CHAPTER 12
Only you can give me that feeling.
ร่างผอมภายใต้เสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีเทากับกางเกงยีนส์ตัดขาเหนือเข่าพร้อมรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่เก่งเดินสะพายกล้องเข้ามาในบริเวณอาคารหลังหนึ่ง กันต์ไม่เคยมาแถวนี้เลยสักครั้งมันดูเหมือนเป็นอาคารเปล่า ๆ ที่มีป้ายเขียนว่าเฉพาะนักศึกษามัณฑนศิลป์เท่านั้น คนไม่คุ้นที่รีบกดเครื่องมือสื่อสารส่งข้อความบอกแก่เจ้าถิ่นก่อนจะยืนเขี่ยเท้าและกัดเล็บเล่นอย่างประหม่า จากที่ตั้งใจจะให้ดิมมาเป็นเพื่อนกลับต้องมาคนเดียวเพราะโดนมันเทไปเที่ยวกับแฟน
ไอ้ดิมนะไอ้ดิมทิ้งกันได้ลงคอ ขออย่าให้มีอะไรยุ่งยากเลย พระเจ้าช่วยรักเขาอีกสักครั้งเถอะ
“กันต์” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกแล้วโบกมือทักทายกลับคืน
“ตึกอยู่ลึกเลยใช่ไหม หายากหรือเปล่า” แพนชวนคุยระหว่างพาเดินเข้ามาข้างใน
“อื้อลึกมากเลย เราเพิ่งรู้ว่ามีตึกแบบนี้ด้วย”
โคตรลงทุนเลย สร้างอาคารเปล่าสองชั้นที่ซอยแยกเป็นห้อง ๆ เพื่อให้เด็กเดคฯ โดยเฉพาะ กันต์มองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจก่อนที่แพนจะพาเข้ามาในห้องหนึ่งที่ถูกดีไซน์เอาไว้อย่างเรียบหรู
“ทั้งหมดนี่แพนทำเองหมดเลยเหรอ พวกเฟอร์นิเจอร์ก็ด้วยเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่พวกเฟอร์ฯ นี่ใช้กันมาหลายรุ่นแล้ว ก็มีแยกส่วนมาประกอบใหม่บ้าง เอามาทาสีใหม่บ้างอะไรแบบนี้ อาจารย์จะให้ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ต้องไปซื้อ เขาแค่อยากเห็นไอเดียเรา”
“โห เก่งจัง แล้วยังไงดีให้เราเริ่มเลยไหม”
“อื้อ ๆ เริ่มได้เลย” แพนเล่าบรีฟมุมภาพ อารมณ์ของภาพที่อยากได้ เมสเสจที่ซ่อนอยู่ในไอเดียการตกแต่งห้องต่าง ๆ กันต์พยายามทำความเข้าใจและเริ่มถ่ายภาพนำเสนอผ่านการตีความของแพนและของตัวเองออกมา
ครืด ครืด ครืด
“อ่า โทษทีนะ” กันต์เดินออกจากห้องเพื่อไปรับสาย ตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา เวลานี้ปลายสายควรจะเข้าประชุมตามที่บอกเมื่อคืนนี่หน่า
“ครับพี่แทน”
( ทำอะไรอยู่ครับ )
“กันต์ออกมาถ่ายงานให้เพื่อน ที่เคยบอกไง”
( อ๋อครับ แล้วนี่อยู่ไหนกัน )
“ตึกเรียนครับ”
( ออกไปแต่เช้าเลยได้กินอะไรหรือยัง )
“กินนมรองท้องมาแล้วครับ พี่แทนไม่ประชุมเหรอ”
( วันนี้ยกเลิกกะทันหันน่ะ ศาสตราจารย์บินไปต่างประเทศด่วน )
“อ๋อครับ งั้นเดี๋ยวกันต์ไปทำงานต่อก่อนนะพี่”
( โอเคครับ ไว้เจอกัน )
กันต์เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วเริ่มถ่ายต่ออีกครั้ง การทำงานร่วมกันครั้งแรกนี้มันไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด เรียกได้ว่าทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นเลยเสียด้วยซ้ำ ทำเอาคนขี้ระแวงรู้สึกผิดไม่น้อยที่เผลอคิดไปในแง่ลบ
“เหนื่อยไหม พักก่อนก็ได้นะกันต์”
“ไม่เป็นไร เหลือแค่เก็บมุมกว้างก็เสร็จแล้ว”
“อ่า คือ ...” กันต์ลดกล้องลงมาเมื่อเห็นสีหน้ากังวลจากอีกฝ่าย
“มีอะไรหรือเปล่าแพน ต้องแก้ตรงไหนบอกได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เลยค่ะ คือที่ถ่ายมามันโอเคแล้ว แต่ว่าเราจะรบกวนกันต์ถ่ายเก็บโคลสอัพพวกเฟอร์ฯ หน่อยได้ไหมคะเผื่อต้องใช้ในสไลด์พรีเซนต์” แพนพูดออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจเพราะอีกฝ่ายก็เพิ่งรู้จักกันแล้วยังมีน้ำใจช่วยเหลืออีก ทั้งที่บอกว่าจะเสร็จก่อนเที่ยงแต่ถ้าถ่ายเพิ่มอาจจะต้องอยู่ต่ออย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง
“ได้สิ ไม่เป็นไร แต่ว่าเสร็จตรงนี้แล้วเราไปกินข้าวกันก่อนไหม แอบหิวอ่ะ ฮ่ะ ๆ” กันต์พูดพร้อมกับลูบท้องตัวเองประกอบ ตั้งแต่เช้าเขามีแค่นมที่ตกถึงกระเพาะและตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว อีกไม่นานเสียงท้องไส้ได้ร้องประท้วงแน่นอน
“ฮ่ะ ๆ ได้เลย ๆ เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”
“เฮ้ยไม่เป็นไร”
“ไม่ได้ อันนี้ห้ามเถียง กันต์อุตส่าห์มาช่วยเราขอเลี้ยงขอบคุณนะ” แพนตีสีหน้าจริงจังก่อนจะเดินหนีทำทีว่าจัดของต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กันต์แย้งได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แพนปล่อยให้กันต์ถ่ายรูปส่วนตัวเองก็เดินมาเปิดประตู “อ้าวเต้ มีอะไร”
“เอาคนมาส่ง พี่เขาบอกว่ามาหาแกอ่ะ” แพนมองเลยไปด้านหลังก็พบว่ามีคนตัวสูงใหญ่ดูท่าจะแก่กว่าตัวเองไม่น้อยยืนส่งยิ้มจาง ๆ มาให้อยู่ เต้ที่ไม่มีหน้าที่ต่อก็ขอตัวเดินแยกจากไป
“มาหาแพนเหรอคะ”
“อ่า แพนเพื่อนกันต์ใช่ไหม พี่ชื่อแทนเป็น
คนรักของกันต์ครับ เห็นว่ามาทำถ่ายงานที่นี่แล้วยังไม่ได้กินอะไรกัน พี่เลยเอาเสบียงมาส่งน่ะ ขอโทษนะครับที่รบกวน กันต์ไม่ตอบข้อความพี่น่ะ” แทนคุณเอ่ยยืดยาวจนครบใจความสำคัญทั้งหมดด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เพื่อเพิ่มความเป็นมิตร
“คนรักเหรอคะ ... อ่า ค่ะ กันต์ถ่ายรูปอยู่ด้านใน เชิญค่ะ”
แพนเปิดประตูแล้วถอยให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของคนในห้องเดินเข้าไป ส่วนตัวเองก็ได้แต่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูกเมื่อมองเห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปโอบเข้าที่เอวตากล้องจำเป็นของตัวเองวันนี้
“เฮ้ย! โอ๊ะ พี่แทน! มาได้ไงเนี่ย” คนถูกโอบเอวสะดุ้งเกือบสะบัดทิ้งแต่เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใครก็ถามเสียงลั่นด้วยความตกใจ
“เอาเสบียงมาส่งครับ” แทนคุณชูถุงขนาดใหญ่ในมือขึ้นให้น้องเห็น ก่อนจะตีหน้ายิ้มราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ปกติแล้วน้อยครั้งมากที่แทนคุณจะมาวุ่นวายกับกิจกรรมหรือการเรียนของกระต่ายตัวเอง
“แล้วพี่รู้ได้ไงว่ากันต์อยู่นี่”
“อ่า”
“ไอ้ดิม?” แทนคุณโคลงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมาเสียงดังเมื่อถูกหยิกเข้าที่เอว กันต์ผละออกจากวงแขนของพี่เขาเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแพนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“พี่แทนนั่นแพนเพื่อนใหม่กันต์ ส่วนนี่พี่แทน ...”
“แฟนครับ”
“พี่แทน!!”
“อะไรเล่า ก็เรามันขี้เขินพี่ก็เลยพูดให้เอง ... ขอโทษนะครับน้องแพนที่มารบกวนเวลา แต่ยังไงนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วมากินข้าวกันเถอะครับ พี่ซื้อมาเผื่อด้วย” แทนคุณพูดเย้าคนรักก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ไม่ไกล
“เอ่อ แพนไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”
“โหย ไม่กวนเลยแพน มากินด้วยกันนะพี่แทนซื้อมาเยอะแยะเลย ว่าแต่เรากินในห้องนี้ได้เลยไหมหรือว่าต้องไปที่อื่น”
“ต้องไปนั่งที่โต๊ะข้างนอกค่ะ”
“โอเค งั้นพักก่อน ไปกินข้าวกันครับ” แทนคุณผายมือให้หญิงสาวเดินนำไปยังสถานที่ที่สามารถนั่งกินข้าวกันได้
ระหว่างมื้ออาหารกลางวันนี้ แทนคุณสวมบทจิตแพทย์อีกครั้งเพื่อใช้น้ำเสียงและรูปประโยคในการพูดแสดงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าไม่สามารถไปได้มากกว่านี้ โดยทั้งรอยยิ้มและการสัมผัสร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ได้ทำให้จนเกินความพอดีจนหญิงสาวฝั่งตรงข้ามรู้สึกเป็นส่วนเกิน
“พี่แทนกับกันต์นี่คบกันมานานแล้วเหรอคะ”
“ก็สักพักแล้วล่ะ”
กันต์ไม่ใช่ไม่รู้ว่าดิมส่งพี่เขามาวันนี้เพื่ออะไร เพราะรู้จึงปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น แบบนี้น่าจะดีกว่าการที่พูดออกไปเพราะบางอย่างแค่ใช้การกระทำก็น่าจะชัดเจนมากพอ ทว่าส่วนที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของแพนแต่กลับเป็นรอยยิ้มของพี่เขาต่างหาก
รอยยิ้มที่ยิ้มไปไม่ถึงดวงตา
พี่เขาฉลาดมากพอที่จะรู้สึกอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นคนอย่างพี่แทนคุณไม่มีทางเข้ามายุ่มย่ามเรื่องงานของเขาแบบนี้หรอก
เสียงพูดคุยเรื่องราวทั่วไปมีขึ้นเป็นระยะ แทนคุณทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันดูอึดอัดและดูเป็นความตั้งใจของตัวเองที่จะแสดงตัวตนมากเกินไป
เขาพูดแม้กระทั่งเรื่องงานการเจอคนไข้ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ดูสนุกและพูดเข้าเรื่องเครื่องทดเวลาได้อย่างแนบเนียน เพื่อที่จะลองอย่างหยั่งเชิงดูว่าเด็กสาวตรงหน้าจะใช่แบบที่ดิมเพื่อนกันต์เล่าหรือเปล่า และถ้าใช่ แล้วมันไม่ทันการณ์อย่างน้อยเขาที่ทำงานด้านนี้ก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง
“แล้วนี่น้องแพนเจอคู่หรือยังครับ”
“เจอแล้วล่ะค่ะ ... แต่ว่าคงไม่ทัน” กันต์นิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่มองมาอย่างไม่ปิดบังของแพนทำให้ไม่ต้องเดาเลยด้วยซ้ำว่าหมายถึงใคร เขาชะงักนานเสียจนพี่เขาทาบฝ่ามือลงบนต้นขาลแล้วลูบเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“อ่า เสียใจด้วยนะครับ แต่สักวันน้องจะได้เจอคนที่เป็นของน้องจริง ๆ พี่เอาใจช่วยครับ”
แม้จะรู้สึกหวงคนของตัวเองอย่างไร แต่ด้วยจรรยาบรรณที่ฝังลึกทำให้เขาเห็นใจเด็กสาวตรงหน้าไม่น้อย มันไม่ใช่ความผิดของใครเพียงแต่เวลาของแต่ละคนเดินเร็วไม่เท่ากัน นั่นจึงทำให้เขาและกันต์ได้เจอกันก่อน ก่อนที่แพนจะได้กันต์ไป
“ฮ่ะ ๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แพนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร โชคดีที่ว่ารู้ว่าไม่ทันก่อนที่ตัวเลขจะขยับ ไม่งั้นแพนคงต้องใช้บริการเครื่องทดเวลาของพี่แล้วล่ะค่ะ” แพนพยายามพูดให้มันเรื่องตลกแม้รอยยิ้มที่กันต์เห็นจะฝืดฝืนเต็มที
“ไม่ได้ใช้ก็ดีแล้วล่ะ อีกอย่างไอ้เจ้าเครื่องนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง ยังไม่รู้เลยครับว่าจะสำเร็จหรือเปล่า” ทั้งแทนคุณและกันต์ลอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตัวเลขของแพนยังไม่เดินอย่างที่กังวล
“เดี๋ยวจะไปทำงานกันต่อใช่ไหม”
“ครับ เหลืออีกนิดหน่อย พี่ต้องกลับไปทำงานใช่ไหม”
“อื้ม นี่เพราะไม่มีประชุมเลยแอบแวบมา จะกลับแล้วบอกพี่ด้วยนะ ไปละ” แทนคุณก้มลงหอมหัวน้องไว ๆ หนึ่งทีแล้วโบกมือลาเด็กน้อยทั้งสอง
“พี่แทนเขาดูรักกันต์ดีจัง” แพนชวนคุยระหว่างการจัดเฟอร์นิเจอร์เพื่อถ่ายเก็บภาพระยะใกล้เป็นอย่างสุดท้ายที่จะทำในงานวันนี้
“อ่า ครับ”
“ดีใจด้วยนะคะที่ได้เจอคู่ที่ดี”
หนึ่งชั่วโมงต่อมากันต์กับแพนเดินออกจากอาคารเพื่อแยกย้ายกันกลับ ระหว่างเรากลายเป็นความเงียบที่ให้ความรู้สึกต่างออกไป แม้เราจะไม่ได้สนิทกันมากแต่มันก็มีช่องว่างบางอย่างที่เพิ่มเข้ามา
“แพนกลับยังไงเหรอ”
“เดินออกไปนิดเดียวก็ถึงหอเราแล้ว”
“เราเดินไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ๆ เรากลับได้ กันต์กลับเถอะเดี๋ยวเย็นแล้วรถจะติด” กันต์มองหญิงสาวข้างกายที่ส่งยิ้มเจือจางมาให้ มาถึงตอนนี้กันต์คงต้องยอมรับว่าอาจจะเสียเพื่อนใหม่ที่ดีคนหนึ่งไป
“งั้นกลับดี ๆ นะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะกันต์ ไว้มีโอกาสเราจะเลี้ยงตอบแทนนะ”
“ครับ”
ร่างโปร่งยืนกำสายกระเป๋ากล้องระหว่างรอให้อีกฝ่ายเดินพ้นสายตา อย่างน้อยอีกคนก็เป็นผู้หญิงกันต์จึงเป็นห่วงแบบที่เพื่อนพึงกระทำ แต่จังหวะที่อีกคนกำลังเลี้ยวเข้าซอยด้านหน้าก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมาพร้อมกับชูเครื่องมือสื่อสารขึ้นแล้วชี้มา
ไม่นานโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นเมื่อกดเข้าไปในห้องสนทนาก็พบข้อความมาจากแพน ที่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นเพียงหลังไว ๆ หายไปจากสายตา
PAANN : วันนี้ขอบคุณมากจริง ๆ นะคะ
PAANN : ยังไงก็รับเราเป็นเพื่อนอีกคนนะ
ได้สิครับเพื่อน : Punnakann
มันเหมือนเป็นอะไรที่ปลดล็อกทางความรู้สึกข้างใน ยอมรับตามตรงว่าพอเรื่องออกมาเป็นแบบนี้ก็ค่อนข้างโล่งใจ ทุกอย่างเคลียร์จบชัดเจนและกันต์ไม่จำเป็นต้องเสียมิตรภาพจากใครคนไหนไป กันต์รู้ว่าทุกอย่างมันมีเวลาของมันอย่างเช่นเรื่องนี้ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันแพนจะได้เจอใครคนนั้นของตัวเองจริง ๆ
…
“กลับมาแล้วครับ” กันต์เอ่ยบอกทันทีเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน ได้กลิ่นอาหารจากในครัวจึงพอจะรู้ว่าแม่น่าจะอยู่ด้านในส่วนพ่อก็คงยังไม่กลับจากบริษัท ลูกชายคนเล็กของบ้านเดินเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ ไม่รู้ว่าจะเป็นการอ้อนหรือกวนเวลาทำอาหารกันแน่
“ทำไมวันนี้ทำเยอะจังอ่ะแม่”
“วันนี้มีแขก”
“ใครครับ”
“พี่กวิน พี่น้ำจะพาหลานมานอนนี่”
“จริงเหรอแม่ เย้ กันต์คิดถึงหลาน” เพราะการเรียนที่มีตลอดพ่วงด้วยงานมหาศาลทำให้กันต์ไม่ค่อยได้ไปหาหลานบ่อยเหมือนอย่างพ่อกับแม่
“ไปอาบน้ำอาบท่าไป เดี๋ยวอีกสักพักพ่อกับพี่เขาน่าจะมากัน” กันต์ทำท่ารับทราบอย่างร่าเริง รีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อรอเล่นกับหลานตัวน้อย จนลืมไปเลยว่าข้อความที่ส่งบอกคนรักยังไม่ได้รับการตอบกลับ
อาหารเสร็จไม่ทันไรเสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นที่หน้าบ้านเป็นสัญญาณว่าคนที่รอคอยมาถึงแล้ว “กันต์ออกไปดูสิลูกว่าใคร” กันต์ผละจากครัวเดินออกไปหน้าบ้านแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นรถสามคันจอดอยู่ทั้งที่มันควรจะเป็นสองคันเท่านั้นสิ
“หวัดดีครับพ่อ”
“อืม ไปช่วยพี่เราถือของหลานไป”
“แล้วอีกคันนั่นใ— พี่แทน?!” ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าใครเดินลงมาจากรถคันสุดท้าย แต่ตกใจได้ไม่นานพ่อก็ไล่ให้ไปช่วยถือของพร้อมกับเสียงแม่ที่ออกมาต้อนรับ
“พี่กวินน~” กันต์โผเข้าหาพี่ชายตัวเองเต็มรัก ก่อนหน้าที่พี่ชายจะแยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเองกันต์สนิทกับพี่มาก คุยกันได้แทบทุกเรื่องเพราะมีกันแค่สองคนพี่น้อง มาห่างกันไปก็ตอนย้ายบ้านจำได้เลยว่าพอรู้ว่าพี่ชายจะแยกออกไปก็ร้องไห้ฟูมฟายไม่ยอมห่างจากพี่ตัวเอง
“ไงตัวแสบ” กวินภพลูบหัวเจ้าน้องชาย สายตาเอื้อเอ็นดูยังไม่เคยเปลี่ยนแม้เจ้าตัวแสบของบ้านจะตัวโตขึ้นมากจนแทบจะสูงทันกันอยู่แล้ว
“คิดถึงอ่ะ ไม่มาหาบ้างเลย”
“งอแงไรเนี่ยโตแล้วนะ มาช่วยพี่ถือของเลยมา” กวินดีดหน้าผากน้องอย่างหมั่นไส้ก่อนจะยื่นของใช้ของเด็กเล็กให้ถือ แต่ไม่ทันที่กันต์จะได้รับของมาจากมือพี่ชายตัวเองก็ถูกใครอีกคนที่ยืนมองมานานแย่งไปถือเสียเอง
“สวัสดีครับคุณกวินภพ เดี๋ยวผมช่วยครับ” กันต์ถูกกันออกมาด้วยความมึนงง มองพี่ชายตัวเองกับคนรักที่ยืนจ้องกันไม่วางตา
“น้องกันต์จ๊ะ เข้าบ้านไปเล่นกับหลานกันดีกว่า” พี่น้ำ พี่สะใภ้ที่อุ้มเจ้าตัวน้อยด้วยแขนข้างเดียวใช้มือข้างที่ว่างรุนหลังน้องชายของสามีเข้าไปในตัวบ้าน เพื่อเปิดโอกาสปล่อยให้คนตัวโตทั้งสองคนได้คุยกัน
กันต์เล่นกับหลานไปเหลือบมองนอกบ้านไปด้วยความพะวง ไม่รู้ว่าพี่เขากับพี่กวินคุยอะไรกันบ้างเพราะทั้งคู่ยืนหันหลังให้กับตัวบ้าน พี่กวินน่ะหวงเขาอย่างกับอะไร แฟนที่ผ่านมาก็ให้ไอ้ดิมกับแม่ช่วยปิดไว้เพราะรู้ว่ามันอาจจะไม่จีรัง แต่กับคนนี้นั้นต่างออกไปทุกอย่างคือความจริงจังฉะนั้นพี่กวินต้องการจะคุยด้วยก็คงไม่แปลก เพียงแค่กลัวว่าพี่ตัวแสบของเขาจะทำอะไรร้ายกาจเข้าให้น่ะสิ
“เอ้า ๆ อุ้มหลานดี ๆ เดี๋ยวหลานตกนะเจ้ากันต์” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้ากับท่ายงโย่ยงหยกของลูกชายคนเล็ก
“ก็กันต์กลัวพี่กวินจะแกล้งพี่แทนอ่ะพ่อ”
“พูดไปเรื่อย จับหลานให้ดี ๆ” กันต์ยู่หน้าใส่พ่อก่อนจะยอมนั่งลงเล่นกับหลานในอ้อมแขนตัวเองดี ๆ
อาจจะดูแปลกว่าทำไมแทนคุณถึงต้องคุยกับพี่ชายคนโตของบ้านแทนที่จะเป็นพ่อและแม่ของเจ้ากระต่ายของตัวเอง นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้แทนคุณได้คุยกับทางผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเรียบร้อยแล้วเหลือก็เพียงแต่พี่ชายเท่านั้นที่พ่อกับแม่บอกว่า รายนี้น่ะหวงกันต์ยิ่งกว่าใครในบ้าน
“จ๊ะเอ๋น้องกานต์ นี่อากันต์เอง จำได้ไหมหว่า”
“แหะ แหะ คิก” เด็กชายกานต์ หลานชายคนแรกของตระกูลส่งเสียงตอบรับอาของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ทำเอาคนชอบเด็กอย่างกันต์หลงหัวปักหัวปำนั่งหยอกเล่นกับหลานจนลืมความกังวลเมื่อครู่จนสิ้น
“ไหนขออาฟัดพุงกลม ๆ หน่อยน้า” กันต์วางให้หลานนอนหงายกับตักตัวเองก่อนจะก้มลงฟัดพุงหอมกลิ่นแป้งเด็กนั่นจนเสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่วบริเวณ คนเป็นปู่กับย่านั่งอมยิ้มกับภาพตรงหน้า คนเราเมื่อแก่ตัวเองก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าเห็นลูกหลานรักกันดีและมีความสุข
มื้ออาหารเย็นเป็นไปได้ดีมากกว่าที่คิดไว้อาจเพราะมีเสียงหัวเราะของเจ้าตัวน้อยเคล้าคลอจึงไม่มีเรื่องซีเรียสถูกยกขึ้นมาเป็นบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร หลังจากเสร็จสิ้นพี่สะใภ้คนสวยก็ขอพาหลานขึ้นไปให้นมกล่อมนอนบนห้อง ด้านล่างจึงเหลือเพียงพ่อแม่ลูกชายทั้งสองและว่าที่สมาชิกใหม่
“ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างลูก เหนื่อยไหม” แม่ของบ้านพูดเปิดประเด็นอย่างผ่อนคลาย เราทั้งห้าคนไม่ได้สร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดมันเหมือนเป็นแค่คนในครอบครัวล้อมวงพูดคุยกันเท่านั้น
“นิดหน่อยครับคุณแม่ คนไข้ไม่ค่อยเยอะมากแต่ช่วงนี้ประชุมบ่อยเพราะโรงพยาบาลที่ผมทำอยู่เขามีส่วนช่วยทดลองและวิจัยเครื่องทดเวลาน่ะครับ”
“อืม ยังไม่ยอมแพ้กันอีกเรอะ พ่อเห็นข่าวว่าทดลองกันมาหลายรอบแล้วนี่”
“ใช่ครับ เพราะยังไม่สำเร็จนี่แหละครับเลยต้องพยายามกันต่อไป”
“งานหนักแบบนี้จะมีเวลาดูแลเจ้ากันต์เหรอ” กวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวน คนถูกอ้างในบทสนทนาอย่างกันต์ก็ถลึงตาใส่พี่ชายตัวเอง
“ผมมั่นใจว่าดูแลน้องได้ครับ ถึงงานจะเยอะแต่เราก็พยายามหาเวลาว่างเพื่อเจอกันครับ มีไปรับ-ส่งน้องไปเรียนบ้างหรือบางทีน้องก็มาหาผมที่โรง'บาลบ้างน่ะครับ หรือถ้าไม่ได้เจอก็ติดต่อผ่านโทรศัพท์ตลอดครับ”
“แล้วไอ้ที่ทะเลาะกันแรงจนน้องต้องหนีมานอนบ้านผมนี่คุณจะแก้ตัวยังไง” คำถามของกวินทำเอาคนไม่รู้เรื่องอย่างพ่อและแม่ถึงกับหันขวับมองลูกชายตัวเองกับว่าที่ลูกชายคนใหม่ด้วยสายตาตั้งคำถาม
ส่วนกันต์เองก็ลืมไปเสียสนิทว่าคราวนั้นที่ทะเลาะกันกันต์หอบตัวเองไปนอนบ้าน และนี่คงเป็นสาเหตุของรอยแตกมุมปากขอคนรักที่เขาตื๊อถามไปเมื่อเย็นก่อนกินข้าวแล้วไม่ยอมตอบ
“นั่นคือผลจากการตัดสินใจผิดพลาดของผมครับ ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากการขอโทษคุณพ่อ คุณแม่และคุณกวินที่ทำให้น้องต้องเสียใจ” แทนคุณยกมือขึ้นไหว้ทั้งสามคนด้วยความรู้สึกผิดจากใจ
“แล้วถ้ามันมีอีกล่ะ ถ้าคุณทำน้องผมเสียใจอีกล่ะ” กวินเอ่ยถามซ้ำอีกครั้งแม้จะคุยกันไปแล้วเมื่อตอนเย็นก็ตามแต่ที่ต้องพูดขึ้นมาอีกก็เพื่อให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ จะบอกว่าเขาแอบขี้ฟ้องหน่อย ๆ ก็ย่อมได้ แต่ถ้าใครได้เห็นสภาพของกันต์ในวันนั้นที่ตาบวมและซูบเซียว คงจะเข้าใจว่าทำไมกวินถึงต้องต่อยผู้ชายคนนี้และต้องพูดมันขึ้นมาอีก
“ผมไม่สามารถสัญญาได้ครับว่าจะไม่ทำให้น้องเสียใจ ในอนาคตมันอาจจะมีเรื่องกระทบกระทั่งตามประสาคนรัก แต่ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้ง เรื่องพวกนั้นจะไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงหรือใครก็ตามที่จะมาแทรกกลาง ผมไม่มีทางนอกใจน้องเด็ดขาดและจะไม่ปล่อยมือน้องไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ผมจะสัญญาได้”
ทุกคำแทนคุณพูดมันออกมาจากใจและหนักแน่น หากไม่แน่ใจคนอย่างเขาจะไม่มีวันพูดหรือสัญญาออกมาแน่นอน ฉะนั้นเมื่อใดที่รับปากหรือสัญญานั่นแปลว่าเขารู้ตัวเองดีว่าจะทำมันได้อย่างแน่นอนและไม่มีทางบิดพลิ้ว ฝ่ามือใหญ่กุมมือของคนข้างกายไว้แน่นเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนี้
“เอาเถอะ ก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้ว เราจะอยู่ด้วยกันด้วยความรักที่แท้จริงหรือเป็นรักที่รักเพียงแค่ตัวเอง ยังไงพ่อก็ฝากน้องด้วยมีอะไรก็คุยกันตรง ๆ ถ้าไม่ไหวก็มาปรึกษาผู้ใหญ่ได้”
“ใช่จ้ะ ก็อย่างที่แม่บอกเราไปครั้งก่อนนั่นแหละว่าแม่ให้แล้วไม่รับคืน” แม่พูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีเพื่อไกล่เกลี่ยบรรยากาศคุกรุ่นเมื่อครู่ให้หมดสิ้น
“เอ่อพ่อกับแม่ครับ ... วันนี้ผมขออนุญาตนอนที่นี่ด้วยคนได้ไหมครับ” คนถูกขออนุญาตถึงกับชะงักกลางอากาศเพราะไม่คิดว่าว่าที่ลูกเขยหมาด ๆ จะเอ่ยปากเอง
“ไม่ได้!” แต่คนที่ตอบกลับไม่ใช่พ่อและแม่ กวินเอ่ยห้ามเสียงดังด้วยหน้าตาขึงขัง
“ได้จ้ะ ดึกแล้วเนอะ ยังไงแทนก็นอนห้องน้องนะ คงไม่เป็นไรใช่ไหมพ่อ”
“อืม ตามนั้นแหละ ไป ๆ ไปพักผ่อนกันได้แล้ว เราก็ด้วยกวินขึ้นไปช่วยเมียดูลูกไป”
ภายในห้องนอนขนาดกลางที่เปิดเข้ามาก็เจอเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ถัดจากประตูเป็นโต๊ะทำงานและตู้หนังสือรวมถึงชั้นวางของจิปาถะ ส่วนด้านในสุดเป็นห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง แทนคุณกวาดสายตามองเพื่อเก็บรายละเอียด แม้จะเคยขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งก่อนแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ทุกอย่างในห้องถูกวางเป็นสัดส่วนและเป็นระเบียบตามนิสัยเจ้าของห้อง
เมื่อเหลืออยู่กันสองคนในที่ส่วนตัว รอยยิ้มที่ติดริมฝีปากของแทนคุณก็จางหายไป เขายังไม่ลืมว่าเมื่อกลางวันเกิดอะไรขึ้นหากไม่ใช่ดิมมาบอกว่าเพื่อนที่น้องไปทำงานด้วยเป็นใคร เขาคงจะไม่รู้และเมื่อได้รู้ก็เกิดหวั่นใจขึ้นมาทันทีเพียงเพราะเราเพิ่งจะดีกันเกรงว่าจะมีใครมาทำให้น้องจากไป
“พี่จะอาบน้ำก่อนไหม” แทนคุณพยักหน้าและรับผ้าเช็ดตัวมาจากน้อง เปิดกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าตัวเองแล้วหยิบชุดนอนออกมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีไม่แม้แต่จะมองกระต่ายน้อยห่อตัวเพราะโดนเมิน
“เป็นอะไรของเขา” กันต์ถอนหายใจพลางลุกขึ้นหยิบข้าวของไปใช้ห้องอาบน้ำด้านนอกเพื่อจะได้ไม่ต้องรอกันไปมาให้เสียวเลา
(ต่อด้านล่าง)