☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61  (อ่าน 43787 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :m25: :m25: ขี้หึงแล้วหื่นอ่ะอิพี่ซัน

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :katai1: ไม่ใช่ตอนต่อไปมาม่าชามโตนะอยากให้ซันกับบีทส์หวานกันก่อนอุตส่าห์ตกลงคบกันแล้วยังไม่อยากกินมาม่า

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ 29 :: ของฝาก


[บีทส์]


ครืด...ครืด…


ผมหยุดมือที่กำลังตัดขนมปังอยู่วางมีดไว้บนเขียงไม้ ก่อนจะยื่นมือไปล้างเศษขนมออกที่ซิงค์น้ำเช็ดผ้ากันเปื้อนลวกๆ ตอนนี้ผมกำลังทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ สำหรับเราสองคนอยู่น่ะครับ ส่วนพี่ซันน่าจะอาบน้ำอยู่ผมได้ยินเสียงอาบน้ำแว่วๆ


“ครับ”


ผมกดรับ ก่อนจะเอาแก้มแนบไปกับโทรศัพท์ ใช้ไหล่ประคองโทรศัพท์ให้แนบไปกับหู แล้วเดินกลับมาที่ครัวขนาดเล็กในห้องพี่ซัน


“อรุณสวัสดิ์ครับบีทส์”


เสียงหล่อดังมาตามสาย ผมขมวดคิ้วเพราะจำเสียงของปลายสายได้


“ครับพี่เจ”


ตอบรับพลางหั่นขนมปังจัดใส่จานเหมือนที่เคยทำประจำ อาหารง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรมากมาย แถมยังประหยัดได้อีกด้วยนะครับ เหมาะสำหรับคนที่อยู่หอหรือมีเวลาทานอาหารเช้าไม่มาก ใส่พวกผักไปด้วยก็ได้สารอาหารที่ทรงคุณค่าแล้ว จริงๆ ผมก็พูดโม้ไปแบบนั้นล่ะครับ พอดีเมื่อเช้าผมตื่นสายเลยทำข้าวต้มไม่ทัน แหะๆ


“ทำอะไรอยู่เรา พี่โทรมากวนรึเปล่า” พี่เจถามต่ออย่างอารมณ์ดี ผมหัวเราะแห้งๆ ยกจานขนมปังมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกลับไปชงกาแฟให้กับคนที่อยู่ในห้อง


พี่ซันทานกาแฟดำครับ ส่วนผมก็นี่เลย ‘นมสด’ คุณนายบอกว่านมดีต่อสุขภาพครับ ผมเคยชวนให้พี่ซันทานนมแทนกาแฟนะแต่พี่มันบอกว่าแค่นี้มันก็สูงจะแย่แล้วให้ผมกินน่ะดีแล้ว (พอโดนพี่มันหลอกด่าผมก็เลยเลิกเซ้าซี้)


“กำลังนั่งกินขนมปังอยู่ครับ เดี๋ยวก็ไปมหาลัยแล้ว” ผมตอบ พลางเหลือบมองพี่ซันที่กำลังก้าวออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวเปียก มือหนากำลังวุ่นวายอยู่กับการถูผ้าขนหนูไปกับผมเปียกหยาบๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วแกล้งสลัดน้ำใส่ ผมเอียงหน้าหลบเพราะกลัวน้ำจะโดนโทรศัพท์ พี่ซันหัวเราะหึๆ เดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง (พอใจเหลือเกินที่ได้แกล้งผม)


“ใคร”


พี่ซันเปิดปากถามแบบไร้เสียงแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ ผมยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นหน้าจอไปให้พี่มันดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามา ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเพราะผมเมมชื่อไว้ว่า ‘พี่เจ’


พี่มันเลิกคิ้วถาม “ไอ้เจ?”


ผมพยักหน้ารับ พี่ซันเฮอะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ผมทำท่าจะเรียกตามแต่ก็ไม่กล้าออกเสียงเพราะกลัวว่าคนที่อยู่ในสายจะได้ยินแล้วสงสัย


“มีอะไรรึเปล่าบีทส์” ปลายสายถามกลับมา


“เอ่อ...เปล่าครับ ว่าแต่พี่โทรหาผมทำไม” ผมถามกลับ แต่สายตาผมมองไปที่ประตูห้องนอน


“พี่แค่อยากเจอเราน่ะ พอดีไปเที่ยวมา เลยซื้อขนมมาฝากเยอะเลย” พี่เจเอ่ยบอกพร้อมกับหัวเราะ ได้ยินเสียงเอ่ยแซ็วแทรกเข้ามา...น่าจะเป็นพี่ไลท์มั้งครับ


ผมหันไปมองที่ประตูห้องนอนอีกทีหลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู เห็นพี่ซันเดินออกมาโดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้ที่บ่า ผมมองตามร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาก่อนจะลากเก้าอี้ตัวข้างๆ มานั่งติดกับผม มือหนาเอื้อมมาแย่งโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่


“เฮ้ยพี่…” ผมร้องห้ามแบบไร้เสียง พี่ซันปรายตามองผมดุๆ ก่อนที่มือหนาจะหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ ข้างหนึ่งเสียบใส่หูตัวเองส่วนอีกข้างที่มีไมค์พี่มันยื่นมาเสียบไว้ที่หูผมก่อนที่มือข้างหนึ่งของพี่ซันจะวางเท้าเก้าอี้ผมไว้ แล้วขยับเอียงตัวมาแนบติดกับตัวผมเพราะกลัวหูฟังจะหลุด


โอ๊ย มุมนี้เล่นเอาผมใจสั่นแต่เช้าเลยครับ!


“พูดไปสิ”


พี่ซันเอียงหน้ามามองผมแล้วออกคำสั่งกับผมอีกครั้ง คือหูฟังมันก็ไม่ได้ยาวมากไงครับทำให้ตอนนี้ผมกับพี่ซันแทบจะสิงกันอยู่แล้ว


“คือผมเกรงใจอ่ะพี่ ไม่น่าซื้อมาเลยเสียดายตังค์” ผมเกรงใจจริงๆ นะ แม้จะรู้อยู่นิดนึงก็เถอะว่าพี่มันอยากจะเต๊าะผม เลยซื้อของมาให้


“เกรงใจทำไม คนกันเองน่า ว่าแต่จะเข้ามากี่โมงพี่จะได้แวะเอาไปให้” พี่เจถามต่อ ผมหันไปมองหน้าพี่ซันเพื่อถามความเห็น พี่มันจ้องหน้าผมเขม็งแล้วส่ายหัว มือหนาเลื่อนมาเกาะอยู่ที่สะโพกผมแล้วออกแรงลูบ ผมตีมือพี่มันเป็นการปรามถามว่าพี่มันสลดไหม


...ไม่เลยครับ…หน้าโคตรด้าน


“ว่าไงบีทส์ จะเข้ามากี่โมง”


“ไม่แน่ใจเลยพี่ ถ้าพี่เจอเพื่อนผมก็ฝากพวกนั้นไว้ก่อนได้นะครับ” ผมอึกอัก ตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้


“ได้ไง...บอกแล้วไงว่าอยากเจอ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับไม่ได้เจอหน้าบีทส์เลย รู้มั้ยว่าพี่คิดถึง” พี่เจหัวเราะแล้วตอบกลับ ผมยิ้มแหยๆ ไอ้พี่คนนี้หยอดได้เป็นหยอดเลยเว้ย


“วู้ว คิดถงคิดถึงอะไรกัน จั๊กจี้” ผมหัวเราะขำๆ กับคำหยอดของพี่เจ แล้วเปลี่ยนประเด็น “ขอบคุณนะครับสำหรับของฝากแต่คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ อ๊ะ ผมต้องรีบไปแล้วกลัวตกรถ แค่นี้ก่อนนะพี่ สวัสดีครับ” ตอบกลับพลางเอี้ยวตัวหนีมือไอ้คนหน้าด้านข้างๆ ที่ฉวยสอดมือเข้ามาในเสื้อผม ก่อนเลื่อนมือสูงขึ้นเรื่อยๆ ใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกจนผมตัวงอเลยต้องรีบตัดบท เพราะมือที่เหลืออยู่ข้างเดียวของผมไม่สามารถปัดป้องมือที่กำลังกลายร่างเป็นปลาหมึกของพี่ซันได้เลย แม่ง...


ผมรีบกดวางสายแล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนจะยื่นมือไปตีมือที่กำลังรุ่มร่ามอยู่บนตัวผมของพี่ซันแรงๆ จนพี่มันหดมือกลับ แต่เสือกขยับตัวมาใกล้ โดยที่ผมนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะส่วนพี่มันหันเก้าอี้เข้าหาผม เท้าทั้งสองข้างของพี่มันก็วางพาดอยู่ที่เก้าอี้ของผมเช่นกัน


“บีทส์” พี่ซันเรียกพลางเลื่อนมือไปถอดหูฟังจากหูตัวเองยื่นให้ผม


“ครับ”


ผมขานรับพลางเก็บโทรศัพท์กับหูฟังไปไว้ข้างๆ ตัว


“รู้ใช่มั้ยว่ามันสนใจมึง”


ผมกระพริบตาขึ้นลงปริบๆ ก็พอรู้อยู่หรอกเพราะพี่มันชอบมาวอแวตั้งแต่ไปเข้าค่ายแล้วก็ตามผมมาตลอด แต่ผมไม่คิดว่าพี่เจจะจริงจังอะไรนี่


“ผมไม่แน่ใจ...เพราะไม่คิดว่าพี่เขาจะชอบผมจริงๆ” พี่ซันเลิกคิ้ว “เก๊าะ...พี่เขาแมนออก” ผมเสียงอ่อยท้ายประโยค พี่ซันเฮอะในลำคอ ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม


“โอ๊ย...ทำร้ายร่างกายเค้าเหรอ~” ผมแสร้งโอดโอย ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเอง


พี่ซันยิ้มเย็นๆ “มึงบอกไม่แน่ใจว่ามัน ‘เป็น’ แล้วอย่างกูเนี่ย...” เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “น่าเป็นนักรึไง”


ผมหลุดยิ้ม “ฮั่นแน่...หึงก็บอก”


พี่ซันส่ายหัว “กูแค่เสียดาย เซ่อๆ อย่างมึง...ไม่รู้จะไปคลำหาที่ไหนได้อีก” ตอบพลางแกล้งยื่นขาเตะเก้าอี้ผมสะเทือน ชิส์ ไอ้คนปากแข็ง!!


“อย่าเข้าใกล้มันถ้าไม่จำเป็น ถือว่าทำเพื่อความสบายใจของกูก็แล้วกัน”


พี่ซันพูดเสียงเรียบ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มนั่น พี่ซันเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา ผมยิ้มเอาใจ พลางยื่นนิ้วไปจิ้มไหล่


“นี่...”


พี่ซันหันกลับมามองหน้าผม


“เชื่อเถอะครับ ผมไม่เคยวิ่งเข้าหาเขา...เหมือนที่วิ่งเข้าหาพี่” ผมพูดติดตลก


“กูไม่ได้พูดเล่น”


พี่ซันบอกเสียงจริงจังก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่เดิมแล้วลงมือกินกาแฟกับขนมที่ผมทำให้เงียบๆ ผมแกล้งยื่นขาไปเตะพี่มันใต้โต๊ะ ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมาเลิกคิ้วให้


“ผมเองก็จริงจังนะ” ผมบอกเสียงดังฟังชัด


พี่ซันมองหน้าผมนิ่ง ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม พร้อมยื่นมือมายีหัวผม


“หึ รีบกินเถอะเดี๋ยวจะสาย”


ผมยิ้มรับก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวไปมหาลัยพร้อมพี่ซัน


+++++++++++++++++++++++++


“กดอะไรนักหนา” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์พร้อมกับหันไปหาคนข้างๆ ที่กำลังขับรถอยู่ ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่ครับพี่มันเลยหันมาจ้อง(จับผิด) ผมได้


“อะไรเล่า” ผมยู่ปาก


“ผัวมึงนั่งหัวโด่อยู่นี่” พี่ซันว่าต่อไม่จริงจัง แหมๆ เดี๋ยวนี้ผัวเมียนี่หลุดออกมาจากปากบ่อยซะเหลือเกินนะ


“ชิส์...ทำเป็นบ่น เอ้อ ของขวัญที่ผมเคยให้พี่ ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะหันไปถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยให้ของขวัญวันเกิดพี่ซัน ไม่เคยเห็นเลย แอบเสียใจนะเนี่ย พี่ซันเลิกคิ้วพร้อมกับพยายามนึก


“อย่าบอกนะว่าทิ้งไปแล้วอ่ะ”


“แล้วถามถึงทำไม” พี่ซันถามกลับไม่ตอบ


“นึกว่าพี่จะเอามาใช้ซะอีก” ผมอ้อมแอ้มตอบ


“แล้วให้อะไรกูมาล่ะ” พี่ซันถามต่อ ชิส์ แม้แต่แกะก็ยังไม่ได้แกะหรอกเหรอเนี่ย บ๊ะ ไอ้พี่บ้านี่ไม่คิดจะสนใจของขวัญที่ผมให้เลยใช่ป๊ะ ใช่ซี้ตอนนั้นมันไม่เหมือนตอนนี้นี่!


“จ้างให้ก็ไม่บอก” ผมตอบ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแกล้งไม่สนใจคนข้างๆ พี่ซันขำในลำคอ กระดิกนิ้วขับรถอย่างอารมณ์ดี


“เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมหันไปบอกคนขับรถที่วนมาจอดส่งผมที่ตึกคณะข้างๆ กับตึกที่ผมเรียน


“อย่าลืมเรื่องที่กูบอกนะ” พี่ซันเอ่ยปากบอก ผมเลิกคิ้วเรื่องไหนอีกล่ะก็รู้อยู่ว่าผมความจำไม่ค่อยดีแต่ก็ชอบพูดสั้นๆ ไม่มีประธาน กิริยา กรรม อะไรเล้ย แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง


“เรื่องไอ้เจ” ไอ้คนหน้าหล่อจิ๊ปาก พร้อมกับเอ่ยบอกในเรื่องที่ต้องการจะย้ำ ผมร้องอ๋อ ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูลงจากรถ


“ไปนะครับ” ผมเดินอ้อมมาที่ประตูฝั่งขนขับแล้วบอกพี่ซันที่เปิดกระจกลง


“มานี่ดิ๊อะไรติดหน้า” พี่ซันเอ่ยเรียกพลางกระดิกนิ้ว ผมเลยยื่นหน้าเข้าไปหาเพื่อให้อีกคนช่วยหยิบออกให้สงสัยเศษขนมปังจะติดหน้า


“อื้อ!...” ผมตกใจเมื่ออยู่ๆ พี่ซันก็คว้าหน้าผมเข้าไปใกล้มือหนาเลื่อนมาดึงท้ายทอยผมเข้าไปในตัวแล้วบังคับจูบ ริมฝีปากผมทาบทับลงไปที่ริมฝีปากอีกคนก่อนที่พี่ซันจะเอียงหน้าปรับองศาแล้วค่อยๆ สอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวพันกับลิ้นผม ผมกระชับมือสองข้างที่เกาะอยู่ที่ขอบประตูรถแน่น พี่ซันผละหน้าออกห่างผมเว้นระยะห่างแค่คืบ ก่อนจะกดจูบย้ำมาที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง


“ไปเรียนได้แล้ว”


มือหนาตบมาที่แก้มผมเบาๆ เพื่อเรียกสติ ผมสะดุ้งพลางลืมตา ก่อนจะถอยออกจากตัวรถแล้วเม้มปาก


เวร...


นี่กูเผลอเคลิ้มไปกับพี่มันอีกแล้วใช่ไหม พี่ซันยิ้มขำก่อนจะกดปิดกระจกรถพร้อมกับเคลื่อนตัวรถออกไป ผมมองตามตัวรถพร้อมกับหลุดยิ้ม


ไอ้พี่บ้า


ผมเดินมาคณะที่ตัวเองเรียนประจำ ‘ตึกบริหารฯ’ คือชื่อเรียกของสถานที่ที่ผมสิงสถิตย์อยู่ประจำครับ ปีหนึ่งทางมหาลัยจะให้เรียนวิชาพื้นฐานก่อน ดังนั้นในแต่ละเซควิชา จึงเป็นการเรียนรวมคละกันในหลายๆ สาขา และจะมีการหมุนเวียนเรียนไปในแต่ละตึกที่เป็นเจ้าของวิชา งงไหมครับถ้างงก็กลับไปอ่านใหม่อีกทีถ้ายังไม่เข้าใจก็กลับไปอ่านอีกสักทีนะครับ ฮ่าๆ


เอ๊ะ นั่นมันอิพิงค์นี่ ยืนคุยกับใครวะ


ผมรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เมื่อเห็นอิพิงค์กำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่ที่ข้างตึก ผู้ชายที่ไหนวะ อิพิงค์ดูซีเรียสมากเพราะผมเห็นมือไม้มันออกอาการชัดเจนก่อนจะสะบัดมือที่อีกคนเกาะกุมอยู่ที่แขนมันออกแรงๆ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนจะเจ็บใจตัวเองเมื่ออิพิงค์มันหันมาเจอผมก่อน เหมือนมันจะเอ่ยปากไล่คนที่ยืนคุยกับมันอยู่แล้วเดินเลี่ยงมาหาผม


ผมรู้ว่ามันแค่มารับหน้าผมไม่ให้เดินไปถึงคนของมันต่างหาก มันไม่ได้ใจดีถึงกับเดินมารับหน้าผมหรอกครับ


“คุยกับใครวะท่าทางซีเรียส” ผมเอ่ยปากถามทันทีพลางชะเง้อคอมองตามหลังผู้ชายคนนั้นไป เห็นแต่หลังไวๆ สูงพอๆ กับไอ้ตี๋เลยนะน่ะ หุ่นก็พอๆ กันเสียดายไม่เห็นหน้า


“ก็คนรู้จักแหละ” อิพิงค์กระชับกระเป๋าสะพายข้างใบโปรดของมันแล้วยักไหล่ตอบ ผมหรี่ตาแล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันเพื่อหวังจับผิด อิพิงค์หดคอหนี มึงมีความลับกับกูใช่ไหมฮะอิพิงค์


โป๊ก!


“โอ๊ย เคาะหัวกูทำไมวะ!” ผมโวยเมื่อไอ้คนที่กำลังโดนผมไล่ต้อนยื่นมือมาฟาดหัวเข้าให้ อิพิงค์ยืนเท้าสะเอว


“เอาเรื่องของมึงให้รอดก่อนเหอะก่อนที่จะมาเสือกเรื่องของกู” มันด่าเข้าให้ ผมยู่ปาก แหมทีเรื่องของกูไม่ต้องเชิญมึงก็เสือกเหมือนกันนั่นแหละครับเพื่อน


“เอ๊ะ...แล้วนี่มาเรียนยังไงพี่สุดหล่อของกูมาส่งใช่มะ ปากเจ่อๆ นะมึง แบบนี้โดนจูบก่อนลงรถชัวร์เลย แหมๆๆ ร้อนแรงแต่เช้า” ผมกำลังจะเอ่ยปากค้าน แต่โดนอิพิงค์เอ่ยสวนกลับมาด้วยหมัดฮุกตรง เล่นเอาผมหุบปากแทบไม่ทัน


เพื่อนเวรเล่นกูแต่เช้า T^T


“อะไร นี่กูกำลังถามมึงอยู่นะเว้ย”


“สรุปคือพี่สุดหล่อกูมาส่งจริงๆ แสดงว่าเมื่อคืนโดนไปหลายยกเขาเลยต้องมาส่ง ว๊าย มีผัวดีแบบนี้มึงหาให้กูสักคนสิกูอยากได้ กูอยากโดน~!” อิพิงค์เข้ามาเกาะแขนผมก่อนจะเขย่าพลางกรี๊ดใส่หูผม


“โว๊ะ มึงอย่าเวอร์ทางเดียวกันเหอะเลยมาด้วยกัน อย่าไปพูดแบบนี้ที่ไหนนะมึงคนอื่นได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง” ผมตอบพลางสั่งมันในขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปใต้ตึกคณะแล้วมุ่งไปที่โต๊ะประจำของเรา มันหัวเราะคิกคักแล้วพยักหน้าเออออ


“อ้าวบีทส์” เสียงไอ้ตี๋ร้องทัก นี่มึงจะมาทำไมแต่เช้าวะเนี่ยขยันเกินหน้าเกินตากูไปล่ะนะ (ทำไม่ได้เหมือนมันไง) ผมยิ้มรับวางกระเป๋าบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ มัน


“มาทำไมแต่เช้า” ว่าแล้วก็เอาซะหน่อยคันปากยิบๆ


“ก็มารอไง” ไอ้ตี๋ตอบ ผมหรี่ตารอใครของมึง


“แหมตี๋ มารอเราก็บอกอิบีทส์มันไปสิ ไม่รู้เหรอว่าอิบีทส์มันโง่ คิดเองไม่เป็นหรอก” อิพิงค์เอ่ยปากกัดผมพลางหัวเราะคิกคัก ผมขมวดคิ้วมองมองมันหน่ายๆ นี่มึงจะกัดกูไปถึงไหนฮะ ไอ้ตี๋กูเห็นนะว่ามึงแอบขำกู


“ทานข้าวกันมายัง” ไอ้ตี๋ถาม ผมพยักหน้ารับส่วนอิพิงค์ส่ายหัวพลางกระพริบตาปริบๆ อ้อนไอ้ตี๋ มีใครเคยบอกมึงไหมว่ามึงทำแล้วมันไม่ได้ดูน่ารักเลยพิงค์ ผมส่ายหัวกับอาการของเพื่อนตรงหน้า


“อ้าวเนม” ผมเอ่ยทัก เมื่อเนมเดินเข้ามาใกล้ถึงโต๊ะที่เรานั่ง เนมยิ้มให้ผมก่อนจะ เดินไปนั่งลงข้างๆ อิพิงค์ที่นั่งอยู่คนละฝั่งกับผม


“มาถึงกันนานแล้วเหรอ” เนมเอ่ยถามพวกเราเนิบๆ


“ไม่นานหรอก เราก็เพิ่งมาถึง” ผมหันไปตอบ


“เอาน้ำมั้ยเราไปซื้อให้” ไอ้ตี๋เอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืน อย่างที่ทุกคนคิดครับอิพิงค์ลุกตามทันที โอ๊ยเพื่อนกู ฮ่าๆ


“เลี้ยงด้วย” ผมบอกพร้อมกับยิ้มแฉ่งไปให้มันหนึ่งที ไอ้ตี๋ส่ายหัวขำๆ แล้วพยักหน้ารับ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมรอพลางๆ ส่วนเนมก็หยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ


ผมเงยหน้าขึ้นไปหาคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างตัวเอง ก่อนจะพบกับใบหน้าคมเข้มของคนที่ผมไม่อยากจะเจอตัวมากที่สุด


“เจอตัวจนได้”


พี่เจพูดกับผมยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับถุงขนมอีกถุงจากพี่ไลท์ที่ยืนพิงโต๊ะข้างๆ อยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย


“มาแต่เช้าเลยพี่” ผมทัก พี่เจวางถุงขนมไว้บนโต๊ะ


“พี่เอาขนมมาให้” อีกคนบอกผมพลางยักคิ้ว


“ว๊ายนึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็พี่เจของพิงค์นี่เอง” เสียงมาแต่ไกลทั้งๆ ที่ตัวอยู่ห่างไปกว่ายี่สิบเมตร ผมแอบเห็นพี่เจถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อิพิงค์ตามเสียงเรียก ส่วนไอ้ตี๋เดินไปนั่งข้างเนมเพราะที่ของมันโดนพี่เจจับจอง ส่วนด้านข้างผมพี่ไลท์ก็เดินมานั่งแล้วเรียบร้อย


“ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะพิงค์” พี่เจเอ่ยแซ็ว อิพิงค์อายม้วนเลยครับ ก่อนที่สายตามันจะเจอเข้ากับถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตาโต


“พอดีพี่ไปช่วยงานคุณพ่อที่ฮ่องกงมา เลยซื้อขนมมาฝาก” พี่เจเห็นสายตาของอิพิงค์เลยอธิบายกับมันยิ้มๆ ผมยิ้มแหยๆ เมื่ออิพิงค์ยิ้มแซ็วมาทางสายตา


“แหม...แล้วมีของพิงค์บ้างบ้างมั้ยคะพี่เจ” อิพิงค์จีบปากจีบคอพูด ผมเบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้มัน พี่เจหัวเราะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเขินๆ


“ขนมนี่พี่ก็เอามาฝากน้องๆ ทุกคนแหละครับแต่ถุงนี้แค่บีทส์นะ” พี่เจส่งยิ้ม พร้อมกับเลื่อนถุงกระดาษที่แยกไว้ต่างหากมาให้ผม


“ไม่เห็นต้องลำบากเลยพี่ ผมเกรงใจ”


ถึงผมจะเห็นว่าของฟรีมันสำคัญก็เถอะแต่ไม่รู้ทำไม ของฟรีจากไอ้พี่เจเนี่ยไม่อยากรับไว้เลย เหมือนต้องตามไปชดใช้ยังไงก็ไม่รู้
“อ้าวนัท...” เสียงเนมเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนผม พอหันไปมองทางด้านหลังของตัวเองเจอไอ้นัทที่เดินสะพายเป้เข้ามา มันหยุดยืนที่หัวโต๊ะเพราะไม่มีที่นั่งแล้ว พลางปรายตามองพี่เจกับพี่ไลท์แวบหนึ่งแล้วค่อมหัวให้เป็นมารยาทด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมเห็นมันสบตากับพี่เจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่เจจะหันมายิ้มให้ผม


“งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ ไว้พี่โทรหา”


ผมพยักหน้ารับคำ พี่เจหันไปยิ้มให้เพื่อนๆ ผมในโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปกับเพื่อนสนิทอย่างพี่ไลท์ ไอ้นัททิ้งตัวลงนั่งข้างผม


“ไหนอิบีทส์ เอามาดูสิว่าเขาให้อะไรมึง” อิพิงค์โพล่งขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือมาหยิบกล่องกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าผมไปแกะ นี่มึงไม่คิดจะขออนุญาตกูเลยใช่ไหมเพื่อนเวร ถึงกูจะไม่ได้อยากรับแต่มึงก็ช่วยรักษามารยาทหน่อยสิเว้ย!


“มึงนี่” ผมบ่น ก่อนจะหันไปเจอไอ้ตี๋ที่เขี่ยข้าวในจานเล่นไม่ยอมตักกินสักที ผมเลยแกล้งยื่นขาไปเตะที่ขามัน มันสะดุ้ง ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้ผม


“ข้าวมีไว้แดกไม่ใช่มีไว้เขี่ย” ผมด่าพร้อมกับหัวเราะ ไอ้นัทที่นั่งข้างๆ หาวปากกว้างพลางยกแขนขึ้นยืดเส้นยืดสาย


“ต๊ายอิบีทส์!!” เสียงของอิพิงค์เรียกความสนใจจากพวกเราทุกคนรวมไปถึงบรรดาเพื่อนร่วมคณะที่นั่งอยู่บริเวณใกล้เคียง


“มึงจะเสียงดังทำซากอะไรฮะ!” ผมด่ามันแบบไม่เต็มเสียง เหมือนมันจะเพิ่งรู้ตัวเพราะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ ก่อนที่มันจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบกลางวง


“พี่เจให้สร้อยข้อมือมึงอ่ะ ดูสิสวยมาก!” อิพิงค์เฉลยก่อนจะยื่นกล่องสี่เหลี่ยมมาให้ผมดู ไอ้นัทเลิกคิ้วหันมามองผม แม้แต่เนมเองยังชะโงกหน้ามาดู ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวแรงๆ


“พี่มันชอบมึงสินะ” ไอ้นัทถาม ผมถอนหายใจ กูก็ไม่แน่ใจว่ะ


“กูสังเกตตั้งแต่ไปเข้าค่ายครั้งนั้นแล้วมึง” อิพิงค์ออกความเห็น ผมถลึงตาปรามมันดุๆ แต่อินี่มันยักไหล่ไอด้อนแคร์ใส่ผม ผมเลยไม่สนใจยกแก้วน้ำแดงขึ้นมาดูด!


“กูก็บอกไม่ถูกวะ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างอิตานี่กับลุงรหัสไอ้ออยกูว่าคนหลังนี่ภาษีดีกว่าเยอะ”


“พรวด!!”


ผมสำลักน้ำก่อนจะไอค่อกแค่กหลังากที่ไอ้นัทพูดจบ มันยื่นมือมาช่วยทุบหลังให้ก่อนจะบ่นตามมาว่าผมจะรีบกินไปไหน โอ๊ยแล้วมึงพูดอะไรของมึงล่ะวะ กูรู้ว่ามึงพูดเพราะมึงไม่รู้ แต่บ้านมึงเป็นหมอดูเหรอจะตรงประเด็นไปไหม!!


“พูดบ้าอะไรของมึง!” ผมทำเป็นไม่พอใจไอ้นัท ก้มหน้าก้มตาตักน้ำแข็งใส่ปาก


ไอ้นัททำหน้าเหรอหราแล้วพูดแก้คำ “อะไร กูก็แค่เปรียบเทียบให้ฟัง ลุงรหัสไอ้ออยเขาก็เป็นแฟนพี่รหัสไอ้บีทส์ เมื่อเช้ากูยังเห็นพี่เขาขับมาส่งแฟนเขาอยู่เลยกูเห็นแวบๆ” ผมชะงักกึก


“ก็มึงไปพูดถึงพี่สุดหล่อเขาทำไมละนัท” อิพิงค์ช่วยพูด


ไอ้นัทจิ๊ปากแล้วขมวดคิ้ว “กูว่านะ ถึงพี่แกจะชอบทำหน้าเหมือนไม่ถูกใจใคร แต่กูว่าคนแบบนี้ดูง่ายไม่ชอบก็แสดงออกมาตรงๆ แต่กับพี่เจกูว่าเขาแปลกๆ กูคงคิดมากไปว่ะ” ไอ้นัทว่าต่อ ผมพยักหน้ารับ


จริงของมัน อย่างพี่ซันไม่ชอบก็บอกแถมยังออกอาการให้เห็นแบบจะๆ แต่กับพี่เจ...มันเป็นแบบที่ไอ้นัทบอกจริงๆ นะครับ ผมก็อธิบายไม่ถูกแต่มันรู้สึกได้อ่ะ


“เออมึงอ่ะคิดมาก” อิพิงค์รับคำ


“กูล่ะไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้พี่เจนั่นเลย ตอนแรกกูเฉยๆ นะ พอเจอบ่อยๆ เห็นสิ่งที่เขาแสดงออกกับมึง กูว่ามันไม่ใช่อ่ะ” ไอ้นัทบ่นต่อหน้านิ่วคิ้วขมวด นี่มึงจริงจังใช่ไหมเพื่อน ผมยิ้มแหยๆ ให้ไอ้นัทก่อนจะมองเลยไปยังอิพิงค์ที่กำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนรู้กัน


“นั่นสิ เราเองยังเกร็งๆ เลยเวลาเจอพี่เขา” เนมที่นั่งเงียบมานานออกความเห็นบ้าง


“เออ...กูจำได้ว่าอาจารย์ป้าแกสั่งการบ้านเมื่อคืน ลืมทำเลยว่ะดีนะเข้ากรุ๊ปไลน์แล้วมีคนส่งเฉลยมาให้ลอกไม่กันกูแย่แน่ๆ โจทย์ว่ายาวแล้ว แต่วิธีทำแม่งยาวกว่าเยอะ!” ไอ้นัทบ่นขึ้นมาอีกเหมือนเพิ่งนึกได้ ผมขมวดคิ้ว


“ฮะ! มีการบ้านด้วยเหรอ” อิพิงค์เป็นคนแรกที่ถามขึ้น ไอ้นัทหันหน้าไปมองอิพิงค์หน่ายๆ “ไม่มีกูจะบ่นเหรอ อย่าบอกนะว่า…”


“เชี่ยแล้วมึง!!” ผมกับอิพิงค์โพล่งขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนสถานการณ์จะเข้าขั้นโกลาหลเมื่อต่างคนต่างหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเข้ากรุ๊ปไลน์


เวรเอ้ย ลืมลอกการบ้าน!!


“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น” ผมหันไปตามเสียงที่เอ่ยทัก พี่ซันเลิกคิ้วถามผมที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ปลายเตียง พี่มันกำลังนั่งขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างลงในกระดาษมาตั้งแต่เช้า


“วันนี้ผมได้ยินเพื่อนที่คณะคุยกันว่าไปเที่ยวสวนสัตว์เขาดินมา” ผมเกริ่น


“แล้ว?”


“พี่ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมอยากไปบ้างอ่ะ” ผมทำตาเป็นประกาย เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้พี่ซันก็น่าจะหยุดเหมือนผม พอดีว่ามันเป็นวันหยุดของทางมหาลัยที่ประกาศหยุดน่ะครับ พี่มันขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะหันไปดูปฏิทินแวบหนึ่ง


“ไม่ได้จริงๆ ว่ะ กูต้องเคลียร์งาน” พี่ซันหันมาทำหน้าลำบากใจกับผมก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ ผมทำหน้าเสียดายก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ช่วงนี้ผมเห็นพี่ซันยุ่งมากทั้งเตรียมสอบอ่านหนังสือ เคลียร์งาน ผมเห็นพี่มันนอนดึกตลอด แต่ช่วงนี้ดูเพลาๆ ลงแล้วเลยอยากจะพาพี่มันไปพักผ่อนสมองบ้าง อีกอย่างผมเสียดายบัตรฟรีที่ขอได้จากเพื่อนมา ฮ่าๆ


“งั้นพี่อยากได้อะไรมั้ย” ผมกดปิดทีวีแล้วหันไปถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืน ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือของตัวเองติดมือมาด้วย ร่างสูงของพี่ซันไม่ตอบเพราะมัวแต่ก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วยิ้มให้กำลังใจตัวเอง


“โอเค งั้นผมไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่าอยู่ในนี้ก็กวนพี่เปล่าๆ” ผมบอกแล้วเดินออกมานั่งเล่นที่โซฟาห้องรับแขกก่อนจะหยิบมือถือออกมากดเล่นฆ่าเวลา พอดีกับที่ไอ้ตี๋ทักมาถามว่าตื่นหรือยัง




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสัยได้ไปกับเจ  :hao4:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ 30 : เขาดิน...อินแฟนเดย์


[ซัน]
   

“ฮะๆ”


ส่ายหัวขำๆ เมื่อเห็นร่างผอมบางของอีกคนเปิดประตูออกไปนอกห้องนอน ผมวางดินสอในมือก่อนจะหยิบมือถือมากด


ที่ผมบอกกับบีทส์ไปว่ามีงานจะต้องเคลียร์นั่นคือผมพูดจริงนะครับ งานวิจัยก็ใกล้ครบกำหนดส่งเข้ามาทุกทีเลยต้องอยู่เคลียร์เอกสารและหาข้อมูลดึกดื่นทุกวัน บางทีก็ต้องออกไปนอกพื้นที่กับพวกไอ้สอง หรือไม่พวกมันก็ต้องหอบโน๊ตบุ๊คมานอนที่คอนโดผม ถึงจะเป็นโปรเจคเดี่ยวแต่เพราะงานของมันกับของผมคล้ายๆ กัน เราเลยต่างคนต่างช่วยดูงานและกรองงานให้กัน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ที่สำคัญมันก็ช่วยทำให้เรามีโอกาสได้คะแนนมากขึ้นด้วยครับ


ประกอบกับตอนนี้ถึงแม้ว่าตัวผมเองจะยังเรียนไม่จบแต่พ่อก็เริ่มให้เลขาเอางานมาให้ผมศึกษาดูคร่าวๆ เพื่อเป็นการปูพื้นฐานเริ่มต้น พวกเอกสารการประชุมต่างๆ คุณทวีหรือเลขาของพ่อผมนั่นแหละครับก็จะนำมาให้ผมศึกษา ก่อนที่จะเสนอไปให้พ่อผมดู พลอยทำให้ผมยุ่งมากขึ้นไปอีกเท่าตัว


เมื่อสี่วันก่อนก็เพิ่งโดนคนหน้าขาวข้างนอกห้องงอน เพราะอีกคนอยากไปดูหนังเรื่องมินเนี่ยนที่เพิ่งเข้าฉายในช่วงนี้ พอผมบอกว่าไปไม่ได้เพราะงานยังไม่เสร็จอีกคนทำหน้าผิดหวังนิดหน่อยแต่ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ แต่เป็นผมนั่นแหละที่ได้ยินอีกคนคุยโทรศัพท์กับเพื่อน(ที่เจ้าตัวเคยบอก) ซึ่งผมว่ามันไม่น่าจะคิดกับคนของผมแค่เพื่อน เฮอะ เพื่อนบ้าอะไรจะส่งสายตาหวานเชื่อมให้กัน สรุปคือเมียผมจะไปดูหนังกับไอ้เด็กหน้าอ่อนเพื่อนร่วมคณะ ผมเลยออกปากห้ามเด็ดขาดแม้บีทส์จะยืนยันแค่ไหนก็ตามว่าผมแค่คิดมากไปเอง


แม้ไอ้คนดื้อจะยอมอยู่ห้องตามที่ผมต้องการ แต่ตลอดทั้งวันใบหน้าหวานนั่นก็ไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้ผมเลย งานก็เข้าสิครับ คิดอยู่ตั้งนานว่าจะง้ออีกคนยังไง สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องของขวัญที่วางอยู่บนชั้นวาง บีทส์เคยบอกผมว่ามีคนให้มาแต่ไม่ยอมบอกว่าใครให้


ผมเคยแอบเปิดดูแล้วครับมันคือสร้อยข้อมือ


หึๆ แล้วผมก็คิดออกว่าจะซื้ออะไรเพื่อง้อมันดี


“สวัสดีครับคุณทวี”” ผมรอสายสักพัก ปลายสายก็กดรับ


“ครับคุณซัน”


“ช่วงนี้มีเอกสารด่วนอะไรที่ผมต้องดูไหมครับ” ผมถามเพื่อที่จะได้วางแผนการทำงานถูก ยังดีหน่อยที่พ่อไม่เข้ามายุ่งในส่วนนี้แต่ติดต่อผ่านมาทางคุณทวีทำให้ผมไม่ค่อยอึดอัดใจเท่าไหร่กับการเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องของบริษัท


“ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรสำคัญครับคุณซัน” ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ ผมตอบรับในลำคอก่อนจะขอตัวแล้วกดวางสาย
อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็ยังว่าง


ผมตัดสินใจวางงานในมือไว้ก่อน แล้วลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยหลังจากนั่งจมกับกองชีทและกองหนังสือมานานหลายชั่วโมง


“งอนอะไรกู”


ผมเดินออกมาจากห้องก่อนจะอ้อมไปทางด้านหลังคนที่ก้มกดมือถือตัวเอง พร้อมก้มลงจูบที่หลังคอขาวอีกคนเบาๆ เจ้าตัวสะดุ้งแต่ไม่ได้ขยับหนี ก่อนใบหน้าขาวจะเอียงขึ้นมาย่นจมูกใส่ผม


“ผมไม่ได้งอนพี่สักหน่อย” เอ่ยปากปฏิเสธแต่หน้ามุ่ย ผมยิ้มก่อนจะก้มลงกดจูบไปที่แก้มขาวอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วผละออกเดินอ้อมมานั่งข้างอีกคน น้องค่อยๆ ไถลตัวมาพิงแขนผมแล้วเล่นโทรศัพท์


“ว่างมากเหรอมึง ถึงได้จะชวนกูไปเที่ยว” ผมถามยิ้มๆ ก่อนจะขยับมือขึ้นไปเล่นผมอีกคน ทำให้เจ้าตัวค่อยๆ เอียงหัวมาซบที่อกผม


“หนังสือไม่ยอมอ่าน จะสอบแล้วไม่ใช่รึไง” ผมถามต่อ ก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นสร้อยข้อมือสีดำเด่นหราอยู่บนข้อมือขาวของอีกคน ผมเป็นคนใส่ให้เองกับมือ


“พี่รู้ได้ไงอ่ะ” บีทส์เงยหน้าขึ้นมาถาม ผมยักไหล่


“เพื่อนมึงบอก” บีทส์ยู่ปากเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนที่ว่าน่ะคนไหน


“ผมก็แค่อยากหาอะไรทำคลายเครียดก่อนอ่านหนังสือสอบ ปกติผมก็อ่านหนังสือก่อนสอบแค่วันเดียวนะ เดี๋ยวค่อยให้ไอ้นัทมันติวให้ก็ได้” ปากเล็กขยับบอก ผมยีหัวน้องขำๆ ไม่แปลกใจกับผลการเรียนของน้องที่พิงค์เคยบอกปนบ่นกับผม


“งั้นไปแต่งตัว” ผมบอก บีทส์ผละออกจากอกผม แล้วหันมามองตาโต


“เอาจริงเหรอ”


“อ่าฮะ ไปมั้ยล่ะเพิ่งจะบ่ายโมงคงมีเวลาเดินได้สักพักใหญ่ๆ ” ผมพยักหน้ารับ บีทส์ยิ้มตาปิดพร้อมกับวางมือถือของตัวเองไว้บนโต๊ะ


“ไปอยู่แล้ว”


น้องวิ่งเข้าไปเปลี่ยนชุด ผมส่ายหัวยิ้มๆ กับอาการตื่นเต้นของอีกคน


“พี่ซันตรงนั้นว่างครับ”


มือเล็กชี้ไปทางที่ตัวเองบอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ วนรถไปจอดในที่จอดรถที่ทางสวนสัตว์เขาจัดไว้ บีทส์ดูตื่นเต้นเพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้มานานแล้ว ปากเล็กขยับตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากคอนโด


“อ่ะ” ผมเลิกคิ้วเมื่อคนข้างตัวยื่นหมวกมาให้ผม


“ผมรู้ว่าอากาศมันร้อนพี่ใส่ไว้เหอะ” เจ้าตัวอธิบาย พลางยื่นมือไปดึงหมวกที่อยู่ติดกับเสื้อฮู้ดของตัวเองมาสวมบ้าง ผมยิ้มขำๆ มองอีกคนที่ดูน่ารักไปอีกแบบแล้วสวมหมวกให้ตัวเองบ้าง ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินตามอีกคน


“คนเยอะฉิบหาย” ผมบ่นในขณะที่ยืนซ้อนหลังอีกคนที่กำลังชะโงกหน้าไปดูยีราฟในคอก บีทส์หันมาย่นจมูกให้ผม ก่อนจะเดินเรื่อยๆ ไปตามทาง


“ส่วนใหญ่เขามากันเป็นครอบครัวครับ พวกเด็กๆ จะเยอะ อีกอย่างช่วงนี้เด็กๆ ปิดเทอมแล้วด้วยก็เลยจะเยอะเป็นพิเศษ” คนตัวเล็กหันมาอธิบายกับผม พลางหยุดอยู่ที่กรงลิงที่กำลังนั่งหลับข้างๆ กันสามสี่ตัว เขาหัวเราะขำๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผมเชิงกระซิบในท้ายประโยค “อ่า...แต่พี่ใส่หมวกแบบนี้แล้วโคตรหล่อเลย สาวๆ งี้มองตามเพียบ”


“แสนรู้” ผมแซ็ว บีทส์มองผมกลับเคืองๆ แล้วฟาดมือลงบนท่อนแขนผม “พันธุ์นี้หายากนะบอกไว้ก่อน” บอกก่อนจะชี้เข้าหาตัว
ผมหัวเราะขำๆ


“พี่ดูดิน่ารักมากเลย” บีทส์หันมากวักมือเรียกให้ผมดูลิงที่กำลังห้อยโหนอยู่ในกรงโดยมีลูกมันกอดอยู่ด้านหน้า ก่อนจะควักมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วก้มลงกดมือถือยิกๆ


“ทำอะไร” ผมถามพลางก้มลงมอง


บีทส์เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม “ส่งให้น้องดูครับ”


ผมพยักหน้ารับ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เจอไอ้อาร์ตเพราะช่วงนี้มันติดเด็ก บีทส์เองก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องน้องให้ฟังส่วนใหญ่เจ้าตัวจะออกแนวบ่นให้ฟังมากกว่า


ผมมองบรรยากาศรอบๆ ถึงแม้บรรยากาศจะค่อนข้างร้อนแต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ส่วนมากจะมากันเป็นครอบครัวใหญ่ๆ เหมือนที่บีทส์บอก มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงคนแก่ที่นั่งรถเข็น ครอบครัวคงอยากพามาเปิดหูเปิดตาในสถานที่ที่มีต้นไม้ล้อมรอบเป็นขนาดกว้างแถมยังไม่ต้องเดินทางไกลและไม่ต้องพาไปถึงนอกเมือง อ่อ พวกนักเรียนนักศึกษาก็มากันเยอะนะครับบีทส์บอกผมว่าถ้าใส่ชุดนักเรียนนักศึกษามาจะได้ส่วนลดอีกราคา


ถ้าถามว่าผมเคยมาไหมต้องบอกว่าไม่เคยครับ ชีวิตในวัยเด็กของผมเมื่อก่อนก็ตามพ่อกับแม่ไปติดต่องานตลอดไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนกันแบบครอบครัวหรอก แม้แต่วันเกิดผมยังต้องอยู่กับป้านมและพวกพี่ๆ แม่บ้าน ปิดเทอมพ่อกับแม่ก็จะส่งผมไปเรียนพิเศษที่ต่างประเทศแทน


ไม่รู้ว่าหวังดีหรือแค่อยากส่งผมให้ไปไกลๆ หู ไกลๆ ตา


ผมเดินตามคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ บีทส์ยกกล้องมือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายบรรยากาศรอบด้านรวมถึงยกกล้องขึ้นมาถ่ายตัวเองแล้วยิ้มกว้างให้กล้อง ผมยิ้มกับท่าทางของอีกคนก่อนจะล้วงมือถือของตัวเองออกมาแอบถ่ายรูปน้องเนียนๆ แล้วเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม


“พี่รอผมอยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ” บีทส์หันกลับมาบอก ผมพยักหน้ารับมองตามร่างบางของอีกคนที่วิ่งไปต่อแถวซื้อบัตรอะไรสักอย่าง ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อพบว่ามันคือการแสดงโชว์แมวน้ำของสวนสัตว์ ไม่น่าล่ะแถวยาวเป็นบ้า


“ทันรอบการแสดงสุดท้ายพอดีเลยครับ ฮ่าๆ” บีทส์วิ่งกลับมาหลังจากผมยืนรอได้สักพัก เจ้าตัวชูบัตรที่อยู่ในมือยิ้มๆ ผมยื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้อีกคน บีทส์ยิ้มเขินๆ ก่อนจะเอ่ยบอกผมเบาๆ ว่าให้ตามมา


“โอ๊ะทางนั้นเลยครับ” บีทส์หันมาบอกก่อนมือเรียวจะยื่นมาแตะที่แขนผม ก่อนจะค่อยๆ เดินแทรกผู้คนที่นั่งอยู่ใกล้ทางเข้าไปยังตำแหน่งว่างที่คนตัวเล็กบอก


บีทส์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนมือเรียวจะตีมือลงกับที่นั่งข้างๆ ตัวเองเพื่อบอกให้ผมนั่ง ผมส่ายหัวขำๆ เหมือนพาลูกมาเที่ยว ก่อนจะนั่งผมชะงักไปนิดเมื่อสบตาเข้ากับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ คนของผม หึ


“หือ...” บีทส์หันมาเลิกคิ้ว เมื่อสัมผัสถึงมือของผมที่แตะลงสะโพกของตัวเอง ผมแกล้งก้มกระซิบข้างหูบีทส์แต่ตามองไปยังคนข้างเจ้าตัว


“เฉยๆ เถอะน่า” ผมกระซิบบอก บีทส์พยักหน้ารับขึ้นลง ก่อนใบหน้าหวานจะเบนความสนใจไปที่การแสดงของสองแมวน้ำที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน


“พี่ดูสิน่ารักมากเลย” บีทส์หันมาพูดกับผม


“ไม่เท่ามึงหรอก” ผมแกล้งตอบหน้าตาย คนข้างตัวผมชะงักหน้าขึ้นสีพร้อมกับกลั้นยิ้ม “รู้ตัว”


บีทส์เชิ่ดจมูกรั้นๆ ขึ้นแล้วตอบ ก่อนที่เราสองคนจะหลุดยิ้มพร้อมกัน แล้วหันไปดูการแสดงด้านหน้าต่อ


“ปะ” ผมหันไปชวนอีกคน เมื่อเสียงปรบมือกำลังดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเพราะการแสดงในรอบนี้จบลงแล้ว ผมมองตามสายตาของคนข้างตัวเจ้าแมวน้ำสองตัวกำลังใช้ครีบของมันปรบกันจนเกิดเสียง บีทส์ยิ้มก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม มือเรียวยื่นมาจับเสื้อผมไว้แล้วเดินตามเพราะคนอื่นก็กำลังทยอยเดินลงบันไดเหมือนกัน


ผมถามทำไมไม่จับมือเจ้าตัวก็ได้แต่บอกว่าอายเวลาที่คนอื่นมอง


“พี่ซันกินมั้ย” น้องกระตุกชายเสื้อผมไว้ ผมหันไปเลิกคิ้วถาม บีทส์ชี้ไปที่รถเข็นสีฟ้า ‘ไอติมวอลล์’ ผมส่ายหัวเพราะไม่ชอบ


“ลุงครับเอาอันนี้” บีทส์เดินไปหยุดที่รถไอติมก่อนมือเรียวจะชี้สั่งไปที่รูปไอติมสุดฮิตยิ้มๆ คนขายล้วงเอาไอติมส่งมาให้ คนข้างตัวผมรับมายิ้มๆ แล้วยื่นเงินกลับไป


“ไม่กินจริงเหรอ” บีทส์หันมาถามพลางแกะถุงพลาสติกออก ผมส่ายหัว บีทส์ย่นจมูกใส่ก่อนที่เรียวลิ้นเล็กจะค่อยๆ เลียไปตามแท่งไอติมพร้อมกับทำหน้าพึงพอใจในรสชาติของมัน ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปมองอย่างอื่น


บีทส์เดินนำผมเข้าไปในกรงนก ผมเห็นป้ายเขียนว่ามีนกหางนกยูงที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ พวกเราเดินสวนกับกลุ่มคนที่ทยอยเดินออกมาเป็นระยะ บีทส์หันมามองผมแล้วเดินต่อ เล่นเอาผมชะงักเมื่ออีกคนอมไอติมไว้ในปาก ส่วนมือกำลังพยายามถ่ายรูปนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ ผมทอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อสังเกตว่าไม่มีใครเดินตามพวกเรามา


“อะไรติดเสื้อ”


ผมก้าวไปยืนชิดอีกคนแล้วพูดบอก บีทส์หันมาทำหน้าตกใจก่อนจะเอี้ยวตัวมองด้านหลังเสื้อ


“หื้ม...อะไรอะ” มือเรียวหยิบไอติมในปากไปถือ พยายามเอี้ยวตัวมองเสื้อ ผมเข้าไปยืนซ้อนด้านหลังอีกคนที่ยืนนิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมกับแกล้งใช้มือปัดเสื้อให้ ก่อนจะแกล้งโน้มหน้าไปกระซิบข้างใบหูเล็ก


“กูพามาเที่ยวแล้วกลับห้องไป อย่าลืม...เลียไอติมให้กูบ้างนะ”


พูดเสียงกรุ้มกริ่มแล้วเน้นคำอย่างจงใจ น้องหันขวับมามองผมหน้าแดง ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน


“จิตอกุศล!!”


ผมหลุดหัวเราะ เมื่อโดนอีกคนโวยใส่แล้วเดินหนีไปอีกทาง


“พี่ซันมาถ่ายรูปกัน ผมอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก” ร่างเล็กที่ยืนรอผมอยู่เอ่ยบอกไม่ยอมสบตา ผมยิ้มคงเพราะที่นี่คนน้อยล่ะมั้งครับเจ้าตัวเลยกล้าเอ่ยปากชวน


“อะไร เมื่อกี้ยังไล่” ผมกวน


“อะไรเล่า”


“หายเขินแล้ว?”


บีทส์ทำหน้าเหมือนจะกลั้นใจตายใส่ผม


“หนึ่งรูปแลกหนึ่งจูบ” ผมต่อรอง บีทส์หันขวับมาถลึงตาโต


“พี่จะบ้าเหรอคนเยอะ ผม...หื้ม” เจ้าตัวโวยวายก่อนจะชักงักพร้อมกับคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปแตะที่หว่างคิ้วอีกคนแล้วลากวนไปมา


“มีอะไร”


“พี่...เมื่อกี้เหมือนผมจะเห็นพี่เจ” แววตาตะหนกหันมาตอบผม พร้อมกับหันมองไปรอบๆ ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองทางที่บีทส์มองเช่นกัน


“อยู่กับกู แต่คิดถึงชู้?” ผมแกล้งแหย่ ไอ้เจมันจะมาทำอะไรที่สวนสัตว์นี่ อย่างมันป่านนี้คงเข้าไปประจบพ่อผมที่บริษัทสวมบทหลานชายที่แสนดีอยู่ที่นั่นต่างหากไม่มาเดินแถวนี้หรอก


“บ้า! ผมเห็นพี่เจจริงๆ นะ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” บีทส์หน้าเสียพร้อมกับหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงลนลาน


“อย่างมันคงไม่มาเดินเล่นที่นี่หรอกน่า อยากแกล้งให้กูหึงรึไง” เลิกคิ้วถามกวนๆ


“พี่อ่ะ แล้วถ้าเมื่อกี้เป็น...”


“พอเถอะ จะพูดถึงมันทำไม” ผมตัดบทเสียงเรียบ บ่งบอกว่ากำลังจะหงุดหงิดถ้ามันยังไม่หยุดพูด บีทส์มองผมตาละห้อย


“ก็ได้…งั้นเรามาถ่ายรูปกันนะ น๊า” น้องเอ่ยบอกเสียงอ้อนก่อนจะกลับไปพูดเรื่องเดิม พลางขยับมาเกาะแขนผม ผมแกล้งตีหน้าเรียบเหมือนเดิมพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอกอย่างเป็นต่อ


“งั้นคืนนี้...” ผมแกล้งลากเสียง เพื่อสื่อถึงบางอย่างเป็นนัย บีทส์กัดปากฉับ


“แล้วผมจะพูดอะไรได้เล่า...พี่อ่ะ! ติดนิสัยหน้าด้านแบบนี้มาจากใคร เรื่องแบบนี้ก็พูดออกมาได้หน้าตาเฉย” คนข้างตัวงอแง ก่อนจะบ่นพึมพำ ผมขยับตัวเข้าไปยืนซ้อนหลังอีกคนแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้เมื่ออีกคนยกกล้องในมือขึ้นมา ก่อนจะขยับปากบอกกลั้นขำเมื่ออีกคนเปลี่ยนท่า


“มึงไง”


“ง่ะ”


ฮ่าๆ


ผมยื่นขวดน้ำที่เดินไปซื้อจากร้านสะดวกซื้อมีชื่อใกล้ๆ จุดให้บริการให้คนหน้าขาว ผมเห็นว่าเราเดินกันมาสักพักแล้วจึงชวนน้องออกมาหาที่นั่งหลังจากที่เราออกมาจากจุดเยี่ยมชมนก ก่อนจะบอกให้เจ้าตัวเขานั่งอยู่แถวๆ กรงหมีที่มีน้ำพุอยู่ใกล้ๆ นั่นแหละครับ


“ขอบคุณครับ” มือเรียวยื่นมารับขวดน้ำไปดูด ก่อนจะเอ่ยบอกยิ้มๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างน้องก่อนจะคว้ามือถือที่วางอยู่บนตักเจ้าของมาดูบ้าง เพราะน้องกำลังนั่งดูรูปถ่ายค้างไว้อยู่


“พี่ได้คุยกับพี่ฟ้าบ้างมั้ย”


ผมหันไปเลิกคิ้วเมื่ออยู่ดีๆ อีกคนก็ถามถึงน้องฟ้าขึ้นมา


“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้หึงหรือว่ารู้สึกไม่ดีอะไร ที่ผมถามก็เพราะผมแค่อยากรู้” เจ้าตัวอธิบายเมื่อเห็นผมมองอย่างชั่งใจ ผมแค่กลัวว่าอีกคนจะคิดมากแล้วเก็บเรื่องนี้ไปคิดเองจนไม่ไว้ใจในตัวผม มากกว่าจะคิดว่าผมจะเข้าใจในสิ่งที่เขาคิดผิด


“ไม่ ทำไม” ผมตอบแล้วถามกลับ


“ช่วงนี้ผมเจอพี่ฟ้าที่คณะบ่อยๆ แล้วพี่เขาชอบถามอะไรผมแปลกๆ” น้องทำหน้าอึกอัก ก่อนจะเอ่ยบอกผมด้วยความไม่สบายใจ


“แล้วก็อย่างที่พี่รู้ ช่วงนี้พี่เจรุกผมหนักมาก มาหาที่คณะบ่อยๆ บางทีก็มาพร้อมกับพี่ฟ้าทำให้ผมไม่ค่อยกล้าปฏิเสธ ถึงจะมีพวกเพื่อนๆ คอยช่วยกันพี่เขาให้ แต่ถ้ามีพี่ฟ้าอยู่ผมก็ไม่ค่อยกล้าอ่ะ”


ผมหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิดเมื่อฟังสิ่งที่น้องกำลังหนักใจ อย่างไอ้เจเนี่ยนะสนิทกับน้องฟ้า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะน้องฟ้ารู้ดีว่าผมกับมันไม่ค่อยกินเส้นกันหรือว่ามัน...ไปรู้อะไรมา


“แล้วน้องฟ้ามีท่าทียังไง”


“พี่เขาเหมือนจะเชียร์ผมกับพี่เจ ทีแรกผมก็คิดว่าผมคิดไปเองนะแต่ว่า...แม้แต่อิพิงค์หรือไอ้นัทยังเคยบอกผมในทำนองเดียวกันเลย” บีทส์บอกพลางก้มดูดน้ำในขวด


“แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” ผมถามต่อ บีทส์หัวเราะแห้งๆ


“ทีแรกผมก็คิดว่าจะไม่บอกพี่อยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่ผมอึดอัดเพราะหลังๆ พี่เจจะชวนผมไปไหนมาไหนด้วย อิพิงค์เลยแนะนำให้ผมบอกพี่” ผมคิดว่าอีกสาเหตุที่น้องไม่อยากบอกผมก็คงเพราะกลัวว่าผมจะคิดว่าน้องรู้สึกไม่ดีกับน้องฟ้ามั้งครับถึงเลือกปิดเรื่องนี้


“คอยดูท่าทีไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องน้องฟ้าถ้าเขาให้มึงไปไหนกับไอ้เจมึงต้องบอกกูทันทีเข้าใจมั้ย” ผมยื่นมือไปลูบน้องก่อนเอ่ยสั่ง คนข้างตัวพยักหน้ารับแล้วฉีกยิ้มให้ผม


ครืด...ครืด…


มือถือของน้องสั่นเห็นชื่อคนโทรเข้ามาแวบๆ เป็นเพื่อนสนิทของบีทส์ ผมเลยยื่นโทรศัพท์กลับไปให้น้องกดรับ


“เออว่าไง”


ผมยื่นมือไปรับขวดน้ำจากน้องมาปิดฝาแล้วนั่งฟังเงียบๆ


“กูอัพรูปสวนสัตว์กูก็ต้องอยู่สวนสัตว์สิวะ” บีทส์ขมวดคิ้วตอบเพื่อนก่อนจะเริ่มมองซ้ายมองขวาลนลาน


“มึงบอกว่ามึงอยู่ที่ไหนนะ” น้องหันขวับมามองผม ก่อนจะร้องถามเพื่อนด้วยความตกใจ “เฮ้ย! กูกำลังกลับแล้วเนี่ยมึงหากูไม่เจอหรอก โอ๊ะ...รถมาแล้วว่ะเจอกันพรุ่งนี้เว้ยมึง” บีทส์ถลึงตาโตก่อนจะรับก้มหัวลงพลางเอ่ยปฏิเสธเพื่อน ผมหลุดขำฟังแค่นี้ยังรู้เลยครับว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง


“ซวยแล้วพี่ ไอ้นัทมันก็อยู่ที่นี่ด้วย” บีทส์กดวางสายก่อนจะหันมาบอกผมพลางเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า


“กลับเลยมั้ยล่ะ” ผมถาม


“ไม่น่าอัพรูปลงเฟสบุ๊คเลย ยังไม่ได้ไปป้อนนมแพะเลยอ่ะ” บีทส์บ่นพลางทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด


“มึงจะอยู่รอเจอเพื่อนมึงก็ได้นะ เดี๋ยวกูรอแถวๆ นี้” ผมบอกทางเลือกให้น้อง บีทส์ส่ายหัวขวับ


“พรุ่งนี้ก็ต้องเจอมันอยู่แล้ว ผมกลับไปดูหนังที่ห้องดีกว่า อีกอย่างพี่จะได้กลับไปทำงานต่อด้วย” บีทส์เอ่ยบอก ผมยิ้ม ดีใจที่มันยังนึกถึงเรื่องของผม


ผมลุกขึ้นตามร่างเล็กของอีกคน ก่อนจะเดินตามเจ้าตัวที่พยายามเดินไวๆ พลางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวงว่าจะเจอเพื่อนตัวเองแล้วยิ้มขำ


จะผิดไหมถ้าคนเห็นแก่ตัวอย่างผม อยากจะรักษารอยยิ้มของมันเอาไว้ ผมรู้ว่าความลับมันไม่มีในโลก ถ้าวันหนึ่ง...ความลับของเรามันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ไม่รู้ว่าสองมือของผมจะปกป้องคนสำคัญของตัวเองไว้ได้จริงๆ ไหม


ไม่รู้ว่าถ้าถึงวันนั้น ‘มัน’ จะยังยืนยันที่จะอยู่ข้างผมหรือเปล่านะ







ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สนุกไหมล่ะ เที่ยวไป ระแวงไป  :hao3:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 31 เค้าลาง


[บีทส์]


“พี่ซัน”
   

ไม่มีสัญญาณตอบรับ


“พี่ซันครับ”


เงียบ


“พี่ซันโว้ย!!”


แน่ะ ตื่นแล้วยังจะนิ่ง


ผมกำลังจะเรียกอีกครั้ง “พี่...”


“โวยวายอะไรแต่เช้า” พี่ซันบ่นขึ้นมาซะก่อน
   

“ตื่นแล้วก็ลุกสิครับ อ๊า...ตื่นเดี๋ยวนี้” ผมผวาเข้าไปดึงผ้าห่มที่พี่ซันดึงขึ้นมาคลุมร่างของตัวเอง พร้อมกับออกแรงดึง พี่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยครับยึดไว้แน่น
   

ผมนั่งจมปุกอยู่ข้างๆ ร่างหนาที่นอนคว่ำหน้าไปกับหมอนในสภาพไม่ใส่เสื้อ ทรงผมที่เคยเนี๊ยบดูยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าหล่อหลับสนิทไม่รับรู้การก่อกวนของผม
   

คือผมพยายามปลุกพี่มันตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วๆ นะครับ
   

จนตอนนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วพี่มันยังไม่ยอมขยับลงจากเตียงไม่แม้จะตื่นลืมตาด้วยซ้ำ ผมถึงต้องเดินเข้ามาปลุกถึงเตียงนี่ไง
   

“วันนี้ผมต้องไปอ่านหนังสือบ้านไอ้นัทนะ” ผมบอก พี่ซันเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับคำพูดของผม เมื่อร่างสูงค่อยๆ ขยับแล้วพลิกตัวมานอนหงาย มือหนายกขึ้นปิดตาก่อนจะขยี้เบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นนั่งท่อนบนเปลือยเปล่า

   
“ไม่ค้างไม่ได้เหรอ” พี่ซันขยี้หัวตัวเองเบาๆ หันมาถาม ผมยิ้มแล้วส่ายหัว
   

“ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมอ่านหนังสือก่อนสอบคืนหนึ่ง แล้วมันก็คือคืนนี้ด้วย พี่บอกเองนะว่าจะเป็นคนไปส่งผมอ่ะ” ผมบอก พี่ซันจิ๊ปาก


“เดี๋ยวกูไปรับเองก็ได้” พี่มันต่อรอง


“ไม่ได้ ผมกลัวพวกนั้นสงสัยด้วย” ผมอธิบาย
   

“ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า เชื่อกูสิ” พี่ซันพยายามโน้มน้าว ผมส่ายหัวปฏิเสธ หนึ่งคือผมไม่รู้ว่าจะติวกันเสร็จกี่โมง สองคือไม่อยากให้พี่มันเหนื่อยต้องรอผม ผมนอนค้างที่บ้านไอ้นัทง่ายกว่า
   

“ยังไงก็จะไม่ยอม?”


“อื้อ!”


“งั้นต้องจ่ายค่าชดเชย”
   

ผมขมวดคิ้ว โดยไม่ทันระวังตัว ไม่ทันแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้องว๊าก เมื่อพี่มันโถมแรงทั้งหมดมาคร่อมตัวผมไว้พร้อมกับเอาผ้าห่มมาคลุมร่างเราสองคน แล้วก็นั่นแหละครับ..
   

ไม่ถามความสมัครใจกูสักนิด แม่ง T^T

   
“พี่จอดให้ผมลงแค่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็พอนะครับ เดี๋ยวผมนั่งวินเข้าซอยไปเอง” ผมหันไปบอกคนขับรถจำเป็นแล้วยื่นแขนไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ด้านหลังและหนังสือบัญชีเบื้องต้นเล่มหนา ไม่ใช่แค่หนานะครับต้องบอกว่าโคตรหนาขนาดปาหัวหมาแตก ไหนจะพวกชีทงานในแต่ละคาบอีกเรียกว่าไหล่แทบหลุด


ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังบ่นเวลาต้องแบกหนังสือไปเรียนทุกคาบพอจะนึกออกไหมครับหนังสือบัญชีมันเล่มใหญ่โคตร พี่ซันหันมาพยักหน้ารับก่อนจะปัดไฟเลี้ยวเคลื่อนรถไปจอดยังตำแหน่งที่ผมบอก


“ตอนเย็นกูไปทำงานต่อห้องไอ้สองนะ” พี่ซันบอกขณะที่ผมกำลังจะก้าวลงรถ วันนี้พี่มันสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เน้นความสบาย แต่ไม่ว่าพี่มันจะใส่อะไรก็ดูดีไปหมดแหละครับก็เล่นหุ่นอย่างกับนายแบบขนาดนั้น ผมยังอิจฉาเลยนะบางที


“ครับ” ผมรับคำยิ้มๆ พร้อมกับก้าวเท้าลงจากรถก่อนจะยืนโบกมือให้พี่ซันอยู่ข้างฟุตบาท แล้วยืนมองรถยนต์คันสวยค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนลับตาถึงค่อยเลี่ยงออกมาโบกมือเรียกพี่วินในชุดสีแสบตาที่ยืนรออยู่อย่างรู้หน้าที่


“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่ออกมาเปิดประตูรับผมด้วยรอยยิ้มใจดี แม่ไอ้นัทยกมือขึ้นรับไหว้ผม เราเคยเจอกันหลายครั้งครับเพราะไอ้นัทมักลากพวกผมมาที่บ้านมันเวลามีรายงาน


“สวัสดีจ้ะ หนักมั้ยน้องบีทส์”


‘แม่นัน’ แม่ไอ้นัทหันมาถามผมด้วยรอยยิ้มพลางเดินนำผมเข้าบ้าน


“นิดหน่อยครับแม่ พวกเสื้อผ้าไม่เท่าไหร่แต่หนังสือกับชีทนี่สิครับทั้งหนาทั้งเยอะเลย เรียนเสร็จบีทส์จะเอาไปชั่งกิโลขายคงได้หลายตังค์” ผมตอบพลางเล่นมุก แม่ไอ้นัทนี่หัวเราะชอบใจใหญ่เลยครับ ฮ่าๆ ผมว่าหนังสือมีประโยชน์นะครับพวกชีทด้วย เราสามารถกลับไปค้นอ่านได้ตลอดเวลา อีกอย่างเก็บไว้ให้รุ่นน้องลอกได้ เหมือนที่พวกผมได้มาจากพี่ๆ ก๊าก ฮ่าๆ


“อุ๊ยตาย ดีเลยลูก แม่จะได้เก็บของนัทไปขายบ้างคงได้ราคาดี แต่ไม่ใช่หนังสือเรียนนะคะ พวกหนังสือการ์ตูนที่เจ้าตัวเขาขนมานั่นแหละ” แม่ไอ้นัทตบมุก ผมหัวเราะด้วยความพอใจ แอบสงสารไอ้นัทคือมันรักหนังสือการ์ตูนมันยิ่งชีพเลยนะครับ พวกผมขออ่านบางทีมันยังหวงเพราะกลัวทำหนังสือการ์ตูนของมันยับอ่ะคิดดู


“มาแล้วเหรอ” เสียงไอ้นัทเอ่ยทัก ผมหันไปยักคิ้วให้มันหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาพลางกัดชมพู่เข้าปาก


“มาแล้วดิ ไม่มาจะเห็นเหรอ” ผมกวน ไอ้นัทเลยปาชมพู่ที่มันกัดกินเหลือแค่ส่วนท้ายมาโดนหัวผมจังๆ


“เหี้ยเจ็บนะเว้ย!” ผมโวย ไอ้นัทนอนหัวเราะเอิ้กอ้าก ถูกใจมันละ


“เล่นอะไรหื้อเรา เจ็บมั้ยคะลูก” เสียงแม่ไอ้นัทบ่น ผมหันไปยิ้มเมื่อแม่นันยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้


“ไอ้นัทมันซาดิสต์ครับแม่” ผมฟ้อง


“อ้าว เดี๋ยวกูจับทุ่มเลย” ไอ้นัทลุกขึ้นโวยที่โดนรุม ผมกับแม่นันเลยหันไปหัวเราะพร้อมกัน


“แล้วนี่มาไง” ไอ้นัทเปลี่ยนประเด็น


“รถดิ” ผมตอบเลี่ยงๆ พลางหยิบขนมมาใส่ปาก


“หึ เหรอ” ไอ้นัทหัวเราะในลำคอ ผมยักคิ้วกวนๆ เป็นเชิงตอบรับกลับไป


“กวนตีนว่ะ” ไอ้นัทจิ๊ปากด่าเอือมๆ ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจผม


“อิพิงค์ยังไม่มาเหรอ” ผมถาม ไอ้นัทส่ายหัวเป็นเชิงตอบเพราะมันกำลังก้มลงกดมือถือหยิกๆ สงสัยกำลังแชตกับมีน ผมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา อิพิงค์...แม่นางสายเสมอ นัดทีไรพวกผมต้องมานั่งรอมันประจำ ไม่ว่าพวกผมจะด่าแค่ไหนมันก็ไม่สะเทือนอะไรเลยครับ แม่งหน้าหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์


“มึงเอาของไปเก็บก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูโทรตามให้” ไอ้นัทละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มามองผมแล้วเอ่ยบอก


“บอกมันให้มาไวๆ ด้วย” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะตอบกลับเซ็งๆ พร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน


บ้านไอ้นัทเป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีสบายตา มันอยู่กับพ่อแม่มันนั่นแหละครับ ไอ้นัทมันเป็นลูกคนเดียวของบ้าน พ่อแม่เลยค่อนข้างตามใจ มันเคยบอกผมว่าพ่อกับแม่มันให้อิสระในการตัดสินใจมาตั้งแต่เด็ก ผมเคยถามว่าพ่อแม่มึงไม่โกรธเหรอที่มึงคบผู้หญิง มันส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะตอบผมว่า


‘พ่อกูสอนว่าเกิดมาชาติหนึ่งแค่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ เป็นคนดีและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ’


ผมไม่แปลกใจที่ไอ้นัทมันถึงเป็นคนที่มีน้ำใจคอยช่วยเหลือเพื่อนไม่เอาไหนอย่างผมกับอิพิงค์ในเรื่องของการเรียนโดยไม่บ่นสักคำ


ผมเดินเลี้ยวขวาไปยังห้องไอ้นัทที่เคยมาประจำ ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปทรุดนั่งตรงปลายเตียงแล้ววางกระเป๋าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดไลน์ส่งบอกคนที่มาส่งผมก่อนหน้านี้


“ผมอยู่บ้านไอ้นัทแล้วนะครับ”


กดส่งเรียบร้อย ผมยิ้มให้กับหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองน้อยๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนราบไปกับเตียงขนาด 6 ฟุตของไอ้นัท


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู


“ตั้งใจอ่านหนังสือ”


พี่ซันตอบกลับมาสั้นๆ ผมยิ้มให้กับข้อความของพี่มัน เมื่อก่อนพี่ซันไม่ค่อยเล่นโซเชียลครับพี่มันบอกว่าไร้สาระ แต่พอเห็นผมชอบหมกมุ่นอยู่กับมือถือพี่มันเลยเล่นบ้างเพราะอยากรู้ว่าทำไมผมถึงได้ติดมันนัก


โซเชียลจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราเอาไว้ใช้ติดต่อกัน


แกรก~


ผมหันไปตามเสียงพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง เห็นหน้าอิพิงค์โผล่เข้ามาก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง


“แอบคุยกับผัวอยู่เหรอมึง” อิพิงค์แซ็วเสียงแหลม ผมจิ๊ปาก


“ผัวเหี้ยอะไร เดี๋ยวไอ้นัทได้ยิน” ผมด่าเสียงกระซิบ อิพิงค์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องแล้ววางกระเป๋าของตัวเองลงที่โต๊ะหนังสือของไอ้นัทพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่ง


“มันเล่นโทรศัทพ์อยู่ข้างล่าง กูดูแล้ว” อิพิงค์หัวเราะพลางเอ่ยบอก ผมถอนหายใจหน่ายๆ กับอาการของเพื่อนสนิท


“แล้วทำไมมันไม่ขึ้นมาพร้อมมึงวะแล้วให้กูรีบมา”


“มึงคิดจะมาขยันอะไรตอนนี้ ทีตอนเรียนกูเห็นมึงแอบหลับตลอด” ผมจิ๊ปากขัดใจเมื่อเจอมันด่ากลับ ถึงแม้มันจะด่าเรื่องจริงก็เถอะครับ…


“กูก็มาติวแล้วไงเนี่ย แม่งโคตรกลัวเลยว่ะ” ผมว่าต่อ


“เอาน่า ไอ้นัทมันเก่งอยู่แล้วเชื่อมือมัน คราวหลังมึงก็ตั้งใจหน่อยดิวะ ดูอย่างกูถึงกูจะเที่ยวกลางคืนแต่กูก็มาเรียนได้โดยไม่หลับในคาบนะ” ผมเบ๋ปาก ทำมาเป็นคุยมึงก็หลับพอๆ กับกูแหละอิพิงค์ดีกว่ากูหน่อยก็แค่มึงทำเทสได้


“กูไม่เข้าใจเลย ตอนเรียนกูก็พยายามฟังอาจารย์นะมึง แต่พอกูเริ่มไม่เข้าใจมันก็เริ่มทำให้กูตามในสิ่งที่อาจารย์เขาสอนไม่ทัน แล้วกูก็พาลจะหลับกับเสียงอาจารย์ป้าตลอด” ผมบอกต่อ อิพิงค์หัวเราะคิกคักเหมือนเห็นด้วยในสิ่งที่ผมพูด


จริงๆ นะครับคือเข้าใจไหมอาจารย์มักชอบตั้งคำถามยากๆ ให้พวกเก่งๆ ตอบ แล้วมันก็ทำให้ไอ้พวกโง่ๆ อย่างผมรู้สึกโง่หนักเข้าไปอีก เพราะไอ้แค่คำถามง่ายๆ ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย ผมว่าถ้าอาจารย์เปลี่ยนเป็นถามคำถามง่ายๆ ที่พวกผมพอจะทำได้ก่อนบ้าง มันอาจจะทำให้ผมอยากเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ มากกว่าหลับในคาบก็ได้นะ นี่ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้โบ้ยนะ


“เออกูเห็นด้วย ฟังทีไรพาลจะหลับกับเสียงอาจารย์ป้า” อิพิงค์พูดพลางหัวเราะ พลอยทำให้ผมหัวเราะไปด้วยกับท่าทางหัวเราะของมัน


แกรก...


ผมกับอิพิงค์หันไปทางต้นเสียง ปรากฎร่างไอ้นัทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมเราสองคนจึงเงียบกริบไปตามระเบียบ แม่งมานานยังวะ...


“ไงพวกมึง พร้อมมั้ย” ไอ้นัทถามยิ้มๆ ผมกับอิพิงค์หันมามองหน้ากันเหมือนรู้คำตอบ ถ้ากูบอกว่าไม่พร้อม มึงจะถีบกูไหม T^T


+++++++++++


“อ่า...ปวดหลังชิบ” ผมบ่นพลางยืดแขนบิดขี้เกียจไล่อาการเมื่อยขบแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงไอ้นัท อิพิงค์ทิ้งตัวนอนราบไปกับพื้นท่ามกลางกองหนังสือและชีทที่กระจายไปทั่วบริเวณห้อง หลังจากที่พวกเราเริ่มติวกันมาตั้งแต่บ่ายไอ้นัทมันก็เพิ่งยอมให้พวกผมได้พัก ประกอบกับมันเริ่มบ่นว่าเจ็บคอจากการใช้เสียงในการติวให้ผมกับอิพิงค์เป็นเวลานานเลยพักหาน้ำกินแก้กระหาย


“กูปวดหัวไปหมด” อิพิงค์เปิดปากบ่นเสียงยาน ผมถอนหายใจอย่างปลงตกกับเนื้อหาที่ไอ้นัทพยายามเคี่ยวเข็นใส่สมองของเราทั้งคู่ แม่งยาก!!


ครืด...ครืด…


ผมควานมือไปตามเตียงเพื่อหาโทรศัพท์ก่อนจะคว้ามากดรับเสียงงัวเงีย


“ครับ”


“บีทส์...” พี่ซันเอ่ยเรียก ผมยิ้มเมื่อคนที่กำลังคิดถึงอยู่พอดีโทรเข้ามา ดีที่ไอ้นัทลงไปคุยโทรศัพท์กับมีน


“ครับ ว่าไง”


อิพิงค์ลุกขึ้นนั่งพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มมองผมเหมือนรู้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา


“แหม...ทำเสียงแปลกใจ จริงๆ ก็แอบรออยู่ กูรู้ค่ะเพื่อน” อิพิงค์จีบปากจีบคอแซ็ว ผมถลึงตาใส่ก่อนจะแกล้งโยนหมอนเฉียดหัวมันจนร้องโวยวาย ผมหัวเราะไม่ได้ตั้งใจจะให้โดนมันหรอกครับ


“มึง...” พี่ซันเรียกผมอีกครั้ง


“ว่าไงครับ” ผมถามกลับยิ้มๆ


“คือว่า...เชี่ยแค่บอกไปตรงๆ ยากอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วที่พี่ซันอึกอักไม่ยอมพูดพร้อมกับได้ยินคนในสายก่นด่าตัวเอง


“มีอะไรรึเปล่าครับ อึกอักแบบนี้ผมไม่เข้าใจนะ พี่ก็รู้ว่าผมโง่”


“อ่านหนังสือเป็นไงบ้าง”


ผมยู่ปากจะถามแค่นี้ทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไปได้ ไอ้เราก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย ผมบ่น (ในใจ) ก่อนจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อนึกถึงบทเรียนที่เพื่อนรักพร่ำสอนให้ก่อนหน้านี้


“ผมจะตายอยู่แล้ว พี่รู้ปะ ไอ้นัทมันเป็นโหดกว่าอาจารย์ป้าอีกอ่ะ” ผมถอนหายใจพร้อมกับรีบฟ้องคนในสาย


“ตั้งใจอ่านให้ดี จะได้ทำข้อสอบได้มึงยิ่งฉลาดๆ อยู่ด้วย” พี่ซันแขวะ


“เข้าใจแล้วน่า” ผมตอบรับด้วยเสียงงอนๆ


“อืม...เข้าใจก็ดี” ปลายสายตอบรับกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเงียบไป ผมยกมือขึ้นวาดไปในอากาศเป็นรูปหัวใจเกี่ยวกันสองดวงแล้วยิ้มให้กับตัวเอง


“พี่ก็ตั้งใจทำงานด้วยเหมือนกันนะ อย่าลืมหาอะไรทานด้วย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาบ้าง ผมจำได้ว่าอีกฝ่ายบอกไว้ตอนมาส่งว่าจะไปทำงานต่อที่ห้องพี่สอง ตอนนี้พี่มันก็คงจะอยู่ที่ห้องพี่สองนั่นแหละครับ


“หึ เข้าใจแล้ว” พี่ซันตอบรับแล้วเงียบไปอีก


“พี่จะโทรมาแค่นี้ใช่เปล่า” ผมเอ่ยปากถาม


“...”


ผมเงียบเพื่อรอให้อีกฝ่ายพูดเมื่อเห็นเจ้าตัวยังเงียบก็แสดงว่าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วจึงเป็นฝ่ายเอ่ยตัดบท


“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมจะวางแล้วนะครับ เดี๋ยวไอ้นัทเข้ามา ผมไม่อยากโกหกเพื่อน อีกอย่างพี่จะได้ไปทำงานต่อด้วยอย่าอู้หรือแอบหนีไปเที่ยวด้วยไม่งั้นผมโกรธพี่แน่ แล้วก็คืนนี้ไม่ต้องคิดถึงผมนะครับ เพราะผมจะเป็นฝ่ายคิดถึงพี่เอง” ผมบอกขำๆ


“แล้วก็...”


“บีทส์”


ผมชะงักเมื่อปลายสายเรียกชื่อผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมจึงตั้งใจฟังพี่ซัน


“น้องฟ้ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย กูว่าจะออกไปดูเขา”


ผมนิ่งไป เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ


“แต่ถ้าทำให้มึงไม่สบายใจ กูไม่ไปก็ได้นะ แต่อยากให้คิดให้ดีๆ ว่ามึงต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า” พี่ซันบอกต่อเมื่อเห็นผมเงียบ


“แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนครับ” ผมกลั้นใจเอ่ยถาม


“เอ่อ...”


ผมเดาว่าพี่มันคงออกจากห้องพี่สองมาแล้ว


“กูพูดจริงๆ ถ้ามึงไม่อยากให้ไปกูก็จะกลับ” พี่ซันพูดเสียงจริงจัง ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างข่มกลั้นอารมณ์กับอาการขับแน่นในอก พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ เมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มเต้นเร็วผิดปกติเกินไปเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก อิพิงค์ลุกขึ้นจากกองหนังสือแล้วเดินมานั่งข้างๆ พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


"ผมไม่ใช่คนใจดำขนาดนั้นถ้าพี่คิดว่าผมจะห้าม นั่นก็พี่รหัสผม ผมก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน พี่ไปเถอะ จะกลับก็อย่าลืมโทรบอกผมด้วยนะ” ผมเปล่งเสียงบอกอีกคนออกไปแบบนั้น ในเมื่อพี่ซันบริสุทธิ์ใจถึงขนาดโทรมาบอกผมก่อน ผมก็ควรจะเชื่อใจพี่มันให้มากๆ ใช่ไหม? พี่ซันกับพี่ฟ้าโตมาด้วยกันก็ไม่แปลกถ้าพี่ซันจะเป็นห่วงหรือร้อนรนเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเกิดอุบัติเหตุ


“มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ” พี่ซันถามย้ำ


“งั้นไม่ให้ไปละ” ผมแหย่


“เฮ้ยได้ไง!? กูออกมาแล้วครับเมีย ไม่ทันแล้ว” พี่ซันโวย ผมหลุดขำที่แกล้งอีกฝ่ายได้ ถ้าถามว่าผมคิดอะไรไหมที่รู้ว่าพี่ซันจะออกไปหาพี่ฟ้า และถ้าผมบอกว่าไม่เลยก็คงเป็นการโกหกอีกเหมือนกัน


แต่ผมก็ไม่เคยลืมนะว่าก่อนที่พี่ซันจะเจอผมเขาก็มีพี่ฟ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขามาก่อน ผมไม่ควรเห็นแก่ตัวดึงพี่ซันไว้กับตัวเองเป็นสิทธิ์ขาด อย่าถามว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน ผมเคยฟังมาจากไอ้นัท


“ล้อเล่นน่า...พี่ขับรถดีๆ นะ ผมต้องวางแล้ว แค่นี้นะครับ” ผมกดตัดสายหลังจากที่พูดจบ สายตายังคงมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ยังสว่างจ้าเป็นรูปตัวเองยิ้มแป้นให้กับกล้อง คนถ่ายคือไอ้คนที่เพิ่งวางสายไปนั่นแหละครับ


“มึงไม่คิดอะไรเลยจริงดิ” เสียงคนข้างๆ เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจเหมือนกับเห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก ผมยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนราบไปกับเตียง


“กูถามคนนะไม่ใช่ถามตอไม้ อย่าบอกนะว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างล่องลอยตามผัวไปแล้วอ่ะ” อิพิงค์ถามเสียงแหลม พลางใช้มือพลิกไหล่ผมที่แกล้งนอนคว่ำหน้าไปกับเตียง


ผมกัดปากฉับเมื่อหันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่แม่งเรด้าดียิ่งกว่ายานรบ


“ยังจะมามองหน้าอีก” อิพิงค์เร่ง


ผมจิ๊ปากแสร้งว่ารำคาญเพื่อนแล้วตอบในสิ่งที่คิดไปครึ่งหนึ่ง “ก็ในเมื่อพี่ซันบอกว่าไม่มีอะไร เขาบริสุทธิ์ใจถึงโทรบอกก่อน กูก็จะพยายามไม่คิดอะไร” อิพิงค์เบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้


“อย่ามัวแต่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องนะมึง กูจะบอกให้ว่าไอ้พวกนั้นเริ่มสงสัยมึงแล้วโดยเฉพาะไอ้นัท มึงอ่ะ...ช่วงนี้ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ มึงก็รู้ว่ามันฉลาด คิดจะบอกมันเมื่อไหร่” อิพิงค์มองหน้าผมพลางถาม


ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ถามยากกว่าข้อสอบอีกว่ะ จะให้บอกได้ยังไงก็ในเมื่อพวกมันเข้าใจว่าพี่ซันเป็นแฟนของพี่ฟ้า


พวกมัน...คงรับไม่ได้หรอก


“กูไม่กล้าว่ะ” ผมหันไปบอกอิพิงค์ มันพยักหน้ารับเนือยๆ อย่างเข้าใจ


“มีอะไรให้กูช่วยก็บอก” อิพิงค์ว่าต่อ ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ


“ว่าแต่เรื่องของกู แล้วเรื่องของมึงล่ะ” ผมเป็นฝ่ายถามอิพิงค์กลับบ้าง เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมั่นอย่างมันทำหน้าเหรอหรา


“เรื่องของกู? มีอะไร...ก็ไม่มีอะไรนี่” อิพิงค์ตอบหน้าซื่อ


“เหร๊อ...แล้วไอ้คนที่กูเจอวันนั้นล่ะมันยังไง” ผมทำเสียงล้อเลียน อิพิงค์ทำหน้าเหมือนจะกลั้นใจตายก่อนจะเม้มปากแล้วเบือนหน้าไปมองผนังห้องเหมือนไม่อยากตอบคำถาม


“ว่าไงมึง” ผมต้อน


“กูไม่อยากเล่าว่ะ” อิพิงค์หันมาทำเสียงอ้อน พลางหันไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างตัวมาดูเมื่อมีสัญญาณเตือนว่ามีสายเข้า ผมเห็นมันทำหน้ากลั้นใจก่อนจะกดตัดสายไม่ยอมรับ ทำให้ผมมั่นใจว่าต้องเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเห็นวันนั้นแน่ๆ แม่ะ เพื่อนกูมันร้ายไม่เบา


“ทีเรื่องของกู กูยังเล่าให้มึงฟังได้เลย ทีเรื่องของมึงดันบอกว่าไม่อยากเล่าให้กูฟังซะงั้น เฮ้อ กูเป็นเพื่อนมึงป๊ะเนี่ย แค่นี้มึงยังไม่ไว้ใจกูเลย” ผมแกล้งทำเสียงตัดพ้อมันสุดฤทธิ์แล้วตีหน้าเศร้าประหนึ่งเหมือนเข้าใจว่าผมไม่สำคัญพอที่มันจะเล่าเรื่องส่วนตัวของมันให้ฟังได้


“เล่นใหญ่มาก” อิพิงค์แขวะกลับด้วยความหมั่นไส้ ผมหัวเราะ


“คนที่มึงเจอวันนั้น...กูไปเจอเขาที่ผับ ก็ผับที่กูไปเที่ยวประจำนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจจะรู้จักหรอก แต่เพราะวันนั้นกูเมามาก แดนซ์หนักไปหน่อยเลยน็อค เขาเลยใจดีหิ้วกูกลับไปที่ห้องเขาด้วย” อิพิงค์เริ่มเปิดปากเล่า คิ้วเรียวของมันขมวดเข้าหากันเมื่อพูดถึงตอนที่มันเจอกับผู้ชายคนนั้นด้วยความไม่ตั้งใจ ยังจำสโลแกนประจำตัวของมันได้ไหมครับ ‘สวยเลือกได้ แรดแต่เลือก’


“อย่าบอกนะว่ามึงเสียท่า...หลวมตัวเสร็จเขาไปแล้วอ่ะ” ผมถามกลับตาโต เพราะรู้ว่าอิพิงค์มันจะยอมใครก็ต่อเมื่อเกิดจากความเต็มใจของมันเท่านั้น แต่นี่มันบอกว่ามันไม่ได้ตั้งใจ หรือว่า…


“ไม่ใช่ย่ะ! ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะดีกว่านี้ น้ำแตกแล้วแยกทางกันไป แต่มันไม่ใช่แบบนั้นดิวะ” อิพิงค์รีบปฏิเสธ ก่อนจะยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองเครียดๆ


“เอ้า...แล้วมันยังไง” ผมถามต่อ


“เขาพากูไปที่ห้องเขาใช่ปะ แล้วกูก็เสือกอ้วกเลอะห้องเขา แทนที่เขาจะถีบส่งกูออกจากห้องแต่มันตรงกันข้าม เสือกช่วยเช็ดอ้วกกู เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ไม่ทำอะไรกูเลยสักนิด โคตรเหลือเชื่อ” อิพิงค์หันหน้ามาสบตากับผม แล้วบอกเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่มันกำลังโพล่งบอกผม


“พูดจริง?”


“เออสิวะ” อิพิงค์โอดครวญ


“แล้วไงต่อ”


“จากนั้นแม่งก็ตามติดกูแจ กูไปเที่ยวที่ไหนแม่งก็เจอมันจนกูหลอน ใครเข้ามาจีบกู แม่งก็ตามมากวนจนผู้ชายกูหนีหมด กูจะเป็นบ้าแล้วเนี่ย” อิพิงค์ว่าต่อ ผมพยักหน้ารับ เออกูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงทำหน้าเหมือนเจอโรคจิตตาม


“แล้วเขารู้ได้ไงว่ามึงเรียนที่นี่” ผมถามต่อ


“กูเพิ่งรู้ว่ามันเรียนมอเดียวกับเราก็วันที่มึงเจอแหละ ทุกวันนี้กูประสาทจะกินวันละหลายๆ รอบเพราะกลัวเจอมัน ฮือ คนสวยมากอย่างกูก็กลุ้มได้นะมึง” อิพิงค์จิ๊ปากตอบคำถาม ผมหัวเราะหนักกว่าเดิมเมื่อมันตบท้ายประโยคด้วยการอวยตัวเอง จะว่าไปก็ชักอยากเจอคนที่ทำให้อิพิงค์วิ่งหนีได้ แม่งเก่งจะไปขอวิชา


“แล้วมึงไม่ชอบเหรอ คนดีๆ ไม่ฉวยโอกาสตอนเมานี่หายากนะเว้ย” ผมเอ่ยเย้าเพื่อนสนิทขำๆ


“ไม่เอา กูไม่ชอบคนดี คนดีแม่งชอบผูกมัด ไม่ใช่แนวกู” อิพิงค์ส่ายหัวตอบพลางทำหน้าสยดสยอง ผมถึงบางอ้อ ลืมไปเพื่อนผมมันเป็นพวกรักอิสระไม่ชอบให้ใครมากำหนดกรอบชีวิต แต่ผมว่ามันแค่ยังไม่เจอใครที่ทำให้มันหยุดได้มากกว่าเลยไม่ยอมลงเอยกับใครจริงๆ จังๆ


“พอๆ เลิกพูดถึงมัน ว่าแต่มึงเถอะกับพี่เจนี่ยังไง” อิพิงค์ตัดบท แล้วถามผมกลับ ผมเลิกคิ้ว พี่เจทำไม


“อะไร” ผมถาม


“ก็เขามาถามเรื่องมึงกับกู แล้วก็ถามว่ามึงสนิทกับพี่ซันรึเปล่า มันไม่แปลกเหรอวะ” อิพิงค์ตอบ ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ อย่าบอกนะว่าพี่เจสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับพี่ซัน


“มึงว่าเขาจะรู้เรื่องของกูกับพี่ซันมั้ยวะ” ผมถามอิพิงค์เลิ่กลั่ก


“กูแม่งก็เดาใจพี่มันไม่ถูกเหมือนกัน ชอบทำหน้ายิ้มๆ ท่าทางดูใจดีเหมือนพ่อพระมาโปรด แต่ถ้าสังเกตสายตาดีๆ จะรู้ว่ามันโคตรเจ้าเล่ห์ อร๊าย ถูกใจกู! แต่เสียดายยังไงก็ยังน้อยกว่าพี่สุดหล่อของกูรายนั้นกูยกไว้บนหิ้ง” ผมส่ายหัวปลงกับอาการของเพื่อนสนิท รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับ จะว่าไปผมกับพี่ซันก็ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันในมหาลัยเลยนะ ข้างนอกก็ไม่เท่าไหร่ยกเว้นแค่ตอนไปซื้อของเข้าห้องในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ คอนโด


“กู...”


แกรก~


ผมหุบปากเมื่อมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ไอ้นัทโผล่หน้าเข้ามาตามด้วยลำตัวของมันครึ่งท่อน ผมหันไปเลิกคิ้ว


“คุยไรกัน แม่ให้มาตามไปกินข้าว” ไอ้นัทบอก ผมหันไปมองหน้าอิพิงค์ แม่งมันแอบฟังอยู่หรือเปล่าวะ T^T


“เรื่องเด็กกู ทำไม...มึงอยากฟังด้วยเหรอ” อิพิงค์หันไปตอบพลางแกล้งบิดขี้เกียจไปมา ไอ้นัทส่ายหัวพรืด ผมถอนใจหายใจด้วยความโล่งอกแล้วขยับลุกขึ้นจากเตียง


“กูแม่งเริ่มง่วงแล้วด้วยเนี่ย” ผมบ่น


“กูด้วย” อิพิงค์เสริมคำ


“ทีตอนเที่ยวกลางคืน ไม่เคยนึกจะง่วง กูเห็นโต้รุ่งตลอด” ผมหันไปแขวะ อิพิงค์เบ๋หน้า


“แหมอินี่มันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้างปะวะ” อิพิงค์แก้คำ ผมกับไอ้นัทหลุดหัวเราะพร้อมกันอย่างรู้ทัน ก่อนที่ไอ้นัทจะเริ่มเคี่ยวเข็ญพวกผมต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึงตีสองเราถึงแยกย้ายกันอาบน้ำและเข้านอน



ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]


“หมดเวลาแล้วค่ะนักศึกษา ส่งกระดาษคำตอบได้แล้ว”


เสียงระฆังที่บ่งบอกว่าขณะนี้มึงหมดเวลางมเข็มในมหาสมุทรแล้วดังขึ้น ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะวางปากกาลงกับโต๊ะอย่างตัดใจ พลางไล่สายตาสำรวจชื่อและรหัสนักศึกษาของตัวเองอีกทีกันพลาด เผื่อว่าตัวเองจะเมาขี้ตาแล้วลืมรหัสนักศึกษาของตัวเอง


เมื่อคืนพี่ซันส่งข้อความมาหาผมเกือบๆ จะเที่ยงคืนได้ เพื่อบอกว่าตัวเองกำลังกลับคอนโดพี่สองหลังจากไปส่งพี่ฟ้าที่บ้านแล้ว ผมอ่านข้อความนั่นช้าๆ ก่อนจะตัดใจวางโทรศัพท์ลงแล้วไม่ตอบกลับ


จนสักพักใหญ่ๆ พี่ซันส่งข้อความมาบอกผมอีกว่าถึงห้องพี่สองแล้ว แถมยังบอกอีกว่าโดนฝนเปียกไปหมด ผมเป็นห่วงแต่ก็พยายามแข็งใจไม่ตอบข้อความกลับแล้วหันไปฟังไอ้นัทติวหนังสือแทน


ผมก็แค่หวังว่าพี่มันจะร้อนใจขึ้นมาบ้าง


แต่ก็...เงียบสนิทอ่ะครับ ฮ่าๆ


ผมเดินออกมาจากห้องสอบในสภาพอิดโรยเนื่องจากการใช้เซลล์สมองคิดวิเคราะห์สูตรอาจารย์ป้าที่มันตีกันอยู่ในหัว ยิ่งกับคนเมมโมรี่ต่ำอย่างผมแล้วด้วยคือเกือบตายครับ นี่ถ้าไม่ได้ไอ้นัทช่วยติวมีหวังไอ้บีทส์ต้องวิ่งหายาแก้ไอวิชาของอาจารย์ป้าให้วุ่น พุฮ่าๆ


ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดเครื่องก่อนจะโทรหาใครบางคนที่สั่งผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าหากสอบเสร็จแล้วให้โทรบอก เจ้าตัวจะมารับ


ผมขมวดคิ้วเมื่อฟังเสียงรอสายอีกคนจนระบบมันตัดไปเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝั่งจะรับสาย ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้งพลางมองหาอิพิงค์กับไอ้นัทที่ออกจากห้องสอบก่อนผมมาแล้ว


ตู๊ดดดดดดด ตู๊ดๆๆๆๆๆๆ


ผมกดวางสาย ไอ้พี่ซันบ้า! ไหนว่าจะมารับไงจะโกรธแล้วนะเว้ย! มีธุระอะไรทำไมไม่บอกดีๆ มากดตัดสายกันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนวะ


“บีทส์”


ผมหันขวับไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนเปิดบทสนทนา คนทักโบกมือยิ้มมาแต่ไกลแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาผมในระยะใกล้จนถึงตัว


“สอบเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม อีกฝ่ายยักคิ้วให้ยิ้มๆ ก่อนจะเดินตามผมที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ (จริงๆ คือรัวสติกเกอร์พ่นไฟใส่พี่ซันอยู่) อย่างเอาเป็นเอาตาย


“อ๊ะ” ผมร้องขึ้นเบาๆ เมื่อข้อมือถูกรั้งไว้โดยคนที่เดินตามมาทำให้ผมเซเล็กๆ เพราะไม่ทันได้ระวังตัว


“โทษที...แต่มึงจวนจะชนป้ายอยู่แล้ว เดินระวังหน่อยสิ” ไอ้ตี๋ดุเสียงเข้ม ผมหันไปมองยังป้ายที่ไอ้ตี๋มันว่าก่อนจะเจอป้ายฟิวเจอร์บอร์ดขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ด้านข้างของมันมีป้ายยื่นออกมา ถ้าชนเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่เจ็บตัวไม่พอแถมยังซวยหมาถ้าป้ายของคณะเป็นอะไรไป T^T


“เออขอบใจ” ผมหันไปยิ้ม


“หิวว่ะ” ไอ้ตี๋บ่นพลางลูบหน้าท้องตัวเองแล้วเหล่มาหาผม ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามึงจะบอกกูเพื่อ?


“เห็นเพื่อนกูบ้างปะ” ผมถามเมื่อพยายามมองหาเพื่อนตัวเอง แต่ก็ไม่มีวี่แวว หายหัวกันไปไหนไม่บอกไม่กล่าว


“นัทบอกว่ามีธุระต้องรีบไป ส่วนพิงค์โดนใครลากไปก็ไม่รู้แต่เขาบอกให้เรามารอบีสท์แทน กลัวออกมาแล้วไม่เจอใคร” ไอ้ตี๋ทำหน้าเซ็งก่อนจะเอ่ยตอบ พลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม


“แล้วเนมอะ” ผมถามต่อโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเพราะกำลังก้มเล่นเกมแคนดี้ครัชอย่างเมามันส์


“กลับไปแล้ว”


“งืมๆ งั้นกูไปละ” ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าพลางลุกขึ้นยืน
   

ไอ้ตี๋คว้าข้อมือของผมไว้ก่อนจะเอ่ยชวน “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยดิ เนมไม่อยู่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว...นะ” ทำหน้าหมาหงอยใส่กูอีก รู้นะครับว่ามันกวนตีน ผมขมวดคิ้ว ไอ้ตี๋ทำเป็นมองฟ้ามองลม เอาวะอย่างน้อยก็จะได้มีที่ไป ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องพี่ซัน
   

“เลี้ยงใช่ปะ” ผมเลิกคิ้วถาม
   

“ฮ่าๆ พูดเหมือนเคยควักตังค์จ่าย” ไอ้ตี๋หัวเราะพลางเอ่ยแหย่ ผมย่นจมูกใส่มันอย่างหมั่นไส้ คนชวนก็ต้องเป็นคนจ่ายสิวะถูกแล้ว
   

“มึงมีเหรียญสิบบาทปะ”
   

ผมหันไปถามร่างสูงกว่าที่เดินนำหน้าผมไปประมาณสามก้าว ไอ้ตี๋หันมามองพลางเลิกคิ้วแล้วเดินกลับมาหาผมที่ยืนอยู่หน้าตู้เกมกดตุ๊กตา
   

ไอ้ตี๋มันพาผมมาที่ห้างใกล้ๆ มหาลัยนี่แหละครับเพราะผมบอกว่าอยากกินชาบู มันเลยออกความเห็นว่ามาที่นี่จะได้ไม่ต้องนั่งรถไกล นั่งรถเมล์มาไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว วันนี้เห็นนักศึกษามาจับจองพื้นที่ในร้านอาหารหนาตาเพราะตารางสอบของวันนี้เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว จะมีสอบอีกทีก็วันจันทร์
   

หลังจากมาถึง ผมกับไอ้ตี๋ก็มุ่งหน้าไปยืนต่อคิวหน้าร้านชาบูชิทันที จากตอนแรกที่บอกมันไปว่าแค่จะมาเป็นเพื่อนแต่พอมาถึงกลายเป็นผมซะอีกที่มาถึงก็จ้วงเอาจ้วงเอาจนไอ้ตี๋ถึงกับเอ่ยปากแซ็วว่าโยนลงหม้อให้ไม่ทันแล้ว กว่าจะกินเสร็จก็ปาไปห้าโมงกว่า
   

ไอ้ตี๋ก็ยังเป็นไอ้ตี๋มันเป็นคนคุยสนุกนะครับ ถ้าไม่ติดว่ามันชอบกวนตีนมันก็เป็นคนที่น่าคบมากคนหนึ่ง ตอนอยู่กับเนมก็ไม่เห็นมันจะกวนตีนเขาเหมือนตอนเจอผมนะ ไม่รู้ว่าชาติก่อนผมเคยกวนตีนมันไว้หรือเปล่า ชาตินี้มันถึงตามมากวนตีนผมคืน
   

แต่ไม่อยากบอกเลยนะครับว่าตอนมันเล่นฟุตบอล ไอ้ตี๋แม่งหล่อมาก สาวๆ ตามกรี๊ดจนติดท็อปยี่สิบหนุ่มน่าคบของมหาวิทยาลัย ถึงมันจะไม่ได้หล่อมากมายอะไรแต่การเป็นนักกีฬาของมันโกยคะแนนความนิยมจากสาวๆ ไปได้เยอะ (แต่ผมยังไม่เคยเห็นมันเอ่ยปากบอกถูกใจใคร หรือมันมีแฟนของมันอยู่แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้ครับเพราะไม่ค่อยได้เผือกเรื่องของมัน)
   

“อ่ะ” ไอ้ตี๋ควักเงินมายื่นให้ ผมยื่นมือไปรับพร้อมกับก้มมององศาของตุ๊กตาในตู้เกม เหล่ซ้ายเหล่ขวาวัดระดับความเป็นไปได้ด้วยสายตาว่าหมาตัวไหนที่ผมน่าจะมีโอกาสหยิบติดขึ้นมาบ้าง
   

“โอ๊ะๆๆ นั่นล่ะๆ” ผมยื่นหน้าเข้าไปชิดตู้กด งอตัวลุ้นไอ้ไม้คีบที่กำลังทำท่างับตุ๊กตาที่นอนคว่ำหน้าอยู่
   

“โอ๊ยแม่ง!” ผมโวยเสียงดังเมื่อตุ๊กตาที่ผมหมายตาไว้หลุดออกจากไม้คีบ ได้ยินเสียงขำของคนข้างตัว ผมหันขวับไปถลึงตาใส่ที่มันบังอาจหัวเราะเยาะ มึงไม่เคยเหรอวะ ใครมันจะไปคีบได้ตั้งแต่ตัวแรก นั่นเขาเรียกเทพแล้วโว้ย
   

“อะไร...เหวี่ยงผิดคนแล้วไอ้หนู” ไอ้ตี๋ทำหน้ากวนตีน ผมจิ๊ปาก เงินมึงโดนกินเรียบแน่ครับเพื่อน
   

“อดเลย”
   

ผมบ่น ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปยังตู้โยนลูกบาสที่อยู่ไม่ไกล เล่นไอ้นี่ก็ได้วะ
   

“แข่งกันมั้ย” คนที่เดินตามมาเอ่ยถาม
   

ผมหันไปเลิกคิ้ว “ที่ถามนี่คิดยัง”
   

กูจะไปสู้มึงได้ยังไง มึงมันไอ้นักกีฬาถึงจะไม่ได้เป็นตัวแทนแข่งบาสแต่มึงก็นักกีฬา ส่วนกูน่ะเหรอ เล่นเป็นก็บุญหัวแล้วเว้ย ผมก้มล้วงหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงนักศึกษาของตัวเอง
   

ไอ้ตี๋เดินมายืนล้วงกระเป๋ากางเกงยิ้มๆ
   

ผมเบะปากเมื่อมันยักคิ้วให้ผมแทนคำตอบ




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำไมไม่รับสายนะ  :hao4:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เจกับฟ้าร่วมมืออะไรกันป่ะ :hao4:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ 32 : ผิดแผน

[ซัน]
   

“เอ๊ะ...พี่ซันคะ นั่น...บีทส์หรือเปล่า” ผมหันไปตามเสียงทักของคนข้างตัว เลื่อนสายตาไปยังทางที่ฟ้ากำลังมองอยู่แล้วเผลอขมวดคิ้วเมื่อเจอคนที่น้องฟ้าเอ่ยถามจริงๆ แถมไม่ได้มาคนเดียวหรือมากับเพื่อนสนิทของมันแต่เป็นไอ้เด็กนั่น


ทำไมต้องมากับไอ้หน้าอ่อนนั่นด้วยวะ


“คนข้างๆ นั่น น้องที่คณะฟ้านี่คะ ชื่ออะไรน๊า...ที่เป็นนักกีฬา ฟ้าจำได้” น้องฟ้ายังคงเอ่ยถามอย่างสนใจ


คนสองคนที่กำลังยืนเล่นเกมอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสที่เคยเป็นของผม กำลังมีคนอื่นได้รับมันเช่นกัน ผมขบกรามไม่พอใจแล้วเบือนหน้าหนี


เมื่อคืนหลังจากที่ส่งบีทส์เสร็จ ผมก็กลับมานอนต่อที่ห้อง ตื่นมาอาบน้ำอีกรอบในตอนเย็น แล้วออกไปหาไอ้สองโดยไม่ลืมแวะซื้อของเซ่นมาให้เจ้าของห้องด้วย    

‘ห่างจากเมียมาได้แล้วเหรอมึง’ ไอ้สองที่กำลังนั่งจ้องโน๊ตบุ๊คอย่างขมักเขม้นเอ่ยแซ็วขำๆ ผมหัวเราะหึหึ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของมันเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าทีวี เป็นมุมประจำของผมซึ่งมีโน๊ตบุ๊คสีดำและกองหนังสือเล่มหนาวางอยู่
   

‘เอ้าไอ้นี่ กูถามไม่ตอบ’ ไอ้สองท้วงเอาคำตอบ
   

ผมหันไปเลิกคิ้วให้มัน


‘เสือก’


ไอ้สองจิ๊ปาก


‘ทีงี้มาด่าว่ากูเสือกนะไอ้สัส’


ผมหัวเราะ
   

‘แดกไรยัง กูซื้อข้าวมาให้’ ผมชี้มือ


‘เออขอบใจ แวะมานอนนี่น้องไม่งอแงเหรอ’


‘ไม่อยู่...ไปติวหนังสือบ้านเพื่อน’ ผมตอบพลางเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองขึ้นมาทำงานที่ทำค้างไว้ต่อ


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้วเมื่อโทรศัทพ์ที่วางอยู่ข้างตัวสั่นครืดแจ้งเตือน นึกเดาในใจว่าเจ้าของข้อความนั้นคือใคร พอหยิบขึ้นมากดอ่านก็อมยิ้ม


“ฮือ ยากมากอ่ะผมตกแน่เลย T^T”


บีทส์ส่งข้อความมาพร้อมกับสติ๊กเกอร์แพนด้าร้องไห้ หึๆ


“ถ้าตกกูเหยียบซ้ำนะ”


ผมกดส่งข้อความกลับไปพลางบิดตัวซ้ายขวาขับไล่อาการเมื่อยล้าจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ข้อความที่ส่งไปจริงๆ ก็แค่แกล้งขู่เจ้าตัวเขาไปอย่างนั้น ป่านนี้คงทำหน้ายุ่งใส่โทรศัพท์


‘เดี๋ยวนี้หัดรู้จักยิ้มคนเดียวแล้วเหรอมึง’ เสียงแซ็วลอยมาตามลม ผมหันไปเลิกคิ้วให้เพื่อนสนิท นี่มึงคิดจะจ้องจับผิดกูอยู่ตลอดเวลาเลยหรือเปล่าวะ


‘กูไม่ใช่คนบ้า’ ผมตอบกลับไปกวนๆ หยิบหนังสือเพื่อเปิดดูเนื้อหาเพิ่มเติม แล้วดึงดินสอที่เหน็บไว้กับหูมาวงข้อความที่ต้องการไว้


ไอ้สองเบ๋หน้าหมั่นไส้กับคำตอบของผมพร้อมทำท่าขนลุก แล้วตอบกลับด้วยประโยคประชดประชัน ‘แล้วหมาตัวไหนมันยิ้มใส่หน้าจอโทรศัพท์อยู่ตั้งนานสองนาน ทำตัวอย่างกับคนเพิ่งมีความรักครั้งแรก’


‘กูดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ’


‘เออไอ้สัส’


ไอ้สองจิ๊ปากที่แซ็วผมไม่ขึ้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาจดจ่อไปที่จอโน๊ตบุ๊คของตัวเองต่อ ผมส่ายหัวยิ้มๆ


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้วเมื่อมีสายเรียกเข้า บีทส์ไม่น่าจะโทรหาผมเพราะเจ้าตัวอยู่กับเพื่อน...


หรือจะเป็นไอ้อาร์ต ผมหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรายชื่อเบอร์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ


เบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ


‘ครับ’


‘พี่ซัน’ ปลายสายเรียกผมด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ


‘ว่าไง’


‘ฟ้าโทรมากวนหรือเปล่าคะ’


‘ถ้าบอกว่ากวนเราจะยอมวางสายเหรอ’ ผมแกล้งแหย่ ไอ้สองที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เดินมานั่งบนโซฟาใกล้ๆ ผม ในมือถือกล่องข้าว มันตักกินพลางเหลือบมองผมที่คุยโทรศัพท์อยู่


‘โธ่พี่ซัน ฟ้าเกรงใจจริงๆ นะคะ แต่ว่ารถฟ้าโดนชนท้าย แล้ว...ที่นี่ก็เปลี่ยวด้วย ฟ้ากลัวแล้วก็ตกใจมากเลย’ ผมขมวดคิ้วทันทีที่ฟังปลายสายบอกสิ่งที่ต้องการจบ


‘โทรเรียกประกันหรือยัง โอเค แล้วตอนนี้น้องฟ้าอยู่ที่ไหน’ ผมถามพลางยื่นมือไปหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถมาถือพร้อมเอียงหูฟังปลายสายบอกตำแหน่งที่อยู่


‘ตอนนี้ฟ้าอยู่...’ น้องฟ้าเอ่ยบอกเสียงสั่นๆ


‘โอเคงั้นรอพี่อยู่ที่นั่นนะ นั่งอยู่ในรถนั่นแหละไม่ต้องลงมา พี่จะรีบไป’ ปลายสายตอบรับก่อนจะกดวาง


‘จะไปไหนวะ’ ไอ้สองถามขณะยกแก้วน้ำขึ้นซด


‘รถน้องฟ้าโดนชนท้ายว่ะ กูว่าจะไปดูสักหน่อย’ ผมตอบพลางลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาพาดบ่า
   

‘ซัน’
   

ขาที่กำลังจะก้าวออกจากห้องหยุดชะงัก ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพื่อนสนิท ไอ้สองลุกขึ้นยืน เอามือล้วงกระเป๋าแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผม
   

‘อย่าลืมโทรบอกน้องด้วยล่ะ’
   

ผมชะงักเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้สองยักคิ้วก่อนจะเดินกลับไปยังตำแหน่งที่มันนั่งอยู่ตอนแรก ผมยิ้มเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสนิทเอ่ยเตือน
   

‘ขอบใจ’
   

ผมเดินออกจากห้องพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดนน้องมันกวนนิดหน่อยแต่เขาก็ไม่งี่เง่า
   

กว่าจะกลับถึงห้องไอ้สองก็ใช้เวลาค่อนคืน รู้อยู่เต็มอกว่ามันคงจะไม่พอใจเพราะส่งข้อความไปหางหลายข้อความแต่อีกคนก็ไม่มีวี่แววว่าจะตอบกลับมา เลยตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามานั่งทำงานต่อ
   

รุ่งเช้าก็ได้รับโทรศัพท์ด่วนจากคุณทวีให้ผมเข้าร่วมประชุมผู้บริหารในตำแหน่งผู้สังเกตการณ์ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและปูทางขยายเครือข่ายให้ผม ทั้งการประชุมวันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับผู้บริหาร หัวข้อหลักคือกลยุทธ์การรับมือกับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท
   

อ่า...ผมพลาดอีกแล้ว
   

ผมสัญญากับน้องเอาไว้ว่าวันนี้จะไปรับหลังสอบเสร็จ
   

ไม่น่าล่ะ...
   

มันถึงได้โทรหาผมหลายสายตอนที่ผมกำลังอยู่ในห้องประชุมจนผมต้องกดตัดสาย หลังจากออกจากห้องประชุมกำลังจะโทร.กลับ ครอบครัวน้องฟ้าที่มาเข้าร่วมประชุมเช่นกันก็เดินมาหาผม
   

ผมไม่แน่ใจว่าทำไมน้องฟ้าถึงมาเข้าร่วมการประชุมนี้ด้วยด้วย แต่สุดท้ายก็ได้รับการไหว้วานให้พาน้องฟ้าออกมาหาอะไรทาน แล้วค่อยไปส่งน้องฟ้าเพราะรถของเธอยังจอดอยู่ในอู่
   

ผมอึกอักแต่ก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ น้องฟ้าเองก็ทำหน้าลำบากใจ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการตอบรับ จนบีทส์โทรมาอีกครั้งผมก็กดตัดสายเพราะไม่อยากโกหกอีกฝ่ายว่าตอนนี้อยู่กับใคร
   

ผมไม่อยากให้มันไม่สบายใจจนลืมไปเลยว่า...สัญญาอะไรไว้กับมัน
   

“เราเข้าไปทักทายน้องหน่อยดีมั้ยคะพี่ซัน” น้องฟ้าหันมาถาม ใบหน้าสวยยิ้มจนตาปิด เดาว่าคงอยากแซ็วน้องรหัสตัวเอง ผมพยายามเก็บอาการ เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ค่อยชอบคำว่า ‘โลกกลม’
   

“พี่ว่าอย่าไปกวนเขาสองคนเลย”
   

“โอ๊ยไอ้สัสเบาเบ๊า!”
   

ผมหันไปมองบีทส์ เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายด่าทอคนที่กำลังยืนหัวเราะสะใจ มองบีทส์เอามือกุมหน้าผากตัวเองร้องโอดโอย
   

“กวนที่ไหนกันคะ บีทส์!” ยังไม่ทันที่ผมจะพาคนข้างตัวออกห่างจากจุดที่อยู่ในสายตาบีทส์ ฟ้าก็เป็นฝ่ายส่งเสียงเรียกน้องรหัสของตัวเองจนเจ้าของชื่อหันมายิ้มค้างเมื่อเห็นว่าใครที่ส่งเสียงเรียกตัวเอง แวบหนึ่งผมเห็นมันทำหน้าผิดหวังเมื่อเห็นผม ผมจิ๊ปากในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
   

“สอบเป็นไงบ้าง” ฟ้าเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปถึงตัวบีทส์ก่อน คนถูกถามทำหน้าอึกอัก ผมสบตากับคนที่อยู่ข้างๆ บีทส์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้จะรู้ว่าครั้งนี้เป็นผมอีกแล้วที่ทำให้บีทส์ไม่พอใจ แต่จะให้ผมเฉยๆ ที่เขามาเที่ยวกับใครผมคงทำไม่ได้
   

บีทส์ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยตอบโดยไม่มองหน้าผม “ก็ดีครับพี่ฟ้า เพื่อนช่วยติวให้เลยพอทำได้บ้าง”
   

ต่อให้อยากยกมือขึ้นมาลูบหน้าแค่ไหนแต่ผมก็ทำได้แค่ยืนนิ่ง
   

ทุกอย่างผิดแผนไปหมด
   

ทีแรกผมตั้งใจพาน้องฟ้ามาทานข้าวใกล้กับมหาลัยเพื่อที่จะได้ปลีกตัวไปหาบีทส์ ที่ไหนได้...แม่ง
   

“ไปกินไอติมกันมั้ยพี่ซันเลี้ยง” ฟ้าหันไปถามบีทส์ ก่อนจะหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม เนื่องจากก่อนหน้านี้เรายังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะแวะที่ไหนเพราะผมบอกว่ามีธุระต้องไปต่อ
   

“เอ่อ” บีทส์ทำหน้าอึกอัก พร้อมกับหันไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างตัวที่ยืนหน้านิ่ง ผมกำหมัดเพื่อข่มกลั้นอารมณ์หึงหวง เมื่อบีทส์ยื่นมือไปดึงชายเสื้อนักศึกษาของไอ้หน้าอ่อนนั่นแล้วขยับกายเข้าไปแนบชิด


“ขอโทษด้วยครับพี่ พอดีพวกผมตกลงกันว่าจะไปที่อื่นต่อแล้ว” ไอ้หน้าอ่อนนั่นปฏิเสธ ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางที่ไหล่บีทส์ด้วยท่าทีสนิทสนม
   

ผมมองอาการนั้นด้วยใบหน้าเรียบตึงพลางส่งสายตาบอกบีทส์ว่ามันมากเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวเบือนหน้าหนี แล้วหันไปพยักหน้ายืนยันคำพูด
   

หึ คิดจะชิ่งหนีไปกันสองคน...ฝันไปเถอะ
   

“อยู่ด้วยกันก่อนสิ พี่เขาอุตส่าห์ชวน...จะปฏิเสธเหรอ”
   

บีทส์หันมามองหน้าผมเมื่อประโยคที่ผมพูด สื่อไปในทำนองเชิงตำหนิรุ่นน้องที่ปฏิเสธคำชวนรุ่นพี่ เจ้าตัวเม้มปาก
   

“พี่ซันอย่าดุน้องสิ” ฟ้าหันมาดุผมไม่จริงจัง ผมหัวเราะเป็นเชิงบอกว่าพูดเล่น น้องฟ้าเลยยู่ปากใส่ผมด้วยความหมั่นเขี้ยว
   

“ก็ได้ครับ ถ้าพี่ขอ...ผมก็จะไม่ปฏิเสธ”
   

ผมรู้ว่ามันไม่พอใจ นี่ผมพูดแรงไปเหรอ ผมก็แค่ไม่อยากให้เขาสองคนอยู่ด้วยกันอย่างน้อยขอแค่เขายังอยู่ในสายตาผม ต่อให้ทำแล้วเจ้าตัวจะไม่ชอบใจ ผมก็จะทำ
   

น้องฟ้าหันไปยิ้มดีใจก่อนจะเป็นฝ่ายเดินไปจูงมือบีทส์ให้เดินไปกับตัวเอง
   

“พี่คิดจะทำอะไร”
   

ขาที่กำลังจะก้าวตามคนสองคนที่เดินนำไปก่อนหยุดชะงัก
   

ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนสบตามองผมอย่างไม่คิดจะหลบตา
   

แล้วแสยะยิ้มเย็น
   

“อย่าเสือก”

   
“แลกกันค่ะ” ฟ้าพูดพลางตักช็อกโกแลตมาให้ผมแล้วตักสตรอเบอรี่ของผมไปไว้ในถ้วยของตัวเองแทน เธอรู้ว่าผมไม่ชอบกินสตอเบอรี่ เนื่องจากความหวานของมัน ผมยิ้มรับพลางมองไปยังคนที่นั่งตรงข้ามกับผม ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนจะตักไอติมใส่ปากโดยไม่พูดอะไร
   

“กินปะ”
   

ไอ้หน้าอ่อนตักสตรอเบอรี่ของตัวเองไปใส่ถ้วยคนตัวเล็กยิ้มๆ
   

...กวนส้นตีน…
   

“พี่ซันจะรีบไปธุระหรือเปล่าคะ เดี๋ยวฟ้าอยู่กับน้องๆ ก็ได้นะ” ฟ้าหันมาถาม
   

ผมแสร้งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เพราะธุระของผมก็คือไปรับคนที่นั่งตรงข้ามผมนี่ยังไงล่ะครับ
   

“ผมอิ่มแล้ว ต้องขอตัวก่อนนะครับพี่ฟ้า พอดีต้องรีบไปธุระแล้วด้วย” บีทส์เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจพลางหยิบกระเป๋ามาสะพาย ผมเหลือบมองถ้วยไอติมที่เหลืออยู่ค่อนถ้วย เดาว่ามันคงพยายามยัดลงท้องให้ดูไม่น่าเกลียดเพื่อจะขอตัวออกไปได้อย่างไม่เสียมารยาท
   

เมื่อเห็นบีทส์ขยับตัว คนข้างตัวมันก็ขยับตัวบ้างเหมือนกัน แวบหนึ่งผมเห็นมันปรายตามามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
   

“จ้ะ เอาไว้เจอกันที่คณะนะบีทส์” ฟ้าเอ่ยบอกออกไปเสียงใส พลางยกมือขึ้นโบกไปมา บีทส์ยิ้มรับก่อนจะโค้งหัวให้แล้วก้าวออกไปเลย ผมหุบยิ้มก่อนจะวางช้อนลงหลังจากที่แผ่นหลังบางเคลื่อนตัวหายไปจากสายตา
   

“อิ่มแล้วเหรอคะ” น้องฟ้าหันมาถาม
   

ผมยิ้ม ไม่ตอบอะไร




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตัวเองผิดเองนะซัน ห้ามว่าหรือทำอะไรน้องนะ  :m16:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ผิดแผนจริงนั้นแหละ ผิดไปหมด

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ฟ้าน่าจะรู้อยู่แล้วเรื่องซันกับบีสท์ แต่ก็ยังพยายาม :hao3:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ไม่มีเวลาติดต่อน้องขนาดนั้นเลยเหรอซันมีไรก็บอกน้องสิทำแบบนี้คนมันคิดมากนะ :angry2:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า


[บีทส์]


“ไปไหนต่อปะ”
   

ไอ้ตี๋เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา หลังจากเราเดินเงียบๆ มาด้วยกันตั้งแต่ออกมาจากร้านไอติมยอดนิยมที่คู่รักมักมาเดทกัน


“ไม่ว่ะ...เดี๋ยวกลับเลย” ผมหันไปตอบ พลางควักมือถือออกมากด


“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ไอ้ตี๋ทำตัวป๋าอาสาไปส่ง


ผมพยักหน้า “เอาดิ”


ครืด...ครืด…
   

“ครับแม่” ผมหันหน้าไปอีกทางเมื่อไอ้ตี๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับเพื่อเป็นการรักษามารยาท แต่จริงๆ ก็ตั้งใจฟังครับ…
   

“อ้าว...แล้วพ่อล่ะ”
   

“ครับๆ ผมจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เป็นอันเข้าใจว่ามันไปส่งผมไม่ได้แล้ว
   

ไอ้ตี๋กดวางสาย ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยความเสียดาย
   

ผมหัวเราะ “ทำหน้าเหมือนจะตาย บ้านกู...กูกลับถูก”
   

ไอ้ตี๋จิ๊ปาก
   

“งั้นกลับดีๆ นะ”
   

ผมพยักหน้ารับคำ เพราะบ้านผมกับบ้านมันอยู่คนล่ะทางกัน เราแยกทางกันหน้าห้างสรรพสินค้า ผมหยิบหูฟังออกมาเสียบหูแล้วเปิดเพลง ก่อนจะเดินไปที่ป้ายรถเมล์แล้วตัดสินใจส่งไลน์ไปหาพี่ซัน เพื่อบอกอีกฝ่ายไว้ก่อน
   

“ผมกลับไปนอนบ้านนะ”
   

เรื่องเมื่อคืน ที่พี่ซันไม่โทรหาผม ผมเข้าใจว่าเขาคงเกรงใจและไม่อยากให้ผมลำบากใจเพราะผมติวหนังสืออยู่กับเพื่อน เขาคงรู้ว่าผมเองก็คงไม่อยากพูดเรื่องของพี่ฟ้า
   

แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ พี่มันลืมได้ยังไงว่าสัญญาจะมารับผม แถมผมยังต้องมาเจอเขาอยู่กับพี่ฟ้าอีก พี่มันเห็นผมเป็นไอ้โง่คนเดิมของพี่มันหรือไง
   

ไอ้บีทส์คนโง่!
   

ครืด...ครืด…
   

ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูสายที่โทรเข้ามาแล้วถอนหายใจ
   

“ครับ”
   

“ทำไมไม่กลับห้อง” พี่ซันถาม น้ำเสียงไม่พอใจ
   

ผมเม้มปากเงียบ
   

“เงียบทำไม”
   

“ผมไม่อยากทะเลาะ”
   

“กูถามหน่อยเถอะ กูผิดนักเหรอที่เป็นห่วงความรู้สึกของมึง ไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ ถ้ารู้ว่ากูต้องพาฟ้าไปกินข้าว กูแค่...”
   

ผมตัดบท “ไม่อยากให้ผมไม่สบายใจหรือว่าพี่กลัวผมรู้กันแน่ ว่าพวกพี่กลับไปมีความสัมพันธ์อะไรกันอีก”
   

“มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร ทำไมถึงไม่เชื่อใจกู”
   

ผมเงียบเมื่ออีกฝ่ายถามกลับ ไม่ใช่เพราะผมเชื่อใจพี่เหรอ พี่ถึงทำกับผมแบบนี้
   

“วันนี้...” ผมเม้มปาก “พี่ลืมนัดผม”
   

“...”
   

“พี่ปล่อยให้ผมรอ”
   

“ผมโทรไปพี่ก็ไม่รับ แถมยังตัดสายทิ้ง ผมพยายามคิดว่าพี่คงติดธุระสำคัญ แต่ว่า... เฮอะ จะว่าไปก็อาจจะสำคัญกับพี่จริงๆ เพราะธุระที่ว่านั่นมันสำคัญกว่าผม แค่สละเวลาโทรมาหรือส่งข้อความมาบอกผมหน่อยก็ได้ว่ามาไม่ได้แล้ว ติดปัญหาอะไรทำไมถึงไม่มา ผมจะได้ไม่ต้องรอเก้อ ไม่ใช่ลืมไปเลยแบบนี้!”
   

“ฟังนะ...กูขอโทษก็ได้ แต่เลิกงี่เง่าแล้วกลับไปคุยกันที่ห้องจะได้มั้ย” พี่ซันถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คนฟังอย่างผมถึงกับน้ำตาร่วง งี่เง่างั้นเหรอ ผมงี่เง่าตรงไหน ที่ผมยอมเป็นไอ้โง่ยอมให้พี่มันจูงไปไหนมาไหนนี่ยังไม่พอใจใช่ไหม
   

ผมเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยบอกอีกคนอย่างอ่อนใจ “นี่ไง...ผมถึงไม่อยากกลับห้อง เพราะรู้ว่ากลับไปต้องทะเลาะกัน ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่ ผมเหนื่อยที่ต้องทะเลาะในเรื่องที่ผมไม่มีวันชนะ พี่ไม่ต้องห่วงนะ พรุ่งนี้ผมจะกลับไปนอนที่คอนโดเหมือนเดิมแน่นอน” ผมยังไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่มันตอนนี้ ให้ผมอยู่กับตัวเองสักคืนเพื่อเรียกกำลังใจของตัวเองคืนมา
   

“งั้นก็ตามใจ”
   

พี่ซันตอบรับเสียงเรียบแล้วกดวางสาย ผมเม้มปากแน่นมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ว่างเปล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วเดินไปยืนรอขึ้นรถเมล์สายประจำที่ผ่านหน้าบ้านตัวเอง
   

ผมอุตส่าห์เชื่อใจพี่ซัน ไม่คิดมาก พยายามคิดในทางที่ดีแล้วแท้ๆ แต่พอเห็นกับตา มันก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันนะครับ ผมอาจจะงี่เง่ากับเรื่องพวกนี้ ผิดไหมที่ผมจะเรียกร้องในสิทธิ์ของผมบ้าง แม้มันจะมีอยู่แค่น้อยนิด
   

ผมอยากโวยวายใส่เขาที่ทำเหมือนผมไม่มีหัวใจ แต่ผมก็อดทนอดกลั้นเพราะผมเป็นผู้ชาย แล้วผมก็กลัว...กลัวว่าจะทำให้เขารำคาญ กลัวว่าเขาจะหมดความอดทน และทุกอย่างจะกลับไปเป็นศูนย์
   

“เหนื่อย...แต่ยังไม่ท้อหรอกว่ะ”
   

ผมหยิบมือถือออกมากดโพสระบายลงเฟสบุ๊คส่วนตัวของตัวเอง
   

“เป็นอะไรเด็กน้อย” ไม่นานพี่ไม้ก็มาโพสต่อผม
   

“เป็นคนหล่อไง” ผมกดตอบกลับคอมเม้นท์ของพี่ไม้
   

“หล่อตายเลยสัส” ไอ้ออยครับ
   

“มาแดนซ์กับกูหน่อยมั้ยเพื่อน เดี๋ยวพาเมาให้ลืมโลกไปเลย อิอิ” ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใคร อิพิงค์เจ้าเก่า นี่มึงหลุดจากคู่กรณีมึงแล้วเหรอถึงมาโพสกวนกูได้
   

“ไม่เอา กลัวเจอสตอล์กเกอร์” ผมกดตอบ
   

“กรี๊ดดดด อิปากไม่เป็นมงคล!” อิพิงค์ตอบกลับทันควัน ผมหลุดขำ
   

ปกติใช้เวลากลับบ้านเพียงไม่นานแต่วันนี้รถกลับติดแหง๊กค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปทีละนิดทำให้ต้องใช้เวลานาน กว่ายานพาหนะคันสีน้ำเงินจะแล่นมาใกล้ถึงที่หมาย
   

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเพื่อเตรียมลง ก่อนจะยกมือเรียกพี่วินหน้าปากซอยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะใช้บริการมาตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องเอ่ยปากบอกที่หมายพี่แกก็จำได้ครับว่าผมจะลงที่ไหน
   

กึก…
   

ผมชะงักเมื่อเห็นว่ามีรถคุ้นตาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง และก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อพี่วินพาผมมาจอดหน้าบ้าน ร่างสูงของพี่ซันเปิดประตูลงจากรถยนต์ส่วนตัว ผมยื่นเงินส่งให้พี่วิน แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่
   

พี่ซันก้าวลงจากรถมายืนล้วงกระเป๋ามองผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมหลุบตามองพื้น ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศรอบด้านนิ่งงัน ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก
   

พี่ซันถอนหายใจก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวมาหาผม แต่ผมกลับเป็นฝ่ายถอยหนี
   

พี่มันก้าวมาหนึ่งก้าว ผมก็ถอยหนีหนึ่งก้าว
   

“หยุดหนีแล้วฟังกู” พี่ซันเอ่ยปากแกมสั่ง ผมเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนี
   

ไม่อยากเห็นหน้าโว้ย
   

เจ้าของใบหน้าหล่อเสยผมขึ้นพลางเอ่ยถาม “ถามจริงๆ นะ ทำไมถึงได้ชอบหนีนักวะ” ผมรู้ว่าพี่มันคงหงุดหงิดและที่ถามก็ไม่ได้จะต้องการคำตอบหรอก
   

“...”
   

พี่ซันก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผมแล้วกอดอก “ไม่คิดบ้างเหรอว่าหนีมาแบบนี้ แล้วกูจะเป็นห่วง” ใบหน้าหล่อจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผม แต่ผมยังยืนใจแข็งไม่ขยับหนีและไม่มองหน้าอีกฝ่าย
   

เขาดีดนิ้วตรงหน้าผม “จะมากเกินไปมั้ยถ้ากูจะขออะไรสักอย่าง”
   

ผมเบนหน้ากลับไปก่อนจะผงะถอยห่าง เมื่อจมูกเราชนกัน พี่ซันยิ้มนิดๆ เหมือนชอบใจ แต่ผมยังทำหน้าตึง เขาเลยใช้นิ้วผลักหน้าผากผม
   

“เวลาที่เรามีปัญหากัน...อย่าหนีออกมาโดยที่เรายังไม่ได้เคลียร์กัน กูเคยบอกแล้วไงว่าจะไม่ปล่อยมือมึง” สายตาของพี่ซันอ่อนลง “ไม่ว่าเรื่องที่เราทะเลาะกันจะใหญ่แค่ไหน ถ้าคิดจะคบกันต่อเราก็ควรกลับไปเคลียร์กันให้รู้เรื่องไม่ใช่เหรอ”
   

ผมยิ้มเยาะ
   

เฮอะๆ ถ้าพี่มันไม่มองข้ามความรู้สึกของผม เราก็คงไม่ต้องทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ ถ้าจะมาเพื่อจะบอกว่าผมไม่มีเหตุผลไม่ต้องเสียเวลามาหรอก ปล่อยให้ผมอยู่กับตัวเองสักพัก เดี๋ยวผมก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ
   

ผมเงยหน้าขึ้นสบตามองตรงกับร่างสูง “พี่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมมันก็แค่คนงี่เง่าไม่มีเหตุผลเหมือนอย่างที่พี่ว่า แต่บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับไปที่คอนโดเหมือนเดิม เข้าใจแล้วนะครับ”
   

ผมเบี่ยงตัวหนีเพื่อเดินเลี่ยงเข้าบ้าน
   

หมับ!
   

พี่ซันยื่นมือมารั้งแขนผมไว้
   

“ดื้อฉิบหาย”
   

ผมสะดุ้งขยับออกห่างจากพี่ซันด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายแกล้งโน้มหน้ามากระซิบข้างหู พร้อมกับรั้งแขนผมให้เข้าไปชิดตัว
   

“ปล่อย!” ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงพี่มันไม่ไหวเมื่อพี่มันกระชับร่างของผมเข้าไปกอดแน่นขึ้น
   

ผมดิ้นคลุกขลักอยู่ในวงแขนเขา แต่เขากดแขนผมทั้งสองข้างไว้
   

“เพราะกูรู้ไง”
   

พี่ซันออกแรงดันหัวผมไปซบกับอก
   

“...ว่าถ้าปล่อยให้มึงนอนที่นี่ มึงต้องแอบร้องไห้ สู้พามึงกลับไปร้องไห้ให้กูกอดปลอบสบายๆ ไม่ดีกว่าเหรอ หรือถ้ามึงอยากนอนที่นี่จริงๆ” เขาลูบหัวผม “ก็ได้...เพราะกูก็จะนอนที่นี่ด้วย” ผมดิ้นขัดขืน แต่พี่ซันกดผมไว้แนบอก
   

“กูไม่มีปัญหา ที่ไหนมีมึง กูนอนได้ทั้งนั้น”
   

ผมเม้มปาก พยายามกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มนั่น
   

“เงียบทำไม กูตามมาง้อแล้วนะเนี่ย” พี่ซันแกล้งเย้า
   

“ผมไม่ยกโทษให้”
   

ผมแกล้งพูดเสียงแข็งพลางขืนตัวดิ้นหนี ให้รู้ว่าถ้าไม่เคลียร์ก็ไม่ยอมจบ
   

“กูจะเล่าในสิ่งที่กูเล่าได้...พอใจยัง” พี่ซันต่อรอง
   

“มาทางไหนกลับไปทางนั้น”
   

“ไม่มีใครบอกเหรอว่ากูหน้าด้าน”
   

พี่ซันตอบกลับมาด้วยใบหน้าทะเล้นพลางยักคิ้วกวน
   

ผมหลุดยิ้ม
   

อย่างน้อย...พี่มันก็ยังแคร์ผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้วล่ะ
   

เรื่องอื่น...เดี๋ยวค่อยไปถามทีหลังก็ได้วะ
   

“โอ๊ะโอ วันนี้บ้านเรามีแขก”
   

ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านก็ได้รับเสียงแซ็วจากไอ้น้องตัวแสบที่ใส่ชุดนอนลายหมีทั้งตัว ผมย่นจมูกใส่น้องก่อนจะหันไปยกมือไหว้คุณนายที่นั่งดูทีวี พี่ซันเองก็ยกมือไหว้แม่ผม
   

“เงียบไปเลย” ผมบอกไบร์ท ก่อนจะก้าวเข้าไปกอดแม่อ้อนๆ
   

“ทำไมมาถึงนี่ได้ล่ะไอ้ลูกชาย” แม่ถามด้วยความแปลกใจ
   

ผมกระพริบตาปริบๆ เพื่อนึกหาเหตุผล จะบอกแม่ว่าไงดีวะ จะบอกว่างอนไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เลยหนีกลับมานอนบ้านก็ไม่ได้ มีหวัง...โดนน้องล้อไปอีก
   

“คิดถึงคุณนายไง” ผมตอบแล้วพยายามฉีกยิ้มเอาใจแม่ แอบเห็นพี่ซันยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม อย่าล้อกันเองเด้
   

“มีพิรุธนะเรา” คุณนายพูดเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะหันไปถามบุคคลที่มากับผม “มีชุดมาเปลี่ยนหรือเปล่าตาซัน”   
   

“ไม่ให้นอนนะคุณนาย ไล่กลับไปเลย” ผมหันไปฟ้อง
   

“ผมมีเสื้อผ้าติดรถไว้ประจำอยู่แล้วครับ” พี่ซันไม่ได้ใส่ใจในคำพูดผมแต่หันไปเอ่ยตอบคุณนายสั้นกระชับ แม่ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ
   

“งั้นแม่ขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า” คุณนายหันมาบอกผม ผมพยักหน้ารับก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มคุณนายฟอดใหญ่
   

แม่ผมทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาหรอกครับ บางทีวันหยุดก็ยังต้องไปทำงาน
   

“เดี๋ยวไบร์ทก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน” ไบร์ทเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง ผมรู้ว่าน้องเองก็คงทำตัวไม่ถูกเมื่อพี่ซันนั่งอยู่ด้วย ไบร์ทหยิบมือถือพร้อมกับแก้วนมขึ้นมาถือไว้สองมือ
   

“ฝันดีนะพี่บีทส์” น้องหันมาส่งยิ้มให้ผม
   

“ฝันดีไบร์ท”
   

“เอ้อ...พี่บีทส์” ไบร์ทที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดหันมาเรียก
   

“ว่า” ผมหันไปเลิกคิ้ว
   

ไบร์ทยิ้มเจ้าเล่ห์ “คืนนี้อย่าทำอะไรเสียงดังนะ เกรงใจคนที่นอนห้องข้างๆ บ้าง” ผมอ้าปากพะงาบๆ ไอ้คนแซ็วหัวเราะก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดหนีหายไป ได้ยินเสียงขำจากไอ้คนต้นเหตุ
   

“ขำอะไรของพี่เนี่ย แล้วใครบอกว่าผมจะให้ค้าง มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย” ผมหันไปดุใส่ แทนที่จะช่วยกันแก้ตัว เอ้อ!
   

“ไม่กลับ ถ้ามึงจะนอนที่นี่กูก็จะนอนด้วย บอกแล้วไงว่าเราต้องคุยกัน” พี่ซันตอบเสียงเรียบ สายตาบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดไปพี่มันเอาจริง ผมแกล้งเชิ่ดหน้าเพราะไม่กล้าสบตาเขา
   

“ไม่ต้องดื้อ มึงอยากฟังคำอธิบายไม่ใช่เหรอ หรือว่าอยากโดนกูจับปล้ำก่อนถึงจะยอมฟัง” พี่ซันทำหน้ากวนตีนแล้วเอ่ยทีเล่นทีจริง ผมตาโตอ้าปากพะงาบๆ
   

นี่บ้านกูนะโว้ย ไอ้พี่ซันหน้าด้าน!
   

“เขินแล้วหนีขึ้นห้อง แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยนะ”
   

ขาที่กำลังก้าวขึ้นบันไดชะงักกึก ผมหันขวับไปมองคนแซ็วที่นั่งเอนตัวไปกับเก้าอี้พลางอมยิ้มมองผม
   

“ใครเขาจะไปอ่อยพี่กันเล่าโว๊ะ!”
   

พูดจบก็รีบสะบัดหน้าหนีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นทันที เออ! รู้แล้วว่าหล่อ แต่รอยยิ้มที่ผมเห็นที่ไรก็รู้สึกแพ้น่ะ อย่าทำบ่อยนักจะได้ไหมเล่า!


+++++++++++++++   


“ตื่นแต่เช้าเลยวะ” ผมหันไปตามเสียงทัก เห็นใบหน้าหล่อยืนพิงกรอบประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนเขาแค่ใช้มือสางๆ แล้วเดินออกมา
   

“ทำไมรีบลงมาล่ะครับ”
   

“คิดถึง”
   

หื้ม...
   

“อยากกอดเมีย”
   

“...”
   

“แต่เมียหาย”
   

ผมหลุดยิ้ม สองมือกำลังสาละวนอยู่กับกระทะใบพอดีมือ พี่ซันขยับเข้ามายืนซ้อนหลังผม ก่อนสองมือหนาจะค่อยๆ สอดมารอบเอว ใบหน้าอีกฝ่ายก็สอดมาวางที่ไหล่ผม
   

ผมดิ้นหนี “พี่...ผมทำกับข้าวอยู่นะ” พูดกับคนหน้าด้าน เหมือนพูดกับกำแพงห้อง ไม่ถอยไม่พอ ยังชะโงกหน้ามามองอีก
   

“แม่กับน้องมึงล่ะ”
   

“ออกไปแล้วครับทั้งคู่” ผมหันไปตอบ
   

เมื่อเช้าตอนลงมาเห็นโน๊ตติดไว้ที่ตู้เย็นเลยเข้าครัวมาทำข้าวเช้าง่ายๆ สำหรับเราสองคน มันไม่ยากนะครับ ผมทำกินบ่อยๆ
   

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่ ให้กูช่วยมั้ย”
   

ผมส่ายหัว แค่พี่ช่วยยืนอยู่เฉยๆ ผมก็ดีใจแล้วเหอะ
   

“ข้าวห่อไข่ กินได้มั้ย”
   

พี่ซันพยักหน้ารับ
   

ฟอด~
   

“งั้นกูไปอาบน้ำรอ เดี๋ยวมาช่วย” พี่ซันยื่นหน้ามากดจูบที่แก้มผมหนักๆ แล้วเดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังหนาที่เดินออกจากครัวไป
   

เมื่อคืน...พี่ซันยอมเปิดปากบอกทุกเรื่องที่ผมสงสัยและเขาสามารถตอบได้ แลกกับการนั่งให้ไอ้พี่บ้านั่นกอด แล้วคิดว่าคนอย่างที่ซันจะนั่งพูดเฉยๆ ไหมครับ กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง เปลืองตัวจริงๆ
   

พอได้หันหน้าคุยกัน สิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจผมก็ได้รับการปลดปล่อย มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่พี่มันพูดคือ ‘ถ้าปล่อยให้ผมกลับมานอนบ้าน ผมคงนอนร้องไห้คนเดียวในห้อง’ พี่ซันก็พูดถูกนะครับ มีหลายอย่างที่ผมอาจจะคิดไปเอง แล้วเอามาบั่นทอนกำลังใจ ทำให้ความสัมพันธ์ของเราย่ำแย่
   

เขาเลยขอคำสัญญาจากผม
   

‘ตราบใดที่เรายังมีโอกาสที่จะคุยกัน ก็ต้องหันหน้ามาคุยกัน’
   

ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ในแบบของเราอาจจะไม่ยั่งยืนนัก แต่ผมก็อยากจะเก็บเกี่ยวทุกช่วงเวลาแห่งความสุขของเราไว้ให้นานที่สุดเพราะเขาคือคนที่ผมรัก
   

++++++++++++++++


“หิวมั้ย” ผมหันไปถามคนข้างๆ พลางกัดแซนวิชในมือ พี่ซันหันมาส่ายหัว
   

เมื่อเช้าผมตื่นสายครับเลยทำแซนวิชใส่กล่องมากินรองท้องบนรถ วันนี้ซวยแต่เช้า ใกล้ถึงมหาวิทยาลัยอยู่แล้วแต่ดันมาเจอรถติด อาจเพราะเมื่อคืนฝนตกหนักทำให้รถยิ่งติดหนักเข้าไปอีก
   

มิน่า...ตาขวากระตุกยิกๆ
   

“เมื่อคืนพี่นอนดึกอีกแล้วใช่มั้ย” ผมชวนคุย
   

พี่ซันทำท่าหาว พลางพยักหน้ารับเนือยๆ
   

“แค่ทบทวนเอกสารโปรเจ็คนิดหน่อย มันเยอะเกินกว่าจะอ่านทำความเข้าใจได้แค่รอบสองรอบ” เจ้าของใบหน้าคมหันมาตอบ ผมยู่ปากพยักหน้ารับ เพราะเมื่อคืนโดนพี่มันไล่ให้นอนก่อน เลยไม่รู้ว่าดึกที่ว่าน่ะ กี่โมง
   

หลังจากสอบเสร็จผมเองก็ยุ่งๆ อยู่กับงานประจำคณะ ถึงแม้พวกผมจะยังไม่มีหน้าที่อะไรมากเหมือนพวกพี่ๆ ปีสูงเขา แต่ปีหนึ่งก็ต้องตามไปช่วยพวกพี่ๆ ตามที่แต่ละคนจะได้รับมอบหมาย ผมกับอิพิงค์ได้อยู่ฝ่ายเสบียงครับ สบายท้องไปหลายวัน ฮ่าๆ
   

งานประจำคณะปีนี้ เห็นพี่ๆ เขาพูดกันว่ามาในคอนเซ็ปต์ ‘เด็กบัญชียุคใหม่ไม่ป้า’ แค่คอนเซ็ปต์ก็น่าสนใจแล้วครับ นำเสนอผลงานโดยลุงอ้นแอนด์เดอะแก๊ง ลุงรหัสและบรรดาเพื่อนสนิทของแก ไม่อยากบอกเลยครับว่าแค่ได้ยินก็รู้สึกได้ถึงความแซ่บ
   

พรีเซนเตอร์งานนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่รหัสของผมเองครับ
   

“พี่ส่งผมแค่หน้าม.ก็ได้นะ” ผมเอ่ยบอกคนข้างตัว พลางใช้หลอดเจาะกล่องนมดูดเหมือนทุกวัน
   

“ฝนยังตกอยู่เดี๋ยวไม่สบาย ให้กูส่งที่เดิมนั่นแหละ ไม่มีคนเห็นหรอก ไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถกู นอกจากพวกไอ้สอง” จริงอย่างที่พี่มันบอกแหละครับ คันนี้เป็นรถรุ่นฮอนด้าแจ๊สที่พี่ซันยืมมาจากพี่หมอ พี่ซันบอกว่าพี่หมอให้ยืมมาขับเพื่อรับส่งผมจะได้ไม่มีคนสงสัย
   

ตอนแรกที่ผมได้ยินว่าพี่มันจะซื้อคันใหม่ไม่ให้ใครรู้ ผมนี่ห้ามหัวชนฝาเลยครับ เสียดายเงิน แต่พี่ซันก็บอกนะว่าเงินก็เงินที่พี่มันทำงานได้มาเอง แต่ผมก็ยังเสียดายอยู่ดีอ่ะ
   

“คราวหลังผมจะขอมาเองบ้างนะ ไม่อยากให้เพื่อนสงสัย”
   

พี่ซันหันมามองหน้าผม
   

“อยากให้กูบอกเพื่อนมึงมั้ย”
   

นมแทบพุ่ง ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
   

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ” เอ่ยปฏิเสธแล้วก้มหน้าดูดนมต่อจนหมด พี่ซันถอนหายใจปลงๆ เพราะผมเอาแต่ปฏิเสธเวลาพี่มันถามถึงเรื่องนี้
   

จะให้พี่ซันไปบอกไอ้นัทว่าอะไรเหรอครับ ‘กูกับเพื่อนมึงคบกัน’ หรือว่า ‘กูชอบเพื่อนมึง’ ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น ยิ่งเป็นไอ้นัทด้วยแล้ว ผมไม่แน่ใจเลยว่ามันจะรับได้ ผมกลัวว่าสักวัน ถ้ามันรู้ ผมอาจจะเสียเพื่อนดีๆ แบบมัน
   

ผมคงจะโลภมากไปจริงๆ
   

“พี่อย่าลืมกินแซนวิชด้วยนะครับ” ผมหันไปบอกพี่ซัน พลางปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว หยิบกระเป๋ามาวางไว้บนตัก
   

“ถ้าจะกลับดึกโทรบอกนะ กูจะมารอรับที่เดิม” พี่ซันสั่ง ผมหันไปยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ที่เดิมของพี่มันคือห้างใกล้ๆ มหาลัยนี่แหละครับ พี่มันจะให้ผมไปรอที่นั่นแล้ววนรถไปรับ ถ้าดึกมากห้างปิดพี่มันจะขับรถมาจอดรอที่หน้าห้างให้ผมนั่งแท็กซี่ไปเจอ ยกเว้นวันไหนอิพิงค์หรือไอ้นัทไปส่งพี่มันถึงจะยอมนอนรออยู่ที่ห้อง
   

“รู้แล้วค๊าบ” ผมรับคำแล้วก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมกางร่มเพราะฝนยังตกปรอยๆ พี่ซันส่ายหัวขำๆ
   

“ดื้อ” ผมหันขวับ พี่ซันกวักมือเรียก ผมส่ายหัวแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างรถฝั่งคนขับ พี่ซันลดกระจกลง
   

พี่ซันยื่นมือมาเขี่ยแก้มผมแล้วใช้นิ้วโป้งคลึงโหนกแก้มผมเบาๆ ผมอมยิ้ม
   

เป๊าะ
   

“โอ๊ย” ผมอุทาน พลางยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเอง ตรงรอยที่ไอ้คนนิสัยไม่ดีดีดนิ้วประทุษร้ายหน้าผากผม
   

“หึ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” พี่ซันส่งยิ้มพอใจ โรคจิตจริงๆ
   

“ไปไหนก็ไปเลยไม่รักแล้ว” ผมแสร้งทำหน้างอนแล้วถอยออกจากตัวรถ
   

“บีทส์”
   

ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ไม่ได้เปล่งออกมาจากปากของคนที่นั่งอยู่ในรถ พี่ซันมองหน้าผมพลางขมวดคิ้วแค่เสี้ยววินาที เขาลดสายตามองบุคคลที่เรียกผมผ่านกระจกหลัง ก่อนใบหน้าหล่อจะปรับเป็นเรียบเฉย ผมลอบกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆ หันไปตามเสียงเรียก
   

ผมพยายามตั้งสติ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนสนิท
   

“น...นัท มาทำอะไรแต่เช้าวะ”
   

“ใครมาส่ง” มันถาม พลางเดินเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งถือร่ม
   

“มากับพี่ที่คอนโด พอดีฝนตก พี่เขาเลยอาสาให้ติดรถมาด้วย” ผมพยายามฉีกยิ้ม รีบสาวเท้าเข้าไปหาเพื่อน เพื่อไม่ให้มันเดินเข้ามาถึงตัว พยายามคิดว่ามันอาจจะแค่เดินเข้ามาทักก็ได้
   

ใจเย็นๆ อย่าแสดงพิรุธอะไรให้มันจับได้เด็ดขาดนะไอ้บีทส์
   

“เหรอ...” ไอ้นัทเลิกคิ้ว ก่อนจะถามต่อ “กูรู้จักรึเปล่า”
   

ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ปากสั่น
   

“ไม่ต้องสนใจหรอกมึง ว่าแต่มึงไม่ไปส่งมีนเหรอทำไมมาเช้าได้” ผมเบี่ยงประเด็น ไอ้นัทไม่เคยมามหาลัยโดยที่ไม่มีมีน หรือถ้าไม่...มันก็จะไปส่งมีน แล้วกลับมาอีกทีในช่วงก่อนเข้าเรียน
   

ไอ้นัทยิ้มเยาะ “วันนี้กูให้มีนมาเรียนเอง ส่วนกู...มาจับโจร”
   

ผมสะอึกกับคำตอบของเพื่อน แต่พยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงพูดเล่น


“โจรอะไรของมึง แถวนี้มันมีที่ไหนล่ะ เข้าตึกเหอะปะ ฝนยิ่งตกๆ อยู่ เดี๋ยวไม่สบาย” ผมแกล้งบ่นก่อนจะเดินไปลากแขนเพื่อนแล้วพาเดินไปยังตึกเรียน แต่ไอ้นัทขืนตัวไว้


"กูบอกแล้วไงว่ามาจับโจร” ไอ้นัทพูดเสียงเข้มอย่างข่มกลั้นอารมณ์เหมือนกำลังโกรธอะไรอยู่ ผมลอบกลืนน้ำลาย แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ


“มึงเห็นมั้ยเนี่ยว่าฝนมันตก ถ้าไม่สบายขึ้นมาอย่ามาโทษ...เฮ้ยไอ้นัท” ผมร้องห้าม เมื่อมันเดินผ่านผมไปยังรถพี่ซัน ที่ยังจอดสนิทอยู่ริมฟุตบาท
   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   

ไอ้นัทเดินไปเคาะประตูรถพี่ซัน ผมทำหน้าเหวอเลิ่กลั่ก ไม่อยากให้มันเจอว่าใครเป็นคนมาส่ง ผมไม่อยากให้มันรู้ ผมกลัว กลัวว่าเพื่อนจะสงสัย
   

ผม...ผมจะทำยังไงดี
   

“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ก็เปิด”
   

ผมสอดตัวเข้าไปยืนบังประตูรถพี่ซันไว้ เพื่อไม่ให้พี่ซันเปิดกระจก
   

“กูว่าเราเข้าตึกกันเหอะ”
   

“ทำไม เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูแล้วเหรอ” ไอ้นัทถามเสียงเหวี่ยง
   

ผมอึกอัก “ไม่ใช่แบบนั้น”
   

ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากบอก กูไม่ได้อยากมีความลับ แต่มันยังบอกไม่ได้


แกรก~
   

ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูจากด้านในรถ


พี่ซัน...อย่านะ
   

ร่างสูงของพี่ซันค่อยๆ ก้าวลงจากรถมายืนข้างผม ไอ้นัทเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นพี่ซัน ผมเม้มปากพยายามรวบรวมสติก่อนจะค่อยๆ ขยับออกห่างพี่ซัน ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างตัว ผมเม้มปากอย่างรู้สึกผิด
   

พี่ซันก้าวถอยห่างออกจากตัวผม แล้วขยับไปยืนพิงรถโดยไม่มีร่มบังฝน ผมเลยขยับเข้าไปยืนกางร่มเผื่อเขา แต่เขาดันร่มออก ให้บังฝนให้ผมคนเดียว ก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้นัทประมาณว่าพอใจมึงหรือยัง
   

“พี่คิดจะทำอะไร” ไอ้นัทถาม
   

“แล้วกูทำอะไรล่ะ”
   

พี่ซันถามกลับหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับอาการของเพื่อนผม
   

“พี่ซันเขาอยู่คอนโดเดียวกับกู เขาบังเอิญเจอกู เลยให้ติดรถมาด้วย” ผมหันไปอธิบายให้เพื่อนฟังแล้วปั้นยิ้ม พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่
   

“หึ พี่เหรอ...แค่พี่เหรอวะบีทส์” ไอ้นัทถามผมด้วยใบหน้าเรียบตึง
   

ผมค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วเหล่มองพี่ซัน เมื่อกี้ไอ้นัทคงเห็น แต่...ผมยังอยากเข้าข้างตัวเอง อาจจะไม่ใช่แบบที่ผมคิด ไอ้นัทอาจจะแค่แกล้งก็ได้
   

“ใช่...พี่ไง จะเป็นอย่างอื่นได้ไงล่ะ ไปเหอะฝนตก กูหนาว” ผมพยักหน้าขึ้นลง พยายามลากไอ้นัทเข้าตึก
   

“ขอบคุณนะครับพี่ที่มาส่ง ไว้ผมจะซื้อขนมไปฝากนะ” ผมหันไปยกมือไหว้พี่ซันลวกๆ พลางส่งสายตาบอกให้เขายอมกลับไปก่อน พี่ซันทำหน้าหงุดหงิด เขายกมือขึ้นมาเสยผม ก่อนจะเปิดประตูรถ
   

“เดี๋ยว!” ไอ้นัทร้องเรียกพี่ซันเสียงเข้ม
   

คนถูกเรียกหันกลับมาเลิกคิ้ว
   

“อย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วจะไม่มีใครรู้ ถ้าพี่หยุดตั้งแต่ตอนนี้ นัทจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น กลับไปอยู่ในที่ของพี่ดีกว่า ทำแบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไป” ไอ้นัทโพล่งออกไปด้วยเสียงจริงจัง
   

อ่า ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเลยครับ
   

“อย่ายุ่งจะดีกว่า”
   

พี่ซันเอ่ยเตือนสั้นๆ พลางเลื่อนสายตามาทางผม สีหน้าอ่อนลง “อย่าปิดเครื่อง” พูดจบก็หันหลังกลับไปก้าวขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์เคลื่อนรถออกไป
   

“มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่บีทส์”
   

ผมเงียบ
   

“นั่นแฟนพี่รหัสมึงนะเว่ย มึงทำแบบนี้ได้ยังไงวะ ตอบดิ เงียบทำไม”
   

“กู...” ผมพูดไม่ออก
   

“กูไม่เข้าใจ มึงทำแบบนี้ได้ไง มึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไงบีทส์” ไอ้นัททำหน้าผิดหวัง พลางส่ายหน้าเหมือนรับไม่ได้เลยกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ
   

“...”
   

ไอ้นัทเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้แล้ว “มึงไม่เห็นว่ากูเป็นเพื่อนมึงแล้วใช่มั้ย” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน
   

“หรือว่ามึงเห็นว่ากูเป็นแค่เพื่อนโง่ๆ ที่หลับหูหลับตาไม่รับรู้การกระทำของมึง มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนประเภทเพื่อนทำเลวก็บอกว่าทำดีเหรอวะ บอกตรงๆ กูแม่งช็อคว่ะ” ไอ้นัทพูดต่อด้วยเสียงขื่นๆ
   

“รู้ป๊ะ กูสงสัยพฤติกรรมของมึงมาสักพักแล้ว ก่อนหน้านี้มึงไม่ใช่คนมาเรียนเช้า มึงดูไม่เหมือนเดิมและกูก็อยากรู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้มึงไม่เหมือนเดิม” มันเว้นจังหวะ “แล้วกูก็ได้คำตอบ...คำตอบที่ชัดเจนที่สุดในวันนี้”
   

“กะ...กูอธิบายได้” ผมพยายามเปล่งเสียง
   

ให้กูอธิบายก่อนสิ อย่าเพิ่งเกลียดกู ขอร้องล่ะ
   

“พอเหอะ กูไม่อยากฟัง” ไอ้นัทตัดบท แล้วหันหลังเดินจากไป

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2018 11:43:54 โดย เบบี้เยลโล่ »

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]



ครืด...ครืด…
   

สายเรียกเข้าส่งสัญญาณว่ามีคนกำลังโทรเข้ามาสั่นไม่หยุด ผมยกมือถือขึ้นมาดูก่อนจะวางลงที่เดิม แล้วซุกหน้ากับฝ่ามือ
   

‘My Son’
   

ชื่อของคนที่ผมรัก ชื่อที่ผมใช้คำออกเสียงที่คล้ายกันมาตั้งเป็นชื่อประจำตัวของเขา ผมรู้ว่าพี่ซันคงเป็นห่วง แต่ผม...ยังไม่อยากรับสายตอนนี้
   

ติ๊งๆ
   

เสียงแอพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้นมารัวๆ จนอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมากดดูข้อความมากมายที่ถูกส่งเข้ามาไม่หยุด ข้อความเหล่านั้นสื่อถึงอารมณ์ของคนส่งได้เป็นอย่างดี
   

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
   

“รับสายกูสักที”
   

“เหี้ยเอ้ย นี่มึงอยู่ที่ไหนกันแน่วะ!”
    

“มึงอยากให้กูโผล่ไปหาที่คณะใช่มั้ย?! ”


“บีทส์ขอร้องล่ะ... ”



...ขอโทษนะครับพี่ซัน


“โอ๊ยอิบีทส์ ยอมคุยกับกูแล้วเหรอ!!” เสียงปลายสายกดรับ พร้อมส่งเสียงแว้ดมาตามสาย ผมโทรหาอิพิงค์


“อื้ม…”


“กูอยู่คณะแล้ว นี่มึงอยู่ที่ไหน บอกมา...เดี๋ยวกูเดินไปหา ผัวมึงแทบจะแดกหัวกูอยู่แล้ว โทรจิกกูไม่หยุดเลยค่า” อิพิงค์บ่น ผมยิ้มเนือย ดูออกมันแกล้งบ่นกลบเกลื่อนความร้อนใจ


“กูอยู่ในห้องน้ำตึก...”


แกรก~


นั่งรออิพิงค์ได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาตามด้วยเสียงเรียกคุ้นหู “บีทส์...”


ผมปาดน้ำตาลวกๆ “อยู่นี่”


“เรื่องมันเป็นมายังไงวะ เล่าให้กูฟังดิ๊” หลังจากอิพิงค์เดินไปหาผม มันก็ลากผมออกมานั่งที่ใต้ตึกคณะ ฝนยังไม่หยุดตก มันจึงเลือกมุมที่ไม่ค่อยมีคนนั่ง


“ไอ้นัท...มันมาดักรอกู”


อิพิงค์มองหน้าผม


“เจอกูกับพี่ซัน”


“อ่อ กูเข้าใจแล้ว มึงไม่ต้องเล่า” อิพิงค์ทำหน้าถึงบางอ้อ ไม่ต้องพูดอะไรมากมันก็พอจะเดาออกว่าไอ้นัทคงรู้เรื่องแล้ว มันยื่นมือมาตบไหล่ผม


“บอกกูได้มั้ย ว่าตอนนี้มึงกำลังคิดอะไรอยู่” อิพิงค์เอ่ยถามเมื่อผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง


ผมขมวดคิ้ว “...”


“มันไม่แปลกหรอกที่มึงจะรู้สึกแย่ แล้วมันก็ไม่แปลกถ้าไอ้นัทมันจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นเหมือนกัน แต่ที่กูอยากบอกมึงก็คือ อย่าลืม...ว่ากว่ามึงกับพี่ซันจะผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องเจออะไรมาบ้าง มันไม่ง่ายเลยนะ”


ผมเงยหน้าขึ้นถามมันเสียงอ่อน “กูจะทำยังไงดีวะ”


“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”


ผมส่ายหัวเมื่ออิพิงค์ถามถึงไอ้นัท “กูไม่รู้”


“กูว่าให้เวลามันสักพักเถอะ มันคงกำลังช็อคหรืออาจจะแบบสับสน ตั้งตัวไม่ทัน คงไม่มีอะไรหรอก มึงอย่าเพิ่งคิดมาก” อิพิงค์พยายามปลอบ ผมซุกหน้าลงแนบกับกระเป๋าเป้ ใช่...ไอ้นัทมันกำลังช็อค ดูจากสีหน้าของมันก็รู้ ที่สำคัญ ‘มันรับไม่ได้’ กับสิ่งที่เกิดขึ้น


“ค่า...หยุ๊ดดๆๆๆ หยุดก่อนค่ะพี่สุดหล่อ” เสียงอิพิงค์เบรกคนในสาย


ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อโดนอิพิงค์สะกิดแขน


“พี่ซัน”


อิพิงค์ขยับปากบอกสั้นๆ ผมทำหน้าลำบากใจ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของพี่ซัน แต่ว่าผม...


“รับเหอะมึง พี่เขาเป็นห่วงมึงนะ” อิพิงค์กล่อม


“ครับ” ผมรับโทรศัพท์จากอิพิงค์มาแนบหูแล้วเปล่งเสียงออกไป


ปลายสายเงียบ เราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กัน


“โอเคมั้ย” พี่ซันเปิดปากถามก่อนด้วยความเป็นห่วง ไม่มีการดุ ไม่มีการต่อว่าใดๆ จากเขา แค่คำพูดสั้นๆ ของพี่ซัน กลับส่งผลต่อความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้


“ผม...”


ผมกำลังสับสน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมกับพี่ซันไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเรายังเป็นแค่คนรู้จักกัน ไอ้นัทก็คงไม่โกรธผมมากขนาดนี้ พี่ซันเองก็คงไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาของผม


ผมกำลังมีคำถามในใจว่าเป็นแบบนี้...มันดีแล้วใช่ไหม


“กำลังเสียใจที่เลือกทางนี้ใช่มั้ย”




ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เลือกไม่ถูกเลย นั่นก็เพื่อน นี่ก็หลัว  :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอ้าๆ นี่ก็เสียใจนะ ที่ไม่มีตอนใหม่

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ตามอ่านตอนหลังๆจนทันแล้ว
เอาใจช่วยนะ พี่ซัน+น้องบีทส์

สองคนช่วยกันรับมือให้ได้กับเรื่องแบบนี้
แม้มันจะหนักหนาสาหัสมากกกกก

ใจนะ..คนแต่ง

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เอาใจช่วยบีสท์ ขอให้เพื่อนรับฟังและเข้าใจที :กอด1:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 34 :: ถึงเวลาก็ต้องชดใช้


[บีทส์]
    

“พร้อมนะ”


อิพิงค์หันมาถาม ขณะที่เรายืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนประจำ ซึ่งวันนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องประชุมเรื่องงานประจำคณะที่กำลังจะถึงนี้


หลังจากได้คุยกับพี่ซันและได้รับคำเทศนาจากอิพิงค์ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย พี่ซันบอกผมว่า ‘เวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น’ เราจะอยู่ข้างๆ กันจนกว่าจะถึงวันนั้น


“เออ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะวะ” ผมหันไปยักคิ้วกวนให้อิพิงค์ มันเบ๋ปากใส่


“ทีแบบนี้ทำเก่งนะคะอิบีทส์ เก่งให้ตลอดนะมึง” อิพิงค์ด่า ผมหัวเราะก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด เดินตามอิพิงค์เข้าห้องเรียน
เพื่อนๆ ในคลาสร้องทักทายตามปกติ ผมหันไปกวนตีนคนนั้นที คนนี้ทีตามนิสัยก่อนสายตาจะหยุดที่ร่างเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างไอ้นัท มันมองผมด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้มลงจรดปากกาลงในสมุดโน้ตของตัวเอง


ผมหันไปหาอิพิงค์ มันหันมายิ้มอย่างให้กำลังใจ ผมยิ้มตอบ ก่อนจะก้าวตามมันไปจนถึงโต๊ะที่ว่างอยู่ข้างๆ ไอ้นัท แน่นอนว่าไอ้นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมเพราะโต๊ะประจำที่เรานั่งผมจะเป็นคนนั่งคั่นกลางระหว่างมันกับอิพิงค์อยู่แล้ว


“...”


“เอ้า...นั่งสิ” เสียงอิพิงค์เร่ง ส่วนตัวมันนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากผม ผมเม้มปากก่อนจะตัดใจทิ้งตัวลงนั่ง


พรึ่บ!


“เฮ้ยนัท” เสียงอิพิงค์เรียกตามไอ้นัทที่รวบเอาชีทกับกระเป๋าลุกขึ้นทันทีที่ผมนั่งลง ผมเม้มปาก แล้วเลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งเก้าอี้ที่ว่างลง


“ไม่เป็นไรนะมึง” อิพิงค์เอ่ยปลอบ ผมฝืนยิ้มแล้วกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก้มหน้าแกล้งจดอะไรลงบนสมุดเมื่ออาจารย์เข้าสอน แต่คนข้างๆ ผมอย่างอิพิงค์คงเห็นว่าปากกาที่จรดลงไปในกระดาษนั้นยิ่งกว่าลายแทงมหาสมบัติ เพราะมันอ่านไม่ออกเลยสักคำ
จวบจนเลิกคลาส อิพิงค์เดินแยกไปคุยกับไอ้นัท ผมไม่รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันเพราะอิพิงค์เดินกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจแล้วชวนผมกลับ ส่วนไอ้นัทก็เดินแยกออกไปเลยเหมือนกัน


ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องที่คุ้นตา ไฟในห้องปิดสนิท ไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่ร่วมห้องอีกคนยังอยู่ในห้องหรือเปล่า หรือว่าเขาอาจจะกลับไปที่ห้องแล้วเพราะเห็นว่าผมไม่กลับสักที


เอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาตรงฝาผนัง ตอนนี้ตีหนึ่งแล้วครับ ถ้าถามว่าทำไมผมถึงกลับดึกขนาดนี้ได้โดยที่พี่ซันไม่โวยวาย นั่นก็เพราะเราคุยกันแล้วและพี่ซันก็อนุญาต เขาให้เวลาผมได้อยู่กับตัวเอง


“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ผมเบนสายตาไปมองที่โซฟาเห็นร่างสูงของพี่ซันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าหล่อระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม


“...”


“ดีขึ้นรึยัง” พี่ซันเอ่ยถามต่อ แล้วหยุดยืนตรงหน้าผม ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากตัว ผมรู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่เครียด คนตรงหน้าเองก็คงกังวล และความกังวลของพี่ซันก็เกิดจากตัวผมนั่นแหละ
   

จุ๊บ


ใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้ามาประทับริมฝีปากลงบนมุมปากของผมอย่างเชื่องช้า ก่อนที่มือหนาจะยื่นมากุมมือผมข้างหนึ่งไว้ แล้วกอบกุมไว้ด้วยสองมือหนา


พี่ซันลูบหลังมือผมเบาๆ
   

“ไม่ตอบกูปล้ำ”
   

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อ
   

ผมหลุดยิ้ม “รอผมเหรอ”
   

“ไม่รอมึงจะให้กูไปรอใคร” พี่ซันตอบกลับในทันที สายตาคมส่อแววจริงจังมากกว่าคำพูด ใบหน้าหล่อเคร่งขรึมลงเหมือนกำลังมีเรื่องมากวนใจ ผมบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมของมือหนาแล้วเลื่อนมือไล่ไปตามโครงหน้าหล่อ พี่ซันยืนนิ่ง
   

“พี่คิดว่าถ้าเราห่างกันสักพัก ทุกอย่างมันจะดีขึ้นมั้ย” ผมเปิดปากพูด พี่ซันยิ้ม ก่อนจะเอียงแก้มแนบไปกับฝ่ามือของผม
   

“ไม่”
   

คำตอบจริงจังทั้งเสียงและสายตา จนคนถามอย่างผมปิดปากสนิท
   

“แล้วนี่ไปไหนมา” พี่ซันเปลี่ยนเรื่อง
   

“ไปนั่งเฝ้าอิพิงค์แหกปากร้องคาราโอเกะครับ ปวดหูไปหมด” ผมตอบขำๆ แล้วปัดคำถามเมื่อกี้ออกจากสมอง
   

หลังจากประชุมเสร็จอิพิงค์ก็ชวนผมไปร้องคาราโอเกะเพื่อปลดปล่อย มันบอกว่าถ้าได้แหกปากผมอาจจะดีขึ้น แต่รู้สึกจะมีแค่มันที่ได้แหกปาก แถมยังมีไอ้ตี๋ติดสอยห้อยตามไปกวนประสาทด้วยอีกต่างหาก
   

“ก็ดีแล้ว”
   

“ทำไมตัวรุมๆ ล่ะครับ” ผมถามอย่างแปลกใจเมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิที่ผิดปกติของคนตรงหน้า พี่ซันยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัว
   

“ปวดหัวนิดหน่อยแต่กินยาไปแล้ว”
   

“ก่อนกินยาพี่กินข้าวไปแล้วใช่มั้ยครับ ไม่ใช่กินแต่ยาเลยนะ กระเพาะพังแย่” ผมบ่น พลางเลื่อนมือลงมาที่ลำคอพี่ซันแล้วใช้หลังมือวัดอุณหภูมิ
   

“เรียบร้อย” เขาตอบมาสั้นๆ
   

“ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายพี่ก็ต้องพักผ่อนนะ ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ผมก็เป็นห่วงพี่เหมือนกันนะ” ใบหน้าหล่อพยักหน้ารับเนือยๆ ผมเลิกคิ้วเมื่อสองมือของพี่ซันเลื่อนขึ้นมาล็อกหน้าผมไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะโน้มตัวลงมากดจูบที่ริมฝีปากผมช้าๆ แล้วกดแช่ไว้
   

“เติมพลัง”
   

พี่ซันอธิบายการกระทำสั้นๆ ไม่รู้เติมให้ผมหรือเติมให้ตัวเองกันแน่
   

“บ้า…ใครเขาอยากได้กันเล่า พี่อ่ะไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำแล้วจะตามไป” ผมบอกปัดเขินๆ ก่อนจะดันหลังพี่ซันไปทางห้องนอน
   

“เดี๋ยวกูนอนที่โซฟานี่แหละ กลัวมึงติดไข้” เขาหันมาบอก ผมส่ายหัว
   

“นอนในห้องนั่นแหละครับ ผมแข็งแรงไม่ติดไข้ง่ายๆ หรอก” ผมยกแขนขึ้นมาเรียกกล้ามโชว์พี่ซัน ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ผมทำปากยู่ แบบนี้ดูถูกกันชัดๆ เลย
   

“หรือพี่จะกลับไปนอนที่ห้องมั้ย” ผมยื่นข้อเสนอ
   

“มึงจะไปด้วยมั้ยล่ะ” พี่ซันถามกลับแทบจะทันที ผมส่ายหัวอยากนอนที่ห้องตัวเองมากกว่า
   

“งั้นก็ไม่ไป” เป็นอันว่าตกลงตามนี้จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้…
   

“พี่ซัน” ผมเรียกพี่ซันเบาๆ แต่คนป่วยนอนนิ่งไม่ขยับ ผมเลยตัดสินใจวางกะลังมังใบเล็กลงข้างเตียงแล้วขยับไปนั่งข้างๆ ร่างสูงที่นอนอยู่ พลางยื่นมือไปแตะที่หน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดอุณภูมิ
   

“ยังร้อนอยู่เลย” ผมดึงมือออกหน้าหน้าผากพี่ซัน ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสที่ฝ่ามือหนารับรู้อุณภูมิความร้อนที่สูงกว่า ผมบิดผ้าขนหนูที่อยู่ในกะละมังหมาดๆ มาเช็ดที่ฝ่ามือหนาสองข้างหวังให้อุณภูมิอีกคนลดลงบ้าง ถึงจะไม่รู้สึกตัวแต่คงนอนไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก
   

“แม่...”
   

ผมชะงัก เมื่อพี่ซันบ่นพึมพำในลำคอ ผมค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้พี่ซันแล้วเอียงหูเพื่อรอฟังคำพูด เผื่อว่าพี่ซันจะต้องการอะไร
   

“พ่ออย่า...” ผมขมวดคิ้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมต้องทำสีหน้าเจ็บปวดขนาดนั้นด้วย ผมสลัดความคิดออกจากหัวก่อนลุกนั่งตัวตรงเอาผ้าไปชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ อีกครั้งนำมาซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามไรผมและใบหน้าของพี่ซันออก ท่าทางจะปลุกให้ลุกขึ้นมากินยาลำบากแล้วล่ะครับ
   

หลังจากเช็ดตัวให้พี่ซันเสร็จ ก็นั่งพิงหัวเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอยู่ข้างๆ ร่างสูงที่นอนหลับตาพริ้ม
   

“ฝันดีนะพี่บีทส์”
   

ผมอมยิ้ม กดส่งสติ๊กเกอร์ไลน์กลับไปให้ไบร์ทแล้วกดออกจากห้องแชท ก่อนสายตาจะเลื่อนไปเห็นห้องแชทรวมระหว่างผม ไอ้นัทและอิพิงค์ ปกติกรุ๊ปแชทจะไม่เคยเงียบขนาดนี้เนื่องจากเราสามคนต้องทำงานด้วยกันตลอดทำให้มีเรื่องให้คุยกันเสมอ แต่วันนี้แชทกลับเงียบสนิท ผมเลยตัดสินใจกดเข้าแชทอิพิงค์แทน
   

“ทำอะไรอยู่วะ”

   

คู่สนทนาไม่มีทีท่าว่าจะเปิดอ่าน ป่านนี้คงแดนซ์อยู่ที่ไหนสักแห่งล่ะมั้ง เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
   

ครืด...ครืด…
   

ผมเลิกคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเมื่อมีสัญลักษณ์กล่องข้อความปรากฏขึ้นที่หน้าจอ สงสัยจะเป็นพวกคอลลิ่งเมโลดี้ หรือไม่ก็พวกโฆษณาโปรโมชั่นที่ชอบส่งมาจากการสุ่มเบอร์
   

“หน้าด้าน”
   

ผมยืนนิ่ง จ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองด้วยมือสั่นๆ ก่อนจะวางมันลงที่เดิมแล้วนั่งกอดเข่ามองมันอยู่อย่างนั้น ข้อความนั้น...อาจจะส่งมาผิดเบอร์หรือไม่ก็คงมีใครสักคนอยากแกล้งผมเล่น
   

ใช่ๆ ต้องเป็นแบบนั้น ผมพร่ำบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา
   

หลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยครับ...


“ทำอะไรอยู่”
   

เสียงเรียบดังขึ้นใกล้ๆ ตามมาด้วยอ้อมกอดที่คุ้นเคย พี่ซันกอดผมจากทางด้านหลังก่อนจะเอาคางวางบนไหล่ผม ผมหันไปส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปแกะถุงข้าวต้มกับโจ๊กใส่ชามต่อ
   

“ผมลงไปซื้อมาเมื่อกี้”


เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ เลยถือโอกาสลงไปหามื้อเช้าสำหรับเราทั้งสองคนตั้งแต่ไก่โห่


“คิดอะไรอยู่ ดูมึงใจลอยนะ” พี่ซันถามต่อ ผมห่อไหล่เมื่อมืออีกคนอยู่ไม่สุข เริ่มเลื้อยเข้ามาในเสื้อของผมแล้ว ไอ้พี่นี่...


“เช้านี้มีไข้มั้ยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วตีมือพี่ซัน ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนข้างหลังเบาๆ
   

“ไม่มีแล้วล่ะ”
   

“แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อให้เรียบร้อยล่ะครับ พี่เพิ่งหายไข้นะ” ผมวางมือหันไปเผชิญหน้ากับพี่ซัน ใบหน้าหล่ออมยิ้ม มือหนาวางบนสะโพกผมทั้งสองข้าง
   

“ขี้บ่นจริงๆ” ปากว่าแต่ยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่งเลย ผมย่นจมูกใส่
   

ครืด...ครืด…
   

“ของพี่อ่ะ” ผมหันไปพยักพเยิดหน้าให้พี่ซันเพราะโทรศัพท์ผมอยู่ในกางเกงครับเลยมั่นใจว่าของเขาแน่ๆ พี่ซันยอมปล่อยมือผมก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วนิดนึงก่อนจะหันมามองผมแล้วยกมือถือขึ้นส่งสัญญาณว่าจะไปคุยโทรศัพท์
   

“บีทส์” พี่ซันเรียก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
   

“มีเรื่องด่วนว่ะ กินไปก่อนเลยนะ” พี่ซันบอกพลางสวมเสื้อคลุมด้วยท่าทางรีบๆ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะมองตามอีกคนที่หยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ออกไปจากห้อง
   

สองมือที่กำลังแกะข้าวต้มหยุดชะงัก ผมมัดมันไว้เหมือนเดิมแล้วเก็บเข้าที่พร้อมกับถุงโจ๊กของตัวเองที่ยังไม่ได้แกะ
   

ผมไม่รู้สึกหิวเลย…
 



ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]



+++++++++++++++++
   

ผมลงจากรถเมล์สายประจำที่ใช้โดยสารมามหาลัย เดินทอดน่องเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ก่อนจะถอนหายใจทิ้งยาวๆ เมื่อคืนผมกับพี่ซันทะเลาะกันนิดหน่อยครับ เช้านี้ผมเลยหนีออกมาก่อน
   

‘พี่มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกผมล่ะ’
   

‘กูบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรกูจัดการได้’
   

‘ไม่มีแล้วทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ล่ะ’ ผมตะโกนถามเสียงดัง พี่ซันยกมือนวดขมับด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย


‘เมื่อวานมีคนบอกผมว่าพี่ไปกินข้าวกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้พี่จะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง?’
    

‘กูไปคุยเรื่องงาน’
   

‘...’


‘เชื่อใจกูบ้างสิ บอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร’

   

เฮ้อ ช่วงนี้ผมกับพี่ซันทะเลาะกันบ่อยมาก ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยขนาดนี้ หลังๆ พี่ซันยุ่งมากแถมยังกลับไปนอนที่บ้านบ่อยขึ้น ไปไหนไม่บอก นานๆ ถึงจะโทรหาผมทีด้วย
   

ก่อนหน้าโน่นผมบอกว่าอยากไปดูหนังพี่ซันก็ทำท่าอึกอักเหมือนไม่อยากไป ผมก็เลยประชดพี่มันด้วยการไปกับไอ้ตี๋ซะเลย ทำเอาพี่ซันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปหลายวัน อยากไม่สนใจผมดีนัก!
   

ณ ตึกคณะบริหารฯ
   

“อิบีทส์ไปซุ้มนั้นกันมั้ยมึงน่าสนุกอ่ะ” เสียงอิพิงค์เดินเข้ามาเรียกพลางดึงผมให้ลุกขึ้นยืน วันนี้เป็นงานประจำคณะของเราครับแต่ละคณะก็มีคอนเซ็ปต์แตกต่างกันไปแล้วแต่ว่ารุ่นพี่คนไหนจะเห็นว่าแซ่บที่สุด


ส่วนคอนเซ็ปต์คณะของผมยังจำกันได้ไหม ‘บัญชียุคใหม่ไม่ป้า’ ผมไปดูซุ้มมาแล้วครับเพราะเด็กปีหนึ่งต้องไปลงชื่อที่ซุ้มเอก ส่วนคนที่อยู่ประจำซุ้ม รุ่นพี่ก็คัดเลือกเอาจากคนที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาของเอกเราไปยืนประจำซุ้ม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีพี่รหัสของผมรวมอยู่ด้วย เสร็จงานนี้ก็ปิดเทอมแล้วล่ะ


“มึงจะพากูไปไหนเนี่ย” ผมโวยเมื่อโดนเพื่อนกึ่งลากกึ่งจูง แถมยังต้องคอยหลบเพราะกลัวจะเดินชนคนอื่นเขาอีก ถึงแม้ว่านี่จะเป็นงานประจำคณะแต่ก็เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมงานได้ครับ แถมยังเปิดให้เขาชมฟรีด้วย
   

“ซุ้มตลาดไงมึง มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย” อิพิงค์ตอบโดยไม่หันกลับมามองผม แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาลากผมไม่เลิก จะไปหาผู้ชายล่ะสิ รีบขนาดนี้
   

“นั่นไงกูว่าละ” ผมยืนมองเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่หน้าซุ้ม อิพิงค์กำลังยืนเกาะแขนไอ้ตี๋อยู่ในซุ้มไม่ห่าง
   

“เข้ามาสิบีทส์” ไอ้ตี๋เรียก
   

“หวัดดีเนม” ผมหันไปทักเนมที่ก้มๆ เงยๆ ย่างบาร์บีคิวอยู่หน้าเตา เจ้าตัวหันมายิ้มกว้างให้ผม วันนี้แต่งตัวน่ารักเชียวครับ มาในชุดพ่อครัวญี่ปุ่นมีผ้าพันหัวสีขาวพร้อมติดตราสัญลักษณ์ประจำร้าน ผมยกมือไหว้พี่ๆ ที่พอจะรู้จักกันบ้าง พี่รหัสไอ้ตี๋กับเนมน่ะครับ
   

“ปีหนึ่งก็ให้ขายของแล้วเหรอ” ผมหันไปถามไอ้ตี๋
   

“จริงๆ ก็เปล่า แต่พี่รหัสเราบังคับ” ผมหัวเราะ เมื่อไอ้ตี๋แกล้งพูดเสียงดังแขวะพี่มัน ก่อนจะร้องโอดโอยเมื่อพี่มันหันมาเอาขวดเคาะหัว สมน้ำหน้า!
   

“กินอะไรมั้ยเราเลี้ยง” ไอ้ตี๋หันมาถามหลังจากที่ขอโทษขอโพยพี่รหัสมันเสร็จ มืออีกข้างก็มีปลิง เอ้ย! อิพิงค์เพื่อนผมเกาะอยู่เหมือนเดิม
   

“แหม...มากันสองคนนะคะ ชวนแค่อิบีทส์แบบนี้ พิงค์น้อยใจ” อิพิงค์แกล้งแซ็วแล้วทำหน้างอนไอ้ตี๋ แม่ะ น่าถีบมากเพื่อนกู
   

“แล้วนี่นัทไม่มาด้วยกันเหรอ เนมไม่ค่อยเจอเลย” ผมชะงักเมื่อคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเนม เอ่ยถามหาไอ้นัท
   

“โอ๊ย มันจะอยู่ไหนได้ล่ะก็อยู่กับแฟนมันนั่นแหละ มา....เนม เดี๋ยวพิงค์ช่วย อุ๊ย คุณลูกค้าอยู่คณะอะไรคะ...” อิพิงค์หันไปตอบแทน เมื่อเห็นผมเงียบ ก่อนจะปล่อยแขนไอ้ตี๋เข้าไปคุยกับเนมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ผมมองมันอย่างขอบคุณ
   

“ว่าไง...กินอะไรมั้ยเราเลี้ยงเอง” ไอ้ตี๋กันมาเอ่ยเหย้า ผมย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้ ริอยากจะเป็นป๋าเหรอมึง
   

“ไม่อยากกินไอ้นี่อ่ะ เหม็นพริกหยวก” ผมขยับเข้าไปกระซิบ เพราะกลัวพี่ๆ เขาจะได้ยิน เดี๋ยวเขาจะหาว่าสำออยครับ (มันเหม็นจริงๆ นะ)
   

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงอันนี้สักหน่อย บีทส์อยากกินอะไรเราเลี้ยงได้หมดแหละ” ไอ้ตี๋หัวเราะ ก่อนจะเอ่ยบอกยิ้มๆ พลางถอดผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ออก
   

“อ้าว...แล้วมึงไม่ช่วยพี่รหัสมึงขายของแล้วเหรอ” ผมถาม มันหันมาส่ายหัวครับ
   

“นั่นไงตัวแทน” ก่อนจะหันไปหาอิพิงค์แล้วหันมากระซิบผม โอ้ว ไอ้นี่! หลอกใช้เพื่อนกู!! มึงมันร้ายไอ้ตี๋
   

“กินบ้างดิ” เสียงไอ้ตี๋ครับ ผมหันไปเลิกคิ้วให้มันงงๆ กินอะไร กูมีแค่แก้วเป็บซี่ที่กำลังดูดอยู่เนี่ย
   

“กินไร”
   

“ก็ที่ดูดอยู่นั่นไง หิวน้ำอ่ะ” ไอ้ตี๋ตอบ อ้าวไอ้นี่ ก็เมื่อกี้กูถามว่าเอาไหมจะได้สั่งให้เสือกส่ายหัว แล้วนี่จะมาขอกิน บ๊ะ
   

“แต่กูดูดแล้วนะ” ผมบอก ไอ้ตี๋พยักหน้ารับว่ารู้แล้ว ผมเลยต้องจำใจยื่นแก้วน้ำไปให้มันแทน
   

“อ้าวเฮ้ย ทำไมมึงไม่ยกซดเอาล่ะ หลอดนั้นกูดูดแล้วนะเว้ย” ผมโวย ไอ้นี่แทนที่จะคิดเป็น ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เหอะ มึงไม่ถือหรือไงวะ
   

“เพื่อนกันน่า” ไอ้ตี๋บอกแล้วดูดน้ำในหลอดต่อ ผมส่ายหัวปลงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในซุ้มหนังสือที่มีขายพวกชีทแล้วก็การ์ตูน คงไม่ต้องให้ผมบอกนะครับว่าผมจ้ำอ้าวไปมุมไหน
   

“เฮ้ยแก...เมื่อกี้ฉันเห็นพี่ซันด้วย” เสียงของสองสาวที่อยู่ข้างๆ ผมคุยกัน
   

ซันไหนวะ
   

“สวีทหวานกับพี่ฟ้าน่าดูเลยแก ฉันล่ะอิจฉา เกิดกี่ชาติถึงจะมีแฟนหล่อแล้วก็เทคแคร์ดีแบบนี้บ้าง” สาวคนเดิมยังคงพูดต่อ ผมขมวดคิ้ว พี่ซันมาเหรอ ไหนตอนที่ผมชวน บอกว่าไม่ว่างนี่...
   

“แต่ที่ฉันได้ยินมามันไม่ใช่นะแก” เสียงของผู้หญิงอีกคน
   

“ไม่ใช่อะไรยะ”
   

“ก็ฉันได้ข่าวมาว่าพี่ซันกับพี่ฟ้าอ่ะเลิกกันแล้ว ได้ยินว่ามีมือที่สามนะแก” ผมชะงัก มะ...มือที่สามเหรอ
   

“ต๊าย...ใครอ่ะช่างกล้า” คนที่ได้รับข่าวใหม่ถึงกับกรี๊ดให้กันเบาๆ เหมือนไม่เชื่อข่าวลือที่ได้ยินมา
   

“บีทส์”
   

“หื้ม! ว่าไง” ผมหันมามองคนเรียกหน้าตื่น เพราะเมื่อกี้มัวแต่ตั้งใจฟังเลยไม่ได้สนใจคนข้างตัว ไอ้ตี๋หัวเราะขำๆ
   

“เห็นเงียบไปเลยเรียกเฉยๆ” ไอ้ตี๋ตอบ ผมจิ๊ปาก
   

“กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาเล่มไหนไง” ผมทำเป็นเลือกหนังสือที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเทียบกันให้ไอ้ตี๋ดู จนมันขยับเข้ามาช่วยดูใกล้ๆ
   

ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีข่าวเรื่องพี่ซันกับพี่ฟ้าออกมา ไหนจะเรื่องข่าวลือว่าเลิกกันเพราะมือที่สามนั่นอีก พี่ซันจะรู้เรื่องนี้หรือยัง แล้วพี่ฟ้าล่ะ...จะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า
   

ครืด...ครืด…
   

“ครับ” ผมล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
   

“บีทส์มาช่วยลุงหน่อย” เสียงลุงอ้นพูดมาตามสายด้วยอาการหอบ ผมขมวดคิ้ว ลุงอ้นกับทวดผมอยู่ที่ซุ้มคณะ แทบจะเป็นแม่งานเลยล่ะครับ
   

“ครับ” ผมตอบรับ ก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ ที่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
   

“ลุงรหัสโทรมาตามไปช่วยงานว่ะ” ผมตอบ ไอ้ตี๋พยักหน้ารับ
   

“ดีเลย เราก็ยังไม่ได้เดินไปซุ้มบัญชี เดี๋ยวเราไปช่วยดู น่าจะสนุกกว่ายืนย่างบาร์บีคิวเยอะ” ไอ้ตี๋พูดยิ้มๆ ผมเบ๋ปาก ใช่สิก็บัญชีผู้หญิงเยอะนี่ครับ อย่าๆ กูรู้ทันไม่ต้องมาทำเป็นคนดี
   

“อ้าวบีทส์” ลุงรหัสกวักมือเรียก ผมชะงักเมื่อเห็นพวกพี่ซันกำลังช่วยพวกเจ้ๆ เสิร์ฟน้ำอยู่หน้าซุ้ม พี่ซัน พี่สอง ไอ้ออย ไอ้ปริ้น ครบเลย ขาดก็แต่พี่อาร์ต อ่อ พี่น๊อตด้วย
   

“ครับ” ผมตอบรับ ไอ้ตี๋ยกมือไหว้ลุงรหัสผม
   

“พาเพื่อนมาด้วย ดีเลย...มาช่วยขายบัตรหน่อย” ลุงรหัสผมบอกพลางยื่นกล่องลังที่บรรจุบัตรสอยดาวมาให้ผม
   

“คนไม่พอเหรอ” อดจะเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้ ผมหันไปมองกลุ่มที่ซันที่ช่วยกันเสิร์ฟน้ำอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าระดับเดือนวิศวะมาเองขนาดนี้ ซุ้มบัญชีของเราต้องฮอตเป็นพิเศษ สาวน้อยสาวใหญ่มารุมถ่ายรูปและอุดหนุนบัตรสอยดาวจนขายไม่ทัน
   

“อื้อ พวกที่เหลือต้องไปช่วยทีมสต๊าฟใหญ่น่ะ” อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนเรียนบัญชีส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้หญิงและก็มีสัดส่วนประชากรน้อยกว่าคณะอื่น ทำให้คนที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยเข้าไปอีก
   

“มา...เราถือให้” ไอ้ตี๋แย่งกล่องไปถือเอง ผมหันไปมองพี่ซัน เหมือนเขาจะจ้องผมอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน ผมเลยเบือนหน้าไปทางอื่นทำไม่สนใจอีกฝ่าย
   

“เฮ้ย...น้องคนนี้หน้าคุ้นๆ ว่ะ” ผมหันมาเลิกคิ้วเมื่อมีพี่วัยรุ่นสามสี่คนเดินมาทักผมพลางชี้หน้า ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมส่ายหัวงงๆ
   

“ไม่อยากจะเชื่อว่าเรียนที่นี่จริงๆ ด้วย” ผมทำหน้างงหนักเข้าไปอีกเมื่อพี่คนเดิมหันไปคุยกับคนในกลุ่มเหมือนรู้จักผมอย่างไรอย่างนั้น
   

“ขายเท่าไหร่อ่ะน้อง” พี่หน้าโหดคนที่สูงที่สุดในกลุ่มเดินเข้ามาใกล้พลางถามยิ้มๆ
   

“บัตรละสิบบาทครับพี่” ผมตอบ
   

“โอ๊ยเชี่ย...ยิ้มละลายใจกูมาก น่ารักกว่าที่ไอ้พวกนั้นบอกอีกว่ะ ฮิ้ว~” ผมขมวดคิ้ว เมื่อคนในกลุ่มนั้นแซ็วรับเสียงดัง ทำให้กลุ่มของเรากลายเป็นจุดสนใจทันที ไอ้ตี๋ขยับมายืนชิดผม ขณะเดียวกันลุงอ้นก็เดินเข้ามาหาเรา พวกพี่ฟ้ากับพี่ซันก็มองมาเช่นเดียวกัน
   

“ขายถูกจัง พี่ให้พันหนึ่งแต่ขอเหมาคนขายด้วยสักคืนได้ป๊ะ” ไอ้พี่หน้าโหดพูดยิ้มๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาถามกวนๆ ไอ้ตี๋เลยดึงผมไปยืนหลังมัน
   

“เราขายแค่บัตรสอยดาวครับ” ไอ้ตี๋ตอบ


“ใช่พี่ พี่คงเป็นคนนอกใช่มั้ย ถ้าอยากซื้อบัตรมาซื้อกับหนูดีกว่าพี่” ลุงอ้นเป็นฝ่ายออกตัวบ้าง หลังจากยืนฟังอยู่นาน


“ไม่ต้องมาเสือก กูจะซื้อกับน้องเขา พวกชอบแย่งแฟนชาวบ้านต้องเจอกับพี่ถึงจะถึงใจน้องเขา ใช่มั้ยวะ” ไอ้คนตัวโตกว่ากันไปตวาดใส่ลุงอ้นก่อนจะหันมาพูดกับผมต่อ


"ใช่ครับลูกพี่ ฮ่าๆ”


ผมใจเสียก่อนจะหันไปมองรอบตัว เห็นหลายคนกระซิบกระซาบกันในเรื่องที่ได้ยินพลางมองผมด้วยสายตาสงสัย ผมเม้มปาก พวกพี่มันเล่นบ้าอะไรวะ หรือใครกำลังวางแผนเล่นละครเรียกคนเข้าซุ้มโดยไม่บอกผมหรือเปล่าเนี่ย


“เฮ้ยพี่ ถ้าจะมาหาเรื่องก็ออกไป ก่อนที่พวกเราจะแจ้งรปภ. ให้มาเชิญพี่ออกไปจากมหาลัย” ลุงอ้นเริ่มโมโห


“ก็มีคนเขาบอกพี่มาว่าหน้าตาแบบน้องเนี่ยทั้งขายตัว แล้วก็ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน พี่ก็แค่อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าตัวจริงจะดูดีเหมือนที่เขาลือหรือเปล่า แต่จากที่เห็น...บอกเลยว่าเด็ดว่ะ มิน่า...” พี่คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนพลางจ้องสำรวจผมด้วยสายตาหื่นๆ


พรึ่บ!


ผมเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนร่างสูงที่เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างไอ้พวกกลุ่มวัยรุ่นกับไอ้ตี๋ที่ก่อนหน้านี้ยืนบังผมอยู่ ไอ้ตี๋หลีกทางถอยหลังให้พี่ซัน ส่วนไอ้ออยกับไอ้ปริ้นเดินมายืนข้างผม


“จะไปเองดีๆ หรือต้องรอให้เรียกรปภ.” พี่ซันถามพวกนั้นเสียงนิ่ง


“มีอะไรวะ” ไอ้ออยกระซิบถาม ผมส่ายหัว งงอยู่เหมือนกัน


“เรียกทำไม พวกกูทำอะไรผิด หรือว่าคนที่เลี้ยงมัน...คือมึง” คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยื่นหน้ามาถามพี่ซันกวนๆ แล้วยักคิ้วก่อนจะหันไปรับกระดาษแผ่นหนึ่งจากสมุนของตัวเองเขวี้ยงใส่หน้าพี่ซัน


พี่มันก้มลงไปเก็บมาเปิดอ่านแล้วทำหน้าตึงกำเศษกระดาษไว้ในมือแน่น ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่สอง สื่อสารกันผ่านสายตา


 “เฮ้ยพี่!” ผมตกใจที่อยู่ๆ พี่ซันก็หันมาคว้าข้อมือผมแล้วลากออกมาจากบริเวณนั้นโดยไม่พูดไม่จาหลังจากอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ไม่วายคนที่ปากระดาษใส่หน้าพี่ซันยังตะโกนเรียกชื่อผม


“มีอะไรงั้นเหรอครับ”


พี่ซันจิ๊ปากก่อนจะพาผมไปนั่งบริเวณม้านั่งในตึกเรียน


“ไม่รู้ว่ามีไอ้เหี้ยตัวไหนกำลังเล่นตลกอะไรอยู่” เขาทำสีหน้าหงุดหงิดแล้วยื่นกระดาษที่โดนขยำจนยู่ยี่ไปหมดแล้วมาให้ผม


“นี่มัน...” ผมถามหน้าตื่นหลังจากอ่านสิ่งที่อยู่ในมือจบ ในนั้นนอกจากจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมแล้ว ยังมีรูปของผมในอิริยาบถต่างๆ แนบมาด้วยอีกต่างหาก


...หวังว่าคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ส่งข้อความมาหาผม


ผมถือกระดาษมือสั่น นึกไปถึงเรื่องที่มีคนส่งข้อความมาหาผม ไหนจะข่าวลือเรื่องที่ผมได้ยิน แล้วยังจะมาเรื่องนี้อีก ต้องมีใครสักคนพยายามจะบอกอะไรผม…


“อย่าให้กูจับได้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องบ้าๆ นี่ ถ้าเจอตัวกูยำมันแน่” พี่ซันสบถด้วยความโกรธ ผมเม้มปากนึกถึงเรื่องที่เราทะเลาะกัน ในขณะที่พี่ซันยอมปกป้องผมต่อหน้าทุกคน ที่สำคัญพี่ฟ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย


“โอเคมั้ย” พี่ซันหันมาถาม ผมประสานมือวางไว้บนหน้าตักแล้วบีบมือตัวเองไว้


“ผม...”


ผมเม้มปากพูดอะไรไม่ออกมองหน้าพี่ซันที่ยืนอยู่ตรงหน้า หวั่นใจว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมกับพี่ซันต้องยุติทุกอย่างลง แม้พี่ซันจะหงุดหงิดที่ผมคอยพูดจาประชดประชันไม่รักษาน้ำใจพี่มัน แต่พอเกิดเรื่องพี่ซันก็ไม่เคยทิ้งผมเลย ปีนี้มันปีชงของผมหรือยังไงกัน


“ไม่ต้องคิดมาก” พี่ซันปลอบ


“แล้วเรื่อง...” ผมอึกอัก อยากถามว่าแล้วเรื่องเมื่อกี้จะทำยังไงดี ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้พี่ซันเดือดร้อน


“มึงไม่ได้เป็นอย่างที่ในนั้นเขียนสักหน่อย...เพราะคนที่เลี้ยงมึงน่ะ” พี่ซันมองตาผม


“มีแค่กู...ไม่ใช่ป๋าที่ไหน”


ผมยู่ปาก ไอ้พี่นี่...จริงๆ เลย ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย


ครืด...ครืด…


“เออว่าไง” พี่ซันยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ


พี่ซันหันมามองผม “งั้นก็เอาตามนั้น” เอ่ยตอบแล้วกดวาง


“เดี๋ยวกูไปส่งมึงก่อน” พี่ซันหันมาบอก ผมเม้มปากแล้วพยักหน้ารับ พี่ซันถอนหายใจก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเป็นการปลอบแทนคำพูด


ผมไม่ได้อยากงอแง เพราะผมรู้ว่าใครจะไปส่งก็คงเหมือนกัน แต่ว่า…


“ผมกลับเองได้ครับ ไม่เป็นไร” ผมกลั้นใจปฏิเสธพี่ซัน ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามผมว่าทำไม


“แค่พี่ลากผมออกมามันก็แปลกมากแล้วนะครับ ยิ่งผมเห็นสายตาของพี่ฟ้าที่เต็มไปด้วยคำถามตอนที่พี่ลากผมออกมาผมก็ยิ่ง...” ผมเม้มปาก พี่ซันถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากฟังจบ


ผมเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ตามมาจากสิ่งที่ผมทำมันทำให้ผมเริ่มไม่มีความสุข ความหวาดระแวงกำลังกัดกร่อนหัวใจผม


“ไปกันเถอะครับ” ผมตัดบทก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายเดินนำพี่ซันกลับมายังซุ้มจัดงานเหมือนเดิม มีหลายสายตาที่มองผมแปลกๆ และเต็มไปด้วยความสงสัย ผมก้มหน้าก้มตาเดินไปหาไอ้ตี๋กับอิพิงค์ที่ยืนรออยู่พร้อมกับพวกพี่สอง ส่วนลุงอ้นกับพี่ฟ้าก็ช่วยกันต้อนรับแขก เหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ


“เป็นยังไงบ้าง” พี่ฟ้าเดินมาหาผมทันทีที่เห็นผม ผมยิ้มแล้วส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร พี่ฟ้ายิ้มอย่างให้กำลังใจ


“ไม่รู้ใครเล่นบ้าอะไร แบบนี้มันเกินไปจริงๆ” ลุงอ้นบ่น ผมยิ้มเจื่อน แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นพูดทั้งหมด แต่หลายคนคงเกิดข้อสงสัยในตัวผมไปแล้ว


“นั่นสิบีทส์ มึงไม่ต้องคิดมากนะ อาจจะมีใครเอารูปมึงไปแปะติดเพื่อแกล้งเล่นก็ได้ทางที่ดีกูว่ามึงเปลี่ยนเบอร์หนีไปเลยก็ดีนะ ไม่รู้ใครเล่นพิเรนทร์ใส่เบอร์มึงจริงๆ เข้าไปอีก” อิพิงค์เดินมากอดคอผมแล้วออกความเห็นไม่พูดถึงอีกประเด็นที่ผมโดนกล่าวหา


“อ่ะนี่กระเป๋า” ไอ้ตี๋ยืนกระเป๋าส่งคืนมาให้ผม


“โอเคมั้ย” ไอ้ออยถาม


ผมพยักหน้า


“พี่สองไปแจ้งความเอาไว้แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ” ไอ้ปริ้นเอ่ยปาก ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย


“วันนี้กลับไปก่อน ไม่มีอะไรแล้วแหละ เดี๋ยวเปิดเทอมมาเรื่องก็ซาไปเอง เที่ยวให้สนุกแล้วค่อยกลับมาลุยกันใหม่เทอมหน้าหลานรัก” ลุงอ้นหันมาพูดยิ้มๆ


“งั้นเดี๋ยวฟ้าขอไปส่งน้องเองนะคะพี่” พี่ฟ้าหันไปพูดกับลุงอ้น ผมกับพี่ซันหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย


“เอ่อ...พี่ฟ้าครับเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้พี่ ผมไม่อยากรบกวน” ผมพูดพลางสะกิดอิพิงค์ให้มันช่วยพูดให้


“พี่ฝากด้วยนะฟ้า” ลุงอ้นออกความเห็นบ้าง ผมเม้มปากลำบากใจ ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีกับพี่ฟ้านะครับ แต่ทุกครั้งที่ผมเจอพี่ฟ้ามันทำให้ผมหายใจไม่ออก แม้พี่ซันจะบอกว่าเลิกกับพี่ฟ้าแล้ว แต่เพราะพี่ฟ้ายังไม่รู้เรื่องของผม ถึงจะบอกว่าเคลียร์แต่ความจริงคือมันก็ยังค้างคาอยู่ในใจเราทั้งคู่


“เดี๋ยวพิงค์ไปกับอิบีทส์ก็ได้ค่ะ พอดีว่าบ้านอยู่ใกล้กันพอดี” อิพิงค์ช่วยพูด ว่าแต่บ้านกูกับบ้านมึงนี่อยู่ใกล้กันตอนไหน


“พิงค์อยู่ช่วยพี่อ้นเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งบีทส์แป๊บเดียวไม่ต้องเป็นห่วงนะ เอาเป็นว่าตามนี้นะคะ...ปะบีทส์” พี่ฟ้าส่ายหัวพลางยิ้มให้อิพิงค์ พร้อมขยับตัววางของในมือลง อิพิงค์หันมายิ้มแหยๆ ขอโทษที่ช่วยพูดไม่สำเร็จ ไอ้ออยยื่นมือมาตบบ่าผม


ตอนนี้ผมกำลังนั่งเกร็งอยู่ในรถยนต์คันสวยของพี่รหัสตัวเองครับ ระหว่างเรามันมีแต่ความอึดอัดจนผมสัมผัสได้ ไร้ซึ่งบนสนทนาใดๆ ตั้งแต่ผมก้าวขึ้นรถคันนี้มา จนตอนนี้รถคันสวยจอดเทียบที่หน้าบ้านผมแล้ว


“บีทส์มีอะไรอยากบอกพี่มั้ย” พี่ฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนในขณะที่ผมกำลังปลดสายคาดเข็มคัดนิรภัย ผมชะงักมือก่อนจะหันไปเลิกคิ้วให้พี่ฟ้า


“เรื่องอะไรเหรอครับ”


พี่ฟ้าเม้มปาก สองมือจับพวงมาลัยไว้ไม่หันมามองหน้าผม


“เรื่องที่ผู้ชายพวกนั้นพูด พี่ไม่รู้นะคะว่าบีทส์ตั้งใจจะทำอะไร แต่ถ้ายังเห็นพี่เป็นพี่ พี่อยากขอร้องให้เราช่วยอยู่ห่างๆ พี่ซันได้มั้ย ถ้าบีทส์รักพี่ซันจริง ทำเพื่อพี่ซันได้หรือเปล่า” พี่ฟ้าเกริ่นเสียงเรียบ ใบหน้าสวยหวานที่เคยส่งยิ้มสดใสเรียบตึงไม่บ่งบอกความรู้สึก


“ผม...”


เพี้ยะ!


“...”


มือขาวเหวี่ยงตบมาที่หน้าผมหนึ่งที ใบหน้าซีกซ้ายผมชาไปทั้งแถบ ผมกุมแก้มมองใบหน้าซีกขวาของพี่ฟ้าแล้วก้มหน้าลง รู้สึกเจ็บไปทั้งหัวใจ... พี่ฟ้าโยนซองสีน้ำตาลมาใส่ตักผม ผมเม้มปากมือไม้สั่น หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาคลี่ดูแล้วช็อคนิ่ง


“คุณป้า…” พี่ฟ้าเปลี่ยนคำเรียก “คุณแม่พี่ซันน่ะรู้เรื่องนี้แล้วนะ”


“...”


“คุณป้าโกรธพี่ซันมาก นี่ขนาดแค่คุณป้าคนเดียวพี่ซันยังตกที่นั่งลำบาก ถ้าเป็นคุณลุงอีกคนที่รู้เรื่องนี้ พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง เรามั่นใจแล้วเหรอว่านี่มันคือความรักจริงๆ พี่ไม่คิดว่าคนอย่างพี่ซันจะมาจริงจังอะไรกับน้องของพี่หรอกนะ”


“พี่ซันควรจะได้เจอสิ่งที่ดีกว่านี้ คนที่เหมาะสมกับพี่ซันจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่ดีนะ แต่พี่รักบีทส์ถึงมาเตือนด้วยตัวเอง บีทส์เองก็ควรจะได้เจอคนที่เหมาะสมเหมือนกัน พี่จะไม่โกรธบีทส์ก็ได้กับเรื่องที่ผ่านมา พี่เข้าใจนะคะว่าพี่ซันเป็นคนดีใครอยู่ใกล้ก็ต้องเผลอตัว เราจะคิดว่าพี่ใจร้ายก็ได้ แต่พี่ขออย่างเดียว...เพื่อแลกกับทุกสิ่งที่ผ่านมา”


“แต่ว่า...”


“เราไม่สังเกตเลยเหรอว่าช่วงนี้พี่ซันเขาไม่ค่อยกลับห้อง รู้อะไรมั้ยว่าถ้าให้เลือกจริงๆ พี่ซันเขาก็ต้องเลือกคุณป้าอยู่แล้ว ไม่คิดว่าพี่เขาจะลำบากใจเหรอคะที่ต้องคอยวิ่งดูทางนั้นที...ทางนี้ที”


พี่ก็เลยจะบอกผมว่าพี่ซันเป็นคนให้พี่มาบอกผมแทนอย่างนั้นเหรอครับพี่ฟ้า ผมเม้มปากพลางส่ายหัว มือกุมกันไว้ที่หน้าตักแน่นเพื่อลดอาการสั่น พี่ฟ้าทำหน้าเศร้าเหมือนเห็นใจผม


“พี่กับพี่ซันน่ะ มีอะไรเราก็บอกกันทุกเรื่อง บีทส์จะไม่เชื่อพี่ก็ได้นะคะพี่เข้าใจว่าเราคงหาคนที่ดีอย่างพี่ซันได้ยาก แต่พี่ไม่อยากให้บีทส์หลอกตัวเอง”


“ผม...”


“คิดบ้างมั้ยว่าพี่ซันจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า เราไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาเลยใช่มั้ย ทั้งเรื่องธุรกิจและสิ่งที่คนอื่นจะมอง เห็นตัวอย่างของวันนี้หรือยัง...”


“สายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม…” พี่ฟ้ายกเอาประเด็นที่คอยตามหลอกหลอนผมขึ้นมาพูด ผมสะอึกพูดไม่ออก


“...ความผิดชอบชั่วดีจากเราพี่คงไม่ต้องถามถึง แต่เก็บเอาสิ่งที่พี่พูดวันนี้ไปคิดให้ดีก็แล้วกันนะคะ เพราะมันเป็นความหวังดีจากคนที่โดนหักหลังอย่างพี่”


เป็นอีกครั้งที่คำพูดของพี่ฟ้าทำให้ผมพูดไม่ออก ผมได้แต่ก้มหน้านิ่งยกมือไหว้พี่ฟ้าแล้วเปิดประตูลงจากรถ เดินเข้าบ้านอย่างไร้สติ


มันไม่มีทางออกแล้วจริงๆ เหรอ


“อ้าวพี่บีทส์ ไม่รับโทรศัพท์ล่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วให้กับไบร์ท ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่กำลังแจ้งเตือนสายโทรเข้า


“เดี๋ยวค่อยโทรกลับ”


ผมตอบน้อง ก่อนจะทำเป็นนั่งดูจอภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า แล้วหัวเราะให้กับมุกตลกๆ ของพี่โหน่งชะชะช่า ทั้งๆ ที่ในใจกลับไม่ขำเลยสักนิด


“เดี๋ยวก็กลายเป็นหมาบ้าหรอก” ไบร์ทว่าขำๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว


ในหัวผมตอนนี้มีแต่ฉากบนรถพี่ฟ้าฉายซ้ำไปซ้ำมา สลัดยังไงก็สลัดไม่ออก ทุกอย่างมันกำลังกัดกินความเข้มแข็งของผมไปทีละนิดๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่ซันต้องแบกรับอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ผมเองเอาแต่งอแงเรียกร้องจากพี่มันอยู่ฝ่ายเดียว


เพิ่งจะเริ่มตระหนักว่าตัวเองกำลังกลายเป็นภาระ…


หลังจากลงจากรถพี่ฟ้าได้ไม่นานก็มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา เป็นเหมือนภาพฉายซ้ำที่ยิ่งฟังยิ่งเจ็บปวด ผมแทบไม่ต้องปริปากพูดแก้ตัวหรือออกความเห็นใดๆ


นี่สินะความจริง…


แม้จะรู้และเคยทำใจไว้แล้วว่าคงเป็นเรื่องยากที่พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนปกติ จะทำใจยอมรับได้ในเรื่องความสัมพันธ์พิเศษนี้ของเรา แล้วทางออกของปัญหานี้ล่ะ ผมควรจะทำยังไงกับมันดี


ผมจะรักษารอยยิ้มของเราเอาไว้ได้ยังไง…


‘ถ้าหนูรักลูกชายป้าช่วยปล่อยลูกชายป้าไปจะได้มั้ย…’


‘ให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เขาควรจะเป็น…’


‘ซันคือความหวังของครอบครัวเรา’


‘ถ้าหนูรักพี่เขาหนูต้องไม่ทำให้พี่เขาลำบากเพราะมาคบกับหนูนะจ๊ะ’


‘ถือว่าเป็นคำขอร้องจากแม่ที่รักลูกคนหนึ่งมากเถอะนะ’



“พี่บีทส์ร้องไห้ทำไม”
   

“หื้อ” ผมเงยหน้าไปมองน้อง ก่อนจะใช้หลังมือปาดแก้มตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจที่มีคราบน้ำใสติดอยู่ที่หลังมือ ผมรีบปั้นหน้ายิ้มให้น้องแล้วส่ายหัว


“ไม่ได้เป็นอะไร พี่ขำจนน้ำตาไหลเลย ดูดิพี่โหน่งแกโดนพี่เท่งเอาเค้กป้ายหน้าอีกแล้ว ฮ่าๆๆ” ใช้คำอธิบายโง่ๆ เพื่อหาทางเลี่ยงอีกกู


“ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่มั้ย” ไบร์ทถามด้วยความเป็นห่วงแล้วนั่งลงข้างๆ ผม


“ไม่มี จะมีได้ไงปิดเทอมแล้ว...นี่แหละสวรรค์ของไอ้บีทส์” ผมพูดพลางทำท่าทางเพ้อฝัน จนไบร์ทขำตาม


“เออ...แล้วนี่คุณนายไปไหน” ผมถามหาแม่ เพราะตั้งแต่กลับมาก็ไม่เจอ สงสัยออกไปข้างนอก


“อ๋อ...ไปกับพวกคุณป้าแก๊งเดิมแหละ อีกสองวันกลับ” ไบร์ทละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มาตอบผม


“พี่นัดกับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดนะ กลับเมื่อไหร่พี่จะโทรบอกอีกที” และในวินาทีนั้นผมก็ตัดสินใจได้ อย่างน้อยผมก็ควรไปให้ไกลจากที่นี่สักพัก


“ฮั่นแน่ ไปฮันนีมูนเหรอ อย่าลืมของฝากนะ ไบร์ทขึ้นห้องละเดินทางปลอดภัยนะพี่บีทส์ รักพี่นะ” ไบร์ทแซ็วยิ้มๆ ตามปกติ ก่อนจะกอดผมแล้วขอตัวขึ้นห้อง ผมมองตามหลังน้องจนสุดสายตา


เอาล่ะถ้าจะไปก็ต้องไปตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่พี่ซันจะตามกลับมาที่บ้าน ถ้าอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมผมก็คงจะใจอ่อนอีก ท่องไว้ว่านี่เป็นการทำเพื่อพี่ซัน ห้ามร้องไห้และต้องเข้มแข็ง ไม่มีใครอกหักแล้วตายสักหน่อย





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จากนางฟ้า กลายเป็นชะนีมาร ร้ายไม่เบา  :katai1:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สงสารเลยอะ ทำไมโดนจุกงี้

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ถามว่าบีทส์ผิดมากเหรอถึงโดนอะไรแบบนี้มันแรงไปนะ ถ้าอย่างนั้นบีทส์เลิกกับอิพี่มันไปเถอะให้อิพี่มันกลับไปอยู่กับคนพวกนั้นตามเดิม บีทส์กลับมาเป็นตัวเองอยู่กับเพื่อนๆกับคนที่รักและเช้าใจเราดีกว่า ไม่อยากคิดว่าที่บีทส์โดนแบบนี้นัทจะเป็นคนทำอย่าเป็นแบบนั้นเลยเข้าใจนัทนะว่าเสียความรู้สึกแต่ก็เพื่อนนะผิดหวังกับเพื่อนที่เพื่อนเป็นแบบนี้แต่ทำไมไม่ถามก่อนว่าเพราะอะไรถ้าอิพี่มันไม่เล่นด้วยมันจะเป็นแบบนี้ไม :katai1:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน


[ซัน]


“ยังติดต่อน้องไม่ได้อีกเหรอ” ไอ้อาร์ตถาม ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านของไอ้ตัวแสบที่อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปไม่บอกไม่กล่าว เล่นเอาวุ่นกันไปหมด


“ยัง”


ผมตอบ มือยังพยายามกดเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง ทั้งฝากข้อความไว้เป็นสิบๆ ข้อความ พยายามโทรหามันไม่รู้กี่สิบสายก็ยังไม่สามารถติดต่อมันได้


ตอนแรกก็คิดว่ามันอาจจะหนีไปหาเพื่อนสนิทที่มีอยู่ไม่กี่คนแต่ก็ยังไร้วี่แวว ยิ่งมันหายไปนานมากเท่าไหร่ หัวใจผมก็เริ่มทำงานไม่ปกติ ยิ่งได้ฟังจากปากของน้องมันว่าไอ้ตัวแสบมันเอาเสื้อผ้าไปด้วยก็ยิ่งทำให้ผมเป็นห่วง


เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆ มันจะหายตัวไปแบบนี้


“มึงบอกกูว่าก่อนหน้านี้น้องมันยังดีๆ อยู่ใช่มั้ย” ไอ้อาร์ตถามต่อ มันเองก็เพิ่งออกเวรมายังไม่ได้นอน แต่เพราะเป็นห่วงแฟนมันที่ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ผมที่เขาคิดว่าไปเที่ยวกับบีทส์โผล่มาถามหาพี่ชายเขาที่บ้าน เรื่องก็เลยโป๊ะแตก


“เออ...แต่กูไม่รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อวันก่อนนั่นด้วยหรือเปล่า” ผมตอบก่อนจะทิ้งตัวเอนราบไปกับโซฟาอย่างเหนื่อยล้า อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้รับรู้ว่ามันยังปลอดภัยดี หรือตอนนี้อยู่ที่ไหน ขอแค่นั้นจริงๆ


“มึงคงไม่คิดว่า...” ไอ้อาร์ตถามเปรยๆ ผมส่ายหัว


“กูก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็อย่างที่มึงรู้ แม่กูรู้แล้ว” ผมเดาะลิ้น ใช้ความคิดในหัว ผมยังอยากเชื่อใจว่าฟ้าจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลเสียต่อผม แม้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวรับรู้จะทำให้ตัวเองนั้นรู้สึกแย่สักแค่ไหน สำหรับฟ้าผมก็เหมือนข้อยกเว้นของทุกอย่าง


มันเป็นไปได้ยาก…


“อ้าวตัวเล็ก” เสียงไอ้อาร์ตทักเด็กมัน


ไบร์ททิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้อาร์ต


“พี่บีทส์ทิ้งนี่ไว้...ของนาย” ไอ้ตัวแสบพูดพลางยื่นกระดาษสีขาวมาให้ผม

   
พี่ซัน
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาขอบคุณมากนะครับ สำหรับความทรงจำต่าง ๆ ที่พี่ทำให้ผม ทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้มันเกิดขึ้น เพื่อต้องการพิสูจน์ให้พี่เห็นว่าเกย์อ่ะไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนที่พี่เข้าใจ ตอนนี้ผมก็ทำสำเร็จแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ค้นพบว่าเริ่มเบื่อกับสิ่งที่ทำและเหนื่อยแล้วกับความสัมพันธ์หลบๆ ซ่อนๆ ที่เราทำอยู่ ต่อจากนี้ไป ผมหวังว่าเราจะต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องตามหาผมแล้วกลับไปใช้ชีวิตของพี่ให้เหมือนกับตอนที่ยังไม่เจอผม ขอโทษและขอบคุณ



“เหี้ยอะไรวะ”


ผมสบถคำหยาบออกมาทันทีที่อ่านจบ ไอ้อาร์ตเลยดึงไปอ่านพร้อมๆ กับคนข้างตัวของมัน


เหตุการณ์ต่างๆ กำลังไหลเข้ามาในหัวผม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอคนตัวขาว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่ครั้งแรกของเรา ทุกอย่างมันยังแจ่มชัดอยู่ในหัว และจดหมายฉบับนี้กำลังบอกผมเป็นนัยๆ ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คนเขียนตั้งใจจะสอนผมที่ตอนแรกเคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าเกลียด ไม่สนใจ ไม่ต้องการ ให้ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสและเปลี่ยนความคิด


ซึ่งตอนนี้มันก็ทำสำเร็จ


ก่อนหน้านี้ผมสู้อุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับโปรเจ็คที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทชิ้นแรก ซึ่งผมกับไอ้เจต้องแข่งกันเพื่อให้ได้โปรเจ็คนี้ ถ้าทำแค่เพียงเพราะอยากเอาชนะไอ้เจผมคงไม่สนใจและทุ่มเทขนาดนี้ แต่ที่ทำก็เพื่ออยากพิสูจน์ให้แม่ผมได้เห็นว่าถึงแม้ผมจะมีแฟนเป็นมัน เป็นไอ้ผู้ชายหน้าขาวๆ ปากรั้นๆ นั่น ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ผมตั้งใจทำเพื่อบริษัทลดน้อยลงไป


กลับกัน...มันกลับสร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้ผม


ผมยอมเหนื่อยออกไปคุยงานเองทุกวัน แทบลงมือคุมเองในทุกขั้นตอนการทำงาน วันๆ ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังฝืนตัวเองกลับไปนอนกอดมันทุกวันเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป ผมไม่อยากบอกปัญหาที่เกิดขึ้นให้มันรู้ เพราะกลัวว่ามันจะคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร


ผมยอมขัดใจกับแม่เพื่อที่จะฟังคำบอกเลิกจากมันอย่างนั้นเหรอ


“มึงเชื่อในสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายนั่นเหรอ” ไอ้อาร์ตเปิดปากถาม


“ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ ไว้กูลากตัวมันกลับมาได้เมื่อไหร่ เดี๋ยวก็รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง” ผมตอบไปตามความรู้สึก


“ไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวบีทส์ก็คงติดต่อมาเอง” ไอ้อาร์ตหันไปบอกเด็กมันเสียงอบอุ่น ไอ้ตัวแสบพยักหน้ารับ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน


“มึงจะไปไหน” ไอ้อาร์ตหันมาถาม


“กูไม่คิดจะรอ”


“แต่มึงทิ้งงานที่นี่ไปไม่ได้ มึงก็รู้ว่ามันสำคัญ” ไอ้อาร์ตเตือนสติ


ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ผมรู้ว่ามันเป็นห่วง รู้ดีว่าหวังดี สุดท้ายผมได้แต่ขับรถคอนโด แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้นเป็นวันๆ
 

++++++++++++++++++


“ไอ้ซันมึงเห็นรึยัง” เสียงไอ้สองดังมาตามสาย


“เห็นอะไร” ผมขมวดคิ้ววางดินสอในมือ แล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ เนื่องจากใช้สายตาเป็นเวลานาน


“เฟสบุ๊คน้อง” ไอ้สองอธิบายแค่นั้น ผมจึงรีบกดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เฟสบุ๊คส่วนตัวของใครบางคนตามที่เพื่อนสนิทบอก ก่อนจะกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันพาลทำให้ผมนึกถึงปัญหาที่ผมยังแก้ไม่ตก


‘ซัน’ เสียงที่นานๆ จะได้ยินเอ่ยเรียกชื่อผม


‘...’


‘แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยลูก แวะเข้ามาหาแม่หน่อยจะได้มั้ย’ แม่พูดต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนผมยังอดแปลกใจไม่ได้


‘แม่มีธุระอะไรก็คุยทางโทรศัพท์ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องไปรบกวนนมแบบนั้น’ ผมเปิดปากพูดกับมารดาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องปกติที่แม่จะติดต่อหาผมแถมยังใช้ให้นมเป็นคนต่อสายให้ กลิ่นชักแปลกๆ


‘แม่ก็ไม่ได้อยากรบกวน ถ้าลูกจะเสียสละเวลารับสายของแม่บ้าง’ ผมเงียบ


‘เรื่องเด็กคนนั้น...’ แม่เกริ่นเสียงอึกอัก


ผมขมวดคิ้ว
   

‘ที่อยู่คอนโดเดียวกับลูก...’
   

‘ผมจะเข้าไปหาแม่เดี๋ยวนี้แหละครับ’
   

หลังวางสายจากแม่ ผมก็ขับรถตรงดิ่งกลับมาที่บ้านทันที ไม่มีแม้แต่เวลาได้อธิบายกับเพื่อนสนิทที่มันถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผมได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงมีแม่คนเดียวที่รู้เพราะถ้าหากพ่อรู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็...เรื่องคงไม่จบง่ายๆ
   

‘สวัสดีครับนม’ ผมหันไปทักทายป้านม หลังจากก้าวเข้ามาในตัวบ้าน หญิงท่าทางใจดียืนรอรับผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
   

‘คุณผู้ชายออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนคุณผู้หญิงรออยู่ที่ห้องคุณซันนะคะ’ ป้านมเอ่ยบอกเบาๆ ผมพยักหน้ารับ แล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
   

ผมเปิดประตูเข้าไปห้องนอนของตัวเองก่อนจะเจอร่างของมารดาตัวเองนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ปลายเตียง ข้างตัวมีซองสีน้ำตาลวางอยู่ ผมปิดประตูห้องนอนพร้อมปิดล็อกห้องก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งอีกฝั่งของเก้าอี้
   

‘มาแล้วเหรอ’ แม่เป็นฝ่ายเปิดปากทัก
   

ผมพยักหน้ารับ ‘เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ’
   

‘ที่แม่ไม่อยากคุยกับลูกทางโทรศัพท์เพราะแม่อยากฟังจากปากของลูกตรงๆ มากกว่าฟังทางโทรศัพท์’ แม่หันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ผมรับฟังด้วยท่าทีนิ่งๆ รอให้แม่เอ่ยเข้าประเด็น
   

‘แม่ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง แม่สับสน แม่กังวลและแม่กลัว’ แม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
   

‘เรื่องเด็กคนนั้นที่อยู่หอเดียวกับลูก เด็กคนที่หน้าตาน่ารัก ตัวขาวๆ และแม่ก็เคยได้ยินว่าลูกเคยพาเขามาที่บ้านของเรา เด็กคนนั้นที่ลูกไปค้างที่ห้องเขา’
   

‘ไม่ใช่แค่รุ่นน้องธรรมดาใช่มั้ย’
   

แม่กลั้นใจถามต่อจนจบ แล้วจ้องหน้าผมเหมือนรอคอยคำตอบ ผมยังคงทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกตกใจกับคำถาม ทั้งที่จริงในหัวผมกำลังตีกันไปหมด แค่ให้มาหาก็นับว่าไม่ใช่เรื่องปกติแล้วนี่ยังถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับคนตัวเล็กอีก แบบนี้คงไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วล่ะ
   

‘ตอบแม่มาสิว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่แค่รุ่นน้องธรรมดาใช่มั้ยลูก’
   

‘...’
   

‘มีคนส่งรูปพวกนี้มาให้คุณพ่อ โชคดีที่แม่ไปเจอเข้าซะก่อน’ แม่พูดพลางยื่นซองสีน้ำตาลมาให้ผม ผมรับมาเปิดก่อนจะขบกรามอย่างโมโหเพราะสิ่งที่อยู่ในซองคือรูปของผมกับบีทส์ในอิริยาบถต่างๆ ถ้าใครเห็นก็คงรู้ว่าคงไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา
   

‘แม่ไม่รู้ว่าลูกคิดจะทำอะไรอยู่ อาจจะหลงผิด อยากลองหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในฐานะที่แม่เป็นแม่ แม่อยากให้ซันคิดดูให้ดี ซันเป็นลูกชายคนเดียวที่เรามี ถ้าเกิดว่าลูก...’ แม่ดูกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดต่อ
   

ผมแสยะยิ้มเย็นฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดแล้วนึกสะอิดสะเอียนกับคนที่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่ ก็แค่อุ้มท้องผมมาเก้าเดือน หลังจากคลอดผมออกมาแล้วผมก็เป็นเพียงลูกแค่ในนามของเขาเท่านั้นแหละ
   

‘ถ้าเกิดว่า...’
   

‘ถ้าผมเป็นเกย์ แม่จะพูดแบบนั้นใช่มั้ย’ ผมต่อคำให้แล้วยิ้มเหยียดๆ แม่เม้มปาก
   

‘มันไม่ใช่ว่าที่แม่มาพูดเพราะแม่รับไม่ได้ที่ลูกมีรสนิยมแบบนี้นะซัน แต่แม่อยากให้ซันคิดดูให้ดีว่ามันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพ่อกับแม่และบริษัทของเราแค่ไหน คนอื่นเขาจะคิดยังไงถ้าคนที่จะขึ้นมาเป็นประธานบริษัทมีความบกพร่องทางเพศน่ะลูก’
   

หึ บกพร่องทางเพศอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากเชื่อว่าผมจะได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากคนที่คลอดผมออกมา
   

‘แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนที่คิดอะไรได้ไกลเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม่หวังว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่เป็นห่วง เพราะถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้ามันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ลูก’ แม่พูดต่อเมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ ใบหน้าสวยมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
   

ก็รู้...ว่าแม่คงห่วงหน้าตาและภาพลักษณ์มากกว่าลูกในไส้อยู่แล้ว
   

‘บอกสิ่งที่แม่ต้องการมาเลยดีกว่าครับ’
   

‘เลิกกับเด็กคนนั้นได้มั้ยลูก แม่รู้ว่ามันอาจจะฟังดูโหดร้ายเกินไป แต่แม่ไม่เคยขออะไรจากซันเลยนะไม่ว่าลูกจะทำอะไร ครั้งนี้...’
   

‘...ทำเพื่อแม่ได้มั้ยซัน’


“ไอ้ซัน” ไอ้สองเรียกเมื่อเห็นผมเงียบ


“ไว้กูติดต่อกลับไปอีกที” ผมตอบรับก่อนจะกดวางสาย แล้วจ้องมองไปยังบุคคลในรูปที่ปรากฏอยู่ในจอ


รูปบีทส์ที่ยืนยิ้มเคียงคู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก


ผมยื่นมือไปลูบที่หน้าจอบริเวณใบหน้าขาวที่ยิ้มอย่างมีความสุข นี่มึงคิดจะไปจากกูจริงๆ เหรอวะ สามวันที่กูกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงมึง แต่มึงกลับอยู่อย่างมีความสุขแล้วยังมีหน้ามาโพสว่าขอบคุณไอ้ผู้ชายหน้าเหี้ยที่ทำให้มึงมีความสุข


...มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง…


ผมหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดต่อสายหาคนที่ช่วงนี้ผมติดต่อหาทุกวัน ในแต่ละวันผมจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเพื่อมากดต่อสายหาคนที่รู้จักบีทส์ทุกวันจนเพื่อนๆ พากันเป็นห่วง แต่ผมก็ยังเป็นผม จนเวลาล่วงเลยมากว่าสามอาทิตย์ คนรอบข้างจึงเริ่มปล่อยให้ผมจมอยู่กับงานเพราะไม่อยากให้ผมทำอะไรวู่วาม


“สวัสดีค่า” ปลายสายตอบรับเสียงใส


“ติดต่อบีทส์ได้บ้างรึเปล่า” ผมถาม


“เอ่อ ยังเลยค่ะพี่สุดหล่อนี่พิงค์ก็พยายามติดต่อหามันตลอดเลยนะคะ” คำตอบก็ยังเหมือนเดิมกับทุกๆ วันที่ผมโทรถามความคืบหน้าจากคนใกล้ตัวบีทส์


ไม่ใช่แค่คนรอบข้างบีทส์ที่ผมขอให้ช่วย แต่คนรอบข้างผมก็ช่วยกันตามข่าวของบีทส์เช่นกัน บีทส์อัพรูปลงเฟสบุ๊คของตัวเองนานๆ ครั้งแต่ไม่เคยระบุสถานที่ วันแรกที่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกคนจากโซเชี่ยลยอดฮิตนั่น ผมกระหน่ำทักข้อความไปไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแต่เจ้าตัวไม่แม้จะเปิดอ่านข้อความของผมเลยสักครั้งและสุดท้ายก็บล็อคผมในที่สุด


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมหันไปยังประตูที่มีใบหน้าของผู้ให้กำเนิดยืนอยู่ ก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วกดวางสายจากคู่สนทนา ช่วงนี้ผมกลับมาอยู่บ้านเพราะทนอยู่ที่คอนโดและทนความฟุ้งซ่านของตัวเองไม่ไหว


“ครับ”


“มีประชุมตอนบ่ายใช่มั้ย” ร่างเพรียวเดินเข้ามาถาม ผมพยักหน้ารับพลางเก็บเอกสารใส่กระเป๋าสำหรับการประชุม จริงๆ ก็แค่การประชุมฟังผลว่าลูกค้าจะเลือกโปรเจ็คไหนเพราะผ่านการพรีเซ้นท์ให้ลูกค้าดูมาแล้วสองวัน


“เห็นลูกเป็นแบบนี้แล้วแม่ไม่สบายใจเลยนะซัน” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมหยุดมือที่กำลังจัดของอยู่ หันไปมองหน้าแม่นิ่งๆ ก่อนจะเก็บของต่อโดยไม่พูดอะไร


“แม่ได้ยินว่าพ่อเขาจะเข้าไปฟังผลด้วย” แม่บอกต่อ


“คงจะไปรอดูความพ่ายแพ้ของลูกนอกไส้อย่างผมมากกว่า” ผมต่อคำ


“แม่ไม่อยากให้ลูกอคติกับพ่อนะซัน พ่อกับแม่สร้างทุกอย่างมาก็เพื่อลูก ลูกคือความหวังเดียวของเรา แม่รักซันนะ”


“...”


“ถ้ากลับมาแล้วแม่จะให้ป้านมทำอาหารที่ลูกชอบไว้ให้ แม่ดีใจที่ช่วงนี้ลูกกลับมานอนที่บ้านเรานะ” ใบหน้าสวยพูดต่อ


“ผมถามได้มั้ยว่าระหว่างความสุขของผมกับความสบายใจของแม่”


ผมเว้นวรรค แล้วสบตาผู้ให้กำเนิด


“แม่จะเลือกอะไร”


แม่ชะงักอึ้งกับคำถามของผม


“แม่บอกผมว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ใช่มั้ยครับ” บอกไม่ถูกว่าผมอยากได้คำตอบแบบไหนมากกว่ากัน


“แม่ไม่กวนลูกแล้วดีกว่า ขอให้ชนะนะลูก วันนี้แม่มีประชุมที่สมาคมคงไปด้วยไม่ได้ แล้วแม่จะเอาใจช่วยนะ” แม่เม้มปากก่อนจะเอ่ยตัดบท ผมหัวเราะในลำคอขื่นๆ มองตามร่างเพรียวที่เดินออกจากห้องไป


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมนั่งตรวจความเรียบร้อยของเอกสารและความเรียบร้อยของตัวเอง เมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลาจึงคว้าเอาทุกอย่างมาไว้ในมือพร้อมกับกดปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเอง ที่เปิดค้างไว้ที่หน้าเฟสบุ๊คส่วนตัวของไอ้คนที่มันหายไป


“พี่ซัน” เสียงหวานร้องทักเมื่อเห็นผม พลางลุกขึ้นเดินมาหายิ้มๆ


“อ้าวมาได้ไง” ผมถาม ฟ้าในชุดทำงานสบายๆ เดินมาหยุดตรงหน้าผม ใบหน้าหวานถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางเบาจนเหมือนไม่ได้แต่งแต่กลับขับให้ใบหน้าหวานดูมีชีวิตชีวาน่ามองกว่าวันธรรมดา


ฟ้าย่นจมูกงอนๆ แล้วตอบ “วันนี้เป็นวันสำคัญฟ้าจะพลาดได้ไงล่ะคะ อีกอย่างคุณป้าบอกว่าอยากให้ฟ้าไปเป็นตัวแทนคุณป้าเพราะวันนี้ท่านติดธุระ พี่ซันไม่ต้องห่วงนะจากที่ฟ้าฟังจากคุณพ่อเล่า งานของพี่ซันน่ะถูกใจคุณอาวินิตมากเลยค่ะ วันนี้พี่ซันของฟ้าต้องชนะแน่ๆ” พ่อของฟ้าเป็นเพื่อนกับคุณวินิตว่าที่ลูกค้าของผม


“เวอร์แล้วเรา” ผมตอบขำๆ


“เวอร์ตรงไหน ดูพี่ซันสิ เห็นว่าปิดเทอมก็โหมงานหนักเลยนะคะหมดหล่อแล้วเนี่ย เพื่อเป็นการให้รางวัลวันนี้ฟ้าจะเสียสละให้ยืมควงหนึ่งวันด้วยความเต็มใจ อ่อ คุณลุงท่านล่วงหน้าไปก่อนแล้วนะคะ” น้องฟ้าพูดพลางยืดแขนตัวเองมาให้ผมคล้องแขนตัวเอง ผมพยักหน้ารับคำแล้วยีหัวเขาอย่างเอ็นดู


“คุณซันจะทานอะไรหน่อยมั้ยคะ ป้าจะได้ให้เด็กๆ เตรียมให้” นมเดินเข้ามาถามพลางยื่นมือมาช่วยถือของในมือผมตามปกติ


“ไม่ล่ะครับคิดว่าจะออกไปเลย” ผมส่ายหัวแล้วตอบ ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกคนที่ยังไม่ได้ถาม


“เอ้อ...น้องฟ้าจะทานก่อนมั้ย”


“โธ่นึกว่าลืมฟ้าไปแล้ว ไม่ล่ะค่ะพี่ซันไม่ทานฟ้าก็ไม่ทานเหมือนกัน เมื่อเช้าตุนไว้เยอะแล้วค่ะสบายมาก” น้องฟ้าตอบผมงอนๆ เลยได้แต่หัวเราะเป็นการขอโทษเธอแทน


“งั้นไปกันเลยดีกว่า” ผมเอ่ยชวนคนข้างตัว ก่อนจะเดินนำไปที่รถคันโปรดของตัวเองที่ไม่ค่อยได้เอาออกมาใช้เลยตั้งแต่อยู่กับบีทส์


“สวัสดีค่ะคุณอา” ฟ้าเอ่ยทักคุณวินิตพร้อมกับยกมือไหว้ ขณะที่เราเจอกับคณะของคุณวินิตที่หน้าลิฟท์สำหรับแขกสำคัญหรือสำหรับผู้บริหารเท่านั้น


คุณวินิตคือเจ้าของโปรเจ็คที่จะมาจ้างบริษัทของผมไปก่อสร้างอาคารสาขาใหม่ที่เวียดนาม โดยให้โจทย์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของท่านมาให้เรา ทางคณะกรรมการบริษัทจึงมีความเห็นว่าอยากให้ผมลองแสดงฝีมือ เพราะประจวบเหมาะกับช่วงที่ผมกำลังว่าง


“อ้าวหนูฟ้า มาได้ยังไงลูก” คุณวินิตหันมารับไหว้ก่อนจะเอ่ยทักคนข้างตัวผม พลางหันมามองผมกับน้องฟ้ายิ้มๆ ผมจึงยกมือไหว้บ้าง


“ฟ้ามากับพี่ซันค่ะ นี่พี่ซันค่ะคุณอา ลูกชายคนเดียวของคุณลุงศิระคุณอาคงได้เจอกับพี่ซันแล้วใช่มั้ยคะ” ฟ้าแนะนำผมอย่างคล่องแคล่ว


“แน่นอนสิ อาชอบงานของเขามาก หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะเจ้าหลานชาย” คุณวินิตตอบรับยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปยังห้องรับรองที่คุณอาทวีเตรียมไว้เพราะยังไม่ถึงเวลานัด


“พี่ซันคะเดี๋ยวฟ้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฟ้าหันมากระซิบบอกผมขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรอง เพราะผมยังไม่มีตำแหน่งแน่นอนเลยยังไม่มีห้องประจำเป็นของตัวเอง
   

“ให้พี่ยืนรอมั้ย”
   

ฟ้าส่ายหัว “เดี๋ยวฟ้าถามพี่ๆ เอาก็ได้ค่ะว่าพี่ซันอยู่ห้องไหน”
   

ผมยิ้มรับ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง


“โอ๊ะโอ ดูสิกูเจอใคร” เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินเอ่ยทักกวนๆ ไอ้เจยืนกอดอกมองผมยิ้มๆ ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังที่ผมเพิ่งเดินจากมาแล้วเลิกคิ้วเยาะเย้ย


“...”


“เส้นใหญ่ไม่เบาเลยนี่หว่า” ไอ้เจยั่วต่อเมื่อเห็นผมเงียบไม่สนใจมัน


“ถ้าครั้งนี้กูแพ้กูจะไม่แปลกใจเลยนะเนี่ย ฮ่ะๆ คราวนี้เลือกได้หรือยังล่ะว่าใครที่ช่วยให้งานของมึงก้าวหน้าได้มากกว่า” ไอ้เจแสยะยิ้ม แล้วเข้ามากระซิบด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามเหมือนมันไปรู้อะไรมา ผมขมวดคิ้วไปกับคำพูดของมัน


เป็นธรรมดาที่เวลาเจอกันมันต้องปล่อยคำพูดเน่าๆ ออกมาสาดใส่ผม อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อกี้นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มันชอบเอามาหยิบยกเป็นประเด็น แต่เรื่องอย่างหลังนั่นมันหมายความว่ายังไง


“มึงหมายความว่าไง”


“หึ ก็หมายความตามที่พูด มึงควรขอบคุณพี่ชายอย่างกูไว้นะซันที่ช่วยเร่งให้มึงเลือกได้เร็วขึ้น ฮะๆ” ไอ้เจหัวเราะพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะเดินมาตบไหล่ผมแล้วเดินเลยไป


ผมหันไปมองไอ้เจจนสุดสายตาก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดออกไป เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ ผมไม่อยากพลาด เพราะอย่างน้อยถ้าผมทำได้ดีในงานแรก แม่ผมอาจจะมองผมต่างออกไปก็ได้


“ผมขอเปิดประชุมเลยนะครับถึงแม้ว่าครั้งนี้ผมจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ก็ตาม คุณวินิตไม่ต้องเกรงใจอะไรผมนะครับ ว่าไปตามเนื้องานได้เลยเพราะยังไงทั้งสองก็ถือเป็นลูกผมทั้งคู่” ผมนั่งนิ่งฟังผู้เป็นบิดากล่าวต้อนรับและเปิดบทสนทนา อย่างที่ทุกคนรู้งานนี้ไม่ใช่โปรเจ็คใหญ่ แต่ก็มีความสำคัญในเรื่องของอำนาจภายในของบริษัท


“ครับคุณศิระ หลังจากที่ทางเราได้ร่วมปรึกษาหารือกันมาแล้ว เรามีความสนใจในเนื้องานของคุณเจติวัฒน์ในเรื่องของโครงสร้างที่มีความก้าวล้ำทันสมัยและแปลกใหม่” น้องฟ้าหันมามองหน้าผมหลังจากฟังคำพูดของคุณวินิตที่มีความเอนเอียงไปทางอีกฝ่ายที่ไม่ใช่ผม ก่อนที่มือนุ่มจะยื่นมือจับมือผมที่วางอยู่บนหน้าตักพลางบีบเบาๆ ให้กำลังใจ ผมเลื่อนสายตาไปที่ไอ้เจที่เลิกคิ้วมองผมยิ้มๆ แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างมั่นใจ


ผมไม่เก็บมาใส่ใจ เหลือบมองหัวเรือใหญ่ของธีระกรุ๊ป ที่กำลังนั่งยิ้มฟังคุณวินิตพูดอย่างอารมณ์ดี หึ


“ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้คุณเจติวัฒน์ที่ออกแบบมาได้สวยงามมาก คุณสอนลูกมาได้ดีจริงๆ” คุณวินิตพูดต่อยิ้มๆ ไอ้เจยกมือไหว้ขอบคุณคำชม คุณลุงที่นั่งข้างๆ ลูกชายตัวเองยกมือขึ้นมาตบบ่ามันอย่างชื่นชมในผลงานของลูกชายตัวเอง


“แต่เพราะงานชิ้นนี้คอนเซ็ปต์ของเราต้องการงานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ประยุกต์เข้ากับความโมเดิร์นแบบสมัยเก่าที่เน้นไปที่ความเรียบง่าย หรูหรา” คุณวินิตส่งยิ้มให้ทุกคน “ผมและทีมงานจึงขอเลือกงานของคุณศิวานนท์ที่สามารถผสมผสานทั้งสองอย่างให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนตรงกับคอนเซ็ปต์ ที่สำคัญลูกค้าของเราชอบมาก ทางเราเลยต้องการเซ็นสัญญาเลยภายในวันนี้ ยินดีด้วยนะคุณศิระลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ” คุณวินิตเอ่ยชมพ่อ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือดังลั่น ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งตัวให้กับทุกคนเล็กน้อยแล้วนั่งลงตามเดิม คุณอาทวียิ้มให้ผมอย่างภูมิใจ


“ยินดีด้วยนะคะพี่ซัน เล่นเอาตกใจหมดเลย” น้องฟ้าขยับมากระซิบด้วยความตื่นเต้น ผมยิ้มรับคำยินดี ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ไอ้เจที่มองมาอย่างหัวเสีย เพราะมันเองก็หวังกับงานนี้ไว้สูงเหมือนกัน


“ต้องขอบคุณคุณวินิตครับที่เอ็นดูลูกชายผม” พ่อหันไปรับคำชม ก่อนจะตอบกลับอย่างถ่อมตัวตามมารยาท


“ไม่ได้ๆ ความสามารถของเขาทั้งนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเลย” คุณวินิตตอบ


“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้ฝ่ายกฏหมายจัดการเรื่องสัญญาต่อเลย หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะคุณวินิต” พ่อพูดต่อก่อนหัวเรือใหญ่ทั้งสองจะยกไวน์ขึ้นมาชนกัน ตามด้วยทุกคนในห้องที่ปรบมือเสียงดังก้องไปทั่วห้อง


ผมลุกขึ้นเมื่อทุกคนเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมก่อนจะเซน้อยๆ น้องฟ้าเข้ามาช่วยประคอง


“ฟ้าก็ว่าแล้วทำไมหน้าซีดๆ ไม่สบายทำไมไม่บอกคะ” น้องฟ้าเอ็ดเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบเล็กมาถือ ผมนวดขมับเพราะรู้สึกปวดจี๊ดมาตั้งแต่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้แล้ว


“พี่ไม่เป็นไร”


หมดเวลาสนุกของมึงแล้วบีทส์


[มีต่อหน้า 7]


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด