“เออ งั้นแสดงว่ายังรู้สึก เอวมึงยังใช้ได้ดีเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ไอ้สัด กูไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นมั้ย” เขมินทรามองค้อน “แต่ก็...เออ ห่วงนิดหน่อยแหละ”
“กูรู้ใจมึงที่สุดไหมล่ะ” ผมหัวเราะ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย “นั่นแหละไอ้ขิม กูบอกพี่โมอย่างนั้น มึงก็ทำให้แนบเนียนหน่อยละกัน เอาเรื่องมันมันก็รอดอยู่ดี ให้มันมาติดแหง็กอยู่กับมึงทั้งชีวิตนั่นแหละ เป็นการลงโทษให้มันทรมานอยู่กับคนที่มันไม่ได้รัก”
“อย่าย้ำได้มั้ยว่ามันไม่รักกูไอ้พี่เหี้ย” เขมินทราเบ้ปากใส่ผม “แต่กูจะทนไหวเหรอวะ อยู่กับคนที่รู้ว่าเขาไม่รัก”
“มึงนี่ย้อนแย้งเก่ง แต่ไม่ต้องห่วง มันรักมึง”
“กูไม่เชื่อ”
“ไม่เชื่อแล้วมึงยิ้มทำไม” ผมล่ะเบื่อไอ้พวกปากแข็ง ทำตัวซึน “ต่อจากนี้จะทำอะไรก็เรื่องของมึงแล้ว แต่ต้องคิดถึงความสุขของตัวเอง อย่าทิฐิเยอะ”
“แล้วกูต้องทำเหมือนเดินไม่ได้เหรอ”
“แผลยังไม่หายก็ไม่ควรเดินเยอะไอ้โง่ หายดีเมื่อไหร่จะวิ่งก็ตามใจมึง”
เขมินทราพยักหน้า คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะหุบลงทันทีเมื่อประตูถูกเปิดเข้ามาและคนที่มันทำทีว่าไม่อยากเจอก็ปรากฎตัว
“พี่โมมาก็ดี ฝากดูมันหน่อย” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันไปพูดคุยกับคนที่กำลังเดินมาใกล้เตียง “ผมจะไปหน้าห้องไอซียู จะอยู่รอจนถึงเวลาเข้าเยี่ยม”
“ได้ ไปเถอะ”
ผมหันไปลูบหัวไอ้น้องโง่ แสดงหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีแล้วก็ขอตัวออกจากห้อง จากนี้...ผมหวังว่าเขมินทราจะมีความสุขจริงๆ เสียที แม้ว่าพอปิดประตูแล้วจะได้ยินเสียงโครมคราม มันอาจจะอาละวาดโดยการขว้างปาข้าวของใส่คนที่มันรัก แต่ผมเชื่อว่ามิสเตอร์ทีคนที่ขังมันในนรกมาหลายปีคนนั้นจะจัดการได้ ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้คนทำผิดมีโอกาสแก้ตัวแต่เขมินทราจะลงโทษเขาเอง ผมถึงได้ยอมถอย ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคนจัดการกันไป เพราะต่อจากนี้ไม่ใช่ปัญหาของผมอีกแล้ว
ปัญหาของผมคือคนที่ยังอยู่ในห้องไอซียูต่างหาก ปัญหาที่ดูท่าว่าจะไม่มีทางคลี่คลาย ยังคงเป็นเหมือนเมฆสีดำอึมครึมบดบังดวงอาทิตย์ให้ท้องฟ้าที่ควรเป็นสีฟ้าแจ่มใสกลับกลายเป็นสีหม่นๆ เทาๆ
ผมเดินมาที่หน้าห้องไอซียู หลบมุมมานั่งรออยู่บนเก้าอี้ที่มีญาติของผู้ป่วยหนักคนอื่นๆ รอเข้าเยี่ยมกันอยู่ คุณธนิษฐาไม่มาสองวันแล้วเพราะเธอล้มป่วย ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาลหรืออยู่ที่บ้านเพราะไม่ได้ให้ความสนใจ เวลาเจอเธอที่นี่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน ทว่าเราก็หัวอกเดียวกัน ดวงตาเธอที่มองสบมาบวมช้ำไม่ต่างจากผม ทุกครั้งที่เข้าเยี่ยมก็คงภาวนาไม่ต่างจากผมว่าอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี แม้สายระโยงระยางจากตัวคุณธนิกจะเป็นภาพที่ไม่ชินตาและทำให้ใจฝ่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังใจชื้นที่ยังเห็นอกกว้างของเขาสะท้อนขึ้นลง เขายังหายใจเองไม่ได้ ยังคงหลับสนิทราวกับไม่เจ็บไม่ปวด มีอาการชัก เกร็งให้ใจหายใจคว่ำอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังพูดได้เต็มปากว่าดีแล้ว...ดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ผมยังสามารถจับมือรับความอบอุ่นจากเขาได้
“น้องขวัญ ได้เวลาแล้ว” เสียงของคุณธนิกทำให้ผมละความสนใจจากเด็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในชานชาลา “ไปขึ้นรถกัน”
“ขึ้นรถไปไหนครับพี่นิก” ผมถามพลางเอียงคอมองเขา “เรากำลังจะไปที่ไหน”
“อ้าว...คนซื้อตั๋วไม่รู้แล้วพี่จะรู้ได้ยังไง” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “เอาตั๋วมาดูสิ”
ผมล้วงมือไปค้นในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงแต่ก็หาตั๋วรถไฟไม่เจอ “ไม่มีครับพี่นิก หรือผมยังไม่ได้ซื้ออะ”
“ทำหายหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจ” ผมตอบอย่างลังเล “ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย”
“น้องขวัญขี้ลืม แล้วทีนี้เอายังไงดี”
“ไปซื้อใหม่ก็ได้” คุณธนิกทำหน้าดุจนผมรีบพูดอย่างเอาใจ “ว่าแต่พี่นิกอยากไปไหนครับ”
“พี่ไปที่ไหนก็ได้แค่น้องขวัญไปด้วย”
ปากหวานอีกแล้ว
“งั้นไม่ต้องไปแต่แค่นั่งอยู่ด้วยกันก็ได้ใช่ไหมครับ”
“อืม ยังไงก็ได้ถ้ามีน้องขวัญ”
“ผมก็เหมือนกัน”
เรามองสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม แต่ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่รอยยิ้มของคุณธนิกเศร้าเหลือเกิน
“พี่รักขวัญนะ” เขาบอกเบาๆ ส่วนผมได้แต่เบิกตากว้างกับถ้อยคำที่ได้ยิน “ทำหน้าตลกจัง”
“ก็...พี่นิกไม่เคยพูดเลย”
“กลัวว่าพูดไปแล้วจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พอพูดให้ฟังแล้วกลัวจะเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าเดิม”
ไม่เข้าใจเท่าไร แต่เห็นสีหน้าของเขา ผมก็เห็นความทุรนทุรายบางอย่างในแววตา
“ขวัญไม่รู้หรอกว่าพี่รักขวัญ ต้องการขวัญมากแค่ไหน”
“รู้ซี ก็พี่นิกรักผมทุกวันเลย รักแรงด้วย” ผมพูดล้อๆ ก่อนจะหน้าแดงกับคำพูดของตัวเอง
เขาหัวเราะพลางถามเสียงนุ่ม “แล้วขวัญรักพี่บ้างมั้ย”
“รักมากๆ เลยค้าบบบ”
“กอดพี่หน่อยสิครับ” เขาอ้าแขนออกกว้าง ผมเห็นดังนั้นจึงโผเข้าในอ้อมกอด เขารับตัวผมไว้แล้วยกมือลูบศีรษะผมเบาๆ “ดูแลตัวเองให้ดีนะน้องขวัญ พี่คงเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่องเลย ดูแลไม่เก่ง ปกป้องก็ไม่ได้ ทำขวัญร้องไห้ก็บ่อย แล้วพี่ก็ยังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อความสุขของเราสองคนเลย พี่ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้ ขวัญยกโทษให้พี่ได้มั้ย”
“ผมไม่ได้โกรธพี่นิกนี่ครับ จะมาขอโทษผมทำไม” ผมบอกเขาเบาๆ แล้วกระชับแขนโอบตัวเขาแน่นขึ้น “ผมไม่ได้ต้องการแฟนที่ปกป้องผมได้เหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ เรื่องดูแลพี่นิกก็ทำได้ดีมากๆ แล้ว ดูแลดียิ่งกว่านี้ผมคงเป็นง่อย เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมมากไปกว่านี้หรอกครับ เป็นพี่นิกผู้ชายธรรมดาๆ แค่พี่นิกเป็นพี่นิก อยู่เป็นพี่นิกให้ผมรักก็พอแล้ว”
“แบบนี้ดีจริงๆ เหรอน้องขวัญ พี่ที่เป็นแบบนี้ทำให้น้องขวัญมีความสุขได้จริงๆ ใช่มั้ย”
“ครับ ผมมีความสุขแล้ว” ผมตอบพลางยิ้มหวานให้เขา “คนเป็นแฟนกันไม่จำเป็นหรอกครับที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องคอยปกป้องหรือดูแล พี่ไม่ต้องทรีตผมเหมือนผมเป็นผู้หญิง เพราะผมก็ผู้ชาย ดูแลตัวเองได้ ปกป้องตัวเองได้ดีด้วย พี่มีปัญหาของพี่ ผมมีปัญหาของผม ไม่ต้องช่วยกันแก้ก็ได้แต่แค่เราอยู่เคียงข้างกัน ผมว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว”
คุณธนิกอาจเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็ค เก่งเรื่องงาน จัดการปัญหาได้ทุกอย่าง แต่พี่นิกแฟนของผมกลับเป็นแค่ผู้ชายที่มีข้อบกพร่อง เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
“แล้วถ้าวันหนึ่งพี่ไม่ได้อยู่ด้วย ขวัญจะยังมีความสุขอยู่มั้ย”
“พี่” ผมมองสบตากับเขา “ความสุขของผมคือพี่นะ ถ้าพี่ไม่อยู่ ผมจะมีความสุขได้ยังไง”
“ขวัญ…”
“อย่าไปไหนเลย” ผมกอดเขาแน่นขึ้น “ที่ผมเข้มแข็งและยังยิ้มได้ ต่อให้เจอปัญหาผมก็ไม่ท้อ เพราะว่ายังมีพี่อยู่ข้างๆ ผมเก่งเพราะผมมีพี่”
“ขวัญกำลังทำให้พี่เป็นห่วงรู้ไหม”
ผมไม่ชอบน้ำเสียงเศร้าสร้อยของเขา ไม่ชอบที่เขากำลังผละตัวออกห่าง แม้ว่าอ้อมกอดของผมจะแน่นแค่ไหนแต่อยู่ๆ แขนทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรง เขายังคงยิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่พาความเหงาเข้ามาในใจของผม
“ขวัญพัฒน์เด็กดีของพี่ ต้องยิ้มเยอะๆ นะ” เขาใช้นิ้วทั้งสองข้างยกมุมปากของผมขึ้น “พี่ชอบเวลาขวัญยิ้มจนตาหยี ชอบมองเวลาขวัญหัวเราะ ถ้าต่อจากนี้พี่ทำได้แค่มองดูขวัญแล้ว ขวัญสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ร้องไห้”
“ผมไม่สัญญาในเรื่องที่ผมทำไม่ได้” ผมบอกอย่างดื้อดึง แต่ครั้งนี้เขาไม่ดุ เขาทำแค่ยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วยกมือขึ้นลูบหัวผม
“พี่ต้องไปแล้วนะ” เขาบอกเสียงเบาพลางยื่นตั๋วรถไฟให้ดู “รถไฟจะออกแล้ว”
“ไม่” ผมจับแขนเขาไว้แน่น “พี่จะทิ้งผมไม่ได้ รอผมก่อนได้ไหม ผมจะไปซื้อตั๋วใบใหม่ แล้วเราไปด้วยกัน”
ผมขอโทษที่ทำตั๋วหาย ขอโทษที่ผมดูแลรักษาไว้ไม่ดี แต่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวเพราะแม้จะดื้อดึงแค่ไหน ตัวผมก็ยังถูกทิ้งให้อยู่ที่ชานชาลาเพียงลำพังและเฝ้ามองท้ายขบวนรถไฟที่พาคุณธนิกไปไกลจากผม
สัญญาบ้าบออะไรกัน...
ถ้าจะไม่มีใครกลับมา ก็อย่าปล่อยให้ผมรอได้ไหม
เพราะตอนนี้ การรอคอยคือสิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิตของผมแล้วผมจะยิ้มอย่างที่เขาชอบได้ยังไง
“ไอ้ขวัญ” เสียงเรียกของไอ้แนนทำให้ผมลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะกวาดตาไปทั่วบริเวณ เพดานสีขาวและเสาน้ำเกลือกับความนุ่มของเตียงคนไข้ “เป็นไงบ้างวะมึง”
“แย่ว่ะ” ผมตอบตามจริงเพราะความฝันเมื่อครู่ยังคงทำให้หัวใจปวดหน่วง “แล้วกูมาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ กูจำได้ว่านั่งรอเยี่ยมคุณธนิกที่หน้าห้องไอซียู”
ไอ้แนนทำหน้าเหนื่อยใจ ก่อนจะส่งแก้วน้ำมาให้ผมจิบ “มึงเข้าไปเยี่ยมคุณธนิกแล้ว แต่ตอนออกมามึงเป็นลม หมอบอกว่ามึงพักผ่อนน้อย ความดันต่ำด้วย ข้าวปลาก็คงไม่ค่อยยอมกินเลยบอกว่าควรให้น้ำเกลือสักกระปุกสองกระปุก”
“กูไม่เห็นจำได้ว่าเข้าไปแล้ว...”
“ไอ้ขวัญ” ไอ้แนนเรียกเสียงเข้ม “ถ้ามึงไม่ยอมมองความจริงตรงหน้า ก็อย่าบิดเบือนมัน ถ้าภาพที่เห็นมันแย่ แล้วจะไปทำไมให้เห็นทุกวัน หัวใจของมึงจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“กูคิดถึง กูอยากเจอ แต่กูทนเห็นเขาในสภาพนั้นไม่ได้ กูควรทำยังไงต่อวะแนน กูเอาแต่ฝันว่าเขาจะไปจากกู กูอยู่เหมือนเดิมไม่ได้จริงๆ วันแรกมันไม่ทรมานเท่านี้ แต่หลังจากนั้นมันแย่ลงเรื่อยๆ เวลาแม่งไม่เคยช่วยอะไรกูได้เลย”
“ร้องออกมา...มึงร้องออกมาให้หมด” ไอ้แนนบอกเสียงสั่น “ไม่ต้องทำเป็นเก่งแล้วไอ้ขวัญ ตอนนี้มึงอ่อนแอสุดๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอายถ้าจะร้องไห้”
น้ำตาของผมไหลลงตามคำสั่งของไอ้แนน ผมกอดเอวของมันไว้ ปิดเสียงร้องไห้ด้วยหน้าท้องที่ไม่ได้เป็นลอนสวยเหมือนอย่างของคุณธนิก แต่ก็ปิดกั้นเสียงแห่งความอัดอั้นของผมได้ ผมอยากตะโกนให้ดังกว่านี้ เอาให้สมกับที่ความรู้สึกกำลังจะระเบิดออกมา ทว่า...ผมไม่มีแรงพอ
ชีวิตหลังจากนี้ของผมจะมีความสุขได้อย่างไรผมก็ยังคิดไม่ออกในเมื่อรถไฟขบวนนั้นพาความสุขของผมหนีหายไปแล้ว กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มีแค่ผมที่ยังคงนั่งรออยู่เพียงลำพัง มีแค่ผมที่ยังคงรอคอย รอคอยอย่างมีความหวังว่าในสักวันจะได้พูดทักทายเขาอีกครั้ง
ผมยังรออยู่นะ...กลับมาสักทีได้ไหมครับ กลับมาก่อนที่ผมคนนี้จะรอไม่ไหว เปลี่ยนคำจากลาเป็นคำพูดที่ดีกว่านี้ ที จะเป็นคำธรรมดาก็ได้ แต่แค่ให้ผมได้พูดว่า ‘สวัสดีครับคุณธนิก’ อีกสักครั้ง แค่นั้นก็พอแล้ว
.............TBC................
จบตอนหน้าจ้าาาา
