สวัสดีครับ! คุณธนิก ตอนพิเศษ 06/11/2018 Page 27
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สวัสดีครับ! คุณธนิก ตอนพิเศษ 06/11/2018 Page 27  (อ่าน 134052 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อีนุงตุงนัง รักก็ไม่ได้ เลิกก็ไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็อันตรายไปหมด เครียด

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ขวัญคือเหยื่อของความแค้นสินะ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
หยอดตลอดคุณธนิกเนี่ย
ฉันแพ้ทางคนอย่างเธอออ~~
น้องขวัญสู้ๆ

ออฟไลน์ Kuayyai

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อ่านมาตั้งแต่ต้น นี่ยังไม่ถึงจุดพีคสินะ
แต่แบบ แค่นี้ทำให้เราน้ำตาไหลมาก มันสะเทือนใจ
ทั้งตอนที่หลงตาย ทั้งตอนที่ขวัญพยายามฆ่าตัวตาย
มันเจ็บปวดจริงๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้คยรอบข้างที่ตัวเองรักตาย

คุณธนิก ในความรู้สึกคงเผยไต๋มาหมดแล้วมั้ง
ขริๆเย็นชา ดีกับขวัญเพราะผลประโยชน์
สงสารขวัญนะ อยากให้ถึงที่เซ็นสัญญาจริงๆ
จะได้ต่างคนต่างอยู่ หึ
อีกคนขิม เอาจริงๆ คนๆนี้ไม่น่าไว้ใจสุดๆ
และที่ส่งคนไปบ้านขวัญและฆ่าหลง
หรืออาจจะน้าลีด้วย ก็อาจจะคนๆนี้ก็ได้ หึหึ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เกิดมาเป็นแค่ขวัญพัฒน์ ทำไมชีวิตมันพลิกผันบัดซบขนาดนี้นะ ไว้ใจใครก็ไม่ได้เลย ไม่แปลกใจเลยที่ขวัญจะจมดิ่งกับความรันทดใจแล้วกรอกยาฆ่าตัวตายแบบนี้ เศร้าแทนขวัญมากอ่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ชีวิตของขวัญ  :hao5:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เดี๋ยวคุณธนิกก็รักขวัญเองแหละเชื่อดิ  :sad4: :sad4: :sad4:
น้องขวัญของพี่ น้องต้องสตรองนะคะ พี่จะนั่งส่งพลังใจไปจากตรงนี้ ตรงหน้าจอมือถือนี้นะจ๊ะ :3123: :L2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขวัญน่าสงสารอ่ะ
คงเครียดมากเลยสิ่นะปับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
แต่แูเหมือนคุณธนิกเเงก็พอจะไว้ใจได้บ้างนะ
เห้อเเอ

ออฟไลน์ lukYRKM

  • Yesung ♥ Ryeowook | Kyuhyun ♥ Sungmin | FOREVER!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ถ้าเราเป็นขวัญเราก็คงทำเหมือนขวัญ คืออยู่ในที่ของเรา ถึงจะรักขนาดไหนถ้าเขาบอกว่าทำเพราะหลอก ทำเพราะเรามีผลประโยชน์ความรู้สึกเราคงเฟลน่าดู

ออฟไลน์ mareeyah

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมขวัญต้องเจ็บปวดอะไรขนาดนี้ด้วยนะ เป็นกำลังใจให้น้องขวัญนะ เราจะต้องผ่านความเจ็บปวดนี้ไปด้วยกัน :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mafiaziip

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
น้องขวัญเอ้ยยยยยยยยยยย /กอดปลอบและหอมหัว :กอด1:

โชคร้ายจริงๆ อย่างที่ธนิกพูดอ่ะ สงสารมาก ยิ่งตอนหมาคือนี่อินมาก น้ำตาพรูเลย  :hao5: :hao5: :hao5:

เราว่าขิมจะกำจัดขวัญ และปลอมตัวมาเป็นขวัญ เพื่อจะเอามรดกแน่ๆ อารมณ์แบบทั้งรักทั้งแค้นธนิกด้วยป่ะ ฮืออออออ แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงสารขวัญ เอาใจช่วยนะ  :mew1:

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ปริศนาคลี่คลายเร็วมาก เร็วจนน่ากลัว ไม่กล้าเดาอะไรเลย เดี๋ยวหน้าแหก โฮฮฮฮฮ.  แล้วการระทำที่เหมือนใส่ใจของคุณธนิกอย่างเพ้นท์รูปเรือให้ด้วยตัวเองเนี่ย จะไม่เก็บเอาไปมโน จะไม่เก็บเอามาคิดอีกแล้ว จะปล่อยเบลอทุกการกระทำดีๆของนาง ฮือออ เข็ดหลาบเหลือเกิน

ทุกสิ่งดีๆที่คุณธนิกทำเพราะเค้าเฟรนด์ลี่ เป็นคนยุติธรรมิ(?) และรักแต่ประโยชน์ส่วนตน(?)ใช่มั้ย ใจดีแม้กระทั่งกับลูกของคนที่แม่เกลียด พอหงายการ์ดเล่าเรื่องของมุมตัวเองบ้าง ดันมารู้สึกเจ็บปวดตอนเห็นขวัญกินยาอีกอ่ะ!! บ้าไปแล้ว!!!!! สิ่งดีๆที่เค้าทำมันทำให้คิดไกล ละคือทำอย่างเนี้ยจะต้องสร้างใยเหล็กคลุมใจแค่ไหนถึงจะไม่เผลอคิดไปไกลกับสิ่งที่เค้าทำให้อ่ะ!!!!!

ร้องไห้งอแงดีดิ้น ๆๆๆๆ มา!!! เอามาให้หมดเลย ดราม่าแค่ไหนเราก็จะรับได้!!!!! ฮือๆๆๆ

ปล. ตอนแรกคิดเล่นๆว่าหลงอาจจะโดนยาเบื่อแน่ๆกลับบ้านช้า เปล่าจ้าาาา ปรากฎว่ามันร้ายแรงกว่านั้น ฮืออ เสียใจที่หมาน้อยตาย ขิมทำแน่ๆเลยใช้มั้ย!? นังคนร้ายกาจจจจจจจ ต่อไปเธอคิดจะทำอะไรอีก!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 23:04:33 โดย BitterCucumber »

ออฟไลน์ BChampa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังไปหมด แบบนี้สิถึงจะเป็นsnuffelph
เท่าที่เดาจากสถานการณ์คือเหี้ยหมดทุกตัว ทั้งคุณธนิก แม่คุณธนิก ขิม
แม่คุณธนิกนี่เลวจริง กรอกหูลูกชายว่าเมียน้อยพ่อ(แม่ขวัญ)ชั่ว เพราะตัวไม่สมหวังในความรัก และไม่ได้สมบัติทั้งหมด

ขิมนี่ก็ชั่ว น่าจะแสบเอาการ จอมวางแผน ไม่แน่รูปที่ส่งให้ขวัญก็อาจจะมันนี่แหละบงการมัดมือมัดเท้าน้าลี ที่ยอมเซ็นไม่รับมรดกก็อาจจะเป็นแผน เพราะดูจากที่คุณธนิกเปรียบเทียบขิมขวัญแล้วขิมในตอนนั้นก็ไม่ใสเลย

คุณธนิกนี่โง่ที่เชื่อแม่หมดทุกอย่างจนทำร้ายคนอื่น แต่ก็ให้คะแนนตรงที่ยอมเผยไต๋ออกมาบ้าง

ขวัญพัฒน์ = น้องปลื้ม ง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความ

รอดูต่อไป เรื่องนี้ต้องมีคนตาย ไม่ก็ติดคุก

ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
ทำไมขวัญต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

ทั้งๆที่ไม่เคยอยากได้อะไรเลย ชีวิตสงบแต่แรกก็ดีแล้วแท้ๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 สงสารขวัญ   :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
นอกจากขวัญกับแนน ก็ไม่มีใครสมควรได้รับความรักดีๆเลย ทุกคนคือร้ายมาก แย่มาก

โดยเฉพาะคุณธนิก คือแบบ อยากตบอะ เกลียดคนแบบนี้

ออฟไลน์ masochism2018

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
เรืองนี้ขวัญเป็นพระเอกกกกกกก  :กอด1:
ธนิกพูดจาเห็นแก่ตัวมาก พูดได้ไงขวัญมีหน้าที่อยู่เพื่อแก
หงุดหงิดดด

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
สะเทือนใจ และปวดใจ
ขวัญเอ้ยขวัญ น่าสงสารจัง

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
ทำไม ขวัญน่าสงสารขนาดนี้ บีบหัวใจ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สู้ๆนะขวัญ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งช้ำ ตกย้ำความเจ็บ

ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
ตอนที่ 12





“น้องขวัญนั่งเก้าอี้ตรงนี้รอก็ได้นะลูก” พี่จอยลากเก้าอี้มาให้ผมนั่ง

ตอนนี้ผมอยู่ในห้องทำงานของพี่จอย พี่จอยเป็นหัวหน้าแผนกบัญชีก็เลยมีห้องทำงานส่วนตัวเล็กๆ ไม่ได้กว้างมากแต่ก็ไม่ได้มีพนักงานคนอื่นนั่งรวมอยู่ด้วย เป็นเรื่องที่ดีกับผมเพราะไม่ต้องทนกับสายตาสงสัยที่มองมา

เมื่อเช้าผมเดินเข้าบริษัทมาพร้อมกับคุณธนิกด้วยความรู้สึกกังวล เพราะตั้งแต่พี่เปี๊ยกไปจนถึงพนักงานคนอื่นนั้นเอาแต่เหลือบมองมา ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ หรือเข้ามาถามว่าผมเป็นใคร คุณธนิกที่สวมสูทสีดำดูดีนั้นมีสีหน้าขรึมเป็นแนวป้องกันตัวผมได้อย่างดี เขาพาผมขึ้นมาชั้นเจ็ดที่เป็นพื้นที่ของแผนกบัญชี ชั้นนี้ทั้งชั้นไม่มีแผนกอื่นรวมอยู่เลย พอเจอพี่จอยก็ฝากผมไว้แล้วจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานของตัวเอง ทิ้งให้ผมอยู่กับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของพนักงานในแผนก พี่จอยจึงพาผมหลบเข้ามาในห้องทำงาน

“ขอบคุณครับพี่จอย” ผมนั่งลง กำลังแคลงใจว่าควรนั่งท่าไหนถึงจะหลบสายตาที่พุ่งแทบทะลุกระจกบานใสเข้ามาในห้องได้

“ทำไมมากับคุณธนิกได้ล่ะลูก แล้ววันนี้ไม่ต้องทำงานเหรอ” พี่จอยก็คงสงสัยเหมือนคนอื่นๆ เพราะคุณธนิกแค่บอกว่าฝากขวัญด้วยนะ แล้วก็ไปเลย ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

“เอ้อ...จะบอกยังไงดีล่ะครับ” ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ตอนนี้ผมต้องพักงานชั่วคราว บ้านเช่าก็ยกเลิกเช่าไปแล้ว ข้าวของในบ้านนั้นคุณธนิกให้คนจัดการ ไม่รู้เอาไปไว้ที่ไหนหรือทิ้งไป ผมไม่ได้ใส่ใจถามเพราะไม่มีของมีค่าอะไรเลย “คือตอนนี้ผมอยู่กับคุณธนิกน่ะครับ แบบยังไงดี”

พี่จอยพยักหน้า ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง “พี่เข้าใจ ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ลูก”

ความเข้าใจของพี่จอยคงเป็นไปในทางอื่น แต่ผมก็ไม่สามารถแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ได้ “ครับ ผมต้องขอโทษพี่จอยด้วยนะครับที่มารบกวน”

“ไม่เลยๆ พี่กำลังเป็นห่วงขวัญอยู่พอดี เพราะเมื่อเช้าไม่เห็นที่ซุ้ม ถามน้องแนน น้องแนนก็บอกว่าน้องขวัญมีปัญหาชีวิตนิดหน่อย” พี่จอยนั่งลงหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง กลิ่นแชมพูและกลิ่นหอมจากตัวของสาววัยสี่สิบต้นๆ อบอวลไปทั้งห้อง ผมเผลอสูดหายใจเล็กน้อยเพราะค่อนข้างชอบกลิ่นแบบนี้ มันเหมือนกลิ่นของน้าลี เป็นกลิ่นสะอาดที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย “ตกลงปัญหาชีวิตนี่คงเป็นคุณธนิกสินะ”

“แหะๆ” ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

“คุณเขาน่ะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อน พี่ทำงานที่นี่มาหลายปี เห็นคุณธนิกมาตั้งแต่ที่เธอเข้ามาทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นยังเป็นพนักงานทั่วไปของฝ่ายการตลาด เธอเป็นคนตั้งใจทำงาน ไม่เคยกร่างหรือยกตนว่าเป็นลูกชายเจ้าของ เธอเรียนรู้งานทุกแผนก แล้วเมื่อปีก่อนก็ได้อยู่ในบอร์ดผู้บริหาร คงเพราะท่านประธานล้มป่วยด้วยล่ะนะ คุณนายที่รักษาการแทนท่านก็เลยให้ตำแหน่งกับลูกชาย แต่ก็ไม่มีใครคัดค้านหรอกเพราะคุณธนิกเธอเป็นคนเก่ง”

ผมรับฟังพี่จอยอย่างเงียบๆ พลางนึกภาพคุณธนิกตอนเป็นพนักงานระดับล่างคนหนึ่งที่วันๆ คงเอาแต่วุ่นอยู่กับกองเอกสารที่ถูกรุ่นพี่ในแผนกไหว้วานให้ทำ

“คุณเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ ไม่เคยมีเรื่องว่าคบไม่เลือก เป็นข่าวลือหนาหูเหมือนลูกพี่ลูกน้องของเธอ คุณธนวัฒน์น่ะ ขวัญอาจจะยังไม่เคยเจอ แต่ถ้าเป็นเด็กของคุณธนิก สักวันก็อาจจะได้เจอนะ” พี่จอยส่งยิ้มมาให้ “ขวัญเป็นคนแรกที่คุณเขาพามาที่บริษัทเลยล่ะ ที่จริงก็เคยมีข่าวลืออยู่บ้างว่าคุณเขาเจ้าชู้ เลี้ยงเด็กไว้บ้าง มีคู่ควงเป็นดารานางแบบ สารพัดข่าวลือ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นกับตาสักที”

คุณธนิกเจ้าชู้...พอมาคิดดูว่าเขาชอบพูดจาหวานๆ แล้วก็มีความเป็นไปได้อยู่มากเอาการ ยิ่งแววตาที่ทอดมองผมนั้นยิ่งทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่ธรรมดาเลย

“มันเป็นเหตุจำเป็นน่ะครับ ผมไม่ได้พิเศษอะไรหรอก”

“จำเป็นขนาดไหน คุณธนิกคงให้แค่นั่งรอที่ร้านกาแฟ เธอไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในบริษัท เธอน่ะรักบริษัทนี้มากเลยนะ คู่หมั้นที่ว่าหมั้นกันมาหลายปีก็ยังไม่เคยมาที่นี่เลย”

ผมเลิกคิ้ว แปลกใจกับถ้อยคำที่ได้ยิน “ทำไมล่ะครับ เขาเป็นคู่หมั้นกัน ก็น่าจะมาหาคุณธนิกบ้าง”

“คนรวยๆ ที่เขาหมั้นกันน่ะ โดยมากแล้วก็ไม่ได้รักกันหรอกมั้ง พี่ได้ยินคนเขาพูดกันมาอีกทีว่าหมั้นเพราะจะรวมบริษัท ฝ่ายนั้นเขาก็มีบริษัทใหญ่โตที่เป็นคู่แข่งกับบริษัทเรามานาน ถ้าแต่งงานกันได้ก็คงจะครองตลาดส่วนใหญ่ไว้ได้ทั้งหมดล่ะนะ”

“มีแต่เรื่องยากๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ เป็นคนรวยนี่น่าปวดหัวจัง” ผมว่าดีแล้วล่ะที่ผมไม่มีเงินทองให้ต้องคิดอะไรมาก ขืนเกิดมาเป็นทายาทเศรษฐีคงใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ได้ เรื่องเรียนก็ถูกบังคับ คู่ชีวิตก็ยังเลือกเองไม่ได้เลย

“นั่นแหละๆ อยู่อย่างเราๆ อย่างนี้ดีกว่าเนอะ”

ผมพยักหน้า รู้สึกสบายใจที่ได้พูดคุยกับพี่จอย แต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย “พี่จอยครับ”

“ว่าไงลูก”

“พี่จอยไม่รังเกียจเหรอครับ ที่ผมเป็น...เอ่อ...” จะพูดก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะรู้สึกกระดากอายอย่างไม่อยากจะยอมรับ แต่ถ้าไม่ยอมรับสถานะนี้ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายความสัมพันธ์ของผมกับคุณธนิกตอนนี้อย่างไรดี

พี่จอยส่ายหน้ายิ้มๆ “ถ้าเป็นคนอื่นพี่คงรู้สึกไปอีกอย่างนะ แต่นี่เป็นน้องขวัญที่พี่รู้จัก พี่รู้ว่าน้องขวัญไม่ใช่คนไม่ดี เรื่องของหัวใจก็แบบนี้แหละเนอะ แต่การอยู่แบบนี้น้องขวัญก็คงรู้แล้วใช่มั้ยว่ายังไงก็ต้องจบแบบเจ็บๆ อยู่ดี”

“ผมรู้ครับ ผมก็ไม่คิดจะอยู่นาน”

“ดีแล้วล่ะ เข้มแข็งเข้าไว้นะ พี่น่ะเอ็นดูขวัญมากๆ เพราะหน้าตาขวัญน่ะเหมือนรุ่นพี่ที่พี่เคยสนิทด้วย เมื่อก่อนน่ะเคยทำงานแผนกเดียวกัน พี่เขายังเป็นหัวหน้าแผนกนะตอนที่พี่เข้าทำงานใหม่ๆ แต่ไม่นานก็ได้ไปเป็นเลขาฯ ของท่านประธาน ทำงานกันคนละตำแหน่งแต่เราก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม พี่เขาเป็นคนดี ซื่อๆ เห็นขวัญยิ้มทีไรพี่ก็นึกถึงหน้ารุ่นพี่ขึ้นมาทุกที”

พี่จอยเล่าความหลังตั้งแต่ที่เริ่มทำงานที่นี่ให้ผมฟัง หลายต่อหลายเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัทนี้ ทั้งเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ลาออกไป คนที่เข้ามาใหม่ หรือแม้แต่คนที่เป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัท ผมฟังด้วยความสนุกสนาน รู้สึกเพลินมาก พี่จอยคุยไปด้วย นั่งดูเอกสารไปด้วย ผมไม่รู้หรอกว่าพี่จอยมีสมาธิได้ยังไง หรืองานจะไม่คืบหน้าเลย

เกือบสิบโมงก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาในห้องทำงานของพี่จอย เธอบอกผมว่าจะต้องไปประชุม ให้ผมนั่งรอที่นี่ได้ตามสบาย แล้วจากนั้นก็รีบออกไปพร้อมกับปากกาและสมุดโน๊ต ผมจึงถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง แต่โชคดีที่เอาหนังสือการ์ตูนติดกระเป๋าเป้มาด้วย

ผมนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างไม่ค่อยมีสมาธิเพราะรู้สึกว่ามีหลายคนที่มองเข้ามาในห้องทำงานบ่อยครั้ง ป้าแม่บ้านที่เดินเอาน้ำเปล่าเย็นๆ ใส่แก้วมาให้ก็ดูเหมือนจะอยากพูดคุยด้วย แต่ผมตอบไปแค่ว่าขอบคุณครับแล้วก็ทำทีอ่านหนังสือต่อ พอป้าแม่บ้านออกไปได้แค่ไม่ถึงสิบนาที ผู้หญิงอีกคนก็เปิดประตูเข้ามา เธอเคาะเป็นมารยาทแค่สองครั้ง ไม่รอให้ใครอนุญาตก็เปิดประตูเข้ามาเลย เธอมองมาที่ผม แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เธอเป็นใคร” เธอตั้งคำถาม อายุของเธอน่าจะรุ่นเดียวกับพี่จอย ตำแหน่งน่าจะใหญ่โตพอควรถึงได้ให้ความรู้สึกเจ้ใหญ่คุมที่นี่ “แล้วจอยไปไหน”

“เอ่อ...พี่จอยไปประชุมครับ” ผมตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ได้ยินว่าไปประชุมที่ชั้นเก้า”

“อ้อ...จริงสิ ฉันลืมไปเลย ว่าแต่เธอเป็นใครกัน มาอยู่ที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกบัญชีได้ยังไง เด็กใหม่เหรอ หรือมาสัมภาษณ์งาน” คำถามรัวเร็วดังออกจากริมฝีปากสีแดงเลือดนก ผู้หญิงคนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เรียบหรู ผมไม่รู้ราคาของเนื้อผ้า แต่คงไม่ธรรมดาหากวัดจากรสนิยมของเจ้าตัว เธอมีผมที่ดัดเป็นลอน สวมแว่นกรอบเหลี่ยมไว้บนดั้งจมูก

“คือผมแค่มานั่งรอน่ะครับ พอดีว่า...”

“ที่นี่ไม่ใช่ที่นั่งรอนะ” เธอว่าเสียงเข้ม “จอยทำงานเลินเล่อได้ยังไง ในนี้มีเอกสารสำคัญหลายอย่างแล้วยังให้เด็กที่ไหนไม่รู้มานั่งรออยู่ในห้อง เธอน่ะเป็นอะไรกับจอย ญาติเหรอหรือว่ามีความสัมพันธ์แบบอื่น”

“ผมไม่ใช่ญาติครับ คือผมแค่มานั่งรอคุณธนิก”

“อ้อ” เธอยิ้มเหยียด มองผมด้วยสายตาดูถูก “พวกเด็กที่อยากรวยทางลัด”

ผมรู้สึกหน้าชาเล็กน้อย แม้จะรู้ว่าบนโลกนี้มีคนอยู่หลายประเภท แต่ประเภทนี้ก็เพิ่งเคยเจอ คนที่พูดดูถูกคนที่เพิ่งได้พูดคุยกันครั้งแรก หนำซ้ำยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

“ออกไปเถอะนะ ถ้าเธอไม่ออกไปดีๆ เดี๋ยวคุณธนิกก็เรียกรปภ. ให้มาลากออกไปเองนั่นแหละ คนที่มาด้วยจุดประสงค์แบบเธอน่ะเขาไม่สนใจหรอก”

“ผมไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรเลยนะครับ คุณธนิกให้ผมมานั่งรอที่นี่ พี่จอยก็อนุญาตแล้ว แล้วคุณเป็นใครล่ะครับ มาถึงก็มาว่าผมปาวๆ แบบนี้”

คำโต้เถียงของผมทำให้เธอนิ่งไป ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองทำผิดหรือมาอยู่ผิดที่ผิดทาง ผมน่ะมาที่นี่โดยที่ไม่ต้องการ แต่ถูกพามา แล้วผมผิดอะไรที่มานั่งอยู่ในห้องที่เจ้าของห้องเขาอนุญาตแล้ว ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างหากที่เสียมารยาท

ก่อนที่จะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นมากไปกว่านี้ พี่จอยก็กลับมา เธอเดินมาพร้อมกับคุณธนิก ได้ยินเสียงพี่จอยตะโกนบอกให้น้องๆ ในแผนกตั้งใจทำงาน เพราะแต่ละคนเอาแต่มองคุณธนิกที่เดินผ่านด้วยแววตาละห้อย

“อ้าว พี่กานดา มีอะไรกันคะ” พี่จอยมาถึงหน้าห้อง ยังไม่เข้ามาเพราะมีคนขวางประตูไว้ ซึ่งคนขวางประตูก็ดูเหมือนจะได้สติ

“จอย เธอมาก็ดี นี่เธอให้เด็กมารยาททรามคนนี้มาอยู่ในห้องได้ยังไง กฎของบริษัทน่ะจำได้ไหมว่าห้ามให้คนนอกเข้ามา ยิ่งแผนกของเธอน่ะมีแต่เอกสารสำคัญ” ผู้หญิงที่น่าจะมีชื่อว่ากานดา หันไปหาพี่จอยทันที พอเห็นคุณธนิก เธอก็ยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณธนิก พี่ว่าจะไปคุยด้วยอยู่พอดี”

“สวัสดีครับคุณกานดา” คุณธนิกพูดพลางแทรกตัวเข้ามาในห้อง เขาเดินมาที่ผมพร้อมกับเอาหนังสือการ์ตูนใส่กระเป๋าเป้ให้แล้วยกขึ้นสะพายไหล่ “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่เด็กของผมมาสร้างความวุ่นวายให้ คุณจอยไม่ผิดหรอกครับ เธอรู้กฎของบริษัทเป็นอย่างดี ถ้าคุณกานดาจะตำหนิก็ตำหนิผมเถอะครับ”

“พี่ไม่ได้...” ผมเห็นเธอมีสีหน้าไม่เข้าใจอยู่ชั่วครู่ แล้วจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน “พี่จะตำหนิคุณธนิกได้ยังไงกันคะ ที่จริงให้น้องไปรอที่ห้องทำงานของพี่ก็ได้ค่ะ ที่แผนก HR น่ะคนเยอะ ให้น้องไปนั่งคุยกับน้องๆ ที่แผนกก็ได้ จะได้ไม่เหงา มานั่งในห้องทำงานของจอยคนเดียว แล้วเจ้าของห้องก็ไปประชุม น้องนั่งอยู่คนเดียวก็คงเหงาแย่”

“เหงาเหรอ” คุณธนิกหันมาถามผมพลางยกมือขึ้นลูบหัว “พี่บอกให้ไปอยู่ที่ห้องทำงานพี่ก็ไม่ไป เห็นมั้ยว่าคุณจอยก็ต้องทำงาน ที่นั่นยังพอมีทีวีให้ดู มีคอมให้เล่น”

“ผมไม่เหงาหรอกครับ ผมนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ แต่พี่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาพอดี ก็เลย...”

“แหม...น้องคะ พี่ก็แค่ไม่ชอบใจที่เห็นคนนอกเข้ามานั่งในบริษัท” เธอยิ้มหวานมาให้ผม พูดแทรกโดยที่ผมยังพูดไม่จบประโยค ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังทำหน้ายักษ์ใส่อยู่เลย “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ พี่ชื่อกานดาค่ะ”

“คุณกานดาเป็นหัวหน้า HR” คุณธนิกแนะนำ

ผมยกมือไหว้ คุณกานดาก็รับไหว้ด้วยท่าทางเสแสร้งเต็มที ยิ่งรอยยิ้มของเธอนั้นยิ่งไม่มีความจริงใจ “ผมชื่อขวัญครับ”

“จ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องขวัญ”

“ว่าแต่พี่กานดามาหาจอยมีอะไรรึเปล่าคะ” พี่จอยได้จังหวะถาม

“ก็เรื่องที่จะรับพนักงานใหม่ของแผนกเธอยังไงล่ะ”

“งั้นผมพาขวัญไปก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับคุณจอย เชิญคุยงานกันตามสบายเลยครับ”

“ได้ค่า” คุณกานดาขานรับเสียงหวาน ส่วนพี่จอยแค่ตอบรับสั้นๆ แล้วหันมาทางผม

“ไว้เจอกันนะขวัญ มีอะไรก็โทรหาพี่นะ”

“ครับพี่จอย ขอบคุณครับ”

ผมเดินตามคุณธนิกออกจากห้องทำงานของพี่จอยไปที่ลิฟต์ พยายามจะไม่สนใจสายตาของพนักงานในแผนก พวกเขาคงสงสัยมากขึ้นว่าเด็กที่คุณธนิกกำลังจูงมือเดินอยู่คนนี้เป็นใคร

“อย่าคิดมาก” เขาพูดเมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ “ใครจะดูถูกก็ปล่อยเขาไป คนแบบนั้นมันมีอยู่ทุกที่นั่นแหละ”

“ผมเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้ครับ เข้ามาก็ด่าปาวๆ แล้วจะให้รปภ. มาลากผมออกไปอีก ลูกค้าที่ว่าปากร้ายยังร้ายไม่เท่าเขาเลย”

“พี่ถึงได้บอกให้ไปอยู่ที่ห้องทำงานของพี่จะได้ไม่มีปัญหา บริษัทของเราทำธุรกิจหลายด้าน เอกสารที่สำคัญๆ ก็มีเยอะ จะไปตำหนิคุณกานดาก็ไม่ได้หรอกนะ เขาก็คงทำตามเรื่องตามราว”

“ผมรู้ครับ”

คุณธนิกยกมือขึ้นลูบหัวผม ก่อนจะกดจูบที่ขมับ “อย่าทำหน้าหงอย เขาไม่รู้ว่าขวัญเป็นเด็กดีก็เลยพูดไปอย่างนั้น แล้วขวัญอ่านการ์ตูนถึงเล่มไหนแล้ว”

“เล่มห้าครับ”

“ชอบมั้ย”

“ชอบครับ สนุกดี ชอบพระเอก เท่มากๆ”

“เหมือนพี่หรือเปล่า”

“ไม่เหมือนเลย”

เขาหัวเราะ ท่าทางชอบใจ “พี่เหมือนตัวร้ายมากกว่าพระเอกในเรื่องเหรอ”

“จะว่ายังไงดีนะ”

“ตอบมาตามตรง”

“คุณธนิกร้ายกว่าตัวร้ายในเรื่องที่ผมอ่านอีกครับ”

“เสียใจนิดๆ แฮะ” เขาแสร้งทำหน้าเสียใจ ล็อกคอผมให้เข้าใกล้แล้วก้มลงมากัดที่แก้มเบาๆ “เป็นการลงโทษที่ทำให้พี่เสียใจ แล้วขวัญอยากกินขนมอะไรมั้ย พี่จะบอกเลขาฯ เตรียมให้”

“ไม่หรอกครับ ผมกินน้ำเปล่าก็พอ”

“กินในห้องคุณจอยยังไม่อิ่มหรือไง บอกมาเถอะว่าอยากกินอะไร”

ผมกำลังจะตอบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี มีคนสองคนเข้ามาในลิฟต์ พวกเขายกมือไหว้คุณธนิกแล้วก็ยืนเงียบๆ คงเป็นพนักงานของแผนกการตลาดที่หอบเอาแฟ้มเอกสารไว้เต็มอ้อมแขน

“สองคนนี้คงเป็นเด็กใหม่ ดูสิตัวเกร็งเชียว” เขาก้มลงมากระซิบพลางหลิ่วตาให้ ผมก็เลยยิ้มตามเพราะดูท่าทางทั้งสองคนแล้วเหมือนคนกลั้นหายใจที่เอาแต่ยืนตัวตรง หลังตรง ไม่กล้าจะหันมองผู้บริหารระดับสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“เวลาประหม่า คนเราก็จะเผลอแสดงท่าทีตลกๆ แต่เวลาขวัญประหม่า ทำไมน่ารักก็ไม่รู้นะ”

ผมหน้าแดงเล็กน้อย ไม่ได้โต้ตอบ หัวใจก็เต้นรัวแรงเมื่อหลังมือของพวกเราเผลอสัมผัสโดนกันเข้า แต่เมื่อผมจะขยับห่าง เขาก็รั้งมือของผมเข้าไปกุม ทั้งที่มืออีกข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่อีกข้างกลับกุมมือของผมแน่น

“ห้องทำงานอยู่ชั้นไหนเหรอครับ”

“ชั้นสิบห้า”

“สูงจังครับ”

“ก็นะ...บริษัทของเราเปิดให้บริษัทอื่นเข้ามาเช่าพื้นที่ด้วย ห้องทำงานของพี่ก็เลยถูกขับไล่ให้ไปอยู่ชั้นสูงๆ เวลาแผ่นดินไหวก็ตายก่อนใคร” เขาพูดติดตลก ก่อนจะอธิบายให้ฟัง “บริษัทของเราอยู่ตึกนี้ แล้วตึกที่อยู่คู่กับตึกนี้ทั้งตึกก็เป็นของบริษัทอื่น ลิฟต์อีกตัวมีประตูสองทาง ขวัญอย่าไปขึ้นตัวนั้นนะ ไม่งั้นหลงไปอีกฝั่ง”

คุณธนิกพาผมมาถึงชั้นสิบ ก่อนจะเปลี่ยนไปขึ้นลิฟต์อีกตัวที่เขาบอกว่าเป็นลิฟต์ตัวเดียวที่ขึ้นไปถึงห้องทำงานของเขาได้

“บริษัทของคุณธนิกทำเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ” ผมถาม ไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ให้คำตอบ

“ขวัญรู้ไว้บ้างก็ดีล่ะนะ บริษัทของเราหลักๆ ทำเกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ เรามีสายการผลิตที่ต่างประเทศ ส่วนในประเทศก็มีที่จังหวัดระยองและชลบุรี พวกธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทในเครือของเราก็มีหลายอย่าง บางอย่างก็ปิดตัวลงไปแล้วเพราะการบริหารไม่ได้เรื่องของคนดูแล พี่น่ะโชคดีที่ได้มาดูแลด้านนี้ เมื่อก่อนพี่ทำบริษัทในเครือเกี่ยวกับพวกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า มันก็สนุกดี แต่ไม่ค่อยโต แล้วความกดดันก็ไม่มากเท่ากับบริษัทแม่ พวกบริษัทลูกน่ะจะเจ๊งยังไงพวกบอร์ดบริหารก็ไม่บ่นหรอก แต่ที่นี่จะล้มไม่ได้ เรามีพนักงานหลายร้อยชีวิตที่ต้องดูแล หากรวมพนักงานที่โรงงานแล้วก็เกินหลักร้อย เพราะฉะนั้นความมั่นคงของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ”

ในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ โรงงานเล็กๆ ปิดตัวลงกันหลายแห่ง เมื่อหลายปีก่อนโรงงานที่น้าลีเคยทำงานอยู่ก็ปิดตัวลงกะทันหัน ทั้งยังไม่ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย พนักงานหลายร้อยชีวิตถูกลอยแพ ผมจำได้ดีว่าช่วงนั้นพวกเราลำบากกันมากเพราะรายได้หลักของครอบครัวมาจากการทำงานของน้าลี

“โชคดีจังที่ผมไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้ คุณธนิกเก่งจังครับ ได้คนเก่งๆ อย่างคุณธนิกมาบริหาร ผมว่าดีกับทุกคนมากๆ เลย ดีแล้วครับที่ไม่ใช่คนโง่ๆ อย่างผม”

คุณธนิกหัวเราะ “ถ้าพ่อได้ยินคงปวดใจน่าดู ขวัญไม่อยากได้สักนิดเลยเหรอ”

“ไม่ครับ” ผมปฏิเสธทันที ไม่ใช่เพราะไอ้มรดกนี้เหรอที่ทำให้ชีวิตของผมวุ่นวายมาจนถึงตอนนี้ ทั้งที่เราต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลยที่พ่อจะยกทุกอย่างให้ผม “แล้วท่านเป็นยังไงบ้างครับ”

“เรื่อยๆ นะ ขวัญอยากไปเจอมั้ยล่ะ”

“ไม่ครับ” ผมส่ายหน้า อยากให้มีความจริงแค่เพียงว่าพ่อของผมตายไปแล้วอย่างที่น้าลีบอก “ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไร เดี๋ยวจบเรื่องผมก็จะไปแล้ว”

“นั่นสินะ”

คุณธนิกมีสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง แต่สุดท้ายร่องรอยนั้นก็เลือนหายไป เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เขาก็เดินนำผมไปตามทางที่ปูพื้นด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีเข้มที่มีความเงางามจนไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบลงไป เสียงรองเท้าของคุณธนิกดังกระทบกับพื้น ก้องไปทั้งบริเวณ ตามทางประดับไปด้วยต้นไม้มงคลที่ปลูกในกระถาง วางเรียงรายอยู่ใต้โคมไฟติดผนัง พอมองตรงไปจะเห็นโต๊ะทำงานของเลขานุการที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์และสายตาจดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์

“ขวัญ คนนี้คุณประทิน เลขาฯ ของพี่” คุณธนิกหยุดที่โต๊ะทำงานของคุณเลขาฯ พลางแนะนำให้ผมรู้จัก

คุณประทินเป็นชายร่างสูง ผอมบางและสวมแว่น ท่าทางเอาการเอางานและสุภาพเรียบร้อย ผมยกมือไหว้เขา ส่วนเขาก็รีบรับไหว้

“คุณประทินครับ นี่ขวัญพัฒน์ เด็กของผม ต่อจากนี้ช่วยดูแลด้วยนะ”

พอถูกคุณธนิกพูดว่าผมเป็นเด็กของเขาทีไร ผมก็รู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา มันเอาแต่เต้นแรงไม่รู้จังหวะ

“ครับคุณธนิก”

“ถ้างานเสร็จแล้วช่วยลงไปซื้อเค้กให้ผมด้วยนะ”

“ได้ครับ”

“เข้าไปข้างในกันเถอะขวัญ” คุณธนิกยกมือขึ้นโอบไหล่ผมแล้วพาเข้าห้องทำงาน

ห้องทำงานของเขานั้นกว้างขวางสมกับตำแหน่ง Vice President ที่ติดอยู่บนประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ ผมกวาดตามองรอบห้อง โซฟาสีน้ำตาลเข้มตั้งวางอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงาน ผนังอีกด้านมีโทรทัศน์ขนาดไม่น้อยกว่าหกสิบนิ้วแขวนติดผนัง ข้างกันมีตู้โชว์โล่รางวัล และรูปภาพที่ใส่กรอบจัดเรียงไว้อย่างดี ส่วนโต๊ะทำงานนั้นจัดวางอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางห้อง ด้านหลังเป็นกระจกใสรอบด้านทำให้เห็นวิวสวยๆ ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีครามและใต้ท้องฟ้านั้นก็มีตึกรามบ้านช่องที่มีความสูงแตกต่างกันไป

“เป็นห้องที่ิวิวสวยใช้ได้เลยใช่ไหม” คุณธนิกถามยิ้มๆ เขาพาผมเดินไปด้านหลังโต๊ะทำงาน แล้วจากนั้นเราก็ยืนมองภาพวิวเดียวกันโดยไม่ได้พูดอะไร จนเกือบสามนาทีที่เขาพูดขึ้นมาว่า “แม่ให้พี่มาอยู่ห้องนี้ ท่านให้ตำแหน่งกับพี่โดยที่ไม่สนคำคัดค้านจากญาติพี่น้องของพ่อ อาแขไขน่ะอยากให้ลูกชายของตัวเองได้ตำแหน่งนี้”

“ยังมีคนอื่นอีกเหรอครับ”

“มีสิ บอร์ดบริหารของบริษัทเรา ครึ่งหนึ่งก็เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้ขวัญก็ดูเหมือนจะเป็นที่ต้องการตัวเอามากๆ ฝั่งพี่น่ะมีพี่กับแม่ แค่สองคน แต่ฝั่งอาแขน่ะมีคนสนับสนุนเขาเยอะทีเดียว พวกนั้นมองว่าพี่กับแม่เป็นคนนอก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะ เพราะพี่ก็คนนอกจริงๆ ในบรรดาคนพวกนั้นคงมีแค่ไอ้วัฒน์คนเดียวที่คิดว่าพี่เป็นญาติกับมัน”

“ใครเหรอครับ”

“ลูกพี่ลูกน้องของพี่ ชื่อธนวัฒน์”

“เป็นคนดีเหรอครับ”

“ก็ไม่รู้นะ แต่อาจจะเป็นคนดีก็ได้ ไอ้วัฒน์เป็นลูกอาแข อาน่ะอยากให้ไอ้วัฒน์ได้ตำแหน่งดีๆ แต่ไอ้หมอนั่นมันรักสนุก มันบอกว่าแค่ได้เป็นผู้จัดการก็ดีมากแล้ว อย่าให้ตำแหน่งสูงๆ กับมันเลย มันปวดหัว ขี้เกียจทำงาน ความจริงพี่ว่าถ้าขวัญอยู่กับฝั่งนั้นอาจจะดีกว่าอยู่กับพี่ก็ได้”

ผมจับมือของคุณธนิกไว้ แล้วหันมองเสี้ยวหน้าของเขา “ไม่มีใครเหมาะที่จะดูแลบริษัทนี้เท่ากับคุณธนิกหรอกครับ คุณธนิกพยายามอย่างหนักเลย แม้ว่าผมจะแค่มองจากที่ไกลๆ แต่ผมก็เห็นคุณธนิกมาทำงานแต่เช้าตรู่ แถมยังเลิกงานมืดค่ำแทบทุกวัน ใครไม่เห็น แต่ผมเห็นนะครับ อย่ากังวลเลยนะ ผมอยู่กับคุณธนิกดีแล้วครับ”

“ขวัญ…” เขาเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว แล้วจู่ๆ ก็ดึงผมไปกอดไว้ “อยู่อย่างนี้สักพักนะ”

แม้ผมจะไม่เข้าใจ แต่ชั่วครู่ที่ผมเห็นแววตาของเขาสั่นไหว “ครับ”

ผมยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น มันดังในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของผม ผมเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย ผมไม่เก่งพอจะอ่านใจใคร ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเชื่อคุณธนิก แม้ว่าเขาจะอันตรายมาก เขาร้ายกาจ แต่เขาก็บอกจุดประสงค์กับผมอย่างตรงไปตรงมา เขาชัดเจนว่าเขาต้องการอะไรจากผม เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าผมควรจะอยู่ตรงนี้ต่อไป แม้บางครั้งหัวใจจะเจ็บแปลบขึ้นมาบ่อยๆ ก็ตาม

“พี่จูบได้มั้ย”

ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม แต่ยังไม่ทันจะอนุญาต เขาก็ก้มลงมาถือสิทธิ์ครอบครอง เราจูบกันท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่เห็นจากความสูงบนชั้นสิบห้า ภาพวิวที่สวยที่สุดกับจูบที่ดีที่สุดจะอยู่ในความทรงจำดีๆ ของผมไปอีกนานเท่านาน

[ต่อด้านล่าง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2018 16:53:55 โดย Snufflehp »

ออฟไลน์ Snufflehp

  • It feels like nobody ever knew me until you knew me
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +978/-17
“ไอ้ขวัญ มึงจะลากกูมาด้วยทำไมเนี่ย กูต้องทำงานหาเงินนะเว้ย” ไอ้แนนกระซิบเสียงดุเพราะตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่นัดหมายกับเขมินทราไว้

“ก็กูบอกคุณธนิกว่าจะพามึงมาเลี้ยงกาแฟ เอาน่า ค่าแรงมึงวันนี้กูจ่ายให้” ผมบอกพลางยกน้ำเปล่าที่พนักงานนำมาเสิร์ฟคู่กับอเมริกาโน่ขึ้นจิบ

“มึงไปรวยมาจากไหนเนี่ย” ไอ้แนนเบ้ปากใส่ผมด้วยความหมั่นไส้ “คุณธนิกเปย์มึงมาใช่ไหม”

“อือ” ผมตอบรับตรงๆ “เงินคุณธนิกทั้งนั้นแหละที่กูใช้ ผลาญๆ ไปเถอะ เขาบอกว่าเขามีเยอะ”

ไอ้แนนยกนิ้วโป้งมาให้ “มีเรื่องนี้สินะที่มึงไม่โง่ เอาเถอะ ถ้าเรื่องที่มึงเป็นลูกเศรษฐีขึ้นมาเป็นเรื่องจริง เงินที่มึงใช้อยู่ก็เงินพ่อมึงนั่นแหละ ไม่ต้องคิดไรมาก กูจะช่วยใช้เอง เลี้ยงแน่นะ”

“เออๆ อยากสั่งไรเอาเลย”

“กูอยากกินเค้ก เดินผ่านเมื่อกี้เห็นหน้าตาน่ากินดี” ไอ้แนนว่าพลางเดินไปเลือกเค้กที่มันจะกิน ผมก็เลยต้องนั่งรออยู่คนเดียว กำลังนั่งมองนั่นมองนี่ โทรศัพท์มือถือก็ส่งเสียงแจ้งเตือน





คุณธนิก: กินอะไรครับ ถ่ายรูปให้พี่ดูหน่อย





คุณธนิกมาส่งผมหลังจากที่เราไปกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้ว เขาทำท่าว่าจะเข้ามานั่งดื่มกาแฟด้วยจนผมลำบากใจที่จะปฏิเสธ แต่แล้วเขาก็ถูกเรียกกลับบริษัทเพราะมีเอกสารสำคัญที่ต้องรีบเซ็น เขาจึงทำหน้างอเล็กน้อย แต่ก็ยอมกลับไป ไม่ลืมที่จะกำชับว่ากินเสร็จแล้วให้ไอ้แนนไปส่งที่บริษัททันที





ขวัญพัฒน์: *ส่งรูป*

คุณธนิก: น่ากิน

ขวัญพัฒน์: กินมั้ยครับ ผมซื้อไปให้

คุณธนิก: หมายถึงขวัญอะที่น่ากิน

ขวัญพัฒน์: ซะงั้น

คุณธนิก: รีบกลับนะ เป็นห่วงครับ

ขวัญพัฒน์: ครับ กินเสร็จจะรีบไปหาครับ

คุณธนิก: หรือจะให้ลุงกล้วยไปรับดี

ขวัญพัฒน์: ไม่ต้องหรอกครับ ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้แนนไปดีกว่า จะได้ไม่รบกวนลุงกล้วย

คุณธนิก: สวมหมวกกันน็อกด้วยนะครับ

ขวัญพัฒน์: ครับ





ไอ้แนนเดินกลับมาที่โต๊ะ มันนั่งลงพลางชะโงกหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผม “มึงเป็นเด็กเสี่ยนิกจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย”

“เปล่า ไม่ได้เป็น”

“จริงน่ะ” ไอ้แนนทำหน้าไม่เชื่อ “มึงไม่ได้นอนกับเขาเหรอ อยู่บ้านเดียวกันสองต่อสองเลยนะเว้ย”

“ยังไม่ได้นอน” ผมรู้สึกหน้าร้อนเล็กน้อย

“แสดงว่าจะนอนเหรอ” ไอ้แนนเค้น

“อือ” ผมตอบตามตรง “แต่กูยังไม่พร้อมหรอก คุณธนิกเขาก็รอ”

“ไม่พร้อมอะไรล่ะ มึงเคยมีอะไรกับเขามาแล้วนะ”

“ก็ตอนนั้นเมานี่ ตอนไม่เมามันทำลำบากนะเว้ย”

ไอ้แนนหัวเราะ “กากไอ้สัด แต่เอาเถอะ แค่ตอนนี้ มึงอยากมีความสุขยังไง ก็ทำไป แต่มึงต้องอย่าลืมว่าความสุขน่ะมันอยู่กับเราได้ไม่นาน เวลาที่มึงสุขมากๆ มึงก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเจ็บมากๆ ด้วย”

“กูรู้”

“ตอนนี้นี่คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ขอโทษอีกครั้งนะเว้ยที่กูช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“เฮ้ย...กูบอกแล้วไงไม่เป็นไร แล้วมึงสั่งอะไรมา”

“บราวน์นี่สองชิ้น เผื่อมึงด้วย”

“ขอบใจว่ะ แล้วอย่าลืมเอาไปให้ฝนด้วยนะ ฝนชอบกินอะไรมึงสั่งเลยนะ วันนี้คุณธนิกให้เงินกูมาสองพัน”

“ดีงามมาก ถามคุณธนิกให้กูทีดิ๊ว่ารับเด็กเพิ่มมั้ย”

“ทำไม” ผมถามทันที “มึงจะเป็นเหรอ แต่มึงมีเมียแล้วนะเว้ย”

“ไอ้โง่” ไอ้แนนตบหัวผมทันที “กูล้อเล่น ทำมาขึงตาใส่ เดี๊ยะๆ ทำหวง มึงน่ะไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปหวงเขาไอ้ขวัญ”

ผมยิ้มเจื่อน “ก็จริง”

“พอกูพูดความจริงก็ทำหน้าหงอยใส่กูอีก” ไอ้แนนผลักหัวผมอีกครั้ง ก่อนมันจะเงียบเสียงเมื่อเห็นว่าคนที่นัดหมายกับเราวันนี้เดินผ่านประตูร้านเข้ามาแล้ว

วันนี้เขมินทราอยู่ในชุดนิสิต ที่ไหล่มีกระเป๋าแบรนด์ดังสะพายไว้ เขาเดินเข้ามาจนถึงโต๊ะที่พวกผมนั่ง ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้แนนนั่งอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน

“ขอโทษทีนะพี่ ผมเพิ่งเลิกเรียน” เขมินทราบอกพลางส่งยิ้มมาให้ “สวัสดีครับแนน”

“ดีๆ” ไอ้แนนตอบ “ไอ้ขวัญมันลากผมมาด้วยน่ะ คุณขิมสะดวกมั้ย ถ้าไม่สะดวก ตอนที่คุยกันผมไปนั่งอีกโต๊ะได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้มีเรื่องที่เป็นความลับอะไร”

“ไปเรียนมาเหรอ” ผมเอ่ยถาม “ผมยังไม่รู้เลยว่าขิมเรียนอะไร”

“ผมเรียนบริหารครับ”

“ชอบเหรอ”

“ไม่ชอบหรอกครับ แต่ถ้าสักวันมีบริษัทเป็นของตัวเอง เรียนบริหารคงมีประโยชน์”

บริษัทเป็นของตัวเอง...เขมินทราคงไม่ได้หมายถึงบริษัทของคุณธนิกใช่ไหม หรือเขาจะหมายถึงบริษัทของพ่อบุญธรรมของเขากันนะ

“แล้วพี่ล่ะครับ ตอนนี้เรียนอะไร หรือไม่ได้เรียน”

“ไม่ได้เรียน พี่ไม่มีเงินเรียน แล้วก็ไม่ได้อยากเรียนอะไรเป็นพิเศษด้วย”

“นั่นสินะ” เขมินทรายิ้ม “แบบนั้นคงเหมาะกับพี่มากกว่าครับ”

ผมเห็นไอ้แนนขมวดคิ้ว สีหน้ามันดูไม่พอใจ แต่ผมรีบหยิกแขนมันไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมา

“ผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ ผมเรียนไม่เก่ง เรียนไปก็เปลืองตังค์เปล่าๆ”

“แต่ก็จบมอหกใช่ไหมครับ”

“อืม จบสิ แต่ก็เกือบไม่รอดนะ เทอมสุดท้ายนี่ติด 0 ไปตัว แต่ไอ้แนนติดสองตัวใช่ไหมมึงน่ะ”

ไอ้แนนพยักหน้า ไม่รับมุกกับคำพูดติดตลกของผม มันเอาแต่นั่งกินบราวน์นี่ไปเงียบๆ

“พี่นี่มีแต่เรื่องให้แปลกใจนะครับ ขนาดมัธยมปลายเรียนง่ายแท้ๆ แต่ยังทำให้ติด 0 ได้”

การพูดคุยกับเขมินทราในครั้งนี้นั้นไม่เหมือนครั้งแรกที่ได้พูดกัน ผมคงทำให้น้องชายไม่พอใจอยู่แน่ๆ ถึงได้จิกกัดเก่งเหลือเกิน และคิดว่าหากไม่เลิกพูด ได้โดนหมัดไอ้แนนกินแทนกาแฟแหงๆ

“เข้าเรื่องกันดีกว่านะ ขิมมีอะไรจะบอกผมเหรอครับ เรื่องรูปถ่ายที่ส่งมาให้ดูใช่มั้ย”

“ใช่ครับ อย่างที่ผมบอกในไลน์แล้วว่าอะไรเป็นอะไร” เขมินทรามองผมด้วยแววตาเย็นชาเล็กน้อย “พี่คิดยังไงครับ กับเรื่องนี้”

หากถามว่าผมคิดยังไง ผมก็คงมีแต่ความเสียใจถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริงและเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตัวผม “คือว่า...”

“ไม่โกรธหน่อยเหรอครับ ไม่อยากแก้แค้นให้น้าที่เลี้ยงพี่มาเลยเหรอครับ” เขมินทราถามย้ำ “พี่จะยอมให้อภัยกับคนที่ทำร้ายคนที่พี่รักง่ายๆ เหรอครับ”

“ถ้าผมไม่ยอมแล้วผมจะทำอะไรได้”

“นั่นสินะ ก็พี่ทำอะไรไม่ได้เลย กับแค่เรื่องง่ายๆ ที่ผมบอกให้ทำ พี่ยังทำไม่ได้ตามที่รับปากไว้ คนโง่น่ะ...ต้องให้เสียคนที่รักอีกกี่คนกันล่ะครับถึงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง”

“นี่!” ไอ้แนนทุบโต๊ะเสียงดัง “จะหยุดพูดจาหมาๆ กับเพื่อนกูได้รึยัง”

เขมินทราหัวเราะ “อะไรนะครับ พูดจาหมาๆ เหรอ หมายถึงผมเนี่ยนะ คนที่กำลังพูดจาหมาๆ คือคุณไม่ใช่เหรอครับ ผมกับพี่กำลังคุยกัน แล้วแทรกขึ้นมาทำไม”

“ไอ้ขวัญ มึงอย่าเสียเวลาคุยกับคนแบบนี้เลย กลับกันเถอะว่ะ”

“ใจเย็นๆ ก่อนน่า” ผมดึงมือไอ้แนนให้มันนั่งลงตามเดิม “ขอโทษทีนะขิม เพื่อนผมเป็นคนใจร้อน”

“ไอ้โง่ มึงจะไปขอโทษมันทำไม” ไอ้แนนเดือดดาลขึ้นมา “ตั้งแต่ที่มันเริ่มพูด ยังไม่มีประโยคไหนเลยที่มันไม่ดูถูกมึง”

“ผมก็แค่พูดตามความจริงนี่ครับ พี่โกรธเหรอ” เขมินทรามองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าโกรธก็บอกนะครับ ผมขอโทษ”

“เอ่อ...ที่จริงก็ไม่น่าฟัง แต่ไม่เป็นไรหรอก”

ไอ้แนนทำเสียงในลำคอ มันกรอกตาไปมาแล้วลุกขึ้น “กูจะไปสูบบุหรี่รอข้างนอก คุยเสร็จแล้วก็ตามไป”

ผมพยักหน้า ไม่กล้ารั้งมันไว้อีก เพราะกลัวว่าหากมันยังนั่งอยู่ มันคงต่อยน้องชายของผมจนปากแตก รูปร่างอย่างเขมินทราน่ะสู้ไอ้แนนไม่ได้แม้แต่น้อย

“คนนอกไปแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ” เขมินทรากลับมาเข้าบทสนทนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าพี่อยากแก้แค้น ผมจะช่วย”

“คือ…”

“คนผิดต้องได้รับโทษนะครับ”

“ผมก็เข้าใจเรื่องนั้นนะขิม แต่ผมก็ไม่อยากรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาให้ยุ่งยาก น้าลีน่ะไปสบายแล้วล่ะ”

ผมคงเป็นคนอกตัญญูในสายตาของเขมินทราไปแล้ว แต่ความรู้สึกของผมนั้นไม่ได้มีเรื่องแก้แค้นหรืออยากเอาคนผิดอะไรมาลงโทษเลยแม้แต่น้อย ผมอยากให้เรื่องมันจบ ไม่อยากต้องมานั่งสู้รบกับใคร เพราะผมไม่มีอะไรจะไปสู้ ผมแค่เสียใจที่ตัวผมเป็นต้นเหตุก็เท่านั้น

“พี่ครับ! น้าของพี่จะตายตาหลับได้ยังไง ถ้าคนชั่วยังลอยนวล แล้วคนชั่วคนนั้นก็ยังจะตามฆ่าพี่ มันน่ะฆ่าแม่ของพวกเรามาแล้วนะครับ”

“ขิม...เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไงนะ ผมน่ะไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย ผูกพันกันก็น้อยมากๆ ผมไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งขิมบอกผม ผมก็เลยไม่รู้ว่าผมควรจะรู้สึกยังไงดี ตัวผมไม่มีความแค้นอะไรต่อใครเลย ผมแค่อยากมีชีวิตที่เงียบสงบของตัวเองไปวันๆ”

“พี่เห็นแก่ตัวมากนะครับ เห็นแก่ตัวแล้วก็รักแต่ตัวเอง” เขมินทรามีสีหน้าบิดเบี้ยวยามที่ไม่สามารถระงับโทสะไว้ได้ “ผมต้องการที่จะทวงทุกอย่างที่ควรจะเป็นของแม่ ควรจะเป็นของเราคืนมา แต่พี่กลับเอาแต่พูดว่าไม่อยากยุ่ง ทั้งที่น้าของพี่ก็ถูกพวกมันฆ่าตาย พี่โตมายังไงกันแน่ โตมาด้วยความคิดโง่ๆ แบบนี้เหรอ”

“ผมขอโทษ” ผมบอกเบาๆ รู้สึกแย่กับคำพูดที่ได้ยิน ผมคงเห็นแก่ตัวมากที่ปล่อยให้เขมินทราต่อสู้อยู่เพียงลำพัง “ขิมฟังผมนะ เราต่างก็มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้มันก็ดีมากแล้ว ชีวิตของพวกเราไม่ได้แย่เลย เราไม่ต้องไปแย่งชิงอะไรกับคนอื่นหรอกนะ ขิมจะให้ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องพวกนี้เหรอ แก้แค้น ทวงคืน แต่เราหาความสุขจากมันไม่ได้เหรอครับ”

“พี่ไม่เข้าใจผม” ดวงตาของเขมินทราแดงก่ำ “พี่ไม่รู้หรอกว่าผมไม่มีความสุขกับบ้านที่ไม่ใช่ของผม ที่ที่พวกเราจะอยู่ได้คือที่ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ผมก็แค่ต้องการที่ของพวกเราคืน พี่จะไม่ช่วยผมเลยเหรอ”

“แล้วขิมจะให้ผมช่วยยังไง ทั้งที่ขิมก็ไม่พอใจเลยที่พี่อยู่ใกล้คุณธนิก”

“ผมถึงบอกให้พี่สลับตัวกับผม”

“คิดว่าคุณธนิกเขาจะดูไม่ออกเหรอ”

“เขาไม่ได้รักพี่มากพอจะแยกผมกับพี่ไม่ออกหรอกครับ หน้าตาเราเหมือนกันมากขนาดนี้ เขาไม่มีวันรู้หรอกว่าคนไหนคือขวัญพัฒน์ คนไหนคือเขมินทรา”

“แต่ว่า...”

“ช่วยผมนะครับพี่ ผมทำเพื่อเรานะ ในโลกนี้เราเหลือกันอยู่แค่สองคนแล้ว ผมเป็นน้องของพี่ พี่จะช่วยคนอื่นนอกจากผมเหรอ”

มันเป็นเรื่องที่ผมไม่กล้าตัดสินใจ ผมไม่กล้าช่างน้ำหนักความสำคัญ มันจริงอยู่แล้วว่าสายเลือดเดียวกันกับผมเหลืออยู่แค่เขมินทรา แต่เราไม่ได้มีความผูกพันกันมากมาย เราไม่ได้สนิทกัน ไม่เคยได้รู้จักพูดคุยกันมาก่อน และผมมีความรู้สึกไม่เชื่อใจน้องชายคนนี้ หากเปรียบเทียบกับคุณธนิกแล้ว ผมกลับเชื่อคุณธนิกมากกว่าเขมินทรา

หากบอกให้ไอ้แนนรู้ มันคงพูดว่าความรักทำให้ผมตาบอด

“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะขิม แต่ผมขอไม่รับปากอะไรนะ”

“ก็ได้ครับ เท่าที่ได้ก็ยังดี” เขมินทราผ่อนลมหายใจ ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมตัวเองได้แล้ว “แล้วพี่กับพี่ธนิกไปถึงไหนกันแล้วครับ”

“ไม่ถึงไหนหรอก ไม่มีอะไรเลย”

“งั้นเหรอครับ ผมก็นึกว่าจะไปได้สวย เพราะเราหน้าเหมือนกัน”

ผมเผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง รู้สึกหัวใจเจ็บแปลบขึ้นมา “คุณธนิกเคยรักขิมมากสินะ”

“พี่ธนิกเคยบอกอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่รู้นะว่าจริงไหม”

“ก็คงจะจริงแหละ”

“เอาอย่างนี้ไหมครับ พี่ก็ลองเอาอกเอาใจพี่ธนิกดู พี่ธนิกชอบคนดูแลเอาใจใส่ ยิ่งเวลาอ้อน เขาจะยิ่งตามใจ” เขมินทราเวลาพูดถึงคุณธนิกจะมีประกายของความสุขแผ่ออกมาจากตัว แม้แววตาจะเศร้าสร้อย แต่ใบหน้าก็เปื้อนรอยยิ้มเสมอ “เรามีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน ก็เลยเห็นอกเห็นใจกัน”

“ขิมคบกับคุณธนิกกี่ปีเหรอ”

“ไม่เรียกว่าคบหรอกครับ แต่เราอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา พี่ธนิกไม่เคยพูดว่าเราเป็นอะไรกัน แต่เวลาที่ผมต้องการใครสักคน เขาก็จะรีบมาหา เป็นแบบนั้นมาตลอดสี่ปี”

สี่ปี...สี่ปีมันนานพอที่จะทำให้ใครสักคนจำฝังใจไปตลอดชีวิตได้ไหมนะ

“แต่สุดท้ายเขาก็หักหลังผม” แววตาของเขมินทราเปลี่ยนไป “ถ้าพี่ไปหาพ่อของเขาไม่ได้ พี่ก็ต้องหาเอกสารมาให้ผม เป็นเอกสารสำคัญที่ผมทำพลาดไปเมื่อหลายปีก่อน”

“เอกสารอะไรเหรอขิม” ผมแสร้งถาม ทำทีเหมือนว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เป็นเอกสารการยินยอมไม่เกี่ยวข้องกับมรดกที่ผมจะได้รับ”

“ผมไม่ค่อยเข้าใจ”

“พี่ไม่ต้องเข้าใจหรอกครับ แค่หามาให้ผมก็พอ มีชื่อของผม เขมินทราอยู่ในเอกสารนั้น พี่อ่านหนังสือออกใช่ไหมครับ”

ผมคิดว่าผมไม่อยากจะช่วยเจ้าน้องชายปากร้ายคนนี้เท่าไรหรอกนะ

“อ่านออก แล้วผมจะหามันได้ยังไง”

“ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ธนิกเก็บไว้ที่ไหน พี่ต้องหาวิธีถามจากเขานะครับ พี่ช่วยผมเรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ แล้วผมจะไม่รบกวนอะไรอีกเลย”

“สรุปง่ายๆ เลยก็คือถ้าผมไปหาพ่อของคุณธนิกไม่ได้ ผมก็ต้องหาเอกสารให้ขิมใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“แบบไหนมันจะง่ายกว่ากันนะ” ผมครุ่นคิด “มันยากทั้งคู่เลย”

เขมินทรามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกว่าตัวผมนั้นโง่เง่าเสียเต็มประดา “พี่ทำได้แน่ครับ”

“จะพยายามนะ”

“ขอบคุณครับ ผมหวังพึ่งพาพี่นะ แต่ถ้ามันยากเกินไป พี่กับผม เราสลับตัวกันก็ได้”

“เอาไว้พี่ทำไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ เราค่อยมาว่ากันอีกทีดีกว่านะ”

“ก็ได้ครับ”

ตอนนี้ผมอยู่ตรงกลาง แม้ว่าจะเอนเข้าหาคุณธนิกมากแค่ไหน แต่เรื่องที่เขมินทราพูดผมก็จะไม่บอกกับคุณธนิก และเรื่องของคุณธนิก ผมก็จะไม่บอกเขมินทราเช่นกัน ผมแค่ต้องเฝ้ามองอยู่เงียบๆ และหาทางจบปัญหาให้กับตัวผมเอง เพื่อที่ตัวผมจะได้หลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้เสียที

ผมไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่เข้าใจกับความรู้สึกของน้องชายอย่างเขมินทรา แม่ผู้ให้กำเนิดนั้นจะเป็นอย่างไร พ่อที่แท้จริงจะเป็นใคร ผมไม่สนใจเลยสักนิด แต่คงเป็นเรื่องที่สำคัญกับน้องชายของผม น้องชายที่ถูกเลี้ยงดูด้วยครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยแต่กลับโหยหาความรักที่ผมได้รับจนล้นจากน้าลี เขมินทราไขว่คว้าหาพื้นที่ของตัวเองในขณะที่ผมพบที่อยู่ของตัวเองแล้ว

หากผมสามารถสื่อสารกับน้าลีได้บ้าง ผมก็อยากจะถามน้าว่าน้าโกรธมั้ยที่ผมไม่คิดจะแค้นเคืองหรือเอาผิดคนที่ทำร้ายน้าเลย เรื่องมันผ่านมาแล้ว หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ความสดใหม่ของมันอาจจะทำให้ผมรู้สึกแค้นเคืองอยู่บ้าง แต่มาจนป่านนี้แล้ว ผมจะเอาชีวิตที่เหลืออยู่ไปเสียให้กับความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นทำไม ผมจึงไม่เข้าใจเขมินทราเลยแม้แต่น้อย

......................To be Continue.......................

 :กอด1: :o8: :-[

ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่า ดีใจมากๆ ที่มีคนตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เกลียดนังขิมจังเลย  :m16:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เฮ้อออ เป็นฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
วุ่นวายจังเลยขิมเนี่ย

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ความคิดของขวัญน่ะดีแล้ว  อย่าไปยุ่งมากเลย มีแต่เสียกับเสีย มีเรื่องเดียวที่ต้องทำคือช่วยให้แนนปลอดภัย อย่าให้แนนมาเกี่ยวพันด้วย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ สนุกมากๆ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
น้องขวัญ​เป็นคนทีาหาได้​ยากยิ่งในสังคมสมัยนี้​ เขมอันตรายจริงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด