บทที่ 17
ที่พักใจ
“ทำไมมึงทำแบบนี้ ทำไม”
เสียงทุบตีดังขึ้นอีกครั้ง ชายร่างใหญ่กำลังต่อยผู้หญิงร่างบางเข้าที่จมูก เธอล้มกระเด็นลงไปกองที่พื้น ใบหน้าฟุบต่ำลง
“หนูทำอะไรผิด พี่ไปมีเมียน้อยได้ยังไง ทำไมพี่ทำแบบนี้”
เลือดกำเดาพรั่งพรูพร้อมกับใบหน้าที่เงยมองด้วยความสงสัยสลับกับเสียงสะอื้นไห้แห่งความปวดใจ เลือดไหลปนกับน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสาย
“แล้วมึงกล้าดียังไง สะกดรอยตามกู”
เด็กน้อยในชุดนอน เดินงัวเงียลงมาจวนจะถึงชั้นล่าง ยืนตรงชานพักบันได ภาพยังลางเรือนจากขี้ตากรัง นาฬิกาแขวนตรงผนังแสดงเวลาสองนาฬิกาของเช้าวันใหม่
เสียงทุบตี ด่าทอ ยังดำเนินต่อไป เด็กชายพยายามทำความเข้าใจภาพที่เห็น เมื่อบุพการีทั้งสองของตนกำลังฟาดฟันทำร้ายกันอยู่ จนท้ายสุดเขาก็เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
“พ่อ อย่าทำแม่”
เด็กชายโผวิ่งจากบันได แทบเรียกได้ว่าลอยตัวพรวดพุ่งเข้ามาเกาะขาพ่อ
“มึงอย่าเสือก ไอ้ทัพ”
ดาวลอยอยู่เต็มหน้าผม เมื่อถูกปัดผสมถีบออกจากการเกาะแกะด้วยความรุนแรง
พ่อยังตีแม่ แม่ที่เอาแต่ร้องไห้ ผมยาวสลวยรกเปรอะหน้า เป็นก้อนกระเซิงจากการโดนทึ้ง เด็กน้อยนอนนิ่งมองภาพที่เห็น เขาไม่สามารถขยับตัวได้ แต่ตาก็ยังไม่ได้ปิดจนสนิท
“อยากลองดีใช่มั้ย”
“ทัพ ลูก อ๊ะ พี่อย่า”
หญิงสาวพยายามคลานไปดูอาการของลูกน้อยที่นอนสลบ แต่ก็ถูกจิกผมดึงลากกลับไป
เสื้อผ้าของผู้เป็นแม่ถูกฉีดขาด กลายเป็นริ้วผ้าที่กระจายในอากาศ พร้อมกับเสื้อผ้าของพ่อที่ถูกถอดอย่างรีบร้อน
เด็กน้อยกำลังเห็นภาพของพ่อข่มขืนแม่ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาไม่ได้สลบไป เขาเห็นภาพทุกอย่าง เขาอยากจะปกป้องแม่ แต่เขาก็ได้แต่นอนมองแล้วทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้สักอย่างเลยจริง ๆ ไม่ได้จริง ๆ
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ผมตื่นขึ้นเพราะเสียงโหวกเหวกรอบตัวจากนักท่องเที่ยวที่กำลังลุกขึ้นเดินออกจากห้องโดยสารติดเครื่องปรับอากาศบนเรือ ต่างคนต่างหอบหิ้วสัมภาระส่วนตัว ภาพฝันของความจริงในอดีตที่ทัพพยายามฝังมันไว้ในส่วนลึกถูกกระตุ้นมาอีกครั้ง จากการถูกกระทำชำเราเมื่อคืนที่ผ่านมา
อยากร้องไห้ อยากตีอกชกตัว อยากทึ้งผมตัวเอง อยากทำทุกอย่างที่จะทำได้ แต่ก็ได้แต่นิ่ง จนถึงตอนนี้นับแต่เท้าเหยียบบ้านเกิด น้ำตาสักหยดยังไม่ไหลออกมาเลย
เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน
หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา
คือ คำขวัญของจังหวัดตราด จังหวัดของผมเอง เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่เกาะช้างตามคำขวัญ และก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวอำเภอซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านผม ผมกำลังเดินขึ้นฝั่งเกาะกูด อำเภอสุดเขต ใกล้น่านน้ำเขมร ผมก็แค่ต้องการพาตัวเองมาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ย้อนกลับไปช่วงสายของวันนี้รถเก๋งสีน้ำเงินจอดเทียบ พร้อมกับเพื่อนซี้ของผมที่ก้าวลงมาและพุ่งตรงมายังหมู่เก้าอี้ยาว บริเวณท่าจอดรถเบอร์ 15 ที่ผมกำลังนั่งห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากทอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย
“มึงไม่มีของอะไรเลยเหรอวะ ทำไมกลับตราดมากะทันหัน”
บอสในเสื้อเชิ้ตผูกไท กางเกงสแล็ค กำลังยืนค้ำหัวผม
“กูคิดถึงบ้าน อยากกลับ แล้วมึงไม่ต้องใส่ชุดแบบที่หมอใส่เหรอ”
“ใส่กาวน์ทับอีกทีก็ได้ ไป”
มันคว้าสัมภาระอันน้อยนิดของผมไปถือ เดินลิ่วนำไปที่รถ โดยไม่สนว่าผมจะเดินตามมาหรือไม่ แต่ผมก็เดินตามอยู่ดีนะแหละ เพราะบอสคือคนเดียวที่จะมารับผมได้โดยไม่ถามซอกแซกมากมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ผมนั่งข้างคนขับ เร่งแอร์เย็นให้ตีใส่หน้าเพื่อเป็นการปลุกสติ
“รอนานปะวะ มันต้องเที่ยงไง กูถึงออกมาได้”
ถ้านับจากการที่บอสอ่านเพียงไลน์สั้น ๆ ของผมที่บอกแค่ว่า
มารับกูหน่อย กูออกจาก กทม. ตอนตีห้า จะนั่งรอตรงเก้าอี้แถวท่าจอดเบอร์ 15 กูจะปิดเครื่องนะ ไม่ต้องโทรตาม ผมก็ควรจะพอใจและรู้สึกติดหนี้บุญคุณมากกว่าที่จะโวยวายว่ารอนาน
“ไม่นานหรอก รถเพิ่งถึงตอนสิบโมงครึ่ง”
“นานสัดเลยดิ ชั่วโมงกว่า ไปกินข้าวก่อนแล้วกัน หิวยังละ”
ผมส่ายหัวแทนการตอบ
“ไม่ได้ ต้องแดก โทรมมากไปแล้วมึง ยังกับไปฟัดกับหมามา”
ผมยังส่ายหัวอีกครั้ง
“ตั้งโปรแกรมอัตโนมัติให้ส่ายหัวได้อย่างเดียวเหรอวะ”
“บอส พากูไปหาแม่ก่อนได้มั้ย”
“เออ เอาสิ”
แล้วผมก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บอสฟัง มันพรั่งพรูโดยที่บอสไม่ต้องถามผมด้วยซ้ำ
/////////////////////////////////
แม่ของผม ทำงานที่ศาลากลางจังหวัด เป็นหัวหน้าแผนกหนึ่งที่อยู่ในกำกับของผู้ว่าราชการจังหวัด
“ผมเผ้าโอเคยัง”
“เออ โอเคแล้ว เดี๋ยว นิ่ง ๆ นะ กูหวีตรงนี้ให้อีกนิด”
บอสปาดหวีที่ผมรอบสุดท้าย
“มึงติดกระดุมคอเหอะ รอยดูดแม่งชัดชิบหาย”
“อืม”
“กูว่า กูต้องคุยกับไอ้เหี้ยพี่ปริ๊นซ์ละ ทำกับมึงแบบนี้ได้ไงวะ”
“อืม”
“ไปหาแม่เหอะ กูรอในรถนะ อย่าบ่อน้ำตาแตกนะเว้ย ไม่งั้นความแตกแน่”
“อืม”
ผมออกจากรถ ยืนมองบอสที่ส่งสายตาลุ้นมาให้ผมอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มแห้ง ๆ ถูกส่งกลับมาให้ผม ที่ได้แต่ยิ้มอย่างแหยแกกลับไปให้มัน
พาร่างตัวเองเดินมาบนศาลากลางจังหวัด คนบางตากว่ายามปกติ ด้วยเป็นพักเที่ยง แล้วผู้หญิงที่ผมอยากพบก็ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลเท่าใดนัก
“นิดค่ะ ช่วงบ่ายพี่ฝากให้ท่านรองลงนามตรงนี้ด้วยนะคะ”
ร่างบางของแม่ยืนหันหลังอยู่ กำลังสั่งงานลูกน้องอย่างแข็งขัน
“ไปกินข้าวก่อนเลยค่ะ พี่ไปห้องน้ำก่อน เดี๋ยวตามไปนะคะ”
“แม่”
ใบหน้าที่ผมไม่เห็นมาเนิ่นนาน ค่อย ๆ หันกลับมาหาผม ความแปลกใจปรากฏบนหน้า
แม่มีริ้วรอยตามวัย ที่ฉายชัดถึงความเหนื่อยล้าจากการงาน
“ทัพ มาตราดแต่เมื่อไรลูก”
“ทัพ อยากพักร้อนนะ เลยจะไปเกาะกูด”
“จริงเหรอลูก บริษัทเขาไม่ว่าเหรอ”
“ไม่หรอกแม่ ก็ลาแบบไม่เอาเงินอะ เขาจะว่าอะไร ประหยัดเงิน”
“ตาย เด็กคนนี้” ผมรีบเข้าไปกอดแม่ ก่อนจะโดนตี “เอ๊ะ ลูก หนูมีไข้นิด ๆ นะ เป็นอะไรมา”
“สรุปว่า ทัพไปเที่ยวนะ เดี๋ยวจะไปบอกพ่อต่อ ไม่ต้องห่วง”
ผมเลี่ยงตอบสาเหตุที่ผมมีไข้ ผมวิ่งออกไปแล้วหันหลังไปยิ้มให้แม่หนึ่งที
“จ้ะ ๆ ไปดี ๆ ละ”
“ครับ”
/////////////////////////////////
“มึงเข้างานสายเขาจะว่ามึงมั้ยเนี่ย”
รถเก๋งแล่นฉิวบนถนนขนาดสองช่องจราจร ที่พุ่งตรงสู่ท่าเรือเกาะกูด ยาลดไข้แก้ปวดหนึ่งเม็ดเพิ่งไหลผ่านหลอดอาหารของผมไป บอสบอกแต่เพียงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้ผมมีไข้ และการกินยาก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผมหายไข้ได้เร็วขึ้น อย่างน้อยผมก็จะพักผ่อนได้เต็มที่
“ไม่หรอก กูโทรไปบอกพี่ที่ทำงานแล้ว ว่ากูมีธุระด่วนจริง ๆ มึงแน่ใจนะว่าไหว”
“ไหว”
“แล้วจะกลับเมื่อไร”
“ไม่รู้วะ นี่เพิ่งวันพุธเอง อาจจะอยู่สักสัปดาห์หนึ่งมั้ง”
“เสาร์อาทิตย์นี่ กูไปหานะ โอเคมั้ย”
“ตามใจมึง”
“เออ” รถจอดบริเวณที่ขายตั๋ว มันคว้ากระเป๋าผมไปถือทันที “กูถือให้ สงวนแรงไว้บนเกาะเหอะมึงนะ เอาเงินสดมาเยอะเปล่าวะ มันไม่ได้มีตู้เอทีเอ็มเยอะนะเว้ย”
“มีพอครับพี่”
“เออ ดี อย่าให้กูต้องเป็นห่วง แล้วก็ค่อยเล่าให้กูฟังว่าบนเกาะเป็นยังไงบ้าง”
“ครับ”
“แล้วโทรศัพท์จะไม่เปิดจริงเหรอวะ”
“เปิด แต่ตั้งออฟไลน์ไว้ กูยังอยากถ่ายรูป
ตั๋วหนึ่งใบครับ”
ประโยคหลัง ผมพูดกับคนขายตั๋ว
“เออ เจริญพร กูจะติดต่อมึงได้มั้ยละ”
“เอาน่า นี่โรงแรมกูก็ยังไม่ได้หา เดี๋ยวนอนที่ไหนจะบอกแล้วกัน”
“เออ ไปดีมาดี กูส่งแค่นี้นะ เดินไปขึ้นเรือเองแล้วกันนะ”
“เจอกันบอส ขอบคุณมากนะ”
ผมหันไปยิ้มให้บอส ที่โบกมือให้ผม แล้วมันก็หันหลังเดินกลับไป พร้อมกับคุยโทรศัพท์
“พี่ไม่ต้องพูดอะไรเลย”
นั่นคือประโยคที่ผมได้ยินจากปากของบอส น้ำตายังรื้นอยู่ที่หัวตาของผม ไม่บอกก็รู้ว่ามันกำลังคุยกับใคร
“อุบัติเหตุเหรอ เข้าใจผิดเหรอ พี่ช่วยไปบอกเพื่อนพี่ด้วยนะว่าไม่ต้องตามมันมา พอเลย”
เพื่อนงั้นเหรอ... ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่บอสกำลังคุยอยู่คือคนที่ผมคิดหรือเปล่า
ตัวผมลอยไปนั่งบนเรือ ผมเดินมาอย่างไร ไปถึงได้อย่างไร ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย
แต่ช่างมัน ผมจะทิ้งทุกอย่างลงทะเล ผมจะต้องมีความสุขกับมันแน่นอน
-------------------------------------------------------------
วันที่หนึ่ง ณ เกาะกูดเกาะกูดไม่ได้เจริญเหมือนกับภูเก็ต หรือ เกาะช้าง เมื่อถึงท่าเรือบนเกาะ จะมีรถสองแถวบริการฟรี ฟรีที่ว่าคือรวมกับค่าโรงแรมไปแล้ว
ชีวิตของคุณจะสะดวกมาก ถ้าคุณได้ทำการจองโรงแรมมาเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ได้จองโรงแรมมา ก็จะมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย
“ผมไม่ได้จองโรงแรมมาอะครับ”
“อ้าว น้อง งั้นก็ยุ่งหน่อยนะ จะอยู่แนวไหนอะ ถูกแพง บังกะโล”
“ผมกะจะอยู่สักอาทิตย์อะครับ บังกะโลก็ได้มั้งครับ”
“แล้วซื้อตั๋วขากลับหรือยัง”
“ยังครับพี่”
“โอเค จะกลับก็บอกที่บังกะโลเอานะ เห้ย พี่สี เอาน้องคนนี้ไปด้วย พาไปจอดที่บังกะโลของตามีนะ ลงตามไปเก็บเงินตามีด้วย แต่ถ้าน้องเขาไม่พักก็เก็บเงินน้องแทน”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิง นั่นแหละครับ ความวุ่นวายของมัน
และเพื่อไม่ให้วุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมก็เลือกนอนที่บังกะโลตามีนั่นแหละ
“ห้องนี่โอเคมั้ยครับคุณ”
“โอเคครับคุณลุง”
ผมพูดกับเจ้าของบังกะโล ที่ผันตัวเองมาทำทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ เด็กถือกุญแจพาไปห้อง ยันคนครัว
ห้องที่ลุงมี หรือ ถ้าเรียกตามวัยจริง ๆ คือ ตามี พามาดู เป็นห้องขนาดสองคนพัก ใหญ่พอสมควร ติดชายหาด มีลมทะเลพัดโชย เย็นสบายโดยไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ เรียกได้ว่าแอร์ธรรมชาติก็เพียงพอ แต่ก็ยังมีแอร์อยู่ในห้อง แถมยังมีพัดลมแขวนอีกตัวหนี่ง มีเก้าอี้ชายหาดอยู่สองตัวหน้าห้อง พร้อมตู้เย็นหนี่งตู้
“ทำไมมาคนเดียวละคุณ”
“ลุงอย่าแทนผมว่าคุณเลย เรียกผมว่าลูก ว่าน้องก็ได้ฮะ ผมก็คนตราดนะลุง”
“เอ้าเหรอ ไม่เห็นพูดสำเนียงตราดเลย คนบ้านเดียวกันนี่นา”
ผมพูดสำเนียงตราดไม่ได้ครับ ระยองฮิสั้น จันท์ฮิยาว ตราดฮิใหญ่ ผมพูดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แม่ผมไม่สอนให้พูด แต่แม่พูดกับยายประจำ ผมก็เลยฟังได้แต่เพียงเท่านั้น
“ครับลุง”
ผมยิ้มรับ
“ลูกเต้าเหล่าใครละเนี่ย”
หลังจากไล่เรียงกันสักพัก ไป ๆ มา ๆ ลุงมีเป็นญาติห่าง ๆ ทางฝั่งแม่ผมซะงั้น คราวนี้ต้องเรียกตามีแล้วสินะ
“โอ๊ยยย หลานเอ๊ย ไม่บอกตา ยายรวย ของแกนะ มันเป็นลูกพี่ลูกน้องของตาเอง แม่ยายรวยเป็นน้องสาวของพ่อตานะ ห้ามเรียกลุงมีแล้วนะ ต้องเรียกตามี”
พี่น้องตระกูลบุญสินะ ยายผมชื่อบุญรวย ส่วนตามี แกชื่อว่า บุญมี แม่เคยเล่าให้ฟังว่า เป็นความคิดสร้างสรรค์ของรุ่นคุณทวดทั้งหลาย โดยการจับลูกตัวเองทุกคนมาเลี้ยงรวมกัน ให้มองเป็นพี่เป็นน้องกันไปเลย โดยไม่ต้องสนใจว่าแท้จริงเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง
ดังนั้นการที่ตั้งชื่อลูกตัวเองทั้งหมดให้ขึ้นต้นด้วยบุญ ก็เป็นหนึ่งในกลเม็ดที่ทำให้เด็กน้อยในตอนนั้น (ที่ตอนนี้แก่เป็นยายผมแล้วนะน่ะ) เข้าใจว่าตนเป็นพี่น้องกัน จึงมีสารพัดบุญที่ผมเคยได้ยินมา ไม่ว่าจะเป็น บุญรวย บุญร่ม บุญรื่น บุญพล บุญชัย บุญถึง และล่าสุด บุญมี
“ครับ คุณตา”
“แล้วนี่ ไม่ทำงานกับเขาเหรอ หรือยังเรียนไม่จบ”
“ผมลาพักร้อนอะตา”
“เอ้าเหรอ ดี ๆ พักผ่อนบ้างจะได้ไม่เครียด อยากทำอะไรบอกตานะ เดี๋ยวตาจัดให้ ฟรี ฟรี ฟรี”
“ไม่ได้อะตา บ้าเหรอ ของซื้อของขาย”
“ไม่ได้เหมือนกัน หลานทั้งคน ต้องรับขวัญกันหน่อย ตาไปแล้วนะทัพ มีไรบอกนะ ใช้พวกลูกน้องตาก็ได้ เดี๋ยวไปบอกมันไว้ก่อน”
วันแรกของผมก็เป็นวันชิวสบาย นอนเล่นในห้อง เอาหนังสือนิยายเล่มเก่า ๆ ที่ซื้อดองไว้ตั้งแต่มัธยมมาอ่าน เดินเล่นตามชาดหาด
ตกดึก ตามีก็ลากผมไปกินข้าวด้วย ไม่ให้ผมไปนั่งปนกับแขก
เกือบเที่ยงคืน กว่าผมจะได้กลับมายังห้องพักของตัวเอง อยากเล่นเฟซบุค อยากทำอะไรที่ปกติตัวเองทำ แต่ก็ใจแข็ง ตั้งออฟไลน์โทรศัพท์ไว้ต่อไป ทำได้เพียงเอามาเล่นเกมส์
“ปวดตาหวะ”
บ่นกับตัวเอง หลับตาแล้วนวดคลึงเปลือกตาอย่างแผ่วเบา น้ำตาเจ้ากรรมที่ไม่คิดว่าจะไหลก็ไหลแล้วไหลอีก ผมทำได้แต่เพียงร้องไห้ แล้วผมก็ทำแบบที่คนบ้าในละครหลังข่าวที่ผมก่นด่ามาทั้งชีวิต ผมตีตัวเอง ผมทุบอกตัวเอง แล้วผมก็ดิ้นไปดิ้นมาบนเตียง ร้องไห้ วนแล้ววนอีก จนหลับไปในที่สุด
วันที่ 2 ผมนอนหมกเป็นผักในห้อง ไม่ไปไหน แต่เมื่อท้องร้องดังลั่นเป็นกลองชุดตอนเที่ยง ก็ทำให้ผลต้องผละออกจากห้อง เพื่อออกมาหาอะไรกินที่ห้องอาหาร เดินเล่นรอบโรงแรม แล้วก็เข้าไปนอน เพื่อที่จะตื่นมากินอาหารเย็นกับตา
วันที่ 3 เหมือนความเศร้าของผมมันสลายไปจากการนอนหมกเป็นผัก ผมรู้สึกว่าชีวิตควรมีคุณค่ามากกว่านั้น ผมจึงผันตัวเองมาเป็นคนสวนให้ตามี
“เออ ดี ทัพ ฉีดทางนั้นเลยลูกเอ้ย”
“ครับตา”
“เออ ดี ยายรวยคงปลื้ม เอาการเอางานนะเราเนี่ย”
ไม่มีคำตอบจากผม ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป
“ไปเที่ยวหน่อยมั้ยละ จะเอาแต่รดน้ำ พรวนดิน อย่างเดียว น่าเบื่อตาย”
“ผมก็สนุกกับมันดีนะตา ทำงานออฟฟิศน่าเบื่อ”
“ปัดโธ่ เออ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าเว้ย หลานตาแต่ละคน อยากไปกรุงเทพฯ ใจจะขาด นี่สุดท้ายก็จับปลาอยู่แถวนี้แหละ ไอ้เราก็ได้ไปกรุงเทพเมืองหลวง ดันอยากกลับมาที่ตราด”
“ลางเนื้อชอบลางยาอะตา”
“เออ ทำไป เบื่อวันไหน อยากมาทำงานกับตาก็บอกนะลูก”
แล้วตามีก็ทิ้งผมไป ผมรดน้ำต้นไม้ รับแขก ช่วยเสิร์ฟอาหาร ทำแบบนี้จนหมดวัน สูบพลังผมจนหมดสิ้น
ตกเย็น ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้บอกที่พักกับแม่และบอส จึงรีบเปิดเครื่อง
ข้อความหลายฉบับถูกส่งมาเพื่อแจ้งว่าพี่ปริ๊นซ์พยายามโทรหาผมหลายร้อยสาย มีสายไม่ได้รับจากแม่และบอสรวมอยู่ด้วย และเหนือความคาดหมายคือ มีเบอร์ไม่ได้รับสายจากพีและมีน
“พวกมันโทรกันมาทำไมวะเนี่ย”
ผมนิ่งคิด ก่อนรีบกดโทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวสารกับแม่
“แม่ครับ ขอโทษทีผมลืมโทร”
“ลูก อยู่ไหนเนี่ย เป็นยังไงบ้าง”
เสียงตกใจที่ดูผ่อนคลายลงของแม่ก้องสะท้อนกลับมา
“ก็ดีครับ”
ผมเล่าเรื่องตามีให้แม่ฟัง แม่บอกว่า โชคดีจัง ท่านก็เกือบลืมตามี หรือ น้ามี คนนี้ไปแล้ว จากนั้นผมก็โทรไปบอกบอส
“มึง กูไปหาไม่ได้นะ มีงานด่วน”
“เห้ย ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”
แล้วก็กลับไปทำงานกรรมกรที่รักของผมต่อ
วันนี้ ผมได้ทานมื้อเย็นในลานอาหารกับแขกคนอื่น ตามีอยากให้ผมได้ฟังดนตรีสดที่ทางร้านจัดให้ทุกศุกร์และเสาร์ ผมเลยถูกปล่อยมานั่งกินข้าวคนเดียวแบบเหงา ๆ
“คุณทัพค่ะ”
พนักงานสาวของตามีเดินมาหาผม พร้อมกับจานข้าวผัดปูขนาดกลาง
“พี่ เรียกผมว่าทัพก็ได้ครับ”
จานข้าวผัดวางตรงหน้าผม
“จะดีเหรอคะ เดี๋ยวลุงมีบ่นพี่”
“พี่ยังเรียกตา ว่า ลุง เลย เรียกผมว่าน้องก็ได้ ทัพก็ได้”
“โอเค น้องทัพ เดี๋ยวมีอีกจานนะ รอก่อน”
“ยังมีอีกเหรอพี่”
เสียงตกใจของผมชัดเจนมาก จนพี่พนักงานหลุดขำออกมา อย่าหาว่าผมงั้นงี้เลย ก็มันจริงนี่นา ผมลดความอ้วนแทบตาย แต่มาอยู่เกาะกูดแค่ 3 วัน น้ำหนักของผมก็สูงเอา ๆ คาดว่ากลับมาสูงใกล้กับตอนที่ถูกแทงแล้วต้องนอนนิ่ง ๆ ห้ามออกกำลังกายแล้วเนี่ย
“ใช่จ้า คุณตาของน้องสั่งไว้ให้เยอะเลย”
แค่นี้ยังไม่เยอะเหรอวะ ผมคิดในใจ มองโต๊ะที่มีข้าวผัดปูวางอยู่ เคียงกับปลาทอดหนึ่งตัวใหญ่ และกุ้งเผาอีกจานเบ้อเริ่ม
แล้วคุณตาของผมก็มาถึง
“แน่ะ นินทาอะไรถึงฉันอยู่”
“เปล่าครับตา แฮ่ะ ๆ”
“เอ้า ไปเอามาให้หลานฉันสิ มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำไม” ตาตะเพิดพี่พนักงานเสิร์ฟไป “เนี่ย ทัพ อุดอู้ไม่ดีนะ พรุ่งนี้ไปดำน้ำดูปะการังนะ ตาจองไว้ให้แล้ว”
“เห้ย ตา”
“ไม่ต้องเห้ย ยังหนุ่มยังแน่น จะมาอุดอู้ทำไม”
“ผมไม่ชอบว่ายน้ำ”
“นั่นปะไร เป็นคนตราด ไม่ชอบว่ายน้ำได้ยังไง เสียชาติเกิด”
กลัวอะไรกับคนตราดต้องชอบว่าน้ำ ถ้าเป็นคนเชียงใหม่ต้องชอบขึ้นดอยเหรอ เป็นคนกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ชอบรถติดจริงมั้ยละ
“ก็ผมไม่ชอบอะ”
“ไม่ต้องเถียง สิบโมงเช้านะ ตาไปแล้ว”
หยุดบอกได้ไหมว่าคิดถึงกัน
คิดถึงทั้งฉันและใครต่อใคร
มันก็สิทธิ์ของเธอ
อยากจะซึ้งจะดีกับใคร
เธอก็ปล่อยฉันไป
ไม่เป็นไรแค่คนคนเดียว
เมื่อคนอย่างเธอเท่าไหร่มันก็ไม่พอ
และคนอย่างฉันก็ทนรับมันไม่ได้
ให้เธอหมดใจ
ใจฉัน
ก็อยากจะได้จากเธอทั้งใจ
รักกันไปส่งส่งคงไม่พอ
ฉันขอลา
เพลงสิทธิ์ของเธอ ของ อัสนี วสันต์ ลอยมาตามลม
ดนตรีสดเริ่มขึ้นแล้ว พร้อมกับใจผมลอยไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ พยายามทำใจสบายให้ลอยไปกับสายน้ำและเสียงคลื่นทะเล
ใช่แล้ว มันเป็นสิทธิ์ของพี่ปริ๊นซ์ที่จะทำอะไรของเขา เราก็แค่เดินจากมา มาอยู่ในที่ของเรา ก็เท่านั้นเองทัพ ไม่ต้องเสียใจ
มือผมแกะกุ้งอย่างรวดเร็ว ทักษะติดตัวมาแต่เกิดก็ว่าได้ เนื้อกุ้งถูกจ้วงลงไปในน้ำจิ้ม และส่งใส่ปากของผมที่เคี้ยวไปครั้งสองครั้ง ก่อนกลืนกุ้งทั้งตัวลงท้องราวกับกลัวถูกแย่งกิน
น้ำตาไหลอาบแก้มผมเล็กน้อย ทำไมกันนะ ปกติผมก็กินเผ็ดได้ ทำไมน้ำจิ้มของบังกะโลตามีถึงเผ็ดขนาดนี้
เปลือกกุ้งกองสูง แสดงถึงปริมาณเนื้อกุ้งมหาศาลที่ตกลงท้องผม เปลือกสีแดงเหมือนตาแดงของผม ที่น้ำใสไหลไม่หยุดนิ่ง
วันที่ 4วันเสาร์ที่แดดแรง ผมกำลังดำน้ำอยู่ที่สถานที่แรก เสื้อชูชีพถูกรัดแน่นบนตัวผม บ้าบอที่สุด คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นอย่างผม ทำไมต้องมาดูปะการังเสี่ยงตายขนาดนี้
แต่เมื่อลืมความกลัวไป กลั้นใจและพยายามทำ ก็พบว่าธรรมชาติที่สวยงามทอดตัวอย่างสวยงามบนท้องทะเล
ผมเริ่มอยากกลับไปขอบคุณตามีแล้ว ที่บังคับให้ผมมาดูปะการังแบบนี้
มื้อเที่ยงของพวกเรา ต้องกินข้าวบนเรือ เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการพาไปยังจุดดำน้ำที่สอง
แดดแรงของเวลาเที่ยง พร้อมกับอาหารอันน้อยนิด ไม่สามารถชดเชยพลังงานที่หมดไปกับการดำผุดดำโผล่เหนือผิวน้ำได้ ผมกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทาง และสะดุ้งตัวอีกครั้งเมื่อเรือจอดสงบนิ่ง
“จุดดำน้ำที่สองนะครับ เราจะดำรอบเกาะเล็ก ๆ เกาะนี้ ดำจนครบรอบแล้วมาเจอกันนะครับ”
นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยลงน้ำไปทีละคน ผมกำลังสองจิตสองใจว่าจะลงดีมั้ย ย่านน้ำแถวนั้นค่อนข้างเงียบสงบ มีเรือจอดนิ่งอยู่เพียงสามลำ รวมเรือผม มีเรือลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่อุทยานแล่นผ่านไปหนึ่งลำ มากไปกว่านี้ ยังมีแนวเชือกที่ขึงเป็นวงกลมรอบเกาะ พร้อมกับทุ่นลอยที่ปักห่างทิ้งระยะเหมาะสม โดยทั่วไปดูสงบเรียบร้อยและปลอดภัย
“อะ คุณจะไปมั้ยครับ”
“ไปครับ”
แล้วผมก็หย่อนตัวลงทะเล
ปะการังสวยงามเช่นเคย ไม่สิ สวยกว่าจุดแรกด้วยซ้ำ งดงาม มีสีสันแพรวพราว ความสงบของธรรมชาติช่วยขัดเกลาจิตใจของเราเสมอ
ผมลอยตัวขึ้นมาอีกครั้ง มือข้างหนี่งยังจับเชือกที่ล้อมอาณาเขตไว้อย่างมั่นเหมาะ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมองไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นในรัศมี น้ำทะเลบางส่วนเข้าหน้ากากจนพร่ามัว จึงบรรจงถอดออกมาแล้วล้างน้ำ
“ไปไหนกันหมดวะ”
ผมสวมแว่นกลับเข้าไป จัดตำแหน่งท่ออากาศให้เข้าที่ แล้วดำน้ำลงไปดังเดิม
แต่สายรัดของแว่นดำน้ำที่ผมใส่มันเกี่ยวเข้ากับปมเงื่อนของเชือกที่ผูก จนท่ออากาศพลิกกลับลงไปในน้ำ ผลที่เกิดตามมาคือ มวลน้ำทะเลจำนวนมากเข้าปากผมที่พยายามดูดหายใจ เท้าผมดิ้นป่ายเหมือนคนใกล้ตาย สะเปะสะปะไปโดนแนวเชือก ผมเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บจากขา คงได้แผลแล้วสินะ แล้วตะคริวก็จู่โจมผมทันที
ผมนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถพาหัวตัวเองให้สูงพ้นน้ำได้ ในใจคิดแต่เพียงว่า มีคนเคยตายที่นี่ไหม มีคนเคยตายเพียงเพราะว่าดำน้ำอยู่ที่ผิวน้ำแบบผมไหม
ถ้าไม่เคยมี ผมคงเป็นคนแรกสินะ
“ช่างมันสิ”
ด้านหนึ่งในใจของผมกรีดร้องออกมา ตาย ๆ ไปซะ ให้มันจบ ๆ ชีวิตมันไม่มีอะไรแล้ว
ภาพของใบหน้าที่โกรธขึงของพี่ปริ๊นซ์ลอยมา ใบหน้าที่กำลังเอาจมูกไล่ลามดอมดมกายผม มือหนาที่กดผมหนักลงบนเตียง ย้อนกลับมาเหมือนภาพสโลว์โมชัน ในทันใดภาพทั้งหมดก็ถูกแทนที่ด้วยภาพบนเดสก์ท็อปของโนตบุ๊คส่วนตัวของผม
เป็นภาพวันรับปริญญา ที่มีผม มีพ่อ แม่ และทับทิบ ถ่ายรูปรวมกัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พ่อกับแม่ยอมถ่ายรูปร่วมกันเพื่อผม ผมไม่เคยคิดจะเอาภาพนั้นไปล้าง ผมอยากให้เป็นแค่ความทรงจำอันงดงามเหมือนความฝัน การนำมันมาใส่กรอบ อาจจะกลายเป็นรูปธรรมเกินกว่าผมจะเข้าใจได้
“แม่ครับ พ่อครับ ทัพขอโทษ”
ขาผมนิ่ง ไร้แรงที่จะดิ้นต่อไป
“ไอ้บอส กูขอโทษ”
ผมไม่อยากตาย ผมยังไม่อยากตาย
แล้วสติผมก็พร่าเลือนหายไป
-------------------------------------------------------------
จบบทที่ 17
ผมค่อนข้างไม่ชอบอะไรดราม่า ก็เลยไม่สามารถเขียนออกมาได้ดีนัก
และผมค่อนข้างอยากให้เป็นธรรมชาติ ซึ่งจะตรงกับบุคลิกของทัพมากกว่านะครับ
ขอบคุณที่ติดตามผลงานเขียนเรื่องแรกของผมนะครับ