บทที่ 28
แผนก็ต้องซ้อนแผนสิ
สัมผัสกอดรัดที่โอบอุ้มให้ฉันต้องนอนอยู่บนเตียงอันเย็นเยียบ ผ้าห่มที่กองอยู่ตรงปลายเท้าไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ขึ้นมาห่อหุ้มได้ด้วยตัวมันเอง ความมืดมิดแห่งรัตติกาลยิ่งย้ำซ้ำถึงความเหงาที่กระจายสะท้านไปทั่วสถานที่แห่งนี้ เสียงกรีดร้องที่ดังเป็นระยะสลับกับเสียงร่ำไห้ที่อาจกินเวลายาวนานไปอีกหลายชั่วโมง
“ฉันทำอะไรอยู่....?”
เสียงในใจกังวานขึ้น แล้วสะท้อนกลับไปกลับมาจนหรี่เงียบหายไป
“ฉันคือคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ”
ความคิดกลับมาทำงานอีกครั้ง ในห้องพักดุจคุกมีเพียงเสียงหัวใจเต้นของฉันเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน เป็นเวลาเนิ่นนานราวกับชั่วกัลปาวสานที่ถูกจองจำอยู่ในที่แห่งนี้ แม้ความเป็นจริงจะกินเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็ตาม
ร่างสะท้านของหญิงสาวคนดังกล่าว นอนอย่างน่าสังเวช ตัวของเธอสั่นสะท้าน ดวงตาที่ลุกวาวมองหมายไปยังประตูทางออก ยาคลายความเครียดที่เธอได้รับกำลังหมดฤทธิ์ในไม่ช้า เรี่ยวแรงอันเหือดแห้งก็หวนกลับมาบริบูรณ์
เท้าอันสั่นเทาของเธอสัมผัสกับความหนาวเย็นของพื้นด้านล่าง แต่การถูกติดตรึงบนเตียงนอนเป็นเวลาหลายวันอันเป็นผลจากการอาละวาดทำลายข้าวของ ทำให้ขาของเธอไม่สามารถรับน้ำหนักกายได้ทันที เธอจึงกองตัวนอนลงที่พื้น
รวบรวมพละกำลัง ผลักตัวเองให้ลุกขึ้นยืน มือสัมผัสลูกบิดประตูที่ไม่ได้ลงกลอนจากด้านนอกเหมือนเช่นทุกคืน ทางเดินยาวมีไฟเพียงสลัว หญิงสาวเอาส่วนหลังแนบชิดติดผนังและพยายามย่างก้าวให้แผ่วเบาแต่รวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
“คนไข้ห้อง 423 อาละวาดทีฉันละเหนื่อย”
เสียงคนคุยกันดังแว่วไม่ไกล พร้อมกับฝีเท้าก้าวฉับที่ดังคมสะท้านไปทั้งบริเวณ
“นั้นสิ ต้องบอกคุณหมอให้เพิ่มยาแล้วหล่ะ”
หญิงสาวทำได้เพียงแนบตัวให้ชิดกับผนังมากที่สุด แต่ก็คงไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เป็นแน่ สุดท้ายแล้วเธอก็อาจต้องถูกคุมขังอีกครั้งหนึ่ง แล้วทันใดนั้นความเย็นเยียบของโลหะที่เป็นวัสดุหลักของลูกบิดประตูก็ปะทะผิวกายของเธอ เธอตัดสินใจลองบิดประตู ช่างโชคดีที่ห้องพักแห่งนี้ก็ไม่ได้ล็อค
หน้าแนบชิดติดกับประตูห้อง หูเอียงสัมผัสรอฟังเสียงจากภายนอก ในขณะที่หูอีกข้างก็ฟังเสียงละเมอของเจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียง ตาปิดสนิท แต่ปากยังพร่ำเพ้อถึงเรื่องต่าง ๆ
“ไม่ ไม่ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าพ่อแม่ฉัน อย่า อย่า ฉันกลัวแล้ว อย่า....”
เสียงฝีเท้าแผ่วจางหายไป เป็นสัญญาณแสดงถึงทางสะดวก เธอจึงคลายลูกบิด แล้วเดินออกไปจากห้องที่ยังมีสำเนียงสะท้านน่าสงสารของเจ้าห้องละเมอลอยออกมา
“ปริ๊นซ์ ....... ฮือ ๆ ช่วยเราด้วย...”
หลังจากเดินออกจากห้องหญิงละเมอมาได้ไม่นาน เธอก็พบรถเข็นทำแผลวางเหงาหลบมุมตรงปลายทางเดิน มีดเล่มเล็กเล่มหนึ่งสะท้อนแสงเพียงสลัวที่วางสงบนิ่งใกล้กองผ้าทำแผลก็ถูกโอนย้ายมาอยู่ในมือของเธอ
“คุณทำอะไรอยู่นะคะ”
เสียงคนหลายคนวิ่งกรูมาทางเธอ เธอได้แต่ยืนยิ้มแล้วซ่อนมีดด้ามคมดังกล่าวไว้พร้อมกับยกมือสองข้างอย่างยินยอม พันธนาการรัดรุมรอบตัวเธออีกครั้ง
“ฉันต้องออกไปให้ได้...”
ความแน่วแน่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าแม้ร่างกายจะโดนมัดตรึงอยู่บนเตียงในห้องนอนเดิมอีกครั้ง
“รอก่อนนะ
ตาม”
-------------------------------------------------------------
ตามผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่...!!
นอกจากจะยอมให้พี่ปริ๊นซ์พาออกมาข้างนอกอย่างง่ายดายเพื่อไปนั่งมองทั้งทัพและพี่ปริ๊นซ์กินข้าวสวีทหวานแหววบาดใจตัวเองในทุกคำอาหารที่สองคนต่างผลัดกันตักให้กัน ผมยังยอมที่จะมาเที่ยวสถานอโคจรต่ออีกเหรอ
“อ้าว หมอ ไม่เจอกันนาน”
ม่อน... เพื่อนสมัยประถมของทัพยืนรออยู่ที่หน้าผับ เขายังตัวใหญ่ล่ำ แขนพองเกินลำตัวอยู่เช่นเคย ม่อนและทัพต่อยกลับไปมาราวเด็กเล่นเกมส์ต่อยมวยกันเล็กน้อย แล้วทั้งสองคนก็กอดคอกันเดินเข้าผับไป
“น้องตาม เข้าไปกัน”
ได้แต่เดินตามร่างสูงของเจ้าของเสียงไป ผ่านการตรวจบัตรประชาชน ตรวจอาวุธ แล้วก็มายืนท่ามกลางแสงสีและเสียงเพลง พร้อมกับเสียงกระซิบพูดคุยของผู้คนมากมาย
“เคยมามั้ยเนี่ย น้องตาม”
“เคยครับ”
จะไม่เคยมาได้อย่างไร ระยองเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ที่เที่ยวกลางคืนที่พอจะมีคลาสบ้างก็มีเพียงไม่กี่ที่ ผมเคยมาผับนี้กับเพื่อนร่วมงานออกจะบ่อย ก็รวมถึงหยกด้วยแหละ แต่หลังจากที่อะไรหลายต่อหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่แรกที่ผมเลือกที่จะหลีกเลี่ยง
พวกเราสี่คนนั่งบนโต๊ะโซฟามุมร้าน สั่งเหล้าและกับแกล้มมาเล็กน้อย บทสนทนาหมดโต๊ะถูกดำเนินจากทัพและม่อนเพียงสองคน ส่วนผมกับพี่ปริ๊นซ์ได้แต่นั่งเงียบ
ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน
“ว่าไงครับหมอน้องตาม จะไปมั้ย”
ได้แต่ยืนอึ้งอยู่แค่นั้น แล้วผมก็พยักหน้าหนึ่งทีเป็นสัญญาณว่า ไปก็ไป ฝ่ายตรงข้ามยิ้มให้ผมหนึ่งที พลางผายมือให้ผมเดินตามไปที่รถยนต์คันที่ทัพนั่งกดมือถือรออยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ
มีเพียงสายตาเย็นชาที่มองมา ไร้คำทักทาย ไร้ภาษากายอื่นใด ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านหลังเงียบ ๆ เหมือนวิญญาณที่ล่องลอย รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว
“น้องตาม....” มือใหญ่โบกสะบัดตรงหน้าผม “พี่ถามว่า จะกินอะไร?”
เมนูใหญ่ถูกเสือกเข้ามาในอุ้งมือของผม
“กินได้หมดครับ”
“โอเค” พี่ปริ๊นซ์หันหน้าไปทางพนักงานที่เตรียดจดรายการอาหาร “ยำสามกรอบนะครับ ต้มยำกุ้ง ขอเผ็ด ๆ หน่อยนะครับ แล้วก็ผัดผักบุ้งไฟแดง ใส่หมูกรอบด้วยแล้วกันนะครับ ทัพเอาอะไรอีกมั้ย...?”
มันส่ายหัว ช่างเป็นมื้ออาหารที่แสนอึดอัด เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เหมือนที่ผมก็ไม่ได้กินอะไรมากนัก อาหารบนโต๊ะทุกอย่างล้วนแล้วเผ็ดเกินกว่าที่ลิ้นของผมจะรับได้ ราวกับว่าอาหารเซตนี้ถูกสั่งมาสำหรับสองคนตรงหน้า ไม่ใช่เพื่อผม
“ไม่ค่อยอร่อยเหรอหมอ”
“เปล่าครับ ผมกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง”
“อ้าว ไม่บอกก่อนเล่า” สีหน้าตกใจของอีกฝ่ายเล่นเอาผมแปลกใจ เขาโบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งไข่เจียวหมูสับเพิ่มให้ผมโดยเฉพาะ “รอแปบละกันนะครับ”
“ครับ”
“ก็เข้าใจว่ากินได้”
“เมื่อก่อนก็พยายามฝึกกินเผ็ดอยู่แหละครับ” ผมตั้งใจมองไปที่ทัพ ซึ่งกำลังบรรจงกินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย “แต่ตอนนี้ ผมพอแล้ว พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์ มันถึงเวลาที่ผมจะเป็นตัวของตัวเอง ไปหาอะไรใหม่ ๆ บ้าง”
“ก็ฟังดูดีนี่ ถ้ามันไม่ใช่ฝืนไปก็ไม่ใช่”
คำตอบไม่ได้มาจากพี่ปริ๊นซ์ แต่มาจากทัพที่ยังตักข้าวใส่ปาก บอกที่อาหารตรงหน้า ไม่มีแม้แต่เสี้ยวเดียวที่มันจะเงยหน้ามองผม
“พี่ปริ๊นซ์ทานกุ้งครับ ผมแกะให้แล้ว” กุ้งตัวเขื่องแกะเปลือกออกอย่างสวยงาม 2-3 ตัว ถูกวางเรียงตัวสวยบนจานคนข้าง ๆ แล้วดวงตากลมโตก็จ้องจับคนตรงข้ามอย่างผม “มึงสั่งต้มจืดเพิ่มมั้ย...? กินแบบที่ชอบกินนะดีแล้ว อย่าฝืนอะไรที่เป็นไปไม่ได้ กินเผ็ดไปก็ร้อน สุดท้ายน้ำตาก็ไหล ไม่มีประโยชน์หรอก”
“อืม”
เราสองคนจ้องตากันเนิ่นนาน....
นานจนไข่เจียวหมูสับมา
นานจนต้มจืดที่เป็นกับข้าวจานสุดท้ายหมดเกลี้ยงทุกหยดจากฝีมือของผม
จนมาถึงตอนนี้ก็มีเพียงแก้วเหล้าข้างหน้าที่ผมจับจ้องอยู่
“เฮ้ย ทัพ กูไปหาเพื่อนกูแปบนะ”
ม่อนจากไปพร้อมแก้วเหล้า เสียงทักทายโหวกเหวกดังอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน ท่ามกลางเสียงเพลงแดนซ์ที่กระหึ่มไปทั่วบริเวณ
“สรุปเรียกผมมาทำไม”
“อ้อ” คนตัวสูงฉายยิ้มออกมา “เกือบลืมไปเลย คือ พี่กับทัพอยากขอบคุณตามนะ ที่ช่วยดูแลทัพให้ตลอดเวลาที่พี่กับทัพ”
ฝ่ามือสอดประสานกัน นิ้วต่อนิ้ว ที่สอดกุม
“เข้าใจผิดกันนะ ตอนนี้ทุกอย่างปกติแล้ว ขอบคุณจริง ๆ”
ไม่มีคำตอบรับใด ร่างอันเหนื่อยล้าของผมผุดเหยียดขึ้น หัวตื้อไปหมด สมองผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว จิตใต้สำนึกมันมาผมออกมายืนหน้าร้าน ใกล้กลุ่มคนที่ยืนสูบบุหรี่หน้าห้องน้ำ ตาผมแห้งผาก แม้ว่าผมอยากให้มีน้ำสักหยดหลั่งรินออกมา ทว่าก็มีแต่ความว่างเปล่าในหัวใจเหมือนกับดินแล้งแห้งผาก
“ว่าไงหมอ”
“ไม่ได้ผลหวะ บอส”
โทรศัพท์มือถือกำแน่น ความปวดร้าวมือแพร่กระจายไปทั่ว
“เฮ้ย อะไรยังไง เล่าสิ”
“ที่เราพยายามจะลองใจมัน มันไม่ได้ผล ทัพกับปริ๊นซ์คืนดีกันแล้ว”
“....................”
“เขาคืนดีกันแล้ว สองคนนั้นพากูมากินข้าว เลี้ยงขอบคุณกู สำหรับทุกอย่างที่กูช่วยเหลือมันมา”
“เหี้ย... เกินไปแล้วนะ”
“กู ทนอยู่แบบนี้ต่อไม่ได้แล้ววะ กูจะกลับ”
“ใจเย็นนะตาม มึงไม่ได้เมาอะไรแน่นะ”
“กูกินนิดหน่อยเอง”
“แล้วมึงจะไปเลย ไม่ลาเหรอ”
“อืม กูจะไปแล้ว”
สุดท้ายผมก็ไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะผมไม่มีรถ ผมมารถคันเดียวกับพี่ปริ๊นซ์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อรอเวลากลับบ้านเท่านั้น
ผมเบียดตัวผ่านแขกในร้านที่กำลังเต้นอย่างสนุกสนาน บ้างก็กำลังนัวเนียกอดกันด้วยความรักใคร่ การเคลื่อนที่ของผมเชื่องช้าเหมือนถูกตรึงเอาไว้จากอีกฝั่ง ผมอยากเข้าไปนั่งแล้วบอกให้ใครก็ได้พาผมกลับบ้าน แต่อีกใจก็ไม่อยากจะไปเห็นภาพบาดตาอะไรเพิ่มเติม เท้าพาผมเดินมุ่งไป ต่างจากใจที่ฉุดรั้งไว้ตลอดเวลา
“หมอ” เจ้าของเสียงดึงผมให้อยู่กับที่ “จะไปไหน”
“กลับโต๊ะไง”
“ผมว่าหมอรอก่อนดีกว่า”
“ทำไม... มีอะไร”
แววตาลนลานของม่อนยิ่งทำให้ผมเคลือบแคลง
“เอาน่า เชื่อผม”
ถ้าผมจะต้องเห็นภาพอะไรที่ทำร้ายจิตใจไปกว่านี้ ก็ให้มันจบวันนี้ไปเลย แล้วใจกับกายผมก็สอดคล้องกัน มือของม่อนที่รั้งผมไว้ถูกสะบัดทิ้ง มันทำท่าตกใจเล็กน้อยแต่ก็วิ่งกวดไล่ผมมาติด ๆ
บนโต๊ะโซฟา มีเพียงทัพนั่งอยู่คนเดียว คอพับหัก เห็นได้ชัดว่าเมาเละได้ที่
“อ้าว... พี่ปริ๊นซ์ล่ะ????”
เสียงแผ่วของม่อนลอยกระทบโสตประสาท
“ไหนว่าจะจูบกัน... ไปไหนของเขาวะ”
ผมทรุดตัวลงนั่งข้างทัพ เหลือเพียงเราสองคนอีกครั้ง ผมเห็นหลังของม่อนเดินจากไปราวกับกำลังตามหาใครสักคน
ทัพหน้าแดง นอนพึมพำพูดอะไรบางอย่างซึ่งผมไม่สามารถจับใจความได้
“เมาอีกแล้วสินะมึง”
ช้อนคออ่อนหักขึ้นมาให้หนุนอิงตรงไหล่ของผม
“ซ่านัก เจ็บไม่จำ” หัวเราะออกมาดัง ๆ “ไม่ใช่แค่มึงหรอก กูด้วยนี่แหละ”
“...อย่าไปอีกนะ”
เจ้าของหัวที่ทิ้งน้ำหนักตรงไหล่ของผมกำลังเมาพูดพล่าม พร้อมกับมือที่ป่ายปัดเป็นท่าฉุดรั้งใครบางคน
“เดี๋ยวเจ้าชายของมึงก็กลับมา รอแปบนึงแล้วกัน อยู่กับยาจกเจ๊กแบบกูไปก่อน”
“...อย่าไปนะ... อย่าไป...”
“เออ” เจ็บใจเหลือเกิน กูตอบแทนก็ได้ “ถ้ามันหนีไปอีก กูจะไปตามมาให้มึงเอง”
พอกันที ถึงเวลาตัดใจแล้วตาม มึงคงต้องตัดใจ
“อย่าไปนะ...”
“จ้า... นอนเถอะนะ” ไม่เคยเห็นมึงเมาเรื้อนขนาดนี้นะทัพกรณ์ “อยู่ข้าง ๆ มึงนี่แหละ”
น้ำหนักจากบ่าซ้ายที่หายไปเรียกให้ผมหันไปดูคนข้างกายทันทีทันใด ใบหน้าของมันกำลังยื่นเข้ามาใกล้ผมที่ได้แต่จ้องกลับด้วยความงงงวย ดวงตารีหรี่เล็ก แดงก่ำเห็นเส้นเลือดด้านในตาขาว กำลังเคลื่อนใกล้ผมมากขึ้น จนริมฝีปากของเราสัมผัสกันแผ่วเบา
ปากของมันถอนออกไป
“
ตาม... มึงสัญญาแล้วนะ ไม่โกหกนะ”
เสียงเลือนหายไป พร้อมสติของทัพที่ลับลา ร่างของมันร่วงกลิ้งนอนกองอยู่บนตักของผม ที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มึงพูดชื่อกูเหรอวะ...
คนที่มึงพูดถึง คือ
กู เหรอ
-------------------------------------------------------------
บอส“พวกพี่วางแผนอะไรกันอยู่?”
ผมโทรหาพี่ปันทันทีที่หมอตามวางโทรศัพท์ไป
“วางแผนอะไรครับ พี่ไม่เข้าใจครับ”
“พี่อย่ามาโกหกผม”
“เปล่านะครับ พี่พูดความจริงครับ”
“4 ครั้ง...”
“ครับ...??”
“พี่พูด ครับ ไปแล้ว 4 ครั้ง ไม่สิ... 5 แล้ว” เสียงสะดุดหายใจจากปลายสายประกาศชัดว่าผมเข้าใจถูก “ทุกครั้งที่พี่ปันโกหก พี่จะพูด ครับ ฟุ่มเฟือย พูดถึงประโยค พูดจนไม่เป็นธรรมชาติ”
“บอส...”
“บอกผมมา”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับ พี่ไม่รู้จริง ๆ ครับ เฮ้ย... คือ...”
“โอเค ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ผมจะตามหามันด้วยตัวผมเอง”
“บอสจะทำอะ..”
สายถูกตัดไป ไม่จำเป็นที่ต้องฟังคำแก้ตัวอะไรเพิ่มเติม สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ ต้องใช้สมาธิและความคิดมากกว่านี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ปริ๊นซ์กับพี่ปันวางแผนอะไรอยู่กันแน่
-------------------------------------------------------------
ปริ๊นซ์“ม่อน พี่จะจูบกับทัพนะ”
สีหน้าของอีกฝ่ายทำท่าตกใจ แต่น้องก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจแล้วเดินจากไป
ผมเดินกลับไปที่โซฟา คว้าแก้วในมือของทัพออกมา กินไปกี่แก้วแล้วเนี่ย นับตั้งแต่หมอนั่นลุกออกไป ขืนยังกินแบบนี้ต่อไปรับรองว่าได้ไปก่อเรื่องเหมือนวันนั้นอีกแน่
“พอแล้ว”
เจ้าตัวพยายามคว้าแก้วกลับมา วุ่นวายเสียจริง ๆ
ผมจัดท่าทางทุกอย่างให้เรียบร้อย กระซิบบอกแผนการข้างหูทัพที่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ... เข้าใจจริงหรือเปล่าวะเนี่ย
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องหนึ่งครั้งก่อนดับไป เป็นสัญญาณให้ผมนำมือทั้งสองโอบอุ้มรอบไหล่ของทัพ
“พี่ปริ๊นซ์ครับ...”
เสียงออดอ้อนของทัพยิ่งทำให้ผมใจสั่น ตาพริ้มรีที่จ้องกลับมา รอยปากรูปกระจับที่แดงสดด้วยฤทธิ์สุรา ศีรษะของเราเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า ระยะห่างไม่กี่คืบเท่านั้นที่กั้นกลางเราสองคน
อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น
ทัพอ้าปากเล็กน้อย เตรียมพร้อมรับรอยจูบของเรา...
แล้ว
“เห้ย ทัพ” อาหารตอนเย็นพุ่งออกจากปากรูปกระจับราวกับน้ำตก ทัพกำลังสำรอกทุกสิ่งออกมา จากนั้นก็ล้มตัวลงไปนอนคอหักคอพับเพราะขาดมือที่เคยประคอง ทิชชูจำนวนมากถูกดึงเพื่อเช็ดคราบอาเจียนที่เลอะรดตัวผม “เดี๋ยวพี่มานะ”
สภาพตัวของผมในกระจกตอนนี้ ตลกสิ้นดี
“เหม็นหมดเลย”
คราบอาเจียนทั้งหลายถูกผมเช็ดออกอย่างเชื่องช้า คิดแล้วก็ตลกในความไม่ประมาณตัวเองของทัพ บอกแล้วว่าอย่ากินมากก็ยังฝืนกินอยู่นั้น ภาพสะท้อนรอยยิ้มฉายชัดยิ้มท้าทายกลับมา ท่อนบนของร่างกายเปียกโชกไปด้วยน้ำที่ใช้ชะล้างคราบอาเจียน
“เฮ้ย พี่อยู่นี่เอง”
ใบหน้ารีบร้อนของเพื่อนสนิททัพปรากฏในกระจก นำพารอยยิ้มของผมให้จางหายไป แล้วแทนที่ด้วยฉงนฉงายไม่เข้าใจ
“เกิดอะไรขึ้น...?”
“พี่... รีบออกไปเหอะ ตอนนี้หมอกับทัพอยู่กันสองคน”
“เหี้ย แล้วทำไมมึงไม่เฝ้า”
พวกเราผลุนผลันออกไปทันเห็นฉากจุมพิต เอาเข้าจริงจะโทษใครได้ เพราะก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายที่เริ่มก่อนคือ ทัพ
“พี่... เอาไงต่ออะ”
“ทัพมันเมา”
ปวดใจเหลือเกิน
“เสียงพี่ ฟังน่ากลัวจัง”
“พี่จะทำตามแผนเดิม...”
ในเมื่อเรื่องเกินเลยมาขนาดนี้แล้ว ผมจะต้องทำตามแผนของผมต่อไป
-------------------------------------------------------------
ทัพภาพตัดหายไปหลังจากที่ผมสำรอกทุกสิ่งอย่างใส่พี่ปริ๊นซ์
ผมตื่นขึ้นมาที่โรงแรม โดยมีพี่ปริ๊นซ์นอนหลับสนิทอยู่เคียงข้าง
เป็นเวลาเกือบแปดโมงแล้ว จึงได้แต่พาร่างพร้อมหัวอันหนักอึ้งจากพิษสุราเมื่อคืนวานมาทำงานอย่างรีบร้อนลนลาน มาทันการประชุมที่กินเวลายาวนานทั้งวัน ขนาดที่ต้องกินอาหารเที่ยงไปประชุมไปกันเลย เอาตามจริงแล้ว ผมไม่สามารถย่อยรายละเอียดจากการประชุมได้สักนิด ได้แต่ตั้งตารอคอยให้มันจบสิ้นลง
“ไปกินข้าวกันมั้ยน้องทัพ”
พี่พิชิตเอ่ยชวน
“ดีครับพี่ แต่ผมขอพาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนได้มั้ยฮะ”
เพื่อนที่ว่าก็พี่ปริ๊นซ์นะแหละ
“ได้สิ เราไม่ได้กินข้าวกันมานานแล้วนะ ชวนไปหลาย ๆ คน ก็สนุกดี”
หลังจากนัดหมายสถานที่เรียบร้อย ผมก็ขอแยกมาเก็บของที่โต๊ะทำงาน ยังไม่ทันจะเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย เสียงไลน์ก็ดังรัวเป็นชุด
ทัพ
กูขอไปนอนด้วยนะ
มึงจำเรื่องรับปริญญากูได้ใช่มั้ย
กูซ้อมวันพฤหัส ศุกร์ แล้วก็เสาร์ รับจริงจันทร์
โอเคนะ
กูรู้ว่ามึงอยู่ระยอง
กูออกเดินทางคืนนี้แหละ
เดี๋ยวผ่านระยองจะไปเอากุญแจห้อง
โอเคมั้ย?“ตายห่า เกือบลืมเลย”
ใช่ จันทร์หน้าเป็นงานรับปริญญาของบอส
“ทำไงดีวะ ถ้าไอ้บอสรู้เรื่องพี่ปริ๊นซ์” กดโทรหาเลยแล้วกัน “เออ บอส”
“ว่าไง กูกำลังจัดกระเป๋าเนี่ย”
“มึง จะมาถึงกี่โมง?”
“ทำไมวะ มีอะไรหรือเปล่า”
ไม่ได้... จะให้มันรู้เรื่องพี่ปริ๊นซ์ไม่ได้
“ไม่มีมึง”
“แน่ใจนะทัพ มึงก็รู้ว่าคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”
“ไม่มีจริง ๆ”
“มึงดูร้อนตัวนะ”
ตายห่าละ ... กลัวเกินไป จนรีบตอบ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป บอสต้องจับพิรุธได้แน่ มันยิ่งเก่งเรื่องพวกนี้อยู่ด้วย หายใจช้า ๆ ทัพกรณ์ หายใจช้า ๆ ตั้งสติ
“ก็เย็นนี้กูมีกินข้าวกับพี่ที่บริษัท กลัวจะเลิกดึก กินแอลไรงี้ไง”
“อ้อ...” เสียงที่ฟังก็รู้ว่าไม่เชื่อผมแม้แต่น้อย “ก็นึกว่าอะไร”
“นั่นแหละ มากี่โมงก็บอกแล้วกัน”
“อืม... ได้ มึงอยู่โรงแรมเดิมใช่มั้ย”
“ใช่...”
มันเคยมาส่งผมครั้งหนึ่ง สมัยที่ผมต้องเดินทางมาโรงงานครั้งแรก บอสเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ทุกเรื่องในชีวิตผม
“อืม...” น้ำเสียงของบอสที่เหมือนถือไพ่เหนือกว่า ยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจ “ทัพ”
“ครับ”
พิรุธมากไปแล้ว มึงสุภาพไปแล้วทัพกรณ์
“เออ ว่าไงวะบอส”
“มึงยังจำที่เราเคยคุยกันได้ใช่มั้ย ก่อนมึงกลับ กทม.”
“จำได้ดิ ทำไมจะจำไม่ได้”
“แน่ใจนะ”
“เออ แล้วเจอกัน กูต้องกลับโรงแรมไปอาบน้ำก่อนนะ”
วางหูโดยไม่รอคำลา ทำไงดีวะเนี่ยทัพกรณ์ สัญญาที่ให้กับมันไว้ตามมาหลอกหลอนอย่างกับผีตายโหง
........
....
..
.
“มึงโอเคนะ พรุ่งนี้นะ”
ความเป็นห่วงที่ส่งผ่านจากดวงตาของบอส ทำให้ผมต้องฝืนสร้างรอยยิ้มพร้อมกับหัวผงกหัวให้อีกฝ่ายสบายใจ
“เอานะ” และเพื่อให้บอสสบายใจมากกว่าเดิม เราต้องพูดเสริมไปด้วย “กูไม่ขับรถชนใครตายหรอก”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น”
เสื้อยืดพับเป็นสี่เหลี่ยมค้างอยู่ในมือทัพ สายตาจับจ้องเพ็งความสนใจทั้งหมดไปที่เพื่อนรักที่กำลังนั่งมองไม่ไกลนัก
“เรื่องพี่ปริ๊นซ์ กูว่ามึงต้องพอแล้วละ”
ผ้าที่เคยเรียบเริ่มเกิดรอยยับย่นจากมือสั่นเทาที่จิกรัดเล็บบนเนื้อผ้า ความหวาดหวั่นกระจายทั่วห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แห่งนี้
“มึงเจ็บมามากพอแล้ว”
“กูเข้าใจแล้ว”
“ไม่คิดจะลองคุยกับคนอื่นบ้างเหรอวะ เอาตรง ๆ นะ ตามก็ไม่เสียหายนะ” แต่ราวกับอีกฝ่ายไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เสื้อผ้าที่เคยถูกพับเรียบร้อยกำลังถูกจับยัดลงกระเป๋าอย่างไม่ใยดี “ทัพ มึงใจเย็น ๆ”
“บอส กูไม่รู้วะ”
“ไม่รู้อะไรวะมึง”
“ไม่รู้ว่า... กูควรต้องทำยังไงต่อ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วที่ผ่านมา กูรักพี่ปริ๊นซ์แบบไหน กูแค่รู้สึกโหยหายอดีตหรือเพียงเพราะกูรักเขาจริง”
“มึงก็แค่อยู่กับความเป็นจริง ทิ้งอดีตไปซะ หาอนาคตใหม่ ๆ ให้ปัจจุบันของมึงมันดีขึ้นไง ตอนนี้มึงกำลังยึดติดกับอดีต” แล้วฉับพลันทันใด ไอ้บอสก็ดีดตัวขึ้น เล่นเอาผมตกใจถอยกรูดไปหนึ่งช่วงไม้บรรทัด “แม่ง... ทัพ มึงไม่ต้องไปสนหรอกว่าเมื่อก่อนพี่ปริ๊นซ์มันดีแค่ไหน แต่ตอนนี้มันเหี้ย มึงได้ยินกูนี่ มึงก็รู้ มันเหี้ย มันไปนอนกับคนนั้นคนนี้แลกเงิน มึงโอเคจริงเหรอวะ”
“อืม กูไม่โอเค”
“แล้วมันก็ยังทำแบบนั้นกับมึง มึงรับได้เหรอวะ กูบอกว่าจะพามึงไปฉีดยาต้านไวรัส มึงก็ไม่ยอม ไม่กลัวเป็นเอดส์เหรอวะ พี่ปริ๊นซ์เป็นเด็กขายนะเว้ย โธ่เว้ย มึงจะร้องไห้ทำไม”
“เปล่า” สองมือพยายามเช็ดคราบน้ำตา ไม่อยากให้เพื่อนรักเห็น “กูไม่ได้ร้อง”
“ฝุ่นเข้าตามึงเหรอไง”
บอสพุ่งเข้ามากอดผม ลูบหัวด้วยความรักใคร่
“กูไม่ได้ร้องจริง ๆ กูไม่คิดมากแล้ว กูโอเคจริง ๆ”
“เออ กูเชื่อ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ มึงโอเค กูเชื่อว่ามึงโอเค”
“กูไม่รู้สึกอะไรกับพี่เขาแล้วจริง ๆ”
“ทัพ” มีเพียงเสียงกระซิกร่ำไห้ที่ดังแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ “มึงยังรักพี่เขาอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ได้รักแล้ว กูลืมแล้ว กูโอเคจริง ๆ”
เพราะอันที่จริง ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้ความรู้สึกที่เหลืออยู่คืออะไรกันแน่
“ไม่เป็นไรนะมึง มึงยังลืมไม่ได้ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่มึงสัญญาได้มั้ย ว่าจะพยายาม จะถอยห่างออกมา ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นอีกครั้ง ถอยออกมาจนถึงวันที่มึงโอเคกับการที่กลับไปมองพี่เขาได้อีกครั้ง โดยไม่ต้อง...” บอสถอนหายใจออกมา แต่มือก็ยังลูบหลังปลอบประโลมเพื่อนรักต่อเนื่อง “ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีก มึงสัญญาได้มั้ย”
มีเพียงเสียงอือออที่ดังออกมา ใบหน้าที่ก้มต่ำหลบลี้สายตายังซุกลงในฝ่ามือ
“มึงเป็นคนรักษาสัญญามาโดยตลอด อย่าผิดคำสัญญานะ”
“กูสัญญา...”
คำตอบรับที่คลอเคล้าไปกับเสียงร่ำไห้
“ถ้ามึงมีใครสักคนมาแทนที่พี่ปริ๊นซ์ก็คงดีสินะ”
ผมไม่ได้เอ่ยคำใดตอบกลับไป น้ำตายังไหลริน ความอบอุ่นจากอ้อมกอดเพื่อนในห้องนอนชั้นสามของบ้านหลังใหญ่ อันเป็นเพียงห้องเดียวในชั้นที่มีแสงสว่างฉายอยู่
-------------------------------------------------------------
(ต่อด้านล่าง)