ตอนพิเศษ บุกรังวาติกัน กี้! (2) ;w;
“…”
ผมจ้องค้างค้าวปิ้งเสียบไม้ในมือที่จริงๆ แล้วคือขนมที่ถูกทำขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหล ต่อให้มันจะเป็นแค่ขนมก็เถอะ แต่มันก็สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับผมมาก
;w;
มันน่ากินตรงไหนเนี่ย ให้ตายเหอะ ผมขอลาออกจากวงการขนมหวานชั่วคราว
ผมมองขนมในมือกลัวๆ แล้วรีบมองหาผัวผมเพื่อหาทางกำจัดขนมชั่วร้ายอันนี้ แต่น่าเสียดายที่ความจริงก็ใจร้ายเสมอเพราะพอเงยหน้าขึ้นมาดิออนก็หายไปแล้ว ก่อนที่ผมจะถูกพวกวาติกันรุ่นเยาว์ที่อายุประมาณ ม.ปลาย มายืนล้อมหน้าล้อมหลังผมสามคน บนไหล่มีเข็มกลัดของพวกระดับทั่วไปแบบที่ผมเพิ่งกลัดไปก่อนขึ้นเกาะ
“นายน่ะมาเข้ากลุ่มกับพวกเราไหม!”
“…”
ผมยิ้มเจื่อนและคิดปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวคงเจอกันอีกแหละ ดิออนคงไม่หายไปไหนง่ายๆ หรอก
“อื้อ”
“ดีเลย! ทีนี้กลุ่มของพวกเราก็ครบสี่ตามกำหนดแล้ว”
วาติกันที่เอ่ยปากชวนผมพูดอย่างดีอกดีใจ ตาสีเขียวเป็นประกาย ดูกระตือรือร้นและดีใจสุดๆ ที่หาคนได้ครบสักที
“เจ้าชื่ออะไรเหรอ ข้าชื่อเอส ส่วนคนที่สูงๆ ชื่อเรย์ แล้วคนที่ยืนใส่แว่นชื่อเอ็ม”
“ครู- แค่ก คิน เราชื่อคิน”
เบื่ออ่ะ ผมต้องใช้แต่ชื่อปลอมอีกแล้ว ไม่รู้พวกวาติกันจะเกลียดผมอะไรนักหนา แค่ผมเอาดิออนมาเป็นผัวได้ คือแบนชื่อผมห้ามพวกวาติกันตั้งเป็นชื่อลูกเลยตลอดกาล แล้วยังบอกว่าเป็นชื่อต้องคำสาปด้วย หึ ต้องคำสาปอะไรกัน คำสาปความน่ารักเหรอ ดิออนถึงได้ชอบผมขนาดนี้
“ดีใจที่ได้รู้จักนะ! เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
เอสยิ้มตาหยีให้ผมซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนอายุเท่ากันมาก เมื่อก่อนผมก็ดีดประมาณนี้แหละ เป็นมิตรกับทุกคน ผูกมิตรชาวบ้านไปทั่ว
คิดถึงจังเลยแฮะ สมัยที่ผมยังไม่กร็อบๆ
“ว่าแต่นายอยากกินขนมไหม เราให้”
พอได้จังหวะผมก็หาทางกำจัดขนมในมือทันที ไม่รู้ล่ะ ยังไงผมก็ไม่มีวันกินมันแน่นอน สยองขวัญมาก คือถ้าเป็นรูปไม้กางเขนหรืออะไรอย่างอื่น ผมก็ยังพอทำใจแทะได้อยู่หรอก
“กินๆ ทำไมนายไม่กินอ่ะ เราว่ามันก็อร่อยดีออก ถึงหน้าตามันจะแปลกๆ ก็เหอะ”
เพื่อนใหม่ของผมรับไปกินอย่างว่าง่าย
“พอดีเราอิ่มแล้วอ่ะ”
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วพยายามมองหาดิออนของผมอีกรอบ แต่ก็ล้มเหลวเพราะคนเดินพลุกพล่านมากซึ่งก็น่าจะหากลุ่มกันนั้นแหละ เอาจริงเอสมาชวนผมเข้ากลุ่มก็ดีเหมือนกัน เมื่อกี้ตอนเขาประกาศต่อผมไม่ได้ฟังอะไรเลย มัวแต่ยืนหาว
“ปีนี้ตระกูลเบเกอร์ส่งมาแค่นายเหรอ”
คราวนี้เอ็มเป็นฝ่ายถามผมบ้างเพราะเอสกำลังอร่อยกับขนมอยู่
“ใช่”
ผมเบื่อๆ พร้อมกับเดินตามเอสที่พาเดินไปไหนไม่รู้
“นายรู้ตัวไหมว่านายโชคดีมากเลยนะที่ถูกผู้อาวุโสหมายตา”
“เหรอ”
ไม่เลยสักนิด รู้สึกเย็นสันหลังวูบๆ มากกว่า ผมไม่กลัวโดนจับได้ว่าเป็นแวมไพร์ปลอมตัวมาหรอก แต่กลัวมากกว่าว่าดวงของผมจะทำให้ผมเจออะไรซวยๆ กว่านี้
“ใช่ เพราะแต่ละปีจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าตาผู้อาวุโสและนายก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นของปีนี้”
สุดยอดไปเลย แผนของน้องผมคือดิออนจะเป็นคนนั้นไง เพราะผัวผมน่าจะปลอมเนียนกว่า แต่หวยลงที่ใคร ลงที่น้องครูซคนเดิมนั่นเอง
แต่เอาจริงๆ ผมโดนก็ดีกว่าดิออนโดนแหละ ผมทนเห็นดิออนเป็นอะไรไปไม่ได้หรอกนะ ไม่งั้นใครจะเป็นคนปลอบผมเวลาผมน้ำตาแตกกันล่ะ
“แล้วนายพอจะรู้ไหมว่าถ้าโดนเลือกแล้วท่านผู้อาวุโสจะเอาไปทำอะไรต่อ”
แน่นอนว่าผมก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองถ่อมาถึงนี้เพื่อทำอะไร ถึงผมจะอยากให้เป็นฮันนีมูนก็เหอะ แต่สภาพเกาะน่ากลัวงี้ก็โรแมนติกไม่ไหวอ่ะ
“ไม่รู้สิ เมื่อก่อนเหมือนจะได้รับอาวุธระดับสูง แต่ปีสองปีนี้เหมือนจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เอาเป็นว่ายังไงฉันก็อิจฉานายชะมัดเลย เพราะฉันว่านายมีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเลือก”
“ผู้อาวุโสอาจจะแค่ทักตามมารยาทเฉยๆ ก็ได้”
ผมพยายามถ่อมตัวและแอบกลืนน้ำลาย
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในเกาะน่ากลัวแบบนี้น่ะเหรอ น่ากลัวอ่ะ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน ให้ตายเหอะ ผมสาบานเลยว่าจะเลิกบ่นเวลาที่ต้องไปตีจัดการพวกวาติกันในเมือง ใครจะไปรู้อ่ะว่าพวกนอกรีตพวกนี้จะน่ากลัวกว่าพวกนั้นเป็นร้อยเท่า
“ไม่หรอก นายก็คงมีอะไรน่าสนใจนั่นแหละ ท่านถึงได้สนใจ”
“คงงั้นมั้ง”
ผมพยักหน้าส่งๆ แล้วตาโตกับห้องที่เอสพาเข้ามา เพราะมันเป็นห้องโถงอีกห้องที่ใหญ่มากและถูกกั้นเป็นโซนแต่ละโซน มีโซนยิงเป้า ลานประลอง การใช้คาถาอาคม การเรียกสัตว์วิเศษ อะไรอีกหลายอย่างเต็มไปหมด แต่ที่เด่นที่สุดคือแต่ละโซนมีชื่อเขียนอยู่บนอากาศด้วยอาคมอะไรสักอย่างพร้อมกับคะแนนที่ทำได้
ผมหน้าซีดทันทีเพราะโซนแรกที่เอสพามาคือยิงปืน แล้วทักษะการยิงปืนของผมก็แย่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เอาเป็นว่าผมยิงไม่โดนตัวเองก็ดีแค่ไหนแล้วอ่ะจริงๆ
“เรามารีบทำคะแนนกันเถอะ ท่านผู้อาวุโสบอกว่ากลุ่มที่ทำคะแนนรวมได้เยอะที่สุดจะมีรางวัลพิเศษด้วย อย่างน้อยๆ ต่อให้ไม่ถูกเลือกแต่ได้ของฟรีกลับบ้านก็ยังดีนะ!”
“แต่ท่านอาวุโสให้เวลาตั้งหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ ผมว่าเราไปพักกันก่อนไหม”
เรย์ที่เงียบมาตลอดทางอยู่ๆ ก็เสนอขึ้นมา ซึ่งถ้าให้เดาคงจะเวทนาผมที่หน้าเจื่อนมาก
“ทำคะแนนไว้ก่อนสักฐานก็ยังดี อย่างน้อยก็ถือว่าจะได้แอบสำรวจคู่แข่งด้วยว่าปีนี้มีใครที่น่ากลัวบ้าง”
“ก็ได้”
ฮึก จริงๆ ผมก็อยากจะแย้งนะ แต่แบบยิงรอบไหนมันก็คงห่วยเหมือนกัน ฉะนั้นก็ยิงๆ ไปเหอะ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากยิงแล้วพวกเอสจะไล่ผมออกจากกลุ่มไหม เพราะคะแนนที่ผมทำได้น่าจะห่วยแตกมาก
คือแบบไอ้ตอนสอบเอาใบ ผมก็ยิงได้แหละแต่มันนานมากแล้ว ทุกวันนี้ใช้แต่พลังแวมไพร์ทุบคนอื่นอ่ะ เฮ้อ
“เอาไปๆ ยิงให้โดนค้างคาวสีแดงนะ เป็นแต้มสูงสุดจากทุกเป้าเลย ผู้อาวุโสบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีใครยิงโดน ฉะนั้นกลุ่มเราต้องเป็นกลุ่มแรกที่ยิงโดน!”
เอ็มที่ผมไม่รู้ว่าหายไปเอาปืนตอนไหนกลับมาพร้อมปืนยาวแบบโบราณ อาคมแห่งแสงสว่างที่ลงไว้บนปืนส่องแสงสว่างออกมาจางๆ ดูทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
ผมกลืนน้ำลายเอือกตอนที่รับมาถือแล้วสัมผัสได้ถึงพลังที่อาบอยู่บนปืน
“..?”
ผมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติจางๆ ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะตามหลักแล้วพลังของพวกวาติกันควรจะเป็นพลังบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่ แต่สิ่งที่อยู่ในมือผมกลับแสดงชัดออกมาถึงอารมณ์ความโศกเศร้าเคล้ากับความเกลียดชังซ่อนอยู่
ถึงมันจะเบาบางมันจนแทบจะไม่รู้สึก แต่ผมก็สัมผัสมันได้ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
อาจจะเพราะมันน่าจะใกล้เคียงกับ ‘ความชั่วร้าย’ ที่พวกวาติกันตราหน้าพวกแวมไพร์ล่ะมั้ง
ทำไมปืนของพวกวาติกันนอกรีตถึงมีอะไรแบบนี้อยู่?
แน่นอนว่าผมคงได้คำตอบแน่ แต่การได้มาซึ่งคำตอบก็คงจะไม่ง่ายเท่าไหร่ และผมก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่หนักหนาจนทำผมกับดิออนต้องบาดเจ็บอ่ะนะ
“ให้คนอื่นยิงก่อนไหม เรายิงปืนไม่เก่งอ่ะ”
ผมถามด้วยความหวังเล็กๆ ว่าจะมีคนอยากเปิดประเดิมก่อนผม
“ไม่ล่ะ นายก่อนเลย เอาคนที่น่าจะดวงดีที่สุดของวันนี้เปิดน่าจะดีที่สุด”
แต่น่าเสียดายที่เอ็มก็ตัดบทผมไวมากแล้วยัดกระสุนเงินสี่นัดใส่มือผม
“กติกาคือยิงให้โดนอะไรก็ได้ด้วยกระสุนสี่นัดนี้ในเวลาสามนาที ยิงได้คนละสี่นัด ยิงโดนค้างคาวแดงแต้มจะเยอะสุด ส่วนพวกปีศาจอื่นๆ จะรองลงมา ถ้าเป็นไปได้ก็ยิงให้โดนพวกแวมไพร์ละกัน คะแนนเยอะ แล้วก็ยิงให้ทันด้วยล่ะเพราะเราต้องยิงพร้อมกับทีมอื่นๆ ”
“...”
ลำพังแค่ยิงให้โดนยังยาก นี่ต้องมายิงแข่งกับคนอื่นอีกเหรอ ถามจริง แข่งยิงเป้าบินแบบหมู่เหรอ ให้ตายเหอะ นี่มันจะโหดร้ายกับน้องครูซเกินไปแล้ว
หัวใจผมต้องทำด้วยอะไรอ่ะ ถึงจะทำยิงเผ่าพันธุ์เดียวกันได้อ่ะ ใจร้าย ผมไม่ยิงหรอก! ผมไม่ได้ใจร้ายเหมือนพวกวาติกันนอกรีตซะหน่อย
ผมคิดเศร้าๆ แต่ก็เดินต็อกแต๊กไปประจำที่เพราะไร้ทางเลือก ก่อนที่ผมจะตาโตอีกรอบเพราะไอ้คนที่ยืนข้างผมมันก็คือไอ้คนที่ข่มผมบนเรือเมื่อกี้!
“แค่ท่านผู้อาวุโสคุยด้วย อย่าคิดว่าท่านจะเลือกจะเจ้า”
“อือ”
ผมพยักหน้าส่งๆ ขี้เกียจมีเรื่อง จะเกลียดผมหรืออะไรก็ช่างเหอะ แต่อย่าเอาปืนมายิงผมที่เป็นแวมไพร์ตัวจริงก็พอ
“ท่านจะต้องเลือกข้า จำไว้ คนระดับต่ำต้อยอย่างเจ้าไม่มีทางได้รับเกียรติแบบที่พวกข้าได้รับแน่”
“อือ”
ผมตอบในลำคอเชิงรับรู้พร้อมๆ กับเอากระสุนนัดแรกใส่กระบอก ซึ่งปืนยาวของพวกวาติกันนอกรีตก็ดูจะค่อนข้างพิเศษและแปลกตา กลไกของมันก็เป็นแบบที่ผมไม่เคยเห็นแต่ก็ไม่ได้ใช้ยากอะไร
[ สองนาทีสุดท้ายสำหรับการเตรียมตัว ]
ผมหรี่ตามองกระบอกปืนในมือพยายามทำความคุ้นเคยกับมัน มันยิงได้ทีละนัดและไม่มีอะไรลำกล้องหรืออะไรช่วยเล็ง ฉะนั้นการยิงคือต้องอาศัยสัญชาตญาณผมล้วนๆ และผมคงไม่มีปัญญายิงโดนอะไร
เอาเหอะ ยังไงผมก็ไม่ได้กะจะมาเอารางวัลอะไรอยู่แล้ว ผมมาเพื่อหยุดพวกวาติกันนอกรีตพวกนี้ที่ไม่รู้แอบทำอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ มันคงทำให้ผมปวดหัวแน่นอน
[ 10 9 8 ]
ผมเอาปืนขึ้นมาตั้งท่าและพยายามมีสมาธิมองป่าจำลองข้างหน้าที่ถูกสร้างมาจากอาคมโบราณ ต้นไม้ใหญ่โต เถาวัลย์รกชัฏ ป้ายหินหลุมศพ และกลิ่นอายความชั่วร้ายที่ขจรขจายไปทั่วให้บรรยากาศราวกับว่าอยู่ในสถานที่จริง
[ เริ่ม! ]
สิ้นเสียงก็มีปีศาจจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นทันที มีทั้งพวกหมาป่า เซนทอร์ ยักษ์ ปีศาจทั่วไป แต่ที่เห็นจะเยอะที่สุดก็คงจะเป็นแวมไพร์
ปัง! ปัง! ปัง!
ผมกัดฟันแน่นมือสั่นท่ามกลางคนรอบตัวที่กระหน่ำยิงใส่พวกปีศาจไม่หยุด
คือต่อให้ผมยิงห่วยและปีศาจตรงหน้าเป็นของปลอมก็เหอะ แต่มันก็แบบ แง ผมยิงไม่ลงอ่ะ คือผมก็ได้ไปทุบปีศาจด้วยกันเองบ้าง แต่ก็ไม่เคยฆ่าใครอ่ะ มีปางตายบ้างแต่ก็ไม่ตายอ่ะ
;w;
แล้วผมก็ต้องตาโตตอนที่เห็นแวมไพร์ที่หน้าตาคล้ายผมโผล่ออกมา
ปัง!
ซึ่งมันก็ถูกยิงแทบจะทันที ดีหน่อยที่เวลาโดนยิงแล้วมันจะสลายกลายเป็นแต้มที่ได้ ไม่งั้นผมได้น้ำตาแตกแน่เพราะมันคงจะน่ากลัวมากกับการเห็นอะไรเลือดสาดตรงนี้
“ยิงสิ คิน! เดี๋ยวไม่ทันนะ!”
ใครไม่รู้ตะโกนเข้ามาทำให้ผมยอมกลั้นใจยิงอะไรสักอย่างไม่รู้ที่ขยับได้ไปนัดหนึ่งซึ่งก็ไม่โดนตามที่ผมคิด แต่ก็ดีแล้ว ผมไม่อยากยิงโดนอะไรหรอก แค่ทำเป็นเล็งให้ดูเหมือนพยายามแล้วแค่นั้นแหละ
ผมเอากระสุนใส่รังเพลิงแบบเร็วๆ แล้วเล็งอะไรไม่รู้แล้วก็ยิงมั่วอีกให้เสียกระสุนฟรี และใช่ผมทำได้ดีมาก ยิงไม่โดนอะไรเลย ขนาดจะยิงให้โดนต้นไม้ผมก็ยังยิงไปไหนก็ไม่รู้
คือถ้าผมเป็นวาติกันคนเดียวในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผมมั่นใจว่ามนุษย์คงสูญพันธุ์แน่นอน แต่อาจจะไม่สูญพันธุ์ก็ได้เพราะผมคงจะหาทางเปลี่ยนแวมไพร์ให้เป็นแฟนแหละ
ใช้กลยุทธ์แบบเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรไง เฉียบจะตายไป
“คิน!!! นัดสุดท้ายโดนหมาป่าสักตัวก็ยังดี!!!”
คราวนี้เป็นเอสที่ตะโกนมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้จนผมสงสาร แต่ผมก็บอกแล้วไงเล่าว่าผมยิงได้กากมากก็ยังจะมาให้ผมประเดิมคนแรกให้เป็นความอับอายของกลุ่มอีก
แต่เอาจริงไม่ว่าจะโยนผมไปฐานไหน ผมก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละเพราะผมเป็นแวมไพร์โว้ย แบบทดสอบพวกนี้ไม่ได้มีเพื่อผม เข้าใจไหม แต่เอาจริงขนาดของแวมไพร์ผมยังเละเลยอ่ะ ฉะนั้นถ้าอยากได้คนเก่งๆ ก็ไปหาผัวผมนู่น
“ค้างคาว!!”
ผมกลืนน้ำลายหวาดๆ ตอนได้ยินเสียงคนตะโกนกู่ร้องถึงค้างคาวสีแดงกันไม่หยุดก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระสุนปืนดังเป็นชุด แย่งกันยิงเจ้าค้างคาวสีแดงตัวจิ๋วที่ขนาดตัวพอๆ กับผมร่างค้างคาว
ปัง! ปัง! ปัง!
และค้างคาวตัวนั้นก็หลบพลิ้วมาก หลบได้กระสุนได้ทุกนัดสมกับเป็นเป้าที่แต้มสูงที่สุด มันบินแถ่ดๆ ไปมาแต่ก็ไม่มีกระสุนนัดไหนโดนตัวมันได้ จนวาติกันรุ่นเยาว์หลายคนที่ยิงจนกระสุนหมดแล้วสบถด่าหยาบคายกันออกมาไม่หยุด โดยเฉพาะคนข้างๆ ผมที่แทบจะแย่งกระสุนนัดสุดท้ายในมือผมไปใช้อยู่แล้ว
“ยิงสิ รออะไร มีกระสุนเหลือก็ยิงสิ แต่ยังไงเจ้าก็ยิงไม่โดนหรอก”
“อย่ามายุ่งได้ไหม”
ผมหน้าบูดเริ่มรำคาญและอยากฟ้องผัวผมให้มาทุบ คือปกติผมอยู่กับดิออนก็ไม่ค่อยมีใครมายุ่งไง เฮ้อ อยากกลับสมาคมแล้วอ่ะ อยากกลับไปใช้ชีวิตไปวันๆ เต็มทนแล้ว
ผมคิดเซ็งๆ แต่ก็ยัดกระสุนนัดสุดท้ายเข้ารังเพลิงแล้วก็เล็งเจ้าค้างคาวสีแดงนั่นบ้าง ถึงจะรู้ว่ายังไงผมก็ยิงไม่โดนก็เหอะ
ผมหรี่ตามองมันแต่ไม่ได้ใช้สมาธิอะไรในการยิง คือผมยังไม่เหี้ยมพอที่จะยิงค้างคาวหรอกนะ แบบถ้าไม่จวนตัวจริงผมก็คงไม่ทำอ่ะ
ปัง!
เจ้าค้างคาวสีแดงกลายเป็นแต้มหนึ่งหมื่นในพริบตา
และใช่ ไม่ใช่ผมที่ยิงโดนเพราะผมยิงโดนพวกยักษ์และแต้มแค่ร้อยเดียว
ผมมองตามเสียงฮือฮาดังลั่นและสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ว่าคนที่ยิงโดนคือดิออน
ดีเลิศ สุดยอด ยอดเยี่ยม เยี่ยมยอด อันดับหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์ มหัศจรรย์ ที่สุด สุดเหวี่ยง เลิศที่สุด หนึ่งเดียว แค่ก พอก่อน เพราะดิออนก็เหมือนจะเห็นผมแล้วเหมือนกันเลยยิ้มให้ผม
“…”
ผมหน้าแดง ไม่รู้เหมือนกันว่าคบกันจนลูกสามแล้วยังจะเขินอะไรอีก แต่ก็ผมก็ยังเขินอยู่ดี
“เหอะ ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ”
ไอ้ข้างๆ ผมก็ยังพูดแดกดันคนอื่นไม่เลิก แน่นอนว่าถ้าด่าผมผมไม่เคืองหรอกแต่ถ้าด่าผัวผมก็
“เก่งมากต่างหาก”
ผมแยกเขี้ยวใส่ ไม่พอใจมาก ว่าใครก็ว่าได้ แต่ห้ามว่าดิออนต่อหน้าผมเข้าใจไหม
“เหอะ หุบปาก ไอ้ร้อยแต้ม แต้มเจ้าต่ำที่สุดในรอบนี้เลยมั้ง”
“แล้วไง แต่เขาก็ได้แต้มเยอะกว่านายก็แล้วกัน!”
คะแนนของดิออนก็เหมือนคะแนนผมนั่นแหละ
“เหอะ รอดูคะแนนก็รวมแล้วกัน”
พอเถียงความจริงไม่ได้ มันก็ยักไหล่ใส่ผมกวนๆ แล้วก็เดินออกไป ซึ่งผมก็รีบเดินออกไปเหมือนกันเพราะอยากจะไปคุยกับดิออนสักสองสามคำ แต่ก็ล้มเหลวอีกเพราะดิออนโดนลากไปไหนก็ไม่รู้อีกแล้ว
ผมกอดปืนและเดินคอตกกลับไปหากลุ่ม
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คิน มีเวลาตั้งหนึ่งอาทิตย์ ถึงตอนนั้นคะแนนของนายต้องดีกว่านี้แน่ๆ ”
“ใช่ๆ ยังพอมีเวลาแก้มืออยู่”
แล้วทุกคนก็มายืนปลอบผมจนผมต้องปั้นหน้ายิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจ คือจะเฉลยทุกคนว่าติดผัวก็คงไม่ได้อ่ะ ผมยื่นปืนให้คนอื่นเอาไปยิงต่อแล้วขอตัวไปรอที่โซนพักผ่อนที่มีที่นั่งกินของว่างให้กินเล่น
แน่นอนว่าระหว่างทางก็พอจะมีคนแอบมองผมบ้างเพราะจำได้ว่าผมโดนผู้อาวุโสทัก ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะถ้าเผลอไปสบตาใครเข้า ผมก็อาจจะซวยกว่านี้
ผมเลือกที่นั่งหลบมุมกับขนมปังอะไรสักอย่างที่หน้าตาดูอันตรายน้อยที่สุดมากินเล่น ซึ่งรสชาติคราวนี้ก็ไม่เลวเลย เป็นขนมปังไส้ช็อกโกแลตที่หวานแบบที่ผมชอบเลย
‘…ช่วยด้วย’
ผมกระพริบตาปริบเมื่อได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ สักอย่าง
‘..นี่’
“!!!!”
ผมตาโตเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อขนมรูปกระต่ายที่ผมเอามาดันกระพริบตาได้
;w;
อะไรเนี่ย มีซอส XO ในขนมเหรอ แล้วที่ผมกลืนเข้าไปแล้วนี่มันใส่อย่างอื่นไว้ไหมเนี่ย
ผมคิดเครียดๆ หันหน้าเข้าหากำแพงและเอาหยิบเอาขนมที่น่าสงสัยมาวางไว้บนมือเพราะตอนนี้มันก็ยังจ้องผมไม่เลิกเลย
“นายเป็นผีขนมเหรอ”
ผมหน้าซีด แค่ขึ้นชื่อว่าผีผมก็กลัวแล้วอ่ะ คือแบบผมก็รู้แหละว่าผมก็ถือว่าเป็นผีในสายตาพวกมนุษย์เหมือนกัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันนี่นา พวกผีที่ผมเคยเจอมีแต่น่ากลัวๆ ง่ะ ถึงจะนานๆ เจอก็เหอะ
“แต่นายเป็นขนมนะ เป็นขนมถ้าไม่โดนกินจะทำอะไรอ่ะ หรือนายเป็นเพื่อนของพวกคุกกี้ที่หนีออกจากเตาอบแม่มด แล้วจะมาแก้แค้นผมที่กินขนมเยอะเกินไป”
ผมฟูมฟายเพราะพันปีมานี้ผมกินขนมเกินพันชิ้นแน่นอน ความแค้นของเจ้าผีขนมนี้ต้องสูงเทียมฟ้าแน่ แบบถ้านับความผิดของผมที่กินขนมแล้วเขียนไว้บนกระดาษก็คงยาวจนพันรอบคฤหาสน์สมาคมได้สิบรอบ
‘…พูดอะไรของนาย’
“…”
ทั้งๆ ที่ไอ้ขนมรูปกระต่ายสีขาวในมือผมมีแค่ตา ไม่มีคิ้วหรือปากด้วยซ้ำ แต่ผมกลับสัมผัสได้ว่ามันกำลังกลอกตาใส่ผม!
ผมแยกเขี้ยวใส่กำลังจะโวยวายแต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังจางๆ ที่เคลือบอยู่ซะก่อน
“นาย นายคือที่อยู่บนปืนเมื่อกี้เหรอ”
น่ากลัวอ่ะ สรุปแล้วเป็นผีจริงด้วย แล้วทำไมต้องมาสิงขนมที่น่ารักที่สุดที่ผมเอามาด้วยอ่ะ อดกินเลย
‘ใช่’
มันตอบผมเสียงเบาซึ่งถ้าให้ผมเดาก็คงดังจะสุดเท่าที่มันจะทำได้แล้ว
‘ผมตายไปตั้งนานแล้ว วิญญาณถูกฉีกกระชากตอนที่ถูกบูชายัญ ที่ยังคุยกับได้นายก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งที่ยังเหลือของผมเท่านั้น’
บูชายัญ?
ผมหน้าซีด
‘พวกนั้นจะเลือกคนมาบูชายัญค่ายละคน และรอบนี้ดูเหมือนว่าไอ้พวกบ้านั้นจะถูกใจนาย’
เสียงของเจ้ากระต่ายดูเศร้ามาก
‘อีกไม่นานผมคงจะสลายไป แต่ผมก็อยากเตือนนายให้ระวัง ระวังไว้ให้ดีต่อให้นายจะไม่ใช่มนุษย์ก็เถอะ’
“ขอบคุณนะ”
ผมตอบด้วยความซาบซึ้ง น้ำตาจะไหล มิตรภาพใหม่ระหว่างแวมไพร์กับผีขนมนี่มันสุดยอดจริงๆ เพราะมันทำให้ผมไม่ต้องไปสืบหาแล้วว่าไอ้พวกวาติกันนอกรีตมันแอบทำบ้าอะไรกัน
แต่ก็แบบบูชายัญเลยนะ ให้ตายเหอะ นี่มันเหนือความคาดหมายมาก ที่น้องผมเดามาไม่ถูกสักอย่าง แต่ก็แบบใครจะไปคิดอ่ะพิธีกรรมที่หายสาบสูญในหมู่วาติกันไปแล้วจะมาโผล่กับพวกนอกรีตนี้ล่ะ
แล้วคือที่จัดๆ ค่ายกันก็คงจะหาจับเด็กไปบูชายัญเพื่อประกอบพิธีกรรมอ่ะ ให้ตายเหอะ แล้วพวกคนที่นับถือวาติกันนอกรีตส่วนใหญ่ก็จะค่อนข้างคลั่งไปเลย แบบผู้อาวุโสพูดอะไรก็เชื่อ ฉะนั้นชีวิตเด็กคนหนึ่งก็คงจะมีไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ผู้อาวุโสต้องการ
ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดเลยอ่ะ ว่าทำไมการขึ้นสวรรค์ถึงได้สำคัญถึงขนาดนั้น การกำจัดปีศาจอย่างผมและทุกๆ คนจนหมดมันจะทำให้พระเจ้าอย่างท่านโฟเทียสรับข้อเสนอแล้วพาขึ้นไปอยู่ด้วยเหรอ
พระเจ้าเกลียดปีศาจจริงเหรอ?
ผมมีชีวิตอยู่มาพันกว่าปีนอกจากความซวยก็ไม่ได้มีอะไรที่ต้องน่ากังวลเป็นพิเศษ เอาเข้าจริงถ้าเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ผมก็เชื่อเรื่องที่ท่านโฟเทียสทอดทิ้งโลกใบนี้ไปแล้วมากกว่า ไม่งั้นพวกวาติกันก็ไม่ต้องมานั่งบูชายัญกันแบบนี้หรอก ถ้าหากการสวดภาวนาสวดมนต์ต่างๆ นั้นสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้ผลจริงอ่ะ
‘..หยุดพวกมันที’
เสียงมันเบาลงมากจนผมรู้สึกใจหาย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเพราะพลังที่ผมสัมผัสได้จากมันทีแรกก็เจือจางมากอยู่แล้วลำพังแค่มันยังสามารถคุยกับผมได้โดยที่ไม่หายไปก่อนก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
“อือ ผมสัญญา”
ผมยิ้มให้มัน รู้สึกเศร้านิดหน่อยที่มาที่นี่ช้าเกินไป ไม่งั้นผมก็อาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ นี้เอาไว้ได้
‘...’
มันไม่ได้ตอบผมแล้วแต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันพอใจกับคำตอบของผม
ก่อนที่พลังงานน้อยนิดที่เคลือบขนมเอาไว้ก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
---
คิดถึงทุกคนนะคะๆ
yumyai_fishery : ไม่มีแผนเลยค่ะ