บทที่ 7
เจ้าหนี้...ลูกหนี้
“พี่ครับ ผมยืมเงิน 100 บาท ได้มั้ย”
ชายเสื้อของรุ่นพี่ถูกดึงโดยรุ่นน้องที่สูงเพียงเอว ตัวอ้วน หัวเกรียน ผู้กำลังก้มหน้าพึมพำด้วยความกลัว
“เอาไปทำไมเหรอครับ”
เสียงอบอุ่นเอ่ยตอบมา เด็กชายอ้วนเริ่มเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ พร้อมจัดแว่นสายตาให้เข้าที่
“พี่อย่าบอกใครนะครับ”
สายตามุ่งมั่นผ่านเลนส์ที่เงยสบสายตารุ่นพี่เหมือนขอคำยืนยันว่าจะรักษาสัญญา รุ่นพี่พยักหน้าโดยปราศจากวาจาเอื้อนเอ่ย ยิ้มเล็กน้อยเพิ่มความมั่นใจให้เด็กตัวไม่น้อย
“อ้นกับเพื่อน ๆ บอกว่า ถ้าผมไม่ให้เงินพวกเขา 100 บาท คืนนี้ผีจะมาหลอกผม อ้นบอกว่า ค่ายปฐมนิเทศของโรงเรียนมีผีออกมาหลอกเด็กอ้วนเสมอ ผม.. ผมกลัว”
รุ่นพี่ยิ้มอีกครั้ง ย่อตัวลงมานั่งชันเข่าหนึ่งข้าง จับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กน้อยที่ตัวไม่น้อย บีบเบาเหมือนให้กำลังใจ
“พี่ให้ไม่ได้หรอกครับ น้อง...”
ตาคมมองป้ายชื่อ
“น้องทัพ... พี่ชื่อปริ๊นซ์นะ ไม่มีผีหรอกน้องปริ๊นซ์ ถึงมี พี่ก็จะไม่ให้ผีมาหลอกน้องทัพ น้องอ้นกลุ่ม 3 ใช่มั้ย”
เด็กชายพยักหน้าหนึ่งทีแทนคำตอบ
“โอเค ไม่เป็นไรนะ พี่ปริ๊นซ์จะปกป้องน้องทัพเอง รับรองคืนนี้ไม่มีผีมาหลอกน้องแน่นอน”
เด็กชายมองหน้ารุ่นพี่ แววตาเจือความกลับผสมกับความไม่แน่ใจ
“เชื่อพี่ปริ๊นซ์สิครับ”
เสียงอบอุ่นที่เปล่งออกมาจากปากที่ยิ้มไม่หยุด ทำให้รุ่นน้องได้แต่พยักหน้าและยิ้มตอบกลับให้รุ่นพี่ด้วยความมั่นใจ
มือใหญ่ของรุ่นพี่ลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“ตามพี่มา”
รุ่นพี่เดินนำหน้าไปแล้ว
‘ชื่อพี่ปริ๊นซ์’
เขาคิดในใจ
‘รุ่นพี่คนแรกในโรงเรียนของเรา ใจดีจัง’
ทัพมองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ที่เดินนำไป เท้าอันอุ้ยอ้ายย่างไล่ตามหลังอย่างเชื่องช้า
เขารู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ปัญหาที่เขากังวลต้องถูกแก้ไขแน่นอน เขามั่นใจ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
แผ่นหลังของพี่ปริ๊นซ์ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
ริ้วรอยเปียกของเหงื่อกระจายทั่วแผ่นหลังแกร่ง ตรงข้ามกับผู้ตามหลังที่เอามือป้องหลบแดด สลับกับพัดให้เกิดลมเย็นผ่านใบหน้าของตน
“สรุปว่าเราจะเดินไปที่บ้านของน้อยหน่าเลยเหรอ”
ผมเอ่ยถามพี่ปริ๊นซ์ หลายกิโลเมตรแล้วจากสวนสัตว์ท่ามกลางอากาศร้อนระอุช่วงบ่ายของกรุงเทพมหานครที่เดินย่ำไม่มีผ่อนฝีเท้า นี่ไม่ได้เป็นโรคขาดวิตามินดีเฉียบพลันนะ ถึงต้องมาเดินสังเคราะห์วิตามินดีจนอาจได้ของแถมเป็นความดำมาหลายนาทีขนาดนี้
“ใช่ ผมอยากคิดอะไรไปด้วย”
เป็นการเจรจาที่ไม่มีการมองหน้ากัน ไม่มีการหันมาตอบ มีแต่เสียงที่ลอยมาตามลม
ผมได้แต่ก้มหน้าเดิน สลับกับมองหลังของพี่ปริ๊นซ์ด้วยความไม่เข้าใจ
หลังจากที่พี่ปริ๊นซ์ไปถามเจ้าหน้าที่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของน้อยหน่า น้อยหน่าซึ่งเกิดรุ่นเดียวกับผมเสียด้วย
“น้อยหน่าเหรอคะ ไม่มาทำงาน สองวันแล้วค่ะ”
พี่ปริ๊นซ์ทำหน้าตกใจเล็กน้อย
“จริงเหรอครับ ไม่ได้โทรมาลางาน หรือโทรลาป่วยอะไรเลยหรอครับ”
เจ้าหน้าที่พิมพ์คีย์บอร์ด จ้องจอตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง
“ไม่นะคะ แปลกมากเลยค่ะ ปกติน้อยหน่าไม่เคยขาดงานแม้แต่วันเดียวเลยนะ”
“ครับ แปลกมาก”
“ไม่ทราบว่า คุณเป็น.....”
เจ้าหน้าที่ทำหน้าลังเล ทอดเสียงรอคำตอบ
“แฟนครับ ผมเป็นแฟนของเขา”
“อ้อออ” รอยยิ้มกระจ่ายฉายชัดบนใบหน้า “น้อยหน่าเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ที่ทำธุรกิจค้าเครื่องเรือนไม้”
“ครับ ๆ ขอบคุณมากครับ”
พี่ปริ๊นซ์ผลุนผลันออกมาจากตรงนั้น เหมือนต้องการยุติบทสนทนา
ผมที่กำลังยืนฟังก็พลอยต้องเดินลุกตามมาด้วยอย่างเสียไม่ได้ ได้แต่หันไปก้มหัวขอบคุณพนักงานคนนั้นที่ก็ดูฉงนใจในความรีบร้อนของพี่ปริ๊นซ์ไม่ต่างกันมากนัก
แม้แต่ตอนนี้ที่ผมย้อนคิด ความไม่เข้าใจจำนวนมากก็ยังเอ่อล้น เท่าที่จำได้ ธุรกิจบ้านพี่ปริ๊นซ์ ใน จ.ตราด คือ ปั๊มน้ำมัน พูดได้เต็มปากเลยว่า ปั๊มน้ำมันในจังหวัดเกินครึ่งเป็นของบ้านพี่ปริ๊นซ์ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโรงแรมที่เกาะช้างอีกด้วย แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาทำธุรกิจค้าไม้
เหมือนมีอะไรผิดปกติ ผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะสอบถามซักไซ้พี่ปริ๊นซ์ได้อย่างเต็มที่
ตอนนี้เราเดินเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง ที่แดดประเทศไทยก็ยังตามมาแผดเผาได้อย่างไร้ที่ติ
“อากาศร้อนจังเลยเว้ย เห้ย”
สุดเสียงบ่นของผมไม่ถึงเสี้ยววินาที ผมที่ก้มหน้าก้มตาเดินมาตลอดทางล้มจ้ำเบ้าไปกองบนพื้น
พี่ปริ๊นซ์หยุดไม่บอกไม่กล่าว จนผมชนหลังเต็ม ๆ
มือของพี่ปริ๊นซ์ยื่นมาให้ผมหมายฉุดให้ผมลุก ฉากความทรงจำ ณ เรือเป็ด ย้อนกลับมาในหัวผมอีกครั้ง รอบนี้ผมไม่ปฏิเสธอะไร ยื่นมือกลับไปให้พี่ปริ๊นซ์ฉุดผมขึ้นมา
“ถึงแล้ว หลังนี้แหละ”
พี่ปริ๊นซ์หันหน้าไปทางบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่กลางสนามหญ้า มีต้นไม้ใหญ่ที่แขวนชิงช้า รอบบ้านมีกระถางไม้ดอกหลายกระถางตั้งวางเรียงยาวทั้งซ้ายขวาของถนนที่ทอดจากประตูรั้วไปสู่บริเวณบ้าน
“มีฐานะพอสมควรเลยนะเนี่ย”
ผมรำพึงออกมา แค่เรื่องเงินก็สู้เขาไม่ได้แล้วทัพเอ๊ย
พี่ปริ๊นซ์เดินไปที่กล่องจดหมายสีน้ำเงินที่ติดตรงรั้วเตี้ยสีชมพู หันไปหยิบอะไรบางอย่างหลังกล่องจดหมาย
ความคิดแวบแรกของผมเลยก็คือ
‘ทำไมกล่องจดหมายไม่ใช่สีแดงวะ’
กุญแจรั้วอยู่ในมือพี่ปริ๊นซ์ หันมายิ้มให้ผมหนึ่ง ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป
‘กูแพ้สนิทแล้วละ รู้ถึงที่เก็บกุญแจสำรอง แต่ทำไมกล่องจดหมายไม่สีแดงวะ’
------------------------------------------
เราสองคนเดินเข้ามาในบ้าน เงียบสนิท ไม่มีเสียงใด ๆ ยกเว้นเสียงเท้า 2 คู่ ที่เดินย่ำไปบนถนน
“เขาไม่เลี้ยงหมา ไม่มีพ่อแม่หรือคนเฝ้าบ้านอะไรเลยเหรอไงเนี่ย”
“เห้ย อย่าเสียงดังดิพี่”
ยกมือปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ ทำไมต้องดุผมด้วยเนี่ย
ฉับพลันนั่นเอง มีเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างดังมาจากด้านหลังบ้าน พี่ปริ๊นซ์ยกมือซ้ายขึ้นตั้งฉากกับพื้นโลกเพื่อกั้นไม่ให้ผมเดินนำหน้าไป
พี่ปริ๊นซ์ทำปากบุ้ยใบ้ให้ผมเดินตามหลัง ค่อย ๆ เดินเข้าไปคว้าเสียมที่วางพิงกระถางต้นไม้มาทันที
“เห้ย... ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไม่มีคำตอบใด ๆ แขนแกร่งพี่ปริ๊นซ์ยื่นมากั้นผมอีกครั้ง พูดผ่านริมฝีปากอย่างเบาบางเป็นการย้ำเตือนว่า
“ตามผมมานะ”
เราเดินอย่างเชื่องช้า ตามกันไป ผมคว้ากุญแจห้องขึ้นมากำไว้ในมือ มันเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของผมเลยแหละ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกประหม่าตระหนกตกใจ ผมจะคว้ากุญแจขึ้นมา ลอดนิ้วผ่านพวงกุญแจ หมุนควงไปมา สลับกับกุมไว้ในมือ
เราเดินใกล้หลังบ้านมากขึ้น
เราเดินไปอีก 2-3 ก้าว
“มึง” ปัง
พานท้ายปืนไรเฟิลกระแทกเฉียดเข้าที่ปลายจมูกเหมือนในภาพยนตร์ แต่พี่ปริ๊นซ์ไม่ได้สลบเหมือนในหนัง มีเพียงเลือดกำเดาไหลออกมาเล็กน้อย
พี่ปริ๊นซ์ปรี่เข้าไปคว้าปืนกระบอกนั้น
ปืนไรเฟิล
มึงเอามาล่าสัตว์เหรอวะ
ความพันตูนัวเนียจนวุ่นวายบังเกิดข้างหน้าผม
ผมได้แต่ยืนอึ้ง ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
“หยุด”
เสียงจากชายอีกคน ไม่ใช่แค่เสียงแต่เป็นปลายกระบอกปืนพกที่จ่อที่ขมับทางขวาของผม ชายแปลกหน้าคนที่สองค่อย ๆ เอื้อมมือบีบหัวไหล่ด้านซ้ายของผม ลำแขนใหญ่โตเคลื่อนมาล็อคคอผมไว้
“ถ้ามึงไม่หยุด เพื่อนมึงตาย ไอ้ปริ๊นซ์”
พี่ปริ๊นซ์หยุดต่อสู้ มองมาทางผมด้วยสายตาหวาดกลัว ชายแปลกหน้าคนแรกหยิบเชือกขึ้นมา บรรจงมัดแขนพี่ปริ๊นซ์ไขว้หลัง
ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คนพวกนี้รู้จักพี่ปริ๊นซ์ด้วย นี่มันเรื่องอะไรวะ แล้วทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ผมเริ่มดิ้นขัดขืนเล็กน้อย
“เห้ย อยู่เฉย ๆ สิมึง”
ชายแปลกหน้าคนที่สองตะคอกผม
ความกลัวลามเลียไปทั่วสมอง แต่ความสงสัยมันมากกว่า
“อะไรวะเนี่ย พี่ปริ๊นซ์ นี่มันหมายความว่าไง”
สติสตังของผมไปหมดแล้ว ผมเริ่มโวยวายเหมือนคนเรียกร้องความสนใจ
“เห้ย มึง หุบปาก”
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือ พานท้ายปืนไรเฟิลจากชายคนแรกพุ่งสวนเข้ามา
------------------------------------------
‘โอ้ย ปวดหัวเว้ย’
“มึงคิดว่าจะหนีพวกกูได้เหรอไอ้ปริ๊นซ์”
เสียงใครวะ จมูกก็มีน้ำเหนียวคลั่งอยู่ เมื่อยแขนอีกเว้ย
“รู้มั้ยว่าพวกกูเฝ้าที่นี่มาตั้งแต่ ศาลประกาศว่าบ้านมึงล้มละลายแล้ว”
มีอีกเสียงแทรกมา
เราอยู่สวนสัตว์...กับใครนะ... กับพี่ปริ๊นซ์
ไปถีบเรือเป็ด มีความสุขชิบหาย อิอิ แล้วก็เดิน แล้วก็....
เหี้ยละ
เปลือกตาผมค่อย ๆ เปิด
ใบพัดของพัดลมติดเพดานหมุนเชื่องช้า ตั้งห่างไม่มากนัก เป็นรูปถ่ายขาวดำของผู้หญิงสูงวัยดูดีท่านหนึ่ง ด้านล่างเขียนว่า ชาตะ ตามด้วยวันที่ และ อีกบรรทัด ขึ้นต้นว่า มรณะ
“โอ๊ย.....”
เจ็บจมูก
“ตื่นแล้วเหรอมึง”
ตีนเลยครับ ตีนเหยียมมาเต็ม ๆ ตรงอก กลิ่นสาบเค็มลอยคลุ้ง
“ซวยนะมึง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ลุกดิ นอนสบายห่าอะไร”
เหมือนจะง่ายนะครับ สั่งให้ลุกขึ้นมา แต่แขนที่ถูกมัดไพล่หลัง พร้อมทั้งขาที่ก็ถูกมัดแน่นไม่ต่างกัน
“มองอะไร ลุกสิ ลุก”
ผมพยายามดันตัวเองทุกวิถีทาง กลับกลายเป็นว่าผมแค่เกลือกกลิ้งเป็นวงกลมอยู่ตรงที่เดิม พี่โหดตีนเหม็นอดรนทนไม่ได้ จึงดึงผมนั่งให้เรียบร้อย
ภาพตั้งหน้าคือผู้หญิง 2 คน และ ผู้ชาย 1 คน ถูกมัดปาก มัดแขนขาติดกับเก้าอี้ ท่าทางดูอิดโรย ผู้หญิงหนึ่งคนดูสาว มีแววสวย แต่ผมยาวกระเซิงปรกหน้า ทว่ายังพอให้เห็นด้วงตากลมโตที่ลุกโพลงด้วยความกลัว ถัดมาเป็นหญิงชายดูสูงวัย ผมว่าผมพอเดาได้นะว่า ทั้ง 3 คน คือ ใครบ้าง
พี่ปริ๊นซ์ของผมนะเหรอ รายนั้นหนักกว่า 3 คนนั้นอีก ถูกมัดแขนห้อยอยู่บนขื่อซึ่งเป็นสิ่งที่ค้ำยันให้พี่ปริ๊นซ์ยังตั้งฉากอยู่บนพื้นโลกได้ สภาพเยิน มีเลือดและรอยฟกช้ำตามตัวยืนโงนเงนหมดแรง
ห้าโมงเย็น นาฬิกาแขวนด้านหลังบอกเวลา
ผมสลบไปราว 2 ชั่วโมง ระหว่างนั้นพี่ปริ๊นซ์คงโดนซ้อมสะบักสะบอมน่าดู
เดี๋ยวนะ ห้าโมงเย็นเหรอ
โอ๊ย ตาม กูขอโทษ กูรักษาสัญญาไม่ได้ กูไปสายแล้ว
“ไม่.. เป็นไร ช่ายมั้ยยยย”
แหบพร่ามากพี่ปริ๊นซ์กู ไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะพี่
ผมเลือกที่จะส่ายหัว ไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ จากเมื่อเช้าที่กูกำลังเล่นหนังรักในทุ่งลาเวนเดอร์ ผ่านมาไม่ถึงครึ่งวัน ใกล้เป็นหนังบู๊เลือดสาด จับตัวประกัน ไปซะแล้ว
“สงสัยละสิมึง ว่าเกิดอะไรขึ้น”
พี่โหดเบอร์ 2 เอ่ย
“บ้านไอ้ปริ๊นซ์ติดเงินเจ้านายกูไง” ผมตาเหลือกด้วยความตกใจ “ไม่ใช่แค่ล้านสองล้านนะมึง เป็นสิบล้าน”
“ไอ้เสี่ยทรัพย์ มันโกงพ่อแม่กู”
ผลั่ก ปับ ตุบ ทั้งแขนขาและหมัด กระหน่ำร่างพี่ปริ๊นซ์ โอ๊ย พี่ ไม่ต้องเป็นแฟมิลี่แมนรักครอบครัวตอนนี้ เงียบ ๆ ไปเถอะ
“เสียเวลา มึงจะบอกกูได้หรือยัง ว่าจะติดต่อพ่อแม่มึงยังไง อย่าไขสือเล่นละครนะ แฟนมึงก็คนละ”
พี่โหดเบอร์ 2 บุ้ยปากไปทางผู้หญิงคนนั้น พลางย่างสามขุมเข้าไปหา
น้อยหน่าตาลุกโตด้วยความกลัว ดิ้นรนอยู่บนเก้าอี้เท่าที่ร่างอันบอบช้ำและถูกมัดตรึงจะทำได้
พี่โหดค่อย ๆ จิกผมยาวของน้อยหน่าขึ้นมา
ผมรู้เลยว่า เธอต้องเจ็บมากแน่ น้ำตารื้นอยู่ที่หางตา ผมหลับตาไม่อยากเห็นภาพที่สุดแสนจะเวทนานี้
“มึง.. ปล่อยนะ”
พี่ปริ๊นซ์โหนเสียงลั่น
“ฉันไม่มีเบอร์ปริ๊นซ์ ปล่อยเราไปเถอะ”
เสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนของพี่เบอร์ 2 ทำให้ผมเกือบหลุดขำ เพราะมันดูไม่เข้ากับกล้าม รอยสัก และความหน้าเหี้ยมเลย
“แล้วมันทำไงรู้มั้ย โยนโทรศัพท์ทิ้ง ฉลาดนักอีนี่”
น้อยหน่าโดนตบไปหนี่งฉาด ยิ่งกระตุ้นให้พี่ปริ๊นซ์ร้องโวยวายเตะขากลางอากาศ แต่นั่นกลับทำให้พี่โหดตีนเหม็น เข้าไปซ้อมพี่เขาหนักกว่าเดิม
ผมได้แต่นั่งอึ้ง บทกูไม่มี กูควรทำยังไงดี
พี่ปริ๊นซ์ยังคงถูกซ้อมไม่หยุด เลือดจากมุมปากมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผมกำมือด้วยความแค้นที่ได้แต่มอง ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วผมก็พบว่า พวงกุญแจที่บอสซื้อให้ผมยังถูกกำอยู่ในมือ พวกกุญแจมีดพับของบอส
‘คิด คิดสิ คิดไอ้ทัพ มึงต้องเปลี่ยนสถานการณ์ได้’
“ขอโทษนะครับ”
พังมาก แต่ได้ผลแฮะ พี่โหดทั้งสอง พี่ปริ๊นซ์ น้อยหน่าและคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่น้อยหน่า หันมามองผมเป็นตาเดียว
“ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าผมควรพูดแบบนี้ในสถานการณ์ขณะนี้มั้ย”
พี่โหดสองคนยังคงฟังผม ไม่สิ ทุกคนฟังผมหมด
“แต่ผมว่า ทำแบบนี้ก็ไม่ได้เงินหรอกจริงมั้ยครับ เออ อย่างผม พอจะมีเงินนะครับ อาจจะไม่มากนัก แต่ผมช่วยได้นะ เอาไว้ขัดดอกก่อนก็ได้”
“ไอ้นี่ฉลาด”
พี่โหดตีนเหม็นชมผม ควรดีใจใช่มั้ย
“ครับ คือ ผมไปถอนเงินให้ก็ได้”
พี่โหดเบอร์ 2 ทำท่าอ้าปากพูด ผมจึงรีบสวนทันที
“ไม่ต้องกลัวผมบอกตำรวจครับ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ยังไงพวกพี่ก็เป็นต่อ คนหนึ่งไปกับผม อีกคนก็เฝ้าที่นี่ ถ้าผมตุกติก ก็สามารถโทรบอกฝั่งนี้ให้ฆ่าหรือจัดการใครก็ได้”
‘แม่ง อิมแพคท์วะ ได้ผลเว้ย ฟังกูด้วย’
ผมมองท่าครุ่นคิดของพี่โหด
“พี่เห็นด้วยกับผมใช่มั้ยล่ะ ถ้าหลังจากนี้ พี่กลัวว่าผมจะไปฟ้องตำรวจหรืออะไรก็ตามแต่ เอาจริง ๆ นะ ผมเชื่อนะว่าเจ้านายพี่ เส้นใหญ่พอแน่นอน ต่อให้ผมไปฟ้อง พี่ก็ดิ้นหลุด เผลอ ๆ จับพี่ ๆ ไม่ได้หรอก จริงมั้ย”
ผมหยุดพูด ในสมองกำลังคิดหาทางออกไปเรื่อย ๆ
“ดังนั้น ผมคนหนึ่งหละ ที่ไม่แจ้งตำรวจ เสียเวลาเปล่า”
“มึงเก่งนะ ไม่โง่เหมือนไอ้พวกนี้”
ตอนนี้พี่โหดทั้ง 2 เดินมาถึงตัวผมแล้ว พี่โหดตีนเหม็นถึงขั้นก้มตัวลงมามองหน้าผม
“พี่ปรึกษาเจ้านายพี่ก่อนก็ได้ฮะ แต่ผมขออย่างหนึ่ง”
พลั่ก ต่อยหน้ากูเต็ม ๆ กูว่ากูทำถูกแล้วนะ
ดาวหลายดวงเวียนอยู่ที่พื้นห้องที่ผมก้มหน้าลงไปด้วยความมึน
ดาวสีแดงฉานจากเลือดที่ไหลลง จาก 1 ดวง เพิ่มเป็น 2 และ 3 ดวง ตามลำดับ
“เห้ย มึงทำไรวะ”
พี่ปริ๊นซ์โวยวายอีกครั้ง
“อย่างมึงจะต่อรองอะไรอีก พูดมา”
สติ
สติ
สติ
ผมท่องคำนี้ซ้ำในใจ ก้มหน้าเชื่องช้า ทำหน้าตาให้โง่และดูน่าสงสารที่สุด
“ผมหิว... ขอกินอะไรก่อนได้มั้ย”
พวกมันมองหน้ากัน แผดเสียงหัวเราะมาทันที
“เออ มิน่ามึงถึงอ้วน ออกกำลังกายบ้างละ”
รู้สึกเหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาด ผึง ในหัว แต่กูทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักนิดเดียว อย่าให้กูหลุดไปนะสัด
“แฮ่ะ ๆ นะครับ”
“เออ เดี๋ยวผมออกไปหาซื้อของแล้วกันพี่”
พี่โหดตีนเหม็นพูดกับพี่โหดเบอร์ 2
“เออ ดี”
“ขอบคุณครับ”
ผมพูดแทรก
เอาวะ อย่างน้อยก็กำจัดไปได้หนึ่งคน
พี่โหดตีนเหม็นเดินไปแล้ว ผมก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
“ทำงานไร”
พี่โหดเบอร์ 2 พูดขึ้น มองมาทางผม ผมมองกลับทำหน้างงสุดขีด
“มึงนะแหละ ทำงานอะไร”
ย้ำแบบนี้ ก็กูสินะ
“เป็นพนักงานบริษัท....”
ผมตอบไป ทำหน้าปกติให้มากสุด
“เออ ดี ลูกกูก็อยากทำงานที่นี่”
“ครับ สวัสดิการมันดีครับพี่”
ชวนคุยก่อน ค่อยตะล่อม ในสมองสั่งผมแบบนั้น
“พี่ครับ พี่ไม่ลองโทรหาเจ้านายเหรอครับ เรื่องที่ผมเสนอไป”
“เออ ลืม มึงนี่ฉลาดจริง” มันคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “ไอ้ปริ๊นซ์ มึงนะโชคดี มีคนแบบนี้เป็นเพื่อน”
แล้วพี่โหดเบอร์ 2 ก็เดินเลี่ยงออกไปอีกห้อง แว่วเสียงเบา ๆ ลอยมา
มือผมที่ขยับมาตลอดตั้งแต่คำแรกที่ผมพูด จนบัดนี้พวงกุญแจมีดพับเลื่อนมาอยู่ในทิศทางที่เหมาะสมแล้ว
ทันทีที่พี่โหดหายไป ผมก็ หันปลายมีดออกจากตัว กดปุ่มเปิด ค่อย ๆ ปาดกับเชือกไปทีละน้อย
“โอ๊ย”
ผมร้องออกมาแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่พี่ปริ๊นซ์จะได้ยิน
“ขอโทษนะ...”
ผมยิ้มตอบ ไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ ที่ร้องออกมาก็เพราะใบมีดมันเฉียดมาโดนแขนนี่แหละ ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนในหนัง แต่ก็อาจเป็นโชคของผมด้วยกระมัง ที่เชือกไม่ได้หนามาก ในที่สุดผมก็สามารถตัดเชือกจนขาดไปเส้นหนึ่งซึ่งมากพอที่จะคลายมือออกจากปมเชือกได้
พี่โหดเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง
“เจ้านายกูโอเค มึงฉลาดจริง”
อีกครั้งที่มันชมผม ยิ้มครับ ยิ้มสยามไปก่อน
“ไอ้โง่”
มันซัดพี่ปริ๊นซ์อีกรอบ แล้วมันก็เดินไปอีกห้อง
ผมฉวยโอกาสนั้น สะบัดมือหลุดจากเชือก รีบแก้เชือกที่มัดเท้าผม
น้อยหน่ามองผมด้วยความทึ่ง ส่วนพี่ปริ๊นซ์ยังก้มหน้ายืนอย่างหมดแรงไม่รับรู้อะไร ร่างผมเป็นร่างที่แข็งแรงสมบูรณ์ที่สุดในห้องแล้ว ต้องไม่ทำให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด
พี่ปริ๊นซ์หวาดผวาเล็กน้อย เมื่อผมประชิดตัว
“ใจเย็นพี่”
เชือกยาวที่ตรึงแขนพี่ปริ๊นซ์ไว้ถูกตัดออก ผมรีบแก้มัด แล้วผมก็พุ่งตรงไปที่โทรศัพท์บ้าน ผมจ้องมันมานานแล้วนับตั้งแต่ถูกพี่โหดจับตัวนั่ง
“ผมขอแจ้งเหตุร้าย คือ ผมโดนจับเรียกค่าไถ่ คนร้ายมีสองคน ที่อยู่เหรอครับ”
ชิบหายละ ผมเห็นบิลต่าง ๆ กองบริเวณนั้น รีบคว้าหาที่อยู่ แล้วบอกพนักงานไปทันที
“ครับ รีบมานะครับ”
โทรศัพท์ถูกวางสาย
ตรงวงกบประตู ใบหน้าช็อคของพี่โหดเบอร์ 2 ลอยเด่นหราในแสงสลัว
“อ้าว หวัดดีพี่”
โบกมือทักด้วยความเชื่องช้า โคตรเป็นสิ่งที่โง่สุดเท่าที่ผมนึกออกเลยละ
พี่ปริ๊นซ์ทะยานมาครับ ทะยานใส่ตัวมัน จนล้มกลิ้งลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยกัน
ผมวิ่งอย่างรวดเร็ว หมายเข้าไปตัดเชือก รีบปล่อยครอบครัวเคราะห์ร้ายออกจากพันธนาการ
“ไหวมั้ยครับ ทนหน่อยนะ”
ผมปลอบใจทุกคน ท่าทางอิดโรยเห็นได้อย่างชัดเจน
ผมตัดเชือกของน้อยหน่าสำเร็จแล้ว กำลังหันไปตัดเชือกให้กับผู้หญิงที่คาดว่าเป็นคุณแม่ของเธอ
หันกลับไปมองการคลุกวงของพี่ปริ๊นซ์ที่ตอนนี้ต่างคนต่างทรงตัวยืนได้แล้ว ปืนครับพี่น้อง ปืนในมือพี่โหด ในมือพี่ปริ๊นซ์ โอ๊ยยยย สองคนนั้นกำลังแย่งปืนกันครับ
“ทำไงดีวะ ทำไงดีวะ ทำไงดี....”
ผมพล่าม น้อยหน่าและพ่อแม่ก็ดูไม่ต่างจากผม เราไม่รู้ว่า ณ จังหวะนี้ เราควรอยู่จุดไหน
“น้อยหน่า น้อยหน่าใช่มั้ย”
หญิงสวยพยักหน้า มือยังระวิงกับการแกะเชือกให้คุณพ่อ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
“รีบพาคุณพ่อคุณแม่ ไปซ่อนก่อน เดี๋ยวอีกคนกลับมา ทางนี้เราจัดการเอง ไปสิ ไปเหอะ”
ผมพยายามดุนหลังน้อยหน่าให้ละทิ้งความลังเล
“เอาวะ”
ผมตะโกนสุดเสียงแล้วเข้าร่วมคลุกวงอีกคน
ปังเสียงปืนดังสนั่น
ไม่มีใครเป็นอะไรครับ ปืนลั่น แต่ผนังบ้านเป็นรูโหว่ จากแรงสะท้อนกลับของปืนทำให้ปืนกระบอกนั้นปลิวสะบัดไปที่พื้น ไกลจากผมไม่มากนัก
เหมือนเป็นวินาทีที่เราสามคนจ้องตากัน
ผมกระโดดผลุนไปที่ปืนทันที ในขณะที่พี่โหดผลุนตัวไปอีกทาง โดยมีพี่ปริ๊นซ์ไล่ตามหลัง
ผมคว้าปืนไว้ในมือได้แล้ว พี่ปริ๊นซ์ก็สามารถจับหัวพี่โหด กระชากเส้นผมจนมันเสียหลักจวนล้มอีกครั้ง แต่พี่โหดไม่ได้ง่ายกินหมูขนาดนั้น ศอกหนาหนักกระแทกใส่หน้าพี่ปริ๊นซ์ ผมเชื่อว่าพี่ปริ๊นซ์คงเห็นดาวหลายดวงแน่นอน
แสงวาวโลหะสะท้อนสู่สายตาผม
มีดยาวด้ามใหญ่ กำลังพุ่งออกมาที่พี่ปริ๊นซ์
“เห้ย....”
พี่ปริ๊นซ์กระเด็นไปอีกทางจากการกระโจนใส่ของผม
พี่โหดจ้วงแทงอากาศไปอย่างหวิดหวิว
“หยุดนะ กูมีปืน”
ผมถือปืน ชี้ไปที่หน้าพี่โหด อีกมือจับแขนพี่ปริ๊นซ์ไว้
พี่โหดยืนนิ่ง มือกำมีดแน่น ดูเชิงผมไม่วางตา
“วางมีด ไม่งั้นมึงตาย”
ผมปลดเซฟตี้
แน่นอนว่า พี่โหดวางมีดลง ขอบคุณพ่อจ๋ามากที่สอนยิงปืนตอนเด็ก
“เตะมาทางกู มีดนั่นแหละ เตะมา” ผมตะโกนย้ำทันที “เร็ว”
มีดเล่มยาวน่ากลัว เคลื่อนมาหยุดตรงหน้าผม
“เอาละ มึงลงไปนั่งคุกเข่าตรงนั้น อะ ใช่” ผมเดินก้าวถือปืนชี้ที่หน้ามัน “ฉลาดนี่มึง นั่งสิ ยืนทำไม กูบอกให้นั่ง” เสียงเข้มโหดของผมแผดลั่น เอาวะ ทัพ เอาให้สุด
เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนจะจบแล้ว จริง ๆ
.
.
.
.
.
.
ถ้าพี่โหดตีนเหม็นไม่กลับมาเร็วเกินไป และไม่เข้ามาแบบไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียง แถมพุ่งตรงมาอย่างเร็วแรงทางผมและพี่ปริ๊นซ์ พร้อมกับมีดอีกเล่ม
แล้วสิ่งโง่ที่สุดที่ผมทำก็คือ วิ่งเข้าไปรับมีดที่พี่โหดตีนเหม็น ถือตั้งไว้ในมือ
‘เจ็บชิบหาย มึงบิดมีดด้วยเหรอ’
ปังผมยิงไปหนึ่งนัดที่แขนของพี่โหดตีนเหม็น
มึงแทงมาเต็ม ๆ
ผมมองมีดที่คงแทงทะลุช่วงท้องผมไป
เสียงร้องทุรนทุรายเหมือนเด็กน้อยของพี่โหดตีนเหม็นดังระงม พร้อมกับเลือดผมที่ไหลออกมา ผมมองเห็นพี่ปริ๊นซ์ในสายตา
“ขอโท...”
ผมขอโทษพี่
แล้ว... ทุกอย่างก็มืดดับลง