ตอนที่ 2
สองเดือนนี่มันนานแค่ไหนกันนะผมคำนวณเลขไม่เก่งจึงไม่รู้จำนวนชั่วโมง นาที หรือวินาทีที่คุณธนิกต้องไปทำงานต่างประเทศ แต่ก็ดีมากแล้วที่ยังพอรู้ว่าในแต่ละเดือนมีกี่วัน
61 วันไม่น้อยเลย เป็นตัวเลขที่มากทีเดียว ตอนนี้ผมเอาแต่นึกเสียใจว่าเมื่อคืนน่าจะออกไปเจอ เพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวจริงๆ ที่ได้เข้าใกล้เขามากขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อคืนมัวแต่กลัวหรืออยากทำเท่อะไร
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจของผมทำให้ไอ้แนนที่เคี้ยวหมากฝรั่งเสียงดังแจ๊บๆ หันมามอง “เป็นอะไรไอ้ขวัญ ทำหน้าอย่างกับว่าพรุ่งนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวป้านีจะเจ๊ง”
ผมกลอกตาเล็กน้อย “ร้านก๋วยเตี๋ยวป้านีจะเจ๊งแล้วมาเกี่ยวอะไรกับกู”
“ก็นั่นโรงทานของมึงไม่ใช่เหรอ” ไอ้แนนยืดตัวขึ้น ไล่ความเกียจคร้านด้วยการบิดตัวไปมา
“ถ้านั่นเป็นโรงทานจริง กูไม่ต้องโดนทวงค่าก๋วยเตี๋ยวทุกครั้งที่ไปกินหรอก”
“ก็จริง แต่ป้านีก็ไม่เคยพูดว่าจะไม่ขายให้มึงนี่ ต่อให้มึงติดค่าก๋วยเตี๋ยวป้าเป็นสิบๆ ชาม”
“เพราะกูไม่เคยเบี๊ยวไง สิ้นเดือนก็จ่ายตลอด”
ไอ้แนนยกพัดขนาดเล็กที่มันพกติดตัวไว้ตลอดขึ้นมาโบกไปมา สีหน้าราวกับไม่ได้ยินการมีความรับผิดชอบในการชำระหนี้ของผม แต่การจะยกเรื่องเล็กน้อยมาทะเลาะกับคนน่าถีบอย่างมันในตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์
“ตกลงมึงเป็นไร อย่างมึงไม่น่ามีเรื่องให้ทำหน้าหมาหงอยแบบนี้ อะ!” ไอ้แนนทำท่าคิดออก “หรือว่าไอ้หลงมันไปทำหมาบ้านไอ้วันท้องแล้วไอ้วันตามมาเอาเรื่องมึง!”
“กูกลัวลูกมึงจะเกิดมาบ้าเหมือนมึงจริงๆ”
“อ้าว แล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“ไม่ใช่”
“แต่มึงไม่มีเรื่องอะไรให้เครียดแล้วนะเว้ยไอ้ขวัญ”
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็จริงที่นอกจากหมาที่บ้านแล้ว ผมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ ทั้งเรื่องค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ หรือเรื่องอนาคตต่อจากนี้ ผมก็ไม่เคยเก็บมาคิดใส่ใจ เพราะคิดมากไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่เป็นอยู่ ผมแค่ต้องมีชีวิตอยู่ไปให้ถึงเช้าของอีกวัน
โลกที่ว่างเปล่าของผมก็มีเท่านี้ มีแค่ผม น้าลี และไอ้หลง ตอนนี้น้าลีไม่อยู่แล้ว เรื่องที่ผมต้องกังวลก็มีแค่ไอ้หลง จึงไม่แปลกใจหากไอ้แนนจะคิดแบบนั้น
“มีดิวะ”
“หือ” ไอ้แนนทำหน้าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“คุณธนิก” ผมเกริ่น เห็นไอ้แนนทำหน้างงเล็กน้อย มันคงกำลังใช้สมองอันน้อยนิดค้นหาชื่อคุณธนิกในซอกหลืบความทรงจำของมัน “คุณธนิกไงไอ้โง่ คุณธนิกที่กูบอกว่ากูชอบเขา”
“อ้อ…” ไอ้แนนลากเสียงยาว พยักหน้าหงึกหงัก “คุณธนิก”
“ใช่ คุณธนิก”
“ใช่ๆ กูก็ลืมถามไปเลย แล้วเป็นไงต่อวะ หลังจากที่มึงเก็บกระเป๋าตังค์เขาได้ นอกจากไอ้ปากช้ำๆ นี่แล้ว มึงได้อะไรกลับมาอีกบ้าง”
ผมรู้สึกห่อเหี่ยวในใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ไอ้แนนก็เกือบจะลืมไปแล้ว แล้วถ้าเป็นคุณธนิกล่ะ ในอีกสองเดือนหลังจากนี้ ตอนที่เขากลับมาประเทศไทย เขาจะจำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งเคยทำกระเป๋าตังค์หายแล้วผมเป็นคนเก็บไปส่งคืน
“ไม่ได้อะไร” ผมตอบพลางถอนหายใจ “จะให้ได้อะไรวะ เงินในกระเป๋าของเขาก็หายไปหมด เขาไม่จับกูส่งตำรวจก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“แต่มึงไม่ได้เอาเงินเขาไปนี่”
“ก็ใช่ คนดีอย่างกูไม่ทำหรอก”
ไอ้แนนเบ้ปากกับการเป็นคนดีของผม “มึงไม่เอาเงิน แต่มึงหวังอย่างอื่น”
“กูจะหวังอะไรได้วะ”
“กูไม่เก่งเรื่องเดาความคิดของมึงหรอก กูก็เรียนมาน้อยพอๆ กับมึง” ไอ้แนนว่าอย่างอารมณ์ดี “แต่พูดก็พูดเถอะ มึงชอบเขา แล้วก็ได้แค่ชอบเหรอวะ แบบ... ทำอะไรต่อไม่ได้เหรอ”
“ถ้าพรุ่งนี้กูตื่นขึ้นมาแล้วมีคนมาบอกกูว่ากูคือลูกมหาเศรษฐี พ่อเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันที่ซาอุ กูคงทำอะไรต่อขึ้นมาได้อยู่หรอก”
บางทีผมก็แค่คิดเล่นๆ ว่าพ่อที่ทิ้งแม่ไปในระหว่างที่แม่กำลังตั้งครรภ์นั้นอาจเป็นมหาเศรษฐีมาจากที่ไหนสักที่ แต่ก็คิดมาหลายปี ไม่เห็นจะมีทนายคงทนายความมาตามหาผมเหมือนในละครบ้างเลย
“นี่ไอ้ขวัญ มึงว่าถ้ามึงเป็นลูกคนรวยแล้วมึงจะทำอะไรได้ แสดงว่ามึงจะจีบเขาเหรอ แล้วถ้าเขาไม่ได้เป็นเกย์ล่ะ”
ความเป็นไปได้ที่ผมจะเป็นลูกมหาเศรษฐีนั้นเป็นศูนย์ แต่ความเป็นไปได้ที่คุณธนิกจะเป็นเกย์นั้น...ติดลบ
ผมได้ยินจากพี่จอย พนักงานบัญชีบริษัทของคุณธนิกมาว่าคุณธนิกมีคู่หมั้นแล้ว เขาหมั้นกับสาวสวย ทายาทนักธุรกิจรายใหญ่ ใครก็ว่าเป็นการหมั้นที่มีผลประโยชน์เอื้อต่อกัน แต่คนรวยก็ทำอย่างนั้นกันทั้งนั้น หากหวังถึงความรักโรแมนติกผมคงต้องวิ่งไปเปิดทีวีที่บ้านเพื่อดูละครหลังข่าว แต่นั่นแหละ ทีวีที่บ้านเสียไปก่อนที่น้าลีจะเสียซะอีก
“ไม่มีความเป็นไปได้เลยเนอะ” ไอ้แนนว่าอย่างเห็นใจ มันตบไหล่ผมสองสามที “เอาน่ามึง ความรักก็แบบนี้แหละ เอาแบบนี้มั้ย ถ้าลูกสาวกูเกิดมา กูจะยกให้มึงเลย”
ผมมองหน้าไอ้ว่าที่พ่อตาใจกว้างแล้วก็ตบหัวมันไปหนึ่งที “กูไม่อยากให้เมียเรียกกูว่าพ่อ ไอ้ห่า!”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ”
ไอ้แนนหัวเราะอารมณ์ดี ส่วนผมพอคิดตามแล้วก็หัวเราะไปกับมันด้วย
ผมไม่ทุกข์ใจหรอกนะ แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผมไม่เคยคาดหวังที่จะไปได้ไกล ผมแค่หวังเล็กๆ น้อยๆ ในหัวใจได้รู้สึก เพราะน้าลีเคยบอกผมว่าการมอบความรักให้ใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่วิเศษมาก เราไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมารองรับความรู้สึกนี้เลย ในเมื่อบางทีก็มีแค่ความรู้สึกรักเท่านั้นที่ขับเคลื่อนให้เราก้าวไปข้างหน้า เหมือนอย่างที่น้าลีรักผม รักโดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ
“ไอ้แนน รับลูกค้าเว้ย ไปหน้าสวน” พี่แจ้ หัวหน้าวินตะโกนแทรกเสียงหัวเราะของพวกผม “แล้วไอ้ขวัญ มึงไปรับลูกค้าที่หน้าบริษัทเจ้จอย เจ้แกเพิ่งโทรมาเมื่อกี้”
“รับทราบครับลูกพี่” ผมกับไอ้แนนตะโกนขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“ไอ้ขวัญ ซื้อกล้วยแขกข้างบริษัทมาด้วยนะเว้ย”
“คร้าบๆ”
ผมหยิบหมวกกันน็อกขึ้นสวม ก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขี่ออกมา ผมรู้จักที่ทางแถวนี้ดี พวกหมาจรจัดแถวนี้ก็คุ้นหน้าคุ้นตากัน ไม่ว่าผมจะขี่ผ่านเมื่อไรมันก็จะเห่าทักทาย เป็นอีกสีสันในชีวิต จนไอ้แนนมักจะเรียกผมอย่างชื่นชมว่า ขวัญเพื่อนรักสัตว์โลก
ผมมาถึงหน้าบริษัทของพี่จอยในเวลาไม่กี่นาที แต่จะเรียกว่าบริษัทของพี่จอยก็ใช่เรื่อง เพราะพี่จอยไม่ใช่เจ้าของ คุณธนิกต่างหากที่เป็นเจ้าของ แล้วคุณธนิกคนนั้น...ตอนนี้คงกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสเพื่อบินลัดฟ้าไปทำงาน เทียบกับผมแล้ว แค่นั่งเรือหางยาวข้ามฟากก็นับว่าหรูเต็มที
“อ้าว ไอ้น้อง มาแต่เช้าเลยนะเอ็ง” พี่รปภ. เจ้าเก่าหน้าเดิมส่งเสียงทักทาย “เมื่อคืนทำไมเอ็งตัดสายข้าวะ”
ผมได้แต่ยิ้มแหย “โทษทีครับพี่”
“แล้วนี่มีธุระอะไร”
“อ๋อ พี่จอยโทรเรียกมาน่ะครับ”
พี่รปภ. พยักหน้า “เออๆ งั้นก็มานั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมเข็นรถมอเตอร์ไซค์ไปจอดใกล้ๆ ป้อมแล้วนั่งรอ ส่วนพี่รปภ. ก็เบิกบานกับกาแฟกระป๋องอยู่ในห้องทำงานแคบๆ ของเขา
“เมื่อคืนคุณเขาอุตส่าห์รอเอ็ง” พี่รปภ. ว่าพลางยกกาแฟกระป๋องขึ้นจิบ “อยู่รอสิบนาทีเชียวล่ะ”
ผมยิ้ม ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอกคืออะไร “ไม่ได้คิดจะจับผมส่งตำรวจใช่มั้ย”
“ไม่หรอกน่า คุณเขาคงอยากขอบใจแก”
ผมพยักหน้า ไม่ต่อความอะไรอีก
ตึกนี้สูงกี่ชั้นกันนะ ผมคิดพลางไล่สายตาขึ้นมองความสูงของมัน ความสูงระฟ้ากับพื้นดินนั้นห่างกันเกินไป ผมคงทำอะไรไม่ได้กับความจริงที่อยู่ตรงหน้า
“ไอ้น้อง ข้ายังไม่รู้ชื่อเอ็งเลย” น้ำเสียงเป็นมิตรของพี่รปภ. ดังขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน
“อ้อ ครับ ผมชื่อขวัญครับ” ผมรีบแนะนำตัว กำลังสงสัยว่าพี่จอยไม่มาสักที มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“ข้าชื่อเปี๊ยก ทำงานที่นี่มาได้สี่ห้าปีแล้ว” พี่เปี๊ยกเริ่มเกริ่นเรื่องราวการทำงานของเขาขึ้นมา เป็นนานกว่าสองนาทีที่เรื่องราวชีวิตของหนุ่มอีสานสู้งานของเขาจะจบ ต่อท้ายด้วยความเป็นมิตรว่า “เดี๋ยวไปบอกประชาสัมพันธ์ให้ละกัน ดูท่าว่าคุณจอยน่าจะลืม”
“ขอบคุณครับพี่เปี๊ยก”
พี่เปี๊ยกเดินเข้าไปในตัวตึก หายไปชั่วอึดใจแล้วกลับมาบอกว่า “รออีกเดี๋ยว เดี๋ยวคุณจอยลงมา”
“อ้อ ครับ”
อีกเดี๋ยวของพี่เปี๊ยกนั้นราวๆ สิบนาทีเห็นจะได้ ผมจึงนั่งรอพลางพูดคุยเรื่องราวในชีวิตกับพี่เปี๊ยกไปด้วย ส่วนใหญ่ก็ฟังเขาเล่ามากกว่า ที่จริงควรเปลี่ยนคำว่าเล่า เป็นบ่น ตั้งแต่สภาพอากาศยันเมียที่บ้าน พี่เปี๊ยกบ่นได้ไม่หยุด ทำให้นึกออกเลยว่าอีกไม่กี่ปีไอ้แนนเพื่อนของผมคงมีสภาพไม่ต่างจากพี่เปี๊ยกสักเท่าไร
“นั่นๆ คุณจอยมาแล้ว” พี่เปี๊ยกรีบบอก พยักพะเยิดไปที่ประตูทางเข้า ผมหันมองตาม แล้วก็เจอพี่จอยกับ...ใครอีกคน
ตอนผมเจอคุณธนิกครั้งแรกผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำนิยาม รูปหล่อพ่อรวย ไม่ได้มีแค่ในละคร เขาตัวสูงกว่าผม รูปร่างกำยำแต่ไม่ถึงกับล่ำเหมือนคนเล่นกล้าม ทุกอย่างบนร่างสมส่วนลงตัว ขนาดตัวเท่านี้ ศีรษะก็ได้รูปเท่านั้น ไม่ดูหัวเล็กลีบเมื่อเทียบกับส่วนร่างกายอย่างไอ้แนน คุณธนิกมีผมสีดำเหมือนดวงตาสีดำขลับของเขา ทรงผมเท่ๆ ที่คงได้รับการตัดจากช่างฝีมือดี ผมไม่รู้หรอกว่าทรงอะไรเพราะทั้งชีวิตเคยตัดแต่รองทรงสูงกับไถเกรียน ไม่รู้ว่าไอ้ที่ไถเปิดข้างแบบเขาเรียกว่ายังไง แต่คงไม่ใช่ทรงธรรมดา เพราะหากเป็นคุณธนิกแล้วต้องไม่มีความธรรมดาอยู่ในนั้น ใช่...ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดาเลย
“พี่เปี๊ยก ไหนพี่ว่าคุณธนิกจะบินไปต่างประเทศ” ผมเหล่ตามอง แม้จะดีใจที่ได้เห็นเขาก่อนเขาจะไป แต่ก็นึกระแวง เพราะหากเมื่อคืนผมออกมาเจอจริงๆ ผมอาจจะโดนจับโยนเข้าคุกก็ได้
“ใช่ๆ ไปวันนี้ แต่น่าจะดึกๆ ได้ยินตากล้วย คนขับรถคุณเขาบอกอย่างนั้น”
“อ้าว แล้วเมื่อคืนพี่โทรไปเรียกผมให้มา...”
“ก็คุณเขาบอกแบบนั้นนี่หว่า ข้าก็เพิ่งรู้เช้านี้เองว่าจะไปตอนสองสามทุ่มนู่น”
ผมมองสำรวจก็ไม่เห็นแววโกหก พี่เปี๊ยกคงพูดความจริง แล้วทีนี้...ผมควรทำยังไงต่อ พี่จอยโทรเรียกมารับลูกค้า แต่ไม่แน่ใจว่าลูกค้าคนไหน ผมหวังได้ไหมว่าจะเป็น...คุณธนิก
“น้องขวัญ ทางนี้ลูกกกก” พี่จอยตะโกนพลางกวักมือเรียกให้ไปหาที่บันไดทางขึ้นตึก
อาจเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ได้สบตากัน แต่ผมรู้สึกว่ามันนานกว่านั้น ผมสบตากับเขาที่มองตรงมา และเขา...ยิ้ม
ใช่ เขายิ้ม เขาส่งยิ้มมาให้ผม
ถ้ารู้นะ...ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอ ผมจะแต่งตัวให้ดีกว่านี้ ไอ้แนนบอกว่าเสื้อวินสีส้มที่สวมทับกับเสื้อยืดเหมือนเสื้อของฮีโร่ในหนังที่มันเคยดู แต่ผมรู้หรอกว่ามันไม่ได้เท่ขนาดนั้น กางเกงยีนของผมก็สีซีดมากๆ ทั้งยังขาดที่หัวเข่า มีกลิ่นอับของเหงื่อเพราะไม่ได้ซักมานาน ทั้งเสื้อยืดที่ใส่มาวันนี้ตรงคอเสื้อก็มีเชื้อราขึ้นเล็กๆ เป็นจุดสีเขียวที่ผมมักโกหกไอ้แนนว่ามันคือลายกราฟฟิก
ทั้งเนื้อทั้งตัวผม เทียบกับเสื้อผ้าที่คุณธนิกใส่อยู่ไม่ได้เลย
“ไอ้ขวัญ รีบไปสิวะ” พี่เปี๊ยกสะกิด ผมจึงได้สติหลังจากนิ่งงัน
“พี่ว่าผมเดินท่าไหนถึงจะเท่”
พี่เปี๊ยกมองหน้าผมด้วยความงงถึงขีดสุด “เอ็งเพ้ออะไร”
“ฮ่าๆ ๆ ช่างเถอะๆ เดี๋ยวมานะพี่ ฝากสมบัติเพียงชิ้นเดียวในชีวิตของผมด้วย อย่าให้หายนะ ผมยังผ่อนไม่หมด เหลืออีกห้าเดือน”
“เออๆ รีบไป ไอ้เด็กติ๊งต๊องนี่”
ผมอาจจะต้องไปฝึกเดินกับไอ้แนนหลังจากนี้ เพราะรู้สึกว่ามันดูไม่เท่เลย ไม่รู้ว่าคุณธนิกจะใส่ใจกับท่าเดินของผมไหม แต่ผมอยากให้มีสักหนึ่งอย่างของผมที่ดูดีในสายตาของเขาบ้าง
“เอ่อ...สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เมื่อไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่จอยที่หลิ่วตาส่งมาให้
“คุณธนิกคะ นี่น้องขวัญค่ะ”
หลังจากที่พี่จอยพูดจบ ผมก็พบว่าหัวใจของตัวเองนั้นเต้นรัวอย่างหนักเพราะคำว่า “สวัสดีครับ” ของเขา
เสียงของเขาไม่ได้เพราะเหมือนนักร้องอาชีพ ไม่ได้น่าฟังเหมือนนักจัดรายการวิทยุ มัน...นุ่มนิดๆ ทุ้มหน่อยๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นน้ำเสียงแบบไหน แต่ว่านะ...ผมน่ะ ชอบน้ำเสียงของเขามากๆ เลย
“ได้ยินว่าเมื่อวานเราเก็บกระเป๋าตังค์คุณธนิกได้ใช่มั้ย” พี่จอยหันมาถาม คำว่ากระเป๋าตังค์เหมือนลอยมาฟาดหน้าให้สะดุ้งตื่นจากความเพ้อฝัน
นี่คง...ไม่ได้เรียกมาเพื่อสอบสวนใช่มั้ย
“ใช่ครับพี่”
“ดีๆ งั้นเดี๋ยวอยู่คุยกับคุณธนิกก่อนนะ ไม่รบกวนเวลาเราใช่มั้ย”
“เอ่อ...ไม่ครับ”
“โอเค ถ้าคุยเสร็จแล้วรอพี่นะ เดี๋ยวตอนกลางวันพี่จะให้พาเด็กใหม่ไปซื้อข้าวกล่องร้านประจำ” พี่จอยว่าพลางก้มดูนาฬิกาข้อมือ “งั้นคุณธนิกคะ จอยกลับไปทำงานนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณจอย”
คุณธนิกเป็นเจ้านาย แต่เขาก็คงเด็กกว่าพี่จอยมาก เพราะเขาปฏิบัติกับพี่จอยด้วยความนอบน้อม เขาไม่ได้ดูกร่างเหมือนอย่างที่ผมเคยคิดภาพไว้ว่าลูกเจ้าของบริษัททุกคนต้องเป็นที่เห็นบ่อยๆ ในละคร
“ไปคุยกันที่ร้านกาแฟนะ” เขาว่า แล้วเดินนำไปยังประตูกระจกด้านข้างตัวตึกซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ราวๆ สองร้อยเมตร ผมเดินตาม มองแผ่นหลังของเขาด้วยหัวใจที่สั่นไหว
นี่คงเป็น...การโคจรที่ผมได้เข้าใกล้เขามากที่สุด ผมเร่งฝีเท้าอีกหน่อยได้ไหมนะ เพราะรู้สึกเหมือนว่าแผ่นหลังของเขาออกห่างไปไกลมากขึ้นทุกที แต่ถ้าผมเร่งฝีเท้าเร็วกว่านี้ ผมจะเข้าใกล้จนเขาได้ยินเสียงหัวใจของผมหรือเปล่า
“ปกติดื่มกาแฟไหม” เขาถามเมื่อเข้ามาในร้าน
ผมเพิ่งรู้ว่าที่ตรงนี้คือร้านกาแฟ แม้จะเคยได้ยินพี่จอยพูดเหมือนกันว่ากาแฟที่บริษัทราคาแพงต่อให้ได้ส่วนลดพนักงาน แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าร้านที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน
“ก็ดื่มบ้างครับ” ผมเคยกินแต่กาแฟกระป๋องหรือไม่ก็พวกแบบซองทรีอินวัน ไม่เคยลิ้มรสกาแฟสด เพราะของกินที่ราคาแพงกว่าก๋วยเตี๋ยวร้านป้านีผมจะจัดให้อยู่ในประเภทของสิ้นเปลือง
“งั้นสั่งเลยนะ พี่เลี้ยง” เขาว่าแบบนั้น หันไปบอกพนักงานว่าเอาเหมือนเดิมแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ ปล่อยให้ผมนิ่งค้างกับคำแทนตัวของเขา
พี่..พี่..พี่.. คำๆ นั้นดังก้องในหัวของผม
“เอ่อ น้องคะ...รับอะไรดีคะ”
“คือ…เอาพี่ เอ้ย! ไม่ใช่นะครับ ขอโทษครับ ผม...” หลังจากรู้ตัวว่าหลุดปากพูดอะไรไป ผมก็รีบขอโทษพี่สาวพนักงานที่ถลึงตามอง ก่อนจะยิ่งพูดไม่ออกเมื่อเห็นเมนูภาษาอังกฤษยาวเหยียดบนป้ายด้านหลังพี่สาว
แล้วผม...จะกินอะไรวะ
“ผม...ผมเอาเหมือนคุณธนิกครับ”
เป็นเรื่องง่ายดายมาก แม้ผมจะไม่รู้ว่าเหมือนเดิมของคุณธนิกคืออะไร แต่คงง่ายกว่าการอ่านเมนูที่ผมอ่านไม่ออกสักตัว
“โอเคค่ะ ไปรอที่โต๊ะนะคะ เดี๋ยวเอาไปเสิร์ฟให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมเดินเก้ๆ กังๆ ไปที่โต๊ะซึ่งคุณธนิกนั่งรออยู่ เขานั่งด้วยท่าทางสบายๆ ดูไม่เก้อเขินเหมือนผมที่ราวกับมาอยู่ผิดที่ผิดทาง
ทำไมกันนะ...ผมถึงรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก มัน...อึดอัดไปหมด
“นั่งตรงไหนก็ได้” เขาบอก เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือแล้วยิ้มให้ “ไม่ต้องเกร็งหรอก”
“ครับ” ผมรับคำเบาๆ แล้วนั่งลงโซฟาสีครีมอย่างหมิ่นเหม่ กลัวเหลือเกินว่ากางเกงของผมจะทำให้โซฟาตัวนี้เปื้อน
“พี่แค่อยากขอบใจ” เขาเริ่มเรื่อง มองสำรวจใบหน้าของผม “ขอโทษนะที่เรียกมาเมื่อคืน คิดอยู่ว่าคงทำให้ตกใจ แต่อยากขอบใจขวัญนะ เราชื่อขวัญใช่มั้ย”
“ใช่ครับคุณธนิก”
“เฮ้ย ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกพี่ก็ได้ เราคงไม่ห่างกันมากนะ ขวัญอายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“ย่างยี่สิบเอ็ดครับ”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “แค่แปดปี”
“ก็มากอยู่นะครับ” ผมว่าแล้วหัวเราะเสียงแห้งเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันคงเหมือนการว่าเขา
“พี่ดูแก่เหรอ”
“ไม่ครับ ไม่เลย จริงๆ นะครับ”
คุณธนิกยิ้มกว้าง เขาวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วพิงหลังสบายๆ กับพนักโซฟา “พี่เชื่อขวัญนะ เพราะพี่ไม่อยากแก่”
ทำไมกันนะ เขาควรจะถือตัวบ้าง คนรวยๆ อย่างเขาไม่ควรเสียเวลามาพูดคุยกับคนอย่างผมด้วยซ้ำ
“เอ่อ...คุณธนิกครับ ผมอยากจะบอกว่าเงินในกระเป๋า ผมไม่ได้เป็นคนเอาไป ผมแค่ไปเจอ...”
“พี่เชื่อขวัญ” เขาพูดย้ำ ก่อนจะเฉลยว่า “ที่จริงพี่เห็นในกล้องวงจรปิดน่ะ เพราะพี่แน่ใจว่าไม่ได้ทำตกที่ไหน ตอนออกจากบ้านมากระเป๋าตังค์ก็ยังอยู่ แล้วพี่ก็ตรงมาที่บริษัทเลย ที่นึกออกก็มีแค่ตอนชนกับเด็กส่งของสองคนที่หน้าตึก คิดว่าคงหายไปตอนนั้น โชคดีที่เป็นมุมที่มีกล้องนะ”
“แล้วคุณธนิกจำหน้าสองคนนั้นได้มั้ยครับ”
เขาส่ายหน้า “พี่ไม่ชอบจำหน้าคนไม่ดี แต่ขวัญเป็นเด็กดี พอเห็นรูปที่พี่เปี๊ยกเอาให้ดู พี่ก็เลยจำได้ เคยเห็นมาส่งคุณจอยบ่อยๆ คิดว่าคุณจอยคงรู้จัก”
“ผมเคย...ผมเคยไปส่งคุณธนิกที่สถานีรถไฟใต้ดินด้วยครับ”
“ใช่ๆ พี่จำได้”
ความทรงจำเดียวที่มีร่วมกับคุณธนิก ตอนนี้กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง และครั้งที่สองนี้ผมก็สามารถพูดกับเขาได้มากกว่าหนึ่งประโยค
ผมใช้ความโชคดีในชีวิตหมดไปแล้วกับเรื่องในวันนี้หรือเปล่านะ รอยยิ้มของคุณธนิก เสียงหัวเราะของคุณธนิก น้ำเสียงของคุณธนิก ผมได้เห็น ได้ยินมันทั้งหมด อีกทั้ง...เขายังไม่ถามถึงรูปถ่ายของเขาที่หายไปจากกระเป๋าตังค์
“พี่ให้นะ” เขายื่นเงินมาตรงหน้าหลังจากที่พูดคุยมาเกือบท้ายเรื่อง “อย่าคิดว่าพี่ดูถูกน้ำใจ แต่พี่คิดว่าขวัญสมควรได้รับ เพราะถ้าพี่ไม่ได้กระเป๋าคืนก่อนบินคืนนี้พี่คงแย่ ให้ไปทำเรื่องอะไรคงไม่ทัน”
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมขอไม่รับเงินนะ” ผมรีบปฏิเสธ เพราะของตอบแทนนั้นผมมีอยู่แล้ว รูปถ่ายที่ประเมินเป็นเงินไม่ได้ของเขานั้นมีค่ามากสำหรับผม
“งั้น...ข้าวเย็นสักมื้อดีไหม พี่กลับมาแล้วจะมาเลี้ยงข้าว”
เดี๋ยวนะ ข้าวเย็นสักมื้อเหรอ! ดินเนอร์กับคุณธนิก!
“คือ...คือว่า...”
“งั้นตกลงตามนี้นะ” เขารวบรัด เลื่อนแก้วกาแฟที่พนักงานเพิ่งเอามาเสิร์ฟวางตรงหน้าผม “ลองชิมดูสิ”
ผมขยับมือตามคำพูดของเขาราวกับคนกำลังเพ้อ รู้สึกว่านี่ไม่จริงเลย...มันเหมือนไม่ใช่ความจริงเลยสักนิดที่ผมจะได้มีโอกาสได้คุยกับเขาหลังจากนี้ แต่ในอีกไม่กี่นาทีก็รู้ว่านี่คือความจริงเพราะรสชาติขมๆ ของกาแฟดึงสติให้กลับคืน
“แหยะ” ผมเผลอทำหน้าเหยเก แทบขย้อนเอาสิ่งที่เพิ่งกลืนลงไปออกมา
“ฮ่าๆ ๆ” เขาหัวเราะ “ขมเกินไปเหรอ”
“ครับ ผมไม่คิดว่าจะขมขนาดนี้”
“ก็ขวัญดันสั่งเหมือนพี่ ของพี่ไม่ใส่น้ำตาล”
เขา...เขาได้ยินเหรอ
“ผมสั่งไม่เป็นครับ” ผมบอกเขาเบาๆ “ผมเคยกินแต่กาแฟกระป๋อง เมนูก็อ่านไม่ออก”
“พี่ขอโทษนะ” น้ำเสียงของคุณธนิกอ่อนโยนมากในความรู้สึกของผม ไม่รู้ว่าเขาขอโทษอะไร แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ไม่มีเรื่องที่เขาควรขอโทษผมเลย “เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้ใหม่”
“ไม่ต้องหรอกครับ” ผมรีบพูด “ผมกินแก้วนี้ได้ครับ”
“มันขมไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องฝืนกินหรอก”
“แต่มันแพง”
เขานิ่งไปเพียงครู่ “งั้นเดี๋ยวพี่กินเอง ช่วงบ่ายคงง่วงน่าดู ได้กาแฟสองแก้วนี่พี่คงตื่นไปจนถึงเย็นพรุ่งนี้”
“ผมกินไปแล้วนะครับ”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือหรอก แต่ขวัญไม่ได้เป็นโรคติดต่อพวกไวรัสตับอักเสบอะไรแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ครับๆ ผมร่างกายแข็งแรงครับ”
“ดีแล้ว”
ดีแล้ว...ใช่ มันดีจริงๆ เหมือนที่คุณธนิกพูด แต่มันดีกับผมรึเปล่านะ ที่ความชอบของผมขยับเข้าใกล้ความจริงจังมากขึ้นอีกนิด
“ขอบคุณนะครับคุณธนิก”
“ขอบใจขวัญเหมือนกันนะ”
ผมแน่ใจว่าแม้แต่หมาเพลบอยอย่างไอ้หลงก็อาจจะต้องแพ้เสน่ห์ของคุณธนิก
ผมดีใจมากครับ...ดีใจที่มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้แล้วได้มาเจอกับเขา
.......................To be Continue.............................
ิติดภารกิจแพ็กหนังสือค่าทุกท่าน แต่กระเสือกกระสนมา ขอบคุณที่ต้อนรับน้องขวัญกันนะคะ มาร่วมเดินทางไปกับรักใสๆ ของเราค่า
ขอบคุณทุกความคิดเห็นเลยค่ะ ขอบคุณมากๆ ไม่ได้ลงนิยายมานาน พอมาอ่านแล้วดีกับใจมากๆ ค่ะ
