ตอนที่ 22
“แม่ รอนี้ก่อนนะ”
ผมหน้าบูดทันทีเพราะเดินเข้าห้างกับการ์วินได้ไม่ถึงห้านาทีก็โดนไล่ให้มานั่งรอ คือผมก็เข้าใจแหละว่าถึงผมจะหน้าเด็กแต่ความโบราณของผมสูงมาก เวลาในสมาคมเดินช้ามากถ้าเทียบกับโลกภายนอกที่ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว เทคโนโลยีของมนุษย์ก็เจริญไปหมด ถึงจะเป็นประเทศแถวนี้ก็เถอะแต่มันก็เจริญตามประเทศรอบๆ อยู่ดี
ขนาดโทรศัพท์มือถือที่ผมเคยใช้เป็นตอนนี้หน้าตามันเปลี่ยนไปเยอะจนผมใช้ไม่เป็นแล้วอ่ะ แล้วช่วงหลังผมก็เลี้ยงแต่ลูกด้วย ไม่มีเวลาออกมาปรับตัวและจะให้ผมไปสะกดมนุษย์ให้ช่วยสอนตัวเองเป็นอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้อีก ดิออนคงโกรธผมตาย
“ไม่ แม่จะไปด้วย”
ผมกอดแขนลูกที่สูงกว่าไว้เลย ถึงลูกจะขอมากับดิออนก็เถอะแต่ผมก็อยากทำหน้าที่แม่บ้าง ทำไมอ่ะ ผมไม่ดีตรงไหน ลูกอยากได้อะไรผมก็ซื้อให้!
“ผมจะไปซื้อชุดเฉยๆ ไม่อยากให้แม่รอนาน”
ลูกก้มมองผมแล้วพูดนิ่งๆ
ให้ตายเถอะ นี่ลูกหรือดิออนเนี่ย ผมชักจะไม่แน่ใจแล้ว
“ไปด้วย”
ผมหน้ามุ่ยไม่ยอมไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ร้านจัดเอาไว้ให้คนนั่งรอ
“..ครับ”
ลูกผมยิ้มนิดๆ แล้วเดินนำผมเข้าไปในร้านขายสูทที่เหมือนจะมีบริการตัดชุดให้ทันทีด้วย ซึ่งผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตื่นเต้นเพราะมันเว่อร์มาก อะไรกันเนี่ย ผ่านไปไม่กี่ร้อยปีโลกมนุษย์มันขนาดนี้เลยเรอะ
ให้ตายเถอะ วันหลังถ้าออกมาทำภารกิจผมต้องไปเล่นหน่อยแล้ว แต่อีกใจก็กลัวโดนจับได้ว่าผมตามโลกข้างนอกไม่ทัน ขนาดจะขึ้นรถประจำทางผมยังใช้ไม่เป็นเลยอ่ะต้องให้การ์วินทำให้ทุกอย่าง
“ลูกจะเอาชุดไปทำอะไรนะ”
ผมมองลูกที่ยืนเลือกชุดบนหน้าจอสัมผัสแล้วกระพริบตาปริบ
“เดือนหน้าผมจะไปเรียนโรงเรียนมนุษย์แล้ว แม่จำไม่ได้เหรอ”
“..แล้วจะไปจริงๆ เหรอ”
ผมถามหงอยๆ คือลูกจะไปอยู่หอกับพวกมนุษย์เลยอ่ะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรทำแหละเพราะสมาคมก็ต้องการเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าใจความเป็นไปของโลกมนุษย์ เมื่อก่อนผมก็ได้เป็นคนไปเรียนเหมือนกันแต่ก็นานจนผมจำไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่ๆ คือผมนอนที่สมาคม
“แต่พ่ออนุญาตแล้วนะครับ”
“ก็ไม่อยากให้ไปอ่ะ กลับเดือนละครั้งเอง”
ผมงอแง เริ่มเข้าใจว่าทำไมพ่อผมถึงให้คนมาตามผมเป็นประจำ แค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกเย็น ผมก็ใจหายแล้วอ่ะ การ์วินเป็นลูกคนแรกที่ผมเลี้ยงมากับมือเลยนะ! แถมผมยังเลี้ยงโตด้วย!
“ถ้าลูกไม่อยู่แล้วใครจะแอบซื้อขนมให้แม่อ่ะ”
ผมหงอยกว่าเดิม เริ่มคิดว่าผมควรจะหนีสมาคมไปเรียนกับลูกด้วยดีไหม
“แม่ขอพ่อดีๆ พ่อก็ไม่ว่าหรอก ..แม่ว่าผมใส่สีดำหรือสีเทาดี”
การ์วินหัวเราะแล้วดึงแขนให้ผมไปยืนใกล้ๆ เพื่อช่วยเลือกชุด แต่ลูกผมมันได้หน้าจากดิออน จะใส่ชุดไหนก็หล่ออ่ะ
“สีเทา สีดำให้พ่อใส่คนเดียวก็พอ”
“งั้นผมใส่ซื้อสีเทานะครับ”
“แล้วจะไว้ใส่ไปไหนอ่ะ งานโรงเรียนเหรอ”
ผมหงอยอีกรอบนึกถึงตัวเองสมัยเรียน ตอนนั้นก็มีพวกงานพรอมงานอะไรเหมือนกัน และแน่นอนสิ่งที่ผมชอบที่สุดในโรงเรียนคือการได้เรียนวิชาลีลาศเพราะเป็นวิชาเดียวที่ผมได้คะแนนดีมาก
“ครับ โรงเรียนให้ซื้อไว้เป็นชุดทางการเผื่อได้เข้าร่วมพิธีสำคัญกับพวกรัฐบาลครับ”
“…เหรอ”
ผมพยักหน้ารับซึมๆ
ให้ตายเถอะ จริงๆ ผมก็ภูมิใจแหละที่ลูกผมหัวดีจนเข้าโรงเรียนระดับท็อปของพวกมนุษย์ได้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างส่งผลดีต่อสมาคมเพราะในโรงเรียนพวกนั้นจะมีพวกลูกหลานคนในรัฐบาลและวาติกันเรียนอยู่ ฉะนั้นถ้าพวกมนุษย์คิดจะทำอะไรพวกแวมไพร์อย่างผม พวกผมก็จะไหวตัวทันและเผ่าพันธุ์แวมไพร์จะได้ไม่ล่มสลาย
ถึงแวมไพร์อย่างพวกผมจะรักสงบและค่อนข้างทรงอำนาจในตอนนี้ก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันพวกวาติกันอาจจะเอาชนะพวกผมได้ก็ได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดสมาคมขึ้นมาได้ก็เพราะความแข็งแกร่งของพวกวาติกันนั่นแหละ
“..ผมอยากกินคุกกี้ แม่ซื้อให้ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิ! เดี๋ยวแม่ไปซื้อให้!!”
ผมตาวาวทันทีเพราะตอนเดินมาร้านนี้ มีร้านขายคุกกี้ร้านนึงที่น่ากินมากๆๆ แต่คือวันนี้พาลูกมาซื้อชุดไง ผมจะซื้อขนมของตัวเองก่อนก็ยังไงอยู่ เลยต้องอดทนทำเป็นไม่สนใจ แต่ถ้าลูกอยากกินมันก็ช่วยไม่ได้แหละนะ
“ซื้อเสร็จแล้วก็รอที่ร้านนะ ห้ามไปไหน”
ผมกำชับลูกด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงผมจะไม่เคยมีประสบการณ์ทำการ์วินหายก็เถอะ
“ครับ”
การ์วินพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
ทำไมผมถึงเลี้ยงลูกได้ดีขนาดนะ!
ผมยิ้มจนตาหยีให้ลูกแล้วถึงเดินย้อนกลับไปร้านขายคุกกี้ที่ผมไม่เคยกินมาก่อน น่าจะเป็นร้านใหม่ที่เพิ่งมีไม่ถึงร้อยปีเพราะผมเป็นแฟนตัวยงกับขนมของพวกมนุษย์มาก งานฮาโลวีนปีนี้ผมก็ว่าจะไปเล่นอยู่ และแน่นอนว่าปีนี้ผมต้องไม่โดนล้อว่าเป็นแวมไพร์ปลอมหรือใส่เขี้ยวปลอมอีก ไม่อย่างนั้นคงอายลูกสองคนที่พาไปด้วยตายเลย
ก็รอบที่แล้วพาไปมีแต่ดิออนอ่ะที่เด็กๆ กลัว ส่วนผมเหรอนอกจากจะไม่กลัวแล้วยังโดนแย่งขนมอีก หรือว่าจริงๆ แล้วผมควรจะแต่งเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แวมไพร์ แต่เป็นมนุษย์หมาป่าอะไรแบบนี้
ซึ่งระหว่างที่ผมเดินและคิดเรื่อยเปื่อยโลกก็ใจร้ายกับผมอีกแล้ว
ผลั่ก!
“โอ๊ย”
ผมร้องออกมาเบาๆ ตอนที่อยู่ๆ มีมนุษย์ตัวโตที่ไหนไม่รู้เดินชนผมจนเซ แต่พอผมจะเงยหน้าขึ้นไปโวยวายก็พบว่าไอ้มนุษย์บ้านั่นมันหายไปแล้ว
“อะไรเนี่ย”
ผมบ่นอุบลูบแขนตัวเองที่ยังชาอยู่เซ็งๆ
ออกมานอกสมาคมที่ไรผมซวยทุกทีเลยอ่ะ แล้วดิออนก็ไม่อยู่ด้วย งอแงไปก็ไม่มีใครโอ๋อ่ะ ผมเลยได้แต่ฮึบเอาไว้แล้วเดินไปซื้อคุกกี้เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง
ผมอายุใกล้พันแล้ว ห้ามร้อง!
ผมคิดอย่างมุ่งมั่นแล้วก็ลืมเรื่องเจ็บไปเลยพอมาเจอร้านคุกกี้ที่ผมเล็งเอาไว้ ผมมองคุกกี้ที่หลังตู้กระจกตาวาว ดีหน่อยที่พวกขนมทั่วไปก็ยังมีมนุษย์ขายเหมือนเดิม ผมเลยไม่ต้องคิดมากตอนสั่งว่าจะสั่งยังไง
และแน่นอนว่าผมสั่งรสที่ตัวเองชอบแล้วก็ของอลิสกับการ์วินอย่างละสี่ ส่วนดิออนก็ให้กินผมแหละ ปกติมันก็กินแค่คำสองคำเพราะไม่อยากแย่งผมกินแล้วมันก็ไม่ได้ชอบของหวานขนาดนั้นด้วย
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มให้กับพนักงานแล้วรับถุงคุกกี้มากอดอย่างหวงแหน ก่อนจะเดินกลับไปหาการ์วินด้วยอารมณ์ที่ดีมาก และดีขึ้นไปอีกตอนที่ผมหยิบขึ้นมากินแล้วมันอร่อยกว่าที่ผมคิดอีก
ผมเลยรีบสาวเท้ากลับไปหาลูกเพราะอยากแบ่งขนมให้ลูกกิน แต่ความอารมณ์ดีของผมก็หายไปทันทีตอนที่เดินมาถึงร้านแล้วพบว่าการ์วินหายไปแล้ว
ไม่สิ ร้านก็หายเหมือนกัน!!!
;w;
ผมยัดคุกกี้ที่เหลือเข้าปากแล้วกลืนเลย ไม่กล้าชื่นชมรสชาติต่อเพราะตอนนี้สถานการณ์ของผมวิกฤตมาก ผมกำลังหลงทางในห้างของมนุษย์ซึ่งมันก็มีหลายชั้นและใหญ่มาก แน่นอนว่าผมต้องรีบหาลูกให้เจอก่อนที่ลูกจะให้พวกมนุษย์ประกาศตามหาผม
ให้ตายเถอะ ถ้าดิออนรู้ว่าผมจำได้แต่ทางไปซื้อขนมคงโดนมันดุแน่ๆ
ผมหน้ามุ่ยก่อนที่จะเปิดประสาทสัมผัสตัวเองเพื่อใช้ในการตามหาการ์วินที่น่าจะหลับรอผมแล้ว
“...?”
ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเพราะพอเปิดแล้วผมก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของลูก ทั้งๆ ที่ปกติแล้วจะเจอทันที
“..พวกวาติกันเหรอ”
มันเริ่มไม่ปกติแล้วอ่ะ
ผมเดินเข้ามุมอับของห้างที่ไม่มีใครสนใจแล้วใช้พลังแวมไพร์ในการค้นหาแบบเต็มที่ และแน่นอนว่ามันทำให้ผมปกปิดตัวตนตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
“วาติกัน!”
ผมสบถออกมาอย่างอดไม่ได้เพราะตัวตนของลูกผมน่าจะถูกพวกวาติกันใช้พลังอะไรสักอย่างของพวกมันอำพรางไว้ แล้วตอนนี้มันก็คงจะรู้แล้วด้วยว่ามีแวมไพร์ในอาณาเขตมัน แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรอีกแล้ว
ตอนนี้ผมโกรธ โกรธมากพอที่จะฆ่าพวกวาติกันด้วยซ้ำ!
ผมคำรามในลำคออย่างขุ่นเคืองแล้ววิ่งไปทิศทางที่ผมสัมผัสถึงลูกได้ ดีที่มันไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่แต่มันก็ยังเป็นบริเวณลับตาของห้างอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพวกวาติกันมันมีหุ้นส่วนกับห้างหรือยังไงทำไมถึงสร้างพื้นที่ตรงนี้ได้
“การ์วิน!!”
ผมเปิดประตูเข้าไปและตะโกนเรียกลูกทันทีตอนที่เห็นลูกอยู่ในร่างแวมไพร์และกำลังตีกับวาติกันอยู่
“แม่”
การ์วินเรียกผมด้วยสีหน้าซีดลงนิดๆ ชุดสูทสีเทาที่เพิ่งตัดมาใหม่นั้นชุ่มด้วยเลือดจนผมโกรธมากกว่าเดิม ก่อนที่ผมจะคืนร่างแวมไพร์ในพริบตาและพุ่งเข้าไปจัดการมัน
“อย่าหาเรื่องใส่ตัว วาติกัน!!”
ผมตะคอกใส่มันพร้อมกับฟาดดาบที่ผมสร้างขึ้นมาใส่แขนมันอย่างไม่ลังเล
มันทำร้ายการ์วิน!
“..แวมไพร์อย่างพวกแกต่างหากที่อย่าหาเรื่องใส่ตัว”
วาติกันยกดาบของมันขึ้นมากันดาบของผมก่อนที่มันจะโต้กลับผมอย่างดุดัน ซึ่งพอผมมองหน้ากับตัวมันชัดๆ ถึงรู้ว่ามันน่าจะเป็นไอ้มนุษย์บ้าที่ชนผมเมื่อกี้แถมยังหน้าตาเหมือนน้องชายดิออนอีก
ให้ตายเถอะ น้องเซนอะไรนั่นก็ตายไปตั้งนานแล้ว ทำไมผมยังต้องมาเจอลูกๆ หลานๆ อีกเนี่ย
“หาเรื่องใส่ตัวตรงไหน ก็แค่มาเดินห้างเฉยๆ ไหมอ่ะ”
ผมบ่นเซ็งๆ แต่ที่เซ็งกว่าคือไอ้วาติกันนี้มันเก่งมาก คือถ้าผมต้องสู้กับดิออนที่เป็นวาติกันก็คงจะประมาณนี้อ่ะ ผมแทบจะหาจังหวะทำร้ายมันไม่ได้เลย
เอาเข้าจริงผมสารภาพตามตรงว่าถ้าจะฆ่าวาติกัน ผมสามารถทำได้ง่ายๆ เลย แต่ผมยังไม่อยากให้เกิดสงครามระหว่างแวมไพร์กับวาติกันไง เลยต้องพยายามเลี่ยงจุดตายมันไปด้วย
ช่วงนี้สถานการณ์ก็สงบสุขดีอยู่แล้ว ผมไม่อยากเป็นคนจุดชนวนอะไรขึ้นมาหรอกนะ
“ครูซ บราวน์ รู้ไหมว่าแกทำอะไรลงไป”
“ทำอะไรล่ะ”
ผมหน้ามุ่ยเพราะผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมผมต้องเป็นคนผิดตลอดเลยเนี่ย ไอ้น้องเซนมันต้องแค้นดิออนกับผมมากแน่ๆ เลยอ่ะ ถึงได้ส่งต่อความแค้นกันมาได้ขนาดนี้
ทำไมถึงไม่มีใครมองว่าผมน่ารักบ้างเลย
“แกทำให้พวกเราต้องอับอาย!! แถมยังสร้างบาปมหันต์ให้กับเรา! ถ้าไม่ใช่เพราะแก ท่านดิออนก็คงไม่หลงผิดและหันหลังให้กับพระเจ้า! แถมยังต้องแบกรับบาปจากการเป็นพวกวิปริตผิดเพศอีก!”
“...”
ผมขมวดคิ้วค่อยๆ คิดตามที่มันว่าและต้องขมวดคิ้วมากกว่าเดิมเพราะเริ่มจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ที่แน่ๆ ที่ผมมั่นใจคือผมไม่ได้เป็นคนล่อลวงมันสักหน่อย!! พอรู้ว่ามันเป็นวาติกันผมก็หัวใจแทบวาย
“คนที่เป็นฝ่ายล่อลวงคือดิออนต่างหาก! ผมไม่ได้เป็นคนอ่อยสักหน่อย!”
ผมโวยวายเสียงดังลั่นเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ก่อนที่พวกวาติกันจะเข้าใจผมผิดไปมากกว่านี้ ให้ตายเหอะ ภาพลักษณ์ผมในสายตาพวกวาติกันคงเป็นปีศาจตัวร้ายที่หลอกดิออนอ่ะ ซึ่งมันก็ผิดกับความจริงมากเพราะไอ้คนที่ดูเหมือนจะน่าสงสารก็เป็นคนเดียวกับที่ทำผมท้องในเวลาติดกันในเวลาไม่กี่ปีเนี่ยแหละ
“แล้วอีกอย่างนะ ถ้าจะเรียกว่าผมผิดเพศเพราะมีลูกไม่ได้ คนที่นายแทงอ่ะผมท้องเองตั้งหลายเดือน!!”
“...”
ไอ้วาติกันที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้มันก็ยืนช็อคไปเลย
ส่วนผมที่ขี้เกียจจะสนใจวาติกันไร้สาระนี้แล้วก็พุ่งไปหาลูกทันที
“เจ็บไหม”
ผมมองเสื้อสูทลูกที่ชุ่มเลือดทั้งน้ำตา ถึงจะไม่รู้ก็เหอะว่าทำไมเลือดถึงออกทั้งๆ ที่ไม่มีแผลก็เถอะ แต่ผมก็ร้องแล้วอ่ะ ลูกไม่ยอมร้อง ผมร้องให้เอง
“ไม่เจ็บ”
“แล้วทำไมไม่เจ็บอ่ะ”
ผมถามงงๆ คือก็ไม่ได้อยากให้ลูกเจ็บหรอก แต่ผมก็งงไง
“น้ำแดง”
ลูกผมตอบด้วยสีหน้าเหมือนเดิมแล้วยื่นแก้วน้ำแดงที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วให้ผม
“ผมซื้อให้แม่”
“...”
ผมร้องไห้เสียเที่ยวอีกแล้วเหรอเนี่ย
“ผมซื้อเสร็จแล้ว กลับบ้านเลยไหมครับ” ลูกผมหยิบถุงคุกกี้จากมือผมไปถือเอง แล้วเหลือบมองวาติกันที่เหมือนจะได้สติแล้วและกำลังจะมาตีกับผมอีกรอบ
“ยังไงซะ ปีศาจอย่างแกก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ พระเจ้าจะไม่ให้อภัยสวะอย่างแกแน่ๆ ครูซ!”
แน่นอนว่าคำด่าของเจ้าวาติกันนี่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บสักนิด ผมเลยกะจะพูดตัดบทมันไปแล้วพาลูกกลับบ้าน แต่การ์วินกลับพุ่งเข้าไปตีกับวาติกันนี่อีกรอบซะงั้น
“การ์วิน!!”
ตอนอยู่สมาคมผมก็เห็นลูกไม่เห็นลูกใจร้อนไปตีใครแบบนี้นะ ปกติก็เห็นนิ่งๆ เย็นๆ เหมือนดิออนอ่ะ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่นอกจากเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันสองสามคน
“ถอนคำพูดซะ!! มนุษย์!!!”
“...”
สารภาพตามตรงว่าผมไม่เคยเห็นการ์วินโกรธขนาดนี้มาก่อน และลางสังหรณ์ของผมก็เดาว่าคนที่ตีกับวาติกันก่อนก็น่าจะเป็นการ์วินอีก
“มีอะไรต้องถอนวะ ปีศาจอย่างพวกแกมันก็ชั่วเหมือนๆ กันนั่นแหละ”
เจ้าวาติกันนั่นก็ยังคงปากดีไม่เลิก แต่ให้ตายเถอะ ชุดวาติกันที่มันใส่ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ดิออนใส่เลยอ่ะ เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากเปรียบเทียบกับชุดแวมไพร์หรอก แต่ตอนมันใส่ชุดวาติกันแล้วหล่อมาก
คิดไปคิดมาก็คิดถึงดิออนอ่ะ ไม่รู้เหงาไหมอยู่สมาคมคนเดียว ลูกก็ไปโรงเรียน มันก็คงนอนเศร้าคิดถึงผมอยู่ที่สมาคม ถึงผมจะเพิ่งออกมาจากสมาคมได้ไม่ถึงครึ่งวันก็เถอะนะ
“ขอโทษเดี๋ยวนี้ มนุษย์”
ผมตาโตอีกรอบตอนที่เจ้าวาติกันที่หน้าเหมือนน้องดิออนมากองแทบเท้าผมด้วยฝีมือการ์วิน ซึ่งสภาพของมันก็สะบักสะบอมมาก แย่กว่าผมตอนโดนประตูหนีบในร่างค้างคาวอีก
“..ไม่เป็นไรหรอก การ์วิน”
ผมพูดเสียงเบาเพราะลูกดูโกรธมากที่ผมโดนวาติกันดูถูกอ่ะ
การ์วินสบตากับผมซึ่งผมก็ใจชื้นนึกว่าลูกจะยอมปล่อยมนุษย์นี้แล้วกลับบ้าน แต่ลูกก็ยังรังแกเจ้าวาติกันที่น่าสงสารนี้เหมือนเดิม
“ขอโทษเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน”
ไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอก็รู้อ่ะว่าลูกดิออน โหดเหลือเกิน ไม่บอกนึกว่าตอนผมเจอกับดิออนครั้งแรกอ่ะ กลั่นแกล้งผมที่เป็นแวมไพร์ที่รักสันติที่สุดในโลกไม่หยุด ส่วนเจ้าวาติกันนี้ก็ดูจะอายุไม่เท่าไหร่เอง ไม่น่าจะถึงยี่สิบด้วยซ้ำ โลกทั้งใบที่รู้จักก็คงมีแต่วาติกัน จะโดนล้างสมองแล้วเชื่อจนสนิทใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก คนที่แปลกก็คือดิออนต่างหากที่ไม่ยอมกลายเป็นพวกคลั่งศาสนาไปด้วย
แต่ให้ตายเหอะ ผมอายุจะพันปีแล้วยังตัวเล็กกว่ามนุษย์อายุไม่ถึงยี่สิบเหรอ!!!
โลกนี้มันชักจะใจร้ายกับผมเกินไปแล้วนะ!
“แม่เป็นอะไร”
การ์วินสะดุ้งทันทีที่อยู่ๆ ผมก็น้ำตาคลอเบ้า
“ทำไมลูกสูงแต่แม่ไม่สูงอ่ะ ไม่ยุติธรรมเลย!”
ผมงอแงเพราะไม่สูงสักที ที่อยากสูงก็ไม่ใช่อะไร ผมขี้เกียจเขย่งตอนจูบดิออนอ่ะ ไม่รู้ว่าเป็นแวมไพร์หรือเป็นเปรตกันแน่ สูงเหลือเกิน
“...”
ลูกเหมือนทำหน้าไม่ถูกไปสักพักก่อนจะกลับมาขึงขังอีกรอบตอนที่วาติกันพยายามจะขืนตัวหนี
“ขอโทษก่อนสิ แล้วผมจะปล่อย”
เจ้าวาติกันหน้าบูดกว่าเดิมแต่สุดท้ายก็ยอมขอโทษเพราะโดนลูกผมใช้เข่ากดตัวแรงจนร้องโอดโอยไม่หยุด
“โอ๊ย พอแล้วๆ ขอโทษ ขอโทษก็ได้ ปล่อยสักที”
การ์วินสบตากับผมอีกครั้งเหมือนจะถามว่าพอใจรึยัง แต่ผมก็ไม่ได้โกรธตั้งแต่แรกไง
“กลับบ้านเถอะ การ์วิน พ่อคิดถึงแย่แล้ว”
ผมพยักหน้าแกนๆ เชิงรับรู้ ลูกผมถึงยอมปล่อยเจ้าวาติกันนั่นแล้วเดินกลับมาหาผม นัยน์ตาสีฟ้าแบบเดียวกับผมยังดูขุ่นเคืองไม่หายที่ผมโดนดูถูก
แง ผมไม่ชอบให้ลูกต้องเป็นห่วงผมแบบนี้เลยอ่ะ
ผมที่คิดไม่ออกว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยยังไงดีเลยกินน้ำแดงที่ลูกให้มาสองสามอึกแล้วยิ้มจนตาหยี
“ขอบคุณที่ซื้อให้แม่นะ แต่ร้านนี้หวานมากเลยอ่ะ ถ้ากินหมดแก้วแม่คงต้องตัดขาอ่ะ”
ลูกผมหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มบางให้ผม
“กลับบ้านกันเนอะ”
ผมจับมือลูกกึ่งบังคับให้กลับเพราะอยู่นานกว่านี้เกรงว่าเจ้าวาติกันนี่จะเรียกพวกมายำผมเพิ่ม
“ครับ”
การ์วินรับคำเนือยๆ ดูไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้อะไรรีบพาลูกกลับบ้านเพื่อที่จะได้กลับไปอ้อนดิออนสักที ผมต้องการคนโอ๋จะแย่อยู่แล้ว ซึ่งระหว่างที่นั่งรถกลับบ้านผมก็ไม่ลืมจะเตี๊ยมกับลูกไว้กับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
“ห้ามบอกพ่อนะว่าแม่หลงทางอ่ะ”
“..เดี๋ยวนะ แม่หลงทางเหรอ”
ลูกผมที่นั่งสัปหงกอยู่ถึงกับตื่นขึ้นมาคุยกับผม
“ก็หลงอ่ะ ห้างใหญ่ขนาดนั้นใครจะไปจำได้”
ผมก้มหน้างุดเพราะไม่อยากให้ลูกจับได้ว่าผมจำได้แต่ทางไปซื้อขนม
“แต่ร้านเสื้อผมกับร้านคุกกี้มันห่างกันนิดเดียวเองนะ แม่ แค่เดินตรงๆ ก็เจอแล้ว”
“...คราวหน้าเอาพ่อมาด้วยก็ได้”
ไม่แค่คราวหน้าอ่ะ ทุกครั้งเลย
ผมจะไม่มาห้างกับลูกสองคนอีกแล้ว!
------------