☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61  (อ่าน 43777 ครั้ง)

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]


[พิงค์]
   

“จะนั่งมองอีกนานมั้ย ไม่รับให้มันจบๆ ไปวะ” เสียงห้าวๆ เอ่ยถามพลางยื่นเท้ามาเขี่ยขาพิงค์อย่างหยาบคาย หันไปมองหน้ามันค้อนๆ แล้วสะบัดหน้าใส่มันหนึ่งที
   

“กูเครียดอยู่นะโว้ย ประสาทกูจะแดกแล้วเนี่ย” นั่งมองจอโทรศัพท์ที่ดับไปอีกครั้ง ก่อนจะสั่นอีกครั้งด้วยเบอร์เดิมๆ ที่โทรเข้ามา อ๊าย ช่วงนี้ชีวิตพิงค์มันอยู่ในเกณฑ์ดวงตกรึยังไง!
   

“เงียบๆ ดิจะอ่านการ์ตูน” กรี๊ด พิงค์อยากจะกรี๊ด อิคนใจดำ!!
   

“มึงไม่คิดจะช่วยกูเลยนะนัท ไม่ช่วยแล้วยังจะซ้ำเติม” ค่ะ ได้ยินไม่ผิดหรอก ตอนนี้พิงค์นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงไอ้นัท ถ้าถามว่าคืนดีกันได้ยังไงต้องยกความดีความชอบให้กับมีน สาวสวยสุดที่รักของไอ้นัทที่เป็นคนเข้ามาประสานรอยร้าวระหว่างเรา เอ้ย ระหว่างพวกเราสามคนให้
   

แต่ไอ้นัทก็ยังเป็นไอ้นัท มันไม่หือไม่อือกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่ซันกับอิบีทส์ แต่จะเลิกโกรธเกลียดในสิ่งที่อิบีทส์ทำ หลังจากที่มันยอมรับฟัง ย้ำ!! ยอมรับฟังความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากพี่ซัน
   

“มึงคิดว่ามันจะเลิกแน่เหรอ” ไอ้นัทเปิดปากถาม คนสวยได้แต่ส่ายหัวส่งไปให้ กูไม่รู้โว้ย ถ้ารู้กูจะกลุ้มแบบนี้มั้ย ตอบ!!
   

“มันตั้งใจว่าจะเลิก”
   

“แล้วอีกฝ่ายเขายอมเหรอ” ไอ้นัทถามต่อพลางลดหนังสือการ์ตูนลงแล้วมองพิงค์ลอดแว่น โอ๊ย ถ้ายอมเลิกดีๆ จะโทรจิกกูทุกวันแบบนี้มั้ยคะเพื่อน!!
   

“กูไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน นั่นก็เพื่อน นี่ก็สุดที่รักกู” พิงค์ตอบเสียงเครียด เรื่องที่เพื่อนตัวเองเจอมาเกี่ยวกับพี่รหัสมันกับคุณนายแม่ผัว พิงค์ก็ไม่กล้าเล่าให้พี่ซันฟังเพราะอิเพื่อนรักมันสั่งนักสั่งหนาว่าห้ามบอกเด็ดขาด แล้วแบบนี้กูควรทำยังไง หนีไปอีกคนซะเลยดีไหม
   

“ฮะๆ พี่มันกัดไม่ปล่อยเลยว่ะ” ไอ้นัทพูดขำๆ
   

“เออ กูก็ไม่คิดว่าพี่ซันจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่พี่มันจะไปหาคนดีๆ กว่าอิบีทส์ก็ได้ ทั้งคนใกล้ตัวและคนไกลตัวอื่นๆ อีกเยอะแยะ” ที่พูดไปนั้นไม่ได้เป็นการประชดประชันแต่อย่างใด แต่กลั่นออกมาจากใจล้วนๆ ค่ะ
   

“คนของเราก็คงสับสนน่าดู กว่าจะตัดสินใจทำแบบนี้ได้” ไอ้นัทออกความเห็นบ้าง พิงค์ยิ้มเมื่อเห็นแววตาหวั่นไหวจากมัน ก็เมื่อก่อนคนที่คอยปกป้องบีทส์มันก็ไอ้นัทนี่แหละโอ๋ยิ่งกว่าลูก
   

“เออเนี่ยมีแต่เรื่อง กูล่ะกลุ้มแทน” พิงค์บ่นหน้าเครียด
   

“มันอาจจะเป็นผลจากการกระทำของมันก็ได้ บีทส์มันแย่งของๆ คนอื่นมานะมึง อีกอย่างมันก็เข้าข่ายทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ถ้ามันจะโดนคืนบ้างก็คงต้องยอมรับตามนั้น แต่นี่ก็ยังถือว่าโชคดีที่คนของมันยังมั่นคงไม่ยอมปล่อยให้จบง่ายๆ” ไอ้นัทออกความเห็น พิงค์พยักหน้ารับเนือยๆ แม้จะนึกแย้งอยู่ในใจว่าเวรกรรมบ้าบออะไร เรื่องของความรักมันบังคับให้ใครรักใครไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจอคนที่ใช่กว่าแล้วเลิกรากันไปเพื่อมาคบอีกคนมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ
   

“ก็คงจะอย่างนั้น แต่กูก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้หรอกนะเว่ยเพื่อนทั้งคน”
   

“แล้วน้องมันว่าไงบ้าง” ไอ้นัทถามต่อพิงค์ถอนหายใจอีกครั้ง ไบร์ทจะว่าอะไรได้
   

“อีกไม่กี่วันบีทส์มันก็ต้องกลับมาเผชิญความจริงอยู่ดี” ไอ้นัทว่าเสียงเรียบ พลางหยิบคุกกี้ใส่ปากชิวๆ แล้วใช้หลังมือดันแว่น
   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   

“ไปเปิดดิ” ไอ้นัทเอาขาเขี่ยตัวพิงค์อีกที โอ๊ยอินี่กูเพื่อนมึงนะ!
   

“นัทมีรุ่นพี่มาหา” หลังจากเดินไปเปิดประตู แม่ไอ้นัทก็ยื่นหน้ามาบอก พิงค์กับไอ้นัทหันมามองหน้ากันงงๆ รุ่นพี่ที่ไหนวะ รู้จักบ้านไอนัทด้วย
   

“ซวยแล้วมึง” หลังจากก้าวขาเดินนำไอ้นัทลงบันไดไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็ต้องรีบถดขากลับ หลังจากเห็นบุคคลที่เป็นรุ่นพี่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกอยู่สองคน เก่งจังเลยตามหากูเจอด้วย ไม่ๆๆ ไม่ใช่เวลามาชื่นชม กรี๊ด!!
   

“พิงค์” ฮือ อย่าเรียกพิงค์...พิงค์ไม่รู้ พิงค์ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อุตส่าห์หนีมาอยู่บ้านไอ้นัทแล้วยังตามเจออีก โอ๊ย คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย
   

“มีอะไรวะ” ไอ้นัทเลิกคิ้วถาม
   

“นัทถ้ากูโดนบีบจนตาย มึงอย่าลืมเผารูปผู้ชายส่งไปให้กูด้วยนะ” พิงค์บอกมันเสียงสั่นๆ ไอ้นัทส่ายหัวหน่ายไม่สนใจ
   

“อ้าวพี่ซันมาได้ยังไงพี่” ไอ้นัทชะเง้อมองไปทางด้านหลังของพิงค์แล้วร้องทัก ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังพิงค์ หนีไม่ทันแล้ว ฮือ ตายแน่กู
   

“เอาล่ะ...มานั่งคุยกันดีๆ นะ” พี่ซันเกริ่นเสียงเข้ม หลังจากที่พิงค์ทำท่าจะนั่ง โอ๊ย ตูดยังไม่ถึงพื้นเก้าอี้เลยค่ะ จะทำเสียงโหดไปไหนพ่อสุดหล่อ!
   

“เอ่อ...พี่ซัน สวัสดีค่ะ พี่หมอสวัสดีค่ะ แหม...ยกกันมาถึงบ้านไอ้นัทขนาดนี้แสดงว่ามีธุระสำคัญกับไอ้นัทใช่มั้ยคะ เชิญเลยค่ะเชิญคุยกันตามสบายพิงค์จะไม่อยู่กวนให้รกหูรกตาเลยแม้แต่นิด” พิงค์ส่งยิ้มเกรงอกเกรงใจเตรียมถอนทัพ
   

“สามอาทิตย์มาแล้วนะ”
   

พิงค์ชะงักขา เหลือบมองพี่ซันแล้วก็ต้องหดหัว  สายตาพี่ซันบ่งบอกว่าความอดทนของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว ถ้ายังเล่นตัว อาจจะไม่ได้ตายดี หนาวสันหลังเลยค่ะแม่ขา ฮือ อ ยอมแล้วค่ะพิงค์ยอมนั่งแล้ว
   

“กว่าสามอาทิตย์ที่พี่ยอมอดทนรอเฉยๆ มันหมดเวลาแล้วพิงค์” พี่ซันขยายความ พี่หมอที่มาด้วยกันตบไหล่พี่ซันก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้นัทเลยทำท่าจะลุกตาม
   

หมับ!
   

“ปล่อยกู” ไอ้นัทกระซิบรอดไรฟัน เชี่ย อย่าทิ้งกูสิ กูเพื่อนมึงนะเว้ย ไอ้นัทพูดพลางแกะมือพิงค์ออกจากเสื้อมัน
   

“เอ่อ...แฮ่ๆ” ได้แต่หันมามองพี่ซันด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยน ไม่ตลกเลยเหรอ โอ๊ย กูไม่เอาแล้วนะอิบีทส์โหมดนี้ของพี่ซันมึงมาเจอเอง กูไม่เอาแล้ว
   

“พี่ไม่ได้มาคาดคั้นอะไรแค่ตอบคำถามของพี่ตรงๆ ก็พอ”


++++++++++++++++++++++++


[ซัน]
   

“มึงจะไปคืนนี้เลยเหรอ” เสียงไอ้อาร์ตถาม ผมพยักหน้ารับขณะกำลังจัดของใส่กระเป๋าลวกๆ ไม่ได้คิดจะเอาไปเยอะ กะว่าถ้าเจอตัวก็จะลากกลับมาเคลียร์กันที่กรุงเทพทีเดียวเลย
   

“ถ้าน้องมันเซย์โนขึ้นมาอีกล่ะ” ไอ้อาร์ตตั้งคำถาม มือที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ชะงักพร้อมกับใจที่หล่นฮวบไปอยู่ปลายตีน
   

“ถ้ามันมีเหตุผลมากพอกว่าที่มันเขียนลงในกระดาษหยาบๆ ใบนั้น กูอาจจะยอมฟังก็ได้” ผมหันไปตอบ
   

“หึ ไอ้คนดี ปากพูดดี แต่ตามึงไม่ได้บอกกูแบบนั้นเลย มึงพร้อมจะฟัดน้องมันทันทีที่เจอตัวด้วยซ้ำ” ไอ้อาร์ตดักทาง ผมแสยะยิ้มแล้วยักไหล่
   

“มึงจะขับรถไหวเหรอวะอดหลับอดนอนมาหลายวัน กูว่ามึงพักสักวันแล้วค่อยไปมั้ย กูไปด้วยไม่ได้เพราะมีเข้าเวร ไอ้สองก็ไปเฝ้าไอ้น๊อตมันเป็นไข้เลือดออก” ไอ้อาร์ตท้วง ผมส่ายหัวเพราะรู้ว่าตัวเองยังไหว อีกอย่างระยะทางจากกรุงเทพไปราชบุรีไม่ได้ไกลมากขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง
   

“ไม่เป็นไร กูขับไหว”
   

“งั้นถึงแล้วโทรบอกกูด้วยแล้วกัน ไบร์ทฝากบอกว่าถ้าเจอพี่เขาอย่าทำอะไรรุนแรง” ไอ้อาร์ตพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเอ่ยบอกถึงคำฝากฝังของแฟนมัน


“ทำไมทุกคนถึงพูดเหมือนกันขนาดนี้” ผมพูดขำๆ พลางนึกไปถึงคนที่ผมพึ่งไปคาดคั้นเอาคำตอบมา ก็พูดแบบนี้ก่อนที่ผมจะออกมา พิงค์ไม่ได้บอกอะไรมาก เจ้าตัวเพียงแค่ให้ที่อยู่ผมมาแล้วบอกว่าอยากรู้อะไรให้ไปถามกับบีทส์เอง


ผมได้แต่พยักหน้ารับส่งๆ โดยไม่รับปากหรือตอบรับคำขอ


“มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงหน้าโหดแค่ไหนตอนนี้” ไอ้อาร์ตชี้หน้าผม


“หึ…”



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
หึอาราย พี่ซัน ใจเย็นๆน้า

ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รู้สึกอ่านตอนนี้แล้วกลัวคนพี่จังเลย

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
แล้วไง ถ้าพี่ซันไปเจอบีสท์แล้วจะทำไง ถ้ารู้ว่านังฟ้างูพิษทำยังไงกับบรสท์แล้วจะจัดการได้ป่ะ ไปจัดการให้ได้ก่อนเหอะ :hao3:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 36 หนีแค่ไหนก็ไม่พ้นใจตัวเอง


[บีทส์]

   

ครืด...ครืด…


ผมมองสายเรียกเข้าที่ดังต่อเนื่องกันจนดับไปแล้วสองรอบ ก่อนจะดังขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สาม มีอยู่ไม่กี่คนหรอกครับที่รู้เบอร์ใหม่ของผม


เอาไว้ค่อยโทร.กลับก็แล้วกัน...


ตอนนี้ผมอยู่ที่รีสอร์ทแถวๆ จังหวัดราชบุรี เป็นกิจการส่วนตัวของ ‘เด็ก’ อิพิงค์ แน่นอนครับว่าการหายตัวไปของผมมีอิพิงค์เป็นผู้ร่วมขบวนการ! ที่จริงมันก็ไม่เห็นด้วย แต่เพราะเห็นว่าผมไม่มีที่ไป มันถึงแนะนำสถานที่แห่งนี้มา


ส่วนคนที่มาส่งผมน่ะเหรอครับ ก็...พ่อเทพบุตรสุดเวหาของผมไง ‘พี่ไม้’


ถึงจะเป็นคนรู้จักแนะนำมา แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ฟรีนะครับ ผมช่วยทำงานให้โดยไม่คิดค่าแรง ขอแค่ที่ซุกหัวนอนกับข้าวสามมื้อตอบแทนเท่านั้น


“เฮ้ย!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนจี้เอวจากทางด้านหลัง ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ประทุษร้ายตัวเองอย่างเอาเรื่อง
พอเห็นหน้าคนทำก็รีบวางไม้ที่อยู่ในมือลงอย่างไว


เกือบซวยล่ะ!


“โอ้โห…นี่กะจะฟาดให้ล้มตั้งแต่ครั้งแรกเลยใช่มั้ย” บุคคลที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพูดแซ็วขำๆ ผมยู่ปาก ก็กะจะฟาดอยู่เหมือนกันกวนตีนดีนัก


“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“อยู่ที่นี่มาสามอาทิตย์แล้วนะ ยังไม่ชินอีกเหรอเรา” เขาทำสายตาวิบวับ “เมื่อไหร่จะแทนตัวเองด้วยชื่อสักทีล่ะ พี่บอกว่าให้แทนตัวเองว่ายังไง”


เมื่อเห็นผมเงียบไม่ตอบ ก็เอานิ้วมาสะกิดไหล่ผม “แน่ะ...พูดด้วยแล้วยังจะมาทำหูลู่หางตกใส่อีก” โว๊ะ กูไปทำหน้าแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่โว้ย!


พี่เอก เป็นพี่ชายของพี่พีแฟนอิพิงค์ พี่แกอายุสามสิบแต่หน้ายังเด็กอยู่เลย พี่เอกเป็นผู้จัดการรีสอร์ท ความจริงก็เป็นเจ้าของน่ะแหละ ได้ยินจากพี่พีว่าพี่เอกจบเอ็มบีเอ ก็กลับมาดูแลธุรกิจครอบครัว ซึ่งก็คือรีสอร์ทที่นี่ต่อจากรุ่นพ่อแม่


หลังจากที่ผมคิดดีแล้วว่าจะถอยห่างออกมาจากพี่ซันแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมก็ตัดขาดจากทุกโซเชี่ยล มีส่งข้อความไปหาไบร์ทบ้างบางครั้งเพราะไม่อยากให้น้องเป็นห่วง


ครั้งแรกที่ผมติดต่อไป น้องดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ


...ไบร์ทจึงเป็นอีกคนนอกจากอิพิงค์ที่ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง


พอไม่ได้เจอ ไม่ได้อยู่ใกล้ ปิดการติดต่อทุกช่องทางกับพี่ซัน บอกตามตรงมันก็พอจะช่วยให้ผมเข้มแข็งขึ้น มือที่เคยชินกับการนอนกอดใครสักคนก็หันไปกอดหมอนข้างแทน ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ (แม้จะไม่อุ่นเท่ากอดคนก็ตาม)


“ลองแทนตัวเองว่าบีทส์สิ”


ผมเงยหน้ามองเจ้านายตัวเอง แสร้งฉีกยิ้มกว้างๆ ให้


“ถ้าไม่มีอะไร ผมไปช่วยพี่ๆ เขายกกระเป๋าก่อนนะครับ ได้ยินว่ามีกรุ๊ปทัวร์มาลงนี่” ผมรีบชิ่ง อยู่กับพี่แกประสาทจะแดกครับพูดเก่งเกิ๊น ถามอยู่นั่นแหละขนาดคนพูดมากอย่างผมยังดูพูดน้อยไปเลยเมื่ออยู่กับพี่แก


ด่านะครับ ไม่ได้ชม


พี่เอกรั้งแขนผมไว้ “เดี๋ยวๆ มีสิ พี่ว่าจะให้ไปช่วยเลือกต้นไม้มาปลูกที่สวน ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย”


ผมรีบออกตัว “แต่ผมเลือกไม่เป็นนะพี่” คือมันไม่ถนัด ไม่ใช่ทางของผมเลย ถ้าให้ใช้แรงงานอะไรแบบนี้พอได้


“เออน่า เดี๋ยวพี่สอน”


พี่เอกรั้งแขนผมให้เดินตามไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้ารีสอร์ท


พอขึ้นรถได้ผมก็ได้แต่มองออกไปทางนอกหน้าต่าง การมองวิวข้างทางแล้วนั่งเงียบๆ มันก็ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะครับ ถ้าไม่มี…


“เออบีทส์ พี่ถามเราหลายครั้งแล้วว่าเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้างที่คณะมีคนมาจีบเราบ้างมั้ยไหนๆ ก็จะอยู่อีกแค่ไม่กี่วันตอบพี่หน่อยเถอะ”


นั่นแหละครับ เสียงพี่เอกที่คอยถามนู่นนี่ การเจอพี่แกทำให้ผมกลับมามองตัวเองเลยว่าเคยทำให้ใครรำคาญเหมือนพี่แกบ้างไหม


“ไม่หรอกครับ” ผมตอบแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ รอบแล้วจริงๆ นะ


“ทำไมคนน่ารักถึงชอบใจร้ายกันนักน๊า” พี่เอกทำเสียงเสียอกเสียดาย จนน่าหมั่นไส้ก่อนจะหัวเราะชอบใจเมื่อผมทำหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ ผมถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะปลดที่คาดเข็มขัดเมื่อถึงร้านขายต้นไม้ร้านใหญ่ พี่เอกก็ตบไฟเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้าน


“วันนี้อยากได้ต้นอะไรครับ” พี่คนขายรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นผมกับพี่เอกเดินไปด้อมๆ มองๆ ตรงสวนดอกไม้ที่มีอยู่หลากหลายพันธุ์


“ขอเดินดูก่อนแล้วกันครับ” พี่เอกตอบยิ้มๆ แล้วเดินดูอย่างที่ว่า ผมเลยหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปดอกไม้ที่ตัวเองไม่เคยเห็น


“บีทส์...ดอกนี้สวยมั้ย” พี่เอกเรียกผม พลางยกต้นดอกไม้ขึ้นมาชู ผมเลยเดินเข้าไปหาพี่เอกเพื่อดูใกล้ๆ


“สวยดีครับ ถ้าปลูกเยอะๆ คงจะสวย” ผมออกความเห็น


“รู้มั้ยว่าดอกไม้ชนิดนี้มันหมายถึงอะไร” พี่เอกถาม จะวัดความรู้ผมเหรอครับพี่ บอกเลยนะว่าไม่มี


“ใครจะไปรู้ล่ะ พี่รู้เหรอ” ผมถาม พี่เอกพยักหน้ารับอวดๆ


“ดอกลาเวนเดอร์หมายถึงการรอคอยอย่างมีความหวัง” พี่เอกตอบ ผมชะงักแล้วเม้มปากเมื่อฟังความหมายของดอกไม้ชนิดนี้จบ
‘พี่ซันออกตามหามึงทุกที่ ที่คิดว่ามึงจะไป’


‘...ถามทุกคนที่รู้จักมึง...’


มันทำให้ผมคิดถึงใครบางคนที่ผมหนีเขามา


“บีทส์...บีทส์” พี่เอกเรียกผมแล้วยื่นมือมาแตะที่ไหล่


“เอ่อ...ครับ”


“เหม่ออีกแล้ว” พี่เอกแซ็วยิ้มๆ แล้วยื่นมือมายีหัวผม จนผมต้องเอียงคอหนี


ไม่ใช่เด็กนะเว้ย!


“พี่คิดว่าความรักมันมีอยู่จริงมั้ย” ผมถามคนข้างๆ ที่กำลังเลือกพันธุ์ดอกไม้อยู่ พี่เอกหันมาเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าคิด


“ถ้าถามพี่…พี่ว่ามันมีอยู่จริงนะ แต่จะเจอเมื่อไหร่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วเราล่ะที่หนีมาแบบนี้หวังให้ใครสักคนตามหาอยู่รึเปล่า”


“...”


ผมเงียบ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะใช่ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้หนีเพื่อให้พี่มันตามหา แต่ผมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของพี่ซัน ทั้งเรื่องงานเรื่องครอบครัวของพี่ซัน ถ้าไม่มีผมสักคน พี่ซันจะก้าวหน้าได้มากกว่านี้


ความรักที่ไร้สาระกับผมมันคงไม่จำเป็น ถ้ามีผมคนเดียวที่เจ็บ แล้วทำให้ปัญหาของพี่ซันหมดไปผมก็จะยอมแลกมัน


“พี่ครับเอาลาเวนเดอร์ห้าร้อยต้น” เมื่อเห็นผมเงียบ พี่เอกเลยหันไปสั่งต้นไม้แทน ก่อนที่พี่มันจะยอมเงียบไม่ถามอะไรอีก


“กินมั้ย” พี่เอกถามพลางยื่นไอติมโคนมาให้ผม หลังจากเดินไปจ่ายค่าต้นไม้ที่พี่มันสั่งแล้วเดินกลับมาพร้อมไอติมโคนสองมือ ผมยกมือไหว้ก่อนจะลงมือจัดการเขมือบลงท้องเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวซะเหลือเกินชักไม่แน่ใจว่านี่ประเทศไทยหรือกระทะทองแดง


“นี่จะไม่บอกพี่จริงๆ เหรอว่าหนีอะไรที่กรุงเทพฯ มา” พี่เอกหันมาถามระหว่างรอให้ร้านขนต้นไม้ขึ้นท้ายรถ ผมใช้หมวกใบใหญ่พัดไปมาเพื่อไล่ความร้อน


“พี่เอกเคยรักใครสักคนมั้ย...ความรักจริงๆ มันเป็นยังไงเหรอ”


+++++++++++++++++++


“อ้าวพี่...มีแขกเข้ามาพักด่วนเหรอ” ผมเอ่ยปากถามพี่พนักงานที่กำลังจะเดินสวนทางกับผมก่อนจะชะเง้อมองไปยังเค้าเตอร์ ที่มีพี่เอกประจำการอยู่


วันนี้ผมช่วยพี่เอกลงแปลงดอกไม้ทั้งวันก่อนจะแยกไปอาบน้ำ แอบงีบได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ตื่น เพราะใกล้ได้เวลาอาหารเย็น


รีสอร์ทของพี่เอกไม่ใหญ่มากครับ มีบ้านแยกเป็นสัดส่วนประมาณสิบหลังได้แบ่งตามราคา อยู่ส่วนตัวหน่อยก็แพงกว่าหลังที่อยู่ด้านหน้า ส่วนผมพักที่ห้องคนงานครับอยู่ลึกเข้าไปอีกนู่นแน่ะ


ห้องครัวของรีสอร์ทจะอยู่ถัดจากเรือนรับรองไป สะดวกต่อการทำอาหารให้ลูกค้าที่มาเข้าพัก


“ใช่จ้ะ มาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้จองไว้ ดีนะที่ยังมีห้องว่าง กำลังจะไปทานข้าวเหรอบีทส์” พี่สาตอบผมยิ้มๆ หัวใจผมกระตุกวูบเมื่อได้ยินคำว่ากรุงเทพ


แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจผมสั่นไหวขนาดนี้ แล้วถ้าอีกไม่กี่วันต้องกลับไปเผชิญหน้ากันจะไหวเหรอวะไอ้บีทส์เอ้ย


“ครับพี่สา งั้นผมไปนะ”


ผมเดินเลี่ยงไปยังห้องครัว ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าคนงาน ทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อกินข้าวพร้อมกันตามเวลา พวกพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ที่เป็นคนงานต่างก็เป็นคนในละแวกนี้ทั้งนั้นครับ เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครนอนค้างที่รีสอร์ท บ้านพักคนงานเลยค่อนข้างเงียบเหงา แต่ปลอดภัยนะ ฮ่าๆ


“โห...วันนี้มีแกงสายบัวด้วยเหรอครับเนี่ย น่ากินมาก” ผมทำตาโตหลังจากที่ไปช่วยป้าๆ เขายกกับข้าวออกมาตักวางเรียงกันไว้ที่โต๊ะกินข้าวขนาดสำหรับสิบคน พี่สาที่เดินตามมาสมทบหัวเราะกับความโอเวอร์แอคติ้งของผม


“ชอบก็ทานเยอะๆ นะพ่อหนุ่ม ตัวเล็กเหลือเกิน ป้าล่ะหวั่นใจกลัวจะปลิวไปกับลม” ป้าแม่ครัวแซ็ว ทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะเฮฮา เห็นด้วยกับสิ่งที่ป้าบอก


ผมยู่ปาก


 “ผมทานเยอะนะครับป้าแต่ไม่อ้วน ไม่รู้ทไมเหมือนกัน” ผมแก้คำ ก่อนจะนั่งหัวเราะไปกับมุกตลกๆ ของพี่ๆ ที่คุยกันไปกินข้าวกันไป บางคนก็หยิบเอาเรื่องของเจ้านายอย่างพี่เอกมาเล่ากันขำๆ ในวงข้าว


“ขอบคุณนะครับป้า” ผมบอกหลังจากกินข้าวอิ่ม แรกๆ ที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมอาสาที่จะล้างจานให้ทุกคน แต่พอล้างทีไรก็ทำให้ทรัพยากรจานชามร่อยหรอเพราะใจลอยทำจานชามหลุดมือ พี่สาถึงกับออกปากว่าขอให้กินเสร็จแล้วผมเดินกลับห้องไปซะจะเป็นบุญคุณมาก ผมเลยจำใจต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับจานชามที่เสียไปผมก็ทำงานชดใช้ให้นะครับเพราะพี่เอกแกตามมาบ่นทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน จู้จี้สุดๆ เลย


ผมมองบ้านพักหลังวีไอพีที่เปิดไฟสว่างจ้า เป็นบ้านที่อยู่ห่างออกมาจากทุกหลัง แถมยังหลังใหญ่กว่าเพื่อนมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กด้วย ผมเคยถามพี่เอกเขาบอกว่าคืนล่ะเป็นหมื่นแน่ะ ‘แขกใหม่น่าจะกระเป๋าหนักอยู่’


“ทานข้าวแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูทัก ผมหันไปยิ้มก่อนจะลูบท้องโชว์พี่เอกที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงสามส่วน เดินมาจากเรือนรับรอง


“ครับ…อยู่ที่นี่นานๆ ผมคงอ้วนเข้าสักวัน” ผมตอบยิ้มๆ


“รู้มั้ยว่าเราทำให้พี่นึกถึงใครบางคน” พี่เอกถาม ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ผมหันไปเลิกคิ้ว คงกำลังนึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่ล่ะสิ นี่แหละน๊า…อารมณ์เปลี่ยวของผู้ใหญ่วัยสามสิบ ฮ่าๆ


“เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ”


“เหมือนเราเลย” เขาหันมายิ้ม “ชอบวิ่งหนีปัญหาแล้วก็ชอบตัดสินใจเอง คิดเองเออเองอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นคนที่สดใส ใครเจอก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ”


“ไปฟังเรื่องผมมาจากอิพิงค์ล่ะสิ” ผมแกล้งย่นจมูก พี่เอกหลุดขำ แสดงว่าจริง


อิพิงค์เพื่อนรักเผากูให้คนอื่นฟังเหรอ!


ผมได้แต่แอบก่นด่าเพื่อนในใจ เอาไว้กลับไปเจอตัวเป็นๆ ค่อยจัดการ ผมยืนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศกับพี่เอกสักพัก ก่อนจะขอตัวแยกออกมาเพราะอากาศเริ่มเย็น


ผมเดินทอดน่องกลับห้องพักไปเฉี่อยๆ อยู่ที่นี่ทำให้ผมมองเห็นดาวกับพระจันทร์ชัดมาก อากาศก็บริสุทธิ์ คนก็ใจดี ชักไม่อยากกลับแล้วสิ


“อ๊ะ!”


ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่ออยู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้ สอดตัวเข้ามาทางด้านหลังเพื่อประชิดตัวผมแล้วใช้มือปิดปากผมไว้แน่น มืออีกข้างรวบเอวผมไว้ไม่ให้วิ่งหนี


“อื้อ!! อ่อยอ๊ะ!!!!” ผมร้องสุดเสียงแล้วดิ้นสุดแรงหวังให้หลุด ใครมันเล่นบ้าอะไรวะ กลัวนะเว้ย!!


“คิดว่าจะหนีกูพ้นรึไง”


กึก…


น้ำเสียงเหยียบเย็นที่ข้างหูทำให้อาการดิ้นของผมหยุดชะงัก ก่อนจะรีบหันขวับไปมองด้านหลัง ไฟทางเดินที่เปิดไว้เพื่อนำทางทำให้ผมเห็นใบหน้าบุคคลที่ถือวิสาสะกอดผมอยู่ชัดเจน


ใบหน้าผมห่างกับเขาไม่ถึงคืบ


“...”


“เห็นหน้ากูถึงกับช็อคพูดไม่ออกเลยเหรอหื้ม...ไอ้น้องบีทส์” พี่ซันยิ้มเยาะ


“กล้ามากนะที่หนีกูมาแบบนี้”


“อื้อ!!” ผมร้องประท้วงในลำคอให้อีกคนปล่อยทั้งที่หัวใจแทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่ผมกำลังตกใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอพี่มันที่นี่


“ถ้ามึงแหกปาก กูจะปล้ำมึงตรงนี้ให้คนอื่นเขาเห็นกันไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน ไม่ว่าใครหน้าไหน...จะเป็นชู้หรือกิ๊กของมึง กูก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!” พี่ซันกระซิบชิดใบหูผมเสียงเหี้ยม ก่อนจะลากให้ผมขยับตามไปทางบ้านที่เขาเปิดเข้าพัก


เมื่อถึงบ้านพักก็เปิดประตูในเสี้ยววินาที ก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปในตัวบ้านที่ผมเพิ่งจะชมไปหยกๆ ว่าแม่งสวยมากและเป็นส่วนตัวโคตรๆ


“มีอะไรจะพูดมั้ย?” พี่ซันถามเสียงเข้ม มุมปากอมยิ้มจนคล้ายแสยะยิ้ม ตาเข้มที่ปกติก็ดุอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งฉายชัดถึงความไม่พอใจ อาการหายใจแรงๆ ชี้ชัดว่าพี่มันกำลังโกรธมากแค่ไหนกับการกระทำของผม


“ม ไม่มีครับ ผมพูดไปหมดแล้ว” ผมกัดฟันตอบ ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาพังหมดแล้วอย่างไม่มีชิ้นดีตั้งแต่เจอหน้าพี่ซัน


ผมตอกย้ำตัวเองในใจว่าห้ามอ่อนแอ ถ้าเลือกที่จะเดินออกมาแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง อย่าลังเลให้ใครต้องเสียใจมากไปกว่านี้
พี่ซันต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่


“อยากจะเลิกกับกูอย่างงั้นเหรอ” พี่ซันเลิกคิ้วถาม


“...”
   

“มีคนใหม่แล้วอย่างงั้นเหรอ?” เขากดเสียงต่ำข่มขู่ “เงียบทำไม ตอบกูมาสิวะ!”
   

“พี่ก็เห็นแล้วนี่!!” ผมตอบกลับเสียงดังจนแสบคอ
   

“สะใจมั้ย”
   

ผมชะงัก ไม่เข้าใจคำถาม
   

“กูถามว่าสะใจมั้ย! ที่ทำให้กูรักแล้วมาปั่นหัวกูเล่นแบบนี้!!”
   

“ผม...” ผมอึกอัก ความเสียใจเต็มตื้นอยู่ในอก
   

พี่ซันเดินไล่ต้อนผมจนตอนนี้ยืนชิดกับผนังบ้าน ก่อนที่เขาจะถอดเข็มขัดหนังของตัวเองออก ตาจ้องผมเขม็ง
   

“พี่จะทำอะไร อย่าทำอะไรผมเลยนะ” ผมพูดขอร้องพี่ซันเลิ่กลั่กด้วยความกลัว พลางยกมือขึ้นมาไหว้คนตรงหน้าหวังเพื่อให้พี่มันใจเย็นขึ้นบ้าง “ผมขอร้องล่ะ”
   

“ฮ่ะๆ กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัว!”
   

“อ๊ะ!!” ผมร้องด้วยความเจ็บเมื่อพี่ซันรวบมือผมไว้ทั้งสองข้างก่อนจะออกแรงลากผมเข้าไปในห้องนอน แล้วเหวี่ยงร่างผมลงไปนอนตัวงออยู่บนเตียงขาวขนาดใหญ่ที่กินบริเวณเกือบทั้งห้อง นัยน์ตาคมดุของพี่ซันไม่มีวี่แววล้อเล่นจนผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ พยายามคิดหาวิธีให้อีกคนใจเย็นลง
   

ทำยังไงดี!
   

“พะ...พี่จะทำอะไร” ผมถอยกรูดเมื่อพี่ซันค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วก้าวขึ้นเตียงมา “เราอย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้นเรามาคุยกันดีๆ ดีกว่านะครับ!” ผมขยับถอยหนีจนชิดหัวเตียง
   

“โอ๊ย...พี่ผมเจ็บ อึก...” ผมร้องเสียงหลงเมื่อพี่ซันคว้าข้อเท้าผมไว้ข้างหนึ่งแล้วลากเข้าหาตัวจนลำตัวผมครูดไปกับเตียง เขาอาศัยช่วงที่ผมกำลังตกใจก้าวมานั่งคร่อมตัวผมไว้ด้วยขาสองข้าง มือหนารวบมือผมสองข้างขึ้นไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียวแล้วใช้มืออีกข้างมือผมไว้ด้วยเข็มขัด
   

“พี่ซัน!!!”
   

คนโดนเรียกไม่สนใจ เขารวบมือผมไว้แล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ “พูดอีกทีสิ มึงจะเลิกกับกูจริงๆ งั้นเหรอ?!” พี่ซันถามเสียงเข้มใบหน้าหล่อก้มลงมาแทบชิดกับหน้าผม หางตาผมเปียกชื้น พี่มันทำให้ผมกลัว
   

“บอกกูอีกทีซิ ว่าทำไมถึงอยากเลิก! ถ้ามึงมีเหตุผลที่ดีกว่าการปล่อยให้กูกลับไปมีชีวิตเหมือนอย่างที่ผ่านมา กูอาจจะยอมฟังมึงก็ได้” พี่ซันจ้องตาผมแล้วเค้นเสียงพูด  มือที่รวบข้อมือผมอยู่กำแน่น
   

“อย่าทำแบบนี้เลยนะ ผมกลัวแล้ว” ผมพยายามเอ่ยขอร้อง
   

“หึ ที่ผ่านมากูคงใจดีกับมึงเกินไปจริงๆ” พี่ซันบีบหน้าผมแน่นแล้วก้มลงกระซิบรอดไรฟัน “ถามกูสิว่าความหวังดีโง่ๆ ของมึง กูต้องการรึเปล่า!!”   
   

“ฮึก...พี่ หยะ...อย่าทำนะ” ผมร้องบอกเสียงสั่นเมื่ออีกคนใช้มือปลดกางเกงผมแล้วรูดลงไปกองที่หัวเข่า
   

“ฮะๆ ไม่ต้องกลัว ห้องมันเก็บเสียงกูเช็คแล้ว”
   

ผมเม้มปาก ข่มความกลัว แล้วพยายามกลั้นน้ำตาไว้   
   

“กูเคยบอกแล้วใช่มั้ย ถ้าอยากให้กูใจดีด้วยมึงต้องทำตัวยังไง สุดท้ายมึงก็ชอบให้กูร้ายใส่อยู่ดี มันก็ช่วยไม่ได้!” พี่ซันตะคอกก่อนจะยื่นมือไปรั้งกระเป๋าเป้ของตัวเองที่วางอยู่หัวเตียงมาค้นหาสิ่งที่ต้องการ แล้วเขวี้ยงกระเป๋าทิ้งไปอีกทาง
   

ผมส่ายหน้า “ฮึก...ไม่เอานะ”
   

พี่ซันจับผมนอนคว่ำโดยไม่ฟังคำร้องขอจากผม เขารั้งเอวผมขึ้นด้วยสองมือก่อนจะแยกขาผมให้กางออก ส่วนตัวเขาคุกเข่าตัวอยู่ตรงกลาง หน้าขาพี่ซันสัมผัสกับขาอ่อนของผม ผมสะอึกสะอื้นนอนแนบหน้าไปกับหมอนด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย
   

อย่างแรก...ผมรับรู้แล้วว่าพี่ซันเสียใจมากแค่ไหน
   

อย่างที่สอง...สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ผม...ไม่ได้เต็มใจ
   

“พี่ซัน ขอร้อง...ผมไม่เอาแบบนี้ อึก...” ผมเอ่ยขอร้องเสียงสั่น ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นกายที่ปัดป่ายอยู่บริเวณสะโพก พี่ซันเลิกเสื้อผมขึ้น ต่อด้วยสัมผัสหยาบโลนที่ลูบไล้และไล่ขบไปตามแผ่นหลังผมอย่างจาบจ้วง
   

“โอ๊ย!” ผมร้องด้วยความเจ็บ เมื่ออีกคนกัดเข้าที่แผ่นหลังของผมจมเขี้ยว ก่อนผู้สร้างรอยแผลจะใช้ลิ้นเลียวนไปรอบๆ รอยกัดจนผมรู้สึกวูบวาบที่หน้าท้อง
   

พี่ซันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งฟาดไปที่สะโพกของผม แล้วค่อยๆ แยกช่องทางด้านหลังของผมด้วยสองมือ
   

“พี่ซันไม่เอานะ ปล่อย!!” ผมร้องเสียงหลง แล้วดิ้นเท่าที่แรงของผมจะเอื้อ แต่พี่ซันจับยึดเอวผมไว้แน่น แล้วกดขาผมไว้กับเตียง
   

“กูจะทำให้มึงรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของมึง! จำเอาไว้ว่ามีแค่กูเท่านั้นที่มีสิทธิ์ ส่วนคนอื่น...อย่าหวัง!!”
   

“เฮือก! อื้อ...ไม่เอา โอ๊ย!” ผมเจ็บจนเกร็งไปทั้งร่าง รู้สึกเจ็บเสียดไปทั่วแผ่นหลังเพราะพี่ซันไม่ได้เปิดทางให้เหมือนอย่างเคย
   

พี่ซันค่อยๆ กดแก่นกายของตัวเองเข้ามาลุกล้ำบริเวณด้านหลังของผมแล้วถอนออกก่อนจะกดตัวเข้ามาใหม่ แต่เพราะผมเกร็งจนตอดรัดพี่มันแน่นจึงไม่ได้ดั่งใจคนเฮงซวย
   

“อย่าเกร็ง!” พี่ซันขู่รอดไรฟัน ก่อนจะก้มลงใช้ลิ้นไล่เลียไปตามแผ่นหลังผม มือหนาขยับมากอบกุมแก่นกายของผมไว้แล้วลูบวนส่วนปลาย พร้อมกับค่อยๆ ออกแรงขยับมือชักเข้าออกให้ผม
   

แม้จะไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายผมก็ส่งเสียงน่ารังเกียจออกไปอยู่ดี ร่างกายของผมไม่เคยปฏิเสธพี่ซัน
   

“อื้อ...”
   

เมื่อเห็นว่าผมผ่อนคลายมากขึ้น พี่ซันจึงกดตัวเข้ามาแบบทีเดียวมิดด้ามแล้วแช่ไว้ไม่ขยับ ผมกัดฟันพลางสะอื้นเพราะเจ็บ เจ็บเหมือนจะตาย โดยเฉพาะตรงก้อนเนื้อที่ยังเต้นอยู่
   

“ข้างในของมึงนี่มันฆ่ากูชัดๆ เลย” พี่ซันพูดเสียงพร่า ก่อนจะเริ่มขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ เขาไม่ลืมกระตุ้นด้วยการใช้นิ้วบีบขยี้หัวนมผม ส่วนมืออีกข้างก็กำลังชักแก่นกายของผมที่ขยายตัวไปตามแรงชักจูงของมือหนา
   

พี่ซันเร่งขยับเอวสอบแล้วโถมแรงใส่ผมถี่รัว “ซี้ด...” ผมพยายามกัดฟันกลั้นเสียงครางของตัวเองเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนพี่ซันจะรู้เมื่ออยู่ๆ อีกคนก็พลิกตัวผมให้นอนหงายก่อนจะจับขาผมพาดบ่าสองข้าง พร้อมจับแก่นกายมาจ่อบริเวณช่องทางด้านหลังแล้วแทงแก่นกายใหญ่เข้ามาแรงๆ จนตัวผมสะดุ้งโยน
   

“อื้อ...” ผมครางยาวเมื่อจุดที่โดนกระแทกใส่เมื่อกี้โดนจุดกระสันของผมเหมือนรู้ตำแหน่งดีอยู่แล้ว พี่ซันยิ้มกริ่มก่อนจะทาบทับตัวลงมาครอบครองริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วง เอวหนาขยับเข้าออกเป็นจังหวะถี่รัว มือสองข้างของผมจากที่เคยใช้ดันอกพี่ซันออกเริ่มขยับไปคล้องคออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
   

ผมดิ้นประท้วงเมื่อพี่ซันจูบผมนานจนเริ่มขาดอากาศหายใจจากการที่อีกคนแกล้งดูดอากาศไปจากตัวผมด้วยการจูบครั้งละนานๆ เลยทำให้ผมต้องจูบอีกคนกลับเพื่อแย่งเอาอากาศเข้าปอด ลิ้นหนาของพี่ซันเกี่ยวพันลิ้นของผมแล้วดูดดุนกลับอย่างไม่ยอม
   

“อ่า...” ยิ่งเสียวมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตอดรัดความอุ่นร้อนของอีกฝ่าย
   

พี่ซันกระแทกกระทั้นใส่ผมไม่ออมแรงเหมือนต้องการระบายความโกรธและความไม่พอใจทั้งหมดส่งผ่านเซ็กส์ จนผมเสร็จไปก่อนหนึ่งรอบอย่างเหนื่อยหอบ
   

“พะ...พอแล้ว” ผมร้องบอกเสียงอ่อน ซบหน้าไปกับแขนที่ถูกมัดติดกันไว้ พี่ซันไม่หือไม่อือกับคำขอของผม มือหนาเลื่อนมาจับเอวผมพลิกตะแคงก่อนจะยกขาผมขึ้นพาดบ่าข้างหนึ่งแล้วเริ่มขยับอีกครั้ง


“ซี้ด...” พี่ซันเสียงครางทุ้มลำคอ เอวสอบขยับเข้าออกแล้วเริ่มเร่งจังหวะ ผมกัดปากจนห่อเลือด เมื่อหูได้ยินเสียงเตียงขยับตามแรงของพี่ซัน


พี่ซันเร่งจังหวะถี่รัวจนตัวผมโคลงไปตามแรงเขาเอวแทบหัก ผมมุดหน้าเข้าไปซุกหมอนแล้วใช้ปากกัดหมอนปิดเสียงของตัวเอง


“อ๊ะ...อึก อื้อ”


“ฮึ่ม...” พี่ซันครางในลำคอแล้วกระแทกแรงๆ อีกสองสามครั้งก่อนจะปล่อยของเหลวเข้าไปในตัวผม เขาถอนแก่นกายออกพร้อมกับทิ้งร่างลงมากอดผมไว้ มือหนาคว้าเอาผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมร่างเราสองคนไว้
ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ผมเริ่มสะอื้น
   

“มึงอยากเลิกกับกูนักใช่มั้ย” พี่ซันถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ มือหนาเลื่อนมาเขี่ยแก้มผมจากทางด้านหลัง ผมสะดุ้งกับสัมผัสของเขาก่อนจะนอนขดตัวเข้าหากัน


“ทั้งที่กูพยายามทำเพื่อมึง พยายามที่จะรักษาสัญญาระหว่างเรา แต่ทำไมมึงถึงชอบผลักไสให้กูไปไกลๆ” คนรักของผมตัดพ้อ


“มึงไม่เคยคิดอะไรกับกู อย่างที่บอกในจดหมายนั่นจริงเหรอ” พี่ซันขยับมาถามข้างหูแล้วเลื่อนมือมาถอดเข็มขัดที่มัดมือผมอยู่ออกเขวี้ยงไปอีกทาง ก่อนจะสอดมือเข้ามาใต้สะโพกผมเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอด ผมหันหน้าเข้ามาซุกที่อกเขาแล้วปิดตาร้องไห้


“พี่ฟ้ารู้ ฮึก...หมดแล้ว” ผมเปล่งเสียงอู้อี้กับอกพี่ซัน


“แม่พี่ก็รู้แล้ว” ผมบอกต่อเหมือนเด็กกำลังฟ้องผู้ใหญ่ พี่ซันลูบหัวปลอบผม


“พี่ทำผมเจ็บด้วย”


“ขอโทษ...แต่ถ้าไม่ทำอะไรมึงบ้างกูคงคลั่ง ครั้งนี้มึงทำกูโกรธแทบบ้า” พี่ซันปลอบต่อลูบหัวผมไม่หยุด ริมฝีปากหนาประทับลงมาที่หัวผมแล้วจูบหนักๆ


แปลก...ที่แค่ได้ยินคำขอโทษ ความรู้สึกเจ็บหนึบในใจของผมกลับคลายลง ผมเม้มปากกลั้นสะอื้นแล้วแนบหน้าไปกับแผ่นอกกว้าง


“นอนเถอะตื่นมาค่อยคุยกัน” พี่ซันบอก มือหนาลูบหลังผมอย่างเบามือ ผมพยักหน้าเคลิ้มๆ ก่อนจะหลับไปในที่สุด




ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]


+++++++++++++++++++++


“ผมไม่เชื่อ! น้องอยู่ที่นี่ใช่มั้ย!?”


ผมงัวเงีย ค่อยๆ ขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก กระพริบเปลือกตาขึ้นลงเพื่อปรับสายตา แล้วเริ่มประติดประต่อเรื่องเมื่อวานในหัวอย่างนึกขึ้นได้


เชี่ยแล้วสายหรือยังเนี่ย!


ผมดันตัวเองเพื่อลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะร้องโอยเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณด้านหลังเหมือนร่างจะฉีกออกจากกัน ผมพยายามทิ้งขาลงจากเตียงแม้จะยังสั่นๆ แต่ก็ยังพอยืนไหว พลางก้มสำรวจตัวเอง พี่ซันน่าจะช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ผม แม้จะไม่ใส่ชิ้นล่างให้แต่เสื้อพี่มันตัวเดียวก็ปิดไปถึงหน้าขาผมแล้ว


“น้องไหน” เสียงคุ้นหูของผมตอบกลับเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ ผมบุ้ยปาก เมื่อนึกถึงสีหน้าของอีกคนออก ก็พี่ซันน่ะ เวลาทำหน้านิ่งๆ ดูกวนจะตายไป


“คุณรู้อยู่แก่ใจ” ผมถึงบ้างอ้อเมื่อได้ยินเสียงคู่สนทนาชัดขึ้น พี่เอกคงมาตามหาผม เพราะผมไม่ไปทำงาน ผมโผล่หัวออกไปจากห้องเห็นพี่ซันยืนบังประตูอยู่


“ไม่มีใครเคยสอนหรือไงว่าต้องดูแลลูกค้ายังไง ถึงจะเป็นเจ้าของก็เถอะ มายืนส่งเสียงดังหน้าบ้านพักลูกค้าอย่างนี้มันเหมาะสมแล้วเหรอครับ ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปโพสลงโซเชียลคงงามหน้าน่าดู” พี่ซันตอบกลับด้วยเสียงตำหนิ ผมไม่รู้ว่าพี่เอกแสดงสีหน้ายังไง แต่ผมไม่อยากให้เขาเดือดร้อน เขาดูแลผมอย่างดีตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ เพราะผมเป็นเพื่อนกับน้องชายเขา


“ผมบอกแล้วไงว่าผมมาตามหาน้องผม” พี่เอกยังเถียงกลับอย่างไม่ยอม


“พี่...” ผมส่งเสียงเรียก พี่ซันแย้มประตูลงแล้วหันมาเลิกคิ้ว


ก่อนจะเปิดปากบอกไร้เสียงแววตาข่มขู่


“เข้า ห้อง ไป”


ผมพยักหน้ารับแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้พี่เอกเห็นตัวเองในสภาพนี้เหมือนกัน ผมเดินเข้ามานั่งรออีกฝ่ายอยู่ปลายเตียง ไม่นานพี่ซันก็ตามเข้ามา


“หิวมั้ย” ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงประตูห้องนอนแล้วเอ่ยถาม ผมส่ายหัวอยากกลับห้องตัวเองมากกว่า


“สายแล้วผมต้องไปทำงาน” ผมก้มหน้าบอก


“ถ้าไม่หิวงั้นก็มาคุยเรื่องของเราต่อ” พี่ซันไม่ฟังที่ผมบอก ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับผม ผมกัดปากฉับ เริ่มหงุดหงิดเหมือนกัน


“พี่หาผมเจอได้ไง”


“ใครแนะนำมึงมาล่ะ” พี่ซันเลิกคิ้วถามกลับ ผมเบือนหน้าหนี


“อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่ามึงหนีกูมาทำไม” พี่ซันถามต่อเมื่อเห็นผมเงียบ ผมเม้มปากแล้วหันกลับไปจ้องหน้าเขา สายตาคมที่เคยมองผมอย่างอ่อนโยนจ้องหน้าผมนิ่งแสดงให้เห็นว่าคำถามนี้สำคัญและห้ามเลี่ยง ผมสังเกตเห็นแววตาสั่นไหวเพียงครู่เดียวจากร่างสูง พี่ซันเป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี


“จริงรึเปล่าที่บอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับกู” ใจของผมวูบไหวเมื่ออีกคนเปิดปากถามต่อด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ผมจำได้ดีเนื้อความที่ผมเขียนลงในจดหมายฉบับนั้น ผมข่มความเจ็บช้ำลงไป ท่องไว้สิว่าเรากำลังทำเพื่อใคร มึงเห็นแล้วนิบีทส์ว่าใครที่พี่ซันควรจะอยู่ด้วย อย่าทำให้เขาแปดเปื้อนเลย


“...”


“โอเค...กูเคยรู้สึกไม่ดีกับเกย์นั่นก็คือจริง แต่รู้อะไรมั้ย มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่กูไม่เคยสนใจว่าเขาจะเป็นอะไรเพราะกูรักเขา แล้วรู้มั้ยว่าเขาคนนั้นเป็นใคร คงไม่ต้องให้กูบอกหรอกใช่มั้ยเพราะกูว่ามึงนั่นแหละ...ที่รู้ดีที่สุด”


ผมจุกจนพูดไม่ออก


“กูไม่เคยต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ เพราะคนพวกนั้นเติมเต็มในสิ่งที่กูขาดไม่ได้” ผมก้มหน้าหลบสายตาคมที่กำลังพร่ำบอกความในใจ สายตาของพี่ซันแสดงให้เห็นว่าเจ็บปวดกับทางที่ผมยัดเยียดให้พี่มันเดิน


“กูไม่รู้ว่ามีใครมาพูดอะไรกับมึง แต่มึงมีความสุขจริงๆ เหรอที่อยู่โดยไม่มีกู รู้มั้ยว่ากูคิดถึง...คิดถึงรอยยิ้มสดใส คิดถึงริมฝีปากนุ่มๆ คิดถึงคนที่ทำกับข้าวรอกูกลับไปกินทุกวัน คิดถึงคนที่กูนอนกอดเขาทุกคืน คิดถึง...”


“พอเถอะครับ!”


ผมโพล่งออกไปเมื่อทนฟังต่อไปไม่ไหว ผมกำลังจะใจอ่อน พี่ซันเขาต้องมีชีวิตที่ดีสิ ครอบครัวเขา ธุรกิจของเขาต้องการเขา มันก็เหมือนที่พี่ฟ้าพูดกับผม ถ้าผมยังดึงดันที่จะฝืนยืนอยู่ข้างพี่ซัน พ่อแม่พี่ซันคงจะรับไม่ได้ คนรักของผมต้องเดือดร้อน ถ้ามีเพียงผมคนเดียวที่เจ็บปวดก็ไม่เป็นไร ผมจะทนให้ได้


“พี่ก็เห็นแล้วว่าตอนนี้ผมมีความสุขดี แล้ว ‘เขา’ ก็ให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้มากกว่าพี่” ผมกัดฟันบอกออกไปแบบนั้น ขอโทษนะพี่เอกที่แอบเอาชื่อพี่มาอ้าง


“กับใคร…คนเมื่อกี้นั่นเหรอ” พี่ซันขมวดคิ้วเข้ม


“...” ผมเม้มปากเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพื่อให้พี่ซันคิดว่าผมยอมรับ


“ฮะๆ คิดว่ากูจะยอมเชื่อมึงเหรอ” พี่ซันถามกลับเสียงเย็น เขายื่นมือมาบีบแขนผมแน่น จนผมร้องครางเพราะเจ็บ ทำยังไงคนตรงหน้าถึงจะยอมเชื่อ ผมอยากให้เขากลับไปมีชีวิตที่ดี ผมรักเขามากเกินกว่าจะดึงให้เขาตกต่ำลงมา


ผมรักเขามากจริงๆ นะ เมื่อก่อนผมไม่ทันได้คิดให้ซับซ้อนกว่านี้ เพราะผมรักพี่มันมาก ผมถึงได้กังวลแทนพี่มันไปเสียทุกอย่าง


“พี่จะไม่เชื่อก็ได้แต่ผมกับเขา...” ผมเชิ่ดหน้าขึ้น “เรามีอะไรกันแล้ว” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกกับเขาไปแบบนั้น พี่ซันนิ่งค้างหลังจากฟังจบ มือหนาตกลงข้างตัว เขามองหน้าผมนิ่ง ผมเม้มปากพยายามรักษาสีหน้าเอาไว้


“ลองคิดดูสิครับจะมีเจ้านายคนไหนที่วิ่งตามหาผมแต่เช้าเมื่อพบว่าผมไม่ได้ไปทำงานตามปกติแบบนี้” ผมอ้าง


พี่ซันทำสีหน้าเจ็บปวด “บอกกูสิว่ามึงต้องการให้กูทำอะไร บอกกูสิว่ากูต้องทำยังไงมึงถึงจะยอมกลับมาเป็นเหมือนเดิม! มึงอ้างว่ากูทำให้เราต้องคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ นั่นก็เป็นเพราะมึงเองไม่ใช่เหรอที่ห้ามกูบอกคนอื่น”


ผมส่ายหัว “ผมกับพี่เราต่างกันมากเกินไป ผมอยากให้พี่เข้าใจผม ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมคิดว่าคนธรรมดากลับทำให้ผมมีความสุขมากกว่า ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ทิ้งทุกอย่างเพื่อผมเพราะมันเป็นวิธีของคนขี้แพ้ ผมรู้ดีว่าพี่ไม่ใช่ สิ่งที่ผมทำมันดีที่สุดแล้ว...เพื่อเราทุกคน”


“หึ”


พี่ซันหึในลำคอ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะยกขึ้นสองมือมาปิดใบหน้าใช้ปลายนิ้วปาดน้ำใสออกจากหางตา หัวใจผมหล่นวูบ


พี่ซัน...ร้องไห้


ผมเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ผมเลือกใช้คำพูดแสนร้ายกาจ ไม่นึกถึงจิตใจของคนฟัง แค่เพียงต้องการที่จะประชดเขา ความปากไวขาดความยั้งคิดของผมสร้างรอยแผลเหวอะหวะในใจพี่ซัน


ผมเชือดหัวใจเขาด้วยคำพูด แค่เพียงเพราะอยากให้เขากลับไปอย่างที่ใจต้องการ ทั้งที่เขาแสดงความต้องการชัดเจนว่ารักผม


“พี่...” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะแขนของพี่ซัน แต่เขาปัดมือผมทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือผมยังลอยค้างอยู่ในอากาศ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเขา


“กูเป็นลูกผู้ชายพอ ถ้ามึงเลือกแล้ว กูก็ขอให้มึงโชคดี” พี่ซันพูดอยู่ในลำคอ แต่กลับดังชัดทุกคำในหัวของผม ร่างสูงก้าวไปหยิบเป้ของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก


ผมตั้งสติได้ก่อนจะลุกตามอีกฝ่ายที่เปิดประตูบ้านพักออกไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะวิ่งตามเขาไปทำไมในเมื่อเขาก็ทำในสิ่งที่ผมต้องการแล้ว แต่ขาของผมกลับสั่งการเร็วกว่าสมอง


ผมมองหารองเท้ากับกางเกงแล้วคว้ามาใส่ลวกๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวออกจากห้อง ผมก็ต้องนิ่งงันเมื่อสายตาผมเหลือบไปเห็นถุงกับข้าวพร้อมกับดอกไม้หนึ่งช่อที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร


ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจสั่นสะท้าน หยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วพลิกการ์ดสีแดงขึ้นมาอ่าน


“...กลับไปด้วยกันเถอะนะ กูรักมึงมากจริงๆ...”


หัวใจผมสั่นไหวอย่างหนัก นี่ผมกำลังทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยใช่ไหม


ผมมันบ้า!!!



-----------------------------
Talk :: เยลกำลังเปิดให้จองนิยายเลิฟชัค ท่านใดสนใจสามารถสั่งจองได้ในเพจนะคะ



ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
งื้อออออ...สงสารพี่ซันอ่ะ   

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฟ้าคงไม่ยอมจบเรื่องหรอกนะ  :katai1:

ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เจ็บอ่ะ.  :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
บททดสอบของความรัก อ่อนแอก็แพ้ไป :กอด1:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 37 :: เจ็บพอกัน


[ซัน]


   
“เฮ้ยไอ้ซัน เบามึงเบา เหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า” เสียงไอ้สองร้องห้าม พลางยื่นมือมาดึงแก้วเหล้าออกจากมือผม ผมยื้อไว้ไม่ยอม แล้วยกขึ้นซด
   

“เชี่ยฟังกูบ้าง ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง ตั้งแต่กลับมามึงก็ไม่ยอมเปิดปากพูด  เอาแต่ลากกูออกมาซัดเหล้าเข้าปากไม่หยุดแบบนี้เป็นอาทิตย์แล้วนะ” ไอ้สองบ่น พลางหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก คงจะโทรหาไอ้อาร์ต
   

“หึ...”
   

รู้อะไรไหม ถึงแม้ไอ้คนดื้อด้านนั่นจะทำกับผมขนาดนี้ ผมก็ยังโกรธมันไม่ลงอยู่ดี ตอนนี้ก็แค่เจ็บที่ใจสัสๆ ตอนที่ได้ยินว่ามันมีคนอื่น ยอมรับเลยว่าเหมือนหัวใจมันโดนกระชากออกจากร่างไปทั้งๆ ที่ยังหายใจ พยายามยื้อทุกวิธีทั้งอ้อนวอนทั้งอธิบายในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูด เพียงเพื่อหวังว่ามันจะฟังแต่ก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี


เจ็บฉิบหาย...


สิ่งเดียวที่ผมรับไม่ได้สำหรับการคบใครสักคนก็คือการนอกใจ ผมเห็นคนรอบข้างของผมหลายคนต้องล้มเหลวในชีวิตคู่ สาเหตุก็มาจากความไม่ซื่อสัตย์ ผมเคยเชื่อว่าถ้าผมทำให้ดีที่สุด ใส่ใจมันให้มากๆ และทำให้มันเห็นว่าผมจริงใจ
จะทำให้มันรักได้แค่ผม...แต่ผมอาจจะคิดผิด
   

มหาลัยเปิดเรียนภาคการศึกษาใหม่ ชั้นปีของผมอยู่ในช่วงเริ่มฝึกงาน แน่นอนว่าผมเข้าไปฝึกที่บริษัทของตัวเอง ตกเย็นก็ลากพวกไอ้สองออกมากินเหล้า เมาก็ให้พวกมันลากกลับด้วย ไม่ยอมให้พวกมันลากกลับไปนอนคอนโดตัวเอง ถ้าไม่สะดวกจริงๆ พวกมันก็แค่ลากผมกลับไปนอนที่บ้าน
   

ผมยอมอึดอัดใจดีกว่าต้องทรมานใจนอนในห้องที่เคยมีมันอยู่
   

“สรุปว่าไงวะ ต้องให้กูเอาอะไรมาง้างปาก” ไอ้สองหันมาถามต่อ ผมวางแก้วเหล้าก่อนจะเอนตัวพิงราบไปกับที่นั่ง หมดอาลัยตายอยาก
   

“น้องอยากเลิกว่ะ” ผมตัดสินใจพูดออกไปแค่นั้นและไม่คิดจะอธิบายต่อว่าทำไม ไอ้สองชะงักก่อนจะหันมาเลิกคิ้วเหมือนคาดไม่ถึง “แล้วมึงว่าไง”
   

“หึ กูจะทำอะไรได้” ผมเค้นยิ้มกับตัวเองแล้วเงยหน้ากลั้นน้ำใสๆ ให้ไหลกลับเข้าไป ไอ้สองมองหน้าผมสักพักก่อนจะทำเป็นไม่สนใจชงเหล้าให้ผมต่อ
   

ผมยกเหล้าขึ้นซดโดยไม่พูดอะไรโดยมีไอ้สองนั่งอยู่ข้างๆ ผมรู้...ว่าเรื่องที่ตัวเองเจอตอนนี้มันจะไม่สร้างปัญหาถ้ารู้วิธีรับมือและหาวิธีการจัดการความรู้สึกของเราให้ถูกที่ถูกทาง
   

มีใครบ้างไม่เคยผิดหวัง...
   

มีใครบ้างไม่เคยโดนปฏิเสธ...
   

ผมจะยอมทำความเข้าใจกับสัจธรรมนี้
   

ถ้าคนมันไม่ใช่คู่กัน ต่อให้รักแค่ไหนก็คงเดินไปด้วยกันได้ไม่นาน
 
 
++++++++++++++++++++++


[บีทส์]

   
เป๊าะ


ผมสะดุ้ง หันไปมองหน้าคนที่ดีดนิ้วตรงหน้า
   

อิพิงค์ทำหน้าเอือมๆ แล้วถามผม “จะนั่งเขี่ยข้าวเล่นอีกนานมั้ยคะหนู”
   

ผมยิ้ม อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อน พี่ไม้เป็นคนไปรับผมจากรีสอร์ทพี่เอก
   

หลังจากกลับมา อิพิงค์ก็ตามมาหาผมถึงบ้านพร้อมกับลากไอ้นัทมาด้วย มันเล่าให้ผมฟังเรื่องที่พี่ซันตามไปล้วงความลับจากมัน รวมถึงไอ้นัทที่ส่งยิ้มให้ผมแต่ยังยอมพูดดีด้วย ผมขอโทษมันอีกครั้ง มันเองก็ขอโทษผมกลับ
   

ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นเองก็มาหาผมที่บ้าน ผมไม่แน่ใจว่าพวกมันรู้อะไรแค่ไหน พวกมันไม่ถามแต่มักซื้อขนมนมเนยเข้ามาฝาก ไอ้ออยคอยนั่งเล่นเกมเป็นเพื่อนผม แต่ผมว่ามันคงเหงาปากมากกว่าเลยมาตีฝีปากกับผมเล่น ส่วนไอ้ปริ้นก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน
   

ผมเป็นห่วงพี่ซัน แต่ไม่กล้าแม้จะเปิดปากถามใคร น้ำท่วมปาก รู้สึกเจ็บหัวใจจนชา หลายครั้งที่ผมต้องใช้กำปั้นทุบหน้าอกด้านซ้ายให้รับรู้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่
   

“กินอะไรหน่อยเถอะ มึงไม่จำเป็นต้องผอมไปมากกว่านี้แล้ว ไม่ต้องหาวิธีลดน้ำหนักทางอ้อมนะคะเชื่อกู” อิพิงค์กัดมาหนึ่งที ผมเหลือบมองหน้าเพื่อนพลางถอนหายใจ ยอมกลั้นใจตักพะโล้เข้าปากเคี้ยวให้อิพิงค์ดู แล้วกลืนลงคอฝืดๆ
   

อ่อกกก
   

ผมคว้าถุงพลาสติกมากำไว้ในมือแล้วคลี่ออก โก่งคอปล่อยทุกอย่างที่ขย้อนออกมาลงถุง อิพิงค์ร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาช่วยลูบหลังให้
   

“มึงเริ่มไม่ไหวแล้วนะบีทส์ หน้ามึงซีดมากไม่สบายเหรอวะ ทำไมไม่บอกพวกกู” อิพิงค์ลูบหลังผมไปพลางบ่นไป มือเรียวของมันยกขึ้นมาวัดไข้ที่ลำคอและใบหน้าของผม “ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า”
   

“เฮ้ย...นี่ไม่สบายเหรอ” เสียงลุงอ้นร้องถาม ผมเงยหน้าขึ้นไปส่ายหัว พี่แกหยุดยืนมองผมกันทั้งกลุ่ม ในมือถือจานข้าวกับแก้วน้ำ
   

“ผมไม่ค่อยหิวแต่ฝืนกิน กระเพาะเลยปฏิเสธความหวังดีของผมอ่ะพี่” ผมเล่นมุก แล้วคลี่ยิ้มให้ลุงรหัส
   

ลุงอ้นพยักหน้ารับพลางบ่นแกมสั่งสอน “เออ...เห็นทำหน้าเครียดๆ มาหลายวัน ไม่สบายก็กลับบ้านไปพักผ่อนเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก ต้องรู้จักประมาณตัวเอง” เขาหันไปหาอิพิงค์ “พวกเราก็ดูแลเพื่อนด้วย” เพื่อนผมมันรีบพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
   

“มีอะไรกันเหรอคะ” เสียงหวานของผู้มาใหม่ถามขณะเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคน ผมนั่งตัวเกร็ง แล้วหลุบตามองต่ำ
   

“อ๋อ เมื่อกี้พี่เห็นน้องมันอ้วกน่ะเลยเข้ามาถามดู ไม่มีอะไรหรอก” ลุงอ้นหันไปตอบพี่ฟ้า ส่วนเพื่อนๆ เดินไปนั่งที่โต๊ะว่างกันแล้ว พี่ฟ้าพยักหน้ารับคำแล้วปรายตามองผม
   

“ไหวมั้ย” พี่ฟ้าถามผมสั้นๆ ผมจำต้องเงยหน้าไปยิ้มให้แทนคำตอบ
   

“งั้นลุงไปกินข้าวล่ะบ่ายมีควิซวิชาต้นทุน เดี๋ยวไม่มีแรงค้นรอยยักในสมอง” ลุงอ้นหันมาบอกก่อนจะเดินกลับไปหาเพื่อน แกนั่งโซ้ยข้าวบ่นเรื่องควิซด้วยใบหน้ายุ่งๆ
   

“ไปหาหมอมั้ย พี่จะไปเยี่ยมพี่ซันพอดีจะได้ไปด้วยกัน” พี่ฟ้าถามต่อแล้วยิ้มอย่างใจดี ผมหันไปขมวดคิ้วมองหน้าอิพิงค์ มันทำหน้าอึกอัก
   

พี่ซันเป็นอะไร
   

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก” ผมหันไปปฏิเสธ ก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วถามอิพิงค์
   

พี่ฟ้าคลี่ยิ้ม “ดูแลตัวเองดีๆ นะ พี่เชื่อว่าบีทส์เป็นคนเข้มแข็ง” มือเรียวยกขึ้นมาบีบบ่าผมเบาๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนก่อนจะเดินนำออกไป
   

“นี่ตกลงเขาจะเป็นห่วงหรือมาเพื่อส่งข่าวเอาสักทาง” อิพิงค์บ่นไล่หลัง
   

“สรุปว่าเขาเป็นอะไร มึงรู้รึเปล่า” ผมหันไปถามเสียงเบาโดยไม่ได้เอ่ยชื่อเป้าหมาย อิพิงค์ทำหน้าลำบากใจที่จะพูด แสดงว่ามันรู้แต่ปิดไม่อยากให้ผมรู้ ไอ้นัทยกหูฟังขึ้นมากดฟังเพลงเลี่ยงการสนทนา
   

“คือกูก็ไม่รู้ว่าข่าวมันจริงมั้ยอ่ะนะ...แบบว่าได้ยินมาอีกที เขาบอกว่าพี่ซันแกออกไปฝึกงาน ที่บริษัทพ่อเขานั่นแหละ ตกเย็นก็ออกเที่ยว เมาให้เพื่อนลากกลับทุกวัน บางครั้งก็มีเรื่องกลับมาเพราะเอ่อ...” อิพิงค์อึกอัก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามให้มันพูดต่อ
   

“ก็พอพี่แกเมา เวลาเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายมึงก็เข้าไปกอดหมับเดือดร้อนเพื่อนๆ ต้องไปลากออกมา ไอ้กอดคนโสดก็ไม่เท่าไหร่ แต่บางคนเขามากับแฟน มึงเข้าใจปะว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น” อิพิงค์ทำหน้ายุ่ง


“ก่อนหน้านั้นมันก็แค่ชกต่อยกันธรรมดา แต่ครั้งนี้ได้ยินว่าคู่กรณีใช้ขวดเหล้าฟาดเปรี้ยงลงกระหม่อม พี่แกเลยต้องไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลเมื่อวาน มึงอย่าไปสนใจเลยเนอะ” ผมเม้มปากแล้วพยักหน้ารับ อิพิงค์มองผมห่วงๆ แล้วลูบไหล่ปลอบ
   

“โอ๊ะ...เจอตัวแล้ว” ผมเงยหน้าไปมองผู้มาใหม่ยืนยิ้มใจดีอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างพี่ไลท์ ได้ยินเสียงแอบกรี๊ดอยู่จากโต๊ะข้างๆ
   

“เจออะไรคะพี่เจ แหม...มาถึงก็ไม่คิดจะมองคนข้างๆ อิบีทส์บ้างเหรอคะ นี่นั่งกันอยู่สามคนนะ มันน่าน้อยใจจริงๆ เลย” อิพิงค์แกล้งทำเสียงงอน พี่เจหัวเราะ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าผม พี่ไลท์เดินไปนั่งรอเพื่อนตัวเองที่โต๊ะว่างๆ
   

นี่ถ้าไม่รู้จักจะคิดจริงๆ แล้วนะว่าสองคนนี้แอบมีซัมติงรองอะไรหรือเปล่า ไปไหนมาไหนเห็นตัวติดกันตลอด
   

“เป็นอะไร หน้าซีดเชียว” พี่เจหันมาถามผม พลางยกหลังมือขึ้นมาแตะหน้าผากผม ผมตกใจผงะออกพี่เจเลยชักมือกลับแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
   

“พี่มาที่นี่ได้ไงครับ” ผมเปิดปากถาม เพราะเหมือนได้ยินว่าพี่เขากำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน ก่อนหน้านั้นแรกๆ ที่ผมไม่ค่อยพูดกับใครก็ได้พี่แกนี่แหละคอยมาแหย่มากวน ทั้งมาแบบแค่เสียง บางทีก็โผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ
   

ตอนแรกผมก็ไม่ยอมคุยกับพี่เจหรอกเพราะยังเคืองเรื่องที่ชอบแกล้งผมไม่หาย แต่ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมยอมให้พี่เจเข้าใกล้ อาจเพราะพี่เขาไม่ได้รุกมากเหมือนแต่ก่อน ได้แค่มาแป๊บๆ แล้วก็ไป
   

“มาส่งงานน่ะเลยแวะมา คิดว่าเห็นหน้าคนแถวนี้สักเดี๋ยวก็จะกลับ” พี่เจหยอดมาหนึ่งทีแล้วยิ้มเขินๆ ผมยิ้ม แม่ะคนเรา…เล่นเองเขินเอง!
   

“อ่ะนี่เค้ก พี่ซื้อมาฝาก” พี่เจชูถุงขนมในมือแล้วยื่นมาให้ผม แต่อิพิงค์เป็นฝ่ายยื่นมือไปรับแทน แล้วกราบสวยๆ เหมือนนางงาม พี่เจชะงักไปนิดแล้วหลุดขำ ยอมปล่อยให้อิพิงค์มันถือ
   

“ขอบคุณครับพี่ ไม่เห็นต้องลำบากเลย” ผมบอกด้วยความเกรงใจ พี่เจแค่ยิ้มรับ
   

“หมดธุระแล้วพี่ไปดีกว่า ปะไอ้ไลท์”
   

ผมส่ายหัวปลงๆ กับร่างสูงที่เดินไปลากคอเพื่อนเดินออกไปจากโรงอาหาร


“อย่าใจอ่อนนะมึง คนนี้ของกู” อิพิงค์ขยับมากระซิบริมหู ผมส่ายหัวด้วยความหมั่นไส้ เดี๋ยวกูโทรไปฟ้องแฟนมึงซะเลยดีไหม
   

“ให้มึงหลุดจากพ่อพระอย่างพี่พีซะก่อนเถอะ” ผมแขวะ แล้วก้มฟุบหน้ากับกระเป๋า อิพิงค์ทำหน้าเบื่อหน่ายทันทีที่ได้ยินชื่อนื้


++++++++++++++++++++++

 
[อาร์ต]


ผมหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เจ้าของร่างเพรียวเล็กที่ผมคุ้นตาเดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าเยี่ยมคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง


น้องฟ้าวางของไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม


“เพิ่งหลับน่ะ” ผมหันไปบอกอาการเพื่อนสนิทของตัวเอง เมื่อคืนไอ้สองกับไอ้น๊อตเป็นคนนอนเฝ้าไอ้ซัน ส่วนผมเพิ่งมาเปลี่ยนเวรกับไอ้สองเมื่อสาย ๆ นี่เอง เราต้องผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนของไอ้ซัน จะให้คนที่บ้านมันมาเฝ้าก็กลัวว่าเพื่อนตัวเองจะอึดอัดแล้วชิ่งออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันแรก เลยต้องผลัดกันมาเฝ้า


เพื่อนกันก็ต้องดูแลกันไป...


“อาการพี่ซันเป็นยังไงบ้างคะ” น้องฟ้าถามผมต่อ สายตาจ้องมองคนที่นอนหลับตาพริ้ม บนหัวมีผ้าพันอยู่รอบศีรษะ อาการไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับเพราะไอ้คนฟาดมันก็เมาเลยไม่ได้ฟาดเต็มแรง ถ้าอยู่ในเวลาปกติที่ไอ้ซันมีสติสัมปชัญญะครบก็คงไม่ต้องเสียเลือดแบบนี้ ไอ้ผมก็เข้าไปช่วยไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว เผลอแปบเดียวฝั่งนั้นก็ฟาดเปรี้ยง ไอ้ซันสลบเหมือด ไม่รู้สลบเพราะโดนฟาดหรือเมาหลับ


“พรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ผมตอบยิ้มๆ พลางมองสำรวจใบหน้าสวยที่ผมเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ผมเห็นเธอมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกวิ่งตามไอ้ซันต้อยๆ ผู้หญิงที่แอบหลงรักไอ้ซันมาตลอดแม้จะเป็นรักข้างเดียวก็ตาม บัดนี้เธอโตขึ้น สวยสมวัย และยังคงมีความรู้สึกนั้นให้ไอ้ซันเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเธอจะรู้ตัวไหมว่าสายตาที่เธอมองไปที่พี่ชายของเธอมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย


“เอ่อ...พี่หมอคะ”


“ครับ”


น้องอึกอักก่อนจะบอกจุดประสงค์ “ฟ้ามีเรื่องจะปรึกษาค่ะ” ผมเลิกคิ้วแล้วละสายตาไปมองเพื่อนสนิทตัวเอง ก่อนจะพยักหน้ารับ


“งั้นไปข้างนอกดีกว่าพี่อยากได้กาแฟอยู่พอดี” ผมเดินนำร่างผอมเพรียวลงมาที่ฟู้ดคอร์ดแล้วเลือกเก้าอี้ด้านในสุด


“ว่ามาได้เลยครับ”


“คือ...ฟ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง” น้องกุมมือสองข้างบีบเข้าหากันแล้วเม้มปาก


“พูดมาได้เลยครับ” ผมยิ้มเพื่อรอฟัง


“คือเพื่อนฟ้าเขากำลังเจอปัญหานี้อยู่ แล้วเขาก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง ฟ้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงดีเลยอยากปรึกษาพี่หมอ” เธอเกริ่น แววตากลมโตมีร่องรอยของความกังวล


ผมพยักหน้ารับเงียบๆ รู้ดีว่าสิ่งที่คนตัวเล็กเจอ คงหนักอึ้งสำหรับเธอ


ผมไม่เคยบอกว่าสิ่งที่เพื่อนผมทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยุติธรรมสำหรับใคร ผมไม่เคยสนใจ เพราะถ้าเพื่อนผมทำแล้วมีความสุข ในฐานะเพื่อน...ผมก็ยินดีกับทุกทางอยู่แล้ว ยกเว้นว่าจะหลุดกรอบไปไกล อันนั้นก็ต้องคอยดึงกลับมาหรือเตือนสติกันพอเป็นพิธี


“เพื่อนฟ้าเขาคบอยู่กับแฟนค่ะ คบกันมานานมาก รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนเขาคิดว่าชีวิตนี้คงจะฝากทุกอย่างไว้ที่แฟนคนนั้นได้ จนเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนฟ้าเขาก็ค้นพบความจริงว่าแฟนของเขาไม่ได้เป็นแค่ของเขาคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เลยพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่จะให้แฟนคนนั้นกลับมาหาเขา” น้องมองไปยังเบื้องหน้า ดวงหน้าสวยเหม่อลอย ปากเล็กขยับพูดช้าๆ


ผมฟังแล้วคิดตามในสิ่งที่น้องฟ้าเล่า ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงถึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษาผม


อาจจะวัดใจผมอยู่หรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ


“มันผิดมั้ยคะ ถ้าเพื่อนฟ้าเขาจะดิ้นรนเพื่อตัวเองบ้าง คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาทุกวัน ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พยายามทำดีทุกอย่างแล้ว ทำไมแฟนเขาถึงมีคนอื่นได้เหรอคะ หรือว่าผู้ชายเขาไม่ชอบผู้หญิงดีๆ กันแล้วคะ” เธอตัดพ้อ ก่อนจะหันมายิ้มฝืดให้ผม เป็นยิ้มที่แม้แต่คนฟังยังรู้สึกลำบากใจ


“น้องฟ้ารู้จักไอ้ซันมาก่อนพี่อีกนะ” ผมเกริ่น


เธอชะงัก ก่อนจะหลบสายตาผม


ผมอยากบอกเธอว่าจริงๆ ไม่ต้องเอาเรื่องของเพื่อนมาอ้างหรอก ผมเห็นเธอเป็นน้องสาวอีกคน ถ้ากล้าถามผมตรงๆ ผมก็จะตอบไปแบบตรงๆ เหมือนกัน


“คือฟ้า...”


“พี่ไม่รู้ว่าเรารู้เรื่องนี้จากปากใคร แต่ถ้าเราอยากรู้ความจริงทั้งหมด พี่ว่า..ถามจากตัวต้นเรื่องน่าจะได้ความจริงมากกว่านะ” ผมพูดต่อหว่านแหไปกว้างๆ


น้องเม้มปาก “พี่หมอรู้มานานแล้วเหรอคะ”


ผมพยักหน้ารับ


“มันอยู่ที่น้องฟ้าจะเลือกครับ ว่าจะเลือกทำเพื่อความสุขของตัวเองหรือจะยอมทำเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข มันไม่มีอะไรผิดหรอก อยู่ที่มุมที่เราจะยืนมากกว่า มันไม่แปลกถ้าน้องฟ้าจะทำเพื่อตัวน้องฟ้าเอง หรือไอ้ซันจะเลือกทำเพื่อความสุขของตัวเอง มันไม่ผิดทั้งคู่” ผมเว้นจังหวะ “ความรักกับความถูกต้องบางทีก็เอามาใช้ด้วยกันไม่ได้เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่ความถูกต้องคือบรรทัดฐานของสังคมที่มีมานานจนกลายเป็นความเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิด สำหรับพี่มันมีแค่นี้” ผมพูด ตามสิ่งที่คิด


จะให้ผมตัดสินใจแทนใครก็คงดูไม่เหมาะ ผมเข้าใจว่าการเป็นคนที่ถูกรักหรือได้รักมันเป็นยังไง มนุษย์เกิดมาก็ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ พวกนี้ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ของแบบนี้ต้องเจอเองถึงจะเข้าใจ


เธอเงียบไปอึดใจก่อนจะเงยหน้าถามผมกลับเสียงสั่นๆ “พี่ซันรักเขามากมั้ยคะ”


ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของสองคนนั่นคาราคาซังจนน่าอึดอัด ไอ้ซันก็ปิดปากเงียบบอกแต่ว่ายอมถอยเอง ส่วนบีทส์ก็ปิดปากเงียบเหมือนกัน


“พี่เป็นห่วงฟ้านะและพี่ก็เชื่อว่าไอ้ซันก็คงเหมือนกัน มันรักฟ้า เพียงแต่...สถานะที่มันให้ฟ้าได้ เป็นแค่อีกสถานะหนึ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ฟ้าคาดหวังจากมันก็เท่านั้น” ผมเลี่ยงจะตอบคำถาม อาจจะฟังดูใจร้ายแต่ผมก็อยากจะพูดแทนเพื่อนตัวเอง สิ่งที่ฟ้าได้จากไอ้ซันเป็นความรักที่จะไม่มีวันสิ้นสุด ผมไม่รู้ว่าฟ้าทำอะไรลงไปบ้างก่อนหน้านี้ แต่คิดว่าก็คงไม่น้อยและส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ของไอ้ซันกับบีทส์มากพอสมควร เล่นเอาชีวิตเพื่อนผมเป๋ไปเลยก็ว่าได้


น้องฟ้าเชิ่ดหน้าขึ้นเล็กน้อยหลังจากผมพูดจบ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ เรากลับกันเถอะค่ะ เผื่อว่าพี่ซันจะตื่นแล้ว”
อ่า โดนโกรธซะแล้ว...


ผมพยักหน้ารับ สุภาพสตรีหนึ่งเดียวเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปก่อน ผมมองตามร่างเล็กของคู่สนทนาที่เดินกระชับสายกระเป๋าของตัวเองก้าวเดินไปโดยไม่รอผม เส้นผมตรงสลวยปลิวไปตามแรงลม


ผมยกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ อย่างลำบากใจ เพื่อนก็ห่วง พี่แฟนก็ห่วง คนที่คุยอยู่เมื่อกี้ก็ห่วง เป็นหมอรักษาคนยังไม่ลำบากใจขนาดนี้เลยให้ตาย!


“ช้านะมึง” ผมเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไป ไอ้ซันก็ทักมากวนๆ ข้างเตียงมีฟ้านั่งปอกผลไม้อยู่ ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา


“ปวดแผลมั้ย” ผมถาม


ไอ้ซันเลิกคิ้วแล้วยักไหล่ ถ้าบอกว่าไม่เจ็บจะเดินไปฟาดกบาลสักที เย็บเป็นสิบเข็มขนาดนั้นไม่เจ็บก็ไม่ใช่คนแล้ว


“กูไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ” ไอ้ซันบอกเซ็งๆ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่ามันไม่ชอบนอนโรงพยาบาล


“เออ” ผมรับคำ “เย็นนี้ก็กลับได้ละ”


“อ้าวม๊า” ผมหันไปทักผู้มาใหม่ที่เดินมากับป๊าผมยิ้มๆ ไอ้ซันหันไปมองก่อนจะยกมือไหว้ น้องฟ้าวางมีดลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ม๊ากับป๊าผมเหมือนกัน


“มาได้ไง” ผมถาม ม๊าเดินมาหาผมก่อนจะยกมือฟาดไหล่ผมหนึ่งที ส่วนป๊าเดินไปหาไอ้ซันที่เตียงคนไข้


“เจ้าลูกคนนี้ยังไงกัน เพื่อนเข้าโรงพยาบาลไม่คิดจะบอกม๊าบ้างรึไงหื้อ” ม๊าบ่น ผมรีบส่งยิ้มประจบ


“หมดหล่อเลยเจ้าหลานชาย” ป๊าทักไอ้ซันยิ้มๆ


“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับคุณลุง ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม” ไอ้ซันยิ้มน้อยๆ ม๊าผมขยับเข้าไปข้างเตียง ก่อนจะจับหัวมันพลิกดูซ้ายขวา ก้มเป่าหัวให้หนึ่งที


“เมื่อกี้ม๊าเจอน้องคนหนึ่ง ตัวสูงประมาณเนี้ย” ม๊าทำมือประกอบ “ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้อง ม๊าชวนเข้ามาก็ไม่ยอมมา แถมยังรีบเดินกลับไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นคนรู้จักของเรารึเปล่า” ม๊าผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้ซันขมวดคิ้วก่อนจะหันมามองผมทันที ผมสบตามันครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ มัน น้องฟ้าก้มหน้าเม้มปากไม่พูดอะไร คงสังเกตเห็นปฏิกริยาไอ้ซันเมื่อกี้แล้ว


“เดี๋ยวผมมานะม๊า” ผมหันไปบอกก่อนจะเดินออกมาเลยได้ยินเสียงม๊าเรียกตามหลังไวๆ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังหน้าโรงพยาบาลแล้วเดินไปหารปภ. ที่ยืนอยู่หน้าประตู


“เห็นเด็กหน้าตาแบบนี้เดินผ่านไปบ้างมั้ยครับ” ผมหยิบมือถือออกมากดหารูปของบีทส์ที่เคยเซฟเก็บไว้ออกมายื่นให้รปภ. ดูเผื่อจะเห็นน้องบ้าง


“เดินออกไปเมื่อกี้เลยครับ” ผมขอบคุณก่อนจะวิ่งออกไปมองหาร่างเล็กของน้องแต่ก็ไม่เจอ เลยวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์แทน อากาศเมืองไทยตอนนี้ไม่ธรรมดานะครับ ผมปาดเหงื่อลวกๆ แล้วใช้สายตามองหาน้อง ก่อนจะสะดุดกับร่างเล็กที่นั่งเหม่อลอย


“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ บีทส์สะดุ้งหันขวับมามองผมด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานเลิ่กลั่กแล้วขยับออกห่างตัวผม


“เข้าไปอะไรครับ พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะผมมาเยี่ยมคนรู้จัก เยี่ยมเสร็จก็จะกลับแล้ว” ปฏิเสธแต่ไม่ยอมสบตาแหะ


“ไปหาอะไรเย็นๆ กินดับความร้อนกันหน่อยมั้ย” ผมชวน


น้องส่ายหัว “ไม่ล่ะครับ ไว้โอกาสหน้าดีกว่ารถมาแล้วผมไปนะครับพี่หมอ” เขายกมือไหว้ผมลวกๆ ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถเมล์ที่วิ่งมาจอดเทียบท่า ผมลุกขึ้นยืนในท่ายกมือค้างข้างหนึ่งจะห้ามก็ไม่ทัน ได้แต่ส่ายหัวยืนมองร่างเล็กหายขึ้นไปบนรถ


ไอ้ที่วิ่งขึ้นไปน่ะมันไม่ได้วิ่งผ่านบ้านเขาสักหน่อย


ไม่รู้ว่าทันได้สังเกตหรือเปล่า ผมหันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง


“ใคร” เดินเข้ามาในห้องก้าวแรกก็ได้ยินคำถามของเพื่อนสนิทถามขึ้นมาเหมือนรออยู่แล้ว ผมหันไปเลิกคิ้วแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ทำไมเหลือมันอยู่คนเดียว


“คนที่มึงคิด เจอ...แต่หนีไปแล้ว” ผมตอบสั้นๆ


“...”


“คนอื่นล่ะ” เห็นมันไม่พูดอะไรผมเลยถามกลับ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมไม่ลืมหยิบรีโมทมาปรับแอร์ให้เย็นกว่าเดิม


“กูอยากนอน”


ไอ้ซันไม่ตอบ แต่พูดตัดบทเหมือนต้องการให้ผมหุบปาก ไอ้เพื่อนเวร! พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ผมจิ๊ปากให้ความกวนตีนของเพื่อน เห็นมันแกล้งหลับ ผมเลยเงียบบ้าง เพื่อนกันไม่พูดก็เข้าใจ


ปล่อยให้มันคิดอะไรของมันไปเถอะ...





-----------------------------
Talk :: เยลกำลังเปิดให้จองนิยายเลิฟชัค ท่านใดสนใจสามารถสั่งจองได้ในเพจ FB เบบี้เยลโล่นะคะ (แค่ 20 ชุด)



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ฟ้า. คิดได้ยัง.  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เจ็บไม่ต่างกัน
ทำร้ายจิตใจคนรัก

ซาดิสต์

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ยังไงวะเนี้ย ยังไง หน่วงสุดๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เจ็บไปหมดเลย หน่วงๆ

ออฟไลน์ memozy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
รอติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณ  o13

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 38 เจ็บที่ยังหายใจ


[บีทส์]
    

“พี่บีทส์อยู่ไหน” เสียงร้อนรนถามมาตามสาย
   

ผมกำลังหัวเราะให้กับความซื่อบื้อของตัวเอง
   

“กำลังกลับ พอดีพี่นั่งรถผิดสาย” ผมตอบ ไบร์ทถอนหาย ก่อนจะบ่นผมตามเคย ตบท้ายด้วยการบอกให้ผมกลับดีๆ น้องรออยู่ที่บ้าน ผมรับคำแล้วกดวางสาย
   

ผมหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้ทิศทาง ตัดสินใจเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ต้องนั่งรถย้อนกลับทางเดิม เมื่อกี้ไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าขึ้นรถเมล์สายไหนมา ขึ้นรถเมล์ร้อนบ้านเรามันราคาเดียวนี่ครับ ตอนขึ้นมาผมเลยไม่ทันได้ดู ได้สติอีกทีก็อยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้
   

บอกตามตรงครับว่าผมโคตรตกใจตอนมีคุณลุงกับคุณป้าเดินเข้ามาทักตอนผมด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยของพี่ซัน ถ้าถามว่าผมรู้ได้ไงก็ต้องขอบคุณอิพิงค์ครับที่สืบมาให้ ทีแรกมันก็ถามว่าจะให้พามาไหม ผมก็ปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็ตัดใจที่จะไม่มาไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มาก็ยังดี พอโดนทักผมเลยตกใจวิ่งหนีออกมาเลย
   

ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีกที่เห็นพี่หมอ ไม่คิดว่าพี่เขาจะตามออกมา ต้องเป็นคุณลุงคุณป้าที่ผมเจอหน้าห้องพี่ซันบอกแน่ๆ พอพี่หมอถาม ผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะตอบ เลยวิ่งหนีขึ้นรถเมล์ที่เข้ามาจอดส่งคนซะเลย
   

ผมไม่มีหน้าไปเจอพี่ซันหรอกครับ เพราะผมเป็นคนเลือกเองที่จะให้เราจบกัน
   

ครืด...ครืด…
   

“ครับ” ผมรับสาย
   

“อยู่ไหนเรา” พี่เจถาม ผมเงียบไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบอะไรดี
   

“แค่กๆ” ผมเสียงไอดังลอดมาตามสาย
   

“พี่ไม่สบายเหรอ” ผมถาม แม้ว่าพี่เจจะชอบแกล้งแต่เขาก็คอยเป็นห่วงผมอยู่ตลอดไม่ได้รุกเอารุกเอาเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ผมสบายใจ ผมก็ควรจะมีน้ำใจกับพี่มันบ้าง
   

“นิดหน่อยครับ ว่าจะถามบีทส์ว่าอยู่ข้างนอกมั้ย พี่อยากได้ยาแก้ไข้แต่โทรหาใครก็ไม่มีใครว่างเลย พี่รบกวนเกินไปรึเปล่า” พี่เจถามอย่างเกรงใจ
   

ผมขมวดคิ้ว “แล้วนี่พี่อยู่ที่ไหนครับ”
   

“คอนโดพี่นั่นแหละ อยู่แถวๆ XX เรารู้จักมั้ย” พี่เจตอบกลับมาแล้วไอค่อกแค่กต่อ ผมก้มมองดูนาฬิกา ถ้าถึงขนาดลงมาซื้อยากินไม่ไหวก็คงจะอาการหนักจริงๆ เอาไงดีวะ คอนโดพี่มันก็อยู่ไม่ไกลจากที่ผมอยู่ด้วย
   

“โอเคครับ เดี๋ยวผมแวะเอาเข้าไปให้” ผมตอบรับในที่สุด แล้วกดโทรศัพท์หาไอ้ออยเผื่อมันจะอยู่แถวๆ นี้อย่างน้อยมีเพื่อนไปด้วยกัน อุ่นใจกว่าไปคนเดียว
   

“ฮัลโหลมึง”
   

“เออว่าไง” ไอ้ออยกดรับ
   

“อยู่ไหนวะ กูอยู่แถวๆ คอนโดพี่เจ มีธุระนิดหน่อยมึงว่างมั้ยมาหากูหน่อย”
   

“ไปทำอะไรที่นั่น กูออกมาซื้อของเดี๋ยวแวะไปหา อยู่แถวๆ ที่มึงอยู่แหละ รอแป๊บหนึ่ง” ไอ้ออยบ่น ก่อนจะตอบรับคำขอของผม ผมเลยเดินเข้าร้านขายยารอไอ้ออย
   

“นั่งแท็กซี่มาเลยเหรอวะ” ผมถามเพื่อนสนิทตัวเอง ไอ้ออยยักคิ้วกวนๆ ให้หนึ่งที แปลก...ทำไมวันนี้ไปไหนมาไหนคนเดียว ไอ้ปริ้นไปไหน
   

“ทำไมมาคนเดียวอ่ะ” ผมถาม
   

“อ๋อ ปริ้นไปธุระกับที่บ้านอ่ะกูขี้เกียจไป” มันตอบ
   

“ขอบใจที่มาไอ้เพื่อนรัก” ผมยิ้มอย่างขอบคุณ
   

มันยิ้มก่อนจะยกแขนขึ้นกอดคอผม
   

“ไปเหอะเดี๋ยวมืดพ่อกูโทรตามจะเป็นเรื่อง” มันบอกขำๆ ผมเลยหัวเราะเมื่อนึกถึงพ่อที่มันเอ่ยถึง ไอ้ปริ้นน่ะดุมันยิ่งกว่าพ่อตัวจริงซะอีก โคตรหวงโคตรห่วง กับผมนี่คุยกันทีน้ำตาแทบจะไหลไม่รู้กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือเปล่า ไม่รู้จะประหยัดคำพูดไปไหน
   

“โอเค”
   

ผมยัดถุงยาไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินเข้าซอยไปยังคอนโดที่พี่เจบอก กว่าจะเดินถึงเล่นเอาปาดเหงื่อเลย ดีที่เริ่มเย็นแล้วแดดเลยไม่แรงเหมือนตอนกลางวัน มาถึงหน้าคอนโดผมก็ต่อสายหาพี่เจอีกรอบ ไอ้ออยก็ยืนอยู่ข้างๆ ตอนแรกมันก็ถามครับเพราะกลัวเจอพี่ไลท์ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา
   

“ครับ” ปลายสายตอบรับ
   

“ผมมาถึงคอนโดพี่แล้ว พี่ลงมาเอาได้มั้ยครับ” ผมถาม ได้ยินเสียงตะกุกตะกักจากอีกฝ่าย ผมพยายามเงี่ยหูฟัง
   

“เราขึ้นมาเลยครับ พี่บอกข้างล่างไว้แล้ว บอกเขาว่าห้อง 1302 นะ” พี่เจบอกต่อ ผมอึกอักไม่ได้คิดว่าจะขึ้นไปหาถึงห้องซะหน่อย ไอ้ออยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไร
   

ผมเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยบอกเลี่ยงๆ “พอดีผมมีธุระต่ออะครับ เดี๋ยวผมฝากพี่รปภ. ให้เอาขึ้นไปให้แทนก็แล้วกันนะ”
   

พี่เจเงียบไปอึดใจ
   

“โอเคครับ พี่คงจะรบกวนมากเกิน...เพล้ง!!!”
   

“พี่เจ!!” ผมร้องเรียกเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงอะไรตกแตก พยายามเรียกอีกฝ่ายซ้ำๆ
   

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับผมเลยวิ่งเข้าไปด้านในอาคาร ก่อนจะบอกพี่รปภ. ตามที่พี่เจบอก เขาแนะนำทางไปขึ้นลิฟท์ ผมรีบขอบคุณแล้ววิ่งไปขึ้นลิฟท์โดยมีไอ้ออยวิ่งหน้าตื่นตามมา

   
“มึงกูยืมโทรศัพท์หน่อย ต้องโทรบอกปริ้นก่อน” ไอ้ออยหันมาถามผม ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ข้างสนามแข่งรถที่ติดสอยห้อยตามมากับพี่เจ   
   

ขณะที่พวกผมกำลังช่วยทำแผลให้พี่เจที่โดนเศษของแจกันบาดขา (ไอ้ออยที่ช่วยผมเก็บเศษแจกันก็ซวยโดนบาดอีก) พี่ไลท์ก็โทรเข้ามา


ผมเห็นพี่เจทำหน้าลำบากใจ ดูจากสภาพตอนนี้คงไปแข่งตามที่ตกลงกับคู่แข่งไม่ไหวอีกทั้งยังมีอาการปวดหัวหลงเหลืออยู่ พอเห็นพี่มันลำบากก็อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ครับ พี่เจเลยหันมาอธิบายว่า ถ้าหากรับนัดแข่งแล้วเกิดไปไม่ได้ ต้องโดนปรับสองเท่าจากราคาที่ตกลง


สุดท้ายไอ้ออยก็เป็นคนอาสาช่วยขับรถมาส่งพี่เจ ส่วนผมก็ต้องตามเพื่อนมาด้วยเพราะคงไม่ปล่อยให้มันมาส่งพี่เจคนเดียว ไอ้ปริ้นรู้เข้าคือผมมีสิทธิ์โดนมันเหยียบแน่ๆ


พอไอ้ออยขับรถเข้ามาในสนาม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เหมือนพี่เจมันจะรู้เลยปลอบผมเบาๆ ว่าไม่ต้องกลัว เขาขอโทษขอโพยพวกผมตั้งหลายครั้งที่ทำให้ต้องลำบาก


พี่เจบอกให้ไอ้ออยวนรถหาที่จอด ไอ้ออยถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอพี่ไลท์ยืนโบกมือเรียกให้เข้าไปจอดรถตรงที่พี่มันยืนพิงรถอยู่ ผมไม่รู้ว่าทำไมไอ้ออยถึงกลัวพี่ไลท์ เคยจะถามหลายครั้งก็ลืมทุกที ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจเพื่อนนะครับ แต่ลืมจริงๆ


พอส่งพี่เจเสร็จเรียบร้อยพวกเราจะขอตัวกลับ พี่ไลท์กลับห้ามไว้ แล้วบอกว่ามันอันตรายให้รอกลับพร้อมกัน


แต่นี่กูรอมาหลายชั่วโมงแล้วนะเว้ย!!


“แบตหมด” ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อนจะกดดู ปรากฏว่าเครื่องดับไปแล้ว เลยค้นหาที่ชาร์ตแบตสำรองที่พกไว้ประจำ แต่ผมดันลืมหยิบสายชาร์ตใส่กระเป๋าซะงั้น!!


“ปริ้นเอากูตายแน่ มึงไปบอกพี่เจให้ที กูต้องกลับแล้ว” ไอ้ออยบอกเสียงร้อนรนพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือไม่หยุด ผมหันไปมองพี่เจที่กำลังยืนคุยกับพี่ไลท์หน้าเครียดด้านนอก ก่อนจะหันไปพยักหน้ารับคำเพื่อน


“งั้นมึงนั่งรอตรงนี้แหละ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปยังประตูห้องที่ปิดกั้นไว้ระหว่างห้องที่ผมอยู่กับห้องเครื่องยนต์ที่พี่เจยืนอยู่กับพี่ไลท์


“จะไปไหน” เสียงคนที่นั่งเฝ้าประตูถามเสียงเข้ม (หน้าโคตรดุ) พลางยื่นมือมากั้นผมไว้ไม่ให้ออกไปจากห้อง


ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะบอกความต้องการของตัวเอง


“ผมขอคุยกับพี่เจหน่อยได้มั้ยครับ”


เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“จะบอกให้”

 

+++++++++++++++++++++++++


[ซัน]


“จะให้กูไปส่งที่ไหน” เสียงไอ้สองหันมาถามขณะขับรถออกจากห้าง มันมารับผมออกจากโรงพยาบาลและพาผมแวะกินข้าวที่ห้างสรรพสินค้า ไอ้อาร์ตมีธุระส่วนไอ้น๊อตเห็นบอกว่าพี่สาวมีปัญหานิดหน่อยเลยกลับบ้าน
   

“คอนโดมึง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด ไอ้สองส่ายหัวหน่ายๆ
   

“คอนโดมึงก็มีทำไมไม่ไปวะ ห้องกูไม่ใช่โรงแรมนะไอ้ห่า” มันบ่น
ผมไม่สนใจตอบคำถามมัน แต่จงใจกวนตีนกลับ


“ทำไม? หรือมึงซุกใครไว้ที่ห้อง”


ไอ้สองทำเสียงจิ๊จ๊ะ “กูจะซุกใครได้ก็มีแต่น้องมึงนั่นแหละมานอน” มันหลุดปาก ก่อนจะเงียบเหมือนนึกขึ้นได้ ผมหันไปเลิกคิ้วให้มัน ปกติก็เข้าใจว่ามันสนิทกับน้องรหัสผมมากเพราะไอ้น๊อตมันเป็นลูกคนเล็ก ส่วนไอ้สองน่ะลูกคนเดียวเลยเอ็นดูน้องผมเหมือนน้อง แต่ไอ้มานอนด้วยกันที่ห้องนี่มันยังไง


“คือ?” ผมเลิกคิ้ว


“คืออะไร” ไอ้สองถามกลับ จงใจไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมถาม มันอึกอักเหมือนไม่อยากให้ผมเซ้าซี้ต่อ ผมขมวดคิ้ว แม้จะเคยแอบตะหงิดในพฤติกรรมของพวกมันสองคนที่ชอบทำตัวติดกันเป็นคู่ปาท่องโก๋ แต่ก็ไม่เคยคิดไปในทางอย่างว่า


แล้วนี่อย่าบอกกูนะว่า..


“อย่าบอกกูนะว่าที่ไอ้น๊อตหายหัวไปบ่อยๆ ก็เพราะมึง” ผมถามออกไปตรงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่อยากให้ถาม


“...”


ผมถอนหายใจเมื่อมันเงียบ ก็แสดงว่าไม่ปฏิเสธ


“เอาเถอะ...เรื่องของมึงกูจะไม่ยุ่ง แต่นั่น...ไข่ในหินเลยนะมึง” ผมเตือนเพื่อนกลายๆ เพราะรู้ดีว่าที่บ้านไอ้น๊อตโคตรพ่อโคตรแม่หวงลูกชายคนเล็กแค่ไหน แม้ว่ามันจะมีพี่ชายสองคนพี่สาวอีกหนึ่งคนก็เถอะครับ ไอ้นี่มันกวนตีนขี้อ้อน ที่บ้านเลยรักมากโดยเฉพาะพ่อมัน อาจจะทั้งหวงทั้งห่วงทั้งตามใจมากกว่าลูกสาวคนเดียวซะอีก


แล้วนี่...เพื่อนผมไปสอยลูกเขามาแบบนี้ ชีวิตมึงเสี่ยงลูกปืนมากเลยไอ้เพื่อนรัก!!


“กูรู้น่า” ไอ้สองตอบปัด ผมยังไม่หายอึ้ง ก็เพื่อนผมมันลูกเสี้ยว มีเชื้อไทยไต้หวันออสเตรเลีย ตัวก็โคตรใหญ่ที่สำคัญแมนฉิบหาย เทียบกันระหว่างมัน ผม ไอ้อาร์ต ไอ้สองตัวใหญ่กว่าพวกผมสองคน


ส่วนไอ้น๊อตก็ตามมาตรฐานชายไทยปกติ เพียงแต่ว่ามันมีเชื้อจีนเลยตัวขาว แล้วแม่งไปปิ๊งปั๊งกันตอนไหน ทำไมกูไม่เคยรู้วะ


ครืด...ครืด…


เสียงโทรศัพท์เข้า ผมเลยยอมถอยจากการคาดคั้นเพื่อนสนิท หน้าจอโทรศัพท์กำลังโชว์เบอร์ไอ้อาร์ตอยู่


“ว่าไง” ผมกดรับ


“พวกมึงอยู่ไหนกัน” ไอ้อาร์ตถามเสียงร้อนรน


“กำลังกลับ...เพิ่งแวะกินข้าว”


ไอ้สองหันมาเลิกคิ้ว


“ไบร์ทติดต่อบีทส์ไม่ได้ ไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหน ทั้งที่บอกว่ากำลังจะกลับตั้งนานแล้ว พยายามโทรถามคนใกล้ตัวก็ไม่มีใครรู้ แต่สันนิษฐานได้ว่าอาจจะหายไปพร้อมกับไอ้ออยหลานรหัสมึงเพราะติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”


“เดี๋ยวกูโทรกลับ” ผมตอบรับสั้นๆ แล้วกดวางสาย ก่อนจะต่อสายหาเพื่อนสนิทของไอ้ออยหลานรหัสผม


“ครับ” ปลายสายตอบรับ


“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม


“ผมก็ไม่รู้ว่าที่คิดจะถูกมั้ย แต่ตอนนี้ผมติดต่อออยไม่ได้ บีทส์ก็ด้วย ออยบอกว่าจะไปซื้อของ เขาทิ้งข้อความในไลน์ไว้ว่าจะไปหาบีทส์แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ผมพยายามโทรหาทุกคนที่คิดว่าทั้งสองคนจะไปหาแต่ไม่มีใครเจอ ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านเพราะกลัวทุกคนจะกังวลกันเกินไป เลยมารอที่บ้านบีทส์ก่อน” เสียงเรียบที่นานๆ ครั้งจะได้ยินเอ่ยออกมา น้ำเสียงแม้จะนิ่งแค่ไหน ผมกลับจับสังเกตความกังวลในน้ำเสียงได้


ผมกำมือตัวเองแน่น เริ่มเป็นห่วงไอ้ดื้อขึ้นมาบ้าง แม้จะโกหกตัวเองและพยายามไม่รับรู้เรื่องราวของมันแค่ไหน แต่พอรู้ว่ามันเกิดเรื่อง ผมก็ร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติดแล้ว


ทำไมชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงนักวะ!


“ว่าไง”


ผมหันไปถามไอ้อาร์ตเสียงเครียด หลังจากมันวางสายจากคนของมัน


ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านบีทส์ มีไอ้สอง ไอ้ปริ้น ไอ้อาร์ต ผม ไบร์ท และก็เพื่อนในกลุ่มผมอีกสองสามคนที่ตามไอ้อาร์ตมาหลังจากรับรู้เรื่องราวจากกลุ่มไลน์ มีทั้งรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน และรุ่นน้อง รู้จักกันเพราะเคยแข่งรถอยู่ทีมเดียวกัน มีพี่เมฆ ไอ้โต้ง แล้วก็ไอ้บาส สองคนหลังอายุเท่าผม พวกมันเป็นลูกนักการเมืองท้องถิ่นเลยตามมาเผื่อช่วยอะไรได้ ส่วนพี่เมฆแกเป็นรุ่นพี่ของพวกผม อายุย่างเข้าสามสิบแล้วเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ


“มีคนเจอน้องที่สนามเถื่อน” ไอ้อาร์ตตอบเสียงเครียด พวกเราทุกคนหันมามองหน้ากัน ไอ้ปริ้นนี่กำมือจนเส้นเลือดขึ้น ผมเข้าใจว่ามันคงเป็นห่วงทั้งเพื่อนที่เป็นเพื่อนสนิทและ ‘เพื่อนคนสำคัญ’ ของมัน แต่เพราะมันไม่รู้ต้องไปตามหาที่ไหน เลยทำได้แค่รอข่าว แน่นอนว่าแม่งโคตรจะหงุดหงิดที่ทำได้แค่รอ


“กับใคร” ผมออกปากถาม


รู้สึกจี๊ดที่แผล เดาว่าคืนนี้คงไข้ขึ้นเพราะแม่งแน่ ซวยฉิบหายเลย


“ไอ้เจ” ไอ้อาร์ตตอบเสียงนิ่ง


“...”


“พี่เจคนเดียวเหรอครับ” ไอ้ปริ้นที่นั่งเงียบถามขึ้น ผมเลยหันไปเลิกคิ้วให้ไอ้อาร์ตบ้าง


“ไอ้ไลท์กับกลุ่มมันไปด้วย”


“...”


“มีอะไรวะ” ผมถามกลับเมื่อเห็นแววตาคลุกกรุ่นจากหลานรหัสไอ้สองที่เปลี่ยนจากท่าทางหงุดหงิดธรรมดาเป็นโกรธจัดทันทีที่ไอ้อาร์ตตอบคำถามจบ
   

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เหมือนพี่ไลท์จะชอบออย” ไอ้ปริ้นตอบเสียงเรียบ ปกติมันก็ไม่ค่อยชอบพูดอยู่แล้ว ผมไม่ค่อยสนิทกับมันเพราะวันๆ มันก็ตัวติดกับเพื่อนสนิทไม่เคยสุงสิงกับใคร
   

ไอ้สองหันมามองหน้าผม
   

“จะลองไปตามดูมั้ยล่ะ กูพอรู้จักคนที่สนาม” ไอ้โต้งถาม เพื่อนอีกสองคนขอตัวไปสูบบุหรี่ข้างนอก
   

“ก็ดีกว่ารออยู่ที่นี่” ผมยักไหล่ตอบ พวกมันพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ้อาร์ตหันไปคุยกับเด็กมัน ดูเหมือนอีกคนงอแงจะตามไปด้วย แต่มันไม่ยอมให้ไป ส่วนไอ้สองกับไอ้ปริ้นเดินนำไปก่อนแล้ว
   

แต่ยังไม่ทันที่พวกผมจะก้าวออกจากประตูหน้าบ้านไปขึ้นรถของแต่ละคน ก็มีรถคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าบ้านของบีทส์ซะก่อน พวกเราจึงหยุดรอ
   

ผมชะงักกึก เมื่อเห็นร่างของใครบางคนเดินลงจากรถโดยมีไอ้เจก้าวตามลงมา  ไอ้ไลท์เป็นคนขับ อ่อ มีไอ้ออยตามมาด้วยอีกคน ผมเริ่มหน้าตึงเมื่อบีทส์มองผมอึ้งๆ ส่วนไอ้เจยิ้มมุมปาก แล้วยักคิ้วส่งให้ผม
   

“เอ่อ...พวกพี่มาทำอะไรกันเหรอครับ?”
   

เจ้าของบ้านถาม
   

“ออยมานี่” ไอ้ปริ้นที่ยืนอยู่ข้างหลังผมสั่งคนของตัวเองเสียงเข้มสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้ไอ้ออยวิ่งเข้ามาหามันทันทีเหมือนจะร้องไห้ ส่วนบีทส์ยังทำหน้าตื่นอยู่ เขาก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม
   

“…”
   

“ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ ไว้ผมจะมาขอบคุณทีหลังนะเฮีย” ไอ้ปริ้นพึมพำอยู่ด้านข้าง ผมพยักหน้ารับ ไอ้ปริ้นเลยกระชากแขนคนข้างตัวให้เดินตามออกไปทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มขั้น
   

“พี่บีทส์!” เสียงไบร์ทเรียกพี่ชาย ก่อนจะวิ่งออกมาจากบ้าน
   

ผมยังคงนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้ โกรธฉิบหายแต่ทำอะไรไม่ได้! บีทส์ยังคงยืนเกร็งอยู่ตรงหน้าผม มือเล็กกำเข้าหากันสั่นๆ
   

“ขอโทษนะที่ถาม แต่...มาทำอะไรกันที่บ้านคนอื่นตอนดึกๆ ดื่นๆ เหรอ” เสียงไอ้เจถามขึ้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์ ผมเลื่อนสายตาไปจ้องหน้ามัน ส่วนเพื่อนมันเดินไปยืนข้างรถแล้ว
   

“มาเดินเล่น”
   

ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินผ่านบีทส์ออกไปโดยไม่มองหน้ามันสักนิด
   

ไอ้เหี้ย! ที่กูเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตั้งนาน คือกูเป็นบ้าไปเองใช่มั้ย!!? ทำให้กูห่วงแต่ตัวเองดันเต็มใจไปกับเขา ทั้งที่กูเคยบอกว่าอย่าไว้ใจมัน!!? บอกเลิกกูไปแล้วมึงยังปั่นหัวกูได้ขนาดนี้ เหี้ยเอ้ย!!!
   

“เลิกซะเถอะไอ้สิ่งที่ทำอยู่ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันไม่คุ้ม”
   

ในช่วงที่ผมกำลังจะเดินผ่าน ไอ้เจพูดเตือนออกมาลอยๆ ผมไม่ได้สนใจที่จะฟังต่อ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งก่อนจะสตาร์ทแล้วขับพุ่งออกมาเลย มองที่กระจกหลังเห็นเพื่อนของผมขับรถตามมาสามคัน ผมหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาไอ้สอง
   

“แยกย้าย...กูไม่พร้อมจะคุยกับใคร”
   

ไอ้สองรับคำแล้ววางสายไป ผมเองก็โยนมือถือไปที่เบาะข้างตัว คิดว่าไอ้สองคงโทรบอกพวกไอ้โต้งเอง ผมขับรถไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย เพราะจิตใจของผมตอนนี้ไม่สงบมากพอที่จะจอดที่ไหนสักที่
   

ขับแม่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบ คงมีที่ไหนสักที่ ที่พอจะทำให้ผม
   

...สงบลงได้...

   

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

[ต่อ]


[ซัน]



“จะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน” ร่างสูงพอๆ กับผม เดินออกมาเปิดประตูบ้านให้ในสภาพเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น ผมที่เคยเป็นทรง ตอนนี้กลับยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง พี่ภัทรยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ
   

“โทษทีพี่ แค่ขับมาเรื่อยๆ แล้วมาโผล่ที่นี่” ผมบอกก่อนจะเดินกุมขมับเข้ามาในบ้าน เริ่มปวดแผลหนักขึ้นเรื่อยๆ พี่ภัทรปิดบ้านเสร็จก็เดินตามผมเข้ามาในบ้าน ผมมองสำรวจไปรอบๆ พลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา
   

“ไปโดนใครเขาฟาดมาล่ะ” พี่ภัทรถามนิ่งๆ แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ผมยิ้มไม่ตอบแต่รับแก้วน้ำมาวางไว้ หยิบยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบออกมายัดเข้าปากแล้วยกแก้วซดน้ำตามรวดเดียว ได้ยินเสียงหึจากพี่ภัทร
   

“อยากได้อะไรก็บอก กูจะไปนอนห้องไอ้ภาม ส่วนมึง...ก็นอนห้องกูอย่างเคยนั่นแหละ” พี่ภัทรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางบิดขี้เกียจ
   

ผมพยักหน้ารับอย่างขอบคุณ ก่อนจะหยิบมือถือเดินขึ้นไปชั้นสอง ห้องพี่ภัทรอยู่ด้านขวาของบ้าน ที่เหลือเป็นที่ว่างโล่งๆ ส่วนภามอายุน้อยกว่าผม ตอนนี้เรียนอยู่ปีสองนอนอยู่ชั้นล่าง
   

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาไอ้อาร์ต รอสายไม่นานมันก็กดรับเสียงนิ่ง สงสัยยังไม่ตื่นดี “เออ”
   

“...”
   

“ว่าไงไอ้ห่าโทรมาไม่พูด แล้วนี่อยู่ไหน” ไอ้อาร์ตพูดเสียงเข้มขึ้น ผมทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงสีเข้มของพี่ภัทร มีหมอนกับผ้าห่มผืนใหญ่พร้อมอุณภูมิในห้องเย็นเฉียบ
   

“บ้านพี่ภัทร” ผมตอบสั้นๆ ได้ยินเสียงขยับจากฝั่งไอ้อาร์ตก่อนจะเงียบไป มันคงลุกขึ้นนั่งเพื่อเรียกสติ แต่ผมหมดธุระแล้วนี่สิ...
   

“กูโทรมาบอกแค่นี้” ผมบอกก่อนจะตัดสายทิ้ง ไม่ต้องเดาว่าไอ้อาร์ตมันคงสรรเสริญผมอยู่
   

ผมกดปุ่มโฮมที่หน้าจอมือถือ ก่อนจะลูบใบหน้าของใครบางคนที่ตั้งไว้เป็นภาพหน้าจอหลักเมื่อนานมาแล้ว
   

มึงแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ
   

ผมตัดใจกดเปลี่ยนหน้าจอเป็นรูปรถยนต์คันโปรดที่ชอบตั้งเป็นประจำ ก่อนจะเขวี้ยงมือถือทิ้งไปข้างตัว ล้มตัวนอนแล้วปิดสวิตช์ตัวเองทันที
   

“อ้าวตื่นแล้วเหรอพี่”
   

เสียงไอ้ภามถาม ขณะผมกำลังเดินลงบันได ผมตอบรับในลำคอ พลางเดินเช็ดหน้าลงมา ทั้งตัว...ใส่แต่กางเกง ไม่ได้ใส่เสื้อ
   

“ผมออกไปซื้อข้าวมาให้ มากินด้วยกันดิ” ไอ้ภามเอ่ยชวนพลางแกะถุงกับข้าวใส่จาน ผมเดินไปหามันแล้วนั่งลงบนโต๊ะ เอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้ที่ผนักเก้าอี้
   

“พี่ภัทรไปทำงาน เย็นๆ กลับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงวันนี้ผมหยุด” ไอ้ภามบอกต่อเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ไอ้ภามมันเป็นเด็กนิ่งๆ ครับ เคยได้ยินว่าอยู่โรงเรียนเก่ามันมีเรื่องประจำ จนพี่ภัทรต้องลากมันมาอยู่ที่ชลบุรีด้วยเพราะไม่มีใครเอามันอยู่ อย่าได้หลงรอยยิ้มจอมปลอมของมันเชียว
   

นิสัยมันถอดแบบพี่ภัทรมาครึ่งหนึ่งเรื่องนิสัย ส่วนอีกครึ่งได้มาจากฝั่งแม่ ผมว่ามันไม่ค่อยเหมือนพ่อมัน เอาจริงๆ แม้แต่พี่ภัทรก็ได้มาแต่ความเก่งเท่านั้นครับ นิสัยนี่คนละทาง


ครืด...ครืด…


ผมหยิบมือถือออกมาก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นเบอร์ที่นานๆ จะได้เห็น นอกจากมีเรื่องด่วนจริงๆ ถึงจะติดต่อหาผม ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งสัญญาณบอกไอ้ภามว่าจะออกไปคุยโทรศัพท์


“ครับ”


“ขอโทษที่โทรมารบกวนแต่เช้านะซัน แต่อาจะโทรมาบอกเรื่องที่ซันเคยขอให้อาตรวจสอบ” อาทวีบอกกับผมน้ำเสียงราบเรียบ


“ไม่เป็นไรครับ ที่อาโทรมาคงมีเรื่องคืบหน้าใช่มั้ย”


“ครับ...คุณซันเดาถูก มีเบาะแสบางอย่างที่น่าสงสัย อาจจะเกี่ยวกับคนใน” เลขาคนสนิทของพ่อผมเฉลย ผมยิ้มมุมปาก คิดไว้อยู่แล้วเชียว


“ครับ อาตรวจสอบต่อได้เลย สาวให้ถึงต้นตอให้ได้ ระหว่างนี้ระวังด้วยนะครับ อาจจะไม่ได้มีแค่คนสองคนที่รู้เห็น ถ้าข่าวรั่ว เราอาจจะคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง” ปลายสายรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะขอวางสายไป ผมเก็บโทรศัพท์ไว้แล้วเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้ง เห็นภามนั่งอ่านหนังสืออยู่


“ผมทานแล้ว พี่ทานเลย เสร็จแล้วก็เก็บจานไว้ที่ซิงค์เหมือนเดิมนะ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” ไอ้ภามบอกต่อทั้งๆ ที่ยังก้มอ่านหนังสืออยู่ ผมพยักหน้ารับเรียบๆ ก่อนจะกินโจ๊กที่ถูกแกะใส่ถ้วยไว้ให้แล้วเรียบร้อย ไม่ลืมกินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ


ผมหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ออกมา ก่อนจะบอกไอ้ภามไว้ว่าจะออกไปข้างนอก มันทำเพียงพยักหน้ารับ แล้วอ่านหนังสือที่โซฟาต่อโดยไม่พูดอะไร ผมเลยออกมาแล้วสตาร์ทรถขับออกมาจนถึงชายหาด วนหาที่จอดไม่นาน จากนั้นก็เดินเข้าเซเว่นได้เบียร์เย็นๆ มาสามกระป๋อง


ผมนอนหลับตานิ่งๆ หลังจากซัดเบียร์ไปหลายกระป๋อง ปล่อยวางความคิดของตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงทักขัดจังหวะ “นั่งด้วยได้มั้ย”


ผมลืมตา หันไปเลิกคิ้วมองคนที่ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้ผ้าใบข้างๆ ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตใดๆ จากผม


“ทำหน้าแบบนี้ผมน้อยใจนะเนี่ย อุตส่าห์ทำใจกล้าขอนั่งด้วย” ใบหน้าหวานงอง้ำของผู้มาใหม่ ซ้อนทับกับหน้าของใครบางคน จนต้องส่ายหัวเพื่อเรียกสติ


“...”


“มาคนเดียวเหรอ” เสียงหวานใสยังถามต่อ


กึก…


ผมยกมือขึ้นจับไหล่เล็กไว้แน่น เมื่ออีกคนพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้ครึ่งตัว ใบหน้าหวานห่างจากผมไม่ถึงคืบ เจ้าตัวยิ้มกว้างก่อนจะทำจมูกฟุบฟิบ


“เหม็นอ่ะ” เจ้าตัวบ่น แล้วใครขอให้ดมวะ


“ถอยออกไป” ผมทำเสียงดุแล้วดันอีกคนออก


“นี่...ผมชื่อริวนะ” เจ้าตัวเอ่ยแนะนำตัวยิ้มๆ


“บ้านผมอยู่แถวนี้ ถ้าเหงาๆ อยากมีเพื่อนคุย โทรมานะ ผมจะไม่บอกหรอกนะว่ารอให้พี่โทรมา” ปากเล็กขยับไปมา ขณะที่นิ้วเรียวค่อยๆ จดปากกาลงบนกระดาษโน๊ตใบเล็กแล้วยื่นมาให้ผม


เมื่อเห็นผมยังเฉย เจ้าของเบอร์เลยยื่นมือมาจับมือผม แล้วยัดกระดาษใส่มือให้


“ไม่ได้ขอ” ผมปฏิเสธ แล้วยัดกระดาษกลับไปให้เจ้าของ ใบหน้าขาวย่นจมูกใส่ผม เพิ่งสังเกตว่าข้างตัวอีกคนมีกระเป๋าเป้ด้วย


“หยิ่งจัง...แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ริวชอบ!” มือเล็กของอีกคนจับยึดมือผมไว้แน่นก่อนจะยิ้มกว้างให้ผมอย่างสดใส เฮ้อ วุ่นวายจริง ผมส่ายหัวก่อนจะดึงมือกลับ อีกคนดื้อดึงไม่ยอมปล่อย ผมเลยออกแรงกระตุกแขนอีกครั้ง จนเขาต้องยอมปล่อย เมื่อเป็นอิสระผมก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งโดยไม่สนใจคนที่ไม่รู้จัก


ได้ยินเสียงฟึดฟัดจากอีกคน เงียบไปหลายอึดใจ


“นี่พี่ชาย...ริวไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไปเจออะไรมา แต่อย่าทำร้ายตัวเองนะ พี่ชายต้องรักตัวเองให้มากๆ แผลที่หัวนั่นต้องไปให้หมอดูด้วยนะ ไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีไปกว่าตัวเราเองหรอก ริวเป็นห่วง” ผมเงียบเพื่อฟังอีกคนพูด แต่ยังแกล้งหลับตาอยู่


ไม่รู้ว่าอีกคนมองผมด้วยสีหน้ายังไง แต่แววตาสดใสนั่นมันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนจนไม่อยากจะเห็นอีก ตัวเล็กๆ ขาวๆ เหมือนกันด้วย ไม่รู้ผู้ชายสมัยนี้เขานิยมลดหุ่น ลดความสูงของตัวเองแล้วหันมาสนใจเรื่องดูแลผิวพรรณกันหมดแล้วหรือไง จับแต่งหญิงสักหน่อย คงแยกไม่ออกแล้วว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย


“อ่ะนี่ริวให้ หวังว่าจะได้เจอพี่ชายอีกนะ ริวต้องไปก่อนล่ะ” เสียงใสเอ่ยบอก
ผมยังคงนอนนิ่ง ยกมือขึ้นมากอดอก ไม่สนใจอีกคนจนเจ้าตัวเขายอมถอยออกไป จนเงียบสนิทนั่นแหละครับผมถึงลืมตาขึ้นมาแล้วลุกขึ้นนั่ง


อมยิ้มสีชมพูวางทับอยู่บนกระดาษ ใกล้กับกระป๋องเบียร์ มีลายมือน่ารักเขียนกำกับไว้พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ ผมหยิบอมยิ้มมาสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ ปล่อยให้ลมพัดกระดาษไปโดยไม่ใส่ใจแล้วนอนทอดอารมณ์มองท้องทะเลสลับกับยกเบียร์ขึ้นจิบเหมือนเดิม


ครืด...ครืด…


“ครับ” ผมหยิบมือถือขึ้นมากดรับ เมื่อเห็นรายชื่อคนโทรเข้า


“อยู่ไหนน่ะซัน ทำไมไม่กลับบ้านเลยล่ะลูก” เสียงสั่นเครือจากปลายสายเอ่ยถาม ผมยกมือขึ้นมานวดขมับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนไปของแม่หรอกนะครับ ว่าทำไมถึงได้ขยันโทรหาผมทุกครั้งที่มีโอกาส


ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ผมคงไม่สนใจและกดตัดสายทิ้งไป แต่ตั้งแต่ที่แม่รู้เรื่องนั้นเข้า ผมก็พยายามที่จะกดรับทุกครั้ง เพื่อคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพ่อที่อาจจะระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับบีทส์


ผมไม่วันรู้เลยว่าถ้าเรื่องเกิดแดงขึ้นมาจนไปถึงหูพ่อเข้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมถึงทำได้แค่ป้องกันไม่ให้เรื่องนี้หลุดรอดไป สองมือของผมคงทำเพื่อคนที่ผมรักได้เท่านี้ แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ อาจจะไม่จำเป็นแล้วที่ผมต้องทำอะไรเพื่อ ‘ใคร’ อีก


“มีอะไรเหรอครับ”


“แม่รู้เรื่องที่ลูกเข้าโรงพยาบาลจากหนูฟ้า ทำไมซันไม่บอกแม่ล่ะลูก แม่จะได้ไปเยี่ยมกับคุณพ่อ ซันไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม แม่ไม่เข้าใจลูกเลย ทำไมต้องทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นเพื่อคนที่ไม่รักซันด้วย ไหนซันบอกแม่ว่าจะเลิกติดต่อกับเขาแล้ว ก่อนหน้านั้นแม่ก็เห็นว่าซันไม่ได้สนใจอะไรเขา ซันอย่าลืม...เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกลูกเอง แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้จริงใจกับลูก”


“แม่ครับ ผมไม่ได้โง่” ผมตัดสินใจโพล่งออกไปในที่สุด ได้ยินเสียงครางเรียกชื่อผมเบาๆ จากปลายสาย


“...”


ผมถอนหายใจหนักๆ


“ผมรู้ว่าแม่หวังดี...ทุกอย่างที่แม่ทำ แม่คงคิดว่ามันดีกับผม เพราะฉะนั้น...ผมไม่เป็นไร” ผมหยุดหายใจ “แปลกนะครับที่คนบอกว่ารักผม หวังดีกับผม กลับเป็นคนที่คอยเอาแต่บอกว่า...ผมต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำเพื่อรักษาหน้าตาของครอบครัวเรา แต่อีกคนที่แม่บอกว่าเขาไม่เหมาะสมกับผม...กลับบอกให้ผมหันหน้าเข้าหาแม่ก่อน เพราะยังไง ‘แม่ก็คือแม่’ มันน่าขำไหมล่ะครับ” ผมไม่เคยรู้ว่าครอบครัวที่สงบสุขเป็นยังไง ผมไม่เคยรู้ว่าความอบอุ่นของครอบครัวหน้าตาเป็นแบบไหน ผมไม่เคยรู้ว่าบ้านที่เราจะกลับไปได้ทุกครั้งที่เราไม่มีที่ยืนมันคือที่ไหน เพราะตั้งแต่เด็ก ‘บ้าน’ ในความหมายของผมก็เป็นแค่ที่ซุกหัวนอน


“ร้องไห้ทำไมคุณ” เสียงพ่อแทรกเข้ามาในสาย ผมได้ยินเสียงแม่ปฏิเสธเสียงสั่น


“ไอ้ซัน! นั่นแกใช่มั้ย!?” ผมยกโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหู เมื่อพ่อแย่งโทรศัพท์จากแม่แล้วเรียกชื่อผมลั่น ผมยิ้มเยาะ ก่อนจะเป็นฝ่ายกดตัดสาย


มีสายเรียกเข้าจากอาทวีพอดี


“ครับ”


“คุณซันเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ มีคนบุกรุกห้องเก็บเอกสารที่โรงงาน เอกสารสำคัญเกี่ยวกับการประมูลโครงการหายไป”


“อะไรนะครับ! เป็นไปได้ยังไง!?” ผมถามกลับด้วยความตกใจ มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อโรงงานก็มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี


“ทางเรากำลังตรวจสอบครับ คาดว่าคงเป็นคนใน” ผมขมวดคิ้ว ก็แน่ล่ะจะเป็นคนนอกไปได้ยังไง ที่ผมสงสัยคืออาจจะมีคนร่วมมือกันหลายกลุ่ม เพราะคนที่สามารถเข้านอกออกในได้โดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตต้องรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี ต้องมากพอ...ที่จะเข้าไปได้โดยไม่มีใครเห็น


“แล้วกล้องวงจรปิดล่ะ” ผมถาม


“อาให้ภีมตรวจสอบแล้ว กล้องที่อยู่บริเวณนั้นเสียหมดเลยทุกตัวพร้อมๆ กัน” ผมจิ๊ปากอย่างเจ็บใจ แสดงว่าพวกนั้นคงรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนตรวจสอบ อุตส่าห์คิดว่าระวังตัวมากแล้วซะอีก


“ช่วยตรวจสอบความเสียหายด้วยนะครับว่ามีอย่างอื่นหายไปอีกหรือเปล่า แล้วนี่แจ้งท่านประธานรึยัง” ผมสั่งงานแล้วถามต่อ เพราะเมื่อกี้ผมก็เพิ่งตัดสายจากพ่อ ไม่รู้ทางนั้นรู้เรื่องหรือยัง


“เอ่อ...ยังเลยครับ จะให้อาแจ้งท่านประธานไปทั้งหมดพร้อมกันเลยมั้ย”


“ยังไม่ต้องครับ รอตรวจสอบให้แน่ใจก่อน แล้วผมจะเป็นคนเรียนท่านประธานเอง” ผมบอกเสียงเรียบ ปลายสายตอบรับแล้ววางสายไป


เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจจนกว่าจะจับตัวการใหญ่ได้ ผมไม่ได้อยากสร้างผลงานเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การขึ้นตำแหน่งในอนาคตหรืออะไรทำนองนั้นหรอก แต่เพราะบริษัทนี้เป็นเหมือนทุกอย่างของครอบครัวผม ถ้าผมเห็นของเน่าในบ้านก็สมควรที่จะตัดทิ้งก่อนที่มันจะลุกลาม


กว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ บรรพบุรุษของผมต้องลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ถึงผมจะยังเด็กในสายตาของทุกคน แต่อย่าลืมว่าเด็กอย่างผมก็โตมากับบริษัทแห่งนี้



Talk :: บี้เปิดจองนิยาย หากใครสนใจติดตามได้ที่เพจเบบี้เยลโล่นะคะ (ใกล้ครบจำนวนแล้ว)





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไหวป่ะเนี่ย มีแต่เรื่องเข้ามาประดังไปทุกทิศ  :กอด1:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
สู้ๆนะพี่ซัน ค่อยๆแก้ปัญหาทีละอย่าง บีสท์รอได้แหละไม่ไปไหนหรอก

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1




เขาว่า Unlucky in love จะ Lucky in game

แต่พี่ซัน Unlucky in love and game เลยนะ.

เอาใจช่วยพี่ซันนะ. ปัญหารุม3ด้าน ความรัก ครอบครัว การงาน

คนหนึ่งคน จะสู้ไหวไหม เอาวะ อย่างน้อยก้อมีเพื่อนดีนะ

เฮ้อ ………


 :z3:  :z10:  :z13:  :z3:  :z10:  :z13:  :z3:  :z10:  :z13:



ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ 39 :: ตัวล่อ

[บีทส์]



“พี่บีทส์ออกไปข้างนอกกันมั้ย” ผมหันไปหาน้องที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน ก่อนจะส่ายหัว เบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างเหมือนเดิม

   
“หลายวันมานี้ก็กินได้นิดเดียวเอง ออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่าเผื่อจะเจริญอาหาร หรืออยากไปเที่ยวมั้ย เดี๋ยวไบร์ทชวนพี่ไม้ไปด้วย”
   

ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง
   

ไบร์ทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงแล้วบ่น “งั้นออกไปแค่สวนในหมู่บ้านก็ได้ อยู่แต่ในบ้านมันร้อนจะตาย” ผมลอบถอนหายใจ แล้วนึกตำหนิตัวเอง
   

ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้น้องเป็นห่วง คุณนายก็ด้วย ไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล ผมแค่กำลังต้องการเวลาฟื้นฟูตัวเอง แต่กระนั้นคุณนายก็คอยมาคุยเล่นด้วยไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว จนผมปฏิเสธไม่ลง (แม่รู้แล้วครับว่าผมเลิกกับพี่ซัน แต่ไม่ได้พูดอะไร บอกแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะตัดสินใจเอง)
   

“เอางั้นก็ได้ ไบร์ทไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก พี่โอเค” ผมคลี่ยิ้มให้ดู ไบร์ทตาแดง น้องขยับเข้ามาหาผมแล้วสวมกอด ผมเม้มปากแน่น พยายามที่สุดที่จะไม่ร้องไห้
   

“ถ้าพี่บีทส์ตัดสินใจแล้ว ไบร์ทก็ไม่อยากให้พี่บีทส์เสียใจกับสิ่งที่พี่บีทส์เลือกนะ แบบนั้นมันไม่แฟร์ทั้งต่อพี่และก็คนๆ นั้นด้วย” ไบร์ทบอกพลางลูบหลังผม
   

นั่นสิ...นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่งั้นเหรอ
   

“จะไปไหนกันลูก” คุณนายที่นั่งทำงานอยู่ชะโงกหน้ามาถาม
   

“ไปแว๊นน่ะคุณนาย ไปด้วยกันมั้ย” ผมตอบขำๆ แม่มองผมสลับน้อง ก่อนจะถอดแว่นวางไว้ จะไปด้วยจริงดิ
   

คุณนายยศสินีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงและตัดพ้อ “บีทส์ยังมีแม่กับน้องนะ อย่าคิดว่าตัวเองเหลือตัวคนเดียวสิ” หญิงแกร่งในบ้านบอกดุๆ พลางยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่ง ผมยิ้มฝืด
   

“ขอโทษครับแม่” เสียงสั่นจนต้องเม้มริมฝีปาก
   

“ไปกันเถอะ ใกล้เย็นแล้ว อากาศกำลังดีไม่ร้อนมาก ขับรถกันดีๆ ล่ะ กลับมาให้ทันข้าวเย็นกันด้วย” คุณนายบอก ก่อนจะหันไปหาไบร์ท ไอ้น้องตัวดีทำมือตะเบะรับคำเหมือนตำรวจแล้วเดินไปเตรียมรถ
   

“เดี๋ยวพี่ขับเอง” ผมบอก ก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจจากเจ้าของรถ
   

ไบร์ทยื่นกุญแจให้ผม ก่อนจะขยับออกจากตำแหน่งคนขับ แบมือรับเสื่อที่ผมถืออยู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านรอ ผมขยับเข้าไปแทนที่ ก้าวขาขึ้นแล้วสตาร์ทรถด้วยความชำนาญ
   

ขับไปถึงที่หมาย ผมก็ปล่อยให้น้องลงจากรถก่อน ส่วนผมมองหาที่จอด ไบร์ทเดินไปปูเสื่อที่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ พอเรียบร้อยก็กวักมือเรียกผม เจ้าตัวแสบยิ้มทะเล้นก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับตาพริ้ม
   

ผมตามไปนอนลงข้างน้อง แล้วปิดเปลือกตาลงช้าๆ
   

พี่เป็นยังไงบ้าง
   

สบายดีไหม
   

ผมโคตรคิดถึงพี่เลย


+++++++++++++++++++++++++


[เจ]
   

“เจ...มึงอยู่ที่ไหน” เสียงไอ้ไลท์ถามมาตามสายนิ่งๆ ผมลุกขึ้นไปตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องพักในโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายเตียง
   

“โรงแรม” ผมตอบกวนๆ ไอ้ไลท์จิ๊ปาก มันคงอยากด่า เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะเล่น มันเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของผม
   

“ให้ช่วยอะไรมั้ย กูมีที่ดีๆ ให้มึงใช้หลบซ่อนตัวได้พักใหญ่ๆ หรือจะเป็นต่างประเทศก็ได้ เดี๋ยวกูช่วย” ไอ้ไลท์เสนอทางเลือกให้ ผมยิ้มเยาะ ทำไมกูต้องหนีด้วย พวกแม่งทำอะไรกูไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานอะไรก็ไม่มี กูเผาไปหมดแล้ว
   

เหลืออยู่แค่อย่างเดียวนี่แหละ...
   

“ทำไมกูต้องไป”
   

“แล้วที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตอนนี้คืออะไร” ไอ้ไลท์ถามกลับ ผมเป็นฝ่ายจิ๊ปากหงุดหงิดบ้าง ไอ้พวกขี้ขลาดกลัวความผิด แค่ไอ้ซันขู่นิดหน่อยทำเป็นกลัว แล้วโยนความผิดทุกอย่างมาให้ผมแทน หึ!
   

หมาจนตรอกแว้งกัดพวกเดียวกัน!!!!
   

“แค่กูได้หลักฐานชิ้นสุดท้ายจากไอ้ซัน กูก็รอดแล้ว” ผมตอบ
   

“ยังไง” ไอ้ไลท์ถามต่อ
   

“หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีกูและหลักฐานการช้อนซื้อหุ้นของบริษัท”
   

หลักฐานที่ว่าคือคลิปเสียงที่ไอ้เวรนั่นแอบอัดเสียงผมไว้ตอนตกลงเรื่องผลประโยชน์กัน ผมชะล้าใจเอง ไม่คิดว่าจะโดนหักหลัง ตอนนี้หลักฐานชิ้นนั้นอยู่ในมือไอ้ซัน ถ้าหลักฐานชิ้นนั้นถึงมือตำรวจผมเสร็จแน่ เรื่องอะไรผมจะอยู่เฉยให้พวกมันมาลากเข้าคุก
   

“มึงสินะที่ปล่อยข่าว”
   

“ใช่แล้วจะทำไม” ผมตอบอย่างไม่เดือดร้อน ผมเป็นคนแกล้งปล่อยข่าวลือเรื่องความลับรั่วไหลออกไป ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างหนัก
   

“มึงทำแบบนี้มันเสี่ยงมากนะเจ แล้วที่นี้มึงจะเอาหลักฐานที่ว่านั่นมาได้ยังไง” ไอ้ไลท์ถามด้วยความเป็นห่วง ผมซาบซึ้งในน้ำใจของมันชะมัด
   

แต่ขอโทษทีว่ะเพื่อน กูถอนตัวไม่ได้แล้ว
   

“หาตัวล่อ”
   

ผมกดวางสายจากเพื่อนสนิท ทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด มันคือความตั้งใจมาตั้งแต่แรก!
   

พ่อผม...ผู้ชายที่ทุ่มเทเพื่อธีระกรุ๊ปมาครึ่งชีวิต ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ แต่กลับได้เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยระดับผู้จัดการ พ่อเป็นเขยที่แต่งเข้ามา จึงไม่มีทั้งศักดิ์และสิทธิ์ในการยืดอกรับอำนาจ ตัวผมเองก็เป็นแค่หลานต่างสายเลือด!!
   

ผมอาศัยความฉลาดและการรู้จักวางตัว พยายามทำให้พ่อไอ้ซันเอ็นดู ทำให้เขาเกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างผมกับลูกชายของเขา โดยอาศัยช่องโหว่ที่มันไม่ค่อยสนใจงานด้านบริหารและชอบทำอะไรขัดใจผู้ให้กำเนิด ผมวางแผนมานาน ทั้งที่เกลียดแสนเกลียดที่ต้องคอยประจบประแจงไอ้คนพ่อ!!
   

สุดท้ายผมก็พลาด!!
   

ก่อนไอ้ซันจะเรียนจบและไปเรียนต่ออเมริกา พ่อมันกลับให้มันเข้ามาเรียนรู้การบริหารงาน ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่เคยสนใจใยดีบริษัทเลยแม้แต่นิดเดียว! พอเรียนจบกลับบอกว่าจะกลับมารับตำแหน่ง บ้าหรือเปล่า!!
   

ผมทนมองมันได้ทุกอย่างไปง่ายๆ ไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง!
   

หลังจากได้รับความพ่ายแพ้จากโปรเจ็คคุณวินิต ผมก็กลับมานั่งทบทวนตัวเอง ผมจะแพ้ไม่ได้ ไอ้ซันต้องมีจุดอ่อน และผมจะเหยียบจุดอ่อนนั่นให้จม!!!!!!
   

ผมแค่ต้องรอเวลา...
   

ผมส่งคนไปตามสืบเรื่องของมันจนค้นพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ไอ้ซันพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งไปที่บ้านพักส่วนตัวของมันที่ประจวบฯ บ้านที่มันหวงนักหวงหนา มันทำให้ผมมั่นใจว่าเด็กนี่แหละ ที่จะกลายเป็นจุดอ่อนของไอ้ซัน!
   

โอกาสของผมมาถึงแล้ว!
   

ผมส่งรูปความสัมพันธ์ที่ดูเกินรุ่นพี่รุ่นน้องไปให้พ่อมันเพื่อหวังให้สองพ่อลูกแตกหัก น่าเสียดายที่ซองเอกสารไปไม่ถึงมือคนที่ผมต้องการ แต่โชคก็ยังเข้าข้างผม ที่แม่ไอ้ซันรู้และเริ่มกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเด็กนั่นโดยที่ผมไม่ต้องเปลืองแรงกวนน้ำให้ขุ่น
   

ส่วนผม...ก็จะทยอยช้อนซื้อหุ้นเรื่อยๆ อย่างใจเย็น กว่าพวกนั้นจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว! เพื่อพ่อ…ที่โดนเหยียบจมดินมาตลอด ผมต้องเอาคืนพวกมันให้สาสม! ไอ้พวกธีระกรุ๊ปต้องได้รับบทเรียน!!!
   

“บีทส์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ตอนนี้ซันกำลังแย่ พี่กำลังจะไปช่วย ถ้าพี่เป็นอะไรไปหรือถ้าพี่ไม่ติดต่อกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง ช่วยโทรแจ้งความกับตำรวจด้วยนะ”
   

ผมส่งข้อความไปหาใครบางคนและรอคอยอย่างใจเย็น
   

ครืด...ครืด…
   

ผมมองสายที่โทรเข้ามา พลางยิ้มเยาะในใจ ฮะๆ ติดกับซะแล้ว


“พี่จับผมมาทำไม!!?” เสียงหวานใสตะโกนถามผมด้วยใบหน้าโกรธจัด ผมแสยะยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่โดนมัดมือไพร่หลังและมัดขาไว้ ทั้งที่โดนมัดแน่นขนาดนี้ยังพยายามดิ้นหนี
   

ผมยื่นมือไปจับคางเขาไว้แล้วก้มลงกระซิบรอดไรฟัน “ก็ช่วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอก ถ้าแฟนเราเล่นตามกติกา พี่ก็กล้ารับรองว่าจะไม่ฆ่าเราทิ้ง ของดีๆ แบบนี้ พี่ไม่ปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก”
   

คนโดนขู่ขมวดคิ้วมองหน้าผม ทั้งที่ตัวสั่นจนน่าสงสาร
   

“แฟนไหน ผมไม่มีแล้ว!”
   

ผมเลิกคิ้ว “ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แฟนแล้ว แต่ลองวัดกันมั้ยล่ะว่าไอ้ซันมันจะเลือกอะไร ระหว่างหลักฐานที่มันมีกับชีวิตของเราน่ะหื้ม”
   

ใจจริงแล้วผมก็สนใจเด็กนี่นะ น่ารัก ตัวขาวๆ ตรงสเป็คผม ยิ่งเป็นของๆ ไอ้ซัน ผมก็ยิ่งอยากได้ แต่เด็กนี่กลับเล่นตัวจนผมชักโมโห ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน ผมก็คิดว่าจะลากไปปล้ำที่ไหนสักที่อยู่เหมือนกัน ยิ่งได้ยินว่าไม่มีไอ้ซันคอยตามติดแล้ว ยิ่งง่ายต่อการโยนขึ้นรถ!


ผมวางแผนเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายโดยการไม่รุกหนักอย่างเคย ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี ใส่หน้ากากคนดีเข้าหา แค่นี้ก็สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เด็กนี่ไว้ใจคนง่าย แถมยังหัวอ่อน คิดไม่ค่อยทันเวลามีหลายเรื่องให้คิดพร้อมๆ กัน บอกตามตรงว่าผมไม่ถือหรอกว่าอีกฝ่ายจะเคยผ่านมือใครมา แค่ได้ลิ้มลองก็ถือว่ากำไรแล้ว
   

“ผมทำกับพี่ซันขนาดนั้นแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาไม่สนใจชีวิตผมหรอก พี่อย่าทำแบบนี้เลยนะ ผมขอร้อง...ผมสาบานว่าถ้าพี่ปล่อยผมไป ผมจะไม่เอาเรื่อง ไม่แจ้งความ ไม่บอกใครเด็ดขาดว่าพี่จับผมมา นะพี่เจ ผมขอร้องอย่าทำอะไรผมเลย” เสียงหวานพร่ำขอร้องผมไม่ขาดสาย ยิ่งพูดก็ยิ่งสั่นเครือ
   

ยิ่งฟังยิ่งได้อารมณ์…
   

“ถ้าคิดจะปล่อยไปง่ายๆ จะไปตามจับมาให้ลำบากทำไมล่ะครับน้องบีทส์ ดูสิ...ตัวสั่นเหมือนลูกนกเลย รู้มั้ย...ยิ่งเราเป็นแบบนี้พี่ยิ่งตื่นเต้น อยากสัมผัสเราจะแย่” ผมค่อยๆ ลากมือไปตามโครงหน้าหวานของอีกคนช้าๆ
   

“ฮึก...ไม่เอา อย่าทำผมเลย ผมเคยทำอะไรให้พี่เหรอ” เสียงกลั้นสะอื้นค่อยๆ เปล่งถามผม น้ำตาเริ่มหยดลงใบหน้า
   

ผมส่ายหัวยิ้มๆ “ไม่...ไม่เคย แต่มันผิดที่เราเป็นของๆ ไอ้ซันและมันทำให้พี่อยากได้” ผมตอบหื่นๆ กดอีกคนนอนราบกับเตียง ก่อนจะก้มลงกัดซอกคอขาวจมเขี้ยว แน่นอนว่าบีทส์ดิ้นพล่านเลย
   

“ไม่!! อย่าโอ๊ย! พี่ทำแบบนี้ทำไม” ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาสบตาผม แล้วตะโกนบอกเสียงดังด้วยน้ำตานองหน้า “ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเลิกกับพี่ซันแล้ว! เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันและผมทำร้ายความรู้สึกเขา! พี่เข้าใจมั้ยวะ!!”   
   

“เดี๋ยวก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง” ผมขู่ แล้วก้มลงดมซอกคออีกคน ไล้ปลายจมูกสูดความหอมเข้าเต็มปอด อ่า...ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ทำไมหอมขนาดนี้
   

“พ...พี่เกลียดอะไรพี่ซันนักหนา ผมก็เห็นว่าพ่อแม่เขาก็รักพี่” คนใต้ร่างดิ้นรนหนี แต่ผมกดแขนเขาไว้แน่น “พวกเขาเลี้ยงดูพี่อย่างดีไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพี่ถึง...”
   

ผมตัดบท “เฮอะ! มันก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ หน้ากากที่พวกมันสวมทำไมกูจะดูไม่ออก กูกับพ่อก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง พ่อกูทุ่มเททุกอย่างเพื่อธีระกรุ๊ปมาตลอด แต่สิ่งที่พ่อกูได้รับ มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับหยาดเหงื่อทุกหยดที่พ่อกูทุ่มลงไป คำพูดดูถูกเหยียดหยามที่พวกมันใช้กับพ่อกู! คือสิ่งตอบแทนความตั้งใจของพ่อกูสินะ” ผมบอกเสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งกระชากผมตรงท้ายทอยอีกคนขึ้นมา
   

ขัดขืนอีกสิ ใช้แล้ว...ดิ้นหนีแบบนี้แหละ ตะเกียกตะกายให้สุดใจไปเลย
   

“ม ไม่จริงหรอก...พี่ซันยังเคยบอกผมเลยว่า อึก ก พ่อพี่ซันรักพี่มากแค่ไหน”
   

“หึ! ตั้งแต่เด็ก...มันก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แล้วจะเคยสนใจอะไร แค่มันเอ่ยปากอยากได้อะไร ทุกคนก็แข่งกันประเคนให้มันแล้ว ทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำอะไรดีหรือสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง แต่ทุกคนก็เข้าข้างมัน แล้วกูล่ะ กูพยายามทำดีทุกอย่างแต่ไม่เห็นว่ากูจะได้อะไรตอบแทน” ผมหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง
   

ชีวิตผมลำบากตั้งแต่เกิด พ่อเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดา ได้เป็นผู้จัดการก็เพราะความอาวุโส แม่เป็นเพียงพนักงานบัญชี ไร้ซึ่งความโดดเด่น สุดท้ายก็จากไปด้วยโรคมะเร็งตอนผมอายุห้าขวบ


ผมได้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ เงินรายวันที่ได้ก็ต้องพยายามอดออม อยากกินของอร่อยเหมือนเด็กวัยเดียวกันได้กินก็ต้องตัดใจ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องเหนื่อย


แต่นับว่าผมยังมีโชคอยู่บ้าง เมื่อพ่อพบรักกับป้าไอ้ซันและแต่งงานกัน


ในที่สุด...ผมก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของไอ้ซัน


ผมวาดฝันว่าตัวเองจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ เจอเพื่อนดีๆ และได้กินอาหารดีๆ


ผมยังจำสายตาดูถูกเหยียดหยามของคนบ้านนี้ได้โดยเฉพาะ...ไอ้ซัน มันไม่ยอมรับผมเป็นญาติอีกคน และพูดตอกหน้าผมว่ามีพี่ชายแค่คนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าพี่ชายคนนั้นไม่ใช่ผม


มันมองผมต่ำชั้นกว่ามันเสมอ


ถึงต่อมาคนในบ้านจะให้ความเอ็นดูและนับถือผมมากขึ้นเพราะไม่สร้างปัญหาเหมือนลูกชายเจ้าของบ้านทั้งยังเรียนเก่ง แต่ความทรงจำในวัยเด็ก...ผมไม่เคยลืม!


“พี่ซันเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันหรอก คุณลุงโอ๋พี่มากไม่ใช่เหรอ พี่ซันถึงต้องทำตัวประชดพ่อแม่แบบนั้น ที่พี่ซันไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านมันเพราะอะไร แค่นี้พี่ยังคิดไม่ได้อีกเหรอครับ!?”


“มึงจะไปรู้อะไร”
   

“ไม่! ปล่อยกู!!!” บีทส์ดิ้นพล่านเมื่อผมมือข้างหนึ่งเลิกเสื้อยืดเขาขึ้น แต่ผมใช้ลำตัวกดเขาไว้ อยากรู้นักว่าฤทธิ์จะเยอะแค่ไหน เอาเลยหนูน้อย ดิ้นให้แรงและร้องไห้ดัง!
   

ผมมองหน้าท้องแบนราบของอีกคน ค่อยๆ ใช้หลังมือไล้ไปตามหน้าท้องขาวอย่างเบามือแล้วก้มดอมดมด้วยความหื่นกระหาย


“กลัวทำไม ไม่ใช่ว่าไม่เคยนี่”
   

บีทส์ซุกหน้าลงเตียง กลั้นเสียงสะอื้นจนตัวโยน
   

หึๆ นี่มันแค่น้ำจิ้ม



Talk :: ซวยจริงบีทส์เอ้ย


ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ซวยจริงๆด้วย :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด