บทที่ 30
ถึงงานแต่งงาน
ตอนที่ 3
“กูพอแล้วนะ...”
โทรศัพท์สั่นเล็กน้อย เพื่อแจ้งเตือนข้อความเข้าจาโปรแกรมไลน์ ข้อความดังกล่าวเป็นการชี้ชัดทุกอย่างว่า หมอตามยอมแพ้กับเรื่องของทัพแล้ว
ผมกดโทรศัพท์หาคนที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด แต่ก็ยอมรับตรง ๆ เลยว่า ในส่วนลึกก็แอบหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย
“พี่ปัน ทำอะไรลงไป...?”
“หา... อะไรกัน บอส เอะอะก็โทรมาว่าพี่ เคยจะโทรคุยกันปกติบ้างมั้ย”
ผมถอนหายใจด้วยความแค้นเคือง
“เพื่อนพี่ทำอะไร? ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้”
ได้ยินแต่เพียงเสียงอ้ำอึ้งซึ่งผิดปกติไปกว่าทุกครั้ง ถ้าเป็นพี่ปัน อย่างน้อยต้องขำและยินดีกับชัยชนะครั้งนี้แน่ ๆ ใช่สิ เพราะเพื่อนพี่สามารถคว้าหัวใจของเพื่อนผมไปได้ยาวนานนับทศวรรษขนาดนี้
“ปริ๊นซ์มันไม่ได้ทำอะไรหรอก มันอยู่โรงพยาบาลนะบอส”
“......................”
“ปริ๊นซ์ถูกแทงเมื่อวานตอนเย็น อาการไม่สาหัสมาก แต่มันไม่ได้ทำอะไรทัพจริง ๆ นะ”
ผมยังเงียบอย่างต่อเนื่อง พยายามย่อยข้อมูลทั้งหมดอย่างเชื่องช้า
“พี่ว่า ต่อจากนี้ไป ปริ๊นซ์คงไม่มาตามไล่หาทัพก่อนแล้วแหละ ส่วนทัพ พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่หรอก บอสยังอยู่มั้ย....?”
“อยู่ครับ”
“พี่ว่า สองคนนั้นคงอยากทิ้งช่วงเวลาคิดและอะไรอีกหลายอย่าง พี่ขอโทษนะ พี่ต้องไปแล้ว พี่พาที่บ้านมากินข้าวนอกบ้าน ต้องพาพวกท่านกลับบ้านก่อน ขอโทษจริง ๆ นะ”
แล้วเขาก็วางหูไป ทิ้งให้ผมไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้แต่ก้มลงดูข้อความในไลน์ที่ทั้งมีนและพีกระหน่ำให้กำลังใจตาม ผมทำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนรักของผมมันกำลังคิดอะไรอยู่ ผมไม่สามารถตามสถานการณ์นี้ทันอีกแล้ว
Tam-tarmไม่เป็นไรเว้ย กูสบายดี
It’s Pกูเป็นห่วงมึงนะเว้ยไอ้ตาม
Meannnเออ กูด้วย ยิ้มไว้นะเพื่อน ปีใหม่ต้องเข้าเวรยาวนี่นา
-------------------------------------------------------------
ทัพ“เราไปกินข้าวกันมั้ยทัพ..??”
พอลโทรหาผมทันที่ในเช้าวันรุ่งขึ้น เสียงระรื่นจนขัดลูกตา
“ไม่ได้หรอก เรามีนัดกับตามแล้ว”
“รู้แล้ว พอลเพิ่งคุยกับตาม ตามบอกว่าจะมากินข้าวด้วยก็ได้ แต่เราอยากขออนุญาตทัพก่อน เพราะตามบอกทัพเป็นคนเลี้ยง” ตามกับพอลคุยกันแล้วสินะ ดีแล้ว ดีแล้ว “ไม่ต้องห่วง เราไม่ลำบากให้ทัพเลี้ยงหรอก พอลออกเองได้ แต่แค่อยากไปด้วย เออ... คือ...”
“ได้สิพอล”
“เฮ้ยย ทัพใจดีจัง แต่ช่วยฟังพอลพูดหน่อยได้มั้ยอะ.......”
“ได้สิ... ว่ามา” ผมยิ้มให้เจ้าหน้าที่ที่นำอาหารเช้ามาให้พี่ปริ๊นซ์ที่ยังนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาจากเมื่อคืน “แปบนะพอล”
หลังจากปลุกพี่ปริ๊นซ์ให้ตื่นมากินข้าวเช้า โดยเจ้าตัวยืนยันว่าจัดการตัวเองได้ ผมก็เลี่ยงออกมาคุยกับพอลต่อนอกระเบียงห้อง
“ขอโทษทีพอล”
“ไม่เป็นไรทัพ ไม่เป็นไรจริง ๆ ที่ทัพทำให้เรามากมายกว่านั้นเยอะ”
“....................”
“คืองี้นะ เราไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยว่าจะดีพอที่ตามจะชอบ” เหอะ แค่หน้ามึงก็กินขาดทุกคนแล้ว “เราว่าตามเป็นคนเฮฮา สนุกสนานนะ แต่ก็ไม่รู้ดิ พอลว่า ตามเข้าถึงยาก”
“....................”
“กับทัพ กับพี อาจจะไม่รู้สึกนะ เพราะสนิทกันใช่มั้ยล่ะ” บางทีก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นนะพอล ผมส่ายหัวทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรับรู้หรอก เหม่อมองสภาพการจราจรเช้าวันอาทิตย์ ฟังเสียงของพอลเป็นเพียงฉากหลัง เหมือนเสียงจักจั่นร้องที่เราไม่ได้ใส่ใจ “..... นั่นแหละ ตามน่ารักมาก ไปดูหนังด้วยกันมาด้วยแหละ แต่พอลไม่กล้าทำอะไรเกินเลย วันนี้เช้าตามโทรมาหาแต่เช้าบอกว่าอยากให้ไปกินข้าวด้วย เราดีใจแทบกระโดดแน่ะทัพ”
“ตามมันโทรไปหาพอลก่อนเหรอ...?”
“อืม ใช่ ทำไมเหรอ???”
เสียงปีติยินดีของพอล มันท่วมท้นทะลักแน่นด้วยความสุขจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก
“งั้นเจอกัน แค่นี้นะ”
ใช่... ผมหายใจไม่ออก ไม่อยากไปกินข้าวแล้ว ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น
“ไม่สิ ไม่... กูสิควรจะดีใจ”
-------------------------------------------------------------
ปริ๊นซ์ลำบากเว้ย ที่ต้องมาฝืนยกช้อนส้อมกินข้าวเช้าทั้งที่เสียดแสบไปทั้งตัว แต่ที่ทำไปเพียงเพราะอยากแสดงให้น้องเห็นว่าผมทำได้ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง อะไรที่เครียดอยู่ ให้รีบไปเคลียร์มันซะ ดูหน้าตัวเองบ้างมั้ย ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ
“ทัพ” ทำไมหน้าเครียดแบบนั้น หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ น้องก็ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โซฟา “ทัพพพพพพพพ”
ต้องตะโกนดังมากพอ และนานพอดู เจ้าของชื่อถึงหันมามอง
“ครับพี่”
“ไปเยี่ยมน้อยหน่าแทนพี่ได้มั้ย...?”
“อ้อ ได้สิครับ”
ไม่หยุดคิดสักหน่อยเหรอไง
จะขี้เกรงใจอะไรนักหนา
“ไม่ต้องรีบนะ วันพรุ่งนี้ก็ได้ น้อยหน่าเขาอยากเจอทัพนะ เรียกว่าน้องทัพด้วยนะ พี่ไม่อยากขัด ทั้งที่ก็นะ ....” ผมขำออกมา พยายามสลายความเครียดที่ปกคลุมทัพออกไป “ก็รุ่นเดียวกัน”
“อ้อ ... ครับ”
ไม่ได้ผลแฮะ
“ทัพ... โอเคแน่นะ”
น้องนำโต๊ะเลื่อนสำหรับทานอาหารออกจากเตียง ปรับระดับให้ผมได้อิงหลัง แล้วน้องก็เปิดโทรทัศน์ให้ผมดู จากนั้นน้องก็ยืนนิ่งกำรีโมทคอนโทรลอยู่ท่าเดิม ยืนข้างเตียงผมหลายนาที
แน่นอนว่าผมไม่สนใจรายการอะไรในโทรทัศน์ทั้งนั้น
สนใจคนข้าง ๆ ที่อาการหนัก ต้องเข้าห้องฉุกเฉินแล้วแหละ
“ทัพ...”
ก็ยังกำรีโมทแน่น เหม่อมองอะไรอยู่นะ
“ทัพ”เรียกไปเขย่าตัวไป
“ครับ”
กว่าจะรู้สึกตัว.... เหม่อลอยจนผิดปกติเลยน้อง
“พี่เป็นกำลังใจให้นะ”
“เห้ยพี่” ยิ้มฝืน ๆ ที่ดูก็รู้ว่าปลอมฉายชัดบนใบหน้าของน้องรัก “ผมสบายดี แค่ง่วงอะพี่ รู้สึกยังนอนไม่อิ่ม เย็นเจอกันนะครับ ผมไปทำธุระกับเพื่อนก่อน”
“พี่อยู่ข้าง ๆ เสมอนะ”
บีบมือบีบไหล่ บีบทุกส่วนที่ทำได้ เพื่อส่งต่อกำลังใจให้คนตรงหน้า แม้จะดูไร้ความหมาย
“ครับพี่”
อีกยิ้มจอมปลอมที่ไม่ได้ปลอบประโลมใครให้รู้สึกดีขึ้น
-------------------------------------------------------------
ทัพผมกลับไปอาบน้ำที่คอนโดฯ ตามนั่งนิ่งกินข้าวเช้าอย่างเงียบเชียบ เราไม่ได้ทักทายอะไรกันมากนัก หลังจากที่ผมเสร็จธุระส่วนตัว รวมทั้งตามที่เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกจากห้องกันโดยไร้คำพูด
ตามพาผมไปที่รถยนต์ของมันที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ
รถมันสะอาด ไร้คราบอาเจียนของผม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาทำความสะอาดเมื่อใด บนรถมีเพียงกลิ่นหอมฟุ้งจากถุงเครื่องหอม ถ้าไม่บอกก็จะไม่มีวันทราบเลยว่ารถคันนี้มีคนเคยขึ้นมาสำรอกอาหารไว้
ผมไม่เคยถามมันเลยว่า มันจัดการความเละเทะที่ผมทำไว้อย่างไร เมื่อไร
ใช่แล้ว... ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องมันเลยด้วยซ้ำ มีแต่มันที่ถามผมตลอด
หลังจากที่ผมบอกชื่อร้าน มีเพียงคำตอบเบา ๆ ว่า อืม เราเลือกจะไม่คุยอะไรกันต่ออีก
“ครับ ม้า...”
แม่ของตามโทรเข้ามา
“แกมากรุงเทพฯ เหรอ ใจคอไม่คิดจะมาเยี่ยมม้าเยี่ยมม่วยที่นครปฐมเลยเรอะ....”
เสียงแม่ของมันดังอาละวาดลั่นรถ ใช่ครับ ตามมันต่อมือถือเข้ากับลำโพงรถจะได้คุยได้สะดวกและไม่ผิดกฎหมาย
“วุ่นอะม้า มาเรื่องงานแต่งเพื่อน ไม่ได้มาเที่ยวเล่น”
“หนอยยยย ไอ้ลูกคนนี้ แม่อ่านไลน์แกเมื่อคืนแล้วนะ”
“ม้า...” เสียงมันลนลานตกใจ “ผมอยู่บนรถ”
“หือม์ อ้อ... อืมม เอาเป็นว่า ม้านัดไว้แล้วนะ ยังไงแกก็เลี่ยงนัดดูตัวรอบนี้ไม่ได้”
“ม้า!!!”นัดดูตัวเหรอวะ ผมหันไปมองหน้าคนขับทันที ส่งกระแสจิตเพื่อเค้นเอาคำตอบจากมัน แน่นอนว่าเปล่าประโยชน์
“แกห้ามผิดสัญญานะ ลูกสาวคุณนาย” สักชื่อหนึ่งที่ยาวมากและสะกดยากมาก “เขาการศึกษาดีมาก”
และอีกยาวนานเนิ่นนาน จนตามต้องขอเสียมารยาทแม่ตัวเองหนึ่งที และคำว่า ขอโทษนะครับ เป็นคำสุดท้าย ก่อนที่มันจะวางหูไปโดยที่แม่ของมันยังพร่ำพูดไม่หยุด
“นัดดูตัวเหรอวะ...?”
ผมไม่เข้าใจ แล้วเรื่องหยกล่ะ...
“................................”
มันตั้งใจขับรถมากเลยครับ ตีเลี้ยวอย่างนิ่มนวล
“มึงเป็นใบ้เหรอวะ”
แล้วเรื่องที่มันพยายามไล่จีบผมมาตลอดล่ะ??
เรื่องที่ดูเหมือนมันจะสนใจพอลอีกล่ะ....?
มีความจริงใจอยู่บ้างมั้ย
“..................................”
รถขับตรงต่อไป ไร้บทสนทนาที่ไม่มีความหมาย ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคุยกับท่อนไม้ ในเมื่อมันเลือกที่จะไม่คุย
ผมกระโดดลงจากรถทันทีที่จอดเทียบสนิท ไม่อยากจะใช้เวลาแม้สักเสี้ยววินาทีอยู่กับไอ้หมอยุงลาย จอมเย็นชาอีกต่อไป
มันคงยังไม่แลกแผนการเย็นชาที่วางไว้กับไอ้พวกนั้นสินะ .... ได้ ในเมื่อมึงจะเย็นชาใส่กู กูก็จะเย็นชาใส่มึง ให้มากกว่าที่พวกมึงคิดจะทำกันอีก
“อ้าว ทัพ” พอลที่โผล่มาจากรถหรูอีกคัน ยิ้มทักทายผม ใบหน้าขาวสว่างที่ใส่แว่นกันแดดยี่ห้อแพง ช่างเข้ากันและขับกล่อมให้เขาดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น “ตาม”
เสียงดูตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย ผมเกลียดใบหน้าหล่อเหลานี้ขึ้นมาอย่างไรไม่รู้วะ
“ร้านอาหารนี้ดังมากเลยนะ เราอ่านในรีวิวมา แต่ไกลไปหน่อยนะทัพ”
ประโยคท้ายติดแซวผสมจิกกัดผมเล็กน้อย แต่ผมไม่สนคำพูดพอลหรอก สนใจท่าที่ตีเนียนที่พยายามแทรกตัวเองเข้ามาตรงกลางระหว่างผมกับตาม เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีสิทธิขัดขวางอยู่แล้ว
ผมหลีกทางให้พอลอย่างง่ายดาย อยากจะชิดจะติดแค่ไหนก็เชิญ
ร้านอาหารที่ผมเลือกเป็นร้านดัง แต่อยู่ไกลออกจากเขตเมืองพอสมควร แถมที่จอดรถก็อยู่ฝั่งข้ามกับตัวร้าน ต้องอาศัยเดินข้ามถนนอย่างเดียวเท่านั้น
เสียงคุยของตามและพอลดังไล่หลังเป็นระยะ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอก ผมเพ่งสมาธิไปกับการรอรถเพื่อข้ามถนน อยากจะรีบกิน รีบกลับ แยกย้ายจากกันไปเสียที
ยืนรอตรงทางม้าลายมาสักพัก ไม่มีวี่แววว่ารถจะหยุดวิ่ง ผมจึงตัดสินใจบ้า ๆ กระโดดลงบนถนน เสียงโวยวายดังจากพอลและตามเล็กน้อย ทว่าทั้งสองคนก็เดินตามผมมา เสียงล้อเลียนว่าผมเป็นวัยรุ่นใจร้อนดังอยู่ข้างหูขวาตลอดเวลา
ในที่สุดเราก็เดินฝ่ารถที่บีบแตรใส่เราด้วยความโมโหบ้าง ชะลอวิ่งช้าลงให้เราบ้าง จนมาถึงเกาะกลางถนน
“เจ๋งอยู่นะทัพ แต่พอลว่า วันหลังรอหน่อยก็ได้ กลัววะ”
เชิญกลัวไปเลย ผมกระโดดลงสู่สมรภูมิการข้ามถนนอีกครั้ง เดินไปไม่ถึงก้าว ไอ้ตามก็เลือกปาดหน้าผมเอี้ยวตัวไปด้านซ้ายมือผมเสียดื้อ ๆ หงุดหงิดเว้ย จะอะไรกับกูหนักหนา
ผมกลายเป็นคนคั่นกลาง ที่ฟังมันสองคนคุยกันข้ามหัวตลอดการข้ามถนน จนถึงร้าน กินข้าว และทุกการกระทำ ถ้าอยากจะสวีทกันจะเอาผมมาคั่นกลางทำไม ปล่อยกูกลับสิ แต่แม่งเอ๊ย... กูกลับเองไม่ได้ ไกลขนาดนี้ รถแทกซี่สักคันผมยังไม่เห็นเลย
“พอล รบกวนส่งเราเข้าเขตเมืองทีนะ”
เอ่ยแทรกกลางวงสนทนาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เล่นเอาทุกอย่างเงียบสนิทเลย
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่กินข้าวมา มีเพียงตามที่ชวนคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด พอลแทบจะไม่ได้อ้าปากชวนใครคุยก่อนเลย
เฟรนด์ลี่เชียวนะไอ้หมอยุงลาย
“ตรงนี้มันนอกเมือง ตามจะได้ขับรถกลับระยองไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาวนรถไปส่ง รบกวนด้วยนะ”
ผมตะโกนเรียกบริกรเพื่อสั่งของหวาน เป็นสัญญาณบอกทุกคนว่าอย่าขัดในสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปแล้ว
ทุกอย่างได้ผล ไม่มีใครขัดใจผม ผมมีหน้าที่กินของผมต่อไป และทุกอย่างก็เป็นไปในแบบที่ผมต้องการ
หลายวันผ่านไป ปีเก่าผ่านพ้นไป ปีใหม่มาเยือน
ผมไม่สนในเล่นโซเชียลมีเดียอะไรเลย ทุกการติดต่อของเพื่อนฝูงพี่น้อง ต้องผ่านการโทรศัพท์เท่านั้น ผมไปเฝ้าพี่ปริ๊นซ์แทบทุกเย็น มีบ้างที่พี่ปันมานอนเฝ้า แบ่งเวลาบางส่วนไปหาน้อยหน่า ไปชวนคุย เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง ติดต่อสถานีตำรวจเรื่องผู้ร้ายที่แทงพี่ปริ๊นซ์ ซึ่งทราบแต่เพียงว่าเป็นคนไข้ที่มีอาการทางจิต ทางตำรวจและโรงพยาบาลกำลังพยายามเร่งจับตัวมาบำบัดต่อ ในเรื่องคดี เนื่องจากเป็นผู้ป่วยทางจิตดังที่ทราบแล้ว ตำรวจจึงแจ้งว่าอาจจะทำอะไรมากไม่ได้นัก และดูทางฝ่ายพี่ปริ๊นซ์ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“พี่ว่า เขาน่าสงสารด้วยซ้ำนะ”
“หือม... ยังไงวะไอ้ปริ๊นซ์”
พี่ปันถามแทนในสิ่งที่ผมอยากถาม
“ก่อนแทงกู เขาขอโทษด้วยนะ เหมือนเขาไม่มีทางเลือก และการที่เขาทำกู เป็นหนทางสุดท้ายแล้ว” ผมมองหน้าพี่ปันอย่างไม่เข้าใจ และพี่ปันก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม “แต่ให้เอาอีกรอบ ก็ไม่เอานะ โดนแทงอะ”
แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อพ้นปีใหม่มาได้ไม่กี่วัน
งานแต่งงานของเพื่อนรักผมใกล้เข้ามาทุกที
งานฝ่ายสถานที่ยิ่งทำให้ผมวิ่งจ้าละหวั่น ผมทำงานคนเดียว ไม่พึ่งตาม ตามไม่รู้ด้วยซ้ำและแน่นอนว่า มันก็ไม่ได้โทรมาถามอะไร
และแล้วก็ถึงงานแต่งของเพื่อนรัก
ตีสี่
ผมพาร่างที่เหนื่อยล้าขึ้นรถแทกซี่ไปยังสถานที่จัดงาน
“ตื่นเต้นมั้ยวะพี...?”
ผมทักมันทันทีที่เข้ามาถึงห้องแต่งตัวของเจ้าบ่าว
“อ้าว เทเลทับบีส์”จะหยุดเรียกชื่อนี้เมื่อไหร่วะ สัด...
“ไม่เลยวะ” หน้ามันนิ่งเหมือนคนใกล้ตาย ปากนี่ซีดเชียว ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอวะ “ไม่ตื่นเต้นสักนิด”
มันยังหน้านิ่งขณะที่ช่างแต่งหน้ากำลังปัดแก้มข้างขวาให้มัน
“ไม่ไหวก็พูดมา”
“ขอบคุณนะทับบีส์” สัด กร่อนชื่อกูซะเสีย ถึงขนาดทำพี่ช่างแต่งหน้าเงยมามองกูเลย “มึงเป็นเพื่อนคนแรกที่มาถึงเลย”
“เอ้า หน้าที่กูนี่นา ฝ่ายสถานที่” อีกอย่าง ไอ้มีนมาถึงก่อนกูอีก ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว “มีนล่ะ?”
“อ้อ ยังไม่ตื่นมั้ง”
“อืม....”
“ขอบคุณนะ มึงเหนื่อยมั้ยทำคนเดียว”
มันยังหน้าซีด ช่างแต่งหน้าสั่งให้มันอ้าปากเล็กน้อยเพื่อเติมลิปมัน ปากมันซีดมากขนาดนี้เลยเหรอวะ
“มึงอย่าตื่นเต้นสิ กูทำได้”
“ตามมันติดเวรนะ เดี๋ยวบ่าย ๆ มันก็มา เห็นว่าลาครึ่งวัน”
“ไม่เป็นไร กูทำคนเดียวได้ มาขนาดนี้แล้ว”
“มึงโอเคแน่นะ...?”
คำถามนั้น ควรเป็นกูถามมึงมั้ย
“มึงทำใจให้สบายไอ้พี ไม่ต้องห่วงเรื่องกู มึงดูผอมลงนะสัด”
ผมหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา อันที่จริงพีไม่ได้ผอมลง ส่วนผมสิ อ้วนขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ขอบใจ”
“ทำใจดี ๆ ไว้ มึงแต่งงานนะเฟ้ย ไม่ได้ไปโรงเชือด”
“กูแต่งงาน ๆ ๆ” พีกำลังท่องอาขยาน “กูแต่งงาน”
“เออ ดี ไอ้มีนล่ะ คิดจะนอนไปถึงเมื่อไร????”
“ให้มันนอนไป มันมาถึงแต่เมื่อคืน ดูเพลียมาก คงวุ่นเรื่องถูกย้าย มึงรู้แล้วใช่มั้ย”
“รู้แล้ว” เราคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนไปซื้อของงานปาร์ตี้สละโสดของพีแล้ว มีนทำงานเถรตรงไป จนไปขัดแข้งขัดขาคนมีอิทธิพลในจังหวัดเข้า ดีที่ยังเป็นข้าราชการ จีงถูกเด้งไปอำเภอไกลปืนเที่ยง “มันคงเดินทางมาลำบากแหละ ก็อำเภอที่ไปอยู่ก็โคตรกันดารขนาดนั้น”
พีไม่ตอบอะไร ตาของมันเริ่มลึกโหลมากขึ้น
“กูว่ากูไปหาน้ำหวานให้มึงกินดีกว่า”
“ขอบใจนะเทเลทับบีส์” ไอ้เพื่อนเวร ยังไม่เลิกเรียก “มันชื่อเทเลทับบีส์จริง ๆ พี่ แต่พอเข้ากรุงเทพฯ ก็ให้เพื่อนเรียกแค่ ทัพ”
ท่อนหลัง พีกำลังอธิบายชื่อของผมให้ช่างแต่งหน้าฟัง ซึ่งดูตั้งใจฟังมากกว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสียอีก
กูเอาน้ำผสมยาถ่ายให้มึงแดกดีมั้ย ไอ้พี.....
ผมเดินออกไปหาน้ำหวานให้เพื่อน ไฟสลัวเปิดทิ้งไว้บางดวง กล้วยอ้อยที่ใช้ในขบวนขันหมากถูกจัดเรียงรายไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พนักงานเพิ่งเริ่มจัดเรียงโต๊ะ ผ้าปูสีขาวสะอาดกำลังถูกสะบัดเตรียมพร้อมสำหรับการปูลงบนโต๊ะ
“ทัพ อรุณสวัสดิ์”
“พอล” ตกใจเล็กน้อย ถึงกระนั้นผมเลือกที่จะยิ้มกลับไปให้ “มาเช้านะครับ”
“อืม ใช่แล้ว”
“มาคนเดียวเหรอ”
“เพื่อนเราอยู่ในรถนะ กำลังหิ้วเสื้อผ้าของฝ่ายเจ้าบ่าวลงมา เดี๋ยวเราเอาชุดมาให้ทัพนะ” แก๊งค์นิติได้งานเสื้อผ้าฝ่ายเพื่อนเจ้าบ่าวนี่นา ส่วนพอลทำฝ่ายการ์ดเชิญ คงเลือกไปช่วยเพื่อนสินะ “เสียดายนะ ตามมาไม่ทัน อุตส่าห์เช่าชุดมาเผื่อแล้ว”
ยังคุยกันอยู่สินะ
“อืม”
พนักงานเอาน้ำหวานหนึ่งแก้วมาให้ผม ดังนั้นผมก็ไม่มีธุระจะคุยอะไรกับพอลอีก รีบไปส่งกลูโคสเข้าเส้นเลือดให้ไอ้พีจะดีกว่า
“ทัพ...” หันหลังกลับไปมอง แล้วยักคิ้วให้พอลหนึ่งทีเป็นเชิงถาม “พรุ่งนี้ไปคืนชุดเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ เราอยากกินข้าวด้วย”
“อืม เอาสิ”
ผมหันหลังกลับ ไม่อยากเจรจาพาทีอะไรเพิ่มเติมอีก
“ตามไปด้วยนะ เรานัดไว้แล้ว”
ทุกอย่างหยุดกึก ผมหันไปมองหน้าพอลที่ยิ้มแย้มดูหล่อเหลา เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เดาไม่ออกจริง ๆ
ไม่นึกว่าสองคนนี้จะพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้...
“ขอบคุณนะทัพ เรื่องตามนะ”
ขอบคุณเหรอ.........
เรื่องอะไรกัน???
-------------------------------------------------------------
ปริ๊นซ์ถ้าไม่ติดว่าน้องพีเคยช่วยว่าความเรื่องคดี ผมไม่มีทางแบกร่างที่แผลยังไม่ประสานดี แถมยังคันยิบ ๆ ไปงานแต่งงานแน่นอน
“ห้ามเกาแผล ๆ”
พูดดังสะกดจิตตัวเอง หมอสั่งมาเป็นมั่นเหมาะว่าอย่าสัมผัสแผลเด็ดขาด แต่คุณเชื่อมั้ยว่ามันคันคะเยอมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคืนผมต้องสวมถุงมือเพื่อให้อย่างน้อย ถ้าเผลอเกาตอนกางคืน แผลก็จะไม่บวมหรืออักเสบมาก
ขับรถจนมาถึงที่จัดงานเย็น ผมมาถึงก่อนเวลาตามการ์ดเชิญตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ
“ไม่อยากเข้าไปคนเดียวเลยหวะ”
โทรหาทัพดีมั้ย... ไม่ดีกว่า
งานฝ่ายสถานที่น่าจะวุ่นวายมากพอแล้ว ถ้าโทรไปก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้น้องโดยใช่เหตุ มาคนเดียวก็อยู่คนเดียวไป งานปาร์ตี้คอกเทล ไม่ใช่งานเลี้ยงโต๊ะจีนซะหน่อย อยู่คนเดียวไม่เหงามากหรอก
“เฮ้ย หมอตาม” คนที่ผมอยากเจอที่สุดคนหนึ่ง กำลังหิ้วกล่องอะไรบางอย่างผ่านหน้าผมไป “ตาม....”
ท่าทางดูรีบร้อนน่าดู เพราะต้องเลือกถึงสองรอบกว่าจะได้ยิน
“พี่ปริ๊นซ์.....”
“เป็นไงบ้าง..?”
“ผมไม่มีเวลาคุยมากนะครับ ผมรีบ”
“แปบเดียวหมอ”
“ทัพอยู่ในงานนะครับ พี่ลองโทรไปดู”
หมอหันหลังให้ผม พร้อมกับกล่องใหญ่ที่แบกอยู่ในมือ
“พี่อยากรู้ว่า หมอยังชอบทัพอยู่มั้ย...? หมอไม่อยากรู้เหรอว่าพี่กับทัพตอนนี้เป็นอะไรกัน”
“...........................”
ได้ผล หมอตามหยุดแล้ว และกำลังหันหน้าช้า ๆ มาจ้องผม
ด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“พี่ต้องการอะไรครับ”
“พี่ต้องการให้ทัพมีความสุขที่สุด”
กล่องดังกล่าวถูกวางลง
หมอตามเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น จนเราแทบจะหน้าชนกัน ความสูงเราไล่เลี่ยกันจึงไม่อยากที่สายตาจะสบกันในระดับเดียวกัน บอกตามตรงเลยว่า ผมเห็นเปลวไฟลุกโชติในดวงตาของน้อง
“งั้นพี่ควรเริ่มจาก จริงใจกับมันครับ”
“แล้วหมอน่ะ จริงใจกับมันแล้วเหรอ....”
ประโยคของผมทำให้หมอไขว้เขวถึงขั้นสลายเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นได้ในไม่กี่วินาที
“พี่ต้องการอะไรกันแน่....?” ตามถอยหลังไปหนึ่งก้าว “ผมเริ่มตามไม่ทันแล้ว”
“ทัพมันรู้เรื่องที่หมอกับเพื่อน ๆ รวมหัวกันหลอกมัน เย็นชาใส่มัน เพื่อให้มันไล่ตามหมอ จะได้หลงกล แล้วก็หลงรักหมอแล้ว”
น่าจะเป็นการตัดสินใจผิดพลาดตลอดกาลของผมเลยแหละ ดูจากสีหน้าซีดเผือดของหมอยิ่งตอกย้ำ
“มันรู้มาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่หมอเริ่มแผนเลย พี่ต่างหากที่อยากถามว่า หมอยอมแพ้แล้วเหรอ.... ถึงเลือกใช้วิธีการแบบนั้น ถ้าเริ่มต้นด้วยความไม่จริงใจ หมอต้องการให้ปลายทางมันจบอย่างไรล่ะ”
ผมทำเกินไปหรือเปล่า...
“ทัพ มันเสียใจมากนะ หมอก็น่าจะรู้ว่า น้องเป็นคนไม่มีเพื่อนมาตลอด ทัพขาดความอบอุ่นในประเด็นครอบครัว จากการหย่าร้างของพ่อแม่ แล้วแผลเป็นก็ยิ่งลุกลาม เมื่อเขาไม่มีเพื่อนมาเติมเต็มชีวิต ต่อให้มีบอส ก็เถอะ หมอ น้องพี และคนอื่น ๆ เป็นเพื่อนที่ทัพรักมาก แต่หมอดันลากทุกคน รวมทั้งบอส รวมหัวกันหลอกทัพ หมอคิดว่าทัพรู้สึกอย่างไรล่ะ”
ทุกคำพูดของผมเหมือนมีดที่กรีดแทงหมอตาม สังเกตได้จากอาการสั่นเทิ้มของหมอรูปหล่อ ที่ดูเหมือนกับว่าจะทรงตัวไม่ได้อีกต่อไป
“ทัพ ต้องทนฝืน ยิ้ม ทำตัวปกติ ทั้งที่มันทุกข์ใจแทบบ้า ทัพพยายามทำทุกอย่างออกมาให้ดี ยอมเป็นคนโชคร้ายที่โดนกระทำ เพื่อให้มิตรภาพยังดำเนินต่อไปได้ หมอเคยคิดบ้างมั้ยวะ...?” ในเมื่อมาขนาดนี้แล้ว ผมต้องไปให้สุด อีกหนึ่งก้าวที่ผมเดินไปประชิดตัวอีกฝ่าย “หมอรู้มั้ย... ผมเชื่อ เชื่อว่า ลึก ๆ ทัพไม่ได้รักผมแล้ว ทัพแค่ติดกับอดีต น้องอาจจะกำลังเริ่มรักใครสักคนใหม่ก็ได้ อาจจะเป็นหมอเองก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ถ้าทัพกำลังเริ่มที่จะรักหมอ เหมือนดังที่หมอปรารถนามาตลอด ผมบอกได้คำเดียวว่า....”
ตั้งแต่งเกิดมาไม่เคยพูดรัวเป็นชุด ไร้ช่องไฟเท่านี้มาตลอด หลังจากหอบหายใจเล็กน้อย ผมก็บรรเลงเครื่องต่อ
“ตอนนี้ทัพคงจะไม่รักหมออีกแล้ว อย่าว่าแต่เริ่มรักหมอเลย ทัพอาจไม่รักใครอีกแล้ว เพราะหมอนั่นแหละ สัปดาห์ก่อน ผมโดนแทงนอนอยู่ที่โรงพยาบาล....”
“อะไรนะครับ....?”ทันใดนั้น หมอตามก็เงยหน้าพร้อมกับพุ่งพรวดแทบชนผม
“อะไรนะครับ...”เป็นอีกครั้งที่หมอตะโกนดังลั่น
เอาเสียจนน้ำในหูผมไม่เท่ากันเลย
“เออ... ทัพอาจจะไม่รักใครอีกแล้ว”
“ไม่ใช่ครับ พี่พูดว่าอะไรนะครับ ถูกแทง...?”
“อ้อ ใช่ ผมถูกแทงน่ะ เรื่องยาว ทัพไปนอนเฝ้าไข้ผม...”
“โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย” ผมเชื่อนะว่า คำพูดนั้นหมอไม่ได้พูดกับผม “แม่งเอ๊ย”
ตอนนี้หมอตามเหมือนสติหลุดไปแล้ว เขากำลังทึ้งหัวตัวเองอยู่ ท่าทางเหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง หน้าตาของหมอดูโกรธแค้นใครสักคนมาก ใครสักคนที่ผมเชื่อว่า....
คือตัวของเขาเอง
-------------------------------------------------------------
จบบทที่ 30 ครับผม