ตอนที่ 15“มึงแปลกไปนะ” ไอ้แนนเริ่มบทสนทนาขึ้นหลังจากที่ผมมานอนแกร่วอยู่บ้านของมันตั้งแต่เมื่อบ่าย มันกำลังทำตัวเป็นว่าที่พ่อลูกอ่อนที่ดีโดยการซักผ้าให้กับภรรยาสุดที่รัก ซึ่งตอนนี้ผมก็ออกมานั่งเฝ้ามันขยี้ชุดคลุมท้อง “ไม่ต้องหลบตากูไอ้ขวัญ กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แค่นี้ทำไมจะดูไม่ออกวะ”
“แล้วกูแปลกยังไง” ผมย้อนถาม ช่วยขยับตะกร้าผ้าให้ไอ้แนนได้หยิบจับสะดวก “กูก็เป็นกูเหมือนเดิมมั้ย”
“เหมือนมึงมีเรื่องให้คิดมาก”
“โถ...ไอ้แนน ถึงกูจะโง่ แต่ก็ขอพื้นที่ให้สมองกูได้ทำงานบ้าง” ผมถอนหายใจแรงใส่ไอ้เพื่อนที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน “เหนื่อยๆ ว่ะ กูแม่งไม่ชอบโกหกใครมึงก็รู้ แต่ทุกวันนี้เหมือนต้องเขียนบทให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา”
“ปีชงก่อนอายุ 25 ก็มาว่ะ” ไอ้แนนว่าเสียงกลั้วหัวเราะ มันออกแรงขยี้ราวกับสิ่งที่กำลังขยี้อยู่ตอนนี้คือหน้าเมียรัก รู้หรอกว่ามันแค้นเคืองที่โดนใช้งาน แต่ใจมันรัก มันก็ยอมหยุดงานครึ่งวันมาดูแล
ตำแหน่งผัวทาสแห่งปีคงต้องยกให้มัน...
“ชงเข้มด้วยไอ้สัด กูนี่ประสาทจะกิน”
“แล้วมึงเอาไงต่อวะ”
“ก็เท่าที่ได้แหละ เดี๋ยวจบเรื่องก็แยกย้าย กูแม่งไม่เคยอยากได้อะไรเลย แต่ดันต้องมาวุ่นวายด้วย พวกคนรวยนี่โลภมากเนอะมึง ไอ้ที่มีอยู่ ชาตินี้ทั้งชาติก็กินไม่หมดแล้ว ยังจะอยากได้เพิ่ม” ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกอยากได้อยากมีของคนที่กำลังแก่งแย่งของที่ไม่ใช่ของตัวเองตั้งแต่แรก ถึงตอนเด็กๆ ผมจะอยากได้รถบังคับคันใหญ่ๆ เป็นของขวัญวันเกิดหรือพอโตขึ้นหน่อยก็อยากได้รถจักรยานสวยๆ ไว้ขี่เล่น แต่ความรู้สึกอยากได้ของผมคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกโลภของกลุ่มคนที่ผมกำลังเจอ
“เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใครเว้ยมึง ขนาดลูกยังฆ่าพ่อแม่เพื่อสมบัติได้ แล้วทำไมญาติพี่น้องจะฆ่ากันไม่ได้วะ”
“กูไม่นับญาติได้มั้ยล่ะ มีแต่ร้ายๆ ทั้งนั้น เหอๆ” ผมหัวเราะเสียงแห้ง เหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายในชีวิตที่ต้องมารับรู้ว่าญาติพี่น้องที่เพิ่งจะรับรู้ว่ามีตัวตนบนโลกนั้นไม่ได้เป็นมิตรอย่างที่ควรจะเป็น “แต่คุณธนิกเขาดีกับกูนะ แบบ...เขาดียิ่งกว่าคนเป็นญาติแท้ๆ กูอีกอะ”
“จ้า มึงก็ไลน์มาอวดกูทุกวัน เล่าเรื่องเขาทุกวัน นี่ยังจะไม่เลิกอวดอีกเรอะ”
“อยากให้เพื่อนใส่ใจ ฮิฮิ”
ไอ้แนนหัวเราะพลางสะบัดฟองในมือมาโดนเสื้อของผม แต่มันไม่สำนึก ไม่ขอโทษแถมยังทำหน้าสะใจด้วยซ้ำ “เออ เห็นมึงมีความสุขก็ดีแล้วว่ะ แต่ถามจริงแบบมึงห้ามมองเขาด้วยสายตาแห่งรัก เขาดีกับมึงมากใช่ไหม”
“อืม มากๆ” ผมก็ไม่รู้จะบรรยายให้ไอ้แนนเข้าใจถึงความใจดีของคุณธนิกยังไง เพราะสิ่งต่างๆ ที่เขาทำให้ มันก็แค่เรื่องธรรมดาของคนที่อยู่บ้านเดียวกัน แต่นั่นแหละ...สำหรับผมคือเรื่องที่พิเศษ คือเรื่องที่ทำให้อบอุ่นหัวใจ “ที่เขาทำให้กูมันไม่จำเป็นต้องทำเลยเว้ยแนน เขาจะใจร้ายมากกว่านี้ก็ได้ ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องดูแลกูเลยก็ได้ แต่เขาก็ทำว่ะ เขาพากูไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านป้านีเพราะคิดว่ากูชอบกิน ที่จริงกูแหละที่บอกว่าก๋วยเตี๋ยวร้านป้าอร่อยมาก กูโตมากับก๋วยเตี๋ยวร้านป้าเลย แล้วร้านป้าแม่งก็เพิงหมาแหงนอะมึง บ้านแบบบ้านมากๆ แต่เขาก็นั่งกินกับกูได้ ไม่บ่นสักคำ เวลากูอยากไปไหนเขาก็พาไป ถ้าเขาไม่ว่างก็ให้คนขับรถของเขาพาไป มีหนังสือการ์ตูนสนุกๆ ก็ซื้อมาให้อ่าน ตอนเช้ากับตอนเย็นก็ทำกับข้าวให้กิน สอนกูทำนั่นทำนี่ มึงก็รู้ว่ากูง่อยหลายๆ เรื่องเพราะน้าลีทำให้ตลอด เรื่องเรียนเขาก็ถามกูบ่อยๆ ว่าจะเรียนอะไร เขาจะส่งกูเรียน คือ...มันเยอะมากเลยนะที่เขาทำให้ มึงคิดว่ากูจะไหวมั้ยล่ะ...จะห้ามตัวเองไม่ให้รักเขาไหวมั้ย”
“กูว่ากูพอจะเข้าใจ” ไอ้แนนยอมหยุดมือที่กำลังขยี้ผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม “และกูรู้เลยว่ามึงแย่แน่ๆ ถ้าต้องไปจากเขา”
“แล้วกูทำอะไรได้บ้างวะ” ผมรู้ตอนจบดี แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปถึงตอนนั้น ผมก็ยังหวังจะมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง “กูทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากทำให้เขาได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ แล้วมึงว่า...เขาจะมีความสุขจริงๆ มั้ยวะ”
ไอ้แนนถอนหายใจ มันคงลำบากใจที่จะให้คำตอบกับคำถามของผม แต่ต่อให้มันไม่พูดอะไรออกมาผมก็ได้คำตอบอยู่ดี เพราะผมรู้จักคุณธนิกยิ่งกว่าที่ไอ้แนนรู้จัก
“กูโคตรอยากบอกเขาเลยว่าทิ้งทุกอย่างแล้วไปด้วยกัน แต่แบบนั้นมันก็คงเห็นแก่ตัวมากไป เพราะเขามีที่ที่เหมาะกับเขาอยู่แล้ว กูไม่ควรทำให้เขาลังเล”
“ต่อให้ที่ตรงนั้นจะไม่ใช่ความสุขของเขาเหรอวะ” ในที่สุดไอ้แนนก็ถามหลังจากที่ไม่ยอมให้คำตอบกับผม แต่คำถามของมันก็เป็นคำตอบได้แล้วว่ามันกับผมคิดไม่ต่างกัน “มองจากนอกโลกยังรู้ว่าคุณธนิกคิดยังไงกับมึง”
“อาจจะคิดกับเขมินทราก็ได้ กูหน้าเหมือนคนรักเก่าเขาขนาดนี้” ผมพูดติดตลก แต่ไอ้แนนไม่ขำไปด้วย
“เชื่อกูเถอะว่าคนนิสัยอย่างน้องมึงทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำเหมือนมึงไม่ได้หรอก คนโง่จริงกับคนแกล้งโง่มันมีเสน่ห์ต่างกัน”
“มึงกำลังด่ากูอยู่ป่าววะ”
“ชมไอ้สัด กูชม” ไอ้แนนยืนกรานเพราะผมเตรียมง้างเท้าจะเตะมันแล้ว “แต่นั่นแหละ คนอย่างคุณธนิกคงไม่เลือกความสุขของตัวเองหรอกว่ะ ระหว่างแม่ของเขากับมึง เขาก็ต้องเลือกแม่อยู่แล้ว”
“โห...ไอ้ห่าแนน เอากูไปเปรียบแบบนั้นก็แพ้หลุดลุ่ยดิวะ”
“หรือมึงจะเถียงล่ะ เพราะถ้าเป็นมึง ให้เลือกระหว่างน้าลีกับเขา มึงก็เลือกน้าลีอยู่แล้ว”
“ก็จริง” ผมยอมรับอย่างจนด้วยความรู้สึก “ชีวิตแม่งยากเนอะ กูไม่น่าเข้าไปยุ่งเลย วันที่เห็นไอ้วันกับไอ้ทิวขโมยกระเป๋าตังค์เขาวันนั้น กูน่าจะปล่อยไป ไม่น่าทำตัวโง่เป็นพลเมืองดี”
“แน่ใจเหรอที่พูด”
ผมส่ายหน้า ยิ้มอย่างอ่อนใจกับความรู้ทันของไอ้แนน “ไม่ว่ะ ยังไงก็อยากพูดคุยกับเขาสักครั้งอยู่ดีนั่นแหละ...ก็กูมองเขามาตั้งนานแล้วนี่หว่า”
“แล้วมึงจะไม่บอกอะไรเขาหน่อยเหรอวะไอ้ขวัญ” ไอ้แนนถามหยั่งเชิง มันเลิกคิ้วมองมา “อย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยเขียนบทให้ตัวเอง เรื่องโกหก...ถ้าอยู่กับมันมากๆ สักวันมึงจะแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหนโกหก มีคนไม่น้อยที่สร้างเรื่องโกหกแล้วอินไปกับมันจนหลุดออกมาไม่ได้ คุณธนิกเขาให้ใจมึงเท่าไรกูไม่รู้ เขาอาจจะมีเรื่องที่โกหกมึงอยู่ก็ได้ แต่กูว่าคงไม่มากเท่าที่มึงกำลังโกหกเขาหรอกว่ะ”
“อะ...ยังเคืองกูไม่หายสินะ”
“งั้นกูถามหน่อยว่าเป็นมึง มึงโกรธไหม ถ้าวันนั้นกูไม่ได้ไปร้านกาแฟที่มึงนัดกับแฝดนรกของมึงไว้แล้วไม่บังเอิญเจอคนที่มึงนัดหลังจากนั้น กูจะรู้อะไรเกี่ยวกับมึงบ้าง” สีหน้าราบเรียบของไอ้แนนทำให้ผมเดาอารมณ์ไม่ออก แต่น้ำเสียงของมันก็ขุ่นเคืองเอาการ “กูอยู่กับมึงมาตั้งกี่ปี กูเป็นเพื่อนที่มึงหวังจะให้เป็นคนจัดงานศพให้ เป็นเพื่อนคนเดียวที่จะร้องไห้ในวันที่มึงจากไป มึงให้ความสำคัญกับกูขนาดนี้ แต่กลับไม่เคยบอกอะไรกูเลย มาจนถึงวันนี้มึงก็ยังไม่อธิบายอะไรให้ฟัง ทั้งๆ ที่มึงบอกว่ากูติดร่างแหไปด้วย ชีวิตกู ลูกเมียกูอีก เนี่ย...แต่มึงก็ยังเงียบ กูควรรู้มั้ยว่าตอนนี้ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู คุณธนิกก็ต้องรู้ไหมว่าตอนนี้คนที่เขากำลังปกป้องเป็นยังไงกันแน่”
ผมไม่เคยต้องการที่จะเป็นต้นเหตุของปัญหา ไม่เคยต้องการให้ใครได้รับอันตรายจากปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะตัวผม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ในเมื่อทั้งน้าลีและไอ้หลง ผมก็รักษาไว้ไม่ได้ มาตอนนี้ไอ้แนน เพื่อนเพียงคนเดียวก็ต้องเดือดร้อน ผมเกลียดคนโลภที่ตามืดบอด เพราะไม่เคยสนวิธีการใดๆ
ผมมองไอ้แนนที่กำลังรอคอยคำตอบจากผม อยากจะขอโทษมันเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่รู้ว่ามันคงไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ ไอ้แนนเพื่อนผมให้ใจกับผมเต็มร้อย แต่เป็นผมเองที่ไม่เคยให้ใจกับใครเต็มร้อยเลยสักครั้ง “กูไม่ได้จะปิดบังอะไรมึงนะ แต่กูไม่รู้ว่าจะบอกยังไง เพราะกูก็ไม่รู้มาตลอด น้าลีไม่เคยบอกอะไร ขนาดเรื่องที่กูมีแฝดกูก็เพิ่งรู้ตอนที่มึงมาบอกว่าเจอคนหน้าเหมือนกู แต่มีเรื่องเดียวที่กูไม่เคยบอกมึงก็แค่เรื่องที่ทุกปีกูจะต้องไปเจอกับคนคนหนึ่ง กูจะได้เจอเขาตอนวันเด็กกับวันเกิดของเขา เป็นการเจอกันในที่เดิมๆ ก็คือสวนสาธารณะใกล้หมู่บ้าน ตอนแรกก็เหมือนเรื่องบังเอิญ แต่พอโตขึ้นกูก็รู้แหละว่าเป็นความตั้งใจ กูไม่ได้บอกใครเพราะคิดว่าเป็นคนรักของน้าลี มึงเข้าใจปะ...ความรู้สึกเหมือนน้ากูไปเป็นชู้กับเขา กูก็เลยไม่เคยบอกมึง กูเห็นเขาเอาเงินให้น้าทุกครั้งที่เจอ น้าก็รับบ้างไม่รับบ้าง น้าบอกว่าจะใช้เงินเขาเฉพาะตอนฉุกเฉินเท่านั้น”
ไอ้แนนมีสีหน้างงงัน มันนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดขัด แต่ผมต้องหยุดพักเพราะเรียบเรียงเรื่องในหัว ความทรงจำลางเลือนในแต่ละปีที่ได้พบกับคนที่คิดว่าเป็นคนรักของน้าลีนั้นไม่ค่อยมีอยู่ในหัวเท่าไร
“แต่กูเพิ่งมารู้ว่าที่จริงเขาไม่ใช่ชู้รักของน้า” ผมรอไอ้แนนประมวลผล สุดท้ายมันก็อ้าปากค้างเหมือนกับตอนที่ผมได้รู้เรื่องราว “เขาเป็นพ่อกู มิสเตอร์ทีที่เราเจอวันนั้นเขาบอกแบบนี้ วันนั้นเขาเอาโทรศัพท์ของน้าลีมาให้กูด้วย เขาบอกว่าเขาเก็บไปก่อนที่ตำรวจกับมูลนิธิฯ จะมาถึงบ้าน”
“ทำไมทำแบบนั้นวะ...”
“ไม่รู้ว่ะ กูไม่ได้ถาม”
“โง่อีกไอ้ห่า มึงควรถามมั้ย ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมาเก็บมือถือคนตายไว้” ไอ้แนนมีสีหน้าบึ้งตึง มันคงไม่ได้ดั่งใจเท่าไร “แล้วมึงไว้ใจเขาเหรอวะ ท่าทางเหมือนคนพึ่งพาไม่ได้ ยังจะมาทำเรื่องน่าสงสัยอีก”
“ไม่ว่ะ กูไว้ใจใครไม่ได้สักคน” ผมยักไหล่ตอบปฏิเสธ “แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญไอ้แนน กูไม่สนหรอกว่าเขาจะไว้ใจได้แค่ไหน ต่อให้ถามว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปทำไม พอเขาตอบมา กูก็ไม่เชื่อเต็มร้อย เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องถามให้เกิดประเด็น ปวดหัวเปล่าๆ ที่กูสนใจก็แค่ว่าเขาเลือกข้างใคร”
“อะ ไอ้ห่า กูเริ่มปวดหัวกับมึงละ” ไอ้แนนขมวดคิ้วมุ่น “สรุปมาง่ายๆ เลยว่ามิตรหรือศัตรู”
“กึ่งๆ” คำตอบของผมทำเอาไอ้แนนตวัดตามอง ถ้าไม่ติดว่ามือของมันเลอะผงซักฟอกมันคงเข้ามาบีบคอผมแล้ว “เราเป็นมิตรกันเพราะเป้าหมายเหมือนกัน แต่เราก็เป็นศัตรูหัวใจกันด้วย”
“เดี๋ยวนะ...”
“ตราบใดที่กูอยากให้คุณธนิกสมหวัง มิสเตอร์ทีก็คือมิตรของกู มึงเก็ทมั้ย”
“กูว่ากูพอจะเก็ทแล้ว”
“นั่นแหละ...ความรักของกูเทียบกับเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
มิสเตอร์ทีคือชื่อที่ผมใช้เรียกพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ เขาปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกที่ร้านกาแฟ คล้อยหลังเขมินทราแค่สิบนาที วันนั้นตอนที่กำลังลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินไปสมทบกับไอ้แนนที่สูบบุหรี่รออยู่ เขาก็เข้ามาทัก มาพร้อมกับเรื่องราวมากมายที่คนอย่างผมจำเป็นต้องรู้ เขาบอกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเขาก็ได้ เขาไม่ได้บังคับ เพราะต่อให้ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไรก็ไม่มีผลกับตัวเขาอยู่แล้ว แต่ที่เขามาพบกับผมก็เพราะเขมินทรา เขารู้ว่าครั้งนั้นผมเจอกับเขมินทราเป็นครั้งที่สอง สีหน้าของเขากังวลเล็กน้อยเมื่อพูดถึงแฝดน้องของผม ตอนนั้นผมไม่ปักใจเชื่ออะไรมาก มาจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้เชื่อเขามากขึ้น ทว่าเรื่องเดียวที่ผมเชื่อก็คือความรู้สึกที่มิสเตอร์ทีมีต่อคุณธนิก เราเลือกข้างเหมือนกัน เราไม่ได้เลือกข้างแม่ของคุณธนิก ไม่ได้เลือกข้างคุณแขไข ไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเขมินทรา เราแค่เลือกสิ่งที่คุณธนิกจะมีความสุขและเลือกสิ่งที่คุณธนิกควรจะได้ เป้าหมายของผมกับมิสเตอร์ทีมีแค่นั้น
‘ผมร้ายกับคนทั้งโลกได้เพื่อเขา คุณล่ะคิดเหมือนผมไหม’ นั่นคือคำพูดของมิสเตอร์ทีในวันนั้น
‘ผมอาจจะไม่ได้คิดเหมือนคุณซะทีเดียว แต่ผมต้องการความสงบของผมคืน ผมไม่ชอบเรื่องแบบนี้ ถ้าจบได้เร็วเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น ไม่มีใครควรเสี่ยงกับของที่เอาติดตัวไปตอนตายไม่ได้ ยกให้ผมผมก็ไม่เอาเพราะผมไม่มีความสามารถพอ แล้วถ้าผมมีสิทธิ์จะให้ใคร คนคนนั้นก็คือคุณธนิก’ และนั่นคือคำตอบของผม
‘งั้นมาร่วมมือกับผมไหม คุณไม่ต้องเชื่อใจว่าผมจะไม่ทรยศคุณก็ได้ แต่คุณเชื่อได้ว่าผมจะไม่มีวันทรยศธนิก’
ข้อเสนอของมิสเตอร์ที เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนและผมก็ตกลงอย่างไม่ลังเล
‘ได้ ผมร่วมมือเพราะเป้าหมายเราเหมือนกัน งั้นผมขอความมั่นใจหน่อยว่าถ้าคุณเกิดหึงหวงขึ้นมา ผมจะไม่ซวยก่อนที่เรื่องจะจบ’
‘อย่าห่วงเลย น้องชายฝาแฝดของคุณก็ยังอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วคุณจะกลัวอะไร’
‘ผมกลัวก็เพราะว่าคุณธนิกรู้สึกกับผมมากยิ่งกว่าเขมินทรา’
มิสเตอร์ทีหัวเราะ ผมจ้องมอง ไม่ได้ฝืนหรือเสแสร้ง เขาหัวเราะเพราะอาจจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมก็ได้แค่เดา
‘เขาจะรู้สึกอย่างไรไม่เกี่ยวกับผมหรอก ผมแค่รู้สึกกับเขาแล้วก็คอยมองเขาอยู่ห่างๆ เพราะเรื่องของผมกับเขามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณได้อยู่กับเขาก็ดูแลเขาให้ผมด้วย ทำให้เขายิ้ม ทำให้เขามีความสุข ทำได้ก็จะขอบคุณมาก แต่ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าทำให้เขาทุกข์ใจก็พอ อย่าห่วงว่าผมจะหึงหวงแล้วทำอันตรายคุณ คุณห่วงว่าผมจะทำร้ายคุณเพราะคุณทำร้ายเขาดีกว่านะ’
‘อย่าห่วงเลยครับ ผมอาจจะรักเขาไม่นานเท่าคุณ แต่ผมก็อยากให้เขามีความสุขเหมือนกัน ถึงตอนจบเขาอาจจะเสียใจเพราะผม แต่ถึงตอนนั้นก็เป็นหน้าที่คุณนะ รับไม้ต่อจากผมที’
‘ดีลครับ ต้องการอะไรก็บอกผมได้ ใช้เครื่องที่ผมให้ไปติดต่อมา มันเหมือนเครื่องของคุณ ธนิกจะได้ไม่ต้องสงสัย เพราะถ้าเขารู้ว่าคุณติดต่อกับผมคงเป็นเรื่องใหญ่’
‘ครับ’
บทสนทนาของผมกับมิสเตอร์ทีจบลงแค่นั้น เราแยกย้ายกันไปคนละทาง ตอนที่มิสเตอร์ทีออกจากร้านไป ไอ้แนนที่นั่งอยู่โต๊ะไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมนั่งก็เข้ามาแตะที่ไหล่ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเข้ามาตอนไหนและได้ยินอะไรบ้าง รู้แค่สีหน้าของมันนิ่งเฉยจนผิดสังเกต เพิ่งมาแน่ใจเอาตอนนี้เองว่ามันก็ได้ยินมากพอควรถึงได้ออกอาการขุ่นเคืองเพราะคิดว่าผมมีความลับปิดบัง
“แล้วทีนี้เอาไงล่ะ จะไม่มีใครเข้ามาเพิ่มอีกแล้วใช่มั้ย เผยตัวออกมาทุกคนหรือยัง” ไอ้แนนถามขึ้นหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน มันหันกลับไปขยี้ผ้าต่อแล้ว แต่ปากก็ยังคงถาม
“กูยังไม่ได้เจอคุณแขไข แม่ของคุณธนิกก็ยังไม่เห็น ที่เกรี้ยวกราดอยู่ก็มีแค่แฝดน้องของกู ขิมจ้างคนมาตามกูทุกฝีก้าวเลยไอ้ห่า ส่งรูปส่งข้อความมาขู่ว่าจะอุ้มกูตลอด แต่บอกคุณธนิกแล้ว เขาคงจัดการให้เพราะสามสี่วันมานี้ก็ไม่เห็นใครมาป้วนเปี้ยนที่บ้าน กูถึงออกมาหามึงได้”
เอาจริงๆ ผมก็ประสาทจะกินกับเขมินทรา แต่การที่อีกฝ่ายเผยตัวออกมาเพราะความหึงหวงก็ทำให้ผมโล่งใจมากกว่าการยิ้มแย้มต่อหน้าแล้วถือมีดซ่อนไว้ข้างหลัง เจ้าน้องชายฝาแฝดเหมือนเด็กที่คอยตะโกนโหวกเหวกมากกว่าจะลงมือทำได้จริง ทว่าผมก็ไม่ควรประมาท เพราะผมยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำได้มากแค่ไหน การตายของน้าลีกับไอ้หลงทำให้ผมไม่กล้าคิดว่าก็แค่เด็กเล่นกัน ในเมื่อไม่สามารถหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของใครได้ ผมไม่ตั้งคำถามด้วยเพราะผมรู้ว่าผมไม่เชื่อคำตอบของใคร แม้ผมจะคิดว่ามิสเตอร์ทีน่าจะรู้ แต่ก็นั่นแหละ...ผมไม่ถามและมิสเตอร์ทีไม่ได้พูดถึง เขาไม่พูดแม้จะทำเหมือนรู้ทุกความเคลื่อนไหวตลอดหลายปีที่น้าลีมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเมื่อน้าจากไปซึ่งเขาอาจจะเป็นคนที่พบศพคนแรกด้วยซ้ำ โทรศัพท์มือถือของน้าก็อยู่กับเขา
แต่ผมรู้แล้วจะได้อะไร...นั่นแหละคือที่ผมกังวลกับความคิดของตัวผมเอง
“จะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ คือกูก็ไม่ได้อยากจะแช่งให้พ่อมึงตายหรอกนะ แต่ถ้ายังโดนปั่นประสาทอยู่อย่างนี้มึงได้ตายก่อนพ่อมึงแน่ ดีไม่ดีตายไปแล้ว พอพินัยกรรมเปิดออกมา อ้าว ไม่มีชื่อมึง มึงตายฟรีเลยนะไอ้ขวัญ”
คำพูดของไอ้แนนทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างที่ไอ้แนนพูดจริงมันก็เรื่องตลกร้ายดีๆ นี่เอง “กูก็คิดงั้นว่ะมึง แล้วกูก็ไม่คิดเลยนะว่าพ่อจะยกทุกอย่างให้กู มึงดูสิขนาดตัวกูเขายังไม่เลี้ยงเลย ปล่อยให้อดๆ อยากๆ น้ากูก็ต้องทำงานหนัก ไหนจะเรื่องแม่กู ไม่เห็นเขาทำอะไรได้สักอย่าง รวยซะเปล่า แล้วพอกูโตมาเป็นหนุ่มแข็งแรงสุขภาพดีเสือกมาโยนปัญหาให้กูอีก กูคิดอย่างนี้บาปมั้ยวะ”
“กลัวอะไรแค่บาป ขามึงอยู่นรกไปข้างแล้วตั้งแต่แดกยางลบกูตอนประถม” ไอ้แนนทำหน้าหงุดหงิด มันคงกำลังคิดถึงยางลบกลิ่นสตรอเบอร์รี่ของมัน “แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้กลับมาขี่วินกับกู พวกพี่แจ้บ่นหามึงทุกวัน”
“คงรอเปิดพินัยกรรม นั่นก็หมายถึงตอนที่พ่อกูตาย” ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ รู้สึกบาปอยู่ในใจเพราะหวังให้เรื่องมันจบในเร็ววัน “กูอยากจะเซ็นไม่รับมรดกเหมือนขิม แต่ถ้ากูทำแบบนั้น คุณธนิกอาจจะไม่ได้อะไรเลย มันเสี่ยงหลายๆ อย่าง ความเป็นไปได้มีเยอะมากเหมือนที่มิสเตอร์ทีบอก ขิมคงไม่อยู่เฉย ไหนจะคุณแขไข แต่ถ้ากูได้แล้วยกให้เขา คือชัวร์สุด”
“ถามจริงนะไอ้ขวัญ มึงไม่อยากได้เงินเหรอวะ”
“อยาก” ผมตอบในทันทีโดยไม่มีความลังเล “แต่กูไม่อยากได้ทั้งหมด เข้าใจไหมว่ากูก็อยากสบาย ใครบ้างวะจะอยากลำบาก กูว่ากูกับคุณธนิกวินทั้งสองฝ่าย คือถ้ากูได้ แต่กูดูแลไม่รอด สุดท้ายก็เป็นศูนย์ แต่ถ้ากูได้แล้วยกให้เขา คุณธนิกพาไปรอด มันก็โอเค เพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางให้กูลำบากอะ กูเชื่อว่าเขาเป็นคนแบบนั้น แล้วมึงลองคิดภาพว่าคุณแขไขได้ เขมินทราได้ กูก็ศูนย์เลยนะ ไม่มีใครมาตามดูแลด้วย คงไม่เจียดให้กูสักแดงหรอก แต่ถ้าเป็นคุณธนิก กูอยากเรียนก็คงได้เรียน อยากได้อะไรเขาก็คงให้ จบเรื่องแล้วขอเงินเขาไปตั้งตัวสักก้อนมันไม่ยากเลยนะ”
“มึง” ไอ้แนนมองหน้าผมด้วยความชื่นชม “มึงโตแล้วว่ะไอ้ขวัญ กูปลื้มใจแทนน้าลีที่ในที่สุดมึงก็คิดได้”
“เวอร์ไอ้สัด กูก็คิดได้มาตลอดมั้ยล่ะ” ผมทำหน้าหน่าย รู้สึกเหมือนโดนชมแกมโดนด่า
“แต่มึงคิดไม่ได้อยู่เรื่องนะ”
“อะไร”
“เรื่องที่ควรช่วยกูซักผ้า ไอ้ห่า มาชวนคุยจนแดดจะหมดอยู่แล้ว ผ้าเมียกูยังเต็มตะกร้า! มานี่ มาช่วยกู!”
เวร...ตำแหน่งผัวทาสของไอ้แนนกำลังเผื่อแผ่มาถึงผม แม้จะก่นด่ามันอยู่ในใจแต่ก็ต้องมาช่วยมัน เพราะเพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน ยึดถือคติที่ว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน แต่ตอนมีสุขกับเมียไม่เคยจะเรียกผมร่วมแจม! ทีซักผ้าล่ะใช้กูจังเลย!!
ผมกับไอ้แนนช่วยกันขยี้ผ้าอย่างเมามัน สุดท้ายก็ช่วยกันจนแล้วเสร็จ บรรยากาศเดิมๆ กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ผมต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่กับคุณธนิก ผมไม่เคยได้ซักผ้าเองจนเกือบลืมวิธีซัก เสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนนี้ทั้งสะอาด ทั้งหอมแถมยังรีดเรียบไร้รอยยับ คุณภาพชีวิตแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ทว่าผมก็ยังชอบช่วงชีวิตก่อนหน้านี้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าอยู่กับคุณธนิกแล้วแย่ ผมกลับคิดว่ามันเป็นความฝันเสียด้วยซ้ำและเพราะมันเป็นความฝันถึงได้คอยระแวงว่าเมื่อไหร่จะถูกปลุกให้ตื่น การรับรู้ว่ามันจะคงอยู่ไม่นานมันทำให้ทรมานมากกว่าที่จะคิดว่าควรมีความสุขไปกับมัน
คุณธนิก: ขวัญครับ ทำอะไรอยู่
ข้อความจากคุณธนิกขึ้นโชว์บนหน้าจอในเวลาเกือบบ่ายสามโมง ผมเหลือบมองในขณะที่กำลังนั่งทอดอารมณ์หลังออกแรงซักผ้ากับไอ้แนนที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านเช่าของมัน
ขวัญพัฒน์: นั่งเล่นกับไอ้แนนครับ ฝนกำลังทำของแกล้มให้ รางวัลจากการช่วยไอ้แนนซักผ้า
คุณธนิก: ดื่มเหรอ
ขวัญพัฒน์: ค้าบ
คุณธนิก: อืม
คำตอบสั้นๆ เหมือนเขากำลังไม่พอใจ แต่ผมกลับยิ้มกว้าง แค่คำว่าอืมของเขาก็ทำให้หัวใจเต้นแรงแล้ว ผมคงเป็นเอามากจริงๆ เห็นไอ้แนนเบ้ปากใส่ด้วย มันให้ความใส่ใจแค่ไม่กี่วินาทีก็กลับไปสนใจกับการปอกเปลือกมะม่วงต่อ เดี๋ยวคงได้กินมะม่วงน้ำปลาหวาน แค่คิดก็เปรี้ยวปากน้ำลายสอ... อยากให้คุณธนิกมาลองกินด้วยกัน แต่ก็นึกภาพตอนที่เขากินมะม่วงน้ำปลาหวานไม่ออก เพราะเบ้าหน้าของคุณธนิกเหมาะกับการนั่งอยู่ในภัตราคารกับอาหารราคาแพงเท่านั้น
ขวัญพัฒน์: ทำงานเป็นไงบ้างครับวันนี้ เหนื่อยมั้ย
คุณธนิก: เหนื่อยครับ ยิ่งขวัญไม่อยู่บ้านพี่ก็ยิ่งเหนื่อยมากกว่าเดิม
ขวัญพัฒน์: อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะครับ
คุณธนิก: เป็นห่วงจนเหนื่อย ไม่มีสมาธิทำอะไรแล้ว ท้อใจมาก
ขวัญพัฒน์: เป็นงั้นไป นึกว่าดีแล้วซะอีกที่ไม่ต้องคอยดูภาพจากกล้องวงจรปิด
คุณธนิก: ดีตรงไหน ไม่ได้เห็นหน้าขวัญตั้งหลายชั่วโมง
ขวัญพัฒน์: แง้ว พูดเหมือนคนโรคจิตเลย คุณธนิกน่ากลัว
คุณธนิก: คนโรคจิตที่ไหนกัน แค่เป็นคนคิดถึงขวัญเท่านั้นเอง
ขวัญพัฒน์: พี่นิกปากหวาน
คุณธนิก: อยากฟังเป็นเสียง ขนาดพิมพ์มาแค่นี้ใจพี่ยังสั่น
ขวัญพัฒน์: คืนนี้เรียกให้ฟังนะครับ
คุณธนิก: แทบจะอดใจรอไม่ไหว งั้นพี่ไปรับนะ เลิกงานแล้วจะรีบไปหา
ขวัญพัฒน์: เจอกันที่บ้านก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องลำบากมา
คุณธนิก: ไม่เอาครับ ขวัญอย่าดื้อ ต้องเชื่อฟังพี่
ขวัญพัฒน์: ได้ค้าบ เชื่อฟังทุกอย่างเลย
คุณธนิก: น่ารักจังวะ
ขวัญพัฒน์: น่ารักแล้วรักป่าว
คุณธนิก: ขวัญรู้คำตอบพี่ดี
ขวัญพัฒน์: รู้ดีว่าไม่รัก
คุณธนิก: ครับ เข้าใจก็ดีแล้วตัวดื้อ
ขวัญพัฒน์: ค้าบ
คุณธนิก: ทำงานต่อละ
ขวัญพัฒน์: สู้น้า เป็นกำลังใจให้
ขวัญพัฒน์: Send a photo.
ขวัญพัฒน์: เซลฟี่พร้อมมินิฮาร์ทให้พี่นิก
คุณธนิก: เป็นคนหรือกาแฟเนี่ยเรา ทำพี่ใจสั่นไม่หยุดเลย
ขวัญพัฒน์: เป็นทุกอย่างให้พี่นิกครับ อยากให้เป็นอะไรก็เป็นให้ทั้งนั้นแหละ
คุณธนิก: ขวัญ
ขวัญพัฒน์: ครับ?
คุณธนิก: พี่ไม่รักขวัญ ไม่รักเลยนะครับ พูดจริงๆ
ขวัญพัฒน์: ค้าบบบบ รู้แล้ววว
คุณธนิก: ถ้ารู้แล้ว คืนนี้ก็ทำให้พี่รักด้วยนะ
ขวัญพัฒน์: ขออนุญาตนอนบ้านไอ้แนนละกันครับ บายยย
คุณธนิก: 555 ตัวดื้อของพี่ น่าจับตีว่ะ
“ไอ้ขวัญ ทำไมทำหน้าอย่างกับคนเมากาว” ไอ้แนนยื่นมือมาผลักหัวผม ก่อนมันจะจัดการเก็บกวาดเปลือกมะม่วงไปทิ้งใต้ต้นมะม่วงที่ยืนต้นเป็นร่มเงาบังแดดยามเย็นให้ “มึงฟินอะไรของมึงฮึ”
“คุณธนิกบอกว่าไม่รักกู” ผมบอกสาเหตุของอาการเมา ส่วนไอ้แนนทำหน้างงหนัก
“เขาบอกไม่รักแล้วทำไมต้องดีใจขนาดนี้ มึงบ้าปะเนี่ย”
“เออ กูคงบ้าจริงๆ แหละ คุณธนิกแม่ง...พูดคำว่าไม่รักยังไงให้คนอื่นเขินได้วะ”
“กูว่าคงมีแต่มึงอะที่เขิน เป็นคนอื่นร้องไห้ไปแล้ว”
“กูคงพิเศษสินะ”
“เรื่องมึงเถ๊อะ” ไอ้แนนทำหน้าหมั่นไส้ใส่ผม ก่อนจะจัดการคีบน้ำแข็งใส่แก้วเปล่า วันนี้จะได้ร่ำสุราตั้งแต่ยังไม่มืดค่ำเพราะผมมีเวลาไม่มาก ฝนเมียของไอ้แนนก็ใจดีไม่บ่นไม่ว่าสักคำแถมยังอาสาทำของแกล้มให้ด้วย ตอนนี้คงกำลังทำยำวุ้นเส้นหมูสับให้อยู่ในครัว “มึงชงละกัน เดี๋ยวเข้าไปดูฝนก่อน”
“เออๆ เดี๋ยวชงให้เข้มๆ”
“อย่าเข้มมาก กูจะเมาไม่ได้ เมียกำลังท้องกำลังไส้ เกิดเมาหลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้นมา กูคงเสียใจไปทั้งชีวิต”
“โอเคครับ รู้เรื่องเลยเพื่อน ไม่ต้องห่วง จะชงบางที่สุดจนมึงแทบไม่ได้กลิ่นเหล้า”
“งั้นก็เอาน้ำเปล่าให้กูแดกเถอะไอ้ห่า”
“เอาใจไม่ถูก ตามใจไม่ทัน วู้! เกิดเป็นเพื่อนมึงนี่ลำบากจริงๆ”
ไอ้แนนยิ่งกว่าคนมีประจำเดือน ตั้งแต่เมียมันท้องมาก็ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย แต่ผมก็บ่นไปอย่างนั้น เพราะการได้เป็นเพื่อนกับมันคือเรื่องดีๆ อีกเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผม เหมือนๆ กับที่ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตผมได้อยู่กับคุณธนิก
[ต่อด้านล่าง]