CHAPTER 04
The best medicine in the world is your hug.
05 กุมภาพันธ์ 2xxx
“แวะซื้อน้ำแป็บดิ” กันต์หันไปบอกดิมหลังจากเดินเข้ามาเจอคาเฟ่ภายในโรงพยาบาล ดิมพยักหน้ารับ วันนี้หลังจากเรียนเสร็จกันต์ก็ตามดิมมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมคนเจ็บอย่างจาริณ
“กูไปนั่งรอที่โต๊ะนะ” ดิมว่าพลางเดินปลีกตัวไปยังโต๊ะที่ว่าง กันต์ที่มองจนรู้ว่าเพื่อนไปนั่งตรงไหนก็เดินไปต่อคิวเพื่อสั่งน้ำ
“พี่แทน?” กันต์เอ่ยเรียกผู้ชายที่ยืนรอเครื่องดื่มอยู่เคาน์เตอร์ด้านข้างด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“ครับ?”
“พี่แทนทำงานที่นี่เหรอครับ”
“ใช่ครับ อ่า ขอตัวก่อนนะ”
เขามองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินออกจากร้านไปด้วยสายตาไม่เข้าใจ ทำไมถึงทำราวกับว่าเราไม่รู้จักกัน หรือเผลอไปทำอะไรให้พี่เขาโกรธไม่รู้ตัว หรือว่าไม่อยากให้คนที่โรงพยาบาลรู้เรื่องของเรา เพียงแค่คิดเช่นนั้นกันต์ก็ปวดหนึบในใจขึ้นมา
“เป็นไรปะวะมึง ทำไมสีหน้าไม่ดี” ดิมรีบเข้าไปหาเพื่อนทันทีที่เห็นว่าเพื่อนตัวเองเดินหน้าซีดเซียวผิดกับตอนแรก
“ไม่มีอะไร ไปกันเหอะ เดี๋ยวไอ้จารอนานแล้วโวยวายอีก”
กันต์พยายามสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง มันอาจจะมีอะไรที่เขาไม่รู้ก็ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ เขาพยายามคิดในแง่ดี แม้ในส่วนลึกกลับคิดแต่เรื่องราวแย่ ๆ อยู่ก็ตาม
“ที่ร้ากกกกกกกก” ทันทีที่เดินเข้าห้องไป เสียงของคนเจ็บก็ดังขึ้นทันทีทำเอากันต์เบ้ปากกับความอ้อร้ออ้อนเท้าของแฟนเพื่อนตัวเองจริง ๆ
“มึงมาทำไมเนี่ยไอ้หมา”
“มาดูสภาพคนโง่อ่ะ” นี่คือปกติ เป็นการคุยปกติของเขาและจาริณเราไม่ได้ทะเลาะหรือเกลียดกันแต่อย่างใด
“ไอ้หมาอ้วน!”
“มึงว่ากูอ้วนอีกแล้วนะไอ้จา!” กันต์ปรี่เข้าไปประชิดเตียงก่อนจะหยิกลงไปที่ต้นแขนของเพื่อนแต่ไม่ได้เต็มแรงอะไรหรอก เห็นสภาพแล้วก็เวทนา
“โอ๊ย ๆ ที่รักจาเจ็บ ไอ้หมาอ้วนมันแกล้งจา”
“ตอแหล” เขาว่าเข้าให้ ดิมส่ายหัวแล้วเดินหนีไปยังโต๊ะที่วางสารพัดอาหารอยู่ข้างเตียง ปล่อยให้เพื่อนและคนรักตีกันไปคุยกันไป ได้ยินเสียงด่าสลับกับเสียงโวยวายอยู่เรื่อย ๆ จนอ่อนใจจะห้าม สองคนนี้เจอกันทีไรไม่เคยคุยดีกันได้เกินนาที
“พอ ๆ เลิกตีกันได้แล้ว เอ้านี่แอปเปิ้ลกินซะ” ดิมเดินมาแยกพลางใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลยื่นให้คนเจ็บ แต่มีหรือคนเจ็บที่อยากจะอ้อนแฟนจะยอมกินเอง จาริณออดอ้อนออเซาะแสร้งเจ็บออด ๆ แอด ๆ จนกันต์เบ้ปากหมันไส้แย่งแอปเปิ้ลในจานมากินก่อนจะถอยฉากมานั่งที่โซฟา
ดิมกับจาริณเป็นอีกคู่ที่กันต์นับถือใจไม่น้อย คนอย่างพวกเราไม่ได้ถือเรื่องเพศอยู่แล้วนั่นเพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคู่ของเราจะเพศอะไรจนกว่าจะเจอกัน มันเป็นเรื่องของโชคชะตาล้วน ๆ แต่ตอนที่เจอกันดิมเล่าให้ฟังว่าไม่คิดว่าจะคบกันได้เลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นผู้ชายตัวใหญ่กันทั้งคู่ ต่างคนต่างสูงเฉียด 190 กันทั้งนั้นหนำซ้ำยังเคยควงแต่คนตัวเล็ก ๆ พอมาเจอกันก็อึ้งกันไปอยู่สักพัก
สุดท้ายมันก็ไปด้วยกันได้ด้วยการใช้เวลาเรียนรู้กันอยู่พอสมควร จนตอนนี้ถ้าเขาจำไม่ผิดก็เข้าปีที่สี่แล้วมั้ง กันต์มองภาพของเพื่อนทั้งสองแล้วมองย้อนมาที่ตัวเอง ถ้าพูดถึงสภาพภายนอกแล้วกันต์ที่สูง 179 ก็ไม่ได้ถือว่าเตี้ย ช่วงแขนช่วงขายาวอยู่ไม่น้อย ส่วนพี่แทนรายนั้นตัวทั้งสูงและใหญ่กว่าเขาอยู่แล้วพอมายืนข้างกันกลายเป็นเขาดูตัวเล็กลงไปถนัดตา
พอนึกถึงแล้วก็ดันคิดถึง
จนถึงตอนนี้กันต์ก็ยังไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่ที่เจอกันทำไมมันถึงมีความกระอักกระอ่วนแบบนั้น ทำไมต้องทำเหมือนไม่รู้จักกัน
หน่วงชะมัด
“เฮ้อ” กันต์ลุกขึ้นส่ายหัวให้กับความคิดโน่นนี่ของตัวเอง ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำเอาน้ำลูบหน้าก่อนจะยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ด สายตาก็พลันเหลือบมองเลขบนอกที่ขยับจาก 50 เป็น 51
“ให้ตาย”
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย กันต์เองก็เพิ่งรู้นี่แหละว่า ต่อให้ไม่ได้เถียงหรือทะเลาะกันเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีตัวเลขนั้นก็จะขยับด้วยเช่นกัน กันต์ถอนหายใจจนมวลคาร์บอนไดออกไซด์ในห้องน้ำนี่ครึ่งนึงน่าจะมาจากตัวเขา
“กูไปเดินเล่นนะ จะกลับก็โทรมาแล้วกัน” กันต์ออกจากห้องน้ำแล้วหันไปบอกดิม โดยไม่รอให้เพื่อนตอบรับก็เดินออกไปทันที
นี่มันบ้าชะมัด กันต์ไม่รู้ว่าตัวเลขที่ขยับนี้มันเกิดที่ตัวเองฝ่ายเดียวหรือเกิดทั้งสองฝ่าย แล้วถ้าเป็นด้วยกันทั้งคู่พี่เขาจะสงสัยไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้ามาถามจะต้องตอบว่าอะไร มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างคิดไม่ตก สับเท้าเดินวนไปมั่วไม่รู้ทิศรู้ทางเงยหน้าขึ้นอีกทีก็มาโผล่อีกฟากของตึก
กันต์ขยับหมุนตัวเพื่อที่จะกลับไปยังฝั่งของห้องเพื่อนตัวเอง แต่กลับต้องหยุดฝีเท้าเมื่อมองไปเจอร่างคุ้นตาเดินเคียงข้างผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อกาวน์เช่นเดียวกัน ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าลิฟต์กำลังยืนคุยอย่างเช่นคนที่สนิทสนมเขาทำกัน
ดวงตาเรียวเล็กมองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน นี่เขาต้องรู้สึกอย่างไรดี
ครืด ครืด ครืด
กันต์มองเครื่องมือสื่อสารบนข้อมือตัวเอง มองชื่อที่ขึ้นอยู่บนนั้น มองมันด้วยความสับสน มองมันกะพริบถี่อยู่แบบนั้น ครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนกระทั่งเงียบสนิทไป
5 สายไม่ได้รับจากคน ๆ เดียว คนที่เขายังไม่พร้อมจะคุย กันต์ไม่รู้ว่าตัวเองต้องพูดอะไร ต้องทำอะไร หรือแม้กระทั่งต้องคิดอะไรในตอนนี้ มันกลายเป็นภาพเบลอ ๆ ในหัวที่มีภาพรอยยิ้ม ความอบอุ่นสลับกับดวงตาว่างเปล่า และน้ำเสียงที่ห่างเหิน
“มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ” ดิมหันมาถามในขณะที่รถยนต์จอดลงที่หน้าบ้านของเพื่อนสนิทที่เย็นนี้ทำตัวแปลกไป แม้ตอนเจอกับจาริณจะเฮฮากวนประสาทเหมือนเดิม แต่คนที่รู้จักกับกันต์มาตั้งแต่เด็กอย่างดิมนั้นดูออก
“เออไม่มีอะไรหรอกมึง”
“เออ ๆ มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน” ดิมส่ายหัวให้กับความดื้อของเพื่อนตัวเอง ไม่อยากรบเร้าให้มากความจึงปล่อยให้กันต์ลงจากรถไป เดี๋ยวถ้ามันไม่ไหวก็คงโทรมาเองอย่างทุกครั้งนั่นแหละ— หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า เหตุการณ์คล้ายซ้ำเดิมห่างเพียงแค่ไม่กี่วันแต่ทำไมอารมณ์มันต่างกันแบบนี้ ยิ่งนึกนั่นนึกนี่นอนทอดอารมณ์ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แต่จะให้ทักไปถามก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร มันตะขิดตะขวงอยู่ในใจ มันไม่สบายใจ ใช่ นั่นแหละ ไม่สบายใจ อารมณ์นี้เลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“กันต์ลูก มีคนมาหา” เสียงแม่เคาะประตูพร้อมเอ่ยเรียก ทำเอาคนถูกเรียกเด้งตัวขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้วฉับ
ใครมาหาเอาป่านนี้ หรือจะเป็นดิม?
กันต์เดินเนือย ๆ ลงไปชั้นล่างพบกับแม่ที่นั่งอยู่ที่ประจำกำลังพยักเพยิดหน้าไปทางประตูหน้าบ้าน เขาหรี่ตามองผ่านหน้าต่างไปเห็นเป็นเงาคนกับรถยนต์ลาง ๆ
“ใครอ่ะแม่?”
“แม่ก็ไม่รู้ ไม่คุ้นหน้าเลย เห็นบอกว่าเป็นรุ่นพี่ ไปดูสิ”
รุ่นพี่เนี่ยนะ? ก็แย่แล้ว เขาไม่ได้สนิทกับรุ่นพี่ในภาควิชาขนาดที่มาหากันถึงบ้านได้แบบนี้สักหน่อย ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดย้วย ๆ กับกางเกงขาสั้นเดินเกาหัวด้วยความมึนงงออกไปหน้าบ้าน
เชี่ยละ ...
“พี่แทน”
“กันต์ครับ”
แทนคุณหันมาตามเสียงเรียกพร้อมกับเผยรอยยิ้มและลักยิ้มข้างแก้มที่เป็นเอกลักษณ์ ดวงตาคมกวาดสายตามองน้องที่เดินหน้ามึนออกมาจากบ้าน ร่างโปร่งอยู่ในชุดอยู่บ้านดูน่ารักไปอีกแบบ ถึงอย่างนั้นนั่นก็ไม่ได้ทำให้แทนคุณลืมจุดประสงค์ที่มาถึงนี่
“พี่ ... มาทำอะไรครับเนี่ย”
“ก็คิดถึง”
“ฮะ?”
“แล้วก็มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อยครับ”
ตาเรียวเล็กหางตาตกหลุบลงมองพื้นอย่างรู้สึกไม่ดี เวลามีคนบอกประโยคประมาณนี้ทีไรมักไม่ใช่เรื่องดีทุกครั้ง และตอนนี้สัญชาตญาณข้างในกำลังฟ้องเช่นนั้น เสียงเรียกชื่อกันต์ดังขึ้นอีกครั้งถึงยอมเงยหน้าขึ้น ระหว่างเรามีเพียงรั้วบ้านกั้นกลางเท่านั้น
“มีอะไรเหรอครับ”
“ตรงนี้ ... เลขของกันต์ขยับไหมครับ” แทนคุณชี้ลงไปที่ตำแหน่งตัวเลขบนอกพร้อมกับมองน้องด้วยความสงสัย
วันนี้ทั้งวันแทนคุณออกตรวจตลอดแทบไม่ได้พัก หนำซ้ำเมื่อบ่ายยังต้องเข้าเวรแทนเพื่อนอีกคนที่ขอเปลี่ยนเวรไปเฝ้าแฟนไม่สบาย กว่าจะรู้ตัวว่าเลขบนอกขยับลดลงมาจาก 50 เหลือ 49 ก็เย็นแล้ว พอรู้ตัวก็โทรหากันต์แต่น้องก็ไม่รับสาย พอออกเวรก็รีบบึ่งรถมาที่บ้านอย่างถือวิสาสะไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า
“ครับ”
“บอกพี่ได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ ... พี่ทำอะไรให้เรารู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ และใจเย็นตามแบบฉบับคนเป็นหมอ ดวงตาคมคมฉายแววกังวลระคนสับสนพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดประตูรั้ว
กันต์ถอนหายใจ มาถึงตรงนี้ก็ได้แต่คิดว่าเป็นไงเป็นกัน เขาไม่ใช่คนที่มีอะไรแล้วอยากจะอมพะนำเอาไว้ ไม่ชอบการค้างคาใจไม่ได้เคลียร์กัน กันต์เม้มปากแน่นอยู่อึดใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก แอบตกใจกับตัวเองไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าน้ำเสียงที่ออกไปจะดูนิ่ง แข็ง และจริงจัง
“พี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอครับ”
“ครับ วันนี้พี่ทำงานทั้งวัน พอเสร็จงานก็รีบมาหาเราเลย”
“พี่ทำงานที่โรง’บาล xxx ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”
“วันนี้ผมไปเยี่ยมเพื่อนที่โรง’บาลนี้มา”
“หือ วันนี้เราไปเหรอ ทำไมไม่บอกพี่ล่ะจะได้แวบออกมาหา” กันต์ขมวดคิ้วแน่นมองคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด ทำไมถึงทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวในเมื่อเราคุยกันด้วยซ้ำ
“แต่วันนี้เรายังคุยกันในร้านกาแฟอยู่เลยนะครับ”
“ฮะ? ไม่ใช่แล้ว เราจะเจอกันได้ยังไง วันนี้พี่นั่งตรวจคนไข้ในห้องตรวจทั้งวันเลย ขนาดข้าวยังต้องฝากพยาบาลซื้อมากินในห้องเลยนะ”
“พี่แทน ผมไม่ตลกด้วยนะ” นี่อย่ามาทำให้สับสนเชียว อย่าบอกเชียวนะว่าเรื่องจะพลิกเหมือนในละครที่เคยดู มาบอกว่ามีแฝดนี่เขาจะโขกหัวตัวเองกับประตูบ้านจริง ๆ ด้วย
“เดี๋ยวนะ อ่า พี่เข้าใจแล้ว คนที่เราเจอวันนี้เราหมายถึงคนนี้หรือเปล่า” แทนคุณยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปในคลังรูปภาพแล้วโชว์รูปคนสองคนที่ถ่ายด้วยกันให้น้องดู
ดวงตาเรียวเล็กของกันต์เบิกขึ้นกว้างด้วยความตกใจ เวรรกรมแล้วไง เขาต้องเอาหัวโขกกับประตูบ้านจริงเหรอ! นี่มันละครไปหรือเปล่า พี่เขามีฝาแฝดจริง ๆ ด้วย
“แฝด?”
“อื้ม นี่ไอ้แทนรัก แฝดน้องของพี่เอง มันเป็นหมอที่นั่นเหมือนกัน”
“แม่ง” กันต์สบถกับตัวเอง นี่เขาเสียเวลาคิดมากไปทำไมกันเนี่ย พอคิดได้แบบนี้ก็ย้อนนึกถึงไปตอนกลางวันที่เผลอทำตัวงี่เง่าไม่รับสายพี่เขา ถ้าคุย ถ้าถามตั้งแต่ตอนนั้นก็จบเรื่องไปนานแล้ว
“พี่ขอโทษนะ กะว่าจะพาไปแนะนำตัวกับที่บ้านอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าเราจะเจอมันไวขนาดนี้ มันทำอะไรให้เราคิดมากใช่ไหม ขอโทษจริง ๆ นะ”
“ฮือ พี่แทน ผมขอโทษ”
จู่ ๆ น้ำตาก็คลอ ตอนนี้กันต์เริ่มอยากจะโขกหัวตัวเองกับประตูบ้านแรง ๆ จริง ๆ แล้ว งี่เง่า เข้าใจผิดเอง แต่พี่เขาก็ยอมเอ่ยปากขอโทษก่อนอย่างไม่คิดมากเลยด้วยซ้ำ นี่มันจะแสนดีเกินไปแล้ว พระเจ้าตอบแทนความผิดหวังตลอดชีวิตของเขาดีเกินไปแล้ว!
“ออกมาหาพี่ได้ไหมครับ” กันต์พยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะเปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้าไปยืนหน้าบ้าน
แทนคุณยืนยิ้มกริ่ม แม้จะไม่อยากเห็นน้ำตาน้องแต่ต้องยอมรับแบบแมน ๆ เลยว่าเห็นแล้วอยากบีบจมูกแดง ๆ นั่น ยิ่งตอนช้อนตามองทั้งที่ยังคลอไปด้วยน้ำตานั้น ให้ตายเถอะ ในหัวนี่คิดดีไม่ได้แล้ว
“ไม่ร้องสิครับ ร้องทำไมหืม”
“ผมรู้สึกไม่ดีนี่”
กันต์ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาจนหน้าแดงไปหมด ไหล่เล็กสั่นเล็กน้อยจากการกลั้นสะอื้น แทนคุณมองเจ้าเด็กกระต่ายที่ยืนตาแดง จมูกแดงอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่อยากฉวยโอกาสสักนิดแต่มือมันไปไวกว่าความคิด ฉวยเอวน้องเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจนคนที่กำลังรู้สึกผิดไม่ทันตั้งตัว ตาเล็กเบิกค้างมองเขาอย่างเลิ่กลั่ก
กระต่ายตื่นตูมของแท้เลย
“พะ พี่แทน”
แม้กันต์จะพยายามขืนตัวเองเอาไว้ แต่แขนที่อยู่รอบเอวก็แข็งแรงเสียเหลือเกินจนตัวยอมเอนอ่อนปล่อยให้ตัวเองถูกโอบเอวไว้ แต่ไม่กล้ามองหน้าเจ้าของอ้อมแขนสักนิดได้แต่บังคับตัวเองให้มองผ่านไหล่ของพี่เขาไปโฟกัสที่รถด้านหลังแทน
“อย่าร้องเลยนะ พี่รู้สึกไม่ดีเลย”
“ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ ถ้ารับสายพี่ตั้งแต่ตอนนั้นก็จบไปแล้ว งี่เง่าจริง ๆ”
กันต์อดไม่ได้เลยที่จะบ่นตัวเอง กันต์รู้สึกแย่อย่างจริงจังจนแทนคุณพาลรู้สึกไม่ดีไปด้วย จึงดึงคนเป็นน้องให้เดินตามมาก่อนที่ตัวเองจะทิ้งสะโพกพิงฝากระโปรงรถยนต์เอาไว้ ให้น้องมายืนระหว่างขาและจับมือทั้งสองของน้องเอาไว้ เพราะแทนคุณนั่งลงทำให้ส่วนสูงเท่ากัน และสายตาเราสบกันพอดี
“กันต์ฟังพี่นะ มันไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ ครับ อย่างน้อยเราก็ได้คุยกัน ได้เคลียร์กันถูกไหม พี่อยากให้เราเก็บเรื่องราววันนี้เอาไว้ ในอนาคตมันคงมีเรื่องราวอะไรอีกมากมายที่อาจทำให้เราต้องรู้สึกไม่ดีต่อกัน แต่พี่ก็หวังว่าอย่างน้อยเราจะได้คุยกันนะครับ”
“ครับ” คนเป็นน้องตอบรับอ้อมแอ้ม
“จำที่พี่พูดในคลาสได้ไหม”
“จำได้ครับ”
“หากยังไม่มั่นใจ มันก็ไม่เป็นอะไร ถ้าจะลองทำความรู้จักกันไปก่อน ใช้เวลาเรียนรู้กันให้แน่ใจ” เสียงทุ้มที่พูดขึ้นดังประสานกับเสียงทุ้มในความทรงจำของกันต์ มันเป็นรูปประโยคเดียวกัน และความจริงจังของน้ำเสียงกับสายตาก็เป็นแบบเดียวกัน มันทำให้ใจของกันต์เต้นไม่เป็นจังหวะ
“และตอนนี้เราก็กำลังศึกษากันอยู่ ถึงต่อให้ในอนาคตเราจะขยับไปในสถานะอื่น แต่ทุกครั้งที่เราไม่เข้าใจกัน พี่อยากให้ถือว่ามันเป็นการเรียนรู้นะครับคนเก่ง อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
กันต์รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ ยิ่งตอนที่คนตรงหน้าส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาพร้อมกับลูบหัวเขาเบา ๆ อย่างทุกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้ทะเลาะกันเป็นร้อยหนอย่างไรก็ไม่อยากเสียคน ๆ นี้ไป
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
“เราเข้าใจกันแล้วใช่ไหม”
“ครับผม” แทนคุณยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นน้องยิ้มตาหยีส่งมาให้พร้อมกับเสียงตอบรับที่น่ารักจนอยากจะขยำจ้าเด็กกระต่ายตรงหน้า มันเขี้ยวเหลือเกิน
“ถ้าอย่างนั้น มาครับ
มาทำให้เลขเรากลับไปเป็น 50 ก่อนเร็ว”
แทนคุณพูดพลางปล่อยมือน้องแล้วอ้าแขนออกทั้งสองข้าง รอยยิ้มที่อบอุ่นกลายเป็นดูเจ้าเล่ห์ไปทันทีเมื่อกดมุมปากเอาไว้ ซึ่งกันต์ที่เห็นเช่นนั้นก็อยากจะฟาดคนตรงหน้านัก พอจบโหมดดราม่าก็เข้าโหมดทะเล้นอีกแล้ว คนตัวเล็กกว่าหมุนไปหมุนมองพลางมองฝ่ามือใหญ่ที่แบออกแล้วกระดิกไปมาด้วยนึกหมันไส้
กันต์ถอนหายใจพลางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนที่ตัวของเขาจะถูกรวบเอาไว้ด้วยอ้อมแขนทั้งสองของคนเป็นพี่อย่างแนบแน่น ทว่าไม่ได้ทำให้อึดอัดมันกลับทำให้กันต์รู้สึกอบอุ่น มันอุ่น มันนุ่ม มันรู้สึกเหมือนหัวใจได้รับการเยียวยา ยิ่งในตอนที่เขายกมือขึ้นกระชับร่างใหญ่ ๆ นั่นเอาไว้ แล้วอีกฝ่ายตอบกลับด้วยการทิ้งใบหน้าซบลงที่ไหล่ขยับอ้อมแขนให้แนบชิดจนแทบจมลงไปกับอกนั่น
…
06 กุมภาพันธ์ 2xxx
“อารมณ์ดีแล้วล่ะสิ” กันต์เงยหน้าจากจอเครื่องมือสื่อสารขึ้นมองดิมที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังเบ้หน้าเบ้ปากใส่ตัวเอง แล้วยักไหล่แล้วโคลงศีรษะไปมาอย่างอารมณ์ดีก่อนจะโดนเพื่อนผลักหัวด้วยความหมันไส้
“ทีเมื่อวานทำหน้าอย่างกับกินยาขม วันนี้อารมณ์ดีอย่างกับได้ยาดีมา เคลียร์กันแล้วล่ะสิ”
“เออ~ มึงนี่ก็ถามมากจังวะ”
“เอ้าไอ้นี่ เพื่อนเป็นห่วง”
“ห่วงหรืออยากใส่ใจ”
“เออก็ด้วย! แต่ก็ห่วงจริง ๆ ไอ้หมานี่ เล่ามาเลย” กันต์หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเล่าออกมา ผิดกับดิมที่ทำหน้ายุ่งพลางมองเพื่อนด้วยสายตาเหมือนเห็นตัวประหลาด ขนาดช่วงที่มันอินเลิฟกับแฟนเก่าแต่ก่อนโน้นยังไม่เคยเห็นมันสดใสได้ขนาดนี้เลย
“ซื่อบื้อ”
“ก็กูไม่รู้นี่หว่า”
“ก็น่าจะฉุกคิดสักนิดไหมว่า พี่เขาจะเมินมึงทำบ้าอะไร”
“ก็…”
“ไม่ต้องมาเถียงเลยไอ้นี่นิ แล้วยังไงต่อ โดนพี่เขาด่าไหม” เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้จู่ ๆ แก้มกันต์ก็แดงขึ้นมาจนดิมที่นั่งมองอยู่ถึงกับกลอกตา พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงใสที่เล่าอยู่ก็ค่อย ๆ อ้อมแอ้มและเบาลง
“อย่ามาทำหน้าบาง มึงหอมแก้มกับบรรดาแฟนเก่าทั้งหลาย กูก็เห็นมาแล้ว” ดิมพูดไปก็พลางทำหน้าเหม็นเบื่อไป
“อะไรเล่า มึงแม่ง!” กันต์ที่โดนเพื่อนแฉก็เบะปากใส่ก่อนจะสบถด่าไปรอบนึง เผลอแอบมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง บ้าหน่า เขาไม่ได้กลัวพี่เขาโผล่มาได้ยินพอดิบพอดีอะไรแบบนั้นเลยนะ เปล่าเลย
ครืด ครืด ครืด
คนที่นึกร้อนตัวอยู่สะดุ้งเฮือกเมื่อหน้าจอแจ้งเตือนว่าคนที่กำลังคิดถึงอยู่วิดีโอคอลมา เสียดายที่วันนี้กันต์ไม่ได้หยิบบลูทูธมา จึงจำต้องยอมปล่อยให้เสียงดังลอดออกมาจนคนอยากใส่ใจเรื่องเพื่อนพอดีอย่างดิมขยับตัวเข้ามาใกล้
“ครับพี่แทน”
( ทำอะไรอยู่ครับ เข้าเรียนหรือยัง )
“อยู่ในห้องแล้วครับ แต่อาจารย์ยังไม่เข้า”
( เมื่อเช้าพี่บอกให้กินข้าว ได้กินไหมครับ )
“กินครับ พ่อตกใจใหญ่เลยพอเห็นผมมานั่งกินข้าวเช้าด้วย” เพราะปกติกันต์เป็นพวกไม่ชอบกินข้าวเช้า ถ้าวันไหนมีเรียนเช้าก็จะดื่มแค่น้ำเปล่าแล้วรอกินรวบเดียวพร้อมกับมื้อกลางวัน ติดนิสัยตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่บ่นแล้วบ่นอีกก็แก้ไม่ได้
( ดีแล้วครับ แต่ระวังปวดท้องนิดนึงนะเพราะกันต์ไม่เคยกิน พอมากินแล้วท้องไส้อาจจะปั่นป่วนไปบ้าง พยายามกินให้ได้ทุกเช้าครับมันก็จะปรับตัวได้ ) นี่คือผลของการมีคนคุยเป็นหมอ แม้จะเป็นหมอรักษาจิตใจ แต่เรื่องร่างกายคนเป็นพี่ก็ไม่ยอมให้ละเลยเช่นกัน
“ครับผม— หมันไส้อ่ะ เชื่อฟังผั— อื้อ!”
ดิมพูดแทรกขึ้นมาด้วยความนึกหมันไส้ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคกันต์ก็ตาโตกุลีกุจอปิดปากเพื่อนตัวเอง แต่เสียงหัวเราะที่ดังลอดออกมาทำให้รู้ว่าปิดไม่ทัน แก้มกลมใสขึ้นสีแดงยิ่งเรียกเสียงหัวเราะและสายตาเอ็นดูจากคู่สนทนา
( ฮ่ะ ๆ อากาศร้อนเหรอครับ แก้มแดงเชียว )
“พี่แทน!”
( โอเค ๆ ไม่แกล้งแล้ว พี่ต้องไปทำงานแล้วนะ ไว้จะหาโอกาส text หานะครับ )
“อ่า โอเคครับ”
( งั้น— )
“เอ่อพี่แทนครับ!”
( ห หือ ครับ )
“คือพี่พักกลางวันกี่โมงเหรอครับ”
( อืม มันก็ไม่เท่ากันทุกวันนะ แต่ถ้าไม่ได้มีคิวคนไข้นัดเอาไว้ ก็จะประมาณเที่ยงครึ่งไม่ก็บ่ายโมง มีอะไรหรือเปล่า )
“เปล่าครับเปล่า พี่ไปทำงานเถอะครับ ตั้งใจทำงานนะครับ” กันต์พูดพลางยิ้มตาหยีแบบที่พี่เขาชอบส่งไปให้จนได้รับรอยยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มแบบที่ตัวเองชอบคืนกลับมา
( โอเคครับ เราก็ตั้งใจเรียนนะ )
“ครับ บายครับ”
แม้สายจะตัดไปแล้วแต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่ กันต์หยุดคิดอะไรอยู่ในหัวชั่วอึดใจก่อนจะหันไปยิ้มเผล่ใส่เพื่อนตัวเองที่ทันทีที่เห็นรอยยิ้มดังกล่าวก็รีบขยับหนีออกห่าง
“ดิม~”
“อะไรมึง เรียกเสียงแบบนี้ทีไรมีเรื่องทุกที”
“มึงอ่ะ กูแค่จะอยากรู้อะไรนิดนึง”
“อะไร”
“มึงคิดว่าฝีมือการทำอาหารกูเป็นไงบ้างวะ”
“ก็พอแดกได้อ่ะ”
“โอเค้ แค่นั้นก็น่าจะโอเคแล้วแหละ”
ดิมว่าในหัวโต ๆ ของเพื่อนตัวเองต้องคิดนั่นคิดนี่อะไรเอาไว้แล้วแน่ จริงอยู่ที่ดิมไม่ได้โกหกว่าอาหารฝีมือของกันต์พอกินได้ มันกินได้จริง ๆ แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่กินก็ดีกว่า และดิมเองก็คิดว่าคนที่รับกรรมนั้นคงไม่พ้นต้องเป็นคู่ของมันเอง
ไว้อาลัยพี่แทนตอนนี้ทันไหมนะ
To be continued.
_____________________________________
TALK : ฮื่อ อยากได้พี่แทนเองทันมั้ยยย
ความแทนคุณคือผู้ชายในอุดมคติของอิชั้นเองเจ้าค่ะ กรี๊ด
ส่วนตอนหน้านั้น ฝากเป็นกำลังใจให้พระเอกของเรากันด้วยนะคะ อิอิ
ฝากเป็นกำลังใจให้กันด้วยค่า
ps. เรารีไรท์เนื้อหาบางส่วนตั้งแต่ prologue-chapter3
ถ้ายังไงลองอ่านกันอีกรอบก็ได้นะคะ
#ครึ่งชีวิตของผม