“ไอ้หลงงง” ผมร้องเรียก เพิ่งขับผ่านเสาไฟฟ้าต้นที่ห่างจากบ้านเช่าของตัวเองไม่กี่ร้อยเมตร เห็นไอ้หมาเพลบอยของผมกำลังง้างขาฉี่ มีหมาเจ้าถิ่นอีกสามตัวยืนคุมเชิงคอยท่า หมาพวกนี้ผมคุ้นทุกตัว เพราะเป็นเพื่อนกับไอ้หลง พวกมันคบกันเหมือนบอยแบนด์ตั้งวง ไปไหนไปกัน แล้วก็ชอบเห่า ชอบหอน ส่งให้กันเป็นทอดๆ ผมไม่แน่ใจว่าไอ้หลงคือลูกพี่ใหญ่หรือเปล่า แต่ผมแน่ใจว่ามันหล่อเหลาที่สุดในกลุ่ม ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ขึ้นชื่อว่าเพลบอย
“กลับบ้านกันเร็ว วันนี้พี่เลิกงานแล้ว”
ไอ้หลงทำมองเมิน เวลาอยู่กับหมาตัวอื่นแล้วจะชอบเก๊กใส่ผม กลายเป็นหมาหูหนวกไปในทันที เรียกเท่าไรก็ไม่หือไม่อือ
“ตามใจนะเว้ย แต่เย็นนี้กลับบ้านเร็วๆ ล่ะ ไอ้แนนจะซื้อไก่ย่างมาให้”
ผมน่ะเชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าพวกสัตว์เข้าใจภาษามนุษย์ น้าลีก็บอกผมแบบนั้น น้าบอกว่าถ้าผมเหงาก็สามารถคุยกับพวกมันได้ เวลาน้าไปทำงาน ผมจะได้มีเพื่อน ผมจึงชอบคุยกับพวกมันจนโดนพวกไอ้วันล้อว่าเป็นคนไม่เต็ม แต่ไอ้แนนบอกผมว่าไม่ต้องไปสนใจ ฉายาเพื่อนรักสัตว์โลกไม่มีใครได้มาง่ายๆ ผมน่ะเป็นคนที่ควรได้รับฉายานี้เลย แต่ตอนที่เรียนมัธยมปลาย วิชาชีวะกลับทำให้ผมรู้ว่าสัตว์บางประเภทก็ไม่มีไอคิวมากพอที่จะเข้าใจภาษามนุษย์ ตอนนั้นผมจึงคิดขึ้นมาจริงๆ ว่า ผมอาจจะไม่เต็มอย่างที่โดนล้อก็ได้ แต่ไอ้หลง มันน่ะเข้าใจคำพูดของผมนะ
ระหว่างที่ความคิดกำลังทำงาน รถมอเตอร์ไซค์ของผมก็แล่นมาถึงหน้าบ้านเช่า ผมจอดรถ เอาถุงใส่เกาเหลาที่ห้อยอยู่แฮนด์รถมาถือ แต่เกือบทำร่วงจากมือเพราะใครบางคนที่เป็นสิ่งแปลกปลอมในสภาพแวดล้อมปกติของบ้านเช่า
คุณธนิก!!!
ผมอ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือผมกำลังฝันกลางวัน คุณธนิกยืนพิงกับเสาต้นหนึ่ง ท่ามกลางเศษเหล็กและขยะรีไซเคิลที่ลุงแดง คนเก็บของเก่าขายซึ่งอยู่บ้านติดกันมาฝากเอาไว้ เพราะบ้านลุงไม่มีที่พอจะวางแล้ว เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ชายเสื้อเก็บเรียบร้อยอยู่ในกางเกง ดูเรียบหรูไม่เข้ากับบรรยากาศรอบตัว ก่อนหน้านี้เขากำลังก้มหน้าอยู่เหนือโทรศัพท์มือถือในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างงีบมวนบุหรี่สีขาวที่มีควันลอยขึ้นมาจากด้านปลาย คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นราวกับกำลังหงุดหงิดใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของผม เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“ไง” เขาทัก น้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากสีหน้า แต่แววตาที่ใช้มองผมเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง
“มาทำอะไรที่นี่ครับ” ผมถาม ทำหน้าไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ เขาไม่น่าจะรู้จักบ้านของผม และคนระดับเขาไม่ควรมาอยู่ตรงนี้เลย
“ทำไมติดต่อไม่ได้” เขาไม่ตอบ แต่ถามกลับ “โทรหาไม่ติด ไลน์ไปไม่อ่าน เมื่อเช้าออกมาก็ไม่บอกสักคำ”
“คือว่า...”
“เล่นอะไรอยู่เหรอ”
ผมคงทำให้คุณธนิกโกรธซะแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่เคยนึกภาพตอนเขาโกรธ คิดสีหน้าไม่ออก เคยเห็นแต่ตอนที่ยิ้ม เคยเห็นแต่ตอนที่ทำหน้าอ่อนโยน ใจดี
“ผมขอโทษครับ” ผมบอกเบาๆ
ได้ยินเสียงถอนหายใจของคุณธนิก เขาทิ้งมวนบุหรี่ลงกับพื้น แล้วใช้เท้าขยี้แรงๆ “เอาเถอะ ช่างมันเถอะนะ”
“แล้วคุณธนิกมาที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ลุงกล้วยมาส่ง”
“ไม่ครับ ผมหมายถึง คุณธนิกรู้จักบ้านของผมได้ยังไง”
“รู้อยู่แล้วล่ะ” เขาบอกแค่นั้น ไม่อธิบายอะไรต่อ “จะไม่ชวนพี่เข้าบ้านเหรอ พี่ยืนรอตั้งสองชั่วโมง”
“เอ่อ...งั้น” ผมลังเลที่จะเชิญเขาเข้าไปในบ้าน บ้านของผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีโซฟานุ่มๆ ให้เขานั่ง มีแต่เสื่อที่ผมมักจะใช้ปูนอนหน้าทีวีที่ใช้งานไม่ได้ โต๊ะกินข้าวผุๆ สภาพตามอายุการใช้งานหลายปี เก้าอี้ของมันก็คงพอนั่งได้ แต่ก็แข็งซะจนไม่เหมาะจะเอามารับแขก เบาะรองนั่งที่เคยมีก็กลายเป็นที่นอนของไอ้หลงไปซะแล้ว “ผมว่าคุณธนิกกลับไปก่อนดีกว่าครับ”
ดวงตาดำขลับตวัดมองมาทันที “ให้พูดอีกที”
“ผมไม่ได้อยากไล่นะครับ แต่บ้านผมไม่สะดวกสบาย คุณธนิกจะลำบากเอานะครับ”
คุณธนิกนิ่งไปเพียงครู่ แล้วจากนั้นรอยยิ้มกว้างก็แต้มบนใบหน้า “เรื่องแค่นี้เอง แค่ขวัญไม่คิดไล่พี่ พี่ก็พอใจมากแล้ว”
“ไม่เคยคิดไล่เลยครับ”
“เด็กดีของพี่”
หน้าผมร้อนขึ้นมา ทั้งคำพูดและแววตาของเขาเล่นงานผมได้เป็นอย่างดี ไอ้แนนมันจะรู้ไหมว่าการไล่ผมกลับมาพักที่บ้านเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ แต่ใครจะไปคิดว่าคุณธนิกจะมารอผมอยู่
“งั้น...เข้าบ้านกันนะครับ”
ผมเดินไปไขกุญแจบ้าน เดินนำคุณธนิกเข้าไปข้างใน ก่อนจะรีบวางถุงเกาเหลาลงบนโต๊ะกินข้าวแล้ววิ่งไปเอาผ้าห่มมาปูให้เขานั่ง
“คุณธนิกนั่งตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”
เขาพยักหน้า ยอมนั่งลง ผมจึงรีบตรงไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำเปล่ากับแก้วน้ำมาบริการ
“ดื่มน้ำก่อนนะครับ” ผมเทน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้เขาที่กำลังมองสำรวจทั่วบ้าน “ยืนรอตั้งสองชั่วโมงเลยเหรอครับ ผมขอโทษนะครับ คุณธนิกเมื่อยมั้ยครับ ผมนวดให้นะ”
“เอาสิ” เขาเปลี่ยนท่านั่ง จากนั่งขัดสมาธิเป็นนั่งเหยียดขา “แล้วทำไมถึงติดต่อขวัญไม่ได้”
ผมไม่ตอบ เพราะไม่รู้จะตอบเขายังไง ผมไม่อยากโกหกแต่ก็บอกออกไปตรงๆ ไม่ได้ จึงได้แต่บีบนวดให้เขาอย่างเงียบๆ รู้ดีว่าเขากำลังมองอยู่ และรอคอยคำตอบ
“บล็อกเบอร์พี่เหรอ” เขาถามขึ้นอีก “ไลน์ก็ไม่ขึ้นอ่าน ขวัญโกรธอะไรพี่เหรอครับ”
ถ้าผมเอาแต่เงียบ คุณธนิกก็คงไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องง่ายๆ แต่ผมควรจะพูดเรื่องอะไรดีนะ ผมคิดไม่ออกเลย ในหัวผมตอนนี้มีแต่ความวุ่นวาย เรื่องโน้นเรื่องนี้สลับเปลี่ยนกันวิ่งเข้ามา
“พี่ตั้งใจว่าพอตื่นเช้าจะมาส่ง แล้วจะพาขวัญไปดูบ้าน”
“ดูบ้าน” ผมทวนคำ “ดูบ้านอะไรเหรอครับ”
“บ้านของขวัญไง พี่จะซื้อให้”
“ห้ะ!” เชื่อเถอะว่าต่อให้เป็นไอ้แนนก็ต้องตาเหลือกแล้วร้องอย่างตกใจเหมือนผม “ดะ...เดี๋ยวนะครับคุณธนิก คุณธนิกจะซื้อบ้านให้ผมทำไมครับ”
“ขวัญชอบคอนโดฯ มากกว่าเหรอ” เขาพูดไปคนละเรื่องอีกแล้ว “ยังไงก็ได้ พี่ไม่ขัดหรอก ขอแค่ขวัญชอบ”
“ฟังผมนะครับ!” คราวนี้ผมจำเป็นต้องเสียงดัง เพราะเขาเหมือนไม่ยอมฟังอะไรเลย “คุณธนิกจะซื้อให้ผมทำไม ผมไม่ได้ขอเลยนะครับ แล้วผมก็มีบ้านของผม”
คุณธนิกหันมองไปรอบตัว ก่อนเสียงเรียบๆ จะถามขึ้นว่า “บ้านเช่านี่น่ะเหรอ ขวัญเรียกมันว่าบ้านเหรอ”
“สำหรับผมมันคือบ้านครับ”
ต่อให้มันจะไม่ใช่ที่ที่สวยงามและสะดวกสบาย แต่มันก็เป็นที่ที่ผมมีความทรงจำดีๆ อยู่มากมาย น้าลีต้องทำงานหนักเพื่อจ่ายค่าเช่าบ้านและเลี้ยงดูผมไปด้วย มันอาจจะไม่ใช่บ้านในฝัน แต่มันก็คือสถานที่ที่ผมสามารถอยู่แล้วสบายใจได้
“พี่ไม่อยากให้แฟนของพี่ต้องอยู่ในที่แบบนี้”
หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นมาพร้อมกับความสงสัย “ผมเป็นแฟนกับคุณธนิกแล้วเหรอครับ เป็นเมื่อไหร่กัน”
“ขวัญครับ” เขายกมือขึ้นลูบแก้มของผม “หลังจากที่เราทำกัน พี่ยังต้องพูดอีกเหรอ”
“แต่ว่าผม...” ผมควรจะบอกยังไงดีนะ ผมรับปากกับไอ้แนนแล้วว่าจะตัดใจ แล้วผมก็คิดจะทำแบบนั้น แต่ผมไม่ได้คาดคิดว่าผมจะเจอคุณธนิกมารออยู่หน้าบ้าน
“อย่าคิดจะหนีจากพี่” เขาพูดราวกับรู้ แววตาที่อ่านไม่ออกของเขามองตรงมา “ขวัญหนีจากพี่ไม่ได้หรอก”
“เพื่อนผมบอกว่าคุณธนิกหลอกฟันผม แล้วผมก็คิดเหมือนกัน” ผมโกหกไม่เก่ง สร้างเรื่องไม่เก่ง ก็เลยต้องสารภาพ “ผมคิดจะตัดใจจากคุณธนิกแล้วครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องของเรามันไม่จริงเลย คนอย่างผมกับคุณธนิก มันไม่มีความเป็นไปได้ตั้งแต่แรกแล้วครับ”
ผมไม่กล้ามองคุณธนิก ไม่กล้ามองสบตากับเขา ผมกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองให้ต้องถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่เขาก็ใช้มือเชยคางของผมขึ้น คำพูดของเขาทำให้ผมเผลอมองดวงตาดำขลับคู่นั้น “ขวัญพูดอย่างนี้ พี่เสียใจรู้มั้ยครับ”
“ผมขอโทษครับ”
“อย่าพูดแค่คำขอโทษ พี่ไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แต่พี่ต้องการขวัญ พี่ชอบขวัญ” น้ำเสียงที่ใช้พูดนั้นนุ่มนวล ราวกับกำลังขับกล่อมให้ผมเชื่อตามนั้น “คนสองคนจะคบกัน แค่ความรู้สึกตรงกันก็พอแล้ว ขวัญไม่เห็นต้องคิดให้ยุ่งยากว่าขวัญเป็นใคร พี่เป็นใคร พี่ไม่อายหรอกถ้าจะได้คบกับขวัญ เพราะพี่คงทำใจไม่ได้ ถ้าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่ว่า...”
“คบกับพี่นะครับ ให้พี่ได้ดูแลขวัญนะ” เขาจูบที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา “ขวัญตัดใจจากพี่ไม่ได้หรอก เพราะงั้นอย่าหนีเลยนะ เพราะไม่ว่าขวัญจะหนีไปที่ไหน พี่ก็จะตามขวัญเจออยู่ดี”
“งั้นผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ”
“ถามว่า?”
“ขิมคือใครครับ”
สีหน้าของคุณธนิกเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาของเขาว่างเปล่า ไม่เหลือแววให้ตีความหมาย สีหน้าของเขาก็เช่นกัน ผมจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร คนคนนั้นดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับเขามากเกินกว่าที่เขาจะควบคุมตัวเองได้ เพราะหากเป็นปกติแล้ว คุณธนิกจะเอาแต่ยิ้มกับคำถามที่เขาไม่อยากตอบ
“ผมอยากรู้นะครับ เพราะเมื่อคืนคุณธนิกเรียกชื่อเขา”
“ขอโทษครับ” เขาบอก มีสีหน้าสำนึกผิด “ขอโทษนะครับขวัญ พี่ทำตัวไม่ดีเลย”
พูดมาอย่างนี้แล้วจะให้ผมตอบยังไง ตอบว่ายกโทษให้เหรอ แต่ใจของผมมันไม่คิดอย่างนั้นนี่นา
“เขาเป็นอดีตไปแล้ว แต่เพราะขวัญเหมือนเขา พี่ก็เลยเผลอ ขวัญยกโทษให้พี่นะครับ จะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว พี่สัญญา” คุณธนิกก้มหน้าลง หน้าผากของเขาเอนแนบกับหัวไหล่ของผม “ขวัญจะเป็นปัจจุบันและอนาคตของพี่ แค่ขวัญคนเดียว”
“แล้วคู่หมั้นของคุณธนิกล่ะครับ”
“ถ้าพี่บอกว่าอีกเร็วๆ นี้พี่จะถอนหมั้น ขวัญยังจะมีคำถามอะไรอีกมั้ย”
คนทุกคนชอบที่จะได้รับความสำคัญ และผมก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น หัวใจของผมเต้นแรงไปกับคำพูดของเขา เผลอคาดหวังไปแล้วว่ามันจะเป็นจริง คำพูดของไอ้แนนเมื่อก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ผมหนีไม่รอดหรืออันที่จริงผมทิ้งทางหนีของตัวเอง ผมหยุดอยู่ตรงหน้าเขาโดยไม่คิดหนี
“มีครับ แล้วถ้าเป็นแฟนกัน ผมต้องทำยังไงบ้างครับ” ผมถาม รู้สึกประหม่า หัวใจเจ้ากรรมก็ไม่หยุดเต้นรัวเสียที
“นั่นสินะ” เขาทำทีคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยกนิ้วขึ้นไล้ไปตามริมฝีปากของผม “จูบกันก่อนดีมั้ย”
“งั้นคุณธนิกก็หลับตาก่อนสิครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ถ้าโดนจ้องอยู่อย่างนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน”
เขาหัวเราะเบาๆ “เอ... หรือว่าพี่จะเป็นจูบแรกของขวัญ”
“ครับ” ผมตอบตามตรง ถ้าไม่นับตอนที่โดนไอ้หลงเลียปาก เมื่อคืนก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้จูบกับคนจริงๆ
“ไม่จริงน่า” เขาทำหน้าไม่เชื่อ “อย่ามาทำตัวน่ารักนะ”
“จริงๆ ครับ คุณธนิกเป็นจูบแรกของผม แล้วก็...เป็นคนแรกด้วย”
“ขวัญพัฒน์” เขาครางเสียงอ่อน ยิ้มกว้างเต็มใบหน้า พอผมมอง ก็ก้มหน้าลง ไม่ยอมมองสบตากันเสียอย่างนั้น เห็นใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ “พี่ทำเรื่องไม่ดีลงไปแล้ว”
“อะไรเหรอครับ”
“ครั้งแรกของขวัญ” เขาว่าเสียงแผ่ว “พี่ควรจะตั้งใจมากกว่านั้น”
“คุณธนิกอย่าคิดมากเลยครับ เมื่อคืนมันดีมากๆ เลย ผมมีความสุขครับ”
ไม่รู้ทำไม ยิ่งผมพูด เขาก็ยิ่งสบถแล้วก็เอาแต่โขกหัวกับหัวไหล่ของผม “เด็กบ้า น่าจะบอกกันก่อน ไม่น่าเลย... เสียดายมาก”
คำพูดแต่ละคำทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าว เขาเอาแต่พร่ำบอกว่าเสียดาย ไม่น่าเลย พูดแบบนั้นซ้ำๆ “งั้น...ทำกันใหม่มั้ยครับ เอ่อ คุณธนิกลืมไปก่อนนะ ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้บอกอะไร”
“เป่าคาถาสิ จุ๊บตรงนี้ แล้วพี่จะลืม จากนั้นเราจะทำกันใหม่” เขาชี้ที่ริมฝีปาก ผมกำลังจะขยับเข้าไปใกล้ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียง
โฮ่ง! โฮ่ง!
ฉิบหายยย ไอ้หลงกลับมาแล้ว! มันเห็นฉากเลิฟซีนของผมมั้ยนะ
“ไอ้หลง!”
ไอ้หมาเพลบอยของผมกระดิกหางไปมาอยู่หน้าประตูบ้าน มันเดินเข้ามา ท่าทางวางมาด ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นมันแยกเขี้ยวใส่คุณธนิก มันคงจะไม่คุ้นหน้า ยิ่งเบ้าหน้าระดับเขา ยิ่งไม่มีให้เห็นในละแวกนี้
“ไอ้หลง นี่คุณธนิก เอ็งอย่ากัดเขานะเว้ย เขาเป็นแฟนพี่”
“คุยกับหมารู้เรื่องเหรอ” เขาถามพลางยิ้มขำ “พี่ก็คุยรู้เรื่องนะ สวัสดีหลง”
โฮ่ง!
ผมว่าไอ้หลงมันไม่ได้ตอบคุณธนิกหรอก มันแค่ได้กลิ่นเกาเหลาแล้วก็เห่าแค่นั้น หรือมันอาจจะเห็นแมลงสาบวิ่งผ่านหน้าก็ได้ ไอ้หลงมันชอบเห่าลมเห่าแล้งบ่อยๆ
“นั่นไง มันรู้เรื่อง”
“ดีจังเลยครับ” แต่ผมก็ไม่ขัด เห็นคุณธนิกยิ้มแล้วก็ไม่อยากพูดขัดอะไร “ผมมีมันที่เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่ โชคดีจังที่คุณธนิกคุยกับมันรู้เรื่อง”
คุณธนิกยกมือขึ้นลูบหัวของผม “ตอนนี้ขวัญมีพี่เพิ่มมาอีกคนแล้วนะ”
“ขอบคุณครับคุณธนิก”
“เป็นแฟนกันแล้วยังเรียกคุณอีกเหรอ”
“ผมชินเรียกแบบนี้ซะแล้วล่ะครับ”
“ที่ควรชิน ต้องเป็นคำว่าที่รักต่างหาก”
“หาาา”
“ลองเรียกสิ”
“ไม่เอาหรอกครับ”
“ที่รัก”
“ไม่เอา ผมจะเรียกว่าคุณธนิก”
“งั้นเป็นคุณธนิกที่รัก”
“ฮื้อ ไม่กล้าเรียกหรอกครับ”
“เดี๋ยวก็กล้าเองแหละ อีกหน่อยอาจเรียกพี่ว่า ไอ้ธนิกด้วยซ้ำ”
“ฮ่าๆ ๆ”
คุณธนิกดูตกใจเล็กน้อย จนผมต้องหยุดหัวเราะ “มีอะไรเหรอครับ”
“เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นขวัญหัวเราะ” หน้าเขาแดงเล็กน้อย “น่ารัก เล่นเอาเขินเลย”
“ไม่...ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อยครับ” พูดอย่างนี้ผมก็ทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน เขาเป็นคนที่ปากหวานจนผมไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว “ว่าแต่คุณธนิกไม่ทำงานเหรอครับวันนี้”
“อืม ก็อยู่ดีๆ ขวัญก็หายไป ใครจะไปมีอารมณ์ทำงาน”
“ขอโทษครับ ผมทำให้เสียการเสียงานจนได้”
เขาส่ายหน้า ก่อนจะหอมแก้มผม “อย่าขอโทษเลย พี่ตั้งใจไว้อยู่แล้ว เพราะจะพาขวัญไปดูบ้าน”
“คิดจะซื้อให้ผมจริงๆ เหรอครับ”
“อืม จริงสิ คิดว่าถ้าซื้อคอนโดฯ ขวัญคงพาหลงไปอยู่ด้วยไม่ได้”
“จะคอนโดฯ หรือบ้าน ก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่บาทสองบาทนะ”
“ก็ไม่มีบ้านที่ไหนขายบาทสองบาทหรอก แต่มีบ้านเดี่ยวที่ราคาเบาๆ อยู่นะ เพื่อนพี่เป็นเจ้าของโครงการ สามารถซื้อได้ในราคามิตรภาพ ไม่เล็กไม่ใหญ่ เหมาะกับคู่แต่งงานใหม่มากครับ”
“จะยังไงก็ไม่เอาหรอกครับ ผมอยู่บ้านเช่าต่อไปก็ดีแล้ว”
“ไว้จะส่งแบบบ้านให้ดูนะ” เขาตัดบท เป็นอีกครั้งที่ทำทีไม่ได้ยินเสียงของผม ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ชักจะรู้สึกว่ารับมือยากขึ้นมา
เอาเถอะ ไว้ค่อยปฏิเสธอย่างจริงจังทีหลัง ยังไงตอนนี้ผมต้องคิดคำพูดที่จะไปพูดกับไอ้แนนมันก่อน ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นคนเดียวที่ผมอยากเล่าให้ฟังและอยากบอกความเป็นไปในชีวิตให้ได้รู้
“ว่าแต่ถ้าทำกันที่นี่ มันจะพังไหมนะ”
สีหน้าของคุณธนิกเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็สงสัยไม่ต่างกัน จากสภาพความเป็นอยู่แล้วหากโดนทำขึ้นมา คงเจ็บหลังน่าดูเลย ไหนจะไอ้หลงที่มองมาตาแป๋วมาจากที่นอนของมันอีก ที่นี่คงไม่เหมาะซะล่ะมั้ง
......................To be continue..........................
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและความคิดเห็นนะคะ
ไอ้หลงงงง ดูแลพี่ขวัญด้วยนะลูก
