<Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019  (อ่าน 13741 ครั้ง)

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
มาต่ออีกสิๆๆๆๆ  :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


สงสารตาม จนอยากให้เป็นพระเอกแทนพี่ปริ๊นซ์ซะแล้ว

ถ้าเรื่องดำเนินต่อให้พี่ปริ๊นซ์เป็นพระเอก ก้อช่วยหาคนมาดามใจน้องตามหน่อยเถิดดด

หมอตามของพี่ ทั้งหล่อทั้งดีปานนั้น  :)


 :z2:  :z2:  :z2:  :z2:  :z2:  :z2:  :z2:   :z2:







ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ได้ฟังแล้วจะเปิดใจให้หมอหน่อยไหม อย่างน้อยดูแลดีกว่าพี่ปริ๊นแน่ๆ ล่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ทัพเปิดใจให้ตามเถอะนะ อยากให้คู่กับตามมากกว่า

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 19
อีกฟากหนึ่ง


“พี่ครับ  ผมขอไปถ่ายรูปกับเพื่อนนะครับ”

ผมยัดบอร์ดสำหรับจดเลคเชอร์อาการคนไข้ต่าง ๆ ใส่เพื่อนที่ยังยืนจดโน้ต

“เออ เอาสิ  รีบไปรีบมา”

พี่หมอประจำบ้านวอร์ดโสตศอนาสิกวิทยาไม่ได้หันมามองผมแต่อย่างใด  เขายังก้มหน้าก้มตาจดอาการของผู้ป่วยลงในชาร์ทบันทึกการรักษาที่แขวนตรงปลายเตียง 

โค้งคำนับขอบคุณโก่งจนหัวแทบติดพื้น  แล้ววิ่งออกจากวอร์ดที่คลาคลั่งไปด้วยผู้ป่วย  ผ่านวอร์สูตินรีเวชที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของทารกแรกเกิด  สลับกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของญาติ ๆ ที่ได้เห็นใบหน้าทายาทตัวน้อย ผู้เป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว  ในเวลาไม่นานผมก็พาตัวเองมาจนถึงร้านดอกไม้ใต้ตึกโรงพยาบาลเพื่อรับช่อกุหลาบสีขาวที่สั่งไว้

“หมอสั่งให้แฟนเหรอคะ”

ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับเหงื่อกาฬที่ไหลออกมา  เสียงหอบรับอากาศนำขึ้นก่อนจะสนทนาพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“ฮะฮ่า ผมยังไม่มีแฟนครับ”  ผมรับช่อดอกไม้ เงยหน้าคุยกับเจ้าของร้านต่ออย่างขบขัน  “แต่ถ้าจะให้เรียก ว่าที่ ก็น่าจะไม่ผิดนะครับ”

“แหม  ลูกสาวป้าก็เสียใจแย่สิ  มันชอบหมอมากเลยนะ”

ป้ากำลังจะบอกว่า  ลูกสาววัย 10 ขวบ ที่ยังไม่ประสีประสา ชอบผมเหรอครับป้า   แค่คิดก็นึกถึงลูกสาวป้าที่ดูห้าวแมนใจเกินร้อย ที่ดูซ้ายแลขวาอย่างไรก็ไม่น่าจะมีรสนิยมชอบผู้ชายแบบผม

“อย่าพูดเล่นสิครับ  ผมไปแล้วนะครับ”

สะพานลอยข้ามถนนที่เข้าเขตพื้นที่หลักของมหาวิทยาลัยเป็นตำแหน่งที่ผมกำลังหรี่ตาสู้แดดแรงของยามเที่ยงยืนมองฝูงชนจำนวนมหาศาลที่แต่งกายด้วยชุดหลากสี  บ้างก็ถือลูกโป่งหลายใบ  บ้างก็ถือช่อดอกไม้ที่มากสีสัน  บรรยากาศของความสุขของงานรับปริญญาฟุ้งตลบอวลไปทั่ว

ผมพาตัวเองมาห่างไกลจากความรู้สึกของการเป็นนิสิตนักศึกษามาปีกว่าแล้วตั้งแต่พาตัวเองเข้าสู่วิถีชีวิตการเรียนคลินิก    เมื่อหลงทางอยู่ในบริเวณเก่า ๆ ก็ไม่แปลกที่จะหวนคิดถึงหลายปีที่ผมเฝ้ามองมัน  ดุจดังภาพที่สว่างโร่ของแดดยามเช้า เจิดจ้าราวกับภาพฝันยามค่ำคืน   ความรู้สึกเดียวในส่วนลึกที่สะท้อนไปมา คือ  ผมรักมันครับ  ผมรักทัพ  แม้ว่าวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนในทุกช่องทางใด ๆ ผมจะไม่มีวันได้เป็นแฟนกับมันก็ตาม   กระนั้นผมก็ยังรักมัน    พีเคยบอกกับผมว่า   ความรักที่ผมมีให้ทัพ  แท้จริงอาจจะไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว  (จริง ๆ ไอ้พีใช้คำว่า ชู้หนุ่ม ด้วยซ้ำ)   อาจเป็นเพียงความรักแบบมิตรภาพที่เหนือกว่ามาตรฐานเดิมในสังคมปกติก็เป็นได้

คำตอบในใจของผมต่างจากพีเล็กน้อย   ผมอยากใช้ชีวิตอยู่กับมัน  อยากหัวเราะไปกับมัน  อยากมองเห็นมัน  และก็มีบางความคิดที่อยากจับมือกัน  กินข้าวกัน  นอนกอดกัน  แค่นั้นก็เพียงพอ   

ท้ายที่สุด  ทั้งพีและผม ก็ไม่สามารถหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดให้แก่สถานการณ์ดังกล่าวได้  จึงเลิกใคร่ครวญถึงนิยามความรู้สึกที่ผมมีให้แก่ทัพ   เอาเป็นว่าถ้าผมมีความสุขกับการเฝ้ามอง  กับการหยอดทัพ   กับการทีเล่นทีจริง  การกระทำทั้งหมดเหล่านั้น    ถ้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน  ผมก็ไม่รู้สึกมีอะไรเสียหาย   อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผมเจนใจเสมอก็คือ ความฝันและความจริงเป็นดังเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบ 

ทางเลือกที่ผมนำมาใช้ ก็คือ ไม่ลากทัพมาร่วมหัวจมท้ายในวังวนความสับสนอันไม่สิ้นสุดของผม

เป็นเวลาหลายปีที่ทัพพยายามหลบหน้าผมมาตลอด  ประกอบกับผมที่เรียนหนักหน่วง  ขึ้นวอร์ดไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งทำให้โอกาสที่เราเจอกันน้อยลง   แต่วันนี้จะเป็นวันแรกที่ผมได้เจอมันอีกครั้ง

แล้วผมก็พาตัวเองมาถึงคณะวิทยาศาสตร์จนได้ 

แค่งานรับปริญญา  ที่ผมเฝ้ามองมันยืนเก้ ๆ กัง ๆ ด่าผมซ้ำแล้วซ้ำอีก  แล้วก็ดั่งคนเป็นโรคสองบุคลิก เมื่อมันด่าผมจนเหนื่อย   ก็กลับกลายเป็นคนเย็นชาใส่กันทันที   แต่แค่เพียงมันแนะนำน้องสาวให้ผมรู้จัก  ยอมถ่ายรูปคู่กับผม   แค่นั้นผมก็ดีใจแล้วครับ 

เพราะการได้เฝ้ามอง  คือ ความเป็นจริงที่ผมสามารถจับต้องได้มากที่สุด


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


รูปภาพคู่ใบนั้นของผมกับทัพวางบนโต๊ะทำงานเคียงคู่กับภาพครอบครัวของผมในวัยเด็ก   และยังมีรูปภาพกับเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ อีกสองสามใบ ที่จัดเรียงไว้ด้วยกัน   

ผมนำช่อดอกกุหลาบสีขาว ที่ได้จากแม่ของผู้ป่วยคนหนึ่งวางไว้เคียงกับรูปภาพบนโต๊ะทำงานหลังใหญ่ของผม
วันนี้เป็นวันจันทร์หลังงานรับปริญญา  แต่ถือเป็นวันที่ 3 หลังจากทัพโดนแทง   ผมเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ  กลับมาทำงานที่ผมรัก   ผมเป็นแพทย์ใช้ทุนที่ต้องทำงานเพื่อรัฐเป็นเวลา 3 ปี    อย่างน้อยการได้ทำงานเพื่อรัฐบาลก็เป็นหนึ่งในความฝันที่ผมอยากทำมาโดยตลอด  แล้วก็เป็นความฝันที่ไม่ได้ขนานกับความเป็นจริง  ผมจึงภูมิใจกับการได้ทำสิ่งที่จับต้องได้และไม่เพ้อฝัน
พักกลางวันแล้ว  อันที่จริงเหลือเพียง 25 นาที  ผมก็ต้องกลับไปทำงานต่อ   จำนวนผู้ป่วยต่อจำนวนหมอ  ช่างเป็นอัตราที่สูงสวนทางกับ GDP ของประเทศเหลือเกิน   แม้จะเหนื่อยเพียงใด  เราก็ต้องยืนหยัดทำในสิ่งที่เรารัก  ถ้าสิ่งนั้นยังเป็นสิ่งที่เรากระทำได้   ต่างจากบางเรื่องซึ่งเราไม่สามารถกระทำให้เป็นจริงได้เลย

เสียงสารภาพรักของทัพต่อหน้าปริ๊นซ์ยังกังวาลค้างอยู่ในมโนสำนึกของผม   หยิบกรอบรูปสีเงินที่มีรูปคู่ของผมกับทัพขึ้นมาด้วยความอาลัย  เปิดหลังกรอบรูปเพื่อดึงเอารูปออกมา  ตัดใจโยนลงถังขยะ  แต่สุดท้ายผมก็คว้ารูปภาพนั้นขึ้นมา  เปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อโยนทั้งรูปใบนั้นและกรอบรูปลงไป  ปิดตายมันเอาไว้   ในส่วนลึกของความทรงจำ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่   พร้อมกับเสียงเคาะประตูดังอยู่ด้านนอก

“เชิญครับ”

“ตามคะ  ไปกินข้าวกันมั้ย”

หยกสาวสวยร่วมมหาวิทยาลัย  ที่จับผลัดจับผลูมาใช้ทุนที่โรงพยาบาลเดียวกับผม  กำลังพาอกขนาดมหึมาที่ผมเห็นก็ยังรู้สึกอึดอัดแทนเล็กน้อยเข้ามายืนมองผมอย่างรอคอยคำตอบ    ในมุมมองของผมนั้น มองเห็นแต่เนินยักษ์ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะบีบรัดคอผมให้จมตายทุกเมื่อ  ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเลือดแดงสูบฉีดกระจายทั่วใบหน้า

“ไปสิครับ”

มนุษย์เราแม้ว่าจะทนทุกข์เพียงใด  เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าดำเนินชีวิตต่อไป

“ว้าว ดอกไม้สวยจังเลยค่ะ”

“แม่ของน้องน้ำฝนเอามาให้นะครับ”

น้องน้ำฝน  ผู้ป่วยเด็กเพียงคนเดียวของโรงพยาบาลในขณะนี้   เธอถูกส่งมารักษาตัวเพราะภาวะเครียดอย่างสูง  ทั้งที่เธออายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ด้วยซ้ำ   และดูเหมือนว่าเธอจะติดผมกับหยกงอมแงมเชียวหล่ะ   อาจด้วยความที่เราสองคนเป็นหมอที่อายุน้อยที่สุดด้วยกระมัง

เราเดินมุ่งตรงไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาลด้วยกัน  ระหว่างทางพยาบาลหลายคนที่เดินผ่านก้มหัวคำนับให้เราสองคนซึ่งเราก็ก้มหัวกลับตามมารยาท    ในความคิดของผม   ทั้งหมอและพยาบาล ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร  ต่างคนต่างต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน   การเคารพในคุณค่าของกันจึงเป็นสิ่งพึงกระทำ

“เหนื่อยจากงานรับปริญญาเหรอคะตาม”

ถึงเราสองคนจะจบที่เดียวกัน  แต่ก็ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร  เราอยู่คนละกลุ่ม  นอกจากวิชาเลคเชอร์ห้องใหญ่แล้ว  ก็ไม่มีวิชาอื่นใดเลยที่เราเคยเรียนด้วยกัน

“ไม่หรอกครับ  ตามเบลอ ๆ นะ”  แล้วผมก็นิ่งคิดพลาดเคี้ยวข้าวเอื้อยเฉื่อยว่า  เธอก็ต้องไปงานรับปริญญาเหมือนผมนี่นา  “หยกล่ะ”

หยกส่ายหัวแทนการตอบ  แล้วสนทนาเรื่องราวของผมต่อ

“เบลอเพราะโฟกัสบางเรื่องไม่ได้  หรือเปล่าคะ”

ผมเงียบแทนคำตอบ  นิสัยเสียอย่างหนึ่งของคนในกลุ่มหยกคือ ชอบตั้งสมมติฐานขึ้นมาเอง จนบางครั้งผมก็รู้สึกว่าก้าวก่ายจนเกินไป

“เอ๊ หรือว่า  เพราะตาม มัวแต่โฟกัสเรื่องเดิม ๆ จนปวดหัว จนสมองล้า  ลองเปลี่ยนไปโฟกัสเรื่องอื่นบ้างสิคะ”

แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมสะดุดใจกับคำพูดของหยก

“โฟกัสเรื่องอื่นเหรอครับ”

“ใช่ ตามลองโฟกัสเรื่องอื่นสิคะ”

“ครับ  ขอบคุณนะครับ”

หรืออาจถึงเวลาที่ผมควรจะลองสนใจทำเรื่องอื่นบ้าง


-------------------------------------------------------------


ใครที่ผ่านไปผ่านมาหน้าห้องคลอดคงล้วนให้ความเห็นตรงกันว่า  นายแพทย์หนุ่มคนนี้ได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว   ผมนั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าห้องผ่าตัด  ตาเหม่อลอยด้วยความล้า  วันนี้เป็นวันโลกาวินาศอะไรก็ไม่รู้    ไม่สิ  เป็นวันดีสิ  ผมทำคลอดไปแล้วถึงสองคน  เป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะได้รับประสบการณ์เนื่องจากโดยปกติจะมีสูตินรีแพทย์เจ้าของเคสเป็นผู้รับผิดชอบ    ทว่าด้วยคุณแม่มือใหม่พร้อมใจกันมาคลอดในวันเวลานี้   อาจเป็นเพราะว่าวันนี้ฤกษ์ดีก็เป็นได้   ก็เลยทำให้ผมเต้องไปช่วยหมอเขาทำคลอด

“หมอฐาพลค่ะ  อีกราว 5 นาที ทำคลอดอีกคนนะคะ”

“จริงเหรอครับ”

พี่พยาบาลที่ยังเกาะบานประตูห้องคลอด ยิ้มให้ผมอย่างเข้าใจ

“พักสักพักก็ได้ค่ะ”

“ก็ดีครับพี่”

ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงพร้อมกับการไปปฏิบัติหน้าที่ของพี่พยาบาล  ส่วนผมนั่งลงตรงหน้าห้อง  ควักยาดมมาบรรเทาความวิงเวียน  แล้วมือนิ่มมือนิ่งก็นวดคลึงตรงไหล่ผมเพื่อผ่อนคลาย

“เครียดเหรอคะ”

การเข้าถึงเนื้อถึงตัวเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเลย  แต่ก็ต้องทน

“ขอบคุณครับ หยก”

หยกแทรกตัวเข้ามานั่งด้านข้างของผม  ยังสาละวนเอามือนวดคลายให้ผม

“จริง ๆ เราลุ้นเดียวกัน ไม่ต้องพูดเพราะกันตลอดเวลาก็ได้มั้งคะตาม”

“ฮะฮ่า หยกเพิ่งพูด คะ เมื่อกี้นะครับ”

“ตามก็มี ครับ เหมือนกันแหละค่ะ”

“หยกก็มี ค่ะ นะครับ”

“จ้า ๆ เย็นนี้ไปกินข้าวกันมั้ยคะ เอ๊ย ไปกินข้าวกันมั้ย”

“อืม ไปสิ”  ผมนิ่งคิดอีกสักพัก “ก็ดีเหมือนกันครับ”  เปลี่ยนบรรยากาศบ้างแล้วกัน

“ค่ะ”

หยกเดินจากไป พร้อมรอยยิ้มที่แสนหวาน อันที่จริงหยกก็จัดเป็นผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง ทำไมสมัยเรียนเธอถึงไม่เคยมีข่าวด้านชู้สาวหรือเป็นแฟนกับผู้ชายคนไหนในคณะเลย    อาจเป็นเพราะว่าตอนยังเป็นนิสิตปริญญาตรี  เธอเป็นเด็กเนิร์ด  ใส่แว่นหนาเตอะ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง   จึงไร้เสน่ห์ที่ใช้ดึงดูดมัดใจชาย

ในปัจจุบัน  หยกคนนั้นได้ตายไปแล้ว  เพราะช่วงก่อนจบไม่นานเธอไปทำเลสิก  ยืดผม  แล้วรู้จักการประทินผิวแต่งตัวมากขึ้น  เข้าตำราไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง 

ทำเลสิกเหรอ... พาลให้คิดถึงใครบางคน ที่ทั้งชีวิตนี้คงเป็นได้แค่รูมเมต

“ตัดใจเหอะไอ้ตาม”

ผมรำพึงรำพันกับตัวเอง  ก่อนจะลุกขึ้นตามเสียงเรียกของพยาบาล ไปทำงานที่เรารักกันดีกว่าเนาะ  แต่บางทีก็อยากลาออกไปทำงานเป็นช่างภาพอิสระ  ติดตรงไม่รวยนี่แหละ 


-------------------------------------------------------------


ทุกวันผมเฝ้าติดตามชีวิตของทัพผ่านการถามพี  อ่านไลน์กรุป  รวมถึงส่องความเป็นไปของมันผ่านหน้าเฟซบุค

“ทำไมวันนี้มึงไปเฝ้ามันช้าวะไอ้พี”

อารมณ์เสียก่อนกินข้าวไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ เพราะสำหรับผมมันจะพาลทำให้กระเดือกอะไรไม่ลง

“ใจเย็น ๆ ดิวะ กูต้องไปรับแฟนกูด้วย  มึงอย่าเพิ่งงอน”

“เออ ทำให้มันเร็ว ๆ  ครับ สวัสดีครับพี่”  หันไปทักทายกับพยาบาลที่เดินผ่านก่อนไขเปิดประตูเข้าห้องทำงาน “มึงอยู่ไหนแล้ว”

กระแทกอารมณ์ทุกอย่างใส่โทรศัพท์ด้วยเสียงเย็นชา

“ออฟฟิศนี่แหละ เพิ่งคุยกับลูกความเสร็จด้วย  ใจเย็นสิวะ  นี่กูมีแฟนสองคนหรือไงวะ  ไม่สิ สามคน รวมไอ้ทัพด้วย”

ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ในห้องทำงาน

“เร็วเลย”

“อาการมันดีเว้ย  พี่ปริ๊นซ์เอาไข่ต้มให้มันกินทุกวัน แผลหายเร็วเหี้ย ๆ  สุดสัปดาห์นี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้วมึง”

“ไปช่วยมันขนของตอนออกจากโรงพยาบาลด้วย  ถ้ากูอยู่ กทม. กูก็จะไปเอง ไม่ต้องมาลำบากทนายความค่าตัวแพงแบบมึงหรอก”

“เอาให้จริงเหอะ  ในไลน์กรุปนะ ถามไปสิ  จะเหนียมเหี้ยไร  จะอะไรนักหนา”

“กูชอบแบบนี้”

“แล้วอีกอย่างนะ  ถึงกูไม่ไปเขาก็มีพี่ปริ๊นซ์ประคบประหงม หวานกันจะตาย”

ผมอึ้ง

อึ้งทั้งที่รู้มาตลอดว่าต้องลงเอยแบบนี้   ฉากสารภาพรักของทัพย้อนเวียนกลับมาอยู่ในหัวของผมอีกครั้ง  ทั้งภาพที่ยังแจ่มชัด  ทั้งเสียงที่ได้ยินเต็มสองรูหู    ผมไม่สามารถหาข้ออ้างใดในโลกมาค้านหลอกตัวเองได้อีกต่อไป    แต่ทำไมไม่รู้  พอมาได้ยินคำยืนยันจากปากคนอื่นอีกรอบ  กลับรู้สึกเหมือนใครเอามีดมากรีดซ้ำรอยแผลอีกรอบ  กลายเป็นบาดแผลใหม่ที่ฉีกขาดบนรอยแผลเก่าที่ยังไม่สมาน

“เห้ย มึงกูขอโทษ  อย่าเงียบดิ  กูรอลิฟต์อยู่”  ผมได้ยินเสียงกระทืบเท้าอย่างเร่งรีบของพี  “อีกแปบเดียวนะ  ตาม ไม่เป็นไรแน่นะมึง”

ผมปฏิเสธไปแผ่วเบา  ได้ยินเสียงมันกำลังคุยเรื่องงานกับเพื่อนร่วมงานสองสามคน  ผมจึงเงียบคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างเศร้าสร้อย 

“เอาให้จริงเหอะ กูถามจริง”  ผมสะดุ้งสุดตัว  จู่ ๆ มันก็หวนกลับมาคุยกับผมโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง  “วันนั้นที่โรงพยาบาลเกิดอะไรขึ้น  พอมึงกลับมา  ไม่พูดอะไรสักคำ  หน้าซีดยังกับเห็นผี”

พีจู่โจมโถมถามเข้าประเด็น ไม่เว้นช่องไฟให้ผมได้หายใจหรือหาข้อแก้ตัว

“ไม่มีอะไร”

เสียงสั่นเครือ  ท่าทางอันล่อกแล่กของผม  เป็นเครื่องยืนยันว่า คำตอบก่อนหน้า เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

“แน่ใจนะ”

พีใช้น้ำเสียงที่รุกคืบและดูคุกคามให้จนมุมมากกว่าเดิม

“ไม่มีจริง ๆ”

“มึงรู้ใช่มั้ย ตอนกูเรียนวิชาเกี่ยวกับทนายความ เขาก็สอนเรื่องการโกหกนะ”

“กูพูดจริง”

“เอาที่สบายใจ  กูเชื่อก็ได้    พร้อมแล้วก็เล่า”

ผมเกลียดน้ำเสียงแบบนี้จริง ๆ

“กูไม่มีอะไรจะเล่า  ฝากด้วยแล้วกัน”

ผมวางหูใส่พีโดยไม่บอกลา   โยนโทรศัพท์ทิ้งลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงกระแทก  หมุนตัวไปมาบนเก้าอี้หมุนในห้องทำงาน  ทำไมรู้สึกเหมือนโดนต้อนให้จนมุมยังไงก็ไม่รู้    ไม่นานหลังจากนั้นหยกก็เปิดประตูเข้าห้องทำงานของผม   พาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามผม   ยิ้มหวานให้ผม

“ไปกินข้าวกันค่ะ หิวแล้ว”

พักหลังเราสนิทกันมากขึ้น  เธอเลิกเคาะห้องผมไปนานแล้ว  แต่เราก็ยังติดพูดสุภาพกันอยู่

หยกยังเอียงหัวมองกลับผม  พร้อมยิ้มพิมพ์ใจที่ยังไม่คลายหายไปจากใบหน้า

อันที่จริงผมหมดอารมณ์กินข้าว  เพราะอารมณ์เสียจากไอ้พีแล้ว  แต่เจอรอยยิ้มของหยกทีไร ก็ยอมไปกับเขาเสียทุกที   หรือว่าใจเราละลายไปกับสาวคนนี้แล้ว

ผมกินข้าวกับหยกจนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว

มันซึมซาบไปที่ความรู้สึกผม  วันใดที่เราต่างมีธุระของตัวเอง  จนทำให้ไม่ได้เจอกัน  ความรู้สึกเหงาหงอยว้าเหว่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อใจในทันที

“มีน หรือว่ากูจะลืมทัพได้แล้ว”

“ก็จากที่มึงเล่า ก็มีโอกาสนะ  แต่กูขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

“เอาสิเพื่อน ว่ามา”

มีนก็ยังคงเป็นมีน  ไม่เคยลืมประโยคเด็ดที่ต้องถามทุกครั้ง

“ที่มึงรู้สึกดี  เพราะมึงรู้สึกกับเขาในทางนั้นจริง ๆ  หรือ  มึงแค่หาใครมาแทนที่ทัพกันแน่วะ”

ผมนิ่งเงียบคิดถึงคำว่า “ทางนั้น” ตามที่ไอ้ตัวเล็กคิด   แม้ว่ามันจะละเลี่ยงใช้สรรพนามแทนการบรรยายเจาะจงลงรายละเอียดก็ตาม

“ถ้ามึงรู้สึกดีกับเขาจริง ๆ กูก็ดีใจด้วย  จะได้หลุดพ้นจากความรู้สึกเดิม ๆ ที่ยาวนานมาถึง 6 ปี”   มีเพียงเสียงหายใจของเราสองคนที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าสายไม่ถูกตัด  “มึงเชื่อกูดิ  ถึงประตูบานเก่าแห่งความรักที่มึงมีให้ทัพจะปิดไปแล้ว  แต่ประตูบานใหม่ก็จะเปิดให้แสงส่องเข้ามาเสมอแหละ”

“มึงพูดแต่ประตูนะไอ้มีน หลายรอบละ  แต่กูชอบนะ”

“อืม”  มันนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “มีคนสอนกูมาเหมือนกัน  แต่ก็เป็นข้อคิดที่ดีใช่มั้ยละ”

“ดีมากเลยแหละ  ส่วนเรื่องที่มึงถามตอนแรก  กูตอบไม่ได้หวะ  แต่กูคิดว่าเป็นอย่างแรกนะ”

“ก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น  ขอไปทำงานก่อนนะ  ต้องไปคุมคนจัดเวที  มีเลี้ยงส่งนายอำเภอท่านเก่านะ”

“โอเคเพื่อน ขอบใจมาก”

“เออ มึงรู้ใช่มั้ย วันนี้ทัพออกจากโรงพยาบาล”

“อืม”

“ตอบอะไรมันหน่อยล่ะ”

แล้วผมก็ตัดสินใจตอบไปว่า “อืม”  หลังจากที่มันทักทายรวม ๆ ในกรุปไลน์ว่า  กำลังออกจากโรงพยาบาล  ทั้งยังสรรเสริญไอ้พีที่ไปช่วยมันขนของออก พร้อมถ่ายรูปเซลฟี่ของมันกับพีส่งให้ทุกคนรับชมเป็นหลักฐานประกอบคำสรรเสริญ

ผมแอบเห็นด้านหลังเป็นเหงาสุดหล่อของปริ๊นซ์   ขนาดในไลน์กรุปก็ยังตามมาประกาศศักดาอีกนะมึง


-------------------------------------------------------------


(ต่อด้านล่างครับ)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 19
อีกฟากหนึ่ง
ครึ่งสอง


ตามปกติทัพไม่ค่อยเล่นเฟซบุค  แต่ช่วงหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน  เฟซบุคของทัพมีการเคลื่อนไหวมากมาย  อาจเป็นเพราะว่าต้องลางานพักฟื้น  ก็เลยมีเวลาฟุ้งซ่านกระมัง   เฟซบุคของทัพเต็มไปด้วยการเล่าประสบการณ์การโดนแทง  เล่าชีวิตที่มีตำรวจตามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง  โพสต์ภาพอาหารที่ปริ๊นซ์ทำให้  รูปคู่ระหว่างมันกับปริ๊นซ์ก็มีบ้างประปราย  โผล่มาทีไรก็จะโดนเพื่อน ๆ ในเฟซบุคตามไปล้อเลียนทุกครั้ง

Mhee Nopchai
แต่งเมื่อไรครับ วีรกรรมรักมัธยม

Pannathorn V.
@Mhee Nopchai  กูว่าแล้วสุดท้ายต้องได้กัน
@Tappakorn N Tap เมื่อไรจะรับแอดเฟซเพื่อนพี่ละ

Tappakorn N Tap
@Pannathorn V. ไม่อะครับพี่ปัน หมั่นไส้  ปล่อยไว้ก่อน  555+

Korn Kulaponpat
พี่ไม่ถามมาก รักพ่อครัวคนนี้เปล่า อิอิ

Tappakorn N Tap
@Korn Kulaponpat  รักสิครับ

หลังจากอ่านสถานะนั้นเสร็จ  ราวหัวใจถูกแทงซ้ำจนแหลกลาญไม่เหลือซาก  ผมก็พาตัวเองเข้าร้านเหล้า  กรอกเหล้ากระหน่ำลงคอ  ไม่ต่างจากดื่มน้ำเปล่า

มันผิด  มันไม่ดีต่อสุขภาพ   ผมรู้ 

แต่ผมขอเพียงคืนนี้  ขอแค่สักคืนที่ผมจะได้ทำตัวเหมือนคนอกหักทั่วไป  สักคืนที่ผมจะได้แสดงความผิดหวังในชีวิต   แม้จะเป็นแค่เพียงคืนเดียวที่อาจจะลืมทัพไปสักเสี้ยววินาทีก็ตาม

“พอเถอะตาม  ไม่ไหวแล้ว  จะขับกลับยังไง”

“ไหว ยังไหว”

เหล้าเพียว ไร้การเจือด้วยโซดา น้ำเปล่า หรือน้ำอัดลม  บรรจุลงในแก้วตรงหน้าผม

“หมอตามเขาไปเครียดอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย”

เสียงพี่พยาบาลกระซิบกระซาบกับหยก   พร้อมไปกับแก้วเปล่าในมือผม  เพราะน้ำเมาเหล่านั้นได้ละลายหายไปในร่างกายของผมแล้ว

“หยกก็ไม่แน่ใจค่ะพี่ภา”  ผมรู้สึกถึงมือนิ่ม กำลังลูบไล้หน้าผม  “พอเถอะค่ะ  ใครจะขับรถตามล่ะ  ต่างคนต่างก็เอารถตัวเองมานะ”

มือนิ่มของหยกค่อย ๆ ปลดแก้วใบนั้นออกจากมือผมอย่างแช่มช้า แผ่วเบา 

“เอางี้มั้ยคะหมอหยก  เดี๋ยวพี่คุยกับเจ้าของร้านให้  สนิทกันค่ะไม่ต้องห่วง  ก็จอดทิ้งไว้ที่นี่ก่อน  พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเอา”

“ดีค่ะ ตามนั้น  งั้นหยกลากตามกลับก่อนนะคะ”

“หมอไหวเหรอคะ  มานี่หน่อย” 

เธอหันไปตะโกนเรียกเจ้าของร้าน ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับลูกน้องอีกคน  ภาพเลือนรางที่ผมจำได้ในหัวคือ  ผมถูกหิ้วปีกพาไปที่รถของหยก

แสงไฟจากข้างทางบาดตาผม  ภาพแสงไฟฟุ้งเป็นดวง ๆ  ลอยล่องในสายตา   มาลัยดอกมะลิที่ไหวไปมาจากการเคลื่อนของรถ  กลิ่นจางของมะลิโชยหอมไปทั้งคันรถ  เสียงเพลงสากลคลอเอื่อยสอดประสานไปกับเสียงแอร์ของตัวรถ   ล้วนแล้วแต่ลวงตาหลอกหูผมตลอดเส้นทางกลับสู่บ้านพัก

“ไหวมั้ยคะ หรืออยากจะกินนมเปรี้ยวก่อน  มันช่วยได้อยู่นะคะ จะได้ไม่เมาค้าง”

“ไม่เมา”

มันเหมือนเสียงพึมพำข้างหูผมมากกว่าออกจากปากผมไปเอง

“เป็นอะไรเนี่ย”

“ไม่ ไม่”

“ค่ะ” 

เธอหัวเราะแผ่วเบา

ด้วยร่างที่ใหญ่เทอะทะของผม  หยกร่างบางพยายามพยุงกึ่งลากสังขารของผมเข้าไปในบ้านพักแพทย์   ผมเซล้มลงหลายต่อหลายครั้ง  แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายามจนพาผมมาถึงเตียงนอนในที่สุด 

ห้องพักผมไม่ถึงกับมืดสนิท  มีแสงไฟราง ๆ จากภายนอกส่องพอให้เห็นเค้าโครงของสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง

ภาพอดีตที่ผ่านเลยของแสงแห่งรัตติกาล ในค่ำคืนวันเกิดครบรอบ 21 ปี ของผม  กับ  ภาพเงาตะคุ่มของหยกที่กำลังรื้อหาผ้าเช็ดตัว  เริ่มกลมกลืนทับกัน   

ผมกำลังรับภาพเสมือนฟิล์มภาพยนตร์ 2 เรื่อง ที่หมุนวนลื่นไหลพร้อมเพรียงกัน

ผมพยายาขยี้ตา รวบรวมพละกำลังดึงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งตรงปลายเตียง  ประคองสติสัมปชัญญะดังหยดน้ำที่หกกระจาย  ผมเพ่งตามองกลับไปอีกครั้ง

แล้วภาพความเป็นจริงทั้งหมดก็ถูกซ้อนทับด้วยภาพทัพที่หันหลังให้กับผม  ที่ใต้หอใน  ใต้ตึกที่เราอยู่  ขณะนี้ ผมกำลังยืนมองแผ่นหลังของทัพ 

ทัพกำลังสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจากความงี่เง่าของผมที่พยายามรั้งให้ทัพเป็นแฟนผมต่อ  ไม่ใช่แค่เป็นแฟนกำมะลอเพื่อเป็นของขวัญบรรณาการแก่ผม

 “ถ้าตามจะพูดว่า...เห็นแก่ความเป็นเพื่อน เห็นแก่อะไรก็ได้  ทัพ..”

ผมรีเพลย์คำพูดนั้นออกมาอย่างแผ่วเบา  เหมือนกับม้วนเทปที่ถูกตีย้อน

ทัพตัวสั่นเล็กน้อย  กำลังหันหลังมาเผชิญหน้ากับผม  แล้วเดินเข้ามาใกล้ผม

“ตามว่าไงนะ”

ใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ตาม”

ผมไม่ได้คิดจะยื่นคำขาดแก่ทัพเลยนะ  ผมแค่อยากจะบอกว่า  ผมรักมันจริง ๆ รักมาตลอด  ผมมองใบหน้าทัพที่งงงวย  กำลังเอียงหัวให้ผม  กระจับปากได้รูปอ้าออกราวกับจะเอื้อนเอ่ยคำถาม

“รักนะ”

ผมไม่ได้รอให้ทัพพูดถามสิ่งใดกลับ  ผมจูบทัพ

จูบที่ผมอยากสัมผัสมาตลอดทั้งชีวิต  คนที่ผมรักมาตลอด  ไม่มีอะไรมากั้นขวางเราสองคนได้อีก  อาภรณ์หลุดร่วงประดุจความรู้สึกที่อัดอั้นมานานที่ก็ถูกปลดเปลื้องคลายไปพร้อมกัน   ภาพฝันที่ลางเรือนแสนสุขไหลผ่านเลื่อนไปด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา  การรับรู้ที่ถูกตีแตกกระซ่านเซ็นไม่เป็นแก่นสาร  เพียงแค่คืนนี้ความสุขเท่านั้นที่ผมปรารถนา


-------------------------------------------------------------


อรุณรุ่งมาเยือน ฟิล์มภาพยนตร์แห่งอดีตก็ตัดขาดลง  เหลือเพียงภาพยนตร์แห่งปัจจุบันที่ฉายย้ำบนผืนหนังแห่งความเป็นจริง
คนข้างกายผมไม่ใช่ทัพ  แต่เป็นหยก  ผมทำสิ่งที่พลาดที่สุดในชีวิตไป  มันเป็นครั้งแรกของผม และเมื่อทบทวนเหตุการณ์ตลอดคืน  ผมก็เชื่อมั่นเต็มร้อยว่า  นั่นคือครั้งแรกของหยกเช่นกัน

ในฐานะผู้ชายผมควรทำอย่างไร   ผมกลัวเหลือเกิน  กลัวว่าเมื่อหยกตื่นแล้วรู้สึกตัว  แม้แต่ความเป็นเพื่อนระหว่างเราสองคนก็จะไม่เหลือ   ทว่าหยกไม่ได้ใสแบบที่ผมคิด  เธอมีความต้องการทางเพศที่รุนแรงมากกว่าที่ผมคิด  หรือถ้าพูดให้ถูก   ผมเองนี่แหละที่ไปกระตุ้นต่อความต้องการทางเพศของเธอ

เมื่อเธอตื่นขึ้นในเช้าวันนั้น   หยกไม่มีทีท่าเสียใจแต่อย่างใด  เธอแทบจะจู่โจมผม  แล้วพยายามยั่วยุทุกวิถีทางให้ผมมีอะไรกับเธอต่อ   ไม่ใช่มีอะไรกันในตอนเย็น   แต่มีอะไรต่อในตอนเช้านั้นทันที  หลังจากที่เธอเพิ่งเสียบริสุทธิ์ให้ผมไปหยก ๆ

เธอพร่ำถามผมทุกครั้งที่เราอยู่สองต่อสอง   และไม่มีสักครั้งที่เธอคิดจะรอฟังคำตอบจากผม   หยกสรุปทุกอย่างเองเบ็ดเสร็จบนสมมติฐานที่เธอได้ประโยชน์

“เราเป็นแฟนกันแล้วเนาะตาม”

ผมควรปฏิเสธอย่างไรดีล่ะ  ผมรู้สึกอึดอัดในห้องทำงานของผม  ทั้งที่มันควรเป็นสถานที่ที่ผมผ่อนคลายได้มากที่สุดที่หนึ่ง
มือนิ่มลูบไล้ปลุกอารมณ์ผม  ข้าวกลางวันที่ผมโหยหายคงเป็นเพียงมายาฝัน  เพราะสำหรับเวลาเที่ยง   ผมคงต้องทำสิ่งอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับความผิดพลาดจากการร่ำสุราเมื่อค่ำคืน

“หยกรักตามนะ  ตามก็รักหยกใช่มั้ย”

หยกคว้ามือผมไปจับ  เราเดินอยู่ในตลาดนัดใกล้โรงพยาบาล   ตั้งแต่เหตุการณ์ผิดพลาดในคืนนั้น  ผมพูดกับเธอนับคำได้
สิ่งเดียวที่ผมจะรับผิดชอบต่อการกระทำพลาดผิดของผมได้คือ  เล่นละครต่อไป  ผมทำตามใจหยกทุกอย่าง  การมีอะไรของเรามันเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก   

ผมเดินเคียงข้างเธอ   แต่ใจลอยห่างออกไปหลายโยชน์   นึกถึงภาพจำทุกค่ำคืนที่หยกห้ามผมใส่ถุงยางอนามัย  ทุกครั้งที่ผมต้องมีอะไรกับเธอ  เธอจะยืนยันกับผมเป็นมั่นเหมาะว่า 

“ป้องกันแล้ว หยกกินยาคุมแล้ว  ตามอย่าใส่ถุงยางเลยค่ะ”

เธอเอามาลูบไล้ปลุกอารมณ์ผม  แล้วคว้าถุงยางในมือผมโยนใส่ถังขยะ  กระดุมเสื้อผมถูกปลดทีละเม็ด ๆ

“เราไม่มีอะไรกันไม่ได้เหรอหยก”

“ทำไมคะ  ตามไม่รักหยกแล้วเหรอคะ”

ผมไม่เคยรักคุณเลยต่างหากหยก  ผมไม่เคยรักคุณเลย

แล้วผมก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็ได้  ให้เธอทำดังเช่นที่พูดจริง  เธอได้ป้องกันแล้ว   ไม่เช่นนั้นผมคงจะกลายเป็นพ่อคนในอีกไม่นาน    ผมพยายามเชื่อว่า  คนฉลาดอย่างหยกคงไม่ยอมให้ชีวิตการทำงานที่เพิ่งเปิดฉากไม่นานต้องมาสะดุดพังลง   อย่างน้อยผมก็สบายใจที่ได้เชื่อเช่นนั้น


-------------------------------------------------------------


ผมพยายามลืมเรื่องทัพ  และอีกทางหนึ่งผมก็พยายามเลี่ยงหยกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้    ผมทำงานและดำเนินชีวิตอย่างปกติ   ผมรับเวรดึกมากขึ้น  ผมเข้าเวรดึกติด ๆ กันหลายวัน  จนไม่สามารถเข้าได้อีก  เพราะผมป่วยต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวัน

ความทรงจำเกี่ยวกับทัพไม่เคยจางหายไปจากผม   มันกลายเป็นหนึ่งในฟางกลุ่มสุดท้าย ที่ยังประคองความเป็นมนุษย์ของผมให้คงอยู่    ภาวะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร  อารมณ์เสียง่าย  ทำงานผิดพลาด  และพฤติกรรมไม่ดีอื่น ๆ เริ่มเกิดมากขึ้น

สภาพจิตของผมเริ่มไม่สมประกอบ   เพราะแม้แต่จะล้มป่วยผมก็ยังถูกรังควาญ

หยกนั่นแหละ เธอเป็นคนเริ่มทุกอย่าง   เป็นคนที่ยอมสละเวลามาเฝ้าไข้ผม   มองจากภายนอก  คนทั้งโรงพยาบาลต่างยกให้เธอเป็นกุลสตรี  ใส่ใจผม  มีความละเอียด  เธอเพียบพร้อมทุกอย่างจริง     ไม่มีใครเห็นฉากหลังที่หยกกำลังดำเนินการกระทำกับผมผู้ป่วยไข้

“หยก”  ผมพูดแผ่วเบา  อาการตัวร้อนยังไม่คลาย  “อย่าจับตรงนั้น คุณจะทำอะไร”

มือปัดป้องของสงวนที่อ่อนแรงจากพิษไข้  ไม่สามารถต้านทางแรงผู้หญิงสุขภาพดีได้หรอก

“หยก ขอนะ  เราไม่มีอะไรกันมานานแล้ว”

กางเกงในของผมถูกดึงออก  ท่อนล่างของผมเปลือยเปล่า  น่าแปลกที่มันกลับมีอารมณ์ไปกับมืออันอ่อนนุ่มของหยก  ความต้องการในใจของผมก็มากขึ้นเช่นกัน  ตัวผมรู้สึกรุ่มร้อน  จังหวะการเต้นของหัวใจก็เปลี่ยนไป

“เอาอะไรให้ตามกิน”

“หยกหวังดีกับตามนะ”

“คุณทำอะไร”

“เชื่อหยกนะ”

“หยก”

ผมพูดแผ่วเบา ทัดทานอะไรไม่ได้  ปากของหยกกำลังครอบงำส่วนแข็งขืนของผมอย่างเชื่องช้า  เธอละเมียดลิ้มรสราวกับอาหารชั้นสูงราคาแพง   ลีลาพลิ้วไหวของชิวหาเร่งรัดให้ผมเกิดความต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ

“อย่าทำแบบนี้”

ผมต้องการ   แต่สำนึกก็คอยบอกกับผมว่า  ผมไม่ควรทำแบบนี้

“ตามอย่าฝืนสิค่ะ  หยกรู้ว่าตามก็ชอบ”

แล้วผมก็มารู้ในภายหลังว่า  หยกใส่ยาปลุกเซกส์ในชามข้าวต้มที่เธอนำมาป้อนผม


-------------------------------------------------------------


พอกันที  เมื่อผมรู้ความจริง  สิ่งเดียวที่ผมจะทำคือ  บอกเลิก  จะแฉก็แฉ  อยากทำอะไรก็เชิญ   

ผมเดินด้วยความมั่นใจไปที่วอร์ดคนไข้ที่นางพยาบาลบอกแก่ผมว่า หยกกำลังเดินตรวจอาการผู้ป่วยอยู่

“หยกไปไหนครับ”

พยาบาลผู้เคราะห์ร้ายตกใจน้ำเสียงขึงขังโกรธของผม

“เดินออกไปที่สวนกับน้องน้ำฝนนะคะ”

ผมเดินจากไปโดยไม่ขอบคุณ  มุ่งตรงไปที่สวน  หยกกำลังนั่งอยู่กับน้องน้ำฝนตรงม้านั่งใกล้ต้นปาล์ม  กำลังคุยเรื่องอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์  ในหัวผมมีแต่โทสะที่ปะทุพร้อมระเบิดทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า

“แล้วหมอไม่เสียใจเหรอคะ”

เสียงไร้เดียงสาของน้องน้ำฝน  คนไข้ตัวน้อยของผม  กำลังพร่ำดับไฟโทสะของผมและเรียกสติให้กลับมา  นี่เป็นการเข้าโรงพยาบาลครั้งที่ 2 ของน้ำฝน  ด้วยภาวะเครียดเช่นเดิม

“เสียใจสิ”  เธอกอดน้องน้ำฝน  พร้อมลูบหัวอย่างเอ็นดู “แต่หมอก็ทำอะไรไม่ได้  เป็นเรื่องของผู้ใหญ่  แล้วหมอก็ต้องย้ายไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ  ส่วนแม่ของหมอก็อยู่ระยองคนเดียว”

น้ำฝนก้มหน้าเงียบ  มีเสียงสะอื้นลอยมา

“แต่หมอก็เข้าใจท่านทั้งสองนะ”

“เห็นแก่ตัว  ไม่มีใครรักพวกเราเลยค่ะหมอ  พ่อกับแม่ก็ไม่รักหนูเลย  ทุกคนเห็นแก่ตัว”

เธอเช็ดน้ำตาให้น้ำฝนอย่างเชื่องช้า  เอามือยีหัวน้ำฝนหนึ่งที

“รักสิ  เราก็ต้องใช้ชีวิตของเรา  พ่อแม่ก็ต้องใช้ชีวิตของเขาจริงมั้ย   น้ำฝนรักพ่อแม่มั้ย”

เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“แล้วน้ำฝนทนได้เหรอคะ  ถ้าเห็นเขาต้องอยู่ด้วยกันทั้งที่ไม่รักกัน”

เด็กน้อยส่ายหัวอีกครั้ง

“เห็นมั้ยละ  น้ำฝนก็เข้าใจนี่”

“แต่”

“น้ำฝนอยากให้พ่อแม่อยู่ด้วยกันใช่มั้ย”  เธอพยักหน้าอีกครั้ง  “แต่น้ำฝนก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่ทุกข์ใช่มั้ยละ”

“..............”

“เราไม่อาจได้ของสองสิ่งได้พร้อมกันหรอกนะคะ   บางครั้งเราต้องเลือก”  น้ำฝนนิ่งฟังเธอ  น้ำตาเริ่มเหือดแห้ง “น้ำฝนต้องทำใจนะ แม้ว่าจะยาก  พี่เชื่อว่าน้ำฝนทำได้  ต่อไปต้องกินข้าว  ต่อไปต้องไม่เครียดนะ  ถ้าอยากเจอพี่กับคนอื่น ๆ ก็มาเยี่ยมที่โรงพยาบาลได้ทุกเมื่อ”

“น้ำฝนอยากให้พ่อแม่อยู่ด้วยกัน แต่น้ำฝนก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียใจ”

“งั้นต้องเริ่มจาก  น้ำฝนเองต้องไม่เสียใจก่อนนะ”

“หมอคะ  แล้วหนูจะอยู่ได้เหรอ”

น้ำฝนก้มมองเท้าตัวเองที่ลอยอยู่เหนือพื้น  เธอโยกเช้าสลับไปมา   นิ่งสับสนในความคิด

“ได้สิ”

“พี่หมอ  ได้เจอคุณแม่มั้ย”

“เจอสิ  หมอเลยกลับมาทำงานที่ระยองไง”  เด็กน้อยดีใจยกใหญ่  “แต่ตอนนี้ท่านไปเดินทางไกลนะ”

“ไปเที่ยวเหรอคะ”

“ใช่จ้ะ”  เธอลูบหัวน้องน้ำฝนอีกครั้ง  “ท่านไปไกลมาก”

ผมยังจำตอนปี 4 ได้  ผมเป็นเหรัญญิกของรุ่น   หัวหน้ารุ่นมาเบิกเงินค่าพวงหรีดที่เพื่อนในรุ่นสั่งทำเพื่อไว้อาลัยให้แก่แม่ของหยกที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุ 

“น้ำฝนต้องเข้มแข็งนะ  รู้ไว้ว่า  ท่านรักเรา  ท่านทั้งสองคนรักเรา  และเราก็ต้องมีความสุขมาก ๆ”

เธอกระชับกอดน้ำฝนแน่น  เสียงร่ำไห้แผ่วเบาลอยมาตามลม

“.................”

“ใช้ชีวิตของเราอย่างมีความสุขนะ  มีความสุขในแบบที่มันเป็น”

“ค่ะ”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่  เดินถอยหลังออกจากตรงนั้น  คิดสะระตะในหัว  แล้วสุดท้ายผมก็ปล่อยให้เหตุการณ์ต่าง ๆ วนเวียนแบบเดิมอีกครั้ง


-------------------------------------------------------------


ในวันที่ชีวิตผมเริ่มคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้   ครอบครัว  พวกทัพ และเพื่อนบางคน ยังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของผมให้ทนยอมทำในสิ่งที่ผิดวิปลาส  ผมไม่เคยชอบพฤติกรรมของหยกเลย   ขอเพียงมีโอกาสอยู่กันเพียงลำพังในที่ลับตา  หยกก็จะเป็นฝ่ายเปิดฉากยั่วอารมณ์ผมทุกครั้ง 

วันหนึ่ง   เสียงเล็กบางในใจบอกแก่ผมว่า  ผมกำลังมีความสุขกับการที่ไม่มีทัพในชีวิต  แม้จะต้องอยู่กับคนที่น่ากลัวกว่าทัพ   แต่หยกก็มีความดีในตัว  แม้ว่าจะมีความเจ้าเล่ห์มารยาอื่น ๆ ที่ทำให้ผมต้องใช้ลูกล้อลูกชนสารพัดเพื่อรับมือให้พ้นผ่านไปแต่ละคืนก็ตาม

หยกเป็นหมอที่มีเมตตา  ใส่ใจคนป่วย  และเห็นใจคนอื่นเสมอ

ยกเว้นผม.... 

สาวเจ้าไม่เคยต้องการแค่คืนละหนึ่งยก  เธอขอผมมากกว่านั้นเสมอ  จนผมเริ่มตระหนักว่า  ประสิทธิภาพการทำงานของผมอาจต่ำลงก็เพราะแบบนี้นะแหละ

แล้ววันที่ผมจะไม่มีวันลืมก็เกิดขึ้น  ทัพทักผมมา  แน่นอนว่าผมเลือกไม่ตอบ  ผมควรที่จะตัดใจจากทัพให้สนิทเสียที    หันมาปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับหยกให้ได้    ทางเลือกนี้เป็นทางที่ปลอดภัยและไม่สร้างบาดแผลในใจแก่ใครก็ตามในชีวิตผมมากที่สุดแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมา  ทัพก็เป็นคนที่มีความพยายาม  นับตั้งแต่เรื่องลดความอ้วนเรื่อยมาจนถึงเรื่องการติดต่อผมในวันนี้   
ทัพเพียรพยายามติดผมในทุกช่องทางที่พึงกระทำได้จนถึงวิธีสุดท้าย คือ โทรศัพท์   แต่ทางที่ผมเลือกทำคือ กดตัดสาย  โดยผมไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า  มันแอบเฝ้ามองผมอยู่ไม่ห่าง

ผลที่ตามมา คือ สิ่งที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ 

ไล่ตามทัพไป  ยืนรอทัพทั้งคืน  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งไร้ค่า  เพราะเพื่อนกล้ามปูของทัพที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนกลับกลายเป็นอุปสรรคที่ผมไม่มีประสิทธิภาพจะขจัดได้

ผมกินเหล้าหนักมากในคืนนั้น  แล้วที่เลวร้ายกว่าก็คือ  ผมบุกไปหาหยกถึงบ้านพัก  ผมมีอะไรกับหยกอีกครั้ง  ครั้งนี้ผมรุนแรงกับหยกมาก   อันที่จริงอาจกลัวได้ว่า  ผมข่มขืนหยกก็ว่าได้   ติดที่ว่าหยกสมยอมทุกอย่าง  และราวกับว่า  เธอชื่นชอบการมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบนี้เองเสียอีก   เธอกล่าวกับผมในวันรุ่งขึ้นว่า 

“ตื่นเต้นจังเลยค่ะตาม  วันหลังทำอีกนะ”

ผมไม่ใช่คนดีอะไรนัก  ก็แค่คนเลวคนหนึ่ง   มันจึงเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกคืนที่ผมได้แต่เฝ้ามองทัพอยู่ห่าง ๆ

“ตามเครียดอะไรมาคะ”

ผมไม่ตอบ  หยกที่อยู่ในวงแขนของผมก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ  เธอกระชับกอดผมแน่น

“งั้นช่างมันเถอะค่ะ”

แล้วเราก็บรรเลงเพลงรักซ้ำอีกครั้งหนึ่ง


-------------------------------------------------------------



ต่อด้านล่างครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2018 17:29:08 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 19
อีกฟากหนึ่ง
ครึ่งหลัง


วันรุ่งขึ้น  ผมตัดสินใจถามที่อยู่โรงงานของทัพผ่านพี   ผมบุกไปถึงโรงงานแล้วก็ยืนดูละครฉากใหญ่ที่ไม่มีความสมจริงแม้แต่น้อย   ไอ้เพื่อนกล้ามปูของทัพสวมรอยอ้างว่ามันเป็นแฟนทัพ    แค่ดูแววตาที่งงงวยของทัพผมก็รู้แล้วว่าเป็นแค่ฉากบังหน้า   
กลายเป็นว่าสิ่งที่เหมือนฟ้าผ่ากลางใจของผม คือ  การที่ทัพตัดขาดความสัมพันธ์กับผม

แววตาของทัพสะท้อนความรู้สึกเจ็บปวด ระคนรำคาญ   ผมไม่อาจลืมแววตานั้นของทัพได้อีกเลย

ผมกำลังสู้กับศึกสองทาง  หนึ่งคือความทรมานในใจของผม  และอีกหนึ่งในทุกคืนที่ผมข่มขืนหยกเสร็จ   เธอรบเร้าถามผมว่า  ผู้ชายคนนั้นคือใคร  ทำไมต้องไปหาทุกเย็น    เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น   คำถามดังกล่าวก็ถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกชั่วโมง  ทุกนาที  จนพัฒนาเป็นถามทุกครั้งที่เราเจอหน้ากันในโรงพยาบาล

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่หยกได้รับจากผม  หากไม่นับเรือนร่างที่เธอได้ทุกค่ำคืน

แล้วหยกก็ทำในสิ่งที่ผมกลัวมาตลอด

เธอพยายามจะฆ่าตัวตาย

จิตแพทย์สรุปว่า  เธอมีอาการเบื้องต้นของโรคซึมเศร้า  และต้องถูกเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด    อย่าตามใจในทุกเรื่อง แต่ก็ให้ประนีประนอมยอมบ้างในบางกรณี

การประนีประนอมในที่นี้ คือ ผมต้องยอมพลีกายให้หยกซ้ำแล้วซ้ำอีก   เวลาผ่านไปนาน  หลายเดือนนับจากวันนั้น

ผมใส่ใจหยกมากขึ้น   แท้จริงแล้วมันคือการเฝ้าจับตามองหยกตามคำสั่งแพทย์    กระนั้นมันก็ส่งผลให้หยกเลิกถามเรื่องทัพ    มากไปกว่านั้นอาการเธอดีขึ้น   แต่ผลพลอยได้ที่ผมปรารถนาน้อยที่สุด ก็คือ  เธอใช้ผมเป็นวัตถุทางเพศอีกครั้ง   

ทุกค่ำคืนที่หยกอิงหลับในอ้อมกอด   ผมใคร่ครวญพิเคราะห์ถึงหนทางหนีจากวงจรอุบาทว์

ผมยอมรับว่าผมได้ความสุขจากการที่มีอะไรกับหยก    แต่ความสุขเพียงสิ่งฉาบฉวย  เกิดตรงนั้น แล้วจบทันทีหลังเสร็จกามกิจ    แค่ชั่วพริบตาเดียวความทุกข์ทรมานท่วมท้นก็เคลื่อนเข้ามาครอบครอง


-------------------------------------------------------------


“ไอ้เหี้ยตาม”

หลังมื้อกลางวันที่ผมถือโอกาสซัดกระหน่ำเพื่อเติมแรงที่ต้องใช้ในศึกหนักค่ำคืนนี้  ทำไงได้ล่ะ  มันก็แค่วันเพลีย ๆ วันหนึ่งของนายแพทย์ฐาพล

“เป็นอะไรพี”

“ไอ้ทัพหายไป  พี่ปริ๊นซ์เพิ่งบอกกูเมื่อกี้”

“เหี้ย”

ผมช็อคกับสิ่งที่ได้ยิน  ทุกอย่างดูเป็นภาพเบลอ  หูฝาดด้วยเสียงซ่าเหมือนคลื่นรบกวน  สมองผมไม่รับฟังอะไรอีกแล้ว

“มึงฟังกูอยู่มั้ย  เห้ย ตาม ไอ้ตาม ตามมม ฐาพล  นายแพทย์ฐาพล ครับ”

“หะ ฟังอยู่ ๆ มึงเล่าใหม่สิ”

“ฟังอยู่แล้วให้เล่าใหม่ เห้อ เพื่อนกู”   ผมไม่มีแรงเถียงมัน  วันนี้เกือบเป็นวันดีที่สุดของชีวิตผมแล้ว  เพราะหยกกำลังอยู่ในห้องผ่าตัดไส้ติ่ง   เป็นกลางวันที่ผมได้กินข้าวคนเดียว  ไม่ต้องมีใครมาเกาะแกะ  “คืองี้  พี่ปริ๊นซ์กับตามทะเลาะกันเล็กน้อย เออ” 

มันเงียบไปแวบหนี่ง ราวกับรอให้ผมเอ่ยปากคำใดต่อมา   

“มึงหายไปเลยจากทุกช่องทาง  มึงรู้หรือยังว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันแล้ว”

ผมเงียบไม่ตอบ  ไม่ได้รบเร้าคะยั้นคะยอให้มันรีบเล่า   ผมยังคงอยู่ในภาวะช็อคกับข่าวที่ได้ยิน

“แล้วทัพก็หายไปเลย  โทรหาก็ไม่ติด  ทัพหายไปตั้งแต่เช้าหลังวันเกิด นี่  มึงลืมวันเกิดมันใช่มั้ย”

“มึงแจ้งตำรวจยัง”

วันเกิดไม่สำคัญหรอก  ถ้าเจ้าของวันเกิดไม่สามารถร่วมฉลองได้

“ยัง  กูรอให้ครบเวลาก่อน”

“เหี้ย ยังต้องรออีกเหรอ”

“อ้าว มึง เป็นกระบวนการทางกฎหมาย  แต่จริง ๆ แจ้งเลยก็ได้  เพียงแต่ว่าทัพมันไม่ใช่เยาวชนนะ  จะวุ่นวายนิด.... เห้ย แปบนะ พี่ปริ๊นซ์โทรมา  มึงถือสายรอแปบ”

ผ่านไปห้านาที  พีก็กลับมาคุยกับผม

“มึง พี่ปริ๊นซ์เจอแล้ว  ทัพอยู่ตราด  กลับบ้านน่ะ  กูอยากรู้ชิบหายว่าเกิดอะไรขึ้น”

“กูจะไปตราด”

“เห้ย ใจเย็น  มึงไม่ทำงานเหรอ”

“กูไม่สน”

“แล้วมึงจะไปตามหามันที่ไหน  ไหนตอบกูสิ  จะดุ่ม ๆ ไปหาเหรอ  ตราดนะเว้ย  ทั้งจังหวัดเลยนะเว้ย  ไม่ใช่แค่หาคนในสวนจตุจักร  ต่อให้เป็นสวนจตุจักรก็ใช่จะหาเจอนะเว้ย”

“กูมีวิธีของกูแล้วกัน”

ผมขอเบอร์พี่ปริ๊นซ์จากพี  รีดข้อมูลทุกอย่างมา  ช่วงแรกปริ๊นซ์ก็ไม่ยอมเล่าสิ่งที่เกิด  แต่พอผมขู่และยกเรื่องความปลอดภัยของทัพขึ้นมา  มันก็คายเรื่องราวทั้งหมดออกมา  ผมอยากจะวาร์ปไปกรุงเทพแล้วต่อยหน้ามันซะที  ฐานที่ทำร้ายทัพ  พรากความบริสุทธิ์  แล้วยังให้ทัพมาเจอเรื่องอะไรแย่ ๆ แบบนี้   

ผมได้เบอร์บอส  เพื่อนสนิทของทัพที่ตราดมา  หลังจากโทรแนะนำตัวและถามไถ่อาการของทัพเรียบร้อย

“คุณตาม ผมก็บอกไม่ได้  เพราะทัพปิดเครื่อง  มันบอกว่าถ้าได้โรงแรมจะโทรบอก”

“ผมรบกวนบอกที่อยู่ทัพทันทีที่ทราบได้มั้ยครับ”

บอสรับปากผมเป็นมั่นเหมาะ   จากนั้นผมจัดการลางานอย่างเร่งด่วน   ด้วยเหตุผลว่ามีธุระส่วนตัว  โดยผมเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับหยก   

ผมทำเรื่องลาไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ มันยากมากสำหรับหมอใหม่อย่างผม  เดชะบุญผลจากการเข้าเวรดึกแทนเพื่อนร่วมงานคนอื่น  ทำให้ผมได้สิทธิพิเศษลาพักร้อนแบบที่หมอใหม่หลายคนต้องอิจฉา

ดังที่คนโบราณกล่าวไว้   ความลับไม่มีในโลก    เช้าวันที่ผมกำลังขับรถไปตราด  หยกที่พักอยู่บ้านข้าง ๆ ก็เดินเข้ามาหาผม

“ตามจะไปไหนคะ”

“ธุระส่วนตัวครับ”

ผมโยนกระเป๋าไว้หลังรถ  ปิดกระแทกกระโปรงหลังด้วยความเร่งรีบ

“ตามจะไปหาผู้หญิงคนอื่นใช่มั้ย”

เธอกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น

“เปล่า”

“ตามโกหก”

แล้วเธอก็ระเบิดอารมณ์ใส่ผม   มือถือเครื่องใหญ่ลอยกระทบตัวผมที่ได้ยืนนิ่งอย่างไม่แยแส  ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว  แค่ที่ผ่านมาผมก็ทำเพื่อเธอมามากพอแล้ว

“หยกท้อง”

ผมที่กำลังแทรกตัวเข้าไปในรถก็สะดุดค้างกับที่

“อย่ามาโกหก  ผมเห็นคุณซื้อผ้าอนามัยเมื่อวาน”

ยังดีที่ผมมีสติมากพอ  คนเราแค่ฉลาดไม่ได้  แต่ต้องเฉลียวด้วย   เป็นคำสอนที่ม้าผมสอนเสมอ

หยกกลายเป็นภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุอีกครั้ง  เธอก้มหน้า  กำมือทั้งสองข้างแน่น   ผมฉวยโอกาสนี้กระโดดขึ้นรถ   ขับหนีออกไป   ไม่นานหลังจากนั้น  ไลน์ข้อความจากหยกก็กระหน่ำส่งมาให้ผม

หยกจะแฉทุกอย่าง ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

ตามเคยข่มขืนหยก

หยกมีหลักฐาน

คลิป

นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

หยกติดตั้งกล้องมานานแล้ว  อยากดูอีกมั้ย



แก้วกาแฟในมือของผมถูกบีบจนล้นทะลัก   การกำหนดลมหายใจในวิชาพระพุทธศาสนามีประโยชน์ขึ้นในทันที   ผมน้ำแก้วกาแฟไปทิ้ง  ล้างมือจนสะอาด   พาตัวเองมานั่งบนรถที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน  ที่อยู่สักอำเภอหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี 

ผมเปิดคลิปดูด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

ภาพเหตุการณ์ที่ผมข่มขืนหยกคืนแรก ในบ้านของเธอ  ปรากฏต่อหน้าผม  แล้วอีกคลิปก็ถูกส่งมาในเวลาไม่นาน  เป็นคลิปการมีเพศสัมพันธ์ของผมกับหยกในบ้านพักของผมเอง

นั่นหมายความว่า หยกตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ทั้งภายในห้องของตัวเองและภายในห้องของผม

ผมโทรกลับหาเธอในทันที

“คุณต้องงการอะไร”

น้ำเสียงผมยังนิ่งเรียบ   

“ตาม  หยกต้องการตาม”

“ไม่มีวันนั้นหรอก”

“หยกจะฆ่าตัวตาย”

“เชิญเลย  ถ้าคุณคิดว่า ชีวิตคุณมีค่าแค่นั้น”

ผมพยายามประคองเสียงให้นิ่งที่สุด  แม้ปีศาจในใจจะกรีดร้องให้ใช้คำหยาบด่ากราด

“หยกจะทำจริง ๆ กูจะฆ่าตัวตาย”

“เอาสิ”

ผมพยายามสงบสติอารมณ์   เสียงร้องไห้ของหยกดังอย่างโหยหวน  กระตุ้นต่อมสงสารของผมอีกครั้ง

“หยก ใจเย็น ๆ ก่อนนะ”

ไม่มีเสียงตอบ  มีแต่เสียงร่ำไห้แสนทรมานของเธอ

“ได้   ผมขอสัปดาห์หนึ่ง  หลังจากนี้ไป  ผมจะเป็นของคุณตลอดไป  ผมขอหนึ่งสัปดาห์นะ  เข้าใจผมด้วย”


-------------------------------------------------------------


ในที่สุด ตั๋วเรือเกาะกูดก็อยู่ในมือ  นักท่องหลากหลายเชื้อชาติกำลังขนสัมภาระของตนทยอยลงเรือไป   ผมเอาตัวส่วนล่างพาดพิงกระโปรงรถหน้า    มองไปที่เรือด้วยความกังวล

“หวังว่ามึงคงไม่โง่ลงน้ำเหมือนตอนนั้นนะ   กูอยู่ช่วยมึงไม่ได้นะทัพ”

ทริปสงขลาที่ทัพจมน้ำยังเป็นภาพติดตาผม

“เอาวะ เกาะกูด”

-------------------------------------------------------------



จบบทที่ 19
เป็นบทที่เขียนยากที่สุดในทุกบทที่ผมเขียนมาเลยครับ
ทั้งการเรียบเรียงภาษาก็ค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่อย่างผม

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โอ้โฮ้! แต่ละคน ซักไม่แน่ใจแล้วว่าจะยกให้ตามทำไมพระเอกเรื่องนี้หายากจังถ้าเจอแต่แบบนี้ให้ทัพอยู่คนเดียวดีกว่า :hao7:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อึดอัดแทน ตามจะจัดการเรื่องหยกยังไง  :serius2:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 20
วิ่งไล่จับ



“เป็นธรรมดาที่เราคาดหวังความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต”  อาจารย์เดินลุกจากโต๊ะหน้าห้องไปปิดโปรเจคเตอร์ที่เพิ่งฉายหนังธรรมดาเรื่องหนึ่งของเกาหลี  “แต่นิสิตจะเห็นได้จากในหนังว่า  ความเป็นจริงนั้น  ชีวิตไม่ได้มีเพียงสีขาว หรือ สีดำ  ล้วน ๆ ในแบบที่เราคาดหวัง”

ผมคิดตามสิ่งที่อาจารย์พูด  ก้มจดสรุปลงกระดาษแผ่นน้อยสำหรับสรุปหนังเรื่องที่ดูในแต่ละคาบ

“รูปแบบที่น่าระอายิ่งของวงการภาพยนตร์และละครไทย ก็คือ  พระเอกและนางเอก เป็นคนดี ขาวผ่อง บริสุทธิ์ ใสซื่อ  ราวกับจุติจากสรวงสวรรค์   ในขณะที่เหล่าผู้ร้าย นางอิจฉา  ล้วนแล้วแต่เจ้าคิดเจ้าแค้น  วางแผนการสารพัด อาจจะเพื่อแย่งสมบัติ  แย่งชิงพระเอกหรือนางเอก  หรือบ้างครั้ง....” 

ทุกอย่างเงียบกึกกะทันหัน  ราวกับอาจารย์กะจังหวะก่อนที่เรื่องราวจะตื่นเต้น ให้เราได้พักหายใจ

“ก็ไม่มีเหตุผลเสียเลยที่เขาเป็นตัวร้าย  เหยียบเท้ากันในผับหรืองานวัด ก็อาจนำไปสู่การเกลียดชังยาวนานจนจบเรื่อง”
ทั้งห้องขำขึ้นมาพร้อมกัน  มันเป็นหนังเรื่องที่เราเพิ่งดูไปสัปดาห์ก่อน  เป็นภาพยนตร์ทางฝั่งเอเชียที่ตัวเอกเผลอเหยียบเท้าตัวร้ายในงานเลี้ยง  แล้วก็ฟาดฟันกันจนจบเรื่อง

“จนบางครั้งเราต้องกลับมาถามตัวเองนะคะ  ว่าตัวเราเองสามารถเป็นสีขาวสะอาดขนาดนั้นได้หรือไม่  หรือคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า เขาเป็นสีดำสนิท ที่ไร้จุดขาวเจือปนหรือเปล่า”

เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าเนื้อหาที่อาจารย์พูดลึกซึ้งมากมายเกินกว่าจะเพียงก้มลงจดลงในกระดาษ

“บางครั้งชีวิตเราก็เป็นสีเทาที่ไล่โทนกันไป  ไม่มีใครขาวและดำ  ทุกคนมัว ๆ ในมุมมองของตน  บางเรื่องขาว บางเรื่องดำ  โดยรวมคือเทา”

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะอาจารย์  ว่าเทาของเรามันดีหรือไม่ดี”

เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งยกมือถามอาจารย์  มีเสียงโหวกเหวกถกเถียงประเด็นที่เธอยกมานานพอสมควร

“คำถามดีมากค่ะ  งั้นครูขอถามกลับ  สีโปรดของพวกคุณคือสีอะไร”

ทุกคนนิ่งเงียบ  อาจารย์เริ่มไล่ชี้ถามทีละคน ๆ

“ครูก็ชอบสีเขียวค่ะ  แล้วหนูล่ะ”

“หนูชอบแดงค่ะ”

“ครูก็ชอบแดงเช่นกัน  แล้วเธอคนนั้นล่ะ”

อาจารย์ชี้มาที่ผม

“เออ ผมชอบเยอะเลยอะครับ  เขียวผมก็ชอบ สบายตาดี  แต่บางครั้งดำก็ดูสงบ  จริง ๆ ผมก็ชอบสีเหลืองนะฮะ”

“เธอลังเลหรือหลายใจกันแน่จ๊ะ”

การกระเซ้าของอาจารย์เรียกเสียงหัวเราะจากคนได้ทั้งห้อง  รวมถึงตัวผมเองด้วย

“ประเด็นก็คือ  คนเราชอบสีต่างกัน  ตัวอย่างเช่นเพื่อน”  มือเรียวสวยของอาจารย์ผายมาทางผม  “ก็ยังชอบสีหลากหลายแล้วแต่โอกาส  นิสิตเช่นกันค่ะ  จะมองว่าเฉดสีเทานี้เข้มมาก เข้มน้อย  หรือถึงเข้มดำ  ก็แล้วแต่มุมมองของนิสิตเลย   พื้นฐานการเลี้ยงดู  ประสบการณ์ที่เจอ  สถานการณ์ต่าง ๆ  หรือ ในกรณีที่เรากำลังพิจารณาคุณงามความดีของคน  หรือ ความชอบไม่ชอบใจ  ก็อาจขึ้นกับทัศนคติเราที่มีต่อบุคคลนั้น”

ทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้ง

“ดังนั้น ครูขอโทษที่ไม่สามารถตอบคำถามเรื่องดังกล่าวได้”

นิสิตหญิงผงกหัวรับคำขอโทษจากอาจารย์อย่างเกรงใจ

“ในคาบนี้  ครูแค่หวังให้นิสิตออกไปเจอโลกอย่างที่เป็นจริง  มันหมดยุคแล้วค่ะ  ที่จะบอกว่าใครผิดหรือถูก  ใครดีหรือเลว  สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี  ในบางครั้งเราอาจพยายามหาผู้กระทำผิด  และฝ่ายที่ถูกกระทำ   แท้จริงแล้วในสังคม  เราทุกคนต่างกระทำและถูกกระทำในเวลาพร้อมกันเสมอ”

ราวกับคนทั้งห้องหลุดไปในถ้อยคำของอาจารย์   เรานิ่งเงียบ แล้วสะดุ้งอีกครั้งเมื่ออาจารย์เอ่ยปากหมดคาบเรียน

“โอเคค่ะ  เมื่อจดสรุปเสร็จแล้ว  วางลงในบ็อกซ์หน้าห้อง  ก็เลิกคลาสได้”

ข้อสรุปสารพัดของผมกำลังถูกเขียนลงกระดาษแผ่นน้อยในวิชา มองชีวิตพินิจผ่านฟิล์ม    เพื่อนร่วมชั้นบางส่วนที่เขียนสรุปเสร็จแล้วเริ่มทยอยลุกขึ้น  บ้างชักชวนไปกินข้าวเที่ยง  บ้างก็กล่าวชื่นชมภาพยนตร์เรื่องที่อาจารย์นำมาให้ชม

สำหรับผม   ความรู้สึกในใจตอนนี้ยังทั้งทึ่งและทั้งอัศจรรย์ใจในความสามารถของอาจารย์  รู้สึกคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เชื่อตาม แล้วลงเรียนวิชาเลือกตัวนี้    เสียดายแทนมีนและพีที่ไม่โชคดีเหมือนผมเพราะมันสองคนลงวิชานี้กี่ทีก็เด้งทุกรอบ


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


ครั้งแรกที่ได้ดูหนังโป๊ คือ ตอนผมอยู่ ม. 4

ยังจำรายละเอียดทุกอย่างของวันนั้นได้อย่างดี  ผมไปทำรายงานวิชาภาษาอังกฤษที่บ้านบอส  แล้วมันก็เกิดคะนองเอาซีดีไร้ชื่อมาเปิด

คลิปที่มันเปิดเป็นหนังโป๊ชายหญิงทั่วไป  ครั้งแรกผมช็อค  จนมันปิดหนังดังกล่าวไปแล้ว   และเริ่มเปิดหนังชายรักชายแทน   ผมก็ยังคงนิ่งช็อคอยู่ตรงนั้น

จากประสบการณ์ในอดีตที่ผมเคยเป็นพยานในเหตุการณ์การข่มขืนกระทำชำเราระหว่างบุพการีทั้งสอง  ยังส่งผลให้ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้  แม้ผมจะรับได้กับการเล่นคะนองลามกแบบที่นักเรียนชายทั่วไปกระทำในวัยมัธยม    ทว่าถ้าไปไกลลึกถึงใต้สะดือ  แถมมีภาพเคลื่อนไหว เสียงเซอราวด์  ระดับไฮเดฟประกอบแบบที่ผมเจอมา  ผมรับไม่ได้จริง ๆ

นั่นจึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ดูหนังโป๊  และก็เป็นครั้งสุดท้าย  เพราะผมจิตตก  ตัวสั่นด้วยความกลัว  ผมอาเจียนทั้งคืน  และมองบอสด้วยความขยะแขยง 

ผ่านไปหลายวัน  อาการผมก็ดีขึ้นแต่ เราสองคนก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กันอีกเลย

สิ่งเดียวที่ผมยังใคร่ครวญหาคำตอบไม่ได้ก็คือ  บอสไปหาหนังชายรักชายมาจากไหน?

อาการพวกนี้ห่างหายไปนาน  แล้วหวนกลับมาอีกครั้งในคืนวันเกิดของผม  ที่ทุกคนก็น่าจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่สะสมมา ทำให้จินตนาการของผมโลดแล่นขึ้น  ประกอบกับประสบการณ์ตรงที่เพิ่งเกิดมาสด ๆ ร้อน ๆ จึงทำให้เรื่องเล่าจากปากของตามช่างเด่นชัดกระจ่างในหัวผมเสียเหลือเกิน

ผมอยากสำรอกอาหารทุกอย่างออกมาจากท้อง  ปัญหาที่ผมเจอดูเลวร้ายน้อยลงไปทันตา 

เมื่อฟังเรื่องราวจากตามจบ   คำถามแรกที่แล่นในหัวผมคือ  ผมควรพูดอะไรกับมันดี   ความฉงนปนพะอืดพะอมลุกลามเหมือนเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง  ผมรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที   แล้วความรู้สึกคลื่นไส้ทั้งหมดก็มลายหายไป ทดแทนด้วยความรู้สึกโกรธ  โกรธที่มันไม่เล่าให้ผมฟัง  ไม่เล่าให้พี  ให้มีน  ให้ใครก็ได้ในโลกนี้ฟัง  โกรธที่มันปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดไปได้ขนาดนี้   ทั้งที่ถ้ามันเลือกปรึกษาใครสักคน  หนทางแก้ไขปัญหาย่อมมีคู่กันเสมอ

ผมกำมือแน่นด้วยความโกรธ  กลายเป็นความรู้สึกเกลียด   เกลียดที่มันข่มขืนผู้หญิงคนนั้น   เกลียดที่มันทำเรื่องผิดศีลธรรมน่าละลาย

ภาพเราตอนที่ยังเป็นนิสิตปี 1   ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ   ลอยเวียนในหัวของผม   ตามที่เคยสดใส  ชอบกวนผม  และกัดผมได้ทุกโอกาส   มันมักจะเล่นมุกตลกฝืดกับพีเสมอ   ชอบแกล้งผมกับมีน   ทั้งยังหว่านเสน่ห์ให้ผู้หญิงทุกคนรอบตัว     บ้าถ่ายรูป    เคยบ่นให้ผมฟังว่าถ้าเลือกชีวิตใหม่ได้  ตามบอกว่า  อยากเรียนนิเทศศาสตร์  อยากเป็นช่างถ่ายภาพ    ความสดใสไร้เดียงสาของตามหายไปจากความทรงจำของผมเกือบหมดสิ้น

คำพูดหายไปไม่นานหลังจากนั้น  คำพูดของอาจารย์นิเทศฯ หวนกลับมาให้ผมตระหนัก

“มันหมดยุคแล้วค่ะ  ที่จะบอกว่าใครผิดหรือถูก  ใครดีหรือเลว  สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี  ในบางครั้งเราอาจพยายามหาผู้กระทำผิด  และฝ่ายที่ถูกกระทำ   แท้จริงแล้วในสังคม  เราทุกคนต่างกระทำและถูกกระทำในเวลาพร้อมกันเสมอ”

ผมคลายกำปั้นที่กำแน่น   มองไปทางเพื่อนรักของผม  ที่ยังยิ้มแย้มราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น  มันยังเล่าเรื่องราวการเดินทางมาจังหวัดตราดอย่างสบายใจ     ถ้าดูผ่าน ๆ ก็แทบไม่เห็นความเศร้าโศกหรือสับสนในดวงตามันเลย 

ความสงสารครอบงำจิตใจผมจนหมดสิ้น    ผมทั้งสงสารตาม  และ ผมก็รู้สึกเกลียดตาม พอกับทีผมเกลียดหยก 
ผมอยากจะหาใครสักคนหนึ่งเป็นคนผิด  แล้วด่ามัน  เกลียดมัน  ใส่ทุกอย่างที่เลวร้าย    ผรุสวาททุกอย่างไปที่สิ่งนั้นหรือคนนั้น
ยิ่งผมพินิจใจตัวเองมากเท่าไหร่

คนที่ผิดที่สุดก็คือผม  ผมเองนี่แหละ

“พอบอสบอกที่อยู่มึง กูก็ติดต่อพีกับมีนทันที” มันยิ้มโชว์ฟันเรียงขาวสวยให้ผม  “กูตกใจแทบตาย  ตอนมาถึงรีสอร์ทแล้วตามีบอกว่า  มึงไปดำน้ำดูปะการัง   กูแทบจะบีบคอตามึงแล้วตอนนั้น   พอกูตามไปเห็นมึงจมดิ่งในน้ำ  ใจกูนี่วูบเลยนะ”

“.................”

“ทำไมสีหน้าดูไม่ดี”

“มึง...”

“เรื่องนั้นนะเหรอ  กูก็มาพักร้อนแบบมึงนี่แหละ  ฮะฮ่า  ดีเสียอีก  โคตรเหนื่อยเลย  ประสาทเสียชิบหาย  คืนนึงไม่รู้กี่รอบ ๆ”
“ตาม”

เรากำลังเดินเล่นอยู่บนชายหาด   แสงจันทร์สาดสวย ไม่ได้ช่วยให้ความทรมานดำมืดในใจผมที่มีให้แก่ตามหมดสิ้นไปได้

“หมดไปหลายน้ำเลย  แต่หุ่นเขาดีนะ  พีเห็นต้องอิจฉา”

“ตาม”

เสียงผมเริ่มโหนแหลมขึ้นเรื่อย ๆ

“กูรู้ว่ากูผิดที่ข่มขืนเขา   กูไม่เคยรู้สึกดีนะมึง”  มันเอามือลูบหัวผม  “เดี๋ยวกลับไป  ก็คงไปหาทางแก้ปัญหาแหละ  กูว่าเขาต้องไปหาจิตแพทย์จริงจัง   กูจะพาไปหาพี่สายรหัสกูที่ทำงานอยู่”

“ตาม”

ผมตะโกนดังลั่นใส่หน้ามัน  มือกำด้วยความแค้น

“ใจเย็นดิพี่  หูแตกหมด  กูได้ยินแล้ว”

“ไอ้เหี้ย  ทำไมมึงไม่บอกพวกกู”

“ฮะฮ่า”  มันขำราวกับไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้น  “พวกมึงมีเรื่องให้คิด ให้เครียดมากพอแล้ว” 

มันเป็นแบบนี้เสมอ  แบกความรู้สึกไว้กับตัวเอง  ตั้งแต่ตอนเด็ก  ที่แบกเรื่องพ่อมันเอาไว้   พอโตมาก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง   แบกรับภาระทุก ๆ เรื่อง  รวมทั้งเรื่องผม

“เห้ย  อย่าร้องไห้สิ  กูขอโทษ  ยกโทษให้กูดิ”

มันจับไหล่ผม  เขย่าหลายที   น้ำตาผมก็ยังไหลอยู่อย่างนั้น  มันกอดผม  ลูบหัวผม  ผมก็ยังร้องไห้  มือสองข้างของผมตกลู่ไปกับลำตัว  ไม่มีแม้เสี้ยวเดียวของเรี่ยวแรงที่จะยกกลับไปกอดปลอบใจมัน  ควรเป็นผมสิที่ต้องปลอบใจมัน

“เอานะ มันจะดีเอง”

คำพูดที่ควรออกจากปากของผม

“เราต้องแก้ปัญหาได้สิ”

นั้นก็คือสิ่งที่ผมควรพูด

“ทุกปัญหามีทางออก  ไม่ต้องเครียดไป”

นั้นก็เช่นกัน

“เห้ย  วิวสวย  เอากล้องมาดิ”

มันยื่นมาขอมือถือจากผม  ผมที่ยังมีน้ำตารื้นอยู่ตรงหัวตามองกลับด้วยความงง

“ของกูชาร์จไว้ในห้องไง  จำได้เปล่า  กูลืมเอาพาวเวอร์แบงค์มา”

มือถือของผมถูกยัดใส่มือตาม   มันเริ่มกำกับท่าของผม  ให้ยกมือ  เหยียดขา 

“หนึ่ง สอง สาม”

รูปแรกผ่านไป  และมีอีกหลายรูป

“มึงออกจากภาพแปบสิ   วิวสวย”

ผมเดินเลี่ยงออก แล้วก็วิ่งกลับเข้าไปอีกครั้งในจอภาพมือถือ

“เห้ย”

ภาพผมที่น้ำตารื้นไหลเป็นสายอีกครั้งเรียกเสียงตกใจจากตาม   มันยกมือถือลง  ในขณะที่ผมวิ่งชาร์จเข้าหามัน

ผมอยากช่วยตามให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้  ทางใดก็ได้ที่ผมจะช่วยเพื่อนคนนี้ได้  ผมทำหมด  แล้วความโง่ของผมก็ทำให้ผมทำสิ่งที่ไม่คิดมาก่อนในชีวิต

มือสองข้างของผมประคองศีรษะของตามอย่างว่องไว  ผมจูบปากมันถัดจากนั้นไม่นาน  ลิ้นของผมพยายามสอดแทรกเข้าในปากของมัน  ตามดูตกใจเล็กน้อย  และไม่เปิดปากในทีแรก  แต่เพียงชั่วอึดใจ  มันก็ตามเกมส์อย่างรวดเร็วและกลายเป็นผมที่กำลังสู้รบกับลิ้นอันลุกไล้ของมันที่ระรัวคับแน่นในปากของผม

มือผมลูบสะเปะสะปะ ล้วงเข้าไปในเสื้อของตาม  ไล้เลื่อนผ่านกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ของมันทางด้านหลัง  โดยที่ปากเราสองคนยังไม่หลุดออกจากกัน

มือของมันก็เช่นกัน คว้าจับทุกอย่างจนเสื้อของผมถูกเลิกยับเละเทะ

เราถอนปากออกจากกัน ดูดฉวยออกซิเจนเข้าไปในปอด  แล้วเริ่มบรรเลงเพลงจูบกันอีกครั้ง  ผมกำลังถูกรุกไล้ และถูกพามายังเตียงนอนริมทะเล  ตามค่อย ๆ ประคองผมลงไปบนเตียงช้า ๆ เรามองหน้ากันเนิ่นนาน 

“ไปที่ห้องมั้ย”

ผมพูดออกไป

ตามพยักหน้า  แล้วมันก็กระชากผมลุกขึ้นยืน  เราสองคนแจ่นไปถึงห้องด้วยความไวแสง  ผมเอากุญแจไขเปิดได้ไม่นานก็ถูกผลักเข้าห้อง  แล้วเราก็จูบกันอีกครั้ง   ประตูถูกแรงเหวี่ยงจากเท้าของมันปิด  ตอนนี้เสื้อของเราสองคนกองอยู่ตรงปลายเตียงแล้ว

ตามระดมจูบดูดหนักบริเวณคอ  ผมร้องครางออกมาด้วยความรู้สึกดี 

ไม่ช้านาน  ภาพพี่ปริ๊นซ์ก็ปรากฏขึ้น   ตามด้วยภาพเหตุการณ์ในวัยเด็ก

เสียงของผมเงียบลงกะทันหัน   มีเพียงเสียงหอบของตามที่แผ่วเบา   ความกลับกำลังปกคลุมเราสองคนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“มึง”  เสียงแทรกผ่านลมหายใจ “มึงกลัวใช่มั้ย”

ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด

“กูก็กลัว”

ภาพหลอนกลับมาทำร้ายผมอีกครั้ง

“ขอบคุณนะทัพ  แต่อย่าทำแบบนี้เลย   มันไม่สามารถลบภาพอดีตลงได้หรอก  มึงก็เช่นกัน”

มันยังซุกหน้าอยู่ตรงซอกคอของผม  น้ำร้อน ๆ หยดแปะลง  เสียงมันครางสั่น  กลายเป็นเสียงร้องไห้ที่ชัดขึ้น  ผมไม่มีคำพูดใดเอื่อนเอ่ยออกไปอีก   สติของผมก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมไปกว่ามันเท่าใดนัก   

เราทั้งสองต่างก็มีบาดแผล

แผลที่ลึกเกินกว่าจะสมานหาย

สิ่งเดียวที่ยังพอกระทำได้คือ  ลูบหัวมันช้า ๆ  กอดมันไว้แน่น ๆ  ปล่อยให้มันร้องไห้อยู่แทบอกผม  แล้วเราสองคนก็หลับไปในท่านั้น


-------------------------------------------------------------


แสงแดดลอดผ่านม่านห้องเสียดตาผม  และสิ่งนั้นคือนาฬิกาปลุกตามธรรมชาติที่ดีที่สุด    ผมงัวเงียลุกจากเตียงพร้อมอาการปวดหัว    ตามตื่นก่อนผม  มันยืมยิ้มพร้อมเอาผ้าเช็ดผม  แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกไปกินข้าว

“เอ้า”  มันโยนผ้าเช็ดตัวอีกผืนใส่ผม  “อาบซะ  วันนี้กูกะจะไปเดินป่า  ตามีบอกว่า  ที่นี่ยังธรรมชาติเยอะ เร็วมึง อาบน้ำ”

ผมไม่รู้จะพูดคำใด  การเปลือยท่อนบนของผมเป็นหลักฐานชี้ว่าเรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นจริง   

ราวกับตามเพียงต้องการให้ปล่อยผ่านเรื่องดังกล่าวทั้งหมดไป   ผมก็เช่นกัน

“อืม แปบนะมึง  ตื่นเช้าเชียวไอ้หมอยุงลาย”

ผมเดินเข้าห้องน้ำ  ได้ยินเสียงหัวเราะไล่ตามหลังมา  มองผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงหน้ากระจก  สำรวจร่างกายโดยรอบไม่พบรอยแดงช้ำอะไรเพิ่มเติม ยกเว้นของเก่าเมื่อหลายวันก่อนที่ยังเหลือรอยแดงจางทิ้งไว้เป็นที่ระลึก  ผมล้างหน้าล้างตาปลุกสติ  สูดหายใจเข้าลึก ๆ จินตนาการถึงวันธรรมดาที่แสนสุข  ได้ไปเที่ยวกับรูมเมตสมัยปริญญาตรี ก็เท่านั้น 

ใช่ วันนี้ก็มีแค่นี้

-------------------------------------------------------------


“กูไม่ไปได้มั้ย”

ปากเบ้  หน้าหยีด้วยความไม่พอใจ ดูไปแล้วเหมือนเต้าหู้ยี้ใกล้เน่า  ไม่มีส่วนใดบนเครื่องหน้ามันที่ทำให้รู้สึกสิเน่หา   ยิ่งเหลือบเห็นหัวคิ้วที่ขมวดปมยิ่งกระตุ้นบาทาให้ขยับประเคนใส่หน้ามันเสียที

“ทำมายยยอะ”

มุกงอแงตามเคย

“ไม่ทำไม  กูจะช่วยตากูทำสวน  คนสวนขาด”

“งั้นกูไปช่วยด้วย”

ตาเป็นประกายฉายวับบนใบหน้าของมัน

พระเจ้า  อย่างนี้สินะที่เรียกว่า ขว้างงูไม่พ้นคอ  เมื่อคืนยังพูดเป็นนัยอยู่เลยว่าจะเลิกตามจีบผมแล้ว  พอเช้าก็กลับไปเป็นแบบเดิม  อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ  เมื่อคืนที่พูดก็คงแค่อารมณ์พาไปสินะ  ไอ้หมอยุงลาย  ไอ้เจ้าเล่ห์มารยามากกว่าอิสตรี  จะเชื่อถืออะไรมึงได้บ้างวะ  เรื่องที่เล่าเมื่อคืนจริงมั้ยก็ไม่รู้

////////////////////////////

“อะไรนะตา มีคนสวนมาใหม่”

แขกเหรื่อในห้องอาหารหันมามองผมที่กำลังตะโกนถามกลับผู้เป็นตาดังลั่น  ถ้าบอกว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น  ผมก็มั่นใจว่าหลายคนก็เชื่อ

“ใช่ มันมาวันนี้วันแรก  ไอ้พวกหนุ่ม ๆ อย่างแกไปเที่ยวเหอะ ไป๊” มือของตามีโบกสะบัดไปทางตามอย่างเห็นได้ชัด “พาเพื่อนไปเที่ยวบ้าง  เขาอุตส่าห์มาบ้านเราเลยนะทัพเอ้ย”

“ตาอะ ผมอยากทำนะ”

เสียงกลั้นขำในลำคอดังมาก  ผมมองค้อนปะหลับปะเหลือกใส่มันอย่างไม่ปิดบัง  ถ้ามึงจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้น  สู้มึงขำออกมาเลยเหอะไอ้หมอยุงลาย  ไอ้เลวเอ้ย

“สรุปว่า ไม่ต้องทำ  ไม่ต้องดื้อ   เก้าโมงมาเอากุญแจรถมอไซค์ที่ตานะ  เอาไปขี่รอบ ๆ เกาะ”

ตาพูดทิ้งทาย  ก่อนเดินจากไป  ไม่วายตะโกนมาย้ำว่า

“เดี๋ยวตาเอารถไปซื้อของก่อน  ห้ามไปทำสวนนะ”

“ครับ”

ผมตอบแผ่ว ๆ เหล่มองเพื่อนที่ยืนขำอย่างไม่เก็บกิริยา

“ได้เที่ยวแล้วสินะ”

“เออ พอใจยังล่ะ”

“เหี้ย เจ็บ”

ผมเหยียบเท้ามันหนึ่งที  แล้วเดินสะบัดตูดไปที่ไลน์อาหารบุฟเฟต์  จ้วงต้มยำกุ้งมาหนึ่งถ้วย  แล้วก็เดินไปขอพริกสดจากในครัวมาใส่เพิ่มอีก  ไอ้ตามมึงต้องตาย

“ต้มยำกุ้งน่ากินจังวะ แต่...”  เสียงลังเลลอยมา  “ทำไมพริกเยอะแบบนี้วะ”

ผมยิ้มพิมพ์ใจ  พยายามทำตัวให้ใสซื่อ ไม่แฝงยาพิษมากที่สุด

“เป็นสูตรเด็ดเฉพาะที่จังหวัดตราด  ที่อื่นหากินไม่ได้นะ”

สูตรเด็ดกับผีอะไรเล่า  ต้มยำกุ้งก็คล้ายกันทั้งประเทศนี้แหละ

ตามมันโง่ครับ  กำลังหยิบช้อนขึ้นมาแล้ว  แล้วตอนนี้มันก็จ้วงน้ำต้มยำแล้ว

ติดกับกูละ ผมมองเหมือนลุ้นผลสลากกินแบ่งรัฐบาลในโทรทัศน์  เหงื่อผมไหล่ด้วยความตื่นเต้น    พริกลอยฟ่องตามการจ้วงตักของมัน  มันส่งเสียงตกใจเล็กน้อย  ช้อนที่บรรจุน้ำต้มยำและเม็ดพริกเคลื่อนเข้าใกล้ปากมันแล้ว  ผมลุ้น  ผมกำลังลุ้น

“เผ็ด”

สะใจวะ  ไอ้ลูกจีนเอ้ย  หน้าหูเริ่มแดง  น้ำหูน้ำตามันเริ่มไหล  ผมยื่นทิชชูให้มันด้วยความสงสารและสะใจปนเปกัน

“แต่เด็ดนะ”  มันพูดพลางจ้วงอีกคำ  “จริง ๆ เนี่ย ก็ตั้งใจจะเลิกกินเผ็ดแล้ว  แต่โดนขโมยจูบเมื่อคืน  เลิกไม่ลงเลย  ติดใจ   สงสัยต้องพยายามต่อ”

แล้วมันก็ส่งตาเป็นประกายมาให้ผม  แล้วขยิบตาข้างขวาที่ดูละมุนมาก  (ถ้าผมเป็นผู้หญิงก็คงเผลอกรี๊ดไปแล้วแหละ)  สุดท้าย  หมองูตายเพราะงูแท้ ๆ เลยกู

ผมเหยียบเท้ามันอีกที

“โอ๊ย”

“สมควรตาย”

เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของมันดังลั่น  ก่อนยื่นหน้าเข้าใกล้ผม

“ตอนเป็นรูมเมตกันไม่ดุเท่านี้นะ   หรือว่าแตกเนื้อสาว”

“กูขอเอาเท้าวัดหน้ามึงหน่อยได้มั้ย”

“เราจะไปไหนดีวะมึง”

เปลี่ยนเรื่องกระทะหันแบบนี้  คงไม่กล้าสินะ 

“ก็ขี่รถไปรอบ ๆ เกาะมั้ยละ  ไปน้ำตกคลองเจ้าด้วย  แต่หน้านี้อาจแล้งน้ำหน่อยนะ  ไปเป็นพิธีมึง”

“ไม่ไปพวกหาดอะไรพวกนี้เหรอ”

“ก็ไปไง ก็ทางผ่านอยู่แล้วปะวะ มึงนี่”

“ครับพ่อ”

“ดีมากลูก”

ผมยื่นมือไปแปะหัวมัน ตบทีสองที  แล้วก็รู้สึกว่ากูพลาดอีกแล้ว  เมื่อได้ยินคำพูดมันที่ว่า

“ถ้าเห็นกูเป็นหมาแบบนี้ กูขอเลียหน้าสักทีได้มั้ย”

“โรคจิต”

“โบร๊วว”

มันส่งเสียงหอนแบบหมาออกมา

“เออ เหมือนวะ ฮะฮ่า” 

ผมขำออกมา  รู้สึกผ่อนคลายครั้งแรกในรอบหลายวัน


-------------------------------------------------------------


(ต่อด้านล่างครับผม)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 20
วิ่งไล่จับ

(ต่อจากด้านบนครับ)

“จอดรถไว้ที่นี่แหละ  ตากูบอกมา  แล้วก็เดินเท้าต่ออีกโลกว่าก็จะถึงน้ำตกคลองเจ้า”

ผมจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงบริเวณที่เขาจัดให้ 

“โหย เดินป่าสมใจกูเลย”

“กันดารหน่อยนะมึง  แต่อีกหน่อยเขาก็จะทำทางอะไรดีกว่านี้แล้ว  กำลังทำเรื่องงบอยู่”

“ทำไมมึงรู้ดีวะ”

“แม่กูทำงานที่ศาลากลางจังหวัดปะวะ”

“เออเนาะ  คุณแม่ทำงานที่นั้น”

“น้อย ๆ หน่อย นั่นแม่กู” 

ผมเอาศอกถองมันเล็กน้อย

“แม่มึงก็แม่กูไง”

ส่งตาเป็นประกายแข่งกับแสงระยิบระยับที่สะท้อนใบไม้ใบหญ้าไม่ถึงวินาที มันก็วิ่งเข้าปา แล้วหันมาตะโกนบอกผมว่า

“ถ้าใครไปถึงน้ำตกหลังสุด  ต้องยอมทำตามคนที่ถึงก่อนนะ”

แล้วมันก็วิ่งปรู๊ดนำหน้าไป

“เฮ้ย ไอ้ขี้โกง”

ผมวิ่งตามหลังไปติด ๆ   แบกเสื่อมาด้วยหนึ่งม้วน  พร้อมกะตะกร้าปิกนิกที่ตาจัดไว้ให้   รู้สึกเสียเปรียบมากที่ต้องวิ่งแข่งกับมันที่ตัวเปล่าวิ่งปลิวไปถึงไหนแล้ว

ภายหลังมานั่งคิดว่าทำไมต้องไปบ้าจี้ตามมันวะ


-------------------------------------------------------------


“เสียใจด้วยไอ้ฐาพล  กูวิ่งแทบทุกเช้า”

ผมที่มาถึงน้ำตกคนแรก  ยืนบนก้อนหินใหญ่เสมือนเป็นเจ้าป่า  แล้วชี้ไปที่หน้าของตาม  มันยืมหอบแฮกอยู่ข้างหน้าผม  ท่าทีหมดเรี่ยวแรง

“ขนาดกูแบบของมาเยอะ  แล้วก็ต่อให้มึงก่อนหลายนาทีนะ  ไอ้กระจอก”

“มึงไม่ใช่ว่าไม่ได้วิ่งมาหลายวันแล้วเหรอวะ”

“แล้วไง  กูออกกำลังกายตลอด  หัวใจและปอดแข็งแรงดี  มึงแหละเอาแต่เล่นกล้าม”

“แต่ก็ลีนสวยนะ   เดี๋ยวลงน้ำ  จะถอดเสื้อ  อยากดูมั้ย”

มันพูดไปหอบไป  แต่ก็ยังไม่หายเล่นมุกเสี่ยว ๆ หื่นใส่ผม

“น้ำก็มีแค่นี้  มึงจะถอดโชว์ก็เรื่องของมึง”

ผมผายมือรับคำพูดว่า  น้ำน้อยจริง ๆ  นะมึง  เรามาหน้าโลว์ซีซัน  น้ำไม่ได้เยอะมากเท่าที่ควรเป็น  ถามว่าพอว่ายน้ำได้มั้ย  ก็ตอบว่าได้  แต่ถ้าเลือกได้  อย่าว่ายดีกว่า   

ถ้านึกไม่ออกก็ให้นึกอารมณ์สระว่ายน้ำน้องหมานะครับ  เล็กแค่นั้นแหละ

“แม่ง เหนื่อยชิบ”  มันเหยียดตัวขึ้นมองรอบทิศ  พร้อมอ้าปากกว้าง  “สวย  เรามาเร็วมากเลยนะเนี่ย ยังไม่มีคนเลย”

“เออสิ”

ผมปูเสื่อ   เอาของกินจัดเรียง   นั่งกัดแซนด์วิชพลาง มองตามที่ถ่ายรูปรอบบริเวณไปพลาง

“น้ำตกสวยหว่ะ”

“อืม ถ้ามาหน้าน้ำจะสวยกว่านี้”

“แต่หิวเลยวะ  อยากกินหมูน้ำตก”

“อืม”

“หรือลาบหมูดีวะ”

“อืม เสี่ยวดี”

ตามหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

“เป็นอะไร”

“คิดถึงบรรยากาศตอนปีหนึ่งนะ  กูเล่นมุกอะไร  มึงก็ อืม  หน้าก็นิ่ง  แบบไม่สนโลก   เราไม่มีช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันในความรู้สึกเดิม ๆ แบบนี้นานแล้วนะ”

ผมนิ่งเงียบคิด   ก็หลังจากที่มึงบอกว่าชอบกูแล้วทำตัวแปลก ๆ นะแหละ  ทำให้กูไม่กล้าทำอะไรแบบเดิม

“มิตรภาพยั่งยืนกว่าความรักนะฐาพล  รู้ใช่มั้ย”

“รู้ครับ ทัพกรณ์”

“ก็เลิกกินเผ็ดได้แล้ว”

“มึง”  มันคว้าขนมโยกเข้าปาก  “กูขออะไรอย่างหนึ่งสิ”

“ว่ามาดิ”

“หลังจากเรากลับไปแล้ว  มึงตอบกูหน่อยสิ  อยากให้กูเป็นอะไรกับมึงต่อ  เพื่อน  แฟน  หรือไม่ใช่ทั้งหมด  มึงก็รู้มาตลอดว่า กูชอบมึง  กูจีบมึง”   

ผมยัดแซนด์วิชใส่มือมัน พึมพำว่า  แดกเข้าไป

“เออ กูแดกแน่”  แซนด์วิชถูกกัดไปหนึ่งคำ  “กูรู้ว่ามึงยังไม่ได้เลิกกับพี่ปริ๊นซ์   มึงไม่ต้องรีบตอบก็ได้   แต่อย่านานเกินไปนะ  การรออย่างไม่มีจุดหมายมันทรมานหวะ”

มีเพียงลวดลายบนเสื่อเท่านั้นที่ผมจ้องอยู่

“กูรู้ว่ามึงไม่ชอบให้ยื่นคำขาด  เห็นแก่กูหน่อยเหอะ  ช่วยบอกกูทีว่ากูควรทำอย่างไร  บอกมาเหอะนะ”

“เออ  กูสัญญา  หลังจากเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย  รวมถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นด้วย”

“ครับ”

มันยิ้มหน้าบาน

“กูตอบเลยได้มั้ย”

เห็นหน้าแล้วหมั่นไส้ครับ   เกลียดหน้าบานยิ้มจนตาหยีที่สุด

“เห้ย  อย่าเพิ่งดิ”


-------------------------------------------------------------


วันนั้นทั้งวันเราหมดไปกับการขี่มอเตอร์ไซค์  ไปหาดต่าง ๆ  ได้แผลถลอกปอกเปิกเล็กน้อยเพราะมอเตอร์ไซค์ล้ม    เพราะว่าตามขี่รถไม่เป็น  ผมก็เป็นตัวตั้งตัวตีอยากสอนมันขี่มอเตอร์ไซค์   ไอ้ผมก็เป็นแค่ครูเถื่อน  ไม่ได้วางแผนการสอน  บริเวณถนนราบเรียบเป็นเส้นตรงก็ดันไม่ให้มันลองขี่จริง     ดันเลือกบริเวณโค้งบริเวณเนินเสียอย่างนั้น

การสอบปฏิบัติของตามก็เลยเละตุ้มเป๊ะ

ถึงกระนั้นก็เหอะ  ผมก็ยอมรับนะว่า  มีความสุขจริง ๆ ต่อการใช้เวลาร่วมกับมัน

“สรุปว่า ถ้าจะเลี้ยวโค้ง ต้องใช้เกียร์อะไร”

“เกียร์ต่ำไง”

“เออ ดีมาก”

“แล้วเวลาลงเนิน  ต้องเร่งเครื่องมั้ย”

“ก็ไม่ไง”

“เออ ดี”

ผมเอามือลูบแผล  แกว่งหมุนควงกุญแจในมือ

“ดีนะเนี่ย รถตาของมึงไม่พัง  ไม่งั้นกูโดนฆ่าแน่”

“เออสิ”

“แต่จริง ๆ รถเกียร์ออโตก็มีปะวะมึง”

“กูรู้  แต่เราก็ควรเริ่มจากแบบที่ยากสุดก่อนปะวะ”

ผมพยายามพูดให้ดูเท่  วางตัวเป็นมืออาชีพ  ยืดกอดออกพูดตอบอย่างมั่นใจ

“เหมือนที่ให้กูขี่ครั้งแรกบนเนินนะเหรอ”

พังเลยครับ  ความมั่นใจพังทลายลงมา

“เออ นั่นแหละ”  ผมเดินสะบัดตูดหนีด้วยความอาย  เนื้อตัวไหม้เกรียมไปด้วยพิษแดด  ครีมกันแดด SPF สูงแค่ไหน จะมี PA+++++ สักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจช่วยผมได้   จำไว้นะจ๊ะทุกคน  ครีมกันแดดควรทาเรื่อย ๆ  ไม่ใช่ทาครั้งเดียวแล้วมโนไปว่ามันอยู่ได้ทั้งวัน   ผมละเซ็งจิต  เพื่อนผมมันจับสลากจบหมอมาเหรอไงวะ

แต่จะว่าไป  พอมันคล้ำขึ้นมาก็ดูเป็นผู้เป็นคน  ดูมีเสน่ห์ขึ้นนะ   หล่อเหมือนกันนี่หว่า

“ไม่นะ”

“ไม่อะไรมึง”

“เปล่า” 

ผมปฏิเสธทันควัน รู้สึกร้อนใบหน้านิด ๆ  ตามมองกลับอย่างฉงนฉงาย  หน้านิ่งยามสงสัยมีเสน่ห์น่ามองเสียยิ่งกว่าตอนที่มันพยายามเก๊กหล่อเสียอีก 

“เห้ย คุณคือใคร”

ผมตะโกนใส่ชายเสื้อลายคนตัดอ้อย ที่กำลังหอบหิ้วอุปกรณ์ทำสวนทั้งหมดเดินออกไปนอกบังกะโล  อุปกรณ์ทุกชิ้นผ่านมือผมมาหมด  ทำไมจะจำไม่ได้   แล้วชายคนนี้ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  อาจจะเป็นขโมยก็ได้

เขาหันมามองผมอย่างเชื่องช้า  ตาแข็งกร้าวสองคู่คือสิ่งเดียวบนใบหน้าที่ผมเห็นผ่านผ้าขาวม้าที่พันรอบหัว 

“มึงมองทำไม”

ตามปรี่เข้าไป เงื้อมือจะต่อยชายคนนั้น 

“ใจเย็นดิมึง”

ผมรั้งชายเสื้อมันไว้

“คุณเป็นใคร”

ผมถามย้ำอีกครั้ง  และไม่มีการตอบรับ  ยกเว้นสายตาแข็งกร้าวที่ยังจ้องกลับไม่วางตา

“น้องทัพคะ เกิดอะไรขึ้น”

คนงานของตาวิ่งปรี่เข้ามายังผมสามคน

“พี่ครับ คนนี้คือใคร  ทำไมผมไม่คุ้นหน้า  ผมกลัวจะเป็นขโมย” 

ประโยคท้ายผมพยายามพูดให้เบาที่สุด

“อ้อ  อย่าตกใจไปค่ะ  คนสวนใหม่ค่ะ  เพิ่งจ้างมาวันนี้เอง  เขาไม่ค่อยพูดนะคะ”

คนสวนใหม่พยักหน้าให้ผมหนึ่งที  แล้วเดินจากไป

“แม่ง  มันน่าจะต่อยสักที  ถามก็ไม่ตอบ”

“เห้ย มึงใจเย็นดิ”

“ดูตามันดิ”

“เออ ช่างเหอะ  พี่ครับ  ขอบคุณครับ”

คนงานก้มหัวรับ แล้วเดินจากไป 

“ไปพัก  ไปทำแผลเหอะ  มึงเป็นหมอนี่  ทำแผลให้กูด้วย”


-------------------------------------------------------------


พวกเราอุทิศเวลาที่เหลือก่อนมื้อเย็นให้แก่การนอนหลับ

“ตื่นได้แล้วทัพ  กินข้าว”

ผมงัวเงียตื่น  ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวจากขี้ตาที่ยังเกาะตา  ผมคว้ามือของตามที่ยื่นออกมาเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียง  ตามยิ้มให้ผม เหยียดมือมาปัดขี้ตาออกจากตาผมอย่างนิ่มนวล

“ไปกินข้าวกันนะ”

ผมงึมงำตอบอย่างเขินอาย   บิดขี้เกียจแก้เก้อ    ถามตัวเองว่า ทำไมต้องใจเต้นกับมันด้วยวะเนี่ย 

“หน้าแดงกับกูเหรอ  หรือว่า....”

“เปล่า มึงไม่ต้องคิดเลย”

“ไม่เห็นต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้น  ร้อนตัวไปเปล่า”

“เปล่าเว้ย”

“แล้ว...”

“มึงคล้ำแดดอะ”

“อ้อ...”  เสียงมันดูผิดหวังเล็กน้อย  “เพราะคล้ำขึ้น ผิวคล้ายปริ๊นซ์สินะ”

ตามหนีหน้าผม  หันหลังยืนอยู่ตรงปลายเตียง

รู้สึกผิดกับการที่เอาอีกคนมาแทนที่อีกคนหนึ่ง  ผมควรทำอย่างไรต่อ  ควรขอโทษมัน  บอกไปตามความจริง  หรือควรปล่อยผ่าน  ทำให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

จะทางเลือกไหน     ตามก็ต้องเจ็บสินะ   เหลือบมองหลังอันสั่นเทิ้มของมัน  เสียงกระซิกร่ำไห้ดังอยู่แว่ว ๆ   สาวเท้าเข้าไปใกล้มันแล้วตบไหล่เพื่อให้บรรเทาความรู้สึก

“คือ กู...”

ตามหันหน้ามาด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป  เต็มไปด้วยความโกรธแค้น  มันจับไหล่ผมล็อคอย่างมั่นเหมาะแล้วกระหน่ำมีดด้ามเขื่องยาวจ้วงแทงผม  ดึงมีดออก  แล้วจ้วงซ้ำ

แผลที่หนึ่ง  แผลที่สอง  แผลที่สาม และอีกนับไม่ถ้วน 

ซากที่ยังมีชีวิตถูกโยนลงบนเตียงที่สีแดงชาดกระจายไปทั่วผ้าปูสีขาว    ความเจ็บปวดทรมานมากมายเกินคณานับเคียงคู่กับความไม่เข้าใจอันมหาศาล

“ทำไม...”

“หึ”

“ทำไม...”


////////////////////////////


“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

หน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อพาลดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนตามที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตกใจจนดิ้นตกเตียงไป

“เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย”

“กู”  ผมจับท้องตัวเอง  ดึงชายเสื้อเปิดดูแผล  “ไม่มี ไม่มี”

ตามยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า  คลำบริเวณบั้นท้ายที่กระแทกพื้นอย่างจัง 

“เป็นอะไร จะยั่วกูเหรอไง”

“กู คือ กู” 

ผมละล่ำละลักอย่างไร้สติ  มองซ้ายมองขวา

“ทุ่มกว่าแล้วนี่นา”  ตามยกมือถือขึ้นดู  “แดกข้าวเหอะมึง”  แล้วมันก็วางมือถือเพื่อชาร์จไฟต่อดังเดิม

“กู” ผมยังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง “ไม่หิวอะ”

“กูหิว ไป”

มันเอาดุนหลังผมให้ลุกขึ้นนั่ง  ผมมองมันอย่างหวาดผวาอย่างผิดสังเกต

“เห้ย กูไม่ปล้ำมึงหรอกนะ”

“อืม”

“แน่ะ เชื่อใจกูสิ   คนอย่างนายแพทย์ฐาพล  ไม่มีวันทำร้ายคุณทัพกรณ์ หรอกครับ”

มันกำมือแล้วงอแขนตบเข้ากับอกดังป๊าบเหมือนพระเอกในหนัง  แล้วเดินนำออกไปด้านนอกห้องพัก   เมื่อผมตั้งสติและคิดให้ถี่ถ้วนมากพอ ฝันก็คือฝันจะเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน  คนอย่างตามไม่มีวันทำร้ายผมหรอก   หรือถ้าพูดตามความเป็นจริง  ผมเสียอีกที่ทำร้ายตามมาโดยตลอด

บิดขี้เกียจ  ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย  เดินออกมาจากห้อง  ก็พบตามยืนหันหลังชูมือทั้งสองข้างขึ้นฟ้า

“ทำเหี้ยอะไรของมึ....”

คำพูดที่ยังไม่จบประโยคชะงักกึกไปทันที  เมื่อเห็นปืนพกจ่ออยู่ตรงหน้าของตาม 

ผู้ถือปืนคือคนสวนใหม่ของตามี  ไม่สิ...  ใบหน้านั้น  ตาแบบนั้น  ปากแบบนั้น   ผมไม่มีวันลืมไปได้หรอก   ไอ้คนร้ายที่แทงผมเมื่อหลายเดือนก่อน

“ไง ไอ้น้อง  ไม่เจอกันนานนะ คิดถึงพี่มั้ยจ๊ะ”  มันค่อย ๆ เลื่อนปืนมาจ่อหน้าผม  “ทำพี่ไว้แสบเลยนะจ๊ะ  งั้นวันนี้เรามาเล่นเกมส์กันหน่อยดีกว่า  เริ่มจากเกมส์  วิ่งไล่จับ”

เซฟตี้ปืนถูกปลด เสียงดังกิ๊กลั่น นิ้วในโกร่งไกประทับมั่นพร้อมขยับ  พร้อมเสียงหัวเราะที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืมเลือน



-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 20

ผมจะหายไปทำงานกลุ่มสัปดาห์หนึ่งนะครับ
เจอกันหลังวันที่ 12 พ.ย. ครับผม

ขอบคุณสำหรับการติดตามและติชมครับ

ผมจะเก็บไปพัฒนา

 :mew1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอดไม่รอดรอดู

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
  :serius2: ทัพเจออะไรอีกแล้ว
นี่จะเปิดใจให้ตามแล้วใช่ไหม ตามไเคลียร์กับเธอคนนั้นให้เรียบร้อยนะ

คนเขียนสู้ๆ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สวัสดีครับทุกคน
ผมกลับมาอีกครั้ง  หลังจากไปทำงานกลุ่มซะนาน  คิดถึงผมบ้างมั้ยเอ่ย  :mew1:

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา 
บทที่ 21 อยู่ด้านล่างแล้วนะครับ

ขอบคุณสำหรับ คำติชม กำลังใจ และการติดตามครับ

ขอบคุณครับ


 :katai4:


บทที่ 21
วันสุดท้ายของเรา


ผมกำลังจะได้ปิดเทอมเล็ก ๆ 15 วัน ก่อนขึ้นปี 4  ซึ่งผมตั้งใจแล้วว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียว
 
เสื้อสเว็ตเชิร์ตแขนยาวตัวหนากำลังถูกพับวางไว้บนเตียง  ผมเฝ้ามองรูมเมตผมทั้ง 3 คน ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการเตรียมตัวสอบปลายภาค  ช่างเป็นภาพหวนกลับกับตอนปีหนึ่ง  ที่ตอนนั้นผมสอบเสร็จเป็นคนสุดท้าย  และรูมเมตคนอื่น ๆ ทยอยกลับบ้านที่ต่างจังหวัดทีละคน ๆ   

วันสุดท้ายของผมที่หอในที่ผมรักมาถึงแล้ว   พรุ่งนี้เช้าผมต้องขนของทุกอย่างกลับบ้านที่นครปฐม จากนั้นค่อยไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิตอนเย็น   

ในขณะที่รูมเมตคนอื่นยังไม่ได้เริ่มสอบตัวแรก  ความคิดของผมลอยไปสู่แดนอาทิตย์อุทัยก็ถูกตัดกลับไปที่ความทรงจำตลอด 3 ปี  มันพรั่งพรูหลั่งไหลราวกับเขื่อนแตก   ทั้งสุขและทุกข์  หัวเราะและร้องไห้  สามัคคีและบาดหมาง 
 
“เฮ้ย ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของกูแล้ว ถ้างั้นเราไปกินข้าวกัน”

ราวกับแค่อยากบอกให้ผมรู้ว่า ได้ยินนะ  พีจึงเงยหน้าจากหนังสือกฎหมาย  ทั้งที่ปากยังพึมพำว่า มาตรานี้ บัญญัติว่า....  แล้วมันก็ก้มหน้าลงไปอ่านโดยไม่มีคำพูดใดจากปากหลุดมา

มีนยิ่งแล้วใหญ่  รายนี้ไม่สนใจผมด้วยซ้ำ  หน้าจมอยู่กับหน้าจอโนตบุค  เจ้าตัวเล็กบ่นเมื่อสองชั่วโมงก่อนว่า ต้องทำงานไฟนอลก่อนสอบ  คะแนนเยอะมาก  และยังอ่านเปเปอร์ได้ไม่ครบตามที่ได้รับมอบหมาย

ดังนั้นคนเดียวที่ตอบผม และก็เป็นคนเดียวที่คาดหวังว่าอยากให้ตอบเป็นคนแรก ก็คือ ทัพ

“มาสอบฟิสิคัลเคม 3 แทนกูทีสิ”

วิชาในตำนานของภาควิชามันเลยละครับ  ครึ่งหนึ่งเอฟ  อีกครึ่งก็ได้เกรดกระจายกันไป

“กูก็อยากไปสอบให้นะ  แต่กูไม่ได้ใช้หัวด้านคำนวณมานานชาติแล้ว”

ผมพูด ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกรอบ  ถ้าเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยเตรียมใส่กระเป๋าเดินทางมีปาก ก็คงบ่นโอดครวญว่า ฉันยับหมดแล้ว

“มึง เอาผ้าใส่กระเป๋าก่อนมั้ย”  ว่าที่แฟนผมบ่นอีกรอบ  “พรุ่งนี้บินไปกี่โมงนะ ญี่ปุ่นนะ”

“สี่โมงครึ่ง  ไปส่งกูมั้ย”

“กูมีเรียน  โทษทีวะ”

“มาตรา... บัญญัติว่า..  กูไม่มีเรียนทั้งวัน แต่ขอไม่ไปนะ”

แล้วมันก็ก้มหน้าท่องต่อ

ยังไร้สัญญาณตอบรับจากมีนเช่นเคย

“โอ๊ย พวกมึงนี่  อย่างน้อยไปกินข้าวกับกูหน่อยเหอะ”  ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก “นะ นะ นะ นะ  กูเลี้ยงก็ได้”

“ที่ไหนล่ะ”

“มึงไม่ท่องมาตราอะไรของมึงแล้วเหรอ”

“อ้าว ได้ไง  เพื่อนจะไปทั้งที  กูรักมึงนะ”

“หรือเพื่อนจะเลี้ยงทั้งที  เอาใจ ๆ ไม่เฟคสิ”

“แหม คิดเยอะจังเลยครับคุณหมอ”

“พวกมึงเงียบ ๆ สิ กูทำงานไม่ได้”

มีนโกรธแล้วครับ  พวกเราเงียบกริบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  นี่ยังไม่ถึงวันมาฆบูชาเลยนะ

“สรุปว่า มึงเลี้ยงใช่มั้ย”

“เออ  ไม่ต้องห่วง  กูป๋าพอ  เป็นวันสุดท้ายของกูที่นี่แล้วด้วย”

“ไร้สาระมึง”  ผมอ้าปากค้าง  มองว่าที่แฟนที่พูดทำร้ายจิตใจผมซะป่นปี้  “วันสุดท้ายของเราต่างหาก”

ของเราเหรอ  เราในที่นี้ของมึง ก็คือ  เราทุกคน ผม มัน พี และมีน ด้วยสินะ  แต่มึงรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่มึงใช้สรรพนามแทนว่า “เรา”  ในหัวของกูมันมีแค่เราสองคนเท่านั้นแหละ


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


ปัง

“วิ่งสิมึง เหม่ออะไรอยู่ไอ้หมอยุงลาย”

กระสุนเฉียดหัวผมไปไม่กี่คืบ  ยังดีที่ผมก้าวหนีทันทีที่ได้ยินเสียงเตือนจากทัพ

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย  มันจะเล่นเหี้ยอะไรของมันเนี่ย”

“มันก็คงจะแก้แค้นกูแหละ ไอ้ปลาไหล ไอ้ฟองน้ำ ไอ้เพรียงทะเล ไอ้หินโสโครกเอ๊ย”

“กูอยากขำนะ  แต่ขำไม่ออกวะ  สถานการณ์แบบนี้ยังมีอารมณ์มาเล่นมุกอีกนะมึง”

“เออ”  มันหยุดหอบหายใจเล็กน้อย  “กูเครียด”

เมื่อทัพกรณ์เครียด  เป็นอันรู้กันว่าความสามารถในการสื่อสารจะลดต่ำลงหลายเท่า  แล้วก็จะเกิดประโยคแปลกประหลาดหลุดลอยออกมาเสมอ

“พักก่อนได้มั้ย”

ผมเองแหละที่พูดออกไป  เป็นเวลาหลายนาทีที่เราวิ่งเข้าป่าเพื่อหนีไอ้โจรบ้าห้าร้อยที่เคยแทงทัพ

มันคงกำลังสนุกกับการสวมบทเป็นผู้ล่า  ส่วนผมสองคนก็สวมบทเป็นเหยื่อ

“จากที่กูสังเกตมา  กระสุนมันน่าจะเกือบหมดแมกซ์แล้วแหละ  น่าจะเหลืออีก 2 นัด”

ทัพพูดต่อ กระชากผมที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งให้วิ่งลึกต่อไปเรื่อย ๆ

“ทำไม แฮ่ก ๆ เห้อ  รู้วะ ”

“พ่อกูเป็นตำรวจมั้ยละ อย่าลืม”

“เออ”

ถ้ากูไปบอกพ่อมันว่า ผมกำลังจีบลูกชายพ่ออยู่ครับ  จะถูกประเคนด้วยลูกปืนหรือเปล่าวะเนี่ย

ว่าแล้วความคิดชั่ว ๆ ก็แวบขึ้นมาว่า  ควรถามทัพไว้ก่อนมั้ย  ว่าพ่อหวงลูกชายแค่ไหน  แต่คิดไปคิดมาสถานการณ์มันก็ไม่ใช่แฮะ

“ไปต่อสิ  เหม่อลอยอะไรอีก”  มันกระชากแขนผมอีกครั้ง  “ยิ่งเราเดิน พอมันเห็นพวกเราเคลื่อนไหว  ก็จะยิงออกมาอีก  อย่างน้อยก็ล่อให้มันเปลืองกระสุนนะ”

เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงนะสิไอ้บ้าทัพ  นี่ไม่น่าใช้ความคิดที่ดีเท่าไรเลย แต่ทางเลือกของเราก็มีไม่มากนัก  เพราะทั้งผมและมันต่างก็ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวมาด้วยทั้งคู่

“ไป”

เจ้าถิ่นกำชับเสียงมั่นคงอีก  เดินนำหน้าไป  เสื้อผ้าขาดวิ่น  รอยแผลตามตัวจาแสบแดง  เนื้อตัวมอมแมจากการล้มลุกคลุกคลานเปื้อนโคลนเลน

กระสุนอีกลูกแหวกอากาศเฉียดเท้าของทัพไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร

“น้อง ๆ อยู่ไหนกันจ๊ะ”  เสียงตะโกนหวานฉ่ำดุดน้ำผึ้งเจือปนความยียวน “ออกมาให้พี่เห็นซะดี ๆ น้า  แล้วพี่จะให้รางวัล”

“ไอ้โรคจิต  กูว่าถ้าเราหนีไปกันคนละทางอย่างน้อยก็ยังมีคนรอดนะ”

ผมอยากต่อยหน้ามันสักที  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“ไม่เด็ดขาด ไม่นะมึง  กระสุนมันจะหมดแล้วใช่มั้ย”

“อืม ถ้าในหนึ่งแมกซ์กระสุนนะ”  ผมเดินตามอย่างเชื่องช้า  พยายามเดินซ้ำตามรอยเท้ามันทุกก้าว และทำเสียงให้เงียบเบาที่สุด
“แต่ก็ไม่มีใครรับประกันว่ามันไม่มีสำรอง”

ใช่เลย  ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย  นี่กูกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย  กำมือด้วยความเครียดแค้น  ชั่งใจว่าควรออกไปสู้กับมันให้รู้แล้วรู้รอดหรือจะทนเป็นลูกไล่ที่เสียเปรียบแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  ทุกก้าวที่ผมเดิน ก็มีสารพัดแผนผุดขึ้นมาในหัว

ผมเหนื่อยเหลือเกิน  อยากนอน  อยากหลับอยู่ตรงนั้น   ถ้ารอดไปได้ อย่างแรกที่ผมจะทำก็คือ ออกกำลังกาย

“ทัพ”  มือของทัพกุมปากผมเป็นสัญญาณให้เงียบ  “คือ”  ผมพยายามเปล่งเสียงออกมาแต่ก็ถูกย้ำเตือนด้วยการนำมืออีกข้างมาปิดปากผมไว้  เมื่อมองหน้าทัพก็พบว่าสายตาของทัพกำลังจ้องเขม็งไปด้านหน้า 

ด้านหน้าเป็นถนน  มีรถตำรวจจอดอยู่ด้านหน้า  ตำรวจสองนายกำลังยืนคุยกันอยู่  เราสองคนลุยป่าจากโซนบังกะโลมาไกลถึงถนนอีกเส้นหนึ่งเลยเหรอเนี่ย

“อย่างน้อยเราก็รอดแล้วใช่มั้ย”

“อืม แต่”

“แต่อะไรทัพ”

พวกเรากระซิบ มองหน้ากัน 

“ถ้าพวกเขาโดนลูกหลงละ”

“ก็ต้องลองละมึง”

ไวกว่าความคิด ผมยืนขึ้นตะโกนขอความช่วยเหลือจากตำรวจทันที

“พี่ตำรวจ ช่วยผมด้วย”

เสียงลูกเหล็กลั่นแหวกอากาศอีกครั้ง  ด้วยสัญชาตญาณ ผมจึงก้มหลบทันที  ข้าง ๆ ผมคือทัพที่ก้มตัวหมอบ  มือของทัพวางอยู่บนหลังของผม  แสดงว่าไม่ใช่แค่เพียงร่างกายผมเท่านั้นที่พาหมอบลงต่ำ  ส่วนหนึ่งมาจากแรงดึงของทัพด้วยนี่เอง

กระสุนอีกหลายนัด พุ่งตรงไปทางรถตำรวจ  เป็นอันพิสูจน์แล้วว่า  มันมีกระสุนมากกว่าหนึ่งแมกซ์

“ตาม”

เสียงของมันดูสั่นกลัว  มันกำลังช็อคกับฝ่ามือเปื้อนเลือดของมัน เลือดที่มาจากร่างกายผม   ด้วยอารามตื่นตกใจทำให้ความเจ็บปวดที่ควรจะเกิดทันทีถูกระงับให้ช้าลงไป  ทว่าเมื่อผมได้เห็นเลือดที่ไหลรินจากบาดแผลบริเวณท้องก็ยิ่งตอกย้ำให้ความเจ็บปวดเข้าโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง

ทัพประคองผมวิ่งเข้าป่าอีกครั้ง  เลือดผมไหลไม่หยุด  ในฐานะที่เป็นหมอ  ผมทำเพียงปฐมพยาบาลตัวเองผ่านการบอกทัพ  ทัพผู้เปลือยกายท่อนบน เพราะต้องสละเสื้อมาเป็นผ้ากดห้ามเลือดมองผมด้วยความวิตก  แล้วเสียงของไอ้โรคจิตก็ดังกึกก้องอีกครั้ง

“ไหวมั้ยมึง”

ถึงไม่ไหวก็ต้องไหว   ช่างเป็นการช่วยชีวิตที่แสนทุลักทุเล  เพราะเราไม่สามารถหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้เลย

เลือดผมไหลประปราย ตามทาง

เสียงตะโกนเรียกจากโจรคนสวนก็ยังดังอยู่เป็นระยะ  น่าแปลกที่ระยะห่างของเราและมัน ถูกรักษาระยะให้คงที่  ราวกับว่ามันรู้ว่าพวกเราอยู่ไหน 

“ทำไมมันรู้”

“ไหวมั้ยตาม”

อาการของผมคงแย่มากสินะ เพราะทั้งสีหน้า แววตา ท่าทาง และน้ำเสียง  ล้วนเต็มไปด้วยความกังวลและหวั่นกลัว  ผมไม่อยากให้มันตระหนกจึงได้แต่ผงกหัวแล้วแค่นยิ้มออกไป

“ไม่ได้ ไม่ไหวหรอก กูว่ากูต้องหยุด มึงต้องพัก”

“ไม่”   ผมบีบมือมัน  ฝืนเดินไปอีกก้าวแม้ว่าแต่ละก้าวจะเหมือนแผลของผมจะถูกเสียดแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม “ถ้าพักเราตายแน่”

“ตาม”

ไอ้ขี้แยเอ๊ย  จะร้องไห้อีกแล้วสินะ   มือกรังเลือดของผมบีบมั่นที่มือของมัน  ปลอบประโลมไม่ให้มือที่กำลังกดแผลผมต้องสั่นเทาไปมากกว่านี้

“ไม่ร้องนะ”

“ทำไมกุกับมึงสลับบทบาทกันตลอดเลยวะ”

“ไปต่อเถอะ”

ผมเหยียดตัวเดินด้วยมีทัพเข้าประคอง  แล้วเราก็เดินกันต่อ  จันทร์เดือนเพ็ญฉายวาบอยู่บนท้องฟ้า  ให้แสงสว่างนำทางแก่เรา เฉกเช่นเดียวกับโจรที่กำลังไล่ล่าพวกเราด้วย    ตาอันพร่าเลือนของผมก็หันไปเห็นรอยเลือดสีแดงของผมที่ไหลเปรอะทาบทับบนสีเขียวของพรรณไม้ธรรมชาติ  แล้วผมก็เข้าใจในที่สุด

“มึงกับกูต้องไปคนละทาง”

อารามตกใจของมันบ่งชัดว่าปฏิเสธคำของของผม

“กูขอร้อง”

“อะไรตาม มึงพูดอะไร”

“เลือดกู”  ผมชี้ย้อนหลังไป  “เลือดกูทำให้มันรู้ว่าเราไปไหน  มันตามรอยเลือดกูมา”

“ช่างมัน  ไป”

ผมรวบรวมแรงทั้งหมด สะบัดแขนทัพ  และดันตัวเองออกมา

“ทิ้งกู”

“ไม่”

ทัพจับผมอย่างแน่น  ถูลู่ถูกังผมที่พึมพำตลอดทางว่า

“ทิ้งกูเถอะ”

“ดี พูดไปมึง อย่าหลับเด็ดขาดนะ”

ความหนาวสะท้านกระจายทั่วร่างผม  อุณหภูมิร่างกายของผมตกฮวบทันทีจากการเสียเลือด  และสติของผมก็กำลังหลุดลอยไป     อย่างไรก็ตามเรายังคงเดินไปอีกหลายนาที หรือ จะชั่วโมง  ผมไม่อาจตอบได้

“ตาม มึงดูดิ”  ผมพยายามขืนเปลือกตาที่หนักอึ้งให้เปิดรับภาพข้างหน้า  “บังกะโล  เรากลับมาที่เดิมแล้ว”

ภาพบังกะโลอยู่ตรงหน้าของผม  และเป็นภาพสุดท้ายในขณะนั้น   เปลือกตามันหนักเหลือเกินสำหรับผม  ขาทั้งคู่ได้ปิดระบบทำงานอัตโนมัติ  จึงส่งผลให้ตัวของผมอ่อนยวบลงอย่างกะทันหัน   และลากทัพให้กลิ้งล้มไปด้วย

“ตาม”  มันตบหน้าผม น้ำเสียงสั่นเครือเจือจะร้องไห้  “ทำใจดี ๆ ไว้ ไอ้ตาม”

มันยังคงตบหน้าผมต่อไป  ไอ้ขี้แย  วิ่งหนีไปสิ  ทิ้งกูไว้

“ในที่สุด”

เสียงแหวกพงหญ้ามาพร้อมกับเสียงกระแทกวัตถุบางอย่าง  แรงจากน้ำมือที่ตบเรียกสติผมก็หายไป

แล้วไม่ช้านานก็มีวัตถุบางอย่างพุ่งย้อนกลับเข้ามาทับร่างเพื่อป้องกันผมไว้อีกครั้ง  อุ่นเหลือเกิน  ร่างกายผมที่สะท้านหนาวจึงห่อตัวเบียดรับความอุ่นนั้นโดยอัตโนมัติ    หูทั้งสองข้างยังได้ยินเสียงโหวกแหวกที่ช่างดูห่างไกลจากผมเสียเหลือเกิน

“มึงจะฆ่าก็ฆ่ากูคนเดียว  อย่าทำเพื่อนกู”

เสียงเตะอัดแว่วตามมา  พร้อมกับเสียงสำลักอากาศบางอย่าง  ซ้ำแล้วซ้ำอีก   แต่ความอบอุ่นที่ทาบทับร่างกายผมยังคงอยู่ ไม่ลี้หนีไปไหน

“พูดให้เพราะหน่อยสิครับคุณทัพ”

“ปล่อยเพื่อน อะ”  อีกครั้งที่เสียงเจ็บปวดของทัพปลุกสติผมที่กำลังหลุดลอย  แต่ผมไม่อาจจะช่วยเหลือมันได้  อีกครั้งแล้วสินะที่ผมทำได้เพียงแค่ยืนมอง  “ผมขอร้อง  ปล่อยเพื่อนผมไป อย่าต้มยำทำแกงมันเลย”

“มึงพูดเหี้ยอะไร กูไม่เข้าใจ”

ผมอยากขำจัง ถึงสถานการณ์จะไม่สมควรก็เถอะ  ทัพคงตื่นเต้นจนลนลานพูดไม่รู้เรื่องแล้วสินะ

“กูไม่ให้มึงตายง่าย ๆ หรอก”  เสียงเตะอัดยังกระหน่ำอยู่เหนือร่างผม   ผมหนาว  ผมง่วง  และผมกำลังเข้าสู่นิทรารมณ์  “เตะนี้เพื่อลูกน้องกู  อันนี้เพื่อกู  กูขออีกสักรอบเหอะ”  ทุกครั้งจะมีเสียงแหวกอากาศตามด้วยเสียงตุบ ตับ สลับไปมา  “มึงรักกันมากใช่มั้ย  งั้นกูฆ่าเพื่อนมึงก่อนแล้วกัน”  เสียงโกร่งไกขยับลั่นดังพร้อมกับเชือกฟางแห่งสติที่กำลังขาดสะบั้น

กูขอโทษทัพ  วันสุดท้ายของเรา  ไม่ควรลงเอยแบบนี้เลย  ถ้ากูมีความกล้าที่จะสู้กับมันตั้งแต่ที่หน้าประตูห้อง  อย่างน้อยมึงก็ไม่ต้องมาจบแบบนี้

“ผมขอเถอะ จะเอาเงินเอาตัวผมก็ได้”

“กูจะอ้วก”

“ผมขอร้อง”

“สายไปแล้ว”

ปัง

ตามด้วยเสียงปังดังลั่น  พร้อมกับฟางแห่งสติที่ขาดกระจายเป็นสองเส้นที่แยกห่างออกจากกัน  พร้อมกับความมืดมนอนธกาลที่โรยปกคลุม


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 21

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :hao7: อ๊ากกก!เขาเป็นอะไรกันอย่านะอย่าทำแบบนี้คนเขียนกลับมาก่อนอย่าทิ้งไว้แบบนี้ทัพกับตามจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะอุส่าห์ลงเรือลำนี้แล้ว ว่าแต่ตำรวจทั้งสองนายเขาไม่ได้ยินเสียงปืนเหรอ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 22
ความตาย


“ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุดของชีวิตมนุษย์”

เมรุตามศาสนาพุทธ  หลุมศพแบบอย่างอิสลาม และพิธีศพแบบเรียบง่ายของชาวคริสต์  ปรากฏบนสไลด์ที่ฉายเด่นเคียงคู่คำบรรยายของอาจารย์

“หรืออีกนัยหนึ่ง  มันก็คือการสิ้นหน้าที่ทางชีวภาพอันคงไว้ซึ่งความีชีวิต  เป็นการยุติบทบาทของการดำรงอยู่ และแน่นอนครับ  มันเป็นหน้าที่ของพวกเราในฐานะแพทย์ ที่จะประคับประคองสติของตนเอง  ไม่ให้หวือหวาไปกับความรู้สึกสูญเสียดังกล่าว  และยิ่งเป็นหน้าที่ของแพทย์อย่างเรา  ซึ่งนอกจากจะเยียวยาผู้ป่วยในทางชีวภาพแล้ว  เรายังต้องเยียวยาเขาและญาติทางด้านจิตใจอีกด้วย”

อาจารย์กดสไลด์  เปลี่ยนเป็นภาพแพทย์ในชุดผ่าตัด  ยืนปลอบญาติของคนไข้หน้าห้องผ่าตัด

“เราต้องไม่ปล่อยใจให้ลอยไปกับมัน  เมื่อคนไข้ รวมถึงญาติของคนไข้สติฟุ้งซ่าน หมอยังต้องปกติ  เรายังต้องทำหน้าที่ของเราต่อไป  เข้าใจมั้ย”

ทุกคนขานรับด้วยความเข้าใจ

“ไม่ว่าเธอจะนับถือศาสนาใด  หรือรวมถึงคนไม่นับถือ”

อาจารย์ก้มหัวเล็กน้อย  ให้กับเพื่อนกลุ่มไร้ศาสนา ซึ่งเรียกตัวเองว่า กลุ่มหมอนรก ที่กำลังทำท่าตบมือดีอกดีใจที่อาจารย์ไม่ลืมมัน

“ก็ต้องระลึกถึงความจริงข้อนี้เสมอ โอเคนะแก๊งค์หมอนรก”

อาจารย์เดินไปมารอบเวที  ท่ามกลางเสียงหัวเราะรอบห้อง แล้วท่านกลับมายืน ณ จุดเดิม

“อะ ขออนุญาตดูหน่อย  ใครบางที่คุณพ่อหรือคุณแม่ หรืออาจทั้งสองท่าน  เสียชีวิตไปแล้ว  ยกมือขึ้นหน่อย”

ท่ามกลางฝ่ามือที่เหยียดยกสูง  ผมเป็นหนึ่งในนั้นที่ยกมือขึ้นด้วยความเคยชิน

“ฐาพล  ใครเสียชีวิตไปแล้ว”

“พ่อผมครับ”

“ครูเสียใจด้วย  แล้วฐาพลสะดวกใจจะเล่าเหตุการณ์และความรู้สึกนั้นให้พวกเราฟังมั้ย”

ผมยืนขึ้น ผงกหัวเล็กน้อย  สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

“ครับ  มันเริ่มจาก....”


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


คนที่ผมรักทยอยตายไปทีละคน  เริ่มจากอาม่า  ที่เลี้ยงผมมาแต่ยังเล็ก

เตี่ย  ที่ถึงแม้เราจะไม่สนิทกันเท่าที่ควร  แต่ท่านก็คือ พ่อแท้ ๆ ของผม  ผมยังจำความสุขตอนเด็ก  ที่ท่านเคยอุ้มผมแล้วถ่ายรูปชูสองนิ้วในวันเกิดอายุ ห้าขวบได้ติดตา

ผมพยายามทำใจมาตลอดว่าถ้าม้าหรือน้องของผมต้องตายจากกันไปอีก  มันก็เป็นเรื่องของอนาคต  ทว่าพอถึงตอนนี้   ผมเริ่มตระหนักได้แล้วว่า  สิ่งที่ผมเชื่อว่าผมเข้าใจและทำใจเตรียมรับมือกันมันมาได้โดยตลอด  เป็นเรื่องที่ผมเข้าใจผิดไปเอง

ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง  เครื่องไม้เครื่องมือของค่อนข้างเก่า  มีเตียงอยู่เพียงไม่กี่เตียง   ผมยังนอนตรึงแน่นอยู่บนเตียง  ทำได้เพียบกลอกตาซ้ายขวาพร้อมกับเคลื่อนศีรษะเพื่อตรวจสังเกตสรรพสิ่งรอบกาย  สำรวจตัวเองก็พบสายน้ำเกลือที่เชื่อมต่อบริเวณข้อพับแขนซ้ายของผม    พัดลมตัวน้อยพัดเอื่อยเฉื่อยเยื้องอยู่ตรงปลายเตียง   ที่นี่คือห้องรวม  ไม่ใช่ห้องพิเศษ  ไม่มีเครื่องปรับอากาศ   และที่สำคัญสุด คือ ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้กับผมสักคน

“ขอบคุณครับหมอ  นี่ก็ผ่านมาวันนึงแล้ว ทำไมเพื่อนผมยังไม่ฟื้นอีกครับ”

เสียงคุ้นหูดังแว่วอยู่ด้านนอก  ประตูเปิดพร้อมกับเสียงเสียงประตูดังเสียดแก้วหูแบบไม่ได้หยอดน้ำมันหล่อลื่น  มีเสียงฝีเท้าที่แตกต่างกันอย่างน้อย 2 คู่ กำลังย้ำเข้ามาในห้อง   เสียงเสียดแสบของประตูกรีดดังอีกครั้งพร้อมกับแรงลมที่ดันประตูให้ปิดอัตโนมัติ

“หมอก็ตอบไม่ได้นะครับ  แต่คนไข้เสียเลือดมาก  เราก็ได้ทำการให้เลือดไปแล้วเมื่อคืน  ยังดีที่มาโรงพยาบาลทัน  และยังมีหมู่เลือดที่ตรงกับคนไข้สำรองอยู่”

“ครับ”

“ระหว่างนี้ก็ต้องดูอาการกันไปก่อน  หมอคิดว่าคนไข้ใจสู้มากเลยนะครับ ที่สามารถประคองสติตัวเองมาได้นานขนาดนั้น”

“ครับ กำลังใจมันดีมั้งครับ”

ผมพยายามลืมตาที่หรี่บางราวกับเป็นเพียงเส้นตรงสองเส้นให้เปิดกว้างมากขึ้น  การเป็นลูกคนจีนก็ทำให้ตาผมเล็กอยู่แล้ว  ดังนั้นถ้ายิ่งหรี่บางก็ยิ่งดูเหมือนผมยังนอนหลับ   ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสังเกตว่าผมตื่นแล้ว   ผมรับรู้ทุกการตรวจวัดอุณหภูมิ  วัดชีพจร  และตรวจดูอาการของคุณหมอ   มีเสียงพูดคุยเรื่องอาการผมต่อเล็กน้อยซึ่ง  ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

“หมอไม่รบกวนแล้วครับ”

“ครับ  เออ... คุณหมอครับ”  เสียงประหม่า แผ่วเบาเหมือนกระซิบ ราวกับไม่อยากให้ผมได้ยิน  “ถ้าผมบอกเรื่องที่กระทบจิตใจเพื่อนผมมาก ๆ  เออ... เรื่องนั้นนะครับ  อาการจะหนักขึ้นมั้ยครับ”

“อืม  คนไข้ก็เป็นหมอนะครับ  ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา  หมอเชื่อว่า  เขาทำใจได้แน่นอนครับ”

ความตายเหรอ  ใครตาย  เกิดอะไรขึ้น

ผมอยากจะดีดตัวลุกขึ้นแล้วถามหมอกับไอ้พีเหลือเกิน  พวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน  เสียงประตูดังเอี๊ยดที่ขาดการหยอดน้ำมันหล่อลื่นเสียดดังขึ้นอีกครั้ง

ทุกอย่างเงียบลง  ผมได้ยินการถอยหายใจด้วยความหนักอึ้งขึ้นมาหนึ่งครั้ง  พร้อมกับเสียงหย่อนตัวลงนั่งที่เหมือนดังมาจากที่ไกล

แล้วผมก็รวบรวมสติทั้งหมดเพื่อเผยอเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งได้

“พี...”

มีเสียงเด้งตัวจากเก้าอี้   ผมรับสัมผัสถึงความอุ่นจากกายของมนุษย์ที่ปะทะบนแขนผมได้

“ตาม มึงฟื้นแล้วเหรอ  กูไปตามหมอก่อน”

“ไม่ต้อง  กูโอเค”

“เอางั้นเหรอ”

แล้วภาพทุกอย่างก็แจ่มชัดในวิสัยทัศน์ของผม  พีกำลังยืนมองผมด้วยหน้าตาดีใจ  ผิวเข้มของมันยังเนียนเป็นน้ำผึ้งเหมือนเดิม  มีริ้วรอยความสดชื่น  แต่ก็แอบเห็นความเหนื่อยล้าอยู่บริเวณขอบตา ชัดเจนว่าอดหลับอดนอนมาทั้งคืน  แต่ที่ทำให้ใจของผมสะดุดดิ่งลงไปก็คือ  พีใส่ชุดดำทั้งตัว

“ทัพ.. ทัพไปไหน”

พีก้มหน้าลงหลบตาผม  ไม่มีคำใดเอ่ยออกมา  และมันก็ทำท่าจะผละออกไปที่อื่น  ถ้าผมไม่คว้าข้อมือมันไว้

“ตอบกูมาสิ”

“มึง กูจะไปหบอกหมอ”

“ตอบดิ”

“บางเรื่องอะ... ไว้มึงออกจากโรงพยาบาลก่อนค่อยรู้ก็ได้”

“ตอบกูมา”

ข้อมือของพีเริ่มแดงเขียวจากการบีบรัดของผม  แต่มันก็ไม่บ่นอุทธรณ์คำใดออกมา

“ใจเย็นนะเพื่อน”   มืออีกข้างหนึ่งของมัน จับข้อมือของผมเพื่อคลายการบีบรัด  “เชื่อกูนะ”

เนื่องจากการกำมือที่แน่นของผม  ทำให้เลือดเริ่มไหลย้อนออกจากสายน้ำเกลือ  ผมรู้  แต่ตอนนี้ผมไม่สนอีกแล้ว

“มึงตอบกูมา ทัพอยู่ไหน”

“เลือดมึงไหลแล้ว  พอเหอะไอ้ตาม”

“ตอบสิ”

“วัด อยู่วัด”

พีตะโกนดังลั่นอย่างสุดจะอดกลั้น   พร้อมกับผมที่ปล่อยพีหลุดจากการพันธนาการทันทีที่ผมได้ยินคำว่า “วัด” ออกจากปากมัน  มือไม้อ่อนแรงไปหมด  ลำพังแค่คว้าจับเชือกบาง ๆ สักเส้น ในเวลานี้ผมก็คงไม่อาจทำได้

“ค่อยคุยเหอะ  ตอนนี้มึงพักก่อน  มึงรู้มั้ยว่ามึงนอนไปหนึ่งวันเต็ม ๆ  มึงถูกส่งมาโรงพยาบาลตอนตีสามวันจันทร์  แล้วตอนนี้นะ  บ่ายโมงของวันอังคารแล้วนะ”

“.................”

“หิวอะไรมั้ย  กูไปหาอะไรให้กิน”

ผมไม่ตอบเช่นเคย  ทิ้งตัวล้มลงนอน  น้ำตาสักหยดไม่ไหลออกจากตาผม  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  เวลาของผมหยุดเคลื่อนไหวนับแต่บัดนั้นเนิ่นนานไปจนถึงมืดค่ำ  ผมไม่ยอมกินยาและไม่ยอมกินอาหารอื่นใดที่พยาบาลจัดหามาให้   

ทุกอย่างรอบตัวผมยังเคลื่อนไหว  หมอเข้ามาดูอาการ  พยาบาลเดินมาวัดไข้   พีเดินมาคุยกับผม  แต่ราวกับว่าผมย้ายจิตใจไปสู่อีกโลกหนึ่ง  ทิ้งไว้เพียงมวลสารที่นอนเป็นซากในห้องนี้

ผมยังต้องการเวลาเพื่อทำใจ

“เออ กูไม่รู้จะทำยังไงละมีน”

ตะวันใกล้ลาลับจากท้องฟ้า  ความมืดก็เริ่มผลัดเปลี่ยนมาทำหน้าที่ของมัน   เสียงนกกาโผกลับรังดังปลุกสติผมให้ตื่นจากความปวดร้าว   เสียงคุยโทรศัพท์ของพีดังอยู่ด้านนอก 

“เออ  อืม  ใช่  จะไปงานศพแล้ว   เออ  เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังนะ”

เสียงลากเอี๊ยดเป็นสัญญาณว่าประตูเปิดอีกครั้ง

“กูไปวัดนะ  เดี๋ยวเสร็จจากสวดกูจะกลับมานอนด้วยนะ  พักผ่อนมาก ๆ”

มือแข็งแรงของพีบีบมั่นที่ไหล่ผม

“มีอะไรก็โทรหากูได้ตลอดนะ”

มันวางโทรศัพท์ของผมที่เปิดเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะข้างเตียง  บีบไหล่ผมอีกครั้ง  ส่ายหัวด้วยความหน่ายเหนื่อยแล้วเดินจากไป

ผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันงี่เง่ามากแค่ไหน   ทั้งที่เพื่อนก็หวังดีกับผม  แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก  ผมแค่ยังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น   อาการนอนเป็นผักของผมดำเนินไปอีกหลายนาที  แล้วผมก็รวบแรงทั้งหมดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

มีเบอร์ไม่ได้รับสายและข้อความจำนวนมากจากหยก  วันอื่นผมอาจจะรีบโทรหาเธอ  แต่วันนี้ไม่ใช่  นอกจากนั้นก็ยังมีเบอร์ไม่ได้รับสายจากแม่และน้องสาวของผมอีกจำนวนหนึ่ง  ผมตัดสินใจโทรออกหาแม่ทันที

“ตาม ลูก หายไปไหนมาฮึ”

“ม้า ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”

“เอ้า แกก็ต้องอยู่โรงพยาบาลสิ”

เสียงแหวเจื้อยแจ้วของน้องสาวผมแทรกมาทำนองว่า เฮียเข้าเวรเหรอแม่

“เข้าเวรก็พักผ่อนมาก ๆ นะ”

ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรบอกความจริงแม่ดีหรือไม่  เสี้ยววินาทีเดียวก็ตัดสินใจได้ว่าไม่บอกน่าจะดีต่อความรู้สึกท่านมากกว่า

“ครับ ม้า  งั้นตามไปพักผ่อนก่อนนะครับ”

ว่ากันจริงในทางทฤษฎีผมก็ไม่ได้โกหกอะไรม้าซะหน่อย  ผมแค่บอกไม่หมด และเล่นไปตามน้ำเท่านั้น

ผมกดโทรออกอีกครั้ง  นอกจากเบอร์ม้าและน้องสาว  เบอร์นี้เป็นเพียงอีกเบอร์หนึ่งที่ผมจำตัวเลขได้ดี   ผมใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ กว่าจะท่องเบอร์นี้ให้ขึ้นใจได้   แล้วหน้าจอก็ฉายวาบชื่อ  “ทัพ”  ขึ้นมา 

“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

ไม่ต่างจากที่คาดหมาย

แต่ผมก็โทรซ้ำ

โทรซ้ำ

ฟังเสียงบอกว่าหมายเลขไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ซ้ำๆ อยู่อีกหลายรอบ

ห้องยังคงมืดมิดไปอีกสักพัก   จนพยาบาลเดินนำข้าวเย็นมาวางไว้ให้ผมพร้อมเปิดไฟในห้องให้สว่างไสว   กลิ่นอาหารโชยหอม   เสียงพัดลมที่เอื่อยเรื่อยขับกล่อมไปกับเสียงจักจั่นเรไรจากภายนอก   ที่เคล้าไปกับน้ำตาที่ไหลรื่นยาวนาน  เรี่ยรดโทรศัพท์ที่พร่ำบอกเพียงแต่ว่า

“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”


-------------------------------------------------------------


ไม่รู้เป็นเวลากี่โมง  ผมสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย  ภาพผืนป่ากว้างใหญ่  เสียงตะโกนของไอ้โจรโรคจิตที่หมายปลิดชีวิตผมยังดังก้องในโสตประสาท  ใบหน้าของทัพที่ทรมานยังติดตาผมอยู่เสมอ    แม้ว่าความเป็นจริงแห่งปัจจุบัน คือ  ความมืดมิดที่ไร้แสงไฟ ไม่มีแม้แต่เงาในกระจก  ผมยังนอนนิ่งบนเตียงในห้องพักผู้ป่วยรวม  ลมอ่อนพัดพากลิ่นดอกไม้ป่าจาง ๆ อันอ่อนโยนให้โชยฟุ้งไปทั่วบริเวณ   และพีที่นอนกรนอยู่ตรงโซฟาข้างเตียงผม

เอียงตัวไปอีกด้านหมายปลดเปลื้องความเหนื่อยล้า  เห็นเตียงเปล่าอีก 2 เตียงเรียงราย ทิ้งร้าง  และยังมีอีก 3 เตียง ที่ประจันหน้าตรงข้ามกัน   พลันนั้นเองความสงบก็ถูกสั่นคลอนจากเสียงเสียดแหลมของประตูหน้าห้อง

ใจของผมลอยไปสู่เรื่องเล่าผีในโรงพยาบาล  ที่ผมก็ไม่เคยประสบพบเจอด้วยตัวเองสักครั้ง  มีเพียงสิ่งเดียวที่ใจผมอธิษฐาน

“ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผีมีจริง  ผมขอเจอทัพสักครั้งนะครับ  ครั้งเดียวก็พอ”

เสียงประตูปิดดังปัง  พร้อมกับจังหวะการกรนของพีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากการสะดุ้งเสียง  แล้วพีก็กรนต่อในทำนองเก่า

ผมค่อย ๆ พลิกกายหันไป  กลิ่นหอมอบอวลระลอกใหม่อันแตกต่างจากเดิมกระจายไปทั่ว  แต่สิ่งที่รอผมอยู่มีเพียงความว่างเปล่าอันมืดมนเท่านั้น   ไม่มีหมอ  ไม่มีพยาบาล  ไม่มียมบาล  ไม่มีอาม่า  ไม่มีเตี่ย  และไม่มีทัพ   

“ทัพ กูคิดถึงมึง”

หากว่าความคำนึงถึงสามารถลอยไปได้ไกลอย่างที่เขาว่าจริง  โปรดลอยไปสู่ที่ใดก็ได้ที่ทัพอยู่    ผมไม่อยากลืมตาพบกับความว่างเปล่าอันเวิ้งว่าง  จึงร่ำไห้ทั้งตาที่ปิดสนิท   

“ยัง  ไม่  นอน  อีก เหรอ”

เสียงยานครางอันคุ้นเคยสั่งผมให้ลืมตามองวัตถุทะมึนที่ยืนห่างจากปลายเตียงผมราวหนี่งฟุต 

ทัพ

นั่นคือ ทัพ

“ทัพ”

“ช่ายยยย  เรียก กู ทำ มายย”

สำเร็จแล้วสินะ  คำอธิษฐานของผมเป็นจริงแล้วสินะ   เรี่ยวแรงทั้งหมดถูกรวบรวมเพื่อผลักดันให้ผมชันตัวท่อนบนนั่งมองคนที่คำนึงทุกโมงยามให้เต็มตา

ทัพเคลื่อนเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น  พร้อมกับกลิ่นหอมที่เข้มข้นชัดขึ้นยังปลายจมูก

“กูอยากจะบอกมึง กูขอโทษ  กูไม่น่างี่เง่า  กูผิดเอง....”

ประโยคที่ยังไม่จบดีของผมก็ถูกขัดขึ้นจากคนนอนเฝ้าเข้าที่กรนเก่ง

“มึงพูดกับใครวะ”

เสียงงัวเงียไม่สร่างของพีดังขึ้น

“ผี”

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว  คำตอบไร้สติของผมได้โพล่งออกไปส่งผลให้เกิดเสียงอึกทึกโกลาหลตามมา

“เห้ย เหี้ย  อย่านะ  กูมีพระ”

พีเริ่มโวยวายดังลั่น  คว้าผ้าห่มไปคลุมตัว   ก้อนวัตถุคลุมผ้าห่มเริ่มสั่นระริกด้วยความสยอง

“ใจเย็น ๆ พี  ไม่เป็นไรหรอก  นี่ทัพเอง”   ผมมองไปทางทัพที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้าใกล้ผมมากขึ้น   ทัพดูซูบผอมเหลือเกิน  ทัพแต่งดำทั้งตัว  ยิ่งชำเลืองมองก็ยิ่งเศร้า   แต่อย่างน้อยผมก็สบายใจว่ามันไม่ได้ปรากฏตัวในสภาพที่เละเทะ  เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นอาจแปลได้ว่า  มันยังมีเรื่องห่วงกังวลมากมายในโลกนี้   

“ไม่เป็นไรนะมึง  ไม่ว่ามึงจะอยู่ในร่างไหน  เละแค่ไหน   กูก็ไม่เคยกลัวมึง”  น้ำตาผมไหลเจิ่งนองท่วมหน้าอีกครั้ง  “พี  อย่ากลัวมันเลย   มันมาพร้อมกับกลิ่นหอมขนาดนี้   แล้วดูตัวมันสิ  น่าสงสาร  ซูบเชียวทัพกรณ์  กูจะทำบุญไปให้นะ   กูจะขอแม่บวชให้มึงด้วยสักพรรษาหนึ่ง ทัพ โธ่  มึง”

มือแห้งของทัพเคลื่อนมาซับน้ำตาของผม 

“มึง ว่าาา อะรายยย น้าาา อ้ายย ตาม”

“กูบอกมึงว่าอย่ากลัวทัพไง”

ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง   ให้คนตายต้องมายืนเช็ดน้ำตาให้    จนไฟทุกดวงสว่างขึ้นส่งผลให้ตาผมหยีหลับหนีแสงตามสัญชาตญาณ

“ลืมตาสิตาม”

“ไม่พี  กูไม่ลืม”   ผมทำใจไม่ได้  ถ้าต้องลืมตาแล้วทัพหายไป   ผมยังไม่ได้บอกลามันเลย   เขาว่าผีกลัวแสงสว่าง  โอกาสของผมหลุดลอยไปเสียแล้ว   “มึงเปิดไฟทำไม  ไอ้พี   ทำไมไม่ให้กูลามันก่อน  กูยังไม่ได้บอกมันเลยว่ากูรักมันแค่ไหน  กูยังไม่ได้บอกมันเลยว่า   กูเคยวางแผนสิ่งที่อยากทำกับมันไว้มากแค่ไหน  กูอยากไปเที่ยวกับมันสองคน  อยากไปต่างประเทศ  กูชอบญี่ปุ่นมาก  ตอนนั้นที่ไปคนเดียวกูเหงา  กูอยากให้มันมาด้วย”

ทำไมวะ  ทำไมต้องเปิดไฟ  ร่างกายผมสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

“ทำไมวะ”

“ถ้ามึงออกค่าตั๋ว  บวกค่าที่พักทุกอย่าง กูก็ไป”

เผยอตามองเจ้าของเสียงยานช้า ด้วยความมึนงง เบลอ  แกมสงสัยกระหายรู้

“กูยังไม่ตาย ไอ้สัด เชี่ยละมึง  อวยพรกูให้อายุยืนเหรอไง”

ถึงเสียงจะดูยานช้ากว่าปกติ   แต่คนข้างหน้าก็คือ ทัพ... ทัพตัวเป็น ๆ กำลังยืนอยู่ติดผม  ขนาบข้างด้วยไอ้พี  ทั้งสองคนกำลังจ้องผมด้วยสายตาที่กลั้นขำสุดชีวิต   ด้วยอารามตกใจยังคงอยู่ผสานกับความรู้สึกอยากรู้ที่ท้าทายผม  มือข้างที่ไร้สายน้ำเกลือก็เคลื่อนไปจับแก้มมันเป็นการพิสูจน์ยืนยัน

“อุ่น”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่ทัพไม่ปัดมือผมทิ้ง  ผมจับมือมันก็พบกับความอุ่น  อุณหภูมิของร่างกายที่ไม่มีวันหลอกใครได้  เสียงชีพจรที่เต้นเร่าอยู่ใต้ผิวหนังก็ยืนยันถึงสัญญาณชีพ  เมื่อมองลงไปก็เหลือบเห็นถุงอาหารถุงใหญ่ที่มันถือไว้    ทัพบีบมือผมกลับเล็กน้อย  ก่อนค่อยคลายมือออกแล้ววางถุงดังกล่าวไว้ที่โต๊ะข้างเตียง   นี่สินะที่มาของกลิ่นหอม

“หิวมั้ยไอ้หมอยุงลาย  ได้ข่าวว่ามึงซ่านี่  ทั้งวันเขาให้อะไรก็ไม่แดก”

แล้วท้องร้องโครกครากก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากรูมเมตทั้งสองให้หันมามองขวับเป็นตาเดียว  ดังลั่นไปทั้งห้องก่อนที่ผมจะเอ่ยปฏิเสธว่า  ไม่หิว 


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 22

ช่วงนี้ผมจะฟิตเขียนหน่อยนะครับ เพราะใกล้สอบไฟนอลแล้ว ก็ต้องหายตัวไปอีก
เลยพยายามจะแก้งานให้มากที่สุด แล้วนำมาให้ทุกคนอ่าน

ขอบคุณครับผม

 :mc4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2018 12:32:12 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าววว สรุปทัพยังไม่ตาย เฮ้อออ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 23
กลับฝั่งกันเถอะ


หมวดทิน หรือ ร้อยตำรวจตรีทินกร  ชัยกระจ่างวุฒิ   เป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง อนาคตไกล มีความสามารถ  ตอนที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจใหม่ ๆ  ญาติพี่น้องต่างชื่นในความเก่งกาจ  หมอดูหลายสำนักต่างก็ทายทักกันว่า อนาคตของหมวดช่างสดใส มีแววได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบัน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

หมวดทินได้คะแนนตลอดหลักสูตรสูงเป็นอันดับต้น  ทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติล้วนมีผลการทดสอบสูงโดดเด่นหาคนเทียบยาก  จึงถูกเสธ.หลายต่อหลายท่านทาบทามให้ไปเป็นลูกน้อง  เพราะทั้งไหวพริบที่ไม่มีใครเทียบ  ประกอบกับฝีมือยิงปืนที่แม่นราวกับจับวาง   เขาจึงได้ทำงานในกรมแต่แรกเริ่มโดยไม่ต้องออกไปวนอยู่ตามสถานีตำรวจนครบาลหรือภูธรเฉกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น

แต่คนเราย่อมมีข้อเสียเคียงคู่กับข้อดีเป็นปกติ  หมวดทินมีสันดานแย่ที่แก้ไม่ตก  ไม่ว่าเพื่อนร่วมรุ่น  รุ่นพี่ที่สนิท หรือพ่อแม่จะทักท้วงตักเตือนแค่ไหน   เขาก็ไม่เคยคิดจะปรับปรุงตัว  นั่นก็คือ  ความเจ้าชู้

แรกอาจดูเป็นสิ่งธรรมดาของโลก   สำหรับตำรวจหนุ่ม หน้าตาดี  อนาคตไกล  ที่ย่อมมีเสน่ห์ติดตรึงใจสาวสวยหลายต่อหลายคน   หมวดทินบริหารเสน่ห์ตามประสาวัยรุ่น   หนักข้อเข้าแม้แต่เมียเก็บของผู้ใหญ่หลายคนเขาก็ไม่เว้น  เพื่อนฝูงต่างทัดทานว่า  มันอันตราย  เป็นแมงเม่าอย่าบินเข้าใกล้ไฟจนเกินตัว  ถ้าอยู่ห่างกองไฟก็จะให้ความอบอุ่นแก่เรา  แต่ถ้าเลือกโฉบบินเข้าไปแล้ว ท้ายสุดแม้แต่ชีวีก็อาจจะมอดม้วยกลางกองไฟนั้น   เขากลับเถียงเพื่อนว่า  ถ้าไม่เสี่ยง ใยเล่าจะคุ้มค่า  ชีวิตต้องตื่นเต้นท้าทายกันบ้าง  แถมเปลวไฟอันร้อนแรงก็แวววาวสวยงามจนเขาต้องยอมเสี่ยง

แล้วหมวดทินก็ได้ตื่นเต้นสมใจอยาก   เขาถูกเด้งจากการทำงานที่กรมตำรวจ ทั้งที่เพิ่งเริ่มงานได้ไม่ถึงหนึ่งปี  ฉากหน้าคือเขาได้เลื่อนตำแหน่ง     เป็นที่กล่าวขวัญไปทั้งรุ่นเพราะได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจโท   นำหน้ารุ่นพี่หลายรุ่นด้วยซ้ำ    แท้จริงแล้วเขาถูกดองเค็มค้างอยู่ที่ตำแหน่งร้อยตำรวจโทเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้   มากไปกว่านี้ยังต้องโอนย้ายไปที่จังหวัดชายแดนใต้   เดชะบุญที่หลังจากผู้มีอำนาจเริ่มสงบนิ่งใจเย็นขึ้นบ้าง   หมวดทินจึงถูกปรานีให้ย้ายไปที่จังหวัดตราด บ้านเกิดของตนเอง

เสือไม่เคยทิ้งลาย  หมวดทินก็เช่นกัน  ก็ยังเจ้าชู้ประตูดิน  หลีสาวไปเรื่อย   ไม่ว่าพ่อแม่จะพูดเช่นไร  เขาก็ทำหูทวนลม  รับปากขอไปทีทุกรอบ

วันหนึ่งตำรวจทั้งจังหวัดสนธิกำลังกับทหารบุกจับกุมผู้ค้าไม้รายใหญ่ที่ลอบตัดไม้ในอุทยานแห่งชาติเกาะช้าง   วันนั้นเขาได้พบกับสตรีงามท่านหนึ่งที่มาราชการบนเกาะช้าง    แน่นอนว่าความหล่อล้ำของหมวดทินเป็นสิ่งที่เขาภูมิใจหนักหนาว่า  สิ่งมีชีวิตใดที่เป็นอิตถีเพศก็มิอาจจะต้านทานได้   เขาเดินเกมส์ตามปกติแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด   เธอชื่อว่า  ธาริณี

ธาริณี เป็นคนตราดแต่กำเนิด  แต่กลับถูกฟูมฟักโดยญาติสนิทที่กรุงเทพฯ  เธอจึงเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่  ไม่ยอมคน  แต่ก็แฝงไปด้วยคติความเชื่อโบราณ ๆ จำพวกรักนวลสงวนตัว

กลายเป็นว่าความแปลกประหลาดอันลงตัวของเธอดันมัดใจทินกรเสียอยู่มัด  เขาเลิกเจ้าชู้ไปได้หลายปีเชียวหละ  ตามจีบเธอนานจนเวลาล่วงเลยไปหลายขวบปี   เพื่อนหลายคนต่างโจษจันว่าในที่สุดทินกรก็ถอดเขี้ยวเล็บแปลงร่างเป็นเสือแสนเชื่อง

ทินกรเทียวไปเทียวมาทำดีกับธาริณีจนในที่สุดเธอก็ใจอ่อน  แล้วทั้งสองก็มีลูกชายคนแรกปลายปีเดียวกับที่เขาสองคนฉลองมงคลสมรสที่เกาะช้าง  สถานที่แรกที่พวกเขาพบกัน  เขาตั้งชื่อลูกชายคนแรกว่า  “ทัพกรณ์”

“ดีมากทัพ  ยิ่งแม่นเหมือนพ่อเลย”

เป็นธรรมดาในวันเสาร์อาทิตย์ที่ทินกรจะพาลูกชายเขาสวนยางพาราของแม่ยาย   เพื่อสอนลูกชายคนเดียวยิงปืน   เขารู้สึกภูมิใจที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น  เพราะอายุเพียงแค่ไม่กี่ขวบลูกชายก็ยิงปืนได้แม่นมากพอแล้ว  อันที่จริงเขาเลี้ยงลูกชายให้หัดจับปืนก่อนไถรถเด็กเล่นด้วยซ้ำ

“คราวนี้  พ่อจะสอนเรื่องปืนประเภทต่าง ๆ  ดีมั้ย”

ลูกชายยิ้มอย่างดีใจ   และดูตื่นเต้นยิ่งขึ้นเมื่อผู้เป็นพ่อลูบหัวด้วยความเอ็นดู 

“เด็กดี  จำไว้นะ  ว่าปืนพกแบบนี้มีกระสุนเพียงแค่ไม่กี่นัด    ถ้าคนร้ายคิดจะทำร้ายลูก  ก็พยายามล่อให้มันยิงกระสุนให้หมด  จากนั้นปืนก็เป็นแค่เศษเหล็ก”

ลูกชายขานตอบด้วยความเข้าใจ  ธาริณีบ่นกับเขาเสมอว่า  ลูกควรจับปากกาก่อนจับปืนสิ  แต่ทำอย่างไรได้เล่า  ก็ปากกามันไม่ตื่นเต้นเท่ากับกระบอกปืนนี่นา


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


“ปืนก็เป็นแค่เศษเหล็ก ได้ยินมั้ยตาม  ปืนก็แค่เศษเหล็ก”

ผมยังจำคำพูดของพ่อได้ดี   แต่ราวกับว่าคู่สนทนาไม่ค่อยได้ใส่ใจฟังผมมากนัก  มันใจลอยหลายต่อหลายครั้งจนผมเริ่มหวั่นว่าตามอาจตกอยู่ในอันตราย 

จากที่ผมคำนวณในใจ  อีกเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น มันก็จะยิงกระสุนหมด   หลังจากนั้นเราก็สามารถเข้าปะทะกับมันได้โดยตรง    แต่ดวงผมไม่ได้ดีแบบที่คาด   แถมยังทำให้เพื่อนต้องมาลำบากไปกับผม   เลือดมหาศาลที่ไหลรดตามทางยิ่งทำให้ผมหวั่นกลัว   

อย่าหลับนะมึง  อย่าหลับเด็ดขาด

“ทิ้งกู...”

มันพร่ำเพ้อพูดสองคำนี้มานานหลายนาที  ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนเทปที่เปิดหน้าเดิม  ใจผมปวดร้าวไปหมด  ทำไมต้องทำเพื่อกูขนาดนี้วะตาม  ทำไมวะ ?    ถ้าผมผ่าใจออกได้  ก็อยากจะเข้าไปกดลบชื่อพี่ปริ๊นซ์ออกแล้วยัดชื่อ ตาม  ใส่เข้าไปแทนที่เสียเหลือเกิน  แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่เราจินตนาการ  ท้ายที่สุดผมก็ฝืนใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี

คนบางคนต่อให้ดีแค่ไหน  แต่สถานที่ที่เหมาะสมกับเขาก็อาจเป็นได้แค่เพื่อน  ต่างจากอีกคนที่ต่อให้เราพบความจริงว่าเขาเลวหรือผิดพลาดเพียงใด   แต่ใจที่ทุ่มรักไปจนสิ้น  ก็ไม่อาจถอดถอนคืนมาได้อีก

เหมือนสวรรค์เข้าข้าง  พวกเราเดินย้อนกลับมาจนถึงบังกะโลของตามี   เพียงไม่กี่ก้าวผมจะพ้นชายป่า   แต่เพื่อนรักของผมน่ะสิ  ร่างกายมันไม่สามารถฝืนรับอะไรได้อีกแล้ว  เรากลิ้งล้มไปด้วยกัน  ถ้าคุณคิดว่าแค่นั้นผมดวงตกอาภัพโชคแล้ว  เปล่าเลย  ยังมีอะไรที่อับโชคมากกว่านั้นอีก  คือ  ไอ้พี่โจรที่ไล่ล่าเข้าถึงตัวพวกผมอย่างพอดิบพอดี

ถ้าเป็นในหนังไทยที่ผมดู  เสียงไซเรนต้องดังลั่นไปทั้งบริเวณ   แสงไฟจากหน้ารถตำรวจต้องส่องจับไปที่ตัวคนร้าย   ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หลายนายควรกรูมาช่วยพวกผมแล้ว   แต่ความเป็นจริงก็คือ ผมกำลังถูกเตะอัดที่ชายโครงซ้ำแล้วซ้ำอีก  การเตะไม่ได้หนักหน่วงมาก  ราวกับมันตั้งใจให้ผมทรมานช้า ๆ มากกว่าจะทำให้ผมตายภายในทีเดียว   สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ อดทน  ปกป้องไอ้ตามไว้   มันต้องปลอดภัยก่อน  สำหรับตัวผมเองนั้น ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน

“ผมขอเถอะ จะเอาเงินเอาตัวผมก็ได้”

“กูจะอ้วก”

เพื่อนด่าผมเสมอว่า  ต้องตั้งสติ   เวลาประหม่ากลัวทีไร    ผมจะพูดไม่รู้เรื่องเสมอ  ครั้งนี้ก็เช่นกัน   ราวกับสมองผมเตลิดจนไม่สามารถเรียบเรียบทุกอย่างได้ดีมากนัก

“ผมขอร้อง”

ผมหันหน้าเอี้ยวหัวไปเผชิญกับมัน  แต่ตัวผมยังคร่อมบังร่างของตามไว้

“สายไปแล้ว”

ปลายกระบอกเหล็กจ่อมาที่เรา  เมื่อพิจารณาให้ดี  มันจ่อตรงไปที่หัวของตาม  ไม่ใช่ผม...

ไม่ได้การแล้ว  สายตาของผมจ้องนิ้วในโกร่งไก   นับจังหวะในหัวแล้วผมก็กระโจนใส่มันทันที    เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่นิ้วจะประทับกดสุด    เสียงปืนดังลั่นแต่กระสุนลอยขึ้นฟ้า   เราชุลมุนชุลเกแย่งปืนกระบอกนั้นกันสักพัก   

ผมโดนอัดเข่าจากการคลุกวงในกับมัน   ร่างกายอันปวกเปียกของผมล้มลงใกล้กับร่างท่วมเลือดของเพื่อนที่หายใจอยู่รวยริน   แล้วสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็เกิด   ตัวมันถูกเตะลอยไปไกล  ไม่พอ  มันถูกกระหน่ำซ้ำอีกรอบจากเท้าใครสักคนที่ว่องไว  ซ้ำอีกรอบ  ซ้ำอีกรอบ    ใครบางคนกำลังเข้ามากอดผม  เสียงสะอื้นไห้

“ไม่เป็นไรนะลูก  ตาอยู่ข้าง ๆ แล้ว  ไม่เป็นไรนะทัพ”

ตาอันโรยราของผมยังจับจ้องไปที่โจรชั่วที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้น   ซึ่งสุดท้ายได้เพียงคิด   เพราะมันถูกเตะฟาดอีกรอบจากฝีมือของนักมวยสมัครเล่น   ผู้คว้าเหรียญทองในกีฬาเฟรชชีเกมส์   รูมเมตคณะนิติศาสตร์ของผมเอง

“เหี้ย  พวกมึงไม่เป็นอะไรนะ”

หน้าพี เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น


-------------------------------------------------------------


ผมตื่นมาในเช้าวันนั้นเอง  วันจันทร์อันวุ่นวายของเมืองกรุง  ทว่าผมยังอยู่เกาะกูด    ร่างกายอันช้ำบวมระบมไปทั้งร่างเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์เมื่อคืน   หน้าพียังเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็นเหมือนกับสิ่งสุดท้ายก่อนหมดสติ    มันกำลังยืนยิ้มยิงฟันขาวอวดผม   สีหน้าดูดีใจสุดขีด 

“ตื่นแล้วเหรอไอ้เหี้ย”

นั่นคือคำทักทายที่มอบให้คนเจ็บปางตายเหรอไงวะ

น้ำเกลือที่ไหลเข้าร่างผมอีกครั้งในรอบไม่ถึงหนึ่งปี  คงทำให้ผมอ้วนไปอีกหลายกิโลเชียวแหละ

“ตื่นแล้วเหรอ เด็กดี

เสียงอันคุ้นเคย

“เห้ย พ่อจ๋า”

“เออ”  มืออันแข็งกร้าน แต่ละมุนนุ่มอ่อนโยนเสมอเมื่อลูบหัวผม  “ทำได้ดีมาก”

“ครับ...?”

“พีเขาเล่าให้พ่อฟังหมดแล้ว  ถ้าลูกไม่ทำแบบนี้  ไอ้หมอเพื่อนเราคงตายไปแล้ว”

พ่อบุ้ยปากไปยังเตียงข้างผม   คนที่ถูกกล่าวถึงนอนนิ่งสงบไม่ไหวติง   ราวกับว่าพีรู้ว่าผมจะถามอะไร  มันจึงชิงเล่าก่อน

“ผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี  ให้เลือดแล้ว  ไม่ต้องห่วงมึง   แค่ยังไม่ฟื้น”

“พ่อ... พ่อมาได้ไงอะ?”

“อืม”  พีกับพ่อมองหน้ากัน  ผิดสังเกตเกินไปแล้ว  “ทำไมครับ....  เกิดอะไรขึ้น....?”  ผมถามย้ำอีกรอบ   แต่ทั้งสองคนก็ยังจ้องหน้ากันไปมาด้วยความสับสนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“แม่แกเขาอยากมานะ  แต่ติดเรื่องผู้ว่าฯ”

“พ่ออย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”

“มึงใจเย็น ๆ นอนก่อนมั้ย  เดี๋ยวกูไปตามหมอ”

พีพยายามดันผมที่ใช้แรงทั้งหมดถีบตัวเองขึ้นนั่งให้กลับไปนอน

“พอทั้งคู่ เล่ามา”

ไม่มีใครห้ามผมได้   ผมต้องรู้ความจริงทั้งหมดเดี๋ยวนี้ตอนนี้    และผมนั่งพร้อมรอคำตอบจากทั้งคู่แล้ว

“เออ” 

ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน

“งั้นพีเล่า  พ่อไปนั่ง”  ผมจัดแจงตำแหน่งให้ทั้งสองคน   พ่อลากเก้าอี้มานั่ง  พร้อมพึมพำอะไรบางอย่างทำนองว่า ขี้สั่งเหมือนแม่มันเล้ย  ไอ้เด็กคนนี้    พีซึ่งถูกผมจ้องอย่างไม่วางตาจึงได้แต่เพียงส่ายหัวก่อนอ้าปากเล่าเรื่องทั้งหมด

“สรุปว่า  ตำรวจคนนั้นตายแล้ว”

หน้าผมซีดเผือดไปหมด  ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์

“อืม ทำใจดี ๆ นะเพื่อน”

“เขาตายในหน้าที่นะลูก  อย่างน้อยถ้าเขาไม่ยิงโต้ตอบถ่วงเวลาให้    ลูกและเพื่อนคงไม่สามารถหนีเข้าไปในป่า   ป่านนี้ลูก ๆ ก็อาจตายกันไปแล้ว”

“แต่ถ้าผมกับเพื่อนไม่ตะโกนเรียกพวกเขา  คนร้ายก็คงไม่ยิงเขาจนตาย”  ผมช็อคกับการสูญเสียที่ผมเป็นคนก่อ  ถ้าเพียงผมห้ามตามไม่ให้ตะโกนในตอนนั้นได้สำเร็จ  “ผมควรจะห้ามมันไม่ให้ตะโกน”

“ก็เป็นจริงแบบที่พ่อสันนิษฐาน  ว่าลูกคงไม่ได้ตะโกน.....  แต่ช่างเถอะลูก  เราแก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว  มันเกิดขึ้นไปแล้ว  เข้าใจมั้ย....?”

คำพูดของพ่อสะกิดใจผม  ใช่เพียงเรื่องเดียวที่ไหนกันเล่าที่ทำให้ผมติดอยู่กับความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้   

“ต้องเดินหน้าต่อไป”   พ่อจับมือผมราวกับท่านต้องการส่งผ่านกำลังใจมาให้แก่ผม   “คืนนี้งานศพคืนแรก  พ่อว่าจะไปหน่อย”

“ผมไปด้วยพ่อ”

“มึงอะนอนเลย”

“ไม่  กูจะไป”  ตวาดพีเสร็จ ผมก็หันไปมองพ่อด้วยสายตาอ้อนวอน  “นะ พ่อจ๋า  ทัพอยากไป  แล้วทัพก็อยากไปแทนเพื่อนด้วย”

ตามยังนอนสงบนิ่ง  เมื่อมันตื่นคงจะเสียใจมากเป็นแน่

“เอ้า ไปก็ไป  ดีเว้ย  เด็กดีมากลูกหมวดทิน”  มือหนักของพ่อบีบที่ไหล่  ความอบอุ่นแผ่ซ่านมาที่ตัวผมราวกับเป็นน้ำอำมฤตแห่งกำลังใจอีกครั้ง  “แต่ต้องไปเกาะช้างนะลูก  ไหวแน่นะ    วัดที่เกาะกูดศาลาเต็มหมด  จัดงานไม่ได้น่ะ”

“ไหวครับ... แค่ไหนก็ไหว”

แค่คิดถึงความโคลงเคลงบนเรือด่วนที่แล่นจากเกาะกูดไปเกาะช้าง   แผลตรงชายโครงผมก็พร้อมใจกับส่งความร้อนประท้วงล่วงหน้าแล้ว

“งั้นเดี๋ยวกูไปตามหมอให้นะ”

พีเดินจากไป  ทิ้งให้ผมอยู่กับพ่อเพียงลำพัง

“เพื่อนดีนะลูก”

“ครับ”

“ดีแล้ว  พ่อไม่มีอะไรต้องห่วง”

“พ่อ  ทัพเพื่อนเยอะนะ”

การส่ายหัวของพ่อ  ย้ำชัดว่าท่านไม่เชื่อคำโกหกของผม

“พ่อรู้มาตลอดนะทัพ  ว่าลูกไม่มีเพื่อนที่โรงเรียน  รู้ว่าลูกกดดัน  พ่ออยากปลอบลูก อยากคุยกับลูกนะ  แต่พ่อไม่กล้า  พ่อขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับว่าพ่อเป็นสาเหตุหนึ่ง  ไม่สิ  สาเหตุหลักเลยที่นำลูกมาเจอเรื่องแบบนี้”

เลือดคาวปริ่มไหลในปากจากฟันที่กัดลึกบนริมฝีปาก  น้ำตาเริ่มคลอหน่วย  ทำได้เพียงเช็ดออกไป  เพราะอยากจะเข้มแข็งเสมอต่อหน้าชายคนนี้

“ไม่ครับ ไม่ใช่”

“พ่อขอโทษนะลูก”

“ไม่ใช่หรอกพ่อ  ช่างมัน”

“พ่อดีใจนะ  ที่ลูกโตมาได้ดีขนาดนี้  ทั้งที่พ่อกับแม่”   พอกันที  ร้องไห้ไปเลยแล้วกัน  ไม่ต้องกลั้นอะไรไว้อีกแล้ว  “ไม่เอาสิ ไม่ร้องนะ   โอ้ ๆ  เด็กดี”

ผมสะบัดพ่อที่พยายามกอดและยีหัวผม   ก็แค่อยากสลัดความเขินอาย   เพราะสุดท้ายผมก็ปล่อยตัวเองให้อยู่ในวงแขนของท่าน  โดนลูบหลังพร้อมกับฟังคำกระซิบของท่านอย่างตั้งใจ

“พ่อภูมิใจในตัวลูกนะ...  ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไรก็ตาม

ขนที่หลังผมลุกชัน   ทำไมผมรู้สึกว่าท่านไม่ได้สื่อแค่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้   แต่ท่านกำลังบอกเป็นนัยถึงเรื่องอื่นที่ผ่านมาด้วย


-------------------------------------------------------------


ธงไตรรงค์คลุมทับบนโลงศพของคุณตำรวจที่สละชีพในหน้าที่   ญาติจากต่างจังหวัดกำลังเดินทางมา    ผมและพ่อจึงทำหน้าที่เป็นญาติให้กับผู้เสียชีวิตแทนไปก่อน

“พรุ่งนี้ผู้ว่าฯ เป็นเจ้าภาพ  แกอาจจะได้เจอกับแม่แกนะ”

“ครับพ่อ”

ชามใส่อาหารของว่างหลังสวดที่ซ้อนอยู่ในถาดถูกวางไว้หลังครัว  กะละมังน้ำหลายใบวางเรียงราย

“พ่อไปนั่งพักเหอะ  ผมล้างเองได้  ไม่กี่สิบใบเอง”

คืนแรก  มีเพียงเพื่อนตำรวจไม่กี่คนเท่านั้นที่มาร่วมงาน

“ไหวแน่นะ?”

“ไหวครับ...”

ผมยิ้มรับให้กับสีหน้าห่วงกังวลของท่าน

“คืนนี้จะกลับไปนอนที่โรงพยาบาลเกาะกูดจริง ๆ เหรอลูก...?”

ตูดที่กำลังหย่อนนั่งบนเก้าอี้ตัวน้อยประจำแท่นล้างจานจึงลอยค้างเติ่ง   สายตาของผมมองย้อนกลับด้วยความสงสัย

“ทำไมอะพ่อ  ไม่อยากทิ้งตามกับพีไว้อะ”

“พ่อกลัวแกเหนื่อย”

“ไม่เป็นหรอกนะพ่อ   ผมบอกตาแล้วให้เอาเรือมารับ  รถก็มี  คนร้ายก็โดนจับไปแล้ว”

“แต่แผลแกยังไม่หายนะไอ้ทัพ”

“แค่แผลขีดข่วน ฟกช้ำเท่านั้น”   ผมหย่อนตูดลงนั่ง   “ล้างจานก่อนละกันนะครับ”

ตัดบทดีกว่าจะโต้เถียงกับพ่อจ๋า  เถียงไปอย่างไรก็ไม่ชนะ  ทำได้เพียงดื้อแพ่งเท่านั้น   

แต่ทำไมผมกลับรู้สึกถึงความเคลือบแคลงสงสัยบางอย่างในตัวของพ่อ  หรือพ่อจะสงสัยเรื่องที่ผมกลับมาตราดกะทันหัน  หรือพ่อจะสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างผมกับตาม  หรือว่าพีจะเผลอเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่ปริ๊นซ์  ออกไป

เรื่องที่ผมเป็นเกย์  ไม่เคยหลุดรอดให้ใครในจังหวัดตราดรู้  ยกเว้นบอส   ไม่มีใครสักคนที่ระแคะระคายเรื่องนี้  ผมเรียนรักษาดินแดนเฉกเช่นเพื่อนผู้ชายคนอื่นในรุ่น   และโดยส่วนตัว  ผมไม่ชอบการตุ้งติ้ง  แต่งหญิง  หรืออะไรหวาน ๆ แบบที่หญิงสาวชอบกัน   ดังนั้นไม่ควรที่จะมีใครสงสัยในตัวผม  แต่สายสัมพันธ์พ่อลูกมันบอกให้ผมกริ่งเกรงต่อสายตากระหายรู้ของพ่อ

ความไม่รู้คละความระแวงสงสัยจึงหอบเดินทางกลับเกาะกูดมากับผมด้วย    ร่างอันอ่อนล้าของผมล้มตัวลงบนเตียงคนไข้ข้าง ๆ เตียงตาม

“สรุปว่า หมอเขายังให้มึงนอนที่โรง’บาล?”

“เออ กูยังไม่ได้ออก  แค่ขอออกไปทำธุระชั่วคราว   เขายังต้องตรวจอาการกูอยู่”

“เปลี่ยนชุดสักนิดมั้ย ถ้างั้นอะ”

ผมดูชุดดำในตัวที่ยืมจากคุณหมอ  ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจที่จะนอนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ  แม้แต่เปลื้องผ้าออกเปลี่ยนเป็นอีกชุด  ก็ไม่อยากจะทำ

“ไม่เอาอะ ขี้เกียจแล้ว”

ผ้าห่มพิมพ์ลาย โรงพยาบาลเกาะกูด ถูกพาดห่มคลุมทับถึงต้นคอของผม   รูมเมตเพื่อนยากของผมเดินส่ายหัวไปปิดไฟด้วยความไม่พอใจ   เสียงล้มตัวลงนอนบนเตียงของญาติเฝ้าไข้ดังขึ้นมาชั่วครู่แล้วเงียบลง    ผมรู้สึกแย่ที่ทำให้เพื่อนรักเคืองใจ   พีมันรีบเคลียร์งานทุกอย่างแล้วพุ่งตรงมาที่เกาะกูดแทบจะในทันที   วันนั้นมันรอผมกับตามที่ห้องอาหาร  กะเซอร์ไพรซ์พวกเราเต็มที่   แต่ก็ดันเกิดเรื่องเสียก่อน

“มึง...  กูกลัวพ่อรู้เรื่องที่กูเป็นเกย์”

ความเงียบที่น่าอึดอัดถูกทำลาย 

“อืม”

คำตอบของพี่ลอยข้ามเตียงของตามที่กั้นกลาง

“พี  อย่าโกรธกูสิ  กูขอโทษ”

“ไม่ได้โกรธ”

“จริงเหรอ”

“เออ จริง”

“กูให้มึงตอบใหม่”

เออ กูโกรธ”  นั่นปะไร  “โกรธที่มึงพาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้   โกรธที่มึงทำอะไรโง่ ๆ แล้วไอ้คนที่เรียนหมอก็ทำเรื่องโง่กว่าอีก  จบหมอจริงเปล่าวะสัด  โกรธที่แม่งไม่คิดจะบอกกูสักคำ  อยากทำอะไรก็ทำกันเอง  กูไม่ใช่เพื่อนหรือไงวะ”

“กูขอโทษ”

“สรุปมึงกับพี่ปริ๊นซ์เกิดเรื่องเหี้ยไร  เล่ามาเลยนะ”

“ได้”   ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พีที่นิ่งเงียบฟัง  “ก็ตามนั้นแหละ”

“ไอ้สัดพี่ปริ๊นซ์”

เสียงต่อยหมัดลมลอยกระทบหูผม

“ช่างเหอะ  จิตใจกูเยียวยาตัวเองแล้ว  ถ้าตามมันฟื้นแล้วโอเค  กูจะกลับฝั่ง  กลับ กทม. ไปทำงานแล้วหล่ะ”

“ไอ้เหี้ยปริ๊นซ์แม่ง”  เสียงดังอึกทึกเล็กน้อย  แว่วเป็นเสียงเหมือนหมัดแหวกอากาศอีกครั้งสองครั้ง ก่อนเงียบหายไป  “กูเจอหน้าจะต่อยมันซะที  เหี้ย  ไม่น่าเลยกู  กูไม่น่าชวนมันเลย”

“ชวนอะไรวะมึง”

“รอก่อน  รอตามฟื้นก่อน”

“อืม”

“แต่กูถามจริง”

“ทำไมวะมึง...”

“ใหญ่มั้ยวะของพี่ปริ๊นซ์น่ะ?”

“ไอ้เหี้ยพี”   เราสองคนหัวเราะพร้อมกัน  “กูรักมึงก็ตรงนี้แหละ”  สิ้นเสียงพีตอบกลับมาว่า  กูก็รักมึงนะทัพ  ผมก็พูดต่อ  “มึงอย่าไปโกรธพี่เขาเลย   เขาคงขาดสติจริง ๆ แหละ  พอกูมานั่งทบทวนให้ดี  กูก็ผิดนะที่ทิ้งเขาไว้ที่ร้านอย่างนั้น   กูควรจะถามเขาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น  ทำไมถึงต้องตัดสินใจอย่างนั้น  มันต้องมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ”

ผมหลับตาแล้วคิดถึงการกระทำอันแสนสะเพร่าของผม  ถ้าเพียงแต่ผมคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบกว่านี้   หลายต่อหลายคนอาจไม่ต้องมาลำบากหรือแม้กระทั่งตาย

“กูก็คิดว่ามีเหตุผลนะ  แต่ไม่ว่าจะเหตุผลเหี้ยอะไร  มึงจะเจออะไรที่เลวร้ายเพียงใด   ก็ไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างกระทำเรื่องเหี้ย ๆ  กับคนอื่นได้นะเว้ย   มันไม่ใช่อะ....   แต่ตอนที่กูไปช่วยเรื่องคดี  จากการประเมินเงินที่พี่เขาหาได้  ยังไงก็พอที่จะผ่อนจ่ายหนี้ตามสัญญาฉบับใหม่ได้อย่างสบาย    แค่แปลกใจว่าทำไมต้องคิดสั้นเอาตัวเองเข้าแลกขนาดนั้น  เท่านั้นแหละ”

“นั่นสินะ”

ตาผมปิดสนิท  พร้อมปล่อยกายจมสู่ห้วงนิทรา

“มึง  พ่อมึงอะ  เค้นกูไม่หยุด  ยังกับสอบปากคำกู”

“...............”

“เขาถามกูว่า  ทำไมตามต้องเสียสละตัวเองเพื่อมึงขนาดนั้น”  ผมหยุดหายใจ  ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้นะ  “ไม่ต้องห่วงนะ  กูโกหกไปแล้วว่าเราสนิทกันมาก  ซึ่งถ้าพูดตามจริงก็ไม่ได้โกหกนะ  แค่บอกไม่หมด   มึงโอเคนะ”

“กูโอเค”

“มึง”

“ครับ”

“กูกลัวตามไม่ฟื้นหวะ”

“ไอ้บ้าพี  ฟื้นสิ”

“มึง”

ผมไม่ชอบเลย  ที่พีไม่ตลกเฮฮาแบบเมื่อก่อน  บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ไม่ใช่พีที่ผมรู้จักแม้แต่น้อย

“กูสงสารมันหวะ ถ้ามันตื่นขึ้นมารู้ว่าตัวเองทำให้คนคนหนึ่งต้องตายไป  มันจะทำใจได้เหรอวะ...?”   ร่างตามที่นอนทอดอยู่เตียงข้าง ๆ  เต็มชัดในแววตาของผม   “เห็นมันเถื่อน ๆ ชอบเล่นมุกกาก ๆ   มันเป็นคนเซนซิทีฟมากเลยนะ   ไม่ได้อยากจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับมันหรอกนะ   มันร้องไห้เรื่องมึงตลอดเลยตั้งแต่ที่มันรู้ว่ามึงคบกับพี่ปริ๊นซ์”

มีแต่เสียงจักจั่นจากเบื้องนอกที่ดังคลอเท่านั้น

“มันอาจจะจำไม่ได้ว่ามันโทรหากู  แต่มีช่วงหนึ่งที่มันเมาแทบทุกคืน  แล้วก็โทรมาร้องไห้บ่นเรื่องมึงให้กูฟัง  มันบอกมันลืมมึงไม่ได้  มันทำไม่ได้    ก่อนวางก็จะขอให้กูสัญญาจะไม่บอกใคร  แล้วมันก็พูดกับตัวเองว่า  กูทำใจได้แล้ว  กูจะหาแฟนใหม่  กูมีแฟนแล้วอะไรของมันนี่แหละ   กูไม่รู้หรอกนะว่าเหี้ยอะไรทำให้มันฝังใจกับมึงขนาดนั้น  พอกับที่กูก็ไม่รู้ว่าพี่ปริ๊นซ์มันมีดีอะไรที่ทำให้มึงหลงหัวปักหัวปำ  แล้วไม่ต้องห่วงนะ  กูจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องนั้น  แต่...”

“............”

“แต่คือ......”

“พูดมาเถอะพี”

“มึงใจดีกับมันบ้างได้มั้ย  กูรู้ว่ามึงเป็นคนแบบนี้มาตลอด  มึงเปลี่ยนไปสำหรับมันอะทัพ  นับแต่ทริปสงขลาที่มันสารภาพรักกับมึง  มึงก็เปลี่ยนไป   ปกติมึงเย็นชา  แต่ตาของมึงยังมีแววใสว่าใส่ใจ   กับตามไม่ใช่  มึงเมินเฉย  เหมือนมึงกลัวอะไรตลอดเวลา”

“กูกลัวนะพี”

“กลัวจะหลงรักมันเหรอวะ”

“ใช่เวลาตลกมั้ยพี”

“อ้าว กูเห็นเครียด”

“สัด”

“ฮ่า ๆ  หรือกลัวเจ็บ  ของตามใหญ่นะมึง  มึงก็รู้  กูเคยอาบน้ำกับมัน  เห็นหมดอะ”

“สัดพี”

“โอเค ๆ  ฮ่า ๆ ว่ามาเพื่อน”

“มิตรภาพมั่นคงมากกว่าความรักนะ”  อะห้า  เสียงตอบจากพี เร่งเร้าให้ผมที่ทิ้งช่วยเล่า ดำเนินเรื่องต่อ “กูไม่อยากเสียมันไป”

“อืม นั่นสินะ  กูนอนละ”

“อืม”  เสียงพลิกตัวจากพีเป็นสัญญาณยืนยัน “เออ มึง  เรื่องตำรวจที่เสีย  เราปิดตามไว้ก่อนดีมั้ย”

“ตามนั้นเลยเพื่อน”

“ทัพ”

ผมที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งตอบอะไรสักอย่างไป

“มึงใจดีกับมันได้มั้ย...”

“ยังไง”

“แกล้งหลอกว่ารักมันก็ได้ กูขอ”

“............”

“อย่างน้อยก็แค่ช่วงนี้   ไม่รู้มันเครียดเรื่องอะไรอยู่   แต่กูเชื่อว่ามี”   ผมนึกถึงเรื่องหยก  “กูอยากให้มันเล่าออกมาเอง   ถ้ามึงทำได้แล้วไม่ฝืนใจจนเกินไป   ใจดีกับมันหน่อยนะ”

ไม่มีคำตอบใดจากผม   และพีก็ไม่ได้คิดที่จะคาดคั้นคำตอบจากผม   เราสองคนแค่เงียบใส่กันแล้วปล่อยให้จักจั่นขับกล่อมเราเข้าสู่ห้วงนิทรา


-------------------------------------------------------------


“อาการคุณทัพกรณ์ดีขึ้นแล้วนะครับ  สามารถออกจากโรงพยาบาลได้  ก็กินยาตามที่หมอสั่ง  อย่าออกแรงมาก  พยายามพูดให้ช้า ๆ หน่อยนะครับ  จะดีต่อแผลมากกว่า  จะได้ไม่กระเทือน  ปอดทำงานไม่หนักเท่าด้วยนะครับ  อาจดูรำคาญติดขัดไปบ้างช่วงแรก   พยายามเข้านะครับ  สำหรับค่าใช้จ่ายติดต่อฝ่ายการเงินได้เลย”

ผมยกมือไหว้คุณหมอที่เดินจากไป    หันไปยิ้มให้เพื่อนยากที่ยังนอนไม่ได้สติ   ลูบเหม่งมันไปหนึ่งที

“กูเคยเฝ้าไข้มันมาแล้วครั้งหนึ่ง  เผลอไม่นานก็เฝ้าอีกแล้ว  ภาวนาให้เป็นครั้งสุดท้ายนะ”

“เออ ครั้งแรกของกูเลยห่า  แล้วนี่มึงจะไปแต่เช้าเลยเหรอวะ”

“อืม  ไปรับญาติของคุณตำรวจมาที่วัดน่ะ  กูอยากไปขอขมาเขาด้วยตัวเองด้วย”

ผ้าเย็นถูกยื่นมาให้ผมที่ยักคิ้วกลับด้วยความสงสัย

“เอ้า  เผื่อโดนตบหน้าไง  เอาไว้เช็ด”

“พ่องสิ  แช่งกู”

แล้วก็มีแต่เสียงหัวเราะอันสดใสของพีที่ดังกังวานไปทั้งโรงพยาบาล

“มีอะไรโทรหากูล่ะ  เอ้า”  ผมยื่นโทรศัพท์มือถือของไอ้ตามที่ฝากตามีหยิบมาส่งให้พี  “ฝากชาร์จด้วย  เผื่อมันตื่น   จะได้โทรหาที่บ้าน  แล้ววันนี้มึงจะมางานศพด้วยจริงเหรอ”

“มึงดูชุดกู”   มันพรีเซนท์ชุดดำซึ่งผมไม่เข้าใจพวกทนายเลย  ทำไมถึงต้องพกชุดดำพร้อมไปงานศพไว้ในกระเป๋าทุกครั้ง   

“พร้อมขนาดนี้   ไม่ต้องห่วงครับ   เดี๋ยวเย็น ๆ เจอกัน”


-------------------------------------------------------------


(ต่อข้างล่างฮะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 14:31:52 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
(ต่อจากข้างบนฮะ)


แต่แค่บ่ายโมงกว่า  พีก็โทรหาผมแล้ว

“เห้ย มึง  ตามฟื้นแล้ว”

ด้วยความดีใจที่เอ่อล้น  กลับไม่มีคำใดปริหลุดจากปากผมเลย

“แต่มัน...”

“มันเป็นอะไร”

“มันช็อค  กูว่ามันช็อคอยู่  ตามเห็นกูใส่ชุดดำ  แล้วกูก็บอกมันว่ามึงอยู่งานศพที่วัด  มันคงปะติดปะต่อได้เองแล้วว่าตำรวจวันนั้นเสียชีวิตไปแล้ว   มันไม่ยอมตอบสนองอะไรกูเลย  พูดด้วยก็ไม่ตอบ  หมอถามอะไรก็ไม่พูด  พยาบาลยกข้าวมาให้ก็ไม่กิน”

“................”

“กูควรทำไงวะ?”

“ไม่รู้...”

ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดเพื่อนผมถึงอาการหนักขนาดนี้

“กูอยากให้มีนอยู่ด้วย  ถ้ามีนอยู่  มันต้องมีคำพูดดี ๆ วลีเด็ด ๆ ปลอบไอ้ตามได้แน่ ๆ”

ผมก็คิดถึงไอ้ตัวเล็กเหมือนกัน 

“เอาเป็นว่า  กูจะโทรหามีนแล้วลองทำทุกทางแล้วกัน  ไงก็เจอกันตอนเย็น”

เสร็จจากสวด  พีก็ขอแยกกลับไปดูอาการตามก่อนทันที  ส่วนผมก็ต้องเป็นกรรมกรล้างจานอีกเช่นเคย   วันนี้งานหนักหนากว่าเดิมเพราะแขกที่มาร่วมงานเป็นคนใหญ่คนโตของจังหวัด  ผู้ว่าฯ ก็มา  รองผู้ว่าฯ ก็มา  ผู้กำกับของสถานีตำรวจภูธรทุกท่านในตราดก็มา   แม่ผมติดธุระด่วนไม่สามารถมาได้   

และเป็นบุญของผมยิ่งที่ญาติ ๆ ของคุณตำรวจที่เสียชีวิต  ไม่ถือโทษโกรธเคืองผม  แถมยังมาช่วยผมล้างจานอีกแรง

“พักที่ไหนกันเหรอครับ?”

ผมถามญาติ ๆ ของพี่ตำรวจที่เสียชีวิต  เมื่อทราบโรงแรมเรียบร้อย   พ่ออาสาพาพวกเขาไปส่ง   ผมจึงถือโอกาสติดรถพ่อเข้าตัวเมืองเกาะช้างไปซื้ออาหารให้พีที่รีบกลับโดยไม่ได้ทานข้าวเย็น   และซื้อของจำนวนหนึ่งไปให้คนเจ็บ  ที่ผมตั้งใจแล้วว่า   ต้องให้มันกินข้าวกินปลาให้ได้  แม้ว่าผมต้องง้างปากมันก็ตาม

“พรุ่งนี้สวดวันสุดท้าย ลูกไม่ต้องมาแล้วก็ได้   เพราะว่าเขาจะนำศพไปที่จังหวัดบุรีรัมย์ บ้านเกิดแล้ว”

“ไม่อะพ่อ  ผมจะไปให้ถึงที่สุด”

พ่อส่ายหัว  จากนั้นก็ทิ้งผมให้นั่งเรือกลับไปยังเกาะกูด   เพื่อมาเจอตามที่คิดว่าผมเป็นผีมาขอส่วนบุญจากมัน

ตอนนี้มันกำลังทำหน้าอึ้งถือช้อนข้าวต้มที่ไม่แม้แต่จะตักใส่ปาก  มองหน้าผมอยู่   ในขณะที่พีกินหมดไปหนึ่งชามและกำลังคุ้ยขนมซองกินอย่างเอร็ดอร่อย  ตามก็ยังเอาแต่จ้องหน้าผม

“จะไม่แดกเหรอ”

“กูมีเรื่องสงสัยเรื่องหนึ่ง”

“ว่ามาสิ”

“กูหันไปจ้องรอบแรก ทำไมไม่เห็นมึง”

“อ้อ ของตก  กูเลยก้มเก็บ   หันมาตอนนั้นพอดีมั้งมึงนะ”

ทุกอย่างกระจ่างหมด  แต่ตามก็ยังเอาแต่จ้องหน้าผมต่อ  ไม่แตะของกินแม้แต่น้อย

“รู้สึกผิดหวะ”

“ที่คุณตำรวจตาย”

“เปล่า"  ผมกับพียกคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมกัน  "คือกูรู้สึกผิดที่กูไม่เสียใจที่เขาตายเท่าไร  ทั้งที่กูควรเสียใจน่ะ  กูกลับดีใจอะ ที่คนตายไม่ใช่มึง”

เอากับเขาสิ  ตื่นขึ้นมาก็เริ่มอีกแล้ว 

“เยี่ยมเว้ยยยยยยยยยยยย เพื่อนกู หยอดได้ตลอด”

“มึงแดกไปไอ้พี”

พีก้มหน้ากินขนมต่ออย่างหฤหรรษ์

“เอ้า แดกสิ ตาม”

“อยากกินนะ”  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  “แต่ยกแขนแล้วเจ็บช่วงท้องที่โดนยิงเหลือเกิน โอ๊ย ๆ ๆ  เจ็บจัง”

เหอะ  สำออย  โดนยิงนะช่องท้องซ้าย  มึงนะถนัดขวาไอ้ตาม  เอาเถอะ  คิดซะว่าเป็นโปรโมชันฉลองการตื่นจากความตาย   ข้าวต้มจึงถูกป้อนเข้าสู่ปากคนเจ็บด้วยน้ำมือของผมทีละช้อน ๆ

“ข้าวต้มอร่อยจัง”

ทิชชูเช็ดปากมันอย่างอ่อนโยน  พลันเปลี่ยนเป็นบี้หนักเพื่อให้มันระลึกถึงความเจ็บปวดที่ริมฝีปาก  ทว่าไม่มีเสียงโอ๊ยจากมันอย่างที่ควร  มีเพียงใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ดีแล้ว  อะ อีกคำนะ”

อ้าปากกว้างเตรียมกินข้าวต้ม  แต่รอยยิ้มกวน ๆ ที่มุมปาก  ก็ยังแขวนค้างอยู่เลยนะ

“อร่อยจัง แหม แหม”

เสียงล้อเลียนของพี ดังประกอบฉากตลอดเวลา

“รีบ ๆ หายได้แล้ว  กูอยากกลับ กทม. แล้ว”

“หายแล้วเนี่ย  กำลังใจดีอะ”

“แหวะ”   สายตาสองคู่ของผมกับตามจับจ้องไปที่ต้นเสียงพร้อมกัน  “มันเค็ม ขนมเค็ม กูเลยแหวะ จริ๊งจริง พวกมึง  ป้อนไปสิ  มองกูทำไม”

“งั้นออกพรุ่งนี้เลยมั้ย”

ผมขู่ พร้อมยัดช้อนใส่ปากมัน  เกลียดสายตากะลิ้มกะเหลี่ยที่พร้อมจะกลืนกินผมทุกเมื่อจริง ๆ  หรือว่ากูต้องกลับไปใช้แววตาเย็นชาแบบเดิม   ถึงจะเลิกใช้สายตาแบบนี้แทะโลมผมเสียที

“ทัพว่าไง  ตามว่างั้นครับ”

โอ๊ย เจริญพรละ  ไอ้หมอยุงลาย  ถามหมอตัวจริงก่อนดีกว่ามั้ย

“งั้นไปตายในทะเลไป๊”

“ไม่เอาอะ  กลัวคนแถวนี้ร้องไห้อีก  อ้อนวอนขอชีวิตงี้”

“หุบปากมั้ย”

“ทัพ” มือผมถูกคว้าหมับ  “โอเคขึ้นแล้วใช่มั้ย”

มันบีบมือผมแน่น   แต่ผมก็ไม่ยักปฏิเสธ  ได้แต่ตอบ อืม ๆ พร้อมใบหน้าที่แดงแข่งกับข้อมือที่ถูกดึงมั่น

“งั้น  กลับฝั่งกันเถอะ”

คำว่า “กัน” เน้นหนัก  เคียงคู่กับแววตาอ้อนวอนของมันที่หวานเยิ้ม   จนผมทำได้เพียงหลบตาตอบแผ่วเบาว่า  ครับ


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 23

แล้วครับ อิอิ


เจอกันตอนต่อไปฮะ

ขอบคุณสำหรับการอ่าน สนับสนุน และติชมครับผม



 :really2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2018 14:38:49 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจคนเรานี้ก็นะ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 24
งานแต่งงาน


เรื่องที่ผมเป็นเกย์จะกลายเป็นความลับชั่วนิรันดร์   หากจิตใจที่ว้าวุ่นไม่แน่นขนัดจนผมต้องหาทางระบาย

“บอส กูมีเรื่องอยากคุยด้วย”

สายตาท่าทางที่ลังเลของผมมันเห็นได้ชัด  จนเพื่อนปฏิเสธ

“ถ้ามึงไม่แน่ใจ ก็อย่าเล่า”

มันก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ  เราไม่พูดอะไรกันอีกหลายนาที  จนมันเงยหน้าขึ้นมาอีกรอบ  ยกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“จะเล่นเกมส์จ้องหน้ากูไปเรื่อย ๆ เหรอ”

บอสเป็นคนเรียนเก่ง  เพอร์เฟคท์  หน้าตาดี  ผอม  สูง  เป็นนักบาสของโรงเรียนด้วยซ้ำ  เหตุใดทำไมผมไม่ชอบมัน   ที่น่าแปลกใจกว่านั้น  ทำไมคนดีเพียบพร้อมอย่างบอสถึงเลือกคบเพื่อนอ้วนและถูกรังแกเป็นกิจวัตรอย่างผม  เพราะการคบผมเป็นเพื่อน  นอกจากจะไม่มีอะไรเท่ ๆ แบบที่คนอื่นเขามีกัน   บอสยังต้องคอยมาตามล้างตามเช็ดเรื่องที่ผมถูกรังแกอีก 

นี่ก็ ม.ปลาย แล้ว  ต่างคนต่างเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย   แต่ทำไมบอสยังเลือกคบผมต่อเนื่องยาวนานถึงเพียงนี้

“เออ... คือ”

“ไม่สบายหรือเปล่า”

น้ำเสียงที่เอ่อล้นด้วยความห่วงใย  ยิ่งปลุกกระตุ้นต่อมสงสัยของผมให้ขยายใหญ่

“กูถามจริงนะบอส  ทำไมมึงคบคนแบบกูวะ  กูไม่มีอะไรดีเลย   พวกรุ่นน้องที่ส่งจดหมายรักมาให้มึง ก็นินทากูประจำว่าทำไมมึงเอาคนแบบกูเป็นเพื่อน”

“ผู้หญิงที่คิดได้แค่นั้น”  หนังสือเตรียมสอบวิชาเลขถูกคั่นหน้า ปิดลง  “กูไม่คิดจะเอามาใส่ใจให้ปวดหัวหรอก แล้วอีกอย่างมึงเป็นเพื่อนกู  จบปะ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ไม่ทำไม”

“ถ้าตอนแรกกูพอเข้าใจนะ ที่ตอน ม. 1  เราต่างคนต่างมาสายทั้งคู่  ก็เลยจำใจต้องนั่งคู่กันที่โต๊ะหน้าสุด   แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้  มันก็ล่วงเลยมาจน ม. 4 แล้ว  แต่เราก็ยัง....”

“ไอ้ทัพ  มึงอยากรู้จริงเหรอ”

“เออ”

“เอาจริงนะ กูไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ  นั่งกับใครก็ได้   ไม่มีเหตุผล”  แค่นี้เองเหรอ  คือ ไม่มีเหตุผล  ไม่มีอะไรเลย  “ตอนแรกกูก็หวั่นเพราะมึงดูเหยาะแหยะ  ยิ่งช่วงหลัง ๆ มึงถูกรังแกมากเข้า   กูสารภาพเลยว่าเคยมีห้วงหนึ่งของความคิดที่อยากจะหนีไปนั่งกับคนอื่น”

“แล้วทำไม”

“อย่าขัด กูเล่าอยู่”

“ครับพี่”

“ฮะฮ่า ดีน้องอ้วน   กูชอบมึง ที่เถรตรง คิดอะไรก็พูด  มึงเป็นคนดูง่าย  ไม่มีพิษมีภัยกับใคร  แต่เพราะความไม่มีพิษมีภัยของมึง  เลยถูกรังเกียจจากพวกคดง้อในโลกนี้ไง   เขาจะเลี้ยวซ้ายกันซึ่งมันผิด  มึงดันเดินตรงไปข้างหน้าแถมโร่ไปบอกคนมีอำนาจให้มาจัดการพวกเลี้ยวซ้ายอีก  ทำตัวเป็นตำรวจโลกไปได้”

แล้วมันก็ขำออกมา 

“แต่  กูไม่โง่ทัพ  มึงจะถามเรื่องอะไรกู  หรือจะเล่าอะไร  เรามีกันแค่สองคน  บรรดาแฟนคลับที่แอบชอบกู  กูไม่เคยนับ”   บอสมันคบแฟนเปลืองครับ  คบทิ้งคบขว้าง   บางคนคบได้สองสามอาทิตย์เขาก็ทิ้งมันแล้ว  ฟังไม่ผิดหรอกครับ  เขาทิ้งมันทั้งนั้น  ไอ้บอสมันนิ่งติดออกบื้อ ๆ  ถึงแม้มันจะฉลาด  แต่เรื่องอารมณ์โรแมนติคแบบที่สาว ๆ ชอบ  บอกเลยว่าไม่มี   เพียงเพราะความเย็นชานิ่งขรึมของมันนี่แหละที่เป็นเสมือนกองไฟ หลอกล่อให้แมงเม่าสาว ๆ บินมาตายหลายรายแล้ว  “เล่าสิ”

โดนกระตุ้นย้ำซ้ำอยู่หลายรอบ  จำใจเริ่มเล่า  เริ่มจากเรื่องไกลตัวก่อน

“ถ้ากูเป็นโรค หรือ มีอะไรผิดปกติจากคนอื่น  จะรังเกียจกูมั้ย”

“เข้าเรื่องทัพ”

“กูเป็นเกย์  กูชอบพี่ปริ๊นซ์”

เสียงตะโกนแผดลั่นไปทั่วบริเวณ  โชคดีที่หลังอาคาร 3 เวลาเย็น  ไม่มีใครเลยยกเว้นพวกผม  และไอ้ปื้อ  หมาหลังอานของ อ. ดวงกมล  ที่เงยหน้าผงกหูมองผมแวบสั้น ๆ  ก่อนล้มตัวลงนอนรอเจ้านายต่อ

“กูรู้นานแล้ว”

มันเปิดหนังสือเตรียมสอบวิชาเลขขึ้นมาดูอีกครั้ง  สมาธิทั้งมวลพุ่งลงไปที่หนังสือปกน้ำเงิน

“หา”

“ช็อคเลยเหรอ”

ใบหน้ายังจมอยู่ที่เดิม  พร้อมกับปากกามั่นในมือที่ขีดเขียนคำนวณบางอย่างลงไป

“เอ่อ.... มึงไม่รังเกียจกูเหรอ?  แบบ ยี้ ตุ๊ด  ผิดเพศ  ยี้... วิปริต  แบบนี้”

“ไม่อะ  กูรอมึงเปิดใจอยู่”  บอสลุกขึ้นเก็บข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าแบบทันทีทันใด  เล่นเอาผมตกใจผงะถอยเกือบตกเก้าอี้หินอ่อน   แค่นั้นไม่พอยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ยัดข้าวของของผมลงกระเป๋าให้ด้วย  “ไปเอาคืนที่บ้านกู”

มันล็อคคอผมลากไปทางโรงจอดรถมอเตอร์ไซค์ของโรงเรียน

“ต้องไปทำงานอังกฤษของดวงกมล มึงจำได้ปะ”

ผมนิ่งคิด  มีงานด้วยเหรอ  ทำไมนึกไม่ออก

“ตอนนั้นมึงโดนเปิ้ลแกล้งอยู่ไง  จำได้เปล่า   ที่มันเอารองเท้านักเรียนมึงปาขึ้นไปบนหลังคาโรงยิม  แล้วกูก็วิ่งไปหาไม้มาช่วยเขี่ย   เสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลย    คนอื่นเขาเลยจับกลุ่มกันหมดแล้ว  กลุ่มละ 5 คน  แต่เราอยู่กัน 2 คน ก็ได้  อย่าลืมพวกเราน่ะตัวท็อปโรงเรียน”

ท็อปที่ว่า  คือ ได้คะแนนสูงนะครับ  ถ้าเรื่องหน้าตา  ไอ้บอสอาจจะท็อปโรงเรียน  แต่ผมน่ะ  ท้ายสุดหลังโรงเรียน  เผลอ ๆ  หลุดออกนอกโรงเรียนไปเลยด้วยซ้ำ

“วันนี้กูได้หนังแผ่นมาเด็ดมาก  มาดูกันตามประสาวัยรุ่น”

“หนังอะไรวะ”

“หนังที่ผู้ใหญ่ดูกันไง”

“คืออะไรวะ”

เท้าอันสะเปะสะปะของผมปาดไปปาดมาด้วยความไม่เข้าใจ  บอสกึ่งกอดคอกึ่งลากผมไปตลอดทาง

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


“ทัพ”  มือผมถูกฉุดกลับ ก่อนจะเอื้อมไปเปิดประตูหน้ารถแค่ชั่ววินาที “มานั่งข้างหลังกับกูได้มั้ย”

แดดยามสี่โมงครึ่งของ จ.ตราด ยังเลิกเสมอต้นเสมอปลาย   ผมอยากเอาตัวเข้าไปตากแอร์ในรถแล้ว  เสียงคนเจ็บออดอ้อนก็ชวนรำคาญ   เห็นใบหน้าแววตาพีที่ฉายชัดราวกับพูดกรอกหูผมว่า  “ตามใจมันหน่ยอสิ”   ผมเลยเลือกที่จะแทรกตัวเข้าไปนั่งกับมันโดยไม่เอ่ยขัดอะไรให้เสียบรรยากาศ

“แหม สัด พวกมึงสองตัวนั่งหลังรถ  ให้กูขับรถอยู่ข้างหน้าลำพัง  เอาเลยครับคุณชายทั้งสอง  เดี๋ยวสารถีพีคนนี้จะพาไปส่งถึงบ้าน”

“เออน่า  มึงก็ขับตามรถบอสไป  มันรู้ว่าบ้านแม่กูอยู่ไหน”

ผมปัด  พร้อมกับมองท่าทางตะเบ๊ะรับคำสั่งอันยียวนของพีผ่านกระจกมองหลัง   ตามค่อย ๆ เอนหัวลงมานอนหนุนที่ตักของผม

“ง่วงแล้วอะ  ยาที่กินออกฤทธิ์แล้ว”  จ้า จ้า  อยากทำอะไรก็ทำ  ได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละมึง  “ตามนอนนะ ทัพอนุญาตมั้ย”

“ยี้ อยากสำรอก  มาแทนตัวเองว่าทัพว่าตามใส่กัน  แหวะ”

จะไม่อนุญาตก็ไม่ทันแล้ว  เพราะเจ้าตัวนอนลง หลับตาพริ้ม  แต่ยังมีแรงโต้ตอบเจ้าของรถ

“เสือกไรไอ้อ้วน”

“ไม่มีไรครับไอ้หมอยุงลาย นอนไปมึง”

หลังจากเราขับรถเป็นขบวนเรียงสามไม่นานมากนัก   ตามก็หลับสนิทโดยหนุนตักของผมต่างหมอน   

ขบวนรถเรียงสามของเราประกอบด้วย คันหน้า  นำโดยรถของบอส  คันถัดมาเป็นรถของพีที่มีผมและตามโดยสารไปด้วย  ปิดท้ายด้วยรถของไอ้ตามที่ตอนนี้มีนเป็นคนขับ

หลังจากเสร็จพิธีสวดในคืนที่ 3 ที่สุดท้ายคุณหมอก็ไม่อนุญาตให้ตามมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพ  ญาติของคุณตำรวจก็พาร่างของเขากลับจังหวัดบ้านเกิดท่ามกลางความอาลัยเศร้าของเพื่อนร่วมงานในวันรุ่งขึ้น   ถัดมาได้หนึ่งวันในเช้าของวันศุกร์   หลังจากตามรบเร้าคุณหมอซ้ำแล้วซ้ำอีก  สุดท้ายคุณหมอก็อนุญาตให้ตามออกจากโรงพยาบาลได้    มันกระซิบข้างหูพีดังลั่นชนิดไม่เกรงเพื่อนร่วมวิชาชีพเลยว่า

“กว่าจะปล่อยกูกลับได้”

ผมกับคุณหมอเจ้าของเคส ได้แต่ส่ายหัวพร้อมกันให้มันที่ทำหน้าทองไม่รู้ร้อน  ก่อนที่ผมและพีต้องช่วยมันหอบหิ้วยาสารพัดอย่าง  มีทั้งยาฉีด  ผ้าทำแผล  แอลกอฮอล์แพด  เรียกได้ว่า  คุณหมอคงตัดใจและปล่อยให้ตามดูแลรักษาตัวเอง   

ผมยังได้ยินคุณหมอกำชับมาเลยว่า  “ รู้ใช่มั้ยว่าต้องดูแลแผลยังไง  แล้วก็อย่าซ่านัก  รีบหาย  รีบไปรักษาคนป่วย”   ซึ่งไอ้ตามก็ตอบรับด้วยหน้าระรื่นยิ้ม

“ดีเหมือนกันนะ  เหมือนทริปท่องเที่ยวบ้านมึงของห้อง 507 เลยวะ”

เพลงจากแผ่นเสียงรวมเพลงฮิตในอดีตของพีดังลั่น  เพลง  นึกเสียว่าสงสาร  ของคุณ อ้อย กะท้อน  รถไฟดนตรี  บรรเลงขึ้น  เพลงโปรดของแม่ผมเลยหล่ะ

“อืม ก็ดี”   ตาผมมองออกไปนอกหน้าต่าง  แม้ว่ามือยังลูบไล้เส้นผมคนที่นอนบนตักไปด้วยก็ตาม  “กูมีเรื่องจะปรึกษามึงหวะ”

“เรื่องพี่ปริ๊นซ์?”

พีทำเสียงสูงท้ายคำ  บ่งชัดว่ากำลังเคลือบแคลงไม่แน่ใจ

“ไม่อะ  เรื่องตาม”

“อะห้า”

ผมเงียบอีกสักพัก  พีก็ไม่รบเร้าให้ผมรีบเล่า   เพลงยังดำเนินต่อไปจนถึงท่อนฮุค

เพราะโลกนี้มีเธอ เพียงคนเดียว...  ฉันจึงเสียเธอไม่ได้  ถ้าเธออยากทำร้าย ก็เชิญ  แต่อย่าเดินหนีไปจากฉัน

“นึกเสียว่าสงสาร  อย่าลงทัณฑ์ด้วยการลาจาก...”

พีคลอร้องตามเพลงอย่างอารมณ์ดีจนจบท่อนนั้น แล้วผมก็เล่าเรื่องตามกับหยกให้พีฟังทั้งหมด  เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบประจวบเหมาะกับที่รถเราทั้งสามคนเหยียบเข้าเขตตัวเมืองตราด

“มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”

“กูอึ้งวะทัพ”  พีตบไฟเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันตามบอสไปติด ๆ  เพลงถูกปิดไปตั้งแต่ผมเล่าฉากที่ตามเมาแล้วไปข่มขืนหยก   เราจอดเรียงรอการเติมน้ำมัน  ความเงียบยังปกคลุมอีกสักพัก  จนเมื่อพีสั่งเด็กปั๊มว่าเต็มถังเสร็จ  มันก็หันมาเจรจากับผมต่อ  “กูยังติดภาพว่าเราเป็นเด็ก  ไม่ได้คาวโลกผ่านโลกีย์ขนาดนี้   แต่เอาจริง  เราโตและเดินตามทางของเราไปไกลเสียยิ่งกว่าที่กูคิดนะ”

ผมเงียบงันกับความเศร้าสร้อยระคนงงงวยของพี

“เอาเป็นว่า”   เสียงสดใสของมันดีดกลับมาทันที  แทบปรับตัวไม่ทันกันเลย  “กูพอหาทางแก้ไขปัญหาได้  ต้องให้ตามเล่ารายละเอียดอีกที  เชื่อมือกูสิ  ทนายมือทองแบบกู”

“ขอบคุณมึงนะ”

“ขอบคุณทำไม  ยอมเป็นเมียไอ้ตามแล้วเหรอ  มีขอบคุณแทนกันด้วย กิ๊ว ๆ”

“สัด”

“ฮะฮ่า  จ่ายด้วยบัตรด้วยครับ”

พีหันไปคุยกับเด็กปั๊ม  ยื่นบัตรเครดิตที่สะท้อนแสงออกไป

“ขอบคุณจริง ๆ นะไอ้พี”

“กูก็ต้องขอบคุณมึง  ที่อยู่เป็นเพื่อนตาม  ขอบคุณที่มึงเลือกที่จะไม่ทำลายความสัมพันธ์ของเราสี่คน”  แล้วพีก็ขับรถตามไปจอดที่หน้าร้านสะดวกซื้อเคียงคู่กับบอส  เพื่อรอมีนเติมน้ำมัน  “เหนียวแน่นได้  ก็ขาดสะบั้นได้  ความสัมพันธ์นะ  ไม่ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยว ฮะฮ่า”

ใช่แล้ว  ถ้าผมเลือกที่จะไม่สนใจตามอีกรอบ  มิตรภาพของเราสี่คนก็คงพังทลายตามไปด้วย

สมาธิจวนแน่วแน่หากไม่ถูกทำลายด้วยเสียงเคาะกระจกของหมอฟันหนุ่ม   กระจกรถถูกเปิดลงมาด้วยฝีมือของสารถีส่วนตัวของผม

“ทัพ  กูแวะไปโรงพยาบาลก่อนนะ  มึงบอกทางพีด้วยละกัน   แล้วอีกสักชั่วโมงนึงมารับกูที่บ้านที   กูจะเลยไปจอดรถไว้ที่บ้านเลย  ขออาบน้ำหน่อย   มึงก็รู้งานเลี้ยงรับขวัญของแม่มึง  ไม่เคยเล็กแบบที่ปากพูด”

เย็นนี้  แม่ผมจะจัดงานเลี้ยงรับขวัญผมกับตาม  คนที่แม่เคยแต่ได้ยินชื่อ  เห็นรูป  แต่ไม่เคยเจอตัวจริงสักที  อันที่จริงก็รวมพีและมีนด้วยที่แม่ได้ยินเพียงแค่ชื่อ   แม่มักพูดเสมอว่าเป็นงานเล็ก ๆ  เหอะ...  บอสก็รู้  ผมก็รู้  ว่าสเกลความเล็กใหญ่ของเราแม่ลูกไม่เคยพ้องต้องกันสักรอบ

“อืม ได้เลยเพื่อน”


-------------------------------------------------------------



“โอโห  บ้านแม่มึงใหญ่นะเนี่ย”

“เออสิ  เก็บเงินเก่งชิบหาย  ตอนแรกไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้นะ ขยันสร้าง  ขยันต่อเติมมากอะ”  คนที่นอนหลับสนิทก็ยังหลับตาพริ้มสบาย  “ตาม ตาม”

ไม่มีวี่แววสักนิดว่าจะตื่น  ถึงผมจะเขย่าตัวนานเท่าใดก็ตาม

“มึงละมุนไปสัด  มากูเอง”

แล้วไอ้พีก็ตบเหม่งไอ้ตามดังลั่นราวกับตีฆ้องในวงดนตรีไทย

“โอ๊ย  ไอ้เหี้ย  ใครตีกูวะ”

คนที่โดนตบเหม่งดีดตัวขึ้นมาราวกับผีดูดเลือดพุ่งออกจากโลง

“เออ กูเองนี่ละ”

“ไอ้อ้วน”

“เห็นปะ ทัพ  มันตื่นแล้ว  เอ้า ลงรถไปไหว้แม่มึงกัน”

บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น  แม่ผมถูกชะตากับไอ้สามตัวนี้ทันที  โดยเฉพาะมีน ที่พูดน้อยแต่ช่วยท่านจัดนู้นจัดนี้  ยกจาน  ยกอาหาร   ส่วนตามถูกแม่สั่งไปนั่งอยู่เฉย ๆ ห้ามทำอะไรทั้งนั้น   โดยมีพีคอยกำกับอยู่ข้าง ๆ  ส่วนผมนะเหรอ   กลายเป็นแจ๋วก้นครัว  ทอดปลาอยู่กับพี่คนงานนะสิ

“นี่แม่ขนคนมาทั้งศาลากลางเลยมั้ยครับพี่”

“ไม่หรอกจ้ะ น้องทัพ  ยี่สิบกว่าคนเอง”

โอ๊ย ผมจะเป็นลม  เล่นใหญ่สไตล์แม่จ๋า   เลยขอตัวออกจากห้องครัวมาคุยกับแม่  แล้วก็จะเลยไปรับบอสด้วยเลย

“แม่  นี่ชวนมาขนาดนี้เลยเหรอ”

แม่ยิ้มแทนคำตอบ

“วันนี้คืนวันศุกร์เอาให้หนำใจเลยลูก   ใครกินเหล้าเมาก็ก๋องหลังกันขึ้นห้องไปนอนได้”  ก๋องเป็นภาษาตราด แปลว่า ขี่คอ   

“ก๋องคืออะไรอะครับแม่”

เสียงเจื้อยแจ้วสงสัยของตามลอยมา  พร้อมกับเสียงชู่ปากของพีที่สั่งให้มันอยู่เฉย ๆ   แม่จ๋าแค่หันไปยิ้มให้ตามหนึ่งทีแล้วกลับมาเจรจากับผมต่อ

“ทำไมจะชวนมาไม่ได้ล่ะ   ฉันยอมชวนพ่อแกมาด้วยเลยนะ  นี่ไม่เจอหน้า ไม่คุยกันมาหลายปี  เห็นแก่ลูกเลยนะ”

ระอาใจกับการเล่นใหญ่ของแม่จ๋า  ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

“จ้ะ เอาเลยจ้ะ   เดี๋ยวทัพไปรับบอสก่อนนะ  ขอกุญแจมอไซค์”

ผมแบมือเหมือนลูกสุนัขขออาหารเจ้านาย   ซึ่งแม่ก็โยนใส่มือให้อย่างไม่ปรานีปราศรัย   ได้แต่เอามือถูไปถูมาด้วยความเจ็บ   มองอย่างปะหลับปะเหลือกใส่แม่ที่เชิดหน้าใส่ผม  เดินไปจัดโต๊ะอาหารต่ออย่างไม่ใยดีลูกชายอดีตหัวแก้วหัวแหวนคนนี้   เดินออกไปบอกเพื่อนทั้งสามคนแล้วขี่มอเตอร์ไซค์จนมาถึงหน้าบ้านไอ้บอส

มีรถทะเบียนกรุงเทพฯ จอดอยู่หนึ่งคันหน้าบ้านของมัน   คิ้วหน้าของผมก็ยกม้วนด้วยความงุนงง  หลังล็อคคอรถมอเตอร์ไซค์แล้ว  เอื้อมมือจะไปกดกริ่งเรียกแต่สายตาดันว่องไวเห็นประตูรั้วแง้มเปิดอยู่  จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้าน

“บอส”

กำลังจะตะโกนให้สุดเสียง  ก็เห็นเงาตะคุ่มบางอย่างอยู่หน้ารถของบอสที่จอดนิ่งในโรงจอดรถ  ปากของผมจึงถูกนาบปิดสนิทโดยอัตโนมัติ

“เพื่อนพี่ทำร้ายเพื่อนผมมากไปแล้วนะครับ”

“คิดว่าพี่อยากให้เป็นแบบนี้เหรอบอส....”    เสียงกังวลราวกับกำลังอ้อนวอนให้อีกฝ่ายเห็นใจ  “เข้าใจพี่ด้วย”

“ผมเข้าใจครับ  แต่ผมไม่พอใจ”

เงาตะคุ่มนั่นคือ บอส  และ พี่ปัน   และสิ่งที่ผมเลือกก็คือ ซุ่มแอบฟังอยู่ตรงนี้ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นการไม่ควร

“พี่ตีรถจากกรุงเทพมาทันทีที่ทราบข่าวว่าทัพถูกทำร้ายเลยนะ  ไอ้ปริ๊นซ์ก็มาด้วย  แต่ไม่ต้องห่วงพี่ไล่มันไปที่บ้านแล้ว  มันจะไม่โผล่ออกมายุ่มย่ามใจทัพเด็ดขาด”

“ผมจะไม่มีวันสนับสนุนเพื่อนผมให้รักคนเลว ๆ อย่างเพื่อนพี่”

“เรื่องเหี้ย ๆ พวกนั้น พี่ก็เพิ่งรู้  ไม่มีใครรู้....”  ยังไม่ทันที่พี่ปันจะพูดจบประโยค   ก็ถูกมือใหญ่โตของบอสคว้าหมับคล้องคอไว้แน่น  บอสก้มตัวลงพร้อมกับกระชากร่างบางให้เข้าใกล้    กดจูบลงไปหาคนเตี้ยที่ยืนประจันอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่    ผมเห็นชัดเลยว่าลิ้นของบอสพัวพันอยู่ในปากของพี่ปันที่ดูเหมือนจะยินดีกับจุมพิตครั้งนี้  เป็นเวลานานสองนานที่ผมยืนมองสองคนนี้แลกลิ้นกัน 
 
“บอส”   

เสียงแผ่วเบาของพี่ปันลอยมาตามลม  มันดูละมุนและไม่กระด้างแบบสมัยเรายังเป็นเด็ก    มือขาวสะอาดของพี่ปันดันอกแกร่งของบอสให้ห่างออกไปเล็กน้อย    พี่ปันหอบพร้อมกับสูดอากาศอย่างโหยหา

“ผมอยากแก้แค้นแทนเพื่อนผม  เพื่อนพี่ทำเพื่อนผมไว้เยอะ  ผมก็จะแก้แค้นจากพี่นี่แหละ”

“บอส” 

เป็นอีกครั้งที่พี่ปันที่เคยดูเข้มแข็งดุกร้าว  กลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น 

“อย่าเอาเรื่องของเรามาเป็นข้อต่อรองในเรื่องของคนอื่นเลย”

“เรื่องของเราเหรอครับ”   บอสเอามือล้วงกระเป๋า ยืนด้วยท่าหล่อบาดใจแบบนายแบบ  สะโพกของมันเท้าลงไปที่กระโปรงหน้ารถดูไม่ยี่หระกับสิ่งที่มันเพิ่งกระทำไป   “ผมขอคิดดูก่อนนะครับ  พี่กลับไปได้แล้ว  ทัพคงใกล้มาแล้ว”

เมื่อได้ยินชื่อตัวเองเต็มสองรูหู   จึงแสร้งเดินถอยหลังไปหลายก้าว  แล้วตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านสุดพลัง  เนียนสมใจอยากเลยหละ  บอสเดินออกมาพร้อมกับพี่ปัน   ทุกอย่างดูปกติ   บอสยังหน้านิ่งเหมือนเดิม  แต่ใบหน้าแดงเป็นผลตำลึงของพี่ปันนะสิ  ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด

“ไปด้วยกันมั้ยครับพี่ปัน”

หลังจากผมเล่ารายละเอียดเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้แล้ว   พยายามทำหน้าให้ปกติที่สุดที่จะทำได้  น้ำเสียงฟังดูสบายของผมสามารถปกปิดพี่ปันได้สนิท   แต่สำหรับเพื่อนสนิทของผมที่กำลังแผ่กระจายรังสีแห่งความเคลือบเคลืองใส่ผมอย่างไม่หยุดหย่อนนะสิ    ผมควรทำอย่างไรดี   

 “ไม่หรอก พี่เขาติดธุระ”

บอสตอบแทนเสร็จสรรพ   ยังคงจ้องผมอย่างไม่วางตา

“เออ ... พี่... คือ...”

คนที่ควรตอบได้แต่อึกอัก   แล้วสุดท้ายพี่ปันก็ส่ายหัว   ขอโทษและขอบคุณผม  ก่อนเดินจากไป  สตาร์ตรถหายไปในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่บอกลาใครสักคน

มือไหว้ลาพี่ปันที่ยกค้างอยู่เพียงลำพัง  ยังมองควันจากรถทะเบียนกรุงเทพฯ ที่พวยพุ่งออกมา   ภาพของเจ้าขอบรถที่ถูกดันออกจากบ้านด้วยสายตาเย็นชาของไอ้บอสลอยวนในจักษุประสาท    แล้วมันก็หันมาดันหลังผมออกจากบ้านอีกราย   ก่อนล็อคกุญแจประตูรั้ว  ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่มันจะหันไปมองรถของพี่ปันที่ขับจากไป

“เออ แม่มึงละ  กูยังไม่ได้ไปไหว้”

“ไปทอดผ้าป่าที่จันทบุรี”

“อ้อ เหรอ”

“อืม”

“อืม”

“อืม”

“อื้มมมมม”

“มึงจะพูดอะไรก็พูดมา”

“เปล่าจ้ะบอส”  ผมกำลังจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์  ก็ถูกไอ้บอสเบียดตัวดันไปเป็นคนซ้อนแทน  “กูขี่ได้นะ”

“มึงยังเจ็บอยู่ กูขี่เอง”

“อะ ก็ดี”

“ดีมากน้องอ้วน”

“มึง”

“พูดมา”

“ทำงานใช้ทุนเสร็จ จะทำไรต่ออะ”

“เรียนเฉพาะทางมั้ง  ไม่ก็จะไปเป็นทันตแพทย์อาสาตามชายแดนสักปี”

“คนดีจัง”

“เพื่อนมึงก็คนดีตลอด”

“เออ ...”

ภาพจูบของบอสและพี่ปันยังติดตามผมอยู่

“พูดมาเถอะ”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ”

แล้วพวกเราสองคนเงียบตลอดทาง   ผมคิดสะระตะสารพัดว่าจะถามเรื่องนี้อย่างไรดี    อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงบ้านแม่แล้ว  เพียงเลี้ยวขวาตรงหัวมุมเท่านั้น 

เหมือนกับว่าใครมาดีดนิ้วใส่หน้าผม   ผมนึกออกแล้วว่าควรจะเริ่มถามบอสอย่างไร   ทว่าความสงสัยอีกประการหนึ่งก็ดันเกิดแทรกขึ้นมาเสียก่อน    เพราะว่าแม่จ๋ากำลังยืนรอรับผมหน้าบ้าน  แค่แม่จ๋าคนเดียวไม่พอ   ยังมีรูมเมตทั้งสามของผมยืนล้อมอยู่ด้านหลังราวกับองครักษ์ประจำตัว

“เตรียมชุดหรือยังลูก  ต้องหล่อสุด ๆ ไปเลยนะ”

“อะไรอะแม่”

ไม่ใช่แค่ผมที่งงหรอก  บอสก็งงไปตาม ๆ กัน   มันเข็นมอเตอร์ไซค์ไปจอด  แต่ยังคงมุ่นคิ้วและเอี้ยวคอจ้องผม

“เอ้า นี่ไม่รู้เรื่องเหรอ”

แม่หันหัวไปคาดโทษพีที่ยืนหลบมุมอยู่เบื้องหลัง

“ครับแม่”   แม่  มีน และตาม  ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกัน  ท่ามกลางความไม่เข้าใจของผมกับบอส  “ทัพ  จำหลินได้มั้ยมึง”

ผมผงกหัว  ใครจะลืมกัน  หลินแฟนไอ้พี  มานั่งเฝ้าผมตอนที่ถูกแทงหลายต่อหลายครั้ง  บางทีสาวเจ้าก็มาคนเดียวเพราะพีติดธุระด่วน  เรายังแลกไลน์แลกเฟซบุคเอาไว้เลย

“กูกับเขา  จะแต่งงานกันนะ   มึงสามตัวต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนะ”

เหยดดดดดดดดด   

ผมมองไปทางบอส  ความสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมันและพี่ปันยังเต้นเร่าในสมองของผม  เมื่อตัดสลับมองไปทางพี  ความดีใจอันสูงสุดก็โลดแล่นอยู่เช่นกัน

การแต่งงานของพี  แล้วพวกเราต้องเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวก็แปลว่า  ผมกับตามต้องใกล้ชิดกันอยู่สินะ  หรือนี่เป็นแผนของพีที่จะให้ผมกับตามได้อยู่ใกล้กันเข้าไปอีก    มึงรู้มั้ยพี  ว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้  ที่มึงล้อเลียนว่ากูใจอ่อนกับตามแล้ว  กูเล่นละครอยู่  กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันในเชิงชู้สาวเลย  มีแต่ความผิดและความสงสารเท่านั้นที่เป็นเหมือนน้ำมันหล่อเลี้ยงให้กูมีกำลังที่จะทำต่อไป     

ผมตั้งใจว่าพอทุกอย่างเป็นปกติ  เมื่อเรากลับไปสู่เส้นทางการทำงานของตัวเอง  ความวุ่นวายและหนักหนาของวัยผู้ใหญ่จะทำให้สายสัมพันธ์และความรู้สึกของตามมันเหือดแห้งได้เอง   วันหนึ่งผมกับมันก็จะกลับไปเป็นเพื่อนได้ดังเดิม   เหมือนกับวันแรกที่เราได้เจอกัน   มีแต่มิตรภาพเท่านั้นแหละที่นิรันดร

ยิ่งผมกับตามต้องอยู่ใกล้กันไปเรื่อย ๆ  แบบนี้  ท้ายที่สุดคนที่จะจมดิ่งสู่มหาสมุทรแห่งความว่างเปล่าที่มืดมิดก็จะมีเพียงตาม  ความเจ็บปวดทั้งหมดก็จะกดทับเพื่อนรักของผมคนนี้ต่อไปเรื่อย ๆ

“วันนี้ฉลองให้เต็มที่เลยนะลูก ๆ เหล้ายาปลาปิ้ง มีหมด  คาราโอเกะก็มีนะ   ตามร้องเพลงให้แม่ฟังหน่อยนะ  มีนบอกว่าลูกร้องเพราะ”

เสียงหัวเราะยังดังต่อไป  แม้แต่ผมกับบอสก็ยังแสร้งหัวเราะตามไปด้วยเลย  แต่ผมสับสนเหลือเกิน  ผมควรทำอย่างไรต่อไปดีวะ  ผมควรเริ่มจากอะไรก่อนดี


-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 24

แล้วครับ


ตอนนี้ว่างต้องรีบปั่นครับ  ก่อนที่จะไปสอบไฟนอล

ขอบคุณสำหรับการอ่าน ให้กำลังใจ และติชม ครับผม

 :z2:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :เฮ้อ: แล้วทัพจะเอายังไงต่อจะกลับไปเคลียร์กับปริ๊นเหรอ? :katai1:
รอจ้า

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด