<Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019  (อ่าน 13737 ครั้ง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เก็บกระทู้ไว้  ------โมดุฯ

************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,

หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************************


อ่านตรงนี้ หน่อยฮะ

สำหรับนิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนงานแรกของผม
ผมขอเล่าถึงรูปแบบของนิยายนะครับ

นิยายแต่ละบท จะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักเสมอ

ส่วนแรก  คือ  อดีต ของตัวละครนั้น  ที่อาจรำพึงรำพันคิด  หรืออาจจะไม่ได้คิด แต่มันมีเนื้อหาเชื่อมโยงกับส่วนที่สอง

ส่วนที่สอง คือ  ส่วนที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน  เป็นตัวดำเนินเรื่องตามปกติ

ทั้งสองส่วนจะถูกคั่นด้วย ::::::::::: สัญลักษณ์แบบนี้นะครับ

คำถาม  ถ้าไม่อ่านส่วนแรกได้มั้ย   
ก็ได้นะครับ ถ้าเลือกอ่านแต่ส่วนที่สอง

แต่  อาจจะตกหล่นบางประเด็นที่เชื่อมโยงกัน  ที่มาที่ไปของนิสัยหรือเบื้องหลังบางอย่างของตัวละคร

แนะนำ
ให้อ่านไล่ไปตามปกตินี่แหละครับ

อิอิ


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
ตั้แต่วันนี้ (18-10-2018) ผมจะทยอยรีไรท์ตั้งแต่บทนำไปจนถึงตอนล่าสุด 
ยังอ่านได้ปกตินะครับ  เน้นแก้คำผิด


*****************************************




บทนำ

ยามเย็นที่มืดราวกับกลางดึก ฝนตกพรำไปทั่ว เสียงฟ้าร้องที่ครวญครางไม่ขาดระยะ

“ถ้าน้องเขาผอมก็ว่าไปอย่าง”

เสียงผู้ชายพูดขึ้น มองกลับไปทางเพื่อนอีกคนด้วยสายตายิ้มเยาะ ราวกับกำลังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำใดตอบกลับมา

“แปลว่า เป็นผู้ชายมึงก็ไม่แคร์ใช่มั้ย ขอให้ผอม ดูดี ก็ชอบได้หมด”


ฟ้าแลบสะท้าน จนสว่างโร่ขึ้นมาครู่หนึ่ง

“ความรักไม่ได้ขึ้นกับเพศนี่”

สะท้านไปทั่วด้วยเสียงฟ้าร้องที่ไล่ตามหลัง




ด้านนอกห้องเรียน น้ำฝนที่หยดลงพื้นจากนักเรียนชายคนหนึ่งที่ยืนหลบมุม ทอดสายมองเข้ามาในห้อง และแอบฟังทุกบทสนทนาทั้งหมด เขาหนาวสะท้านไปทั้งตัวจากตัวที่โชกชุ่มด้วยน้ำฝน แม้เขาจะอ้วนแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่า เขาจะไม่หนาว

‘ถ้าผอมหรอ ถ้าผอมพี่ปริ๊นซ์จะชอบหรอ’



นักเรียนชายคนนั้นขยับแว่นให้เข้าที่ ในใจคิดสะระตะ เขาไม่รับรู้รับฟังเสียงใดรอบตัวอีก



“แล้วมึงจะเรียนไรต่อวะ ปริ๊นซ์ จบ ม. 6 แล้ว”

ปริ๊นซ์ยักไหล่ ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด เอนตัวที่สูงเกือบ 180 เซนติเมตรผิงหน้าต่าง ตาเสมองไปข้างนอก

“พ่อกูบอกว่า จะส่งกูไปเมืองนอก เห็นว่าติดต่อไว้หมดแล้ว ก็ดี สบาย ไม่ต้องมาวุ่นวายกับระบบแอดมิชชันบ้าบอ เปลี่ยนตอนไหนไม่เปลี่ยน มาเปลี่ยนรุ่นเรางี้ ใช่เหรอวะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ

“เออ จริงของมึง เออ เย็นนี้..........”




ภาพการสนทนาภายในห้องจางลงไปเรื่อย ๆ พร้อมเท้าอ้วน ๆ ที่เดินย่องออกมาเบา ๆ



‘ผอม ต้องผอมเท่านั้น ผอม
....
ถ้าผอม พี่ปริ๊นซ์จะชอบ'


................................................

เป็นการเขียนนิยายครั้งแรกในชีวิต
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
 o18
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2020 15:28:23 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม...
«ตอบ #1 เมื่อ29-06-2018 20:53:42 »

บทที่ 1
งานรับปริญญา



“จบแล้วนะมึง ดีใจด้วย”

ดอกไม้ที่หาได้เกลื่อนตามหน้าประตูมหาวิทยาลัยถูกยื่นส่งมาให้ผม เสียงบูมคณะ บูมมหาวิทยาลัย ดังไปทั่ว

‘ก็นี่มันงานรับปริญญานี่นา คงไม่มีใครมาร้องหมอลำหรือแห่ขวัญนาคหรอก’ ผมคิดในใจ

ลูกโป่งหลากสีสัน ดอกไม้นานาพรรณ กล่องของขวัญทุกขนาด เห็นได้ไปทั่ว เป็นภาพที่งดงามและชวนให้ผู้คนรื่นเริงไปกับบรรยากาศที่อิ่มเอมเหล่านี้

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกระจายไปทั่วบริเวณ

“เออ ขอบคุณวะ มึงไม่ต้อง....”

ยังพูดไม่จบประโยคดี เจ้าของดอกไม้ก็รีบแทรกราวกับอ่านใจออก

“กูไม่ได้ซื้อมาจากหน้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้คิดสั้นขนาดนั้น”

มือวาดอย่างสวยงามราวกับกำลังพรีเซนท์ดอกไม้มูลค่าพันล้านบาท

“สำหรับมึงแล้ว กูสั่งเตรียมไว้อย่างดี ราคาแพงนะเว้ย ไม่ใช่ร้อยสองร้อย”

ดอกไม้ที่ถูกยื่นมาที่หน้าผมอีกรอบ ผมกำลังจะคว้าไว้ ทว่าดอกไม้ก็ถูกวาดตามวงแขนของชายตาตี่ หน้าตี๋ บ่งบอกชัดว่าเป็นลูกหลานชาวจีน

“มีของขวัญให้อีกนะ มึงถือไหวมั้ย กูช่วยมั้ย น้องสาวมึงไปไหนละ ......”

มันรัวเป็นชุด ไม่มีช่องไฟ ผมได้แต่ผงก ส่ายหัว ผงก แล้วก็ส่ายหัว สลับกันไปมา

จนถึงตอนนี้ ดอกไม้ที่ผมควรจะได้ก็ยังไม่ถึงมือผมเลย

ถัดไปสองเมตร พี่ช่างกล้องของผม กำลังทำหน้าเซ็งอย่างสุดขีด พี่เขาคงกำลังสงสัยว่า จะได้ถ่ายรูปมั้ย

“พอก่อน!...”

มันเงียบราวกับถูกกดปุ่ม pause ผมจึงชิงพูดต่อทันที ขณะเดียวกันก็คว้าดอกไม้ในมือมันมาด้วย

ผมหันไปส่งสัญญาณให้พี่ช่างกล้องที่ทำหน้ากระตือรือร้น เหมือนเด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นใหม่ พี่เขากดถ่ายรูปทันที
และดีที่คนข้างกายผมฉลาดพอที่จะโพสท้าถ่ายรูป

“มึงจะรีบพูดไปไหน จะให้กูตอบคำถามไหนก่อน แล้วนี่จะซื้อมาอะไรเยอะแยะ แค่มากูก็ดีใจแล้ว”

ยิ้มครับ ยิ้มยียวนจนตาตี่ ยิ้มจนมองไม่เห็นอะไรเลย ยิ้มทั้งชุดนิสิต มันหนีการราวด์วอร์ดเพื่อมาหาถ่ายรูปกับผมหรือเปล่า บอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้

“ทัพ เราเป็นรูมเมตที่หอในกันมาตั้ง 3 ปี ก่อนกูต้องย้ายไปหอแพทย์ ทำไมกูจะซื้อแค่นี้ไม่ได้ แล้วอย่าลืมที่กูเคยบอก จำได้ปะ ว่ากูชอบมึง นี่จีบอยู่นะ จีบมาหลายปีแล้วด้วย”

ผมถอนหายใจ แล้วมองหน้ามัน งานรับปริญญามันวุ่นวายจริงเว้ยยยยยย

เสียงริงโทนโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด...........


ติ๊ดดดดดดดด...........................................



:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด


มือคว้ามือถือที่ร้องระงม ดวงตาขุ่นมัวกรังด้วยขี้ตามองกลับไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังส่งเสียงครวญคราง


5:45

เวลาประจำที่ผมต้องตื่น

กด Snooze แล้วนอนต่อดีมั้ยเนี่ย 

ตื่นมาขยี้ตา แล้วนั่งระลึกว่า ตอนนี้ปี พ.ศ. ไหนวะ

‘รับปริญญาไปแล้ว นี่มันผ่านมา 2 ปี แล้ว.... ใช่ เมื่อกี้แค่ฝันไป ฝันเหรอ .....’ ผมขยี้ผมตัวเอง ‘ฝันบ้าอะไรละ มันคือเรื่องจริงต่างหากเว้ยย’

สมองผมตีกันไปหมด

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ

ผมชื่อทัพ อายุ 24 ปี จบคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ

ภาควิชาเคมีของผมได้ชื่อว่าเป็นภาควิชาเคมีแรกของประเทศไทยเลยนะครับ น่าจะคาดเดามหาวิทยาลัยกันได้แล้วใช่มั้ยละครับ 

ปัจจุบันผมทำงานที่บริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง จริง ๆ งานผมเป็นงานนั่งออฟฟิศผสมงานแลปนิดหน่อย จึงทำให้ผมต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด โดย 3 สัปดาห์ ต้นเดือน ผมจะประจำอยู่ที่สำนักงานใน กทม. อีก 1 สัปดาห์ ปลายเดือน ผมก็จะระเห็จระเหเรร่อนไประยอง 

เป็นชีวิตมีสีสันดีนะครับ

คุณแม่ของผมบอกเสมอว่า “ดีแล้วลูก ชีวิตคือการเดินทาง”

ตอนนี้ผมกำลังนั่งโง่ ๆ อยู่บนเตียงที่คอนโดย่านสะพานควายครับ
คอนโดนี้เป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิตผมครับ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ซื้อคอนโดมิเนียมทั้งที่อายุยังไม่ 25 ปี 

ทางบ้านผมถือมาก จริง ๆ พวกท่านก็เตือนมานะว่า ให้รอเลยเบญจเพสก่อนแล้วค่อยคิดจะทำการใหญ่ แต่ทำไงได้ละครับ ผมซื้อไปแล้วนี่นา



สำหรับวันนี้ จริง ๆ แล้วผมลางานครับ แต่ดันลืมเปลี่ยนเวลาตั้งปลุก ไม่น่าเลยกู

อ้อ! ทำไมผมลาหยุดนะเหรอครับ

ผมอินดี้ครับ อยากนอนเล่น ๆ วันลาเยอะมาก

ใช่ที่ไหนละครับ ผมจะไปงานรับปริญญาครับ

ขืนผมลาหยุดเล่น ๆ พี่ปิ๋ม หัวหน้าแผนกของผมได้เผ่นกบาลผม เฉดหัวออกจากบริษัทกันพอดี (55555 ผมรักพี่ปิ๋มนะครับ)

อ้อ แล้วงานรับปริญญาใครนะเหรอ เดาสิครับ เดาไม่ยากหรอก เดาออกใช่มั้ยครับ งานของไอ้บ้า “ตาม” ไอ้หมอบ้าที่มารังควาญผมถึงในฝันนะสิ แค่คิดก็สยองแล้วครับ รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ผมยอมรับก่อนเลย เออ ผมเป็นเกย์ แต่จริง ๆ ผมก็ชอบผู้หญิงนะ แค่ส่วนใหญ่ชอบผู้ชาย เอ้า งั้นก็ต้องเรียกว่า ไบ หรือเปล่า 

โอ๊ย ผมไม่รู้หรอกครับ เอาเป็นว่าโดยส่วนตัว ผมคิดว่าอย่ามาจำกัดนิยามของเพศกันเลยดีกว่าครับ ถ้าใครถามตรง ๆ ผมก็ตอบว่าเป็นเกย์นี่แหละ ง่ายดี

ผมไม่ได้แมนจ๋า ผมไม่เล่นกีฬา เพื่อนร่วมงานผู้ชายหลายคนชวนเตะบอลหลังเลิกงาน ผมก็ไม่เคยไป แต่ถ้าชวนกินเหล้าเข้าผับ ผมไปนะครับ แฮะ ๆ


ว่าแล้วขอเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ


------------------------------


ภาพสะท้อนในห้อง เป็นภาพชายวัยรุ่น สูงราว 170 เซนติเมตร ไม่อ้วน ไม่ผอม ยังเห็นพุงได้นิดหน่อย และรอยแตกตามท้องอันเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า เขาเคยอ้วนอย่างมากมาก่อน

“หรือไปวิ่งก่อนดีวะ”


ใช่แล้วครับ ปกติผมตั้งปลุกเวลาตี 5 45 นาที เพราะผมจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะตรงข้ามคอนโด วิ่งสักครึ่งชั่วโมง ขึ้นมาอาบน้ำ นั่งรถไฟฟ้าไปที่ออฟฟิศ แล้วก็หาอะไรกินแถวนั้น ยังไงก็เข้างานทัน 8.30 น.


ว่าแล้วผมก็คว้าหูฟัง คว้าโทรศัพท์มือถือ ผมเป็นคนนิสัยเสียครับ วิ่งไปต้องฟังเพลงด้วย

คุณพ่อเตือนเสมอว่า “อย่าทำแบบนั้นสิทัพ มันอันตราย เกิดรถราวิ่งสวนมา เขาบีบแตร ลูกจะรู้มั้ย”
จริง ๆ ผมก็ทราบนะว่ามันไม่มีดี ผมชินแล้วอะพ่อจ๋า


กำลังออกจากห้อง โทรศัพท์ก็แผดเสียงเพื่อบอกให้ผมทราบว่ามีสายเรียกเข้า


ตาม

ชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ
นิ้วโป้งผมวางอยู่ตรงปุ่ม ปฏิเสธ แล้วครับ

‘วันนี้วันดีของมัน วันรับปริญญาของมันนะทัพ’


“ฮัลโหลลลลลลลลล มึงอย่าลืมมาน้า”

เสียงอ้อนออเซาะจากฝ่ายตรงข้ามสวนมาทันทีที่ผมรับ

“น้าพ่อมึงสิ ไอ้หมอยุงลาย มึงต้องเข้าหอประชุมไม่ใช่หรอ โทรศัพท์มือถือเอาเข้าไม่ได้ มึงทำเตี่ยไรของมึงอยู่”

แว่วเสียงหัวเราะจากปลายสาย คละเคล้าไปกับเสียงตะโกนโหวกเหวกว่า ให้บัณฑิตเรียงแถว

“เตี่ยกูเสียไปนานละ มึงก็ปลุกเตี่ยกูจัง เตรียมตัวไปเป็นลูกสะใภ้หรอ...”

“พ่องงงงงงงงงงงงง”

ผมตะโกนลั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อะ ๆ สรุปว่า เจอกันนะ ใจร่ม ๆ โกรธมากไม่หล่อนะมึง ต้องไปแล้ววววววว เข้าหอประชุมหกโมง ม้ากุมองตาเขียวละ คงงงว่าทำไมกูไม่เข้าเต็นท์ไปซะที สงสัยกลัวกูจะไม่ได้รับปริญญา เจอกันนะ”

แล้วมันก็วางหูไป

ยังหยอดผมเสมอต้นเสมอปลาย หยอดได้หยอดดี หยอดมาหลายปีดีดัก และไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดหยอด ที่บ้านก็ไม่ได้ขายขนมครก จะหยอดอะไรกันนัก


ความเป็นเพื่อนมันเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับผมจริง ๆ นะ  ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก  สมัยมัธยม ผมเอาแต่เรียน เรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน เพื่อนชวนไปไหน ผมก็ไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป และไม่ไป จนเพื่อนค่อย ๆ คว่ำบาตรผมไปเองทีละคน ทีละคน

รู้ตัวอีกที พอผมเงยหน้า มองหาเพื่อนในห้อง ก็ไม่มีใครคบผมด้วยความจริงใจสักคนแล้ว ยิ่งผมเป็นตัวแทนแข่งนู้นแข่งนี้ให้โรงเรียน อาจารย์รักและพูดถึงผมบ่อยมากเท่าไหร่ เพื่อน ๆ ยิ่งลงความเห็นว่าผมไม่น่าคบมากเท่านั้น

จริง ๆ ผมก็ไม่ถึงกับว่าไร้เพื่อนเลยนะ ก็มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อบอส ไอ้นี้มันนิ่ง ๆ บอสเป็นคนโชคร้ายที่ซวยมาสายคาบแรก เหมือนผมที่มาก่อนมันแค่ 1 นาที โต๊ะที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว คือ โต๊ะหน้าสุด ติดกระดานดำ ตามวลีเด็ดของนักเรียนไทยว่า มาเร็วไม่ได้นั่งหน้า มาช้าไม่ได้นั่งหลัง 

หลังจากที่เรานั่งเก้าอี้ใดโต๊ะใดในคาบแรก เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปนั่งที่อื่นอีกแล้วครับ ถ้าไม่อยากโดนเขม่นจากเพื่อนคนอื่น ดังนั้นผมกับบอสก็เลยนั่งข้างกันมาตั้งแต่ ม. 1 จนจบ ม. 6

พอเรียนจบ ผมมาเรียนในกรุงเทพฯ บอสก็ได้มหาวิทยาลัยใกล้กรุงเทพฯ แต่ศูนย์ที่มันไปเรียนตั้งอยู่ที่รังสิตนู้นนน เราก็นัดเจอกันบ้างตามประสาเพื่อนฝูง มันเรียนหนักครับ มันเรียนทันตแพทย์

ผมพูดซะยาว นั่นแหละครับ เมื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัย แม่ผมเสนอให้อยู่บ้านน้า ผู้น้องสาวแม่แท้ ๆ
ผมปฏิเสธทันที หัวชนฝา เอาช้างมาฉุดผมก็ไม่ยอม แม่พยายามยกแม่น้ำทั้งห้า อยู่ 5 วัน ผมก็ไม่อยู่  ผมอยากอยู่หอใน ผมอยากได้เพื่อนใหม่ ๆ ผมจะเป็นคนเข้าสังคมแล้ว ผมจะตีซี้รูมเมต ผมนึกไว้แบบนี้แหละครับ 

สุดท้ายแม่จ๋าทนไม่ไหวหรืออาจจะรำคาญก็ไม่รู้ ก็อนุญาตให้ผมอยู่

จนผมได้มาพบกับตาม..... รูมเมตผมครับ นอนเตียงข้างกันเลยนะ ให้บอกว่าเป็นเพื่อนรัก ผมก็กล้าตอบได้เต็มปากว่า “นี่แหละ เพื่อนรักกู”


ดังนั้น มึงจีบไปเหอะไอ้ตาม กูไม่เอามึง มึงต้องเป็นเพื่อนกูตลอดไป

รูมเมตผมอีก 2 คน ผมก็รักนะครับ วันนี้เรานัดไปถ่ายรูปรับปริญญากับไอ้ตาม นัดตั้ง 11 โมง ครับ อีกนาน เราสามคนอยู่ด้วยกันมาตั้ง 4 ปี (แต่ไอ้ตามแค่ 3 ปี นะครับ เพราะมันต้องไปหอแพทย์ตอนขึ้นปี 4)



ผมใส่หูฟัง เปิดประตูออกจากห้อง เพื่อไปวิ่งที่สวนสาธารณะ



“เอาหวะ ทัพ มึงต้องผอม”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2018 22:07:24 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม...
«ตอบ #2 เมื่อ01-07-2018 16:10:11 »

บทที่ 2
ห้อง 507 รวมตัว


ชั้น 5 ตึกเล็ก หอใน ผมใส่ชุดนิสิต เหงื่อไหลเต็มตัว

“ทำไมตึกนี้ไม่มีลิฟต์วะ”

ผมหอบหิ้วของทั้งหมดขึ้นตึกด้วยตัวคนเดียว แม่จ๋า แม่รักหนูขนาดนี้เลยหรอ รักขนาดที่แม้แต่ไข่ไก่แม่ก็ยังเอามาให้ แม่จะรู้มั้ยว่าหอในไม่ให้ทำอาหารจ้ะแม่จ๋า แล้วหนูจะเอาไข่ไก่ของแม่ไปทำอะไร


ข้าวของพะรุงพะรังเหมือนออกรบ ถูกโยนตุบกองลงหน้าประตูห้อง 507 ที่พักอาศัยขวบปีแรกในมหาวิทยาลัยของผม


ยามไขเปิดประตูห้อง ฝุ่นมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากห้องเพื่อประกาศให้ผู้มาเยือนรับรู้ว่า ‘จงเป็นภูมิแพ้ซะ’ ผมไอเล็กน้อย ปรับโฟกัสตามองสภาพภายในห้อง

ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนแรกเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีชั้นวางรองเท้าไม้ใกล้พังวางกะท่อนกะแท่นอยู่ เดินเข้ามาด้านซ้ายมือจะเป็นตู้ โต๊ะ ตู้ โต๊ะ สลับไปอย่างนี้ 4 ชุด  สำหรับฝั่งขวามือจะมีเตียงอยู่ 4 หลัง เตียงทุกหลังในห้องถูกจัดเรียงไปด้านเดียวกัน คือ ปลายเตียงหันไปทางตู้และโต๊ะ เตียงทั้ง 4 เรียงไล่จากประตูหน้าห้อง ไปถึงประตูหลังห้องที่ติดระเบียงตากผ้า ช่องว่างของเตียงจะมีอยู่ 3 ช่อง ถูกคั่นตรงหัวเตียงด้วยโต๊ะตัวเล็ก ๆ

โยนกระเป๋าลากที่ผมกองไว้หน้าห้องตอนแรก ลงบนเตียงแรกสุด
ฝุ่นผงตีตลบขึ้นมาตามแรงยุบตัวของน้ำหนักที่กดลงไป

“มาถึงคนแรกขอใช้สิทธิ์เลือกติดผนังฝั่งประตูเลยละกัน ฮะฮ่า”

หัวเราะแบบได้รางวัลโนเบลได้ไม่ถึง 5 วินาที ก็ต้องหยุดเหมือนติดสะอึก เมื่อเสียงประตูหน้าห้องเปิดอีกครั้ง

ชายผิวคล้ำ ตัวสูงกว่าผมเล็กน้อย รูปร่างสมส่วน เดินเข้ามา

“อ้าว หวัดดี เราชื่อ พี อยู่คณะนิติ นายชื่อไรอะ”

“ทัพครับ สวัสดีครับ อยู่คณะวิทยา”
ผมยื่นมาให้พีจับ อีกฝ่ายบีบมือผมแรงพอสมควร เหลือบเห็นกล้ามแขนเล็กน้อย สงสัยเป็นนักกีฬาแน่เลย

“ดี ๆ ทัพ  เลือกเตียงไหนดีนะ”

พีพูดลอย ๆ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบที่จริงจังจากผมมากนัก แล้วก็เดินไปที่เตียงติดผนังในสุดฝั่งระเบียง ไกลจากผมสุด



“อ้าว มาช้าไปสินะกู”

เสียงบุคคลที่ 3 ดังขึ้นมา ตัวสูงพอกับพี ตาตี่ ผิวขาว ดูก็รู้ว่ามีเชื้อจีน หน้าตาจัดว่าดีเลย ถ้าไม่มีแววตากวนโอ๊ยเจือปนอยู่

“หวัดดี รูมเมตทั้งหลาย ชื่อ ตาม คณะแพทย์ ถึงหน้ากูจะดูไม่น่าเชื่อถือก็เหอะ”

แล้วมันก็หัวเราะคนเดียว ผมกับพีมองหน้ากัน เชื่ออย่างสนิทใจว่าพีคิดเหมือนผม ไอ้นี่เป็นจะเป็นหมอในอนาคตจริงเหรอวะ กูคนแรกเลยละที่ไม่ไปรักษากับมัน

“อ้าว มึงเข้ามาสิ...”   ตามยังคงพูดต่อ กวักมือเรียกใครบางคนหน้าห้อง


“กูไปเจอมันกำลังจ้องบอร์ดประกาศชื่อ อยู่ห้องเดียวกัน เลยมาพร้อมกัน นี่ มีน คณะรัฐศาสตร์”

ตามแนะนำตัวรูมเมตคนสุดท้าย มีนเป็นคนที่ตัวสูงพอกับผม ร่างเล็กบาง ผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มเชียวแหละ

“แล้วนี่พวกมึงชื่อไรกันนะ กูชื่อ ตาม นะ เผื่อลืม” ว่าที่หมอบ้าย้ำชื่อตัวเองอีกครั้ง มีนผู้ผอมเพรียวร่างเล็กเดินแทรกเข้ามา 

แล้วเราสามคนก็มองหน้ากัน ราวกับนัดกัน เราสามคนหันกลับไปมองตามที่ยังจ้อไม่หยุด มองกันเองอีกรอบ
ผมไม่รู้หรอกว่าพีกับมีนคิดอะไรในใจ แต่สำหรับผมคือ

‘ย้ายห้องทันมั้ยเนี่ย’


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



“ตอนนั้นกูคิดในใจเลยนะ ย้ายห้องทันมั้ยวะเนี่ย”

ผมหัวเราะออกมา แสดงว่าพีก็คิดเหมือนผมสินะ

“แล้วมึงคิดสภาพสิ กูกับไอ้ทัพ มองหน้ากันเหรอหรา อะไรวะ มาถึงพูดไม่หยุด พูดมากชิบหาย”

พวกเราหัวเราะพร้อมกัน เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอกัน พี ยังเป็นคนสนุกสนานเหมือนวันแรกที่เจอกัน แล้วเขาก็ยังไม่หยุดพูด
รองจากไอ้ตาม ก็พีนี่แหละ ที่พูดจนลิงหลับ ความฝันสูงสุดของมันคือเป็นผู้พิพากษา 
ในความคิดผม ไปเป็นทนายจะเหมาะกว่านะเพื่อน

 “แล้วกินไรมาหรือยัง สั่งดิ ๆ เดี๋ยวบ่าย ๆ ค่อยเดินไป ยังไงก็ทัน”

ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยของเราครับ วิวดีเชียว รถไฟฟ้าบีทีเอสวิ่งผ่านอยู่ด้านนอก

“กูกินมาแล้วหวะ แล้วมึงอะมีน”
ผมหันไปถามมีน หน้าจมอยู่ที่ภาพวาดประดับโถงทางเดินของร้าน

“ยัง แต่ไม่หิวเลย กูขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย”

“เอาสิ” ผมกับพี ประสานเสียงพร้อมกัน

ไอ้มีนเป็นคนแบบนี้ครับ เอะอะก็จะถามว่า ‘ขอพูดได้มั้ย’ ‘ขอบอกได้มั้ย’ มารยาทดีจริง ๆ พ่อปลัด

“มึงอ้วนขึ้นปะวะ” มันชี้ไปที่ไอ้พี “กูรู้นะว่ามึงชื่อพี แต่ไม่ต้องอ้วนพีก็ได้ปะ”

ผมขำ ไอ้พีหน้าซีดเลยครับ เพราะถ้าไอ้มีนได้พูดแล้ว มันไม่หยุดง่าย ๆ นะครับ

“ส่วนมึง ....” มันชี้มาที่ผมครับ ทำหน้าหงิมเตรียมรับคำสั่งจากปลัด
“ผอมลงมาก ไปเลสิกมา แว่นไม่ต้องใส่ละ ปาหัวหมาแล้วสิ หล่อขึ้นเลยนะมึง หล่อมานิดนึง”

เอ้าไอ้มึน มึงจะชมก็ชม นี่เริ่มเหมือนด่าแล้วนะ

“ครีมเอย เซรัมเอย หัดใช้ซะบ้าง ทั้งคู่เลยนะ อายุ 24 หรือ 42 วะ นั่นไงมีรอยคล้ำใต้ตาด้วยนะพี”

มีนเป็นคนเจ้าสำอาง ดูแลตัวเอง  หน้ามันเหมือนสตาฟไว้เลย ตอนปีหนึ่งหน้าเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น 
ส่วนผมกับพีเป็นคนสบาย ๆ ก็คือติดขี้เกียจแหละครับ ไม่ค่อยบำรุงผิวหน้ากันเท่าไรจึงทำให้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา

“เมนู มีนจอมมึนครับ นี่ เมนู” พีเสือกเมนูเล่มใหญ่ใส่มือมีน
“มึงหิวนี่ สั่ง ๆ ต่อไปจะเป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่า จะมาผอมไม่ได้นะมึง กิน กิน กิน”

พียังดุนเมนูใส่มือมีนไม่เลิก มีนก็ไม่ยอมรับเมนูซะที ทำท่าชั่งใจ สุดท้ายก็รับเมนูมาแบบเสียไม่ได้

เห็นแบบนี้ พีมันเก่งนะครับ เรียนเนติบัณฑิตครบหมดแล้ว ตอนนี้ทำงานเป็นทนายความอยู่ เห็นว่าต้องเก็บคดีให้ครบ มากไปกว่านี้อายุต้องครบตามเกณฑ์ ถึงจะสอบเป็นท่านผู้พิพากษาได้

“นายอำเภอ ทำไมจะผอมไม่ได้วะ”
มันบ่น แต่ก็เปิดเมนูดู

“แล้วนี่พวกมึงซื้ออะไรให้ตามวะ”
ผมถามขึ้นเปลี่ยนหัวเรื่องสนทนาอย่างฉับพลัน

“กูหรอ ซื้อนาฬิกาข้อมือให้มัน” พีพูด ชูกล่องนาฬิกาขึ้นมา “มันเคยบ่นตอนเจอกันล่าสุดว่า สายนาฬิกาขาด เอาไปซ่อมก็ใช้ไม่ดีเหมือนเดิม มึงอะไม่รู้จักมา”

พีคาดโทษชี้มาที่หน้าผม นี่กูกำลังถูกมึงไต่สวนหน้าบังลังก์อยู่ใช่มั้ยพี

“นัดห้องทีไร เทพวกกูตลอด ยิ่งโตยิ่งเบี้ยวนัดนะมึง”

“ของกู กูเช่าพระเครื่องมาเลย เห็นมันทำงานกับศพ กับคนป่วย คนตาย กูกลัวแทนหวะ”

เอากับเขาครับ มีนก็ยังคงเป็นมีนจอมมึนคนเดิม

“มึงอะ ซื้อไร”

มีนหันมาถามผม หันไปสั่งอาหารกับบริกรของร้าน

“แฮ่ ๆ ถ้ากูบอกว่า ยังไม่ได้ซื้อ จะด่ากูมั้ย กูกะจะชวนพวกมึงไปซื้อเป็นเพื่อนนี่”

เงียบครับ เงียบสนิท ไม่มีสักแอะแว่วออกมา แต่ตาสองคู่ข้างหน้าผมถลึงจนจะหลุดออกจากเบ้าแล้ว ใจเย็น ๆ มึง ถลึงมากกว่านี้ กูนึกว่าผีแล้วนะ ต้องคว้าพระในมือไอ้มีนมาบูชาแล้ว

“งั้นมึงก็บอกไปว่า จะเอาไว้เซอร์ไพรซ์ ยังไงเสาร์นี้พวกเราก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว นัดกินข้าวก่อนมันกลับไปโรงพยาบาลไง ห้ามเบี้ยวนะ”

ส้อมในมือพีชี้ตรงมาที่หน้าผม เคยได้ยินมั้ยครับ ทีเดียว 4 รู ผมละเสียว ผีผลักขึ้นมา คงได้ไปโรงพยาบาลก่อนไปถ่ายรูปรับปริญญาแน่

“ห้ามเบี้ยวนะ”

เสียงมีนสมทบมาอีกเสียง

“เออ ๆ ไม่เบี้ยว ไม่เท ไปแน่ สาบานต่อหน้าพระเลยเอ้า” ประณมมือไหว้ไปทางพระเครื่องของไอ้มีน

“หึ จากประสบการณ์ 4 ปี ของกู”
พีรวบช้อนส้อม เอามือเท้าคาง หน้าจริงจังฉายแววเจ้าเล่ห์ 
ถ้านึกไม่ออกให้นึกหน้าโคนันตอนคิดออกว่าใครเป็นผู้ร้ายนะครับ หน้าแบบนั้นเลย
แล้วมีนก็ชิงพูดต่อทันทีว่า

“มึงพูดสาบานทีไร เบี้ยวตลอด”

ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ท่าทางของคนถือไพ่เหนือกว่าปรากฏบนหน้าของมีน

“มึงสัญญามาสิ สัญญามา”

มีนน่ากลัวมากเลยครับ เวลามันจะต้อนใครให้จนมุม
ผมหันไปมองไอ้พีเพื่อขอความช่วยเหลือ

“สัญญามาสิ”

หือ ๆ ไอ้พี ไอ้ชั่ว ไม่มีใครเข้าข้างกุเลย

“เออ สัญ... สัญญา”



-------------------------------------


มหาวิทยาลัยของเรายังร่มรื่นเสมอ

ปีที่แล้วผมเพิ่งกลับมามหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายรูปกับน้องรหัสและรุ่นน้องที่สนิท บรรยากาศของมหาวิทยาลัยยังเหมือนเดิม คือ ร่มรื่นเย็นสบาย แฝงไปด้วยความอบอุ่นเหมือนบ้านอีกหลัง

ในงานรับปริญญา มหาวิทยาลัยคลาคล่ำไปด้วยคน ลูกโป่งหลากสี ดอกไม้ กล่องของขวัญ

มือผมมีดอกไม้อยู่ช่อหนึ่งที่คว้ามาจากแผงลอยขายดอกไม้ด้านหน้ามหาวิทยาลัย

“มึง ซื้อไปก่อน จะได้ไม่น่าเกลียด”
ตามคำแนะนำของพี


พวกเราเดินกันมาตามถนนที่ถูกปิดให้บัณฑิตและญาติ
ฉายภาพบันทึกความทรงใจได้ตามอัธยาศัย

ตลอดเวลาพีชี้ชวนให้มีนดูบัณฑิตหญิงคณะนั้นคณะนี้ ผิวปากออกมาตลอดเวลา

“เด็กสมัยนี้โตเร็วเนาะ”

สมัยนี้เหรอ แล้วมึงเด็กสมัยไหนวะไอ้พี เพิ่งจบมา 2 ปี มึงพูดราวกับจะเกษียณในวันพรุ่งนี้


ไม่นานนักก็ถึงหอนาฬิกา เรานัดกันไว้ที่นี้ แต่จะเจอมั้ยหวะเนี่ย คนเยอะขนาดนี้ ผมเชื่อเลยว่า ครอบครัวบัณฑิตเป็นล้านต่างก็นัดกันที่นี่

“มึงโทรหาแฟนมึงหน่อยสิ”
พีพูด เช็ดเหงื่อ

“แฟนพ่องสิ กูเลือก”

ร้อนเว้ยยยยยย ใครก็ได้มายืนบังแดดให้กูหน่อย

ความคิดไม่ทันขาดห้วงคำนึงดี ใครสักคนยืนประชิดตัวผมแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน เงาของใครคนนั้นทาบลงจังหวะเหมาะเจาะเป็นร่มเงาให้ผมได้อย่างดี

‘สบายยยยย ไม่ร้อนละกุ แต่เอ๊ะ กลิ่นแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้’

“ว่าไงจ๊ะที่รัก ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ผมค่อย ๆ หันไป ตาตี่ ๆ ยิ้มกวน ๆ ยังเหมือนเดิมเลยนะมึง
ไม่สิ วันนี้มันดูดีเป็นพิเศษ ในชุดครุยบัณฑิต เซตผมให้เข้ารับกับหน้า ถือใบปริญญาบัตรสีน้ำเงินไว้ในมือ

“อ้าว ไอ้มีนนนนน ไอ้พี........ คิดถึงพวกมึงจังเลยวะ”

“คิดถึงพ่อมึงสิ ไอ้ตาม มึงเพิ่งเจอพวกกู เมื่อสองเดือนก่อน ไปคิดถึงคนนอนเตียงข้าง ๆ มึงนู้น สองปีแล้วมั้ง”

“เราว่า ตามดูดีนะวันนี้ แต่นี่มีตีนกามากขึ้นหรือเปล่า”

มันสามคนยืนคุยกันข้ามหัวผมครับ ตามยังยืนอยู่ที่เดิม บังแดดให้ผม

“โอ๊ย ไอ้มีน มึงลืมพูดว่า ขอพูดอะไรหน่อย ไปเปล่าวะเพื่อน”

ผมยืนอยู่กลางวงสนทนา ไม่มีใครสักคนเอ่ยถึงผม

“เออ เราลืมวะ เห้ย ตาม กูขอพูดอะไรหน่อย”

และก็ยังไม่มีใครสนใจผม

“เออ ๆ พูดมามึง เรื่องตีนกากูใช่มะ”

แล้วมันสามคนก็หัวเราะ หัวเราะข้ามหัวกูเลย
เอ้า เอาเข้าไป ไม่ต้องแถมน้ำลายให้กูก็ได้ กูไม่ได้ร้อนขนาดนั้น ยังไม่ต้องการฝน

สนใจกูหน่อยครับ

สนใจกูหน่อยยยยยย

ผมกรีดร้องในใจ  หน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิด

“ผม นายแพทย์ฐาพล สนใจคุณทัพกรณ์ ตลอดเวลาอยู่แล้วนะครับ ไม่ต้องห่วง”

ตามก้มหน้าลงมา ยิ้มตาตี่ให้ผมอีกแล้ว

‘ชาติที่แล้วมึงเป็น X-men เหรอ อ่านใจกูออกทุกรอบ’



หลังจากที่พวกมันสามคนสรวลเสเฮฮากันเสร็จโดยทิ้งให้ผมค้างเติ่งในวง ก็ดีครับไม่ร้อน 
บัณฑิตตามก็พาพวกเราไปรู้จักกับแม่และน้องสาวของมัน

“ม้า นี่รูมเมตตามเอง อยู่กันมาสามปีเลยนะ คนนี้พี เป็นทนายความฝีปากกล้า ฝีที่ปากมันเยอะ ฮะฮ่า ว่าที่ท่านเลยนะ
พอเลยไอ้พี หยุดมองน้องสาวกู มองแม่กูก่อน”
ไอ้พีกะลิ้มกะเลี่ยสายตาสุดฤทธิ์ไปทางน้องสาวของตาม

“ถัดมา มีน ตอนนี้เป็นปลัดอยู่ ปลัดอำเภอนะแม่ ไม่ใช่ปลัดขิก”
เราหัวเราะพร้อมกัน รวมทั้งคุณแม่และน้องสายของตามด้วย
“สงสัยอีกหน่อยได้เป็นผู้ว่าชัวร์” 

ตามเว้นจังหวะ อ้อมมาทางด้านหลังของผม จับไหล่ผมทั้งสองข้างไว้
“และคนนี้ คนสุดท้ายครับม้า”

ตามเดินถอยออกมาให้ผมเห็นหน้า
“คนสุดท้าย..... ทัพ ทำงานอยู่บริษัท.....”

ตอนที่มันพูดว่า คนสุดท้าย มันหันมาขยิบตาให้ผม
ไอ้ตาม ไอ้เหี้ย กูรู้นะมึงหมายความว่ายังไง ต่อหน้าแม่ต่อหน้าน้องสาว มึงก็ไม่เว้นนะ

แม่และน้องสาวมันน่ารักครับ ถอดแบบหน้ามากันแบบเป๊ะ ๆ มองร้อยเมตรก็รู้ว่าเป็นญาติกัน มองอีกพันเมตรก็ยังดูออก บ้านนี้เขาถ่ายถอดพันธุกรรมกันมาดีจริง ๆ ครับ

หลังจากยื่นของขวัญกันให้หมด ถ่ายรูปหมู่ ตามด้วยถ่ายรูปคู่กันทีละคน
ถึงคิวผม
“ให้ดอกไม้กูเหรอที่ร้ากก”

“รากไม้ ใบหญ้า มึงก็แดกหรอ”

“ดีใจนะเนี่ย แพงมั้ยอะ”

“ร้อยเดียว ต่อราคาหน้ามหาลัยตะกี้”

“ตั้งร้อยนึงแน่ะ ดีใจจัง”

ผมเกลียดมัน เกลียด ไม่ว่าจะทำยังไง พูดยังไง ด่ายังไง เคยถีบมันก็ทำมาแล้ว
มันก็เป็นคนมองโลกในแง่ดีตลอด ไม่ว่าผมสักคำ ไม่เคยที่ตามจะน้อยใจหรือตัดพ้อใด ๆ ยิ่งมันทำแบบนี้
ผมยิ่งบอกกับตัวเองว่า เราจะเสียเพื่อนดี ๆ แบบนี้ไปไม่ได้ 
ปมด้อยผมเลยนะเรื่องเพื่อน ไม่มีทางที่ผมจะเปลี่ยนสถานะเพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดในภายหลังเด็ดขาด

แก้วที่แตกไปแล้ว ให้ตามก็หลอมกับมาเป็นแก้วใบเดิมไม่ได้

ผมไม่มีทางที่จะไปเป็นแก้วกับมันเด็ดขาด

การเป็นแฟนกันก็เหมือนกับแก้ว สัมพันธภาพเปราะบางเกินไป


“ยิ้มหน่อยครับน้อง ไม่ใช่เอาแต่คุยกัน”

พี่ช่างกล้องด่าละครับ ผมกับมันก็ฉีกยิ้ม ยิ้มกว้างสุดเท่าที่ผมจะทำได้

“สนิท ๆ กันหน่อยสิ เออ ตามโอบไหล่ก็ได้”

สัญญาณไซเรนบอกอันตรายดังขึ้นในหัวผม

“หึ ไอ้ตาม นั่นนะเอว ไหล่กูไม่ได้ต่ำขนาดนั้น”

“ถ่ายเลยฮะพี่.....  โอบไหล่เยอะละ ขอกูเปลี่ยน act บ้าง”

ท่อนหลังมันหันมาพูดกับผม 
มองไปทางพีและมีน สองคนนั้นก็มองผมตาเป็นมัน หึ มึงคือทีมกองเชียร์สินะ ไอ้เพื่อนชั่ว

ทำไงได้ละครับ พวกมันรู้หมดว่าผมเป็นเกย์ เราสนิทกันจนเล่าเรื่องกันและกันให้ฟังหมด
พวกมันก็รู้อีกว่าตามจีบผมมานาน จนเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าจริงจังหรือแค่เล่น 

ด้วยความสัตย์จริงเลยว่า ผมก็ไม่เข้าใจมันนักหรอก ไอ้ตามเนี่ย แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด อะไรมองข้ามไปได้ ผมก็มองข้ามตลอด

“กูขอโทษนะ กูทำงานหนักจนลืมซื้อ ไม่สิ กูไม่แก้ตัว กูลืมจริง ๆ แต่เสาร์นี้กูเอาไปให้ กูขอเลือกหน่อยนะ”

“งั้นเสาร์นี้เจอกันนะ ไม่เบี้ยวแล้วนะ ใช่มั้ย”

“เออ สาบาน”

“แน่ะ” มันจับจมูกผม บิดเบา ๆ “สัญญามามึง อย่ากะล่อน”

“เออ สัญญา...”
ผมก้มหน้างุด พึมพำตอบ

มหาวิทยาลัยผมควรจะปลูกต้นไม้เพิ่มแล้วละ อากาศร้อนขนาดนี้ ร้อนจนผมหน้าแดงเลยละครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2018 20:34:17 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
#ตามทัพ หรอ??  แล้วพี่ปริ๊นซ์จะกลับมาอีกมั้ย? รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 3
ความหลัง วัยมัธยม


“โดยส่วนตัวผมให้ค่ากับคำสัญญานะครับ ถ้าเรารักษาสัญญา ไม่ทำให้คำสัญญาเป็นแค่ลมปาก อะไรหลายอย่างในชีวิตก็จะไม่วุ่นวาย”

ผมจำท่อนความนี้ได้ดีเสมอ ท่อนคำที่แม่ผมเคยกล่าวกับพ่อ จากนั้นชีวิตของผมก็วนเวียนเหมือนในละครบ้านแตก
สุดท้ายท่านทั้งสองก็หย่าร้างกัน ผมไม่โกรธใครหรอกครับ ประสบการณ์นั้นสอนให้ผมรู้ว่าคำสัญญามีค่ามากเพียงใด ผมจึงให้ค่ากับมันมาโดยตลอด

“พี่ปริ๊นซ์ละ”

“พี่เหรอ พี่ไม่มีคติประจำใจอะไรหรอก พี่แค่ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าแต่ละวัน แค่นี้ก็พอใจแล้ว ชีวิตมันสั้นนะน้องทัพ อย่าเครียดสิ”

ยิ้มจนเห็นฟัน
ยิ้มที่ทำให้โลกสดใส

ผมโคตรชื่นชมพี่เขาเลย ทั้งการวางตัว การพูดจา คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากพี่ปริ๊นซ์เป็นคำธรรมดา ไม่ได้หรูหราหรือใช้คำสวยงามที่ยากจะเข้าใจ พี่ปริ๊นซ์จะเลือกใช้คำพื้น ๆ ดูไม่มีอะไร แต่ความหมายลึกซึ้ง ตีความได้หลายอย่าง ไม่เสแสร้ง มันลื่นไหล จนผมแทบหยุดหายใจทุกครั้งที่ฟัง

“เรามาอ่านต่อดีกว่าน้องทัพ เดี๋ยวตอนไปแข่งตอบคำถามจะทำไม่ได้นะ เราอุตส่าห์ผ่านรอบคัดเลือกมาแล้ว”
ขยิบตา ยักคิ้วหลิ่วตา

“มา เรามาสู้ด้วยกันดีกว่าเนาะ อะข้อนี้ ปอ. ย่อมาจากอะไร”

“ก็รถปรับอากาศพิเศษไงพี่ พี่ว่าแข่งตอบคำถามความรู้รอบตัวจะออกอะไรแบบนี้เหรอ”

“เอ้า ทัพ ไม่ลองไม่รู้ แล้ว ขสมก. ละ”
ยิ้ม ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มที่ทำให้ผมลืมหยุดหายใจ


ขสมก. นะเหรอ...


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


‘ขนส่งมวลชนกรุงเทพไง’

ผมคิดในใจ พลางมองตั๋วรถเมล์ที่ตนเองได้รับมาแบบปลงตก

‘บ้าจัง บ้าที่สุด ทำไมกัน ทุกครั้งที่ขึ้นรถเมล์ผมต้องคิดถึงพี่ปริ๊นซ์นะ’

“ไม่เจอกันมากี่ปีแล้ววะพี่ปริ๊นซ์”
ลืมตัว เหม่อลอย จนพูดออกไปอย่างคนไร้สติ

ถอนหายใจครั้งใหญ่
จนป้าที่นั่งข้าง ๆ มองด้วยความสงสัย

บนรถเมล์ ปอ. สาย 36 ที่กำลังพุ่งตรงไปอนุสาวรีย์ชัย 
ผู้คนล้นหลาม โหวกเหวก พร้อมเสียงตะโกนของกระเป๋ารถเมล์

“ชิดในค่ะ ชิดใน ขยับไปอีกนะคะ ได้อีกหลายที่ แบ่ง ๆ กันนะคะ ไปด้วยกัน”
เสียงกระบอกเก็บเงินสอดประสานคอรัสไปกับเสียงแตรจากมอเตอร์ไซค์

‘นี่ก็แน่นจนจะขี่กันอยู่แล้วครับป้า’


ผมถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ 

ป้าข้าง ๆ สะดุ้ง หันมามองอีกรอบ กระแอมคอสองสามที ไม่บอกก็รู้ว่าป้าคงรำคาญผมมาก

รู้สึกอายเล็กน้อย หลบสายตามองนอกรถออกไป
ตอนนี้ผมอยู่ใกล้สี่แยกพญาไท การจราจรในกรุงเทพฯ ก็ยังแน่นขนัดเสมอต้นเสมอปลาย

ไม่สิ... ผมว่าแน่นกว่าครั้งแรกที่ผมมาเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
รถเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า จนมาจอดสนิทแน่นิ่งบนรางรถไฟใกล้สี่แยก

ผมหันไปมองรางรถไฟยาวตรง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยความหวาดผวา
เคยเป็นกันมั้ยครับ คิดเล่น ๆ ว่า ถ้ารถติดจนขยับไม่ได้ สุดท้ายถ้ารถไฟวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

ตู๊มมมมมมม กลายเป็นโกโกครันช์
พ่อจ๋าแม่จ๋า ทัพคงไม่ได้ตอบแทนบุญคุณแล้ว

บวชก็ยังไม่ได้บวชให้ เมียก็ยังไม่มี เรื่องหลานไม่ต้องพูดถึง

... เอ๊ะ แล้วนี่กูหวังจะมีเมียด้วยเหรอ...

ผมถอนหายใจอีกเฮือกหนี่ง

“แฮ่ม ๆ ๆ หนู”
ป้าเจ้าเก่าเวลาเดิม

ขอโทษครับป้า ผมผิดไปแล้ว

รถค่อย ๆ เคลื่อนไปอีกหนึ่งมิลลิเมตร

สัญญาณไฟเขียวของประเทศไทย มันสั้นกว่าวงจรชีวิตของแมลงหวี่อีกนะเนี่ย หงุดหงิดเว้ย ต้องไปเปลี่ยนรถที่อนุสาวรีย์อีก

ตรงริมทางรถไฟ มีกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์กำลังรุมกระทืบชายคนนึงอยู่ 

ถัดมาใกล้ ๆ เป็นวงล้อมคือ ไทยมุง นั่นยืนดูคนต่อยกันหรือกำลังเชียร์มวย ทำไมสีหน้าท่าทางถึงดูตื่นเต้นขนาดนั้นวะเนี่ย

ผมรู้สึกว่าภาพตรงหน้าน่าสนใจกว่ามานั่งคิดถึงสัญญาณไฟจราจร หรือ การบริหารระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล ก็เลยขอปูเสื่อดูเงียบ ๆ ในมุมอับ ๆ ของผมนะแหละ

จังหวะที่วินหัวโจกเตะขาผู้ชายคนนั้น จนพลิกตัวขยับมา
วินเบอร์สองก็เตะไปที่แผ่นหลังของชายผู้เคราะห์ร้าย จนเขาดีดตัวสูงขึ้นด้วยความเจ็บปวด 
ใบหน้าของกระสอบทรายมีชีวิตทรมานมาก มีเลือดไหลที่มุมปาก ตัวมอมแมม เลอะเทอะไม่เหลือเขาของชุดสูทราคาแพง

หน้าแบบนั้น ตาโต ผิวสีนั้น


พี่ปริ๊นซ์.......

บ้าไปแล้ว ไม่ใช่หรอก ต้องไม่ใช่

ผมเอามือทาบกระจก อ้าปากหวอ อึ้งกับภาพที่เห็น
แต่ฟ้าไม่เคยทำให้ชีวิตผมสมหวังหรอก บทอยากให้รถเมล์นิ่งค้างให้ผมได้มองเพื่อความแน่ใจ รถเมล์ก็กลับเคลื่อนออกไป

ผมมองภาพนั้นเท่าที่สายตาจะเอี้ยวมองไปได้

วินหัวโจกชี้หน้าชายคนนั้น ชี้พี่ปริ๊นซ์

เขามองกลับตาสู้ ไม่ยอมแพ้

ภาพนั้นเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ของผม รถเมล์ผ่านแยกพญาไท ไปอย่างรวดเร็ว
 
ตาแบบนั้น ใช่แน่ ๆ ผมจำไม่ผิดหรอก ผมไม่มีทางลืมคนที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้หรอก

ผมผอมก็เพราะพี่เขา

ผมทำทุกวิถีทางให้ตัวเองดูดี ก็เพราะพี่เขา

ผมไม่เคยมีแฟนเลย

ผมหวังลม ๆ แล้ง ๆ รอว่าสักวันจะได้เจอพี่เขา

ผมเฝ้ารอเขามาตลอด

แล้วครั้งนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอีก

พี่ปริ๊นซ์



ผมผุดลุกขึ้นทันควัน จนป้าข้าง ๆ ร้องกรี๊ดออกมา

แหวกผู้คน กดออด

รถเมล์ที่กำลังเลยป้ายอยู่รอมร่อ ก็เบรกกะทันหัน จนผู้คนบนรถที่ยืนแน่นขนัดหัวคะมำแทบกลิ้ง

“วันหลังเตรียมตัวก่อนถึงป้ายนะคะ”
กระเป๋ารถเมล์เตือนไล่หลังผมที่แทรกตัวจากรถเมล์ทันทีที่ประตูเปิด

ผมวิ่งย้อนกลับไป
วิ่งฝ่าไฟแดง วิ่งผ่านร้านสะดวกซื้อ วิ่งมาจนถึงทางรถไฟ

เสื้อด้านหลังที่เลอะฝุ่น ยืนปัดซ้ายขวา ร่างสูงร้อยแปดสิบ

ไม่มีแก๊งค์วินมอเตอร์ไซค์แล้ว

ไม่มีไทยมุง

ไม่มีใคร

มีแค่แผ่นหลังแผ่นเดิม ที่ผมคุ้นตา
ร่างสูงยืนด้วยความเจ็บปวด ตัวงอเล็กน้อย

ผมวิ่งเข้าไปคว้าแขน กระชากชายคนนั้นหันกลับมา

“ปริญธรณ์ ทวีวิชัยกุลวัฒน์ ใช่มั้ย”
ผมแทบตะโกนใส่เขา

ไม่มีแววตาตกใจ แปลกใจ จากชายผู้นั้น มีเพียงความท้าทายที่มองกลับมาเท่านั้น

“จะมาทวงหนี้ห่าไรอีก ก็บอกว่าไม่มีไง ดูสภาพกูสิ”

ผมอึ้ง ผมยืนเอ๋อ พี่ปริ๊นซ์มีหนี้ บ้าเหรอวะ บ้านพี่ปริ๊นซ์คือรวยระดับจังหวัดเลยนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย

“เปล่า จำได้มั้ย เราเรียนที่เดียวกันไง”

“...... เรียนที่เดียวกัน” พี่ปริ๊นซ์ทำหน้าหยุดคิดอยู่สักสามวินาที
“ใคร กูไม่รู้จักคนหน้าแบบนี้อะ”

“ช่างมัน คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น ให้ผมช่วยอะไรได้มั้ย”

“เหอะ บอกว่าไม่รู้จักไง จะเซ้าซี้อะไรเนี่ย”
ผมยังคงมองสู้กลับไป ไม่ปล่อยมือ

“อ้าว จับมือกูซะแน่น พ่อเป็นสไปเดอร์แมนเหรอ เออ ๆ เลี้ยงข้าวกูละกัน กูหิว”

ผมยังยืนอึ้ง มองคนตรงหน้า คนที่ผมไม่เจอมานานหลายปี

“อ้าว กินข้าว”

พี่ปริ๊นซ์พูดซ้ำอีกรอบ

----------------------------------------------


ผมนั่งมองพี่ปริ๊นซ์ที่กำลังยัดไก่ทอด ลุงผู้พัน อิมพอร์ตจากอเมริกาเข้าปากด้วยความหิวโหย

เรานั่งอยู่ในห้างบริเวณสยามอีกครั้ง
ไม่มีบทสนทนาใด มีเพียงการฉีกไก่ จิ้มซอส ยัดใส่ปาก คว้าแก้วน้ำไปดูดเสียงดัง เอื๊อก ๆ ฉีกไก่ จิ้มซอส ยัดใส่ปาก คว้าแก้วน้ำดูด แล้ววนเป็นลูปอีกครั้ง

ผมไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด พอกับอีกฝ่ายที่ไม่สนใจจะถามอะไรผมอีกนอกจากกิน

“นี่ ช้า ๆ ก็ได้ ไม่มีใครแย่งหรอก”

ดูดน้ำดังเอื๊อก พร้อมเรอ

“เอาอีกได้ปะ”
ผมเอามือกุมขมับ กูชอบคนแบบนี้ลงไปได้ยังไงวะเนี่ย

“เออ ๆ ได้ เอาชุดไรบอกมา” 


หลังจากพี่ปริ๊นซ์โบกมือทำนองว่า เอาอะไรก็ได้
ผมก็เดินไปสั่งชุดเดิม
พนักงานที่เคาน์เตอร์กำลังมองมาทางโต๊ะผมอย่างไม่ต้องสงสัย เสียงกระซิบกระซาบด้วยความฉงน แววตาที่ดูถูก ก็แน่ละสภาพพี่ปริ๊นซ์ไม่ควรจะได้เหยียบห้างแบบนี้ด้วยซ้ำ

ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น สั่งอาหาร รับอาหารแล้วเดินกลับมาวางถาดอาหารที่โต๊ะ

เหลือบตาเห็นสายตาหลายสิบคู่จ้องต่อ
จ้องได้จ้องไปแล้วกัน

“สรุปเป็นใครเนี่ย จะบอกได้ยัง”

พี่ปริ๊นซ์เอ่ยปากถามทันทีที่ผมเอาก้นหย่อนลงเก้าอี้ ทำให้ผมหลุดจากภวังค์

“เมฆา ไง จำได้เปล่า เมฆา รุ่นพี่คุณหนึ่งปีนะ”

เอาวะ เอาชื่อพี่เมฆนี่แหละเว้ย
พี่เมฆเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง ตัวสูงกว่าผม ผอมจนขี้ก้าง แต่หุ่นมันดีนะ เป็นนักกีฬาจังหวัดเลยละ หน้าตาเราคล้ายกัน ผมกับพี่เมฆอายุห่างกัน 2 ปี หมายความว่า พี่เมฆก็จะแก่กว่าพี่ปริ๊นซ์หนึ่งปีนั่นเอง

“พี่เมฆจริงเหรอ เมื่อก่อนพี่ไม่เจ้าเนื้อแบบนี้นะ”

ฉึก

ลูกศรนับร้อยพุ่งปักแทงทะลุใจผม ถ้าเทียบจากเมื่อก่อนที่ผมอ้วน ทุกอย่างพองเหมือนบวมน้ำ เอว 48 นิ้ว ลดความอ้วนจนตอนนี้เอว 33 นิ้ว ซึ่งลดไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ติดกระดูกหมดแล้ว ผมก็ยังดูร่างหนา ตัวใหญ่ เจ้าเนื้ออยู่ดี

ผมมองกลับด้วยความเคียดแค้น

เพราะใครละ กูเลยลดมาขนาดนี้ เพราะใคร...

“เห้ย พี่เมฆ ใจเย็น ผมก็แซว แต่พี่อ้วนขึ้นจริงนะ พี่ยังเล่นบอลอยู่มั้ย”

“ไม่อะ ขี้เกียจ”

ผมเล่นไปตามน้ำ พี่เมฆมันเป็นนักฟุตบอล เก่งมาก มันได้ทุนนักกีฬามาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมนี่แหละ ตอนมันติดคนในตระกูลสรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่ แทบล้มวัวล้มควาย ย่างกินทั้งหมู่บ้าน 

ป้าฝน พี่สาวพ่อผม แม่พี่เมฆทุกวัน  ต้นซอยยันท้ายซอย สามวันเจ็ดวัน ไม่หยุดไม่หย่อน ไม่มีใครไม่รู้ครับว่าพี่เมฆเรียนที่ไหน คณะอะไร จะไปกรุงเทพฯ วันไหน สูงกี่เซนติเมตร หน้าเป็นยังไง  ป้าฝนแกเป็นคนละเอียดแกอธิบายถี่ยิบจนทุกคนรู้หมดทุกอย่าง

ตอนนี้พี่เมฆได้ดีไปเป็นผู้ช่วยโค้ชนักกีฬาที่เมืองนอก นาน ๆ จะกลับไทยที ผมขอยืมชื่อพี่มาเนียนหน่อยนะ

“เสียดายนะพี่ แต่พี่แปลกนะ แทนตัวเองว่า ผม สุภาพเชียว ผมละตกใจ”

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเมฆายังมีพี่ปริ๊นซ์ ฉลาดไม่เปลี่ยนเลยนะ

“อะ พอละ คุณพูดมากละ”

ในใจคิดหาวิธีแก้ปัญหา ทำไงดีวะ ทำไงดี

“แน่ะ เห็นมั้ย สุภาพ แปลกวะ”
พี่ปริ๊นซ์สอดกลับมาทันที

“เอ้า คนเราโตขึ้น ก็ต้องมีความคิดความอ่านมั้งสิวะ ไอ้ปริ๊นซ์ จะให้กูไม่สุภาพเหรอ”

พี่ปริ๊นซ์ผมขอโทษ ที่ผมพูดไม่ดีกับพี่ ผมแค่ไม่อยากตอบคำถามว่าทำไมผอม ไม่อยากบอกว่าผมผอมมาขนาด เพราะพี่ ผมไม่อยากให้พี่ถามต่อว่า ทำไมต้องผอมเพื่อพี่
แล้วผมก็ไม่อยากโกหกด้วยเช่นกัน ว่าผมผอมเพราะเหตุผลอื่น ผมยังไม่พร้อม ผมอยากบอกพี่ว่า ผมผอมเพราะอะไร
ผม... พี่ปริ๊นซ์ ผมขอโทษ ทัพผิดไปแล้ว

“เออ ค่อยดูปกติหน่อย ค่อยคุ้นหน่อย พี่เมฆคนเดิมต้องแบบนี้สิ เห้ย ทำไมหน้าซีดวะพี่”

“เปล่า”  ประเด็นสำคัญตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมหน้าซีด คือทำไมพี่ปริ๊นซ์อยู่ในสภาพแบบนี้ต่างหาก

“เป็นอะไรมาปริ๊นซ์ ทำไมเละแบบนี้ เล่ามาให้รายละเอียดนะ”

“ล้มละลายไงพี่ ล้มละลาย”

พี่ปริ๊นซ์ตอบทันควัน ไม่เว้นจังหวะคิด ดูไม่ยี่หระต่อสิ่งใด
“แวบเดียวก็หายเหมือนปราสาททรายโดนน้ำพัด บ้าน รถ ไปหมด แถมโดนทวงหนี้บานตะไท ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้พ่อแม่ผมไปไหนกันหมด รู้แต่ว่าหนีเจ้าหนี้กันไปคนละทาง”

ผมอึ้งครับ ชีวิตจะดราม่าอะไรขนาดนี้วะ

“ศาลเพิ่งฟ้องล้มละลายเมื่อ 2 วันก่อน เองนะพี่ ทุกอย่างเกิดเร็วมาก ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่เลยหวะ กำลังเดินไปบ้านแฟน กะว่าคืนนี้จะไปนอนด้วย อ้าวพี่เป็นไร”

ผมอ้าปากครับ อ้าโดยไม่รู้ตัว พี่ปริ๊นซ์มีแฟนแล้ว

มีแฟนแล้วววววววววววว

มีแฟนแล้ว

รู้สึกเหมือนตกจากที่สูง

จมไปสู่ความมืดมิดอันหาก้นบึ้งไม่ได้


“พี่ พี่เมฆ พี่เมฆ เมฆา วุ้ๆๆๆ Are you here?”

มือใหญ่เลอะดินของพี่ปริ๊นซ์โบกสะบัดผ่านหน้าผม

แล้วแปลกตรงไหนวะทัพ
พี่เขาหน้าตาดี ก็ต้องมีแฟนเป็นธรรมดา
ผมได้สติ

“Yes โทษที อึ้งนะ ไม่นึกว่าจะดราม่าแบบนี้ แล้วไงต่อ”

ฟังเรื่องราวที่เหลือต่อ ใจภายในหวิวไหวหวั่น

“ก็วินพวกนั้นกวนตีน ผมจะไปแค่ตรงเนี่ย มันคิดผม สามร้อยเงี่ย ก็ปากดีใส่มันไง แล้วก็โดนกระทืบเลย แม่ง คนแถวนั้น ก็ไม่ถามสุขภาพกูสักคำ ไม่ห้ามเลยนะ ปล่อยให้กูโดนยำ จนพี่เจอผมเนี่ยแหละ”

พยักหน้าด้วยความเข้าใจ เรื่องราวเริ่มประกอบลงตัว

“งั้นคืนนี้จะไปนอนบ้านแฟนใช่มั้ย มีเงินมั้ย เดี๋ยวพาไป ยืมไปก่อนมั้ย”

ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าหนังสีดำขึ้นมา

“จริงหรอพี่ ขอบคุณนะครับ เกรงใจพี่จัง ถ้าผมมีผมจะรีบเอามาคืนนะ”

ผมกำลังควักเงินออกมา จู่ ๆ มือเหมือนคีมเหล็กของพี่ปริ๊นซ์ก็จับมาที่แขนผม

“พี่”
เสียงเบาเหมือนกระซิบ จนผมต้องยื่นหน้าเข้าใกล้ เพื่อให้ได้ยินชัดขึ้น

“ผมกลัววะ กลัวแฟนเขาจะไม่ให้ผมเข้าบ้าน ผมติดต่อเขาไม่ได้หลายวันแล้ว ผมควรไปใช่มั้ย”
“ไปนอนคอนโดกูมั้ยละ”
รวดเร็วไม่มีช่องไฟ ผมสวนกลับพี่ปริ๊นซ์ไปทันที

ไอ้ทัพพพพพพพพพพพพพพพพ
มึงพูดอะไรของมึงออกไป
มึงบ้าหรอ ไอ้ทัพพพพพพพพพพพ

“ได้”

พี่ปริ๊นซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ

มึงควรปฏิเสธสิ

นี่มึงไม่คิดก่อนด้วยเหรอ
มึงตอบเลยหรอ
มึงมีแฟนแล้วนะ
ไอ้ใจง่าย
ไอ้พี่เลว
ไอ้หลายใจ

“ผมขอไปนอนคอนโดพี่ก่อนนะ พี่จะให้ผมทำอะไรบอกเลยนะ ถูบ้าน รีดผ้า ซักผ้า ล้างจาน ผมทำได้หมด ตอนไปเรียนเมืองนอก ผมทำงานพิเศษบ่อยนะพี่”

เออ เขาแค่ไปนอนด้วย
เขาไม่ได้จะไปฟีเจอริ่งกับมึง ทัพ
มึงตื่น
อย่ามโน


“อืม”

วิญญาณผมหลุดจากร่างไปแล้วครับ คืนนี้กูจะได้นอนกับพี่ปริ๊นซ์

งานเทศกาลดอกไม้ไฟ สะเทือนเลือนลั่นในความคิดผม
ดอกไม้ไฟนับพันสี ปะทุพวยพุ่งอยู่ภายใน
งานดอกไม้ที่ญี่ปุ่นก็สู้ความหน้าบานของผมตอนนี้ไม่ได้หรอก

สักพัก ก็มีกลิ่นดอกไม้หอมตลบลอยอบอวลอยู่ที่ปลายจมูกของผม

โอ้ พระพุทธเจ้า นี่ผมอยู่ในทุ่งดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์ใช่มั้ย

ตอบผมที ใครก็ได้หยิกผมที

“เห้ย เห้ย เห้ย”

มือเลอะดิน วาวไปด้วยน้ำมันจากไก่ทอด โบกซ้ายป่ายขวา ตรงหน้าผมอีกครั้ง

“ผมว่าพี่ใจลอยนะช่วงนี้ ทำหน้าหื่นเชียว คิดเรื่องเหี้ย ๆ อะไรอยู่เปล่าเนี่ย”

“เปล่า”
ผมละล่ำละลัก หน้ากูออกอาการขนาดนั้นเชียวหรอวะ

พี่ปริ๊นซ์หันไปมองด้านหลัง ทิศเดียวกับที่ผมมอง

“แน่ะ..”

เสียงลอยมา พร้อม ๆ กับ หน้าแบบเดิมที่พี่ปริ๊นซ์ชอบทำเวลาแกล้งผม หน้ากวน คิ้วมุ่นมัดเป็นโบว์ แล้วก็ยิ้มที่เห็นฟันเขี้ยว

“ผู้หญิงโต๊ะนั้นสวยละสิ นะ นะ หน้าแดงแล้วพี่เมฆ ใช่จริง ๆ ด้วย ไปขอเบอร์เขาดิ”

ไอ้บ้าปริ๊นซ์ กูชอบมึงนะแหละ กูเขินมึง ไอ้บ้า หยุดทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว

“แดงหมดแล้ว พี่กู อาการหนัก แต่เขาก็สวยจริงนะ”

มึงจะไม่หยุดทำหน้าแบบนั้นใช่มั้ย พี่ปริ๊นซ์ พอ บอกให้พอ น้องขอ พอเถอะนะ

“กลับ กลับ ไม่ขอเบอร์ไรทั้งนั้น กูจะกลับไปนอน พรุ่งนี้ทำงาน”

“ครับพี่”

ผมลุกขึ้นยืน พยายามตั้งสติ ไม่มองไปทางตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมหน้าแดงเป็นลูกตำลึง
หันหลังและเดินออกจากร้าน

“แล้วทัพเป็นยังไงบ้างพี่เมฆ เป็นญาติกันนี่ น้องสบายดีมั้ย ผมคิดถึงมันนะ ตอนนี้น่าจะเรียนจบแล้วมั้ง”

ผมยืนนิ่ง ทั้งสรรพางค์กายผมแข็งฟรีซไปหมด

“ทัพเหรอ...”

เปล่งออกไปได้แค่นั้น ค้างเติ่งอยู่ที่เดิม

พี่ปริ๊นซ์เดินมาจนถึงตัวผม จนเลยข้างหน้าไป 2 ก้าว จึงหันมามองผม

“ใช่ ทัพ พะ กรณ์” พี่ปริ๊นซ์พูดชื่อผมทีละคำ “ศุภ ภะ ธะ นะ วิชญ์ ไง นี่ผมจำชื่อนามสกุล ได้หมดนะ”

“แกยังจำน้องได้เหรอ ปริ๊นซ์”

“จำได้สิพี่ ผมไม่ลืมหรอก น้องรักผมเลยนะคนนี้”

ท่ามกลางเสียงดังของการจับจ่ายใช้สอยของคนในห้าง

ห้างที่ได้ชื่อว่าไฮโซกลางสยาม

ผมได้ยินแต่ประโยคเดิม สะท้อนไปมาว่า

“ผมไม่ลืมหรอก น้องรักผมเลยนะคนนี้”





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2018 20:46:30 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
#ตามทัพ หรอ??  แล้วพี่ปริ๊นซ์จะกลับมาอีกมั้ย? รอตอนต่อไปนะคะ

พล็อตวางไว้เรียบร้อยแล้วครับ
รอติดตามได้เลยฮะ
อิอิ

 :hao6:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 4
ค่ำคืนของเรา


“ทำไมเตี้ยจังหวะ ทัพกรณ์”
มือหนึ่งชูสูงถือใบงานวิชาสังคมไว้   อีกมือหนึ่งนั้นกดมาที่หัวของเจ้าของใบงาน

“พี่ปริ๊นซ์ คืนงานผมมา ผมจะไปซ้งงงงงง”
มือตะกุยตะกาย ทำไมกูเตี้ยแบบนี้วะ ไอ้พี่ปริ๊นซ์ก็สูงเอาสูงเอา นี่มันเด็ก ม. 4 จริงเหรอวะ ทำไมกู ม. 3 ถึงเตี้ยยังกับเด็กอนุบาลแบบนี้

“เห้ย แกล้งแค่นี้เองทัพ ชีวิตมันสั้นนะ อย่าเครียดดิ สมรไม่ว่าไรหรอก”

สมรที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น เป็น อ. สังคม ชื่อเสียงกระฉ่อนโรงเรียน ผู้ขึ้นชื่อว่าส่งงานสายวินาทีเดียวก็ไม่รับ แล้วห้อง อ.สมร อยู่ชั้น 3 โรงเรียนต่างจังหวัดที่ไร้ลิฟท์ ส่งผลให้เด็กอ้วนอย่างผมยิ่งต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นถึง 2 เท่า
แต่ตอนนี้พี่ปริ๊นซ์ยังไม่ยอมคืนชีทให้ผมเลย แล้วผมจะปีนไปถึงทันมั้ยเนี่ย

‘เอาวะใช้ไม้ตาย’

ผมเหยียบเท้าพี่ปริ๊นซ์ ถาโถมแรงทั้งหมดลงไป น้ำหนักตัวอย่างผมไม่พลาดอยู่แล้ว

ได้ผลครับ พี่ปริ๊นซ์ร้องจ๊าก แล้วผมก็คว้าใบงานมาได้ วิ่งอย่างสุดชีวิต ผมเหลือเวลาอีกแค่ 5 นาที

“เห้ย ทัพ เย็นนี้ติวนะ อย่าลืม ใกล้แข่งแล้วนะ รายการนี้อะ”

ผมไม่หันกลับไปมอง ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น

พี่ปริ๊นซ์รู้อยู่แล้วละว่ายังไงผมก็ไป ผมละเกลียดจริง ๆ ทำไมผมต้องชอบคนขี้แกล้งแบบนี้ด้วย คนขี้แกล้งที่เข้ามาช่วยผมเสมอ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตามมาแกล้งผม พี่ปริ๊นซ์จะจัดการให้ผมหมด เป็นผู้รักษาชีวิตเด็กอ้วน ที่มักตกเป็นเป้าการรังแกของคนอื่นเสมอ

บางครั้งผมก็คิดนะ แท้จริงแล้ว พี่ปริ๊นซ์แค่มองผมเป็นสิ่งของหรือเปล่า เพราะแม้ว่าจะห้ามคนอื่นแกล้งผม แต่พี่เขาเองกลับรังแกผมตลอดเวลา ราวกับว่าผมคือของส่วนตัวที่มีแต่เขาเท่านั้นที่กระทำทารุณอย่างไรก็ได้
ในสายตาครูบาอาจารย์ พี่ปริ๊นซ์ คือเด็กชายเรียบร้อย เอาใจใส่รุ่นน้อง ดูเป็นเจ้าชายที่หน้าตา ฐานะ และการศึกษาเพียบพร้อมไปเสียหมด

แต่มันนะแหละ แกล้งผมไม่เคยหยุด เกลียดมัน เกลียดมันที่สุด
ไม่ว่าจะค่ายปฐมนิเทศ ตอน ม. 1 ค่ายลูกเสือ ค่ายพระพุทธศาสนา ค่ายอะไรก็ตามที่โรงเรียนจัดแล้วมันได้เป็นพี่ค่าย ผมก็ต้องเป็นเป้าหมายในการแกล้งทุกที จะแกล้งผมทำไมนัก เอาจริง ๆ ก็มีความสุขดีนะ พี่ปริ๊นซ์ของผม อยากอยู่ใกล้ ๆ ตลอดไปเลย


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


เสียงแตรโหยหวนจากรถแทกซี่ ซิ่งราวกับจะรีบไปส่งรถให้ทันรอบ
นี่มันประเทศบ้าอะไร สัญญาณไฟจราจรตรงทางม้าลายก็บอกอยู่ว่าผมเดินได้ นี่ผมผิดเหรอ

ผมถูกดึงตัวกลับมายังฟุตบาธ หลับแนบกับอกแกร่งของพี่ปริ๊นซ์

“เป็นไรพี่ ใจลอยอีกแล้ว คิดอะไรอยู่หรอ”
พี่ปริ๊นซ์ผู้เพิ่งรักษาชีวิตผมไว้อีกครั้งพูดออกมา ตัวเรายับนาบทาบติดกันตรงนั้น
ผมผลักออก รู้สึกร้อนเล็กน้อย

“กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าของกูหาย หรือ ถูกฆ่ายกเค้าคืนนี้ กูจะทำไง”

เสียงพี่ปริ๊นซ์หัวเราะดังมาก ไม่อายคนรอบข้าง ที่รีบเร่งเดินไปบนทางม้าลายแข่งกับสัญญาณสีเขียวที่กำลังจะจางหายไป

“เป็นผีมาหักคอผมแล้วกันพี่ คงทำได้แค่นั้น ถ้าผมฆ่าพี่จริงนะ คืนแรกกินไรดีอะ ข้าวต้มกุ้งมั้ย”

ยังจะเล่น ไอ้พี่ปริ๊นซ์ นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ

“อย่าหน้ามุ่ยสิพี่ ชีวิตมันสั้นนะ อย่าเครียดสิ”

ประโยคนี้อีกแล้ว หน้าแบบนี้อีกแล้ว ทำไมต้องทำเท่ตลอดเวลาด้วยวะ

“แล้วเมื่อไรพี่จะเล่าเรื่องน้องทัพให้ผมฟังอะ ผมตื๊อมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ พี่แม่ง แล้วนี่ รวยจริงเปล่าวะ บอกมีคอนโดอยู่สะพานควาย นี่อะไร พาผมนั่งรถเมล์ สองต่อด้วยนะ มาเปลี่ยนที่อนุสาวรีย์ ทำไมไม่เดินกลับซะเลยละ จริง ๆ นั่งแทกซี่ก็ได้นะ เอาไว้ถ้าผมมีเงินเดี๋ยวคืนก็ได้”

“อยากรู้ไปทำไม ทัพมันก็ทำงานของมัน ทำไมพี่...”
ผมเกือบหลุดชื่อมันแล้ว ตีเนียนพูดต่อไปว่า
“พี่..ต้องบอกแกด้วยวะ”

“อ้าว ผมอยากรู้นะพี่ เอาตรง ๆ เลย ในบรรดาเพื่อน ๆ ผมก็สนิท อยู่ไม่กี่คน มีไอ้ปัน หมี แล้วก็กร ก็แค่นี้”
นิ้วมือใหญ่เทอะทะของพี่ปริ๊นซ์ชูสะบัดตรงหน้าพร้อม นิ้ว 4 นิ้ว เท่ากับจำนวนคนในแก๊งค์

แก๊งค์จตุเทพ นั่นเอง แก๊งค์นี้เขารวย หล่อ หน้าตาดี สูงเป็นเปรต กันตั้งแต่ ม.ต้น  แต่ทั้งแก๊งค์ มีแค่พี่ปริ๊นซ์กับพี่ปัน เท่านั้นที่เรียนเก่งมาก พี่หมีกับพี่กร นี่พอไหว แต่เก่งสู้พี่ปริ๊นซ์ไม่ได้หรอก

“แล้วก็มีทัพนี่แหละ”
นิ้วโป้งผุดออกจากฝ่ามือเป็นคำรบที่ 5
“ที่ผมกล้าพูดเลยนะว่าสนิท พี่คิดดูผมจบ มัธยมมา มีแค่ 4 คน เนี่ยหละ ที่ผมกล้าพูดว่าเป็นคนสำคัญ”

โอ๊ย กูโดนแช่แข็งอีกแล้ว ฟรีซอีกแล้ว ทำไมต้องพูดแบบนี้

“พี่เป็นอะไร ใจลอย ดีนะมาถึงอีกฝั่งแล้ว โกรธผมเปล่าเนี่ย ผมก็สนิทกับพี่นะพี่เมฆ แต่ผมสนิทกับพวกนี้มากกว่า ไม่โมโหผมนะ”
มือใหญ่ดุนหลังผมให้เดินหน้า

“โมโหบ้าอะไร กูไม่ได้ใจน้อยขนาดนั้น”
รีบพูดราวกับสำลักอากาศเลย
“แค่ดีใจแทนทัพมัน คนเหี้ย ๆ อย่างมึง ให้ความสำคัญมันด้วย”

“คร้าบ ๆ อ้าวไปไหนพี่ จะซื้อของก่อนเหรอ คอนโดพี่ไม่ใช่ทางนี้เหรอ”

“ตามมาเถอะน่า”

-----------------------------------


ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงหน้าห้องของผม พร้อมกับหอบอาหารสดและเสื้อผ้าไซส์พี่ปริ๊นซ์หลายชุด ถึงผมจะผอมลงแล้วแค่ไหน แต่ให้เอาเสื้อผ้าไซส์ผมให้มันใส่ รับรองว่ากลายเป็นผ้าห่มหรือชุดนอนแน่นอน

“รอตรงนี้แปบนะ ห้องรก ขอเคลียร์ก่อน”
ไม่รอคำตอบรับ ผมยัดของทุกอย่างใส่พี่ปริ๊นซ์ ไขเปิดประตูห้องแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ผมคว้ารูปตอนปริญญาตรี ที่ถ่ายกับรูมเมตทั้ง 3 คน ที่วางข้าง ๆ โทรทัศน์ เพราะตอนนั้นผมยังใส่แว่นอยู่เลย

คว้ารูปถ่ายครอบครัวที่วางตรงโต๊ะหัวเตียง

และคว้ารูปตอนมัธยมที่ผมถ่ายคู่กับพี่ปริ๊นซ์ในงานแข่งขันความรู้รอบตัวระดับประเทศ ที่เราสองคนคว้ารางวัลที่ 1 มา รูปที่ผมตั้งไว้หลังรูปครอบครัว อีกหนึ่งรูป

เอารูปทั้ง 3 ยัดใส่ลิ้นชัก ล็อก แล้วเอากุญแจซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง


“เข้ามาดิ”
ผมเปิดประตูห้อง เชื้อเชิญให้พี่ปริ๊นซ์เข้ามา
“ครับ”

“วางของไว้ตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวจัดการเอง ไปอาบน้ำก่อนไป๊”
ผมรื้อของในถุงแล้วยื่นผ้าส่งให้
“ผ้าขนหนูก็ใช้ผืนที่ซื้อให้ใหม่เลยนั่นแหละ”

“ครับ โหย ห้องพี่อย่างสะอาด ไหนว่ารก”

“จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ ไม่มีปัญญาทำเองหรอก เมื่อกี้เข้ามาเก็บผ้าที่รก มันน่าเกลียด”

ผมเก็บของใส่ตู้เย็นพลาง จัดนู้นจัดนี้ไป เก็บถุงผ้ายัดใส่กระเป๋าเป้เหมือนเดิม เห็นแบบนี้ผมเป็นคนรักษ์โลกนะครับ เตรียมถุงผ้าในกระเป๋าเป้ตลอด ถ้าเลี่ยงใช้พลาสติกได้ผมก็เลี่ยงเสมอ จนมาถึงถุงกระดาษใบหนึ่ง

“ชิบหาย เสื้อผ้า”

ใช่เลยครับ ในถุงใบนั้นซึ่งภายในมีทั้งเสื้อ กางเกง กางเกงใน ทุกอย่างที่ผมเพิ่งซื้อให้พี่ปริ๊นซ์ กองอยู่ในนั้น นั่นแปลว่า

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น
ร่างหนึ่งก้าวออกมา

“เย็นสบายวะพี่”

เลือดกำเดาผมไหลแล้วใช่มั้ย ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย

แม้ว่าจะมีรอยช้ำตามตัวกระจายอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถปกปิดจักษุประสาทของผมที่รับภายชายหนุ่มตัวล่ำ ผิวสีแทนบาดตา หุ่นสูงชะลูด หน้าอกเรียบสะอาด กล้ามหน้าท้องราง ๆ ไม่ชัดเจนนัก บอกได้เลยว่าผ่านการเล่นกล้ามอย่างหนักมาก่อน

“เป็นไรพี่ ไม่สบายอีกแล้วเหรอ ดูน่าจะตัวร้อนนะ แดงเชียว”

โอ๊ย สำลักอากาศอีกแล้วกู ทำยังไงดี กูควรทำยังไงดี

“เออ เอออ” เท้านี้ช่างสวย เท้านี้สวย เท้านี้ดี ผมก้มดูเท้าตัวเอง “มีนิ้วก้อย นิ้วโป้ง”

“นิ้วอะไรพี่ กี่นิ้วเหรอ ทะลึ่ง พี่พูดอะไรนะ”

“กูพูดว่า หิว กูอยากกินข้าวววว” ผมสำลักอากาศรีบตอบ กี่นิ้วพ่องมึงเหรอไอ้พี่ปริ๊นซ์ กูไม่ได้หมายถึงอะไรแบบนั้นเว้ย

“กล่องยาอยู่ตู้ใต้ทีวี รื้อหาดูนะ ทำแผลเอง”

“อ้อ ผมทำอะไรให้กินมั้ยละ ผมพอทำได้อยู่นะ พี่ไปอาบน้ำเหอะ ไปๆๆๆ” แล้วมันก็มาดันหลังผมครับ โอ๊ย อย่าทำแบบนี้ ไปแต่งตัวก่อน อย่าทำแบบนี้กูใจไม่ดี

ผมถอยหนีออกมา ลนลานคว้าเสื้อผ้า กางเกง ผ้าขนหนู แถมยังคว้ามือถือทั้งหมดแล้วขังตัวเองในห้องน้ำ
“ไม่ต้องรีบนะครับ”

เสียงลอดผ่านประตูห้องน้ำมา

ผมได้ยินเสียงหัวเราะจาง ๆ ของพี่ปริ๊นซ์

“ทำไมรู้สึกเหมือนตอนมัธยม กำลังโดนแกล้งอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย”


-----------------------------------


“อร่อยแฮะ”

อาหารอร่อยที่ไม่ต้องทำเอง แถมได้กินหลังจากอาบน้ำเสร็จ แล้วยังมีคนที่เราชอบมาก มามองเรากินด้วยตาแป๋ว ราวกับเด็กน้อยรอคำชมแบบนี้

ดีจังเลย พรุ่งนี้ผมจะลางาน ผมจะถวายสังฆทาน ผมจะไปปล่อยนกปล่อยปลา บุญที่ผมทำมาทั้งชีวิตมันหมดแล้ว ผมต้องไปเพิ่มแต้มบุญด่วน

“อร่อยใช่ปะ จริง ๆ ผมก็อยากกลับมาเปิดร้านอาหารนะพี่  ไปเรียนเมืองนอก ได้มาอยู่ 2 ทักษะ ภาษา กับ ทำอาหาร วิชากงวิชาการห่าอะไร ไม่ได้เลยพี่”

พี่ปริ๊นซ์หัวเราะแบบติดตลก หัวเราะจนหมดหล่อเลย

“อืม อร่อย ไม่น่าเชื่อ”

“่ฮ่า ๆ ใครก็บอกแบบนี้ทั้งนั้น น้อยหน่าก็พูดพี่”
ผมเลิกคิ้วใส่ “แฟนผมนะพี่” คิ้วผมม้วนเป็นเลข 9 ไทยทันควัน

“อ้า ไม่อร่อยเหรอพี่ ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ชมว่าอร่อยอยู่หยก ๆ เองนะ”

ผมวางส้อม คว้าทิชชูเช็ดปาก สปาเก็ตตี้ไม่อร่อยแล้วตอนนี้

“อิ่มละ เก็บไว้กินพรุ่งนี้ละกัน”
ผมรินน้ำใส่แก้ว คว้าขึ้นมาดื่ม

“อ้า ครับ พี่จะเล่าเรื่องน้องทัพให้ผมฟังได้ยัง เห้ยพี่”

ผมสำลักน้ำพ่นใส่คู่สนทนาเต็มแรง

“ขอโทษ ๆ ถามทำไมนักวะ”

“ก็ผมอยากเจอน้อง ไม่เจอกันมาตั้ง หกเจ็ดปีแล้วมั้ง”

“เจ็ดปีครึ่งต่างหาก”
ผมสวนตอบทันควัน

“โหย พี่นับไว้ด้วยเหรอ แฮ่ะ ๆ”

“เปล่า ก็เลขง่าย ๆ กูเก่งเลข”
ตอนนี้คิ้วเลข 9 ไทย ย้ายไปที่คิ้วพี่ปริ๊นซ์แทนแล้วครับ

“ไม่จริงอะ พี่ตกเลขประจำ ยังเคยให้ผมสอนเลย”

โอ๊ย พี่ชายกูมีเหี้ยอะไรดีบ้างเนี่ย

“เออ เอานะ” ผมตีเสียงขรึม “พี่ไม่อยากให้พูดเรื่องทัพ ถ้าเกิดพี่จะบอกว่า....”
เสียงผมต่ำ ต่ำจนคู่สนทนาก้มหน้าลง และยื่นเข้าใกล้ผม “ทัพไม่อยู่แล้ว แกจะทำยังไงวะ”

ผมเห็นสีหน้าปวดใจแวบหนึ่ง

“พี่หมายความว่าไง ที่บอกทัพไม่อยู่ พี่... ผมคุยกับบอส เมื่อหลายปีก่อนตอนทัพอยู่ ม. 6 ว่าทัพ จะเข้าเรียนอะไร ตอนทัพอยู่ ปี 1 ผมก็คุยกับบอส มันก็บอกว่า ทัพอยู่ มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ เรียนวิทยาเคมี”

ผมอึ้งครับ อึ้งกับสิ่งที่รับรู้ พี่ปริ๊นซ์สนใจผมขนาดนี้เลยหรอ

“แล้วทำไมไม่ถามน้องเองวะ ไปคุยผ่านบอสทำไม”

“พี่เมฆ ผมพยายามติดต่อแล้วนะ สมัยนู้น เน็ตก็ห่วย เราก็เล่นกันแค่ MSN กัน พี่จำได้มั้ย เฟซบุค ไลน์ อะไรแบบวันนี้ไม่มีหรอกนะ น้องมันหายไปจากเอ็มอะ ไม่เห็นออนเลย”

เออ ตายละกู ลืมไปเลยว่า ตอน ม. 6 ผมเลิกเล่นทุกอย่าง ผมใจจดใจจ่อแค่ต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด ผมจะได้ลดความอ้วนได้อย่างสบายใจ
แรกสุดพอผมรู้ว่าถ้าผอม พี่ปริ๊นซ์อาจจะชอบ ผมก็รีบวิ่งไปบอกแม่จ๋าทันทีว่า
“คุณแม่ ทัพจะผอม อยากผอม”
แม่จ๋ายืนอึ้ง ถือมีดที่กำลังแล่เนื้อหมูอย่างน่าหวาดเสียว
“ผีเข้าหรอไงทัพ ลูกสบายดีใช่มั้ย”
“สบายดีคุณแม่ ทัพจะผอม”
“ดีจ้ะลูก ดีจ้ะ เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะ แล้วหลังจากนั้นก็เต็มที่เลยลูก ทำไปทีละเรื่องนะ คุณแม่ขอ”
และนั่นคือสาเหตุที่ผมเรียนเป็นบ้าเป็นหลัง จนติดสอบตรงนี่แหละ


“พี่.. สรุปทัพเป็นอะไรอะ”

ผมสะดุ้งจากภวังค์อีกรอบ เสียงพี่ปริ๊นซ์หงอยจนผมสงสาร

“ก็ไปแล้ว ไปอยู่ระยองไง”

“โอ๊ย พี่เมฆ ผมใจเสียหมด เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”
ผมหัวเราะออกมา สัมผัสความห่วงใยอย่างจริงใจของพี่ปริ๊นซ์ได้ ดีใจนะที่แม้จะผ่านมาเกือบสิบปี พี่เขาก็ไม่เคยลืมน้องอย่างผม

“พรุ่งนี้ จะลองไปหาน้อยหน่า แต่ไม่อยากไปคนเดียว ไม่ทำงานไม่ได้เหรอวะพี่”

สายตาอ้อนวอนทอดมาทางผม รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างฉับพลัน จะสำลักอากาศอีกแล้ว ทำหน้าแบบนี้ทำไมวะ มึงคิดว่าเป็นลูกแมวเหรอ อย่ามาทำหน้าแบบนั้น ทัพแพ้ขนแมว ทำไมต้องจ้องไม่หยุดแบบนั้น แล้วทำไมต้องยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนั้น

“ลางานไม่ได้เหรอครับ พี่เมฆฆฆ”
ลากยาวขนาดนั้น บรรพบุรุษฝ่ายไหนเป็นญาติกับแม่นากเหรอ
ปากรูปกระจับเคลื่อนเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ มองปากทำไม ตาผมเริ่มพริ้มหลับลง

‘มีสติสิ มีสติ...........  พุทโธ ธัมโม สังโฆ ลิโพ กระทิงแดง เอ็มร้อย ช่วยลูกด้วย’

“เออ ลา”
ผมพูดออกมา พร้อมกับลุกขึ้นยืน คว้ามือถือไลน์หาหัวหน้า

พี่ปิ๋มครับ.... พรุ่งนี้ทัพขอลาอีกวันได้มั้ย
แหม น้องทัพ พี่ก็บอกแล้วให้ลาไปเลยสองวัน ไม่เชื่อพี่
แฮ่ ๆ
(สติกเกอร์กระต่ายยิ้ม)
ก็ไม่อยากใช้วันลาเปลืองนะครับ
โอ๊ย ลาเถอะลูก หนูเหลือวันลาเยอะสุดในแผนกแล้ว
ไม่ต้องห่วงนะ พักผ่อนไป
เดี๋ยวพี่ทำเรื่องให้จ้า
(สติกเกอร์จูบ)
ปิ๋มน่ารักที่สุดเลยฮะ
น่ารักแล้วรักมั้ยละจ๊ะ
ยังโสดอยู่นี่
พี่ก็โสดนะ 
พี่ปิ๋ม ผมเป็นเกย์
เป็นเจ้ผมต่อแหละ
แหม อีทัพ

 ผมสะดุ้งเล็กน้อย จู่ ๆ พี่ปิ๋มก็เปลี่ยนคำเรียกชื่อผมเสียดื้อ ๆ
 ไลน์เด้งไม่หยุด เสียงดังดึ๋ง ๆๆ หลังจากนั้น

เป็นเกย์จริงหรอยะ
แหม
แหม
ฉันไม่สวยก็บอกมา
เชอะ
ย่ะ 
แฮ่ ๆ ไม่ใช่ครับ
ฝันดีครับพี่
(สติกเกอร์กูดไนท์)
(สติกเกอร์กูดไนท์)



“ลาแล้ว” มองไปยังอีกฝ่ายที่แสดงสายตากุมชัยชนะ
นี่มึงไปแข่งโอลิมปิกแล้วได้เหรียญทองให้ประเทศมาเหรอ ทำไมต้องทำหน้าภูมิใจขนาดนั้น

“ผมสงสัยนะ พี่ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีมาตลอดเลย ตอนนี้ก็ไม่มีใช่มั้ย” ผมพยักหน้า “หรือว่า....”

“หรือว่า....” ผมพูดทวน

“หรือว่า.....” มันก็ยังจะพูดซ้ำอีก

“หรือว่า....” ไอ้ผมก็บ้าทวนคำพูดอีก

“หรือว่า.....” เอาเข้าไป ปริญธรณ์ จะไม่พูดใช่มั้ย

“หรือว่าอะไรพูดมา เสียเวลา”

“พี่ชอบผมเหรอ”

สำลักอากาศเลยครับ ถังออกซิเจน กูจะเอาถังออกซิเจน ช่วยได้ กูจะตายแล้ว

“ใช่มั้ย” พร้อมตาที่หรี่ลง “มันน่าแปลก” เท้าก้าวเดินเข้าใกล้ผม
“พี่ใจดีกับผมมากเกินไป ใจดีผิดปกติ พี่คิดอะไรกับผมหรือเปล่า บอกมาตามตรง ถ้าพี่ชอบผมแล้วอยากให้ผมทดแทนบุญคุณอะไรในแบบนั้น ผมก็พอทำให้ได้นะ แต่ไม่จูบนะ” พี่ปริ๊นซ์หยุดยืนที่หน้าผม ห่างเพียงช่วงไม้บรรทัด แสยะยิ้ม
“เอาเปล่าพี่.....”

แม้ว่าแอร์ในห้องจะตั้งไว้ที่ 25 องศา ประหยัดไฟ ตามนโยบายกระทรวงพลังงาน อากาศเย็นเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยชีวิตผมจากความร้อนที่พุ่งสูงปรอดแทบแตกได้

มันเหมือนเวลาหยุดเดิน ผมยืนนิ่ง หน้าแดง หูแดง จ้องมองชายสูงชะลูด ผิวสีแทน ผู้มีใบหน้ายียวน คิ้วยักยกขึ้น แววตาทะเล้น ใบหน้าที่ผมหลงรักมานานหลายปี

เรายืนจ้องกันแบบนั้น ไม่มีคำพูดใด ๆ ระหว่างกัน เหมือนใจผมลอยหายออกไป ราวกับผมไม่ได้อยู่ในห้อง เสียงเครื่องปรับอากาศเงียบสนิทเหมือนไม่ได้ทำงาน โซฟา โต๊ะกินข้าว ทุกอย่างมลายหายไป วิสัยทัศน์ของผมเหลือเพียงชายตรงหน้าที่ยิ้ม แขนแกร่งสองคนเริ่มยกขึ้นมาและกำลังจับไหล่ทั้งสองข้างของผม

“ไอ้โรคจิต”
ผมพูดออกไปในที่สุด  พร้อมสะบัดตูดเข้าห้องนอน

“นอนละ จะนอนเตียงหรือโซฟาก็แล้วแต่ ผ้าห่มอยู่ในห้อง เข้ามาหยิบเอง”
ผมเดินเข้าห้อง ในใจสับสน ล้มตัวลงนอนหันไปทางหน้าต่าง หลับตาปี๋ ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

“แล้วก็อย่าลืมทำแผล กล่องยาวางไว้ให้แล้วบนโต๊ะ”
ผมตะโกนออกไป รู้สึกหนังตาหนักมากขึ้นทุกที 

ไฟนอกห้องนอนดับลง ปริ๊นซ์ยืนอยู่ตรงประตูห้องนอน เดินเข้ามา ปิดประตูอย่างเบามือ ป้องกันไม่ให้ฝ่ายที่กำลังนอนสะดุ้งตื่น เอื้มมมือไปปิดไฟ ห้องนอนไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เดินเพียงสองก้าวเล็ก ๆ ก็ถึงเตียง เขาเลิกผ้าห่มอีกฝั่งของเตียงที่มีที่ว่างเหลืออยู่ แทรกตัวเข้าไปนอนอย่างแผ่วเบาที่สุด

ยิ้มเห็นฟันขาวในความมืดมิด

“นอนเร็วจังพี่ สามทุ่มเองนะ”

ไม่มีเสียงตอบจากฝั่งตรงข้าม คงยังไม่หลับ เพียงไม่อยากตอบมากกว่าสินะ

“ฝันดีครับ”

ทอดตัวลงนอน พร้อมกับได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอจากคนข้าง ๆ

ปริญธรณ์มองคนที่นอนอยู่ด้านข้างฝ่ายความมืด ในห้วงคำนึงแห่งค่ำคืนนั้นที่ไม่อาจเปล่งออกไปได้
'สงสัยหลับสนิทจริง ๆ แล้วสินะ หลับง่ายเหมือนเดิมเลยนะ ทัพกรณ์'

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2018 16:35:33 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 5
เจ็ดปีครึ่ง


“แล้วมึงจะเรียนไรต่อวะ ปริ๊นซ์ จบ ม. 6 แล้ว”

ผมจ้องหน้าไอ้ปันด้วยสายตาเศร้าเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไรต่อสิ่งที่จะพูดต่อ เสมองไปข้างนอกเล็กน้อย

“พ่อกูบอกว่า จะส่งกูไปเมืองนอก เห็นว่าติดต่อไว้หมดแล้ว ก็ดี สบาย ไม่ต้องมาวุ่นวายกับระบบแอดมิชชันบ้าบอ เปลี่ยนตอนไหนไม่เปลี่ยน มาเปลี่ยนรุ่นเรางี้ ใช่เหรอวะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ

“เออ จริงของมึง เออ เย็นนี้จะไปกินหมูกระทะปะวะ ห้องเราไปหมดทุกคนเลยนะ มึงไปนอกกูคิดถึงมึงแย่”

“กูก็คิดถึง ทั้งมึง ทั้งหมี ทั้ง....”

ผมยังไม่ทันพูดชื่อกร เพื่อนสนิทคนสุดท้ายในแก๊งค์ผมเสร็จ ก็ได้ยินเสียงกุกกักจากข้างนอก

ความเป็นนักกีฬามาหลายปีของเราสองคน ชั่วพริบตา ผมและปันก็มาถึงวงกบประตู จ้องร่างอ้วนพีที่วิ่งเหยาะจากไป

“นั่น ครา...”

ผมคว้าปากไอ้ปันไว้ ก่อนที่มันจะตะโกนออกไป

“กูรู้อยู่แล้วว่าใคร มึงก็เพิ่งพูดถึงน้องเขาไปนี่”

“อ้าว เหี้ย แบบนี้น้องไม่ได้ยินหมดแล้วเหรอ”

ไอ้ปันพูดถึงบรรพบุรุษมันอีกแล้วครับ ตอนอุทานทำไมต้องเน้นเสียงมาทางผมด้วย

“กูสัญญากับน้องแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ เหี้ย เหี้ย เหี้ย”

มันยังตะโกนร่ำร้องถึงบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่อง

“ช่างมันเถอะ กูไม่ได้รังเกียจน้องหรอก เรื่องรักชอบมันห้ามกันไม่ได้ อีกอย่าง...”

ผมเงียบไป จนไอ้ปันต้องเดินเข้ามาจับไหล่

“ถ้าน้องเขารู้ว่ากูรู้ อาจทำให้น้องเขาเปลี่ยนไป กูจะเสียน้องที่ดีไปทั้งคนเลยนะ กูทำเป็นตามืดตาบอดแบบนี้ต่อไปดีกว่า”

“มึงแน่ใจแล้วเหรอปริ๊นซ์”

“อืม”

"แล้วมึงจะไม่บอกน้องเรื่องที่จะไปเมืองนอกเลยเหรอ"

"อืม ถ้ากูบอกว่าจะไปเมืองนอก น้องอาจทำอะไรโง่ ๆ แบบที่กูกลัว เช่นสารภาพรัก"

ผมหยุดถอนหายใจครู่หนึ่ง

"มึงเข้าใจกูใช่มั้ย"

ปันไม่ตอบ บีบไหล่ผมเหมือนให้กำลังใจ

--------------------------------------------

วันปัจฉิมนิเทศ

ผมคิดว่าน้องต้องมาหาผมแน่ ๆ แต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของน้อง

“กลับกันเหอะ”

หมีทักผม บ้านเราอยู่ทางเดียวกัน ปกติก็จะขี่มอเตอร์ไซค์กลับพร้อมกันทุกเย็น

“อีกสักพักวะ มึงกลับก่อนเลย กูอยากซึมซับบรรยากาศโรงเรียน”

“เล่นเอ็มวีเหรอมึง เห้อ เอาเถอะ กุเข้าใจ”

มันยิ้มให้ผม ทรุดตัวนั่งตรงม้านั่งหินอ่อนตรงข้ามผม ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่ลานหูกวางใกล้กับเสาธงโรงเรียน 

“มึงเดินทางเมื่อไรวะ กูคงไปส่งมึงไม่ได้นะปริ๊นซ์ พอสอบโอเน็ตไรพวกนี้เสร็จ กูต้องไปหาญาติที่เชียงใหม่”

“อืม แค่นี้ก็ขอบใจแล้ว”

ผมทอดสายตามองสนามฟุตบอลที่พวกผมมักเล่นบอลทุกเย็น ทอดสายตามองสนามบาสที่อยู่ลิบ ๆ สนามบาสที่ผมกับเพื่อน ๆ ฝึกกันก่อนไปแข่งกีฬา มองเหล่ทางเดินหลังคาคลุมที่ใช้ทุกครั้งที่มีฝนตก แม้ว่าจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไหร่เพราะฝนสาดทุกทิศทาง เงยหน้าเห็นใบไม้สีส้มหม่นของต้นหูกวางที่ใกล้จะหลุดจากขั้วใบในไม่ช้า ตะวันจวนลับลา แสงอาทิตย์อัสดงแสดแผ่สาดไปทั่ว โรงเรียนยังคงเป็นโรงเรียนเดิม มีตึกเก่าและมีตึกใหม่ มีนักเรียนเก่าและมีนักเรียนใหม่ มีครูที่เกษียณและบรรจุใหม่ มีพบมีจากลา มีความทรงจำมากมายเกิดที่นี่

“กูอยู่เป็นเพื่อนมึงละกัน มึงรอใครหรือเปล่า”

“อืม แต่เขาคงไม่มาแล้วละ ขอกูอยู่อีกสักพักนะ”


--------------------------------------------


จากวันนั้น ไม่ว่าจะพยายามออน MSN ขนาดไหน ตื่นแต่เช้าตรู่ให้ตรงกับเวลาพลบค่ำของไทย แต่ก็ไม่เคยเจอน้องออนเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนผมต้องทักบอสไป บอสเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของทัพ

P ® 1 2 CE
บอส
B0000∑
สวัสดีครับพี่ปริ๊นซ์
P ® 1 2 CE
สบายดีมั้ยน้อง
B0000∑
พี่หมายถึงทัพเหรอครับ มันสบายดีครับ
         
ไอ้เด็กบ้านี่รู้ทัน หันมันนิ่ง ๆ แบบนี้ฉลาดเป็นกรดเลยนะ
ผมนิ่งคิดก่อนจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์ต่อ

P ® 1 2 CE
พี่ถามถึงน้องนะแหละ
เออ พี่ก็กะจะถามถึงทัพด้วย
B0000∑
ครับ
มันไม่ค่อยออนหรอกนะพี่
เห็นว่าจะอ่านหนังสือ เห็นว่าอยากติดสอบตรงให้เร็วที่สุด

จากวันนั้นมาผมก็ถามไถ่ชีวิตของทัพผ่านบอสมาโดยตลอด

B0000∑
พี่ปริ๊นซ์
ทัพมันติดแล้วนะ

ข้อความนั้นพิมพ์ส่งมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

ในวันนั้นผมปวดหัวมาก เจอป๊อบควิซของอาจารย์ Erik

ทำให้คิดว่ากูมาเรียนบริหารทำไมไกลถึงต่างประเทศวะ วิชาการอะไรแทบไม่ซึมเข้าหัว เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวา ยิ่งนานวันไปยิ่งเสียดายเงินแทนพ่อแม่ ทักษะเดียวที่ได้ก็น่าจะเป็นทำอาหารนี่แหละ กลับไทยไปกูไปเปิดร้านอาหารดีมั้ย หรือไม่กลับแม่งละประเทศไทย เปิดร้านอาหารที่อเมริกาซะเลย

วันก่อนหน้าก็ต้องไปฉลองวันเกิด Amy แฟนผมเองครับ เป็นแหม่มตาน้ำข้าว อิมพอร์ตจากอังกฤษเลยนะ แล้วจะมาเรียนทำไมที่อเมริกาวะ ผมก็ไม่เข้าใจ

ทัพติดมหาวิทยาลัยที่ต้องการแล้ว เหมือนเช่นเคย ทัพไม่เคยออน MSN มาจนเกือบครบปี ผมส่งข้อความไป หวังว่าน้องคงจะอ่านสักวันหนึ่ง

P ® 1 2 CE
ดีใจด้วยนะน้อง มีที่เรียนแล้ว
ถ้ากลับไทยจะซื้อของไปฝากนะ
เสื้อไซส์ XXL สีฟ้า เลยละกัน
5555555

แน่นอนว่า ผมได้ซื้อเสื้อไซส์ XXL สีฟ้า ไว้จริง แต่ผมก็แทบไม่กลับไทยเลย ผ่านไปปีครึ่ง โปรแกรม MSN ก็ไม่ใช่โปรแกรมที่ได้รับความนิยมอีกต่อไป ผมแทบไม่ออน เหมือนกับที่เพื่อนผม น้องบอส และคนรู้จักคนอื่นก็ทยอยห่างหายจากโปรแกรมนี้ไปเรื่อย ๆ

วันนั้นฝนตกหนักมาก รัฐที่ผมเรียน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ อากาศจึงแปรปรวนเสมอ
เป็นโสดอีกครั้งหลังจากทะเลาะกับ Amy ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ดี ถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าผมคบฝรั่ง กลับไทยไปมีหวังโดนตัดจากกองมรดก

ออน MSN เล่นแก้เบื่อแล้วกัน


ติ๊ง ดึ๊ง ดึ๊ง ๆๆๆๆๆๆๆๆ

เล่นเครื่องค้างเลยวะ

หน้าต่างสนทนาหลายบานผุดขึ้นมา

Pan Pan Pan
มึงตายห่าแล้วเหรอวะ


3eAr Meee Mheee Hmeee
เห้ย มึง จะกลับไทยบ้างเปล่า


K012NNNN
กลับไทยบ้างเหอะ


แก๊งค์เพื่อนผมเอง มันต้องพร้อมใจกันทักผมมาแน่ ๆ ดูจากเวลาแล้ว เผลอ ๆ ไอ้สามตัวนี้อยู่ด้วยกัน เพราะเป็นช่วงปิดเทอมของไทยพอดี

แต่หน้าต่างสนทนาที่ผมสนใจคือหน้าต่างของสายสืบของผมคนนี้ น้องบอส


B0000∑
ทัพมันเปลี่ยนไปพี่
ผมแนบรูปไม่เป็นอะ
ผมฝากไฟล์รูปไว้ที่เว็บนี่นะ
ไปโหลดดูพี่



เปลี่ยนไปอะไรวะ

ใจคิด มือกดลิงค์

50 เปอเซ็นต์

60 เปอเซ็นต์

ผมจ้องที่แถบการดาวน์โหลดจนเต็มร้อย

ไฟล์ได้รับการโหลดเรียบร้อยลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นรูปภาพไฟล์ jpg ผมคลิกเข้าไปดู

“เหี้ยยยยยยยยยยยยย”

ผมอุทานออกมาดังมาก จนรูมเมตอีกสองคนตกใจ และหันมาถามเสียงตลบ

“Sorry, dudes. I’m OK”

ผมหันไปตอบ

ทัพ  นี่ไม่ใช่ทัพ... ทัพเปลี่ยนไป ทัพหารสอง ทัพหารสามเลยก็ว่าได้ ทำไมผอมได้ขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นวะ


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


เสียงไซเรนดังโหยหวนอยู่ภายนอก

ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา

ที่นี่คือกรุงเทพมหานคร เมืองที่ไม่เคยหลับใหล

ทัพนอนหายใจ พริ้มตา ดูสบาย

ผมชันตัวขึ้นหยิบหมอนตั้งรองหลังที่เอนพิงลงมา มองน้องด้วยสายตาทึ่งระคนแปลกใจ

ผอมมาก ผอมกว่าเจ็ดปีก่อน ผอมกว่ารูปที่บอสส่งให้ผมดู แต่ทำไมต้องปลอมตัวเป็นพี่เมฆด้วย  แรกสุดที่เจอตรงทางรถไฟผมก็คุ้นอยู่ว่าใคร พอบอกว่าเป็นพี่เมฆ ผมเชื่อนะ เชื่อสนิทใจเลย แต่อากัปกิริยาหลายอย่างมันฟ้อง ยิ่งตอนช็อปปิ้งด้วยกัน คำพูดคำจา ท่าทางหลายอย่าง นี่มันทัพชัด ๆ

ในเมื่อทัพเลือกที่จะปลอมตัว ผมก็จะตามน้ำให้ ไม่ให้น้องเสียความตั้งใจ

มือลูบหัวน้องเบา ๆ  เส้นผมน้องไม่ได้นุ่ม แต่ก็ไม่ได้หยาบกระด้าง เหมือนผู้ชายทั่วไป เวลาผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นานจนผมเห็นไรผมหงอกสองสามเส้นบนหัวน้อง แล้วนี่จะมาจ้องผมหงอกทำไมวะ

เหมือนเราต่างมีวิถีชีวิตของตัวเอง ชีวิตที่ไม่น่าจะเวียนมาบรรจบกันอีกแล้ว เส้นทางเดินที่ต่างกัน สังคมที่ไม่มีวันซ้อนทับกันได้
แล้วผมก็กลับมาเจอน้องอีกครั้ง

“ปริญธรณ์ ทวีวิชัยกุลวัฒน์ ใช่มั้ย”

หน้าตาตกใจ ปากที่อ้าเล็กน้อย แล้วนี่มือหรือคีมเหล็กที่กำลังบีบแขนผมอยู่ เอาแรงมาจากไหนกันวะเนี่ย กระชากแขนจนแทบหลุด หัวใจวายตายขึ้นมา รับผิดชอบกูมั้ย

 “จะมาทวงหนี้ห่าไรอีก ก็บอกว่าไม่มีไง ดูสภาพกูสิ”

อีกฝ่ายยังอึ้ง ผมหรี่ตาจ้อง หน้าแบบนี้ สายตาแบบนี้ คุ้นจังเลย

แล้วทุกอย่างก็เหมือนภาพเบลอสำหรับผม ผมถูกลากไปห้างนั้น ลากไปนี้ ไปหลายที่

“ปริ๊นซ์”

ผมมองด้วยหางตา ไอ้บ้าที่ไหนบอกผมวะ ต้องรีบกลับไปนอน เหนื่อยมาทั้งวัน พรุ่งนี้ทำงาน แต่การมายืนอยู่ในร้านเสื้อผ้า หยิบตัวนั้นหยิบตัวนี้ สบายใจ ให้กูถือตะกร้าราวกับเป็นผู้ติดตาม

“ตัวนี้สวยนะ ตัวนี้เนาะ ซื้อตัวนี้แหละ”

โยนใส่ตะกร้าโดยไม่มองอีกแล้ว ผมโถมตัวเอาตะกร้าไปรับเสื้อแทบไม่ทัน รู้สึกเหนื่อยหอบเหมือนกำลังเล่นแชร์บอลตอนประถม

“ตัวนี้สวยมากเลย”

ผมมองนักกีฬาแชร์บอล ผู้ปาไม่เคยแม่น กำลังรี่ตรงไปที่เป้าหมายใหม่...เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัดดำ

เสื้อตัวนั้นสวยมากเลย ราคาก็แพงใช่ย่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ราคาแค่นี้ผมซื้อไปใส่เล่นสิบตัวยังได้

“ถ้าผอมกว่านี้นะ จะซื้อใส่ซะหน่อย”

ภาพที่ซ้อนทับมากับอดีตเมื่อหลายปีก่อน ผุดย้อนขึ้นมา ประดุจแสงรอบตัวหรี่ลง สปอร์ตไลต์สว่างจ้าส่องตรงไปที่พี่เมฆ ภาพของเด็กอ้วนหัวเกรียนปรากฏออกมาแทนที่

สายตาที่มองลอดแว่นกำลังหันเพ่งมองมาที่ผม

“ใส่ได้แน่เลย เอาตัวนี้เนาะ สีฟ้าสวยดี ชอบไม่ใช่เหรอ”

ทัพ

ทัพแน่นอน ไม่ผิดตัว

เสื้อถูกโยนมาพร้อมกับแสงสว่างจ้าของร้านเสื้อผ้ากลับมาอีกครั้ง

ภาพหัวกลมเกรียนอ้วนที่มลายหายไป ไม่มีแว่น ร่างที่สูงขึ้นเล็กน้อย ผอมลงมาก เอียงคอมองกลับด้วยความสงสัย

“มองไรวะ หาเรื่องหรอ”

ไม่ใช่พี่เมฆ...

ในที่สุดผมก็ได้เจอ คนที่ผมอยากเจอมากที่สุด เจ็ดปีครึ่ง มันนานขนาดนี้เชียวเหรอ



ถ้าคราวนี้อะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา
ผมก็จะไม่กลัวอีกแล้ว
ผมจะไม่ให้เวลาหลุดลอยเหมือนเมื่อ 7 ปีครึ่ง ก่อน

ไม่อีกแล้ว...





ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 6
ความสุขในวันศุกร์


“และคำถามข้อสุดท้ายนะครับ คำถามข้อนี้ ถ้าทางตราดตอบถูกก็จะเป็นแชมป์ของรายการเราทันที แต่ถ้าทางตราดตอบผิด สกลนครจะได้สิทธิ์ตอบคำถามข้อนี้”

พิธีกรหยุดพูด กล้องแพนมาที่หน้าเขา

“และไม่ว่าสกลนครจะตอบผิดหรือถูก เราก็ยังต้องมีคำถามข้อต่อไป นั่นหมายความว่าสกลนครยังคงสามารถลุ้นแชมป์ได้นะครับ”

พิธีกรประกาศ  ผมรู้สึกนิ้วมือเย็นเฉียบไปหมด

สกอร์คะแนนโชว์หราว่า โรงเรียนผม 36 และอีกโรงเรียน 34 คะแนน
คำถามข้อนี้มีมูลค่า 4 คะแนน ถ้าทีมผมได้ 40 คะแนน ก่อน ก็จะเป็นฝ่ายชนะทันที

“ไม่ต้องกลัวนะทัพ เรามาไกลขนาดนี้แล้ว แพ้หรือชนะไม่สำคัญหรอก”

ผมพยักหน้า ไม่ตอบอะไร มือที่เย็นเฉียบถูกกุมด้วยมืออุ่นจากอีกฝ่าย รอยยิ้มให้กำลังใจเหมือนคำสัญญาที่บอกกับผมว่า เราต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน

“คำถามนะครับ ขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เป็นระบบขนส่งมวลชน..........”

พิธีกรร่ายยาวต่อไป

“เห็นปะ ทัพ ขสมก. ก็มานะจ๊ะ”

พี่ปริ๊นซ์หัวเราะ ยักคิ้วให้ผม

“ผู้ริเริ่มกิจการรถเมล์คนแรก คือใคร ปี พ.ศ. ใด จับเวลา 15 วินาทีครับ”

พี่ปริ๊นซ์ยังบีบมือผมแน่น

“สงสัยเราได้เล่นอีกข้อแน่เลยวะทัพ” แค่นเสียงหัวเราะออกมา “พี่จำได้แต่ ขสมก. ย่อมาจากอะไร เห้ย ทัพ”

มือผมกดปุ่มสัญญาณดับเบิ้ลสกอร์ นั่นแปลว่า ถ้าผมตอบถูก ผมได้ 8 คะแนน แต่ถ้าตอบผิด คือ ลบ 8 คะแนน

“ทางฝั่งตราด ใช้ดับเบิ้ลสกอร์นะครับ ผมนึกว่าจะไม่มีใครใช้ซะแล้ว”

พิธีกรพูด พลางหันไปทางกล้องบันทึกเทป ผมกำลังออกรายการทีวีอยู่

ผมและพี่ปริ๊นซ์เป็นตัวแทนโรงเรียนมาแข่งรายการตอบปัญหาความรู้ทั่วไประดับมัธยมศึกษา เราฝ่าฟันระดับจังหวัด ระดับภาค จนมาถึงระดับประเทศได้แล้ว ช่างเหนือความคาดหมายสำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผม

กล้องตัวหนึ่งเลื่อนมาทางผม จอใหญ่ฉายหรา หัวเหม่งเกรียน อ้วน ใส่แว่นหนา

พี่ช่างกล้องครับ ช่วยอย่าซูมไปมากกว่านี้ได้มั้ยครับ ซูมมากขนาดนี้ รังแค หนังหัว ครอบครัวเหา บนหัวผมมันอายหมดแล้วครับ

“แน่ใจว่าจะใช้นะครับ ผมขอคำยืนยันครับ”

ผมมองไปทางพี่ปริ๊นซ์ ไม่มีคำพูดใดออกมา มือบีบแน่นผมขึ้น

“ชีวิตมันสั้น อย่าเครียด”

พี่ปริ๊นซ์เอ่ยออกมา ผมยิ้มตอบกลับ จับไมโครโฟนตรงโพเดียมไว้ในมือ

“ยืนยันครับ”

“ครับผม คำตอบคือ”

“พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ เลิศ เศรษฐบุตร ในปี พ.ศ. 2450 เส้นทางที่วิ่งคือ สะพานยศเส ถึงประตูน้ำสระปทุม ครับ”

ผมตอบออกไป มากกว่าที่คำถามกำหนดด้วยซ้ำ

จากนั้นหูผมดับ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย

ตาเห็นสกอร์คะแนนที่ขึ้นว่า ตราด 44 คะแนน

เปเปอร์ชูตสีทองปลิวไปทั่วห้องอัดรายการ

พี่ปริ๊นซ์กระโดดกอดผมจนผมเขินไปหมดแล้วเนี่ย แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็ลากผมไปกลางเวที กล้องหลายต่อถ่ายรูปเรา หนึ่งในนั้นมีกล้องจากอาจารย์สมรร่วมด้วย

แน่นอนว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ผมล้างแล้วใส่กรอบวางไว้บนหัวเตียง ภาพที่ผมทำหน้าเหรอหรา จะยิ้มก็ไม่ใช่ ดูเหมือนร้องไห้มากกว่า ส่วนพี่ปริ๊นซ์ยิ้มสว่างฉายออร่าไปทั่ว

หลังจากสื่อมวลชนรุมสัมภาษณ์พวกผมเสร็จ (ซึ่งแน่นอนผมยืนประกอบฉาก พี่ปริ๊นซ์ตอบอยู่คนเดียว) อาจารย์สมรก็เดินเข้ามา พูดอะไรสักอย่าง ผมไม่รับรู้สักอย่าง หูผมดับไปตั้งนานแล้ว อ.สมร จับมือผม จับมือพี่ปริ๊นซ์ อาจารย์ยิ้มหน้าบานอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


---------------------------------------


“เคยไปสยามกันมั้ยเด็ก ๆ ตอนครูเป็นนิสิตตัวน้อย ครูมาช็อปปิงประจำ เดี๋ยวครูพาไปซื้อเสื้อนะ ครูเลี้ยงเอง”

โสตประสาทของผมกลับมาดีอีกครั้ง ภาพการขึ้นไปรับถ้วยรางวัล เงินรางวัล เหมือนฟิล์มหนังที่ถูกเร่งฉายไปข้างหน้า
ตอนนี้เราอยู่บนรถตู้โรงเรียนกำลังมุ่งตรงไปที่ห้างแห่งหนึ่งในสยาม

“ทัพกรณ์ชอบสีอะไรละ”

“ฟ้า ครับครู”

“เหมือนครูเลยลูก แล้วปริญธรณ์ละ”

“ผมก็ชอบสีฟ้าครับ อาจารย์สมร”

“บังเอิญจังเลยนะลูก พี่สุกิตละคะ ชอบสีอะไร”

อ.สมร หันไปคุยกับคนขับรถตู้

“พี่ว่าสีฟ้ามันดูแล้วสบายตาเนาะ พี่เกิดวันศุกร์ด้วยแหละ”

พี่ปริ๊นซ์หันมาคุยกับผม

“ผมก็เกิดวันศุกร์ครับพี่”

“บังเอิญจังเนาะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่ปริ๊นซ์ เพราะสะลึมสะลือผล็อยหลับไปอีกครั้ง

จำได้ลางเลือนว่า มีมือใหญ่ยีหัวผม อย่างไม่เกรงกลัวกลิ่นเหม็นเขียวเกรียน ค่อย ๆ จับผมเอนลงไปซบซุกกับไหล่ของใครสักคน
ในห้วงคำนึงของความคิด ผมคิดแต่เพียงว่า

‘คำว่าบังเอิญ มีจริงเหรอ’

บังเอิญ


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



เช้าวันศุกร์


ติ๊ด ๆ ๆ

มือคว้าโทรศัพท์มือถือปิดการตั้งปลุกทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท เสียงร้องโอดโอย กระดูกลั่นไปทั้งตัว ผมตื่นขึ้นมา งงงวยกับภาพรอบตัว และเป็นอีกครั้งที่ผมเอามือคว้าโต๊ะข้างเตียงหาแว่น

“กุเลสิกมาตั้งหลายเดือนแล้วนี่หวา”

รำพึงกับตัวเองอยู่คนเดียวในห้องนอน คนที่ควรนอนข้าง ๆ หายไปไหนกันนะ
ผมลุกขึ้น บิดขี้เกียจ เปิดประตูออกไปด้านนอก กลิ่นหอมตลบอบอวลลอยขึ้นมา

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ พี่เมฆ มา ๆ”

พี่ปริ๊นซ์หันข้างมามองผม จากมุมที่เป็นส่วนครัว ในมือกำลังถือตะหลิวผัดอะไรบางอย่างอยู่

“นี่ผมตื่นมาตั้งแต่ตี 5 เลยนะ ตั้งใจทำให้สุดฝีมือ”

ผมหยิกตัวเองที่แก้มขวา แรงมาก แรงชนิดที่ในชีวิตปกติผมไม่มีทางทำแบบนี้เด็ดขาด

“โอ๊ย”

“เห้ย พี่ทำอะไร เจ็บละสิ”

พี่ปริ๊นซ์เดินเข้ามา ยิ้มมองผมด้วยสายตาขี้เล่น คิ้วยกมุ่น ฉายความกวนในใบหน้า และที่สำคัญในมือยังถือตะหลิวอยู่

“กูไม่ได้ฝันนี่หว่า”

“เออสิพี่ ฝันอะไร รอแปบนึงนะ อาบน้ำ แปรงฟัน ก่อนก็ได้ อีกสักครึ่งชั่วโมงน่าจะได้กินข้าว”

“วิ่ง.... จะออกไปวิ่ง”

ตอบออกไปโดยยังไม่หายเจ็บแก้ม

“เคล็ดลับความผอมหรอ”

แว่วเสียงเบา ๆ จากอีกฝ่าย ผมคงคิดไปเองมั้ง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ถุงเท้า คว้าหูฟังและมือถือเรียบร้อย ขณะผมกำลังก้าวขาออกจากห้องนั้น

“ผมรอนะครับ”

เสียงไล่หลังมา ก่อนประตูปิดสนิท

“วัด กูต้องไปวัด กูต้องไปทำบุญ บุญกูหมดแล้ว”

ทำไมผมรู้สึกเหมือนตนเองเป็นสามี ที่ภรรยากำลังทำอาหารและรอคอยให้กลับบ้านเลยวะ 
เขินจังเลย ทัพกรณ์ทำบุญมาดีขนาดนี้ ต้องทำต่อไปนะ

แต่เอ๊ะ... ผมเป็นสามีเหรอ

สะบัดหัวแรง ๆ หนึ่งทีเรียกสติ แล้วกดลิฟต์ลงไปข้างล่าง

---------------------------------------


ผมวิ่งไปได้ 4 รอบ ก็เริ่มเหนื่อยหอบ โทรศัพท์สั่น โชว์เบอร์รูมเมตผมเจ้าเก่า

“อะไร หมอยุงลาย”

“โหยยยยยยยยยยย ทำไมต้องทำเสียงขุ่นมัวแบบนั้นละจ๊ะ วันนี้งานเลิกกี่โมงอะมึง”

ถ้าตามไม่หยอดผมสัก 5 นาที ผมว่าผมก็คงต้องไปวัดทำบุญ ต้องไปรีฟิลบุญไม่ต่างจากที่ผมต้องไปทำบุญเนื่องด้วยพี่ปริ๊นซ์กำลังรอผมกลับไปทานอาหารฝีมือพี่แก

แล้วยิ่งเหตุการ์แบบนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ผมว่าบุญที่ผมทำมาตลอดชีวิตคงหมดเกลี้ยงไม่เหลือหรอแน่นอน

แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ผมแค่ทำบุญให้เนื่องในวาระที่ใช้บุญไปกับพี่ปริ๊นซ์ก็พอละ เริ่มจากทำบุญกับไอ้ตามนี่แหละ ดังนั้นผมต้องอารมณ์ดีสิ อย่าไปเหวี่ยงมันสักวันละกัน  จิตใจผ่องใสก็ได้บุญแล้วทัพ

“ว่าไงละครับ”
ผมทำเสียงอ้อน
“วันนี้กูไม่ทำงานนะ กูลาเพิ่ม กูเหนื่อยมาก”

“................”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่โทรมาหาผมเอง

“ตาม ตาม ยังอยู่เปล่า”

“มึงไม่สบายใช่มั้ย เป็นอะไรวะ ให้กูไปดูอาการมั้ย”

เอ้า ไอ้ห่านี้ แช่งกูมาซะ กูปกติดี นี่ก็วิ่งอยู่ ยังไม่พร้อมจะไปหาเตี่ยมึงหรอกนะ

“เปล่า ปกติ ทำไมวะ”

“มึงพูดดีกับกูนะ กูตกใจ”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา กูแย่กับมึงเลยเหรอวะตาม”

ความรู้สึกผิดปะทุขึ้นในใจผม หลั่งรินไม่ต่างจากเหงื่อผุดพราวบนใบหน้าขณะนี้

“ไม่ ๆ ๆ มึงอย่าเพิ่งน้อยใจ แค่แปลกไปนะ เออมึง กูอยากเจอมึงก่อนอะ แบบสองต่อสอง”

ดูมันใช้คำแต่ละคำ สมควรให้ด่ามั้ยละครับ

“ได้มั้ย กูจะกลับต่างจังหวัดละนะ ไปเป็นหมอจน ๆ เข้าเวรเยอะ เงินตกเบิกค่อนปี สงสารกูหน่อย กูแทบไม่ได้เจอมึงเลยนะ”

ผมนิ่งคิดไปสักพัก นี่ใจร้ายกับเพื่อนคนนี้มากไปหรือเปล่าวะ
งั้นรับนัดมัน เสร็จแล้วลากมันไปเลือกของขวัญรับปริญญาเลยละกัน ง่ายดี ไม่ต้องคิดเอง นี่นั่งคิดตั้งแต่เมื่อวานก็ยังนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไร เอาแบบนี้แหละ

“เอาสิ ตอนเย็นนะ สัก 5 โมง ได้เปล่า”

“....................”

“ตาม ไม่ตอบกูวางนะ ลีลานัก”

“เหี้ย กูว่ามึงไม่สบายแน่ ๆ ไม่ต้องห่วงนะ กูจะไปดูแล ปรนนิบัติพัดวี มึงมีหมอฟรีตลอดชีวิตนะเว้ย”

“เออ เอาเหอะ ตามสบาย” ผมบอกชื่อร้าน แล้วย้ำเวลาอีกรอบ “ไม่ต้องห่วง กูไม่เทมึง กูสัญญา”

“คร้าบบบบบบบบบบบบ เฮียยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

แน่ะ มันชอบเรียกผมว่าเฮียครับ เพราะผมเกิดก่อนมันเดือนนึง เดือนนึงพอดีเป๊ะ แต่ทำไมเสียงเฮียของมันดูสูง ๆ คล้าย ๆ กับน้องหนูในบ่อน้ำตรงทางเดินละเนี่ย

นั่นไงครับ ไม่ทันขาดคำ

นอนตากแดด สบายเชียวนะมึง สงสัยวันนี้กูท่าจะถูกหวยแฮ่ะ ตัวเงินตัวทองมาอวยพรถึงที่ แลบลิ้นอีก ต้องไปซื้อหวยเก็บไว้สักใบละ

---------------------------------------


บนโต๊ะในคอนโด หนี้ก้อนแรกของผม ซ้ายสุดไข่เจียวหมูสับที่ใหญ่กว่าหน้าของผมแผ่กว้าง ตามมาด้วยแกงส้มผักรวมถ้วยเขื่องที่เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้าน ที่วางเคียงข้าง คือ หมูทอดกระเทียมพริกไทยจัดเรียงสวยเคียงด้วยแตงกวาฝานอย่างดี จัดเรียงเป็นวงเสี้ยวพระจันทร์ตามขอบจาน

ถ้าคุณคิดว่ากับข้าว 3 อย่าง มากพอแล้ว ยังมีไก่อบน้ำผึ้งชิ้นพอดีคำอีกหนึ่งจาน

“เออ นี่ทำเลี้ยงคนทั้งคอนโดเหรอครับ”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวัตถุดิบที่ซื้อมาเมื่อวานทั้งหมดได้เล่นแปรธาตุกลายเป็นอาหารในจานจนหมดสิ้น

“มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญนะครับพี่ มีกล้วบวดชีในหม้อด้วยนะ”

ยิ้มจนโลกสดใสของพี่ปริ๊นซ์วิบวับมาให้ผม ขณะที่เจ้าตัวกำลังตักข้าวจากหม้อหุงข้าวใส่จาน คงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ว่าพี่ปริ๊นซ์ตอนนี้ คือคนเดียวกับคนจรจัดที่โดนวินมอเตอร์ไซค์รุมกระทืบเมื่อวาน เสื้อเชิ้ตสีฟ้า ลายยาวสีดำตัดที่ใส่อยู่ คือ ชุดที่เกิดมาเพื่อปริ๊นซ์อย่างแท้จริง  ถ้าจับไปโยนบนแคทวอล์คก็สามารถขึ้นไปเดินแบบได้สบาย อาจเพราะทรงผมที่จัดเข้าทรงและรูปร่างที่ล่ำขึ้นจากแต่ก่อนประกอบเข้าด้วยกันด้วยกระมัง

“เสื้อสวยนะ”

เป็นคำเดียวที่ผมนึกได้ คว้าจานข้าวแล้วทรุดตัวนั่งลง

“ไม่อาบน้ำก่อนเหรอพี่เมฆ”

ผมส่ายหัว อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดอะไร

“กินก่อนก็ดี กำลังร้อน เสร็จแล้วไปเขาดินกันพี่”

ผมยักคิ้วด้วยความสงสัยกลับไปที่พี่ปริ๊นซ์

“น้อยหน่าเขาทำงานอยู่ที่เขาดินนะพี่ เป็นเจ้าหน้าที่ที่สวนสัตว์ ผมกะจะไปเซอร์ไพรซ์เขาเสียหน่อย”

เออเนาะ พี่คงไม่ชวนคนอย่างผมไปเที่ยวสวีท ชมนก ชมไม้ ดูยีราฟ ให้อาหารฮิปโป อ้าปากกว้างพูดโอโหหน้ากรงสิงโต อยู่แล้วละ

“ผมคงไม่ได้รบกวนพี่แล้ว เลยทำอาหารให้มื้อใหญ่ไปเลย กินไม่หมดก็แช่ฟรีซไว้ครับ เวฟแล้วก็กินได้อีกหลายวัน อร่อยนะเว้ย เพื่อนฝรั่งชมหมด”

คิ้วยกขึ้นขมวดอีกรอบ ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด ตักแกงส้มขึ้นมา

อืม
“อร่อย”

ผมเพลิดเพลินไปกับการกินนั่นกินนี่ มีคนบริการตักให้ตลอดเวลา นี่แหละความสุขแท้จริงของชีวิต วิ่งเสร็จตอนเช้ากลับมามีแฟนทำอาหารไว้ให้กิน ไม่ต้องล้างจานเอง แล้วก็ออกไปทำงานหาเงิน หมดวันก็กลับมาที่บ้านที่อาหารตั้งโต๊ะรออยู่

พี่ปริ๊นซ์ยิ้มให้ผม ตาสวยคู่นั้น ความทะเล้นที่แฝงบนใบหน้า ที่ผมหลงรักมานาน
การสนทนาสารพัดเรื่องที่ตลกขบขัน ประสบการณ์ชีวิตอันแสนตื่นเต้นของพี่ปริ๊นซ์ ถูกขับขานออกมาเป็นความบันเทิงระหว่างมื้ออาหารของผม

“น้อยหน่าชอบอาหารผมมาก แกงส้มของโปรดเขาเลย”

เหมือนมีเสียงเบรกเอี๊ยดดดดดดดดดดดดดังข้างหู ความฝันสลายเลยกู

รวบช้อนส้อม หยิบทิชชูเช็ดปาก

“อิ่มแล้วเหรอ”

ผมไม่ตอบคำใด คว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ไม่สบตาอีกฝ่าย หยิบจานไปวางไว้ที่อ่างล้างจาน

“ผมล้างเอง พี่ไปนั่งดูทีวีก่อนดีกว่า เพิ่งกินอิ่มอย่าเพิ่งอาบน้ำ”

ผมไม่ขัดอะไร ดี สบาย ไม่ต้องทำอะไรมาก

คว้ามือถือ ไลน์หาบอส
                           
บอส ตอนนี้พี่ปริ๊นซ์อยู่คอนโดกู
กูตื่นเต้น
นอนกกกันว่างั้น
ได้กันยัง?
งานการไม่ทำเหรอมึง
กกพ่องสิ
กูไม่ใช่แม่ไก่นะ
เรื่องมันยาวอะมึง
กูเจอพี่แกโดยบังเอิญ
มึงเล่าทิ้งไว้นะ
วันนี้คิวที่โรงพยาบาลตราดแน่นมาก
กูขอเช็คก่อน
ยังไม่แปดโมงเลยนี่
ไฟแรงนะครับพี่
คือกูเจอเขาโดนวินมอไซค์รุม
กูเข้าไปช่วย แอ๊บเป็นพี่เมฆ
(สติกเกอร์เก๊กหล่อ)
กูเก่งปะละ
แล้วพี่เขาก็เชื่อว่ามึงเป็นพี่เมฆ
พี่ปริ๊นซ์ไม่โง่นะ เท่าที่กูรู้จัก
เขาเชื่อนะมึง
จริง ๆ
เขาเชื่อ
หรือเขาทำให้มึงเชื่อว่าเขาเชื่อ
คิดให้ดี
ไปละ
หลวงจ้างมาทำงาน
ไม่ได้จ้างมาคุย
กูคนดีพอ
อ้าว ไปแล้วเหรอมึง
กูตื่นเต้น เขาชวนกูไปเขาดิน
เออออ
มีความสุขก็พอละ
อย่าเผลอหักคอไก่ ลากลงน้ำละ
บายยย
อ้าว ไอ้ห่า กูไม่ใช่เหี้ย


“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะพี่เมฆ”

เสียงข้างหูผม พร้อมลมเบา ๆ ที่ทำให้ขนหลังคอตั้งชัน นั่งข้างที่โซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย มือผมปิดโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ

“ล้างจานเสร็จแล้วเหรอ”

กลองมโหระทึกตีรัวในอกผม เห็นข้อความในไลน์กูมั้ย รู้หมดแล้วหรือเปล่า แกล้งโง่อยู่ใช่มั้ย ไอ้ปริญธรณ์

“ครับ”

ตาเจ้าเล่ห์สบกลับมา ผมสัมผัสได้บัดนั้นเลยว่า สายตานี้ไม่ได้มีเพื่อใคร แต่เพื่อผม สายตาที่พี่ปริ๊นซ์มักจ้องให้ผมเสมอเมื่อนึกได้ว่าวันนี้จะแกล้งผมยังไงดี

สายตาที่ผ่านการวางแผนมาหมดทุกอย่างแล้ว

“พี่ปริ๊นซ์.......”

เสียงแผ่วเบาหลุดรอดออกมาจากไรฟัน หรือกูควรบอกความจริงไปเลย ส่วนเหตุผลที่ปลอมตัวค่อยไปแถเอาดาบหน้าก็ได้

“พ่อแม่ผมเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ผมเป็นห่วงท่าน ทำไงดีพี่เมฆ”

เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันได้ยินเสียงของผม เหม่อลอย ไร้จุดหมาย แม้ว่าจะมีโทรทัศน์จอใหญ่ ฉายข่าวเช้าอยู่

ผมบีบไหล่อีกฝ่าย

“ท่านเอาตัวรอดได้แหละ อย่ากังวลเลย”

บีบหนักแน่นขึ้นอีก

แต่อีกฝ่ายก็ยังเหม่อลอย ต่างจากฉากในละครหลังข่าวที่อีกฝ่ายควรจะหันมายิ้มให้ผมแล้วสิ หรือผมยังทำไม่ดีพอ

“ถ้ามีบุญกัน ต้องได้เจอแน่นอน”

เอ๊ะ กูควรพูดแบบนี้หรือเปล่า ขอคืนได้มั้ย

“หึ หึ”

เสียงหัวเราะพร้อมกับมือปิดปากตัวเองกลั้นหัวเราะ

“นั่นคือพยายามปลอบใจแล้วใช่ปะ ขอบคุณนะพี่”

จากมือปิดปากเลื่อนไปจับท้อง การหัวเราะอย่างท้องคัดท้องแข็งที่แท้จริง คือ แบบนี้สินะ

“อาบน้ำละ”

ผมพูดเสียงงอน

“อย่างอนสิครับ เดี๋ยวไปเที่ยวกันนะ”

อาการเห่อแดงปรี๊ดบนหน้าผม คว้าเสื้อ ขยำกางเกง หยิบถุงเท้า เข้าห้องน้ำภายในสามวินาที
ยืนหอบหายใจหน้ากระจก


“แกล้งกูอยู่หรือเปล่าวะ หรือไอ้บอสพูดถูก”


---------------------------------------

ต่อข้างล่างนะครับบบ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากด้านบน
ตอนที่ 6)

จราจรที่คลาคล่ำของกรุงเทพ

ร่างสูงเดินลงจากรถเมล์อย่างชำนาญทาง ชี้ซ้ายชี้ขวาหน้าสวนสัตว์ดุสิต บรรยายสิ่งก่อสร้างรอบตัวได้อย่างคล่องแคล่ว ผมจ่ายค่าเข้าสำหรับ 2 คน แล้วฟังคำบรรยายของมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์โดยไม่มีเนื้อหาใดเข้าหูเลย
มีเพียงใบหน้าและท่าทางของพี่ปริ๊นซ์เท่านั้นที่ผมจดจำได้

“ไปถีบเรือเป็ดกันมั้ย”

“ห๊า เช็ดอะไร”

“ฮ่า ๆ เล่นมุกอีกแล้วนะ เรือ.. เป็ด...”

อีกฝ่ายย้ำชัดถ้อยชัดคำ เรียงตามตัวอักษร แม้แต่คำว่า เรือ ก็กระดกลิ้นรัว ราวกับเกรงว่าผมจะไม่รู้ว่า คือ ร เรือ

“ไปถีบเรือเป็ดกัน น้อยหน่าไม่เคยไปกับผมเลย เขาว่ายน้ำไม่เป็น นะพี่”

‘กูก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหอะ แล้วคิดว่าคนอย่างกูจะยอมไปเหรอ ไม่มีทาง’






ไม่มีทางที่ไหนละ

คันถีบเรือเป็ดถูกถีบไปมาพร้อมกับการแล่นโฉบบนผิวน้ำ พระที่นั่งอนันสมาคม วังรูปโดมสีขาว เป็นฉากอยู่เบื้องหลัง เคียงผืนน้ำในมุมป่าสีเขียว เป็นภาพงามตา

“ถ่ายรูป ๆ”

ผมยิ้ม ชูสองนิ้ว ชูสามนิ้ว ชูนิ้วโป้ง ทำท่าทางเป็นสิบแบบ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดถ่ายรูปผมเสียที

“ส่งให้ด้วยนะ”

ผมบอกอีกฝ่าย รู้สึกตงิด ๆ ว่าทำบางสิ่งพลาดไป

“ได้ ขอไลน์ด้วย”

นั้นปะไร ให้ไลน์ก็รู้หมดสิ

“ไม่มีอะ ส่งทางบลูทูธหรืออินฟราเรด ได้มั้ย”

“ฮะ ฮ่า นี่มันสมัยไหนแล้วเนี่ยพี่ ก็ได้ ๆ บลูทูธ แล้วกันนะครับ”

เป็นอีกครั้งที่พี่ปริ๊นซ์หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หยุดถีบเรือเป็นไปสนิท ผมจึงเป็นคนรับภาระให้เรือเป็ดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพียงลำพัง

“แล้ว... แล้ว......”

รู้สึกเขินกับสิ่งที่คิดในใจ

“แล้ว.... เราไม่ถ่ายด้วยกันหน่อยเหรอ สักนิดมั้ยอะ”

โอ๊ย กูพูดอะไรออกไป พูดไปแล้วอะ เอาวะ กูต้องได้ ต้องได้ ต้องได้



ต้องได้รูปคู่เว้ย ห้ามคิดลึกนะ

“หืมมม”

ไกด์ส่วนตัวผม หันมามอง ยกคิ้วด้วยความฉงน

“อยากถ่ายคู่กับปริ๊นซ์เหรอ”

บึ้มม

กูตาย
กูตายตรงนั้นเลย
ตัวเหี้ยอยู่ไหน
ขอดำน้ำไปด้วยได้มั้ย

พี่ปริ๊นซ์แทนตัวเองว่า ปริ๊นซ์ กับผม

ทำไมน่ารักแบบนี้ โอ๊ยย ไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก ขอถังออกซิเจน พยาบาลจ๋า แม่จ๋า พ่อจ๋า ไอ้เหี้ยบอส ช่วยทัพด้วย

“ว่าไง อยากถ่ายกับปริ๊นซ์เหรอ”

ผมได้แต่ผงกหัวปะหลก ๆ

“ก็แค่นี้”

พี่ปริ๊นซ์เลื่อนหัวมาใกล้ผม ใกล้ที่สุดในชีวิตโสดตลอด 24 ปี ของผมก็ว่าได้

กล้องหน้าของโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้สะท้อนภาพชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยิ้มบาดใจ คู่กับ ชายหน้าบ้าน ๆ คนหนึ่งที่ตอนนี้ก้มหน้างุด ๆ ไม่ได้มองกล้อง

“มองกล้องดิ มองงงง”

โอ๊ย ใจกู

“1 2 3 เอ้าอีก 1 2 3”

เราถ่ายกันไปหลายรูป

เท้าก็ยังถีบเรือเป็ดให้ทะยานไป คุยกันไป ถ่ายรูปกันไป

เล่าเรื่องตลกของกันและกันให้ฟัง

“แล้วตอนที่ปริ๊นซ์ทำอาหารไทยครั้งแรกในเมกาอะ พังไม่เป็นท่าเลย กินไม่ได้เลยนะ ไหม้เละไปหมด ในหอพักห้องหนึ่งจะแชร์กัน 3 คน ใช่มั้ย แล้วแต่ละชั้นก็จะมีห้องครัวส่วนกลางให้ เพื่อนจากชั้นล่างอะ วิ่งขึ้นมาพร้อมกับถังดับเพลิงเว้ย เป็นเพื่อนจากอินเดีย นึกภาพออกมั้ย”

ผมพยักหน้า จริง ๆ ก็นึกไม่ออกหรอก มองหน้าพี่ปริ๊นซ์แล้วเพลินดี

“มันมาทั้งผ้าโพกหัวแต่ใส่แค่บ๊อกเซอร์อะ แม่งอย่างตลกอะ แล้วถือถังสีแดงแปร๊ด ตัวมันก็ดำ ๆ  พร้อมฉีดแล้วด้วยนะ ปริ๊นซ์ก็ตกใจมัน มันก็ตกใจห้องครัว ตอนนั้นปริ๊นซ์นึกถึงจรกา เงาะป่า อะไรพวกนั้นที่เราเรียนกันตอนมัธยมเลย ที่วิไลสอนนะ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน

วิไลเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย ท่านจะผิวคล้ำหน่อย แต่ชอบใส่เสื้อสีสด แดง ส้ม ชมพู ยิ่งลายดอก อาจารย์ใส่หมด อาจารย์ชอบบอกว่า ครูชอบ ถึงคนอื่นจะว่าไม่ดี แต่ครูอยากใส่ ก็ใส่

ไอดอลผมเลยนะ อ.วิไล เนี่ย

“หลังจากนั้น ปริ๊นซ์โดนสั่งแบนทำอาหารไปเดือนหนึ่งอะ ต้องหนีไปลองทำอาหารที่หอคนอื่นแทน”

“ใกล้ครบชั่วโมงแล้วนะเนี่ย”

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าเหลืออีก 15 นาที ก็จะถึงกำหนดคืนเรือเป็ดลำนี้แล้ว

“อีกตั้งนาน พี่อะ เล่าบ้างดิ”

พี่ปริ๊นซ์หันมาทางผม หน้าตามีความหวัง

“เรื่องตลกเหรอ ไม่ค่อยมีอะไรตลกอะ”

พยายามนึกสิ่งที่ตลกที่สุดในชีวิตมหาวิทยาลัย

นึกไปนึกมาจนขมับเริ่มปูด

“ปีหนึ่งก็เรียนแลปเยอะมาก ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มีแคลคูลัสด้วยนะ”

ชิบหายละ.... พี่เมฆไม่ได้อยู่คณะวิทย์

“วิทย์กีฬา เรียนหนักจัง”

นั่นไง ฉลาดอีก ที่บ้านเลี้ยงด้วยปลาทูแทนนมตั้งแต่เกิดเหรอไง

“นั่นแหละ หลักสูตรใหม่นะ”

พี่เมฆและบัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งหลาย ทัพขอโทษ

“ก็เหนื่อย เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง พอกลับมาที่หอใน จะมีรูมเมตอีก 3 คน ต่างคนต่างก็บ่นวิชาของตัวเอง คราวนี้มีรูมเมตอยู่คนหนึ่งมันเรียนแพทย์ มันก็เก่งมาก พูดมากชิบหาย ไม่ชอบมันเลย”

ผมหยุดถีบเรือเป็ดด้วยความเหนื่อย เรือลำน้อยจึงเคลื่อนที่ด้วยแรงจากลำแข้งของพี่ปริ๊นซ์เพียงคนเดียว

“มันก็ข่มทุกวัน ง่ายจะตายเรื่องนี้ มึงจำไม่ได้เหรอ”

เสียงที่บิดให้ดูยียวน เพื่อเลียนแบบให้ใกล้เคียงกับไอ้ตามมากที่สุด คู่สนทนาจะได้รับรู้ถึงความน่าหมั่นไส้ของมันอย่างเต็มที่

“แต่มันเก่งจริง ยอมรับ คะแนนมิดเทอมออกมานะ ท็อปไปสองวิชา เกือบท็อปบ้าง คะแนนรอง ๆ บ้าง ยอมอะ อ่านหนังสือก็น้อย เนี่ย อ่านแทบตาย ยังได้ไม่ถึงครึ่งของมันเลย ตกมีนอี๊กกกกกกก เคยได้ยินเปล่า เงยหน้าไปเจอมีน มองใต้ตีนไม่เจอใคร”

เราสองคนหัวเราะพร้อมกัน

 “ตอนไฟนอล มันก็ไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องคอมมอน แล้วถูกกะเทยในหอลวนลาม เกือบได้เมียตั้งแต่ตอนปีหนึ่งละมัน”

เรือเป็ดลำน้อย ลอยนิ่งกลางสระน้ำ ไม่มีใครถีบเรือเป็ดอีกแล้ว  พี่ปริ๊นซ์หันมามองด้วยสายตาอึ้ง ผมยิ้มมุมปากแล้วเล่าต่อ

“คิดดูดิ ตีสองยังบ้าอ่านหนังสือ มันบอกว่าวิชานี้อ่านไม่ทัน มันเผลอหลับตอนเย็นไง”

“กะเทยเขานิสัยแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”

“ไม่ ๆ มันแล้วแต่คน มันเป็นเรื่องของปัจเจกนะ อย่าเหมาดิ คนในมหาวิทยาลัยของผมอะ ก็มีดีเลวคละกันไปแหละ จะให้ดีเลิศหมดก็เป็นไปไม่ได้หรอก”

พอเห็นการพยักหน้าจากอีกฝ่าย ผมก็สบายใจว่าไม่ได้ทำให้ใครเข้าใจมหาวิทยาลัยผมผิด ๆ

“แค่คนที่เล่าเนี่ย เขานิสัยแบบนี้ เล่าต่อนะ”

เมื่อผมเห็นแล้วว่าพี่ปริ๊นซ์ไม่ได้มีทีท่าจะเอ่ยถามอะไรอีก จึงเริ่มเล่าต่อ

“โชคดีที่เมตอีกคน อยู่รัฐศาสตร์ มันตื่นมาฉี่ ห้องน้ำต้องเดินผ่านห้องคอมมอน มันก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจนคิดแล้วละว่าท่าไม่ดี ก็วิ่งตาลีตาเหลือกกลับมาอะ หน้ามันบอกชัดเลยว่าทั้งปวดฉี่ ทั้งห่วงเพื่อน แต่ไอ้รูมเมตรัฐศาสตร์มันเป็นคนมึน ๆ ก็ปลุกผมเว้ยพี่  ผมก็ฟัง ๆ มึน ๆ เหมือนฝัน พอจับประเด็นได้ ตัวก็ดีดขึ้นลุกทันที  ใส่เกียร์เสือชีตาร์  วิ่ง 4 คูณร้อยไปถึงห้องคอมมอน โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย เชื่อมั้ยว่าสภาพเป็นยังไง”

พี่ปริ๊นซ์ส่ายหัวทันที

“เหี้ยมากอะ คือ เสื้อนะกองอยู่อีกทาง กางเกงไม่ต้องพูดถึงกองอยู่ที่พื้นแล้ว เหลือแค่กางเกงในที่กำลังโดนถอด ผมช็อคหน้าประตูเลยจ้า ดีนะกะเทยก็ช็อค จ้องกันไปจ้องกันมา ผมเดดแอร์นะ ไม่รู้จะทำยังไงต่อดี แล้วรูมเมตรัฐศาสตร์ก็วิ่งมาพร้อมกับรูมเมตนิติอะ มันคงไปปลุกรูมเมตนิติต่อ”

ผมหยุดหายใจด้วยความเหนื่อย ค่อย ๆ ถีบเรือเป็ด พร้อมแตะตัวพี่ปริ๊นซ์เป็นสัญญาณให้ช่วยผมถีบเรือเป็ด

เรือเป็ดค่อย ๆ แล่นไปข้างหน้าอีกครั้ง

“ไอ้รูมเมตนิตินะ ไม่รักสงบเลย มันสกายคิก ลอยตัวสูงไปถีบกะเทยคนแรกที่อยู่ใกล้เป้าไอ้หมอที่สุด”

มือใหญ่เอื้อมมาปิดปากผมทันที

“เดี๋ยวนะ กะเทยคนแรก นี่ไม่ใช่คนเดียวเหรอ”

ผมปัดมือออก โอ๊ย ทำไมเค็มแบบนี้ มือกับความหล่อบนหน้าสวนทางกันมากเลยนะ วันเกิดปีหน้าจะซื้อแอลกอฮอล์เจลล้างมือให้นะพี่ปริ๊นซ์

“ก็ไม่ใช่นะสิ 3 คน จ้า”

พี่ปริ๊นซ์ทำหน้าผะอืดผะอมทันที

“รูมเมตนิติ มันเป็นนักมวยเก่าด้วยแหละ มันถีบกะเทยคนแรกเสร็จ ก็หันไปจระเข้ฟาดหางกะเทยคนที่สองต่อ ผมสงสารเลยอะ เขาไม่ได้ทำท่าจะสู้เลยนะ กลัวด้วยซ้ำ คนที่สามนี่ยกมือไหว้ ร้องห่มร้องไห้ละ กฎหอมันมีว่า ถ้าทำอนาจารอะไรแบบนี้ คือ ไล่ออกทันทีนะ เด้งหอแบบไปแล้วไปลับ เผลอ ๆ ดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยนะ”

เมื่อเห็นหน้าพี่ปริ๊นซ์อึ้งสุดขีด ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ

“เราก็ไปฟ้องเจ้าหน้าที่หอกันนะ เด้งเรียบ กะเทยสามทหารเสือ รูมเมตหมอมันใจดีนะ ทางหอเขาก็ถามว่าแจ้งความมั้ย มันก็บอกว่าไม่ สรุปว่ามันโดนวางยาแหละ สมน้ำหน้ามัน เห้ย สงสารนะ”

ผมรีบแก้ เมื่อเห็นหน้าตกใจของอีกฝ่าย

“สงสารอยู่ หลังจากนั้นมันลดความเก๊ก ลดความกวนไปได้เยอะ มันหล่ออยู่นะ เลา ๆ ว่า เกือบได้เป็นเดือนคณะ เราก็สนิทกันมากขึ้นนับจากวินาทีนั้นเลยแหละ”

“ก็ดีนี่ ดูเป็นความทรงจำที่งดงามนะ”

“เหอะ ที่ตลกสุดคือ มันเป็นไข้เลือดออกจ้า ก็วันนั้นแหละ ที่นอนแก้ผ้า อ้าซ่า ยุงก็หามไปหลายตัว ทำไมวะ ตอนเรียนมาคุ้น ๆ ว่าต้องเป็นยุงตอนกลางวัน สงสัยตำราเก่าไปแล้วมั้ง เอาเป็นว่า ช่วงสอบไฟนอล รูมเมตอีกสองคนสอบเสร็จหมดก็เลยกลับบ้าน ความซวยตกที่กระผมเลยครับ ต้องเฝ้าไข้มัน อยู่โรงพยาบาลเลยนะ ต้องไปเดินเรื่องลาป่วยให้มันอีก ตลกชิบหาย นอนก็นอนโรงพยาบาลเดียวกับที่ที่เรียน เรื่องดันประสานกันส่งต่อกันไม่ได้หวะ แล้วก็ยังสอบไม่เสร็จ ต้องหิ้วหนังสือไปอ่านถึงโรงพยาบาล แม่มันก็ไม่ว่างมาดู เห็นว่าไปดูงานต่างจังหวัดต่างประเทศสักอย่าง ส่วนน้องสาวมันก็ยังเด็กเกิน กลายเป็นว่าผมเป็นผู้ปกครองมันแทน นี่พออาการมันดีขึ้น ต้องมานั่งอ่านชีทเรียนให้มันฟังต่ออีก เบื่อสุด”

“อืม แล้วไงต่อ”

รอยยิ้มหวาน ๆ ส่งมาที่ผม มันใกล้หมดเวลาแล้วสินะ ทิศทางที่พี่ปริ๊นซ์พาเรือเป็ดอยู่ห่างจากท่าที่ต้องนำเรือไปคืนเพียงไม่กี่เมตร เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วเสมอ

“พวกเราก็เรียกมันว่า ไอ้หมอยุงลาย  ฮะฮ่า หมอบ้าไร ไม่ระมัดระวังตัวเอง แต่ก็ว่ามันไม่ได้หรอก มันไม่ได้อยากไปนอนแก้ผ้าเองนี่เนาะ อีกอย่างมันก็ปีหนึ่งเอง  แต่ไอ้เมตหมอเนี่ยน่ารำคาญสุดละพี่ เกลียดขี้หน้ามัน”

“เหรอ แต่ปริ๊นซ์ว่าดูรักและสนิทกันนะ”

ผมจ้องกลับ ปากหุบทันควันเหมือนร่มที่ถูกกระชากปิด  สายตาแห่งความไม่เข้าใจฉายชัดจนพี่ปริ๊นซ์รีบเอ่ยทันควัน

“ก็ตอนเล่า แววตาดูสนุกสนานนะ ดูไม่เหมือนคนเกลียดกันเลย”

“ก็จริงนะ นอกจากเพื่อนสนิทในคณะ สามคนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดแล้วละ”

เรือจอดเทียบท่าพอดี เมื่อประโยคสุดท้ายจบ

พี่ปริ๊นซ์กระโดดขึ้นฝั่งอย่างว่องไว ช่วยเจ้าหน้าที่มัดเชือกเรือ ขณะที่ผมกำลังตรวจความเรียบร้อยในเรือว่าไม่ได้หลงลืมอะไรไว้

เงาของวัตถุบางอย่างก็พาดผ่านลงมา

“มาครับ”

มือของพี่ปริ๊นซ์ยืดมาตรงหน้าผม

“ขึ้นเองได้”

“เอานะ”

งั้นไม่เกรงใจละนะ นิ้วมือไม่ได้ประสานแนบกัน แค่จับกันหลวม ๆ เพียงเท่านี้ก็พอแล้วจริง


---------------------------------------


“ไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรอ”

หน้ากรงนกยูงที่กำลังรำแพนหางโชว์ตัวเมียของมัน คำถามนี้ก็ถูกป้อนให้แก่ผม

“ไม่มีคนชอบจริง ๆ ซะทีอะ”

“ไม่มี หรือ ไม่เอา”

ฝ่ายถามยังคงจ้องนกยูงในกรง เหมือนผมที่ก็จ้องไปทางเดียวกัน

“ก็มีคนที่ชอบ ชอบมานานแล้ว แต่ไม่อยากบอกเขา กลัวเสียเขาไป”

ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมพูดแบบนั้น พร้อมกับเปลี่ยนสายตาให้ทอดไปทางพี่ปริ๊นซ์

พี่ปริ๊นซ์หันมามองแล้วสบตาผมได้ไม่นาน ก็หันหน้าหลบสายตา

“ความลับบางอย่าง ปล่อยให้เป็นความลับต่อไปอาจดีกว่าก็ได้ เพราะสัมพันธภาพทั้งสองฝ่ายก็จะยั่งยืน ไม่มีวันสั่นคลอน”

“ใช่... แบบนั้นแหละ”

ผมตอบ ไม่ละสายตาจากพี่ปริ๊นซ์ ความเงียบปกคลุมเราชั่วขณะ

นกยูงยังคงรำแพนหางอย่างงดงาม ร่ายรำรอบตัวเมีย
เสียงนกในกรงข้าง ๆ ร้องประสาน ราวกับกู่ร้องให้เราทราบถึงอิสรภาพที่ถูกลิดรอน

“ผมไปหาน้อยหน่าก่อนนะ”

แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็เดินนำออกไป ให้ผมเดินตามอย่างทิ้งระยะห่าง

ระยะห่างที่ผมเคยชินแล้วละ

เพราะไม่ว่าเราทั้งสองจะสนิทขนาดไหน ก็ยังมีระยะห่างที่คั่นกลางเราเสมอ



----


talk
ตอนแรกก็ตั้งใจจะโพสวันศุกร์ ให้เข้ากับชื่อบทว่าความสุขในวันศุกร์ แต่เขียนไม่ทันจริง ๆ
ติชม กันได้นะครับ

ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2018 16:36:18 โดย bhandhusing »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 7
เจ้าหนี้...ลูกหนี้


“พี่ครับ ผมยืมเงิน 100 บาท ได้มั้ย”

ชายเสื้อของรุ่นพี่ถูกดึงโดยรุ่นน้องที่สูงเพียงเอว ตัวอ้วน หัวเกรียน ผู้กำลังก้มหน้าพึมพำด้วยความกลัว

“เอาไปทำไมเหรอครับ”

เสียงอบอุ่นเอ่ยตอบมา เด็กชายอ้วนเริ่มเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ พร้อมจัดแว่นสายตาให้เข้าที่

“พี่อย่าบอกใครนะครับ”

สายตามุ่งมั่นผ่านเลนส์ที่เงยสบสายตารุ่นพี่เหมือนขอคำยืนยันว่าจะรักษาสัญญา รุ่นพี่พยักหน้าโดยปราศจากวาจาเอื้อนเอ่ย ยิ้มเล็กน้อยเพิ่มความมั่นใจให้เด็กตัวไม่น้อย

“อ้นกับเพื่อน ๆ บอกว่า ถ้าผมไม่ให้เงินพวกเขา 100 บาท คืนนี้ผีจะมาหลอกผม อ้นบอกว่า ค่ายปฐมนิเทศของโรงเรียนมีผีออกมาหลอกเด็กอ้วนเสมอ ผม.. ผมกลัว”

รุ่นพี่ยิ้มอีกครั้ง ย่อตัวลงมานั่งชันเข่าหนึ่งข้าง จับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กน้อยที่ตัวไม่น้อย บีบเบาเหมือนให้กำลังใจ

“พี่ให้ไม่ได้หรอกครับ น้อง...”

ตาคมมองป้ายชื่อ

“น้องทัพ... พี่ชื่อปริ๊นซ์นะ ไม่มีผีหรอกน้องปริ๊นซ์ ถึงมี พี่ก็จะไม่ให้ผีมาหลอกน้องทัพ  น้องอ้นกลุ่ม 3 ใช่มั้ย”

เด็กชายพยักหน้าหนึ่งทีแทนคำตอบ

“โอเค ไม่เป็นไรนะ พี่ปริ๊นซ์จะปกป้องน้องทัพเอง รับรองคืนนี้ไม่มีผีมาหลอกน้องแน่นอน”

เด็กชายมองหน้ารุ่นพี่ แววตาเจือความกลับผสมกับความไม่แน่ใจ

“เชื่อพี่ปริ๊นซ์สิครับ”

เสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมาจากปากที่ยิ้มไม่หยุด ทำให้รุ่นน้องได้แต่พยักหน้าและยิ้มตอบกลับให้รุ่นพี่ด้วยความมั่นใจ
มือใหญ่ของรุ่นพี่ลูบหัวด้วยความเอ็นดู

“ตามพี่มา”

รุ่นพี่เดินนำหน้าไปแล้ว

‘ชื่อพี่ปริ๊นซ์’
เขาคิดในใจ
‘รุ่นพี่คนแรกในโรงเรียนของเรา ใจดีจัง’

ทัพมองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ที่เดินนำไป เท้าอันอุ้ยอ้ายย่างไล่ตามหลังอย่างเชื่องช้า

เขารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ปัญหาที่เขากังวลต้องถูกแก้ไขแน่นอน เขามั่นใจ 


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


แผ่นหลังของพี่ปริ๊นซ์ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
ริ้วรอยเปียกของเหงื่อกระจายทั่วแผ่นหลังแกร่ง ตรงข้ามกับผู้ตามหลังที่เอามือป้องหลบแดด สลับกับพัดให้เกิดลมเย็นผ่านใบหน้าของตน

“สรุปว่าเราจะเดินไปที่บ้านของน้อยหน่าเลยเหรอ”

ผมเอ่ยถามพี่ปริ๊นซ์ หลายกิโลเมตรแล้วจากสวนสัตว์ท่ามกลางอากาศร้อนระอุช่วงบ่ายของกรุงเทพมหานครที่เดินย่ำไม่มีผ่อนฝีเท้า นี่ไม่ได้เป็นโรคขาดวิตามินดีเฉียบพลันนะ ถึงต้องมาเดินสังเคราะห์วิตามินดีจนอาจได้ของแถมเป็นความดำมาหลายนาทีขนาดนี้

“ใช่ ผมอยากคิดอะไรไปด้วย”

เป็นการเจรจาที่ไม่มีการมองหน้ากัน ไม่มีการหันมาตอบ มีแต่เสียงที่ลอยมาตามลม

ผมได้แต่ก้มหน้าเดิน สลับกับมองหลังของพี่ปริ๊นซ์ด้วยความไม่เข้าใจ

หลังจากที่พี่ปริ๊นซ์ไปถามเจ้าหน้าที่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของน้อยหน่า น้อยหน่าซึ่งเกิดรุ่นเดียวกับผมเสียด้วย

“น้อยหน่าเหรอคะ ไม่มาทำงาน สองวันแล้วค่ะ”

พี่ปริ๊นซ์ทำหน้าตกใจเล็กน้อย

“จริงเหรอครับ ไม่ได้โทรมาลางาน หรือโทรลาป่วยอะไรเลยหรอครับ”

เจ้าหน้าที่พิมพ์คีย์บอร์ด จ้องจอตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง

“ไม่นะคะ แปลกมากเลยค่ะ ปกติน้อยหน่าไม่เคยขาดงานแม้แต่วันเดียวเลยนะ”

“ครับ แปลกมาก”

“ไม่ทราบว่า คุณเป็น.....”

เจ้าหน้าที่ทำหน้าลังเล ทอดเสียงรอคำตอบ

“แฟนครับ ผมเป็นแฟนของเขา”

“อ้อออ” รอยยิ้มกระจ่ายฉายชัดบนใบหน้า “น้อยหน่าเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ที่ทำธุรกิจค้าเครื่องเรือนไม้”

“ครับ ๆ ขอบคุณมากครับ”

พี่ปริ๊นซ์ผลุนผลันออกมาจากตรงนั้น เหมือนต้องการยุติบทสนทนา

ผมที่กำลังยืนฟังก็พลอยต้องเดินลุกตามมาด้วยอย่างเสียไม่ได้ ได้แต่หันไปก้มหัวขอบคุณพนักงานคนนั้นที่ก็ดูฉงนใจในความรีบร้อนของพี่ปริ๊นซ์ไม่ต่างกันมากนัก


แม้แต่ตอนนี้ที่ผมย้อนคิด ความไม่เข้าใจจำนวนมากก็ยังเอ่อล้น เท่าที่จำได้ ธุรกิจบ้านพี่ปริ๊นซ์ ใน จ.ตราด คือ ปั๊มน้ำมัน  พูดได้เต็มปากเลยว่า ปั๊มน้ำมันในจังหวัดเกินครึ่งเป็นของบ้านพี่ปริ๊นซ์ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโรงแรมที่เกาะช้างอีกด้วย  แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาทำธุรกิจค้าไม้

เหมือนมีอะไรผิดปกติ ผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะสอบถามซักไซ้พี่ปริ๊นซ์ได้อย่างเต็มที่

ตอนนี้เราเดินเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง ที่แดดประเทศไทยก็ยังตามมาแผดเผาได้อย่างไร้ที่ติ

“อากาศร้อนจังเลยเว้ย เห้ย”

สุดเสียงบ่นของผมไม่ถึงเสี้ยววินาที ผมที่ก้มหน้าก้มตาเดินมาตลอดทางล้มจ้ำเบ้าไปกองบนพื้น
พี่ปริ๊นซ์หยุดไม่บอกไม่กล่าว จนผมชนหลังเต็ม ๆ

มือของพี่ปริ๊นซ์ยื่นมาให้ผมหมายฉุดให้ผมลุก ฉากความทรงจำ ณ เรือเป็ด ย้อนกลับมาในหัวผมอีกครั้ง รอบนี้ผมไม่ปฏิเสธอะไร ยื่นมือกลับไปให้พี่ปริ๊นซ์ฉุดผมขึ้นมา

“ถึงแล้ว หลังนี้แหละ”

พี่ปริ๊นซ์หันหน้าไปทางบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่กลางสนามหญ้า มีต้นไม้ใหญ่ที่แขวนชิงช้า รอบบ้านมีกระถางไม้ดอกหลายกระถางตั้งวางเรียงยาวทั้งซ้ายขวาของถนนที่ทอดจากประตูรั้วไปสู่บริเวณบ้าน

“มีฐานะพอสมควรเลยนะเนี่ย”

ผมรำพึงออกมา แค่เรื่องเงินก็สู้เขาไม่ได้แล้วทัพเอ๊ย

พี่ปริ๊นซ์เดินไปที่กล่องจดหมายสีน้ำเงินที่ติดตรงรั้วเตี้ยสีชมพู หันไปหยิบอะไรบางอย่างหลังกล่องจดหมาย

ความคิดแวบแรกของผมเลยก็คือ

‘ทำไมกล่องจดหมายไม่ใช่สีแดงวะ’

กุญแจรั้วอยู่ในมือพี่ปริ๊นซ์ หันมายิ้มให้ผมหนึ่ง ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป

‘กูแพ้สนิทแล้วละ รู้ถึงที่เก็บกุญแจสำรอง แต่ทำไมกล่องจดหมายไม่สีแดงวะ’

------------------------------------------



เราสองคนเดินเข้ามาในบ้าน เงียบสนิท ไม่มีเสียงใด ๆ ยกเว้นเสียงเท้า 2 คู่ ที่เดินย่ำไปบนถนน

“เขาไม่เลี้ยงหมา ไม่มีพ่อแม่หรือคนเฝ้าบ้านอะไรเลยเหรอไงเนี่ย”

“เห้ย อย่าเสียงดังดิพี่”

ยกมือปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ ทำไมต้องดุผมด้วยเนี่ย 

ฉับพลันนั่นเอง มีเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างดังมาจากด้านหลังบ้าน พี่ปริ๊นซ์ยกมือซ้ายขึ้นตั้งฉากกับพื้นโลกเพื่อกั้นไม่ให้ผมเดินนำหน้าไป

พี่ปริ๊นซ์ทำปากบุ้ยใบ้ให้ผมเดินตามหลัง ค่อย ๆ เดินเข้าไปคว้าเสียมที่วางพิงกระถางต้นไม้มาทันที

“เห้ย... ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”

ไม่มีคำตอบใด ๆ แขนแกร่งพี่ปริ๊นซ์ยื่นมากั้นผมอีกครั้ง พูดผ่านริมฝีปากอย่างเบาบางเป็นการย้ำเตือนว่า

“ตามผมมานะ”

เราเดินอย่างเชื่องช้า ตามกันไป ผมคว้ากุญแจห้องขึ้นมากำไว้ในมือ มันเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของผมเลยแหละ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกประหม่าตระหนกตกใจ ผมจะคว้ากุญแจขึ้นมา ลอดนิ้วผ่านพวงกุญแจ หมุนควงไปมา สลับกับกุมไว้ในมือ

เราเดินใกล้หลังบ้านมากขึ้น

เราเดินไปอีก 2-3 ก้าว

“มึง”

ปัง

พานท้ายปืนไรเฟิลกระแทกเฉียดเข้าที่ปลายจมูกเหมือนในภาพยนตร์ แต่พี่ปริ๊นซ์ไม่ได้สลบเหมือนในหนัง มีเพียงเลือดกำเดาไหลออกมาเล็กน้อย

พี่ปริ๊นซ์ปรี่เข้าไปคว้าปืนกระบอกนั้น
ปืนไรเฟิล

มึงเอามาล่าสัตว์เหรอวะ


ความพันตูนัวเนียจนวุ่นวายบังเกิดข้างหน้าผม

ผมได้แต่ยืนอึ้ง ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร

“หยุด”

เสียงจากชายอีกคน ไม่ใช่แค่เสียงแต่เป็นปลายกระบอกปืนพกที่จ่อที่ขมับทางขวาของผม ชายแปลกหน้าคนที่สองค่อย ๆ เอื้อมมือบีบหัวไหล่ด้านซ้ายของผม ลำแขนใหญ่โตเคลื่อนมาล็อคคอผมไว้

“ถ้ามึงไม่หยุด เพื่อนมึงตาย ไอ้ปริ๊นซ์”

พี่ปริ๊นซ์หยุดต่อสู้ มองมาทางผมด้วยสายตาหวาดกลัว ชายแปลกหน้าคนแรกหยิบเชือกขึ้นมา บรรจงมัดแขนพี่ปริ๊นซ์ไขว้หลัง
ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คนพวกนี้รู้จักพี่ปริ๊นซ์ด้วย นี่มันเรื่องอะไรวะ แล้วทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ผมเริ่มดิ้นขัดขืนเล็กน้อย

“เห้ย อยู่เฉย ๆ สิมึง”

ชายแปลกหน้าคนที่สองตะคอกผม

ความกลัวลามเลียไปทั่วสมอง แต่ความสงสัยมันมากกว่า

“อะไรวะเนี่ย พี่ปริ๊นซ์ นี่มันหมายความว่าไง”

สติสตังของผมไปหมดแล้ว ผมเริ่มโวยวายเหมือนคนเรียกร้องความสนใจ

“เห้ย มึง หุบปาก”

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือ พานท้ายปืนไรเฟิลจากชายคนแรกพุ่งสวนเข้ามา


------------------------------------------


‘โอ้ย ปวดหัวเว้ย’

“มึงคิดว่าจะหนีพวกกูได้เหรอไอ้ปริ๊นซ์”

เสียงใครวะ จมูกก็มีน้ำเหนียวคลั่งอยู่  เมื่อยแขนอีกเว้ย

“รู้มั้ยว่าพวกกูเฝ้าที่นี่มาตั้งแต่ ศาลประกาศว่าบ้านมึงล้มละลายแล้ว”

มีอีกเสียงแทรกมา

เราอยู่สวนสัตว์...กับใครนะ... กับพี่ปริ๊นซ์ 
ไปถีบเรือเป็ด มีความสุขชิบหาย อิอิ แล้วก็เดิน แล้วก็....

เหี้ยละ

เปลือกตาผมค่อย ๆ เปิด

ใบพัดของพัดลมติดเพดานหมุนเชื่องช้า ตั้งห่างไม่มากนัก เป็นรูปถ่ายขาวดำของผู้หญิงสูงวัยดูดีท่านหนึ่ง ด้านล่างเขียนว่า ชาตะ ตามด้วยวันที่ และ อีกบรรทัด ขึ้นต้นว่า มรณะ

“โอ๊ย.....”

เจ็บจมูก

“ตื่นแล้วเหรอมึง”

ตีนเลยครับ ตีนเหยียมมาเต็ม ๆ ตรงอก กลิ่นสาบเค็มลอยคลุ้ง

“ซวยนะมึง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ลุกดิ นอนสบายห่าอะไร”

เหมือนจะง่ายนะครับ สั่งให้ลุกขึ้นมา แต่แขนที่ถูกมัดไพล่หลัง พร้อมทั้งขาที่ก็ถูกมัดแน่นไม่ต่างกัน

“มองอะไร ลุกสิ ลุก”

ผมพยายามดันตัวเองทุกวิถีทาง กลับกลายเป็นว่าผมแค่เกลือกกลิ้งเป็นวงกลมอยู่ตรงที่เดิม พี่โหดตีนเหม็นอดรนทนไม่ได้ จึงดึงผมนั่งให้เรียบร้อย

ภาพตั้งหน้าคือผู้หญิง 2 คน และ ผู้ชาย 1 คน ถูกมัดปาก  มัดแขนขาติดกับเก้าอี้ ท่าทางดูอิดโรย ผู้หญิงหนึ่งคนดูสาว มีแววสวย แต่ผมยาวกระเซิงปรกหน้า ทว่ายังพอให้เห็นด้วงตากลมโตที่ลุกโพลงด้วยความกลัว  ถัดมาเป็นหญิงชายดูสูงวัย  ผมว่าผมพอเดาได้นะว่า ทั้ง 3 คน คือ ใครบ้าง

พี่ปริ๊นซ์ของผมนะเหรอ รายนั้นหนักกว่า 3 คนนั้นอีก ถูกมัดแขนห้อยอยู่บนขื่อซึ่งเป็นสิ่งที่ค้ำยันให้พี่ปริ๊นซ์ยังตั้งฉากอยู่บนพื้นโลกได้ สภาพเยิน มีเลือดและรอยฟกช้ำตามตัวยืนโงนเงนหมดแรง

ห้าโมงเย็น นาฬิกาแขวนด้านหลังบอกเวลา

ผมสลบไปราว 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นพี่ปริ๊นซ์คงโดนซ้อมสะบักสะบอมน่าดู

เดี๋ยวนะ ห้าโมงเย็นเหรอ
โอ๊ย ตาม กูขอโทษ กูรักษาสัญญาไม่ได้ กูไปสายแล้ว

“ไม่.. เป็นไร ช่ายมั้ยยยย”

แหบพร่ามากพี่ปริ๊นซ์กู ไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะพี่

ผมเลือกที่จะส่ายหัว ไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ จากเมื่อเช้าที่กูกำลังเล่นหนังรักในทุ่งลาเวนเดอร์ ผ่านมาไม่ถึงครึ่งวัน ใกล้เป็นหนังบู๊เลือดสาด จับตัวประกัน ไปซะแล้ว

“สงสัยละสิมึง ว่าเกิดอะไรขึ้น”

พี่โหดเบอร์ 2 เอ่ย

“บ้านไอ้ปริ๊นซ์ติดเงินเจ้านายกูไง” ผมตาเหลือกด้วยความตกใจ “ไม่ใช่แค่ล้านสองล้านนะมึง เป็นสิบล้าน”

“ไอ้เสี่ยทรัพย์ มันโกงพ่อแม่กู”

ผลั่ก ปับ ตุบ ทั้งแขนขาและหมัด กระหน่ำร่างพี่ปริ๊นซ์ โอ๊ย พี่ ไม่ต้องเป็นแฟมิลี่แมนรักครอบครัวตอนนี้ เงียบ ๆ ไปเถอะ

“เสียเวลา มึงจะบอกกูได้หรือยัง ว่าจะติดต่อพ่อแม่มึงยังไง อย่าไขสือเล่นละครนะ แฟนมึงก็คนละ” 

พี่โหดเบอร์ 2 บุ้ยปากไปทางผู้หญิงคนนั้น พลางย่างสามขุมเข้าไปหา 

น้อยหน่าตาลุกโตด้วยความกลัว ดิ้นรนอยู่บนเก้าอี้เท่าที่ร่างอันบอบช้ำและถูกมัดตรึงจะทำได้

พี่โหดค่อย ๆ จิกผมยาวของน้อยหน่าขึ้นมา

ผมรู้เลยว่า เธอต้องเจ็บมากแน่ น้ำตารื้นอยู่ที่หางตา ผมหลับตาไม่อยากเห็นภาพที่สุดแสนจะเวทนานี้

“มึง.. ปล่อยนะ”

พี่ปริ๊นซ์โหนเสียงลั่น

“ฉันไม่มีเบอร์ปริ๊นซ์ ปล่อยเราไปเถอะ”

เสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนของพี่เบอร์ 2 ทำให้ผมเกือบหลุดขำ เพราะมันดูไม่เข้ากับกล้าม รอยสัก และความหน้าเหี้ยมเลย

“แล้วมันทำไงรู้มั้ย โยนโทรศัพท์ทิ้ง ฉลาดนักอีนี่”

น้อยหน่าโดนตบไปหนี่งฉาด ยิ่งกระตุ้นให้พี่ปริ๊นซ์ร้องโวยวายเตะขากลางอากาศ แต่นั่นกลับทำให้พี่โหดตีนเหม็น เข้าไปซ้อมพี่เขาหนักกว่าเดิม

ผมได้แต่นั่งอึ้ง บทกูไม่มี กูควรทำยังไงดี

พี่ปริ๊นซ์ยังคงถูกซ้อมไม่หยุด เลือดจากมุมปากมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผมกำมือด้วยความแค้นที่ได้แต่มอง ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วผมก็พบว่า พวงกุญแจที่บอสซื้อให้ผมยังถูกกำอยู่ในมือ พวกกุญแจมีดพับของบอส

‘คิด คิดสิ คิดไอ้ทัพ มึงต้องเปลี่ยนสถานการณ์ได้’

“ขอโทษนะครับ”

พังมาก แต่ได้ผลแฮะ พี่โหดทั้งสอง พี่ปริ๊นซ์ น้อยหน่าและคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่น้อยหน่า หันมามองผมเป็นตาเดียว

“ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าผมควรพูดแบบนี้ในสถานการณ์ขณะนี้มั้ย”

พี่โหดสองคนยังคงฟังผม ไม่สิ ทุกคนฟังผมหมด

“แต่ผมว่า ทำแบบนี้ก็ไม่ได้เงินหรอกจริงมั้ยครับ เออ อย่างผม พอจะมีเงินนะครับ อาจจะไม่มากนัก แต่ผมช่วยได้นะ เอาไว้ขัดดอกก่อนก็ได้”

“ไอ้นี่ฉลาด”

พี่โหดตีนเหม็นชมผม ควรดีใจใช่มั้ย

“ครับ คือ ผมไปถอนเงินให้ก็ได้”

พี่โหดเบอร์ 2 ทำท่าอ้าปากพูด ผมจึงรีบสวนทันที

“ไม่ต้องกลัวผมบอกตำรวจครับ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ยังไงพวกพี่ก็เป็นต่อ คนหนึ่งไปกับผม อีกคนก็เฝ้าที่นี่ ถ้าผมตุกติก ก็สามารถโทรบอกฝั่งนี้ให้ฆ่าหรือจัดการใครก็ได้”

‘แม่ง อิมแพคท์วะ ได้ผลเว้ย ฟังกูด้วย’

ผมมองท่าครุ่นคิดของพี่โหด

“พี่เห็นด้วยกับผมใช่มั้ยล่ะ ถ้าหลังจากนี้ พี่กลัวว่าผมจะไปฟ้องตำรวจหรืออะไรก็ตามแต่ เอาจริง ๆ นะ ผมเชื่อนะว่าเจ้านายพี่ เส้นใหญ่พอแน่นอน ต่อให้ผมไปฟ้อง พี่ก็ดิ้นหลุด เผลอ ๆ จับพี่ ๆ ไม่ได้หรอก จริงมั้ย”

ผมหยุดพูด ในสมองกำลังคิดหาทางออกไปเรื่อย ๆ

“ดังนั้น ผมคนหนึ่งหละ ที่ไม่แจ้งตำรวจ เสียเวลาเปล่า”

“มึงเก่งนะ ไม่โง่เหมือนไอ้พวกนี้”

ตอนนี้พี่โหดทั้ง 2 เดินมาถึงตัวผมแล้ว พี่โหดตีนเหม็นถึงขั้นก้มตัวลงมามองหน้าผม

“พี่ปรึกษาเจ้านายพี่ก่อนก็ได้ฮะ แต่ผมขออย่างหนึ่ง”

พลั่ก

ต่อยหน้ากูเต็ม ๆ กูว่ากูทำถูกแล้วนะ

ดาวหลายดวงเวียนอยู่ที่พื้นห้องที่ผมก้มหน้าลงไปด้วยความมึน

ดาวสีแดงฉานจากเลือดที่ไหลลง จาก 1 ดวง เพิ่มเป็น 2 และ 3 ดวง ตามลำดับ

“เห้ย มึงทำไรวะ”

พี่ปริ๊นซ์โวยวายอีกครั้ง

“อย่างมึงจะต่อรองอะไรอีก พูดมา”

สติ
สติ
สติ

ผมท่องคำนี้ซ้ำในใจ ก้มหน้าเชื่องช้า ทำหน้าตาให้โง่และดูน่าสงสารที่สุด

“ผมหิว... ขอกินอะไรก่อนได้มั้ย”

พวกมันมองหน้ากัน แผดเสียงหัวเราะมาทันที

“เออ มิน่ามึงถึงอ้วน ออกกำลังกายบ้างละ”

รู้สึกเหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาด ผึง ในหัว แต่กูทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักนิดเดียว อย่าให้กูหลุดไปนะสัด

“แฮ่ะ ๆ นะครับ”

“เออ เดี๋ยวผมออกไปหาซื้อของแล้วกันพี่”

พี่โหดตีนเหม็นพูดกับพี่โหดเบอร์ 2

“เออ ดี”

“ขอบคุณครับ”

ผมพูดแทรก

เอาวะ อย่างน้อยก็กำจัดไปได้หนึ่งคน

พี่โหดตีนเหม็นเดินไปแล้ว ผมก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา

“ทำงานไร”

พี่โหดเบอร์ 2 พูดขึ้น มองมาทางผม ผมมองกลับทำหน้างงสุดขีด

“มึงนะแหละ ทำงานอะไร”

ย้ำแบบนี้ ก็กูสินะ

“เป็นพนักงานบริษัท....”

ผมตอบไป ทำหน้าปกติให้มากสุด

“เออ ดี ลูกกูก็อยากทำงานที่นี่”

“ครับ สวัสดิการมันดีครับพี่”

ชวนคุยก่อน ค่อยตะล่อม ในสมองสั่งผมแบบนั้น

“พี่ครับ พี่ไม่ลองโทรหาเจ้านายเหรอครับ เรื่องที่ผมเสนอไป”

“เออ ลืม มึงนี่ฉลาดจริง” มันคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ไอ้ปริ๊นซ์ มึงนะโชคดี มีคนแบบนี้เป็นเพื่อน”

แล้วพี่โหดเบอร์ 2 ก็เดินเลี่ยงออกไปอีกห้อง แว่วเสียงเบา ๆ ลอยมา
มือผมที่ขยับมาตลอดตั้งแต่คำแรกที่ผมพูด จนบัดนี้พวงกุญแจมีดพับเลื่อนมาอยู่ในทิศทางที่เหมาะสมแล้ว
ทันทีที่พี่โหดหายไป ผมก็ หันปลายมีดออกจากตัว กดปุ่มเปิด ค่อย ๆ ปาดกับเชือกไปทีละน้อย 

“โอ๊ย”

ผมร้องออกมาแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่พี่ปริ๊นซ์จะได้ยิน

“ขอโทษนะ...”

ผมยิ้มตอบ ไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ ที่ร้องออกมาก็เพราะใบมีดมันเฉียดมาโดนแขนนี่แหละ ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนในหนัง  แต่ก็อาจเป็นโชคของผมด้วยกระมัง ที่เชือกไม่ได้หนามาก ในที่สุดผมก็สามารถตัดเชือกจนขาดไปเส้นหนึ่งซึ่งมากพอที่จะคลายมือออกจากปมเชือกได้

พี่โหดเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

“เจ้านายกูโอเค มึงฉลาดจริง”

อีกครั้งที่มันชมผม ยิ้มครับ ยิ้มสยามไปก่อน

“ไอ้โง่”

มันซัดพี่ปริ๊นซ์อีกรอบ แล้วมันก็เดินไปอีกห้อง

ผมฉวยโอกาสนั้น สะบัดมือหลุดจากเชือก รีบแก้เชือกที่มัดเท้าผม
น้อยหน่ามองผมด้วยความทึ่ง ส่วนพี่ปริ๊นซ์ยังก้มหน้ายืนอย่างหมดแรงไม่รับรู้อะไร ร่างผมเป็นร่างที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุดในห้องแล้ว ต้องไม่ทำให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด


พี่ปริ๊นซ์หวาดผวาเล็กน้อย เมื่อผมประชิดตัว

“ใจเย็นพี่”

เชือกยาวที่ตรึงแขนพี่ปริ๊นซ์ไว้ถูกตัดออก ผมรีบแก้มัด แล้วผมก็พุ่งตรงไปที่โทรศัพท์บ้าน ผมจ้องมันมานานแล้วนับตั้งแต่ถูกพี่โหดจับตัวนั่ง

“ผมขอแจ้งเหตุร้าย คือ ผมโดนจับเรียกค่าไถ่ คนร้ายมีสองคน ที่อยู่เหรอครับ”

ชิบหายละ ผมเห็นบิลต่าง ๆ กองบริเวณนั้น รีบคว้าหาที่อยู่ แล้วบอกพนักงานไปทันที

“ครับ รีบมานะครับ”

โทรศัพท์ถูกวางสาย

ตรงวงกบประตู ใบหน้าช็อคของพี่โหดเบอร์ 2 ลอยเด่นหราในแสงสลัว

“อ้าว หวัดดีพี่”

โบกมือทักด้วยความเชื่องช้า โคตรเป็นสิ่งที่โง่สุดเท่าที่ผมนึกออกเลยละ
พี่ปริ๊นซ์ทะยานมาครับ ทะยานใส่ตัวมัน จนล้มกลิ้งลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยกัน
ผมวิ่งอย่างรวดเร็ว หมายเข้าไปตัดเชือก รีบปล่อยครอบครัวเคราะห์ร้ายออกจากพันธนาการ

“ไหวมั้ยครับ ทนหน่อยนะ”

ผมปลอบใจทุกคน ท่าทางอิดโรยเห็นได้อย่างชัดเจน

ผมตัดเชือกของน้อยหน่าสำเร็จแล้ว กำลังหันไปตัดเชือกให้กับผู้หญิงที่คาดว่าเป็นคุณแม่ของเธอ
หันกลับไปมองการคลุกวงของพี่ปริ๊นซ์ที่ตอนนี้ต่างคนต่างทรงตัวยืนได้แล้ว ปืนครับพี่น้อง ปืนในมือพี่โหด ในมือพี่ปริ๊นซ์ โอ๊ยยยย สองคนนั้นกำลังแย่งปืนกันครับ

“ทำไงดีวะ ทำไงดีวะ ทำไงดี....”

ผมพล่าม น้อยหน่าและพ่อแม่ก็ดูไม่ต่างจากผม เราไม่รู้ว่า ณ จังหวะนี้ เราควรอยู่จุดไหน

“น้อยหน่า น้อยหน่าใช่มั้ย”

หญิงสวยพยักหน้า มือยังระวิงกับการแกะเชือกให้คุณพ่อ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

“รีบพาคุณพ่อคุณแม่ ไปซ่อนก่อน เดี๋ยวอีกคนกลับมา ทางนี้เราจัดการเอง ไปสิ ไปเหอะ”
ผมพยายามดุนหลังน้อยหน่าให้ละทิ้งความลังเล

“เอาวะ”

ผมตะโกนสุดเสียงแล้วเข้าร่วมคลุกวงอีกคน

ปัง

เสียงปืนดังสนั่น

ไม่มีใครเป็นอะไรครับ ปืนลั่น แต่ผนังบ้านเป็นรูโหว่  จากแรงสะท้อนกลับของปืนทำให้ปืนกระบอกนั้นปลิวสะบัดไปที่พื้น ไกลจากผมไม่มากนัก

เหมือนเป็นวินาทีที่เราสามคนจ้องตากัน

ผมกระโดดผลุนไปที่ปืนทันที ในขณะที่พี่โหดผลุนตัวไปอีกทาง โดยมีพี่ปริ๊นซ์ไล่ตามหลัง

ผมคว้าปืนไว้ในมือได้แล้ว  พี่ปริ๊นซ์ก็สามารถจับหัวพี่โหด กระชากเส้นผมจนมันเสียหลักจวนล้มอีกครั้ง แต่พี่โหดไม่ได้ง่ายกินหมูขนาดนั้น ศอกหนาหนักกระแทกใส่หน้าพี่ปริ๊นซ์ ผมเชื่อว่าพี่ปริ๊นซ์คงเห็นดาวหลายดวงแน่นอน

แสงวาวโลหะสะท้อนสู่สายตาผม

มีดยาวด้ามใหญ่ กำลังพุ่งออกมาที่พี่ปริ๊นซ์

“เห้ย....”

พี่ปริ๊นซ์กระเด็นไปอีกทางจากการกระโจนใส่ของผม

พี่โหดจ้วงแทงอากาศไปอย่างหวิดหวิว

“หยุดนะ กูมีปืน”

ผมถือปืน ชี้ไปที่หน้าพี่โหด อีกมือจับแขนพี่ปริ๊นซ์ไว้

พี่โหดยืนนิ่ง มือกำมีดแน่น ดูเชิงผมไม่วางตา

“วางมีด ไม่งั้นมึงตาย”

ผมปลดเซฟตี้

แน่นอนว่า พี่โหดวางมีดลง ขอบคุณพ่อจ๋ามากที่สอนยิงปืนตอนเด็ก

“เตะมาทางกู มีดนั่นแหละ เตะมา”  ผมตะโกนย้ำทันที “เร็ว”

มีดเล่มยาวน่ากลัว เคลื่อนมาหยุดตรงหน้าผม

“เอาละ มึงลงไปนั่งคุกเข่าตรงนั้น อะ ใช่” ผมเดินก้าวถือปืนชี้ที่หน้ามัน “ฉลาดนี่มึง นั่งสิ ยืนทำไม กูบอกให้นั่ง” เสียงเข้มโหดของผมแผดลั่น เอาวะ ทัพ เอาให้สุด

เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนจะจบแล้ว จริง ๆ
.
.
.
.
.
.

ถ้าพี่โหดตีนเหม็นไม่กลับมาเร็วเกินไป และไม่เข้ามาแบบไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียง แถมพุ่งตรงมาอย่างเร็วแรงทางผมและพี่ปริ๊นซ์ พร้อมกับมีดอีกเล่ม

แล้วสิ่งโง่ที่สุดที่ผมทำก็คือ วิ่งเข้าไปรับมีดที่พี่โหดตีนเหม็น ถือตั้งไว้ในมือ

‘เจ็บชิบหาย มึงบิดมีดด้วยเหรอ’

ปัง

ผมยิงไปหนึ่งนัดที่แขนของพี่โหดตีนเหม็น

มึงแทงมาเต็ม ๆ

ผมมองมีดที่คงแทงทะลุช่วงท้องผมไป

เสียงร้องทุรนทุรายเหมือนเด็กน้อยของพี่โหดตีนเหม็นดังระงม พร้อมกับเลือดผมที่ไหลออกมา ผมมองเห็นพี่ปริ๊นซ์ในสายตา

“ขอโท...”

ผมขอโทษพี่

แล้ว... ทุกอย่างก็มืดดับลง

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 8
อดีตฝังใจ


“เตี่ย... เตี่ยอย่าเป็นอะไรนะ เตี่ย...”

ผมแผดร้องออกมา ภาพวันที่เตี่ยตายหวนกลับมาอีกครั้ง

เตี่ยเป็นคนขยันทำงาน แต่สูบบุหรี่หนักมาก ใครเตือนก็ไม่เคยฟัง สุดท้ายมะเร็งก็ย่างกรายมาสู่ชีวิตของเตี่ย ไม่สิ ย่างกรายสู่ชีวิตของพวกเรา

เตี่ยร่างกายอ่อนแอมากขึ้น จนหมอตัดสินใจเจาะคอเตี่ยเพื่อไม่ให้มีการสะสมของเสมหะจนมีแบคทีเรียอุดตัดในทางเดินหายใจ นานนับปีที่เตี่ยต้องกินอาหารปั่นเหลว แม้ว่าเราพยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งคีโม ฉายรังสี

สุดท้ายมัจจุราชก็พาเตี่ยไป

สิ่งที่ผมเสียใจที่สุด คือ คำพูดสุดท้ายที่ผมบอกกับเตี่ย

ในคืนที่ฝนตกหนัก แม่ป่วย ตาลก็ป่วย แต่แม่ยังต้องดูแลเตี่ย แล้วยังแบ่งเวลาไปเช็ดตัวให้ตาลอีก

แม่ไม่ให้ผมมาช่วย เพราะผมมีสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย

สิ่งที่ผมทำคือ ตะโกนใส่หน้าเตี่ย
“ทำไมเตี่ยไม่รักตัวเอง ตามบอกแล้วใช่มั้ยให้เลิกสูบบุหรี่ ถ้าเตี่ยดูแลตัวเอง เตี่ยจะเป็นแบบนี้มั้ย”

เตี่ยไม่พูดอะไร แม่ก็ไม่พูดอะไร ทั้งสองคนมองหน้าผม
แม่แค่กำชับให้ผมไปอ่านหนังสือ
แล้วปิดประตูห้องนอน

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่พูดกับเตี่ยแบบนั้นเด็ดขาด

ผมหลับตาอีกครั้ง น้ำตาเอ่อติดที่หางตา
แต่นี่คือปัจจุบัน ผมแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ผมตายไม่ได้ ผมต้องลืมตาตื่น



หลอดไฟตะเกียบขาวนวลที่ปิดสนิทติดบนเพดาน

ห้องไม่มืดมิด เพราะมีแสงสลัวรำไรจากภายนอกสาดเข้ามาบาง ๆ

น้ำเกลือที่แขวนอยู่มุมเตียง

‘ใช่สิ ผมอยู่โรงพยาบาล ผมเป็นไข้เลือดออก’

ความรู้สึกเปียกที่มือทำให้ผมต้องขยับนิ้ว

“ทัพ ทัพ..”

ปลุกเท่าไรก็ไม่ลุก

ทัพมันนอนน้ำลายยืดอยู่ตรงมือผม ตรงข้างเตียงผมนั่นแหละ หลับทั้งที่อ่านชีทเรียนเพื่อจะสอบไปด้วย หลับทั้งที่ยังใส่แว่นสายตา

ผมไม่ดูแลตัวเอง จนลำบากคนอื่น เหมือนที่ผมบอกเตี่ยไม่มีผิด

“ขอโทษหวะทัพ”

อะไรบางอย่างดลใจให้ผมขยับมือลูบหัวมัน ลูบไปได้สักครู่ก็เกิดอาการหมั่นไส้รูมเมตคนนี้ขึ้นมาจนพาลอยากทึ้งผมมันสักที  ไม่ชอบหน้ามันที่นิ่งขึงทุกครั้งที่เล่นมุก หน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด มันต่างจากพีที่จะตบมุกกับผมเสมอ และไม่เหมือนกับมีนที่ถึงแม้จะหน้านิ่งไม่ต่างกัน แต่มีนไม่เคยมีสายตาเย็นชาแบบนั้นให้ผม

การลูบก็เปลี่ยนเป็นขยำผมมันด้วยความเหม็นขี้หน้าตามที่คิด

ทัพยังหลับสนิท

หลับลึกจริงพ่อคุณ ผมยิ้มออกมา ผล็อยหลับต่อจากนั้นไม่นาน

ยังเป็นอีกหลายวันที่ทัพเฝ้าไข้ผม

ขอลายเซ็นผมแล้วเดินเรื่องลาป่วยให้ผม

เอาชุดนิสิตมารีดในโรงพยาบาล

โทรคุยกับแม่ผมที่ไปทำงานต่างจังหวัด รับปากท่านว่าจะดูแลผมเป็นอย่างดี

ตื่นแต่เช้ามืดไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้โรงพยาบาลเหมือนที่มันทำทุกวันตอนที่อยู่หอใน

นั่งอ่านชีทสอบของผมให้ผมฟัง พร้อมบ่นว่า เรียนห่าอะไรเนี่ย

ทัพยังทำหน้าเหมือนเดิม เย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ไม่มีคำบ่นสักคำออกจากปากมัน

“พรุ่งนี้กูสอบวิชาสุดท้ายนะ อยากได้อะไรมั้ย กูจะไปห้างกับเพื่อน”

มันเอ่ยถาม

งั้นพรุ่งนี้ผมคงเหงาสินะ กว่าทัพจะกลับก็คงเย็น ๆ

“ไม่ต้องลำบากหรอก เที่ยวกับเพื่อนให้สนุก สอบเสร็จทั้งที”

“ไม่เที่ยว กูแค่จะเดินไปส่งเพื่อนที่ร้านที่มันจะไปกิน แล้วกะจะไปซื้อหนังสือนิยายมาอ่าน ตั้งใจจะซื้อมาอ่านให้มึงฟังด้วย เรียนบ้าไรไม่รู้คณะมึงนะ แก้เครียดบ้างเหอะ”

“มึงไปเที่ยวเหอะ กูเกรงใจ”

ผมพยายามคะยั้นคะยอ

“ตาม ฟังกูนะ กูไม่ไป....เพื่อนกูเขาก็กินข้าวกันได้ แต่มึงนะ เออ กูรู้ว่ามึงอยู่ได้ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นกูไม่ได้ดูถูก” เอาจริง ๆ นะ ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผมแสดงสีหน้าอะไรออกไป “มึงจะอ่านหนังสือยังไง เหงามั้ย เบื่อมั้ย กูอยู่กับมึงดีกว่า กูสัญญากับแม่มึงแล้วด้วย พอ ๆ ไม่ต้องพูดละ ตามนี้ กูอ่านหนังสือก่อนนะ”

มันเดินไปที่โซฟาในห้อง นั่งลง แล้วจมกับชีทเรียน

ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นทุกครั้งผมจะมองหาทัพ

ทุกครั้งที่เลิกเรียน ก็จะรอเสมอว่าเมื่อไรทัพจะกลับ

รอไปกินข้าวกับมัน

เคยแม้กระทั่งโกรธมันที่ไม่รอกินข้าว จนทัพไม่กล้ากินข้าวก่อนอีกในทุกเย็น

จนจบปี 1 ผมก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแปลกนี้

“ไปเที่ยวบ้านกูกัน”

พีเอ่ยปากชวนทุกคนไปเที่ยวช่วงปิดเทอมใหญ่ ก่อนเปิดเรียนซัมเมอร์

“สงขลาบ้านกูสวยนะเว้ย เรื่องอาหาร เรื่องรถ บ้านกูจัดการ แต่พวกมึงออกค่ารถไปกลับเองเนาะ”

พีหัวเราะ หันไปชวนมีน ซึ่งเป็นคนแรกที่ตอบว่าไป บ้านมีนอยู่ที่เชียงรายครับ การได้ไปเที่ยวทะเลคือความฝันอย่างหนึ่งของมัน

“ไปใช่เปล่า ทัพ ทะเลบ้านกูสวยนะ”

ทัพยังจมอยู่กับหนังสือ ทุกคนสอบเสร็จหมดละครับ ยกเว้นมันที่เหลือสอบอีกหนึ่งตัวพรุ่งนี้

“บ้านกูอยู่ตราด ทะเลก็มี”

“เหมือนที่ไหนวะ นี่พวกเราไปกันหมด ตามก็ไปใช่มั้ย ไปปะ ทะเลบ้านกูสวยนะ นครปฐมบ้านมึงไม่มีทะเลนะเว้ย”

“อืม ไปสิ”

ผมตอบ ลุ้นให้ทัพบอกว่าไป

ทัพเงยหน้าจากตำรา หันมามองผม พร้อมกับยกคิ้วขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ

“เห็นปะ ทัพ ไปกันหมด ไปกันหมด”

“ไอ้พี มึงจะไปพรุ่งนี้เย็น กูสอบเสร็จเที่ยง จะไม่ให้กูพักหน่อยเหรอวะ กูเก็บกระเป๋าไม่ทัน คืนนี้กูไม่เก็บนะ บอกไว้ก่อนเลย แล้วไหนจะเรื่องย้ายของไปตึกสามด้วย”

ใช่ครับ พรุ่งนี้เราต้องย้ายของจากตึกนี้ที่สงวนไว้ให้ปี 1 ไปอีกตึกที่มีนิสิตหลากชั้นปีอยู่ร่วมกัน

เอาจริง ๆ ผมดีใจมาก ที่เรา 4 คน เลือกที่จะอยู่ห้องเดียวกันต่อ

“กูจัดการเอง”

พีและทัพหันมาจ้องผมพร้อมกัน

คำพูดของผมงัดทัพออกจากหน้าชีทเรียนได้อีกรอบ

“กูจะขนของมึงไปตึกใหม่เอง จะจัดกระเป๋าให้มึงด้วย ถ้ามึงเหนื่อย กูแบกกระเป๋าให้ด้วยก็ได้”

ทัพไม่ตอบอะไร หน้าเย็นชา ไร้ความรู้สึก

“กูขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ยวะ”

“เอาเลยมีน พูดมา”

ผมรีบพูดต่อ

“ทัพเอ๊ย ถ้ามึงยังอ้างอีก ก็แสดงว่ามึงเกลียดขี้หน้าพวกกูแล้ว ช่วยขนาดนี้ ดูแลขนาดนี้ มากกว่านี้ก็แฟนแล้ว มันบ่ไจ้ละก๋า ไป...ไปแอ่วกั๋น”

ท่อนท้าย มีนหลุดภาษาถิ่นบ้านเกิดออกมา
ทุกครั้งที่มีนโมโหมักจะเป็นแบบนี้

“เหี้ยไรละ”

ผมกับทัพตะโกนใส่มีนพร้อมกัน

ทัพดึงหน้าตัวเองกลับไปจมที่ชีทต่อ

ความหวังผมหมดแล้วละ

“.... ถ้ามึงทำแบบที่พูด กูไปก็ได้ตาม”

“เหยดดดดดดดดดดดดดดดด”

พีร้องลั่น ผมสิยิ้มบานจนแก้มแทบปริ ดีใจที่สุด ดีใจเว้ยยยยยยยยยย

แล้วจากทริปสงขลานั่นเอง ก็ทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้น โดยเฉพาะเกมส์ true or dare ของไอ้พี ที่ทำพวกผมเมาคว่ำ นอนโอดครวญเพราะเมาค้างไปหนี่งวันเต็ม ๆ

“เออ กูเป็นเกย์ เลิกคบกูได้นะ”

ความเมาทำให้คนขาดสติ แต่ทัพก็ยังนิ่งและเย็นชาดังเดิม

อย่างน้อยผมได้รู้ความจริงบางอย่างว่า ทัพเป็นเกย์

“กูรู้นานละ สาด ไอ้ทัพ” พีหัวเราะ “ไอ้มีนด้วยใช่มั้ย” มีนมันหน้าแดงกอดขวดเหล้า พยักหน้ารัว ๆ สักพักก็หัวเราะกับตัวเอง มีนหนอมีน

“ต่อไป ตามึง ไอ้ตาม ทำไมเลิกกับส้มวะ”

ส้มเป็นแฟนผมครับ แฟนเก่าสิ คบตั้งแต่เดือนแรกในมหาวิทยาลัยเลย

“กูเห็นมึงรักส้มจะตาย เดินตามต้อย ๆ เชื่องเลยนะลูกแมว”

ผมนิ่ง

“กูไม่รู้สึกกับเขาเหมือนตอนแรกละวะ” ผมตอบออกไป “มันไม่ใช่แบบเดิม กูสงสารเขาวะ อยู่กับกูไปก็เสียเวลา”

“เท่มาก เท่มาก”

มีนตะโกน พยักหน้าแดง ๆ ของมัน

“เออ เท่จริง สุดยอด แน่ใจนะแค่นั้น”

“เออ แค่นั้นพี”

สายตาแหลมคมของพีมองปราดมาที่ผม

“กูย้ำกติกานะ ในวงนี้ห้ามโกหก”

“ห้ามโกหก ห้ามโกหก เอิ๊ก”

เสียงเรอของไอ้มีน

“ไอ้ตาม”

ผมกลั้นใจพูด

“เออ กูมีคนที่ชอบใหม่แล้ว”

“เหี้ยสุดเลย กูว่าแล้ว”

พวกมันสามคนหัวเราะพร้อมกัน แต่ผมสิ เบรกแตกไปแล้ว

“แล้วมึงรู้มั้ยว่าใคร.. กูชอบเขามากเลย ตอนแรกกูคิดว่าไม่ใช่ แต่กูก็เพ้อถึงเขาตลอด มองหาเขาตลอดอะ”

ผมส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้ทัพ ทัพทำหน้างงปนอึดอัดกลับมา ตาลุกโตด้วยความไม่เข้าใจ

“ชอบใคร ชอบใคร”

“ไอ้มีนหุบปากก่อน”

“ทัพ กูชอบมึงหวะ.....” สีหน้าทัพยังเย็นชาเหมือนเดิม “กูชอบจริง ๆ นะ กูขอจีบนะ มึงไม่ตอบไรกูถือว่ามึงโอเคนะ”

“วิ้วววววววววววววววววว รูมเมตกูจะเป็นฝั่งเป็นฝาละเว้ย”

“ฝั่งฝา ฝั่งฝา”

แล้วไอ้มีนก็ล้มคว่ำคาขวดเหล้า 
เสียงโวยวายลั่นจากพีที่สาละวนเข้าไปจับขวดเหล้าไม่ให้ไหลหกมากไปกว่าเดิม
ทัพมองหน้าผม ไม่มีคำพูดใดพูดออกมา

ผมเริ่มกลัวใจตัวเองละ เหนือสิ่งอื่นใด กลัวสีหน้าของว่าที่แฟนในอนาคตผมที่สุดเลย


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


“ลาเต้ร้อนค่ะ”

แก้วกาแฟฟองนมสวย ควันลอยกรุ่น ตัดกับโต๊ะสีดำ

ชายหนุ่มพยักหน้ากล่าวขอบคุณพนักงานเสร็จ จึงหันกลับไปสนใจหน้าจอมือถือต่อ

สรุปว่า นัดกับไอ้ทัพสองต่อสองว่างั้น
ใช่เลย
เจ๋งปะพี
เจ๋งก็ได้
เอาที่สบายใจ
แต่ตาม มึงนัดมันมาทำไมวะ
อยากเจอ
ไม่ได้เหรอ
อยากเจ๊ออออ
อย่าหลอกกู
กูเลี้ยงกุมาร
เออ สัสนี่
จะลองขอเป็นแฟน
เหยดดดดดดดดดดดดดด
ครั้งที่ 49 สินะ
ไม่สิ ต้อง 52
มีสองครั้งที่มึงขอ แล้วตอนนั้นกูสอบเสร็จแล้วกูกลับบ้านก่อน
แล้วก็อีกครั้งที่มึงหลอกมันว่ามีนรถชน
มันก็รีบไปโรงพยาบาล แล้วมึงก็ทำเซอร์ไพรซ์ แต่มันด่ามึงจนลืมชื่อพ่อเลยนี่
อย่างงี้ก็อาจเป็นการเฟลครั้งที่ 52 สินะ
สัส แช่งกู
นี่เพื่อนเอง
กูมีวิธีละกัน
มึง
อย่าไปยื่นคำขาดกับมันนะ มันไม่ชอบหรอก
ไม่ดิ
กูจะถามตรง ๆ
แบบ เราก็โต ๆ กันแล้ว
ขอโอกาสไรงี้
กูว่าแม่ง ยื่นคำขาด ชัด ๆ
เอาเหอะ
คิดให้ดี
ยังไงมึงสองคนก็เพื่อน
กูรักทั้งคู่นะเว้ย
(สติกเกอร์ขอบคุณ)
(สติกเกอร์กินข้าว)
หิวละ
(สติกเกอร์ลาก่อน)

ผมนี่บ้าหวะ มาขอมันเป็นแฟน แต่เตรียมแหวนมาให้มันด้วย ไม่ใช่แหวนที่สวยหรูอะไรมาก เป็นแหวนทองวงเกลี้ยงนี่แหละ ข้างในสลักชื่อมันเอาไว้ ผมรู้ด้วยนะมนุษย์อย่างทัพกรณ์ ไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ก็เลยเตรียมสร้อยไว้ร้อยแหวนต่างหาก อย่างน้อยสวมคอก็ยังดีวะ

“สี่โมงครึ่งเอง”

ผมตื่นเต้นมาก มาก่อนเวลาเกือบชั่วโมง

ปกติทัพเป็นคนตรงต่อเวลามาก อีกครึ่งชั่วโมงสินะ

จริง ๆ ผมก็แปลกใจนะ ที่โทรไปชวนตอนเช้าแล้วมันไม่มีอึกอักเหมือนทุกที กลับพูดดีจนผมตกใจ แถมรับนัดผมอีกด้วย  อยากจะร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่นี่เป็นนัดสองต่อสองครั้งแรก ตั้งแต่ที่มันเรียนจบ

ตื่นเต้นเว้ย ไลน์ปรึกษาไอ้มีนดีกว่า


-----------------------------------------------------


“คุณลูกค้ารับอะไรเพิ่มมั้ยคะ ทางเรามีเค้กนะคะ”

พนักงานเสิร์ฟเดินมาถามผม ใช่สิ ก็นี่มันหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ลาเต้ร้อนแก้วเดียวมันจะไปคุ้มกับค่าเช่าที่ได้ไงล่ะ

“เออ งั้น ผมขอ ชีสเค้ก ละกันครับ”

พนักงานสาวเดินถอยออกไปอย่างมีชัย

ทัพไม่ใช่คนแบบนี้นะ ผมควรโทรหาทัพมั้ย แต่ถ้าผมโทรก็เหมือนผมไปเร่งสิ ไม่สิ เราต้องอดทน เราต้องอดทน

จวบจนสองทุ่มครึ่ง

ไม่ใช่แค่ชีสเค้ก แต่เค้กเครป ก็เพิ่งถูกผมกินหมดไปสักครู่

ทัพก็ยังไม่มา

ทัพ
มีอะไรหรือเปล่า  ตามกลับก่อนนะ
ไลน์หาด้วย

ผมไลน์ไปบอกทัพ และเพื่อความชัวร์ ผมก็เลือกส่งข้อความเข้ามือถืออีกด้วย

เดินไปเรื่อย ๆ ดูนู้นดูนี้ จนมาหยุดที่บูธเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวีจอใหญ่ฉายสารคดีสัตว์โลกอยู่

“ไม่อยากกลับโรงแรมเลยเว้ย”

แล้วผมก็ตัดสินใจทำสิ่งที่บ้าที่สุดในชีวิต คือ กดโทรออก

ชั่วอึดใจเดียวก็มีคนรับ

“ไอ้ทัพ มึงหายไปไหน กูรอตั้งนาน ไอ้บ้า ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นะเว้ย”

“คุณตามครับ”

เสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูดังสวนกลับมา ใครวะ ใครมายุ่งกับมือถือแฟนกูในอนาคต

“ฟังผมให้ดีนะครับ ตอนนี้ทัพอยู่โรงพยาบาล น้องเขาถูกแทงครับ ผมติดต่อใครไม่ได้เลย โทรศัพท์ปลดล็อคไม่ได้ ผมรอให้ใครสักคนโทรมา จนคุณตามโทรมานี่แหละครับ คุณตามครับ ยังอยู่มั้ยครับ”

อยู่สิ กายหยาบนะอยู่ แต่ใจผมหลุดลอยไปแล้ว

“อาการน้องค่อนข้างสาหัส เสียเลือดจำนวนมาก ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู แต่ผมเชื่อว่าทัพไม่น่าเป็นอะไรมาก....”

“อยู่ไหน โรงพยาบาลไหน บอกผมมา”

ผมไม่รอให้อีกฝ่ายสาธยายอาการของทัพหรือทำนายอาการเหมือนหมอดูคลำทาง

ใจผมมันรุ่มร้อนไปหมด

ทัพ
ทัพต้องไม่เป็นอะไรนะ
ทัพ
ตามยังไม่ได้ขอทัพเป็นแฟนรอบที่ 52 เลยนะ แล้วทัพก็ยังไม่ตอบตกลงเลยด้วย

ในห้างสรรพสินค้า ผู้คนต่างมองกายหยาบของผมที่วิ่งอย่างสุดแรงเกิดด้วยความตกใจ

ผมขอโทษครับ แต่ผมกำลังวิ่งไปหาจิตใจของผมที่ตอนนี้หลุดลอยไปหาคนที่ผมรักมากที่สุดแล้ว

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 9
เบอร์สอง


ผมเหนื่อยเหลือเกินกับการอ่านหนังสือสอบ NL 1 ซึ่งเป็นการสอบเพื่อขึ้นคลินิกของเหล่านิสิตนักศึกษาคณะแพทย์ แถมยังต้องอ่านหนังสือรายวิชาตามบล็อคการเรียนควบคู่ไปด้วยอีก  มือกุมขมับที่เต้นตุบปูดโปนราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด  ไฟเพียงดวงเดียวจากโต๊ะในห้องพักที่หอในสว่างไสว  ความเงียบสงบแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ช่วงนี้ใกล้สอบไฟนอลของมหาวิทยาลัยแล้ว  นิสิตหอพักหลายคนเลือกที่จะขนตำราไปยังหอสมุดกลาง แล้วฝังตัวเองบนกองตำราจนถึงเวลาปิดบริการที่ขยายไปถึงเที่ยงคืนของทุกวัน   นิสิตบางส่วนก็เลือกที่จะนั่งอ่านตามม้านั่งใต้อาคารหอพัก    สำหรับผมที่คิดสวนทางกับชาวบ้าน เลือกอ่านในห้องพัก จึงได้รางวัลเป็นความสงบวังเวงในหอพัก

เสียงประตูเปิดอย่างแผ่วเบา พร้อมกับการเดินลากเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ของทัพ ผมอยากเงยหน้าทักทายมันเช่นทุกเคย  แต่เรี่ยวแรงเหือดแห้งหายไปกับการอ่านหนังสือจนหมดสิ้น

“กูซื้อข้าวมาให้”

เสียงเรียบเฉย ไร้อารมณ์เช่นเคย

“เอาแต่อ่านหนังสือ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอกมึง กินข้าวซะ”

ผมเงยหน้าอย่างเชื่องช้า เรี่ยวแรงไม่ได้ฟื้นกลับมาทันทีที่คนที่เราชอบทำอะไรให้หรอกนะ แบบนั้นมันนิยายไป เรี่ยวแรงผมก็ยังไม่มีเหมือนเดิมนั่นแหละ แค่เพียงรู้สึกว่ามีแรงจูงใจใหม่ให้กระทำการอื่นมากกว่า  สมองผมสับสนงงงวยเกินกว่าจะเค้นคำพูดเสี่ยว ๆ ที่ชอบใช้จีบมันได้อย่างเคย จึงกลายเป็นคำพูดโง่เง่าที่หลุดออกไปว่า

“เท่าไหร่อะ”

เหมือนอีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดไร้เรี่ยวแรงของผม รอยยิ้มผุดขึ้นมา พร้อมกับการเดินเข้ามาใกล้  มือทั้งสองข้างหิ้วถุงกับข้าวและถือจานชามกระเบื้องส่วนกลาง  วางทุกอย่างลงตรงโต๊ะของผม  ปิดตำราของผมแล้วเลื่อนไปไกลสุดขอบโต๊ะ ไม่พูดคำอื่นใด  หน้านิ่งมุ่งมั่น  มือใหญ่กร้านบรรจงแกะหนังยางออกจากปากถุงแล้วเทต้มจืดใส่ชาม พร้อมกับฮัมเพลงที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์  ไม่ช้านานอาหารทั้งหมดก็พร้อมให้ผมกิน 

“ฟรีแล้วกัน พรุ่งนี้วันเกิดมึงแล้วนี่”

ผมยิ้มตอบอย่างเหนื่อยล้า ก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ว่าที่แฟนซื้อมาให้ มันยังยืนอยู่ข้างผม มองผมกินเงียบ ๆ มือหนึ่งค่อย ๆ จับเล่นเส้นผมของผม เอานิ้วพันม้วนคลายสลับกันไป

“อยากได้เป็นพิเศษเปล่าวะ กูซื้อครีมนวดผมให้ดีมั้ย    มึงบอกมาเลยนะ อยากได้อะไร กูจัดให้เลย  จะย้ายหอแล้วนี่นา”

มือของทัพยังดึงรั้งตรวจสุขภาพของเส้นผมของผมต่อไม่หยุด

“หือ นี่ผมหรือรังนก ติดเป็นก้อนเลย ซื้อหวีแถมให้ด้วยดีกว่า”

ผมกินข้าวต่อด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นสั่นรัว  พฤติกรรมที่ทัพไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต  อันที่จริงผมไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำว่าจะมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับผม  แม้ใครอื่นอาจมองภาพนี้ราวกับแม่ลิงหาเห็บหมัดให้ลูกน้อย   สำหรับผมกลับเป็นความทรงจำที่งดงามมากเลย

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ด้วย ไปกินข้าวดีปะ เดี๋ยวพีกับมีนกลับมาแล้วกูจะปรึกษา ขอเซอร์ไพรซ์มึงแล้วกัน ดีมั้ย”

ผมยังกินข้าวต่อไป  กำลังวังชาที่หดหายเริ่มฟื้นกลับมาเป็นลำดับ  ความพิเรนทร์แสนเสี่ยวของผมก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

“เป็นแฟนกันปะละ ตามไม่ขออะไรมาก แค่ขอถึงเที่ยงคืนพรุ่งนี้ก็พอ”

ผมขำในความสัปดนของตัวเอง เพราะมันทำให้มือของอีกฝ่ายที่กำลังง่วนตรวจสุขภาพผมอยู่นิ่งค้าง   ทั้งห้องก้องแต่เสียงหัวเราะของผมคนเดียว  จะว่าไปก็เกือบโรแมนติคนะ   มีเพียงเราสองคน  แสงเหลืองนวลจากโต๊ะอ่านหนังสือเพียงดวงเดียวสว่างอยู่   คนเราสามารถเก็บความทรงจำไว้ได้ด้วยรูปถ่าย คลิป หรืออื่นใด แต่สำหรับผมเลือกจะเก็บความทรงจำไว้ด้วยกันมองและซึมซับบรรยากาศของมัน

เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าจับมือทัพ  มือที่หยุดค้างบนหัวของผม  ผมกำมือไว้แน่น  เอี้ยวตัวหันมาเผชิญหน้ากับทัพตรง ๆ  พยายามเปลี่ยนเป็นอิริยาบถที่ดูจริงใจและจริงจังที่สุดในชีวิต   ทัพยืน สีหน้าดูสับสน  ส่วนผมนั่ง  แม้จะนั่งบนเก้าอี้ก็เหอะ  (พยายามทำ) สีหน้าให้จริงจัง  มือของผมกุมมือของทัพแน่นขึ้น  เป็นอีกวันที่มีแต่ความแปลกมากมายเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน  เพราะทัพไม่ได้ดิ้นสะบัดปล่อยมือผมดังเช่นทุกที

“ทัพ.... เป็นแฟนกับตามนะ แค่คืนเดียวตามก็ยอม”

จริงจังที่สุดในชีวิต  และคาดหวังคำตอบที่จริงจังเช่นกัน   

แล้วเสียงทำลายความเงียบก็ดังขึ้น

“เห้ยยยยยยยยยยยยยย แดกข้าวยังงงงงง”

เป็นเสียงไอ้พีครับ  ลั่นก่อนประตูเปิดกว้างเสียอีก   ดึงสติของทัพกลับมาแรงมาก เพราะทัพกระชากมือกลับราวกับโดนไฟดูด พร้อมกับเท้าที่ถอยกรูดไปยืนอีกด้านหนึ่งของมุมห้องอย่างรวดเร็ว

“อ้าว ทัพ กลับมาแล้วเหรอ ป่ะ กินข้าวกัน ไอ้มีนรออยู่ข้างล่าง ไป ๆ”

เหมือนพันธะสัญญาของพวกเราว่าต้องกินข้าวด้วยกันทุกเย็น  นั่นทำให้เราทั้ง 4 คน มานั่งมองหน้ากันที่ร้านบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง  ตลาดหลังหอใน  ขณะที่พีกำลังพูดฟุ้งเกี่ยวกับมาตรากฎหมายยาวเหยียดที่ผมไม่อยากรับฟัง และยอมกลับไปนั่งจำหลอดเลือดทุกหลอดของมนุษย์ดีกว่า  มีนก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า

“ขอพูดอะไรหน่อยนะ”

พวกเราพยักหน้าพร้อมกัน

“พรุ่งนี้วันเกิดตามนี่ อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ปีนี้ปีสุดท้ายแล้ว”

ความเงียบปกคลุมโต๊ะของเราทันที ผมอึกอักอ้ำอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำใดพูดออกไป  เพราะถ้าผมตอบตกลงก็เท่ากับว่า ผมปิดประตูความหวังเดียวของผมทันที  แล้วอีกใจหนึ่งของผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ในเมื่อผลลัพธ์ก็คงเป็นดังเช่นทุกครั้ง

“กูมีนัดแล้วนะพรุ่งนี้ ไม่ว่างไปด้วย เป็นวันอื่นแทนได้มั้ย”


ผมไม่ได้ตอบ

เสียงจากคนข้างตัวผมต่างหาก

“อ้าวเหรอ เสียดายวะทัพ งั้นวันอังคารมั้ย กูไม่ขอวันจันทร์นะ อังคารเช้ากูสอบ ยังจำไม่ได้ทุกมาตราเลย”

ผมได้แต่หันไปมอง อึ้งระคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น 


การเดินกลับหอ อาบน้ำ จวบจนเอาร่างมาซุกซ่อนใต้ผ้าห่ม จึงเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเลือนราง  อันที่จริงผมไม่ได้อ้าปากคุยกับรูมเมตคนใดเลยต่างหาก  อย่างมากก็ตอบรับผ่านการพยักหน้าเพียงเท่านั้น


เปลือกตาผมเริ่มหนักขึ้น และผมก็คงหลุดร่วงไปสู่ห้วงนิทราหากไม่มีมือหนึ่งยื่นมาแตะไหล่ผม พร้อมกับมืออีกข้างที่เคลื่อนเข้ามาปิดปากผมไว้

“แค่เที่ยงคืนนะ กูตกลง ก็ได้...”

อีกฝ่ายตอบอย่างประดักประเดิด  แสงจากภายนอกลอดผ่านเข้ามาจนผมเห็นหน้าชัดขึ้น หน้าระเรื่อสีชมพู แสดงให้เห็นว่าเป็นการตอบรับด้วยความขวยเขินต่างหากเล่า

“งั้นพรุ่งนี้เจอกันตี 5 เลย รีบตื่นรีบออกไป เดี๋ยวพวกนี้...”
ทัพบุ้ยปากไปอีกทางของห้อง  พีที่นอนกรน เตะผ้าห่มตกพื้น เปิดพุงเกา ช่างเป็นภาพอุจาดตาโดยแท้จริง  และมีนที่นอนนิ่งตรงกลางเตียง  ใต้ผ้าห่มผืนบาง  ไม่ไหวติงราวกับเป็นมัมมี่

“งั้นกูไปนอนแล้วนะ”

ทัพไม่ได้ไปง่ายแบบนั้นหรอก ในเมื่อตกหลุมกับดักความรักของผมแล้ว

“เดี๋ยวสิ”

มือหนึ่งคว้าข้อมือทัพอย่างแน่นหนา อีกมือหยิบมือถือมาดู

“เที่ยงคืนหนึ่งนาทีแล้วอะ เป็นแฟนแล้วต้องตามใจสิ”

ทัพหันมามอง เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ราวกับกลัวว่าอีกสองคนจะตื่น สองคนนั้นนอนหลับลึกจะตายไป

“จะเอาอะไร”

“อยากกอดอะ ขอนอนกอดได้มั้ย”

ผมมั่นใจว่าโดนด่าแน่นอน แต่ก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ด้านได้อายอด คำพูดของพีลอยกลับมาในหัวผม   ไม่มีคำตอบใดจากทัพ  แต่ตัวของทัพที่แทรกมาใต้ผ้าห่มอย่างแผ่วเบาบดเบียดร่างบนเตียงหลังน้อย ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ   วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย  มีแต่เรื่องปาฏิหาริย์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น

“แค่กอดพอแล้วนะ”

แม้วินาทีเดียว ผมก็จะไม่ให้มันหลุดรอดหายไป มือที่โอบรัดทัพ  ตัวผมโถมเข้าหาอย่างเชื่องช้า กลิ่นแชมพูโชยจางตีขึ้นจมูก  จมูกผมซุกลงไปตรงผมของทัพที่ตัวเริ่มสั่นเล็กน้อย

“ไม่เคยมีแฟนเหรอ”

มีแค่การสั่นหน้าเบา ๆ จากลูกนกที่สั่นเทิ้มในวงแขนของผมแทนวจีวาจา 

“อย่างนี้ ก็นับได้ว่า ตามเป็นแฟนคนแรกสิ”

รอบนี้เป็นการขยับหน้าขึ้นลงแผ่วเบาควบคู่ไปกับการสั่นแทนคำตอบ

“รีแลกซ์ รีแลกซ์ ไม่ปล้ำหรอกนะ แค่กอด”

มือผมโอบทัพหลวม ๆ มีบ้างที่เอามือไปจับพุง

“อ้วนนะเรา”

ผมหัวเราะอย่างแผ่วเบา คนในวงแขนได้แต่พยักหน้าแผ่วเบา

“ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”

การส่ายหน้าพร้อมกับอาการสั่นอีกครั้ง  ทำไมน่ารักจังวะ  ถ้ารู้ว่าทัพจะทำตัวน่ารักแบบนี้  ผมคงทำทุกวิถีทางให้ได้ทัพเป็นแฟนมานานแล้วละ

“ชอบเราเปล่า”

“ชอบคนตัวสูง”

รอบนี้แปลกแฮะ ตอบกลับมาด้วย

“ตามสูง 178 เซนติเมตรเลยนะ”

ส่ายหัวอีกครั้ง ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้นเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเอ่ยคำใดมากกว่าภาษากาย

“180 เซนติเมตรเท่านั้น ถึงสูง”

“ไปผ่าตัดต่อขาแปบ”

เราสองคนหัวเราะกันอย่างแผ่วเบา  หน้าของทัพจึงขยับซุกเข้ามาในอกผม

“ขอ 183 เซน เลยละกันนะ หาวววววววว  สุขสันต์วันเกิดนะตาม...”

ลมหายใจที่ผ่อนคลายเป็นจังหวะบอกให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว  ผมก้มมองอีกฝ่ายที่อยู่ในวงแขน ทั้งเขินทั้งมีความสุข อยากหยุดเวลานี้ไว้  อยากย้อนเวลากลับไปสมัยเด็กตอนเตี่ยบอกให้นอนเร็ว อย่านอนดึก จะได้ตัวสูง อยากสูงอีกสัก 5 เซนติเมตร   จริง ๆ อยากบอกทัพด้วยซ้ำว่า ความสูงไม่มีผลในแนวราบนะจ๊ะ  คิดไปคิดมาก็ดีแล้วแหละที่ไม่ได้พูด  ไม่อย่างนั้นคงโดนด่าลั่นห้องแน่เลย

“ไปฝังเข็มเพิ่มความสูงดีมั้ยน้า”

ผมครุ่นคิดก่อนผล็อยหลับไป

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

แสงสีขาว กลิ่นยาลอยคลุ้ง ของโรงพยาบาล

คนข้างหน้าตัวสูงมาก แต่ผมก็ยังเอื้อมถึง หน้าตาดี ตาโต คม หล่อ เล่นกล้ามด้วย แต่สะบักสะบอมเหมือนถูกซ้อมมา   เขากำลังเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟัง

เรายืนอยู่หน้าไอซียูครับ

อีกไม่นานพีจะเดินทางมาถึง  โชคดีที่พีเลือกทำงานบริษัทในกรุงเทพฯ

จากการฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจนครบ อย่างแรกที่ผมอยากจะทำก็คือ ต่อยหน้าไอ้คนหล่อข้างหน้า ที่ชื่อว่า ปริ๊นซ์ ให้แหกอีกสักรอบ

อยากให้ดั้งงามของมันหัก ฐานที่พาทัพไปเสี่ยงอันตรายขนาดนี้

ผู้ร้ายที่แทงทัพถูกจับได้ แต่ผู้ร้ายอีกคนที่ทัพเอาปืนขู่รอดไปได้ เป็นที่มาของตำรวจสองนายที่ยืนจังก้าหน้าห้องไอซียู
เพราะเจ้าหนี้บ้า ๆ ของปริ๊นซ์ ทำให้ทัพต้องเป็นแบบนี้

“คุณตามรู้ วิธีติดต่อญาติน้องทัพมั้ย ผมพยายามถามเพื่อน ๆ ผมหมดทุกคนแล้ว ผมกับทัพเป็นคนจังหวัดเดียวกันนะครับ”

ผมรู้นะว่าเสียมารยาท ที่ผมยืนจ้องหน้าแล้วเงียบแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ คุณตามก็คงไม่มี ผมได้รบกวนเพื่อนในตราดให้ขับรถไปหาคุณพ่อกับคุณแม่ของทัพที่บ้านแล้วครับ ผมเคยไปบ้านทัพครั้งหนึ่งอยู่ พ่อกับแม่ของน้องหย่ากันนะครับ ทัพอยู่กับพ่อ”

เคยไปบ้านทัพด้วย
ทำไมกูรู้สึกมีกลิ่นตงิด ๆ วะ

“ทัพเป็นคนเข้มแข็งมาตลอด เราโตมาด้วยกัน ทัพต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ แต่คุณตามกับน้องเป็นอะไรกันเหรอครับ”

ใจอยากจะตอบว่า ว่าที่แฟนทัพในอนาคต มึงหยุดทำหน้าหล่อลอยไปลอยมาได้มั้ย แต่ก็ตอบไปว่า

“รูมเมตตอนปริญญาตรีครับ”

สุภาพเป็นลูกแมวเลยกู

“อ้อ ทัพเคยพูดถึง ผมนึกออกละครับ”

ดีใจวะ เคยพูดถึงกูด้วย   ทัพอย่าเป็นอะไรนะ

“คุณตามกลับบ้านได้นะครับ ผมรอน้องเอง”

เรื่องอะไรล่ะ กูกลับก็โง่ละ

“ไปหาอะไรทานรองท้องก่อนก็ได้นะครับ”

มึงไล่กูจังนะ

“คุณตามครับ ทัพไม่เคยบอกผมหรอกนะครับ แต่ผมอยากบอกว่า คุณเป็นคนที่สำคัญสำหรับทัพมากนะครับ ผมสัมผัสได้จากสิ่งที่ทัพเล่า ผมก็ห่วงน้องไม่แพ้คุณ ถึงห่วงแค่ไหน เราก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเราเองนะครับ ผมห่วงน้องทุกนาที   แต่ผมก็กินข้าวแล้วนะครับ คุณตามครับ เชื่อผมเถอะ”

กูเป็นคนสำคัญเหรอ

เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปบางส่วน
ทัพต้องเข้มแข็งนะ ตามก็จะเข้มแข็งเช่นกัน

“พวกคุณทั้งหมด รูมเมตของทัพ ทัพรักมากนะครับ แต่ผมขอถามอะไรบางอย่างหน่อยนะครับ”

ปริ๊นซ์หยุดคิดไปแวบหนึ่ง

“คุณตามเป็นคนไหนครับ นักมวย คนงง ๆ หรือเป็นคนที่เกือบถูกกะเทยปล้ำ”

พอเลย
ภูเขาที่เกือบออกจากอกกู กระแทกซ้ำกลับมาอีกรอบ
รอบนี้มาทั้งเทือกเขา

ไอ้ทัพ มึงเล่าอะไรไป

กูจะไปกินข้าวแน่ กูจะเก็บแรงไว้  แล้วเมื่อไรที่มึงฟื้น เราต้องคุยกันยาว ๆ เลยแหละ

“เออ... ทัพเล่าเรื่องแบบนั้นเหรอครับ ผม..”

ปริ๊นซ์พยักหน้า

“ผมเป็นคนที่จะถูกปล้ำนะครับ”

“อ้า ผมว่าแล้ว คุณตามดูดีเชียวครับ ไม่แปลกใจครับ”

ผมเกลียดวะ เกลียดหน้าที่ทำท่าเข้าใจ เกลียดที่ไม่ว่าจะอิริยาบถไหน คนตรงหน้าผมก็ยังดูดี

“ผมขอถามอะไรโง่ ๆ หน่อยนะ”

อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย   ผมถือว่าคือคำอนุญาตโดยปริยาย จึงเอ่ยปากด้วยความมึนงง

“พี่สูงกี่เซนติเมตรครับ”

อีกฝ่ายดูยืนอึ้ง ยืดตัวตรง มองผมกลับด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ตอบกลับอย่างไม่ขัดข้อง

“183 เซนติเมตรครับ”

ชัดเลย หนุ่มหล่อในฝันสินะ  ภาพของวันเกิดครบอายุ 21 ปี ของผมหวนย้อนกลับมา   ความทรงจำที่แสนงดงามบนเตียงที่หอใน   ทำไมรู้สึกหมดแรงอย่างนี้  ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว

“งั้น... ผมไปกินข้าวก่อนนะครับ”

วินาทีที่ผมกำลังก้าวออกมา   เสียงวิ่งไล่ตามโถงทางเดินยาวก็ทำลายความเงียบสงบของโรงพยาบาล

“คุณคะ นี่โรงพยาบาลนะ”

คุณพยาบาลกล่าวเตือน

“ขอโทษครับ”

พีนั่นเอง หน้าตาตื่นตระหนกเหมือนผมในตอนแรกไม่มีผิด

ผมเข้าไปกอดคอมัน แล้วพูดว่า

“ปะ มึง เดี๋ยวกูเล่า”

“เห้ย แล้วทัพ”

“เดี๋ยวกูเล่า”

เสียงย้ำอีกครั้ง พร้อมกับลากมันออกมา

พีหันมองไปทางประตูห้องไอซียู ปริ๊นซ์พยักหน้าให้พีพร้อมยิ้มแหย ๆ

“ใครวะมึง”

แม้จะงงและไม่รู้แค่ไหน พีก็ยังพยักหน้าทักทายกลับไป

-------------------------------------------------------------


(ต่อข้างล่าง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากข้างบน)

ในโต๊ะเล็ก ๆ ของร้านสะดวกซื้อที่ชั้น 1 โรงพยาบาล

“เหี้ย ยังกับในหนัง”

พีพูดออกมาทันทีที่ผมเล่าเรื่องทุกอย่างจบ

“เออ สิ กูยังอึ้งอยู่เลย ดีนะไม่ตาย ไปวิ่งรับมีดแทนคนอื่น ไอ้บ้าทัพ”

ผมกำมือ ยกต่อยซัดในอากาศด้วยความคับแค้น

“เอานะ ๆ ยังไงทัพก็ถึงมือหมอแล้ว กูเชื่อว่าหาย แต่ว่านะ...”

พียิ้มเลศนัย

“กูว่ามึงเหนื่อยแล้วละไอ้ตาม ทัพเนื้อหอมสัด”

ผมจ้องมันตรง ๆ แทนคำถาม

“หึหึ มึงไม่เคยคุยกับทัพละสิ กูจะเล่าให้เอาบุญ จำทริปสงขลาได้เปล่า”

พีพล่ามต่อทันที ที่ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

“วันรุ่งขึ้นหลังจากเล่นเกมส์ในวงเหล้า กูก็ถามมันเว้ย มึงเป็นเกย์แล้วมีคนที่ชอบยัง นี่กูตั้งใจเชียร์มึงสุดฤทธิ์เลยตามเอ๊ย มันก็ตอบกูว่าไงรู้ปะ มีแล้ว บอกด้วยนะว่าเป็นรุ่นพี่ หึหึ บอกอีกด้วยนะ ว่าคงยากที่จะบอกชอบพี่คนนั้น ขอชอบแบบนี้ต่อไปดีกว่า พี่คนนั้นเหมือนเจ้าชาย มันนะเป็นแค่สามัญชน คงไม่สมหวังหรอก”
เจ้าชายงั้นเหรอ....

“พี่เขาชื่อ ปริ๊นซ์ นี่”

มันหยุดจังหวะ

“ก็เจ้าชายนี่เนาะ เพื่อนกูน้อ จีบมาหลายปี กลายเป็นเบอร์สองซะงั้น”

มันตบหลังผมปลอบใจ ขัดกับหน้าสะใจปนสนุกสนาน

“แค่ลำพังความสูงมึงก็แพ้เขาแล้ววะ แต่กูเชียร์มึงนะ”

ไม่ได้ให้กำลังใจเลยสักนิด ไม่ได้ให้กูเลยจริง ๆ ไอ้เพื่อนชั่ว

“แล้วมึงบอกไอ้มีนยังวะ”

“ยังหวะ กูลืมคิดไปว่ามันยังอยู่กรุงเทพฯ ดันคิดว่าตอนนี้มันทำงานอยู่ที่บ้านนอก”

“ฮะฮ่า มึงตกใจมากสินะ เดี๋ยวกูบอกมันตอนเช้าเอง ว่านัดของห้องเรา ย้ายสถานที่ละ”

พียังคงเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ นับถือในสติของเพื่อนคนนี้

“แล้วหมอว่าไงวะ พรุ่งนี้มีโอกาสฟื้นมั้ย”

“กูว่ามีนะ ดูไม่ได้ร้ายแรงมาก กูว่ากูจะรอที่นี่ทั้งคืน”

“มึง ตั้งสติก่อน มึงเป็นหมอ คิดให้ดี ต่อให้ออกมาคืนนี้ ก็ยังไม่ตื่นหรือเปล่า”

“ก็จริง...”

ผมยอมรับ

“แต่ก็อยากรอ”

ความรั้นยังคงชนะ

“ฟังกู พี่ปริ๊นซ์อย่างหล่อเอาจริง มึงก็หล่อแต่มึงตาตี่ หน้าเหมือนเต้าหู้ยี้อีก มีดีแค่ขาวอะ จะสู้พี่เขาได้มั้ย มึงดูพี่เขา โทรม โดนอัด ยังหล่อเลย แล้วมึง”

ผมได้แต่ครุ่นคิดว่าสิ่งที่มันพูด คือ กำลังปลอบใจ ให้กำลังใจ หรือด่าผมอยู่กันแน่

“ไอ้จมูกบี้ มึงลองไม่ได้นอนคืนนึงสิ สภาพเหลือมั้ย ไปนอนให้ดี แต่งตัวมาหล่อ ๆ พอทัพตื่นมาให้มันร้อง ว้าว ใส่มึง ไม่ใช่ทำหน้ายี้ เหมือนดมกลิ่นเต้าหู้เหม็น”

คิดตามพีไปทีละก้าว ๆ ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดแม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง

“ทัพมันมีเหตุผล มันไม่มาดราม่าดีใจ เพียงเพราะมึงรอมันทั้งคืนหรอก มันจะด่ามึงมากกว่าถ้ามาเสียสุขภาพเพราะมัน เดี๋ยวกลับโรงพยาบาลที่ระยอง มึงได้ถ่างตาเข้าเวรแน่  ไป”

พียืนขึ้น ตบหัวไหล่ผม

“กลับ”

พวกเราเดินตรงไปที่ห้องไอซียูเพื่อบอกลาพี่ปริ๊นซ์ แต่ก็ไม่พบใครยืนรอตรงนั้น

“กูลองไปถามพยาบาลนะ”

พีเดินไปที่เคาน์เตอร์โดยไม่รอคำตอบจากผม ไม่เกินหนึ่งนาทีพี่ก็เดินกลับมา

“เขาบอกการผ่าตัดเรียบร้อย ตอนนี้อยู่ในห้องพิเศษแล้ว ไม่ต้องมึง”

ผมสะดุดขาที่กำลังก้าวไปหาทัพหยุดกึก  ผมแค่อยากเจอทัพ

“มึงรู้เหรอว่าพักห้องไหน อีกอย่างพยาบาลบอกว่า วันนี้มีตำรวจมาเฝ้า เขาไม่ให้เข้าเยี่ยมแล้ว แล้วก็...”

ท่าอึกอักจากพียิ่งชวนให้ผมหัวเสีย

“พูดมาสิมึง เงียบทำไม”

“เออ.. เขาบอกว่า มีคนนอนเฝ้าแล้ว กูว่าพี่ปริ๊นซ์นะแหละ”

‘นั่นแปลว่า เมื่อทัพฟื้น คนแรกที่ทัพเห็นคือปริ๊นซ์’

ผมยืนค้างแข็งและคงยืนอยู่เช่นนั้นอีกนาน ถ้าไม่โดนเขย่าด้วยแรงมหาศาลจากทนายความฝีปากกล้า

“เห้ย ไม่ได้ฟังกูแล้วใช่มั้ยเนี่ย  มึง มึง”

มือโบกสะบัดปัดซ้ายป่ายขวาข้างหน้า รู้สึกตัวแต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป

“ฟังกูนะตาม เราอยู่ที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีสิทธิในตอนนี้ด้วย ไปนอน ทำตัวหล่อ ๆ หาซื้อของดี ๆ มาเยี่ยมมัน แล้ว..................”

พีไม่รู้หรอกว่า คำพูดใดก็ตามของมันหลังจากนั้นไม่ได้เข้าหูผมอีกแล้ว ตั้งแต่ท่อนที่บอกว่า

‘ไม่มีสิทธิ’

คำนี้ก้องกังวาล สะท้านไปทั้งจิตใต้สำนึก

จวบจนพีขับรถพาผมมาส่งถึงที่โรงแรม ก็ยังไม่มีคำใดหลุดรอดจากปากผม

“ตาม”

“หืม ว่าไง”

เสียงถอนหายใจดังลั่นจากคนข้าง มือตบเปิดไฟขอทาง ปรับเร่งความเย็นแอร์ให้เพิ่มขึ้น ปิดวิทยุที่กำลังบรรเลงเพลงที่ผมแทบจับใจความไม่ได้  จับไหล่ผม แล้วมองเข้าไปในตาผม พร้อมพูดว่า

“มึงฟังกูนะ ทัพอาจแค่ชอบพี่ปริ๊นซ์มานานแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า ทัพจะเลือกพี่ปริ๊นซ์”

ผมพยักหน้าแบบขอไปที

“มึงไม่ได้ฟังกูด้วยซ้ำ ไอ้หมอยุงลายนี่”

มันถอนหายใจอีกครั้ง เสียงสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มันดังลั่น พีคว้าขึ้นมามอง กดตัด วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมโดยคว่ำหน้าจอ หันมาพูดกับผมต่อ

“มีนโทรมา พรุ่งนี้ 9 โมง กูจะมารับมึง ไปซื้อของให้ทัพก่อน โอเคนะ”

“อืม โอเค”

“เห้อออ ไอ้ตาม กี่โมง ไหนทวนกับกูสิ”

มันเอามือตีกลางหน้าผากตัวเองหนึ่งที

“ทำไมมึงทำราวกับว่ามึงแพ้แล้ววะ กูกับมีนเชียร์มึงมาตลอด และจะเชียร์ต่อไป แต่ถ้าตัวมึงยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง   กูสองคนก็จนปัญญา”

“อืม เก้าโมง เก้าโมง  แต่งตัวหล่อ ๆ”

พีแค่นยิ้มออกมา

“เชื่อกู   ว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่ามึงไม่เชื่อมั่นในตัวมึงเองหรอก”

-------------------------------------------------------------

คืนนั้นทั้งคืน ผมนอนไม่หลับเลย คิดแต่เพียงว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ควรวางตัวอย่างไร ใจอยากจะซัดปากปริ๊นซ์สักที ข้อหาที่พาทัพไปเสี่ยงอันตราย อยากจะวิ่งแจ้นไปยืนข้างเตียงทัพ อยากจะเฝ้ามัน อยากเป็นคนแรกที่เมื่อทัพตื่นมาจะได้เห็น  ตลอดเวลาหกปีครึ่ง ผมไม่เคยสนใจใครเลย ไม่ว่าจะหญิงหรือชายที่เข้ามาจีบผม ไม่ว่าม้าจะแนะนำผู้หญิงสวยขนาดไหนให้รู้จัก ผมก็เฉยเมย ปฏิเสธหัวชนฝา ทุกรอบไป

ผมเหมือนทีเล่นทีจริง ตลอดเวลาที่ไล่จีบทัพ  ไอ้มีนก็เคยเตือนผมว่าให้ทำให้จริงจังไปเลย ผมก็ไม่เคยทำตามที่เพื่อนแนะนำ เพราะอะไรนะเหรอ ความกลัวที่อยู่ลึกในใจผม มันแวบมาให้ผมรู้สึกเสมอว่า อาจเสียเพื่อนคนนี้ไปเมื่อไรก็ได้  ทำให้ผมปล่อยเวลาแต่ละวินาทีผ่านเลยไปบนความไม่แน่นอน
สุดท้ายแล้ว ครั้งนี้คงเป็นสัญญาณเตือนว่า สิ่งที่ผมต้องการอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

วันรุ่งขึ้น  ที่โรงพยาบาล ผมมาในร่างที่ขอบตาปรือ คล้ำดำเป็นหมีแพนด้า พีกับมีนถือของเยี่ยมไข้มากมาย ส่วนผมนะเหรอ โดยไอ้พีสั่งห้ามถือของทุกอย่าง เพราะมันกลัวว่าผมจะใจลอยจนปล่อยของหล่นพังเสียหาย

แล้วเราก็มาถึงหน้าห้องของทัพ คุณตำรวจยืนนิ่งขึง ขอตรวจบัตรประชาชนพร้อมสอบถามความสัมพันธ์กับผู้ป่วย หลังจากที่ตำรวจเข้าไปถามทัพในห้อง ก็อนุญาตให้เราเข้าไปเยี่ยมได้

ทัพนอนอยู่บนเตียง ดูหมดแรง หน้าซีดเล็กน้อย  ตาทอดมองมาที่พวกผม

“หวัดดีทุกคน”

เสียงขาดห้วง ดูเจ็บปวดมาก

“มึงไหวมั้ยวะ”

ผมเข้าไปถึงข้างเตียงโดยไม่รู้ตัว คว้าข้อมือที่มีสายน้ำเกลือของทัพมาประคองไว้อย่างทะนุถนอม

“ขอโทษนะมึง ที่รักษาสัญญาไม่ได้”

ไอ้บ้าทัพ มึงยังจะมาสนใจอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ มึงไม่ได้ลืมนัดกู มึงโดนแทง ผมบีบมือมันแน่น น้ำตาพาลจะซึมไหลออกมา ดีที่ยังกลั้นไว้ได้

“พี่ปริ๊นซ์ครับ”

ใช่สิ ผมลืมไปเลยว่ามีอีกคนที่เสนอหน้านั่งอยู่ ไอ้หน้าหล่อมารหัวใจเอ๊ย

“ผมขอแนะนำนะครับ 3 คนนี้ เป็นรูมเมตทัพ ไอ้ผิวขาวตาตี่ ชื่อ ตาม ครับ เห็นอย่างนี้เป็นหมอนะครับ ส่วนคนถัดมา ที่ดำ ๆ อ้าว พีกูขอโทษ”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อพีทำท่าเขวี้ยงกระเช้าผลไม้ใส่ทัพ

“ชื่อ พี ครับ จบนิติ ตอนนี้เป็นทนายความอยู่ ผมว่าเคสของพี่ ปรึกษาพีได้นะครับ”

เคสเหรอ มันเกิดเรื่องมากกว่าที่เล่าให้ฟังเมื่อวานสินะปริ๊นซ์

“คนสุดท้ายครับพี่ ปลัดที่เด็กที่สุดในรอบร้อยปี ผมโม้นะครับ แฮ่ ๆ”

ทัพรีบแก้คำพูด เมื่อเห็นปริ๊นซ์ทำตาโตตกใจ เอาจริง ๆ จะเชื่อก็ไม่น่าแปลกหรอก เพราะมีนหน้าเด็กมาก ยิ่งเทียบกับการเป็นปลัดยิ่งทำให้หน้าเด็กเข้าไปใหญ่

“มีน ครับพี่ปริ๊นซ์ เป็นปลัดอยู่จริง ๆ อายุเท่าผมนี่แหละ แต่มันหน้าเด็ก”

มีนยกมือไหว้พี่ปริ๊นซ์ ก้มหลังสุดแรงเหมือนนักการเมืองกำลังหาเสียง  มีมารยาทตลอดสินะเพื่อนกูคนนี้

“พี่ปริ๊นซ์เอง เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนตอนมัธยมของทัพ”

มันแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ

“ตาม...”

ทัพหันมาพูดกับผมครับ ผมดีใจที่สุดแล้ว

“...น้ำเกลือนะ จะทำให้กูอ้วนมั้ยวะ”

นึกว่าจะพูดอะไรซึ้ง ๆ เปล่าเลย กลัวอ้วน

กูผิดเองสินะที่เข้าใจ ว่ามึงจะสนใจกู

“ก็อ้วนแหละ แต่มันก็จำเป็น เสียเลือดมากนี่นา”

จากนั้นพี่ปริ๊นซ์ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนที่เล่าให้ผมฟังซ้ำอีกครั้ง รอบนี้แตกต่างจากเดิมเล็กน้อย เพราะทัพร่วมเล่ามุมมองจากฝั่งของตัวเองให้ทุกคนฟังอีกด้วย ตลอดเวลาการเล่า ผมไม่ได้ปล่อยมือที่กุมมือทัพไว้ ทัพก็ไม่ได้โวยวายอะไร ผมเลยตีเนียนกุมมือไปเรื่อย ๆ

“ตอนที่กูวิ่งไปรับมีดแทน กูคิดมาแวบหนึ่งเลยนะ กูมีปืน กูมีปืน แล้วทำไมกูไม่ยิง”

เสียงสรวลเสเฮฮาดังลั่น

“แล้วไอ้พี่โหดอะ แทงไม่พอนะ บิดมีดอีก กูนี่แบบ จี๊ดด จี๊ดดดดดดดดดดดด บรรยายไม่ถูกวะ แต่เจ็บชิบหาย”

เสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง


-------------------------------------------------------------


ผู้คนมากหน้าหลายตามาเยี่ยมทัพตลอดวัน   
ผมชื่นชมทัพมากที่ทำหน้าที่เจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่มีคนใหม่ ๆ มา   ทัพก็จะแนะนำพวกเราทุกคนทุกรอบ   ไม่มีแม้แต่น้อยที่มีคำบ่นว่าเหนื่อยหลุดรอดออกมา

“แหม... เพื่อนทัพหล่อนะเนี่ย น้องตามเป็นหมอเหรอคะ”

เพื่อนร่วมงานของทัพ ที่เป็นหัวหน้าแผนกหันมาคุยกับผม รูปร่างเป็นผู้หญิงเจ้าเนื้อ ดูใจดี

“พี่ปิ๋ม จะจีบเพื่อนผมเหรอ มันโสด จีบเลย”

ทัพหัวเราะออกมา ประสานเสียงกับไอ้พี

“แหม แหม่ แหม้ น้องทัพคะ พี่ไม่กล้าจีบหรอกค่ะ กุมมือกันขนาดนั้น แหม แหม่ แหม้”

พี่ปิ๋มทำเสียงล้อเลียนปิดท้ายอีกรอบ และนั่นทำให้ทัพคลายมือออกจากการกอบกุมของผม

“แน่ะ  พี่ไม่ล้อละค่ะทัพ ไม่ต้องห่วงเรื่องลานะ พี่จัดการให้   ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลเอามาเบิกบริษัทได้นะจ๊ะ พี่ไปละ  นี่แจนกับตุ๊ก ฝากบอกด้วยนะว่า หายไว ๆ  ส่วนน้องเล็ก บอกว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ติดอะไรจะรีบมาเยี่ยมกับธีร์  นี่พี่หนีทำโอทีมาแหละ    พี่กลับก่อนนะคะ”

ประโยคสุดท้ายหันมาบอกกับทุกคน ก่อนเดินจากไป

“มึงป๊อบวะทัพ คนมาเยี่ยมไม่ขาดสาย แล้วนี่แม่กับพ่อมึงละ”

พีเอ่ยถาม ในมือถือคุกกี้ของเยี่ยมไข้มากินอย่างเอร็ดอร่อย

“แม่บอกว่าจะมาวันอังคารนะ ส่วนพ่อคงมาถึงพรุ่งนี้มั้ง  นี่กูทำให้พวกมึงลำบากต้องมาที่นี่ปะวะ”

“ไม่หรอกมึง คุ้กกี้อร่อยวะ”

“เอ่อ ขอพูดอะไรหน่อยสิ”

“ว่ามามีน กินคุกกี้ปะ อร่อยสัด”

“ไอ้เหี้ยพี  ของเขาเอามาเยี่ยมทัพ ไม่ได้ให้มึงแดก หยุดแดกได้แล้ว”

แล้วพวกเราก็หัวเราะพร้อมกัน  เมื่อสิ้นเสียงด่าของมีน

บรรยากาศของห้อง 507 หวนกลับมาอีกครั้ง   เหมือนที่เขาบอกว่า สถานที่ไม่สำคัญเท่ากับคน   

แม้จะไม่ใช่ที่หอใน แต่ความรู้สึกดี ๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อพวกเราอยู่รวมกัน

“คืนนี้กูก็ต้องกลับต่างจังหวัดละ เสียดายจัง ไม่ได้อยู่เฝ้ามึง”

ทัพส่ายหัว

“ไม่เป็นไรมีน แค่นี้ก็ขอบคุณมากพอละ เดี๋ยวถ้ากูจะออกจากโรงพยาบาลก็ให้พี่ที่ทำงานไม่ก็พีมาช่วยก็ได้”

พีเลิกคิ้วมอง ปากยังเต็มไปด้วยคุกกี้

“เป็นค่าคุกกี้ที่มึงกินไปไง ไอ้พี”

พียักคิ้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ และก้มหน้ากินคุกกี้ต่อ

“พวกมึงกินอะไรมายัง กินขนมกูได้นะ กินเลย นี่ก็บ่ายสองแล้ว พี่ปริ๊นซ์ไปกินข้าวเที่ยงนานจัง...”

เป็นห่วงจริงนะ ปริ๊นซ์เนี่ย

“มึงเงียบนะตาม พูดอะไรบ้างสิ”

เหมือนฝันเลยครับ โดนทักมาแบบนี้

“ก็ พรุ่งนี้ก็จะกลับโรงพยาบาลแล้วเหมือนกัน”

ไม่มีคำตอบรับใด ๆ นอกจากรอยยิ้ม

“อ้าว น้อง ๆ”

เทพบุตรสุดหล่อของไอ้ทัพเองครับ

“ทานอะไรกันหรือยัง ไปกินข้าวกันก่อนได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการเฝ้าต่อเอง”

เรื่องอะไรกูจะไป กูไม่ไปหรอก

“ก็ดีนะครับ”

พีตอบกลับไป

ผมอึ้ง ทำไมพีตอบแบบนั้นวะ

“ไป ไป กลับ เดี๋ยวเย็น ๆ มาใหม่  ต้องให้ไอ้มีนไปเก็บกระเป๋าด้วย”

พียืนขึ้นจากกล่องคุกกี้ ทำหน้าอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจมาดึงแขนผมลุกขึ้น

ผมเดินออกไปด้วยความมึนงง

แอร์เย็นจากคอนโซลหน้าของรถพีเป่าหน้าผม เรียกสติ

“กูไปส่งมีนก่อนนะ”

พีพูด พร้อมกับดูกระจกส่องหลังรถ ก่อนเคลื่อนรถออก

“เดี๋ยว!!!!!!!!!!”

ผมแผดเสียงดังลั่นรถ จนเพื่อนทั้งสองหันมามองด้วยความตกใจ

“กูยังไม่ได้ลาทัพเลย กูขอไปลาก่อน แปบหนึ่งนะ”

ไม่รอคำตอบ ผมเปิดประตูรถ วิ่งปรู๊ดกลับไปที่อาคาร จนพาตัวมาถึงห้องพัก ยิ้มให้คุณตำรวจเฝ้าห้องที่ยังจำผมได้ เพราะไม่มีการตรวจบัตรแต่อย่างใด

“ผมลืมของนะครับ”

คุณตำรวจไม่ได้ตอบอะไร ก้มหัวเล็กน้อยเป็นนัยบ่งว่ารับทราบ หลีกทางให้ผมเข้าห้อง

ผมเดินเข้ามาในห้อง ตรงทางเดินที่ด้านซ้ายมือเป็นห้องน้ำ เตียงผู้ป่วยตั้งอยู่ด้านในถัดไป เสียงที่ผมคุ้นเคยลอยมา

“พี่ปริ๊นซ์ครับ ให้ผม ได้ดูแลพี่เถอะนะ คือ ผม... ผม...”

เสียงสั่นเครือปนประหม่า

“ผม.. ชอบพี่มานานแล้ว  ผมออกกำลังกายทุกวัน ผมอยากผอม ผมไปทำเลสิก ผมเปลี่ยนทุกอย่าง  ผมอยากจะดูดีก็เพราะอยากเป็นคนที่ดี ที่พร้อมเหมาะกับพี่  ผมไม่รู้ว่าผมบอกแบบนี้ไปจะได้อะไร แต่หลังจากที่ผมถูกแทง ผมรู้แล้วว่าความตายเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมาก ผมไม่อยากหายไปจากโลกนี้ โดยที่ยังไม่ได้บอกอะไรกับพี่  ผมชอบพี่”

ผมยืนค้างแข็งอยู่ตรงนั้น ไม่อาจก้าวต่อไปข้างหน้าอีกได้

“ทัพ.....”

เสียงตอบรับจากอีกฝ่ายนุ่มนวล

“ทัพยังจะชอบพี่แบบที่ทัพเคยชอบเหรอ มันผ่านมานานแล้วนะ”

“ผมไม่รู้ แต่ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ ผมยังฝันถึงพี่ตลอด  ที่สวนสัตว์ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ”

“งั้น...”

ใจผมสั่นเร่าไปด้วยเสียงคำว่า ปฏิเสธ ปฏิเสธ ปฏิเสธ สิ

“งั้นพี่ว่า เราลองศึกษากันไปก่อนมั้ย  พี่ไม่เคยรังเกียจทัพนะ”

เหมือนฟ้าผ่ากลางใจผม

“ถือว่าเป็นระยะดูใจกันไปก่อนเนาะ พี่ไม่ได้ปฏิเสธน้องนะ  พี่รู้สึกเขินนิดหน่อยวะทัพ”

ผมหันหลังกลับ เดินออกจากประตู ไม่ได้มองคุณตำรวจ ไม่มองประตู ไม่มองอะไร แว่วเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขลอยมาจากในห้อง  เท้าผมซอยถี่มากขึ้น จนกลายเป็นกึ่งวิ่ง แล้วเป็นวิ่งในที่สุด

ตลอดเวลาที่ผ่านมาของผม   การชอบทัพและคาดหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะชอบผมกลับได้กลายส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว

หากถ้าเหลือแต่เพียงการชอบที่เรายังทำได้  แต่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันที่วงจรแห่งความรู้สึกจะมาบรรจบได้

ผมควรทำอย่างไรต่อไปดี

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ก็ส-สารหมอตามนะตามเฝ้าตามจีบมาตลอดงี้ แต่พี่ปริ๊นซ์ก็เหมือนจะชอบน้องอยู่นะแต่อาจยังไม่อน่ใจตัวเองเท่าไหร่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงพอทำให้คิดอะไรได้บ้าง ตอนนี้ก็เหลอปัญหาหนี้สินนี่แหละจะแก้กันยังไง

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 10
ประตูบานใหม่

(ครึ่งแรก)



ผู้คนนานาชาติเข็นกระเป๋า หิ้วสัมภาระ  เคล้าไปกับเสียงโหวกเหวกของทัวร์จีนที่ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงประกาศของสนามบินสุวรรณภูมิ   

ณ ประตูขาออก  ชายไทย สูงกว่า 180 เซนติเมตร  ใส่เสื้อฟ้าสีฟ้าสว่าง  ลากกระเป๋าใบหนึ่งออกมา ไม่อาจคาดเดาแววตาได้เนื่องจากแว่นดำปกปิดอำพรางไว้

“เห้ยยย ไอ้ปริ๊นซ์ พวกกูอยู่นี่”

เสียงคุ้นหูที่เขาไม่ได้ยินมานานดังแหวกอากาศขึ้น

ท่ามกลางผู้คนที่รอญาติ  บริษัททัวร์รอรับลูกทัวร์  ชายสูงวัยรุ่น แต่งกายทันสมัย 3 คน กำลังยืนติดรั้วเหล็กที่กั้นบริเวณ หนึ่งในนั้นถือป้ายที่เขียนด้วยอักษรสีน้ำเงิน บนพื้นหลังสีชมพู ว่า


----------------------------
Welcome Home
PRiNCE
------------------------------


ตรงขอบด้านซ้ายล่างมีรูปวาดกระต่ายหนึ่งตัว  เคียงกับขอบขวาล่างเขียนด้วยภาษาไทยว่า “และยินดีต้อนรับเมียแหม่มของมัน”

“กูยังไม่มีเมียเว้ย”

ผมเดินเข้าไปกอดเพื่อนซี้ของผม ทุกคนดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

“มึงดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะเว้ย”

“เออจริง แมร่งนึกว่าจะหิ้วลูกหิ้วเมียมาด้วย”

“ไหน ๆ ใบปริญญาเอาให้กูดูสิ”

พวกมันรุมถาม กอด ขยี้หัวผม กันไม่หยุด  ผมยืนกลางวงล้อมโดยไม่เปล่งเอ่ยวาจาใด เพียงแค่กอดเพื่อนทีละคน ๆ   เนิ่นนาน 5 ปี ที่ผมไม่เจอหน้าพวกมัน ไม่ได้ถามไถ่กันอย่างจริงจัง  บนเครื่องผมก็หวั่นใจว่าความสนิทที่เคยมีมาของพวกเราจะเหมือนเมื่อครั้งยังเรียนมัธยมหรือไม่   เมื่อมาอยู่ในวงล้อมของพวกมันแล้ว ก็รู้ชัดแล้วว่า มิตรภาพไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

“พูดไรหน่อยดิวะ เงียบจัง”

ไอ้หมีเอ่ยขึ้น

“กู.. กูอยากกินส้มตำหวะ”

เสียงหัวเราะของพวกมัน 3 คน แผดลั่นไปทั่ว จนคนบริเวณนั้นต้องหันมามอง

ก็ผมคิดออกแค่นี้จริง ๆ นี่หว่า

“ไป ไป กูพาไปกินส้มตำ”

ไอ้ปันเอ่ยขึ้น พร้อมกับคว้ากระเป๋าลากของผมไป เหมือนกับที่ไอ้กรหยิบเป้สะพายหลังผมไปช่วยถือ

“ไอ้ปัน มันตื่นเต้นสุดแล้ว ลากกูมาตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง กูก็บอกแล้วนะว่าไฟลต์มึงนะ แปดโมงเช้า”

กรพูดอย่างติดตลก   ผมมองเรียงตัวก็เห็นขอบตาคล้ำของพวกมัน ได้แต่พยักหน้าพลาง ขำพลางกับพฤติกรรมเปิ่น ๆ ของเหล่าเพื่อนซี้

“เช้าสุดในชีวิตกูละ”

ไอ้ปันหัวเราะเคล้าคำตอบ

“แต่กูตื่นเต้นจริง ไม่เจอเพื่อนมา 5 ปี แม่งไปเรียน ไม่คิดจะกลับไทย พอกลับก็เสือกบอกล่วงหน้าวันเดียว เขาส่งไปเรียนตรี เสือกไปหาทุนเรียนโทอีกปี ดี ดี เพื่อนกูเก่ง”

“มึงก็ว่าไปนั้นไอ้ปัน  แล้วมึงจะไปไหนต่อ กลับตราดเลยเปล่า?”

“ไม่วะ กร  พ่อแม่กูย้ายมาทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ แล้ว  แต่ก็ยังมีรีสอร์ทที่เกาะช้างนะ  เห็นว่าขยายกิจการไปที่เขมรแล้วด้วย”

“เศรษฐีแล้วเพื่อนกู  กลับมาก็เป็นผู้บริหารโรงแรมใหญ่ในกรุงเทพฯ”

หมีเดินมากอดไหล่ผม  มันเป็นคนเดียวที่ไม่มีสัมภาระอะไรจากผม  มันหันมามองยักคิ้วพร้อมคุยต่อว่า

“แต่ว่า  พ่อมึงทำโรงแรมอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอวะ”

ผมนิ่งเงียบ ส่ายหัวเล็กน้อย 

“เอาจริง ๆ กูก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาย้ายมาทำธุรกิจอะไรที่กรุงเทพฯ   ช่างก่อน  กูจะกินส้มตำ  ลาบหมู   กูอยากกินน้ำพริกอ่องด้วยหวะ   แล้วก็ลอดช่อง”

ผมพล่ามถึงเมนูอาหารที่อยากกินมาตลอดเวลา 5 ปี ไปตลอดทาง

-------------------------------------------------------------


“ค้าไม้เถื่อนเหรอพ่อ”

เสียงตบโต๊ะด้วยสองมือดังแสดงความไม่พอใจและงวยงง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ยืดตัวขึ้น  สายตาท้าทายไปยังชายชราที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ  ไม่มีแววตาสะทกท้านให้เสียบุคลิกดูดีของชายชราแม้แต่น้อย  แม้ว่าลูกบังเกิดเกล้ากำลังแสดงพฤติกรรมที่ไม่สมควรก็ตาม

“พ่อคิดอะไรอยู่   แม่ครับ  ทำไมแม่ไม่ห้าม”

หญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามของปริ๊นซ์ ยืนขึ้นเล็กน้อย  เดินกรีดกรายเชื่องช้าไปยังสามี  พร้อมกับบีบไหล่ให้กำลังใจ

“เราก็ไม่อยากทำหรอกปริ๊นซ์  แต่ลูกรู้มั้ยว่าธุรกิจโรงแรมที่เกาะช้างการแข่งขันสูงมาก   พวกเราพยายามจะหมุนเงินและประคับประคองธุรกิจไว้   การยืมเงินก็เป็นส่วนหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหา   พวกเราติดหนี้เสี่ยทรัพย์...”

“พอแล้วแม่”

เสียงเย็นเฉียบของพ่อดังขึ้น

“พ่อก็ไม่อยากทำ   ปริ๊นซ์ควรรู้จักพ่อและแม่มากกว่าใครนะ  ในเมื่อมันถึงขั้นนี้แล้ว  ลูกต้องช่วยพวกเรา”

“ไม่ ผมไม่ทำ”

“ไม่ได้ปริ๊นซ์  หยุดทำพฤติกรรมแบบนั้น  พ่อจำได้ว่าไม่เคยสอนแกแบบนั้น”

ผมตัวสั่นด้วยความโมโห  ความเจ็บแปลบลามเลียจากฝ่ามือที่ถูกเล็บจิกลงไปกระจายไปทั่ว  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  บ้านผมมีหนี้โดยที่ผมไม่รู้สักนิด   พวกเขาส่งผมไปเรียนเมืองนอกเพื่อเป็นภาระของตัวเองโดยไม่บอกผมสักคำ  ไม่ถามผม  ราวกับไม่ไว้ใจในตัวผม

“อีกเรื่องที่พวกเราต้องแจ้งก็คือ  แกต้องหมั้นกับลูกสาวของข้าราชการในกรมป่าไม้  นั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะเพิ่มเส้นสายได้”

หมั้นเหรอ….

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผมกันนี่


-------------------------------------------------------------


มือหยาบกร้านของผมกำลังกุมมือเนียนละมุน   กลิ่นหอมจากยาสระผมลอยฟุ้งขึ้นตีจมูกจากศีรษะที่แขวนใบหน้ารูปไข่เอียงเองมาซบที่ไหล่ของผม

ผู้หญิงสวยที่ผมไม่ได้รัก

“ปริ๊นซ์คะ น้อยหน่าอยากไปดูกระเป๋าตรงนั้นหน่อย”

“ครับ... ไปกัน”

ผมแค่นยิ้ม พยายามปั้นหน้ารักและหลงผู้หญิงคนนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น  เธอยิ้มหวานให้ผมก่อนผละออกพุ่งตรงไปที่กระเป๋ายี่ห้อดัง

“สวยนะคะ”

“ครับ”

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี  ที่ผมหมั้นกับน้อยหน่า  คนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ 1 เดือน ก่อนงานหมั้นอันฉุกละหุก ที่มีเพียงญาติผู้ใหญ่ เพื่อนสนิท ของแต่ละฝ่ายเท่านั้น  อันที่จริงเพื่อนสนิทเฉพาะฝ่ายหญิงมากกว่า เพราะปัน หมี และกร ก็ไม่รับรู้เรื่องการหมั้นของผม
น้อยหน่าเป็นผู้หญิงน่ารัก ใสซื่อ  และถูกสอนให้อยู่ในกรอบ   เธอทำงานเป็นสัตวแพทย์ประจำสวนสัตว์ดุสิต  ตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต   แว่วว่าปีหน้าก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าสัตวแพทย์แล้ว   สำหรับผมการที่เธอเลือกเรียนสัตวแพทยศาสตร์ ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายกรอบจารีตที่บ้านเธอตีไว้ให้มากพอแล้ว  ดังนั้นการหมั้นครั้งนี้จึงไร้การต่อต้านจากเธอโดยสิ้นเชิง
ประกอบกับความหัวอ่อนของน้อยหน่าแล้ว  ก็ไม่แปลกใจอะไรที่ถูกชักจูงได้ง่าย

“ปริ๊นซ์คะ”

มือเย็นเฉียบแตะแขนผม  ปลุกผมสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง

“มีอะไรหรือเปล่าคะ  ทำหน้าเครียดเชียว”

ผมแค่นยิ้มใส่เธออีกครั้ง

“เหนื่อย ๆ นะ ที่บริษัทวันนี้มีแต่ปัญหาที่ปริ๊นซ์ต้องแก้นะครับ”

เธอยิ้มกลับให้ผม เลื่อนไปกุมมือบีบให้กำลังใจ

“สู้นะคะ ปริ๊นซ์”

เธอไม่รู้หรอกว่าผมกำลังวางแผนใหญ่ ที่กระทบต่อทุกฝ่าย  กระทบต่อครอบครัวผมและครอบครัวเธอ  ซึ่งถ้าผิดพลาดขึ้นมา เราทั้หมดอาจโดนข้อหาลักลอบค้าไม้  หรือในกรณีที่ร้ายที่สุด  ผมเองอาจถูกเก็บเลยก็ได้   

แต่ทั้งหมดคือสิ่งที่ผมตัดสินใจมาแล้ว  ผมไม่อาจยอมให้ครอบครัวผมจมอยู่กับธุรกิจมืด  ไม่อยากปล่อยให้อันธพาลที่ทำตัวเหนือกฎหมายรังควาญคนที่ผมรักได้อีกต่อไป

ผมเริ่มติดต่อตำรวจที่มีอำนาจ  ให้ข้อมูลหลักฐาน  ไล่จับลูกน้องของเสี่ยทรัพย์ได้ทีละคน  สามารถยุติการขนไม้ออกจากชายเดนเขมรได้หลายรอบ  แน่นอนว่าด้วยอิทธิพลของเสี่ยทรัพย์  การซัดทอดหรือคำสารภาพใด ๆ ของผู้ถูกจับกุมไม่สามารถกระเทือนชื่อเสียงของมันได้เลย

สิ่งที่ผมหวั่นที่สุดก็คือ  ถ้าผมยังไม่สามารถหาหลักฐานที่จะมัดตัวเสี่ยทรัพย์ได้อย่างแน่นหนาเพียงพอ  ครอบครัวของผมก็อาจตกเป็นเหยื่ออิทธิพลมืดของมันในไม่ช้า

มันเริ่มคืบคลานมาพร้อมกับความระแคะระคายของเสี่ยทรัพย์   พ่อผมถูกยกเลิกเงินกู้จากธนาคาร เงินก้อนมหาศาลที่ใช้หมุนในธุรกิจโรงแรม   ไม่ว่าพ่อจะหันหน้าไปทางไหนก็ดูมืดมนอับจนซึ่งหนทาง

ความระหองระแหงระหว่างผมกับน้อยหน่าก็ปะทุขึ้นไล่เลี่ยกัน   เธอไม่อาจทนได้ที่ผมมีความลับมากขึ้น  ผมเริ่มปฏิเสธการออกไปเที่ยวกับเธอทุกครั้งที่ผมต้องคอยส่งข้อมูลเกี่ยวกับการตัดไม้ให้กับสายตำรวจ   ผมไม่อยากให้น้อยหน่าต้องตกอยู่ในอันตราย   จากความไม่เข้าใจนั้น จึงก่อตัวเหมือนคลื่นใต้น้ำ  เริ่มจากโทรหาผมทุกวันว่าทำอะไรอยู่  พัฒนาเป็นโทรหาผมแทบทุก 3 ชั่วโมง   จนกลายเป็นแทบทุกชั่วโมง   น้อยหน่าคนที่มองโลกในแง่ดีได้ตายจากผมไปแล้ว 

ท้ายที่สุด  วันที่พ่อถูกฟ้องล้มละลายก็มาถึง

“ปริ๊นซ์ หนีไปลูก  เรื่องไม่ดีต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ”

แม่พูดทันทีที่เราทราบเรื่องล้มละลาย   กุญแจรถถูกยัดเยียดใส่มือผม  พร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบที่ภายในบรรจุอะไรไว้ผมก็ไม่อาจทราบได้   และนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เจอหน้าแม่   สำหรับพ่อ  ผมไม่เจอท่านมาหลายวันแล้ว  ไม่รู้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง

ทั้งพ่อ แม่ และน้อยหน่า  ทุกคนต้องอยู่ในภาวะแบบนี้ สาเหตุทั้งหมดมาจากผม  ผมเองคนเดียว

ผมขับรถออกมาจากบ้าน  บนถนนที่ไร้รถ  ความมืดของยามราตรีเริ่มทอดตัวมาแทนที่แสงอาทิตย์ที่โรยรา   ผมยื่นมือซ้ายรื้อค้นของในเป้ที่แม่ยื่นให้   เสื้อผ้า  เงินสดจำนวนหนึ่ง คะเนแล้วน่าจะไม่เกิน 5,000 บาท  แล้วมือผมก็ไปแตะโดนความเย็นเยียบของโลหะ 

“ปืน”

ท่อนโลหะสีดำในมือของผม  ประกาศชัดถึงอานุภาพการทำลายล้างของมัน

เปรี้ยง 

กระจกข้างรถฝั่งคนขับ หักหลุดทันที   เมื่อสิ้นเสียง
รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง  คนขี่สวมหมวกันน็อคเต็มใบ เหมือนกับคนซ้อน  ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นใคร  แต่ปืนที่อยู่ในมือของคนซ้อน  ช่วยเติมคำตอบในช่องว่างของความสงสัยผมได้อย่างพอดิบพอดี

“ไอ้เสี่ยทรัพย์”

เข็มมิเตอร์ความเร็วรถที่เพิ่มขึ้น  พร้อมกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ไล่ตามรถผม   ผมต้องสลัดหลุดให้ได้  ถ้าไม่ได้ อาจหมายถึงชีวิตของผม

ปืนยังกระหน่ำยิงต่ออีก 3 นัด 

โชคยังดีที่ผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร  รถยนต์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจนไม่อาจขับต่อไปได้   มือปืนยังขี่ไล่ตามผมอย่างไม่ลดละ   แล้วเรื่องที่บ้าที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมก็อุบัติขึ้น

ผมเบรกทันที  ไม่มีการประวิงเวลาคิดต่อแต่อย่างใด   

มือปืนผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองที่ขับมาด้วยความเร็วสูงก็กระแทกกับหลังรถผมที่หยุดกะทันหันทันที คนซ้อนลอยกระเด็นไปอีกทาง  สำหรับคนขี่ผมไม่อยากลงไปเห็นสภาพของมันมากนัก 

ผมหยุดหอบหายใจ  เปิดกระจกรถ  หยิบปืนที่แม่ให้ขึ้นมา  โยนมันเข้าพงหญ้าไปไกลสุดสายตา   จึงขับรถต่อปีอีกเล็กน้อย    ใกล้เขตเมืองมากขึ้น   ผมตัดสินใจจอดรถไว้  เมื่อเดินไปดูหลังรถก็พบรอยบุบขนาดใหญ่และเลือดที่กระจายอยู่   ไม่แปลกใจที่ชาวบ้านแถวนี้มองมาทางผมด้วยสายตาหวาดกลัว

“ไปอนุสาวรีย์ชัยครับ”

ผมบอกรถแทกซี  พร้อมกระโดดขึ้นโดยไม่รอคำตอบจากคนขับว่ายอมไปส่งผมหรือเปล่า   เสียงถอนหายใจลั่นจากคนขับแสดงถึงความไม่พอใจ  แล้วรถก็ขับออกไป

แรกสุดผมอยากไปหาน้อยหน่า  แต่ก็เกรงว่าผมจะทำให้ครอบครัวของเธอตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

ผมจึงใช้เงินเกินครึ่งหมดไปกับค่าโรงแรม และอีกครึ่งก็ร่อยหรอไปจากความสะเพร่าของผม ที่ปล่อยให้ใครไม่รู้ล้วงเอาเงินที่เหลือไป   ท้ายที่สุดผมก็เจอกับทัพ  คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยผม


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



 “ขอโท...”

เลือดไหลจากปากแผลทัพ  พร้อมกับปากพะงาบที่พยายามสื่อสารบางอย่าง

เสียงกรีดร้องจากน้อยหน่าดังลั่นไปทั่ว

ผมเตะซ้ำไปที่โจรคนที่แทงทัพ  มันกำลังดิ้นทุรนทุรายจากแผลการถูกยิงที่ทัพทิ้งไว้ให้มัน   โจรอีกคนมองซ้ายมองขวา  มองมาทางผม  มองมาทางเพื่อนของมัน  สุดท้ายมันก็ผลุนผลันหนีออกไป

“น้อยหน่า  เรียกรถพยาบาลลลลลลลลล”

ผมตะโกนอย่างสุดเสียง ปลุกน้อยหน่าจากความตกใจกลัว  เธอปรี่ไปที่โทรศัพท์บ้านแล้วติดต่อสื่อสารทันที

น้ำตาเริ่มเอ่อไหล่จากตาของผม   ประคองน้องขึ้นมาด้วยความกลัว  ลมหายใจยังรวยริน  ผมเอามือแตะมีดนั้น  นึกได้ว่าห้ามดึงมีดออกจึงได้แต่กดบาดแผล  เป็นการห้ามเลือดไว้

“ทัพ ทัพ ตื่น  อย่าหลับ”

-------------------------------------------------------------


รถพยาบาลวิ่งแหวกอากาศ พร้อมกับเสียงหวอสนั่นลั่นไปทั้งถนน  สัญญาณชีพของทัพถือว่าปกติ จากคำบอกเล่าของบุคลากรทางการแพทย์  ผมนั่งอยู่บนรถคันนั้นกุมมือทัพที่หมดสติ   คิดต่าง ๆ นานา ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด  แม้ค่อนข้างมั่นใจว่าทัพต้องปลอดภัยก็ตาม

รถพยาบาลอีกคันที่ขับไล่ตามมาติด ๆ มีน้อยหน่าและคุณพ่อคุณแม่บนรถ  รถพยาบาลคันถัดมามีโจรที่ทัพยิงนอนอ่อนแรงพร้อมกับตำรวจหนึ่งนายที่ขึ้นมาดูแลความเรียบร้อย  ท้ายสุด คือ รถตำรวจที่ทัพได้โทรเรียกไปตอนแรกขับตามมาปิดท้ายขบวนพร้อมกับโจร

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก  ทั้งจังหวะที่บุรุษพยาบาล 2 คน ช่วยกันยกทัพขึ้นเตียงฉุกเฉินแล้วเลื่อนพาร่างของทัพเข้าห้องไอซียู  ฉากต่าง ๆ ในหนัง  ทั้งคุณพยาบาลที่พุ่งตรงมาห้ามผมและให้รอที่หน้าห้องไอซียู   ทั้งคุณตำรวจที่เทียวกันมาสอบถามและสอบสวนผม  กระจายกำลังเฝ้าหน้าห้องไอซียู   

เป็นเวลาหลายชั่วโมงหน้าห้องไอซียู  ท้องผมร้องประท้วงถึงอาหารที่ไม่ตกถึงท้องมาหลายชั่วโมง   แต่สมองกลับสั่งการระงับไม่ให้ความหิวมีอิทธิพลเหนือกว่า  ผมจึงได้แต่นั่งเฝ้ารอในมือกุมโทรศัพท์มือถือทัพที่เงียบสนิทไร้ข้อความ

“ทำแผลหน่อยมั้ยคะ”

คุณพยาบาลเดินเข้ามาถามผม  ผมพยักหน้าแล้วเดินตามเธอไป

“คุณพยาบาลทราบมั้ยครับว่าคนไข้ที่ชื่อวิริยาภรณ์อยู่ห้องไหน”

ผมเอ่ยถามหลังจากผ้าพันแผลแผ่นสุดท้ายแปะลงบนแก้มของผม

“คุณวิริยาภรณ์ อ้อ  คนไข้ที่มากัน 3 คน พ่อแม่ลูก ใช่มั้ยคะ”  ผมพยักหน้าเป็นการยืนยันคำตอบ  “ตอนนี้อยู่ห้องพิเศษ 215 ค่ะ  เดินออกไปด้านหน้า เลี้ยวซ้าย ห้องสองเลยค่ะ”

ผมก้มหัวขอบคุณแล้วเดินออกมา  พาตัวเองมายืนหน้าห้อง 215  ตำรวจหนึ่งนายยืนหน้าห้อง 

“อ้อ คุณนั่นเอง  จะเข้ามั้ยครับ”

“ไม่ดีกว่าครับ”

ผมส่ายหัว ผมไม่กล้าสู้หน้าเธอหรอก ทำได้เพียงยืนอยู่หน้าห้องแล้วมองลอดเข้าไปในห้อง  เห็นน้อยหน่าโวยวายอยู่บนเตียง กรีดร้องด้วยความกลัว  พยาบาลหลายคนพยายามจับตัวเธอให้นิ่งบนเตียง  เพื่อให้คุณหมอสามารถฉีดยาให้เธอได้อย่างสะดวก  ไม่ช้านานหลังจากการฉีดยา  น้อยหน่าก็สงบลงแล้วหลับตานอนไป

“ผมคาดว่า คงเกิดอาการประสาทหลอนจากการโดนจับตัวหลายวันนะครับ”

คุณหมอแจงรายละเอียดทันทีที่ก้าวออกจากห้อง

“ผมเชื่อว่าอาการจะหายไปในไม่ช้า  ญาติผู้ป่วยก็สามารถช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาได้นะครับ  พรุ่งนี้เช้าลองเข้าไปคุยกับเธอหน่อยก็ดี”

ผมยืนนิ่งอึ้งอยู่นานหลายนาที  และคงยืนอยู่เช่นนั้นต่อไปอีกนานหากโทรศัพท์มือถือไม่สั่น

โทรศัพท์มือถือของทัพ แจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้ามา  อ่านจากเนื้อความระบุได้ว่า  เย็นนี้ทัพต้องมีนัดกับใครสักคน ซึ่งคนนั้นก็คงไม่ได้รอทัพแล้ว   

“กร  กูเองนะ มึงอยู่ตราดใช่ปะ  ...”  ผมต้องจัดการเรื่องทัพด้วยสินะ  “ฟังกูนะ เออ อย่าเพิ่งถาม  เดี๋ยวกูค่อยเล่าว่ากูหายไปไหน” 

เพื่อนผมโวยวายไม่เว้นช่องไฟ ให้ผมพูดแม้แต่น้อย  ตั้งแต่พ่อผมโดนฟ้องล้มละลาย  ผมต้องหนีมือปีนหักซุกหัวซุนโดยไม่รู้ว่าพ่อและแม่ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง  โทรศัพท์มือถือก็ถูกปิดมาโดยตลอด 

“ทัพ มึงจำน้องได้ใช่มั้ย   เออ ที่อ้วน ๆ นะแหละ ที่กูสนิทด้วยนะแหละ  น้องเขาโดนแทง”  เสียงโวยวายดังออกมาจากปลายสาย “ฟังก่อน  กูอยากให้มึงช่วยขับรถไปที่บ้านน้องทั้งบ้านพ่อและแม่  มึงจำได้ใช่มั้ย   เออ  ขอบคุณมาก  ฝากด้วยนะ”

อย่างน้อยผมก็โล่งใจได้ว่า ทัพจะไม่เดียวดาย   เพียงมีสักคนรับรู้แล้วมาเยี่ยมหา   ก็น่าจะเป็นกำลังใจที่เพียงพอแล้ว
โทรศัพท์สั่นอีกครั้ง  ไม่ได้สั่นจากเครื่องของผม  แต่เป็นของทัพ


ตาม

หน้าจอแสดงชื่อนี้  ไม่มีคำนำหน้า  ไม่มีสร้อยคำ  น่าจะเป็นรุ่นเดียวกับทัพ  ผมกดรับพร้อมเสียงไม่คุ้นหูที่มีความร้อนใจและความตลกผสานอยู่ด้วยกัน

“ไอ้ทัพ มึงหายไปไหน กูรอตั้งนาน ไอ้บ้า ปกติมึงไม่ใช่คนแบบนี้นะเว้ย”

“คุณตามครับ”

มันคือสิ่งที่เป็นทางการสุดที่ผมนึกได้ ณ ตอนนั้น  ได้ผล  อีกฝ่ายเงียบสนิท เปิดโอกาสให้ผมเนิบนาบสนทนาต่อ   “ฟังผมให้ดีนะครับ”   

ความแน่วแน่ตั้งใจฟังจากอีกฝ่ายแผ่ซ่านผ่านสัญญาณโทรศัพท์จนผมสัมผัสได้

“ตอนนี้ทัพอยู่โรงพยาบาล น้องเขาถูกแทงครับ ผมติดต่อใครไม่ได้เลย โทรศัพท์ปลดล็อคไม่ได้ ผมรอให้ใครสักคนโทรมา จนคุณตามโทรมานี่แหละครับ คุณตามครับ ยังอยู่มั้ยครับ”

ความเงียบปกคลุม  จนผมไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อได้อีก   ตามอาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของน้อง  ผมไม่ได้อัพเดตชีวิตความเป็นอยู่ของทัพมากนักในช่วงหลัง  คิดจนหัวระเบิดก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อ  ได้แต่เล่าอาการของทัพเท่าที่สังเกตเห็น

“แต่ผมเชื่อว่าทัพไม่น่าเป็นอะไรมาก....”

“อยู่ไหน โรงพยาบาลไหน บอกผมมา”

คำถามรัวเป็นชุด จนผมไม่รู้จะเริ่มตอบคำถามไหนก่อน  ลึก ๆ ในใจก็โล่งใจที่น้องชายของผมนี้มีเพื่อนคนอื่นที่รักและห่วงใย นอกจากน้องบอส   ฉับพลันทันที ความรู้สึกโหวงก็ปรากฏขึ้นมา  ความรู้สึกที่ผมจับทางไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร

-------------------------------------------------------------



****
ผมไม่ค่อยมีเวลามาเขียนนะครับ
แล้วก็มีข้อติชมอะไร สามารถให้ได้นะครับ
ขอบคุณมากเลยครับ

ช่วงต้นเรื่อง จะอืดพอสมควรนะครับ
หลังจากนี้เรื่องจะดำเนินเร็วกว่านี้แล้ว

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 10
ประตูบานใหม่

(ส่วนหลัง)


หนุ่มตี๋ ตาตี่  แต่งตัวดูดี  ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงจากการวิ่งด้วยความรีบร้อน  มือสองข้างกำลังกุมเข่าหอบดูดอากาศ  ก้มตัวงอลงด้วยความเหนื่อยตัวโยน  แต่ศีรษะเงยมองจ้องเขม็งมาที่ผมอย่างพิจารณา

“เออ คุณตามใช่มั้ย”

ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก   ก็ดีมั้ง   จะได้เล่าต่อทีเดียวให้จบ

“ตั้งใจฟังผมให้ดีนะครับ เรื่องเริ่มจาก...”

หลังจากผมเล่าเรื่องทุกอย่างจบ  ตาของเขาดูแข็งกร้าวขึ้น  กล้าพูดได้เลยว่า  เขาพร้อมจะต่อยหน้าผมได้ทุกเมื่อ  และเมื่อพิจารณาถึงความเงียบสนิทที่เขามอบให้ผมตลอดการเล่าเรื่อง  พลอยทำให้ผมสงสัยมากขึ้นไปอีกว่า  ทัพกับตาม  สองคนนี้เป็นอะไรกันกันแน่

ตามยังจ้องหน้าผม

ราวกับว่าเขาถูกโปรแกรมมาให้ฟังผมโดยเฉพาะ

“ทัพเป็นคนเข้มแข็งมาตลอด เราโตมาด้วยกัน ทัพต้องไม่เป็นอะไรแน่นอนครับ”  เอาตามตรงเลยว่า  ความอยากรู้มันเอาชนะมารยาทผู้ดีที่ผมถูกสอนมาแต่เด็กเสียหมดสิ้น  ไอ้ตามคนนี้เป็นอะไรกับทัพกันแน่ “แต่คุณตามกับน้องเป็นอะไรกันเหรอครับ”

“รูมเมตตอนปริญญาตรีครับ”

เหนือความคาดหมายผมที่เขาตอบกลับ   

เหนือกว่าเหนือความคาดหมาย คือ  ตามสุภาพและมีเสียงที่น่าฟังมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก

“อ้อ ทัพเคยพูดถึง ผมนึกออกละครับ”

คงเป็นรูมเมตสักคนที่ทัพเล่าให้ฟังวันนี้

“คุณตามกลับบ้านได้นะครับ ผมรอน้องเอง”

คงไม่อยากไปสินะ  มองปราดเดียวไปยังภาษากายที่ตามแสดงออกมาผมก็พอได้คำตอบแล้ว  ไม่มีประโยชน์ที่จะทัดทานคนที่มีแววตามุ่งมั่นแบบนี้

“ไปหาอะไรทานรองท้องก่อนก็ได้นะครับ”

แล้วความเงียบชวนอึดอัดก็เหมือนเมฆดำที่เคลื่อนเข้ามาปกคลุมเราสองคนอีกครั้ง

“คุณตามครับ ทัพไม่เคยบอกผมหรอกนะครับ แต่ผมอยากบอกว่า คุณเป็นคนที่สำคัญสำหรับทัพมากนะครับ” หยุดหายใจหนึ่งครั้ง  ทำไมผมรู้สึกว่าแววตาของไอ้หมอนี้ดูมีประกายประหลาดวะ  ผมไม่ชอบเลย “ผมสัมผัสได้จากสิ่งที่ทัพเล่า ผมก็ห่วงน้องไม่แพ้คุณ ถึงห่วงแค่ไหน เราก็ต้องรักษาสุขภาพตัวเราเองนะครับ ผมห่วงน้องทุกนาที   แต่ผมก็กินข้าวแล้วนะครับ คุณตามครับ เชื่อผมเถอะ”

เป็นเรื่องโกหกที่สุดในโลกก็ว่าได้  กินข้าวแล้วเหรอ....  แค่น้ำสักหยดก็ยังไม่อยากดื่มเลย   ถ้าผมจะสามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อไถ่ถอนโทษและความผิดทั้งมวลที่ก่อ  ผมก็จะทำ  ทว่าตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมนึกได้คือ  ผมจะยืนรอหน้าห้อง  รอจนกว่าทัพจะออกมา  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ไม่ว่าผมต้องรออีกนานแค่ไหน  ผมก็จะยืนรอ

อีกฝ่ายมีแววตาอ่อนโยนเล็กน้อยเมื่อผมพูดชื่อทัพออกมา  เราคุยกันอีกนิดหน่อย  แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่วิ่งมาด้วยความรีบร้อนไม่ต่างจากเขาในตอนแรก

น้องทัพมีเพื่อนที่รักและห่วงใยเพิ่มมาถึง 2 คน ผมก็ดีใจแล้วละ  หน้าที่พี่ชายที่คอยปกป้องน้องตัวอ้วนที่มักโดนรังแกก็คงไม่จำเป็นอีกแล้วละ

ผมยิ้มให้กับรูมเมตของทัพที่เดินจากไปได้สักพัก  ประตูห้องไอซียูก็เปิดออก  คุณหมอในชุดผ่าตัดก้าวออกมาจากห้อง
“ญาติคนไข้ที่ถูกแทงใช่มั้ยครับ”  ผมพยักหน้ารับ  “ปลอดภัยดีนะครับ  สามารถย้ายเข้าห้องพักได้เลย  ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

ผมยิ้มออกมา อย่างน้อยน้องก็ปลอดภัย


-------------------------------------------------------------


“พี่ปริ๊นซ์ ผมขอโทษ  พี่ปริ๊นซ์”

รอบที่ 5 แล้วสินะ ที่ทัพละเมอขอโทษผม  มือผมที่กุมมือน้องแน่นหนาขึ้นกว่าเดิม  ไร้ประโยชน์  ไม่ว่าผมจะกุมมือนานเท่าใดก็ไม่สามารถช่วยทัพให้ผ่านพ้นฝันร้ายไปได้เสียที

“แม่จ๋า พ่อจ๋า ทัพอยากกลับบ้าน”

แล้วน้องก็หลับไปอีกครั้ง


-------------------------------------------------------------


“ปริ๊นซ์จะไม่บอกเราใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

เธอยืนหันหลังให้ผม  ไหล่สั่นเทิ้ม  มือที่ปล่อยข้างลำตัวกำแน่น 

“มีอะไรก็พูดมาสิ  บอกเรามา   มีคนอื่นก็พูดมา”

ร่างบางสั่นหนักกว่าเดิม  เสียงสะอื้นไห้ที่ปนมากับคำพูดเริ่มกรีดแทงใจผม   ผมควรปลอบเธอ   แต่แค่คิดจะยื่นมือเพื่อนประโลมปลอบผมก็ยังไม่กล้า

“ถอนหมั้นเลยก็ได้นะ  ยังไงทุกวันนี้ก็เหมือนคนไม่รู้จักกันอยู่แล้ว”

เธอค่อย ๆ หันมาเผชิญหน้า   ตาบวมแดงกำลังจ้องผมอยู่ทั้งความน้อยใจ  ความโกรธ  ความไม่เข้าใจ  สารพัดความรู้สึกที่ปนกันอยู่

เลือดไหลซึมจากกำปั้นน้อยที่เล็บคงจิกเนื้อ

ผมคว้าข้อมือเล็กมาด้วยอารามตกใจ  เงยหน้ามองเธอ

“เราอยากตาย”

ตาปูดแดงดวงโตจ้องเขม็งมาที่ผม

“น้อยหน่า”

ผมตะโกนลั่นห้อง  ข้างเตียงทัพที่กำลังหลับสนิทในโรงพยาบาล  มือผมยังกุมมือน้องอยู่ไม่ได้คลายออกตลอดคืน   
ตลกที่ว่าผมพยายามจะทำให้น้องไม่ฝันร้าย  กลายเป็นว่าฝันร้ายมาเยือนผมเสียแทน

แสงแดดลามเลียจากช่องหน้าต่าง  มู่ลี่นิ่งสนิทถูกเปลี่ยนทิศทางเพื่อกันแดด  ผมจ้องกลับไปที่ทัพ  คิดถึงฝัน  ชั่งใจทุกอย่าง   แต่เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ก็ดังทำลายสมาธิผมเสียกระเจิง

“ว่าไงกร”

“กูติดต่อพ่อแม่น้องได้แล้วนะ  เมื่อคืนกูไปถึงหน้าบ้านทั้ง 2 หลัง  ปิดสนิท  กดออดก็ไม่มีคนมา  เลยมาตอนเช้าแทน  เพิ่งคุยเมื่อกี้เลย   คุณพ่อน้องบอกว่าจะเดินทางมาพรุ่งนี้  ส่วนคุณแม่น้องบอกว่า ไปวันอังคาร  เพราะวันจันทร์มีงานตรวจประเมินของที่ทำงาน  คุณแม่น้องเป็นหัวหน้างานนะ”

“อืม ๆ”

ผมรีบเบรกกรก่อนที่มันจะพล่ามยาวไปไกล

“ขอบคุณมากมึง”

ทรุดตัวลงนั่งตรงโซฟาในห้อง  ความต้องการขั้นพื้นฐานของร่างกาย นั่นคือ ความหิว  ก็พร้อมใจกันส่งสัญญาณบอกผม  เสียงโครกครากจากท้องผมลั่นไปทั่ว

“พี่ปริ๊นซ์”

เหี้ย  เสียงท้องกูดังขนาดนั้นเลยเหรอ

ทัพเอียงหัวมองมาทางผม

“พยุงหน่อย”

ขอเพียงส่งเสียงมา 
จะไปหา ไปในทันใด ไปยืนเคียงข้างเธอ ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ


เพลง “ด้วยรักและผูกพัน” ของพี่เบิร์ด แล่นแวบในหัวผม พร้อมกับตัวผมที่ปรี่ไปถึงเตียง ช่วยพยุงน้องขึ้นมาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน

“ผม....”

“หิวน้ำหรือเปล่า  กินน้ำก่อน”

เกมส์จ้องตาของผมกับน้องเริ่มขึ้น มีเสียงดูดน้ำจากหลอดของทัพเป็นเสียงประกอบฉากหลัง  ตามด้วยเสียงวางแก้วน้ำ  ลากเก้าอี้  และเสียงทิ้งตัวลงนั่งของผม

เรายังจ้องตากันอยู่

“คือ ผม....”

“ทัพ พี่...”

ถ้าเป็นรถยนต์ก็ประสานงาตายคาถนนไปแล้ว

“เออ คือ...”

“พี่...”

ผมกับน้องตายซ้ำสองไปแล้วเรียบร้อย

“ผมขอพูดก่อน”

“ทัพ พูดก่อนเลย”

ประสานงากันอีกรอบ   ยังดีที่เห็นตรงกัน   จะได้ไม่ต้องมาเกี่ยงกันให้เสียเวลาไปอีกรอบ

“พี่รู้แต่เมื่อไหร่อะ  ว่าผมไม่ใช่พี่เมฆ”   ผู้ชนะในการแข่งเกมส์จ้องตา ก็คือ  ปริ๊นซ์ เองครับ  ทัพลบตามก้มต่ำลงไปแล้ว  “ผมขอโทษครับพี่ปริ๊นซ์”

อยากเอามือลูบหัวเหมือนตอนเด็กเหลือเกิน  แต่เหมือนว่ามีคีมเหล็กล็อคแขนผมไว้   เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานมันทำร้ายสัมพันธภาพของเราสองคนให้เกือบตายสนิท

“เออ....”

“พี่อย่าเกร็งสิ  ผมเกร็งตามนะ”

“ก็ตั้งแต่ที่ไปซื้อเสื้อผ้านะแหละ  จริง ๆ ก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้ว”

“ผมขอโทษครับ”

“พี่ต่างหากที่ต้องพูดคำนั้น”

“ผมต่างหาก”

“พี่ต่าง...”

“พอครับพี่ปริ๊นซ์   ไม่มีใครผิดทั้งนั้น  โอเคมั้ย”

หน้าท้าทายของทัพจ้องกลับมาที่ผม   ทัพยังเถียงเก่งเหมือนเดิม   ความรู้สึกเดิมที่ผมคิดถึงเริ่มเอ่อออกมาจากความทรงจำที่ดิ่งลึก  เหมือนน้ำที่ผุดรินจากตาน้ำอย่างเชื่องช้า

รู้ตัวอีกที  มือผมก็กำลังลูบหัวของน้องอยู่ 
ทัพหน้าแดงเหมือนเช่นเคย  ใบหน้าที่เคยอ้วนกลม  แก้มนิ่มน่าหยิก  บัดนี้กลายเป็นหน้ารูปไข่ธรรมดา  แก้มตอบเล็กน้อย ใบหน้าอิดโรย   

“แก่ลงเยอะนะเรา”

แก้มน้องยังนิ่ม  มือผมที่วางอยู่บนหน้าน้องต่างหากที่กระด้างไปหมด

“ก็หลายปีแล้วอะพี่ปริ๊นซ์”

ทำไมผมรู้สึกแปลกไปจากเดิมวะ   เหมือนดาราที่ลืมบทพูด  ผมต้องต่อบทอย่างไรต่อละ  หลังจากฉากมือผมที่ค้างอยู่ที่แก้มชมพูของทัพ   แล้วมันต้องยังไงต่อ  ต้องทำยังไงต่อ

เดชะบุญกระมัง   เสียงประตูเปิด

คุณหมอและพยาบาลเดินเข้ามา  ผมจึงสามารถชักมือออกจากแก้มน้องเนียน ๆ ได้อย่างไม่น่าเกลียด

คุณหมอถามไถ่อาการ  ตรวจสอบแผล  ประเมินระยะเวลาในการรักษา  ซึ่งโดยภาพรวมถือว่าทัพยังโชคดีที่มีดเฉียดอวัยวะสำคัญไปนิดเดียว  ไม่กี่วันก็คงออกจากโรงพยาบาลได้   แค่ต้องงดใช้แรงหนัก   คุณหมอย้ำเลยว่า  ให้หยุดออกกำลังกายไปก่อน  (ซึ่งผมเห็นหน้าเหี่ยวของทัพได้อย่างชัดเจน)  แล้วคุณหมอกับพยาบาลก็ออกไป

“พี่ต้องเล่าให้ผมฟังทุกเรื่องนะ  เล่ามา”

น้องโตขึ้นจริง ๆ แฮะ  จนผมรู้สึกกลัวน้องขึ้นมาจับใจ

แล้วช่วงเช้าของผมทั้งหมด  ก็หมดไปกับการเล่าประวัติชีวิตตัวเอง ตั้งแต่ไปเมืองนอกจนถึงวันที่เจอน้องตรงสถานีรถไฟพญาไท

“โอโห  พี่ปริ๊นซ์  มหากาพย์ชัด ๆ”

“เออ  มากกว่านี้ก็ลอร์ดออฟเดอะริงละ”

ผมพูดติดตลก  ได้ผล มุกผมยังไม่ฝืดไปสำหรับทัพ

“ฮะฮ่า ครับ ๆ โอ๊ย เจ็บ”

“เฮ้ยย  พี่ขอโทษทัพ”

มือของทัพโบกป้ายไปมา 

“ไหวพี่  แล้วพี่จะเอาไงต่อ  สู้คดีสิ  หลักฐานพี่ก็เก็บรวบรวมไว้เยอะนี่ครับ  ผมมีเพื่อนที่สามารถช่วยพี่ได้นะครับ”  ทัพเอามือจับแผลอีกรอบ  “ผมคงพูดมากไป”  น้องขยับตัวเลื่อนลงพร้อมนอน  ผมรีบค่อยไปช่วยแต่ก็ถูกปฏิเสธ

“ผมต้องลองทำด้วยตัวเองก่อนพี่  ถ้าพี่ไม่อยู่ขึ้นมา  จะทำไงละ  ผมไม่ได้เป็นง่อยนะ”

“งั้นพักซะหน่อยเหอะ”

“เห้ย ไอ้ทัพ”

เสียงแผดลั่น  คน 3 คน เดินเข้ามาในห้อง  ผมคุ้นหน้าอยู่หนึ่งคน คือ ตาม นั่นเอง  ไม่สิอีกคนก็คือ เพื่อนของหมอตาม
เป็นไปได้ว่าทั้งหมด คือ รูมเมตตอนปี 1 ของทัพ

หมอตามดูหน้าเครียดมากกว่าเมื่อวาน  แล้วจ้องมองผมด้วยสายตาเคียดแค้นตลอด  ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อเขาเดินเข้าไปกุมมือทัพทันทีที่เข้ามาถึงตัวน้อง

ตลอดเวลาการคุยของพวกเรา เริ่มจากการแนะนำตัว  จนถึงตอนนี้  ผมยังไม่เห็นว่าเขาจะยอมปล่อยมือทัพให้เป็นอิสระ   ผมอึดอัด  อึดอัดแทนทัพจริง ๆ นะ  มันเกินไปหรือเปล่า

“จะเที่ยงละ  พี่ขอไปกินข้าวก่อนนะทัพ”

“ครับพี่ปริ๊นซ์”

ทัพยิ้มตอบกลับมา  ผมยิ้มกลับทันที  แล้วรอยยิ้มผมก็ต้องหุบพลันเมื่อเลยจากหน้าน้องไป 1 ฟุต มีใบหน้าของชายตาตี่ ที่ถลึงตาใส่ผมด้วยความเกลียด

ผมขอเบอร์น้องพี ทนายความ เพื่อนทัพ ก่อนเดินออกมาจากห้องด้วยข้ออ้างที่จะไปกินข้าว  แท้จริงแล้ว  เจตนาของผมก็คือ มาเยี่ยมน้อยหน่า

“น้อยหน่า”

เธอจ้องมองมาทางผมด้วยสายตาที่เลื่อนลอย

“ปริ๊นซ์ไง”

สายตาระแวงภัยยังลุกโชนในดวงตาของคู่หมั้นผม

“จำได้”

“ปริ๊นซ์ มาขอโทษ”

“ขอโทษเรื่องอะไร...”

“เรื่องมันยาวมากนะน้อยหน่า  ปริ๊นซ์จะเล่าให้น้อยหน่าฟังจริง ๆ  แต่ปริ๊นซ์ว่า  คุยกับอาอุดมก่อนมั้ย”  มันเป็นสิ่งที่ผมสมควรทำมากที่สุด  เพราะผมควรจะให้เกียรติและสิทธิ พ่อที่จะบอกลูกตัวเองว่า ตนรับสินบนและเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการค้าไม้เถื่อน
ในฐานะที่ผมเป็นคนนอกครอบครัว  คำพูดใดก็ตามของผม อาจเป็นการทำลายโอกาสของพ่อลูกในการปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน

“เรายังเป็นเหมือนเดิม ... ใช่มั้ยปริ๊นซ์”

แม้เสียงสั่นเครือ ปานหัวใจสลายก็ไม่สามารถรั้งให้ผมหนีความจริงได้

“น้อยหน่าพักผ่อนมาก ๆ นะ”

“เหมือนเดิมใช่มั้ย...”

“น้อยหน่า  ปริ๊นซ์ว่าเราสองคนต่างรู้นะว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร”

“เหมือนเดิมช่ายยย”  เสียงสะอึกหายใจแผ่ว ๆ แว่วขึ้น “ม้ายยย ใช่มั้ย” 

น้ำตาเอ่อล้นอยู่ที่ดวงตา  มันได้แต่ค้างนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น  จะต้องไม่มีความอ่อนแอหรือความรู้สึกใดหลุดรอดออกมาได้ ณ วินาทีนี้

ต่างจากอีกฝ่ายที่ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น  ความทรมาน ความไม่เข้าใจ ความกลัว  หลั่งไหลราวเขื่อนแตก

“ทำไมละ  ทำไม”

“ปริ๊นซ์รออยู่นะ  ปริ๊นซ์พูดคำนั้นไม่ได้  เพราะคนผิดคือปริ๊นซ์”

เลิกกันนะ
คนผิดมีสิทธิฟัง  ไม่มีสิทธิพูด

ผมเดินออกมาทิ้ง เสียงสะอึกอื้นไห้ไว้เบื้องหลัง   เดินออกมาเรื่อย ๆ   เดินอย่างเปล่า  พาตัวเองมาจนถึงชั้น 1 ของโรงพยาบาล   ผมหิวข้าว  แต่ผมไม่มีเงินสักบาท  ผมมีแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว   ผมปิดเครื่องไว้ตลอด  ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อหลายวันก่อน

“แม่ขา  วันนี้ไปซื้อหมูสะเต๊ะกันนะคะ  คุณพ่อชอบกิน จะได้หายไว ๆ”

เสียงเด็กผู้หญิงตัวน้อย จูงมือกับคุณแม่   ทั้งสองกำลังเดินออกจากโรงพยาบาล

“จะดีเหรอคะ  คุณหมองดอาหารมันนะคะ”

“แต่หมูสะเต๊ะ ไม่ได้ทำจากมันนี่คะ คุณแม่  ทำจากหมูนะ”

ความเดียงสาอาจทำให้โลกอยู่ในโลกนี้อย่างทรมาน 
ความไร้เดียงสา  คือ  สิ่งเดียวที่ยังค้ำจุนชีวิตของเราไว้ได้

ผมมองไปยังความรักของแม่ที่ให้ลูก  เสียงหัวเราะของทั้งสองคน  ความห่วงใยต่อพ่อที่กำลังพำนักอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะคนป่วย

น้ำตาที่ผมพยายามสกัดมาตลอดก็ไหลเหมือนเปิดก๊อก  ทรุดตัวลงนั่งตรงโซฟาที่ใกล้ที่สุด  ความหิวมลายหายไปหมด   เหลือเพียงความสิ้นหวัง   ความไม่รู้   ความกลัว   ที่ผมเลือกเพิกเฉยมานานนับหลายวัน

พ่อกับแม่ของผม  ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน  ท่านกำลังทำอะไรอยู่   ยังปลอดภัยอยู่มั้ย   หรือท่านกำลังกังวลถึงลูกชายโง่ ๆ คนนี้   ผมเองที่ทำให้ท่านต้องเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้

โลกมันมืดสนิท   ไฟทุกดวงในชีวิตผมดับสิ้นไปหมดแล้ว  แม้ประตูสักบานก็ไม่มีให้คนอย่างผมได้หลุดพ้นออกไป
ความผิดพลาดที่มากทวีเหมือนน้ำในมหาสมุทร  มันกำลังท่วมทับผมช้า ๆ

เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดผมก็ไม่อาจทราบได้  ความเจ็บปวดยังแผ่ซ่านทั้งสรรพางค์กายคงเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ไถ่โทษในสิ่งที่ผมก่อ

“พี่ชายร้องไห้ทำไมเหรอคะ”

กระดาษทิชชูยื่นมาตรงหน้าผม  จากมือน้องหมูสะเต๊ะ   

ผมนั่งอยู่ตรงนี้นานมากจนแม่ลูกคู่นี้กลับมาถึงโรงพยาบาลเลยเหรอเนี่ย

“คุณพ่อพี่ไม่สบายเหรอคะ”

ผมพยายามฝืนยิ้มตอบ พร้อมพยักหน้า  รับกระดาษทิชชูมาซับน้ำตา

“ไม่เป็นไรนะคะ  คุณพ่อพี่ต้องหายแน่นอน  คุณพ่อหนูก็ไม่สบาย  คุณแม่บอกว่าห้ามร้องไห้  ถ้าเราร้องไห้  คุณพ่อก็จะร้องตามไปด้วย  หนูต้องเข้มแข็ง  แล้วหนูก็ไม่อยากให้คุณแม่ร้องไห้ด้วย   หนูเห็นคุณแม่แอบร้องไห้ทุกคืน  คุณแม่ต้องเสียใจมากแน่ ๆ  แต่ก็ไม่ร้องไห้  ไม่ให้หนูร้องไห้ด้วย  คุณแม่น่าสงสาร  หนูเลยอยากทำอะไรเพื่อคุณพ่อคุณแม่บ้าง”

“ลูก อย่ากวนพี่เขาสิ”

เธอตะโกนตอบกลับคุณแม่ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำมา

“ค่ะ แปบนะคะคุณแม่”  น้องหมูสะเต๊ะจ้องกลับมาที่ผม  “พี่ต้องเข้มแข็งนะคะ  หนูก็จะเข้มแข็งค่ะ  หนูมีน้องชายด้วยนะคะ  สองขวบเอง  หนูต้องไม่ร้องไห้  ถ้าหนูร้อง  น้องยิมจะต้องร้องไห้ด้วยแน่ ๆ  สู้นะคะพี่ชาย”

เธอเดินจากไปหาคุณแม่

ผมยังนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่  ก่อนลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับไปหาทัพ

“เพื่อพ่อแม่”

มือจับลูกบิดประตูด้วยความกลัว

“เพื่อทัพ”

ผมเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง  แสงบาดตาผมที่บวมช้ำจากการร้องไห้  แต่แสงนั้นก็อบอุ่นพอที่ผมจะฝืนยิ้มกลับไปได้

“อ้าว น้อง ๆ

ทุกคนยังอยู่ครบ

“ทานอะไรกันหรือยัง ไปกินข้าวกันก่อนได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการเฝ้าต่อเอง”

“ก็ดีนะครับ”

ว่าที่ทนายความของผมตอบกลับมา   เขายืนขึ้นวางกล่องคุกกี้ลง  แล้วเดินตรงไปทางตามที่ยังนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม

“ไป ไป กลับ เดี๋ยวเย็น ๆ มาใหม่  ต้องให้ไอ้มีนไปเก็บกระเป๋าด้วย”

หมอตามถูกดึงแขนลุกขึ้น  ผมสังเกตเห็นความไม่พอใจในแวบแรก  และแปรเปลี่ยนเป็นความมึนงง  ทุกคนยกมือไหว้ลาผม  แล้วเดินออกไป

“พี่ปริ๊นซ์ กินอะไรมาครับ  มีเงินเหรอ”

คิ้วผูกโบว์ของทัพ ทำให้ผมยิ้มออกมา

“ยังไม่ได้กินเลย ลืมเอาเงินไป”

“แต่ก็ไปซะนาน  ผมก็นึกว่าไปนั่งบนสะพานลอยพร้อมขันแล้วเสียอีก”

นั่นปะไร  พอแรงเริ่มกลับมา  กวนตีนกูไม่หยุดเลยนะ   อย่างนี้ต้องแก้แค้น

“เห้ยพี่  อย่าเล่นหัว  เจ็บ”

ไอ้อ้วนเอ๊ย  บังอาจว่าพี่ปริ๊นซ์สุดหล่อเหรอ  มือผมขยี้ลงไปที่หัวทัพ ทั้งกด ทั้งดึงหู  เหมือนที่ผมทำประจำตอนมัธยม

“อย่ามา ไอ้อ้วน  ไกลแผล ไกลหัวใจตั้งเยอะ”

“โอ๊ย  ไอ้เปรตใจร้าย  ไอ้คนใจร้าย  อย่าให้สูงเท่านะ”

ความรู้สึกเก่า ๆ หวนกลับมาในใจผมอีกครั้ง  เหมือนถูกปิดสวิตช์  มือผมเลื่อนหลุดจากหัวของทัพ เคลื่อนมาแนบนิ่งข้างลำตัว

“พี่ปริ๊นซ์”

“พี่...  ขอโทษ”

“ขอโทษทำไมอีกละครับ”

“พ่อแม่พี่ อาจตายแล้วก็ได้   ถ้าพี่ไปช้ากว่านี้  น้อยหน่าก็คงตาย  แล้วพี่ก็ยังลากทัพไปด้วย  พี่มันโง่  พี่มันไร้ค่า”

ทัพมองผมด้วยความเจ็บปวด  ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยผมได้ 

“พี่ปริ๊นซ์ อย่าคิดแบบนั้นสิครับ พี่”

ยามนกพิราบโผบินขึ้นท้องฟ้าด้วยความตกใจ  ขนของมันจะกระจายไปทั่ว  แม้จะสกปรกจากเชื้อโรค แต่ก็ดูสวยงาม   ต่างจากสติของผมแตกกระพือ  ไร้ทิศทาง  ไม่มีความสวยงาม  มีเพียงความสกปรกจากมือที่เปื้อนเลือดด้วยความผิดพลาดจากความจองหอง ไม่รู้จักคิด ของผม 

“พี่ปริ๊นซ์อย่าร้องไห้  อย่าครับ อย่า”

ทัพยืดตัวจากเตียงพยายามคว้ากอดผมไว้   “พี่ปริ๊นซ์ครับ ให้ผม ได้ดูแลพี่เถอะนะ คือ ผม... ผม...”  มือลูบทีหลังผมด้วยความอ่อนโยน  “ผม.. ชอบพี่มานานแล้ว  ผมออกกำลังกายทุกวัน ผมอยากผอม ผมไปทำเลสิก ผมเปลี่ยนทุกอย่าง  ผมอยากจะดูดีก็เพราะอยากเป็นคนที่ดี ที่พร้อมเหมาะกับพี่  ผมไม่รู้ว่าผมบอกแบบนี้ไปจะได้อะไร แต่หลังจากที่ผมถูกแทง ผมรู้แล้วว่าความตายเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวมาก ผมไม่อยากหายไปจากโลกนี้ โดยที่ยังไม่ได้บอกอะไรกับพี่  ผมชอบพี่”

 “ทัพ.....”

เสียงตอบรับจากอีกฝ่ายนุ่มนวล

“ทัพยังจะชอบพี่แบบที่ทัพเคยชอบเหรอ มันผ่านมานานแล้วนะ”

“ผมไม่รู้ แต่ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ ผมยังฝันถึงพี่ตลอด  ที่สวนสัตว์ผมมีความสุขที่สุดเลยครับ พี่มีค่าเสมอสำหรับผมนะครับ  พี่ปริ๊นซ์”

“งั้น...”

ราวกับความรู้สึกทั้งหลายของผมกำลังพาเหรดเข้าเครื่องคั้นน้ำผลไม้  แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นส่วนที่เข้มข้นที่สุด

“งั้นพี่ว่า เราลองศึกษากันไปก่อนมั้ย  พี่ไม่เคยรังเกียจทัพนะ  ถือว่าเป็นระยะดูใจกันไปก่อนเนาะ พี่ไม่ได้ปฏิเสธน้องนะ  พี่รู้สึกเขินนิดหน่อยวะทัพ”

ทัพหัวเราะออกมา

“พี่เป็นไบโพลาร์หรือเปล่า  เมื่อกี้ยังร้องไห้ต่อมน้ำตาแตกอยู่เลย”

ทัพผละออกจากการตระกองกอดผม  ฉับพลันทันทีสีแดงก็เริ่มละเลงไปทั่วใบหน้าน้อง

“เมื่อกี้ พี่พูดว่าไงนะครับ”

ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกคว้ามาคลุมหัวน้อง

“พี่พูดอาร้ายยยยย พี่ปริ๊นซ์”

ก้อนกลมอ้วนของผ้าห่มกำลังดุกดิกไปมา 

“ออกมาจากผ้าห่มก่อน”

“ไม่  ผมไม่ออก”

“เดี๋ยวสายน้ำเกลือหลุดนะ  ไม่เจ็บแผลเหรอ”

“ไม่ต้องมายุ่งกับผมเลย  ไปหาทางติดต่อคุณพ่อคุณแม่เลย   ไปเลย  ชิ้ว ๆ”

“อย่าเพิ่งไล่กันสิ   ทัพ ให้พี่เห็นหน้าหน่อยนะ”

แล้วผมก็พยายามเลิกผ้าห่มแบบนั้นอยู่อีกหลายนาที   อีกฝ่ายก็ช่างใจแข็งและไม่มีทีท่าจะโอนอ่อนแม้แต่น้อย

“พี่เอาเงินในกระเป๋าผมออกไปกินข้าวก่อนเลย  ผมเขิน  ไม่อยากคุยกับพี่ ผมเขิน”

ก้อนผ้าห่มกำลังไล่ผมออกไปจากห้อง   ไปก็ได้   แต่ผมจะไม่ไปแค่นี้หรอกนะ 

“นี่นะ นิ่มจัง”

กอดก้อนผ้าห่มแล้วมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง 

ผมไม่ได้อยู่ในห้องที่มืดมิดอีกต่อไปแล้ว  แสงสว่างได้ผ่านเข้ามาทางประตูบานใหม่แล้ว



-------------------------------------------------------------



***
จบบทที่ 10

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 11
แผลเป็น


“มึง ขอบคุณนะสำหรับวันนี้”

เสียงอันมั่นคงแต่แผ่วเบาเปล่งออกมาจากผู้พูดที่ยืนก้มหน้า ไม่สบตาผม เวลาจวนเที่ยงคืนแล้ว คำสัญญาที่ขอกันไว้ก็จวนจะหมดสิ้นไป  การมีแฟนครั้งแรก ช่างเป็นอะไรที่ไม่คิดไม่ฝันแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาบรรยายได้ 

ใจอยากกล่าวอะไรออกไป  อยากแสดงออก  ทว่าดูเหมือนว่าคำใด ๆ ในพจนานุกรมของผมก็ไม่สามารถเอามานิยามความรู้สึกอลหม่านในใจตอนนี้ได้

“กูไม่อยากจะพูดแบบนี้ แต่กูมีความสุขมากเลย  ถ้าเราลองคบกันต่อจะได้มั้ย....”

ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของผมมากนักหรอก ที่จะได้ยินประโยคดังกล่าว   อันที่จริงผมเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าตามต้องพูดออกมา

“กูไม่อยู่แล้ว   กูต้องย้ายไปอยู่หอแพทย์แล้ว...”

มันเป็นความรู้สึกแย่ เมื่อเราไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของคนสำคัญได้  ถ้าเปรียบเหมือนหนังสือ  ตามก็คือหนังสือที่มีคุณค่า ราคาแพง แต่ผมเลือกจะวางประดับไว้บนชั้น มากกว่าจะเลือกเปิดอ่าน

“ถ้าตามจะพูดว่า...เห็นแก่ความเป็นเพื่อน เห็นแก่อะไรก็ได้  ทัพ..”

“มึง”

ผมตัวสั่นเล็กน้อย  ไม่ใช่จากความโกรธ แต่เป็นความรู้สึกผิด  จนแผดเสียงดังลั่น  ไอ้นวลที่นอนใต้หอถึงกับเงยหน้ามามองพร้อมกระดิกหางเดินเข้ามาหาพวกผม

“อย่ายื่นคำขาดแบบนี้กับกู”

ปลีกตัวออกมาทันที จนไอ้นวลทำหน้างงแต่ก็ยังเดินตามผมพร้อมกระดิกหางต้อย ๆ  ไม่เสียแรงที่ซื้อไส้กรอกให้กินแทบทุกเย็น

“ทัพ... โกรธตามเหรอ”

เสียงไล่หลังตามมา  อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ได้โกรธ แต่กูไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะเอ่ยคำใด  ไม่อยากเสียเพื่อนคนนี้ไป   ผมไม่น่าตัดสินใจบ้า ๆ ยอมทำอะไรแบบนี้ให้มันเลย  สู้ทำเป็นหลับหูหลับตา  ตีมึนแบบทุกครั้งยังจะดีเสียกว่า

ผมผิดเองแหละที่ทำแบบนี้  ทำให้อีกฝ่ายเกิดความผูกพันปรารถนาขึ้นมา

ผมเลือกทางที่พลาดแล้วที่อาจทำให้ความเป็นเพื่อนของเราต้องลงเอยแบบนี้

“ทัพ   ตามขอโทษ  เพื่อนก็ได้  เป็นอะไรก็ได้  แต่อย่าหมางเมินกันแบบนี้  กูยอมแล้ว”

น้ำตารื้นรินอยู่ที่ตาของผม   หากตามพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว  ผมคงไม่สามารถสะกดกลั้นมันไว้ได้อีกแล้ว  ตัวผมเริ่มสั่นเทิ้ม   มือใหญ่กำลังบีบที่หัวไหล่ของผมอย่างแผ่วเบาด้วยความเป็นห่วง

“ตามสัญญา เป็นเพื่อนกันไปก่อนก็ได้”

“ขอบคุณนะ”

ผมไม่ได้หันไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าเช่นไร  อย่างเดียวที่ผมรู้สึกในตอนนี้คือมือที่มั่นคงบีบนวดไหล่ผมพร้อมตบหลังอย่างแผ่วเบา  เปรียบประดุจสัญญามั่นที่จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป   

ประตูลิฟต์เปิด แสงสว่างสีส้มสาดจ้า พวกเราก้าวเข้าไปในลิฟต์

ใช่แล้วแหละ ทางนี้แหละดีที่สุดแล้ว เพื่อน

ขอโทษนะตาม


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


ติ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงนาฬิกาปลุกเจ้าเก่าดังลั่น  ถึงเวลาไปวิ่งออกกำลังกายอีกแล้ว  ผมดีดตัวขึ้นจากเตียง บิดขี้เกียจ แล้วหันไปเก็บผ้าห่ม จัดเตียงให้เรียบร้อย

เป็นเวลาเดือนกว่านับแต่ผมถูกแทง  หลายอย่างก็ยังคงดำเนินในแบบของมัน  ผมหยุดงานไปเกือบสองสัปดาห์ อันที่จริงต้องเรียกว่าขนงานมาทำที่ห้องมากกว่า  หนึ่งสัปดาห์หลังจากนอนแกร่วอยู่โรงพยาบาล  หมอก็บอกว่าแผลผมหายเร็วมาก  ไม่น่าแปลกใจนักหรอกเพราะผมวานพี่ปริ๊นซ์ซื้อไข่ต้มมาให้ผมกินวันละเกือบ 10 ฟอง
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ตามมาคือแผลเป็นน่าเกลียด ที่ตอนนี้ผมกำลังจ้องมันในกระจกเงา   เอามือลูบก็ยิ่งคิดถึงวินาทีที่ตัวเองถูกแทง 

ถึงจะน่าเกลียดยังไง  แต่มันก็คุ้มค่าที่ทำให้ผมออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น  ให้ตายสิ  ไม่ชอบกลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาลเลย   แถมเกรงใจพีอีก  นี่ก็ไม่เข้าใจว่าว่างนักหรือไง  มาเยี่ยมผมได้ทุกเย็น  แถมพาแฟนมาเปิดตัวเสียด้วย  สวยใช่ย่อย  เพื่อนกูนี่เก่งจริงเว้ย

ส่วนคนที่อบอุ่นจนผมแทบไม่เชื่อสายตาคือ ไอ้มีน  รายนี้เข้าตำรา ถ้าไม่ลำบากไม่เห็นธาตุแท้  ไลน์หาผมทุกวัน ว่าอาการเป็นยังไง  ไลน์เวลาเดิมทุกวันด้วยนะ  เพื่อนกูคนนี้เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ

รูมเมตผมอีกคนนะเหรอ  หายไปเลยละครับ  ในไลน์กรุ๊ป  มันมาตอบล่าสุดคือ สามสี่สัปดาห์ก่อน  ก็วันที่ผมออกจากโรงพยาบาลนะแหละ  รู้มั้ยตอบมาว่าไง   “อืม”  แค่นี้  สงสัยงานที่โรงพยาบาลคงหนักน่าดู


ส่วนพี่ปริ๊นซ์  ตอนนี้ก็กำลังสะสางคดีและทำงานหลายอย่างพร้อมกัน  ผมจะเริ่มสาธยายจากงานไหนก่อนดีนะ   

เช้าตื่นมาพี่ปริ๊นซ์ก็ไปเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเอกชน  แน่นอนว่าได้งานจากเส้นสายของพี่ปัน เพื่อนซี้พี่ปริ๊นซ์  แล้วทำไมไม่ใช้เส้นสายแต่แรกวะ   

จากนั้นตอนบ่ายก็ไปรับจ๊อบสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนนานาชาติแถวเอกมัย

ตกเย็นก็ไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่โรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา   

ผมก็สงสัยนะว่าพี่ปริ๊นซ์มีเวลาพักผ่อนบ้างมั้ย แต่จะทำไงได้ละครับ หนี้ก้อนใหญ่เลยแหละ   

แน่นอนว่าคดีก็ต้องดำเนินต่อไป  เสี่ยทรัพย์ก็รอดคดีเช่นเคย  ลูกน้องที่แทงผมก็หายตัวเข้ากลีบเมฆ   ช่วงแรก ๆ หลังจากออกจากโรงพยาบาล  มีตำรวจตามผม 24 ชั่วโมงเลยนะครับ  พี่ปิ๋มถึงกับประสาทเสีย 

“ทัพ  เมื่อไรจะจับคนแทงแกได้หวะ พี่กลัวแล้วนะ”

เป็นประโยคเดิม ๆ ที่พี่ปิ๋มพูดกรอกหูผมทุกรอบ เวลาเห็นผมเดินมาทำงานพร้อมพี่ตำรวจหน้าเหี้ยม

“แฮ่ ๆ คุณตำรวจบอกว่า เขาจะเฝ้าประมาณเดือนเดียวแหละครับ หลังจากนี้ก็จะปล่อยผมตามอิสระแล้ว แต่ก็ต้องระวังตัวเหมือนเดิมนะ”

“เออ ดี พี่ไมเกรนขึ้นแล้วเนี่ย”

ที่เป็นแบบนี้เพราะมีวันหนึ่งเป็นวันเกิดปิ๋มแล้วนางวิ่งไปเอามีดในห้องครัว เพื่อตัดเค้กที่ทุกคนซื้อมาเซอร์ไพรซ์ 

ด้วยความที่คุณตำรวจไม่รู้จักพี่ปิ๋มดีพอว่า  เวลานางตื้นตันใจแล้ว จะตื่นเต้นจนดูประหม่า   สิ่งที่เกิดขึ้นคือ  คุณตำรวจเข้าชาร์จ จับแขนพี่ปิ๋มที่ถือมีดวิ่งตรงกลับมาหาผมที่ถือเค้ก ไพล่หลัง จนนางร้องกรี๊ด ๆๆๆ ด้วยความเจ็บปวด    ตั้งแต่วันนั้นมาพี่ปิ๋มก็ระแวงมาโดยตลอด


วันนี้เป็นวันแรกที่คุณตำรวจไม่มาเฝ้าผมแล้ว  รู้สึกเหมือนเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง  ยิ่งได้วิ่งรอบสวนสาธารณะลำพังคนเดียวแบบนี้ยิ่งสบายใจ 

“พี่ปิ๋ม หวัดดีครับ”

พี่ปิ๋มทำหน้าตื่น มองซ้ายมองขวา  เหยียดตัวสูงมองข้ามไหล่ผมไป

“เขาไม่มาแล้วพี่ ครบหนึ่งเดือนแล้วไง”

หัวหน้าของผมถอนหายใจดังลั่น

“โล่งอกไปที เออ ทัพ  มีงานด่วนที่ระยองนะ  แกต้องไปวันนี้เลย  เดี๋ยวไปรถตู้บริษัท  รถออกตอนสิบเอ็ดโมง พี่อนุญาตให้กลับไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องได้  เลื่อนไประยองมาเป็นสัปดาห์นี้เลยนะ”

“อะไรนะพี่  คิวไประยองผมมันอีกอาทิตย์นี่ครับ”

“ใช่ ๆ พี่รู้ แต่มันงานด่วนจริง ก็เลื่อนมาก่อนไง แล้วสัปดาห์หน้าก็ทำงานที่สำนักงานใหญ่แค่นั้นเอง ทำไม มีนัดกับใครหรือเปล่า”

พี่ปิ๋มก็ยังเป็นคนที่เซนส์ไวเช่นเคย

ใช่ครับ คืนนี้ผมมีนัดกินข้าวกับพี่ปริ๊นซ์  ก็ไม่ได้อะไรมาก  แค่เป็นวันหยุดงานที่โรงแรมของพี่ปริ๊นซ์ก็เลยตั้งใจจะไปกินข้าวด้วยกัน  แต่รายนั้นเขากำลังประหยัด สุดท้ายก็ตกลงกันว่า  ทำกินกันที่ห้องผมนี่แหละ

“เปล่าครับ”

ปากตอบไปแบบนั้น แล้วรีบเปิดไลน์ส่งข้อความไปหาพี่ปริ๊นซ์


พี่ปริ๊นซ์  ทัพกินข้าวด้วยไม่ได้แล้วอะ

ต้องไประยองด่วน รู้เมื่อกี้เลย

พี่ปริ๊นซ์น่าจะตอบเร็ว เพราะคลาสสอนเริ่ม 9 โมง   แล้วก็จริงตามผมสันนิษฐาน

เอ้าเหรอ เสียดายจัง

พี่คิดถึงแย่สิ

คิดถึงอะไรพี่ อย่ามา

เจอกันทุกสัปดาห์แล้ว ไม่เบื่อผมเหรอ

ไม่อะ

ทัพ พี่ไม่ค่อยมีเงินเลย

ไม่ได้ครับ

ผมอยากอยู่คนเดียวก่อน

โหยยยยยยยย

รู้ทันอีก

พี่ไม่ได้อยากประหยัดค่าห้องนะ

พี่แค่อยากช่วยทัพผ่อนคอนโดไง  ให้พี่มาเสียเงินค่าเช่าห้องทำไม

ห้องที่พี่อยู่ ก็เป็นห้องที่พี่ปันซื้อไว้นี่ครับ

ผมรู้นะว่าฟรี

เหยยยย เอามาจากไหน

(สติกเกอร์ยิ้ม)

หนีไปสอนดีกว่า

เดินทางดี ๆ นะครับ


ไม่ต้องคิดลึกเลยครับ ยังไม่ได้เป็นแฟนกันแต่อย่างใด

ผมเป็นขอเสนอพี่ปริ๊นซ์เองว่า จีบไปก่อน อยากให้มีภาพความทรงจำทำนองนั้นบ้าง ไม่ใช่เอะอะรับเป็นแฟนเลย

จะว่าไปแล้วก็รู้สึกดีมากครับ  โมเมนท์จีบกันไปจีบกันมา  ผมก็เพิ่งเคยสัมผัสกับเขานะครับ แฮ่ ๆ  จับมือจับไม้ก็มีกันบ้าง  เสื้อคู่ นี่ไม่มีนะครับ ผมไม่ชอบ

ส่วนเรื่องนั้นเหรอครับ ผมยังไม่เสียเอกราช  ยังอยากเก็บซิงไว้ชิงโชคอยู่ แฮ่


-------------------------------------------------------------


“คุณทัพครับ ตื่นได้แล้วครับ”

ผมที่นอนน้ำลายไหลยืดถึงกับสะดุ้งสุดแรง  เมื่อพี่ชัยคนขับรถปลุกผม  ในที่สุดก็มาถึงบริษัทที่ระยองแล้ว

“กี่โมงแล้วอะพี่ชัย”

“บ่ายสามนะครับ รถมันติดหนักพอควรเลย”

ผมก้มลงดูนาฬิกาข้อมือเพื่อยืนยันคำตอบจากพี่ชัย  บ้าไปแล้วจากกรุงเทพมาระยองใช้เวลา 4 ชั่วโมง  แล้วเสียงครืด ๆ ก็ดังลั่นจากท้องผม   เกิดความเงียบในบรรยากาศนานหลายวินาที พร้อมกับแก้มแดงระเรื่อด้วยความอายของผม

“ตายแล้ว ผมขอโทษด้วยนะครับ น่าจะแวะปั๊ม ปลุกคุณทัพมาหาอะไรกิน ไปหาอะไรกินก่อนเถอะครับ”

“ครับพี่  ผมไปบอกพี่พิชิตก่อนละกันครับ ว่ามาถึงระยองแล้ว”

ผมรี่เดินเข้าออฟฟิศเพื่อรายงานตัวกับพี่พิชิต  หัวหน้าผมสำหรับงานที่ต้องปฏิบัติที่ระยอง ถือโอกาสเข้าไปยืมมอเตอร์ไซค์ของบริษัทด้วยเลย  การมาทำงานสาขาที่ระยอง  พนักงานคนอื่นจะขับรถยนต์ส่วนตัวมา สำหรับผมเนื่องจากที่บ้านไม่อนุมัติให้ซื้อรถ  ประกอบกับตัวผมเองก็ยังขับรถไม่เป็น  ก็เลยต้องอาศัยรถบริษัทบ้าง  รถทัวร์บ้าง  รถตู้บ้าง   ในการมาทำงานที่โรงงานในระยอง  แล้วก็อาศัยยืมรถมอเตอร์ไซค์บริษัทเพื่อขี่มาทำงาน รวมถึงใช้การดำรงชีพ

หลังจากรายงานตัวกับพี่พิชิต  ตอบคำถามและต้องเล่าเรื่องที่โดนแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก  ในที่สุดผมก็ได้มอเตอร์ไซค์มาเสียที   

ก่อนอื่นคือต้องขี่ไปที่โรงแรมที่โรงงานจัดให้   

ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายครับ  เสื้อผ้ายัดใส่เป้ใบเดียวก็พอแล้วจึงไม่ลำบากอะไรถ้าจะขนสัมภาระทั้งหมดไปที่พัก   ตามปกติแล้วตำแหน่งที่ต้องเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ-ระยอง จะมีผมกับพี่อีกคน  ด้วยที่ช่วงนี้พี่คนนั้นเขาลาคลอด ก็เลยทำให้ผมต้องมาระยองคนเดียว

โรงแรมที่อยู่เป็นโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงงานมากนัก  น้องพนักงานแลปในโรงงานชอบขู่ผมเสมอว่า เป็นโรงแรมผีสิง  เพราะมีคนมักเจอเรื่องแปลก ๆ ประจำ  โดยส่วนตัวผมอยู่มาหลายครั้งก็ยังไม่เจออะไรที่ว่าเด็ด  ผมไม่ได้ลบหลู่นะครับ แต่ถ้าเจอก็อยากจะขอหวยสักที  จะได้มีเงินไปซื้อรถยนต์กับเขาบ้าง   

“ไลน์หาไอ้ตามดีกว่า  มันน่าจะเลิกงานสี่โมง”


                           
มึง กูมาระยอง หาไรแดกกัน

                           สักสี่โมงครึ่งดีมั้ย

                           แนะนำสถานที่หน่อย

                           ตอนนี้กูอยู่โรงแรมXX

                           มึงจะมารับกู หรือ ให้กูไปหา?

ตามมันมาทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลระยองครับ  อันที่จริงก็ไม่ใช่โรงพยาบาลระยอง ที่เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรอกครับ  เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอสักอำเภอ  เอ๊ะ หรือโรงพยาบาลระยอง  ยังไงกันแน่  ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดที่ไม่ใส่ใจเพื่อนคนนี้เลย  อย่างน้อยถามชื่อโรงพยาบาลจากพีดีกว่า 

                        
   พี  มึงกูถามไรหน่อย

                           ตามมันทำงานที่ไหนนะ

หืมมม

อะไรมึง อยู่ ๆ ก็ถาม

                           
กูมาทำงานที่ระยองไง

อ้อ... แปลกนะมึง

ไปตั้งหลายรอบ ไม่เคยเห็นชวนมัน
                           
ก็เดี๋ยวนี้มันหายหัวไปไหนไม่รู้

                           ไม่เจอนานแล้ว

อ้อ เหรอ

ไม่เจอนาน หรือ มึงมีใครให้สนใจมากกว่า จนไม่มีเวลาให้ใครเลยก็ไม่รู้เนาะ

ที่ชื่อว่า ป ปลา สักอย่างนะ

น้อยใจจัง
                        
แหม ไอ้พี

                        กูผิดไปแล้ว

รู้ตัวก็สำนึกสิ ไอ้คนบาป

มันอยู่โรงพยาบาลระยองเลย

ไลน์ไปดิ กูเพิ่งคุยกับมันเมื่อกี้เลย

                        
สวีทกันจังนะมึง

สวีทพ่องไรละ

กูแน่นหน้าอก กูเลยถามมัน

สรุปแค่เป็นกรดไหลย้อนวะ ฮ่า ๆ

                        
(สติกเกอร์โกรธ)

(สติกเกอร์เขินอาย)


แวบแรกที่อ่านข้อความจากพีว่า แน่นหน้าอก  ผมตกใจมากเลยครับ นึกว่าจะได้ไปโรงพยาบาลเฝ้าเพื่อนซะแล้ว  แต่จะว่าไป  ตามก็ยังไม่อ่านไลน์ผมเลยแฮะ  อีกสักพักก็คงจะตอบ  ผมเลยถือโอกาสไปอาบน้ำ 

จนอาบน้ำเสร็จ  กลับมาดูที่มือถือก็ยังไม่มีการอ่านหรือตอบแต่อย่างใด   ความหิวเริ่มเยือนมากขึ้น  แต่ก็ไม่อยากโทรตามให้เพื่อนวุ่นวาย  รู้กันอยู่ว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่เสียสละ  ผมไม่อยากไปเร่งเพียงเพื่อจะให้มันพาไปกินข้าว  ตัดสินใจนอนเล่นบนเตียงต่อ  เปิดเฟซบุคเช็คอัพเดตจากเพื่อน ๆ หลังจากที่ไม่ได้เปิดมานานหลายสัปดาห์ 

สิ่งแรกที่เห็นคือ คำขอเป็นเพื่อนของพี่ปริ๊นซ์  ซึ่งผมตัดสินใจว่า ยังไม่กดรับดีกว่า อิอิ  แกล้งไปก่อนเลื่อนไปดูหน้านิวส์ฟีด 

ภาพแรกที่เห็นเลยคือ  รูปถ่ายของแม่จ๋าในงานเลี้ยงรับผู้พิพากษาคนใหม่   ตกใจที่ทำไมเลือกรองพื้นได้ผิดเบอร์ขนาดนั้น  แม่จ๋า หนูกลับไปบ้านจะไปเตือนนะ หน้าแม่ลอยแล้ว   

พอเลื่อนดูไปเรื่อย ๆ ก็เจอสถานะน้ำเน่าของพี



P Pearadit  Sittisith   1 hour

ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอดหรอก
มันทำให้เราตาบอดสีต่างหาก
เพราะมองทางไหนก็มีแต่สีชมพู

36 like

        Sriporn   cute cute   เอาเวลางานมาเล่นเฟซอีกแล้วนะพี     1 hour (5 like)
       Mean   Kittasin     กูขอพูดอะไรหน่อยนะ  “ไปอ้วกแปบบ”   45 min   (15 like)
        Thapon Siriwatchai   กรดไม่ไหลย้อนแล้วเหรอวะ 555+   2 min   (2 like)


ทุกอย่างก็ดูปกตินะครับ  ถ้าไม่นับคอมเมนท์สุดท้ายจากไอ้นายแพทย์ฐาพล  เมื่อสองนาทีก่อน   

เคยเป็นกันมั้ยครับ เวลาทักเพื่อนไปทาง social network หนึ่ง แต่มันไม่อ่านไม่ตอบเรา  แต่กลับไปปรากฏตัวในอีก social network ได้ 

ตอนนั้นยอมรับคำว่าโกรธ โมโหหิวมาก   นอนดิ้นคิดไปคิดมา  ตามอาจเล่นเฟซบุคจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้  คงไม่ได้เล่นผ่านทางมือถือหรอกก็เลยยังไม่เห็นข้อความไลน์ที่ผมส่งไป   ดังนั้นผมจึงตัดสินใจส่งแชทผ่านทางเฟซบุคไปอีกแรง   โชคดีของผมด้วยครับที่มันออนไลน์อยู่พอดี


   
ตาม กูอยู่ระยองงงงงงงงงงง

                        อยู่โรงแรม XX

                        หิวข้าววววววว พากูไปกินข้าวหน่อย



ไม่ถึงสามวินาที แชทก็ขึ้นสถานะออฟไลน์ทันที  เอากับเขาสิครับ  ทำไมดวงตกอะไรขนาดนี้วะกู  หรือว่ามันเลิกงานแล้ว 
 
“เอายังไงดีวะ”

ผมนอนพลิกตัวบนเตียงซ้ายขวาอีกหลายรอบ  ตัดสินใจได้ว่า รออีกสัก 5 นาที ก็ไม่เสียหายอะไร  ระหว่างรอก็อ่านสถานะต่าง ๆ ของตามในเฟซบุ๊ค

สถานะอัพเดตล่าสุดคือ เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน

Thapon Siriwatchai   

   เข้าเวรควบเช้าบ่าย แล้วก็ไปแลกเวรดึกอีกรอบ สะใจไปเลย  จะได้เลิกฟุ้งซ่าน

348 like


“โอโห”

ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ไม่ได้ตกใจที่มันเข้าเวรควบขนาดนั้นหรอกนะครับ   

ใครก็รู้ว่ามันเป็นคนบ้างานอยู่แล้ว  แต่ตกใจที่มีคนกดไลค์ถึง 348 คน นี่แหละ  ตัวผมเองมีคนกดไลค์ 10 คน ขึ้น ก็ตกใจแล้วนะ  ส่วนในคอมเมนท์ก็มีแต่ใครก็ไม่รู้ที่ผมรู้จัก  มีทั้งสาวแท้สาวเทียม  ล้วนมาให้กำลังใจตามกันสนั่นหวั่นไหว

สู้ ๆ นะคะ ตาม  เพื่ออนาคตของเราค่ะ    แม่หนูจ๋า เคลมเชียวนะ    พักผ่อนบ้างนะจ๊ะที่รัก  รออยู่ที่บ้านนะค่ะ    โอ๊ย  นะคะ เว้ย ไม้เอกเอามาทำไม  ผันเสียงไม่เป็นเหรอไง”

ผมดัดเสียงเล็กเสียงน้อยอ่านคอมเมนท์ไปด้วยความสนุกสนาน ปนหงุดหงิดเวลาเจอคนสะกดคำผิด ค่ะ คะ นี่มันยากตรงไหน 
ผมเป็นผู้ชายยังแยกออกเลยนะ

ถ้าเหนื่อยก็มาซบอกผมได้นะครับคุณหมอ   โอ๊ยยยยยย หนวดเฟิ้มมาก กลัวแทนเลยวะ ฮะฮ่า”

อ่านไปเรื่อย ๆ ก็ไม่รู้จะดีใจในความฮอตของเพื่อน  หรือสงสารเพื่อนดี  แต่ละคนที่เป็นแฟนคลับนายแพทย์ฐาพล ล้วนแต่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองในแบบที่ผมเองยังกลัวเลย   


(มีต่อครับ)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากด้านบน)

เลื่อนลงมาดูสถานะถัดมา   เป็นรูปภาพ  งานอดิเรกของตามมันเลยครับ การถ่ายภาพเนี่ย  ใช้ได้เชียวละ 

เป็นภาพของรอยเปียกของแก้วน้ำ  นึกภาพออกมั้ยครับ รอยแก้วน้ำเย็นที่วางบนพื้นไม้  แล้วพอยกแก้วขึ้น ก็จะเป็นวงกลมเปียกน้ำตามขอบ  แต่ในรูปจะเป็นวงน้ำที่ไม่เต็มพร้อมคำบรรยายภาพที่ว่า

“ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็คงไม่เต็มวง”

895 like

รูปภาพนี้ โพสท์เมื่อวันจันทร์หลังจากงานรับปริญญา  ก็คือ หลังผมถูกแทงไปสองวันครับ   คนกดไลค์ถล่มทลาย ยอมรับเลยว่าภาพสวยจริง  ฝีมือมันดีมากครับ  คอมเมนท์ทะลักหลักร้อย

“ติสต์วะเพื่อนกู”

ไอ้พีเองไม่ต้องสงสัยนะครับ คนที่คอมเมนท์แบบนี้

“อกหักเหรอคะหมอ  ยังมีหนูอยู่นะคะ  จ้ะ ๆ หนูตามคอมเมนท์ทุกโพสต์เลยนะลูก ฮะฮ่า”

เลื่อนมาจนถึงรูปภาพรับปริญญา เป็นภาพถ่ายสามรูปที่มันโพสท์พร้อมกัน พร้อมคำบรรยายรวมว่า

“คนสำคัญในชีวิต : )”

รูปแรกเป็นรูปของมัน คุณแม่ และน้องสาวที่ถือรูปถ่ายคุณพ่อของตามไว้  พิมพ์เดียวกันทั้งบ้านจริง ๆ  ถัดมาเป็นรูปของพวกเราสี่คนครับ และรูปสุดท้ายเป็นรูปคู่ของตามกับผม   

รู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้  ยิ่งเห็นคนกดไลค์รูปคู่ของผมกับมันแล้วก็ยิ่งรู้สึกประดักประเดิด แถมยังมีคอมเมนท์ด้วย

“นั่นใครคะตาม อีนี่เป็นใคร"  ใจเย็น ๆ นะป้า อย่าเพิ่งฆ่าผม   

"เอ๊ะ หรือยังไง หรือเปิดตัว"   เปิดบ้าเปิดบออะไรวะ 

"ถ้ามีแท็กนะจะตามไปถามว่าเป็นอะไรกัน"   รู้สึกโชคดีขึ้นมาเลยแฮะที่ไม่โดนแท็ก

โลกออนไลน์นี่มันน่ากลัวเว้ย  แต่โลกปัจจุบันตอนนี้คือผมหิว ผมจะไม่ทนอีกแล้ว  ขี่ไปหาที่โรงพยาบาลเลยละกัน

--------------------------------------------------------


โรงพยาบาลระยองอยู่ไกลจากโรงแรมพอสมควรครับ 

ในที่สุดผมก็มาถึงหน้าโรงพยาบาล  คำถามที่ใหญ่ที่สุดคือ แล้วยังไงต่อวะ  ต้องทำยังไงต่อ  ผมจอดมอเตอร์ไซค์ในที่จอด  เดินงง ๆ ไปที่อาคาร 

โชคผมดีครับ  ผมเจอเป้าหมายของผมแล้ว  กำลังยืนอยู่คนเดียวหน้าประตูกระจก ท่าทางดูเหนื่อยล้า  ผมเดินถอยหลัง หลบตัวอยู่หลังกระถางต้นไม้ใหญ่ แล้วก็นึกอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาได้

“โทรไปแกล้งดีกว่า”

ผมกดโทรทันที   

ตามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู  สายตาของตามเปลี่ยนไปเล็กน้อย  มีความเหนื่อยล้าไม่พอใจ  ผสมผสานไปกับความรู้สึกที่ผมเข้าใจมาโดยตลอด  คือ ความรู้สึกที่ได้แต่มอง และไม่สามารถทำอะไรได้  เหมือนกับที่ผมเคยมองพี่ปริ๊นซ์มาโดยตลอด 

แล้วตามก็กดตัดสายผม

ตอนนั้นผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ  อยากเดินออกไปด่า มือไม้สั่นไปหมด 

ทั้งหิว ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งโกรธ

“ตามรอนานมั้ยคะ”

ผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินออกมา

“วันนี้มีเคสผ่าตัดไส้ติ่งทั้งวันเลยค่ะ  เมื่อยหลังหมดแล้ว”

ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ ยื่นกระเป๋าถือให้ตามซึ่งรับมันมาไว้อย่างคล่องแคล่ว  ยิ้มกลับให้ผู้หญิงคนนั้น

“วันนี้กินอะไรดีคะ นึกไว้หรือยัง”

ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่อก  ความโกรธแล่นผ่านประดุจเลือดที่ไหลเวียนไปทุกส่วนของร่างกาย  มือกดโทรออกอีกครั้งไวกว่าความนึกคิดอื่นใด

โทรศัพท์ของตามดังขึ้นอีกครั้ง  ทันทีที่ตามเห็นว่าเป็นผมโทรมาก็กดตัดทันที ไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่จะหยุดชั่งใจคิด

“ไม่รับเหรอคะ?”

ตามหันไปยิ้ม พร้อมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเชื่องช้า

“เบอร์แปลกนะครับ คงโทรผิด  ปกติตามไม่รับเบอร์พรรค์นี้”

“เบอร์แปลกเหรอวะ”

เสียงผมเอง พร้อมกับมือที่ถือโทรศัพท์มือถือไว้  มองไปทางตามที่ดูตื่นตะลึงไม่ต่างจากความรู้สึกผมที่พังทลายมากนัก   

ตามดูเหมือนสัตว์สตาฟฟ์ตามพิพิธภัณฑ์ ที่ได้แต่จ้องผมตาไม่กระพริบ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของมัน

ในขณะที่เท้าของผมก้าวถอย   ทั้งที่ตาของเรายังสบกันอยู่   แล้วผมก็เริ่มออกวิ่ง  วิ่งไปให้ไกลจากที่ตรงนั้น   

การวิ่งทุกเช้าของผมมันฝึกให้ผมอดทน และรวดเร็ว 

แม้จะมีเสียงที่คุ้นเคยไล่หลังตามมา  ผมก็ไม่อาจจะฟังเข้าใจได้อีกแล้ว   ผมพาตัวเองมาที่รถมอเตอร์ไซค์     

“มึงฟังกูก่อน”

มือใหญ่คว้าหลังผมอย่างสุดเอื้อมก่อนที่รถจะถูกสตาร์ตแล้วขี่พาผมออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

“ทัพพพพพพพพพพพพพพพพพพ”

เสียงสุดท้ายไล่หลังผม

ผมไม่พร้อมรับฟังอีกแล้ว

ผมกำลังเสียเพื่อนที่สำคัญไปอีกแล้วใช่มั้ย 

เหมือนตอนนั้นไม่ผิด แผลเป็นที่ผมพยายามลบเลือนไป  ทำไมมันต้องย้อนกลับมาทำให้ผมเจ็บด้วย  ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับผมด้วย 


--------------------
จบบทที่ 11
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2018 11:45:41 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:


ขอบคุณนะครับ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 12
เด็กมีปัญหา


“ลูกจะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะ”

คำพูดที่ผมได้ยินยายพร่ำบอกแม่ทุกครั้งที่แม่พยายามจะบอกยายว่า เหนื่อยแล้วกับชีวิตคู่ หนทางเดียวที่อาจทำให้ฟ้าอันมืดมนของแม่กลับมาสดใสได้ คือ การหย่าร้าง

เป็นอีกครั้งที่แม่ร้องไห้ กอดยาย   เนื้อตัวช้ำเขียวจากร่องรอยการถูกทำร้าย

ผมได้แต่นั่งมอง พยายามทำความเข้าใจภาพที่เห็น  คิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออก  จึงเดินลงจากเรือนไม้ของยาย ลงไปเดินเล่นในสวนยางกับเป๊ปซี่และโคล่า หมาเฝ้าสวนยางของยาย

ทุกครั้งที่แม่กับพ่อมีปากเสียงกัน  แม่จะขับรถมาหายายถึงต่างอำเภอ ร้องไห้ให้ยายปลอบแล้วหลับไป 

ครั้งนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะว่าแม่หอบเสื้อผ้ามาหนึ่งกระเป๋าใหญ่
 
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมต้องตื่นแต่ตีสี่ครึ่ง  อาบน้ำ  แต่งตัว  และเผลอหลับในห้องน้ำไปหลายนาที  หากไม่ได้ยินเสียงแม่ทุบสังกะสีที่ทำเป็นประตูกั้น ผมก็คงจะหลับต่อเนื่องไปอีกหลายนาที

ผมยังต้องไปโรงเรียนที่อยู่ในตัวอำเภอเมือง 

เป๊ปซี่เลียมือผมอย่างรักใคร่ ในขณะที่โคล่าก็กระดิกหางนัวเนียพันแข้งพันขาของผม  ผมกำลังนั่งมองยายเทน้ำยางใส่เครื่องรีด

“ทัพ อยากลองทำมั้ยลูก”

ผมพยักหน้า แล้วเดินไปดูกรรมวิธีรีดยางพาราจากยาย

“กินมาก ๆ หน่อยนะลูก ผอมแห้งเชียว”

ผมซึ่งตัวขี้ก้างในตัวนั้น ได้ยิ้มฟันหลอกลับไปให้ยาย  เด็กประถมสามจะไปเข้าใจอะไรมากมายกับคำว่า ผอมแห้ง 

“แล้วทับทิมละ ไม่ได้มาด้วย ไปอยู่ไหนซะละ”

“แม่ฝากน้องไว้กับ ป้านี ครับคุณยาย น่าจะไปรับวันนี้”

มือกร้านแดด และหยาบจากกรดกัดยาง ลูบลงบนหัวผมอย่างละมุน

“ต้องรักน้อง รักแม่มาก ๆ นะ ถ้าแม่เขาตัดสินใจทำอะไร ก็อย่าโกรธเขาละ”

ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ายายต้องการให้ผมทำอะไร  การยิ้มกลับจึงเป็นเหมือนคำตอบที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ 

ผมไปถึงโรงเรียนก่อนเคารพธงชาติ ไม่กี่นาที  วิ่งกระหืดกระหอบไปยืนข้างเหมียว เพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของผม

“เกือบสายแล้วนะทัพ”

เหมียวทักทายพร้อมยิ้มตอบ  เธอนิ่งทันที เมื่อครูวิภาหันมามองค้อนด้วยสายตาอาฆาต

“ครูวิภาเดินไปละ หายไปไหนมาเมื่อคืน”

“ไปบ้านยาย”

“ไปทำไมแก เมื่อไรแกจะบอกฉัน”

“ฉันไม่รู้เหมียว ว่าไปทำไม”

เหมียวหันมามองผมด้วยสายตาจับพิรุธ ดูแก่แดด เกินเด็กประถม

“แกโกหก”

“ฉันไม่ได้โกหกเหมียว ฉันแค่ไม่เข้าใจ”

“หืม ยังไง เล่าสิ”

“เด็กมีปัญหาคืออะไรอะเหมียว”

“ก็พวกที่พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่เลิกกัน คุณแม่บอกว่า เด็กพวกนี้อย่าไปคบ เชื่อถือไม่ได้ ต่อไปก็จะเป็นโจร ติดยา แล้วก็ฆ่าคนตาย”

“เหมียว เมื่อไรจะหยุดคุยค่ะ”

“ขอโทษค่ะครู”

แล้วพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ตลอดพิธีหน้าเสาธง  ทั้งสายตาหมายหัวของครูวิภา และทั้งข้อความเหล่านั้นจากปากเหมียว

ผมอยากถามพ่อกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่เคยมีคำพูดใดหลุดจากปากของผม

ผมยังอยู่บ้านยาย  ทับทิมที่อยู่แค่อนุบาล 2 ก็เช่นกัน  เราสามคนย้ายบ้านมาอยู่ที่สวนยางพาราของยายนานหลายเดือน

ยิ่งผมเครียด ผมก็ยิ่งกิน แล้วผมก็อ้วนมากขึ้นเรื่อย ๆ

หนึ่งปีผ่านไป  ผมอ้วนขึ้นกว่าเดินหลายเท่า  สลัดภาพทัพขี้ก้างไปจนหมด

“แกอ้วนขึ้นนะทัพ”

เหมียวเอ่ยถามผมตอนพักกลางวัน

“แกต้องลดความอ้วนนะ คุณแม่บอกว่าคนอ้วนน่ารังเกียจ เป็นโรคเยอะ ชักช้า อุ้ยอ้าย”

“อืม” ผมตอบรับแบบขอไปที ขยับแว่นให้เข้าที่เล็กน้อย ผมเพิ่งไปตัดแว่นเมื่อไม่กี่วันก่อน สายตาสั้นคือสิ่งที่ผมได้รับ จากการอ่านการ์ตูนในระยะประชิด

“แล้วทำไมเดี๋ยวนี้แกหายไปไหน  คุณแม่บอกว่า  พ่อแม่แกทะเลาะกันเหรอ  เห็นว่าจะหย่ากันแล้ว  แกจะเป็นเด็กมีปัญหามั้ยทัพ”

“ทะเลาะอะไร หย่าอะไร เราไม่เห็นรู้เรื่อง”

“แกแน่ใจนะว่าไม่รู้เรื่อง  แกตอแหล”

“เหมียว” ผมร้องขึ้นด้วยความตกใจ “คำว่าตอแหล ไม่สุภาพนะ”

“แล้วจะทำไม  ต่อไปแกก็จะเป็นเด็กมีปัญหา  พ่อแม่แกหย่ากันแล้ว  แกก็ไม่ใช่เพื่อนฉัน  ทำไมฉันต้องพูดเพราะกับแก”

สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายขึ้น  เหมียวไม่คุยกับผมเพียงเพราะว่าพ่อแม่ผมหย่ากัน  ความอ้วนก็ทวีขึ้นในร่างกายของผม  ไขมันพอกติดเหมือนความกลัวที่จะต้องคุยเรื่องพ่อแม่

ทุกครั้งที่ต้องกรอกเอกสารเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว  ในช่องเพื่อนสนิทที่เคยมีชื่อเหมียวอยู่มาก่อน  ก็กลายเป็นความว่างเปล่า  ผมไม่กล้าใส่ชื่อคนที่พยายามแกล้งผมตลอดเวลาได้ลงคอหรอก

ไม่ลำพังแค่เหมียวที่แกล้งผม  เพื่อนคนอื่นในห้องก็รุมแกล้งผม  ความอ้วนคือคำสาปที่ทำให้ผมต้องตกเป็นเหยื่อ เป็นเป้าของการถูกกระทำ

ชีวิตของผมวนเวียนกับการถูกแกล้งสารพัด เหมือนโดนกดอยู่ใต้น้ำโดยมีมืออีกหลายมือขวางกั้นไว้ไม่ให้ผมขึ้นไปเหนือน้ำได้



สองปีที่ผ่านไป ผมยังวนเวียนไปกลับระหว่างอำเภอเมืองและอำเภอที่ยายอยู่  เมื่อแม่เก็บเงินได้มากพอ พวกเราจึงได้ย้ายไปอยู่ในบ้านใหม่ในตัวอำเภอ

บ้านที่แม่ภาคภูมิใจ เพราะทั้งดาวน์และผ่อนด้วยน้ำพักน้ำแรงของแม่ล้วน ๆ

ผมอยู่ ป. 5 แล้ว กำลังจะจบขึ้น ป. 6 

แม่ไม่เคยรู้เรื่องที่ผมถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน  แม่มีปัญหาให้คิดแก้ไข มีความเดือดร้อนให้หนักใจมากพอแล้ว

“คุณแม่ครับ ทัพว่าจะย้ายไปอยู่กับคุณพ่อบ้าง ทัพสงสารคุณพ่อ”

แม่จ๋าอึ้งเงียบ ความร่าเริงจากการดูละครหลังข่าวที่เพิ่งพักตัดเข้าโฆษณาหายวับไปจากใบหน้าของท่าน

“ทับทิมก็อยากกลับไป”

เสียงโวยวายจากทับทิมแว่วมา

“แม่ขอคิดดูก่อนนะลูก”

แม่ลุกขึ้น คว้ารีโมทปิดทีวี  เดินออกไปรดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน

ผมคิดผิดหรือเปล่าที่ถามท่านเช่นนี้ แต่นั่นคือสิ่งที่ผมตัดสินใจไปแล้ว  ผมไม่สามารถทิ้งให้พ่ออยู่ลำพังคนเดียวอีกต่อไป  ผมโตพอที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับระหว่างบ้านสองหลังได้แล้ว   ดังนั้นผมสามารถเลือกอยู่บ้านหลังไหนก็ได้   อย่างน้อยพ่อก็จะได้ไม่เหงา

“ทัพ”

แม่กลับมาไวกว่าที่ผมคิด  ผมว่าแม่ยังไม่ได้รดน้ำต้มไม้ต้นเข็มตรงรั้วบ้านแน่เลย

“ทัพอยากกลับ เพราะอยู่กับแม่มันลำบากเหรอลูก”

“เปล่านะครับ ทัพสงสารคุณพ่อ”

“แล้ว ทัพจะกลับมาหาแม่มั้ย”

ผมพยักหน้า เข้าไปจับมือท่านให้มั่นใจ

“แม่  แม่ไม่ได้เกลียดพ่อเขาหรอกนะ  อย่างไรเสียเขาก็พ่อของลูก ๆ  แต่ทัพเข้าใจแม่ด้วยนะ”  น้ำตาไหลออกมา  เหมือนผมที่ตาพร่ามัวไปด้วยคราบน้ำตา  “ทัพ กลับไปอยู่กับพ่อเขาเถอะ  อย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่เหงา”



เป็นการกลับมานอนที่ห้องเดิมเก่าในรอบ 2 ปี

พ่อดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ  ถึงกับพาผมไปกินข้าวนอกบ้าน

“ทัพอ้วนขึ้นนะลูก ไปเล่นบอลกับพ่อมั้ย”

ผมหัวเราะขึ้นมา  ในกรณีที่พ่ออยากให้ทัพไปเป็นลูกบอลในสนามแทนลูกบอลจริง ๆ  ผมก็จะไปเล่นบอลเป็นเพื่อนแล้วกันนะครับ  แต่ตอนนี้ผมยังอยากเป็นคนธรรมดา ๆ

“ไม่ว่างครับ”

พ่อยิ้มร่า ไม่โกรธอะไร แม้ผมจะปฏิเสธไปหยก ๆ

“ไม่ไปหาเหมียวเหรอ” 

พ่อไม่ได้ถามหรอก เป็นการบังคับมากกว่า เพราะท่านแทบจะดุนหลังผมออกจากบ้านในทันที

เหมียวกับผม ไม่ได้คุยกันอย่างที่เพื่อนคุยกันมาหลายปีแล้ว 

เหมียวตอนนี้เป็นหัวโจกในห้อง ที่คอยระดมเพื่อนแกล้งผม  วีรกรรมล่าสุดของเหมียวก็คือ  เอาสมุดการบ้านผมไปซ่อน  นั่นคือที่มาของเกรด 2 วิชาคณิตศาสตร์ที่โชว์หราในสมุดพกของผม

การออกมายืนหน้าบ้านโง่ ๆ กะเวลาสัก 15 นาที บริจาคเลือดให้กองทัพยุง แล้วค่อยเดินกลับเข้าบ้านไปบอกพ่อว่าคุยกับเหมียวแล้ว ดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ทัพ นั่นทัพเหรอลูก”

ป้าพร แม่ของเหมียวเอง

ผมยกมือไหว้ ตามมารยาท ฉีกยิ้มให้กว้างสุดเท่าที่หน้าอ้วนกลมของผมจะทำได้

“นี่ ๆ อย่าหาว่าป้ายุ่งนะ  รู้ยังว่าพ่อเรามีเมียใหม่  เด็กด้วยนะ สวยด้วย”

ผมยังฉีกยิ้มต่อไป

“แล้วแม่เราละ เขามีผัวใหม่ยัง  ต้องหาให้หล่อนะ อย่ายอมแพ้พ่อเราละ”

ผมก็ยังฉีกยิ้มต่อ


“นี่ แล้วทัพรู้มั้ยลูก  เหมียวนะ ปีนี้สอบได้ที่หนึ่งอีกแล้วนะ  ทัพละได้ที่เท่าไร  อยู่ห้องเดียวกันนี่”

ผมก็ยังฉีกยิ้มอย่างต่อเนื่อง

“อะไรเนี่ย พูดด้วยก็ไม่พูด ไม่มีมารยาทเอาซะเลย”

ผมยกมือไหว้ป้าพร กำลังเอ่ยปากขอตัวเข้าบ้าน

“ก็ไม่แปลกหรอกนะ ไอ้พวกเด็กมีปัญหา  พ่อแม่ก็แยกทางกัน  ดูตัวแกสิ อ้วนยังกับหมู  ไม่ได้เรื่อง ไอ้พวกมีปมด้อย”

มือที่กำแน่น ตาที่ถลึงกลับไปยังป้าพร เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้  ก่อนจะทิ้งเสียงด่าทอไว้ด้านหลัง แล้วเคลื่อนตัวอุ้ยอ้ายเข้าบ้านไป




โรงอาหาร ที่กว้างใหญ่  ก็โดดเดี่ยวได้  เมื่อคุณเป็นคนที่เพื่อนรังเกียจ

ชินชาแล้ว

“เห้ย เรานั่งด้วยนะ”

ผมเงยหน้ามอง นักเรียนชายในชุดนักเรียนขาวสะอาด บ่งว่าเป็นนักเรียนใหม่

“เราชื่อม่อนนะ ห้องเดียวกันไง  เพิ่งย้ายมาวันนี้  นายชื่อไรนะ”

“ทัพ”

“อืม ทำไมมานั่งคนเดียวอะ เรานั่งเป็นเพื่อนนะ”

“ม่อน ไม่อยากนั่งกับเราหรอก  เราไม่มีใครคบ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากนักเรียนใหม่ เหมือนกับที่ม่อนยังนั่งอยู่ตรงข้ามผม

เรากลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างรวดเร็ว  หรือถ้าพูดให้ถูกผมมองม่อนเป็นเพื่อนสนิทแทบในทันที ในเมื่อตัวเลือกจากคนที่เป็นเพื่อนของผมมีเพียงแค่คนเดียว

ราวกับเหตุการณ์เลวร้ายทุกอย่างในช่วงเกือบ 3 ปี ของผม  เป็นแบบทดสอบขันติธรรมจากสวรรค์  แล้วผมก็บรรลุการทดสอบนั้น
ม่อนเป็นเพื่อนที่ดี  เขาเรียนเก่ง  เป็นนักกีฬา 

“มึงไปวิ่งเลยทัพ”

ม่อนพูด พร้อมกับถือกระบองขนาดเล็กไล่ตามหลังผม

“ถ้าวิ่งช้า มึงโดนฟาด”

ผมวิ่งไป หอบไป มือจับแว่นไม่ให้หลุดจากหน้า เหลียวไปมองด้านหลังด้วยความหวาดกลัวกระบอง

“ทำไมกูต้องวิ่งด้วยเนี่ย”

“วิ่งไปไอ้อ้วน จะผอมมั้ยชาตินี้ วิ่งไป”

มันผ่านไปจนผมอยู่ ป. 6 ผมชัดเจนกับตัวเองในตอนนั้นแล้วว่า ผมไม่ได้คิดกับเพื่อนคนนี้แค่เพื่อนอีกต่อไปแล้ว   ผมคงไม่สามารถเป็นผู้ชายและมีหลานให้พ่อแม่อุ้มได้อย่างที่ท่านต้องการ

ด้วยสติน้อย เบาปัญญา วิธีการสารภาพรักของผมก็คือเขียนจดหมาย แล้วสอดไว้ใต้โต๊ะของม่อน  อีกครึ่งชั่วโมงหลังจากการซ้อมบอลเสร็จ ม่อนก็จะกลับมาที่ห้องและเห็นจดหมายฉบับนี้  แผนผมช่างง่ายดาย

แต่สวรรค์คงไม่ได้ต้องการทดสอบผมแค่นั่น

เพราะคนที่เห็นทุกการกระทำอันน่าสงสัยของผม แล้วคว้าจดหมายฉบับนั้นไปอ่านก็คือ เหมียว

ทำไมผมรู้นะเหรอ  อย่าลืมสิว่าเราสองคนเป็นเพื่อนบ้านกัน

เสียงกริ่งบ้านผมดัง พร้อมกับแขกที่ติดรายชื่อคนสุดท้ายที่คาดไม่ถึง ก็ยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าบ้าน

“ไม่คิดจะชวนเพื่อนเข้าบ้านเหรอทัพ”

“ไม่”  ผมตอบแทบในทันที หมั่นไส้สายตายียวนของเพื่อนบ้าน

“อ้อเหรอ” จดหมายสีเหลือง ลายหมีพูห์ ที่ผมยัดใส่เก๊ะใต้โต๊ะของม่อนสะบัดร่อนไปมา

“เห้ย” 

ผมพยายามคว้าดึงจดหมายฉบับนั้นกลับมา

“อะ อย่าหวังเลย ถึงแกเอาจดหมายกลับไปได้ ก็ยังมีฉบับถ่ายเอกสารอีก” ผมได้ยืนนิ่งกำมือด้วยความเคียดแค้น “ต่อไปแกต้องทำตามที่ฉันสั่ง หรืออยากให้พ่อแม่แกรู้เรื่อง  จริง ๆ ฉันแค่ไปบอกเพื่อนในห้องก็น่าจะพอแล้วนะ”

ชีวิตผมบรรลัยย่อยยับหลังจากนั้น  ผมต้องทำทุกอย่างที่เหมียวสั่ง  แรกเริ่มก็ง่าย ๆ เช่น ไปซื้อข้าวให้  ทำเวรแทน (ซึ่งม่อนก็ต้องลำบากมาช่วยผมทำ)  หนักข้อขึ้น ก็คือ

“ต่อไป กูจะไม่ไปวิ่งกับมึงแล้วนะม่อน”

ให้ผมเลิกวิ่งกับม่อน 

อันที่จริงเหมียวเปรยด้วยซ้ำว่า "หรือจะสั่งให้มึงเลิกคบกับม่อนเลยดีนะ"

“ทำไมวะ ไหนสัญญาแล้วไง มึงอยากผอมไม่ใช่เหรอ”

“กูไม่ไป”  ผมเสียงแข็ง  “กูบอกว่าไม่ไปไง”

“เห้ย มึงเป็นไรเนี่ย”  ม่อนโยนไม้กวาดลงกับพื้นด้วยความโกรธ  เรากำลังทำเวรกันสองคนติดต่อกันเป็นวันที่ 5 แล้ว 
“มีอะไรก็บอกสิวะ ปกติไม่เป็นแบบนี้นี่หว่า”

“กูบอกว่าไม่ไปไง ไม่มีเหตุผล เลิกถามได้มั้ย”

ผมหันหลังให้มัน และก้มหน้ากวาดพื้นห้องเรียนต่อ

สิ้นสุดคำพูดได้ไม่นาน ดาวนับร้อยดวงก็ลอยวนเป็นวงกลมรอบหน้าผม

ใช่แล้วครับ ผมถูกถีบ ม่อนมันถีบผมจากด้านหลัง  ไม่มีคำพูดใดระหว่างเราสองคนอีก  ผมโถมแรงทั้งหมดที่มีใส่ตัวมัน เหมือนกับที่ม่อนต่อยสะเปะสะปะกลับมาที่ผม

“เป็นเหี้ยไร เป็นเหี้ยอะไร”

ทั้งปาก และ มือ ของม่อนทำงานไปพร้อมกัน

น้ำตาไหลอาบแก้มผม 

“ไอ้ทัพ เป็นอะไรก็บอกมาสิวะ บอกมา”

แน่นอนว่า  ม่อนไม่ได้รู้คำตอบนั้น  และสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับผมอีกครั้งก็คือ ม่อนไม่คุยกับผมอีกเลย แล้วเมื่อหมดเทอม 1 ม่อนก็ย้ายโรงเรียนไปโดยไม่บอกกล่าว

ทัพกรณ์ก็กลับสู่สภาพคนตายซาก ไร้ชีวิต ไร้เพื่อน ที่กินข้าวกลางวันลำพังคนเดียวอีกครั้ง

มิตรภาพมันสำคัญมากสำหรับผมนะ

ถ้าความรักอื่นใดจะมาทำลายมันอีกครั้ง

ผมทำไม่ได้หรอก


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


น้ำตาไหลอาบแก้ม ปลิวผ่านตามแรงลมที่สวนมา ผ่านร่องของหมวกนิรภัย

สภาพการจราจรยามค่ำของระยองไม่เลวร้ายเหมือนดั่งกรุงเทพฯ 


น้ำตาที่ปลิวผ่าน พร่ามั่วและทำให้วิสัยทัศน์การมองเห็นของผมแย่ลงไปทุกขณะ  จนเมื่อน้ำตาเริ่มเหือดแห้งไป  หมาจรจัดตัวหนึ่งก็ขวางทางอยู่บนผิวถนน   เสียงแตรดังโหยหวนก็ไม่สามารถปลุกความหวั่นหวาดในตัวมันได้  หนทางเดียวที่ผมพึงทำได้คือเลี้ยวหลบมัน  จนต้องนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น

รถมอเตอร์ไซค์ล้มทับตัวผม  ท่อน้ำร้อนไม่เชือดผิวกายผมแต่น้อย หมวกนิรภัยก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่  ผมยังโชคดี  แม้ว่าจะเสียเพื่อนไปอีกทั้งคน

อยากนอนหลับอยู่ตรงไหล่ถนนไปอย่างนั้น  ไม่ต้องตื่นมารับรู้ความจริงอะไรอีกแล้ว และผมก็คงจะหลับอยู่อย่างนั้นอีกนาน ถ้าไม่มีคนยกรถมอเตอร์ไซค์ออกจากตัวผม  พร้อมกับพยุงผมให้ลุกขึ้น

“คุณโอเคใช่มั้ย”

ผมก้มหน้าพึมพำคำว่าขอบคุณออกไป  ไม่แม้แต่จะมองหน้าคนแปลกหน้าพลเมืองดีคนนั้นด้วยซ้ำ

“โค้ชครับ  พี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”

เสียงเด็กเจื้อยแจ่วแว่วมาจากรถตู้ที่จอดอยู่ตรงไหล่ทางไม่ไกล

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง รอแปบนะเด็ก ๆ”

เขาตะโกนตอบกลับไป แล้วหันมาเจรจากับผมต่อ

“คุณ ตอบหน่อย เลือดไหลแล้วเนี่ย”  แขนที่เลือดไหลซึมของผมถูกยกขึ้นมาพิจารณา  “เข่าก็เลือดออกด้วย”  ผมยังก้มหน้าไม่ปริปากเอ่ยคำใด  ในขณะที่คนแปลกหน้าก้มลงไปดูแผลที่หัวเข่าของผม 

“เห้ย  นี่ทัพหรือเปล่า”

ชื่อของผมถูกเอ่ยออกไป  ตาของผมที่เลื่อนลอยมองเป็นภาพเบลอ ๆ ก็ถูกปรับโฟกัสเพ่งกลับลงไปในทันที

“ม่อน”


-------------------

ขอเพิ่มตัวละครอีกตัวนะครับ อิอิ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-09-2018 11:56:27 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ย! หน่วงอ่าไม่รู้จะสงสารใครมากกว่ากันดี  :monkeysad: :sad11:
สนุกมากค่ะรอตอนต่อไปนะ :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :ling2:
ตอนพิเศษ 1




สวัสดีครับ ผมชื่อ บอส  ความใฝ่ฝันของผมตั้งแต่เด็กคือได้เป็นทันตแพทย์ 

อย่าครับ อย่าคิดว่าผมพิศวาสกับการนั่งมองคนอ้าปาก จิ้มขี้ฟัน หรือใคร่เห็นความโสโครกของคน

สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอฟันคือ เงิน ครับ   
ยอมรับตรง ๆ แมน ๆ เลยว่า เงิน 

แล้วความใฝ่ฝันที่ผมวาดไว้หลายปีก็เป็นจริง  พอผมเรียนจบก็ได้เป็นหมอฟันสมใจอยาก  แถมได้เป็นหมอฟันที่โรงพยาบาลตราด อยู่ห่างจากบ้านผมแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ 5 นาที ถึงเท่านั้น 

พอเสร็จจากงานประจำในช่วงเช้า  ตอนเย็นผมก็ขับรถไปรับจ๊อบเป็นมือปืนที่จันทบุรี 
อะอ๋า  มือปืนในที่นี้หมายถึง  หมอฟันที่รับงานตามคลินิกต่าง ๆ นะครับ  ผมไม่ได้ไปรับจ้างลอบฆ่าใครนะเอ้อ

ชีวิตฟังดูหรูหราสบายเลยใช่มั้ยครับ  แน่นอนว่าเงินผมเยอะมากต่อเดือน  เยอะพอที่จะไปเที่ยวต่างประเทศได้ปีละหลายหน   ประเด็นคือไม่มีเวลานี่แหละ

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมถึงโรงพยาบาลเร็วกว่าเวลาเข้างาน  อยู่บ้านก็น่าเบื่อครับ มานั่งเช็ครายชื่อคนไข้ ดูคิวนัด ทำอะไรเรื่อยเปื่อยยังมีสาระมากกว่า

“ไลน์!!”

เสียงข้อความไลน์ดัง 

ผู้ต้องสงสัยมีไม่เยอะหรอกครับ ที่จะไลน์หาผมเช้าขนาดนี้   

ถ้าไม่คุณนายแม่ที่ส่งไลน์มาฝากซื้อหวยที่คนตาบอดขายหน้าโรงพยาบาลเพราะเมื่อคืนท่านฝันว่าคุณยายมาให้โชคอีกแล้ว  (โชกเลือดมากกว่านะ  โดนกินทุกงวดแบบนี้)   

ก็ต้องเป็นไอ้ทัพแน่นอน  ไอ้เพื่อนซี้เพื่อนยาก  ได้ดีไม่มีผัวซะที  บ่นพร่ำเพ้อถึงพี่ปริ๊นซ์ทุกวัน

มึงจะรู้มั้ยวะทัพ  ว่าก่อนหน้านี้พี่เขาก็พร่ำเพ้อถึงมึงบ่อยมาก  แล้วก็เสือกปากแข็งพอกัน  กูก็ทำอะไรไม่ได้เลย 

นี่อยากลองเป็นพ่อสื่อบ้างนะ  เป็นหมอฟันนั่งจิ้มขี้ฟันน่าเบื่อจะตาย


บอส ตอนนี้พี่ปริ๊นซ์อยู่คอนโดกู

กูตื่นเต้น



“เหี้ย”  ถึงกับอุทานออกมาเลยครับ     

เพื่อนกูไปไกลขนาดนี้เลยเหรอวะ  แปบเดียวพาผู้ชายเข้าคอนโดแล้ว   “เหี้ย เหี้ย เหี้ย”  เพ่นพ่านเลยครับ   อยากร้องไห้   เพื่อนกูจะมีผัวแล้วเว้ย

“แล้วมึงไปเจอตอนไหน ยังไง เล่าสิสัด”   
ข้อความที่ยังไม่ส่งค้างเติ่งอยู่ฝั่งผม  ไม่ได้  กูต้องคีปลุค  ก็ต้องคีปคูล  ผมลบทันทีแล้วเลือกถ้อยคำในแบบฉบับบอส  คนคีปลุค

นอนกกกันว่างั้น 

ได้กันยัง   

งานการไม่ทำเหรอมึง   



ขำวะ

ขำความระหว่างอาทิตย์กับอังคารไร ของตัวเอง  (จันทร์-ไร ไงหนู เผื่องง) 

ปิดหน้าจอ คว่ำโทรศัพท์  รอลุ้นผลตอบรับจากผู้บริโภคดีกว่า

“ไลน์ ไลน์ ไลน์ ไลน์”

นั่นปะไร  รัวมาเลย  นึกหน้ามันออกเลยว่าต้องหน้าแดงแจ๋เป็นผลตำลึงแน่นอน  ไอ้ทัพเพื่อนยาก

กกพ่องสิ

กูไม่ใช่แม่ไก่นะ

เรื่องมันยาวอะมึง

กูเจอพี่แกโดยบังเอิญ



หืมมม  เจอโดยบังเอิญเหรอวะ  เรื่องดูสนุกกว่าที่คิดเว้ย

“หมอคะ”  ผู้ช่วยของผมเดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟหนึ่งถ้วย “มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะคะ  ปุ๊กวางกาแฟไว้ตรงนี้นะคะ”

“ขอบคุณมากคุณปุ๊ก  ลูกสาวเป็นยังไงบ้าง หายจากไข้หรือยัง”

“หายแล้วคะ คุณหมอ ขอบคุณมากนะคะ”   

คุณปุ๊กเป็นคุณแม่ลูกสอง ที่น่ารักและใจดี  เป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ที่ทุกคนในโรงพยาบาลรัก

“ต้องบอกน้องให้แปรงฟันบ้างนะ  ผมไม่อยากอุดฟันเพิ่มให้แล้วนะครับ”

“ค่ะ ค่ะ  เออหมอคะ  มีเคสฟันที่เสียหายจากอุบัติเหตุมานะคะ  อาจต้องส่งคอนซัลท์กับทางกรุงเทพฯ  หมอสะดวกมั้ยคะ”

“อ้อ ได้ครับ สักครู่นะครับคุณปุ๊ก”



มึงเล่าทิ้งไว้นะ     

วันนี้คิวที่โรงพยาบาลตราดแน่นมาก     

กูขอเช็คก่อน     

ยังไม่แปดโมงเลยนี่

ไฟแรงนะครับพี่

คือกูเจอเขาโดนวินมอไซค์รุม

กูเข้าไปช่วย แอ๊บเป็นพี่เมฆ

(สติกเกอร์เก๊กหล่อ)

กูเก่งปะละ



“โอ๊ย  ไอ้ทัพ  เขาคงโง่เชื่อมึงหรอก”

“คะ หมอว่าไงนะคะ”

“เปล่าครับ คุณปุ๊ก  เดี๋ยวผมตามไปครับ”


แล้วพี่เขาก็เชื่อว่ามึงเป็นพี่เมฆ   

พี่ปริ๊นซ์ไม่โง่นะ เท่าที่กูรู้จัก   


เขาเชื่อนะมึง

จริง ๆ



เสียงคุณปุ๊กดังจากข้างนอก  เธอคงเม้ามอยกับคนอื่นอยู่หน้าห้องผมแน่นอน 

รู้สึกเหมือนถูกกดดันให้รีบยังไงไม่รู้แฮะ


เขาเชื่อ   

หรือเขาทำให้มึงเชื่อว่าเขาเชื่อ   

คิดให้ดี   

ไปละ   

หลวงจ้างมาทำงาน   

ไม่ได้จ้างมาคุย   

กูคนดีพอ   


อ้าว ไปแล้วเหรอมึง

กูตื่นเต้น เขาชวนกูไปเขาดิน



เออออ   

มีความสุขก็พอละ   

อย่าเผลอหักคอไก่ ลากลงน้ำละ   

บายยย   


อ้าว ไอ้ห่า กูไม่ใช่เหี้ย


“ผมมาแล้วครับคุณปุ๊ก  ฮะฮ่า”

“หมออารมณ์ดีนะคะวันนี้”

“ดีครับ เพื่อนรักผมกำลังจะออกเรือน”

“ว้าววววววววววว”

“ดีใช่มั้ยละครับ”

“ดีจริงค่ะ   แล้วคนที่เขาจะออกเรือนด้วย  หมอรู้จักมั้ยคะ”

“รู้จักดีเลยละครับคุณปุ๊ก  ผมเคยเกือบจะเป็นพ่อสื่อด้วยนะ  แต่คีปลุคมากไปหน่อย  ก็เลยปล่อยให้สองคนนี้ทิ้งช่วงกันไปนาน”

“ถ้าคนมันคู่กัน  ไม่ต้องมีพ่อสื่อแม่ชักหรอกค่ะหมอ  ธรรมชาติและพรหมลิขิตจะดลบันดาลให้เขามาคู่กันเอง”

คุณปุ๊กพูดไป ยิ้มไป  แล้วเดินนำหน้าผมไปอย่างมีความสุข


ความสุขเหรอ 

ความสุขในตาของทัพที่ส่องเรืองรองทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้พี่ปริ๊นซ์   ทุกครั้งที่มันพูดถึงพี่ปริ๊นซ์   

รวมทั้งความคับใจ ที่ไม่อาจบอกความรู้สึกนั้นไปได้   

ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ทัพยังไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้  จนบางครั้งผมก็แอบหวั่นว่าเพื่อนผมยึดติดกับพี่เขามากไปมั้ย   มันจะสามารถก้าวไปข้างหน้า  และโอบกอดรับคนดีที่เดินเข้ามาในชีวิตมันได้มั้ย   

แล้วถ้ามันพลาด   ปล่อยคนที่รักมันมากที่สุดไปเพียงเพราะว่า  ยังยึดอยู่กับอดีตที่หอมหวานล่ะ

“บอส กูจะเจอมึงอีกมั้ย”

น้ำตาไหลอาบเลอะเสื้อผม  ผมแคลงใจว่ามันต้องมีน้ำมูกไหลผสมมาด้วย  แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ  ได้แต่กอดปลอบเพื่อนสนิทคนเดียวกลับ

“กูไม่ได้จะไปตายที่ไหนทัพ  นี่แค่วันปัจฉิม  มึงกับกูก็ยังขี่มอเตอร์ไซค์ไปหากันได้  กูยังอยู่ตราด”

“ก็กูกลัวอะ”

ยิ่งกอดผมแน่นกว่าเดิม ตามด้วยเสียงสั่งน้ำมูก   ไอ้เหี้ยทัพ  ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนสนิท   กูต่อยมึงคว่ำไปแล้ว

“กลัวมากจริง ๆ  นะ  ทั้งชีวิตกูนอกจากพ่อแม่  ทับทิม  พี่ปริ๊นซ์  ก็มีแค่มึง”  มันสั่งน้ำมูกแรงอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาเปียกหลังผมอีกระลอก   เพื่อนผู้หญิงรอบตัวต่างก็พากันกอดร่ำไห้ไม่ต่างกัน   มันประหลาดตรงที่ผู้ชายสองคนกอดกันกลางหอประชุมนี่แหละเว้ย   “เออ มียายด้วย  เดี๋ยวยายน้อยใจกู ฮือ ๆ”

“ไอ้เพื่อนยากเอ้ย  กูรักมึงนะ  มึงต้องเลิกยึดติดกับคน  กลัวความผิดพลาดที่มันจะเกิด  แม้ว่ามึงจะกลัวว่ามันจะพลาดซ้ำแบบในอดีตของมึงกับ... กับใครวะ”

“ม่อน”

“เออ กับม่อน  แต่เชื่อกู”

ผมดึงมันออก จับไหล่สองข้าง   มองตาอันบวมแดงของมันที่มีแว่นตาเอียงกะเท่เร่   ไอ้อ้วนเอ้ย   น้ำมูกมึงยืดแล้ว

“สัญญากับกูนะ  มึงจะมีเพื่อนใหม่  กล้าทำอะไรที่คนทั่วไปเขาทำ   ไอ้เหี้ยพวกนี้”  ผมบุ้ยปากไปที่กลุ่มเพื่อนร่วมห้องที่รุมรังแกทัพมาตลอด   มันกำลังสรวลเสเฮฮากอดคอกัน นัดกันไปกินหมูกะทะกันเย็นนี้อยู่ตรงโคนเสาของหอประชุม  “พวกมัน  กำลังจะตายไปจากความทรงจำมึงแล้ว   พอสอบอะไรเสร็จ  ก็ไปวิ่ง  นัดกูมา  มึงต้องผอม  โอเคมั้ย”

มันพยักหน้าเบา ๆ   โอเค   ผมพอใจละ  แม้ว่าอยากได้เสียงที่แข็งขันตอบรับมามากกว่าก็ตาม

“แล้วอีกข้อ  มึงสัญญานะ  ถ้าใครก็ตามเขาชอบมึง  แบบที่มึง”  ผมลดเสียง  “ชอบพี่ปริ๊นซ์  มึงจำไว้  มึงต้องกล้าที่จะเรียนรู้   เลิกยึดติดกับพี่ปริ๊นซ์   เขาไปต่างประเทศ  เขายังไม่ลามึงเลย  สัด”

ทัพร้องไห้หนักกว่าเดิม  นี่กูไปสะกิดต่อมมันเหรอไงวะ

“ฟังกูก่อน  ถ้าเขาชอบมึง  มึงต้องให้โอกาสเขา  พิสูจน์ว่าเขาชอบมึงจริง   โอเคมั้ย  มึงต้องทำนะทัพ”

“กู กูจะทำก็ได้  ถ้าคนนั้นไม่ใช่เพื่อนกู”

“กูไม่เข้าใจมึงวะทัพ”

“ม่อน ม่อนเป็นเพื่อนที่กูรักมาก  แต่กูก็เลือกจะทิ้งความเป็นเพื่อนแล้วไปสารภาพรักกับมัน  เรื่องวุ่นวายทั้งหลายก็ตามมา   กูไม่กล้าชอบหรือไม่กล้ารักใครอีกแล้ว   ถ้าความรักนั้นจะทำให้ความเป็นเพื่อนต้องสลายไป”

“ไอ้ทัพ”  ผมเขย่าตัวมันแรง ๆ หนึ่งที  “มึงฟังกูนะทัพ   ถ้ามึงชอบกู   อย่าทำหน้าตกใจ  กูสมมติ  กูก็จะเรียนรู้ว่ามึงรักกูจริงมั้ย  หรือแค่ชอบกูเพราะกูหน้าตาดี  รวย   ไอ้เหี้ยทัพ  เลิกทำหน้าเหยเก  ฟังกูก่อน”   

มันทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว   ไอ้เลวทัพกรณ์  “เออ ฟังนะ  กูก็จะเรียนรู้ด้วยหัวใจของกูทั้งหมดว่า  ความรักที่มึงมอบให้กูเป็นแบบไหน  กูจะปล่อยไปตามหัวใจ  ใช่ ทัพ  เหตุผลสำคัญ  กูคิดถึงเหตุผลด้วยแน่นอน   แต่ในเรื่องความรัก   กูจะนำหัวใจมาตัดสินก่อน  จากนั้นกูจะใช้เหตุผลเป็นตัวตัดสิน”

ผมหยุดหอบหายใจก่อนพูดต่อ  เกิดมาไม่เคยพูดอะไรยาวขนาดนี้กับมันมาก่อน

“ถ้าหัวใจกูบอกว่า มึงรักกูจากความบริสุทธิ์ใจ  รักที่กูเป็นกู  สักวันกูแก่  กูจน  มึงก็ยังรักกู   กูก็จะรักมึงกลับ  เหตุผลอื่นใด  กูจะใช้หลังจากนี้   กูจะไม่เอามันมาทำให้คนที่รักกูต้องถูกทิ้งขว้างไปแน่นอน  มึงเข้าใจนะ”

“เข้าใจ  แต่...”

“แต่อะไร”

“คือ...”

“คือ... ไม่มีแต่นะมึง”

“กูทำไม่ได้บอส กูขอนะ กูทำไม่ได้  อย่าบังคับกูเลย”

ผมปล่อยมือจากไหล่ทัพ  จับที่หัวตัวเองด้วยความปวดหัว

“ทัพ มึง”

“นะ บอส”

“เห้อ  เออ  สักวันมึงจะเรียนรู้เองแหละ  ว่าความรักนะ คือ ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างหัวใจและเหตุผล  แต่มึงจะใช้เหตุผลนำหน้าหัวใจไปก่อนไม่ได้หรอกนะ”

“คือ...”

“ฟังกู   เหตุผลจะยืนเคียงข้างกับหัวใจได้  ก็ต่อเมื่อ  หัวใจมึงมันเปิดรับให้เขาเข้ามาไง  ทัพ  กูจะรอวันที่มึงใช้หัวใจมากกว่าเหตุผลนะ  กูอยากให้มึงมีความสุข”

“บอส”  ไอ้ขี้แย ร้องไห้อีกแล้ว

“เปล่า เลิกซึ้ง กูแค่อยากรู้ใครรุกใครรับ แต่กูว่ามึงรับแน่เลย”

“ไอ้เหี้ย” 

แล้วทัพก็ออกวิ่งไล่เพ่นกบาลผม  ดีนะผมรู้ทันแล้วชิงก้าวขาวิ่งออกไปก่อน




“คุณหมอคะ  โทรหาที่กรุงเทพฯ เลยมั้ยคะ”   ผมได้ยินเสียงเบาบางจากภายนอก  “คุณหมอคะ”  แล้วผมก็สะดุ้งตื่นจากอดีต

“ครับ คุณปุ๊ก  โทรเลยครับ”

“คุณหมอใจลอยนะคะ  แต่ดูมีความสุขนะคะ”

“อ้อ ผมกำลังคิดถึงเพื่อนผมที่จะออกเรือนนะครับ   มันคงกำลังมีความสุขมากแน่ ๆ”

มึงต้องมีความสุขนะทัพ

เปิดโอกาสให้ตัวเองมากกว่านี้เพื่อนยาก



--------------------------------------
ขอเป็นตอนพิเศษก่อนนะครับ
ช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยมีซ้อมรับปริญญา วุ่นวายกับการไปถ่ายรูปกับบัณฑิต ซื้อของขวัญ สารพัดเลยครับ

แถมใกล้สอบมิดเทอมอีก

 :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2018 14:18:55 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 อยากรู้อาการทัพแล้วตอนนี้เป็นไงมั้ง
คนเขียนสู้ๆ :กอด1:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 13
มิตรภาพที่สำคัญ


ผมถูกแบนจากเพื่อนทั้งห้องทันที  หลังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเทอมดี

ชีวิตวัยมัธยม ไม่ต่างจากชีวิตในวัยประถมมากนัก

ผมยังเป็นไอ้อ้วน ใส่แว่น ที่ทุกคนรังเกียจเช่นเดิม

สาเหตุที่เพื่อนเกลียดผมนะเหรอ มันไม่ได้ยากสลับซับซ้อนอะไรมากนักหรอก

อ.พิศมัย อาจารย์วิชาเลข สูงอายุ หน้าตาดูดุตลอดเวลา
ทุกครั้งที่สอน  อ.พิศมัย จะต้องหิ้วตำราและกล่องชอล์คส่วนตัวมาด้วยเสมอ   ตอนแรกผมก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเม้ามอยอาจารย์  ไหลไปตามน้ำ  หวังว่าจะได้ความรักความสนิทสนมจากเพื่อนร่วมห้อง  ความรู้สึกที่ผมปรารถนามาตลอด   แม้ว่าไอ้บอส  เพื่อนที่จับพลัดจับผลูมานั่งข้างผมเพราะมันมาห้องเรียนสายสุด (และคนที่มาก่อนมันเพียงหนึ่งนาทีก็คือผม  รางวัลแห่งการมาสายนั่นคือ นั่งข้างหน้า ข้างผมไปทุกคาบ) จะมองผมด้วยสายตาที่ไม่เห็นด้วย  เป็นมันเองนะแหละที่ไม่เคยนินทาอาจารย์คนไหนเลย

กระทั่งวันหนึ่ง  ผมเห็นอาจารย์พิสมัยทำกล่องชอล์คตก  แกมะงุมมะงาหราเก็บขึ้นมาด้วยความลำบาก   ผมเริ่มรู้สึกสงสารอาจารย์ที่ต้องหอบหิ้วของพวกนี้ด้วยตัวเองเป็นประจำ    ผีห่าซาตานเทวดาองค์ไหนไม่ทราบดลใจให้ผมอาสาไปช่วยอาจารย์ทุกครั้งที่สอน   จนกล่าวได้ว่า  วันใดถ้าผมไม่ไปช่วย อ.พิศมัย  แกก็จะเข้าใจไปเองว่านักเรียนในห้องผมยังเดินมาไม่ถึงห้องเรียน

“แกไปช้าสักวันได้มั้ย”

กุลนารถ เพื่อนในห้องถามผม

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยว อาจารย์รอ”

ผมตอบไป ยืนขึ้นเตรียมตัวไปที่ห้องพักครูหมวดคณิตศาสตร์  เหลือบมองเห็นท่าทางไม่พอใจของกุลนารถแวบหนึ่งทางหางตา   และนั่นอาจนับเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกแกล้งและรังแกไม่สิ้นสุดในชีวิตมัธยมของผมก็ว่าได้

-------------------------------------------------------------

“มึงทำอะไรวะ”

เสียงลอยมาพร้อมเท้าที่ยื่นกระแทกหน้าคนที่กำลังต่อยผมจนเลือดกบปาก จนมันกระเด็นกลิ้งหลุน ๆ

“มึงเป็นเหี้ยอะไร มาเสือกด้วยวะ อย่าคิดว่าเป็นรุ่นพี่แล้วกูไม่กล้านะ”

“ก็เอาสิ จะหมาหมู่ก็เอา มาเลย”

ผมยืนโงนเงนจากความช่วยเหลือของพี่ปริ๊นซ์   รี่ไปยืนหลบหลังพี่ปริ๊นซ์แบบทุกครั้ง 

เพื่อนห้องอื่นอีก 2 คน มองผมด้วยสายตาเคียดแค้น  คนที่พี่ปริ๊นซ์เตะกลิ้งลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

“พี่ปริ๊นซ์ อย่าเลย”

ผมพยายามจับแขนพี่ปริ๊นซ์  ห้ามสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้น

“มึงควรขอกูนะ ไอ้ใจตุ๊ด  เห็นแก่ตัว  เหมือนที่เพื่อนในห้องมึงพูดไม่ผิด  กูแค่ขอลอกการบ้านแค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ”

“มึงสิใจตุ๊ด สามรุมหนึ่ง ไอ้เหี้ย”

คำพูดจบลงไปเพียงเสี้ยววินาที  หมัดหนักของพี่ปริ๊นซ์ก็สวนไปที่คนเดิม จนกลิ้งไปอีกรอบ 

อีก 2 คน ก็รุมเข้ามาซัดพี่ปริ๊นซ์   พี่เขาล้มตัวลงแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้  เตะฟาดขาจนคนหนึ่งล้มลงไปกอง

ผมได้แต่ยืนมองและไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว   ผมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน  นี่เหรอชีวิตมัธยมของผม  ได้แต่โดนแกล้ง  โดนต่อย  แล้วก็เป็นภาระให้พี่ปริ๊นซ์ซ้ำซาก

ผมอยากเข้าไปห้าม  อันที่จริง ผมไม่อยากเป็นภาระใครทั้งนั้น 

บอสวิ่งมาข้างตัวผมพลางลากผมที่ยังยืนเงอะงะออกจากกลางวงวิวาท

ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้จริงเหรอ  ชีวิตจะไม่มีวันสงบเลยใช่มั้ย

มิตรภาพ เป็นคำที่ทรงพลัง  แต่ก็ช่างเปราะบางเหลือเกิน


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


ผมสะดุ้งตื่น เหงื่อกาฬไหลโทรมกาย  ภาพอดีตยังคงหลอกหลอกผมเสมอ 

เสียงโทรศัพท์สั่นรัวทันทีไม่นานจากนั้น พร้อมชื่อคนที่ผมไม่อยากได้ยินเสียงที่สุดเวลานี้

78 missed call คือ ตัวเลขล่าสุดในหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องพัก

ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งผีประจำโรงแรมมาใบ้หวยงวดต่อไปแล้วหละ  ผมเอาเลขจำนวนสายไม่ได้รับไปแทงหวยน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า

จนถึงบัดนี้ข้าวสักเม็ด น้ำสักหยด ยังไม่ต้องถึงท้องผมเลย   แต่ผมก็ไม่ได้มีความอยากอาหารอื่นใด   ความหิวมลายไป แทนที่ด้วยความโกรธ   แถมยังมีเรื่องประหลาดใจที่เจออดีตเพื่อนสนิทที่ผมเคยคิดไม่ซื่ออีก   

วัน ๆ หนึ่งของทัพกรณ์ต้องตั้งรับอะไรขนาดนี้เลยหรอวะ

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง

ตาม

เบอร์มันอย่างไม่ต้องสงสัย  จนเสียงกรีดร้องวูบหายไป  ผมจึงฉกฉวยโอกาสนั้น โทรศัพท์ไปหาพี่ปริ๊นซ์  ต้องเป็นพี่เท่านั้น 

“ว่าไง คิดถึงพี่เหรอ นี่ยังไม่ถึงวันเลยนะ”

แต่สิ่งแรกที่ผมทำย้อนกลับไปคือร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้  ผมทำอยู่แค่นั้น  ไม่ว่าพี่ปริ๊นซ์จะพูดอะไร ผมก็ได้แต่ร้องไห้

“เฮ้ย  ทัพ  ร้องมาเลยนะ  พี่อยู่ข้าง ๆ ทัพนะ  อยากให้พี่ไปหามั้ย”

“ฮือๆๆๆๆ ๆๆ”

“ทัพ”

“มะ ม่ายย ฮึก ฮือ ๆ”

“.................................”

“ม่ายเป็นไร จริง ๆ หือๆ ครับ”

“พี่รู้นะว่าฟังดูบ้า แต่ตอนนี้พี่กำลังกอดเราอยู่นะ ถ้าทำได้ พี่กอดเราอยู่จริง ๆ นะ”

ตลอดเวลาการร้องไห้ของผมมีเสียงปลอบอันอ่อนโยนของพี่ปริ๊นซ์อยู่เคียงข้างเสมอ   คลอเคล้าไปกับเสียงสั่นของสายซ้อนที่ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ดูราวกับว่าความพยายามไม่ได้ย่อถอยลดลง


-------------------------------------------------------------


ผมหลับไปอีกเมื่อไรไม่รู้ 

ตื่นขึ้นมาด้วยความหิวโหย  ตาบวมช้ำ  หยิบมือถือเพื่อจะดูเวลา  ก็เห็นสายที่ไม่ได้รับสูงถึง 159 สาย  พร้อมกับข้อความจากไลน์และแชทเฟซบุ๊คของตาม

ผมเลือกที่จะไม่เปิดอ่านในเวลานี้  เกือบเที่ยงคืนแล้ว   ยังคงไม่มีอะไรตกถึงท้อง  ผมจึงพาร่างอันอ่อนแรงเดินออกจากห้องพัก

“คุณทัพกรณ์คะ”

รีเซปชันโรงแรมเรียกผม พร้อมกับกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา  กระซิบกระซาบใส่หูผมเหมือนกับกำลังชี้แจงความลับราชการที่ยิ่งใหญ่

“มีคนรอคุณทัพกรณ์ด้านหน้านะคะ รอมาตั้งแต่ห้าโมงกว่าแล้ว  ไล่ก็ไม่ไปค่ะ  ดิชั้นบอกจะโทรตามคุณทัพกรณ์ให้ก็ไม่ยอม บอกจะรอค่ะ  ระวังตัวนะคะ”

ผมเดาได้ทันทีว่าใคร  เตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ  ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเดินออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

ชายหนุ่มร่างสูงนั่งอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนหน้าโรงแรม ตาเหม่อลอยมองออกไปยังถนนใหญ่  ไหล่ห่อหุ้มเล็กน้อยประหนึ่งประกาศถึงความเหนื่อยล้าจากการทำงาน

“มึงกลับไปเถอะ”

ผมพูด  ตามหันหน้ามามองผม  ยืนขึ้นช้า ๆ  อ้าปากที่จะพูดอะไรบางอย่าง

“ไม่ต้องพูด  กูไม่อยากฟัง”

ผมหลับตาลง

“คือ ทัพ...”

ผมเอามือปิดหูตัวเอง   กันน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอีก

“บอกว่าอย่าพูดไง กูไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังอีกแล้ว  กูยังอยากเป็นเพื่อนกับมึงอยู่    ถึงมึงจะทำเหี้ย ๆ แบบนี้กับกูก็ตาม ขอร้องละ ขอร้องละ ณ ตอนนี้  ตอนนี้เท่านั้น อย่าพูดอะไรเลย”

อีกฝ่ายเคลื่อนตัวเข้าใกล้ผม  เอามือทั้งสองข้างจับแขนผมที่ยกมือปิดหูตัวเองไว้   

มันบีบคลายมือผมเบา ๆ

“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว”

มือหนักนั้นผ่อนแรงลง

“งั้นกูกลับก่อนนะ   ซื้อข้าวมาให้ แต่มันคงเสียแล้วละ กินขนมถุงอะไรพวกนี้แทนไปก่อนนะ”  แขนผมถูกปลดปล่อยจากการสัมผัส  “วางไว้บนโต๊ะนะ”

ผมยังคงหลับตา ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกหลายนาที  จวบจนลืมตาขึ้นก็มีแต่ความว่างเปล่า  ถุงพลาสติกใหญ่วางอยู่ตรงโต๊ะม้านั่งหินอ่อนหน้าโรงแรม   

ผมทรุดตัวลง มองของในถุง  ใจด้านมารบอกว่าอยากเอาขนมมาปาลงพื้นแล้วกระโดดเหยียบให้แหลก  แค่นี้ก็นับได้ว่าเรากำลังเหยียบหน้าคนซื้อแล้ว   อีกใจที่เป็นกุศล ก็พร่ำบอกทัดทานด้านมารว่า  ทำแบบนั้นทำไม  แกะสิ  แกะแล้วกินเลย  หิวไม่ใช่เหรอ

ไม่ทันที่ด้านมารกับด้านเทวดาจะเคลียร์กันเรียบร้อย  เสียงข้อความก็ดังขึ้น

“โทษทีวะทัพ ติดธุระด่วน เพิ่งว่าง พรุ่งนี้ไปหานะ คงนอนแล้วสินะมึง”

ข้อความจากม่อน 

ผู้ที่ผมบังเอิญเจอในช่วงเย็นที่ผ่านมา


“ม่อน”

เจ้าของชื่อยืนขึ้น  ม่อนดูแก่ลงจากครั้งก่อนที่เราเจอกัน  ไม่สิ   ม่อนยังดูหนุ่มสมวัย  มัดกล้ามเนื้อทะลุเสื้อผ้ากีฬาออกมาอย่างสวยงาม

ม่อนตัวสูงกว่าเดิมหลายเท่า  มีริ้วรอยของความเหนื่อยล้ากระจายอยู่บนใบหน้า

“ทัพ”  ดวงตาใหญ่บนหน้ากร้านแดดหรี่ลง เพ่งอย่างพิจารณา “จริง ๆ ใช่มั้ย”

“อืม...”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี  ผมก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของม่อน  กอดที่ผมไม่กล้าที่จะกอดกลับ   ได้แต่ยืนแข็งทื่อให้อีกฝ่ายกอดอยู่เท่านั้น

ความโกรธปนความไม่เข้าใจเรื่องตาม  สลายหายไปในชั่วพริบตา  เหลือเพียงความรู้สึกแน่น ๆ

แน่นมาก  ตัวม่อนแน่นจริง ๆ

บ้าจัง... ทำไมผมคิดแบบนี้วะ


“โค้ชครับ  เราจะไปสนามแข่งไม่ทันนะครับ”

เสียงเด็กน้อยบนรถตู้ตะโกนปลุกสติม่อน

“เออ ๆ รู้แล้ว”  ม่อนตะโกนตอบกลับไป โดยยังคงพุ่งสายตามาที่ผม  “ทัพ  เอามือถือมา”   ผมยื่นให้ม่อนอย่างว่าง่าย   ถ้าเป็นโจร ไม่ใช่ม่อน  ป่านนี้ผมก็คงโดนวิ่งราวไปแล้ว  “รหัสอะไร”   ม่อนปลดล็อครหัสตามผมบอก  แล้วก็รู้สึกว่าทำไมกูง่ายขนาดนี้วะ  ไม่ช้านานโทรศัพท์ก็ถูกยื่นคืนมา

“กูแอดเฟซบุค ไลน์  แล้วก็เมมเบอร์ให้แล้ว  เดี๋ยวราวสองสามทุ่มจะโทรหา  ไปกินข้าวกัน”   ผมกำลังจะอ้าปาก  “ไม่ต้องพูด  กูจะมา  ตามนั้น  เราต้องมีเรื่องคุยกันนะ”  รอยยิ้มของม่อนทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาชั่วขณะ

ม่อนเดินจากไป กำลังก้าวขึ้นรถตู้ 

แล้วเขาก็หันมา

“ทำแผลด้วยนะมึง  แล้วมึงนะไม่เปลี่ยนไปเลยนะ  จะใส่ไม่ใส่แว่น  จะอ้วนหรือผอม  ก็ยังเป็นทัพคนเดิมของกูเลยนะ”

มันยกมือทำท่าตะเบ๊ะแบบที่ทหารชอบทำ 

ผมรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาทันที

พ่อมันเป็นทหารครับ  สมัยประถมมันก็ชอบทำท่านี้ให้ผมทุกครั้งที่ผมขอให้มันทำอะไรให้  หรือ  เวลาเราจะแยกกัน

“แต่จะว่าไป มึงผอมลงนะเว้ย เจ๋งมากเพื่อน”

แล้วรถตู้ก็ออกไป ท่ามกลางความงงสติแตกที่ได้เจอเพื่อนเก่าบวกกับความรู้สึกเบาโหวงประดุจใจขาดรอนจากเสียเพื่อน

ความรู้สึกอลหม่านที่ไม่รู้จะบริหารจัดการเช่นไร

“อันที่จริง  กูเคยผอมกว่านี้เหอะม่อน  แต่พี่ปริ๊นซ์ขุนกูอย่างกับจะพากูไปโรงเชือดปลายปีนี้”

แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

ตาม

เพียงเห็นชื่อ ตาม โชว์หราบนหน้าจอ  ความรู้สึกที่เหมือนจะเลือนหายไปแล้วก็พลันเอ่อล้นประดุจเขื่อนแตกขึ้นมาอีกครั้ง 
มันหลอกผม

มันทิ้งผม

มันเกลียดผมแล้ว

ผมเสียเพื่อนคนนี้ไปแล้ว



ผมก้มลงพิมพ์ข้อความตอบกลับอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรมึง  กูก็กำลังกินข้าว”   

ม่อนโทรกลับทันที หลังจากผมส่งข้อความกลับไปไม่ถึงสิบวินาที

“ทัพ มึงยังไม่นอนเหรอ อยู่โรงแรมไหน”

“เออ ม่อน กูไม่ได้ส่งไปเพื่อให้มึงลำบาก”

“เออ อยู่ไหน” 

“โรงแรม XX  เกรงใจ มึงไม่ต้องมา...”

“พอ.... พอ..... หยุดพูด  กูจะไปหา  อยู่ใกล้ ๆ เลย”

มันวางหูไป  ผ่านไปราว 5 นาที  รถยนต์คันหนึ่งที่ขับเร็วมาก  ราวกับรีบไปเก็บผ้าอ้อมลูกที่กำลังเปียกฝน ก็จอดฝุ่นตลบห่างจากโต๊ะที่ผมนั่งไป  5  ก้าว

“ไอ้ทัพ”

เสียงยังไม่ทันจาง  ผมก็โดนกระชากขึ้นมากอดอีกครั้ง

“กูคิดถึงมึงชิบหาย ไอ้เหี้ย ไอ้เลว  เรื่องตอนนั้นมึงต้องเล่าให้กูฟังให้....”

แน่น  ความรู้สึกแน่นมาอีกแล้ว  ทำไมแน่นขนาดนี้

ยังไม่ทันขาดคำดี  วงแขนของแน่น ๆ ของม่อนก็พรากหลุดไหลออกจากตัวผม

เสียงหมัดกระแทกลงที่หน้าม่อน  ด้วยทักษะนักกีฬาไม่มีอะไรสามารถทำร้ายใบหน้าของม่อนได้  หม่อนหันหัวหลบทันที  แล้วสวนกลับไปยังท้องของผู้ประสงค์ร้าย

เสียงร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่าย  เสียงที่ผมคุ้นเคย

ไอ้ตาม...

“มึงเป็นใครวะเนี่ย มาต่อยกู”

มือใหญ่ของม่อนเงื้อขึ้นหมายจะซ้ำไปอีกรอบ

ผมวิ่งเข้าไปตรงกลางวง  ยกมือห้ามม่อน ที่กำลังทำให้ไอ้หมอยุงลายตายคาที่ จนไปรักษาใครไม่ได้อีก

“กูสิควรถาม มึงเป็นใคร ทำอะไรเพื่อนกู”

โดนต่อยขนาดนั้นก็ยังปากดีเช่นเคยนะตาม

“นี่ก็เพื่อนกูเว้ย”

“มึงกอดมันทำไม เป็นอะไรกัน”

“แล้วมึงเสือกอะไรด้วย”

“พอเว้ย พอทั้งคู่”

ผมตะโกนอย่างเหลืออด

“กลับมาทำไม”  ผมพูดกับตาม แม้จะไม่หันไปมองหน้ามันแม้สักเสี้ยวเดียวก็ตาม

ขวดบางอย่างถูกยัดใส่มือผม  ผมก้มลงดูสเปรย์กันยุงในมือช้า ๆ

“กูเห็นมึงนั่งอยู่ กลัวว่าจะโดนยุงกัดแบบกู  กูเป็นห่วง”

“เหอะ พระเอกเชียวเนาะ”

“มึง เสือกอะไรด้วย”

“มึงก็ลองถามดูสิ ว่าทัพมันอยากรับมั้ย”

“อย่างน้อยกูก็ได้ให้”

“เหรอ  กูรู้ละว่าทำไมวันนี้เพื่อนกูถึงรถล้มเกือบตายคาถนน มึงรังแกเพื่อนกูมาสินะ”

“ฮ้า! ทัพ”  มันกระชากแขนผม “มีแผลจริงด้วย ทัพไปทำอะไรมา”

ผมไม่ทันจะตอบคำใด ก็ถูกกระชากไปอยู่ด้านหลังม่อน 

“เสือก”

ม่อนมองหน้าตามด้วยสายตาที่เอาจริง   ตามก็เช่นกัน 

เป็นการจ้องตากันเพื่อหยั่งท่าที   แค่แวบสั้น ๆ ที่ผมมองตามกลับไป  ตามดูอิดโรยมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก 

ผมลุ้นว่าจะเกิดการวางมวยอีกครั้งมั้ย  แล้วตาของผมกับตามก็สบกันพอดี 

“กูกลับก่อนนะ”

ดวงตาเคียดแค้นของตามอ่อนโยนลง  แล้วเดินจากไป

“ไอ้หุ่นหมี ห้ามทำอะไรทัพนะ”

เสียงลอยข้ามไหล่ของไอ้ตาม ยังไม่วายกัดไอ้ม่อน

“สัด ใครหุ่นหมี”

“พอเหอะม่อน”                  

“เออ มึงเล่ามา ด่วน ๆ  นี่หิวมั้ยเนี่ย  ไป  กูพาไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าดัง   ตอนนี้ยังไม่หมดหรอก ไป ไป” มันดุนหลังผม “กูเอารถมา ไม่ต้องห่วง ชิว ๆ”


-------------------------------------------------------------


ต่อด้านล่างครับ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากด้านบนครับ)


“อร่อยวะ”

ผมพูดกับชามก๋วยเตี๋ยวที่ผมหยิบยกขึ้นซดน้ำซุป  ทุกหยาดหยดไหลลงกระเพาะของผม

“ใช่มั้ยละ  มึงนี่เหมือนเดิมเลยนะ  อารมณ์เสียทีไร  พอแดกก็อารมณ์ดีเหมือนเดิม”  มันดูดน้ำพลาง ขำผมพลาง  “อีกชามมั้ยมึง  กินแค่สองชามจะอิ่มเหรอ”

“พอเหอะสัด กูอุตส่าห์ผอม”

“เออ ก็จริง ฮะฮ่า”   ม่อนรวบตะเกียบ  แสดงท่าว่าสิ้นสุดมื้ออาหาร  “แล้วแค่นั้น มึงก็ไม่คุยกับไอ้หมอยุงลายนั่นเลยเหรอวะ”

“แค่นั้น เหี้ยไร  มันไม่รับโทรศัพท์กู”

“ทัพ”

“ทำไม จะเทศน์ไรกู”

“เปล่า ๆ  แต่กูว่า  เขาก็ต้องมีเหตุผลของเขานะแหละ  เพียงแต่ว่ามีเหตุผลหรือเปล่า”

“กูงง ม่อน กูงง”

“ก็คือ ไงดีวะ  ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองนะแหละ จริงมั้ย”  ผมพยักหน้า  “แต่สำหรับเรา สำหรับมึง สำหรับคนอื่น เป็นเหตุเป็นผล พอหรือเปล่า ก็อีกเรื่องจริงมั้ย”

ผมคิดตามคำพูดของม่อน

“ดังนั้นบางครั้ง เราก็ต้องเคารพในเหตุผลของเขานะทัพ  เราจำเป็นต้องเข้าไปถามตรง ๆ”  ผมกำลังจะอ้าปากสวน  “ฟังกูก่อน  กูว่ามึงต้องโมโหหิวแน่”  มันหันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวอีกชามให้ผม  “ต้องลอง เนื้อตุ๋นดีมาก กินให้ครบมึง  ต่อนะ  กูรู้ว่าตอนนั้นมึงเสียใจ  มึงก็ต้องถอยมาก่อน  ให้มีสติมากกว่านี้   แล้วค่อยเข้าไปถามใหม่  ฟังเหตุผลจากทางฝั่งหมอมัน  จากนั้นมึงก็ชี้แจงเหตุผลทางฝั่งมึงไป  รู้สึกยังไง  ก็บอกไปตรง ๆ”

“..............”

“มึง จำเรื่องของเราได้มั้ย”

ผมเงียบกริบ  หน้าก้มลงมองชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่ป้าเพิ่งเอามาวางให้

“กูก็ไม่เข้าใจตอนนั้น  ว่าทำไมมึงทำแบบนั้นกับกู  ทำไมมึงไม่คุยกับกู”

“.........................”

“กูไม่เข้าใจเลย  จนวันที่กูไม่โกรธมึงแล้ว  กำลังจะเข้าไปถามมึงแล้ว”

“ม่อน คือ”

มันยกมือห้าม

“กูขอพูดก่อน  แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่า   คนแบบมึงเปลี่ยนไปในช่วยค่ำคืนน่าจะมาจากสาเหตุอื่น  กูก็เลยเดินไปหาเหมียว  เพราะกูคิดว่าคนดี ๆ ปนโง่ อย่างมึง ไม่มีทางทำแบบนั้นกับใครหรอก”  มันกำลังชมผมใช่มั้ย  เนื้อตุ๋นดูไม่น่าสนใจเลยตอนนั้น ต้องเงยหน้ามองมันแทนคำถาม  “กูใช้วิธีการของกูนิดหน่อย  จนรู้ว่า เหมียวมันเล่นงานมึงแล้ว”

ผมหน้าแดงไปทั่ว  แต่ก็ทำเป็นหลับหูหลับตาดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก

“เออ กูไม่ว่ามึงหรอก ที่....” เสียงกระซิบเบา พร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้ชามก๋วยเตี๋ยวผม  “ชอบกู”

“แค่ก ๆ”  เส้นก๋วยเตี๋ยวติดคอเลย

“เอ้า น้ำ  ดื่มไป”

ผมรับน้ำมาดื่มพลางตบคอตัวเองไปด้วย

“กูว่า  เรายังเด็ก  ตอนนั้นขนเพิ่งขึ้นเองมั้ง  มันก็เป็นธรรมดาที่จะสับสน  กูถามมึงตรง ๆ ตอนนี้เลย  ลองทบทวนดิ  ตอนนั้นชอบกูจริงปะ เอาตอนนี้ด้วยก็ได้”

ผมนิ่งคิดสักพักใหญ่  อืม... ยังไงดีละ  ความรู้สึกตอนนั้น  แต่ตอนนี้ม่อนก็แน่นมากเลยนะ  แน่นจริง ๆ  เห้อ ...ผมคิดอยู่นานพอดูจนม่อนต้องดีดนิ้วใส่หน้าผมหนี่งที

“เออ กุจะตอบแล้วนี่ไง  กูคิดถึงมึงวะ คิดถึงมึงตลอด  รู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่มึงทำเพื่อกู  ติดคำขอโทษมาตลอด  กูขอโทษจริง ๆ นะมึง”   มันยิ้มรับคำขอโทษของผม  “กูรักมึง เป็นเรื่องจริงแน่นอน”  มันยังคงยิ้ม  “ในแบบเพื่อน...  ใช่แล้วละ  กูแค่อยากให้มึงอยู่ด้วย  มีเรื่องเหี้ย ๆ ก็อยากเล่าให้มึงฟัง  อยากไปทำเรื่องเหี้ย ๆ กับมึง อยากนินทาเหมียวให้มึงฟัง  บ่นเรื่องที่บ้าน  อะไรแบบนั้นวะ”

“กูก็รักมึงนะทัพ  กูเข้าใจความรู้สึกโดดเดี่ยวของมึง”  มันมองเหม่อไปด้านหลังของผม  ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกันตอนประถมหวนกลับมาอีกครั้ง   “ห่า  ก็กูย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่น  พ่อกูทำงานแบบนั้นน่ะ”   พ่อมันทหารระดับสูงครับ  ต้องย้ายเพื่อตรวจคุณภาพและการดำเนินงานภายใน  จึงย้ายไปเรื่อย ๆ   

“อืม  กูลืมคิดไป”

รู้สึกผิดเลยแฮะ  ที่เคยเข้าใจว่ามันแค่เวทนาสงสารผม  เลยเข้ามาคุยกับผม

“กูไม่มีเพื่อนสนิทจริงหรอก  พอไปโรงเรียนไหน  แต่ละคนเขาก็มีกลุ่มของเขา  พอกูมาเจอมึง  ก็รู้เลยว่า โชคเข้าข้างกูละแหละ  กูน่าจะเข้ากับมึงได้ดี  ดูหน้าตาท่าทางมึงก็ไม่เลว  แถมมึงก็ไม่มีกลุ่มด้วย”

“สรุปว่า วันนั้นเข้ามานั่งด้วยเพราะไม่มีใครใช่มั้ย”

“เออสิ  ห้า  ๆ  จะเริ่มต้นอย่างไร  ใช้เส้นทางไหนเพื่อเดินไป กูไม่สนหรอกทัพ” 

“.......................”

“จริงนะมึง   กูสนใจปลายทาง  เราเป็นเพื่อนกัน  แค่นี้กูก็พอใจแล้ว   ถึงจะทะเลาะกัน   ตั้งหลายปีกว่าจะมาาเจอกัน”

“มึงอะ ไม่ลากูสักคำ”

“โหย  กูโคตรโกรธพ่อ  กูกลับบ้านไปวันนั้นตั้งใจจะให้พ่อพาไปส่งที่บ้านมึง  เขาก็บอกกูว่า ต้องย้ายด่วน ย้ายเดี๋ยวนี้  แล้วก็วุ่นวายมาก  มีเรื่องสารพัดที่กูต้องเผชิญ  เล่นย้ายเข้าเทอมสองแบบนั้น  แล้วเบอร์มึงอะ กูจดไว้ในสมุด  ที่แม่กูลืมทิ้งไว้ที่ตราด  จบเลย”

ผมพยายามซึมซับเรื่องทุกอย่างช้า ๆ

“ไม่เหมือนสมัยนี้นี่หว่า  ใครก็มีโทรศัพท์  เมมไว้ก็จบแล้ว”

“จริง”

“แล้ว.... กับพี่ปริ๊นซ์เนี่ย เขาดีกับมึงใช่มั้ย”

“ก็ดีนะ”

“อืม ดีแล้ว  กูเป็นห่วง”

“ครับพ่อ”

“ยังจำได้เหรอลูกชาย”

แต่ก่อนผมเรียกไอ้ม่อนว่าพ่อครับ มันดูแลผมยังกับไข่ในหิน

“อร่อยวะ เนื้อตุ๋น”

“มึงต้องลองน้ำตกด้วย”

“พอเลยม่อน”

“พอ ก็พอ”

“แต่... กูถามหน่อย  มึงไม่รังเกียจกูเหรอที่เป็นแบบนี้”

“ไม่อะ  มึงเพื่อนกู”

“...................”

“เอ้า จริง ๆ นะ  มิตรภาพสำคัญกว่าแค่เพศสภาพนะ”

“ซึ้งใจหว่ะ”

“กูว่าจริง ๆ มึงก็ไม่ใช่เกย์หรอก”

“ฮ้า??”

“เอ้า จริงนะมึง  มึงก็แค่รักคนที่มึงรัก  เกี่ยวไรกับเพศวะ”

“พูดดีก็เป็นนะมึง”

“ไอ้สัด  ด่ากูแล้ว   แต่กูว่านะ  มึงกับไอ้เพื่อนหมอนะ  ต้องลองคุยกันดี ๆ   เรื่องมีแค่นี้เหรอวะ”

“.................”

“ก็รู้สึกว่า มึงเล่าไม่ครบอะ”

“...............”

“ทำไมกูรู้สึกว่า  ไอ้หมอนะ ไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน”

“ไร้สาระนะมึง”

“มึงโกหกแล้วแหละทัพ  รีบตอบขนาดนี้”

“..................”

“กูจำได้นะ”

“..................”

“เล่ามา”

“....................”

“เล่า”

“กูต้องไปทำงานแต่เช้า”

“กูไปรับมึงเอง”

“ม่อน เราเพิ่งเจอกันในรอบหลายปีนะ  มึงคิดจะถามกูหมดทุกอย่างเลยเหรอ  กูต้องใช้เวลาเล่าเท่ากับเวลาที่เราไม่เจอกันเลยนะมึง”

“นั้นแหละ เล่ามา  กูมีเวลาให้มึงทั้งคืน  คืนนี้มึงไม่ได้นอนหรอก  กูต้องเล่าเรื่องของกูอีก”

“ม่อน”

“นั่นแหละ  ไปนอนบ้านกู”

“มึง”

ม่อนขำออกมา  ตะโกนเรียกป้าเจ้าของร้านเก็บเงิน

“แกล้งกูตลอดอะ  เท่าไรอะ”

“พอเลย วางกระเป๋าเงิน  กูเลี้ยง”

“สรุปกูต้องเล่าใช่มั้ย”

“เออ เล่ามา  คิดว่าเป็นค่าก๋วยเตี๋ยว”

“โอ๊ย  เพื่อนกูจริงใช่มั้ย”

“ก็เพื่อนไง  นี่เพื่อนเอง  สรุปว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นนะ ทำไม มันเป็นอะไรกับมึง”

“เออ เล่าก็เล่าวะ”

-------------------------------------------------------------


“โห...................”

ตีสามแล้วครับ  ใช่ตีสามแล้ว  ตอนนี้ผมนั่งอยู่ปลายเตียงในห้องนอนไอ้ม่อน  กำลังยกน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย  ผมเล่าเรื่องตามทั้งหมด

“มึงนี่เลวชิบหายเลย โอ้โห ไอ้เหี้ย”

น้ำที่ผมเพิ่งดื่มพุ่งใส่หน้ามันทันที  เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดจะได้ยินจากปากมันเลยนะ คำว่า เลว เนี่ย

“ทำไมวะ กูเลวตรงไหน”

“มึงอะ ไปให้ความหวังมัน”

“กูให้ตรงไหน  กูปฏิเสธมาตลอด”

“เหอะ”

“ยังไง อย่าทำหน้าแบบนั้น มึงพูดมา”

“เอาตรง ๆ เลยนะ   หนึ่งก็คือ วันเกิดมันตอนนั้น มึงก็ยอมมัน  ยอมไปเป็นแฟนกับมันหลอก ๆ เหรอ”

ผมเห็นคำว่า  กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำแบบนี้  ผมเห็นประโยคนั้นลอยพาดอยู่หน้าม่อนเลยนะ

“โง่เหรอวะ  ทำไมทำแบบนี้”

ปลายเท้าของผมขยับไปมา  กระเบื้องบ้านม่อนมีลายสวยจริง ๆ  ผมมองได้แค่นี้เท่านั้นแหละ

“สอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา มึงเคยปฏิเสธมันจริงจังมั้ย  มึงเล่นทำเป็นโอนอ่อนบ้าง  ตีมึนบ้าง แต่ไม่ปฏิเสธจริง ๆ  มันก็เทียวไล้
เทียวขื่อมึงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ   สาม อย่าเพิ่งขัดกูทัพ” 

ผมกำลังจะอ้าปากก็ถูกสกัดดาวรุ่งเลยครับ 

“มึงอะ เห็นแก่ตัวไปนะ  มึงกลัวจะเสียเพื่อนแบบมันไป  ใช่ กูรู้ว่ามึงกลัวจะเสียเพื่อนแบบที่เสียกูไปตอนนั้น  แต่มึงทำแบบนี้ก็ไม่แฟร์กับมันปะ”

“................”

“อะ มึงไม่ต้องตอบ  มึงคิดตามที่กูพูดนะ  ที่มึงไม่กล้าปฏิเสธไปเลยตรง ๆ เพราะกลัวเสียเพื่อนไปใช่มั้ย”

ผมพยักหน้า

“เห็นป่ะ  ถามต่อหน้า  ไม่ต้องตอบ  ส่ายหัวพยักหน้าแทนก็พอ   มึงอะเลยมีความคิดบ้า ๆ บางช่วงที่คิดว่ายอมมันไปบ้าง  ตราบใดก็ตามที่ไม่ได้บอกว่าเป็นแฟน  มึงเลยล้ำเส้นทำให้มันคิดเป็นอื่น  พอมันเข้าใจผิด  มึงก็ตบหน้ามันกลางสี่แยกซะงั้น  เทมันกลางทาง  จริงมั้ยละ”

“..............”

ผมนิ่งเงียบ  รอบนี้ผมใช้ความคิดนานมาก

“อะ ไม่ต้องตอบละ  คิดตามกูต่อ  วันนี้ที่มึงร้องไห้เสียใจจนแทบแหกโค้งตกไหล่ถนนตาย  มึงกลัว กลัวที่เพื่อนอย่างไอ้หมอนั่นจะมีแฟน  แล้วทิ้งเพื่อนห่วย ๆ อย่างมึง  ใช่มั้ย”

แทงใจดำที่สุด  แต่ก็จำใจต้องรับความจริง

“เห็นปะ พยักหน้าแล้ว   ข้อสุดท้ายนะ  มึงไม่เคยรักมันแบบนั้นเลยแหละ  กูเชื่อ  มึงก็รู้ตัวใช่มั้ย   เผลอ ๆ มึงรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ คือ เห็นแก่ตัว  แต่มึงก็ทำไปเพราะมึงต้องการมันให้เป็นเพื่อนมึงต่อไป  ต่อให้มึงรู้ว่าเลวก็ทำจริงมั้ย”

“.........................”

“เหอะ พอ ไม่ต้องตอบ  กูไปอาบน้ำละ  สงสารมันวะ”

“กูเลวขนาดนั้นเลยเหรอวะม่อน”

มันคว้าผ้าเช็ดตัวโยนมาให้ผม

“ห้องน้ำแขกอยู่ข้างนอกนะ”

“มึง ตอบกูก่อน”

“เห้อ ทัพ กูยังรักมึงเหมือนเดิมนะ  ต่อให้มีเพื่อนมัธยม  มหาลัย  ก็ไม่เคยมีใครให้ความจริงใจกับกูเท่ามึงนะ  แต่ตอนนั้นเรายังเด็ก เรื่องผลประโยชน์มันอาจจะไม่มากพอ”

มันหยุดหายใจ   คว้าแก้วน้ำในมือผมขึ้นมาดื่ม

“แต่กับตามอะ  มึงโตแล้วไง  เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะมีวัตถุประสงค์แอบแฝง ซึ่งบางทีเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าต้องการแบบนั้นอยู่  แต่.....”

ผมเงียบ

“มึงทำแบบนั้นไม่ได้วะทัพ  ไม่แฟร์กับตามมัน  มึงต้องปล่อยมันไปนะ  ให้มันมีแฟน  มีชีวิตของมัน  มันติดอยู่กับมึงมากี่ปีแล้ว  สงสารมันเหอะ”

“..................”

“กูไม่รู้จักมันยังสงสารมันเลย  ขนาดกูเพิ่งต่อยกับมันไปวันนี้นะ”

“ม่อน คือ กู”

“ไม่...  มึง   กูไม่ได้บอกว่ามึงเลว”

มันยัดแก้วน้ำใส่กลับในมือผม  ผมรินน้ำเพิ่ม  แล้วม่อนก็คว้าไปดื่มอีก

“มันเป็นกันได้  เหมือนเกราะป้องกันตัวเองนะแหละ  มันเป็นของมันเอง  กูเข้าใจจริง ๆ  แต่กูขอนะ” 

มันก้มลงมาบีบมือผม  ทำให้ผมที่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกแย่ต้องเงยหน้ามามอง

“มึงต้องปล่อยมันไปนะ  เชื่อกูเหอะ  มันยังมองมึงเป็นเพื่อนเหมือนเดิม  กูก็ยังอยู่นะ  มึงได้กูกลับมาแล้วไงเพื่อน  ทัพมึงอย่าทำแบบนี้เลย  กูไม่อยากให้มึงเป็นคนแบบนี้”

“แล้วกูควรทำยังไง”

“ก็ไม่ต้องติดต่อ  ไม่ต้องทำแบบนี้  เลิกให้ความหวังมัน   มึงจะทำอะไรก็ได้  ให้มันเลิกหวัง”

“.................”

“กูเชื่อนะ  ว่าลึก ๆ เขาก็ยังรู้สึกกับมึงเหมือนเดิม   ไม่งั้นวันนี้ไม่หึงหน้ามืดกระชากกูตอนกอดมึงหรอก”

“................”

“แต่มึงไม่มีวันมอบความรัก  ซึ่งเป็นสิ่งที่หมอมันต้องการมากที่สุดจากมึงได้   มึงได้ให้ความรักไปกับพี่ปริ๊นซ์หมดแล้ว   มึงต้องปล่อยมันไปนะ”

“เป็นเพื่อนก็ไม่ได้เลยเหรอ”

“ทัพ  ผู้ชายอะ  ถ้าเลือกจะรักใครแล้ว  เรามองเขาเป็นแค่เพื่อนไม่ได้หรอก  มันทรมานเกินไป”

“................”

“มึงเคยมองพี่ปริ๊นซ์เป็นแค่พี่ได้มั้ยละ”

“ไม่”

“ไม่ต้องก้มหน้า  มึงไม่ผิด  มึงไม่ได้เจตนา   แต่ตอนนี้มึงรู้แล้วว่าผิด  ก็เลิกทำสิ   ถ้ามึงยังทำต่อแบบนั้นแหละมึงผิดเต็ม ๆ”

“...............”

“เลิกเป็นเพื่อนกับตามซะเถอะ  ตัดให้ขาดแต่ตอนนี้  ดีกว่าทรมานมันนะ”

“..............”

“เชื่อกูสิ  สักวันที่เขาตัดมึงได้  เขาจะกลับมาหามึงเอง....”

“..............”

“ในฐานะเพื่อน”



มิตรภาพที่สำคัญสำหรับผม  คือ 

บอส ที่ไม่เคยทิ้งผมเลย ตลอด 6 ปี ในชีวิตมัธยม  แม้ผมจะถูกเพื่อนร่วมชั้นรังเกียจแค่ไหน

พี  เพื่อนปากมาก ที่ไม่ว่าจะมีปัญหาใหญ่หลวงแค่ไหน  ผมจะเฟล  จะเครียดแค่ไหน  พีก็ดึงผมขึ้นมาได้เสมอ

มีน เพื่อนผู้เงียบขรึม  แต่ซัพพอร์ตผมในทุกทางที่มันทำได้  เชื่อใจผมเสมอ  ไม่ว่าเรื่องใด  มีนไม่เคยที่จะไม่ไว้ใจผม

ม่อน มันคือข้อพิสูจน์ของประโยคที่ว่า มิตรภาพไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา 
และ

ตาม  ผมไม่รู้จะนิยามสิ่งใดให้กับมัน  หรือตามแค่เป็นตัวแทนของ ความอยากเป็นคนที่ถูกรัก  เพราะผมเป็นได้เพียงแค่คนที่แอบรักมาตลอด   

เพราะผมรู้ตัวว่าคนที่ผมแอบรัก  ไม่มีทางที่จะหันมาทำให้ผมกลายเป็นคนที่ถูกรัก   

การถูกรักจากใครสักคนจึงช่วยเติมเต็มความสุขที่ขาดหายไป   มันเหมือนยาเสพติด  เมื่อผมได้กลายเป็นคนที่ถูกรัก    จนผมลืมคำนึงไปว่า   ผมไม่มีวันที่จะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนที่ถูกรักกลับได้เลย

ผม...ต้องปล่อยตามไปสินะ



--------------------------------
รอบหน้า อาจจะหายไปนานกว่ารอบนี้นะครับ
ใกล้สอบแล้ว

เป็นกำลังใจให้ผมด้วยยยยยย


 :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2018 16:37:02 โดย bhandhusing »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด