“อิ่มแล้ว...ป๊าม้า คีไปมหาลัยฯ ก่อนนะ มีเรียนเช้า”
ผมตักโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปาก หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ยกมือไหว้พ่อกับแม่ซึ่งยังนั่งกินอาหารเช้าอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว กำลังจะคว้ากระเป๋าเป้สะพายหลังเตรียมวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปโบกวินมอเตอร์ไซล์ไปปากซอย ตอนได้ยินเสียงพี่สาวร้องเรียกมาจากชั้นสอง
“คี เดี๋ยวเจ้ไปส่ง วันนี้ต้องไปประชุมแถวนั้นพอดี”เจ้เคธซึ่งสวมสูทตัวเนี้ยบ หน้าผมเป๊ะสุดวิ่งซอยขาลงบันไดมา ผมรีบท้วงอย่างเกรงใจ “เจ้ไม่กินข้าวก่อนเหรอ คีไปเองก็ได้”
“ไม่ทันแล้วแก ลูกค้าดันเลื่อนเวลานัดมาเป็นเก้าโมง เลขาเขาเพิ่งจะโทรมาแจ้งเมื่อกี้! ”
พี่สาวผมว่าพลางรีบร้อนสวมรองเท้าส้นสูง ปากก็บ่นไปด้วย “อีตาซีอีโอบริษัทนี้คิวทองยิ่งกว่าดารา นัดยากนัดเย็น แล้วพอถึงวันนัดดันมาบอกว่า ต้องรีบบินไปโตเกียวด่วน ขอเลื่อนจากบ่ายเป็นเช้า
โว้ย! ฉันละอยากจะบ้า”เจ้าตัวทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าหงุดหงิดดีขึ้นมาหน่อยตอนม้าให้แม่บ้านวิ่งเอาแอปเปิลที่หั่นเตรียมไว้ให้ป๊าใส่กล่อง ส่งตามมาเป็นเสบียงให้ลูกสาวกินรองท้องก่อน
วันนี้ผมเลยโชคดีมีราชรถไปส่ง เจ้เคธขับรถไปพลางวางแผนการเดินทาง “เช้าๆ แถวนั้นรถติดจะตายชัก นี่ยังไม่รู้จะไปทันรึเปล่า ถ้าไม่ทันเจ้จะลงไปโบกวิน แกขับรถเจ้ไปมหาลัยก่อนแล้วกัน บ่ายเจ้ประชุมเสร็จแล้วค่อยไปเอา”
“โอเคจ้า” ผมตกลงขำๆ ดูท่าว่าคงได้เห็นเวิร์คกิ้งวูแมนสวยเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าโดดขึ้นมอเตอร์ไซล์รับจ้างแน่ พอกลับจากฮาร์นาส ผมก็เปลี่ยนมุมมองที่มองพี่สาวตัวเองใหม่ แล้วก็พบว่าเจ้เคธเองก็ไม่ได้เป๊ะตลอด 24 ชั่วโมง มีมุมล่กๆ รีบๆ แบบนี้เหมือนกัน
พอวางใจว่ายังไงก็ไม่น่าไปสาย พี่สาวผมค่อยอารมณ์ดีขึ้น เจ้เคธขับรถพลางเคี้ยวแอปเปิล แล้วถามผมว่า “แมทเป็นไงบ้างละ ออฟฟิศใหม่ลงตัวหรือยัง”
“อืม เห็นว่ารันระบบงานได้ลงตัวแล้วนะ ช่วงแรกทีมใหม่ยังทำงานไม่เข้าขากันเลยต้องเสียเวลาปรับจูน”
ผมเล่าตามที่ได้ยินคุณสิงโตอธิบายเมื่อคืนระหว่างเราวิดีโอคอลคุยกัน ผมกลับมาเมืองไทยได้เดือนกว่าแล้ว นั่งๆ นอนๆ พักผ่อนอยู่กับบ้านแค่ 2 สัปดาห์มหาวิทยาลัยก็เปิดเทอม แมทวิดีโอมาทุกวันอย่างที่เขาสัญญาไว้ เวลาที่กรุงเทพเร็วกว่าที่อเมริกา 14 ชั่วโมง ช่วงกลับมาจากนามิเบียใหม่ๆ เขาจะโทรหาผมตอนสี่ทุ่มของเมืองไทย หรือประมาณ 8 โมงเช้าของที่นั่น
หลังจากเขาย้ายไปทำงานสาขาย่อยของบริษัท แมทยังคอลหาผมเวลาเดิม บางครั้งก็ดึกกว่านั้นเล็กน้อย รอบตัวเขาเป็นห้องใหม่เอี่ยม แต่ยังไม่ค่อยมีอะไรให้ดูนอกจากพวกกล่องลังซึ่งเขาเพิ่งขนย้ายของมา แถมเขายังปิดม่านเสียมิดชิด ผมเลยดูไม่ออกว่าเขาย้ายไปอยู่เมืองไหน
ผมลองถามดูเขาก็ไม่ยอมบอก บ่ายเบี่ยงว่าให้บริษัทให้เขาประจำที่นี่แน่ๆ เสียก่อน
“ฉันจะเตรียมห้องไว้ให้คีพักตอนมาเที่ยวนะ” เขาบอกผมยิ้มๆ พยายามพูดเอาใจเพราะเห็นผมเริ่มงอน
ท่าทางคุณสิงโตมีลับลมคมในยังไงพิกล ทำเอาผมแอบคิดไปเรื่อยเปื่อยว่า หรือแมทอาจจะได้มาประจำที่เมืองไทยแล้วโผล่มาเซอร์ไพรส์ผมในวันใดวันหนึ่ง แต่พอไปเช็กในอินเทอร์เน็ตก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ บริษัทเขาไม่มีสาขาในประเทศไทยสักหน่อย ผมเลยบอกตัวเองให้เลิกเพ้อเจ้อ
ความจริงแค่เขามีวันลาหยุดมาหาได้ ผมก็ดีใจมากแล้วละ ผมรู้ดีว่า รักทางไกลไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราเพิ่งเริ่มคบกัน ตอนนี้แค่รักษาระดับความสัมพันธ์ให้ราบรื่นก็พอ เอาไว้ผมเรียนจบแล้วค่อยคิดเรื่องอนาคตกันจริงจังอีกที
ผมนั่งคุยกับเจ้เคธไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือส่งเสียงสัญญาณข้อความเข้า ผมหยิบมาดูแล้วก็ขมวดคิ้ว นิ่งคิด เจ้เคธเห็นว่าอยู่ๆ ผมก็เงียบไปเลยหันมามองแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าผมแล้วก็เดาได้ทันที
“ไอ้เมธไลน์มาเหรอ”
ผมพยักหน้าตอบเสียงขรึม “อืม เขาขอนัดเจอคีพรุ่งนี้ ถ้าคีว่าง”
พี่สาวผมพ่นลมหายใจพรืดอย่างฉุนๆ “ไอ้นี่มันตื๊อไม่เลิกจริงๆ คีไม่ต้องไปเจอมันหรอก เลิกกันไปตั้งหลายเดือนแล้ว คีไลน์ไปบอกมันว่าไม่มีอะไรจะคุยด้วย คีมีแฟนใหม่แล้ว หล่อล่ำ ดีกว่ามันเป็นสิบเท่า” เจ้เคธด่าพี่เมธแล้วอวยเพื่อนตัวเองตบท้าย
ผมยิ้มขำก่อนจะส่ายหน้า “คีรับปากว่าจะยอมเจอหน้าเขาครั้งหนึ่ง ถ้าเขาไม่โทรไปกวนคีตอนอยู่โน่นอีก ก็คงต้องไปเจอเขาแหละ จะได้คุยกันให้หายคาใจ จบกันให้เรียบร้อย”
ผมอธิบายแล้วก็ถอนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตอบข้อความตกลง เจ้เคธได้แต่ทำปากจิ๊กจั๊ก แต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร
พอเข้าตัวเมืองชั้นในรถก็เริ่มติด สุดท้ายพี่สาวผมจึงต้องอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดง โดดไปขึ้นมอเตอร์ไซล์รับจ้างบึ่งไปออฟฟิศลูกค้า ผมเปลี่ยนมานั่งหลังพวงมาลัย ขับรถไปจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เพราะที่จอดรถในคณะผมมีไม่พอแถมจอดนานๆ ก็ไม่ได้ด้วย
ผมจอดรถแล้วจึงค่อยเดินไปคณะ ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงอาศัยพี่วิน ไม่ก็โบกแท็กซี่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เดินได้สบายๆ ไม่ถึงกับเหนื่อย การทำงานกลางแจ้งที่ฮาร์นาสร่วมเดือนทำให้ร่างกายผมแข็งแรงกระฉับกระเฉงขึ้นมาก
ตอนเปิดเทอมวันแรก เพื่อนๆ พากันตกใจที่ผมตัวคล้ำขึ้นหลายเฉด หลายคนรู้ว่าผมไปแอฟริกาช่วงปิดเทอม เข้ามาถามอย่างสนใจว่าเป็นยังไงบ้าง คนในคณะดูเหมือนจะรู้เรื่องผมกับพี่เมธเลิกกันแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาถามอะไร ยกเว้นบิวซึ่งเข้ามาขอโทษเรื่องเป็นตัวกลางให้พี่เมธหลอกขอเบอร์ใหม่ผมไปจนได้
“บิวขอโทษนะคะ พี่คี พี่เมธบอกว่า พี่คีทะเลาะกับเขาแล้วหนีไปเมืองนอก ติดต่อไม่ได้เป็นอาทิตย์ๆ เขาร้อนใจ มาขอร้องบิว บิวไม่รู้ว่าพวกพี่เลิกกันแล้ว นึกว่าแค่งอนกันเฉยๆ เลยยอมช่วย”รุ่นน้องอธิบายด้วยท่าทางรู้สึกผิด ผมยอมยกโทษให้ แต่ก็เตือนเธอว่า ครั้งหน้าอย่าถือวิสาสะให้เบอร์ติดต่อของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตเจ้าตัวก่อนแบบนี้อีก
ผมเลิกเรียนตอนเที่ยง ออกจากห้องเรียนแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาดู เจ้เคธส่งข้อความมาว่า ประชุมกับลูกค้าเสร็จแล้ว แต่ต้องรีบกลับไปแก้งานกับทีมที่ออฟฟิศด่วน ฝากให้ผมขับรถกลับบ้านไปเลย ตบท้ายด้วยการก่นด่าซีอีโอบริษัทนั้นอีกยาวเหยียด ผมอ่านแล้วได้แต่ส่ายหน้าทั้งขำทั้งอ่อนใจแทนพี่สาว
ระหว่างที่ผมกินข้าวอยู่ในโรงอาหารคณะกับพวกเพื่อนๆ แมทก็โทรมา บางวันเขาจะโทรมาช่วงพักเที่ยงเพราะรู้ว่าผมพอมีเวลาว่างสักครู่หนึ่ง แต่ใช้คอลธรรมดา ไม่ได้คุยวิดีโอแบบเห็นหน้าตากัน
“ไฮ ว่าไงครับ” ผมรับสายเสียงสดใส
[คีกินอาหารกลางวันอยู่รึเปล่า ฉันจะโทรมาบอกว่า คืนนี้กับพรุ่งนี้ช่วงกลางวัน ฉันจะไม่ได้คอลหาคีนะ มีประชุมยาวแล้วก็ต้องเคลียร์งานน่ะ] เสียงทุ้มๆ ดังมาปลายสาย มีเสียงวุ่นวายเป็นแบคกราวด์ ดูท่าทางแมทคงยังอยู่ในออฟฟิศ
ผมหน้าม่อยไปนิดหนึ่ง แต่ก็ตอบเขาไปด้วยเสียงร่าเริง “โอเคครับ ไว้พรุ่งนี้ตอนดึกๆ เราค่อยคุยกันก็ได้” ผมนิ่งคิดว่าจะบอกเขาเรื่องพี่เมธขอนัดผมพรุ่งนี้ แต่ทางปลายสายมีคนเรียกแมทเสียก่อน เขารับคำแล้วบอกผมว่า
[ฉันต้องไปเข้าประชุมแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะ See you]
“ครับ” ผมไม่อยากกวนเขาตอนทำงานยุ่ง เลยไม่ได้เล่า คิดว่าเดี๋ยวไว้เล่าให้เขาฟังตอนคอลคุยกันคืนพรุ่งนี้ก็ได้
……………………………………………………
คืนนี้ผมว่าง ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับแมท นอนเล่นอยู่บนเตียงแล้วนึกเหงาขึ้นมาก็เลยลุกเดินไปเคาะห้องพี่สาว
“เจ้เคธ นอนยังอะ”
พี่สาวผมเปิดประตูออกมา สวมชุดนอนทับเสื้อคลุม บนหน้ามีมาสก์แปะอยู่ เธอกวักมือเรียกผม บอกเสียงอู้อี้ “ยังไม่นอน เข้ามาสิแก เพื่อนเจ้ไปญี่ปุ่นซื้อมาสก์ตัวใหม่มาฝาก มาลองกันๆ” เจ้าตัวว่าพลางเดินนำผมเข้าไปในห้อง แกะมาสก์บนหน้าตัวเองทิ้งลงถังขยะแล้วยกมือแตะแก้ม
“ใช้แล้วหน้าเด้งดีเหมือนกันแฮะ แกมาลองดูบ้างสิ กลับจากนามิเบีย หน้ากร้านไปตั้งเยอะ” เจ้เคธบอกแล้วตบที่นอนข้างตัวแปะๆ ผมหัวเราะแล้วพยักหน้า เอนหลังนอนบนเตียงหนุนตักพี่สาว ให้เธอบรรจงวางแผ่นมาสก์ลงบนใบหน้าให้ ระหว่างผมกำลังมาสก์หน้า เจ้เคธก็ชวนคุย “พรุ่งนี้นัดไอ้เมธที่ไหนละ”
“คาเฟ่แถวๆ นี้แหละ คีกะว่าแค่กินกาแฟสักแล้ว คุยกันให้จบแล้วก็กลับ ความจริงเขาชวนกินข้าว แต่คีคิดว่าคงกินไม่ลงทั้งคู่ เลยบอกปัดไป”
“ดีแล้ว” เจ้เคธพยักหน้าหงึก สั่งเฉียบขาด “ปัดแล้วก็ตัดฉับๆ ไม่ต้องเหลือเยื่อใยเลยนะ”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะนิ่งไปนิดหนึ่ง ยกมือพี่สาวมาจับเล่นแล้วถามอีกฝ่ายว่า
“เจ้เคธ...ตอนเจ้อกหัก เสียใจมากไหม คีขอโทษนะ...คีไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
เจ้เคธว่าส่ายหน้า ยกมืออีกข้างลูบศีรษะผม “อยู่ไกลกันคนละทวีป แกจะช่วยอะไรได้เล่า ไม่เป็นไรหรอก เจ้ลืมไปหมดแล้ว ตอนนั้นร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่พอผ่านมาได้แล้วมองย้อนกลับไป มันก็เป็นบทเรียนที่ดี ทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องมีสติและรักตัวเองให้มาก”
“เจ้ได้เจอไอ้เลวนั่นอีกไหม” ผมถามอย่างนึกโกรธแทนพี่สาว
“เจอหนนึง ป๊ะกันในห้างเหมือนในละครหลังข่าวเลยแก เจ้ไปคนเดียว ส่วนมันไปกับเมีย เดินควงแขนกันมาหน้าตามีความสุข”
“แล้วเจ้ทำยังไง เข้าไปด่ามันเลยไหม”
ผมถามเสียงขุ่น แต่พี่สาวผมยักไหล้พลางส่ายหน้า “ตอนแรกเจ้ก็อยากจะเข้าไปด่ามันให้เมียมันรู้ แต่ดันไปเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นท้องอยู่ว่ะ ถ้ารู้ว่าผัวแอบนอกใจไปกิ๊กผู้หญิงอื่น ถึงไม่ขนาดบ้านแตกก็คงทะเลาะกันแน่ๆ เจ้ก็เลยเปลี่ยนใจ ไม่รู้จะเอาความเจ็บปวดในอดีตไปสร้างปัญหาให้คนอื่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทำไม”
“อ้าว แล้วเจ้ก็ปล่อยไปเฉยๆ เนี่ยนะ” ผมถามอย่างแปลกใจ เหตุผลน่ะเข้าใจหรอก แต่ไม่ทำอะไรเลยก็ดูเป็นนางฟ้าโลกสวยไปหน่อย ไปสมกับนิสัยเจ้เคธ
“หึ” เจ้เคธส่ายหน้า ยกยิ้มเหี้ยม “เรื่องอะไรจะปล่อยไปง่ายๆ เรื่องหักอก เจ้ทำใจได้ แต่บังอาจมาหลอกคุณแคทรียาคนสวยสุดเพอร์เฟ็ค ต้องจัดการให้สาสม เจ้เดินเข้าไปหามันแล้ว
...ทวงหนี้”“ทวงหนี้?” ผมย้อนคำเสียงสูง “หมอนั่นติดหนี้เจ้ด้วยเหรอ”
“ช่าย” เจ้เคธยักคิ้ว “ตั้งหลายพันดอลล่าห์ คิดเป็นเงินไทยก็เกือบแสน หมอนั่นบอกว่า เงินทุนออกไม่ทัน เจ้เลยให้ยืมก่อน แต่ไม่ได้ให้ยืมเฉยๆ หรอกนะ จับเซ็นสัญญากู้เงินถูกต้องตามกฎหมาย มีพยานเซ็นรับรู้ ป๊าสอนไว้ตั้งนานแล้วว่า ถ้ายังไม่แต่งงานจดทะเบียนสมรส เงินของเราก็คือเงินของเรา ไม่ใช่ของแฟน ไอ้หมอนั่นคงคิดว่าเจ้รักมันหลงมัน ถึงมีสัญญาก็คงไม่ทวง เลยยอมเซ็นโดยดี คิดผิดแล้วย่ะ”
ผมอ้าปากหวอ ทึ่งพี่สาวตัวเอง
“เจ้สุดยอดอะ! แล้วตกลงหมอนั่นยอมคืนเงินไหม”เจ้เคธหัวเราะสะใจ “ตอนแรกหมอนั่นปฏิเสธเสียงแข็ง ทำท่าจะเดินหนี แต่เจ้เรียกชื่อมันเสียงดังลั่นห้าง โชว์สัญญาที่ถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์ให้ดู บอกว่ามันกลับเมืองไทยแล้วหายตัวไปไม่ยอมติดต่อมาใช้หนี้ แล้วเจ้ก็ขู่ว่าถ้าไม่คืนเงินจะแจ้งความ ทีนี้หมอนั่นเลยได้แต่ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม”
“แล้วเมียเขาทำไง” ผมถามต่อเสียงตื่นเต้น
“ก็เต้นผางเลยน่ะสิ ดูจากหน้าตาการแต่งตัว ผู้หญิงคนนั้นน่าจะรวยอยู่นะ แต่คงไม่ได้เรียนสูง ท่าจะอายุมากกว่าไอ้หมอนั่นด้วย เขาด่าผัวตัวเองยกใหญ่ว่า เงินแค่ไม่กี่หมื่นทำไมไม่ยอมคืน แล้วก็ขอเลขบัญชีของเจ้ไป บอกว่าจะโอนเงินคืนให้เอง ไม่ต้องแจ้งความ”
เจ้เคธเล่าถึงตรงนี้แล้วก็ถอนใจอีกเป็นเฮือกแล้วสรุปตบท้ายว่า “ฉันยืนมองหมอนั่นถูกเมียดึงหูลากไปแล้วก็ได้แต่สงสัยตัวเองว่า เมื่อก่อนเราหลงผู้ชายหงอๆ จ๋องๆ คนนี้หัวปักหัวปำได้ยังไงวะ”
“คงเพราะถอดฟิลเตอร์แฟนออกแล้วก็ได้เห็นเขาจากความจริงละมั้ง”
ผมออกความเห็นบ้าง นึกถึงตัวเองที่เพิ่งเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับพี่เมธหลังจากเลิกกับเขา ก่อนหน้านี้ผมมองว่าพี่เมธเป็นผู้ใหญ่ มั่นคง พึ่งพาได้ แต่ความจริงเขาก็มีจุดอ่อนตรงแคร์สายตาของคนรอบข้าง แถมยังโอนเอนไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบได้ง่ายด้วย
เจ้เคธดึงแผ่นมาสก์ออกจากหน้าผมแล้วจิ้มปลายนิ้วลงบนแก้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลุกใจ “เอาละ ผ่องขึ้นตั้งเยอะ พรุ่งนี้คีแต่งตัวหล่อๆ เดินเข้าไปหาไอ้เมธ แล้วเขี่ยมันทิ้งให้สะใจเลยนะ”
ผมยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะ
“รับทราบครับ รับรองว่าจะไม่ให้เสียยี่ห้อนายคีตะ น้องชายคุณแคทรียาคนสวยสุดเพอร์เฟ็ค”ผมทวนคำอีกฝ่าย แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมนึกถึงที่แมทเคยบอกว่า ผมนิสัยเหมือนเด็ก แต่ความจริงเข้มแข็งเหมือนเจ้เคธ เราสองคนพี่น้องบุคลิกภายนอกไม่เหมือนกัน แต่ข้างในจิตใจเหมือนกันจริงๆ อย่างที่เขาว่านั่นละ
.................................................................
บ่ายวันต่อมา ผมกินข้าวกลางวันแล้วค่อยเดินไปโบกมอเตอร์ไซล์ออกไปร้านกาแฟตรงต้นซอย ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ แต่เจ้าของร้านซึ่งควบตำแหน่งบาริสต้าด้วยชงกาแฟอร่อย เมื่อก่อนผมกับพี่เมธก็เลยแวะเวียนไปอุดหนุนบ่อย วันนี้พี่เมธนั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดิมที่พวกเรามักจะนั่งด้วยกัน ผมมองเห็นเขาตั้งแต่นอกร้าน กำลังจะเดินเข้าไปก็พอดีโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน
แมทคอลมาหา เสียงรอบตัวเขาดูวุ่นวายเหมือนอยู่ข้างนอก [คี ฉันเคลียร์งานเสร็จแล้ว นี่คีอยู่บ้านหรือเปล่า]
“ผมออกมาธุระครับ พี่เมธขอนัดเจอ ผมก็เลยมาพบเขา” ผมบอกไปตามตรง แล้วอธิบายเพิ่มว่า “เมื่อวานผมว่าจะบอกคุณ แต่เห็นคุณยุ่งอยู่ เลยกะว่าจะเล่าให้คุณฟังตอนคุยกันคืนนี้น่ะครับ”
แมทนิ่งเงียบไป 2-3 วินาที แล้วจึงถามกลับมาเสียงขรึม
[คีโอเคที่จะไปเจอหมอนั่นใช่ไหม ถ้าเขาพูดอะไรให้รู้สึกไม่ดี ก็ไม่ต้องทนคุยด้วยต่อนะ ตัดบทเลย]
ผมยิ้ม สมกับเป็นคุณสิงโตจริงๆ แทนที่จะซักไซ้เรื่องผมมาเจอแฟนเก่า กลับเป็นห่วงกลัวว่าพี่เมธจะทำให้ผมไม่สบายใจซะอย่างนั้น “ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว เขาทำให้ผมเฟลไม่ได้แล้วละ ว่าแต่...คุณจะไม่หึงสักหน่อยหรือครับ” ผมแกล้งหยอดถาม
แมทหัวเราะ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมยังดูมั่นใจมากเสียอีก
[หึงสิ แต่ฉันรู้ว่า คีฉลาดเกินกว่าจะกลับไปหาผู้ชายแย่ๆ คนนั้น เอาเป็นว่า อย่าคุยนานนักก็พอ คีเสร็จธุระแล้วก็รีบกลับบ้านนะ แล้วเราค่อยคุยกัน]
“ครับ” ผมรับคำแล้วก็บอกเขาว่า “แมทครับ ผมคิดถึงคุณนะ”
[I miss you too baby.] แมทตอบกลับมาแล้วก็ตัดสายไป
ผมอมยิ้มก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วเดินเข้าไปในร้าน ตั้งใจจะรีบจัดการ ‘ธุระ’ ให้จบแล้วกลับบ้านคุยกับแฟนผมเสียที
พี่เมธมองเห็นผมตั้งแต่ตอนผมเปิดประตูร้านเข้าไป ผมแวะทักพี่เจ้าของร้านตรงเคาน์เตอร์ สั่งเครื่องดื่มแล้วค่อยเดินไปที่โต๊ะ ทักเสียงราบเรียบ “มานานแล้วหรือครับ”
“ไม่หรอก มาก่อนคีสัก 15 นาที เพิ่งกินกาแฟหมดแก้ว” พี่เมธตอบ เลื่อนแก้วกาแฟร้อนว่างเปล่าออกไปอีกด้าน เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม ยิ้มแล้วก็เปรยว่า “คีคล้ำไปนะ แต่ดูสดใส ที่แอฟริกาคงอากาศดี”
“ดีมากครับ แต่แดดแรงก็เลยคล้ำลงไปหน่อย” ผมตอบกลับ เพิ่งสังเกตว่า อีกฝ่ายซูบลงไปนิดหนึ่ง ขอบตาที่อยู่หลังแว่นกรอบใสมีรอยคล้ำ “พี่เมธล่ะ เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีแหละ แต่งานยุ่งหน่อย เพราะช่วงนี้มีออดิธ....”
พี่เมธยกมือขึ้นมาดันแว่นกลับไปที่จมูก เป็นท่าทางที่ผมคุ้นตา เขามักจะทำดันแว่นเวลาที่รู้สึกประหม่าหรือเครียด พนักงานในร้านเอากาแฟมาเสิร์พให้ พวกเราจึงเงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งพนักงานเดินละไปแล้ว พี่เมธจึงค่อยเอ่ยต่อ เปลี่ยนประเด็นไปบอกว่า
“เกลมาหาพี่ที่ออฟฟิศ แต่พี่ไม่ลงไปเจอเขา เขาพยายามโทรมา พี่ก็ไม่คุยด้วย ไปหาที่คอนโด พี่ก็หลบ สุดท้ายเขาก็ทำใจได้ ยอมเข้าใจแล้วก็ไม่มากวนพี่อีก”
อีกฝ่ายเล่าแล้วทิ้งระยะเหมือนจะสังเกตปฏิกิริยาของผม แต่สิ่งที่ผมแสดงออกมีเพียงพยักหน้ารับรู้อย่างนิ่งเฉย
“เหรอครับ” ผมรับคำ ในใจอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ที่พี่เมธหลบหน้าเกล ก็ไม่ต่างจากที่ผมหนีเขาไปเมืองนอกนั่นแหละ ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะยื้อเขาเอาไว้จนสุดกำลัง
สีหน้าของพี่เมธดูซึมเซาลงไปอีก เขาคงดูออกว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องของเขากับน้องรหัสแล้วจริงๆ สุดท้ายเขาก็ถามผมตรงๆ ด้วยเสียงแห้งโหย
“คี...ไม่มีทางที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเลยหรือ”
ผมส่ายหน้า มองตาเขาขณะที่เอ่ยเสียงจริงจัง “คีบอกพี่ตั้งแต่ตอนคุยกันครั้งก่อนแล้วว่าถึงจะคุยกันกี่รอบ คำตอบของคีก็จะเป็นคำตอบเดิม คีเดินไปกับพี่ต่อไม่ได้จริงๆ เราจบกันตรงนี้เถอะครับ”
พี่เมธมองดูผมนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน เขาคอตก พยักหน้ายอมรับ
“เข้าใจแล้ว...จริงๆ พี่ก็พอรู้ว่า มันเป็นไปได้ยาก แต่พี่ก็ยังอดหวังไม่ได้...” พี่เมธบอกแล้วก็ฝืนยิ้ม “ขอบคุณนะที่คียอมมาเจอเพื่อบอกกับพี่ต่อหน้า พี่จะได้ตัดใจเสียที”
ผมถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง นึกถึงความทรงจำดีๆ ตอนเราอยู่ด้วยกันแล้วก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ ผมกับพี่เมธคบกันมา 3 ปี ผ่านเรื่องต่างๆ มาด้วยกันมากมาย แต่เมื่อทุกอย่างมาถึงจุดจบ เราก็ได้แต่ยอมรับแล้วก้าวผ่านมันไป
“คีก็ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พี่ทำให้คีนะครับ คีคงต้องกลับแล้ว พอดีมีนัดต่อ”
ผมบอกแล้วตัดบท ทำท่าจะลุกจากโต๊ะ แต่พี่เมธเรียกไว้เสียก่อน “คี”
“ครับ?”
“ตอนนี้คีคุยกับใครอยู่หรือเปล่า”
อดีตคนรักของผมถาม น้ำเสียงไม่ได้คาดคั้น แค่มีแววอยากรู้เท่านั้น ตอนแรกผมตั้งใจจะตอบว่า ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว แต่ไหนๆ ครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะเจอกัน ผมจึงพยักหน้า ตอบกลับเสียงเรียบเหมือนเดิม
“ครับ คีคุยกับคนหนึ่งอยู่ ก็...เป็นแฟนกันแล้วแหละ”
พี่เมธทิ้งหลังพิงพนักแล้วถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “ใช่จริงๆ ด้วย เมื่อกี้พี่เห็นคีรับโทรศัพท์ที่นอกร้าน แล้วก็ยิ้ม...สีหน้าคีดูดีมาก พอเห็นพี่รู้แล้วว่า ตัวเองคงไม่มีหวังแล้ว” เขาเงยหน้ามองผม แล้วฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าดวงตาจะหม่นหมอง
“คีไปเถอะ พี่ว่าจะนั่งคิดอะไรอีกสักพัก ขอให้มีความสุขมากๆ”
ผมยิ้มตอบเขา “ขอบคุณครับ พี่เมธก็เหมือนกันนะ”
ผมผุดลุกขึ้น ทิ้งเครื่องดื่มที่ไม่ได้แตะต้อง พร้อมกับความรักครั้งเก่าซึ่งเพิ่งปิดฉากลงไว้ที่โต๊ะตัวนั้น แล้วก้าวเดินจากมา
..................................................
พอผมลงจากมอเตอร์ไซล์ เปิดประตูเล็กเดินเข้าบ้านมา ป้าน้อย แม่บ้านที่อยู่กับครอบครัวเรามาตั้งแต่ผมยังเด็กก็รีบเข้ามาบอก “น้องคีคะ มีแขกมาหาค่ะ”
“เอ๋? แขกมาหาคีเหรอครับ”
ผมงงไปนิดหนึ่ง ผมไม่ค่อยมีแขกมาหาถึงบ้านโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า ถ้าพวกเพื่อนๆ จะมา พวกมันจะโทรมาบอกก่อน น่าจะเป็นแขกของป๊าม้าไม่ก็เจ้เคธมากกว่า
“เขาบอกว่ามาหาน้องคีนะคะ เห็นเรียกคีตะกับเคธี่ แต่พูดภาษาอังกฤษป้าก็ไม่แน่ใจ คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยู่ ดีว่าน้องเคธโทรเข้ามือถือมาบอกป้าว่า จะมีเพื่อนฝรั่งมาหา ให้เขามารอในบ้านได้ ป้าเลยให้เขารอที่ห้องรับแขก” ป้าน้อยเล่า
“ฝรั่งหรือครับ?” ถ้าอย่างนั้นคงแขกของเจ้เคธละมั้ง เจ้เคธมีเพื่อนๆ ฝรั่งที่ทำงานในไทยหลายคน วันหยุดก็มาชวนเจ้เคธไปตีเทนนิสบ้าง ว่ายน้ำบ้าง
ป้าน้อยเล่าต่อ “พูดภาษาฝรั่ง แต่หน้าตี๋ๆ ค่ะ ตัวโตเป็นยักษ์เลย ตอนเห็นครั้งแรกป้าตกใจหม...”
ผมชะงัก ไม่รอฟังจนจบ รีบวิ่งเข้าบ้าน ตรงไปที่ห้องรับแขกทันที
คนที่อยู่ด้านในยืนหันหลัง กำลังมองภาพถ่ายในกรอบที่อยู่ตรงตู้โชว์ ร่างสูงนั้นสวมชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคสีเข้ม ผมตัดสั้นเป็นรองทรง ดูแปลกตากว่าที่ผมเคยคุ้น และพออีกฝ่ายหันหน้ากลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เป็นผมเองก็ลมหายใจสะดุด
หนวดเครารกถูกโกนออกไปเหลือเพียงไรหนวดเขียว หน้าตาเกลี้ยงเกลาส่งให้ผู้เป็นเจ้าของดูเด็กลงหลายปีอย่างที่ผมคิดไว้ แต่ดวงตาเรียวที่มองตรงมาที่ผมยังคงมีประกายสุขุมและอบอุ่นเหมือนเดิม
ให้ตายเถอะ...ถ้ารู้ว่าคุณสิงโตโกนหนวดแล้วจะหล่อจนใจสั่นแบบนี้ ผมบอกให้เขาโกนหนวดตั้งนานแล้วผมคิดขณะที่ก้าวเดินไปหา เงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าแล้วเลิกคิ้ว ถามเขาว่า
“มาได้ยังไงครับ? เมื่อวานคุณยังอยู่ที่ออฟฟิศไม่ใช่หรือ”
“ก็อยู่ที่ออฟฟิศ...ที่สิงคโปร์น่ะ”
แมทตอบกลับ เขาก้มหน้ามองผมแล้วยิ้มกว้าง “เมื่อวานมีประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับซีอีโอที่สาขาใหญ่ ฉันได้รับคำสั่งให้มาบรรจุที่สาขานี้อย่างเป็นทางการแล้ว...เมื่อคืนก็เลยรีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเช้าสุดของวันนี้ บินมาหาคี”
“สิงคโปร์สินะครับ...”
ผมถามเสียงเข่นเขี้ยว ลืมไปเลยว่า ถึงออฟฟิศเขาจะไม่มีสาขาในประเทศไทย แต่ในแถบเอเชียแปซิฟิกยังมีที่สิงคโปร์อีกแห่ง “เรื่องนี้หรือครับ ที่คุณปิดผม”
“อืม จะรอเซอร์ไพรส์คี แต่ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ชัวร์ด้วย ถ้าทางซีอีโอกับ MD ที่นี่ไม่โอเคก็ต้องกลับไปที่สาขาใหญ่ ฉันเลยรอให้มีคำสั่งออกมาชัดเจนก่อน ไม่อยากให้คีรอแล้วผิดหวัง” แมทตอบแล้วดึงผมเข้าไปในอ้อมแขน “ต่อจากนี้ฉันก็บินมาหาคีได้บ่อยๆ เลยละ หรือถ้าคีอยากบินไปเที่ยว ฉันก็จะส่งตั๋วมาให้ คอนโดฉันพร้อมสำหรับให้คีไปพักได้ตลอดเวลา”
“แบบนี้ผมควรหายโกรธไหมครับ” ผมแกล้งถามพลางขึงตาดุใส่
“ควรสิ เพราะฉันอุตส่าห์ไปตัดผมกับโกนหนวดก่อนจะมาขึ้นเครื่องนะ ให้คีเห็นเป็นคนแรกเลย กว่าจะหาร้านตัดผมที่เปิดตอนเช้าได้ก็แทบแย่” คุณสิงโตเอ่ยเสียงอ้อนเอาใจ
ผมทำหน้าดุต่อไปไม่ไหว ก็เลยหลุดยิ้มออกมา ยกมือขึ้นลูบคางสากๆ ของเขา
“หน้าเกลี้ยงๆ แบบนี้ ผมไม่ชินเลยครับ สงสัยต้องทำความรู้จักกันใหม่แล้วละมั้ง”
แมทวางมือทับมือผมที่ประคองใบหน้าเขา เย้าว่า “เอ...แต่มีลูกแมวน้อยบางคนเคยบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาก็ชอบทั้งนั้นนะ”
ผมยิ้มกว้าง ยืดตัว เขย่งเท้าขึ้นไปจูบปลายคางเขา แล้วยอมรับเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เป็นคุณสิงโตของผมนี่ครับ ยินดีต้อนรับสู่เมืองไทยนะครับ แมท”
แมทหัวเราะแล้วกอดผมแน่นๆ “ฉันมาตามสัญญาแล้ว ต่อไปจะไม่ปล่อยให้คีรอนานๆ อีกแล้วนะ”
เขาบอกก่อนจะก้มหน้าลงมาหา ผมยิ้มแล้วหลับตาลง รับจูบแสนละมุนที่คิดถึงอย่างเต็มใจ
.........................................The End..........................................
จบแล้วค่า!!! /จุดพลุปุ้งๆๆๆตอนจบนี่มีอารมณ์หลากหลายมาก นั่งจิ้มอยู่หลายวันกว่าจะเสร็จเรียบร้อย แต่ก็จบแล้วค่ะ ฮือ เรื่องนี้ใช้เวลาเขียน 4 เดือนเต็ม เป็นการเดินทางระยะสั้นที่ยาวไกล และสนุกสนานมากค่ะ จากจุดเริ่มต้นที่อยากลองเขียนนิยายขนาดสั้น สัก 4 ตอนจบ จากฉากในรายการวาไรตี้จีนที่ติดตาม กลายเป็นเรื่องยาวขนาดนี้ได้ ต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยนะคะ /โค้ง
แจ้งข่าวว่า #คุณสิงโตที่รัก ผ่านการพิจารณารอบแรกจากสำนักพิมพ์แล้วนะคะ น่าจะได้มีโอกาสพบกันในฉบับรวมเล่ม ในช่วงปีหน้าค่ะ เท่าที่กะไว้น่าจะมีตอนพิเศษหวานๆ ของคุณสิงโตกับน้องแมว และเรื่องของคุณจากัวร์ร็อบค่ะ ส่วนจะมีตอนพิเศษอื่นๆ อีกไหม เราจะมาแจ้งให้ทราบเป็นระยะค่ะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยค่ะ หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไร คอมเมนท์ได้ท้ายตอน หรือในทวิตเตอร์ #คุณสิงโตที่รัก ก็ได้ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่า /โค้ง