<Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <Be thin ... ถ้าไม่ผอม จะรักกันไหม,,,,>>[บท 32 หน้า 5] 05052019  (อ่าน 13731 ครั้ง)

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 29
ปาร์ตี้สละโสด

ตอนที่ 1



ทัพ

ณ วันนั้น  น้ำตายังนองหน้าผมอยู่ ตอนที่เปิดประตูไปเจอพี่ปันยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าห้อง

“พี่มาคุยกับเราก่อนนะ  แล้วค่อยเรียกไอ้ปริ๊นซ์มาทีหลัง”

แน่นอนว่า ผมยังอึ้งตกใจกับบุคคลตรงหน้า  จึงไม่ได้เชื้อเชิญให้แขกเข้ามาในห้องตามมารยาท  อย่างไรก็ตามพี่ปันก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้อง  พร้อมกับผลักผมให้ไปนั่งที่โซฟาอย่างนิ่มนวล  แถมท้ายด้วยการปิดประตูห้องให้ผม  แล้วตลอดเวลาเกือบสิบนาที  ผมก็นั่งฟังเรื่องราวทั้งหมด   แผนการ   และสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกวางแผนไว้อย่างรัดกุม

“งั้นพี่โทรหาปริ๊นซ์ให้ขึ้นมาเลยนะ”

ไม่มีการปฏิเสธจากฝั่งผม  พี่ปันจึงถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต

เมื่อเสียงออดดังขึ้น   พี่ปันก็เดินไปเปิดประตูให้แขกคนดังกล่าวเข้ามา    แขกที่มีกลิ่นตัวอันคุ้นเคย   กลิ่นตัวหอมจากน้ำหอมประจำที่เขามักใช้    ไม่นานนักกลิ่นหอมดังกล่าวก็นั่งฟุ้งอยู่ข้าง ๆ ผม     ทว่ายังคำพูดแม้เพียงคำเดียวก็ยังหาได้เอ่ยเอื้อนออกมาจากปากผมไม่

ห้องตกในภวังค์แห่งความเงียบงัน  แม้แต่เสียงหายใจสักนิดก็ยังไม่มี   ผมยังก้มหน้ามองเท้าตัวเองอยู่อีกหลายนาที

“พี่ขอโทษ”

คำพูดสั้น ๆ ที่เรียกน้ำตาให้ไหลรินเหมือนก๊อกน้ำรั่ว   แล้วผมก็ถูกล็อคไว้ในอ้อมกอดแกร่งของพี่ปริ๊นซ์   น้ำอุ่นแห่งความรู้สึกที่บีบแน่นหกรดเปียกสาบเสื้อและรางกระดุมของเจ้าของอกจนเกือบโชก

“พี่ขอโทษ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่าฝืนตัวเองให้หยุดร้องไห้และเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา    กลับไปยังประเด็นที่ทำให้เราทั้งหมดต้องมารวมตัวกันอยู่ที่คอนโดฯ ของผม

“สรุปว่าเราต้องทำอะไรบ้างครับพี่ปัน...”

อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีเลศนัย  พลางเอามือแงะแขนเพื่อนที่โอบกอดผมอย่างแน่นอยู่

“ไม่ยากหรอก”   พี่ปริ๊นซ์แปรสภาพเป็นปลาหมึกไปแล้ว  “มึงปล่อยน้องก่อน  ไอ้นี่...   ทนไปก่อนนะทัพ”

เสียงคำขอโทษยังลอยล่อง กระจายไปทั้งห้องของผม    และผมก็ยังตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา   พี่ปันถอนหายใจหนึ่งทีแล้วเลิกแกะมือปลาหมึกที่แข็งราวกับคีมเหล็ก

“แต่พี่ต้องถามน้องอย่างตรงไปตรงมา  ว่าน้องไม่ได้ชอบเพื่อนน้องคนนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย...?”

ไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่ผมจะเว้นคิดพิจารณา   หน้าผมยังซุกอยู่ตรงแผงอก   ใจหนึ่งก็อยากอยู่ตรงนั้นไปนาน ๆ อีกใจหนึ่งก็อยากไปให้ไกล   ทว่าตัวเลือกของผมมีเพียงแค่อยู่ตรงนั้น   ภายใต้วงแขนที่พันแน่น

“ไม่ครับ”

ปลาหมึกที่เอาแขนเอาขาพันรอบตัวผมก็หยุดพร่ำขอโทษเสียกะทันหัน

“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมยังชอบพี่ปริ๊นซ์อยู่นะครับ”

แล้วเสียงขอโทษก็ดังโหยหวนอีกรอบ

“เอาตรง ๆ เลย   ที่ผมยอมทำตามแผนแก้แค้นไอ้บอสของพี่ปัน”   

พี่ปันหน้าเสียไปนิดหน่อย  ใช่ครับ  ผมรู้ว่า  จุดประสงค์ของพี่ปันก็คือช่วยเหลือให้เพื่อนรักตนเองกระจ่างแจ้งต่อความรู้สึก  รวมทั้งอยากให้ผมทำอะไรให้แน่นอนลงไป  แต่จุดประสงค์หลักจริง ๆ ก็คือ แก้แค้นไอ้บอสนั่นแหละ 

“แต่เพราะผมอยากจะช่วยเหลือพี่ปริ๊นซ์ด้วยต่างหาก   พี่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อเขาและครอบครัว”   

ผมไม่อยากเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้น   ไม่ใช่ว่าผมรับความจริงที่จะได้ยินชื่อของเธอไมได้หรอก   เพียงแต่เกรงว่ามันจะทำร้ายจิตใจพี่ปริ๊นซ์มากเกินไป

“ผมว่า”   ผมโอบกอดปลาหมึกที่เอ่ยคำขอขมาไม่จบสิ้น กลับไปเล็กน้อย   “บางทีพี่ปริ๊นซ์อาจจะรักเขาแล้วก็ได้นะครับ   เรื่องของเรา  บางทีอาจเป็นเพียงแค่อดีตที่ค้างคา  ที่เราสองคนเลือกที่จะไม่ยอมเผชิญหน้ากับมันเสียตั้งแต่ตอนนั้น   ปล่อยให้มันล่วงเลยกลายเป็นความหลังที่เหมือนเนื้อร้ายอันปูดโปน เหมือนแผลเรื้อรังที่ไม่ได้รับการบรรเทา   แล้วเราก็ห่างหายกันไปจากชีวิตของกันและกัน    ทว่าด้วยจังหวะเวลาที่เหมาะสม   ซึ่งพาเราสองคนมาเจอกันอีกครั้ง  ก็เลยทำให้เราสองคนมองว่าสิ่งนั้นเป็น  ความรัก”

มีแต่ความเงียบ

“ผมโอเคจริง ๆ ครับพี่   ผมยังตอบไม่ได้แน่ชัดหรอกว่า  ตอนนี้   วันนี้   เวลานี้   วินาทีนี้   รู้สึกเช่นไรกับพี่กันแน่   แต่มันคงไม่ใช่ความรักแบบที่เราเข้าใจในตอนแรกหรอกครับ  ถ้าผมแน่ใจเมื่อไร  ผมจะบอกพี่แน่นอน”

“ทัพ  แม่งเฉียบวะ”

“ครับพี่ปัน”

พี่ปริ๊นซ์เงียบสงบแล้ว   วงแขนรัดแน่นก็คลายตัวออกมา   จึงพอให้ผมแทรกตัวหนีออกมาได้

“ถ้าทัพจะทำตามแผน  พี่ก็จะทำตามด้วย  ขอบคุณนะทัพ”

คำสัญญาอีกครั้งจากพี่ปริ๊นซ์   ครั้งนี้ผมเชื่อว่ามันจะเป็นจริง

“อีกประการครับ   ผมว่ามันถึงเวลาแล้วที่เพื่อนผมจะตาสว่างแล้วเลิกยึดติดกับผมเสียที”   ผมหยุดหายใจ  รู้สึกหวิวเล็กน้อย   “ก่อนหน้านั้นผมตกใจที่เพื่อนผมคนนั้นมันหมางเมินใส่ผม  ผมไม่ชอบเสียเลย   มันไม่คุ้น  มันไม่ใช่เรื่องปกติ  ประสบการณ์เดิมที่ผมเคยสัมผัส    แต่เมื่อคิดให้ดีว่าเพื่อนกำลังเดินทางที่ถูก  กำลังเริ่มถอดใจจากผม   ผมก็เบาใจ”

ทุกคนเงียบ  รอให้ผมพูดต่อ   จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะเว้นระยะเวลาสักพักให้ตัวเองได้พักหายใจเลยต้องพูดต่อทันที

“พอรู้จากปากพี่ปันว่าทั้งหมดเป็นแผนที่พวกมันวางขึ้น  ทั้งเพื่อกันพี่ปริ๊นซ์ออกไป    ทั้งให้ผมไปวิ่งไล่ตามหามัน    แต่ผมว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น  เพื่อนผมคนนั้น  ไอ้ตาม  มัน... เฮ้อ”    การบีบมือเน้นหนักของอดีตแฟน  ส่งผ่านกำลังใจที่หนักหนาและมีค่าให้แก่ผม  “มันถลำลึกกับผมมากเกินไปแล้ว  ผมต้องยุติมันเสียที”

“ทัพ ...  แน่ใจนะว่าไม่ได้ชอบเพื่อนคนนั้นแล้วจริง ๆ”

ผมยิ้มอย่างแผ่วเบา  และเลือดเย็นที่สุด   สังเกตได้จากสีหน้าหวาดหวั่นของฝั่งตรงข้าม

“ไม่หรอกครับพี่ปริ๊นซ์   ผมมั่นใจ”





ใช่แล้ว...  กูมั่นใจ

ผมยิ้มร่าใส่ไอ้บอส  ที่นั่งรอผมตรงโถงรับแขกของโรงแรม   มันสอดส่องมองซ้ายขวาราวกับกำลังหาใครบางคนอยู่   

จะมองหาพี่ปริ๊นซ์สินะมึง!!!

“กินอะไรมาหรือยังมึง”

“เออ ยัง  หิวชิบหาย  กินควายได้ทั้งตัว ไปกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ”

กูแดกมาอิ่มเต็มคราบเลย  แต่ผมก็ตอบไปว่า

“เอาสิ  ไปเลย”

ผมที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งข้างมันก็เลยก้าวเท้าออกเดินต่อทันที   แต่กลับถูกฉุดรั้งไว้จากเพื่อนซี้ที่เพิ่งบ่นหยก ๆ ว่าหิวชนิดกินกระบือได้ทั้งตัว    คิ้วหนาของผมยกขึ้นอย่างฉงนฉงาย   ไร้การตอบไขข้อสงสัยจากมัน  มีเพียงแรงมหาศาลที่กระตุกผมให้ล้มตัวนั่งข้างมันอีกครั้ง

“รอก่อน”

รอฤกษ์อะไรอีกหรือไง   แล้วต้องรออีกนานแค่ไหน   ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากเอ่ยถาม    คำตอบที่มีชีวิตได้ปรากฎตัวให้ผมเห็น

“ตาม  กูอยู่นี่”   ฝ่ายที่ถูกเรียก  เดินเข้ามาด้วยความมึนงง  ชุดเครื่องแบบที่แสดงความเป็นนายแพทย์ยังห่อหุ้มร่างกายของมันไว้   ใบหน้าของมันตกใจเล็กน้อย   เล่นละครสินะมึง  มีหรือที่มึงจะไม่รู้  “กูชวนมันมาเองแหละ  ไปกินด้วยกันหลาย ๆ คน จะได้สนุก  ดีมั้ย...?”

กูมีสิทธิเลือกหรือไง   ยิ้มกลับแบบไฝแห้ง   มองเพื่อนสองคนที่ไม่รู้มันไปสนิทกันเมื่อไรกอดคอกัน  กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่เดาได้เลยว่าเกี่ยวกับตัวผมแน่ ๆ   แล้วหมอฟันก็ยกมือกระดิกนิ้วเรียกผม  เหมือนที่มันเรียกไมโล สุนัขพันธุ์หลังอานอายุเกือบทศวรรษ  ที่ออกลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง  ลำบากผมต้องเอาลูกหลานของมันไปแจกจ่ายให้ญาติหลายต่อหลายคนสมัยที่เรายังเรียนมัธยม

อย่างที่ผมกล่าว  ผมไม่มิสิทธิเลือกเท่าใดนัก  หางตก หูลู่  เดินตามไปติด ๆ

“รถกูของเยอะ  มึงไปกับตามนะ”   

ประตูรถปิดดังปัง  กระแทกใส่หน้าตามและผม   เมื่อมองกลับไปข้างในรถที่อยากอ้อนวอนให้เพื่อนไปเปลี่ยนฟิล์มเพิ่มความดำอีกเล็กน้อย  เพราะสิ่งที่ผมเห็นก็คือ  เบาะว่าง ๆ  ไม่มีของสักชิ้น  นี่มันคือ  ความว่างเปล่าอันตรงข้ามกับคำพูดที่มันบอกข้างต้นโดยสิ้นเชิงเลยนี่หว่า...

แน่นอนว่า   ตามยังคงคีปลุค  รับบทเย็นชาใส่ผม   มันเดินตรงไปที่รถ  โดยไม่เอ่ยปากชวนผมสักคำ   ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย   แต่เสียงถอนหายใจของผมก็ไม่ได้ดังพอจนกลบเสียงถอนหายใจที่มาจากมัน

มันถอนหายใจเหรอ....

หรือว่าตามก็ไม่รู้การนัดครั้งนี้ 

“แล้วมันจะไปกินที่ไหนเหรอ ไอ้บอสน่ะ” 

ผมถามทันทีที่ขึ้นมานั่งข้างคนขับเรียบร้อย   รถคันเดิมคันเดียวกับที่ผมขับกลับมาจากตราดด้วยความทุลักทุเล  เพียงแต่เปลี่ยนจากผมที่เคยเป็นคนขับมาเป็นผู้โดยสาร  เฉกเช่นเดียวกับตามที่สลับตำแหน่งกลายเป็นสารถี

ไม่มีคำตอบอะไรจากมัน  ยกเว้นเสียง อืม ในลำคอ  ซึ่ง  มึงครับ...  มันไม่ใช่คำตอบ

ผมเห็นรถของบอสยังจอดสนิท   คงจะให้ตามขับนำสินะ



-------------------------------------------------------------



ตาม

เราสามคนมาถึงตลาดโต้รุ่งของจังหวัดระยอง   บอสก้มหน้ากินราดหน้าหมูหมักเจ้าดังอย่างเอร็ดอร่อย   ในขณะที่ทัพได้แต่เขี่ยเส้นหมี่กรอบไปมาด้วยความเบื่อหน่าย   

การมากินข้าวกับผม  คงเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่มันอยากจะกระทำก่อนตายเป็นแน่

ผมตักผัดซีอิ๊วใส่ปากคำแล้วคำเล่า   กลืนทันที  โดยไม่เสียเวลาเคี้ยวแม้เพียงเล็กน้อย   จ้วงแล้วจ้วงอีก   คำแล้วคำเล่า   จนทัพต้องเงยหน้ามองอย่างตั้งใจ

“ใจเย็นสิ  ติดคอตายขึ้นมาจะทำยังไง”

มันยื่นแก้วน้ำใส่หน้าผม  และเอาอีกมือที่ว่างคว้าข้อมือขวาที่ถือช้อน   เป็นการสิ้นสุดความบ้าระห่ำแห่งการจ้วงตักเส้นใหญ่ใส่ปากไว้ให้กลายเป็นอดีต

“ขอโทษครับ”

ผมก้มหน้าตอบ  ตักกินอย่างเชื่องช้า  ตั้งใจเคี้ยวทุกคำ   กลืนอย่างบรรจง  และเลือกที่จะไม่เงยหน้ามองบอสและทัพที่กำลังคุยเรื่องงานรับปริญญา

“ไม่ต้องห่วงนะ  กูเก็บห้องสะอาด  มึงเลือกนอนได้เลย  จะนอนโซฟาหรือเตียงก็ตามใจ”

“นอนเตียงแล้วกัน  เดี๋ยวกูไล่มึงไปนอนโซฟา  เจ้าของห้องต้องเสียสละ”

“ตามใจเลยสัด  แล้วมีคนมาถือของขวัญรับปริญญาให้ยัง”

“มี  แม่กูไง”

“หญิงแม่มึงนะเหรอ   ไม่ใช่ไปทัวร์นมัสเตที่อินตะระเดียเหรอ”

เสียงหัวเราะของมันสองคนดังลั่น

“แม่กูพัฒนาแล้วเว้ย   เดี๋ยวนี้กลายเป็นทริปสร้างวัด   เอาเป็นว่า  ถ้ามึงลางานได้ก็มาช่วยแม่กูหน่อยล่ะ”   เสียงตอบรับจากทัพแว่วไปไม่นาน   เสียงพูดคุยของบอสก็ดังขึ้นอีกครั้ง  “เฮ้ย หมอ  ถ้าว่าง  เรียนเชิญมางานรับปริญญากูนะ”

ผมแค่นยิ้ม  พยายามทำให้ใจสบาย

“แน่นอน”

ทัพส่งสายตามาที่ผมอย่างแปลกใจ   และผมเลือกที่จะไม่หันไปสบตาโดยตรง  ใช้เพียงหางตามองปราดอย่างไม่ใยดี

จำไว้  ฐาพล  มึงต้องเย็นชา  เย็นชาใส่มัน

“ถ้าไม่มีที่พักไปนอนห้องกูได้นะ”

“เดี๋ยวกูลองหาโรงแรมจองนะ  บอส” 

ทั้งที่ทัพถาม  แต่ผมกลับเลี่ยงไปตอบใส่บอส

“เออ ดี ๆ  จะได้นอนสบาย”

“นอนห้องกูก็ได้ไง”

มันยังเจื้อยแจ้วของมันต่อไป  เหมือนเด็กน้อยที่เรียกร้องความสนใจในมุมห้องมืด ๆ  ปราศจากผู้คน

“ว่าแล้ว  กูกลับบ้านไปจองโรงแรมเลยดีกว่า   กูไปงานมึงแน่บอส   เดี๋ยวแลกเวรก่อนนะ”

“เออ ขอบคุณมาก”

ทัพยอมแพ้แล้ว  มันกลับไปเขี่ยหมี่กรอบของมันอีกครั้ง   

ความรู้สึกผิดเอ่อล้นท่วมในใจผม   ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้เลยใช่มั้ย    ความรู้สึกที่ผมมีอยู่คงจะแสดงออกมาเด่นชัดเสียจนบอสสัมผัสได้    เมื่อตาของเราสบกัน   ราวกับมีคำพูดหนึ่งที่หลุดลอยออกมาจากปากของบอส  แม้จะไร้เสียงก็ตาม

“อดทนไว้เพื่อน  อดทนไว้”

ใช่  ผมต้องอดทน

“งั้นกูตรงไป กทม. เลยนะ   ฝากด้วยนะหมอ”

บอสบุ้ยปากมาทางผม   แล้วมันก็หายไปในทันทีที่  หลังจากที่มันถือวิสาสะสถาปนาตัวเองเป็นเจ้ามือของอาหารมื้อนั้น   ทิ้งความว่างเปล่าที่ไม่มีแม้แต่เสียงเข็มตกกระทบพื้นให้แก่ผมและเพื่อนสนิทของมัน

“ไปที่รถสิ  หรือมึงจะซื้ออะไรอีก”

เป็นทัพที่เลือกทำลายความเงียบก่อน

“ไม่ตอบ  คือ  ไม่มีใช่มั้ย  รีบกลับห้องเถอะ  กูลืมเอามือถือมา”

“ทำไม   มึงกลัวใครโทรมาหาหรือไง”

จู่ ๆ ผมก็แผดเสียงใส่   เสียงดังหลายเดซิเบล  แถมน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยโทสะ   พลอยทำให้คนรอบข้างแถวนั้นต้องเงยหน้ามามอง   ไม่ต้องพูดถึงคู่สนทนาแล้ว   ที่เห็นได้ชัดว่ายืนอึ้ง  อ้าปากค้าง  จ้องผมด้วยความหวาดกลัว

“เมียไม่ให้เอา  แล้วมาลงใส่เพื่อนเหรอ??”

ไอ้คำพูดพรรค์นั้นของมัน  ยิ่งกลับยั่วโมโหผม

“มึงไม่รู้อะไรเรื่องหยก อย่าพูดดีกว่า”   การตะโกนใส่ของผมส่งผลให้มันเลือกที่จะเดินหนี    ผมจึงสาวเท้าก้าวเดินตามมันที่ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากไหนถึงได้เดินเร็วขนาดนี้  “มึงรีบกลับไปหาพี่ปริ๊นซ์หรือไง”

ความพยายามของผมที่จะยั่วโมโหมันสำเร็จแล้ว    เพราะเมื่อสิ้นเสียงตะโกน  มันก็หยุดเดินทันที    จนผมที่เร่งเครื่องซอยเท้าตามเกือบที่จะชนประสานงากับมันกลางตลาด

“มึงไม่รู้อะไรเรื่องพี่ปริ๊นซ์  อย่าพูดดีกว่า”

เป็นประโยคเดียวกับที่ผมใช้  ราวกับกด Ctrl+C  แล้วตามด้วย  Ctrl+V 

“กูง่วงแล้วหวะตาม  ถ้าจะชวนทะเลาะอะไรก็ไว้วันหลังได้มั้ย”

ความว่างเปล่าที่แฝงในคำตอบทำให้ผมใจสลาย   ผมกำลังทำร้ายคนที่ผมรักโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า   ทัพค่อย ๆ หันใบหน้าที่มีดวงตาไร้แววคู่หนึ่งกำลังเพ่งมองมาที่ผมอย่างไม่แยแส

“ตาม  กูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา   แล้วถ้าอะไรก็ตามที่กูเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน   มันรังแต่จะสร้างปัญหาให้เราสองคนไปเรื่อย ๆ  บางทีเราสองคนถอยห่างกันคนละก้าวดีมั้ย...?”

เหมือนฟ้าผ่ากลางใจผม   

แผนเดิมคือผมต้องเล่นบทเย็นชา  แล้วเป็นทัพที่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่ตามผม   หลังจากที่ผมต้องวิ่งไล่ตามทัพมาโดยตลอด    บัดนี้ราวกับทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม    สัมพันธภาพใหม่ ณ เกาะกูด  ที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี  กำลังถูกบั่นทอนทำลายอีกครั้ง   ด้วยน้ำมือของผมเอง

“ทัพ ... คือ........... กู  กูมีเรื่องจะสาร...”

พอแล้ว  ผมไม่อยากแกล้งทัพแบบนี้อีกแล้ว  ผมจะบอกทุกเรื่อง  จะบอกให้หมด...

“เฮ้ย  กูพูดเล่นนะ”   มันตบไหล่ผมดังป้าบ  ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันมายืนประชิดตัวผมเมื่อใด  “ไปเหอะ  กูอยากนอนละเพื่อน”

ดวงตาสดใสขี้เล่นของทัพ  ที่ผมแทบไม่เคยเห็นมาก่อน   กำลังสร้างความสับสนขึ้นมาในใจ   จากนั้นมันก็กึ่งลากกึ่งดึงผมจนไปถึงรถยนต์ที่จอดอยู่   

บนรถเงียบสงบ  มีเพียงเสียงเพลงที่ทัพเปิดดังเจื้อยแจ้ว

“ขอบคุณมากนะตาม”   

ถึงโรงแรมแล้ว

รอยยิ้มที่ฉายอยู่บนใบหน้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็น  ก่อนมันกำลังเดินลงจากรถไป   

“เดี๋ยว”

แล้วผมก็ตัดสินใจทำเรื่องบ้า ๆ อีกครั้ง      ถ้าบอส พี หรือมีน รู้เข้า   พวกมันคงรุมกันฆาตกรรมอำพรางศพผมแน่ ๆ

“ไม่ต้องบีบมือกูแรงขนาดนั้นก็ได้”   ทัพตอบทีเล่นทีจริง   แต่ก็ยินยอมย้ายตัวเองมานั่งบนรถอีกครั้ง  พลางปิดประตูรถแผ่วเบา  “ว่าไง  ปล่อยมือกูได้ยัง”

“กูขอโทษ...”    คิ้วหนายกมองผมอย่างไม่เข้าใจ  “ที่ทำให้มึงเจ็บ”

“อ้อ... เออ  ไม่เป็นไร  ไม่คิดมาก  เพื่อนกัน”

คิดไปเองหรือเปล่านะ  แต่คำว่า  เพื่อนกัน  ของทัพ  ช่างเน้น  และกระแทกเสียงย้ำทะลุกลางใจผมเหลือเกิน   ยิ่งมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับไม่อนาทรร้อนใจของมัน   ผมกลับยิ่งรู้สึกคลั่ง   ทัพลูบข้อมือตัวเองเล็กน้อย   แล้วก็หันมายิ้มใส่ผม  สลับไปสลับมา

“ว่าไง  จะพูดอะไรอีกหรือเปล่า”

“มึง... มันแม่ง  ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรเลยสินะ”

“หา... อะไรนะ?”

เป็นอีกครั้งที่ผมทำให้ทัพงง

“มึงไม่เคยสนใจกูเลยสินะ   กูไม่เคยอยู่ในสายตามึงเลยสักครั้งสินะ”

“ตาม.....”

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ไม่ว่ากูจะทำอะไรให้มึงแค่ไหน  พยายามแค่ไหน  มึงก็ไม่เคยสนเลยสินะ”

“เราก็เป็นเพื่อนกันไง”

“มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้คิดกับมึงแค่นั้น   มึงเลิกไขสือสักทีได้มั้ย   มึงมัน”   สติอันน้อยนิดของผมแตกกระเจิง  น้ำลายแตกฟองปะทุพุ่งออกมา   ทัพหันมามมองหน้าผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่ผมไม่เข้าใจ   “ทำไมวะ  พี่ปริ๊นซ์ดีตรงไหน?   กูรู้ว่ามึงรักเขามาตลอด   เขาเป็นรักที่มึงใฝ่ฝันหา    จากทั้งหมดที่ผ่านมา   ที่เขากระทำกับมึง  มึงยังไม่หมดรักในตัวเขาอีกเหรอวะ”

ผมพักหอบหายใจเล็กน้อย

“กูเหนื่อย”   ซึ่งเหนื่อยทั้งทุกสิ่งที่ผมทำมา  และเหนื่อยที่ต้องมาพูดรัวแบบไม่เว้นช่องไฟอีก   “เหนื่อยที่ต้องวิ่งตามมึง   มึงเคยเห็นกูมีค่าบ้างมั้ย”

“เห็นสิ  มึงเพื่อนกูนะเว้ย”

“ก็กูบอกแล้วไงว่า  กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อน”   เหมือนเทน้ำมันยี่ห้อ เพื่อน  รดลงบนกองไฟ  ที่ชื่อว่า  ความผิดหวัง   เปลวเพลิงเห็นโทสะจึงยิ่งลุกโชติช่วงมากกว่าเดิม   “ทำไมวะ  ทำไม   จะให้กูทำยังไง  มึงถึงจะสนใจ  กูไม่ดีตรงไหน   กูต้องปรับปรุงตัวยังไงอีกวะ   ถ้ามึงไม่พอใจกูก็บอกมาสิ   บอกมาตรง ๆ เลย   ทัพ  กูขอล่ะ  แค่มึงบอกมา   ว่ากูต้องทำยังไง.....?”

“มึงก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น   พอสิวะ   ไม่พอใจก็เลิกยุ่ง   บอกว่าเป็นเพื่อน    มันยากนักหรือไง”

อึ้งเลยครับ  ไม่ใช่อึ้งที่เจออีกฝ่ายบันดาลโทสะกลับ

แต่เป็นคราบน้ำตาที่หลั่งรินเลอะใบหน้าของมัน

“พอกันที”

มันเปิดประตูรถ  สะบัดมือที่ผมพยายามคว้าเอาไว้

“มึงอย่าทำให้มันมากไปกว่านี้เลย   กูยังอยากจัดงานแต่งงานของไอ้พีให้ออกมาดีที่สุด   อย่าต้องมาทำให้งานเพื่อนต้องล่ม  เพียงเพราะปัญหาของเราสองคนเลย”

ปัง...

เสียงปิดประตูรถกระแทกใส่หน้าผม

นั่นสินะ...

พอกันที



-------------------------------------------------------------



ทัพ

ผมกินเลี้ยงมาอย่างเต็มคราบ  แล้วก็ถูกลากไปซ้ำอีกรอบ   บะหมี่กรอบเป็นอาหารโปรดของผม  แต่เอาตามตรงเลย   ผมกระเดือกมันไม่ลงด้วยซ้ำ   จึงทำได้เพียงเขี่ยมันไปมา   ฟังบทสนทนาของไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งสองที่วางแผนอยู่ลับหลัง

อยากจะยืนขึ้นแล้วหัวเราะดัง ๆ พร้อมชี้หน้าไอ้บอส  แล้วพูดว่า

“ไอ้สัด  กูรู้นะมึงคิดทำอะไรอยู่”

ได้แต่เก็บไว้ในใจ   แล้วก้มหน้าเขี่ยหมี่กรอบต่อไป

ตาผมจวนปิดเต็มแก่   แต่ก็ต้องสร่างเมื่อจู่ ๆ ไอ้ตามก็สติแตก  พ่นทุกอย่างใส่ผม  จนผมอยากจะเอาน้ำเย็นสาดหน้ามันเสียทีให้ได้สติ

แผนการที่พวกมันวางมาพังทลายไม่เป็นท่า  ด้วยฝีมือของแม่ทัพหลักอย่างไอ้ตามนี่แหละ

อย่างที่พี่ปันบอกจริง ๆ  ว่าแผนของฝั่งเราได้ผลมีประสิทธิภาพมากกว่า   ตามถูกปั่นหัวให้เข้าใจไปแล้วว่าผมคืนดีกับพี่ปริ๊นซ์

ทว่าพอกลับมาถึงโรงแรม   ระเบิดลูกใหญ่ที่ตามปาใส่หน้าผม  ทำให้ผมเสียศูนย์เกือบจะล้ม   ยังดีที่ประคองสติไว้ได้   จึงต้องดำเนินการทุกอย่างต่อตามแผน

ผมล้มตัวลงนอน  ตาแดงก่ำจากการร้องไห้

“มึงเลิกหวังในตัวกูซะทีสิวะ ไอ้ตาม   มึงยังมีโอกาสเจอคนดี ๆ นะ   อย่างน้อยถ้ามึงคุยกับเขาดี ๆ  คนชื่อหยกก็ยังรอมึงอยู่นะ”

น้ำตาไหลอาบแก้ม  ทำไมมันเจ็บอย่างนี้  ความรู้สึกโมโห  ความรู้สึกที่เราไม่สามารถทำอะไรได้   ความรู้สึกที่อยากตะโกนออกไปดัง ๆ   ไอ้ความรู้สึกที่ไม่มีชื่อเรียกแบบนี้  มันคืออะไรกันแน่

“มีนนนนนนน”  ผมตัดสินใจโทรหาเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง  “หือ......”

“เฮ้ยย มึงเป็นอะไร....”

“ไอ้ตามอะ  ไอ้ตามมัน”

“ทัพ  มึงใจเย็น ๆ  ค่อยเล่าให้กูฟัง  ช้า ๆ”

หลายปีก่อน  มีนเคยร้องห่มร้องไห้เพราะถูกสาวที่มันรักทิ้งขว้างอย่างไร้ค่า   ผมต้องคอยพะเน้าพะนอปลอบประโลม  ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จนมันหายเป็นปกติ    ครั้งนั้น  ผมภาวนาว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก    แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง   เพียงแต่ว่าเราสองสลับบทบาทกัน

“ทัพ...”  หลังจากเกือบนาที ที่ผมเล่าเรื่องจบ  ชื่อผมกลายเป็นสิ่งแรกที่มีนเอ่ยขึ้นมา  “กูถามจริง ๆ นะ  มึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับตามเลยเหรอ...”

“ฮือ ๆ”  เสียงร้องไห้ของผมยังดังก้องสะท้อนอย่างต่อเนื่อง  “กูมั่นใจว่าไม่”

“มึงถามใจตัวเองดีแล้วเหรอ....???”

“มีน  มันไม่มีประโยชน์  ว่ากูจะรู้สึกยังไงกับมัน  ยังไงตามก็มีหยก...”

“หยก...”    เสียงหยุดหายใจ   “ทัพหรือว่า....?”

“กูไม่ได้อยากเปลี่ยนสถานภาพด้วย  เพื่อนคือสิ่งที่กูโหยหามาโดยตลอด”

ด้วยความเสียใจ  ผมละล่ำละลักขัดมีนไปทันทีจนลืมคิดไปว่าเพื่อนรักอาจต้องการบอกเล่าอะไรบางอย่างที่สำคัญ  แต่มีนก็ดูไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนั้นมากนัก

“ถึงกลายเป็นแฟนกัน  ก็ยังเป็นเพื่อนไปด้วยได้นี่หว่า”

ง่วงเหลือเกิน   แม้น้ำตาจะยังไหล  ทว่าตาคู่โตของผมเริ่มปิดดับลง

“มันต่างกานนนนะ  มันไม่เหมือนกานนนน”

“ทัพ....”

แล้วผมก็หลับไปทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ  แปรงฟัน

หลับไปพร้อมกับคราบน้ำตาที่เลอะเปรอะหน้า

หลับไปทั้งที่ยังค้างสายสายกับมีน  ผู้ที่พร่ำปลอบผมและเลือกวางหูไป  เมื่อมันได้ยินเสียงกรนแผ่วเบาจากฝั่งผม   ผมหลับสนิท  แม้จะตกในฝันร้าย   ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากที่มีนวางหูไป   มีนไม่ได้เข้านอน..... 

มันกำลังคุยกับพี

“กูปอแล้วนะพี  (คำเมือง: กูพอแล้วนะพี) ”

เป็นปกติที่มีนจะหลุดภาษาเหนือใส่เพื่อนรักหนุ่มใต้อย่างพี

“หือม์  พออะไรวะ”

“เรื่องจุ๊   เรื่องหลอก ๆ ที่พวกเรากำลังหักหลังทัพอยู่”

“เฮ้ย  มันไม่ใช่หักหลังนะโว้ย  เรากำลังช่วยให้เพื่อนสมหวัง”

“มึงจะอู้จะใด (คำเมือง : พูดอย่างไร) ยังไงก็ตามแต่  กูไม่สน  กูพอ”

“เออ ๆ  กูไม่ขัดมึงหรอก”  ประสบการณ์การเป็นเพื่อนกันมาหลายปี  ทำให้ทนายความฝีปากกล้าเชื่อว่าเพื่อนรักต้องมีเหตุผลที่ดีพอ  “แต่เรื่องปาร์ตี้สละโสดที่เตรียมกันไว้  มึงช่วยหน่อยสิ”

“เฮ้อ”   เงียบไปหลายวินาที  “ได้  กูจะช่วยเป็นเรื่องสุดท้ายนะ”



-------------------------------------------------------------



จบตอนที่ 1 ของบทที่ 29

อย่างที่เคยบอกครับ  ผมเขียนจบไว้นานแล้ว  เหลือขั้นตอนการแก้ไข้คำ  แล้วก็ทำให้เรื่องดำเนินได้ต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น  33 บท  แต่ผมอาจจะยุบหรืออาจจะแยก  ยังบอกไม่ได้นะครับ


บทนี้จะค่อนข้างยาวกว่าทุกบทไปหน่อย

ขออภัยด้วยที่ช้านะครับ

คิดถึงคนอ่านทุกคนเลยครับ 

รักษาสุขภาพนะฮะ

ยังรับคำติและคำชมเหมือนเดิม   

 :mew1:

 :z2:



ป.ล. ตอนที่ 2  จะมาภายในวันนี้แหละครับ  แต่เป็นค่ำ ๆ หน่อย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 29
ปาร์ตี้สละโสด

ตอนที่ 2



ทัพ


ตามไม่ได้ติดต่อมาแต่อย่างใด

ผมใช้ชีวิตของผมตามปกติ

เวลาผ่านพ้นไป   จนถึงวันจันทร์ งานรับปริญญาของไอ้บอส

แน่นอนว่าพี่ปันก็มาร่วมงานด้วย   แม้จะดูมีท่าที่เคอะเขินอยู่มากก็ตาม   แต่ผมก็เห็นได้ชัดว่าพี่เขารักและแอบมองบอสอยู่บ่อย ๆ

ไม่เห็นเงาหัวของไอ้ตามแม้แต่น้อย   มีเพียงพีที่มาพร้อมกับของขวัญกล่องใหญ่ 2 กล่อง  ที่หิ้วมาด้วยตัวคนเดียว  คงจะเป็นของขวัญที่หลินฝากมาสินะ

“เฮ้ย ทัพ  ปีใหม่ไปไหนวะ”

ใช่สิเนอะ...  อีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

“พักที่ห้อง  เหนื่อย”

“เฮ้ย  มึงก็....”   ไอ้หมีควาย   เอาแรงช้างสารตบหลังกูแทบทรุด   “วัยรุ่นหน่อยสิวะ   ไปเที่ยวดิวะ   ทำตัวเป็นตาแก่เฝ้าห้องไปได้”

“มึงรู้มั้ย  พรุ่งนี้เย็นกูต้องไปคุยเรื่องชุดอาหารกับโรงแรม   สำหรับงานแต่งใครสักคนแถวนี้   แล้ววันพฤหัสบดีก็ต้องไปชิมอาหารที่โรงแรม   จำที่กูไลน์ไปบอกได้มั้ย   ถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวสะดวก  กรุณาสละเวลาไปชิมกับกระผมด้วยนะครับ   แล้วก็ต้องไปติดต่อร้านทำซุ้มดอกไม้ให้อีกตอนวันศุกร์   คิดว่าปีใหม่กูควรพักมั้ยครับเพื่อน”

หน้ามันเจื่อนไปในทันที

“เทเลทับบีส์เพื่อนรัก”

“พ่องสิ  เลิกเรียกกูแบบนั้นเลย”

“เฮ้ย  ไอ้พี   เทเลทับบีส์  กูไว้เรียกคนเดียวนะเว้ย”

ขนาดมันกำลังถ่ายรูปกับน้อง ๆ สายรหัสของมัน  ก็ยังมิวายหูดี ได้ยินสิ่งที่พวกผมกำลังคุย

“เหนื่อยมากเหรอจ๊ะที่รัก  พักผ่อนสิ  หาคนมาช่วย”

“มึงจะพูดถึงตามก็พูด”  ดวงตาเจ้าเล่ห์ทะลุเบ้าของมันปิดผมไม่มิดหรอก  “กูไม่อยากกวนมัน  มันอาจจะมีเข้าเวรเยอะแยะ”

“แล้วมึงได้ถามมันหรือยัง  ว่ากวนมั้ย”

ผมส่ายหัวแทนคำตอบ

“นั่นไง  ปากเนี่ย”   มือเค็ม ๆ ของมันบี้ปากผมอย่าง....  เอิ่ม  ไม่ใช่รักใคร่แน่ ๆ  เพราะแรงมากพอที่น่าจะทำให้ปากช้ำแดง  “อย่าหนักให้มันมากนัก   ถามเข้าไปสิ  ถามเข้าไป  ไอ้เทเลทับบีส์”

หลังจากรู้ชื่อเล่นของผม  ก็เรียกไม่หยุดเลยนะไอ้พี

“ไม่เป็นไร  กูไปกับพี่ปริ๊นซ์ก็ได้”

เงียบกริบ  วงแตก   เงียบเป็นเป่าสากเลย   เป็นไงละเพื่อนพี   ต้องเจอคาถาศักดิ์สิทธิ์กูสินะ

“เออ  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ”  มันคว้าการ์ดบางอย่างออกจากกระเป๋าเอกสาร   ยืนเขียนอะไรบางอย่างหน้าซอง  จากนั้นไม่นานก็ยัดซองดังกล่าวใส่มือผม   “ฝากเชิญพี่ปริ๊นซ์ด้วย”

“อืม...  เย็นนี้ก็น่าจะเจอกัน”

ผมพูดแผ่วเบา   พยายามตีบทให้แตก  เนียนไม่ให้บอสรู้

“มึงนี่นะ”

ไอ้พีตีบทแตกกว่าผมอีก  เข้ามาใกล้กระซิบแผ่วเบา   ทั้งที่ผมก็รู้ว่า  อีกไม่นานหลังจากนี้  พีต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกบอสและคนที่เหลืออย่างแน่นอน

“ทำไม  จะอบรมอะไรกูอีก”    ยิ่งเห็นหน้าระอาเหนื่อยของพี   ผมยิ่งพูดย้ำต่อเนื่อง   “จะให้กูทำไงละ  มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอวะ  บางครั้ง  เราก็อาจชินกับอะไรเดิม ๆ มากจนยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ” 

ดัดเสียงให้ใกล้เคียงกับมันมากที่สุด

“แล้วตอนนี้กูโอเคแล้วไง  กูยอมชินกับอะไรเดิม ๆ ชินกับเรื่องพี่ปริ๊นซ์  มึงจะเอาอะไรอีก”

พีดูอึ้งเล็กน้อยที่ผมเอาคำพูดของมันมาย้อนกลับ

“แล้วมึงก็บอกว่า   ให้กูเริ่มจากรักตัวเองก่อน  นี่ไง  กูรักตัวเองอยู่   ก็กูรักพี่เขา  ทำไมล่ะ”

ไม่มีคำพูดอื่นใดจากพีอีกในประเด็นดังกล่าว

“เฮ้อ   กูไม่ขอยุ่งเรื่องนี้สักพักแล้วกัน    เอาเป็นว่ากูจะชวนมึงไปงานปาร์ตี้สละโสดของกูศุกร์นี้  โอเคมั้ย”

จันทร์หน้าก็จะตรงกับวันสิ้นปี  และจากนั้นเย็นวันศุกร์ในสัปดาห์เดียวกัน  ก็จะเป็นงานแต่งงานของหลินและพีแล้ว    จึงกล่าวได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะจัดงานปาร์ตี้สละโสด

“คนคงไม่เยอะมาก  เพราะเพื่อนกูหลายคนก็หยุดยาวกลับต่างจังหวัด  ไปเที่ยวต่างประเทศ   กูขอโทษที่บอกมึงช้า  แต่กูรู้นิสัยมึงดี  มึงไม่ค่อยกลับตราดช่วงเทศกาล  เพราะมึงกลัวเรื่องอุบัติเหตุ   มึงมาให้ได้นะ  เรื่องซุ้มดอกไม้กูขอตัดไปให้ฝั่งเพื่อนเจ้าสาวทำแล้วกัน   กูรู้สึกว่างานที่มึงได้รับมันเยอะไปหวะ   เหมือนกูเอาเปรียบเพื่อนอยู่เลย”

“ขอบใจ”   เสียงไม่สบอารมณ์ของผมมันคงชัดมากเสียจนว่าที่เจ้าบ่าวหน้างอด้วยความรู้สึกผิดบาป  “เออ กูไม่คิดมาก  ขอโทษเพื่อน   ถ้าสะดวกกูจะไปนะ”

“กูขอนะ  อย่าพาพี่ปริ๊นซ์มา”

เป็นสิ่งสุดท้ายที่มันพูดทิ้งท้ายไว้กับผม  ก่อนเดินจากไป    ซึ่งผมก็ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับมันไว้หรอก



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์


“ศุกร์นี้เหรอทัพ”    ผมเปิดสมุดตารางนัดหมายของผม  “ไม่ว่างครับ  พี่ขอโทษนะ”

เสียงน้องแผ่วเงียบไปเล็กน้อย   ทัพไม่ชวนคุยเรื่องใดอีก   ไม่แม้แต่จะบอกว่ามีเรื่องอะไร  และผมเองก็เลือกที่จะไม่ถาม    เราเดดแอร์ใส่กันนานหลายนี   จนสุดท้ายทัพเป็นฝ่ายยอมแพ้และเลือกที่จะกล่าวคำอำลา   

ผมได้ความเป็นส่วนตัวกลับมาอีกครั้ง   การสอนเด็กที่โรงเรียนนานาชาติทำให้ผมวุ่นวายจนไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้มากนัก   ยิ่งต้องทำสื่อการสอน  ซึ่งไม่ใช่ทางของผมเลย  ยิ่งทำให้ผมระลึกถึงพระคุณของคุณครูที่พร่ำสอนผมมาอย่างสุดหัวใจ

ผมมีสอนทุกวันพฤหัสบดีและศุกร์   นั่นแปลว่าผมต้องทำสื่อการสอนให้เสร็จทันใช้ในวันรุ่งขึ้น... 

“คืนนี้อีกยาวไกลเว้ยยยย”

แต่สาเหตุที่ผมไม่ว่างตอนเย็นศุกร์ไม่ใช่เพราะติดสอนโรงเรียน  หรือติดงานพ่อครัวที่โรงแรม  แต่ผมต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมอดีตคู่หมั้นของผม  ... น้อยหน่า...  ต่างหาก



“อาจารย์เก่งมากเลยนะคะ”

“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ  ผมก็ทุลักทุเลพอดู”
 
ฝรั่งผมทองแต่พูดไทยชัดเป๊ะทุกคำ ยิ้มให้ผมอีกรอบ   เราเดินกันไป  คุยกันไป  ผ่านบรรยากาศโรงเรียนที่ตกแต่งประดับประดาตามธีมเทศกาลคริสต์มาส

จะว่าไปแล้วผมก็สงสัยแฮะ   โรงเรียนนานาชาติบ้าอะไรวะ  ไม่ยอมหยุดยาวเสียที   เพราะตามปกติโรงเรียนนานาชาติก็จะปิดยาวตั้งแต่วันคริสต์มาสเลยปีใหม่ไปอีกหลายวันด้วยซ้ำ

“อาจารย์ถ่อมตัวจังเลยนะคะ”

เธอเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนนานาชาติที่ผมทำงานอยู่   วันนี้เธอได้เข้ามาสังเกตการสอนของผมด้วย  และเป็นโชคดีของผมที่เตรียมอุปกรณ์สื่อการสอนเป็นอย่างดี 

เอาเหอะ  ผมคิดเรื่องเดิมแทรกทันที   ไม่หยุดก็ดี  จะได้มีเงินเยอะ ๆ

“งั้นผมลาก่อนนะครับ”

ผมยกมือไหว้ฝรั่ง  ที่รับไหว้ผมได้ถูกต้องและชำนาญ   

ขับรถตรงไปยังโรงพยาบาล เพื่อเยี่ยมน้อยหน่า

“ญาติคุณน้อยหน่านะคะ”   พยาบาลเงยหน้าถามผม  “คุณหมออยากคุยก่อนนะคะ   พบคุณหมอที่ห้อง 203 ทางนั้นได้เลยค่ะ”

ผมเดินไปยังห้องดังกล่าวที่เธอได้ชี้ทางไว้  ตลอดทางมีเสียงระงมไห้ของคนไข้รายอื่น  สลับกับเสียงหัวเราะที่ไม่สิ้นสุด   เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นคุณหมอท่าทางใจดีคนหนึ่งนั่งทำงานอยู่

“เชิญเลยค่ะ   ญาติคุณน้อยหน่าใช่มั้ยคะ”

“ครับ”   ผมหย่อนตัวลงนั่ง  “คุณหมออยากพบผมทำไมเหรอครับ?”

“หมอมีข่าวดีจะบอกค่ะ   สติบางส่วนของคุณน้อยหน่าเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วนะคะ”

ไม่มีอะไรที่น่าฟังมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“จริงเหรอครับ   แล้วเขาจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่กันครับ”

“ใจเย็น ๆ ค่ะ  ....    แต่น่าจะอีกไม่นานแล้วแหละค่ะ  หมอขอดูอาการอีกสักพัก   สภาพจิตใจดีขึ้น  อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำการจิตบำบัดแบบเป็นครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง”   พ่อกับแม่ของน้อยหน่าก็อยู่โรงพยาบาลเดียวกัน   ทั้งสามคนจะทำการบำบัดพร้อมกัน   โดยน้อยหน่าเป็นคนที่มีอาการดีสุด   “สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ของเธอ  อาจจะต้องอีกสักระยะนะคะ”

“ครับ”

“คุณคงเหนื่อยมาก  ที่ต้องหาเงินค่ารักษามหาศาลขนาดนั้น”

ผมแค่นยิ้มออกมา

“หมอเลยมีข่าวดีอีกเรื่องจะแจ้งค่ะ”

“ครับ...?”




-------------------------------------------------------------



ทัพ



ทันทีที่ก้าวขาออกจากที่ทำงาน โทรศัพท์ก็สั่นระรัวในกระเป๋ากางเกงของผม

“ว่าไงมีน”

“มึงอยู่ไหน....ทัพ”

“กรุงเทพฯ”

“กวนละมึง” 

แล้วเราสองคนก็หัวเราะใส่กัน

“เออ เพิ่งออกจากที่ทำงาน  มีอะไรเปล่า...?”

ถามหยั่งเชิงไปอย่างนั้นแหละ  จริง ๆ ผมก็รู้อยู่แล้ว
   
“กูมางานปาร์ตี้สละโสดไอ้พีด้วย”

“จริงอะ”

ไม่แปลกใจอะไรเลยบอกตามตรง

“เซอร์ไพรซ์ละสิมึง”

“เออ สะไพรรรรรส์เลยวะเพื่อน”    ไม่เลยสักนิด  ไม่เลย...   แค่ไม่คาดว่าจะลงทุนลงมาจากเหนือเพื่อมางานปาร์ตี้   ลางสังหรณ์บอกผมว่า  ไม่ใช่แค่นั้น   “แล้วมีอะไรหรือเปล่า...?”

“กูจะชวนมึงไปซื้อของไง  เนี่ย  กูเอาเงินจากไอ้พีมาแล้ว   เจอกันที่พารากอนนะ โอเค

แล้วมันก็วางหูไปในทันที   โดยไม่ฟังคำตอบจากผมด้วยซ้ำ   

“ไอ้เพื่อนเลว....”

ได้แต่เพียงผรุสวาทใส่โทรศัพท์  หดหัว คอตก  แล้วมุ่งหน้าไปพารากอน



-------------------------------------------------------------


ปริ๊นซ์



แค่เพียงข่าวแรกที่น้อยหน่าอาการดีขึ้น  ก็ทำให้ผมดีใจจนแทบคลั่ง

ยิ่งได้ฟังข่าวดีที่สอง  ยิ่งทำให้ผมยิ้มแก้มแทบปริ

“อาการของคุณน้อยหน่าและครอบครัวเป็นกรณีที่หาได้ยากมาก   การบำบัดพร้อมกันทั้งครอบครัวยิ่งกระทำได้ยากเข้าไปใหญ่   หมอได้รับทุนสนับสนุนมาหลายบาท   โดยจากเงินทุนดังกล่าว หมอได้รวมค่ารักษาไว้ด้วย    ต่อไปการรักษาของทั้ง 3 คน  คุณไม่ต้องลำบากหาเงินมาจ่ายแล้วนะคะ   ทั้งนี้บางส่วนที่ได้จ่ายไปแล้ว  ก็อาจทำเรื่องคืนเงินมาได้ด้วย   แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด   แต่ก็เป็นจำนวนที่พอดูเชียวแหละค่ะ”

อยากจะเดินไป  ร้องเพลงไป  บนทางเดิน   แต่ก็เกรงว่าจะถูกจับไปบำบัดเสียก่อน   เลยได้เพียงแต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ลึก ๆ  แล้วจัดการอากัปกิริยาให้สงบนิ่ง   ปล่อยไว้เพียงแค่สีหน้าที่ผุดรอยยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่อง

แล้วผมก็ถึงประตูห้องของน้อยหน่า   ทุกอย่างในห้องเงียบสงบ  น้อยหน่านั่งอยู่บนเตียง  กำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่

“น้อยหน่าทำอะไรอยู่เหรอ?”

ปริ๊นซซซซซ........... ปริ๊นซ์มาแล้ว”

เสียงดีใจของน้อยหน่าทำให้ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง

ผมฟังน้อยหน่าเล่าเรื่องต่าง ๆ มากมายอยู่หลายชั่วโมง  เธอดูเป็นปกติมากขึ้น   

“แล้ววันนี้  มาคนเดียวเหรอ”

“อืม  ทำไมเหรอ???”

น้องไม่มาด้วยเหรอ...”

ทัพ...   ผมเคยพาทัพมาเยี่ยมน้อยหน่าอยู่หนึ่งครั้ง     ทนการรบเร้าจากน้องไม่ไหว   

น่าแปลกนะที่น้อยหน่ายังจำได้  ทั้งที่ก็แค่ครั้งเดียว

ผมส่ายหัวพร้อมกับตอบเธอไปอย่างเป็นมิตร

“ทำไมเหรอ  คิดถึงน้องเหรอ”

“อืม  คิดถึงน้อง  น้องใจดีมากเลย”  แท้จริงแล้วทัพกับน้อยหน่ารุ่นเดียวกัน   แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ  ในเมื่อคนที่เข้าใจผิด คือ ตัวน้อยหน่าเอง   ทั้งผมและทัพจึงตกลงกันว่าให้ปล่อยเลยตามเลย  “น้องน่ารัก   เล่าเรื่องตลกให้น้อยหน่าฟังตั้งเยอะ”

“เหรอ...”  ผมยิ้ม  ไม่รู้มาก่อนเลย  เพราะวันที่ผมพาทัพมา  หลังจากแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักได้ไม่กี่นาที  คุณหมอเจ้าของไข้ของน้อยหน่าก็เรียกผมไปคุยด้วยหลายชั่วโมง   “แล้วอยากเจออีกมั้ย...?”

“อยากเจอ  แต่ว่า”   แววตาของน้อยหน่าเปลี่ยนเป็นเศร้าฉับพลัน  “น้องน่าสงสาร”

“ทำไมน่าสงสารล่ะ??”

สิ่งที่ได้ยินจากปากน้อยหน่าสร้างความฉงนฉงายให้ผมยิ่งนัก

“น้อยหน่าว่าน้องเขาน่าสงสาร  เหมือนน้องเขาติดอยู่กับที่  ไปไหนไม่ได้   เหมือนกับว่าน้องเขาอยู่ในห้องที่ถูกขัง”  ผ้าห่มที่ปลายเท้าของเธอ  ถูกกอบคุณมาห่มรอบกาย   แล้วน้อยหน่าก็เริ่มสั่น    เหมือนว่าเธอกำลังถูกความหนาวที่ไม่รู้สาเหตุคุกคาม  “มันน่ากลัว... เหมือนตอนที่น้อยหน่ากับพ่อแม่โดนจับ  แต่ว่า....”

อาการสั่นของเธอหายไปในทันที

“มันต่างกัน”

พฤติกรรมทั้งหมดของน้อยหน่ายิ่งทำให้ผมไขว้เขวไม่เข้าใจ

“น้อยหน่าออกจากห้องไม่ได้  เพราะถูกมัด  แต่น้องทัพ  ออกจากห้องไม่ได้   ไม่ใช่เพราะถูกมัด  แต่น้องตาบอด  น้องรอใครสักคนพาออกไป  สงสาร   น้อยหน่าสงสารรรร”

“น้อยหน่าโม้ปริ๊นซ์หรือเปล่า...”   ผมสัพยอกไปหนึ่งที  “คุยกันแปบเดียวจะรู้อะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”

หรือว่ามันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด 

ทัพไม่ได้รักผมหรอก   เหมือนที่ผมก็ไม่ได้รักน้องอีกแล้ว

เราแค่ยังติดกับสิ่งที่ค้างคาในอดีต

ถ้าเพียงแต่  ตอนมัธยม  ผมยอมรับว่าชอบน้อง  เหมือนที่ผมก็รู้มาตลอดว่าน้องชอบผม   ตอนนั้นเราสองคนอาจจะได้เป็นแฟนกัน   อาจจะยังคบกันถึงทุกวันนี้  หรือ อาจจะเลิกรากันไปแล้วเนิ่นนาน   ไม่ว่าจะเป็นทางใดในอดีตที่ผมไม่สามารถแก้ไขได้     ทว่าผมก็เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า   หากแค่ผมยอมรับความจริงในตอนนั้น   ชนักปักหลังอันใหญ่ที่ค้างเติ่งอยู่บนหลังเล็กบางของทัพเนิ่นนานหลายปีจนเรื่องราวเลวร้ายผิดพลาดต่าง ๆ ดำเนินมาถึงขนาดนี้

“สงสารน้องทัพ  จริง ๆ นะ  สงสาร”

“จ้า... เราก็สงสาร”

ผมรู้สึกจริงตามนั้น



พันธนาการแห่งอดีตที่ทัพสร้างขึ้นมาผูกมัดตัวเอง   ถ้าไม่ใช่ตัวทัพเป็นคนคลายปม  ก็คงไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่จะคลายปมได้


-------------------------------------------------------------


ทัพ



“ก็ดี  แต่เหนื่อย   เอกชนเขาใช้งานกูเต็มที่ไง  จะเช้าชามเย็นชาม แบบรัฐก็ไม่ได้เปล่าวะ”

แล้วก็คว้าขนมถุงอีกหลายถุงยัดใส่รถเข็น

“ไม่ใช่เว้ย   รัฐสมัยนี้ก็ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว”

ขนมอีกถุงถูกยัดใส่รถเข็น   ตอนที่ยังเรียนปริญญาตรี  พารากอนเป็นสถานที่สุดท้ายในลิสต์สถานที่ที่ควรไปซื้อของกินของใช้  เพราะราคาของสุดแสนจะแพง   และถึงแม้ว่าพารากอนและห้างอื่น ๆ ในสยามสแควร์จะสะดวกสบายแค่ไหน  จากการที่มีสินค้าหลากหลายชนิดให้เราเลือกซื้อ    เรียกได้ว่าเป็น one stop service  พวกเราก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยง      และยอมเหนื่อยจากการเดินทางหลายต่อหลายห้าง  แลกกับการเดินทางไปหลายสถานที่  เพื่อหาซื้อของที่ต้องการในราคาที่ย่อมเยากว่า   

ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป  และเวลาที่มีจำกัด  จึงกลับกลายเป็นว่า   สถานที่แห่งนี้เป็นที่แรกในลิสต์ที่พวกเรามาเยือน

“เออ  กูเชื่อก็ได้  งานราชการตั้งใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

“มึงไม่เชื่อเลยนี่หว่า”

เราหัวเราะใส่กันอีกครั้ง

“กูขอถามหน่อยสิมีน”   มักยกคิ้วใส่ผม  “มีแฟนยัง?”

“ก่อนอื่นเลยนะ  ไอ้คำพูดว่า  ขอถามหน่อยอะไรแบบนั้น  เป็นคำพูดติดปากกู  มึงอย่าเลียนแบบ   ส่วนเรื่องแฟน  ยังไม่มีหวะ”

“ยังลืมรักเก่าไม่ได้เหรอ”

มันนิ่งเงียบอยู่หน้าชั้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์   ราวกับมันลังเลใจว่าจะเลือกยี่ห้อไหนไปดี

“อ้อ  คนนั้นเหรอ  กูลืมไปแล้ววะ”

ลืม... มึงลืมคนที่มึงร้องไห้ทุรนทุราย  จนกูต้องปลอบมึงเป็นชั่วโมง ๆ ไปแล้วเหรอวะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะทัพ”   ขวดเหล้าสองสามขวดถูกยกมาวางในรถเข็นที่ผมกำลังเอาศอกวางเท้าที่จับ  เงยหน้ามองมีน   “ก็มึงสอนกูเองนี่  ว่าพอประตูบานนึงปิด  อีกบานก็เปิด  กูก็แค่ตามหาประตูบานใหม่  ช่างสิ  บานเก่านะ”

“เออสิเนาะ”

มันยังจำคติคำคมของผมได้เป็นอย่างดี

“แรก ๆ ก็เฮิร์ตอะ  แต่สุดท้ายก็ใช้ชีวิตต่อไปอะ ตอนเด็กกูเจอปัญหาหนักอกเยอะ   ทุกครั้งที่ประตูหนึ่งปิดลง  ความมืดก็จะเข้ามาปกคลุมชีวิตเรา  ถ้าเรามัวแต่โศกาอาดูรย์อยู่ตรงหน้าประตูบ้านนั้น  เฝ้าอ้อนวอนให้ประตูเปิดอีกครั้ง  เพื่อให้มันนำพาแสงสว่างกลับเข้ามาในชีวิต   บางทีนะมีน  เราอาจลืมคิดไปว่า  ประตูอีกบานหนึ่งอาจเปิดให้เราแล้ว  บางทีอาจไม่ใช่ประตู  แต่เป็นหน้าต่าง  ทว่าก็ยังเปิดจริงเปล่าวะ   แสงสว่างในชีวิตเรา  ไม่เคยดับหายไปหรอก  มันมีอยู่ตลอดนะแหละ  เพียงแค่ว่า  เราจะเลือกมองจากมุมเดิม ๆ โดยหันหลังให้มุมอื่น ๆ ไปหรือเปล่า”

นั่นคือ สิ่งที่ผมเคยพูดกับมีนเมื่อนานมาแล้ว 

“มึงละทัพ  กับพี่ปริ๊นซ์เป็นไงบ้าง”

“ก็ดีมึง ทำไมเหรอ?”

เขาให้มึงมาสืบเรื่องกูสินะ

“เปล่า  กูถามด้วยความเป็นห่วง”

“อืม”

“มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ย”

“มั้ง”

“ถ้ามึงแน่ใจแล้วกูไม่ขัดหรอก  กูไว้ใจมึง  ว่ามึงต้องเลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเองเสมอ”

“มีน”   ไม่มีสักนิดที่มีนเคยทำให้ผมผิดหวัง  มันจริงใจต่อความรู้สึกตัวเองเสมอ  “ขอบคุณนะ”

“เพื่อนกันเว้ย ทัพ   ถึงกูจะสงสารตามบ้างก็เหอะ   มีหลายเรื่องที่กูบอกมึงไม่ได้    กูขอโทษนะ   แต่ดีแล้วที่มึงไม่ทำอะไรไปเพียงเพราะความสงสาร   กูอยากให้มึงตอบตัวเองให้ดี  แล้วทำสิ่งที่มาจากความต้องการในก้นบึ้งของใจมึงจริง ๆ   แค่นี้พอ”

“อืม”

ผมก้มหน้ามองของในรถเข็นที่เคลื่อนตามมีนไปอย่างช้า ๆ

“เจอแล้ว  แก้วพลาสติก”   แก้วพลาสติกหนึ่งแถวใหญ่ถูกวางลงบนรถเข็น   “มันบอกขี้เกียจล้างวะ  ใช้แล้วทิ้งเลย   โคตรทำลายธรรมชาติอะ ไอ้พีเนี่ย”

“อืม”

“แต่บางที  กูก็เข้าใจนะเว้ย  ทำไมหลายคนชอบใช้แก้วพลาสติก  สะดวกไง   ไม่ต้องมาล้าง  มาระวังว่าจะแตกเหมือนแก้วที่ทำจากแก้วจริง ๆ   แก้วมันแข็งแรงกว่าพลาสติกก็จริง   แต่พอตกลงพื้น  ไอ้ที่แตกสลายก่อน  กลับเป็นแก้วที่เราคิดว่าแข็งแรง    ความสัมพันธ์ของคนเราเหมือนกัน   บางทีเราไปคาดหวังให้มันต้องดูแข็งแรงแบบแก้ว  พอตกพื้นทีเดียว  เป็นไงละพี่น้อง   กูเลยยังไม่มีแฟนไง   กูอยากหาใครสักคนที่มาเป็นพลาสติกกับกู   อาจจะดูไม่แข็งแรง   แต่ตกพื้นไม่สลาย   เหมือนจะใช้แล้วทิ้ง   แต่ให้ใช้ซ้ำก็ได้นี่หว่า  ที่สำคัญ  เป็นร้อยปีด้วย กว่าจะสลาย

มันหัวเราะออกมา

แก้วนะ  พอแตกก็บาดทำลายเราได้อีก   ถ้าเป็นพลาสติกยังไงก็ไม่น่าจะบาดแล้วเพราะมันไม่แตก  ยกเว้นมึงจะตั้งใจทำให้มันแตกอะนะ”

มีนกำลังทำให้ผมสับสน

“ถ้าเป็นกู  กูคงเลือกรักคนที่เขารักกูอะ   แต่ดีสุดคือกูต้องรักเขาด้วยนะ”

“มีน...”

มันหัวเราะออกมาอีกครั้ง   พลางจับรถเข็นของผมเป็นการกระตุกเตือนให้ผมเลื่อนรถเข็นตามไป

“โคตรทำลายธรรมชาติเลยเนาะ พวกเราอะ”

ไม่มีคำตอบใดจากผม

“สัมพันธภาพที่ยืดหยุ่น  อาจเหมาะกว่ากับคนแบบกูวะ   ไปจ่ายเงินกันเหอะ  ซื้อครบละ  น้ำแข็งค่อยไปซื้อแถวคอนโดฯ มัน”


“มีน  ...  กูมีเรื่องปรึกษา”


-------------------------------------------------------------



ตาม


“วันนี้งานปาร์ตี้สละโสดของกู  มึงต้องเชิดใส่ไอ้ทัพรัว ๆ  รู้มั้ย”

สองมือถือถุงน้ำแข็งมหาศาล  รอลิฟต์ที่คอนโดของไอ้พีมารับ

“แล้วมึงก็ต้องไม่สนใจมันด้วย”

“เออ ย้ำจังวะ   นี่ซื้อให้กี่คนกินวะ”

“ก็รวมเพื่อนกูด้วย  ก็ไม่เกินสิบคนหรอก   คืนนี้นอนที่ไหนวะ?”

“ไม่รู้    ถึง กทม. ก็มาหามึงเลย  โรงแรมก็ยังไม่ได้จอง   นอนห้องมึงได้มั้ย”

“เอาสิ  กูว่าคนนอนเต็ม   ตรงพื้น  ตรงโซฟา  จองก่อนได้ก่อน   แต่เตียงของกูนะ”

“งั้นกูนอนเตียง”

“อ้าว  ไอ้เหี้ย”

ผมชิงเข้าลิฟต์ก่อนที่มือใหญ่ด้านหนาของไอ้พีจะตบเหม่ง   หลังจากที่พีตั้งท่าประคองตัวได้หลังจากเสียศูนย์วืดตบอากาศ  มันก็กระแทกเท้ากระฟัดกระเฟียดเข้าลิฟท์ตามมาติด ๆ

“มึงผอมลงเปล่าวะพี”

“ขอร้องสัด  อย่าประชด”

“เอ้า  กูพูดจริง”

“เออ ก็ผอมลงแหละ  แต่ไม่ถึงเป้าที่หลินต้องการ”   เสียงถอนหายใจของมันดังยาวแข่งกับเสียงลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นสูง  “ทำไงได้วะ  อาหารไทยแม่งอร่อย”

“ข้ออ้าง...  หน้าด้านสัด”

“เรื่องทัพ  กูไม่ช่วยแม่งละ”

“โอ้... ๆ ๆ เพื่อนรัก  เขาขอโทษนะ”

“.................”

“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นละ  อะ ถึงแล้ว  ตามมานะจ๊ะเพื่อนรัก”

ผมเดินนำ  ให้ไอ้อ้วนเดินตาม  อยากวิ่งเข้าห้องไปกอดคอกับชักโครกสักทีเพราะท่าทีแสนขยะแขยงที่ตัวเองเพิ่งกระทำออกไป

“นี่”   มันหยุดอยู่หน้าห้อง  ควานหากุญแจจากกระเป๋ากางเกง  “มึงพร้อมใช่มั้ยเรื่องทัพ”

“เออ  กูพร้อมแล้ว”


-------------------------------------------------------------



ทัพ


ผมไม่พร้อมจะเจอตามเลยสักนิด

ถ้าสัญชาตญาณของผมไม่บกพร่อง  มั่นใจได้เลยว่า  หนึ่งในคนที่ได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้สละโสดของพี  ต้องมีไอ้หมอยุงลายแน่นอน

ตาเสออกนอกหน้าต่าง  มองเห็นรถหลายคันบนท้องถนนที่การจราจรติดขัดติดอันดับประเทศเส้นหนึ่งในมหานคร  ถอนหายใจมาอีกรอบ    ดังพอที่คนขับแทกซี่ต้องเหลือบตาสอดส่ายมองหาที่มาของเสียงผ่านกระจกมองหลัง   แต่ยังนับว่าดีที่มีนเลือกที่จะไม่ซอกแซกถามอะไรผมมากมาย

“ใกล้ถึงคอนโดพีแล้ว  กูโทรหามันแปบ  ให้มาช่วยหิ้วของ”

มีนเปรยให้ผมฟัง  แล้วจัดการโทรหาเจ้าของสถานที่ในทันที

แทกซี่วิ่งฉิวเข้าเขตโครงการ

“พี่ครับ  ขึ้นไปที่ลานจอดรถชั้น 8 เลยครับ     ไอ้พี  มึงเอาตราปั๊มมาด้วยนะ”

ท่อนหลังมันหันกลับไปคุยกับพีแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

คนที่มาช่วยผมขนของก็คือ  พี  เท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก   ฟังจากที่มันเล่า  งานเริ่มราวหนึ่งทุ่ม   แต่ตอนนี้เพิ่งห้าโมงครึ่งเท่านั้น   

“ก็ไปช่วยกูเตรียมงานไง”

นอกจากจะช่วยงานแต่งแล้ว  ยังต้องไปช่วยมันเตรียมงานปาร์ตี้สละโสดอีก   สิ่งที่ทำลงไปเกิดจากความเป็นเพื่อนล้วน ๆ เพราะคุณคิดเหรอว่าชีวิตนี้ผมจะได้จัดงานแต่งแล้วให้ไอ้พีมาช่วยผมกลับ

ฝันไปเถอะ...

พ่อจ๋าแม่จ๋า   ถ้าอยากอุ้มหลาน  ติดต่อทับทิมนะ  ทัพขอบายยยยย

“อ้าว  ตาม  หวัดดี   มึงมาแต่เมื่อไร”

เนียนเชียวนะไอ้มีน   ยืนมองการทักทายที่สุดแสนจะสมจริงของทั้งหมอและปลัด  ได้แต่ส่ายหัว   แล้ววางขวดเหล้าเบียดลงไปบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวที่ตอนนี้กระจัดกระจายวางจานใส่อาหารสารพัด

“ไอ้หมอยุงลาย กำลังโชว์ฝีมือทำยำมาม่าวะ  กูก็เพิ่งรู้ว่าพวกหมอเขากินของเสียสุขภาพกันด้วย”

“ทำไมวะ  กูก็คนนะมึง”

ไร้บทสนทนาระหว่างผมกับตาม

“จะให้กูช่วยอะไรบ้างพี”

“มึงซื้อเฟรนช์ฟรายมาแล้วใช่มั้ย  เอาไปทอดมุมนู้นไป”

มันบุ้ยใบ้ไล่ผมไปที่เตา ไม่ห่างจากตำแหน่งที่ตามยืนอยู่

“กูกับมีนจะไปจัดสถานที่นะ”  ไวกว่าผมจะอุทธรณ์ร้องกล่าวสิ่งใด  “ไป... มีน”

แล้วครัวก็เหลือแค่ผมสองคนเท่านั้น

“ว่าไง...”

“ไง”

ผมตอบได้แค่นั้น

“เหนื่อยมั้ย”

“อืม... มึงล่ะ”

“ก็นิดหน่อย  วันนี้ขอเลิกงานก่อนหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ขับรถตรงมาเลย”

“อืม”  แล้วผมก็พูดสิ่งที่โง่ที่สุดออกไป  “หยกเป็นไงบ้าง ยังสบายดีใช่มั้ย...?”

“เออ...”

สบายดีสินะ

“ก็ดีแล้ว  กูจะได้ไม่ต้องห่วงมึง   มึงกับเขาปรับความเข้าใจกันยัง...?”

“ก็ถือว่า...”

“ดีแล้วแหละ  เขาสวยนะ”

ผมไม่เคยเห็นภาพหยก  ไม่เคยเลยสักครั้ง....

ตามอ้าปากจะพูดอะไรออกมา  แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงเปิดเตาของผม  ไฟลุกขึ้นและหายวับจากสายตา  เมื่อกระทะหลุมขนาดใหญ่วางทับลงไป   น้ำมันพืชปริมาณหนึ่งเติมเต็มก้นกระทะ    ไม่มีคำพูดใดออกมาอีก  มีเพียงเสียงน้ำมันที่เริ่มเดือดดังปะทุ  เคียงคู่ไปกับเสียงคลุกยำมาม่าของเพื่อนร่วมครัว

ผมทิ้งตามไว้เบื้องหลังผม  ไม่ใช่เพียงแค่ทิ้งจากตำแหน่ง  แต่ผมกำลังพยายามทิ้งไปจากทุกความรู้สึก



-------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 29
ปาร์ตี้สละโสด

ตอนที่ 3



ปริ๊นซ์


“ครูใหญ่ชมปริ๊นซ์ด้วยนะ ว่าปริ๊นซ์ทำสื่อการสอนดี”   

“น้อยหน่าอยากเห็น”

“ปริ๊นซ์เอาไว้ที่รถนะ  เดี๋ยวลงไปเอาแปบนึง  รอก่อนได้มั้ย”

“ได้ ๆ ๆ”

ความกระตือรือร้นจากน้อยหน่าเติมเต็มความสดชื่นให้ผม  ผมยิ้มออกมาก่อนเอามือลูบหัวเธอเบา ๆ หนึ่งที ดวงตะวันภายนอกห้องเริ่มอ่อนแสงลง    จวนจะหกโมงแล้ว    อีกไม่นานฟ้าก็จะมืด    เวลาเยี่ยมของโรงพยาบาลแห่งนี้สิ้นสุดที่เวลาสองทุ่ม   เร็วกว่าโรงพยาบาลทั่วไป     ดังนั้นผมต้องทำเวลาแล้วแหละ

“รอแปบนะครับ”

น้อยหน่าส่งยิ้มให้ผม   ยิ้มอันสดใสให้ผม  ที่กำลังเดินออกจากห้องไป



-------------------------------------------------------------


ตาม



สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำก็คือ  เดินออกจากห้องนี้ไป  หนีไปให้ไกล  แล้วทิ้งเรื่องของทัพไว้เบื้องหลัง

บัดนี้   ราวกับว่า  สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากทำกลายเป็นสิ่งที่ผมควรทำเป็นสิ่งแรก   ด้วยเหตุที่คนที่ผมพยายามอย่างสุดความสามารถให้เขาสนใจผม   กลับทุ่มความสนใจทั้งหมดลงไปที่กระทะเพื่อทอดนักเก็ตไก่  หลังจากที่เฟรนช์ฟรายจานใหญ่เพิ่งถูกตักสะเด็ดน้ำมัน  แล้วจัดใส่จาน

“เราจะไม่คุยแบบนี้กันจริงเหรอวะ”

“เปล่านี่”

การโต้ตอบว่องไวกว่าที่ผมคาดหวังไว้   ราวกับว่าทัพก็รอให้ผมชวนคุยอยู่

“แล้วทำไมมึงเงียบละ”

“กูใช้สมาธิ”

“ใช้สมาธิทอดไก่เหรอวะ”

นักเก็ตไก่ต่างหาก”

“อืม... นักเก็ตไก่สินะ”

“มึงน่ะ  อย่าเพิ่งเอาน้ำยำกับเส้นมาม่าไปคลุกรวมกันนะ  มันจะอืดก่อนพอดี  เหลืออีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด”

ผมช้อนเส้นมาม่าที่ลวกเรียบร้อยวางลงใส่ชาม  แล้วเอาพลาสติกปิดปากด้านบนไว้   ป้องกันไม่ให้ตัวเองใจลอยเอาส่วนที่เป็นน้ำยำไปคลุกเคล้าผสมเหมือนที่ทัพเตือนผม    อย่างน้อยมันก็ยังชวนผมคุยเรื่องอื่นก่อนบ้าง   นับว่าไม่ได้แย่เสียทีเดียว

“เรื่องงานแต่งนะ  มึงไม่เห็นแจ้งอะไรกูเลย  วุ่นอยู่คนเดียวไม่เหนื่อยเหรอวะ”   มันก็ยังหันข้างให้ผม ทอดนักเก็ตไก่ของมันต่อไป  “กูรู้สึกไม่ดีนะเว้ย  เหมือนเอาเปรียบมึง”

“อย่าไปคิดมาก   กูยังไม่คิดเลย  รบกวนส่งมีดมาให้กูหน่อยสิ”

ทัพยืนจัดนักเก็ตไก่ใส่จานเสร็จ    พอดีกับที่ผมยื่นมีดให้มันซึ่งรับไปอย่างว่องไว   ตอนนี้ทัพกำลังหั่นไส้กรอกแนวเฉียง  เพื่อเตรียมทอดต่อ

“ไอ้พีบอกหลินว่าจะลดความอ้วน  แต่ดูของที่มันสั่งให้ซื้อสิ”

ทัพพูดไป หั่นไส้กรอกไปอย่างแคล่วคล่อง

“เออ จริง   กูไม่เข้าใจมันเลย”  ผมขำออกมา   “นี่ยังไม่นับยำมาม่าที่มันเองแหละอยากกิน  อาหารสุขภาพทั้งนั้น”

แล้วเราสองคนก็ขำออกมาพร้อมกัน   

“เลย์อีก  ขนมแต่ละอย่างที่ให้กูกับมีนซื้อมา   นี่มีป๊อกกี้กับจอลลี่แบร์ด้วยนะ  ใช้อะไรคิดวะเนี่ย   เอาป๊อกกี้กับจอลลี่แบร์มากินแก้มเหล้านะ”

เสียงหัวเราะยังดำเนินต่อไป   แล้วสายตาของเราก็ประสานตรงกัน   รอยยิ้มของทัพไม่ได้ช่วยให้มันดูหล่อหรือน่ารักขึ้น   ทัพก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา  หน้าธรรมดา  ไม่มีส่วนใดในเครื่องหน้าที่ทำให้มันโดดเด่นไปกว่าคนอื่น   มันพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยินอีกแล้ว   ปากรูปกระจับของมันขยับเคลื่อนตามถ้อยพาที  มืออันคล่องแคล่วของมันก็ยังหั่นไส้กรอกต่อไป

“คิดถึงช่วงเวลาแบบนี้จัง  เหมือนสมัยก่อน  เหมือนเมื่อตอนเราอยู่หอใน  เหมือนตอนอยู่เกาะกูด”

“.................”

ไม่มีการตอบรับใดจากอีกฝ่าย

“โอ๊ย”

ทัพชักมือเข้าหาตัว  พลางปล่อยมีดเล่มนั้นกระแทกลงพื้นครัว

ผมสะดุ้งตกใจถอยไปอีกทาง  ส่วนทัพก็เอาปากดูดเลือดที่นิ้วตัวเองโดยอัตโนมัติ    เมื่อผมตั้งสติได้จึงกรูไปลากนิ้วข้างที่ทัพโดนบาดเอาไปผ่านน้ำก๊อกไหลเร็วหมายให้น้ำชำระล้างแผล

“เดี๋ยวกูทำให้แผลให้  อย่าขัดนะ   นี่คำสั่งของหมอ

เป็นอีกครั้งที่ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ให้มัน   ซึ่งมันเลือกที่จะไม่เอาสายตาหันมามองผมแม้แต่น้อย   แต่ผมมั่นใจนะว่ามันเห็นทุกสายตาและการกระทำที่ผมกำลังทำอยู่


-------------------------------------------------------------


ปริ๊นซ์



ผมกำลังเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังชั้น 2    ประคองสื่อการสอนไว้ในอ้อมอก   ถ้าไม่ติดว่าเป็นโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ที่ควรจะสงบเงียบ   ผมก็คงผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปกระโดดโลดเต้นไปด้วยแล้ว    อีกไม่กี่เมตรข้างหน้าก็จะถึงห้องของน้อยหน่า

ทว่าเสียงโวยวายโหวกเหวกที่ดังลั่นจากสุดทางเดิน  ดึงความสนใจของผมไปจนหมดสิ้น

“อะไรกันวะ?”

ผมเดินต่อไปอีกเล็กน้อย  จนถึงหน้าห้องของอดีตคู่หมั้น 

“หยุดนะคะ  หยุดนะ”

ขบวนความวุ่นวายบางอย่างกำลังเคลื่อนเข้ามา    นำหน้าด้วยคนในชุดสีฟ้าอ่อน  อันเป็นชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล   ผมเผ้าปิดใบหน้าจนหมดสิ้น  ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย    ตามมาด้วยพยาบาลและบุรุษพยาบาลอีกหลายคน  อันเป็นส่วนกลางและส่วนท้ายของขบวน  ที่พยายามไล่ตามจับเธอ   

พยาบาลคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างจากผมไม่กี่เมตร   ก้าวออกไปยืนตรงทางเดินพร้อมกางแขนทั้งสองของออกจากกันหมายขวางทางคนไข้คนดังกล่าว

ทุกอย่างชุลมุนไปหมด   ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นชัดคือ  คนไข้พุ่งเข้ากระแทกตัวพยาบาลคนนั้นอย่างจัง   ด้วยแรงปะทะมหาศาลจึงถ่ายโอนโมเมนตัมทั้งหมดให้พุ่งถอยหลังมาชนกระแทกผมที่มือยังค้างเติ่งอยู่ที่ลูกบิด

เราสามคนกลิ้งไปเล็กน้อย   

โลกหมุนควงกลับตาลปัตรทำให้ผมรู้สึกเบลอและสับสนไปชั่วระยะหนึ่ง   และผมก็ถูกกระชากให้ยืนขึ้นจากแรงมหาศาลของผู้หญิง   ใช่...  ผมมั่นใจแล้วว่าเป็นผู้หญิง   เธอมีริ้วรอยบนใบหน้าที่มาจากความเครียด   แต่ผมกล้าพนันได้เลยว่า   ครั้งหนึ่งเธอเป็นคนสวย

บัดนี้มือที่โชกเลือดของเธอกำลังถือมีดผ่าตัดด้ามคมจ่อมาที่ท้องของผม

“ใครเข้ามาใกล้กว่านี้   มันก็จะตายเหมือนอีนั้น”   เท้าของเธอเขี่ยเตะที่ตัวคุณพยาบาลที่นอนจมกองเลือด  สถานภาพเป็นตายร้ายดี  ไม่อาจคาดเดาได้   เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว  “ถอยไป”

มีดด้ามนั้นแกว่งกวัดไปทั่ว   พร้อมกับการเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าของเราสองคน


-------------------------------------------------------------



ทัพ



ผมถูกพันแผลแล้วถูกหมอประจำตัวกำชับอย่างแม่นมั่นว่า  ให้อยู่เฉย ๆ   ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว   มันแค่เฉือนลงเนื้อผมนิดเดียวเท่านั้น    ไอ้หมอยุงลายก็เล่นใหญ่ราวกับว่านิ้วผมด้วน

ก็ดี...

ผมเลยได้นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟา  มือสไลด์โทรศัพท์ดูภาพในอินสตาแกรม....  ได้ไม่นาน  ไม่นานจริง ๆ  เพราะภาพดังกล่าวหายไปพร้อมมือถือที่ถูกฉกฉวย

“อย่าใช้แรงนิ้วสิ”

“บาดมือซ้ายนะ  กูใช้มือขวา”   ด้านหน้าจอถูกหันมาให้ผมเห็น  พร้อมกับภาพที่ดับลง   มันตั้งใจปิดเครื่องให้ผมเห็นเลยนี่นา  “เกินไปแล้วนะเว้ย”

“กูเป็นหมอนะ”

“หมอไง  ไม่ใช่แม่”

“งั้นหมอให้คนเจ็บเลือกระหว่างกินเหล้าวันนี้  กับ...”    จังหวะเสียงขาดช่วงไป  แทนที่ด้วยหน้าทะเล้น  “เล่นโทรศัพท์มือถือ  จะเลือกอะไร”

“เหอะ”

“ทำไปก็เป็นห่วงทั้งนั้นครับ   เกิดคนเจ็บเผลอใช้มือด้านที่เจ็บโดยอัตโนมัติจะทำอย่างไรเล่าครับ”

“เอาไป”

ใช่... อยากได้ก็เอาไป  เพราะวันนี้กูต้องได้แดกเหล้า


-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



มีดด้ามคมเฉือนผ่านผิวหนังผมไปหลายจุด  แท้จริงแล้วแค่ผ่านผิวเฉียดฉิว  แต่ก็เรียกเลือดให้ไหลออกมาได้พอสมควร   

ตอนนี้ผมถูกคนป่วยถูลู่ถูกังจนมาถึงลานจอดรถด้านหน้า   พยาบาลและบุรุษพยาบาลหลายคนยังล้อมรอบเราอยู่

“ถอยไป  กูบอกให้ถอย”

เธอตะโกนอย่างขาดสติ  แล้วจ้วงแทงผมไปหนึ่งที

เสียงหวีดร้องดังลั่นจากไทยมุงโดยรอบ   เธอกระชากมีดออกจากแผลและนั้นทำให้เกิดเสียงร้องอย่างสุดแสนทรมานที่ดังออกมาจากผมเอง

แน่นอนว่าคราวนี้ได้ผล    ทุกคนแหวกออกเป็นทางกว้าง

แล้วเธอ  ผู้ที่ผมไม่เคยรู้จักก็แทงผมอีกครั้ง   แทงผมทั้งที่กอดกระชับผมไว้แน่น

“ขอโทษด้วย  ฉันจำเป็นต้องทำ   ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน   คิดถึงตาม”

ผมถูกแทงซ้ำอีกครั้ง  ห่างจากแผลเดิมไปเล็กน้อย   แล้วตัวผมก็ถูกปล่อยทิ้งราวกับขยะไร้ค่า    ผมอยากจะสลบไปเสียเหลือเกินแต่บาดแผลไม่ได้ร้ายแรงจนทำให้ผมสลบไปในทันที

สติผมยังมีอยู่  แม้จะริบหรี่เหมือนเปลวเทียนด้ามน้อยท่ามกลางพายุไต้ฝุ่นก็ตาม

แต่ก็ยังคงมี

ภาพของทัพวันที่โดนแทงด้วยมีดด้ามเขื่องยาวย้อนกลับมาฉายในกมลสำนึก

วันนั้นทัพต้องเจ็บมากแน่ ๆ

ผมเองที่ลากน้องไปเจอแต่ความลำบาก

แผลแค่นี้ไกลหัวใจนัก

พี่ขอโทษนะทัพ...

พี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าพี่รู้สึกอย่างไรกันแน่

แต่พี่รู้ใจตัวเองแล้ว...

พี่จะไม่ยอมให้มันผิดพลาดไปกว่านี้

ถ้าพี่มีโอกาส 

พี่จะ....... 


ภาพทุกอย่างดับลงไป  พร้อมกับแสงสุดท้ายของสายัณห์ที่ร้างลานภา


-------------------------------------------------------------


บทที่ 29  จะมีทั้งสิ้น 4 ตอนย่อยนะครับ

เหลืออีก 1 ตอน  ขอเวลาผมอีกไม่นาน เราจะทำตามสัญญา ครับ

อิอิ

เป็นกำลังใจ ติชม ได้ดังเดิมครับ

ขอบคุณฮะ

ผมลืมแนะนำตัวมาตลอดเลย  เรียกผมว่า  สิงห์ ได้ครับ

แล้วเจอกันฮะ

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนนี้ลุ้นมากรอค่ะ

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 29
ปาร์ตี้สละโสด

ตอนที่ 4 (จบ)



ตาม



จวนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม   แต่ทุกคนที่พีชวนในงานก็มาครบหมดแล้ว

“เอาละครับ  ในฐานะที่ผมรับหน้าที่เป็นพิธีกรงานปาร์ตี้สละโสดเล็ก ๆ ของเรา  ผมคงต้องขอให้ทุกคนปิดมือถือ   งานนี้ไม่มีการคุยกับแฟนหรือกิ๊กนะครับ  เป็นงานหนุ่มโสดเท่านั้น”

เพื่อนจากคณะนิติศาสตร์ของพี  เป็นคนดำเนินกิจกรรม   เราพร้อมใจกันหยิบมือถือขึ้นมาปิดแล้ววางเรียงรายอยู่ตรงหน้าทีวี

ผมวางมือถือของผมเคียงคู่กับมือถือของทัพที่ผมยึดมา

“เอาละครับ  เกมส์แรก  คือ  ...........”

กิจกรรมเริ่มขึ้น

สำหรับคนเจ็บของผมนะเหรอ   ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  นั่งอยู่มุมมืดเงียบ ๆ ของห้อง   ซดเหล้าไปหลายแก้ว  ก่อนที่คนอื่นจะมาพร้อมหน้ากันเสียอีก

“มึงไปแหย่อะไรมันวะตาม”

“กูเปล่าเลยนะมีน  แค่แกล้งมันนิดหน่อยเอง”

“มันงอนแล้ว  ไปง้อเลย”

“ไม่อะ  กูจะเล่นเกมส์”

ก็ในเมื่อแผนการของพวกเรา คือ ผมต้องเพิกเฉยทัพ   ผมจึงเลือกที่จะดำเนินตามแผนดังกล่าวต่อไป

“กินอีก ๆ ๆ”

เสียงเชียร์ดังลั่น   ผลจากเกมส์รอบแรกที่เล่น  เป็น พี   ที่ต้องดื่นมเหล้า   มันจึงกำลังหยิบขวดเหล้ากรอกปากท่ามกลางเพื่อนฝูงหลายคน   เหล้าเพียว ๆ  ไม่มีมิกเซอร์   

และไม่เพียงแต่พีที่กำลังดื่มเหล้าเพียว ๆ

ผมก็เช่นกัน



-------------------------------------------------------------



ทัพ



คืนนี้ผมจะเมาไปเลย


อารมณ์เสียเว้ย  นั่นก็ไม่ได้  นี่ก็ไม่ได้


“สวัสดีครับ  ผมชื่อ  พอล  เป็นเพื่อนคณะนิติของพี  ทัพยังจำผมได้มั้ย...?

จำไม่ได้หรอก  เอาจริง ๆ  เจอกันแค่ครั้งเดียว  คือ ตอนแบ่งหน้าที่ในงานแต่ง  แล้วใครจะไปจำกันได้หมด

“ครับ จำได้สิ”   ตอบปดไปก่อนแล้วกัน  “พอลเป็นไงบ้าง  งานฝ่ายพอลเรียบร้อยหรือยัง”

“เรียบร้อยดีครับ  พีได้ให้หรือยังนะ”

ให้อะไรวะ...

“พอลหมายถึงการ์ดเชิญนะครับ   เราเป็นคนทำเอง”

“อ้อ  ...  ยังเลยครับ”

“นี่ครับ”  พอลยื่นแทบเล็ตให้ผม  กลิ่นตัวหอมจางลอยฟุ้งมาจากตัวเขา  ผมเคลิบเคลิ้มความละมุนละไมของกลิ่นนั้นจนเผลออุทานออกมา  “ครับ..?”

“ขอโทษครับ”   ผมรีบคว้าแท็บเล็ตที่ยื่นมาตรงหน้าเป็นการแก้เก้อ  “สวยดีนะครับ”

ภาพกราฟฟิกของการ์ดงานแต่งโชว์หราอยู่ในโทรศัพท์   พอลชิดตัวเข้ามาใกล้ผมเล็กน้อย  และด้วยความที่ผมถือแท็บเล็ตแนบตัวอยู่ด้านขวา  พร้อมกับเอาแขนซ้ายเท้าคางมองรูป   พอลที่อยู่ด้านซ้ายจึงอ้อมมือมาด้านหลังผมแล้วสไลด์หน้าจอให้ผมเห็นรูปอื่น ๆ

“นี่ครับ  มีหลายแบบนะ   แล้วแต่ว่าให้ใคร  ถ้าฝ่ายเจ้าบ่าวก็แบบนี้  เห็นมั้ย”

ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ  ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าคนที่ออกแบบจบนิติศาสตร์

“ส่วนญาติผู้ใหญ่ก็แบบนี้”

“ว้าวววว”

ตอนนี้ผมเริ่มสับสนแล้วว่าผมกำลังตื่นตาตื่นใจเนื่องจากการ์ดที่ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันหรือกลิ่นน้ำหอมจากตัวพอลกันแน่

“เราใช้ bleu de chanel ครับ”   ผมยักคิ้วใส่พอล ที่ยิ้มร่าใส่ผม  หน้าเราห่างกันไม่ถึงฟุต  “ทัพดูชอบนี่  เห็นฟุดฟิดจมูกใหญ่เลย   พอลทิ้งขวดน้ำหอมไว้ที่รถด้วย  เดี๋ยวสักพักลงไปเอาให้ลองฉีด”

“ครับ”   ไอ้น้ำหอมยี่ห้อนี้ผมก็รู้จัก  กลิ่นเดียวกับที่พี่ปริ๊นซ์ใช้   ผมเคยลองไปฉีดที่เคาน์เตอร์ด้วยซ้ำ  ทำไมกลิ่นที่เคาน์เตอร์กับกลิ่นบนตัวพอล มันต่างกันละ   “ราคาแพงไปครับ  ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรทัพ  เราคนกันเองไง  เพื่อนกันจริงมั้ย”   พอลเป็นคนยิ้มสวย  ฟันเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ  ไม่แน่ชัดว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ หรือ ผ่านการจัดฟัน  “กลิ่นน้ำหอมน่ะ  เราจะดมจากกระดาษไม่ได้  ต้องฉีดบนตัวเลย  เพราะกลิ่นของน้ำหอมจะผสมกับกลิ่นกายของเรา  ได้ผลิตภัณฑ์เป็นกลิ่นอีกแบบที่อาจจะเข้าหรือไม่เข้ากับบุคคลนั้นก็ได้”

“ครับ”

ผมจบวิทยาศาสตร์เคมี   จึงรู้เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี   เคยลงวิชาเลือกที่เกี่ยวกับน้ำหอมด้วยซ้ำ    แต่พอลเป็นคนพูดน่าฟัง    เลยไม่อยากขัดให้เสียน้ำใจกันเปล่า ๆ

“พอลก็ลองมาเยอะนะ  กว่าจะเจอกลิ่นที่เข้ากับตัว”

“เฮ้ยยย  สองคนนั้นนะ  หยุดจีบกันสักพักได้มั้ย”

เสียงโห่ฮิ้วดังลั่น    ทุกสายตาจับจ้องมาที่เราสองคน   คงไม่ต้องเฉลยแล้วกระมังว่าสองคนนั้น ที่พูดถึงหมายถึงใคร

“อะไรของมึง  ไอ้ทัด”

พอลยกนิ้วกลางใส่พิธีกรพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ

“แท็บเล็ตนะเอามาเก็บด้วย”

พอลทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ   แต่ก็เอาแท็บเล็ตที่ปิดแล้วไปวางสุมกองกับมือถือเครื่องอื่น

“เอ้า ไอ้พอล  วันนี้ปาร์ตี้สละโสดของพีนะจ๊ะ  มึงไม่ต้องคิดมาสละเลย   อย่าฉวยโอกาสดิวะ”

อีกครั้งที่พอลชูนิ้วกลางใส่คนที่ชื่อทัด

“เอ้า  ถ้างั้นก็  หมดแก้วแบบคู่รักหน่อยสิจ๊ะ”

แล้วเสียงหมดแก้ว  ก็ดังลั่นห้อง   แม้แต่พีกับมีนที่หน้าเริ่มแดงก็เอากับเขาด้วย   ผมสอดส่องสายตาเห็นตามที่ยืนถือแก้วมองมาทางผม   ใบหน้าของมันตอนนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่  หน้ามันนิ่ง  ไม่ขยับกาย  อันที่จริงแม้แต่ดวงตามันก็ไม่กระพริบ

“พอลว่า  เราต้องควงแขนแล้วดื่มให้หมดนะ  มันจะได้เลิกยุ่งกับเรา”

ช่างแม่ง...

ผมควงแขนไขว้ถือแก้วอย่างว่าง่าย   พอลโต้ตอบการกระทำของผมอย่างไหลลื่น   แล้วเราก็เริ่มดื่มของเหลวในแก้วจนหมด

“พอใจยัง ไอ้ทัด”

พอลตะโกนไป  ได้เสียงหัวเราะกลับมามหาศาล   เขาหันมายิ้มให้กับผมอีกครั้ง  แล้วก็ถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมพาสายตาทอดออกไปยังกลุ่มเพื่อน

“ทัพ  อีกสักพักลงไปเอาน้ำหอมมาลองฉีดกันมั้ย”

“เออ”  ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย  “ได้สิ”

“อืม  พอลมีเรื่องจะถามทัพหน่อย”

“ว่าไง...?”


-------------------------------------------------------------



ตาม


ไอ้หน้าหล่อนั่นเป็นใครมาจากไหน...?

ทัพมันหน้าบี้  ดั้งจมูกก็ไม่มี  สิ่งเดียวบนหน้ามันที่โดดเด่นคือ  คิ้ว  คิ้วที่หนาเป็นแถบยังกับเอาสาหร่ายแผ่นปิดไว้   โดยรวมยังไงก็ไม่จัดว่าหล่อ   เออ แต่น่ารัก   

กูรักของกูอะ

แล้วดูที่ไอ้หน้าหล่อมันทำ  แทบจะเบียดตัวกลืนกับทัพอยู่แล้ว  กะอีแค่สไลด์หน้าจอ    มึงใช้ปากบอกมันก็ได้มั้ยวะ

แล้วดูที่เอาหน้าประชิดกัน  ส่งสายตาหวานอีก  หงุดหงิดเว้ย

แค่ไอ้ห่าพี่ปริ๊นซ์คนเดียว  กูก็เครียดจะตายอยู่แล้วโว้ยยยย


“เพลาหน่อยสิวะ  นี่เพิ่งไม่กี่ทุ่มเอง  จะเมาหัวราน้ำแล้วเหรอ”

“เสือก”

“ด่าเจ้าของบ้านซะงั้น  เดี๋ยวไล่ให้ไปนอนข้างถนนเลย”

“เฮ้ย ไอ้พี   ตามึงแล้ว  แดกหมดแก้ว”

“หมดแก้ว ๆ ๆ”

เสียงอึกทีกโครมครามอีกครั้ง   นับได้เกินสิบแก้วแล้วที่พีถูกรุมโจมตีให้ยกดื่มรวด  แต่มันก็ยังดื่มต่อไปตามที่เพื่อนสั่ง

“ใจเย็น ๆ ตาม”  เป็นมีนที่ใส่ใจทุกรายละเอียดอย่างแท้จริง  “แค่คุยกันธรรมดาแหละ”

ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่สังเกตอยู่

“อย่าคิดมากไปสิวะ  ขำ ๆ ไป  สนุกกับงาน”

“อืม”



“เฮ้ยยย  สองคนนั้นนะ  หยุดจีบกันสักพักได้มั้ย”

แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมกับมีนที่สังเกตสินะ

มันน่าเจ็บใจที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่สองคนนั้น   แต่ละคนมีอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ แสดงออกไป  บ้างล้อเลียน  บ้างสงสัย  บ้างขบขัน  แต่ผมกลับไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าตัวเองอย่างไร  จะยิ้มแบบที่คนอื่นทำ  หรือ ทำหน้าถมึงทึงใส่   ไม่ว่าจะทางใดผมรู้แต่เพียงว่า  ไม่มีสิทธิ

ใช่... ผมรู้ตัวดีว่า ไม่มีสิทธิ

ผมไม่อยากมองภาพการดื่มแบบคู่รักของมันสองคนเลย  ทัพเองก็ไม่ได้มีท่าทีแยแสผมเสียหน่อย

ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง  เราเล่นเกมส์  กิน  ดื่ม   หลายคนเมาหัวราน้ำ   โดยเฉพาะทัด  พิธีกรฝีปากกล้า  ตอนนี้นอนจมอยู่หน้าห้องน้ำ   กลายเป็นยามเฝ้าประตูห้องสุขา  ลำบากคนอื่นต้องเดินข้ามตัวมันเพื่อเข้าไปทำกิจธุระ

“เหยยยยยยยยยยยยยยยย พี”   เสียงครางเมาดังลั่น  “กรูวววววววว กลับบ้านนนนนน ก่อนนะ”

ไอ้ทัพ

แม่ง เมาอีกแล้ว   เมาแล้วเรื้อนอีกแล้ว

“หวายยยยยยยยยยเหรอวะ  นอนห้องกูมั้ย   ม่ายหวายยยยยยย ก็ม่ายยยยยยยยยต่องงงกลาบบบบ”

ไอ้คนถามก็ไม่ได้ดูสภาพตัวเองเลย  คอนโดของพีเป็นคอนโดขนาดใหญ่  มีสองห้องนอน   หนึ่งห้องรับแขก    มันกระซิบบอกผมตั้งแต่เย็นแล้วว่า  ซื้อไว้เป็นเรือนหอโดยเฉพาะ    นี่!  มึงวางแผนล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มดาวน์คอนโดฯ เลยเหรอวะเนี่ยเพื่อนกู

“ไปส่งมั้ย”   ไอ้หน้าหล่อนั้นรีบเข้ามาประคองทันที  “ทัพดูไม่โอเคเลยนะ”

“ม่ายยยยยยยย เปนรายยยยย พอลลลล”

มือทั้งสองข้างของมันจับแก้มพอล  พร้อมบิดซ้ายบิดขวาดูน่ารักน่าชัง

น่ารักกับผีอะไรเล่า  ไอ้คนฉวยโอกาสเอ้ย  มึงปล่อยให้ทัพจับมึงได้ยังไง

“ขอหอมแก้มหนอยยยยยยยยยยยสิ” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นจากไอ้มีน  ที่รีบเข้ามาแยกกลางระหว่างทัพกับไอ้หน้าหล่อ  “อาร้ายยย วะ  อ้ายมีนนน  กลับเจียงงงงฮายยย ของมึงไป๊”

ผมตาสว่างเลยครับ  ตาสว่างทันที

ที่น่าโมโหไม่ใช่ไอ้ทัพจะไปหอมแก้มเขาอย่างเดียวหรอก  มันเมา  ผมพอเข้าใจ

แต่ไอ้หน้าหล่อที่ไม่มีทีท่าขัดขืน  แถมพุ้ยลมใส่แก้ม  ราวกับรอให้หอมนะสิ  มันน่านัก

จะว่าไปแล้ว  พอทัพเมาแล้วชอบลวนลามคนอื่นนะเนี่ย   ครั้งที่แล้วก็ที่ระยอง  ดันมาขโมยจูบผมได้

รอบหน้าต้องกันมันให้ห่างจากสุราและของมึนเมาแล้ว


เห้อ...  ถ้าอย่างงั้น ก็อย่างที่คิดสินะ  ทัพไม่ได้ตั้งใจจูบผมหรอก  ถ้าเมา  แค่ใครก็ได้  จูบได้ทั้งนั้นแหละ

“เอาเป็นว่า  พอลไปส่งนะ”

ยังตื๊อไม่เลิก

“ก้อ ด้ายยยยยยยยยยยยย ก้อด้ายยย ปายยยกัน”

มันคว้ามือไอ้หน้าหล่อ  แล้วแทรกตัวเข้าไปในอกแกร่งของมัน   นี่มึงยั่วคนอื่นเหรอ   มึงกำลังอ้อนเข้าไปกอดในอ้อมอกเขาเนี่ยนะ

“สงสัยเพื่อนกูได้สละโสดอีกคนแล้วเว้ย”

เสียงเมาโหยหวนจากขี้เมานิติ  ดังแว่วมาตรงบริเวณโซฟาที่พวกมันคอพับคออ่อนกองรวมกันอยู่

“เจอกานนน วันงานนะอ้ายพี  เจอกันนนน”

มันโบกมือลาส่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ 

ไอ้หน้าหล่อ  นามว่า  พอล  กำลังประคองกึ่งกอดพันตูนัวเนียกับไอ้ทัพออกจากห้องไป

“มึงจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอวะตาม”

“ก็พวกมึง  บอกให้กูเฉยนี่นา”

“โอ๊ย”   มีนตบหลังผมดังป๊าบ  “ไอ้ควาย   มึงจบหมอจริงหรือเปล่าวะ  ต้องรอฟ้ารอฝน  รอโชคชะตา  ไม่แห่นางแมวขอฝนเลยล่ะวะ”

ไอ้มีนดูเกรี้ยวกราดมาก   เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า  ผมจะเลี่ยงการยั่วโมโหมีนทุกรูปแบบในอนาคต

เสียงปิดประตูดังปัง  เรียกสติให้ผมกลับมา  และหยุดการยืนค้างจากการอึ้งในพลังความเกรี้ยวกราดของมัน

“มันไปแล้ว  ไอ้บ้านั้นพาทัพไปแล้ว”

“ไหนมึงบอกว่า  เขาอาจจะเป็นเพื่อนกัน”

ไอ้เหี้ยนี่  กูขอพูดอะไรหน่อยนะ...?”   แต่ผมยังไม่ทันจะตอบอะไรดี  “ช่างพ่อง  กูจะพูดเลย   หัดทำตามหัวใจซะบ้าง  จะให้พวกกูมาเขียนไดเรกชัน  แล้วมึงฟอลโลว์อย่างเดียวเหรอ  ไปสิวะ”

“เออ....”

“มึงรักมันมั้ย?”

มีนยังผลักหลังผม

“รักสิ”

“แล้วยืนบื้อทำเหี้ยอะไร....”

“กูเข้าใจแล้ว”

ผมไม่ล่ำลาใครทั้งนั้น  คว้ามือถือของตัวเองและของทัพ  จากนั้นรีบพุ่งตัวเองไปยัดเท้าใส่เกือก  กำลังจะเปิดประตูห้องออกไป 

“กุญแจ ๆๆ”

“เอ้า”

ผมคว้ากุญแจรถที่มีนโยนให้  หันไปขอบคุณมันที่กระซิบพูดผ่านริมฝีปาก  จับใจความได้ว่า 

“สู้นะมึง”

เรายิ้มให้กันแวบสั้น ๆ  ก่อนผมจะวิ่งไล่ตามออกไป

“คุณ ๆ”

ประตูลิฟต์กำลังปิด   มือหักก็ต้องยอมแล้วแหละ   เดชะบุญที่ระบบลิฟต์ของคอนโดฯ ไอ้พี  มีเซนเซอร์   มือของผมที่เสียสละแทรกผ่านช่องประตูลิฟต์จึงยังไม่ถึงกับป่นปี้

“ผมจะไปส่งเพื่อนผมเอง”   พอลยกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจใส่ผม   แม่ง  มันหล่อกว่ากูอีก  “เอาตรง ๆ เลยนะ  ผมไม่ไว้ใจคุณ”

ลิฟต์เคลื่อนตัวลงไปที่ลานจอดรถ

“แล้วผมจะไว้ใจคุณได้อย่างไร?”

“เอามือถือมา”   อีกฝ่ายยื่นให้อย่างว่าง่าย  “นี่เบอร์ผม  คุณโทรมาเช็คได้เลย  ผมพร้อมจะเปิดวิดีโอคอลให้คุณดูทุกเวลา  ว่าผมไม่ได้ทำอะไรทัพจริง ๆ”

มันยิ้มอย่างมีเลศนัย  ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อของมันดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม

“ก็แฟร์ดี”

ตอนที่ผมปลดตัวทัพจากไอ้หน้าหล่อ  เพื่อถ่ายโอนมายังไหล่ของผม   ก็พอดีที่ลิฟต์มาถึงลานจอดรถ

“ขอบคุณครับที่ดูแลเพื่อนผมมาตลอดงาน  ที่เหลือผมจัดการเอง”

“ครับ”  เขากดเปิดลิฟต์ค้างให้ผม   หลังจากที่ผมพยุงทัพอย่างทุลักทุเลออกมา  พอลก็ยกมือโบกลา  “แล้วเจอกันครับ”

ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรหลังจากนั้นมากนัก  มันไปเสียได้ก็ดี    ทัพคือคนที่ผมโฟกัสมากที่สุด ณ ตอนนี้    กว่าจะลากมันมาถึงรถได้    แทบตาย เพราะทัพไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด  รังแต่จะเป็นภาระเสียมากกว่า    ทั้งโวยวาย  ทั้งปัด  ทั้งกัด  ทั้งดิ้น  ทั้งตบ  ทั้งตี  ผมสารพัด   กว่าจะจัดมันเข้ากับที่   รัดเข็มขัดนิรภัย   แผลช้ำก็กระจายเต็มตัวผมหมดแล้ว

“เฉย ๆ สิวะ  กูไม่ทำอะไรหรอก”

หลังจากที่อดทนมานาน   ก็จำใจต้องดุตะคอกไปหนึ่งที

“ตามเหรอ”  เสียงของผมไปกระตุ้นมัน  ตาปรือจึงเปิดอย่างเชื่องช้า  มีความสะลึมสะลือปนมาในน้ำเสียง  “ตามมมม?”

“อืม กูเอง”

เข็มขัดนิรภัยที่ผมเพิ่งใส่ให้ถูกปลดออกด้วยน้ำมือของคนเมาเอง

“กู...”

“อะไรวะทัพ”

ทัพเคลื่อนตัวมาใกล้ผมมากเข้า มากเข้า   ตอนนี้หลังผมติดสนิทอยู่ตรงเบาะคนขับและเริ่มยุบเลื่อนเบียดกายให้จมเบาะมากเข้า   แต่อีกฝ่ายก็ยังรุกไล่มาเรื่อย ๆ

กรี๊ด!!  มึงจะลวนลามกูอีกแล้วใช่มั้ยทัพกรณ์

ไม่นะ  ม่ายย  ม่ายยยยย ม่ายยยยยยยยยยยย

ถึงกูจะชอบก็ตาม แต่ไม่นะ  ม่ายยยยยยย

อีกไม่กี่มิลลิเมตรปากของเราก็จะประกบกัน

คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย

ผมหลับตาปี๋

“มึงเมาแล้ว”

อย่านะทัพ

อย่าทำให้กูเกิดอารมณ์มากไปกว่านี้นะ

“กู..... "

เสียงต้องกระเส่ายั่วเบอร์นี้เลยเหรอ

"กู......"

กลิ่นเหล้าและลมร้อนพัดผ่านใบหน้าผมประชิดเนื้อแนบเนื้อ

ปากของทัพลอยอยู๋เหนือจมูกผมอีกเล็กน้อย

ลมหายใจร้อนเริ่มเคลื่อนต่ำลงมา

จะจูบก็จูบเลย จะไซ้ จะทำอะไรก็เชิญ

กูจะขาดใจตายแล้ว

ทำ ๆ ไปเลย













"....................แหวววววววววววะ”


มันอ้วกครับ


อ้วกใส่ผม


เต็มหน้าผมเลย


ทิ้งคราบเหม็นของอาหารสารพันที่มันกินไว้บนร่างของผม  เลอะเบาะรถ  เลอะตัวเอง  แล้วมันก็นอนหลับหนีไป  หลับคาตรงตักผมนั่นแหละ  จมกองอ้วกของตัวเอง  มือข้างซ้ายของมันที่ตอนแรกจับพวงมาลัยรถไว้ก็พลาดไปโดนแตรรถ  เสียงดังสนั่นลั่นลานจอด


มีอะไรเร้าใจกว่านี้อีกมั้ยครับ.............



-------------------------------------------------------------



จบบทที่ 29

สิงห์จะรีบเอาบทที่ 30 มาโพสท์ไว ๆ นะครับ

ขอแก้คำผิดกับพรูฟอีกรอบก่อน


ข้อเสนอแนะและติชม ยังรับเหมือนเดิมครับ

รักทุกคนครับ

 :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-01-2019 15:09:53 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 30
ถึงงานแต่งงาน

ตอนที่ 1



ทัพ



ปวดหัวที่สุด  ปวดหัว 

ปวดร้าวไปทั้งตัว  ตั้งแต่หัวจรดเท้า   ปวดที่สุดคือช่องทางด้านหลัง  เสียดทรมานเกินจะบรรยาย

แสงรำไรลอดผ่านหน้าต่าง  โคมไฟโค้งมนลอยเด่นอยู่ด้านบนเพดาน   ที่นี่คือห้องนอนของผม  คอนโดหลังน้อย หนี้ก้อนมหาศาล  ไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน

ความรู้สึกหนักตัวและปวดร้าวยังแพร่กระจายไปทั้งสรรพางค์กาย

ฝืนความเจ็บปวด  ขยับแขนเพื่อเท้าตัวดีดลุกขึ้นนั่ง

“เฮ้ย..”

ร่างกายอุ่นของมนุษย์อีกคนที่นอนเบียดอยู่ข้างผม   หลังใหญ่  แผ่นขาว  แม้ไม่เห็นหน้า  ผมก็เดาได้แล้วว่า  ผู้นื้คือใคร   

“ตาม”

เสียงโกรธแค้นของผมปะทุออกมา   พร้อมกับเจ้าของชื่อที่พลิกตัวมาประจันหน้ากับผม   ตายังหลับสนิท   อกรูปสวย  กล้ามเนื้อหกชิ้นมัดเรียงตัวสวยงาม   มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กที่คาดรัดปิดร่างกายท่อนล่างอันชวนจักจี้ใจของมันเอาไว้    ส่วนผมนั้นนะเหรอ  เปลือยกายท่อนบน  มีเพียงกางเกงขาสั้นที่สวมใส่ทับปิดไว้ไม่ให้โป๊  กางเกงในไม่ต้องพูดถึง  แค่มันกรุณาใส่กางเกงให้ผม นับว่าเป็นพระคุณแล้ว

“ไอ้เหี้ยตาม  มึงตื่นเลยนะ”

“อะไรมึง”

เสียงงัวเงีย ผสานกับตาที่ปิดสนิท  ยั่วยุความโกรธของผมให้พวยพุ่ง

“มึงทำเหี้ยอะไรกู”

ผมเขย่าตัวมันอย่างแรง  ใจจริงอยากจะบีบคอเลยด้วยซ้ำ

“บ่นอะไรของมึง”

“มึงตื่นลืมตาตี่ ๆ ของมึงมาคุยกับกูก่อน”  ผมพยายามกระชากมันให้ลุกขึ้น  ทว่าไม่สามารถลากร่างกายอันหนักอึ้งของมันขึ้นมาได้ ซ้ำร้ายยังเด้งตกจากเตียง  ซ้ำรอยแผลที่บั้นท้ายไปอีกคำรบ  “โอ๊ยยยยยยยยยย”

“เฮ้ย”  อดีตเพื่อนร่วมห้อง ที่ผันเป็นเพื่อนร่วมเตียงกระโดดลงมาประคองผมทันที   มีหรือที่ผมจะปล่อยให้มันมาสัมผัสอะไรผมให้มากไปกว่านี้    “มึงจะสะบัดสะดีดสะดิ้งทำไม....?”

“ไอ้เหี้ย  กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง  มองมึงเป็นเพื่อนมาตลอด”

ความเงียบสาดสัดเข้ามาอีกครั้ง   แว่วดังแค่เสียงสั่นเครือจวนร่ำไห้ของผมที่ก้องไปมาในห้อง

“อืม  กูรู้แล้วว่ามึงมองกูแค่เพื่อน”    โทรศัพท์มือถือถูกยื่นใส่หน้าผม  “เอาสิ  ลองดู”



-------------------------------------------------------------



ตาม



คืนก่อน...

กว่าผมจะลากมันมาถึงห้องได้แทบตาย....   น้ำหนักไม่ใช่อุปสรรค  แต่เป็นความเมามายจอมอาละวาดของมันต่างหากที่ทำให้ผมอยากจะชกมันให้สลบแล้วค่อยอุ้มมันขึ้นมา

“กูขอปิดประตูห้องก่อนนะ”

ผมกองมันไว้บนพื้น  มันครางหงิง ๆ ออกมาเหมือนลูกสุนัขที่ถูกพรากจากเต้าแม่   พอเมาแล้วมึงอ่อยขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้ทัพ

“ครางเหี้ยไร  แค่กูไม่กอด เสียใจเลยเหรอ”

ผมคว้ามือถือมาอัดคลิปมันเอาไว้   ทั้งไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในตอนเช้า  ทั้งไม่ให้ไอ้เพื่อนหน้าหล่อของไอ้พีมาเซ้าซี้   แล้วผมก็อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ทัพเห็น  เผื่อเกิดกรณีต่าง ๆ  อันคาดไม่ถึงในอนาคตอีกด้วย

มือถือถูกวางตั้งไว้ในตำแหน่งที่สามารถเห็นห้องได้ชัดเจน   โทรทัศน์เปิดฉายรายการข่าวสดรอบดึก  ซึ่งผมจงใจเปิดรายการนี้  เพื่อยืนยันเวลาที่แน่นอน   กันข้อครหาเรื่องสร้างหลักฐานปลอม

“ไป”  ผมเอานิ้วมือเขี่ยทัพ  บอกตามตรงเลยว่า  รังเกียจ  กลิ่นอ้วกคละคลุ้งไปทั้งตัว   อันที่จริงกลิ่นก็คละคลุ้งมาจากตัวผมด้วยเช่นกัน  ว่าแล้วก็ถอดเสื้อตัวเองออกอย่างรังเกียจ  เปิดประตูห้องน้ำ  แล้วโยนผ้าเหม็นเหล่านั้นเข้าไป  “มึงต้องอาบน้ำ”

“ไม่เอา  กลัวน้ำ”

ไม่มีสิทธิร้องอุทธรณ์ในเมื่อตัวมึงเหม็นโฉ่ขนาดนั้น

“เป็นหมาบ้าเหรอไง....?”

“กลัวน้ำ”

หน้ามันยังจมอยู่กับพื้น  ท่าเดิมตั้งแต่ที่ผมโยนมันกองไว้ที่พื้นห้องนะแหละ     เสื้อผ้าทีละชิ้น ๆ ของทัพถูกผมถอดออก   มันไม่มีที่ท่าขัดขืน  มีเพียงเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ที่แว่วเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก

“มึงหุ่นดีนะตาม”
 
มันหรี่ตามองผมด้วยสายตาที่   ว่าอย่างไรดีนะ   น่ากระถืบซ้ำมากกว่าจะเรียกว่ายั่วยวน

“เออ”

มือเย็นของมันกำลังลูบไล้ที่ซิกแพกของผม วนเวียนอยู่หลายรอบ

“พอเลย”  ผมปัดมือมันออก  ได้ยินเสียงครางไม่พอใจของมันออกมา  หรือว่ากูเมาจนหูฝาดวะ  เอาตามตรงเลยผมเขิน  ราวกับผมกำลังโดนมันต้อนจนมุมอย่างไรอย่างนั้นเลย  “เมาแล้วแรดนะมึง”

“ฮะฮ่า... เอิ๊ก  กูไม่ได้เมา”

“งั้นมึงก็แรดสินะ”   ก็มันไม่ปฏิเสธนี่นา   ผ้าชิ้นสุดท้ายหลุดรอดจากปลายขาของมัน  คงเหลือไว้เพียงอาภรณ์ผืนบางที่ปกปิดทัพน้อยเอาไว้  “ไป ไปอาบน้ำ”

และผมก็ไม่ลืมคว้ามือถือที่อัดคลิปมาด้วย   

“วันหลังห้ามกินเหล้านะ  อย่างน้อยก็ต้องไม่เมา  ถ้าจะเมาต้องมีกูอยู่ด้วย”

ฝักบัวอาบน้ำฉีดน้ำใส่หลังของทัพ  ที่ผมถูสบู่เหลวขัดตัวนำไป   ผมกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่นอกอ่างอาบน้ำ  มองคนเมากอดเข่าด้วยความหนาว

“ทำไมต้องเชื่อมึง”   ไอ้คนเมามันดื้อครับ  หน้าแดง ตัวแดง   ยังไม่วายเถียง  ตามันปิด  หน้าซุกอยู่ตรงเข่าที่มันกอด สภาพไร้ทางสู้  ยังกล้าปากดี   จับรวบหัวรวมหางเลยดีมั้ย   “ตะ ตามมม....”

เสียงกระเส่าของมันทำให้ผมต้องละจากการสาละวนกับการเอาสบู่ถูตัว เงยหน้าขึ้นมามอง   มันหันใบหน้ามาทางผม   ตาของมันเยิ้มแดง  เห็นเส้นเลือดชัดเจน    ตาทั่วไปของคนเมาสุรา  แต่ช่างมีพลัง

“อึดอัด”  มันจับขอบบ๊อกเซอร์พร้อมถอด  “ขอถอดนะ”

“อย่านะเว้ย  ถ้ามึงถอด กูกลับ”

“หึหึ...”   เสียงหัวเราะแบบเจ้าเล่ห์ของมันทำให้ผมหัวเสีย  “ก็ได้ กูไม่ถอด”

“เออ ด....”   คำว่าดี  ถูกกลืนหายไปในลำคอของผม   เมื่อมือเย็นเปียกน้ำของมันเหยียดยื่นยาวเอื้อมออกมาจากอ่างน้ำเพื่อสัมผัสขอบบ๊อกเซอร์ของผม    “ทัพ  มึง”

ผมพูดได้แค่นั้น  แค่นั้นจริง ๆ

“งั้นก็ถอดให้กูสิ   แล้วกูก็จะถอดของมึง”

ห้องน้ำในคอนโดฯ มันแคบ  เมื่อผมพยายามจะหลบตัวหนีจนถอยไปสุดทางก็ชิดกับฝาผนังอีกฝั่งแล้ว   ส่วนไอ้คนหื่น 2018  ก็คลานตัวออกจากอ่างอาบน้ำ  ยังกับผีจูออนที่ไล่คืบตามผมมาอย่างไม่ลดละ    ร่างแผ่ราบของผมนอนนิ่งปล่อยทุกอย่างไปกับสายลมและแสงแดด  ทัพเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วทาบทับร่างของผมไว้

ปากอุ่นของมันซุกไซ้ที่ซอกคอของผม

นี่ กูจะต้องกลายเป็นเมียไอ้ทัพเหรอวะ

ความคิดวูบแรกของผม  ถูกแทนที่ด้วยอีกความคิดทันที

กูจะไม่ยอมให้มึงแดกเหล้าคนเดียวชั่วชีวิต

แล้วความแรกของผมก็กลับมาอีกครั้ง  พร้อมกับความรู้สึกแข็งขืนกลางลำตัว 

ไม่ได้  กูจะไม่ยอมเป็นเมียมัน  กูต้องพลิกเกมส์

ความแข็งขืนโป่งพองของเราสองคนกำลังบดเบียดไม่รู้เหน็ดเหนื่อย  ทัพเริ่มพรมจูบไปทั่วแผงอกของผม   ทุกครั้งที่ปากของมันสัมผัสกับจุดอ่อนไหว   ก็อดไม่ได้ที่ผมต้องครางรับสัมผัส   และราวกับว่า   เสียงของผมดังตอบรับเท่าไร   ทัพก็ยิ่งย้ำระดมพรมจูบ ณ ตำแหน่งนั้นมากขึ้น   แล้วจะไปเอาแรงไหนมาพลิกเกมส์เพื่อไปเป็นผัวมันวะเนี่ย

มันเมาไปกี่ครั้งแล้ววะ  นี่มันอ่อยผู้ชายไปกี่คนแล้ววะ


อีกครั้งที่ความคิดที่สอง  แทรกขึ้นมา

แต่แล้ว  ความคิดที่สามก็ผุดขึ้นมา

“กูอัดคลิปไว้นี่หว่า”

แล้วความคิดนั้นก็ชนะทุกสิ่ง  ผมเด้งตัวขึ้น   ผลักคนที่กำลังกล่อมเพลงรักกระเด็นไปสุดตัว   บั้นทายของทัพกระแทกกับอ่างน้ำเต็มแรง   มันร้องโอดโอยออกมาดังลั่น   แล้วมันก็เงียบสงบไป

“เฮ้ย  มึงไหวมั้ย  ทัพ”

“.......................”

มันไม่ตอบอะไร

“มึงตอบกูสิ”

“ไม่เห็นต้องรุนแรงก็ได้”

“เฮ้อ”  โล่งใจไปที  “อาบน้ำต่อเถอะนะ”

ประคองมันลงอ่างอาบน้ำ   เจ้าของห้องไม่ขัดขืนอะไรอีกแล้ว   ไม่มีทีท่าจะอ่อยผมต่ออีกด้วยซ้ำ



-------------------------------------------------------------



ทัพ




“มึงใส่ผ้าขนหนูซะ  แล้วเปลี่ยนกางเกง”   เสียงขู่เข็ญดังลั่นของตาม  พร้อมกับภาพที่ผมเห็นตัวเองสาละวันกับการถอดบ๊อกเซอร์ตัวเก่าออกมาจากตัวหลังจากที่พันผ้าขนหนูไว้โดยรอบ   แล้วกระเสือกกระสนยัดตัวใหม่ที่มันยื่นให้ใส่ไปยิ่งทำให้ผมอับอาย   “อย่าเพิ่งนอน”

ภาพที่ผมล้มตัวนอน   พร้อมกับเสื้อที่ตามโยนมาให้

“ใส่ก่อน”

“กูไม่ใส่  กูง่วง”

“มึงนี่   เดี๋ยวไม่สบาย    ผมก็ยังไม่แห้งเลย    แล้วนี่มีเสื้อผ้าไซส์กูบ้างมั้ย”

“.........................”

“เฮ้ย ไอ้ทัพ”

ผมเริ่มกรน   พร้อมกับภาพหน้าผมที่ชัดมากขึ้น  จนเห็นรูขุมขน

“ทำไมมึงต้องซูมขนาดนั้นด้วยวะไอ้ตาม”   ผมหันหน้าไปด่ามัน  มือยังถือมือถือที่อัดคลิปอุบาทว์ของผมเอาไว้  “ทำไมวะ สัด”

“อ้าว  ตั้งใจดูสิ”

“สรุปว่ามึงนอนแล้วนะ”  ตามในคลิปพูด   “งั้นกูนอนบ้างนะ”

“เอาเลย.....”

เสียงงัวเงียของผมดังขึ้นมา

“กูไปนอนโซฟานะ”

“ม่ายยย ม่ายต้อง  นอนเตียงกับกู  ปิดไฟด้วย”

“มึงนี่นะ”   เสียงตามดังขึ้น   ภาพตัดไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง   ผ้าผืนเล็กถูกถืออยู่ในมือของมัน   แล้วภาพจากมือถือก็ไปตัดอยู่บนเตียง   ตามกำลังช้อนคอผมขึ้นมาหนุนตักมัน   บรรจงเช็ดผมที่เปียกชื้นของผมอย่างเชื่องช้า   “ลำบากกูตลอดเลยนะ”

ผมนั่งมองภาพนั้นอีกสักพัก   ตามจัดท่านอนให้ผม   ภาพผมนอนสงบนิ่งบนเตียงยังฉายไปอีกสักพัก  ก่อนที่จะเห็นใบหน้าอิดโรยของตามเข้ามาแทนที่   และลำแขนที่กำลังยื่นเหยียดออกมา

นั่นคือวินาทีที่คลิปถูกตัดจบ

“เอาละ  ยังมีหน้ามาด่ากูอีกมั้ย  ว่าข่มขืนมึง”

ทำไมตามมันดูพองตัว  แล้วก็ดูน่ากลัวขนาดนี้วะ

“เออ....”

“ว่าไง”   สายตามาดร้ายของมัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตัวหดสั้นลง   “ตอบสิ...”

“ผมผิดไปแล้วครับ”

“เออ ดี”   มันลูบหัวผมแปะ ๆ  ถ้าเป็นเวลาปกตินะ  กูด่าเปิงไปแล้ว   “เลี้ยงข้าวกูด้วย  โอเคมั้ย”

“ครับ  เลี้ยงครับ  อยากกินอะไรบอก”

เงินโบนัสปลายปีจะได้กี่เดือนวะ   แม่งเอ๊ย  ไอ้ตามต้องล้างผลาญกูแน่

“ดีมาก  งั้นวันนี้เลย”

“หา... วันนี้เลยเหรอ”

“เออ”

รัศมีความแค้นเคืองในตามันทำให้ผมจำใจพยักหน้า   

“ได้ที เอา.....”   โทรศัพท์ของมันดังลั่นในอุ้งมือของผม  หน้าจอโชว์หราว่า  พอล  ไอ้หล่อเพื่อนพี  “มึง...”

ผมยื่นโทรศัพท์ให้มัน   ที่รับแล้วเดินออกไปคุยนอกระเบียง

คุยอะไรกัน  มันสองคนคุยอะไรกัน    ได้แต่นั่งกระสับกระส่ายด้วยความสอดรู้สอดเห็นอยู่บนโซฟา

“เอ้า มึง  มันอยากคุยด้วย   อย่านานนะ”

ผ่านไปราว 5 นาที  มันก็กลับเข้ามาในห้อง  ความไม่พอใจฉายชัดอยู่บนหน้าของมัน   พร้อมกับยัดเยียดมือถือให้ผม

“ว่าไงพอล”

“ทัพ  เป็นไงบ้าง  หายแฮงค์ยัง....?”

ผมส่ายหัวเล็กน้อย   ลืมไปว่าเราไม่ได้เห็นหน้ากัน

“อ้อ  ยังอะ”

“ไปกินข้าวกันมั้ย   เราเลี้ยงเอง”

“เฮ้ย จะดีเหรอ”

“ไปเหอะนะ  นะ นะ นะ  จำเรื่องเมื่อคืนได้มั้ย”

เราไมได้วิดีโอคอลคุยกัน  แต่เชื่อมั้ยว่าผมจินตนการใบหน้าอันหล่อเหลาของพอลกำลังประณมมือสองข้าง กราบกรานผมอยู่  ด้วยสายตาน่ารักน่าสงสารที่ใครเห็นก็ต้องอยากช่วย

“ก็ได้ เราจะพยายาม” 

“แค่ทัพพูดเราก็ดีใจแล้ว   เดี๋ยวเราส่งโลเคชันให้ตามนะ  เจอกัน”

พอลวางหูไป   ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับความโกรธลูกใหญ่ที่รออยู่ด้านหลัง

“มึงเอายังไงเรื่องพี่ปริ๊นซ์”

“ก็ไม่อะไรนี่”   วิญญาณพ่อจ๋ากูเข้าสิงเหรอ  หวงกูจัง   “แล้วไอ้พอลนี่ยังไง”

“ไม่อะไร  เพื่อนกัน”

“มึงมั่นใจว่าคิดแค่เพื่อน”

“เออ กูมั่นใจ”   ผมโก่งคอด่ามันกลับ  เหมือนกับที่มันโก่งคอเริ่มว่าผมก่อน  “กูมั่นใจมากด้วย”

“แต่กูไม่มั่นใจ”

“เรื่องของมึงสิ”

“มึงจะไปกินข้าวกับมันใช่มั้ย....”

“เออ”

“งั้นกูไปด้วย”

ตามตะโกนสวนมาทันที

ท่าที่เกรี้ยวกราดของผมมอดดับทันที 

“มึงจะไปจริงเหรอ...”  เหลือเพียงแต่อีกฝ่ายที่ยังหัวร้อน  และราวกับว่าไฟแห่งโทโสจะไม่ได้มอดดับได้โดยง่าย  “มึงจะไปทำไม????”

“ทำไม  กูกลัวไปเป็นก้างขวางคอเหรอวะ”

ทิ้งตัวโครมลงบนโซฟา  ไอ้เหี้ยตามเอ๊ย   มึงกี่ขวบแล้ว  ทำท่าสะดิ้งไม่พอใจแบบนั้นไมได้น่ารักขึ้นมาหรอก  แล้วโซฟากูก็ราคาแพงนะเฟ้ย

“มึงจะไปทำไม”   นั่งข้างมัน จับไหล่มันบีบ  “อย่าหัวเสียสิ  ใจเย็น ๆ”

“แม่ง  กูแม่ง”

ไหล่ตามแข็งเกร็งด้วยความเครียด   ผมนั่งลงข้างมัน  แล้วทำได้เพียงกดคลายเพื่อนรักโดยหวังให้มันรู้สึกดี

“ที่กูทำไปแม่ง  ไม่มีความหมาย  กี่ปีแล้ววะ   ที่กูไล่ตามมึง  มึงรู้มั้ย    ไม่เลยที่มึงจะใยดีกูสักนิด  แล้วไอ้พอลแม่งมาจากไหน   แค่วันเดียว   มันชวนไปกินข้าวมึงก็ไปแล้ว”

“ตาม.....”

“ถ้าพี่ปริ๊นซ์กูยังไม่รู้สึกเหี้ยเท่านี้เลย   มึงรักพี่เขามานานแค่ไหน  ถึงมันจะเลว ชั่วช้า  ชาติหมา”   เออ  ที่มึงพูดนั่นคือไม่โกรธพี่เขาจริง ๆ ใช่มั้ย   “ระยำ  ฉวยโอกาส เห็นแก่ตัว  เพียงใด   แต่เขาก็มาก่อนกูหลายปี  เขาประทับใจในมึงตลอด   ถ้าสุดท้ายมึงเลือกเขา   กูก็ยังจะยินดีให้  แต่นี่อะไร”

“มึง.....”   

“แต่เอาจริง ๆ กูไม่พอใจเรื่องพี่ปริ๊นซ์หรอก   ถ้าเลือกได้  มึงอย่างไปยุ่งกับมันเลย”

“ทัพ....”  ผมกลัวว่ามันจะร้องไห้ออกมา   เพราะหน้ามันตอนนี้ดูแย่ลงไปเรื่อย ๆ    มือหนาของมันกุมปิดใบหน้าเอาไว้  จนผมเดาทางไม่ถูก   “กูแม่ง   รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ขยะเลยวะ  ไม่มีค่าห่าอะไรเลย   ไม่ใช่สิ  กูไม่ใช่ขยะด้วยซ้ำ   เพราะถ้ากูเป็นขยะ  อย่างน้อยมึงก็ยังเคยใช้  ก่อนที่จะเอากูปาทิ้ง   กูเหมือนห่าอะไรไม่รู้ในชีวิตมึงอะ   เหมือนอยู่ข้าง ๆ ด้วยตลอดเวลา แต่ไร้ความหมาย   กูเป็นเหี้ยไรวะ....”

“ตาม...”   อีกครั้งสินะ   ที่เพื่อนรักของผมถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของผมเอง   “อย่าเป็นแบบนี้สิ”

เสียงไลน์ดังขัดขึ้นมา

ตามเงยหน้าขึ้น  ลุกขึ้นจากโซฟา  เบี่ยงหน้าไปอีกทาง  พร้อมกับท่าทางเช็ดใบหน้าเล็กน้อย   มันหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับตาแดงฉาดชัดว่าผ่านการร้องไห้มา 

“มันส่งโลเคชันมาแล้ว  กูไม่สน  กูจะไปด้วย  มึงไม่ต้องเลี้ยงข้าวกูแล้วก็ได้  แต่อย่าขัดกูเรื่องนี้  กูขอ”

แล้วผมจะห้ามอะไรมันได้



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณท้อง  ร้าวเจ็บมาที่ข้างลำตัว

เปลือกตาแผ่นบางที่สามารถหนักอึ้งราวกับปูนซีเมนต์ได้เมื่อความเจ็บปวดทรมานครองร่างคุณอยู่ปิดบังทุกอย่างจากโลกภายนอกเอาไว้

แรงทั้งหมดที่มีถูกรวบรวมเพื่อเผยอแผ่นเปลือกตาอันหนักอึ้งนั้น  แล้วสิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อฝืนง้างเปลือกซีเมนต์แผ่นบางได้ ก็คือ  ไอ้ปัน

“เหี้ย  ปริ๊นซ์   มึงฟื้นแล้ว    หมอ ๆ ...”

และสิ่งที่สองที่ผมเห็น  ก็คือ  หลังมือของผมที่เหยียดจนสุดเอื้อม เพื่อห้ามไม่ให้เพื่อนรักเดินออกไป  แต่มันก็ไม่เป็นผล   เพราะยังไม่ทันที่จะอ้าปากห้าม  ปันก็ผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไปตามแพทย์ทันที

ผมไม่ตาย  ใช่แล้ว   ผมยังไม่ตาย....

เสียงประตูปิดดังปัง  ยังกระทบโสตประสาทผมอยู่อย่างชัดเจน

ปันกลับเข้ามาพร้อมคุณหมอ

“กูกลับมาแล้วปริ๊นซ์”

“ทัพ... กูอยากเจอทัพ  อยากเจอ...”


-------------------------------------------------------------


สิงห์กลับมาแล้ว หลังจากหายไปนาน

อย่าด่าผมเลย   ผมไม่ว่างจริง ๆ สอบเยอะ  การเรียนมหาวิทยาลัยมันยากกว่าที่ผมคิด


เอาเป็นว่า สิงห์จะพยายามมาอัพให้เยอะที่สุด เท่าที่จะทำได้นะครับ

ยังรับฟังคำชมและข้อเสนอแนะเสมอครับ

สิงห์เจ้าเก่า  เพิ่มเติมคือวุ่นมาก 

 :man1:

รักทุกคนครับ

 :mew1:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 30
ถึงงานแต่งงาน

ตอนที่ 2



ทัพ



พวกเรานั่งอยู่ในร้านอาหารหรูหราห้าดาว  ไม่สิ ... มันมากกว่า ห้าดาวเสียอีก

“ปกติแล้ว  พอลทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยที่บ้านนะครับ”

พอลกำลังเล่าประวัติตัวเอง  หลังจากที่ไอ้ตามเสียมารยาทถามทันทีที่ที่ตูดของผมสัมผัสกับเก้าอี้ข้างตัวพอล

“แล้วพี่น้องมีกี่คนครับ?”

ควานหาเท้าของไอ้ตามใต้โต๊ะ  เขี่ยแผ่วเบาไปหนึ่งที  หวังปลุกสติไอ้เพื่อนช่างซักคนนี้  พร้อมกับส่งสายตาปรามเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

แน่นอนว่าไม่เป็นผล

“อ้อ  เราเป็นลูกคนเดียว”  พอลยกมือขึ้น ผ่านด้านหลังผมแล้ววางมันลงที่พนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง  เคลื่อนตัวมาโดนไหล่ผมเล็กน้อย   ท่าทางของพอลจึงเหมือนกำลังโอบไหล่ผมอยู่   “แล้วก็ยังไม่มีแฟนครับ”

“โอ๊ย.........”

“ทัพเป็นอะไรครับ”   พอลกระวีกระวาด  หน้าตาเลิกลัก  มือนุ่มของพอลรวบจับมือผมทันทีที่เสียงร้องดังลั่น  จู่ ๆ ไอ้คนนั่งฝั่งตรงข้ามก็เหยียบตีนผมมาเสียเต็มแรง  “ทัพโอเคแน่นะ”

ผมยกมือปัดให้พอลสบายใจ  ส่งสายตาอาฆาตไปยังเพื่อนรัก  ที่ทำหน้าตาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แล้วมีเงินเหรอครับ  พามาเลี้ยงร้านหรูแบบนี้”

“สบายครับ  ให้เลี้ยงอีกสิบคนก็ยังได้  ให้เลี้ยงไปตลอดชีวิตยังได้เลย”   พอลทำตาหวาน  โปรยเสน่ห์   ยิ้มของพอลชวนฝันประทับใจ  จนพนักงานสาวที่เข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่มถึงกับยืนนิ่งเคลิ้ม  “ขอบคุณมากนะครับ  คุณพนักงานคนสวย”

หลังจากเสียงคำว่า คนสวย  ต้องใช้เวลานานเกือบนาทีกว่าที่เหยื่อเสน่ห์รายนั้นจะกลับมามีสติ  แล้วเดินจากไปด้วยสีแดงร้อนที่เทราดบนใบหน้า

“คุณ ดูเป็นคนบริหารเสน่ห์เก่งนะครับ”

เหมือนเป็นคำชม  แต่สำหรับคนที่รู้จักตามมาอย่างดี  นี่มันคำเหยียดชัด ๆ

“ครับ”  พอลยักไหลอย่างไม่ยี่หระ  “ก็ถ้ามีเสน่ห์แล้วไม่บริหาร จะมีไปทำไมเล่าครับ ตาม  ผมขอเรียกตาม สั้น ๆ ได้มั้ยครับ”

“เชิญครับ”   นิ้วชี้  นิ้วก้อย  นิ้วกลาง  ผมเลือกก้มมองนิ้วตัวเอง   ก่อนเงยหน้ามองใบหน้าโหดของตามที่มองไปที่พอลอย่างเครียดแค้น  “เห้ย ไปไหน”

ใช่ครับ  ผมผุนผันลุกขึ้น

“ห้องน้ำ  กูจะไปเยี่ยว”

แล้วผมก็เดินออกมา

ผมโกหกที่ว่าจะมาปัสสาวะ  แต่ผมไม่ได้โกหกเรื่องเข้าห้องน้ำ 

“แม่งเอ๊ย....”

อึดอัดที่ต้องมานั่งอยู่ท่ามกลางความรู้สึกอะไรไม่รู้แบบนี้ที่สุด

“ไม่กลับไปได้มั้ยวะ...”

สุดท้าย  โต๊ะอาหารคือคำตอบที่ดีที่สุด

ฮะฮ่า.... จริงเหรอพอล  ตลกอะ”  เสียงตามเพื่อนรัก   นี่ผมหูฝาดไปเหรอ   “ตลกเป็นบ้าเลยวะ”

“เออ....”

“เอ้า มาแล้วเหรอมึง”   

ใบหน้าเปื้อนยิ้มทำให้ผมถึงกับรับสถานการณ์ไม่ทัน  ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ  ยืนมองค้ำหัว

“นั่งสิ  มองอะไร”   มันบุ้ยใบ้ปากไปทางที่นั่งข้างพอล  ทั้งที่ตอนแรกมันดึงดันให้ผมนั่งข้างมันด้วยซ้ำ  “เร็วดิ  พอลยกเก้าอี้รอแล้ว”

แล้วผมก็ทิ้งตัวลงด้วยความไม่เข้าใจ

อาหารอร่อย  บรรยากาศดี  สองคนนั้นคุยกันถูกคอ  ส่วนผมมีหน้าที่กิน  พูดบ้างยามที่สองคนนี้โยนคำถามสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่มันสนทนามา  ซึ่งผมตอบได้เพียง  อืม.. เหรอ..  มั้ง.. ไม่รู้สิ..  วนซ้ำแค่นี้

“ปกติแล้ว ทัพเป็นคนคุยไม่เก่งเหรอครับ”

“โอ๊ย  มันพูดน้อยจะตายพอล  หน้าก็นิ่ง  เย็นชาเป็นที่สุด”   ตามทำหน้านิ่ง   ตีมึนแบบที่ผมชอบทำใส่มัน  “แล้วก็พูดแต่ อืม  กูไม่รู้  ไปกินข้าวแล้ว   เออ  จะไปวิ่ง    วนอยู่แค่นี้แหละพอล”

เสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง

“ต่างจากตามนะครับ”

“ใช่   เรานะเป็นคนเฮฮา  แต่ไม่เท่าไอ้พีนะ”  แล้วมันก็หัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย  “รายนั้นอะ  เล่นทุกมุก ตลกทุกเรื่อง   บางครั้งตามไม่ทันมันหรอก  เล่นมั่วไปตามน้ำ  สงสารมัน  เดี๋ยวมุกแป้กแล้วมันจะซึม”

“จริง ๆ  ตอนอยู่คณะ  พอลสนิทกับมันที่สุดแล้ว”

“เชื่อ ๆ  รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับพีเลยวะ   ชนแก้วหน่อยมั้ย”

แก้วไวน์ถูกชูขึ้นมา  ผมยกแก้วไวน์ขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ  ชนกริ๊งกันเบา ๆ  เอาที่จริง  ถึงผมไม่ยก  สองคนนี้ก็ไม่สนใจผมหรอก

“เออ ทัพ”   เป็นครั้งแรกเลยนะ  ที่มันหันมาหาผมก่อนเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่ ๆ  “กูลืมคืนมือถือมึง  เอาไปสิ”

ผมรับมือถือมา  เครื่องปิดสนิท  แน่นิ่งแบบเมื่อคืน

“ขอบใจ”

“กูเข้าห้องน้ำแปบ”   หมอยุงลายหันมายิ้มให้ผม   “พอล  ขอตัวสักครู่นะครับ”

มันเดินจากไป

“ตามเป็นคนตลกดีนะครับ”

“อืม”

“ทัพเป็นอะไรหรือเปล่า  หรือว่าอาหารไม่อร่อย”

ผมแค่นยิ้มใส่พอล 

“อร่อยสิ”  ผมไม่ได้โกหก  อาหารอร่อยจริง ๆ  “เรารู้สึกไม่สบายนะ”

“อ้าว  ยังไม่หายแฮงค์เหรอ”

“อาจจะ  เดี๋ยวเราไปขอซื้อยาแก้แฮงค์ก่อนนะ  ถ้าตามมาบอกว่าไม่ต้องรีบ   ถ้านานเกินไป   จะไปต่อที่ไหนเลยก็ได้  เจอกันที่คอนโดฯ คืนนี้เลยแล้วกัน”

ตามยังต้องนอนที่คอนโดฯ ผมอีกหนึ่งคืน  ก่อนกลับไปทำงานรับปีใหม่ที่ระยอง    เก้าอี้เคลื่อนออก  เคียงคู่ไปกับเสียงเคลื่อนตัวของเนื้อไม้บนพื้นกระเบื้อง    กายเหยียดยาว  หันไปมองพอลที่ยิ้มกว้าง   พร้อมเอื้อมมือมาบีบมือผมแผ่วเบา

“เราไปก่อนนะ”

ผมเดินออกมาจากร้าน   ทำไมผมถึงเลือกแบบนี้กันแน่วะ   ในใจสับสน   มือเอื้อมเปิดโทรศัพท์มือถือ   ที่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีข้อความกระหน่ำสายไม่ได้รับเข้ามาหลายต่อหลายสาย   

“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย”

เป็นสายจากพี่ปริ๊นซ์นับสิบสาย  ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น กระหน่ำโทรจนถึงสองทุ่ม  แล้วก็สายจากพี่ปันอีกหลายสาย  ในช่วงสายของวันนี้

“พี่ปริ๊นซ์  ทำไมไม่รับโทรศัพท์”   ผมกดโทรออกไปหาหลายครั้ง  ทุกอย่างยังว่างเปล่า  มีเพียงเสียงสัญญาณที่ผมได้ยิน   “เอาวะ  โทรหาพี่ปันก็ได้”

แค่เพียงกริ๊งเดียวเท่านั้น

“ทัพ   เฮ้ย  ยังสบายดีใช่มั้ย   มาโรงพยาบาลเร็ว  มาดูใจไอ้ปริ๊นซ์มันหน่อย”

“อะไรนะครับ”



-------------------------------------------------------------



ตาม



ด้วยความสัตย์  ผมไม่ชอบขี้หน้าไอ้พอลหน้าหล่อนี่เลย

มันโทรมาซักไซ้ผมเรื่องทัพ   ว่าเมื่อคืนมีอะไรกันมั้ย  แค่เพื่อนกันใช่มั้ย   ไอ้ห่า  แค่เพื่อนไง  ที่ช้ำใจทุกวันนี้ก็แค่เพื่อนไง

แล้วยังมีหน้ามาขอผมคุยกับทัพด้วย  โอดครวญว่า   โทรไปหลายรอบก็ยังปิดเครื่อง  แน่ละไอ้หน้าหม้อ  กูปิดโทรศัพท์มันเองแล้วยึดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน   เจ้าของมันยังไม่ถามหาเลย  มึงเป็นใครวะ

สุดท้าย  มีหน้ามาชวนทัพไปเดตสองต่อสองอีก   คิดว่ากูจะปล่อยไปเหรอ   เกินไปแล้ววะไอ้ทัพ   แค่มันหล่อหน่อย  ดูดีหน่อย  มึงใจอ่อนจะไปกับเขาแล้ว    กูไม่ยอมหรอก    กูไม่ไว้ใจมัน

กะว่ามาถึงที่จะซักประวัติมันให้สะอาด  เอาให้หน้าซีด  ไม่กล้ามาไล่จีบไอ้ทัพ  กลายเป็นว่า  มันหน้าด้านวะ  ถามไรตอบได้หมด   ไม่มีปิดบัง   เออ.. กูยอมรับ  มึงมันหล่อ  หน้าดี   แถมรวย   

กูสู้ไม่ได้เลยนี่หว่า....

แต่พอวินาทีที่ทัพไปห้องน้ำ  แล้วได้คุยเปิดอกสั้น ๆ  ผมก็สบายใจ

“ตาม... ดูไม่ชอบพอลนะครับ”

“ใครบอก”   ผมแสร้งพูด  หน้าไม่ได้สอดคล้องเลย   “คุณคิดไปเอ๊งงงง”

กูจะเน้นเสียงสูงทำไม   ตายห่า  มันรู้หมดว่ากูโกหก

“เรียกแค่พอลก็ได้ครับ”

“ผมจะเรียกแทนคุณว่า คุณ   คุณจะทำไม....?”

เกลียดไอ้หน้าตาไม่แคร์โลกแคร์เวิร์ลแบบนี้ที่สุด

“เอาตรง ๆ นะครับ  พอลไม่ได้กำลังจีบทัพ

หูฝาดไปหรือเปล่าวะ...?

ผมเงยหน้าสบสายตากับพอล  เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจมองให้ทะลุลึกลงไป  สิ่งเดียวที่ผมค้นเจอในดวงตาคู่นั้น คือ  ความเป็นจริง

“จากใจจริงเลยครับ”

“เออ...”   แล้วควรทำเช่นไรต่อ  “คือ...”

“พอลพอทราบจากพีมาบ้าง”  ไอ้อ้วนมึงเล่าอะไรไปวะ  “ว่าตามสนิทกับทัพมาก  รักทัพมาก  เหมือนพ่อคนหนึ่ง  และตามค่อนข้างกังวลถึงใครก็ตามที่มีท่าทีเขามาพัวพันกับทัพ”  แล้วไปนะไอ้อ้วน  “แต่พอลอยากบอกว่า...”

“ผมเชื่อคุณ”

“ไม่ต้องแทนว่า  ผม  หรือ คุณ ก็ได้ครับ”

“โอเค  เราเชื่อ  พอลไม่ต้องห่วง”

“พอลสบายใจแล้ว”  มันหล่อจริง ๆ วะ  แค่ยิ้มยังทำให้โลกสว่างได้ขนาดนี้  ถ้าไอ้ทัพจะชอบ  กูไม่แปลกใจเลยสักนิด  “พอลเป็นคนตลกมากเลยนะ  อันที่จริง”

แล้วมันก็เริ่มเล่าเรื่องราวตลกต่าง ๆ ของพีบ้าง ของเพื่อนคนอื่นบ้าง  ของตัวมันเองบ้าง  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน

ใครจะรู้ว่าไอ้พีเคยไปจีบสาวสวยต่างคณะ  ไล่จีบเป็นเดือน ๆ จนมารู้ความจริงว่า  สาวเจ้าคนนั้น เป็นสาวสองที่แปลงเพศมาแล้ว   เฮิร์ตหนักกว่าเดิม   เมื่อพบว่า  สาวเจ้าคนนั้นมีแฟนอยู่แล้ว   แถมแฟนของเขาหล่อ ล่ำ หุ่นดีกว่ามันอีก   ถูกสาวเสียงใหญ่เทไม่ว่า  ยังถูกว่าเรื่องรูปร่าง   เพราะช่วงปีนั้น  พีอ่านหนังสือหนัก  จึงห่างหายจากการออกกำลังกาย   ร่างที่เคยบึกแน่นด้วยมัดกล้ามจึงถูกแทนที่ด้วยไขมันอย่างง่ายดาย

จะว่าไปแล้ว  ช่วงนั้นพีก็เงียบ ๆ ซึม ๆ  ส่วนผมมัวแต่เร่งอ่านสอบ NL  จึงละเลยเพื่อนคนนี้ไป    เอาวะ  มองในแง่ดี   อย่างน้อยมันก็จะแต่งงานแล้ว   แถมผมเองยังมีเรื่องเอาไว้ล้อเลียนมันอีกตั้งหนึ่งเรื่อง

ส่วนเพื่อนรักที่ผมคิดไม่ซื่อนะเหรอ     หลังจากกลับมาจากห้องน้ำ  ก็นั่งนิ่ง  ดูมึนอึนมาตลอด  สงสัยยังไม่หายเมาแน่เลย    จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่ได้คืนมือถือให้มันเลยนี่นา

“ขอบใจ”

เสียงเนือยของมัน  หลังจากที่รับโทรศัพท์กลับไป  ยิ่งทำให้ผมสงสัย  หรือว่ามันไม่สบายวะเนี่ย   แต่ข้าศึกดันบุกเสียก่อนนะสิ   เอาวะ  เสร็จจากการปราบปรามศัตรูค่อยกลับมาถามมันก็ไม่สาย

แต่ที่ไหนได้   พอกลับมาก็เหลือแค่พอลคนเดียว

“ทัพไปไหนอะ...?”

“ไปซื้อยาแก้แฮงค์นะครับ”

“อ้อเหรอ”  ผมนั่งลง  ลองโทรถามมันหน่อยดีมั้ยวะ   “ไปนานหรือยังอะพอล”

“สักพักแล้วครับ”

ทว่าผมก็ลืมโทรไปเสียสนิท   เมื่ออีกฝ่ายชวนผมคุยเรื่องอื่น

จนกินข้าวเสร็จ  ก็ยังไร้วี่แววทัพ

“พอลลืมสนิทเลย  ทัพบอกว่าไปต่อที่อื่นก่อนได้เลย  ถ้ายังไม่กลับ  ยังไงคืนนี้ก็ต้องเจอที่คอนโดฯ อยู่แล้ว   ตามมีกุญแจเข้าคอนโดฯ ใช่มั้ยครับ”

“ไม่มี”

ใช่แล้ว  ผมไม่มี   จะไปมีได้อย่างไร  ในเมื่อกุญแจชุดสำรองอยู่ที่อีกคนที่ไม่ใช่ผม...

“อ้าว  แล้วจะทำยังไงละครับเนี่ย....”

“ขอโทรถามมันก่อน”

“เอางี้มั้ยครับ”  มือนิ่มของพอลแตะมือที่กำลังกดโทรศัพท์ไว้เป็นเชิงปราม  “ไปนอนคอนโดฯ เรา”

มือนิ่มนั้นบีบมือผมเล็กน้อย

“เราเกรงใจน่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจสิ”   อุ้งมือกำชับแน่นมากขึ้น  “หรือว่าไปดูหนัง ไปทำอะไรก่อนดีมั้ยครับ”

“ดูหนังเหรอ...”

ข้อเสนอนี้ก็ไม่เลวนะ



-------------------------------------------------------------



ทัพ




คืนนั้น...


“เรามีเรื่องให้ทัพช่วยนะ”

“เรื่องอะไรเหรอพอล.....?”

“ผู้ชายคนนั้นน่ะ”   นิ้วเรียวยาวของพอลจรดชี้ไปที่ตาม  “เพื่อนพีกับทัพใช่มั้ย...?”

ผมพยักหน้า   เพื่อนไง  ... ก็เพื่อนนี่นา

“มีแฟนหรือยัง...?”

“ก็เหมือนจะมีนะ”  จะว่าไปวันนี้ที่ตามเล่าก็ดูไม่ราบรื่นสักเท่าไร   “แต่ดูท่าจะระหองระแหงกันอยู่”

“อืม  นับได้ว่าไม่มีแฟนแล้วสินะ”

“พูดแบบนั้น ถือว่าไม่ผิดมั้ง”

จะว่าไป   ตามไม่เคยบอกสักครั้งว่าเป็นแฟนกับหยก  ไม่เคยเลย  ใช่แล้ว  ตามไม่เคยพูดเลยนี่นา

“ชื่อ ตาม ใช่มั้ยครับ”

“ใช่...”

“เราพูดตรง ๆ นะ  พอลเป็นเกย์   พอลชอบตาม  แล้วพอลก็สัมผัสได้ว่าตามน่าจะเป็นไบเซกชวล  อย่างน้อยพอลเชื่อว่า   ตามมีแนวโน้มที่จะชอบผู้ชายได้”

บทพูดสำหรับผมสิ้นสุดเพียงเท่านั้น  ผมควรรู้สึกหรือควรโต้ตอบว่าเช่นไรเล่า

สิ่งหนึ่งที่ผมนับถือพอล คือ  ความกล้าที่จะพูดออกมา

เรารู้จักกันยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ...

“น่ะ  พอลขอร้อง   บ้านพอลรับส่งน้ำหอมจากเมืองนอก   เดี๋ยวพอลหาน้ำหอมมาให้  เอากี่ขวดก็บอก  ทัพชอบกลิ่นนี้นี่นา  bleu de chanel นะ   เดี๋ยวพอลหามาให้”

“พอล”   ความโกรธปะทุขึ้นเล็กน้อย  “เราไม่แลกเพื่อนกับน้ำหอมราคาไม่กี่บาทหรอกนะ”

สีหน้าตื่นตกใจอีกฝ่าย  ที่ยังคงความหล่อได้เหมือนเดิม  ทำให้ผมนิ่งอึ้ง   แต่การถึงเนื้อถึงตัวของพอลทำให้ผมตกใจมากกว่า   เพราะตอนนี้มือสองข้างของพอลกำลังโอบกุมมือของผมอย่างแผ่วเบา

“พอลขอโทษที่ทำให้ทัพเข้าใจผิด  เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น   เราโง่เอง  พอลโง่เอง   พอลไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร”

“เออ...”   กูควรไปยังไงต่อวะ  “คือ...”

“ทัพให้อภัยเรานะ”

“เราก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้น”

“ตาม   เขามีแนวโน้มแบบที่เราบอกมั้ยล่ะ”

“เอ่อ.... คือ.....”

“แสดงว่ามีสินะ”

“เฮ้ย เราไม่ได้พูดนะ”

“แต่ทัพก็ไม่ปฏิเสธทันทีนี่นา”  ใบหน้าหล่อเหลาของพอลเลื่อนเข้ามาใกล้   ผมตัดสินใจสะบัดมืออีกฝ่ายออก  หันข้างหนี   คว้าเหล้าขึ้นมาดื่มพรวดจนหมดแก้ว

“ปกติ  แฟนตามแต่ละคนก็คงหน้าตาดีทั้งนั้น”

ยิ่งคิดถึงหน้าแฟนตามสมัยมัธยมที่มันเคยอวด  ยาวจนถึงกิ๊กสารพัดคนในมหาวิทยาลัยของมัน  และหยก  ไม่มีอะไรมาค้านได้เลยว่า  ประโยคดังกล่าวของพอลไม่เป็นจริง

“ไม่ตอบแสดงว่าใช่สินะ”   ผมรินเหล้าพรวดลงแก้วตัวเองอีกครั้ง  รีบกระดกเลี่ยงการโต้ตอบ  “พอลหน้าตาแย่มากเลยใช่มั้ย”

“ไม่ใช่นะพอล”

พอลจัดว่าเป็นคนหล่อคนหนึ่ง  หล่อมากเลยด้วยซ้ำ

“เย้  งั้นทัพก็โอเคจะช่วยเราสินะ  เพราะไม่ได้ขัดนี่ว่าไม่เหมาะสม”

“หือ..............”

ทำไมคิดเองเออเองได้ขนาดนี้หวะเนี่ย

“ขอบคุณมากเลยนะทัพ   ไอดีไลน์อะไรอะ  เดี๋ยวเราแอดไป  บอกมาหน่อย   เราความจำดีนะ  ขอเบอร์ด้วย  ปากกา ๆ ปากกา”   อีกฝ่ายสาละวนหาเครื่องเขียน  “เอ้า นี่ครับ  รบกวนหน่อยนะ”



บทสนทนาเมื่อคืนยังแล่นในหัวของผม

ภาพหัวร่อต่อกระซิกของสองคนนั้นยิ่งยืนยันว่า  เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

“เฮ้อ  คู่กันขนาดนั้น”

“อะไรนะครับน้อง....??”   

สายตาสงสัยของคนขับแทกซี่ถูกส่งผ่านกระจกมองหลัง

“ไม่มีอะไรครับ”

“อ้อ ครับ  จะให้ผมจอดส่งหน้าโรงพยาบาล  หรือว่าเข้าไปข้างในเลยดีครับ”

“ข้างในเลยก็ได้ครับ ขอบคุณครับ”

ผมรีบพูดปิดบทสนทนา  ก่อนที่แทกซี่จะพูดขัดอะไรอีก   นั่งจมนิ่งกับตัวเอง  แม้จะได้ยินเสียงแว่วไม่พอใจของแทกซี่ที่บ่นเรื่องเข้าโรงพยาบาลแล้วจะกลับรถยากก็ตาม



“พี่... โอเคใช่มั้ย”

พี่ปริ๊นซ์กำลังอ่านนิยายอยู่ตอนผมไปถึง  ท่าทางเรื่อยเฉื่อย  ไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“ไอ้ปัน มันเล่นใหญ่   นี่ถ้ามันยังอยู่นะ  พี่จะแพ่นกบาลมันอีกสักที  ดูใจห่าอะไร  กูยังไม่ตาย”

“พี่แน่ใจนะครับ”

“แน่ใจสิ”  รอยยิ้มอบอุ่น  ส่งมาแทนคำตอบ  “เบอร์ทัพ  เป็นเบอร์สุดท้ายที่ติดต่อกันนะ  ทางโรงพยาบาลเลยเลือกโทรหา   แต่เราไม่รับ  ก็เลยเป็นเบอร์ไอ้ปันนี่แหละ”

“ผมขอโทษจริง ๆ ครับ”

หลังจากที่เราต่างแลกเรื่องราวของกันและกันเสร็จเรียบร้อย   ก็ผ่านไปราวเกือบครึ่งชั่วโมง

“น้องมีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า...?”

“ไม่ครับพี่”   ปล่อยให้กิ่งทองกับใบหยก เขาอยู่กันไปเถอะ  ใบตำแยกิ่งใบหนาดอย่างเรา  นั่งเหี่ยว ๆ ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่ที่โรงพยาบาลจะดีกว่า   “ผมอยู่กับพี่ได้ทั้งวันครับ”

“ทัพ...  อย่าโกหกพี่”

ผมเกลียดสายตาหรี่เล็ก  ที่พยายามจับผิดที่สุด  โดยเฉพาะสายตาจากพี่ปริ๊นซ์

“นี่ น้องไง  เชื่อน้องสิ”

“แน่ะ...!!!”

“ปริญธรณ์!!!!!!”

“เออ  เชื่อก็เชื่อวะ....”   พี่ปริ๊นซ์ขำออกมาแผ่วเบา  เพราะเกรงจะกระทบแผล  อดทำให้ผมหัวเราะตามออกมาไม่ได้  “ยิ้มได้ก็ดีแล้ว  พี่รักทัพนะ  รักมากด้วย”

“ผมก็รักพี่เช่นกันครับ  รักมาก ๆ  รักที่สุดเลย”

มือของเราสองคนแนบประสานกัน

เรายิ้มให้กัน   

แม้จะถึงวันที่โลกแตกสลาย   หรือมีความผันผวนไม่แน่นอนต่าง ๆ    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจได้เสมอก็คือ  ความรักที่เราสองคนมีให้กัน...



-------------------------------------------------------------



ตาม


“ไอ้เลวทัพ  โทรไปก็ไม่รับ”

ไม่ใช่ไม่รับหรอก  ปิดเครื่องหนีเลยต่างหาก   เป็นบ้าอะไรของมันเนี่ย

“ดูหนังอีกสักเรื่องดีมั้ยครับ..?”

เราเพิ่งเดินออกจากโรงหนังมามาด ๆ

“เฮ้ย  พอแล้วพอล  เกรงใจ   เลี้ยงข้าวเราก็ซึ้งบุญคุณแล้ว   นี่เล่นเลี้ยงหนังแถมจองที่นั่งราคาแพงอีก”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ยิ้มเก่งจริงนะพอล”

“ครับ”

ก็ยิ้มเก่งจริง ๆ นี่นา



-------------------------------------------------------------



ทัพ



สองทุ่ม  คือ  เวลาที่ผมถึงคอนโดฯ   โทรศัพท์แบตหมดตั้งแต่บ่าย ๆ แล้ว   เพราะพี่ปริ๊นซ์แม่งยืมไปเล่นเกมส์นะแหละ   บอกว่าโทรศัพท์ของตัวเองเล่นไม่มันส์เท่า    ปกติแล้วเป็นผมไม่ใช่เหรอที่เอามือถือพี่เขามาเล่น  ทำไมวันนี้มันกลับตาลปัตรได้วะ

ร่างอันเหี่ยวแห้งของผม  ลอยล่องแบบขาดสารอาหารมาถึงใต้คอนโดฯ  ผมแค่จะกลับมาเอาเสื้อผ้า  แล้วก็ไปนอนเฝ้าพี่ปริ๊นซ์ก็แค่นั้น

“ป่านนี้  มึงคงสวีทอยู่กับพอลสินะ”

“สวีทอะไรของมึง.....”

เสียงไอ้ตามดังข้างหู   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตามมายืนประชิดตัวผมแต่เมื่อไร

“ไอ้เหี้ย  มาทำอะไรตรงนี้”

“ก็รอมึงไง  กูนอนห้องมึงนะ  อย่าลืม”   ตกใจหมด   แล้วทำไมเสื้อผ้าดูยับยู่ยี่ขนาดนั้น   ผมมองสำรวจมันตั้งแต่หัวจรดเท้า   “ฮะฮ่า  กูนอนรอตรงโซฟา  ขอเขาขึ้นแล้วเขาไม่เชื่อกู   รปภ. บ้านมึง ทำงานดีจริง  กูสบายใจเลยว่าเวลามึงเมา  เขาต้องล่ามคอมึงไว้ไม่ให้ไปอ่อยใครแน่”

ฉิบหาย  ไม่ได้ให้กุญแจสำรองมัน

แล้วที่มันพูด คืออะไร   กูไม่ใช่หมานะเว้ย

“มึง”   ผมยืกมือพนม  “กูขอโทษ  กูลืมคิดไป”

“ไม่เป็นไร ๆ  ไม่กี่นาทีเอง”

โกหก   มันโกหก...

“กี่ชั่วโมง  ตอบกูมา”

“ไม่กี่นาทีไง”

“กี่ชั่วโมง....”

ตามเดินถอยหลัง  ตามจังหวะการเดินจี้ประจันเข้าไปถามของผม

“ตอบกูมา....”

“ก็ตั้งแต่บ่ายสามโมงอะ”

ใบหน้ากลัวของมันฉายชัดอยู่  แต่คำตอบเรียบเฉยไม่มีแม้แต่ความโมโหสักน้อยนิด

“ไอ้บ้า  ทำไมไม่ไปทำอะไรอย่างอื่น”

“ก็...  กูโทรหามึงแล้ว   มึงปิดเครื่องอะ   กูไม่รู้ว่ามึงเป็นอะไรหรือเปล่า    ผิดเองอะ  เอามือถือมึงไปทั้งคืน  แบตมือถือเลยไม่พอ   ขอโทษนะเว้ย   ให้กูทิ้งมึงไปที่อื่น  กูรู้สึกไม่ดี”

เหี้ยที่สุด 

ผมนี่แหละเหี้ย   ผมทิ้งมันไปแท้ ๆ  ทำไมวะ  ทำไมกูเลวได้ขนาดนั้น

“แต่มึงโอเคใช่มั้ย   กินไรมาหรือยัง....?”

มึงยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่มั้ย ตาม

“กูพาไปกินมั้ย???”

ไอ้บ้า  ไอ้บ้า  กูเกลียดมึงที่สุด

“เป็นไรวะ”   มือใหญ่ทาบวัดอุณหภูมิที่หน้าผากของผม  “ก็ปกตินี่นา  ไม่มีไข้”

ผมยังยืนนิ่ง  อึ้งอยู่ในท่าเดิม   หยาดน้ำตาสักหยดไม่มีไหลออกมาอีกแล้ว

“อย่าโกรธกูเลยทัพ  กูรอแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง  รอมึงมาตั้งหกเจ็ดปียังทำได้   รอเพิ่มอีกสักหน่อยกูไม่ตายหรอก”

ผมโผเข้ากอดมัน   อยากให้น้ำตามันไหลออกมา ทว่าไม่มีเลย

“กูขอโทษ  ขอโทษ”

“เฮ้ยย เป็นเหี้ยไร  ขอโทษอะไร”

“กู... กู...”

“เป็นอะไร....  มึงแฮงค์อยู่นี่นา  อาการดีขึ้นยัง   มึงทำอะไรมา  ไม่เป็นไรนี่นา   กูไม่ว่ามึงหรอก  ไปเหอะ  ไปนอนกันได้แล้ว  กูง่วงแล้ว”

ไม่ได้....

กูไปด้วยไม่ได้..
.

มึงคงต้องไปนอนคนเดียวแล้ว

“เออ....  มึงกลับพรุ่งนี้บ่ายใช่มั้ย   ไปกินข้าวกันช่วงสายมั้ย   กูยังไม่ได้เลี้ยงมึงเลย”

“เอ๊ะ”   มือโอบกอดผมหลวม ๆ  คลายลง  มันกระถดตัวถอยออกมาเพื่อมองหน้าผมได้ชัดขึ้น  “แปลกนะมึง  เมาหรือเปล่า  แรดเชียวนะเดี๋ยวนี้”

“กูแค่อยากกินข้าวด้วย”

“กินข้าวมื้อดึกเลยมั้ยละ  กูเห็นร้านข้าวต้มหน้าคอนโดฯ มึง  น่ากินมาก  แต่ไม่กล้ากินวะ  กลัวมึงยังไม่ได้กินข้าวมาแล้วกูต้องไปกินอีกรอบ  หุ่นจะเสียเอา”

ทำไมกูถึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตามมันทำอะไรเพื่อกูขนาดนี้วะ

“มึงเงียบทำไมอะ...?  ทำอะไรผิดมา  กูให้อภัยหมดนะแหละ”   มึงจะให้อภัยกูได้จริงเหรอ     “ยกเว้นมึงไปหาพี่ปริ๊นซ์มา  อันนั้นกูไม่ยอมนะ   กูไม่โอเค”

เสียงสะอื้นของผมดังขึ้น   แล้วมันก็ชะงักลงทันใด

“ทัพ...”  มันคลายอ้อมกอดของผม  จับไหล่ทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนา   และแล้วในที่สุด  ตามก็สัมผัสได้  “มึงไม่ได้ไปหาพี่ปริ๊นซ์มาจริง ๆ ใช่มั้ย....?”

ไม่มีคำตอบจากผม  เหมือนกับที่ไม่มีการประสานสายตาของเรา

“มองกูแล้วตอบสิ”

“ไม่ได้ไปไง”

ผมยังไม่ได้มองตามัน

“มองตากูแล้วตอบ”

“กูบอกไม่ได้ไปไง”

“ทัพ...”

“......................”

“ทัพ....”

เอ้อออ...  กูไปหาพี่ปริ๊นซ์มา  คือ... ว่า  กูกลับมาเอาเสื้อผ้าแล้วต้องไปนอนค้า...”

ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายอะไรออกไป

“ช่างเหอะ  มึงอยากทำอะไรก็ทำ”   มือสองข้างที่เคยโอบอุ้มไหล่ผม  ทิ้งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง  “ในห้องมึงมีอะไรให้กินมั้ย   ไม่มีสินะ  กูขอออกไปเซเว่นก่อนนะ  รอกูตรงนี้แปบนึงนะ  เดี๋ยวกูมา   หรือมึงจะฝากกุญแจไว้ที่เคาน์เตอร์เลยก็ได้   ขอบคุณสำหรับที่พักนะ”

การรอคอยตามอีกครึ่งชั่วโมง  ดูเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับเวลาที่มันทิ้งให้ผมเนิ่นนานหลายปี    ตามกลับมาพร้อมกับถุงอาหารถุงใหญ่    เราไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก   ผมเดินนำหน้ามัน  พามันขึ้นห้อง    ตามยื่นถุงที่บรรจุขนมสองสามอย่างที่ล้วนแล้วแต่มีรสเผ็ดซึ่งเป็นของโปรดของผม  ทิ้งวางกองลงตรงหน้า  โดยไร้คำพูดอื่นใด   

จากนั้นมันก็เดินกลับไปที่โต๊ะกินข้าว   ก้มหน้ากินต้มจืดเต้าหู้หมูสับอุ่นร้อนจากร้านสะดวกซื้อ  อาหารจืดชืดที่ผมไม่มีวันเลือกกินเด็ดขาด    เราเงียบใส่กัน

ผมอยากอธิบาย  แต่ก็เลือกที่จะเงียบ

ทุกฝีก้าวที่ผมเดินเข้าไปหามันที่โต๊ะอาหารเนิ่นนานราวกับเวลาหลายขวบปี   ตามไม่แม้แต่จะมองหน้าผม    ไม่สนท่าที่ของผมที่บรรจงวางกุญแจชุดของตัวเองไว้บนโต๊ะกินข้าว

“สักสิบโมงไปกินข้าวกันนะ  โอเคมั้ย...  เดี๋ยวกูกลับมาที่คอนโดนะ”

หูถุงขนมห้อยเกี่ยวอยู่ในนิ้วของผม   ที่คลายลูกบิดประตูเปิดออกไป     ประตูห้องเคลื่อนปิดลงอย่างเชื่องช้า   ตาผมยังจับจ้องแขกคนเดียว  ที่หันหลังก้มหน้ากินข้าวด้วยอิริยาบถนิ่งสงัดไม่ไหวติง   

ความเงียบสงัดที่จะคงอยู่ทั้งคืน

ความเงียบนิรันดร์กาล



-------------------------------------------------------------



ใกล้จะจบบทที่ 30 แล้ว

สิงห์มาอัพรัว ๆ เลยครับ

ไถ่โทษที่หายไปนาน แฮะ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2019 17:13:41 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 30
ถึงงานแต่งงาน

ตอนที่ 3




“กูพอแล้วนะ...”

โทรศัพท์สั่นเล็กน้อย เพื่อแจ้งเตือนข้อความเข้าจาโปรแกรมไลน์    ข้อความดังกล่าวเป็นการชี้ชัดทุกอย่างว่า หมอตามยอมแพ้กับเรื่องของทัพแล้ว

ผมกดโทรศัพท์หาคนที่ผมคิดถึงมาโดยตลอด  แต่ก็ยอมรับตรง ๆ เลยว่า ในส่วนลึกก็แอบหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย

“พี่ปัน ทำอะไรลงไป...?”

“หา... อะไรกัน  บอส  เอะอะก็โทรมาว่าพี่  เคยจะโทรคุยกันปกติบ้างมั้ย”

ผมถอนหายใจด้วยความแค้นเคือง

“เพื่อนพี่ทำอะไร?   ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้”

ได้ยินแต่เพียงเสียงอ้ำอึ้งซึ่งผิดปกติไปกว่าทุกครั้ง  ถ้าเป็นพี่ปัน  อย่างน้อยต้องขำและยินดีกับชัยชนะครั้งนี้แน่ ๆ  ใช่สิ  เพราะเพื่อนพี่สามารถคว้าหัวใจของเพื่อนผมไปได้ยาวนานนับทศวรรษขนาดนี้

“ปริ๊นซ์มันไม่ได้ทำอะไรหรอก  มันอยู่โรงพยาบาลนะบอส”

“......................”

“ปริ๊นซ์ถูกแทงเมื่อวานตอนเย็น  อาการไม่สาหัสมาก  แต่มันไม่ได้ทำอะไรทัพจริง ๆ นะ”

ผมยังเงียบอย่างต่อเนื่อง   พยายามย่อยข้อมูลทั้งหมดอย่างเชื่องช้า

“พี่ว่า  ต่อจากนี้ไป  ปริ๊นซ์คงไม่มาตามไล่หาทัพก่อนแล้วแหละ  ส่วนทัพ  พี่ไม่รู้เหมือนกัน   แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่หรอก   บอสยังอยู่มั้ย....?”

“อยู่ครับ”

“พี่ว่า  สองคนนั้นคงอยากทิ้งช่วงเวลาคิดและอะไรอีกหลายอย่าง   พี่ขอโทษนะ  พี่ต้องไปแล้ว   พี่พาที่บ้านมากินข้าวนอกบ้าน  ต้องพาพวกท่านกลับบ้านก่อน   ขอโทษจริง ๆ นะ”

แล้วเขาก็วางหูไป   ทิ้งให้ผมไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น    ผมได้แต่ก้มลงดูข้อความในไลน์ที่ทั้งมีนและพีกระหน่ำให้กำลังใจตาม    ผมทำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนรักของผมมันกำลังคิดอะไรอยู่   ผมไม่สามารถตามสถานการณ์นี้ทันอีกแล้ว

Tam-tarm
ไม่เป็นไรเว้ย   กูสบายดี

It’s P
กูเป็นห่วงมึงนะเว้ยไอ้ตาม

Meannn
เออ กูด้วย   ยิ้มไว้นะเพื่อน  ปีใหม่ต้องเข้าเวรยาวนี่นา




-------------------------------------------------------------



ทัพ


“เราไปกินข้าวกันมั้ยทัพ..??”

พอลโทรหาผมทันที่ในเช้าวันรุ่งขึ้น  เสียงระรื่นจนขัดลูกตา

“ไม่ได้หรอก  เรามีนัดกับตามแล้ว”

“รู้แล้ว  พอลเพิ่งคุยกับตาม  ตามบอกว่าจะมากินข้าวด้วยก็ได้   แต่เราอยากขออนุญาตทัพก่อน   เพราะตามบอกทัพเป็นคนเลี้ยง”   ตามกับพอลคุยกันแล้วสินะ  ดีแล้ว  ดีแล้ว   “ไม่ต้องห่วง   เราไม่ลำบากให้ทัพเลี้ยงหรอก   พอลออกเองได้   แต่แค่อยากไปด้วย เออ...  คือ...”

“ได้สิพอล”

“เฮ้ยย ทัพใจดีจัง  แต่ช่วยฟังพอลพูดหน่อยได้มั้ยอะ.......”

“ได้สิ...  ว่ามา”   ผมยิ้มให้เจ้าหน้าที่ที่นำอาหารเช้ามาให้พี่ปริ๊นซ์ที่ยังนอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาจากเมื่อคืน   “แปบนะพอล”

หลังจากปลุกพี่ปริ๊นซ์ให้ตื่นมากินข้าวเช้า   โดยเจ้าตัวยืนยันว่าจัดการตัวเองได้   ผมก็เลี่ยงออกมาคุยกับพอลต่อนอกระเบียงห้อง

“ขอโทษทีพอล”

“ไม่เป็นไรทัพ  ไม่เป็นไรจริง ๆ  ที่ทัพทำให้เรามากมายกว่านั้นเยอะ”

“....................”

“คืองี้นะ  เราไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยว่าจะดีพอที่ตามจะชอบ”  เหอะ  แค่หน้ามึงก็กินขาดทุกคนแล้ว   “เราว่าตามเป็นคนเฮฮา  สนุกสนานนะ  แต่ก็ไม่รู้ดิ  พอลว่า  ตามเข้าถึงยาก”

“....................”

“กับทัพ กับพี  อาจจะไม่รู้สึกนะ  เพราะสนิทกันใช่มั้ยล่ะ”  บางทีก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นนะพอล  ผมส่ายหัวทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรับรู้หรอก  เหม่อมองสภาพการจราจรเช้าวันอาทิตย์   ฟังเสียงของพอลเป็นเพียงฉากหลัง  เหมือนเสียงจักจั่นร้องที่เราไม่ได้ใส่ใจ   “..... นั่นแหละ   ตามน่ารักมาก  ไปดูหนังด้วยกันมาด้วยแหละ   แต่พอลไม่กล้าทำอะไรเกินเลย  วันนี้เช้าตามโทรมาหาแต่เช้าบอกว่าอยากให้ไปกินข้าวด้วย  เราดีใจแทบกระโดดแน่ะทัพ”

“ตามมันโทรไปหาพอลก่อนเหรอ...?”

“อืม  ใช่  ทำไมเหรอ???”

เสียงปีติยินดีของพอล  มันท่วมท้นทะลักแน่นด้วยความสุขจนผมรู้สึกหายใจไม่ออก

“งั้นเจอกัน  แค่นี้นะ”

ใช่...  ผมหายใจไม่ออก   ไม่อยากไปกินข้าวแล้ว   ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น

“ไม่สิ ไม่...  กูสิควรจะดีใจ”



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์


ลำบากเว้ย  ที่ต้องมาฝืนยกช้อนส้อมกินข้าวเช้าทั้งที่เสียดแสบไปทั้งตัว    แต่ที่ทำไปเพียงเพราะอยากแสดงให้น้องเห็นว่าผมทำได้  ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง   อะไรที่เครียดอยู่  ให้รีบไปเคลียร์มันซะ   ดูหน้าตัวเองบ้างมั้ย  ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ

“ทัพ”  ทำไมหน้าเครียดแบบนั้น   หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ  น้องก็ไม่พูดไม่จา  เอาแต่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โซฟา  “ทัพพพพพพพพ”   

ต้องตะโกนดังมากพอ และนานพอดู  เจ้าของชื่อถึงหันมามอง

“ครับพี่”

“ไปเยี่ยมน้อยหน่าแทนพี่ได้มั้ย...?”

“อ้อ  ได้สิครับ”

ไม่หยุดคิดสักหน่อยเหรอไง

จะขี้เกรงใจอะไรนักหนา

“ไม่ต้องรีบนะ   วันพรุ่งนี้ก็ได้   น้อยหน่าเขาอยากเจอทัพนะ  เรียกว่าน้องทัพด้วยนะ  พี่ไม่อยากขัด  ทั้งที่ก็นะ ....”  ผมขำออกมา  พยายามสลายความเครียดที่ปกคลุมทัพออกไป  “ก็รุ่นเดียวกัน”

“อ้อ ... ครับ”

ไม่ได้ผลแฮะ

“ทัพ... โอเคแน่นะ”

น้องนำโต๊ะเลื่อนสำหรับทานอาหารออกจากเตียง   ปรับระดับให้ผมได้อิงหลัง   แล้วน้องก็เปิดโทรทัศน์ให้ผมดู   จากนั้นน้องก็ยืนนิ่งกำรีโมทคอนโทรลอยู่ท่าเดิม   ยืนข้างเตียงผมหลายนาที

แน่นอนว่าผมไม่สนใจรายการอะไรในโทรทัศน์ทั้งนั้น 

สนใจคนข้าง ๆ ที่อาการหนัก ต้องเข้าห้องฉุกเฉินแล้วแหละ

“ทัพ...”

ก็ยังกำรีโมทแน่น  เหม่อมองอะไรอยู่นะ

“ทัพ”

เรียกไปเขย่าตัวไป

“ครับ”

กว่าจะรู้สึกตัว....   เหม่อลอยจนผิดปกติเลยน้อง

“พี่เป็นกำลังใจให้นะ”

“เห้ยพี่”   ยิ้มฝืน ๆ ที่ดูก็รู้ว่าปลอมฉายชัดบนใบหน้าของน้องรัก  “ผมสบายดี  แค่ง่วงอะพี่  รู้สึกยังนอนไม่อิ่ม   เย็นเจอกันนะครับ  ผมไปทำธุระกับเพื่อนก่อน”

“พี่อยู่ข้าง ๆ เสมอนะ”

บีบมือบีบไหล่  บีบทุกส่วนที่ทำได้  เพื่อส่งต่อกำลังใจให้คนตรงหน้า   แม้จะดูไร้ความหมาย

“ครับพี่”

อีกยิ้มจอมปลอมที่ไม่ได้ปลอบประโลมใครให้รู้สึกดีขึ้น



-------------------------------------------------------------




ทัพ


ผมกลับไปอาบน้ำที่คอนโดฯ   ตามนั่งนิ่งกินข้าวเช้าอย่างเงียบเชียบ  เราไม่ได้ทักทายอะไรกันมากนัก   หลังจากที่ผมเสร็จธุระส่วนตัว  รวมทั้งตามที่เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว   เราก็เดินออกจากห้องกันโดยไร้คำพูด

ตามพาผมไปที่รถยนต์ของมันที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ

รถมันสะอาด  ไร้คราบอาเจียนของผม   ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาทำความสะอาดเมื่อใด   บนรถมีเพียงกลิ่นหอมฟุ้งจากถุงเครื่องหอม  ถ้าไม่บอกก็จะไม่มีวันทราบเลยว่ารถคันนี้มีคนเคยขึ้นมาสำรอกอาหารไว้ 

ผมไม่เคยถามมันเลยว่า  มันจัดการความเละเทะที่ผมทำไว้อย่างไร  เมื่อไร   

ใช่แล้ว...  ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องมันเลยด้วยซ้ำ    มีแต่มันที่ถามผมตลอด

หลังจากที่ผมบอกชื่อร้าน  มีเพียงคำตอบเบา ๆ ว่า อืม   เราเลือกจะไม่คุยอะไรกันต่ออีก

“ครับ  ม้า...”

แม่ของตามโทรเข้ามา

“แกมากรุงเทพฯ เหรอ ใจคอไม่คิดจะมาเยี่ยมม้าเยี่ยมม่วยที่นครปฐมเลยเรอะ....”

เสียงแม่ของมันดังอาละวาดลั่นรถ   ใช่ครับ  ตามมันต่อมือถือเข้ากับลำโพงรถจะได้คุยได้สะดวกและไม่ผิดกฎหมาย

“วุ่นอะม้า  มาเรื่องงานแต่งเพื่อน  ไม่ได้มาเที่ยวเล่น”

“หนอยยยย  ไอ้ลูกคนนี้   แม่อ่านไลน์แกเมื่อคืนแล้วนะ”

“ม้า...” เสียงมันลนลานตกใจ   “ผมอยู่บนรถ”

“หือม์  อ้อ...  อืมม   เอาเป็นว่า   ม้านัดไว้แล้วนะ  ยังไงแกก็เลี่ยงนัดดูตัวรอบนี้ไม่ได้”

“ม้า!!!”

นัดดูตัวเหรอวะ   ผมหันไปมองหน้าคนขับทันที   ส่งกระแสจิตเพื่อเค้นเอาคำตอบจากมัน  แน่นอนว่าเปล่าประโยชน์

“แกห้ามผิดสัญญานะ  ลูกสาวคุณนาย”   สักชื่อหนึ่งที่ยาวมากและสะกดยากมาก  “เขาการศึกษาดีมาก”

และอีกยาวนานเนิ่นนาน  จนตามต้องขอเสียมารยาทแม่ตัวเองหนึ่งที  และคำว่า  ขอโทษนะครับ  เป็นคำสุดท้าย  ก่อนที่มันจะวางหูไปโดยที่แม่ของมันยังพร่ำพูดไม่หยุด

“นัดดูตัวเหรอวะ...?”

ผมไม่เข้าใจ  แล้วเรื่องหยกล่ะ...

“................................”

มันตั้งใจขับรถมากเลยครับ  ตีเลี้ยวอย่างนิ่มนวล

“มึงเป็นใบ้เหรอวะ”

แล้วเรื่องที่มันพยายามไล่จีบผมมาตลอดล่ะ??

เรื่องที่ดูเหมือนมันจะสนใจพอลอีกล่ะ....?

มีความจริงใจอยู่บ้างมั้ย

“..................................”

รถขับตรงต่อไป  ไร้บทสนทนาที่ไม่มีความหมาย  ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคุยกับท่อนไม้  ในเมื่อมันเลือกที่จะไม่คุย

ผมกระโดดลงจากรถทันทีที่จอดเทียบสนิท   ไม่อยากจะใช้เวลาแม้สักเสี้ยววินาทีอยู่กับไอ้หมอยุงลาย จอมเย็นชาอีกต่อไป

มันคงยังไม่แลกแผนการเย็นชาที่วางไว้กับไอ้พวกนั้นสินะ   ....   ได้    ในเมื่อมึงจะเย็นชาใส่กู   กูก็จะเย็นชาใส่มึง  ให้มากกว่าที่พวกมึงคิดจะทำกันอีก

“อ้าว ทัพ”   พอลที่โผล่มาจากรถหรูอีกคัน  ยิ้มทักทายผม   ใบหน้าขาวสว่างที่ใส่แว่นกันแดดยี่ห้อแพง  ช่างเข้ากันและขับกล่อมให้เขาดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น   “ตาม”

เสียงดูตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย    ผมเกลียดใบหน้าหล่อเหลานี้ขึ้นมาอย่างไรไม่รู้วะ   

“ร้านอาหารนี้ดังมากเลยนะ  เราอ่านในรีวิวมา  แต่ไกลไปหน่อยนะทัพ”

ประโยคท้ายติดแซวผสมจิกกัดผมเล็กน้อย   แต่ผมไม่สนคำพูดพอลหรอก   สนใจท่าที่ตีเนียนที่พยายามแทรกตัวเองเข้ามาตรงกลางระหว่างผมกับตาม   เอาเถอะ  อยากทำอะไรก็ทำ   ไม่มีสิทธิขัดขวางอยู่แล้ว

ผมหลีกทางให้พอลอย่างง่ายดาย   อยากจะชิดจะติดแค่ไหนก็เชิญ

ร้านอาหารที่ผมเลือกเป็นร้านดัง  แต่อยู่ไกลออกจากเขตเมืองพอสมควร   แถมที่จอดรถก็อยู่ฝั่งข้ามกับตัวร้าน   ต้องอาศัยเดินข้ามถนนอย่างเดียวเท่านั้น

เสียงคุยของตามและพอลดังไล่หลังเป็นระยะ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอก   ผมเพ่งสมาธิไปกับการรอรถเพื่อข้ามถนน  อยากจะรีบกิน  รีบกลับ   แยกย้ายจากกันไปเสียที   

ยืนรอตรงทางม้าลายมาสักพัก  ไม่มีวี่แววว่ารถจะหยุดวิ่ง  ผมจึงตัดสินใจบ้า ๆ  กระโดดลงบนถนน   เสียงโวยวายดังจากพอลและตามเล็กน้อย   ทว่าทั้งสองคนก็เดินตามผมมา   เสียงล้อเลียนว่าผมเป็นวัยรุ่นใจร้อนดังอยู่ข้างหูขวาตลอดเวลา     

ในที่สุดเราก็เดินฝ่ารถที่บีบแตรใส่เราด้วยความโมโหบ้าง  ชะลอวิ่งช้าลงให้เราบ้าง  จนมาถึงเกาะกลางถนน

“เจ๋งอยู่นะทัพ  แต่พอลว่า  วันหลังรอหน่อยก็ได้   กลัววะ”

เชิญกลัวไปเลย   ผมกระโดดลงสู่สมรภูมิการข้ามถนนอีกครั้ง   เดินไปไม่ถึงก้าว   ไอ้ตามก็เลือกปาดหน้าผมเอี้ยวตัวไปด้านซ้ายมือผมเสียดื้อ ๆ   หงุดหงิดเว้ย  จะอะไรกับกูหนักหนา

ผมกลายเป็นคนคั่นกลาง  ที่ฟังมันสองคนคุยกันข้ามหัวตลอดการข้ามถนน  จนถึงร้าน  กินข้าว  และทุกการกระทำ   ถ้าอยากจะสวีทกันจะเอาผมมาคั่นกลางทำไม   ปล่อยกูกลับสิ   แต่แม่งเอ๊ย... กูกลับเองไม่ได้   ไกลขนาดนี้  รถแทกซี่สักคันผมยังไม่เห็นเลย

“พอล  รบกวนส่งเราเข้าเขตเมืองทีนะ”

เอ่ยแทรกกลางวงสนทนาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม  เล่นเอาทุกอย่างเงียบสนิทเลย

จะว่าไปแล้ว   ตั้งแต่กินข้าวมา  มีเพียงตามที่ชวนคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด   พอลแทบจะไม่ได้อ้าปากชวนใครคุยก่อนเลย

เฟรนด์ลี่เชียวนะไอ้หมอยุงลาย

“ตรงนี้มันนอกเมือง  ตามจะได้ขับรถกลับระยองไปเลย  ไม่ต้องเสียเวลาวนรถไปส่ง  รบกวนด้วยนะ”

ผมตะโกนเรียกบริกรเพื่อสั่งของหวาน   เป็นสัญญาณบอกทุกคนว่าอย่าขัดในสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปแล้ว

ทุกอย่างได้ผล   ไม่มีใครขัดใจผม   ผมมีหน้าที่กินของผมต่อไป   และทุกอย่างก็เป็นไปในแบบที่ผมต้องการ

หลายวันผ่านไป  ปีเก่าผ่านพ้นไป   ปีใหม่มาเยือน

ผมไม่สนในเล่นโซเชียลมีเดียอะไรเลย   ทุกการติดต่อของเพื่อนฝูงพี่น้อง  ต้องผ่านการโทรศัพท์เท่านั้น   ผมไปเฝ้าพี่ปริ๊นซ์แทบทุกเย็น  มีบ้างที่พี่ปันมานอนเฝ้า    แบ่งเวลาบางส่วนไปหาน้อยหน่า   ไปชวนคุย   เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง    ติดต่อสถานีตำรวจเรื่องผู้ร้ายที่แทงพี่ปริ๊นซ์   ซึ่งทราบแต่เพียงว่าเป็นคนไข้ที่มีอาการทางจิต  ทางตำรวจและโรงพยาบาลกำลังพยายามเร่งจับตัวมาบำบัดต่อ   ในเรื่องคดี   เนื่องจากเป็นผู้ป่วยทางจิตดังที่ทราบแล้ว   ตำรวจจึงแจ้งว่าอาจจะทำอะไรมากไม่ได้นัก  และดูทางฝ่ายพี่ปริ๊นซ์ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

“พี่ว่า เขาน่าสงสารด้วยซ้ำนะ”

“หือม... ยังไงวะไอ้ปริ๊นซ์”

พี่ปันถามแทนในสิ่งที่ผมอยากถาม

“ก่อนแทงกู  เขาขอโทษด้วยนะ  เหมือนเขาไม่มีทางเลือก  และการที่เขาทำกู  เป็นหนทางสุดท้ายแล้ว”   ผมมองหน้าพี่ปันอย่างไม่เข้าใจ  และพี่ปันก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม  “แต่ให้เอาอีกรอบ  ก็ไม่เอานะ  โดนแทงอะ”

แล้วพี่ปริ๊นซ์ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อพ้นปีใหม่มาได้ไม่กี่วัน

งานแต่งงานของเพื่อนรักผมใกล้เข้ามาทุกที

งานฝ่ายสถานที่ยิ่งทำให้ผมวิ่งจ้าละหวั่น    ผมทำงานคนเดียว  ไม่พึ่งตาม   ตามไม่รู้ด้วยซ้ำและแน่นอนว่า  มันก็ไม่ได้โทรมาถามอะไร   



และแล้วก็ถึงงานแต่งของเพื่อนรัก

ตีสี่ 

ผมพาร่างที่เหนื่อยล้าขึ้นรถแทกซี่ไปยังสถานที่จัดงาน

“ตื่นเต้นมั้ยวะพี...?”

ผมทักมันทันทีที่เข้ามาถึงห้องแต่งตัวของเจ้าบ่าว

“อ้าว เทเลทับบีส์”

จะหยุดเรียกชื่อนี้เมื่อไหร่วะ  สัด...

“ไม่เลยวะ”    หน้ามันนิ่งเหมือนคนใกล้ตาย  ปากนี่ซีดเชียว  ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอวะ   “ไม่ตื่นเต้นสักนิด”

มันยังหน้านิ่งขณะที่ช่างแต่งหน้ากำลังปัดแก้มข้างขวาให้มัน

“ไม่ไหวก็พูดมา”

“ขอบคุณนะทับบีส์”   สัด  กร่อนชื่อกูซะเสีย   ถึงขนาดทำพี่ช่างแต่งหน้าเงยมามองกูเลย  “มึงเป็นเพื่อนคนแรกที่มาถึงเลย”

“เอ้า  หน้าที่กูนี่นา  ฝ่ายสถานที่”   อีกอย่าง  ไอ้มีนมาถึงก่อนกูอีก  ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว   “มีนล่ะ?”

“อ้อ  ยังไม่ตื่นมั้ง”

“อืม....”

“ขอบคุณนะ  มึงเหนื่อยมั้ยทำคนเดียว”

มันยังหน้าซีด   ช่างแต่งหน้าสั่งให้มันอ้าปากเล็กน้อยเพื่อเติมลิปมัน   ปากมันซีดมากขนาดนี้เลยเหรอวะ

“มึงอย่าตื่นเต้นสิ   กูทำได้”

“ตามมันติดเวรนะ  เดี๋ยวบ่าย ๆ มันก็มา  เห็นว่าลาครึ่งวัน”

“ไม่เป็นไร  กูทำคนเดียวได้  มาขนาดนี้แล้ว”

“มึงโอเคแน่นะ...?”

คำถามนั้น  ควรเป็นกูถามมึงมั้ย

“มึงทำใจให้สบายไอ้พี   ไม่ต้องห่วงเรื่องกู   มึงดูผอมลงนะสัด”

ผมหัวเราะกลบเกลื่อนออกมา  อันที่จริงพีไม่ได้ผอมลง  ส่วนผมสิ  อ้วนขึ้นมาด้วยซ้ำ

“ขอบใจ”

“ทำใจดี ๆ ไว้  มึงแต่งงานนะเฟ้ย  ไม่ได้ไปโรงเชือด”

“กูแต่งงาน ๆ ๆ”   พีกำลังท่องอาขยาน  “กูแต่งงาน”

“เออ ดี   ไอ้มีนล่ะ  คิดจะนอนไปถึงเมื่อไร????”

“ให้มันนอนไป   มันมาถึงแต่เมื่อคืน   ดูเพลียมาก  คงวุ่นเรื่องถูกย้าย  มึงรู้แล้วใช่มั้ย”


“รู้แล้ว”   เราคุยกันเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนไปซื้อของงานปาร์ตี้สละโสดของพีแล้ว   มีนทำงานเถรตรงไป  จนไปขัดแข้งขัดขาคนมีอิทธิพลในจังหวัดเข้า  ดีที่ยังเป็นข้าราชการ  จีงถูกเด้งไปอำเภอไกลปืนเที่ยง   “มันคงเดินทางมาลำบากแหละ   ก็อำเภอที่ไปอยู่ก็โคตรกันดารขนาดนั้น”

พีไม่ตอบอะไร   ตาของมันเริ่มลึกโหลมากขึ้น

“กูว่ากูไปหาน้ำหวานให้มึงกินดีกว่า”

“ขอบใจนะเทเลทับบีส์”   ไอ้เพื่อนเวร  ยังไม่เลิกเรียก  “มันชื่อเทเลทับบีส์จริง ๆ พี่   แต่พอเข้ากรุงเทพฯ  ก็ให้เพื่อนเรียกแค่ ทัพ”

ท่อนหลัง พีกำลังอธิบายชื่อของผมให้ช่างแต่งหน้าฟัง   ซึ่งดูตั้งใจฟังมากกว่าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสียอีก

กูเอาน้ำผสมยาถ่ายให้มึงแดกดีมั้ย ไอ้พี.....

ผมเดินออกไปหาน้ำหวานให้เพื่อน  ไฟสลัวเปิดทิ้งไว้บางดวง   กล้วยอ้อยที่ใช้ในขบวนขันหมากถูกจัดเรียงรายไว้ตั้งแต่เมื่อคืน    พนักงานเพิ่งเริ่มจัดเรียงโต๊ะ   ผ้าปูสีขาวสะอาดกำลังถูกสะบัดเตรียมพร้อมสำหรับการปูลงบนโต๊ะ   

“ทัพ  อรุณสวัสดิ์”

“พอล”   ตกใจเล็กน้อย   ถึงกระนั้นผมเลือกที่จะยิ้มกลับไปให้  “มาเช้านะครับ”

“อืม ใช่แล้ว”

“มาคนเดียวเหรอ”

“เพื่อนเราอยู่ในรถนะ  กำลังหิ้วเสื้อผ้าของฝ่ายเจ้าบ่าวลงมา   เดี๋ยวเราเอาชุดมาให้ทัพนะ”  แก๊งค์นิติได้งานเสื้อผ้าฝ่ายเพื่อนเจ้าบ่าวนี่นา    ส่วนพอลทำฝ่ายการ์ดเชิญ   คงเลือกไปช่วยเพื่อนสินะ  “เสียดายนะ  ตามมาไม่ทัน   อุตส่าห์เช่าชุดมาเผื่อแล้ว”

ยังคุยกันอยู่สินะ

“อืม”

พนักงานเอาน้ำหวานหนึ่งแก้วมาให้ผม   ดังนั้นผมก็ไม่มีธุระจะคุยอะไรกับพอลอีก   รีบไปส่งกลูโคสเข้าเส้นเลือดให้ไอ้พีจะดีกว่า

“ทัพ...”   หันหลังกลับไปมอง  แล้วยักคิ้วให้พอลหนึ่งทีเป็นเชิงถาม  “พรุ่งนี้ไปคืนชุดเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ  เราอยากกินข้าวด้วย”

“อืม เอาสิ”

ผมหันหลังกลับ  ไม่อยากเจรจาพาทีอะไรเพิ่มเติมอีก

“ตามไปด้วยนะ  เรานัดไว้แล้ว”

ทุกอย่างหยุดกึก  ผมหันไปมองหน้าพอลที่ยิ้มแย้มดูหล่อเหลา   เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่   เดาไม่ออกจริง ๆ

ไม่นึกว่าสองคนนี้จะพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้...

“ขอบคุณนะทัพ  เรื่องตามนะ”

ขอบคุณเหรอ.........

เรื่องอะไรกัน???



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



ถ้าไม่ติดว่าน้องพีเคยช่วยว่าความเรื่องคดี  ผมไม่มีทางแบกร่างที่แผลยังไม่ประสานดี  แถมยังคันยิบ ๆ ไปงานแต่งงานแน่นอน

“ห้ามเกาแผล ๆ”

พูดดังสะกดจิตตัวเอง  หมอสั่งมาเป็นมั่นเหมาะว่าอย่าสัมผัสแผลเด็ดขาด  แต่คุณเชื่อมั้ยว่ามันคันคะเยอมากขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกคืนผมต้องสวมถุงมือเพื่อให้อย่างน้อย  ถ้าเผลอเกาตอนกางคืน  แผลก็จะไม่บวมหรืออักเสบมาก

ขับรถจนมาถึงที่จัดงานเย็น    ผมมาถึงก่อนเวลาตามการ์ดเชิญตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ 

“ไม่อยากเข้าไปคนเดียวเลยหวะ”

โทรหาทัพดีมั้ย...  ไม่ดีกว่า 

งานฝ่ายสถานที่น่าจะวุ่นวายมากพอแล้ว  ถ้าโทรไปก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้น้องโดยใช่เหตุ   มาคนเดียวก็อยู่คนเดียวไป   งานปาร์ตี้คอกเทล   ไม่ใช่งานเลี้ยงโต๊ะจีนซะหน่อย    อยู่คนเดียวไม่เหงามากหรอก

“เฮ้ย  หมอตาม”   คนที่ผมอยากเจอที่สุดคนหนึ่ง  กำลังหิ้วกล่องอะไรบางอย่างผ่านหน้าผมไป  “ตาม....”

ท่าทางดูรีบร้อนน่าดู  เพราะต้องเลือกถึงสองรอบกว่าจะได้ยิน

“พี่ปริ๊นซ์.....”

“เป็นไงบ้าง..?”
“ผมไม่มีเวลาคุยมากนะครับ  ผมรีบ”

“แปบเดียวหมอ”

“ทัพอยู่ในงานนะครับ  พี่ลองโทรไปดู”

หมอหันหลังให้ผม  พร้อมกับกล่องใหญ่ที่แบกอยู่ในมือ

“พี่อยากรู้ว่า  หมอยังชอบทัพอยู่มั้ย...?   หมอไม่อยากรู้เหรอว่าพี่กับทัพตอนนี้เป็นอะไรกัน”

“...........................”

ได้ผล   หมอตามหยุดแล้ว  และกำลังหันหน้าช้า ๆ มาจ้องผม

ด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ

“พี่ต้องการอะไรครับ”

“พี่ต้องการให้ทัพมีความสุขที่สุด”

กล่องดังกล่าวถูกวางลง

หมอตามเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น  จนเราแทบจะหน้าชนกัน  ความสูงเราไล่เลี่ยกันจึงไม่อยากที่สายตาจะสบกันในระดับเดียวกัน   บอกตามตรงเลยว่า  ผมเห็นเปลวไฟลุกโชติในดวงตาของน้อง

“งั้นพี่ควรเริ่มจาก  จริงใจกับมันครับ”

“แล้วหมอน่ะ  จริงใจกับมันแล้วเหรอ....”

ประโยคของผมทำให้หมอไขว้เขวถึงขั้นสลายเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นได้ในไม่กี่วินาที

“พี่ต้องการอะไรกันแน่....?”   ตามถอยหลังไปหนึ่งก้าว  “ผมเริ่มตามไม่ทันแล้ว”

“ทัพมันรู้เรื่องที่หมอกับเพื่อน ๆ รวมหัวกันหลอกมัน  เย็นชาใส่มัน  เพื่อให้มันไล่ตามหมอ  จะได้หลงกล แล้วก็หลงรักหมอแล้ว”

น่าจะเป็นการตัดสินใจผิดพลาดตลอดกาลของผมเลยแหละ  ดูจากสีหน้าซีดเผือดของหมอยิ่งตอกย้ำ

“มันรู้มาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่หมอเริ่มแผนเลย   พี่ต่างหากที่อยากถามว่า  หมอยอมแพ้แล้วเหรอ.... ถึงเลือกใช้วิธีการแบบนั้น    ถ้าเริ่มต้นด้วยความไม่จริงใจ  หมอต้องการให้ปลายทางมันจบอย่างไรล่ะ”

ผมทำเกินไปหรือเปล่า...

“ทัพ มันเสียใจมากนะ  หมอก็น่าจะรู้ว่า น้องเป็นคนไม่มีเพื่อนมาตลอด  ทัพขาดความอบอุ่นในประเด็นครอบครัว จากการหย่าร้างของพ่อแม่  แล้วแผลเป็นก็ยิ่งลุกลาม   เมื่อเขาไม่มีเพื่อนมาเติมเต็มชีวิต   ต่อให้มีบอส ก็เถอะ   หมอ  น้องพี  และคนอื่น ๆ เป็นเพื่อนที่ทัพรักมาก   แต่หมอดันลากทุกคน  รวมทั้งบอส  รวมหัวกันหลอกทัพ   หมอคิดว่าทัพรู้สึกอย่างไรล่ะ”

ทุกคำพูดของผมเหมือนมีดที่กรีดแทงหมอตาม  สังเกตได้จากอาการสั่นเทิ้มของหมอรูปหล่อ  ที่ดูเหมือนกับว่าจะทรงตัวไม่ได้อีกต่อไป

“ทัพ  ต้องทนฝืน ยิ้ม ทำตัวปกติ  ทั้งที่มันทุกข์ใจแทบบ้า   ทัพพยายามทำทุกอย่างออกมาให้ดี  ยอมเป็นคนโชคร้ายที่โดนกระทำ  เพื่อให้มิตรภาพยังดำเนินต่อไปได้   หมอเคยคิดบ้างมั้ยวะ...?”   ในเมื่อมาขนาดนี้แล้ว  ผมต้องไปให้สุด  อีกหนึ่งก้าวที่ผมเดินไปประชิดตัวอีกฝ่าย  “หมอรู้มั้ย...  ผมเชื่อ  เชื่อว่า  ลึก ๆ ทัพไม่ได้รักผมแล้ว  ทัพแค่ติดกับอดีต   น้องอาจจะกำลังเริ่มรักใครสักคนใหม่ก็ได้  อาจจะเป็นหมอเองก็ได้   ใครจะไปรู้  แต่ถ้าทัพกำลังเริ่มที่จะรักหมอ   เหมือนดังที่หมอปรารถนามาตลอด   ผมบอกได้คำเดียวว่า....”

ตั้งแต่งเกิดมาไม่เคยพูดรัวเป็นชุด  ไร้ช่องไฟเท่านี้มาตลอด    หลังจากหอบหายใจเล็กน้อย  ผมก็บรรเลงเครื่องต่อ

“ตอนนี้ทัพคงจะไม่รักหมออีกแล้ว  อย่าว่าแต่เริ่มรักหมอเลย  ทัพอาจไม่รักใครอีกแล้ว  เพราะหมอนั่นแหละ   สัปดาห์ก่อน  ผมโดนแทงนอนอยู่ที่โรงพยาบาล....”

“อะไรนะครับ....?”

ทันใดนั้น  หมอตามก็เงยหน้าพร้อมกับพุ่งพรวดแทบชนผม

“อะไรนะครับ...”

เป็นอีกครั้งที่หมอตะโกนดังลั่น

เอาเสียจนน้ำในหูผมไม่เท่ากันเลย

“เออ... ทัพอาจจะไม่รักใครอีกแล้ว”

“ไม่ใช่ครับ  พี่พูดว่าอะไรนะครับ  ถูกแทง...?”

“อ้อ ใช่  ผมถูกแทงน่ะ  เรื่องยาว   ทัพไปนอนเฝ้าไข้ผม...”

“โอ๊ย  ไอ้บ้าเอ๊ย”  ผมเชื่อนะว่า  คำพูดนั้นหมอไม่ได้พูดกับผม   “แม่งเอ๊ย”

ตอนนี้หมอตามเหมือนสติหลุดไปแล้ว   เขากำลังทึ้งหัวตัวเองอยู่   ท่าทางเหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง   หน้าตาของหมอดูโกรธแค้นใครสักคนมาก  ใครสักคนที่ผมเชื่อว่า....

คือตัวของเขาเอง



-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 30 ครับผม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 31
หรือเราคงไปกันได้ไม่สุดทาง

ตอนที่ 1



ตาม



พอลเป็นคนรูปหล่อ พ่อรวม  ฐานะดี  มีชื่อเสียงในวงสังคม  และจากที่ถามพี  ปัจจุบันนี้  พอลยังไม่มีแฟน   มากไปกว่านั้นประวัติเรื่องรักใคร่ของพอล   ช่างขาวสะอาดราวกับเป็นความรักในอุดมคติ    เคยมีแฟนมาเพียง 2 คน  หญิงหนึ่ง และชายอีกหนึ่ง  ซึ่งเลิกรากันเพราะผู้หญิงไปเรียนเมืองนอก    ส่วนผู้ชายนอกใจ    ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า   ถ้าทัพจะตกลงปลงใจคบกับพอล    ผมยินดีให้ไฟเขียว...

แต่ทำไมวันนี้ทัพหน้ามุ่ยกว่าทุกวัน   โอเค... ผมยอมรับว่าผมล้ำเส้นเกินไปหน่อย   ที่จุกจิกจู้จี้  แสดงท่าทีไม่พอใจ   เมื่อรู้ว่ามันไปหาพี่ปริ๊นซ์มา   ยิ่งผมรู้ว่าวันนั้น ที่มันกลับมาคอนโดฯ  ไม่ใช่เพราะมันระลึกถึงผมได้   มันแค่กลับมาเอาเสื้อผ้าเพื่อไปนอนค้างกับไอ้บ้านั้น    มันมีดีตรงไหนวะ???   

แค่บังเอิญเท่านั้นแหละ  ที่ผมมีที่ซุกหัวนอนในคืนนั้น

ผมไม่ได้หึง   ไม่จริง....  ไม่ได้หึงเลยสักนิด

ผมมีสิทธิที่ไหนกันเล่า....

ผมไม่ได้หึงจริง ๆ...

โอเค...   ก็ใช่ ที่ผมรักทัพ   แต่ถ้าทัพไม่มีทีท่ารักผมเลยแม้แต่น้อย   จะยืดเยื้อให้เสียเวลา  ให้เจ็บใจไปทำไม

ตอนนั้นเอง  ที่ผมนึกขึ้นมาได้ว่า   ถ้าทัพไม่มีวันรักผม   ผมยังสามารถจับคู่ให้ทัพกับพอลลงเอยกันได้นี่นา...  พอลเองก็มีแนวโน้มที่จะชอบทัพ    จากทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา   ผมมั่นใจว่าทัพต้องมีความสุขถ้าได้อยู่กับพอล    เอาตามตรงนะ   ผมเชื่อว่าพอลไม่ได้กำลังไล่จีบทัพ     ทว่าเป็นไปได้เหรอว่า  จะไม่มีแม้เพียงเสี้ยวเดียวในใจของพอลที่ไม่สนใจอะไรในตัวเพื่อนรักผมคนนี้เลย

ไม่มีทาง...

พอลต้องพูดกลบเกลื่อนเป็นแน่แท้

ไม่งั้นพอลไม่มายุ่มย่ามโทรหาผมหรอก 

ใช่... พอลอยากรู้เรื่องทัพนั่นเอง....

คิดจะใช้วิธีเข้าทางเพื่อนสินะ

“พอล  ตามเองนะ  พรุ่งนี้กินข้าวกัน  ทัพก็ไปด้วย  มันเลี้ยง”

รัวเป็นชุด  ไม่เว้นช่องไฟ   อย่าคิดแม้แต่จะปฏิเสธ

“เออ... ได้ครับ  พอลจะไป  ที่ไหนเหรอ...?”

แจ่ม..

ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น   ดีแล้ว 

“พรุ่งนี้ค่อยบอก  เจอกัน...”

แล้วก็สำเร็จ   ผมลากสองคนนี้มากินข้าวด้วยกันจนได้

อุตส่าห์พยายามจับคู่แทบตาย   สุดท้ายที่โต๊ะอาหารกลายเป็นผมนั่งจ้อคุยกับพอลอยู่ฝ่ายเดียว   ว่าไปแล้วทั้งทัพและพอล  ทำไมวันนี้พร้อมใจกันนั่งซึม   ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

“รบกวน   ไปส่งเราหน่อยนะ...”

อันที่จริงผมก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่า   ผมจำประโยคที่ทัพกล่าวได้ทุกคำพูด   เนื้อความประมาณนี้แหละวะ...   ไปบอกว่าคนอื่นนั่งซึม   เอาเข้าจริงผมนั่นแหละที่ใจลอย  เหม่อ  แล้วกลบเกลื่อนด้วยการพูดมาก

หน่วงใจหวะ  แต่ดีแล้ว   อย่างน้อยสองคนนี้ก็จะได้เรียนรู้กัน

ผมขับรถกลับระยอง   ใจสั่นตึก ๆ   ถ้าเป็นชีวิตในหนัง  น้ำตาผมคงไหลพราก ทุรนทุรายแดดิ้น  ไร้สติสตัง   แล้วผมอาจจะขับรถชนเสาไฟฟ้าตายห่าไปแล้ว    แน่หละ  ว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น    ทำงาน  รักษาคนไข้  ประชุมกับสาธารณสุข  กลายเป็นกิจวัตรประจำของผม    ผมรับเวรหนักมากขึ้น  เพื่อสะสมวันลาไปใช้ช่วงงานแต่งงานของพี     หลังงานแต่งไอ้เพื่อนตัวอ้วนของผมอีกเพียงสองวัน   ก็จะถึง  วันเกิดของผม....  วันดูตัวกับน้องอ้อย  หรือ น้องอ้อ   หรือ  น้อยอ๋อ   กันแน่นะ   เอาเป็นว่าสักคนนั่นแหละ  ไม่ได้ใส่ใจจำอะไรเท่าใด



ช่วงปีใหม่  คือ  เวลานรกแตกของเหล่าแพทย์และพยาบาลเลยก็ว่าได้

เหล้าเนี่ย  เพลา ๆ กันหน่อยนะคุณ  ดื่มแล้วเมาก็อย่าขับ     ส่วนพลุเนี่ยก็จุดไกล ๆ ตัวหน่อย    เพราะว่าพอไม่ตายสนิท   คนที่ต้องมานั่งรักษาคือพวกผม

อย่าเข้าใจผมผิด   ผมไม่ได้รังเกียจที่จะรักษาคนเจ็บคนไข้   แค่ไม่อยากให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาถ่วงดุลทรัพยากรเวชภัณฑ์และอื่น ๆ ที่มีอย่างจำกัดจำเขี่ยให้หร่อยหรอลงไป

กว่าจะผ่านนรกในแต่ละวันของการทำงานมาได้   ผมแทบจะบรรลุโสดาบัน  นึกว่าตนเองเป็นพระมาลัยตะลุยแดนนรกแล้วกันเว้ยฐาพล

“แก... แกรู้เรื่องหมอหยกหรือยัง...?”

“รู้แล้ว  น่ากลัวมากเลยแก”

กลิ่นเลือดจากเหยื่ออุบัติเหตุจากกรณีเมาแล้วขับยังคละคลุ้งบนชุดผ่าตัดของผม  พยาบาลเวรสองคนที่จับกลุ่มซุบซิบเหมือนกล่าวถึงชื่อคนที่ผมคุ้นเคย  ...  คุ้ยเคยดีมากเสียด้วย   เนื้อหนังมังสาทุกอณูก็รู้จักหมด   แต่ผมคงหูแว่วไปเองมากกว่า

“หมอตามรู้หรือยังน้า....?”

“แก...”  เราหันมาสบตากันพอดิบพอดี  จากนั้นผมก็เฝ้ามองการเคลื่อนที่ของมือเล็กนั้นที่จับหมับบนท่อนแขนของเพื่อนร่วมวิชาชีพที่หันหลังให้ผม “หมอตามมา...”
 
เสียงกระซิบเบาสนิทลอดผ่านริมฝีปาก

แต่มีเหรอ... ที่ผมจะไม่ได้ยิน

เธอหยุดเม้ามอยกะทันหัน  และยิ่งทำให้ผมเคลือบแคลงสงสัยเพราะปรากฏชื่อผมในบทสนทนา  ตาตี่เล็กของผมจึงกลายเป็นตาเหยี่ยวคมปราดที่จ้องนางพยาบาลทั้งสองทุกฝีก้าว  ทั้งขณะที่เธอสองคนกำลังสาละวันกันถอดถุงมือให้ผม   เปลี่ยนเสื้อให้ผม    หลังจากที่ผมล้างมือฆ่าเชื้อโรคอีกรอบ   แล้ววิ่งออกไปรับเคสอุบัติเหตุใหม่   เธอทั้งสองคนก็ยังตกอยู่ในสายตาของผมตลอด

มันคงทำให้เธอทั้งสองประสาทกินไปเลยแหละ   เพราะตลอดคืนนั้น  แม้จะเกิดอุบัติเหตุมากมาย  ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เลิกจับตามองทั้งสองคน

จวนเช้า

“หมอคะ....”

เงยหน้า ยักคิ้วมอง  ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากผม

“จอยขอโทษจริง ๆ ค่ะ  อย่าโกรธหนุนมันเลยนะคะ”

สุดท้ายก็หนีไม่พ้น  ต้องสารภาพออกมาเองสินะ

“ผมไม่ได้พูดสักคำว่าผมโกรธ....”   ใช่  เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น  แล้วทำไมชื่อของผมถึงไปปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าดังกล่าวของเธอสองคนได้  “คุณคิดมากไปหรือเปล่า....?”

“หมอตาม  จอยกับหนุนผิดไปแล้ว...”

มือคู่ประณมก้มหัวขมาผม  พร้อมกับตัวที่ค้อมลงมา  ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ

“เดี๋ยวก่อน  ใจเย็น ๆ  คุณก็พูดมาสิ  อย่าเอาไปคิดเองเออเอง”   ผมต้องตีเนียน  ผสมโรงไปก่อน  “เรื่องที่ควรพูดก็ไม่พูด   เรื่องที่ไม่ควรเงียบ  ดันเงียบเป็นเป่าสาก   ถ้าคุณเป็นผม  จะรู้สึกอย่างไร....?”

“หมอคะ”  ถ้าผมพูดอะไรออกไปอีกนิดเดียว  หยาดน้ำตาคงเป็นสิ่งถัดไปที่เธอแสดงให้ผมเห็นเป็นแน่  “จอย...”

“โอเค ๆ ผมไม่โกรธหรอก   ผมมีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว”

ใช่...  นี่เพิ่งวันแรกของเทศกาลปีใหม่   อีกตั้งหลายวันที่ต้องเผชิญกับเคสอุบัติเหตุนับไม่ถ้วน

“หมอ....”   รอยยิ้มคลี่บางบนใบหน้าของพยาบาลร่วมเวรของผม  “หมอใจดีอย่างที่เขาพูดจริง ๆ   หมอต้องสู้นะคะเรื่องนั้น”

เรื่องนั้น.....???

“ครับ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ  ทางโรงพยาบาล.....”   เธอเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเฉพาะด้านสำหรับผู้ป่วยทางจิตออกมา  “และทางตำรวจ  ต้องตามหาหมอหยกเจอแน่นอน  จากนั้นก็พาหมอเขากลับไปบำบัด”

“.....................”

ท่าทางนิ่งขึงของผมยิ่งทำให้เธอสะพรึง

“หมอ...”  ภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวเชื่องช้าดุจภาพสโลว์โมชัน   เมื่อมือน้อยเคลื่อนมาปิดปากของเจ้าของ  “... ยัง  ไม่  ทราบ  เหรอ คะ  ?”

ไม่มีการส่ายหัว  ไม่มีการพยักหน้า   ไม่มีอะไรทั้งสิ้น   แล้วผมก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับหยกในบัดนั้นเอง



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



อีกสองวันผมจะได้ออกจากโรงพยาบาล  คุณหมอรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ

การมานั่งเคาท์ดาวน์บนเตียงผู้ป่วยมันไม่สนุกและไม่คูลเอาเสียเลย

วันนี้เป็นอีกวันที่น้องมาเฝ้าไข้ผม   ทัพเพิ่งได้พักไปวันเดียว   ไอ้ปันเพื่อนไม่เอาไหน   ไม่เคยคิดจะมาดูแลกูหรอก   ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนอีกสองตัวที่เหลือของผม   ไม่รู้ตายห่าไปแล้วหรือเปล่า   แค่โทรมาสองสามรอบเพื่อถามว่า  ตายหรือยังวะ  พร้อมเสียงหัวเราะเยาะเย้ยชุดใหญ่   แล้วผมก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากมันสองคนอีกเลย

ทัพโทรมาบอกผมเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน  ว่าอาจจะมาช้านิดหน่อย    เพราะอยากไปเยี่ยมน้อยหน่าก่อนที่จะเข้ามานอนเฝ้าผม   ได้แต่หวังว่าปัญหาคาใจที่น้องมีจะสามารถถูกปลดระวางออกไปด้วยความไร้เดียงสาของเธอ

“ผมขอสารภาพครับ...”

ภาพจำของวันที่ทัพกระหืดกระหอบมาดูใจผม  (ตามคำโป้ปดของไอ้ปัน)  ยังเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ

“ผมไม่ได้รักพี่ปริ๊นซ์แล้ว....”   เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ   “มันเป็นแค่ความรู้สึกเนิ่นนานที่ติดค้างจากอดีต  ที่พันธนาการให้ผมยังติดในความทรงจำเก่า ๆ กับพี่    ผมขอโทษนะครับ  และผมให้อภัยพี่  เรื่องที่พี่ทำแบบนั้นกับผม....”

น้องมีท่าเหนียมอายเมื่อพูดถึงเรื่องคืนนั้น   ผมเช่นกัน...  เป็นความผิดพลาดที่ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง

“พี่....”   แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ   มือน้อยของทัพก็จุ๊ปากผมทันที  “... ทัพพูดก่อนเลย”

“ผมให้อภัยพี่ครับ    พี่ก็ต้องให้อภัยตัวเองเช่นกัน   เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่   ในฐานะพี่น้องที่ดีต่อกัน   ผมเป็นพี่คนโตมาทั้งชีวิต    ไม่ว่าพ่อกับแม่จะมีปัญหากันแค่ไหน    ผมไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ร้องไห้   หรือเสียใจอย่างคนอื่นเขา     ทับทิมเท่านั้นที่ผมอยากปกป้องดูแล  เพราะผมไม่อยากให้น้องต้องเป็นกังวล”

สิ่งเดียวที่พึงกระทำตอนนี้คือ  บีบมือทัพกรณ์ไว้ให้แน่น   และผมก็ทำมันในทันที...

“จนผมลืมคิดไปว่า   แท้จริงแล้ว   สิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาเสมอคือ  ผมอยากอ่อนแอให้ใครสักคนปกป้องผม  ปลอบใจผม  และกอดผมไว้แน่น ๆ     ผมไม่ได้อยากจะเข้มแข็งตลอดเวลา”   น้ำตาร่วงพรูเชื่องช้า   “ไม่ใช่ผมไม่รักทับทิมนะ   แค่ผมอยากจะมีวินาทีสั้น ๆ แค่เสี้ยววินาทีก็ได้   ที่ได้อ่อนแอ   เวลาที่ผมจะได้เศร้าจากสิ่งที่ผมประสบในวันนั้น    จน ม. 1   วันที่ผมได้เจอพี่   วันที่ผมได้เป็นน้องชายใครสักคน   ได้มีพี่ชายที่ใส่ใจ”

เสียงสูดน้ำมูกดังเฮือกใหญ่   เล่นเอาผมเสียอารมณ์เศร้าไปเล็กน้อย   แต่ก็ไม่ถึงกับขำออกหรอกนะ

“ถึงแม้พี่ชายคนนั้น  แม่งจะเหี้ย  ชอบแกล้งผมไม่เว้นแต่ละวัน   เอะอะก็หาเรื่องให้กู   แกล้งกูยังกับแกล้งหมา   นิสัยเสียชิบ”    เออ ทัพ   พี่กำลังซึ้งเลยนะ....   “แต่ถึงกระนั้น  ผมก็ไม่อยากเสียพี่ชายคนนี้ของผมไป”

“ทัพ....”

“จริง ๆ นะครับ...”

“พี่ขอโทษนะ”

“ไม่ต้องพูดแล้ว”  ทำไมตามันร้อนแบบนี้หวะ   เหงื่อมาจากไหน  ทำไมเหงื่อมาไหลออกทางตา “พี่จะร้องไห้ทำไมวะ”

“ใครร้อง   พี่ไม่ได้ร้อง   แกต่างหากทัพ”

“พี่นั่นแหละร้อง....”

เรายังกุมมือกันไว้สนิทแน่น   ผลัดกันยกท้องแขนมาซับน้ำตาที่ไหลร่วงให้กัน

“ฝุ่นเข้าตาเว้ย...”

“ถ้างั้น... ผมก็ด้วย”

“โกหกแล้ว  ไอ้เด็กขี้แย....”

“หุบปากไปเลย  ไอ้พี่บ้า...”

“ทัพ”   น้องหยุดนิ่ง  ท่าทางไม่เข้าใจสงสัย  ราวกับมีเครื่องหมายปรัศนีย์ฉายชัดอยู่บนหน้า  ทว่าท่าทางพร้อมสรรพที่จะรับฟังคำจากปากผม  “พี่จะเป็นพี่ของแกตลอดไปนะ   ใครจะเข้ามาจีบน้องชายพี่คนนี้  ต้องฝ่าด่านอรหันต์ของพี่ไปก่อน...”

“รู้แล้วน่า....”

“อย่าเขินดิ”   ท่าทางเขินของทัพแม่งน่ารักวะ  จะอ้วนหรือผอม  เวลาทัพกรณ์เขินมันน่ารักเสมอแหละ  “กับหมอตามไปถึงไหนแล้ว....?”

ฉิบหาย....

บรรยากาศเสียเลย    หน้าตาท่าทางทุกอย่างของน้องรักผมเปลี่ยนไปทันที

“ก็เพื่อนกันพี่....”

“ทัพ......”

“ไม่ได้อะไรจริง ๆ ครับ...”

“น้องแน่ใจเหรอว่าไม่ได้คิดอะไร....”

“พี่ปริ๊นซ์   อันที่จริงผมไม่เคยรู้สึกโอเคเลยเรื่องที่พวกมันรวมหัวกันหลอกผม”   ใช่สิ...  ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท  “ไม่เคยโอเคเลยจริง ๆ”

น้องยังเป็นคนเก็บกดที่ไม่แสดงอารมณ์ออกไปให้ใครเห็นดังเดิม

“ถ้าทัพไม่พอใจ  ก็พูดออกไปสิ  อย่าไปยอม”

“มีน...”  เพื่อนสักคนหนึ่งของทัพกระมัง  “มาสารภาพกับผมแล้ว  ผมไม่โกรธมีนนะ  ไม่โกรธพี  ไม่โกรธบอส  แล้วก็ไม่โกรธตามมันด้วย.....”

ชื่อสุดท้าย  ช่างหลุดออกมาจากปากยากเหลือเกินนะ

“แต่ผมโกรธตัวเองอะพี่  โกรธที่ตัวเองไม่สามารถทำใจยอมรับได้   ผมทำใจไม่ได้อะพี่”

“ทัพ...  บางเรื่อง  ถ้าปล่อยไป  ก็จะเบาต่อใจและกายเราเองนะ”

มันยาก... ผมเข้าใจ   สำหรับคนที่มีประสบการณ์เลวร้ายตั้งแต่เด็กอย่างทัพ

สำหรับเด็กที่เกือบได้ชื่อว่า  เด็กมีปัญหา  บ้านแตกสาแหรกขาด  พ่อแม่ทะเลาะกันทุกเช้าเย็น   เพื่อนคว่ำบาตร  ไร้คนคบหา   การได้เจอสิ่งนั้นหวนกลับมาตอกย้ำในวัยเช่นนี้  ย่อมเป็นภาพจำที่ยากจะสลัดหลุด

เหมือนเงาที่ถึงแม้เราอาจจะไม่เห็นในบางช่วง   แต่ลึก ๆ ต่างรับรู้ว่ามันอยู่กับเราเสมอ...

“ผมรู้...  ผมเข้าใจ...  แต่ผมทำไม่ได้”

“หรือว่า....”   จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่า  มันมากเกินไป... ใช่แล้ว   มันดูไร้เหตุผล    ทำไมทัพถึงทรมานขนาดนี้  ต่อให้ทัพประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้นมามากมายตั้งแต่อดีตก็ตาม....   หรืออาจเป็นไปได้ว่า...  “น้องรักหมอตาม ... ใช่มั้ย?”

ความเงียบปกคลุมห้องพักของผม   ความเย็นชาที่ไม่สามารถเดาทิศทางได้แพร่กระจายจากตัวทัพกรณ์อย่างเชื่องช้าประดุจคลื่นน้ำที่ตีเรื่อยจากการโยนหินลงน้ำ

“ไม่ครับ...”

มือที่เคยกอบกุมหลุดออก  น้องสลัดมือของผมออกไปอย่างรวดเร็ว  แต่แผ่วเบา

ทัพก็คือทัพ  ยังไม่รู้ใจตัวเองเช่นเคย

และสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ  คือ...  ความผิดหวังที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นมดงานที่แข็งขันซึ่งกำลังสร้างกำแพงโอบกั้นตัวน้องเอง

อีกครั้งหนึ่งที่ทัพกำลังโกหกใจตัวเอง...



-------------------------------------------------------------



ตาม



ข่าวเรื่องหยกเมื่อหลายวันก่อนยังสร้างความสะพรึงให้แก่ผม

หยกหนีออกจากโรงพยาบาล   ไม่ใช่แค่หนีธรรมดา  เธอแทงญาติผู้ป่วยคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บ  เป็นตายร้ายดีผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้    เธอทำผิดจรรยาบรรณของแพทย์ขั้นรุนแรง     ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผม   ถ้าผมไม่ตัดสินใจโง่ ๆ   ถ้าผมมีสติ     ถ้าผมตัดสินใจได้ดีกว่านี้   เรื่องราวต่าง ๆ ก็คงไม่เลยเถิดเลวร้ายจนเพียงนี้

“ตอนนี้หยกอยู่ไหนกัน...?”

ผมเหนื่อยเหลือเกิน  ความเหนื่อยล้าจากเทศกาลปีใหม่ที่เพิ่งพ้นมาไม่นานยังเรื้อรังและกระทบต่อชีวิตแพทย์ทุนเช่นผมเหลือเกิน    เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่ผมออกเวร   กลับมาที่บ้านพัก    เอนหลัง  เอามือวางบนหัว  ปิดตาคาดเดาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดหรือเกิดไปแล้ว

เวลาล่วงเลยจนดึกค่ำ   ท้องไม่ร้อง   ไร้ความหิวทุกรูปแบบ   ช่างค้านขัดกับร่างกายที่อ่อนล้าและสมควรได้รับการพักผ่อนเป็นอย่างมาก

เพล้งงงงงงงงง

เสียงดังลั่นมาจากบริเวณห้องรับแขก  ใกล้กับที่ผมนั่ง

“เมี้ยววววววววววววววววว”

ที่แท้ก็แมวจรจัดเจ้าเก่าของโรงพยาบาล   ช่วงหลังนิสัยเสียหนักมากขึ้น   ได้ข่าวมาว่าเข้าไปขโมยอาหารถึงในเรือนครัวที่ปรุงอาหารให้คนไข้ในโรงพยาบาล

“ชักเอาใหญ่แล้วนะ ไอ้ขาว”

ผมตะโกนด่าแมว  ที่หันกลับมามองผมด้วยสายตาท้าทายเย่อหยิ่ง    ไม่อนาทรร้อนใจกับผลงานที่ตนเองทำ   ก็ไอ้ขาวเล่นเอากระจกบานเกร็ดบานหนึ่งของบ้านพักผมแตกกระจายไม่มีชิ้นดี     ถ้าทิ้งเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าใครจะทะเล่อทะล่าจนได้แผลหรือเปล่า

“พรุ่งนี้เก็บแล้วกัน”

วางที่โกยขยะกับไม้กวาดไว้ที่เดิม

ไม่ไหว...  นอนเลยดีกว่า   ค่อยว่ากันพรุ่งนี้

แล้วผมก็ล้มตัวลงนอน   ไม่อาบน้ำอาบท่า....   หลับโดยไม่รู้เลยว่าภายนอกมีคนคนหนึ่งยืนเฝ้ามองผมด้วยความรักและคิดถึง  ที่ผสมผสานไปกับความโกรธแค้น    ....  ความโกรธแค้นที่ขับเคลื่อนให้เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ปลายเท้า   โลหิตแดงฉานที่ไหลจากแผลกระจกบานเกร็ดบาด   

เธอยืนจ้องมองผมผ่านรูโหว่แนวยาว   ทะลุผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวตามแรงลมธรรมชาติ   เธอต้องบุกไปตามที่ต่าง ๆ  โบกรถชาวบ้านหลายต่อหลายคัน  ทำร้ายและปล้นคนนับไม่ถ้วนเพื่อมาให้ถึงจังหวัดระยอง

เนื้อตัวที่สกปรก  บาดแผลประปรายตามเนื้อตัว  ผมเผ้าที่กระเซอกระเซิง  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ค้านขัดจากความเป็นจริงที่ว่า  คนผู้นี้  ครั้งหนึ่งเคยเป็นแพทย์หญิงที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ   เธอเคยสวย  และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหลายราย

“ตาม......”

สุรเสียงแห่งความคิดถึง  ที่ช่างเยียบเย็นกรีดแทงและหวั่นผวา...



-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 1 ของบทที่ 31

สำหรับตอนที่ 2 ของบทนี้จะรีบมาอัพนะครับ

มีแก้นิดหน่อย


รักษาสุขภาพนะฮะ

ยังรับคำติและคำชมเหมือนเดิม   

 :mew1:

 :z2:


ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
โฮ้ย! ไม่ได้แวะเข้ามานานอ่านยาวเลยทีนี้ ยังงงๆกลับตอนที่ 31(1)อยู่มันคือช่วงเวลาก่อนวันแต่งพีใช่ไหม? คนแต่งรีบมาต่อด่วนๆเลยนะอยากรู้ว่าหยกจะทำอะไรตามไหมรึจะจับตัวไว้ได้ก่อนเพราะไปงานแต่งได้นี้ :confuse: :hao3:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 31
หรือเราคงไปกันได้ไม่สุดทาง

ตอนที่ 2



ปริ๊นซ์



“ขอโทษครับที่มาช้า...”

เสียงเจ้าตัวดังพร้อมกับเสียงฝืดของประตูที่สมควรหยอดน้ำมันหล่อลื่นได้แล้ว   ใบหน้าอันอิดโรยของทัพลอยเด่นกว่าสิ่งใด   น้องพาร่างอันอ่อนแรงมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงผม   อาหารเย็นรสชาติจืดชืดเพิ่งไหลเข้าปากผมไปได้คำสองคำเท่านั้น   

“ผมแอบซื้อแกงเผ็ดเป็ดย่างของโปรดพี่มาด้วยนะ”  ถุงผ้าสีดำทึบถูกแกว่งกวัดตรงหน้าผม  ไม่ต้องเปิดก็รู้ว่าข้างในอัดแน่นด้วยเสบียงสำหรับคืนนี้อย่างแน่นอน  “จะผอมทันงานแต่งพีมั้ยเนี่ย....”

“พี่ว่าไม่”

แน่แหละทัพ  แค่ไม่กี่วันน้ำหนักที่เคยหดหายไปนานหลายขวบปีกลับฟื้นคืนทยอยกลับมาแล้ว   สรุปแล้วน้องจะลดความอ้วนไปทำไมกันเนี่ย 

“ช่างมัน   ผมไม่จำเป็นต้องผอมแล้วก็ได้”

แววตายียวนเพ่งมองมาที่ผม   หวนทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน    ผมรู้อยู่แล้วว่าทัพแอบฟังผมอยู่ข้างนอก  ผมซึ่งยังไม่รู้ใจตัวเองจึงพยายามจะสลัดทัพให้หลุด   อยากรักษาความเป็นพี่น้องที่มั่นคงเอาไว้   จึงทำให้เผลอพูดสิ่งนั้นออกไป   

“ถ้าผอม... ก็ไม่แน่นะ.....”

สุดท้ายน้องผอมจริง  ดังที่ผมเคยเปรย    แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก   ผมไม่ได้รักน้องเพราะรูปร่าง  เพราะรักน้องเพราะน้องเป็นน้อง    แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่ใช่ความรักรูปแบบเดิมแล้ว

“พี่ปริ๊นซ์ไปงานมันด้วยนะครับ”

จากเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย   ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่า   ไม่กล้าไปงานเพื่อสู้หน้าน้องพี  หรือเพื่อนน้องคนอื่น ๆ ที่ทราบเรื่อง    พีเองอาจจะชวนผมไปรวมงานตามมารยาทก็เป็นได้   อย่างไรก็ตามผมตัดสินใจแล้วว่าถ้าไม่เกิดเหตุขัดข้องสุดวิสัย   ผมต้องไปร่วมแสดงความยินดีด้วยอย่างแน่นอน   ทั้งในฐานะลูกความและฐานะที่เรามีน้ำใจให้กัน

“วันนี้คุยกับน้อยหน่าเป็นไงบ้าง...?”   หยังเชิงถาม   ทว่าเจ้าตัวดูเหม่อลอยเหลือเกิน  “ทัพ....”

กวัดแกว่งมืออยู่ราวสี่ห้าที  คนที่ผมเรียกถึงรู้สึกตัว

“อ้อ ครับ  ดีครับ   คุยกันไปมา   น้อยหน่าดูแข็งแรงขึ้นนะครับ  ปรึกษาผมเรื่องพี่ปริ๊นซ์นิดหน่อย  ว่าหายไปไหน   ผมเลยแซวว่า  หนีไปติดสาวหรือเปล่า   น้อยหน่าดูไม่แคร์นะครับ   บอกแค่ว่า   สาวคนนั้นต้องสวยนะ”   เอ้า  ซะงั้น   น้อยหน่านะน้อยหน่า  “แล้วผมก็มีเรื่องปรึกษาน้อยหน่านิดหน่อย   ไม่น่าเชื่อนะครับ   เขาให้คำปรึกษาผมได้ดีทีเดียว”

“น้อยหน่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ครับ”  อีกครั้งที่น้องเหม่อลอย   ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะขัดอะไรอีก  “เหนื่อยจัง”

“ทัพ....”

ช้อนถูกวางลง  อาหารจืดชืดนี้ให้กินฟรีอีกกี่สิบมือก็ไม่เอาอีกแล้ว   ทัพยิ้มจาง ๆ มองเหม่อไปนอกหน้าต่าง  ตาลอยเหมือนคนติดยา   แล้วน้องก็หันมาจ้องผมช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกกว้างมากขึ้น

“พี่ว่า  ผมลาออกจากที่ทำงาน  แล้วกลับไปพักผ่อน นั่ง ๆ นอน ๆ ที่ตราดสักปีดีมั้ยครับ”

ก็ไม่เลวแฮะ  ถ้ารวยมาสักนิด  ทำแน่นอนเลยกู

“ทัพคิดรอบคอบแล้วใช่มั้ย....”   รอยยิ้มกว้ายังตรึงบนใบหน้า  “ไม่เสียใจภายหลังใช่มั้ย....  น้องทำเพราะอยากพักจริง   ไม่ใช่เพื่อหนีใคร  หรือ อะไรใช่มั้ย”

รอยยิ้มยังนิ่งสนิทแบบนั้น  รอยยิ้มแห่งความสุขแต่ตากลับสร้อยเศร้าเหงาหงอย

“ไม่รู้สิครับ”   ผุดลุกขึ้นยืนกะทันหัน  แล้วรื้อของในถุงผ้า  ไม่นานมากนัก  ผัดเผ็ดเป็ดย่างในจานพลาสติกก็ถูกเสิร์ฟข้างหน้าผม  “ทานให้อร่อยครับพี่”

ทัพกลับไปนั่งเหม่อดังเดิม   ดุจรังไหมที่ไร้เจ้าของ  มีเพียงความว่างเปล่าแสนกลวง




-------------------------------------------------------------



ตาม



ตีห้า  เวลาปกติที่ผมต้องตื่น

ผมนอนเต็มอิ่ม  นอนมากกว่าทุกคืน   วันนี้ผมต้องรับเวรเช้าต่อถึงดึก  มาราธอนขนาดนี้ก็เพื่อสะสมวันลาทั้งนั้น  แม้ว่าตาผมจะโพลงเปิด   ตัวกลับยังนอนราบบนเตียง   มองพัดลมติดเพดาที่หมุนวนเอื่อยเชื่อยช้าส่งความเย็นจาง ๆ เรื่อยริ้วเป็นระลอก

เสียงพัดลมสอนประสานไปกับเสียงนกร้องออกหากิน   ขับกล่อมให้ผมอยากหลับตานอนต่อ

“ไปกวาดเศษกระจกก่อนดีกว่า....”

นึกขึ้นได้ก็รวบรวมพลังทั้งหมดฉุดตัวเองลุกจากเตียง  คว้าไม้กวาดและที่โกยเดินออกนอกบ้านไปยังหน้าต่างที่ไอ้ขาวสะบัดกระจกบานเกร็ดเสียร่วงแตกกระจาย    ในใจก็ยังคิดถึงวิธีการต่าง ๆ ที่จะลงโทษไอ้ขาว   แต่เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุผมกลับต้องช็อค

“เลือดใครวะ....?”

คราบเลือดกองย่อม  แห้งกรังบนพื้น   ปนเปื้อนไปกับเศษกระจก   เห็นได้ชัดว่ามีผู้โชคร้ายสักคนมาเหยียบมันเข้า

“ใครวะเนี่ย....”

หันซ้ายหันขวา  มองตามคราบเลือดที่ไล่ยาวออกไปจนถึงชายป่าข้างโรงพยาบาล   ผมได้แต่ส่ายหัวด้วยความไม่เข้าใจ   ถ้าเป็นบรรดาหมอด้วยกันก็ควรจะไปทำแผลที่บ้านพักไม่ก็โรงพยาบาล   ทำไมจึงเลือกเดินเข้าป่าหลังโรงพยาบาลกันนะ

“หรือว่าเป็นหมาจรจัด”  ส่ายหัวหนึ่งที  “ใช่แน่เลย”

หลังจากกวาดเศษกระจกไปทิ้งเรียบร้อย   ผมก็แทบไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจอีก

เกือบสามทุ่ม    เป็นวันที่น่าเบื่อ   ไม่มีสักเคสในโรงพยาบาล   อาจเรียกได้ว่าเป็นเวรตบยุง  ก็ไม่ผิดนัก

“หมอคะ  ไปงีบสักหน่อยมั้ยคะ   เผื่อมีเคสจะได้มีแรง” 

พยาบาลเวรเดียวกับผมเสนอมาอย่างนี้  มีหรือจะปฏิเสธ    ผมพึมพำขอบคุณหนึ่งทีแล้วลุกเข้าไปห้องพักหมอ   เอนตัวลงนอน

แล้วผมก็ฝันร้าย...

ผมฝันว่า  มีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของผม   ทำไมมันสามารถเข้ามาในห้องพักนี้ได้   ห้องพักนี้เข้าได้เฉพาะแพทย์และหัวหน้าพยาบาลเท่านั้น  เพราะเป็นห้องที่ล็อคใส่รหัสไว้อย่างดี    ยิ่งคิดตรงนี้  ผมยิ่งรู้สึกว่ามันคือความฝัน

ใครคนนั้น   ลากเก้าอี้มานั่งข้างผม   เรียกชื่อเล่นผมเบา ๆ สองสามที  แล้วเธอ ...  ใช่  ผมมั่นใจว่าเป็นผู้หญิง  ก็ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน 

“ไม่ต้องห่วงนะ  เราจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”

ผมไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรที่ไม่เรียบร้อย

“ไม่ต้องห่วงนะ...”

แน่นอนว่าผมยังจำภาพฝันนั้นได้ติดตา  แม้ยามที่ผมกำลังห้ามเลือดคนเจ็บจากอุบัติเหตุ   แม้ยามที่ผมกำลังผ่าตัดคนป่วยไส้ติ่งอักเสบฉุกเฉินก็ตาม

ผมได้วันหยุดในวันรุ่งขึ้น   จึงพาร่างอันหมดแรงกลับไปที่บ้านพัก

ร่างที่ไร้เสื้อผ้าของผมยืนอยู่ที่หน้ากระจก  มองหนวดตัวเองที่ยาวเฟื้อยพอสมควร  เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีดโกนหนวดหมด   คงต้องปล่อยให้หน้าเป็นมหาโจรไปอีกสักสิบชั่วโมง   แล้วค่อยไปหาซื้อในตัวเมือง    เมื่อมองหน้าตาตัวเองให้ถี่ถ้วนก็พบแต่เพียงริ้วรอยก่อนวัยอันควร

“นี่เราทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าวะ”

ยิ่งเลิกผมตัวเอง  ยิ่งพบความจริงที่ว่า   ผมหงอกเริ่มมาเยือน

“แม่ง.... หงอกกี่เส้นแล้ว”  เลิกผมไปจวนจะครึ่งหัว  ก็พบกระจุกผมแห้งกรัง  “เฮ้ย.......”

มันเป็นเส้นผมแห้งกรังติดของเหลวเหนียวบางอย่างสีดำ   ภาพฝันหวนกลับมาในมโนสำนึกอีกครั้ง   มันไม่ใช่ความฝัน...  เธอคนนั้นมาลูบหัวผมจริง...   ขนที่หลังคอตั้งชันด้วยความกลัว    เมื่อผสานกับเรื่องคราบเลือดแห้งจากบานเกร็ดแตกเมื่อวาน  ผมก็ยิ่งหวั่นกลัว

“เหี้ย.........................”

ผมตะโกนดังลั่น   หลังจากที่เสียงโทรศัพท์แผดลั่น   เล่นเอาสติสตังผมหลุดร่วงปลิวกระจาย

ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแพทย์  โทรศัพท์ทุกสายล้วนมีความสำคัญ  เพราะอาจเป็นพยาบาลสักคนที่โทรมาขอความช่วยเหลือ   ผมจึงไม่รีรอที่จะรีบไปรับโทรศัพท์นั้น

“พอล....”

ใช่แล้ว  พอลโทรมา   หลังจากวันที่กินข้าวด้วยกัน  จนถึงวันนี้  ก็ไม่มีวันไหนที่พอลจะไม่โทรมาหาผม   ถ้าไม่นับช่วงปีใหม่ที่เจ้าตัวส่งข้อความมาสวัสดีปีใหม่ ตอน 0.00 น. เป๊ะ  ก็แทบเรียกได้ว่า  เราคุยกันทุกวัน

“ครับ”

ผมยังล่อนจ้อนอยู่   รู้สึกเหนียมอายเล็กน้อย  แม้จะคิดให้ถี่ถ้วนว่า  นี่แค่คุยโทรศัพท์

“ตาม วันนี้ไม่มีเข้าเวรใช่มั้ย”

เออ ใช่สิเนาะ  พอลขอตารางเวรผมไปทั้งเดือนมกราคม    ผมก็ดันบ้าจี้ให้ไปโดยไม่ถามสักคำว่าเอาไปทำไม

“ใช่ครับ  กำลังจะนอน”

“เหรอ...  ขอรบกวนเวลาสักชั่วโมงได้มั้ย”

สงสัยเป็นเรื่องด่วน

“ได้สิครับ”   เพื่อมิตรภาพอันดี  เพื่อทัพ...  “ว่ามาได้เลย”

“ตอนนี้เราจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาลระยองเลย  ไปกินข้าวเช้ากัน”

“....................................”

หรือว่าทัพมันมาทำงานที่ระยองเหรอ....

ทำไมพอลต้องมาถึงที่นี่

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ไปถึงไหนกันแล้วนะ 



-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 2 ของบทที่ 31

สำหรับตอนที่ 3 ของบทนี้จะรีบมาอัพนะครับ


หมอตามก็ฉลาดนะครับ  แต่บางเรื่องก็ซื่อจนโง่จริง ๆ ฮะฮ่า



บทนี้จะเล่าย้อนไปก่อนบทที่ 30 ซึ่งเป็นงานแต่งงานของพีแล้วนะครับ

ส่วนบทที่ 32 ก็จะกลับไปที่งานแต่งของพีเช่นเดิม




ยังรับคำติและคำชมเหมือนเดิม   


 :z2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2019 18:39:07 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โฮ้ย! ไม่ได้แวะเข้ามานานอ่านยาวเลยทีนี้ ยังงงๆกลับตอนที่ 31(1)อยู่มันคือช่วงเวลาก่อนวันแต่งพีใช่ไหม? คนแต่งรีบมาต่อด่วนๆเลยนะอยากรู้ว่าหยกจะทำอะไรตามไหมรึจะจับตัวไว้ได้ก่อนเพราะไปงานแต่งได้นี้ :confuse: :hao3:


เข้าใจถูกแล้วครับ

บทที่ 31 เราย้อนไปเหตุการณ์ก่อนหน้างานแต่ง

ถ้าสังเกต จะเห็นว่าบทที่ 30 ทัพจะปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปอย่างรวดเร็วนะครับ

บทที่ 31 ก็เลยจะมาเล่าย้อนนิดหนึ่งว่า  เกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้น

บทที่ 32 จะกลับไปเป็นช่วงเวลาตามไทม์ไลน์ครับผม

ขอบคุณมากเลยนะครับ ที่อ่านงานเขียนของผม

สิงห์

รักทุกคนครับ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หมอตามเมื่อไหร่จะรู้ตัวว่าเขามาอ่อยตัวเองไม่ใช่ทัพ :ling2:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 31
หรือเราคงไปกันได้ไม่สุดทาง

ตอนที่ 3



ปริ๊นซ์



“แผลเริ่มสมานแล้วนะครับ   อาจเกิดอาการคันขึ้นมาได้  ห้ามเกาเด็ดขาด”

ผมพยักหน้ารับคำคุณหมอ  แม้ในใจจะอยากบอกว่า  แอบเกาแผลไปหลายรอบแล้ว  ยามที่พยาบาลไม่เห็น  ทัพเข้าห้องน้ำ  หรือตอนที่ปันกำลังกินข้าว     ทุกโอกาสที่สามารถเกาแผลได้โดยปราศจากสายตาจ้องจับผิด  ผมล้วนคว้าเอาไว้ทั้งหมด

“ช่วงสายคุณตำรวจจะเข้ามาสอบปากคำเพิ่มครั้งสุดท้ายนะครับ   ทางตำรวจเจ้าของคดีเพิ่งโทรมาแจ้งทางโรงพยาบาลเมื่อเช้า”

“ครับ คุณหมอ”
 
เกือบลืมไปเลยสินะ   ว่าสาเหตุที่เข้าโรงพยาบาลมาจากการถูกคนอื่นแทง  ไม่ใช่อุบัติเหตุทั่วไป  จะว่าไปแล้วผมแทบไม่ได้ติดตามคดีเลยว่า  ผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว  ถูกจับได้หรือยัง  หรือเธอจะหนีไปได้ไกลแล้ว  คำพูดขอโทษจากปากของเธอยังก้องกังวาลในความคิดของผม

“หวังว่าคงหนีไปได้แล้วนะ...”

“อะไรนะครับ คุณปริญธรณ์”

“อ้อ เปล่าครับ”  เผลอพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ  จนคุณหมอต้องเงยหน้าจากการเขียนชาร์ตบอร์ดปลายเตียง  “ขอบคุณนะครับ”

 “หมอ.... สวัสดีครับ”  ทัพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ยกมือไหว้หมอด้วยความนอบน้อม  “อาการพี่เขาเป็นยังไงบ้างครับ  ฉีดยาเพิ่มอีกสักสองสามเข็มดีมั้ยครับ...?”

“ฮะฮ่า ไม่ต้องแล้วครับ”

“ฉีดก็ได้นะครับ”

เอาเข้าไป  คือ ผมเป็นโรคกลัวเข็มนะครับ   ได้ทีเล่นใหญ่เลยนะครับ  กะจะเหยียบผมให้จมเลยใช่มั้ย

ว้า....  น่าเสียดายนะครับ”

แล้วสองคนนั้นก็ยืนหัวเราะกัน  ราวกับรู้จักกันมานานแสนนาน  ทำไงได้ล่ะครับเพราะว่าวันที่ทัพมาเยี่ยมผมวันแรก   เป็นวันที่คุณหมอเดินมาตรวจอาการแล้วคุณหมอก็อยากฉีดยาเพิ่มนิดหน่อย   ขนาดแค่ฉีดยาผ่านทางสายน้ำเกลือซึ่งไม่ได้สัมผัสผิวหนังผมเลยด้วยซ้ำ   แต่ด้วยสัญชาตญาณแห่งความกลัวที่ตราตรึง  แค่เพียงผมเห็นเข็มก็โวยวาย หน้าซีดขาว  มือสั่น  จนทัพต้องกอดปลอบเสียหลายนาที

เสียหมด  ความเท่ที่สะสม  สลายไปหมดเพราะปลายเข็มนี่แหละ

แต่มันน่ากลัวจริง ๆ นะคุณ  แหลม ๆ คม ๆ  ฮึ้ยยยย... แค่คิด  หน้ามืดแล้ว

“พี่เนี่ยนะ  ทนได้ทุกอย่าง  ดันมากลัวเข็ม”   วันนี้ทัพลางานเพื่อมาเป็นคนขับเฉพาะกิจพาผมออกจากโรงพยาบาล  “แน่ใจเหรอครับ  ว่าจะไม่นอนห้องผม   ผมจะได้ช่วยเรื่องล้างแผล”

“ไม่เป็นไร  พี่เกรงใจ”

“จ่ายเป็นเงินมาก็ได้ฮะ  ผมคิดไม่แพง”

“แหม....” 

เราหัวเราะพร้อมกัน  ความรู้สึกสมัยมัธยมหวนกลับมา  เป็นช่วงเวลาไร้พิษไร้ภัยและมีความสุขที่สุดในชีวิตของผมแล้ว

“หัวเราะอะไรกันสองคน”

“อ้าว  ไอ้ปัน....”

“ไง  หวัดดีทัพ”   มันหันไปรับไหว้ทัพ  พร้อมชูถุงกับข้าวถุงใหญ่  “ของรับขวัญออกจากโรงพยาบาล  แกงเผ็ดเป็ดย่าง  เป็ดเอ็มเคเลยนะมึง  กูให้แม่ทำให้”

ลาภปากผมเลยแหละ  ฝีมือแม่ไอ้ปันเนี่ย

“แต่เป็ดค้างมาแต่เมื่อคืนนะ  แม่บอกว่าจะได้แห้ง ๆ   กูไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก”

“เออนะ  แกะเร็ว  กูอยากกิน”

น้ำลายสอครับ  ฝีมือทำกับข้าวแม่ไอ้ปันอร่อยมาก   ทัพก็รู้   ดูตาน้องสิครับ  ตาเชื่อมดีใจจนออกนอกหน้าขนาดนั้น   เพราะว่าแม่ปันชอบทำอาหารมาแบ่งปันพวกผมตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับ   ทัพและบอสก็ได้รับอานิสงส์กินไปด้วย   

เอ๊.... พอมาคิดตอนนี้   หรือจริง ๆ พวกผมและทัพได้อานิสงส์  เพราะคนที่ปันมันตั้งใจเอามาให้จริง  อาจจะไม่ใช่พวกผมนะสิ.... 

น่าคิดเหมือนกันแฮะ



หลังจากกินอาหารเด็ดระดับภัตตาคารจนหมดสิ้น   คุณตำรวจก็มาสอบปากคำผมพอดิบพอดี

“ผมไม่แน่ใจนะครับ  ว่าพูดอะไรกันแน่”   ผมพยายามนึกถึงคำพูดของเธอ  “แต่เธอพูดซ้ำ ๆ ทำนองว่า  จำเป็นต้องทำ  คิดถึงใครสักคนเหลือเกิน”

คิดถึงเหรอครับ....?”

“ใช่ครับ”  คุณตำรวจที่ดูน่าจะยศสูงกว่า   ทวนคำถามอีกครั้ง  ในขณะที่คุณตำรวจอีกคนก้มจดอะไรบางอย่างตลอดเวลา  “ผมตกใจ  ปนเปไปกับความเจ็บปวดที่แผล  อาจจะฟังผิดพลาดไปบ้าง   แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า  เธอคิดถึงใครสักคน  แล้วก็พร่ำขอโทษผมว่าจำเป็น”

“อาจกล่าวได้ว่า  เธอมีสติใช่มั้ยครับ?” 

“เออ  ผมไม่ชัวร์นะครับ”   มีสติหรือไม่มีจะต่างอะไรกัน...  “ทำไมเหรอครับคุณตำรวจ....”

“มันจะเป็นเคสต่างกันนะครับ  ถ้าเธอมีสติ  เธอจะถูกปฏิบัติในรูปแบบของอาชญากร  ซึ่งเราจะมีสิทธิและวิธีการในการติดตามตัวเธอ  มากกว่าปัจจุบัน  ที่เรามองว่าเธอเป็นผู้ป่วยทางจิต  ที่สมควรได้รับการบำบัด”

“ครับ...”

เหลือบตามองเพื่อนรักและน้องรักทั้งสองคนที่นั่งเงียบกริบ  ไม่พูดอะไรสักคำ    ทุกคนล้วนจับจ้องมาที่การสนทนา  และเห็นได้ชัดว่า  ไม่มีความพยายามแม้สักนิดเดียวที่จะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวง

“อันที่จริง...  ผมว่าเธอน่าสงสารนะครับ”

“เหรอครับ...?”

สองคนนั้นยังจ้องผมไม่วางตา   จนผมเริ่มไม่มั่นใจว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

“ครับ... เอาจริง ๆ ผมไม่ถือโทษโกรธเคืองนะครับ  เธอน่าสงสาร  ยอมความได้ผมก็จะยอม”

“คดีทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า  เป็นคดีอาญาซึ่งมิสามารถยอมความได้ครับ”

คุณตำรวจโค้งหัว  ประหนึ่งแสดงความเสียใจแก่ผมเล็กน้อยในประเด็นดังกล่าว   มีเสียงงึมงำจากทัพและปันเล็กน้อย  จนผมอยากหันไปถามเหลือเกิน  แต่ก็ต้องจ้องหน้าคู่สนทนาต่อตามมารยาท

“อย่างไรก็ตาม  ทางเราต้องขอบคุณคุณปริญธรณ์มากครับ   ขออวยพรให้แผลหายไว ๆ นะครับ  ถ้ามีเรื่องอะไรทางเราจะติดต่อไป”

ผมยกมือไหว้คุณตำรวจทั้งสอง    เมื่อประตูปิดสนิท  สองคนนั้นก็แทบตะโกนใส่ผมพร้อมกัน

“ใจบุญจังเลย”

“เอ้า.... ก็...”

เอาเถอะ  พูดอะไรไปก็ไร้ความหมาย    ได้แต่แค่นยิ้มใส่ความงงงวยระคนประหลาดใจของทั้งสองคนนั้น



-------------------------------------------------------------



ตาม



 
พอลมาในเชิ้ตสีเขียวมะกอกแขนยาวที่พับแขนเสื้อขึ้นมา  กางเกงยีนส์ขาเดฟสีขาวสะอาด  รองเท้าหนังสีดำเงาวับสะท้อนแสง  ขนานคู่ไปกับแว่นกันแดดที่วาวระยับเคียงคู่กันไป     พอลกำลังยืนพิงรถ   ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ    รัศมีความหล่อของพอลเรียกสาวน้อยสาวใหญ่ที่เดินผ่านให้เหลียวมามอง  พร้อมเสียงซุบซิบไม่ขาดสาย    เมื่อผมเดินเข้าใกล้มากพอจนเงาของผมทาบทับบนร่างของเขา    พอลก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มเช่นทุกเคย

“อรุณสวัสดิ์ครับหมอ”

ถึงแม้ว่าพอลต้องรอผมราวยี่สิบนาทีเพื่อให้ผมได้อาบน้ำและแต่งตัว   แต่เขายังคงเป็นคนอารมณ์ดีเช่นเคย

“มีธุระด่วนเหรอ....?”

“อืม...”  พอลถอดแว่นกันแดดออก  ทัดมันไว้ที่กระเป๋าเสื้อ  “ไม่มีหรอก  เราอยากมาหาน่ะ....”

อยากมาหา........

เหรอ??

ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย   อยากถามเพิ่มเติม   แต่ไม่ทันที่จะเอ่ยคำใดออกไป   พอลก็เอ่ยขัดเสียก่อน

“ไปกันเถอะ”    อีกฝ่ายเปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วสอดตัวเข้าไป   และไม่วายที่จะทักเรียกสติผมอีกครั้ง  ก่อนที่ตัวพอลจะกลืนหายไปกับรถเบนซ์   “ไปเหอะหมอ  พอลหิวแล้ว”

ผมขึ้นมานั่งด้วยความไม่เข้าใจ  ถึงจะมีหลายเรื่องที่รู้สึกทะแม่ง ๆ  แต่ผมก็ยังขึ้นไปบนรถ   ชี้บอกทางไปยังร้านต้มเลือดหมูเจ้าอร่อยให้คนขับรถกิตติมศักดิ์พาไป



“อร่อยมากกกก”   พอลเพิ่งวางชามต้มเลือดมือชามที่สองที่เขายกซดน้ำซุปทุกหยาดหยดลงไป  “อยากซื้อกลับไปฝากพ่อกับแม่เลย”

“อะ...  ซื้อได้นะ”

“ไม่ถามหน่อยเหรอว่าเรามาหาทำไม....”

ก็ว่าจะถามอยู่นั่นแหละ   แค่ไม่นึกว่าจะโดนสวนให้ถามก่อน

“ฟังอยู่....”

ในเมื่ออีกฝ่ายพร้อมที่จะบอกเล่า   ผมก็เลือกที่จะตัดบทเข้าประเด็นให้เร็วทันใจได้เช่นกัน

“เรื่องทัพ...”

ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง

“ทัพเป็นคนดีมาก  ใจเย็น  อาจเย็นชาไปบ้าง   แต่มันเป็นคนรักเพื่อนนะ   ถ้าคุยกับมันมาก ๆ  มันเป็นคนที่ตลกเฮฮามากคนหนึ่งเลย   แล้วมัน.....”

บทสนทนาถูกตัดฉับทันที   เมื่อมือนิ่มของพอลสัมผัสที่ปากของผม   ยอมรับว่าตกใจการกระทำของพอลจนผมพาเก้าอี้ถอยหลังกรูดไปหลายก้าว

“เราแค่อยากรู้ว่า  ตามชอบทัพหรือเปล่า...?”

พอลยังพูดต่อไป   โดยไม่ได้สนใจการกระทำของผมแม้แต่น้อย

“เรา.....”   ควรตอบว่ายังไง   “เปล่า....”

“แน่ใจ???”

สายตาที่ไม่เชื่อถือกำลังกรีดแทงผม   แม้ว่าพอลยังคงยิ้ม   ทว่าสิ่งที่สัมผัสได้คือสายตาของคุณแม่ที่กำลังมองมายังลูกชายที่ตนรู้จักเป็นอย่างดี   ลูกชายที่กำลังโกหกในเรื่องไม่เป็นเรื่อง  และช่างไม่แนบเนียนเสียเลย

“เราอยากจะเชื่อสิ่งที่ตามพูดนะ  แต่จากพฤติกรรมที่ผ่านมา   ค่อนข้างทำให้เราสับสน...”

ถ้าพอลยังคิดว่าผมชอบทัพอยู่    นั้นหมายความว่า  โอกาสที่พอลจะเริ่มชอบทัพ  หรือ  พอลอาจชอบทัพไปแล้ว  อาจดับวูบลง

ผมจะทำลายความหวังที่จะกีดกันพี่ปริ๊นซ์ออกจากชีวิตทัพไม่ได้

ผมไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นเด็ดขาด

“คือ  เรา.....”

“ตามดูเป็นห่วงทัพตลอด....”   อีกครั้งที่ผมไม่สามารถพูดได้จบประโยค  “ตามจำวันที่เราไปกินข้าวกันได้มั้ย...?”

ยังไม่ทันที่จะตอบรับด้วยภาษาพูดหรือภาษากาย   คู่สนทนาก็เริ่มพูดต่อทันที

“ตามเป็นห่วงทัพมากกว่าที่เพื่อนห่วงกัน....”    ยังไงกันวะ   ผมไม่เข้าใจ   “ตอนข้ามถนน   พอเราถึงเกาะกลาง  เราเห็นนะว่า  ตามรีบเดินไปอีกฝั่งเพื่อกันรถไม่ให้มาชนทัพ”

เหรอ... ผมทำเช่นนั้นเหรอ

ไม่รู้สิ   ทุกอย่างเกิดตามสัญชาตญาณ   แค่เพียงอยากปกป้องใครสักคน   จำเป็นต้องคิดมากถึงเพียงนั้นเชียวเหรอ...   และผมก็ปฏิบัติต่อทัพเช่นนี้มาหลายปีแล้ว    อาจกล่าวได้ว่า   นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนตั้งข้อสังเกตประเด็นนี้    ประเด็นที่ผมเองก็ยังไม่เคยใส่ใจด้วยซ้ำ

“เราทำแบบนั้นเหรอพอล...”

“ตามจะอ้างว่าไม่รู้เหรอ”   ก็ไม่รู้ไง   “แต่สิ่งที่เราเห็นคือ   ตามเปลี่ยนฝั่งทันที”

“...................”

ราวกับเราแข่งจ้องตากันสักพัน   แล้วผมก็เป็นผู้ชนะ   เมื่อพอลเบิกตากว้าง   ยืดตัวตรง   ท่าทางทุกอย่างเหมือนพอลเพิ่งเข้าใจอะไรบางอย่าง

“หรือตามทำไปตามสัญชาตญาณ.....” 

ยานอะไร  สัญญาณเหรอ....   ผมฟังสิ่งที่พอลพูดไม่ถนัด   มันช่างเบา  แล้วแทบจะไม่หลุดออกมาจากปาก   แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือแววตาเจ็บปวดของพอล  ที่ปรากฏมาแวบสั้น ๆ ก่อนจางหายไป  และแทนที่ด้วยดวงตามุ่งมั่น  ซึ่ง....  ค่อนข้างน่ากลัว

“เราขอกลับก่อนนะ”   พอลผุดลุกขึ้นทันที   พร้อมแบงค์สีเทาที่วางลงบนโต๊ะอาหาร   “ตามกลับเองได้ใช่มั้ย   มีรถสองแถวนี่นา”

“เออ.... พอล”

อึ้งครับ อึ้งจริงจัง

“เรามีนัด  ต้องไปกินข้าวกับทัพ”  พอลยิ้มกริ่ม  “เราสบายใจแล้ว  ว่าตามไม่ได้ชอบทัพ”

“...................”

“เราไม่อยากแย่งคนชอบของใคร  โดยเฉพาะ เพื่อน.....”

“อืม”

“สรุปกลับเองได้ใช่มั้ย....”

ไม่ได้เว้ย   แค่พากูไปส่งเอง....

“ไปแล้ว  ทัพรอยู่....”

อันที่จริงผมก็กลับเองได้   แต่แค่ไม่เข้าใจว่าจะลำบากมากขึ้นสักเท่าไร  เพียงแค่พอลให้ผมติดรถไปลงที่โรงพยาบาล   ถึงกระนั้นก็เหอะ   ผมไม่สามารถทัดทานอะไรได้ทัน   ในเมื่อบัดนี้เจ้าตัวกระโดดขึ้นรถ   พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม   ไม่นานหลังจากนั้นรถราคาแพงก็แล่นออกไปสู่ถนนใหญ่    ในขณะที่ผมได้แต่นั่งมองด้วยความไม่เข้าใจ

“อย่างน้อย  ทัพจะได้เจอคนที่ดี”

มั้ง....

ผมเริ่มไม่แน่ใจประเด็นนี้

ยิ่งคิดถึงแววตาคู่นั้นของพอลด้วยแล้ว....

การเข้าเวรติดต่อกัน   ทำให้ผมเหนื่อยล้าจนไม่สามารถประมวลข้อมูลได้ดีดังปกติไปเสียแล้ว

“เริ่มจากอะไรดีล่ะ...”

ใจกระสับกระส่าย   ทำไมผมรู้สึกหน่วง ๆ แล้วก็มึนหัวขนาดนี้   

ใช่แล้ว   เราต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้

ใช่แล้ว....

วันนั้นผมใช้เวลาอีกหลายนาทีเชียวแหละ  กว่าจะเริ่มขยับตัวออกจากร้านได้



-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



“ขอบคุณมึงนะที่มาขับรถให้   เพราะถ้าให้ทัพขับเอง   กูว่าคงได้เข้าโรงพยาบาลนานกว่าเดิม”

ผมที่เอนตัวอยู่เบาะหลังกระเซ้าแหย่น้องรักที่นั่งเบาะข้างคนขับ   ทัพทำท่าและหน้าว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน   แต่ก็ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรนัก    น้องเลือกจะส่งภาษากายมาให้ผม     นานหลายนาทีที่น้องส่งค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ผมไม่หยุด

“พี่อยากให้ผมลงไปด้วยมั้ย”

รถแล่นจอดในที่จอดรถของโรงพยาบาล

“ไม่เป็นไรทัพ  พี่ไปหาน้อยหน่าเอง”

“โอเคครับ”  น้องยิ้มให้ผมหนึ่งที   หายงอนแล้วสินะคนเรา   “ฝากทักทาย พี่น้อยหน่าด้วย”

เสียงท่อนหลังติดล้อเลียนนิดหน่อย    ทำไงได้เล่า  จนบัดนี้น้อยหน่าก็ยังเข้าในเรื่องอายุผิดอยู่เลย


“ปริ๊นซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ”

เสียงดีใจของน้อยหน่าดังลั่นรับการมาเยือนของผม

“หายไปนานมากเลยนะเนี่ย   ไปติดสาวที่ไหนมาเหรอ”   เสียงเธอติดตลก  แต่หน้าเนี่ยไม่ใช่เลย  ยิ่งมองท่ากอดอกบนเตียง  หน้าเชิดไม่มองผมแล้ว  “น้องทัพ  บอกเราหมดแล้ว”

“น่ารักจัง...”

“อะไรกันปริ๊นซ์....”

น้อยหน่ากำลังหน้าแดง   เอียงหน้ามามองผมอย่างเชื่องช้า   แล้วก็หันหนีหลบอีกครั้ง 

“หนีปริ๊นซ์ทำไม”

“ปริ๊นซ์เป็นคนนิสัยไม่ดี...”

น่ารักจริง ๆ

“นี่ไง  ปริ๊นซ์ก็กลับมาแล้ว”

“พอเลย ๆ”   จู่ ๆ เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับผม  “ไม่คิดถึงซะหน่อย”

“จริงอะ”   ผมเข้าไปกอดน้อยหน่า   เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอรักษาตัว  “คิดถึงนะ”

ไม่มีเสียงตอบว่าคิดถึงจากอีกฝ่าย  กระนั้นผมมั่นใจว่าเราคิดเหมือนกัน

“ปริ๊นซ์”  มือเย็นเฉียบกระชับจับมืออุ่นของผม  “เรามีเรื่องจะคุยด้วย”

และน้ำเสียงดังกล่าว  ก็เป็นน้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจังที่สุด  นับตั้งแต่เธอรักษาตัวมา



-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 3 ของบทที่ 31


เอาตรง ๆ ว่า ตอนแต่ง  ก็รำคาญความโง่ของหมอตามเหมือนกันครับ 


รับฟังข้อเสนอแนะและติชมเช่นเคย

ด้วยรัก 

สิงห์เอง

ป.ล. พรุ่งนี้สอบมิดเทอมแล้ว  ขอหายไปแวบหนึ่งนะครับ

 :z6:



ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตามเอ๊ย! เมื่อไหร่จะเข้าใจ :ling1: ตอนนี้ไม่ได้อ่านทัพเลยมาแค่่ความคิดคนอื่น

คนแต่งสู้ๆ :ped149: :ped149: :ped149:

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 31
หรือเราคงไปกันได้ไม่สุดทาง

ตอนที่ 4 (จบบท)



ตาม




ไม่มีรถสองแถวสักคัน

แถมมือถือก็ไม่ได้เอามา...

แล้วถ้าจะกลับโรงพยาบาลจะทำเช่นไรล่ะครับ....?




เดินสิครับ  เดินด้วยสองเท้านี่แหละ  รออะไรเล่า

“ง่วงนอนชิบ....”   

รถราหลายคันบนถนนก็รีบเร่งกันเหลือเกิน   ขับเร็วอะไรปานนั้น   

อ้อ  ใช่สิ  วันนี้เป็นวันทำงาน  แล้วจวนใกล้แปดโมงแล้ว  ทุกคนคงกำลังรีบไปทำงานสินะ

“ขับเร็วกันจริง  อย่ามาชนกูแล้วกัน”   แต่ไม่ทันขาดคำ  รถกระบะคันหนึ่งก็เปลี่ยนเลนขับกะทันหัน   ตีโค้งรถจนรถราคันอื่นบนท้องถนนบีบแตรดังสนั่น   ปานตะโกนว่า   “เลี้ยวหาพ่อมึงเหรอออออ”     สุดท้ายรถคันดังกล่าวก็มาเกยจอดหยุดนิ่งตรงหน้าผม  ชนิดที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย 

“เหี้ยเอ๊ยยยยยย”

เอามือทาบอกตัวเองด้วยความโล่งใจที่ยังมีชีวิต   แต่อาจจะตายเนื่องจากฝุ่นแดงซึมเข้าปวดในภายหลัง  ก็เป็นได้

ฝุ่นยังฟุ้งอยู่ในอากาศ   รถฟิล์มดำสนิท   แบบที่ถ้าไม่ใช่ตาของซูเปอร์แมนคงไม่มีทางมองทะลุเห็นด้านใน 

“หมอ”  ฝุ่นจางลงช้า  พร้อมเจ้าของรถโผล่มา  ยืนเกาะขอบประตู  ตัวเกินครึ่งยังสิงอยู่ในรถ   เขาสวมแว่นกันแดดเผยให้เห็นใบหน้าที่ผมจำได้  “มาทำไรแถวนี้...?”

“คุณ...........”

“จำผมได้หรือเปล่า....?”

ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ  ครั้งแรกที่เราเจอกัน   แลกหมัดไปคนละที

“เดี๋ยวนี้ไว้หนวดไว้เคราด้วยเหรอ    แล้วนี่  ถูกสาวทิ้งไว้กลางทางเหรอ...”   ม่อนมองผมอย่างติดตลก  “ไปรถผมมั้ย   เดี๋ยวพาไปส่งโรงพยาบาล”

เพื่อนสนิทของทัพสมัยประถมเชื้อเชิญแบบนี้  มีเหรอผมจะปฏิเสธ 




-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์


 
“แม่ง ๆ  แม่งเอ๊ย   แม่ง ๆ”

ผมกำลังละเลียดย่อยสิ่งที่น้อยหน่าเล่า

“ปริ๊นซ์  ได้ฟังมั้ยเนี่ย..?”

“ฟังสิ”

คนเล่าดูร้อนใจ  ร้อนใจกว่าเจ้าตัวต้นเรื่องอย่างทัพเสียอีก

“น้องบอกว่านอนหลับ ๆ ตื่น ๆ มาหลายวันแล้ว   น้องคิดไม่ตก”

กะอีแค่ลังเลว่าชอบหรือไม่ชอบเพื่อนคนเดียว  ต้องเล่นใหญ่อดตาหลับขับตานอนเลยเหรอน้องชายกู

“น้องเครียดเพราะไม่อยากเสียความเป็นเพื่อนไป”  ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ทัพต้องแยกเรื่องพวกนี้ออกจากกัน  “แล้วน้องก็รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร”

เฮือกใหญ่เลยครับ   ถอนหายใจได้เฮือกใหญ่   ช่างเป็นการถอนหายใจที่เสียงดังและยาวนานเสียเหลือเกิน

“ปริ๊นซ์ต้องคุยกับทัพแล้วแหละ   เรื่องเหมาะหรือไม่เหมาะ  ไม่ใช่ประเด็นที่ทัพต้องมาตัดสินคนเดียว  มันต้องถามอีกฝ่ายด้วย”

ซึ่งผมมั่นใจว่า  ฝ่ายนั้นไม่น่ามีปัญหาหรอก   ถ้า เพื่อน  ที่ทัพเล่าให้น้อยหน่าฟังเป็นคนเดียวกับที่ผมเข้าใจ

“น้อยหน่าก็พูดไปแบบนั้น   น้องเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจนะปริ๊นซ์   แต่ก็ดูติดขัดเรื่องที่โดนหลอก”   เออสิเนาะ  ปัญหาโลกแตกอีกอัน  “แล้วก็เรื่องที่มีคนมาชอบคนนั้น  แถมขอให้ทัพช่วยจีบด้วย”

“อะไรนะ.........”

ผมคงตะโกนดังไปหน่อย   จนน้อยหน่าถอยกรูดติดเตียง    อยากจะขอโทษเธอเดี๋ยวนั้นเลย   ทว่าข้อมูลใหม่ที่ผมได้รับมันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดมาก่อน

ทำไมเรื่องต้องซับซ้อนอะไรแบบนี้วะเนี่ย

“น้อยหน่ากลัว...”

ผมยกมือขอโทษขอโพยน้อยหน่าที่ทำให้เธอตกใจ   เวลาไม่นานมากเธอก็กลับมาเป็นปกติ  แสดงว่าอาการดีขึ้นดังที่หมอบอกจริง ๆ     ผมต้องระงับความร้อนรุ่มกลุ้มใจเอาไว้บ้าง  ไม่ให้มันออกมาโลดแล่นไปกระทบกระเทือนคนป่วยที่ยังหายไม่ดีแบบเธอ

“เราจะลองคุยกับทัพดูแล้วกัน”

“ดี”  เธอยิ้มออกมา  “นี่ยังไม่นับเรื่องที่  ทัพไม่แน่ใจว่า  คนคนนั้น ยังรักน้องอยู่มั้ยนะ...”

อยากจะขำให้ฟันร่วง  ถ้าไอ้หมอบ้านั่นไม่รักทัพ  ก็ไม่รู้ว่ามันจะรักใครได้อีกแล้ว

“เพราะเห็นน้องบอกว่า  เขากำลังไปดูตัวกับสาว

“อะไรน้า”

เป็นอีกครั้งที่ผมทำน้อยหน่าถอยกรูดติดเตียง

ขอโทษจริง ๆ น้อยหน่า....



-------------------------------------------------------------



ตาม



“ขอบคุณมากม่อน”

รถกำลังเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล    เสียงเพลงกระหึ่มดังในรถพร้อมกับคนขับที่ฮัมเพลงดังกล่าวไปด้วย    ใจจริงอยากจะเอามือไปกดปิดเพลงนี้ตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนรถแล้ว    ทว่าถ้าต้องเลือกระหว่างนั่งรถกลับโรงพยาบาลเคล้ากับเสียงดังลั่นสนั่นโสต   กับ   เดินกลับอย่างเงียบเชียบบนไหล่ถนนคลุกฝุ่น   

แน่นอนว่า  ผมเลือกประการแรก

“ไม่เป็นไรหมอ   หมอเป็นเพื่อนไอ้ทัพ  ก็เหมือนเราเป็นเพื่อนกัน”

อาจารย์พละร่างล่ำยิ้มให้อย่างใจดี   ช่างขัดกับมัดกล้ามและหน้ากร้านแดดเสียเหลือเกิน

เรากำลังตะโกนคุยกันอยู่ คุณเชื่อมั้ย....

ห่างกันไม่ถึงเมตร แต่ตะโกนคุยกัน   

รถจอดสนิท   ผมพร้อมจะลงไปเคลียร์หูตัวเองก่อนไปหารุ่นพี่ที่เป็นหมอด้านโสต ศอ นาสิก  เพื่อสกรีนเบื้องต้นว่า   หูผมยังไม่ดังสนิท

“เออ  หมอรู้เปล่า  เดี๋ยวนี้ทัพมันเครียดเรื่องอะไร...?”

มือที่เปิดประตูรถชะงักค้างทันใด

“ที่ว่าทัพมันเครียด  นานแค่ไหนแล้ว....?”

รี่หันหน้ากลับมาถาม   ผ่านไปไม่กี่วินาที   ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

หมอ.....  ทะเลาะกับมันเหรอ...?”

บ้าบอ  รู้ได้ไงวะเนี่ย

“ไม่ตอบแบบนี้  ใช่แน่เลย”

“เปล่าซะหน่อย”

ม่อนพยักหน้า   มือของเขาปิดเพลงที่กำลังดังลั่น    แล้วพูดพึมพกออกมาว่า  “เชื่อ ๆ”  ซ้ำอยู่แบบนั้น   พร้อมกับบิดปากเป็นสระอิ   จะดูจากมุมไหนก็เห็นได้ชัดว่าม่อนไม่เชื่อผมสักนิดเดียว

“หมอบอกว่าไม่  ก็ไม่.... ก็ได้

เกลียดสองพยางค์ท้ายเสียงที่สุด

“งั้นผมขอตัว”   อากาศร้อนยามเช้าแพร่ผ่านปะทะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศรถ  ทำเอาผมมึนหัวไปเล็กน้อย  “ขอบ....”

“แปลกจังเลย  คนที่ชอบทัพแต่ละคน   อีกคนก็มาขอให้ผมทำอะไรแปลก ๆ  แบบจะจูบกับมัน  แล้วเรียกอีกคนไปดู   ส่วนอีกคนก็มึนเก่ง  หนีเก่ง  ทะเลาะกันก็ไม่คุยให้ดี”

เป็นอีกครั้งที่ผมต้องหันหน้ากลับมามองอีกครั้ง

“ทำไมเหรอหมอ  อยากถามอะไรผมหรือเปล่า....?”   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง   “ผมจะเล่าให้ฟังก็ได้  เห็นแก่เพื่อนผมนะ  เผื่อว่าหมอจะเข้าใจสถานการณ์โดยรวมมากขึ้น”




-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



ทัพ...  ต้องคุยกับหมอตามได้แล้วนะ”

ประโยคดังกล่าวถูกวนซ้ำรอบที่ร้อย  ตอนนี้เราสามคนอยู่ที่คอนโดฯ ที่ผมเช่าจากไอ้ปัน   เจ้าของห้องที่แท้จริงนั่งนิ่งอยู่มุมห้อง   จับตามองการเทศนาของผม

“..............................”

“ทำไมเงียบ!!!”

และประโยคเดิมจากอีกฝ่ายก็ฉายซ้ำอีกหน

“ก็ผมไม่มีอะไรจะพูดนี่ครับ”

“โอ๊ยยยย ทัพ” อยากขยี้หัวน้อง  สิ่งที่ทำได้จริงคือขยี้ผมตัวเอง  “ทัพ... ต้องคุยกับหมอตามได้แล้วนะ”

“ก็ผมไม่มี....”

รอบที่ร้อยสอง...

“พอ”  ยกมือปราม  “เอางี้   เราชอบตามใช่มั้ย...?”

“ไม่รู้ครับ”

ก็ยังดี  ที่มีประโยคใหม่ ๆ

“ไม่รู้  แสดงว่า  ชอบก็ได้สิ”   เป็นครั้งแรกที่ไอ้ปันแทรกขึ้นมา   เราสองคนหันไปมองพร้อมกัน  “ก็ถ้าไม่ชอบ  คงตอบแบบมั่นใจแล้วแหละว่า ไม่ชอบ   เผลอ ๆ ตอนนี้อาจชอบไปแล้ว  แต่ไม่รู้ตัวมากกว่า”

สิ่งที่ปันพูดมันโคตรมีเหตุผล

แล้วก็แทงใจดำสุด ๆ ไปเลย  ดูจากสีหน้าของทัพที่เริ่มบิดเก

“ผมไม่ได้....”

ไม่ยอมรับมากกว่านะสิ”   ผมตัดฉับประโยคของทัพอีกครั้ง ถ้าจะต้อนให้จนมุม  ก็ต้องฉวยโอกาสตอนนี้เท่านั้น  “หยุด  หยุด   หยุดวิจารณ์รูปร่างหน้าตาตัวเอง  น้องไม่ได้หน้าตาแย่ขนาดนั้นซะหน่อย   แล้วไอ้ตามก็ไม่ได้หล่อขนาดที่ใครต่อใครต้องมาไล่แย่ง   ไม่มีคำว่าไม่คู่ควร   ฟังพี่นะทัพ”

อยากเขย่าไหล่ไอ้น้องชายหัวดื้อคนนี้จริง ๆ

“ครับ....”

แต่ยิ่งเห็นหน้าหงอของทัพ  เลยได้แต่ถอนหายใจแล้วจับไหล่เบา ๆ

“มันไม่ผิดนะเว้ย  ถ้าน้องจะชอบเพื่อน  แล้วไม่ได้แย่ด้วย  ที่เราจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนไปเป็นอื่น   มันแย่กว่าเสียอีกที่น้องจะเสียเพื่อนไป  เพราะมัวแต่กลัว    แล้วก็ขอนะ  ไม่ต้องทำเป็นพ่อพระ...”

“ครับ?”

“พี่รู้นะ  ว่ามีคนชอบหมอ  แล้วขอให้น้องช่วย”

“เหยดดดดดดดดดดดดด”

เสียงไอ้ปันดังลั่นอีกครั้ง

“ใช่ ไอ้ปัน  มึงอาจจะไม่เชื่อหู   ทัพเลือกที่จะช่วยคนนั้น”

“สุดยอดแห่งใจบุญ   พระเวสสันดรก็มิปาน  พ่อพระกันทั้งพี่ทั้งน้อง   คนพี่โดนแทง ก็ไม่เอาเรื่องเขา   คนน้องก็กำลังช่วยใครก็ไม่รู้ไปจีบคนที่ตนเองอาจจะชอบ  เหยดดดดดดดด

“ใช่เวลาเล่นมั้ยสัด   แบบนี้ไง  บอสถึงเหม็นขี้หน้ามึง”   เงียบเลยครับ  พูดถึงคู่อริสุดที่รัก  เงียบทันที   “เอาล่ะ ทัพ  ถ้าน้องยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง   พี่ว่ามันถึงเวลาแล้วที่น้องต้องปรึกษาเพื่อนสักคน   โทรหาน้องพีมั้ย...?”

“เออ.....”

“โทรเดี๋ยวนี้”   ใช่ครับ  นั่นคือประโยคคำสั่ง   มือถือส่วนตัวของทัพถูกยัดกลับไปที่เจ้าของ  “เดี๋ยวนี้...”

“ผม... ไม่ได้ชอบมันครับ”

ประโยคปฏิเสธที่มาช้าเกินไป

“น้องจะรออะไร   รอไปช่วยคนนั้นจีบตาม  หรือ  ปล่อยให้ตามไปดูตัว

ไอ้ปันเอามือปิดปาก  เมื่อได้รับรู้ข่าวร้อนอีกเรื่อง

“พี่ขอร้องเหอะ  โทรเหอะ”

“เออ....  โทรก็โทรครับ”

น้องค้นหาเบอร์สักพัก  แล้วหน้าจอก็ฉายวับว่า   


... มีน ...
 


-------------------------------------------------------------



ตาม



สรุปว่า...

วันที่สองคนนั้นลากผมไปกินข้าวด้วย   คือ  ตั้งใจจะให้ผมเห็นว่าเขายังรักกันอยู่

ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากที่ม่อนเล่า  สรุปได้ว่า  สองคนนั้นนัดจูบกัน  จากนั้นจึงใช้นิสัยดันทุรังบวกขี้สงสัยของผม    เป็นตัวจุดชนวนให้เหมือนกับว่า  ผมทะเล่อทะล่าไปเห็นภาพนั้นเอง

แม้สุดท้ายจะผิดแผน  กลายเป็นทัพจูบผมเพราะมันเมาจนขาดสติก็เถอะ

แต่ก็สรุปได้ว่าทั้งสองคนนั้นตั้งใจเล่นละครฉากใหญ่ให้ผมเห็น

“ทัพ... มึงรักพี่ปริ๊นซ์มากเลยสินะ....”

หัวของตามไม่ได้อยู่บนหมอน   แต่ลาดอยู่บนพื้นเตียง  ปล่อยให้หมอนหนุนกระจายนิ่งบริเวณไหล่ของเขา  เขากำลังนอนตะแคงเปิดดูรูปของคนที่เขาคะนึงถึงเสมอ   ฉากหลังสวยงามของเกาะกูด

ครั้งหนึ่งที่ตามกับทัพ  เคยไปเที่ยวด้วยกัน

ถึงจะไม่ใช่ทริปที่ตั้งใจก็ตาม

“ทำไมวะ.. ทัพ ทำไม...”

ไม่มีประโยชน์ที่จะถามหาเหตุผล

ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะพยายามจับคู่ระหว่างพอลกับทัพต่อไป    เพราะสุดท้ายทัพก็เลือกพี่ปริ๊นซ์อยู่ดี

ทุกอย่างที่ผ่านมา  มันไร้ความหมาย....

“กูนี่แหละที่ไร้ความหมาย”

หัวใจสลาย... เมื่อเธอเดินไปกับเขา......

ทำนองเพลง เธอปันใจ  ของอัสนี วสันต์  ดังลั่นในหัวของผมเอง โดยไม่รู้ตัว      น้ำอุ่น ๆ ไหล่ร่วงออกมาจากเบ้าตา   นี่สินะ  ที่เรียกว่า  อกหัก   

อกหักรอบสอง...

จากคนคนเดิม

หลังจากที่ผมหลอกตัวเองมานานแสนนานว่า  ตัวเองยังมีหวัง

แบบนี้สินะ ....

ความเจ็บปวด

“เราคงไปกันได้ไม่สุดทางจริง ๆ สินะ มึง”

ความง่วงคืบคลานจับสติของผม  พาผมไปสู่การพักผ่อน   ท่ามกลางอากาศร้อนฉ่าของเวลาสาย   ลมเอื่อยพัดผ่านหน้าต่าง 

โทรศัพท์ของผมไหลผ่านมือ  ร่วงลงที่พื้นเดินข้าง

อินสตาแกรมที่ผมยังไม่ได้เปิดดูในวันนี้  มีภาพใหม่ขึ้นในฟีด   เป็นภาพที่ผมถูกแท็ก   ภาพจากพอลที่เราต่างเพิ่งฟอลโลว์กันเมื่อไม่นานมานี้

มันเป็นภาพชุด สองภาพ

ภาพแรกคือ ต้มเลือดหมูที่เราเพิ่งกินกันมา  และ อีกภาพ  คือ  ภาพหน้าโรงงานของทัพ  พร้อมแคปชัน

“ข้าวต้มเลือดหมูอร่อยมาก ขอบคุณหมอตามที่พาไปกิน  อร่อยจนอยากซื้อไปฝากป๊ากับม้าเลย  ----- แล้วก็วันนี้มาเจอเธอหน้าโรงงานแล้ว   ไม่รู้ว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้า   เดี๋ยวมื้อเที่ยง  พอลพาไปกินนะ  คุณ ท.

มีโอโมจิรูปหัวใจสองสามรูปต่อท้าย

“เกมส์เพิ่งเริ่มเท่านั้น  ตาม  และก็ทัพ  เราจะได้เจอกันแน่นอน”

พอลใส่แว่นตากันแดดอีกครั้ง   ล็อคหน้าจอมือถือที่เพิ่งอัพรูปลงไอจีไปหยก ๆ  ปิดกระจกหน้าต่างรถ  แล้วขับรถพาตัวเองออกจากหน้าโรงงานของศัตรูหัวใจ




ในขณะที่ตามเพิ่งหลับสนิท

ลมพัดเอื่อยเฉื่อย  ผ่านร่างอันเหนื่อยล้าของนายแพทย์ฐาพล  พัดพาทุกสิ่งอย่างผ่านห้วงเวลาแล้วกระแสลมร้อนนั้น  ก็พัดจากบ้านพักหมอโชยเรื่อยเข้าสู่โรงพยาบาล

วันนี้บรรยากาศของโรงพยาบาลก็ยังระอุอ้าวเฉกเช่นทุกวัน   ผู้ป่วยที่รอการตรวจจำนวนมาก  เกินกว่าบุคลากรทางการแพทย์จะดูแลได้ทั่วถึง   ความเศร้าหมองของโรคภัยไข้เจ็บกระจัดกระจายไปทั้งบริเวณ   เสียงจอแจรอการรับการรักษาดังแว่วเป็นพื้นหลัง   

ลมอุ่นเพียงช่วยพัดผ่านบรรเทาใจอันหม่นหมอ  ให้ฟื้นคืนมาได้เพียงสั้น ๆ  ยามที่ลมไล่ริ้วจากไป  ความเศร้าก็หวนคืนกลับมาอีก

พัดเอื่อยเรื่อยไปจนหมวกพยาบาลรายหนึ่งปลิวหลุดออกมา    เคราะห์ดีที่ไม่ได้ปลิวไปไกลมาก  เธอยังก้มเก็บแล้วสวมลงหัวตัวเอง  จัดเนื้อตัวให้เรียบร้อยแล้วก้มลงสกรีนโรคของผู้ป่วยที่กำลังนั่งวีลแชร์ต่อ

“หนุน  แกลืมเอามือถือมาใช่มั้ย”

พยาบาลหมวกปลิว  หันไปยิ้มแห้งให้เพื่อน 

ว้าย  ใช่ ๆ  ฉันแขวนใส่ถุงหมีพูห์ไว้ที่มอเตอร์ไซค์แน่เลย”

เพื่อนร่วมงานส่ายหัวด้วยความไม่พอใจหนึ่งที  ก่อนคว้าบอร์ดสกรีนอาการคนไข้ในมือของหนุนมาถือไว้

“ไป  ไปเอา  พี่พัชด่าแกแน่”   หัวหน้าพยาบาลเวรเช้าที่กำลังสาละวนจัดคิวถูกเอ่ยชื่อ  สร้างความสะพรึงให้กับทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง  “ฉันก็ว่าไลน์ไปหาแก  แล้วแกไม่ตอบ”

“แฮะ ๆ  โทษทีนะแก”

ใช่แล้ว...

ในยุคปัจจุบันนี้  มือถือกลายเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของวงการสาธารณสุขไปเสียแล้ว   การนัดเวร  วินิจฉัยอาการ  หรือปรึกษาเคส  ล้วนกระทำผ่านมือถือ   ในกรณีเร่งด่วนมาก ๆ  การขาดมือถือ  จึงเป็นสิ่งที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของคนไข้

หนุนจึงต้องรีบฉวยโอกาสที่หัวหน้าเวรยังไม่ทราบ  เพื่อไปเอาอุปกรณ์สำคัญดังกล่าว   เธอเดินเร็วเพื่อรักษาอาการ   การวิ่งอาจทำให้กระโปรงที่เพิ่งถอยมาใหม่ขาดวิ่นเอาได้


“ดีนะเนี่ย  ที่ลานจอดรถบุคลากรแยกจากบุคคลทั่วไป”

ลานจอดรถบุคลากรแยกออกจากพื้นที่โรงพยาบาล  เป็นลักษณะกึ่งพื้นที่ปิด   ด้านหลังเป็นชายป่า   เลยตรงไปจะเป็นบ้านพักของหมอ    บริเวณดังกล่าวจึงค่อนข้างเงียบและปลอดคน

ถุงโทรศัพท์หมีพูห์  สีเหลือง  แขวนเด่นต้องที่จับมอเตอร์ไซค์

“โล่ง”   เธอฉวยมันขึ้นมา มือทาบอกด้วยความสบายใจ   หอบเหนื่อยออกมาเล็กน้อย   “เกือบไปแล้ว”

โดยไม่รู้เลยว่า   มีสายตาอาฆาตคู่หนึ่งจ้องเธออยู่

แล้วเท้าทั้งคู่  เจ้าของสายตาอาฆาตนั้นก็กำลังขยับเพื่อเข้ามาประชิดด้านหลังของเธอ...


พยาบาลผู้เคราะห์ร้าย



-------------------------------------------------------------



จบบทที่ 31


สิงห์แต่งเรื่องนี้เสร็จเมื่อหลายเดือนก่อน  ยอมรับเลยว่าบทนี้เป็นบทที่แต่งยากที่สุด

เพราะพยายามใส่ความเฮอเรอร์ ลุ้นระทึก ดูเจ้าเล่ห์ ไปด้วย

ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัว ติชม ได้เหมือนเดิมฮะ

สอบยังไม่เสร็จ  แต่เบื่อมากเลยมาอัพ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจฮะ


  :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2019 15:11:09 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อุปสรรคเยอะมากตามทัพ อยากให้เคลียร์กันไวๆอยากเห็นทัพมีความสุขแล้วแต่คงอีกนานอ่ะปัญหาใหม่เพิ่งเริ่มนิ
อยากอ่านบอลปันอ่ะมีมั้ย :m13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 32
แฟน (กำมะลอ) ?

ตอนที่ 1



ทัพ


งงจ้ะ ...

งงเป็นไก่ตาแตก

สรุปว่าพอลกับตามนี่เขาลงเอยกันแล้วเหรอ....?

แล้วเรื่องดูตัวของตามล่ะ???

“เนี่ย เราไปกินข้าวกันที่ระยองด้วย  ตามพาไปร้านต้มเลือดหมูเจ้าดัง.....”  ยังไม่หยุด  ยังพูดไม่หยุด   “จากนั้น.....”

“พอล”

ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้  ผมไม่มีความจำเป็นต้องตะโกนเลยด้วยซ้ำ  ทว่าผมก็ทำ  ดังมากเสียด้วย

“รู้มั้ย  มีใครบ้างที่ถือต้นกล้วยและอ้อยที่ใช้ในขบวนขันหมาก”

อีกฝ่ายดูจะอึ้งกับการถามฉีกประเด็น ไม่ไว้หน้า  แต่พอลก็ให้ความร่วมมือตอบคำถามอย่างดี

“ก็พวกเรานี่แหละ  ช่วย ๆ กัน”

“โอเค  งั้นเราขอชุดเราด้วย   แล้วก็ช่วยไปนัดแนะเพื่อน ๆ ทุกคนให้เตรียมตัว  จะเกณฑ์ใครมาช่วยอีก เอามาเลย  พีบอกว่าจะมีน้องรหัสมันด้วยใช่มั้ย   รู้จักใช่มั้ย   วานตามให้ที”

รัวครับ ผมสั่งรัว ๆ  แล้วแจ้นไปหามีน

“รบกวนเอาชุดของเรากับมีนมาให้เราที่ห้องของมีนด้วยนะ”

ไม่วายตะโกนสั่งอีกที  ก่อนจากมา

นี่ผมโรคจิตไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย  แต่แค่ได้สั่งคนหน้าหล่ออย่างพอล  ที่ทำหน้าเอ๋อรับคำสั่งผมแบบไม่ทันตั้งตัว   จิตใจลึก ๆ ของผมกลับสะใจและมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด

ในห้องพักโรงแรมที่พีเปิดไว้ให้กับมีน   ผมเปิดประตูอย่างแผ่วเบา  ไอ้ตัวเล็กคงไม่ได้ล็อคกุญแจหลังจากที่ตื่นมาปลุกไอ้พีไปแต่งตัว

เตียงว่างเปล่า

เพราะไอ้ตัวเล็กเลือกฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ  สินสอดทองหมั้นกองอยู่เบื้องหน้าโดยมีสองมือของมันโอบรัดไว้แน่น  ราวกับแม่มังกรกกไข่   ผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงแบบนั้น  ท่าทีที่ดูเหนื่อยล้าเช่นนั้น      มีนยังคงใส่ชุดนอนของเมื่อคืนอยู่อย่างแน่นอน   
และถึงแม้ว่าจะมันกำลังอ่อนแรงเพียงใด   แต่มือทั้งสองข้างของมันกับประสานกันแน่นเพื่อรักษาของมีค่าในอ้อมอกเอาไว้

ผมแตะตัวมีนแผ่วเบา  เพื่อปลุกเพื่อนจากห้วงนิทรา

“มีน...”

“เฮ้ย อย่ามาขโมยของนะเว้ย”   มันโวยวายดังลั่น  มือไม้ปัดป่าย   เดชะบุญที่ผมหลบทัน  ไม่เช่นนั้นคงหน้าแดงด้วยอุ้งมือไอ้ตัวเล็กเป็นแน่  “อ้าว ทัพ  กูขอโทษ”

“มึง... ไหวแน่นะกับงานพิธีกรตอนเช้า....   ให้คนอื่นทำไปก่อนมั้ย  จะได้มีแรงทำตอนเย็นทีเดียว”

มันส่ายหัวแทนคำตอบ

“กูควรฝึกให้เข้าขากับพิธีกรหญิงด้วย  ไม่เป็นไรหรอก”

“มึงโอเคเรื่องย้าย....”   สงสารมันจับใจที่โดนกลั่นแกล้ง  “บอกกูได้นะ”

“เฮ้ย กูโอเค  ทุกคนดี  เพื่อนร่วมงานดี”

มีนยิ้มเพื่อให้ผมวางใจ

“ว่าแต่มึงก็เหอะ”  มันยักคิ้วมองหน้าผมอย่างเคลือบแคลง  “มีเรื่องอะไรเครียดมาหรือเปล่า...?”

มีนรู้ทันผม  จึงได้แต่พยักหน้ารับสารภาพแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดออกไป



-------------------------------------------------------------



ตาม



 ตอนเช้า....  ก่อนไปงานแต่ง

เวรกะทันหันสาดซัดเข้าผมเมื่อคืนวาน  จู่ ๆ ก็ยัดเยียดเวรให้กันอย่างนี้ ด้วยสาเหตุที่คนขาด  โรงพยาบาลก็มีการจัดการระบบเวรที่ดี   ทำไมถึงเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาได้

ยังดีที่พีและพอลเข้าใจ   หรือเอาตามตรงเพราะว่าผมไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายเกี่ยวกับขบวนขันหมาก  ชุดเพื่อนเจ้าบ่าวที่เช่ามาแล้วก็เป็นราคาเหมาแพ็คเกจ   ดังนั้นการขาดผมไปสักคนไม่ได้กระทบกับภาพรวมของงานและงบประมาณเลยแม้แต่น้อย

เว้นแต่คนคนหนึ่ง  ที่อาจต้องวิ่งวุ่นคนเดียวไปจนถึงเย็น

“ขอโทษจริง ๆ นะ หมอตาม” 

พี่ใหญ่  เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยหลายปี  ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้    ท่านเป็นคนใจดี  ยิ้มแล้วดูอบอุ่น   พี่ใหญ่ตบหลังผมเบา ๆ หนึ่งที  ราวกับรู้ว่าผมมีเรื่องกังวล

“ผมก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น  พยาบาลเราหายไปถึง 2 คน  เมื่อไม่กี่วันก่อน”

หายไปเหรอ....

“หมอไม่ทราบเรื่องเลยเหรอ?”  อาจเพราะผมทำหน้าราวกับมีเครื่องหมายปรัศนีอยู่ที่หน้ากระมัง  พี่ใหญ่จึงถามกลับด้วยเสียงสูงระคนความประหลาดใจ  “อืม... หมออย่าเครียดมาก  มีอะไรปรึกษาพี่นะ  ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องก็ได้”

พี่ใหญ่เดินจากไป  ผมยกมือไหว้ด้วยความงุนงงกับข่าวใหม่ที่เพิ่งทราบ

“ใครหายไปวะ....”

ทว่าผมไม่มีเวลาไปหาคำตอบ  เพราะต้องวิ่งไปรับเคสไส้ติ่งแตกตั้งแต่เช้า   ทำไมกันน้า  คนที่นี่ถึงไส้ติ่งแตกกันบ่อยจัง




-------------------------------------------------------------



ทัพ



“สรุปว่า....  มึงอิจฉา  หึง  หรือไม่พอใจกันแน่วะ??”

ราวกับถูกแทงใจดำ  ได้แต่นิ่งเพื่อเอามือห้ามเลือดจากบาดแผลในใจ

“เราก็คุยกันจบไปในโทรศัพท์วันนั้นแล้วนี่นา”   ใช่ครับ  ตั้งแต่วันที่ผมถูกพี่ปริ๊นซ์บังคับให้ถามเพื่อนสักคน  “ว่าถ้ามึงไม่ชัวร์เรื่องคิดเช่นไรกับมัน  ก็ลองเปิดใจก่อน  อคติทั้งหลายวางไปให้หมด ไอ้ที่คิดเยอะ ๆ ก็โยนทิ้งไปก่อน  ลองทำตัวตามสบาย  แล้วมึงจะได้คำตอบเอง”

“กูว่า  ตามกับพอลเหมาะกันมากกว่า...”

มือน้อย ๆ ของมีนฟาดกระแทกกลางหน้าผากผมดังเปรี้ยง

“พอเลย  เหม็นขี้ฟัน”   มันพูดต่อไป  ไม่สนใจเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของผม   พักหลังมา  ผมว่ามีนมันเกรี้ยวกราดขึ้นนะครับ  “กูขอพูดเถอะนะ”

ผมพยักหน้า

“เวลามึงกับตามอยู่ด้วยกัน  น่ารักกว่า....”   มีนหน้าแดงเล็กน้อย   “กูไม่ใช่หนุ่มวาย สาววายอะไรนะเว้ย  ไม่ได้แก้ตัวด้วย”

ร้อนตัวจัง....

กูยังไม่ได้ว่ามึงสักคำเลยเพื่อนรัก

“แต่กูชอบที่มึงเย็นชาใส่ตาม  แล้วยิ่งชอบเวลาที่ตามพยายามเข้าหามึง  มันน่ารักนะเว้ย  ตอนแรกกูก็รำคาญไอ้ตาม ยอมรับเลย   ตื๊อจัง  คนอะไรวะเนี่ย  แถมยังรู้สึกนับถือมึงด้วย  ทนได้ไงวะ”

ใช่... ในช่วงแรก  ผมรำคาญมาก   รำคาญที่ต้องโดนไล่ตามจากคนที่เราวางไว้แล้วว่าต้องเป็นเพื่อน

“มึงทนมาจนนะบัดนี้   มึงไม่คิดจริง ๆ เหรอวะ  ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ตามทำให้แก่มึง มันกำลังเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวมึง   มึงไม่คิดแบบนั้นเลยหรือมึงเลือกที่จะไม่คิดวะ   มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยจริง ๆ เหรอวะ  ไม่คิดแบบนั้นเลยเหรอ...”

ไม่...  ผมคิด  บางอย่างมันเปลี่ยนไป  ผมแค่ไม่มั่นใจในตัวเอง

“อย่าทำชีวิตตัวเองให้วุ่นวายทัพ  อุปสรรคนะ  ถ้ามาจากปัจจัยภายนอก  มึงสองคนสามารถจะฝ่าฟันด้วยกันไปได้แน่นอน  แต่ถ้ามันมาจากภายใน  มึงแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว....”

เอาเป็นว่าประเด็นหนึ่งที่ผมคิดตอนนั้น และผมค่อนข้างมั่นใจ คือ  มีนสามารถไปพูดปลุกใจให้คนฮึกเหิมก่อนรบได้เลย...

“เอางี้  ฟังกูนะเพื่อน  วันที่พอลมันนัดตามไปคืนของ  กูมั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจ  เอาตำแหน่งปลัดกูเป็นประกัน  มันต้องลากพวกมึงไปกินข้าวแน่    แล้วกูบอกตามตรง   ไอ้พอลหน้าหล่ออะไรของมึงเนี่ย   มันมีแผนแน่ ๆ   มึงอย่าไว้ใจมัน...”

“ไม่หรอกมั้ง...”

คนเฟรนด์ลี่มีน้ำใจอย่างพอลนะเหรอ  ไม่มีทาง

แล้วที่มันเอาเรื่องตามมาอวดล่ะ

จิตใจอีกด้านของผมค้านขัดขึ้นมาทันควัน

“อย่าขัดได้มั้ย...  เอาเป็นว่า  มึงบอกตามไปตามตรงว่าไม่พอใจเรื่องอะไร  ลองยื่นเงื่อนไขดู   จะไม่ลองปรับความเข้าใจกันหน่ยอเหรอวะ...”

“พูดง่ายนะ”

“เอ้า...ไอ้ห่า  ชีวิตมันง่ายแค่นี้แหละ  อย่าไปทำให้ซับซ้อน  เชื่อกู”

“ครับ”

ผมมั่นใจแล้วว่าต้องลองทำ  ใช่  ผมต้องลองทำตามนี้

“วันนี้  ในงานแต่งพี  มึงก็เชิดใส่ตามไปก่อน  ให้มันโหยหามึง  ก่อนเฉลยว่า   ที่พวกมันวางแผน  เออ พวกมันที่ว่า ก็มีกูด้วยแหละนะ”   เสียงแผ่วเบา สำนึกผิดเชียวนะเพื่อน  “ที่พวกกูวางแผนตลบหลังมึงนะ  มึงรู้หมดแล้ว  ไอ้ตามไม่โง่  เดี๋ยวมันปะติดปะต่อทุกอย่างได้  จะเข้าใจพฤติกรรมทั้งหมดของมึงเอง  จากนั้น  คุยกันซะ  ลองเปิดใจดู    ไอ้ตามมันหน้าด้าน....  หนังหนา....  คอนกรีตยังอายอะ”

“เออ... มีน  มึงชมมันเหรอ”

“ชมสิ”  ท่าทางมั่นใจขนาดนั้น  ผมไม่กล้าขัดเลยแฮะ  “เดี๋ยวดูนะ  พอเข้าใจตรงกัน  มึงก็ทำเป็นอ่อย ๆ ว่า  ไอ้ที่ทำที่ผ่านมานะ  ทำต่อก็ได้  อย่ามาปั้นหน้ามึนตึงใส่กัน  กูไม่ชอบ  แล้วมึงวิ่งออกมาจากโต๊ะเลยนะ”

เหี้ย กูกลายเป็นสาวน้อยหนีรักไปซะงั้น  ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอไงวะ

“อย่าทำหน้าขัดขืน  กูนึกแผนออกแค่นี้  มึงมีอะไรดีกว่านี้ก็เสมอมา.....”

ผมทำหน้านิ่งใส่มัน

“เห็นเปล่า  ไม่มี  ทำตามแผนกู...”

“โอ๊ยยยยย”

“จากนั้นนะ  พอมึงหนีออกมา”   มันไม่สนผมครับ  มันยังเล่าแผนต่อ  “มันก็ไล่ตามจีบมึงเหมือนเดิม  มึงก็ยอม ๆ บ้าง  โอนอ่อนผ่อนตามบ้าง   ลองสังเกตพฤติกรรมและการกระทำต่าง ๆ ที่ตามมีให้ต่อมึงบ้าง   ที่ผ่านมา  มึงไม่เคยใส่ใจสิ่งที่ตามทำให้เลยนะสิ   เลยไม่รู้ว่ามันทำเพื่อมึงขนาดไหน     พอรอบนี้มึงใส่ใจมากขึ้น  จะได้ตอบใจตัวเองได้ไง”

ผมหน้าแดง  เลือดกำเดาพาลจะไหลแล้ว

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

โอดครวญมาอีกหนึ่งคำรบ

“อย่าเรื่องมาก   กูไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน  เอาชุดมาให้กูด้วยนะ”

มีนเดินเข้าห้องน้ำ

“ครับ ๆ”

ถึงผมจะไม่ค่อยมั่นใจในวิธีการเท่าไร  แต่ผมก็จะลองทำ  เพราะมันคือแผนเดียวที่ผมนึกออก

เสียงหัวเราะแผ่วเบาอย่างเจ้าเล่ห์ดังกังวาลอยู่ด้านนอก

“หึหึ”

ผมไม่มีวันได้รู้หรอกว่า  พอลแอบยืนฟังสิ่งที่ผมคุยกับมีนตั้งแต่ต้นจนจบ อยู่ตรงหน้าห้อง...




-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 1 ของบทที่ 32

สิงห์ หายไปนานมากเลย

ขอโทษนะครับ   


นักอ่านหลายคน คงต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่หลายบทเลย แฮ่ะ ๆ  ขอโทษจริง ๆ ครับ

ช่วงเวลาที่ผ่านมา  เจอสอบ พรีเซนท์งาน  งานกลุ่ม สารพัด  รุมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว

ช่วงนี้ก็ใกล้สอบไฟนอลแล้วด้วย   สิงห์ก็คิดว่าจะรอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน  แต่พอคิดไปคิดมา  ถ้ายังรอไปเรื่อย ๆ

นักอ่านที่ติดตามเป็นกำลังใจก็ต้องรอไปอีกนาน  ผมขอโทษนะฮะ

จะรีบมาทยอยอัพ   เรื่องใกล้จบแล้วพยายามเก็บรายละเอียด แก้ปมต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้ในอดีตนะครับ  เลยอาจเกลาได้ไม่ดีมากนัก

ต้องขออภัยไว้ด้วยนะฮะ

 :mew2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2019 21:48:36 โดย bhandhusing »

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
มารตัวจริงสินะคนชื่อพอลนะ คงไม่มีเรื่องรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกนะ
  เป็นกำลังใจให้คนแต่งสู้ๆ รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
มารตัวจริงสินะคนชื่อพอลนะ คงไม่มีเรื่องรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออกนะ
  เป็นกำลังใจให้คนแต่งสู้ๆ รอตอนต่อไปจ้า


ขอบคุณมากเลยนะครับ


วันนี้มาต่อแล้วนะครับ เย้

ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 32
แฟน (กำมะลอ) ?

ตอนที่ 2



ตาม


กว่าจะหมดตรวจในช่วงเช้าร่างกายผมต้องแหลกสลายก่อนเป็นแน่แท้

“อาการเป็นไงบ้างครับ..?”

ประโยคเริ่มต้นที่ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก  หลายต่อหลายรอบ    อย่าให้ผมนับเลยว่าพูดไปแล้วกี่ครั้ง   ลำพังนิ้วมือและนิ้วเท้าของผมรวมกันคงไม่สามารถนับทั้งหมดได้เพียงพอ

“ครับ...  หมอจัดยาให้ตามนี้นะครับ”   ผมสอดใบใส่เวชระเบียน  “ครับ สวัสดีครับ”

ผมควรปฏิเสธว่าจะไม่รับเวรวันนี้ 

ไม่น่ารับเวรเลยจริง ๆ   ช่วงเวลานี้คงกำลังเป็นช่วงเจรจาสู่ขอของผู้ใหญ่  หรืออาจเป็นช่วงที่พีเดินไปรับเจ้าสาว   หรืออาจกำลังเตรียมรดน้ำสังข์แล้วก็เป็นได้     ทั้งที่เพื่อนสนิทของผมแต่งงาน  ตัวผมกลับนั่งจมอยู่ตรงนี้เหรอเนี่ย

ผมพลาดฉากสำคัญสุดในชีวิตของเพื่อนสนิทที่สุดของผมไปได้ยังไงวะเนี่ย

“พอกันที”   ผุดยืนขึ้น  ตบโต๊ะดังลั่น  จนน้ำในแก้วกระฉอกหก  “ขอลาครึ่งวันแล้วกันเว้ย”

“หมอ... ยังตรวจยายได้ใช่มั้ยลูก..?”

คนไข้หญิงวัยชรา  ที่เดินเข้ามาในห้องประจวบเหมาะตอนผมตะโกนประโยคสุดท้าย  กำลังทำหน้าลำบากใจว่า เธอควรอยู่หรือเดินออกไปดี   พาลให้ผมรู้สึกผิด

“แฮะ ๆ เชิญครับคุณยาย  เชิญนั่งครับ”

ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็แล้วกัน



-------------------------------------------------------------



ทัพ



แทบตาย...

ผมทิ้งตัวลงบนเตียง   ด้านข้างมีร่างพิธีกรช่วงเช้าที่ไม่คิดจะเช็ดคราบเครื่องสำอาง  ไม่แม้แต่จะอาบน้ำสระผม    ปล่อยหัวมันเยิ้มเต็มไปด้วยแวกซ์ถูไถบนหมอนอิงแบบไม่สนใจใบหน้าแม่บ้านยามเห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของมัน

“ในที่สุดก็เสร็จงานช่วงเช้า”

เสียงงัวเงียของรูมเมตยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิม

“อืมมม”

“กูว่าจะนอนหน่อย”

ผมเห็นด้วยทุกประการ   ตาหนักอึ้งทุกที   แต่ก็ยังรวบรวมแรงตอบมันไป

“อืมมม”

“ทัพ”  เสียงของไอ้ตัวเล็กเปลี่ยนไปเล็กน้อย   ทว่าตาผมปิดสนิทแล้ว  “ถ้าตามมันมา  ลองคุยกันหน่อยแล้วกันนะ”

ถ้าซื้อหวย  รางวัลที่ 1 ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน    เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่หวยไง    มันเป็นเพียงความจริงบทหนึ่งในชีวิตที่ผมเปลี่ยนแปลงไม่ได้

“ต้องทำตามแผนที่กูวางไว้นะ”

“อืมมมมม”

ขัดได้มั้ยเล่า...

“ดี ๆ  ว่าง่ายดี  กูเชื่อนะ  ว่าลึก ๆ มึงก็เริ่มชอบตาม”

“ปัญญาอ่อน” ผมส่งเสียงงัวเงียที่ตัดไปกับเสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อน  “กูไม่ได้อะไรซะหน่อย”

“มึงไม่รู้สึกอะไรกับมันเลยเหรอ...  จากเหตุการณ์ต่าง ๆ นานาหลายอย่างที่ผ่านมา”

ผมเงียบนึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย   นึกถึงช่วงเวลาตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน  นึกถึงช่วงเวลาตอนเราอยู่ปี 3 ที่ผมยอมเป็นแฟนกำมะลอให้มันหนึ่งวัน  เพื่อเป็นทั้งของขวัญวันเกิดและคำอำลาก่อนที่ตามจะย้ายไปอยู่หอพักนิสิตแพทย์   ทั้งยังระลึกถึงช่วงเวลาทรหดที่เราฝ่าฟันกันมาที่เกาะกูด

“ไม่รู้สิ”

ผมปดไป  ทั้งที่รู้สึกอบอุ่นในใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวที่เกาะกูด

“บางครั้งกูก็นึกนะ  ว่ามึงไม่ต้องคิดเยอะแยะทุกเรื่อง  แล้วปล่อยไปตามหัวใจบ้างก็คงดี”   มือเล็กกำลังลูบหัวผมเล่นด้วยคววามเอ็นดู  “กูกับพี บางทีรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่ที่รอลูก ๆ สมหวังยังไงไม่รู้   ไอ้พอลที่มึงว่า  ลองร้ายใส่มันสักตั้งมั้ยลูก”

ตาเบิกโพลง  โหยงตัวขึ้นนั่ง   ความเมื่อยล้ามลายหายสิ้น 

“ร้ายอะไรของมึง”

เจ้าของผมฟู ชี้โด่ เสียทรง  เหยียดตัวนั่งประจันหน้าผม  แม้ตายังปิดสนิท   แต่รอยยิ้มมุมปากช่างวอนบาทาเสียเหลือเกิน

“กูสอนให้เอามั้ย....”

“ไม่ดีกว่า”  ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง  “กูง่วง”
 
“ตอนไปเกาะกูด”   มีนล้มตัวลงนอนข้างผมอีกครั้ง   เสียงขยับตัว  พร้อมกับผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกายของผม   “กูแอบเชื่อนะว่ามึงชอบตามแล้ว”

“..............”

“เพื่อคนที่มึงรัก และรักมึง  มึงต้องร้ายบ้างนะ   ถึงไอ้ตามจะจบหมอ  แต่เรื่องพรรค์นี้  มันโง่จะตาย”

หรืออาจจะใช่

หรือถึงเวลาแล้วที่ผมต้องสู้เพื่อตัวเอง และทำตามเสียงในใจลึก ๆ ของตัวเอง

ภาพทุกอย่างตัดทิ้งไป   เหลือเพียงแสงสว่างจ้าสีขาวที่เวิ้งว้าง



-------------------------------------------------------------



ตาม



“ผมต้องไปงานแต่งเพื่อนจริง ๆ ครับ  เลยจะขออยู่แค่ครึ่งวันครับ”

ถึงพี่ใหญ่จะไม่ยอม  ก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว

“ได้....  โอเค  พี่เข้าใจ”

ผิดคาด   นับว่าผมยังมีแต้มบุญ   จึงรี่ตรงออกจากห้องตรวจกลับไปที่บ้านพัก    คว้าเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วยัดของเครื่องใช้จำเป็นเตรียมขึ้นกรุงเทพฯ

ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที  ผมในร่างใหม่  หลังการอาบน้ำ   พร้อมที่จะไปกรุงเทพฯ  ก็ย้ายไปอยู่หลังพวงมาลัยรถ

“เหี้ยเอ๊ยย”   แต่รถสตาร์ตไม่ติด   “เมื่อวานยังปกติอยู่เลยนี่หว่า”

ทำไมต้องมาเสียวันที่รีบแบบนี้ด้วยนะ

“พี่ใหญ่”   เป็นอีกครั้งที่ผมโทรหาผู้อำนวยการของโรงพยาบาล   “ผมยืมรถไปกรุงเทพฯ หน่อยสิครับ”



-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 2 ของบทที่ 32


ต่อด้านล่างเลยครับ




ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 32
แฟน (กำมะลอ) ?

ตอนที่ 3



ทัพ


“มาเดทกันทั้งที  เลือกมาวัดเนี่ยนะมึง”

แฟน (กำมะลอ) ของผมไต่ถาม  มองหน้าผมด้วยสายตาทีเล่นทีจริง   แต่โดยภาพรวมคือ  วอนตีนให้ยัดใส่ปากมาก

“ทำไมล่ะ  กูชอบไหว้พระ ทำบุญ  มันผิดเหรอไง  แล้วมึงอะ  เป็นหมอหัดมีใจโอบอ้อมอารีย์บ้าง”

ไม่รู้จะเลือกสรรคำใดในพจนานุกรมคำหยาบมาด่ามันแล้ว    ไม่ว่าจะใช้คำเจ็บแสบแค่ไหน   มันก็ยิ้มตาหยีแสดงความเป็นคนเชื้อชาติจีนใส่ผมทุกครั้งไป    มีความสุขอะไรขนาดนั้น

“ดีใจจัง  มีแฟนโอบอ้อมอารีย์”    ปากหวาน  มือไว   เผลอเป็นจับ   นี่น่าจะรอบที่ร้อยแล้วมั้งที่มันฉวยโอกาสจับมือผม    “อะ  ปัดได้ปัดไป  ขอจับข้อมือแล้วกัน”

ข้อมือ ยังดีกว่าปล่อยให้มันจับมือ   

ยอมก็ได้...

“จะหื่นอะไรนักหนา  วัดวาก็ไม่เว้น”   ไม่ทันขาดคำ  อิสรภาพที่โหยหาก็กลับมาอีกครั้ง ปล่อยมือผมเสียดื้อ ๆ   “ผีเข้าเหรอ”

“ตกใจ จู่ ๆ มึงก็หยุดบ่นเรื่องจับมือ”

“เอ้า....”

เออ ดี ไม่ต้องจับแล้ว

“กูจะอธิษฐานต่อหน้าพระท่านก่อน   เดี๋ยวกลับไปจับแน่นอน”

อ่านใจกูออกอีกแล้วนะไอ้ตาม

ยังไม่ทันที่ผมจะด่าอะไรมันกลับไป    ตามโน้มตัวลงชันเข่า  พนมมือ   หลับตาพริ้ม    พลอยให้ผมรู้สึกบาปที่ยืนค้ำหัวคนจิตใจดีเช่นมัน    จึงได้แต่นั่งพับเพียบเรียบร้อยข้างกายไอ้ลูกจีนผู้อยู่ในท่าเทพบุตร  เรากำลังอยู่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  หรือที่รู้จักในนาม  วัดพระแก้ว     

“มึงจะขอไรอะ”   ยังไม่ทันที่จะหลับตา  ไอ้ลูกจีนคนนี้ก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง  “บอกหน่อย”

“มาไหว้พระแก้ว ต้องขอเงินทองสิ”

“เหมือนกันเลย   กูขอให้รักกับคนข้าง ๆ ไปเนิ่นนาน  ให้ได้ความรักที่บริสุทธิ์ใสดังแก้ว  มีค่าดังทอง”

“แหวะ  ไม่ขอแล้ว   ไปดีกว่า”

ถ้าไม่ลุกหนีตอนนี้   คงไม่มีโอกาสได้ลุกหนีอีกแล้ว    เวรกรรมอะไรของผมกันนักหนา

ไอ้แฟนคนแรกของผมเนี่ย...  ไม่สิ  แฟนกำมะลอต่างหาก



“ทัพ  ทัพ”

หยดน้ำเย็นหนึ่งหยดตกแหมะลงบนหน้าผมพร้อมกับภาพความทรงจำที่สลายหายไป   เหลือเพียงใบหน้าของมีนที่ผ่านการอาบน้ำ   ผมยังเปียกหมาด   ผ้าเช็ดตัวผืนนึงคล้องพาดไหล่ทั้งสองข้างของมัน

“ห้าโมงกว่าแล้วนะ   ไปอาบน้ำเหอะมึง  งานเริ่มทุ่มนึงนะเว้ย”

“ตามอะ”

“แหม............ ตื่นขึ้นมา  ถามหาผัวคนแรกเลยเหรอจ๊ะ?”

ยิ่งฟังยิ่งหมั่นไส้   ทำไมมีนนิสัยคล้ายไอ้พีเข้าไปทุกวัน

“ผัวห่าไร   กูเหนื่อยต่างหากเว้ย   งานฝ่ายกู  ฝ่ายสถานที่  มีกูคนเดียวเนี่ย    แม่งเดี๋ยวเอเจนซีที่โรงแรมก็เอาแต่เข้ามาถามกู    ต้องยังไง  เดินทางไหน   กูไม่ใช่ฝ่ายพิธีการเปล่าวะ    ไม่เกี่ยวซะหน่อย”

หน้าตามีนไม่ได้เชื่อผมสักนิด     แล้วผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ก็ถูกโยนกระแทกหน้าผมเต็ม ๆ

“ค่อยแก้ตัว   มีเวลาอีกเยอะ  ไปอาบน้ำไป๊”

แต่ผมยังไม่ยอมไป

“มีน  สรุปว่าตามอยู่ไหน...?”

ใบหน้าของคู่สนทนาทำให้ผมรู้ในทันทีว่ามันก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน

เกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ... 

หรือว่ามันโกรธผมจนไม่อยากมางานแล้ว




-------------------------------------------------------------



ตาม



“กูขอโทษพี  กูขอโทษ”

เสียงโวยวายของไอ้พีดังลั่นทะลุลำโพงโทรศัพท์

“เนี่ย  กูรีบอยู่   รีบสุดชีวิตแล้ว”

รถกระบะคันเก่าของลุงสม  เจ้าหน้าที่นักการของภารโรง  ไม่ได้มีความเหมาะสมต่อการนำมาเป็นพาหนะใช้ขับขี่เข้ากรุงเทพฯ  แม้แต่น้อย    ทว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดของผม

“กูไม่ได้ตอแหล  กูพูดจริง  รถเสียพร้อมกันทั้งโรงพยาบาล”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารถทุกคันจะเสียหมด  รถผม  รถของพี่ใหญ่  รถของใครก็ตามที่ผมไม่สามารถไล่ชื่อได้  เสียทั้งหมด

“เออ เสียก็เสีย  เสียห่าเสียเหวอะไรนักหนา”

“กูไม่รู้จริง ๆ พี   เนี่ย   กูนั่งกระบะมาเลยนะ   ขับรถกระบะเก่า ๆ  มาแบบไม่สนใจภาพลักษณ์เลยนะเว้ย   ผ้าใบด้านท้ายที่ขึงอยู่กูยังไม่มีเวลาเอาออกเลย”

“เออ ๆ   แต่มึงยังไม่ถึงก็ดีแล้ว   ช่วยแวะไปที่คอนโดกูหน่อย”

ผมที่กำลังตีโค้งลงทางด่วนไปยังโรงแรม  ถึงกลับต้องวกรถกลับเข้าทางเพื่อมุ่งตรงไปต่อ

“ทำไมวะ...?”

“แฮ่ ๆ  อย่าด่ากูนะ”   กูจะด่า  ไอ้ควาย   มึงด่ากูไว้เยอะ  “กูลืมกล่องใส่ซองงานแต่งของแขกไว้ที่ห้องอะ   ถ้ากูไม่ใช้กล่องอันนี้   โดนหลินฆ่าแน่”

โอ๊ยย แค่กล่อง   กูไปซื้อให้ใหม่ก็ได้

“อย่าเพิ่งคิดจะไปซื้อใหม่นะ”   ราวกับมันรู้ใจ  “คือหลินตั้งใจตกแต่งกล่องนี้เอง   แล้วเขาก็ตั้งใจจะใช้กล่องนี้จริง ๆ   กูขอร้องนะ   กูโทรบอกนิติกับพี่ยามแล้ว   มึงเข้าห้องกูได้  ไม่ต้องห่วง  นะ  นะ นะ เพื่อนรัก”

“เออ  กูปฏิเสธได้มั้ยละ”

“ไม่ได้ไง   ขอบคุณมากเลยมึง   น่าจะอยู่บนโต๊ะกินข้าวแหละ  ไม่ก็ในห้องนอนกู  สักที่อะ   รีบมาล่ะ  สงสารทัพมัน  วิ่งวุ่นคนเดียว”

แล้วไอ้เจ้าบ่าวจอมวุ่น  ก็วางหูไป

“ไอ้ห่า  กูรีบอยู่นี่ไงโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

รถกระบะสองที่นั่งที่กรำศึกมาหนักที่ปล่อยควันดำมหาศาลสวนทางกับความเร็วเอื่อยเฉื่อยที่พุ่งตัวไปข้างหน้า   สุดแสนจะตรงข้ามกับความร้อนรนในใจของผมเสียเหลือเกิน



-------------------------------------------------------------



ทัพ



“กูตื่นเต้นอีกแล้วววว”

เหงื่อซึมละลายรองพื้นเริ่มไหลเยิ้มจรดคาง   เหงื่อซึมผุดเต็มหลังคอของมีน

“มึงจะกลัวอะไร  ตอนเช้าก็เข้าขากับพิธีกรหญิงอย่างดี”

“สเกลงานเช้ากับเย็นต่างกันนี่หว่า”

ถึงจะเป็นงานค็อกเทล  ทว่าก็รองรับแขกกว่า 300 คน  ทำให้จำนวนแขกงานเช้าที่มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทดูด้อยค่าไปเลย   ทำได้เพียงบีบไหล่ให้กำลังใจเพื่อนด้วยปราศจากปัญญาจะหาคำใดมาประโลมใจ

“ถ้าตามมา มึงต้องลุยนะ”   

เครียดแค่ไหน  ก็ไม่วายเสือกเรื่องกูสินะ  ไอ้ตัวเล็ก

“กูว่ามึงไม่ตื่นเต้นแล้วแหละ  กูไปดูความเรียบร้อยของงานก่อนนะ”

“อ้าว... มึง”

ทิ้งเสียงโวยวายโหวกเหวกไว้เบื้องหลัง   เดินไปได้ไม่กี่ก้าว  ก็เจอพอลในชุดทักซิโด้สีเขียว  ใช่แล้วครับ  ธีมงานแต่ง คือ สีเขียว   

คนเราทำบุญมาไม่เท่ากัน  ใส่ชุดสีอะไรก็ดูดี   มองกระจกดูสภาพตัวเองก่อนออกมาจากห้อง   แวบแรกในหัวคือเป็นผีตองเหลือง   ตอนที่ใบตองยังไม่แห้ง   ส่วนตอนนี้นะเหรอ...  ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแมลงทับที่ยังไม่ลอกคราบมากกว่า    แมลงทัพ สินะ....
   
ส่วนชุดเขียว  แพทเทิร์นเดียวกันที่คนตรงหน้าผมใส่อยู่   ช่างเสริมให้เจ้าตัวดูดี   ราวกับเทพบุตรเดินดิน   หล่อล้ำนำหน้า   เกินหน้าเกินตาเจ้าบ่าวไปไกลหลายโยชน์เชียวแหละ

“ไง  ทัพ   นอนเต็มอิ่มมั้ย”

“อืม ดี”

“วุ่นหน่อยนะ  แต่ตามมาถึงแล้วแหละ   เราคุยกันเมื่อกี้นี่เลย   เห็นว่าหาที่จอดรถอยู่”   คุยกันเก่ง  จีบกันเก่ง   “พีก็ช่างสะเพร่า  ดันลืมของสำคัญเสียได้   ดีนะแขกเหรื่อยังไม่เริ่มมางานกัน”

“พีมันลืมอะไรเหรอ...?”

“แต่เดี๋ยวตามมาถึง  เราจัดการเองนะ  ชุดของตามก็อยู่ที่ห้องเรา   กะว่าจะพาไปอาบน้ำก่อน   แล้วก็...”

ผมไม่สนหรอกว่าจะทำอะไรกันหลังจากนั้น  จะได้กันกี่ยก  ถูลู่ถูกังแค่ไหน   ตอนนี้ผมอยากรู้แค่ว่า   พีมีปัญหาอะไร

“มันลืมอะไรเหรอ...”

ผมอยากทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด   อยากให้งานแต่งของเพื่อนราบรื่นที่สุด

“เนี่ย  ตามไปไหนกันนะ  ทำไมไม่ติดต่อมาเสียที”

พอกันที

เฮ้ย บอกให้ตอบไง  จะพูดอะไรนักหนา   ตอนเรียนนิติ  เขาไม่สอนเหรอว่าการที่คนอื่นเขาถามแล้วไม่ตอบนะ  มันไร้มารยาท   ถามหลายรอบแล้วก็ตอบสิ    ใช่เวลามาอวดผู้ชายมั้ย   อยากได้ก็เอาไปเลย   จะพูดทำไมนักหนา   เราไม่ได้อยากรู้   สรุปว่ายังไง  จะตอบมั้ย    โอเค....”     ใบหน้าหล่อ  อ้าปากค้าง   จนหมดสภาพ   สร้างความสะใจให้ผมยิ่งนัก   “งั้นเราหาคำตอบเอง   อย่าเกะกะ

แรงทั้งหมดที่มีโถมใส่พอลที่เซถอยไปหลายเมตร

อย่าคิดว่ามึงจะยั่วโมโหกูได้คนเดียวไอ้หน้าหล่อ   อย่างที่ไอ้มีนบอกไว้นั่นแหละ 

กูต้องร้ายบ้าง

เพื่อแฟนกำมะลอของกูคนนั้น



-------------------------------------------------------------


จบตอนที่ 3 ของบทที่ 32


ตอนหน้าจบบทครับ




ออฟไลน์ bhandhusing

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
บทที่ 32
แฟน (กำมะลอ) ?

ตอนที่ 4



ตาม


ยังไม่ทันเข้างานไปได้  ก็โดนดักทักจากแฟนทัพ  หรือแฟนเก่าก็ไม่รู้...

“ทัพ ....  มันรู้มาตลอดเลยเหรอพี่”

ความเกรี้ยวกราดบนใบหน้าของพี่ปริ๊นซ์มลายหายไปทันทีที่   อาจเพราะความจริงที่ว่า   ผมเป็นไอ้คนหลังเขาที่ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลย

“ใช่... คิดได้หรือยังล่ะ  พฤติกรรมทั้งหมดที่ทัพมันแสดงออกมานะ”

ปะติดปะต่อเรื่องราวได้   ก็อยากตะโกนออกมาดัง ๆ ด้วยความโมโหตัวเองที่ปล่อยให้เรื่องราวงี่เง่าบังเกิดขึ้นอีกครั้ง

“ทัพไม่ได้ชอบผมแล้วหมอ   อาจจะไม่เคยชอบมาตั้งนานแล้วก็ได้    แล้วผมก็เชื่อนะหมอ  ว่าตอนเกาะกูด  ทัพเริ่มชอบหมอแล้วแท้ ๆ”   อึ้งอีกตลบ  “ทำไมหมอทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นวะเนี่ย  ไม่งั้นก็....”

“ตาม”  เสียงตะโกนโหวกเหวกจากด้านหลังทำให้ขนผมลุกเกรียว  “ทำไมมึงมาสาย  เกิดอะไรขึ้น”

“ทัพ”

พี่ปริ๊นซ์และผมพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“อ้าว  พี่ปริ๊นซ์  รีบมาจังเลยนะครับ”   เจ้าของเสียงหยุดอยู่เบื้องหน้าของผม   ใบหน้ามุ่งมั่นฉายวับมาที่ผม  “ว่าไง  ตอบมาสิ   ทำไมมาสาย  เกิดอะไรขึ้น   ไอ้พีลืมอะไร   จะเล่าวันไหน   กูต้องการคำตอบวันนี้”

ไปโมโหโทโสอะไรมาวะเนี่ย...

ยังไม่ทันที่ใครจะได้คำตอบ  เรื่องไม่คาดคิดอีกเรื่องก็ระเบิดขึ้นมา

“เฮ้ย   คุณจะมาพูดและทำแบบนี้ไม่ได้นะทัพ”   ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความแค้นของพอลทำให้ผมสะดุ้งตกใจอีกคำรบ  “อ้าว   ตาม  หวัดดี”

แค่ไม่กี่วินาที  ใบหน้านั้นก็กลับมาหล่อสง่าและดูเป็นมิตรดังเดิม

“ตาม”   มือเล็กของมันคว้าหมับที่ข้อมือของผม   “สรุปว่าไอ้พีลืมกล่องนี่ใช่มั้ย”   

มันบุ้ยใบ้ปากมาที่กล่องใส่ซองเงินช่วยงานที่วางนิ่งอยู่ข้างตัวผม

“พอล  ฝากด้วยนะ”   มันสั่งพอลที่ยังคีปลุค  ทำหน้ายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว   แล้วลากผมไปอีกทาง   “มึง  ไปอาบน้ำที่ห้องกูกับมีน   เดี๋ยวกูไปเอาชุดให้เอง”

“เออ.... ทัพ คือ”

“ค่อยคุย”   

ผมไม่รู้ว่าใบหน้าของมันตอนนี้เป็นเช่นไร   มีเพียงด้านหลังของทัพเท่านั้นที่ผมเห็น    แม้จะรู้สึกเจ็บจากการถูกกระชากข้อมือเพียงใด   ความสุขที่ได้รับจากการถูกสัมผัสมันท่วมท้นกลบไปจนหมดสิ้น

“กูมีเรื่องต้องคุยกับมึงอีกเยอะ  ไอ้ตาม”

“อืม”

“ไม่ต้องห่วงเลย  เตรียมตัวให้ดี”

“อืม”

“คีย์การ์ดอยู่ไหนวะ”   กระเป๋าเงิน  กุญแจ  และอีกมากมายถูกโยนทิ้ง  ขณะที่มันกำลังค้นหาของสำคัญ   “เจอแล้ว”

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น   ผมที่กำลังก้มเก็บข้าวของส่วนตัวของทัพบนพื้นหน้าห้องก็ถูกลากเข้าห้องอีกครั้ง   

“อาบน้ำซะ  กูไปเอาชุดเอง”

“อย่าเพิ่งไปสิ”  ผมกระชากทัพ  บีบมือมันแผ่วเบา  “ใจเย็นก่อน”

ใบหน้าเคร่งเครียดของมันเริ่มผ่อนคลายลง   แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดในชีวิตผมก็บังเกิด   ทัพกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผม    มันเข้ามาเองเลยด้วยซ้ำ

เริ่มจากการเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาหาผมอย่างเชื่องช้า  อ้อมแขนของมันโอบรอบหลังของผมไว้   แล้วแนบตัวจนผิวกายของเราสัมผัสกัน

“กู...”

เสียงกระเส่าสร้างความรู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย

“...ขออยู่แบบนี้สักพักได้มั้ยตาม”

ไม่มีเสียงตอบรับจากผม   มีเพียงแค่การตอบรับการกอดของอดีตแฟน (กำมะลอ) ด้วยอ้อมกอดที่แน่นกว่า  และให้ตายเถอะ  ผมอยากอยู่แบบนั้นไปเนิ่นนานไม่ใช่เพียงสักพักตามคำขอ



-------------------------------------------------------------



ทัพ



หลังจากผมสะบัดงวงสะบัดงาใส่พอล  ลากไอ้ตามเข้าห้องแล้วกอดมันเข้าหนึ่งที    จากนั้นก็กระวีกระวาดไปเอาชุดมาจากพอล  ที่ยังดูอึ้งกับการเหวี่ยงของผมไม่หาย

ตอนนี้ตาม... ผู้ที่ยืนอยู่ข้างผม   ช่วยผมจัดคิวให้กับพิธีกรและเพื่อนเจ้าสาวที่มาทำหน้าที่โปรยดอกไม้ช่วงเปิดตัวคู่บ่าวสาว    แล้วคุณเชื่อมั้ย...   มันยังยิ้มไม่หยุด

“มีอะไรให้ตามช่วยอีกมั้ยอะทัพ...”

เกลียดหน้ามันตอนนี้ที่สุด

“ไม่มี  ห่าง ๆ หน่อย กูร้อน”   ต้องรีบไล่ก่อนมันจะฉวยโอกาสเบียดตัวเข้ามาใกล้อีก  “แขกเยอะเห็นมั้ย”

“ขออยู่แบบนี้สักพัก ไม่ได้เหรอ”

ไอ้เวร  ล้อเลียนกูอีก

“เงียบปากไป”  เกลียดขี้หน้ามัน  แต่ก็ยอมรับว่าวันนี้มันหล่อ  หล่ออีกแล้ว   ไอ้ตี๋ตาตี่หน้าขาวที่ไม่เคยอยู่ในสายตา  ดูไปมา ก็หล่อนะเนี่ย  “พรุ่งนี้นัดกินข้าวกับพอลไม่ใช่เหรอ”

ยังยิ้มไม่หุบเลยนะ  เนี่ย กูเหวี่ยงใส่อยู่   

เดี๋ยวเถอะมึง  รอเสร็จงานก่อนนะ  กูจะถามให้หมด  ว่าได้กันหรือยัง   ไปกินข้าวเช้ากันยังไง  ทำไมเจอกันที่ระยอง  แล้วภาพในไอจี คืออะไร  กูเห็นนะ ที่ไปกินข้าวกันในไอจี   กูเห็นนะ   

“ใช่... ไปด้วยกันมั้ย”

มึงเรียนหมอจริงใช่มั้ย

“ไป...”

“ดีจัง  เสร็จแล้วไปดูหนังกันต่อมั้ยอะ”

“ถ้าพอลขอไปด้วยล่ะ”

“ก็ไปด้วยกันไง  เพื่อนกันนี่”

ไอ้เลว...   

“กูไปดูบ่าวสาวนะ  มึงไม่ต้องตามมา”  ผมชิงพูดทันทีที่เห็นขามันขยับไล่ตามผม  “ดูแลมีนไป”

ผมวิ่งออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด  ทันได้ยินเสียงมีนพูดใส่ตามว่า  “มึงโง่หรือโง่วะ ไอ้หมอยุงลาย”   เออ ใช่  ไอ้ตามมันโง่  โง่ที่สุด




-------------------------------------------------------------



ปริ๊นซ์



เหงามาก

ไม่มีใครรู้จักสักคน  ยืนเงียบ ๆ จ้วงซูชิเข้าปากชิ้นที่ 10   แผลเจ้ากรรมก็คันเอา คันเอา  ไม่หายซะที

“และต่อไปนะครับ  ขอเสียงปรบมือให้กับบ่าวสาวของเราครับ”

ไฟมืดดับลง  เหลือเพียงสปอตไลท์ดวงเดียวที่ฉายไปยังบ่าวสาว  เพลงรักสากลบรรเลงขึ้นเชื่องช้า 

น้องพีหล่อมากในชุดทักซิโด้  ส่วนเจ้าสาวก็งดงามและดูมีความสุขไม่แพ้กัน

งานแต่งงานรันไปเรื่อย  จนถึงช่วงตอบคำถาม   เพื่อนทัพที่เป็นพิธีกรทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม  ขัดกับบุคลิกที่ผมมักเห็นตามปกติ     ผมสอดส่องสายตาหาทัพที่ตอนนี้กำลังวุ่นกับเอเจนซี่โรงแรม  น่าจะเรื่องเค้กงานแต่งเพราะทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยังไม่ได้ตัดเค้กเลย   ส่วนคนที่ยืนนอบน้อมอยู่ข้าง ๆ คือหมอตาม

“อะไร ๆ น่าจะดีขึ้นแล้วแหละ  น้องพี่”

ผมดีใจที่เห็นทัพมีความสุข   โดนตามแจขนาดนั้นแต่เจ้าตัวก็ดูไม่ขัดขืนอะไร

งานแต่งจบลง   มีอาฟเตอร์ปาร์ตี้หลังจากนี้    แต่ผมเลือกที่กลับ  จึงเดินตรงไปหาทัพหมายบอกลา

“พี่กลับก่อนนะทัพ”

ใบหน้าเหนื่อยล้าของทัพ  แย้มสรวลอย่างแช่มช้า

“ครับพี่  ไม่กินเหล้าสักแก้วเหรอ”   น้องทำท่าล้อเลียน  “ผมล้อเล่นนะ  ถ้าพี่กิน  ผมจะฟ้องคุณหมอ”

“หมอตามเหรอ”

ล้อมาล้อกลับ ไม่โกง

“พี่ปริ๊นซ์”

“แล้วนี่”   พูดต่อ โดยไม่สนใจท่ากระฟัดกระเฟียดของน้องรัก   พร้อมสอดสายตาหาจำเลยคนดังกล่าว  “หายไปไหนเนี่ย  ไปจีบสาวหรือหนุ่มที่ไหนหรือเปล่า  ระวังตัวนะทัพ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมันนะ”

หึหึ  น้องรักเอย 

ผมยกมือโบกลา  พร้อมหันหลังเดินถอยออกมา

“ไม่นานหลังจากนี้”   หันหัวกลับไปมองด้วยท่าทางล้อเลียน  “ร่อนการ์ดเมื่อใด  บอกพี่ด้วยเด้อ”

“พี่ปริ๊นซ์”

มีเพียงเสียงหัวเราะที่ผมทิ้งไว้ให้ทัพ     เสียงเพลงดังลั่นเงียบลงพร้อมกับประตูที่ปิดสนิท    อากาศร้อนพัดวูบเข้ามาเล็กน้อย   ถึงแม้จะยังอยู่ในเขตโรงแรมแต่อุณหภูมิอากาศในห้องจัดงานต่ำกว่าด้านนอกหลายองศาเชียวแหละ   ผู้คนหลายคนเดินไปมาอยู่บริเวณด้านนอก  บ้างถ่ายรูป   บ้างเข้าห้องน้ำ   บ้างยืนพูดคุยกัน   จากสีชุดก็ระบุได้ว่าทุกคนล้วนเป็นแขกงานเดียวกับผม

ผมยิ้มให้ตัวเองอีกหนึ่งที   ก่อนพาตัวเองมายืนงงในลานจอดรถ

“จอดไว้ตรงไหนวะกู....?”

ปัญหาที่สำคัญสุดของผมก็คือ  มักจำที่จอดรถไม่ได้เสมอ

“มีอะไรให้ผมช่วยครับ”   พนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเข้ามาทัก   “บอกได้ครับ”

“ผมลืมที่จอดรถนะครับ”   บรรยายยี่ห้อ รุ่น และสีรถไป   พนักงานรักษาความปลอดภัยก็วอถามเพื่อนจากตำแหน่งอื่นทันที  “ขอบคุณนะครับ  ที่ทำให้ลำบาก”

“ไม่เป็นไรครับ”  ตะเบ๊ะให้ผมหนึ่งที  แล้วก้มลงพูดใส่วอต่อ  “เจอแล้วใช่มั้ย อืม”

เสียงอู้อี้จากอีกฝั่งยืนยันอีกคำรบ  ก่อนมีเสียงร้องเฮ้ยลั่นดัง  แล้วสัญญาณตัดหายไป

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

เขาวิ่งออกไปทันที   วิ่งไปยังตำแหน่งจอดรถที่เพิ่งรับทราบ   ผมที่ยังงงวยแต่ก็กวดไล่ตามไปติด ๆ   จนเราพบร่างในชุดยูนิฟอร์มเดียวกับพนักงานฯ คนที่ถามตำแหน่งจอดรถให้ผม  นอนจมกองเลือดอยู่   เขานอนหายใจพะงาบ ๆ  หลอดเลือดใหญ่บริเวณคอถูกกรีดอย่างบรรจงเผยให้เลือดจำนวนมหาศาลไหลหลั่งราวกับน้ำก๊อกรั่ว   

ผู้เคราะห์ร้ายตาเบิกโพลง  ผมเชื่อว่ามีคำพูดนับร้อยที่เขาอยากพูด  ทว่ามันไม่สามารถหลุดออกมาได้

พนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้าไปประคองเพื่อนร่วมงานผู้เคราะห์ร้าย   หน้ารถกระบะเก่าทะเบียนจังหวัดระยองคันหนึ่ง   ผ้าใบที่คลุมหลังกระบะถูกฉีกขาดกระจายเปิดอยู่     เขากำลังอุดแผลห้ามเลือด  ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นผล

“ผมโทรหารถพยาบาลให้นะครับ”    เห็นกอดเลือดมหาศาลนั้นพาลให้ผมหน้าซีดเผือด   ภาพจำที่ผมถูกแทงที่โรงพยาบาลหวนกลับมาอีกครั้ง   ทว่าผมยังคุมสติไว้ได้   “ครับ  รีบมาเลยนะครับ”

หางตาด้านขวาของผมเห็นเงาใครสักคนเดินผ่านไป   เป็นผู้หญิงผมยาวกระเซอะกระเซิง  ท่าทางดูน่ากลัว   เมื่อผมหันกลับไปมองเต็มตา   

“คุณ....”

ไม่ผิดแน่นอน   ผู้หญิงคนที่แทงผม   ผมจำได้ดีทั้งจากภาพที่คุณตำรวจให้ผมดูหลายต่อหลายรอบ   ทั้งจากท่าทางที่ไม่เพี้ยนพลาดไปจากวันนั้น   

มือของเธอชุ่มด้วยเลือด  ถือมีดด้ามเล็กที่คาดว่าเป็นมีดผ่าตัดไว้   เธอหันข้างให้ผม   และกำลังเดินตรงเข้าล็อบบี้โรงแรมไปราวกับไม่สนใจใครอื่นในลานจอดรถที่ต่างยืนนิ่งมองเธอด้วยสายตาหวาดกลัว   

ปากของเธอพึมพำพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์

ยกเว้นหนึ่งคำ  ที่ผมได้ยินชัดจนขนลุก

“.............  ตาม................”




หรือว่า..........



-------------------------------------------------------------


จบบทที่ 32


น่าจะอีก 3 บท ก็จบบริบูรณ์ครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม ติชม เพื่อการปรับปรุงทีดีขึ้นฮะ

ขอบคุณครับ



ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เป็นนางใช่ไหมที่ทำรถทุกคันใน รพ. เสีย(จำชื่อนางไม่ได้) ตามจะเป็นไรไหมทัพจะได้เคลียร์กับตามได้รึป่าว รอลุ้นจ๋า

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด