<Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019  (อ่าน 13720 ครั้ง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 25
ก่อนวันเกิด


วันศุกร์ ต้นปี  เป็นวันเกิดของผม

แล้วก็เป็นวันที่ทุกคนในบ้านมีความสุข เพราะเตี่ยได้ทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล  อาม่าดีใจมากถึงขนาดซื้อทองหลายสิบบาทรับขวัญหลานชายคนแรก ซึ่งในกาลต่อมาก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของบ้านด้วย

บ้านผมเป็นคนจีนทั้งทางฝั่งเตี่ยและม้า  เตี่ยไม่มีบัตรประชาชนไทยด้วยซ้ำเพราะท่านอพยพมาอยู่ไทยตั้งแต่ยังเด็ก  ต่างจากม้า ที่แม้ว่าเลือดในกายที่ไหลเวียนจะเป็นจีนแท้   แต่ท่านก็เกิดและเติบโตที่ไทย  จึงถือสัญชาติไทยอย่างถูกต้อง  และส่งผ่านสัญชาติดังกล่าวให้แก่ผมด้วย 

ตระกูลของเตี่ยประกอบธุรกิจส่งออกข้าว  ในขณะที่ตระกูลของม้าประกอบธุรกิจค้าทองมา 3 ชั่วอายุคน (แน่นอนว่า ทองรับขวัญผมตอนเกิด ก็ซื้อมาจากร้านของม้านั่นเอง  เข้าตำราอัฐยายซื้อขนมยาย)  หลังจากอาม่าเสียได้ไม่นาน   มะเร็งก็คร่าชีวิตเตี่ยเป็นรายถัดไป   ความวิปโยคกระหน่ำสู่ครอบครัวของผม   ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว   ต้องดำเนินธุรกิจทั้งสองฝั่งเพียงลำพัง   เพราะทั้งสองฝั่งตระกูลต่างมีเตี่ยและม้าเป็นลูกคนเดียว   
ผม... ในฐานะลูกชายคนเดียว  จึงต้องมาเรียนรู้งานกิจการต่าง ๆ ในบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้    ตลอดชีวิตในวัยเด็กของผมจึงวนเวียนเกี่ยวข้องกับเทคนิคการพิจารณาทองแท้  ความผันผวนของราคาทองคำ การดูแลมอดไม่ให้ทำลายผลผลิตในโรงสี  วิธีการจับผิดกลโกงของชาวนาในการโกงน้ำหนักข้าว  และอื่น ๆ ซึ่งไม่ค่อยมีประโยชน์กับการประกอบวิชาชีพแพทย์มากนัก

เป็นธรรมดาของบ้านคนจีนที่ชอบคิดเรื่องลูกสะใภ้  วันนี้ก็เช่นกัน...

“ม้า มีอะไรหรือเปล่า”

หญิงวัยกลางคน นั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของผม   เธอส่งสายตาอารีย์เจือด้วยอำนาจที่สะกดให้ผมยืนอึ้งถือบอร์ดจดอาการคนไข้ค้างไว้ในมือ   มีเพียงความฉงนฉงายไม่เข้าใจเท่านั้นที่ผมแพร่ผ่านสะท้อนวับบนใบหน้า 

“ว่าไงตาม ลูกรัก”

ท่านเลือกที่จะไม่ตอบคำถามใดของผม  แล้วใช้เสียงอ่อนเสียงหวานถามคำถามอื่นกลับมา   เมื่อพิจารณาในทุกด้าน  การที่ม้าถ่อมาหาถึงโรงพยาบาลระยอง  คงหนีไม่พ้นเรื่องดูตัวกับลูกหลานคุณหญิงคุณนายสมาคมค้าทองทั้งหลายเป็นแน่แท้

“จะถามว่า  เสาร์นี้พอจะว่างมั้ยจ๊ะ  แม่จะชวนไปกินข้าว”   กำลังหย่อนตัวนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามก็เป็นอันค้างลอยบนเก้าอี้อากาศเสียอย่างนั้น “ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ”

“ม้า  อีกแล้วเหรอ”

“อะไร อีกแล้วเหรอ เหรอลูก”  ม้าทำหน้างง  ตาใสฉายวับ  เฝ้ามองผมที่หุนหันยืนขึ้นด้วยความตกใจราวกับสาวน้อยวัยขบเผาะไร้เดียงสา  “ม้าไม่เข้าใจ”

“ม่าม้าอย่าไขสือ  ตามรู้”

เสียงหัวเราะของม่าม้าดังลั่น  พร้อมกับลุกขึ้นยืนเอามือเท้าโต๊ะ  ศีรษะที่เอียงสี่สิบห้าองศานำพาดวงตาคู่ใสให้อยู่ระดับเดียวกับดวงตาแห่งความไม่พอใจของผม    ม้ายังดูสวยงามเมื่อเทียบกับวัยครึ่งศตวรรษ   สายตาอันคมคายมองลอดทะลุแว่นสายตา   แววตาแห่งความกรุณาปรานีที่มองมายังอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง   เรื่องราววัยเด็กที่ผู้หญิงบอบบางคนนี้ต้องฝ่าฟันเลี้ยงผมและน้องสาวมาเพียงลำพัง  ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายรอบด้าน  คุมคนงานผู้ชายหลายร้อยคน  เจรจากับลูกค้าสารพัดวัย  กระนั้นเธอก็ยังทำหน้าที่ของแม่ได้อย่างไม่บกพร่อง  ภาพต่าง ๆ เหล่านั้น  หวนกระหน่ำในห้วงความคิดของผม   ปล่อยให้ผมหลุดลอยไปกับอดีตอย่างเชื่องช้า   ประหนึ่งคนแก่ที่กำลังจิบชาพลาง  ทอดชมทัศนียภาพรอบด้านไปพลาง

“เชื่อม้าเถอะนะ”  มืออันอบอุ่นบีบกระชับที่ท้องแขนของผม   ม้าเดินมาประชิดตัวผมเมื่อใดผมไม่อาจทราบได้ 

“จะรักใครม้าไม่ห้ามหรอกนะ  ถ้าพยายามแล้วไม่สำเร็จ  ลองเชื่อม้าสักครั้งได้มั้ย”

ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั้งห้องพักหมอใช้ทุนแคบ ๆ เล็ก ๆ

“ทัพเขาก็ไม่มีทีท่าจะรักตอบลูกเลยนี่นา”

แม้ว่าม้าจะรู้ว่าผมชอบผู้ชาย   แต่ท่านก็ไม่เคยขัด  ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะหลอกล่อผมไปดูตัวผู้หญิงมาหลายรายแล้วก็เถอะ

“สักวันหนึ่งเราก็ต้องมีครอบครัว มีลูก มีหลานนะตาม”

ไม่มีสักครั้งที่ม้าจะพูดว่า  อยากอุ้มหลาน  ไม่เคยมีสักครั้งที่ม้าบอกว่า  ให้ทำเพื่อท่าน   ทุกครั้งท่านล้วนแล้วแต่พูดถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผมเองทั้งสิ้น

“จะรักใครชอบใคร   ม้าไม่ขัด    ไม่ต้องสนม้า   แค่สนความสุขของตัวตามเองก็พอแล้วนะลูก    แต่ว่าลูกจะจมอยู่กับอดีตแบบนี้ต่อไปหรือ  อนาคตก็จะยังคงจมอยู่แบบนี้เหรอ”   มืออุ่นลูบหลังผมประหนึ่งส่งต่อกำลังใจให้ไหลผ่านเข้ามา  “เอาเถอะ  ถ้าตามอยากจม   ม้าก็จะอยู่เคียงข้าง  คอยประคับประคองเสมอ   ไม่ต้องห่วงนะ  อย่ากดดันตัวเอง”

รู้มั้ย... ว่าม้ากำลังกดดันผมอยู่   ราวกับม้าบังคับผมไปยืนอยู่ทางแยกระหว่างความสุขของผมที่เห็นแก่ตัว  กับความกตัญญูที่ท่านไม่ได้เรียกร้อง    ทุกครั้งที่ผมตามใจตัวเองว่าเลือกทัพ  ทุกครั้งที่ผมมองทัพแล้วรู้สึกต่าง ๆ นานา   ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดต่อผู้หญิงตรงหน้ามากเท่านั้น

“ตามใจลูกแล้วกันนะ ม้าไม่ได้มายื่นคำขาดอะไร   แค่มาชวนกินข้าว”

ท่านเดินออกไป  มือบิดลูกบิดประตูพร้อมก้าวขา  ผมที่ยืนอึ้งก้มหน้ากล้ำกลืนความรู้สึกทุกอย่างลงไป  กลายเป็นขี้แพ้อีกครั้งแล้วสินะ


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


งานเลี้ยงรับขวัญผมและทัพ  เป็นงานที่เรียบง่าย

เรียบง่ายที่ไหนกันเล่า...

เล่นใหญ่จัดเต็มเลยต่างหาก

ผมกำลังอ้าปากมองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สารพัดยี่ห้อที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ  และคุณแม่ของทัพที่กำลังปฏิบัติหน้าในฐานะแม่ยอดเยี่ยมประจำปี

“วอดก้า กับโซดาเนาะลูก”

ใช่ ครับ  คุณแม่กำลังชงเหล้าส่งให้ลูกชายและผองเพื่อน

“เอ้า ตาม  เพลงใจรักของแม่นะ  ร้องให้ฟังหน่อย”

“ครับ ๆ”

ผมรีบกุลีกุจอไปเลือกเพลงคลาสสิค  ของนักร้องในดวงใจของคุณแม่   สุชาติ  ชวางกูร   เพลงลูกกรุงไม่ใช่แนวผมสักเท่าไหร่   แต่เจ้าบ้าน ผู้เป็นว่าที่แม่ยาย  ขอมาขนาดนี้    ผมก็ต้องจัดให้ตามคำขอเสียหน่อย

บรรยากาศเพลงกำลังได้ที่  ผมมองกวาดตามีอายคอนแทคท์ตามที่ถูกเทรนมาตั้งแต่เข้าวงดนตรีที่มหาวิทยาลัยไปตามปกติ    ดูท่าคุณแม่จะชอบเพลงนี้มาก   แต่มุมห้องที่มีคุณพ่อของทัพที่ใส่ชุดตำรวจเต็มยศนั่งอยู่นู้น   ดูท่าจะไม่สบอารมณ์กับเพลงลูกกรุงกระมัง

เพลงจบลงแล้ว  เสียงปรบมือดังลั่น   พร้อมกับเสียงขอเพลงใหม่อีกหลายเพลง   คนที่ผมไม่คิดว่าจะเรื้อนสุดก็ดันเป็นคนที่เรื้อนสุด   ใช่ครับ   บอส  นั่นเอง   รายนั้นฟาดเหล้าไปหลายแก้ว  หน้าแดง  เมาได้ที่เชียวแหละ   พูดจาพึมพำอะไรบางอย่างกับทัพหลายต่อหลายรอบ   

เฮ้ย  ใกล้ไปแล้วไอ้หมอฟัน  มึงห่างออกมาเลยนะ   

อีกแค่มิลลิเมตรเดียวปากของไอ้หมอฟันสุดหล่อก็จะกระแทกแก้มว่าที่แฟนผมแล้ว   ทำไมทั้งคุณพ่อคุณแม่ทัพต่างดูเฉยเมยชินชากับเรื่องแบบนี้หวะ 

เฮ้ย  มึงออกมาเลยนะ 

นั่นปะไร   ไอ้ว่าที่เมียผมก็เล่นไปกับเขา  หัวร่อต่อกระซิก  กระซิบกระซาบกันอยู่นั่นแหละ

กูอยากแดกเหล้าย้อมใจจริง ๆ  ติดว่าถูกหมอห้ามนี่แหละ

“นี่ หมอ”  เสียงว่าที่พ่อตาผมครับ  “จะร้องมั้ย  เพลงที่ขอน่ะ  จ้องอยู่นั้นแหละ   จ้องจนไอ้เทเลทับบีส์ มันจะท้องแล้ว”

เทเลทับบีส์ ....

“พ่อ”  ไอ้ทัพหลุดพ้นจากวงจุมพิตของบอส  ยืนขึ้นหน้าแดงสุดขีด  “พ่อเมาแล้ว”

“โอ๊ย  แค่นี้  พ่อแกไม่เมาหรอกลูก  เทเลทับบีส์ของแม่”   คุณแม่ยื่นแก้วเหล้าอีกแก้วที่ส่งต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงมืออดีตสามี  ที่จิบเหล้าอย่างพึงพอใจ  “น่ารักจะตาย  เทเลทับบีส์”

“แม่”

“เทเลทับบีส์” 

บอสที่เมาได้ที่กระชากเจ้าของชื่อให้ลงมานั่ง  พร้อมเอามือยีหัว   ผม  รวมถึงพีและมีน  ได้แต่เอ๋อแดกอยู่ในบริเวณของตัวเอง

“พอเลย พอ”

“เนี่ยนะลูก ๆ ตอนเด็ก  ทัพมันชอบดูเทเลทับบีส์มาก”  มือเรียวสวยกำลังกอดฟัด ยีหัวลูกชายด้วยความรัก  “เนี่ย  แม่ยังมีซีดี ที่ซื้อไว้ดูเลยนะ  แม่ไปหาแปบ”

แต่ก็ไม่ได้ไปหาหรอกนะครับ  ถูกลูกชายลากไว้อย่างดี

“ชอบมาก  ขนาดเอาไม้แขวนเสื้อมาขดเป็นวงกลม สามเหลี่ยมสักอย่าง  แล้วติดหัวเลยนะ”

ราวกับกีฬาวิ่งผลัด  เพราะฝ่ายพ่อรับไม้ต่ออย่างลงตัว

“พ่อ”

เสียงอายสุดขีด  แผ่วไปอีกครั้ง  เมื่อไม้ถูกส่งต่อไปยังคนที่สามที่นั่งเคียงข้าง

“พวกมึงต้องเห็นรูปมันที่คอสเพลย์  อ้วน ๆ น่ารัก  ชิบหาย”  แล้วมันก็ฟัดไอ้ทัพอีกรอบ  โธ่เว้ย  “ตาม  กูขอสักเพลงสิ”

พ่องมึงสิ  กูไม่ร้องให้มึงหรอก

“เทเลทับบีส์” 

“เงียบไปเลยไอ้พี  เก็บปากไว้แดกเหล้า”

“น่ารักดีนะทัพ  เราว่า”

“มีนนนนนนนน มึงก็เอากับเขาด้วยเหรอ”


-------------------------------------------------------------


เมื่อเหล้าเข้าปากพวกมันก็จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป  สำหรับพีมันจะนิ่งเงียบลงจนทุกคนสงสัย  ดังนั้นตอนนี้พีกำลังกรอกเหล้าเข้าปากอย่างเงียบเชียบ  ต่างจากมีนที่จะจ้อไม่หยุด กินไป พูดไป ไม่มีคนฟัง มันก็พูด  คุณป้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานของคุณแม่กลับไปแล้ว  มีนก็ยังพูดราวกับเขายังนั่งอยู่ตรงนั้น 


ส่วนไอ้ทัพก็จะคุมสติตัวเองไม่ค่อยจะได้   ทว่าวันนี้ทัพประคองสติได้ดีเป็นพิเศษ  เพราะต้องไล่จับไอ้บอสที่โวยวายเสียงดัง

“ทำไมวะ”

แล้วไอ้บอสก็ล้มตัวลงนั่งอย่างแรงเหมือนเดิม   อีก 5 นาที  มันก็จะกระโดดขึ้นมาตะโกนสามพยางค์เดิมนั่นอีกครั้ง   

แล้วถ้าผมเมานะเหรอ? 

ไม่รู้สิ  ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าผมไม่สามารถคาดเดาได้เวลาเมา  ผมอาจจะกลายเป็นคนพูดมาก  พูดน้อย  หัวเราะไม่หยุด  หรือร้องห่มร้องไห้  ก็ตอบไม่ได้เช่น   ช่วงเวลาในชีวิตที่เมาหัวราน้ำมันมีไม่กี่ครั้งเท่านั้น


จะว่าไปแล้วการโวยวายของบอสดูน่าสงสารมากกว่าน่ากลัว

บอสพัฒนาความสามารถขณะไปอีกขั้น  ด้วยการร้องไห้ไป  เดินไป  แล้วก็ปัดของทุกอย่างที่มันเดินผ่าน    กลายเป็นว่า ณ ตอนนี้ ทุกก้าวย่างของบอส  ต้องมีเสียงโครมครามของความเสียหาย ที่แล่นพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจอันเป็นแรงเชียร์ของพ่อไอ้ทัพที่เมาแอ๋ หน้าแดง อยู่มุมห้อง

ทัพก็หน้าแดงไม่ต่างจากพ่อมากนัก  แต่มันก็ยังฝืนสังขารไปลากบอสกลับมาปลอมประโลม

ผมผู้ไม่สามารถกินเหล้าได้ตามคำสั่งของหมอ  จึงได้แต่นั่งมองความพินาศดังกล่าวพร้อมกับซึมซับเสียงหัวเราะปนถอนหายใจของคุณแม่ทัพ  ที่นั่งคุยกับเพื่อนร่วมงานของตนไม่ไกลมากนัก

ในที่สุดงานเลี้ยงก็ยุติลงแบบไม่สวยเท่าใดนัก

เมื่อไอ้บอส โวยวายรอบที่ล้านจนเอามือปัดแจกันมูลค่าหลายหมื่นบาทของคุณแม่แตกกระจาย   แค่นั้นแหละครับ   จากที่ท่านแค่บ่นนิดหน่อย  (แต่มือก็ชงเหล้าแจกจ่ายไม่หยุด)  ก็กลายเป็นพายุหิมะอันน่าสะพรึงที่ซัดวงจนแตกกระจุยประดุจเศษแจกันที่กองอยู่บนพื้น

เมื่อสิ้นสุดสงคราม  ผมก็ลากทั้งสี่ชีวิตนี้ไปนอนที่ห้องใหญ่ของไอ้ทัพ  แล้วลงมาช่วยคุณแม่ของมันกับคนงานสองสามคนเก็บซากในสมรภูมิ   เศษแก้วแตกกระจายไปทั่ว  ทุกก้าวที่ย่างลงไปต้องระมัดระวังไม่ให้ได้แผลก่อนที่จะได้ทำความสะอาด

ซากปรักหักพังจากน้ำมือเพื่อนขี้เมาทั้งหลายช่างน่ากลัวนัก 

ผมหยิบรูปใบหนึ่งที่กรอบกระจกร้าวขึ้นมา   จ้องมาองภาพถ่ายด้านในที่ฉายภาพเปื้อนยิ้มของทัพในวัยเด็ก  กำลังเกาะเอวคุณแม่   เคียงคู่ไปกับเด็กชายหน้าคุ้นคนหนึ่งที่ยืนขนาบข้างทัพ

“ปริ๊นซ์นะลูก”

คำตอบของคุณแม่สร้างความกระจ่างให้ผมทันที

“ในบรรดาเพื่อนของทัพทั้งหมด  แม่ก็เห็นแต่บอสเท่านั้นที่เคยมาเที่ยวบ้าน  ไปโรงเรียนก็มีแต่บอสที่อยู่กับทัพ  แม้เค้นมันกี่ที  ก็เอาแต่โกหกแม่ว่ามีเพื่อนเยอะ  ไม่ต้องห่วง   ก็มีแต่ปริ๊นซ์เขานี่แหละ  เป็นรุ่นพี่ที่อาจนับได้ว่าเป็นเพื่อนอีกคนของทัพ”

“อ้อ ครับ”

ผมตอบอย่างเศร้าสร้อย


“เคยมานอนค้างที่บ้านด้วยนะ  เขาก็รับปากแม่ว่า  ถึงทัพจะไม่มีใคร  แต่ก็มีเขาและบอสที่อยู่เป็นเพื่อนเสมอ  ไม่ต้องห่วง”  สายตาของท่านที่กำลังซึมซับกับอดีตแสนหวาน ดูเศร้าสร้อยพิกล  “แม่ก็โล่งใจ ณ ตอนนั้นเลยว่า  ถึงทัพจะมีเพื่อนแค่หยิบมือ  แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่ดี  แม่ก็วางใจแล้ว   นี่ถ้าไม่ติดว่าปริ๊นซ์เขามีแฟนอยู่แล้ว ณ ตอนนั้น  แม่ว่าจะยกทับทิม  น้องสาวเจ้าทัพอะนะ  ให้ปริ๊นซ์เขาแล้ว”

ผมว่าแม่คิดเรื่องค่าสินสอดที่ลูกชายคนนี้กับแม่ ควรจะได้จากพี่เขาดีกว่านะ  เพราะลูกชายสุดที่รักของแม่ยกตัวยกใจให้เขาไปนานแล้ว

“แม่ดีใจนะ  ได้เจอลูก ๆ   ทัพมันเป็นคนเก็บกด  เก็บความรู้สึก  ยึดมั่น  เชื่ออะไรเดิม ๆ หัวรั้นเสมอ  แต่พอมันจบปี 1  แล้วกลับมาบ้าน   มันคุยฟุ้งเรื่องพวกเราไม่หยุดเลยนะ   นี่ ๆ มาลูก”  แม่ลากผมมาอีกมุมห้องรับแขก  “เขาโทรมาบอกแม่แต่เช้าแล้วว่า ให้ซ่อนรูปพวกนี้ไว้”

ผมนึกถึงตอนเช้าก่อนออกมาจากที่พัก  ที่ทัพยืนคุยโทรศัพท์กับใครสักคน

แม่ยื่นรูปแอบถ่ายของผมสามคนที่ใส่กรอบไม้อย่างดีมาให้  พร้อมกับอีกรูปที่เป็นรูปหมู่ของพวกเราสี่คน

“แม่รู้จักตาม พี และมีน ก่อนเจอตัวจริงอีกนะ  ทัพแอบถ่ายเราสามคนมาน่ะ  มันไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันรักพวกเราสามคนมากแค่ไหน”  เป็นภาพในทริปสงขลาที่พวกเราต่างเมามาย  ดูไม่หล่อเลยสักคน  ความคมชัดก็ต่ำเนื่องจากแสงน้อยและเป็นไปได้ว่าใช้มือถือถ่ายภาพไว้  “เขาดีใจมากเลยนะที่ได้เจอพวกเราซะที   เหมือนลูกชายได้พบเพื่อนที่ตามหามานาน   แม่ก็เช่นกัน  ยิ่งวันนี้ยิ่งดีใจที่ได้เจอตัวจริง”

เขาที่ว่า  แม่คงหมายถึงพ่อของทัพสินะ

“ครับ”  ผมตอบอย่างขวยเขิน  “พวกผมก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับคุณแม่”

“ใครบอกว่าแม่ชมว่าดี”  ผมรู้แล้วว่า ทัพได้นิสัยชอบพูดหักกลางประโยคมาจากใคร  เล่นเอาผมไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว  “แม่แค่ดีใจที่ทัพมีเพื่อนเป็นคนปกติ  มีดีปนเลวต่างหาก  แบบนี้สิ สีสันของชีวิต”

“แฮ่ะ... ครับ”

ผมยิ้มตอบให้ท่านที่กำลังยิ้มให้ผม

“ขอบใจนะลูก  ไป๊ ไปนอนได้แล้ว หมอยุงลาย  แม่เก็บเอง”

เชื่อแล้วครับ  ว่าทัพเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังจริง ๆ  หวังว่าเรื่องที่ผมไล่จีบมันตลอดหลายปีที่ผ่านมาคงถูกเว้นไม่ได้เล่าไปด้วยนะ

“เออ ตาม”  เสียงนั้นสะกดให้ผมหยุดก้าว  จำต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัย   “ทัพนะ  เขาเป็นคนปิดกั้นความรู้สึก  ก็คงเพราะเรื่องพ่อกับแม่ที่ฝังใจแต่เด็ก  อย่างไรก็ตามแต่  แม่ฝากทัพด้วยนะลูก   ไม่ต้องตามใจมันมาก  แต่ถ้าลูกของแม่ทำตัวงี่เง่าก็เข้าใจมันหน่อย   จะสั่งสอนอะไรแม่ไม่ขัดหรอก   หรือจะรักกันแม่ก็ไม่ว่าหรอก”

อึ้งครับ

“แม่รู้...?”

“ทัพไม่เคยเล่าหรอก   แต่แม่เป็นแม่ทัพนะ   แม่ดูออกนะ   รักษาสุขภาพล่ะ”

ผมผงกหัวรับ  พร้อมยิ้มร่า  แล้วเดินขึ้นข้างบนไปยังห้องนอนของทัพ

อย่างน้อยคุณแม่ของทัพก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรผม


-------------------------------------------------------------


ภาพที่เห็นคือ สี่ตัวนอนแผ่หลา  กองรวมกันตรงกลางห้องโดยบดเบียดตัวบนฟูกใหญ่   เตียงขนาดคิงไซส์ว่างเปล่าไร้คนจับจอง    พีเปิดพุงอ้าซ่าเกาแกรก ๆ อย่างน่าเกลียด    อดไม่ได้ที่ต้องคว้าผ้าห่มโยนไปคลุมปิดภาพอุจาดนั้น   ต่างจากมีนที่นอนตัวนิ่งเป็นมัมมี่แบบที่มันคุ้นเคย  พร้อมกับพึมพำว่า อีกแก้ว  ซ้ำแล้วซ้ำอีก    ผ้าห่มผืนใหญ่ที่โยนคลุมพีถูกเจียดดึงมาห่มร่างของมีนด้วยอีกคน
   
ที่นอนถัดออกมามาเป็นทัพ   กำลังนอนกอดรัดบอสอย่างสนิทนิ่ง   โดยมีบอสที่นอนสงบไม่ไหวติงอยู่ในวงกอด

ผมยิ้มกับภาพดังกล่าว   แม้จะรู้สึกหึงเล็กน้อยที่ทัพกำลังกอดบอสก็เหอะ   จึงเลือกปลุกทัพหมายให้ขึ้นไปนอนบนเตียงกับผม

“มึง  ตื่นหน่อย”

“มึงใจเย็นนะบอส  มึงใจเย็น”

ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าบอสไปโดนอะไรยั่วยุมา  ถึงได้ดูโมโหโทโสถึงเพียงนี้   หลังจากพยายามมาหลายนาทีผมก็เลือกปลุกบอสแทน  สุดท้ายก็ปลุกใครไม่ได้สักคน  ก็ได้แต่แกะมือของทัพออกไม่ให้กอดรัดบอสอีกต่อไป  แล้วเอาตัวเองแทรกนอนตรงกลางซะเลย 

“ลืมปิดไฟนี่หว่า”   

ผ้าห่มคลุมตัวบอสเรียบร้อย     ผมกำลังลากผ้าห่มอีกผืนจากต้นขาตนเอง   หมายเอามาคลุมตัวผมกับทัพ   ก็จำใจต้องลุกขึ้นเพื่อไปปิดไฟ  แต่ว่า

“อย่านะบอส  ใจเย็น ๆ นะ มา ๆ เชื่อกู”

ผมถูกกำลังอันมหาศาลจากไหนไม่รู้ของทัพฉุดรั้งดึงกลับไป  มันกอดผมแน่นอย่างนั้น  พูดซ้ำ ๆ เป็นประโยคคำสั่งเดิม ๆ ให้บอสใจเย็น  จะมองว่าผมฉวยโอกาสก็ได้   ทว่าผมมีความสุขเหลือเกินในอ้อมกอดนั้น

“ใจเย็นนะ”

“ครับ ทัพกรณ์”

“ใจเย็นนะ”

น่ารักจังเว้ย  เสียงงึมงำของมันดังอยู่ข้างหูของผม  ทัพเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น   ลมหายใจคลุ้งกินเหล้าที่เคลื่อนตัวผ่านซอกคอเป็นเครื่องยืนยันว่าคางของมันกำลังซุกอิงตรงด้านหลังของผม

“กูเป็นห่วงมึงนะ”   อย่างที่คุณแม่บอก  ถ้าทัพเปิดใจแสดงความรู้สึกออกไป  อะไรต่อมิอะไรก็คงง่ายขึ้น  “กูเป็นห่วงมึงนะ ตาม...

ตาม ...

ก็ผมสิ 

ผมอยากปลุกไอ้ทัพขึ้นมาถามเหลือเกินว่ามันหมายความว่าอะไร  แต่มันก็ล็อคผมไว้แน่น 

“กูเป็นห่วงมึงนะ”

วงกอดกระชับแน่น  จนผมต้องเอามือตบเบา ๆ บนมือของมันที่กำลังวางตัวนิ่งอยู่บนหน้าท้องของผม  ราวกับมันสัมผัสการปลอบประโลมของผมได้   วงกอดอันรัดแน่นจึงผ่อนสบาย 

อุณหภูมิรอบตัวต่ำจากเครื่องปรับอากาศ  แต่สำหรับผม  กลับอบอุ่นจากอ้อมกอดคนเคียงข้าง   ผ้าห่มจึงไม่จำเป็นต่อผมอีกต่อไป

“รักนะ ทัพ”

ความง่วงคืบคลานมา   แน่นอนว่าไม่ขัดข้องที่จะถูกกอดรัดไว้แบบนี้  แล้วผมก็หลับไปในอ้อมตะกองกอดของมัน


-------------------------------------------------------------


ผมลืมตาตื่นเวลาตีห้า  เวลาประจำที่ผมต้องเข้าเวร 

แสงไฟนีออนที่ผมเปิดทิ้งไว้ แยงเข้าตา

บอสที่ตื่นก่อนผมเล็กน้อย  กำลังนั่งชันเข่านวดขมับผ่อนคลาย   ทัพยังกอดรัดผมอยู่แต่หลวมกว่าเดิมจึงไม่ยากที่ผมจะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น

“อ้าว  ทำให้ตื่นเหรอตาม”

“เปล่า ชินน่ะ  ตื่นเวลานี้  แล้วไปเข้าเวร”

“อืม สินะ   เดี๋ยววันนี้กูจะไปทำงานคลินิกที่จันทบุรีนะ”

ขยันจริง ๆ พวกหมอฟันเนี่ย

“อืม  แล้วจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย”

“กลับสิ”   บอสพูดแผ่วเบา  หลังจากที่เสียงกรนของพีกระตุกขาดช่วงเพราะถูกรบกวนจากเสียงสนทนา  “เย็นนี้ต้องเข้ามาสอนมันขับรถ”

บุ้ยใบ้ปากไปยังคนข้างตัวผม

“อย่าลืมสิ  ว่าพีกับมีนกลับพรุ่งนี้เช้า  แต่มึงนะแผลยังไม่สมานสนิท  จะขับกลับยังไงล่ะ  ก็ต้องให้ไอ้ทัพนี่แหละพาขับกลับระยอง”

ตายแล้ว ผมลืมความจริงข้อนี้ไปเสียสนิท

“กูไปก่อนนะ”

หมอฟันรูปงามลุกขึ้น  โชว์ร่างสูงสะโอดสะอง  น่าจะสูงพอกับพี่ปริ๊นซ์เลยแหละ

“เดี๋ยว”

“ว่าไงหมอ”

“เออ...”

ผมควรถามมั้ย  ควรมั้ย   ยิ่งมองสายตานิ่งเฉยเหมือนมหาสมุทรลึกของเจ้าตัวที่มองย้อนกลับ  ผมยิ่งรู้สึกกลัว

“ไม่ต้องห่วงนะ  กูไม่ได้ชอบทัพแบบที่มึงคิด”   โล่งใจหน่อย  “แต่กูรักมันเลยแหละ”   อ้าว ไอ้นี่ ยังไงวะ

“หมาย...”

เสียงหัวเราะดังก่อนที่ผมจะขัดสิ่งใดได้

“มากกว่าเพื่อน”   ใจผมวูบไหว  นี่กูต้องมีคู่แข่งเพิ่มอีกคนเหรอ  “เพราะกูรักมันแบบพี่น้อง   ห้ามทำร้ายน้องกูคนนี้เด็ดขาด   กูขอดูพฤติกรรมก่อน   ที่แน่ ๆ กูไม่เชียร์พี่ปริ๊นซ์อีกแล้ว” 

มันทอดสายตาแห่งความห่วงใยไปยังทัพที่กำลังเอามือคว้ากอดเข่าชันของผม

“มันเป็นคนปิดบังความรู้สึก  คิดอะไรก็ไม่พูด  แถมยังเป็นคนหัวดื้อ  ชอบอะไรก็จะเอาให้ได้”  เสียงถอนหายใจดังหนึ่งที  ดวงตาอันอบอุ่นคู่นั้นกำลังมองทัพ  ช่างไม่ต่างจากสายตาของพี่ชายที่อาทรรักในตัวน้องชาย   แล้วพลันนั้นเองบอสก็สบตาผมด้วยดวงตาแห่งความสมุทรลึกที่อยากคาดเดาอีกครั้ง  “อดทนหน่อยนะ  กูสัมผัสได้ว่าฐานรากของเสาเข็มที่เคยมั่นคงของอดีตรักอันแสนหวานของมันกำลังสั่นคลอน  แม้ว่าอาจแค่สั่นคลอน  แม้ว่าอาจไม่มีวันที่จะมีเสาเข็มอื่นใดได้ปักลงไปแทนที่ก็ตาม  แต่อย่างน้อยมึงก็มีโอกาสนะ”

แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไป  พร้อมโบกมือลาผมโดยไม่หันหน้ากลับมามอง

“หมอ”   แผ่นหลังกว้างยืนหน้าประตู   เสี้ยวหน้านิ่งหวนกลับเผยให้ผมเห็นตาข้างขวาที่จริงจังและเว้าวอนให้ผมรับฟังอย่างตั้งใจ  “อย่าทำให้เพื่อนกูเสียใจอีก ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่”

“รู้แล้ว”

“ฮะฮ่า  กูจำประโยคนี้มาจากในหนังนะ  ไปละ”

สำเนียงหัวเราะกลบเกลื่อนดังเรื่อย  แล้วจางลงพร้อมกับการเดินจากไปของเจ้าของเสียง

“ปากแข็งไม่ต่างจากทัพนักหรอก  รักเพื่อนก็บอกมาสิว่ารัก  ห่วงก็บอกมาสิว่าห่วง”


ผมนิ่งคิด   ภาพในหัวถูกตัดกลับไปที่ห้องพักหมอใช้ทุนอันแสนคับแคบที่โรงพยาบาลระยอง

“ก่อนวันเกิดอายุ 25 ปี ของตาม”

แล้วผมก็พูดออกไป...  ม้าแค่หันกลับมามองด้วยแววตาที่สงสัย  ราวกับมีคำพูดว่า  อะไรเหรอลูก หลุดออกมา

“ตามจะบอกว่า   ถ้าผมกับทัพยังไม่เป็นแฟนกันก่อนวันเกิด   ผมจะทำตามที่ม้าบอก”

“ตามใจลูกแล้วกัน”

รอยยิ้มพิมพ์ใจฉายส่งกลับมา  คำพูดดูฟังสบาย  ไม่บังคับ   ผมรู้อยู่เต็มอกเลยว่า  ท่านกำลังนับถอยหลังให้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากนี้หมดไว ๆ   ทำไมผมจะไม่รู้เล่า  ว่าแม่บังเกิดเกล้าของผมท่านนี้มีความคิดอ่านอย่าง

“กูสัญญาบ้าอะไรของกูไปวะ”

ข้อความไลน์ของพีที่เพิ่งถูกส่งมา  ยิ่งทำให้ผมกลุ้มใจ

“พฤหัสนี้เจอกันนะเพื่อน  กูจะลากทัพไปงานรับปริญญามึงให้ได้  ไม่ต้องห่วง”




“กูชักห่วงตัวเองแล้วหว่ะ พี   กูกลัวจริง ๆ นะ”

สางผมที่ปรกตาทัพเล็กน้อย  ทอดสายตามองเจ้าของมือหนาที่คล้องเข่าผมประหนึ่งหมอนข้างอยู่  กลั้นใจก้มลงไปหอมแก้มมันหนึ่งที 

“แล้วเมื่อไร   เสาเข็มความรักระหว่างเราสองคนจะได้ฤกษ์ตอกซะทีวะ  เทเลทับบีส์  กูเหลือเวลาแค่ไม่กี่เดือนแล้วนะ”


เบญจเพสกำลังใกล้เข้ามาแล้ว...


-------------------------------------------------------------


ขอโทษนะครับที่ห่างหายไปนาน  ไปอ่านหนังสือสอบไฟนอลมาครับ
พรุ่งนี้ก็มีสอบ  แต่อยากมาอัพสักตอนแก้เครียดเสียหน่อย


ไปอ่านก่อนนะครับ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและติชมครับ

รักคนอ่านทุกคน

 :oo1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สู้ต่อไปตามเราเชียร์นายนะ

คนแต่งก็สู้ๆ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ยังมองไม่เห็นแววความเป็นพระเอกจากใครเลย ตามอาจดูละมุน

กว่าเพราะคำว่าจีบทัพมั้ง แต่ปริ๊นซ์นี่ยังไม่เห็นเพราะเพิ่งมา

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
หืมมมม คิดเหมือนว่าตอนนั้นแกก็ชอบทัพอะปริ๊นซ์

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
จะว่าไปตามเองก็ดีนะ เพราะปริ๊นซ์เองก็มีแฟนแล้วนี่นา

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เดี๋ยวๆ แล้วแฟนคุณอะคะคุณปริ๊นซ์

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ว่าละ  :เฮ้อ: ปริ๊นซ์คือพระเอกจริงดิ ไมทำตัวแบบนี้อะ

เราทีมตามได้มะ มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้นวะปริ๊นซ์

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
พีคไปอีกจ้า  :เฮ้อ: จะปลงก็ยังปลงไม่ลง ก็พอเข้าใจตามแต่แบบ

เรายังยอมรับไม่ได้อะ  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ไม่ต้องมีพระเอกดีไหมหรือยังไง  :ling2:  โชคเอนะคะผู้แต่ง

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
ว่าแล้วคนที่น่าสงสารที่สุดคือตาม เป็นทุกอย่างให้เธ
อแล้วจริง ๆ  :z13:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สงสาร ไม่รู้จุดจบจะเป็นยังไงเลย

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 26
กลับคอนโดฯ


“เป็นไงบ้างแม่  ห้องที่ทัพเลือก”

ผมผายมือสองข้างอยู่กลางคอนโดฯ หลังน้อย  หนี้ก้อนแรกในชีวิตของผม  กรอบรูปวิวที่แขวนอยู่ใกล้โต๊ะอาหาร  โดยบนโต๊ะมีดอกลิลลี่ขาวสะอาดใส่แจกกัน  โซฟาสีส้มสว่างที่มีหมอนสีส้มทึบวางเรียงอย่างประณีต   ประตูห้องนอนที่แขวนป้ายภาษาอังกฤษน่ารักกึ่งกวนว่า “Don’t disturb, the dragon is sleeping” 

“ห้องสะอาดจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือลูกชายฉัน”

แม่หัวเราะออกมา  ทำให้ผมพลอยหัวเราะตามไปด้วย  แท้จริงแล้วเมื่อคืนวานผมลากไอ้พีมาช่วยเก็บห้อง  เรายัดของทุกอย่างที่แสนรกเละเทะเข้าไปในตู้เสื้อ   ผักชีโรยหน้าไปทั่วทั้งห้อง   ไม่ต่างอะไรจากตอนที่เราทำความสะอาดห้องพักที่หอในทุกครั้งที่มีการตรวจทำความสะอาด 5 ส

จะว่าไป  ผมก็ชอบความสะอาดของห้องแบบนี้เหมือนกันนะ   ทำไมเราถึงไม่ลองตั้งปณิธานในใจสักครั้งว่าจะให้ความสะอาดยังคงอยู่ต่อไปกันเล่า   ลองทำดูสักตั้งทำไมจะทำไม่ได้    ผมคิดเพลินจนลืมสังเกตว่าแม่จ๋าเดินเข้าไปในห้องนอน   จนผมต้องรีบวิ่งพุ่งไปด้วยความตื่นกลัว

ไม่ได้กลัวอะไรหรอกครับ   เพราะผมไม่ได้ซ่อนผู้ชายเอาไว้  แต่ผมกลัวว่าแม่จะไปเผลอเปิดตู้เสื้อผ้า   แล้วมวลสิ่งของทุกอย่างที่อัดแน่นจะเทโครมทับใส่แม่ผมบาดเจ็บ

แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ  แม่กำลังวางรูปลงบนโต๊ะหัวเตียงให้ผม 2 รูป

“อะไรอะแม่.....?”

“รูปครอบครัวเราไง”   แม่จ๋าวางรูปพวกเรา 4 คน พ่อ แม่ ผม และทับทิม  ไว้บนโต๊ะหัวเตียง  ผมและน้องยังเด็ก  เป็นวินาทีท้ายสุดของคำว่าครอบครัวก่อนพ่อแม่จะหย่าร้าง  “แล้วก็รูปนี้” 

แม่วางรูปคู่ของผมกับพี่ปริ๊นซ์ตอนที่เราได้รางวัลที่หนี่งตอบคำถามความรู้รอบตัว  ระดับประเทศ  ไว้ด้านหลัง เยื้องรูปครอบครัว

“แม่เอารูปหมู่ของลูกกับรูมเมตลูก 3 คน มาด้วยนะ  ไว้ตรงไหนดี   แม่ว่าโต๊ะหัวเตียงแน่นไปแล้ว”  ผมยิ้มให้แม่  ที่ยังพูดเรื่องรูปอย่างมีความสุข  โดยไม่แม้แต่จะสบตามองผม   “เนี่ย  แม่รู้สึกผิดจัง  ไม่ได้เอารูปคู่แกกับบอสมาด้วย   บอสจะน้อยใจแม่มั้ย... เอ้า ทัพ”

อ้อมกอดอันฉับพลันกะทันหันของผม  สร้างความตกใจให้แม่เล็กน้อย  มือละมุนของแม่ลูบไหล่ผมด้วยความรักใคร่

“เอาไว้ตรงทีวีละกันเนาะ  คราวหน้าแม่จะเอารูปลูกกับบอสมาให้”

“ครับแม่”

ผมหลับตา  น้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่เบ้าตา    ผมเชื่อว่าแม่รู้มาตลอดว่าผมคิดเช่นไรกับพี่ปริ๊นซ์  เพียงแค่ท่านเลือกที่จะไม่พูดแล้วมองข้ามมันไป   มากไปกว่านั้นท่านยังสนับสนุนในสิ่งที่ผมมีความสุขกับมันอีกด้วย

“ทัพ จะให้กุญแจกับคีย์การ์ดอีกชุดแม่ไว้นะ   คอนโดฯ  เขาทำมาให้ 2 ชุด”

“เทเลทับบีส์ของแม่”   ผมที่เซตไว้อย่างดี  คงเสียรูปไปบ้างจากการโดนแม่จ๋าลูบหัว  “เก็บไว้ให้คนที่ลูกอยากใช้ชีวิตด้วยเถอะ  แม่เข้าใจ”

น้ำตาที่สุดแสนจะกลั้นไหลออกมา  เป็นน้ำตาแห่งความสุขที่ผมไม่เคยลืมเลือน


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


“ก็เพราะแบบนี้แหละ  กูเลยไม่กล้ากลับคอนโด”

“เออ มานอนคอนโดกูก็ได้    กูกับหลินไม่เคยนอนค้างด้วยกันอยู่แล้ว”

เสียงขบขันของพีดังมาจากปลายสาย   แน่นอนว่าผมยังไม่อยากเจอหน้าพี่ปริ๊นซ์คนที่ครอบครัวทั้งหัวใจของผมรวมถึงกุญแจและคีย์การ์ดอีกชุดของห้องผมไว้ด้วย    ผมไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาที่ผมหายไป   พี่เขาอาจจะนั่งรอในห้องผม  รอคอยการกลับมาของผม   รอเซอร์ไพรซ์ผม  หรือทำอะไรอย่างอื่นเตรียมไว้ก็ได้   

“แล้วเหนื่อยมั้ยมึง  เพิ่งถึงกรุงเทพฯ สินะ   นั่งรถไฟฟ้ามาคอนโดกูนะ  จากเอกมัยไม่ไกลมาก  จำได้ใช่มั้ย”   ผมตอบรับ  พร้อมผงกหัวเล็กน้อย   ลืมไปเสียสนิทว่าเรากำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่  ไม่ได้สนทนากันต่อหน้า  “เพื่อนมึงที่ระยองเป็นคนพามาส่งใช่มั้ย     แล้วตามอาการเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี”

ดีบ้าอะไรเล่า   แปลกด้วยซ้ำ   ผมนิ่งคิดเหตุการณ์ในเช้านี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ

“เออ แล้วเจอกันนะมึง  กูรอกินข้าวเย็น”

แล้วพีก็ตัดสายไป  ปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของผมเดินออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออก เอกมัย  ลอยไปสู่สถานีรถไฟฟ้าใกล้เคียง


///////////////////

“มึงจำที่กูสอนได้ใช่มั้ย   รถตามขับไม่ยากหรอกเป็นเกียร์ออโต้”

เสียงอาจดูสบาย ๆ  แต่สีหน้าของบอสเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด  มันกำลังยืนค้ำไม่ให้ประตูรถปิด  มองผมจากฝั่งประตูคนขับ  มองมาที่ผมที่กำลังนั่งประจันมือคว้าหมับพวงมาลัยรถอย่างเก้ ๆ กัง ๆ   ตามที่เอนตัวสบาย  ตาปรือใกล้หลับอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ  เชื่อได้ว่าอีกไม่นาน ตามก็คงหลับสนิท

“ให้กูลางานพรุ่งนี้มั้ย”

“เฮ้ย  ไม่เป็นไร กูขับได้  เรียนมาตั้งสามวัน”  ตั้งแต่วันเสาร์  อาทิตย์  จนถึงจันทร์  ผมเข้าคอร์สเรียนขับรถแบบเข้มข้นจากทั้งบอส  แม่  และพ่อ  จนมึนทฤษฎีและเทคนิคของแต่ละคนไปหมดแล้ว   “กูทำได้ สบ๊ายยยย”   ใจดีสู้เสือไว้ก่อนเว้ย

“เอาเหอะ  มีอะไรโทรหากูด่วนนะ”

บอสเดินถอยออกมา  พร้อมปิดประตูรถให้ผม    หน้าต่างรถเลื่อนอัตโนมัติ   ผมหันไปยิ้มให้แม่หนึ่งที  ยิ้มให้บอสอีกหนึ่งที   เหลียวไปมองผู้โดยสายกิตติมศักดิ์ของผมที่ตาเยิ้มจวนลาโลกไปเฝ้าพระอินทร์ที่กำลังยกมือประณมไหว้แม่บังเกิดเกล้าของผม

“ขอบคุณนะครับคุณแม่  ขอบใจนะบอส”

จากนั้นเราก็พุ่งตัวออกจากตราดเพื่อพาหมอตาม กลับโรงพยาบาลระยอง

“ไม่ไหวจริง ๆ บอกได้นะ  กูขับได้”

“มึงเงียบแล้วนอนเลย  แผลฉีกขึ้นมา  กูฆ่าหมกป่าข้างทางนะ  ไม่ตามหมอ”

“อืม”

มันแปลกไปนะ  ปกติคนอย่างตามต้องหยอดมุกกลับมาบ้าง


“เราจะพ้นเขตตราดแล้ว  กูขอแวะปั๊มนะ  ตื่นเต้นวะ”   เสียงสั่นเครือของผม สะท้อนความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไร้การตอบรับหรือปลอบประโลมจากอีกฝ่าย  “หลับแล้วเหรอ”

“เปล่า”

“เหรอ”

“มีอะไรหรือเปล่า...?”

“ก็เห็นมึงเงียบ”

พูดตามตรงเลยว่า  ความรู้สึกผิดหวังกระจายทั่วร่างกายของผม   รถจอดเทียบหน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน   ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จอดรถได้พอดีซองจอดและที่สำคัญจากบ้านจนมาถึงที่นี่ผมยังไม่ได้ไปปาดชนใครเข้า

“ผู้หญิงคนนั้นสวยดีเนาะ”

ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดงเลือดนก  ยืนอยู่หน้ารถคันงาม  แว่นกันแดดทรงสวยยิ่งขับความขาวของใบหน้าเธอให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

“อืม สวยดี  ถ้ากูไม่มีแผล  ก็คงลงไปจีบ”

แปลกมาก ...

แปลกที่สุด  ทำไมจู่ ๆ ตามก็พูดทำนองนี้   เป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่ผมจำความได้ ที่ได้ยินตามชมผู้หญิงคนอื่น  อย่างน้อยที่สุด  ก็ชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าผม

ตลอดทางจนถึงระยอง  จึงมีแต่ความเงียบสนิท   อาจมีการพูดคุยเรื่องทางกันบ้าง   ร้องเพลงคลอตามบ้าง  แต่ก็แค่นั้น   ในที่สุดผมก็สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างลุล่วง   รถของไอ้หมอยุงลายก็จอดอยู่หน้าบ้านพักหมอ  โดยม่อนที่ต้องเป็นคนพาผมไปส่งที่ขนส่งจังหวัดเพื่อนั่งกลับกรุงเทพฯ  ยืนรออยู่แล้ว

เราสองคนนิ่งเงียบไม่ไหวติง บนรถราวหนึ่งนาที  สร้างความฉงนฉงายให้แก่ม่อน   ทว่ามันก็ไม่ได้เดินเข้ามาถามหรือกระชากเปิดประตูโวยวาย   ม่อนยังยืนพิงกระโปรงหน้ารถมองมาที่รถยนต์อย่างใจจดใจจ่อ   

“มึง อยากฟังคำตอบของกูหรือเปล่า...”

“ไม่อะทัพ  ลืมไปเถอะ”

ตามเปิดประตูออกไป  พร้อมกับคว้ากระเป๋าเป้ไปด้วย    ผมที่ได้แต่หน้าชาอึ้งกิมกี่บนรถ  เพราะบทสนทนาที่เตรียมมาปฏิเสธเพื่อนรักอย่างดีที่สุด  กลับถูกเขวี้ยงทิ้งลงพื้นอย่างไม่แยแสเสียก่อน   ได้แต่คอตกเดินลงจากรถ  หยิบสัมภาระทั้งหมดยื่นให้เพื่อนรักวัยเด็กจัดการไปใส่ไว้ที่รถของมันอีกต่อ   แล้วผมก็เดินเข้าไปหาตามที่เปิดประตูบ้านพักเข้าไปก่อน

“กูวางกุญแจไว้ตรงนี้นะ   มึงดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

กุญแจรถถูกวางลงบนชั้นวางรองเท้า  ผมเงยหน้าเพื่ออำลาเพื่อนรัก

รอยยิ้ม คือ สิ่งที่ผมเห็น

ไม่มีความเศร้าแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ   ตามไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยด้วยซ้ำ

“เออ แล้วเจอกัน  ตอนไปคุยเรื่องงานแต่ไอ้พีที่กรุงเทพฯ”

ใช่สินะ  เราเป็นแก๊งค์เพื่อนเจ้าบ่าวนี่นา   ใช่สินะ ...   

ผมเดินหันหลังคอตกหางลู่เหมือนลูกหมาถูกทิ้ง เตรียมเดินออกจากบ้านพักหมอ   ตามปกติแล้ว  ผมต้องได้ยินคำพูดอย่างห่วงหาอาทร  คำพูดห่วงใย   หรือบอกให้โทรหลังจากถึงคอนโดฯ  อะไรทำนองนี้  แต่รอบนี้ .. ไม่ ไม่มีเลย

“เห้ย ทัพ”

อยากจะเอามือตีหัวตัวเอง  เพราะพอได้ยินเสียงจากตามแค่นี้  หน้าผมก็บานเหมือนดอกไม้เหี่ยวที่ได้น้ำ   ผมหันทั้งตัว  ไม่ใช่แค่เพียงเอี้ยวคอ   หันทั้งตัวรอฟังคำพูดจากปากตาม

“ลดความอ้วนด้วยนะ  มึงอ้วนแล้วนะ”

แม่งเอ๊ย  เดินออกมา  พร้อมเอามือขยี้พุงน้อย ๆ ของตัวเอง   อารมณ์เสีย  อารมณ์เสียโว้ยยยย


-------------------------------------------------------------


“เฮ้ย  มึงใจเย็น  รีบแดกไปมั้ย   กูไม่แย่งมึงหรอก”

สปาเกตตีคาโบนาร่าคำใหญ่ยัดใส่ปากผม รอบแล้วรอบเล่า   ส้อมในมือขวากำลังทำหน้าที่เหมือนเครืองตักดินที่โกยเส้นและน้ำครีมจากจานเทพรวดลงปากผมซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ทัพ มึง....”

พีที่นั่งมองด้วยความไม่เข้าใจ  มันไม่แตะอะไรเลยด้วยซ้ำตั้งแต่อาหารมาถึง

“ไม่แดกสลัดเหรอ  กูกินนะ”   ผมไม่รอคำตอบ ก็ตัดผักคำใหญ่ใส่ปาก   “น้อง  เอาพิซซ่าฮาวายเอี้ยน  แป้งหนานุ่ม  ขอบไส้กรอก  ด้วยนะ”

ผมตะโกนสั่งอาหารเพิ่ม

“เหี้ย ทัพ  กูไม่แดกทั้งหมดนะ   กูได้ใบสั่งจากหลินว่าต้องลดความอ้วน”

“เออ กูจัดการเอง”

เสียงถอนหายใจของพีดังลั่น   จนโต๊ะข้าง ๆ ต้องหันหน้ามามอง    ผมอยากจะเงยหน้าพูดอะไรกับเพื่อนสักอย่างทว่าอาหารตรงหน้าช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเสียเหลือเกิน

“เดี๋ยวติดคอตายนะมึง”

“ช่าง”

“กินมาก ไม่ดีนะ”

“ช่าง  จะแดก”

“สุขภาพเสียนะ”

“หาหมอดิ  ใช้สิทธิประกันสังคมบ้าง”

เสียงถอนหายใจของพีเรียกให้โต๊ะข้าง ๆ หันมามองทางโต๊ะพวกผมอีกครั้ง

“ไม่กลัวอ้วนแล้วเหรอ”

หยุดเลยครับ  ผมหยุดกินกะทันหัน   วางอุปกรณ์กินข้าวทั้งหมดลงบนจานตัวเอง

“ทำไมวะ  ถ้ากูไม่ผอม  จะไม่เป็นเพื่อนกับกูเหรอ”

“เปล่า  กูเป็นห่วงมึงจริง ๆ  ไหนมึงเคยบอกว่าอ้วนมาก  จนลดมาได้ขนาดนี้   ไม่เสียดายหยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเทไปตลอดเวลาหลายปีเหรอวะ”

ผมก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำลังบิดคลายนิ้วด้วยความล้า  รู้สึกแย่กับการกระทำของตัวเอง

“ถ้ากูอ้วน  มึงว่าพี่ปริ๊นซ์จะรักกูมั้ย”

“กูไม่รู้วะทัพ  กูรู้แต่ว่า  ถ้ามึงไม่รักตัวเองก่อน  ใครเขาจะรักมึงได้”

“กูรู้สึกแปลก ๆ   คิดว่าไปตราดแล้ว  พอกลับมาทุกอย่างจะดีขึ้น  กูจะกล้าเผชิญหน้ากับพี่ปริ๊นซ์   กล้าเคลียร์กับเขาตรง ๆ  กล้าที่จะถามพี่เขา  กล้าที่จะฟังพี่เขา   แต่สุดท้ายกูก็เลือกหนีเหมือนเดิม”

“ไม่เป็นไรหรอกมึง  ต้องใช้เวลา   มันเป็นสิทธิของมึง”   ไม่ทันขาดคำ  พิซซ่าแป้งหนานุ่ม ขอบไส้กรอก  ก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ  “ทำเร็วจังวะ ร้านนี้     แล้วโทรหาตามยัง  มันคงเป็นห่วงมึงแย่”

“....................”

พิซซ่าหนึ่งชิ้นใหญ่ถูกผมคว้าใส่ปาก   ตามด้วยชิ้นที่ 2 ในอีกไม่นาน

“มึงเป็นอะไรอีก”

“เปล่า  ไม่มีอะไร”

“ไม่จริง  บอกกูมา”

ตามด้วยชิ้นที่ 3  ที่กำลังอยู่ในอุ้งมืออวบอูมของผม   ถาดพิซซ่าที่ว่างเปล่าครึ่งหนึ่งยิ่งทำให้พีหวั่นกลัว

“ทัพ”  มือใหญ่เกร็งของมันคว้าจับที่ข้อมือผม   ปรามไม่ให้พิซซ่าชิ้นดังกล่าวไหลเลื่อนลงกระเพาะไปได้  “อย่าโกหกกู  เล่ามา”

แล้วก็สมใจพีมันแล้ว  เพราะพิซซ่าชิ้นดังกล่าวหลุดร่วงลงบนจาน  หน้าพิซซ่าที่เยิ้มชีสแปะนิ่งอยู่ตรงขอบจาน  หงายโชว์แป้งด้านล่างที่มีรอยไหม้อยู่จาง ๆ จากกระบวนการอบร้อน   น้ำตาผมผล็อยร่วงมาสองสามเม็ดลงซ้ำไปบนซากพิซซ่าหน้าคว่ำชิ้นนั้น

พีคลายมือออก  นั่งมองผมด้วยความไม่เข้าใจ   แล้วมันก็ลุกขึ้นย้ายมานั่งเก้าอี้ข้างตัวผม  บีบไหล่ผมเบา ๆ  ไม่มีคำพูดใดตลอดเวลาหลายนาทีหลังจากนั้น   พียังบีบไหล่ผมแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างลูบคลายข้อมือผมด้านที่แดงร้อนจากการถูกแรงนักมวยเช่นมันบีบรัด   

“ตามไม่รักกูแล้ว”

“หือม์”

เสียงโพล่งของผม  ปลุกพีขึ้นจากอาการสาละวนที่ข้อมือของผม

“มันเปลี่ยนไป  มันไม่เหมือนเดิม   กูไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหนเหมือนกัน   กูไม่ทันสังเกต   สามสี่วันที่ผ่านมา  กูเรียนขับรถแทบทุกวัน   ตามก็นอนเล่นกับหมาที่บ้านแม่กู  ดูทีวี  อ่านการ์ตูนเก่า ๆ ของกูไป  พอถึงบ้านตอนมืด  กูก็หมดแรงนอน   นอนเตียงเดียวกันแต่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย   มารู้ตัวอีกทีตอนที่ขับไปส่งมันที่ระยอง   มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”

“ทัพ... มึงรักมันแล้วเหรอ”

ผมส่ายหัวปฏิเสธ  น้ำตาพาลไหลอีกรอบ

“ไม่เลยวะ  กูพยายามถามใจกูหลายรอบแล้ว   กูยังรู้สึกกับมันแค่เพื่อนจริง ๆ   อาจเพราะความรักโง่ ๆ ของกูมันมอบให้พี่ปริ๊นซ์ไปหมดแล้ว”    พีส่ายหัวราวกับจะแก้ต่างให้ผมว่า  มึงไม่โง่    “กูพยายามหลอกตัวเองมาทีหนึ่งแล้ว  ที่เกาะกูด  ว่ากูจะรักมัน   กูต้องรักมันได้    แต่สุดท้ายเหมือนกับว่า   กูก็แค่กำลังเอาความรู้สึกผิดที่ทำต่อมันมาผูกมัดตัวเองให้รักมัน   ทั้งที่กูไม่ได้รัก   กูทำแบบนั้นไม่ได้หวะ”

“อืม... มึงทำถูกแล้วทัพ”

“แต่  ตามมันไม่เหมือนเดิม”

“งั้นมึงควรจะสบายใจสิ   พวกเราจะได้กลับมาเป็นเพื่อนซี้เดนตาย  เพื่อนรักห้อง 507 เหมือนเดิมไง   ไม่ต้องมีความรู้สึกประดักประเดิดใด ๆ ต่อกันอีก”

“จริง  แต่ทำไมกูเสียใจวะ”

“บางครั้ง  เราก็อาจชินกับอะไรเดิม ๆ มากจนยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ  ทุกอย่างจะดีเอง  เชื่อกูสิ”

“ถึงมันจะไม่ดี   แต่กูก็ต้องอยู่กับมันให้ได้จริงมั้ย”

ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามสุดท้าย   และก็ไม่มีมีค่ามากไปกว่าการเงียบใส่กัน  มองข้ามบางเรื่องในปัจจุบัน  แล้วเสแสร้งว่าตนกำลังมีความสุข  เพื่อให้มีแรงใจในการดำรงชีวิตต่อไป


-------------------------------------------------------------


ในที่สุดผมก็กลับไปทำงานตามเดิม   โดนพี่ปิ๋มเทศนายกใหญ่  เป็นการเทศนารอบที่ 2 หลังจากที่ผมโทรไปหาก่อนกลับมาทำงาน   เพื่อนร่วมงานหลายคนต่างหัวเราะให้กับความอินดี้ของผม   ไม่มีใครในที่ทำงานรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวผม   และอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์   ผมก็ต้องวนกลับไปทำงานที่ระยองอีกครั้งหนึ่ง

สุดสัปดาห์นั้น   ตามขึ้นมาจัดการเรื่องงานแต่งงาน   พิธีการในงานรวมถึงการเป็นพิธีกรถูกยกให้แก่มีน  และแก๊งค์เพื่อนเจ้าสาวอีก 3 คน   ผมอยากรู้จริง ๆ ว่ามีนจะทำหน้าอย่างไร  ถ้ารู้ว่าถูกมอบหมายให้ไปเป็นพิธีกร  เนื่องจากมีนไม่สามารถเดินทางมาประชุมได้   พวกเราทุกคนจึงมัดมือชกให้มันทำหน้าที่นี้   โดยตัวตั้งตัวตีก็ไม่ใช่ใครที่นั้น   เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของไอ้มีนเอง  ว่าที่เจ้าบ่าวของเรา... ไอ้พี

แก๊งค์เพื่อนเจ้าบ่าว  ยังมีอีก 7 คน จากคณะนิติศาสตร์   ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของไอ้พี  จึงทำให้เพื่อนเจ้าบ่าวมีรวมทั้งสิ้น 10  คน  พวกเราตัดสินใจตัดชุดใหม่ จะได้มีเสื้อเหมือนกัน  ไปในธีมเดียวกัน

“งั้นผมจัดการเรื่องเสื้อเอง”

เพื่อนร่วมคณะของพี 3 คน ขันอาสา  ทำให้ตอนนี้หน้าที่ที่เหลืออยู่ก็คือ  งานสถานที่และอาหาร  กับ งานเกี่ยวกับขบวนขันหมาก

ซึ่งสุดท้าย  ผมกับตาม  ก็ได้งานสถานที่และอาหาร  อย่างไม่ต้องสงสัย   เพราะตามที่อยู่ระยอง  และผมที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดทุกเดือน   คงไม่มีงานไหนที่เหมาะที่สุดเท่างานนี้   เพราะแค่คอนแทคท์ผ่านโทรศัพท์  และไปดูสถานที่บ้างบางครั้ง  ก็เท่านั้น

หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น  พีต้องพาหลิน  ว่าที่เจ้าสาว  ไปเข้าคอร์สบำรุงผิว   เพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว  ก็ต่างมีธุระของตัวเอง   จึงเหลือผมกับตามแค่สองคน

“มึงขับรถมาเองเลยเหรอ”

“อืม  แผลดีขึ้นแล้ว”

ผมถามไปอย่างนั้นแหละ  เพราะรู้มากจากพีแล้ว   

“แล้วเรื่องต่าง ๆ เป็นไงบ้าง”

“หมายถึงเรื่องหยกใช่มั้ย”

คิ้วขมวดของตามผูกปมอยู่บนใบหน้า  มันหยุดเดินกะทันหัน  ตอนนี้เรากำลังเดินไปที่ร้านขนม  เพราะอดีตคนป่วยบ่นว่าอยากกินร้านนี้มาตั้งนานแล้ว  แต่ไม่มีโอกาสเสียที

“เปล่านะ”

“เล่าได้นะ”

“เฮ้ย  ไม่ต้อง”

“อืม ตามใจ”

นี่ไม่ใช่ตามที่ผมรู้จักเลย  เอาจริง ๆ  อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตามคนที่ไล้จีบผมมาตลอดหลายปี

“เสร็จแล้วไปดูหนังกันมั้ย”

ผมเลือกที่จะชวนตามเสียดื้อ ๆ

“ก็ดี”

และก็เป็นโชคของผมที่มันไม่ปฏิเสธ

“เออ ดีเลย  กูอยากดูเรื่องนี้มานานแล้ว”

ผมถือตั๋วหนังน้ำเน่า  ไร้สาระที่ผมโคตรจะไม่ชอบไว้หน้ามือ   พยายามแสร้งทำหน้าตื่นเต้นเต็มประดา  วิ่งไปที่ซุ้มขายน้ำอัดลมและป๊อบคอร์นด้วยความตื่นเต้น

“ปกติ   มึงไม่ชอบอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“มึงจำได้ด้วยเหรอ”   ดูดน้ำอัดลมแล้วก็ทำหน้าแปลกใจใส่มัน  “สนใจกูด้วยเหรอ”

มันเงียบแทนคำตอบ   เสียงขำด้วยความพอใจของผมสร้างความไม่พอใจให้แก่มันได้เล็กน้อยเห็นได้จากเสียงฮึดฮัดที่ตามมา   และเชื่อได้ว่า ตามต้องไม่พอใจอีกแน่นอนเมื่อเห็นที่นั่งที่ผมจองไว้

“มึงจองที่นั่งโซฟาเลยเหรอ”


นั่นปะไร  เสียงโวยวายของหมอยุงลาย    ผมจองที่นั่งผ่านแอปพลิเคชัน  ตัดเงินผ่านบัตรเครดิต  ดังนั้นตามจึงไม่รู้ว่าผมจองที่นั่งแบบไหนมา   มันมองหน้าผมสลับกับมองที่นั่ง   แล้วล้มตัวลงนั่งอย่างไม่ค่อยพอใจ

“ทำไม  ไม่อยากสวีทกับกูเหรอ”

พูดแซวในสิ่งที่หลีกเลี่ยงมาหลายปี

“พูดตรง ๆ เลยว่า ไม่”

โอโห  อ้อมค้อมกันสักหน่อยก็ไม่ได้    ทำไมต้องพูดตรงอะไรขนาดนั้น

“เอาจริง ๆ เลยนะทัพ   มึงอย่าทำอย่างนี้เลย”

“ทำไมวะ  เพื่อนกัน”

“ทัพ  กูพยายามตัดใจอยู่นะ”

“กูรู้ ๆ”

“มึงรู้เหรอ”  เสียงตะคอกแหลมของตาม  เรียกสายตาจากผู้ชมคนอื่นในโรงให้หันมามอง  ยังดีที่ตอนนี้แค่เพียงฉายตัวอย่างหนัง  “แล้วมึงก็ยังทำเนี่ยนะ”

“ก็....”  ผมอยากจะบอกว่า มึงไม่เหมือนเดิม  กูคิดถึงมึงแบบนั้น   เห็นแก่ตัวใช่มั้ย  ที่กูคิดแบบนี้  “เปล่าซะหน่อย  ก็ขำ ๆ ไงมึง”

“ขำเหรอวะ ทัพ”

“..........”

“มึงขำเหรอวะ”

“ตาม  กูขอโทษ  ใจเย็น ๆ”

“กูเย็นมาตลอด”

มันสะบัดมือผมที่พยายามจะเคลื่อนเข้าหา  แล้วมันก็ผุดลุกขึ้นทันที   ด้วยความตื่นกลัวผมจึงคว้ามือของมัน  กุมไว้จนแน่น   ใช้สายตาอ้อนวอนให้มันนั่งลง  ซึ่งก็ได้ผล

“ดูหนังก่อนนะ  แล้วค่อยคุยกัน  ดูก่อนนะ”


ไม่มีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม   ผมยังคงจับมือตามไว้  เพลงสรรเสริญพระบารมี  ตลอดจนภาพยนตร์ฉายดำเนินเรื่องไปครึ่งเรื่อง  ผมก็ยังจับมือ

“ทำไมพระเอกงี่เง่าจังวะ  ก็รู้อยู่ว่านางเอกไม่ชอบ”  ผมเริ่มวิจารณ์ความพยายามอันไร้ค่าของพระเอก  “บางที  ถ้าทำเป็นไม่สนใจ  ป่านนี้ได้ผู้หญิงคนสวยคนนั้นไปแล้ว”

“เขาอาจจะพยายามแล้วแต่ทำไม่ได้หรือเปล่า”

“เหรอวะตาม  กูว่าถ้าจะทำก็ทำได้เปล่าวะ   งี่เง่า  อ้าว  ไปไหน”

มันลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน สะบัดหลุดจากการกอบกุมของมือผม  ผมที่กำลังอินกับภาพยนตร์จึงได้แต่มองมันผ่าน ๆ  แล้วอ่านจากริมฝีปากของตามได้ว่า  ไปห้องน้ำ   ผมจึงไม่ได้สนใจอะไร  เอามือปัดไล่แบบขอไปที  แล้วนั่งดูจนหนังใกล้จบ

“ทำไมยังไม่มาอีกวะ  หรือว่าท้องเสีย”

ผมกดโทรตาม  สัญญาณตอบรับว่าโทรติดดังได้ราวสิบวินาที  ก็ตัดเข้าสู่ฝากข้อความ   

“กดตัดทำไมวะ”



ผมโทรซ้ำอีกครั้ง   กลับกลายเป็นว่าเครื่องปิดแล้ว     ผมเริ่มร้อนใจกระวนกระวาย  ก็ได้แต่ทนดูหนังจนจบ  ไม่อยากลุกขึ้นยืนพรวดพราด   ทั้งยังอยากรู้ว่าจุดจบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร  แล้วมือถือผมก็สั่น

กูขอโทษนะ  มีงานด่วน  ขอกลับระยองก่อน


ผมรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไร   และเลือกที่จะไม่ตอบกลับข้อความของตามนั้น    อย่างไรเสียวันจันทร์นี้ผมก็ต้องเดินทางไประยอง    ตอนนั้นค่อยหาโอกาสนัดเจอมันก็ได้...  ถ้าตามยอมรับโทรศัพท์ผมนะ

เดินออกจากโรงหนังด้วยความรู้สึกผิดต่อความเห็นแก่ตัวของตัวเอง    พาสังขารของตัวเองมายืนหน้าห้องที่คอนโดฯ 

“หนีไปเท่าไร  สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหรอก”

ผมตัดสินใจแล้วว่า  หลังจากประชุมเรื่องงานแต่งของพีกับหลินเสร็จ  วันนี้ผมจะกลับมานอนที่ห้องของผมเสียที

ห้องที่ร้างคนมานานหลายสัปดาห์  กลับดูสะอาดตา  ไร้ฝุ่น   ยังมีความอบอุ่นลอยล่องในห้อง   เห็นได้ชัดว่ามีใครสักคนดูแลมันอย่างดีตลอดเวลาหลายวันที่เจ้าของทิ้งหายไป    ผมล้มตัวลงนอนบนโซฟา   ปล่อยความคิดให้ไหลผ่าน   ความเศร้ามากมายถาโถมเข้ามา   ทว่ากลับไม่มีแม้เพียงน้ำตาสักหยดที่ไหลริน

เปิดประตูห้องนอน  เห็นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งวางอยู่  เคียงด้วยจดหมายหนึ่งฉบับ   ผมกลั้นใจเปิดจดหมายอ่าน   น้ำตาที่สะกดกลั้นมาตลอดก็ไหลร่วงเป็นสาย   จดหมายฉบับนั้นเริ่มยับเยินจากมืออันสั่นเท่าที่พยายามประคองสติ   มือที่ไม่สามารถควบคุมได้สะเทือนสั่น  ปล่อยจดหมายหลุดร่วงลงพื้น

ผมคว้ามือถือขึ้นมา  กดโทรออกไป

“ทัพ”

“พี่ปริ๊นซ์ครับ  ผมคิดถึงพี่เหลือเกิน”

“พี่ขอโทษ”

มีเพียงเสียงคร่ำไห้ของผมที่ดังกลับไป

“ให้พี่เข้าไปหาได้มั้ย”

“ครับ”


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 26

ผมสอบใกล้เสร็จแล้วครับ  สอบอีกทีสัปดาห์หน้าเลย

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรให้โชคเอ  และกำลังใจต่าง ๆ ครับ
 :impress2:

สำหรับนิยาย ก็ใกล้จบแล้วนะครับ  ฝากติดตาม  ฝากลุ้นว่าสุดท้ายแล้ว  เรื่องดังกล่าวจะจบไปทางใด
จะสมหวัง  หรือ จะทุกข์   

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและติชมครับ


 :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :เฮ้อ: ขัดใจ

สู้ต่อไปนะคนแต่ง

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอ๋ อะไรยังไงนะ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 27
แผนพิชิตรัก...พัง?



ตาม

ผมคิดถูกหรือเปล่าที่ทำตามคำแนะนำของบอส...?

“กูขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ยหมอ..?”

หมอฟันแห่งโรงพยาบาลตราดเอ่ยถามกับผม  ขณะนี้พวกเรากำลังนั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ในโรงเรียนสมัยมัธยมของทัพและบอส   สนามกลางแจ้งแห่งนี้กำลังเป็นสถานที่ฝึกซ้อมการขับรถยนต์ของทัพ  โดยมีคุณพ่อของเจ้าตัวดำเนินการสอนอยู่

เสียงโวยวายของทัพ  ตามด้วยเสียงดุด่าอันเฉียบคมของพ่อดังคลอเป็นระยะ

ผมยกคิ้วเป็นคำตอบ  สุดจะเอ่ยคำใด   ทนายความฝีปากกล้าเพื่อนซี้ของผม จึงขันอาสาตอบแทน

“มีอะไรก็ว่ามาสิบอส”

“งั้นกูพูดกับพวกมึงทั้งสามคนเลยแล้วกัน”  บอสกวาดตามายังพวกเราทุกคน  “กูจะไม่มีวันให้ทัพกลับไปหาพี่ปริ๊นซ์อีกเด็ดขาด”

“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้วเปล่าวะ จริงมั้ยมีน จริงมั้ยไอ้ตาม...”

ไอ้ตัวเล็กพยักหน้าแบบมึน ๆ ตามแบบฉบับของมัน  ผมได้แต่นั่งคิดถึงความเป็นไปได้หลายต่อหลายอย่าง

“แต่ถ้าเจ้าตัวเขาจะรัก ก็ทำอะไรไม่ได้เปล่าวะ”

คำตอบของผมสร้างความเงียบให้ปกคลุมเป็นเวลาอีกหลายนาที

“เราขอพูดอะไรหน่อยสิ”

“เอาสิมีน”

เป็นพีเช่นเคย  ที่ตอบรับคำเกริ่นสนทนาของมีน

“คนเราพออยู่กับอะไรจนเคยชิน  มันก็จะไม่ค่อยเห็นคุณค่ามากนัก”  ทุกคนจ้องไปที่มีนเป็นตาเดียว  และราวกับนัดกันไว้  ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเล็กต้องการจะสื่อ  “คือแบบนี้นะพวกมึง  ตามนะไล่จีบทัพมาหลายปีแล้ว  ทัพก็ไม่มีทีท่าจะสนใจ  แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธจริงจัง  แล้วก็ไม่ได้แสดงออกว่ารำคาญมากมาย  จริงมั้ย...?”

พวกเราพยักหน้าพร้อมกับคิดตาม

“ดังนั้น  มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อไปจริงมั้ย  ถ้าตามยังทำตัวเหมือนเดิม”  มันหยุดหายใจ   เร่งเร้าให้ไอ้พีเขย่าแขนมันให้พูดต่อ   ผมกลัวเหลือเกินว่าแขนมันจะหลุดเสียก่อน  “ใจเย็นสิวะไอ้พี”

“กูเข้าใจแล้ว”

เป็นบอสที่ชิงแทรกพูดขึ้นมาก่อน

“ยังไงวะบอส”

“มึงหยุดก่อนพี”  มีนพูดขัด  “ก็คือทำให้มันแตกต่างไปจากเดิมใช่มั้ยบอส”

แล้วสองคนนั้นก็มองหน้ากัน  ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้ผมและพีขนลุกตั้งชันด้วยความกลัว

“ใช่แล้ว  ถ้าแบบนั้นได้ผลแน่ ๆ”   

สายตาที่ดูมีเลศนัยของเพื่อนซี้กะทันหันก็มองปราดมาที่ผมพร้อมกัน 

“มึงทำตามที่กูบอกก็พอนะตาม”

“อะไรวะบอส”

“เออ คืออะไรวะ กูอยากรู้  ไอ้มีนมึงบอกกูก่อนสิ”

คำโวยวายของพีถูกปราบให้สงบด้วยการกระซิบอะไรบางอย่างจากมีน  ตาของมันลุกวาวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นตาร้ายดูเจ้าเล่ห์เหมือนที่มีนและบอสเป็นก่อนหน้า  จากนั้นก็พุ่งเป้ามาที่ผมอีกครั้ง

“ต่อไป... คือคำแนะนำจากพวกกูนะหมอ”

.
.
.
.
.


“กูไม่ไหวแล้วบอส  มันชวนกูมาดูนั่งแล้วเป็นหนังรัก  แถมซื้อตั๋วที่นั่งแบบเก้าอี้โซฟาอีก”

“เฮ้ย แล้วนี่มึงเผลอไปทำอะไรหรือยัง”

“ยัง  กูอ้างว่ามาห้องน้ำ”  ซึ่งผมก็มาห้องน้ำจริง  ยืนดูเงาตัวเองในกระจก  ทำไมช่างดูลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนี้  “กูกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่อยู่  กลัวจะทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้  มันดูใจดีกับกูมากเหลือเกิน”

เสียงอืมในลำคอของบอสดังไปอีกหลายนาที  ผมเดินออกมาหน้าห้องน้ำ  เดินเรื่อยจนถึงประตูเข้าโรงหนัง  ชั่งใจว่าควรเข้าไปนั่งดูหนังต่อดีมั้ย   ว่ากันตามตรงผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลย  ใจผมสั่นตลอดเพราะมืออันอบอุ่นของทัพกอบกุมอยู่

“ตาม อยู่มั้ย”

“เออ”

ผมตอบไปด้วยอารามตกใจ 

“ว่าไง”

“เป็นไปได้สองประเด็นนะ  ที่ทัพมันทำแบบนี้  ประเด็นแรกคือ  มันยังรู้สึกผิดเรื่องที่มึงได้รับบาดเจ็บเพราะมัน”  ถ้าเป็นแบบนั้น  ก็แค่ความเวทนาสงสารที่ผูกมัดเราอยู่สินะ  ทำไมชีวิตกูน่าสมเพชขนาดนี้วะ  “แต่อีกประเด็นก็คือ...”

ทิ้งช่วงนานมาก จนผมอยากด่า  ติดว่ายังต้องพึ่งมันนะสิ  เลยได้แต่มีขันติข่มใจรอฟัง

“บอส พูดมาเหอะ  กูไม่ได้จะไปชิงโนเบล”

“กูไม่อยากฟันธง  มึงต้องไม่เหลิงนะ”

“อืม ๆ”

“เป็นไปได้ว่า  มันสัมผัสความเปลี่ยนไปในตัวมึงได้  เลยพยายามทำทุกวิถีทางให้มึงกลับมา”

แบบนั้นก็ดีสิวะ

“อย่าเพิ่งเหลิง”

คำพูดของบอส  ทำให้ใจที่กำลังกระชุ่มกระชวยของผมแห้งดับทันควัน

“ไม่ได้แปลว่า  แผนเราได้ผล  ไม่ได้แปลว่า มันรักมึงแล้ว   มึงฟังกูนะ   เด็กเล่นของเล่นหนึ่งมานานจนไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าที่เคยมี   วันหนึ่งถูกผู้ใหญ่เอาไป  ก็โวยวายอยากได้ของคืนอยู่หลายวัน  พอถึงวันที่สามที่สี่  ก็อาจลืม แล้วไปสนใจของเล่นชิ้นใหม่ก็ได้   ไม่มีอะไรการันตีว่าเด็กคนนั้นจะรักของเล่นชิ้นเก่านี่”

คำอนุมานของมันเล่นเอาซะผมสะอึก  ขาเป๋  ไปต่อไม่ถูกเลย

“มึงไม่ต้องกลับเข้าโรงหนังแล้ว  กลับระยองเลย  กลับไปเลย  ยังไงซะจันทร์นี้ ทัพก็ต้องไปทำงานที่นั้นอยู่แล้ว”

“แต่...”  ผมกำลังจะทิ้งทัพไว้เหรอ  “ทัพ....”

“ไม่มีแต่  ทิ้งไปเลย   วัดใจกันไปเลย   กูเชื่อว่าตอนนี้มันกลัวเสียมึงไปแน่นอน   แต่ในฐานะไหนกูไม่รู้นะ  เชื่อกูมั้ย ว่ามันไม่โทรมาด่ามึงแน่”

“จะดีเหรอวะ”

“ดี”

“......”

“ไป”

แม้ใจผมจะคัดค้านแค่ไหน  ทว่าสุดท้ายร่างกายของผมก็พาผมเดินยาวมาจนถึงลานจอดรถ   ผมทิ้งตัวเองลงบนบคนขับที่ครั้งหนึ่งทัพเคยจับพวงมาลัยนี้ไว้ด้วยความตื่นกลัว    รอจังหวะเวลาที่หนังจบ  แล้วผมก็ส่งข้อความไป

กูขอโทษนะ  มีงานด่วน  ขอกลับระยองก่อน


-------------------------------------------------------------


ปริ๊นซ์

หลังจากเช้าวันนั้นที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้าของห้องได้จากไปแล้ว  มีเพียงที่ว่างข้างตัวที่ตอกย้ำกระหน่ำในใจของผมว่า  ผมทำทุกอย่างพลาด

แทนที่ผมจะใจเย็นแล้วอธิบายทุกเหตุผลให้ทัพฟัง  ผมกลับปล่อยให้อารมณ์มันนำหน้าตรรกะต่าง ๆ แล้วย่ำยีทั้งร่างกายและจิตใจของคนที่รักผมและผมรัก   แก้วที่ร้าวไม่มีทางที่จะประสานสนิทดังเดิม  ความสัมพันธ์ของผมกับทัพก็เช่นกัน

“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ไม่แปลกใจนักหรอก  ที่จะเป็นเช่นนั้น   การปิดโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งแรกที่ใครก็มักจะกระทำกันเมื่อเจอเรื่องที่กระทบจิตใจอย่างหนักหน่วง   มือผมสั่น  สั่นจนปล่อยให้อุปกรณ์สื่อสารที่มีตราแอปเปิลแหว่งด้านหลังตกลงพื้น   แต่ตอนนี้ผมไม่สนหรอก   ผมสนแต่เพียงว่าผมจะทำเช่นไรต่อไปดี

ทุกวินาทีหลังจากนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน   

ผมทุกรุมประณามจากเพื่อนทัพทุกคน  ทั้งบอส  ทั้งพี  และยังโดนไอ้หมอบ้าโทรมาขู่สารพัด   สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนิ่งฟัง  พูดแต่คำว่าครับ ตลอดเวลาหลายวัน

ถ้าพูดถึงแก๊งค์เพื่อนผมทั้งสามคนนะเหรอ  ด่าผมหนักเสียยิ่งกว่าเพื่อนน้องสามคนก่อนหน้าเสียอีก   เอาซะผมเละไม่มีชิ้นดี   

พอผมรู้ว่าทัพหนีไปอยู่เกาะกูด  ใจผมลอยไปถึงที่นั้นเรียบร้อย   เตรียมลางานทุกอย่างแล้วพุ่งตรงไปเกาะกูดให้เร็วที่สุด  แต่ก็ถูกเบรกสนิทด้วยฝีมือไอ้ปัน

“มึงเลิกคิดเลย  ไม่ต้องกลับตราด  มึงคิดว่ามึงไปแล้วอะไรจะดีขึ้นเหรอ”

“กูอยากเจอน้องอีกสักครั้ง”

“งั้นมึงก็สำนึกสิ่งที่มึงทำไปซะ บอสกำชับกูว่าห้ามให้มึงเจอหน้าทัพเด็ดขาด” 

เสียงปันที่หนักแน่น  เล่นเอาผมหงอไม่กล้าเถียง  แม้ว่าในใจก็อยากจะถามว่าทำไมมึงถึงดูเกรงกลัวน้องบอสเป็นพิเศษ   สุดท้ายมันก็ดังได้แค่เพียงในห้วงความคิดของผม  เพราะผมไม่เคยกล้าเปล่งเสียงเอ่ยถามออกไป

แต่ละวันของผมจึงทำได้แค่เพียงกลับมานอนที่ห้องนี้  ทำความสะอาดห้อง  ทำอาหารรอคอยการกลับมาของทัพ  และเป็นเช้าธรรมดาอีกวันที่ผมนำอาหารตอนเย็นที่ทำเผื่อสำหรับทัพไว้มากิน  แล้วทำอาหารมื้อเช้า  แช่ใส่ตู้เย็น  พร้อมติดโพสท์อิทว่า 

“กินด้วยนะ”

ลงท้ายด้วยวันที่

โพสท์อิทหลายแผ่นถูกโยนทิ้งไว้ในถังขยะ

นี่ก็เป็นเวลาหลายวันแล้ว  มันวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  สุดท้ายอาหารมื้อเช้าก็คงกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของผม  เพราะเจ้าของห้องไม่เคยกลับมากิน

โทรศัพท์แผดเสียงลั่นดัง  เป็นปันอีกครั้ง  ช่วงนี้เราติดต่อมากเป็นพิเศษเพื่ออัพเดตเรื่องราวต่าง ๆ ของทัพ  ผ่านการบอกเล่าของน้องบอสอีกที

“ว่าไงมึง  ไอ้น้องหมอคนนั้นมันทำอะไรทัพหรือเปล่า”

ข่าวล่าสุดที่ผมทราบก็คือ  หมอตาม ที่ไล่จีบทัพมาตลอด  เดินทางถึงเกาะกูดเป็นที่เรียบร้อย  มันคงทำคะแนนนำหน้าผมไปไกลแล้วล่ะ  ไม่สิ  ผมเองนี่แหละที่ทำร้ายตัวเอง  หักคะแนนตัวเองจนน่าจะติดลบเป็นที่เรียบร้อย

“เหี้ย ปริ๊นซ์  มึงเปิดทีวีสิ  เปิดทีวี...”

ผมไม่เข้าใจอะไรนัก  แต่ก็ทำตามที่มันสั่ง   เสียงพิธีกรหญิงในรายการข่าวดังเจื้อยแจ้ว  โดยมีพิธีกรชายอีกคนคอยเสริม

“นั้นสิคะ  ช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก”

“ครับ  และจากการลอบทำร้ายในครั้งนี้  นอกจากร้อยตำรวจตรีวิพงษ์  ที่เสียชีวิตแล้ว  ก็ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกสองคนนะครับ”

“ค่ะ ก็คือ คุณ ท. นามสมมตินะคะ  ที่เคยถูกแทงจากคนร้ายคนเดิม เมื่อหลายเดือนก่อน ถ้ายังจำคดีบุกบ้านข้าราชการกระทรวงทรัพยากรฯ กันได้นะคะ  และอีกคนคือ  คุณ ต. นามสมมติ เช่นกันค่ะ  รายนี้บาดเจ็บสาหัส เหยี่ยวข่าวรายงานว่า ยังไม่ฟื้นเลยนะคะ คุณวิชิต”

“น่ากลัวจริง ๆ นะครับ คุณโสภา  ผมละกังวลใจ  ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของเกาะกูดได้  ...”

ผมช็อคอีกครั้ง   

“มึง ยังอยู่ใช่มั้ย  ไอ้ปริ๊นซ์”

เสียงปันเหมือนลอยจากที่ห่างไกลสักที่   หรืออันที่จริง  ผมต่างหากที่หลุดลอยไปไกลแสนไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ

“กูจะกลับตราด”

“เหี้ย ไม่ได้  บอสสั่งกูไว้”

“กูไม่สน”

ผมตะคอกใส่โทรศัพท์

“กูจะไปหาทัพ”

“เออ ไปก็ไป ไป  ตอนบ่ายได้มั้ย  กูขอเคลียร์งานก่อน”

ผมไม่ตอบอะไร  แต่ก็ไม่ค้านอะไร  ซึ่งปันก็รับรู้ได้ว่า  ผมตกลง  มันวางหูไป    ผมล้มตัวลงนั่งบนโซฟาของทัพ  ชั่งใจถึงความเป็นไปได้ที่เราจะมีโอกาสได้กลับไปรักกันอีก  สิ่งเดียวที่ผมนึกออกก็คือ  ผมต้องพูดความจริง   ต้องพูดความจริงทั้งหมดลงไป

ดังนั้นผมจึงเริ่มเล่าความจริงทั้งหมด  จรดปากกาลงกระดาษ  ถักทอเรื่องราวทั้งหมดลงไป


-------------------------------------------------------------


ทัพ

ผมตัดสินใจอะไรลงไปกันเนี่ย 

แค่จดหมายเพียงฉบับเดียว  เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้   ผมอาจถูกพี่ปริ๊นซ์หลอกอีกครั้งก็ได้

“แต่ทำไมมีเพียงแค่ความจริงใจเท่านั้นล่ะ ที่ผมสัมผัสได้”

จดหมายยาวหนึ่งหน้าเอสี่ยับยู่ในมือของผมที่สั่นเทาด้วยความหวั่นไหว  เสียงสั่นเครือร่ำไห้เพิ่งสงบผ่านพ้นไป  อีกไม่กี่ชั่วโมงตามเวลาที่พี่ปริ๊นซ์บอก  ผมก็จะได้เจอเขา  คนที่ผมหลีกหนีมาตลอดหลายสัปดาห์

เสื้อตัวใหญ่ไซส์ XXL สีฟ้าสว่าง  วางแผ่อยู่บนเตียงนอน   ผมที่นั่งอยู่ปลายเตียงเหลียวหลังหันไปมองเสื้อตัวนั้นด้วยความรู้สึกสับสนระหว่างความตื้นตันใจและทุกข์ระทมใจ  จนยากที่จะบอกได้ว่า  ความรู้สึกใดมีอิทธิพลเหนือกว่า

ทัพจำได้ใช่มั้ย ว่าพี่ชอบสีฟ้า  และพี่ก็จำได้ด้วยว่าทัพก็ชอบสีฟ้า เช่นกัน   ...

ข้อความหนึ่งจากจดหมายที่ถูกทิ้งลอยตกลงที่พื้น  พร้อมกับเสียงออดอันเป็นสัญญาณบอกว่ามีผู้มาเยือนดังขึ้น

ร่างกายทั้งหมดถูกดีดขึ้นมาราวกับโดนจี้จุดสำคัญ   เหงื่อกาฬแตกพล่าน  ความหนาวเย็นเคลื่อนมาครอบครองร่างกาย   ร่างสันทัดยังยืนค้างอยู่ที่เดิม  จวบจนเสียงสัญญาณดังเตือนเป็นคำรบที่สอง  จึงเกิดการเคลื่อนไหวขึ้น

ประตูเปิดออก  พร้อมกับบุคคลที่ยืนรออยู่ด้านหน้า...


-------------------------------------------------------------


ตาม

เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวาน  เวลาตีสี่ครึ่ง  คือ  เวลาที่ผมตื่นเป็นประจำ

บิดขี้เกียจ แล้วบังคับให้ร่างกายอันเหนื่อยล้าเหยียดยาวลุกจากเตียง  ความงัวเงียยังไม่สร่างซาหายไป  แต่การทำงานกำลังเริ่มขึ้นแล้ว

ชีวิตผมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง 

หยกจากไปแล้ว...

หลังจากที่ทัพขับรถผมอย่างทุลักทุเลเพื่อพาผมจนถึงบ้านพัก   ในตอนเย็นผมก็ได้ทราบว่า  หยกมีอาการหวาดกลัว จิตตก  และเกือบผ่าตัดผิดพลาด  ทางโรงพยาบาลจึงได้ส่งหยกไปวินิจฉัยอาการที่กรุงเทพฯ และพบว่าหยกมีอการโรคซึมเศร้าผสมกับโรคบุคลิกภาพแปรปรวน  และหมอได้แนะนำให้หยกหยุดพักรักษาตัวให้หายขาดก่อนที่จะกลับไปดำเนินอาชีพแพทย์ต่อ

ผมได้ปรึกษากับหมอเจ้าของไข้ของหยกแล้ว  เราต่างลงความเห็นว่า  ผมอาจเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้หยกมีอาการหนักขึ้น  ดังนั้นการขาดการติดต่อไปเลยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ดังเช่นที่บอสว่าไว้  ทัพไม่ได้ติดใจโทรมาหาผมแต่อย่างใด  หรือถึงทัพจะติดใจ  มันก็ไม่มีทางจะโทรหาผมในช่วงเวลานี้แน่ ๆ

“แสดงว่า  มันกลัวมึงสินะตาม”

เสียงของพีดังขึ้น  เรากำลังประชุมสายกันสี่คน

“เอาตรง ๆ เลย กูรู้สึกไม่ดีที่กำลังแกล้งเพื่อนกู  แต่ก็มาขนาดนี้แล้ว  ถ้ามึงยังจีบมันไม่ติดนะไอ้หมอ  กูจะพาทัพไปบวช”

เสียงหัวเราะของเราสามคนดังพร้อมกัน

“แต่ว่า  กูสงสารมันหวะ”  เสียงเคร่งเครียดอันผิดปกติของพี  ดึงความเงียบให้ปกคลุมทันใด  “มึงจำวันที่มันพามึงกลับระยองได้มั้ย  มานอนห้องกู  บ่นทั้งคืน  ดูมันซึม  มันคงช็อคที่มึงเปลี่ยนไป   แล้วดูมันก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไรอยู่  รวมทั้งไม่เข้าใจมึงด้วย”

“แต่ว่า  กูมั่นใจว่า  ทัพยังไม่ได้รู้สึกชอบมึง”  เสียงของพีดังต่อ  “อาจเพราะว่ารู้สึกแย่ที่ทำให้มึงบาดเจ็บ  แล้วก็กลัวว่ามึงอาจจะกำลังโกรธมันย้อนหลัง  แบบเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโกรธ   หรืออาจเคยชินกับพฤติกรรมเดิม ๆ ของมึง ที่ถึงปากมันจะบ่นว่าไม่ชอบ  แต่กูว่ามันก็เคยชิน”

“แสดงว่า พวกเราถือไพ่เหนือกว่านะ”

เสียงบอสดังขานรับ  หลังจากพีเล่าเรื่องดังกล่าวเสร็จ

“แล้วทำไมมึงเพิ่งเล่าวะพี” 

ผมถามกลับด้วยความรู้สึกผิดที่กำลังหลอกลวงคนที่ผมรัก

“ก็กูเพิ่งนึกได้นี่หว่า”

“เราขอพูดอะไรหน่อยสิ”

“พูดมามีน”

บอสผู้เกรี้ยวกราดกระแทกเสียงตอบในทันที

“เราสร้างกรุ๊ปไลน์อะไรแบบนี้มั้ย  มาประชุมสายกันแบบนี้แล้วเรางงมากเลย  ไม่รู้จะฟังใครก่อนดี”

และนั่นก็เป็นที่มาของไลน์กรุ๊ปที่ผมกำลังไล่อ่าน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกมันพ่นกันเอาไว้

“ทำกันไปได้พวกมึงสามคน  คืนเดียว ร้อยกว่าข้อความ”

ผมกำลังเดินจากบ้านพักเพื่อเข้าไปโรงพยาบาล  มือก็เลื่อนอ่านข้อความต่าง ๆ ไปด้วย  สารพันวิธีการที่มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง สำหรับแผนจัดการทัพ  จนผมมาสะดุดที่รูปถ่ายของใครสักคนที่ผมคุ้นตา

มันคือรูปของทัพกับพี่ปริ๊นซ์ที่กำลังหัวเราะกันอยู่หน้าร้านอาหาร  ตามด้วยรูปของสองคนนั้นกำลังจับมือเดินอยู่หน้าบอร์ดแสดงรายชื่อหนัง

“นี่มันคืออะไรวะพี  มึงไปถ่ายรูปมาได้ยังไง”

“หา ใครอะ อะไรนะ”

พีรับสายแทบจะในทันทีที่ผมโทรหา  เสียงงัวเงียของมันบ่งชัดว่าเพื่อนของผมยังทิ้งร่างจมอยู่บนเตียงนอน

“มึงตื่นสิ กูถามว่ารูปนะ”

“อ้าว เฮ้ย ตาม  เห็นรูปแล้วเหรอวะ”   เสียงงัวเงียจางหายไป   “คือแบบนี้  เมื่อวานกูไปกินข้าวกับหลินที่เซนทรัลตามปกติ  แล้วก็เห็นเลยหวะ  เห็นแม่งเดินกะหนุงกะหนิงจับมือกันมา  กูแทบจะเข้าไปต่อยหน้าไอ้ทัพแล้ว  อยากจะเอาเลือดปลุกสติมันซะหน่อย   ว่าไอ้ที่มันเจ็บแทบตาย  ต้องหนีไปพักใจถึงเกาะกูด  มันไม่มีค่าเลยเหรอวะ แม่งเอ๊ย....”

มือกำโทรศัพท์แน่นด้วยความเคียดแค้น  ไม่สิ ความโกรธที่ทัพไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง   ผมอยากอยู่ในเหตุการณ์  เพราะถ้าผมอยู่   สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือ  ชกหน้าไอ้ปริ๊นซ์  จากนั้นค่อยกระชากคอไอ้ทัพมาถามว่า  นี่มันเรื่องบ้าอะไร

แต่ในความเป็นจริง  สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ  ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากเพื่อนซี้

“มึงก็ใจเย็นก่อนนะ  เราลองทำตามแผนไปก่อน  กูคุยกันสามคนแล้วว่า  จะแกล้งให้ไอ้มีนเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเรื่องนี้  มึงเบาใจได้”

ฝนเริ่มปรอยตกแล้ว  เป็นธรรมดาของจังหวัดระยองที่จะมีฝนตกในช่วงนี้ทั้งที่ใกล้สิ้นปีแล้ว   หมอ พยาบาล และบุคคลาการของโรงพยาบาล รวมถึงคนไข้และญาติ  ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปหลบฝน

ต่างจากแพทย์หนุ่มอย่างผม  ที่ยืนกุมโทรศัพท์ปล่อยให้หยาดฝนพรำเปียกสรรพางค์กาย

เบาใจเหรอ...

หรือจริง ๆ แล้ว  สิ่งที่ผมควรถามอย่างแท้จริงก็คือ 

ตัดใจ


-------------------------------------------------------------

(ต่อด้านล่าง)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากด้านบน)

ทัพ

วันจันทร์ เป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับชีวิตผม   

ผมชอบวันศุกร์เพราะผมเกิดวันศุกร์  อีกทั้งวันศุกร์ยังเป็นสุดสัปดาห์ที่มีแต่ความสุข  ทุกคนได้พักผ่อน  ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง  ได้กลับมานอนพักผ่อน  จะทำอะไรดึกดื่นแค่ไหนก็ได้  เพราะวันพรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน

ตามปกติแล้วนั้น  รถตู้บริษัทต้องกำลังพาผมไปส่งโรงงานที่ระยอง 

ทว่าวันนี้ผมเลือกที่จะใช้รถโดยสารส่วนตัวพาผมมาส่ง 

สารถีสุดหล่อของผมกำลังขับรถไปพลางและฮัมเพลงไปพลาง   เสียงเขาอาจไม่ดีเหมือนกับเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง   และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ดีเลิศไปทุกด้าน   แต่เขาก็คือ  รักแรกอันแสนนิรันดร์ของผมเสมอ

พี่ปริ๊นซ์หันมายิ้มให้ผม

“ไง ง่วงหรือเปล่า”  ผมส่ายหัวอย่างว่าง่าย  “อยากกินอะไรก่อนถึงโรงงานมั้ย  เวลายังเหลือนะ”

เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกส่ายหัว  ยิ้มตอบให้กับรอยยิ้มอันอบอุ่นของพี่ปริ๊นซ์   แววตาอันสดใสมองปราดที่ผมอย่างทะนุถนอมก่อนจะพุ่งตรงไปยังถนนเบื้องหน้า  ความเร็วแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงที่พารถคันงามโฉบไปบนผิวถนน  ฝนเริ่มปรอยตกสาดซัดกลับมาที่กระจกหน้ารถ  แผงปัดน้ำฝนทำงานอัตโนมัติ  มีเสียงกระทบกลับไปมาเป็นจังหวะประกอบกับอากาศที่เริ่มเย็นขึ้น  ยิ่งขับกล่อมให้ผมเริ่มง่วงนอน

“งีบสักหน่อยมั้ยละอ้วน” 

หลังจากสิ้นเสียงหาวของผมในรอบที่ 3  สารถีของผมก็แนะนำพร้อมกับเสียหัวเราะ

“ผมไม่อ้วนแล้วซะหน่อย”

“เหรอ... พี่ว่าอ้วนขึ้นมานิดหนึ่งนะ”

น้ำเสียงพินิจพิเคราะห์แม้ปราศจากการสังเกตด้วยสายตาเร่งเร้าให้ผมรู้สึกโมโห

“เชอะ  เพราะใครล่ะ...”

งอน สะบัด  หันหน้ามองไปข้างนอก  ไม่มองแล้วไอ้คนขับเนี่ย

“โอ้ ๆ พี่ขอโทษ  นี่ไง พี่ก็ยอมทุกอย่างแล้ว”

รถแล่นต่อไป  และกำลังเลี้ยวเข้าเขตนิคมอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่   ฟ้าร่ำไห้หนักกว่าเดิมจนราวกับว่าบัดนี้เป็นเวลาหัวค่ำมากกว่าจะเป็นเวลารุ่งเช้าก่อนเคารพธงชาติ

“พี่ปริ๊นซ์”

“ครับ”

โรงงานของผมตั้งเด่นอยู่ด้านหน้า  อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงสถานที่ทำงานของผมแล้ว

“พวกเราตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยพี่”

“ครับ เชื่อพี่เถอะ”

เสียงมั่นใจยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้ว่า  ผมเดินมาถูกทางแล้ว


-------------------------------------------------------------


ตาม

สมาธิเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการเป็นแพทย์  แต่สำหรับนายแพทย์ฐาพลในวันนี้  เขาควรจะตามหาสมาธิเป็นอย่างแรง

ใช่แล้ว  ผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย

อยากจะเดินออกไปตะโกนให้ดังลั่นว่า

“ทำไมฟ้าต้องกลั่นแกล้งกูแบบนี้ด้วยวะ”

อุตส่าห์วางแผนเสียอย่างดิบดี  ทำหน้าปั้นปึ่งบึ้งตึงใส่ทัพมาหลายวัน  ต้องเสแสร้งเย็นชา  ทั้งที่ใจจริงอยากพูดกวนประสาทใส่มันทุกประโยคที่มันเอ่ย   อยากจะแซวมัน  หยอดคำหวานแบบที่เคย   บาดแผลถึงแม้จะสมานได้อย่างรวดเร็ว  แต่ผมก็อยากจะแกล้งเจ็บปวดเพื่อออดอ้อนคนที่ผมรักเช่นกัน

ใช่สิ...

ทัพเป็นแค่คนที่รัก  ไม่เคยรักผมนี่นา

“ครับ  กินยาตามหมอสั่งนะครับ  แล้วก็อย่าทานน้ำเย็น”

ผมยกมือรับไหว้คนไข้   ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มเพื่อสอบถามอาการคนไข้รายถัดไปที่เดินเข้ามาในห้อง   

“ครับ  อาการเป็นเช่นไรบ้างครับ...?”

แล้วคนไข้ก็เริ่มเล่าอาการต่าง ๆ  ชีวิตทั้งวันของผมวนเวียนน่าเบื่ออยู่เช่นนั้น   ฝนก็ตกกระหน่ำอยู่ด้านนอก  กลิ่นของความชื้นแฉะกระจายทั่วในบรรยากาศ   ตอกย้ำความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าของผมให้เจ็บหนักกว่าเดิม

“คุณบีครับ”  ผมคุยกับพยาบาลเวร  “ผมขอพักสักสิบห้านาทีนะครับ”

“ได้ค่ะหมอ  หมอพักเถอะค่ะ  นี่ก็จะบ่ายโมงแล้ว  หมอไปทานข้าวก่อนเถอะค่ะ”

แท้จริงแล้วเจตนาของผมไม่ใช่เพื่อมากินข้าวแต่อย่างใด  แต่เป็นการโทรศัพท์   ลังเลใจอยู่หลายนาทีว่าจะโทรดีมั้ย 

“เอาวะ”

กลั้นใจ  กดโทรออกไปแล้ว  เสียงสัญญาณดังได้เพียงครั้งเดียว  ผมก็กดตัดทันที

“ทำไมเป็นแบบนี้วะกู  เฮ้ย... เหี้ย”


เสียงท้ายเกิดขึ้นเพราะตกใจในเสียงแผดร้องของโลหะในอุ้งมือ  เบอร์จากคนที่เพิ่งโทรไปกำลังฉายชัดพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทำให้ใจผมสั่นรัวไม่เป็นจังหวะ

“มีอะไรหรือเปล่าตาม...?”

อีกฝ่ายยิงคำถามมาทันที่ที่ผมกดรับ

“เออ ... คือ”

“คือ...?”

เสียงอีกฝ่ายดูสบาย ไม่เร่งรีบ

“คือ.....”

“มึงกินข้าวหรือยัง?”

เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี  ที่ทัพถามผมก่อน

“ยัง  เพิ่งตรวจคนไข้เสร็จ”

“งั้นก็ไปกิน” นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่า  “แผลหายดีแล้วใช่มั้ย   รักษาสุขภาพด้วย  กูทำงานก่อนนะ”

แล้วมันก็วางหูไปโดยไม่ฟังคำล่ำลา   ผมยืนมองสายฝนพรำอย่างเหงางอย  ก่อนจะตัดสินใจโทรหาอีกสาย

“บอส  ว่างคุยมั้ย”

“อืม  ได้อยู่  มีตรวจอีกทีบ่ายโมงสิบห้า”

“กูว่า  แผนที่เราทำมันไม่ได้ผล  กูสับสนไปหมดแล้ว  เดาทางทัพไม่ถูกเลยว่ามันต้องการอะไร”

“ยังไงวะ?”

“เมื่อกี้  คุยกับมัน”    หรือผมควรเล่าเหตุการณ์ให้ตรงตามจริง  “คือที่จริง  กูจะโทรไป  แต่แค่ดังติ๊ดเดียว กูก็วางหูเลย  ไม่กล้าคุย  ไม่รู้จะคุยอะไรด้วยแหละ   แค่ไม่กี่วิหลังจากนั้น  ทัพก็โทรกลับ   ก็ยังเย็นชาใส่กูเหมือนเดิม  ไม่ได้ทำท่าเอาอกเอาใจกูเหมือนเมื่อวันเสาร์”

“ก็มองได้หลายแง่นะ  แล้วยังไงต่อ”

“หลายแง่ยังไงวะ”

“ลองเล่ามาก่อน”

“กูก็ไม่รู้จะคุยอะไร ก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วมันก็บอกว่า  ให้กินข้าวด้วย  แผลหายหรือยัง รักษาสุขภาพ  แล้วก็วางหูไป”

“หืมมม  คนอย่างไอ้ทัพเนี่ยนะจะพูดคำแบบนี้”  เราเงียบใส่กัน  “แปลกนะ กูว่า”

“ใช่มั้ย  กูก็ว่าแปลก”

“อย่างที่กูบอก  มองได้หลายแง่  เป็นไปได้ว่ายังรู้สึกผิดเรื่องที่ทำมึงบาดเจ็บอยู่  แต่ความรู้สึกเดิม ๆ ที่เฉยชามึงก็เริ่มกลับมาแล้ว    ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น  เป็นไปได้ว่าเย็นนี้   ทัพมันอาจชวนมึงไปกินข้าว”

ผมเงียบคิดตามหมอฟัน เพื่อนสนิทของทัพกรณ์

“ส่วนอีกประการก็คือ  มันอาจเห็นความแปลกเฉยชาของมึง  แล้วก็ทำใจได้แล้ว   เลยอาจจะย้อนกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงเหมือนตอนแรก  อารมณ์เริ่มต้นใหม่ในฐานะเพื่อนกระมัง”

“ไม่เอาดิ  แบบนี้ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่กูคาดหวังสิ”

ไม่มีทาง  สิ่งที่ผมคาดหวังก็คือ  ทัพต้องเห็นค่าของผม  แล้วออกไล่ตามผม  เหมือนที่ตลอดเวลาผมไล่ตามทัพมาตลอด   

ผมยอมหลอกทัพ ทั้งที่เป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ผมอยากจะกระทำ  เพราะว่ามันคือโอกาสสุดท้ายของผมแล้ว  หลังจากนี้ไป  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น   ม้าจะเป็นคนกุมชีวิตผมแล้ว

“ใจเย็นก่อนมึง  นี่ยังไม่ถึงเดือน  มึงไล่จีบทัพมาตั้งกี่ปี  ทนหน่อยไม่ได้เหรอวะ”

แต่กูเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้วต่างหากเว้ย 

“อืม”  ถอนหายใจด้วยความอ่อนโรยและหมดหวัง  “รอดูแล้วกัน”

“อย่าเพิ่งหมดหวัง   กูจะลองลงมือทางฝั่งกูบ้างแล้ว  โชคดี...”

แล้วบอสก็วางหูไปโดยไม่ล่ำลา  ไม่ต่างอะไรจากเพื่อนสนิทมันสักนิด

ผมทำงานครึ่งบ่ายอย่างหมดแรง  หอบร่างอันไร้พลังงานเดินออกมา   หมายไปหาของกินที่ตลาดนัดใกล้ ๆ โรงพยาบาล   คอที่ห้อยตกทำให้ผมไม่เห็นผู้คนรอบข้าง   ด้วยอาการหมดอาลัยตายอยากดังกล่าว  ทำให้ผมเดินไปประจันหน้ากับคนคนหนึ่งที่ขวางทางผมอยู่

“ขอโทษด้วยครับ”

ผมตอบอย่างอ่อนแรง  ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง

“ไม่ทักกันหน่อยเหรอ”

ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง

“ว่าไงหมอ  สบายดีมั้ย”

ผู้ที่สูงกว่าผมเล็กน้อย  กำลังยิ้มโปรยเสน่ห์  มือโบกทักทายอย่างไว้ที   เรียกเสียงกระซิบกระซาบชื่นชมในหน้าตาได้จากทั้งพยาบาลสาวและคนไข้ที่ผ่านไปมา

“ไปกินข้าวเย็นกัน  ทัพสั่งมาว่าหัวเด็ดตีนขาด  ก็ต้องลากหมอไปด้วยให้ได้   หมออย่าดื้อเลยนะ”

พี่ปริ๊นซ์ยิ้มให้ผม  ที่กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก 

นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย...?


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 27
อีกไม่กี่บท  นิยายเรื่องแรกของผม ก็จะจบแล้วครับ

ดังนั้นในช่วงโค้งสุดท้าย รูปแบบการเขียนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะครับ 

กล่าวคือ  จะไม่มีพาร์ทอดีตก่อน  แล้วตามด้วยพาร์ทปัจจุบัน 

แต่จะเป็นการถ่ายทอดผ่านมุมมองของตัวละครนะครับ



ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ กำลังใจ  และติชม ของทุกท่านฮะ

 :katai4:


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อะไรอย่างไรหนอ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


จะเอายังไงดีน้าาา

รักแรกอันแสนนิรันดร์กับพี่ปริ๊นซ์

หรือรักทรหดที่ซื่อสัตย์อย่างเพื่อนตาม

ทางไหนดี ทางไหนดี


 :serius2:  :a5:  :serius2:  :a5:  :serius2:  :a5:  :serius2:  :a5:


…………

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอ๋ อะไรหว่า งง

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
คือตอนนี้ปริ๊นซ์จะอะไรยังไง แล้วจะมาเอาตัวหมอตามไปให้ทัพทำไม จะเคลียร์กันเหรอ?รอลุ้นจ้า

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 28
แผนก็ต้องซ้อนแผนสิ



สัมผัสกอดรัดที่โอบอุ้มให้ฉันต้องนอนอยู่บนเตียงอันเย็นเยียบ  ผ้าห่มที่กองอยู่ตรงปลายเท้าไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ขึ้นมาห่อหุ้มได้ด้วยตัวมันเอง   ความมืดมิดแห่งรัตติกาลยิ่งย้ำซ้ำถึงความเหงาที่กระจายสะท้านไปทั่วสถานที่แห่งนี้   เสียงกรีดร้องที่ดังเป็นระยะสลับกับเสียงร่ำไห้ที่อาจกินเวลายาวนานไปอีกหลายชั่วโมง

“ฉันทำอะไรอยู่....?”

เสียงในใจกังวานขึ้น แล้วสะท้อนกลับไปกลับมาจนหรี่เงียบหายไป

“ฉันคือคนที่เก่ง  คนที่มีความสามารถ”

ความคิดกลับมาทำงานอีกครั้ง   ในห้องพักดุจคุกมีเพียงเสียงหัวใจเต้นของฉันเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน  เป็นเวลาเนิ่นนานราวกับชั่วกัลปาวสานที่ถูกจองจำอยู่ในที่แห่งนี้   แม้ความเป็นจริงจะกินเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็ตาม 

ร่างสะท้านของหญิงสาวคนดังกล่าว  นอนอย่างน่าสังเวช  ตัวของเธอสั่นสะท้าน  ดวงตาที่ลุกวาวมองหมายไปยังประตูทางออก   ยาคลายความเครียดที่เธอได้รับกำลังหมดฤทธิ์ในไม่ช้า  เรี่ยวแรงอันเหือดแห้งก็หวนกลับมาบริบูรณ์ 

เท้าอันสั่นเทาของเธอสัมผัสกับความหนาวเย็นของพื้นด้านล่าง  แต่การถูกติดตรึงบนเตียงนอนเป็นเวลาหลายวันอันเป็นผลจากการอาละวาดทำลายข้าวของ  ทำให้ขาของเธอไม่สามารถรับน้ำหนักกายได้ทันที  เธอจึงกองตัวนอนลงที่พื้น

รวบรวมพละกำลัง  ผลักตัวเองให้ลุกขึ้นยืน   มือสัมผัสลูกบิดประตูที่ไม่ได้ลงกลอนจากด้านนอกเหมือนเช่นทุกคืน  ทางเดินยาวมีไฟเพียงสลัว   หญิงสาวเอาส่วนหลังแนบชิดติดผนังและพยายามย่างก้าวให้แผ่วเบาแต่รวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

“คนไข้ห้อง 423 อาละวาดทีฉันละเหนื่อย”

เสียงคนคุยกันดังแว่วไม่ไกล  พร้อมกับฝีเท้าก้าวฉับที่ดังคมสะท้านไปทั้งบริเวณ

“นั้นสิ  ต้องบอกคุณหมอให้เพิ่มยาแล้วหล่ะ”

หญิงสาวทำได้เพียงแนบตัวให้ชิดกับผนังมากที่สุด  แต่ก็คงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เป็นแน่  สุดท้ายแล้วเธอก็อาจต้องถูกคุมขังอีกครั้งหนึ่ง   แล้วทันใดนั้นความเย็นเยียบของโลหะที่เป็นวัสดุหลักของลูกบิดประตูก็ปะทะผิวกายของเธอ    เธอตัดสินใจลองบิดประตู   ช่างโชคดีที่ห้องพักแห่งนี้ก็ไม่ได้ล็อค

หน้าแนบชิดติดกับประตูห้อง  หูเอียงสัมผัสรอฟังเสียงจากภายนอก  ในขณะที่หูอีกข้างก็ฟังเสียงละเมอของเจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียง  ตาปิดสนิท  แต่ปากยังพร่ำเพ้อถึงเรื่องต่าง ๆ

“ไม่ ไม่  อย่าฆ่าฉัน  อย่าฆ่าพ่อแม่ฉัน  อย่า  อย่า  ฉันกลัวแล้ว  อย่า....”

เสียงฝีเท้าแผ่วจางหายไป  เป็นสัญญาณแสดงถึงทางสะดวก  เธอจึงคลายลูกบิด  แล้วเดินออกไปจากห้องที่ยังมีสำเนียงสะท้านน่าสงสารของเจ้าห้องละเมอลอยออกมา

“ปริ๊นซ์ ....... ฮือ ๆ  ช่วยเราด้วย...”

หลังจากเดินออกจากห้องหญิงละเมอมาได้ไม่นาน  เธอก็พบรถเข็นทำแผลวางเหงาหลบมุมตรงปลายทางเดิน  มีดเล่มเล็กเล่มหนึ่งสะท้อนแสงเพียงสลัวที่วางสงบนิ่งใกล้กองผ้าทำแผลก็ถูกโอนย้ายมาอยู่ในมือของเธอ

“คุณทำอะไรอยู่นะคะ”

เสียงคนหลายคนวิ่งกรูมาทางเธอ  เธอได้แต่ยืนยิ้มแล้วซ่อนมีดด้ามคมดังกล่าวไว้พร้อมกับยกมือสองข้างอย่างยินยอม   พันธนาการรัดรุมรอบตัวเธออีกครั้ง 

“ฉันต้องออกไปให้ได้...”

ความแน่วแน่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าแม้ร่างกายจะโดนมัดตรึงอยู่บนเตียงในห้องนอนเดิมอีกครั้ง

“รอก่อนนะ ตาม


-------------------------------------------------------------


ตาม


ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่...!!

นอกจากจะยอมให้พี่ปริ๊นซ์พาออกมาข้างนอกอย่างง่ายดายเพื่อไปนั่งมองทั้งทัพและพี่ปริ๊นซ์กินข้าวสวีทหวานแหววบาดใจตัวเองในทุกคำอาหารที่สองคนต่างผลัดกันตักให้กัน   ผมยังยอมที่จะมาเที่ยวสถานอโคจรต่ออีกเหรอ 

“อ้าว หมอ  ไม่เจอกันนาน”

ม่อน... เพื่อนสมัยประถมของทัพยืนรออยู่ที่หน้าผับ   เขายังตัวใหญ่ล่ำ  แขนพองเกินลำตัวอยู่เช่นเคย  ม่อนและทัพต่อยกลับไปมาราวเด็กเล่นเกมส์ต่อยมวยกันเล็กน้อย  แล้วทั้งสองคนก็กอดคอกันเดินเข้าผับไป

“น้องตาม เข้าไปกัน”

ได้แต่เดินตามร่างสูงของเจ้าของเสียงไป  ผ่านการตรวจบัตรประชาชน  ตรวจอาวุธ  แล้วก็มายืนท่ามกลางแสงสีและเสียงเพลง  พร้อมกับเสียงกระซิบพูดคุยของผู้คนมากมาย

“เคยมามั้ยเนี่ย น้องตาม”

“เคยครับ”

จะไม่เคยมาได้อย่างไร  ระยองเป็นจังหวัดเล็ก ๆ  ที่เที่ยวกลางคืนที่พอจะมีคลาสบ้างก็มีเพียงไม่กี่ที่  ผมเคยมาผับนี้กับเพื่อนร่วมงานออกจะบ่อย  ก็รวมถึงหยกด้วยแหละ   แต่หลังจากที่อะไรหลายต่อหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต   สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่แรกที่ผมเลือกที่จะหลีกเลี่ยง

พวกเราสี่คนนั่งบนโต๊ะโซฟามุมร้าน  สั่งเหล้าและกับแกล้มมาเล็กน้อย   บทสนทนาหมดโต๊ะถูกดำเนินจากทัพและม่อนเพียงสองคน  ส่วนผมกับพี่ปริ๊นซ์ได้แต่นั่งเงียบ

ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน

“ว่าไงครับหมอน้องตาม  จะไปมั้ย”

ได้แต่ยืนอึ้งอยู่แค่นั้น  แล้วผมก็พยักหน้าหนึ่งทีเป็นสัญญาณว่า ไปก็ไป  ฝ่ายตรงข้ามยิ้มให้ผมหนึ่งที  พลางผายมือให้ผมเดินตามไปที่รถยนต์คันที่ทัพนั่งกดมือถือรออยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ

มีเพียงสายตาเย็นชาที่มองมา  ไร้คำทักทาย ไร้ภาษากายอื่นใด  ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลังเงียบ ๆ  เหมือนวิญญาณที่ล่องลอย  รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว

“น้องตาม....”  มือใหญ่โบกสะบัดตรงหน้าผม  “พี่ถามว่า  จะกินอะไร?”

เมนูใหญ่ถูกเสือกเข้ามาในอุ้งมือของผม

“กินได้หมดครับ”

“โอเค”  พี่ปริ๊นซ์หันหน้าไปทางพนักงานที่เตรียดจดรายการอาหาร  “ยำสามกรอบนะครับ  ต้มยำกุ้ง  ขอเผ็ด ๆ หน่อยนะครับ   แล้วก็ผัดผักบุ้งไฟแดง  ใส่หมูกรอบด้วยแล้วกันนะครับ   ทัพเอาอะไรอีกมั้ย...?”

มันส่ายหัว  ช่างเป็นมื้ออาหารที่แสนอึดอัด  เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก  เหมือนที่ผมก็ไม่ได้กินอะไรมากนัก  อาหารบนโต๊ะทุกอย่างล้วนแล้วเผ็ดเกินกว่าที่ลิ้นของผมจะรับได้   ราวกับว่าอาหารเซตนี้ถูกสั่งมาสำหรับสองคนตรงหน้า  ไม่ใช่เพื่อผม

“ไม่ค่อยอร่อยเหรอหมอ”

“เปล่าครับ  ผมกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง”

“อ้าว  ไม่บอกก่อนเล่า”   สีหน้าตกใจของอีกฝ่ายเล่นเอาผมแปลกใจ  เขาโบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งไข่เจียวหมูสับเพิ่มให้ผมโดยเฉพาะ  “รอแปบละกันนะครับ”

“ครับ”

“ก็เข้าใจว่ากินได้”

“เมื่อก่อนก็พยายามฝึกกินเผ็ดอยู่แหละครับ”  ผมตั้งใจมองไปที่ทัพ  ซึ่งกำลังบรรจงกินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย  “แต่ตอนนี้ ผมพอแล้ว  พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์   มันถึงเวลาที่ผมจะเป็นตัวของตัวเอง  ไปหาอะไรใหม่ ๆ บ้าง”

“ก็ฟังดูดีนี่  ถ้ามันไม่ใช่ฝืนไปก็ไม่ใช่”

คำตอบไม่ได้มาจากพี่ปริ๊นซ์  แต่มาจากทัพที่ยังตักข้าวใส่ปาก  บอกที่อาหารตรงหน้า  ไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวที่มันจะเงยหน้ามองผม

“พี่ปริ๊นซ์ทานกุ้งครับ  ผมแกะให้แล้ว”  กุ้งตัวเขื่องแกะเปลือกออกอย่างสวยงาม 2-3 ตัว  ถูกวางเรียงตัวสวยบนจานคนข้าง ๆ   แล้วดวงตากลมโตก็จ้องจับคนตรงข้ามอย่างผม  “มึงสั่งต้มจืดเพิ่มมั้ย...?  กินแบบที่ชอบกินนะดีแล้ว  อย่าฝืนอะไรที่เป็นไปไม่ได้   กินเผ็ดไปก็ร้อน  สุดท้ายน้ำตาก็ไหล  ไม่มีประโยชน์หรอก”

“อืม”

เราสองคนจ้องตากันเนิ่นนาน....

นานจนไข่เจียวหมูสับมา

นานจนต้มจืดที่เป็นกับข้าวจานสุดท้ายหมดเกลี้ยงทุกหยดจากฝีมือของผม

จนมาถึงตอนนี้ก็มีเพียงแก้วเหล้าข้างหน้าที่ผมจับจ้องอยู่

“เฮ้ย ทัพ  กูไปหาเพื่อนกูแปบนะ”

ม่อนจากไปพร้อมแก้วเหล้า  เสียงทักทายโหวกเหวกดังอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน  ท่ามกลางเสียงเพลงแดนซ์ที่กระหึ่มไปทั่วบริเวณ 

“สรุปเรียกผมมาทำไม”

“อ้อ”  คนตัวสูงฉายยิ้มออกมา  “เกือบลืมไปเลย  คือ  พี่กับทัพอยากขอบคุณตามนะ  ที่ช่วยดูแลทัพให้ตลอดเวลาที่พี่กับทัพ”

ฝ่ามือสอดประสานกัน นิ้วต่อนิ้ว ที่สอดกุม

“เข้าใจผิดกันนะ   ตอนนี้ทุกอย่างปกติแล้ว  ขอบคุณจริง ๆ”

ไม่มีคำตอบรับใด  ร่างอันเหนื่อยล้าของผมผุดเหยียดขึ้น  หัวตื้อไปหมด  สมองผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว   จิตใต้สำนึกมันมาผมออกมายืนหน้าร้าน  ใกล้กลุ่มคนที่ยืนสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำ   ตาผมแห้งผาก  แม้ว่าผมอยากให้มีน้ำสักหยดหลั่งรินออกมา  ทว่าก็มีแต่ความว่างเปล่าในหัวใจเหมือนกับดินแล้งแห้งผาก

“ว่าไงหมอ”

“ไม่ได้ผลหวะ บอส”

โทรศัพท์มือถือกำแน่น  ความปวดร้าวมือแพร่กระจายไปทั่ว

“เฮ้ย อะไรยังไง  เล่าสิ”

“ที่เราพยายามจะลองใจมัน  มันไม่ได้ผล   ทัพกับปริ๊นซ์คืนดีกันแล้ว”

“....................”

“เขาคืนดีกันแล้ว  สองคนนั้นพากูมากินข้าว เลี้ยงขอบคุณกู   สำหรับทุกอย่างที่กูช่วยเหลือมันมา”

“เหี้ย... เกินไปแล้วนะ”

“กู  ทนอยู่แบบนี้ต่อไม่ได้แล้ววะ  กูจะกลับ”

“ใจเย็นนะตาม  มึงไม่ได้เมาอะไรแน่นะ”

“กูกินนิดหน่อยเอง”

“แล้วมึงจะไปเลย  ไม่ลาเหรอ”

“อืม  กูจะไปแล้ว”

สุดท้ายผมก็ไม่ได้ไปไหนหรอก  เพราะผมไม่มีรถ  ผมมารถคันเดียวกับพี่ปริ๊นซ์  สิ่งเดียวที่ทำได้คือเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อรอเวลากลับบ้านเท่านั้น

ผมเบียดตัวผ่านแขกในร้านที่กำลังเต้นอย่างสนุกสนาน  บ้างก็กำลังนัวเนียกอดกันด้วยความรักใคร่   การเคลื่อนที่ของผมเชื่องช้าเหมือนถูกตรึงเอาไว้จากอีกฝั่ง  ผมอยากเข้าไปนั่งแล้วบอกให้ใครก็ได้พาผมกลับบ้าน  แต่อีกใจก็ไม่อยากจะไปเห็นภาพบาดตาอะไรเพิ่มเติม   เท้าพาผมเดินมุ่งไป  ต่างจากใจที่ฉุดรั้งไว้ตลอดเวลา

“หมอ”  เจ้าของเสียงดึงผมให้อยู่กับที่  “จะไปไหน”

“กลับโต๊ะไง”

“ผมว่าหมอรอก่อนดีกว่า”

“ทำไม... มีอะไร”

แววตาลนลานของม่อนยิ่งทำให้ผมเคลือบแคลง

“เอาน่า  เชื่อผม”

ถ้าผมจะต้องเห็นภาพอะไรที่ทำร้ายจิตใจไปกว่านี้  ก็ให้มันจบวันนี้ไปเลย   แล้วใจกับกายผมก็สอดคล้องกัน   มือของม่อนที่รั้งผมไว้ถูกสะบัดทิ้ง     มันทำท่าตกใจเล็กน้อยแต่ก็วิ่งกวดไล่ผมมาติด ๆ

บนโต๊ะโซฟา  มีเพียงทัพนั่งอยู่คนเดียว   คอพับหัก  เห็นได้ชัดว่าเมาเละได้ที่

“อ้าว... พี่ปริ๊นซ์ล่ะ????”

เสียงแผ่วของม่อนลอยกระทบโสตประสาท

“ไหนว่าจะจูบกัน...  ไปไหนของเขาวะ”

ผมทรุดตัวลงนั่งข้างทัพ    เหลือเพียงเราสองคนอีกครั้ง  ผมเห็นหลังของม่อนเดินจากไปราวกับกำลังตามหาใครสักคน   

ทัพหน้าแดง  นอนพึมพำพูดอะไรบางอย่างซึ่งผมไม่สามารถจับใจความได้   

“เมาอีกแล้วสินะมึง”

ช้อนคออ่อนหักขึ้นมาให้หนุนอิงตรงไหล่ของผม 

“ซ่านัก  เจ็บไม่จำ”   หัวเราะออกมาดัง ๆ  “ไม่ใช่แค่มึงหรอก  กูด้วยนี่แหละ”

“...อย่าไปอีกนะ”

เจ้าของหัวที่ทิ้งน้ำหนักตรงไหล่ของผมกำลังเมาพูดพล่าม  พร้อมกับมือที่ป่ายปัดเป็นท่าฉุดรั้งใครบางคน

“เดี๋ยวเจ้าชายของมึงก็กลับมา  รอแปบนึงแล้วกัน  อยู่กับยาจกเจ๊กแบบกูไปก่อน”

“...อย่าไปนะ...  อย่าไป...”

“เออ”  เจ็บใจเหลือเกิน  กูตอบแทนก็ได้  “ถ้ามันหนีไปอีก  กูจะไปตามมาให้มึงเอง”

พอกันที  ถึงเวลาตัดใจแล้วตาม   มึงคงต้องตัดใจ

“อย่าไปนะ...”

“จ้า...  นอนเถอะนะ”   ไม่เคยเห็นมึงเมาเรื้อนขนาดนี้นะทัพกรณ์  “อยู่ข้าง ๆ มึงนี่แหละ”

น้ำหนักจากบ่าซ้ายที่หายไปเรียกให้ผมหันไปดูคนข้างกายทันทีทันใด   ใบหน้าของมันกำลังยื่นเข้ามาใกล้ผมที่ได้แต่จ้องกลับด้วยความงงงวย    ดวงตารีหรี่เล็ก  แดงก่ำเห็นเส้นเลือดด้านในตาขาว  กำลังเคลื่อนใกล้ผมมากขึ้น   จนริมฝีปากของเราสัมผัสกันแผ่วเบา

ปากของมันถอนออกไป

ตาม... มึงสัญญาแล้วนะ  ไม่โกหกนะ”

เสียงเลือนหายไป  พร้อมสติของทัพที่ลับลา   ร่างของมันร่วงกลิ้งนอนกองอยู่บนตักของผม  ที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

มึงพูดชื่อกูเหรอวะ...

คนที่มึงพูดถึง  คือ  กู  เหรอ


-------------------------------------------------------------



บอส


“พวกพี่วางแผนอะไรกันอยู่?”

ผมโทรหาพี่ปันทันทีที่หมอตามวางโทรศัพท์ไป

“วางแผนอะไรครับ  พี่ไม่เข้าใจครับ”

“พี่อย่ามาโกหกผม”

“เปล่านะครับ  พี่พูดความจริงครับ”

“4 ครั้ง...”

“ครับ...??”

“พี่พูด ครับ ไปแล้ว 4 ครั้ง  ไม่สิ...  5 แล้ว”   เสียงสะดุดหายใจจากปลายสายประกาศชัดว่าผมเข้าใจถูก  “ทุกครั้งที่พี่ปันโกหก  พี่จะพูด ครับ ฟุ่มเฟือย  พูดถึงประโยค  พูดจนไม่เป็นธรรมชาติ”

“บอส...”

“บอกผมมา”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับ    พี่ไม่รู้จริง ๆ ครับ   เฮ้ย... คือ...”

“โอเค  ไม่บอกก็ไม่บอก   แต่ผมจะตามหามันด้วยตัวผมเอง”

“บอสจะทำอะ..”

สายถูกตัดไป   ไม่จำเป็นที่ต้องฟังคำแก้ตัวอะไรเพิ่มเติม  สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ  ต้องใช้สมาธิและความคิดมากกว่านี้   เกิดอะไรขึ้นกันแน่    พี่ปริ๊นซ์กับพี่ปันวางแผนอะไรอยู่กันแน่


-------------------------------------------------------------


ปริ๊นซ์


“ม่อน  พี่จะจูบกับทัพนะ”

สีหน้าของอีกฝ่ายทำท่าตกใจ  แต่น้องก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจแล้วเดินจากไป

ผมเดินกลับไปที่โซฟา  คว้าแก้วในมือของทัพออกมา   กินไปกี่แก้วแล้วเนี่ย  นับตั้งแต่หมอนั่นลุกออกไป  ขืนยังกินแบบนี้ต่อไปรับรองว่าได้ไปก่อเรื่องเหมือนวันนั้นอีกแน่

“พอแล้ว”

เจ้าตัวพยายามคว้าแก้วกลับมา    วุ่นวายเสียจริง ๆ   

ผมจัดท่าทางทุกอย่างให้เรียบร้อย  กระซิบบอกแผนการข้างหูทัพที่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ...  เข้าใจจริงหรือเปล่าวะเนี่ย

ไม่นานหลังจากนั้น   เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องหนึ่งครั้งก่อนดับไป   เป็นสัญญาณให้ผมนำมือทั้งสองโอบอุ้มรอบไหล่ของทัพ   

“พี่ปริ๊นซ์ครับ...”

เสียงออดอ้อนของทัพยิ่งทำให้ผมใจสั่น  ตาพริ้มรีที่จ้องกลับมา  รอยปากรูปกระจับที่แดงสดด้วยฤทธิ์สุรา   ศีรษะของเราเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า   ระยะห่างไม่กี่คืบเท่านั้นที่กั้นกลางเราสองคน

อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น

ทัพอ้าปากเล็กน้อย  เตรียมพร้อมรับรอยจูบของเรา... 

แล้ว

“เห้ย ทัพ”  อาหารตอนเย็นพุ่งออกจากปากรูปกระจับราวกับน้ำตก  ทัพกำลังสำรอกทุกสิ่งออกมา   จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนคอหักคอพับเพราะขาดมือที่เคยประคอง    ทิชชูจำนวนมากถูกดึงเพื่อเช็ดคราบอาเจียนที่เลอะรดตัวผม   “เดี๋ยวพี่มานะ”

สภาพตัวของผมในกระจกตอนนี้  ตลกสิ้นดี

“เหม็นหมดเลย”   

คราบอาเจียนทั้งหลายถูกผมเช็ดออกอย่างเชื่องช้า   คิดแล้วก็ตลกในความไม่ประมาณตัวเองของทัพ  บอกแล้วว่าอย่ากินมากก็ยังฝืนกินอยู่นั้น    ภาพสะท้อนรอยยิ้มฉายชัดยิ้มท้าทายกลับมา  ท่อนบนของร่างกายเปียกโชกไปด้วยน้ำที่ใช้ชะล้างคราบอาเจียน

“เฮ้ย พี่อยู่นี่เอง”

ใบหน้ารีบร้อนของเพื่อนสนิททัพปรากฏในกระจก  นำพารอยยิ้มของผมให้จางหายไป  แล้วแทนที่ด้วยฉงนฉงายไม่เข้าใจ

“เกิดอะไรขึ้น...?”

“พี่... รีบออกไปเหอะ  ตอนนี้หมอกับทัพอยู่กันสองคน”

“เหี้ย  แล้วทำไมมึงไม่เฝ้า”

พวกเราผลุนผลันออกไปทันเห็นฉากจุมพิต   เอาเข้าจริงจะโทษใครได้   เพราะก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายที่เริ่มก่อนคือ ทัพ

“พี่... เอาไงต่ออะ”

“ทัพมันเมา”

ปวดใจเหลือเกิน

“เสียงพี่  ฟังน่ากลัวจัง”

“พี่จะทำตามแผนเดิม...”

ในเมื่อเรื่องเกินเลยมาขนาดนี้แล้ว   ผมจะต้องทำตามแผนของผมต่อไป


-------------------------------------------------------------


ทัพ


ภาพตัดหายไปหลังจากที่ผมสำรอกทุกสิ่งอย่างใส่พี่ปริ๊นซ์ 

ผมตื่นขึ้นมาที่โรงแรม  โดยมีพี่ปริ๊นซ์นอนหลับสนิทอยู่เคียงข้าง   

เป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว   จึงได้แต่พาร่างพร้อมหัวอันหนักอึ้งจากพิษสุราเมื่อคืนวานมาทำงานอย่างรีบร้อนลนลาน   มาทันการประชุมที่กินเวลายาวนานทั้งวัน   ขนาดที่ต้องกินอาหารเที่ยงไปประชุมไปกันเลย   เอาตามจริงแล้ว  ผมไม่สามารถย่อยรายละเอียดจากการประชุมได้สักนิด   ได้แต่ตั้งตารอคอยให้มันจบสิ้นลง

“ไปกินข้าวกันมั้ยน้องทัพ”

พี่พิชิตเอ่ยชวน

“ดีครับพี่  แต่ผมขอพาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนได้มั้ยฮะ”   

เพื่อนที่ว่าก็พี่ปริ๊นซ์นะแหละ

“ได้สิ   เราไม่ได้กินข้าวกันมานานแล้วนะ  ชวนไปหลาย ๆ คน ก็สนุกดี”

หลังจากนัดหมายสถานที่เรียบร้อย   ผมก็ขอแยกมาเก็บของที่โต๊ะทำงาน  ยังไม่ทันจะเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย  เสียงไลน์ก็ดังรัวเป็นชุด

ทัพ

กูขอไปนอนด้วยนะ

มึงจำเรื่องรับปริญญากูได้ใช่มั้ย

กูซ้อมวันพฤหัส  ศุกร์   แล้วก็เสาร์  รับจริงจันทร์

โอเคนะ

กูรู้ว่ามึงอยู่ระยอง

กูออกเดินทางคืนนี้แหละ

เดี๋ยวผ่านระยองจะไปเอากุญแจห้อง

โอเคมั้ย?



“ตายห่า  เกือบลืมเลย”

ใช่  จันทร์หน้าเป็นงานรับปริญญาของบอส 

“ทำไงดีวะ  ถ้าไอ้บอสรู้เรื่องพี่ปริ๊นซ์”   กดโทรหาเลยแล้วกัน  “เออ บอส”

“ว่าไง  กูกำลังจัดกระเป๋าเนี่ย”

“มึง  จะมาถึงกี่โมง?”

“ทำไมวะ  มีอะไรหรือเปล่า”

ไม่ได้... จะให้มันรู้เรื่องพี่ปริ๊นซ์ไม่ได้

“ไม่มีมึง”

“แน่ใจนะทัพ  มึงก็รู้ว่าคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”

“ไม่มีจริง ๆ”

“มึงดูร้อนตัวนะ”

ตายห่าละ ...  กลัวเกินไป  จนรีบตอบ   ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป  บอสต้องจับพิรุธได้แน่   มันยิ่งเก่งเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย   หายใจช้า ๆ ทัพกรณ์   หายใจช้า  ๆ  ตั้งสติ

“ก็เย็นนี้กูมีกินข้าวกับพี่ที่บริษัท  กลัวจะเลิกดึก  กินแอลไรงี้ไง”

“อ้อ...”  เสียงที่ฟังก็รู้ว่าไม่เชื่อผมแม้แต่น้อย  “ก็นึกว่าอะไร”

“นั่นแหละ  มากี่โมงก็บอกแล้วกัน”

“อืม... ได้  มึงอยู่โรงแรมเดิมใช่มั้ย”

“ใช่...”

มันเคยมาส่งผมครั้งหนึ่ง  สมัยที่ผมต้องเดินทางมาโรงงานครั้งแรก    บอสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ทุกเรื่องในชีวิตผม

“อืม...”   น้ำเสียงของบอสที่เหมือนถือไพ่เหนือกว่า  ยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจ  “ทัพ”

“ครับ”

พิรุธมากไปแล้ว   มึงสุภาพไปแล้วทัพกรณ์

“เออ ว่าไงวะบอส”

“มึงยังจำที่เราเคยคุยกันได้ใช่มั้ย  ก่อนมึงกลับ กทม.”

“จำได้ดิ  ทำไมจะจำไม่ได้”

“แน่ใจนะ”

“เออ แล้วเจอกัน  กูต้องกลับโรงแรมไปอาบน้ำก่อนนะ”

วางหูโดยไม่รอคำลา   ทำไงดีวะเนี่ยทัพกรณ์    สัญญาที่ให้กับมันไว้ตามมาหลอกหลอนอย่างกับผีตายโหง

........


....


..


.

“มึงโอเคนะ  พรุ่งนี้นะ”

ความเป็นห่วงที่ส่งผ่านจากดวงตาของบอส   ทำให้ผมต้องฝืนสร้างรอยยิ้มพร้อมกับหัวผงกหัวให้อีกฝ่ายสบายใจ

“เอานะ”  และเพื่อให้บอสสบายใจมากกว่าเดิม  เราต้องพูดเสริมไปด้วย  “กูไม่ขับรถชนใครตายหรอก”

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น”

เสื้อยืดพับเป็นสี่เหลี่ยมค้างอยู่ในมือทัพ   สายตาจับจ้องเพ็งความสนใจทั้งหมดไปที่เพื่อนรักที่กำลังนั่งมองไม่ไกลนัก

“เรื่องพี่ปริ๊นซ์  กูว่ามึงต้องพอแล้วละ”

ผ้าที่เคยเรียบเริ่มเกิดรอยยับย่นจากมือสั่นเทาที่จิกรัดเล็บบนเนื้อผ้า  ความหวาดหวั่นกระจายทั่วห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งนี้

“มึงเจ็บมามากพอแล้ว”

“กูเข้าใจแล้ว”

“ไม่คิดจะลองคุยกับคนอื่นบ้างเหรอวะ  เอาตรง ๆ นะ  ตามก็ไม่เสียหายนะ”  แต่ราวกับอีกฝ่ายไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว  ตอนนี้เสื้อผ้าที่เคยถูกพับเรียบร้อยกำลังถูกจับยัดลงกระเป๋าอย่างไม่ใยดี  “ทัพ  มึงใจเย็น ๆ”

“บอส  กูไม่รู้วะ”

“ไม่รู้อะไรวะมึง”

“ไม่รู้ว่า... กูควรต้องทำยังไงต่อ  กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วที่ผ่านมา  กูรักพี่ปริ๊นซ์แบบไหน  กูแค่รู้สึกโหยหายอดีตหรือเพียงเพราะกูรักเขาจริง”

“มึงก็แค่อยู่กับความเป็นจริง  ทิ้งอดีตไปซะ  หาอนาคตใหม่ ๆ ให้ปัจจุบันของมึงมันดีขึ้นไง   ตอนนี้มึงกำลังยึดติดกับอดีต”  แล้วฉับพลันทันใด  ไอ้บอสก็ดีดตัวขึ้น  เล่นเอาผมตกใจถอยกรูดไปหนึ่งช่วงไม้บรรทัด  “แม่ง...  ทัพ  มึงไม่ต้องไปสนหรอกว่าเมื่อก่อนพี่ปริ๊นซ์มันดีแค่ไหน  แต่ตอนนี้มันเหี้ย   มึงได้ยินกูนี่  มึงก็รู้  มันเหี้ย   มันไปนอนกับคนนั้นคนนี้แลกเงิน  มึงโอเคจริงเหรอวะ”

“อืม  กูไม่โอเค”

“แล้วมันก็ยังทำแบบนั้นกับมึง  มึงรับได้เหรอวะ   กูบอกว่าจะพามึงไปฉีดยาต้านไวรัส  มึงก็ไม่ยอม  ไม่กลัวเป็นเอดส์เหรอวะ   พี่ปริ๊นซ์เป็นเด็กขายนะเว้ย   โธ่เว้ย  มึงจะร้องไห้ทำไม”

“เปล่า”   สองมือพยายามเช็ดคราบน้ำตา  ไม่อยากให้เพื่อนรักเห็น  “กูไม่ได้ร้อง”

“ฝุ่นเข้าตามึงเหรอไง” 

บอสพุ่งเข้ามากอดผม    ลูบหัวด้วยความรักใคร่

“กูไม่ได้ร้องจริง ๆ   กูไม่คิดมากแล้ว  กูโอเคจริง ๆ”

“เออ กูเชื่อ  ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้   มึงโอเค  กูเชื่อว่ามึงโอเค”

“กูไม่รู้สึกอะไรกับพี่เขาแล้วจริง ๆ”

“ทัพ”  มีเพียงเสียงกระซิกร่ำไห้ที่ดังแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ  “มึงยังรักพี่เขาอยู่ใช่มั้ย”

“ไม่ได้รักแล้ว  กูลืมแล้ว  กูโอเคจริง ๆ”

เพราะอันที่จริง  ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้ความรู้สึกที่เหลืออยู่คืออะไรกันแน่

“ไม่เป็นไรนะมึง  มึงยังลืมไม่ได้ตอนนี้ไม่เป็นไร   แต่มึงสัญญาได้มั้ย  ว่าจะพยายาม  จะถอยห่างออกมา  ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นอีกครั้ง   ถอยออกมาจนถึงวันที่มึงโอเคกับการที่กลับไปมองพี่เขาได้อีกครั้ง   โดยไม่ต้อง...”  บอสถอนหายใจออกมา  แต่มือก็ยังลูบหลังปลอบประโลมเพื่อนรักต่อเนื่อง  “ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีก  มึงสัญญาได้มั้ย”

มีเพียงเสียงอือออที่ดังออกมา  ใบหน้าที่ก้มต่ำหลบลี้สายตายังซุกลงในฝ่ามือ 

“มึงเป็นคนรักษาสัญญามาโดยตลอด  อย่าผิดคำสัญญานะ”

“กูสัญญา...”

คำตอบรับที่คลอเคล้าไปกับเสียงร่ำไห้

“ถ้ามึงมีใครสักคนมาแทนที่พี่ปริ๊นซ์ก็คงดีสินะ”

ผมไม่ได้เอ่ยคำใดตอบกลับไป  น้ำตายังไหลริน  ความอบอุ่นจากอ้อมกอดเพื่อนในห้องนอนชั้นสามของบ้านหลังใหญ่    อันเป็นเพียงห้องเดียวในชั้นที่มีแสงสว่างฉายอยู่


-------------------------------------------------------------


(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากด้านบน)



ปริ๊นซ์


ทัพสั่งให้ผมขับรถกลับ กทม. ทันที   

ผมไม่เข้าใจอะไรมากนัก  แต่ก็ทำตามคำขอของน้องแต่โดยดี

“ปัน  กูกำลังกลับกทม. นะ”

ผมกดโทรศัพท์ผ่านระบบของรถยนต์ทันทีที่เข้าเขตจังหวัดชลบุรี

“อ้าว  ทำไมมึงรีบกลับวะ...?”

“น้องบอกให้กูกลับนะ”

“เหรอ...”

“เห็นว่า  บอส จะมานะ”

“กูว่าแล้ว   ไอ้บอสนี่มันกัดไม่ปล่อยจริง ๆ”

“มึงก็ดูแลน้องมึงหน่อยสิวะ”   เสียงบ่นโอดครวญประท้วงดังจากปลายสาย   “เออ ๆ กูรู้แล้วว่ามึงปราบอะไรไม่ได้   แต่แผนที่มึงวางไว้  กูว่าไม่มีประโยชน์หรอกนะ”

“ต้องมีสิ  เชื่อกูสิ...”

“มึงว่า  นี่คือ  ทางที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ เหรอวะ”

“เชื่อกูสิ”

“อืม  ก็เชื่อตลอด”   ผมตบไฟเลี้ยวก่อนพาตัวเองขึ้นทางด่วน  “บางที  กูควรปล่อยให้เรื่องมันดำเนินไปในแบบของมันหรือเปล่า”

“ไหนมึงบอกว่า  อยากให้โอกาสตัวเอง  อยากให้โอกาสน้องทัพไง  นี่แหละคือสิ่งที่มึงทำได้”

“อืม”  รถคันหน้าแซงผมไปอย่างไม่ทิ้งฝุ่น  พร้อมกับเสียงบีบแตรโหยหวนแทนคำด่า  “กูต้องวางแล้ว  ขับเป็นเต่า”

“เออ  แล้วพรุ่งนี้ไปไหนวะ”

“ไปเยี่ยมน้อยหน่ามั้ง”

ผมกดตัดโทรศัพท์จากคอนโซลกลางของรถ  หวังว่าน้อยหน่าจะยังคงสบายดีนะ...


-------------------------------------------------------------


ปัน


ย้อนกลับไปตอนนั้น  ตอนที่ทัพยังอยู่ตราด   เพื่อน ๆ ของทัพรายล้อมรอบตัวทัพราวกับบอดี้การ์ด   ผมแค่จะเข้าไปช่วยเพื่อนรักของผมเคลียร์ปัญหาให้  กลับกลายเป็นว่า  ผมดันไปได้ยินบอสและอดีตรูมเมตของทัพวางแผนกันเรื่องแผนการเหล่านั้น

“ต่อไป... คือคำแนะนำจากพวกกูนะหมอ”

เสียงของบอส  ผมจำได้ดี...

“หมอต้องเริ่มจาก  เชิดใส่ไอ้ทัพ  ทำเป็นไม่สนใจมัน”

“ใช่”  เสียงจากเพื่อนสักคนของทัพดังขึ้นรับช่วงต่อ  “คนหัวอ่อน กลัวเสียเพื่อน  แถมขี้เกรงใจแบบมัน  พอเห็นมึงอิกนอร์ใส่  มันก็จะร้อน  ไม่มีทางจะนิ่งเฉยแน่นอน    แล้วไม่ต้องห่วงนะ  ในงานแต่งกู  กูจะไปบอกเพื่อน ๆ แก๊งค์เพื่อนเจ้าบ่าวกูให้แย่งหน้าที่ไปให้หมด  มึงสองคนก็จะถูกบังคับทางอ้อมให้ทำหน้าที่เดียวกัน”

“เป็นความคิดที่ดีมาก”  หมอฟันของโรงพยาบาลตราดกลับมาเป็นคนพูดอีกครั้ง  “คิดดูนะ  แค่มึงเชิดใส่มัน  ทัพก็จะรู้สึกผิด  ไหนจะทำให้มึงบาดเจ็บ  ไหนจะทำให้มึงเพิกเฉย  มันก็จะสนใจแต่มึง  ยิ่งช่วยงานแต่งของพีด้วย  ก็ยิ่งต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น  จะเอาเวลาไหนไปสนใจพี่ปริ๊นซ์เล่า”

เสียงของผู้ชายอีกคนก็ดังขึ้น

“แต่ว่า  จะไม่กลายเป็นทัพรักตามจากความรู้สึกผิดที่ผูกมัดเหรอวะ??”

“อันนั้นกูก็กลัว”  ใครสักคนที่กำลังแต่งงานกล่าว  “มึงต้องทำให้ดีละตาม  พวกกูจะช่วยเอง”

และตอนนั้นเองที่ผมคิดแผนซ้อนแผนขึ้นมา

ในเมื่อน้อง ๆ จะเชิดใส่ทัพ  ผมก็ต้องวางแผนที่แนบเนียนกว่า

“ปริ๊นซ์มึงเชื่อกู  ถ้ามึงทำแบบนี้จะเป็นการทำเพื่อให้โอกาสตัวมึงเองและให้โอกาสแก่น้องด้วย”

“จะบ้าเหรอวะ  กูนะ  ยังรักยังรู้สึกดีกับน้องเสมอนะ  แต่จะให้กูไปสู้หน้าน้อง  กูทำไม่ได้หรอก”

หัวแข็งเหมือนเดิม   ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานในบ้านของผม ที่กรุงเทพฯ  สำหรับธุรกิจส่วนตัวของครอบครัวผมแล้ว  เราทำกันไม่มีวันหยุด

“ฟังกูให้ดีนะ  มึงตอบตัวเองให้ดีก่อน  มึงยังรักทัพจริงหรือเปล่า”

เงียบสนิท

“เห็นเปล่าวะ??  มึงก็ยังไม่แน่ใจ   กูบอกมึงตั้งแต่ตอนมัธยมแล้วว่า  ถ้ามึงชอบใครก็ให้บอก  อย่าปิดกั้นตัวเอง  มัวแต่เล่นตัว  เล่นใหญ่  เป็นยังไงละ  หาข้ออ้างสารพัด   น้องเป็นผู้ชาย  น้องอ้วน  จนตอนนี้เป็นไง  น้องผอมแล้ว  ก็เลยรักอย่างนั้นเหรอ”

ปริ๊นซ์ก็ยังเงียบต่อไป  คอที่เคยชูระหงเริ่มห้อยตกด้วยความรู้สึกผิด

“ถ้ามึงยังไม่แน่ใจว่ารักใครกันแน่ระหว่างทัพกับอดีตคู่หมั้นของมึง”  ผมหยุดหายใจ  “อย่าจับปลาสองมือเลยมึง”

“แล้วไงต่อ...”

ในที่สุดมันก็ปริปากพูด

“เท่าที่กูเข้าใจนะ   ถ้าแผนการของบอสไปได้ด้วยดี   ตอนนี้น้องแม่งโคตรทรมานแน่ ๆ เพราะจู่ ๆ เพื่อนก็เปลี่ยนไป   แล้วคิดดูนะ   ประสบการณ์ที่ถูกเพื่อนรังแกและคว่ำบาตรมาตลอดของน้อง  จะต้องย้อนกลับมาฉายซ้ำเป็นภาพฝันร้ายแน่นอน     สุดท้ายถ้าน้องยอมหลอกตัวเองคบกับเพื่อนคนนั้น  ชื่ออะไรนะมึง...”

“ตาม”

อีกฝ่ายตอบอย่างไม่สบอารมณ์

“นั่นแหละ  ถ้าคบกับตามไป  เพราะความสงสาร  คนที่เฮิร์ต ก็คือ มึง   แล้วคนที่เฮิร์ตสุด  ก็ คือ น้องทัพ  สุดท้ายคนที่เฮิร์ตสุดก็คือ มึงอีก  วนลูป   เห็นเปล่าวะ”

“เอ้ออออ”

กระแทกเสียงซะแหลกไม่มีชิ้นดีเลยนะเพื่อนกู

“กูเชื่อว่ามึงไม่อยากให้น้องต้องหลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนมึงตอนนี้จริงมั้ย”

มันพยักหน้า

“แล้วก็ถือเป็นโอกาสพิสูจน์ด้วยว่า  ทั้งน้องและมึง  ต่างยังรู้สึกดี ๆ ต่อกันจริงมั้ย”

มันพยักหน้าอีกคำรบ

“คนเราถ้ารักกัน  ต้องให้อภัยกันได้สิวะ  แต่ถ้าไม่ได้  ก็เลิกแล้วต่อกัน  จะได้มองหน้ากันติด   หรือมึงอยากให้ความทรงจำดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันมันสลายหายไปจากความผิดพลาดที่เราต่างก็รู้ว่าย้อนเวลาไปแก้ไขไม่ได้”

มันยังพยักหน้าอีกครั้ง

“ดังนั้น  กูจะจัดการเอง  กูจะไปบอกความจริงกับน้องเรื่องแผนของบอส   แล้วจากนั้นมึงกับทัพก็แค่อี๋อ๋อกันตามเดิม   ราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น   ต้องลองดูสักตั้งวะ  ถ้ายังมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันจริง   ทุกอย่างจะลื่นไหลไปได้เองแหละ    คิดเสียว่าเป็นการลองใช้ชีวิตร่วมกันอีกสักครั้ง”

“น้องไม่ยอมหรอก”

เสียงเศร้าโศกาของเพื่อนทำให้ผมสงสารจับใจ

“เอาน่า...  ตอนนี้น้องก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วนี่นา   ว่ามึงต้องขายตัว...”   แววตาหมดอาลัยตายอยากฉายวับขึ้นมา  จนผมต้องรีบเปลี่ยนคำพูด  “กูขอโทษ  กูหมายถึง  มึงต้องการเงินมหาศาลไปเพราะอะไร  เฮ้อ... มึงน่าจะบอกกูสักคำ  ช่างเหอะ...”


ใครจะไปรู้ว่า  จากวันนั้น  อดีตคู่หมั้นของปริ๊นซ์  น้อยหน่า  รวมทั้งพ่อและแม่ของเธอ  เกิดภาพหลอนจากการถูกจับและทรมานในบ้านหลายวัน    ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช  ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อเยียวยาอาการเหล่านี้   

โจรพวกนั้นไม่ได้แค่กักตัวเธอเอาไว้  แต่ยังกระทำชำเราเธอรวมทั้งคุณแม่หลายต่อหลายครั้ง
   
“กูเชื่อว่า  น้องทัพต้องอ่านจดหมายของมึงแล้ว   นี่ก็เป็นสัปดาห์แล้วนะ  หลังจากน้องกลับมาจากตราดน่ะ    พอมึงกลับไปอี๋อ๋อกับน้อง  ให้น้องถามใจตัวเองไปเลยว่ายังชอบมึงมั้ย   ที่เหลือก็แค่ลากตามมาด้วย   แล้วดูสิวะ  ปฏิกิริยาของตามเป็นอย่างไร    มึงไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ   กลัวว่าเขาจะไม่ได้รักทัพจริง    กลัวว่าเขาจะมาหลอกทัพ   แถมลึก ๆ มึงก็อยากให้น้องคืนดีด้วย”

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน  ก็เป็นการยิงปืนนัดเดียว  ได้นกหลายตัว

ทั้งทำให้ทัพรู้ใจตัวเอง

ทั้งทำให้หมอตามเข้าใจตัวเองว่า ควรทำอย่างไรต่อไป  จะสู้  หรือ จะถอย

ทั้งเป็นการพิสูจน์ว่า แท้จริงแล้ว ปริ๊นซ์ยังรักน้องมั้ย

มันจะดีต่อทั้งตัวปริ๊นซ์เอง  ที่จะได้คำตอบเสียทีว่า  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  มันรักใครกันแน่   ยอมขายตัวแลกกับเงินไปรักษาน้อยหน่าและครอบครัว     ในความคิดของผม  มันอาจจะไม่ใช่แค่การไถ่โทษ  แต่ถ้าเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นมาโดยมันไม่รู้ตัวล่ะ   

อย่างน้อย   ปริ๊นซ์ก็จะได้เลิกหลอกตัวเอง   เลิกรู้สึกผิด   ไม่คาราคาซังเหยียบเรือสองแคมแบบนี้

และผลพลอยได้ คือ  ได้แก้แค้นบอสด้วย... ฮะฮ่า... เจ้าแผนการดีนัก


“เห้ย  ทัพโทรมา”

“มึงรับสิ  รับสิ รับ”

ปริ๊นซ์เดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก   ผ่านไปไม่ถึงนาที  มันก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง

“น้องอยากเจอกู”

“ดี  ไปเลย   ไปหาทัพด้วยกัน  กูจะเล่าแผนทั้งหมดให้น้องฟังเอง”

“มึงจะเอาแบบนี้จริงดิ”

“ปริ๊นซ์  มึงไม่อยากรู้เหรอวะ  ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่กับน้อง  มึงไม่อยากให้โอกาสน้องเหรอวะ  ว่าเขารู้สึกยังไงกับมึง   ไหนมึงบอกมึงรู้สึกผิดที่ลากน้องมาเจอเรื่องแบบนี้   ที่ทำเรื่อง  เออ... เหี้ย ๆ แบบนั้นกับน้องนะ   มึงอยากให้น้องต้องตกหลุมพรางความใจอ่อนของน้องอีกครั้งเหรอวะ”

มันนิ่งเงียบ  เห็นว่าสบโอกาส  ผมเลยรีบพูดใส่ต่อ

“กูรู้นะ   ไม่ว่าสุดท้ายมึงจะรักน้องทัพแบบไหน   แต่ความรักที่มึงมีให้น้องก็บริสุทธิ์อย่างแน่นอน   ดังนั้น  ลองดูสักตั้งนะ  เพื่อตัวมึง  เพื่อน้องทัพ   แล้วก็สำคัญสุดเพื่อบอส”

“ยังไงวะ...?”

“ก็กู...”  คิ้วขมวดปมของปริ๊นซ์ทำให้ผมอ้ำอึ้งที่จะตอบ  “กูไม่อยากให้บอสรู้สึกแย่  ถ้าแผนการที่มันวาง  จะทำให้เพื่อนรักของมันต้องจมทุกข์อีกครั้งอะ”

“มึงรักน้องจริงสินะ ไอ้ปัน”

“เสือก...”   ทำไมรู้สึกร้อนแบบนี้หวะ  “เอาเรื่องมึงให้รอดก่อนเหอะ”

“จ้า ๆ ... หน้าแดงหมดแล้วเพื่อนกู   ยังกับสาวแรกรุ่น”

“สาวแรกรุ่น  พ่องมึงสิ”

กุญแจรถในมือผมเสียบสนิทตรงรูกุญแจ   พร้อมที่จะพาผมและปริ๊นซ์ออกเดินทาง

“มึงพร้อมใช่มั้ยปริ๊นซ์”

“อืม  ลองสักตั้งวะ”

ผมว่า... เพื่อนรักของผมพร้อมแล้ว


-------------------------------------------------------------


ทัพ


หลังจากการสวาปามอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว  คนอื่นเขาไปต่อคาราโอเกะกัน  แต่ผมกลับต้องมานั่งรอไอ้บอสอยู่ที่ห้อง

“มึงคิดจะวางแผนตลบหลังกูเหรอไอ้บอส”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าผม

ผมเพิ่งดำเนินแผนอีกขั้นลงไป  นั่นคือ  โทรไปปรึกษา  มีน  ว่า ผมยังรู้สึกดีกับพี่ปริ๊นซ์มากเสียเหลือเกิน  ควรทำอย่างไรดี   ซึ่งเจ้าตัวเล็กจอมมึน  ก็มึนสมชื่อ  เงียบไปหลายนาที   ได้แต่พูดอ้อมแอ้มว่า   

“มึงคิดดีแล้วใช่มั้ย”

ก็แสร้งเล่นละครไปตามบท

“อืม”  พยายามกลั้นขำ  “กูว่าตามก็หมดรักในตัวกูแล้ว  สบายใจกว่าเดิมเยอะ  เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยสนใจกูเท่าไรนัก  ดีเสียอีก  ไม่รู้สึกผิดที่จะอะไร ๆ กับพี่ปริ๊นซ์ต่อ”

“เฮ้ย  อะไร ๆ ของมึง มันคืออะไร”

“ความลับ  แค่นี้นะ  หวัดดีเพื่อน”

เสียงโวยวายดังจากปลายสาย  ก่อนที่ทั้งห้องจะกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง    หลังจากนี้  เชื่อว่ามีนคงรีบเอาเรื่องนี้ไปรายงานใครสักคนแน่ ๆ  แล้วแผนทั้งหมดก็จะดำเนินไปตามที่เราวางแผนไว้

“ตัดใจจากกูเหอะตาม  กูยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่ากูรู้สึกยังไงกับพี่ปริ๊นซ์”

ทั้งหมดของหัวใจของผม  เชื่อว่า  ตามจะล่าถอยไปเอง   

ไม่ว่าสุดท้าย  บทสรุปของผมกับพี่ปริ๊นซ์  จะออกมาในทางไหน   สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าจะเกิดก็คือ  ผมจะได้เปลื้องปลดพันธนาการของตามที่มีต่อผมเสียที...



-------------------------------------------------------------


สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน

ห่างหายไปนาน  ผมวุ่นกับปลายภาค  แล้วก็ติดยาวเที่ยวปีใหม่ด้วย


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและติชมครับ


 :mew1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สมกับชื่อตอนจริงๆ :z3:

สวัสดีปีใหม่จ้า :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด