย

“ลองกินทีละน้อยก่อนเเล้วค่อยเพิ่มเรื่อยๆ”



“มันขม”



“เราแค่ไม่ชอบ ก็เลยอคติไปเองว่ามันไม่อร่อยอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ ผอมแห้งแรงน้อยไม่ต่างจากคนขาดสารอาหาร”



“ครามพูดเกินจริง”



“ไม่ได้พูดเกินจริง เพราะมันคือความจริง เอ้ากินนี้ด้วย”

ปากบ่นเรื่องไม่กินผัก แต่เลือกที่จะคีบเนื้อหมูชิ้นโตมาให้เขากิน เห็นแบบนี้ก็ต้องเม้มปากแน่น ไม่อยากหลุดยิ้มให้อีกฝ่ายเห็น บุญตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวเงียบๆ มีบ้างที่เหลือบตามองร่างสูงเป็นระยะ กระทั่งสังเกตเห็นแขนของครามกำลังจะชนเข้ากับแก้วน้ำที่ตั้งอยู่ตรงขอบโต๊ะอย่างจัง บุญรีบวางซ้อนส้อมลง ยืดแขนไปคว้าแก้วทรงหรูที่เกือบจะร่วงตกลงไปที่พื้นหากจับไว้ไม่ทัน

“ไม่ระวัง” ร่างเล็กพรูลมหายใจโล่งอก สลับกับคนก่อเหตุที่ไม่มีทีท่าจะใส่ใจด้วยซ้ำ



“โทษทีพี่ไม่ทันมอง”

ครามว่าส่งๆ ชายหนุ่มทำเหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น



“ดีที่แก้วไม่แตก”



“ก็เราจับไว้ทัน มันจะแตกได้ไง”



“แล้วถ้า..”



“เงียบก่อนมีคนโทรมา”

นัยน์ตาคู่สวยคอยจับจ้องร่างที่กำลังคุยสายอยู่กับคนอื่น ครามไม่ใช่คนซุ่มซ่าม แต่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยย่อมเกิดขึ้นได้เสมอหากไม่ทันระวังให้ดี ค่าเสียหายไม่กี่บาทคงไม่ทำให้จำนวนเงินในบัตรเครดิตของผู้ชายคนนี้สั่นสะเทือนได้หรอก

ของตกแตกเป็นเเค่เรื่องรอง เขาเเค่ไม่อยากให้น้ำหกเลอะชุดครามต่างหาก

ความเป็นห่วงที่ถูกเมิน

“กูไม่ได้อยู่ห้อง กูพาบุญมากินข้าวข้างนอก” เสียงห้าวลอยเข้ามาในโสตประสาท ไม่ได้อยากเสียมารยาท หากไม่มีชื่อตัวเองหลุดออกมาจากบทสนทนา เขาจับใจความอะไรไม่ได้เยอะรู้นัก รู้เเค่ว่าครามต้องถูกใครสักคนโทรตามให้ไปที่ไหนสักที่ “ไหนมึงบอกเกือบเสร็จแล้ว เออๆ เดี๋ยวกูเข้าไป”

“เดี๋ยวเเวะไปบ้านเพื่อนพี่ก่อน” หลังวางสายก็หันมาถามเขา



“บ้านใคร?”



“ไอ้ว่าน”



“ผมต้องไปด้วยเหรอ”



“ใช่ แต่ไปไม่นานหรอก”

บุญเงียบไปอึดใจ ก่อนจะทำใจกล้าขอร้องอีกคนเผื่อมันจะได้ผล



“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้”

เขาบอกทางอ้อม ไม่กล้าเอ่ยตรงๆ

เเค่รู้ว่าต้องไปบ้านพี่ว่าน...ก็ไม่อยากไปด้วยเเล้ว



“อย่าเรื่องเยอะได้มั้ย ก็บอกอยู่ว่าไปแป๊ปเดียว”

ร่างสูงเอ็ด เเววตาฉุนจัด เขาจึงได้เเต่ก้มหน้าตักอาหารเข้าปากเงียบๆ หลังจากจัดการกับค่าอาหารเสร็จสรรพ ครามก็ขับรถมุ่งหน้าพามาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่ โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที ด้วยระยะทางที่อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารที่ออกมาเท่าไหร่นัก

ครามบีบแตรสั้นๆ สักพักก็มีร่างสูงโปร่งของใครบางคนกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกมาทำหน้าที่เปิดประตูรั้วให้

“มาแล้วๆ”

เขาเผลอกลั้นหายใจยามเห็นคนๆ นั้น มือเล็กปลดเข็มขัดนิรภัยช้าๆ ไม่อยากรีบลงไป ใจอยากอยู่รอในรถด้วยซ้ำ

“ลงมาได้แล้ว” แต่คงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อครามเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เรียบร้อย บุญต้องจำใจก้าวขาลงจากรถ พลันสายตาดันหันไปสบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งด้วยความบังเอิญ

ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เราสองคนเผลอสบตากัน…

เขาไม่สนิทกับเพื่อนของครามเลยสักคนเดียว ไม่เคยคุยกันเพราะเขาเข้ากับคนยากหรืออาจจะเป็นเพราะทางฝั่งนั้นไม่ได้อยากรู้จักหรืออยากจะข้องแวะกับเขาด้วย

ซึ่งมันดีแล้ว

“มาเร็วดีว่ะ” พี่ว่านละสายตาจากเขา หันหน้าไปคุยกับครามที่ยืนอยู่ข้างๆ แทน



“กูอยู่แถวนี้พอดี ไหนล่ะ..ที่มึงจะให้กูช่วย”



“กูอยากให้มึงช่วยวิเคราห์แบบให้กูใหม่ที กูแก้จนปวดหัวแล้ว”



“ทีตอนแรกบอกกูว่าง่าย”



“เออน่า ได้มึงงานกูก็รอด”

น่าจะเป็นเรื่องเรียน

บุญรู้สึกตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางชอบกล คอยยืนมองคนสองคนคุยกันโดยที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับใครเขาเลยก่อนสายตาจะมองเห็นแปลงกุหลาบสีแดงที่เจ้าของบ้านปลูกไว้ คงดูแลเอาใจใส่มากถึงได้ผลิดอกสวยงามขนาดนั้นและส่วนตัวเป็นคนชอบดอกกุหลาบอยู่แล้วด้วยจึงอยากเข้าไปชมใกล้ๆ ทว่าครามกลับจับมือให้เดินตามเข้าไปในบ้านหลังใหญ่เสียก่อน

“นั่งรอพี่ตรงนี้”

ครามสั่งให้ร่างขาวนั่งรอบนโซฟาในห้องรับแขก จากนั้นก็ก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบนที่ห้องนอนของคนที่โทรเรียกเขามา ไอ้ว่านไม่ได้เอาโน้ตบุ๊คลงมาด้วย กลายเป็นว่าเขาต้องเสียเวลาขึ้นไปเเก้งานให้มันถึงบนห้อง

บุญนั่งลงบนโซฟาสีน้ำทะเล มองแผ่นหลังกว้างจนลับสายตาแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ

ทำไมต้องพาเขามาด้วยก็ไม่รู้

ใช้สายตามองสำรวจไปรอบๆ เพราะไม่มีอะไรให้ทำ ภายในบ้านถูกตกเเต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นเรียบหรู อีกทั้งพวกเฟอร์นิเจอร์ก็เลือกใช้โทนสีอบอุ่นจึงทำให้ดูเรียบสงบ ส่วนด้านนอกจะเป็นสวนเล็กๆ ที่มีมวลหมู่พืชสีเขียวรายล้อมยิ่งช่วยให้บ้านหลังนี้ดูร่มรื่นและน่าอยู่มากๆ มองดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อยจนไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าของบ้านที่เพึ่งเดินออกมาทางห้องครัว

“ดื่มน้ำก่อนไหม”

บุญเลิ่กลั่กที่เห็นคนตรงหน้า แต่ก็ยื่นมือไปรับแก้วน้ำส้มมาถือ พยามไม่หันมองร่างสูงกว่า

“ร้อนหรือเปล่า” ว่านชวนคุยพลางเอื้อมไปหยิบรีโมทแอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกมากดปุ่มเร่งความเย็น วันนี้วันหยุดพวกแม่บ้านจึงไม่ได้มาทำงานเลยมีแค่เขาคนเดียวที่อยู่บ้าน

“ผมหนาว”

คำตอบของคนตัวเล็กกับไหล่ที่ลู่ลง ทำให้ว่านเปลี่ยนอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศแทบไม่ทัน กดเพิ่มให้เป็นยี่สิบห้าองศาตามความต้องการของใครอีกคน

“ชอบไหม”

บุญตัวเกร็งเมื่อพี่ว่านนั่งลงข้างๆ ดูออกว่าพี่ว่านอยากทำให้บรรยากาศผ่อนคลายด้วยการชวนเขาคุย แต่เขาก็ยังอดรู้สึกประหม่าไม่ได้จริงๆ

ประม่า กังวล อึดอัดปะปนมั่วไปหมดเมื่อนั่งใกล้คนๆ นี้

“ไม่ชอบหรอถึงไม่ตอบ”

เขาเลิกคิ้วไม่เข้าใจคำถาม ครั้นมองตามสายตาพี่ว่านที่กำลังจับจ้องไปทางแจกันใบสวยที่วางอยู่ตรงหน้าโดยมีดอกกุหลาบสีแดงสดปักไว้ก็ถึงบางอ้อ

“ชอบครับ”

ตอบเเบบไม่โกหก กุหลาบเป็นดอกไม้โปรดของเขา ยิ่งสีแดงเขายิ่งชอบมากเป็นพิเศษ

“ดีใจที่ชอบดอกไม้ของพี่”

พี่ว่านพูดด้วยสำเสียงราบเรียบ ก่อนนั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับเขาที่นั่งหลังตรง ได้เเต่มองดอกกุหลาบในเเจกัน เเม้พี่ว่านจะเงียบ ทว่าเขารับรู้ตลอดว่าหนุ่มรุ่นพี่ลอบมองเขาอยู่

หากให้คะแนนความอึดอัดได้ เขาจะให้เต็มร้อย

“อยากขึ้นไปหาไอ้ครามมั้ย”

สุดท้ายพี่ว่านก็ชวนเขาคุยอีกครั้ง

“ไม่ครับ ครามให้รอข้างล่าง” ตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เผลอมุ่นหัวคิ้วกับคำถามนั่น หากแปลไทยเป็นไทยนั่นหมายความว่าเขาทำตัวติดครามจนห่างกันนานๆ ไม่ได้

“เป็นเด็กดีเชื่อฟังไอ้ครามทุกอย่างจริงๆ สินะ”


“ไม่ใช่ ผมแค่ไม่อยากรบกวน”




ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ว่านเว้นจังหวะพูด มุมปากกระตุกยิ้ม

“แต่เราก็คงอยากเป็นเด็กดีในสายตาของมันอยู่ดีใช่ไหม อย่าลืมนะว่าความดีมันแลกความรักไม่ได้”

คนตัวเล็กใบ้กิน หันไปมองใบหน้าหล่อที่มีรอยยิ้มร้ายปรากฏเเต่งเเต้ม

“พี่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย” ว่านหัวเราะเต็มเสียง ทำเหมือนไม่ได้ปล่อยประโยคลึกลับออกมา “อย่าทำหน้างั้นดิ เดี๋ยวพี่ก็โดนไอ้ครามเล่นงานหรอก”

เขาคงทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นแน่ ไม่อยากเดามั่วซั่ว ไม่อยากคิดไปเอง คำพูดพี่ว่านกำลังทำให้เขารู้สึกไม่ดีเอามากๆ พยายามท่องไว้ว่าเขาไม่ได้รู้จักเราดี เราไม่สนิทกัน อย่าไปใส่ใจ

“ไอ้ว่านเดี๋ยวมึงขึ้นไปเคลียร์ต่อเลย กูทำแค่ส่วนที่ยากให้”

เสียงห้าวดังมาจากชั้นบนเหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิต ความอึดอัดสลายหายไปขณะความรู้สึกดีใจเข้ามาเเทรก

ดีใจจนรีบลุกขึ้นยืน

เพียงแต่…

“เดี๋ยวก่อน”

รอบเอวถูกวงแขนใหญ่รวบตัวให้ตกอยู่ในอ้อมกอด บุญตกใจ รีบดันตัวออกมาจากคนฉวยโอกาสอย่างรวดเร็ว เเต่เหมือนพี่ว่านจะไม่ยอมปล่อย

หูคอยฟังเสียงย่ำพื้นที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาด้วยหัวใจเต้นระส่ำ ฝ่ามือชื้นเหงื่อ ไม่รู้เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่พื้นที่บ้านหลังนี้ใหญ่มากจนต้องสร้างบันไดหลายสิบขั้น จนมันทำให้ครามเดินลงมาถึงช้า

“แค่กอดเอง” ว่านกระซิบพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น



“พี่ทำบ้าอะไร”



“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิ หรืออยากให้ไอ้ครามเห็นเรากำลังกอดกัน” ว่านถามยียวน ไม่วายพ่นลมหายใจรดหลังต้นคอขาว เเล้วก้มหน้าลงขู่เสียงแผ่วให้ได้ยินกันเพียงสองคน “อย่าลืมว่าพี่กับมันเป็นเพื่อนกัน”

ว่านยิ้มพราว ก้มลงหอมเเก้มร่างเล็ก ก่อนยืนขึ้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันไปทางเพื่อนสนิทที่เพึ่งจะลงมาถึง หางตาเหลือบมองท่าทีลนลานของคนเด็กกว่าด้วยเเววตาขบขัน มุมปากยกยิ้มพอใจ

นี่เเค่เริ่มต้นเท่านั้น



“ขอบใจมากที่ช่วยให้กูมีงานทันส่งอาจารย์”

“เหอะ กูกลับก่อนล่ะมีไรก็โทรมาละกัน”

ร่างสูงใหญ๋บอกส่งๆ ขณะสาวเท้าไปยังริมประตู เเปลกใจเล็กน้อยที่ไอ้ตัวเล็กย้ายมายืนตรงนี้ เเถมยังจ้องหน้าเขาไม่วางตาอีก คล้ายเป็นการเร่งให้เขาเดินไปหาเร็วๆ

“เป็นอะไร”



“อยากกลับแล้ว”

ครามไม่นึกเอะใจกับคำพูดของคนตัวบาง คิดตื้นๆ ไปเองว่าบุญคงเบื่อที่ต้องมานั่งรออะไรนานๆ เอื้อมไปกุมมือนุ่มไว้เเล้วพาเดินมาที่รถ เปิดประตูให้เข้าไปนั่งประจำที่

"คาดเข็มขัดด้วย”



“กลับเลยนะคราม”



“ได้ แต่วันนี้ต้องนอนห้องพี่”

คนฟังพยักหน้าเข้าใจ บุญเหนื่อยจนอยากพัก

ไม่ใช่เหนื่อยกาย มันคือเหนื่อยใจ

เหนื่อยกับที่ต้องคอยเผชิญเรื่องราวบ้าๆ อยู่ตลอด

“ลืมบอก พรุ่งนี้ต้องเข้าสวนแต่เช้า” สตาร์ทรถพร้อมเอ่ยย้ำรอบที่สอง “ได้ยินที่พี่พูดมั้ย”



“ผม..ไม่อยากไป”

ชายหนุ่มเหลือบมอง ก่อนหันมองข้างหลังเเละถอยรถออกจากที่จอด มือยังจับพวงมาลัยอยู่ตลอด

“ทำไม”



“ไม่อยากไป”



“บุญ”

ครามคิ้วกระตุกเมื่อใครบางคนเริ่มพูดไม่เข้าหูหรือเรียกอีกอย่างว่าอาการเอาเเต่ใจตัวเอง



“ผมเหนื่อย” บุญอธิบายเพิ่มให้เข้าใจ ด้วยร่างกายที่อ่อนล้าเนื่องจากเวลาพักผ่อนค่อนข้างน้อย เเล้วต้องเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ก็ยิ่งไม่อยากไป

"ขอไม่ไปได้ไหม"



“ปกติเราไม่เป็นแบบนี้”



“ขอแค่ครั้งเดียวนะคราม ผมปวดหัวด้วย”



“ต้องไป อย่าลืมว่าพี่เคยบอกว่าอะไร”

บุญจิกเล็บเข้าเนื้อ ก้มหน้ามองพื้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าครามจะต้องใช้คำพูดมาทำร้ายกันอีกเเน่นอน

เเละก็เป็นจริง

ครามทำร้ายกันอีกครั้ง

ครั้งเเล้วครั้งเล่า...


“เราต้องยอม ไม่ใช่ให้เลือก”



Tbc.

ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตอนที่ 4

“เราต้องยอม ไม่ใช่ให้เลือก”

ราวกับโดนหมัดหนักๆ กระแทกเข้าหน้าอย่างจัง คำพูดที่หลุดออกจากปากของครามไม่ต่างจากน้ำกรดที่กัดกร่อนหัวใจเขาให้แย่ลงเข้าไปทุกที

แย่ลง..จนกลายเป็นอาการสาหัส

ครามชอบใช้ถ้อยคำมาทำร้ายจิตใจคน ไม่เคยเเคร์เลยว่าคนฟังจะรู้สึกเเย่

“พี่ไม่ชอบเด็กดื้อ อย่าให้ต้องย้ำหลายรอบ” ร่างสูงผ่อนหายใจหน่ายๆ ก่อนเบนความสนใจไปใช้กับการขับรถ

วินาทีที่รถเคลื่อนออกนอกรั้ว บุญลอบชำเลืองมองไปยังแปลงดอกไม้สีสวยเป็นครั้งสุดท้าย

ยังไม่ลืมสิ่งที่พี่ว่านกระซิบบอก สีหน้าจริงจัง ถ้อยคำกล่าวเตือน ทุกอย่างที่เป็นพี่ว่านแวบเข้ามาในหัวเขาหมด

เจ้าของดอกกุหลาบต้องการอะไรจากเขาหนอ

…ต่างคนต่างอยู่มันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ…

บุญผินหน้าออกนอกหน้าต่าง รู้สึกอ่อนเพลียกะทันหันยามอยู่กับคราม เมื่อไหร่ที่ครามเริ่มพูดย้ำให้ฟังบ่อยขึ้น นั่นแสดงว่าครามกำลังไม่พอใจ

ครามชอบคนว่าง่าย ชอบคนเชื่อฟัง ชอบคนเอาใจ...ไม่ชอบให้ใครมาเถียง ไม่ชอบให้ใครขึ้นเสียงใส่หรือบังคับ สลับกันครามกลับเลือกทำในสิ่งที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ชอบนักหนามาใช้กับเขาแทน

“จะกลับไปเอากล้องไหม”

เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากที่พวกเขาต่างเงียบใส่กันได้ไม่นาน เขาปฏิเสธ ถึงจะชอบถ่ายรูปก็จริง ทว่ามันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะทางอารมณ์ด้วย หากไม่อยากถ่าย ถ่ายยังไงก็ออกมาไม่สวยอยู่ดี

รถทั้งคันเงียบกริบ เขาไม่พูด ครามก็ไม่พูด เราสองคนต่างใช้ความเงียบได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเวลาไปข้างหน้าช้าๆ ให้ต่างฝ่ายได้มีเวลาพักอยู่กับตัวเองบ้าง

จวบจนมาถึงคอนโดที่คนตัวสูงเป็นเจ้าของ เขาไม่ทันปลดเข็มขัดนิรภัย ร่างสูงก็หุนหันลงจากรถไปเสียก่อน นั่นจึงทำให้เขาต้องเร่งทำทุกอย่างเเบบคูณสอง รีบวิ่งกระหืดกระหอบตามเเผ่นหลังกว้างอยู่ไหวๆ ครามเดินนำโดยไม่เเม้เเต่จะหันกลับมามอง กระทั่งวิ่งมาถึงบริเวณทางเข้า ประตูลิฟท์ก็เปิดกว้างพอดี เขากำลังจะก้าวขาเข้าไปด้านในชะงักกึก

ครามรั้งข้อมือของเขาไว้

“คนเยอะ” ครามว่า พร้อมจูงมือนิ่มให้ถอยออกมายืนรอ แม้ความจริงคำว่าคนเยอะของร่างสูงจะหมายถึงสี่ห้าคนก็ตาม

ไม่นานลิฟท์อีกตัวก็เปิดอีกรอบ คราวนี้ไม่มีคนอื่นตามเข้ามาด้วย มีเพียงพวกเขาเท่านั้น ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟท์หรือระหว่างทางเดิน ไม่มีสักเสี้ยวนาทีที่ฝ่ามือทั้งสองคนจะแยกห่างกัน จวบจนเข้ามาในห้องพัก ครามจึงยอมปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ

สิ่งแรกที่บุญทำคือถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นวาง ก่อนเดินดุ่มๆ ไปล้มตัวนอนแผ่บนเตียงใหญ่

“ง่วง?”



“อือ”

ครามมองตาปรอยๆ ที่ฉายความง่วงเต็มแก่ก็ไม่ถามต่อ ร่างกำยำถอดเสื้อยืดออกให้เหลือแค่กางเกงยีนส์ขายาวติดกาย เดินไปดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เเล้วก้าวพรวดขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงข้างคนตัวขาว มือข้างหนึ่งไถโทรศัพท์ มืออีกข้างวางแปะลงบนหัวคนข้างๆ

ครามสอดมือเข้าไปขยำเส้นผมนุ่มเล่น เหมือนเเค่ขอให้ได้เเตะต้องร่างกายอีกคนก็เท่านั้น

บุญลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ เขาไล่มองตั้งแต่ตาเรียวที่ประดับด้วยแพขนตายาวเรียงสวย มองลงมายังจมูกโค้งโด่งเป็นสันที่รับกับริมฝีปากรูปกระจับได้อย่างน่ามอง หากใครได้เห็นก็ต้องพากันชื่นชมว่าเป็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ อย่างไร้ที่ติ

เเต่นิสัยอย่าถามถึง…

บุญค่อนแคะในใจก่อนจะต้านทานความง่วงไม่ไหว ปิดสวิตซ์ร่างกายตัวเองไปพร้อมๆ กับสัมผัสเจือจางบนหัว

เพียงหลับตาภาพความทรงจำในอดีตก็เหลั่งใหลเข้ามาให้เห็นเป็นฉากๆ

เรื่องรางในอดีตย้อนเข้ามาให้นึกถึง



ในวันที่เขาอายุครบสิบหกปี

ก้อนเมฆสีอึมครึม หยดน้ำใสร่วงหล่นลงมาจากผืนฟ้าใบใหญ่ แสงแดดสีเหลืองอ่อนดูเลือนรางจนแทบมองไม่เห็น ตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นมอสี่คนนึง ที่มีหน้าที่หลักคือไปเรียนหนังสือ เลิกเรียนก็เดินไปยืนรอรถเมล์กลับบ้าน เพียงแต่วันนี้พิเศษกว่าวันอื่น เพราะเขาไม่ต้องขึ้นไปเบียดเสียดกับผู้คนบนรถเมล์ ในเมื่อแม่บอกตั้งเเต่ตอนเช้าว่าวันนี้จะมารับกลับ

ทว่า ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เขาก็ยังยืนหลบฝนอยู่ข้างๆ ป้อมยาม ยืนจนเมื่อย ครั้นลองโทรหามารดาเกือบสิบครั้งก็ไม่มีคนรับสาย

ละอองฝนกับลมเย็นๆ ลอยเข้ามากระทบผิวเนื้อจนเจ้าตัวปากสั่น พลันหูได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากที่กำลังยืนก้มหน้าดูปลายเท้าตัวเองถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามอง สิ่งแรกที่เห็นคือรถเก๋งสีขาวที่ขับเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบบริเวณฟุตบาท จอดห่างจากบริเวณที่เด็กตัวเล็กห่างเพียงไม่ถึงสิบก้าว

บุญมองปราดเดียวแล้วหันไปอีกทาง ด้วยคิดว่าคงเป็นรถผู้ปกครองของใครสักคน

“บุญ”

หากไม่ได้ยินน้ำเสียงที่รอคอยดังแทรกขึ้นท่ามกลางสายฝน ก็คงไม่หันกลับไปหา

“มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ได้ รีบขึ้นรถเร็วเข้า”

หญิงวัยกลางคนลดกระจกลง กวักมือเรียกให้เด็กน้อยรีบเดินเข้ามา

คนเป็นลูกยิ้มดีใจ รีบยกกระเป๋านักเรียนขึ้นไว้เหนือหัว วิ่งฉับๆ เปิดประตูรถ รีบแทรกกายเข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง

“บุญสวัสดีอาโชคก่อนลูก”

ยังไม่ทันได้พักหายใจน้ำเสียงติดเคร่งก็ดังขึ้น บุญเอากระเป๋ามาวางไว้บนหน้าตัก ไม่ลืมยกมือไหว้ผู้ชายที่นั่งฝั่งคนขับด้วยความนอบน้อม ซึ่งอาโชคก็ส่งยิ้มใจดีมาให้เช่นกัน



“หิวยังลูก” แม่เอี้ยวตัวมาถามเขา



“มากๆ ทำไมแม่มาช้า”

อดน้อยใจแม่ไม่ได้ที่มารับช้า ปล่อยให้ยืนหนาวเกือบชั่วโมง



“อย่างอนแม่เลยคนเก่ง รถแม่สตาร์ทไม่ติดเลยต้องโทรให้อาโชคมารับ อีกอย่างวันนี้ที่อำเภอคนก็เยอะ กว่าจะถึงคิวแม่ก็ปาไปเกือบสองชั่วโมง”

“แม่ไปทำอะไรที่อำเภออ่ะ”

แม่พูดยาว แต่เขาไม่สนใจนอกจากคำว่าอำเภอ แม่ไปทำอะไรที่นั่น?

“จดทะเบียนสมรสกับอา” ครั้งนี้แม่ไม่ได้เป็นคนตอบ อาโชคต่างหากที่ปริปากพูดขึ้น เราสบตากันผ่านกระจกที่ติดอยู่ข้างบน แววตาของชายร่างใหญ่ที่ส่งมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจจนเขาไม่กล้าถามต่อ

“อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีงานแต่งงานเกิดขึ้น”

หัวใจเด็กน้อยแทบจะทะลุออกจากอกยามได้รับข่าวดี การตกใจทำให้เขาได้แต่นั่งเหวอ จนใครอีกคนต้องเอี้ยวตัวมามอง ดวงตาอ่อนโยนที่หล่อนใช้มองลูกชายดูโรยราราวกับกำลังวิตกกังวลอย่างหนัก



“ขอโทษที่แม่ไม่ได้บอกบุญก่อน ลูกโอเคหรือเปล่า ถ้าแม่กับอาโชคจะแต่งงานกัน”

หล่อนหมายจะดึงมือนุ่มมาจับแต่ลูกกลับชักมือหลบ

“บุญ”

น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับใบหน้าหม่นแสงทำให้เขามีสติ นึกตำหนิตัวเองในใจที่เผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อผู้มีพระคุณ ทั้งที่ความจริงแล้วดีใจมากแค่ไหนเมื่อได้ยิน

ดีใจที่แม่จะมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการคิดถึงคนที่ทิ้งไป

บุญไม่ชอบที่ยังจดจำเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ได้ไม่ลืม ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อของเขาเคยทำร้ายร่างกายแม่จนท่านร้องไห้ สุดท้ายเขาไม่เคยลืมวันที่พ่อทอดทิ้งเราสองคนแม่ลูกไว้ข้างหลัง เพื่อไปเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงอีกคน

แอบหวังมาตลอดที่อยากเห็นแม่ได้เริ่มต้นใหม่กับคนที่รักแม่จริงๆ

“อารักแม่ผมจริงๆ ใช่มั้ย”



“บุญ” ท่านปรามเสียงสั่น ดวงตาสองข้างเศร้าโศกจนเขาใจหาย



“ผมแค่อยากรู้..”

ยังพูดไม่ครบ คนถูกถามก็ชิงตอบ

“รักเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะรักได้”

ผู้ชายวัยสี่สิบปลายๆ จรดสายตาบนท้องถนน ปากก็ให้คำมั่นสัญญาต่อเด็กคนหนึ่งไปด้วย

“ความรักที่อามีต่อแม่ของเธอมันมากจนเธอคาดไม่ถึงเลยล่ะ เธอยังเด็กอาจยังไม่เข้าใจความรักในรูปแบบของผู้ใหญ่ แต่อาสัญญาว่าจะไม่มีวันทำให้แม่เธอเสียใจ”

เขาอมยิ้มกับถ้อยคำหวานเชื่อมของผู้ใหญ่ สองปีแล้วที่เขารู้จักอาโชค แม่เป็นคนพามาแนะนำให้รู้จัก ท่านบอกให้เรียกคนๆ นี้ว่าอาโชคและบอกแค่ว่าเป็นเพื่อนเก่าของแม่ที่ไม่ได้พบกันมานาน อาโชคอายุย่างห้าสิบ ทว่ายังคงดูดี ไม่ได้แก่ผมหงอกเต็มหัว อาโชคเป็นผู้ชายใจดีชอบติวการบ้านให้เขาอยู่บ่อยๆ ของกินอร่อยๆ ก็ซื้อมาฝากตลอด แต่ก่อนเขายังไม่เข้าใจอะไรมากนักว่าทำไมอาโชคต้องดีกับพวกเราสองคนมากขนาดนี้ ทั้งที่เป็นแค่เพื่อนของแม่กัน จนมาถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว…เพราะท่านทั้งสองคนรักกัน

อีกอย่างยังเลือกวันจดทะเบียนสมรสได้เหมาะสมสุดๆ

“วันนี้วันเกิดบุญ”

แม่คงงงไม่น้อยที่ จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย



“แม่จำได้” แม่พูดทั้งที่หน้าตายังเต็มไปด้วยความหนักใจ



“บุญชอบของขวัญที่แม่มอบให้นะ”

ไม่ใช่เพียงเขาที่ยิ้มกว้าง แม่ก็ยิ้มกว้างมากเช่นกัน ฝ่ามืออุ่นหยิกแก้มนิ่มเบาๆ คล้ายกำลังมันเขี้ยวกับถ้อยคำของลูกตัวเอง

“แม่อย่าลืมนะว่าวันนี้บุญต้องได้เป่าเค้ก”

ไม่ลืมเอ่ยเตือนคนเป็นแม่



“เนี่ย เดี๋ยวแม่จะพาไปซื้อ”



“เดี๋ยวอาขอแวะรับหลานชายแป๊ปนึงนะ”

อาโชคเลี้ยวเข้าไปในซอยไหนก็ไม่รู้



“ได้ครับ”

บุญเอนตัวพิงพนักเบาะ ท้องเริ่มร้อง ไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากกลับบ้านเร็วๆ เพราะจะได้ฉลองวันเกิดกับคนที่รัก

สักพักใหญ่รถก็หยุดจอดที่ไหนสักแห่ง บุญเอาหน้าพิงขอบกระจก ทอดสายตามองภาพเด็กนักเรียนหลากหลายโรงเรียนที่กรูกันออกมาจากบานประตูเลื่อนที่เปิดค้างไว้ เหลือบอ่านตัวอักษรที่สลักบนป้ายอันใหญ่ก็ถึงบ้างอ้อ..มันคือสถาบันกวดวิชา

“อยู่ไหน รออยู่ข้างหน้าแล้วเนี่ย รีบออกมาล่ะ”

โชคโทรเรียกให้หลานเดินออกมาจากฝูงชนกลุ่มใหญ่ พลางคอยสอดสายตามองหาอยู่ตลอด รอแล้วรอเล่าหลานรักก็ยังไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็น



ก๊อก

เด็กน้อยสะดุ้งหวือเมื่อใครสักคนเดินมาเคาะประตูทางฝั่งที่เขานั่งอยู่

“มาสักที” โชคบ่นลอยๆ ก่อนกดปุ่มปลดล็อคให้ ขณะที่บุญยังไม่ทันได้กระเถิบตัวไปนั่งอีกมุม คนด้านนอกก็ชิงเปิดประตูพรวดเข้ามาข้างในด้วยความรีบร้อน

“บุญกระเถิบให้พี่เขานั่งด้วยลูก”

จังหวะกำลังขยับตัวย้ายที่นั่งโทรศัพท์ที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงดันหล่นตุ๊บลงบนพื้นพรม จะก้มตัวลงไปหยิบกลับมีอีกคนไวกว่าเก็บขึ้นมาก่อน

คนมาช้าไม่พูด นอกจากยื่นมือถือส่งคืนให้เจ้าของ

“ขอบคุณครับ”

บุญขอบคุณตามมารยาท ถอยตัวไปนั่งชิดอีกฝั่ง

หางตาเหลือบเห็นเบาะข้างๆ ยุบลง พลันรู้สึกเกร็งอย่างห้ามไม่ได้ที่ต้องมานั่งใกล้คนที่ไม่รู้จัก

“สวัสดีครับน้าพร”

“สวัสดีจ๊ะ”

เขาเลิกคิ้วยามได้ยินคนข้างๆ เรียกชื่อเล่นของมารดา แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนคงสนิทกันพอสมควร แม่กับครอบครัวอาโชคคงจะเข้ากันได้อย่างดี ในเมื่ออีกไม่นานแม่กับอาโชคก็ต้องกลายเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว



“ทำไมออกมาช้า”

โชคที่อายุมากสุดเลือกทำลายความเงียบในรถ



“รอเพื่อน”

หลานชายตอบแบบขอไปทีเหมือนไม่ค่อยอยากเสวนากับลุงตัวเองสักเท่าไหร่

“แล้วบอกให้ฉันมารับเร็วๆ วันหลังก็นั่งแท็กซี่กลับเองแล้วกัน”



“ถ้าพ่อไม่ยึดรถผมไป ผมก็ไม่ต้องมาขอพึ่งลุงหรอกน่า”



“เหอะ สมน้ำหน้าอยากมัวแต่เที่ยวเตร่เองช่วยไม่ได้”



“มันเรื่องของผมป่ะ แล้วนั่นลุงจะเลี้ยวไปไหนมันไม่ใช่ทางกลับบ้านสักหน่อย”



“ต้องพาน้องไปซื้อเค้กก่อน”

ครามเลิกคิ้ว… มัวเถียงอยู่แต่กับตาลุงขี้บ่น ลืมนึกไปว่าในรถไม่ได้มีกันแค่สามคน ดวงตาคมกล้าหันมองใครอีกคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง

“อายุเท่าไหร่”

น่าจะเหม่อลอย เลยไม่ได้ยินที่เขาถาม



“เด็ก อายุเท่าไหร่”

ครั้งนี้เขาสะกิดแขนยิกๆ และได้ผล คนข้างกายหันมามองนิ่งๆ แต่นัยน์ตากลับดูมีเครื่องหมายคำถามอยู่ในนั้น



“พี่ครามอยากรู้ว่าลูกอายุเท่าไหร่” น้าพรช่วยบอก



“สิบหกครับ”

เด็กตัวขาวอ้อมแอ้มตอบเสียงแผ่ว จู่ๆ ก็รู้สึกประหม่าเมื่อโดนคนไม่รู้จักเข้ามาคุยด้วย



“พี่สิบแปด” ถึงน้องไม่อยากรู้แต่เขาอยากบอก “แสดงว่าเราห่างกันสองปี”

ครามไม่อยากเสวนากับคนขับ เลือกเปลี่ยนทิศทางไปจดจ่ออยู่กับไอ้ตัวเล็กอย่างเดียว

“เล่นบาสเป็นป่ะ”

ใครคนหนึ่งอยากรู้จัก แต่ใครบางคนอยากอยู่เงียบๆ

“พี่ถามก็ตอบดิ”



“ไม่เป็นครับ”

บุญส่ายหน้าปฏิเสธ ใจอยากเร่งอาโชคให้ขับรถเร็วหน่อย อยากเข้าบ้านเเล้ว



“บอลอ่ะ”

ส่ายหน้าครั้งที่สอง



“ปิงปอง”

ครั้งที่สาม



“ว่าละต้องเล่นไม่เป็น”

บุญขมวดคิ้วเป็นปม น้ำเสียงแกมเยาะนั่นเริ่มทำให้เขาไม่ชอบใจ

เเต่จะให้เถียงด้วยก็ผิดนิสัยของเขา ก็เลยเลิกใส่ใจคนพูดมาก หันหน้าไปทางเดิมเป็นการหลีกเลี่ยงการพูดคุย

รู้ว่าอยากชวนคุย เเต่เขาไม่อยากคุย

ทว่าหากเขาตาไม่ฝาด เมื่อกี้ทันเห็นมุมปากอีกคนกระตุกยิ้ม

ในจังหวะนั้น เสียงของแม่ก็ดังขึ้นก่อนตามด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อยๆ ดับลง


“ให้แม่เข้าไปด้วยไหม” แม่ว่า ขณะล้วงหาเงินในกระเป๋าสตางค์สีครีม

ลูกชายส่ายหน้าเป็นพัลวัน จำได้ว่าขาซ้ายแม่ไม่ค่อยจะดี เเถมร้านก็อยู่ตรงหน้าแค่นี้

“งั้นอย่าเลือกนานล่ะ”

แม้ยิ้มพร้อมยื่นเงินมาให้ บุญยกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นหันไปเปิดประตูทางฝั่งตัวเอง ตรงดิ่งเข้าร้านเบเกอรี่เจ้าประจำ เสียงกระดิ่งดังขึ้นหนึ่งไปก้าวยาวๆ ไม่มองขนมประเภทอื่น จดจ้องอยู่แต่โซนขนมเค้ก พี่พนักงานประจำเคาร์เตอร์ฉีกยิ้มหวานต้อนรับ

บุญส่งยิ้มบางๆ ให้เหมือนทุกครั้งที่มา

ในตู้แช่ขนาดใหญ่มีเค้กมากหลากหลายรสชาติ หลากหลายสีสันวางเกลื่อนจนคับตู้ คนอยากกินกวาดมองเค้กเพียงแป๊ปเดียว ด้วยความที่เป็นคนน่าเบื่อ ชอบกินของจำเจเลยไม่เสียเวลาเลือกนาน

“เอาชิ้นนี้ครับ”

ชี้ไปทางเค้กไส้ช็อกโกแลตขนาดหนึ่งปอนด์ ไม่มีการให้พนักงานเขียนข้อความซึ้งๆ บนหน้าเค้กทั้งที่เป็นวันเกิด อาจเขาเพราะไม่ซีเรียสกับเรื่องวันเกิดขนาดนั้น ประเด็กหลักคือแค่อยากกิน สำคัญที่สุดคืออยากฟังคำอวยพรจากปากแม่

เท่านี้ก็พอแล้ว



ถึงเวลาจะจ่ายตัง ดันมีเสียงห้าวที่เพึ่งได้ฟังไม่กี่นาทีลอยผ่านเข้ามาในหู

“ทำไมไม่เอาวานิลลา”

เขาหันขวับ..ไม่นึกว่าจะลงมา

“ผมชอบช็อกโกแลต”
ส่งแบงค์สีเทาให้พี่พนักงาน ทำเป็นไม่สนใจผู้ชายที่ก้าวเข้ามายืนประชิดตรงข้างหลัง


“แต่วานิลลาก็อร่อยมาก”
ในเมื่ออีกฝ่ายยังคงถามจ้อไม่หยุด เขาก็เลี่ยงตอบไม่ได้

“เคยกินแล้ว”


“เป็นไง?”


ยื่นมือไปรับเงินทอนพร้อมถุงขนม

“เฉยๆ”


“ผมเอาชิ้นนี้ครับ”

คนด้านหลังชี้ไปหาเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ถูกตัดออกมาไว้แบ่งขาย ไม่ใช่เค้กปอนด์

บุญนึกว่าพี่ชายซื้อไปกินเอง แต่ที่ไหนได้ กลับยื่นถุงที่ข้างในมีกล่องเค้กรสวานิลลาส่งให้เขา

“เอาไป”


“แต่ผมไม่ชอบ”


“แอบดื้อนี่หว่า”

ร่างสูงเดาะลิ้น แล้วถอนหายใจเสียงดังให้ได้ยิน ก่อนจะถือวิสาสะยัดของใส่ในมือคนเด็กกว่า กลายเป็นทั้งมือซ้ายและมือขวาของใครบางคนมีเค้กสองกล่องจับจองอยู่


“บุญ”


“ครับ?”

เจ้าขอชื่อขานรับงงๆ คนตรงหน้าเรียกชื่อกันทำไม


“พี่รู้ชื่อเรา แล้วเราไม่ถามชื่อพี่กลับบ้างล่ะ”

บุญกระพริบตาปริบ รู้สึกเมื่อยคอหน่อยๆ ที่ต้องเงยหน้าคุยกับคู่สนทนา ให้ตายเถอะ..ตัวสูงชะมัด


“พี่ชื่อไรอ่ะ” อยากให้ถามก็ถาม


“คราม”

เสียงโทนปกติมาพร้อมสัมผัสเบาๆ แตะลงบนกลุ่มผมนุ่ม


“พี่ชื่อคราม”

บุญยังไม่หายงง พี่ชายเริ่มพูดมากอีกเเล้ว


“อย่าลืมชื่อพี่’

พวกเขาสบตากัน และครั้งนี้เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด


“เพราะเราสองคนต้องได้เจอกันอีกแน่”



มีชั่ววูบหนึ่ง..ที่เขาดันเผลอใจเต้นแรงให้กับร้อยยิ้มหวานนั่น





TBC.

ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตอนที่ 5



“ยอดทั้งหมดของเดือนนี้ครับ”

ชายหนุ่มปรายตามองคนพูดแวบนึง เเล้วยื่นมือไปรับสมุดเล่มเล็กสีน้ำเงินมาเปิดดู ข้างในเป็นแบบฟอร์มการสรุปยอดรายได้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทางไร่ได้เสียไปในแต่ละเดือน คนมาทำหน้าที่แทนบิดาไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายอย่างครบถ้วน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับลูกน้องคนสนิท

“มั่นใจใช่ไหมว่าไม่ได้มีอะไรผิดพลาด”

คนงานวัยกลางคนมองผู้เป็นนายที่ส่งสายตาคาดคั้นมาให้ก็เหงื่อตก มือหยาบถูไถไปมาราวกับไปทำอะไรผิดมาทั้งที่ไม่ใช่เลย มันเป็นอาการเกรงอกเกรงใจที่ลูกน้องมีต่อเจ้านายคนนึงเท่านั้น

แม้จะเจอกันอยู่หลายครั้ง ทำงานด้วยกันมาตั้งนานแล้วก็ตาม

“ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอนครับ” กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆหลังตอบ แอบเหล่ตามองเจ้านายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ ต่างจากตนที่ต้องนั่งตัวตรง ไม่กล้าขยับเคลื่อนตัวไปไหน มีบ้างที่เผลอกลั้นหายใจอยู่หลายครั้งยามตาคมดุตวัดมอง

“ยังดีที่มันโอเคกว่าเดือนที่แล้วอยู่พอสมควร”

ครามเอาตัวเลขของเดือนที่แล้วกับเดือนนี้มาเทียบกัน เขาพลิกกระดาษไปมาก่อนจะใช้เวลาอ่านอยู่เกือบสิบนาที จากนั้นจึงส่งคืนให้คนงานในไร่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“พี่ทิตไปเตรียมรถเถอะ อีกห้านาทีผมจะตามลงไป”

ว่าจบก็หยัดกายลุกขึ้นยืนจากเบาะนั่ง ส่งผลให้ใครอีกคนลุกตามแทบไม่ทัน

“ได้ครับ”

เจ้าของชื่อตอบรับรวดเร็ว รีบเก็บเอกสารทุกอย่างมาถือไว้ในมือเดียว ก่อนออกจากห้องไม่ลืมล็อคกลอนประตูให้ผู้เป็นนาย

ลับหลังเสียงปิดประตู เจ้าของใบหน้าคมเดินตรงไปยังห้องพักที่ตอนนี้มีร่างเล็กนั่งแช่อยู่บนเตียงกว้าง สองมือขยันหยิบจับนู่นจับนี่ไม่มีหยุด และไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองกันสักแวบเดียว 

“เมื่อไหร่จะเสร็จ”

คนที่มัวแต่หยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทางชะงักมือ บุญเงยหน้าขึ้น สายตามองร่างสมส่วนที่กำลังยืนกอดอกพิงขอบประตูห้อง

“ใกล้แล้ว”

พูดจบก็เบนสายตากลับมาจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าเหมือนเคย ไม่สนใจสายตากดดันนั่น ในเมื่อไม่ได้อยากมาด้วยตั้งแต่แรกอยู่เเล้ว  บุญหยิบเสื้อผ้าใส่ลงในไม้เเขวนให้มันเข้าที่เข้าทาง

“เร็วๆ บุญ พี่มีหลายอย่างที่ต้องทำ”

กระเเสความหงุดหงิดชัดเจน

“เสร็จแล้ว”

เขาจำใจต้องตอบแบบนั้น ทั้งที่ความเป็นจริงเขายังไม่ทันได้เอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปแขวนไว้ในตู้ให้เป็นระเบียบเลยนี่สิ ทว่าคงทำแบบนั้นต่อไม่ได้ เพราะมีใครบางคนเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีเสียแล้ว เขาวางเสื้อที่เหลือบนหมอน ขยับตัวลงจากเตียง เเล้วก้าวยาวๆมาหยุดยืนตรงหน้าคนเอาเเต่ใจ

ครามจับมือเขามากุมไว้หลวมๆ ตาคมมองเขาตั้งเเต่หัวจรดเท้า

“เสื้อคลุมไม่ใส่ไปหรือไง”



“มันไม่หนาวเท่าไหร่หรอก”

เห็นครามหรี่มองเหมือนยังไม่ค่อยเชื่อ จึงพูดซ้ำอีกรอบพร้อมเน้นเสียงให้ฟังดูหนักแน่นขึ้นกว่าเก่า จริงอยู่ที่สภาพอากาศทางภาคเหนือจะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่ที่พักของครามอยู่บริเวณที่ราบสูงมีป่าไม้และภูเขาปกคลุมไปทั่วทิศ ม่านหมอกบางๆก็ไม่ได้จางหายไปหมด ยังคงมีมาให้สัมผัสลมหนาวอยู่เนืองๆ

เขาถูกใจบรรยากาศช่วงนี้ที่สุด ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป..มันอบอุ่นกำลังดี

“ไม่หนาวจริงๆ”



“แล้วแต่”

ร่างสูงเลิกเจ้ากี้เจ้าการเมื่ออีกคนยืนยันเสียงเเข็งขนาดนั้น  ก่อนดึงข้อมือขาวให้เดินตามมา กระทั่งเดินลงมาถึงลานกว้างบริเวณด้านนอกของบ้านพักที่มีคนงานคนเดิมกำลังยืนรอ

“พี่ทิตไปพักได้ เดี๋ยวผมขับเอง”

ได้ยินอย่างงี้มีหรือที่ลูกจ้างอย่างเขาจะกล้าขัด แม้จะอดแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่อยู่ๆ เจ้านายหนุ่มก็อาสาอยากขับรถเข้าไปในสวนเอง โดยที่ไม่ต้องมีลูกน้องคนสนิทอย่างทิตติดตามเข้าไปเหมือนทุกครั้ง ทิตไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่ส่งกุญแจรถกับสมุดเล่มเล็กไว้สำหรับจดรายละเอียดยิบย่อยให้ผู้เป็นนาย ไม่วายแอบชำเลืองมองเลยไปยังด้านหลังของแผ่นหลังกว้างที่ปิดบังใครอีกคนไว้มิด

“อ้าวคุณบุญ สวัสดีครั..”

ยังไม่ทันที่ทิตจะได้อ้าปากทักทายเจ้านายอีกคน ชายหนุ่มหน้าหล่อดันชิงเปิดประตูแล้วยัดตัวคนตัวเล็กเข้าไปนั่ง แล้วเจ้าตัวค่อยเดินไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถขับออกไปด้วยความเร็วสูง ทิ้งให้ทิตยืนเกาหัวมองตามด้วยความงุนงง ก่อนจะต้องหัวเราะออกมา

“คุณครามนะคุณคราม หวงน้องไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ





บุญเปิดกระจกให้สายลมเย็นๆ ตีกระทบเข้าหน้าเหมือนอยากให้ช่วยพัดพาอารมณ์กรุ่นโกรธจางหาย ครามมีข้อห้ามเยอะ ห้ามนู่นห้ามนี่มากมาย แต่มีอย่างที่ไหน..ห้ามแม้กระทั่งคุยกับคนงานที่รู้จัก!

และตัวต้นเหตุใช่ว่าจะสนใจ ตั้งหน้าตั้งตาขับรถลูกเดียว ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา จวบจนรถขับถึงที่หมาย

สวนวัชราเวช หรือสวนผลไม้ที่มีขนาดพื้นที่กว้างถึงหนึ่งพันไร่ วันนี้เป็นวันเก็บผลผลิตวันแรกทำให้ครามต้องขึ้นมาจัดการทุกๆ อย่างถึงในสวน

“ห้ามไปไหน”

บุญถูกจูงให้เข้ามานั่งในบ้านไม้กระท่อมหลังกะทัดรัดที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักพิงเพียงชั่วคราว ส่วนใหญ่ครามจะเอาไว้รับประทานอาหารกลางวันเสียมากกว่า ไม่เคยอยู่นานเกินสามชั่วโมง คนที่สามารถเข้ามาได้ก็มีเพียงแค่คนในครอบครัวเท่านั้น  ยกเว้นก็แต่พวกคนงานที่ถูกจ้างให้เข้ามาทำความสะอาดเป็นครั้งคราว

“ทำไมต้องห้ามด้วย”

ดวงหน้าเรียวสลดวูบ น้ำเสียงเบาหวิว...อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้จริงๆ

“แล้วจะออกไปไหน”



“ใกล้ๆ นี่เหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”

เขาไม่เคยไปไกลอย่างที่พูด ส่วนมากจะถ่ายรูปเล่นอยู่แถวสวนส้มแค่นั้น เขาเลือกอยู่ใกล้ๆในสายตาพวกคนงาน มีบางครั้งที่เดินเข้าไปลึกจนเจอพวกซุ้มผลไม้ประเภทอื่นๆ แต่ต้องให้ครามเป็นคนพาไป ซึ่งวันนี้ครามมีงานต้องทำเยอะ แต่ใช่ว่าจะต้องบังคับเขาให้นั่งจับเจ่าอยู่ในที่แคบ...แล้วจะให้เขามาด้วยทำไม

“วันนี้อาจกลับค่ำหน่อย ส่วนพวกป้าน้อยก็ยุ่งกันหมด ไม่มีใครมาคอยดูแลเราหรอก เพราะงั้นเรารอพี่อยู่ที่นี่แหละ เข้าใจมั้ย?”

เขาเม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่พอใจถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดขึ้น ครามทำเหมือนเขาเป็นลูกคุณหนูที่ต้องคอยมีคนมาดูแลหรือเขาดูเกะกะสายตาถึงได้ห้ามไม่ให้ออกไปไหน เเค่คิดอาการจุกแน่นก็วิ่งแล่นเข้ามาแทรกในอก

“คราม”

เจ้าของชื่อพ่นหายใจ เพียงหันหลังชายเสื้อก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยฝีมือของคนตัวเล็ก

“อย่าทำให้พี่โมโห”

ครามทำหน้าไม่พอใจ ก่อนพูดเน้นให้ฟังทีละคำ จากนั้นจึงสะบัดตัวเดินออกไปด้านนอก ทิ้งให้ใครอีกคนมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความหม่นหมอง 

บุญชันเข่าขึ้นมากอดในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ นึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมเอากล้องถ่ายรูปมาด้วย อย่างน้อยถ้าพกกล้องมา ครามอาจใจดีอนุญาตให้เขาออกไปเที่ยวชมในสวนก็ได้ ไม่ใช่นั่งรอเฉยๆอย่างคนไร้ประโยชน์แบบนี้





เสียงโหวกเหวกดังไปทั่วทางเดินของสวน ครามมองเหล่าผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังยกตะกร้าใบโตที่มีผลส้มอยู่ข้างในก่อนจะเทมันออกมาให้พวกคนงานที่เป็นผู้หญิงได้ทำหน้าที่ต่อ คัดแยกผลผลิตตามเนื้องาน หากลูกไหนอยู่ในสภาพซอกซ้ำหรือเน่าเสียก็จะถูกโยนใส่รถเข็นเพื่อเอาไปทำอย่างอื่นแทน ส่วนอันไหนที่ดีหน่อยก็จะถูกนำไปชั่งน้ำหนักขายตามเกรดสินค้า สุดท้ายจะเตรียมส่งให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่มารับไปขายในตลาด

“เบามือหน่อย”

“อ่ะ..ขอโทษจ๊ะนาย”

เอ่ยเตือนเสียงเข้มเมื่อลูกจ้างเริ่มมักง่าย ใช้วิธีการโยนแทนการวางมันดีๆ หากเขาไม่ได้เข้ามายืนคุมจะไม่รู้เลยว่าบางคนที่ทำงานมาเนิ่นนานใช่ว่าจะดีเสมอไป ยิ่งอยู่นานยิ่งทำงานชุ่ยสิไม่ว่า คนโดนดุหน้าเสียรีบขอโทษทันที ถ้ารู้มาก่อนว่าเจ้านายจะเข้ามาวันนี้จะไม่พลาดทำเหมือนเมื่อกี้เด็ดขาด

เขายืนสอดส่องดูแลตรงส่วนนี้จนพอใจจึงเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เดินไปตรงที่มีรถกระบะจอดแช่อยู่รวมถึงมีบรรดาลูกน้องยืนรายล้อมช่วยกันขนสินค้าขึ้นท้ายรถ พอมีคนเห็นว่าเขากำลังเดินมาก็ต่างพากันหยุดทุกอย่างแล้วหันมายกมือไหว้ตามมารยาทที่ลูกน้องต้องมีต่อเจ้านาย

“ป้าน้อยช่วยทำมื้อเย็นไปให้บุญด้วยนะครับ บุญอยู่ที่กระท่อม”

ถึงจะมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ แต่เขาก็ไม่ได้ละเลยใครอีกคน กว่าจะทำเดินตรวจเสร็จคงอีกนาน อาจพากลับไปกินข้าวที่บ้านพักช้าเกินไป เลยวานให้ป้าน้อยลูกจ้างในไร่ช่วยทำกับข้าวไปให้บุญ

“ได้ค่ะ ว่าแต่คุณครามจะรับด้วยไหมคะ ป้าจะได้เตรียมเผื่อไว้”



“ผมไม่เอา ป้าทำให้บุญก็พอ”



“งั้นป้าขอตัวไปเตรียมของให้คุณหนูก่อนนะคะ”

ร่างท้วมระบายยิ้ม ก่อนเดินไปทางบ้านของตนเพื่อเตรียมอาหาร  เขาหยิบสมุดขึ้นมาจดรายละเอียดยิบย่อยอย่างที่ทำประจำ วันเก็บผลผลิตวันแรกต้องเดินตรวจเช็กยอดสินค้าที่เตรียมพร้อมส่งออกจำหน่าย พอเสร็จจากส่วนนี้ก็ต้องไปเคลียร์ค่าจ้างให้บรรดาเหล่าคนงานอีกหลายร้อยชีวิต กลายเป็นว่าวันนี้เขามีภาระล้นตัว







ร่างขาวสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด สายลมเย็นกับแสงสีนวลและกลิ่นดอกไม้ใบหญ้า ช่วยเติมเต็มให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย..บ้านไม้กระท่อมที่ครามให้เข้ามาอยู่จะเป็นเนินสูงๆ ขึ้นมารอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า หากมองลงไปด้านล่างจะเป็นที่ลาดต่ำกว่าที่ที่เขาเหยียบอยู่ หูได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากข้างล่างจึงหลุบตาต่ำมองดูภาพเหล่าคนงานเดินสวนกันให้ควั่ก มันดูชุลมุนวุ่นวายไปเสียหมด

ไม่กล้าเดินลงไปเพราะรู้ว่าครามคงอยู่แถวๆ นั้น จึงเลือกที่จะเดินเลี้ยวไปทางขวา ในเมื่อฝ่ายนั้นบอกเองว่าอีกนานกว่าจะมารับกลับ คงไม่เป็นไรถ้าอยากขอหลบไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง

แล้วค่อยแอบกลับมาให้ทัน

“พี่บุญ”

คนถูกเรียกชะงักเท้า ใบหน้าเรียวหันไปตามต้นเสียง ก่อนหลุดยิ้มเมื่อเห็นหน้าตาคนเรียก ออกมาไม่ทันไรก็หายเหงาซะแล้ว

เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบวิ่งจู๊ดๆ เข้ามาเกาะขาเขาหนึบอย่างกับลูกลิง แก้มย้อยถูไถเเถวๆ ต้นขาของเขาไปมาราวกับกำลังออดอ้อน เขาย่อตัวลงให้ตัวเท่ากันกับเด็กเล็ก ยกมือขึ้นลูบหัวทุยด้วยความเอ็นดู

“ว่าไงครับ กระถินจะไปไหน”

กระถินคือชื่อของเด็กผู้ชายตัวขาวแก้มกลม เอกลักษณ์คือฟันกระต่ายสองซี่ข้างหน้า กระถินเป็นลูกของป้าน้อยหนึ่งในคนงานในไร่เเละเป็นเด็กมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศ ช่างพูดช่างจาขี้อ้อนทำให้ใครหลายคนต่างหลงใหลในความน่ารักนั่นรวมทั้งเขาด้วย

“มาหาพี่บุญคร้าบ กระถินอยากพาพี่บุญไปลำธาร”

เด็กชายตัวจ้อยยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย ตอนได้ยินแม่บอกว่าพี่ชายน่ารักอยู่ที่กระท่อม เจ้าตัวเล็กรีบวางของเล่นในมือทิ้ง จากนั้นก็วิ่งแล่นมาหาถึงกระท่อม หวังอ้อนให้อีกคนพาไปเล่นน้ำ

“ทำไมไม่ชวนแม่ล่ะ”



“แม่ทำงานไม่ว่างพาไป”



“ก็เลยอยากให้พี่พาไปใช่มั้ย”

กระถินเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในไร่ ส่วนมากลูกคนงานก็โตๆ กันหมดแล้วจึงทำให้กระถินไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นหากไม่ได้ไปโรงเรียน มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากเด็กน้อยจะรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครคอยเล่นด้วย

“กระถินจะไปกับพี่บุญ กระถินรู้ว่าพี่บุญก็อยากไป”



“ช่างพูดจริงๆ”



“นะๆ ให้กระถินไปด้วยน้า กระถินเหงามาก แม่มัวเเต่ทำงานไม่ยอมพากระถินไปไหนเลย”

เด็กน้อยส่งสายตาปริบๆ เหมือนลูกหมากำลังอ้อนวอนขอให้เจ้านายพาไปเดินเล่น และมันได้ผลเพราะเขาใจอ่อนยวบยอมตามใจเจ้าเด็กอ้วนกลม

“ครับจะพาไป จับมือพี่แน่นๆล่ะอย่าปล่อย ถ้าหายไปจะไม่ตามหาเลยนะ”



“มือพี่บุญนิ่มกระถินไม่ปล่อยหรอก”

บุญหัวเราะกับวาจาซื่อตรงของเด็กน้อย เขาจับมือกระถินให้เดินไปพร้อมกัน ภาพคนสองคนเดินจูงมือทำให้เหล่าคนงานที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ต่างพากันอมยิ้มเมื่อเห็น ไอ้กระถินมันชอบพูดเจื้อยแจ้วเรื่อยเปื่อย เนี่ยพอมายืนข้างเจ้านายตัวเล็กยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูอบอุ่น

เหมือนพี่ชายกำลังพาน้องชายไปเดินเล่น

“วันนี้กระถินยังไม่เจอพี่ครามเลย”

ขณะย่ำเท้าเดินเรื่อยๆ กระถินก็หาเรื่องชวนคุยไปด้วย มือเล็กจับมือคนสูงกว่าแนบแน่นเพราะไม่อยากพลัดหลงกัน เด็กน้อยชอบเล่นน้ำแต่ถ้าไม่มีแม่หรือผู้ใหญ่พาไปก็จะไม่ได้ไป แล้วนานๆ ครั้งด้วยกว่าจะพาไป ทำให้กระถินยังจดจำเส้นทางในการไปธารน้ำไม่ได้สักที รู้เพียงว่าอยู่ใกล้ๆกระท่อมของพี่ชาย

“หืม ยังไม่เจอเลยหรอ”

บุญปัดกิ่งไม้ที่ยาวเฟื้อยจนบังทางข้างหน้า ระหว่างทางเดินมันทั้งชันและขรุขระ ไม่รวมเถาวัลย์ที่โยงระยางขีดกั้นขวางทางมั่วซั่วไปหมด กว่าจะไปถึงลำธารได้ก็ยากลำบากไม่ใช่น้อย

“ช่าย แต่แม่เจอแล้ว เพราะกระถินได้ยินแม่สั่งพี่นิดให้ทำกับข้าวไปให้พี่บุญด้วย”



“อย่างงั้นเหรอ”



“กระถินได้ยินจริงๆ นะ กระถินไม่พูดโกหกหรอก”

เสียงพี่ชายเหมือนไม่ค่อยเชื่อ กระถินก็เลยเขย่าแขนยิกๆ เพื่ออยากยืนยันในสิ่งที่ตัวเองนั้นได้ยินมา



“พี่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรกระถินสักคำ เอ้าถึงแล้ว”

เด็กน้อยตาเป็นประกายยามเห็นผืนน้ำอยู่ตรงหน้า รีบถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือเพียงร่างจ่ำม่ำเปลือยล่อนจ้อน ขาเล็กเดินเตาะแตะไปใกล้ๆ ลำธาร ใช้มือเกาะก้อนหินที่วางระเนระนาดแถวชายฝั่งไปด้วย เพราะกลัวลื่นล้ม ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงไปนั่งแช่ในธารน้ำใส

“ตรงนู้นน้ำลึกมากนะกระถิน” บุญชี้นิ้วไปทางกระแสน้ำไหลเชี่ยว



“กระถินรู้ กระถินจะอยู่แค่ตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก พี่บุญเชื่อใจกระถินสิ”

บุญได้ฟังก็เบาใจ เเล้วทอดกายนั่งลงบนโขดหิน เอนหลังพิงไปกับก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างบน ลำธารแห่งนี้เป็นสายน้ำอีกเส้นที่ไหลมาจากธารน้ำใหญ่อีกฟากที่ติดกับภูเขาไหลตามร่องหินมารวมกันจนเกิดเป็นแอ่งน้ำขนาดพอเหมาะ น้ำลึกประมาณอกของเขา แต่ตรงชายฝั่งที่เด็กกระถินกำลังแหวกว่ายอยู่ลึกเพียงแค่ครึ่งเข่า บริเวณรอบๆมีป่าไม้ปกคลุมหนาทึบ ต้นไม้รกชัฏทำให้สถานที่แห่งนี้ดูรกร้างและอันตราย หากเป็นเพียงคนภายนอกอาจไม่รู้เลยว่ามีสายน้ำเส้นนี้อยู่ด้วยถ้าไม่ได้เข้ามาสำรวจ

คนพามาปิดเปลือกตาลง หูฟังเสียงน้ำไหลกับเสียงนกร้องสร้างความผ่อนคลายให้อย่างไม่น่าเชื่อ สักพักใหญ่ก็หลับไปทั้งที่ยังนั่งพิงก้อนหิน ปล่อยให้เด็กตัวจ้อยยิ้มร่าสนุกอยู่เพียงลำพัง



“บุญลงมาได้แล้ว อ้อ..อย่าลืมเอายาไปด้วยล่ะ” 

เสียงคนเป็นแม่ดังขึ้นขณะเด็กหนุ่มกำลังนั่งเซ็ทผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ คนฟังได้ยินแต่ไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่เร่งระยะเวลาในการทำบางสิ่งบางอย่างให้ไวขึ้น เวลาเก้าโมงเช้าหากเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันไหนที่ไม่มีเรียน ไม่มีทางที่เด็กคนนี้จะตื่นก่อนเที่ยง..ถ้าไม่ใช่เพราะจะได้ไปเที่ยวทะเล

รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาแต่งแต้มใบหน้าเนียน นานๆครั้งจะได้ออกไปเที่ยวที่ไกลๆเหมือนเพื่อนคนอื่นๆบ้าง เป็นใครก็ต้องตื่นเต้น บุญมองสำรวจตัวเองผ่านกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินไปหยิบกะเป๋าเป้มาสะพายบนหลังกับหยิบกล่องยาตามคำสั่งของแม่ติดมือมาด้วย

ครั้นเดินออกมานอกบ้านปุ๊บ อาโชคที่ยืนรออยู่ก่อนหน้าก็เอ่ยทักทันควัน

“เอาของไปแค่นี้จริงหรอ”



“อ่าว เห็นแม่บอกว่าไปสองวัน ผมก็เลยเอาไปแค่สองสามชุด”



คนอายุเกือบสี่สิบหลุดหัวเราะกับคำตอบของเด็กหนุ่ม เดินเข้ามาช่วยยกกระเป๋าเป้ใบจิ๋วไปวางไว้ท้ายรถ

“หรือจะไปมากกว่านั้นหรอครับ แต่ผมยังไม่ได้โทรลาครูเลยอ่ะ”



“ไปสองวันเหมือนที่บอกนั้นแหละ เเต่อาแค่แปลกใจนิดหน่อย ก็ดูดิแม่เราเล่นหอบกระเป๋าลากเหมือนไปเป็นเดือน ตัดภาพมาที่ลูกดันเลือกใช้เป้ใบเท่ามด”



“ก็ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา”

บุญเดินไปใกล้ประตูรถ ฉับพลันเพึ่งสังเกตว่าไม่ใช่รถเก๋งสีดำที่อาโชคใช้ประจำ เท้าเล็กก้าวถอยหลังอัตโนมัติ เเล้วเดินเอี้ยวไปยืนหลบบริเวณหลังรถ

วันนี้อาโชคเอารถครอบครัวแบบเจ็ดที่นั่งมาใช้ เเสดงว่าต้องไปกันหลายคนเเน่ ฝั่งครอบครัวของอาโชคคงจะไปด้วย

เขารู้สึกเกร็งขึ้นมากะทันหัน

สาเหตุเดิมๆ ..เข้าหาคนไม่เก่ง

“บุญลืมอะไรหรือเปล่า”

อาโชคทัก เพราะเห็นว่าเขายังไม่ยอมเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน

“เปล่าครับ” ส่ายหน้ายืนยัน..เขาไม่ชอบนิสัยตัวเองเลยให้ตายสิ



“งั้นอาขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”

บุญเม้มปาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอครอบครัวฝั่งนั้น ในเมื่อสามวันก่อนเขาเพึ่งไปนั่งกินข้าวเย็นที่บ้านของอาโชคมาหมาดๆ แต่ด้วยนิสัยเข้าสังคมไม่เก่ง ชอบเก็บตัวจึงทำให้เรื่องการสนิทสนมกับผู้อื่นอาจต้องใช้เวลามากหน่อย เขาจำได้ตอนนั่งกินข้าวที่บ้านหลังนั้นเขาอึดอัดมากๆ  

ยืนทำใจได้ไม่นาน ร่างใหญ่ก็เดินกลับมา โชคกวักมือเรียกเด็กขี้อายให้เข้าไปนั่งในรถ

บุญสูดหายใจเข้าปอดราวกับกำลังเรียงความกล้าใส่ตัวเอง ดึงประตูให้เปิดกว้าง และเขาเดาไม่ผิดเลย สิ่งแรกที่เห็นคือสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวพร้อมรอมยิ้ม..ที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู แม้ว่าเขาจะมาช้ากว่าใครทั้งหมดก็ตาม

เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่ในรถด้วยสีหน้ารู้สึกผิด โทษตัวเองที่ยืนพิรี้พิไรเนิ่นนาน สัญญาว่าครั้งหน้าจะไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงอีก

“ขอโทษที่มาช้าครับ”



“ไม่เป็นไรจ๊ะ เข้าไปนั่งใกล้ๆ พี่ครามเลย”

น้าผิงเป็นผู้หญิงร่างผอมพูดจาฉะฉาน เธอเป็นน้องสะใภ้อาโชค เธอให้เขาเรียกว่าน้าผิงจะได้ฟังดูไม่แก่ ที่สำคัญยังเป็นแม่ของคนตัวสูงที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาไม่วางตาอีกด้วย

“มองผมทำไม”



“ก็อยากมองเด็กหล่อ เห็นแต่งตัวนานนึกว่าอยากให้คนมอง”



“หยุดมอง เเล้วผมก็ไม่ได้เเต่งตัวนานด้วย ”

เพราะแม่นั่งข้างคนขับก็คืออาโชค เบาะข้างหน้าคือลุงภาคพี่ชายอาโชคที่หลับสนิทตั้งเเต่เขาเข้ามา ข้างๆเป็นน้าผิง เขาจึงเลี่ยงไม่ได้ ต้องมานั่งเบาะหลังสุดข้างๆคนพูดมาก 

“แล้วทำไมออกมาช้า อย่าบอกนะว่าขี้อยู่”

บุญตวัดตามองขุ่นๆ เจอครั้งแรกไม่เท่าไหร่ แต่เจอครั้งที่สองไม่คิดว่าพี่ชายจะมีนิสัยชอบพูดจากวนอารมณ์คนอื่น

เถียงไปก็ไม่ชนะ  หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบใส่หูเป็นการปิดกั้นทุกสิ่ง เลื่อนหาการ์ตูนดูเเก้เบื่อในโทรศัพท์

“ดูเรื่องไร”

มั่นใจว่าไม่ถึงสองนาทีพี่ชายก็กระเถิบตัวเข้ามาชิดใกล้เเบบเนื้อตัวทั้งสองคนสัมผัสกัน ไม่พอยังชะโงกหัวลงมาดูหน้าจอมือถือราวกับสนใจนักหนาว่าเขากำลังทำอะไร... เหมือนพี่ชายจะเหงามากเหมือนไม่รู้จะทำอะไร ถึงได้มายุ่มย่ามกับเขาไม่หยุด

“วันพีช”



“ขอพี่ดูด้วยดิ”



“ทำไมพี่ไม่ดูหนังของตัวเองให้จบ” บุ้ยปากไปทางมือถืออีกคนที่หน้าจอฉายหนังค้างไว้



“ก็อยากดูวันพีชกับเรา”

คงเหงาจริงๆ ด้วยแหละ...บุญรำคาญแต่ก็ไม่ได้เป็นคนใจร้ายจึงเผื่อแผ่ให้ร่างสูงดูด้วย บุญถอดหูฟังด้านขวาออกแล้วส่งให้ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยิ้มกว้างรับไปใส่อย่างไว

ตอนแรกเหมือนจะดี ไม่น่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก ถ้าใครบางคนไม่ขยับยุกยิกไปมา เเล้วทำในสิ่งที่บุญไม่คาดคิด

“ผมหอมจัง ใช้แชมพูยี่ห้อไร”



“จะ จำไม่ได้หรอก”



“เห้ยได้ไง ลองนึกให้ออก”

บุญเอามือทาบหัวใจ พยายามดึงสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับเข้ามา อดตกใจไม่หาย คนข้างกายนึกบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ จู่ๆ ก้มลงมาดมผมเขา เนี่ย..ยังมีหน้ามาถามหายี่ห้อกลิ่นแซมพูกับเขาอีก

“ซันซิลสีชมพูมั้ง ผมจำไม่ได้หรอก ไว้จะกลับไปดูให้ละกัน”



“จริงดิ”



“ผมไม่โกหกพี่หรอก”



“ตัวก็ขาวเหมือนตุ๊กตาหิมะ ใช้ครีมไรบอกหน่อย”

ราวกับเขาเป็นดาราดังที่มีคนอยากรู้เคล็ดลับความสวยความงาม เขากลอกตาไปมาไม่ยอมบอก แต่โบ้ยให้อีกคนได้เป็นฝ่ายตอบบ้าง

“พี่ขาวกว่าผมอีก ใช้ครีมไรบอกหน่อย”



“ใช่ที่ไหน เราขาวกว่า ถ้าไม่เชื่อเอาแขนมาเทียบกัน”

ไม่ได้พูดเปล่ายังยกแขนเขาไปเทียบกับแขนตัวเองจริงๆ สีหน้าดูจริงจังไร้การล้อเล่นทำให้เขาหลุดหัวเราะ

บางทีพี่ชายก็ตลกดีเหมือนกันเเฮะ

“หัวเราะไร”

บุญกลับมาตีหน้านิ่งตอนเห็นร่างสูงตวัดมอง บุญบอกปัดก่อนหันกลับมาจดจ่ออยู่กับการ์ตูน เขาต้องเรียกสมาธิใหม่หลังจากโดนก่อกวนไม่เว้น



เขากระเถิบตัวไปชิดขอบประตู เมื่อพี่พี่ชายขยับเข้ามาติดหนึบตัวเขามากขึ้น ไหล่ชนไหล่ ขาชนขาจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้เล็ดลอด

“พี่ถอยออกไปหน่อยได้มั้ย”


“ตอนนี้พี่เคยดูแล้ว เปลี่ยนเป็นตอนอื่นได้ป่ะ”

ครามทำหูทวนลมไม่ทำตามแถมยังเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย

เด็กหนุ่มตัวผอมถอนหายใจระอา ไม่เซ้าซี้อยากนั่งเบียดก็นั่งไป

“แต่ผมยังไม่เคยดู”

และหันมาเถียงสู้กับคนๆ เดิมอีกรอบ


“ค่อยกลับมาดูไงตอนนี้พักไว้ก่อน เราค่อยกลับมาดูตอนพี่ไม่อยู่”


“พี่ก็ดูในโทรศัพท์ของพี่ไปสิ ผมจะดูตอนนี้ให้จบถึงจะเปลี่ยน”


“คนอะไรเตี้ยแล้วยังใจร้ายอีก”


“คนอะไรโตแล้วยังงี่เง่าอีก”

คล้ายเกิดช่วงเดดแอร์ ภายในรถเงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ในรถ บุญเงียบ ครามเงียบ..และ

“ฮึ”

เสียงหัวเราะดังมาจากที่นั่งคนขับ

“ลุงหัวเราะอะไร”

ครามตะเบ็งสุดเสียง ใบหูขึ้นสีระเรื่อ  ทั้งลุงทั้งพ่อกับแม่และน้าพรก็หัวเราะเขา ยิ่งเเม่นี่ถึงกับยกมือมาขึ้นมาปิดปากกลั้นขำ

“ก็หัวเราะคนแก่ที่ทำตัวงี่ง่าจนโดนเด็กว่าน่ะสิ”


“ผมยังไม่แก่สักหน่อย”

โชคมองหลานชายตัวดีที่มีสีหน้าบูดเบี้ยว เเล้วต้องหัวเราะหนักกว่าเดิม เมื่อหลานยกมือไปเขกหัวคนตัวเล็กกว่าไม่แรงนัก

“เจ็บ”


“ก็ทำให้เจ็บ”

โชคดีใจ เพราะอย่างน้อยเด็กทั้งสองคนก็เข้ากันได้..ถึงจะเถียงกันแทบตายสุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม..ภาพที่โชคเห็นผ่านกระจกคือหลานชายไม่ได้ถอดหูฟังหรือส่งคืน ไม่แม้แต่จะตีตัวออกห่าง ถึงจะโดนอีกฝ่ายประมาสแต่ก็ยังยอมนั่งดูการ์ตูนใกล้ๆ บุญจนถึงทะเล








ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
“เสร็จเร็วกว่าที่คิดนะครับ”

เจ้าของมือหนายื่นเงินค่าจ้างให้พวกลูกน้องจนถึงคนสุดท้ายที่ต่อคิว จากที่คิดว่าต้องเสร็จเกือบพระอาทิตย์ตกดินไปๆ มาๆ ดันเสร็จก่อนสี่โมงเย็นอย่างเหลือเชื่อ

“แหม ก็วันนี้นายมาคุมทั้งที พวกผมเลยต้องโชว์ฝีมือสักหน่อย”

โชว์ฝีมือที่ว่าคือรีบเร่งทำงานให้เสร็จไวกว่าทุกวันหรือเพราะวันนี้เงินเดือนออก พวกคนงานจึงใส่พลังไม่ยอมหยุดพักเที่ยงกันทีเดียว ฝ่ายลูกน้องยิ้มร่าพนมมือขอบคุณผู้เป็นนายก่อนรีบเอาเงินยัดใส่กระเป๋าตัง รู้ๆ กันว่าเจ้านายหนุ่มเข้มงวดก็จริง แต่หากทำงานไม่ขาดตกบกพร่องและรวดเร็วเป็นสิ่งที่ผู้เป็นนายชอบใจที่สุด

“หรือเพราะอยากรีบรับตังจะได้ไปซื้อเหล้ามาตั้งวงดื่มกันมากกว่า”



“อันนี้มีความจริงผสมอยู่ด้วย เพราะงั้นผมจะไม่เถียงครับ”

ร่างสูงหัวเราะให้กับสีหน้ายิ้มแย้มนั่น ยังไม่ทันนั่งพักป้าน้อยก็เดินเข้ามาพร้อมน้ำเย็น

“เหนื่อยไหมคะ”

ป้าน้อยส่งแก้วน้ำให้

“นิดหน่อยครับ ป้าไม่ต้องทำอาหารไปให้บุญแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว”

ทีแรกตั้งใจจะค้างคืนที่บ้านพัก ทว่าทำงานเสร็จไว เขาเลยเปลี่ยนใจจะบินกลับกรุงเทพรอบค่า

“คุณครามบอกป้าช้าไป เพราะป้าเพึ่งเอาอาหารไปให้คุณหนู แต่ป้าไม่เจอคุณหนูนะคะ”



“บุญไปไหนหรอครับ”



“พวกก้อยบอกว่าเห็นคุณหนูจูงมือไอ้กระถินเดินไปแถวๆ ลำธารค่ะ คงจะอ้อนให้คุณหนูพาไป”



ครามยื่นแก้วน้ำส่งคืนคนอายุมากกว่า มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจรถออกมา

“ป้ากำลังก็จะไปตามมันกลับแล้ว นิสัยไม่ดีชอบแอบไปไหนไม่บอก”



“งั้นป้าไปพร้อมผมเลย ผมจะไปรับบุญกลับด้วย”

ไม่อยู่รอฟังป้าน้อยตอบ เขาเดินนำร่างท้วมไปที่รถ ขับอ้อมไปทางถนนลาดยางเพียงไม่ถึงห้านาทีก็หยุดจอดหน้าทางเข้า จะเรียกว่าทางเข้าก็ไม่น่าใช่มันเป็นแค่ช่องโหว่ให้เดินเข้าไปง่ายกว่าทางอื่นก็เท่านั้น พื้นที่ตรงนี้ล้วนเป็นป่าทั้งหมดที่ถูกปล่อยให้รกร้างเพราะไม่รู้จะปลูกหรือสร้างอะไรเพิ่ม

ครามยื่นแขนให้ป้าน้อยเกาะเอาไว้ก่อนเดินเข้าไป แม้ยังไม่มืดค่ำเเต่แสงแดดก็เริ่มอ่อนลงตามกาลเวลาหมุนเปลี่ยน หูได้ยินเสียงน้ำไหลเชียวกับเสียงนกร้องขณะย่างกรายเข้าไปลึกขึ้นจนที่สุดก็เห็นธารน้ำใสอยู่ตรงหน้า

ภาพเด็กตัวเล็กกำลังนั่งดูผู้ใหญ่คนนึงหลับคอพับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่

“กระถิน”



“แม่”

สองแม่ลูกประสานสายตาแล้วส่งเสียงเรียกพร้อมกัน

“ดื้อ เดียวหนีไปไหนไม่คิดจะบอกแม่แล้วใช่ไหม”

เด็กอ้วนตาเบิกโพลงเพราะตกใจที่แม่มาหาถึงที่ คนเป็นแม่ก้าวพรวดเข้ามาประชิดตัวลูกพร้อมว่าเสียงเขียว ทว่าลูกน้อยรีบยกนิ้วขึ้นมาทำท่าจุ๊ปาก

“แม่เบาๆ พี่บุญหลับอยู่”

เด็กน้อยเล่นน้ำเสร็จนานแล้วแต่พี่ชายยังหลับอยู่ไม่ยอมตื่นสักที ไม่กล้าปลุกด้วยเพราะเป็นคนขอให้พามา ทำได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ มองตาปริบๆ รอให้พี่ชายตื่นขึ้นมาเอง

น้อยหยิกแขนลูกชายด้วยความหมั่นไส้ รีบลากไอ้ตัวดีให้หลบเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาแทรก ครามช้อนตัวคนหลับขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว

“พี่ครามจะพาพี่บุญไปไหน กระถินไปด้วยได้มั้ย”



“แกจะไปยุ่งวุ่นวายกับคุณหนูไปถึงไหน มานี่กลับบ้านกับแม่”



“โอ๊ยแม่ เบาๆ หูกระถินจะขาดเอา”

เด็กน้อยร้องโอย โดนแม่ดึงหูจนหัวเอียงไปตามแรงดึง



“ป้าขอบคุณและก็ขอโทษคุณครามด้วยนะคะ ป้าขอตัวกลับก่อนหากมีอะไรให้ป้าช่วยก็โทรมานะคะ”

ครามยิ้มบางๆให้คนสนิท ได้ยินเสียงสองแม่ลูกเถียงกันตามหลัง เขากำลังจะเดินตามออกไปต้องหยุดเท้า เพราะคนในอ้อมเเขนเริ่มรู้สึกตัว

ใบหน้าคมก้มลงเป็นจังหวะเดียวกับการลืมตาตื่นของใครบางคน บุญสะดุ้งหวือตอนเห็นหน้าเขาใกล้ๆ แล้วก็ต้องตกใจซ้ำสองที่รู้ว่ากำลังถูกอุ้ม

“ครามปล่อย จะอุ้มผมทำไม”



“ขี้เซา”

เขาปล่อยให้ร่างบางยืนบนพื้น ก่อนจะฉกจุ๊บบนริมฝีปากสีสดแล้วผละถอย แม้จะเป็นวินาทีสั้นๆ แต่เด็กที่หันหลังไปมองพอดีถึงกับตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง

“แม่ เมื่อกี้ๆ”

กระถินตกใจจากสิ่งที่เห็น มือยื้อแขนมารดาให้หยุดเดิน

“อะไรของแกอีกไอ้กระถิน”



“เมื่อกี้กระถินเห็นพี่คราม..”

พูดไม่ทันจบ คนเป็นแม่ก็ร้องเสียงสูงก่อนจ้ำอ้าวไวๆ โดยมีเด็กอ้วนวิ่งร้องไห้โฮตามหลังตลอดทาง

“ตายแล้ว! แม่ลืมเอาของไปฝากป้าสา กระถินรีบเดินเร็วๆ ไม่งั้นแม่จะปล่อยเอ็งทิ้งไว้ในป่านี่แหละให้เสื้อมันกินเป็นมื้อเย็น”

“ฮือออ ไม่เอาแม่รอกระถินด้วย”







“จะไปไหน”

ครามไม่ปล่อยให้คนผิดเดินหนี เขารวบตัวร่างเล็กเข้ามากอด ใบหน้าก้มลงคลอเคลียแก้มนิ่ม ฝังจมูกลงหนักๆ กลิ่นหอมละมุนกำลังทำให้อารมณ์บางอย่างในตัวเขาเริ่มตื่น ยิ่งเจ้าลูกชายตัวดีเผลอไปแตะโดนสะโพกอีกคน เขายิ่งรุ่มร้อน

“แล้วไม่กลับรึไง”



“ค่อยกลับ ตอนนี้พี่อยากเล่นน้ำก่อนกลับ ทำงานมาเหนื่อยๆ เหนียวตัวไปหมดเเล้วเนี่ย”

สาบานได้ว่าบุญไม่ได้กลิ่นเหงื่อของครามสักนิด อีกอย่างอากาศใช่ว่าจะร้อนอบอ้าว แต่ถ้าครามหมายมั่นอยากทำ เขาคงไม่มีสิทธิ์ห้าม

“ตามใจแต่ผมไม่ลงไปด้วยหรอกนะ”



“อืม ขึ้นไปรอข้างบนไป”

กายสูงถอดเสื้อตัวนอก ตามด้วยเสื้อยืดและกางเกงจนเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวทั้งร่าง ส่งเสื้อผ้าให้คนใกล้ตัวถือไว้  ขายาวก้าวช้าๆลงน้ำ ค่อยๆด่ำดิ่งสู่ธารน้ำใส เรือนร่างเปียกปอนใต้น้ำเริ่มแหวกว่ายไปที่ลึก

คนไม่ลงน้ำเดินขึ้นไปนั่งรอที่โคนไม้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ม่านสายตามองดูเรือนร่างกำยำเคลื่อนตัวอยู่ในสายนทีที่ชุ่มฉ่ำ  ใบหน้าได้รูปมีสีหน้าสดชื่นขึ้นขณะได้ลงไปแช่ในน้ำที่น่าจะเย็นเอาเรื่อง

ครามเป็นคนขี้ร้อนจึงชอบว่ายน้ำเป็นงานอดิเรก ต่างจากเขาที่ไม่โปรดปราณกีฬาชนิดนี้สักเท่าไหร่ ทำมากสุดคือนั่งเอาขาแช่ลงไปในน้ำ

ประมาณยี่สิบนาทีครามก็เดินขึ้นมาจากธารน้ำ เขาลุกขึ้นปัดเศษดินที่เลอะกางเกง เเล้วเผลอถอยหลังตอนเห็นใบหน้าหล่อฉายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“คราม!”

ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ครามก็ปัดมือเขาออกจนเสื้อผ้าตกพื้น พอตั้งท่าจะถามว่าเป็นอะไรกลับโดนฉุดรั้งให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงอีกครั้ง เนื้อตัวครามยังเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้าและนั่นมันทำให้เสื้อแขนยาวที่เขาสวมอยู่พลอยเปียกไปด้วย

“เปียกหมดเลย อื้อออ”

ครามปิดปากคนพูดด้วยปาก แลบลิ้นเลียไปบนกลีบปากบางนั่น จุ๊บซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่สักพัก ไล้เลียเบาๆ ตรงริมฝีปากล่างบังคับให้คนในอ้อมกอดเผยอปาก แต่คงยากหน่อยเพราะแมวน้อยแสนพยศไม่ยอมให้เขาได้ฉกชิมความหวานนั่นได้ง่ายๆ

“จะทำอะไร ปล่อย”

บุญผลักร่างหนาให้ถอยห่างกำปั้นเล็กๆ ทุบแผงอกหนาให้หยุดยุ่งวุ่นวายกับปากเขา ครามไม่ได้สะทกสะท้าน ไม่ยอมให้จูบที่ปากก็หันมาจูบบนพวงแก้มทั้งสองข้างแทน จมูกโด่งสูดดมกลิ่นก่ยของร่างเล็กเข้าเต็มปอด เลื่อนลงมาซุกไซ้ตรงลำคอขาว ดูดเม้มทำรอยทิ้งไว้หนึ่งจุด

“หอม”

น้ำเสียงสั่นพร่าเปร่งออกมาจากจิตใต้สำนึก ตอนแรกว่าจะไม่ทำแล้วยอมอดทน ค่อยกลับไปชำระความเรื่องที่แอบออกมาโดยไม่ฟังคำสั่งกัน

พลันเห็นสีหน้าล่องลอยของคนตัวเล็กที่ดูเหม่อ เขาก็นึกอยากจะหยอกให้โมโหเล่น..ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่กอดเดียวจะทำให้ความต้องการที่ดับลง กลับมาลุกโชนขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

โดยไม่สนว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน

“โอ๊ย!”

บุญหลุดเสียงร้องเมื่อฟันคมกัดลงมาตรงหัวไหล่ไม่เบานัก ริมฝีปากได้รูปเลื่อนขึ้นมาจูบปาก จูบแก้ม..หน้าผากก่อนย้ายไปขบเม้มติ่งหูขาวพร้อมพรั่งพรูลมหายใจร้อนผ่าวที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์...หวังให้อีกฝ่ายรับรู้สิ่งที่เขาต้องการจะทำในอีกไม่ช้า

“ไม่เอาคราม ผมไม่เอา”

และเป็นไปตามคาด เมื่อเหยื่อเริ่มจะรู้ชะตากรรมของตัวเองถึงได้รีบออกปากห้ามปราม

“ชู่ว เงียบๆ ถ้าเราเสียงดังพวกชาวบ้านอาจเเห่กันเข้ามา หรืออยากให้คนพวกนั้นรู้ว่าเราสองคนเป็นผัวเมียกัน ไม่ใช่พี่น้องอย่างที่หลายคนเข้าใจ”

ไม่เพียงแค่ขู่ยังสอดมือเข้าไปใต้เสื้อสีครีมสะกิดตุ่มเม็ดเล็กทั้งสองข้าง ช่วยปรนเปรอให้บุญมีอารมณ์ร่วม ใบหน้าคมเลื่อนลงมานัวเนียที่ลำคอระหง ทว่าบุญขืนตัวหนี


“คราม..ขอร้องไม่เอาที่นี่”

ตาคมกริบจ้องใบหน้าเล็กที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง มือขาวเอื้อมมาจับมือซ้ายของเขาให้แนบลงบนแก้มใส ดวงตาฉายชัดถึงอาการตื่นตระหนกและหวาดหวั่น น้ำเสียงเว้าวอนที่ส่งมาคล้ายกำลังอ้อนขอให้เขาปล่อยท่าเดียว คงคิดว่าทำอย่างนี้แล้วเขาจะใจอ่อน

กลับกันมันยิ่งทำให้เขาตบะแตก

อยากแทรกกายสอดใส่แล้วกระแทกเเรงๆ ให้นอนครางอยู่ใต้ร่างเเทบรอไม่ไหว

“ในป่าเรายังไม่เคยทำ มันอาจจะออกมาดีกว่าบนเตียงก็ได้ใครจะรู้”


“มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำ”


“ควรหรือไม่ควร พี่จะเป็นคนตัดสินใจเอาเอง”
เขาดึงทึ้งเสื้ออีกคนออก เพียงแต่มันไม่ง่ายเลย ในเมื่อบุญยังไม่ยอมเลิกพยศสักที ทั้งดิ้นทั้งถีบ ใช้กำปั้นทุบหน้าอกเขาไม่ยั้ง หนักสุดคือจะใช้หัวเข่าถีบไปตรงจุดอ่อนของเขาให้ได้ โชคดีที่เห็นก่อนเลยหลบทัน ไม่เช่นนั้นความกระหายคงมอดดับ


“หยุดดิ้น!” เขาทนไม่ไหวตะคอกใส่หน้า


“ผมยอมครามทุกอย่าง แต่ขอเถอะมันต้องไม่ใช่ที่นี่”

บุญไม่เลิกความพยายาม ยังคงขอร้องครามเรื่อยๆ กลางป่ากลางเขาให้มาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงน่ารังเกียจ เขายอมไม่ได้ ครามไม่อายแต่เขาอาย


“งั้นก็ยอมให้พี่เอาที่นี่แหละ”


“คนบ้า! แหกตาดูบ้างว่าที่นี่ที่ไหน ไม่อายฟ้าอายดินบ้างหรือไง” เพราะความโกรธ ทำให้เผลอขึ้นเสียงโดยไม่ตั้งใจ


“ปากเก่งจังแฮะ งั้นช่วยสนองให้เก่งเหมือนปากด้วยล่ะ”
ไม่รีรอครามกดจูบบนริมฝีปากสั่นระริกนั่น ขบเม้มหนักหน่วง ขยี้ทั้งปากบนปากล่างอย่างหยาบคาย มือหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังก่อนเลื่อนมาด้านหน้า บีบสองเม็ดเล็กที่ไวต่อสัมผัสมือเขาเหลือเกิน ก่อนจิกเล็บลงไปเพื่อให้ฝ่ายนั้นเปิดปากครางออกมา แต่คนดื้อดึงยังใจสู้ไม่ยอมอ้าปาก

ครามเปลี่ยนไปจับยึดปลายคางมนไว้มั่น

โดนต่อต้านมากๆ ก็ชักรำคาญแล้วเหมือนกัน

“คิดดีแล้วใช่มั้ยว่าจะดื้อกับพี่”

ดวงตาสีดำสนิทสบเข้ากับตาเรียวสีสวยราวกับกำลังถามทางสายตา ครามเพิ่มน้ำหนักมือที่จับปลายคางไว้จนคนถูกกระทำหน้าเหยเก บุญทั้งเจ็บใจทั้งน้อยใจที่ครามทำเหมือนเขาเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ นึกอยากเอาที่ไหนก็ได้ไม่เลือกที่อย่างงั้นเหรอ ไม่มีน้ำตาประจานความอ่อนแอ แต่ในใจร้าวระทมสุดจะอดกลั้น

อ้อนวอนไปก็เท่านั้น..ดิ้นรนหนีก็ไม่เป็นผล

บีบบังคับให้ต้องจำยอม

สองมือยกขึ้นเกาะแขนแกร่ง ซบใบหน้าลงบนแผงอกกว้างยอมแพ้ ศักดิ์ศรีเพียงน้อยนิดที่ยังเหลือถูกทำลายป่นปี้จนย่อยยับ..ฮึดสู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อครามไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองเลยสักครั้ง

“หึ ยอมเเต่เเรกก็จบ”

ครามกดจูบบนหน้าผากเนียน เร่งจัดการร่างตรงหน้าให้เหลือเพียงร่างเปลือย อวดความขาวเนียน เขากดไหล่บังคับให้บุญนั่งลงใต้ต้นไม้ จับสองขาตั้งฉากกับพื้นดิน แยกออกกว้าง เเล้วแทรกกายเข้าไปนั่งกลางหว่างขาเรียว ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าหาร่างเล็ก ซุกไซ้นัวเนียเหมือนรอเวลานี้มานาน คนตัวเล็กมีผิวขาวเเถมยังบอบบางเมื่อถูกบีบเคล้นหนักๆก็จะมีรอยเเดงฝากทิ้งไว้

ครามสอดมือเข้าใต้สะโพกกลม บีบก้อนนุ่มเต็มฝ่ามือ ปากพรมจูบไปทั่วดวงหน้าเนียนใส มัวเมาอยู่กับกลีบปากบาง ถึงบุญจะยอมเปิดปากให้เขาแทรกลิ้นเข้าไปข้างใน บดเบียดดูดลิ้นเล็กเล่น เเต่กลับไม่ยอมจูบตอบเขา

เขาจิ๊ปากขัดใจ เเล้วกัดแรงๆ ตรงริมฝีปากล่างอีกคนจนได้เลือด

“โอ๊ย จะ..เจ็บ”


“สนองพี่หน่อย อย่ามัวแต่นั่งทื่อเป็นท่อนไม้”

บุญกลืนก้อนสะอึ้นลงคอ สองมือประคองใบหน้าหล่อ ก่อนจะแลบลิ้นออกมาตวัดรุกไล่กับลิ้นอุ่นจนเกิดเสียงเฉอะแฉะจากการแลกน้ำลายของคนทั้งสอง

“อืม ไม่ไหว..พี่ไม่ไหวแล้ว”

เขากล่าวเสียงเครือ เรือนร่างตรงหน้าทำให้แก่นกายของเขาโป่งพองออกมาจนเห็นได้ชัด ความเสียวซ่านพุ่งสูงจนเขาต้องเพิ่มแรงขบกัดไปตามผิวเนื้อเนียนจนเกิดรอยฟัน จากนั้นใช้ลิ้นดูดยอดอกที่ตั้งชัน ทั้งดูด ทั้งกัด หูได้ยินเสียงร้องห้าม 

เเต่เขาหาได้สนใจไม่

“อึก เจ็บ”

ทั้งน้ำเสียง ทั้งใบหน้าของคนตัวขาวช่วยกระตุ้นให้ตรงส่วนนั้นของเขาปวดร้าว อยากกระเเทกเข้าสู่ความคับเเน่นเต็มที  แต่ยังอดทนไว้ ให้ถึงเวลาเหมาะสมแล้วค่อยปลดปล่อยให้สาสม

ครามส่งนิ้วร้ายล้วงลึกเข้าไปในช่องทางด้านหลัง หมุนคว้านไปมาแล้วเพิ่มเป็นสองนิ้ว ก่อนจะเริ่มดึงเข้าดึงออก

“อ๊ะ อ๊ะ..เบาหน่อย”

ยิ่งเสียงครางกระเส่าดังมากเท่าไหร่ เขายิ่งเร่งใส่เข้าใส่ออกเร็วมากเท่านั้น มือข้างที่ว่างรวบกำก้อนเนื้อเล็กมาไว้ในมือ รูดขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ขยับเนิบนาบเเล้วกลายเป็นหนักหน่วง ขณะนิ้วมือก็ยังไม่หยุดจาบจ้วงช่องเล็กแคบจนเจ้าของร่างหอบหายใจแทบไม่ทัน ใบหน้าน่ารักเห่อแดง แผ่นอกกระเพิ่มขึ้นลงวูบไหวราวกับภูเขาไฟกำลังระเบิด

“อ๊ะ..พอคราม อ๊ะ"

เขาดูออกว่าร่างกายอีกคนเริ่มเกร็งเครียดจึงแช่นิ้วค้างไว้ในผนังอ่อนนุ่ม ส่วนมือขวายังคงไม่หยุดมอบจังหวะกระชั้นถี่ พลางใช้นิ้วโป้งขยี้ส่วนปลายไปด้วย ไม่นานน้ำขาวขุ่นก็ไหลทะลักออกมาเปรอะเปื้อนมือหยาบ

ครามมองร่างอ่อนปวกเปียกที่เพึ่งเสร็จสมไปก่อนหน้าด้วยความใคร่กระหาย ..ถึงตาเขาแล้ว

กายสูงลุกขึ้นถอดบ๊อกเซอร์ออกจากตัว เปิดเผยส่วนดุดันที่ขยายความพร้อมจนคนใต้ร่างเบือนหน้าหนี สองเเก้มขึ้นสีระเรื่อ ครามกระตุกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเขินอายนั่น ก่อนจะบงการจัดท่าให้ร่างบางนอนราบไปกับพื้นหญ้า

“เจ็บหน่อยนะ”

เขารู้อารมณ์ของตัวเองดี ว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด เขาเร่งรีบทุกอย่าง ถุงยางก็ไม่ได้พก

เเต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการร่วมรัก

เขาจับขาขาววางบนบ่า ถูไถเนื้อร้อนตรงช่องทางคับแน่น นับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะ..

“อื้ออออออ”

ก้มลงประกบปากจูบดูดดื่ม ปิดกลั้นเสียงร้องขณะยัดแก่นกายเข้าใส่โพรงรักทีเดียวสุดความยาว

“อ่า..บุญรัดพี่แน่นเกินไป”

เขาสูดปากคราง กดแช่ตัวตนค้างไว้สักพัก ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ แต่คนใต้ร่างดันตอดรัดเขาแน่น แค่เขาขยับโยก อีกฝ่ายก็ดิ้นพล่านด้วยความเจ็บ ใบหน้าเรียวแหงนหงายร้องหวีดหวิวรองรับความป่าเถื่อน มือจิกเล็บลงบนกล้ามแขนอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยว..และไร้ซึ่งความกระสันมีเพียงความรวดร้าวที่ได้รับ น้ำใสๆ ไหลรินเมื่อมันทั้งแสบทั้งเจ็บเกินจะรับไหว

“ฮึก เอาออกไป”


“อย่าขอในสิ่งที่พี่ทำให้ไม่ได้”

ตัวเขาเองก็ปวดไม่แพ้กัน ที่จริงเขาต้องเล้าโลมและค่อยๆ ใส่เข้าไปด้วยความอ่อนโยน เพียงแต่ความเห็นแก่ตัวมันมีมากกว่า เลยเลือกมองข้ามเสียงสะอื้น..สนใจเเต่ความสุขของตัวเอง

ครามขยับท่อนเนื้อให้จมมิดเข้าไปในช่องทางคับแน่นจนสุด ถอดออกมาก่อนจะเสียบเข้าไปใหม่พราดเดียว เอาออกมา  เเล้วกระแทกใส่เข้าไปใหม่

ทำอยู่อย่างงั้นซ้ำๆ โดยไม่สนว่าคนโดนกระทำจะสาหัสเเค่ไหนกับการกระทำนั่น

บุญข่วนเเผ่นหลังกว้างให้ขึ้นรอยเล็บ ปลดปล่อยให้หยาดน้ำพรั่งพรูออกมาระบายแทนสิ่งที่ต้องเจอ ได้แต่นอนเป็นที่รองรับอารมณ์ใคร่อย่างไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไหร่..เสียงกระเส่าของร่างสูงบ่งบอกได้ดีว่า คงมีความสุขมากกับการได้แทรกเอ็นร้อนเข้ามาในตัวเขา ต่างจากเขาที่ต้องร้าวระบมเจ็บชาไปทั่วร่าง

“อื้ม บุญรัดพี่โคตรแน่น”

ลำสวาทเสียดสีกับผนังอ่อนนุ่มไม่มีการผ่อนแรง ไม่มีความอ่อนโยน ครามกระแทกกระทั้นเข้าออกหนักหน่วง สะโพกสอบยังคงดึงเข้าดึงออกใส่ร่างเล็กครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดพัก ยิ่งถูกรัดเเน่น ครามยิ่งจ้วงใส่ไม่ยั้งเเรง

ก่อนจะจับสองขาเรียวให้แนบติดไปกับหัวไหล่ขาว สะโพกมนลอยไม่ติดพื้น เพราะสองขาถูกจับโย้ไปข้างหน้าให้อยู่ในท่าคู้งอ

“อื้อ เจ็บ”

การร่วมรักในท่านี้ทำให้แผ่นหลังขาวโยกคลอนไปกับพื้นหญ้าและก้อนหินเล็กๆ ที่วางเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ยิ่งครามซอยถี่หนักหน่วง ผิวเนื้อขาวก็ไหลขูดไปตามแรงขับเคลื่อนจนเป็นแผล

“เจ็บ ครามผมเจ็บ”


“ทนหน่อยนะครับ เด็กดี”

ครามหยอดคำหวาน เเต่การกระทำไม่ใช่ ร่างใหญ่คร่อมทับร่างที่แทบจะพับครึ่ง ซ้ำยังกระหน่ำแทงแก่นกายใส่คนด้านล่างด้วยความบ้าคลั่ง

เขาครางไม่ขาดปาก ยิ่งขยับโยกรุณแรงเท่าไหร่ ยิ่งช่องทางร่วมรักบีบรัด  เขายิ่งสวนเข้าไปลึกขึ้น ความเสียวซ่านกระจายเเผ่ซ่าน...ส่วนร่างขางโพลนก็รองรับจังหวะการสอดเสียบของเขาได้แนบแน่นอย่างถึงใจ

ลำเนื้อกระทบโพรงเนื้ออุ่นกระแทกดุดันจนเกิดเสียงผิวเนื้อสัมผัสกัน ร่างสูงบีบคลำแก้มก้นเเล้วแบะออกจากกันให้กว้าง เพื่อจะได้สอดแทรกได้ถนัดถนี่ มันสร้างความลึกให้อีกคน แต่สร้างความรวดร้าวให้กลับอีกคน

“อืมมม พี่ชอบเวลาได้ขยับอยู่ในตัวบุญ”

เหงื่อกาฬไหลรินไปทั่วร่างกำยำ ความเสียซ่านไหลวนอยู่ในร่างกาย ครามเกร็งแขนจนเส้นเลือดปูด ในจังหวะสุดท้ายมือที่ขยำก้นนิ่มเผลอใช้เล็บจิกสุดแรงเป็นเหตุให้บุญหวีดร้องเสียงดัง

เขาก้มจูบหน้าผากราวกับขอโทษ เเต่ก็กลับมาสวนกระหน่ำใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า วินาทีนี้เขามีความสุข ทว่าคนที่ต้องทนเเบกรับความเจ็บปวดไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น

แม้จะมีความกระสันซ่านเข้ามา เเต่มันน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับการต้องปวดแสบปวดร้อนในช่องทางด้านหลัง

“อ๊ะ อ๊ะพอก่อน”

บทรักของครามมีเเต่ความเอาเเต่ได้ มีเเต่ความรุณเเรงจนบุญร้องไห้ไม่หยุด

“อื้ออ ใกล้เสร็จแล้วหน่า”

ครามตอบเสียงสั่นระโหย ก่อนปล่อยขาทั้งสองข้างให้มาตวัดรอบสะโพกสอบ ลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมคนบนตัว เขาเดินถอยออกมายืนในที่ยังพอมีแสงแดด บุญคล้องคออีกฝ่ายอัตโนมัติ กลีบปากบ่วมเจ่ออ้าออกตอนครามสอดลิ้นเข้ามาเลาะเล็มไปทั่วข้างใน เกี่ยวพันลิ้นอุ่นขณะมือร้ายก็จับเอวบางให้ขยับขึ้นลงตามใจตัวเอง

ครามเร่งจังหวะให้กระชั้นชิดขึ้น ถอนปากออกมาเพื่ออยากจับจ้องใบหน้าแดงก่ำ เจ้าของเรือนร่างหอมหวานกำลังถูกเขาจับโยกขึ้นลงตามแรงมือ พร้อมกับขยับเอวรองรับความหระหายอยู่เบื้องล่าง

“เสียวโคตร”

ผนังอ่อนนุ่มตอดรัดท่อนร้อนๆ ของชายหนุ่มถี่ยิบ สักพักร่างกำยำก็กระตุกเกร็งพร้อมปลดปล่อยหยาดน้ำรักเข้าไปในผนังนุ่มหยุ่น มีบางส่วนที่ล้นทะลักออกมาเปื้อนซอกขาของคนตัวเล็ก ครามครางฮือทรุดนั่งลงบนพื้นโดยมีบุญนั่งหอบหายใจอยู่บนตัก...ในระหว่างนั้นพวกเขายังคงสอดประสานกันอยู่

บุญเอามือปิดเสียงน่าอาย ยามกายสูงถอดถอนเเก่นกายออก ครามลุกขึ้นรีบใส่กางเกงลวกๆ ไม่เเม้เเต่จะสวมเสื้อ ทว่ากลับหันมาใส่เสื้อผ้าให้เขาครบทุกชิ้น จากนั้นก็ยกเขาจนตัวลอย เพื่อพาเดินไปยังรถที่จอดเเช่ไว้




กลิ่นนิโคตินลอยอบอวลไปทั่วห้องนอน ร่างสูงนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา ดวงตาสีรัตติกาลจรดอยู่ตรงแผ่นหลังของคนบนเตียง หลังจากพวกเขากลับมาถึงบ้านพัก บุญก็เอาแต่นอนหันหลังให้ ไม่ยอมพูดด้วย ถามอะไรก็เอาแต่เงียบ ครั้นจะล้มตัวลงไปกอดกลับพลิกตัวหลบหลีก จนชักทนไม่ไหวต้องลุกมานั่งแยกที่โซฟาแทน

เมินตึงใส่กันทั้งที่เพึ่งจะมีอะไรกันไปหยกๆ

“จะเงียบอีกนานมั้ย”

เหมือนเดิม..ไม่แม้จะหันมามอง  ครามขยี้มวนบุหรี่ให้ไฟมอดดับ ลุกขึ้นยืนเผยผิวขาวที่บัดนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยขีดข่วนจากฝีมือคนตัวเล็กบนเตียง เขาพอรู้เหตุผลว่าเพราะอะไรถึงโดนเฉยชาใส่ บุญโกรธที่ถูกเขาบังคับให้เล่นด้วยกันในป่า..และยังเผลอจัดหนักโถมแรงเข้าออกไม่ยั้งจนคนปวดไปทั้งตัว

จิตใต้สำนีกกู่ร้องว่าเขานั่นแหละที่ผิดทว่านิสัยไม่ยอมใคร ไม่ชอบขอโทษใครก่อน แม้จะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม

“เออ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด”

กายแกร่งที่มีเพียงผ้าขนหนูพันรอบสะโพกสอบเดินกระแทกฝีเท้าออกจากห้องจนเกิดเสียงปึงปัง ปล่อยให้ใครบางคนนอนเคว้งคว้างอยู่ในห้องเพียงลำพัง

บุญเม้มปากแน่น..รู้ทั้งรู้ว่าเขาขอแค่ได้ทำ..ขอแค่ได้เอา..ไม่เคยรักใครนอกจากชีวิตตัวเอง..รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังเสียใจ

พอเสร็จสมก็ผละห่าง ทิ้งเขาไว้เหมือนของเล่นไร้ค่าครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเล่นเสร็จคิดจะปล่อยทิ้งขว้างไม่สนใจยังไงก็ได้ หากอยากจะเล่นอีกเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทวงเอา



บุญกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง เรี่ยวแรงจะเดินแทบไม่เหลือ แต่จะให้เขานอนทั้งที่ร่ายกายสกปรกก็ไม่ไหวเหมือนกัน เดินเเค่ก้าวเดียว ขาก็สั่นพับๆ เหมือนจะล้มตึงลงพื้นเสียให้ได้ กระทั่งในที่สุดก็พาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำได้สำเร็จ

บุญถอดเสื้อคลุมแขวนไว้บนราว เปิดฝักบัวให้สายน้ำไหลชโลมร่างกาย บุญกัดกรามฝืนต้านอาการแสบๆ คันเมื่อรอยกัดและรอยขีดข่วนจากพวกใบหญ้าและก้อนหินโดนน้ำ บางรอยลึกจนมีเลือดชิบออกมา ยังไม่นับร่องรอยที่ใครอีกคนตีตราไว้ทั่วกายขาวไม่รู้ว่ากี่วันถึงจะจางลง

จากนั้นถึงปิดฝักบัว เเล้วยกขาข้างนึงไปวางบนขอบอ่างอาบน้ำ เอื้อมมือขวาไปด้านหลังเพื่อสอดนิ้วเข้าไปล้วงเอาของเหลวสีขุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ออกมาให้หมด

“เจ็บ”

มันทั้งเจ็บทั้งแสบจนน้ำตาร่วง ดวงหน้าเนียนเงยหน้ากลั้นหายใจอึกใหญ่ พยายามสอดนิ้วล้วงลงไปให้ลึกขึ้น มันไม่ใช่เอาออกได้ง่ายๆ เพราะด้านหลังของเขามันระบมหนักจนยากที่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุด

แกร๊ก

เสียงเปิดประตูส่งผลให้คนในห้องน้ำค้างเติ่ง แก้มสีแดงขึ้นสีจนเห็นได้ชัด นัยน์ตาดำขลับมองเหมือนจะกลืนเขาเข้าไปในท้อง

“เอามือออก”

ครามทำทีเป็นไม่สนใจแก้มแดงๆ นั่น เดินมายืนซ้อนตัวอยู่ด้านหลังร่างขาวโพลน กระหวัดเอวเข้ามาแนบชิดแผ่นอกกว้าง ป้องกันไม่ให้ล้มพับลงไป ใส่นิ้วล้วงเข้าไปเอาคราบสีขาวขุ่นที่ยังติดอยู่ออกให้จนหมด

“เจ็บ”

เหมือนเด็กขี้ฟ้องที่ต้านทานความเจ็บไม่ไหวต้องส่งทอดให้ตัวต้นเหตุรับรู้

“อาบน้ำ”

เพียงแต่ตัวต้นเหตุทำเป็นไม่ได้ยิน มือหนาดึงร่างที่สูงเพียงปลายคางมายืนพิงตัว คล้ายกับกำลังกอดทางด้านหลัง เปิดน้ำอุ่นให้ หยิบสบู่มาถูตัวให้ ราวกับกำลังอาบน้ำให้เด็ก

“อึก ตรงนั้นเจ็บ”

รอยเเผลบนหลังกำลังทำให้ตาคมสั่นไหว  ตอนทำเรื่องอย่างว่าเขาไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย..ดูก็รู้ว่าเจ็บมาก

“ไม่ต้องอาบแล้วเช็ดตัวก็พอ”

พูดเสร็จก็แย่งเอาชุดคลุมที่คนเจ็บแขวนไว้มาสวมทับ เอาผ้าเช็ดตัวมาพันสะโพกของบุญแทน ช้อนอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกไปที่เตียง จัดท่าให้คนเจ็บนอนคว่ำหน้าลงไปกับหมอน

มือควานหายาทาในลิ้นชักไม่พบ เลยกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกรอบก่อนออกมาพร้อมกาละมังใบเล็ก

เพียงแค่แผลสัมผัสกับผ้านุ่มร่างที่นอนฟุบก็เกร็งตัวขึ้น

“เจ็บก็ร้องออกมา”



“ตบหัวอย่ามาลูบหลัง”



“บุญ”

ครามเสียงดุเพราะคนตัวเล็กพูดไม่เข้าหู ไม่ได้เห็นหน้า แต่คงเดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ายังไง

“ต้องทำให้เจ็บก่อนใช่ไหมถึงจะรู้สึกผิด”

แต่ยากเมื่อบุญไม่ฟังยังคงพ่นวาจาสาดความน้อยอกน้อยใจออกมาไม่หยุด

“อย่าพูดมาก”


“ตอนทำไม่เคยคิดหรอกว่าผมจะเจ็บหรือเปล่า”

ร่างสูงขี้เกียจปรามอยากพูดอะไรก็พูด เขาจะทำเป็นไม่สนใจ มือหนาบิดผ้าผืนเล็กหมาดๆ พยายามเช็ดตรงแผ่นหลังให้เบาที่สุด นึกทึ่งที่ไอ้ตัวเล็กไม่หลุดเสียงร้องออกมาสักเเอะ

กลับมีเพียงถ้อยคำสั่นเครือที่กรั่นออกมาจากหัวใจคนพูด

“แผลแค่นี้มันไกลหัวใจไม่นานก็หาย”


หรือเพราะห้องมันเงียบเกินไป เขาถึงได้ยินเสียงของบุญดังชัดเหลือเกิน

พร้อมๆ กับรู้ว่าบุญกำลังร้องไห้

“แต่แผลที่เกิดในใจมันไม่มีวันหาย”


และเขาก็เลือกที่จะเพิกเฉยอยู่ดี


TBC.

                   

ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตอนที่ 6


“อย่ามาจับ”

บุญร้องโวยขณะถูกจับพลิกให้นอนหงาย ก่อนจะโดนฉุดให้ไปนั่งทับลงบนต้นขาเเข็งเเกร่ง

“อย่างอแงน่าบุญ จะร้องจนถึงเช้าเลยหรือไง”

เจ้าของใบหน้าคมถอนใจระอายามเห็นเเผ่นหลังบางยังคงไหวสั่น เขาทำเป็นไม่สนใจแรงต่อต้านเพียงน้อยนิดนั่น ยิ่งคนบนตักดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ออกเเรงกอดรัดเอวบางแน่นขึ้นมากเท่านั้น


“อึก ไม่ต้องกอด”

พูดไปก็สะอื้นไปด้วย พยามแงะมือหนาที่ตรึงตรงบั้นเอวให้หลุดออก แต่เรี่ยวเเรงที่มีน้อยกว่าก็ไม่สามารถสู้เเรงอีกคนได้เลย

เขาสู้ครามไม่ได้สักอย่าง

“หยุดร้อง แล้วค่อยพูด”

ครามเอ็ดไม่ดังนัก สายตาคมกล้าจดจ้องอยู่ตรงรอยช้ำบนผิวเนื้อขาว บางจุดขึ้นรอยช้ำ มีบางจุดถลอกจนมีเลือดซึมออกมานิดนึง หากดูด้วยสายตามันเป็นเพียงรอยช้ำเล็กๆ ที่กระจัดกระจายออกเป็นจุดๆ ไม่น่าจะมีตรงไหนที่บาดลึกจนเกิดแผลเป็น

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่น่าวู่วามเกินเหตุ

เเต่ก็อย่างว่า...ของโปรดมันประเคนวางอยู่ตรงหน้าเเล้ว..โคตรยากหากต้องอดใจรอ


“เดี๋ยวก็หาย”

ไม่พูดเปล่ายังจรดริมฝีปากลงบนรอยช้ำสีม่วงบริเวณกลางเเผ่นหลังเล็ก จูบย้ำไปหนึ่งที เหมือนอยากจะปลอบประโลมให้คนบนตักหายเจ็บโดยเร็ว หมายจะเอี้ยวตัวไปหอมแก้มเนียนอย่างที่ชอบทำ ทว่าเขากลับทำไม่ได้อย่างที่นึกเพราะบุญใช้สองมือปิดบังหน้าเป็นการหลบหลีกสัมผัสจากเขา

“รู้ว่าโกรธ แต่โกรธไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา”

เขาดึงเเขนเรียวให้หลุดออก จับยึดปลายคางให้หันมาเผชิญหน้ากัน กะว่าจะดุให้เลิกดื้อดึงเเต่พอเห็นดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปกับคราบน้ำตาเเล้วเขากลับใจอ่อนยวบ หัวใจกระตุกวูบตอนประสานสายตากับดวงตาแดงก่ำที่ฉายชัดถึงความตัดพ้อ น้อยใจ เเละเสียใจอย่างไม่ปิดบัง

เนิ่นนานที่ปล่อยให้ทั้งห้องเงียบงัน

ครามผ่อนหายใจ...กลายเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้

“อย่าร้องไห้”

กระซิบปลอบข้างใบหูขาว ค่อยๆจูบซับน้ำตาทั่วใบหน้านวล เเล้วไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงเรียวปากสีสด เขาเพียงกดแช่ค้างไว้ ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปข้างใน แค่ใช้ปากแตะปาก ก่อนจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

ดวงตาของคนสองคนต่างจ้องมองกันเเละกัน

“ขอโทษ หายโกรธพี่นะครับ”

ถ้อยคำอ่อนโยนหมายจะปลอบประโลมคนเจ็บ มาพร้อมท่อนแขนแข็งแรงที่โอบกอดร่างบอบบางเข้ามาแนบกาย ผิวเนื้อทาบทับสัมผัสกันชิดใกล้ ครามยกฝ่ามือขึ้นลูบเส้นผมสวยด้วยความทะนุถนอม จุมพิตลงบนมือนุ่มราวกับอยากจะสื่อถึงเรื่องของวันนี้ อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไป...เขาขอโทษ

"เด็กดี พี่ขอโทษ"

ทั้งหมดคือสิ่งที่ออกมาจากใจของครามจริงๆ เพียงเเต่สำหรับใครอีกคนกลับเจ็บแปลบกลางใจอย่างห้ามไม่ได้ น้อยครั้งนักที่ครามจะพูดขอโทษ 

หากเขาไม่ได้เผยด้านอ่อนเเอออกมา ครามก็คงทำเป็นไม่สนใจต่อความเจ็บของเขาเหมือนอย่างเคย ถ้าไม่ร้องไห้ก็คงไม่ปลอบ ถ้าไม่เห็นเเผลที่ด้านหลังของเขา..ก็คงไม่ขอโทษ สลับกันหากเขาวางตัวเป็นปกติ...ครามก็คงจะเพิกเฉย

เเล้วคุณค่าของเขาล่ะ..มันอยู่ตรงไหนกัน

หยดน้ำใสร่วงไหลออกจากตา


“เด็กดีเงียบนานเกินไปแล้ว พูดกับพี่หน่อย”

ผู้ชายเจ้าชู้มักหยิบเอาความอ่อนโยนเข้ามาใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น เขาปาดน้ำตาเม็ดสุดท้ายออกลวกๆ ก่นด่าตัวเองในใจที่พลาดเผลอเเสดงด้านเปราะบางออกมา ไม่น่าให้ความอ่อนเเอเข้ามามีอิทธิพลต่อจิตใจมากเกิน

ไม่ควรอ่อนเเอต่อหน้าคราม


“คราม”

เขาดันไหล่กว้างให้ผละห่าง อยากตะโกนใส่หน้าให้หยุดเสเเสร้งเเกล้งทำ ถ้าไม่เคยทนุถนอม ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกกัน  ก็ไม่ควรทำเหมือนเเคร์ 

เพราะมันไม่ต่างจากเครื่องทรมานที่ทำให้เขาเจ็บลึกลงเรื่อยๆ

“บอกก่อนว่าหายโกรธพี่แล้ว”

ครามฝังจมูกสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคนในอ้อมกอดเต็มฟอด ใช้นิ้วเกลี่ยเเก้มนุ่มเล่นเป็นเชิงหยอกเอินร่างบนตัก


“อืม ไม่ได้โกรธแล้ว”

รู้ว่าโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้จึงต้องตอบเเบบขอไปที อีกทั้งยังหวาดระแวงไปในตัวเพราะรู้ว่าผู้ชายอย่างครามมีหลายด้าน บางครั้งอ่อนโยน บางครั้งโหดร้าย หรือคิดอยากจะใจดีก็ใจดีจนเขามีหลงดีใจ พอคิดอยากจะร้ายใส่ก็ร้ายสุดขั้วเเบบตั้งรับเเทบไม่ทัน


“น่ารัก”

ใบหน้าหล่อฉวยโอกาสซุกไซ้เข้าหาลำคอขาว ดูดเม้มเล้าโลมผิวเนื้อนุ่ม มือเล็กขยุ้มบ่ากว้างยามความรู้สึกวาบหวามแล่นปะทุจุกเข้ามา บุญกลั้นหายใจยามกายใหญ่โอบรัดรอบเอวให้เขยิบเข้ามาแนบชิดมากขึ้นจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบบนกลีบปากหวาน แทรกแทรงลิ้นอุ่นเข้าไปในปาก ดูดกลืนเรียวลิ้นพันกันราวกับอดอยากมานาน ทั้งที่ความเป็นจริงคือชายหนุ่มเพึ่งจะเสร็จสมเรื่องอย่างว่าไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี่เอง


“ขอต่ออีกรอบได้ไหม”

ครามถอนริมฝีปากออกเเล้วถามเสียงพร่า บีบเคล้นสะโพกกลมกลึงเล่น แววตาออดอ้อนขณะวอนขอจนฝ่ายถูกกระทำไปไม่เป็น ได้แต่นั่งนิ่งแข็งเป็นหิน บุญเม้มปากเป็นเส้นตรง เอียงสายตาไปทางหน้าต่าง เขาไม่เก่งพอที่จะต้านทานดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของใครบางคนได้เลยจริงๆ เขายังไม่พร้อมที่จะมีร่วมรักอีกรอบ ยังคงเจ็บหนึบตรงช่องทางร่วมรัก

เขาไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของกายสูง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ตระหนักได้ว่า..ผู้ชายคนนี้อยากได้อะไรก็ต้องได้..และที่ขอก็ขอไปงั้นแหละ ถึงเขาไม่ยอม ครามก็คงบังคับขืนใจกันเหมือนเช่นวันนี้


“ฮึ ดูทำหน้าเขา”

เขาหันกลับมามองเมื่อครามหลุดหัวเราะ ก่อนลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนของเขาออกมา


“วันนี้เหนื่อยเร็ว พี่ไม่มีแรงจะต่อหรอกนะ”


“ก็ครามพูดว่าขอ”


“แค่หยอกเล่น”

เเม้ในใจอาจมีเเอบหวังอยู่บ้าง ถ้าเกิดไม่ได้ทำงานมาครึ่งค่อนวัน ถ้าร่างกายไม่เมื่อยล้า ไม่มีทางเสียหรอกที่เขาจะทำกับคนๆนี้แค่ครั้งเดียว ตอนนี้ทำได้เเค่รอให้แผลบนหลังไอ้ตัวเล็กหายดี

หลังจากนั้น รับรองเลยว่า..เขาจะคิดทบต้นทบดอกจนกว่าจะพอใจ


“เขยิบมานั่งนี่ ยกแขนขึ้นด้วย”

บุญทำตามอย่างว่าง่าย สองแขนยกสูงเล็กน้อยตามคำสั่ง โดยมีร่างใหญ่ที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำกำลังลงมือแต่งตัวให้เขาอย่างที่เคยทำบ่อยๆ หากกำลังจะลุกขึ้นเพื่อสอดขาเข้าไปในกางเกง กลับถูกกดหัวไหล่ให้สะโพกนั่งติดเตียง

“เสื้อมันยาวคลุมพอดี กางเกงคงไม่ต้องใส่หรอก”


“ไม่เห็นจะยาวตรงไหน ครามปล่อย!”

บุญขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเหตุผลมันไม่เข้าหูเอาซะเลย ชุดนอนของเขาคือชุดเซ็ทสีขาว มีเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงขาสั้นเป็นเนื้อผ้าซาตินใส่สบาย เเละชายเสื้อมันก็ไม่ได้ยาวอย่างที่ใครบางคนอ้างสักนิด ปิดสะโพกของเขายังไม่มิดนี่หรอเรียกว่ายาว

พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า ในเมื่อคนเอาเเต่ใจชิงถอดเสื้อคลุมออกจนเห็นเเผงอกกำยำ เเล้วหันกลับมาอุ้มเขาจนตัวปลิวให้เข้าไปนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน


“หนาว”

เขาเป็นคนขี้หนาวต่างจากครามที่ขี้ร้อน ต้องเปิดแอร์ให้เย็นทั่วห้องถึงจะหลับ ไม่ชอบใส่อะไรเวลานอนถึงใส่ก็ใส่เพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ หากวันไหนเขามานอนที่คอนโด ครามจะต้องลดระดับแอร์ลงให้พอดีไม่งั้นเขานอนไม่หลับ เเต่วันนี้ตากเเดดเเทบทั้งวันเลยอยากนอนตากแอร์เย็นๆ ให้สบายตัว

“กอดอยู่นี่ไง” ครามหลับตาลงขณะกอดก่ายร่างเล็กจนจมไปกับเเผงอก

ครามขอเเค่ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มชนิดเนื้อแนบเนื้อ จึงเลือกให้บุญใส่แค่เสื้อตัวเดียว เว้นข้างล่างไว้จะได้สัมผัสช่วงล่างเเบบไม่มีเนื้อผ้ามาขวางกั้น


“คราม”

บุญเรียก รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังดุนดันอยู่แถวๆต้นขาด้านในของเขามากเกินไป เขาหวังให้ครามคลายกอดลงหน่อยจะได้กระเถิบออกนิดนึงก็ยังดี หากสัมผัสกันเเน่นแบบนี้ มีสิทธิ์ที่คนมักมากอย่างครามอาจไม่ใช่ทำแค่กอด


“ครามอย่าเพิ่งหลับ”


“ค่อยทำพรุ่งนี้ได้มั้ย วันนี้พี่เหนื่อยมากขอพักก่อน”


“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!”

ร่างบางเสียงดัง ส่วนคนนอนปิดตาไม่ถือสา ซ้ำยังหยิบเรื่องอย่างว่ามาเปิดประเด็นให้คนในอ้อมกอดอายอีกรอบ


“ก็เห็นเรียกนึกว่าอยากถูกเอา แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็สะกิดเรียกได้ทุกเมื่อ แต่ครั้งนี้เราอาจจะต้องอยู่ข้างบนแทนนะ เพราะพี่คงขยับแรงได้ไม่ถึงใจเท่าไหร่”


“สมองคิดแต่เรื่องหมกมุ่น”


“ใครกันแน่ที่หมกมุ่น รู้หรอกน่าว่าอยาก แต่เขินไม่กล้าบอกพี่มากกว่ามั้ง”


“ครามหยุดคิดเรื่องบ้าๆ แล้วหลับไปเหอะ”


“พี่ก็กำลังจะหลับ แต่ไม่รู้เด็กที่ไหนก่อกวนไม่ยอมให้หลับ สงสัยคงอยากโดนสักน้ำสองน้ำล่ะมั้งถึงจะหลับลง”

เท่านั้นแหละทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เหลือเพียงเสียงเครื่องถ่ายเทความเย็นดังรอบห้อง ครามคลี่ยิ้มทั้งที่ตายังปิดสนิท สักพักก็ผล็อยหลับไป มีเขาคนเดียวที่ยังไม่ง่วงแต่ก็ไม่กล้าขยุกขยิกแม้ปลายนิ้ว หน้าก็ซุกแนบอยู่กับอกกว้าง 

ในคืนนั้นมีใครบางคนต้องนอนนับแกะในใจเกือบสามร้อยตัวกว่าจะนอนหลับ





“คนละยี่สิบห้าบาท”

ว่านหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้เลคเชอร์ เเล้วหยิบชีทเรียนที่เพิ่งไปซีร็อกซ์ใต้อาคารมาหมาดๆ วางบนโต๊ะตัวเองหนึ่งชุด ก่อนแจกให้เพื่อนที่นั่งติดกันอีกสองชุด

ถ่ายมาสี่ชุดเหลือหนึ่งชุดเพราะเพื่อนในกลุ่มยังมาไม่ครบ


“ไอ้ครามไปไหน”

ว่านก้มดูเวลาผ่านนาฬิกาข้อมือ อีกห้านาทีอาจารย์จะเข้าสอนแล้ว ยังไร้วี่แววของเพื่อนสนิท


“มันไม่ได้บอกมึงอ่อ”

คนข้างๆอย่างเต้เลิกคิ้วถามกลับ มือกร้านหมุนฝาขวดโออิชิให้หลุดออกแล้วยกดื่มอึกใหญ่


“ถ้ามันบอกกู กูจะถามมึงทำซากอะไรวะ”


“งุ้ยยย อย่าอารมณ์เสียดิวะ กูก็นึกว่ามันบอกมึงแล้ว” เต้วางขวดน้ำไว้แถวๆ ขาโต๊ะ เปลี่ยนมาดัดเสียงสองเมื่อเห็นคนเคียงข้างเริ่มขมวดคิ้วหงุดหงิด


“ไม่ได้บอก”


“จริงดิ”


“ก็เออสิวะ ไม่มีบอกเหี้ยอะไรทั้งนั้น”


“อ่าว ถ้าไอ้ครามไม่ได้บอกมึง เเล้วมันจะบอกกูเพื่อ พวกมึงสองคนนั้นเเหละที่สนิทกันกว่าใคร”


“แล้วมึงล่ะภีม รู้มั้ยว่าไอ้ครามอยู่ไหน ทำไมยังไม่มาเรียน” ว่านคร้านจะโต้เถียง เลือกหันไปถามไอ้ภีมที่นั่งถัดจากไอ้เต้


“มึงไม่รู้ แล้วกูจะรู้ได้ไงว้า”


“มึงก็ไลน์ไปถามมันดิ” ภีมชิงปฎิเสธ เต้ก็รีบเเทรกขึ้นพร้อมเสนอให้ลองส่งข้อความถามเอา สลับกันว่านดันเลือกที่จะกดเบอร์โทรหา

ไม่เกินห้าวิคนปลายสายก็กดรับ

[ว่าไง]


“มึงอยู่ไหนคราม”


[ห้าง G]


“ไปทำเหี้ยไรเวลานี้ไอ้สัด ไม่เข้าเรียนรึไง”


[หักจิตพิสัยกูไปหนึ่งคะแนน ก็ไม่ทำให้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งที่กูหวังไว้สั่นคลอนหรอกน่า]

ว่านกลอกตาให้กับเสียงหัวเราะเเละถ้อยคำที่เเสดงความมั่นใจของคนไกล แต่ก็ค้านไรไม่ได้ในเมื่อมันเก่งจริงอย่างที่ปากว่า

“เออกูรู้มึงเก่ง เเต่มึงไปทำอะไรที่นั่น”


[พาเด็กมาซื้อของ]


“มึงจะติดหญิงเกินไปเเล้วคราม”


[เมื่อวานพ่อใช้กูไปดูสวนด้วยไอ้เหี้ย กูก็อยากเดินชิลล์ก่อนได้ปะวะ อ่อขอบคุณในความเป็นห่วงของมึงมากนะ เท้ากูเพิ่งจะเหยียบกรุงเทพได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเอง มึงก็เสือกโทรมาแล้ว]

“เออกูเสือก เพราะคิดว่ามึงเป็นอะไรหรือเปล่า..ที่ไหนได้ติดหญิง”


[เสือกจริง]


“เหอะ อาจารย์เข้าแล้วกูวางก่อน..”


[เดี๋ยว]


“ทำไมมึงอีก”

ว่านควงปากกาไปมา ตาเหลือบมองเพื่อนอีกสองคนที่มัวเเต่เล่นเกมส์เเข่งรถที่เพิ่งโหลดมาใหม่อย่างออกรส มีเขาที่เป็นบ้ากับการหายไปของไอ้ครามอยู่คนเดียว


[มึงช่วยถ่ายรูปนาฬิกาของมึงส่งมาทางไลน์กูหน่อยดิ]


“ห๊ะ”


[นาฬิกากุชชี่ที่มึงเพิ่งไปถอยมาเมื่ออาทิตย์ก่อนอ่ะ]


“เออๆ”

ไม่ได้ถามหาเหตุผลต่อเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอาจารย์เปิดประตูเดินถือแฟ้มเข้ามาเตรียมสอน ว่านยกแขนซ้ายหามุมหาแสงแล้วกดถ่าย จัดการส่งให้ตามคำขอของคนไม่มาเรียน

“กูเดาไม่ผิดจริงๆ คนอย่างไอ้ครามจะหายหัวไปไหนได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องเด็กของมันอ่ะ”

เต้ที่คอยเงี่ยหูฟังเอ่ยบ้าง ฟังเเค่การโต้ตอบของพวกมันก็พอประติดประต่อเรื่องได้เเล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นฝ่ายพูดสายด้วยก็ตาม

“กูนึกว่ามันป่วย เห็นปกติไม่ค่อยขาดเรียน” ว่านเก็บโทรศัพท์ หยิบปากกาไฮไลท์ออกมาขีดตามสิ่งที่อาจารย์กำลังเน้นย้ำผ่านไมโครโฟน


“มึงก็เพลาๆ ลงหน่อยว่าน เดี๋ยวนี้มึงทำตัวไม่ต่างจากพ่อคนที่สองของพวกกูเเล้วนะเว้ย”

เต้พูดกับเพื่อนตามตรง ไอ้ว่านเป็นผู้ชายนิสัยดีมาก รักเพื่อน หากเพื่อนมีปัญหาอะไรพร้อมช่วยเสมอ มีน้ำใจเป็นห่วงเพื่อนทุกคน ยิ่งเรื่องเรียนไอ้ว่านจะซีเรียสเป็นพิเศษ และไม่ได้ใส่ใจเเต่เรื่องของตัวเอง ยังลามมาถึงพวกเขาทั้งสามคนด้วย ก็เหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ที่มันโทรหาไอ้คราม ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ยังได้

โตๆ กันเเล้วควรรู้หน้าที่ของตัวเอง ถามว่าดีไหมที่มีเพื่อนค่อยเตือนค่อยห่วง มันดีก็จริง

แต่ถ้าเยอะเกินไป พาลจะอึดอัดกันเปล่าๆ

“กูเป็นเพื่อนไม่ใช่พ่อของพวกมึง แล้วค่าชีทยี่สิบห้าบาทยังไม่ยอมจ่ายกูอีก ทำลืมหรอมึงอ่ะ”


“เปล่าเว้ย กูกำลังจะให้”

เต้หยิบเงินในกระเป๋าตังส่งให้คนข้างๆ รีบหุบปากฉับตอนอาจารย์หันมาต่อว่าพวกเขาทางสายตาข้อหาเสียงดังรบกวนผู้อื่น


ทางด้านของใครอีกคนที่ออกมายืนคุยโทรศัพท์...

ครามเก็บมือถือในกระเป๋ากางเกง ตามแงลึกเข้าไปในร้านเครื่องประดับแบรนด์ดังที่ตอนนี้มีพนักงานหนุ่มมาดเนี้ยบกำลังยืนทำหน้าที่แนะนำนาฬิกาสิบกว่าเรือนในตู้โชว์ให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เขาชอบเเบรนด์ ชอบสินค้าของร้าน ชอบความใส่ใจพนักงาน เเต่บางทีมันก็เกินความพอดี มันไม่จำเป็นที่พนักงานต้องยิ้มกว้างเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ ไม่จำเป็นที่ต้องสะเออะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนของเขาจนเหมือนจะหอมแก้มกันอยู่รอมร่อ

เขาสาวเท้ากลับเข้าไปในร้าน ออกไปรับโทรศัพท์จากไอ้ว่านแป๊บเดียว พนักงานหน้าตี๋ก็ทำเกินหน้าที่ เล่นตีตัวสนิทกับบุญมากไป


“เลือกได้ยัง”

โอบไหล่เเสดงท่าทีประกาศตัว มืออีกข้างลูบเบาๆบนแก้มใสเพื่อเน้นย้ำถึงความสนิทสนม

จังหวะนั้นเองที่พนักงานชายหน้าถอดสี ยืนหลังตรงดิ่งตอนเห็นการแสดงความเป็นเจ้าของผ่านสายตาดุดันของลูกค้าที่จ้องกัน คล้ายกำลังตำหนิที่ยุ่มยามเกินหน้าเกินตา

“ผมไม่รู้จะเอาเรือนไหนดี”

บุญกวาดมองนาฬิการาคาแพงในตู้โชว์แล้วหนักใจ หัวคิ้วเเทบจะชนกัน มันไม่มีเรือนไหนที่ถูกใจเพราะไม่อยากได้ มีครามที่อยากให้ฝ่ายเดียว จะปฏิเสธก็ไม่กล้า กลัวว่าครามจะหงุดหงิดที่เขาเรื่องมาก


“ไม่มีเรือนไหนชอบเป็นพิเศษเลยเหรอ”

บุญส่ายหน้าหวือ นิสัยเป็นคนไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวเท่าไหร่นัก ไม่ได้ให้ความใส่ใจในเรื่องของพวกเครื่องประดับ  สำหรับเขานาฬิกาเรือนละ199ยังไม่คิดจะซื้อ ชอบดูเวลาผ่านมือถือจนชิน

..แล้วนี่ราคาหมื่นอัพทั้งนั้น..


“ลองดูเรือนนี้ดีไหมครับ ผมว่ามันน่าจะเข้ากับผิวขาวๆ ของคุณลูกค้า”

ครามตวัดมองตาขุ่น ผลคือคนให้บริการเเทบเหงื่อตก จากที่เกร็งอยู่เล้วยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่ เเค่เเนะนำสินค้าก็ถูกจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียให้ได้


“ครามว่าเหมาะกับผมไหม”

ดวงตาสีสวยจรดอยู่กับนาฬิกาทรงสีเหลี่ยมที่ถูกหยิบขึ้นมา


“ไม่”

ซึ่งเจ้าของเสียงห้าวก็ตอบรวดเร็วแบบไม่ต้องคิดนาน ไม่ได้อคติที่ไอ้หน้าตี๋เเนะนำ สำหรับสายตาครามมันไม่เหมาะก็คือไม่ พอเห็นร่างเล็กยังเลือกไม่ได้เลยเปิดเข้าไปในรูปที่เพิ่งกดบันทึก ก่อนยื่นให้พนักงานดู

“ขอดูเรือนนี้หน่อย”

บุญมองพนักงานหนุ่มที่กุลีกุจรเข้าไปหยิบนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งที่วางโชว์อยู่อีกตู้มาให้เขาพิจราณาแบบเห็นชัดๆ


“เรือนนี้เป็นคอลเล็กชั่นรุ่นใหม่ล่าสุดเลยนะครับ”

ตัวเรือนหน้าปัดมีลักษณะเป็นหนังสีดำที่ดูโดดเด่นประดับด้วยอินเด็กซ์รูปผึ้งและดาวสีทอง โลโก้กุชชี่ปักบนตำแหน่งสิบสองนาฬิกากับฝาหลังที่สลักสัญลักษณ์รูปผึ้งทั้งยังแมทช์เข้ากับสายรัดข้อมือโทนสีดำทอง โดยภาพรวมก็คือนาฬิกาที่ถูกออกแบบในโทนคลาสสิคที่ไม่เรียบหรือฉูดฉาดเกิน

“เราชอบไหม”

บุญจ้องนาฬืกาตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ถามว่าชอบไหม..เขาเฉยๆ ก็อย่างที่บอกไม่ได้มีรสนิยมรู้จักพวกของเเพง เเต่ก็เบื่อจะเเย่ที่ต้องยืนเมื่อยขาอยู่ในร้านจึงตอบส่งๆ

"ชอบ"

ชอบตรงมันมันมีรูปดาวเล็กๆ ประดับรอบสายข้อมือ หากถามว่าชอบถึงขั้นอยากได้มาใส่ไหมก็คงตอบว่าไม่

“ผมเอาเรือนนี้

ร่างสูงยื่นบัตรเครดิตให้คนขายโดยที่ไม่สอบถามราคาให้มากความ เขาสะดุดตาตั้งแต่อยู่บนข้อมือไอ้ว่านแล้ว นาฬิกามีลวดลายออกโทนเรียบๆ หญิงหรือชายใส่ก็ได้ เเต่ผู้ชายต้องเป็นคนข้อมือบางหน่อยถึงจะเหมาะ ตอนเห็นไอ้ว่านใส่ก็ดูเข้ากับบุคลิกมันดี บวกกับลูกเเมวของเขายังไม่มีนาฬิกาข้อมือใส่

บุญยิ้มขอบคุณพนักงาน ยื่นมือรับถุงที่ใส่นาฬิกาหลักหมื่นไว้ข้างใน ก่อนจะเซไปทางซ้ายเมื่อต้นแขนถูกกระชากไม่เบานักให้เร่งเดินออกนอกร้าน


“จะยิ้มอะไรนักหนา”

คนถูกดึงลอบถอนหายใจ ไม่คิดเถียงคนเจ้าอารมณ์ เพราะจะเหนื่อยเปล่า เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงพนักงานในร้านโดยการคุยเรื่องอื่นเเทน

“ครามไม่ต้องซื้ออะไรให้ผมแล้วนะ มันเยอะเกินไปแล้ว”

เขาก้มมองนิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนเพชรไว้ เหลียวมองของในฝ่ามือก็คือถุงใส่นาฬิการาคาแพง นี่ยังไม่นับรวมพวกเสื้อผ้าหรือของในห้องที่เจ้าตัวขยันซื้อมาให้ไม่ขาดช่วง

รู้ว่ารวย..เเต่เพลาๆลงหน่อยก็ดี

“เราพูดประโยคนี้กับพี่รอบที่สิบแล้วมั้ง”


“ผมก็บอกไปรอบที่สิบแล้วเหมือนกันว่าไม่ได้อยากได้”


“เเทนที่จะขอบคุณกัน"


"เเค่อยากอธิบายให้ฟัง บางอย่างผมก็ใช้ไม่ทัน"


"ให้ก็คือให้ เเล้วช่วยทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย เป็นคนอื่นคงอ้อนให้พี่พาไปซื้ออย่างอื่นเพิ่มด้วยซ้ำ ไม่มีหรอกที่จะมายืนเถียงหน้าหงิกเหมือนเราน่ะบุญ”

บุญกลอกตามองบนให้กับประโยคที่นำมาเปรียบเทียบ เอาผู้หญิงมาเทียบกับเขา...เหอะ !

ยืนนานๆท้องก็ร้อง  กำลังชวนครามไปหาอะไรกิน ทว่ากลับถูกใครอีกคนขัดเข้ามาขัดซะก่อน

“พี่คราม”

เสียงเรียกไม่ดังนักเเต่เขาได้ยินชัดเจน ก่อนตามมาด้วยร่างโปร่งที่วิ่งเหยาะๆเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มสดใส เขาหันมองต้นตอเสียง เเล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ

เเละหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ไอ้เด็กนี่มันทำให้เขามีหลายอารมณ์ในตัวเอง


“ไม่คิดเลยว่าจะเจอพี่ที่นี่”


“พี่มาซื้อของน่ะ แล้วนี่ดิวมาคนเดียว?”

ใช่..ดิวรุ่นน้องที่เขาเคยเจอกันในมหาลัย รุ่นน้องที่เขาไม่ถูกชะตาเดินเข้ามาทักทายคราม ราวกับคุ้นเคยกันมาก่อน ตกใจพอสมควร ไม่คิดว่าสองคนนี้จะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่เคยปริปากเล่าเรื่องที่มันเข้ามาพูดกับเขาให้ครามรู้

มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่กล้าคาดเดา นั่นคือ..ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นจัดอยู่ในรูปแบบไหน

รุ่นพี่รุ่นน้อง

หรือมากกว่านั้น

“มากับเพื่อนครับ แล้วนี่พี่ครามมากับใครเอ่ย”

ยอมรับว่าชอบการเเสดงของรุ่นน้องไม่น้อย อยู่มหาลัยอยากสนิท พออยู่ด้านนอกเป็นอีกเเบบ น่าส่งเข้าไปเรียนการเเสดง เผื่อจะได้รับบทเเคสติ้งดีๆสักเรื่อง คงปังไม่หยุด

“ญาติพี่เอง”


“โห ไอ้เราก็นึกว่าเป็นแฟนกันเห็นเดินจับมือกันกระหนุงกระหนิงเชียว"

ร่างสูงนิ่งไปพักนึง ก่อนปล่อยมือเรียวที่กุมไว้แล้วเปลี่ยนไปเขกหัวคนตรงหน้าเบาๆ ทิ้งสัมผัสเจือจางให้บุญเผลอกำมือเเน่น


“ใช่ซะที่ไหนเล่า ไอ้เด็กบ๊อง”


“เนี่ยเจอกันทีไรชอบเขกหัวผมตลอด”

ดิวเป็นผู้ชายหน้าตาดี หล่อตี๋เเบบผู้ชายสไตล์เกาหลีมีทั้งความหล่อเเละน่ารักผสมกันอย่างลงตัว รูปร่างผอมบางไม่สูงไม่เตี้ยเมื่อมายืนเคียงข้างกับผู้ชายที่ดูดีทุกระเบียบนิ้วอย่างคราม

ก็นับว่าดูเหมาะสมกันดีอย่างหาที่ติไม่ได้


“ก็เลิกบ๊องให้ได้ก่อน”


“ไม่ได้บ๊องซะหน่อยพี่ครามอ่ะชอบว่าผม”

เขารู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้เป็นส่วนเกินยังไงอย่างงั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลวูบไหวราวกับมีคลื่นเข้าซัดให้สั่นคลอนยามมองภาพผู้ชายสองคนหยอกล้อกัน จากนั้นถึงถอยออกมาหนึ่งก้าว

ทุกครั้งที่มีใครเขามาหาคราม เขาจะเป็นฝ่ายถอยออกมาก่อนเสมอ เพื่อยืนมองครามหัวเราะกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา

ก้มมองฝ่ามือของตัวเอง...นี่เขาโดนปล่อยมืออีกเเล้ว

เหตุการณ์ในวันวานย้อนกลับเข้ามา เสมือนเทปที่ถูกเปิดซ้ำไปซ้ำมา

‘ผมเป็นใครสำหรับคราม’

‘ถามทำไม’

‘ผมเเค่อยากรู้ เผื่อคนอื่นถามจะได้ตอบพวกเขาถูก’

‘ไม่ต้องตอบ เพราะจะไม่มีใครได้รู้เรื่องของเรา’ 

เก็บเขาไว้เป็นคนในความลับ คนที่ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ในสังคมเดียวกับคราม

ตอนเด็กเคยคิดนะ ถ้าหากว่าเขามีเวทมนต์สามารถเลือกเกิดได้ เขาอยากจะเกิดเป็นอะไร


“ถ้าพี่ยังไม่เลิกว่าผมเป็นเด็กบ๊อง ผมจะฟ้องพ่อ"


“โห พี่โคตรกลัวเลยว่ะ”

เป็นก้อนหินไร้ความรู้สึก

“จะบอกด้วยว่าเวลาเจอกันทีไร พี่ครามชอบเขกหัวผมโดยไม่ได้รับอนุญาต”


“พี่ต้องขออนุญาตด้วยหรอเรื่องนี้”


เป็นนกที่สามารถบินไปไหนก็ได้ ในที่ที่อยากจะไป

“ทำร้ายร่างกายผม ก็ต้องรู้จักรับผิดชอบด้วยนะ วันนี้พี่ต้องเลี้ยงข้าวเที่ยงผมเป็นการไถ่โทษ”


“เห็นแก่กินว่ะ”


หรือเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เขาคนนี้

จะได้ไม่ต้องรู้สึกอ้างว้างอย่างที่กำลังเผชิญ


เเละไม่ต้องเสียใจครั้งที่ร้อย



Tbc.

ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตอนที่ 7


เวลามักจะผ่านไปช้าเสมอ..เมื่อเราต้องเฝ้ารออะไรสักอย่าง

ห้านาทีหรือเกือบสิบนาทีแล้วที่เขายังยืนอยู่ที่เดิม เสียงร้องเพลงของวงดนตรีชื่อดังกำลังจัดแสดงโชว์อยู่บนเวทีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว มันช่วยให้เขาได้พักสายตาจากภาพคนสองคนตรงหน้าและหันไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่นรอบตัวดูบ้าง..แต่มันก็แป๊ปเดียวเท่านั้นที่ทำได้ ในเมื่อสุดท้ายบุญก็ต้องหันกลับมามองคนๆ เดิมอยู่ดี

ทั้งๆ ที่ใครอีกคนแทบจะลืมไปแล้วว่ามีเขามาด้วย ตั้งแต่เด็กคนนั้นก้าวเข้ามา ครามก็เทความสำคัญไปที่คนๆ นั้นแทบทั้งหมด

ใจอยากเดินออกไปจากที่นี่ ไม่จำเป็นต้องยืนรอเหมือนหมารอเจ้าของอย่างที่กำลังทำ แต่ถ้าหากเขาทำแบบที่ใจนึก ครามจะต้องโกรธและไม่พอใจ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเก็บมาชวนทะเลาะจนน่าปวดหัว ไม่อยากเป็นที่รองรับพายุร้อนของอีกฝ่าย หรือร้ายแรงกว่านั้นคือเขากลัว..กลัวการถูกทำโทษในวิธีของคราม วิธีที่เขาพยายามไม่ทำให้มันเกิดขึ้น

เขาหยิบมือถือขึ้นมาหวังหาอะไรดูฆ่าเวลา กดเปิดเครื่อง เมื่ออยู่กับคนนิสัยเสียเขาแทบไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย หนำซ้ำยังต้องปิดเครื่องด้วย เพราะครามไม่ชอบให้เขาหมกมุ่นกับโทรศัพท์เมื่อเราอยู่ด้วยกัน เอาแต่พร่ำบอกว่ากลัวเขาจะติดมือถือจนไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งที่ความจริงเขาไม่ใช่คนติดโซเซียลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาว่างเขาจะถ่ายภาพไม่ก็วาดรูปไปเรื่อย กลับกันเป็นครามต่างหากที่ชอบจมจ่อมอยู่กับหน้าจอมือถือจนติดนิสัย

คนรอมุ่นคิ้วเมื่อข้อความจากเพื่อนสนิทเด้งขึ้นมารัวๆ จนต้องรีบกดเข้าไปอ่าน

‘มึงอยู่ไหน’

‘ทำไมยังไม่มาอีก’

‘อ่านไลน์กลุ่มยัง อาจารย์เปลี่ยนมาควิซวันนี้แทนแล้วนะเว้ย’


คนอ่านตาโตนิดๆ ยามอ่านจบ ก่อนจะคลิกเข้าไปในไลน์กลุ่มวิชาเอกตามอย่างที่เพื่อนบอก แล้วก็ต้องตกใจหนักกว่าเก่าตอนเห็นข้อความของอาจารย์ที่ส่งเข้ามาในกลุ่มตั้งแต่เช้า นอกจากจะเปลี่ยนวันควิซจากอาทิตย์หน้ามาเป็นวันนี้แทนแล้ว ยังเลื่อนเวลาเข้าเรียนจากห้าโมงเป็นบ่ายสองอีก ฉับพลันความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อดูเวลา…อีกสามสิบนาทีบ่ายสอง

ร่างบางนึกก่นดาตัวเองในใจที่เพิ่งจะเปิดเครื่องเอาป่านนี้ เขารีบกดโทรหาไอ้ซัน แต่บริเวณที่กำลังยืนอยู่มันดันอยู่ใกล้พวกบูธที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งขายอาหารกัน เสียงพูดคุยจอแจทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงไอ้ซัน

บุญหันซ้ายหันขวา จากนั้นจึงก้าวยาวๆ ไปตรงลิฟท์ที่ค่อนข้างอยู่ห่างจากความวุ่นวายพอสมควร

[ฮัลโหล มึงอ่านแชทกูแล้วใช่ไหม]


อือ ฝากมึงซื้อชีทเผื่อกูด้วย


[ได้ ทั้งชีททั้งที่นั่งกูจองให้มึงเรียบร้อยแล้วเพื่อน ส่วนมึงอ่ะรีบมาได้แล้ว]


กูกำลังไป

บุญถอนหายใจขณะกดวางสาย ครั้นจะหันหลังกลับไปทางเดิม ร่างทั้งร่างกลับซวนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อ จู่ๆ ก็ถูกใครสักคนเดินเข้ามาชนอย่างจัง แม้ไม่ได้รุณแรงมากนัก แต่โทรศัพท์เครื่องหรูที่ถืออยู่ก็ร่วงตกลงบนพื้น

“อ๊ะ ขอโทษครับ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ผู้ชายกล้ามโตที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านโบรชัวร์ในมือเลยไม่ทันระวัง รีบก้มหัวกล่าวขอโทษทันควัน พลางย่อตัวลงไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่พื้นมาส่งให้ถึงมือเจ้าของ สายตาที่ส่อแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจนทำให้เขาไม่นึกโกรธเคือง

“ผมไม่เป็นอะไร”

แม้จะรู้สึกเจ็บตรงไหล่ซ้ายอยู่บ้าง เมื่อกี้ก็เสียหลักอยู่นิดหน่อยเนื่องจากคู่กรณีก็ตัวใหญ่ใช้ได้ แต่คนมันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้ใหญ่โต บุญเพียงส่งยิ้มแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ และไม่ได้ถือสา ชายแปลกหน้ายิ้มตอบตามมารยาทก่อนเดินเลี่ยงไปอีกฝั่ง

คนถูกชนคลำมือถือป้อยๆ ยัดมันใส่กระเป๋ากางเกง จังหวะนั้นเองที่ต้นแขนถูกมือดีปรี่เข้ามากระชากให้หันไปมอง

บุญหลุดเสียงร้อง ทว่ากลับไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นัก ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นใคร..มีคนเดียวที่ชอบใช้ความรุณแรงมากกว่าใช้เหตุผล

“คราม”


“จะไปไหน"

เสียงทุ้มห้าวดังรอดไรฟันมาพร้อมดวงตาสีเดียวกับรัตติกาลจ้องเขม็งมาที่เขาไม่ลดละ ฝ่ามือใหญ่ย้ายมาบีบเค้นตรงข้อมือขาวอย่างไม่ออมแรง ร่างเล็กเบ้หน้าเพราะเริ่มเจ็บ

“ปล่อยก่อน”


“ถามว่าจะไปไหน”


“แค่ออกมามาคุยโทรศัพท์ นี่ก็กำลังจะเดินไปหาอยู่แล้ว”


“คุยกับใครและคุยเรื่องอะไร”


“คราม ปล่อยมือก่อนคนเริ่มมองแล้ว”
อาจเป็นท่าทีคุกคามของคนตรงหน้ามันโจ่งแจ้งเกินไปผู้คนที่ยืนรอบๆ ถึงเริ่มหันมาขับจ้องและซุบซิบนินทากัน ครามยอมปล่อยมือบางให้เป็นอิสระตามคำขอ แต่แววตาที่ฉายชัดถึงความไม่พอใจดันทวีความรุณแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าหากไม่ได้คำตอบบุญก็ไม่มีสิทธิ์ตีตัวออกห่าง บุญลูบข้อมือไปมา ดวงตาเสมองไปอีกด้านหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญแววตาแข็งกระด้างนั่นโดยตรง ซึ่งพอทำแบบนั้นกลับทำให้กายสูงยิ่งขุ่นมัว

“มองหน้าพี่ด้วย”

ร่างสูงกำลังเก็บซ่อนความหงุดหงิดให้ลึก ก่อนก้าวเข้าไปกระซิบเบาๆ ที่ใบหูอีกฝ่าย หวังให้คนที่เอาแต่ก้มมองพื้นยอมสบตากัน และก็เป็นไปตามคาด บุญหันกลับมา ต่างคนต่างจับจ้องกันและกัน…เห็นชัดถึงความแตกต่าง

แววตาใครอีกคนแข็งกร้าวพร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง ผิดกับอีกคนที่วูบไหว เปราะบางจนน่าสงสาร

“ตอบคำถามพี่มา”


“ผมโทรหาซันให้มันช่วยซื้อชีทให้เพราะมีเรียนตอนบ่ายสอง”


“แล้วทำไมเพิ่งจะมาบอก”


“ก็เพิ่งรู้เมื่อกี้”

ครามอยากจะซักถามมากกว่านั้น แต่โดนใครบางคนขัดเสียก่อน


“พี่คราม”

ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียก เร่งปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ แต่คนช่างสังเกตยังคงมองออก

“เอ่อ พี่ครามโกรธอะไรดิวหรือเปล่าเนี่ย” คนตามมาทีหลังทำหน้ารู้สึกผิดผสมกับเสียงที่อ่อนลง


“เปล่า พี่จะโกรธดิวเรื่องอะไรล่ะ”


“ก็สีหน้าพี่ครามมันฟ้อง”

ดิวแสร้งหลุบตาต่ำทำหน้าเศร้า ถึงดิวจะสูงร้อยเจ็ดสิบห้าตามเกณฑ์มาตรฐานของชายไทย แต่ด้วยรูปร่างที่ค่อนไปทางผอมบาง บวกกับใบหน้าที่ออกไปทางน่ารักมากกว่าหล่อ แล้วยังมีลักยิ้มที่ดูน่ารักเวลายิ้มอีก มีส่วนช่วยสร้างเสน่ห์ให้เด็กคนนี้น่ามองและกลายเป็นจุดเด่นได้ไม่ยาก

“ดิวคิดว่าพี่โกรธดิวจริงๆ นะ”


“ไม่ได้โกรธ ไม่ต้องทำแก้มป่องด้วย”

ครามหลุดหัวเราะ เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มที่งอง้ำจนน่าแกล้ง อดไม่ได้ที่จะขยี้หัวเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว โดยลืมไปว่าการกระทำเหล่านั้นยังอยู่ในสายตาของใครบางคนทุกวินาที

“อันที่จริงดิวมากกว่าที่ควรจะโกรธพี่คราม เดินหนีกันแบบไม่บอกกันสักคำ”

คนนอกอย่างบุญได้แต่มองนิ่ง ไม่อยากอคติไปเอง แต่เวลาที่เด็กคนนั้นพูดแววตาจะจดจ่ออยู่กับครามก็จริง ทว่ามีบางครั้งที่เหลือบมามองเขาบ้างเป็นระยะ แม้จะเพียงแวบเดียวแต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา เห็นได้ชัดตอนที่ครามกำลังยีหัวอีกฝ่าย ช่วงจังหวะหนึ่งที่เราสองคนเผลอสบตากันด้วยความบังเอิญ ตอนนั้นเองที่มุมปากของดิวยกขึ้นคล้ายยิ้มเยาะ

มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาเยาะเย้ยเขา เผอิญประตูลิฟท์ดันเปิดออกพอดิบพอดี วินาทีนั้นเขาไม่ต้องคิดอะไรให้เยอะแยะ เดินจ้ำเข้าไปด้านใน ธุระของเขามันสำคัญกว่าการมายืนดูผู้ชายสองคนหยอกล้อกัน

“บุญรอก่อน พี่ไปก่อนนะดิวไว้ค่อยเจอกัน”

ครามตกใจที่อีกคนตัวขาวไม่รอ เร่งฝีเท้าตามเข้าไปในลิฟท์ให้ทันก่อนประตูจะปิดลง

“เป็นอะไร”

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ก็เหลือแค่ความเงียบที่แทรกเข้ามารอบด้าน บุญไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ไม่แม้แต่จะตอบคำถาม ทำเหมือนเขาเป็นบ้าพูดคนเดียว

ครามเดาะลิ้นกับความเงียบที่ได้รับ ไม่วายเค้นถามอีกเรื่องที่ยังคาใจ

“ไหนบอกมีเรียนห้าโมง”


“อาจารย์เลื่อน”

รู้ว่าอีกคนจะแค่ตอบสั้นๆ จึงไม่คิดถามต่อ ครามเอนหลังพิงไปกับกระจก ดวงตาไม่หยุดว่าง ยังคงสำรวจคนข้างกายไม่หยุดพัก เขาไล่มองปอยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวระต้นคอจนเกือบจะมัดได้อยู่แล้วก็หงุดหงิด เพราะมันขับใบหน้าของคนตัวเล็กให้ดูน่ารักและอ่อนเยาว์ เหมือนยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย

“พรุ่งนี้จะพาไปตัดผม”

คนเงียบเก่งขมวดคิ้ว ก่อนยกมือแตะเส้นผมที่คลอเคลียแถวต้นคอตัวเองไปมา นึกแปลกใจที่สั่งให้ตัดผม ทั้งที่เจ้าตัวเคยขอให้เขาลองไว้ผมยาวดูสักครั้งในชีวิต

“ผมยาวมันดูแลยาก”

แววตาสงสัยเต็มประดา แต่ปากหนักไม่ยอมเอ่ยถาม คนอายุมากกว่าถึงต้องเฉลยในแบบที่ไม่มีความจริงอยู่ในนั้นสักนิดให้รู้แทน

ขืนบอกความจริงออกไป ใครอีกคนจะยิ่งได้ใจ

“อ่อ แล้วอีกอย่างอย่านึกว่าพี่ไม่เห็นนะ ที่ยืนนิ่งปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นมาจับมือได้ไง”

คราวนี้บุญหน้าเหวอ ยืนอึ้งไปพักใหญ่ สมองนึกย้อนไปตอนที่โดนผู้ชายกล้ามใหญ่ชนจนโทรศัพท์หล่นพื้น

“เค้าก็แค่หยิบมือถือมาคืนให้เพราะมันตกพื้น และที่ต้องหยิบให้เพราะเค้าเดินมาชนผมก็เท่านั้น แล้วอย่าเรียกว่าจับมือเลย เรียกว่าแตะมือยังจะถูกกว่า เพราะมือเราสัมผัสกันไม่ถึงสองวิด้วยซ้ำ”

ชี้แจงชนิดแบบไม่เปิดทางให้มีสิทธิ์ได้ถามต่อ ความจริงก็คือความจริง

“อย่าเอาอารมณของตัวเองมาตัดสินความผิดของคนอื่น”

บุญว่าเสียงเรียบ คล้ายกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ถึงจะไม่ได้หันมองคนข้างเคียง แต่เขารับรู้ว่าครามต้องสะอึกไม่มากก็น้อย ไม่งั้นคงขุดหาชนวนขึ้นมาทะเลาะอีกรอบ แล้วก็ต้องหลุดขำเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกระแอมไอลอยเข้ามา คงคันปากอยากจะถามแต่เขาเล่นดักทางจนไม่กล้าที่จะถาม ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมกระทั่งประตูลิฟท์เปิดกว้าง

ฝ่ามือหนาเอื้อมมากุมมือเขาเข้าไปกุมตามความคุ้น เสียงจากคนรอบกายดังจอแจไม่หยุดหย่อน ใช้เวลาไม่นานคนสองคนก็เดินมาถึงลานจอดรถ ครามเปิดประตูให้ร่างบางเข้าไปนั่งก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าไปประจำที่คนขับ ตาเรียวจ้องใบหน้าเจ้าของรถสปอร์ตอย่างใช้ความคิด มีบางสิ่งที่บุญยังคลางแคลงใจ

รถเคลื่อนตัวออกจากห้างสรรพสินค้า บุญเม้มปากขณะนับหนึ่งถึงสิบในใจไปด้วย พอครบก็หันไปหาคนขับ

“ครามเป็นอะไรกับเด็กคนนั้น”

บุญผินหน้ามองตรงอย่างไว ไม่กล้าสบตา ส่วนคนที่มือกำลังจับเกียร์อยู่ถึงกับหันมอง ก่อนสายตาจะจรดบนท้องถนนตามเคย

“เราหมายถึงดิวใช่ไหม?”


“อือ”
หลังจากนั้นครามก็เริ่มเล่าให้เขาฟัง ความรู้สึกวูบโหวงไม่ควรเกิดขึ้นขณะที่ครามกำลังพูด น้ำเสียงของครามตอนพูดถึงเด็กนั่น มันอ่อนโยนต่างจากเวลาพูดกับเขา

ยอมรับว่าไม่ชอบใจ

“ลูกชายเพื่อนพ่อน่ะ” ครามเล่าแบบสบายๆ เพราะไม่มีอะไรปิดบัง ถึงจะเลือนรางไปบ้างแต่เขาก็พยายามรื้อฟื้นมันขึ้นมาใหม่ ความทรงจำในอดีตของเขากับน้องชายข้างบ้าน “พี่รู้จักกับดิวมาตั้งแต่พี่อายุสิบสาม เมื่อก่อนเราสองคนเจอกันแทบทุกวัน บ้านพวกเราอยู่ใกล้กัน เล่นด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียนเพราะช่วงนั้นดิวไม่ค่อยมีเพื่อน ดิวบอกดิวมีแค่พี่ นั่นจึงทำให้พี่อดเตะบอลกับเพื่อนในห้องไปสักพักใหญ่เลยแหละ เพราะต้องรีบกลับบ้านมาสอนการบ้าน แล้วต้องอยู่เล่นเป็นเพื่อนเจ้านั่น แต่พอพี่ขึ้นมอปลายครอบครัวดิวก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น นั่นเลยทำให้เราสองคนไม่ได้เจอกันอีก แต่ก็มีไลน์คุยกันบ้าง”

ความทรงจำวัยเด็กถูกขุดคุ้ยขึ้นมาให้เห็นเป็นฉากๆ ความสุขในวัยเด็กที่ไม่ซับซ้อน ครามยิ้มออกมาง่ายดาย และความสุขมันทำให้เผลอเสียดายช่วงเวลาที่เพิ่งได้เจอคนสนิท จนพลาดพลั้งพูดในสิ่งที่ทำร้ายใครอีกคนโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ

“พี่เคยเจอดิวที่มหาลัยสองสามครั้ง ก่อนจะมาบังเอิญเจอกันอีกก็ตอนอยู่ห้างนั่นแหละ ถ้าหากเราไม่หายไปพี่คงได้คุยกับดิวนานกว่านี้”



“แล้วถ้าไม่หาย ครามจะมองเห็นผมไหม”

วินาทีนั้น..ราวกับทุกสิ่งหยุดลงกะทันหัน เหลือแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ถ่ายทอดความเย็นแผ่วนรอบรถ ครามแปลกใจที่คำถามเชิงตัดพ้อนั่นดังออกจากปากคนตัวเล็ก คนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความน้อยใจออกมา กำลังทำให้เขาแทบไปไม่เป็น เขาอยากแย้งแต่คล้ายกลับมีหินมาถ่วงปาก

สิ่งที่บุญพูดมันก็ไม่ถูกเสียหมด เพราะเขาก็เหลือบมองบุญอยู่เป็นระยะ เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตก็เท่านั้น

“เห็น แต่พี่ไม่ชอบให้เราหายไปแบบไม่บอก ถ้าไปไหนอยากให้มาบอกกันก่อน”

ครามเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าตึกคณะสถาปัตยกรรม ร่างสูงเอี้ยวตัวปลดเข็มขัดนิรภัยให้ กดจมูกลงบนแก้ม ก่อนเอนตัวกลับมาประจำตำแหน่งเดิม ไม่วายออกคำสั่งใส่คนที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถ

“เลิกเมื่อไหร่ก็ไลน์มา แล้วอย่าแอบกลับเองอีกล่ะ ไม่งั้นเจอดีแน่”

บุญทำหน้าตาย คว้าแฟ้มงานขึ้นมาแนบอก แล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร ไม่คิดจะหันหลังกลับมามองคนส่ง ปล่อยให้กายสูงมองตามกระทั่งแผ่นหลังเล็กจางหายถึงสตาร์ทรถแล้วขับไปที่ตึกคณะบริหาร ชายหนุ่มเดินตรงไปยังใต้ถุนคณะ จุดหมายของเขาคือโต๊ะไม้ตัวยาวที่อยู่ใกล้บันได

“มีเรียนเสือกไม่มา แต่พอไม่มีเสือกโผล่มา”
เป็นว่านที่เงยหน้าขึ้นมาทัก แต่ก็กระเถิบให้คนมาใหม่มานั่งข้างๆ


“ถ้าวันไหนมึงไม่ได้บ่นกูเนี่ย มึงจะตายมั้ยวะ”

ไม่ปล่อยให้ถูกค่อนแคะฝ่ายเดียวถึงได้ต่อปากต่อคำกลับไปบ้าง ครามพูดทีเล่นทีจริง ชินเสียแล้วกับนิสัยขี้บ่น ขี้จุกจิก แถมยังชอบแขวะของไอ้ว่านไปแล้ว นึกขำอยู่เหมือนกัน ลุคไอ้ว่านค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับนิสัยมันอย่างสิ้นเชิง ด้วยลุคภายนอกของไอ้ว่านที่ออกไปทางผู้ดี๊ผู้ดี มาดคุณชายอบอุ่น ดูเรียบร้อยสุขุมพูดน้อย แต่ใครจะรู้ว่าจะมีฝีปากที่จัดจ้านและนิสัยที่ขี้จุกจิกพอๆ กับผู้หญิง

“มึงก็ทำตัวให้ดีดิ แค่นี้กูก็ไม่บ่นแล้ว”



“มันยากไป กูคงทำให้ไม่ได้”

เขายักคิ้วใส่มันไปที ซึ่งมันก็ขึงตากลับมาแบบไม่จริงจัง เขาถือวิสาสะแย่งน้ำโค้กของไอ้ว่านมาดื่มโดยที่เจ้าของได้แต่ส่ายหัวระอา แต่ก็ไม่ได้ปริปากว่า

พลางมองไปรอบด้านก็เห็นไอ้เต้กับไอ้ภีมที่กำลังแชทคุยกับสาวในสต๊อกของพวกมัน เดาได้จากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของทั้งคู่ เหลือเพียงคนด้านข้างที่เข้าสู่โหมดคนขยัน อ่านเลคเชอร์จนตาแทบจะสิงเข้าไปในสมุดอยู่รอมร่อ

“จะเก่งแซงกูหรอวะ”


“เหอะ ไม่เข้าเรียนอย่าเสือกแดกดัน”

เขาผลักหัวมันไปหนึ่งที เพราะหมั่นไส้ เสียงแจ้งเตือนบนแอปพลิเคชั่นไลน์ดึงดูดสายตาเขาให้หันไปมอง

มีเเชทที่ค้างไว้หลายเเชท ที่เขายังไม่ได้ตอบ


“คืนนี้เมามั้ยวะพวกมึง” เต้เงยหน้าขึ้นมาขอความเห็นเพื่อนในโต๊ะหลังจากตอบแชทจบ เต้อยากนัดสังสรรค์กันตามประสาผู้ชาย


“สองวันก่อนมึงก็เพิ่งเมาไปนี่หว่า” ว่านละสายตาจากตัวหนังสือ หยิบโค้กขึ้นมาดื่ม


“ก็อยากเมาอีกไงครับเพื่อน”


“ที่ไหน”
คราวนี้ภีมเป็นฝ่ายถามขึ้น เอาเข้าจริงพวกเขาขาดแอลกอฮอล์ได้ไม่เกินห้าวันหรอก ติดที่ใครจะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนก่อนก็เท่านั้น


“พ่อกูได้เหล้าตัวใหม่มาเว้ย เดี๋ยวกูจะเอามาให้พวกมึงลอง แต่กูแม่งไม่อยากไปนั่งร้านอีเจ๊แล้วอ่ะ ขี้เกียจเถียงด้วย กูเลยจะชวนพวกมึงไปดื่มที่ห้องไอ้ภีมแทน”


“เหี้ยเต้ มึงถามกูยัง”
ภีมรีบแทรก


“อ่าว ทำไมวะมึงไม่สะดวกอ่อ”
ปกติการนัดไปดื่มของทั้งสี่คนมีไม่กี่ที่เท่านั้น ไม่ร้านอิเจ๊ ก็ตามผับ หรือไม่ก็ที่คอนโดภีม

ส่วนบ้านของเต้มีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ หากเอาเพื่อนไปก็จะรบกวนคนอื่นๆ รวมถึงน้องสาววัยแปดขวบที่ติดเต้หนึบ ชอบเข้ามาขอนอนด้วย ยิ่งทำให้เต้ไม่อยากพาเพื่อนไปดื่มที่บ้าน เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะหากน้องสาวเห็น

“ใช่ กูไม่สะดวก ก็แม่กูอยู่ด้วย แกเพิ่งจะบินมาเยี่ยมกูเมื่อวานนี้เอง”

ภีมเกิดและโตที่เชียงราย เป็นลูกคนเดียวรวมทั้งมีแม่เป็นคนเลี้ยงดูเพียงคนเดียว พ่อเสียตั้งแต่ยังเด็ก ส่งผลให้คนป็นแม่ค่อนข้างที่จะเป็นห่วงและหวงภีมมาก ต้องนั่งเครื่องบินมาเยี่ยมทุกๆ สิ้นเดือน

“งั้นที่ห้องมึงได้มั้ยว่าน” เต้ไม่เซ้าซี้เพราะเข้าใจเพื่อน หันไปขอความสมัครใจจากอีกคนแทน


“ห้องกูไม่สะดวกว่ะ”


“ทำไมอีก อย่าบอกนะว่าแม่มึงมาเยี่ยมมึงอีกคนอ่ะ”


“แม่กูนอนอยู่โรงพยาบาลนะมึง


“เห้ย กูลืมไปขอโทษเว้ย ปากกูหมาอย่าใส่ใจนะมึง”
เต้พนมมือไหว้ ทำสายตาอ้อนวอนระคนรู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดไม่คิด เขาลืมไปว่าเมื่อสามวันก่อนแม่ของไอ้ว่านดันลื่นล้มในห้องน้ำ แม้สมองจะไม่ได้กระทบกระเทือน แต่คอเคล็ด เอ็นข้างหลังฉีกต้องใส่เฝือกล็อกคอสามอาทิตย์ กระดูกที่แขนซ้ายยังร้าวเลยต้องเข้าเฝือกเหมือนกัน ทำให้ยังต้องนอนรอดูอาการอยู่โรงพยาบาล

“ช่างเหอะ รู้แค่ว่าห้องกูไม่สะดวก” ว่านบอกปัด


“เอ้า แล้วทำไมถึงไปห้องมึงไม่ได้วะ ช่วยพูดให้เคลียร์หน่อย”


“แล้วทำไมมึงไม่ไปห้องไอ้ครามแทนวะ”
เต้เกาหัว หากบอกว่ามึนก็ถูก หากบอกว่างงก็ถูกอีก คือประเด็นเขาถามไอ้ว่าน แต่ไหงมันกลับโยนไปที่คอนโดไอ้ครามได้ ทั้งที่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไอ้ครามไม่ชอบให้พวกเขาไปที่ห้อง ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญ

“ทำไมต้องเป็นห้องกู”

ครามเบนสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม นั่งฟังพวกมันเกี่ยงกันอยู่นานแต่ไม่คิดว่าจะมาลงเอยที่ห้องเขาได้

“ห้องมึงหรู” ว่านบอก ทว่าคำตอบออกจะฟังไม่ขึ้นไปสักหน่อย เหมือนแค่อยากกวนอารมณ์ของอีกคนเสียมากกว่า


“กูว่านั่นไม่ใช่ประเด็น”


“อาทิตย์ก่อนยังเรียกพวกกูไปหาอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงห้าม”


“นั่นมันนัดทำวิจัย”


“มึงแค่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไรพวกกูถึงไปห้องมึงไม่ได้ แค่นี้ก็จบ”


“ก็กูไม่สะดวก แล้วถ้าพวกมึงทั้งหลาย อยากได้ความเป็นส่วนตัวมากนัก ก็ไปเปิดห้องวีไอพีดิวะ เรื่องง่ายๆ ทำไมคิดไม่ได้”

เมื่อผู้ชายสองคนเริ่มถกเถียงกันยาวขึ้น คนร่วมโต๊ะก็ได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความประหลาดใจ เต้ที่เป็นฝ่ายเริ่มประเด็นขึ้นมาได้แต่กัดแซนวิชเข้าปาก ไม่ใช่ไม่กล้าห้ามปรามพวกมัน เขาแค่รู้สึกตงิดกับพฤติกรรมของไอ้ว่านก็เท่านั้น มองเผินๆ เรื่องนัดดื่มมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย จริงอย่างที่ไอ้ครามพูด แค่หาร้านใหม่และโทรจองจองมุมวีไอพีก็สิ้นเรื่อง มีเพียงไอ้ว่านคนเดียวที่ยังเซ้าซี้จนผิดนิสัย

พวกเขาสี่คนสนิทกันก็จริง แต่ความสนิทของพวกเขาจะไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของกันและกัน

และไอ้ว่านเริ่มก้าวก่ายเกินคำว่าพอดี

“หรือเพราะมึงให้ใครมาอยู่ด้วย”

ว่านกดยิ้มมุมปาก ยกมือขวาขึ้นมาเท้าคางขณะสบตากับเจ้าของใบหน้าหล่อคม ว่านอารมณ์ดีผิดจากอีกคนที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์เข้าให้แล้ว

สังเกตได้จากการที่ครามจ้องหน้าว่านไม่กะพริบ เป็นเชิงกดดันทางสายตา คล้ายสั่งให้ว่านหยุดพูด แต่ว่านก็ยังไม่ยอมจบ

..ครามไม่อยากฟัง ทว่าว่านแค่อยากแนะนำ..

“มึงก็ให้บุญกลับไปนอนที่ห้องตัวเองสิ แค่วันเดียวคงไม่ทำให้มึงคิดถึงจนทนไม่ได้หรอกน่า”

ครามเงียบไปอึดใจ พอจะแย้ง เพื่อนกลับไม่เปิดโอกาสให้อธิบาย


“กูพูดผิดตรงไหนวะ กูเห็นเวลามึงเจอคนใหม่ทีไร มึงก็ไล่น้องมันตลอดอยู่แล้วนี่ แค่ไล่อีกสักวันทำไมมึงจะทำไม่ได้วะ”


“ว่านมึงกำลังหาเรื่องกูอยู่”


“พวกมึง! คือกูลืมไปเลยว่าวันนี้กูมีนัดกับน้องฟ้าว่ะ เอาเป็นว่าพวกเราค่อยนัดกันวันหลังดีกว่าไหม”

เต้ว่ารัวๆ ไม่พักหายใจ ยกสองมือ ขอให้พวกมันสงบลง ครั้นเห็นทั้งสองคนเงียบลงก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก ตามจริงวันนี้เขาไม่มีนัดกับใครทั้งนั้น แต่เห็นท่าไม่ดีจึงต้องปั้นเรื่องโกหกให้พวกมันเชื่อไว้ก่อน เกรงว่าหากไม่ทำแบบนี้จะเกิดการขว้างหมัดใส่กันได้ ถึงพวกเขาจะไม่เคยผิดใจกันจนต้องใช้กำลัง หากไม่เห็นแววตาแข็งกร้าวของไอ้คราม

จะมาทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ตามใจมึงแล้วกันเต้”

ว่านยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ทำทีเป็นเก็บของใส่กระเป๋าก่อนลุกขึ้นยืน เหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่ดูเรียบเฉยจนผิดปกติ

ว่านรู้ …เพื่อนสนิทกำลังโกรธ

“ครามมึงอย่าเคืองกูดิ กูแค่หยอกมึงเล่นเอง ทีมึงยังชอบแกล้งกูเลย ถือว่าเราเจ๊ากัน”

ว่านเฉลยในสิ่งที่ตนทำลงไปพร้อมตบบ่ากว้างเบาๆ ครามมองตาขวาง

ไม่อยู่รอให้ถูกด่า ว่านรีบชิ่งขอตัวกลับก่อน

“เจอกันพรุ่งนี้ ส่วนพวกมึงสองตัวก็ขึ้นเรียนได้แล้วไป”

เพราะเลือกลงเรียนในด้านที่แต่ละคนถนัด เลยได้เรียนไม่ตรงกันบางวิชา ภีมกับเต้เลือกลงเรียนคลาสเดียวกัน ส่วนว่านกับครามเลือกลงคลาสเดียวกัน

ที่ว่านยังไม่ยอมกลับตั้งแต่เรียนเสร็จ เพราะคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าใครบางคนต้องมาอยู่รอรับเด็กมันกลับพร้อมกัน นับเป็นเรื่องดีที่มีโอกาสได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาตลอด

“อะ..เออๆ ขับรถดีๆ นะเว้ย ครามมึงรอน้องบุญใช่ป่ะ งั้นกูกับไอ้ภีมไปเรียนก่อนนะ”

เต้สะกิดภีมให้ลุกขึ้น ซึ่งภีมก็รับรู้จากการสัมผัสได้ถึงกระแสความหงุดหงิดที่ล้อมรอบ ลนลานเก็บข้าวของบนโต๊ะ ทำทีเป็นดูนาฬิกาก่อนโบกมือลา ที่ลุกลี้ลุกลนเพราะเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้มีความเสี่ยงสูงที่พวกเขาจะถูกด่าแทนไอ้ว่าน





เจ้าของดวงตาสีอ่อนหงายมือรองรับใบไม้ที่ร่วงหล่นมาทับบนฝ่ามือได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ก่อนปลิวไหวเคล้าคลอไปพร้อมสายลมที่พัดวูบเข้ามา ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวขจี มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นคอยเป็นร่มเงาช่วยบดบังแสงแดดลดความอบอ้าว..แม้จะไม่มากก็ตาม

ร่างโปร่งเอาสมุดที่พกติดกระเป๋ามาใช้แทนพัดชั่วคราว สะบัดพัดแรงๆ ให้ลมตีเข้าหน้าหวังคลายร้อน

เสียงฝีเท้าถี่ที่กระทบลงกับพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงดังก้องตามทางเดิน ก่อนค่อยๆ เงียบลงเมื่อใครคนนั้นหยุดเดิน

ทัศนียภาพจากพื้นหญ้าแปรเปลี่ยนเป็นผ้าใบคอนเวิร์สเข้ามาในม่านสายตาแทน บุญแหงนมองเงาสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าหล่อเข้มยักคิ้วเป็นเชิงทัก พลางยื่นกระป๋องน้ำโค้กที่เปิดแล้วพร้อมมีหลอดมาให้เสร็จสรรพ

“ขอบใจ กูนึกว่ามึงกลับไปแล้ว”

เขาวางสมุดไว้ข้างตัว รับเครื่องดื่มมาถือไว้ ก่อนดูดเข้าปากอึกๆ เพิ่มความสดชื่นในร่างกาย เขาไม่ได้ฝากให้ไอ้ซันซื้อมา แต่มันคงรู้ใจเขาแหละถึงได้แวะซื้อให้ สำหรับคนที่ติดน้ำอัดลมจนแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่าไปแล้ว มันขาดไม่ได้ ต้องซื้อทุกวัน อย่างน้อยวันละขวดให้หายอยากก็ยังดี

“กูอยากเจอมึงก่อน”


“มีอะไร”


“มึงได้เขียนครบสามข้อป่ะ”

ซันยกเรื่องควิซเก็บคะแนนขึ้นมาคุย มือก็คอยเช็ดคราบเหงื่อที่ไหลเลอะกรอบหน้า แอบแย่งสมุดที่เพื่อนตัวเล็กวางไว้บนเก้าอี้หินอ่อนมายืมพัด

ปากอยากถามคนตรงหน้าเหลือเกินว่าเจ้าตัวมีเชื่อสายผสมแมวทะเลทรายหรอ ถึงได้ชอบบรรยากาศช่วงฤดูร้อนนัก ข้างในอาคารมีทั้งพัดลม ทั้งแอร์เสือกไม่เอา กลับชอบปลีกวิเวกแอบมานั่งแหมะอยู่ตรงสวนหย่อมตามลำพัง ด้านหลังตึกจะเป็นสวยหย่อมเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบเหงา มีถนนเส้นเล็กที่รถขับผ่านได้ แต่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านนัก เนื่องด้วยพื้นที่รอบๆ มันไม่มีอะไรน่าดึงดูด ไม่มีที่สำหรับจอดรถ ไม่มีพวกร้านรถเข็นมาตั้งขาย ร้านค้าเล็กๆ ก็ยังไม่มี จะมีก็แต่โต๊ะไม้สีแดงเก่าๆ ที่ดูผุพังไร้การซ่อมแซมกับเก้าอี้ทรงกลมที่เหลือแค่ตัวเดียว ราวกับว่ามีไว้สำหรับให้เพื่อนเขาใช้คนเดียว ตอนเขาออกมาจากห้องเรียนแล้วไม่เจอมัน ไม่ต้องเสียเวลาโทรหาด้วยซ้ำ ก็รู้ทันทีว่ามันต้องมาหลบอยู่ที่นี่

“ก็ต้องทุกข้อดิ”


“มึงจำได้หมดหรอวะ มึงอ่านแค่ห้านาทีเองนะเว้ย”


“กูอ่านตั้งแต่วันที่อาจารย์ส่งไฟล์มาในกลุ่มแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาอ่านเอาสามสิบนาทีสุดท้ายก่อนสอบแบบมึงนะซัน”

บุญว่านิ่งๆ นัยน์ตาเอียงไปยังถังขยะ กะระยะอยู่แป๊บนึง จากนั้นถึงโยนกระป๋องโค้กที่ข้างในไม่มีน้ำแล้วลงไปในถังขยะสีดำได้แบบแม่นยำ

“ไม่ต้องแขวะกูก็ได้มั้ง”

ร่างสูงกว่าตีหน้าเบื่อโลก จงใจถอนหายใจเสียงดังให้คนข้างตัวได้ยินชัดๆ แต่อีกคนแกล้งทำเมิน ทำทีเป็นเก็บของใส่กระเป๋าช้าๆ ก่อนรีบฉวยสมุดของตัวเองกลับคืนแล้วยัดเก็บใส่กระเป๋า สองเท้ากำลังจะก้าวหนี แต่ดันถูกมือใหญ่จับยึดไว้ก่อน

“มึงแม่ง..กูยังคุยไม่จบไอ้ห่า


“มึงก็รีบพูดมาสิ จะยืนบื้ออยู่ทำไม”


“เอาเถอะ กูจะพยามไม่หมั่นไส้มึงละกัน”


“กูก็เหม็นขี้หน้ามึงเหมือนกันซัน”

ซันไหวไหล่ ไม่แคร์คำเหน็บแหนมที่ได้ยิน เขาหรี่ตามองหน้าเพื่อนอย่างจับผิด


ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
“แหม ที่เหม็นขี้หน้ากูเนี่ย เพราะกูหล่อไม่พอ ไม่ถูกสเปคมึงใช่ป่าว”

บุญประสานสายตากับซัน ไม่ทันได้เอะใจกับประโยคแฝงความนัยที่หลุดออกจากปากร่างสูง


“เพ้อเจ้อละมึงอ่ะ ขืนมึงยังไม่รีบเข้าเรื่อง กูจะกลับจริงๆ แล้วนะ”


“แฟนมึงยังไม่มารับสักหน่อย จะรีบไปไหนวะ”

เขาชะงักค้าง ตาสีอ่อนเบิกกว้าง หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นคล้ายกับคนกำลังตื่นกลัวเมื่อถูกรู้ความลับที่ปกปิด อยากชิงปฏิเสธแต่สายตาคาดคั้นที่ไอ้ซันใช้จ้องกัน มันทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเปร่งเสียง กลับกลายเป็นว่าเขายอมให้มันเค้นถามต่อ

“ถ้ามึงจะบอกว่าไม่มีแฟน งั้นไอ้รอยดูดที่คอของมึง ใครมันเป็นคนทำวะ”

รีบเอามือตะปบปิดร่องรอยที่ไอ้ซันชี้มา ใบหน้าซีดลง ดวงตาไหวระริก สองมือสั่นน้อยๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ ทางด้านซันได้แต่มองท่าทางของเพื่อนตัวเล็กที่ฉายพิรุธอย่างโจ่งแจ้งแล้วโคลงหัว สาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นพร้อมอธิบาย

“มึงไม่ต้องกลัว กูไม่ได้พิศวาสอะไรมึงเลยเว้ยบุญ เพียงแต่ตอนมึงนั่ง ตากูมันดันเหลือบไปเห็นไอ้รอยพวกนั้นพอดี”

บุญเงียบ ซันจึงพูดต่อ

“กูขอโทษที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมึง แต่กูก็เป็นเพื่อนมึงนะ มึงมีอะไรบอกกูได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแต่เรื่องแฟนของมึง”

ซันไม่อยากจี้ถามให้ใครอีกคนลำบากใจ บางเรื่องถ้าเพื่อนของเขาไม่อยากบอกก็คือไม่บอก แต่เรื่องนี้เขายอมปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ ยอมรับว่ามีน้อยใจนิดหน่อยที่เพื่อนสนิทแอบปิดบังเรื่องแฟน แถมแฟนยังเป็นผู้ชายอีก เขาไม่ได้รังเกียจเพียงแค่อดห่วงไม่ได้

ไม่ใช่เพียงรอยดูดที่ต้นคอ

เพราะวันนี้คนตัวขาวใส่เสื้อที่ค่อนข้างจะใหญ่กว่าตัว พอเขายืนสูงกว่าจึงเผอิญได้เห็นว่า ตามร่างกายมีรอยตีตราความเป็นเจ้าของไม่ใช่น้อยๆ

..เป็นคนขี้หวงพอควร..

“แฟนมึงดีกับมึงใช่ไหม”


“ก็..ดี” คนถูกถามตอบได้ไม่เต็มเสียงนัก


“กูแค่เป็นห่วงมึง กลัวมึงจะถูกหลอก” เขากล้าพูดว่าตัวเองจัดอยู่ในหมวดพวกขี้เสือก หากได้มีเรื่องสงสัยแล้วต้องใช้สกิลสืบให้รู้จนสำเร็จ เขาเอาเหตุการณ์หลายๆ ช่วงมาปะติดปะต่อกัน ยิ่งในวันที่พวกเขาสองคนติดฝนอยู่ในคาเฟ่ยิ่งแน่ใจว่าแฟนของบุญต้องเป็นใครสักคนที่อยู่ในกลุ่มไอ้พวกรุ่นพี่หน้าหล่อ ที่ชอบสะเออะโผล่มาให้เห็นหน้าค่าตาอยู่บ่อยครั้ง มีที่ไหนพอพวกนั้นออกไป บุญก็รีบออกตามไป หากเขายังสืบไม่สำเร็จซะทีเดียว เพราะยังไม่รู้เลยว่าคนไหน เป็นแฟนของเพื่อนเขาเท่านั้นเอง..รู้แค่ว่าต้องเป็นหนึ่งในสี่คนนั้นแน่นอน

และเพราะเป็นพวกมันเขาถึงเป็นห่วง ..ไอ้พวกนั้นถึงจะเรียนเก่งก็ตาม แต่ก็เจ้าชู้ใช่เล่น แต่ละคนตัวพ่อทั้งนั้น..ชอบเที่ยวกลางคืน หนำซ้ำยังควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอีก…ไม่มีอะไรน่าไว้ใจสักอย่าง คันปากอยากยุให้ถอยออกมา อยากถามว่าคิดดีแล้วใช่ไหมถึงยอมหลวมตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น แต่ก็เกรงใจ เพราะแค่นี้ก็ดูจะเสือกมากพอแล้ว

“ขอโทษ”

น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด ทำให้ซันถลาเข้าไปลูบหัวปลอบ ไม่ได้อยากให้คิดมาก

“มึงจะขอโทษกูทำเชี่ยไร เออ อาจน้อยใจบ้างนิดหน่อยที่มึงปิดเรื่องแฟนมึง แต่ถ้าไอ้คนๆ นั้นของมึงดีกับมึง กูก็ไม่ห่วงไรมึงแล้ว หยุดทำหน้าเหมือนหมาไม่ได้กินข้าวเถอะ กูขอร้อง”

บุญไม่เข้าใจหรอกว่าหน้าเหมือนหมาไม่ได้กินข้าวมันเหมือนหน้าเขาตรงไหน เขาทั้งหนักใจและทำตัวไม่ถูก คนที่ยกให้เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวดันเข้ามาล่วงรู้เรื่องนี้ได้ ทั้งที่ก็ระมัดระวังตัวดีแล้วแท้ๆ อยากอธิบายเพิ่มแต่อีกใจก็ไม่กล้าพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับอีกคนให้ไอ้ซันรู้..กลัวบอกไปไอ้ซันอาจผิดหวังในตัวเขาหรืออาจเลิกคบเขาไปเลยก็ได้

“เข้าเรื่องเลยละกัน ที่กูรอมึงเพราะว่ากูจะชวนมึงไปกินปิ้งย่างต่างหากเว้ย”

ร่างสูงกว่าขี้เกียจทนมองสีหน้าเหี่ยวหงอยของคนตรงหน้า ล้วงมือหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดไปในคลังภาพถ่ายที่เจ้าตัวกดเชฟมาตั้งแต่เมื่อวาน จากนั้นหันโชว์รูปให้ได้ดูเต็มสองตา ปากก็อ่านตามข้อความไปด้วย

“โปรโมชั่นมาสี่ แต่จ่ายเพียงสามคนเท่านั้น”


“อ่า..”


“ถ้ามึงไปด้วยก็ครบสี่คน”


“อีกสองคนคือใคร”


“พี่ซีลกับพี่โซ่”
หมายถึงพี่ชายและพี่สาวแท้ๆ ของไอ้ซันนั้นเอง..เขาอึกอัก ความกระอักกระอ่วนใจตีเข้ามาแทรก ไม่ได้อยากปฏิเสธคำชวนเลย..ถ้าหากมันนัดล่วงหน้าเขาอาจได้ไปกินปิ้งย่างกับมัน เขาสนิทกับคนในครอบครัวของไอ้ซันทุกคน…แต่ครั้งนี้ไอ้ซันกลับนัดเขาแบบกะทันหันเกินไป

“กูก็อยากไปกินกับมึงนะ”

ยังพูดไม่จบ ไอ้ซันก็ชิงพูดก่อน และก็ทายถูก เขากำลังจะบอกอย่างนั้นเป๊ะ

“แต่กูขอโทษ กูมีธุระ”


“ซันกูขอโทษ”


“เออๆ กูเข้าใจ กูผิดเองแหละที่มาชวนมึงเอาป่านนี้ ก็คิดไว้อยู่แล้ว ว่ามึงคงไปไม่ได้ถ้าไม่ได้บอกล่วงหน้า”


“ไว้ไปกันวันอื่นนะ”


“อือ พี่สาวกูแค่อยากเจอมึงน่ะ เห็นช่วงนี้มึงไม่ค่อยได้ไปบ้านกูเหมือนแต่ก่อน พวกเค้าเลยคิดถึงกัน”

โชคดีที่ครอบครัวของไอ้ซันเอ็นดูเขา ทำให้เขาพอมีสังคมร่วมกับคนอื่นอยู่บ้าง หากต้องทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เขาจะต้องหอบร่างตัวเองไปนั่งทำงานที่ห้องของเพื่อนคนอื่นหรือไม่ก็บ้านของไอ้ซัน ไม่เคยที่จะให้เพื่อนมาทำงานที่ห้องเลยสักครั้ง เนื่องด้วยมีคนบ้าอำนาจสั่งชัดว่าไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องเป็นอันเด็ดขาด

“แล้วนี่แฟนมึงมารับกี่โมง กูอยากเห็นหน้าว่ะ อยากรู้ว่าใช่คนเดียวกับที่กูกำลังคิดไหม”

ซันไม่อยากอยู่นานเมื่อเหงื่อเริ่มไหลเต็มแผ่นหลัง เหลือบดูเวลาบนหน้าจอมือถือสลับกับมองรอบๆ กายเพื่อหาใครสักคนที่น่าจะเป็นแฟนเพื่อน เข้าใจเหตุผลที่เพื่อนตัวขาวชอบมานั่งคนเดียวอยู่ที่นี่อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว..นึกมาตลอดว่าชอบอาบแดด ที่ไหนได้มานั่งรอแฟนมารับ

“ไม่ต้องเห็นหรอก เพราะกูอยากให้มึงกลับตอนนี้”


“ครับๆ แม้แต่ชื่อแซ่กูก็ไม่มีสิทธิ์ได้รู้จักหรอก พอมีแฟนหล่อเข้าหน่อยถึงขั้นงุบงิบไม่ยอมบอกกู”


“พรุ่งนี้มีเรียนเที่ยงนะ บาย”

บุญตัดบทไล่ สองมือรุนหลังไอ้คนเซ้าซี้ให้รีบเดิน ไอ้ซันจิ๊ปาก ก่อนหันกลับมายีหัวเขาเล่น สุดท้ายก็ยอมเดินกลับเข้าไปในตึกเรียน

เป็นเวลาเดียวกับเสียงล้อรถเคลื่อนเข้าใกล้ เขาหันมองตามเห็นรถสปอร์ตขับเลี้ยวเข้ามาจอดไม่ห่างจากตัวเขาเท่าไหร่ เดินไม่ถึงสิบก้าวก็ถึง

เขาเห็นครามกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ เรื่องราววันนี้ผุดเข้ามาในหัวสมอง ไม่ได้อยากใส่ใจ แต่กลับจดจำ

ยังจำสีหน้าของครามที่ดูผ่อนคลาย .ในขณะกำลังเล่าเรื่องวัยเด็กที่มีดิวเข้ามาเกี่ยว

แล้วสำหรับเรื่องในอดีตของเขา ครามลืมไปหรือยัง

ความสุขเมื่อสองปีก่อน ครามยังจำกันได้ไหม..หรือว่าลืมหมดแล้ว

เขายังจำได้..วันวานที่ไม่มีวันลบเลือน

จำได้ว่า…เมื่อถึงทะเล เขายิ้มกว้างแค่ไหน

“สวย”

เม็ดทรายสีขาวละเอียดกับน้ำทะเลสีเขียวอมฟ้าสวยงามกว่าในรูปที่บุญเคยเห็นผ่านๆ

“สวยก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้”


“พี่มีกล้องด้วยหรอ ใครซื้อให้อ่ะ”

เขาตาโตเมื่อเห็นของในมือพี่ชาย มันเป็นกล้องโพราลอยด์ที่เขาเห็นในทีวี

“เก็บตังซื้อเอง ไม่อยากขอพ่อแม่เพราะโตแล้ว”


“อยากลองถ่ายไหม”
เขาไม่ปฏิเสธ อยากลองจับกล้องแพงๆสักครั้งในชีวิต

“มือซ้ายจับแบบนี้ ส่วนมือขวาคอยกดปุ่มนี้นะถ้าจะถ่าย”

ครามสอนประมาณสองนาที เขาก็ถเริ่มถ่าย เขาหันกล้องไปทางทะเลสีสวย กดถ่ายไปหนึ่งรูป

“โห ฝีมือใช้ได้นิหว่า”


“อยากถ่ายพี่บ้าง”


“หมายถึงอยากถ่ายรูปกับพี่?”


“ไม่ใช่ ผมอยากถ่ายรูปให้พี่ พี่ช่วยไปยืนตรงนั้นได้ไหม”

จำได้วันนั้น…เขาเป็นตากล้องให้คราม

จำได้วันนั้น…เขาอยู่กับครามเกือบทั้งวัน

จำได้วันนั้น…ครามทำให้เขายิ้มกว้างมากๆ

เขาเป็นคนจมปลัก มัวแต่ยึดติดกับอดีต

เพราะปัจจุบันไม่มีความสุข เขาถึงได้ชอบอดีตมากกว่าปัจจุบัน



TBC.

เผลอกดลบไปหนึ่งตอนเลยต้องลงใหม่หมด

##อยากให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งเเต่บทนำนะคะ เพราะรีไรท์ทุกตอน ปรับสำนวนนิดๆหน่อยๆ เเต่เนื้อหายังคงเดิมเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านต่อนะคะ ##



ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ตอนที่ 8


ความโชคดี...บางครั้งมันก็เป็นเรื่องพิเศษที่แสนจะธรรมดา


เรื่องโชคดีของเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คงเป็นการไม่ต้องไปยืนเบียดเสียดอัดกับผู้คนเป็นปลากระป๋องอยู่บนรถเมล์

เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้นั่ง ส่วนมากจะต้องทนยืนตลอดทางจนกว่าจะถึงบ้าน

บุญเลยนับว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของเขา เพราะชั่วโมงก่อน แม่โทรมา แล้วบอกให้ยืนรอหน้าโรงเรียน เดี๋ยวจะมีใครสักคนมารับกลับบ้าน แม่พูดสั้นๆ ก่อนกดตัดสาย ไม่ปล่อยให้เขาได้ถามต่อ

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมอง คือใบหน้าของอาโชคแน่ๆ ที่เขาจะต้องได้เห็น

ทว่ากลับไม่ใช่

ม่านสายตาเห็นหลานของอาโชคยืนอยู่หน้าประตูทางออก…เกือบสองอาทิตย์ที่เขาสองคนไม่ได้เจอกัน

ผู้ชายตัวสูงในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดตา กางเกงสีน้ำเงินนั่นดูสะดุดตา เป็นเหตุให้เด็กนักเรียนที่อยู่รอบข้างต่างพากันหันมองคนที่ใส่เครื่องแบบไม่เหมือนคนอื่นเป็นตาเดียว บนอกข้างซ้ายปักตัวอักษรย่อของโรงเรียนเอกชนชื่อดัง

เด็กต่างสถาบันไม่ได้สะทกสะท้านกับการโดนจับจ้อง เขาเพียงยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้หน้าบึ้ง แต่นัยน์ตากลับมีร่องรอยความไม่พอใจแฝงอยู่ข้างใน

“ช้า”

แค่คำทักทายคำแรกก็ทำให้เขารู้เลยว่า คนๆ นี้ไม่ชอบการรอคอย

“ผมทำเวรอยู่”


“นานไป”


“แล้วพี่มารอตั้งแต่กี่โมง?”

 
“สี่โมงตรง”

บุญหรี่ตามองร่างสูงกว่า ก้มดูเวลาบนหน้าจอมือถือ แล้วต้องลอบบึนปาก

รอแค่สิบนาทียังจะบ่น

“ถ้าพี่รอไม่ได้ วันหลังก็ไม่ต้องมา”

เขาบอกตามตรง หากไม่ชอบรอใคร ก็ไม่ควรอาสาจะมารับหรืออาจจะไม่ใช่อย่างที่เเม่เขาบอกก็ได้

เเม่บอกมีคนอาสามารับเขา เเต่เจ้าของใบหน้าหล่อกลับดูไม่ได้เต็มใจมาแต่แรก อาจถูกคนในบ้านบังคับให้มารับเขาเสียมากกว่า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงๆ ตัวเขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กันหรอก

“ไม่ใช่ไม่อยากมา แค่อยากให้ออกมาเร็วหน่อย”

ครามแก้ตัว เห็นดวงตากลมสวยหม่นลงก็ใจอ่อน เเต่เด็กตัวผอมไม่หือไม่อือด้วยนี่สิ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจเดินนำไปยังแถบฟุตบาท ที่มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่

“อ่ะ..ใส่เองได้”

คนเดินตามร้องท้วง เมื่อหัวถูกครอบด้วยหมวกกันน็อคที่ทั้งใหญ่และหนัก

“ขืนให้ใส่เอง คงจะช้ากว่าเดิม”

ครามปรับสายรัดคางให้พอดีกับศีรษะของเด็กตัวจ้อย แล้วถอยออกมา ก่อนวาดขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันหรู สวมหมวกกันน็อคให้ตัวเองเสร็จก็กระดิกนิ้วยิกๆ เรียกให้น้องขึ้นมาซ้อนท้าย

“จะยืนมองอีกนานไหม ขึ้นมาได้แล้ว”

บุญทำตามไม่มีอิดออด เอื้อมแขนไปเกาะไหล่กว้าง ขาข้างซ้ายเหยียบที่พักเท้า จากนั้นก็ปีนขึ้นมานั่งคร่อมเบาะได้อย่างไม่ติดขัด แม้จะรู้สึกหวาดเสียวอยู่หน่อยๆ ตอนมองลงไปด้านล่าง ด้วยที่เป็นรถคันใหญ่มันค่อนข้างสูงกว่ารถมอเตอร์ไซค์รุ่นทั่วไป

“เก่งนิหว่า นึกว่าต้องให้ลงไปอุ้ม”

 
“เหอะ รถสวยกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยนั่งมาแล้ว”

 
“หรอ แต่รถพี่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เราคงไม่เคยนั่งซ้อนใครมาก่อนหรอก”

บุญหลุดยิ้มกับประโยคโอ้อวดเด็กๆ ของคนขับ หยอกนิดหยอกหน่อยรีบเถียงกลับอย่างไวเลยแฮะ

“เกาะดีๆ ถ้าตกลงไปไม่ลงไปช่วยนะ”

มือเล็กที่เกาะไว้ตรงเหล็กด้านหลังเปลี่ยนมาจับที่ชายเสื้อของครามทันควัน

“เกาะแน่นๆ ก็ได้”

ความหมายของครามคืออยากให้ไอ้ตัวเล็กเกี่ยวเอวเขาให้แน่นๆ ไม่ใช่แค่จับหลวมๆ ตรงชายเสื้อ

เพราะรู้ดีว่าความเร็วที่ตัวเองใช้ขี่มันแรงแค่ไหน

“พี่อย่าขับเร็วเกินไปนะ”

เด็กน้อยหวาดหวั่น เดาจากยี่ห้อรถที่ร่างสูงใช้ขับก็นึกกลัว ต้องชอบแข่งรถด้วยแน่ๆ ก็เลยพูดดักไว้ก่อนด้วยความไม่มั่นใจ..ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะทำตามที่ขอหรือเปล่า

“หึ จะพยายาม”

คำว่าจะพยายามของคราม คือการลดความเร็วลง…เพียงนิดหน่อย


ความรู้สึกของเด็กสิบหกตอนนี้เหมือนจะเป็นโรคหัวใจวายฉับพลันเสียให้ได้ สองแขนโอบกอดรอบเอวของคนขับแน่นหนาแบบไม่ยอมปล่อยสักเสี้ยวนาที ไม่ต่างจากลูงลิงติดแม่ บุญนั่งตัวเกร็ง หัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากอก บุญไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองทาง เอาแต่หลับตาปี๋ท่าเดียว ใจก็ภาวนาขอให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

จวบจนรถทั้งคันหยุดจอด…

บุญเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก้าวขาสั่นๆ ลงมายืนบนพื้น โดยไม่ทันสังเกตบริเวณรอบข้าง ร่างเล็กคิดอย่างเดียวว่าต้องรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ให้เร็วที่สุดเป็นอันดับแรก ขณะถอดหมวกกันน็อคออก มือยังพลอยสั่นไปด้วย พลันได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเข้ามา

“ผมจะไม่มากับพี่อีกแล้ว”

เขาหันไปมองค้อนลูกใหญ่ เห็นเจ้าของรถอมยิ้มเหมือนจะล้อเลียนอาการหวาดเสียวของเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจ เป็นตัวการที่ทำให้เขาหายใจไม่คล่องแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาขำใส่อีก ไม่รู้จะรีบไปไหน บิดรถก็เเรง ขี่ก็เร็วจนแซงรถคันอื่นไปไกล ยิ่งตอนเลี้ยวโคตรน่ากลัวเหมือนหัวใจได้ตกลงไปที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว

ไม่ได้อคติไปเอง แต่เขารู้สึกเหมือนโดนแกล้ง

“นี่ก็ขับช้าลงแล้วนะ”

ครามว่า พลางจัดผมให้กลับมาเป็นทรง ก่อนปรายตามองร่างน้อยที่ผินหน้าไปทางอื่นแล้วลอบขำ

ที่น้าพรบอกมาคงเป็นเรื่องจริง ไอ้ตัวเล็กขี้งอนเป็นที่หนึ่ง

“หิวยัง”

ครามตีเนียน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินเข้ามาจูงมือนิ่มให้เข้าไปในคาเฟ่ขนมหวานพร้อมกัน บรรยากาศในร้านล้วนตกแต่งด้วยโทนสีหวานแหวว เหมาะกับคู่รัก

เพียงแต่พวกเขาไม่ใช่คู่รัก

เด็กหนุ่มเลือกนั่งโต๊ะในสุดของร้าน เพราะไม่อยากเป็นจุดเด่น อดจะเก้อเขินอยู่นิดหน่อย ในเมื่อในร้านเต็มไปด้วยกลุ่มผู้หญิง ไม่ก็คนที่เป็นแฟนกัน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ครามได้มาคาเฟ่สุดเลี่ยนนี่

ครามเท้าคางมองใบหน้าบึ้งตึง ครั้นพนักงานเอาเมนูมาให้เลือก ดวงตาเรียวสวยกลับดูแวววาวขึ้นมาเหมือนเจอของถูกใจ

แต่เพียงแป๊ปเดียวหัวคิ้วกลับขมวดมุ่น และเขามองออกว่าน้องกำลังกังวลเรื่องอะไร

“ไม่ต้องเกรงใจ พ่อพี่รวย อยากกินอะไรก็สั่ง”

บุญอึ้งไปอึดใจ ก่อนหัวเราะเสียงใส...เป็นผู้ชายสายเปย์ซะด้วย งั้นก็เข้าทางเขาพอดี จังหวะนี้เขาอยากกินนู่นกินนี่จนเลือกไม่ถูกแล้ว

บุญชี้นิ้วบนเมนูให้พนักงานรับออเดอร์ ส่วนมากที่สั่งล้วนเป็นพวกช็อกโกแลตที่เขาชอบทั้งนั้น

เขาสั่งมาสี่อย่าง

เค้กช็อกโกเเลตลาวา

บราวนี่ชีส

ช็อกโกเเลตกล้วยเเพนเค้ก

เเละไม่ลืมที่จะสั่งเค้กวานิลลามาเผื่อแผ่คนใจดี

เขายังจำได้ว่าอีกคนบอกชอบทานเค้กวานิลลา

รอไม่นานขนมหวานที่สั่งก็มาเสิร์ฟ

จากที่อารมณ์ขุ่นเคือง ก็กลายเป็นอารมณ์ดีจนยิ้มออกมา

จากที่คิดจะงอนยาว ก็หายงอนแบบง่ายๆ

“ขอบคุณนะครับ”

ไม่ลืมขอบคุณคนพามา เขาเป็นโรคแพ้ของหวาน ได้ลิ้มรสของหวานแสนอร่อยก็จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

หากไม่นับเหตุการณ์เสี่ยงตาย วันนี้เป็นอีกวันที่บุญรู้สึกโชคดีไม่น้อย



เด็กสองคนสนิทกันมากขึ้น


วันเวลาที่ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ มีส่วนช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้ดีมากกว่าเดิม ทั้งสองคนได้พูดคุยกันแทบทุกวัน ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น

หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน พวกเขาเห็นหน้ากันไปแล้วห้าวัน สาเหตุที่ได้เจอห้าวัน เพราะววันจันทร์กับอังคาร ครามต้องไปเรียนพิเศษที่ศูนย์กวดวิชาตั้งแต่หลังเลิกเรียน ยาวนานถึงตอนค่ำ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ปรากฎว่าสองวันนั้น เด็กติดพี่ต้องขึ้นรถเมล์กลับบ้านเอง รวมถึงไม่ได้ไปหาอะไรกินกันสองคนหลังเรียนอีกด้วย

หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวัน บุญไม่ชอบวันจันทร์ อังคารที่สุด


ซึ่งวันนี้คือวันจันทร์

บุญเดินไปยืนรอรถเมล์เหมือนทุกวัน หากหางตาดันเหลือบไปเห็นร่างคุ้นเคยที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาจำได้ตอนนั้นตัวเองวิ่งปร๋อไปหาอย่างไว หน้าตาแสดงความดีใจอย่างปิดไม่มิด

“ทำไมวันนี้พี่ถึงมาได้?”

 
“ก็มารับเรา”

 
“มารับทำไม”


“ก็อยากเจอเลยมารับ อยากให้ไปนั่งเฝ้าพี่หน่อย”

คำว่านั่งเฝ้าของคราม คือการพาน้องไปที่ศูนย์กวดวิชาด้วยกัน ขออนุญาตผู้สอนเสร็จสรรพ เพียงเเค่อยากให้น้องมานั่งอยู่ข้างๆ

ทางด้านคนตัวเล็กก็ไม่ได้มานั่งเฉยๆ หยิบการบ้านมานั่งทำหรือไม่ก็วาดรูปเล่นไปพลางๆ เพื่อรอพี่ชายพาไปส่งที่บ้าน

จากที่ควรจะได้เจอกันห้าวัน

ก็เปลี่ยนเป็นเจ็ดวันเต็มต่อสัปดาห์

หากเป็นวันหยุด ครามจะแวะมาทานมื้อเที่ยงกับน้อง แล้วอยู่เล่นด้วยจนถึงหกโมงเย็น

“ไม้แบต?”


“ใช่ วันนี้พี่จะสอนเราตีแบต”


“ทำไมต้องเล่นอันนี้ด้วย”

 
“ก็เราเล่นกีฬาไม่เป็นสักอย่าง จะให้เล่นบาสก็ตัวเตี้ยเกิน จะกระโดดได้สูงแค่ไหนกันเชียว เตะบอลก็กลัวจะหกล้ม ตีแบตเนี่ยแหละเหมาะกับเราสุดแล้ว”

บุญยู่ปากกับคำพูดค่อนแคะ แต่ก็ไม่ได้โกรธ เพราะมันคือความจริง บุญไม่ชอบเล่นกีฬาทุกรูปแบบ เกรดวิชาพละก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ ใจไม่นึกอยากเล่นกีฬาทุกอย่าง แต่อยากเล่นกับเจ้าของใบหน้าหล่อ ก็เลยยอมเล่นด้วย แม้สุดท้ายบุญจะพลาดท่าสะดุดล้มได้แผลตรงหัวเข่ามาหนึ่งแผล เดือดร้อนให้คนชวนต้องทำแผลให้

และนั่นคือการตีแบตครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเด็กสิบหก


วันต่อมา…เด็กน้อยเลยเห็นพี่ชายหอบลูกบอลติดมือมาแทนไม้แบต

“พี่เอาลูกบอลมาทำไม”

 
“ก็เอามาเล่นกับเรานั่นแหละ”

 
“ไหนบอกจะไม่ให้เตะบอลไง”


“ก็ไม่ได้ให้เตะ”

ครามบอกไม่ให้เตะ เพราะเขาสอนน้องให้เดาะบอลเล่นง่ายๆ ก็เท่านั้น ถึงผลสรุปจะจบลงตรงที่น้องหกล้มหน้าทิ่มลงพื้นหญ้าก็ตาม

หลังจากวันนั้น ครามก็ไม่เคยชวนน้องเล่นกีฬาอีกเลย

 
กลายเป็นวันหยุดของพวกเขานั้นแสนเรียบง่าย นอกจากจะนั่งกินข้าวด้วยกันแล้ว ครามพกกีตาร์มานั่งร้องเพลงให้น้องฟัง ส่วนบุญก็พอใจที่ได้นั่งฟังเสียงเพลงเเละวาดรูปพี่ชายใส่เเผ่นกระดาษ

ปลายดินสอจรดบนเเผ่นสีขาว

เนื้อเพลงดังออกจากริมฝีปากรูปกระจับ

Drawing me in, and you kicking me out ~

เวลาเกือบหกเดือนสำหรับบุญ มันเรียกว่าความสุข ตั้งแต่ใครบางคนเข้ามา เด็กน้อยรู้สึกมีความสุขมากขึ้น เขาพูดเก่งขึ้น เขายิ้มกว้างขึ้น และหัวเราะบ่อยขึ้น เหมือนพี่ชายได้เข้ามาเติมเต็มความสุขในชีวิตของเขา

ตอนนั้นเอง…ที่บุญคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากๆ

แม้สุดท้ายเรื่องโชคดีของเด็กคนหนึ่งจะค่อยๆ เลือนหายไปก็ตามกาลเวลา

 

“บุญ พรุ่งนี้กลับเองได้ไหม”

มือที่จับช้อนหยุดกึก เด็กน้อยเงยหน้ามองสีหน้าอึดอัดของพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ พรุ่งนี้คือวันศุกร์ อีกคนไม่มีนัดเรียนพิเศษ แล้วทำไม..

“พรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง” ครามมองสีหน้าน้องออก

 
“พี่จะไปไหน”

 
“ไป..”

 
“หรือพี่มีนัดเตะบอลกับเพื่อน”


“แล้วเราจะคาดคั้นพี่เขาทำไมนักหนาฮะบุญ พี่เขาโตแล้ว อยากไปไหนก็เรื่องของพี่เขาสิ”

ผู้เป็นแม่ที่นั่งทานอาหารอยู่ตรงข้ามปรามเสียงดุ โคลงหัวด้วยความเหนื่อยใจ

ลูกของหล่อนติดครามเกินไปหรือเปล่า

“ไม่ใช่”

ครามอึกอักไม่ยอมพูดให้หมด จนผู้ใหญ่อย่างหล่อนต้องช่วยเฉลย เพื่อให้ไอ้เด็กน้อยขี้สงสัยเลิกสงสัย

“ครามก็บอกน้องไปสิว่ามีนัดกับแฟนน่ะ”


“แฟน?”
บุญวางช้อนลงบนจาน เขาไม่หิวข้าวแล้ว

“อือ ก็ตามที่น้าพรบอก”

คนเป็นพี่เกาท้ายทอยแก้เขิน รีบกินอาหารให้หมดจานเมื่อแชทของแฟนสาวที่เพิ่งตกลงคบกันได้ไม่ถึงสองอาทิตย์เด้งขึ้นมา ก่อนขอตัวกลับบ้านไวกว่าทุกที

วันนั้นเองที่บุญรู้สึกเหมือนถูกแย่งของรัก

 


 
ประตูห้องเรียนเปิดกว้างเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรง อาจารย์ผู้สอนก้าวพรวดออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยกลุ่มนักศึกษาที่ค่อยๆ พากันทยอยออกมา

คนสองคนเดินรั้งท้ายสุด ก้าวขาเฉื่อยช้า ซันกับบุญเถียงกันเรื่องมื้อเที่ยงตั้งเเต่ยังเรียนไม่หมดคาบ

“ไปร้านหน้าหอหญิงเหอะว่ะ กูอยากกินเตี๋ยวน้ำตกร้านนั้น”

 
“แต่กูอยากกินคะน้าหมูกรอบ ซึ่งร้านที่มึงพูดมามันไม่มีขาย”

 
“งั้นก็ไปกินข้างนอกมั้ยล่ะ กูจะได้กินก๋วยเตี๋ยว ส่วนมึงก็ได้กินคะน้าหมูกรอบด้วย”

 
“ไม่ไป ร้อน”

ไม่ใช่อากาศที่ร้อนจัดอย่างเดียวที่ทำให้เขาไม่อยากออกไปข้างนอก เเต่เวลามันมีจำกัด ช่วงบ่ายเขายังมีเรียนต่ออีกหนึ่งวิชา ก็เลยมีเวลาพักกินข้าวแค่ราวๆ หนึ่งชั่วโมง อยากกินร้านที่ขายอยู่ในเขตมหาลัยเพื่อเป็นการร่นเวลา

เเต่ไม่ง่าย ในเมื่อเขากับไอ้ซันดันความเห็นไม่ตรงกัน เขาน่ะอยากกินข้าว ส่วนไอ้ซันอยากกินก๋วยเตี๋ยว

เขาหันขวับไปมองไอ้ซันที่ จู่ๆ ก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ

“กูนึกออกล่ะ มีที่นึงขายทั้งข้าวและก๋วยเตี๋ยวรวมในร้านเดียว ถ้าจำไม่ผิดร้านอยู่แถวๆ อาคารสาม ไปป่ะมึง”


“ไปดิ ไปตอนนี้เลยด้วย เพราะกูหิวมาก”

 
“รอเดี๋ยว กูขอไปเยี่ยวก่อน”

ไอ้ซันเดินเลี้ยวไปเข้าห้องน้ำ ทันใดนั้นมือถือก็สั่นครืด เขาหยิบมามองเบอร์โทรเข้าแวบนึง แล้วกดรับ

ยังไม่ทันได้เปร่งเสียง คนปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน

[พี่อยู่โรงอาหาร]

 
“ว่าไงนะ”

 
[บอกว่าอยู่โรงอาหาร โต๊ะพี่อยู่หน้าร้านเครป ข้างหน้าโต๊ะพี่ยังเหลือโต๊ะว่างอีกหนึ่ง]

 
“ครามจะให้ผมไปโรงอาหารเหรอ”

 
[ใช่ ให้เวลาสิบนาที รีบมาล่ะ]

สายถูกตัดไปแล้ว…ตัดไปทั้งที่เขายังงุนงง หนำซ้ำยังไม่ได้ตอบตกลง

เก่งจริงกับไอ้เรื่องออกคำสั่ง ไม่มีหรอกที่จะถามความเห็นกันก่อน

ครามโทรมาถูกจังหวะ เพราะน่าจะจำตารางเรียนของเขาได้ คงรู้ว่าตอนนี้เขาเพิ่งเรียนเสร็จ

บุญหนักใจ เมื่อเห็นไอ้ซันกำลังเดินกลับมา

“ไปกันมึง”

 
“ซัน เปลี่ยนไปกินที่โรงอาหารได้ไหม”

 
“มึงพูดใหม่อีกครั้งซิ?”

 
“กูอยากไปกินข้าวที่โรงอาหาร”
 

“มึงเนี่ยนะ อยากไปที่นั่น”

ซันแทบไม่เชื่อหู เลิกคิ้วคล้ายเชิงถามอีกครั้ง เห็นอีกคนทำหน้าจริงจังก็ยิ่งแปลกใจ นับครั้งได้ที่จะไปโรงอาหาร ศูนย์รวมคนเยอะแบบนั้น ไม่น่าใช่สถานที่ที่เพื่อนเขาชอบไป

ช่วงพักเที่ยงอีกยิ่งแล้วใหญ่

“เออๆ โรงอาหารก็ดีเหมือนกัน มีทุกอย่าง กูได้กินก๋วยเตี๋ยว มึงก็ได้กินของมึง”

ถ้าเป็นเเบบนี้ เขาจะเถียงกับมันเพื่อไรวะ


โรงอาหารกลาง คนเยอะพลุกพล่านอย่างที่นึกไว้ไม่มีผิด เสียงจอแจวุ่นวายของเหล่านักศึกษาดังก้องหู

“กูไปสั่งก่อนนะ มึงก็จองโต๊ะให้ด้วยล่ะ”

บุญทำนิ้วโอเค กวาดสายตามองหาแถวที่สั้นที่สุด จนเจอร้านทางซ้ายมือ ที่มีคนต่อแถวไม่ถึงห้าคน มันเป็นร้านขายข้าวแกง ไม่ใช่ร้านขายอาหารตามสั่ง แต่เขาขี้เกียจรอนาน เดินดุ่มๆ ไปต่อคิวฝากท้องที่ร้านนั้นแบบไม่คิดเยอะ

พอได้ข้าวก็ไปยืนต่อคิวซื้อน้ำโค้กมาหนึ่งแก้ว

ก่อนก้าวยาวๆ ไปทางร้านเครปร้านเดียวในโรงอาหาร เห็นโต๊ะว่างที่ยังไม่มีใครจับจอง ถัดจากด้านหลังโต๊ะว่างมีเจ้าของใบหน้าที่เขารู้จักดีกำลังมองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว

ครามไม่ได้เรียกเขา เพียงจ้องเขานิ่งๆ เป็นเชิงบังคับให้นั่งลง

เขาหางตากระตุกเมื่อเห็นคนที่นั่งข้างคราม

…ไอ้น้องดิว…

“มึงรู้ใจกูจัง กูกำลังจะมาจองที่ตรงนี้พอดี”

ไอ้ซันเดินอ้อมหลังเข้ามา ในมือมีชามก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่มันบ่นอยากกินตั้งแต่เมื่อวาน

“นั่งสิไอ้ห่า จะยืนทำพระแสงอะไรวะ”

ไอ้ซันบ่น เขาเลยนั่งลง คิดอยากขอเปลี่ยนที่นั่งกับไอ้ซัน แต่ก็ไม่ทันเพราะมันนั่งลงไปก่อน

ที่นั่งของเขาอยู่ตรงข้ามกัน ทำให้มองหน้ากันได้ชัด

ทั้งที่เขาไม่อยากมอง

“ทำไมมึงกินแกงเขียวหวานกับไข่ดาววะ แล้วคะน้าหมูกรอบมึงอ่ะ”

 
“แถวมันยาว กูขี้เกียจรอ”

 
“เออว่ะ ยาวจริงด้วย”
ซันมองตามนิ้วชี้ของเพื่อน เห็นแถวร้านอาหารตามสั่งยาวกว่าร้านอื่น

“ไม่อร่อยหรอวะ”

 
“อร่อย”
ซันเลิกคิ้ว ถ้าอร่อยแล้วมันจะเขี่ยข้าวเพื่อ..

 
“มึงเลิกสงสัยแล้วแดกต่อเถอะ”

 
“จ้าๆ”

เขานั่งเขี่ยข้าวอย่างที่ซันเห็นก็จริง ไม่ใช่อาหารไม่อร่อย มันเป็นพราะสายตาของใครบางคนที่จ้องมาต่างหาก

ไม่ใช่คราม

ไม่ใช่ไอ้น้องดิว

แต่เป็นพี่ว่านที่นั่งอยู่ข้างๆคราม

เมื่อไหร่จะเลิกมอง

โต๊ะของครามนั่งกันอยู่ห้าคน รุ่นพี่สองคนที่นั่งฝั่งเดียวกับเขาชื่ออะไรเขาจำไม่ได้ แต่ตรงข้ามเขามีครามที่นั่งตรงกลาง ด้านซ้ายคือพี่ว่าน ด้านขวาคือดิว

พี่ว่านจ้องเขาตั้งเเต่เขาตักข้าวเข้าปากคำเเรก

นี่คือสาเหตุที่เขากินข้าวได้ไม่ค่อยสะดวก

พี่ว่านจ้องนิ่งๆ แต่เขานี่สิ..นั่งตัวเกร็ง

เคี้ยวข้าวเข้าปากไวๆ จะได้หนีให้พ้นสายตาพี่ว่าน

“กูไปห้องน้ำนะ”

บุญกระดกน้ำลงท้อง หยิบจานไปเก็บแม้จะทานไม่หมด จากนั้นก็ตรงไปยังห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำล้างมือ พลันหางตาเหลือบเห็นร่างสูงก้าวเข้ามา

..ตามเข้ามาทำไม..

“ทำไมหน้างอ”

 
“เปล่า”
 

“หรืออยากมานั่งข้างพี่ แต่ไม่กล้าเลยอารมณ์เสีย”

 
“ครามอย่าหลงตัวเอง”

เขามองค้อน นึกหน่ายกับการชอบคิดเข้าข้างตัวเองของคราม

“หึ วันนี้พี่ไม่อยู่รอนะ”

ครามเข้ามายืนชิดคนที่ยังเอาเเต่ล้างมือ เขาเลยปิดก๊อกน้ำ คว้าไหล่บางให้หันหน้ามามองกัน

“พี่จะไปดื่มกับพวกไอ้เต้”

 
“อืม ครามเอามือออก”
บุญจับมือปลาหมึกที่เผลอหน่อยไม่ได้ ต้องล้วงเข้ามาใต้เสื้อเขา

ยืนคุยนิ่งๆ มันยากมากรึไง

“อยากไปด้วยมั้ย”

ครามเปลี่ยนมาประคองพวงเเก้มใส รู้ว่าบุญต้องปฏิเสธ

“ไม่ ครามก็รู้ว่าผมไม่ชอบสถานที่แบบนั้น”

 
“ถามไปงั้นแหละ ถึงเราอยากไป พี่ก็ไม่ให้ไปหรอก”
 

“ผมต้องไปเรียนแล้ว”

 
“ขอจูบหน่อย”
 

“เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น”
 

“ตอนนี้ยังไม่มีคนเห็นก็จูบได้สิ”

ครามไม่ปล่อยให้ร่างเล็กแย้ง ตวัดเอวให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด รีบปิดปากนิ่มด้วยปากของเขา ปลายลิ้นตวัดเข้าไปในโพรงปากคนตัวเล็ก บดจูบนัวเนียจนคนในอ้อมเเขนหายใจไม่ทัน ก่อนจะกดจูบตรงผิวแก้ม ได้กลิ่นเเป้งเด็กที่อีกคนใช้ก็ยิ่งอยากฟัด

เขาอยากทำ เเต่ไม่มีเวลาให้ได้ทำ

เเละในห้องน้ำก็เเคบไปหน่อย

“เลิกเรียนแล้วรีบกลับล่ะ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 16:30:21 โดย ผู้หญิงสีขาว »

ออฟไลน์ ผู้หญิงสีขาว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ห้าโมงเย็นเขาเลิกเรียน ไอ้ซันอาสาไปส่ง เเต่เขาขอกลับเอง กวักมือเรียกแท็กซี่ให้พาไปส่งที่คอนโดของคนเผด็จการ เขามีคีย์การ์ดสำรองจึงสามารถเข้า ออกห้องของครามได้ แต่ใช่ว่าจะมาได้ทุกเมื่อ

หากถ้าครามไม่อยากให้มา เขาก็ไม่มีสิทธิ์โผล่มาที่นี่

ก้าวเท้าเข้ามาในห้องก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว จึงควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แล้วกดโทรหามารดา

นอนรอเสียงสัญญาณ กระทั่งเสียงนั่นดับหายไปเอง เขาไม่ได้กดโทรซ้ำ เพียงแค่ปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นบนฟูกนอน การที่แม่ไม่รับสาย นั่นคือท่านกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารให้ลูกค้า

แม่ทำอาหารอร่อย ก็เลยเปิดร้านอาหารตามสั่งขาย ร้านที่เขายังไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง จะไปได้ยังไงในเมื่อร้านขายอยู่ในจังหวัดหนึ่งแถบภาคใต้

เงินลงทุนที่นำมาสร้างร้าน ล้วนเป็นเงินของครามทั้งหมด การที่แม่มีงานทำจนถึงทุกวันนี้ ก็มาจากการช่วยเหลือจากครามแทบทุกอย่าง

ส่วนเขาก็มีหน้าที่ตอบแทนบุญคุณนั่น ด้วยร่างกาย

ลมหายใจถูกระบายออกเมื่อคิดมาถึงจุดนี้…สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันไม่ต่างจากการขายตัวแลกเงินเลย

ครามเต็มใจสร้างร้านอาหารให้แม่ แลกกับการที่เขาต้องอยู่ข้างคราม…จนกว่าครามจะเบื่อ

บุญดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงกว้าง หัวว่างเป็นไม่ได้ ต้องเอานู่นเอานี่เก็บมาคิดจนรกสมอง ดังนั้นเขาควรหาอะไรทำฆ่าเวลา

“ยังว่างรูปไม่เสร็จนี่นา”

ร่างเล็กนึกขึ้นได้ ก่อนลุกลงมายืนที่พื้น สาวเท้าไปยังโต๊ะใกล้ๆ ซึ่งบนโต๊ะล้วนมีหนังสือกับชีทเรียนของครามวางเกลื่อนเต็มไปหมด

หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดลิ้นชักหยิบไอแพดออกมาวาง

เขาคลิกเข้าไปยังแอปพลิเคชั่นที่ใช้สำหรับวาดภาพโดยเฉพาะ มือขวาจับด้ามปากกาที่ใช้กับไอแพด มือซ้ายเลื่อนหารูปที่ยังร่างค้างไว้

เหลือประมาณสิบกว่ารูป

เขาอยากหารายได้พิเศษขณะเรียน ไม่อยากรอรับเงินจากครามฝ่ายเดียว ก็เลยรับจ้างวาดภาพเหมือน รูปแบบที่รับวาดล้วนเป็นแบบการ์ตูนสไตล์เหมือนจริง ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนมากตามมาจากอินสตาแกรมของเขา เพราะเขามักจะเก็บผลงานทั้งหมดเอาไว้ในนั้น

ลูกค้าอีกส่วนได้มาจากการโฆษณาของไอ้ซัน มันชอบเอารูปที่เขาอัพลงไอจีไปโพสบนเฟสบุ๊คของมัน เป็นการเรียกยอดลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกช่องทาง

ถึงรายได้จะไม่เยอะนัก ลูกค้าก็ไม่ได้มีมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ภูมิใจที่สามารถหาเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้

สิ่งที่เขาทำได้คือการหาเงินให้เยอะๆ เพื่อมาใช้คืนคราม

แม้ครามจะไม่เอา เขาก็ยังดั้นด้นหามาคืนจนครบให้ได้ในสักวัน

เผื่อวันไหน…ที่เราสองคนจากกัน จะได้ไม่มีสิ่งไหนติดค้างกันอีก

บุญปัดเรื่องอื่นทิ้ง แล้วหันมาเพ่งสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า เข้าสู้โหมดทำงานแบบจริงจัง ครั้นลงสีเสร็จไปหนึ่งภาพ ก็ทำภาพต่อไปเรื่อยๆ ไม่เว้นระยะพัก

เข็มนาฬิกาเดินเอื่อยเฉื่อย

เวลาหมุนไปข้างหน้าไม่มีหยุด

คนตั้งใจทำงานปิดการได้ยินชั่วคราว ใจจดใจจ่ออยู่ตรงหน้าจอสี่เหลี่ยมอย่างเดียว นั่นจึงทำให้ไม่ได้ยินเสียงปิดประตู รวมถึงเสียงย่ำเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

กว่าจะรู้ตัวว่ามีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลัง ก็ตอนที่ได้กลิ่นน้ำหอมเจือจางกับสัมผัสทาบแผ่วลงบนแก้ม

บุญตกใจที่ถูกหอมแก้ม รีบหันไปมองตามสัญชาตญาณ แต่เหมือนจะคิดผิดที่หันไป

เมื่อใครอีกคนรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ริมฝีปากบดเบียดเข้ามาอย่างกระชั้นชิด ซ้ำยังไม่ให้ตั้งตัว ทำให้ลิ้นร้อนสอดเข้ามาตวัดหยอกเอินกับลิ้นคนตัวขาวได้อย่างง่ายดาย

ครั้นจะผลักออก ครามก็รั้งท้ายทอยให้กลับมารับจูบอีกครั้ง

ไม่นาน..ปากทั้งคู่ก็เป็นอิสระ คนอยากจูบบีบแก้มนิ่มหนึ่งที ก่อนยืนขึ้นเต็มความสูง

“กินข้าวแล้วยัง”


“กินแล้ว”

บุญโกหก ไม่กล้าบอกหรอกว่ามัวแต่ทำงานจนลืมกินข้าว ล่าสุดที่กินคือมื้อเที่ยง หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ยังดีหน่อยที่เขาไม่ค่อยหิว

“ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้?”
เงยมองคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ครามปรายตามองมาที่หน้าจอไอแพด ราวกับจะคาดคั้นให้เขาตอบความจริง

“ใช่”

เขาโกหก งานนี้ทำได้นานถึงอาทิตย์หน้า


“แน่ใจ?”

รู้ทันตลอด เหมือนครามจะจับได้ว่าโกหก น้ำเสียงเริ่มดุ คล้ายต้องการถามซ้ำให้แน่ใจ…แน่ใจว่าอยากจะโกหกต่อหรือบอกความจริง


“ที่จริงก็ไม่ใช่งานรีบหรอก ทำพรุ่งนี้ก็ยังทัน”
บุญหลุบตาลงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคราม


“ทำไมยังนั่งอยู่อีก”

สุ้มเสียงไม่ได้ดัง แต่เสียงดุกว่าเมื่อครู่ บุญจึงจำใจทิ้งงานที่ทำ แม้จะอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับอีกคน ไม่ต้องให้บอกรอบสอง ร่างบางรู้หน้าที่ที่ต้องทำดี

ถอดเสื้อยังต้องถอดให้

มือเรียวปลดกระดุมออกทีละเม็ด

“จะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่าทำไมพี่ถึงกลับมาเร็ว”


“ไม่ถาม ถ้าครามอยากบอกก็บอก”


“แสดงว่าเราก็ไม่ได้อยากรู้?”

บุญหยุดมือตรงกระดุมเม็ดล่างสุด


“ก็บอกมาสิ”

ไม่อยากปากแข็ง ในเมื่อใจอยากถามตั้งแต่ครามก้าวขาเข้ามาในห้องแล้ว

 
“เพราะคิดถึงไง”

เจอกันทุกวันจะมาบอกคิดถึงกันก็คงแปลกไปหน่อย เขาถึงได้เข้าใจความหมายของคำว่าคิดถึงนั่นดี

คิดถึงของคราม

คงคิดถึงร่างกายเขา

“แต่ครามดื่มมา”

กลิ่นน้ำหอมเจือจางผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยคละคลุ้ง ยิ่งมั่นใจขึ้นตอนจูบกัน ถึงครามจะกลับมาเร็ว แต่หลักฐานก็ชัดเจนว่าดื่มมา เมื่อครามไปดื่ม...ก็น่าจะไปนอนกับคนอื่นมาเเล้ว

“แค่ดื่มเท่านั้น ไม่ได้กอดใคร”

ไม่มีความดีใจกับถ้อยคำของคนเจ้าชู้

ริมฝีปากกดลึกคล้ายจะเหยียด ไม่ได้เหยียดที่ครามกล้าพูดออกมาตรงๆ แต่เหยียดหยามตัวเอง ที่ไม่มีสิทธิ์ห้ามอะไรได้เลย

“คืนนี้พี่อยากกอดเรา”

แล้วพรุ่งนี้..ค่อยไปกอดคนอื่นใช่ไหม..


“แผลผมยังไม่หายดี”

เขาโกหกอีกรอบ แผลที่หลังไม่ใช่แผลลึก ตอนนี้เหลือเพียงร่องรอยจางๆ เท่านั้น ครามเป็นคนช่วยทายาให้ทั้งเช้าและเย็น…เกือบทุกวัน

เพราะไม่ใช่ทุกวันที่ครามจะกลับมานอนค้าง

“เด็กโกหก พี่ทายาให้เราจะไม่รู้ได้ไงว่าแผลเราแทบจะมองไม่เห็นแล้ว”

เขาเป็นฝ่ายยื่นข้อแลกเปลี่ยน ไม่สิ ต้องใช้คำว่าขอร้องถึงจะถูก เขาขอให้เว้นเรื่องบนเตียงกับเขาจนกว่าแผลจะหายดี

ครามตกลงกับสิ่งที่เขาขอร้อง เกือบสองอาทิตย์ที่ครามไม่ได้จาบจ้วงร่างกายของเขา นอกจากกอดจูบทั่วไป และเขาไม่แปลกใจว่าทำไมครามถึงยอม ก็ในเมื่อครามไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

ไม่ได้ต้องการเขาเพียงคนเดียว

บุญปล่อยมือ เปลี่ยนมาโอบรอบลำคอของอีกฝ่ายแทน การกระทำของเขา เรียกรอยยิ้มสมใจจากใครบางคนได้ดีทีเดียว

เห็นแผลเขาหาย ความสำนึกผิดคราวก่อนคงมลายหายไปไม่หลงเหลือ

“อยากทำอะไรก็ทำ”

อยู่ด้วยกันมานาน ทำให้รู้ว่า ถ้าหากเขาตามใจครามทุกอย่าง ครามจะใจดีด้วย หากเขาดื้อดึง คิดต่อต้าน…ครามก็จะใจร้ายขั้นสุดเช่นกัน

ไม่ได้อยากต่อต้านจนต้องเจ็บตัว แต่บางครั้งมันก็ทนไม่ไหว

ครามเอาแต่ใจเกินไป เหมือนคราวก่อนที่ธารน้ำ..

 
“แบบนี้สิถึงจะน่ารัก”

ชายหนุ่มถอดเสื้อทิ้งลงพื้น จุมพิตบนหน้าผากนวล ช้อนแขนเข้าใต้เรียวขาขาว อุ้มร่างเล็กขึ้นมาแนบอก แล้วพาเดินไปที่เตียง

วางเรือนร่างหอมหวานบนเตียงกว้างด้วยความทะนุถนอม ร่างสูงเหลือเพียงกางเกงยีนส์ติดกาย ไม่ยอมปล่อยให้เวลาดีๆ หลุดลอย มอบรสจูบวาบหวามให้ แย้มเรียวลิ้นสอดแทรกเข้าไปกวาดต้อนทั่วปาก เลาะเล็มควานหาความหวานในโพรงปากนิ่ม ไม่วายสอดมือเข้าไปใต้เสื้อขาว บีบขยำเนินอกเต็มแรง

ก่อนพรมจูบลงมายังต้นคอขาวผ่อง ขบเม้มเนิ่นนานให้เกิดรอย จมูกโด่งซุกอยู่แถวลำคอนิ่งๆ เป่าลมหายใจอุ่นรินรนความหอมกรุ่น

เขาผละมือออกจากยอดอก เพื่อเปลี่ยนมาแกะกระดุมคนใต้ร่าง

ท่าทางเหมือนไม่รีบร้อน แต่ในใจพลุกพล่านไปด้วยความต้องการเบื้องต่ำที่พยายามควบคุมไว้ให้ลึกที่สุด

ครามยันตัวนั่งคุกเข่า ดึงทึ้งชุดนักศึกษาให้พ้นจากร่างนุ่มนิ่ม เมื่อเสร็จข้างบนก็หันมาทำช่วงล่างต่อ

“หน้าแดงหมดแล้ว”

ตาคมกล้ามองคนตัวเล็กที่แก้มขึ้นสีแดงจัด จนอดแซวไม่ได้

ลูบนิดลูบหน่อยก็เขินแล้ว

ทางด้านคนถูกแซวไม่นึกแย้ง ทำเพียงหลับตาแล้วซุกหน้าลงกับหมอน นอนนิ่งๆ เหมือนตุ๊กตาให้อีกฝ่ายจับเเก้ผ้า

ไม่ช้าร่างขาวโพลนก็ปรากฏแก่ดวงตาคมกริบ

“อื้อ..”

 
บุญบิดส่ายร่างแทบไม่ติดเตียง ยามส่วนกลางกายถูกลิ้นร้อนตวัดไล้เลียตั้งแต่ส่วนปลาย ค่อยๆ ไล่ขึ้นจนสุด การปรนเปรอที่อีกคนมอบให้ ช่วยเร่งเสียงครางให้ดังขึ้น..ดังจนกลบความเงียบในห้อง

ไม่ช้าส่วนนุ่มนิ่มก็ถูกกลืนใส่เข้าในโพรงปากอุ่น สะโพกมนส่ายวนเหมือนควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้

ครามดูดเลีย ขยับขึ้นลงอย่างชำนาญ เร่งเสียงเพราะหูให้ดังขึ้น

“คราม…”

จิกเล็บลงบนฟูกนอนจนยับย่น ความกระสันซ่านแล่นพล่าน หัวใจเต้นเร็วรัว ปากได้แต่ร้องครางลั่นห้อง ครามเก่งเกินไป เก่งที่รู้จุดอ่อนของเขาไปเสียทุกอย่าง รู้ว่าต้องทำยังไงเขาถึงจะทนไม่ไหว

“คราม..เอาปากออกก่อน”

เขากระเถิบตัวหนี แต่ครามจับยึดสะโพกไว้มั่น เส้นผมสีดำขยับขึ้นลงแถวต้นขาอีกไม่กี่ครั้ง แล้วทุกอย่างก็พร่าเลือนเมื่อเขาปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างออกมาทุกหยาดหยด

ร่างสูงปาดเช็ดของเหลวตรงมุมปากลวกๆ หยัดตัวขึ้นไปมอบจูบเร่าร้อนให้ร่างบาง อยากให้เจ้าตัวได้ชิมน้ำรักของตัวเอง พร้อมฝากฝังรสจูบลึกล้ำให้ลืมกันไม่ลง

ก่อนจะถอยไปถอดกางเกง

ไม่ลืมคว้ากระเป๋าเงินที่มีถุงยางอนามัยอยู่ข้างใน ฟันคมฉีกซองพลาสติกออก แล้วสวมแผ่นใสลงไปในส่วนแข็งขึงที่เริ่มขยายตัว

ทำทุกอย่างไม่ถึงหนึ่งนาที ก็รีบกลับเข้าไปคร่อมทับร่างขาวนวล ปากพรมจูบทั่วแผ่นอกบาง กอบกุมยอดอกชูชันเข้าปาก ดูดเม้มจนเกิดเสียงน่าอาย มือล้วงเข้าไปใต้สะโพกกลมกลึง แหย่ก้านนิ้วเข้าไปในช่องทางคับแคบ กระทุ้งเสียบลึกจนคนโดนกระทำขยับตัวหนี

“อ๊ะ..”

 
“แค่นิ้วก็ร้องไห้แล้วเหรอ”

เขาเย้า มองกรอบตาสวยที่มีน้ำใสเอ่อคลอ คงทั้งเจ็บและเสียววาบ

มองใบหน้าเห่อเเดงเเล้วมีอารมณ์ อยากร่วมรักใจแทบขาด

“อื้อ คราม!”

ร่างบอบบางถูกจับพลิกคว่ำ ครามกดแผ่นหลังเนียนให้ตัวราบลงไปกับที่นอน ยกสะโพกให้เชิดสูง ให้สองเข่าตั้งรับน้ำหนัก แล้วแยกขาเรียวให้อ้ากว้าง ส่วนตัวเขาก็ขยับเข้าไปประชิดบริเวณด้านหลังของคนตัวเล็ก ใช้แก่นกายถูไถอยู่แถวช่องทางร่วมรัก

บุญจิกกำผ้าปูไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ใบหน้าซบลงบนหมอน ลมหายใจหอบถี่เมื่อถูกแก่นกายร้อนผ่าวสวนใส่เข้ามาข้างใน

“อา…”

ความอ่อนนุ่มบีบรัดแน่นจนคนด้านบนแทบอดทนรอไม่ไหว ใจอยากใส่เข้าไปทีเดียว

แต่ก็ยังรั้งไว้

ชายหนุ่มจับก้นขาวให้แบะออกกว้าง ต้นขาเข้าประชิดติดสะโพกขาว ค่อยๆ เอาความปราถนาใส่เข้าหาร่องหลืบช้าๆ ใส่ไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็กดแช่ค้างไว้ เพื่อให้ร่างข้างใต้ได้ปรับตัว เขาไม่อยากวู่วามเหมือนคราวก่อน แต่ใช่ว่าจะยั้งแรงตอนทำ…

เมื่อเห็นบุญไม่ร้องห้าม เขาจึงฝากฝังความแข็งกระด้างเข้าไปในความอุ่นชื้นให้ลึกจนสุดความยาว แรงตอดรัดจากผนังนุ่มหยุ่นกำลังทำเขาคลั่ง

“อา..ยังแน่นเหมือนเดิมเลยบุญ”

ร่างสูงใหญ่เริ่มขยับเข้าออก ในตอนแรกเขาเพียงขยับเนิบๆ แต่เน้นหนัก

ก่อนจะค่อยไต่ระดับตามแรงตามอารมณ์ที่โหมกระพือ

เหงื่อกาฬไหลริน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเเทรกเสียงครวญครางของคนทั้งสอง

ครามสบถเสียงพร่า ไม่คิดเพลาแรงกระแทกกระทั้นอีกต่อไป เขารั้งตัวตนเข้าออกในซอกเล็กแคบถี่ยิบจนคนด้านใต้โยกคลอนไปตามแรงขยับ

ฝ่ามือหนารั้งเอวเล็กเข้าหาตัว ออกแรงดันส่วนแข็งขึงใส่ลงไปให้ลึกที่สุด ก่อนจะถอนออกมา แล้วค่อยกดใส่เข้าไปใหม่ โดยไม่มีการลดแรง เขากระหน่ำสวนเข้าไปเพื่อเพิ่มจังหวะให้แนบแน่นยิ่งขึ้น หารู้ไม่ว่าคนที่ต้องทำหน้าที่รองรับแรงการกระแทกรุณแรงอยู่ด้านล่างแทบแหลกลาญ

“อื้อ..แรงไปคราม”

บุญปราม แต่คงไร้ผลเช่นเคย ยังคงต้องทนรับการจู่โจมที่เขาใส่มาไม่ยั้ง ผิวเนื้ออ่อนด้านหลังปวดหนึบจากแรงที่สาดใส่อย่างไม่คิดจะปรานีกัน

ครามสอดเข้ามาเร็ว ขยับเร็ว...เเละเเรง

แก่นกายใหญ่ขยับถี่รัวตามความพอใจของเจ้าของ สายตาคมกล้ามองส่วนที่ประสานกันก็ยิ่งโหมแรงใส่ไม่หยุด เป็นเหตุให้ร่างขาวโพลนโยกไถลไปกับเตียงนอน

เส้นผมสีน้ำตาลพันกันยุ่งเหยิง ริมฝีปากหวีดร้องไม่หยุด

บุญเจ็บเสียดไปกับการรุกรานด้วยจังหวะดิบเถื่อนของคนด้านบน ร่องหลืบที่ยังมีความดุดันสอดประสานดูบอบช้ำจนขึ้นสีแดงเถือกอย่างน่าเห็นใจ

ความสุขปะปนมากับความเจ็บเเปลบที่เสียดเเทงเข้ามาในตัว

เเล้วก็ไม่รู้ว่าบทรักจะจบลงเมื่อไหร่

“คราม..ผมจะไม่ไหวแล้ว อื้อ”

ครามก้มตัวเข้าคร่อมทับร่างขาว แผ่นอกกว้างแนบสนิทกับแผ่นหลังบาง จูบตรงเเก้มหอม มือล้วงไปบีบขย้ำยอดอกสีสด บิดขยี้จนบุญร้องเสียงดัง

ครามไม่ชอบให้ผิวขาวๆ ว่างเปล่า ต้องทำให้เป็นรอยเสมอ

ไม่ได้อยากทำให้เจ็บ เเค่อยากเเสดงความเป็นเจ้าของ

“อ่า..ใกล้แล้ว”

ยิ่งถูกบีบรัด ยิ่งถูกกลืนกิน ครามยิ่งรุณเเรง

ชายหนุ่มสาวเอวเข้าใส่ไม่ยั้ง สะโพกสอบบดเบียดตัวตนเข้าหาร่องอุ่นชิ้นอยู่สองสามครั้ง จงใจกดเน้นอย่างรู้จุด

ร่วมรักกับคนตัวเล็ก เขาไม่เคยผ่อนเเรง

ครามกัดหัวไหล่ขาวจนเป็นรอยฟัน ก่อนจะหลุดเสียงร้องสุขสมออกมาพร้อมๆ น้ำรักที่ไหลเข้าไปในถุงยางอนามัย

“หนัก คราม..”

ร่างบางอึดอัดกับการถูกนอนทับ  กระทั่งเหมือนคนด้านบนจะรู้ตัว ครามพลิกตัวลงมานอนเคียงข้าง บีบปลายคางให้ใครอีกคนอ้าปาก สอดลิ้นเข้าไปเเลกจูบ กว่าจะผลักออกก็หลายนาที

“เหงื่อท่วมเชียว”

เสียงห้าวเอ่ยเย้า แต่ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน เหงื่อไหล่ท่วมผิวกายของคนทั้งคู่

กิจกรรมบนเตียงเรียกเหงื่อได้ดีเสมอ

“ไม่ คราม…ไม่เอาแล้ว”

นอนพักไม่กี่นาที มือหยาบก็เลื่อนเข้ามาลูบไล้แถวขาอ่อน บุญห้ามทั้งที่เรี่ยวเเรงเเทบจะไม่เหลือ

“ไม่ได้ทำเกือบสองอาทิตย์ จะจบที่รอบเดียวคงไม่ใช่มั้ง”

ครามประคองใบหน้าเรียวให้ขยับมาใกล้เพื่อเปิดปากรับรสจูบของเขาอีกครั้ง เขาจูบจนปากบุญบวม แก้มอิ่มถูกหอมแล้วหอมอีกจนแทบช้ำ จากนั้นก็ดึงเเผ่นพลาสติกอันเก่าทิ้ง เเกะอันใหม่ขึ้นมาใส่ลงไป

“ผมเหนื่อย อื้อ”

ครามไม่ฟังเสียงห้าม เขายันตัวขึ้นนั่ง ก่อนอุ้มร่างเปลือยให้มานั่งทับบนตัวตนของเขา

บุญจิกเล็บลงบนบ่าแกร่ง หายใจหอบรัว เมื่อตรงนั้นถูกล่วงเกินครั้งเเล้วครั้งเล่า

จังหวะการขย่มตัวของร่างเล็กถูกชักจูงโดยฝ่ามือใหญ่ที่จับแน่นตรงเอวคอด

 

ใครคนหนึ่งเอาเเต่ใจ

ใครอีกคนก็ต้องตามใจ


 

 

TBC.


เอามาให้อ่านสองตอนรวดเพื่อชดเชยที่หายไปนาน  ถ้าเเต่งได้หลายตอนจะกลับมาอัพนะคะ ตอนนี้ก็เเต่งอยู่เรื่อยๆ

ใครที่ลืมเรื่องนี้ไปเเล้ว กลับมาก่อนนนนน เรายังเเต่งอยู่ คอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า  :mew6:

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 16:27:18 โดย ผู้หญิงสีขาว »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด