[End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End] Acker|SP3 Letter to my beloved man By YOKE |หนังสือชุดสุดท้าย |P7|11/04/62  (อ่าน 26134 ครั้ง)

ออฟไลน์ Arayajanm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
«ตอบ #120 เมื่อ13-01-2019 00:04:14 »

ก่อนอื่นเลย สวัสดีปีใหม่พ่อแมวนะคะ เราเป็นนักอ่านที่ติดตามเรื่องนี้ มาจนถึงตอนปัจจุบัน เราไม่เคยเม้นให้พ่อแมวเลย เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกของเล้า ตอนแรกสมัครไม่เป็น แต่ตอนนี้เราสามารถเม้นไรท์ได้แล้ว ยินดีด้วยกับหนังสือที่เสร็จพร้อมเปิดจองแล้วนะคะ  เราชอบนิยายของพ่อแมวนะ ชอบความใส่ใจในรายละเอียด ความเล่าเหตุการณ์ เพื่อให้คนอื่นเข้าใจ นิยายพ่อแมวเราชอบมากค่ะ ชอบทุกอย่างที่เป็นแอคเค่อนั่นแหละ ถ้าเราทุนทรัพย์พอ เราจะอุดหนุนหนังสืออย่างไม่ลังเลแน่นอนค่ะ
ดูแลตัวเองด้วยนะคะ รอตอนต่อไป สู้ๆพ่อแมววว.   :mew3:   :mew1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
«ตอบ #121 เมื่อ13-01-2019 22:49:26 »

แล้วรอยแผลแรกล่ะ

ใครเป็นคนทำ เกิดอะไรขึ้น

พี่เขาก็ไม่ผิดจริง ๆ แหละ ไม่รักมันคือไม่รัก ใครลงหัวใจไปมากกว่าก็บาดเจ็บมากกว่า

แค่นั้นเอง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.24 ME BEFORE YOU [PART II] | P4 | 12/01/62
«ตอบ #122 เมื่อ16-01-2019 00:02:13 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
«ตอบ #123 เมื่อ01-02-2019 22:25:27 »



Ep.25 Deal




‘สวัสดีค่ะ เราเพิ่งเห็นนิยายเรื่องนี้แล้วกรี๊ดดังมากกกก 55555 กำลังหานิยาย ที่ไม่จำเจอ่านพอดี ฮือออออ เรายังไม่ได้อ่านแต่เห็นชื่อนิยายแล้วเก็ท ชอบ พล็อตก็ไม่ซ้ำแล้วแบบ อยากกดเฟบซักพันครั้งเลย คนเขียนสู้ๆนะคะ การเขียนเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้คงต้องหาข้อมูลละเอียดหน่อย แต่เชื่อว่าไรท์ทำได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ’

‘ชื่อเรื่องน่าสนใจเลยกดเข้ามา โอโห เหมือนเรากำลังอ่านเรื่องเล่าเลยแฮะ สนุกอ่ะอ่านแล้วสมูทมากกกก มาติดตามค่าาาา อยากรู้ว่าใครจะเป็นนายเอก พี่กร เด็กที่ทักdmคนนั้น หรือคุณคนนี้’

‘เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากค่ะ เพิ่งรู้จักคำว่าแอคเค่อเลยเนี่ย #เปิดโลก5555’




“คุณว่าเป็นไงบ้าง?” โชถามผม หลังเขาเปิดให้ผมอ่านคอมเม้นท์นิยายตอนแรกจากสองเว็บไซต์ที่เขานำเนื้อหาไปลง

“ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้ตามนิยายที่แบบลงตั้งแต่วันแรก ๆ แต่ดูจากคอมเม้นท์แล้วก็น่าใจชื่นอยู่ไหม หรือมันควรมากกว่านี้?”

ผมถามโชกลับ เจ้าตัวขมวดคิ้วหน่อย ๆ แล้วพูดขึ้น

“สำหรับนักเขียนโนเนม นามปากกาใหม่เอี่ยม ได้เท่านี้ก็โอเคแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ก็ต้องภาวนาแล้วว่าจะมีคนช่วยดันหรือเอานิยายไปรีวิวไหม

แต่คงต้องหวังผลสักช่วงห้า-หกตอน น่าจะกำลังตอนพีค ๆ กำลังดี เพราะผมวางพล็อตไว้ว่ามันจะเข้าช่วงเปิดประเด็นหลักของเรื่องแล้ว” เขาว่า ผมพยักหน้าแล้วถามต่อ

“คุณลงแค่สองเว็บไซต์นี้เหรอครับ?”

“ไม่หรอก คงเอาไปลงอีกหลายเว็บไซต์แหละครับ แต่ถ้านับจริง ๆ จัง ๆ แล้ว สองตลาดนี้คือตลาดหลักสำหรับกลุ่มทาเก็ตนิยายวายน่ะนะ เว็บมีภาษี แล้วก็เป็นสองเว็บแรก ๆ ที่เปิดพื้นที่ให้กับนิยายวาย

โดยเฉพาะเล้าเป็ด ดังนั้นถ้าจะลองเชิงก็ควรให้ทั้งสองเว็บนี้เป็นเว็บหลัก แต่ก็...” โชพูดเว้นวรรคแล้วเงียบไป

“ทำไมเหรอครับ?”

“ไม่ทำไมหรอกครับ ...จริง ๆ ก็มีแหละ ผมแค่คิดว่ามันน่าจะน่าสนใจมากกว่านี้รึเปล่า คือมันอาจจะเป็นแค่ตอนแรก แต่สำหรับเล้าเป็ดที่ใช้ระบบดันนิยายแบบเธรดต่อเธรดแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะได้รับกระแสหรือคอมเม้นท์ไปในทิศทางไหน อะไรทำนองนี้นะครับ

เพราะมันตัดสินกันที่ชื่อเรื่องกับตอนแรกและยอดวิว ถ้าภาพรวมมันออกมาไม่สูงมากอาจจะไมได้ดึงดูดคนเท่าไหร่ ในขณะที่เว็บเด็กดียังมีให้เราได้ใส่ภาพ ใส่ข้อความดึงดูดบางส่วน ความยากของเว็บเด็กดีตอนนี้คือผมอัพโหลดให้มันเด้งขึ้นไปหน้าหลักได้แค่ครั้งเดียวต่อตอน

ดังนั้นแล้วตอนนี้ก็อย่างที่บอกไป ภาวนากับการรีวิวและการบอกเล่าแบบปากต่อปากครับ”  เขาว่า หน้าดูซีเรียสนิดหน่อย ผมยิ้มและบีบมือเขาเบา ๆ

“ไม่ต้องห่วง คุณพยายามขนาดนี้แล้ว ผมเชื่อว่ามันต้องสะท้อนออกมาผ่านผลงานให้คนเห็นแน่นอน”

“ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกันครับ” โชยิ้มละมุน ตอบรับคำปลอบของผมด้วยการซบไหล่ลงมาข้าง ๆ กัน

หลังจากวันที่พี่พอร์ชมาลาผมก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ผมกับโชยังเป็นเหมือนเดิม ไม่สิ จะว่าเหมือนเดิมก็ไม่ใช่ จะว่ามากกว่าที่เป็นอยู่ก็ไม่เชิง เพราะหลังจากวันนั้นก็มีบางวันที่เขางานยุ่งมากจนแทบไม่ได้คุยกับผม หรือบางวันที่ผมเองก็ทำงานพิเศษกลับมาเหนื่อย ๆ จนไม่ได้คุยกับเขาเช่นกัน แต่เราทั้งคู่ก็พยายามค่อย ๆ ปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมันไป

“ผมอยากรู้อ่ะ เวลาเขียนนิยายอะไรแบบนี้ มันต้องเขียนเป็นตอน ๆ  ถูกไหม?”

“อาห๊ะ”

“อ้าว แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าตอนไหนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แบบ มันก็ไม่ใช่ตอนสองตอนถูกไหม แล้วถ้าเขียนไปลงไปมันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน?” ผมถามด้วยความไม่รู้ โชยักคิ้วข้างก่อนจะเปิดไอแพด สไลด์หน้าจอว่าง ๆ แล้วเอาปากกาลากแบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสามส่วน

“บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่เคยเรียนเขียนนิยายหรือบทความอะไรมาทั้งนั้น ทั้งหมดนี่คือเทคนิคส่วนตัวที่ก็ไม่ใช่เคล็ดลับอะไรหรอก มันแค่เหมาะสมกับผมแค่นั้นเอง”

“ครับ”

“ผมจะแบ่งนิยายออกเป็นสามส่วนดังนี้ โดยในแต่ละส่วนก็จะมีความสำคัญแตกต่างกันไป ส่วนแรกคือการปูเนื้อเรื่อง สำคัญมากโดยเฉพาะตอนแรก

เราต้องทำให้คนอ่านทัชให้ได้ว่า Main ของเราคือใคร ต้องการอะไร เป็นคนประมาณไหน เพราะหลายครั้งแล้วหลาย ๆ คนก็ตัดสินนิยายจากแค่ตอนหนึ่งตอนที่พวกเขาได้อ่านก็เท่านั้น โดยการปูเนื้อเรื่องของผมจะมีความยาวประมาณ 5-10 ตอน คือหลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าไม่ตามต่อ ก็มีแต่เขาพอแล้วกับนิยายของเรา

ต่อมาคือช่วงดำเนินเรื่องตรงกลาง เพราะพล็อตของผมจะแบ่งหยาบ ๆ อยู่แล้วใช่ไหม ต้น กลาง ปลาย ช่วงกลางจะมีความสำคัญมากต่อเนื้อเรื่อง  องค์รวม ตัวละครและเนื้อเรื่องจะต้องมีการพัฒนาอะไรสักอย่างไปร่วมกัน อย่างในที่นี้ก็คือความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง อาจจะดีขึ้น อาจจะแย่ลง แต่จะไม่มีอะไรเหมือนเดิม

สุดท้ายคือส่วนท้ายสุด หรือถ้าจะพูดก็คือตอนจบ ตอนจบเองก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตอนที่จะเขียนยากมากที่สุด เพราะมันคือการสรุปเรื่องราว การเดินทางที่ยาวนานมาก ๆ ของคนสองคน หรืออาจจะหลาย ๆ คนในเนื้อเรื่อง

แถมยังเป็นตอนที่ผมอ้อนคนอ่านได้อย่างสะดวกใจด้วย เพราะเป็นตอนจบแล้ว ถ้าไม่อ้อนตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อ้อนตอนไหนอีก” โชเขียนและอธิบายพร้อมเว้นวรรคแต่ละช่วงให้ผมได้ฟังตาม

“แล้วตอนจบของเรื่องนี้คือ...” ผมถาม ในเมื่ออีกฝ่ายลงเนื้อหาไปแล้ว ผมว่าเขาคงมีตอนจบในใจที่อยากจะเขียนถึงแล้ว

“ตอนจบของเรื่องก็คือ...” เขาว่าพร้อมเว้นวรรคไว้แบบนั้น

เราสบตากัน ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนรับสายและกดเปิดลำโพงให้คนข้าง ๆ ได้ยินด้วยกัน

“สวัสดีครับพี่มอส พี่เบสท์” ผมกล่าวเปิด โชสไลด์หน้าไอแพดเป็นหน้ากระดาษเปล่า ๆ เตรียมจดประเด็นที่น่าสนใจ ในการสัมภาษณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

วันนี้โชมาหาผมที่ห้องเพราะเรามีนัดสัมภาษณ์อีกหนึ่ง Topic ที่เป็นประเด็นสำคัญที่เขาอยากรู้มาก ๆ นั่นก็คือการมีกิจกรรมทางเพศหลายคนหรือถ้าพูดให้ชัดก็คือ sex group และ swinging นั่นเอง

‘สวัสดีครับไทเกอร์’ ปลายตอบกลับมา

“พี่ ๆ ทั้งสองคนสบายดีนะครับ?” ผมกล่าวทักทาย ปลายสายหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับมาทีละคน

‘พี่สบายดี แต่เจ้าเบสท์ดูจะคิดถึงไทเกอร์น้อยอยู่ไม่หยอก’ พี่มอสว่า

‘คุณ !’ เสียงที่สองดุหรือก็คือพี่เบสท์ดุกลับมา ผมหัวเราะไหลไปตามสถานการณ์ก่อนจะแนะนำตัวฝั่งผมบ้าง

“อย่างที่ผมเกริ่นถาม ๆ พี่ไปในไลน์นะครับ วันนี้มีคนมาสัมภาษณ์อะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับพวกเรา ซึ่งตรงนี้สบายใจได้นะครับ รับประกันว่าจะไม่มีข้อมูลส่วนตัวตรงไหนหลุดออกไปแน่นอน นอกจากแค่เนื้อหาในบทสัมภาษณ์  ที่จะเอาไปดัดแปลงสำหรับใช้ในการลงนิยายต่อไป”

ผมว่า และกล่าวแนะนำโช  “คนสัมภาษณ์วันนี้ชื่อคุณโชนะครับ”

“สวัสดีนะครับคุณเบสท์ คุณมอส” โชว่า

‘สวัสดีครับ ฟังจากเสียงแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าพวกเรา แต่เรียกชื่อพวกผมสองคนเลยก็ได้นะ ยังไงสองชื่อนี้ก็เป็นชื่อปลอมอยู่แล้ว เนาะคุณ?’ แน่นอนว่าเป็นเสียงพี่มอสตอบกลับมา ผมอมยิ้มให้โชก่อนอีกฝ่ายจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำงานของเขา

“โอเคครับ มอสกับเบสท์ อันนี้ผมขออนุญาตถามนะครับ ทั้งสองคนคบกันมานานรึยังครับ?” โชว่า ปลายเสียงเว้นวรรคไปก่อนพี่มอสจะพึมพำออกมา

‘รู้จักกันมานานรึยังเหรอ? ก็อืมมม ถ้านับช่วงที่รู้จักกันเฉย ๆ ก็ตั้งแต่สมัยเรียน ผมสองคนเรียนคณะเดียวกัน แต่ตอนนั้นยังไม่ได้จีบกันนะ เบสท์เขามีแฟนเป็นผู้หญิง ส่วนผมก็เอาแต่เรียน มาเจอกันอีกทีก็หลังเรียนจบ ก็เริ่ม ๆ คุยกันว่าตัวเขาเปลี่ยนไปแล้วนะ และพอดีสายงานเรามันใกล้ ๆ กัน

ก็คบกันได้ประมาณปีกว่า ๆ แล้วก็เลิกกัน ....ผมไปมีคนอื่น’ พี่มอสเล่า ก่อนจะเว้นวรรค พอผมหันไปหาโช อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหวอไปนิดหน่อย

‘ผมจับได้ว่าเขามีคนอื่น’ เสียงพี่เบสท์พูดขึ้นมาบ้าง ‘ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าผมไม่โอเคกับการที่ทุ่มเทให้กับอีกฝ่ายไปเต็มร้อย และได้รับการตอบกลับแบบนี้ ตอนนั้นเลยเป็นฝ่ายบอกเลิกเขา แล้วก็ย้ายบริษัทหนีไป ผมเองก็ไปเริ่มต้นใหม่นะ ก็มีคนคุย มีใครหลายคนผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกอยู่ตัวคนเดียว’ พี่เบสท์ว่า แล้วโยนประโยคต่อให้อีกคน

‘ผมเองก็คบกับคนนั้นได้ไม่นาน สักพักก็รู้ว่าเขาแอบมีคนอื่น เหมือนเวรกรรมเลยเนาะ ทั้ง ๆ ที่ผมไมได้นับถือพุทธแท้  ๆ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกเลยว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายที่โดนผมหักหลังเป็นยังไง ผมก็ไปต่อนะ ประมาณปีสองปีมั้ง ถึงได้กลับมาได้ข่าวว่าเขายังเป็นโสด ตอนนั้นอายุพวกเราก็เกือบ ๆ ยี่สิบหกแล้วเนาะ?’ พี่มอสว่าตอบ ผมได้ยินเสียงอืมจากพี่เบสท์เบา ๆ

‘เขามาง้อผม’ พี่เบสท์เล่าต่อ ‘คือเวลามันก็ผ่านมาสักพัก ถามว่าโกรธเขาไหม มันไม่ได้โกรธเขาหรอก แต่มันโกรธตัวเองมากกว่า ที่ทำไมคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไรต้องมารู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็มาง้อ มาตามอยู่เป็นปี ๆ จนสุดท้ายเราก็รู้สึกว่า โอเค เรายังมีความสุขกับเขา สิ่งที่เราต้องทำคือการให้อภัยเขา’

“ให้อภัย..เหรอครับ?” โชที่กำลังจดรายละเอียดไป หยุดแล้วถาม

‘ไม่เคยมีใครไม่เคยทำผิดพลาด เรื่องที่ทำมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่เราก็ต้องกลับมาถามตัวเราเอง เรื่องของเรามันมีค่ามากพอจนเรายอมให้อภัยเขาไหม และสำหรับผม หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบสิบปีที่ได้รู้จักกัน นอกจากเหตุการณ์นั้นแล้ว เขาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแย่อีกกับการตัดสินใจให้อภัยเขา’ พี่เบสท์ว่ายาว

‘ใคร ๆ ก็อยากได้รับโอกาสในการแก้ไขความผิดพลาดเป็นครั้งที่สองครับโช แต่พอเราได้รับมันมาแล้ว เราจะทำให้มันดี หรือทำให้อีกฝ่ายได้รู้สึกดีมากแค่ไหนกับการตัดสินใจครั้งนั้น เป็นเรื่องยากที่จะตอบจริง ๆ ครับ’

‘ชีวิตคู่อย่าวู่วาม’

“...”

‘อาจจะเพราะเราผ่านวันเวลาที่มันมีค่ามามาก ผมเลยรู้สึกว่า การตัดสินใจอะไรที่มันสำคัญ มันจะไม่ได้มาจากอารมณ์ แต่มันต้องมาจากเหตุผลผสมหัวใจของคนสองคน เราต่างทำผิดพลาดกันคนละอย่างสองอย่าง หลายครั้งเองผมก็รำคาญเขาเหมือนกัน แต่ว่า ...ผมยังอยากตื่นมาเจอเขาในทุก ๆ เช้านะ’

‘ผมชอบเขาตรงที่ทำให้ผมเขินและแข็งได้ในเวลาเดียวกันเนี่ยแหละ’

‘คุณ!!!!’

ผมกับโชหัวเราะกับบรรยากาศสบาย ๆ ที่เกิดขึ้น โชหันมายิ้มและพยักหน้าให้ผมเหมือนจะชมว่าหาคนที่เหมาะสมกับการสัมภาษณ์มาให้ได้ดีมาก ผมยักไหล่แล้วปล่อยให้เขาดำเนินการสัมภาษณ์ต่อไป

“ก็เป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรเลยนะครับสิบกว่าปี งั้นผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ แล้วมันมีจุดเริ่มต้นยังไงเหรอครับ กับการที่รู้สึกว่า ในกิจกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของคนสองคนถึงควรมีคนที่สามหรือสี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?” โชถามต่อ อีกฝ่ายลากเสียงอืมมม เหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะถามกันว่าใครจะเป็นคนเริ่มพูดดี สุดท้ายพี่มอสก็เป็นฝ่ายตอบประเด็นก่อน

‘คุณ ผมกับเบสท์นะ เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว เป็นสิบกว่าปีที่เรามีเซ็กซ์ด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนอื่น คุณว่าเซ็กซ์สำคัญไหมครับ?’ พี่มอสถาม

“ก็...ก็สำคัญ..นะครับ”

‘....สัญชาตญาณของผมบอกว่าคุณยังเวอร์จิ้น หรือว่าคุณยังไม่ได้มีอะไรกับเสือน้อยเหรอ?’ พี่มอสถาม โชหน้าแดงก่ำ ส่วนผมกลั้นขำสุดชีวิตไม่ให้หลุดออกไปหักหน้าโช

‘มอส นั่นไม่ใช่สาระที่เขาถามเราไหม ไม่ต้องอยากไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย’

‘ก็แหม เขาอยู่กับเสือน้อย..’

‘มอส !!!’

‘โอเค ๆ ดุจริงโว้ย เมียใครก็ไม่รู้’ สาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงเพี๊ยะดังมาพร้อมเสียงซู๊ดปากจากปลายสาย ก่อนเราจะหัวเราะเบา ๆ ให้กันแล้วเปลี่ยนกลับมาโหมดจริงจังกันต่อ

‘เพราะเซ็กซ์เป็นอีกกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์นั่นแหละครับ แล้วผมกับเขาน่ะ เรามีเซ็กซ์กันนับครั้งไม่ถ้วน คือคุณเข้าใจไหม มันไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ดี แค่บางทีเราอิ่ม มันจะมีบางครั้งที่ผมแค่แบบอยากภายนอกเฉย ๆ แล้วตอนนั้นก็โดนโวยวายว่าผมกำลังจะนอกใจเขารึเปล่า โถ่คุณ ชอบมีเซ็กซ์ก็ไม่ได้แปลว่าอยากสอดใส่ทุกวันนะ’ พี่มอสว่าเหมือนบ่น

‘ก็คนมีประวัติ ก็ต้องทำใจนะครับ ว่ามันคือผลจากสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งนั้น’ อันนี้ผมว่านอกจากพี่มอสก็มีผมเนี่ยแหละที่สะดุ้งตัวนิดหน่อย ดีนะโชไม่ได้หันมาเห็นอาการผม

‘เพราะเราอยู่ด้วยกัน จากมีเซ็กซ์กันทุกวัน มันก็อิ่ม ชักเบื่อ ๆ จนเปลี่ยนมาภายนอก แล้วมันก็เริ่มรู้สึกว่า เราควรหาอะไรมาเติมเต็มความรู้สึกใหม่ ๆ กันไหม แรก ๆ ก็ใช้ของเล่นหรืออุปกรณ์เสริมมาช่วย แต่มันก็ไม่ได้ไปสุดทางขนาดนั้น ผมก็ค้นหาข้อมูลหลายอย่างแหละ จนมาเจอประสบการณ์การมีเซ็กซ์หลาย ๆ คน ยอมรับว่าแรก ๆ ใจผมก็หวิวครับ เพราะแอบกลัวว่าเขาจะโอเคไหม แล้วก็...’

‘กลัวว่าถ้าแฟนตัวเองไปมีอะไรกับคนอื่นแล้ว เขาจะเปลี่ยนใจไปจากเราไหม?’

‘ใช่ครับเบสท์ ยอมรับเลยว่าผมกลัวอะไรแบบนั้นจริง ๆ....’ พี่มอสว่า หลังพี่เบสท์ต่อประโยคแบบทะลุป้อง ผมนั่งเงียบกริบปล่อยให้พี่ ๆ ทั้งสองคนจัดการเคลียร์ปัญหาภายในบ้านไป

‘เฮ้อ จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกันนะกับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผมเองก็มองข้ามปัญหานี้แล้วลืมมันไปสนิทเลย ดีนะเนี่ยที่เสือน้อยมาสัมภาษณ์พวกนี้ ก่อนอื่นเลยนะ ไอ้คุณมอสครับ ถ้าผมจะเปลี่ยนใจไปจากคุณ ผมไม่รอจนถึงวันที่คุณกลับมาง้อผมหรอก เพราะงั้นเลิกคิดมากได้แล้ว ผมเป็นของ ๆ คุณนะ’

‘เห็นไหมผมบอกแล้ว เบทส์เขาเก่งเรื่องทำให้ผมเขินและแข็งไปพร้อม ๆ กันได้จริง ๆ ’ ผมกับโชอมยิ้มขำ

‘โอ๊ย เงียบปากไปเลยคุณ อายเด็กมันบ้าง เอาล่ะผมเล่าต่อเอง ก็อย่างที่มอสเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ คือเราก็โตกันทั้งคู่แล้ว ไม่มีอะไรให้มาเหนียมอายกันแล้วล่ะ เขาก็บอกให้ฟังว่าเขามีไอเดียเสนอมานะ คือการหาคนมามีอะไรกับพวกเราสองคนด้วย ตอนแรกผมก็นึกว่าเขาอยากได้รับอีกสักคนมา แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขาอยากได้รุกอีกสักคนมามีอะไรกับผมและมีเขาช่วยเหลือต่างหาก’ พี่เบสท์เล่า

‘จริง ๆ ผมก็อยากทั้งสองแบบแหละ แต่ผมอยากเทสต์กับตัวเองก่อนว่าผมรับความรู้สึกแบบนั้นไหวไหม เวลาที่เห็นแฟนตัวเองมีอะไรกับคนอื่นน่ะ เพราะถ้าให้ผมไปมีอะไรกับคนอื่นแล้วเบสท์นั่งดู ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายเราทั้งคู่มากกว่าช่วยซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอไปตามระยะทางของความสัมพันธ์’ พี่มอสต่อ

‘ผมกลับไปคิดเยอะมาก คิดแบบจริงจังเลย จะว่าไปแล้วพักหลัง ๆ เราทั้งคู่ก็ทำเหมือนทำให้มันเสร็จ ๆ ไปจริง ๆ มันกลายเป็นว่าเราทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ ๆ ต้องทำ ไม่ได้ทำเพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะทำมัน ผมมองว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นต่อไป ดีไม่ดีเราอาจจะเลิกกันเพราะปัญหาเรื่องนี้ก็เป็นได้’

‘ผมไม่เลิกแน่นอน !!!’

‘แค่สมมติโว้ยยย ไอ้บ้า’ เป็นอีกครั้งที่ผมกับโชหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทั้งสองคนมีบุคลิกที่สมควรแล้วจริง ๆ ที่คบกันมาได้ยาวนานถึงสิบกว่าปี

‘ไป ๆ มาๆ ก็เริ่มจากการดูหนังโป๊แบบมีเซ็กซ์หมู่ก่อน แล้วก็พบว่าอารมณ์เราทั้งคู่พุ่งพล่านกว่าปกติจริง ๆ ผมก็เลยคิดว่า หรือเราจะลองดูสักครั้งดีไหม ถ้าไม่เวิร์กค่อยหาวิธีการอื่น แล้วก็คุยกับมอส มอสเขาก็โอเค เราก็ทำใจกันมาสักพัก ก่อนจะเริ่มหาว่าแล้วเราจะชวนใครมาร่วมดี’

“แล้วก็ไปเจอไทเกอร์?” โชถาม ผมส่ายหน้าพร้อมกับที่อีกฝ่ายบอกมาก่อน

‘ไม่ใช่ครับ ยังไม่ได้เจอน้องไทตอนนั้น เราไปเจอคนอื่นก่อน แล้วพบว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่ คือเหมือนเขาก็ไม่เคยเหมือนกัน พอมาเจอแบบนี้คือล่มปากอ่าว เพราะของเขามันไม่แข็งตัว’ พี่เบสท์ว่า

‘แล้วผมก็ไปเห็นคลิปของไทเกอร์ในทวิตเตอร์ จริง ๆ ก็เห็นคลิปเขาประปรายแต่ไม่ได้ฟอลโล่วไว้ ตอนนั้นน่าจะเป็นคลิปหมู่มั้ง? ก็เห็นไล่ ๆ ดูไทม์ไลน์แล้วเห็นว่าเขาน่าสนใจดี เลยทักไปคุยสักพักใหญ่ ๆ เลยแหละก่อนเราจะได้เจอกัน และหลังจากนั้นมา ผมก็ได้น้องชายมาหนึ่งคน ส่วนแฟนผมก็มีความสุขเพิ่มมากขึ้น’ พี่มอสตอบกลับ

‘ถ้าไม่ใช่ไทอาจจะไม่ดีขนาดนี้...อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงในแง่ของลีลานะ แต่ไทเป็นเด็กที่อยู่ด้วยแล้วผมสองคนไม่อึดอัด เหมือนเขารู้ตัวว่าตอนไหนควรทำอะไร ไม่งอแง พูดง่าย แล้วก็มีมารยาท พอมันมาเจออะไรแบบนี้ก็เลยคิดว่า เขาเป็นอีกคนที่ดีในช่วยให้พวกเราสองคนมีความสุขมากขึ้น’ พี่เบสท์พูดเสริม

“ชมกันเกินไปแล้วครับ เขินแล้ว” ผมว่าพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ โชทำหน้าหมั่นไส้ผมพร้อมพ่นลมหายใจฮึดฮัดออกทางจมูก

‘อีกอย่างไทเป็นน้องที่ดีอย่างที่แฟนผมชมจริง ๆ พอเขาเห็นแบบนั้น ก็เลยหาคนมาเป็นรับให้ผมบ้าง เพราะถ้าผมหาเองก็กลัวว่าเงาหัวจะขาด’ พี่มอสพูดต่อ อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนงานเขาตัวเอง โชหันขวับมาขมวดคิ้วมองหน้าเหมือนต้องการคำตอบในเรื่องนี้

“คือผมหารับที่เขาสนใจจะหมู่อยู่แล้วไปด้วยน่ะ ไม่ใช่ทั้งคนคุยหรือแฟนผมอะไรทั้งนั้น” ผมว่า กระแอมไอเรียกสีหน้าปกติกลับมา โชทำหน้าเหมือนกับว่าเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แต่ผมแอบเห็นนะว่าสีหน้าเขาดีขึ้นกว่าตอนแรก

“แล้วในด้านความรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” โชถาม

‘ยอมรับเลยนะ ตอนแรกผมหวงมาก อารมณ์แบบ ...ยังไงดี มันแปลก ๆ และอาจจะไม่ดีนะถ้าผมพูดคำนี้ แต่มันเหมือนผมสะใจแปลก ๆ มั้งที่เห็นแฟนตัวเองโดนคนอื่นมากระแทก มันเป็นทั้งความรู้สึกแบบ กึ่งอารมณ์ หึง หวง แล้วก็อะไรหลาย ๆ อย่าง อันนี้แหละที่ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีไหม มันจะดูไม่ดีรึเปล่า?’

“ครับ?”

‘พูดก็พูดเถอะ ไทเกอร์พอจะเล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ แล้ว ผมเห็นว่าน่าสนใจดีเลยให้ความร่วมมือ แต่ผมก็แอบกลัวและกังวลว่าใครจะมองว่าแฟนผมไม่ดีไหม? คือตัวผม ผมสะดวกใจเล่าได้อะไรได้ แต่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งหรือมาวิจารณ์อะไรแฟนผมหรือการตัดสินใจของเราสองคน คุณนึกออกไหมว่าในบางมุมมองสังคมเราก็ตลกดี พยายามเอาทุกอย่างซ่อนไว้ใต้พรมและทำเหมือนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากทั้ง ๆ ที่มันก็แค่อีกหนึ่งทางเลือกของธรรมชาติ’

‘จริง ๆ มอสน่าจะอยากอธิบายว่า การที่เขายอมให้แฟน หรือก็คือผมน่ะ มีอะไรกับคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาไม่หวงหรือไม่ห่วงผม แต่มันเป็นแค่อีกรสนิยมหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้นเอง ใช่แบบนี้ใช่ไหมครับที่คุณจะว่ามา?’

‘ครับ ถูกต้องเลย’

‘ผมเองก็แอบเห็นด้วยนะ มันเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ผมไม่ได้พูดหรอกนะว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ไม้บรรทัดของแต่ละคนสั้นยาวไม่เท่ากัน คือเรื่องของผมกับมอสนะ เราทำความเข้าใจได้ไง แต่เราไม่แน่ใจว่ามุมมองที่คนนอกมองเข้ามาจะเข้าใจพวกผมไหม ว่าเราสองคนไม่ใช่ไม่รักกัน เรารักกัน รักมากพอจะเข้าใจว่ามันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของการสร้างความสุขให้กันและกันเท่านั้นเอง’

“ไม่เป็นไรนะครับ” โชว่า

‘...’

“คือจริง ๆ แล้วประเด็นนี้ผมเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะใส่ในการดำเนินเรื่องตรงไหนดี แต่ก็อยากรวบรวมข้อมูลหลาย ๆ อย่างไว้ก่อน แต่ถ้ารู้สึกว่ามันน่าอึดอัดหรือไม่สบายใจ ผมรับรองว่าจะไม่นำข้อมูลไปใช้ในทางใดทางหนึ่งแน่นอนครับ” เขาพูดต่อ

‘ไม่หรอก มันไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะเอาไปใช้ทำอะไรหรือเขียนลงในไหน ชื่อพวกเราทั้งหมดก็ชื่อปลอม ยังไงซะเจ้าเสือน้อยก็คงไม่บอกแน่ ๆ ว่าพวกเราสองคนเป็นใคร ทำอะไรอยู่ ผมไว้ใจเสือน้อย ย่อมไว้ใจคุณตามไปด้วย ดังนั้นถ้ามันจะทำให้คนอื่นได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ก็เอาเถอะครับ จะว่าไปแล้วมันก็แค่อีกมุมมองที่คนนอกจะมองเข้ามา’ พี่มอสตอบกลับ

‘ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะถึงขนาด educate ผู้คนหรอก เพราะมันก็แค่บทสัมภาษณ์การมีเซ็กซ์หมู่ของคนที่เป็นแฟนกันเท่านั้นเอง เรื่องอารมณ์น่ะ มันมีกันอยู่แล้ว เวลาเห็นแฟนเราไปมีอะไรกับคนอื่น แต่มันจะเป็นในเชิงลักษณะการกระตุ้นหรือปลุกเร้า สร้างความตื่นเต้นในการมีเพศสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่า จริง ๆ ที่ผมกับมอสพูดขึ้น คือพูดในมุมที่เป็นห่วงทั้งสองคนมากกว่า การนำเสนอประเด็นละเอียดอ่อน ต้องพยายามอย่าไปตัดสินอะไร เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนจะตัดสินใจเอาเองว่าพวกเขาจะเชื่ออะไร หรือไม่เชื่ออะไร เราแค่นำเสนอไปก็พอ’ พี่เบสท์เสริม

“ผมก็ตั้งใจแบบนั้นเหมือนกันครับ แอคเค่อจะไม่ใช่หนังสือนิยายวายที่เป็นบรรทัดฐานว่าเกย์ทุกคนต้องทำตามนี้หรือนิยายวายทั้งหมดต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ผมมองว่ามันเป็นนิยายอีกเรื่องที่มีตัวนำเป็นผู้ชายสองคนและมีพล็อตที่แตกต่างออกมาจากชาวบ้าน เป็นทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับตลาด ไม่ได้ต้องการถึงขนาดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งสังคม ส่วนใครจะได้อะไรไปบ้างจากการอ่าน ผมว่าตรงนั้นผมคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอ่านเองครับ” โชกล่าวสรุป ซึ่งผมคิดว่าเป็นบทสรุปที่ดีสำหรับคำตอบของเขา

หลังจากเล่าถึงที่มาที่ไปของการมีเพศสัมพันธ์แบบหมู่ โชก็ถามถึงวิธีการเตรียมตัวและการป้องกันต่าง ๆ เพราะรู้จักกันมาดีอยู่แล้ว และทุก ๆ ครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กันผมและพี่เขาก็ป้องกันตลอด รวมไปถึงพี่ทั้งสองคนก็ทาน PrEP ด้วย ทั้งหมดนั้นทำให้ข้อมูลหลัง ๆ เริ่มซ้ำกับข้อมูลที่เจ้าตัวมีแล้ว แต่ก็ได้รับเกร็ดสาระความรู้หลาย ๆ อย่างเวลาไปออกรอบกับคนอื่น ทั้งเก็บตกเรื่องขำขัน ทั้งภูมิหลังของทั้งสองคน จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวเกือบค่อนชั่วโมง โชก็หมดคำถามสำหรับสัมภาษณ์ทั้งสองคนลง

“ยังไงวันนี้ผมขอบคุณมาก ๆ นะครับที่อนุญาตให้ผมสัมภาษณ์ได้” โชว่า ปลายสายทั้งสองหัวเราะรับคำ ก่อนพี่มอสจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

‘โช ...ถ้ายังไม่เคยยังไงให้ผมสอนไหม?’

ก่อนที่โชจะทันมีรีแอคชันอะไรตอบกลับ กลายเป็นผมที่ไวกว่าตอบกลับไป

“ไม่ได้ครับ...คนนี้ผม ‘หวง’”





Time talk : มาช้า แต่มานะ ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ ยังไงใส่มาร์คปิดปากกันด้วยนะครับ เป็นห่วงเสมอครับ และก็ จะพยายามาให้ถี่กว่านี้ อย่าลืมติดตามข่าวสารใหม่ ๆ ของนิยายเรื่องนี้ผ่านหน้าทวิตเตอร์นะครับ ตอนนี้จัดกิจกรรมอยู่ครับ :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 14:25:07 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
«ตอบ #124 เมื่อ02-02-2019 00:09:10 »

ขอพิมแบบยาวๆหน่อยนะคะ คือว่ามันตรงมากในแง่ของเพศที่สาม แต่ในแง่ขแงแอคเค่อเราไม่รู้เหะ คือไม่ได้ติดตามเท่าไหร่
เรายอมรับว่าตัวเองเป็นสาววาย เริ่มอ่านนิยายวายตั้งแต่14  ปัจจุบัน 26  แรกเริ่มคือรุกต้องหล่อมาก ส่วนรับก็จะเป็นอะไรที่เหมือนผู้หญิงสุดๆ  แต่พอเริ่มขึ้นม.ปลายก็เหมือน คนเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น คนมาแชร์เรื่องแบบนี้มาหขึ้น ก็จะเป็นรุกหล่อ หรือรับหน้าตาธรรมดา บางทีก็ออกแมน แมน ทั้งคู่ไปเลย พอมหาลัยก็เหมือนเปิดอีกโลกคือรุกสาว อย่างคนใกล้ตัวเรา เพื่อนเรานางเป็นเกย์รุกนะ แต่สภาพข้างนอกคือเกย์รับอะ คือมันไม่ใช่เกย์รุกทุกคนจะคีพลุค นิ่งๆ หล่อ โหดๆ อะไรแบบนั้น เหมือนในนิยายไง และแฟนเพื่อนเราก็แมนมากสูงกว่าเพื่อนเราอีก  แมนกว่าเพื่อนเราอีกคือดูเป็นผู้ชาย นิ่งๆ แต่แอบปากจัดแค่นั้นอะ ถามว่างอแงไหมไม่ค่อยนะ คือเขาเป็นคนนิ่งๆอะ  จนพอมาทำงานรู้จักพี่คนหนึ่ง หลายคนเลยละ นางแต่งหญิงบ้าง บางครั้ง โบ็ะรองพื้น ใส่เสื้อลายเสือ ทาลิปกลอส แต่พี่แกพูดเลยว่านางคือสายรุก และแกก็มีแฟนด้วย แกบอกว่าชีวิตจริง บางที รุกรับ ไบ โบทอะไรนั้น มันไม่ได้ดูกันที่ภายนอกสักหน่อย เคยถามแบบซีเคร็ทเหมือนกันนะว่าแบบ นึกว่าจะเป็นรับเห็นแกสาวๆถามว่าแกเคยคิดลองปะ แกบอกว่าไม่เคยคิดเพราะไม่อยากเจ็บ  ไม่อยากให้ใครมาแทงก้นตัวเอง ไม่ใช่แนว ฮ่าๆ และแกก็ชอบเป็นรุกมากกว่าด้วย  เราถึงบอกเรื่องนี้เรียลไง มันไม่ไช่ว่ารุกต้องหล่อเท่ รับต้องสวยหวานอะไรขนาดนั้น เพศที่สามที่เรารู้จัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้แหละ แต่บางคำถามก็ซีเคร็ทมากๆ อย่างเรื่องคู่นอน ถ้าไม่สนิทมากๆคงไม่ถามและก่อนถาม เราก็เกริ่นขอก่อนทุกครั้งและก็บอกเขาไปตรงๆว่าเราเป็นสาววายนะ แต่เป็นสาววายที่มีจรรญาบรรณอยู้ในขอบเขตและไม่ทำใครเดือดร้อน  เพราะเรื่องแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะพูดกันออกมาเหมือนเรื่องปกติซะเมื่อไหร่ แต่เคยเห็นคนบ่นว่าไทป์รุกหายาก จะบอกไงดีว่าพี่ที่เรารู้จัก เพื่อนด้วย ทุกคนเป็นรุกหมด แต่แค่ภายนอกไม่ได้เรียนวิศวะ เรียนหมอ  ตัวสูง หล่อ รวย  แค่นั้นเอง

ปล.มีเสือร้อนตัวตัว กับนากเผือกขี้หึง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2019 03:04:28 โดย เสพศิลป์ »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
«ตอบ #125 เมื่อ02-02-2019 01:36:50 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Gnaap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | EP.25 Deal | P5 | 01/02/62
«ตอบ #126 เมื่อ02-02-2019 04:15:11 »

ขอบคุณที่ใส่ใจกับการเขียนมากขนาดนี้นะคะ
รู้สึกโชคดีที่ได้เข้ามาอ่าน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #127 เมื่อ05-02-2019 22:00:30 »



Ep.26 It’s not you, it’s me.

               


"ไม่ได้ครับ...คนนี้ผมหวง” 

รู้ตัวอีกทีผมก็พูดออกไปซะแล้ว โชหันมามองหน้าผมแล้วนิ่งเงียบไป ส่วนปลายสายผมได้ยินเสียงตุ้บตับ ๆ อยู่ คาดว่าเป็นการสำเร็จโทษจากการเล่นไม่รู้จักเวลานั่นเอง

‘ออกตัวแรงมาก ดี ๆ พี่เองก็อยากให้เราเป็นฝั่งเป็นฝามานานแล้ว ไม่ได้อยากให้อยู่ตรงจุดนั้นนาน ๆ หรอก แต่พวกพี่แค่ไม่สะดวกจะพูดเฉย ๆ ’ พี่มอสพูด

‘ก็อย่างที่พี่มอสพูดแหละ เราอาจจะได้รู้จักกันจากสถานการณ์ที่มันแตกต่างจากคนทั่วไป แต่พี่ทั้งสองคนเห็นเราเป็นน้องคนหนึ่งเสมอนะ จากจุดที่เรายืน พี่เชื่อว่าหลายคนก็คงห่วงแต่พูดอะไรไม่ได้ พอได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาแล้วกันนะทั้งสองคน’ พี่เบสท์เสริมต่อ

ผมยิ้มยินดีจากใจจริง ๆ หลายครั้งแล้วผมก็รู้สึกว่าผมโชคดีมาตลอดที่ได้พบเจอคนดี ๆ จากในโลกออนไลน์มากกว่าคนแย่ ๆ แม้อย่างที่บอกไป เราคงไม่อาจสนิทหรือรับรู้ทุกเรื่องราวในชีวิตของอีกฝ่าย แต่ความรู้สึกผูกพันที่มีให้ต่อกันและกัน ผมเชื่อว่ามันเป็นของจริง เหมือนอย่างที่ผมเห็นพวกพี่เขาทั้งสองคนเป็นพี่ที่เคารพอีกคู่หนึ่งจริง ๆ

“ขอบคุณครับ ผมเองก็คงจะพยายามต่อไปครับพี่” ผมว่าไว้แบบนั้น เราคุยกันเล่นสองสามประโยค ก่อนพี่ ๆ ทั้งสองคนจะชวนผมไปทานข้าวแบบที่แปลตรงตามความหมายของการทานข้าวจริง ๆ ไม่ใช่กิจกรรมเข้าจังหวะสามคน หลังจากนี้ไปผมเองก็ต้องค่อย ๆ เคลียร์ตัวเองจากพันธะทั้งหมดทีละเปาะ ๆ ล่ะนะครับ

“เป็นไงบ้าง วันนี้ได้อะไรไปเยอะไหม?” ผมถามคนข้าง ๆ ตัวหลังวางสายจากพี่ทั้งสองคนไป

“ก็ได้อะไรมาเยอะนะ ...โดยเฉพาะเรื่องที่คุณไปมีส่วนร่วมมากมายอะไรขนาดนี้” ประโยคหลังเขาพูดด้วยน้ำเสียงตวัด ๆ ผมหัวเราะแล้วขยี้หัวเขาเล่น

“ผมถึงบอกไง ว่าค่อย ๆ ให้เวลากับมันน่ะ จริง ๆ ก็มีอีกหลายเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวผม และบอกตามตรง บางเรื่องผมก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเหมาะสมรึยังที่จะเล่าให้คุณฟัง ...อดีตของผมมันไม่ดีเท่าไหร่นักหรอกนะ” ผมว่า ยิ้มเย็นให้กับเขา เจ้าตัวมองตอบกลับแล้วเอาหัวไถมาพิงไว้กับหน้าอกของผม

“ไม่เป็นไรหรอก เราต่างก็เคยทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขมันได้แล้ว” เขาว่า หันข้างมาทางผม

“....”

“แต่เวลาที่คนอื่นให้อภัยคุณแล้ว ...คุณต้องให้อภัยตัวคุณเองด้วยนะครับ”

“ผมจะพยายามนะครับ” ผมว่า หลับตาลงแล้วลูบผมเขาเบา ๆ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเร่งรัด แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามทางที่มันควรจะเป็นอย่างน้อยที่สุดที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร

‘ครืดดด’

เสียงข้อความไลน์เด้งเข้ามา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกก่อนจะกดอ่านข้อความในไลน์ โชหันหน้าไปทางอื่นรักษามารยาทตามแบบของเขา จนกระทั่งผมขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแหละ เขาถึงได้ถามออกมา

“มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ?”  ผมมองหน้าเขา นึกย้อนไปถึงปริศนาแรกที่ผมยังไม่เคยถามเขา และผมเองก็เพิ่งมานึกได้ จะว่าไปแล้วถ้าเทียบช่วงเวลามันก็.... พอคิดได้แบบนั้น ผมก็หันไปมองหน้าเขาจริงจังและพูดออกมา

“โช...ผมว่าผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”

 

..................................

 

“คุณแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมรอ” โชถาม ผมส่ายหน้าเบา ๆ

“ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ ก็ขอให้ผมเป็นคนแก้ปัญหาที่ผมก่อขึ้นไว้แล้วกันนะครับ” ผมว่า เขาตบบ่าเบา ๆ ให้กำลังใจ ก่อนผมจะลงจากรถยนต์แล้วโบกมือลาเขาขับรถวนออกไป

ผมหันกลับมามองหน้าป้ายทางเข้าหมู่บ้านหลังยืนส่งเขาเสร็จ สองเท้าก้าวขาเข้าไปข้างใน ส่วนสมองกำลังประมวลผลกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันกับโช จริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ที่ผมรับรู้มาเสมอตลอดชีวิตของตัวเอง เรื่องบังเอิญมักไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ผมคิดแบบนั้นนะ

ผมเดินมาถึงหน้าบ้านเจ้าแม็กซ์อีกครั้ง สูดลมหายใจให้เต็มปอด เปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกไว้ ก่อนจะเดินสาวเท้าเข้าไปข้างใน ผมกดล็อกเบา ๆ หลังเข้ามาในตัวบ้าน ข้าวของหลายอย่างยังคงเก็บไว้เป็นระเบียบตามเดิม ตามที่ ๆ มันจะอยู่ ผมเดินเลาะขึ้นไปถึงชั้นสอง ก่อนจะเคาะประตูห้องเบา ๆ

‘ก๊อก ก๊อก’

“....ประตูไม่ได้ล็อกครับพี่”

เสียงใส ๆ ที่สัมผัสได้ถึงความเศร้าดังลอดออกมาจากด้านใน ผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน บอกตัวเองไว้ว่าให้ทำสีหน้าปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนจะเหม่อมองรอบห้องสำรวจเร็ว ๆ อีกครั้ง แล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เจ้าตัวที่กำลังนั่งร้องไห้บนที่นอน

“เกิดอะไรขึ้นครับแม็กซ์?” ผมถาม มือข้างหนึ่งโอบไหล่เขาไว้

เจ้าแม็กซ์ไม่ตอบคำถามของผม แต่นอนลงไปแล้วดึงตัวผมขึ้นไปทับไว้ ผมเหวอไปนิดหน่อย แต่ก็ยอมนอนทับเขาลงไปแล้วลูบหัวเบา ๆ เป็นการปลอบใจ ทั้งแววตา ทั้งท่าทางของเขาดูเจ็บปวดมากกับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า และผมเองก็รู้ว่ามันคงไม่ง่ายเลยจริง ๆ กับสิ่งที่ตัวของเขาต้องตัดสินใจใน   เวลานี้

“พี่ไทเกอร์ครับ” เขาเรียกผมทั้งน้ำตา

“ครับ?”

“จูบผมหน่อยได้ไหมครับ?”

เขาว่าแบบนั้น ผมยิ้มจาง ๆ ก่อนจะจูบลงเบา ๆ ที่หน้าผาก

“ผมหมายถึงจูบต่างหาก...” เขาว่าเสียงอ่อน ผมยิ้มแล้วกระซิบข้างหูเขา

“พี่จะจูบน้องชายตัวเองได้ยังไงครับ”

ว่าจบผมก็ดันตัวขึ้นมามองหน้าแม็กซ์อีกรอบ ผมรู้ดีว่าใจของเขาเหมือนกำลังแตกสลาย แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เราทั้งคู่ต้องก้าวเดินกันต่อไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่ผม แค่แม็กซ์ หรือว่าใคร ทุกคนต่างต้องเผชิญกับความผิดหวังกันสักคนละหนสองหน ความเจ็บปวดจะทำให้เราเติบโตมากขึ้น และที่แย่ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ก็คือ...

ผมเข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าทำไมพี่พอร์ชถึงเลือกที่จะบอกเลิกผมตามตรง เพราะการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน แม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่มันจะจบทุกปัญหาที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต

....เหมือนที่ผมกำลังค่อย ๆ แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อไว้ในตอนนี้

“ผม...เป็นได้แค่น้องพี่เหรอครับ?” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ครับ พี่ให้เราได้แค่นั้นจริง ๆ ” ผมยืนยันกับเขาอีกครั้งหนึ่ง

“ทำไม....”

เจ้าแม็กซ์ว่า ตัดพ้อด้วยเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาไหลออกมาอีกระลอกจนดูน่าสงสาร ผมสงสาร ผมเข้าใจ ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมพูดและยืนยันออกไปมันจะทำร้ายเขามากเพียงใด เหมือนละครฉากเดิมแต่เปลี่ยนคนกระทำและโดนกระทำ ความเจ็บปวดที่คนที่เราหลงรักบอกกับปากว่าไม่ใช่เรา มันเจ็บมาก ๆ เลยนะครับ

...ผมไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ยกมือไปปลอบให้อีกฝ่ายให้หยุดร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ในเมื่อน้ำตาเหล่านั้น ผมเองไม่ใช่เหรอที่เป็นผู้กระทำให้มันไหลออกมา?

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!”

อีกเสียงที่คุ้นหูดังลอดออกมา รู้สึกตัวอีกทีผมก็โดนใครบางคนในห้องผลักไปนอนแล้วพลิกตัวทับผม ไม่แม้แต่จะตกใจ ทั้ง ๆ ที่คอเสื้อของผมกำลังโดนอีกฝ่ายดึงจนตะเข็บขาดดังเปรี๊ยะ ผมสบตากับเขา ใบหน้าคุ้นเคยที่ครั้งหนึ่งเคยพบเจอทั้งตอนก่อนนอนและหลังลืมตา

ผมถึงได้บอกไง ผมเข้าใจพี่พอร์ชเสมอ

เข้าใจดีเลยจริง ๆ ว่าการไม่ได้รักเขาแล้ว ทำยังไงแล้วมันก็ไม่ได้จริง ๆ

“สวัสดีครับ ....โฟล์ค”

เด็กผู้ชายวัยรุ่นอีกคนที่คร่อมตัวผมอยู่แยกเขี้ยวโกรธ ก่อนหมัดหนึ่งหมัดจะตกกระทบกับหน้าท้องของผม อุ๊ก ผมจุกจนร้องไม่ออกด้วยซ้ำ แต่เวลานี้ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากปล่อยให้ร่างกายได้ชดใช้ความรู้สึกผิดทั้งหมดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับพวกเขา

“มึงแม่งโคตรเหี้ยเลย!!” เขาด่า ผมสัมผัสได้ถึงแรงมากมายจากข้อมือที่เขาจับผมเอาไว้ พอหันไปเห็นน้องแม็กซ์ก็ดูจะตกใจกับการกระทำของโฟล์คที่ดูจะรุนแรงกับผมมากไปหน่อย ผมไม่ห้าม ไม่สิ ต่อให้มีแรงห้ามผมก็คงไม่ห้ามเขา ผมปล่อยให้โฟล์คด่าทอแทบไม่เป็นภาษา ทั้งหมัด ทั้งตบ ทั้งตีที่เขาฟาดลงมา

...ผมรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว แต่คงเจ็บไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความรู้สึกข้างในที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

“โฟล์ค พอแล้ว” น้องแม็กซ์ตั้งสติได้อีกครั้ง ก่อนพยายามรั้งแขนเจ้าโฟล์คไว้ ไม่ให้ทำร้ายผมไปมากกว่านี้ จมูกของผมได้กลิ่นเลือด เจ็บที่มุมปากนิด ๆ สมองของผมกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า ว่าจะอธิบายบาดแผลทั้งหมดนี้ให้ฟังได้ยังไงว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร

ดูเหมือนพละกำลังของทั้งสองคนจะแตกต่างกันเกินไป โฟล์คเหวี่ยงน้องแม็กซ์ไปอีกมุมของที่นอน ก่อนจะตะโกนถามเขาเสียงดังลั่น

“มึงรักพี่เขาจริง ๆ ใช่ไหม?”

เจ้าแม็กซ์หลบตาลงต่ำ ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของเขาเหมือนผมได้ยินเบา ๆ ว่าแม็กซ์พูดว่า ‘เราขอโทษ’ อยู่ตลอดเวลา และนั่นยิ่งทำให้น้ำตาของเด็กทั้งสองคนไหลออกมามากกว่าเดิม ผมสัมผัสได้ว่าหมัดของโฟล์คเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะเหลือแค่มือคู่เดิมที่ประทับไว้บนอกของผม หยดน้ำตามากมายล่วงหล่นลงมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างของเขา

ผมจับมือของโฟล์คเอาไว้ ก่อนจะใช้แรงที่มีเหลือ บังคับให้มือข้างนั้นตบลงมาที่ใบหน้าผม

“ทำไม...” เขาตกใจตาโตถามเสียงสั่น ผมไม่ทันสังเกตว่าแม็กซ์กำลังทำสีหน้ายังไง แต่เขาคงสับสนไม่น้อย ขนาดตัวผมเองยังสับสนตัวเองเลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกต้องจริง ๆ รึเปล่า

“ถ้าความเจ็บปวดที่พี่ได้รับ จะทำให้จิตใจของเราทุเลาลง พี่จะอดทน ...จนกว่าสักวันที่เราพร้อมจะยกโทษให้พี่”

เพราะแบบนั้นไง ผมถึงกลัวว่าใครสักคนจะเข้ามาทำร้ายผม และก็กลัวตัวเองเหลือเกินที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปทำร้ายจิตใจใครสักคนโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ทั้งคนที่รู้สึกและหมดความรู้สึกแล้ว เราล้วนปวดร้าวและเจ็บปวดกันไปคนละแบบเสมอ เหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจะโกรธพี่พอร์ชมากเท่าใด แต่ผมก็รับรู้เสมอว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อยกับการตัดสินใจของตัวเขาเอง

เหมือน ๆ กับตัวผมที่เจ็บปวดตลอดเวลาหลังการบอกเลิกโฟล์ค

บอกเลิกโฟล์ค เพื่อต้องการยืนยันกับตัวเองว่าผมเลือกพี่พอร์ช

บอกเลิกหนึ่งคนที่รักเรา เพื่อไปโดนเขาบอกว่าผมไม่ใช่อีกต่อหนึ่ง ถ้าในทางหลักพระพุทธศาสนา สิ่งนี้คงเรียกว่าเวรกรรม น่าเสียดายที่ผมนับถือศาสนาคริสต์ แต่ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ผลมันก็มาจากการทำอะไรไม่รอบคอบของผม

ผมเจอโฟล์ค เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีจากแอปพลิเคชัน เราพบกัน เจอกัน มีอะไรกัน แล้วก็บอกรักกัน ทั้ง ๆ ที่มันยังผ่านไปไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ ผมขาดสติ ด่วนตัดสินใจ คิดแค่ว่าชอบและพอจะไปกันได้ก็เลยตอบรับคำว่ารักด้วยการบอกรักตอบ และปล่อยให้ทุกอย่างมันไหลไปด้วยอารมณ์และเซ็กซ์

รู้ตัวอีกครั้งผมก็ไปต่อไม่ถูก ไม่สิ ไม่ใช่ไม่ถูกหรอก แค่ผมรู้สึกว่าโฟล์คไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

...สำหรับผม ทุกคนล้วนไม่ใช่ เมื่อผมเจอกับพี่พอร์ช

เราต่างเป็นผู้ร้ายในบทละครชีวิตของใครสักคนเสมอ

ผมคือผู้ร้ายในชีวิตของโฟล์ค ผมบอกรักเขา ผมร่วมรักกับเขา แต่ในขณะนั้นใจของผมกลับมองเห็นแต่ใบหน้าของใครบางคน นั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องหยุด ผมต้องเลือกสักทางที่จะทำให้ผมไม่ต้องจมกับความรู้สึกผิดที่มองเห็นเขาเป็นใครอีกคนตลอดเวลา และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะพูดออกไปตามตรง

โฟล์คไม่ได้ผิดอะไร....เขาแค่ไม่ใช่ เหมือน ๆ กับผมที่ไม่ได้ผิดอะไร ผมแค่ไม่ใช่สำหรับพี่พอร์ช

“พี่รู้ไหม....หลายเดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าพี่เลิกกับผมเพราะอยากกลับไปเป็นแอคเค่อ” เขาว่าทั้งหยาดน้ำตา

ผมพยักหน้ารับฟังและเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของเขา ยิ่งเห็นใบหน้าที่เจ็บปวด ผมยิ่งรู้สึกทรมาน ผมรับรู้แล้วว่าการเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์ เราก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าการเป็นฝ่ายโดนบอกเลิกเลย

“พี่ขอโทษที่พี่ไม่ได้บอกไปตรง ๆ”

“....”

“โฟล์คครับ...พี่บอกเลิกเราเพราะตอนนั้นพี่เจอใครที่พี่คิดว่าเขาใช่มากกว่า”

ทุกอย่างเงียบลงจนเราทั้งสามคนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างของเขา มันตกกระทบลงใบหน้าของผม ทั้งเจ็บปวดจากบาดแผลที่โดนกระทำ ทั้งรสชาติเค็ม ๆ ที่ไหลเข้าปาก ผมทำได้แค่เพียงดึงเขาเข้ามากอดไว้กับตัวเองแล้วพูดต่อไปว่า

“แต่รู้ไหมว่า หลังจากนั้นไม่นาน เขาคนนั้นก็บอกกับพี่ว่าพี่ไม่ใช่ แล้วก็หายไปจากชีวิตพี่ถาวร” ผมว่าต่อ ค่อย ๆ พยุงเขาขึ้นมานั่งพิงไหล่ ไม่นานเจ้าแม็กซ์ก็มานั่งข้าง ๆ ผม ผมค่อย ๆ ปล่อยเวลาไหลออกไปช้า ๆ ค่อย ๆ เล่าความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับผมและพี่พอร์ชให้พวกเขาทั้งสองคนฟัง เสียงสะอื้นดังออกมาเป็นระยะ ๆ ก่อนหยาดน้ำตาของเด็กทั้งสองคนจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ตามเวลาที่เราได้นั่งปรับความเข้าใจกัน

“พี่ดู ...ไม่ตกใจที่ได้เจอผมที่นี่” เขาว่าหลังเรานอนกองกันสามคน ผมอยู่ตรงกลาง มีคนข้าง ๆ อีกสองคนนอนเกยแขน

“พี่จำทุกอย่างเกี่ยวกับเราได้ และก็จำได้ด้วยว่าเราเรียนที่ไหน พอเอามาประกอบกับการที่อยู่ ๆ จะมีใครสักคนมีรูปพี่พร้อมหน้ากากเสือน้อย มันก็เลยเดาได้เลา ๆ ว่าน่าจะเป็นเรา แต่ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรนัก จนกระทั่งเห็นข้อความในไลน์ที่แม็กซ์ส่งมาหาพี่ ซึ่งเราเป็นคนพิมพ์...” ผมว่า

“รู้ได้ไง/ทำไมพี่รู้?” เด็กน้อยทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมกัน ผมหัวเราะร่วน แล้วขยี้หัวเจ้าขี้แงที่เพิ่งหยุดร้องไห้กันไปหมาด ๆ ในใจก็แอบดีใจที่แม้จะไม่อยู่ในสถานะที่เป็นอะไรกันมากกว่าแค่พี่น้องแล้ว แต่เจ้าเด็กทั้งสองก็ยังมีสติมากพอจะมีเหตุผลรับฟังความรู้สึกของผมบ้าง แม้ผมจะบอบช้ำทางร่างกายไม่น้อยก็เถอะนะ

“มันเป็นลักษณะนิสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการพิมพ์แชทน่ะ เมื่อก่อนพี่ก็ไม่ได้สังเกต เพิ่งมาเป็นช่วงหลังเนี่ยแหละ แม็กซ์มันจะลงท้ายด้วยคำพูดซอร์ฟประมาณหนึ่งมีครับ มีจ้า ในขณะที่โฟล์คจะพิมพ์ห้วน ๆ สั้น ๆ ตามสไตล์แบบที่คุยกับพี่ พอประกอบกับข้อมูลของคนที่เราเอารูปพี่ไปให้เขาก็เลยเข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นเราที่พิมพ์ข้อความมาบอกพี่”

‘ผมไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว’

‘ผมอยากตาย’

‘พี่ไทเกอร์มาหาผมหน่อยได้ไหม?’

และทั้งสามข้อความนั่นแหละที่ทำให้ผมขอร้องให้โชขับรถมาส่งผมถึงที่นี่ พร้อมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนของเจ้าเด็กทั้งสองคนว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันยังไงได้บ้าง รวมไปถึงรูปร่างลักษณะของคนที่โชไปขอข้อมูลมาด้วย ผมคาดการณ์ได้เลา ๆ แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง หรือที่แม็กซ์เข้ามาหาผมเพื่อจุดประสงค์อะไร

 “ผมกับแม็กซ์ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว เรียนม.ต้นด้วยกัน ก่อนผมจะย้ายไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง เราติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมไปคบกับพี่...แล้วก็โดนบอกเลิก” ท้ายประโยคเจ้าตัวเสียงเบาลงนิดหน่อย แม็กซ์เอื้อมมือไปบีบมือให้กำลังใจเพื่อน ส่วนผมหัวเราะแห้งในลำคอ

“ก็ตกใจว่าเพื่อนเป็นอะไร พอถามไปถามมาก็พบว่าเพราะพี่...ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น” เจ้าแม็กซ์อธิบายต่อ

“เลยพยายามเข้าหาพี่ และถามคำถามแปลก ๆ เกี่ยวกับแฟนเก่าที่อายุน้อยกว่า ซึ่งก็คืออยากรู้ว่าพี่คิดยังไงกับเพื่อนตัวเองอ่ะนะ” ผมถาม เจ้าแม็กซ์พยักหน้า หลังจากนั้นเรื่องราวทุกอย่างก็ลงล็อกพอดี ทั้งคนที่เอารูปถ่ายผมไปให้โช ทั้งท่าทีแปลก ๆ ที่ผ่านมาของแม็กซ์

“ผมน่ะ...มันทั้งรัก ทั้งแค้นพี่ ทั้งอยากทำให้พี่กลับมาหาผม อยากให้พี่เจ็บปวดแบบที่ผมรู้สึกบ้าง” โฟล์คพูดต่อ ผมถอนหายใจแล้วลูบหัวทั้งสองคน เข้าใจได้ว่ามันเป็นแผลสดสำหรับช่วงวัยรุ่น แต่ผมก็เชื่อว่าแผลเป็นนี้จะตกสะเก็ดในสักวันใดวันหนึ่ง แล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ในสักวัน

“นั่นคือสาเหตุว่าทำไมพี่ถึงไม่ติดต่อกลับไป เพราะพี่รู้ดีว่าถ้าพี่ไม่เด็ดขาด มันจะเป็นการให้ความหวังเราต่อไปเรื่อย ๆ ” พอพูดไปแล้วผมก็อดคิดถึงพี่พอร์ชไม่ได้

ผมเว้นวรรคแล้วพูดต่ออีกครั้ง “บางทีเราอาจจะบอกว่าคุยกันในฐานะอื่นก็ได้ไม่เห็นเป็นไร แต่เราต้องถามหัวใจตัวเองด้วยว่าพร้อมเอาเข้ามาเสี่ยงจริง ๆ เหรอ กับความรู้สึกเก่า ๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นในกันและกัน เพราะพี่เข้าใจดี ทั้งความรู้สึกของคนที่บอกเลิกและโดนบอกเลิก พี่ถึงได้ต้องทำ ทำในสิ่งที่พี่ได้กระทำมา”

“ครับ”

“เราต่างวนเวียนเข้าไปสร้างทั้งรอยยิ้มและบาดแผลในชีวิตใครบางคนเสมอ แม้ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก กับสิ่งที่มันผ่านพ้นไปแล้ว พี่เลยทำได้แค่ประคับประคองปัจจุบันให้มันดีที่สุดเท่าที่มันจะดีได้ และพี่ก็เชื่อว่า สักวันทั้งสองคนจะผ่านพ้นความรู้สึกพวกนี้ไป”

ความเจ็บปวดและบาดแผลที่เราได้รับมา พอเราผ่านพ้นมันไปได้ก้าวหนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นภูมิคุ้มกันความเจ็บปวดในอนาคต มันจะกลายเป็นบทเรียนแบบคำสอนที่ไม่มีคำพูดใด ๆ  แต่เราสามารถเข้าใจมันได้ในตัวเราเอง เหมือนที่ผมเข้าใจมาตลอดว่าทำไมเขาถึงไม่ติดต่อกลับมา ทำไมเขาถึงไม่เหลือความหวังใด ๆ ให้กับผม

บางครั้งคำบอกลาก็คือการบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมอยากรู้ว่าใครที่ทำให้เพื่อนผมเป็นได้ขนาดนี้ ก็เลยลองเข้าไปหาพี่” แม็กซ์ว่าต่อ

“แล้วก็ดันเผลอชอบเขาเข้าให้อีกคน”

“โฟล์ค !!!”

“หรือแม็กซ์จะเถียงโฟล์ค”

“ก็ไม่เถียงแต่มันก็ไม่น่าพูดไหม?”

“ก็โฟล์คพูดเรื่องจริง”

“เรื่องจริงที่เผาเพื่อนก็ไม่ควรพูดโว้ย” เจ้าแม็กซ์โวยวายขึ้น

ผมหัวเราะเสียงดัง นอนแหงนหน้ามองเพดาน ฟังเจ้าเด็กสองคนนี้ทะเลาะกันแบบน่ารักไปมา หลังจากนั้นสักพักเราต่างก็ผลัดกันเข้าไปอาบน้ำ ก่อนผมจะออกมาให้เจ้าแม็กซ์ช่วยทำแผลให้โดยมีโฟล์คยืนยกมือขอโทษที่หน้ามืดตามัวไปหน่อย ผมหัวเราะแห้ง ๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ ได้แต่คิดซะว่ามันจะเป็นอีกบทเรียนหนึ่งให้ผมรู้จักการประคับประครองใจใครอีกคน

...ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อย่าเพิ่งด่วนพูดคำว่ารักออกไป ถ้ามันยังไม่ใช่จริง ๆ

ค่ำวันนั้นเราสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมาทานกันง่าย ๆ เพราะเด็กทั้งสองคนทำครัวไม่เป็น ส่วนผมก็หมดแรงและบอบช้ำเกินกว่าจะทำแล้วด้วย พอทานกันไปได้สักพัก เราก็มานั่งย่อยอาหารด้วยการเล่าเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ บรรยากาศอย่างกับเข้าแคมป์รอบกองไฟ กว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบสี่ทุ่มกว่า ๆ ผมนอนตรงกลางโดยมีลูกแพนด้าทั้งสองเกาะแขนผมคนละฝั่ง

“นี่พี่...”

“ครับ”

“ตอนนี้ ...พี่เจอคนนั้นแล้วใช่ไหม?”

“หมายถึง”

“คนที่ทำให้พี่อยากเลิกทุกอย่างนะ” โฟล์คถาม ผมพยักหน้าโดยลืมไปว่าเราปิดไฟนอนแล้ว

“ไม่อยากตอบไม่เป็นไรนะครับ”

“ไม่ ๆ พี่ตอบได้ ๆ เมื่อกี้พี่เผลอพยักหน้ารับ ..ใช่ครับ พี่คิดว่านะ พี่น่าจะได้เจอเขาแล้วล่ะมั้ง? พี่ก็ยังไม่มั่นใจ เพราะก็กลัวอะไรหลาย ๆ อย่าง เลยต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปครับ” ผมกล่าวโดยสรุป

“แปลว่าพี่จะมาหาผม..กับเจ้าโฟล์คไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ” แม็กซ์ถามต่อประโยค

“...ถ้าตอบตามตรง พี่คิดว่าก็ใช่ พื่คงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว แต่อาจจะนัดเจอกับเราทั้งสองคน ทักทาย กินข้าว พูดคุยกันทั่วไป”

“ทำทุกอย่างที่ไม่ได้ทำกันในฐานะแฟนสินะครับ” เสียงประโยคเศร้าลงถนัด ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจแล้วลูบหัวเด็กทั้งสองคนเป็นการปลอบใจ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผมจะหยุดที่ใครสักคนจริง ๆ ผมก็คงไม่สามารถมามีความสัมพันธ์ทางกายแค่ชั่วคราวอะไรแบบนี้กับใครได้อีกแล้วนั่นแหละนะ

“ไมรู้แหละ คืนนี้พี่ยังเป็นของผม” เจ้าแม็กซ์ว่า

“ไม่ใช่ของผมสิ มาทีหลังแท้ ๆ” เจ้าโฟล์คเสริม

ผมเอนหัวขึ้นมองลูกแพนด้าสองตัวที่เกาะแขนผมคนละข้าง แต่มือกลับเริ่มอยู่ไม่สุข ผนวกกับแววตาที่ทั้งคู่มองมาที่ผมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเองอีกรอบ รับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เห็นทีท่าทางคืนนี้ของผมจะยังอีกยาว

....สงสัยได้ขาด SECT เช้าวันพรุ่งนี้แน่ ๆ



TIme talk : วันนี้ขอดราม่าหน่อยนะครับ ....

หมายถึงตัวพ่อแมวเองนะครับที่กำลังจะดราม่า คือถ้าใครไม่ชอบดราม่าสามารถข้ามไปได้เลยนะครับ คือพ่อแมวกำลังตกใจครับว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หลังจากเปิดตัวหน้าปกไป หลาย ๆ ท่านที่เคยมาคอมเม้นท์กันประจำก็หายกันไปเลย หายไปแบบไม่มีคอมเม้นท์หรือฟีดแบคอะไรตอบกลับมาเลย ใจหายครับ เพราะตอนช่วงที่ผ่านมาเป็นอีกปมขมวดของเรื่องที่จะส่งไม้ต่อไปปมจบเรื่อง เลยแอบกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า หรือไม่พอใจอะไรตรงไหนไหม TT

ถ้ามีตรงส่วนไหนไม่ชอบ ไม่พอใจ หรืออยากให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง บอกกล่าวกันได้เลยนะครับ

ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมา ๆ ผมแอบตกใจ ท้อถอย ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือตัวงานของผมมีตรงไหนที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วทุกคนไม่สบายใจรึเปล่า ยังอยากอ่าน ยังอยากเห็นคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่นะครับ ผมยอมรับเลยว่ารีเข้ามาหน้าเว็บหลายวันที่ผ่านมาแล้วตกใจมากตั้งแต่หลังปีใหม่เป็นต้นมาเลยครับ

ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ ถ้าไทม์ทอล์กครั้งนี้อาจจะทำให้ไม่สบายใจ ช่วงนี้พ่อแมวค่อนข้างเครียดและกดดันเรื่องหนังสือมากจริง ๆ ครับ ยังไงจะกลับมาลบให้อีกครั้งนะครับ ไม่อยากทำให้ทุกคนเครียดตามไปด้วย

เพราะมันมีแต่ความเงียบ พ่อแมวจะไม่สามารถเข้าใจได้เลยนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ขอบคุณและขอโทษอีกครั้ง หากทำให้ไม่สบายใจนะครับ



พ่อแมว

05/02/19
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 14:36:42 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #128 เมื่อ05-02-2019 23:12:55 »

เข้ามาให้กำลังใจนะคะ เพิ่งเข้ามาอ่าน
สนุกดีค่ะ ได้แนวคิดหงายแง่มุมเลย
ยังมีปมที่ยังงงๆอยู่นิดหน่อย จะรออ่านต่อนะคะ
คุณพ่อแมวสู้ๆนะคะ  o13

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #129 เมื่อ06-02-2019 01:50:24 »

ผ่านมาเยอะเชียว มีหลายเรื่องราวในชีวิตจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
« ตอบ #129 เมื่อ: 06-02-2019 01:50:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #130 เมื่อ06-02-2019 03:49:57 »

 :3123: :3123: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123:

ออฟไลน์ Arayajanm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #131 เมื่อ06-02-2019 19:03:22 »

เวลาอ่านนิยายพ่อแมวแล้วรู้สึก ได้เรียนรู้มุมมองด้านอื่นๆ ความคิดใหม่ๆ เข้าใจว่าบางอย่างถ้าไม่ประสยพบเจอเองไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งหรอก แต่... เพราะพ่อแมวถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครและคาแรกเตอร์ออกมาได้ดีมากๆ เลยออน มันเทาไปหมดเลยอ่ะ ดีนะตอนที่ 25 มีบทที่ทำให้ยิ้มมมได้ รอติดตามชมตอนต่อๆไปนะคะ เป็นกำลังใจให้พ่อแมวพุงโต๋โต งับบ จุ๊บบบ :L2:

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #132 เมื่อ09-02-2019 00:14:50 »

เข้าใจว่ายังไม่ตกลงกับโชนะ แต่ก็แอบไม่ชอบตอนนี้เบาๆ แบบ โว้ยยยย ไม่รู้อะมีคนที่กำลังดูกันอยู่ แต่ก็ยัง... ไม่รุ้อะ ไม่ชอบสารภาพว่าอ่านแค่สามบรรทัดสุดท้าย เห็นว่า เลยไม่ขึ้นไปอ่านต่อ แต่เราเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของคนอะ รุ่นพี่เรา เพื่อนเราก็มีเป็นงี้บ้าง พอรับฟังเราก็จะเฉยๆไม่ใส่ใจ แอบไม่ชอบหน่อยๆ แต่ไม่เอาความรู้สึกของตัวเองไปตัดสินใคร เพราะเขาไม่ได้เป็นคนรักที่ดีมากสำหรับแฟนเขา แต่เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีมากๆคนหนึ่งเลย ขแรออ่านตอนหน้าเลยแล้วกันนะค้าาา  :ling3: แอบดีใจที่โพสนิยายในนี้ เพราะเราไม่อ่านไนเด็กดี ไม่รู้ทำไม เราการรีพลายเป็นหน้าๆแบบนี้ก็มีเสน่ห์ดี(ถ้ามีappจะดีมาก)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.26 It’s not you, it’s me. | P5 | 05/02/62
«ตอบ #133 เมื่อ10-02-2019 23:43:21 »

หายไปทำงานมาาาาาาา

เรื่องเซ็กซ์หมู่เปิดหูเปิดตามาก แต่เข้าใจนะ
ทำไมโลกมันกลมจัง

ห๊ะเล็ก ๆ ตอนท้าย แต่ก็เข้าใจอีกแหละ

ไม้บรรทัดของคนเราไม่เท่ากัน

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
«ตอบ #134 เมื่อ11-02-2019 22:36:26 »



Ep.27 Type




ผมตื่นมาเช้าของอีกวันด้วยสภาพสุดเพลีย เจ้าลูกแพนด้าทั้งสองเกาะแขนผมไว้คนละข้างไม่ยอมปล่อย พอเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจแล้วปลง ๆ กับคาบเช้าที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น จากระยะทางแล้ว อย่างดีผมก็กลับไปทันครึ่งหลังของเซคบ่ายแน่นอน พอเป็นแบบนั้นผมก็ลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนจะกลับมานอนให้เจ้าพวกลูกแพนด้าเกาะแขนกันอีกคนละรอบ

“มันต้องใส่น้ำมันก่อนรึเปล่าวะ?”

“เบาไฟโว้ยยย เบาไฟก่อน”

เสียงของหมีน้อยสองคนทะเลาะกันปลุกผมขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะเดินงัวเงียลงไปเจอเจ้าเด็กสองคนกำลังพยายามทอด..อะไรสักอย่างที่ผมมองไม่ออกว่ามันคือเนื้อของสัตว์สปีชีย์ใด สาเหตุเพราะมันไหม้เกรียมจนยากจะคาดเดาต้นสายพันธุ์ได้จริง ๆ  พอทั้งสองคนหันมาเห็นผมก็หัวเราะแห้ง ๆ ผมถอนหายใจพลางปัดมือไล่ให้ผลัดกันไปอาบน้ำ ก่อนตัวเองจะเป็นฝ่ายลงมือทำกับข้าวง่าย ๆ

ดีว่าอีกฝ่ายยังพอจะหุงข้าวเป็นบ้าง (แม้มันจะแอบแฉะ ๆ ก็เถอะ ผมคิดว่าดีกว่าข้าวแข็ง) ผมลงมือทอดเนื้อหมู พร้อมไข่ดาว 6 ฟอง พลางอุ่นไข่พะโล้ในตู้เย็นแล้วตั้งโต๊ะไว้รอทั้งสองคน พอทำทุกอย่างเสร็จผมก็เดินขึ้นมาข้างบน ตอนนี้สิบโมงกว่า ๆ แล้ว พอขึ้นไปถึงก็เจอเจ้าโฟล์คยืนเปลี่ยนเสื้อตรงหน้ากระจก

“อย่าแอบดูผมนะ” เจ้าเด็กนั่นว่า ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้า ตอนอยู่ด้วยกันทำมากกว่าแอบดูไปแล้วนะเว้ย จะมาอายอะไรกับอีแค่นี้ นึกไม่ทันจบประโยคน้องแม็กซ์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ผมเลยเป็นฝ่ายเชิญโฟล์คเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วตัวเองก็ไปนั่งแหมะลงบนเตียงนั่งส่องโซเชียลไปเรื่อยเปื่อย

“พี่ไทเกอร์” น้องแม็กซ์เรียกเสียงเรียบ ผมเงยหน้าขึ้นมามองตอบ

“พี่จะเลิกเล่นทวิตเตอร์แล้วใช่ไหมครับ?”

แววตาสงบนิ่งรอคอยคำตอบจากปากของผม ผมนิ่งเงียบสบตาคู่เดิม สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย หลับตา แล้วพยักหน้าตอบเขากลับไป

“ใช่ครับ พี่จะเลิกเล่นทวิตเตอร์...ไม่สิ พี่คงเลิกทุกอย่างนั่นแหละครับ” ผมว่า ยิ้มกว้างให้กับการตัดสินใจของตัวเอง น้องแม็กซ์ผงกหัวขึ้นลงเบา ๆ เป็นการทำความเข้าใจให้กับตัวเอง ผมเดินไปด้านหลัง เตรียมจะช่วยอีกฝ่ายเช็ดศีรษะที่ยังไม่แห้งดี น้องแม็กซ์ส่ายหน้าแล้วดึงผ้าเช็ดศีรษะออกจากมือของผม

“แม็กซ์ดูแลตัวเองได้ครับ”

แม็กซ์บอก พร้อมยิ้มกว้างให้กับผม ผมพยักหน้ารับทราบตามที่เขาบอก ก่อนจะถอยหลังออกมานั่งเงียบ ๆ บนที่นอนรอเจ้าโฟล์คอาบน้ำออกมา พอเจ้าตัวออกมาเสร็จก็ถึงคิวผมเข้าไปอาบน้ำบ้าง ผมอาบน้ำไม่นานออกมาก็เจอเด็กสองคนนั่งเล่นกันอยู่บนที่นอน

“ไม่ลงไปกินข้าวก่อนล่ะครับ” ผมถาม ก่อนเด็กสองคนจะหันมาตอบกันคนละประโยค

“ยังไม่หิวครับ”

“รอพี่ไง”

ผมพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะจัดแจงแต่งตัวในเวลาไม่นานก็กลับมาสู่ชุดลำลองของตัวเอง ก่อนเราสามคนจะลงไปด้านล่างแล้วทานข้าวพร้อมกัน เจ้าแม็กซ์และน้องโฟล์คผลัดกันพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ตามระยะเวลาที่ทั้งสองคนห่างกันไป ส่วนผมนั่งเป็นผู้ฟังที่ดี คอยเสริมในส่วนที่พอจะพูดได้ตามประสาคนนอก ก่อนจะทานเสร็จลง ทั้งสองอาสาเป็นคนล้างจานให้เพราะผมเป็นคนทำกับข้าวแล้ว

ตกบ่ายมา เจ้าโฟล์คชวนดูซีรีส์ทางเน็ตฟลิกซ์ ผมนั่งดูกับเจ้าพวกลูกแพนด้าทั้งสอง ก่อนจะสนทนาตอบไลน์กับเพื่อนในกลุ่มที่ไลน์กันมาตามยิก ๆ ว่าผมหายไปไหน ก่อนผมจะตอบไลน์ของโชที่ทักมาตั้งแต่เมื่อคืนและตอนสายของวันนี้ พร้อมบอกให้เขาสบายใจว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้นผมจะอธิบายเมื่อเรานัดเจอกันอีกครั้งในเย็นวันนี้ โดยผมไม่ลืมที่จะไลน์ไปบอกให้มาร์ตามไปเจอผมที่สยามด้วยกันนั่นเอง

หลังจากดูซีรีส์จบไปสามตอน ในที่สุดก็ได้เวลาที่ต้องแยกย้ายกลับ เราแต่งตัวแล้วเดินลงมาข้างล่างที่หน้าประตูบ้าน น้องแม็กซ์อาสาขับรถพาผมและเจ้าโฟล์คไปส่งที่ท่ารถตู้ซึ่งเราทั้งสองคนก็ไม่ติดขัดอะไร มีเพียงแต่ผมที่ขอเป็นคนอาสาขับเอง แล้วให้เด็ก ๆ สองท้าย โดยเจ้าแม็กซ์ขึ้นก่อน และตามด้วยโฟล์ค

พอไปถึงท่ารถตู้ ผมก็ถอดหมวกคืนให้น้องแม็กซ์เก็บเข้าใส่ไว้ใต้เบาะรถเงียบ ๆ เจ้าโฟล์คยืนนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินมากอดผมแล้วพูดว่า

“ขอบคุณ ขอโทษ โชคดีนะครับ” สั้น กระชับ ห้วน ๆ สมกับเป็นเด็กคนนี้ ผมยิ้มให้กับอวยพรของเขา ลูบหัว แล้วกอดเขากลับเหมือนกัน

“พี่ก็ขอให้เรามีความสุขในเร็ววันนะครับ” ผมว่าแบบนั้น เพราะคิดว่าหลังจากนี้ต่อไป คงยากมากแล้วที่เราจะได้มาเจอกันใหม่แบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เจ้าโฟล์คสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะร้องอีกรอบ แต่เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วฮึบมันไว้ได้ น้องแม็กซ์ยืนเงียบ ไม่พูดอะไร จนเจ้าโฟล์คต้องสะกิดด้วยการกระทุ้งศอกเบา ๆ

“อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้นะที่จะได้เจอพี่เขา” โฟล์คว่า และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวเดินมายืนตรงหน้าผม ผมนิ่ง รอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มต้นพูดออกมาก่อน น้องแม็กซ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะกดแล้วยกโทรศัพท์แนบหู ไม่นานสายในไลน์ผมก็แจ้งเตือนว่าน้องแม็กซ์โทรมาหา ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับก่อนจะรออีกฝ่ายพูด

“เราไม่เคยจินตนาการภาพออกเลย ว่าคน ๆ หนึ่งจะมีหน้าตาแบบไหน ภายใต้หน้ากากที่เขาแสดงให้เราเห็น เราไม่รู้เลยว่าข้างในเป็นยังไง พี่อาจจะคิดว่าเราทักไปหาพี่เพราะแค่เรื่องโฟล์ค แต่จริง ๆ แล้ว ใจเราก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน คน ๆ นี้แล้ว จริง ๆ เนื้อแท้ของเขาเป็นยังไงกันแน่”

“...”

“ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่คู่นอนคนหนึ่งแท้ ๆ แต่กลับดูแลซะจนผมรู้สึกไปซะหมดทั้งใจ พยายามบอกให้ตัวเองไม่คิดอะไร แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เราหลับตา ภาพการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พี่ดูแลเรา มันติดอยู่ในหัวตลอดเวลา ความรู้สึกที่อยู่กับพี่ มันคือความสุข มีความสุขมากจนคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันไปแบบนี้นาน ๆ ก็คงจะดี”

“พี่ก็มีความสุขตอนที่ได้อยู่กับเราครับ” ผมว่า น้องแม็กซ์พยักหน้าแล้วพูดต่อ

“แต่ก็ยังไม่ใช่...ใช่ไหม?”

“ครับ...แม็กซ์ยังไม่ใช่คนที่พี่อยากอยู่ด้วยครับ” ผมตอบกลับอย่างหนักแน่น เจ้าตัวหลับตาลง ปล่อยน้ำตาหนึ่งหยดหยดลงบนพื้น ก่อนจะพยักหน้าเหมือนยอมรับในสิ่งที่ผมพูด

“ไร้สาระชะมัดเลยเนาะ ความรู้สึกเนี่ย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แค่เวลาไม่นานเอง ทำไมถึงรู้สึกได้มากขนาดนี้กันนะ...” เจ้าตัวพูดต่อ ตาสองข้างเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ

“...”

“ขอบคุณนะครับ พี่อาจจะเบื่อที่จะฟังคำนี้แล้วก็ได้ แต่ผมแม่ง..ผมโคตรมีความสุขเลยตอนได้อยู่กับพี่ เป็นไปได้ผมก็อยากเห็นแก่ตัวขอให้พี่อยู่กับผมต่อไป แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ผม....” น้องแม็กซ์สะอื้นจนต่อประโยคไม่จบ ผมก้าวเท้าเข้าไปกอดเด็กตรงหน้า

“ขอบคุณเหมือนกันที่มอบความรู้สึกดี ๆ มากมายให้กับคนแบบพี่ อาจจะเพราะเรารู้จักกันผิวเผิน เราอาจจะเห็นกันแต่ด้านที่เราอยากแสดงออกให้อีกคนได้เห็น ตัวตนของพี่ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราต้องการ เพราะงั้นแล้ว อย่าเสียใจเลยนะครับ มันจะต้องมีใครสักคนที่มองเห็นคุณค่าของความรู้สึกที่แม็กซ์มี และพร้อมจะดูแลมันมากกว่าพี่แน่ ๆ ครับ” ผมบอก เจ้าแม็กซ์กอดตอบ ร้องไห้จนเสื้อผมเปรอะไปด้วยน้ำตา

ผมกอดปลอบประโลมจนอีกฝ่ายเริ่มดีขึ้น พอได้สติมากขึ้นเจ้าตัวก็ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ก่อนจะส่งผมขึ้นรถ

“โชคดีนะครับพี่ไทเกอร์” น้องแม็กซ์ว่า ผมยิ้มให้เขาก่อนจะกระซิบข้างหู

“ไม่มีไทเกอร์อีกต่อไปแล้วครับ พี่ชื่อ ‘ทรอย’ นะ จะเป็นพี่ทรอยของน้องแม็กซ์ต่อไปนะครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะโบกมือลาให้กับผม ผมยิ้มแล้วโบกมือตอบ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถ มองดูเด็กสองคนที่ยืนปลอบ ก่อนรถตู้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออก เมื่อคนขึ้นมาเต็มคันรถ ภาพเด็กทั้งสองคนค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ ในโฟกัสสายตาของผม ก่อนผมจะมองไม่เห็นพวกเขาทั้งคู่อีก ผมถอนหายใจ ก่อนจะกดไลน์ไปหาโชว่าผมกำลังไปหาเขาตามนัด...

บางทีคำบอกลาที่เราให้กัน มันก็คือคำบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย คำบอกลาอาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำตา แต่คำบอกรักที่ไม่ได้มีความรู้สึกว่ารักอยู่ในคำว่ารัก มันไม่แย่กว่าเหรอ ผมนั่งเท้าคาง มองออกไปนอกตัวรถ ก่อนจะถึงอนุสาวรีย์แล้วต่อ BTS ไปที่สยามพารากอน เพื่อไปเจอกับมาร์ที่มาถึงก่อนหน้าผมแล้ว

“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ?” มันถามเมื่อเห็นสารรูปของผม ผมโบกมือไปมาสองครั้งเป็นเชิงไม่อยากตอบ พอมันเห็นแบบนั้นก็เลยไม่เซ้าซี้ถามอะไรอีก

“วันนี้มีงานอะไรบ้างวะ” ผมถาม มันแจกแจงงานที่ต้องทำให้ผมฟัง ผมถอนหายใจเหนื่อยอ่อน หลังฟังงานทั้งหมดที่มันว่ามา นี่ผมขาดไปแค่วันเดียวก็แทบจะเรียกตามเพื่อนไม่ทันแล้วเหรอวะ ผมกับมาร์แลกเปลี่ยนงานที่ต้องทำรอบริเวณม้านั่งใกล้ ๆ กับหน้าร้าน H&M ไม่นาน คนที่นัดไว้อีกคนก็ตามมา

“สวัสดีครับ” โชทักขึ้นก่อน  ผมรีบแนะนำตัวให้ทั้งสองได้รู้จักกัน

“นี่มาร์ เพื่อนผมครับ ส่วนนั้นพี่โช เขาอายุมากกว่าเรา” ผมบอก ตอนแรกโชก็ทำสีหน้าปกติ ก่อนเขาจะทำหน้าเหวอตอนเห็นใบหน้าและร่องรอยตามร่างกายของผม

“ไหนคุณบอกว่าคุณไม่เป็นอะไร” เขาถาม น้ำเสียงตกใจนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าโชรู้ตัวหรือไม่ รู้สึกตัวอีกทีเขาก็จับตามเนื้อตามตัวผมดูแล้วว่าเกิดร่องรอยอะไรขึ้นบ้าง และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมถึงยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วผมไม่ชอบให้ใครมาซักไซ้หรือถามไถ่ในเรื่องที่ผมไม่ได้อยากจะนำเสนอ

...อาจจะเพราะแววตาที่สะท้อนความเป็นห่วงออกมา ผมถึงไม่กล้าขัดขืนตอนที่เขาเข้ามาหา

“ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ แค่นี้เล็กน้อยมากครับ” ผมว่า พยายามเรียกสติโชว่าตอนนี้เราไมได้อยู่กันสองคน

“ไม่ต้องห่วงครับพี่ เพื่อนผมมันตายยาก” เจ้ามาร์ช่วยซัพพอร์ตอีกแรง แต่ผมแอบเห็นมันทำหน้าสงสัยอยู่ไม่น้อย สงสัยรอบนี้กลับไปผมคงโดนซักฟอกประวัติของโชให้เพื่อน ๆ ในแก๊งได้ฟังจนครบองค์ประชุมแน่ๆ พอเห็นผมทำสีหน้าหนักแน่นจริงจัง อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทราบ แต่ก็แอบถอนหายใจเบา ๆ

“อย่าทำให้เป็นห่วงบ่อย ๆ สิครับ”

ผมทำสีหน้าไม่ถูก ส่วนเจ้ามาร์แอบเหวอไปนิดหน่อยที่ผมไม่ตอบรับหรือบอกปัดอะไรกับคำกล่าวนั้น และเหมือนในที่สุดสติของโชที่หลุดไปก็กลับมา เจ้าตัวกระแอมไอก่อนจะถามผมทั้งสองคน

“แล้วหิวข้าวกันรึยังครับ พี่ว่าไปกินข้าวกันดีกว่าไหม?” เพราะผมแทนตัวโชว่าพี่ไปแล้วต่อหน้าเพื่อน อีกฝ่ายเลยต้องตามน้ำไป ผมพยักหน้า ส่วนเจ้ามาร์ตั้งใจมากินเต็มที่อยู่แล้ว โชเดินนำหน้าพวกเราสองคน ก่อนจะถอดสูทตัวนอกออกแล้วแขวนไว้กับแขนของตัวเอง

“วันนี้ทานอาหารญี่ปุ่นแล้วกันเนาะ” ผมกับเจ้ามาร์พยักหน้า ยังไงเราสองคนก็ทานได้ทุกอย่างอยู่แล้ว อาหารญี่ปุ่นก็ดีไปอีกแบบเหมือนกันสำหรับผม โชเดินนำหน้าพวกเราสองคนไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่ง เราเลือกโต๊ะมุมหลังร้านที่ไม่ติดกับโต๊ะที่มีคนนั่ง ก่อนผมกับโชจะนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนเจ้ามาร์นั่งข้างผม บริกรนำเมนูมาให้ ก่อนเราจะเลือกกันไปคนละสองสามอย่าง เพราะเกรงใจเจ้าภาพจากราคาอาหารที่เริ่มต้นได้โหดร้ายกับกระเป๋าสตางค์เป็นบ้า

“ไหนมึงบอกว่าเขาเป็นนักเขียนธรรมดา ๆ วะ” มาร์กระซิบกับผม ผมหัวเราะแห้ง ๆ เพราไม่รู้จะตอบมันกลับว่ายังไง

ว่าก็ว่าเถอะ ในขณะที่โชดูเหมือนจะรู้จักผมดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมกลับเพิ่งสังเกตได้ ว่าตัวเองแทบจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย นอกจากเรื่องทั่ว ๆ ไปที่รู้จักผ่านการอยู่ด้วยกัน สงสัยหลังจากวันนี้ไป ผมคงต้องพยายามเรียนรู้เรื่องของอีกฝ่ายให้มากขึ้นกว่านี้นะครับ

เรานั่งคุยเรื่องทั่วไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรออาหาร ผมแอบสังเกตว่ามาร์แอบทดสอบคนตรงข้ามบ่อย ๆ จนผมแอบหยิกอยู่หลายครั้ง ทำเอาผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมชวนมาผิดคนรึเปล่า รู้แบบนี้ผมน่าจะชวนดาวตกมา จมูกของหมอนั่น ดมกลิ่นไม่ได้ไวเท่าเพื่อนสนิทของผม เคราะห์ดีที่โชยังพอเอาตัวรู้ หลบซ้าย หลบขวาจากหลายคำถามที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็แอบทดสอบอีกฝ่ายอยู่เรื่อยไป จนอาหารมาเสิร์ฟครบนั่นแหละครับ เราถึงได้เลิกคุยแล้วต่างคนต่างทานอาหารเงียบ ๆ ก่อนจะฟาดเรียบกันในเวลาไม่ถึงครึ่งชมต่อไป

และก็ได้เวลาที่โชจะได้เริ่มต้นทำงานของเขาสักที

“วันนี้ผมจะสัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับการใช้แอปพลิเคชันของทั้งสองคนนะครับ ถ้าตรงไหนอยากเสริมหรือขาดตกบกพร่องยังไงบอกได้เลยนะครับ” โชว่า

วันนี้ที่เรานัดมาเจอกัน เพราะโชต้องการสัมภาษณ์ผมและเพื่อนอีกคน ในฐานะผู้ใช้งานแอปพลิเคชันเกย์มาสารพัดแอปแล้ว ว่ามีความเหมือน ความต่าง และมีความน่าสนใจจากอะไรตรงไหนบ้าง รวมไปถึงลักษณะของกลุ่มผู้ใช้งานและทาเก็ตกรุ๊ปต่าง ๆ และเพราะเหตุผลนี้ ผมถึงชวนมาร์มาด้วย แม้อีกฝ่ายจะไมได้เล่นทวิตเตอร์แบบผม แต่มาร์เองก็เชี่ยวชาญเรื่องของการนัดเดตไม่น้อยไปกว่าผมแน่ ๆ

“โอเค ก่อนอื่นทั้งสองคนเคยเล่นแอปอะไรกันมาบ้างครับ” โชเปิดประเด็น ผมส่ายหน้าแล้วให้เขาถามข้อถัดไปเลย

“เราทั้งคู่เคยเล่นมาหมดทุกแอปแล้วครับ” ผมว่า มาร์พยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นแอปไหนที่ทั้งสองคนชอบมากที่สุด และชอบเพราะอะไร” โชถามต่อ  ผมหันไปมองหน้ามาร์เหมือนถามกันว่าใครจะพูดก่อน

“ผมชอบ blued” มาร์ว่า

“ส่วนผมชอบ hornet” ผมตาม

“ชอบเพราะ?” โชถามต่อ

“คือ บลูมันลบรูปได้ มีการตั้งเวลา ก็ถือว่าช่วยระดับหนึ่งเหมือนกัน เวลาที่ต้องการส่ง ‘บางรูป’ ที่อาจจะไมได้อยากให้ค้างเครื่องอีกฝ่ายหรือกดเซฟไปได้และอีกอย่าง มันมีไลฟ์สดด้วย บางทีผมก็เอาไว้ส่องคนอื่นบ้างทำนองนั้น” เจ้ามาร์ว่า

“ส่วนของผมที่เล่นแอปตัวต่อ เพราะผมรู้สึกว่ามันตอบโจทย์มากกว่า คือไม่ใช่แอปอื่นเราไม่เล่นนะ ก็เล่นหมดแหละ แต่ผมว่าในบรรดาแอปทั้งหมด ตัวต่อดีลง่ายสุด แต่ตรงประเด็นสุดด้วย ผมเคยเล่นบลูแล้วบางทีก็เรื่องเยอะ ขอคอลเสียงก่อนบ้าง หรืออย่างแจ็คดี ผมว่ามันอาจจะเวิร์กสำหรับคนอื่น แต่แถบมหาวิทยาลัยผมแล้วไม่ค่อยมีใครเล่น ส่วนแอปอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้เช่นทินเดอร์ หรือแอปแชทคุยอื่น ๆ มันไม่ได้ตรงจุดประสงค์” ผมสรุปในส่วนของผม

“คิดว่าแอปไหนคนเล่นเยอะสุด?” โชถามต่อ

“ไม่รู้หรอก บอกไม่ได้ แต่ถ้าเอาตามความคิดผม เด่น ๆ ก็วนเวียนแถวนี้แหละ แต่ส่วนตัวผมว่าตัวต่อคนเยอะกว่า รองลงมาก็บลู ละก็ไล่ไปเรื่อย ๆ ” ผมว่า

“แต่ผมคิดว่าบลูน่าจะเยอะกว่า เหตุผลง่าย ๆ คือมันมีไลฟ์โชว์ครับ หลายคนบางทีก็ไม่ได้อยากแชทนัดหาคนอื่น แต่อยากดูแค่คนที่เข้าไปโชว์เฉย ๆ ก็มี ดังนั้นแล้วผมว่าบลูเยอะกว่า” เจ้ามาร์เสนอความคิดเห็นบ้าง โชจดรายละเอียดทั้งหมดลงในเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง ก่อนจะถามต่อ

“ปกติแล้วเล่นแอปกันยังไงบ้างครับ หมายถึง เวลาทัก ทักไปหาอะไรกันยังไงบ้าง นัดแบบไหนกันงี้ เอาเป็นพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละคนก็ได้ครับ” โชถามต่อ รอบนี้มาร์เป็นฝ่ายตอบก่อน

“ก็ ผมนะ จะเล่นช่วงเวลาว่างและช่วงเวลา ‘อยาก’ ครับ ก็เปิดส่องดูไปเรื่อย ๆ อย่างบลูนะ มันจะโชว์ใชไหมว่าใครเขามาส่องเราบ้าง ถ้าเราสนใจคนไหนก็อาจจะส่องเขากลับ อารมณ์ประมาณแบบ ‘ผมก็สนใจคุณนะ’ ถ้าเขาสนใจเรา เขาจะเป็นฝ่ายทักมาครับ ผมไม่ค่อยชอบทักหาใครก่อน เพราะการเปิดก่อนเปิดหลังมันเป็นเรื่องอำนาจในการดีลด้วย ระหว่างคนที่อยากได้ กับ คนที่โดนอยากได้ มันจะมีความแตกต่างกันนะ เวลาที่จะต่อบทสนทนากันน่ะ” มาร์ว่า

“มากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

“ก็มากอยู่นะคุณ คิดดูนะ สมมติว่าเราเป็นฝ่ายทักไปก่อน แปลว่าเราสนใจเขาถูกต้องไหม ดังนั้นแล้วอำนาจในการตัดสินว่าจะเกิดดีลขึ้นหรือไม่เกิดดีลขึ้นอยู่กับคนโดนทักนะครับ ไม่ใช่คนทัก แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่ก็แห้วรับประทานเพราะความเล่นตัวของตัวเอง” ผมตอบแทนมาร์ ส่วนเจ้าตัวพยักหน้าแล้วกล่าวเสริม

“ดังนั้นแล้วถ้าจะ ‘ดีล’ ก็คือจะไม่พูดมากคุยเยอะ ว่างตรงกันไหม สะดวกรึเปล่า ไปห้องใครอะไรยังไงดี เท่านี้ก็เป็นอันจบดีลแล้วสำหรับบลู ฟังค์ชันอื่น ๆ ไม่ได้แตกต่างจากแอปที่เหลือมาก ก็มีปลดล็อกรูปที่ซ่อนไว้ได้ จะโดดออกมาหน่อยก็ตรงมีการตั้งเวลา มีการเรียกรูปคืนกลับ แล้วก็มีไลฟ์สด เผื่อสำหรับใครที่อยากชมแต่ไม่ได้อยากช็อป” เจ้ามาร์สรุป

“ผมชอบความคลาสสิคนะ คือไม่ใช่บลูไม่ดีนะ แต่ผมแค่ชอบตัวต่อมากกว่า เพราะมันมีแค่ช่องแชทกับให้โพสต์นิด ๆ หน่อย ๆ ผมรู้สึกว่าคนที่เล่นบลูอาจจะเล่นเพราะแค่อยากส่องได้ แต่ตัวต่อมันส่องอะไรแทบไมได้เลย นอกจากเลื่อน ๆ แล้วนัดดีลกันเลย ซึ่งผมว่ามันตรงประเด็นและไม่เสียเวลาดี

แล้วอันนี้จากความรู้สึกของผม ตัวต่อมันแม่น GPS มากกว่าในการแสดงระยะห่างอ่ะ เพราะถ้าห่างมากไปก็ไมได้อยากได้ เพราะเดินทางลำบาก ง่าย ๆ คือระยะมาตรฐานที่ส่อง ๆ กันจะพยายามไม่ให้เกิด 1 กิโลเมตร จากรอบตัว หรือมากสุดก็แบบ มหา’ลัยข้าง  ๆ สักสามกิโลเมตรก็ยังดี เน้นเดินทางสะดวกเป็นหลัก”

“ว่าง่าย ๆ ทั้งสองคนเลือกแอปจากความชอบในการใช้งาน ถูกต้องไหมครับ?” โชถามต่อ ผมและเจ้าเกลอพยักหน้า

“แล้วปกติบทสนทนาเจอคำถามอะไรซ้ำ ๆ กันบ้างไหมครับ แบบแพทเทิร์นไหนที่เจอบ่อย ๆ แล้วมีอันไหนบ้างไหมที่เราชอบไม่ชอบ” โชถาม ผมเบะปากและพูดต่อทันที

“คำถามยอดฮิตของการนัดดีลที่เจอประจำคือ ‘แบบไหนครับ’ คือใจ ได้นะว่าต้องการหาคู่ที่แมทซ์กัน แต่แบบ คุณเข้าใจไหม หน้าโปรไฟล์ผมเขียนไว้แล้วไงว่า ‘I’m Top’ หลัง ๆ มาผมเลยเขียนไว้ในชื่อเลยว่า ‘รุก’ นะครับ เพราะหวังจะตัดปัญหา เฉลย คำถามแบบนี้ก็มีมาเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น น่าเบื่อมากสำหรับผม มันทำให้รู้สึกว่าไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายไปเลย” ผมว่า โชหัวเราะแห้ง ๆ

“แอบโหดนะคุณนะ”  โชพูดยิ้ม ๆ ผมยักไหล่

“ถ้ากับเรื่องแค่อ่านโปรไฟล์ข้อมูลพื้นฐานอีกฝ่ายคุณยังไม่ทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบนเตียงหรอก เข้ากันไม่ได้แน่นอน พาลจะหงุดหงิดเหม็นขี้หน้ากันเปล่า ๆ” ผมว่า ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ แค่อ่านโปรไฟล์ที่เราบอกรายละเอียดไว้หมดแล้วคุณยังไม่ทำ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องบนเตียง ที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายมากกว่าแค่การอ่านตัวอักษรด้วยซ้ำไป

“อันนั้นผมก็เบื่อเหมือนกัน แต่คำถามที่ผมว่าน่าเบื่อกว่าเยอะ คือคำถามว่า ‘สาวไหม’ กับอารมณ์เหมือนกลัวผมเอาเรื่องที่นัดดีลกันเนี่ยไปเล่าให้ใครฟัง อธิบายความเมื่อยทีละส่วนก่อน ไอ้สาวไหมเนี่ยแม่งโคตรน่าราญสำหรับผมมาก ๆ ถามว่าเข้าใจไหม ใช่ ผมเข้าใจได้นะ ว่าบางทีคาแรคเตอร์ข้างนอกมีผลต่อการตอบสนองกับเรื่องบนเตียง เขามีสิทธิ์ที่จะถาม แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบหรือรำคาญ ถูกไหม?”

“กูโคตรเข้าใจ ” ผมพูดกับมาร์ เว้นวรรคและหันมามองหน้าโช พร้อมพูดต่อ

“คุณนึกอารมณ์ออกไหม แบบ มาถามเราว่าสาวไม่สาว คือเรายอมรับในตัวคำถาม แต่มันไม่ถูกใจเราไง อารมณ์แบบนายแสดงออกไหมเพราะกลัวคนรู้ว่าตัวเองมีรสนิยมแบบนี้ คือยังยืนยันนะว่ามันไม่ผิดอะไร เขาไม่ผิด ถ้าอยากได้คนแมน ๆ ในการดีล แต่มันน่ารำคาญจริงจัง ยิ่งสถานะเป็นรุกด้วยอ่ะคุณ มันจะอารมณ์แบบ เห้ย ผมเป็นรุก ผมจะสาวอ่อนแอ่นอรชรได้ไงวะ มันเลยเป็นคำถามที่ชวนปรี๊ดแตก ไม่อยากคุยต่อมาก ๆ เหมือนกัน”

“ต้องบอกว่า เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่เข้าใจไม่ได้แปลว่าเราจะโอเคกับคำถามแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริง ๆ เรื่องการแสดงออกพวกนี้ มันไม่มีบรรทัดฐานเลยนะครับ ไม่มีมาตรฐานมาวัดว่า อ่อ คุณแสดงออกแบบนี้ เท่ากับคุณออกสาวนะ หรือคุณทำตัวแบบนี้เท่ากับคุณแสดงออกนะ มันเยอะสิ่งไปหมด เหมือนบางคนอยากได้กับผู้ชายที่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ที่เป็นเกย์อ่ะคุณ             ซึ่งทั้งหมดมันแล้วแต่คนนิยามไง มันเลยยุ่งยากไปหมดในแต่ละครั้ง” เจ้ามาร์ช่วยพูดเสริมสนับสนุน

“ส่วนไอ้ที่มาร์พูดแบบ ความลับนะ ไม่ไปบอกใครนะ อ่ะ อันนี้ก็เข้าใจได้ มันมีเกย์บางคนจริง ๆ ที่มีสถานะที่แบบ ต้องตรงไปตาม ‘มาตรฐานเกย์ที่ดีจากมุมมองที่สังคมคาดหวัง’ เพราะนัดดีลเท่ากับว่าคุณเป็นคนไม่ดี หรือถ้าพูดภาษาบ้าน ๆ เขาจะมองว่าคุณร่าน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว มันก็แค่การตกลงแลกเปลี่ยนความต้องการในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง

 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกอีก ในขณะที่สังคมไม่เคยคาดหวังอะไร จากผู้ชายผู้หญิงว่าต้องทำตัวแบบไหน เพศทางเลือกกลับต้องทำตัวให้สังคมยอมรับถึงจะมีที่ยืน อันนี้แหละ เป็นประเด็นที่ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเป็นคนแบบไหน หรือมีรสนิยมทางเพศยังไง เราไม่เห็นจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้มีที่ยืนเท่ากับเพศชายหญิงเลย ในเมื่อทุกคนก็เป็นคนเท่ากัน”    ผมพูดยาว เจ้ามาร์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วเสริมต่อ

“และผมถามจริงนะ ไอ้ที่เราจะไปบอกคนอื่นน่ะ จะไปบอกยังไง จะแบบ ‘เห้ย ๆ มึง กูเคยได้คนนี้มาแล้วนะเว้ย แม่งเด็ดสัส’ งี้เหรอครับ? ผมว่ามันไร้สาระกับการต้องมาถามอะไรแบบนี้ มันควรเป็นเรื่องปกติของคนที่นัดดีลแล้วว่าจะไม่มีการไปพูดต่อ การดีลคือการกินเงียบ ๆ ผมไม่เคยเห็นใครที่ดีลแบบคนทั้งโลกรับรู้แล้วจะกินได้ยาวนานเลย คนเป็นงานจริง ๆ เขาไม่พูดอะไรหรอก บนเตียงก็ส่วนบนเตียง ชีวิตส่วนอื่นก็ต้องแยกกันสิ” เจ้ามาร์ว่า ส่วนผมพยักหน้าเห็นด้วย





Time talk : สวัสดีครับทุกคน ก่อนอื่นขอโทษมาก ๆ สำหรับความประสาทรับประทานของผมในตอนที่แล้วนะครับ ผมลืมไปเลยว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่มีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นกับทุกคน ยังไงถ้าสำหรับใครที่กำลังเตรียมตัวสอบ พ่อแมวขอเป็นกำลังใจให้ และขอให้ทุกคนสอบออกมาได้สมกับความพยายามที่ผ่าน ๆ มานะครับ ส่วนใครที่เตรียมตัวทำอะไร ขอให้สมหวังในทุกประการที่ปรารถนานะครับ

ช่วงนี้ฝุ่นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ยังไงป้องกันไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

สุขสันต์ล่วงหน้าสำหรับวันวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงนะครับ


รักทุกคนเสมอ อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะครับ :]

พ่อแมว

11/02/19

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 14:42:44 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
«ตอบ #135 เมื่อ12-02-2019 03:34:39 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.27 Type | P5 |11/02/62
«ตอบ #136 เมื่อ12-02-2019 07:16:56 »

ทั้งคู่ตอบได้ตรงประเด็นมากค่ะ  :katai2-1:
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ล่วงหน้านะคะ

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
«ตอบ #137 เมื่อ19-02-2019 22:32:31 »



Ep.28 Hope you so




“คิดว่าปัจจัยอะไรที่สำคัญที่สุดในการดีลของคนทั้งสองคนครับ” โชถามต่ออีกครั้ง

“อารมณ์ของคนไงคุณ ไม่มีอะไรจะมากไปกว่าความต้องการ และการตอบสนองของคนเราในช่วงเวลานั้น ๆ แล้ว คือไม่ว่าจะเป็นตัวท็อป ตัวรอง ถ้าจังหวะมันพอดีกัน ดีลนั้นก็มีสิทธิ์สำเร็จสูงครับ ผมถึงได้บอกไง ว่าบางทีจังหวะฟลุก ๆ ได้ตัวท็อปมาก ๆ ก็มี ผมลองสมมตินะ เรานั่งคุยกันเมื่อ 10 นาทีก่อน ถ้าจังหวะมันได้ก็อาจจะมีคนที่ลุกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันแล้วสองคน”    ผมว่า

“ง่ายขนาดนั้นเลยนะครับ” โชต่อบท ผมสองคนพยักหน้าพร้อมกัน

“ง่ายมากกว่าที่ใครคิดอีก การมีเซ็กซ์ไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าจะบอกว่ายากก็คงจะเป็นแค่การเตรียมตัว แต่ถ้าแค่ภายนอก 10 นาทีที่แวบไปห้องน้ำ เป็นเวลาเหลือเฟือที่จะแลกเปลี่ยนความต้องการของคนสองคน ดังนั้นแล้ว อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ” ผมสรุปอีกครั้ง โชพยักหน้ารับทราบข้อมูลก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“แล้วนี่เราสองคนจะกลับมหา’ลัยกันยังไงนะ? ให้ผมไปส่งไหม?” โชถาม พร้อมเสนอตัว

“ไม่เป็นไรครับ ไปมา ๆ คุณจะเหนื่อยเปล่า ๆ เดี๋ยวผมนั่งรถตู้กลับพร้อมเจ้ามาร์ได้” ผมว่า เรานิ่งเงียบ ประสานสายตากัน

“ผมไปเข้าห้องน้ำแปปหนึ่งนะครับ” เจ้ามาร์บอก แล้วลุกออกจากโต๊ะไป พนัน 20 เหรียญเลย มันโกหกเพราะต้องการปล่อยให้ผมอยู่กับโชสองคนแน่ ๆ ไอ้เพื่อนเวร !!!

“คุณกลัวเพื่อนรู้เหรอ?” โชเปิดประเด็น ผมส่ายหน้า

“ไม่หรอก ผมไม่ได้กลัวทั้งนั้น ถ้าจะคบใครสักคน ยังไงเพื่อนผมก็ต้องรู้แหละ เพียงแต่ที่ผมไม่ได้อยากให้คุณไปส่ง เพราะผมคิดว่ามันเสียเวลาคุณเปล่า ๆ ” ผมว่า

“จะขับรถกลับไปกลับมาทำไมหลาย ๆ รอบ ยิ่งคุณทำงานมาเหนื่อย ๆ  อีก”

“ก็ผมเป็นห่วงคุณ”

“...แล้วคิดว่าผมไม่ห่วงคุณที่ขับรถไป ๆ มา ๆ เหรอครับ?”


เราจ้องตากันอยู่นานสองนาน สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ถอนหายใจแล้วโบกไม้โบกมือตรงหน้าผมเป็นเชิงยอมรับในการตัดสินใจของตัวผมเอง

“ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดแล้วก็...” ผมเว้นวรรค โชมองหน้าเหมือนรอให้ผมพูดต่อให้จบ

“คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีเหมือนกัน ตอนที่ผมยังไม่สามารถดูแลคุณได้นะครับ” ผมพูดต่อจนจบ เจ้านากเผือกสีหน้าขึ้นเลือดฝาดเล็กน้อย ก่อนจะตะแหง่ว ๆ เปลี่ยนเรื่องไปซะแบบนั้น

“ว่าแต่ว่า ไปบ้านน้องเขามา เป็นไงบ้างครับ?” เขาถาม ผมกลืนน้ำลายเหนียว  ๆ ลงคอ กำลังคิดว่าจะพูดความจริงออกไปทั้งหมด กึ่งเดียว หรือไม่พูดอะไรออกไปเลยดี แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะจ้องตาเขาแล้วตอบ

“ผมไปอธิบายเรื่องทั้งหมด ทั้งตัวผมเอง ทั้งเรื่องการตัดสินใจ แล้วก็...” ผมว่า พูดค้างไว้ มองหน้าเขา และพูดต่อ

“เมื่อคืนผมมีอะไรกับน้องเขาด้วย ทั้งสองคนเลย”

พอพูดจบผมก็รอดูรีแอคชันตอบกลับจากโช เขาอ้าปาก ใบหน้าเขินอมชมพู พร้อมทั้งพูดตอบผมกลับว่า

“นี่คุณ...พร้อมกันสองคนได้ด้วยเหรอ แข็งแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เขาว่า เสียงเหมือนติดจะเขิน ๆ

“ก็ ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่มันก็...เดี๋ยวก่อนคุณ โอ๊ย คุณโฟกัสผิดประเด็นรึเปล่าเนี่ย” ผมว่า ไม่รู้ทำไมต้องมาเขินกับข้อสังเกตง่าย ๆ ที่เขาตั้งคำถามด้วย แต่ประเด็นคือ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจำเป็นจะต้องเอามาพูดกันแบบนี้ไหมล่ะครับ

 เขาควรโฟกัสที่ว่าผมกำลังนอกใจเขารึเปล่าไม่ใช่เหรอ?

“แล้วคุณจะให้ผมโฟกัสอะไร...รึเปล่าคุณไม่ได้ป้องกัน?” เขาพูดต่อพร้อมทำตาโต สาบานได้ว่าถ้านั่งข้าง ๆ กัน ผมจะหยิกเอวเขาสักทีสองที ให้เขียวเป็นจ้ำ ๆ ผมตวัดมองค้อนพร้อมตอบกลับ

“ป้องกัน และก็เปลี่ยนถุงยางอนามัยด้วย ตอนที่มีอะไรกับคนที่สอง แต่เรื่องที่ผมคิดว่าคุณน่าจะโฟกัส คือเรื่องที่ผมไปมีอะไรกับคนอื่นรึเปล่า” ผมถามเข้าเป้า เขาร้องอ๋อออกมาหนึ่งคำ แล้วตอบกลับ

“ก็ ไม่เชิงว่าไม่รู้สึกอะไร พอได้ยินตรง ๆ ผมก็ตกใจแหละนะ แต่ก็คิดได้ว่าเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน เป็นแค่คนคุย แล้วอีกอย่าง ผมก็เคยบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมโอเคกับการที่คุณมีอะไรกับคนอื่น แต่ต้องป้องกัน แค่นั้นเอง” เขาว่า และประโยคนั้นยิ่งเหมือนค้อนที่กลับมาทุบผม เพราะผมเองนั่นแหละ    ที่เป็นคนพูดว่าไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น

ผมถอนหายใจออกมาแล้วเอามือเขกกบาลตัวเอง

“คุณกำลังรู้สึกผิด?” โชถาม ผมพยักหน้า

“อ่ะ ถ้าแบบนั้นผมก็อยากจะบอกว่า ผมดีใจนะ นั่นแปลว่าคุณแคร์ผมจนคุณรู้สึกผิดและละอายแก่ใจตัวเอง แต่ยังไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนั้นก็ได้ เพราะเอาจริง ๆ ผมก็คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะมีอะไรกับคุณนะ” เขาว่า

“ดังนั้นแล้ว มันก็ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าไม่แฟร์อะไรหรอก ที่คุณจะไปมีอะไรกับคนอื่น” โชเสริมต่อ ผมพยักหน้ารับคำแต่ส่ายหน้าเบา ๆ

“คุณไม่ควรใจกว้างมากขนาดนั้น ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่คุณไม่คิดอะไรมาก แต่อีกใจผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าคุณไม่ได้หวงผมจริง ๆ จัง ๆ สักเท่าไหร่” ผมว่า ท้ายประโยคแอบตัดพ้อเบา ๆ

“หวงสิ...”

“...”

“ผมหวงคุณมาก ๆ แต่ผมก็เข้าใจคุณดีมาก ๆ เหมือนกัน คุณเป็นแอคเค่อ เป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีความกำหนัด มีความต้องการ และนั่นก็ทั้งเด็กที่คุณเอ็นดู ทั้งคนที่คุณเคยคบหาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นแล้วพฤติกรรมที่แสดงออกมา อย่างน้อยแค่คุณกล้าที่จะยืดอกบอกกับผมตรง ๆ มันก็โอเคมาก ๆ แล้วสำหรับคนที่ยังไม่ได้มีสถานะอะไรกันเลย ผมถึงบอกไงว่าผมดีใจ ที่เหมือนคุณจะแคร์ผมบ้างแล้ว ถึงคิดในการกระทำของตัวเองแต่ละครั้งว่ากระทบกับผมไหม” โชว่า เขายิ้มตาหยี

“ครับ”

“แล้วคิดว่า มันจะมีแบบนี้อีกไหม สำหรับเด็กสองคนนั้น?” เขาถาม

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าถามผม คงไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผมสร้างบาดแผลไว้ให้กับพวกเขามากเกินไปแล้ว สักวันเขาจะก้าวผ่านรอยร้าวนั้นไปได้ ส่วนเซ็กซ์เมื่อคืน สำหรับผมแล้วมันคือคำอธิบายทุกคำพูด ที่ใช้ร่างกายต่างหลอดลมในการตะโกนพูดถ้อยคำหลาย ๆ อย่างออกไป ผมบอกรักพวกเขาผ่านการกระทำของผม แต่เป็นการบอกรักกันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้สิ คุณอาจจะมองว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างในการสนองความต้องการของตัวผมเองก็ได้นะ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับคำแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ก็...ไปเคลียร์ให้จบแล้วกันนะครับ สำหรับทุกเรื่องเลย” โชว่า ผมพยักหน้ารับคำเขาบ้าง

“ขอบคุณนะครับ”

“ผมมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ” เขาพูด ผมถอนหายใจเบา ๆ คน ๆ นี้บทจะดีก็ดีไปหมดจริง ๆ เล่นเอาผมเดาทางไม่ออกเลยว่า ถ้าเวลาที่เขาเจอเรื่องไม่โอเคขึ้นมา เขาจะรับมือกับมันยังไงบ้าง ในโหมดเกรี้ยวกราดจะมีการออกอาการอาละวาดอะไรบ้างไหมนะ?

...ผมรู้เรื่องเขาน้อยเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ

“ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้จังครับโช”

“...”

“สัญญานะ ต้องเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องคุณบ้าง ผมอยากค่อย ๆ รู้จักคุณไปเรื่อย ๆ แบบนี้จังเลย” ผมว่า โชหลับตาลงแล้วพยักหน้าเบา ๆ

“อื้ม ...ผมจะอยู่กับคุณ จนกว่าคุณจะรู้จักผมดีเลยแหละ”

ไม่รีบ ไม่ร้อน เป็นความสัมพันธ์เย็น ๆ ที่ผมสัมผัสได้ระหว่างเราสองคน มีช่องว่างตรงกลางให้ได้อยู่คนเดียวให้หายเหนื่อยบ้าง ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน รับรู้ว่าเราค่อย ๆ ปล่อยให้เรื่องทั้งหมด จากทั้งความรู้สึกและอื่น ๆ พัฒนาตามกาลเวลา และเหตุการณ์ที่เราทั้งคู่ได้พบเจอ ผมค่อนข้างชินกับความสัมพันธ์ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเดินต่อด้วยตัวมันเอง ส่วนเราก็ทำแค่เพียงประคับประคองมัน

…ผมหวังว่า ‘เรา’ จะ ‘ใช่’

เรานั่งคุยกันต่ออีกสักพักถึงเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ก่อนเจ้ามาร์จะกลับมาจากห้องน้ำ หลังผมไลน์ไปบอกมันว่าทุกอย่างโอเคแล้ว ให้กลับมาได้แล้ว ก็เป็นผมเองที่ขอเวลาไปเข้าห้องน้ำชั่วครู่บ้าง พอกลับมาผมก็เห็นโชหน้าแดงนิดหน่อย พนันเพิ่มอีกหนึ่งร้อยเหรียญ ผมว่าเข้ามาร์ต้องแอบปั่นเรื่องของผมให้โชได้ฟังอย่างแน่นอน

ผมกลับไปนั่งคุยที่โต๊ะ เราคุยเรื่องอะไรกันนิดหน่อย ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่าเราคงออกมาเจอกันอีก หมายถึงผมกับโช และอาจจะมีเพื่อน ๆ ผมบางคนมาแจมด้วยในกรณีที่เรามี Topic อะไรที่อยากหาแนวร่วมในการสัมภาษณ์ โชเดินมาส่งผมกับมาร์ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไปลงอนุสาวรีย์ ก่อนจะนั่งรถตู้กลับที่พักและมหาวิทยาลัยของเรา

ก่อนจะแยกย้ายกันหน้าหอพัก เจ้ามาร์ซักไซ้ผมไม่หยุดถึงที่มาที่ไปของโช แต่ก็นั่นล่ะ ใครจะเล่าได้ว่าไปเจอกันอีกท่าไหน สุดท้ายผมใช้ความเงียบสยบทุกคำถาม ไม่ตอบและไม่บอกว่าเรื่องราวของเราสองคนมันเป็นมายังไง แอบปวดหัวไม่น้อยที่พรุ่งนี้ผมน่าจะโดนยิงคำถามจนพรุนแน่ ๆ จากเพื่อน ๆ ทั้งโต๊ะ เพราะตอนนี้ไลน์กลุ่มและไลน์ส่วนตัวผมก็แทบจะลุกเป็นไฟแล้ว จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนานะ เจ้าพวกนี้ กับอีแค่ผมจะมีแฟนแค่นั่นเองนะเว้ย

...แค่นั้นจริง ๆ เหรอวะ?

พอคิดได้แบบนั้น อยู่ดี ๆ ผมก็หน้าแดง เขินอายออกมาแบบไม่มีสาเหตุ..  สาเหตุน่ะมี แต่ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าบทพอมันจะได้เจอใครสักคนแล้วเราก็จะได้เจอกันจริง ๆ ถ้าพูดแบบลงลึกไปมากกว่านั้น พอเวลามีความสุขทีไร ผมจะหวาดกลัวทุกที ว่าฉากต่อไปมันจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดี ๆ ขึ้นระหว่างเราไหม

ในตอนนั้นเองที่ผมได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

กลิ่นนิโคตินจัด ๆ ที่ผมไม่ได้สูดดมมาแล้วสักพักใหญ่ ๆ

เจ้าของกลิ่นนิโคตินที่ผมคุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้าผม มองตรงมาเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมต้องเดินผ่านมาทางนี้ เขายกมือขึ้นเหมือนจะทักทายกัน ส่วนผมยืนนิ่ง และก็เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายเปิดประโยคพูดขึ้นมาก่อน

“สวัสดี คุณคนในโปสเตอร์”

 

สามทุ่มกว่า แสงไฟในมหาวิทยาลัยของผมมืดดับลงอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะไม่ใช่ช่วงที่มีกิจกรรมอะไร ทำให้เวลานี้ก็แทบจะไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่แล้ว อาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟข้างทาง ผมเดินข้าง ๆ เขา เตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ โดยที่ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันสักประโยค

ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขา ก็คือวันนั้นสินะที่ผมได้เจอกับพี่พอร์ชโดยบังเอิญที่โรงหนัง

“คุณดูอ้วนขึ้นนะ” ผมทักเขายิ้ม ๆ  เขาพยักหน้าขึ้นลงแล้วตอบกลับผมมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“น้ำหนักผมขึ้นมาสามกิโล”

“ยินดีด้วยคุณ” ผมว่า ยินดีกับเขาด้วยจากใจจริง ๆ สภาพเขาดูดีขึ้นกว่าตอนที่เราเจอกันครั้งแรกมาก ๆ อย่างน้อยที่สุดผมก็สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาและตัวตนของเขา จากคนที่แตกสลายจนดูเหมือนจะไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต

เราจบบทสนทนาที่ตรงนั้น ก่อนจะเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ วนรอบสระน้ำกลางมอ เขาเดินนำผมไปนั่งลงเงียบ ๆ มองน้ำพุที่กำลังพุ่งขึ้นลง เหมือนไม่สนใจว่าเราสองคนกำลังนั่งมองอยู่

“คุณ” เขาเรียก แต่สายตาไมได้มองหน้าผม

“ครับ?”

“ทำไมวันนั้นผมถึงจูบคุณไม่ได้เหรอครับ?”

“...”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ที่บ้านร้าง ดาดฟ้า โรงหนัง ไปจนถึงตอนนี้ ทำไมผมถึงจูบคุณไม่ได้เหรอครับ?” เขาถาม น้ำเสียงไม่ได้กวนประสาท แต่เป็นน้ำเสียงที่มาจากความสงสัยจริง ๆ แววตาที่มองมา ก็สื่อชัดถึงความอยากรู้ที่ตนเองต้องการ

“ผมจะจูบกับคุณได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมว่า

“แล้วทำไมคุณถึงจูบคนอื่น ๆ ได้” เขาถามต่อ

“ก็คนเหล่านั้นเขาเป็นคู่นอนผม” เพราะอีกฝ่ายถามด้วยความสงสัยจริง ๆ ผมถึงได้ตอบออกไปด้วยความจริงใจเช่นกัน เราหันมามองหน้ากัน เขาทำหน้านิ่ง ๆ ไปก่อนจะพูดต่อ

“งั้นถ้าผมอยากเป็นคู่นอนของคุณบ้างล่ะ?”

เป็นเวลาเกือบสามสิบวินาทีที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นปริศนาอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนที่ผมรู้สึกเหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน ผมเหมือนรู้สึกว่าเรารู้จักกันก่อนหน้าจะเจอกันที่บ้านร้าง แต่มันไม่มีอะไรชัดเจนเลยนอกจากความรู้สึกว่า ผมไม่สามารถจูบกับคน ๆ นี้ได้

....นั่นสิ ทำไมนะ? ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้มีใคร เขาเอง แม้จะดูโทรมไปบ้างในช่วงนั้นที่เราได้เจอกันเป็นครั้งแรก แต่หน้าตาก็ไมได้แย่ นิสัยที่เจอก็ไม่ได้ถึงขนาดทำเอาผมไม่อยากเจออีกเป็นครั้งที่สอง ทำไมผมถึงวิ่งหนีคน ๆ นี้ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับเลยแท้  ๆ

ผมส่ายหน้าช้า ๆ มองตอบเขาด้วยความรู้สึกทั้งหมด

“ตอนนี้...ผมไม่สามารถเป็นคู่นอนให้กับใครได้อีกแล้ว” ผมว่า เขาหันหน้าไปมองหน้าอื่น สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเอ่ยปากแสดงว่าเขาเข้าใจความนัยทั้งหมดที่ผมพูดถึง

“ผมช้าไปอีกแล้วใช่ไหม?”

ผมไม่ได้ตอบคำถามอะไรกับเขา เพราะรู้ดีว่าการพูดอะไรออกไปจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายเพิ่มเติมเปล่า ๆ ที่สุดแล้ว คนแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญได้เจอกันในช่วงเวลาต่าง ๆ เราคงไปได้ไกลสุดแค่คนที่เคยผ่านเข้ามาอยู่ในช่วงชีวิตของกันและกันในระยะเวลาสั้น  ๆ ผมระบายลมหายใจออกจากปอด ไม่อยากลุกหนีในสภาวะที่อีกฝ่ายยังไม่พร้อม

“คุณครับ”

“....”

“จะมากไปไหม ถ้าผมจะขออะไรคุณสักอย่าง” เขาว่า แล้วเว้นวรรค ผมเงียบมองหน้าเขา สายตาสัมผัสได้ถึงความต้องการของเขาจริง ๆ ที่ออกมาจากข้างใน ผมนิ่งเงียบเพื่อเป็นฝ่ายรอให้เขาพูดความต้องการของตัวเองออกมา

“...ไปเดทกับผมสักครั้งได้ไหมครับ?”

 

ผมใช้ระยะเวลาในการเดินกลับมาถึงหอพักตัวเองไม่ถึงสิบห้านาที ขึ้นไปชาร์จแบตมือถือ ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย พอเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วผมก็กระโดดขึ้นไปนอนบนหมอนและผ้าเน่า ผมกลิ้งตัว ส่ายไปมา นึกไม่ออกว่าควรจะบอกโชยังไงดีกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว

สุดท้ายแล้วคิดมากไปก็ไม่ได้อะไร มีแต่ต้องคุยกันเท่านั้นถึงจะได้คำตอบในความรู้สึกของเราทั้งสองคน ผมกดโทรศัพท์ออกไปหาโช ใช้ระยะเวลาไม่นานเชาก็กดรับสาย

‘ถึงห้องแล้วเหรอครับ?’ เขาทัก

“ใช่ครับ ผมถึงห้องแล้ว โชล่ะ ถึงไหนแล้ว?” ผมตอบ และต่อบทสนทนา

‘วันนี้ผมนอนที่คอนโดครับ ไมได้กลับบ้าน ...แล้วเป็นยังไงบ้าง หายเจ็บบาดแผลรึยังครับ’  ท้ายประโยคน้ำเสียงเขาอ่อนลงจนผมสัมผัสได้ถึงความห่วยใย

“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ  ผมคิดว่าเด็ก ๆ น่าจะไม่ได้ใส่เต็มแรงมาก” ผมหัวเราะแก้ตัวแทนเจ้าโฟล์ค ทั้ง ๆ ที่จริง อีกฝ่ายแทบจะง้างหมัดใส่ผมสุดแรงเกิดด้วยซ้ำ

‘ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้วครับ ผมเป็นห่วงนะ’

“ผมรู้”

‘....’

“ผมเข้าใจดีทุกอย่างเลย และผมดีใจมาก ๆ ด้วยที่โชเป็นห่วงผม” ผมว่า เผลอยิ้มออกมากับผ้าเน่าของตัวเอง ปลายเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหยอกผมกลับ

‘อ้อนเก่งแบบนี้ มีอะไรอยากได้รึเปล่าครับ?’ เขาแม่นเหมือนตาเห็น ผมชะงักไปจนอีกฝ่ายถามซ้ำกลับมาอีกครั้ง

‘ฮัลโหล...ผมเดาถูกเหรอ?’ เขาว่า

“อื้ม ผมมีเรื่องอยากถามโชนิดหน่อยนะ ว่าถ้าแบบนี้จะโอเคไหม” ผมเปิดประเด็น

‘แบบไหนครับ?’

“ก็คือว่า...”

แล้วผมก็ค่อย ๆ เล่าเรื่องของคุณคนนั้นให้โชฟัง ตั้งแต่วันที่ผมเจอเขาเป็นครั้งแรก โชรับคำผมเป็นระยะ ๆ ก่อนจะแอบกระแอมแซวผมในบางช่วง เช่นตอนที่ผมไปเอ้าดอร์ และเรื่องบนดาดฟ้า แต่เจ้าตัวก็สุภาพมากพอจะรอให้ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด ก่อนจะเข้าประเด็นที่ผมอยากจะบอกกับเขา

“เขาบอกกับผมว่า เขาอยากขอโอกาส...”

‘...’

“เขาอยากขอ 24 ชม. จากผม แล้วหลังจากนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะโอเคตามนั้น” ผมอธิบาย ขยายความหมายเพิ่ม ปลายสายเงียบลงจนผมกลัวใจ

“โชคิดว่าไงบ้างครับ?” ผมถาม อยากรู้ว่าเขาคิดยังไงบ้าง

‘คุณรับปากเขาไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?’ โชถามกลับ ผมร้องอ่าขึ้นมาหนึ่งคำ ก่อนเขาจะพูดต่อ

‘ก็ถ้าคุณไม่คิดจะไป คงไม่พูดเรื่องนี้กับผมตั้งแต่แรก’ เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจนคำพูด ตอนนี้สภาพเหมือนผู้ร้ายที่กำลังสารภาพความผิดกับเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน

“คุณโกรธผมไหม?” ผมถามเขาตรง ๆ

‘จะโกรธเรื่องอะไรละครับ?’ เขาถามกลับ น้ำเสียงคาดเดาไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

‘คุณ เปิดกล้องหน่อยครับ’ เขาว่า แล้วกดคลิกเปิดกล้องมา ผมกดเปิดตาม ก่อนจะตั้งกับหมอนให้ชันเห็นหน้าเราทั้งคู่

“คุณใส่แว่นด้วยเหรอ?” ผมทัก เขาพยักหน้าแล้วชี้ไปที่แลปท็อป

‘แว่นกรองแสงสีฟ้านะ’ ผมร้องอ๋อ แล้วลากน้ำเสียงยาว  ๆ

‘ที่ผมเปิดกล้อง เพราะผมอยากให้คุณเห็นหน้าผมชัด ๆ มันจะได้เป็นการสื่อสารที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ ไม่ต้องตีความไปเอง’ โชว่า ผมพยักหน้ารับคำ เขาสูดลมหายใจเขาปอดลึก ๆ  ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง

‘อย่างแรกเลย.... ผมหึงโว้ย!!!’

ผมสะดุ้งตัวกับเสียงตะโกนของเขา พลางงุนงงกับท่าทีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  โชทำปากจู๋ กอดหน้าอก เอาแว่นคาดไว้ที่หน้าผาก ก่อนจะพูดกับผม

‘คุณนะ น่าหมั่นไส้มากที่สุด ...บทจะฮอตก็ฮอตซะเหลือเกินนะพ่อคุณ โว้ย คุณรู้ไหมว่าผมเดาได้ตั้งแต่คุณเกริ่นนำแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้แน่ ๆ ต้องมีใครสักคนมาสนใจในตัวคุณแน่ ๆ ทีซื้อหุ้นล่ะไม่เคยเก็งแม่นเท่านี้มาก่อนเลย’ เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ส่วนผมเกาหัวแกรก ๆ เพราะไม่เคยเจอเขาในเวอร์ชันนี้มาก่อน

‘ไปเถอะ ผมไมได้ว่าอะไรหรอก’ เขาสรุปเงียบ ๆ

“...นี่คุณงอนผมรึเปล่า” ผมถามเสียงเบา แอบเริ่มกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา โชตวัดค้อนวงใหญ่มาให้ผม ก่อนจะพองแก้มขาว ๆ แล้วพูดหงุบหงิบตอบกลับมา

‘จะบอกว่าไม่งอนก็ไม่เชิงหรอก แต่ผมแค่หงุดหงิดน่ะ คุณเข้าใจอารมณ์ผมไหม แบบ ผมไม่ได้โกรธคุณ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณเลย และที่ผมให้ไปก็คือผมยินดีให้คุณไปจริง ๆ มันจะได้เคลียร์ให้จบ ๆ ไป ปล่อยไว้แบบนี้มีแต่จะค้างคาใจอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตเปล่า ๆ แต่ว่า...’

“..ว่า?”

‘ก็ผมหวงคุณอ่ะ ผมไม่ได้คิดมากหรอก เรื่องจะไปเดทอะไรนั่น แต่ผมหวง ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับคุณเลย ซึ่งมันบ้ามาก ๆ ที่ผมหวงคนอื่นได้มากขนาดนี้’

“ครับ” ผมรับคำเงียบ ๆ สมองเหมือนโดนทุบด้วยค้อน หน้าอกหน้าใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มันเป็นความรู้สึกทั้งยินดีที่อีกฝ่ายออกอาการมากขนาดนี้ ปนงง ๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้านากเผือกในกล้องกอดอก หรี่ตามองผม แล้วพูดอีกเป็นประโยค

‘ผมเชื่อใจคุณ’

“....”

‘ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว คุณไปเดทกับเขา 24 ชม แล้วระหว่างเรามันจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหม ผมก็จะยอมรับตามนั้น เพราะไม่งั้นแล้วผมคงต้องมานั่งลุ้นทุกนาทีว่าคุณจะเจอใครคนใหม่ที่น่าสนใจจนคุณต้องไปเดทกับเขารึเปล่า ผมทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเชื่อใจในตัวคุณและตัวผมเอง ถ้าคุณเป็นคนแบบที่จะเปลี่ยนแฟนเพราะเจอคนใหม่ที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ แบบนั้นแล้ว ผมเองก็ไม่อยากได้เหมือนกัน คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?’

“ครับ”

‘อาจจะเข้าข้างตัวเองไปหน่อยๆ  แต่ผมเชื่อนะ ...ลึก ๆ แล้ว ยังไงคุณก็ต้องเลือกผม’

“หลงตัวเอง” ผมแซว โชยักคิ้วกวนโอ๊ยใส่

‘ใช่ และหลงคุณด้วย’ เขาแซวกลับ ดอกนี้เล่นเอาผมหน้าแดงไปเหมือนกัน

“งั้นสรุปแล้ว ผมไปเดทกับเขานะครับ” ผมว่า แปลกดีเหมือนกัน ถ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อน ผมคงไม่ต้องทำอะไร แค่ต้องสลับรางตัวเองให้ทันเท่านั้นเอง

‘ครับ ไปเถอะ....’

“...”

‘กลับมาแล้ว ก็ช่วยดูแลความสัมพันธ์ของเราให้ก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยนะครับ’ เขาว่า เอาหน้าซุกกับตุ๊กตาเสือในห้อง ผมพยักหน้าแล้วตอบกลับเป็นครั้งสุดท้าย

“ผมจะดูแลให้คุณรู้สึกได้เลย ...ว่าผมเลือกคุณจริง ๆ นะ”





Time talk : ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ จะพยายามต่อไปนะครับ สำหรับใครที่อีกไม่กี่วันจะสอบแกทแพทแล้ว ก็พยายามเข้านะครับ เชื่อว่าผลลัพท์ของความพยายามต้องออกมาสมใจปรารถนาแน่นอนครับ ในส่วนของพ่อแมวก็จะมีประกาศข่าวสารต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ พรุ่งนี้อาจจะมีประกาศมาเพิ่ม

รักทุกคนเสมอ ฝากน้อง ๆ ด้วยนะครับ

พ่อแมว

19/02/19

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2019 14:49:44 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
«ตอบ #138 เมื่อ20-02-2019 01:22:12 »

 :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
«ตอบ #139 เมื่อ20-02-2019 20:19:42 »

นาคน้อยน่ารักมากๆ  :hao7: :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.28 Hope you so | P5 |19/02/62
« ตอบ #139 เมื่อ: 20-02-2019 20:19:42 »





ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
«ตอบ #140 เมื่อ21-02-2019 21:45:28 »

Ep.29  24 HR. [Part I]




เวลา 24 ชม. ดูเหมือนจะเป็นเวลาที่ไม่เยอะ ถ้านับในมุมมองว่าคนเราต้องนอนอย่างน้อย 6-8 ชม. ผมก็คิดแบบนั้น
...แต่เขาไม่ได้คิดแบบนั้นตามผม

“เอาจริงดิ?” ผมถาม ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลา 00.01 นาฬิกา ให้ตายเถอะ อยู่ดี ๆ เขาก็ปลุกผมลงมาหาเขาที่หน้าหอในเช้าวันเสาร์ (เพิ่งจะเป็นวันเสาร์มาหนึ่งนาทีกว่า !!!) ที่เรานัดกันไว้ เหมือนล้อกันเล่น แต่ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเอาจริงแค่ไหนกับสภาพแต่งตัวเตรียมพร้อมของเขา

“ขึ้นมาเร็วคุณ คุณทำผมเสียเวลาไปแล้วนาทีกว่า ๆ ” เขาเร่ง ผมทำท่าเอามือไล่ตั้งแต่หัวให้ดูว่าผมไม่ได้พร้อมในการไปไหนมาไหนแม้กระทั่งหน้าปากซอยแถวหอด้วยซ้ำ

“ผมขอไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนได้ไหม” ผมว่า เขาส่ายหน้าช้า ๆ แล้วชี้ไปที่ด้านหลัง

“ผมเตรียมไว้ให้คุณหมดแล้ว” ผมเบ้ปาก ทำหน้าบอกบุญไม่รับกับความเผด็จการของคน ๆ นี้ สุดท้ายตัวเองก็เลือกที่จะขึ้นไปนั่งบนรถพอร์ชคันงาม

ให้ตายเถอะ เลือกรถมารับได้พอดีเป๊ะเกินไปเลยนะคุณนิโคติน

“คุณจะรีบไปไหน” ผมว่า หลังตัวเองคาดเข็มขัดเสร็จ เขาเหยียบรถออกไปก่อนจะพูดกับผมว่า

“ผมมีเวลาไม่มากแล้ว...”

“...”

“24.ชม มันน้อยเกินไป จนผมอยากจะใช้มันในทุกวินาทีไปกับคุณ” เขาว่า

พอเห็นแบบนั้นผมก็ถอดใจ ยอมแพ้กับความดื้อของเขา พยักหน้ารับคำ แล้วคว้าถุงเสื้อผ้าด้านหลังเอาขึ้นมาเปลี่ยนลวก ๆ เอาเข้าจริงแล้วผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพาผมไปไหน

หลังจากวันนั้นที่ผมโทรศัพท์ไปคุยกับโช เจ้านากเผือกบอกกับผมว่าเขาเชื่อใจและไว้ใจผม ดังนั้นแล้วตลอดวันทั้งวันนี้ ผมจะไม่แตะต้องมือถือ หรือจริง ๆ แล้วก็คือแบตฯโทรศัพท์ผมเหลือไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ ผมหลับไปตั้งแต่ช่วงประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ เพิ่งจะได้นอนไปไม่ถึงสองสามชม.เอง

“ง่วงนอนเหรอคุณ?” เขาถาม ผมพยักหน้าสัปหงกแทนคำตอบ

“ไว้ไปนอนบนเครื่องแล้วกันนะ” เขาว่าต่อ ผมหันขวับเหมือนจะถามย้ำให้แน่ใจว่าเอาจริงเหรอ? แต่เจ้าตัวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรอีก ผมเลยถอนหายใจแล้วปล่อยเลยตามเลย มาถึงขนาดนี้ถ้าเขาจะหลอกผมไปขายที่ชายแดน ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากพยายามโบกรถกลับมา

ถนนยามค่ำคืนโล่งเหมือนเป็นใจ ขึ้นทางด่วนมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เข้าสู่สนามบิน เจ้านิโคตินตัวแสบขับมาจอดเทียบชั้นสอง ก่อนจะส่งกระเป๋าให้ผมถือสองใบ ส่วนเขายื่นกุญแจรถให้กับผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันมาเรียกให้ผมเดินตามเข้าไปด้านใน

“อันนี้ของคุณ” เขาว่า พลางส่ง boarding pass ที่แสดงชื่อผมมาให้ ผมทำหน้าปูเลี่ยนนิดหน่อย กลายเป็นว่าเขาเป็นอีกคนที่รู้ทุกข้อมูลของผมทั้งหมดแล้วสินะ แต่ก็เอาเหอะ ผมถอนหายใจเงียบ ๆ กับตัวเอง สุดท้ายแล้วหลังจากนี้ไป ผมก็คงจะกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรต้องปิดบังกับคนอื่นอีกต่อไปแล้วล่ะ

ผมสังเกต boarding pass ที่เขาส่งมาให้ จุดหมายปลายทางของเราคือกระบี่ รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นก็เป็นข้อมูลส่วนตัวของผม กับที่นั่งของเราสองคนที่อยู่ริม เวลาขึ้นเครื่องคือช่วงประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ ถึงที่นั่นเกือบตีสองหรือเร็วกว่านั้น ไม่รู้สิ ผมไม่เคยไปกระบี่ด้วยวิธีนี้

“บ้านคุณผลิตแบงก์ใช้เองเหรอ?” ผมเหน็บไอ้คนรวยข้าง ๆ ตัว เขายักไหล่แล้วบอก

“คุณว่าคนที่เล่นไอซ์ได้ทุกวันต้องรวยไหมล่ะ?” พอเขาแซะตัวเองกลับแบบนั้น ผมเลยเถียงอะไรไม่ออก เออ ไอ้รวย ผมบุ้ยปากทำหน้าหมั่นไส้จนเขาเขกมะเหงกมาทีหนึ่ง

“เจ็บนะเว้ย” ผมว่า เขาแลบลิ้นใส่

“ข้อหานินทาผมในใจ”

“คิดไปเอง” ผมตอกกลับ

“...ก็คิดไปเองมาตลอดแหละ” ท้ายประโยคเขาตอบกลับด้วยเสียงเบาบาง ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี เลยนั่งเงียบ ๆ ไป เขาลุกออกไปสักครา เหม่อไปได้แปปหนึ่งเขาก็กลับมาพร้อมของกินเต็มมือ ผมยิ้มแล้วรับแฮมเบอร์เกอร์ร้อน ๆ เข้าปากแล้วเคี้ยวทานเงียบ ๆ พอกินเสร็จเขาก็ส่งน้ำเปล่าขวดเล็กมาให้

“จะพาผมไปไหนบ้างเนี่ย?” ผมถาม เขายิ้มอย่างมีเลศนัย คิดอยู่แล้วล่ะว่าคงไม่ตอบ แต่ก็ถามอยู่ดี เขาเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะสอด Air pods ใส่หูผมข้างหนึ่ง ส่วนตัวเองใส่อีกข้าง แล้วก็นั่งพิงข้าง ๆ ผม ปลายนิ้วสไลด์ไอโฟน ก่อนจะกดเล่นเพลงที่ค้างไว้

...เป็น Back To Black ของ Amy Winehouse

“คุณดูจะชอบ Amy มากนะ” ผมตั้งข้อสงสัย แต่ไม่ยอมบอกออกไปว่าตัวเองก็ชอบเหมือนกัน

“ตอนแรกก็ไม่ชอบ แต่มีคนมาทำให้ผมชอบ ผมก็เลยตามฟังหลังจากนั้นมาเรื่อย ๆ อีกอย่างประวัติเอมมี่น่ะ น่าสนใจนะ ผมชอบทุกพาร์ทในชีวิตหล่อน มันดู...เป็นชีวิตที่เป็นชีวิตดี คนที่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วก็หล่นลงมาในจุดที่ต่ำที่สุดของชีวิต” เขาว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“หล่อนเป็นผู้หญิงโชคร้ายนะ” ผมว่า ใจนึกไปถึงผู้หญิงผมยาว ตาโตเข้ม ร้องเพลงด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ตัวเองมี

“จริงเหรอ?”

“...”

“Amy น่ะเหรอ ผู้หญิงโชคร้าย?” เขาถาม ดวงตาคมกริบจับจ้องมาที่ผม ไม่ได้กดดัน แต่ก็ให้ความรู้สึกเกร็งประมาณหนึ่ง เขายิ้มเย็น ๆ ออกมา ก่อนจะเล่าถึง Amy ‘ในสายตาของเขา’

“เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เกิดมามีพ่อเจ้าชู้ แต่ดันมีพรสวรรค์ กับแม่ที่คิดว่าความรักคือการปลดปล่อย บังเอิญจับพลัดจับพลูโด่งดังขึ้นมาจนกลายเป็นนักดนตรีสุดฮอต หลงรักผู้ชายคนหนึ่งจนหมดหัวใจ ถึงขนาดแทบจะยอมตายแทนกันได้ สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตอบแทนความรักทั้งหมดที่เธอมอบให้กับโลกใบนี้ คือการฉีกกระฉากเธอให้ตายทั้งเป็นด้วยสิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวเธอ ...คุณคิดแบบนั้นใช่ไหม?”

“...”

“งั้นเอาใหม่ ... ‘จริงเหรอ’ ของผมน่ะ หมายถึง Amy เลือกไม่ได้จริง ๆ เหรอ? หล่อนเลือกไม่ได้ว่าตัวเองจะดัง เลือกไม่ได้ว่าต้องทำให้การร้องเพลงกลายเป็นธุรกิจ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดนั่นก็เจ้าตัวเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนเลือกเองกับมือ เลือกที่จะเซ็นสัญญา เลือกที่จะเดินทางในสายนี้ แม้กระทั่งแฟนสารเลวนั่น ก็ตัวเธอเองไม่ใช่เหรอที่หลงรักเขาหมดหัวใจ หรือกระทั่งตอนที่เสพยาจนเสียชีวิต ....มีตอนไหนบ้างเหรอที่ใครจับมือหล่อนให้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง?”

เขาพูดยาว น้ำเสียงเย็นจนผมขนลุก แววตาไม่เชิงล้อเล่น เขายิ้ม แต่เหมือนเป็นยิ้มที่เหมือนจะเย้ยหยันอะไรสักอย่างมากกว่า

“คนที่น่าสงสาร คือคนที่ไม่เคยเลือกอะไรสักอย่างให้ชีวิตตัวเองได้เลยต่างหาก”

“งั้นเราทุกคนก็คือคนที่น่าสงสาร...เพราะเราต่างก็มีบางเรื่องที่เรา ‘เลือกไม่ได้’ ทั้งนั้น” ผมว่า เขาพยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ก็ต้องถามตัวเองด้วยนะ ‘เลือกไม่ได้’ หรือ ‘ไม่ยอมเลือก’ กันแน่ ความหมายใกล้เคียงกัน แต่หลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกันโข.... Amy น่ะ หล่อนคือคนที่ตายลงไปแล้ว คนตายนะ บอกไม่ได้หรอกว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า หลายคนอาจจะมองว่าการเสพยาจนตายเป็นอะไรที่ไร้คุณค่า...แต่ว่า นั่นมันก็ชีวิตของเขาทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ?”

“...”

“บางครั้งการหลับตาลงแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย มันอาจจะมีความสุขมากกว่าการยังมีลมหายใจแต่เหมือนตายทั้งเป็นก็ว่าได้นะ ... ผมถึงชื่นชอบ ถึงเคารพ ถึงหลงใหลการตัดสินใจของเขา มันคือราคาที่หล่อนต้องจ่าย มันดูโหดร้ายนะ แต่โลกก็เป็นแบบนั้น เมื่อคุณเลือกแล้วว่าจะเดินไปตามหนทางที่มีแต่แสงไฟส่องมาที่ตัว คุณก็ต้องทำใจตามนั้น สปอร์ทไลท์น่ะ สว่าง แต่ก็ร้อนมาก ๆ มันจะเป็นแบบนั้นเสมอ และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”

ผมพยักหน้าเข้าใจทุกสิ่งที่เขาพูด เอนหัวลงไปซบกับไหล่บาง ๆ ของเขา เสียงดนตรีบรรเลงผ่านไป ไม่นานผมก็เข้าสู่นิทราแสนสั้น

เหมือนกระพริบตา ผมโดนเขาปลุกตื่นขึ้นมาแบบงง ๆ ก่อนจะโดนจูงไปเข้าเกท ผมเหมือนหุ่นยนต์ที่ยังชาร์จแบตเตอรี่ไม่เต็มก้อน จำได้ว่ารู้ตัวอีกทีก็ขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินแล้ว ส่วนกระเป๋าอีกสองสามใบอยู่กับเขา จะว่าไปแล้วที่เป็นสมบัติของผมจริง ๆ ก็มีแต่กระเป๋ามือถือกับโทรศัพท์สินะ ผมนึกขึ้นได้อีกครั้งแล้วก็หลับลงไปอีกรอบ

เชื่อแล้วว่าการนอนหลับคือการวาร์ปในอีกรูปแบบหนึ่ง เขาสะกิดตัวผมอีกเป็นครั้งที่สอง ก่อนเราจะเดินลงเครื่องบินกันอย่างงง ๆ เหมือนเขาจะพูดอะไรกับผมสองสามประโยค แต่บ้าจริง ถ้อยคำเหล่านั้นไม่เข้าหูเข้าหัวผมเลย ผมสัปหงกรับคำแต่จับใจความไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวโตกำลังสื่อสารอะไรกับผมอยู่

ผมจำได้ว่าตัวเองฟุบกับเก้าอี้ที่สนามบินตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงโหวกเหวกนิดหน่อย ก่อนตัวผมจะลอยได้แบบงง ๆ เกิดอะไรขึ้นนะ สัมผัสต่อมาคือเบาะรถยนต์ ผมนั่งอยู่ในรถสักคัน มีคนคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอ้อมมาทางฝั่งคนขับ ให้ตายเถอะ ผมชักเกลียดตัวเองแล้วที่ขี้เซามากขนาดนี้

ความรู้สึกลอยได้ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น ก่อนร่างทั้งร่างจะฟุบลงกับเตียงนอนนุ่ม ๆ ผมได้ยินเสียงคนเดินวนไปวนมาเพื่อจัดของหรือทำอะไรสักอย่าง อากาศจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบที่ผิวหนัง มือของผมคว้านหาผ้าห่มหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้อุ่นได้มากกว่านี้โดยอัตโนมัติ เหมือนผ้าห่มลอยได้ ผมรู้สึกว่าใครบางคนหยิบมันขึ้นมาห่มให้ผมอย่างเป็นระเบียบ

“ฝันดีนะครับ”

ผมได้ยินเสียงเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสัมผัสอุ่น ๆ จะประทับที่หน้าผาก พื้นที่เตียงข้าง ๆ ยุบตัวลง แล้วผมก็ค้นพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อบอุ่นกว่าผ้าห่มกำลังกอดผมเอาไว้

....ฝันดีครับ


......................................................


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในเวลาต่อมา เหม่อมองรอบ ๆ ตัวก็ยังเป็นแขนขาของใครบางคนพาดผ่านลำตัว พอมองไปทางเขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนอนจ้องผมตาแป๋วอยู่

“ตื่นแล้วก็ลุกสิคุณ” ผมเอ็ดเบา ๆ พยายามไม่พูดใกล้ ๆ ใบหน้าเขามากเพราะกลัวมีกลิ่นปาก

เขาไม่ตอบอะไร อมยิ้ม แต่เลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมไปหนึ่งกอด ก่อนจะกอดไว้แน่นกว่าเดิม ส่วนผมอ้าปากค้างที่จู่ ๆ ก็โดนขโมยหอมแก้มไปซะงั้น

“ฉวยโอกาส” ผมว่า เขายิ้มหยอกแต่ไม่ได้มีท่าที่จะสลด พลางจะทำซ้ำอีกรอบหนึ่ง เขาพยายามหาทางกอดผมไว้ จนผมต้องเอ็ดขึ้นมาเตือนอีกครั้ง

“โอ๊ยย บอกก่อนคุณ ผมต้องไปอาบน้ำแปรงฟงแปรงฟัน” ผมว่า เขาไม่ฟังที่ผมพูด แต่พยายามหาทางกอดผมไว้อีกครั้ง เราดิ้นไปดิ้นมาจนแทบจะกลิ้งตกเตียงสีขาว ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้เพราะกำลังที่น้อยกว่า อีกฝ่ายช้อนแล้วรวบตัวผมไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นมาดื้อ ๆ ผมตาเหลือกเมื่อเขาออกแรงวิ่งออกไปนอกประตู

ผมร้องโวยวายและตะโกนสุดเสียง เหมือนเราทั้งคู่ทะลุออกมาจากนอกตัวบ้าน ปลายทางเป็นหาดทรายและน้ำทะเลสีฟ้าอ่อน พร้อมกับรู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะโดนอะไร “เฮ้ยยยยย คุณโว้ยยอย่าเล่นบ้า ๆ นะ เช้า ๆ แบบนี้มัน ....!!!!!”

‘ตู้ม’

น้ำทะเลเค็ม ๆ ไหลเข้าปากและจมูก ผมดันตัวลุกขึ้นมา ก่อนจะพยายามทั้งคาย ทั้งถุยน้ำทะเลที่เข้ามาเต็มรัก พลางหันไปชี้ทางเจ้าตัวโตที่กำลังยืนหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งผมอย่างมีความสุข พอเห็นแบบนั้นก็เลยปั้นทรายออกมาเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนจะปาใส่เขาคืนอย่างไม่จริงจังนัก

“โอ๊ย ! เจ็บนะคุณ” เขาว่า แต่ผมรู้ว่าเขาแกล้งกวนโอ๊ย ปากบอกเจ็บแต่ตายังยิ้มอยู่เลยนะเว้ย ผมวิ่งไล่ปั้นก้อนทรายปาใส่เขาไปเรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ เขาก็วิ่งไล่กลับมาก่อนจะกอดและยกผมลอยขึ้นทั้งตัว ทำเอาสงสัยไปเลยว่าหมอนี่ไปเอาแรงมาจากไหน น้ำหนักผมไม่ใช่สาวน้อยห้าสิบกิโลนะเว้ย !

ผมไม่ดิ้นเพราะกลัวตกลงไป เขาก้าวลงไปในทะเลลึกเลือก ๆ ก่อนจะทิ้งตัวเราทั้งคู่ลงไปในน้ำทะเล ผมดันตัวขึ้นมา สำลักน้ำนิดหน่อย พลางมองซ้ายแลขวาหาเขา ใจก็แอบกังวลว่าเป็นอะไรไปรึเปล่า เพราะผ่านไปหลายสิบวินาทีแล้วเขายังไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเลย ผมเกือบจะตะโกนออกไปเสียงดังแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขาโผล่ขึ้นมาแล้วกอดผมไว้จากด้านหลัง

“เล่นอะไรของคุณเนี่ย” ผมตำหนิ เขายื่นหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ ไม่พูดเรื่องที่ผมตำหนิ แต่เพราะเห็นผมตาขวางอยู่เลยหัวเราะแห้ง ๆ แล้วถอยออกไป

“ไปอาบน้ำ กินข้าวกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าเพราะตัวเองเริ่มหิวแล้ว

“ตอนนี้กี่โมงแล้วนะครับ” ผมถาม ตั้งแต่ตื่นมายังไม่รู้วันเวลาเลย

“10 โมงกว่า ๆ” เขาตอบ ผมพยักหน้ารับแล้วพยายามเดินเขย่ง ๆ พื้นทรายใต้น้ำ พอเห็นผมเดินลำบาก เขาก็เลยเดินมาด้านหน้าก่อนจะยื่นมือให้ผมจับไว้เป็นตัวยันพื้น

“เกาะหลังผมก็ได้” เขาเอามือมารองไว้ ก่อนให้ผมขึ้นไปขี่หลัง เขินเหมือนกันแฮะ ผมเกาหัวแกรก ๆ แต่ก็ขี้เกียจจะเดินแล้ว เลยปล่อยให้เขาอุ้มไปเป็นพ่อหมีอุ้มลูกหมีตัว(ไม่)เล็ก หมอนี่ก้าวเท้ายาวจนน่ากลัวชะมัด ผมเพิ่งมีโอกาสได้สำรวจวิวทิวทัศน์เป็นครั้งแรก เรานอนกันที่บังกะโลหรือบ้านพักอะไรสักอย่างสีน้ำเงินเข้มหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ ด้านหน้ามีต้นไม้ใหญ่และชิงช้าไกว มีโต๊ะหินอ่อนกับม้านั่งสองด้านประกอบ

“บ้านคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้ารับง่าย ๆ ผมทำหน้าปูเลี่ยนอีกรอบ แต่ก็นั่นแหละ การที่คนรวยใช้เงินเพื่อปรนเปรอความสุขให้กับตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสักหน่อย

“คุณจะเข้าไปอาบน้ำก่อนไหม?” ผมถามตอนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน รอบ ๆ นี้เงียบใช้ได้ นอกจากรถยนต์ที่จอดไว้ข้าง ๆ ตัวบ้านแล้ว ผมมองเห็นบ้านอีกหลังอยู่ไกลลิบ ๆ ออกไปพอหันไปเอาคำตอบ เจ้าตัวก็ทำหน้างง ๆ

“ทำไมต้องแยกกันอาบ ก็อาบด้วยกันเลยสิ” เขาว่าง่าย ๆ

“มะเหงกแหนะ ไม่เอา คุณไปอาบก่อนเลย” ผมไล่ เขาบ่นอะไรนิดหน่อยแต่ผมฟังไม่ทัน สุดท้ายเจ้าตัวโตก็เลือกจะเดินเข้าไปในห้อง ผมร้องโวยวายนิดหน่อยให้เขาระมัดระวังไม่ให้ทำทรายเลอะไปทั่วห้อง แต่แน่ล่ะ เขาสนใจที่ไหน สุดท้ายแล้วก็สะบัดตัวเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำเฉย ผมถอนหายใจปลง ๆ กับความดื้อแล้วเดินออกไปนั่งมองคลื่นหน้าบ้าน

เสียงกระดิ่งปลิวไสวตามสายลม ผมแกว่งชิงช้าไปมา นั่งถอดถอนใจกับตัวเอง ชีวิตคนก็คงจะเป็นแบบนี้ เวลาแค่เพียงเดือนกว่า ๆ ที่เปลี่ยนไป หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผมก็เปลี่ยนตาม จากเคยคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะอยู่คนเดียว กลับมีใครหลายคนเข้ามาหยิบยื่นความรู้สึกดี ๆ เอาไว้ให้ ผมถอนหายใจระบายลมข้างในออกมา

ถ้าชีวิตของคนทุกคนเป็นนิยายสักเรื่องก็คงจะดี

...ผมคงจะขีดเขียนให้ทั้งผม เขา และใครหลาย ๆ คน ได้พบเจอกันในวันและเวลาที่เหมาะสม มากกว่าจะได้เจอกัน ในวันที่เรารู้สึกต่อกันและกันว่ามันสายเกินไปซะแล้ว

คิดไปก็ไมได้อะไร สุดท้ายแล้วชีวิตคนเราก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป ผมเชื่อว่าเราต่างมีปลายทางเป็นของตัวเอง มนุษย์เราไม่ได้เก่งกาจอะไรขนาดนั้นหรอก เราทำได้แค่เดินทีละก้าว เดินออกไปจากก้าวหนึ่งสู่อีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว 24 ชม.ที่ให้เวลากับเขาจะเป็นยังไง ผมจะจดจำเขาเสมอในฐานะที่ครั้งหนึ่งเราเคยโคจรผ่านกันและกัน

“คิดอะไรอยู่ครับ ขมวดคิ้วเชียว?” เขาทัก ผมไปหันไปหา เจ้าตัวตอนนี้อยู่ในชุดลำลองง่าย ๆ เสื้อบางลายดอก ทับเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน กางเกงคล้ายกางเกงวอร์ม ผมส่ายหน้าแล้วเตรียมเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาตะโกนตามบอกผมทั้งแปรงสีฟันอีกอันที่เขาซื้อมาเตรียมไว้ให้กับผ้าขนหนูสีขาวบนเตียง

ผมเข้าไปอาบน้ำ สระผม ล้างน้ำทะเลเหนียว ๆ ออกมาจากตัว ผมไม่เคยอาบน้ำนานเลย สะอาดที่สุดของผมก็ไม่เกิน 10 นาที พอออกมาก็เอาผ้าเช็ด ๆ หัวให้แห้ง จะว่าไปแล้วเดือนนี้ผมลืมตัดผมไปเลยแฮะ เพราะชีวิตวุ่นวายสารพัดกับทั้งคนเก่าและคนใหม่ที่เข้าออกในชีวิต ผมแขวนผ้าคุณหนู สวมเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก เจอเขานั่งอยู่กับชามกุ้งเผาขนาดยักษ์พร้อมอาหารทะเลอีกจำนวนหนึ่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน

“กินกุ้งแต่เช้าเลยเหรอคุณ?” ผมแซว เดินไปนั่งตรงข้ามเขา เขาส่งจานพลาสติกใบหนึ่งให้ผม ก่อนจะแกะกุ้งตัวโต ๆ แล้วจิ้มมาให้

“กินนะคุณ เพิ่งขึ้นมาจากทะเลเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง” เขาว่า พลางเล่าให้ฟังว่าแถวนี้มีร้านอาหารทะเลที่เปิดตั้งแต่ช่วงเช้าอยู่

“ผมกินเองได้น่า” ผมบอก แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ เพราะเจ้าตัวก็นั่งแกะอาหารทะเลสารพัดแล้วตักมาใส่จานของผม พอสุดความจะห้าม ผมก็เลยทำหน้าที่เป็นผู้ทานที่ดี คือนั่งทานไป ชมไป แต่มันอร่อยจริง ๆ นะครับ โดยเฉพาะน้ำจิ้มซีฟู๊ดที่แกล้มกับเนื้อกุ้งเนื้อปูสด ๆ  ผมอร่อยจนหลับตาปี๋ไปหลายรอบเลย

“กินเป็นเด็ก ๆ เลยคุณ” เขายิ้ม หัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะส่งทิชชู่มาซับปากผมเบา ๆ

ผมนิ่งเงียบ เดาใจเขาไม่ถูก ยอมรับว่าเซอร์ไพรส์ที่เขาทำอะไรนุ่มนิ่มขัดกับบุคลิกแบบนี้เป็นด้วย จะบอกว่าเขินก็คงอธิบายได้ ยิ่งประกอบกับสายตาที่มองมายิ่งทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ก็แหงละ ย้อนกลับไปครั้งแรกที่เราเจอกัน ผมยังแอบไม่เผาผี ไม่คิดจะเจอกับเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ?

“เป็นอะไร เขินเหรอคุณ?” ผมชักสงสัยจริง ๆ แล้วว่าเขาเลี้ยงกุมารไว้รึเปล่า ทำไมคน ๆ นี้ดูเหมือนว่าจะเดาใจผมไปได้ซะอยู่หมัด ผมส่ายหน้า ไม่ตอบคำถามเขา เอาแต่กินอย่างเดียวมากกว่า พอกินได้สักพักก็คิดว่าตัวเองน่าจะต้องทำอะไรบ้าง เลยพยายามแกะกุ้งและเนื้อปูส่งให้เขาบ้างเป็นการตอบแทน

“กินเสร็จแล้วจะไปไหนต่อ?” ผมถามหาจุดหมายต่อไป เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าชุดที่ผมกับเขาใส่เป็นชุดเดียวกัน แค่คนละไซส์เท่านั้นเอง

“ผมจะพาไปแช่บ่อน้ำพุร้อน” เขาว่า

“มีด้วยเหรอครับ” ผมถาม ไม่ยักรู้ว่ากระบี่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติด้วย

“คือมันเป็นน้ำตกที่น้ำค่อนข้างจะมีอุณหภูมินะ แล้วก็มีแอ่งน้ำให้แช่ตัวได้ ก็ฟีลเดียวกับคุณไปแช่น้ำร้อนตามบ่อนั่นแหละครับ จากนั้นแล้วพอแช่น้ำร้อน ๆ ก็ค่อยไปแช่บ่อเย็นต่ออีกรอบเป็นการผ่อนคลาย” เขาอธิบาย

ผมพยักหน้ารับทราบเพราะตัวเองไม่มีข้อมูลอะไรเลย ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งป้อนกุ้ง ป้อนปูให้เขากินไปเรื่อย ๆ ตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะพาผมเที่ยวได้สักกี่ที่เพราะต้องเผื่อเวลานั่งเครื่องบินกลับอีก แต่เอาเข้าจริง ผมไม่ได้ฟิกขนาดนั้นหรอก เพียงแต่คนอีกคนคงจะเข้มงวดกับตัวเองและเลข 24 ที่ตัวเองเป็นคนกำหนดขึ้นมาเองแน่ ๆ

“ตั้งแต่เกิดมา ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองอยากจะนอนหลับตลอดเวลา” เขาว่า เหม่อมองไปที่ท้องทะเล

“...”

“ผมไม่เคยอยากตื่นนอนเลย ผมรู้สึกว่าโลกของความเป็นจริงมันไม่มีอะไรโอบอุ้มผมเลย ผมต้องการเป็นแค่ผีเสื้อ ผีเสื้อตัวน้อย ๆ ในความฝัน ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ” ผมพยักหน้ารับทุกถ้อยคำที่เขากล่าว เขาพูดเสร็จแล้วก็หันมามองหน้าผมทำหน้าจริงจัง

“23 ปีที่ตื่นขึ้นมามีชีวิต คุณคือคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะนอนหลับลงไปสักวินาทีเดียว...”

“อ่า”

“....ผมกลัวว่า ช่วงเวลาทีเผลอหลับไป จะเป็นช่วงเวลาที่ผมพลาดวินาทีที่ผมได้อยู่กับคุณไปนะ”



Time talk : สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารป่ะ? 55555 สวัสดีครับ นับถอยหลังสู่ 6 ตอนสุดท้ายของเรื่องราวแล้วนะครับ เรียกได้ว่าเราเดินทางกันมาไกลมากจริง ๆ อีกนิดหนึ่งจะเห็นบทสรุปของเนื้อเรื่องหลักทั้ง 35 ตอนแล้วนะครับ ในส่วนของพ่อแมวเองก็มีอีกหลายเรื่อง อยากจะบอกเล่าอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ในส่วนของคำผิดและคำตกไม่ต้องกลัวนะครับ พ่อแมวส่งให้มืออาชีพช่วยพรู๊ฟเล่มให้แล้วนะครับ จะมาเก็บตกรายละเอียดในหน้าเว็บอีกทีหลังจากลงครบทั้ง 35 ตอนแล้วครับ

มาถึงตรงนี้แล้วก็อ้อนตรง ๆ ยังอยู่ด้วยกันก็ส่งเสียงร้องออกมาได้นะครับ เหมี๊ยววว

พ่อแมวพุงโต

21/02/19


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 14:48:28 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
«ตอบ #141 เมื่อ21-02-2019 22:44:05 »

……


 :mew1:  :mew4:   :mew1:   :mew3:   :mew1:   :mew4:   :mew1:   :mew3:


………


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
«ตอบ #142 เมื่อ22-02-2019 01:32:07 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.29 24 HR. [Past I] | P5 |21/02/62
«ตอบ #143 เมื่อ22-02-2019 07:12:16 »

อีก 6 ตอนเหรอ ยังสนุกอยู่เลย

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
«ตอบ #144 เมื่อ25-02-2019 22:19:19 »



Ep.30 24 HR. [Past II]



แววตาที่เขามองผมมา เป็นแววตาที่ผมคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดจนใจหาย มันไม่ใช่แววตาของใคร แต่เป็นแววตาของผมเองตอนเวลาที่มองพี่พอร์ช บางอย่างยืนยันได้มากกว่าคำพูด สายตาเองก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ว่า

ผมยิ้ม พยักหน้าตอบรับแล้วตานั้นแล้วเงียบลงไปดื้อ ๆ มือก็ยังแกะกุ้งและเนื้อปูให้เขาทาน

ถ้ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ก็ขอให้มันเต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ ที่ไม่ว่าเราจะหวนกลับมานึกถึงมันตอนไหน ก็ขอให้เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ ไม่เสียดายที่ครังหนึ่งเราเคยให้เวลาและโอกาสในกันและกัน

ไม่เจอกับตัว ไม่รู้ซึ้ง ...ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของมันก็วันนี้

ในวันนั้นผมฟูมฟาย เป็นบ้าเป็นบอมากมาย ผมไม่เข้าใจ ไม่สามารถทำใจยอมรับกับเหตุผลนั้นได้ ว่าเพราะอะไร เพราะทำไม ทุกสิ่งมันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย แต่มาในวันนี้ วันที่ผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายหักหาญน้ำใจของคนอื่น วันนี้ผมถึงได้รู้ ว่าการยืนอยู่ตรงจุดที่ต้องเป็นคนจบเรื่องราวทุกอย่าง มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ

เราทั้งกระทำและถูกกระทำ มนุษย์เรามีชีวิตอยู่และจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ

ผมกับเขา เรานั่งกินปูและกุ้งกันอีกสักพัก ก่อนต่างคนจะต่างลุกออกไปล้างไม้ล้างมือ เขาบอกกับผมว่าให้เอาไปเฉพาะเสื้อผ้าที่จะไว้เปลี่ยนสำหรับลงเล่นน้ำก็พอ ส่วนข้าวของที่เหลือเราเก็บไว้ในบังกะโล จุดหมายปลายทางต่อไปคือน้ำตกร้อนคลองท่อม สระมรกต และถ้ามีเวลาคงได้ขึ้นไปไหว้พระที่วัดถ้ำเสือครับ

“เอาน้ำไปด้วยไหมคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้า ผมเลยหยิบน้ำเปล่ามาสองขวดติดกระเป๋าเป้ใบเล็กที่เราหิ้วกันมา ข้างในมีขนมและของกินจุกจิกอีกนิดหน่อย

“คุณเตรียมมาพร้อมดีจัง” ผมทัก เขาอมยิ้มแล้วส่ายหน้า

“แม่น่ะ แม่ผมเป็นคนเตรียมให้” เขาเฉลย ผมร้องอ่อรับคำ ๆ หนึ่ง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นของอีกสองสามชิ้นในกระเป๋าก็เงยหน้ามองเขาอีกรอบ

“แม่คุณ..เตรียมไว้ให้ทั้งหมดเลยเหรอ?” ผมถามย้ำอีกครั้ง เจ้าตัวพยักหน้าขึ้นลงด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ผมเลยดันกล่อง condom 003 และสารหล่อลื่นเข้าไปไว้ในกระเป๋าตามเดิม ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาเขินกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ

“แม่ผมเป็นเจ้าของโรงพยาบาลน่ะ...” เขากล่าวเงียบ ๆ ผมนั่งฟังพร้อมคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาด

“คุณเคยรู้จักโรงพยาบาลชื่อ ‘ภัทรธิดาเวช’ ไหม?”

เขาพูดนิ่ง ๆ ผมนิ่งกึก ตัวแข็งกับเบาะหลังฟังจบประโยค

“...คุณจะบอกอะไรกับผมรึเปล่า?” ผมถาม มองหน้าเขาผ่านกระจกมองหลัง ส่วนเจ้าตัวสตาร์ทรถและกำลังเตรียมตัวขับออกไป ข้างนอกฟ้าเริ่มมืดและมีเมฆมากกว่าช่วงเช้านิดหน่อย อาจจะมีฝนตกในสักช่วงใดช่วงหนึ่งของวันนี้ ผมคิด

“เปล่าครับ ผมแค่จะบอกว่าแม่ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นน่ะ...” ผมพยักหน้ารับทราบเงียบ ๆ แล้วมองออกไปนอกทั่วรถ พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่คิดเชื่อมโยงไปไกลว่าโรงพยาบาลแห่งนั้น กับตัวผม และ...

“คุณคิดอะไรเหรอ?” เขาถาม ผมส่ายหน้าและเฉไฉออกไป

“ฝนน่ะ ผมคิดว่าอาจจะมีฝนตก” ผมบอก พร้อมชี้ให้เขาดูผืนฟ้า เขาพยักหน้าขึ้นรถเห็นด้วย พร้อมเหยียบรถไวกว่าเดิม

“แปลกจังเนาะ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกฟ้ายังโปร่ง ๆ อยู่เลย” เขาตั้งข้อสังเกต ผมเห็นด้วย

“แบบนี้แหละ ธรรมชาติมันคาดเดาอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”

“ก็เหมือนใจคนล่ะเนาะ”

เราต่างเงียบไปในอีกช่วงอึดใจ มันไม่ใช่ความเงียบที่เป็นความอึดอัด แต่เป็นช่วงเวลาที่เราต่างให้เวลากับตัวเองได้เงียบลงเพื่อฟังเสียงอะไรบางอย่างภายในใจของกันและกัน

ผมอยากให้โอกาสกับเขา

เพราะเขาร้องขอโอกาส เพราะที่ผ่านมาผมปฏิเสธเขามาโดยตลอด เพราะเรายังไม่ได้เริ่มรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ผมจึงให้โอกาส ไม่ใช่แค่ให้โอกาสเขา แต่ให้โอกาสสุดท้ายสำหรับการไปต่อหรือหยุดอยู่ตรงนี้ระหว่างผมกับโช นึกย้อนกลับไปแล้วก็อดจะใจหวิว ๆ ไม่ได้

ผมยังนึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ถ้าในวันนั้นผมไม่เจอโช วันนี้ผมยังจะรู้สึกแบบนี้กับเขาไหม

จะรู้สึกตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันไหม ว่าผมมีความสุขมาก ๆ ที่ได้อยู่กับเขา

...แต่มันไม่ใช่

ผมสับสน ความรู้สึกในตัวมันยุ่งเหยิง ผมเผลอถอนหายใจออกมาแล้วปิดปากตัวเองเงียบ ๆ ในใจเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการทำร้ายเขาและคนอีกคนด้วยรึเปล่า?

กับโช แม้เขาจะไม่พูดอะไรในเชิงที่คิดมากหรือรู้สึกไม่ดี แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้สึก วันนั้นที่เราคุยกัน ถ้อยคำหลังจากนั้น ทั้งการบอกกับผมไว้ว่าให้ไปคุยกันหลังจากเรื่องตรงนี้จบลง ผมรู้ดีว่ามันชวนให้เขาเจ็บปวดมากแค่ไหนกับความรู้สึกของผม กับคน ๆ นี้ที่อาจจะทำเรื่องให้เขาเสียใจมาก ๆ ขึ้นไปอีกในอนาคต

ผม...กำลังทำร้ายเราทั้งหมดอยู่รึเปล่า?

“ชู่ว..อย่าคิดมากนะครับ คุณนอนมาน้อย หลับตาลงสักหน่อยนะ” เขาว่า พลางเอื้อมมือมาปิดตาของผมลงทั้งสองข้าง ผมเผลอหัวเราะออกมา เพราะเขาเปิดกระจกรถลงมานิดหน่อย ผมเลยพอจะได้กลิ่นดินและกลิ่นละอองความชื้นในอากาศ ผมสูดเข้าปอดแล้วนั่งหลับตาเงียบ ๆ ไป ตามกลางเสียงเพลงที่เขาเปิด

ผมลืมตาขึ้นมาพร้อมมองคนข้างตัว เขาขับรถต่อไปนิ่ง ๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับท่าทางของผม

“เจ็บมากไหมครับ” ผมถาม เขาหันมายักคิ้วเชิงความหมายว่าผมถามถึงอะไร ผมชี้ไปที่ตามข้อแขนของเขาที่มีรอยเข็มเต็มไปหมด เขาหัวเราะออกบางเบา ก่อนจะเล่าให้ฟัง

“คุณอยากรู้ไหมว่าเขาฉีดกันยังไง” เขาว่า ผมพยักหน้าแล้วรอฟังเงียบ ๆ อย่างน้อยผมก็อยากรู้เรื่องของเขาจากที่เป็นอยู่

...อยากรู้จักกันมากกว่านี้ แม้แต่ในด้านที่ไม่น่ารู้จักก็ตาม

“ผมเล่าทั้งหมดเลยก็แล้วกัน อย่างแรกเลย ‘ของ’ ที่คุณรู้จักนะ จะมีหลายเกรด มาตรฐานและคุณภาพก็ตามราคานั่นแหละ” เขาว่า เว้นวรรคและมองผมว่าตามทันไหม พอเห็นผมไม่พูดอะไรก็เลยพูดต่อ

“ทีนี้ ถ้าเป็นพวกสั่งประจำนะ ก็จะมีราคาอีกเกรด แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร นอกจากรอเขาเอาของมาส่ง เผลอ ๆ สามารถติดเงินไว้ได้ก่อนด้วย จะเรียกว่าเป็นเครดิตก็ได้”

“ดูง่ายดีเนาะ” ผมประชด แต่เขาพยักหน้าเห็นด้วย

“มีเงินอะไรก็ง่าย” เขาว่า อันนี้ผมไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องจริง

“เรื่อง ‘ของ’ คุณไม่ต้องอยากรู้หรอกว่ามันมาจากไหนอะไรยังไง มันก็วน ๆ กันแถวนั้นแหละ ...พอได้ของมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนบ้านเราจะนิยมสูดเข้าปากกัน แต่แบบนั้นมันก็เปลืองของไปหน่อย ส่วนมากพวกไม่มีปัญหาทางรายได้ก็จะใช้สำหรับความบันเทิงอารมณ์อ่ะนะ” เขาว่า ผมพยักหน้ารับทราบอีกครั้ง

“แต่ถ้าพูดถึงแบบฉีด เราต้องมีอุปกรณ์ก่อน เข็มสำหรับฉีด ซึ่งก็หาซื้อได้ตามแหล่งทั่ว ๆ ไป ส่วนเหตุผลที่ขอซื้อก็ไปคิดเอาเองหน้างานละกันนะ ผมไม่ชี้โพรงกระรอก อ๋อ..แล้วก็ต้องมี Sterile Water for Injection แปลเป็นไทยบ้าน ๆ หน่อยก็น้ำเกลือบริสุทธิ์สำหรับชำระล้างและปลอดเชื้อไว้ผสม ช้อน สายรัดเส้นเลือด สำลีและแอลกอฮอล์เช็ดบาดแผล หลอดกาแฟหรืออะไรสักอย่างไว้ตัก” เขาร่ายยาว ผมตั้งใจฟังเงียบกริบ พยายามรวบรวมเก็บข้อมูลไปไว้บอกเล่าต่อให้โชฟัง

“ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เราต้องมั่นใจแบบเคลียร์ก่อนมาก ๆ ว่าของพวกนั้นสะอาดแล้ว ดังนั้นแล้วผมจะ ‘ไม่เล่น’ สุ่มสี่สุ่มห้ากับใคร อย่างมากก็เล่นแค่ในห้องตัวเองเท่านั้นเอง” ผมพยักหน้ารับทราบ

แต่เอ๊ะ ...วันนั้นเขายังถามอยู่เลยนะว่าห้องของผมมีของไหม?

“วันนั้นที่ผมถามคุณ ผมแค่อยากหาอะไรคุยถ่วงเวลาเถอะ” เขาพูด หลังเห็นสายตาของผม ชักเริ่มเชื่อแล้วว่าเลี้ยงกุมารจริง ๆ

“ต่อนะ ของที่เราได้มานะ มันมีสถานะภาพเป็นของแข็งอยู่ คุณนึกภาพพวกเกล็ดสารส้มหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ แต่เนื้อผงมันจะละเอียด และสีมันจะเป็นสีนวล ๆ ไม่ใช่สีขาวแบบน้ำแข็งจริงๆที่คนคิดกัน ไม่รู้สิ ตาผมเห็นเป็นสีแบบนั้นนะ” เขาอธิบายต่อ ผมพยักหน้าหงึก ๆ  ใจอยากจะเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจดบันทึก แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เวลา

“ทีนี้เนี่ย อย่างที่ผมบอกไป มันจะมีวิธีการใช้สองแบบ คือสูดกับฉีด ผมเป็นสายหลัง เริ่มแรกก็ทำความสะอาดทุกอย่าง ตั้งแต่เข็มฉีดยันยันช้อน อย่าลืมว่ามันคือการฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง ดังนั้นแล้วผลมันจะแรงกว่า ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดมาก ๆ อีกส่วนที่คนมักจะพลาดบ่อย ๆ คือตรงส่วนแกนดันเข็มฉีดยาก็ไม่ควรจับ...”

“ดูเข้มงวดดีเนาะ” ผมแซะเบา ๆ กับการระมัดระวังในเรื่องที่ไม่ควรทำ เขาส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ เหมือนปลงตกในความชอบแซะของผม

“ก็ตามนั่นแหละครับ หลังจากนั้นก็จุดไฟ แล้วก็....” เขาขับรถไปเรื่อย ๆ พร้อมอธิบายทั้งวิธีการ แหล่งซื้อขาย และผลลัพธ์

ผมชักเข้าใจความรู้สึกของโชตอนเวลามานั่งฟังผมพูดเรื่องของผมแล้ว เวลาที่คนเราได้ไปนั่งฟังอะไรที่มันดูจะห่างไกลจากโลกของเรา มันดูน่าทึ่งเอามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นพื้นฐานของคนที่คลุกคลีกับพวกมันอยู่ทุกวันก็ได้

“เอาตรง ๆ เลย แล้วคุณเสพไปทำไมละ?” ผมถาม หลังเขาอธิบายเรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยเกี่ยวกับการละเล่นของพวกเขา

“คุณจะเอาคำตอบแบบไหน คำตอบแบบตามหลักการเท่าที่ผมจะคิดได้ หรือ คำตอบแบบตามใจผม” เขาถาม

“เอาทั้งหมดเลย” ผมบอก

“ถ้าตามหลักการแล้ว ...สมองผมนะ มันตายไปแล้ว” เขาว่า เว้นวรรคแล้วพูดต่อ

“ตั้งแต่ผมเสพ สมองผมก็ค่อย ๆ ตายไปเรื่อย ๆ ผมรู้ดี มันคือราคาที่ผมต้องจ่ายแลกกับความสุขชั่วขณะหนึ่งที่ผมต้องการมัน ผมมีความสุขยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสารพวกนั้นมันกัดกินสมองของผมไปแล้ว ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ อารมณ์ของผมขึ้นลง มันเหมือน CPU ที่เสียไปแล้ว ผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“...”

“...ผมถึงได้ประหลาดใจ ว่าทำไมผมถึงมีความสุขได้นะ ตอนได้อยู่กับคุณ”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง น่าแปลกประหลาดที่มันสงบกว่าครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากับมัน ผมเอื้อมมือไปตบบ่าให้กำลังใจเขา สายตามองทอดยาวออกไปโดยไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก

ผมมีความสุข ไม่ใช่แค่เพราะผมได้อยู่กับเขา แต่ผมมีความสุขที่ได้เห็นชีวิตคน ๆ หนึ่งกำลังมีความสุข

เขาเหมือนแก้วที่แตกและพยายามจะซ่อมแซมตัวเอง แต่คงลืมไปว่าทุกครั้งที่เขาพยายามจับเศษแก้วประกอบกัน มันก็บาดไปทั่วร่างกายจนเหลือไว้แค่ร่องรอยบาดแผลในใจเต็มไปหมด

รถยนต์เคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ตามการบังคับของเขา ผมนั่งฮัมเพลงไปเงียบ ๆ ไม่ถึงครึ่งชม. เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของเราสองคน เขาเคลื่อนรถไปจอด มองออกไปนอกตัวรถ ผมเห็นมีรถจอดอยู่ประปราย สมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่

ผมปลดเข็มขัดนิรภัย สะพายกระเป๋าเป้ และเดินลงไปมาจากรถ เขาเดินอ้อมมาอีกฝั่ง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นกว่าเดิม ท้องฟ้าเริ่มมีเมฆหนาขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองหน้าเข้าแล้วชี้ไปด้านบนเป็นเชิงให้มองตาม

“ฝนอาจจะตกได้” เขาว่า

“ก็ภาคใต้ล่ะนะ” ผมตอบ ตามหลักภูมิศาสตร์แล้วภาคใต้แทบจะมีฝนฟ้าคะนองแทบทุกฤดูกาล

“ยังไงก็ลองเดินไปเล่นกันก่อนแล้วกันนะครับ ถ้าไม่เวิร์กค่อยหนีกลับบังกะโล นอนดูเน็ตฟลิกซ์กัน” เขาว่า ผมพยักหน้ารับทราบตามที่เขาว่ามา ไฟท์บินคืนนี้คือ4 ทุ่มกว่า เรายังพอมีเวลาที่จะทำอะไรหลายๆ  อย่างในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ด้วยกัน

เราเดินลัดกันไปตามสะพานไม้ที่เป็นทางทอดยาว ระหว่างเดินเข้าไปก็มีหลาย ๆ คนเดินสวนทางออกมาบ้าง เราต่างยิ้มให้แก่กันและกันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน ผมเหม่อมองสองข้างทาง เพราะไม่เคยมาที่นี่ เลยได้เห็นอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ เต็มไปหมด ระยะทางระหว่างลานจอดรถไปจนถึงจุดหมาย นับว่าค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกันในความคิดผม

ใช้เวลาเดินแบบเรื่อย  ๆ ไม่เร่งรีบเกือบยี่สิบนาทีก็เดินมาถึงบริเวณน้ำพุที่เขาว่า จะให้อธิบายยังไงดีล่ะ มันเป็นเหมือนน้ำตกที่เราเห็นกันในหนังในละครนั่นแหละครับ เขาบุ้ยปากให้ผมค่อย ๆ เดินลงไปดี ๆ เพราะมีโขดหินและทางค่อนข้างชัน พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ  เอามือสัมผัสก็พบความอุ่น มันไม่ได้อุ่นจนร้อน แต่เป็นความอุ่นที่ผมคิดว่ากำลังพอดี ๆ

เนื่องจากชั้นน้ำตกกระจายโขดหินเป็นชั้น ๆ ทำให้คนที่มาเที่ยวนั่งเล่นกันประปราย วันนี้คนที่มาเที่ยวน้ำตก พอรวม ๆ กับคนที่เดินออกไปแล้วก็ถือว่าเยอะพอสมควร ผมคิดว่าอาจจะเพราะอากาศด้านบนด้วยก็เป็นไปได้

เรานั่งเล่นน้ำตกกันสักพักผมก็รู้สึกเบื่อ คือมันก็ว้าว แต่มันว้าวแค่ตอนที่เจอครั้งแรก พอนั่งไปนาน ๆ แล้วก็ชักจะคิดถึงบ่อน้ำร้อนใจกลางเมืองที่สามรถแช่ลงไปได้ทั้งตัว เหมือนเขารู้ว่าผมคิดอะไร เจ้าตัวกวักมือชวนผมขึ้นมาจากน้ำ พร้อมยื่นมือมาช่วยดึงผมลุกขึ้นไป

“คุณว่าเราควรกลับที่พักเลย หรือไปบ่อมรกตกันก่อนครับ?” เขาถาม ผมส่ายหน้าเลือกไม่ตก

“สระมรกตไกลจากตรงนี้ไหมครับ” ผมถามระหว่างเราเดินออกมาจากบ่อน้ำร้อนเรื่อย ๆ

“เดินเท้าประมาณเกือบยี่สิบนาที” เขาตอบกลับ ก่อนที่ผมจะได้ตอบโต้อะไร เม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มทยอยปลดปล่อยลงมาจากท้องฟ้า

“ไปหลบตรงศาลาตรงนั้นก่อน” เขาชี้ พร้อมเรียกให้ผมวิ่งตามเขาต้อย ๆ เข้าไปหลบพักฝนตรงศาลาพักเท้าข้างทาง

 “คุณ”

“ครับ?”

“เบื่อไหม” เขาถาม ผมส่ายหน้าพร้อมทำหน้าตั้งคำถามว่ามีตรงไหนต้องเบื่อเหรอ?

“ผมกลัวคุณเบื่อ...ขำอะไรของคุณ” เขาถามอีกครั้งหลังผมแอบหัวเราะเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณ ผมกำลังสงสัยว่าเราจะรีบวิ่งมาหลบฝนกันทำไม ในเมื่อเราก็เปียกกันทั้งร่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

พูดจบเราสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน นั่นสินะ ในเมื่อเปียกอยู่แล้ว และเราจะวิ่งเข้ามาหลบฝนกันตรงนี้ทำไม? ผมขำไปกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนเราจะพากันเบลอ ๆ ไปชั่วขณะ

“เอาไงต่อครับ จะหลบฝน  ไปต่อ หรือกลับห้องดี?” เขาถาม ผมคิดนิดหน่อย ตอนนี้เกือบบ่ายสองโมงแล้ว จากนี้กลับไปที่พักก็เกือบชั่วโมงกว่า

“ไปบ่อมรกตกับไหว้พระก่อนก็ได้ครับ”  ผมสรุป เราจึงยืนคุยเล่นรอฝนเบาลงกว่าเดิม

เวลาผ่านไปเกือบค่อนชั่วโมง ผมกำลังสนุกกับเรื่องราวที่ฟังมาจากปากเขา ในระหว่างที่เจ้าตัวไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ ทั้งปัญหาเชื้อชาติ เพื่อนฝูง และแฟนที่คบหากันในเวลานั้น บางเรื่องราวก็ทำให้มุมมองของผมที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางเรื่องผมก็ไม่คิดว่าเขาจะซื่อบื้อได้ถึงขนาดนั้น พอเขากำลังจะเล่าเรื่องต่อไป ฝนก็ค่อย ๆ เบาลงเรื่อย ๆ

“มาทางนี้แล้วกันนะครับ” เขาว่า พลางนำผมเดินตามทางลัดไปเรื่อย ๆ

 เพราะไม่ใช่เส้นทางหลัก ทำให้พื้นดินไม่เหมาะสมกับการเดินทางสักเท่าไหร่ ผมเกือบจะเสียหลักเซล้มไปซะหลายรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจกับมือกับเขาเดินไปตลอดทาง ตอนนี้เกือบ ๆ จะสามโมงเย็นแล้ว ผมเริ่มหิวนิดหน่อยแต่ก็อยากไปเล่นน้ำก่อน เขาแนะนำให้อดทนขึ้นไปหาอะไรทานที่ด้านบนวัด น่าจะพอมีอะไรขายบ้าง ผมเลยได้แต่ประทังหิวด้วยการกินขนมนมเนยที่พอจะติดกระเป๋ามาบ้าง

“คุณต้องลดขนมลงบ้างนะ” เขาเอ็ดเบา ๆ หลังผมส่งช็อกโกแลตเข้าปากอีกครั้ง ผมพยักหน้าขึ้นลงรับทราบแต่ไม่คิดจะทำตาม ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากลดน้ำหนัก มันแค่ยังไม่พร้อมเฉย ๆ หรอก

เรามาถึงบ่อมรกตช่วงสามโมงจะครึ่ง หลังจ่ายเงินค่าเข้า ผมชิงลงไปว่ายน้ำเล่นก่อน ถ้าถามว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน ผมคงต้องบอกว่าผมชอบที่นี่มากกว่าบ่อน้ำพุร้อน

อาจจะเพราะฝนไล่คนออกไปจนหมด ทำให้บริเวณถ้ำมรกตและในน้ำคนค่อนข้างน้อยและกระจัดกระจายกัน เจ้าตัวโตสะพายเป้กันน้ำว่ายน้ำผมดำผุดดำว่ายไปเรื่อย ๆ ผมแอบเอ็ดขำนิดหน่อยที่ชอบฉวยโอกาสกอดจากด้านหลัง และจะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามือเขาไม่ซนเป็นปลาหมึก ไปจับในส่วนที่ไม่ควรจะจับ

“คุณ น้ำมันใส” ผมเอ็ดเบา ๆ หลังเจ้าตัวเล็กในกางเกงเริ่มพองตัวโตออกมา เขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยกระซิบตอบผมกลับ

“ไว้บนรถแล้วกัน” ผมตีไหล่เขาหนึ่งทีข้อหาบ้ากามไม่รู้เวลา ก่อนเราสองคนจะดำผุดดำว่าย ว่ายน้ำเล่นในถ้ำมรกต จนลืมเวลาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ ......







Time talk : นับถอยหลัง 5 ตอนสุดท้าย จะจบแล้วนะครับ ^^

เมื่อวานไปสอบ GAT PAT มาเป็นยังไงบ้างครับ? ไม่มีใครได้รับลูกหลงจากหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช่ไหมครับ ส่วนตัวพ่อแมวเองขอเป็นกำลังใจให้กับทั้งตัวผู้ได้รับผลกระทบ ครอบครัวของผู้สูญเสีย และเด็ก ๆ ทุกคนที่ต้องมาเผชิญหน้าเหตุการณ์ที่ไม่สมควรจะต้องเผชิญ ขอให้เรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีครับ

คิดถึงทุกคนเสมอนะครับ ,ขอบคุณครับ

พ่อแมวพุงโต

25/02/19


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 14:53:24 โดย พ่อแมวพุงโต »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
«ตอบ #145 เมื่อ26-02-2019 01:37:50 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
«ตอบ #146 เมื่อ26-02-2019 16:19:26 »

โอ้วว คือรู้จักมาก่อนเหรอ
รอตอนต่อไปค่าา

ออฟไลน์ Gnaap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
«ตอบ #147 เมื่อ26-02-2019 22:59:03 »

อะไร ยังไง  :katai1:

รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.30 24 HR. [Past II] | P5 |25/02/62
«ตอบ #148 เมื่อ27-02-2019 08:43:18 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ พ่อแมวพุงโต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: แ อ ค เ ค่ อ | Ep.31 BUDDY | P5 |04/03/62
«ตอบ #149 เมื่อ04-03-2019 21:34:30 »


Ep.31 Buddy



โชคดีที่เขาเป็นคนพูดจารู้เรื่อง พอไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อแล้ว เขาก็ดูน่ารักขึ้นไปอีกแบบ แววตาทั้งสองข้างดูสงบนิ่ง ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศ สูดเอาอากาศเหนือพื้นน้ำภายใต้ถ้ำมรกตไปพร้อม ๆ กับพยายามเก็บทุกช่วงเวลานี้ให้อยู่กับตัวเองไปนาน ๆ ผมว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่

จะว่ายังไงดี ก็ไม่ใช่ว่าผม ‘ไม่อยาก’ หรอกนะ แต่ผมเองก็มีหลาย ๆ  เรื่อง รบกวนภายในใจผมเหมือนกัน

‘โช’

ให้ตายเถอะ ถ้าภาพติดตาของผมกับพี่พอร์ช คือการที่ผมรู้สึกฝากหัวใจทั้งหมดไว้กับเขา ภาพจำของผมกับโช ก็คงจะเป็นความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ยังไม่มีชื่อเรียก ยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ทว่ามันกลับมีความสำคัญมาก ๆ กับความรู้สึกของผมประการหนึ่ง คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มาจากที่ไหนสักที่

ความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ‘สิ่งที่ผิด’

ชั่วขณะนั้นเอง รอยยิ้มและสายตาที่มองผมผ่านการคอลวิดีโอไลน์ก็ย้อนกลับเข้ามาในสมองของผม เหตุผลบางอย่างที่ผมเลือกจะมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างเลือนราง ผมปวดหัวจี๊ดขึ้นมาดื้อ ๆ เจ้าตัวโตโอบกอดผมไว้ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

“คิดมากอะไรอีกแล้วใช่ไหมครับ?” เขาถาม

เพราะถูกกอดจากด้านหลัง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากตอบโกหกอะไร ได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการสารภาพว่าแอบคิดอะไรเยอะแยะตีกันในหัวจริง ๆ ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผมจะสามารถทำตัวเป็นคนอื่นได้ยังไงบ้าง

“ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าคิดแล้วปวดหัว วางมันลงสักแปปก็ได้” เขาว่า พูดจบก็กอดผมไว้แบบนั้น ผมยิ้มเย็น ๆ รู้สึกผิดกับเขา รู้สึกผิดกับโช และรู้สึกผิดกับตัวเอง

คำตอบที่เราถามตัวเราเองแล้วยังไม่ได้คำตอบ บางทีอาจจะเพราะมันยังไม่ถึงเวลาเฉลยรึเปล่า?

“คุณครับ”

“ครับ?” เขารับคำ ผมหันไปหาก่อนจะสบตามองกับเขา

“หลังจากนี้จะยังไงต่อ... ผมหมายถึง หลังจากนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป?” ผมถาม จับหัวไหล่ของเขาทั้งสองข้างแทนที่ค้ำยัน เขายิ้มเย็น ๆ ให้กับผม ส่ายหน้าเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่อย่างใด

“ผมยังไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับผม ผมขอให้มันค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ให้มันผ่านพ้นไปในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ”

...นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ผมได้ ผมคิดแบบนั้น

เราเล่นน้ำกันอีกสักพักใหญ่ ๆ ตอนนี้สี่โมงกว่า ผมหิวมาก ๆ แล้ว เลยชวนเขาขึ้นจากน้ำ เราสองคนเดินออกมาบริเวณภายนอกถ้ำ ก่อนจะหามุมเหมาะ ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมกันมา (จริง ๆ ต้องบอกว่า ที่เขาเตรียมมาให้มากกว่า) พอเสร็จสรรพเรียบร้อยเขาก็พาผมเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่พื้นไม่แฉะมาก

“อากาศยังกับเมื่อกี้ฝนไม่ได้ตกเลยเนาะ?” ผมว่า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเย็น เมฆโปร่งราวกับว่าฝนตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนเป็นเรื่องโกหก

“ธรรมชาติน่ะ ไว้ใจอะไรไม่ได้เลย เปลี่ยนแปลงก็บ่อย ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก” เขาตอบประโยคบอกเล่าของผมด้วยประโยคบอกเล่า ผมเห็นด้วยกับเขานะ

“ก็เหมือนชีวิตล่ะนะ มืดบ้าง สว่างบ้าง บางวันก็มีฝนโปรยปราย แต่สุดท้ายเดี๋ยวท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง” ผมอธิบายในส่วนของความรู้สึกจากในหัว กลิ่นฝนอ่อน ๆ หลังหยุดตก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณเป็นกบที่ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ครับ

เราเดินไปหยุดกันตรงบริเวณร้านขายของที่มีของที่ระลึกและอาหารขายนิดหน่อย ผมเลือกซื้อข้าวเหนียวไก่ชิ้นมาทาน ส่วนเขายัดกล้วยเข้าท้องสองลูกเป็นอันอิ่ม

“ไปไหว้พระกันไหมคุณ?” เขาถาม พร้อมชี้ไปทางบันไดทางขึ้น ผมสบตาเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด บันไดนี้น่าจะมีประมาณพันกว่าขั้น แค่คิดก็รู้สึกเมื่อยขามาก ๆ แล้ว เหมือนจะรู้ทันความคิดของผม อีกฝ่ายพูดต่อโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้น

“ถ้าไม่งั้นก็ซื้อของกินแล้วกลับห้องกัน” เขาว่า ผมยืนคิดสักครู่ ตอนนี้เกือบ 4 โมงแล้ว กว่าจะกลับห้อง เสร็จสรรพก็น่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง คงเร็วเกินไปที่จะกลับไปในเวลานี้ ผมกุมขมับ สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงชี้ไปทางบันไดทั้งหมด 1260 ขั้น

อย่างมากก็แค่ตัดขาทิ้ง ผมคิด





...........................





“พระเจ้...” ผมอุทานเสียงขาด ทิ้งตัวลงไปนอนหงายหน้ามองฟ้าอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น หลังจากลากพากายหยาบขึ้นมาถึงขั้นบนสุดของบันไดได้ สาบานกับตัวเองได้เลย ผมจะไม่ใจอ่อนยอมขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ ถ้ายังไม่ผอมไปมากกว่านี้

เขายืนยิ้มมองผม ใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ พอเห็นผมหายใจได้คล่องแล้ว ก็ส่งขวดน้ำเล็ก ๆ จากกระเป๋าทั้งหมดที่เขาเลือกจะเอาสะพายเอง ผมยิ้มแทนคำขอบคุณเพราะไม่มีเสียงจะพูด ก่อนจะรับน้ำมาแล้วค่อย ๆ กระดกจิบน้ำทีละนิด ๆ เพื่อป้องกันอาการสำลักน้ำ

เพราะอยากทำเวลาไม่ให้กลับไปเตรียมตัวเก็บของช้าไปนัก คำนวณเวลาแล้ว ทั้งผมและเขา เราอยากใช้ระยะเวลาในการไปกลับไม่เกินชั่วโมงครึ่ง นั่นแปลว่าเรามีเวลาแค่ประมาณ 40 นาทีในการขึ้นมาให้ถึงด้านบนสุด ผมกับเขา เราเลยวิ่งแข่งกัน แรก ๆ ก็สนุกดี แถมยังต้องหลบหลีกกลุ่มคนที่เดินสวนลงมา แต่หลัง ๆ ผมชักเมื่อย เลยได้แต่ปล่อยให้เขาแซงหน้าไป

หมอนี่อึดมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ในส่วนของกำลังขานั้นก็ชัดเจนแล้วว่าทนแค่ไหน ผมไม่กล้าถามว่าที่เขาอึดได้ขนาดนี้เพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า และก็นั่นแหละ เหมือนเขาจะอ่านความคิดของผมได้

“ผมไม่ได้ใช้ยา” เขาว่า

“ผมว่าจะถามมานานแล้ว คุณเลี้ยงลูกกรอกเหรอ ทำไมถึงเดาความคิดผมได้หมดเลย” ผมทักเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจที่ตัวเองอ่านออกสักเท่าไหร่

“เพราะผมรู้ใจคุณต่างหาก...”

“....”

“ผมรู้ว่าความคิดของคุณประมาณไหน คุณมองโลกยังไง อย่างตอนที่คุณมองมาที่ผม แววตาคุณสับสน มันไม่ใช่แววตาของความสับสนในความลังเลใจว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แต่มันเป็นแววตาที่สับสน ว่าตัวเองตัดสินใจถูกรึเปล่าที่มาที่นี่กับผม คิดถูกไหมที่บอกกับใครอีกคนของคุณไปแบบนั้น และสุดท้ายแล้ว...คุณสับสนว่าจะทำยังไงไม่ให้ผมเจ็บปวด”

“...”

“ผมจะเจ็บปวด...ไม่ว่าจะทำยังไงเมื่อมันมาถึงตรงนี้แล้ว มันต้องมีสักคนที่จะต้องเจ็บปวด ถ้าเป็นไปได้ ไม่ว่าใครก็อยากกลายเป็นคนที่สมหวังในท้ายที่สุด รสชาติของความผิดหวังน่ะมันขม เพราะคุณสัมผัสมันมา คุณถึงได้อ่อนโยนมากกว่าที่คุณคิด คุณพยายามช่วยผมถือแก้วที่แตกอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เราก็มองเห็นรอยร้าวบนแก้วใบนี้เต็มไปหมด”

“ครับ”

“ผมน่ะ...ไม่ต้องคิดมากนะ ผมน่ะพร้อมจะฟังทุกอย่าง ในเวลาที่คุณอยากจะบอกผม ”

เขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมระหว่างเรา สายลมบนยอดเขาพัดปลิวไปมา เจ้าตัวโตเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม ที่สุดแล้วเราพักกันเพียงแค่สิบห้านาทีก็ช่วยกันลุกขึ้นยืน ผมจับมือเขาไว้แน่น ๆ ก่อนจะพูดออกมาบางเบา

“ขอเวลาหน่อยนะครับ” มีเพียงแค่การพยักหน้าขึ้นลง ที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่าเขารับทราบแล้ว 

เราเดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ  ลมเย็น ๆ ตีหน้าผมไปมา ผมสูดอากาศเข้าปอด ทอดสายตามองไปยังวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ตัว มองไปไกลลิบ ๆ แอบเห็นทะเลเป็นริ้ว ๆ ไกลสุดลูกหูลูกตา น่าเสียดายที่แบตเตอรี่โทรศัพท์ของผมหมดลงไปแล้วเลยไม่สามารถบันทึกภาพความทรงจำครั้งนี้ไว้ได้ ผมค่อย ๆ เดินดูสถาปัตยกรรม ถ้าตามคำบอกเล่า ชาวบ้านที่นี่เขาเชื่อกันว่าเมื่อก่อนมีเสืออยู่บนถ้ำจริง ๆ เลยนำมาตั้งเป็นวัดถ้ำเสือนั่นเอง

เดินวนกันอยู่นานสองนาน สุดท้ายแล้วผมและเขาก็เดินไปหยุดที่หน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

“ผมเป็นคริสต์” ผมออกตัว ผายมือให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปสักการะตามพื้นความเชื่อดั้งเดิมของเขาได้เลย เจ้าตัวรับทราบ เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะจุดธูปแล้วหลับตา พนมมืองึมงำอะไรสักอย่างสองอย่าง พอเสร็จแล้วก็เดินไปปักธูปไว้ที่กระถาง เป็นอันเสร็จสิ้นการสักการะ ผมยกมืออธิษฐานเหนืออก ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา

“คุณขออะไรเหรอ?” ผมถาม เขายักคิ้วให้ผมแล้วตอบกลับมา

“คำอธิษฐานถ้าบอกไปก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์สิครับ” เขาว่า ผมอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกับเหตุผลนั้น

“กลับกันเถอะครับ” ผมว่า เขาพยักหน้ารับก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินก้าวตามมา ผมสูดอากาศบนยอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันไดทีละขั้น ๆ

ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนลงเราไม่ฝืนแรงโน้มถ่วงรึเปล่า ทำให้สบายกว่าขาขึ้นมาก ๆ ผมเหลือบมองเวลาแล้ว เราลงมาไวกันกว่าที่คิดไว้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ห้าโมงเกือบจะครึ่ง พอเดินลงมาถึงข้างล่างก็พักกันประมาณสิบนาที ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถยนต์ พอผมขึ้นไปนั่งได้อีกฝ่ายก็หันมาถามทันที

“โอเครึเปล่าครับวันนี้?” เขาถาม สีหน้าเหมือนเด็กลุ้นว่าอาจารย์จะรีเจกหัวข้อวิทยานิพนธ์ของตัวเองไหม

“โอเคสิครับ ได้ไปตั้งหลายที่ แถมผมยังไม่เคยไปด้วย แอบเมื่อยนิดหน่อยตอนขึ้นเขา แต่พอขึ้นไปถึงแล้ววิวก็สวยมาก ๆ แถมยังได้ไปเห็นอะไรอีกเยอะด้วย อีกอย่างทริปนี้ผมมาฟรีทั้งหมด คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแล้ว” ผมว่า แอบแซวความป๋าของเขาในตอนท้าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขับรถไวขึ้นจนผมประหลาดใจ

“คุณรีบไปไหนรึเปล่า?” ผมถาม เขาหัวเราะตอบกลับมาเบา ๆ

“รู้ด้วยเหรอครับ”

“ผมสังเกตเอา รู้สึกเหมือนคุณอยากรีบกลับที่พัก” ผมบอก เพราะตอนขามาเขาดูขับใจเย็นกว่านี้ แล้วก็ไม่เลาะเลี้ยวเก่งเท่าตอนนี้ เขาไม่ตอบผมแต่ขับรถเร็วขึ้นไปอีก ผมสบถออกมาเบา ๆ พร้อมตะโกนตอบกลับไป

“ชิบ ยังไงก็ตาม ผมขอนะ อย่าเกิน 100กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ผมว่า เกาะผนังรถแน่น ยิ่งพอเห็นอาการที่กลัวของผม เขายิ่งเหมือนแกล้งกันด้วยการขับเร็วขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายก็ยังดีที่เขาทำตามที่ผมขอ คือไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ระยะทางระหว่างรถเรากับรถคนอื่น ๆ ไม่ตัดกันมากเกินไป

ด้วยอิทธิฤทธิ์ตีนผี จากเดินที่ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกลับมาถึงที่พัก แค่ประมาณยี่สิบนาทีเศษ ๆ เขาก็พาผมกลับมาถึงแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะถามว่าทำไมถึงต้องรีบกลับมามากขนาดนี้ เขาก็ชี้ให้ผมหันหน้าออกไปดูทางทะเล ผมเงียบทันทีที่ได้เห็นมัน เข้าใจแล้วว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทันดูอะไร

“สวยใช่ไหมละ?” เขาถาม

ในขณะที่ผมกำลังเหม่อมองจ้องพระอาทิตย์ดวงโต ๆ กำลังตกลงไปในทะเล สาบานได้ ถ้าตอนนี้ผมกำลังหิว พระอาทิตย์ดวงนี้ก็คือไข่เป็ดทอดที่ไม่สุกและข้างในเต็มไปด้วยเนื้อไข่สำหรับคนที่ไม่ชอบทานแบบสุกมาก สีส้มอมแดงตัดกับเฉดของท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีเขียวอ่อนปนน้ำเงิน 

มันสวยมากจนถ้าไม่เห็นกับตา ผมก็คิดว่ามันคงมีอยู่แค่ในนิยาย ในภาพซีจี

ที่สุดแล้วธรรมชาติก็ยังมีความงดงามมากมายในตัวมันเองเสมอ ๆ

รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของเขาก็ซ้อนกับนิ้วมือของผม ความรู้สึกอบอุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้อนมากขึ้น ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รอยยิ้มของเขามันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนส่งออกมาจากใจ แต่มีความเจ็บร้าวซ่อนอยู่ในแววตาทั้งสองข้าง ผมมองหน้าเขา ก่อนจะคว้าคอขยับใบหน้าเข้ามากใกล้ ๆ

ริมฝีปากของเราชนกัน ผมสัมผัสได้ถึงความแตกกระด้างของเนื้อผิว ผมไม่สนใจค่อย ๆ สอดลิ้นเข้าไป เขานิ่งไปชั่วขณะเหมือนมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่ถึงห้าวินาทีก็ตวัดลิ้นเกี่ยวกลับมา ผมค่อย ๆ เคลื่อนไหวปลายลิ้นไปทั่วทั้งโพรงปาก สำรวจหาความหวานของรสจูบนี้

เพลง Rehab ดังขึ้นมาพอดี  ผมกดจูบกับเขากดไว้แบบนั้น จากจูบที่นุ่มนวลค่อย ๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามอากาศในปอดที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ฟันของเขาขบลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม ผมขบกลับไป ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นชื้น ๆ ที่มาจากใบหน้าของเขา ปลายลิ้นของผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือด เราถอนจูบออกช้า ๆ ก่อนจะมองหน้าผม

เขาสั่น ...สั่นไปหมดทั้งตัว ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมองเขาผ่านแว่นตาไม่ชัด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเลนส์ที่ไปมัวตอนไหนรึเปล่า

แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่

ผมมองไม่เห็นเขา เพราะน้ำตาของผมบดบังตัวเขาไว้

“คุณ...ร้องไห้ทำไม” ผมถามเสียงสั่นทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของตัวเองน้ำตาเต็มไปทั้งสองตา เขาเอื้อมมือสั่น ๆ ค่อย ๆ ซับน้ำตาให้กับผม ทั้ง ๆที่ตัวเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรกัน มือบาง ๆ คู่นั้นดึงผมเข้าไปซุกไว้ที่ตัว ผมสัมผัสได้ถึงน้ำตามากมายที่ค่อย ๆ หยดลงมาโดนหัวของผม

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษ” เขาพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมเองก็ร้องไห้ไม่ต่างอะไรไปจากเขา หัวใจของผมเองก็กรีดร้องไม่ต่างอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองเห็นสายตา ผมยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้น ผมเห็นความเจ็บปวด ผมเห็นความแหลกสลาย ผมเห็นว่าเขารับรู้ทุกความรู้สึกของผม เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...

...ตอนที่ผมมองหน้าพี่พอร์ช แล้วรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ผมขอโทษ...ผมไม่น่ามาที่นี่เลย” ผมว่าเสียงสั่น หัวใจเจ็บที่กำลังรับรู้ว่าตัวเองทำร้ายและทำลายคนอีกคนมากมายขนาดไหน ผมรู้ว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแน่ ๆ ที่จะชวนผมมา ทั้ง ๆ ที่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผมได้ให้ใจใครไปอีกคนตั้งนานแล้ว และเป็นผมเอง เป็นผมเองที่ทำร้ายทุกคนมาตลอด

ผมมาหาเขา เพราะต้องการทดสอบโชว่าเขาจะคิดยังไง ว่าเขาจะหวงผมไหม ว่าความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมรึไม่ เพราะทั้งหมดนั้นผมกลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป ถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน ขอให้มันอยู่ในวันและเวลาที่เรายังไม่ได้ไปด้วยกันไกลมากไปกว่านี้ เพราะผมคิดแบบนั้น เพราะในใจลึก ๆ ของผมหวาดกลัวการเริ่มต้น

ขอแค่คำเดียวที่เขาพูดมา แค่สายตาที่ผิดหวังในตัวผมตอนที่ผมไปมีอะไรกับใคร

มันคงทำให้ผมตัดใจ คงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร ที่ต้องเดินจากผมมา

ลึก ๆ ข้างในแล้ว ผมขยะแขยงตัวเอง ผมรังเกียจตัวเองที่ทำแบบนี้ เพราะกลัวการเริ่มต้น ถึงไม่เริ่มใหม่กับใคร ต้องการแค่คนที่มานอนเป็นครั้งคราวไป ไม่คาดหวังอะไรนอกจากว่าอีกฝ่ายจะมีคุณค่ามากพอให้ผมรู้สึกอยากจะมีอะไรด้วย

เพราะกลัวมาตลอดว่าทุกคนจะเข้าหาด้วยเรื่องแค่นี้ เลยพยายามห้ามตัวเองไว้ไม่ให้คิดอะไรไปไกลมากกว่าแค่คืนหนึ่งคืนที่ผ่านมาและผ่านไป เพราะลึก ๆ ข้างในแล้วผมขยะแขยงตัวเอง ผมไม่อาจจะยอมรับว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยที่จะต้องมีอะไรกับใครสักคน เพราะผมกลัว ผมไม่สามารถก้าวข้ามความหวาดกลัวได้

ผมกลัวหลงทางอีกครั้ง เหมือนที่ใครบางคนเคยพยายามนำทางผมและทุกอย่างก็แหลกสลายไปในท้ายที่สุด

ผมถึงทดสอบกับโชครั้งแล้วครั้งเล่า ทดสอบว่าเขา..จะรังเกียจคนแบบผมไหม?

ในที่สุดแล้ว ผมไม่สามารถมีอะไรกับใครคนอื่นได้นอกจากโช ไม่หรอก ผมมีได้ แต่ความรู้สึกที่ตามหลังมาเหมือนกับว่าผมกำลังทำผิดพลาด เหมือนกับว่าผมกำลังหักหลังเขา ผมกำลังหักหลังตัวผมเอง เหมือนที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสองคนนั้น ที่จริงแล้วถ้าผมจะหยุดผมก็คงทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ผมเลือกที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนำหน้าเหตุผลเพื่อทดสอบเขา

...ผมเห็นแก่ตัวกับคนเหล่านี้มากมายเหลือเกิน

“ผมยินดี”

เขาพูดทั้งหยาดน้ำตา คล้ายอ้อมกอดให้ผมได้เห็นใบหน้าที่กำลังมองลงมา

“24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม คุณไม่ต้องเสียใจ คุณไม่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรเลยที่คุณได้ทำผิดพลาดไป ทั้งหมดคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเสมอในท้ายที่สุด”

“....”

“พระอาทิตย์ขึ้นและตกแบบนี้ จนกว่าสักวันโลกจะแตก ที่สุดแล้วทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นและจบลงไป สุดท้ายแล้วปลายทางของใครสักคนก็ต้องตัดผ่านกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ...ผมยินดี ผมยินดีมาก ๆ แล้วที่ได้มีคุณอยู่ในชีวิต แค่เท่านี้ชีวิตของผมก็สมบูรณ์เท่านี้มันจะสมบูรณ์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว”

“ครับ...”

“ดังนั้นแล้ว ได้โปรดอย่าร้องไห้เลยนะครับ”

น่าเสียดาย ผมไม่สามารถทำตามที่เขาขอร้องได้เลยสักนิด

เหมือนหัวใจผมแตกสลาย น้ำตามากมายไหลออกมาไม่ต่างจากฝนเมื่อยามบ่าย



.....................

 




ผมร้องไห้หนักมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที เราทั้งคู่ก็ถอดเสื้อผ้า เปลือยกาย แล้วก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ผมเหมือนตุ๊กตาเดินได้ที่ไม่มีสติอยู่กับตัว ก้มหัวลงให้เขาสระผมให้ มือหยาบกระด้างค่อย ๆ ฟอกแชมพูให้ผม ก่อนจะเทสบู่เหลวลงมือแล้วไล่ไปทั่วร่างกายผม ไม่แม้แต่จุดซ่อนเร้น ผมไม่หลบหนี ปล่อยเขากระทำตามใจกับร่างกายไปเรื่อย ๆ

ผมอยากให้เขามีความสุข นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก

เขาไม่ได้ทำอะไรผมไปมากกว่านั้น ไม่ได้ล่วงเกินมากไปกว่าแค่ต้องการชำระล้างร่างกายให้ผมเท่านั้นเอง ผมเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกันกับเขา เจ้าตัวช่วยผมเช็ดศีรษะด้วยการเอาผ้ามาพัน ๆ แล้วถูให้จนแห้งสนิท พร้อมเสร็จหลังจากนั้นก็ทาแป้งเบา ๆ ให้ผม ยื่นชุดที่คิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาไปหาไซซ์ผมมาได้ยังไงให้ใส่

เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าเราจะต้องขับรถกลับไปสนามบิน ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่นอนกอดเขาเงียบ ๆ เหมือนกับที่เขานอนกอดผม พยายามแล้ว แต่ที่สุดเราสองคนก็ยังนอนกอดกันร้องไห้แบบนั้น เขาเปิดเพลง ‘ฉันดีใจที่ได้พบเธอ’ ของ Whal & Dolph ก่อนเราจะนอนกอดกันร้องไห้ไปแบบนั้นจนหมดเวลา

หลังจากเช็กว่าไม่ลืมอะไรทิ้งไว้เป็นครั้งสุดท้าย ผมก็กดล็อกกุญแจที่พัก ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ หันไปมองหน้าเขา หันมามองเรา พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สองตาบวม ๆ ในการจดจำและบันทึกทุกอย่างไว้ในความทรงจำของตัวผมเอง

มันเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีค่ามากสำหรับผมจริง ๆ

ถึงเวลากลับ เรานั่งสายการบินเดิมที่นั่งมาเมื่อเช้า..จริง ๆ ผมต้องบอกว่าเมื่อคืนสินะ? ช่างเถอะ หัวของผมหมุนวนจนไม่สามารถคิดอะไรได้อีกแล้ว เรานั่งเงียบ ๆ เสียบหูฟังกันคนละข้างจนมาถึงกรุงเทพฯ ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่คนรถเมื่อเช้ายังอยู่รอเราสองคน เขาโค้งให้คนข้าง ๆ ตัวผมก่อนจะยื่นกุญแจรถพอร์ชคันเดิมให้กับเขา

ผมนั่งเงียบ ๆ เหม่อเห็นนาฬิกาเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว เวลา 24 ชม.ที่เกิดขึ้นกำลังจะจบลง ผมเหมือนคนเบลอยา เหมือนหลับแล้วฝันไป ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ยาวนานมากขนาดนี้ เขาขับขึ้นทางด่วน ถนนยามค่ำคืนค่อนข้างโล่งโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นคืนวันเสาร์

เขาขับรถมาเรื่อย ๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว เวลาเองก็กำลังเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ เช่นกัน น่าแปลกที่ผมกลับเริ่มสงบใจได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าในที่สุดแล้วผมก็เข้าใจตำแหน่งของใครอีกคนสักที

ความเจ็บปวดที่พี่พอร์ชมอบให้กับผม แม้มันจะเป็นบาดแผลที่ใหญ่และรุนแรง แต่อย่างน้อยที่สุดมันไม่ใช่แผลเรื้อรัง มันทำให้ผมตัดสินใจที่จะไปต่อได้ง่ายมากขึ้น

การไม่มีความหวังใด ๆ หลงเหลืออยู่ในรักครั้งเก่า ก็เป็นประตูอีกบานที่จะส่งเราไปเจอกับความรักครั้งใหม่ ๆ

เขาจอดรถเทียบในมหาวิทยาลัย มองนาฬิกาแล้วยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีเศษ เราเงียบ ก่อนเขาจะเป็นคนพูดก่อน

“ไปเดินเล่นกัน” เขาว่า ผมพยักหน้าและเดินลงไปจากรถ หยิบมาเพียงแค่โทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาด้วยเพียงอย่างเดียว

เราเดินเงียบ ๆ ข้าง ๆ กัน ผมไม่รู้จะพูดอะไร เพราะผมพูดทั้งหมดที่ผมอยากจะพูดออกไปหมดแล้ว ผมว่าเขาเองก็คงไม่ต่างกัน เลยปล่อยให้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวได้ทำงานของมัน เสียงแมกไม้ เสียงรถยนต์ที่ดังเข้ามาจากถนนใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาบางส่วนที่ยังคงค้างและหลงเหลืออยู่ในนี้

ยี่สิบสามนาฬิกา ห้าสิบเก้านาที...

“ส่งผมแค่ตรงนี้ก็พอครับ” ผมพูดออกมาเป็นครั้งแรก หันหน้าไปเจอกันกับเขา

“....”

“คุณครับ...”

“....”

“ได้โปรด...ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ” ผมบอก พยายามไม่ให้ความรู้สึกขม ๆ ข้างในทะลักออกมาเป็นทะเลน้ำตา

เขาเงียบสงบกว่าที่ผมคิด ไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือแสดงอาการเสียใจ พยักหน้ารับคำและส่งรอยยิ้มให้กับผม

“ผมชื่อ‘หยก’” เขาบอก ผมพยักหน้ารับคำเงียบ ๆ บ้าง

หยก ผลึกอัญมณีที่มีค่า สำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวมัน

“ผมชื่อทรอย” ผมตอบกลับไป เขาพยักหน้าขึ้นลงรับทราบอย่างสงบ

เราเงียบและมองหน้ากัน เหมือนผมได้ยินเสียงเข็มวินาทีดังขึ้น เหลือบตามองหน้าปัดเป็นเวลา 00.00 นาฬิกา

“หยกครับ ทรอยต้องไปแล้วนะ”

“ครับ”

ผมเตรียมตัวจะหันหลังกลับมา แต่เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน

“หยกจะจำชื่อทรอยไปชั่วชีวิตของหยกนะครับ”

เขาบอก ผมพยักหน้ารับทราบ ทำสิ่งที่สมควรทำครั้งสุดท้ายด้วยการกอดอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาให้กับเขา ถึงที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าสักวันหยกจะเจอกับใครสักคนที่จะมอบความรักทั้งหมดให้กับเขาได้จริง ๆ

ผมหันหลังกลับและเดินหน้าต่อไป ปราศจากเสียงเรียกรั้งใด ๆ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองไล่ตามผมจนสุดทาง แต่ผมไม่สามรถหันหลังกลับไปมองได้ ผมไม่สามารถหันกลับไปได้ทั้ง ๆ ที่น้ำตาเต็มสองตาของผมแบบนี้ ผมไม่ใส่ใจสายตาของใครต่อใครที่มองมาที่ผม พยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงออกมาว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าหอพัก แล้วพบว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนรออะไรบางอย่างที่หน้าประตู

บางอย่างที่ว่า...นั่นคือผม

“กลับมาแล้วเหรอครับ?” เขาว่า ยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ใบหน้าอิดโรยอยู่ในชุดออฟฟิศที่มีเสื้อสูทตัวนอกพาดแขน แม้จะดูเหนื่อยล้าขนาดไหนแต่เขาก็ยังพยายามที่จะส่งยิ้มกลับมาให้ที่ผม

“หิวไหม...ทานอะไรมารึ...” โชพูดได้ไม่ทันขาดคำ ผมก็เขาไปกอดเขาไว้เต็มรัก

“ขอโทษนะครับ ช่วยอยู่กับผมตรงนี้ก่อนได้ไหมครับ?”

ไม่ใช่คำขอร้อง แต่คือคำอ้อนวอน

....นานแล้วเหลือเกิน ที่ผมไม่ได้เจอใครสักคน ที่ทำให้ผมกล้ามากพอที่จะร้องไห้ให้เขาฟัง


Time talk : มาติดตามสี่ตอนที่เหลือกันนะครับ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ขอบคุณจริง ๆ เลยนะ ที่ยังอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ ใกล้แล้วนะครับ อีกนิดเดียวเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งรีบเดินจากกันไปไหนนะครับ :)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2019 15:07:39 โดย พ่อแมวพุงโต »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด