<Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019  (อ่าน 13734 ครั้ง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
อยากรู้อาการทัพแล้วตอนนี้เป็นไงมั้ง
คนเขียนสู้ๆ :กอด1:


ผมมาแล้วครับบบบบบบบบบบบ
เอาอาการทัพมาให้ช่วยดูแลละครับ


แล้วก็จะหายไปอีกนานเลย  ขอสอบเสร็จก่อนนะครับ


ขอบคุณมากเลยครับ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 14
ชีวิตต้องก้าวต่อไป


ผมวางกระเป๋าเดินทางอย่างแผ่วเบา ไม่ให้เสียงของมันไปรบกวนรูมเมตทั้ง 3 คน ที่กำลังหลับพริ้มสบาย   คว้าเสื้อกีฬา  เปลี่ยนกางเกง  มัดเชือกรองเท้า  เตรียมออกไปวิ่ง

“เพิ่งมาถึงเหรอ”

เสียงทักเรียกทำให้ผมสะดุ้งตัวโยน  แหงนหลังกลับไปดูอย่างเชื่องช้า  หัวใจยังเต้นแรงจากความตกใจ    รูมเมตคนหนึ่งของผมที่เรียนคณะแพทย์  ตาม   มันกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง   ผมฟูชี้ตั้ง  หน้าตางัวเงีย  ธรรมดาตามประสาของคนเพิ่งตื่นนอน

“อืม”

ผมหันหลังกลับเตรียมออกจากห้อง  ตามลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วร้องทักผมอีกครั้งทำให้ผมหยุดชะงักอยู่กับที่

“กูไปวิ่งด้วยสิ”

ด้วยความไวมหาศาล  ตามเปลี่ยนเสื้อผ้า  บัดนี้กำลังก้มลงผูกเชืองรองเท้าอยู่ข้างผม  เพียงกระพริบตาเดียวตามก็ยืนขึ้นมองหน้าผม   คิ้วยกขึ้นด้วยความฉงนที่ผมยืนค้างนิ่ง   แท้จริงแล้วผมแค่กำลังสงสัย ปนไปกับกำลังสรรหาคำมาทักท้วงเพื่อน  ผมไม่ชอบการวิ่งพร้อมคนอื่น  สะดวกใจกับการวิ่งออกกำลังกายคนเดียวมาตลอด

“ไม่ไปเหรอ?”

“ไปสิ ไปก็ไป”

“เดี๋ยว”

หัวใจผมเต้นแรงด้วยความตกใจอีกครั้ง   เพื่อกลับมาถึงให้ทันวันนี้ซึ่งเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของชั้นปีที่ 2  เมื่อคืนผมจึงนั่งรถทัวร์จากตราด มาถึง กรุงเทพฯ ตอนตี 4   จากนั้นนั่งแทกซี่ต่อยาวมาถึงหอใน  ถือว่าไม่ได้พักผ่อนเต็มที่   ถ้าใครเคยนั่งรถทัวร์ก็จะจินตนาการออกว่า  การนอนหลับบนรถที่โยกสั่นตลอดเวลา  ที่นั่งอันแสนแคบ  มันทรมานและไม่สบายตัวมากเพียงไหน   ดังนั้นคุณภาพการนอนจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผูกเชืองรองเท้าให้ดีก่อน”

“มึง...”

ไม่สามารถทัดทานตามที่กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้ผม  ในใจคิดสะระตะไปสารพัดว่า  ถ้าปฏิเสธมันมากเข้า  แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้   ใจหนึ่งก็บอกตัวเองว่า  เพื่อนธรรมดาเขาก็ทำแบบนี้ให้กัน  อีกใจก็บอกว่า  ไม่เห็นเป็นไรเลย  มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียด   แม้จะรู้อยู่ลึก ๆ ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการให้ความหวังคนอื่น  แล้วก็อาจย้อนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเราและเขา 

“ขอบคุณ”

ผมพูด  ตามยืนขึ้นยิ้ม

ผมทำถูกแล้ว  เพราะต้องคงความเป็นเพื่อนไว้ไง ถ้าโดนรุกหนักมากเข้า  ค่อยหาทางปฏิเสธก็ยังไม่สายหรอกเนาะ ทัพกรณ์ ถามตัวเองอีกรอบ  ก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้รูมเมตรู้ว่า  ผมพร้อมออกไปวิ่งแล้ว

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ไม่ว่าเตียงนอนบ้านม่อนจะใหญ่และนิ่มสบายแค่ไหน  และถึงแม้เครื่องปรับอากาศในห้องจะเย็นและไม่มีเสียงขณะทำงานเลยก็ตาม ผมก็ยังคงนอนไม่หลับ 

ม่อนไม่ได้นอนกรน  จากบรรยากาศทุกอย่าง ผมสมควรถูกหว่านล้อมให้หลับใหลอย่างสบาย  สาเหตุมาจากความรู้สึกสับสนในใจของผม   คำพูดทั้งหมดของม่อนมันหลอกหลอนให้ผมไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวเอง  พลิกตัวซ้าย  ย้อนพลิกกลับมาทางขวา  เอามือก่ายหน้าผาก  ผุดลุกผุดนั่งกี่ที   คำตอบเดียวที่ผมได้รับก็คือ  ผมกัดกร่อนทำร้ายจิตใจเพื่อนรักอย่างตามมาโดยตลอด 

“กูควรทำยังไงต่อดีวะ”

เอามือก่ายหน้าผากแล้วก็คิด  ถ้าทำได้ผมคงคว้าเท้ามาก่ายหน้าผากแล้ว   ทว่าถ้าท่าจะยากขนาดนั้น  ผมเอาเวลาไปคิดวิธีแก้ไขปัญหาน่าจะดีกว่า 

-------------------------------------------------------------

รถกระบะแทบปาดขึ้นฟุตบาธหน้าอาคารสำนักงานในโรงงานของบริษัทผม  การขับรถเสี่ยงอันตรายแบบนั้นสามารถเรียกความสนใจจากพนักงานกะดึกที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ  ให้เหลียวกลับมามองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หัวใจผมยังเส้นรั่วด้วยความกลัวตาย   ผมว่าผมหนีจากสาย 8 แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ ที่ กทม. มาได้แล้วนะ  กลับต้องมานั่งรถด่วนนรกจากยอดชายนายม่อนแทน

“ม่อน กูว่ามึงไปหากาแฟดื่มก็ดีนะ”

ผมมองหน้าเพื่อนที่ดูยังไม่สร่างจากการนอน  หาวฟอดใหญ่  ขยี้ตาอีกหนึ่งรอบ

“เออ”  มันหาวใส่ผมอีกคำรบ  “เดี๋ยวตอนเย็นพาไปกินข้าว  รอกูหน่อยแล้วกันนะ  สักห้าโมง”

“อืม”

ผมลงจากรถเดินเข้าไปทำงานด้วยจิตใจกระสับกระส่าย  เวลาทุกเสี้ยววินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่อีกภาวะความรู้สึกหนึ่ง  ผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัว ช่างหมุนผ่านอย่างว่องไว    ความรู้สึกขัดแย้งแล่นไหลในวังวนการต่อสู้ภายในหัวของผม  ยากเกินกว่าผมจะถอนตัวให้ตื่นขึ้นจากห้วงความคิดนี้   

“ทัพ ... ทัพ”

มือใหญ่กระชากข้อมือผม ที่กำลังถือช้อนแล้วเทข้าวร่วงหล่นลงในจาน   

“ทำอะไรอะ ไม่กินข้าวเหรอน้อง  พี่เห็นตักข้าวแล้วก็เทลงในอากาศหลายรอบแล้วนะ เทตัก เทตัก อยู๋นั่นแหละ”

“ขอโทษครับพี่พิชิต  เมื่อคืนผมนอนน้อย”

“มิน่าละ นอนเยอะ ๆ อย่าเอางานไปทำที่บ้าน ถึงเวลาพักก็พัก  ตอนบ่ายมีประชุมเรื่องสารเคมีนะ ลูกค้าต้องการสเป็กใหม่  เห็นว่าจะลดต้นทุน”

พี่พิชิตตบหลังให้กำลังใจผม  พร้อมบีบนวดหลังให้

“อ้อ ครับ”

ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

“ตลกเนาะ  ไอ้นั่นก็จะเอา  ไอ้นี่ก็จะเอา  แต่อยากได้ของถูก  เรื่องมากวะคนเรา  ไม่เอาสักอย่าง”

“จริงค่ะ พี่พิชิต”

เลขานุการของพี่พิชิต  คุณมนชญา  พูดแทรกขึ้นมา

“คิดดูสิน้องทัพ  อยากได้ของดีมีคุณภาพ  แต่ก็ไม่ยอมแลกกับอะไรที่แพง  ดู ๆ ไปมีแต่ฝั่งเราที่ขาดทุนเนาะ  เหมือนถูกหลอกใช้เลย”

หลอกใช้เหรอ....

เหมือนที่ผมหลอกใช้ตามมาโดยตลอด

“หลอกใช้....”

“หน้าซีดนะน้องทัพ ไปพักมั้ย”

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับพี่มน”  โทรศัพท์มือถือของผมกรีดร้องโหยหวนขึ้นมา  “ผมขอตัวนะครับพี่ ๆ”

/////////////////////

“ไอ้ทัพ มึงไปทำอะไรมาวะ”

“ทำไม พี”

ผมพูดกลับฝ่าเสียงโวยวายของทนายฝีปากกล้า  และตัดสินใจว่า แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วน่าจะดีกว่า

“ก็อยู่ ๆ ตามก็โทรมาหากูแต่เช้า  ถามว่าโรงงานที่มึงทำงานอยู่ไหน  มีอะไรวะ  น้ำเสียงมันดูร้อนรน”

“ไม่มีอะไรนี่  มันจะมารับกูไปกินข้าวไง”

“โกหก”

“.................”

“นั่นไง มึงเงียบแบบนี้ โกหกแน่”

“มึงพูดอะไรนะพี  โรงงานกูเสียงดัง กูไม่ค่อยได้ยิน”

“ไม่ต้องมาไขสือไอ้ทัพ  ถ้ามันจะมารับมึงไปกินข้าวจริง  มันก็ถามที่ตั้งโรงงานจากมึงก็ได้  ไม่เห็นต้องถามกู  จริงมั้ย”

“...................”

“โอเค มึงไม่ตอบ แสดงว่า ใช่  มึงลองสัญญากับกูมาสิ ว่ามึงไม่ได้โกหก กล้ามั้ยละ?”

คำสัญญา ก็คือ คำสัญญา  ถ้าให้ไม่ได้  ผมก็จะไม่ทำ  การเงียบจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด  พีซึ่งคบกับผมมานานก็รู้จักผมในจุดนี้ดี

“เห็นมั้ย  ยิ่งมึงไม่กล้าให้คำสัญญากับกู  แล้วการที่กูถามมันว่ามีอะไร  แต่มันรีบ ๆ วางหูใส่กู  ก็ยิ่งชัดว่ามีปัญหาเกิดขึ้น  หรือไม่จริง”

“...................”

“เงียบอีกรอบ แสดงว่าใช่”

“มึงไปทำอะไรกันมา”

“......................”

“ทะเลาะกันเหรอ  คุยกันดี ๆ สิ  มีเหี้ยอะไรก็คุยกันก่อน   เราไม่ใช่เด็กกันแล้วนะทัพ   ต่างคนต่างมีงานของตัวเอง จะให้มาตามง้อตามงอนแบบสมัยก่อนไม่ได้แล้วนะ  ทำอะไรพลาดลงไปอาจหมายถึงตัดเพื่อนกันเลยนะเว้ย”

ตัดเพื่อนเหรอ...

หรือจะเป็นวิธีการที่ดีสุดเหมือนดังที่ม่อนบอก

ผมรู้สึกถึงความเจ็บในอุ้งมือที่กำลังกำสนิทแน่นด้วยความโกรธของผม  เล็บยาวที่ยังหาโอกาสตัดให้สั้นไม่ได้กำลังจิกเนื้อ ทำลายฝ่ามือผมอยู่

“หยุดพูดเหอะพี”


ผมพยายามระงับอารณ์โกรธที่พลุ่งพล่าน  ผมไม่ได้โกรธพี  ผมโกรธตัวผมเอง  และโกรธมากยิ่งขึ้น  เมื่อถูกตอกย้ำสิ่งที่ผิดพลาดนั้นอีกครั้ง

“ทำไมวะ  มึงคุยกันดี ๆ ดิ  มึงก็รู้ว่ามันตามจีบ เทียวไล้เทียวขื่อ  มึงมาตลอด   ยอมได้ก็ยอม  ยังไงก็เพื่อนกัน  ไม่งั้นมึงก็ปฏิเสธไปตรง ๆ ซะทีสิ  จริงมั้ย”

ใช่  ผมไม่เคยปฏิเสธตามตรง ๆ เลยสักครั้ง

ผมมันโง่เองที่ปล่อยให้เรื่องราวแบบนี้  ดำเนินมายาวนานหลายปี

“เห้ย พี”

ผมตวาดดังลั่นด้วยความโกรธแค้นตัวเอง พีเงียบเสียงลงไปทันที

“กูบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ  มึงจะมาสอบสวนกูเหมือนมึงกำลังถามจำเลยหรือซักถามพยานบนชั้นศาลไม่ได้นะ  กูเพื่อนมึงนะ”

“เห้ย กูขอโทษ”

เสียงมันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“อย่างที่มึงบอกไง  ต่างคนต่างมีงานของตัวเอง  ดังนั้นกูขอโทษนะที่ต้องเสียมารยาท  แต่แค่นี้นะ  กูต้องทำงาน”

“เห้ย ทัพ กูขอ...”

“สวัสดี”

ผมกดวางหูทันที  ความโกรธยังคุกรุ่นในหัว   ท้ายที่สุดผมก็ตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรทำเช่นไรต่อ

-------------------------------------------------------------

“ทัพ  ประชุมเสร็จกี่โมงวะ”

“เนี่ย ประชุมอยู่  กูออกมาคุยกับมึงเลย”

“เออ รอได้”

“ม่อน  กูตัดสินใจแล้วนะเรื่องตาม  กูจะทำตามที่มึงแนะนำ”

“อืม ดี  ค่อยคุยกันนะ  กูใกล้ถึงแล้วนะทัพ  มึงไม่ต้องรีบ กูรอตรงแถว ๆ ที่กูส่งมึงเมื่อเช้าแหละ”

“โอเค เจอกันเพื่อน”

ผมวางหูแล้วรีบเข้าห้องประชุม   ครึ่งชั่วโมงถัดมา  ผมกำลังเก็บของที่โต๊ะทำงาน  ม่อนก็ไลน์บางอย่างมา

“มึงเชื่อใจกูนะ  พอออกมา กูทำอะไรอย่าขัด  เล่นตามน้ำไปนะ”

ผมเดินอ่านข้อความไป   คำถามมากมายผุดคิดมาในหัว  ทว่าผมก็เลือกที่จะไม่ส่งข้อความใดถามกลับม่อนไป   ได้แต่คิดหาวิธีการต่าง ๆ ในการจัดการเรื่องตาม   จนเดินมาถึงหน้าประตูสำนักงาน

“ทัพ  คือ กู....”

คนที่ผมกำลังคะนึงถึงตลอดวันได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าผม   ใบหน้าร้อนรนกระวนกระวาย  เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“พอเลยคุณหมอ  กลับไปรักษาคนไข้เหอะ  อย่ามายุ่งกับแฟนผม”

แฟน... แฟนเหี้ยอะไรวะ

“คุณอย่ามาโกหก  แฟนอะไรกัน  ทัพไม่เคยมีแฟนมาก่อน  ถ้าทัพจะเคยมีก็ต้องมีแค่...”

แล้วมันก็เงียบเสียงไปทันที   เรื่องของขวัญวันเกิดของตาม  ที่ผมยอมเป็นแฟนกำมะลอหนึ่งวันเต็มให้มัน  ตอนปี 3  เป็นข้อตกลงที่เราสองคนให้ความเห็นตรงกันว่า  จะให้มันตายไปพร้อมกับเราสองคนเท่านั้น

“เอ้า คุณหมอ ฟังไม่ชัดเหรอ  ผมกับทัพนะ  เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก”  แล้วม่อนก็เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับตาม 

“ตอนนั้นยังไม่มีคำว่ากิ๊กเลย  แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าเรากิ๊กกันมาตั้งแต่ตอนนั้น”

“แฟน แล้วไง  ผมจะคุยกับทัพ”

“ผมไม่ให้คุย”

ศึกชิงนาง เอ๊ย นาย ย่อม ๆ เกิดขึ้นตรงข้างหน้าผม

“งั้นคุณลองถามทัพสิ”

“ทัพ  ทัพกับคนนี้”  ตามชี้ไปทางม่อน  “เป็นแฟนกันจริงเหรอ”

“......................”

“ตอบไปเลยทัพ”

เสียงหัวใจผมเต้นดังตึก ตึก ตึก  แล้วผมก็เลือกที่จะตอบว่า

“อืม...”

“เป็นไงละ”

หน้าตามถอดสีทันทีที่คำว่า อืม หลุดออกจากปากของผม

“คุณหมอกลับไปรักษาคนไข้เถอะครับ อย่ามายุ่งกับแฟนผมเลยดีกว่า”  ม่อนโอบไหล่ผม มองกลับไปทางตามอย่างท้าทาย  “หรือผมต้องจูบโชว์  หมอถึงจะเชื่อ”

“ทัพ...”

“หมอจะปรับความเข้าใจอะไรกับมัน  ผมพอเข้าใจนะ  แต่จะมายุ่มย่ามแบบที่หมอเคยทำสมัยเรียนไม่ได้หรอกนะ  ทัพเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”

“นี่มันอะไรกันเนี่ย  กูงงไปหมดแล้วนะทัพ”

“ไม่เห็นต้องงงนี่หมอ  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  หมอก็เป็นเพื่อนกับทัพมาตลอด  ก็แค่เป็นต่อไป  ทำหน้าที่เพื่อนของหมอให้ดีก็พอ  ไม่ต้องหวังมาข้ามขั้น  อะไรทั้งนั้น”

“ทัพ  เรื่องเมื่อวานกูอธิบายได้”

“หมอก็เรียนเก่ง  ทำไมเข้าใจอะไรยาก”

“มึงอย่าเสือกได้มั้ย”

“เอ้า ไอ้หมอ กูพูดดี ๆ กับมึงแล้วนะ  มึงเริ่มก่อนนะ”

ผมดึงแขนม่อนไว้   จากนั้นเลื่อนมืออย่างเชื่องช้าจนสัมผัสมือกร้านแข็งของม่อน ค่อย ๆ ประสานนิ้วทีละนิ้ว  ม่อนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย  หันมามองหน้าผมแวบหนึ่งพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ  แล้วม่อนก็กุมประสานนิ้วผมกลับมา

ตามมองพฤติกรรมดังกล่าวด้วยความเคียดแค้นขบเคี้ยวฟัน 

“ถ้ามึง  อยากจะอธิบายเรื่องผู้หญิง  ไม่ต้องอธิบาย  กูไม่ได้หึงมึง  อย่าสำคัญตัวเองผิดไป”

“กูไม่ได้จะมาอธิบายเรื่องนั้น  กูจะอธิบายเรื่องที่กูไม่รับโทรศัพท์”

“มันต้องอธิบายอะไรเหรอ   มึงเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน  กูก็ไม่มีสิทธิโกรธอะไรอยู่แล้ว   แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ก็แค่ช่วยรับโทรศัพท์แล้วบอกกูสักนิดว่าไม่สะดวก  อย่าให้กูต้องรอ”

“ที่กูทำแบบนี้  เหตุผลคือ....”

“พอ” ผมตะโกนใส่  เสมือนทุกอย่างรอบตัวเราพลันเงียบลงกะทันหัน  แม้แต่ม่อนที่ยืนกุมมือข้างผมก็ยังสะดุ้งตกใจ  “กูพอแล้ว  มึงรู้มั้ยไอ้ตาม  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ที่กูทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ไม่พูดกับมึงตรง ๆ  เวลามึงมาคอยไล่จีบกู  เล่นมุกเสี่ยว ๆ น่ารำคาญ  ก็เพราะกูเชื่อว่ามึงคิดได้ สักวันมึงต้องคิดได้  เพราะกูก็แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น   แต่มึงก็ทำเป็นบ้าใบ้  ไม่สนใจอะไรเลย”

ผมหยุดหายใจเล็กน้อย

“เพราะความเป็นเพื่อน  มันทำให้กูยังไม่อยากพูดบอกไป  แต่ด้วยความสัตย์จริงเลยวะ  กูรำคาญ  โคตรรำคาญเลย  มึงแม่งเหมือนแมลงหวี่ที่สร้างความรำคาญไม่รู้จักสิ้นสุด  พอกันที   ณ ตอนนี้  ทุกอย่างก็พิสูจน์แล้วว่า แม้แต่ความเป็นเพื่อน  กูก็ให้มึงไม่ได้”

ผมเดินล้ำหน้าเข้าไปยืนประจันหน้ากับตาม  ที่ก้มหน้าหลบสายตาผม

“เลิกยุ่งกับกู  กูไม่เคยมีเพื่อนอย่างมึง”

ม่อนกระชับมือแน่นมากขึ้น

“ไปเหอะทัพ  เราหิวแล้วอะ”

มันเอามืออีกข้างที่ยังว่างจับแก้มผมเบา ๆ  หยิกด้วยความรัก  ผมเดินไปตามแรงจูงของม่อน 

“อย่าหันไปมอง”

ม่อนกระซิบอย่างแผ่วเบา   ผมกลั้นใจที่จะไม่ชายตาไปมองด้านหลัง

“เออ  หมอ  ถ้าหมอลำบากใจกับความรู้สึกมาก  ก็เลิกคบเลิกยุ่งกับแฟนผมไปเลยก็ได้นะ  ถ้าความเป็นเพื่อนเติมเต็มความรู้สึกหมอไม่ได้  ก็ทำใจซะ  ฮะฮ่า”

เสียงตะโกนของม่อนก้องไปทั่วบริเวณ   ผมยังไม่หันกลับไปมอง  ทุกอย่างดูล่องลอยไปหมด  ตอนนี้ผมได้แต่มองทะลุผ่านฟิล์มดำกระจกรถ   ตามยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าเดิม  ไหล่งองุ้ม  ก้มหน้า  และไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด

“มึงจะโกรธกูเปล่าวะ  แต่กูว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”

“ไม่หรอก  กูต้องขอบคุณมึงต่างหาก”

“มึงรุนแรงมากเลยวะทัพ  แล้วมึงโอเคแน่นะ”

“โอเคดิ  ถ้าลำพังกู  คงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก”

รถเลี้ยวออกมา  ภาพตามหายไปจากวิสัยทัศน์ของผม  ผมกำลังเอี้ยวคอไปมอง

“มึงอย่าหันไปมองเลย  จะทำใจลำบาก”   ผมถอนหายใจ มองไปข้างหน้าอีกครั้ง  “จริง ๆ กูก็ไม่นึกว่าเขาจะตามมาง้อมึงถึงโรงงาน  พอกูเห็นเขายืนรออยู่  กูก็เข้าไปหาแล้วคุยกับเขาตรง ๆ    สงสารวะ   ตอนกูบอกว่ากูขอคบกับมึงแล้ว  หน้าของมันยังกับเห็นญาติผู้ใหญ่ตาย”

“อืม”

“เอานะ  อย่างน้อย มึงก็ไม่ต้องคิดจนหัวแตกแล้วไง  ว่าต้องทำยังไงดีกับเพื่อนคนนี้  มันคงหายไปอีกสักพักใหญ่เลยแหละ”

“อืม”

“อย่าแค่อืมดิวะ  หรือมึงอยากบอกความจริงก็ทำได้นะ   แต่รอเวลาหน่อยแล้วกัน”

“เห้อ”  น้ำตาเริ่มคลอที่หางตา “กูตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ยวะม่อน”

“ดีแล้วเพื่อน  ชีวิตต้องก้าวต่อไป  หมอก็เช่นกัน  กูเชื่อว่ามันจะก้าวต่อไปในที่สุด”

ผมไม่รู้หรอกว่าชีวิตผม ชีวิตตามจะก้าวต่อไปได้ไหม  แต่อย่างน้อยรถกระบะของม่อนก็ยังพาผมก้าวไปได้ในวันนี้   อย่างน้อยที่สุดวันนี้   ผมก็ไม่ได้ย้ำอยู่กับที่เพื่อซ้ำเติมทำร้ายเพื่อนที่ผมรักและรักผมอีก

-------------------------------------------------------------

อย่างที่ม่อนกล่าว  ชีวิตต้องก้าวต่อไป   วันเวลาก็ต้องผ่านเลยไป จนถึงคืนสุดท้ายของการมาทำงานที่โรงงานระยองในรอบเดือนนี้

เวลาที่ผ่านไปช่างเงียบสงบ  ไร้เงาของตาม   มากไปกว่านั้นม่อนยังมากินข้าวกับผมทุกเย็น  เสมือนเป็นไม้กันหมาในกรณีที่ตามอาจเปลี่ยนใจมาตามง้อผมอีก   

คืนนี้ก็เช่นกันเราสองคนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน  แต่ผมอยากเมา  อยากฉลองให้กับก้าวใหม่ของชีวิต  ผมและมันจึงเลือกไปที่อโคจร ณ ผับแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง

“คนแน่นสัด  มึงอย่าไปไหนไกลนะ  กูขอไปทักเพื่อนกูแปบ”

“เออ”

ผมตะโกนฝ่าเสียงเพลงที่เปิดดังลั่นสนั่นร้าน

ม่อนเดินจากไปทักเพื่อนของมัน  ทิ้งผมนั่งตรงเคาน์เตอร์กระดกเบียร์จรดปากเพียงลำพัง

“สวัสดีครับ  มาคนเดียวเหรอครับ”

ชายหน้าตาดีคนหนึ่งชูขวดเบียร์เป็นการทักทาย  เดินเข้ามาข้างผม  และหย่อนตัวลงนั่ง

“ไม่ครับ มากับเพื่อน”

“แล้วตอนนี้ “เพื่อน” ไปไหนแล้วละครับ”

เขาย้ำคำว่าเพื่อนดังมาก จนผมรู้สึกผิดสังเกต

“เห็นว่าไปหาคนรู้จักนะครับ”

“อ้อ  ผมนั่งด้วยนะครับ”

จะถามทำไม ในเมื่อนั่งลงไปแต่แรกแล้ว

“ครับผม” 

ผมยิ้มกลับตามมารยาท 

“อีกสักขวดมั้ยครับ  ผมเลี้ยงเอง”

“ของฟรี  ผมไม่รังเกียจอยู่แล้ว”

แล้วของฟรีหลายต่อหลายขวดที่ตอนนี้เหลือเพียงขวดเปล่า  ก็วางกองตรงหน้าผมที่เริ่มจะเมามายไม่ได้สติ

“เห้ย  ทัพ  ทำไมเมาแบบนี้วะ”

ม่อนกลับมาหลังจากนั้นราวหนึ่งชั่วโมง

“ไม่เมา  เอาอีก”

มันพยายามเข้ามาประคองผม  แต่ก็ถูกผมสะบัดออกไป

“นี่กินไปกี่ขวดแล้วเนี่ยมึง”

“ไม่รู้วววววว จะเอาอีก”  ผมหันไปทางชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกัน  ราวกับว่าเราสนิทกันมานาน  อันที่จริงเขาชื่ออะไรผมยังจำไม่ได้เลย  “เอาอีกขวดได้มั้ย”

“ได้สิทัพ  แต่ต้องไปต่อกับผมนะ สัญญาแล้วนะ”

“ไปสิ ไป”

ผมเอานิ้วก้อยยื่นให้เขาเพื่อทำสัญญา  ผมชอบการรักษาสัญญา  มันทำให้ชีวิตเราดูมีค่า  มากกว่าพูดไปวัน ๆ  ชายคนหนึ่งกำลังยื่นเอานิ้วก้อยของเขามาคล้องเกี่ยวกับผม  ทว่าม่อนก็เข้ามาปัดอย่างรวดเร็ว

“เห้ย พอ ไอ้ทัพ  มึงพอเลย  จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น”   แล้วผมก็เลื้อยตัวจนลื่นไถลเกือบหลุดจากหน้าบาร์ “เห้ย ระวัง  คุณทำอะไรเพื่อนผมเนี่ย”

“ผมเปล่านะ  แค่เลี้ยงเบียร์”

“แน่ใจนะว่าแค่นั้นอะ”

“แน่ใจสิ  แต่ที่แน่ ๆ  เพื่อน คุณนะ  ตกลงจะไปต่อกับผม”

“ก็บอกแล้วไง  ไม่มีใครไปต่อไหนทั้งนั้น  ไม่ให้ไป”

“เป็นแค่เพื่อน  ทำไมเยอะจังเลยวะ  ไม่ได้เป็นแฟนซะหน่อย”

“แล้วไง  ก็นี่เพื่อนกู  กูห่วง  มีปัญหามั้ย”

“มี  กูต้องได้คืนนี้”

“ไม่เว้ย”

ม่อนกำขวดเบียร์ในมือแน่น   

“เห้ย มีอะไรวะม่อน” 

เสียงรอบตัวที่ผมได้ยินเริ่มพร่าเลือนลง 

“ไอ้พวกนี้อะดิ  จะซิวเพื่อนกู”

“เอ้า  หมาหมู่หรอมึง  อย่าคิดว่ามึงมีเพื่อนฝ่ายเดียว”

ได้ยินเสียงกระแทกดังลั่นไปทั่ว  เสียงนั้นตัดสลับกับเสียงเพลงที่ดีเจเปิด  ผมได้ยินเสียงร้องแหลมของใครบางคน    ความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงเวลาฝัน  จากนั้นก็มีความรู้สึกเจ็บ  เจ็บมาก  ความรู้สึกเจ็บบริเวณกระพุ้งแก้มแล่นไปทั่วใบหน้า  ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดกระจายคลุ้งไปทั้งปาก 

แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย 

..........
....
..
.
.
.
.
.



กี่โมงแล้วก็ไม่รู้ที่ผมรู้สึกสับสนอลหม่าน  แล้วผมก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาบนรถยนต์คันหนึ่ง

เงาของคนขับช่างคุ้นเคย

“เอ้า ตื่นแล้วเหรอทัพ”

“พี่ปริ๊นซ์”

เสียงแอร์จากคอนโซลหน้าดัง  ลมเย็นลอยปะทะหน้าผมจนสร่างเมา

“อืม พี่เอง” 

รอยยิ้มยิงฟันขาวของพี่ปริ๊นซ์ ยิ่งยืนยันว่าเป็นตัวจริง

“พี่มาอยู่นี่ได้ไง”

“ก็มีสายรายงานไง  ว่าเราซ่า  ไปให้ใครที่ไหนไม่รู้มอมเหล้าจนเกือบจะโดนลากไปโรงแรมแล้ว  ถ้ามันปลดทรัพย์เราจะทำไงเนี่ย”   พี่ปริ๊นซ์ขยี้หัวผมด้วยความเอ็นดู   “นี่พี่ต้องภูมิใจหรือเปล่าเนี่ย  ผู้ชายตั้งหลายคนวุ่นวายกันทั้งระยองแล้วมั้งเนี่ย”

“เออ  ผมงงครับ”

“ไม่ต้องงง ว่าง ๆ พี่ค่อยเล่าให้ฟัง”

“ครับ”

ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง  ผมกำลังอยู่บนทางด่วนบูรพาวิถีขาเข้ากรุงเทพฯ  ฟ้ามืดสนิท  เสี้ยวจันทร์ลอยอยู่ไกลจวนลาลับจากท้องฟ้า

“เออ ทัพ”

“ครับ?”

“เหนื่อยมั้ยทำงานนะ”

“ไม่นะครับ ก็ปกติดี”

“อีกไม่กี่เดือนก็จะวันเกิดเราแล้ว  อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ไม่อะครับ  แก่แล้ว ไม่อินอะ”

“ฮ่า ๆ ดี ไม่เปลือง”

“เอ้า พี่ปริ๊นซ์  จะซื้อก็ซื้อ”

ผมกระเซ้านิดหน่อย  เอามือไปแตะแขนสารถีด้วยความพิศวาส  แล้วก็เปลี่ยนเป็นมนุษย์นิ้วชี้และนิ้วกลางที่เดินไต่อยู่บริเวณแขน

“พี่จั๊กจี้”

“ชอบมั้ยละ”

“ชอบสิ นี่ทัพ”

“ครับพี่”

“เวลาเราต้องการอะไร  ก็บอกมาตรง ๆ สิ  ปากนะ ตรงกับใจหน่อย”  ผมก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “ถ้าเรามัวแต่เหนียม มัวแต่รอให้อีกฝ่ายคาดเดา  เราอาจจะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงนะ”

“.......ครับพี่”

“อืม”

“อื้มมม เข้าใจแล้วไง”

“ดีมาก”

“ครับพี่”

“หนาวมั้ยทัพ”

“นิดนึงครับ”

มือใหญ่ของพี่ปริ๊นซ์ปรับเพิ่มอุณหภูมิ  แล้วก็เอามือมาลูบแก้มผม

“ดูสิ  โดนลูกหลงจนหน้าบวม”

ผมเอามือจับแก้มตัวเอง ก็ต้องสะดุ้งโหยง  นี่คงเป็นที่มาของกลิ่นคาวเลือดในปาก

“วันหลังอย่ากินของใครฟรี ๆ อีกนะ”

“ครับ”

“ทัพ”

“ครับ”

“เป็นแฟนกันมั้ย”

“................”

“ได้ยินไม่ชัดเหรอ”  พี่ปริ๊นซ์เอานิ้วถูจมูกแดง ๆ ของตัวเองเล็กน้อย  “เป็นแฟนกันมั้ย  พี่เขินนะ รีบตอบดิ”  มือของพี่ปริ๊นซ์กำพวงมาลัยรถแน่น 

ทุกอย่างเงียบสงบ  เสมือนเวลาหยุดเดินอีกครั้ง  เสียงม่อนลอยมาแต่ไกล  แว่วก้องอยู่ข้างหู

“ชีวิตต้องก้าวต่อไป”


ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

ผมไม่รู้หรอกนะว่า “ความฝัน” มีลักษณะนามว่าเช่นไร  แต่สำหรับผม  ผมให้นิยามว่า “ลูก”  เพราะความฝันของผมเสมือนลูกโป่งที่สวยงาม  บางลูกก็สามารถคว้าจับได้  บางลูกต้องแขวนไว้ใกล้ตัว ดูกี่ครั้งก็ยังสวยงาม  แต่บางลูกจะสวยและงดงามได้  เมื่อมันลอยเด่นบนท้องฟ้า  บางลูกแค่เพียงคิดจะเงยหน้าขึ้นมอง  ยังรู้สึกว่าเราไม่คู่ควรกับมัน  กลายเป็นเราริอ่านใฝ่ปองของสูง

เมื่อลูกโป่งแห่งฝันลูกนั้น ลูกที่สูงเกินเอื้อมถึงมาตลอด ได้ลอยมายังพื้นดินให้ผมคว้าจับได้

เมื่อความจริงและความฝันเคลื่อนมาบรรจบกัน

ภาพที่เคยเบลอเลือนรางก็กลับคมชัดขึ้น

ผมเข้าใจแล้ว ที่คนเปรียบเทียบว่าแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ คืออะไร 

ถ้าผมกำลังเดินกระหายน้ำท่ามกลางทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา    จะผิดไหม  ถ้าเมื่อเจอโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์ แล้วผมจะเลือกอยู่ที่นั่นไปชั่วชีวิต

-------------------------------------------------------------
จบบทที่ 14



ผมห่างหายไปนาน  เพิ่งสอบมิดเทอมเสร็จสัปดาห์ก่อน  เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสักครู่เลยครับ

รบกวนติชมด้วยนะครับ อิอิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะ

ต้องการกำลังใจในการลุ้นคะแนนมิดเทอม


 :impress2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2018 19:06:14 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
บรรยายความรู้สึกไม่ถูกเลย  :hao5:
สงสารตามง่ะ เข้าใจว่าต้องตัด แต่ใช้วิธีที่เจ็บปวดที่สุดเลย  :sad4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 15
เบญจเพส


“เป็นแฟนกับกูนะทัพ”

การถูกขอเป็นแฟนครั้งแรกในชีวิตของผมเกิดขึ้นที่โรงอาหารหอใน   

ไอ้หมอยุงลายกำลังทำให้ผมยืนอึ้งอยู่หน้าร้านข้าวเบอร์ 5  ด้วยการคุกเข่าลงกับพื้น ตั้งขาข้างหนึ่งชันขึ้น ท่าเดียวกับที่ผู้ชายใช้ขอแต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรัก  ในมือของมันยื่นวัตถุสิ่งหนึ่งที่อนุมานอย่างโลกสวยได้ว่าเป็นแหวน   เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบแหวน  แต่สำหรับไอ้หมอยุงลาย  มันยื่นจานฝรั่งให้ผมเนื่องจากฝรั่งเป็นผลไม้ที่ผมชอบมากที่สุด 

“มึงเมาเหรอวะตาม”

“กูพูดจริงนะ”

“ไปมีน”  พีดุนหลังมีนให้เดินไปข้างหน้า  “เราไม่ควรอยู่เป็น ก ข ค ของเพื่อน ๆ เรา ”

“แต่กูอยากดูอะพี”

“ไปมีน ไป”

แล้วพีก็ลากมีนที่ดูสนใจว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปออกไปจากบริเวณนั้น
   
สาเหตุที่ตามทำตัวประหลาดแบบนี้ก็เพราะสิ่งที่ไอ้พีกระซิบกระซาบกับมันบนห้องแน่ ๆ  ถ้าการเรียนปี 2  จะทำให้มึงว่าง จนมีเวลามาสอนเรื่องพิเรนทร์ ๆ ให้ไอ้ตามทำแบบนี้นะ  คิดแล้วก็กำมือด้วยความเคียดแค้น   แล้วอันที่จริงผมไม่เชื่อหรอกว่าพีไม่อยากเป็น ก ข ค  มันก็คงอึ้งเหมือนผม  เพราะคงไม่คิดว่าไอ้หมอยุงลายจะบ้ายุทำตามที่มันบอก   หรือไม่มันก็อาจจะอายเกินกว่าจะยืนเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่นิสิตหอพักหลายร้อยคนที่กำลังร่วมเป็นสักขีพยานของการขอเป็นแฟนที่สุดจะอุตริของไอ้ตามก็เป็นได้

“มึงลุก”  และใช่ ผมก็เช่นเดียวกัน  ผมเริ่มอายแล้ว  “ลุกสิไอ้ตาม ลุก”   คนเดินไปมาต่างมองมาที่พวกเราสองคน  หลายคนเก็บอาการอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่  ถึงขั้นมายืนมุงรอบ ๆ ราวกับล้อมดูเหตุการณ์ผัวเมียตีกัน

“กูไม่ลุก จนกว่ามึงจะตอบกู”

“ตอบอะไร”

“เป็นแฟนกันะ”

“ไม่”

“เห้ย” มันผุดลุกขึ้นยืนทันใด จนฝรั่งร่วงตกลงพื้นไปหลายชิ้น “มึงไม่ลองนิ่งคิดสักสองสามวินาทีเลยเหรอวะ”

“เอ้า ก็มึงบอกว่าถ้ากูตอบ มึงก็จะลุกไง นี่ไง ลุกแล้ว”

“เห้ย สรุปว่ายังไงเป็นแฟนกันมั้ย”

ตามเร่งฝีเท้าเดินตามผม  ที่อยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีออกจากโรงอาหาร  สุดท้ายก็คิดได้แค่อยาก  เพราะความหิวมันมากกว่าความอาย  ก็เลยต้องแบกหน้าเข้าไปสั่งข้าวที่หน้าร้าน 5 

“เพราะกูไม่ล่ำเหรอวะ  หรือเพราะอะไร  ไหนตอบสิ”

“ไม่รู้  กูหิวข้าว”

ผมยังเลี่ยงตอบคำถามมันเสมอ  เหมือนที่เคยทำมา

“กูเลี้ยงเอง”

“ไม่  มึงแดกแกงจืดเต้าหู้หมูสับอันจืดชืดของโปรดมึงต่อไปเหอะ”

“เห้ย อร่อยนะเว้ย  งั้นกูกินเผ็ดด้วยก็ได้”

“มึงจะกินเผ็ดได้เหรอวะ”   ผมหันไปถามมันด้วยความฉงน  แล้วสั่งแกงเผ็ดเป็ดย่างกับคั่วกลิ้งหมูราดข้าว  “แค่กินแกงส้ม หน้ามึงยังแดงยังกับเป็นไข้”

“ได้ดิ กูต้องฝึกกิน จะได้กินข้าวกับมึงได้”

“แล้วแต่”

ผมรับจานข้าวเดินหนีออกมา

“เอาแบบคนเมื่อกี้อีกจานครับ”   มันสั่งอาหาร  เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ผมได้ยินก็คือ  “พี่ครับ  ผมขอแตงกวาด้วยได้มั้ย เอาไว้ดับเผ็ดอะ”

ผมส่ายหัวหนึ่งที  เขี่ยพริกจากโถน้ำปลาพริกราดลงข้าว  หยิบช้อนส้อมมาหนึ่งคู่ใส่จานของตัวเอง  ไม่ลืมหยิบอีกคู่มาเผื่อตาม    หลังจากตามซื้อข้าวเรียบร้อยก็เดินมาทางผม

“เอ้า ช้อนส้อม”

“ขอบคุณนะทัพ   แล้วสรุปว่า.... เป็นแฟนกันมั้ย”  มันหยุดหายใจ “ไม่ได้เหรอวะ”

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

“ว่าไงอะ ทัพ... เป็นแฟนกันมั้ย” 

เสียงเครื่องปรับอากาศรถจากคอนโซลหน้าดังสะท้าน  ดึงให้ผมหลุดจากภาพอดีต  แต่ถึงแม้เสียงจะดังแค่ไหนก็ไม่สามารถกลบเสียงหัวใจเต้นดังจากอกพี่ปริ๊นซ์ได้

“นานจัง  พี่เริ่มกลัวแล้วนะ”

“โอ๊ย เจ็บ”

“ฮะฮ่า กี่ขวบแล้วเนี่ย นี่ไม่ใช่ฝัน  เอานิ้วไปจิ้มแผลที่ถูกชกทำไมเนี่ยทัพ”

มือใหญ่ที่เคยกุมเกียร์รถ  เคลื่อนมาสัมผัสแก้มที่บาดเจ็บของผมอย่างนิ่มนวล  แล้วมืออันไม่อยู่สุขของพี่ปริ๊นซ์ก็เลื่อนมากุมมือผมไว้

“ก็... ผมตกใจอะพี่”

แต่ผมก็ปล่อยให้เขากุมมือผมนะ

จันทร์เสี้ยวใกล้ลับขอบฟ้า  ตอนนี้เราเข้าเขตกรุงเทพฯ แล้ว

“สรุปว่า ยังไงดีน้า”

ผมเขินอายและรู้สึกรุ่มร้อนไปทั้งตัว  จึงเลือกเปิดกระจกรถเพื่อให้ลมแรงพัดเข้ามาดับคลายความรู้สึกอลหม่านนี้

“ทัพ  เดี๋ยวป่วยนะ”

“ทัพไม่กลัวแล้ว ถึงทัพจะป่วย  ทัพก็เชื่อว่าจะมีคนดูแลใส่ใจทัพ”

“ทัพ...”

“ทัพเชื่อว่า  แม้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต”  ผมยื่นมือออกไปรับลมเย็น  เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเพราะอาจเป็นอันตรายถึงขั้นทุพพลภาพได้ แต่ตอนนี้สติผมไม่สมประกอบแล้วล่ะครับ  “จะหนาวจะร้อนแค่ไหน  ก็ยังมีคนคนนั้นอยู่ข้างผมเสมอ”

“อืม”

มืออุ่นกระชับจับแน่นขึ้น   รอยยิ้มละมุนถูกส่งมาให้ผม แม้เพียงเป็นภาพวงหน้าแค่เสี้ยวเดียวด้านซ้ายมือก็ตาม ผมก็รับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นมหาศาลที่แผ่ประกายออกมาได้

“ทัพมีความสุขจัง   ผมมีความสุขที่สุดเลย”

ผมรื่นเริงเกินไปหรือเปล่า  พี่ปริ๊นซ์จะมองผมยังไงเนี่ย

“ไม่เอาสิ  อย่าแทนตัวเองว่า ผม  แทนตัวเองว่า ทัพ  น่ารักดี”

“ครับ พี่ปริ๊นซ์”  ผมถอนหายใจหนี่งเฮือก ก้มหน้าดูมือที่กุมประสาน  “พี่รู้มั้ย  ทัพคิดมาตลอดว่าพี่เป็นเหมือนเจ้าชาย  เพราะพี่ชื่อปริ๊นซ์ด้วยแหละมั้ง  พี่เป็นเจ้าชายของผม  ที่คอยขี่ม้าขาว เข้ามาปกป้องทัพทุกครั้งที่ถูกอันธพาลรังแก”

ภาพความทรงจำในวัยมัธยม  ย้อนกลับมาอีกครั้ง   มือบีบกลับเสมือนอยากส่งผ่านทุกความรู้สึกที่มีในใจให้แก่ฝ่ายตรงข้าม

“ถึงพี่จะชอบแกล้งทัพตลอดก็เถอะ”  ผมมองพี่ปริ๊นซ์อีกครั้ง  รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้า  “ทัพยังเคยคิดเลยนะ  ว่าต้องหาทางแก้แค้นพี่ให้ได้”   

ผมขำออกมาดัง ๆ

“แต่ทัพก็ยังมองพี่เป็นเจ้าชายเสมอนะรู้มั้ย   แต่ทุกครั้งที่ทัพมองตัวเองในกระจก   เห้อ  ทั้งอ้วน  ทั้งใส่แว่น  หน้าก็พัง  แถมผิวคล้ำดำ  ดูต่ำเตี้ยเรี่ยดิน  ยังไงก็ไม่รู้”

“บ้านะทัพ  พี่ก็ไม่ได้ขาวนะ”

พี่ปริ๊นซ์เป็นคนผิวเหลือง  ดูสุขภาพดี  สีผิวเดียวกับผมตอนนี้แหละ   สมัยมัธยม สีผิวของผมไม่ใช่แบบนี้  แต่หลังจากที่ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และรู้จักนวัตกรรมที่เรียกว่า “ครีมกันแดด” ชีวิตของผมก็ดีขึ้นเยอะ

“ก็จริงอะ  ผม  เออ  ทัพเป็นแบบนั้นจริง ๆ”  ลมแรงจากภายนอกยังพัดโชย  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หน้าอันร้อนผ่าวของผมสงบเย็นลง  “ครับ”

“ครับ เรื่องอะไรดี  เรื่องที่จะเป็นแฟนกัน  หรือเรื่องที่ชีวิตนี้  จะแกล้งพี่ไปเรื่อย ๆ ไม่รับแอดเฟรนด์เฟซบุคกันแล้ว”  วงหน้าหล่อหันมายิ้มให้ผมแวบหนึ่ง  ก่อนกลับไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ  “หรือว่าไม่ต้องรับแล้วก็ได้นะแอดเฟรนด์เนี่ย  พี่ขอแอดแฟนแทนเลยละกัน”

“แหวะ เล่นมาได้ไงมุกแบบนี้”

“ฮะฮ่า  แล้วทำไมหน้าแดงละ” 

หางตาคมมองมาทางผม  แววตาขบขันฉายชัด

“ตึ๊งตึงตึ่ง”

“หืม  เล่นไรนะเรา”

“เสียงรับแอดไงครับ”

“................”

“รับแอดเป็นแฟนแล้ว”

ผมควรทำอย่างไรกับโมเมนท์นี้ต่อ  ควรจูบ  หรือ  ควรกอด  ไม่สิ   ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ  พี่ปริ๊นซ์ขับรถอยู่บนทางด่วน  ความเร็วก็ไม่ใช่น้อย ๆ  ถ้าผมทำทุกสิ่งที่บอกมา เราคงได้ไปพบยมบาลก่อนพาพี่ปริ๊นซ์ไปอวดเพื่อนเสียอีก

แต่พี่ปริ๊นซ์ก็คือพี่ปริ๊นซ์  ไอ้คนที่ชอบแกล้งผมมาตลอด  หัวผมแทบทิ่มหลังจากตอบตกลงไป  เพราะพี่แกเล่นเบรครถกะทันหัน   กลางทางด่วนนั่นแหละครับ   หันมาย้ำกับผมหลายรอบ  ก่อนที่จะช้อนคอผมแล้วก็....

นั่นแหละครับ

จูบกัน

จูบแรกของผมเนิ่นนานพอดู 

พี่ปริ๊นซ์จูบเก่งกว่าที่ผมคิดเยอะเลย  เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลย  ยามที่ลิ้นของอีกฝ่ายกำลังพัวพันขบดุนกับลิ้นของเรา   ผมรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยแต่ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดกลับท่วมท้นมากกว่านะสิ

สุดท้ายค่ำคืนวุ่นวายนั่นก็ผ่านพ้นไป  ด้วยความเงียบที่มีความสุขของเราสองคน 

แค่นั้นจริง ๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่ต่อ

แค่นั้นจริง ๆ ครับ

-------------------------------------------------------------

แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ผมละเลียดเก็บทุกความทรงจำที่มีกับพี่ปริ๊นซ์   แฟนแสนดี ใส่ใจ  เทคแคร์  และเว้นช่องว่างสำหรับเวลาส่วนตัวให้ผมอย่างเหมาะสม

ไม่มีการเง้างอน ทำตัวงี่เง่า หรือพฤติกรรมอื่นใดที่ผมเคยเจอในละคร ให้ต้องมาคิดกังวล

เรายังใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิม  พิเศษขึ้นที่เรารู้ว่าเรามีกัน  เรามีตำแหน่งของเรา  มีสถานะที่เด่นชัด  เรารู้ว่าเราต้องทำตัวอย่างไร  และมีใครรอโทรศัพท์เราอยู่

แม้ว่าผมจะไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้บนเฟซบุค   แต่การอัพรูปพร้อมสถานะคมคายของพี่ปริ๊นซ์  การคอมเมนต์ล้อเลียนของแก๊งค์เพื่อนทั้งหลาย   ก็ยืนยันสถานภาพของเราทั้งสองได้เป็นอย่างดี

พี่ปริ๊นซ์ไม่ได้ย้ายมาอยู่กับผม  เพราะผมยังยืนกรานว่า เราต่างคนต่างอยู่แบบนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว  อย่างน้อยเราก็ได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อจัดการสะสางธุระปัญหาของตนได้   แต่ก็มีบ้างที่พี่ปริ๊นซ์งอแงกึ่งขอร้องที่จะมานอนค้างกับผม
ผมไม่ได้ขัด  แม้ว่าบางครั้งจะเป็นสัปดาห์ละ 5 คืน ก็ตาม

แน่นอนว่า  ผมยังไม่มีอะไรกับพี่ปริ๊นซ์    ผมยังไม่พร้อม   แม้ว่าพี่ปริ๊นซ์จะขอร้องบ้าง  ยั่วอารมณ์ผมบ้าง  (ด้วยการใส่กางเกงในตัวเดียวเดินไปเดินมาในห้องบ้าง   บางคืนก็นอนด้วยบ๊อกเซอร์ตัวเดียว  แล้วก็ละเมอนอนกอด ถูขาไปมา)   
ทว่าผมช่างโชคดี  ที่แฟนของผมคนนี้ยังเข้าใจ

“ละครเรื่องนี้สนุกเหรอทัพ”

มือกร้านของเชฟโรงแรมดังริมน้ำเจ้าพระยากำลังเล่นผมบนหัวของผมอย่างสนุกสนาน  แลกกับการที่ผมทิ้งหัวอันหนักอึ้งพิงไหล่ของเขา

“ก็สนุกดีนะ  ผมว่านางเอกไม่งี่เง่าดี  ส่วนพระเอกก็ไม่ได้ซื่อบื้อเชื่อนางอิจฉาทั้งหมด  ตัวละครเป็นสีเทาไม่มีใครดีและร้ายจนผิดธรรมดาไป”

“แต่มันคิดเยอะไปอะ  พี่ชอบแบบผัว ๆ เมีย ๆ ตบตีกัน  ไม่ต้องเดา  ดูเอามันส์ก็พอ”

“โหย พี่อะ  ไม่จรรโลงใจเลย”

“แค่อยู่กับทัพ ก็จรรโลงใจแล้ว”

แล้วพี่แกก็เอาจมูกมาดอมดมผมของผม  ไถสันจมูกไปที่แก้มของผมอย่างเชื่องช้า

“พี่ปริ๊นซ์อะ”

“เขินอีกละ นี่ก็สองเดือนแล้วนะ  ยังไม่ชินอีกเหรอ  ฮะฮ่า”  แล้วผมก็โดนขโมยจูบไปอีกรอบ  “แน่ะ  มุดตัวอีกละ  รักแร้พี่เหม็นนะ  จะมุดทำไม อย่าเขินดิ  ขอจูบอีกรอบได้มั้ยอะ”

ผมดิ้นหลุดจากอ้อมตระกองกอดของพี่ปริ๊นซ์  คว้าหมอนอิงมาปิดหน้า

“ไอ้เอาแอ๊ว ไอ้อนอื่น” 

ไม่เอาแล้ว ไอ้คนหื่น คือ คำที่ผมพยายามกลั่นกรองออกมาภายใต้หมอนใบใหญ่ที่ผมมุดหัวลงไป

“ฮะฮ่า พรุ่งนี้วันเกิดทัพแล้ว  ไปกินข้าวกันมั้ย”

“อินอะไออ้อได้” 

กินอะไรก็ได้  อีกครั้งที่ผมยังมุดหัวอยู่

“โอ๊ย ทัพ  ขึ้นมาคุยก่อน  พี่ไม่แกล้งแล้ว”  พี่ปริ๊นซ์ลูบหัวผมอยู่หลายที  “นะ คนดี  มามะ มามะ”  จนผมใจอ่อนเงยหัวขึ้นมา

“จุ๊บ”

โดนไปอีกดอก  ไอ้คนฉวยโอกาสเอ๊ย

“พี่ปริ๊นซ์อะ”

“อะ อย่าเพิ่งบ่น”  นิ้วเรียวทาบปากผมเหมือนเป็นสัญญาณให้สงบสติอารมณ์  “วันเกิดพรุ่งนี้  ไปกินข้าวกันนะ  โอเค”

“ก็ทำอะไรกินที่ห้องก็ได้มั้งครับ  พี่ต้องประหยัดเงินนะ”

“เฮ้ย นาน ๆ ที วันเกิดเราเลยนะ  อีกอย่างกินอาหารที่โรงแรมพี่นี่แหละ  พี่ได้ส่วนลดพนักงานน้า  อร่อยนะ”

“จะดีเหรอพี่”

“วันเกิดแฟนทั้งที  ใช่ว่าจะได้ฉลองง่าย ๆ นะ”

“ครับ ๆ ครับ ๆ ก็ได้ครับ”

“ดีมาก” จับจมูกผมบิดไปมา  “ที่รัก”

“พ่อกับแม่พี่เป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้”

“ก็ดีนะ  สบายดี   เหนื่อยสุดก็ตอนตามหาพ่อแม่นี่แหละ  กว่าจะยอมเชื่อว่าเป็นพี่จริง ๆ ไม่ใช่เสี่ยทรัพย์หลอก  ก็นานพอดู”

พี่ปริ๊นซ์เล่าไปก็ขำไป  วีรกรรมของพ่อแม่พี่ปริ๊นซ์น่านับถือยิ่งนัก  ท่านสองคนสามารถหนีพาตัวเองไปจนถึงโรงเกลือ  แล้วเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในบ่อนคาสิโก  เชื่อมั้ยละว่า  ท่านสองคนเล่นได้เงินมากกว่าที่พี่ปริ๊นซ์หามาได้ในช่วงเดือนแรกเสียอีก

“ที่โรงเรียนนานาชาติที่พี่สอน เด็กน้อยก็น่ารัก  ครูก็สวย  โอ๊ย”

มือผมไปหยิกท้องแขนของแฟนโดยไม่รู้ตัว  ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ

“ไม่นอกใจจ้ะ แค่เล่าให้ฟัง”

“จริงนะ”

“อู๊ย  จริงสิจ๊ะ”

เสียงสั่นโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  เราต่างคนต่างหยิบมือถือของเราขึ้นมาดู  ไม่ใช่ของผม

“ครับ........ จริงเหรอครับ................. ครับ ผมจะรีบไป”

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  พี่ปริ๊นซ์ก็โบกมือลาผม  โดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมนอกจากคำขอโทษและกำชับเวลา สถานที่ที่เราจะเจอกันพรุ่งนี้    แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็จากไป 

-------------------------------------------------------------


จบครึ่งแรก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2018 14:54:15 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อยากรู้อาการทัพแล้วตอนนี้เป็นไงมั้ง
คนเขียนสู้ๆ :กอด1:


ผมมาแล้วครับบบบบบบบบบบบ
เอาอาการทัพมาให้ช่วยดูแลละครับ


แล้วก็จะหายไปอีกนานเลย  ขอสอบเสร็จก่อนนะครับ


ขอบคุณมากเลยครับ

หายไปนานจริงๆค่ะ แต่ขอสารภาพว่าคนอ่านก็หายไปค่ะ(ติดเรื่องอื่นอยู่ :-[ )รีบมาตอบก่อนเลย555

ปล.ตรงไหนที่เป็นเสียงหัวเราะให้ใส่เป็น "ฮ่าๆ" หรือจะใส่เป็น "555". จะเข้าใจง่ายกว่าค่ะ แต่ที่ใส่มา "ห้าๆ" แอบงงค่ะ
ขอกลับไปอ่านต่อก่อนนะคะ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เห็นใจตามนะตามจีบมาตั้งนานงั้นควรจะหาคนมาแทนที่ทัพด่วนๆเอาม่อนก็ได้ชอบๆ
พี่ปริ๊นซ์กว่าจะมาได้โผล่มาอีกที่เป็นแฟนกันแล้ว :o8:
ทัพมีเพื่อนที่ดีนะมีอะไรก็บอกไปตรงๆอย่าเก็บไว้คนเดียวบางทีเพื่อนก็ไม่เข้าใจเราทุกอย่างหรอก

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
คนเขียนหายไป. เราก็หายไปเหมือนกันค่ะ. เห็นชื่อเรื่องคุ้นๆเลยเปิดเข้ามาดู. สู้ๆนะคะ. รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ผมขอตอบรวมทุกคนในนี้นะครับ
ขอบคุณสำหรับคำติชม แนะนำต่าง ๆ มากเลยครับ  ผมจะเอาไปปรับใช้กับงานเขียนให้ดียิ่งขึ้นไป
ช่วงนี้จะมาถี่หน่อย  เพราะกำลังไฟแรง  หลังจากไปฝ่าฟันการสอบมิดเทอมมา   :jul1:
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ   :really2:
ต่อไปเป็นส่วนครึ่งหลังของบทที่ 15 ครับ



บทที่ 15  ครึ่งหลัง


สุขสันต์วันเกิดนะมึง

ขอบคุณมากบอส เที่ยงคืนเป๊ะเลยนะ

เออ กูนอนละ รออวยพรมึงนี่แหละ

ครับ

อย่านอนดึก  เลิกดูการ์ตูนในยูทูบได้แล้ว

เอ้า  รู้ทันอีก

ฝันดีมึง

ผมยังนอนดูยูทบต่อ  ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของบอส

ผมกำลังดู  โดราเอม่อน  การ์ตูนที่ผมชอบที่สุด  ผมดูซ้ำซาก ดูวนดูเวียน  ดูไม่รู้จักจบจักสิ้น   แต่แปลกแฮะที่ผมกลับไม่ยอมซื้อและไม่ยอมให้ใครซื้ออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโดราเอม่อน  ทุกครั้งที่พ่อแม่ น้องสาว และบอส  พยายามซื้อของเกี่ยวกับโดราเอม่อนให้  ผมจะโวยวายทุกครั้ง

ไม่รู้สิ  ผมอยากเก็บโดราเอม่อนไว้แค่ในการ์ตูน  ในหัวของผม  เก็บไว้เป็นความทรงจำ  ผมอิจฉาโนบิตะมาตลอด ที่มีเพื่อนดี ๆ และรักเขามาก อย่างโดราเอม่อน  และก็ยังได้ออกไปผจญภัยที่ต่าง ๆ ด้วยกัน 

จริงๆ ผมชอบดูโดราเอม่อน ก็เพราะตอนนั้นแอบชอบม่อนด้วยแหละ  ผมมองตัวเองเป็นโนบิตะ  ตอนนั้นผมก็ใส่แว่นเหมือนโนบิตะ  เป็นไอ้ขี้แพ้เหมือนโนบิตะ  เหมือนกันขนาดนี้   ยิ่งทำให้ผมชอบดูโดราเอม่อน  พร้อม ๆ ไปกับพัฒนาความรู้สึกว่า  กูรักม่อนแน่เลยวะ  (สุดท้ายก็ไม่ได้รัก  งงตัวเองแฮะทัพ)    แต่ผมกับโนบิตะต่างกันที่  ผมไม่ได้โชคดีแบบโนบิตะ  แถมยังอ้วนเหมือนไจแอนท์เสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม  มันมีความสุขดีเวลาบอกกับม่อนว่า กูชอบโดราเอม่อน   จริงก็คือชอบมึงแหละ ไอ้ม่อน  สมัยวัยละอ่อนก็ทำอะไรแบบนี้เข้าไปได้เนาะเรา

พอผมกับม่อนขาดการติดต่อกันไป  ชีวิตผมก็วนลูปกลับไปเป็นโนบิตะ จอมขี้แพ้และขี้แง  ที่ไม่มีใครคบเช่นเคย

แม้ว่าภายหลัง  ผมจะมีบอสเป็นเพื่อน  แต่บอสก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายขนาดนั้น  บอสเป็นคนติดบ้าน  ไม่ชอบเที่ยว  ถึงบอสจะเป็นเพื่อนที่ดีขนาดไหน  แต่ก็ยังไม่อาจเติมเต็มไลฟ์สไตล์และความต้องการของผมได้ทั้งหมด

อีกครั้งที่กำลังเป็นฉากไคลแมกซ์แต่มีคนโทรเข้ามา

“ว่าไงม่อน”

คนที่ทำให้ผมติดโดราเอม่อนโทรมา  ก็ต้องคุยกันหน่อยสิครับ

“สุขสันต์วันเกิดมึง”

“เห้ย จำได้ด้วยเหรอ  ไม่ได้ตั้งค่าให้โผล่ในเฟซบุคซะหน่อย”

“กูจำได้อยู่แล้ว”

ยิ้มแก้มปริออกมาเลยผมนะ  มีเพื่อนน้อยแต่มีคุณภาพ   ชีวิตนี้ผมไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว

“ขอบคุณมากเลยมึง  เออ  ไหน ๆ ก็โทรมาแล้ว  เล่าให้กูฟังสิ  วันนั้นเกิดอะไรขึ้น”

“เห้ย  วันนั้นวันไหนวะ”  มันนิ่งเงียบไปครู่นึ่ง   “อ้อ  มันก็หลายเดือนแล้ว มึงจะฝืนฝอยหาอะไรวะ”

“กูอยากรู้ เล่ามา  ไม่อยากปล่อยให้คาราคาซัง”

“ตอนนี้ก็แฮปปี้แล้วเด้  มีแฟนแล้วเนี่ย”

“มั่ว รู้ได้ไง”

“กูไม่ได้ตาบอด  ในเฟซกูก็เห็น  พร่ำเพ้อขนาดนั้น”  บอสบีบเสียงแหลมขึ้นมาในฉับพลัน  “วันนี้ฝนตกหนัก  ตัวเปียกไปหมด  ถึงจะป่วย  แต่ก็เบาใจเพราะเรารู้แล้วว่า  จะมีใครที่ดูแลเราอยู่ตลอด  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

มันสถานะของผมในเฟซบุคที่โพสเมื่อสัปดาห์ก่อน

“เออ ทำไม”

“เปล๊า”

“มึงจะเล่ามั้ย”

“ทำไมต้องดุกูด้วยด้วยเนี่ย  แต่ก่อนมึงไม่ขนาดนี้นะ  มีผัวแล้วเมนส์มาเหรอ”

“ผัวพ่อง ไอ้บ้า”

“อ้าว หรืออย่างมึงเป็นผัว  แน่ะ  ๆ  กูไม่เชื่อหรอก”

“ไอ้เหี้ยม่อนนนนนนน”

“ฮะฮ่า ๆ”

“จะเล่ามั้ย”

“เออ เล่าก็เล่า  ทำไมกูรู้สึกคุ้น ๆ วะ เหมือนฉากนี้เคยเกิดแล้วแต่เราสลับตำแหน่งกัน”  ม่อนเอ๊ย จะไม่สลับตำแหน่งได้ยังไง  ก็ตอนวันนั้นมึงยังขู่กูให้เล่าเรื่องทั้งหมดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเลย  “เออ ไม่ต้องทำเสียงหอน กูกำลังจะเล่า วันนั้นอะ........”

แล้วชิ้นส่วนสุดท้ายของจิ๊กซอว์ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ถูกต่อให้สมบูรณ์


/////////////////////////////

“แล้วเสือกอะไรด้วย นี่เพื่อนกู   เห้ย  มึงอย่างไหลสิวะ” 

ม่อนจับทัพที่กำลังเลื่อนตัวไหลตกไปจากโต๊ะหน้าบาร์มากองไว้ด้านบนอีกครั้ง

“กูเลี้ยงเบียร์เพื่อนมึงไปเป็นพัน  อย่างน้อยคืนนี้กูต้องได้”

“กูให้มึงพันหนึ่งเลย  เอาไปซะ”  แบงค์สีเทาถูกยื่นออกมา   วางตบลงบนโต๊ะ  “เอาไปดิ  แล้วมึงจะไปไหนก็ไป”

“มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอวะ”  อีกฝ่ายยืนขึ้น  แสดงท่าทีไม่พอใจสุดขีด  “อย่านึกว่ามีเพื่อนแล้วกูจะไม่กล้านะ”

พรรคพวกของมัน  เดินเข้ามาด้านหลัง  ทั้งสองฝ่ายมองหน้าเพื่อหยั่งท่าที

“เออ ก็ไม่ง่ายไปเหมือนกันเหรอวะ  เลี้ยงเบียร์เพื่อนกูแค่นี้  แล้วจะเอาเพื่อนกูไปทำอะไรต่อแบบนั้น  พวกกูไม่ได้ขายนะเว้ย”

“ก็ไม่ได้บอกว่าขายนี่  เขาเรียกหาความสุขร่วมกัน   ง่าย ๆ อย่างเพื่อนมึง   น่าจะชอบนะ”

“มึง” 

หมัดแรกจากม่อนเป็นตัวจุดชนวนทุกอย่าง   ทั้งฝ่ายม่อนและฝ่ายคู่กรณี  พันตูนัวเนีย  ซัดกันในร้านเหล้า  เสียงกรีดร้องของลูกค้าคนอื่นดังระงม  การ์ดประจำร้านพยายามแยกทั้งสองฝ่ายออกมาแต่ดูจะไม่เป็นผล 

หัวโจกของฝ่ายตรงข้ามตอนนี้ ได้น็อคล้มลงไปกับพื้นเรียบร้อยแล้ว   ด้วยฝีมือโค้ชนักกีฬาฟุตบอล  แต่ราวกับว่าการวิวาทครั้งนี้ขยายขอบเขตไปไกลเกินกว่าจะยุติได้โดยง่าย

ม่อนคว้าตัวเพื่อนผู้สลบไสลขึ้นมา  มุมปากของเขามีเลือดไหลเล็กน้อย

“มึงตื่นดิวะ  ตื่น  เห้ย”

ใครก็ไม่รู้วิ่งพุ่งเข้ามา  พร้อมหมัดที่กระแทกที่หน้าทัพเต็ม ๆ  ถึงกระนั้นทัพก็ยังหลับสบายต่อไม่รู้ร้อนรู้หนาว   จากแรงต่อยทำให้ทั้งม่อนและทัพต่างล้มกลิ้งลงไปกับพื้น

แล้วผู้ร้ายที่ซัดเข้าหน้าทัพอย่างเต็มเหนี่ยวก็ฉวยโอกาสที่ม่อนกำลังลุกขึ้น  หมายที่จะหันมาต่อยม่อน  ด้วยทักษะกีฬาที่เต็มเปี่ยม  ม่อนยื่นเท้าเข้าไปยันเต็มหน้าอกของชายคนนั้นจนกระเด็นไปติดผนัง

“ม่อน  มึงกับเพื่อนมึงหนีไปก่อนเลย ทางนี้พวกกูเคลียร์เอง  เส้นใหญ่พอ  มึงอะ เสียชื่อไม่ได้นะ  ไม่งั้นอาชีพโค้ชมึงจบแน่”

“เห้ย  ขอบคุณมากเลยวะเพื่อน  ขอโทษทีนะ”

แล้วม่อนก็ลากเพื่อนที่สบยไม่ได้สติออกมา   การลากคนเมาที่สลบไม่ให้ความร่วมมือในการเดินจึงไม่ต่างจากการลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ที่ล้อหมุนไม่สามารถใช้งานได้

“ตื่นหน่อยได้มั้ยเนี่ย  กูลากไม่ไหวนะเว้ย”

ถึงกระนั้นม่อนก็ยังลากเพื่อนรักมาได้ไกลจนถึงลานจอดรถ

“ลดา  ผมว่า พอเถอะนะ  แค่นี้มันก็มากเกินไปแล้ว”

“ก็ลดาบอกคุณแล้วไงคะ  ว่าลดาช่วยได้    แล้วลดาก็ยังโอเคกับมัน  ทำไมคะ  หรือคุณไม่ต้องการแล้ว”

“ผมต้องทำยังไง”

เสียงคนสองคนคุยกันที่ลานจอดรถ ดังแว่วอยู่ด้านขวามือ

“เห้ย  คุณคนผู้ชายนะ ช่วยผมหน่อย  เพื่อนผมเมา  ช่วยอุ้มไปที่รถผมหน่อยได้มั้ย”

ม่อนตัดสินใจตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ลดา  คุณรอแปบนึงนะ  ผมบึ่งจากกรุงเทพฯ มาหาคุณโดยเฉพาะเลยนะ  ผมว่ามันควรจบแล้วนะ”

“ไม่ค่ะ  ลดาไม่สน  ลดาจะกลับเข้าไปร้านแล้ว  เพื่อนลดารออยู่”

“ลดา  คุณนี่มัน”

ฝ่ายหญิงเดินแยกออกไป  เธอสวยมาก  ม่อนมองตาค้าง  สายตาจับต้องตามจังหวะการเดินจากไปของเธอ  ทุกฝีก้าวของสาวสวยนามว่า ลดา  ล้วนถูกม่อนจับจ้องไว้หมด   จนเขาลืมที่จะเตือนเธอว่า  ในร้านกำลังมีเหตุวุ่นวาย

ตัวทัพกำลังไหลเลื่อนลงไปกับพื้น  เป็นการเรียกสติของม่อนให้กลับมาในที่ทางที่ควร

“เห้ย คุณ จะมาช่วยผมมั้ย”  แล้วตัวทัพก็ไหลลื่นลงไปกับพื้นจนได้  “เห้ย มึง”

แล้วผู้ชายคนนั้นที่กำลังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม  ท่าทางไม่พอใจผลของการเจรจรา  ก็วิ่งเข้ามาใกล้

“โทษทีครับ  มีปัญหาเคลียร์กันนิดหน่อย  เพื่อนไหวมั้ยครับเนี่ย”

“ดูท่าจะแย่นะครับ”

แล้วชายคนนั้นก็กอบตัวทัพขึ้นมา

“เห้ย  ทัพ”

“หา  คุณรู้จักมันเหรอ”

“ใช่  คุณเป็นใคร ทำอะไรเพื่อนผม”

“เห้ย ใจเย็น ๆ  ผมก็เพื่อนเขา  จริง ๆ ผมชื่อ ม่อน  เป็นเพื่อนสนิททัพ”

“ทัพมีเพื่อนชื่อนี้ด้วยเหรอ”

“จริง ๆ ครับ  เพื่อนสมัยประถมครับ  คุณล่ะใคร”

“ผมเป็นรุ่นพี่ของทัพ  ชื่อปริ๊นซ์”

“ว่าไงนะ พี่ปริ๊นซ์คนนั้นน่ะเหรอ”

“คนนั้นยังไง”

“คนที่ทำให้ทัพเกือบถูกแทงตายไง”

“คุณรู้”

“ก็ผมบอกแล้วว่าผมเป็นเพื่อนสนิทมันจริง ๆ  ผมอยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังนะ  แต่ผมต้องรีบไป  เออ เอาไงดี  พี่ช่วยผมพยุงมันไปที่รถผมก่อนได้มั้ย”

เสียงไซเรนกรีดร้องดังลั่น  เป็นสัญญาณบ่งว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาถึงแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“มันมีเหตุทะเลาะวิวาทด้านใน  มันโดนลูกหลงด้วย  แถมเมาอีก  ไม่ทันแล้วพี่  เอายังไง  ผมเสียชื่อเสียงไม่ได้นะ”

“โอเค  อุ้มไปที่รถพี่  เดี๋ยวพี่พาทัพกลับกรุงเทพเลย”

“เออ ได้พี่ ได้  กระเป๋ามันก็อยู่บนรถผมเนี่ย  ไป ๆ  รีบเลยพี่”

ท่าที่ลุกลี้ลุกลนของม่อน ยิ่งเสริมให้ปริ๊นซ์รู้ว่า  เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว 

สาวสวยที่ปริ๊นซ์เจรจาตอนแรก  ก็วิ่งย้อนกลับมา  เธอคงเข้าใจสถานการณ์ในร้านแล้วสินะ

“ลดา  คุณรีบกลับไปก่อนเถอะ  สำหรับเรื่องนั้น”  เขาหยุดพูดไประยะหนึ่ง  “ผมว่าคุณเข้าใจที่ผมบอกแล้วนะ”

ไม่มีการตอบรับจากฝั่งผู้หญิง  คงยังตกใจกับสิ่งที่เห็นเป็นแน่    แต่ปริ๊นซ์ก็ไม่ได้รอคำตอบอื่นใดจากเธอ   ปริ๊นซ์จัดการทุกอย่างพร้อมกับที่ม่อนก็กระโดดขึ้นรถตัวเอง   ต่างคนต่างขับออกไปคนละทาง  ทิ้งผับแห่งนั้นเอาไว้เบื้องหลัง

/////////////////////////////

“ก็แค่นี้แหละมึง”

“มึงกล้าปล่อยกูไปกับคนที่เพิ่งรู้จักครั้งแรกเหรอ”

“กูไม่ได้โง่  กูขอดูบัตรประชาชนเขาแล้ว  กูถ่ายรูปมาด้วย  เขาเอารูปคู่กับมึงที่ถ่ายที่สวนสัตว์มาให้ดูยืนยันด้วย  กูก็ต้องเชื่อมั้ย”

“เออ ๆ  เชื่อก็เชื่อ”

“เอ้า ไอ้นี่  เชื่อเถอะ”

“เชื่อไง เชื่อ  แต่มึง ลดา  ใครวะ”

“เห้ย กูไม่รู้วะ  ไม่รู้จริง ๆ แต่สวย  นมใหญ่  ตูดบึ้มมาก  นมเป็นนม  ตูดเป็นตูด  กูจำได้แค่นี้”

“........................”

ผมเงียบครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่เกิดในเรื่องนี้

ลดาคือผู้หญิง  ที่สวยสะเด็ด  ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่พี่ปริ๊นซ์จะมีชู้ 

ไม่สิ  ถ้านับจากเวลานั้น  พี่ปริ๊นซ์ยังโสด   โดยหลักการก็ไม่นับว่ามีชู้  เราต่างคนต่างไม่มีพันธะผูกพันกัน   แล้วเกิดเรื่องอะไร  ทำไมต้องขอให้คนที่ชื่อ ลดา ช่วยเหลือ  แล้วช่วยเรื่องอะไร   ทั้งยังขอให้หยุดเรื่องบางเรื่อง  หยุดอะไรกัน

“เห้ย มึง  อย่าเงียบดิ  กูใจคอไม่ดี”

“อยู่ ๆ”

“มึง  อย่าเพิ่งคิดไปเอง  เดี๋ยวทะเลาะกันพอดี  มึงก็ถามแฟนมึงก่อน  เคนะ  อย่าคิดเอง”

“เออ กูไม่คิดเองหรอก”

“เออ สุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะ  มีความสุขมาก ๆ ล่ะ กูนอนละ”

นอนเหรอ.... เป็นสิ่งที่ผมพยายามทำมาทั้งคืน

ลดา

ลดา

ลดา

เป็นชื่อที่วนซ้ำอยู่ในหัวผม  จนแสงแรกของวันสาดลอดผ้าม่านเข้ามา

“โอ๊ยยยยยยยย  ใครวะ  มันเป็นใคร”

มือไวกว่าความคิด  แล้วผมก็กดโทรหาพี่ปริ๊นซ์ทันที

“ว่าไง เบิร์ธเดย์บอย  คิดถึงพี่เหรอ”

“พี่ปริ๊นซ์”

เสียงขึงขังของผม ทำให้เสียงระรื่นตอนแรกพี่ปริ๊นซ์หายไปทันที

“ลดา คือ ใคร”

“ครับ ลัดดา  อยากดูหนังผีเหรอเบิร์ธเดย์บอย”

นั่นมัน ลัดดาแลนด์ เว้ย  พี่ปริ๊นซ์   ถึงแม้ว่าจะดู  เป็นการกลบเกลื่อนที่เนียนที่สุด  แต่ทุกการกระทำของคนอย่างปริญธรณ์ไม่อาจหลุดพ้นสายตาของทัพกรณ์ไปได้หรอก

“ขอร้อง  อย่าโกหกผม”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ทัพ”

“น้ำเสียงพี่ มันฟ้องว่ามี”

“ทัพ”

“พี่ปริ๊นซ์”

“เชื่อใจพี่หน่อยสิ”

“ก็เพราะเชื่อใจไงครับ ถึงโทรมาถาม”

“ได้  งั้นเย็นนี้เราค่อยคุยกันนะ  แต่พี่ยืนยันเลยว่า  มันไม่มีอะไรจริง ๆ  แค่นี้ก่อนนะ”

อีกฝ่ายวางหูไปทันที  ราวกับป้องกันไม่ให้ผมทักท้วงได้

“โอ๊ย  วางหูใส่อีกเหรอเนี่ย  ปริญธรณ์นะ  โอ๊ยย  ไม่วิ่งแล้วเว้ยวันนี้”

ผมอยากจะฟาดงวงฟาดงา ปาข้าวของ  แต่ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย  ผมทำแบบนั้นไป  คนที่ต้องมาลำบากเก็บห้องทีหลังก็คือผม  ของพังเสียหาย  คนที่ต้องไปซื้อของมาใหม่ก็คือผม   แน่นอนว่า เงินที่ใช้ซื้อก็ต้องเป็นเงินผมอีก  แล้วถ้าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า  ไม่ไปออกกำลังกาย  ผมก็จะเอาแต่กิน กิน และกิน  สุดท้ายคนที่จะอ้วนเป็นหมู ก็คือผม

ได้แต่สงบสติอารมณ์  ใส่รองเท้า  มัดเชือก  และออกไปวิ่ง   แม้จะอดตาหลับขับตานอนมาทั้งคืนก็ตาม

-------------------------------------------------------------

“หวัดดีครับพี่ปิ๋ม”

“หน้าบานเชียวนะยะ”

“ก็แน่นอน วันนี้วันดี”

ผมยิ้มกลับให้พี่ปิ๋มพร้อมหาวใส่เป็นของแถมอีกหนึ่ง  พี่ปิ๋มยิ้มกลับให้ผมตบหลังผมหนัก ๆ หนึ่งทีจนผมตาสว่าง

“จ้า  สามสิบเท่าไรแล้วนะ”

“พี่ปิ๋ม ผมเพิ่ง 25 เองครับ”

“ว้าย”  เอามือทาบอกหนึ่งที  “หน้าหล่อน ล้ำหน้านะยะ ทัพ”  พร้อมเอามือย้ายมาปิดปาก

“พี่อะ”

“แน่ะ  ขอบตาคล้ำเชียวนะ  เมื่อวานกับน้องปริ๊นซ์ จัดหนักเหรอยะ”

แล้วเราสองคนก็เดินมาถึงลิฟต์กลาง ที่มีพนักงานแผนกอื่นร่วมเบียดโดยสารมาด้วยกัน  ผมจึงได้แต่พูดเบา ๆ ผ่านริมฝีปากว่า

“หื่น”

“หน้าแดงหมดแล้ว”

ที่ขอบตาคล้ำไม่ใช่อะไรหลอกพี่  เพราะคิดมากต่างหาก

ลดา ลดา ลดา ลดา  อย่าให้รู้นะว่าคือใคร

เมื่อหลุดออกจากลิฟต์เดินตรงไปที่แผนก   พี่ปิ๋มก็ตะโกนลั่นอยู่ตรงลานกลางห้องว่า

“เอาเป็นว่า เที่ยงนี้  ไปกินข้าวกันทั้งแผนกนะจ๊ะ  พวกเราเลี้ยงเอง”

“ครับพี่”

ผมยิ้มตอบ  และยังต้องยิ้มแบบนั้นไปหลายนาที  เสียงเฮลั่นจากเพื่อนร่วมแผนกหลายคนพร้อมทั้งเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์   เอาจริงก็เป็นวันที่มีความสุขนะครับ  ตอนเช้าก่อนจะออกมาขึ้นรถไฟฟ้าพีกับมีนก็โทรมาอวยพรด้วย  ในบรรดารูมเมตผมทั้ง 4 คน  ผมแก่สุดครับ  ทั้งที่ตลอดเวลาผมเข้าใจว่าผมอายุน้อยแล้วนะ   แม่อุตส่าห์เบ่งผมออกจากท้องตอนปลายปี  ดันมาเจอเพื่อน ๆ ที่เกิดต้นปีถัดมาเสียได้  แม้แต่ม่อนและบอส  ก็ล้วนอายุน้อยกว่าผม  ถ้าย้อนเวลาไปได้จะบอกแม่ให้อดทนสักนิด ก็คงจะดีแฮะ

พอมาถึงซองโต๊ะทำงานของผม  ก็เห็นกล่องของขวัญกองย่อม ๆ วางอยู่บนโต๊ะ แอบตื้นตันใจเล็กน้อย

“เบญจเพสแล้วนะทัพ ชีวิตต้องดีแน่ ๆ อะ ฉันลืมให้แกเมื่อกี้”

กล่องของขวัญอีกกล่องถูกยื่นส่งให้ผม

“อะไรน้า”

“ถุงยางอนามัยเจ็ดสี  แบบบางเฉียบจากญี่ปุ่น  ให้แกเอาไปใช้กับน้องปริ๊นซ์ไง”

“โอ๊ย พี่ปิ๋ม”

หัวหน้าแผนกร่างใหญ่ของผม  แต่เคลื่อนมวลอย่างรวดเร็วสวนทางกับมวลร่างกายได้เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ   ไม่เปิดโอกาสให้ผมแก้ตัวหรือโวยวายอะไรเลย

แต่ผมก็มีความสุขนะครับ  มีความสุขที่ได้ทำงานที่นี่  ว่าแล้วหยิบมือถือมาถ่ายรูปกองของขวัญทั้งหมดสักทีดีกว่า 

“ทำงานได้แล้วทัพ”

ขนาดตัวไปไกล  เสียงก็ยังลอยมา

“อันที่จริง  ผมอยากได้วันพักร้อนสัก สองอาทิตย์อะครับ”

“จริง ๆ ก็ได้นะ  แต่เป็น leave without pay (ลาโดยหักเงินเดือนตามวันที่ลา) นะจ๊ะ โอเคมั้ย”

“โหยยยยยย”

เสียงคนทั้งแผนกประสานพร้อมกัน   แผนกจัดซื้อและตรวจคุณภาพสารเคมีแบบเรา  ถ้าคนขาดไปสักคนก็วุ่นวายน่าดู  ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ   ไอ้ที่ผมบอกว่าทำงานที่นี่แล้วมีความสุข  ผมขอถอนคำพูดก่อนนะครับ  ขอไปตัดสินใจใหม่ก่อน  แล้วผมจะมาบอกใหม่นะ

“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุขค่ะทุกคน  ทำงานไป”

พี่ปิ๋มผู้ใจดีในยามปกติ  ได้กลายเป็นนางมารถือแส้ไฟไล่ฟาดหลังลูกน้องทุกคนไปแล้ว

“ครับแม่”

ทุกคนประสานเสียงพร้อมกัน

“ย่ะ”

ผมยังถ่ายรูปไปอีกสักพัก  แล้วก็มีใครคนหนึ่งแอดเฟซบุคมา

Lada Ladapirat

“หืมมมม  ลดาเหรอ   บังเอิญไปมั้ง mutual ก็ไม่มีสักคน  ไม่ได้เป็นเพื่อนกับพี่ปริ๊นซ์ด้วย”

ความสงสัยใคร่รู้มันพลุ่งพล่านจนนิ้วของผมเลื่อนไปที่ปุ่มรับเพื่อน   ผมสู้กับตัวเองสักพัก  แล้วก็ตัดสินใจไม่รับเป็นเพื่อน  แม้ว่าจะรู้สึกตงิดมากแค่ไหนก็ตาม 

การตัดสินใจเดียวที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วก็คือ กดปฏิเสธ...

-------------------------------------------------------------

มื้อเที่ยงอันแสนจ้าละหวั่นของผม  เกิดในร้านสุกี้ชื่อดังเจ้าหนึ่ง

พี่ปิ๋มเล่นใหญ่โดยการบังคับให้ทุกคนใส่หมวกทรงแหลม และร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ลั่นร้าน    เพื่อนร่วมงานรวมผมทั้งแผนก  9  คน  ก็ก้มหน้าก้มตาร้องเพลง   โดยพนักงานร้านได้จัดเซอร์ไพรส์โดยการเสิร์ฟเค้ก

พี่ปิ๋มกำชับให้ผมทำหน้าเซอร์ไพรซ์สุดขีด  ทั้งที่คนที่หิ้วเค้กก้อนนั้นไปที่ร้านก็คือผม  ตอนที่นั่งปักเทียนก่อนส่งให้พนักงานก็ทำต่อหน้าผม   ผมมีส่วนร่วมในการปักเทียนไปตั้ง 5 เล่ม ด้วยซ้ำ 

“เค้กมา แกก็ทำหน้าเซอร์ไพรซ์เลยนะ”

“พี่ปิ๋มคะ  หนูว่าทัพไม่น่าจะเซอร์ไพรซ์แล้วแหละ”

“โอเคครับ  ผมจะเซอร์ไพรซ์ก็ได้”

“เห็นมั้ยยัยตุ๊ก  ทัพมันเป็นงานเรื่องพวกนี้จะตาย”

“สงสารพี่ทัพจังเลย”

“เงียบไปเลยไอ้ธีร์  กินไปเป็ดย่างนะ”

“โดนแล้วไงกู”

“อะไรนะไอ้ธีร์”  เสียงตอบว่าไม่มีอะไรครับลอยสวนมานิดหน่อย “ถ้าพี่ไม่บอกมันมันก็ชอบทำหน้านิ่งไงจ๊ะตุ๊ก”

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น 

Lada Ladapirat  ส่งคำขอเป็นเพื่อน

ครั้งนี้มีข้อความมาด้วย   ผมอยากจะเปิดอ่านดู ณ ตอนนั้นมากเลย  แต่โดนสายตาจิกกัดของพี่ปิ๋มที่พุ่งตรงมา  จึงทำได้แต่วางโทรศัพท์   ปั้นหน้าเซอร์ไพรซ์สุดขีด  และหายใจเข้าเตรียมพ่นลมให้แรงที่สุด  แรงพอที่จะเป่าเทียนทุกเล่มให้ดับในครั้งเดียว

“เดี๋ยว”

พญาช้าง  เอ๊ย  พี่ปิ๋ม  เอามือปิดปากผมทันที

หน้าผมแดงทันทีด้วยอากาศที่ตีตลบขึ้นหัว

“อธิษฐานก่อนสิยะ”

ผมซึ่งเกือบถูกพี่ปิ๋มฆาตรกรรมจึงได้หลับตาคิด 

ขอให้ผมมีความสุข  พ่อและแม่  น้องสาว และคุณยาย  พี่ปิ๋ม เพื่อนในแผนก  ทุกคนด้วย  ขอให้ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง  ขอให้ความรักของผมกับพี่ปริ๊นซ์ราบรื่น  ขอให้บอส ม่อน  พี  มีน  และ เออ ... ตาม ด้วย  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง  และก็มีชีวิตที่ดี

“เพี้ยง”

ผมเป่าเทียนดับหมดในรวดเดียว  มีความสุขกับการตัดแบ่งเค้ก (เราต้องไม่กิน เราต้องผอมเท่านั้น ทัพ)    กินสุกี้ ชุดหม้อคนใจบุญ (เพราะมีแต่ผักล้นหลาม)     ออกจากร้านด้วยความหนักท้อง   ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่างไป

“ทำไมคะ ทำไมไม่กล้ารับเฟรนด์

คุณกลัวอะไรเหรอคะ”

นั่นคือ ข้อความที่เธอส่งมา

ผมเดินตามเพื่อนร่วมงานที่กำลังพูดคุยเรื่องข้าวเย็นว่าจะกินสลัดผัก  เพราะมื้อกลางวันจัดไปหนักแล้ว

ผมควรตอบดีมั้ย  หรือควรทำอย่างไรดี 

“เอาวะ ไม่ตอบ”

สิ่งที่ผมเลือกมันคงทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดมาก  ในเมื่อมันขึ้นว่า seen เธอพิมพ์ข้อความรัวมาอีกครั้ง  ผมไม่อยากจะใส่ใจจึงปิดหน้าจอสนทนาไป  เตรียมกดบล็อกเธอ  แต่ด้วยข้อความที่ส่งรัวมาอีกหลายครั้งใส่ผม  ประดุจห่ากระสุนปืน   มือถือเครื่องเก่าของผมก็ค้างจนถึงขั้นดับเครื่องรีสตาร์ตตัวเอง

“บ้าเอ้ย”

ผมรอเครื่องเปิดโดยสมบูรณ์  อย่างแรกเลยที่ผมจะทำก็คือ บล็อกซะ

“แต่ก่อนบล็อกขอดูหน่อยแล้วกันว่าส่งอะไรมา”

ผมกดดู ซึ่งนั่นเป็นความผิดพลาดครั้งมหันต์ในชีวิต 25 ปี ของผมเลย

เพราะมันคือ.........     



-------------------------------------------------------------


จบบท 15



ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชีวิตนี้ไม่ง่ายเลยเนอะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้ย!  ค้าง :hao7:

อย่าบอกนะเป็นภาพของปริ้นนะ


ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 16
หลีกหนี

ผมไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงกับคนตรงหน้าดี  ก้อนสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกำลังส่งเสียงโหยหวนครางครวญออกมา  นี่ไม่ใช่มีนที่ผมรู้จักเลย

“มึง  อย่าร้องไห้เลย”   ผมก้มลงนั่งบนเตียงของมีนแล้วตะคองกอดเพื่อนรักที่ก้มหน้ากอดเข่าแทรกศีรษะมุดลงไป แล้วร่ำไห้อย่างน่าสงสาร  “คนเลว ๆ แบบนั้นไม่คู่ควรกับมึงหรอก  สาวสวยในโลกมีอีกเยอะนะ”

พรุ่งนี้ผมมีควิซแลปเคมีอินทรีย์  วันนี้ก็เพิ่งทำแลปเคมีวิเคราะห์เสร็จ  ชีวิตปี 2 ช่างเหนื่อยล้าเหลือเกิน   ภาวนาให้ตามกับพี กลับมาห้องโดยเร็ว  แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า วันนี้ตามมีเลี้ยงสายรหัส  ส่วนพีก็ต้องไปเทรนน้องชมรมมวยที่กำลังลงแข่งขันกีฬาเฟรชชี่ของเด็กปี 1

กลับมาที่โลกความเป็นจริง  มีนยังส่งเสียงเหมือนวิทยุปรับจูนคลื่นไมม่เจอต่อไป    คนอ่อนประสบการณ์อย่างผมจะปลอบใครได้วะเนี่ย

“ทัพ”

เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากก้อนกลม  พร้อมกับใบหน้าขาว  ตาแดงบวมด้วยคราบน้ำตา  กำลังเงยมองผม

“กูหิวน้ำ”

ผมเดินลิ่วกึ่งพุ่งตัวไปคว้าขวดน้ำ  รินใส่แก้ว  ยื่นให้มีนทันที   เชื่อมั้ยล่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใน 5 วินาที  และถ้าทำได้ก็คงเทน้ำใส่ปากมันโดยตรงแล้ว

“เอาอะไรอีกมั้ยมึง”

“กู... กูไม่ดีตรงไหนวะ”

“ไม่ ไม่ ไม่ มึงดี”

แล้วมันก็เอาหัวมุดกลับลงไปที่เข่าทั้งคู่ของมันอีกครั้ง

“เห้อ  มีน  กูก็ปลอบคนไม่เก่งวะ  แฟนก็ไม่เคยมี”  เสียงร้องไห้มีนยังดังอย่างต่อเนื่อง  “กูรู้นะว่ามึงเสียใจ  และก็รู้ด้วยว่าตอนนี้มึงก็กำลังฟังกูอยู่  กูอยากหาคำมาปลอบใจมึงนะ  แต่กูอ่อนวะ  กูนึกไม่ออกสักคำ”

ผมกอดมีนอีกครั้ง  เอื้อมมือตบไหล่มันเบา ๆ  แล้วผมก็เอ่ยปากเล่าชีวิตตัวเองตั้งแต่ที่เจอพี่ปริ๊นซ์  จนมาถึงวันปัจฉิมนิเทศของพี่ปริ๊นซ์

“ยิ่งกูได้ยินว่า  ถ้าผอมแล้วพี่เขาจะชอบกู  ก็พยายามลดความอ้วนมาตลอด  วันปัจฉิมนิเทศของพี่เขา  กูก็อยากไปนะ  กูเตรียมของขวัญไว้ด้วยแหละมึง  แต่ยายเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน   แม่กูก็เล่นใหญ่   ตกอกตกใจ กลัวว่าท่านจะเสีย  เรียกให้กูไปดูใจ  พอกูสอบเสร็จ  แม่ปรี่มารับถึงโรงเรียน  น้ำตานองหน้า  กูต้องทิ้งมอเตอร์ไซค์จอดทิ้งไว้ที่นั่นเลย”

ผมถอนหายใจออกมา

“แต่แท้จริงแล้ว  ยายกูแค่ข้อมือซ้น  แค่นั่นเอง  หมอยังบอกเลยว่าอีกสามสี่วันก็หาย”   ผมหัวเราะแผ่วเบา  นึกถึงอดีตที่มีทั้งสุขเคล้าทุกข์   “ของขวัญกูก็เป็นหมันไป  แล้วรู้ปะคืออะไร  ของกินวะ ห้าๆ เป็นขนมร้านที่พี่ปริ๊นซ์ชอบกิน  จริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นหมันหรอก  กูแดกเองนี่ละ  คิดดู คิดจะลดความอ้วน  แต่เริ่มต้นด้วยการแดกขนม  พอมานั่งคิด  ยายก็เล่นใหญ่เหมือนแม่กูนะแหละ  โทรอ้อนลูกหลาน  ฮะฮ่า  คนแก่อะเนาะ คงเหงา”

เสียงร้องไห้ของมีนเริ่มเงียบหายจางลงไป  แต่ก็ยังคงก้มหน้าอยู่ดังเดิม

“จากนั้น  กูก็ไม่เจอพี่เขาอีกเลย  ไม่เจอเลยจริง ๆ  พี่เขาไม่ติดต่อมาด้วยซ้ำ  กูก็เอาแต่บ้าอ่านหนังสือ  คิดวิธีต่าง ๆ เพื่อผอมให้ได้   อีกทางหนึ่งกูก็อยากไปเรียนเมืองนอกเหมือนพี่เขา  แต่กูก็ไม่ไปเพราะไม่มีเงิน”

ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง  นึกถึงความรู้สึกตนเองที่ใฝ่สูงจะไปนอกให้ได้  ทั้งที่ภาษาอังกฤษได้เกรด 2.5 มาตลอด

“แล้ว มึงไม่คิดจะติดต่อพี่เขาบ้างเหรอ”

“เอ้า มึงไม่เศร้าแล้วเหรอ”

“เศร้า  ทำไมเขาต้องทิ้งกูวะ  กูเตี้ยแล้วผิดตรงไหน  เขาไปกับผู้ชายคนอื่นอะ  แม่ง สูงชิบหาย  กูสู้ไม่ได้วะทัพ”

“มีน มึงไม่เตี้ยเลยนะ  แค่ตัวเล็ก   อย่าคิดแบบนั้นสิวะ”

“เขาบอกกูเตี้ย”

“มึงไม่เตี้ย”
จริง ๆ ก็เตี้ยแหละ  แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมไม่ควรพูดความจริงทั้งหมด จริงมั้ย?

“เออ ช่างเหอะ  กูขอถามอะไรหน่อย”

เมื่อมีนเอ่ยประโยค ขอถามอะไรหน่อย  ขอพูดอะไรหน่อย  ขึ้นมา  ผมว่ามันเป็นสัญญาณที่ดีทีเดียวแหละ

“เอาสิ  ถามมา”

“แล้วมึงใช้ชีวิตต่อยังไงวะ  กับคนที่มึงแอบชอบมาตั้ง 5 ปี”

“แรก ๆ ก็เฮิร์ตอะ  แต่สุดท้ายก็ใช้ชีวิตต่อไปอะ ตอนเด็กกูเจอปัญหาหนักอกเยอะ   ทุกครั้งที่ประตูหนึ่งปิดลง  ความมืดก็จะเข้ามาปกคลุมชีวิตเรา  ถ้าเรามัวแต่โศกาอาดูรย์อยู่ตรงหน้าประตูบ้านนั้น  เฝ้าอ้อนวอนให้ประตูเปิดอีกครั้ง  เพื่อให้มันนำพาแสงสว่างกลับเข้ามาในชีวิต   บางทีนะมีน  เราอาจลืมคิดไปว่า  ประตูอีกบานหนึ่งอาจเปิดให้เราแล้ว  บางทีอาจไม่ใช่ประตู  แต่เป็นหน้าต่าง  ทว่าก็ยังเปิดจริงเปล่าวะ   แสงสว่างในชีวิตเรา  ไม่เคยดับหายไปหรอก  มันมีอยู่ตลอดนะแหละ  เพียงแค่ว่า  เราจะเลือกมองจากมุมเดิม ๆ โดยหันหลังให้มุมอื่น ๆ ไปหรือเปล่า”

“อืม  มึงพูดดีนะเนี่ย”

มีนกำลังขบคิดกับเรื่องยาว ๆ ของผม  แสดงว่าผมมาถูกทางแล้วแหละ

“ก็มีคนสอนกูมาอีกทีนะ ฮ่า ๆ”
ก็พี่ปริ๊นซ์นะแหละ ไม่ใช่ใครอื่น

“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”  ผมพยักหน้า “แล้วมึงเจอแสงสว่างจากประตูบานใหม่มั้ย”

“ไม่  ฮะฮ่า ๆ”

แล้วมีนกับผมก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

“กูก็ยังรักเขานะ ประตูบานเก่ากูนะ  ยังรักเสมอ  แต่ก็เลิกที่จะเอาแต่เพ่งมองไปทางประตูบานนั้นแล้ว  ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มองไปทั่วอะ  มองทั้งห้องมืด ๆ หลังน้อย ๆ ของกู”

“อืม”

“แต่มึง  กูเห็นนะ   เห็นเงามืดในห้องกู  ก็แสดงว่าต้องมีแสงนั่นแหละมีน  เพียงแต่ว่า  ตอนนี้กูก็ยังตอบกับตัวเองไม่ได้แค่นั้นแหละ  ว่าแสงนั้นมาจากไหน”

“แล้วตอนนี้ละ”

“ก็ตอบไม่ได้เหมือนเดิม”

“อ้าว”

“เอาเป็นว่า   มึงเหมือนกันนะ  ตอนนี้ประตูบานนั้นปิดลงไปแล้ว  มึงยังมีพวกกูอยู่นะ  แสงสว่างไม่ได้หายไปไหน  มันมาแล้วแหละ  แค่มึงต้องอดทน รอคอย   แต่ถ้าวันนี้อยากเศร้า  เอาให้เต็มที่เลยนะ  กูจะอยู่ข้าง ๆ มึงนี่แหละ”

“ไม่เอาละ กูขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย”

“หืม ว่ามาสิ”

ผมยิ้มให้ อาการของเพื่อนผมคนนี้คงกลับมาเป็นปกติแล้วละ

“หิวอะ ไปกินข้าวกันมั้ย”

“เออ ไป  วันนี้พีกับตามคงไม่กลับมากินด้วย  มีแค่เราสองคน  ไปกินที่อื่นกันมั้ย  กูเลี้ยงเอง”

“อืม  ดี  แต่กูขอเลี้ยงนะ”

“เออ ดี ต่างคนต่างเลี้ยง  มึงจ่ายของกู กูจ่ายของมึงแล้วกัน”

เราสองคนมองหน้ากัน  ขำขึ้นมาเสียงดัง  ผมเปิดประตูห้องออกไปยืนรอด้านนอก   ยิ้มให้เพื่อนตัวเล็กที่คว้าทิชชูขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตา  ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่มีนพูดกล่อมตัวเองว่า  ประตูบานใหม่ ประตูบานใหม่

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ประตูห้องผมเปิด  พร้อมกับชายตัวสูงที่แผ่รังสีของความโมโหโทโสอกอมารอบกาย

“เป็นบ้าอะไรทัพ  พี่รอที่ร้านเป็นชั่วโมง ๆ  โทรไปเป็นร้อย ๆ สายก็ไม่รับ  พี่ตามหาเราไปทั่ว ไปบริษัท  ไปที่ร้านข้าวที่เราเคยไป   นึกว่าเราเป็นอะไรไปแล้ว   แต่ทัพกลับมานั่งสบายอยู่ที่ห้องเนี่ยนะ”

“สบายเหรอ”

เสียงเยียบเย็นอันแสนเย็นชาของผม ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งถอยหลังเล็กน้อย

“เป็นอะไร”

แล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับผม  กระชากผมลุกขึ้นยืน

“เป็นอะไร ไหนตอบสิ”

“ผมต้องถามพี่มากกว่า  ว่าพี่เป็นใคร  พี่ใช่คนที่ผมรู้จักหรือเปล่า”

“ทัพ พูดอะไรของทัพ”

“ลดา”

อาการผงะตกใจ  และหัวคิ้วกระตุกของพี่ปริ๊นซ์ยิ่งยืนยันถึงความผิดปกติของเจ้าตัว   แต่เขายังคงแสร้งทำตัวปกติต่อ

“ทำไมทัพ”

“พี่ตอบผมหน่อยสิ  เขาเป็นใคร”

ผมตะโกนออกมาดังลั่น

“เพื่อนเก่าพี่  เขาเป็นเพื่อนเก่าพี่สมัยเรียนที่อเมริกา  พี่ไปยืมเงินเขา”

“พี่ยืมเงินเขามาเยอะมากสินะ”

“ก็เยอะพอดู  แต่พี่ก็คืนเกือบหมดแล้ว”

“คืนเหรอ”

แล้วผมก็หัวเราะออกมาแบบคนเสียสติ  ก้มลงไปคว้ามือถือขึ้นมา  มือถือแสดงเบอร์ไม่ได้รับสายจากพี่ปริ๊นซ์นับสิบครั้ง   ผมปลดล็อค   เข้าแชทเฟซบุค   แล้วชูหน้าจอให้พี่ปริ๊นซ์เห็น

“จ่ายเงินต้นด้วยตัว  แล้วก็จ่ายดอกด้วยการจูบ เหรอไง   พี่ทำอย่างนี้ได้ไง  พี่เอาตัวเองไปนอนกับเขาเพื่อเงินเนี่ยนะ  พี่ปริ๊นซ์”
ภาพบางเฟรมจากคลิปที่โชว์วินาทีสวาทของชายหญิงปรากฏในกล่องสนทนา 

“พี่จะให้ผมคิดยังไง  ผมพยายามคิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเราจะคบกัน  แต่เมื่อคืน  เมื่อคืน  ทั้งที่พี่อยู่กับผมในห้อง  พี่ก็เพิ่งคุยกับเขาเพื่อแลกตัวพี่กับเงินอีก”

ภาพบทสนทนาในโปรแกรมไลน์ที่ถูกตัดมาเป็นหนึ่งในภาพที่ถูกส่งมาให้ผมด้วย

“ฟังพี่ก่อน คือ”

“ผมควรฟังอะไร”

ผมตะโกนตอบกลับไปอย่างเสียสติ

“ผมต้องจ่ายเงินพี่เท่าไร  ที่เราจูบกัน  ที่เราจับมือกัน  พี่มีค่าเท่าไร  บอกผมมาสิ”

“ทัพ  พี่มีเหตุผล  มันเป็นแค่เรื่องเงินเท่านั้น”

“เงินเท่านั้นเหรอ   พี่ขายตัว  พี่เอาศักดิ์ศรีของตัวเอง  เอาความเชื่อใจของผม  ไปแลกกับเงินได้ยังไงกัน”

ผมผลักพี่ปริ๊นซ์ที่พยายามเข้ามากอดผมออกด้วยแรงโทสะ 

“พี่รู้ตัวมั้ยว่าการกระทำแบบนี้มันน่ารังเกียจ  แล้วตลอดเวลาพี่ก็พยายามจะขอมีอะไรกับผม  หรือเพียงเพราะว่า พี่อยากได้เงิน  พี่อยากได้เงินเท่าไร”

“พี่ไม่เคยคิดแบบนั้นกับทัพเลยนะ”

“แล้วตลอดเวลาที่เราคบกัน  จูบกัน  ไปเที่ยวกัน  ทุกวินาทีที่ผมมีความสุข  ผมต้องจ่ายให้พี่เท่าไร”

ผมดิ้นรนผลักคนต่างหน้าที่พยายามโผตัวเข้าหาผมอีกครั้ง  ผมกลัว  ผมโกรธ  ผมรู้สึกสับสนไปหมด  ทันที่ที่ผมเห็นข้อความแชทของลดา  ผมก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกลายเป็นซากที่เดินได้

ผมยังจำทุกบทสนทนาของลดาได้เป็นอย่างดี

“คุณจะเป็นชู้กับปริ๊นซ์ไปถึงเมื่อไร  เขารักฉัน และฉันก็เขาจริง ๆ  คุณก็เห็นจากในคลิปแล้ว  เขาบอกว่ารักฉัน  เห็นแก่ลูกในท้องฉันเถอะ  เห็นแก่ใครก็ได้  ปล่อยปริ๊นซ์มา”

“แล้วต่อให้คุณบอกปริ๊นซ์ไม่รักฉัน  แต่คนอย่างปริ๊นซ์ก็ไม่รักคุณหรอก  เขาต้องการเงิน  คุณมีให้เขาได้เหรอ  คุณมีปัญญาเหรอ”


“ถ้าสุดท้ายปริ๊นซ์ต้องการเงิน  เขาจะเลือกคุณเหรอ”

“คุณจะทนได้เหรอ  ที่จะใช้ผู้ชายร่วมกับฉัน  ปากที่เขาจูบคุณ  ก็คือปากเดียวกับที่จูบฉัน  มือที่เขากุมมือคุณ  ก็คือมือเดียวกับที่ปลอบประโลมฉัน”

“ฉันสืบมาแล้ว  พ่อแม่คุณก็หย่าร้างกันเพราะเรื่องชู้สาว  คุณย่อมเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ดีกว่าใครสิ  ปล่อยปริ๊นซ์มา”
ผมปวดหัว  ผมไม่สามารถอยู่ในสภาพแบบนี้ได้อีกต่อไป 

ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่ปริ๊นซ์ 

“โกหก  พี่โกหกผมมาตลอด” 

ผมโงนเงนเหมือนจะเป็นลม

“กูไม่ได้อยากมาอยู่ในสภาวะแบบนี้  เขารักพี่มากขนาดไหน  ทำไมพี่ไปหลอกเขา   พี่ไม่รู้เหรอว่าเขาจ้างนับสืบตามเรามาตลอด  รู้มั้ย”

มันไม่ใช่การสนทนาหรอก  เหมือนผมกำลังพูดกับตัวเองมากกว่า

“ทัพ”

“พี่รู้มั้ย”

“รู้”

“แล้วพี่รู้มั้ย ว่าเขาท้อง”

“มันไม่ใช่เรื่องจริงทัพ  เขาสร้างเรื่องมาทั้งเพ”

“พี่มั่นใจได้ยังไง  ผมจะมั่นใจได้ยังไง  พี่โกหกผมมตลอด   เรารู้จักกันมาหลายปีแต่ผม”  ผมสะอื้นไห้ออกมา “ราวกับผมไม่เคยรู้จักพี่เลยสักนิด”

น้ำตาไหลอาบแก้ม   ภาพของพี่ปริ๊นซ์เริ่มพร่าเลือนลงไป  ผมอยากตีอกชกตัว ทึ้งผม  อยากทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมหายไปจากความรู้สึกนี้

“พี่มีเหตุผล  ช่วยฟังก่อนได้มั้ยละ”  มือที่พยายามโอบรอบผม และริมฝีปากที่บดขยี้ปากผม “พี่รักทัพจริง ๆ นะ”

“อย่า อย่าทำแบบนี้”

“พี่รักทัพจริง ๆ นะ” 

พี่ปริ๊นซ์โอบรัดผมได้ในที่สุด   ริมฝีปากกำลังเลื่อนไหลไปที่ซอกหู  ลำคอ  มือที่ป่ายปัดไปทั่ว  ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับมันโดยไม่รู้ตัว  ฉากของหนังน้ำเน่าหลังข่าวหลายเรื่องที่นางเอกทะเลาะกัน  แล้วจบลงด้วยฉากเลิฟซีนที่พระเอกเอาชนะใจนางเอกได้ด้วยเรื่องบนเตียง ฉายย้อนขึ้นมา 

แล้วภาพซ้อนของชายที่กำลังข่มขืนผู้หญิงก็ซ้อนทับขึ้นมา  ความกลัวและขยะแขยงในใจพุ่งขึ้นทันใด  ผมพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการนั้น  แต่ผมก็ไม่สามารถสู้แรงของพี่ปริ๊นซ์ได้ 

จากความโกรธกริ้ว  กลายเป็นภาพฝันร้าย  แล้วในพริบตา  ความรู้สึกทั้งมวลก่อนหน้าก็ถูกทาบทับด้วยความหฤหรรษ์  แม้ว่าจะมีความรู้สึกเจ็บกายอย่างมหาศาลควบคู่ด้วยก็ตาม 

เมื่อสติกลับคืนมา   ทุกความทรงจำเริ่มไหลเลื่อนจนเด่นชัด   ชีวิตผมก็เหลือแต่เพียงความเจ็บปวด  ใจแหลกสลาย  และร่างกายที่บาดเจ็บเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำ

ผมยกแขนพี่ปริ๊นซ์ที่พาดทับตัวผมออกอย่างเชื่องช้า  อาการเจ็บด้านหลังยังแล่นแปลบอยู่ตลอด  ความรู้สึกหลากหลายแล่นไปมาในหัวของผม  อยากร้องไห้  อยากหัวเราะ  อยากตีอกชกตัว  สับสนกับภาวะนี้  ผมแต่งตัวอย่างเชื่องช้า  เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า  เดินออกจากห้องนอนอย่างเชื่องช้า  ทิ้งพี่ปริ๊นซ์ที่กำลังหลับไหลไว้เบื้องหลัง 

ยืนสับสนอยู่หน้าคอนโด พยายามเรียกแทกซี่เป็น 10 คัน จนในที่สุด

“ไปเอกมัยครับพี่”

“ครับ”

ผมแทรกตัวนั่งที่เบาะหลัง  คิดถึงชีวิตในภายภาคหน้า   ไม่นานก็ต้องเงยหน้าขึ้นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาหนึ่งคู่ที่จับจ้องอยู่  แม้จะเป็นการมองผ่านกระจกก็ตาม

“...................”

“น้อง โอเคหรือเปล่าครับ  พี่ขอโทษที่ต้องถาม  แต่พี่เห็นรอยช้ำตามตัว”

“ผมโอเคครับพี่”

พยายามขยับปกคอเสื้อบังรอยช้ำแดงบริเวณคอ

“คนเราสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้เนาะ  เป็นผู้ชายแท้ ๆ ก็ยังโดนฉวยโอกาสได้  ไหวไม่ไหวก็บอกนะ”

“ครับพี่”

“ไปตรวจโรคหน่อยก็ดีนะ”

“พี่ครับ  ไม่ต้องพูดแล้วได้มั้ยครับ”

แล้วผมก็ร้องไห้ออกมา  เป็นอันสิ้นสุดการพูดคุยระหว่างเรา  การร้องไห้เป็นสิ่งมหัศจรรย์เพราะทำให้ผมได้โดยสารรถฟรี  พี่แทกซี่กล่าวด้วยเสียงใจดีว่า

“คิดว่าช่วยกัน  เป็นกำลังใจให้นะน้อง”

ผมหยิบมือถือขึ้นมา ส่งข้อความไปหาพี่ปิ๋มว่า  ผมขอ leave without pay สัก 1 สัปดาห์ 

โดยไม่รอการอนุมัติอื่นใดจากพี่ปิ๋ม เมื่อผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ปิดมือถือทันที

รถทัวร์รอบแรกของวันเคลื่อนตัวออกจากท่าจอดรถอย่างเชื่องช้า  พร้อมหัวใจและร่างที่แหลกสลายของผม  เหม่อมองจราจรช่วงตีห้าของมหานคร  ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกให้โลดแล่นรับวันใหม่ซึ่งไม่มีทางสวยงามได้ดังเดิมอีก


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 16
ตอนหน้าจะเป็นตอนพิเศษก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ


 :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2018 21:32:39 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทำไมปริ๊นเป็นอย่างงี้ล่ะเฮ้ยยยยย  :katai1:
สงสารน้อง โอยยยยย

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่เข้าใจความคิดของอิพี่มันเลยคืออะไร?โดน ผญ คนนั้นบังคับเหรอรึยังไง แต่ทำไมต้องมาทำกับทัพแบบนี้นี่เหรอที่บอกว่ารักเห็นแก่ตัวมากกว่ากลัวจะเสียเขาไปล่ะสิแล้วทีนี้เป็นไงเสียไปจริงๆมั้ยล่ะสมน้ำหน้า(อินจัด)ขอ :z6: หน่อยนะ
 
 ทัพเอ๋ย!มองหาแสงสว่างใหม่นะลูกไม่อยากให้คู่กับคนนี้แล้วหาคนที่ดีกว่านี้ดีกว่า :กอด1: ทัพ


ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนพิเศษ 2


“หลินจ๊ะ  กินข้าวร้านนี้มั้ย  พีเบื่อสลัดซิสเลอร์แล้วอะ”

ผมชี้ชวนไปยังร้านอาหารอิตาเลียนแสนแพง  ไร้ลูกค้า  ผมอยากกินชีส  ชีสไม่ตกถึงท้องผมมาหลายเดือนแล้ว 

“ไม่ได้ค่ะ”  สาวงามที่ผมกำลังกุมมืออยู่เคียงข้าง  ปฏิเสธเสียงแข็ง  “พีจะตัวแตกอยู่แล้วนะคะ”

ผมหงอกลัว  หดคอเหมือนเต่า  เดินเข้าร้านซิสเลอร์ด้วยความเบื่อหน่าย
ขณะที่หลินสั่งเมนูสเต๊กอันหลากหลาย  ผมกลับถูกอนุญาตให้กินได้แค่สลัดบาร์

“แล้วพีก็ต้องไปออกกำลังกายด้วย  เชิ้ตที่หลินซื้อให้เมื่อเดือนก่อน ใส่แทบไม่ได้แล้วนะคะ”

“ครับแม่”

“แน่ะ  ล้อเลียนเหรอคะ”

สาวเจ้าหยิกผมไปหนี่งที  ได้แต่เอามือลูบอย่างน่าสงสาร  นี่แฟนหรือแม่กันแน่วะ

“พีคะ”

“ครับที่รัก”

“ทัพเป็นอย่างไรบ้างค่ะ  พีไม่เห็นพูดถึงเลยช่วงนี้”

“หึ  มันก็สบายมีความสุข  มีแฟนนอนกก”

“แน่ะ ล้อเลียนเขาอีก  แฟนทัพนี่ใครเหรอคะ  หมอตามหรือพี่ปริ๊นซ์”

“หลิน”

ผมส่งเสียงเรียกเธอด้วยความตกใจ  เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ ช่างสังเกตเหมือนกันนะเรา  เธอกำลังหัวร่อต่อกระซิกอย่างน่ารัก

“หลินสังเกตก็รู้  หลินไม่ได้โง่นะ”

“เชื่อแล้วจ้า ว่าไม่โง่”  ผมกุมมือเธอ  พยายามยิ้มให้ดูหล่อที่สุด  “ก็พี่ปริ๊นซ์จ้ะแฟนไอ้ทัพนะ”

“อ้อ ไม่แปลกใจค่ะ”

เธอยิ้มงามสวยให้ผม  สเต๊กจานใหญ่ที่เธอสั่งถูกเสิร์ฟลงทางผม  ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักหรอกเพราะผู้หญิงตัวเล็กร่างบางอย่างสิตารินทร์คงไม่ได้สั่งสเต๊กคอมโบจานใหญ่ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะกินคนเดียวได้หมด  แต่สิตารินทร์ ก็คือ สิตารินทร์  แฟนของผมคนนี้กินเก่ง และไม่เคยอ้วน  วินัยการออกกำลังกายของเธอดีมาก   เธอยังคงยิ้มบางให้ผม  เฝ้ามองสเต๊กจานนั้นด้วยสายตามันวับเมื่อผมดุนจานอาหารให้เธอ  มีดเล่มน้อยก็จรดกรีดเนื้อฉ่ำทันที

“พีไม่กินเหรอคะ  สลัดนะ”

ผมเออออเอาส้อมจ้วงสลัดผักใบเขียวเข้าปากเคี้ยวอย่างเชื่องช้า  รู้สึกละเหี่ยใจกับจานสลัดผักตรงหน้า  พร้อมทั้งโปรแกรมออกกำลังกายอีกยาวเหยียดเป็นหางว่าวที่ต้องออกหลังจากนี้  หลินชวนคุยเรื่องงานวันนี้อย่างตื่นเต้น  เราเรียนรุ่นเดียวกัน  คณะเดียวกัน  มาทำงานเดียวกัน  เพียงแต่ว่าผมกับเธอจบคนละมหาวิทยาลัย และทำงานคนละแผนก 

หลินทำงานอยู่แผนกที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ  เธอสามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา  ส่วนผมพูดไทยก็ไม่ค่อยชัด  โดนคนรอบตัวทักว่าพูดทองแดงเสมอ  ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง งู ๆ ปลา ๆ ยังดีกว่าเกินกว่าจะเอามาใช้เทียบกับความสามารถผม 

“งานแผนกฟ้องร้องน่าเบื่อมากหลิน  แผนกหลินดูสนุกนะ”

“ก็ดีนะคะ  ได้คุยภาษาจีนกับลูกค้า สนุกดีค่ะ  กลัวจะไม่ได้ใช้จนลืมแล้วเนี่ย”

โทรศัพท์มือถือที่สั่นรัว  ทำให้ผมลุกออกจากโต๊ะ  ขอโทษหลินหนึ่งทีแล้วเดินออกมาคุยกับเพื่อนรักด้านนอกร้าน   ผมเดินมาบริเวณบูธร้านไอศกรีมที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากร้าน  แต่ยังสามารถมองกลับไปเห็นหลินกำลังเพลิดเพลินกับสเต๊กได้อยู่

“เหี้ย มีน  กูตื่นเต้น”

“ตื่นเต้นอะไรหวะ แหวนพร้อมยัง”

“แหวนนะพร้อมแล้ว  ซื้อหมดไปหลายบาท  เซ็ง  หม้ายเบี้ย (ปักษ์ใต้: ไม่มีเงิน)

เสียงหัวเราะดังจากอีกฟากของโทรศัพท์  ใครจะเชื่อละครับว่าหนุ่มเชียงรายอย่างมีนจะมาสนิทกับหนุ่มสงขลาอย่างผม  เราสองคนหลุดคำศัพท์ภาษาถิ่นใส่กันเป็นประจำ  ช่วงแรกก็งงเป็นไก่ตาแตก  พอเวลาผ่านไปก็ปรับตัวเข้าหากันได้  โดยต่างฝ่ายไม่จำเป็นต้องอธิบายความหมายด้วยซ้ำ

“อย่าตื่นเต้น” 

เหมือนว่ามันจะปลอบใจผมนะครับ  ทำไมผมได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากไอ้เตี้ยมีน  จนผมต้องโวยวายใส่มันไปหลายประโยค  ชนิดด่ารัวไม่แคร์บรรพบุรุษมันกันเลย   แน่นอนว่ามีนก็ยังไม่สะทกสะท้านและหัวเราะต่อไปอีกสักพัก

“สุมาเต๊อะ  อดไค่หัวบ่าได้  (คำเมือง: ขอโทษ  อดขำไม่ได้)

“ทำไงดีวะ”

“มึงตั้งสติ  แผนที่เราวางกันไว้ก็โอเคแล้ว  มึงแค่ทวนแผนทั้งหมดในใจ จำไดอะล็อกได้หมดใช่มั้ย”

“ไม่ได้หวะ”

“โอ๊ย  กั๋วแต๊กั๋วว่า (คำเมือง: กลัวมาก ๆ)  จะรอดใช่มั้ยเนี่ยมึง”

“เจ็บหัวเหม็ด (ปักษ์ใต้: ปวดหัวจัง)

ผมปวดหัวจริง ๆ นะ  ขอแต่งงานไม่กลัวเท่ากับ สุดท้ายหลินตอบปฏิเสธผมเลย  แล้วถ้าปฏิเสธจะทำยังไงดี  จะอายเขามั้ย   ผมไม่ได้ตั้งใจมาขอเธอในร้านซิสเลอร์ด้วยซ้ำ  ลูกค้าในร้านเยอะเกินไป    แผนแรกที่ผมวางไว้คือร้านอาหารธรรมดา  ราคาแพง  แต่ก็รับประกันได้ว่าลูกค้าน้อย   แบบนี้มันยากเกินความสามารถผมแล้ว

“เอางี้  มึงจำไดอะล็อกไม่ได้ก็ช่าง  ขอไปเลย  ใช้ความจริงใจ  จะหลุดทองแดงก็ช่างมัน”

“โอเค”

รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกหน่อย  หน่อยเดียวจริง ๆ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย  ลูกกลัว  ลูกตื่นเต้น

“กูต้องไม่ตื่นเต้นใช่มั้ย”

“หมันแหล่ว (ปักษ์ใต้: ใช่เลย)

“ใจเย็น ๆ มีน นั้นภาษาบ้านกู”

เราสองคนหัวเราะพร้อมกัน  บางทีก็สับสนกันได้นะครับ

“เออ สู้นะมึง  แค่นี้  เล่าให้กูฟังด้วย”

ผมวางหูลง  เดินเข้าร้าน  เหงื่อไหลซึมแม้ว่าอากาศจะเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานหนัก  เดินด้วยทีท่าไม่ต่างจากหุ่นยนต์  นั่งลงตรงข้ามว่าที่เจ้าสาวผม  ที่ยิ้มรับการกลับมาของผม   อย่างหนึ่งที่ผมชอบหลินคือ  เธอไม่เคยถามเลยว่าผมคุยกับใครมา  ไม่จู้จี้จุกจิก  จนบางครั้งผมก็ถามเธอกลับว่า  ไม่หึงกันเหรอ  แต่หลินก็จะตอบกลับด้วยความใจเย็นเสมอว่า  หลินไว้ใจพีค่ะ  เพราะเหตุนี้ยิ่งทำให้ผมรักเธอมากขึ้นกว่าเดิม

“พีไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย”

ท่าทางลนลานของผมคงเห็นได้ชัด  หลังมือนิ่มยื่นมาทาบทับที่หน้าผากผมเพื่อหยั่งอุณหภูมิ

“ตัวก็ไม่ร้อนน้า”  เธอนิ่งคิด  “เดี๋ยวถ้าพีออกกำลังกายครบหนึ่งเดือน  หลินให้รางวัลพาไปกินขนมนะคะ  หลินเลี้ยงเอ”

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผมหลงรักเธอหัวปักหัวปำก็คือ  หลินเป็นคนยุติธรรม  ราวกับตราชู  อาจด้วยเพราะว่าเราต่างจบนิติศาสตร์ทั้งคู่   เราจึงมีความคิดอยู่บนพื้นฐานของคำวว่ายุติธรรม  ทุกอย่างต้องหาร  ถ้ากินไม่เท่ากัน  ก็ต่างคนต่างออกส่วนของตัวเอง   แต่นั่นไม่ได้แปลว่า  จะไม่มีสักครั้งที่ผมเลี้ยงเธอ  และเช่นกัน  ที่หลินจะเลี้ยงอาหารผมสักมื้อ ในโอกาสพิเศษ

“หลินคิดก่อนนะคะ ว่าจะไปพาไปกินอะไร  พีต้องลดความอ้วนก่อนนะ”

“แล้วถ้าพีไม่ผอมซะทีละ”

เอาวะ  ประโยคแรกในไดอะล็อก  ถูกพูดออกไปแล้ว   ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนเอ  หลินต้องตอบว่าไม่เป็นไร  แต่ถ้าหลินตอบว่า  ทำไมไม่ผอม  ก็จะใช้แผนบี  ในกรณีที่หลินตอบว่า  พีก็ต้องผอมสิคะ  ก็จะเป็นแฟนซี  ผมหัวเราะให้กับความรอบคอบของตัวเองและมีน   

“เลิกค่ะ”

ข้อศอกที่เท้ากับขอบโต๊ะ  เต๊ะท่าให้เหมือนว่าตัวเองหล่อเสียงเต็มประดาของผมแทบไถลลื่นหลุด  ตัวผมเสียหลักกลางอากาศ  ไหนกันวะแผนเอ แผนบี แผนซี  แผนไหนก็ไม่มีอีกแล้ว

“ทำไมคะ  ทำไมพีจะไม่ผอม”

หลินแปลงร่างกลายเป็นครูใจร้าย ที่ถามหาเหตุผลว่าทำไมไม่ทำการบ้านส่งในทันที  ผมตักสลัดเข้าปากอีกหนึ่งคำ  จิ้มปูอัดเคี้ยวตุ้ย ๆ  นึกถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างในหัว   นึกถึงไดอะล็อกของทุกแผนที่คาดเอาไว้ที่ตอนนี้พังทลายป่นปี้หมดแล้ว

“เออ”

“ทำไมคะ”

ยิ่งถูกเร่ง  ผมยิ่งรู้สึกยอมแพ้

“ก็ทำไมหลินจะเลิกกับพีเลยละ”

“พีคะ”

หลินรวบมีดและส้อม  คว้าทิชชูเช็ดปาก  ตาพริ้มของเธอลุกโพลง  จ้องกลับมาทางผม

“รู้มั้ยคะ  ทำไมหลินอยากให้พีผอม”

“เออ ก็เวลาควงกัน  จะได้ดูไม่น่าเกลียด”

“ไม่ใช่ค่ะ”

แผนวาย แผนแซด ก็ช่วยผมไม่ได้อีกแล้ว  พ่อแก้วแม่แก้วไปไหนกันหมดวะเนี่ย

“พีคะ  ถ้าพีอ้วน  พีก็จะสุขภาพไม่ดี โรคภัยก็จะตามมา  อายุไม่ยืน  แปลว่า  พีไม่รักตัวเองเลยนะคะ  ก่อนที่พีจะรักใคร  พีต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน   ถ้าพียังรักตัวเองไม่ได้  ก็ไม่มีความจำเป็นที่หลินต้องรักคนแบบนี้”

ซึ้งหวะ  ไม่ต้องสนไดอะล็อกแล้ว   คนแบบนี้แหละเว้ยแม่ของลูกกู  ขอแต่งงานเลยแล้วกัน

“อย่าเพิ่ง  หลินพูดก่อน”

เหมือนรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง  แต่ถูกสั่งให้เบรคกะทันหัน   ก่อนที่ผมจะเอ่ยคำใดออกไป  หลินก็สั่งผมให้ค้างกลางอากาศ   ตายอยู่บนทางด่วนของบทสนทนา

“หลินอยากให้พีรู้ไว้ค่ะ  ว่าหลินรักพีนะคะ  แต่หลินก็เป็นผู้หญิงธรรมดา  หลินอยากรักใครสักคนที่เขารักตัวเองเป็นก่อน   ถ้าพียังไม่รู้จักที่จะรักตัวเองอย่างถูกต้อง   พีจะมารักคนอื่น   รักลูกของเราในอนาคต  ได้อย่างไรละคะ”

“ลูก”

“สมมติว่าเราแต่งงานกันนะคะ”

“แต่งงานกับผมนะ”

เงียบกริบ  ก็ผมเล่นตะโกนลั่นขนาดนั้น  แขกทุกคนในร้านซิสเลอร์รอบโต๊ะเรารัศมี 5 เมตร  หยุดทำกิจกรรมส่วนตัว  ต่างยืนขึ้น  เอียงหัว  บ้างก็หยิบมือถือขึ้นมาอัดคลิป  ทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่ผม   แม้แต่พนักงานที่ถือเหยือกน้ำอัดลมรีฟิล  ก็หยุดยืนรอเหตุการณ์ต่อไป

ผมล้วงกระเป๋าอย่างเชื่องช้า  ระมัดระวังทุกคำพูด  สายตายังทอดจับจ้องที่ว่าที่ภริยา

“ผมอยากจะบอกหลินมาตลอดว่า”

ผมลุกขึ้น แล้วเดินไปหาหลิน  ยื่นมือให้เธอจับซึ่งเธอก็ยื่นกลับอย่างง่ายดายราวกับต้องมนต์สะกด  หลินยืนขึ้น  ในขณะที่ผมค่อย ๆ ก้มตัวลง ชันเข่าหนึ่งข้าง  เปิดกล่องแหวนที่ผมใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดไปซื้อมา

“ตลอดเวลาสองปีที่เราคบกัน  พีมีความสุขมากนะหลิน”  เธอเอามืออีกข้างที่ว่างปิดปาก ดูน่ารักมาก  “มันอาจเร็วไป  แต่พีอยากบอกหลินว่า  ช้าหรือเร็ว  ไม่สำคัญหรอก  พีก็แค่อยากมีหลินอยู่ด้วย  ถ้าหลินบอกให้พีผอม พีก็จะทำ  ไม่ใช่ทำเพื่อหลิน  แต่ทำเพื่อตัวพีเอง  เพราะหลังจากที่พีทำเพื่อตัวเองได้มากพอแล้ว   พีก็จะสามารถทำสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ให้แก่หลินได้”

เสียงรอบข้างยังเงียบกริบ

“เออ  หลิน  แต่งงานกับผมนะ”

“......................”

แต่งสิ แต่งสิ ใจผมเต้นรัว  หลินยังเอามือปิดปาก   ผมหยิบแหวนออกมาเพื่อรอสวมให้เธอ  รอเพียงคำตอบรับจากเธอเท่านั้น 

“ค่ะ คนอ้วนของหลิน”

เสียงโห่ร้องด้วยความสุขดังลั่นร้านซิสเลอร์ 

ผมสวมแหวนลงนิ้วเธออย่างเชื่องช้า  พยายามซึมซับกับความรู้สึกดีนี้ไว้  หลินยังคงมีน้ำตาไหลซึมตลอดเวลา  เธอไม่ลุกไปตักขนมหวานหรืออาหารอื่นใดเพิ่มเติมเลย  ราวกับว่าเธออิ่มเอมกับเหตุการณ์เมื่อครู่  เราสองคนนั่งมองตากันด้วยความเขินอาย   เนิ่นนานหลายนาทีที่ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น

“กินขนมหวานมั้ยครับ”

“ค่ะ”

หลินยังจ้องมองที่แหวนวงนั้น

“หลินครับ”

เธอเงยหน้ามองผม  พวงแก้มแดงเล็กน้อย

“ผมขอโทษนะ  ที่การขอแต่งงานของผมไม่ได้เซอร์ไพรซ์หรือสวยงามเหมือนคนอื่น”

“ไม่ค่ะ  แบบนี้ดีที่สุดเลย”

ผมเกาหัวด้วยความเขินอาย  หลินเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ยิ่งทำให้ผมรักเธอมากกว่าเดิม

“วางแผนกับพวกมีนมาหรือเปล่าคะเนี่ย”

หลินยังเก่งเช่นเคย

“แค่มีนคนเดียวนะครับ  พีไม่กล้ารบกวนตาม มันทำงานหนัก  ส่วนทัพ วันนี้ก็วันเกิดมัน  ผมไม่รบกวนดีกว่า  น่าจะสวีทกับพี่ปริ๊นซ์อยู่”

“ตายจริง  วันเกิดทัพเหรอคะ   หลินต้องไปอวยพรในเฟซบุคหน่อยแล้ว”

“ดีครับ  ว่าที่เพื่อนเจ้าบ่าวผมเอง”

“รู้อยู่แล้วค่ะ”

แล้วเราก็กลับสู่สภาวะเงียบงันอย่างมีความสุขอีกครั้ง  เพื่อนเจ้าบ่าวทั้ง 3 ของผม  หรือ จะแค่ 2 คน วะเนี่ย  ผมยังไม่แน่ใจเลยว่า  ตามกับทัพ  จะมองหน้ากันติดอีกมั้ย  จากเรื่องราวยาวเหยียดที่ไอ้หมอยุงลายเล่าให้ผมฟัง  ผมหวั่นใจว่าทั้งสองคนจะไม่สามารถกลับไปเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม   

เอาเป็นว่า  ณ วินาทีนี้  ผมขออยู่กับว่าที่ภรรยาของผมและมีความสุขกับปัจจุบันก่อน  แล้วพรุ่งนี้เพื่อนคนนี้จะช่วยไกล่เกลี่ยเรียกมิตรภาพกลับมาให้   


-------------------------------------------------------------


พี ก็กำลังจะแต่งงานแล้วนะครับ  คงเดาได้ไม่ยากว่า  บทต่อ ๆ ไป จะมีฉากงานแต่งงานแน่นอน
ในครั้งต่อไป  เรื่องก็จะกลับมาที่เส้นหลักของนิยายนะครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับผม

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คู่นี้น่ารักแฮะ  :-[

แต่ฉากต่อไปของตัวหลักนี่สิ เตรียมหม้อรอต้มมาม่าเลย  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น่ารักจัง :o8:
ยังยืนยันคำเดิมไม่ได้ให้ทัพคู่กับปริ๊นแล้ว :m16:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 17
ที่พักใจ


“ทำไมมึงทำแบบนี้ ทำไม”

เสียงทุบตีดังขึ้นอีกครั้ง  ชายร่างใหญ่กำลังต่อยผู้หญิงร่างบางเข้าที่จมูก  เธอล้มกระเด็นลงไปกองที่พื้น  ใบหน้าฟุบต่ำลง   

“หนูทำอะไรผิด  พี่ไปมีเมียน้อยได้ยังไง  ทำไมพี่ทำแบบนี้”

เลือดกำเดาพรั่งพรูพร้อมกับใบหน้าที่เงยมองด้วยความสงสัยสลับกับเสียงสะอื้นไห้แห่งความปวดใจ      เลือดไหลปนกับน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสาย

“แล้วมึงกล้าดียังไง สะกดรอยตามกู”

เด็กน้อยในชุดนอน  เดินงัวเงียลงมาจวนจะถึงชั้นล่าง  ยืนตรงชานพักบันได  ภาพยังลางเรือนจากขี้ตากรัง   นาฬิกาแขวนตรงผนังแสดงเวลาสองนาฬิกาของเช้าวันใหม่   

เสียงทุบตี ด่าทอ ยังดำเนินต่อไป   เด็กชายพยายามทำความเข้าใจภาพที่เห็น  เมื่อบุพการีทั้งสองของตนกำลังฟาดฟันทำร้ายกันอยู่    จนท้ายสุดเขาก็เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า

“พ่อ อย่าทำแม่”

เด็กชายโผวิ่งจากบันได  แทบเรียกได้ว่าลอยตัวพรวดพุ่งเข้ามาเกาะขาพ่อ

“มึงอย่าเสือก ไอ้ทัพ”

ดาวลอยอยู่เต็มหน้าผม  เมื่อถูกปัดผสมถีบออกจากการเกาะแกะด้วยความรุนแรง

พ่อยังตีแม่  แม่ที่เอาแต่ร้องไห้  ผมยาวสลวยรกเปรอะหน้า  เป็นก้อนกระเซิงจากการโดนทึ้ง    เด็กน้อยนอนนิ่งมองภาพที่เห็น  เขาไม่สามารถขยับตัวได้   แต่ตาก็ยังไม่ได้ปิดจนสนิท

“อยากลองดีใช่มั้ย”

“ทัพ ลูก  อ๊ะ พี่อย่า”

หญิงสาวพยายามคลานไปดูอาการของลูกน้อยที่นอนสลบ  แต่ก็ถูกจิกผมดึงลากกลับไป

เสื้อผ้าของผู้เป็นแม่ถูกฉีดขาด  กลายเป็นริ้วผ้าที่กระจายในอากาศ  พร้อมกับเสื้อผ้าของพ่อที่ถูกถอดอย่างรีบร้อน
เด็กน้อยกำลังเห็นภาพของพ่อข่มขืนแม่  ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาไม่ได้สลบไป  เขาเห็นภาพทุกอย่าง  เขาอยากจะปกป้องแม่  แต่เขาก็ได้แต่นอนมองแล้วทำอะไรไม่ได้เลย  ไม่ได้สักอย่างเลยจริง ๆ  ไม่ได้จริง ๆ

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ผมตื่นขึ้นเพราะเสียงโหวกเหวกรอบตัวจากนักท่องเที่ยวที่กำลังลุกขึ้นเดินออกจากห้องโดยสารติดเครื่องปรับอากาศบนเรือ   ต่างคนต่างหอบหิ้วสัมภาระส่วนตัว   ภาพฝันของความจริงในอดีตที่ทัพพยายามฝังมันไว้ในส่วนลึกถูกกระตุ้นมาอีกครั้ง    จากการถูกกระทำชำเราเมื่อคืนที่ผ่านมา 

อยากร้องไห้  อยากตีอกชกตัว  อยากทึ้งผมตัวเอง  อยากทำทุกอย่างที่จะทำได้  แต่ก็ได้แต่นิ่ง  จนถึงตอนนี้นับแต่เท้าเหยียบบ้านเกิด  น้ำตาสักหยดยังไม่ไหลออกมาเลย

เมืองเกาะครึ่งร้อย  พลอยแดงค่าล้ำ  ระกำแสนหวาน
หลังอานหมาดี  ยุทธนาวีเกาะช้าง  สุดทางบูรพา

คือ คำขวัญของจังหวัดตราด  จังหวัดของผมเอง  เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่เกาะช้างตามคำขวัญ   และก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวอำเภอซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านผม   ผมกำลังเดินขึ้นฝั่งเกาะกูด  อำเภอสุดเขต  ใกล้น่านน้ำเขมร   ผมก็แค่ต้องการพาตัวเองมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ย้อนกลับไปช่วงสายของวันนี้

รถเก๋งสีน้ำเงินจอดเทียบ  พร้อมกับเพื่อนซี้ของผมที่ก้าวลงมาและพุ่งตรงมายังหมู่เก้าอี้ยาว  บริเวณท่าจอดรถเบอร์ 15  ที่ผมกำลังนั่งห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากทอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย 

“มึงไม่มีของอะไรเลยเหรอวะ  ทำไมกลับตราดมากะทันหัน”

บอสในเสื้อเชิ้ตผูกไท  กางเกงสแล็ค  กำลังยืนค้ำหัวผม

“กูคิดถึงบ้าน  อยากกลับ  แล้วมึงไม่ต้องใส่ชุดแบบที่หมอใส่เหรอ”

“ใส่กาวน์ทับอีกทีก็ได้  ไป”

มันคว้าสัมภาระอันน้อยนิดของผมไปถือ  เดินลิ่วนำไปที่รถ  โดยไม่สนว่าผมจะเดินตามมาหรือไม่   แต่ผมก็เดินตามอยู่ดีนะแหละ   เพราะบอสคือคนเดียวที่จะมารับผมได้โดยไม่ถามซอกแซกมากมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมนั่งข้างคนขับ  เร่งแอร์เย็นให้ตีใส่หน้าเพื่อเป็นการปลุกสติ

“รอนานปะวะ  มันต้องเที่ยงไง  กูถึงออกมาได้”

ถ้านับจากการที่บอสอ่านเพียงไลน์สั้น ๆ ของผมที่บอกแค่ว่า  มารับกูหน่อย กูออกจาก กทม. ตอนตีห้า  จะนั่งรอตรงเก้าอี้แถวท่าจอดเบอร์ 15  กูจะปิดเครื่องนะ ไม่ต้องโทรตาม  ผมก็ควรจะพอใจและรู้สึกติดหนี้บุญคุณมากกว่าที่จะโวยวายว่ารอนาน

“ไม่นานหรอก  รถเพิ่งถึงตอนสิบโมงครึ่ง”

“นานสัดเลยดิ  ชั่วโมงกว่า  ไปกินข้าวก่อนแล้วกัน  หิวยังละ”

ผมส่ายหัวแทนการตอบ

“ไม่ได้  ต้องแดก  โทรมมากไปแล้วมึง  ยังกับไปฟัดกับหมามา”

ผมยังส่ายหัวอีกครั้ง

“ตั้งโปรแกรมอัตโนมัติให้ส่ายหัวได้อย่างเดียวเหรอวะ”

“บอส  พากูไปหาแม่ก่อนได้มั้ย”

“เออ เอาสิ”

แล้วผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บอสฟัง  มันพรั่งพรูโดยที่บอสไม่ต้องถามผมด้วยซ้ำ


/////////////////////////////////

แม่ของผม  ทำงานที่ศาลากลางจังหวัด  เป็นหัวหน้าแผนกหนึ่งที่อยู่ในกำกับของผู้ว่าราชการจังหวัด

“ผมเผ้าโอเคยัง”

“เออ โอเคแล้ว  เดี๋ยว นิ่ง ๆ นะ  กูหวีตรงนี้ให้อีกนิด”

บอสปาดหวีที่ผมรอบสุดท้าย

“มึงติดกระดุมคอเหอะ  รอยดูดแม่งชัดชิบหาย”

“อืม”

“กูว่า กูต้องคุยกับไอ้เหี้ยพี่ปริ๊นซ์ละ ทำกับมึงแบบนี้ได้ไงวะ”

“อืม”

“ไปหาแม่เหอะ  กูรอในรถนะ  อย่าบ่อน้ำตาแตกนะเว้ย  ไม่งั้นความแตกแน่”

“อืม”

ผมออกจากรถ  ยืนมองบอสที่ส่งสายตาลุ้นมาให้ผมอย่างเห็นได้ชัด  รอยยิ้มแห้ง ๆ ถูกส่งกลับมาให้ผม  ที่ได้แต่ยิ้มอย่างแหยแกกลับไปให้มัน

พาร่างตัวเองเดินมาบนศาลากลางจังหวัด  คนบางตากว่ายามปกติ  ด้วยเป็นพักเที่ยง  แล้วผู้หญิงที่ผมอยากพบก็ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลเท่าใดนัก

“นิดค่ะ  ช่วงบ่ายพี่ฝากให้ท่านรองลงนามตรงนี้ด้วยนะคะ”

ร่างบางของแม่ยืนหันหลังอยู่  กำลังสั่งงานลูกน้องอย่างแข็งขัน

“ไปกินข้าวก่อนเลยค่ะ  พี่ไปห้องน้ำก่อน  เดี๋ยวตามไปนะคะ”

“แม่”

ใบหน้าที่ผมไม่เห็นมาเนิ่นนาน ค่อย ๆ หันกลับมาหาผม  ความแปลกใจปรากฏบนหน้า

แม่มีริ้วรอยตามวัย ที่ฉายชัดถึงความเหนื่อยล้าจากการงาน

“ทัพ  มาตราดแต่เมื่อไรลูก”

“ทัพ  อยากพักร้อนนะ  เลยจะไปเกาะกูด”

“จริงเหรอลูก  บริษัทเขาไม่ว่าเหรอ”

“ไม่หรอกแม่  ก็ลาแบบไม่เอาเงินอะ  เขาจะว่าอะไร ประหยัดเงิน”

“ตาย  เด็กคนนี้”  ผมรีบเข้าไปกอดแม่  ก่อนจะโดนตี  “เอ๊ะ ลูก  หนูมีไข้นิด ๆ นะ  เป็นอะไรมา”

“สรุปว่า  ทัพไปเที่ยวนะ  เดี๋ยวจะไปบอกพ่อต่อ ไม่ต้องห่วง”

ผมเลี่ยงตอบสาเหตุที่ผมมีไข้  ผมวิ่งออกไปแล้วหันหลังไปยิ้มให้แม่หนึ่งที

“จ้ะ ๆ ไปดี ๆ ละ”

“ครับ”

/////////////////////////////////

“มึงเข้างานสายเขาจะว่ามึงมั้ยเนี่ย”

รถเก๋งแล่นฉิวบนถนนขนาดสองช่องจราจร  ที่พุ่งตรงสู่ท่าเรือเกาะกูด   ยาลดไข้แก้ปวดหนึ่งเม็ดเพิ่งไหลผ่านหลอดอาหารของผมไป    บอสบอกแต่เพียงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้ผมมีไข้  และการกินยาก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผมหายไข้ได้เร็วขึ้น   อย่างน้อยผมก็จะพักผ่อนได้เต็มที่

“ไม่หรอก กูโทรไปบอกพี่ที่ทำงานแล้ว ว่ากูมีธุระด่วนจริง ๆ  มึงแน่ใจนะว่าไหว”

“ไหว”

“แล้วจะกลับเมื่อไร”

“ไม่รู้วะ นี่เพิ่งวันพุธเอง  อาจจะอยู่สักสัปดาห์หนึ่งมั้ง”

“เสาร์อาทิตย์นี่ กูไปหานะ โอเคมั้ย”

“ตามใจมึง”

“เออ”   รถจอดบริเวณที่ขายตั๋ว  มันคว้ากระเป๋าผมไปถือทันที  “กูถือให้  สงวนแรงไว้บนเกาะเหอะมึงนะ เอาเงินสดมาเยอะเปล่าวะ  มันไม่ได้มีตู้เอทีเอ็มเยอะนะเว้ย”

“มีพอครับพี่”

“เออ ดี  อย่าให้กูต้องเป็นห่วง  แล้วก็ค่อยเล่าให้กูฟังว่าบนเกาะเป็นยังไงบ้าง”

“ครับ”

“แล้วโทรศัพท์จะไม่เปิดจริงเหรอวะ”

“เปิด  แต่ตั้งออฟไลน์ไว้  กูยังอยากถ่ายรูป  ตั๋วหนึ่งใบครับ

ประโยคหลัง  ผมพูดกับคนขายตั๋ว

“เออ เจริญพร  กูจะติดต่อมึงได้มั้ยละ”

“เอาน่า  นี่โรงแรมกูก็ยังไม่ได้หา   เดี๋ยวนอนที่ไหนจะบอกแล้วกัน”

“เออ ไปดีมาดี  กูส่งแค่นี้นะ  เดินไปขึ้นเรือเองแล้วกันนะ”

“เจอกันบอส  ขอบคุณมากนะ”

ผมหันไปยิ้มให้บอส ที่โบกมือให้ผม  แล้วมันก็หันหลังเดินกลับไป  พร้อมกับคุยโทรศัพท์

“พี่ไม่ต้องพูดอะไรเลย”   

นั่นคือประโยคที่ผมได้ยินจากปากของบอส  น้ำตายังรื้นอยู่ที่หัวตาของผม  ไม่บอกก็รู้ว่ามันกำลังคุยกับใคร 

“อุบัติเหตุเหรอ  เข้าใจผิดเหรอ   พี่ช่วยไปบอกเพื่อนพี่ด้วยนะว่าไม่ต้องตามมันมา พอเลย”

เพื่อนงั้นเหรอ...  ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่บอสกำลังคุยอยู่คือคนที่ผมคิดหรือเปล่า

ตัวผมลอยไปนั่งบนเรือ  ผมเดินมาอย่างไร  ไปถึงได้อย่างไร  ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย

แต่ช่างมัน  ผมจะทิ้งทุกอย่างลงทะเล  ผมจะต้องมีความสุขกับมันแน่นอน


-------------------------------------------------------------


วันที่หนึ่ง ณ เกาะกูด

เกาะกูดไม่ได้เจริญเหมือนกับภูเก็ต หรือ เกาะช้าง  เมื่อถึงท่าเรือบนเกาะ  จะมีรถสองแถวบริการฟรี  ฟรีที่ว่าคือรวมกับค่าโรงแรมไปแล้ว

ชีวิตของคุณจะสะดวกมาก  ถ้าคุณได้ทำการจองโรงแรมมาเรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าคุณไม่ได้จองโรงแรมมา ก็จะมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย

“ผมไม่ได้จองโรงแรมมาอะครับ”

“อ้าว น้อง  งั้นก็ยุ่งหน่อยนะ  จะอยู่แนวไหนอะ  ถูกแพง บังกะโล”

“ผมกะจะอยู่สักอาทิตย์อะครับ  บังกะโลก็ได้มั้งครับ”

“แล้วซื้อตั๋วขากลับหรือยัง”

“ยังครับพี่”

“โอเค จะกลับก็บอกที่บังกะโลเอานะ  เห้ย  พี่สี  เอาน้องคนนี้ไปด้วย  พาไปจอดที่บังกะโลของตามีนะ  ลงตามไปเก็บเงินตามีด้วย   แต่ถ้าน้องเขาไม่พักก็เก็บเงินน้องแทน”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิง  นั่นแหละครับ ความวุ่นวายของมัน

และเพื่อไม่ให้วุ่นวายไปมากกว่านี้  ผมก็เลือกนอนที่บังกะโลตามีนั่นแหละ 

“ห้องนี่โอเคมั้ยครับคุณ”

“โอเคครับคุณลุง”

ผมพูดกับเจ้าของบังกะโล  ที่ผันตัวเองมาทำทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ เด็กถือกุญแจพาไปห้อง  ยันคนครัว

ห้องที่ลุงมี หรือ ถ้าเรียกตามวัยจริง ๆ คือ ตามี  พามาดู  เป็นห้องขนาดสองคนพัก  ใหญ่พอสมควร  ติดชายหาด  มีลมทะเลพัดโชย  เย็นสบายโดยไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ   เรียกได้ว่าแอร์ธรรมชาติก็เพียงพอ  แต่ก็ยังมีแอร์อยู่ในห้อง  แถมยังมีพัดลมแขวนอีกตัวหนี่ง  มีเก้าอี้ชายหาดอยู่สองตัวหน้าห้อง  พร้อมตู้เย็นหนี่งตู้

“ทำไมมาคนเดียวละคุณ”

“ลุงอย่าแทนผมว่าคุณเลย  เรียกผมว่าลูก ว่าน้องก็ได้ฮะ  ผมก็คนตราดนะลุง”

“เอ้าเหรอ  ไม่เห็นพูดสำเนียงตราดเลย  คนบ้านเดียวกันนี่นา”

ผมพูดสำเนียงตราดไม่ได้ครับ ระยองฮิสั้น จันท์ฮิยาว ตราดฮิใหญ่  ผมพูดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ  แม่ผมไม่สอนให้พูด  แต่แม่พูดกับยายประจำ  ผมก็เลยฟังได้แต่เพียงเท่านั้น

“ครับลุง” 

ผมยิ้มรับ

“ลูกเต้าเหล่าใครละเนี่ย”

หลังจากไล่เรียงกันสักพัก  ไป ๆ มา ๆ ลุงมีเป็นญาติห่าง ๆ ทางฝั่งแม่ผมซะงั้น  คราวนี้ต้องเรียกตามีแล้วสินะ

“โอ๊ยยย หลานเอ๊ย  ไม่บอกตา  ยายรวย ของแกนะ  มันเป็นลูกพี่ลูกน้องของตาเอง  แม่ยายรวยเป็นน้องสาวของพ่อตานะ  ห้ามเรียกลุงมีแล้วนะ  ต้องเรียกตามี”

พี่น้องตระกูลบุญสินะ   ยายผมชื่อบุญรวย  ส่วนตามี  แกชื่อว่า บุญมี   แม่เคยเล่าให้ฟังว่า  เป็นความคิดสร้างสรรค์ของรุ่นคุณทวดทั้งหลาย   โดยการจับลูกตัวเองทุกคนมาเลี้ยงรวมกัน  ให้มองเป็นพี่เป็นน้องกันไปเลย  โดยไม่ต้องสนใจว่าแท้จริงเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง

ดังนั้นการที่ตั้งชื่อลูกตัวเองทั้งหมดให้ขึ้นต้นด้วยบุญ   ก็เป็นหนึ่งในกลเม็ดที่ทำให้เด็กน้อยในตอนนั้น (ที่ตอนนี้แก่เป็นยายผมแล้วนะน่ะ)  เข้าใจว่าตนเป็นพี่น้องกัน   จึงมีสารพัดบุญที่ผมเคยได้ยินมา  ไม่ว่าจะเป็น  บุญรวย  บุญร่ม บุญรื่น บุญพล  บุญชัย  บุญถึง   และล่าสุด  บุญมี

“ครับ คุณตา”

“แล้วนี่ ไม่ทำงานกับเขาเหรอ  หรือยังเรียนไม่จบ”

“ผมลาพักร้อนอะตา”

“เอ้าเหรอ ดี ๆ  พักผ่อนบ้างจะได้ไม่เครียด  อยากทำอะไรบอกตานะ  เดี๋ยวตาจัดให้ ฟรี ฟรี ฟรี”

“ไม่ได้อะตา บ้าเหรอ  ของซื้อของขาย”

“ไม่ได้เหมือนกัน  หลานทั้งคน  ต้องรับขวัญกันหน่อย  ตาไปแล้วนะทัพ  มีไรบอกนะ  ใช้พวกลูกน้องตาก็ได้  เดี๋ยวไปบอกมันไว้ก่อน”

วันแรกของผมก็เป็นวันชิวสบาย  นอนเล่นในห้อง  เอาหนังสือนิยายเล่มเก่า ๆ ที่ซื้อดองไว้ตั้งแต่มัธยมมาอ่าน  เดินเล่นตามชาดหาด

ตกดึก  ตามีก็ลากผมไปกินข้าวด้วย  ไม่ให้ผมไปนั่งปนกับแขก

เกือบเที่ยงคืน  กว่าผมจะได้กลับมายังห้องพักของตัวเอง   อยากเล่นเฟซบุค  อยากทำอะไรที่ปกติตัวเองทำ  แต่ก็ใจแข็ง  ตั้งออฟไลน์โทรศัพท์ไว้ต่อไป   ทำได้เพียงเอามาเล่นเกมส์

“ปวดตาหวะ”

บ่นกับตัวเอง   หลับตาแล้วนวดคลึงเปลือกตาอย่างแผ่วเบา    น้ำตาเจ้ากรรมที่ไม่คิดว่าจะไหลก็ไหลแล้วไหลอีก  ผมทำได้แต่เพียงร้องไห้   แล้วผมก็ทำแบบที่คนบ้าในละครหลังข่าวที่ผมก่นด่ามาทั้งชีวิต   ผมตีตัวเอง  ผมทุบอกตัวเอง   แล้วผมก็ดิ้นไปดิ้นมาบนเตียง  ร้องไห้   วนแล้ววนอีก   จนหลับไปในที่สุด


วันที่ 2   

ผมนอนหมกเป็นผักในห้อง  ไม่ไปไหน     แต่เมื่อท้องร้องดังลั่นเป็นกลองชุดตอนเที่ยง  ก็ทำให้ผลต้องผละออกจากห้อง  เพื่อออกมาหาอะไรกินที่ห้องอาหาร  เดินเล่นรอบโรงแรม  แล้วก็เข้าไปนอน เพื่อที่จะตื่นมากินอาหารเย็นกับตา


วันที่ 3   

เหมือนความเศร้าของผมมันสลายไปจากการนอนหมกเป็นผัก  ผมรู้สึกว่าชีวิตควรมีคุณค่ามากกว่านั้น  ผมจึงผันตัวเองมาเป็นคนสวนให้ตามี 

“เออ ดี ทัพ  ฉีดทางนั้นเลยลูกเอ้ย”

“ครับตา”

“เออ ดี  ยายรวยคงปลื้ม  เอาการเอางานนะเราเนี่ย”

ไม่มีคำตอบจากผม  ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป 

“ไปเที่ยวหน่อยมั้ยละ  จะเอาแต่รดน้ำ  พรวนดิน  อย่างเดียว น่าเบื่อตาย”

“ผมก็สนุกกับมันดีนะตา ทำงานออฟฟิศน่าเบื่อ”

“ปัดโธ่ เออ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าเว้ย  หลานตาแต่ละคน  อยากไปกรุงเทพฯ ใจจะขาด  นี่สุดท้ายก็จับปลาอยู่แถวนี้แหละ  ไอ้เราก็ได้ไปกรุงเทพเมืองหลวง  ดันอยากกลับมาที่ตราด”

“ลางเนื้อชอบลางยาอะตา”

“เออ ทำไป  เบื่อวันไหน  อยากมาทำงานกับตาก็บอกนะลูก”

แล้วตามีก็ทิ้งผมไป   ผมรดน้ำต้นไม้  รับแขก  ช่วยเสิร์ฟอาหาร  ทำแบบนี้จนหมดวัน  สูบพลังผมจนหมดสิ้น

ตกเย็น  ผมก็นึกขึ้นได้ว่า  ยังไม่ได้บอกที่พักกับแม่และบอส จึงรีบเปิดเครื่อง

ข้อความหลายฉบับถูกส่งมาเพื่อแจ้งว่าพี่ปริ๊นซ์พยายามโทรหาผมหลายร้อยสาย  มีสายไม่ได้รับจากแม่และบอสรวมอยู่ด้วย   และเหนือความคาดหมายคือ  มีเบอร์ไม่ได้รับสายจากพีและมีน

“พวกมันโทรกันมาทำไมวะเนี่ย”

ผมนิ่งคิด  ก่อนรีบกดโทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวสารกับแม่

“แม่ครับ ขอโทษทีผมลืมโทร”

“ลูก อยู่ไหนเนี่ย เป็นยังไงบ้าง”

เสียงตกใจที่ดูผ่อนคลายลงของแม่ก้องสะท้อนกลับมา

“ก็ดีครับ”

ผมเล่าเรื่องตามีให้แม่ฟัง  แม่บอกว่า  โชคดีจัง  ท่านก็เกือบลืมตามี หรือ น้ามี คนนี้ไปแล้ว  จากนั้นผมก็โทรไปบอกบอส 

“มึง กูไปหาไม่ได้นะ  มีงานด่วน”

“เห้ย ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”

แล้วก็กลับไปทำงานกรรมกรที่รักของผมต่อ

วันนี้  ผมได้ทานมื้อเย็นในลานอาหารกับแขกคนอื่น   ตามีอยากให้ผมได้ฟังดนตรีสดที่ทางร้านจัดให้ทุกศุกร์และเสาร์ ผมเลยถูกปล่อยมานั่งกินข้าวคนเดียวแบบเหงา ๆ

“คุณทัพค่ะ”

พนักงานสาวของตามีเดินมาหาผม  พร้อมกับจานข้าวผัดปูขนาดกลาง

“พี่ เรียกผมว่าทัพก็ได้ครับ”

จานข้าวผัดวางตรงหน้าผม

“จะดีเหรอคะ  เดี๋ยวลุงมีบ่นพี่”

“พี่ยังเรียกตา ว่า ลุง เลย  เรียกผมว่าน้องก็ได้ ทัพก็ได้”

“โอเค น้องทัพ เดี๋ยวมีอีกจานนะ รอก่อน”

“ยังมีอีกเหรอพี่”

เสียงตกใจของผมชัดเจนมาก จนพี่พนักงานหลุดขำออกมา   อย่าหาว่าผมงั้นงี้เลย  ก็มันจริงนี่นา  ผมลดความอ้วนแทบตาย   แต่มาอยู่เกาะกูดแค่ 3 วัน  น้ำหนักของผมก็สูงเอา ๆ   คาดว่ากลับมาสูงใกล้กับตอนที่ถูกแทงแล้วต้องนอนนิ่ง ๆ ห้ามออกกำลังกายแล้วเนี่ย

“ใช่จ้า คุณตาของน้องสั่งไว้ให้เยอะเลย”

แค่นี้ยังไม่เยอะเหรอวะ  ผมคิดในใจ  มองโต๊ะที่มีข้าวผัดปูวางอยู่    เคียงกับปลาทอดหนึ่งตัวใหญ่  และกุ้งเผาอีกจานเบ้อเริ่ม
แล้วคุณตาของผมก็มาถึง

“แน่ะ นินทาอะไรถึงฉันอยู่”

“เปล่าครับตา แฮ่ะ ๆ”

“เอ้า  ไปเอามาให้หลานฉันสิ  มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำไม”  ตาตะเพิดพี่พนักงานเสิร์ฟไป  “เนี่ย ทัพ  อุดอู้ไม่ดีนะ  พรุ่งนี้ไปดำน้ำดูปะการังนะ  ตาจองไว้ให้แล้ว”

“เห้ย ตา”

“ไม่ต้องเห้ย  ยังหนุ่มยังแน่น  จะมาอุดอู้ทำไม”

“ผมไม่ชอบว่ายน้ำ”

“นั่นปะไร  เป็นคนตราด ไม่ชอบว่ายน้ำได้ยังไง เสียชาติเกิด”

กลัวอะไรกับคนตราดต้องชอบว่าน้ำ   ถ้าเป็นคนเชียงใหม่ต้องชอบขึ้นดอยเหรอ   เป็นคนกรุงเทพฯ  ก็ไม่ได้ชอบรถติดจริงมั้ยละ

“ก็ผมไม่ชอบอะ”

“ไม่ต้องเถียง  สิบโมงเช้านะ  ตาไปแล้ว”

หยุดบอกได้ไหมว่าคิดถึงกัน

คิดถึงทั้งฉันและใครต่อใคร

มันก็สิทธิ์ของเธอ   

อยากจะซึ้งจะดีกับใคร

เธอก็ปล่อยฉันไป   

ไม่เป็นไรแค่คนคนเดียว

เมื่อคนอย่างเธอเท่าไหร่มันก็ไม่พอ

และคนอย่างฉันก็ทนรับมันไม่ได้

ให้เธอหมดใจ

ใจฉัน

ก็อยากจะได้จากเธอทั้งใจ

รักกันไปส่งส่งคงไม่พอ

ฉันขอลา


เพลงสิทธิ์ของเธอ ของ อัสนี วสันต์ ลอยมาตามลม 

ดนตรีสดเริ่มขึ้นแล้ว  พร้อมกับใจผมลอยไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่  พยายามทำใจสบายให้ลอยไปกับสายน้ำและเสียงคลื่นทะเล

ใช่แล้ว  มันเป็นสิทธิ์ของพี่ปริ๊นซ์ที่จะทำอะไรของเขา  เราก็แค่เดินจากมา  มาอยู่ในที่ของเรา  ก็เท่านั้นเองทัพ  ไม่ต้องเสียใจ
มือผมแกะกุ้งอย่างรวดเร็ว  ทักษะติดตัวมาแต่เกิดก็ว่าได้  เนื้อกุ้งถูกจ้วงลงไปในน้ำจิ้ม  และส่งใส่ปากของผมที่เคี้ยวไปครั้งสองครั้ง  ก่อนกลืนกุ้งทั้งตัวลงท้องราวกับกลัวถูกแย่งกิน

น้ำตาไหลอาบแก้มผมเล็กน้อย  ทำไมกันนะ ปกติผมก็กินเผ็ดได้   ทำไมน้ำจิ้มของบังกะโลตามีถึงเผ็ดขนาดนี้
เปลือกกุ้งกองสูง  แสดงถึงปริมาณเนื้อกุ้งมหาศาลที่ตกลงท้องผม   เปลือกสีแดงเหมือนตาแดงของผม  ที่น้ำใสไหลไม่หยุดนิ่ง


วันที่ 4


วันเสาร์ที่แดดแรง  ผมกำลังดำน้ำอยู่ที่สถานที่แรก  เสื้อชูชีพถูกรัดแน่นบนตัวผม  บ้าบอที่สุด  คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างผม  ทำไมต้องมาดูปะการังเสี่ยงตายขนาดนี้

แต่เมื่อลืมความกลัวไป  กลั้นใจและพยายามทำ  ก็พบว่าธรรมชาติที่สวยงามทอดตัวอย่างสวยงามบนท้องทะเล 

ผมเริ่มอยากกลับไปขอบคุณตามีแล้ว ที่บังคับให้ผมมาดูปะการังแบบนี้

มื้อเที่ยงของพวกเรา  ต้องกินข้าวบนเรือ  เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการพาไปยังจุดดำน้ำที่สอง

แดดแรงของเวลาเที่ยง  พร้อมกับอาหารอันน้อยนิด  ไม่สามารถชดเชยพลังงานที่หมดไปกับการดำผุดดำโผล่เหนือผิวน้ำได้   ผมกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทาง  และสะดุ้งตัวอีกครั้งเมื่อเรือจอดสงบนิ่ง

“จุดดำน้ำที่สองนะครับ  เราจะดำรอบเกาะเล็ก ๆ เกาะนี้  ดำจนครบรอบแล้วมาเจอกันนะครับ”

นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยลงน้ำไปทีละคน  ผมกำลังสองจิตสองใจว่าจะลงดีมั้ย  ย่านน้ำแถวนั้นค่อนข้างเงียบสงบ  มีเรือจอดนิ่งอยู่เพียงสามลำ  รวมเรือผม  มีเรือลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่อุทยานแล่นผ่านไปหนึ่งลำ  มากไปกว่านี้ ยังมีแนวเชือกที่ขึงเป็นวงกลมรอบเกาะ  พร้อมกับทุ่นลอยที่ปักห่างทิ้งระยะเหมาะสม   โดยทั่วไปดูสงบเรียบร้อยและปลอดภัย   

“อะ คุณจะไปมั้ยครับ”

“ไปครับ”

แล้วผมก็หย่อนตัวลงทะเล 

ปะการังสวยงามเช่นเคย  ไม่สิ  สวยกว่าจุดแรกด้วยซ้ำ  งดงาม  มีสีสันแพรวพราว  ความสงบของธรรมชาติช่วยขัดเกลาจิตใจของเราเสมอ

ผมลอยตัวขึ้นมาอีกครั้ง  มือข้างหนี่งยังจับเชือกที่ล้อมอาณาเขตไว้อย่างมั่นเหมาะ   แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมองไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นในรัศมี  น้ำทะเลบางส่วนเข้าหน้ากากจนพร่ามัว  จึงบรรจงถอดออกมาแล้วล้างน้ำ

“ไปไหนกันหมดวะ”

ผมสวมแว่นกลับเข้าไป  จัดตำแหน่งท่ออากาศให้เข้าที่  แล้วดำน้ำลงไปดังเดิม

แต่สายรัดของแว่นดำน้ำที่ผมใส่มันเกี่ยวเข้ากับปมเงื่อนของเชือกที่ผูก  จนท่ออากาศพลิกกลับลงไปในน้ำ  ผลที่เกิดตามมาคือ  มวลน้ำทะเลจำนวนมากเข้าปากผมที่พยายามดูดหายใจ   เท้าผมดิ้นป่ายเหมือนคนใกล้ตาย  สะเปะสะปะไปโดนแนวเชือก   ผมเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บจากขา  คงได้แผลแล้วสินะ  แล้วตะคริวก็จู่โจมผมทันที

ผมนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น  ไม่สามารถพาหัวตัวเองให้สูงพ้นน้ำได้  ในใจคิดแต่เพียงว่า  มีคนเคยตายที่นี่ไหม  มีคนเคยตายเพียงเพราะว่าดำน้ำอยู่ที่ผิวน้ำแบบผมไหม

ถ้าไม่เคยมี ผมคงเป็นคนแรกสินะ

“ช่างมันสิ”

ด้านหนึ่งในใจของผมกรีดร้องออกมา  ตาย ๆ ไปซะ ให้มันจบ ๆ ชีวิตมันไม่มีอะไรแล้ว 

ภาพของใบหน้าที่โกรธขึงของพี่ปริ๊นซ์ลอยมา  ใบหน้าที่กำลังเอาจมูกไล่ลามดอมดมกายผม  มือหนาที่กดผมหนักลงบนเตียง   ย้อนกลับมาเหมือนภาพสโลว์โมชัน   ในทันใดภาพทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยภาพบนเดสก์ท็อปของโนตบุ๊คส่วนตัวของผม
เป็นภาพวันรับปริญญา  ที่มีผม  มีพ่อ แม่ และทับทิบ  ถ่ายรูปรวมกัน  เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พ่อกับแม่ยอมถ่ายรูปร่วมกันเพื่อผม   ผมไม่เคยคิดจะเอาภาพนั้นไปล้าง  ผมอยากให้เป็นแค่ความทรงจำอันงดงามเหมือนความฝัน  การนำมันมาใส่กรอบ  อาจจะกลายเป็นรูปธรรมเกินกว่าผมจะเข้าใจได้

“แม่ครับ พ่อครับ ทัพขอโทษ”

ขาผมนิ่ง  ไร้แรงที่จะดิ้นต่อไป

“ไอ้บอส  กูขอโทษ”

ผมไม่อยากตาย  ผมยังไม่อยากตาย

แล้วสติผมก็พร่าเลือนหายไป

-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 17

ผมค่อนข้างไม่ชอบอะไรดราม่า  ก็เลยไม่สามารถเขียนออกมาได้ดีนัก
และผมค่อนข้างอยากให้เป็นธรรมชาติ  ซึ่งจะตรงกับบุคลิกของทัพมากกว่านะครับ

ขอบคุณที่ติดตามผลงานเขียนเรื่องแรกของผมนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2018 16:05:17 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
นี้ขนาดบอกเขียนดราม่าไม่เก่งนะยังรู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้ :hao5:
ทัพเจอมาแต่ละอย่างหนักหนาทั้งนั้นทัพอย่ายอมแพ้นะต้องสู้อย่ารู้สึกหมดหวังกับอะไรแบบนี้ชีวิตต้องเดินต่อ :กอด1: ทัพ


ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
รออออ มาต่อไวไวนะ ลุ้นๆ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 18
จมสู่อดีต


“กูไม่ลงน้ำนะพี น่าเบื่อ”

ผมนั่งท้ายเรือเอาเท้าแกว่งน้ำ  พยายามเก็บอาการหวาดวิตกไว้ในใจ  ไม่อยากแสดงอาการตาขาวให้รูมเมตจอมกวนทั้ง 2 ของผม เอาไปเล่นงานผมได้ 

ตอนผมอายุ 3 ขวบ ผมเคยเกือบจมน้ำตายตอน   มันเป็นทริปเกาะช้างของพ่อและแม่ที่ท่านสองคนไปทุกปี  เพราะท่านทั้งสองขอแต่งงานกันที่เกาะช้าง  ทุกปี ๆ ผมกับน้องจึงต้องติดสอยหอยตามไปด้วยเสมอ

จากประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้น  อันที่จริงแม่บอกว่าผมหยุดหายใจไปเกือบหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ  มองในแง่ดีก็คือ  ผมได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย   อย่างไรก็ตามภาพความทรงจำของเหตุการณ์นั้นยังฝึงลึกในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึกทำให้ผมขยาดกับการว่ายน้ำมาตลอด

“ทำไมวะ  ใจหน่อยดิเฟรชชี่  มาสงขลาบ้านกูทั้งที  พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะ”

“ไม่  ทะเลบ้านมึงกับบ้านกูก็อ่าวไทยเหมือนกันแหละ”

“ไม่ใจเลยวะ  อีกไม่กี่เดือนก็ขึ้นปี 2 ละนะเว้ย  ชี่ให้เต็มที่”   ชี่ที่ไอ้พีว่า  ก็คือ เฟรชชี่ หรือ นิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 นี่แหละครับ   มหาวิทยาลัยของผมชอบใช้คำว่า ‘ชี่’ แทนการกระทำที่ครึกครื้น  สดใส  กล้าคิดกล้าทำ  สนุกสนาน เหมือนอุปนิสัยโดยทั่วไปของนิสิตน้องใหม่   “ไอ้ตาม ว่าที่แฟนมึงยังลงน้ำเลย ดูดิ” 

มันชี้ไปทางไอ้ตามที่กำลังว่ายน้ำโชว์หุ่นงาม  ให้สาวจีนที่กำลังดูปะการัง มองเป็นทิวแถว

จะว่าไปแล้วหุ่นมันดีขึ้นจากตอนที่มันป่วยนอนโรงพยาบาลแฮะ  เห้ย ผมไม่ได้ลามกนะ  ก็มันลุกจากเตียงไม่ไหว  ไม่ยอมให้พยาบาลเช็ดตัวให้  ก็ผมนี่แหละที่ต้องรับผิดชอบเช็ดตัวให้มันทุกวัน   มาคิด ๆ ไป ที่ตามบอกว่าไปยิมทุกเย็น  ก็คงไม่ได้ไปเล่นกีฬาแล้วล่ะมั้ง   คงไปเล่นกล้ามเสียมากกว่า

“แฟนพ่องสิ”

ผมหันไปด่าไอ้พี  ที่ตัวมันเองก็ไม่ลงน้ำ  นั่งกินข้าวกล่องกล่องที่ 3 ตรงที่นั่งโดยสารด้านหลังผม

“แหม มันสารภาพรักแล้วนะจ๊ะ เมื่อคืน”  มันเอามือวางบนไหล่ผม “ลงไปซะ”

แล้วมันก็ผลักผมลงน้ำ

ผมผู้ไร้ชูชีพ  กำลังถวายชีวิตให้ทะเลสงขลา  ผมคงไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณพ่อและแม่แล้ว  หากไม่ถูกฉุดขึ้นมา

“มึงทำเหี้ยไรวะไอ้พี”

“กูไม่รู้ กูไม่รู้”

ผมสำลักน้ำ  ชีวิตผมรอดแล้วจากมัจจุราช


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ผมเคยได้ยินคนโบราณว่า  ถ้าเรารอดจากทุกข์ภัยหนักแล้ว  ชีวิตเราหลังจากนั้นจะดีขึ้น
มันอาจใช้ไม่ได้กับผม

ผมกำลังย้อนรอยตัวเอง  ด้วยความสะเพร่าปากหนักของตัวเองแท้ ๆ  แค่ผมบอกตามีไปว่า  ผมว่ายน้ำไม่เป็น ทุกอย่างก็จบแล้ว  ทำไมผมต้องอาย

“เป็นคนตราดแท้ ๆ ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ”

ผมควรจะชินกับประโยคดูแคลนแบบนี้ได้แล้ว  ทำไมผมเลือกที่จะเอาศักดิ์ศรีก่อนจะเลือกชีวิตวะ

ผมไม่รู้ตัวอะไรอีกแล้ว  ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชูชีพที่ผมใส่ไว้หลวม ๆ ค่อย ๆ หลุดเลื่อนออก  หน้าผมที่จมอยู่บนผิวน้ำ  จึงดิ่งส่วนหัวลงไป

ฟองอากาศ หลุดลอยจากปากผม เริ่มจางลง จางลง

ทุกอย่างเริ่มดำดิ่งสู่ความมืดมิดด้านล่าง  มันไม่ลึกเท่าไหร่หรอก  แค่เพียง 5-6 เมตร เท่านั้นแหละ  ท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลสดใส  แดดแรงที่สาดส่อง  แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมา

“นี่ที่ไหนวะเนี่ย  หรือว่านรก”

แสงสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ  ผมยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางที่โล่งขาว สุดลูกหูลูกตา

“หรือว่าสวรรค์  กูก็เป็นคนดีอยู่นะเว้ย”

ผมยืนกอดอก ยิ้มให้กับการทำความดีที่ผ่านมาของตนเอง

“ทับทิมเอ๊ย  แกต้องดูแลพ่อกับแม่ให้ดีนะ”

น้ำตาไหลอาบแก้มสองข้างของผม  ทรุดตัวลงบนพื้นขาวสว่าง  น้ำตาไหลมากขึ้น มากขึ้น  น้ำตาที่แสนเค็ม  ทำไมผมยังรับรสได้กันนะ   ณ ตอนนี้ไม่ใช่แค่น้ำตา  น้ำหู น้ำจมูก ก็มีด้วย  น้ำเค็มคาว ไหลออกจากทุกทวารบนใบหน้าของผม  เหลือเพียงจากปาก

ถ้าเท่านั้นทำให้ผมช็อค จนอยากเป็นลมหมดสติอีกรอบแล้วละก็  ไม่ใช่ครับ  แค่นั้นไม่พอ  ยังมีมวลน้ำก้อนใหญ่ที่พุ่งพรวดออกจากปากผมเช่นกัน

สถานที่ขาวสว่างหายไป

กลายเป็นที่แคบ ไหวโคลง  ใช่  ผมอยู่บนเรือ  ภาพที่ลางตาเริ่มแจ่มชัดขึ้น

“...โดนตามีไล่ออกแน่กู หือ ๆ  คุณทัพ”

“ผม... อยู่ไหน”

ประโยคแรกที่ผมพูดออกมา  เรียกเสียงเฮลั่นเรือ 

“คุณทัพโอเคใช่มั้ย”

“โอเคครับ ไม่ต้องห่วง โอเค”

เสียงที่ผมคุ้นเคยตอบแทนผมกลับไป  เสียงนั้นอยู่ใกล้หูผมมาก  เขากำลังประคองผมให้นั่งขึ้น  ลูบหลังไล่น้ำทะเลให้ออกมาอีก

“หยุดหายใจไปเกือบ 2 นาทีเลย  รู้มั้ย”

เสียงคุ้นกระซิบข้างใบหู   ใครวะ ใคร ผมปวดหัว มึน  สมองไม่รับภาพที่เกิดขึ้น  ความเพลียจากการว่ายน้ำ  ผมไม่สามารถปรับโฟกัสให้ชัดเจนมากไปกว่าเห็นก้อนใหญ่ ๆ บางอย่างกำลังจ้องหน้าผมอยู่  เอามือลูบหลังของผม 

“เห้ย”

ผมเซ  เสียงตะโกนด้วยความตกใจของบุคคลปริศนาเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้   ก่อนภาพทุกอย่างดับวูบไปอีกครั้ง   กูชี่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ แหละพี  กูชี่ไม่ไหวแล้ว


-------------------------------------------------------------


กลิ่นหอมโชยกระชากผมตื่นขึ้นจากภวังค์

“น้ำ น้ำ”

ผมบ่นทั้งที่ยังนอนอยู่บนเตียง

“อะมึง”

แก้วน้ำถูกจ่อที่ปากของผม  พร้อมกับประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง   ผมหรี่ตาสู้แสง  จ้องคนตรงหน้า

“ตาม มึงมาได้ไง”

ผมส่งเสียงแหลมราวกับเห็นผีจนน้ำในแก้วหกกระจายลงบนเตียง

“น้ำหกเรี่ยราดหมดแล้ว”

มันปัดน้ำบางส่วนที่กระเด็นไปโดนตัวมัน

“มึงไม่ได้ไง”

ผมยังถามซ้ำ  ไม่ยอมเลิกรา  ตัวผมกรูดถอยไปชิดหัวเตียง  ผมยอมยกเงินในบัญชีครึ่งหนึ่งแลกกับการไม่เจอหน้าตาม

“ไม่บอก  เอาเป็นว่ากูมาแล้ว”

ผมสะบัดหน้าหนี

“กูอุตส่าห์ตามมาเกาะกูดแล้วนะ”

“......................”

“เพื่อนมึงแหละบอกกู”

“ไอ้เหี้ยบอส” ผมพูดกับตัวเอง “มึงกลับไปได้แล้ว  แฟนมึงรออยู่”

“อืม”  มันไม่ได้ปฏิเสธ  “กูลางานมา  มึงยังไหวมั้ย”

“มึงสนอะไรก็ด้วยเหรอ  ต้องเอาเวลาไปกดตัดสายกูหรือเปล่า”   ผมสัมผัสความเครียดบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาได้  “อีกอย่างนะ  กูไม่มีเพื่อนแบบมึงแล้ว  เราเลิกคบกันเป็นเพื่อนไปแล้ว  อย่าลืม”

ผมว่าผมลืมความโกรธเหล่านี้ไปหมดแล้วนะ แต่พออยู่กับมันใกล้ขนาดนี้  ความรู้สึกแค้นเคืองก็ปะทุมาอีกครั้ง

“กูไม่ลืม  ว่าเราไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว”

ผมหันกลับไปจ้องตา สู้สายตาที่เจ็บปวดของตาม   คำพูดของม่อนยังลอยเวียนวนรอบตัวผม   ผมต้องอดทน  ผมต้องอดทน  เพื่อให้ทุกอย่างมันดีขึ้น

“แต่โปรดช่วยคิดว่า ผมถามในฐานะแพทย์แล้วกันครับ คนไข้ช่วยตอบด้วยครับ  ว่าอาการเป็นอย่าไรบ้าง”

สำเนียงเสียงมันห่างเหินมากขึ้น  รู้สึกโหวงในใจเล็กน้อย  ความจริงจังของตามที่อยากรู้อาการของผมในฐานะหมอมันชัดเจนมาก  จนผมเริ่มใจอ่อน   เมื่อคุณหมอรบเร้าอีกรอบ ผมจึงจำใจตอบไปว่า

“ก็ยังรู้สึกมึนหัวอะครับหมอ  รู้สึกเบลอ ๆ หิวมากด้วย”

“อะ  ตามีเอาข้าวต้มมาให้เมื่อกี้  ไม่ทราบว่าคนไข้สะดวกกินด้วยตัวเองมั้ยครับ”

“สะดวกครับ”

เรายังเล่นเกมส์หมอคนไข้ที่เย็นชากันอยู่

“ดีครับ”

ถาดที่มีชามข้าวต้มวางอยู่ถูกเสือกมาที่ตัวผม  นี่สินะ  สาเหตุของกลิ่นหอมโชยที่ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา

“ทานเลยครับ  ตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้ว   เดี๋ยวหนึ่งทุ่มตามีจะมาหานะครับ  แต่หมอว่า  ถ้าไหวก็เดินไปหาเถอะ อายุก็ยังไม่มาก อย่าทรมานคนแก่”

“ครับ ผมทราบแล้วครับ”

“ไม่ขอบคุณหมอหน่อยเหรอครับ”

ผมที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปาก แทบปล่อยช้อนตกลงมา  และก็เกือบพ่นข้าวต้มใส่หน้ามันแล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ”

“หมอต้องลงไปดำลากขึ้นมาเลยนะครับ  หัดลดความอ้วนบ้างนะครับ ตัวหนัก”

“หมออย่ามาปดครับ  ผมได้วุฒิวิทยาศาสตรบัณฑิตนะครับ  ถึงจะไม่ได้จบด้านฟิสิกส์   แต่ผมก็พอทราบว่า  ในน้ำมีแรงลอยตัว ยังไงผมก็เบา”

เสียงตามเหมือนจะหลุดขำ  แต่มันก็ยังแสดงบทบาทของคุณหมอได้ดีไม่บกพร่อง

“ครับ ครับ  หมอเสียเวลาลากขึ้น  ต้องมาทำพีซีอาร์ให้อีก  หมอจูบไปหลายรอบเลยนะครับ”

ผมหน้าลามแดงขึ้นมา  แม้จะรู้ว่าเป็นการช่วยเหลือทางการแพทย์นะแหละ

“เสียดายไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปนะครับ คนไข้”

“ไอ้เหี้ย”

ผมปาช้อนพร้อมข้าวต้มร้อน ๆ ใส่หน้ามัน

“ไอ้โรคจิต เหี้ย”

“ฮะฮ่า  เป็นเหมือนเดิมแล้วนี่  จะโกรธอะไรกูนักหนา”

“เสือก”

“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”

“มึงไม่ต้องเสือก”

“โอ้ ๆ ๆ”

“เสือก”

“อย่าพูดไม่สุภาพกับรูมเมตสิครับ”

“รูมเมตเหี้ยไร กูจบมาหลายปีละ”

“ก็รูมเมตที่นี่ไง  ตามึงให้กูนอนห้องนี้  เขาบอกเตียงใหญ่  กูก็โม้ไปเยอะว่ามึงต้องมีคนเฝ้า  เขาเห็นกูเป็นหมอด้วย  แถมเป็นเพื่อนมึงอีก  เขาแทบจะใส่พานประเคนให้กูละ”

“ไอ้เลว  มึงไม่ใช่เพื่อนกู”

เจ้าเล่ห์นัก  ตามีก็เหมือนกัน ไม่ถามหลานอย่างผมสักคำ 

“เอานะ  คืนนี้มึงอาจมีไข้นะกูว่า”

“เสือก”

“เอ้า กูพูดจริง”  มือมันทาบหน้าผากผม  “นี่ไง  ไข้รุม ๆ ละ  เดี๋ยวกินยาต่อเลยนะ  หลังจากกินข้าวต้มหมด  กูเอาช้อนไปล้างให้แปบนึง”

มันเดินเข้าห้องน้ำ  แล้วกลับมาพร้อมกับช้อนคันเดิมที่เช็ดให้แห้งด้วยทิชชู

“กินซะ  เดี๋ยวตอนทุ่มนึง กูไปบอกตามีให้ดีกว่า  ว่ามึงอยากพัก”

ผมยังไม่ยอมกินข้าว   ทอดสายตาออกไปทางอื่น   ตามเดินย้ายฝั่งมายังอีกฟากของเตียง ณ บริเวณที่ผมมองอยู่  เมื่อมันมานั่งบริเวณนั้น   ผมก็เอี้ยวคอหนีไปมองอีกทาง

เสียงถอนหายใจของมันดังออกมา

“กูสัญญาว่า  กูจะกวนใจมึงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว  มึงคิดถึงตัวเองสิ  อย่างน้อยก็ทำเพื่อแม่เพื่อพ่อไง”  ตามยังรู้จุดอ่อนของผมเสมอ  ใช่แล้ว  ผมเริ่มจากใจอ่อนจากสิ่งที่มันพูดมา  “พอเรากลับฝั่ง  หรืออาจจะเป็น ตอนที่เรื่องที่เกิดขึ้นกับมึงมันเรียบร้อยแล้ว   กูจะยอมทำตามที่มึงบอกทุกอย่าง   เลิกคบก็เลิกคบ  ไม่เป็นเพื่อนแล้วก็ได้   แต่ในฐานะเพื่อน พะ.. เพื่อน”

ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง  ราวกับเทปสะดุด

“เพื่อนเก่า”   และคำพูดของตามก็หลุดออกมา   “พ่วงด้วย ในฐานะหมอ  กูขอเหอะ”

ผมคว้าช้อนในมือมัน  ก้มลงกินข้าวต้มต่อโดยไม่พูดไม่จา

“เดี๋ยวกูไปบอกตามึงให้  ว่ามึงยังไม่สบายตัว”

“ไม่เป็นไร  กูออกไปหาตากูได้”

“ได้ครับ”


-------------------------------------------------------------


เราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก   เพราะไอ้ตามเอาเวลาอีกหลายนาที  ในการโม้เรื่องราวทุกอย่างลงโทรศัพท์เสียงดัง  เล่าวีรกรรมโง่ ๆ ของผมให้ใครสักคนฟัง ซึ่งถ้าให้เดาก็คงเป็นไอ้บอส

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเพื่อนคุณให้ดี”  มันยังพล่ามไม่หยุด “อ้อ จะดีเหรอครับ  เค บอส งั้นเราคุยกันปกติเนาะ  ไม่ต้องห่วง  มันน่าจะเข็ดเรื่องลงน้ำแล้วละ  ได้ครับ ได้ โอเค”

มันเดินมานั่งข้างผมที่กำลังนอนลืมตามองกลับอย่างไม่สบอารมณ์  เอามือจับหน้าผากผมเพื่อวัดไข้อีกรอบ

“ไข้ลดมานิดนึงละ”

“คุยอะไรกับไอ้บอส”

ผมถาม ขยับผ้าห่มให้กระชับตัว พร้อมกับปัดมือมันออกไป   ผมเกลียดสายตาจ้องกลับที่ใสแป๋วดูไร้เดียงสาของมันเหลือเกิน

“บอสบอกว่า  ลางานได้วันอังคาร  จะมาหามึงที่เกาะกูด  เออ ไอ้พีก็จะมาวันอังคารด้วย  เดี๋ยวกะว่าจะให้มาพร้อมกัน”

ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย นี่ทุกคนเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอ

“กูทำให้ทุกคนลำบากเปล่าวะ”

มันหัวเราะแทนคำตอบ

“ว่างั้นก็ได้แหละ  มีนก็กำลังหาทางลาแล้วจะพุ่งตัวจากพิษณุโลกมาตราดเหมือนกัน”

มือของตามยังซุกอังวัดไข้ผม  แล้วก็เปลี่ยนเป็นลูบหัวปลอมประโลม   ผมกำลังทำให้เพื่อนหลายคนลำบากเพียงเพราะว่าผมทำใจไม่ได้กับสิ่งที่ผมเจอเหรอ  มากเกินไปหรือเปล่า  ผมกำลังเป็นภาระให้เพื่อนอยู่ใช่มั้ย

“อย่าคิดมากไอ้อ้วน  รีบ ๆ ทำใจให้สบายแล้วกลับมาเป็นคนเดิมได้แล้ว”

“ก็สบายดีนะ”

“เห้อ  มึงไม่เคยโกหกเนียนเลยรู้ตัวเปล่า”

“.............................”

“กูรู้เรื่องมึงกับพี่ปริ๊นซ์หมดแล้วนะ อย่าลืม”

ผมยังจ้องตาตามกลับ ตาไม่กะพริบ  น้ำตาเริ่มคลอหน่วยโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ไม่ว่าจะมึงจะตัดสินใจดำเนินชีวิตไปยังไง  กูก็อยู่ข้างมึงเสมอนะ  กูสัญญา”

“.......................”

“เชื่อใจกูสิ”

น้ำตาไหลมากขึ้น  ผมไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย  และตามก็ไม่ได้ห้ามผม  มันเอาทิชชูซับน้ำตาผมเงียบ ๆ มืออีกข้างก็ลูบหัวผมไม่ห่าง

“กูขอโทษ”

ผมพูดติดขัดผ่านผ้าห่ม

“ขอโทษทำไมกันละ”

“กูขอโทษที่เป็นเพื่อนกับมึงไม่ได้”

ไม่มีทีท่าลังเลหรือตะลึกจากตาม  ผมคงทำมันเจ็บจนชินชาแล้วสินะ

“เอาจริง ๆ กูก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมเราจะเป็นเพื่อนกันต่อไปไม่ได้   แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เด็กน้อยตัวอ้วน”

“ขอโทษ”

ผมอยากจะบอกเหตุผลทั้งหมดไป  แต่ผมทำไม่ได้จริง ๆ  เพราะถ้ามันรู้เรื่องราวทั้งหมด  อาจจะมีอะไรวุ่นวายตามมาอีก  ให้ตามดำเนินชีวิตใหม่กับผู้หญิงคนนั้น    ผมไม่อยากให้มันมีคนอย่างผมเป็นก้อนตะกอน  เป็นหินโสโครก ที่ขวางขัดอยู่ในใจมันอีกต่อไป

“อ้วน ไม่ร้องสิ”

“หือ ๆ ไอ้หมอยุงลาย กูผอมลงแล้วนะ”

“กกูก็สบายดี  ไม่ได้โดนยุงลายกัดเป็นไข้เลือดออกนานแล้วนะ"  มันหัวเราะออกมา  "ส่วนมึงก็อ้วนเหมือนตอนปีหนึ่งในสายตากูเสมอแหละ  ตอนนี้เป็นอ้วนดำด้วยนะ”

“ก็แดดเกาะกูดมันแรง”

“จ้า อ้วนดำ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ให้ยืมครีมกันแดดนะ”

“หือ ๆ”

ผมพยักเพยิดตอบรับความใจดีของมัน

“ไม่ร้องนะ  กูชาร์จแบตก่อนนะ  รีบเดินทางจนไม่ได้หยิบพาวเวอร์แบงค์มาด้วย  ชีวิตลำบากเลย”

“อืม”

“ขี้แยจังวะ  คนที่กูชอบตอนนั้น ไม่ขี้แยนะ”

“ก็มันห้ามน้ำตาไมได้นี่นา”

“จ้า”

มันยิ้มตาหยีให้ผม  สายตากวน ๆ ที่มันมักจะทำใส่ทุกคนทุกครั้ง  สายตาที่ผมเคยชินมาแต่ไหนแต่ไร  ตามเป็นคนดี  ถ้าตัดข้อเสียเล็กน้อยไป ก็นับได้ว่าเป็นคนที่เพียบพร้อม  ทว่าทำไมผมรักมันไม่ได้  ผมก็ไม่เข้าใจ  อาจเป็นเพราะว่า  การเป็นแฟน สักวันต้องเลิกรา   แต่การเป็นเพื่อน  จะคงอยู่ตลอดไปกระมัง


-------------------------------------------------------------


(ต่อด้านล่างครับผม)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ต่อจากข้างบน  บทที่ 18 (ครึ่งหลัง)

-------------------------------------------------------------


“ฉันก็นึกว่าทัพจะตายแล้ว  ตอนไอ้โชคโทรมาบอกว่า ทัพจมน้ำ  ตาเตรียมไม้ฟาดหัวมันแล้ว  ไอ้ห่ารากนี่ ดูแลหลานฉันไม่ดี”

ตามีคุยกับไอ้ตามอย่างถูกคอ  ผมมันแค่ไม้ประดับตัวประกอบที่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยเท่านั้นแหละ

“ฉันก็คิดต่อเลยนะหมอ  ถ้ายายรวย  ยายของไอ้ทัพมันรู้เข้า  ฉันโดนด่าแน่  ฉันจะเอาหน้าไปไหวไหนเนี่ย  หมดเช่ด  ชื่อเสียงที่มีมา”

หมดเช่ด  เป็นภาษาตราด  ทำนองว่า   ตายห่า  หมดกัน  พอดีกัน   โดยรวมก็ไม่ค่อยสุภาพนักหรอก

“จะโดนตบมั้ย หูย ตอนเด็กยายรวยแก่นมาก  หมาในหมู่บ้านที่ดุ ๆ ยายราญไล่ตีหมดทุกตัว  พูดยังเสียวสันหลังเล้ย”

ตามียังพล่ามพรรณนาถึงวีรกรรมเด็ดดวงของยายแท้ ๆ ของผมต่อ   ไม่เกรงใจหลานแท้ ๆ ที่นั่งฟังอยู่สักนิด

“จริงเหรอตา  งั้นแก่นเฟี้ยวกันทั้งยายหลานเลยสินะครับ”

มันพูด เหล่มามองผมที่ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว  แกะกุ้งกินรัว ๆ  ไม่ลืมแกะกุ้งโยนใส่จานมันด้วย  ทำไงได้ละครับ  ผมนี่นักแกะกุ้งมือฉมัง  เพื่อนคนไหนก็ใช้ผมแกะกุ้งทั้งนั้น   แม้แต่พ่อ  แม่  ทับทิม  ใช้ผมหมดทั้งบ้านแหละ 

“กูขอสัก 10 ตัวนะ”

ถ้าเป็นตอนปกตินะ  อย่าหวังเลยไอ้ตาม มึงจะมาสั่งกูให้แกะได้  ถือว่าทดแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตแล้วกัน  หลังจากคืนนี้ไป  กูจะฆ่ามึงคอยดู

“ใจเย็นสิมึง กุ้งแหลกหมดแล้ว”

ผมคงจินตนาการถึงแผนฆาตกรรมไอ้หมอยุงลายในหัวมากเกินไปหน่อย  ก็เลยไปลงกับการแกะกุ้งเสียจนแหลกไม่เป็นตัว   มันหันไปคุยกับตามีต่ออีกหลายนาที   จนทางร้านปิดเพลงที่เปิดจากเทป  แล้วให้นักร้องเริ่มเล่นดนตรีสด

ไม่นานหลังจากนั้นตามีก็ขอตัว เดินออกไปจัดการอะไรเล็กน้อย

“ร้านตามึงบรรยากาศดีนะ”

“อืม”

“มึงนี่โชคดีในโชคร้ายวะ  มีที่ไหนวะ  มาเกาะกูดแล้วมาเจอญาติห่าง ๆ ดีหวะ”

“เออ คนตราดแม่งก็เป็นญาติกันหมดแหละ  ใครตาย ใครท้อง ใครได้กัน  รู้กันหมดแหละ”  ตามดูนิ่งอึ้งไปในท่อนท้าย ๆ ของคำพูดผม  “เป็นอะไรมึง  ทำไมดูเหมือนใจลอย”

“เปล่า มึง ปกติ”

“อืม”

“เพลงเพราะหวะ  กูอยากไปร้องแจมเลย”

อย่างที่ผมบอกแหละครับ   ตามมันเป็นคนเกือบเพอร์เฟคท์ครับ หุ่นดี ขาว  เป็นนักร้องของวงดนตรีมหาวิทยาลัยด้วย  แต่มันเป็นได้ปีเดียวเท่านั้นแหละ  พอขึ้นปีสอง มันเรียนหนักก็เลยต้องเลิกไป   ข้อเสียอย่างเดียวของไอ้ตามคือไม่ชอบเล่นกีฬาอะไรเลย  เราทั้งห้องเคยไปเล่นแบดมินตันที่โรงยิมมหาวิทยาลัยกัน ไอ้ตามตีมั่วตลอด  ผมที่ง่อยกีฬายังเก่งกว่ามันเสียอีก  ที่หุ่นมันดีแบบนี้ได้  อาศัยเวทเทรนนิ่งล้วน ๆ

“ให้กูขอตาให้มั้ยละ”

ผมไม่รอคำตอบจากมันหรอก   อยากแกล้งมันด้วยแหละ   เท่าที่ผมทราบมา ตามก็ไม่ได้ร้องเพลงหลายปีแล้ว  เสียงต้องมีผิดเพี้ยนกันบ้างแหละว่ะ    ได้โอกาสแกล้งแล้วต้องรีบฉวยไว้    ฟ้าอำนวยใจให้ผมเป็นอย่างมาก เพราะท้ายสุดแล้วไอ้ตามก็ได้ขึ้นไปร้องเพลง   นักร้องชอบเลยแหละ  แน่ละ ได้เงินเท่าเดิม  แต่มีคนมาช่วยร้องเพลงแบบนี้  สบาย

“ผมชอบเพลงนี้ครับ  ก็เลยอยากร้องเพลงนี้ให้ใครสักคน  ถ้าไม่เพราะขอโทษด้วยนะครับ”

ตามพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษ  ให้พวกแขกหัวแดงได้ฟังออกกันบ้าง   ถ้ามันพูดจีน ญี่ปุ่น  เกาหลี ได้  ก็คงพูดไปด้วย    ตามก็หันไปส่งสัญญาณให้นักดนตรี  แล้วเพลงที่มันขอไว้ก็บรรเลงขึ้น


ไม่กี่คน ที่จะเคียงข้างกัน
 
ไม่กี่คนที่จะคอยร่วมทุกข์ใจ

และไม่ทิ้งฉันไว้ลำพัง  ไม่ว่าเจอเรื่องร้ายใด ๆ ก็พร้อมเดินไปกับฉัน

ไม่กี่คนที่จะรักฉันจริง 

ทำให้ยิ้ม ในชั่วโมงที่เหงาใจ

ในชีวิตที่ล่วงเลยมา  ไม่กี่คนที่ฉันไว้ใจ

ให้กุมมือ อยากฝากชีวิต

และหนึ่งในนั้น  ก็คือเธอคนนี้  ที่ฉันนั้นโชคดี

ที่เราได้พบกัน

จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้าน

ได้มาร่วมทางเดิน ให้หนึ่งใจฉันได้เจอกับรักดี ๆ


หนึ่งในไม่กี่คน  เพลงของ โบ สุนิตา  เป็นเพลงที่ตามเลือกมาขับกล่อมลูกค้าในร้านของตาผม  เพลงค่องข้างเก่า  และเป็นเพลงผู้หญิง  ตามไม่ได้ร้องในแบบฉบับเดิมมากนัก  เพราะต้องปรับคีย์ให้เข้ากับผู้ชาย  แต่ไม่ใช่แค่นั้น  ผมสัมผัสได้ว่าตามปรับดนตรีและการร้องจนเพลงนี้กลายเป็นแบบฉบับของมันเอง  ที่มีเสน่ห์คมคาย  ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี  โต๊ะอื่น ๆ ที่ฟังไม่ออก  ยังปรบมือเกรียว  มองเคลิ้มในความขาวตี๋ของมัน

ผมไม่ชอบเลย ที่ตลอดการร้องเพลง  มันต้องมองมาทางผม  ผมไม่ใช่คนดี ที่จะมอบรักดี ๆ ให้กับมันได้หรอก  ผมเสียใจที่ต้องบอกว่า  ตามไม่ได้โชคดีเหมือนเพลงที่มันกำลังร้อง

ผมรักพี่ปริ๊นซ์หมดใจ  ไม่รู้ว่าจะหาทางไหนขจัดความรู้สึกนี้ไปได้หมด  แม้ว่าตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหลือเกิน  ผมขยะแขยงกับเจ้าชายของผม  คนที่ผมมองว่าดีเลิศมาโดยตลอด    ผมคลางแคลงสงสัยว่า ทำไมพี่เขาต้องทำพฤติกรรมแบบนั้นด้วย

เพลงจบลง  สาวหลายคนซื้อขนมถุงบ้าง  เครื่องดื่มบ้าง เพื่อเป็นบรรณาการไอ้ตามกันยกใหญ่  มันยังบริหารเสน่ห์ได้เหมือนเดิม  ตามก็หล่อนะ  แต่ผมไม่ชอบพวกขาวตี๋เหมือนผีดิบ

ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์คืนวันเกิดยิ่งเห็นหน้าพี่ปริ๊นซ์ลอยมา  พยายามสลัดความรู้สึกนี้ออกไป

“โอโห  เพื่อนลูก มันเก่งนะเนี่ย”

ตามีเดินกลับมาหาผมอีกรอบ

“ไม่เอาอะไรให้มันหน่อยละ  ตาไม่คิดเงินเราหรอก”

“เห้ย เกรงใจครับ”

“สงสารมันนะ เพื่อนไม่สนใจเลย  มีแต่ใครไม่รู้เอาของไปให้เต็มไปหมด”

เหมือนโดนตามีลากไปตบกลางสี่แยกปทุมวัน  ฝั่งหนึ่งสยาม  อีกฝั่งมาบุญครอง  หน้าผมแหกแหลกไม่เป็นชิ้นดี

“ครับ ๆ งั้นทัพขอดอกกุหลาบที่ตาไว้จัดโต๊ะตอนเช้าได้มั้ยละ  ขอสักดอกหนึ่งก็ได้”

ห้องอาหารของตาทุกเช้าจะมีดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่จัดใส่แจกันตั้งไว้ด้านหน้าสุดของห้องอาหาร  ตรงที่พนักงานยืนเก็บตั๋วอาหารเช้านะแหละ  หอมฟุ้งเชียวแหละ

“ได้สิ  เอาทำไมดอกเดียววะ หลานกูนี่ งกเหมือนยายมัน”

ยังไม่วายกัดผมพร้อมยายอีกหนึ่งที    ตากระซิบพนักงานที่เดินเสิร์ฟอาหารอยู่    แล้วกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ก็เดินทางมาถึง

ตอนนี้ตามกำลังร้องเพลงสากลอยู่  เอาใจแม่ยกฝรั่งสินะมึง  เป็นเพลงที่ผมชอบเสียด้วย Perfect ของ Ed Sheeran  แล้วมันก็ต่อเพลงที่สาม Fool again ของ Westlife  เพลงเก่ามาก  แต่ก็เพราะตามเคย

“เออ ดี  ตาจ้างหมอเขามาร้องพรุ่งนี้เลยดีมั้ย”

“ไม่ต้องจ้างหรอกตา  ให้มันร้องแลกค่าห้องไป ฮะฮ่า”

“หึ่ย จะดีเหรอ  เขาจะมองว่าคนบ้านเรางกนะ  คนกรุงเทพอะ”

“มันเป็นคนนครปฐมตา  แล้วมันก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก”

“Sadly, you never gave me too many chances to show you how much I care” 
(อย่างน่าเศร้าใจ  เธอไม่เคยให้โอกาสฉันที่จะแสดงให้เห็นว่าฉันแคร์เธอมากแค่ไหน)

ผมคิดไปเองหรือเปล่า  แต่สัมผัสได้ว่าท่อนนี้มันร้องให้ผม  ก็เล่นจ้องตาผมเป็นมันขนาดไหน   

“ขอบคุณนะครับ  ผมคงต้องลงไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนแล้วครับ  เขาแกะกุ้งให้ผมไว้หลายตัวเลย  ปกติผมไม่ค่อยกินกุ้งหรอกครับ เลอะมือ  วันนี้ต้องกินซะหน่อย  มีคนพลาดท่ามาแกะกุ้งให้กินแล้ว  จริงมั้ยครับ”

การเล่นมุกเสี่ยวของมัน  เรียกเสียงหัวเราะตบมือได้อย่างเกรียวกราว  ไม่เว้นแม้แต่โต๊ะต่างชาติที่ผมไม่เชื่อหรอกว่าฟังออก  แล้วไอ้ตามก็เซอร์วิซแฟนคลับต่างชาติด้วยการพูดภาษาอังกฤษนิดหน่อย  ผมหมั่นไส้มันหวะ  แต่ทำไงได้ละ  ผมไม่ได้หล่อแบบมัน

“ครับ  งั้นผมขอร้องเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้าย  และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา มาฟังกันเลย”


ก็รู้เป็นไปไม่ได้  เหมือนฝืนในความรู้สึก

ในส่วนลึก  ฉันรู้เธอมีเขาอยู่

ก็รู้ในความเป็นจริง  แต่ก็ยังจะแอบเฝ้าดู

ทั้ง ๆ ที่รู้ เป็นได้แค่เพียงเท่านั้น

แค่ชู้ทางใจที่ทำได้  เมื่อหัวใจเธอไม่ให้

แต่เก็บไว้ ให้คนที่เธอรักกันมานาน

ก็รู้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน ไม่มีวันจะเดินร่วมทาง

เพราะเธอกับฉันเป็นเหมือนดังเส้นขนาน

แอบฝันเล็ก ๆ ในใจ ไม่ได้มีความหมาย

ให้เราผูกพัน และรักกันไปอย่างนั้น

ผิดที่เราเจอกันช้าไป 

ไม่มีวันจะมารักกัน

เป็นแค่ความลับที่ฉันและเธอซ่อนไว้ในใจ

ผิดที่ฉันไม่ยอมหายใจ ไม่จำเป็นต้องไปโทษใคร

เพราะผลสุดท้าย คนที่ต้องเจ็บคือฉันคนเดียว


เพลงผิดที่เราเจอกันช้าไป ของ  มัม ลาโคนิค  ถูกตามแก้เนื้อนิดหน่อย  ตรงคำว่า เรา  กลายเป็น  ฉัน

ผมชัดเจนในใจแล้วว่า มันร้องเพลงนี้ให้ผมจริง ๆ  ไม่ได้ร้องเพื่อความบันเทิง  แต่เป็นเหมือนคำบอกลาที่ต่อจากนี้ไป  มันเข้าใจแล้ว  ว่าควรทำยังไงต่อ

น้ำตาผมตกใน  จากความเสียใจที่ทำให้เพื่อนรักคนหนึ่งต้องเจ็บปวดทรมานมานานถึงเพียงนี้  นับจากวันนี้ไป  มันคงทำใจเรื่องผมได้แล้วละ

ดอกกุหลาบช่อใหญ่ช่อนี้ยังจำเป็นที่ผมต้องให้มันอีกมั้ยนะ  ผมถามตัวเอง  และอยากจะต่อเวลาถามไปเรื่อย  ๆ แต่ก็ได้แค่คิด   มือที่กำช่อกุหลาบบีบแน่น  เดชะบุญที่หนามทั้งหมดถูกลิดหมดแล้ว  จึงไม่มีบาดแผลใดที่ปล่อยให้เลือดไหลรินออกมา

ผมไม่อยากให้ตัวเองเครียด  หายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยมือให้ห้อยลงตามสบายไปพร้อมกับช่อกุหลาบในมือที่มุดหายลึกเข้าไปใต้โต๊ะ

“กูร้องเพราะมั้ย”

มันกลับมาที่โต๊ะ  พร้อมหอบขนมถุง กระป๋องเบียร์จำนวนมากกลับมาด้วย

“เออ ดูจากของที่ได้  ก็ชัดเจนแล้วมั้ย”

“มึงไม่มีอะไรให้กูเหรอ”

ผมยังกดช่อกุหลาบให้ต่ำลงไปใต้โต๊ะ  ส่ายหัวเบา ๆ

“กูไม่ได้เอากระเป๋าเงินมา”

“เอ้า แล้วที่วางตรงโต๊ะนั่นละ”  มันบุ้ยปากไปทางกระเป๋าเงินที่วางอยู่เยื้องทางด้านขวาของผม  ปากเคี้ยวกุ้งที่ผมแกะให้ตุ่ย ๆ

“เผ็ดวะ  น้ำจิ้มซีฟูดเผ็ดชิบ”

มันเป็นคนกินเผ็ดไม่ได้  แต่ก็ยังพยายามกิน

“น้ำจิ้มแถวตราด จันทบุรี ระยอง  เขาไม่เลือกน้ำจิ้มซีฟูด  เขาเรียกน้ำพริกเกลือ”  มันทำตาโตด้วยความงง  “ไม่ใช่พริกเกลือแบบเดียวกับที่เอาไว้จิ้มมะม่วงเว้ย  น้ำพริกเกลือนะ  มันเลยจะเผ็ดกว่าน้ำจิ้มซีฟูด  แล้วมึงไม่ต้องกินเผ็ดก็ได้ กินเปล่า ๆ ไปสิ”

“ก็ชินอะ มึงกินเผ็ดชิบหาย  ไปกินข้าวกับมึงกี่ที  ก็ต้องกิน  ไม่งั้นมึงก็อารมณ์เสียใส่อีก”

“ก็ไม่ต้องพยายามแล้วไง”

ช้อนส้อมในมือของตามค้างอยู่ในมือของมัน

“มึงช่วยกูจากการจมน้ำตาย  แล้วทำไมมึงยังจมอยู่กับอดีตล่ะ”

“อืม”  มันวางช้อนส้อม จ้องหน้าผม  “ต่อไปกูจะไม่พยายามกินเผ็ดแล้ว”

ผมสะกดกลั้นน้ำตา  ความทรงจำต่าง ๆ ของเราสองคนพุ่งผ่านห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว 

“กินเผ็ดไป  ก็ไม่คุ้นซะที”  มันเงียบนิ่ง ท่าทางเหมือนกำลังจมสู่อดีตอีกครั้ง  เสียงถอนหายใจดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มของมัน 

“คงได้แค่เพื่อนแหละ”

ความทรงจำระหว่างเราสองคนมันมากเกินไปจริง ๆ

ผมผิด ผิดที่รักมันไม่ได้  ผมไม่รู้จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร

“อะ”  ผมตัดสินใจยื่นกุหลาบช่อนั้นไป  “กูให้”

ผมก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ  ในขณะที่มันนิ่งเงียบรับกุหลาบช่อนั้นไปดม

“มึงอย่าดมสิ  อาจมีฟอร์มาลีน”

“เออสิเนาะ”  หน้าแดงเรื่อเล็กน้อย  มันเกาหัวเบา ๆ พูดแผ่ว ๆ ว่า “ขอบคุณนะมึง”

“อืม”

“กูคิดถึงวันนั้นเลย  วันที่กูเอาดอกไม้ไปให้มึงตอนรับปริญญานะ”

“มึงลืมไปเถอะ มันผ่านไปแล้ว”

“จะลืมได้ไงละ  ก็ถูกกระตุ้นให้จำอยู่อะ”

“กูขอโทษ”

“เอานะ”

“กูขอโทษจริง ๆ”

มันโบกมือหนึ่งทีเป็นการตัดบท

“มึงอยากฟังเรื่องจากทางฝั่งกูบ้างมั้ยละ  วันนั้นว่าทำไมกูถึงกดตัดสายมึง”

“ไม่ต้องหรอก  มันผ่านไปแล้ว”

“กูอยากเล่าจริง ๆ นะ”

“อืม”

ผมถอนหายใจ  ไม่อยากเสียเวลาฟังคำรบเร้าจากมันต่อ  เก็บช้อนส้อมรวบไว้ตรงกลาง  ศอกทั้งสองตั้งบนโต๊ะเพื่อเท้าคางรอฟังเรื่องเล่าจากหมอประจำตัวอย่างตั้งใจ    แล้วทุกอย่างก็เหมือนจิ๊กซอว์ที่ประกอบลงอย่างลงตัว


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 18

ผมขอพูดอะไรนิดหน่อยครับ  หลายคนอาจมองว่าผมเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่มีโครงเรื่องหรือเปล่า
ผมขอแจ้งว่า  ผมเขียนจบหมดแล้วนะครับ  แต่ยังไม่ได้ปรับภาษา  ยังสกรีนคำผิดอยู่  (ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็ยังมีคำผิดหลุดรอดสายตาผมไปได้)
ดังนั้น  เรื่องนี้มีจุดจบแน่นอนแล้วนะครับ อิอิ

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ


 :hao3:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด