ตอนที่ 1
แสงสว่างยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามากระทบสองร่างที่นอนกอดก่ายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เเดดอุ่นอ่อนช่วยปลุกคนบนเตียงให้ตื่นจากห้วงนิทรา ร่างเล็กสะลืมสะลือ สองเเขนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ยกมือขยี้ตาเบาๆปรับสายตาให้ชินกับเช้าวันใหม่
ไม่ลืมเอี้ยวตัวขยับเข้าไปปลุกใครอีกคนด้วยความเคยชิน เขย่าไหล่กว้างหนักๆ ให้คนขี้เซาตื่น เเต่จนเเล้วจนรอดก็ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา ซ้ำยังส่งเสียงประท้วงอืออาราวกับรำคาญที่ถูกรบกวนเวลานอน
“เช้าแล้วคราม”
ขานเรียกขณะเเย่งผ้าห่มเข้าหาตัว เพียงเเต่ใครอีกคนกลับดึงรั้งกลับไปได้ในเสี้ยววินาที ไม่วายพลิกตัวหนีเขาไปอีกด้าน
“ถือว่าปลุกแล้วนะ” เพราะเห็นว่าโตๆ กันเเล้วเลยปล่อยให้เจ้าของห้องนอนต่อ อยากจะตื่นก็ตื่นเองละกัน
บุญกระชับชุดคลุม หย่อนขาลงจากเตียง เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าลื้อหาชุดที่่อยากใส่ก่อนตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ มือเรียวเปิดลิ้นชักที่อยู่ด้านใต้กระจกเงา หยิบแผงแปรงสีฟันอันใหม่ขึ้นมาเเกะใช้หนึ่งอัน จังหวะหนึ่งเเอบชำเลืองไปมองแปรงสีฟันอีกอันที่โดดเด่นอยู่ในแก้วใส
สองวันก่อนมีเเปรงสีฟันของเขาตั้งอยู่ด้วย...เเต่วันนี้เหลือเเค่ของครามคนเดียว
ไวกว่าความคิด ใช้เท้าเหยียบปุ่มถังขยะให้ฝามันเปิดออก เเละก็เป็นไปตามคาด
เเปรงสีฟันของเขานอนเเอ้งเเม้งอยู่ข้างใน ซ้ำยังมีเศษซากถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วรวมอยู่ด้วย
หึ...สันดานของพวกเจ้าชู้
ไม่อยากให้ค่ากับสิ่งพวกนี้นานนักเลยรีบเเปรงฟันอย่างไว เปิดฝักบัวชำระร่างกายด้วยความรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็อยู่ในสภาพชุดนักศึกษาพร้อมไปเรียน จากนั้นก็ก้าวจ้ำๆ เข้าห้องครัว เปิดตู้เย็นใช้มือควานหาพวกแฮมกับไส้กรอกออกมา ตามจริงเขากินเเค่นมกับขนมปังก็อยู่ท้องเเล้ว ต่างจากใครบางคนที่กินเเค่นั้นคงไม่อื่มเเน่ๆ เขาจึงต้องเข้ามาเตรียมอาหารเช้าเผื่อไว้ให้
ทว่ามือยังไม่ทันได้เเตะโดนกระทะ เเผ่นหลังก็กระแทกเข้ากับแผงอกล่ำของร่างใหญ่เข้าอย่างจัง คนเพึ่งตื่นเกี่ยวกระหวัดเอวบางดึงรั้งเข้าหาตัว กลายเป็นว่าตอนนี้คนตัวเล็กกำลังถูกกอดจากทางข้างหลัง
“ตื่นนานยัง”
เจ้าของห้องก้มหน้ากระซิบถามเสียงพร่า เเล้วก้มลงหอมเส้นผมนุ่มลื่น
“ไม่นานเท่าไหร่ อื้อ” บุญยกมือปิดปากเเทบไม่ทันยามร่างสูงขยับเข้ามาเเนบชิดมากขึ้น ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบบนหลังคอ สอดมือเข้ามาในเสื้อสีขาว เค้นคลึงบนเนินอกทั้งสองข้างจนเขาดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมเเขนเเกร่ง ปากร้องห้ามเเต่มีหรือที่คนเอาแต่ใจจะทำตาม
“เลิกกี่โมงวันนี้”
“อ๊ะ สองทุ่ม” เสียงแหบร้องออกมาเบาๆ เมื่อสองเม็ดเล็กถูกบีบขยี้เล่น ก่อนค่อยๆ หยุดดิ้นเเล้วปล่อยให้ครามได้วุ่นวายกับร่างกายของตัวเองได้ตามใจชอบ เพราะรู้ดีว่าต่อให้ขัดขืนหรืออ้อนวอนก็เปล่าประโยชน์
“ทำไมเลิกดึก”
“มีงานนิดหน่อย”
“งานอะไรทำไมพี่ไม่รู้” ครามฝังจมูกลงบนแก้มใสหนักๆ จับร่างเล็กพลิกให้หันมาเผชิญหน้า ใช้สายตาตำหนิอีกฝ่ายให้รีบพูด “ว่าไงเด็กดื้ออธิบายมาเดี๋ยวนี้ ทำไมพี่ถึงไม่รู้ว่าเรารับงานใครไว้”
“แค่ไปเป็นตากล้องให้พวกดาวเดือนแค่นั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก”ฟ
“แล้วไป นึกว่ามีคนชวนไปถ่ายแบบเหมือนครั้งนั้น ถ้ามีคนติดต่อมาอีกบอกปฏิเสธไปซะ เพราะพี่ไม่อนุญาตให้ทำ”
งานที่ครามพูดถึงคืองานโปรโมทเสื้อคณะ ช่วงปีหนึ่งเขาถูกรุ่นพี่ทาบทามให้ช่วยไปเป็นเเบบร่วมกับเพื่อนคนอื่นๆ พอหลังจากที่ครามรู้เรื่องนี้ก็กลายเป็นว่านั่นคืองานถ่ายเเบบชิ้นเเรกเเละสุดท้ายของเขา
“อือ ปล่อยได้เเล้ว”
“ค้างที่นี่อีกคืน”
“อือ ไปอาบน้ำไป” น้ำเสียงติดรำคาญส่งผลให้ครามเริ่มมันเขี้ยวเจ้าลูกแมวจอมหยิ่ง อดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงบนใบหน้าเรียวอีกสักครั้ง..ใจอยากอุ้มขึ้นไปฟัดบนเตียงให้รู้เเล้วรู้รอด ทว่ากลับทำได้เเค่
“จูบพี่หน่อยสิ”
ตอดเล็กตอดน้อยเเก้ขัด
บุญเเหงนมองใบหน้าคมเพียงแวบเดียวเเล้วหลุบตามองพื้น สักพักก็ยอมเงยขึ้นมาใหม่ ทว่าไม่กล้าสบตากลับหันหน้าไปทางขวา สองเเก้มร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้ คนขี้อายไม่กล้าปฎิเสธเเต่ก็ไม่ยอมทำตามคำขอ ทำได้เพียงยืนเเข็งเป็นรูปปั้นหิน
ครามจ้องมองท่าทางเขินอายนั่นไม่วางตา เขาใช้ลิ้นดันกระพุ้งเเก้ม พยายามมกลั้นยิ้มอย่างหนัก
“ไม่จูบพี่ไม่ไปส่งนะ”
เร่งเร้าด้วยการตวัดรั้งร่างตรงหน้าเข้าหาตัว เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากกอดเอวบางไว้หลวมๆ ใช้สายตากวาดมองทั่วใบหน้าเรียว หากไม่ติดว่าเมื่อวานเผลอลงโทษเเมวน้อยหนักจนสลบ วันนี้คงได้จัดกิจกรรมบนเตียงตอนรับเเสงอาทิตย์เป็นแน่
ลอบมองอยู่นานกว่าบุญจะกล้าเงยหน้าขึ้นมา ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
ทั้งสองสบตากันร่วมนาที กระทั่ง...
บุญยอมแพ้ เขย่งเท้า กดจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากได้รูป ไม่ใช่จูบลึกซึ้งชวนวาบหวิวหรือจูบหวานซึ้งเเต่อย่างใด มันเป็นเเค่จุ๊บเบาๆ สไตล์เด็กน้อย ทว่าเเปลกดีที่ดันมีคนพอใจจนอดยิ้มกว้างออกมาจนได้
“เด็กดี”
“ไอ้ครามทางนี้”
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เขาเดินดุ่มๆ ไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนอีกสามคนนั่งรออยู่ก่อนหน้า
“สั่งเผื่อกูยัง” เขาหันไปถามไอ้ว่านที่นั่งข้างๆ
“เรียบร้อย”
ไม่ทันขาดคำอาหารพร้อมเครื่องดื่มสีอำพันก็มาเสิร์ฟ โต๊ะริมซ้ายสุดติดหน้าต่างกำลังถูกจับจองด้วยร่างของผู้ชายสี่คนในชุดนักศึกษา ตามจริงเขามีเรียน เพียงเเต่อาจารย์ขอยกเลิกคลาสกะทันหันเพราะติดประชุม ทำให้วันนี้พวกเขาว่างทั้งวัน
“ไอ้ครามน้องฝ้ายที่มึงเคยควงแม่งทักเฟสกูมาว่ะ”
“แล้ว?”
“หึ ไม่มีอะไร กูแค่จะบอกว่าขอต่อนะเพื่อน”
เต้คนที่นั่งชิดมุมซ้ายสุดหัวเราะร่าเหมือนสนุกกับเรื่องที่พูดอยู่ ส่วนเขาเพียงแค่เหยียดยิ้มเป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน รองจากเรื่องเหล้าก็คือเรื่องเซ็กส์นี่เเหละที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ การใช้คู่นอนซ้ำกับของเพื่อนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับกลุ่มพวกเขา ถ้าเกิดว่าทั้งสองฝ่ายเต็มใจ
“เผื่อเเผ่มาทางกูบ้างก็ดี” ภีมเอ่ยเเข่งกับเสียงดนตรีในร้าน
“มึงสลัดน้องแตงโมให้ได้ก่อนเหอะครับ แล้วค่อยมาคุย”
เต้ตอกกลับด้วยสีหน้าขบขันสุดฤทธิ์พลอยให้คนทั้งโต๊ะขำไปด้วย เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนคนเก่งดันมีพลาดท่าสลัดหญิงไม่หลุด คอยโทรจิกตามตอเเยไม่เลิก
“สัด”
ภีมก่นด่า ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบให้หายเซ็ง ผู้หญิงบางคนแม่งก็เก่งในสิ่งที่เขาไม่ชอบ บอกให้เลิกยุ่งยังดั้นด้นมาหาถึงห้อง เกาะติดหนึบเป็นปลิง โชคดีหน่อยที่วันนี้เจ้าหล่อนติดเรียนทำให้เขาพอมีเวลาส่วนตัว
“เสียงหัวเราะพวกมึงดังไปถึงในครัวละจ้า พวกมึงก็นะไม่คิดจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนบ้างเหรอ จะผลัดกันคั่วมั่วซั่วไปถึงเมื่อไหร่กัน กับอิเเค่จริงใจกับใครสักคนมันยากตรงไหนวะ”
เจ๊แหม่มเจ้าของร้านเอ็ดเสียงดัง ขณะเดินเข้ามาเสริ์ฟอาหารที่เหลือให้ หล่อนเท้าสะเอวจ้องหน้าลูกค้าประจำที่มาจองโต๊ะตั้งเเต่บ่าย ไอ้พวกนี้น่ะว่างหน่อยไม่ได้ ต้องเเวะเวียนเข้ามานั่งดื่มที่ร้านตลอด หล่อนรู้จักทั้งสี่คนตั้งเเต่พวกมันยังเป็นเพียงเฟรชชี่ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องเลวของพวกมันเจ๊แกรู้เเทบหมดทุกอย่าง อาจเป็นเพราะผู้หญิงที่ทั้งสี่คนได้ไปนอนกกก็มาจากลูกค้าของร้านหล่อนด้วยส่วนนึง
“อีกนานอ่ะเจ๊พอดียังไม่เจอคนที่ใช่” เต้รับอาสาตอบเเทนปล่อยให้อีกสามคนนั่งฟัง
“แหมทำมาพูดซะดิบดี มึงเล่นเปลี่ยนคู่นอนแทบไม่ซ้ำหน้า คงจะเจออยู่หรอกนะไอ้คนที่ใช่ของมึงอ่ะ”
“ก็ผมไม่รีบมี ตอนนี้อยากเรียนรู้ไปทีละคนก่อนไงเจ๊”
“จ้าพ่อคนเลือกเก่ง ระวังเป็นเอดส์ตายก่อนจะเจอเนื้อคู่ล่ะ กูขี้เกียจเถียงกับมึงละขอตัวไปล้างจานก่อน”
ร่างท้วมเดินหนีไปทางห้องครัว ทิ้งให้เต้มองตามตาปริบๆ อะไรของเจ๊แกวะวัยทองหรือไง เป็นมาถามเขา แล้วจู่ๆ ก็เสือกแช่งให้เป็นโรคร้าย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเจ้าของร้านที่สนิทด้วยคงไม่จบเเค่นี้เเน่
“ใจเย็นไอ้เต้ อย่าถือสาเจ๊เเกเลย" ว่านรีบปราม รู้ดีว่าเพื่อนเป็นคนโมโหง่าย
"เออ..พวกมึง วันนี้พี่ภัทรจะจัดปาร์ตี้ริมสระที่บ้านว่ะ มีใครอยากไปเเจมด้วยป่าว"
ภีมเอ่ยชวน พี่ชายของเขาล้วนสนิทกับพวกมันทุกคน อีกอย่างพี่ภัทรไม่มีทางจัดปาร์ตี้สังสรรค์เเบบเบสิคธรรมดาเเน่นอน..มันมีเรื่องให้ชวนตื่นเต้นมากกว่านั้นเยอะ ซึ่งทุกคนในโต๊ะก็รู้ดีว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร
"กูไป" เต้หายหงุดหงิดเป็นปลิดทิ้ง ให้คำตอบเเบบไม่ต้องคิดนาน
“กูขอผ่านว่ะ”
ไม่ต่างจากครามที่ตอบเเบบไม่ใช้เวลาคิดนานเช่นกัน
“มึงนัดสาวคนไหนไว้คราม”
เต้กำลังจะสวนเเต่เป็นว่านที่ชิงพูดขึ้นมาก่อน หากมีใครคนหนึ่งปฏิเสธนัด ก็คงไม่พ้นเรื่องที่เจ้าตัวมีนัดอยู่ก่อนเเล้ว
"สาวคนไหนที่มึงจะไปหา"
ว่านหรี่ตามองคนที่กำลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างจับผิด ความเสือกเเล่นพล่านเข้าสมอง อยากรู้จริงว่าใครกันที่ทำให้เพื่อนของเขาติดใจจนไม่อยากไปหาอะไรทำสนุกๆ ร่วมกัน เดายังไงก็เดาไม่ออกในเมื่อผู้หญิงของมันเเต่ละคนก็เปลี่ยนหน้าบ่อยเสียจริง คนนึงควงได้นานสุดไม่เคยถึงสามเดือนด้วยซ้ำไป
“เรื่องของกู”
“คืนนี้กูว่าไม่ใช่สาวว่ะไอ้ว่าน กูว่าหนุ่มชัวร์” ภีมขอแทรกขึ้นบ้าง ไอ้ว่านเดาไม่ออก เเต่ทำไมเขากลับเดาออกได้ง่ายๆ ต้องใช่เด็กคนนั้นไม่ผิดเเน่ เจ้าของเหตุผลที่ทำให้ไอ้ครามไม่อยากไปกับพวกเขา
ไอ้ครามมันเจ้าชู้ชอบนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าก็จริงอยู่ เเต่กลับมีคนๆ นึงที่ดูให้ความสำคัญเกินกว่าคำว่าคู่นอน
หากเป็นเพียงคู่นอนธรรมดา เสือผู้หญิงอย่างมันไม่มีทางที่จะกกไว้นานถึงสองปีหรอก
“หนุ่มหรือสาวบอกมาไอ้คราม ถ้าเป็นหนุ่มก็ต้องเป็นน้องคนนั้นอีกอ่ะดิ ไอ้ห่าทำไมคนนี้มึงนานจังวะ”
ว่านยังถามไม่เลิก พลางนึกไปถึงรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่งที่เพื่อนสนิทยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย เเถมให้ความสำคัญเกินหน้าเกินตากว่าพวกผู้หญิงที่ผ่านมา ปากก็พร่ำบอกว่าไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน เเล้วไอ้อาการตามหึงหวงเเทบจะทุกเวลานั่นล่ะ มันหมายความว่ายังไง ส่งไลน์เช็กเเทบจะทุกชั่วโมง หลายครั้งที่ถูกมันชวนให้ไปที่ไหนสักที่เพียงเเค่อยากไปตามเฝ้าเด็กของมัน
“ถ้ากูตอบมึง กูได้อะไร”
“กูให้น้องส้มไปกกฟรีหนึ่งคืนมั้งไอ้สัด ถามก็ตอบอย่ามาลีลา”
ครามหัวเราะในลำคอกับน้ำเสียงที่เริ่มติดโมโหของไอ้ว่าน มือขยี้มวนบุหรี่ให้ไฟมอดดับ หวนนึกถึงเจ้าของดวงหน้าใสที่ตอนนี้คงกำลังเรียนอยู่...ดวงตาสีดำวาววับกวาดมองรอบโต๊ะ จังหวะนี้ไม่มีใครไม่สบตาเขา..เหมือนเป็นการเร่งกลายๆ ให้เขารีบเฉลยในสิ่งที่คาใจพวกมันมานาน
...ขี้เสือกฉิบหาย...
“คนโปรดกูอย่ายุ่ง"
แชะ แชะ
“ดีมากครับ คราวนี้ให้ทั้งสองคนหันหน้ามองตากันหน่อย”
“อย่างงั้นแหละ น้องผู้ชายอมยิ้มนิดนึงครับ อ่ะโอเค”
นายแบบและนางแบบทำตามตากล้องอย่างไม่เกี่ยงงอน ทุกท่าทุกโพสล้วนออกมาสมบูณณ์เเบบเมื่อได้ช่างภาพที่มีฝีมือ งานถ่ายภาพประชาสัมพันธ์ของแต่ละคณะไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนที่เคยฝากผลงานมาหลายต่อหลายครั้งอย่างบุญ
เสียงรัวชัตเตอร์เงียบลง ภายในห้องสตูดิโอผู้คนเริ่มบางตาลงเมื่อมีหลายคนขอตัวกลับก่อน
“เสร็จแล้วครับ”
บุญยืดตัวตรง ส่งยิ้มบางๆ ให้กับคู่สุดท้าย ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เหล่านายแบบนางแบบจำเป็นต่างตั้งใจทำงานจนผลงานออกมาค่อนข้างน่าพอใจ เท่านี้ตากล้องที่มาช่วยงานวันเดียวก็โล่งอกเมื่อไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
“ให้พี่เลี้ยงข้าวเราสักมื้อเหอะนะ เกรงใจว่ะ มาช่วยพี่ตั้งหลายครั้งแล้ว”
เสียงห้าวมาพร้อมกับร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาประชิดตัว บุญยื่นกล้องถ่ายรูปส่งคืนให้รุ่นพี่ในคณะที่รับหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกองประกวดโดยตรง พี่โจชอบหางานมาให้เขาได้ประลองฝีมืออยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับคนรักการถ่ายภาพเช่นเขา
“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ”
“แต่พี่อยากเลี้ยงข้าวเรานี่หว่า นะๆ ไปกินร้านป้าแก้วหลังมอก็ได้”
“เอาไว้วันอื่นนะครับ วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ”
“เฮ้อ วันอื่นก็วันอื่น แล้วนี่กลับยังไงให้พี่ไปส่งป่ะ”
เพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อนจึงไม่คิดตื๊อให้ยืดยาว โจรู้ดีว่ารเด็กคนนี้เป็นคนใจเเข็ง ปากบอกไม่ก็คือไม่
“กลับพร้อมไอ้ซันครับ”
“ถ้างั้นก็กลับดีๆ ล่ะ พี่ขอตัวไปเคลียร์รูปเซทนี้ให้เสร็จก่อน”
บุญมองตามแผ่นหลังรุ่นพี่ที่เดินเลี้ยวไปอีกด้านจนลับสายตา หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาคราม...ไม่ใช่ไอ้ซันอย่างที่หลายคนเข้าใจก่อนสาวเท้าออกมายืนรอนอกห้อง
“พี่บุญ”
“ครับ?”
ร่างบางเหวอนิดหน่อยเมื่อโดนทักแบบไม่ทันตั้งตัว บุญจ้องหน้ารุ่นน้องที่ยืนฉีกยิ้มกว้างมาให้เขา ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนี้คือเดือนวิศวะที่เขาเพึ่งถ่ายรูปให้เป็นคิวสุดท้าย
“พี่จะกลับเเล้วหรอครับ”
"ใช่ครับ” ตอบพร้อมกดตัดสายเมื่อไม่มีคนรับ เเล้วเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปหาเเทน
"พี่บุญ..คือผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่นิดหน่อยได้ไหมครับ"
"เกี่ยวกับเรื่องรูปรึเปล่า ถ้าอยากได้รูป น้องต้องไปขอจากพี่โจเเทนนะพี่เเค่มาถ่ายให้เฉยๆ " เขาอธิบายตามความเข้าใจของตัวเองล้วนๆ คิดไปเองว่ารุ่นน้องคงอยากได้รูปไปโพสลงอินสตาเเกรมเรียกยอดไลค์จากผู้ติดตาม
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มาขอรูป”
“อ่าว เเล้วถ้างั้น..”
“คือเรื่องที่ผมอยากคุยกับพี่มันค่อนข้างส่วนตัวนิดหน่อย”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค น้ำเสียงนุ่มทุ้มก็เเทรกขึ้น รอยยิ้มเก้อเขินเเต่งเเต้มบนใบหน้าคนเด็กกว่า มือเกาท้ายท้อยไปมาเเบบคนเก้ๆ กังๆ เขาเผลอจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตาของคนตรงหน้า เขากลับรู้สึกตงิดๆอย่างบอกไม่ถูก หากมองเผินๆ ท่าทางที่อีกฝ่ายกำลังเเสดงออกให้เห็น มันเหมือนหนุ่มขี้อายที่กำลังเขินเขายังไงอย่างงั้น
เเต่ไม่รู้ทำไมเขากลับไม่อยากยืนใกล้ไอ้เด็กคนนี้เลย
“ขอโทษนะ เเต่พี่มีธุระต้องรีบกลับ คงไม่ว่างคุยกับน้องหรอก"
บุญยิ้มให้ตามมารยาท เดินเลี่ยงไปที่ลิฟท์ ไม่อยากคุยกับคนไม่รู้จักเพราะไม่ใช่พวกเฟรนลี่ไปทั่วอยู่เเล้ว พลันเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักกึก เมื่อคนด้านหลังพูดเสียงดังฟังชัดจงใจให้เขาได้ยิน
“หยิ่งจังเลยนะครับ ดูภายนอกนึกว่าน่าจะง่ายซะอีก”
บุญเดินต่อทั้งที่หัวคิ้วขมวดมุ่น ไม่ได้หันกลับไปมอง รู้ว่าโดนเหยียดเเต่เลือกจะปล่อยผ่าน
“เดี๋ยวก่อน” ร่างสูงกว่าทนไม่ไหว ถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก บังคับลากเข้าไปในลิฟท์ด้วยกัน บุญตกใจใช้เเรงที่มีผลักอีกคนออกห่าง เเต่ด้วยขนาดร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยจึงไม่เป็นอย่างที่เขาอยากให้เป็น ผิดกับใครอีกคนที่ยังทำลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับอาการขัดขืนของเขาเเม้เเต่นิดเดียว ทั้งยังหน้าด้านหันมามองด้วยรอยยิ้มหวานจนนึกหมั่นไส้ “ขอคุยด้วยแป๊ปเดียวจริงๆ พี่”
“ปล่อย”
“ผมจะปล่อยก็ต่อเมื่อเราคุยกันเสร็จ”
“บอกให้ปล่อย หูหนวกหรอ!”
ตะโกนไปก็ไร้ผล พอประตูลิฟท์เปิดอ้า ทั้งร่างก็ถูกกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินไปยังบริเวณใต้ถุนอาคารที่ตอนนี้ปราศจากผู้คนรอบด้าน บุญหันซ้ายหันขวาพยามมองหาใครสักคนที่สามารถช่วยเขาได้ เเล้วก็ต้องหมดหวัง
ในเวลาเกือบสามทุ่มคงไม่มีใครผ่านมาที่นี่เเล้ว
หัวไหล่ถูกกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ส่วนมันยืนกอดอก ก้มมองด้วยเเววตาคาดคั้นคล้ายกับว่าเขาเป็นนักโทษ
“ผมชื่อดิว”
“แล้วไงต่อ” เลี่ยงไม่ได้จึงยอมเออออตามน้ำ ทั้งไม่พอใจเเละระเเวงไปด้วย เจอหน้าครั้งเเรกก็กล้าทำกันถึงขั้นนี้เเล้ว..ไอ้เด็กนี่ต้องร้ายน่าดู
“ก็อยากทำความรู้จักกันก่อน เผื่อเราสองคนอาจจะได้เจอกันบ่อยขึ้น”
“รีบเข้าเรื่องสักทีเหอะ อยากกลับเเล้ว”
“อย่าใจร้องสิครับ เดี๋ยวผมไปส่งพี่เอง”
“ขอบคุณ เเต่ไม่ต้องการ”
“โอเคๆ ถ้าพี่อยากให้ผมพูดตรงๆ งั้นพี่ก็ต้องกล้าตอบผมเเบบตรงๆ ด้วยล่ะ”
เขาทำเมินมองเลยผ่านไปยทางด้านหลัง รู้สึกเหม็นขี้หน้ารุ่นน้องคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ลากตัวเขามาเพราะเเค่อยากคาดคั้นให้ตอบคำถามบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เต็มใจมาด้วยสักหน่อย
ใหญ่โตมาจากไหนกัน ถึงกล้าเสียมารยาทกับคนที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนขนาดนี้...โคตรนิสัยเสีย
“พี่มีเเฟนยัง” เขาเงียบ เป็นคำถามที่เขาไม่อยากบอกหรือต้องการให้อีกคนคิดเอาเอง
ซึ่งการกระทำเเบบนั้นทำให้ดิวเริ่มมีน้ำโห เเต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้หลุด
เเม้ข้างในจะร้อนรุ่ม..อยากตะคอกใส่ร่างตรงหน้าเเทบบ้า
"ผมทำพี่อยู่นะ ทำไม่พี่ไม่ตอบผมล่ะ"
"มันเป็นเรื่องส่วนตัว"
เขาว่าเรียบๆ กำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ โทรศัพท์ก็สั่นครืดเนื่องด้วยมีสายโทรเข้า คนตัวเล็กเเทบไม่มองเบอร์ กดรับทันที ได้ยินปลายสายบอกให้ออกมาหาที่ลานจดรถถึงลุกขึ้นยืน
"ขอตัวล่ะ"
บุญเดินผ่านเหมือนรอเวลานี้มานาน ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดอยู่กับที่
“พี่กับพี่ครามเป็นอะไรกัน”
เสี้ยววินาทีที่ใจหล่นวูบ ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยตอนได้ยินชื่อของใครคนหนึ่ง
...นั่นหมายความว่าเริ่มมีคนสงสัยในความสัมพันธ์ของเขากับครามเข้าให้เเล้ว...
สงสัยในความสัมพันธ์ที่หาความชัดเจนอะไรไม่ได้
ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก
ความสัมพันธ์ที่ต้องปิดบัง
ในเมื่อไม่สามารถให้คำตอบใครได้ รวมกับไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องบอกไอ้บ้านี่ด้วยทำให้ไม่คิดหันกลับไป มีเเต่จะเร่งฝีเท้าไวกว่าเก่า ไม่ใส่ใจคนที่ยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่ด้านหลัง
สองขาเกือบจะก้าวพ้นขอบประตูอยู่รอมร่อ หากไม่มีถ้อยคำที่สะดุดให้เขาชะงักค้าง
“พี่ครามไม่ได้คู่ควรกับพี่เท่าผมหรอก”
บุญนับหนึ่งถึงสิบในใจ ก่อนหันไปสบตากับคนที่เพิ่งจะเผยตัวตนที่เเท้จริงออกมาให้เห็น
รอยยิ้มเป็นมิตรเลือนหาย...เหลือเพียงรอยยิ้มเหยียดตรงมุมปาก
ราวกับกำลังตอกย้ำให้รู้ว่า...เขาไม่มีทางสู้ได้
เขาเเค่นหัวเราะ...ใช่ว่าเราไม่เคยทำร้ายใคร...เเล้วจะไม่มีคนมาทำร้ายเรา
ส่วนสาเหตุก็คงมาจากผู้ชายเห็นเเก่ตัวคนหนึ่ง
คนเห็นเเก่ตัวที่กำลังสร้างศัตรูให้เขา
โดยที่เขาต้องเป็นฝ่ายปกป้องตัวเองให้เป็น
“ผู้ชายเค้าไม่สนใจ ก็อย่ามาระรานพี่สิครับน้องดิว”
Tbc.