พิมพ์หน้านี้ - ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 16-05-2018 23:05:05

หัวข้อ: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 16-05-2018 23:05:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง


ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


***************************************************

Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? 
By :: เบบี้เยลโล่



++++++++

#เกลียดนักรักดูไหม

++++++++

สวัสดีค่ะ เพิ่งลงนิยายที่นี่เป็นครั้งแรก
ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง
ตัวละครที่เกิดขึ้นเป็นเพียงตัวละครสมมุติ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
(โค้ง)


Intro


'ซัน’ อดีตเดือนมหาวิทยาลัย ผู้มีอคติกับเพศทางเลือกอย่าง ‘เกย์’

แต่โลกดันเหวี่ยงเขาให้มาเจอกับ ‘บีทส์’ เฟรชชี่ปีหนึ่งเอกบัญชี...คนนั้น

เขาดูถูกมันสารพัด! แต่พอเห็นมันเกิดเรื่องก็อดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้

เพราะความใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง! ทำให้เขาเผลอจับมัน 'กิน' ตอนเมา

มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผีห่าตนใดเข้าสิงเขา!

จะทำยังไง ในเมื่อความรักครั้งนี้เริ่มต้นที่ความเกลียด!



****************************************************************



ขอแนะนำ
 

ซัน - ศิวานนท์   ธีรไชยบดินร์
นิสิตภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4
สูง 183 เซนติเมตร
น้ำหนัก 67 กก.
คมเข้ม คิ้วดกหนา ผิวสีแทน





บีทส์ -  นนทพัทธ์  อัครภูวนัย
นิสิตสาขาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ ปี 1
สูง 175  เซนติเมตร
น้ำหนัก  55  กก.


 




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++   







สารบัญ
 Intro+ตอนที่1 : ยินดีที่ได้รู้จัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3832318#msg3832318)
ตอนที่2 : (ซวย)สมบูรณ์แบบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3832520#msg3832520)
ตอนที่3 : จบไม่สวย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3833070#msg3833070)
ตอนที่4 : หวิดโดนอุ้ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3834342#msg3834342)
ตอนที่5 : โทษทีไม่ได้ตั้งใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3836179#msg3836179)
ตอนที่6 : ผู้ชายปากร้ายใจดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3841294#msg3841294)
ตอนที่7 : ค่ายผูกสัมพันธ์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3841295#msg3841295)
ตอนที่8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3842264#msg3842263)
ตอนที่9 : โรคทางใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3843294#msg3843294)
ตอนที่10 : รางวัลของคนเก่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3844765#msg3844765)
ตอนที่11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3848681#msg3848681)
ตอนที่12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3849554#msg3849554)
ตอนที่13 : NC (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3851531#msg3851531)
ตอนที่14 : ยอมรับว่าหลวมตัว แต่ไม่ยอมรับว่าหลวมใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3852508#msg3852508)
ตอนที่15 : สำรวจความเสียหาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3856091#msg3856091)
ตอนที่16 : คณะบริหารฯ...สุดฮอต (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3858450#msg3858450)
ตอนที่17 : NC (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3860985#msg3860985)
ตอนที่18 : เป็นฉันที่เผลอตัวหรือเป็นเธอที่เผลอใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3861902#msg3861902)
ตอนที่19 : ฉุด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3862720#msg3862720)
ตอนที่20 : พี่น้องท้องติดกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3864402#msg3864402)
ตอนที่21 : ทางแยก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3865355#msg3865355)
ตอนที่22 : ความแตก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3866739#msg3866739)
ตอนที่23 : คำตอบ...ก็อยู่ในสิ่งที่สงสัยอยู่แล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3867809#msg3867809)
ตอนที่24 : ฟังเสียงของใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3869999#msg3869999)
ตอนที่25 : เดินหน้าเคลียร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3870805#msg3870805)
ตอนที่26 : เราจะได้เจอกันอีกมั้ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3873646#msg3873646)
ตอนที่27 : Begin Again (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3874550#msg3874550)
ตอนที่28 : Begin Again 2 + NC (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3876865#msg3876865)
ตอนที่29 : ของฝาก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3877679#msg3877679)
ตอนที่30 : เขาดิน...อินแฟนเดย์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3879805#msg3879805)
ตอนที่31 : เค้าลาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3883467#msg3883467)
ตอนที่32 : ผิดแผน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3886896#msg3886896)
ตอนที่33 : เสียใจใช่หรือเปล่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3889212#msg3889212)
ตอนที่34 : ถึงเวลาก็ต้องชดใช้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3891584#msg3891584)
ตอนที่35 : คนหายอยากได้คืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3894969#msg3894969)
ตอนที่36 : หนี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3897908#msg3897908)
ตอนที่37 : เจ็บพอกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3900437#msg3900437)
ตอนที่38 : เจ็บที่ยังหายใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67192.msg3904277#msg3904277)


❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀

นิยายเรื่องอื่นของเบบี้เยลโล่


เรื่องแยก ::  +✮ แ ฟ น เ ท ค ✮+  (สองxน๊อต) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68432.0)


❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀❀











หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? Intro+ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 16-05-2018 23:12:22
ตอนที่ 1 :: ยินดีที่ได้รู้จัก



[บีทส์]


“พี่บีทส์!! ไบร์ทต้องรีบไปก่อนนะ วันนี้ไบร์ทมีเทสย่อยแต่เช้า!” เสียงของน้องสุดที่รักของผมตะโกนขึ้นมาบนบ้าน มันจะรีบไปไหนของมัน (นี่แกไม่ได้ฟังที่น้องบอกเลยใช่ไหม) เพิ่งจะเช้าแท้ๆ แน่นอนครับ ในเมื่อน้องมันไปก่อน...ก็ช่างมัน! วันนี้ผมคงต้องใช้บริการเสริมเรียกคนขับรถจำเป็นอย่างนายแท็กซี่ไปมหาลัยตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ เรื่องแค่นี้สบายมาก เงินคุณนายทั้งนั้น!


ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ คุณนายที่บ้านผมสอนไว้ว่าต้องแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จักก่อน ซึ่งถือเป็นมารยาทที่ดีอย่างหนึ่ง.... ผมมันเป็นลูกรักครับ  ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

 
ผมนายนนทพัทธ์  อัครภูวนัยหรือไอ้บีทส์สุดหล่อของเพื่อนๆ ทุกย่อมหญ้านั่นเอง ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่คณะบริหารธุรกิจ เอกบัญชีบัณฑิต...แอะ แอะ แอะ สงสัยใช่ไหมล่ะครับว่าทำไมผู้ชายมาดแมนแฮนด์ซั่มอย่างผมจะเรียนบัญชีได้ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ   

 
ช่วงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจเลือกผมดันไม่รู้จะเรียนอะไรที่เหมาะกับตัวเอง ผมว่าหลายๆ คนก็น่าจะเคยประสบปัญหานี้เหมือนกัน มันยากนะครับถ้าเราไม่สามารถค้นพบตัวเองได้ว่าเราเหมาะกับอะไร หรือชอบเรียนทางด้านไหน แม้กระทั่งอยากจะเป็นอะไรในอนาคตยังเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก รู้ตัวอีกทีก็ต้องเลือกแล้ว
 

ส่วนที่ผมเลือกเรียนสาขานี้ เพราะผมอยากเรียนสาขาที่ไม่ต้องคิดอะไรลึกลับซับซ้อน หมายถึงว่าแหวกแนวจากทฤษฎีน่ะนะ ผมเคยไปเข้าห้องแนะแนวอาจารย์เขาแนะนำผมว่าการทำบัญชีมีแบบอย่างให้ทำตาม (ตามมาตรฐานการบัญชี) แค่จับโน่น นี่ มาใส่เป็นอันจบ  คิดจนหัวจะแตก สุดท้าย...


ก็ลงเอยที่บัญชีด้วยประการฉะนี้แล

 
ฮ่าๆ  ที่จริงแล้วผมว่าผมเป็นคนเรียนเก่งนะครับ  แต่แค่ไม่ถนัดวิทย์ คณิต ฟิสิกส์ ภาษา  หรือแม้แต่วิชาศิลปะ นอกนั้นผมโอเคมากๆ (มันยังมีเหลืออีกเหรอ)
   

 “ไปมหาวิทยาลัย NU ครับ” ก้าวขึ้นแท็กซี่ได้ก็ต้องบอกสถานที่ ที่ว้อนจะไปครับ ไม่งั้นพี่แท็กคงได้ถีบผมลงมาจากรถพี่แก ข้อหากวนส้นตีน ดีไม่ดีได้ของฝากมาเป็นรอยเท้าตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม

 
พูดถึงมหาลัยแล้วก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้นะ ผมเอ็นติดคณะที่อยากจะเข้าได้ คุณนายแทบจะปิดหมู่บ้านฉลองกันเลยทีเดียว  ก็แน่ละครับ ลูกรักสุดสวาทขาดใจอย่างผมสอบติดทั้งที จะทำอะไรเล็กๆ ได้ไง แต่ผมเพิ่งมารู้ตอนหลังว่าคุณนายเขาไปบนกับศาลเจ้าหน้าหมู่บ้านเอาไว้ว่าถ้าผมสอบติดแกจะปิดซอยเลี้ยง แล้วคุณนายก็ทำจริงๆ ครับ
   
 
“ไอ้บีทส์!! ทางนี้โว้ย” อื้อหื้อ เสียงเรียกของไอ้ออย เพื่อนรัก เพื่อนเลิฟของผมครับ มึงจะตะโกนทำไมว่ะเนี่ย คนมองใหญ่แล้วนะเห้ย กูไม่อยากเด่นตั้งแต่วันแรก!!!

 
“เสียงดังทำไมวะ กูไม่ได้หูหนวกเหมือนมึงนะ”

 
“ไงปริ้น” ต้องรีบสะกัดดาวรุ่งมันก่อนครับ ขืนปล่อยให้มันโวกเวกโวยวาย ได้โดนเรียกซ่อมตั้งแต่เขายังไม่เริ่มรับน้องแน่ๆ  ว๊ากใส่มันเสร็จก็หันไปทักทายอีกคนที่เดินตามมันมา ปริ้น หนุ่มหล่อ (น้อยกว่าผม) พ่อรวย เพื่อนสนิทอีกคน มันเป็นคนเงียบๆ ครับ ชอบเดินตามไอ้ออย แบบว่ามันเป็นเพื่อนกันมาก่อนจะเจอผมอีกน่ะ บ้านอยู่ติดกัน

 
พ่อแม่มันเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยนะ ผมยังเคยแซวเล่นๆ เลยว่ามันสองตัวแอบกินกันเองหรือเปล่า คำตอบที่ได้รับก็แค่รอยยิ้มเย็นๆ ของไอ้ปริ้น เป็นการจบการสนทนาที่โหดร้ายที่สุด! ส่วนไอ้ออย...มันก็ไล่เตะผมด้วยใบหน้าแดงๆ ของมันนั่นแหละ!

 
แล้วจะไม่ให้กูคิดได้ไงวะ


 พวกมันสองคนเรียนวิศวะเหมือนกันครับ เอ็นติดด้วยกันทั่งคู่ เป็นคู่แท้ปาท่องโก๋ ตัวมันไม่เคยห่างกันหรอกครับ  ไอ้ออยมันซุ่มซ่าม โวกเวกโวยวาย ปากวอนตีน หาได้เรียบร้อยเหมือนผม ไอ้ปริ้นมันเลยต้องคอยตามล้าง ตามเช็ด ตามประกบไม่ให้คลาดสายตาจนเรียกว่าตอนนี้...มันคงชินไปแล้วแหละครับ

 
“พวกกูต้องรีบไปก่อน มึงก็รีบๆ ไปล่ะ สายแล้ว” ไอ้ปริ้นหันมาคุยกับผม พร้อมทั้งลากไอ้ออยให้ไปกับมัน ไอ้ออยมันโวยวายใหญ่เลยครับ เพราะมันยังไม่ได้คุยกับผมสักคำ คงมีเรื่องโม้เกี่ยวกับช่วงปิดเทอมให้ผมฟังล่ะมั้ง ออยมันน่ารักครับ ถึงจะโวกเวกโวยวายแต่มันก็นิสัยดี มีอะไรก็จะนึกถึงผมเสมอ โดยเฉพาะของกิน

 
“อ๊ะ!  ข..ขอโทษครับ”  อูยส์ มัวแต่นินทาพวกมันสองคน ซุ่มซ่ามไม่ดูทางชนกับใครก็ไม่รู้  เจ็บชะมัดเลย ผมลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ เสียโฉมไหมวะเนี้ย ไอ้บีทส์ยังไม่อยากมีคู่กรณีตั้งแต่วันแรกหรอกนะ ว่าแล้วก็ขอมองหน้าคู่กรณีสักหน่อยครับ


อื้อหือ...คนอะไรสูงฉิบหาย ตอนเด็กๆ พ่อแม่ให้กินอะไร๊ ผมจะได้หามากินบ้าง!!!

 
“มีตาก็หัดมองทางซะบ้าง” เสียงเย็นๆ ของพี่แกพูดขึ้น หลังจากเห็นอาการตระหนกตกใจ แบบโอเว่อร์แอ็คติ้งของผม ก็คนมันตกใจอ่ะ หน้าตาก็ดีนะ เรียกว่าหล่อละลายเลย ท่าทางจะเป็นรุ่นพี่ ดูจากหนังหน้าน่ะครับ

 
“ขอโทษครับ พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้พี่แกซะหน่อยครับ จะได้ใจร่มๆ ไม่หักคอผมตายซะก่อนจะได้ไปลงทะเบียนนักศึกษาใหม่ที่คณะ ยังครับ! พี่แกยังทำหน้านิ่ง จะพูดอะไรก็พูดมาเล้ย คนยิ่งรีบๆ อยู่ ถ้าไปไม่ทันล่ะก็ พี่ต้องรับผิดชอบ!...นะเว่ย

 
“หลีกไป” พี่แกเอ่ยไล่ผมสั้นๆ ผมแอบยู่ปากคนอะไรไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาซะเลย ก่อนจะถอยหลีกทางให้ตามความประสงค์ เห๊อะ!

 
“เห้ยซัน รีบไปเหอะว่ะ! ไอ้น๊อตโทรมาตามแล้ว เดี๋ยวไม่ทันกิจกรรมตอนเช้าจะซวยกันหมด” เสียงเรียกของพี่อีกคนในกลุ่มพี่แกดังขึ้น ทำผมหลุดจากภวังค์ ชื่อซันหรอกเหรอเนี้ย ซันที่แปลว่าลูกชาย หรือซันที่แปลว่าพระอาทิตย์กันนะ แต่ถ้าเป็นแบบอย่างหลัง ผมคิดว่าพี่แกคงเป็นพระอาทิตย์ที่มืดมนสุดๆ ไปเลยล่ะ พูดก็น้อย แถมยังส่งรังสีเย็นๆ เผื่อแผ่ออกมาหาผมอีก

 
“อืม เสียเวลาชะมัด” พี่แกหันไปตอบเพื่อน พร้อมทั้งปรายตาเย็นๆ มาทางผมครับ อิย๊ะ!!! ด่ากันทางสายตานี่หว่า


“เอ่อ ขอโทษอีกครั้งนะครับ” ขอโทษขอโพยพี่แกไปก็สามรอบแล้วเท่าที่นับได้ รีบนักก็ไปสิครับพี่ แน่ะ คนเขาขอโทษกลับเดินหนีไปซะงั้น ช่างเห๊อะ!!


ผมก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือเหลือเวลาอีก 5 นาที สงสัยคงต้องใส่เกียร์สุนัขประหนึ่งว่าเป็น อูเซน โบล์ว นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกเองซะแล้วล่ะ ว่าแต่...คณะบริหารอยู่ที่ไหน!!

 

+++++++++++++++++++++++++



อร้าก!!!!!!!!!!  กะปิ!!!!!!

 
เต็มๆ เลยแม่มมมมม ฮรือ ได้แต่สบถกับตัวเองในใจเบาๆ เพราะไม่กล้าบ่นออกเสียง สงสัยกันใช่ไหมครับว่าไอ้กะปิมาเกี่ยวอะไรด้วย

 
วันนี้ทางคณะของผมมีกิจกรรมรับน้องกัน คิดว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงจะยังไม่ได้เริ่มเรียนแน่ๆ ครับ ส่วนไอ้กะปินั่น มันก็มาจากขนมที่พวกรุ่นพี่เอามาแบ่งให้น้องๆ กินด้วยความหวังดี ไม่เคยคิดเล้ยย ว่าจะทำกับน้องๆ ที่น่ารักอย่างพวกผมได้...พวกพี่ๆ ก็ได้แต่หัวเราะคิกคักกันใหญ่ครับ อย่าให้ถึงตาผมบ้างนะคร้าบบ!

 
เปิดเทอมมาได้เกือบอาทิตย์ตอนนี้ผมมีเพื่อนเพิ่มแล้วนะครับ เป็นผู้หญิงเธอชื่อ นัท ครับ ขึ้นชื่อว่าเอกบัญชี ใครได้เข้ามาสัมผัสก็คงจะรู้ครับว่าไม่ต่างอะไรกับเมืองลับแลดีๆ นี่เอง ผู้ชายเข้ามาเรียนน้อยครับ คงไม่นิยมชมชอบอะไรเหมือนผม อีกคนคือ พิงค์ เธอ เอ๊ะ! มัน เอ๊ะ! ไอ้ ฮ่วย เรียกอะไรดีวะ เอาเป็นว่าเรียกมันแล้วกัน คล่องปากที่สุดแล้วครับ ถึงมันจะสวยหยดย้อยแค่ไหน แต่ก็มีงูเหมือนผม...


พิงค์เป็นสาวประเภทสองน่ะ

 
เราสามคนอยู่กลุ่มเดียวกันครับ ทั้งกลุ่มเรียน และรับน้อง สองคนนั้นตามหาพี่รหัสเจอแล้วครับ ส่วนผม... ไม่อยากจะโม้เลยว่าตัวผม...มีพี่รหัสเป็นถึงนางฟ้าของคณะ


นางฟ้าเลยนะเห้ย!!!

พ่วงด้วยตำแหน่งดาวมหาลัยด้วย!!!!
 
กร้ากกกกกกกกกกกกกก


เธอคือ “พี่ฟ้า” ครับ สวยสมชื่อ นอกจากจะสวยแล้วพี่รหัสของผมคนนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความใจดีมากๆ ด้วยนะ คณะผมไม่ค่อยมีอะไรมาก ไม่เหมือนพวกไอ้ออย ไอ้ปริ้นครับ บ่นให้ผมฟังตั้งแต่วันแรกเลยว่าคณะมันอ่ะพี่ว๊ากโหดมว๊าก พี่แต่ละคนเถื่อนๆ กันทั้งนั้น


ก็กูบอกแล้วว่าให้เรียนเหมือนกู้ววว

 
“น้องบีทส์ อย่าลืมนัดสายรหัสของเราเย็นนี้นะคะสุดหล่อ” จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้ในรายละเอียดอะไรมากเกี่ยวกับประเพณีการรับน้องเท่าไหร่  แต่พี่ฟ้าบอกว่าคืนนี้จะมีกินเลี้ยงรับน้องนิดหน่อย พวกพี่ๆ เขานัดกันไว้ ได้ยินแว่วๆ ว่าพี่แกนัดเลี้ยงพร้อมกับกลุ่มแฟนของพี่เขาน่ะ


ใช่ครับ พี่นางฟ้าของผมมีแฟนแล้ว เฮ้อ


“ครับ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” หลังจากนัดแนะสถานที่กันเรียบร้อยแล้ว ผมก็บอกลาพี่รหัสออกมา ยกมือไหว้พี่ๆ ที่นั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ พี่ๆ เขารักกันดีครับเอกนี้ น่าชื่นชมจริงๆ คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ครับ อนาคตที่แสนจะสดใส


ดีจังที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

 
“โอยยย ออยไม่ไหวแล้วนะปริ้น~” ฮ่าๆๆ เสียงงอแงของไอ้ออยครับ เพื่อนสนิทเท่านั้นนะถึงจะมีโอกาสได้เห็นแบบนี้  ตอนนี้พวกผมสามคนนั่งอยู่ที่โรงอาหารของคณะวิศวะครับ ผมมานั่งรอพวกมันสองคนตั้งแต่ออกมาจากคณะแล้ว เห็นจากสภาพไอ้ออยไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าผมมาเรียนคณะนี้บ้าง...กูจะรอดไหมวะ

   
ไอ้ปริ้นมันก็เงียบเหมือนเดิมครับ แค่ขยับมานั่งนวดแขน นวดขาให้กับภรรยาในอนาคตของมัน จากที่สังเกตแล้วดูท่าไอ้ปริ้นก็โดนมาไม่น้อยเหมือนกัน เสื้อมันมีแต่สีเครอะเต็มไปหมด ผมเห็นมันเลอะกลับบ้านทุกวันคณะนี้เขาเล่นกันจริงอะไรจริง ส่วนไอ้ออย...ไม่อยากจะพูดเลยครับ นึกแล้วขำไม่หาย เห็นไอ้ปริ้นบอกว่าพี่รหัสไอ้ออยเขาจับมันไปมัดจุกเปิดผมด้านหน้าขึ้น แถมยังสั่งอีกว่าห้ามมันแกะผมออกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไม่รับมันเป็นน้องรหัส!

 
ไอ้ออยถึงกลับปรี้ดแตกเลยครับ  แต่ทำอะไรไม่ได้วันดีคืนดีผมเห็นยางมัดผมของมันเป็นสีชมพูด้วยครับ 555+ พี่รหัสมันโคตรพิเรนเลยเล่นเอาไอ้ออยหน้าหงิกหน้างอทั้งวัน

 
 “พี่รหัสกูนะ เล่นอะไรไม่เห็นใจน้องเลย” บ่นไปทั้งๆ ที่หน้ามันยังคว่ำอยู่กับโต๊ะครับ สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ แอบเห็นใจมันอยู่เหมือนกัน ปกติที่บ้านมันโอ๋จะตายไปไม่เคยให้ทำอะไรหนักๆ ขัดใจสักแอะยังไม่มีเล้ย

 
 “พวกมึง วันนี้กูต้องไปกินเลี้ยงรับน้องกับสายรหัสกูวะ” ผมเปิดประเด็นขึ้น ไอ้ออยถึงกับมองขึ้นมาตาขวางเลยครับที่ผมไม่สนใจคำบ่นของมัน ไอ้นี่มันชอบเรียกร้องความสนใจ ไอ้ห่านี่ กูไม่ใช่ไอ้ปริ้นของมึงนะ!

 
“เหมือนกัน” เอ่อ เป็นไอ้ปริ้นที่แก้ไขสถานการณ์ให้ครับ แต่ถ้ามึงจะตอบแค่นี้ก็ไม่ต้องปริปากออกมาหรอกนะ กูกลัวดอกพิกุลจะร่วง

 
“โอเค งั้นเดี๋ยวแยกกันตรงนี้นะ พรุ่งนี้เจอกันที่เดิม” เผ่นดีกว่าครับ ให้สองสามีภรรยาเขางอนง้อกันต่อ วันนี้คิดว่าจะหนีบไอ้ไบร์ทไปด้วยครับ ที่เอามันไปด้วยไม่ใช่อะไรหรอกครับ...

 
คุณนายที่บ้านสั่งมาน่ะ

 
คงเป็นห่วงกลัวผมโดนลากไปทำมิดีมิร้ายมั้งครับ โธ่คุณนายไม่ได้ดูเอกที่ผมเรียนเล้ย ผมเรียนบัญชีนะครับมีแต่ผู้หญิง! ใครจะมาลาก แต่ถ้าเป็นพี่ฟ้าผมก็โอเคนะเออ

 
ติ้ง ติ้ง~

 
“ไบร์ทรอที่บ้านนะพี่บีทส์”

 
“อื้อ เดี๋ยวเจอกันที่บ้าน”

 
ไอ้น้องตัวดีไลน์มาครับ ส่วนใหญ่พวกผมสองคนจะไม่โทรคุยกันหรอก แบบถ้าโทรคุยกันมันก็เปลืองใช่ไหมล่ะ ไลน์คุยกันซะจะได้ไม่เป็นภาระค่าโทร ฮิฮิ 

 

LEO CLUB

 

“ผมถึงแล้วนะครับพี่ฟ้า”
 

“...”
 

“ครับ”
 

“...”
 

“ได้ครับ แล้วเจอกันนะครับ”


“ป่ะไบร์ท”
 

โทรหาพี่ฟ้าเสร็จก็หันมาลากไอ้ไบร์ทเข้าไปข้างในครับ ดูเหมือนพี่ๆ จะมากันเกือบครบแล้วนะ เห็นพี่ฟ้าบอกว่ามากันได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว วันนี้พี่ๆ เขาจองห้องวีไอพีไว้เลยหาง่ายหน่อย ไม่งั้นผมกับน้องคงหากันตาเหลือก สถานที่แบบนี้เราไม่ค่อยได้มากันบ่อยหรอกครับ คุณนายเป็นห่วงไม่อยากให้เที่ยวอะไรแบบนี้


หมับ


“หือ”


“กูชอบมึงว่ะ นอนกับกูไหม บอกมาว่าจะเรียกเท่าไหร่ กูยอมจ่าย~”


เฮ้ย!!!!!!!!


อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้เดินมาดึงข้อมือน้องผมไว้ แถมยังพูดจาได้กวนอวัยวะเบื้องล่างมันอีกครับ คือไม่ใช่อะไรนะ ไม่ได้หวงน้องขนาดนั้นแต่แบบ แอบสงสารพี่ผู้ชายแกมากกว่า เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกะไอ้ไบร์ท ศพไม่สวยแน่ครับ ไบร์ทคงจะโกรธมาก กัดฟันกรอดเลย อาเมน~


“ว่ายังไง ผู้ชายด้วยกันคงไม่เสียหายอะไรหรอก”


โครม!!!!!


จบคำพูดนั้นไบร์ทก็ยกเท้าขึ้นสวนเลยทันที

 
“ถ้าเงี่ยนมากนัก ก็เข้าอาบ อบ นวดไปเลยสิไอ้สัด”
 

อึ้ง!!!! 

 
ได้แต่อ้าปากค้าง!!!

 
ผมระเบิดหัวเราะ หลังจากถูกไอ้น้องตัวดีฉุดกระชากออกมาจากสถานการณ์ชวนขนแขนสแตนอัพ สิ่งเดียวที่น้องผมเกลียดมากที่สุดก็คือผู้ชายเจ้าชู้ ที่สุดของที่สุดก็คือผู้ชายหื่นกาม ไอ้พี่คนเมื่อกี้นี้ก็คือดับเบิ้ลของความเกลียด จะว่าไปพี่แกก็หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนจะเคยเจอที่ไหนแต่นึกไม่ออก


“ใจเย็นน่าไบร์ท พี่แกคงเมา” 

 
“เย็นอะไรพี่บีทส์ ตามันไม่มีมองหรือไงว่าไบร์ทไม่ใช่ผู้ชาย” เอิ่ม คือน้องมันคงไม่รู้ตัวน่ะครับ ว่าคือตัวมันน่ะ เหมือนเคะน้อยๆ มากแค่ไหน ตัวมันสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปสูงตั้ง 170 เซน ผิวขาวๆ ตาโตๆ  ยิ่งทรงผมที่เพิ่งไปตัดมานั่นอีก จะไม่ให้เขาเข้าใจผิดยังไงไหว

 

“เออน่า ไม่เคยได้ยินไง๊ ที่เขาบอก อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมาน่ะ”

 
“ฮึ่ย! ก็ได้วะ อย่าให้เจออีกนะ แม่จะจัดให้ชุดใหญ่เลย” ชักจะสงสารพี่แกหนักเข้าไปอีก น้องผมน่ะ แชมป์เทควันโด้เยาวชนระดับจังหวัดเลยนะครับ

 
“ป่ะๆ เข้าไปข้างในก่อน” ยืนอยู่หน้าห้องแล้วครับ เสียงดังออกมาถึงข้างนอกเลย ท่าทางจะอยู่กันเยอะ เอาไงดี เป็นน้องใหม่แต่มาสายจะโดนเรียกซ่อมไหม ฮึ่ย แต่คงไม่หรอกมั้งพี่รหัสออกจะใจดี

   

ผมเปิดประตูเข้าไปอย่างเบามือก่อนจะโผล่หัวเข้าไปก่อน

 
อ้าว พวกไอ้ปริ้นมาได้ยังไง มันกวักมือเรียกผมสุดท้ายผมก็เลย...

 
เอ้าชน~

 
แหะ แหะ หลังจากที่เปิดประตูเข้ามาได้ก็สะดุดกึกครับ ไม่คิดว่าจะเจอเพื่อนรักเพื่อนเลิฟที่นี่ สงสัยจะเห็นผมทำหน้าหมางงพี่ฟ้าเลยอธิบายว่าวันนี้นัดเลี้ยงรับสายรหัสพร้อมกับกลุ่มของพี่ซัน ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าพี่เขาเป็นแฟนของพี่ฟ้าอ่ะนะ แล้วก็โคตรจะบังเอิญที่ไอ้ออยเป็นเหลนรหัสของไอ้พี่ซันหน้าหล่อ แน่นอนว่าถ้าไอ้ออยมาต้องมีเงาตามตัวมันอย่างไอ้ปริ้นสุดหล่อมาด้วย..

 
ในเมื่อครบแก๊งกันขนาดนี้มันก็ต้องฉลองครับ จำได้ว่าเพื่อนกับหลานรหัสของพี่ซันนั่นก็คือพี่รหัสของไอ้ออยเป็นคนชงเหล้า จำไม่ได้เหมือนกันว่าชื่ออะไร ถ้าจะชงเข้มขนาดนี้ให้ผมกินแต่เหล้าเพียวๆ เลยก็ได้นะพี่!

 
อ่อ ลืมพูดถึงไอ้น้องสุดที่รัก ตอนนี้มันเผ่นไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ เห็นใครโทรมาก็ไม่รู้ดูท่าแล้วไบร์ทมันหงุดหงิดน่าดู คุยเสร็จมันก็หันมาบอกให้ผมดูแลตัวเองดีๆ ไว้เจอกันที่บ้าน...

 
อ้าวเวร...


ได้ข่าวว่าคุณนายให้ตามมาดูแลกูไม่ใช่เร๊อะ!!


เหล้าฟรี กินฟรี แถมคนคอยขัดลาภ(ปาก) ไม่อยู่ เสร็จกู

 
“พอได้แล้วมั้งคะน้องบีทส์ ดื่มเยอะเกินไปแล้วนะคะ” เสียงนางฟ้าสุดสวยของผมเอ่ยทัก ผมได้แต่หันไปยิ้มหวานๆ ให้พี่ฟ้าพร้อมกับส่ายหน้าไปมา เชิงให้เขารู้ว่าผมยังไหว แต่ทำไมพี่ฟ้ามีหลายคนจังวะ!

 
“แม่ะ น้องบีทส์เนี้ย พอเมาแล้วน่ารักจังเลยนะครับ ฮิ้วว~” เสียงใคร!
 

ผมหล่อต่างหากละโว้ย

           
“น้องฟ้าครับ ดึกแล้วกลับกันดีกว่าไหม” เสียงเรียบๆ นิ่งๆ นี่เสียงใครทำไมเสียงมันอยู่ใกล้จัง แล้วจะชวนพี่รหัสผมไปไหน ข้ามศพไอ้บีทส์ไปก่อนเถ๊อะ! โอย ทำไมโลกมันหมุนติ้วๆ แบบนี้


“เดี๋ยวกูไปส่งน้องบีทส์ให้ก็ได้นะเว้ย” จะไปส่ง รู้จักบ้านกูเหรอครับพี่

 
“เอาตัวมึงให้รอดก่อนไหมครับไอ้อาร์ต” อ่อ ไอ้พี่อาร์ตหน้าม่อนี่เอง เอ๊ะ แล้วนี่ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นไปไหน ทำไมไม่ได้ยินเสียงพวกมันเลย เมาแล้วหลับไปแล้วรึไงวะ กูว่าแล้วใครมันจะคอแข็งเหมือนไอ้บีทส์คนนี้

 
“นั่นสิ ไปกันเถอะค่ะพี่ซัน ต้องแวะไปส่งน้องรหัสตัวดีของฟ้าอีกนะ กว่าจะกลับบ้านอีก ขับรถดึกๆ มันอันตราย ฟ้าเป็นห่วง”

 
น้องรหัสตัวดี? หมายถึงผมใช่ป่ะ? ถ้างั้นก็...ลุก!!


เห้ยยย!!  //  เหี้ยยย!!!!!


 


หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 17-05-2018 14:14:44
ตอนที่ 2 :: ซวยสมบูรณ์แบบ

 

[ซัน]


เหี้ยยย!!

 
เชี่ยเอ้ย กูว่าแล้วไงว่ามันจะต้องสร้างความหายนะให้กูจนได้!


ตอนที่เห็นมันโผล่หน้าเข้ามาในห้องผมเองก็ตกใจครับ  ไม่คิดว่ามันจะเป็นน้องรหัสของฟ้าไปได้  ผมกับฟ้าจริงๆ นอกจากจะเป็นแฟนกัน (ตามความเข้าใจของคนอื่น) เรายังเป็นว่าที่คู่หมั้นกันด้วยน่ะ  ผมมันลูกคนเดียว  ฟ้าเองก็ลูกสาวคนเดียวของบ้านเหมือนกัน

 
ครอบครัวเราทำธุรกิจร่วมกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่แล้วครับ  ผมกับเธอเลยสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก  เรียกว่าเราโดนจับคู่กันมาตั้งแต่เด็กจะดีกว่า ถามว่ารักกันไหม รักไม่รักมันไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่ยังไงก็ต้องได้แต่งงานกันอยู่ดี  เราเลยตกลงคบกันอย่างเป็นทางการ ผมจะไปทำอะไรเธอไม่ห้าม แต่ถ้าแต่งงานแล้วค่อยมาว่ากันอีกที


พอไอ้เด็กนั่นมาถึง ฟ้าก็แนะนำให้มันรู้จักกับทุกคนทั้งเพื่อนของฟ้าแล้วก็กลุ่มของผม ดูท่าจะคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้น่าดู เห็นฉีกยิ้มกว้างให้ทุกคนไม่มีอาการประม่า ตาโตๆ ของมันหวานฉ่ำ


ท่าทางมันจะคออ่อนซะด้วย เลยหันไปส่งซิกให้กับเพื่อนรักจัดหนักรับน้องพวกมันซะเลย กูหมั่นไส้จริงๆ  เพื่อนกันมองตาก็รู้ใจครับ ไอ้สองมันส่ายหัวยิ้มๆ ตอบกลับมา ชงเสร็จก็ส่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองคน นั่นหมายถึงรวมทั้งไอ้ออยเหลนรหัสผมด้วย  ไอ้นี่มันมีคนคอยมาคุมคงไม่เป็นอะไร  แต่อีกคน...หึหึ


ฟ้าหันมาทำหน้าดุใส่ผมนิดหน่อย  แต่ผมก็ยิ้มกลับไปให้ประมาณว่าแค่แกล้งเล่นไม่มีอะไร ฟ้าเลยปล่อยเลยตามเลย สนุกสิครับทีนี้  ดูท่ายิ่งเมามันก็ยิ่งเลื้อย เดินไปซบคนโน่นทีคนนี้ที ใครชวนชนแก้วไม่มีแม้แต่คำปฏิเสธ นี่สินะธาตุแท้ของเด็กคนนี้...


 “พี่ซันคะ จะไปไหนเหรอ”
 

“อ่อ พี่จะไปเดินยืดเส้นยืดสายหน่อยน่ะ” ที่จริงก็กะว่าจะไปสูบบุหรี่สักหน่อย เห็นอะไรขัดหูขัดตาก็พาลให้หงุดหงิดไปด้วย


“อยู่เป็นเพื่อนฟ้าเถอะนะคะ ดูท่าน้องรหัสฟ้าจะไม่ไหวแล้ว ฟ้าเป็นห่วงน้อง” เฮ้อ  จะเป็นคนดีไปไหนครับฟ้า  ไม่เห็นจะต้องห่วงคนแบบนั้นเลย ท่าทางหมอนั่นจะชอบอกชอบใจด้วยซ้ำไป ผมนึกถึงบทสนทนาของผมกับไอ้คีย์ตอนที่เจอกับเด็กนี่ครั้งแรกแล้วส่ายหัว


“เด็กคนนั้น  น่ารักดีนะเว่ย”  เสียงของไอ้คีย์ดังขึ้น หลังจากที่เราเสร็จจากกิจกรรมรับน้อง ในตอนเช้าแล้วก็ระเห็จออกมานั่งที่ม้านั่งประจำกลุ่ม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ให้น้องๆ ลงทะเบียนแล้วนัดแนะกำหนดการรับน้องอีกนิดหน่อย เป็นอันเสร็จพิธี กิจกรรมรับน้องของเราเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่ยึดถือปฏิบัติติดต่อกันมานาน รุ่นพี่รุ่นน้องทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ถือเป็นภาคบังคับ


“ใครวะ”


เอ่ยปากถามมันไปอย่างนั้น จริงๆ ก็พอเดาได้ว่ามันหมายถึงใคร

 
“ก็คนที่เดินชนกับมึงไง” นั่นไง คิดแล้วไม่มีผิด เด็กคนนั้น...ดูก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นเกย์ น่อมแน๊มขนาดนั้น ยิ่งตัวเล็กๆ ปากแดงๆ ผิวขาวทั้งตัว คงสเป็คมัน ไม่งั้นไม่เก็บเอามาพูดในกลุ่มเหมือนอย่างที่เป็นตอนนี้หรอก


“กูเกลียดเกย์มึงก็รู้” ครับ ผมไม่ชอบ ไม่สิ เกลียดเลยต่างหาก เห็นพวกผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ ไม่ได้เป็นต้องหัวเสีย ไม่อยากเข้าใกล้ ขยับออกห่างเท่าไหร่เป็นดีต่อตัวผม เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผมไม่อยากนึกถึง ยกเว้นไอ้พวกเพื่อนๆ ที่สนิทกันนะครับ พวกมันเป็นรุกก็ยังพอคบกันได้

 

“โหย อะไรวะ” มันทำเสียงบ่น แล้วหันไปคุยเรื่องกิจกรรมรับน้องกับกลุ่มเพื่อนๆ ต่อ ผมในฐานะประธานรุ่น ก็ทำได้แค่ฟังแล้วเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมบ้างนิดหน่อย ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกมันไปคิดต่อกันเอาเอง  เรื่องอะไรต้องเอามาคิดเองให้ปวดหัวทั้งหมด


 “พี่ซันเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงเรียกของฟ้าทำให้ผมหันมาเลิกคิ้ว


“เปล่าครับ แค่คิดอะไรนิดหน่อย อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผมหันไปโยกหัวอีกคนเบาๆ  เวลากังวลอะไรฟ้าจะชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มันน่ารักมากๆ ในสายตาของผม แต่ก็นะ...ผมไม่ค่อยชอบเวลาที่ฟ้าเครียดหรือต้องกังวลอะไร ผมอยากให้เธอยิ้มแล้วก็หัวเราะมากกว่า


“งั้นเอางี้” ฟ้าทำหน้าสงสัย ผมยิ้มก่อนจะอธิบายให้คนขี้สงสัยเข้าใจ

 
“ก็ถ้าน้องรหัสของฟ้าเขาเดินไปไหนมาไหน ก็จับให้เขานั่งอยู่กับที่ซะสิครับ”


“เออใช่”  ฟ้าหันมายิ้มกว้างให้ผม เปลี่ยนอารมณ์ง่ายจริงๆ

 
สักพักฟ้าก็เดินไปลากน้องรหัสมานั่งลงข้างๆ ผม อย่าบอกนะว่าจะให้นั่งด้วยกัน ไม่นะเว่ย ห่างกันไว้เป็นดีที่สุด เห็นแล้วไม่ถูกชะตา


“ฟ้าฝากบีทส์ด้วยนะคะพี่ซัน พอดีฟ้าจะไปเข้าห้องน้ำ” น้องฟ้ากระซิบบอก โอ้ย ให้ตายเถอะทำไมต้องทิ้งไอ้เด็กนี่ไว้กับผม


ดูท่าจะเมาไม่น้อยเลยครับ นั่งคอพับแทบจะทิ้งตัวลงจากเก้าอี้อยู่แล้ว ผมแค่นั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ แต่ดูท่ามันจะไม่อยากเงียบไปด้วยเพราะไอ้เด็กนั่นมันดันทิ้งหัวลงมาบนตักของผมนี่สิ!


“ดูท่าเด็กมันจะชอบมึงนะซัน”  เสียงกวนอวัยวะเบื้องล่างของไอ้สองดังขึ้นมา ไม่ดูสถานการณ์เลยนะมึง วอนกินตีนกูอีกล่ะ


“มึงก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” ผมตวัดสายตาไปหามันให้หุบปากก่อนเจอดี มันแค่ส่งยิ้มเลวๆ มาให้ แล้วหันไปไซร้เด็กมันต่อ ห่านี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กๆ เลียนแบบ


 “เฮีย พวกผมกลับก่อนนะ” เสียงเรียกของไอ้ปริ้น มันพยุงร่างของไอ้ออยไว้ ดูท่าเหลนผมคงโดนไปไม่น้อยเลยเหมือนกัน หึหึ ไอ้เด็กนี่มันน่ารักครับ พี่ๆ เลยรุมแกล้งกันใหญ่โดยเฉพาะไอ้วิทย์พี่รหัสของมันเอง ส่วนไอ้ปริ้นมันคงคอแข็ง ที่ยืนไหวนี่ก็ถือว่าเก่งแล้วนะครับ


“ให้กูไปส่งไหม  ขับรถไหวเหรอมึง”  ถึงจะยังไงพวกผมก็รุ่นพี่ต้องดูแลรุ่นน้อง พาลูกเขามายังไงก็ต้องดูแล ไอ้ปริ้นเองก็เป็นเหลนรหัสของเพื่อนในกลุ่มผมนี่แหละ ความสัมพันธ์ของมันกับไอ้ออย  ถึงมันจะไม่ได้แสดงอะไรออกมามากมายแต่ทุกคนก็พอจะดูออกแค่ไม่มีใครพูดอะไรก็แค่นั้น


“ไหวเฮีย แต่ผมคงต้องฝากไอ้บีทส์ไว้กับพวกเฮียนะ บ้านมันไกลจากบ้านผมเยอะ ผมกลัวไปส่งมันไม่ไหว นี่ที่อยู่มันครับ” เวรแล้วไง


สักพักฟ้าก็เดินกลับเข้ามา ดูเหมือนไอ้ปริ้นจะคุยกับฟ้าเรื่องต้องไปส่งน้องรหัสแล้ว ผมพยายามจะดันไอ้คนที่นอนหนุนตักผมให้ออกไปแต่กรรมของเวรมือสองข้างของมันดันคว้าหมับเข้าที่เอวผมทั้งสองข้าง อยากถีบตกโซฟาจริงๆ


ฟ้าหันมาหัวเราะ แล้วขอโทษขอโพยผมใหญ่ สรุปคือกูต้องเป็นคนดีใช่ไหม นั่งได้สักพักผมก็ชวนฟ้ากลับ ถ้าไม่รีบกลับไอ้เด็กนี่ได้กระเด็นออกจากตักผมแน่ ชักนึกถึงคำไอ้สองขึ้นมาตะหงิดๆ ละ


ไอ้อาร์ตมันหันมาแซว ทำเป็นอาสาจะไปส่งไอ้น้องบีทส์ให้ เห๊อะ กูดูออกหรอกครับว่าจ้องจะกินไอ้เด็กนี่!
 
 
ฟ้าเตรียมจะปลุกไอ้บีทส์ แต่สงสัยมันจะได้ยินว่าต้องกลับ อยู่ดีๆ มันก็ลุกพรวดออกจากตักผมทำให้หัวของมันชนกับคางผมอย่างจัง สัด เจ็บนะมึง! ล้มทั้งนั่งเลยสิกู เชี่ยเอ้ย พอผมลืมตาขึ้นมาเท่านั้นล่ะ...


เห้ยยย!!  //  เหี้ยยย!!!!


จุ๊บ


เวรเอ้ย! ไอ้เด็กนั่นมันลุกไม่ระวังดันล้มลงมาทับตัวผมอีกที กรรมของเวรปากแดงๆ ของมันยังฉวยลงมาโดนแก้มผมอีก  ค้างกันทั้งห้อง!
 

“หื้อ พี่หล่อนี่ใคร อ้อ พี่ซันนี่เอง..ฮิฮิ~” ไม่พูดเปล่าเมื่อมันยกมือมันขึ้นมาลูบไล้หน้าผมแล้วพลิกไปมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก สัด! กูขนลุก!

 
“แก้มพี่ห้อมหอมเน๊อะ~” พ่อง! มันก้มลงมาหอมแก้มอีกข้างที่เหลือ แล้วซุกหน้ามันไว้กับซอกคอผม โอ้ยเชี่ย ใครก็ได้เอามันออกไปที!


ไอ้พวกที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน แทนที่จะมาช่วยกันเอาไอ้เด็กนี่ออกไปจากตัวกูนะพวกมึง


“เอามันออกจากตัวกูเลยสัด”  หันไปสั่งไอ้สอง ไอ้นี่แทนที่จะรีบมาช่วยเพื่อนดันยกกล้องขึ้นมาถ่ายผมกับกับบีทส์หน้าตาเฉย


“ง่ำๆๆ” อย่ากัดไอ้เด็กเวร! หูกูไม่ใช่ของกิน!


ฟ้าหัวเราะลั่นแล้วรีบมาช่วยพยุงไอ้เด็กเวรนี่ออกจากตัวผม ฝากไว้ก่อนเถอะมึง


กว่าจะจัดการยัดไอ้เด็กบีทส์ใส่หลังรถได้  ก็เหงื่อตกกันไปตามๆ กัน ตอนนี้พวกเราแยกย้ายกันกลับแล้ว เพราะพรุ่งนี้มีประชุมที่คณะแต่เช้า ทีแรกจะไปส่งไอ้เด็กนี่ก่อน แล้วค่อยไปส่งฟ้ากลับบ้าน

 
แต่กลับกลายเป็นว่าที่บ้านฟ้ามีปัญหาต้องรีบกลับเพราะรถที่บ้านมารับแล้ว คว้ากระเป๋าได้ฟ้าก็รีบออกไปเลย ขอโทษผมใหญ่ คงรู้สึกผิดที่ต้องฝากน้องรหัสไว้กับผม

 
แต่เห้ย!!!!

 
ที่อยู่ของไอ้เด็กนี่ละครับ!!! จำได้ว่าฟ้าขอดูแล้วเก็บไว้ เพราะเธอจะเป็นคนบอกทางให้ผม เจริญล่ะ!
 

หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...


อืม  ซวยสมบูรณ์แบบ ทั้งฟ้า ไอ้ปริ้น ติดต่อไม่ได้ทั้งคู่ แล้วกูจะเอาไอ้เด็กเวรนี่ไปส่งที่ไหน ทำกับกูไว้ซะแสบ แถมยังต้องมาเป็นภาระให้กูอีก เหลนรหัสกูก็ไม่ใช่ ว่าแต่มันหลับหรือตายวะนั่น...เงียบสนิทเชียวนะมึง

 
“แจ็บ แจ็บ~”  อ่อ ไม่ถึงกับสนิท
 
 
ถ้าปลุกขึ้นมาถามทางตอนนี้กูว่าไม่ถึงบ้านมันแน่ๆ เฮ้อ ปลงตกกับความซวย เมาขนาดนี้จะปล่อยไว้ก็ไม่ได้ แบกกลับคอนโดกูก็ได้วะ! ภาระกูจริงๆ

 
ผมออกมาอยู่คอนโดคนเดียวตั้งแต่เข้ามหาลัยทั้งสะดวกแถมยังไกลจากบ้านผมด้วย จะทำอะไรก็ทางสะดวก ผมชอบเอาคู่ขามาหาความสุขที่นี่ คนที่ผมควงด้วยส่วนใหญ่ก็พวกชอบเที่ยวกลางคืน ประมาณน้ำแตกก็แยกทางน่ะ  ฮ่ะๆ เป็นเรื่องปกติของผู้ชายคุณว่าไหม
 

เห็นแบบนี้ผมก็ป้องกันทุกครั้งนะครับ แล้วผมก็มีข้อห้ามอยู่หนึ่งข้อสำหรับคู่นอนคือห้ามมาวุ่นวายกับผมหรือฟ้า  ถ้าผมรู้ ผมไม่เก็บไว้แน่ครับ และถ้าผมต้องการจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง


เท่าที่ผ่านมา...ก็ไม่เคยมีใครกล้ามีปัญหา
 

ตุบ!


ผมแบกไอ้เด็กบีทส์ขึ้นคอนโด แล้วทิ้งมันไว้ที่โซฟาหน้าห้องนอน อย่างมันนอนตรงโซฟาก็หรูแล้วครับ อย่าหวังว่าจะได้นอนเตียงเดียวกับกู!
 
 
ตอนนี้ตีหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องเข้าประชุมเรื่องกิจกรรมของคณะแต่เช้า อาบน้ำเสร็จคงเข้านอนเลยเหนื่อยมาทั้งวันแล้วครับ

 
พอออกมาจากห้องน้ำเตรียมจะเข้านอนเห็นไอ้เด็กบีทส์มันนอนขดตัวกลม จะเดินผ่านไปก็ไม่ได้ถ้าเกิดมันไม่สบายขึ้นมาฟ้าโกรธผมแน่ที่ดูแลน้องของเธอไม่ดี  แม่ง ถ้ากูไม่เกรงใจฟ้าจะปล่อยให้มึงหนาวตายอยู่ตรงนี้ล่ะได้เด็กเวร!


ผมเดินเข้าห้องไปหยิบผ้าห่มสำรองในตู้ออกมา แล้วโยนผ้าห่มไปให้มัน มีปัญญาก็คงหยิบมาห่มเองได้ หันหลังกลับเตรียมจะเข้าห้องนอน


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาซะก่อน  เสียงเรียกเข้ามึงปัญญาอ่อนได้อีกนะ ผมปล่อยให้มันดังอยู่สักพัก ไม่มีวี่แววว่าไอ้เจ้าของเครื่องมันจะลุกขึ้นมารับเลยล้วงเอาโทรศัพท์มันขึ้นมารับแทนเพราะเห็นเป็นชื่อของคนที่ผมรู้จัก


ติ้ด


“ว่าไงปริ้น”


“อ้าวเฮีย ทำไมรับสายผมได้ล่ะ นี่มันเบอร์ไอ้บีทส์นี่ครับ”


“เพื่อนมึงเมา หลับไปแล้ว” ผมคุยกับไอ้ปริ้นพลางยืนมองเพื่อนมันที่หลับเหมือนคนไหลตาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำเอาผมแทบอยากหักคอมันทิ้ง เมาแล้วเลื้อยฉิบหาย


“ผมโทรเข้าเครื่องเฮียไม่ติด แบตหมดเหรอเฮีย แล้วนี่อยู่ที่ไหนครับ ยังไม่ถึงบ้านมันอีกเหรอ”  เพิ่งจะโทรมาตอนกูจะนอน น่ารักมากมึง สัด! กูโทรหาจนมือจะหงิกเสือกปิดครื่อง!


“กูกำลังจะนอนเลยปิดเครื่อง เพื่อนมึงก็อยู่คอนโดกู มีอะไรไว้คุยกันพรุ่งนี้ แค่นี้นะ”  ผมตัดบทแค่นั้น จะตีสองแล้วครับ มีเวลานอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง จะมานั่งด่าเพื่อนมันให้มันฟังคงเช้าพอดีกว่าจะจบ เสียเวลานอน คุยเสร็จก็ปิดเครื่องของมันด้วยซะเลย พร้อมกับวางโทรศัพท์มันไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา


มันดิ้นขลุกขลักตะกายเอาผ้าห่มออกจากหน้าแล้วตกโซฟาเสียงดังตุบ! เออดี! นอนที่พื้นนั่นแหละโซฟากูจะได้ไม่เหม็นกลิ่นเหล้าที่ตัวมึง
 


+++++++++++++++++++++++++++

 

[บีทส์]
 

“อืออออ~” ปวดหัวชะมัดเลยครับ เมื่อคืนจำได้ว่ากินเหล้าเข้าไปเยอะเหมือนกัน แหะ แหะ ได้ยินแค่เสียงแว่วๆ ของพี่ฟ้าว่าจะพาผมกลับจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


ลืมตาขึ้นมาเจอกับเพดานสีขาวสะอาดตา หื้ม  ห้องใครนี่ไม่ใช่ห้องผมแน่ๆ จะว่าห้องไบร์ทก็ไม่ใช่เพราะห้องน้องสีเทา ห้องไอ้ออยยิ่งแล้วใหญ่รายนั้นน่ะชอบสีสว่างๆ อย่างสีชมพู ทำไมไม่คุ้นเลย กรอกตามองไปรอบๆ ฉิบหาย! นี่กูโดนลักพาตัวป่ะวะ


พรึ่บ!


เห้ย!!


กำลังจะลุกก็ต้องล้มลงไปกองกับพื้นเหมือนเดิม ปวดหัวมาก ดูท่าผมจะแฮงค์แน่ๆ กี่โมงแล้วเนี้ย แล้วโทรศัพท์ผมไปไหน ล้วงหาในกางเกงก็ไม่เจอ เอ๊ จำได้ว่าเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงนี่หว่า


แล้วนี่ผมมานอนที่พื้นได้ยังไง เจริญล่ะกูโซฟามีไม่นอน ดันอยากนอนพื้น


อ๊ะ! เจอแล้วครับ วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟานี่เอง หยิบมาเปิดดูแล้วต้องร้อง... อ้าว กูปิดเครื่องตั้งแต่เมื่อไหร่หรือแบตจะหมด หื้อ ก็ไม่นี่หว่า


ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้วครับ ไม่น่าล่ะหิวขึ้นมาตะหงิดๆ ปวดหัวก็ปวด หิวก็หิวครับ ทำไมชีวิตไอ้บีทส์ถึงอาภัพแบบนี้


ติ้ด ติ้ด ติ้ด


โอ้วว ข้อความเด้งติดๆ กันเลยครับ


“ไบร์ท (20)  084-xxxxxxx  พยายามติดต่อคุณเวลา 02.17 น. This number tried to contact you.”


“คุณนายที่รัก (5)  085-xxxxxxx  พยายามติดต่อคุณเวลา 07.21 น. This number tried to contact you.”


“ไอ้ออย (3)  089-xxxxxxx  พยายามติดต่อคุณเวลา 09.18 น. This number tried to contact you.”

 
ห๊ะ!


ไบร์ทพยายามโทรหาผม 20 สาย! ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะงานนี้ ให้ตายเถอะตอนนี้อยู่ห้องใครผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ได้แต่สะบัดหน้าไล่ความมึนออกไปแล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกนั่ง ก้มสำรวจตัวเองก่อน อ่า เสื้อผ้ายังอยู่ครบ


ถ้าเดินออกไปเลยคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งเนอะ แต่อยากจะขอบคุณเจ้าของห้องสักหน่อย เขาอุตส่าห์หิ้วผมมานอนด้วย ถึงแม้จะให้นอนแค่ตรงโซฟาก็เถอะ วันนี้วันเสาร์จริงๆ ผมต้องเข้ามหาลัยด้วย วันนี้มีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธไมตรีกับรุ่นพี่ในคณะ…


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


'พิงค์'


“อื้อ ว่าไงสุดหล่อ”
   

“อิบีทส์ เดี๋ยวจะได้กินตีนคนสวย” โอ้โห หน้าตาก็ดีนะ ทำไมมันดุงี้วะ


“ครับๆ แล้วตกลงคุณพิงค์โทรมาหากระผมทำไมครับ”


“แกอยู่ไหนห๊ะบีทส์ พวกเรารออยู่ที่หน้าตึกนะ ให้ไวเลย” เสียงแบบนี้มีคนเดียวในกลุ่มครับ ไอ้นัท  ท่าทางจะแย่งโทรศัพท์ออกมาจากหูอิพิงค์มันเลยมั้งน่ะ
 

“ไม่รู้ว่ะ แต่จะรีบไปให้ไวที่สุดนะ ไว้เจอกะ..เห้ย!” ฉิบหายแล้ว นี่มันไอ้พี่ซันนี่หว่าอย่าบอกนะว่านี่ห้องพี่แกอ่ะ โอ้ย อยากจะกรี๊ด
 

แล้วนี่ผมมาอยู่ในห้องพี่แกได้ยังไงเนี้ย!

 
ใบ้แดกขึ้นมากระทันหันเลยกู โอ้ย!


“ฟ้าให้กูไปส่งมึง” พี่แกคงจะทนความเงียบไม่ไหว หลังจากเราสองคนเล่นเกมส์จ้องตากันมาครู่ใหญ่ๆ


“ไปส่งที่ไหนครับ”  ผมต้องรีบเข้ามหาลัยด้วยสิ


“อย่ามาแกล้งโง่ได้ไหมวะ!” เอ้า! อยู่ดีๆ พี่แกก็ขึ้นเสียงใส่ผมซะงั้นอ่ะ ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ส่งไปให้ ก็คนมันไม่รู้นี่


เอ๊ะ แต่ถ้าพูดถึงที่ที่ผมจะไปแล้วต้องเจอพี่ฟ้า...ก็คงมหาลัย


“ไปมหาลัยเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถามพี่แกออกไป พี่ซันทำหน้าหงุดหงิดใส่ เตรียมจะเดินเข้าห้อง พร้อมสั่งผมว่าให้เวลาแค่ห้านาที ถ้าผมยังจัดการตัวเองไม่เรียบร้อยให้โบกแท็กซี่ไปเอง ผมเลยรีบวิ่งไปที่ครัวแล้วเปิดน้ำล้างหน้า เพราะไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหน ก่อนจะเอาแขนเสื้อตัวเองเช็ดหน้าลวกๆ นั่งรอพี่ซันอยู่ที่เดิม

 
ชักไม่แน่ใจแล้วครับ ว่าพี่แกเป็นคนดีจริงหรือเปล่า แต่เขาก็อุตส่าห์ช่วยผมไว้นี่น่า  ผมเองซะอีกที่เป็นภาระให้เขา


พี่ซันออกมาจากห้องด้วยชุดลำลองสบายๆ  เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์คู่กับรองเท้าผ้าใบ ใส่แบบนี้แล้วพี่ซันดูเท่ไปอีกแบบนะครับ ปกติผมเห็นใส่แต่ชุดนักศึกษาไม่ก็เสื้อช็อป


“ตามมา” เสียงดุมาก! ทำอย่างกับผมมันไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย


ตอนนอนผมก็ไม่ได้อ้วกเลอะโซฟาห้องพี่แก บนพรมก็ไม่มีรอยเลอะอะไรด้วยอันนี้ผมมั่นใจ ถึงแม้ตอนนี้จะแฮงค์อยู่นิดหน่อยก็เถอะ


พี่ซันก้าวยาวๆ เดินนำห่างผมไปไกลคือเข้าใจนะครับว่าช่วงขาพี่แกคงยาวกว่าผม(มาก) แต่ผมก็ทั้งเดินทั้งวิ่งตามแล้วนะ ยังตามไม่ทันพี่แกเลย


กว่าจะตามทันผมก็หอบแฮ่กๆ และตอนนี้ผมก็ยืนอยู่หน้ารถเฟอร์รารี่สีแดงสดของพี่ซัน แม่เจ้าโว้ย! พี่แกจะรวยไปไหนคันนี้อย่างต่ำก็ยี่สิบสามล้านแล้วนะครับ! เคยได้ยินไอ้ปริ้นมันบ่นว่าอยากได้แต่ป๊ามันไม่อนุมัติ ป๊าคงกลัวมันขับไปสิ่วเอาชาวบ้านชาวช่องเขาให้เสียดายของ


“มัวแต่ยืนมองไม่เข้ามาสักทีวะ หรือต้องให้กูเปิดประตูให้!” พี่แกเตรียมจะเหวี่ยงเต็มที่ครับ ผมยู่ปากขอยืนชื่มชมความอลังการของรถพี่ก่อนไม่ได้หรือไง ไม่รวยจริงนี่ไม่ได้นั่งนะโว้ยพี่
   

“ได้ก็ดีนะครับ” แหะ แหะ ไม่ได้ตั้งใจจะกวน แต่คนมันกำลังตื่นเต้นไง โอกาสนี้มีไม่กี่ครั้งก็ต้องรีบคว้า เผื่อฟลุคพี่แกมาเปิดประตูให้เนี้ยไอ้บีทส์เอาไปคุยต่อได้เป็นชาติ ขอบอก!


“สัด!” คำเดียวแต่เจ็บไปถึงกระดองใจ ตามน้ำหน่อยก็ไม่ได้เน๊าะ


ขึ้นรถมาได้สักพักผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างรุนแรงปวดหัวจี้ดเลย น่าจะเป็นเพราะอาการเมาค้างบวกกับทักษะการขับรถที่ดีเลิศของพี่ซัน ประชดครับประชด ก็พี่ซันเล่นขับรถซะเร็ว ปาดซ้าย ปาดขวา ปาดหน้ารถคนอื่นไปทั่ว ขับซอกแซกไปมาทั้งๆ ที่คันไหนไม่ควรแซงพี่แกก็สามารถขับแซงปาดหน้าเข้าไปได้  หัวใจผมเริ่มเต้นเร็วกว่าปกติ มันพะอืดพะอมอยากจะอาเจียนยังไงก็ไม่รู้


แอบชำเลืองมองพี่ซัน ดูพี่แกจะตั้งใจขับรถเป็นพิเศษไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำ ผมเลยไม่กล้าบอกถึงอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้กลัวพี่แกจะโวยวายว่าผมเป็นภาระแล้วยังสร้างภาระเพิ่มให้อีก


ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยายามตั้งสติให้ได้มากที่สุด  ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ผมกำมือตัวเองเข้าหากันแน่นทั้งสองข้างอย่างอดทนแล้วท่องพุทโธ พุทโธในใจหวังเพื่อจะช่วยให้ผมอดทนได้จนถึงมหาลัย แต่ดูเหมือนว่าคำภาวนาของผมจะไร้ผล
 

อ่อกกกกกก


ความอดทนของผมสิ้นสุดลงเมื่อพี่ซันแตะเบรก ผมได้แต่ยกมือขึ้นสองข้างเพื่อรองรับสิ่งที่กำลังพ่นออกมาจากปาก น้ำหูน้ำตาไหล เลอะไปหมดทั้งเสื้อกางเกงแล้วก็...เห้ย!!


ซวยแล้ว! เบาะรถพี่ซัน!!
   

แต่ให้ตายเถอะครับผมหยุดไม่ได้แล้ว โก่งคอเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากกระเพาะออกมาจนหมดเท่าที่จะมีแรงอ้วก ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนนี้หน้าตัวเองจะซีดแค่ไหน แล้วก็...ยังไม่กล้าหันไปมองหน้าพี่ซันตอนนี้ว่าพี่แกกำลังโกรธผมมากแค่ไหน


ไม่ต้องให้ผมรอลุ้นนาน พี่ซันตบไฟหักเลี้ยวซ้ายแล้วจอดรถดังเอี้ยด!!         
         

“ลงไป! ไอ้เหี้ยบีทส์กูบอกให้ลงไป!!” พี่ซันเปิดประตูรถฝั่งตัวเองแล้วอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งผมพร้อมกับปลดสายคาดเบลท์ออกจากเอว  แล้วกระชากผมลงจากรถอย่างแรง                                                                                                   


ผมไม่มีแรงแม้แต่จะพูดว่าขอโทษ ตั้งแต่ตอนเย็นผมยังไม่ได้กินข้าวเลยสักเม็ด ตอนนี้จะเที่ยงแล้วผมก็ยังไม่ได้กินอะไรสักอย่างของที่กินมาก่อนหน้านี้ก็อ้วกออกไปหมดแล้ว หมดคำพูดโต้แย้งใดๆ ได้แต่ปล่อยให้พี่ซันกระชากแขกลงจากรถแล้วปล่อยตัวเองทรุดฮวบลงกับฟุตบาทข้างทาง


“มึงรู้ไหมว่ารถกูราคาเท่าไหร่ห๊ะ!!” พี่ซันชี้หน้าด่าผม


“น้ำหน้าอย่างมึงได้นั่งรถกูก็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว นี่มึงยังกล้าอ้วกใส่รถกูอีก มึงนี่มันตัวซวยจริงๆ เหี้ยเอ้ย!”


“ถ้าไม่เห็นว่ามึงเป็นน้องรหัสฟ้า กูอัดมึงเละแน่บีทส์ หาทางไปมหาลัยเองแล้วกัน!” พี่ซันพูดกดเสียงต่ำ หันหลังกลับไปขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที


ฮรึก แม่ครับบีทส์ปวดหัว


ไบร์ท ช่วยพี่ด้วย...


ใครก็ได้ช่วยผมที...


ตึก~             





หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 2 : ซวยสมบูรณ์แบบ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-05-2018 00:20:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 2 : ซวยสมบูรณ์แบบ
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-05-2018 15:32:39
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบ :pig2:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 3 : จบไม่สวย
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 18-05-2018 20:46:17


Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 3
By :: เบบี้เยลโล่










[บีทส์]

 


            “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่บีทส์”  ผมหันไปมองตามเสียงเรียกของน้อง  มันถามคำถามนี้กับผมทุกๆ สิบห้านาที  แต่ผมได้แต่นั่งเงียบไม่มีคำตอบให้น้อง คือไม่มีใครทำไง ผมทำตัวผมเอง

 

“ไม่มีอะไรจริงๆ นะไบร์ท”  ผมพูดย้ำคำเดิม

 

“เฮ้อ พี่บีทส์เป็นแบบนี้ทุกที” น้องมันถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องไปเลย คงหงุดหงิดที่ผมไม่อธิบายอะไรเลย

 

“นี่อิบีทส์ถ้าแกไม่ได้พี่ไม้ช่วยไว้นะป่านนี้แกนอนตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว” ผมหันไปพยักหน้าให้กับคำพูดของอิพิงค์ แล้วเบนสายตาไปมองคนที่อุตส่าห์พาผมมาส่งโรงพยาบาล พี่เขาก็หันมามองผมเหมือนกัน ผมยิ้มให้พี่เขาอย่างซาบซึ้งใจ

 

“คราวหลังมีอะไรก็โทรมาบอกพวกกูดิ มีเพื่อนไว้ทำซากอะไรบีทส์” ไอ้นัทพูดขึ้นแล้วสบตากับผมนิ่งเป็นเชิงทวงคำสัญญาจากผม

 

ที่ผมไม่เรียกมันว่านัทเฉยๆ เพราะมันบังคับให้ผมเรียกมันว่าไอ้น่ะครับ มันบอกว่าแมนดีมันชอบ มึงแมนไม่ดูหน้าตาเลยนะนัท

 

“อืม ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกพวกมึงอย่าทำเหมือนกูเป็นอะไรมากได้ป่ะ  แค่กูกินเหล้าตอนท้องว่างแค่นั้นอ่ะ เลยอ้วกออกมาหมด  เมื่อเช้าแฟนพี่ฟ้าเขาก็ออกมาส่งกูแล้ว..แต่กูหน้ามืดเอง..” ผมหยุดไว้แค่นั้นพร้อมกับก้มหน้าสลด

 

“แถมยังเอาหน้าไปประทับไว้ฟุตบาทข้างทางอ่ะนะ!?!”  ไอ้นัทเลิกคิ้วถามต่อ

 

“เออน่าไอ้นัท ยังไงมันก็สำนึกผิดแล้วมึงอย่าไปกดดันมันมากดิ” ไอ้พิงค์มันปรามไอ้นัทไว้ครับ

 

แต่ทำไมมึงยอมเรียกนัทว่าไอ้ แต่เรียกกูว่าอิวะ! แม่งไม่ยุติธรรมกับตัวกูเลย

 

“ต้องขอบคุณพี่ไม้อีกครั้งนะครับ ไม่ได้พี่ผมต้องแย่แน่ๆ” ผมหันไปพูดขอบคุณพี่ไม้อีกครั้งพร้อมกับยกมือไหว้ พี่ไม้เรียนจบแล้วครับ เคยอยู่มอเดียวกับพวกผมด้วย ผมแอบฟังอิพิงค์มันสัมภาษณ์พี่ไม้

 

“ไม่เป็นไรหรอก ถึงพี่ไม่ช่วยคนอื่นก็ต้องช่วยเราอยู่แล้ว” พี่ไม้ส่ายหัวส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ก่อนจะขยับมายืนข้างเตียง

 

“แหงล่ะพี่ ใครๆ ก็อยากช่วยคนหล่อ” ผมยักคิ้วให้พี่ไม้ พี่แกหัวเราะหึหึ แต่ไอ้นัทนี่แทบจะระเบิดหัวผมเลย มึงตบมาได้นะนัท กูไม่สบายอยู่นะโว้ย

 

“หล่อตายล่ะมึงอ่ะ!” ไอ้พิงค์มันเอานิ้วมาจิ้มหน้าผมซะแทบหงายหลังเลยครับ ดีนะมึงพี่ไม้ช่วยจับกูไว้ ห่านี่!! ผมค้อนให้อิพิงค์คอแทบหักแต่นอกจากมันจะไม่สนใจแล้วยังกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์หน้าตาเฉย

 

            “ตายหรือยังคร้าบไอ้คุณภูวนินทร์~”  ผมหันไปตามเสียงเรียกไอ้ออย ไอ้นี่มาซะเต็มยศ มันยิ้มหน้าแป้นแล้นมาเลยครับ ตามมาด้วยคู่แฝดมันไอ้ปริ้น

 

“รอเผามึงก่อนกูถึงจะตามไป”  ผมหันไปตอบ  มันทำหน้าหงิก

 

“กูยังไม่ได้เมียเลย ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับไอ้คุณบีทส์”  มันลอยหน้าลอยตาพูด  แอบเห็นไอ้ปริ้นหน้าเสียเลยครับ  สงสัยคงทำอะไรขัดใจไอ้ออยมันเข้า

 

“อย่างมึงน่ะเป็นเมียเขาก็พอแล้วครับไอ้คุณออย” ผมหัวเราะ ไอ้ออยชะงักกึก แต่รีบเปลี่ยนสีหน้ากลบเกลื่อน แน่ะๆ ไอ้ปริ้นกูเห็นนะว่ามึงแอบยิ้ม!

 

“สัด!”

 

“เมีย เมอ อะไรของมึงห๊ะบีทส์ อย่างกูอ่ะแมนใสๆ โว้ย” แมนใสๆ มันเป็นยังไงวะกูไม่เคยเห็น

 

“สีข้างถลอกแล้วมึง” ผมแขวะ มันจิ๊ปากใส่ผม แล้วเปลี่ยนไปนั่งโซฟาอีกฝั่งตรงข้ามไอ้ปริ้น

 

มองตามตาละห้อยเลยนะไอ้ปริ้น

 

พวกผมคุยกันเรื่องสับเพเหระไปเรื่อยครับ หลักๆ ก็เป็นเรื่องการรับน้อง อ่อ วันนี้ที่ไอ้นัทกับไอ้พิงค์มาเยี่ยมผมได้ก็เพราะกำหนดการของคณะผมถูกยกเลิก พวกพี่ว๊ากปีสามต้องเข้าประชุมร่วมกับพี่ปีสี่ ปีสองกับปีหนึ่งอย่างพวกผมเลยว่าง  ส่วนไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันรู้ข่าวจากไบร์ทเลยตามมาที่โรงพยาบาล

 

แกรก~

 

พวกผมหันไปตามเสียงประตูที่ถูกเปิดออกโดยไอ้ไบร์ทหน้าหงิกมาเลยครับ ตามมาด้วยพี่ฟ้ายิ้มหวานมาเลยตั้งแต่หน้าประตู~  อย่าครับพี่ฟ้า เดี๋ยวผมจะหวั่นไหว และคนสุดท้ายที่เดินตามเข้ามา...

 

พี่ซัน

 

“เป็นยังไงบ้างน้องบีทส์  พี่กับพี่ซันมาเยี่ยม” พี่ฟ้าเอ่ยทักผม ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ทุกคนเป็นการทักทาย

 

“เอ่อ สวัสดีครับพี่ฟ้า สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ แต่หลบสายตาพี่ซันที่มองมา ผมรู้ตัวว่าทำความผิดไว้ แต่จะโทษผมฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะ พี่มันก็ทิ้งผมไว้เหมือนกัน ถือว่าหายกันดิ!

 

แล้วกูจะมือสั่นทำไม!

 

“นี่ไบร์ทน้องผม แล้วก็นี่พี่ไม้คนที่ช่วยพาผมมาส่งที่โรงพยาบาลครับ” ไอ้ไบร์ทยกมือไหว้พี่ๆ ส่วนพี่ไม้แค่ยิ้มบางๆ ให้พี่ฟ้ากับพี่ซัน

 

“ส่วนนี่พี่ฟ้ากับพี่ซัน  พี่ฟ้าเป็นพี่รหัส ส่วนพี่ซันเป็นแฟนพี่ฟ้า” พี่ฟ้าหันไปยิ้มให้พี่ไม้ ส่วนพี่ซันค่อมหัวให้พี่ไม้นิดหน่อย น่าจะดูออกว่าพี่ไม้เป็นรุ่นพี่

 

“น้องฟ้าครับ เพราะพี่ไม่ดีเองเลยดูแลน้องรหัสฟ้าไม่ดี  พี่ขอคุยกับเขาตามลำพังได้ไหมครับ”  พี่ซันหันไปพูดกับพี่ฟ้า แล้วทำหน้าเชิงขอร้องทุกคนให้ออกจากห้อง

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ซัน ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” ผมร้องทักขึ้น

 

“พี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ ขอคุยด้วยไม่นานหรอก นะครับฟ้า” พี่ซันหันไปขอพี่ฟ้าอีกครั้ง เธอมีสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย คงเกรงใจพวกน้องๆ แล้วก็พี่ไม้

 

“เอาอย่างงั้นก็ได้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะทุกคน” พี่ฟ้าทำหน้าอิดออดแต่ก็ยอมทำตามที่พี่ซันขอ พวกเพื่อนๆ ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับก็คนหนึ่งพี่สายรหัสแถมยังเป็นพี่ว๊าก  ส่วนอีกคนก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะ  พี่ไม้ไม่มีส่วนได้เสียอยู่แล้วเดินนำออกไปเป็นคนแรก

 

“อยู่ได้หรือเปล่าพี่บีทส์” ไบร์ทเดินมาข้างเตียงแล้วกระซิบถามผม

 

“อยู่ได้สิ” ผมหันไปยิ้มให้น้อง มันทำหน้าลำบากใจคงไม่อยากให้ผมอยู่กับพี่ซันสองต่อสอง ดูว่ามันไม่ไว้ใจพี่ซันเท่าไหร่

 

พอทุกคนออกไปแล้วผมก็ก้มหน้านิ่ง  จะให้ทำอะไรล่ะครับ ขอโทษหรือด่าพี่มันไปดีล่ะที่ทิ้งผมไว้แบบนั้น พี่มันขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วยกมือขึ้นมาจับไหล่ผมทั้งสองข้าง แล้วพี่จะออกแรงบีบทำไมเจ็บนะเว้ย!




ผมทำหน้าไม่พอใจประท้วงพี่ซัน ให้รู้ว่าผมเจ็บแล้วปล่อยสักที แต่พี่มันดันก้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหู ทำให้ผมหดคอแทบไม่ทัน



“อย่าให้ฟ้ารู้ว่ากูทิ้งมึงไว้  ไม่งั้นศพมึงไม่สวยแน่บีทส์” พี่ซันกดเสียงต่ำ

 

“พี่ให้ทุกคนออกไปเพื่อที่จะพูดแค่นี้เหรอครับ”  ผมพูดเสียงนิ่ง ใช่! ผมผิดที่อ้วกใส่รถพี่ซันถ้าเขาจะเรียกร้องค่าเสียหายผมจะยอมทำงานชดใช้หนี้ให้ แต่พี่ซันก็ไม่มีสิทธิ์ทิ้งผมไว้ข้างถนนแบบนั้น ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยผมจะทำยังไง แล้วถ้าหนักกว่านั้นเปลี่ยนเป็นคนหิ้วผมขึ้นรถไปแทนผมจะช่วยอะไรตัวเองได้!?!

 

“หึ ไม่พอใจที่กูทิ้งมึงไว้ข้างถนนรึไง อย่างมึงก็สมควรแล้วนี่” พี่มันถามเหมือนจะแคร์แต่ประโยคหลังนี่หน้าตาแบบกูสะใจมากอะไรทำนองนั้น

 

“ผมมีสิทธิ์โกรธพี่นี่ครับ พี่ทิ้งผมไว้ถ้าผมโดนใครลากไปโดยที่ผมยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ผมจะทำยังไง” ผมตอบแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่พี่ซันดันบีบคางผมไว้ให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับพี่แกอีกครั้ง

 

“ของชอบไม่ใช่รึไง” พี่ซันสะบัดหน้าผมไปอีกทาง แต่ผมหันกลับมาจ้องพี่มันเขม็ง

 

“.....”

 

“มองหน้ากูแบบนี้หมายความว่าไง” พี่ซันทำหน้าหงุดหงิดใส่ผม

 

“พี่ก็ดีแต่ดูถูกคนอื่น” ผมจ้องตาพี่ซัน ดูถูกกันเกินไปแล้ว  สักวันหนึ่งผมจะเอาคืนให้ได้เลยคอยดูเถ๊อะ!

 

“มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดอะไรกับกูนะบีทส์ มึงจำได้ไหมว่ามึงทำอะไรกับกูไว้บ้าง มึงรู้ไหมว่าค่าเปลี่ยนเบาะรถกูราคาเท่าไหร่!?!” พี่ซันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ผมรีบหดหน้าหนีแต่พี่มันเอามือจับท้ายทอยผมไว้แน่น

 

“......”

 

จะเอาอะไรกับผมอีก ฐานะอย่างพี่ซันแค่เปลี่ยนเบาะรถใหม่ ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอกมั้งครับ!

 

“อย่ามาลองดีกับกู” พี่ซันกดหน้าลงมาใกล้ผมอีก หน้าแทบจะชิดกันอยู่แล้วนะเว่ยพี่ ผมยังฝืนจ้องตาพี่ซันกลับ หน้าหล่อๆ แบบนี้แหละที่มันใจจืดใจดำ ท่องไว้ความหล่อมันกินไม่ได้! ผมดันอกพี่ซันให้ถอยห่างออกไป

 

“ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปเถอะครับ เรื่องวันนี้ผมจะไม่พูดอะไรก็แล้วกัน ไว้ใจผมได้” ผมตอบพี่มันไป

 

“หึ...” พี่มันพูดแค่นั้นแล้วเดินออกจากห้องไป

 

เกลียดอะไรผมขนาดนี้ ผมไม่เข้าใจเลย หน้าตาผมก็พอใช้ได้ อิพิงค์มันยังเคยด่าบ่อยๆ ว่าคิขุอาโนเนะจนมันหมั่นไส้ แต่พี่ซันก็ดุเอ้า..ดุเอา อย่างกับหมาบ้า ถ้าเทียบกับหมานี่ร็อคไวเลอร์ดีๆ นี่เองหน้านิ่งๆ ชอบขู่ชอบดุกูเนี่ย!

 

เฮ้อ อะไรนักหนาวะชีวิตผม วุ่นวายจริงแท้ บ่นกับตัวเองแล้วก็ล้มตัวนอนครับ ได้ยินเสียงพวกไอ้ออย ไอ้ปริ้น ไอ้นัท ไอ้พิงค์ และก็ไอ้ไบร์ทเดินเข้ามา สงสัยพี่ฟ้าจะกลับพร้อมพี่ซันไปแล้ว ไม่เห็นเดินเข้ามาด้วย

 

“ต๊าย แกพี่ซันหล่อมากอ่ะ!” เสียงอิพิงค์ครับ

 

“เหมาะสมกับพี่ฟ้าอย่างกับกิ่งทองใบหยก” เสียงไอ้นัท

 

“พี่บีทส์ พี่เขาว่าอะไรหรือเปล่า” เป็นน้องที่รักกูจริงๆ รักมึงว่ะไบร์ท

 

“ไม่หรอก เขาก็..ขอโทษปกตินั่นแหละ คงกลัวแฟนเขาโกรธล่ะมั้ง” ผมส่งยิ้มให้น้อง กลัวมันไม่สบายใจ ไม่อยากให้มันห่วง

 

แต่แอบแค้นพี่ซันนิดๆ ไม่ได้ รู้ว่าหล่อแต่ทำไมนิสัยไม่ดีเกินเยียวยา ไม่เหมาะกับพี่ฟ้าเลยสักนิดหนึ่ง  เดี๋ยวยุให้เลิกกันซะเลย เหอะ เหอะ ณ จุดนั้นกูคงเป็นน้องรหัสที่เลวมาก

 

            คุณหมอให้ผมนอนโรงพยาบาลอีกหนึ่งคืนก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้านได้

 

          “พี่บีทส์ เก็บของเสร็จยัง”  เสียงไอ้ไบร์ททักผม ตอนนี้มันยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนผมครับ

 

ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้เกือบอาทิตย์แล้วครับ ไอ้พวกเพื่อนๆ นั่นแหละยกโขยงกันไปรับผมถึงที่โรงพยาบาล แค่อิพิงค์คนเดียวโรงพยาบาลก็แทบแตก นี่ยังเจอไอ้ออยจอมป่วนอีกยิ่งแล้วใหญ่  มันสองคนกลายเป็นคู่กัดกันไปแล้วครับ อะไรที่ทำให้มันสองคนยืนอยู่คนละฝั่งน่ะเหรอ

 

ไอ้ปริ้นไงครับตัวแปรสำคัญ

 

วันนี้ผมต้องย้ายเข้าไปอยู่หอแล้วล่ะ ตามคำสั่งของคุณนาย บ้านผมมันไกลจากมหาลัยค่อนข้างเยอะน่ะครับ  วันที่ผมกลับจากโรงพยาบาลแม่ก็เดินเข้ามาหาผมในห้องแล้วบอกว่า

 

“บีทส์ แม่ว่าเราย้ายไปอยู่หอดีไหม” แม่ถามผม

 

“ทำไมละครับคุณนาย” ผมถามแม่กลับ

 

“บ้านเราอยู่ไกล ถ้าลูกต้องกลับบ้านดึกๆ แม่ก็เป็นห่วง ตอนนี้แม่ติดต่อคอนโดไว้แล้วด้วยนะ อาทิตย์หน้าย้ายเข้าไปอยู่ได้เลย” แม่พูดแล้วยิ้มหวาน แต่..ห๊ะ!! อาทิตย์หน้าเลยเหรอ เร็วไปไหมครับคุณนาย!

 

“มันกระทันหันเกินไปไหมครับแม่ บีทส์เตรียมตัวไม่ทันหรอก”  ผมทำหน้าอิดออด คือไม่อยากไปอยู่ไหนไกลๆ ไงครับ

 

“ของเตรียมพร้อมหมดแล้วจ้ะ แค่บีทส์เก็บเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวไปด้วยก็พร้อมอยู่แล้ว” แม่ลูบหัวผม

 

“แต่บีทส์ต้องไปอยู่คนเดียวเลยนะแม่  แล้วแม่กับน้องจะอยู่ยังไงครับ” ผมกอดเอวแม่น้ำตาซึม

 

“คิดถึงก็ไปหากันได้จ้ะ ดีซะอีกลูกของแม่จะได้โตสักทีไง” แม่ให้เหตุผล

 

“สรุปแล้วยังไงบีทส์ก็ต้องไปใช่ไหม” ผมทำหน้าจะร้องไห้  แม่หัวเราะร่วน

 

“โตแล้วนะลูก  ลองดูสักหน่อย แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนเก่ง บีทส์ต้องปรับตัวได้แน่ๆ จ้ะ”

 

ทำไมคุณนายมั่นใจจังเลยวะ

 

สุดท้ายนกน้อยอย่างผมก็ต้องออกไปโบยบินอยู่นอกรัง เห้ย ไม่ใช่ล่ะ ต้องออกไปอยู่คนเดียวตามคำขอของคุณนายเขา จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีซะทีเดียว เอาวะ! ได้ออกมาอยู่ข้างนอกคงมีอะไรดีๆ ให้ทำเยอะ ใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยให้สุโค่ยไปเลยไอ้บีทส์!!

 

“อืม เสร็จล่ะ พี่ไม่อยากไปเลยไบร์ท”  ผมหันไปตอบน้อง

 

“ไบร์ทขอตามไปด้วย แต่แม่ไม่ยอม” ไบร์ทเดินมานั่งข้างผม

 

“ถ้าไบร์ทไปด้วยคุณนายเขาจะอยู่กับใครล่ะ ไม่เป็นไรหรอก คอยดูนะไปอยู่โน่นพี่จะไปเที่ยวมันทุกคืนเลย เอาสาวมานอนกกเป็นเพื่อน ห้องพี่จะได้ไม่เงียบเหงา” ผมพูดขำๆ

 

“......”

 

“เห้ย พี่ไม่เป็นไรจริงๆ พี่ออกจะเวอรี่แฮปพิ~”  ผมดัดเสียงให้ดูอินเตอร์แบบโอเว่อร์ จนน้องมันยิ้มออก

 

“ดูแลตัวเองดีๆ นะพี่บีทส์ ไบร์ทจะไปหาบ่อยๆ” น้องมันพูด น้ำตาซึมเลยกู

 

เราสองคนไม่เคยอยู่ห่างกันหรอกครับ ตัวติดกันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของพวกเราเสียไปนานแล้วครับ ตั้งแต่น้องเกิดด้วยซ้ำ แต่ไบร์ทมันไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่าขาดในเรื่องนี้เวลาว่างก็จะเล่นกีฬา น้องมันเรียนเทควันโด้ตั้งแต่เด็ก เล่นเก่งมากครับ ส่วนผม...แหะ แหะ ไม่เป็นอะไรเลย ยกเว้น เรื่องงานบ้านงานเรือน อันนี้ผมช่วยแม่ทำตั้งแต่เด็ก

 

“เห้ย พี่โตแล้วนะเว่ย พูดซะเหมือนพี่อายุสิบขวบ” ผมพูดแหย่

 

“ไปเหอะ พี่ไม้มารอแล้วนะ” ไบร์ทลุกขึ้นแล้วช่วยผมถือกระเป๋า ตั้งแต่ที่พี่ไม้ช่วยผมไว้ เราก็กลายมาเป็นพี่น้องคนสนิทกันแล้วครับ ตอนนี้พี่ไม้เป็นพี่คนโตของบ้านผมเลย แม่ผมนี่ปลื้มมากครับเพราะพี่ไม้หล่อ

 

 

KrY  Condo

 

 

ตอนนี้พวกเรามาถึงหน้าคอนโดแล้วครับ  อื้อหือ ไม่ยักรู้ว่าคุณนายจะให้ผมมาอยู่คอนโดใหญ่โตแบบนี้นะเนี้ย  มันน่าอยู่มากครับ แต่ผมว่าไอ้คอนโดนี้ทางเข้ามันคุ้นๆ นะ เหมือนผมจะเคยมายังไงไม่รู้ คงไม่หรอกมั้งหรูแบบนี้ผมจะเคยมาได้ไง 

 

“ทำไมมันใหญ่แบบนี้ละครับคุณนาย คงแพงน่าดู” ผมหันไปพูดกับแม่

 

“แพงก็จริง แต่นอกจากจะน่าอยู่แล้ว ระบบความปลอดภัยยังดีมากเลยนะบีทส์ แม่จะได้วางใจได้ไงครับ”  แม่หันมาตอบก่อนจะยิ้มให้ผม

 

“มันเปลืองน่ะสิครับ”  คิดดูสิครับเดือนๆ หนึ่งแค่ค่าเช่าก็ปาไปหลายพัน ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต และคงตามมาด้วยค่าบริการอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ค่าใช้จ่ายบานเบอะแน่ๆ  บวกลบคูณหารแล้วผมว่า...สู้เอาเงินพวกนั้นไปลงทุนหรือทำธุรกิจอะไรน่าจะรุ่งกว่านะผมว่า...

 

“คิดอะไรอยู่บีทส์  คิ้วจะผูกโบว์อยู่แล้ว” เสียงพี่ไม้ครับ

 

“แหะ แหะ ไม่มีอะไรครับ”  ผมยิ้มแหยๆ

 

พวกเราช่วยกันขนของเข้าไปข้างใน คอนโดน่าอยู่มากครับ มีทั้งยามรักษาความปลอดภัย มีกล้องวงจรปิด ที่จอดรถมันจะอลังการไปไหน ตอนเดินเข้าไปพี่ รปภ. หันมายิ้มทักทายให้พวกเราคุณนายรีบเข้าไปฝากฝังผมให้เขาช่วยดูแล พี่รปภ.หน้าเหวอเลยครับ พวกผมหัวเราะคุณนายหันมาค้อนให้

 

ผมอยู่ห้องหมายเลขเก้าศูนย์แปดล่ะครับ อยู่ตั้งชั้นเก้า!! ถ้าเกิดวันไหนไฟดับขึ้นมา  กูขาลากแน่ๆ มีเสาให้รูดลงแทนไหม ทุกอย่างครบครันอย่างที่คุณนายเขาการันตีจริงๆ ครับเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ห้องนอนหนึ่งห้องมีห้องน้ำในตัว  แล้วก็อยู่ข้างนอกอีกหนึ่งห้อง อืมดี เวลาเพื่อนมาก็ให้มันจัดการกันข้างนอก ห้องนี้กูจอง!


 มีโซนนั่งเล่นอยู่หน้าทีวีเล็กๆ มีโซนห้องครัวด้วยนะครับ ค่อยยังชั่วหน่อย ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ผมคงได้เข้าครัวทำกับข้าวกินเองบ่อยแน่ๆ

 

พี่ไม้กับไบร์ทช่วยกันเดินสำรวจความเรียบร้อยของห้องได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆ

 

“อยู่สูงขนาดนี้ ตัดปัญหาเรื่องคนปีนขึ้นมาหาพี่บีทส์ได้ อืม โอเคผ่าน”  เสียงไบรท์ครับ

 

“โครงสร้างอาคารแข็งแรงดี ใช้ได้ครับ”  เสียงพี่ไม้

 

“อืม ผ่าน”  ไอ้ไบร์ทตอบ

 

“น่าจะหาไม้เบสบอลมาไว้ที่ห้องพี่บีทส์สักอันสองอันนะ” ไอ้ไบร์ททำท่าหวดไม้เบสบอลประกอบครับ มึงน่ากลัวมากไบร์ท...

 

“พี่ว่าเอาเครื่องช๊อตไฟฟ้ามาด้วยจะดีมาก”  พี่ไม้หันไปสบตาไอ้ไบร์ท  ไอ้นี่ก็บ้าจี้พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับเขาอีก

 

เอ่อ คือ กูเป็นผู้ชายไง พวกคุณมึงลืมข้อนี้ไปหรือเปล่า!!!  ผมส่ายหัวเดินเข้ามาดูห้องนอน  อืม สีขาว..ก็ยังดีวะ เตียงนุ่มใช้ได้ สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาสองทุ่มแล้วนี่หว่า!  มัวแต่จัดของกันเพลินครับ ได้ยินเสียงคุณนายเดินบ่นอยู่ข้างนอก สงสัยอยากจะกลับกันแล้ว

 

“แม่ครับ กลับกันเลยไหมดึกแล้วจะกลับกันลำบาก” ผมเดินออกมานอกห้องนอนเห็นไอ้ไบร์ทนอนกลิ้งอยู่บนพรม  สภาพมึงดูไม่จืดเลยไบร์ท  พี่ไม้นั่งดูหนังอยู่บนโซฟาครับ  ส่วนคุณนายวุ่นๆ อยู่ในครัว

 

“อืม แม่ทำกับข้าวไว้ให้เสร็จพอดี เป็นห่วงที่บ้านด้วย”  แม่ตอบแล้วหันไปปิดเตาแก๊ส

 

“กินด้วยกันก่อนไหมครับ”  ผมถาม

 

“เอางั้นก็ได้จ้ะ”  แม่หันไปมองพี่ไม้กับไอ้ไบร์ท  ท่าทางคงจะหิวแล้วเลยตกลงกันทานข้าวที่คอนโดผมก่อน แล้วค่อยกลับพร้อมกัน พี่ไม้ก็ไม่เดือดร้อนครับเป็นเจ้าของกิจการก็งี้  เข้าสายหรือไม่เข้าเลยก็คงไม่มีใครว่า อ่อ ผมบอกรึยังว่าพี่ไม้เขาเปิดบริษัทรับออกแบบบ้านน่ะครับ  เก่งเนอะ

 

ทานข้าวเสร็จผมก็ลงมาส่งทุกคนที่หน้าคอนโดครับ  ไอ้ไบร์ททำท่าไม่อยากจะกลับบ้านคงกลัวผมอยู่คนเดียวไม่ได้น่ะ ไอ้นี่  กูเป็นพี่มึงนะไม่ใช่น้องสาวมึง จะห่วงอะไรนักหนา โดนคุณนายแจกมะเหงกเลยครับ ไอ้ไบร์ทก็โวยวายไปตามระเบียบ

 

ส่งทุกคนขึ้นรถเสร็จ ผมก็ฝากฝังพี่ไม้ให้ช่วยดูแลครอบครัวผมด้วย พี่ไม้หัวเราะ หึหึ แล้วบอกจะช่วยดูให้ แต่จะดีมากถ้าผมจะดูแลตัวเองให้ดี  อะไรว๊า! คนอุตส่าห์เก็ก!!

 

แอบเห็นคุณนายน้ำตาซึมตอนกอดลาผม  ผมเข้าใจคุณนายนะครับ ที่จริงคงไม่อยากให้ผมมาอยู่ข้างนอกเท่าไหร่แต่เพราะกลัวผมเหนื่อย เลยต้องตัดใจ ท่านเป็นคนที่เข้มแข็งมากครับ  ท่านคนเดียวแต่เลี้ยงพวกเราสองคนจนโตมาขนาดนี้โดยไม่ปริปากบ่นเลยสักครั้ง

 

ติ้ด  ติ้ด

 

“ไบร์ทกับแม่ถึงบ้านแล้วนะเว่ยพี่บีทส์ ฝันดี..”

 

ไบร์ทไลน์มาหาผม ผมกดตอบไปว่าฝันดี แต่เหลือบไปเห็นข้อความไอ้พิงค์มันเด้งขึ้นมา

 

“อิบีทส์  พรุ่งนี้รีบมาเช้าหน่อยนะมึง กูจะพาไปขอเบอร์สุดหล่อที่กูหมายตาไว้”  มึงเห็นกูเป็นอะไรวะพิงค์  ผมแอบขำกับข้อความมัน เราคุยกันต่อนิดหน่อยแล้วบอกลากัน ดึกแล้วครับ นอนไม่พอเดี๋ยวได้หมดหล่อกันพอดี

 

ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเจอกับอะไร นอนคนเดียวรู้สึกเลยว่าเตียงมันกว้างมากเลยครับ  ไม่มีไอ้ไบร์ทมากวนก่อนนอน  ไม่มีคุณนายคอยบ่นว่าผมนอนดึกแล้วจะไปเข้าเรียนไม่ทัน  ห้องน่าอยู่นะครับ แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามัน...เหงา

 



เหงา....เกินไป















   

 
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 3 : จบไม่สวย
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 18-05-2018 21:44:21
เกลียดขนาดนี้ ถ้ามาชอบกลับนี่ ก็ บ๊ายบาย นะ  แบนผู้ชายแบบนี้  :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 3 : จบไม่สวย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-05-2018 22:30:05
 :z6:


มั่นเก๊นนนนนนนน
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? // ตอนที่ 4 : หวิดโดนอุ้ม
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 21-05-2018 16:14:57
ตอนที่ 4 :: หวิดโดนอุ้ม




[บีทส์]
 

ผมตื่นแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัวเตรียมไปมหาลัยตามปกติ ตอนนี้เป็นช่วงสอบกลางภาค ในส่วนของผมเหลือสอบอีกตัววันนี้ แหะๆ มัวแต่เที่ยวเล่นกันแป๊บๆ เฮ้ย สอบกลางภาคแล้วเหรอวะ! ทำไมผมยังรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งเรียนได้แค่อาทิตย์เดียวเอง


วันนี้ผมมีสอบบัญชีชั้นต้น เหมือนจะง่ายนะครับ แต่โคตรยากคิดดูนะอาจารย์เขาบอกว่าได้เงินมาต้องเริ่มเดบิตเงินสด อันนี้ผมพอเข้าใจนะครับ แต่ไอ้เครดิตน่ะ ทำไมกูต้องมานั่งแยกว่ามันเป็นค่าใช้จ่าย ทุน หรือหนี้สินด้วย แล้วไอ้คุณค่าใช้จ่ายกับคุณหนี้สินน่ะมันมีตัวเดียวซะที่ไหนกัน!!


เมื่อคืนผมนั่งท่องแค่หมวดบัญชีห้าหมวดก็ลากเลือดแล้วครับ  ถ้ากูจำได้นะกูจะไปเป็นไอน์สไตน์ อ๊าก สมองผมไม่ใช่คอมพิวเตอร์จะได้แยกแยะได้ทันทีว่าอันไหนสินทรัพย์ของกูหรือของมึง แล้วถ้ากูได้เงินสดมาแล้วเอาไปฝากธนาคารเลยเนี่ยกูต้องบันทึกเป็นอะไรวะ โอ๊ยจำไม่ได้!

 
“นั่นหน้าหรือตูดวะไอ้บีทส์” เสียงไอ้ออยครับ ไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ดจับกลืนลงท้อง!

 
“ไม่ค่อยสาระแนเลยนะครับไอ้คุณออย” ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ตึกคณะผมครับ ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันสอบเสร็จแล้ว แค่มารอให้กำลังใจผม ผมว่ามันสองตัวหาเรื่องออกมาข้างนอกด้วยกันมากกว่า ไม่ต้องมาพูดให้กูรู้สึกดีเลยไอ้เพื่อนเลว

 
“มึงสอบเสร็จวันนี้ใช่ไหมบีทส์” ไอ้ออยถาม


“อืม ทำไมวะ” ผมถามมันกลับ


“วันนี้ไปเปิดหูเปิดตาฉลองสอบเสร็จกับพวกกูดีกว่า โอเคนะตกลงตามนี้” ไอ้ออยมันพูดแล้วหันไปแย่งขนมไอ้ปริ้นต่อ กวนตีนนะมึง ถามกูแต่ไม่รอคำตอบจากกูสักนิด

 
“เออๆ ที่ไหนวะ” ผมถามเพราะยังไงก็ต้องไปอยู่ดี


“ที่เดิมไง ไม่ต้องเอาไอ้ไบร์ทไปนะมึง ช่วงนี้มันเรียนหนักไม่ใช่รึไง” ไอ้ออยมันพูดดักคอ สัด!  รู้ได้ไงว่ากูคิดจะชวนมันอยู่พอดี

 
“เรื่องมาก ว่าแต่มีใครไปบ้าง” ผมถาม จริงๆ ก็อยากจะถามตรงๆ ไปเลยครับว่าปู่รหัสมึงไปด้วยไหม ถ้าไปกูจะชิ่ง แต่กลัวมันหาว่าป๊อดกลัวปู่รหัสมัน ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ครับ


“ก็พวกเดิมๆ กู ไอ้ปริ้น เพื่อนที่คณะกูอีกสองสามคน มึงชวนนัทไปด้วยก็ได้แต่อย่าเอาไอ้พิงค์ไปก็พอ” เอ่อ แล้วมึงจะส่งสายตาเหวี่ยงๆ ไปหาไอ้ปริ้นทำไม   

 
“มึงจะอะไรกับมันนักหนา มันก็เล่นๆ ไปงั้นแหละน่า ผัวมึงไม่เอามันหรอก โอ๊ย!” เชี่ย ตบหัวกูทำไมไอ้ปริ้น!


“อ่านหนังสือเงียบๆ ไปเถอะบีทส์ กูรำคาญ” คิดว่ากูกลัวสายตามึงหรือไงปริ้น เออ! กูยอมรับว่ากลัว สัส! อย่าให้กูเบ้าหน้าเหมือนไอ้ออยนะ ผมบ่นในใจพาลๆ แล้วก้มอ่านหนังสือต่อ แต่ถ้าถามว่าเข้าใจมั้ย มันก็นิดๆ ครับ แค่อ่านกันไว้เผื่อจะนึกได้ตอนสอบน่ะ...ก็หวังว่าจะนึกได้นะครับ


“อิบีทส์!”  มาแล้วครับเสียงอันไพเราะจับจิตของอิพิงค์ มาถึงก็วางหนังสือดังปึก! มึงโกรธใครมาหรือเปล่าห๊ะ หรือผู้ชายไม่ตกถึงท้องมาหลายวัน เลยแสดงอาการตกมันออกมา


“เสียงดังทำไม อยู่กันแค่นี้” ผมบ่น


“อย่างกับช้างตกมัน...” ยกแรกไอ้ออยนำไปก่อนหนึ่งแต้ม เล่นเอาอิพิงค์อ้าปากค้างไปเลย คงคิดคำด่าไม่ทัน อ่อ ไม่ก็มัวแต่หลงไหลได้ปลื้มกับความหล่อของไอ้ปริ้น


“ช้างตกมันก็ดีนะมึง แสดงว่ากูพร้อมจะมีคู่แล้ว ดีกว่าคนแถวนี้มัวแต่ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ทำหน้าซื่อตาใสไปวันๆ  ปากก็แข็งอย่างกับหินต้องหาท่อนซุงมาง้าง  ระวังเถ๊อะ คนอื่นคาบไปแดกกูจะสมน้ำหน้าให้ ! ใช่ไหมคะปริ้นขา~ ”  จึก! ยกนี้เสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งครับ ไอ้ออยกำหมัดแน่นพูดไม่ออก  ไอ้ปริ้นมันส่งสายตาเย็นๆ ไปปรามชู้รักมันครับ เล่นเอาอิพิงค์รีบส่ายหางดิกๆ เข้าไปซบอกเอาใจมันเลย


จริงๆ ผมว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ปริ้นหรอก มันคงอยากแกล้งแหย่ไอ้ออยเล่นๆ ไอ้นี่ก็น่าแกล้ง เขาแหย่เขาแกล้งอะไรก็เต้นตามเขาหมด เชื่อเถอะว่ามันแยกไม่ออกหรอกครับว่าใครแกล้งหรือเกลียดมันจริงๆ


“อ่านหนังสือเป๊ะทุกตัวแล้วหรือไงพวกมึงสองตัว” ไอ้นัทครับ


“มาถึงก็รีบปล่อยลูกในปากออกมาเพ่นพ่านเลยนะ” ผมตอกกลับ มันทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ


“สวัสดีค่ะทุกคน”  สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม เอวบางร่างเล็กที่เดินตามไอ้นัทมาเอ่ยทักพวกเรา พวกเราก็หันไปยิ้มตอบให้เธอ


“สวัสดีครับคนสวย สนใจไปกินข้าวกับผมสักมื้อมั้ย” ผมแกล้งแหย่ ปากหมาไปงั้นแหละครับ เคยไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง เลยสนิทกันไปโดยปริยาย ไม่ใช่เพื่อนใหม่หรือน้องสาวของใครในกลุ่มเราหรอกครับ แต่เธอเป็นแฟนไอ้นัท


เข้าใจไม่ผิดหรอกครับ ‘มีน’ เป็นแฟนสาวของไอ้นัท เล่นเอาพวกผมอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถบๆ ที่คาใจมากที่สุดคือมึงไปจีบกันตอนไหน! มีนเรียนนิเทศฯ ครับ ปีหนึ่งเหมือนกัน


“ไปหาผัวไกลๆ ตีนกูเลยบีทส์ คนนี้ของกู” ไอ้นัทรีบตามมาโอบไหล่แฟนมันครับ เล่นเอาเธอหัวเราะคิกคัก พวกเราเลยหัวเราะตาม ไม่ค่อยหวงเลยนะมึง
     

“อย่างกูต้องมีเมียสิวะ” ผมจิ๊ปากใส่ไอ้นัท ถึงผมจะไม่หล่อเข้มแต่ผมก็หล่อใสสไตล์เคป็อบนะครับ “ใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า” หันไปเล่นหูเล่นตากับอิพิงค์
 

“กรี๊ด ถ้ากูอดอยากเมื่อไหร่กูจะนึกถึงมึงเป็นคนแรกเลย” อิพิงค์รับมุก


ไอ้นัทส่ายหัวมองผมกับอิพิงค์ “ไปสอบกันเหอะ เดี๋ยวกูช่วยติวให้ก่อนเข้าห้อง อยู่นี่มึงอ่านไม่รู้เรื่องแน่บีทส์ ตกขึ้นมากูจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย” ผมเบ๋ปาก อวยพรซะกูมีกำลังใจสอบล้นหลามเลย



+++++++++++++++++++++



ตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านเหล้าแล้วครับ ขอข้ามเรื่องสอบไปเลยก็แล้วกัน ให้มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเหมือนสายน้ำที่ไหลไป...ไม่ไหลกลับ


พวกเราเลือกนั่งโต๊ะประจำที่เคยนั่ง พวกผมมาบ่อยครับไอ้ปริ้นมันรู้จักกับเจ้าของของที่นี่น่ะ เห็นว่าเป็นร้านของปู่รหัสมัน แต่พวกผมแค่มานั่งจิบๆ ไม่ได้กินให้เมามายอะไรนะครับ แต่ผมรู้ดีว่าวันนี้ไม่เมาไม่เลิก!


 “มึงรู้มั้ยบีทส์ พี่ราหาสกูนะแม่ง จนถึงตอนนี้มันยังไม่เลิกแกล้งกูเลย มึงรู้ปะเขาให้กูเต้นเพลงแมงมุมกับอ้ายปริ้น~ อึก กลางโรงอาหารเลยนะเว่ย อึก” ไอ้ออยมันเมาแล้วครับ เหมือนมันจะแค้นฝังหุ่นกับพี่รหัสสุดที่รักของมันเลย แต่ถ้าให้ผมเต้นท่าแมงมุมกับคนที่ใกล้ชิดผูกพันกันอย่างไอ้ปริ้นผมก็เคืองว่ะ


“ฮ่าๆ ก็ดีกว่ามึงไปทำกับคนอื่นไม่ใช่เร๊อะ” ผมแซ็วมัน


“หรือปริ้นอยากทำกับพิงค์ก็ได้นะคะ กริ๊งเดียว...รับรองว่าพิงค์บริการถึงที่ค่ะ” อิพิงค์มันเป็นมือวางระเบิดครับ วางเสร็จมันก็ชิ่งไปเต้นอยู่กลางเวทีแล้ว ยังไม่พอครับเพราะถึงแม้ตัวมันจะอยู่ไกลมันก็วางระเบิดซ้ำได้อีกลูก เมื่อมันยกมือขึ้นมาเป็นโทรศัพท์แล้วส่งจูบให้ไอ้ปริ้น ช่างยุจริงนะมึง…


ยุให้เขาทะเลาะกันเนี่ย!
 

“จะไปกับมันเหรอปริ้น” ไอ้ออยมันเงยหน้าขึ้นมาถามไอ้ปริ้นตาละห้อย โอ้ย มดมันจะกัดกูแล้วเชี่ย  มึงจะหวานกันเกินไปป่ะ เกรงใจเพื่อนมึงที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้บ้าง


ไอ้นัทกับมีนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้เหลือพวกผมอยู่สามคน คือถามว่าเมามั้ยตอนนี้ก็ยังหรอกครับ แค่กรึ่มๆ มึนๆ มาคนเดียวกลัวไม่มีคนหิ้วกลับ ผมกรอกตาขึ้นฟ้าเมื่อไอ้ปริ้นส่งสายตามาไล่...อยากสวีทกันแต่ไม่เห็นใจกูเลย...กูมาคนเดียวนะไอ้เพื่อนยาก!

 
“กูไปห้องน้ำแป๊บละกัน อย่าทำอะไรเพื่อนกูนะมึง” ผมหันไปสั่งไอ้ปริ้น มันยิ้มมุมปากมาให้แล้วพยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง

           
ปึก!   /  อ๊ะ!

       
“ขอโทษครับ” เสร็จจากกิจธุระในห้องน้ำ มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ชนกับใครก็ไม่รู้ครับ ล้มไม่เป็นท่าเลย เจ็บชะมัด!

 
“หื้ม...ไอ้น้อง รู้มั้ยว่านี่ถิ่นใคร เดินไม่ระวัง ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมาน้องจะรับผิดชอบไหวมั้ย” ผมลุกขึ้นไปเผชิญหน้ากับพี่ยักษ์คนที่ชนกับผม พี่มันยืนกอดอกมองผมอยู่ ข้างหลังยังมีลูกน้องมันอีกสองคนยืนขนาบข้างอยู่ ตัวก็ใหญ่กว่ากูอีก กูสิควรกลัวมึง! โอ๊ย กระดูกกูหักบ้างมั้ยเนี่ย


“พอดีผมไม่ทันมองน่ะครับพี่ ขอโทษจริงๆ ตัวก็โต๊...โตนะพี่ ไม่เจ็บอะไรมากหรอกใช่มั้ยครับ” หมั่นไส้เห็นมีลูกน้องหน่อยล่ะยืด อย่าให้ไอ้บีทส์ตัวโตเหมือนพี่บ้างนะ ผมหันไปยิ้มให้พี่ยักษ์อย่างที่คิดว่าจะจริงใจที่สุด เอาสิ หน้าห้องน้ำเลยนะ มึงกล้าทำกูก็เอาเด้!


“ทำหน้ากวนตีนนะมึงไอ้เปี๊ยก! จับมันไว้” พี่มันหันไปสั่งให้ลูกน้องมาหิ้วปีกผมไว้คนละข้าง เหวอสิกู!


“เฮ้ยๆ พี่จะทำอะไรผม!” ผมโวยวาย พยายามดิ้นให้หลุด

 
“ปากดีแบบนี้กูชอบนะครับรู้มั้ย” ไอ้พี่ยักษ์มันยื่นหน้าเข้ามาชิดกับจมูกของผม สัด ขยะแขยง! ผมยกเท้าขึ้นแล้วถีบเข้าท้องพี่มันเต็มเหนี่ยว


โครม!


...ท่าสวยสมบูรณ์แบบ…


“ไอ้เหี้ย ยืนเซ่อร์ทำไม จับมันไว้!” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากยักษ์สองตัวที่จับแขนผมไว้แน่น ไอ้พี่ยักษ์หน้าเข้มมันลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาหาผม ซวยล่ะ!  ผมหันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนๆ ที่มาด้วยกัน แต่ไม่เห็นใครเลยสักคน มุมที่ผมยืนตอนนี้เป็นมุมอับไม่ค่อยมีแสงเท่าไหร่ ผมพยายามทั้งร้อง ทั้งส่งซิกอ้อนวอนให้คนที่เดินผ่านไปเข้ามาช่วย แต่แม่งคนเดี๋ยวนี้มีน้ำใจจริงๆ!


“เอ่อ พี่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เมื่อกี้ขาผมมันชักกระตุกอ่ะพี่ ผมเป็นโรคชักกระตุกเวลาตกใจมากๆ เชื่อผมเถอะ!” ผมเลิ่กลั่กบอกพี่ยักษ์เสียงดัง แถสีข้างถลอกเลยกู


“อยากเจอกูชักกระตุกแบบซอยถี่ยิบเข้าประตูหลังบ้างมั้ยล่ะ” ไอ้พี่ยักษ์หน้าโหดมันเลียริมฝีปาก ทำหน้าหื่นๆ ใส่กูอีก มันเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบซองใสที่บรรจุแคปซูนยาเม็ดสีฟ้าครามออกมา ผมเบิกตากว้างพยายามดิ้นให้หลุด


“พี่ครับ อย่าทำอะไรผมเลยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เหี้ยเอ้ย อย่าทำอะไรกูนะ ไอ้ออย ไอ้ปริ้น มึงอยู่ไหนมาช่วยกูเดี๋ยวนี้!


“ล็อกตัวมันไว้!”


“อึ่ก แค่กๆๆ”  มันเอาเม็ดยายัดใส่ปากผม ผมทำท่าจะคายออกมา แต่มันเอามือมาบีบคางผมไว้แน่น พอผมไม่ยอมกลืนมันก็เอามืออีกข้างมาอุดจมูกผมไว้ ผมดิ้นเพราะหายใจไม่ออกเลยเผลอกลืนยาที่มันยัดใส่ปากลงไป  ไอ้ยักษ์มันยืนยิ้มเหี้ยม พร้อมกับทำหน้าหื่นๆ ใส่ผม

 
“แม่งเอ้ย” ผมพยายามล้วงคอตัวเองเพื่อให้อ้วกเอายาที่กินออกมา แต่ไอ้เหี้ยนั่นดันจับเหล้ามากรอกปากผม


“แค่ก แค่ก อ่อยอ่ะ!!” ผมพยายามดิ้นสุดแรงแต่ลูกน้องของมันล็อกตัวผมไว้แน่น ตอนนี้ผมรู้สึกร้อนไปหมดทั้งจากฤทธิ์ของเหล้าและยา...พระเจ้า!


“เหี้ย อย่าบอกนะว่าพวกมึง..”  ผมอ้าปากค้าง เคยดูแต่ในหนังไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเอง
 

“เอาไปไว้ที่รถ” มันสั่งลูกน้อง


“แฮ่ก ปะ ปล่อยกู” ผมพยายามดิ้น แล้วถีบพวกมัน ไอ้ยักษ์นั่นเลยต่อยเข้าที่ท้องผมอย่างแรง

           
อุก!


ผมจุกจนตัวงอ แล้วล้มลงข้างๆ รถของพวกมันยาของพวกมันเริ่มออกฤทธิ์พอๆ กับเหล้าที่ผมกินเข้าไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าผมตอนนี้มันแดงแค่ไหน


“ไปเป็นเด็กกู รับรองได้ว่ามึงจะสบายไปทั้งชาติ ฮ่าๆ” พวกมันหัวเราะ


“ฆ่า กะ...กู เถอะ อือ...” ผมพยายามเอ่ยขอร้อง แขนขาผมเริ่มไม่มีแรง! ผมพยายามประคองสติของตัวเองให้ได้มากที่สุด พยายามมองหาทางหนีแต่ตรงนี้มันเป็นโซนจอดรถวีไอพี แน่นอนว่าตรงที่ผมอยู่มันมืดมาก กูจะหนียังไงวะ  พวกมันกำลังจะโยนผมเข้าไปในรถ แต่ก็ต้องชะงักก่อนเพราะมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา


“ให้ช่วยอะไรมั้ยครับ”


ผมขมวดคิ้ว เสียงนี่มันคุ้นจริงๆ ขอให้เป็นคนที่รู้จักผมทีเถอะ...

         
“ไม่มีอะไร เด็กพี่เขาอยากไปสนุกกับพี่เร็วๆ แต่เมามากเลยเดินไม่ไหว ถ้าไม่มีอะไรพวกพี่ขอตัวนะน้อง”  ไอ้ยักษ์มันเตรียมจะเดินต่อ ผมพยายามหันหน้าไปขอความช่วยเหลือเขา เผื่อจะเป็นคนที่ผมรู้จัก กูยังไม่อยากเสียจิ้น! แล้วผมก็ต้องตกใจเพราะคนที่เข้ามาทักคือ

 
พี่ซัน!!!!         


“พะ พี่ซัน” ผมพยายามเปล่งเสียงเรียก ตอนนี้ผมแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว พี่ซันทำหน้าสงสัย..แต่ก็แค่สงสัย เพราะตอนนี้พี่มันหันหลังเดินกลับไปแล้ว


ฮึก  มึงใจดำมากพี่ซัน !!!


ผมพยายามจะดิ้นอีกครั้งก่อนจะถูกโยนเข้าไปในรถ ทั้งทุบทั้งต่อย แต่โดนพวกมันรวบตัวไว้จากข้างหลัง ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุดผมเลยคว้าเอาแขนมันแล้วกัดเข้าไปเต็มแรง มันเผลอปล่อยมือผมเลยสะบัดตัวออกจากมันแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต


ปึก!
 

ผมสะดุดพื้นหินที่ทำนูนขึ้นมากั้นเขตจอดรถล้มไม่เป็นท่าพวกมันที่วิ่งตามมาเลยจับผมไว้ได้ ก่อนที่จะตบผมหน้าหัน


เหี้ย! แม่กูยังไม่เคยตีสักแอะ แล้วพวกมึงเป็นใครถึงมาทำกับกูแบบนี้! ฮึก เจ็บขนาดนี้กูยังจะมีอารมณ์อีกแม่ง ผมพยายามหนีบหาตัวเองไว้แน่น ต้องหาทางหนีไปก่อน ไม่งั้นผมตายแน่ ไม่ตายก็เหมือนตาย


ต้องตกนรกทั้งเป็นถ้าโดนพวกมึงทะลวงเวอร์จิ้น


“ชอบให้ใช้กำลังหรือไงห๊ะ” ไอ้พี่ยักษ์มันตามมาจิกหัวผมแล้วดึงให้ลุกขึ้นอย่างแรงแล้วพาดตัวผมขึ้นบ่ามัน


“เหวอ! ปล่อยกูนะเว้ย แฮ่ก ถะ...ถ้ากูหลุดไปได้กูเอามึงเข้าคุกแน่ ปล่อยกู!!” ผมดิ้นพยายามทุบหลังมันดังอั๊ก! แต่ดูเหมือนจะไม่สะเทือนหนังมันเลยด้วยซ้ำ โอ๊ย มึนหัวโว้ย


ตุบ!


อั่ก!


เสียงมันดังมาจากข้างหลัง ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปดูแต่ไอ้ยักษ์ที่หิ้วผมอยู่มันดันหันกลับมาซะก่อน ผมเลยมองไม่เห็นอะไร แม่ง!


“พวกมึงคิดจะทำอะไร” เสียงไอ้ยักษ์


“แล้วมึงล่ะจะทำอะไร” นี่มันเสียงพี่ซัน!! อย่าบอกนะว่าพี่มันกลับมาช่วยผม


“อย่าเสือก ถอยไปซะก่อนที่มึงจะเดือดร้อน โว้ย มึงอยู่เฉยๆ ได้มั้ยวะ!/ โอ๊ย!” ผมพยายามดิ้นเพื่อจะมองหน้าไอ้พี่ซัน จนไอ้ยักษ์มันทิ้งผมลงจากบ่า เสียงโอ๊ยน่ะผมเอง แม่งทิ้งลงมาได้

 
“ไม่เกี่ยวได้ไงก็ไอ้เด็กนี่มันน้องกู”  ใจผมกระตุกวูบ

     
“พี่ปล่อยผมไปเถอะนะ พี่ผม...อึก มารับแล้ว” โอย เสียงกู ทำไมมันกระเซ่าแบบนี้ ผมหันไปหาพี่ซันพี่มันยืนถือปืนเล็งมาที่ไอ้พี่ยักษ์นี่อยู่ มากันหลายคนด้วย พี่สอง พี่อาร์ต พี่น๊อตก็ด้วย
       
 
“แฮ่ก...”
 

 สะ...เสียงอะไรวะ หันไปหาทุกคนอีกครั้งก็เห็นพวกพี่มันมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ฮะ เสียงกูเหรอ ผมรีบเอามือปิดปากตัวเองทันที! น่าเกลียดเป็นบ้า


“ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป กูบอกไว้ก่อนนะว่าพวกกูน่ะไม่ห่างจากนักแม่นปืนอาชีพเท่าไหร่หรอกนะ ระยะแค่นี้ไม่มีคำว่าพลาพ” ไอ้พี่อาร์ตมันขู่

 
“ฮึ่ย! ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้พวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กลับ!” ไอ้พี่ยักษ์มันหันไปสั่งลูกน้องที่นอนหมอบอยู่ใต้ตีนพี่น๊อตกับพรรคพวก

 
“เป็นยังไงบ้างเรา” พี่สองเดินเข้ามาหาผม

 
“พี่...พวกมันเอาอะไรให้ผมกินไม่รู้ แฮ่ก อย่าเข้ามา! อย่าแตะตัวผม!” พี่สองทำท่าจะเข้ามาใกล้ผม ผมเลยห้ามไว้ก่อนตอนนี้ผมกำลังจะควบคุมมันไม่อยู่แล้วครับ

 
“ท่าทางน้องมันจะโดนยาว่ะ เอาไงต่อดีวะซัน” พี่อาร์ตสันนิษฐานแล้วหันไปขอความเห็นจากพี่ซัน

 
“ผมกับพี่สองเรามีนัดกันต่ออ่ะพี่” ไอ้พี่น๊อตกับพี่สองรีบออกตัว บ้านกูเรียกว่าชิ่งนะครับพี่

 
“กูต้องไปหาบีบีว่ะ” ไอ้พี่อาร์ตทำหน้าลำบากใจ


“เชี่ย รีบๆ ไปไกลๆ ตีนกู” พี่ซันเริ่มหัวเสียก่อนจะเดินมานั่งยองๆ ข้างผมที่หอบแฮ่กๆ พยายามกัดปากไว้แล้วกอดตัวเองอยู่เงียบๆ เหี้ยเอ้ย ทำไมพี่ซันมันหล่อแบบนี้ว่ะ!

 
“เจอกันที่ไรทำกูซวยตลอดเลยนะมึง”


 “...”

 
“อื้อ...พี่ ผมจะไม่ไหวแล้ว” ผมบิดตัวเร้า น้องชายผมมันปวดตุบๆ ทรมานจริงๆ ครับ...

 
“ดูแลตัวเองยังไม่ได้ ยังคิดจะซ่า...นี่มึงอาบเหล้ามารึไงฮึ” พี่ซันทำจมูกฟุตฟิต หลังจากเข้ามาใกล้ผม

 
“พี่ซัน...ช่วยผมหน่อยนะ ผมไม่ไหวแล้ว อึก มันอึดอัด”ผมกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว พูดเองก็อายเอง จะช่วยทั้งทีช่วยผมให้สุดๆ ไปเลยก็แล้วกันนะแล้วผมจะชดใช้ให้ทีหลัง                                             

 
“กลับบ้านตอนนี้คงไม่ได้สินะ เฮ้อ ซวยกูจริงๆ” พี่ซันถอนหายใจก่อนจะมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น แต่แค่พี่ซันแตะตัวผม กลับทำให้ผมขนลุกซู่จนชะงักนิ่งอยู่กับที่

 
“พะ พี่” ผมเงยหน้าไปมองพี่ซัน พี่ซันเลิกคิ้ว

 
 +++++++++++++++++++++++++



[ซัน]


“อะ...อุ๊บ” ผมหันไปตามเสียงเรียกไอ้เด็กบีทส์ แต่ดันโดนมันจับหน้าดึงเข้าไปจูบ!! เหี้ยเอี้ย ส่งลิ้นมาทำไมวะ!


มันส่งเรียวลิ้นสีชมพูของมันเข้ามาทักทายปากผมผมแล้วจูบสะเปะสะปะ ผมพยายามจะดึงมันออกแต่มันดันเอามือสองข้างมาคล้องคอผมไว้ แล้วดึงให้เข้าไปแนบชิดกันอีก สัส! จูบไม่เป็นยังสะเออะจะมาจูบกู ผมเป็นฝ่ายล็อกหน้ามันไว้เองก่อนจะส่งลิ้นตัวเองเข้าไปสำรวจโพรงปากมัน เอาวะ...ถือว่ามึงเป็นลูกศิษย์กูแล้วกัน!

 
ผมกับมันยืนแลกจูบกันอยู่นาน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันคนไม่ประสีประสาเรื่องจูบอย่างมันจะทำให้ผมเคลิ้มได้ขนาดนี้

 
“อื้อ…แฮ่ก” มันทุบอกประท้วงผม ท่าทางจะหายใจไม่ทัน หึ มันยังไม่มีสติครับ ผมเลยลากมันมาขึ้นรถแม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง วันนี้คงต้องไปค้างที่คอนโดผมก่อน บ้านมันอยู่ไหนผมยังไม่รู้เลยขืนถามมันตอนนี้คงจะไม่ได้คำตอบ

 
“พี่ ผมเดินไม่ไหว ขาไม่มีแรง” มันหอบครางเสียงกระเซ่า กูอยากรู้จริงๆ ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมามึงจะจำอะไรได้บ้างแค่โดนยาไม่เท่าไหร่ครับ ผมว่าเรื่องเมามันใหญ่มากกว่าน่ะ

 
“ถึงแล้ว”


ผมเปิดรถแล้วเปิดประตูให้มันเข้าไปนั่งด้านหลังคนขับ ส่วนผมอ้อมไปอีกด้านแล้วเข้าประจำที่คนขับ ดูท่ามันจะไม่ไหวแล้วผมเลยต้องเร่งขับให้ไปถึงคอนโดให้เร็วที่สุด ไม่งั้นมันแย่แน่ๆ หนักสุดถ้าช็อกตายขึ้นมา ซวยกูสิครับ ตัวมันแดงไปทั้งตัว ถ้าเป็นผู้หญิงมึงไม่เหลือแน่บีทส์                         

                                       
ได้ยินเสียงมันหอบครางเสียงกระเซ่าพร้อมๆ ไปกับการช่วยตัวเองอยู่หลังรถผม เหี้ยเอ้ย ทุเรศลูกตากูว่ะ!

                         
แผล็บ แผล็บ~

 
ผมขนลุกซู่ มึงเลียหูกูทำไมไอ้เด็กเหี้ย กูไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะสัด รูก็ไม่มีให้กูเอา! ผมสบถออกมาเสียงดังแล้วตบไฟเลี้ยวเข้าคอนโด


ผมรีบอุ้มมันขึ้นลิฟท์แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำปล่อยมันไว้ในอ่างน้ำแล้วเปิดน้ำใส่จนเต็ม มันร้องเสียงหลงพยายามจะลุกหนี ช่วยไม่ได้ล่ะว่ะ!!


“อื้อ...” ผมดึงหน้ามันมาจูบ ทำให้มันเริ่มสงบแล้วจูบตอบผม พร้อมกับยกขาขึ้นมาหนีบเอวผมไว้ทั้งสองข้างทำให้ตอนนี้เท่ากับว่าผมอุ้มมันอยู่ ผมแอบชำเลืองดูน้ำในอ่างเมื่อเห็นว่าน้ำเต็มแล้วก็ปล่อยมันลงในอ่างน้ำรีบผละออกห่างจากตัวมัน ปิดล๊อกประตูห้องน้ำทันที


“อื้อออ พี่ซัน ช่วยดะ...ด้วย แฮ่กๆ”


มีความสุขอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละสัด ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู!






 
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 4 : หวิดโดนอุ้ม (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-05-2018 17:32:11
 :katai2-1:


ช่วยน้องหน่อยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 4 : หวิดโดนอุ้ม (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-05-2018 18:13:32
จะขำ หรือสงสารดีนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 4 : หวิดโดนอุ้ม (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 21-05-2018 22:21:41
โถ หน้าสงสารจังลู๊กกกกก
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 5 : โทษทีไม่ได้ตั้งใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-05-2018 14:37:52
ตอนที่ 5 :: โทษทีไม่ได้ตั้งใจ



[บีทส์]

 

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในห้องนอนของพี่ซันครับ นั่งอยู่บนเตียงของพี่แกด้วย! และไม่ได้มีแค่ผมที่นั่งอยู่ในนี้ ยังมีไอ้ออย ไอ้ปริ้น อ่อ พี่อาร์ตก็มาแต่นั่งอยู่ด้านนอกกับพี่ซัน ผมกับเพื่อนกำลังนั่งคุยกันผ่านทางสายตาอยู่...เอ่อ ไม่ขำเหรอครับ

 
หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงพี่ซันแล้ว แทบลุกไม่ขึ้นเลย ปวดหัวมากๆ ตอนแรกก็ยังงงๆ ครับว่าตัวเองมาอยู่นี่ได้ยังไง อ่อ ทำไมผมถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องพี่ซันน่ะเหรอครับ คือผมเหลือบไปเห็นรูปพี่มันตั้งอยู่ตรงหัวเตียง

 
พอนอนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที ครับใช่แล้ว ผมจำได้...จำได้ทุกอย่างเลยด้วย! กูอยากจะกรี๊ดเป็นภาษาต่างดาว น่าอายฉิบหาย น่าอายเชี่ยๆ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น แถมเมื่อคืน...ผมยังเป็นคนจูบพี่ซันก่อนด้วย โอ๊ย ผมจะบ้าตาย


ปึก!


ผมดิ้นไปมาทำให้อะไรบางอย่างตกลงไปข้างเตียง ผมพยายามที่จะเอามือเอื้อมลงไปหยิบขึ้นมา อ๊ะ เจอล่ะอะไรวะสีฟ้าๆ นิ่มๆ อ่อ แผ่นเจลลดไข้นี่หว่าพี่ซันนี่ก็ใจดีผีเข้าผีออก นึกจะใจดีก็ใจดีเวอร์ แต่อย่าให้ใจดำขึ้นมานะคำว่าเลวยังน้อยเกินไป


เปิดผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองอยู่ออกก็เหวอแดกครับ เหี้ย! ใครเปลี่ยนชุดให้กูวะ อย่าบอกนะว่าพี่ซัน!! เสื้อนอนตัวโคร่งสีน้ำเงินเข้มกับบ๊อกเซอร์ตัวใหญ่ด้วย แม่มมมมม กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ก็ว่าทำไมข้างล่างมันเย๊น...เย็น


ได้แค่โอดครวญในใจไม่กล้าเสียงดังครับคือตอนนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าพี่ซันสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเจอพี่แกแล้วผมต้องทำหน้ายังไง อายก็อาย


แกรก~


ผมหลับตาปี๋พร้อมกับกลั้นหายใจ กลัวพี่มันจะรู้ว่าผมตื่นแล้ว


“ไม่ต้องมาเนียนไอ้เหี้ย เพื่อนมึงมาหา” ได้ยินเสียงพี่ซันเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง น้ำเสียงโคตรหงุดหงิด


“ให้กูตรวจอาการน้องเขาก่อนไหมมึง ไม่รู้ว่าไข้ลดรึยัง” เสียงนี้พี่หมออาร์ตแน่ๆ นี่มากันตั้งแต่เช้าเลยเหรอ โอ๊ย ผมยังไม่อยากเจอใครพวกพี่เข้าใจกันบ้างไหมครับ


“มันไม่ตายง่ายๆ หรอกสัด” พี่ซันหันไปพาลพี่หมออาร์ตแทนแล้วครับ ผมเลยเนียนหลับต่อ ยังไม่พร้อมน่ะยังไม่พร้อม อับอายขายขี้หน้า


พรึ่บ! // เห้ยพี่!!


พี่ซันกระชากผ้าห่มออกจากตัวผม ทำให้ผมที่นอนใส่แค่เสื้อกับบ๊อกเซอร์ตัวเดียว สะดุ้งสุดตัวเพราะตอนนี้เสื้อมันเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องของผมแล้วครับ แล้วเสื้อกับกางเกงมันปิดแค่ต้นขาผมเองไง ผมลนลานรีบเอาหมอนมาปิดแทบไม่ทัน พี่ซันทำหน้าเหวอๆ ก่อนจะทิ้งผ้าห่มคืนมาให้ แต่พี่อาร์ตนี่หน้าเน่อ ไปหมดแล้วครับ เช็ดน้ำลายด้วยครับพี่


“กูเรียกไม่ได้ยินหรือไง” พี่ซันรีบปรับสีหน้าแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เอ่ยถามผมเสียงเข้ม


“เอ่อ คือ...” ผมอึกอัก แค่เห็นหน้าพี่มันผมก็ประหม่าจะตายแล้วครับ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทีไรก็อดด่าตัวเองไม่ได้ ทำไมกูง่ายอย่างงี้ เอ่อ ผมหมายถึงยอมให้พี่มันจูบง่ายๆ ครับ


“หึหึ ยังปวดหัวอยู่มั้ยครับ” พี่อาร์ตเอ่ยถามผมบ้าง ผมรีบพยักหน้าตอบ


“มันยังมึนๆ อยู่ครับ เอ่อ เมื่อคืนขอบคุณพี่ๆ มากนะครับที่ไปช่วยผม”  ผมรีบเอ่ยขอบคุณพี่ ๆ แล้วยิ้มแหย พี่อาร์ตยิ้มให้ผมแล้วนั่งลงข้างๆ พลางยื่นมือมาวัดไข้ที่หน้าผากผม ส่วนพี่ซันก็ยังยืนหน้านิ่งเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ข้างเตียงเหมือนเดิม


“ต้องขอบคุณไอ้ซัน ตอนที่มันเห็นเราเกิดเรื่องน่ะ มันรีบออกมาโทรหาพวกพี่บอกว่าเกิดเรื่องให้รีบออกไปหามัน พวกพี่นี่แทบจะล่องหนไปอยู่แล้ว” พี่อาร์ตพูดขำๆ


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหลังจะอ่อยใครก็ดูหน้าตาเขาบ้าง แค่นี้แยกไม่ออกรึไงว่าใครดีหรือไม่ดี ยิ่งสถานที่แบบนั้นยิ่งต้องระวังตัว ไม่มีใครเขาคอยช่วยมึงได้ทุกครั้งหรอกนะ”  พี่ซันพูดต่อ พลางทำหน้าตำหนิผม  ผมเงียบ ไม่ได้อ่อยมั่งเหอะไอ้พี่บ้า!


“...”


“แล้วถ้าคนที่มึงไปเจอไม่ใช่กู มึงรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่เสียตัวน่ะมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”  พี่ซันยังตำหนิผมต่อ พี่อาร์ตเงียบไม่พูดอะไรแต่ก็ลุกออกเดินไปข้างนอกปล่อยให้ผมอยู่กับพี่ซันสองคน

 
“...”


ผมยังเงียบ ไม่ใช่ความผิดของผมคนเดียวสักหน่อย ก็ไอ้ยักษ์นั่นมันมายุ่งกับผมเอง

 
“หน้ามึงมันล่อพวกเสือสิงกระทิงหน้าหื่น ไม่รู้ตัวเลยรึไง” 
 

ผมหันไปตอบพี่มันหน้าซื่อๆ “แล้วอย่างพี่นี่ผมล่อได้บ้างมั้ยครับ” พูดจบก็เอียงหน้ามองพี่ซัน ทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะแทบตายเมื่อเห็นหน้าพี่ซันขรึมขึ้นกว่าเดิม
 

“สัด!” 


พี่ซันสรรเสริญผมสั้นๆ  แล้วก็เดินหนีออกไปทันที พอพี่แกออกไปไอ้ออยกับไอ้ปริ้นก็เดินเข้ามา อย่างกับผมเป็นสัตว์ประหลาดอย่างงั้นแหละ ขอเก็บค่าเข้าชมได้ไหมเนี่ย!


ไอ้ออยเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมส่วนไอ้ปริ้นเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเตียงนอนหันหน้ามามองผมนิ่ง  มันคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมไม่อยากให้มันรู้สึกผิดครับ คือไอ้เรื่องมีผู้ชายมาชอบหรือมาตามเนี่ยผมพอจะชินนะแต่ไอ้โดนแบบเมื่อคืนนี่ครั้งแรก!


“...”
 

จนถึงตอนนี้พวกมันก็ยังคงเงียบครับ เฮ้อ ผมหันไปมองไอ้ออยแล้วพยักหน้าเรียกให้มันเข้ามาใกล้ๆ ผมแอบเห็นมันกลั้นน้ำตาไว้ด้วยครับ ตามันแดงมาก พอมันเข้ามาใกล้ผมก็สวมกอดมันทันที


“บีทส์กูขอโทษนะ ไม่น่าพามึงไปเลย” ไอ้ออยว่าเสียงสั่น
 

“อย่าคิดมากดิมึง ตอนนี้กูก็ไม่เป็นอะไรแล้วไง เห็นไหมว่ากูยังครบสามสิบสอง” ผมฉีกยิ้มกว้างให้มันดู ไอ้ออยทำสีหน้ารู้สึกแย่ ไอ้ปริ้นไม่พูดอะไรครับมันเดินมายีหัวผมเบาๆ ผมเข้าใจนะว่ามันรู้สึกผิดแต่มันก็ต้องดูแลไอ้ออยเหมือนกัน ดังนั้นมันไม่ผิดสักนิด  ว่าแล้วก็อยากจะหาแฟนสักคน แล้วผมจะนึกถึงพี่ซันทำไมเนี้ย!

 
“ไอ้ไบร์ทมันโทรหากูเมื่อคืน แต่กูบอกว่ามึงอยู่กับพวกกูนะ ดีขึ้นแล้วโทรหามันด้วยก่อนที่มันจะมาถล่มคอนโดมึง”  ไอ้ปริ้นพูดเปลี่ยนบรรยากาศ  ผมหันไปพยักหน้าให้มัน


“อื้อ กูเอาชุดมาให้มึงด้วย  ไม่ยักรู้ว่ามึงกับพี่ซันอยู่คอนโดเดียวกันด้วย”  ไอ้ออยพูดพลางเช็ดน้ำตาออกจากหางตา ผมเบิกตากว้าง กูว่าแล้ว! ทำไมผมไม่เอะใจสักนิดว่าทำไมมันคุ้นขนาดนี้


“กูก็เพิ่งรู้จากมึงนี่แหละ ก็ว่าอยู่มันคุ้นๆ” ผมตอบไอ้ออย ก่อนจะหยิบถุงเสื้อจากมันเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แล้วจัดการอาบน้ำชำระล้างกายอีกรอบ หลังจากที่พี่ซันมันจัดการให้ไปแล้วรอบหนึ่ง เออ คิดแล้วเขินแปลกๆ


ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ขอตัวออกมาจากห้องพี่ซัน วันนี้ผมต้องกลับบ้านครับเลยให้ไอ้ปริ้นมาส่ง ก่อนหน้านั้นผมโทรหาไบร์ทแล้ว เห็นบอกว่ากำลังจะออกไปเรียนพิเศษคลาสแรก ไบร์ทอยากเรียนหมอครับ เหตุผลที่น้องอยากเรียนหมอทำให้ผมกับคุณนายน้ำตาซึมเลย


ไบร์ทจะได้ดูแลแม่กับพี่บีทส์ได้ไง ไบร์ทเด็กสุดอายุน้อยสุดอยู่ดูแลทุกคนได้อีกนาน...
 

น้องมันเลยเรียนหนักมากครับ ผมเป็นพี่แต่ช่วยอะไรน้องมันไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แหะ แหะ แอบอายตัวเองอยู่เหมือนกัน ก่อนลงจากรถไอ้ปริ้นเอ่ยเตือนผมเรื่องการไปเข้าค่ายรับน้อง


“อาทิตย์หน้าต้องไปเข้าค่ายรับน้องอย่าลืมนะมึง” 


“อาทิตย์หน้าแล้วเหรอ”  ผมหันไปถามไอ้ปริ้น


“อืม วิศวะกับบริหารเขาจัดไปด้วยกันน่ะ” ไอ้ปริ้นบอก ผมหันไปทำหน้าสงสัย


“ทำไมไปแค่สองคณะ”
 

“ไม่รู้ว่ะ เห็นพี่ในสายกูบอกว่ามันเป็นธรรมเนียม” ผมขมวดคิ้วงงกับคำตอบของไอ้ปริ้น ถ้าวิศวะไป แย่แล้ว! ผมคงไม่ต้องเจอกับพี่ซันหรอกใช่ไหม?!

 
“อื้อ สายรหัสกูไปทั้งสายเลย กูโดนแกล้งอีกแน่ๆ” ไอ้ออยบ่น ผมหันไปทำตาโต

 
กูว่าแล้ว!!!


++++++++++++++++++++++++

 
[ซัน]

 
เหตุการณ์เมื่อคืน...


ผมนั่งมองนาฬิกาตอนนี้ตีสามแล้วครับ หลังจากทนนั่งฟังเสียงคะ... เอ่อ เสียงของไอ้บีทส์ไม่ไหว เลยออกไปนั่งสูบบุหรี่ตรงระเบียง  ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับว่าทำไมต้องกลับไปช่วยมัน ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมันเลย


แต่ที่รู้คือพอเห็นสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือของมันแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเดินหันหลังกลับมาเพื่อที่จะโทรหาพวกไอ้อาร์ต ส่วนตัวผมเองเดินกลับไปที่รถแล้วหยิบปืนพกติดไว้ที่เอวแล้วเดินกลับไปยังรถของพวกไอ้เหี้ยนั่นทันที


ตอนผมตามไปถึงเห็นไอ้เหี้ยนั่นจิกหัวไอ้บีทส์อยู่ผมถึงกับเลือดขึ้นหน้า ไอ้บีทส์มันก็โวยวายไปตามประสา  สีหน้ามันบ่งบอกชัดเจนว่าเจ็บมากผมกำลังจะเดินเข้าไปลุยกับพวกมันแต่ไอ้อาร์ตเดินมาจับไหล่ผมไว้ซะก่อน


“ใจเย็นๆ มึง” ไอ้อาร์ตบอก


“มันเจ็บมึงเห็นไหม!?”  ผมหันไปทำเสียงหงุดหงิด


“พวกกูจะจัดการลูกน้องมันให้  ส่วนมึงไปช่วยน้องมันแล้วกัน” ไอ้อาร์ตบอกแค่นั้น ผมพยักหน้าตกลง พวกเราเลยได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายกันไปตามระเบียบ


ตอนที่มันจูบผม ผมยอมรับว่าตกใจมาก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่มันจูบผม!  ผมเกลียดเกย์แค่ไหนคนรอบข้างผมรู้ดี เพราะเกย์ทำให้ผมต้องเสียลูกพี่ลูกน้องที่ผมรักไป พี่ชายคนเดียวของผม ลูกของป้า เราโตมาด้วยกันสนิทกันมากแต่หลังๆ ผมเริ่มระแคะระคายว่ามันไปติดเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้า

 
ทีแรกผมก็แอบแปลกใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่พอหลังๆ ผมเห็นมันดื่มเหล้าหนักมากเลยไปตามสืบจนรู้ว่าเด็กมันไปติดผู้ชายคนใหม่  พี่ชายผมมันเครียดมากผมเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรคิดเพียงว่าคงอกหักธรรมดาให้เวลามันได้ทำใจ แต่ที่ไหนได้...ไม่คิดว่ามันจะคลั่งถึงกับฆ่าตัวตาย


ผมเสียใจมากและเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมมีอคติกับเกย์


แต่ตอนนี้ผมว่าผมมีเรื่องหนักใจมากกว่าเรื่องที่มันจูบผมแล้วล่ะ...เสียงไอ้บีทส์เงียบไปสักพักแล้ว ผมหันไปทิ้งบุหรี่แล้วเดินเข้าไปในห้อง ประตูห้องน้ำเข้าไปดู เห็นมันหลับอยู่ สีหน้าของมันมีสภาพอิดโรย ช่วยตัวเองจนเหนื่อยคงเพลียเลยหลับไป เสื้อที่มันใส่เป็นชุดนักศึกษาสีขาวพอโดนน้ำแล้ว....อืม  ผมหันหนีไปอีกทางก่อนจะหันไปปลดน้ำออกจากอ่าง


เสื้อมันแนบติดกับเนื้อจนเห็นไปทุกสัดส่วน


ถึงแม้ว่ามันจะมีเสื้อกล้ามตัวบางใส่ไว้อีกชั้น แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเท่าไหร่ ผมเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ออกมา ขืนให้มันอยู่ในสภาพนี้ตลอดทั้งคืนปอดบวมถามหามันแน่ๆ

 
ผมเดินกลับเข้ามาอีกครั้งแล้วก้มลงปลดกระดุมเสื้อไอ้บีทส์ออก ตอนนี้มันยังหลับสนิทลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ผมแอบยิ้ม ตอนมันหลับน่ารักกว่าตอนตื่นเยอะ ผมสะดุดกึก กับความคิดของตัวเอง น่ารักเหรอวะ มึงบ้าหรือเปล่าไอ้ซันนี่ผู้ชายนะเว้ย!!


ผมพยายามสลัดความคิดของตัวเองออก แล้วถอดเสื้อไอ้บีทส์ออก เหี้ย!! มึงบอกกูทีว่ามึงเป็นผู้ชาย! ไอ้บีทส์มันขาวมากครับเนื้อมันขาวละเอียดมากผมแอบลูบเนื้อเนียนของมัน เชี่ย นุ่มกว่าผิวผู้หญิงบางคนซะอีก ไอ้บีทส์ขยับตัว ผมตกใจผละออกจากตัวมันทันที

 
โป๊ก!

 
หัวน้องกระทบกับขอบอ่างโดยสมบูรณ์...โทษทีไม่ได้ตั้งใจ

 
ผมจัดการปลดกระดุมกางเกงของไอ้บีทส์ออกภาวนาขอให้มันใส่บ๊อกเซอร์ข้างใน ค่อยยังชั่วที่มันยังมีบ๊อกเซอร์ เชี่ย สีฟ้าสดใสไปไหมครับไอ้น้องบีทส์ ผมยิ้มขำ ก่อนจะถอดกางเกงมันออกแล้วเอาผ้าขนหนูห่มตัวมันไว้แล้วอุ้มมันมาไว้ที่เตียง


ครั้งนี้ครั้งเดียวนะไอ้เด็กตัวปัญหา

 
หลังจากจัดการวางมันไว้ที่เตียงเสร็จผมก็หันไปหยิบเสื้อผ้าที่ตู้เพื่อจะใส่ให้มัน ตัวมันเล็กกว่าผมมากแค่เสื้อก็คงพอ มันใส่กางเกงผมไม่ได้หรอกครับเลยหยิบบ๊อกเซอร์ที่มีสายรัดติดมือมาด้วย กว่าจะถอดกว่าจะใส่แต่ละชิ้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ!


“อื้อ~  ไบร์ทอย่าจับตรงนั้น~” มึงจะครางทำห่าอะไรครับ


“ง่า พี่ไม้มันจั๊กจี้นะ!”  ผมกำลังจะถอดบ๊อกเซอร์ของมันออกต้องชะงักกึก!

 
“พี่ซันแม่งใจร้าย~” ผมจัดการเปลี่ยนชุดให้มันเสร็จกำลังจะก้าวออกจากห้องได้ยินเสียงมันเรียกชื่อผม ผมถอนหายใจก่อนจะกลับมายืนข้างๆ เตียง


“มึงมันเด็กมากนะบีทส์ คิดอะไรง่ายๆ ทำอะไรไม่ระวังตัว ถ้าเกิดวันนี้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กู มึงคงกลายเป็นเมียเขาไปแล้ว นอนซะไอ้ดื้อ!” ผมเอื้อมมือไปยีหัวมันเบาๆ ก่อนจะตกใจ ตัวมันรุมๆ เหมือนจะไม่สบายผมเลยออกไปเอาเจลลดไข้มาแปะไว้ที่หน้าผากมัน


แล้วอยู่เฝ้ามันข้างเตียงทั้งคืน...






________________________________
Talk ::

โทษทีไม่ได้ตั้งใจ (จูบ) - โทษทีไม่ได้ตั้งใจ (ห่วง) ใช่ไหมเฮีย




 
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 5 : โทษทีไม่ได้ตั้งใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-05-2018 16:23:04
ดูแลแล้ว ดูให้ตลอดนะ พี่ซัน
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 6 : ผู้ชายปากร้ายใจดี
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 04-06-2018 18:54:24
ตอนที่ 6 :: ผู้ชายปากร้ายใจดี



[บีทส์]



และแล้ววันเข้าค่ายของชมรมก็มาถึงครับ ฮือ มันเป็นวันที่ผมไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลยสักนิด วันนี้ตามกำหนดการแล้วพี่ๆ เขานัดรวมพลก่อนขึ้นรถตอนเจ็ดโมงเช้าครับ ตอนนี้หกโมงเช้าแล้ว  แต่ผมไอ้บีทส์สุดหล่อยังนอนกระพริบตาปริบๆ อยู่บนที่นอน

 
ช่วงนี้เหมือนคนโรคจิตครับ  ตั้งแต่ออกมาจากห้องพี่ซันวันนั้นผมก็คอยหลบหน้าพี่แกตลอดไปไหนก็ต้องคอยระวังตัว จะนั่งทีนี่ต้องมองซ้ายมองขวาถ้าแถวๆ นั้นไม่มีหน้าหล่อ ๆ ของพี่แกก็ถือว่าผ่าน!!

 
ปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอกครับ แต่อย่าลืมว่าพี่ซันเขาเป็นสายรหัสของไอ้ออยสายนี้เวลาไปไหนมาไหนเขาไปกันเป็นสายรหัสครับจะมีก็แต่ไอ้ปริ้นที่มันได้รับสิทธิพิเศษไปไหนมาไหนกับสายนี้เขาได้  ไม่รู้มันไปทำยังไงของมันเหมือนกันครับ แต่ดูเหมือนพี่ๆ เขาจะรักมันกว่าไอ้ออยอีกนะ รายนั้นโดนพี่ๆ รุมกันแกล้งทุกวัน

                   
พวกเราไปเข้าค่ายกันสองวันครับตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี ทีแรกผมนึกว่าพี่ฟ้าจะไปด้วยแต่ที่ไหนได้ พี่รหัสผมดันบอกว่าต้องอยู่เตรียมงานวันเฟรชชี่เดย์  ลุงรหัสของผมเขาลงประกาสิทธิ์ไว้ว่าให้พี่ฟ้าอยู่ช่วยงานเพราะพี่ฟ้าเขาเป็นดาวมหาลัยปีที่แล้ว พี่อ้นแกเป็นลุงรหัสผมครับอยู่ปีสามเป็นผู้หญิงแต่พี่แกให้ผมเรียกว่าลุง แกบอกมันดูขลังดี เออ เอาเข้าไป!

 
บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


ใครมันขยันโทรมาตั้งแต่เช้า ผมก้มดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาแล้วขมวดคิ้วงง เบอร์ใครไม่คุ้นเลยแหะ

 
 “สวัสดีครับ” ผมกดรับสาย

 
“กูให้เวลามึงครึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วไปเจอกันตรงเค้าเตอร์คอนโด”  เสียงใครวะคุ้นๆ ผมขมวดคิ้วงงกว่าเดิม

 
“เอ่อ ดะ // อย่าให้กูต้องขึ้นไปตามเอง..ติ้ด”  กำลังจะอ้าปากถามว่า ผู้ใด๋กันที่โทรเข้ามาแต่พี่แกดันพูดแทรกเข้ามาซะก่อน ไม่รอฟังที่ผมจะถามสักนิด!!

 
ถ้าเป็นไอ้ปริ้น ไอ้ออย หรือเพื่อนคนใดคนหนึ่งมันก็ต้องขึ้นชื่อใช่ไหมครับ แต่นี่คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ น่าจะเป็นรุ่นพี่สักคนที่ผมรู้จัก...มั้งนะ

 
ผมงัวเงียคลานลงจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็หลับตาเดินคลำหาทางไปห้องน้ำ พอหาลูกบิดเจอก็เข้าไปเปิดน้ำอาบทันที เห๊อะ ให้เวลาแค่ครึ่งชึ่วโมงจะทันไหมเนี้ย ดีนะที่ผมเก็บของไว้ตั้งแต่เมื่อคืนไม่งั้นอย่าว่าแค่ครึ่งชั่วโมงเลยครับ สองชั่วโมงก็ไม่ทัน!! คือผมเป็นคนที่ค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวน่ะครับ แหะ แหะ

 
เปิดประตูออกจากห้องน้ำก็ชำเลืองมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงโทรทัศน์ อืม เหลือเวลาอีกสิบนาทียังไงก็ทันว่ะ!!
 

บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~

 
ฮึ่ย!! จะโทรมาตามทำไมวะ เหลือเวลาอีกตั้งสิบนาที ผมบ่นอย่างหัวเสีย คือมันเสียเวลาในการแต่งหล่อนะครับกับการไปรับโทรศัพท์น่ะ! อ้าว พอเห็นชื่อคนที่โทรมาก็รีบหุบปากทันทีครับ

 
“เมียไอ้ปริ้น”

                   
“ฮัลโหลคร้าบ เจมส์จิพูดสายอยู่” ได้ยินเสียงจิ๊ปากจากคนปลายสายทันทีเลยครับ


“พ่อง อย่ามากวนตีนครับไอ้บีทส์”  อื้อหือ กูอุตส่าห์พูดจาอย่างไพเราะเพราะพริ้ง มึงไม่รู้จักเจมส์จิหรือไงเขาออกจะดัง แล้วดูมึงดิ๊ พูดจาสุนัขไม่รับประทาน ไอ้ปริ้นมันทนได้ยังไง

 
“เออ มีไรว่ามา” คนอุตส่าห์อารมณ์ดี กวนนิดกวนหน่อยไม่ได้เลยนะมึง

                 
“มึงเจอพี่ซันรึยัง”

 
“กูจะไปเจอพี่เขาได้ยังไง ประสาทแล้วมึง” ไอ้นี่ก็บ้า ถึงจะอยู่หอเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าจะได้เจอกันง่ายๆ นะเว้ย  เพราะแค่เห็นพี่มันอยู่ในระยะร้อยเมตรกูก็เผ่นแน่บแล้ว กร๊าก~


“เห้ย  แต่พี่เขาบอกจะรับมึงมาด้วยนะเว่ย” แต่คำพูดของไอ้ออยทำให้ผมชะงักกึก! แล้วรีบประมวลผลกับสิ่งที่ได้ยินใหม่...


ไอ้ฉิบหาย!!!


ผมหันไปมองนาฬิกาเหลืออีกเจ็ดนาที ตายห่าแล้วไอ้บีทส์มึงตายค่าตีนพี่ซันแน่วันนี้ แล้วทำไมมึงถึงเอาชีวิตเพื่อนมึงไปแขวนไว้บนเส้นด้ายด้วยว่ะไอ้ออย อ้าก กูอยากพ่นไฟ!!


“เหี้ยแล้วมึง ชะตากูกำลังจะขาด แค่นี้นะ!” ผมร้องบอกไอ้ออยแล้วกดวางสายทันที  ก่อนจะคว้าเอากางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อยืดสีขาวมาสวม คว้าเอากระเป๋าเป้แล้วก็หมวกสีเขียวคู่ใจออกมา วิ่งมาหน้าห้องสวมรองเท้าผ้าใบ และกดปิดสวิตไฟต่อด้วยล๊อกห้องเสร็จสัพ  โอ๊ย พิถีพิถันไม่ทันแล้ว
 

แฮ่ก  แฮ่ก


ผมหอบแฮ่กๆ รีบวิ่งออกมาจากลิฟท์ก่อนจะหยุดยืนหายใจหอบเอาออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด คือผมมองเห็นพี่ซันแล้วครับตอนนี้พี่แกยืนหันหลังให้ผมอยู่ แมร่ง ทำไมพี่มันดูดีแบบนี้วะ เห็นแล้วอิจฉา


“พะ พี่” ผมเรียกพี่มันเสียงหอบ

 
“สายไปห้านาที” พี่มันหันมาพูดเสียงดุ ผมยิ้มแหยๆ วันนี้พี่มันแต่งตัวหล่อมากครับ กางเกงยีนส์เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบเหมือนผม แต่ทำไมมันดูดีต่างกันลิบลับก็ไม่รู้!


“ขอโทษครับ” ผมพูดขอโทษพี่มัน พลางทำหน้าสำนึกผิด

 

“ปัญญาอ่อน  ตามมา!” โอ๊ย พี่แกไปกินอะไรมาทำไมวันนี้ดุจัง เผลอไปกินของหวานมารึยังไง ปกติดุอยู่แล้ว แต่วันนี้พี่มันโคตรจะดุเลย!


“ครับๆ” ผมเดินตามหลังพี่ซัน ก่อนจะสังเกตไปรอบๆ ข้าง เห็นผู้หญิงมองพี่มันเต็ม บางคนเห็นแล้วแอบกรี๊ดเบาๆ แต่บางคนนี่หันไปซุบซิบกันแล้วทำหน้าอายๆ ผมเข้าใจครับว่าพี่มันหล่อ แต่เป็นผู้หญิงคนรักนวลสงวนตัวสักนิด  ไม่ได้พาลครับไม่ได้พาล ไม่ได้ว่าใครเจาะจงด้วย ผมพูดลอยๆ
             

“หวังว่าวันนี้จะไม่อ้วกใส่รถกูอีกนะ” ตอนนี้ผมนั่งประจำการอยู่บนรถพี่ซันแล้วครับ  พอขึ้นรถปุ๊บ พี่มันกัดผมปั๊บ  คือแบบฝังใจไปป่ะพี่ ได้แต่คิดด่าพี่แกอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ กลัวโดนถีบออกมาจากรถ ไปสายเดี๋ยวได้โดนทำโทษอีก


“โถ่พี่ แค่ครั้งเดียวเอง ผมไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย” ผมหันไปฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรให้พี่แก ก่อนจะหันไปสำรวจความงามของรถ  พี่ซันเอารถคันเดิมมารับผมครับ สวยถูกใจผมสุดๆ รถพี่มันเฉี่ยวมาก เล่นเอาผมคันไม้คันมืออยากขับขึ้นมาทันที...แต่ขอผมไปเรียนขับรถมาก่อนนะครับ


06.55 น.

 
ผมชำเลืองมองนาฬิกาในข้อมือตัวเอง อืม อีกห้านาที ก่อนจะหันไปชำเลืองมองคนขับรถที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ คือตอนนี้หายใจยังพยายามหายใจให้เบาที่สุดเลยครับ ไม่อยากให้พี่มันหงุดหงิดเดี๋ยวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยผมจะแย่ อิอิ ยังจะทำเป็นเล่นอีกน้อกู

 
“เอ่อ พี่ครับ อีกห้านาที”  ผมเอ่ยพูดกับพี่ซันตะกุกตะกัก เหมือนจะใจกล้า  แต่หน้ากูเนี้ยเหงื่อตกไปแล้วไง


“รู้แล้ว นั่งเงียบๆ ไปก็ไม่มีใครว่ามึงเป็นใบ้หรอก" พี่ซันพูดเสียงนิ่ง แต่ดูเหมือนพี่มันก็นั่งไม่ติดเหมือนกันครับ ตอนนี้รถมันดันติดอยู่ตรงทางเข้ามหาลัยพอดี
         

ถึงจะแค่ไปเข้าค่ายของชมรมแต่ฤดูกาลรับน้องก็ยังไม่หมดไปนะครับ ผมในฐานะที่ยังถูกติดชื่อเป็นเด็กปีหนึ่งมันก็ต้องมีเสียวสันหลังกันบ้าง เพราะนี่ไม่ได้ไปแค่คณะบริหารแต่พวกพี่ๆ จากวิศวะก็มากันด้วย เห็นไอ้ปริ้นบอกว่ามีพี่ๆ ปีสี่ไปด้วยระดับเฮดว้ากอีกต่างหาก แค่คิดเหงื่อก็ยิ่งตกซิกๆ เลย


แฮ่ก  แฮ่ก   


วันนี้มันวันอ่าร้ายย ให้กูวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่เช้า ไหนจะกระเป๋ากูอีก ที่จริงมันไม่ได้หนักมากหรอกครับ แต่ถ้าวิ่งมันก็มีรั้งๆ ผมไว้ไงลำพังแค่วิ่งตัวเปล่าก็จะแย่แล้วครับ
 

หมับ!
 

กระเป๋าเป้ผมลอยออกจากบ่า คือผมสะพายไว้ข้างเดียว รีบวิ่งตามพี่ซันเลยไม่ได้จัดสมดุลร่างกายให้เรียบร้อย พูดดีไปงั้นล่ะครับ กลัวพี่มันล๊อกผมไว้ในรถนะ ผมมองตามพี่ซันที่ตอนนี้ฉวยเอากระเป๋าผมไปถือไว้ซะเองแล้ววิ่งนำหน้าผมไป ยิ้มกว้างเลยสิกู พี่มันใจดีชะมัดเลย!

 
“ยืนเซ่ออยู่ได้ มึงอยากโดนทำโทษรึไง”  พี่ซันหันกลับมาด่า เมื่อเห็นผมไม่วิ่งตามพี่มันไปสักที ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงลานจอดรถครับ พี่ซันเอารถมาจอดไว้ที่นี่น่ะครับ ผมยังแอบเหน็บพี่แกไปเลยว่าไม่กลัวหายบ้างหรือไง  โดนพี่มันตอกหน้าหงายกลับมาว่า


กูไม่ได้โง่


ฉลาดน้อยอย่างมึงเก็บปากไว้กินข้าวเถอะบีทส์...

                 
อืม กูโง่เองที่เป็นห่วงรถมึง ผมรีบวิ่งตามพี่ซันไปที่จุดรวมพลตอนนี้ทุกคนน่าจะมาครบแล้วครับ แอบเห็นพี่ประธานชมรมกับพวกเพื่อนๆ ผมยืนรออยู่ตรงหน้ารถ พอผมไปถึงไอ้ออยมันเบิ้ดกะโหลกผมอย่างแรงเลยครับ เชี่ย  เอ๊ะอะก็ทำร้ายร่างกายกู


 “อะไรของมึงไอ้ออย”  ผมหันไปโวยวาย  พี่ซันเดินไปขึ้นรถแล้วครับ หลังจากที่ขอโทษขอโพยพวกพี่ๆ เขาเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกันขึ้นรถ


ไอ้ออยนั่งกับไอ้ปริ้น


ไอ้นัทนั่งกับเพื่อนเก่ามันที่เรียนวิศวะ


อิพิงค์นั่งกับพี่อาร์ต เอ่อ เรียนหมอไม่ใช่หรอว่ะแล้วพี่มันมาได้ยังไง?


พี่น๊อตนั่งกับพี่สอง


เอ้า!!! แล้วกูล่ะ??


ผมทำหน้างงก่อนจะหันไปเจอพี่ซันนั่งอยู่คนเดียว มองไปทั่วคันรถก็...ที่นั่งเต็ม!! อ้าก ทำไมหนีพี่ซันไม่พ้นสักที


“ทุกคนหาที่นั่งให้เรียบร้อยแล้วก็อยู่ในความสงบด้วยนะครับ” เสียงพี่ประธานพูดขึ้น  หลังจากที่รถของพวกเราเริ่มเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


ผมหันซ้ายหันขวา เห็นไอ้ออยมองมาทางผม มันทำท่าจะลุกครับแต่ไอ้ปริ้นดันยกขาขึ้นมาปิดทางมันไว้ แล้วเอาหมวกมาปิดหน้านอน ไอ้ออยเลยได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ผม  เออ กูมันไม่มีคู่!! ผมเลยตัดใจเดินเข้าไปหาพี่ซัน

 
“เอ่อ พี่ ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” พี่ซันเงยหน้ามามองผมก่อนจะมองหากลุ่มเพื่อนๆ พอเห็นว่าไม่มีที่ว่างแล้วพี่มันเลยพยักหน้าตกลง ผมยิ้มแฉ่ง เอากระเป๋าเก็บไว้บนที่วางบนหัว แล้วนั่งลงข้างๆ พี่มัน


“เอ่อ พี่ซัน ผมขอนั่งข้างในได้ไหมครับ คือผมชอบดูวิวข้างทางอ่ะพี่” ผมพูดกับพี่ซันเบาๆ พี่มันทำหน้าหงุดหงิด
 

“ลุกดิสัด! จะนั่งไหมข้างในน่ะ!?!” พี่มันทำเสียงดุ แต่ก็ยอมลุกให้ผมนั่ง ผมแอบยิ้มครับ ดีใจสุดๆ เพิ่งเข้าใจนะว่าพี่มันปากร้ายแต่ใจดีโคตรๆ


“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยบอกพี่ซัน พี่มันไม่ตอบแต่ล้วงเอาไอพอดขึ้นมาฟังเพลงเสียบหูฟังทั้งสองข้าง แล้วหลับตาทำท่าจะนอน ผมเลยเงียบ เมื่อคืนพี่มันคงนอนไม่พอ..มั้งนะ ขอกระซิบบอกอะไรหน่อยได้ไหมครับ


ผมว่าพี่ซันตอนหลับนี่หล่อกว่าตอนตื่นอีก

 
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เพิ่งสังเกตเห็นว่าไอ้ไบร์ทน้องรักส่งไลน์มาหาผม  ลืมโทรหามันเลยแหะ มัวแต่ยุ่งๆ


“ออกเดินทางหรือยังพี่บีทส์”


“ออกมาแล้วๆ โทษทีพี่ไม่ได้โทรบอก”


“กว่าจะตอบได้นะ”


“มาตอบแล้วนี่ไง”



คุยกับน้องไปก็ขำไปครับไบร์ทมันตื่นเช้าเตรียมตัวไปเรียนพิเศษ แต่แค่มาเช็คว่าผมออกเดินทางหรือยังน่ะ มันบอกว่าไม่อยากโทรหาเพราะกลัวรบกวน จับใจความได้ว่าให้ผมดูแลตัวเองดีๆ  ถ้าเกิดไม่สบายหรือเป็นอะไรขึ้นมาให้โทรหามันได้ทันที แค่ประจวบมันบอกว่าสบายมาก ไม่ไกลเกินกำลังมันหรอก…


“ก่อนไปขอโทรเช็คเสียงก่อน”


“ครับๆ”



บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


“ครับไอ้น้องไบร์ท~” ผมทำเสียงทะเล้น
 

“อือ พี่บีทส์โอเคใช่ไหม” น้องมันถาม


“โอเคดิครับ โอเคมากๆ ได้ไปทะเลด้วยนะเว้ย” ผมคุยอวดน้องมัน ไอ้ไบร์ทหัวเราะ คงหมั่นไส้ผม
 

“อืมๆ โอเคก็ดี อย่าลืมห่มผ้าหนาๆ นะ” ผมยิ้ม  มันน่ารักไม่เปลี่ยนจริงๆน้องผม
 

“เออน่า..อ๊ะ!!” ผมร้องขึ้นอย่างตกใจ อยู่ดีๆ ไอ้พี่หมออาร์ตมันมาจากไหนไม่รู้ครับ ไม่สิ พี่มันนั่งอยู่ข้างหลังผม ดันดึงโทรศัพท์ไปจากหูผมเฉยเลย ผมทำท่าจะโวยวายแต่พี่มันยกนิ้วขึ้นแตะปากส่งสัญญาณให้ผมเงียบ  ส่วนพี่ซันสงสัยผมจะเสียงดังไปหน่อย พี่มันขยับตัวลืมตาตื่นแล้วหันมามองผมกับพี่อาร์ต คนอื่นๆ เขาก็ทำกิจกรรมส่วนตัวกันไปครับไม่มีคนสนใจใครสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะหลับพักผ่อนเอาแรงกัน

 
“เห้ย พี่เอาโทรศัพท์ผมคืนมา” ผมพูดเสียงเบา


 “เงียบๆ แล้วอยู่เฉยๆ” พี่อาร์ตมันตอบกลับมาเสียงเบาพอกัน แล้วหันไปคุยโทรศัพท์ต่อจากผมหน้าตาเฉย เฮ้ย พี่มันจะแกล้งอะไรผมเนี่ย!!


“ว่าไงครับที่รัก โทรหาพี่เมียกูเหรอ” พี่เมีย? ผมมีน้องคนเดียว พี่เมีย...ฮะ!!! ผมอ้าปากค้าง แต่พี่อาร์ตมันยังพูดลอยหน้าลอยตายิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าไบร์ทตอบกลับมาว่าอะไร โว้ย กูอยากรู้


“เอ้า ก็ตัวเล็กจะมาเป็นเมียพี่ น้องบีทส์ก็ต้องเป็นพี่เมียของพี่ไม่ใช่เหรอครับ” ไอ้พี่อาร์ตพูดหน้าซื่อ แต่กลั้นขำเต็มที่
ชัด ชัดเลย!!


อย่าบอกนะว่า…


เฮ้ย แต่ไอ้ไบร์ทมันชอบผู้หญิงนะเว้ย!!


ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีทางเด็ดขาด!!


“ตั้งใจเรียนนะตัวเล็ก แล้วพี่จะรีบกลับ อย่าดื้อ อย่าซนนะครับ” ไอ้พี่อาร์ตพูดจบก็ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ผม ผมยื่นมือไปรับโทรศัพท์คืนอย่างงงๆ พอจะคุยกับไบร์ทต่อก็มีแต่เสียงด่าของใครก็ไม่รู้ ว่า...


ตู้ด ตู้ด ตู้ด


ผมพยายามจะโทรกลับแต่น้องมันก็ปิดเครื่องหนีไปแล้ว เลยหันไปคาดโทษพี่อาร์ตแทน เล่นอะไรไม่รู้เรื่องสงสัยพี่มันจะไม่อยากตายดีนะนิ เดี๊ยะๆๆ

 
“พี่อาร์ต เล่นอะไรของพี่เนี่ย” ดุได้แค่นี้แหละ!!
 

“เล่นอะไรครับ พี่เปล่าเล่นสักหน่อย หึหึ” พี่อาร์ตหันมายิ้ม แล้วตอบผมด้วยท่าทีสบายๆ อาการไม่ทุกข์ ไม่ร้อนของพี่มันทำให้ผมงงหนักยิ่งกว่าเดิม แต่กำลังจะอ้าปากถามต่อ  พี่ซันก็พูดขึ้นมาตัดหน้าซะก่อน

 
“หุบปากสักทีเถอะบีทส์ มึงหยุดโวยวายจะได้ไหม รบกวนคนอื่นเขาจะหลับจะนอน  พี่ที่คณะมึงไม่สอนเรื่องมารยาทหรือยังไง” ไอ้พี่ซัน!! เล่นเอาพี่ที่คณะกูมาขู่เลยเร๊อะ


นั่งลงทันทีสิครับ!!


+++++++++++++++++++++++


“น้องๆ ครับ พี่จะแวะปั้มให้น้องๆ ได้พักทานข้าวกันสามสิบนาทีแล้วให้ทุกคนกลับมาขึ้นรถเหมือนเดิมนะครับ ดูแลทรัพย์สินของตัวเองให้ดีด้วยนะ”
 

“ถึงไหนแล้วเนี่ย” ผมพึมพำพลางขยี้ตา เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ


“อิบีทส์ไปหาอะไรกินกันป่ะ” อิพิงค์มันเสนอหน้าข้ามเก้าอี้มาถามผม ผมเลยพยักหน้ารับรู้ แอบหันไปทางไอ้ออยที่อยู่เยื้องๆ กันมันก็โดนไอ้ปริ้นปลุกอยู่เหมือนกัน ส่วนไอ้นัทน่าจะลงไปกับเพื่อนมันแล้ว อ่อ คนข้างๆ ผมก็หายไปไหนแล้วไม่ทราบครับ


กำลังจะลุกขึ้นยืน ก็มีบางสิ่งบางอย่างหลุดลงไปกองที่พื้น หื้ม เสื้อใคร ผมก้มลงไปหยิบ แล้วหันไปถามอิพิงค์อย่างสงสัย
 

“เสื้อใครวะพิงค์” ผมชูเสื้อให้อิพิงค์ดู


มันยิ้มแล้วจีบปากจีบคอตอบ

 
“เสื้อของพี่สุดหล่อกูไง ไม่รู้ว่าคิดยังไงถึงเสียสละเสื้อคลุมให้มึงเนี่ย คนทั้งรถเขาอิจฉามึงกันทั้งนั้นเลย รู้ตัวไหมอิบีทส์” อิพิงค์ทำเสียงล้อเลียน แต่ผมสมองไม่สั่งการไปแล้วครับ
 

เสื้อพี่ซันจริงๆ เหรอ                                   

 
โอ๊ย น่ารักโว้ยยยย





หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 7 : ค่ายผูกสัมพันธ์
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 04-06-2018 19:10:12
ตอนที่ 7 : ค่ายผูกสัมพันธ์



[บีทส์]


“ยินดีต้อนรับน้องๆ ทุกคนเข้าสู่บ้านพักนารินรีสอร์ทนะครับ ก่อนอื่นพี่ขอแยกน้องๆ ออกเป็นสองส่วน ปีหนึ่ง ปีสองและปีสามพี่ให้จับคู่นอนห้องละสามคน นอนบนตึกใหญ่นะครับ ถ้าจับกลุ่มกันได้แล้วก็ไปลงทะเบียนรับกุญแจห้องกับพี่ๆ ที่รออยู่ตรงเค้าเตอร์ทางด้านใน ส่วนพี่ๆ ปีสี่และปีห้าจะนอนอยู่ที่บ้านเดี่ยวแบ่งออกเป็นหกหลังตามที่เราได้ลงรายชื่อกันไปแล้วก่อนมา ถ้ารุ่นน้องคนไหนมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นสามารถแจ้งรุ่นพี่ได้ทุกหลังนะครับ พวกพี่ๆ ขอให้ทุกคนเก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วเราจะมาเจอกันอีกครั้งตอนบ่ายสองนะครับ”


เสียงของพี่ประธานค่ายเอ่ยชี้แจงหลังจากที่พวกเราเดินทางมาถึงรีสอร์ท ผมหันหน้าไปหาไอ้ออย ไอ้ปริ้น มันเองก็มองผมอยู่เหมือนกันเป็นอันตกลงว่าเราสามคนจะนอนด้วยกัน ส่วนไอ้นัทกับเพื่อนมันก็ต้องเอาอิพิงค์ไปสถิตย์ไว้ที่ห้องมันด้วย คือพวกผมกลัวมันไปพรากพรมจรรย์ใครเขาเข้าอ่ะครับ


“เฮ้ย กูจะไปนอนกับพี่ซัน พวกมึงจะลากกูไปด้วยทำไมห๊า!” อิพิงค์มันแหวขึ้นหลังจากไอ้นัทพยายามจะลากมันเอาของไปเก็บที่ห้องด้วยกัน


“เป็นผู้หญิงจะมานอนกับพวกพี่มันดูไม่งามนะครับน้องพิงค์ ฮิ้ว~” เสียงไอ้พี่หมอมันแซ็วอิพิงค์ครับ แล้วก็มีพี่สองกับพี่น๊อตคอยเป็นลูกคู่ ก่อนจะแยกย้ายไปบ้านพัก ส่วนพี่ซัน
   

...อ้าว หายไปไหนแล้ว
             

ผมมองหาพี่ซันไปรอบๆ ก็ยังไม่เจอหรือว่าจะเอาของไปเก็บแล้ว คงไม่หรอกมั้งอะไรจะรีบขนาดนั้น คงเดินเล่นอยู่แถวๆ นี้แหละ


เออ แล้วผมจะนึกถึงพี่มันทำไม!!


“มองหาใครบีทส์” ไอ้ออยเอ่ยถามผม พวกเรายืนรอไอ้ปริ้นกับเพื่อนไอ้นัทอยู่นะครับ พวกมันเข้าไปเอากุญแจห้องกับพวกพี่ๆ อยู่


“ใคร...กูจะมองหาใครทำไม กูมองบรรยากาศรอบๆ หรอก” ผมตีหน้าซื่อตอบไอ้ออย ไอ้นี่จะมายุ่งอะไรกับกูนักหนาครับ ไปหาผัวมึงโน่น ผมทำปากยื่นใส่ไอ้ออย
 

“จะไปรู้เรอะ! เห็นมองซ้ายมองขวาจนคอแทบจะหัก” ไอ้ออยทำท่าทางเลียนแบบผมขณะพูดไปด้วย


“เดี๋ยวกูถีบให้” ผมแกล้งโวยวายใส่ไอ้ออยทำท่าจะถีบมันจริงๆ มันรีบขยับหนีไปอยู่หลังไอ้นัททันที


“อะไรอิบีทส์ โมโหกลบเกลื่อนเหรอ” อิพิงค์มันแซ็วขึ้นมาบ้าง


“กลบเกลื่อนเชี่ยอะไรอิพิงค์ เดี๋ยวเถอะมึงเดี๋ยวเจอกูถีบลูกคู่” ผมชี้หน้าอิพิงค์ มึงกลัวกูหน่อยก็ได้นะ ไม่ใช่มาแลบลิ้นล้อเลียนกู!!


“มึงมองหาพี่ซันสุดหล่อของกูอยู่รึเปล่า ฮิๆ กูเห็นนะตอนนั่งรถมามึงแอบมีซัมติงกับพี่ซันของกูใช่ม่ะ!” อิพิงค์มันพูดขึ้น แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างเป็นต่อ


มึงจะรื้อฟื้นเพื่อ!!


“ซัมติงซัมเติงอะไรของมึง” ผมถามมันกลับ พยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ มันรู้สึกดีนะครับที่คนที่เคยเกลียดเรามาทำดีกับเรา ตอนนี้ผมยังไม่ได้คืนเสื้อให้พี่มันเลยเพราะตั้งแต่พี่ๆ เขาจอดรถพักกินข้าวในปั้ม พอผมขึ้นรถมาก็เห็นพี่มันก็สลับที่อิพิงค์ไปนั่งกับพี่หมอแทนแล้ว


“ตอนพักกินข้าวกูอยากจะเม้าท์ใจจะขาด แต่กลัวได้กินยำฝ่าเท้าแฟนคลับพี่ซัน มึงรู้มั้ยว่าตอนมึงหลับมึงทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับพี่ซันของกูอ่ะ”


“ฮะ อะไรวะ” ผมถามมันกลับทันที กูก็ว่ากูหลับของกูดีๆ นะ


“ช่างมันเหอะน่าพิงค์ บีทส์มันหลับจะไปรู้เรื่องอะไร” ไอ้นัทพูดขัดขึ้น ผมหันไปย่นคิ้วใส่มันทันที


“มึงรู้มั้ยออย” ผมหันไปถามไอ้ออยต่อ


“ไม่รู้วะ กูก็หลับเหมือนกัน” ไอ้ออยหันมาตอบผม ทำหน้าแมวงงอีกนะ เหมือนมันจะยังไม่ตื่นดีเท่าไหร่! เออ กูผิดเองแหละที่ถามมึง!!


“กูต้องกราบขอประทานโทษมึงมั้ยไอ้คุณออย!” ผมทำท่าประชด พวกที่เหลือมันพากันหัวเราะก๊าก


“ตอนอยู่บนรถมึงสองคนพอกันเลยนะ กูนึกว่าพวกมึงมาฮันนีมูนไม่ได้มาเข้าค่ายเหมือนพวกกูซะอีก” จิ๊! อะไรของมัน กูก็มาเข้าค่ายไงไม่ได้พาใครมาฮันนีมูน แล้วกูจะฮันนีมูนกับใครได้ในเมื่อก็มากับพวกมึงแล้วก็นั่งคู่กับ...กับพี่ซันเหรอ?!


“เฮ้ย เกี่ยวอะไรกับพี่ซัน” ผมทำตาโต


“มึงจำได้มั้ยที่กูบอกมึงว่าคนทั้งคันเขาอิจฉามึงใจจะขาดอ่ะ” ผมพยักหน้าแล้วคิดตามมัน กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ!


“แล้วไง อ่อ เรื่องเสื้อนี่เหรอ” ผมถามอิพิงค์แล้วชูเสื้อของพี่ซันให้มันดู ไอ้นัทส่ายหน้าใส่ผมที่ผมดึงดันถามต่อ


“ถ้าแค่เสื้อก็ดีสิมึง” อิพิงค์มันยิ้มกริ่ม


“แต่มึงรู้มั้ยว่าตั้งแต่มึงหลับจนถึงปั้มอ่ะ มึงหลับซบไหล่พี่ซันมาตลอดทางเลยนะเว่ย พี่ซันพยายามจะดันมึงออกแต่พอดึงออกหัวมึงก็โขกกับกระจก แทนที่มึงจะรู้ตัวสอใส่เกือกหลับต่อ สักพักมึงก็เอนมาซบไหล่พี่ซันต่อเป็นอย่างนี้อยู่สามสี่ครั้ง พี่ซันแกเลยปล่อยเลยตามเลย กูยังแซ็วพี่ซันกับพวกพี่อาร์ตอยู่เลยว่าอยากซบไหล่พี่มันบ้าง”
ไอ้ฉิบหาย!!


“โอ๊ย กูอยากตาย” ผมโอดครวญ แต่อิพิงค์ยิ้มรับตาเป็นประกาย ไอ้ออยนี่ขำท้องแข็งไปแล้วครับ ส่วนนัทมันก็มองผมนิ่งๆ ตามประสา


“ฮ่าๆๆ ไอ้บีทส์มึงหลงเสน่ห์เฮียซันรึเปล่าวะ” ไอ้ออยมันขำน้ำตาร่วง แต่ยังมีหน้าจะมาแซ็วกูต่ออีก


“…”


ผมเงียบ ถ้าถามว่าชอบมั้ยผมก็ตอบไม่ได้ ผมเป็นพวกไม่ค่อยสนใจเรื่องเพศ ไม่ว่าจะเพศไหนถ้าผมชอบก็คือชอบ ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง


แต่หลังจากพี่มันเคยยื่นขาเข้ามาช่วยเหลือผมที่ผับในวันนั้น ผมก็มองพี่มันเปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง เอาเป็นว่ารู้สึกดีขึ้นกว่าแต่ก่อนจนต้องรีบหักห้ามใจตัวเองโดยการพยายามจะหลบหน้า แต่ยิ่งหลบก็ยิ่งเจอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน


“มึงก็พอกันไอ้ออย กูเห็นนะว่าแอบซบไหล่ไอ้ปริ้นมาตลอดทางเลยอ่ะ แถมไอ้ปริ้นยังเอาเสื้อมาคลุมตัวให้มึงอีก ไม่ต้องไปขำไอ้บีทส์เลยนะมึง” อิพิงค์มันว่าต่อ ไอ้ออยหยุดหัวเราะทันที ผมเป็นฝ่ายหัวเราะมันกลับบ้าง


“ฮ่าๆ มึงจะไปว่ามันทำไมพิงค์ มันมากับผัว มันก็ต้องซบไหล่ผัวมันสิวะ” คราวนี้ไอ้นัทหันมาหัวเราะกับผมด้วยครับ! สีหน้าไอ้ออยตอนนี้แบบจะปฏิเสธก็เหมือนคนหาเสียงตัวเองไม่เจอ


“สัส!” ด่ากลับกลบเกลื่อน แต่หูเหอนี่แดงไปหมด
สะใจโว้ย!!!
 

“สวัสดีครับ พวกผมกลุ่มกระต่ายน้อยมีสมาชิกทั้งหมดสิบคน วิศวะห้า บริหารห้า! มารายงานตัวเป็นกลุ่มสุดท้ายครับผม!” เสียงไอ้ปริ้นรายงานตัวกับรุ่นพี่


ตอนนี้พวกผมต้องเข้าฐานแต่ละฐานที่พี่ๆ เขาจัดไว้ครับ แต่ละฐานจะมีพี่ๆ ปีสองขึ้นไปอยู่ประจำฐานคอยต้อนรับน้องใหม่อย่างพวกผม อย่างที่บอกครับว่าการเข้าค่ายครั้งนี้เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ของรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับว่าทำไมมีแค่สองคณะถามไอ้ปริ้นมันก็บอกแค่ว่าเป็นธรรมเนียม


ใครเป็นคนคิด!!


กลุ่มพวกเราผ่านมาแล้วเก้าฐานด้วยกัน กว่าจะผ่านแต่ละฐานมาได้นี่หฤโหดโคตรๆ มีความครีเอทีพเลิศล้ำจนผมอยากจะร้องไห้ อย่างไอ้ชื่อกลุ่มก็เหมือนกันครับ
            

กระต่ายน้อย ลิงโล้ด งูสวาท ปลานีโม่ หมีพูห์ นกนางแอ่น แมวเหมียว จิ้งจกจ๋า เสือใบ และเต่าล้านปี ทั้งหมดสิบกลุ่มด้วยกัน พวกเราโดนแยกออกเป็นชายหญิง ผู้ชายมีเจ็ด ที่เหลือก็สามแน่นอนว่าเป็นบริหารซะส่วนใหญ่ครับที่เป็นผู้หญิง เอากับเขาสิแค่ชื่อกลุ่มก็ฮาบรรลัยแล้ว!!


จะไม่ฮาได้ยังไงล่ะครับ ก็พี่ๆ ดันกำหนดมาว่าให้คิดท่าประจำกลุ่มที่สื่อถึงชื่อกลุ่มด้วยถ้าสื่อไม่ได้จะโดนทำโทษ ปลานีโม่ หมีพูห์ แมวเหมียว ก็ออกแนวน่ารักๆ ตามประสาผู้หญิงครับ แต่ที่ผมฮาสุดๆ นี่กลุ่มลิงโล้ดครับ รู้มั้ยครับว่าท่ามันจะออกมาแนวไหน


แน่นอนว่ามันต้องมีท่าไอ้ลิงร้องเจี๊ยกๆ อยู่แล้ว แต่นี่พวกมันเล่นทำท่าประกอบกระโดดโหยงเหยงตบมือแปะๆ เกาหูเกาหาง ยกขนจั๊กแร้มาเกาแล้วยังเอามาดมอีก ไม่พอพวกมันกระโดดเข้าไปหารุ่นพี่กันแบบล้อมวงทั้งกลุ่มแล้วแบบเสียงดังมาก พอรุ่นพี่ถามว่าทำไมต้องเสียงดังพวกมันก็ให้เหตุผลมาว่า


ถ้าร้องเบาก็เป็นได้แค่ลูกลิง ถ้าร้องดังๆ มันจะได้แสดงความเป็นจ่าฝูงแล้วแม่งก็แข่งกันร้อง! คิดดูครับผู้ชายแมนๆ สิบคนทำท่าประหลาดๆ ร้องเจี๊ยกๆ กันเสียงดังลั่นฮากระจายครับ!!


ส่วนกลุ่มผมก็มี ไอ้ปริ้น ไอ้ออย เพื่อนมันอีกสาม ฝั่งบริหารมีผมแล้วก็เพื่อนร่วมคณะอีกสี่ ที่ผมสนิทๆ ก็มีไอ้ตี๋นี่ละครับ มันเรียนคนละเอกกับผม ไอ้ตี๋มันเข้ากับคนง่ายยิ้มเก่งมาก อัธยาศัยดีสุดๆ


“สวัสดีครับยินดีที่ได้รู้จักกับน้องๆ ทุกคนฐานของพวกพี่มีชื่อว่าวงล้อสามัคคีนะครับ ชื่อก็บอกแล้วนะครับว่าถ้าใครจะผ่านฐานนี้ไปได้ทุกคนจะต้องมีความสามัคคีและช่วยเหลือกัน พี่ชื่อเจครับเป็นหัวหน้าฐานอยู่ปีห้าคณะวิศวะกรรมศาสตร์ เอกโยธา พี่ๆ ในฐานก็มีเท่าที่เห็นในป้ายชื่อ” พี่เจเล่ารายละเอียดและบอกกติกาเล่นเกม ผมนี่สะดุ้งตั้งแต่เจอพี่ซันยืนรออยู่ในฐานแล้ว


ฐานนี้ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่พวกเราต้องช่วยกันประคองเอาลูกเบสบอลไปหย่อนให้ลงในวงล้อที่หมุนอยู่ให้ได้ตามเวลาที่พี่ๆ เขากำหนดไว้ ในตอนแรกต้องจับคู่เล่นกันสองคนครับ จากนั้นพอทุกคู่มาครบก็ต้องมาช่วยกันจับห่วงที่มีเชือกคล้องอยู่สิบสายพร้อมกันทีเดียวสิบคน และประคองลูกเบสบอลไปหย่อนลงในวงล้อสุดท้าย พวกพี่ซันเป็นคนคุมด่านนี้ครับ ความทุลักทุเลมันเลยเพิ่มขึ้นตามเพราะพี่มันดันให้เดินผ่านน้ำระดับเข่า แค่เชือกที่ผูกไว้ที่เอวนี่ก็ลำบากจะแย่...


ผมจับคู่กับไอ้ตี๋ครับ ทีแรกก็จะจับคู่กับไอ้ออย แต่พอเห็นสายตาไอ้ปริ้น...เช๊อะ กูไปคู่กับคนอื่นก็ได้! ไปแยกผัวเมียเขาออกจากกันเดี๋ยวผมจะหาแฟนไม่ได้ ไอ้ตี๋มันสูงกว่าผมไม่มากเท่าไหร่ ผมกับมันประคองลูกบอลตกไปหลายรอบ ทำยังไงน่ะเหรอ ก็ใช้หัวนี่ล่ะครับ เกมนี้เขาห้ามใช้มือช่วย ไอ้ตี๋นี่เกร็งตัวทุกครั้งที่เราหวิดจะจูบกันครับ ฮ่าๆ อย่ามาหลงเสน่ห์กูนะ! ส่วนผมนี่ขำๆ ครับ


ตอนนี้จะเลิกฐานแล้ว พี่เจกำลังให้โอวาทอยู่ ผมไม่ได้ฟังพี่มันพูดหรอกครับ ตอนนี้กำลังมองกลุ่มพี่ซันอยู่ เวลาพี่มันอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ พี่ซันจะยิ้มบ่อยมาก อยู่เฉยว่าหล่อแล้ว พอยิ้มนี่โคตรหล่อ แต่ถ้าหล่อสุดๆ นี่ต้องตอนนอน ผมเคยบอกไปแล้วใช่มั้ย ย้ำครับย้ำ


"จ้องตาไม่กระพริบเลยนะมึง” ไอ้ออยหันมากระซิบข้างๆ


"อะไรของมึง" ผมสะดุ้งก่อนหันไปตอบไอ้ออยลนลาน ไอ้บ้าออยกูตกใจหมด ใจกูแทบพุ่งออกมากองอยู่ข้างนอก กูว่ากูแอบแล้วนะ ผมพึมพำกับตัวเอง ไอ้ออยหัวเราะคิกคัก


“คุยอะไรกัน!!!!!!” สะดุ้งสุดตัวเลยกู แม่ง ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม!!


“เปล่าครับพี่” ผมหันไปตอบแล้วยิ้มแหยๆ ไอ้ออยนี่แทบจะสิงร่างไอ้ปริ้น


“คุณออกมานี่ซิ ชื่ออะไรครับ” ไอ้พี่เจมันกวักมือเรียกผม พลางมองที่ป้ายชื่อในคอ  เห็นแล้วยังจะถามอีก!!


“บีทส์ครับ” ผมก้าวออกไปหาพี่มัน


“ดังดั๊ง!!!” เชี่ย ดุไปไหน


“บีทส์ครับ!!” ผมถอนหายใจแล้วตะโกนเสียงดัง


“ผู้ชายเหรอเนี่ย หน้าหวานกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก....ฮิ้วววว” ไอ้พี่เจมันแซ็ว โดยมีพี่ๆ ที่เหลือโห่อยู่ด้านหลัง


“...”


“เรียนบริหารซะด้วย ช่วยมาบริหารใจพี่หน่อยได้มั้ยคร้าบ” เสียงพี่ๆ ด้านหลังเอ่ยแซ็วกันเสียงดัง


“หึๆ” เสียงพี่เจขำในลำคอ ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง


“คุณเรียนบริหารคงยังไม่รู้กฎระเบียบของวิศวะ ดังนั้นผมจะสั่งทำโทษเบาๆ ก็แล้วกันนะครับ เพื่อให้เป็นแบบอย่างกับน้องๆ คนอื่นว่าการไม่เคารพรุ่นพี่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แถมยังก่อความลำบากให้กับตัวเอง”


“เห็นรุ่นพี่คนนั้นรึเปล่า”


พี่เจกระซิบแล้วชี้ไปที่เป้าหมาย ผมหันไปตามมือพี่มัน


หื้ม???


...พี่ซัน…


ผมมองพี่เจงงๆ แล้วหันไปมองพี่ซันอีกครั้ง พวกพี่มันเดินกลับเข้ามารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้วครับ ผมหันไปพยักหน้าตอบพี่เจ แอบเห็นพี่ซันก็หันมามองผมแวบหนึ่ง แค่แวบจริงๆ ครับ แล้วหันไปมองพี่เจอย่างระแวง


"เดินไปหาเขา แล้วตะโกนบอกว่าชอบเขามาก อยากเป็นแฟนกัน คบกันได้มั้ย... แค่นี้ทำได้มั้ยครับ" พี่เจก้มลงกระซิบข้างหูผมแล้วยิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุก มันไม่สนุกนะเว้ยพี่!!!


"เฮ้ยพี่ จะทำแบบนั้นได้ไง"


"น้อยไปเหรอ งั้นคุกเข่าขอแต่งงานด้วย ไม่งั้นผมปรับตกทั้งกลุ่ม" ฮะ ขอแต่งงาน จะบ้าเรอะ!?! แถมยังจะมาคาดโทษปรับตกทั้งกลุ่มอีกได้ยังง้าย!!!


"ว่าไงครับ" พี่เจยื่นหน้าเข้ามาถามซ้ำ ผมขมวดคิ้วคิดหนัก คือถ้าไม่เคยมีประเด็นกันมาก่อนนี่อยากจะบอกเหลือเกินว่าสบายมาก!


แค่นี้พี่มันก็เกลียดขี้หน้าผมจะแย่...


"ไปสิครับ ถ้าคุณช้าเพื่อนคุณก็จะได้พักช้าไปด้วยนะ" พี่เจกดดันพร้อมดันหลังให้ผมเดินไปหาพี่ซัน


ลำบากใจโว้ย!!!


++++++++++++++++++++


“โอ๊ย กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ผมโอดครวญ


“ก็เอาไว้ที่เดิม” เสียงไอ้ปริ้นครับ


“พี่มันเล็งกูไว้แน่ๆ ทำไมกูต้องโดนคนเดียวด้วยวะ!” ผมสบถ


“พี่เจน่ะทวดรหัสกู เหมือนจะเป็นญาติกับพี่ซันด้วย สองคนนี้เขาไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่ อยู่ที่คณะก็เห็นปะทะคารมณ์กันบ่อยๆ


พี่เจออกแนวสนุกสนานขี้แกล้ง แต่กูว่าพี่มันเจ้าเล่ห์ พี่ซันออกแนวนิ่งๆ ไม่ชอบก็แสดงออกตรงๆ แต่พี่เขาจริงใจนะ” เป็นไม่กี่ครั้งที่ไอ้ปริ้นจะพูดยาวขนาดนี้ได้


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูด้วยละเว้ย” ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ


“เอาน่าไอ้บีทส์พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว เตรียมตัวมาสนุกคืนนี้กันดีกว่า” ไอ้ออยพูด ผมขมวดคิ้ว


“สนุกอะไรของมึง”


“เอ้า ก็งานรอบกองไฟคืนนี้ไงวะ”


“กูรู้แล้วว่ามีงานรอบกองไฟ แล้วมันน่าสนุกตรงไหนก็ธรรมดา” ผมเอนตัวนอนราบกับเตียงในสภาพคว่ำหน้า


“เอ้า กูได้ยินว่างานนี้ไม่เมาไม่เลิกนะเว้ย” ฮะ อะไรนะเมาได้เต็มที่ ผมหันหน้าไปทางไอ้ออย มันนอนกลางครับ ห้องเรามีสามเตียงเรียงกัน แน่นอนว่าไอ้ปริ้นได้นอนคนแรกใกล้กับประตู


“หูตั้งเชียวนะมึง” ไอ้ออยมันกัดมาหนึ่งดอก


“เชี่ย กูไม่ใช่หมา งั้นกูไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวไม่ทันของกิน!” ผมกระโดดลงจากเตียง คว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ ของฟรีอีกแล้วเว้ย


“ไอ้ขี้งก!!”
เสียงไอ้ออยตามหลังมา...ถามว่าแคร์มั้ยที่ไอ้ออยมันพูดให้เสียเซล์ฟเล่นๆ แบบนั้น ตอบได้คำเดียวแบบไม่ต้องคิดให้เปลืองสมอง(กลวงๆ) ของไอ้บีทส์เลยว่า...


กูแคร์ของฟรีมากกว่าเว้ย!!




หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 6 : ผู้ชายปากร้ายใจดี (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 04-06-2018 21:58:42
 :ling1: :hao7:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 6 : ผู้ชายปากร้ายใจดี (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2018 03:03:14
เหมือน ๆ กับพี่ซันจะเดินมาให้อยู่ในสายตาน้องตลอดเลยนะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-06-2018 16:28:14
ตอนที่ 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า


[บีทส์]

 
“มึงพี่คนนั้นใครอ่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียกของอิพิงค์ ก่อนจะหุบยิ้มฉับเมื่อเห็นหน้าหล่อๆ ของพี่เจ ผมหันกลับมามองอิพิงค์ที่ทำตาเป็นประกายรอคำตอบอยู่


“ถามทำไม” อิพิงค์หุบยิ้มทันทีที่ผมเล่นตัวไม่ยอมตอบมัน ผมหัวเราะที่แกล้งมันได้ ฮ่าๆๆ
 

 “เปล๊า กูแค่เห็นว่าหล่อดีเลยถามเฉยๆ เผื่อมึงจะรู้จัก” เอ้า นี่มึงจะว่ากูชอบทำความรู้จักกับคนอื่นเขาไปทั่วหรือไงพิงค์
 

“ไอ้รู้จักอ่ะก็รู้จักอยู่หรอก แต่กูเตือนมึงไว้ก่อนเลยพิงค์ว่าพี่มันเป็นคนนิสัยแย่มากๆ อีกอย่างนะ กูไม่ชอบพี่มันเพราะมันแกล้งกู” อยากส่งท้ายคำว่า ‘เช๊อะ’ ลงไปให้ด้วย แต่แค่สะบัดหน้าใส่ อิพิงค์มันก็เบ๋หน้าใส่ผมแล้วครับ กูมั่นใจว่ากูน่ารักนะพิงค์

 
“มึงอย่ามาตัดสินเขาเพียงเพราะมึงแค่หมั่นไส้เขาสิบีทส์ และเท่าที่น้องพิงค์สุดสวยได้ฟังมา ถึงแม้พี่เขาจะแกล้งมึงไปบ้าง แต่กูเห็นใครๆ เขาก็รุมแกล้งมึงกันทั้งนั้นอ่ะ ผู้ชายเอวบางร่างน้อยเหมือนมึง จงกลายร่างมาเป็นพวกกูซะดีๆ” พูดจบอิพิงค์มันก็ทำท่าทางประกอบด้วยการร่ายมนต์ตามตำรับพิงค์สไตล์ของมันครับ ผมนี่ขำแทบจะลงไปนอนอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงของใครบางคนขัดขึ้นมาซะก่อน

 
“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ท่าทางน่าสนุก พี่คุยด้วยได้ไหม” ไอ้พี่เจ!!! ผมเบิกตาค้างเมื่ออยู่ๆ พี่มันก็เดินเข้ามาทักพวกผมสองคน คือตอนนี้พี่ๆ เขาปล่อยฟรีสไตล์ เห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มงานรอบกองไฟกัน ส่วนไอ้ออยมันลากไอ้ปริ้นไปเดินเล่นที่ชายหาด ไอ้นัทก็ออกไปคุยโทรศัพท์กับมีน เลยเหลือแค่ผมกับอิพิงค์ที่นั่งอยู่ม้านั่งบริเวณลานกว้าง

 
“เอ่อ...” จะไล่พี่มันไปยังไงดี เห็นหน้าแล้วโกรธไม่หาย ความประทับใจแรกติดลบสามล้าน ผมเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะส่งสายตาไปให้อิพิงค์ช่วยแก้สถานการณ์


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เจ พอดีบีทส์เขากำลังชมพี่เจให้พิงค์ เอ่อ ฉันชื่อพิงค์นะคะ บีทส์เขาชมให้ฟังว่า พี่เจอน่ารักอย่างโน่นน่ารักอย่างนี้ พิงค์เลยอยากรู้น่ะค่ะว่าพี่เจจริงๆ แล้วน่ารักอย่างที่บีทส์มันบอกหรือเปล่า”  อิพิงค์พูดจบก็ทำท่าเขินอายแบบที่ไม่ค่อยเข้ากับหนังหน้ามัน เอิ่ม ถ้าผมยกเท้าขึ้นถีบมันด้วยข้อหาหมั่นไส้นี่จะมีใครว่าอะไรไหมครับ

 
“กูไปพูดแบบนั้นตอนไหน” ผมหันกระซิบถามอิพิงค์ เผื่อว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้ผมอาจจะหูฝาดไปเอง

 
 “หึหึ จริงเหรอ” พี่ยังทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผม ไอ้พี่นี่คือผมไม่ได้ชมพี่ครับ กำลังสรรเสริญพี่ด้วยคำด่าอยู่ต่างหาก!


“สงสัยหูเพื่อนผมมันจะไม่ค่อยดีอ่ะครับ ความจริงเราก็แค่คุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วๆ ไป ถ้าผมจะพูดถึงพี่ก็คงเป็นเพราะ ‘เห็นพี่’ เป็นดินฟ้าอากาศมั้งครับ ไปพิงค์!” ผมยักคิ้วกวนให้พี่เจหนึ่งทีแล้วรีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง หมดช่วงรับน้องเข้าฐานแล้ว ไอ้บีทส์เป็นไทย วอนอย่าหาเรื่อง เพราะปากดีไปแล้ว

 
“เห้ยบีทส์ มึงจะลากกูออกมาทำไมเนี้ย โอกาสที่จะได้อยู่กับพี่เจมันหายากนะโว้ย โอ๊ย ปล่อยๆๆ ปล่อยเดี๋ยวนี้!” สาวงามอย่างอิพิงค์สะบัดแขนหนี ผมส่ายหน้าระอาใจกับความรั้นของมัน นี่กูเตือนมึงแล้วนะพิงค์ ไอ้พี่เจไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย เอากับมันเถอะ  ผมมองตามร่างบอบบางของเพื่อนที่กำลังเดินเข้าไปคุยกับพี่เจด้วยรอยยิ้มเขินๆ

 
ผมเดินออกมาจากบริเวณลานกว้างที่เราเอาไว้รวมตัวกันตอนมาถึง คิดว่าจะไปเดินเล่นที่ชายทะเล แต่จมูกผมได้กลิ่นหอมของอาหารเหมือนคนกำลังย่างอะไรสักอย่างอยู่ ผมทำจมูกฟุดฟิดอยู่หลายครั้งได้ยินเสียงแว่วๆ ของพี่ๆ ฝ่ายสันทนาการ คึคึ พี่สันอยู่ไหนความสนุกอยู่ที่นั่น จะช้าอยู่ทำไมล่ะครับ โกยเถอะโยม!!

 
“อ้าวเฮ้ย น้องบีทส์ ดูทำหน้าเข้า” พี่อาร์ตแซวผมขำๆ ผมยิ้มเขินๆ เมื่อกี้มัวแต่คิดถึงเรื่องของกินจนลืมทุกสิ่งอย่าง วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในวงปิ้งย่างบาร์บีคิวกัน สงสัยเมื่อกี้จะทำหน้าเคลิ้มไปหน่อย


“แหะๆ ทำอะไรกันอยู่อะพี่ น่ากินอ่ะ” ผมมองบาร์บีคิวที่กำลังส่งกลิ่นมาเยาะเย้ยต่อมน้ำลายของผม
 

 “รอให้สุกก่อนเดี๋ยวพี่แบ่งให้น้องบีทส์เป็นกรณีพิเศษเลย” พี่อาร์ตขยับมากระซิบข้างหู ผมสะดุ้งขยับหนี ไม่รู้ว่าแค่อยากแกล้งหรือว่ายังไง


“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับ ก่อนจะช่วยพี่อาร์ตย่างบาร์บีคิวต่อ แอบมองหาคนตัวสูงที่ปกติจะตัวติดกับพี่อาร์ต ไปไหนหว่า

 
“ว่าแต่เรานี่แสบใช่เล่นเลยนะ ทำให้ไอ้ซันมันไปไม่เป็นได้ พี่ยังขำไม่หาย” พี่อาร์ตเอ่ยขึ้นลอยๆ พลางขำไปด้วย  ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้  คือจะดีมากครับพี่ ถ้าพี่จะกรุณาไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก


“แล้วพี่ซันไปไหนเหรอครับ” ในเมื่อพี่อาร์ตอุตส่าห์เปิดทางมาให้ ก็สบโอกาสที่ผมจะถามหาพี่ซันได้แบบเนียนๆ


“โน่น”  พี่อาร์ตพยักพเยิดหน้าไปอีกทางหนึ่งที่มีร่างสูงของพี่ซันยืนคุยอยู่กับพวกพี่ปีสูงฝ่ายสันทนการ แถมยังมีแต่สาวๆ สวยๆ ยืนล้อมรอบพี่มันอยู่เต็มไปหมดเหมือนกำลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดกันอย่างออกรส

 
“เป็นอะไรหน้าหงิกเชียว”  พี่อาร์ตยื่นหน้าเข้ามาถามขำๆ


“เปล่าครับ” ผมตอบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาย่างบาร์บีคิวต่อไปจนเกือบจะหมดถาด

 
“เฮ้ย ไอ้ซัน หยิบบาร์บีคิวมาเติมให้พวกกูทีดิ๊” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่อาร์ต แล้วมองเลยไปที่ร่างสูงของพี่ซันที่ทำเสียงบ่นงึมงำ ก่อนจะเดินไปหยิบถาดบาร์บีคิวที่พวกพี่ๆ อีกกลุ่มกำลังนั่งเสียบกันอยู่

 
“ไม่มีขามาหยิบเองหรือไงวะถึงต้องรบกวนคนอื่น” ผมก้มหน้าแทบจะชิดอก เมื่อพี่ซันเดินมาถึง  และเอ่ยตำหนิพี่อาร์ตอย่างไม่จริงจัง ผมทำเป็นย่างบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ ทำเป็นไม่สนใจบทสนทนาของสองเพื่อนรัก แต่ที่จริงถ้าหูผมมันกางออกได้เหมือนจานดาวเทียม ตอนนี้มันคงกำลังแผ่เตรียมรับสัญญาณ


“ขาน่ะมี แต่อยากใช้มึง มีปัญหามั้ย” พี่อาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ 


“หึ คิดจะเป็นพญาเทครัวหรือไงไอ้หมอ แต่กูขอเตือนมึงไว้อย่างนะ ถ้าคิดจะจีบไอ้เด็กนี่มึงคงต้องเตรียมใจไว้หน่อย เด็กนี่มันธรรมดาซะที่ไหน กูเห็นเมื่อกี้ก็ยืนคุยกับไอ้เจ หัวเราะต่อกระซิกกันเหมือนคุ้นเคยกันมานานแสนนานอะไรเทือกนั้น”

 
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ซันที่มองมาเหยียดๆ ตั้งแต่ได้ยินประโยคที่เกี่ยวโยงมาถึงตัวเอง  แล้วไอ้ประโยคดูถูกนั่นอีกมันอะไรกัน ทีตัวเองยังยืนคุยกับพวกพี่ผู้หญิงตั้งนานสองนาน


“ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ แม่ะ ไม่ยักรู้นะครับว่าพี่ก็เป็นแฟนคลับผมเหมือนกัน รู้ดีไปซะทุกอย่าง” ผมทำท่าก้มลงน้อมรับคำสรรเสริญของพี่ซัน พร้อมตอบกลับเสียงประชด  พี่มันเอาสมองส่วนไหนคิดว่าผมหัวเราะต่อกระซิกกับพี่เจ


“ไม่ต้องเอา ‘มารยา’ มาใช้กับกูครับ” ผมกำมือตัวเองแน่นเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาเกรี้ยวกราดคู่นั้น ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่แท้ๆ


“เป็นเหี้ยอะไรครับไอ้คุณซัน กูกับน้องเขาไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้นแหละ มึงก็รู้ว่ากับไอ้ตัวเล็กน่ะกูเอาจริง นี่มึงจะพาลเพื่อ” พี่อาร์ตเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง

 
“หึ ก็ไม่มีอะไร” พี่ซันหันมามองผมแว็บหนึ่งก่อนจะหันไปตอบพี่อาร์ต ผมได้แต่ยืนกำมือแน่นจนรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนพี่มันว่า ผมเข้าใจเพราะครั้งนั้นผมทำผิดจริง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันนี่ผมมั่นใจว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ อ่อ ยกเว้นแค่ตอนทำตามคำสั่งของพี่เจ หรือว่าพี่ซันจะยังโกรธอยู่ แต่พี่เจก็อธิบายไปแล้วนี่

           
“งั้นก็ไสหัวไปไกลๆ เลย ทำเสียบรรยากาศหมด” พี่อาร์ตหันมายิ้มให้กำลังใจผม ผมยิ้มตอบพี่มันกลับไป ก่อนจะกัดปากตัวเองแน่นเมื่อต้องอยู่ในบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี่

 
“อย่ากัดปาก” ผมชะงักแล้วหันไปเลิกคิ้ว ไม่เว้นแม้แต่พี่อาร์ตที่ตอนนี้ก็เลิกคิ้วมองหน้าพี่ซันอยู่

 
“...”
 

“ช้ำหมด”  พี่ซันอธิบายก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังที่ที่พี่มันเดินจากมาเมื่อกี้  ผมหันหน้าไปมองพี่อาร์ตเผื่อแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาของพี่อาร์ตกำลังโฟกัสแผ่นหลังกว้างของพี่ซันที่เดินไกลออกไปอย่างครุ่นคิด ผมก้มหน้ามองพื้น

 
เป็นห่วงงั้นเหรอ...


ไม่ใช่หรอก


ตบหัวแล้วลูบหลังต่างหาก...


“บีทส์ บีทส์!” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพี่อาร์ต อยู่ใกล้กันแค่นี้จะตะโกนทำไมครับพี่ 


“อยู่กันแค่นี้ตะโกนทำไมพี่” ขี้หูผมลุกขึ้นเต้นแล้วมั้งเนี่ย

 
“นี่ไม่รู้ตัวเหรอว่าพี่เรียกชื่อเรามาสักพักแล้วนะ กำลังคิดว่าจะลองอุ้มไปโยนลงทะเลอยู่เหมือนกัน ใจลอยคิดเรื่องอะไรอยู่ เรื่องเพื่อนพี่หรือเปล่า” ผมนิ่งไปนิดกับคำถามของพี่อาร์ต ผมไม่ได้ยินพี่เขาเรียกจริงๆ นะ
 

“บ้าเหรอพี่ แค่พี่เรียกผมก็ได้ยินแล้ว จริงๆ ผมได้ยินตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่อยากกวนตีนพี่แค่นั้นแหละ อ๊ะ” พูดยังไม่ทันจบพี่อาร์ตก็แจกรางวัลเป็นมะเหงกมาให้ซะก่อน

 
“หึหึ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี อย่าไปถือสาไอ้ซันเลยนะ ไอ้นี่มันอารมณ์แปรปรวนเหมือนคนประจำเดือนไม่มา” พี่อาร์ตยิ้มมุมปาก โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม เวลาผมยิ้มมีแต่คนบอกว่าน่ารักต่อให้เก๊กแมนสุดชีวิตก็ยังไม่พ้นคำว่าน่ารัก แต่ทำไมพอไอ้พวกพี่ๆ ตัวสูงๆ แม่งยิ้มแล้วหล่อบาดใจกันจังเลย  ผมควรไปทำศัลยกรรมเพิ่มความสูงไหมครับ เผื่อทำแล้วจะหล่อขึ้น

 
“พี่ซันเขาขี้หงุดหงิดเป็นปกติเหรอครับ” ผมถามในสิ่งที่คาใจออกไป พี่อาร์ตทำหน้าคิดก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ


“ต่อหน้าพวกน้องๆ มันก็นิ่งๆ นั่นล่ะ ไม่มีอะไรกับใคร อยู่ในกลุ่มมันก็เฮฮาตามประสาคนที่คบกันมานาน ไม่เคยเห็นมันตั้งท่าหงุดหงิดใส่คนอื่นแบบนี้มานานแล้วนะ”  ผมพยักหน้าคิดตามในสิ่งที่พี่อาร์ตพูด

 
“อ่อ พี่มีเรื่องจะถามอยากให้บีทส์ตอบพี่ตรงๆ” ผมทำหน้างงๆ หวังว่าจะไม่ถามเรื่องของผมกับพี่ซันหรอกนะ

 
“ครับ”

 
“บังเอิญว่าพี่ได้เป็นครูสอนพิเศษให้กับไบร์ทน้องของบีทส์ที่สถาบัน A บีทส์คงจะเคยได้ยินใช่ไหม ในคลาสไบร์ทเขาตั้งใจเรียนมากจนพี่รู้สึกชื่นชม พี่อยากจะตอบแทนที่เขาตั้งใจเรียนเลยอยากซื้อของขวัญให้เขาเป็นการขอบคุณที่ให้โอกาสติวเตอร์จำเป็นอย่างพี่ได้ถ่ายทอดวิชา”


ฮู่วว แต่ก็ยังฟังแปลกๆ อยู่ดี ผมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อย่างแรกเลยคือคนเจ้าชู้อย่างพี่อาร์ตรู้จักกับน้องผมได้ยังไง อ่อ เรื่องเมื่อตอนเช้านั่นด้วยที่อยู่ๆ ก็แย่งโทรศัพท์ผมไปคุยหน้าตาเฉย


พอจะเข้าใจนะครับว่าเขาเป็นติวเตอร์กัน แต่...มันมีด้วยเหรอติวเตอร์ซื้อของขวัญให้น้องเพราะเขาตั้งใจเรียน ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ต้องซื้อให้น้องทั้งสถาบันเลยเร๊อะ!!?

 
ประเด็นต่อมา...น้องผมไม่ค่อยคลุกคลีกับใครเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้เหรอที่จะมารู้จักสนิทชิดเชื้อกับคนเจ้าชู้อย่างพี่อาร์ต คือผมพอจะได้ยินกิตติศัพท์ของพี่แกนะครับ เรียนที่เดียวกัน พวกพี่มันดังขนาดนั้นใครๆ ก็รู้จัก ขนาดเพจดังๆ ยังเคยเอารูปพี่ๆ มันไปลง ไลท์ถล่มทลาย

 
“...”

 
“ถ้าบีทส์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ พี่แค่อยากจะทำความรู้จักกับไบร์ทเอาไว้บ้าง เพราะเขาเคยบอกกับพี่ว่าอยากเป็นหมอ และจะสอบเข้าคณะเดียวกับพี่ เผื่อมีอะไรที่พี่ช่วยแนะนำได้ ก็แค่อยากจะรู้บ้างว่า..ว่าที่น้องในคณะชอบอะไรไม่ชอบอะไรก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ” พี่อาร์ตพูดเสียงหงอยๆ เออ แล้วผมก็ดันรู้สึกผิดตาม แค่นี้ก็ต้องดราม่าด้วย แต่เรื่องที่พี่มันบอกก็มีเค้าความจริงอยู่นะ เพราะมีแต่คนที่สนิทๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าน้องผมอยากเรียนอะไร
 

คงไม่เป็นไรมั้ง

           
“เฮ้อ ผมยอมบอกก็ได้ครับแต่บอกแค่สิ่งที่ชอบเพียงข้อเดียวนะ พี่อาร์ตห้ามเอาไปแกล้งน้องผมเด็ดขาด เห็นแบบนั้นก็เอาเรื่องอยู่นะครับ” ผมทำหน้าลำบากใจ ไบร์ทเป็นน้องที่ผมรัก เป็นคนสำคัญของผม แอบไม่ไว้ใจนิดๆ แหะ คิดถูกไหมเนี้ยที่ยอมบอก พี่อาร์ตเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงรอฟังคำตอบ

 
“...”


“??”
 

“เฮ้อ โอเคครับ ไบร์ทชอบตุ๊กตา...รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะพี่อาร์ต มีไม่กี่คนหรอกนะที่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนอย่างไบร์ทจะชอบตุ๊กตา” ผมพูดขู่พี่อาร์ตไว้ก่อน


“...” พี่อาร์ตเงียบเหมือนคนกำลังช๊อค ผมเอื้อมมือไปสะกิดพี่มันเบาๆ


“ฮ่าๆๆๆๆ อย่างไบร์ทเนี่ยนะชอบตุ๊กตา พุฮ่าๆๆ” พี่อาร์ตกุมท้องหัวเราะ ผมตีหน้ายุ่ง ทำไมอ่ะ ชอบตุ๊กตามันตลกตรงไหน หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะเฟ้ย!

 
“ถ้าไม่หยุดหัวเราะผมจะบอกไบร์ทว่าพี่อาร์ตมาหลอกถามข้อมูลน้องจากผม” เอาดิๆ พี่อาร์ตพยายามที่จะหยุดหัวเราะจนหน้าแดง ผมแกล้งทุบกำปั้นขู่ มาหัวเราะน้องเค้าอ่ะ!


“พี่ขอโทษนะ มันเป็นอะไรที่พี่คาดไม่ถึงจริงๆ พี่นึกว่าเขาจะชอบพวกอุปกรณ์กีฬาอย่างนวม หรือไม่ก็พวกรองเท้าอะไรแบบนี้”


“อันนั้นมันเป็นพื้นฐานหรอกพี่ ใครๆ ก็รู้ว่าน้องผมชอบแต่น้อยคนจะรู้ว่าชอบ ตะ..เออ นั่นแหละ” ผมพูดไปตามความจริง ไบร์ทชอบเล่นกีฬามาก เล่นได้แทบทุกอย่าง รูปร่างเลยออกแนวเฮลตี้ เพียงแต่ว่าก่อนนอนต้องหิ้วไอ้ตุ๊กตาตัวกะเปี๊ยกไปกอดด้วยทุกที ไม่งั้นน้องจะนอนไม่หลับ
 

“คุยอะไรกันอยู่ครับเฮีย” ผมหันไปตามเสียงของไอ้ปริ้น ไอ้ออยวิ่งมายืนข้างๆ ผมก่อนจะหยิบไม้บาร์บีคิวขึ้นมาเป่า ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะเพื่อนกู


 “ไม่มีอะไรหรอก” พี่อาร์ตตอบ ก่อนที่เราจะช่วยกันย่างบาร์บีคิวจนเสร็จแล้วยกออกมาวางตรงซุ้มอาหารเพื่อรอพี่ประธานเอ่ยเปิดงานเลี้ยงรอบกองไฟในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

 

+++++++++++++++++++

 

“การแสดงต่อไปนี้เป็นการแสดงชุดพิเศษที่ได้รับเกียริตจากเดือนมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีที่แล้ว พูดแบบนี้คงจะรู้แล้วใช่ไหมครับว่าใคร ขอเชิญคุณซัน ศิวานนท์ ธีรไชยบดินร์ เจ้าของตำแหน่งอดีตเดือนมหาลัยขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ”



ผมหันไปที่หน้าเวทีทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวเชิญพี่ซันขึ้นไปบนเวที พอร่างสูงของพี่ซันก้าวขึ้นไปบนเวทีเล็กๆ ที่ทางรีสอร์ตจัดไว้ให้ เสียงฮือฮาก็ตามมาทันที พี่มันอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย เสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ พอเจอกับแสงไฟอ่อนๆ แล้ว ทำให้พี่มันเด่นขึ้นมาทันที


หืม?

 
ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อพี่ซันถือกีต้าร์ขึ้นมาด้วย ทีมงานหยิบเก้าอี้ตามมาให้พี่ซันนั่งอีกหนึ่งตัว เสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นทันทีเมื่อพี่ซันนั่งลงบนเก้าอี้แล้ววางกีต้าร์ไว้บนตัก เจ้าของใบหน้าหล่อส่งยิ้มมาให้สาว ๆ ที่อยู่ด้านล่าง
 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพี่แม่งโคตรเท่

 
“เป็นอะไรบีทส์” ผมหันไปยิ้มให้กับนัท เมื่อคนข้างๆ เป็นคนเอ่ยถามขึ้นมา


 “เปล่านี่”

 
“แน่ใจเหรอ เห็นจ้องพี่ซันตาไม่กระพริบ” ผมเบิกตากว้างเมื่อได้ประโยคต่อมาของเพื่อนสนิท จะมาจับผิดกูทำไมเล่า!


“เห้ย จะบ้าหรอไอ้นัท กูเปล่า”  ผมพูดพลางหันหลังให้เวทีก่อนจะกระดกแก้วเบียร์เข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว

 
“รู้ใช่ไหมว่าพี่ซันเป็นแฟนของพี่ฟ้า มึงเข้าใจที่กูจะพูดใช่ไหมบีทส์” ผมหันไปสบตาไอ้นัทนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วตะโกนสั่งให้ไอ้ออยมาเติมเบียร์ให้อีก

 
“ไม่เอาเหล้าเหรอ”  ไอ้ออยถามอย่างแปลกใจ ตอนนี้มันยังไม่เมาหรอกครับ โดนไอ้ปริ้นควบคุมความประพฤติอยู่ ผมส่ายหน้า

 
“ไม่ว่ะ ไม่อยากเมา” ไอ้ยินเสียงถุ้ยจากคนข้างๆ  ผมหัวเราะ แล้วหยิบกับแกล้มเตรียมยัดเข้าปาก ผมชะงักเมื่อมีมือหนึ่งจับมือผมไว้ซะก่อน

 
“นั่น ‘เม็ดมะม่วง’ ระวังหน่อย” ผมก้มลงมองจานกับแกล้มที่ผมกำลังจะหยิบมาใส่ปาก ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้ไอ้ปริ้นแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่จานถัดไปที่เป็นข้าวเกรียบแทน ผมกระดกแก้วเบียร์ของตัวเองต่อก่อนจะหันไปตามเสียงเกากีต้าร์เบาๆ กับเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้น

 
“เรามาฟังเพลงต่อไปกันเลยดีกว่า มันเก่าแล้วแต่ความหมายดีนะครับ เพลงนี้พี่เพิ่งจะหัดเล่น ยังไม่คุ้นมือเท่าไหร่ ยังไงก็ทนฟังเอาหน่อยแล้วกันนะ มอบให้กับคนที่กำลังจะมีความรักทุกคนครับ...”


ทำตามคนโน้น ตามใจคนนี้...เรื่อยมา
ใจไปทางโน้น ใจไปทางนี้...ทุกเวลา

เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนฤดูกาล
ไม่เคยแน่นอนซักครั้ง
หลอกตัวเองไปอย่างนั้น มองเลยความฝัน...ในใจ

ชอบอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ใจตัวเอง
เลือกอะไรก็ไม่รู้ หลงทางไปจนไกล
เพิ่งเข้าใจ เพิ่งจะรู้ ว่ามีเธออยู่ข้างกาย
ขอเดินไปสู่จุดหมายกับเธอ

แปรปรวนตามฝน รวนเรตามฟ้า..เรื่อยมา
มีดีตรงนี้ ยังมองตรงโน้น...เสียเวลา

เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนฤดูกาล
ไม่เคยแน่นอนซักครั้ง
หลอกตัวเองไปอย่างนั้น มองเลยความฝัน...ในใจ

ชอบอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ใจตัวเอง
เลือกอะไรก็ไม่รู้ หลงทางไปจนไกล
เพิ่งเข้าใจ เพิ่งจะรู้ ว่ามีเธออยู่ข้างกาย
ขอเดินไปสู่จุดหมายกับเธอ

ชอบอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ใจตัวเอง
เลือกอะไรก็ไม่รู้ หลงทางไปจนไกล
เพิ่งเข้าใจ เพิ่งจะรู้ ว่ามีเธออยู่ข้างกาย
ขอเดินไปสู่จุดหมายกับเธอ…



เพลง ไม่รู้ใจตัวเอง
บอล วิทวัส สิงห์ลำพอง



“กรี๊ดดดด” เสียงกรี๊ดถล่มทลายอย่างกับพี่ตูนมาเปิดคอนเสิร์ต
 

“กรี๊ดพี่สุดหล่อของกูเท่มาก โอ๊ยกูอยากได้!” ผมหันไปเบ๋ปากใส่อิพิงค์ที่นั่งกรี๊ดกร๊าดโบกไม้โบกมือไปที่เวที

           
“งั้นง้านแหละ” พูดพลางซดแก้วไอ้ปริ้นเข้าปาก
 

“ไอ้บีทส์เหล้ากู” ไม่สนโว้ย กูจะเมา!

 
 “บีทส์ มึงว่าพี่สุดหล่อกูร้องเพลงนี้ให้ใคร กูว่าร้องให้พี่ฟ้าแน่เลย อร๊าย น่าอิจฉาอ่ะ” ผมซบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อบ่ายเบี่ยงคำถามอิพิงค์

 
ทำไมมันเจ็บแปลบๆ อย่างนี้วะ




หัวข้อ: Re: Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-06-2018 16:30:33
(ต่อ)



พอเสียงปรบมือเงียบลง พี่ซันก็เอ่ยขอบคุณทุกคนที่ปรบมือให้แถมยังช่วยร้องเพลงคลอไปกับจังหวะกีต้าร์ของพี่ซันด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสาวๆ ในงานกว่าครึ่งคงมองพี่มันด้วยสายตาหลงใหลและชื่นชม


พอพี่ซันก้าวลงเวทีเวลาต่อมาก็เป็นช่วงของพี่ๆ ฝ่ายสันทนาการที่เข้ามาทำหน้าที่ต่อ สร้างเสียงหัวเราะและความสนุกสนานให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี


ผมพยายามปั้นสีหน้าของตัวเองใหม่ ก่อนจะลุกขึ้นทำเนียนกินเหล้าต่อเงียบๆ แอบสะดุ้งหน่อยๆ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาเจอกับไอ้นัท มันมองผมอยู่แล้วก่อนจะส่งสายตามาแทนคำถาม ผมเลยพยักหน้าให้เป็นเชิงว่า ‘กูไม่เป็นไร’ มันพยักหน้าให้ผมหนึ่งทีแล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก


“มึงจะไปไหนบีทส์” ผมพยายามทรงตัวให้ตัวเองยืนในท่าตรง ก่อนจะกระพริบตาสะลืมสะลือมองไอ้นัทที่เป็นคนถาม
 

“ห้องน้ำ” ผมตอบโดยไม่ได้หันไปหาไอ้เพื่อนขี้เมาทั้งหลายแหล่อีก ถามว่าตอนนี้เมาไหม ก็เมาครับ แต่ผมว่าตัวเองยังพอมีสติอยู่บ้างจริงๆ นะ


“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม” เสียงใครวะ ผมพยายามนึกตามเสียง คนอื่นเขากินเหล้าเมากันจะตายห่า ทำไมเสียงมึงยังปกติอยู่อีกวะไอ้ปริ้น!

 
“ม่ายต้อง! มึงดูไอ้ออยของมึงไปเหอะ ห้องน้ำอยู่แค่นี้ สอ-บอ-มอ สบายมากเว้ย!!” เชี่ยเอ้ย กับอีแค่พี่ซันร้องเพลงให้คนรักของเขา กูก็ยกแก้วเหล้าซะเพลิน มันก็สมควรแล้วนี่!?!

 
รู้ทั้งรู้นะว่าพอเมาแล้วโลกทั้งใบของคนเมามันจะเริ่มเอียงๆ พอโลกเอียงแล้วประสิทธิภาพการเดินก็จะลดลง เผลอๆ หน้ามึงอาจจะได้จูบกับทางเดินข้างทางเอาได้ง่ายๆ ยังไม่เคยเข็ด
 

ด่าตัวเองนั่นแหละครับ


ปกติห้องน้ำมันก็อยู่ใกล้ๆ ลานนั่นแหละครับ แต่พอดีผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย เดินเซซ้ายเซขวามาตามทางเดินที่ลาดยาวและคดเคี้ยว อืม เข้าใจนะครับว่าการออกแบบทางเดินให้เลี้ยวไป...เลี้ยวมามันดูคลาสสิคสวยงาม แต่จะรู้บ้างไหมว่าคนเมามันเดินลำบากครับ!!


เดินมาสักพักผมก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความมืดสนิทที่แผ่ไปทั่วบริเวณ ทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะ ผมมองไปรอบๆ ซ้ายที ขวาที  ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำตรงบริเวณที่พัก อยู่เยื้องออกมาจากลานที่เราใช้ทำกิจกรรม ใกล้ๆ กับชายหาด ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ก็ไม่เกินความสามารถไอ้บีทส์หรอกครับ


ผมรีบเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ ปลดทุกข์เบาเสร็จก็คิดว่าจะนั่งเล่นอยู่แถวๆ นี้สักพักเพื่อดื่มด่ำความงามของธรรมชาติที่สรรสร้างความงดงามได้อย่างลงตัวให้คุ้มค่า อย่าครับ อย่ามองด้วยสายตาด่าทอทางอ้อมว่าผม...’สตอ’..หื้ม ให้ผมบอกจริงๆ เหรอครับ โอเค...บอกก็ได้

 
ผมเดินกลับไม่ไหวครับ นั่งจมปุ๊กมันอยู่หน้าห้องน้ำนี่ล่ะ

 
ผมนั่งก้มหน้ากอดเข่า เริ่มคิดถึงหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่ผมได้เจอกับพี่ซัน  ถึงแม้แรกๆ พี่มันจะร้ายใส่ผมบ้าง แต่ผมรู้ตัวเองดี...ผมไม่เคยเกลียดพี่มันจริงๆ เลยสักครั้ง ผมรู้...พี่ซันเองก็มีด้านดีๆ สังเกตได้จากการที่พี่ซันเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผมหลายครั้ง


ผมไม่เข้าใจตัวเองอยู่หลายอย่าง เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น...ทั้งเรื่องที่ผมพยายามจะหลบหน้าพี่ซัน  ไหนจะเรื่องเมื่อบ่ายที่ผมแอบไม่พอใจตอนที่มีสาวๆ มารุมล้อมพี่ซันด้วย ยิ่งตอนที่พี่มันขึ้นร้องเพลง...จะบาปไหมถ้าผมแอบหวังให้คนที่พี่ซันนึกถึงเป็นผม


บ้าไปแล้ว


เหอะๆ ไอ้บีทส์มึงมันงี่เง่า! ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ พี่ซันเป็นแฟนของพี่รหัสผม พวกเขาสองคนเหมาะสมกันมาก ใครๆ ก็คิดแบบผมกันทั้งนั้น…


เลิกคิดไปเลยไอ้บีทส์
         

ผมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นโดยใช้กำแพงห้องน้ำเป็นที่ยึด ก่อนจะเดินลัดเลาะผ่านออกมาทางบ้านพักของพี่ๆ ปีสูง จุดหมายปลายทางคือห้องพักของผม ปล่อยให้บรรดาไอ้เพื่อนขี้เมาทั้งหลายมันสนุกสนานกันต่อไป
 

อาการผมตอนนี้เริ่มจะร่อแร่แล้วครับ ขืนกลับเข้าไปที่ลานอีกคงต้องมีใครสักคนแบกผมกลับห้องแล้วแหละ
 

ดังนั้นเพื่อไม่เป็นภาระให้คนอื่น สู้คลาน เอ้ย เดินลากสังขารของตัวเองกลับห้องพักดีกว่า ถึงแม้ว่ามันจะมืดไปสักหน่อย แต่ก็ยังพอมีแสงไฟรำไรให้ผมคลำหาทางเดินได้อยู่ 


ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านบ้านพักหลังสุดท้ายของพวกพี่ๆ ผมสะดุดกึกเมื่อมองเห็นเงาตะคุ่มของคนสองคนอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง คือบ้านพักแต่ละหลังของพี่ๆ ก็ไม่ห่างกันมากหรอกครับ หลังขนาดพอเหมาะส่วนด้านหน้าของบ้านหันหลังให้กับลานทำกิจกรรมที่อยู่ห่างออกไป

 
ผมรีบผลุบตัวเข้าไปหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างๆ บ้าน ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความมึนที่เริ่มถาโถมเข้ามา จนแทบจะล้มพับอยู่ตรงนี้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเหล้าจ๋า!


“กูถามจริงๆ มึงรู้สึกยังไงกับน้องมัน” นี่มันเสียงพี่หมอผมจำได้ ผมพยายามเพ่งสมาธิไปที่ร่างคนสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงระเบียงบ้าน ส่วนอีกคนกำลังยืนหันหลังอยู่ ไฟก็ไม่เปิด อึก เอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน อย่าเพิ่งอ้วกตอนนี้นะ ขอเสือกเรื่องชาวบ้านเขาก่อนสิเว้ย!


แปะ แปะ 
 

ผมตบแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติ พลางตบยุงที่เริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ในตัวผมมากขึ้นเรื่อยๆ คุณยุงครับกูไม่พร้อมจะบริจาคเลือดตอนนี้


”...” ผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีคำตอบจากคู่กรณี


“ไอ้ซัน” 


ผมเงยหน้ามองไปที่คนทั้งคู่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อของคนที่ทำให้ผมมีเรื่องคิดไม่ตกรวมอยู่ด้วย อย่าบอกนะว่า...พี่อาร์ตหึงพี่ซันอยู่!!


ยังจะตลกฮ่าๆ


ผมพยายามเอียงหูฟัง เผื่อว่ามันจะทำให้ได้ยินบนทสนทนาชัดขึ้น


“เฮ้อ กูก็ไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้นอาร์ต กูเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมบางครั้งถึงต้องคอยเป็นห่วงมัน มึงจำได้ไหมตอนนั้นที่มันกำลังจะถูกฉุด” พี่ซันเว้นวรรค ก่อนจะถอนหายใจ


อยากเห็นชะมัดว่าตอนนี้พี่ซันกำลังทำหน้ายังไง


“แล้วยังไง” พี่หมอถามต่อ

 
“กูว่า...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันทำให้กูรู้สึกเหมือนมีน้องชายอีกคน แต่อีกส่วนกูก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่และหวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไปกูควรอยู่ห่างๆ มันเอาไว้ กูไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง กูไม่รู้ว่าที่มันเข้ามาใกล้ตัวกู มันมีความหมายอะไรแอบแฝงหรือเปล่า เมื่อก่อนนี้กูมั่นใจว่าตัวเองไม่มีอารมณ์กับผู้ชายและจะไม่มีวันมี แต่ถ้ามันยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัวกู กูก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง” 


น้ำตาผมรื่นไปรอบทั้งดวงตา คนๆ นั้นที่พี่มันหมายถึง...คือผมใช่ไหม


“สรุปคือมึงเริ่มมีใจให้เขาแล้วว่างั้น”


ผมกลั้นหายใจ


“ไม่”


“...”
 

เผาะ เผาะ

 
น้ำตาผมร่วงผลอยออกจากหน่วยตา ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมไอ้บีทส์ เขามีคนรักอยู่แล้ว ผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งเก่ง เทียบกับมึงคนที่ไม่มีดีอะไรเลยอย่างมึง ใครเขาจะมาสนใจ แค่เขาใจดีด้วยก็เผลอคิดเกินเลย


“ไม่เลยสักนิดเหรอ”

 
คำตอบคือความเงียบของพี่ซัน


“ซัน...”


“กูจะบอกอะไรมึงไว้อย่างหนึ่งนะ... ‘ยิ่งมึงพยายามซ่อนความรู้สึกของมึง คนอื่นก็จะยิ่งมองเห็น และยิ่งมึงเอาแต่ปฏิเสธความรู้สึกของมึง มันจะยิ่งชัดเจนในใจของมึงเอง มึงหนีมันไม่พ้นหรอก’ จำคำพูดของกูไว้นะ” พี่ซันที่ยังยืนนิ่งหันหลังให้พี่หมออยู่ ผมพยายามเช็ดน้ำตาที่ยังอาบแก้มของตัวเองอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมเสียใจทำไม


“มันไม่มีประโยชน์มึงก็รู้ ยังไงสุดท้ายคนที่กูต้องแต่งงานด้วยก็คือฟ้า ไม่ว่ากูจะรักใครชอบใครมันก็เป็นไปไม่ได้” ผมอึ้งอีกครั้ง นี่พี่ซันถึงกับวางแผนแต่งงานกับพี่ฟ้าไว้แล้วงั้นเหรอ!?!
 

“ชีวิตมึงเป็นของมึง มึงมีสิทธิ์ตัดสินใจ จะให้เขาเข้ามากำหนดชีวิตมึงเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่เด็กจนโตไปถึงเมื่อไหร่ อีกอย่าง...วันนี้มึงเพิ่งผ่านการประกาศสงครามกับไอ้พี่เจมาไม่ใช่รึไง ระวังจะอยู่ยากนะมึง” พี่หมอพูดเสียงจริงจัง
 

“มันทำอะไรกูไม่ได้มึงก็รู้ เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว ว่าแต่มึงเถอะ กูเห็นทำหน้าเหมือนคนขี้ไม่ออก มีปัญหาอะไรรึไง” พี่ซันเอ่ยตัดบทก่อนจะเอ่ยแหย่เพื่อนสนิทอย่างพี่หมอ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองหนักๆ ยังไงก็ต้องออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดก่อน  เพราะการลุกขึ้นเร็วทำให้ผมเซล้ม



ผลั่ก!


โครม!!

 
เจ็บฉิบ!





[ซัน]

 

โครม!!
 

ผมรีบหันไปตามเสียง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับไอ้อาร์ต เราสองคนรีบวิ่งไปตรงที่เกิดเหตุ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองเห็นร่างเล็กของใครบางคนกำลังพยายามลุกขึ้นยืน ผมยืนนิ่งในขณะที่ไอ้อาร์ตรีบนั่งลงช่วยพยุงร่างเล็กตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ


“...”  ผมเงียบ ไอ้อาร์ตหันมามองหน้าผมเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงต่อ
 

“เอ่อ พี่หมอ...พอดีผมแค่เดินผ่านมา แต่ทางมันมืดเลยสะดุดกระถางดอกไม้ตรงนี้น่ะ” บีทส์ชี้ไปที่กระถางดอกไม้ที่กระจัดกระจายอยู่ก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น ไอ้อาร์ตส่งสายตามาหาผม


กูเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าต้องอยู่ห่างมัน ยังจะยัดเยียดมันมาให้กูอีก ไอ้เพื่อนเวร!!

 
ผมมองไปที่ร่างเล็กของน้องมันอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นคราบน้ำตาอยู่บนแก้มขาวของมัน


เมื่อกี้มันต้องได้ยินอะไรเข้า


ใช่ไหม!?!
 

“คุยกันเองนะ เรื่องนี้กูไม่ยุ่ง” ผมมองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าลำบากใจ ไอ้อาร์ตส่งร่างเล็กของบีทส์มาให้ผมพยุงไว้ ก่อนที่มันจะเอ่ยทิ้งท้ายและเดินออกไป


เฮ้อ เห็นหน้าน้องมันแล้วทำให้ผมนึกไปถึงเรื่องเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ที่คอยกวนใจผมอยู่ตลอดเวลา...


เหตุการณ์ในฐานกิจกรรมเมื่อตอนบ่าย


'เอ่อ พี่ซันครับ คือ ผะ ผม....2 @ พี่ ๒-#@-#~#8*%!?!' ผมมองร่างเล็กที่ยืนก้มหน้าฝืนพูดรวดเดียวจบ ด้วยคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะมองเลยไปที่ไอ้ญาติผู้พี่ที่ผมไม่เคยนึกชอบขี้หน้ามันเลยสักครั้ง ที่ผมต้องอยู่กลุ่มเดียวกับมันก็เพราะมันใช้อำนาจบังคับให้กลุ่มผมต้องเข้าร่วมกลุ่มกับมัน


'ไอ้เจ’ เป็นลูกติดมาจากคุณลุงที่มาแต่งงานกับป้าของผมเมื่อห้าปีก่อน เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่นิดเดียว

 
“มึงว่าอะไรนะ...” ผมเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเสียงเรียบ


“โอย ทำไมต้องให้พูดซ้ำด้วยวะ อายเป็นนะเว้ย” ไอ้เด็กตัวปัญหาบ่นพึมพำ แต่ขอโทษครับ กูได้ยิน!!


“ว่าไง” ผมถามย้ำ


“จิ๊! ผมชอบพี่มากๆ เลย ไม่คิดจะเก็บผมไปเลี้ยงอีกสักคนเหรอครับ ผมเก่งนะ ทำงานบ้านได้ตั้งหลายอย่าง ทำกับข้าวเป็นด้วย พี่แค่เลี้ยงดูปูเสื่อผมให้ดี ผมพร้อมจะสยบแทบเท้าพี่คนเดียวเลย! คบกับผมนะครับ!?! ” น้องมันพูดเสียงดังฟังชัดดูเหมือนจะประชดกลายๆ พร้อมกับทำตาปริบๆ เขย่าแขนผมเป็นการเร่งคำตอบ มาไม้ไหนของมึง!!
 

“...” ผมเงียบ บีทส์เลยขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นแล้วกระซิบเสียงเบา


“นะๆ พี่ซันช่วยผมหน่อย ไอ้พี่นั่นมันแกล้งอ่ะ บอกว่าถ้าไม่ยอมจะไม่ให้พวกผมพัก ไส้จะขาดแล้วอ่ะพี่ นะ นะ ช่วยผมหน่อย” ตอนแรกยอมรับว่า ‘อึ้ง’ ที่ได้เห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากไอ้เด็กตัวปัญหาที่อยู่ในสภาพมีสติครบร้อยเปอร์เซ็นยืนอ้อนอยู่ตรงหน้า ไอ้ประโยคขอคบนั่นผมไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับเพราะรู้ว่าไอ้เจต้องเล่นอะไรแผลงๆ


แต่ไม่คิดว่ามันจะใช้บีทส์เป็นเครื่องมือในการกวนประสาทผม ซึ่งมันก็ ‘ได้ผล’ ดีซะด้วย พอเห็นผมนิ่งไอ้เจเลยพูดขู่บีทส์เข้าไปอีก จนน้องมันสะดุ้ง ใบหน้าขาวงอง้ำก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ


'น้องบีทส์ครับ ได้ข่าวว่าที่พี่บอกไปเมื่อกี้ยังเหลืออีกข้อไม่ใช่เหรอครับ!?!' ผมยังตีหน้านิ่ง ยืนล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางปกติ ทั้งผมทั้งบีทส์กำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งกลุ่ม


'จิ๊! พี่ซันครับ!'


!!!!!!!!

 
อึ้งแดกเมื่อน้องมันทิ้งตัวลงนั่งในท่าคุกเข่า

 
'แต่งงานกับผมนะครับ!?!' แล้วเอ่ยประโยคที่ทำร้ายคนฟังด้วยการขอแต่งงานออกมาดังลั่น ผมหันขวับไปมองไอ้เจตาขวาง มันยิ้มกริ่มตอบกลับมา ผมขยับปากด่ามันด้วยคำพูดไร้เสียง ว่า ‘สัด’ แทนที่จะหยุดมันดันยักคิ้วมาให้ผม ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาเสียงดัง...


'แต่งเลย!  แต่งเลย!!  แต่งเลย!' ผมยืนกำหมัดแน่นเมื่อไอ้เจเป็นคนเอ่ยนำ เพื่อนๆ มัน เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนพร้อมใจส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น ผมปรายตามองทุกคนก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง หันหลังกลับทำท่าจะเดินหนี


'เดี๋ยวครับ! ผมไม่อนุญาตให้คุณเดินออกไปจากบริเวณนี้! คำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องของผมไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม!?!' ผมหันหลังกลับมาจ้องหน้าไอ้คนพูดทันที จะเอายังไงกับกูวะ


'ผมเคารพรุ่นพี่ทุกคนที่ควรเคารพ' ผมตอบเสียงนิ่ง


'คุณจะบอกว่าคุณเลือกปฏิบัติ และเลือกที่จะไม่เคารพผมอย่างนั้นเหรอคุณศิวานนท์' ไอ้เจกระเดาะลิ้นข้างกระพุ้งแก้ม


'พูดเองนะครับ' ผมยิ้มมุมปาก ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ไอ้อาร์ตก็ยื่นมือมาแตะไหล่ผมไว้เป็นเชิงห้าม เพราะมีพี่ๆ หลายคนเริ่มเดินมารวมตัวกันที่กลุ่มเราแล้วหลายคนเพื่อคุมเชิง แถมไอ้คนที่ยืนเกาะแขนผมอยู่ข้างๆ ยังเขย่าแขนผมยิกๆ ไม่หยุด ขนาดผมจะเดินหนีมันยังจะเดินตามมาอีก
 

แต่สุดท้ายเรื่องก็จบลงเพราะพี่อั๋นเป็นคนเดินเข้ามาห้าม พร้อมกับบอกให้ผมปลีกออกไปเตรียมตัวเพื่อทำการแสดงในคืนนี้ ส่วนน้องๆ พี่เต้ก็เป็นคนสั่งแยกย้ายเล่นเอาไอ้เจเองก็หัวเสียไม่น้อย


หมับ!


'พี่ซัน...' ผมชะงัก เมื่อมือเล็กคว้าแขนผมเอาไว้


'...'


ผมเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป มองหน้าน้องมันนิ่งๆ

 
'ผมขอโทษนะพี่ ที่ทำให้เดือดร้อน...'


'และก็ขอบคุณสำหรับเสื้อนะครับ ไว้ผมจะซักมาคืนก็แล้วกันนะ' น้องมันก้มหน้าพูด หูมันแดงๆ ผมเลยเผลออมยิ้มตามไปด้วย แต่พอน้องมันเงยหน้าขึ้นมาผมก็รีบตีหน้านิ่งใส่


'ไม่เป็นไร'

 
“ฮึ่ย ไม่เป็นไรได้ไงพี่ พี่เกือบจะมีเรื่องเพราะผมนะ” บีทส์ก้มหน้าบ่น ผมเลยต้องบอกปัดพลางไล่ให้มันรีบตามเพื่อนไป เพราะผมเองต้องรีบไปช่วยงานคนอื่นแถมยังต้องไปเตรียมตัวสำหรับการแสดงในคืนนี้อีก แม้จะไม่ใช่เรื่องยากอะไร กีต้าร์น่ะผมเล่นเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว


แล้วไหนจะไอ้เรื่องนั้นที่ผมบังเอิญไปได้ยินประโยคที่พิงค์เอ่ยบอกว่าไอ้ตัวปัญหานี่เอ่ยชมไอ้เจนั่นอีก ทั้งที่มันเพิ่งโดนแกล้งมาแท้ๆ แต่ยังไปสรรเสริญมันอีก!?! เลยอดไม่ได้ที่จะแขวะตอนน้องมันยืนคุยกับไอ้อาร์ต ผมยอมรับนะครับว่าเรื่องนั้นทำให้ผมหงุดหงิด ไอ้เจมันไม่ใช่คนดี มันเองก็เลวไม่แพ้ผมหรอกครับ..

 
แอบเห็นน้องมันมองผมตาขวางตอนที่ถูกผมต่อว่า ผมพูดอย่างที่ใจคิดนั่นแหละ ไม่ได้แกล้ง ดูจากสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่พอใจ แต่ก็ยังทำเป็นร่าเริงสดใสยิ้มรับคำด่าจากผม


ตอนนั้นผมหันไปคุยกับไอ้อาร์ตได้แป็บเดียว พอหันกลับมาน้องมันก็เม้มปากแน่น ถ้าขืนปล่อยไว้คงได้เลือด ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ปากแดง ๆ นั่นเป็นรอย ปากผมเลยเอ่ยออกไปอย่างไม่รู้ตัว จนต้องรีบเดินหนีออกมานั่นแหละ


คำถามไอ้อาร์ตผมเข้าใจมันดี ไม่งั้นผมคงไม่สับสนจนต้องเปลี่ยนเพลงที่จะใช้ขึ้นแสดงแค่ก่อนเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมชอบความหมายของเพลงก็จริง แต่ที่ผมเลือกร้องเพลงนี้ก็เพราะว่า...มันตรงกับความรู้สึกของผม


“ปล่อยผมเถอะ” ผมละออกจากภวังค์ ก่อนจะบีบแขนคนตัวเล็กแน่น เพราะบีทส์พยายามที่จะดึงมือผมออก


“แค่ยืนก็จะล้มแล้ว จะดื้อทำไม” ผมถามด้วยความหงุดหงิดที่อีกคนยังมัวแต่ก้มหน้าก้มตาแกะมือผมออก


“เป็นห่วงเหรอ” บีทส์ถาม 
 

ผมนิ่ง


“ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยมือผมเถอะครับ” อีกคนเริ่มทำหน้าแย่


“เป็นเหี้ยอะไรอีกห๊ะ!?!” ผมหัวเสียเมื่ออีกคนทำท่าจะพูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่เบือนหน้าหนี ผมพยายามดึงมืออีกคนไว้ แต่บีทส์ก็ยังดื้อสะบัดมือผมออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมได้เห็นหน้าอีกคนชัดๆ ทำให้ผมชะงักนิ่งๆ


...น้องร้องไห้ว่ะ
 

“ปล่อยผม ผมบอกให้ปล่อย! ฮึก ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรก็อย่าทำให้ผมคิดไปเองอีก เพราะถ้าพี่ยังทำเหมือนเป็นห่วงผม ผมอาจจะตัดใจจากพี่ไม่ได้” บีทส์พูดไปทั้งน้ำตา หมายความว่ายังไง ผมปล่อยมืออีกคน กำลังจะเอ่ยปากถาม


“ผมชอบพี่!”


“...”


ผมจอดสนิท


เมื่อเห็นผมเงียบ บีทส์สะอื้นฮักก่อนจะหันหลังให้ผมแล้วเดินห่างออกไป สีหน้าหม่นๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อคู่นั้นทำให้ผมยืนนิ่งไม่ไหว


หมับ!
 

ผมตามไปดึงอีกคนเข้ามากอดไว้แน่น ทำให้บีทส์ร้องไห้หนักขึ้น และพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดผม ยิ่งดิ้นผมก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น จนบีทส์ล้มเลิกความตั้งใจที่จะดิ้นหนี


“...”


ผมลูบหัวอีกคน เราสองคนยังคงยืนเงียบกันอยู่ บีทส์ไม่ดิ้นหนีแล้วแต่ก็ยังยืนร้องไห้เงียบๆ ที่ผมรู้สึกได้เพราะตัวน้องมันยังสั่นอยู่และหลักฐานชิ้นสำคัญก็คือ...หน้าอกของผมมันชื้นไปด้วยน้ำตาของคนตัวเล็ก


“เลิกใจดีกับผมสักที” 


"..."


เราต่างคนต่างเงียบ เหมือนต่างคนต่างกำลังใช้ความคิด ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอกครับ หนทางที่ผมต้องเดินกับคนทางที่บีทส์จะเดินมันสวนทางกัน เราไม่มีทางที่จะเดินบนถนนสายเดียวกันได้


ถึงผมจะเริ่มรู้สึกดีกับน้องมันขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องรู้สึกดีจนถึงขึ้นเปลี่ยนเพศมาชอบผู้ชายด้วยกันเอง  และที่ผมยังต้องท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ


ผมมีว่าที่คู่หมั้นแล้ว...
 

“มึงเมาแล้วบีทส์ อย่าลืมสิ ว่ากูไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมึงก่อนเลยสักครั้ง”  เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินให้สุดทาง
 

“...”


“ความรู้สึกของมึงกูคงรับไว้ไม่ได้ เลิกคิดซะ เพราะยังไง...กูก็ชอบผู้หญิง และที่สำคัญกูไม่ได้เป็นเกย์ เรื่องวันนี้กูจะถือว่ามึงไม่ได้บอกอะไรกูทั้งนั้น ยังไงซะมึงก็เป็นน้องของฟ้าถือว่าเป็นน้องกูด้วย ป่ะ เดี๋ยวกูไปส่งมึงที่ห้อง”
 

ผมว่าวิธีนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว บอกออกไปตรงๆ ให้น้องมันได้ตัดใจ บีทส์มันยังเด็กคงยังไม่รู้หรอกครับว่าความรักที่แท้จริงมันคืออะไร หนทางข้างหน้ายังอีกไกล น้องมันอาจจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม


“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณพี่มากที่บอกตรงๆ" น้องมันเม้มปาก "แต่ผมขอบอกอะไรพี่สักอย่างนะครับ ความรักน่ะ เมื่อได้รักแล้วมันไม่ได้แยกหรอกนะครับว่าคนที่เรารักเป็น ชาย หญิง ตุ๊ด กระเทย หรือเกย์ คำจัดกัดความมันมีแค่คำว่า 'คนรัก' คำเดียวเท่านั้นแหละครับ”


ผมสะอึก บีทส์ดันตัวออกจากอกผม ยกมือปาดน้ำตาที่เลอะขอบตาฉ่ำทั้งสองข้าง ยิ่งปาดมันก็ยิ่งไหล... น้องหันหลังให้ผม ก่อนจะเดินสะเปะสะปะไปตามทางมีแต่ผมที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ได้แต่มองตามแผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่เริ่มเดินห่างออกไปจนลับสายตา....



 
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-06-2018 19:10:54
เรื่องมันเศร้าใจ  :impress3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 06-06-2018 23:45:58
แรกๆก็ฮาดีอ่ะ แอบหมั่นไส้อิพี่ซันกล้าทิ้งน้องบีสท์ไว้ข้างถนน ทำเป็นด่าโน้นนี่ แต่ก็ช่วยตลอด ตอนล่าสุดหน่วงมาก อยากให้บีสท์เข้มแข็งปล่อยพี่มันไปถ้าพี่มันบอกชอบผู้หญิงก็ปล่อยไป ดูดิจะทนได้พี่น้ำ :hao3: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: aommaboo ที่ 07-06-2018 07:05:10
อืออ อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 07-06-2018 22:48:40
น้ำตาจะไหล งือ มันจุกในอก
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 8 : อย่าใกล้กันเลยดีกว่า (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-06-2018 01:02:36
 :hao5:


ไม่รักไม่ว่า แต่อย่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 08-06-2018 17:16:18
ตอนที่ 9 : โรคทางใจ


[บีทส์]



“ปวดหัวชะมัด” ผมสะบัดหัวสองสามที ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในห้องอาหารที่ทางรีสอร์ทเขาจัดรับรองพวกเรา เป็นห้องโถงขนาดใหญ่รองรับคนได้ประมาณสามสี่ร้อยคนเลยทีเดียว


เมื่อเช้ากว่าจะคลานมาที่ห้องอาหารนี่ได้โดนอิพิงค์กับไอ้นัททั้งลาก ทั้งถู ทั้งงัด ทั้งแงะ ผมออกจากเตียง ที่รู้ก็เพราะมันบ่นให้ฟังนั่นแหละครับ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เล่นเอาดึกเหมือนกัน ทุกคนคงกำลังสงสัยใช่มั้ยครับว่าเมื่อคืน...ผมจำอะไรได้บ้าง


ก็...ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์นั่นแหละครับ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมแทบจะไม่ได้นอน มัวแต่คิดว่าต่อไปนี้ผม...จะมองหน้าพี่ซันยังไง และถ้าต้องเจอกันผมควรจะวางตัวแบบไหนเพื่อให้พี่ซันไม่อึดอัด และผมก็จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดหากต้องเห็นพี่ซันอยู่กับคนที่เขารัก


ผมยอมรับนะครับว่ารู้สึกชอบพี่ซัน ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อ...พี่มันก็มีว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว พี่มันชอบผู้หญิงและไม่มีทางหันมาชอบผู้ชาย ผมเข้าใจพี่ซันดีที่จริงต้องขอบคุณพี่ซันด้วยซ้ำที่บอกผมตรงๆ


…ผมคงจะโดนเกลียดไปแล้วล่ะครับ…


“บีทส์ บีทส์ อิบีทส์ ไอ้บีทส์โว้ย!!” ผมสะดุ้ง หันไปขานรับคนเรียกเหรอหรา มึงจะตะโกนหาป๊ามึงเหรอ!?!


“อะไรของมึง” ผมพูดเสียงแหบ


“สภาพมึงดูไม่จืดเลยบีทส์ เหมือนศพขึ้นอืดเลย กูว่าจะถามตั้งแต่ที่เจอมึงยืนหลับน้ำลายยืดอยู่หน้าห้องแล้ว น่าสงสารไอ้ปริ้นชะมัดมีเพื่อนก็เหมือนมีลูก สภาพที่กูเห็นเมื่อเช้ามันเหมือนคุณพ่อลูกสองเลยมึงรู้มั้ย ฮ่าๆ” อิพิงค์พูด คนอื่นๆ เลยหัวเราะตาม อ่อ ผมลืมบอกไปใช่ไหมว่าตอนนี้ มีพวกพี่เจกับไอ้ตี๋มานั่งร่วมโต๊ะกับพวกผมด้วย วุ่นวายชะมัด


“กูก็ว่างั้น กับไอ้ออยกูยังพอเข้าใจเพราะเมื่อคืนมันเล่นเมาซะไม่เหลือเค้าของไอ้ออยคนเดิม หลับพับคาอกไอ้ปริ้นไปเลย แต่ที่กูไม่เข้าใจคือมึง หนีพวกกูเข้าไปนอนก่อนชาวบ้านชาวช่องเขา บอกว่าจะไปฉี่แต่หายหัวไปเลย แถมตื่นเช้ามากูยังเห็นตามึงบวมๆ มาอีก มีอะไรที่กูพลาดไปรึเปล่า”


พอจบคำถามของไอ้นัท ทุกคนบนโต๊ะก็เงียบสงบเหมือนหยุดเคลื่อนไหวทุกสิ่งอย่าง ผมถอนหายใจก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาหลายคู่มองผมมาที่จุดเดียว


โต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่ตอนนี้จุคนได้ทั้งสิ้นสิบคน และแน่นอนว่ามีคนนั่งอยู่เต็มตามจำนวนเด๊ะๆ มีผม ไล่ไปทางฝั่งขวามือคือไอ้ออย ตามด้วยไอ้ปริ้น พี่เจกับพี่หน้าหล่ออีกคนที่นั่งถัดไป สงสัยจะเป็นเพื่อนพี่เจ หน้าตาโคตรหล่อเลยครับลูกครึ่งซะด้วย ดูท่าทางจะนิสัยดี ไม่น่าไปคบค้าสมาคมกับไอ้พี่เจให้เสียเครดิตตัวเองเล้ย...


ถัดไปเป็นไอ้ตี๋กับเพื่อนร่วมสาขาของมันอีกสองคน ก็ไอ้คนที่อยู่กลุ่มเดียวกับพวกผมนั่นแหละครับ จำได้ว่าชื่อไอ้นิค กับไอ้เนม คู่แฝดสยาม หน้างี้ถอดแบบกันมาเป๊ะๆ แต่พวกมันเรียนคนละคณะนะครับ ไอ้เนมเรียนบริหารเอกการตลาดเหมือนไอ้ตี๋ แต่ไอ้นิคมันเรียนวิศวะเอกเดียวกับไอ้ปริ้นไอ้ออยนั่นแหละ โคตรจะบังเอิญ!


ต่อมาก็เป็นไอ้นัท สุดท้ายก็อิพิงค์ที่นั่งติดกับผม สงสัยเพื่อนไอ้นัทจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นเพราะโต๊ะผมดันเต็ม


“แค่กๆ อะไรของมึงอ่ะนัท อย่ามาหาเรื่องกูนะ แค่ก เออ แล้วใครเชิญคนนอกเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเราด้วยวะ” ผมบ่ายเบี่ยงการตอบคำถามของไอ้นัทที่มองตรงมาที่ผมอย่างคาดคั้น ก่อนจะเบนสายตาไปจิกไอ้รุ่นพี่ส่วนเกินที่ว่า…อิพิงค์แน่ๆ อินี่ชอบชักศึกเข้ากลุ่ม ฮึ่ม กูบอกว่าเกลียดขี้หน้าพี่มันยังจะชวนมันมาอีก!


“นี่...อิบีทส์หุบปากไปเลยนะมึง กว่ากูจะเจอตัวพี่เขามันไม่ง่ายนะเว้ย จะพูดจะจาอะไรระวังปากแดงๆ ของมึงบ้างสิ แล้วอีกอย่างมึงไม่กลัวพี่มันบ้างรึไง ประธานปกครองปีห้าของวิศวะเชียวนะมึง” อิพิงค์มันลากคอผมเข้าหาตัวมัน แล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา ผมยักไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ เรื่องอะไรจะต้องกลัวล่ะครับ


...ผมไม่ได้เรียนวิศวะสักหน่อย


“แล้วไงวะ แค่ก อย่าลืมสิว่าเราเรียนบริหารไม่ได้เรียนวิศวะสักหน่อย มึงนี่นะเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนเหรอพิงค์ อื้อๆ” ผมพูดเสียงไม่เบาหนัก อิพิงค์เลยเอามือตะครุบปากผมไว้ ได้แต่ดิ้นพรวดพราดให้มันปล่อย เหลือบไปเห็นหน้าไอ้พี่เจที่กำลังนั่งยิ้ม ผมถลึงตาใส่พี่มันอย่างไม่พอใจ แต่แทนที่พี่มันจะสำนึกดันมายักคิ้วตอบผมอีก! ฮึ่ม อย่าให้ไอ้บีทส์อยู่ในสภาพปกตินะ เดี๋ยว...เดี๋ยวได้เจอไอ้บีทส์!


“ไม่เป็นไรหรอกพิงค์ พี่ถือคติผู้หญิงเกลียดแปลว่าผู้หญิงรัก” อ่ะ ไอ้พี่เจมันตอบหน้าตาเฉย ส่งผลให้ทั้งโต๊ะพากันเงียบกริบ ฮึ่ม ใคร ใครเป็นผู้หญิงของพี่มันวะห๊า!


“อะไรอ่ะพี่เจ พูดแบบนี้พิงค์ก็อกหักสิคะ อีกอย่างเพื่อนพิงค์มันก็เป็นผู้ชาย แล้วก็มีไอ้นั่น...เหมือนพี่เจนะคะ ฮือ เสียใจ” อิพิงค์พูดทีเล่นทีจริง พลางทำท่าปาดน้ำตาออกจากหางตา ออสก้าสักรางวัลมั้ยเพื่อน!?!


ผมส่ายหน้าให้กับท่าทางของอิพิงค์ ทีแรกก็เห็นมันกรี๊ดกร๊าดพี่ซันจะเป็นจะตายตั้งแต่เจอหน้า พอเจอพี่เจก็ดันบอกว่าคนนี้ใช่ แล้วเมื่อกี้ไอ้พี่เจเพิ่งจะหยอดเพื่อนมึงไปหยกๆ นะพิงค์ ทำไมมึงยังยิ้มร่าหยอกล้อกับพี่เจอยู่ได้อีกวะ


“อร๊าย พี่สุดหล่อของกูนี่ เดินคู่มากับพี่หมอแล้วออร่าฟุ้งกระจายเลยอ่ะมึง” ผมเงยหน้าไปตามเสียงของเพื่อน ก่อนจะสะดุดกึกเมื่อสบตากับร่างสูงของใครบางคน ดูเหมือนพี่ซันเองจะชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนกัน...ครู่หนึ่งจริงๆ ครับ


เพราะหลังจากนั้นพี่มันก็เดินผ่านโต๊ะของพวกเราไปด้วยท่าทีนิ่งๆ พี่หมอมองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากให้เล็กๆ ก่อนจะเดินตามพี่ซันไป ผมยิ้มตอบให้พี่หมอ ก่อนจะมองตามร่างสูงของพี่ซันที่ทิ้งตัวลงนั่งหันหลังมาทางโต๊ะผม


แค่หน้าก็ยังไม่อยากมองสินะ


“ปริ้น นั่นของออยนะ!” ผมหันไปตามเสียงโวยวายของไอ้ออย ก่อนจะมองเลยไปยังตัวต้นเหตุที่ไอ้ปริ้นกำลังจะจ้วงเข้าปากตัวเองด้วยสีหน้านิ่งๆ ไส้กรอกน่ะครับ ไอ้ออยพยายามจะจิ้มไส้กรอกในจานของไอ้ปริ้นคืน แต่ไอ้ปริ้นมันยื่นจานออกไปไกลตัวด้วยมือข้างเดียว อีกข้างก็ดันไอ้ออยไว้


หาเรื่องแตะอั๋งเขาอีกล่ะสิมึงไอ้ปริ้น...กูรู้ทันหรอก!


“เออไอ้นัท เมื่อเช้าได้ยินเสียงมึงโวยวายอะไรใส่มีน กูว่าจะถามตั้งแต่ออกมาจากห้องแล้วแต่กูลืม” ตอนนี้อิพิงค์มันกลับมานั่งตักข้าวต้มกินที่เก้าอี้มันเหมือนเดิมแล้วครับ เฮ้ยๆ นั่นขนมปังของกู อินี่! ผมตีมืออิพิงค์ไปหนึ่งเพี้ยะ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะจากบุคคลที่นั่งกินไม่พูดไปจาตั้งแต่มานั่งร่วมโต๊ะ


ไอ้ตี๋...


“ขำไร” ผมถาม ไอ้ตี๋กลั้นขำ พลางส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน แน่ะๆ ไอ้พี่เจกูเห็นนะแอบขำกูเหมือนกัน!


“ไม่มีอะไร ก็แค่...มีแมลงวันไม่เจียมตัว หลงบินเข้ามาตอมดอกไม้ของคนอื่น กูเลยต้องจัดการกับ ‘คนของกู’ นิดหน่อย” ไอ้นัทตอบ มันมีด้วยเหรอวะ มีคนมายุ่งกับแฟนตัวเองแทนที่จะจัดการกับไอ้มือที่สามดันจัดการแฟนตัวเอง มันต้องจัดการไอ้แมลงวันตัวนั้นโว้ย ผมหันไปเบ้หน้าให้ไอ้นัท ชิส์! อิจฉาคนมีแฟน!


“แล้วไป กูก็นึกว่ามีปัญหาอะไรกัน อ๊ะ พี่เจอันนี้อร่อยค่ะลองชิมดู” ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกรอบเมื่อเห็นพิงค์มันตักซุปใส่ถ้วยให้พี่เจอย่างเอาใจ ขี้เกียจจะด่ามันแล้วครับ ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย เหมือนร่างกายข้างในมันร้อนๆ ยังไงก็ไม่รู้…


แปะ


ผมสะดุ้ง เมื่อมีมือนุ่มยื่นเข้ามาแตะแก้มด้านขวาของผมเบาๆ ก่อนจะผละออก คงเป็นไอ้ออยนั่นแหละครับ ผมพ่นลมหายใจออกมาทางปากรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา ปวดหัวมากขึ้นกว่าเมื่อเช้าอีก


“ตัวรุมๆ นะบีทส์ มึงไหวมั้ย” ไอ้ออยถาม เหอะ เลิกสนใจไอ้ปริ้นสุดที่รักของมึงแล้วเหรอ


“อืมๆ ไม่เป็นไร กินยาคงดีขึ้น” ผมตอบ


“ให้พี่หมอดูอาการก่อนมั้ย เดี๋ยวจะเป็นหนักกว่านี้เราต้องเดินทางกลับอีกหลายชั่วโมงนะ นี่ก็ไอไม่หยุด สงสัยคุณหนูบีทส์จะเป็นหวัดว่ะ เสียงมึงเริ่มแหบแล้วด้วย” ไอ้นัทเอ่ยขึ้นบ้าง


“ให้พี่เรียกไอ้หมอให้มั้ย” เอ้า พี่เจก็เอากับเขาด้วย ผมส่ายหัว พลางยกมือโบกไปมา


“ไม่ต้องวุ่นวายเลยพี่ แค่นี้เรื่องเล็ก กินยาแล้วก็นอนบนรถยาวๆ เดี๋ยวคงดีขึ้น” ผมบอกปัด ก่อนจะหลับตาลง พักสายตา พักสมอง พักหัวใจ ผมได้ยินเสียงคนลากเก้าอี้ แล้วก็ได้ยินเสียงคนเดินออกไปจากกลุ่มแว่วๆ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ถ้าถึงเวลาเดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ผมมันก็ปลุกเองนั่นแหละ ตอนนั้นค่อยให้ไอ้พวกเพื่อนยากไปขอยากับพี่ๆ เขาแล้วผมก็ค่อยนอนยิงยาวไปจนถึงกรุงเทพเลยก็แล้วกัน



++++++++++++


[ซัน]


“หมอ ผมขอยาแก้ไข้ให้คนป่วยสักชุดสองชุด ช่วยจัดไว้ให้ผมด้วย” ผมหันไปมองคนมาใหม่ด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ไอ้อาร์ตหันไปเลิกคิ้วให้งงๆ แต่ก็พยักหน้าเออออ


“ใครเป็นอะไรครับ” ไอ้หมอถาม


“ดูเหมือน ‘บีทส์’ อ่อ รุ่นน้องคณะบริหารฯ เขาจะไม่สบาย ผมเลยอาสาเดินมาเอายาไปให้เขาก็เท่านั้น”


กึก


ผมชะงักมือเมื่อได้ยินชื่อของบีทส์ ก่อนจะก้มลงทานข้าวต้มต่ออย่างไม่คิดจะสนใจ ไอ้หมอหันมามองหน้าผมเหมือนรอดูอาการ พอเห็นผมไม่ได้สนใจอะไร จึงหันไปตอบรับไอ้เจ


“เดี๋ยวผมจัดไว้ให้ จะเอาเลยรึเปล่า พอดีผมเก็บกล่องยาขึ้นรถไปแล้ว” ไอ้หมอตอบ ก่อนเข้ามาที่นี่ ทั้งผมทั้งมันเพิ่งจะเอากระเป๋ากับสัมภาระไปเก็บไว้ที่รถ สาเหตุก็เพราะจะได้เดินตัวเปล่ามาหาอะไรกิน อีกทั้งยังไม่ต้องมาเบียดตอนคนเยอะๆ พวกผมกินไม่เยอะกันอยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหา


“กินข้าวให้เรียบร้อยก่อนเถอะ แล้วค่อยเอามาให้ผมตอนขึ้นรถก็ได้ อ่อ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมฝากคุณเอายาไปให้น้องเขาด้วยก็แล้วกัน” ไอ้เจหันมาเจาะจงพูดกับผม พลางแสยะยิ้ม ผมละสายตาจากข้าวต้มในถ้วยหันไปสบตากับไอ้หมอที่มองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน ก่อนจะหันมาสบตากับไอ้เจอีกครั้ง


“ทำไมต้องกู”


“ไม่มีเหตุผล ผมสนแค่ต้องเป็นคุณเท่านั้น” ไอ้เจยักคิ้ว พลางเดาะลิ้นที่กระพุ้งแก้ม ก่อนจะเดินห่างออกไป ผมมองตามแผ่นหลังของมันที่เดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้าไปรวมกลุ่มกับพี่ปีห้าที่รอเช็คชื่อน้องๆ อยู่ด้านนอก ก่อนจะเบนสายตาไปที่กลุ่มของเด็กปีหนึ่งที่นั่งห่างออกไป


“เคลียร์กันได้แล้วเหรอ” ผมหันกลับไปเลิกคิ้วใส่ไอ้หมอ มันพยักเพยิดหน้าไปทางข้างหลัง ผมเลยถึงบ้างอ้อ
“อืม” คิดว่าอย่างนั้น...


“เกย์น่ะ มันก็คนนะเว้ยซัน มันก็มีทั้งดีและไม่ดี เป็นคนธรรมดาเหมือนกับมึง เพียงแต่เรื่องหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ มึงก็รู้ว่ามันกำหนดไม่ได้หรอกว่าเราจะต้องรักแค่ผู้หญิงเท่านั้นหรือผู้ชายเท่านั้น บอกตรงๆ ว่ะ กูไม่เคยเห็นมึงเป็นแบบนี้มาก่อน” ไอ้หมอพูด


“กูก็ว่างั้น” ไอ้สองที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังแย่งของกินกับน้องรหัสผมอยู่ มึงพูดเรื่องเดียวกันกับพวกกูอยู่ใช่ไหม พอรู้ตัวว่าโดนผมจ้องอยู่มันก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผมอย่างจริงจัง บ่งบอกว่ามันเองก็รับรู้เรื่องราวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน และเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายหลบสายตามันก้มลงกินข้าวในถ้วยของตัวเองต่อ โดยไม่เอ่ยอะไรออกไป


“…”


“เฮ้อ พวกมึงจะมาคาดคั้นอะไรกับกู ไอ้หมอ...มึงน่ะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่รึไงวะ มึงด้วยไอ้สอง ไม่ต้องมามองกูแบบนี้ไอ้น๊อต” ผมเอ่ยชื่อมันเรียงตัว เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาที่พวกมันมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ก็รู้เหตุผลดีอยู่แล้วยังจะมาคาดคั้นอะไรอีกวะ


“ที่กูไม่พูดอะไรก็ใช่ว่ากูไม่รู้นะซัน กูอาจจะไม่ได้รู้อะไรมากเท่าที่ไอ้หมอรู้ แต่กูก็มั่นใจว่ารู้จักมึงมากพอ ถึงได้คบกับมึงมาได้ตั้งสี่ปี” ไอ้สองพูดเสียงจริงจัง ผมวางช้อน ก่อนจะเอามือประสานกันและวางเท้าไว้ที่โต๊ะ มองไปยังพวกมันทั้งสาม


“พวกมึงคิดอะไรอยู่ล่ะ คิดว่ากูจะชอบไอ้เด็กนั่นรึไง พวกมึงพูดเหมือนไม่รู้จักกู” ผมบอกปัด ก่อนจะลุกขึ้นยืน


“งั้นกูจะถือว่ามันเป็นเรื่องของมึงก็แล้วกัน มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอก...ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะช้า” ไอ้หมอมันลุกขึ้นบ้าง ไอ้สองเลยลากคอไอ้น๊อตให้ลุกขึ้น ผมเป็นฝ่ายเดินนำพวกมันออกมา เห็นบีทส์นอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ในจานข้าวน้องมันเหมือนจะโดนเจ้าของถ้วยแตะไปได้แค่นิดเดียว ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เดินผ่านแล้วมันอยู่ในระยะสายตาพอดี


ช่างเถอะ...คนดูแลมันมีเยอะแยะ


ผมเดินผ่านโต๊ะของบีทส์ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อมองเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนจากแววตาของคนที่นั่งตรงข้ามกับคนป่วย ในขณะที่ทุกคนในโต๊ะกำลังขมักเขม่นกับการกินและคุยกันอย่างออกรส แต่ยังมีคนหนึ่งที่นั่งจ้องไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเงียบๆ


เมื่อเห็นผมเดินผ่านไอ้ตี๋หันมามองพวกผม ก่อนจะโค้งหัวให้เล็กๆ ผมเพียงแค่พยักหน้า ก่อนจะเดินต่อ ไอ้ตี๋หันกลับไปที่เดิม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเผลอกำมือตัวเองเพื่อยับยั้งความหงุดหงิดที่ก่อขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ...


ผมนั่งรอจนกระทั่งบีทส์ลุกจากโต๊ะแล้วตามเพื่อนไปขึ้นรถ แต่เจ้าตัวเดินขึ้นรถตัวเปล่าไปคนเดียว ส่วนเพื่อนๆ ของมันกำลังยืนต่อแถวเพื่อเอากระเป๋าเข้าไปเก็บใต้ท้องรถพร้อมคนอื่นๆ รวมถึงกระเป๋าของบีทส์ที่อยู่บนหลังไอ้ปริ้น


ไอ้หมอยัดยาใส่มือให้ผมก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นรถไป ไอ้สองยักไหล่ไม่สนใจหันไปแย่งขนมไอ้น๊อต ผมถอนหายใจก่อนจะเดินตามร่างเล็กนั้นขึ้นไปบนรถ เห็นมันนั่งอยู่กลางๆ แล้วเอียงหัวซบกับกระจกรถ


“มีคนให้เอามาให้” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงที่มันนั่งพร้อมยื่นซองขาวขุ่นที่มีซองยาบรรจุอยู่หลายชนิดไปตรงหน้าอีกคนโดยไม่มองหน้ามัน


“อ่ะ...เอ่อ แค่ก ขอบคุณครับ” มันตาโตเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอผม ก่อนจะเม้มปากแล้วเอ่ยขอบคุณ
    

น้องมันยื่นมือมารับยา สายตาที่มันมองไปที่ห่อยาทำให้ผมต้องรีบเบรกความคิดของมันไว้ ก่อนที่มันจะคิดว่าผมเป็นห่วงหรือกำลังให้ความหวังมัน


“ก็แค่หน้าที่” ปากไวอย่างใจคิด แต่พอเห็นรอยยิ้มขื่นๆ ของมันที่ส่งมาให้ ผมกลับหงุดหงิดตัวเองซะงั้น


“เข้าใจแล้วครับ”


มันตอบก่อนจะไอออกมาอีก ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ ก่อนจะเดินกลับไปเบาะนั่งตัวเองที่ห่างไปประมาณสามแถว มีพวกไอ้สองนั่งจองที่รออยู่ ก้าวออกมาได้สามก้าวก็ได้ยินเสียงมันบ่นว่าไม่มีน้ำ ผมส่ายหัว ก้าวไวขึ้นเพื่อกลับมาขอน้ำจากไอ้สองไปให้มัน แต่ดูเหมือนผมจะช้าไปหนึ่งก้าว


“อ่ะ” ไอ้เจเดินตรงไปยังที่ๆ ผมยืนอยู่เมื่อกี้ก่อนจะยื่นน้ำให้บีทส์ แล้วยึกยักไม่ยอมให้จนน้องมันโมโห ผมนั่งลงกับที่ เปิดน้ำที่ได้มากระดกลงคอ


“จะให้ไม่ให้” น้องมันโวยวายเสียงแหบ


“โธ่ น้องบีทส์ พี่แค่จะแกะน้ำให้ทำไมชอบหงุดหงิดจังเลย ยังโกรธที่พี่แกล้งอยู่อีกเหรอ” ไอ้เจเปิดฝาขวดน้ำก่อนจะยื่นมาให้คนที่งอแงเมื่อสักครู่ มันหันมาเลิกคิ้วให้ผมตอนที่บีทส์รับน้ำของมันแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างบีทส์อย่างถือวิสาสะ


กวนส้นตีน…


“ไม่รู้โว้ย เฮ้ยพี่ มานั่งทำไมตรงนี้ แค่ก นี่มันที่เพื่อนผมนะ” น้องมันโวยต่อ


“ฮ่ะๆ บีทส์ทำหน้าตลกจัง ตรงนี้ทำไมพี่จะนั่งไม่ได้ ไม่เห็นจะมีป้ายจองเอาไว้เลย อีกอย่างพี่ว่าตรงนี้ทำเลดีจะตายเข้าใจเลือกนะเรา” ไอ้เจหัวเราะ


“เนียนแล้วพี่ ไอ้คำว่าทำเลดีเนี่ยมันดีตรงไหน ผมก็เห็นมันเหมือนกันทุกที่อ่ะ ตรงนี้เพื่อนผมนั่งนะ” น้องมันยังเถียง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปฏิกิริยาของมันทำให้ผมพอใจ ผมก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม


“พอใจกับคำตอบของน้องมันล่ะสิ” ไอ้อาร์ตเอาไหล่มาชนแขนผม มันยักคิ้วให้กวนๆ ผมชักสีหน้าใส่เพื่อนสนิท


“ไม่ต้องมาจับผิดกู” มันยักไหล่


“รีบๆ กินยาแล้วก็นอนพักเถอะ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ คงหลับได้หลายตื่น อ่อ ยานั่นพี่อุตส่าห์ไปขอมาให้บีทส์เลยนะ เพราะต้องไปหยิบน้ำเลยฝากซันเขาเอามาให้ รู้ไว้ซะด้วยว่าถ้าเป็นคนอื่น พี่ไม่ลงทุนทำอะไรแบบนี้หรอก” ไอ้เจมันตอบกลับ รู้เลยว่าตั้งใจพูดให้ผมได้ยินด้วย ผมไม่รู้ว่าบีทส์มันทำหน้ายังไง แต่น้องมันเงียบไปเลย คำตอบของไอ้เจเป็นบทสิ้นสุดของการสนทนาของคนทั้งคู่


แม้จะอยากรู้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันอีก แต่ผมก็ทำได้แค่นั่งมองจากด้านหลังเท่านั้น ผมต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำเป็นไม่สนใจ เมื่อรถเริ่มออกตัวผมก็หยิบหูฟังขึ้นมากดเปิดเพลงเพื่อให้ตัวเองเลิกคิด


แล้วทิ้งความรู้สึกที่คอยกวนใจไว้ที่นี่





หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-06-2018 18:12:11
อะไรของเจเนี่ย ไม่เข้าใจ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 08-06-2018 20:37:05
จ๊ะ ปากแข็งให้ตลอดนะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-06-2018 22:23:40
 :hao4:


ลีลา !!
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-06-2018 02:13:00
สนุกแท้
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 09-06-2018 10:42:20
ยิ่งอ่านยิ่งจุกในอก จุกแบบ อธิบายไม่ถูดเลย 5555
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 10 : รางวัลของคนเก่ง
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 11-06-2018 13:53:06
ตอนที่ 10 :: รางวัลของคนเก่ง



[บีทส์]


ผ่านมาจะสามอาทิตย์แล้วครับตั้งแต่พวกผมไปเข้าค่ายมา นับๆ ดูก็เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่ผมได้เข้ามาเป็นนักศึกษาของที่นี่ ด้วยเอกที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร และเพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าหน้าตาหล่อเหลาอย่างผมจะเรียนบัญชี ทำให้ผมกลายเป็นจุดเด่นของคณะคนหนึ่งไปโดยปริยาย เวลาเดินไปไหนมาไหนในมหาลัยก็จะแขวนป้ายชื่อสีเขียวที่บ่งบอกถึงเอกที่เรียน คนมองเหลียวหลังกันจนคอแทบเคล็ด

 
ตั้งแต่วันกลับจากการเข้าค่ายที่ผมได้นั่งคู่กับพี่เจ พี่มันก็ชวนผมคุยตลอดทางนั่นแหละครับ คอยวัดไข้ผมเป็นระยะๆ  ให้อีกต่างหาก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่มันต้องมาทำดีกับผมด้วย ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ผมก็พยายามที่จะบอกให้พี่มันกลับไปนั่งกลับเพื่อนซะ เพื่อนผมมันดูแลผมได้ แต่พี่มันดันเอ่ยปากบอกว่า


'พี่เต็มใจ'
 

แล้วใครจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย อ่อ พี่มันขอโทษเรื่องที่แกล้งผมด้วยนะครับ ยังจำกันได้ไหม ผมเลยถามพี่มันไปว่าคนอื่นก็คุยกันแต่ทำไมถึงเรียกทำโทษแค่ผม...พี่มันหัวเราะก่อนจะตอบด้วยประโยคที่สุดแสนจะขนลุกว่า

 
'บีทส์น่ารักไง พี่เลยแกล้ง อีกอย่างแค่อยากให้บีทส์จดจำพี่ได้ก็เท่านั้นเอง...แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วย'

 
มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละครับที่เชื่อ ผมเบ๋ปากให้พี่มันด้วยท่าทีที่ไม่เชื่อสุดๆ พี่มันหัวเราะก่อนจะยีหัวผม ผมสะบัดหัวหนีก่อนจะทิ้งหัวลงไปเอียงซบกระจกเพื่อข่มตาหลับ ไม่อยากจะคุยกับพี่มัน พี่เจเลยบอกให้ผมนอนพักผ่อนซะ แต่ทำไมต้องมากระซิบใกล้ๆ หูผมด้วยละพี่!!


ผมยกเอาเสื้อที่พี่เจยื่นให้ห่มก่อนหน้านี้มาปิดคลุมหัวมิด ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึ ใกล้ๆ ก่อนที่ผมจะหลับๆ ตื่นๆ จนมาถึงกรุงเทพ


ก็ตื่นเฉพาะเวลาเขาแวะปั้มกันเท่านั้นแหละครับ รู้สึกไม่สบายตัวเลยได้แต่นอน โดยมีไอ้พี่เจเป็นคนรับใช้ส่วนตัว สบายชะมัด!  อ่อ ระหว่างที่เขาจอดปั้ม  ผมก็แอบเหล่มองหาพี่ซันอยู่นะครับ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาสงสัยจะเปลี่ยนไปนั่งคันอื่น...

 
...ทั้งกลุ่มเลย

 
“มึงมีอะไรอยากบอกกูไหมบีทส์” ผมหันไปตามเสียงพูดของคนที่นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเลิกคิ้วถามมันงงๆ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา คนฉลาดๆ อย่างกูก็งงเป็นนะพิงค์


“อะไรของมึง” ผมถาม แต่อิพิงค์มันยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูนของมันเหมือนเดิม นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ มือหนึ่งถือหนังสือการ์ตูน อีกมือก็หยิบขนมใส่ปาก สบายไปไหมเพื่อนกู


“เรื่องพี่ซัน” 


ผมนิ่งเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน นี่ผมเผลอไปแสดงอาการอะไรให้มันสงสัยตอนไหนหรือเปล่า ผมว่าผมยังไม่เคยพูดเรื่องพี่ซันกับใครเลยสักครั้งแม้แต่กับน้องก็ยังไม่เคย แล้วไอ้คนที่มันนั่งอ่านการ์ตูนตรงหน้ามันรู้ได้ยังไง เอ๊ะ หรือมึงจะมีญาณทิพย์วะพิงค์ ไอ้ฉิบหาย!! เพื่อนกูมีองค์เหรอเนี่ย


“ไม่มีนี่ กูจะไปปิดบังมึงเรื่องอะไรครับ” ผมพยายามปรับเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะก้มลงเอาหนังสือมาเปิดทำเนียนเป็นทบทวนบทเรียน ทั้งที่ในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าของใครบางคน ที่พิงค์มันพูดถึง


“บีทส์” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอิพิงค์ด้วยใบหน้าหงุดหงิด อยู่ดีๆ ก็เรียก เรียกแล้วก็ไม่พูด!


“เรียกทำไมอีก!?!” ผมตะคอกใส่หน้าเพื่อนสนิททันที ตอนนี้อยู่กันสองคนครับ ไม่รู้จะไปลงที่ใคร ไอ้นัทไปหามีนที่คณะในระหว่างพัก ผมกับอิพิงค์ก็นั่งรอไอ้ปริ้นกับไอ้ออยให้เดินมาหาพวกผมที่คณะนัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวพร้อมกัน
 

“มึงอ่านหนังสือกลับด้าน”


หื้ม?  ผมก้มลงมองหนังสือในมือก่อนที่จะ...

 
เพล้งงงงงงง
 

ได้ยินเสียงหน้าตัวเองหล่นแตกกระจาย เชี่ยเอ๊ย จริงด้วย!! ผมรีบกลับหัวหนังสือให้ถูกที่ถูกทาง ก่อนจะนั่งตีหน้านิ่งท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอิพิงค์ที่ตอนนี้ลงไปนอนราบกับเก้าอี้แล้วกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย อินี่!! เดี๋ยวกระโปรงเปิดเก็บชายกระโปรงหน่อยสิโว้ย เดี๋ยวกูได้เห็นอะไรๆ ที่มันไม่เจริญหูเจริญตา!
 

ไอ้ฉิบหาย อายมาก!!


“หยุดเลยพิงค์ เมื่อกี้กูแค่ทดสอบความสามารถของตัวเอง ลองอ่านหนังสือกลับหัวดูบ้าง เผื่อกูจะจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น!” แถไปก่อนเรื่องเสียหน้ายอมไม่ได้ อิพิงค์มันพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง หน้ามันแดงไปหมด พยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ ฮึ่ม มึงอย่าพลาดบ้างนะโว้ย
 

“อ๋อเหรอ กูเพิ่งรู้ว่าอ่านหนังสือกลับหัวจะทำให้เราจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น ทริกมึงนี่น่าเอามาลองนะบีทส์ ฮ่าๆๆ” ยังครับ มันยังไม่หยุด เอ้อ! กูรู้ว่ากูพลาด แต่อย่าย้ำนักได้ไหม เห็นด้านๆ แบบนี้กูก็อายเป็นนะมึง


“เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวกูเสกหนังควายเข้าท้อง” ผมชี้หน้ามัน


“ฮ่าๆ อะไรวะ กูก็แค่แซว สรุปคือมึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอ มีอะไรมึงปรึกษากูได้นะ เห็นกูแบบนี้ แต่กูมั่นใจว่าฉลาดกว่ามึง” พิงค์มันพูดขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังในตอนท้าย แต่จะว่าไปก็จริงของมัน เอ๊ะ มึงหลอกด่ากูหรือเปล่าเนี่ยพิงค์!?!
 

“ไม่ต้องกลั้นขำเลยมึง กูรู้หรอกว่าหลอกด่ากู” ผมพูดเซ็งๆ หรือว่าจะลองปรึกษากับมันดูเผื่อมันจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยๆ มันก็คงจะคุ้นเคยกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าผม แต่เห้ย บอกมันจะดีเหรอวะยิ่งปากสว่างอยู่ด้วย แต่พอคิดดูอีกที...พิงค์มันก็เพื่อนผมนี่หว่า เพื่อนย่อมไม่ขายเพื่อน!! 


อย่าครับอย่ามองผมด้วยสายตาประมาณว่า มึงอย่าโง่นะบีทส์ ผมมีเหตุผลของผมนะ อย่างน้อยๆ พิงค์มันก็ดูเป็นคนจริงใจกับเพื่อนกับฝูง จริงๆ นะ อีกอย่างผมว่าประสบการณ์เรื่องความรักมันคงผ่านมาโชกโชน อย่าเพิ่งคิดลึกผมหมายถึง หน้าตาดีๆ อย่างมันก็น่าจะมีคนมาชอบเยอะใช่ไหมล่ะ มันก็น่าจะมีแนวคิดดีๆ ให้ผมได้เอามาประยุกต์ใช้บ้าง! ฉลาดคิดฉิบหาย


“ว่าไงบีทส์” อิพิงค์ยักคิ้ว ผมเหล่ไปมองหน้ามัน อย่าเพิ่งเร่งได้ไหม กูกำลังประเมินถึงผลดีผลเสียอยู่ เรื่องนี้มันปัญหาใหญ่ระดับชาติเลยนะเว้ย

 
“อย่าเร่งดิ” ผมตอบ พลางขมวดคิ้วเป็นปม ขาล่างก็กระดิกยิกๆ ไปพร้อมๆ กับนิ้วชี้ พิงค์มันเบ๋หน้าให้พลางก้มดูนาฬิกาสีชมพูที่ข้อมือมัน จะว่าไปไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันก็ช้าไปนะ เดี๋ยวหมดเวลาพักก่อนที่จะได้กินข้าว ผมนี่แหละจะงาบหัวมันเป็นอาหารเที่ยง!!

         
“ห่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมามึงก็ไม่ได้เล่าพอดี เร็วๆ ดิ กูอยากรู้” สรุปคือมึงแค่อยากเสือกสินะ ผมมองหน้ามัน

 
“มึงเคยแอบชอบใครไหมพิงค์”

 
“เอ้า อินี่!! ถามคำถามได้ปัญญาอ่อนมากค่ะ สวยๆ อย่างกูมันก็ต้องสนใจคนหล่อๆ อยู่แล้ว มึงถามทำไม” อิพิงค์จีบปากจีบคอพูด น่าถีบจริงๆ


“มึงก็ฟังกูให้จบก่อนเซ่! กูหมายถึงแบบ...แอบชอบใครสักคน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบเรา ออกจะเกลียดกู เอ้ย ไม่ใช่! ออกจะเกลียดเราด้วยซ้ำ คือกูจะพูดยังไงดีวะ คล้ายๆ กับการแอบชอบเขาข้างเดียว ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ประมาณนั้นอ่ะ” ผมเล่าพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาแก้มด้วยความไม่แน่ใจ พิงค์มันพยักหน้ารับคิดตาม
 

“ที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็เพราะทั้งเขาและมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่ไหม?”

 
“ใช่!! เอ้ย ไม่ใช่โว้ย!! มึงจะบ้าเหรอ” ผมรีบโวยวาย อิพิงค์หัวเราะ
 

“หึหึ มึงมีเรื่องต้องคุยกับกูยาวเลยนะบีทส์ มึงปรึกษาคนถูกแล้วเพื่อนยาก”       
 

“กูบอกว่าไม่ใช่ไง มึงอย่ามั่วพิงค์ กูยิ่งเครียดๆ อยู่” ผมพยายามปฏิเสธ ทำไมเหมือนผมสังเกตเห็นแววตาที่กำลังพบเจอเรื่องสนุกเรืองแสงออกมาจากตาของไอ้คนที่มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังไงก็ไม่รู้ครับ คิดถูกหรือคิดผิดว่ะเนี่ยมาปรึกษามัน


“เอาเถ๊อะ มึงยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่กูอยากแนะนำอะไรมึงสักอย่างนะบีทส์ ในฐานะที่กูก็เจอคนมาเยอะ” แน่ใจนะว่ามึงแค่เจออย่างเดียว ผมแอบแย้งในใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ เพื่อรอฟังว่าพิงค์มันจะพูดอะไรต่อ
 

“อย่าเพิ่งยอมแพ้...ถ้ามึงยังไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด” อิพิงค์มองหน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“หมายความว่าไงวะ”


“มึงเอากฎเกณฑ์จากที่ไหนมาวัดว่าความรักของมึงมันเป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเท่านั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วทุกวันนี้มันจะมีกระเทย ทอม เกย์เดินกันให้ควักหรอบีทส์ สำหรับคนอื่นกูไม่รู้ แต่กับพี่ซัน...กูว่าไม่แน่ ห้าสิบห้าสิบ” ผมเลิกคิ้ว มึงจะไปรู้อะไรพิงค์ ถ้ามึงรู้ว่าพี่มันพูดตอกหน้ากูมาว่าเขาชอบผู้หญิงจนเพื่อนมึงหน้าหงาย มึงจะไม่พูดคำนี้เลย
 

“มึงเอาอะไรมาพูด พี่มันชอบผู้หญิงเหอะ”
 

“ฮั่นแน่ มึงยอมรับแล้วใช่ไหมว่าชอบพี่สุดหล่อของกูอ่ะอิบีทส์!?!” ฮะ กูพูดตอนไหน เฮ้ย!! นี่มึงหลอกถามกูอีกแล้วเหรอพิงค์ เลวมาก!!!

           
“อะไรเล่า มึงมั่วแล้วพิงค์ กูจะไปชอบพี่สุดหล่อของมึงได้ไง คือมึงพูดชื่อพี่ซันขึ้นมาใช่ไหมล่ะ กูเลยแบบคิดว่ายังไงพี่เขาก็ชอบผู้หญิงไม่มีทางมาชอบผู้ชาย” ผมเถียง

 
“ ไม่ต้องตอบกูหร๊อก ตอบใจตัวมึงเองก็พอ บีทส์...ลองเสี่ยงอีกสักครั้งก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ กูยอมลดตัวลงมาช่วยมึงเลยก็ได้นะถ้ามึงยอมรับว่าชอบพี่สุดหล่อของกูจริงๆ” ผมชะงักไปในประโยคแรกของมัน แต่ประโยคสุดท้ายนี่อดหมั่นไส้มันไม่ได้ครับ อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก กูไม่หลงกลมึงเป็นครั้งที่สามแน่!

 
“ทำไมมึงถึงได้ยัดเยียดกูให้พี่ซันจังวะ นี่กูเพื่อนมึงนะเว้ย” ผมชี้เข้าหาตัวเอง
 

“ลองดูไหมล่ะ เท่าที่กูประเมินดูพี่สุดหล่อของกูน่าจะชอบคนอ้อนๆ หน่อย เชื่อฟังเขา เอาอกเอาใจ เหมือนลูกแมวตัวน้อยของราชสีห์ผู้เย่อหยิ่ง มารยาร้อยเล่มเกวียนที่มึงซ่อนไว้อ่ะเอาออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามึงทำได้ พี่ซันก็พี่ซันเห๊อะ ไม่พ้นมือเพื่อนกูหร๊อก” อิพิงค์มันว่า
 

ผมถอนหายใจ ทุกวันนี้หน้าผมพี่มันยังไม่อยากมองเลยนะ แล้วจะให้ผู้ชายมาดแมนแฮนด์ซั่มอย่างกูไปอ้อนพี่ซัน นอกจากจะไม่ได้ความเอ็นดูจากเขาแล้วเพื่อนมึงอาจจะได้กินตีนพี่มันมากกว่าพิงค์
 

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ซันน่ะ แฟนพี่ฟ้านะเว้ย พี่ฟ้าพี่รหัสของกูด้วย!” ผมเอ่ยขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้กับความจริงบางอย่าง


“เขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย อีกอย่างมึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าเขาคบกันเพราะที่บ้าน มึงจะกลัวอะไรของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย” กูชักจะหนาวๆ ร้อนๆ แล้วนะพิงค์ นี่มึงเพื่อนกูจริงๆ ใช่ไหม
 

“เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นกันด้วยซ้ำ” ผมพูดเสียงสลด


“ว่าที่ก็ว่าที่สิ เชื่อกูเถอะว่าพี่ซันไม่ได้รักพี่ฟ้าจริงๆ หรอก มองตาดูก็รู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโดนจับหมั้นกันตามประสาคนรวยแต่งกับคนรวยก็ได้”

มึงไปจ้องตากับพี่ซันตั้งแต่ตอนไหน แล้วไอ้การโดนจับคลุมถุงชนขนาดนั้น ครอบครัวเขาก็ต้องรู้เห็นเป็นใจด้วยอยู่แล้ว แล้วกูจะเอาอะไรไปสู้กับเขา


“บาปน่ะสิมึง”

 
“โลกของเรามันไม่ได้สวยงามอย่างที่มึงคิดนะบีทส์ เอาเถอะ มึงก็คิดซะว่าแค่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขก็ได้ ถ้าจนถึงที่สุดแล้วพี่ซันเขาไม่สามารถหันกลับมาชอบมึงได้จริงๆ ก็ถือว่ามึงได้ทำเต็มที่แล้ว มึงก็แค่ ‘ตัดใจ’ แต่ถ้าเขาเกิดชอบมึงขึ้นมาจริงๆ มันก็คุ้มกับการเสี่ยงไม่ใช่เหรอวะ” แค่ได้ยินคำว่าตัดใจก็จุกแล้วครับ

 
“เห้ยแต่ว่าไม่ใช่พี่ซันจริงๆ นะเว่ย” คุยกับมันมาตั้งนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ โอ๊ย พลาดอีกแล้วกู อิพิงค์ทำหูทวนลม

 
“ถ้างั้นมึงก็เลิกหน้าแดงให้กูดูก่อนสิ แล้วกูจะยอมโง่เชื่อมึงก็ได้ โอ๊ะ นั่นพี่เจของกูนี่หว่า” ฉิบ นี่กูหน้าแดงเหรอ! ไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้ล่ะเว้ย!! ผมเอามือแนบแก้มตัวเองทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปตามทิศทางที่พิงค์มันมอง


พี่เจจะแวะมาหาผมตอนพักเที่ยงของทุกๆ วันเลยครับแต่ตั้งกลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละ ผมรีบเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองรวบๆ ใส่กระเป๋า ก่อนจะหันไปสั่งอิพิงค์

 
“พิงค์ๆ ถ้าพี่มันถามหากู บอกว่ากูไปขี้นะไม่ต้องรอ” อิพิงค์ทำหน้างงเหรอหรา ผมรีบหันไปทางพี่เจอีกรอบ พี่มันมุ่งตรงมาทางนี้เหมือนมีเป้าหมาย จะไม่อะไรเลยนะถ้าเป้าหมายที่ว่า..ไม่ใช่ผม

           
“เห้ยเดี๋ยว!!” เสียงอิพิงค์เรียกตามไล่หลัง ไม่ทันแล้วโว้ย!!


ผมรีบจ้ำอ้าวออกมาจากหน้าคณะทันทีด้วยท่าทางเร่งรีบ กระชับกระเป๋าเป้สีดำของตัวเอง มองซ้ายมองขวาไปไหนดีวะ กลับไปกินข้าวที่คณะก็ไม่ได้เดี๋ยวได้ป๊ะกับไอ้พี่เจ พี่มันหล่อนิสัยดีนะครับ แต่ผมมันนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือ…
 

ยิ่งมีใครวิ่งไล่ตาม...ผมก็ยิ่งวิ่งหนี
 

ผมตัดสินใจว่าจะโทรหาไอ้ออยกับไอ้ปริ้น ชวนไอ้พวกนั้นไปกินข้างนอกก็ได้วะ ส่วนอิพิงค์ก็ปล่อยให้มันรับหน้ากับพี่เจไป...มันคงชอบ
 

"อ้าวบีทส์ จะไปไหนน่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะยิ้มกว้างให้กับคนคุ้นหน้าที่เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนสนิทมันอีกคน

 

“ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะโทรหาไอ้ออยแล้วชวนมันไปกินข้าวข้างนอก” ผมตอบก่อนจะก้มลงกดไล่รายชื่อหาเบอร์ไอ้ออยในโทรศัพท์ต่อ


“เราว่าไม่ต้องโทรแล้วล่ะ พวกนั้นมีควิซจนป่านนี้ยังไม่เสร็จเลย” ไอ้ตี๋ตอบ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์เครื่องโปรด ไปมองหน้าคนตอบแทน
 

“ไม่เห็นไอ้พวกนั้นบอกเลย” ผมถาม จริงๆ ครับ ก็นัดกันไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน ปล่อยให้กูหิ้วท้องรออีกแล้วเรอะไอ้พวกนี้ ชิช๊ะ ลืมกู!!

 
“ฮ่าๆ บีทส์ชอบทำหน้าตลกเหมือนที่ตี๋มันบอกเลย” หา!?! ผมทำหน้าตาเหรอหราหนักกว่าเดิม อะไรวะ ผมออกจะหล่อมาบอกตลก ไม่ใช่พี่หม่ำนะ
 

“ไอ้ตี๋มันบอกเนมแบบนั้นเหรอ” ผมถาม พลางส่งสายตาหาเรื่องไปทางไอ้คนที่ตัวสูงกว่าผม

 
“เห้ย เราเปล่า” ไอ้ตี๋รีบปฏิเสธ หนอยแน่ะ กล้านินทาไอ้บีทส์ลับหลังเรอะ

           
“ฮ่าๆ เนมว่าเราไปกินข้าวกันเถอะ บีทส์ยังไม่ได้ทานเหมือนกันใช่ไหม เนมกับตี๋กำลังจะไปกินข้าวตรงหน้ามอพอดี ไปด้วยกันไหม” หูย คนอะไร วันแรกพูดเพราะยังไง...วันต่อมาก็ยังพูดเพราะอย่างนั้น!! ยิ่งรู้จักกันยิ่งรู้สึกว่าเนมมันแตกต่างจากคู่แฝดมันลิบลับ เรียกชื่อตัวเองแทนตัวทู๊กคำ อะไรจะน่ารักขนาดนี้
 

ผมยิ้มให้เนมก่อนจะพยักหน้าตกลง เลื่อนสายตาไปหาอีกคนที่ยังยืนทำหน้าอ้อนอยู่ข้างๆ เกือบจะหลุดขำแต่เก็บอาการไว้ได้ทัน  ผมสะบัดหน้างอนใส่ไอ้ตี๋ ก่อนจะเดินตามเนมไปติดๆ


“บีทส์!!”  ผมชะงัก แล้วหันหลังกลับไปตามเสียงเรียก

 
“อ้าวพี่หมอ มาทำอะไรแถวนี้ครับ” คือนี่มันหน้าตึกคณะวิศวะนะครับพี่ ได้ข่าวว่าเรียนหมอ แถมยังต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาลไม่ใช่เร๊อะ  พอผมหยุดเดินอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ กันก็พลางหยุดเท้าไปด้วย พวกผมเดินออกมาน่ะครับ กะว่าจะหาอะไรกินกันหน้ามอเพราะกลัวว่าจะกลับมาเข้าเรียนคลาสบ่ายไม่ทัน พ้นจากวิศวะก็เจอประตูแล้วครับ
 

“เอารายงานของไอ้ซันมาฝากไว้กับไอ้สองน่ะ งานด่วนต้องส่งอาจารย์วันนี้” อ่อ มาหาพี่สอง เอ้า แล้วทำไมพี่ซันไม่มาเองล่ะ มหาลัยกับหอก็อยู่กันแค่นี้ จะว่าไปผมก็ไม่เจอพี่ซันเลยตั้งแต่กลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละครับ เลยพอทำให้ใจผมสงบลงได้บ้าง .. ได้ยินเสียงแว่วๆ ตอบกลับมาว่า ‘เหร๊อ??’ จริงๆ นะเออ นั่งยันนอนยันเลย


“อ้าว แล้วทำไมพี่ซันไม่มาส่งเองล่ะครับ” อดไม่ได้ที่จะอ้าปากถาม ไม่เจอหน้าขอรู้ข่าวบ้างก็ยังดี...อาการหนักนะกู


“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” หื้ม พี่ซันน่ะเหรอ!?!


“เฮ้ย จริงหรอพี่ แล้วพี่ซันเป็นอะไรมากไหม อยู่โรงพยาบาลไหนครับ!?! เผื่อผมจะแอบไปเยี่ยมได้ แล้ว แล้วตอนนี้ปลอดภัยดีใช่ไหม เอ่อ พี่หมอ ละ..” ผมเอ่ยถามพี่หมอเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าเอื้อมมือไปคว้าแขนพี่หมอมาเขย่าเร่งตั้งแต่ตอนไหน ก่อนจะหยุดถามเมื่อพี่หมอเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน


“บีทส์ใจเย็นๆ มันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เลือดร้อนไปหน่อยเลยพลาดน่ะ ตอนนี้พี่ก็บังคับให้มันนอนพักอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ” ผมพรูลมหายใจออกมาทางจมูกเฮือกใหญ่ อยากไปเห็นกับตาว่าพี่มันไม่เป็นอะไรมากจริงๆ แอบไปเคาะที่หน้าห้องจะโดนถีบออกมาไหมวะเนี่ย


“ขอโทษครับ” ผมยิ้มแห้งๆ ลืมตัวไปหน่อย


“ไม่ต้องห่วงมันหรอก เดี๋ยวพี่จะกลับไปดูมันอีกสักรอบ แล้วจะไปเข้าเวรต่อ” พี่หมอเอื้อมมือมายีหัวผมแล้วส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ เฮ้อ พี่ซันน่าจะได้มุมนี้ของพี่หมอมาบ้าง ว่าแต่ทำไมใครๆ ถึงชอบเล่นหัวผมกันจั๊ง!! 

           
ผมยังยึดชายเสื้อพี่หมอไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นผมเงียบพี่หมอก็เงียบด้วย เออจริงสิ ถ้าไปกับพี่หมอพี่ซันคงไม่กล้าไล่ผมออกมาแน่ เสี่ยงต่อการโดนด่านิดหน่อยดีกว่ากลับไปแล้วนอนไม่หลับล่ะวะ แล้วก็ถ้าพี่มันถามค่อยบอกว่ามากับพี่หมอก็แล้วกัน

 
“เอ่อ พี่หมอผมขอตามกลับไปที่คอนโดด้วยได้ไหมครับ?” ผมถาม พี่หมอทำสีหน้าแปลกใจ ผมเลยส่งยิ้มประจบไปให้

 
“แล้วเพื่อนเราล่ะ” พี่หมอถาม


เออว่ะ ลืม!!! 


ผมหันขวับไปส่งยิ้มแหยๆ ให้กับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

           
“คือ...พอดีเรามีธุระด่วนต้องไปทำกับพี่หมออ่ะ คือแบบว่ามันเป็นธุระที่ด่วน ด่วนมากๆ เนมไปกินข้าวกับไอ้ตี๋กันสองคนก็แล้วกันนะ แหะ ๆ ขอโทษด้วย ไว้วันหลังเราจะไปให้ตี๋เลี้ยงข้าว ไปล่ะ!” ผมรีบหันไปพูดกับเนม ก่อนจะเหมารวมเองเสร็จสรรพว่าครั้งหน้าไอ้ตี๋จะเป็นเจ้ามือ เจ้าตัวทำหน้าตาเลิ่กลั่กเหมือนคิดไม่ทัน ผมยิ้มขำแล้วสะกิดแขนพี่หมอให้เดินออกมาทันที

 
“เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะบีทส์” พี่หมอหันมาพูดหันผมพลางหัวเราะขำๆ ผมหันไปยิ้มเขินๆ ก่อนจะก้าวตามไปขึ้นรถกับพี่หมอ

 
ผมนั่งรถมากับพี่หมอ โดยแวะซื้อของกินกับผลไม้ติดมือมาด้วย ตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องพี่ซันแล้วครับ พี่หมอกำลังไขกุญแจห้องอยู่ สนิทกันน่าดูเลยมีกุญแจสำรองด้วย ได้ยินเสียงดังกริ๊ก ใจผมสั่นระรัวทันที พี่หมอหันมาพยักหน้าให้ผมแล้วเปิดประตูเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
 

เชี่ย!!

 
เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม!?!!!!






หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 9 : โรคทางใจ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 11-06-2018 13:54:03
[ต่อ]



หมับ!


ผมหันหลังกลับไปหาคนที่ดึงคอเสื้อของผมเอาไว้ พี่หมอทำหน้าแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่ยอมตามเข้าไป ผมเลยยิ้มแฉ่งไปให้หนึ่งที


“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”  พี่หมอถาม

 
“เอ่อ คือ ผมนึกได้ว่าลืมเก็บผ้าน่ะครับพี่หมอ เมื่อกี้สังเกตเห็นฟ้าครึ้มๆ เหมือนฝนจะตก เดี๋ยวผมขึ้นไปเสื้อผ้าก่อนดีกว่า” ผมตอบ  พี่หมอเลิกคิ้ว


“หึหึ ตอนเข้ามาพี่เห็นว่าฟ้ายังโปร่งอยู่เลยนะ กลัวเหรอ ไหนๆ ก็อาสาช่วยถือของมาให้แล้ว ก็เข้าไปเยี่ยมเพื่อนพี่สักหน่อย ไม่แน่นะถ้าไอ้ซันได้เจอหน้าบีทส์มันอาจจะอาการดีขึ้นก็ได้” ผมทำตาโต อื้อหือ สมกับเป็นหมอ เห็นตั้งหน้าตั้งตาขับรถก็ไม่นึกว่าจะสนใจสิ่งรอบข้างด้วย แล้วไอ้คำว่ากลัวน่ะ คร๊าย ใครกลัวครับพี่ ระดับไอ้บีทส์พร้อมจะพุ่งชนทุกอย่าง


“มีอะไรให้กลัวล่ะพี่ วู้ว ป่ะๆ ไหนครับให้วางของตรงไหน เสร็จแล้วผมจะได้รีบกลับห้องของผมบ้าง มีคลาสบ่ายคร้าบ” ผมเดินเลี่ยงพี่หมอเข้ามาในห้อง ห้องที่ผมเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน


ทุกอย่างยังคงวางอยู่เหมือนเดิมเป๊ะ เปลี่ยนไปก็แค่ตรงห้องรับแขกที่สภาพเหมือนผ่านสนามรบมาอย่างไงอย่างงั้น ทั้งแผ่นเกม แผ่นหนัง กระจายเต็มไปหมด


“วางไว้ในครัวเลย บีทส์เคยเข้ามาแล้วนี่” พี่หมอตอบ พลางเดินตามผมเข้ามาในห้อง พี่มันถอดรองเท้าหนังสีดำของตัวเองแล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ ส่วนผมเปลี่ยนเรียบร้อยตั้งแต่เข้ามาแล้ว


ผมก้มจัดผลไม้เข้าตู้เย็นโดยแบ่งออกมาล้างเพื่อจัดไว้ให้คนป่วยได้หยิบกินเล่นได้สะดวก ก้มๆ เงยๆ อยู่สักพัก ไม่อยากบ่นเลยครับว่าในตู้เย็นของพี่มันมีแต่น้องแอลทั้งนั้นเลย แอลกอฮอล์น่ะครับ ของกินที่มีประโยชน์แทบไม่มีอยู่ในนี้สักอย่างเลยครับ เอาง่ายๆ นะครับ ทั้งห้องเนี่ยมีน้องแอลเพียงอย่างเดียวที่พอจะกินได้ ขนาดอาหารติดห้องยอดฮิตอย่างมาม่ายังไม่มีแม้เงา


ชักสงสัยแล้วครับ ว่าวันๆ พี่มันบริโภคอะไรเข้าไปบ้างนอกจากน้องแอลเนี่ย...


“บีทส์” เสียงพี่หมอเรียก ผมหันไปเจอร่างสูงของพี่หมอที่สวมเสื้อกาวน์รองเท้าหนังเรียบร้อยเหมือนตอนมา เอ่อ ไปเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่


“ครับ?” 


“พี่มีเคสต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ฝากบีทส์ดูแลไอ้ซันหน่อยได้ไหม” ห๊ะ อะไรนะ!?! ใครจะอยู่ล่ะ!! โกยละโว้ย


พรึ่บ!


โป๊ก!
 

“โอ๊ย!!..” ผมร้อง


เชี่ย หัวโขกกับประตูตู้เย็น


“เป็นอะไรไหมล่ะนั่น ฮ่าๆ ซุ่มซ่ามจังเลย” พี่หมอรีบก้าวเข้ามาช่วยพยุงผมลุกขึ้น ผมลูบหน้าผากตัวเอง อ๊าก มีรอยนูนขึ้นมาเลย
 

“ไม่เป็นอะไรครับ ถ้าพี่หมอกลับผมก็ไม่อยู่นะ!” ผมร้องบอก


“ตอนนี้ไอ้ซันมันไข้ขึ้น พี่เป็นห่วงมัน จะโทรหาเพื่อนก็ดันมีควิซกันหมด จะเหลือก็แค่บีทส์ ช่วยเพื่อนพี่หน่อยไม่ได้เหรอ ทีตอนบีทส์ไม่สบายเพื่อนพี่มันยังอยู่ดูแลเราโดยไม่เกี่ยงงอนเลยนะ พี่ขอล่ะ อย่างน้อยก็รอให้พี่เลิกเวรก่อนก็ยังดี” ผมอ้าปากค้าง ถ้าพี่หมอจะใช้ไม้นี้ล่ะก็นะ! ฮึ่ม เอาไงดี


“แล้วคลาสบ่ายผมล่ะ” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง
 

“พี่จะโทรไปบอกพิงค์ให้ว่าเราต้องอยู่ดูแลไอ้ซัน เอาแบบนั้นดีไหม” พี่หมอถาม


“เห้ยไม่ต้องเลยพี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง พี่หมอรีบไปเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมดูแลให้ก็ได้” ผมรีบห้าม ขืนให้พี่หมอบอกอิพิงค์ไปแบบนั้น รับรองว่าอิพิงค์คงกระหน่ำโทรมาถามความเคลื่อนไหวแบบเกาะติดสถานการณ์ผมอีกแน่ๆ ครับ


“โอเค ขอบคุณครับ เอ้อ บีทส์ไอ้ซันยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้าพี่ฝากด้วยนะ” พี่หมอรับคำ แล้วก้าวออกไปทันที แต่เห้ย!! แบบนี้ผมก็ต้องอยู่กับพี่ซันแค่สองคนดิ ฉิบหายแล้วไง!!


โอเค  คงต้องทำใจผมต้องพยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนอื่นคงต้องจัดของเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อยก่อน ผมจัดของเข้าตู้เย็นพร้อมทั้งจัดผลไม้ใส่จาน ยังดีที่ผมซื้อของมาเตรียมทำข้าวต้มให้คนป่วยทานด้วย เสียเวลาไปกับการทำอาหารซะเกือบชั่วโมง…


ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่ซัน ร่างสูงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ดูเหมือนพี่มันจะหายใจลำบาก ได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดค่อนข้างดังเลยครับ บนหน้าผากพี่ซันมีเจลลดไข้แปะอยู่ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ วางถาดอาหารไว้ข้างๆ หัวเตียง
 

ผมก้มลงไปมองหน้าพี่ซันใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเลยล่ะครับ ไปทำอิท่าไหนมาก็ไม่รู้ เห็นพี่หมอบอกว่าได้แผลมาด้วยจนส่งผลให้ไข้ขึ้นแบบนี้ ผมอยากรู้จริงๆ นะ แต่ไม่กล้าถาม


“พี่ซัน...พี่ซันครับ พี่ซัน” ผมเรียกพลางเขย่าตัวพี่ซันไปด้วย

เงียบ


“พี่ซัน ตื่นมากินข้าวก่อนครับจะได้กินยา พี่ซัน” ผมเรียกอีกครั้ง พี่ซันเริ่มขยับตัว ผมเงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยา


พี่มันลืมตาขึ้นมองเพดาน กวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก่อนสายตาคมจะหยุดนิ่งจ้องใบหน้าผม ผมเงียบ พี่ซันเงียบ ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไร เกร็งตั้งแต่ปลายเท้ายันปลายเส้นผมกันเลยทีเดียว


“มึง..มาได้ไง?” นั่นไง! ทำไมซื้อหวยไม่ถูกบ้าง


“มากับพี่หมอน่ะครับ เขาฝากผมให้ช่วยดูแลพี่แทนในระหว่างที่เขาไปเข้าเวร” ผมตอบ พี่ซันถอนหายใจเฮือกใหญ่ อื้อหือ ร้อนมาถึงนี่!


“มึงกลับไปเถอะ กูไม่ได้เป็นอะไร ไอ้อาร์ตแม่งยุ่งฉิบ” พี่ซันตอบเสียงแหบแห้ง พลางเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงปิดหน้าตัวเอง ป่วยขนาดนี้ยังเล่นตัวอีก ไม่ห่วงเนี่ยไม่มาให้โดนด่าเล่นหรอกนะครับ


“ครับๆ ไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร ตื่นมาทานอะไรหน่อยนะ พี่หมอฝากยาไว้พี่ต้องกินยา ข้าวต้มกำลังร้อนๆ เลยนะ” ผมรีบอธิบาย


“...”


เอ้า เงียบ คนพูดด้วยก็ไม่พูด


“พี่ซันทานหน่อยสิครับ ทานแล้วผมถึงจะกลับ” ผมบอก พลางขยับไปหยิบถาดอาหารมาวางไว้บนตัก พี่ซันยังนิ่ง


จึก จึก


ผมกระตุกผ้าห่มสองสามที


พรึ่บ!


เห้ย!!


พี่ซันถลกผ้าห่มขึ้นพร้อมทั้งลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อบึ้งตึงแสดงออกว่าหงุดหงิดผมเต็มที่ ผมเองก็จ้องที่แขนพี่ซันตาค้าง นี่ถึงกับต้องใส่เผือกกันเลยเหรอวะเนี่ย แล้วนั่นอะไร!?! ทำไมหน้าช้ำแบบนั้นล่ะ!!! เมื่อกี้เพราะพี่มันเอาแต่หันหนีเลยไม่ทันได้สังเกต
 

“ออกไป ก่อนที่กูจะโยนมึงออกไป” พี่ซันพูดขึ้นมาพูดเสียงเรียบ จ้องหน้าผมเขม็ง เช๊อะ รู้หรอกว่าไม่อยากเห็นหน้ากันน่ะ แต่ใครเขาสนกันล่ะ!


...พี่สุดหล่อของกูน่าจะชอบคนอ้อนๆ หน่อย เชื่อฟังเขา เอาอกเอาใจ เหมือนลูกแมวตัวน้อยของราชสีห์ผู้เย่อหยิ่ง มารยาร้อยเล่มเกวียนที่มึงซ่อนไว้อ่ะเอาออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามึงทำได้ พี่ซันก็พี่ซันเห๊อะ ไม่พ้นมือเพื่อนกูหร๊อก...


กูเชื่อคำพูดมึงได้ใช่ไหมพิงค์
 

“ทานหน่อยนะครับ จะได้กินยา สัญญาเลยว่าถ้าพี่ทานข้าวต้มเสร็จแล้วผมจะเลิกเซ้าซี้อีก อ่ะ ถ้ายอมกินข้าว ทานยาแล้วก็ทายาผมยอมให้หอมแก้มหนึ่งทีเลยเอ้า!” ผมปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงของไอ้คนป่วยแต่ขี้เก็ก พลางยื่นถ้วยข้าวต้มเข้าไปหาอีก นี่กูเปลืองตัวสุดๆ แล้วนะครับ


“...”  พี่ซันมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาลุกวาว อย่า..อย่าเพิ่งสาปผมนะครับ ผมยังไม่อยากแข็งตาย ผมยิ้มให้พี่มันอย่างเอาใจพลางตักข้าวต้มยื่นไปที่ปาก


“มาเดี๋ยวผมป้อนให้ก็ด่ะ..”


เพล้ง!!!


“...”
 

“โอเค ผมไม่ยุ่งแล้วก็ได้ครับ” ผมพูดพลางถอยร่นลงจากเตียง วางถาดข้าวต้มไว้ที่เดิม โมโหแล้วนะเว้ยคนอุตส่าห์ ‘เป็นห่วง’ เสียเวลาจริงๆ แม่ง น้ำข้าวต้มหกใส่มือกูด้วย!!


ผมหันไปมองหน้าพี่ซันอีกรอบ พี่มันสลดไปครู่หนึ่งแต่ก็หันหน้าหนีไปทางอื่นโดยไม่สนใจผม วิธีอิพิงค์ไม่เห็นจะได้ผลเลย ฮือ แสบมืออ่ะ
 

แกรก

 
“เดี๋ยว!”

 
ผมหันกลับไปที่พี่ซันอีกครั้ง เรียกกูไว้ทำไม เรียกไว้แล้วจ้องหน้าไม่พูดไม่จา จะด่าอะไรอีก เอาเลยตามสบาย!!


“...”


“งอนเป็นตุ๊ดเลยนะ อ่อ กูลืมไปว่ามึงเป็นอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ เสร็จแล้วก็ไปซะ พอใจมั้ย” พี่ซันพูดขึ้น ยังมีแอบจิกกัดผมอีกนะ ผมเม้มปาก เกือบจะร้องไห้จริงๆ ฮึ! ต้องให้เจ็บตัวก่อน ถึงจะยอม


ผมรีบซ่อนรอยยิ้มดีใจ แล้วตีหน้าเรียบรีบเดินไปหยิบช้อนมาใหม่แล้วหยิบชามข้ามต้มมาถือไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมเก็บคำพูดคำจา พยายามพูดให้น้อยที่สุด


“พอทานได้ไหมครับ” ผมถาม หลังจากที่ป้อนข้าวต้มให้ไอ้คนขี้เก็กตรงหน้า ถ้าทุกคนคิดว่าพี่มันจะยอมให้ผมป้อนได้ง่ายๆ ตั้งแต่แรกละก็ ผมว่าคงเป็นพี่ซันตัวปลอมแน่ๆ แต่เพราะมือข้างที่เข้าเฝือกดันเป็นข้างที่พี่มันถนัด พอคนตัวโตๆ อย่างพี่มันลองตักข้าวต้มด้วยมืออีกข้างด้วยอาการสั่นๆ ยังไม่ถึงปากดีน้ำข้าวต้มก็ไม่เหลือถึงปากแล้วครับ ผมกลั้นขำแทบตาย สุดท้ายเลยเอ่ยปากอาสา
 

'ให้ผมช่วยไหมครับ' ผมถาม


'เหอะ!!'

 
แน่ะ คนอุตส่าห์หวังดี ยังทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเยาะเย้ยกันอีก


'งั้นเอางี้ พี่ก็คิดซะว่ามีสาวๆ สวยๆ มานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำพี่อยู่ก็ได้นะครับ ไม่ต้องคิดว่าเป็นผมเดี๋ยวจะพาลไม่เจริญอาหารเอาเปล่าๆ' พูดเองก็เจ็บจี้ดไปถึงกระดองใจ ฮึ่ม อดทนนะไอ้บีทส์
 

'รู้ตัวก็ดี'


แร๊ง คำเดียวสั้นๆ


เช๊อะ ถ้าคิดว่าการพูดจาร้ายๆ กับผม แล้วผมจะยอมถอยฝันไปเถอะ หน้าผมเพิ่งไปราดคอนกรีดเสริมใยเหล็กมาด้วย หนามาก!! อีกอย่าง..เดี้ยงๆ แบบนี้จะทำอะไรผมได้ เห๊อะ


"ก็พอกินได้...ถามเหมือนทำเอง" พี่ซันเบ๋ปากนิดๆ ก่อนจะร้องซี้ดเพราะเจ็บปาก สมน้ำหน้า!
 

"ชิส์ ก็ทำเองน่ะสิ ถึงได้ถาม" ผมทำปากยื่น พี่ซันมองหน้าผมอึ้งๆ หึหึ เงิบเลยอ่ะเด้ มาดแมนแฮนซั่มอย่างผมทำอะไรได้มากกว่าที่พี่คิดนะครับ
 

“พูดจริง?”

 
“แล้วผมจะโกหกพี่ทำไมเล่า!?!” ผมโวย ไอ้พี่บ้านี่ พูดความจริงยังจะไม่เชื่อกันอีก นี่ขนาดไม่สบายอยู่นะ แน่ะ ยังจะมายักคิ้วกวนตีนอีก เชี่ย นึกว่าหล่อเหรอ เออ! หล่อ!


“แค่ก บ่นอะไรวะ พอๆ รำคาญ ไหนล่ะยา” พี่ซันยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ผมชะงักมือค้าง ก่อนจะลดมือลงรวบช้อนไว้ในชามข้าวต้มเหมือนเดิม แล้วหยิบเอาถุงยาออกมานั่งดู แยกใส่แก้วไว้ให้พี่ซัน ก็มียาลดไข้ แก้อักเสบ แก้ปวด ดูแลดีซะยิ่งกว่าเมียเขาอีกนะกูเนี่ย


“นี่ครับ”


พี่ซันยื่นมือมารับยา ก่อนจะส่งเข้าปาก ตามด้วยน้ำที่ผมยื่นให้อีกอึกใหญ่

 
“ไม่มีเรียนรึไง แล้วหน้าผาก..ไปโดนอะไรมา” พี่ซันถาม


 “มีครับ แต่พอดี...เอ่อ โดด แหะ แหะ ส่วนไอ้นี่...ผมซุ่มซ่ามนิดหน่อย” ผมตอบ พลางลูบไปที่รอยตรงหน้าผาก โห คนอุตส่าห์ลืม จะได้ลืมความเจ็บ จะถามขึ้นมาทำไม ตู้เย็นห้องพี่ทำร้ายร่างกายผม
 

“หึ”
 

“...”


“มึงโอเคใช่ไหม” พี่ซันพูดขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ซันที่จ้องมองมาก่อนอยู่แล้ว

 
“เรื่องอะไรครับ” ผมถาม


“ช่างเถอะ” พี่ซันจ้องหน้าผมนิ่ง ก่อนจะเอ่ยตัดบท เมื่อผมไม่มีทีท่าจะเข้าใจในสิ่งที่พี่มันสื่อเรียกว่า ‘จงใจ’ ที่จะไม่เข้าใจจะดีกว่าครับ บั่นทอนกำลังใจตัวเองเปล่าๆ


“เอาล่ะ ในเมื่อพี่ทำตามที่ตกลงกันแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะครับ จะได้หายไวๆ มาผมช่วย จะได้เดินง่ายขึ้น” ผมส่งยิ้มอ้อนๆ ให้พี่ซัน แล้วลุกขึ้นไปประชิด เอ้ย ช่วยพยุง
 

“เออ สัด! ได้ทีแล้วสั่งนะ!” โว้วว คนเขาเป็นห่วงหรอก ยังมีหน้ามาผลักหน้าผากเค้าอีกนะ เดี๋ยวไม่ช่วยเลย!!
 

“เห็นแก่ที่พี่เคยช่วยผมไว้หรอก ไม่ได้พิศวาสอะไรพี่เลยสักนิ๊ด!!” ผมเบ๋ปากงอนๆ


“หึ เป็นแบบนั้นก็ดี..มึงจะได้ไม่เจ็บ เสียเวลาเปล่า” ผมชะงักไปนิดเมื่อฟังจบ ก่อนช่วยประคองพี่ซันให้ไปนอนบนเตียง แล้วจัดผ้าห่มให้เข้าที่


ไอ้บ้า!! ย้ำอยู่ได้ รู้แล้วโว้ยว่าชอบผู้หญิง ไม่เคยได้ยินหรือไงสมัยนี้เขาว่ากันว่าผู้ชายกว่าร้อยละสามสิบเป็นเกย์นะครับ!! (เคยอ่านเจอในหนังสือ)



“พี่ซันครับ”


“?”
 
จุ๊บ


“รางวัลที่ตกลงกันไว้ผมทำตามสัญญาแล้วนะ มีอะไรเรียกผมได้ เดี๋ยวผมจะนั่งเล่นอยู่ข้างนอก ฮ่าๆหน้าพี่โคตรตลกเลยเมายาเหรอครับ พักผ่อนเยอะๆ นะครับ อ๊ะ ให้อีกข้างก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าผมลำเอียง ฮ่ะๆ อึ้งเลย” พูดจบก็เผ่นแน่บ กร๊าก ขำหน้าพี่ซันว่ะ อ้าปากค้างไปเลย


ผมออกมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วค้นหากล่องยามาทำแผลให้ตัวเอง พูดซะหรูเลยกู ฮ่าๆ ก็แค่หลอดยาสีฟันแหละครับ เอามาป้ายๆ ตรงที่โดนลวก ทากันไว้เฉยๆ เพราะมันแสบร้อนจนหายไปแล้ว

 
“อู้ย จะเป็นรอยมั้ยวะ” ผมบ่น ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเรียกเข้าที่แผดเสียงขึ้นพร้อมกับแรงสั่นครืดในกระเป๋ากางเกง


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


“คุณนาย”


“ฮัลโหลค้าบคุณนายสุดที่รัก” ผมรับสาย


“ปากหวานจริงๆ ลูกคนนี้ อยู่ไหนน่ะบีทส์” แม่ถาม
 

“เอ่อ อยู่ห้องรุ่นพี่ครับ พอดีพี่เขาไม่สบายบีทส์เลยแวะมาดู อีกเดี๋ยวก็จะกลับห้องแล้ว ว่าแต่คุณนายโทรมามีอะไรให้ลูกชายคนนี้รับใช้เหรอครับ” เออน่ะ พี่ซันก็รุ่นพี่คนหนึ่งผมไม่ได้พูดปดนะครับแม่ ก็แค่...บอกไม่หมดเอง


“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่แค่คิดถึงเห็นช่วงนี้หายหน้าหายตาไป นึกว่าลืมแม่คนนี้ไปแล้วซะอีก” แม่พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ ผมหัวเราะ

 
“โธ่คุณนายคร้าบ บีทส์แค่ยุ่งๆ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรหาเลย” พูดเอาใจคุณนายเขาหน่อยครับคนแก่ขี้งอน


“จ้ะ วันหยุดนี้กลับบ้านมั้ยบีทส์”


“กลับซี”


“จ้ะ แม่โทรมาถามแค่นี้แหละ ไว้เจอกันจ้ะลูก” 
 

“เอ่อ แม่ครับ!” ผมเรียก คุณนายดูชะงักไปกับสรรพนามที่ผมใช้เรียก ปกติผมจะเรียกเฉพาะตอนที่ผมจริงจังหรือกำลังซีเรียสอยู่เท่านั้น


“ว่าไงจ้ะ บีทส์มีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกแม่ได้นะ” แม่พูดเสียงอ่อนโยน จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
 

“มันจะผิดมั้ยครับ ถ้าเราแอบชอบคนที่เขามีแฟนแล้ว เอ่อ คือไม่ใช่บีทส์นะ พอดีเพื่อนบีทส์มันมาปรึกษา บีทส์เลยมาถามแม่ต่อ บีทส์ว่าแม่น่าจะมีคำตอบที่ดีให้กับบีทส์ เอ้ย บีทส์หมายถึงบีทส์จะเอาไปบอกเพื่อนต่อน่ะ” คุณนายจะจับได้ไหมเนี้ย อ๊าก ไม่น่าเอ่ยปากถามเลย
 

“ฮ่าๆ เพื่อนก็เพื่อนจ้ะ แล้วบีทส์ อุ้ย เพื่อนของบีทส์เขารู้ไหมว่าคนๆ นั้นมีแฟนอยู่แล้ว แล้วแน่ใจไหมว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่าน่ะชอบเขาจริงๆ หรือว่าแค่หลง หรือว่าตอนนี้กลายเป็นความรักไปแล้วจ้ะ” นั่นสิความรู้สึกของผมตอนนี้มันอยู่ในขั้นไหนกันแน่


"..."
 

“…ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามนะบีทส์ มันเป็นเรื่องของการให้และให้ ไม่ใช่การให้และรอรับ เราจะรู้ว่ากำลังรักคนที่ใช่อยู่หรือเปล่าก็ต่อเมื่อเขาให้เราเท่ากับที่เราให้เขา และแน่นอนว่าความรักมันไม่ใช่แค่การมองหาคนที่ใช่อย่างเดียว แต่เราต้องทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่สำหรับใครสักคนด้วย แม่เชื่อว่าคนเราไม่สามารถรักคนสองคนมากเท่ากันในเวลาเดียวกันได้ มันต้องมีคนที่รักที่สุดและรักน้อยกว่า ถ้าอยากรู้เราก็ต้องใช้เวลา แล้วสักวันทุกอย่างมันก็จะชัดเจนขึ้นมาเอง ไม่ว่าลูกแม่จะอยู่ฝั่งไหนก็จงจำไว้ว่าลูกสำคัญที่สุดในชีวิตแม่ ขอแค่ลูกของแม่มีความสุขนั่นคือทางที่ถูกต้องสำหรับแม่”


“รักแม่ที่สุดในโลกเลยครับ แต่เอ้ย คุณนายบีทส์บอกแล้วไงว่าไม่ใช่บีทส์น่ะ โธ่ ไม่คุยกับคุณนายแล้วไว้บีทส์โทรหาใหม่นะครับ อ่อ บีทส์ดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่นะครับ จุ๊บครับ” แม่หัวเราะร่า ก่อนจะเอ่ยให้กำลังใจแล้ววางสายไป


นั่นสินะ


ไม่ลองก็ไม่รู้สิ…



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 10 : รางวัลของคนเก่ง (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 11-06-2018 14:08:11
ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอแค่คนเราทำมันไม่สวยเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 10 : รางวัลของคนเก่ง (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-06-2018 03:54:30
อีพี่ซันเขาไปสะดุดอะไรเข้าให้ล่ะเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 19-06-2018 14:31:14
ตอนที่ 11 :: แกงจืดสูตรพิเศษ



[บีทส์]


ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่ง ก่อนจะใช้สายตาเพ่งมองไปที่นาฬิกาเรือนหรูที่ติดอยู่ข้างฝาผนัง อื้ม หกโมงเย็น...หลับไปนานเหมือนกัน ไม่ใช่ผมนะครับ หมายถึงเจ้าของห้องนี้ต่างหาก


ผมเพิ่งจะได้นอนพักสายตาไปก่อนหน้านี้ไม่นาน หลังจากที่ผันตัวเองไปทำหน้าที่เป็นแม่บ้านจำเป็นชั่วคราว ทั้งเก็บกวาดพวกแผ่นหนัง แผ่นเกม หนังสือแต่งรถ และอะไรต่อมิอะไรที่วางเกลื่อนอยู่เต็มห้องนั่งเล่นให้เข้าที่ เสร็จแล้วก็เข้าไปเก็บห้องครัวต่อ สลับกับการเข้าไปดูอาการคนป่วยที่นอนนิ่งอยู่ในห้องเป็นระยะ โดยก่อนหน้านั้นผมก็เพิ่งจะย้อนกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเฝ้าคนป่วยจนเผลอหลับไปนี่แหละครับ


บิดตัวซ้ายที ขวาทีก็ลุกไปเข้าครัวอีกรอบ ได้เวลาทานอาหารของคนป่วยแล้วครับ คิดว่าแค่แกงจืด ผัดผัก หมูทอดกับข้าวสวยก็น่าจะพอ เดินวนหาข้าวสารอยู่หลายนาทีก่อนจะพบว่ามันถูกซ่อน ครับถูกซ่อนอยู่จริงๆ นะ เล่นเก็บไว้ในลิ้นชักชั้นในสุดขนาดนั้น ตาไม่ดี...มีสิทธิ์หาไม่เจอได้ครับ


ผมตวงข้าวสารออกมาใส่หม้อประมาณสามกำมือ แค่นี้ก็เหลือแล้วครับสำหรับสามคน นี่ผมกะปริมาณเผื่อพี่หมอด้วยอีกคนแล้วนะครับ ลำพังผมกับคนป่วยอย่างเก่งก็คนละจานนั่นแหละ ผมนำข้าวมาซาวน้ำออกหนึ่งครั้งก่อนจะวัดปริมาณน้ำให้ห่างจากข้าวที่อยู่ใต้น้ำประมาณหนึ่งข้อของนิ้วชี้ เสร็จแล้วก็เสียบปลั๊กรอแค่เวลาเท่านั้น


ผมเปิดตู้เย็นเอาพวกผัก เนื้อ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงออกมาวางไว้บนโต๊ะสีขาวสะอาดตา โดยหั่นผักให้ได้ชิ้นพอดีคำไม่เล็กหรือใหญ่มาก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกเวลากินและเพื่อความสวยงามด้วยครับ คุณนายเขาสอนมา เมื่อเครื่องปรุงทุกอย่างพร้อมจึงเริ่มนำหม้อมาตั้งไฟ เอ่อ หม้อมีน้ำนะครับ ไม่ใช่หม้อเปล่าๆ ขืนตั้งไฟด้วยหม้อเปล่าๆ หม้อไหม้พอดี ตลกไหมครับ ฮ่าๆ


รอน้ำเดือดจึงเริ่มนำเนื้อหมูลงก่อนเลย ตามด้วยผักทุกชนิดที่ผมชอบ คึคึ ที่ขาดไม่ได้เลยคือเต้าหู้ไข่ ผมชอบมากครับใส่ไปตั้งเยอะ เอาไว้ค่อยเลือกตักเฉพาะเต้าหู้ไว้กินเอง ส่วนคนป่วยเอาแค่ปกติพอครับ


“ไอ้ฉิบหาย!!! โธ่ ไอ้พี่บ้า! มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมตกใจหมดเลย” ผมยกมือขึ้นทาบอก จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะครับ พอหันกลับมาหยิบเครื่องปรุงรส ดันเจอพี่ซันยืนพิงกรอบประตูห้องครัวด้วยรอยยิ้มมุมปากอยู่ มองเพลินเลยนะครับ


“หึ แค่นี้ทำเป็นขวัญอ่อน” พี่มันว่า


“ผมไม่เขวี้ยงทับพีใส่หัวพี่ก็บุญเท่าไหร่แล้วครับ มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” ผมตอบพลางทำปากยื่น พี่ซันเดินเข้ามา แล้วเลิกคิ้วมองผมกวนๆ “ทำอาหารเป็นด้วย?” พี่ซันเลิกคิ้ว ไม่อยากจะโม้เลยว่าไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ทำอร่อยด้วยเหอะ


“อื่อ แม่ผมชอบลากเข้าครัวบ่อยๆ เลยพอได้วิชาติดตัวมาบ้าง” ผมตอบพลางชิมอาหารในหม้อไปด้วย


“แล้วนี่อะไร” พี่ซันถามต่อ พลางชี้นิ้วไปที่หม้อแกงจืดที่ผมกำลังสาละวนอยู่ ฮึ่ย จะมาป่วนกันใช่ไหมครับเนี่ย ทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมไปได้ ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นแกงจืด!


“อาหารสูตรพิเศษ...แกงจืดต้นตำรับจากเจ้าคุณปู่ตกทอดผ่านมาทางคุณยายทวด แล้วคุณยายทวดก็ถ่ายทอดวิชามาให้คุณยายของผม คุณยายของผะ...”


"พอ!! สัส ก็แค่แกงจืดธรรมดา กวนตีนนะมึง” ง่ะ!! ล้อเล่นนิดเดียวเอง หงุดหงิดไปได้ แล้วมือน่ะจะไวไปไหมครับ ดีดมาได้ หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ลูกแก้ว จะได้ดีดเอาๆ


“ใครบอกว่าแกงจืดธรรมดากันล่ะ” ผมยักคิ้ว พลางหรี่ตากอดอกเหมือนรู้อะไรดีๆ พี่ซันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามันไม่ธรรมดาตรงไหน ผมยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงอีกนิดเพื่อลดช่องว่าง แล้วเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ


“ก็แกงหม้อเนี้ย...ผมใส่ความรักทั้งหมดของผมเข้าไปด้วย มันเลยพิเศษกว่าแกงจืดธรรมดาหม้ออื่นไงครับ” เอ่ยจบก็ฉีกยิ้มกว้างๆ ไปให้พี่ซันอีกหนึ่งที ฮ่าๆ ช็อคเลยดิ ค้างไปเลย เหมือนจะสตั๊นไปสิบวิ ผมหัวเราะร่าก่อนจะหันไปสนใจอาหารรสเลิศของผมต่อ เมื่อกี้ทอดหมูค้างไว้ครับพอตักขึ้นจากกระทะเราต้องพักไว้ก่อนให้มันสะเด็ดน้ำมันนิดหนึ่งแล้วค่อยเอาไปจัดใส่จาน เหลือแค่ปิดเตาแก๊สแล้วยกลงจากเตาแล้วครับ


“เล่นด้วยแล้วลามปามนะ” พี่ซันบ่นพึมพำ แต่ไม่รู้ทำไมผมฟังแล้วกลับหลุดยิ้มออกมาดื้อๆ ก็น้ำเสียงมันไม่ได้บ่งบอกเลยนิครับว่ากำลังตำหนิผมอยู่จริงๆ


พี่ซันน่ารักอ่ะ!


“แล้วนี่ทำไมยังไม่กลับห้องมึงอีก อยู่ทำไมวะรกหูรกตา” พี่ซันถาม ผมเบ๋ปาก เอะอะก็ไล่ จ้างให้ก็ไม่ไปง่ายๆ หรอก


“ก็พี่อยู่คนเดียวอ่ะ อีกอย่างผมแวบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้วด้วย เห็นไหมเนี่ย ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแล้ว” ผมหันไปอวดชุดนอนของตัวเอง กางเกงเป็นกางเกงขายาวหุ้มข้อหลวมๆ สีเทาตัวไม่ใหญ่มาก ส่วนเสื้อเป็นเสื้อคล้ายๆ เสื้อยืดนั่นแหละครับ เนื้อผ้าไม่หน้ามาก ใส่สบาย แล้วก็ไม่ร้อนด้วย


ติดแค่ว่าตรงด้านหน้ามันมีรูปหมีพูห์ที่ผมโคตรจะเทิดทูนเคารพบูชาอยู่หนึ่งตัวตรงอกด้านซ้าย อ่อ มีกระดุมตรงอกอยู่สองสามเม็ดเผื่อตอนถอดจะได้ถอดง่ายๆ อะไรครับ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมหมายถึงเวลาจะอาบน้ำอยากถอดจะได้ถอดออกง่ายๆ ใครคิดเป็นอย่างอื่นไอ้บีทส์ไม่รับผิดชอบความคิดนั้นนะครับ


“สัส กูก็อยู่คนเดียวของกูทุกวัน นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรฮะ” โว้ว ขนาดมือข้างที่ถนัดเดี้ยงอยู่ ยังไม่วายมายืนเท้าสะเอวด้วยใบหน้ากวนๆ ใส่ผมอีก รู้แล้วว่าถึงจะเดี้ยงก็ยังหล่อ! ไม่ต้องแสดงท่าทางตอกย้ำความหล่อของตัวเองก็ได้มั้งหมั่นไส้


“เออน่ะ! จะอะไรก็ช่างผมเถอะ เอาเป็นว่าต่อให้พี่ไล่ยังไงผมก็ยังกลับไม่ได้ (พี่หมอขอไว้) พรุ่งนี้วันหยุดด้วย ไม่ต้องมาไล่ให้เสียเวลาเลย ยังไงก็ไม่ไป! โอเคมั้ยครับ เข้าใจตรงกันแล้วนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็เชิญคุณเจ้าของห้องออกไปนั่งรอด้านนอกเลยครับ เกะกะ!” ผมพูดพลางดันหลังพี่ซันออกไป


“เฮ้ยๆ กูเป็นเจ้าของห้อง อย่ามาเนียน” พี่ซันว่าพลางยื้อไม่ยอมออกไปง่าย แล้วผมจะไปสู้แรงอะไรเขาได้ล่ะครับ


“พี่อ่ะ!!” ผมพูดหน้างอ แบบใส่อารมณ์สุดๆ


“อะไรของมึงครับ” จิ๊! ทำหน้าเยาะเย้ยอีก


“ผมก็แค่อยากช่วย ทำไมต้องไล่ด้วย” ผมพูดเสียงสั่นๆ  พี่ซันหรี่ตาสังเกตท่าทีผม เหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


“ถ้าการที่ผมอยู่มันทำให้พี่ไม่สบายใจ ผมไปก็ได้นะครับ” ผมพูดพลางทำหน้าเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าโอเวอร์แอคติ้งเกินไปหรือเปล่า แต่พี่ซันถึงกับหันหน้าหนีไปอีกทางเลยครับ มีถอนหายใจด้วยนะเออ!


ผมวางอุปกรณ์ที่อยู่ในมือก่อนจะเดินก้มหน้างุด เพื่อเดินออกไปนอกห้อง ทำถึงขนาดนี้ถ้าไม่เรียกกูไว้นะ กูจะถือว่ามึงโคตรใจดำ!! ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร่างสูงของพี่ซัน ผมเชิดหน้าหนีไปอีกทางบ่งบอกถึงความไม่พอใจ ไม่ได้สนใจเลยว่ามีอะไรวางขวางทางเท้าอยู่...และกูก็เตะเข้าไปเต็มๆ


หวืด!!


อ๊าก!!


รู้สึกเหมือนกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ผมหลับตาปี๋ ไว้อาลัยให้กับตัวเอง


หมับ! 


อ๊ะ


ผมสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดอยู่บริเวณหน้าท้อง แขนสองข้างของผมจับยึดแขนแกร่งของพี่ซันไว้แน่น เมื่อตั้งสติได้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเจ้าของร่างที่ตัวเองเกาะไว้ แล้วยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ พี่ซันถอนหายใจ


“ซุ่มซ่าม” ชิส์!


“แล้วจะกอดกูอีกนานมั้ย จะทำอะไรก็รีบทำเข้า” พี่ซันบอกเสียงรำคาญ ผมเลยเด้งตัวออกจากอ้อมแขนพี่ซันอย่างเร็ว แต่เฮ้ย!


“พี่ให้ผมอยู่ด้วยแล้วใช่ป่ะ” ผมถามอย่างมีความหวัง


“เออ! สัส!”


เยส!! ถ้าไม่เกรงใจว่ากำลังทำหน้าเรียกคะแนนสงสาร จะแถมท่าทางประกอบให้ด้วยอีกหนึ่งดอก


“งั้นพี่รอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมเตรียมของเรียบร้อยแล้วจะยกออกไปให้ ถ้าอยากได้อะไรเรียกผมได้เลยนะครับ ผมเต็มใจ”  รีบบอกไว้ก่อน ก่อนที่พี่ซันจะเปลี่ยนใจ พี่มันพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินหันหลังกลับออกไป


“บีทส์!!” สะดุ้งกันเลยทีเดียว


“ครับ พี่จะเอาอะไรเหรอ” ผมขานรับ


“น้ำ!! ไวๆ เลย” วุ๊ย มีเร่ง ผมวางภารกิจที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว ยกออกไปให้คุณชายที่นั่งดูทีวีรออยู่ด้านนอก อื้อหือ นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์


“นี่ครับ จริงๆ พี่เดินไปเอาเองก็ได้นะครับกับไอ้แค่น้ำแก้วเดียวเนี่ย พี่ก็รู้ว่าผมทำกับข้าวอยู่” ผมบ่น


“อะไร ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากได้อะไรให้เรียก แล้วจะบ่นเพื่อ” โอเค!! กูพลาดเอง!! พี่ซันเลิกคิ้วถามกวนๆ แต่คว้าแก้วน้ำจากมือผมไปกินหน้าตาเฉย มือแตะกันด้วยแหละ!


“ครับๆ ไม่บ่นแล้วก็ได้ ไอ้บีทส์คนนี้เต็มใจบริการ” สงสัยทำหน้าน่ารักเกินไปหน่อย พี่ซันถึงกับยกเท้าให้ผมดูด้วยความรักกันเลยทีเดียว


ผมกลับมาตักแกงจืดใส่ถ้วยแบ่งออกเป็นแบบธรรมดาของพี่ซันและแกงจืดเต้าหู้ไข่ (เต็มถ้วย) ของผม พร้อมกับจานข้าวอีกสองจาน ผัดพักและหมูทอดที่ผมจัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม แล้วยกออกมาวางที่โต๊ะอาหาร พี่ซันคงนั่งหัวโต๊ะส่วนผมก็คงข้างๆ ฝั่งขวามือ (คิดเองจัดเองเสร็จสรรพ) อ่อ ลืมบอกไปครับว่าโต๊ะอาหารเป็นแบบขนาดเล็กนั่งได้ประมาณห้าคน


“พี่ซันเสร็จแล้วครับ” ผมเรียก รอสักพักพี่ซันก็เดินออกมานั่งประจำที่พลางมองหน้าตาของอาหารที่ผมทำ


“กู...กินได้แน่นะ” พี่ซันถามเหมือนไม่แน่ใจ


“รับรองว่ากินแล้วไม่ท้องเสียแน่นอน ถ้ากินแล้วท้องเสียผมนี่แหละจะเป็นคนพาพี่ไปหาหมอเอง ไม่ต้องห่วง!!” ผมประชดกลับ พี่ซันทำหน้าเอือมๆ หยิบช้อนมาตักแกงจืดเพื่อชิมดู แล้วก็ตักชิมอีกครั้ง ก่อนจะหันมาตักผัดผักและหมูทอดไปกินอย่างละคำ


“เป็นไงครับ พอกินได้ป่ะ” ผมถาม พี่ซันเลิกคิ้ว ก่อนจะตักกับข้าวกินต่อโดยไม่ตอบ ผมทำหน้ามุ่ย พี่ซันอาการดีขึ้นมากแล้วครับ ดูจากที่มือข้างซ้ายตักข้าวได้โดยไม่มีอาการมือสั่น แต่แค่คงใช้งานได้ไม่ถนัดเหมือนมือข้างขวา ผมเลยลงมือทานอาหารบ้าง


“ก็...ไม่ได้แย่อย่างที่คิด” พี่ซันพูดลอยๆ ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวตรงหน้า มองคนที่เพิ่งเอ่ยประโยคจบ


“ก็ยังดีที่พี่ชอบ” ผมยิ้มตอบ พี่ซันหันมาเลิกคิ้วใส่


“กูพูดสักคำรึยังว่าชอบ เนียนตลอดนะมึง” พี่ซันพูด ผมสะบัดค้อนให้วงเล็กๆ ปากปฏิเสธแต่เห็นตักไม่หยุดเลยนะครับ ยังจะมาปากแข็งอีก


“อ๊า อิ่มชะมัด~ โอ๊ะ เดี๋ยวผมไปเอาผลไม้มาให้นะ” ผมพูดขึ้น หลังจากที่เราสองคนต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารของตัวเองเงียบๆ เรียกว่าซัดเรียบกันเลยจะดีกว่า


“ไม่ต้อง แค่นี้กูก็อิ่มจะแย่แล้ว ขืนกินเข้าไปอีกคงได้อ้วกใส่หน้ามึง”


“งั้นเดี๋ยวผมไปเอายามาให้เลยดีกว่าจะได้กินแล้วก็พักผ่อน แล้วแผลที่หน้านั่น ให้ผมทายาให้ดีมั้ยครับจะได้หายไวๆ” ผมเสนออีกทางเลือก ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตคุณชายเขาทายาที่หน้าให้ ใบหน้าหล่อๆ พอมีแผลประดับแล้วมันดูเท่ไม่ยอกเลยครับ


ผมยกจานเข้าไปเก็บก่อนจะเดินเลยไปหยิบถุงยาในห้องนอนของพี่ซันที่วางกองรวมกันไว้ โดยไม่ลืมบอกให้พี่ซันมานั่งรอผมที่ห้องนั่งเล่นก่อน หยิบถุงยาได้ผมก็เดินออกมา


“เฮ้ยพี่ ทำอะไรอ่ะ!!” ผมร้องถามเสียงหลงก่อนจะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังจะถอดผ้าคล้องคอออกด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว


เฮ้ย!!


ตุบ!


โอ๊ย!


“สัส! ทำอะไรของมึง!?!” พี่ซันตะคอกเสียงดัง เหวอแดกสิครับ


“เอ่อ คือ กะ...ก็พี่จะทำอะไรเล่า!!?” ผมตอบ ทั้งๆ ที่ก็ยังนอนเกยอยู่บนตักพี่ซัน อ่านไม่ผิดหรอกครับ ‘เต็มๆ ตักเลย’ ก็พอเห็นพี่ซันจะเอาผ้าที่คล้องคอออก ผมก็พุ่งตัวเข้ามาเลย แต่มันดันสะดุดขาโซฟาล้มคว่ำก่อนจะพุ่งไปถึงตัวพี่ซัน สภาพมันเลยเป็นอย่างที่เห็น


จะอะไรซะอีกล่ะครับก็ตอนนี้ผมล้มทับตักพี่ซันที่นั่งรออยู่บนโซฟาในสภาพคว่ำหน้าแถมยังโดนแขนพี่ซันซ้ำเข้าให้อีกน่ะสิ!
“กูทำอะไร กูก็แค่ขยับให้มันเข้าที่ สัส! เสือกพุ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือ” พี่ซันว่า ผมกำลังจะเถียง


“กูมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”


ผมกับพี่ซันหันขวับไปยังเจ้าของเสียงที่ยืนเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ แต่หรี่ตามองมาอย่างจับผิด ผมเด้งตัวออกจากตักพี่ซันอย่างเร็ว โดยขยับไปนั่งที่โซฟาตัวถัดไป


“เอ่อะ...คือ แหะๆ พี่หมอมาก็ดีแล้วครับ จะได้ดูแขนให้พี่ซัน อ่อ พี่ซันยังไม่ได้ทานยาหลังอาหารนะครับ แผลที่หน้าก็ยังไม่ได้ทาเหมือนกัน” ผมรีบรายงานอาการให้พี่หมอฟัง พี่หมอหันมาพยักหน้ายิ้มๆ ให้ผม ส่วนพี่ซันมองแขกผู้มาใหม่ด้วยหางตาแล้วก็หันกลับไปดูทีวีต่อ


“คงไม่ต้องให้พี่ดูแล้วมั้ง มีพยาบาลคอยป้อนข้าวป้อนน้ำดีขนาดนี้ รังแต่จะไม่อยากหายน่ะสิครับ” พี่หมอพูดขำๆ แต่ผมขำไม่ออกนะครับพี่ ดูหน้าเพื่อนพี่นิดนึง จะกินหัวพี่อยู่แล้ว


“พูดมาก มึงมาก็ดีเอาไอ้นี่ติดมือกลับไปด้วย กูรำคาญ” พี่ซันหันไปกัด เอ้ย ตำหนิพี่หมอ แล้วพาลมาลงที่ผม ไอ้พูดไม่เท่าไหร่ครับ สายตานี่แบบหงุดหงิดสุดๆ


“อ้าว แล้วเมื่อกี้ไม่ได้กำลัง..." พี่หมอ ยังคงพูดต่อด้วยท่าทางสบายๆ แต่กลับทำให้พี่ซันโมโหมากขึ้น “ไอ้อาร์ต...อย่ากวนตีน”
ผมนี่ตัวลีบแทบติดโซฟาครับ กูควรจะหนีเพื่อรักษาชีวิตไว้หรืออยู่รอเก็บศพคนใดคนหนึ่งก่อนดี


พี่หมอเลิกคิ้ว ก่อนจะเอ่ยตอบพี่ซันด้วยคำถาม “หึ กูก็แค่แซ็วเล่นขำ ๆ มึงจะซีเรียสทำไม” พี่ซันไม่ตอบอะไรเพียงแค่ส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา


“ให้กูดูแขนดิ๊” พี่หมอยกยิ้มมุมปากไม่ถือสาอาการไม่พอใจของพี่ซัน ก่อนจะหันมาพูดกับผม “ไม่ต้องกลัวนะบีทส์ พวกพี่ก็ชอบคุยเล่นกันแบบนี้ประจำ นานๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเอง”


ผมเห็นด้วยกับพี่หมอนะครับ เรื่องแค่นี้จะซีเรียสไปทำไม ก็แค่เพื่อนสนิทแซ็วกันเล่นๆ
เพียงแต่มันเป็นเรื่องของ ‘ผม’ ก็แค่นั้นเอง


แต่ไอ้เรื่องจะให้ชินน่ะ ผมว่าคงอีกนานครับ ผู้ชายตัวใหญ่สองคนมายืนตะคอกใส่กันแบบนี้  ผมคงโดนลูกหลงตกลงใส่หัวไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะครับ


“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง” พี่ซันหันมาพูดกับพี่หมอ ในขณะที่พี่หมอกำลังตรวจดูผ้าพันแขนพี่ซัน จับพลิกไปพลิกมา พี่ซันหรี่ตาลงเหมือนกำลังเจ็บ ผมเองก็ได้แต่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ อย่างห่วงๆ ครับ


พี่หมอถอนหายใจเมื่อเห็นแววตาคาดคั้นของพี่ซัน “คิดว่าน่าจะเป็นพวกไอ้เจ” ผมเลิกคิ้ว ไอ้เจงั้นเหรอ...หวังว่าคงไม่ใช่คนเดียวกันกับพี่เจหรอกนะ แต่ถ้าเป็นพี่เจพี่หมอต้องเรียกพี่เจว่าพี่สิ เหมือนกับเมื่อตอนไปเข้าค่ายนั่นยังไงล่ะครับ


“หึ ไอ้เหี้ยนั่นมันหาเรื่องกูตั้งแต่ตอนไปเข้าค่ายแล้ว สงสัยเห็นกูไม่ตอบโต้อะไรเลยได้ใจ มึงมั่นใจใช่มั้ยว่าเป็นคนของมันจริง” พี่ซันพูดออกมาเสียงเย็น ส่วนผมเบิกตากว้างไปแล้วครับ อย่าบอกนะว่าเป็นพี่เจจริงๆ


“อืม คนของเฮียอั๊ตเป็นคนตามเรื่อง กูว่าไม่น่าจะพลาด” พี่หมอตอบพลางพันผ้าให้พี่ซันเหมือนเดิม เสร็จแล้วจึงเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าตามเดิม อ้าวพี่หมอ แผลที่หน้านั่นล่ะครับ พี่ยังไม่ได้ดูให้พี่ซันเลยนะ ถ้าเกิดมันอักเสบขึ้นมาจะทำยังไง


“งั้นกูคงต้องจัดการอะไรสักอย่างให้มันรู้สำนึกซะบ้างว่าที่มันมีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะใคร” พี่ซันพูดออกมาเสียงเหี้ยม จนผมอดเอ่ยปากแย้งไม่ได้


“แต่ผมว่าพี่เจเขาก็ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นไปได้นะครับ ผมว่ามันอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้ อะไรเล่า! ทำไมต้องมองผมแบบนั้นด้วย” ไอ้พี่ซันครับ ตวัดสายตามามองผมเหมือนจะฟันให้ร่างผมขาดออกเป็นสองท่อน ผมก็แค่ออกความคิดเห็นเผื่อว่าถ้ามันผิดพลาดจริงๆ พี่ซันจะได้ไม่ต้องไปทำร้ายคนอื่น มันบาปนะครับ


“หึ เป็นอะไรกับมันหรือไงถึงได้ปกป้องมันนัก! คิดว่ามึงรู้จักมันดีแค่ไหนกันเชียว มึง...ที่เพิ่งเจอมันแค่ไม่กี่เดือน กับกูที่อยู่กับมันมาเกือบสิบปี!! คิดว่ากูอคติจนต้องหาเรื่องใส่ร้ายมันเหรอ ถามจริง...โดนมันเป่าหูอะไรมาถึงได้เข้าข้างมันไม่ลืมหูลืมตา”
พี่ซันสบตาผม นัยน์ตามีแววเยาะเย้ย


“มึงมันก็ไม่ได้ต่างจากที่กูคิดไว้สักเท่าไหร่”


“ไอ้ซัน พอ!!!!! ห่า หงุดหงิดแล้วอย่าพาล” พี่ซันหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเองดุๆ ส่วนพี่หมอมองตรงมาที่ผมอย่างเป็นห่วง ผมมองพี่ซันอึ้งๆ คือกำลังช็อคครับ รู้ว่าพี่มันกำลังโมโห แต่ที่ผมพูดเพราะผมหวังดีกับพี่มันนะ
ธรรมโม พุธโธ สังโฆ... ฮึ่ม เย็นไว้ไอ้บีทส์


“เอาเป็นว่าเคลียร์กันเองก็แล้วกัน เรื่องนี้กูไม่ยุ่ง อาการทั่วไปปกติดี สองสามวันก็เอาผ้าคล้องคอกับเผือกออกได้แล้ว พูดกับน้องดีๆ นะไอ้ซันเขาอุตส่าห์มีน้ำใจ” พี่หมอสั่งเพื่อนเสร็จก็หันมาหาผม


“พี่ไปนะบีทส์ พอดีมีเข้าเวรต่อ” ผมพยักหน้า ยกมือไหว้ลาพี่หมอ ก่อนจะมองเลยไปยังพี่ซันที่ยังคงมีอาการฟึดฟัดให้เห็น ผมเงียบไม่พูดอะไร ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว


ไม่ได้เดินหนี


ผมแค่เดินมาเอาน้ำ ก็… พี่มันยังไม่ได้กินยา


ผมเดินถือแก้วน้ำออกมา จังหวะที่ผมเดินผ่านเข้าไปในห้องนั่งเล่นเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ซันมองมาทางนี้พอดี เราสองคนสบตากันนิ่ง พี่ซันเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด ผมเองก็รอฟังว่าพี่มันจะพูดอะไร เป็นแบบนั้นอยู่สองครั้ง ก่อนที่พี่ซันจะเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมเลยเดินถือแก้วน้ำพร้อมกับเหยือกน้ำขนาดไม่ใหญ่มากมาวางไว้ที่โต๊ะ และจัดยาใส่แก้ว ยื่นส่งให้พี่มันเงียบๆ


พี่ซันเองก็รับไปกินเงียบๆ เหมือนกัน พอกินยาเสร็จเรียบร้อย พี่ซันทำท่าจะลุกผมเลยคว้าหมับเข้าที่แขน และรั้งให้พี่ซันนั่งลงโดยไม่ปริปากพูด พี่ซันเองก็เลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม ผมเลยยกตลับยาป้ายแก้รอยฟกช้ำให้พี่มันดู


พี่มันรั้งแขนออกจากมือผม มีหรือที่ผมจะยอม ส่งใบหน้าหงอยๆ ไปให้สองสามที ก่อนจะก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา (แต่มือนี่จับแขนพี่มันยึดไว้แน่น) พี่ซันถอนหายใจก่อนจะยอมนั่งลง


ผมนั่งทายาให้พี่ซันเงียบๆ ไล่ตั้งแต่ตรงหางคิ้ว โหนกแก้ม แล้วก็มุมปาก ผมขนลุกซู่ทุกครั้งที่ลมหายใจของพี่ซันเป่ารดโดนมือของผม พยายามเก็บอาการไม่ให้มือสั่น แต่มันทำ ‘ยาก’จริงๆ ครับ


“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมขอนอนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน พี่เข้าไปนอนเถอะ วันนี้ผมกวนพี่มาเยอะแล้ว” ผมพูดหลังจากที่ทายาให้พี่มันเสร็จ (เกือบหัวใจวายตาย)


พี่ซันมองหน้าผม ก่อนจะแล้วเดินเข้าห้องไปเลย พอบานประตูห้องพี่ซันปิดสนิท ผมก็ลุกเอาของไปเก็บ จัดที่นอนตัวเองให้เข้าที่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้ผมยังไม่มีผ้าห่มนี่หว่า จะเดินเข้าไปถามเดี๋ยวคนในห้องก็จะหาว่าเข้าไปก่อกวนอีก เอาไงดีวะ จะกลับไปที่ห้องก็ขี้เกียจเดี๋ยวรออีกสักพักรอให้พี่มันหลับก่อนค่อยย่องเข้าไปหา (ผ้าห่ม) ก็แล้วกัน


ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมถึงได้ย่องมาแอบเปิดประตูเข้ามาในห้องของคนป่วย ผมยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงของคนที่ผมแอบคิดเกินเลยด้วยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่มันร้ายกับผมมาก็ตั้งหลายอย่าง แต่ทำไมผมถึงจำได้แต่สิ่งดีๆ ที่พี่มันเคยทำให้ผม


ผมนั่งลงข้างๆ เตียงก่อนจะเอาคางวางบนมือสองข้างที่ประสานกันไว้ และแอบมองหน้าคนป่วยที่นอนหลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม
จนไม่รู้ตัวเลยว่า ‘หลับ’ ไปตั้งแต่ตอนไหน…


+++++++++++++++++
 
 
 [ซัน]


ผมกระพริบตาเพื่อปรับแสงให้คุ้นชินอยู่สองสามที ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอานาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงมาดูเวลา…ตีหนึ่ง
“ตัวอะไรวะเนี่ย” ผมพยายามเพ่งสายตาไปมองกลุ่มผมสีเข้ม ที่นอนเอียงซบไปกับหลังมือของตัวเอง ผมลุกนั่งก่อนจะนึกไปถึงไอ้เด็กกวนประสาทที่มาหาผมตั้งแต่เมื่อบ่าย


เด็กอะไร ทั้งรั้น ทั้งขยันกวนโมโห ไม่รู้ไปฝึกไอ้นิสัยพวกนี้มาจากไหน และไม่รู้ว่าทำไมอีกเหมือนกันที่เมื่อมันทำหน้าหงอยๆ ใส่จะต้องเป็นใจอ่อน


ผมเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมของมัน ที่ทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวทำอาหาร ฝีมือเทียบเท่ากับแม่บ้านของผมด้วยซ้ำ


‘อร่อย’ มากทีเดียว


แถมยังลงมือเก็บกวาดห้องให้โดยที่ผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากขอเลยสักนิด  คอยดูแล หาข้าวหาน้ำให้กินโดยไม่เกี่ยงงอน คอยกำชับให้กินยา ทายาให้โดยไม่รังเกียจ มันทำให้ผม…


‘ประทับใจ’ โดยไม่รู้ตัว


วันนี้ที่ผมเผลอตะคอก เผลอด่ามันไปก็เพราะกำลังโมโหไอ้ญาติผู้พี่ แถมยังหงุดหงิดสุดๆ ตอนได้ยินประโยคที่มันเอ่ยออกมาเหมือนปกป้องกันเสียเต็มประดา เหอะ ไหนเคยบอกว่าชอบผมกัน! หรือมันจะเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายบุคลิกดีแต่เปลือกนอกอย่าง ‘ไอ้เจ’ เข้า


ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด


มองไปที่ไอ้ตัวแสบอีกครั้ง ก็หลุดยิ้มออกมา


“แจ๊บๆ อื้อ อิพิงค์นั่นเค้กกู!”


ก็เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่ค่อยอยากให้มันอยู่ใกล้ตัว ยิ่งผมอยู่ใกล้มันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น


เพราะมัน...


ทำให้ผมยิ้มบ่อยขึ้น


อันตรายกับหัวใจเกินไป...


“บีทส์ๆ ไอ้ดื้อ ตื่น…นอนแบบนั้นไม่ปวดคอรึไง” เรียกชื่อมันให้ตื่น ทั้งเรียกทั้งเขย่า แทนที่จะตื่น เสือก ‘เกาแก้มแล้วหลับต่อหน้าตาเฉย’ ไอ้เด็กนี่... หึๆ


“งือ...จะนอน” มันทำเสียงรำคาญ ผมหลุดหัวเราะ


“ตื่นแล้วลุกขึ้นมานอนข้างบนด้วยกัน ลืมไปว่ามึงไม่มีผ้าห่ม คืนนี้นอนในนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ถือซะว่าขอบคุณสำหรับอาหาร บีทส์...”


เหมือนกูกำลังพูดกับตัวเอง


...ไร้เสียงตอบรับ...
 

“กูจะนับหนึ่งถึงห้า ถ้าไม่ขึ้นมากูไม่สนแล้วนะ ปล่อยให้แม่งนอนอยู่แบบนี้ ตื่นขึ้นมาจะได้ปวดคอปวดหลัง แล้วอย่ามาบ่นให้กูได้ยิน กูถีบแน่”
           

“หนึ่ง”
           

“สอง”


“สะ...หื้ม” ผมหยุดนับ เมื่อร่างเล็กของคนที่นอนข้างเตียงเริ่มขยับ ก่อนจะนั่งตัวตรง แต่ดวงตายังปิดสนิท


“ฮึ่ย! บอกว่าอย่ากวนไง!! เอาผ้าห่มพี่คืนมาเลย อยากโดนแย่งขนมอีกเหรอฮะ!” อุ๊บส์ ฮ่าๆๆ แม่งพูดทั้งที่ยังหลับตาได้ด้วยเว้ย!
 

“งืมๆ” ผมขยับขาหนี เมื่ออีกคนใช้มือคลำๆ หาทาง ทั้งที่ดวงตากลมโตยังปิดสนิท ผมยังคงเงียบสังเกตอาการ  บีทส์ค่อยๆ ใช้มือคลำที่นอนแล้วคลานขึ้นมาเรื่อยๆ จนผมต้องเขยิบหนีไปอีกฝั่ง นี่มึงกำลังจะทำอะไรครับ


“งือ...หมอน” บีทส์พูดขึ้น ในขณะที่มือขาวคลำเจอหมอนที่ผมเพิ่งหนุนไปก่อนหน้านี้ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างถูกใจ (แต่ตายังปิดสนิท) เหมือนเด็กได้ของเล่น ก่อนจะล้มตัวลงนอน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมต้องยกยิ้มตาม


“หึๆ วันนี้มึงทำให้กูหลุดหัวเราะกี่ครั้งแล้วฮะไอ้ดื้อ” ผมพูดพลางใช้มือจิ้มไปที่หน้าผากของคนที่หลับสนิท ก่อนจะตวัดผ้าห่มขึ้นห่มให้อีกคน และสอดตัวลงนอนต่อ 


หมับ!


สะดุ้งสิครับ นอนยังไม่สนิทดี กลับมีอะไรบางอย่างหล่นมาใส่เอว ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเห็นลำแขนเรียวขาวพาดอยู่ตรงช่วงเอว มองไล่ตามเรียวแขนขึ้นมาก็พบกับใบหน้าขาวใสที่อยู่ห่างจากใบหน้าผมไปไม่กี่คืบ แถม...


กระดุมคอเสื้อหลุดไปหนึ่งเม็ด...


ทำเอาผมหันหน้าหนีแทบไม่ทัน


เมื่อกี้นอนห่างกันเป็นคืบ นี่คงจะกลิ้งมาอีกสินะ ไอ้เด็กคนนี้นี่มัน...เฮ้อ จริงๆ เลย ผมยกมือขึ้นขยี้หัวทุยๆ ของคนตัวเล็ก ก่อนจะผละออกเมื่ออีกคนขยับตัว แต่...


ซุกหัวมาที่อกผมแทน...มีการขยับตัวจัดระเบียบร่างกายให้ตัวเองนอนในท่าสบายด้วยนะ แต่กูนี่แทบจะเกร็งไปหมดทุกส่วน!!


ตึก ตึก ตึก ตึก...


เสียงกลองเร็วระรัวดังขึ้นในหัว ผมยกมือข้างขวาขึ้นมากุมหัวใจตัวเอง


“เต้นเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ”




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 19-06-2018 15:16:52
หัวใจเต้นจะทะลุออกมาจากอกแล้ว ใจบางเลย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-06-2018 17:30:57
ชอบน้องแล้วสิ  :mew4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-06-2018 06:11:18
พยายามจะใจแข็งจังเลยนะพี่ซัน ทั้งๆที่ใจอ่อนกับบรสท์ตลอด
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-06-2018 11:49:07
รู้ว่ารักแล้วก็ต้องเจ็บ
รักแล้วยังไงก็ต้องยอม..เจ็บ

ดูๆแล้วรักนี้ไม่น่าจะรุ่งซักเท่าไหร่
มีแต่ใจจะขาด..รุ่งริ่ง

แต่ถ้าจะ S&M ก็ไม่ห่วงนะ
ตามใจเลย..พระเอก นายเอก
หุหุ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 11 : แกงจืดสูตรพิเศษ (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 20-06-2018 18:02:18
ดูซิว่าพี่ซันจะทนความน่ารักของน้องบีทส์ไปได้ซักกี่น้ำ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 21-06-2018 14:01:10
ตอนที่ 12 :: ให้หัวใจเป็นคนเลือก


[บีทส์]


“อื้อ...หาว” ผมลืมตาขึ้นมา เจอเพดานสีขาวสะอาด ผมขยับตัวไล่ความขบเมื่อยก่อนจะกระพริบตาสองสามครั้งปรับสายตาให้เป็นปกติ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง


จำได้ว่าเมื่อคืนผมแค่เข้ามา เอ่อ นั่งมองหน้าพี่ซัน แล้วคงจะเผลอหลับไป ไม่รู้ว่าขึ้นมานอนบนเตียงได้ยังไง แล้วเจ้าของห้องเขาไปนอนที่ไหนล่ะ ผมใช้มือคลำข้างตัว


ห้องพี่ซันหมอนข้างมันใหญ่แปลกๆ นะ ลองลูบๆ ดู ก็แน่นแปลกๆ  ด้วย มันเหมือนกับ…


เฮ้ย!!!!


อกพี่ซัน!!


ไอ้ฉิบหาย!!!!!!!!!!!!!!!!!!


นี่กูทำอะไรลงไป ไม่รักนวลสงวนตัวยังไม่พอ ดันมาเสนอให้เขาถึงที่ แบบนี้เขาจะมองว่าผมเป็นคนยังไงล่ะครับ!?! ดีนะที่ผมเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขา ไม่งั้นล่ะก็ โอย ไม่อยากจะคิดภาพตามเลยครับ โดนพี่มันถีบหัวส่งกลับห้องตัวเองแน่ๆ
พระเจ้า!!


แบบนี้ก็แสดงว่าเมื่อคืนนี้ผมนอนกอดพี่ซันทั้งคืนเลยดิ แง๊ง ฟิน!! อยากนอนต่อ แต่ลองคิดดูอีกทีเกิดพี่มันตื่นมาเจอผมนอนอยู่ข้างๆ ชีวิตผมแลดูจะไม่ปลอดภัย แอบกิน เอ้ย แอบฟินวันละนิดวันละหน่อยก็แล้วกัน


หันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง หกโมงกว่าแล้ว ต้องรีบทำอาหารเช้าไว้ให้คนป่วย วันนี้ผมต้องกลับบ้าน คงต้องลงไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วออกไปเลย หันไปมองพี่ซันอีกครั้ง
เขียนโน๊ตบอกไว้แล้วกัน...


จุ๊บ


“อรุณสวัสดิ์นะครับพี่ซัน วันนี้ผมต้องกลับบ้านอยู่เป็นเพื่อนพี่ไม่ได้ อยู่ห้องคนเดียวทานข้าวทานยาให้ตรงเวลานะครับ อ่อ อย่าลืมทายาด้วยล่ะ ผมจะเตรียมไว้ให้ เอาไว้ผมจะมากวนใหม่นะ” ผมหอมแก้มพี่ซันข้างละที ก่อนจะพูดถึงข้อความที่จะเขียนโพสอิทติดไว้ให้ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหลับแล้วไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด เพราะผมฉลาดพอที่จะเขียนโพสอิทติดไว้ให้คนหลับได้อ่านข้อความที่ผมพูด


เป็นไงล่ะ ไอ้บีทส์ฉลาดที่สุดในสามโลก


ผมก้าวลงจากเตียงช้าๆ ก่อนจะจัดผ้าห่มให้พี่ซันอีกรอบ แล้วหันหลังเดินฮัมเพลงออกไปจากห้องอย่างมีความสุข
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่(คิดว่า)นอนหลับอยู่บนเตียงกำลังนอน(หลับตา) ยกยิ้มอยู่เหมือนกัน...


++++++++++++++


“อ้าวพี่บีทส์” ผมหันไปตามเสียงเรียกในขณะที่กำลังยืนหันหลังปิดประตูบ้าน ก่อนจะพบกับไบร์ทนั่งใส่ถุงเท้าอยู่ เห็นข้างๆ เป็นกระเป๋าสะพายเป้คู่ใจของเจ้าตัว คงเตรียมตัวไปเรียนพิเศษอีกแล้ว


“อื้อ จะไปเรียนพิเศษเหรอ” ผมถาม พลางเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ  ไบร์ทหันมายิ้มแล้วพยักหน้าให้ผม


“เรียนพิเศษเป็นไงบ้าง” ผมถามต่อ เป็นจังหวะที่น้องใส่ถุงเท้าเรียบร้อยแล้ว ไบร์ทหันตัวมาเผชิญหน้ากับผม พลางยกเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิ มือสองข้างวางบนตักตัวเอง ผมยิ้มกับท่าทางของไบร์ท


...จะแมนไปไหน...


“ก็ดีนะพี่บีทส์ ยิ่งเรียนเนื้อหาที่ต้องจำก็เยอะ มีการบ้านมาทำทุกอาทิตย์เลยนะ ดีหน่อยที่โรงเรียนไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เหลือแค่เคลียร์เรื่องงานอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อย พร้อมลุยสอบตรง ยังพอมีเวลาให้ติวเข้มอ่ะ” ไบร์ทตอบออกมายาวเหยียด พอพูดถึงการบ้านก็ขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมั่นใจเมื่อพูดถึงการสอบตรงที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า น้องเป็นคนหัวดีมากครับ เห็นซนๆ แบบนี้แต่เรียนเก่งเอาเรื่องเหมือนกัน ผมสู้ไบร์ทไม่ได้เลยในเรื่องนี้ สอบติดบริหารฯ ก็เป็นบุญหัวแล้วครับ


“แล้วที่สถาบันฯ เป็นยังไง สอนดีใช่มั้ย ไม่ได้เครียดเกินไปนะ ถ้าไม่ดีก็ลองหาที่ใหม่ดู เอามั้ยเผื่อพี่จะถามพวกไอ้นัทให้” ผมถามขึ้นอย่างเป็นห่วง พลางวางมือลงบนมือขาวของน้อง


“โห ขืนไบร์ทย้ายตอนนี้มีหวังเรียนไม่ทันเพื่อนแหงเลยพี่บีทส์ ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่สอนดีมาก พี่ปลั๊กเอ่อ...ติวเตอร์ของไบร์ทอ่ะสอนดีมาก พวกเนื้อหายากๆ เลยซอล์ฟๆ ลงมา แถมยังมีไอ้หมอ เอ๊ย รุ่นพี่ที่รู้จักกันคอยสอนให้อีก พี่มันโคตรเนี๊ยบเลยนะพี่ แถมยังขู่อีกว่าถ้าสอบไม่ติดจะพาไปปล่อยลงอ่าว เหอะ!” ไบร์ทโอดครวญเมื่อผมบอกให้ย้ายที่เรียนพิเศษ ผมยิ้มขำ จริงๆ ก็แกล้งแซ็วไปอย่างนั้นแหละครับ ก่อนจะสะดุดกึก เมื่อน้องเอ่ยถึงรุ่นพี่ที่ว่า


ไอ้หมอที่ว่า...คนเดียวกันใช่ไหม


แปลก...ถึงพี่หมอจะช่วยเป็นพี่ติวเตอร์ให้ก็เถอะ ผมพอจะรู้ว่าพี่หมอเหมือนจะสนใจน้องผมมาก ก็ตั้งแต่แย่งโทรศัพท์ผมไปคุย แล้วก็ถามเรื่องสิ่งที่ไบร์ทชอบ ผมไม่คิดว่าพี่ติวเตอร์จะต้องสนใจคนที่ตัวเองสอนขนาดนี้หรอกนะครับ เอ่อ ถึงแม้จะเป็นอิพิงค์ที่เป็นคนบอกให้ผมฉุกคิดประเด็นนี้ก็เถอะ  ผมไม่ได้เป็นคนเอาความลับน้องมาเปิดเผยนะครับ จริงๆ แล้วผมไม่คิดว่าไบร์ทจะยอมลงให้กับพี่หมอง่ายๆ ไง หรือว่าพี่หมอจะใช้เล่ห์กลอะไรมาหลอกล่อน้องผมกัน แต่...อย่างไบร์ทจะยอมหลงกลง่ายๆ เหรอ


ไม่มีทาง!!! นอกเสียจากว่าจะยอมเดินเข้าไปในวังวนพี่หมอด้วยความเต็มใจหรือโดยไม่รู้ตัวล่ะก็นะ...


“คิดอะไรอยู่พี่บีทส์คิ้วขมวดเชียว” ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อไบร์ททำมือโบกไปมาตรงหน้าผม น้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัว


“แล้วกับน้องแจน...ยังไปเรียนด้วยกันปกติใช่มั้ย” ผมถาม ไบร์ทหน้าเจื่อนไปเลย ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


ผมรู้เรื่องนี้มาสักพักแล้วล่ะครับว่าน้องชอบแจน เพื่อนสนิทของเจ้าตัวเขานั่นแหละ ไบร์ทไม่ได้เป็นคนบอกผมเองหรอกนะครับ แต่พอดีวันนั้นผมนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรได้ก็ไม่รู้ เข้าไปเล่นห้องน้องแล้วเจอ ‘ไดอารี่’ เล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหัวเตียง


ไอ้ผมก็เป็นคนมีมารยาทครับ ‘เปิดอ่าน’ มันซะเลย หน้าแรกๆ ก็ไม่มีอะไร ไบร์ทบันทึกเรื่องราวในแต่ละวันที่ไปเจอมา ผมเลยเปิดอ่านผ่านๆ จนไปสะดุดกับรูปภาพรูปหนึ่งที่เหน็บอยู่ในไดอารี่ ผมค่อนข้างแปลกใจที่รูปๆ นั้นเป็นรูปของเพื่อนสนิทไบร์ท


‘แจน’


ไบร์ทพาแจนมาเที่ยวที่บ้านบ่อย ทำให้เราค่อนข้างสนิทกันในระดับหนึ่ง ผมตัดสินใจเปิดหน้าถัดไป ก่อนจะเห็นถึงเรื่องราวมิตรภาพระหว่างไบร์ทกับแจน มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีในมุมของน้องผม ไอ้เรื่องดีก็คือไบร์ทเป็นคนที่แจนสนิทมากที่สุดในโรงเรียน ตัวติดกันอย่างกับคู่แท้ปาท่องโก๋ เลยสบโอกาสของคน ‘แอบรัก’ ได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองแอบหลงรักมาตลอด


ส่วนเรื่องไม่ดีก็คือแจนเป็นผู้หญิงสวยหวาน น่ารักๆ ตัวเล็กๆ เหมาะกับการทนุถนอมดูแล คนละเรื่องกับไบร์ทเลยครับ รายนั้นทอมจ๋า...


แต่น้องผมก็น่ารักนะเออ...


“ก็...เหมือนเดิมแหละ” น้องตอบเสียงเบา  ผมแอบถอนหายใจ จะช่วยจีบก็ยังไงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าแจนจะชอบเพศเดียวกันไหม ถ้าหากว่าแจนชอบผู้ชายขึ้นมา ก็จะกลายเป็นว่าทำให้สองเพื่อนสนิทมองหน้ากันไม่ติด นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่น้องผมไม่กล้าทำอะไรไม่มากกว่าการเป็น ‘คนข้างๆ’


จะยุให้ไปหาพี่หมอ ก็ไม่ได้อีก...


ผมยังไม่ไว้ใจพี่หมอหรอก รายนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้พอๆ กับพี่ซันเลย สองเพื่อนสนิท นิสัยเหมือนกันเด๊ะ เรื่องดีๆ ทั้งนั้น พูดถึงก็แอบเป็นห่วงคนที่นอนป่วยอยู่เหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าป่านนี้ตื่นขึ้นมาทานข้าวทานยาบ้างหรือยัง


“แล้วพี่บีทส์ล่ะ เรียนเป็นยังไงบ้าง ไปอยู่คนเดียวแบบนั้นไบร์ทก็ยิ่งเป็นห่วง” น้องเป็นฝ่ายถามผมบ้าง ผมเลิกคิ้ว จะว่าดีก็ดีอยู่หรอก จะว่าไม่ดีมันก็มีบ้าง ตอบไม่ถูกเลย แรกๆ ก็แย่หน่อย แต่ตอนนี้อะไรๆ มันก็เริ่มดีขึ้น ล่ะมั้ง...


“ก็เรื่อยๆ ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วด้วย” ผมตอบยิ้มๆ


“อ่าฮะ แล้วกับคนที่ชื่อซันนี่มันยังไง” อื้อหือ ดีนะไม่ได้กินน้ำอยู่ ไม่งั้นงานนี้มีพุ่งกันบ้างล่ะครับ อะไรจะตรงขนาดน๊าน


“อะไร ไปรู้อะไรมาไม่มีอะไรนี่..!” ผมรีบปฏิเสธ อย่าบอกนะว่าอิพิงค์มันโรคปากสว่างกำเริบ


ไบร์ทหรี่ตามอง


“ไบร์ทรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่บีทส์หมดนั่นแหละ แต่ที่ไบร์ทไม่พูดเพราะไบร์ทคิดว่าพี่คงไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง เลยรอดูอยู่ห่างๆ นี่ไง แล้วก็เรื่องที่ร้องไห้เสียน้ำตาเพราะผู้ชายคนนั้น...ไบร์ทก็รู้อีกเหมือนกันนั่นแหละ”


อะไรนะ!!! ผมอ้าปากค้าง นี่น้องผมมีสายรายงานความเคลื่อนไหววนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมหรือยังไงกัน!?!


“เอ่อ...ก็” ผมพยายามจะอธิบาย แต่ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอเลยครับ


“หึๆ ไบร์ทไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เรื่องของหัวใจน่ะ ไบร์ทรู้ว่ามันบังคับกันไม่ได้หรอก ไม่งั้น...” ไบร์ทพูดก่อนจะหยุดเอาดื้อๆ ผมยิ้มให้น้องอย่างให้กำลังใจ  คงจะคิดเรื่องของแจนอยู่ล่ะสิ


“นี่ไบร์ท พี่เคยอ่านเจอในหนังสือ เขาว่ากันว่า…”


“...บางครั้งเราอาจจะเลือกรักคนผิด ร้องไห้ให้กับเหตุผลผิดๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราจะได้จากมันแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว รู้มั้ยว่าอะไร” ผมเว้นจังหวะ ไบร์ทมองหน้าผมก่อนจะส่ายหัว


ผมยิ้ม “ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวคนฉลาดจะเฉลยให้ฟัง”  ฮุๆ  ไม่บ่อยที่ผมจะได้เอ่ยปากสอนใคร แอบเขินเหมือนกันวุ๊ย
“ความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันจะช่วยทำให้เราค้นพบคนที่ใช่”


ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะผมเองก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกันถึงได้ลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง ผิดก็แค่คนที่ผมลองที่จะเสี่ยงดันเป็นคนที่ทำให้ผมอกครั้งไปแล้วครั้งหนึ่ง


“...”


ผมเงียบเพื่อรอฟังคนตรงหน้า น้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อผมพูดจบอึ้งอ่ะเด่ะ อย่างพี่ก็มีสาระนะน้อง
“หึๆ ฮ่าๆๆ  พี่บีทส์ไปอ่านเจอมาจากไหนเนี่ย อย่างพี่บีทส์อ่านหนังสือด้วย พุฮ่าๆๆ” คิ้วกระตุกกันเลยทีเดียว อะไรวะเฮ้ย!


“ลามปามละๆ ยอมรับก็ได้ว่าฟังจากไอ้นัทมันมาอีกที แค่จำได้ก็นับว่าดีสุดๆ แล้วนะเว้ย” ผมท้วง ไบร์ทพยายามหยุดขำเมื่อเห็นผมทำปากยื่นงอนๆ


“ฮ่าๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้  พอมีความรักก็เริ่มมีสาระเลยนะพี่เรา” ไบร์ทแซ็ว ผมยิ้มเขินๆ ก็ไม่รู้สิ ผมแค่อยากพยายาม พี่ซันไม่ต้องรักผมตอบก็ได้ ขอแค่ยอมให้ผมได้ทำอะไรให้พี่มันบ้าง แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว


“บ้าน่า...รักเริ่กอะไรไม่มีหรอก แล้วนี่จะไปเรียนยังไง” ผมเอ่ยปากปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยถามน้องกลับ ตอนนี้มันก็แค่รักข้างเดียวของผม จะสมหวังหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ แต่ไม่เป็นไรถ้าในที่สุดแล้วมันยังไม่ใช่ ผมก็จะคิดซะว่าได้พยายามเต็มที่แล้ว


“พี่บีทส์จะรักใครชอบใครไบร์ทไม่ว่าอะไรหรอก แค่รักตัวเองให้มากๆ ก็พอ ส่วนเรื่องไปเรียน ก็...พอดีรุ่นพี่เขาต้องผ่านมาทางบ้านเราพอดีเลยจะแวะรับไบร์ทก่อน ทางเดียวกันไปด้วยกัน  ช่วยชาติประหยัดน้ำมันอ่ะพี่บีทส์”


ครืด ครืด...


เสียงโทรศัพท์ของไบร์ทสั่นครืด เราจึงหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น ไบร์ทหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา ก่อนจะเลิกคิ้วพร้อมกับทำปากยื่น อ้าว แล้วทำไมไม่รับ


ไบร์ทกดตัดสาย ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าใครโทรเข้ามา น้องยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไร พลางมองเลยไปทางหน้าบ้าน ผมจึงมองตามบ้าง เห็นรถคันหรูสีดำจอดอยู่ข้างๆ บ้าน หน้าบ้านก็มีนะคนเราดันไม่จอด กลัวใครเห็น


“รุ่นพี่มาแล้ว ไบร์ทไปก่อนนะพี่ อ่อ แม่อยู่ในครัวนะ แล้วนี่กุญแจไอ้น้องน้ำตาล ไบร์ทไปล่ะ~!” ไบร์ทหันมาตอบ พลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ผมพยักหน้าเออออ แล้วยื่นมือไปรับกุญแจรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ ที่ตอนนี้ยกให้ไบร์ทไปเป็นการถาวรแล้ว
‘น้องน้ำตาล’ เป็นรถมอเตอร์ไซต์คันแรกที่คุณนายซื้อให้ผมตอนอายุครบสิบห้าปีพอดิบพอดี...กว่าจะได้มาเรียกว่าอ้อนวอนคุณนายเลือดตาแทบกระเด็นเลยล่ะครับ


ผมเดินตามมาส่งน้องที่หน้าบ้าน เห็นไบร์ทเดินอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ สักพักรถก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ รถพี่หมอหรือเปล่านะ ผมพยายามเค้นความจำ รถพี่หมอที่ผมเคยนั่งมันสี่ประตูไม่ใช่เหรอ ทำไมคันนี้มันสองประตู...หรือว่าจะไม่ใช่


ผมส่ายหัวกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าบ้านหยิบเอากระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นพาดบ่า ไปทักทายคุณนายหน่อยดีกว่า ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยเข้าสองรูจมูกเมื่อเดินเข้าใกล้ห้องครัว


หมับ!


“ตาเถร!!! บีทส์~! แม่ตกใจหมดเลย ทำไมมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” แม่สะดุ้งเฮือกใหญ่ เมื่ออยู่ดีๆ ผมก็คว้าหมับเข้าที่เอวก่อนจะซุกหน้าไปกับซอกคอของคุณนาย ดีนะทัพพีไม่หล่น ไม่งั้นผมคงโดนบ่นยาว ฮ่าๆ คุณนายเอี้ยวตัวมามองด้านหลัง ผมเลยแจกจูบไปให้หนึ่งฟอด ก่อนจะโดนตีเข้าที่มือไม่แรงมากนัก


“ฮ่าๆ ขอโทษครับคุณนาย ไม่นึกว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้นะเนี่ย ทำอะไรอยู่ครับคนสวย” ผมแซ็วขำๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูผลงานของคุณนาย อ่า ข้าวต้มปลาน่ากินสุดๆ ผมทำท่าซี้ดปาก คุณนายส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้าทำอาหารต่อไม่สนใจหมีอะโคล่าอย่างผม


“เดี๋ยวบีทส์เอาของไปเก็บแล้วจะลงมาช่วยนะครับ น่ากินมาก” ผมบอก ก่อนจะฉวยหอมแก้มคุณนายเขาไปอีกหนึ่งที โวยวายใหญ่เลยครับ ฮ่าๆ


เปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะวางกระเป๋าไว้บนที่นอนของตัวเอง โดยหยิบเอาโทรศัพท์ติดมือมาด้วย แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงนอน โทรหาพี่ซันหน่อยดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้จะตื่นหรือยัง คนป่วยต้องทานข้าวทานยาให้ตรงเวลา กลัวว่าพี่ซันจะนอนเพลินจนไม่ตื่นมาทานยาน่ะสิครับ


ตู๊ด...ตู๊ด


กดต่อสายไปยังปลายทาง ได้ยินเสียงรอสายนานอยู่สักพักแต่ก็ไม่มีคนรับ เลยตัดสินใจกดโทรออกอีกครั้ง         

                 
“…” กดรับแต่ไม่ยอมพูด


“เอ่อ พี่...ตื่นรึยังครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยปากถามก่อน


...เงียบ นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่ตื่น???


“นี่พี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอครับ นี่!! อย่าบอกนะว่ายังนอนอยู่บนที่นอนอ่ะ!! เอ๊ะ รับแล้วทำไมไม่พูดครับ พี่ซัน พี่ซัน ไอ้พี่ซันโว้ย!! พี่ซันครับยังอยู่มั้ย พี่ซัน~” ผมเรียกคนในปลายสายหลายครั้ง ตะโกนเรียกก็ไม่ตอบ เลยลองลดน้ำเสียงลง  ยอมลงให้ก็ได้วะ!


“อืม...” กูอยากจะกรี๊ด ตอบมาแค่เนี้ย!?!


“พี่ตื่นหรือยังครับ” ผมปรับเสียงลงมาให้อยู่ในระดับปกติ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง


“คิดว่าไงล่ะ” แน่ะ! กวนตีนกูอี๊ก!! ตอบดีๆ เลยไม่ได้หรือยังไงหื้อไอ้คนขี้เก็ก!!


“พี่ยังไม่เห็นโน๊ตของผมเหรอ ผมตื่นมาทำกับข้าวไว้ให้ตั้งแต่เช้า เตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหาร ยาก่อนและหลังอาหารก็เตรียมไว้ให้ ไหนจะยาที่ต้องทาผมก็วางไว้ใกล้ๆกัน ทำไมพี่ถึงไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีก พี่จะนอนให้ร่างกายมันรักษาตัวเองรึยังไงครับ” ผมบ่น คนอุตส่าห์เป็นห่วงตื่นมาทำอาหารให้ แต่ไอ้พี่บ้านี่ไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิดมันน่าโมโหจริงๆ


“พูดจบยัง” พี่ซันถามด้วยน้ำเสียงปกติไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรที่โดนผมบ่น ฮึ่ย ด้านจริงๆ ไอ้คนไม่มีหัวใจ!!


“ยัง!!! คอยดูนะคราวหลังผมจะไม่ยอมทำอะไรให้พี่กินอีก ห้องก็จะไม่ยอมไปเก็บกวาดให้ จะไม่ยอมไปเป็นนางทาสในเรือนเบี้ยพี่อีกเลย คอยดู๊!!” พูดเยอะก็เหนื่อย ดูพี่มันสิครับ โดนผมด่ายังมาหัวเราะอีก บ๊ะ!!


“นี่!! ขำอะ...”


“สัส! เงียบ!! บ่นอย่างกับเป็นเมียกู กูพูดสักคำรึยังว่ายังไม่ตื่น” พี่ซันพูดแทรกขึ้นมาเมื่อผมกำลังจะจัดมาม่าชุดเล็ก ผมนี่อ้าปากค้างไปเลยครับ ชิส์! ถ้าได้เป็นเมียนะจะบ่นยิ่งกว่านี้อีก ตื่นแล้วก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้พูดอยู่ได้ตั้งนาน!


“ก็ใครจะไปรู้เล่า! ก็พี่ไม่ยอมพูดเองนี่ ผมก็คิดว่ายังไม่ตื่นน่ะสิ” ผมเถียง


“หึ  มึงก็หัดรอฟังคนอื่นเขาพูดบ้างสิวะ ไม่ใช่เอะอะก็เอาแต่โวยวาย” พี่ซันพูดขึ้น ผมได้แต่ฟึดฟัดอยู่คนเดียว ก็ผมได้ยินเสียงพี่มันหัวเราะเยาะผมด้วยอ่ะ


“เออน่า ช่างผมเถอะ ว่าแต่ตื่นแล้วพี่ทานข้าวรึยังครับ” ผมเปลี่ยนประเด็น โอ๊ะ แอบได้ยินเสียงทีวีด้วยอ่ะ ทำไมตอนแรกกูไม่ได้ยินวะ!?!


“อืม”


“แล้วยาล่ะ” ถามต่อทันที


“กำลัง”


“อ่า โอเค พี่อย่าลืมทายาด้วยนะครับ จะได้หายไวๆ ผมไม่กวนแล้วดีกว่า พี่จะได้พักผ่อนเยอะๆ” ผมพูดตัดบท จริงๆ เท่าที่ดูอาการจากเมื่อวานพี่มันก็ดีขึ้นมากแล้วครับ แต่ก็นะ...


“มึงอย่าเวอร์ ข้อมือเคล็ดไม่ได้แขนขาด”


เชอะ ก็คนเขาเป็นห่วงนี่ “เป็นมากเป็นน้อยผมก็ยังห่วงอยู่ดีนั่นแหละ”


“…” ปลายสายเงียบ อ้าว ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ


“วางๆ ไปสักที ไหนบอกอยากให้นอนเยอะๆ ไง” แบบนี้เขาเรียกว่าไล่ทางอ้อมหรือเปล่าครับ


“ไม่ต้องรีบไล่ก็จะวางแล้วครับ แม่ะ ที่นอนไม่หายไปไหนหรอก ไว้ผมจะโทรไป ‘จีบ’ เอ้ย โทรไปถามอาการใหม่นะครับ บ๊ายบาย” ผมหยอด แล้วรีบกดวางสายทันที ไม่ต้องเดาก็รู้ครับว่าพี่มันคงกำลังด่าผมอยู่แหงๆ


ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เตียงก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อยืดตัวโคร่งที่ผมชอบใส่เล่นอยู่บ้านมาหนึ่งตัวพร้อมกับกางเกงขาสามส่วนมาด้วยอีกหนึ่งตัว กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนใจเดินกลับมาที่เตียงเหมือนเดิม ไม่ได้ลีลาครับ พอดีโทรศัพท์ผมมีสายเข้า


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


‘พี่นางฟ้า’


ผมสะดุดกึก เมื่อเห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามา


“ครับพี่ฟ้า” ผมกดรับสาย


“เอ่อบีทส์ พี่ฟ้ารบกวนหรือเปล่าคะ” พี่ฟ้าเอ่ยถาม


“ไม่ครับ พี่ฟ้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามกลับ ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนะครับ แต่ถามเพราะสงสัยจริงๆ ตั้งแต่กลับมาจากเข้าค่ายผมก็แทบไม่เจอพี่ฟ้าเลย คือคณะของเราไม่ค่อยเคร่งครัดในระบบโซตัสไงครับ เจอกันก็ทักทายปกติไม่ได้ชวนกันไปดริ๊งก์บ่อยเหมือนพวกวิศวะเขา อะไรนะครับ ผมเปล่าพาดพิงใครนะ ไม่มี๊


“พอดีพี่มีเรื่องรบกวนบีทส์นิดหน่อย คือพี่ไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครว่างเลยสักคน”  พี่ฟ้าพูดเกริ่นๆ ผมเงียบเพื่อรอฟังต่อ


“เอ่อ...ครับ”


“พอดีพี่อยากซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่ซัน แต่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี บีทส์ไปช่วยพี่เลือกหน่อยได้มั้ยคะ ไปคนเดียวพี่คงซื้อไม่ถูกแน่ๆ”


“…”


ผมเงียบ ไม่ยักรู้ว่าพี่ซันเกิดช่วงนี้ แล้วทำไมจะต้องเป็นผมด้วยล่ะครับ แอบชอบแฟนเขายังไม่พอ นี่กูต้องไปช่วยเขาเลือกของขวัญให้คนที่กูชอบอีก เจริญล่ะ!


“เอ่อ ถ้าบีทส์ไม่ว่าง ไม่เป็นไรนะคะ” พี่ฟ้าพูดเสียงหงอยๆ ผมนี่แทบกุมขมับ ถ้าปฏิเสธก็จะหาว่าเป็นการแล้งน้ำใจอีก เอาวะ อย่างน้อยไปกับพี่ฟ้าก็จะได้รู้ว่าพี่ฟ้าซื้ออะไรให้พี่ซัน


ผมจะได้ไม่ซื้อซ้ำ!!!


“ตกลงครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าเองให้เจอกันที่ไหนดีครับ” ผมตัดสินใจตอบรับคำชวน ก่อนจะนัดแนะสถานที่กับพี่ฟ้า ก็ห้างใหญ่ใจกลางเมืองนั่นแหละครับ เรานัดเจอกันตอนเที่ยง พี่ฟ้าบอกว่าอยากหาอะไรทานรองท้องก่อน ค่อยไปเดินดูของทีหลัง  ผมก็ตอบตกลงไป ยังไงก็ได้ครับ...ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว


ผมเก็บเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเข้าตู้ไว้เหมือนเดิม ก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้แล้วเดินลงไปข้างล่างทันที ทานข้าวต้มปลาของคุณนายรองท้องกันไว้ก่อนดีกว่าครับ กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณนาย ถ้าหากว่าผมไม่กินตั้งแต่ตอนนี้เผื่อกลับมาแล้วมันหมดผมก็อดน่ะสิ!


‘ถ้าน้องเมล์จะแน่นขนาดนี้...’


ผมกดอัพเดทสถานะเฟสบุ๊คขณะยืนห้อยโหนอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง ยังดีนะครับที่เป็นรถเมล์ปรับอากาศ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่ อากาศบ้านเรามันไม่ต่างจากเดินอยู่บนทะเลทรายเลย


‘หาผัวรวยๆ สิมึง มีรถรับ-ส่งทุกวัน วินๆ’


คนที่คุณก็รู้ว่าใครครับ อิพิงค์มึงเล่นกูหน้าทามไลน์เลยนะ คิดว่าเพื่อนมึงจะอายเป็นไหมเนี่ย


‘ไปไหนน่ะบีทส์?’


ผมยิ้มเมื่อมีคนมาโพสต่อคอมเม้นท์อิพิงค์ พี่ไม้ครับเทพบุตรสุดหล่อ ที่ฟ้าส่งมาโปรดชาวโลก


‘สยามครับ’  ผมกดตอบ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์เมื่อพี่พนักงานเก็บเงินตะโกนบอกว่าป้ายหน้าเป็นจุดหมายที่ผมจะต้องลงแล้ว


“สวัสดีครับพี่ฟ้า” ผมยกมือไหว้พี่ฟ้า หลังจากที่เดินเข้ามาในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เรานัดกันไว้ พี่ฟ้าหันมายิ้มก่อนจะยกมือขึ้นรับไหว้ผม


“สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเห็นบีทส์แต่งตัวแบบนี้ น่ารักจนพี่ชักจะอิจฉาแล้วนะเนี่ย” พี่ฟ้าแซ็ว แล้วทำแก้มพองลม โอย น่ารักมากไปแล้วนะครับ


“ไม่เท่าพี่ฟ้าหรอกครับ สวยขนาดนี้ผมไม่กล้าเดินด้วยเลย” ผมตอบ วันนี้พี่ฟ้าใส่เดรสสั้นประมาณเข่าโทนขาวน้ำตาลอ่อน ปล่อยผมสลวยที่ดัดเป็นลอนใหญ่ๆ สยายไปทั่วแผ่นหลัง


“ปากหวานนะเรา คงใช้จีบสาวๆ บ่อยละซี เอ้านี่ค่ะ สั่งอาหารเลย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่ฟ้าพูดพลางยื่นเมนูให้กับผม เปิดเมนูไปเรื่อยๆ ทำไมอาหารมันถึงได้หน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้ล่ะครับ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ (ไม่รู้จักจริงๆ)


“ขอเป็นอันนี้ก็แล้วกันครับ” ผมชี้ไปที่รูปสปาเก็ตตี้หน้าอะไรสักอย่าง ชื่อแม่งจะยาวไปไหน อ่านก็ยาก ขืนออกเสียงผิดอายเขาตาย พี่ฟ้าหันไปสั่งอาหารกับพนักงานที่มารอรับออเดอร์ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไปให้เหมือนกัน
อย่าดีกับผมมากไปกว่านี้เลยครับพี่


“เรียนเป็นยังไงบ้างบีทส์” พี่ฟ้าชวนคุย เราคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และเป็นผมซะส่วนใหญ่ที่เล่าวีรกรรมต่างๆ ให้พี่ฟ้าฟัง ดูเหมือนพี่ฟ้าจะไม่ค่อยได้ทำอะไรที่อยากจะทำเท่าไหร่ครับ ชีวิตอยู่แต่ในกรอบมาตลอดอะไรแบบนั้น คุยกันไปได้สักพักผมก็นึกอะไรขึ้นได้ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามออกไปเนียนๆ


“พี่ฟ้าชอบทานอาหารอิตาเลี่ยนเหรอครับ แสดงว่าก็ต้องมากับพี่ซันบ่อย” ผมถาม


“ค่ะ พี่มาทานบ่อยมากจนพนักงานข้างหน้าจะจำหน้าได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนเขาก็มากับพี่บ่อยๆ แต่ช่วงหลังๆ มานี้เขาไม่ค่อยว่าง เราจะเจอกันก็เฉพาะตอนที่มีนัดทานข้าวระหว่างครอบครัวมากกว่า” ผมพยายามเก็บข้อมูล แสดงว่าก็ต้องชอบทานอาหารอิตาเลี่ยนเหมือนกันสิถึงได้ชวนกันมากินบ่อยๆ แอบเคืองพี่ซันนิดๆ เป็นแฟนกันภาษาอะไรวะเนี่ย จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่น่าจะใช่ ผมก็เห็นพี่ซันลอยไปลอยมากับคนอื่นอยู่บ่อยๆ


“ดูพี่ฟ้ารักพี่ซันมากเลย” ผมถามยิ้มๆ แล้วรวบช้อนไว้ที่เดิม อิ่มแล้วครับ พี่ฟ้ายิ้มเขินๆ ก่อนจะรวบช้อนไว้ในจานเหมือนกัน


“พี่ก็ตอบไม่ได้นะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่รู้คือ...พี่ซันเป็นทุกอย่างให้พี่ได้ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ และก็เป็นคนรัก เราโตมาด้วยกันด้วยแหละมั้ง มันเลยกลายเป็นความผูกพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน บีทส์เชื่อมั้ยจนถึงทุกวันนี้เรายังไม่เคยพูดคำว่ารักกันเลยสักครั้ง” พี่ฟ้าพูดเสียงเศร้าๆ ผมอ้าปากพะงาบๆ


“อ้าวน้องบีทส์” ผมหันขวับไปยังต้นทางของเสียง ก่อนจะหันหน้ากลับแทบไม่ทัน โลกมันจะกลมไปไหมครับ!?!


“พี่เจสวัสดีค่ะ” ผมหันไปมองพี่ฟ้า ที่เอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้พี่เจ ตอนนี้พี่มันจรลีตัวเองมานั่งข้างๆ ผมแล้วครับ ไวมากครับพี่


“สวัสดีครับน้องฟ้า มาทานข้าวกันเหรอครับ” พี่เจเป็นฝ่ายชวนคุย


“ค่ะ พอดีฟ้าชวนน้องออกมาเดินช้อปปิ้งน่ะค่ะ” พี่ฟ้าตอบ พลางขยิบตาให้ผม อ่า อยากให้เก็บเป็นความลับ ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบ


“อ่อครับ หน้างอเชียวเรา ยังไม่หายงอนพี่อีกเหรอ” พี่เจหันมาคุยกับผม เหวอสิครับ ผมไปงอนอะไรพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่!?! ทำไมกูไม่เห็นรู้ตัว


“ดูสนิทกันจังเลยนะคะ” พี่ฟ้าเอ่ยล้อ ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่พี่เจยิ้มรับหน้าบานไปแล้วครับ


“ครับ พอดีพี่จีบน้องรหัสของฟ้าอยู่ ไม่ยอมใจอ่อนให้พี่สักที”


พี่เจพูดก่อนจะดึงมือผมไปกุมไว้ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พี่มันบอกว่าจีบผมอยู่? เอ่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?! นี่มึงจะขี้ตู่เกินไปแล้วนะ! ละ...แล้วมือ


“เฮ้ยพี่ ปล่อย!” ผมบอกเสียงแข็ง


“คึคึ พี่เจอย่าแกล้งน้องฟ้าสิคะ ดูสิ น้องหน้างอใหญ่แล้ว” ผมจิ๊ปาก พี่เจยอมปล่อยมือผม พลางยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างล้อๆ พี่ฟ้าหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ


“หึๆ เอาเป็นว่าพี่ขอตัวก่อนดีกว่า พอดีพี่มาทำธุระต้องไปแล้ว จริงๆ อย่างอยู่คุยด้วยนานๆ แอบเสียดายนะเนี่ย” พี่เจพูดพลางมองหน้าผมอย่างมีความหมาย ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ ก่อนจะขยับปากพูดแบบไร้เสียงว่า


‘ชิ่วๆ’


พี่เจหัวเราะ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป ผมหันกลับมาเจอสายตาล้อเลียนของพี่ฟ้า อยากจะบอกเหลือเกินครับ
ที่ผมอยากได้อ่ะไม่ใช่คนนี้...

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 21-06-2018 14:03:38
[ต่อ]




“กูให้มาช่วยเลือกของ ไม่ได้ให้มาเดินอ่อยผู้ชายนะเว้ย!” ผมแหวขึ้น หลังจากทนมองพฤติกรรมของไอ้คนข้างตัวไม่ไหว
“อะไรเล่า นี่กูก็ช่วยมองหาอยู่ไง” อิพิงค์เถียง ผมถอนหายใจเซ็งๆ


ก็ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ที่ออกไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าช่วยเดินเลือกของตั้งนานกว่าจะถูกใจทั้งพี่เขาและผมก็เสียเวลาไปจนตะวันตกดิน พี่ฟ้าซื้อกระเป๋าสตางค์ให้พี่ซัน ราคาก็หลายหมื่นครับ ผมนี่ถึงกับซี้ดปากเมื่อเห็นราคา
ก็ตอนเลือกไม่คิดว่ามันจะแพงขนาดนี้นี่ครับ


พอได้ของที่ต้องการแล้วทั้งผม พี่ฟ้า ก็แยกย้ายกันกลับ พี่ฟ้าบอกว่าจะไปส่งแต่ผมปฏิเสธไปเพราะเกรงใจ ถ้าพี่ฟ้าต้องขับรถไปส่งผมกว่าจะวนรถกลับก็คงดึก ตัดปัญหาง่ายๆ คือผมกลับเองน่าจะดีกว่า นั่งน้องเมล์จนชิน ไม่เหนือบากกว่าแรงผมหรอก
กลับมาถึงบ้านก็แทบจะหมดแรง ไม่รู้ว่ารถจะติดอะไรนักหนา เปิดประตูเข้ามาเจอคุณนายนั่งดูทีวีอยู่ตรงห้องรับแขกพร้อมทั้งถักไหมพรมไปด้วย ผมยิ้ม วางกระเป๋าเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง คุณนายสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวมาหาผม


ฟอด~


'กลับมาแล้วครับ' ผมบอก คุณนายรั้งคอผมไปหอมแก้มคืน


'ไปไหนมาลูก แล้วทานอะไรมารึยัง' แม่ถาม


'แหะๆ รุ่นพี่ชวนออกไปซื้อของเป็นเพื่อนนะครับ' ผมตอบพลางทิ้งตัวนั่งข้างๆ คุณนาย


เรานั่งดูทีวีกันไปได้สักพักคุณนายก็ขึ้นไปนอนก่อน ผมนั่งดูทีวีไปสักพักไบร์ทก็กลับเข้ามา เราทักทายกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นห้องของตัวเอง


ผมอาบน้ำแต่งตัวออกมานั่งทาครีมอยู่ที่เตียงนอนของตัวเอง ก่อนจะล้มตัวนอน ไม่ได้นอนให้หลับหรอกครับ แต่ตอนนี้กำลังเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย พี่ฟ้าชวนผมออกไปซื้อของให้พี่ซัน ก็ย่อมแสดงว่าเร็วๆ นี้ต้องถึงวันเกิดพี่มันแน่ๆ แต่วันไหนนี่สิ ตอนไปกับพี่ฟ้าก็ลืมถามซะได้


แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ ในบรรดาเพื่อนสนิทของผมก็คงจะไม่มีใครรู้รายละเอียดลึกขนาดนั้น แม้แต่อิพิงค์ผู้รอบรู้ก็คงไม่รู้ นอนพลิกบนเตียงไปมาหลายรอบก็ยังคิดไม่ออก


ถ้าต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวพี่มัน ก็ต้องถามเอากับคนใกล้ตัว และจะเป็นใครดี เอ้อ! พี่หมอไง!!! แต่ผมไม่มีเบอร์พี่หมอ แล้วจะถามใครได้ล่ะเนี่ย


ไอ้น้องไบร์ท!!!


คิดได้แบบนั้นก็รีบพุ่งไปเคาะประตูห้องน้องทันที ไบร์ททำหน้าแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็ตื่นมาเคาะประตูห้อง


'มีอะไรเหรอพี่บีทส์' น้องถาม


'เอ่อคือ ไบร์ท พี่รบกวนอะไรหน่อยสิ ไบร์ทพอจะมีเบอร์พี่หมอมั้ย' ผมถาม ไบร์ทเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อฟังคำถามผมจบ


'หมอไหนอ่ะพี่บีทส์ หมอฟัน หมอหมา หรือว่าหมอตำแย' น้องตอบหน้ากวน หนอย กวนใครไม่กวนนะน้องรัก


'หึๆ หมอคนเดียวกับที่เทียวมารับมาส่งน้องของพี่ยังไงล่ะ อ๊ะ! อย่าปฏิเสธนะ ไม่งั้นฟ้องแม่จริงๆ ด้วย' ผมดัก น้องทำหน้างอ แน่ะๆ แอบเห็นนะว่าหน้าแดง โว้ว น้องผมหน้าแดงเป็นกับเขาด้วยครับพี่น้อง!


'อะ...อะไรเล่า! ก็บอกว่าเขาต้องผ่านทางนี้พอดีไงพี่บีทส์ ไม่ได้ตั้งใจไปด้วยกันซะหน่อย แล้วจะเอามั้ยเบอร์ ไม่เอาไบร์ทจะได้กลับไปนอนต่อ' น้องทำปากยื่น ผมขำ น่ารักจริงๆ


'เอาดิ' ผมตอบ แล้วเดินตามเข้ามาในห้องของไบร์ท อื้อหือชุดกางเกงกีฬา เสื้อยืดสีดำ มันช่างเข้ากับโทนสีห้องของน้องผมที่สุดเลยครับ ชุดนอนลายหมีพูห์ของผมนี่โคตรขัดกับบรรยากาศในห้องนอนห้องนี้เลย


'เดี๋ยวไบร์ทโทรให้ แล้วก็คุยกันในนี้แหละ ไม่ต้องกลับห้อง ไอ้...เอ่อ รุ่นพี่คนนี้ยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้ แถมมันเอ้ย เขายังชอบคนหน้าตาน่ารักแบบพี่บีทส์ด้วย ไม่น่าไว้ใจๆ' น้องพูดพลางเดินมานั่งข้างๆ ผม ผมยิ้มแหยๆ คืออยากจะบอกว่าไม่ทันแล้วล่ะมั้งไบร์ท

 
'อือ...มีคนจะคุยด้วย' ไบร์ทพูดขึ้นเมื่อปลายสายกดรับ เอ่อ คือ ฮัลลงฮัลโหล นี่ไม่คิดจะพูดเลยใช่มั้ยน้องกู


'อ่ะ พี่บีทส์' น้องยื่นโทรศัพท์ตัวเองมาให้


ผมรับโทรศัพท์มาก่อนจะเอ่ยทักทายพี่หมอ ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับพี่มันก็แปลกใจว่าทำไมผมถึงอยากจะคุยด้วย ผมก็ตอบไปตามตรงว่าอยากรู้ว่าพี่ซันเกิดวันไหน เพราะวันนี้พาพี่ฟ้าไปซื้อของขวัญให้พี่มัน แต่ก็ลืมถามว่าวันไหน พี่มันดีกับผมหลายอย่างเลยอยากจะตอบแทนพี่มันบ้าง พี่หมอแกเลยแซ็วเล่นๆ กลับมาว่า


'ถ้าน้องของบีทส์ได้นิสัยแบบนี้มาจากบีทส์บ้างก็คงดี...'


ผมนี่ขำก๊ากเลยครับ แต่ไม่กล้าแซ็วอะไรกลับไป ก็เจ้าของเรื่องเขานั่งอยู่ข้างๆ นี่ครับ ขืนแซ็วไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ได้เป็นเรื่องกันพอดี


…3 พฤศจิกายน…


คือคำตอบของพี่หมอ ผมหันไปดูปฏิทินก็พบว่ามันตรงกับวันอาทิตย์หน้า ก็ยังพอมีเวลา กล่าวขอบคุณพี่หมอเสร็จก็คืนโทรศัพท์ให้เจ้าของเครื่องแล้วก็เดินกลับห้องตัวเอง


นอนคิดทั้งคืนก็ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้พี่มันดี...พอถึงเช้าวันจันทร์กลับมานอนที่หอก็มัวแต่ยุ่งๆ กับเรื่องเตรียมสอบไฟนอล แถมยังมีกิจกรรมกีฬาสีที่ผมต้องเข้ากิจกรรมซ้อมเชียร์กับพวกพี่ๆ ปีสอง แถมยังต้องไปช่วยพี่จ๊ะยายรหัสแบกพวกอุปกรณ์เชียร์ไปเก็บหลังเลิกซ้อม คือพี่จ๊ะแกเป็นรองประธานสีน่ะครับ เลยยุ่งกันหมด กลับมาถึงห้องก็หลับเป็นตาย จนเวลาผ่านมาถึงวันนี้วันสุดท้าย


พรุ่งนี้ก็วันเกิดพี่ซันแล้วครับ ถ้าวันนี้ยังหาของขวัญให้พี่มันไม่ได้ผมคิดว่าจะเอาตัวเองนี่แหละผูกโบว์เป็นของขวัญให้พี่ซันแทน ฮ่าๆ ผมล้อเล่นขืนทำแบบนั้นยังไม่ได้ทันได้ก้าวเข้าห้องพี่มันหรอกครับ โดนเตะออกมาแน่ๆ


“มึง...กูว่าซื้ออันนี้ดีกว่า” อิพิงค์มันว่าพร้อมกับยิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุก


“อะไรวะ” ผมหันไปเลิกคิ้ว


“ถุงยางอนามัย” มียักคิ้วแถมให้อีกหนึ่งที ผมนี่ค้างไปแล้วครับ


“เชี่ย นี่มึงคิดหรือยังก่อนจะตอบกู สมองมึงนี่นะ!” ผมโวย แต่ก็แอบคิดตามมันนิดนึง แต่ว่า...ถ้าซื้อให้จริง ๆ แล้วพี่มันจะมองผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย ไม่ได้ๆ


“เป็นเทียนดีมั้ยมึง แส่ก็ได้ ไม่ก็กางเกงใน เฮ้ย ชุดนางแมวยั่วสวาทดีกว่า เงี้ยววว เริ่ด!!” อิพิงค์มันว่า แถมทำท่าทางนางแมวให้ผมดูด้วย โอ๊ย ความคิดมันแต่ละอย่าง คิดผิดหรือคิดถูกวะเนี่ยที่ลากมันมาเป็นเพื่อน!


“พอๆๆ ไอ้ของขวัญพิเศษๆ แบบนั้นมึงเก็บไว้ใช้เองเหอะพิงค์ กูขอแบบธรรมดาสามัญเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอ่ะ มีมั้ย!?” พูดจบก็จิ้มหน้าผากมันไปที อิพิงค์บ่นหงุงหงิงลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ ผมเลยเดินหนีมันออกมา


“โหย กูล้อเล่น เห็นทำหน้าเครียดๆ” พิงค์พูดพลางเดินมาเกาะแขนผม


“หรือกูจะซื้อนาฬิกาให้พี่มันดีวะ” บ่นกับตัวเองครับ อิพิงค์กำลังจะอ้าปากออกความเห็น


“ไม่ดีกว่ามีคนซื้อเรือนแพงๆ ให้พี่มันแล้ว ดังนั้นกูควรจะแตกต่าง” ผมตอบพลางทำปากยื่น ได้ยินเสียงไอ้คนข้างๆ หัวเราะเยาะ เชอะ!


“ตกลงคิดได้ยัง” อิพิงค์ยื่นหน้าเข้ามาถาม ผมส่ายหัว


“พี่ซันชอบขับรถ เออใช่ อะไรที่เกี่ยวกับรถไงพิงค์!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อิพิงค์เลิกคิ้วถาม ประมาณว่า ‘แล้วไงต่อ’


“ก็...อะไรที่เกี่ยวกับรถไง!?!” ผมตอบพลางคิดไปถึงส่วนประกอบของรถ


“มึงจะซื้อเบาะรถให้พี่ซันใหม่เลยเรอะ!?” อิพิงค์ถามด้วยท่าทางตกใจ เอ่อ จะพูดจะจาอะไรมึงช่วยดูเงินในกระเป๋าเพื่อนมึงหน่อยได้ไหม


“สัส! คิดหรือยังที่พูดเนี่ยห๊า กูหมายถึงพวกสายคาดเบลล์ ไม่ก็ที่หุ้มพวงมาลัยโน่น!” ผมด่า คือจริงๆ ผมอยากได้อะไรที่มันใช้งานได้จริงมากกว่าน่ะครับ ไม่ได้สักแต่ว่าซื้อของให้ส่งๆ


“โห แค่นี้ต้องด่ากูด้วย กูก็แค่อยากช่วย ถ้ามึงอยากได้แบบนั้นกูว่าเอาพวกสายคาดเบลล์ดีกว่ามั้ย” อิพิงค์บ่น แต่ก็ยังช่วยออกความคิดเห็น ผมเห็นด้วยกับมันนะครับ จริงๆ ผมก็อยากได้สายคาดเบลล์


“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ผมตอบ เราสองคนเลยเดินหาร้านแต่งรถ เดินจนขาจะลากกว่าจะเจอร้านที่อยากได้ ระหว่างเดินหาผมก็เสริชหาลายที่อยากได้ไปด้วย แน่นอนว่าผมมีลายที่อยากได้อยู่ในใจแล้วครับ


“พี่ครับ ผมอยากได้สายคาดเบลล์ลายไนท์แมร์ เอ่อ พอจะมีมั้ยครับ?” ผมเดินเข้าไปถามกับพี่พนักงานในร้าน พลางมองดูสายคาดเบลล์ที่วางอยู่หลากหลายลาย มีลายหมีพูห์ด้วยอ่ะ!


“เดี๋ยวพี่ลองเช็คให้นะครับ เอ่อ หน้าตาอย่างน้องน่าจะลองหาลายน่ารักๆ ไปใช้งาน น่าจะดีกว่านะ” พี่พนักงานถามผมยิ้มๆ ผมยิ้มตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป


“อะไรวะ ไนท์แมร์...กูไม่เห็นรู้จัก” อิพิงค์กระซิบถาม ผมยิ้ม เดี๋ยวมึงได้เห็น ขอให้มีทีเถอะ เพี้ยง!


“รอดู” ผมตอบ รอไม่นานพี่พนักงานก็เดินออกมา ผมสังเกตเห็นถุงอะไรบางอย่างสีดำๆ ติดมือพี่แกมาด้วย เอาล่ะเว้ย มีชัวร์!


“อ่ะ นี่ครับ อันสุดท้ายพอดี” พี่พนักงานยื่นให้ ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ พลางยื่นมือไปรับ แต่พี่ครับจะลูบมือผมทำไมไม่ทราบ!


“เอ่อ ขอบคุณครับ” ผมพยายามดึงเอาของจากมือพี่เขา จนอิพิงค์ต้องเข้ามาช่วยดึง พี่เขาถึงยอมปล่อยมือ แล้วยิ้มเขินๆ ให้ผม แต่ ณ ตอนนั้นผมมีสิ่งที่ผมสนใจกว่าเลยไม่ได้ยิ้มตอบ หรือแสดงอาการไม่พอใจอะไร


“ทำไมไม่เอาลายที่มันน่ารักๆ หน่อยวะ” อิพิงค์ยื่นหน้ามาถาม ผมส่ายหัว


“ชื่อกูแปลว่าอะไร” ผมถาม ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ ตอนนี้กำลังเดินไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงิน


“บีทส์ไง ที่แปลว่าอสูร” อิพิงค์ตอบ แต่ยังทำหน้างง เหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ


“เออ ก็รู้นี่ อสูร แล้วไอ้เจ้านี่มันก็คล้ายๆ อสูรนั่นแหละ อีกอย่างที่กูอยากได้คือสิ่งที่สามารถมองเห็นแล้วสื่อถึงตัวกูได้เลย ไอ้เจ้านี่แหละมองเห็นคงนึกถึงกูได้ พี่ซันชอบขับรถดังนั้นถ้าพี่มันหยิบไปใช้ก็จะเหมือนกับว่าพี่มันไปไหนกูก็จะไปด้วยทุกที่ยังไงล่ะ” ผมตอบ พลางยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง


“โอ้โห มึงคิดการณ์ไกลมากบีทส์ โคตรร้าย” อิพิงค์พูดด้วยความตะลึง ผมหัวเราะหึๆ


พอได้ของที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เดินออกจากร้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อิพิงค์บ่นว่าหิว พวกผมเลยตัดสินใจว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับจะได้ไม่ลำบากตอนกลับหอ ตกลงกันว่าจะไปกินซิสเลอร์เล่นเอาอิ่มจนจุกกันไปเลย จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับโดยอิพิงค์ขับรถมาส่งผมที่หน้าคอนโด


ผมทักทายพี่รปภ. เช่นเคย แล้วเดินขึ้นลิฟท์มาอย่างอารมณ์ดี ก่อนอื่นผมต้องขึ้นไปห่อของขวัญก่อนครับ ซื้อมายังไม่ได้ห่อเลย แวะซื้อกระดาษกับกล่องก่อนเข้าคอนโดมาแล้วด้วย เห็นอย่างนี้ผมทำเป็นนะครับ เคยห่อเองตั้งแต่อยู่มัธยมต้น คุณนายสอนนะครับ


ห่อของขวัญเสร็จเลยจรลีตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดเตรียมเข้านอน แต่ไม่ว่าจะนอนพลิกไปมากี่สิบตลบก็ยังนอนไม่หลับ ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้วครับ ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรวันเกิดตัวเองก็ไม่ใช่


สุดท้าย...รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้องพี่ซันแล้วครับ เห็นกุญแจหน้าห้องล็อกอยู่แสดงว่าพี่ซันยังไม่กลับ รออีกหน่อยก็แล้วกัน...
คือทุกคนอาจจะหาว่าผมเวอร์นะครับ แต่ผมขอสารภาพเลยว่าไม่ได้เวอร์


ก็แค่...อยากเป็นคนแรกที่ให้ของขวัญพี่ซัน...เท่านั้นเอง


ครืด...ครืด...


ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์เครื่องเล็กส่งสัญญาณว่ามีสายโทรเข้า ล้วงมือหยิบเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงออกมากดรับ ‘อิพิงค์’ มันโทรมาครับ อ่อ ผมบอกทุกคนหรือยังว่าเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าแล้ว ฮิฮิ


“อือ ว่าไง” ผมถาม


“อยู่ไหนน่ะอิบีทส์ นอนหรือยังมึง” พิงค์ถาม ผมเปลี่ยนท่านั่งเมื่อรู้สึกเมื่อย ก็นั่งท่าเดิมมากว่าชั่วโมงแล้วนี่ครับ


“หน้าห้องพี่ซัน” ผมตอบ


“เฮ้ย ทำไมไม่หลับไม่นอนวะ” อิพิงค์ถามเสียงตกใจ ก็นอนไม่หลับนี่หว่า โทรมาทำไมตอนนี้วะ คนยิ่งตื่นเต้นอยู่ ไม่รู้ว่าพี่ซันจะโผล่มาตอนไหน แล้วถ้าพี่มันถามว่ามาทำไม กูจะตอบว่าอะไร เครียด!


“เออน่า กูกะว่าให้ของพี่ซันเสร็จก็จะขึ้นไปนอนแล้ว แต่พี่มันยังไม่กลับห้องเลย กูรอจนรากงอกแล้วเนี่ย” ผมบ่น อิพิงค์หัวเราะขำๆ ก่อนจะบอกให้ผมดูแลตัวเองดีๆ แล้ววางสายไป


ครืด...ครืด…


ใครขยันโทรมาอีกเนี่ย ผมพ่นลมหายใจออกมาหน่ายๆ แล้วขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่ได้บันทึกไว้


“สวัสดีครับ” ผมกดรับสาย


“บีทส์นี่พี่เอง” พี่ไหนล่ะเฮ้ย ผมเงี่ยหูฟังอีกทีก่อนจะถึงบางอ้อ ‘พี่หมอ’ นั่นเองครับ ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน


“ครับพี่หมอ” ผมตอบรับ


“พี่แค่จะโทรมาถามว่าหาของขวัญได้หรือยัง” ทำไมน้ำเสียงมันดูเจ้าเล่ห์ชอบกล สงสัยผมจะคิดไปเอง


“แหะๆ ก็ได้แล้วล่ะครับ เอ่อ พี่หมอ...พอจะรู้มั้ยครับว่าพี่ซันจะกลับคอนโดกี่โมง” ผมตอบพลางกระชับกล่องของขวัญไว้แน่นเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะเอ่ยถามพี่หมอ พี่มันเงียบไปนิด หรือว่าผมจะก้าวก่ายเกินไป แค่คิดก็จิตใจห่อเหี่ยวแล้วครับ


“นี่อย่าบอกนะว่าเราจะรอเอาของขวัญให้ไอ้ซัน” พี่หมอถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ผมยู่หน้าไม่น่าถามเลยกู


“ก็...เอ่อครับ” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รับๆ ไปเถอะครับ ยังไงถึงปฏิเสธไปก็โดนคนฉลาดไล่เขาต้อนให้ยอมรับอยู่ดี


“เฮ้ย! จริง?” พี่หมอถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผมเงียบ
 

“คือ...เห็นมันบอกว่าจะเข้าบ้านใหญ่ พี่คิดว่าน่าจะกลับดึกๆ เพราะมันบอกว่าแม่โทรตามตัว พี่ว่าบีทส์ขึ้นไปนอนก่อนดีกว่ามั้ย พรุ่งนี้ค่อยเอาของขวัญไปให้มันก็ได้ยังทันนะ” พี่หมอพูด ผมก้มดูนาฬิกา เที่ยงคืนกว่า รออีกสักนิดก็ได้มั้ง


“เอ่อครับ ขอบคุณครับพี่หมอ งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ” ผมตัดบท ก่อนจะรีบกดตัดสายพี่หมอ


แล้วนั่งรอพี่ซันอยู่ที่เดิม...



Talk :: ใกล้แล้ว...

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-06-2018 16:11:52
ความอดทนสูงมาก ชอบๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 21-06-2018 21:22:05
ใกล้อะไรใครก็ได้ช่วยบอกที อยากรู้ 5555
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-06-2018 21:54:32
ใจสลาย..ใช่ม่ะ
พอจะเดาได้อยู่
หุหุ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-06-2018 00:57:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 22-06-2018 02:46:50
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 12 : ให้หัวใจเป็นคนเลือก (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: AutoAngels ที่ 22-06-2018 18:53:22
ชอบมากเลยมาต่ออีกนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 13 : ถ้าอยากนัก..ก็จัดให้ (NC)
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-06-2018 15:37:02
ตอนที่ 13 : NC


[ซัน]


กึก


เดินออกจากลิฟท์ กำลังจะก้าวไปทางห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง ก็สะดุดกึกเมื่อมองเห็นใครบางคนนอนหลับอยู่หน้าห้อง


วันนี้แม่โทรมาหาผมตั้งแต่เช้า บอกให้เข้าไปหาที่บ้าน ผมตอบตกลงก่อนจะอาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปที่บ้าน ถ้าแม่ไม่โทรมาเองผมก็คงไม่เข้าบ้านตัวเองง่ายๆ หรอกครับ กลับไปก็มีแต่ปัญหาเดิมๆ พาลจะทะเลาะกับพ่อให้แม่ไม่สบายใจเปล่าๆ และก็เป็นไปตามคาด ก้าวเข้าไปในบ้านได้ไม่ทันไรก็เจอพ่อนั่งกินกาแฟอยู่ในห้องรับรอง


‘โผล่หัวมาได้แล้วรึไง’ ผมถอนหายใจ นี่คือคำทักทายแรกของคนเป็นพ่อ?


‘ครับ สวัสดี...’ ผมเอ่ยตอบ พลางยกมือไหว้ พ่อไม่ตอบรับอะไร ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาเจอแม่ที่เดินออกมาจากห้องครัวพอดี


‘สวัสดีครับแม่’ ผมยกมือไหว้ แม่ยิ้ม เดินเข้ามากอดผม


‘พรุ่งนี้วันเกิด ซันอยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยจ้ะ’ แม่ถาม ผมส่ายหน้า สิ่งที่ผมอยากได้พ่อกับแม่คงให้ผมไม่ได้หรอกครับ


แม่จูงมือผมเข้ามาในห้องอาหาร สักพักพ่อก็เดินตามเข้ามา จากที่เรานั่งคุยหยอกล้อกันอยู่ก็กลายเป็นอึมครึม ผมนั่งทานอาหารไปเงียบๆ ทีแรกคิดว่าจะนอนค้างที่บ้านสักคืน ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจกลับไปนอนที่คอนโดคงจะสะดวกกว่า


‘เมื่อไหร่แกจะกลับมาอยู่บ้าน’ พ่อเปิดประเด็น ผมถอนหายใจ คิดว่าคุยเรื่องนี้กันจบไปแล้วซะอีก


‘เราเคยคุยกันแล้วนะครับ’ ผมตอบ


พ่อรวบช้อนลง ก่อนจะเงยหน้ามามองผมตรงๆ แม่เองก็หันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเช่นกัน ผมส่งยิ้มให้แม่ ก่อนจะรวบช้อนตัวเองเหมือนกัน แล้วหันไปประจันหน้ากับบุคคลที่ได้ชื่อว่าพ่อ


‘ทำตัวผลาญเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ มีความสุขนักรึไง!?! ทำไมไม่เอาแบบอย่างเหมือนตาเจบ้าง รายนั้นเรียนหนักแค่ไหนก็เข้าไปช่วยงานคุณลุงที่บริษัท ไม่เหมือนแกวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมา คอยหาแต่เรื่องมาให้แม่แกปวดหัวเล่น! เคยคิดจะตอบแทนบุญคุณพ่อกับแม่บ้างมั้ย!?!’ พ่อเริ่มขึ้นเสียง แม่ทำหน้าจะร้องไห้ ผมกัดกรามตัวเองแน่น ก็บอกแล้ว...ถ้ากลับมาบ้านก็คงมีแต่เหตุการณ์เดิมๆ


‘เอาเป็นว่าผมยังยืนยันคำเดิม เหมือนที่เราเคยตกลงกันเอาไว้ วันนี้ผมแค่แวะมาเยี่ยมแม่ ตอนนี้ผมหมดธุระแล้วคงต้องขอตัว ผมกลับนะครับแม่...’ ผมเอ่ยตัดบท ก่อนจะหันไปยกมือลาแม่ที่พยักหน้าน้อยๆ ให้ผม พ่อมองผมตาขวาง แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ เรื่องนี้มันไม่อยู่ในข้อตกลง...


ออกมาจากบ้าน ผมก็แวะไปที่ผับของคนรู้จัก จริงๆ ผมก็มีหุ้นส่วนอยู่ในนี้แต่ไม่มากเท่าไหร่ครับ แค่ลงขันช่วยกันเอาไว้เป็นที่เมาเล่นๆ ให้เป็นที่เป็นทาง นั่งจิบเล่นๆ พอกึ่มๆ ก็กลับ ไม่ได้กะเอาเมาหรอกครับ


ก่อนถึงคอนโดผมแวะซื้อกับแกล้มติดมือมาด้วย ถ้าจะเมาก็ขอกลับมาที่รังของตัวเองดีกว่า เดินถือของออกจากลิฟท์ก็มาเจอไอ้เด็กดื้อนอนหลับอยู่หน้าห้อง


ผมนั่งลงข้างๆ มันก่อนจะพิจารณาโครงหน้าสวยของคนตรงหน้า มานั่งหน้าห้องคนอื่นในชุดนอนลายปัญญาอ่อน


กึก…


กล่องของขวัญ? ของผมงั้นเหรอ มันรู้ได้ยังไง


ไม่รู้ทำไมผมถึงหลุดยิ้มออกมาง่ายๆ เพียงแค่เห็นของขวัญกับใบหน้ายามหลับของคนตรงหน้า จมูกรั้นๆ กับริมฝีปากเรียวเล็กนั่น ตอนตื่นกับตอนนอนต่างกันลิบลับ


“บีทส์ บีทส์...ตื่น” ผมเรียกพลางเขย่าตัวไปด้วย อีกคนแค่งัวเงียแล้วปัดมือผมออก ไม่ตื่นแต่เสือกหลับต่อ


“จะตื่นดีๆ มั้ย” ผมขู่ แต่ยังใช้มือเขย่าแขนอีกคนไปด้วย


“อือ...” บีทส์งัวเงีย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ ผมลุกขึ้นไปไขประตูเมื่อคนตรงหน้าทำท่าว่าจะตื่น...แต่คงตื่นยังไม่เต็มที่ ก็เล่นนั่งไม่ขยับไปไหน ผมแอบขำ แต่ก็หันมาตีหน้าขรึม


“เข้ามาก่อนสิ” ผมชวน บีทส์จึงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินตามผมเข้ามา กอดกล่องของขวัญไม่ยอมปล่อย สัส! โคตรน่าฟัด


ผมวางถุงของกินไว้ที่โต๊ะรับแขกก่อนจะเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนกางเกงขาสามส่วนที่ชอบใส่อยู่ห้อง พอดีกางเกงที่ใส่อยู่มันเลอะเหล้าน่ะครับ ได้ยินเสียงบีทส์ตะโกนเข้ามาว่าจะแกะใส่จานให้


“พี่จะเอาอะไรเพิ่มมั้ยเผื่อผมทำให้” บีทส์ถาม ผมเงียบ ก่อนจะเดินออกมาเห็นร่างบางก้มๆ เงยๆ อยู่กับตู้เย็น คงเช็คว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง ทำตัวเป็นเมียกูขึ้นทุกวัน


“เมื่อไหร่จะซื้อของสดมาติดห้องไว้บ้าง มีแต่เบียร์สดมันอยู่ท้องที่ไหนกัน” บีทส์บ่น ผมเลิกคิ้ว


“ซื้อมาแล้วใครจะทำ หรือมึงจะทำ?”


ผมถามเสียงนิ่ง บีทส์สะดุ้ง ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม


“ได้มั้ยล่ะ?” บีทส์ถามยิ้มๆ


“…” เป็นฝ่ายผมที่ชะงักไปบ้าง เคยกลัวอะไรบ้างไหมเนี่ยฮะไอ้ดื้อ!


“โอ๊ะ!! มีเม็ดมะม่วงด้วย ของโปรดผมเลย!” บีทส์ร้องขึ้นเมื่อเจอของที่ถูกใจ ผมส่ายหัว ก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น จิบเหล้าไปพลางๆ รออีกคนที่อยู่ในครัว


นั่งรอสักพักน้องมันก็ถือเอากับแกล้มออกมาวางไว้ให้ แล้วก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่พูดอะไร จนเป็นผมที่เอ่ยปากถามออกไป ไม่งั้นมันคงนั่งเงียบอยู่แบบนี้จนถึงเช้าล่ะครับ เอากับมันสิ


“มานั่งรอกูมีอะไรรึไง”


“เอ่อ...คือ นี่ครับ สุขสันต์วันเกิดนะพี่ซัน ตีหนึ่งพอดีเลย” บีทส์หันซ้ายหันขวา ก่อนจะยื่นเอากล่องของขวัญมาให้ผม กล่องไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ผมรับแล้วเขย่าไปมา


“ไม่เห็นจะต้องลำบาก” ผมพูดนิ่งๆ มันหน้าจ๋อยไปเลย อะไรวะผมพูดอะไรผิด จริงๆ ผมอยากได้อะไรก็หาซื้อเองได้ ปกติผมไม่ค่อยรับของขวัญจากใครหรอกครับ นอกจากฟ้าที่ดื้อให้ผมทุกปี เพื่อนๆ จะรู้ดี สำหรับบรรดาเพื่อนสนิทแค่มีปาร์ตี้กันนิดหน่อยในแต่ละปีก็เพียงพอแล้วล่ะครับ


“เอาสักหน่อยมั้ย” ผมถาม พลางยื่นแก้วเหล้าให้ มันยื่นมือมารับ ก่อนจะนั่งกินเงียบๆ


ครืด...ครืด…


ผมหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเป็นไอ้อาร์ตที่โทรเข้ามา ดึกดื่นขนาดนี้ โทรมาทำไมวะ ผมกดรับก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาคุยที่ระเบียง


“มีอะไรวะ” ผมถาม


“แค่จะถามว่ามึงเจอน้องมันรึยัง” ไอ้อาร์ตถาม ผมเลิกคิ้ว น้องที่มันหมายถึงคงจะเป็นคนๆ เดียวกันคนที่นั่งอยู่ในห้องผม


“อืม มึงใช่มั้ยที่บอกน้องมัน ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ผมบ่น


“หึๆ มึงเมารึเปล่า” ไอ้อาร์ตถาม


“ไม่...แค่กึ่มๆ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนไม่เมาที่ไหนหรือว่าเข้าเวร” ผมตอบ แล้วถามมันกลับไปบ้าง


“มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ ไบร์ทแม่งซ่าส์ไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องให้กูเป็นห่วงตลอด อยู่เฉยๆ แบบพี่มันบ้างก็ได้แม่ง กูประสาทจะแดกวันละหลายๆ รอบ” ไอ้อาร์ตบ่น ผมยิ้มขำ อย่าว่าแต่คนน้องเลย คนพี่แม่งก็ทำผมประสาทกินเหมือนกัน ใครสั่งใครสอนให้มาหาผู้ชายตอนดึกๆ ดื่นๆ วะ


“อืม...ฝากด้วย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบไอ้อาร์ตไปแบบนั้น


“หึ...เหมือนกัน” ไอ้อาร์ตตอบกลับมา ผมยิ้มก่อนจะกดวางสายไป แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะตะลึงค้าง


“เฮ้ย!! ทำไมสภาพมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ!” ผมหัวเสีย ก็จะอะไรซะอีก ก่อนออกไปคุยโทรศัพท์ก็ยังปกติดีอยู่ นี่หายไปแป๊บเดียว สภาพมันตอนนี้…


กระดุมเสื้อหลุดไปสองเม็ด!! เผยให้เห็นแผงอกขาวๆ กระเพื้อมไปตามจังหวะหายใจ ปากแดง จมูกแดง หน้าแม่งยิ่งแดง เชี่ยเอ้ย แล้วนั่นเม็ดมะม่วงมึงจะกินให้อิ่มแทนข้าวเลยใช่ไหม เหลืออยู่สองสามเม็ด!!


เดี๋ยวได้ท้องอืดตายกันพอดี!


“บีทส์ เฮ้ย!!”
   

ผมเกือบคว้าคนตัวบางเอาไว้ไม่ทัน เมาขนาดนี้ยังจะกล้าเดินมาหาผมอีก ล้มหัวทิ่มไปได้หัวร้างค่างแตก ทำอะไรไม่เคยระวัง ผมส่ายหัว ก่อนจะดันบีทส์ให้ออกห่างจากตัวผม เมื่อกี้โถมมาซะเต็มแรง เลยทำให้ล้มคว่ำทับกัน
   

“คิคิ ทำไมวันนี้พี่หล่อจังเลยอ่า~” ผมอึ้งเมื่อคนตัวบางที่นอนทับผมอยู่เอามือข้างหนึ่งมาลากวนที่ใบหน้าผม ก่อนจะหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ไล่ตามลงมาก็...เฮือก!! ขะ...ขาวจั๊วะ!! ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้งก็ห้ามไม่ให้ใจสั่นไม่ได้ ผมพยายามส่ายหัว สลัดความคิดด้านลบออกไป
   

“อื้อ...ร้อน” เหยด ด !!! เม็ดบัวสีสวยลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เอ้ย อย่าๆ ผมรีบคว้ามือเรียวของบีทส์ไว้เมื่ออีกคนทำท่าจะถอดชุดนอนของตัวเองออก ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมนอนราบอยู่บนโซฟา โดยมีบีทส์นั่งทับอยู่ที่หน้าท้อง
   

...ท่าแม่งล่อแหลมสุดๆ…
   

“เอ่อ ลงไปก่อนขืนอยู่แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ” ผมพูด แล้วลุกขึ้นนั่งพลางรั้งเอวอีกคนให้ออกห่าง แต่กลายเป็นว่าบีทส์ยกมือสองข้างขึ้นมาโอบรอบคอผมไว้ เหงื่อตกสิครับงานนี้
   

“ไม่ดี...ยังไงอ่ะ” ทำหน้าซื่อตาใส เอียงคอถามไปมา...คิดว่าทำแล้วน่ารักใช่ไหม เออ!! น่ารักเชี่ยๆ
   

ทำไมมันเป็นแบบนี้อีกแล้ววะ ทีเมื่อตอนไปเข้าค่ายมันก็เมาหนักเหมือนกันไม่เห็นว่ามันจะมีอาการแบบนี้ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่คนตรงหน้ากินเข้าไปแล้วเกิดอาการ
   

...ยั่วชาวบ้านชาวช่องเขาแบบไม่รู้ตัว…
   

“ไม่ดีก็คือไม่ดี ลงไปก่อนที่จะโดนจับโยนออกไปนอกห้อง” ผมขู่ บีทส์เบ๋ปาก ก่อนจะขยับเข้ามาหาผมอีก ส่วนผมก็ทำได้แค่พยุงเอวบางๆ ของเขาไว้ไม่ให้เจ้าตัวตกลงไปหน้าทิ่มพื้นซะก่อน จะเอาอะไรกับคนเมาไม่รู้เรื่องล่ะครับ
   

จุ๊บ~

   
“...”
   

“ฮ่าๆ หน้าพี่ตลกจัง ปากพี่นุ๊ม...นุ่ม เนอะ~” ยังจะมีหน้ามาถามเจ้าของปากเขาอีก ไอ้เด็กคนนี้ หมดคำจะพูด
   

ฟอด~ ฟอด~
   

“อ๊ะ แถมให้อีกก็ด่ะ~” ถามกูสักคำไหมว่าอยากได้หรือเปล่า แล้ว...อย่าขยับสิเฮ้ย อ่า ก็บอกว่าอ่า~อย่าขยับ!
   

“บีทส์ กูขอเตือน...ว่าลุกออกไปแล้วกลับห้องมึงไปซะ!” เสียงเตือนที่เปล่งออกมาคล้ายเสียงคำราม ผมบอกบีทส์ด้วยสีหน้าลำบากใจ
   

“อึก...ไม่ ทำไมล่ะ พี่รังเกียจผมใช่มั้ย” ร่างบางกอดคอผมแน่นไม่ยอมปล่อย แถมยังเบียดสะโพกเข้าหาผม แน่นอนว่าผมเป็นคนไม่ใช่พระอิฐพระปูน
   

แถมยังเป็นคนที่ติดง่าย...ซะด้วย
   

ผมกัดฟันแน่น ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการแต่ผมแค่ไม่อยากทำร้ายมันในขณะที่คนตรงหน้าเมาไม่รู้เรื่อง ยิ่งปากแดงๆ นั่นขยับพูด ผมก็ยิ่งอยากจะครอบครอง อยากลิ้มลองอยากสัมผัสมากกว่าที่เคยได้ลองมาแล้ว
   

“ไม่ใช่!! แต่บีทส์กูไม่เคยเอากับผู้ชาย!” ผมร้องบอก เมื่ออีกคนทำท่าจะเป่าปี่ ไม่รู้ว่าเพราะเรือนร่างที่เย้ายวนตรงหน้าหรือเพราะแอลกอฮอล์ทำให้ผมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ผม...ไม่รู้อะไรเลย
   

“อึก แค่พี่...แค่พี่คนเดียวที่ผมยอม นะ~” ผมตะลึงค้างเมื่ออีกคนเอ่ยปากออกมา ใบหน้าสวยมองผมด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อยในกำมือ ดวงตาของมันหวานฉ่ำ เสื้อที่สวมอยู่ก็ปกปิดเรือนร่างผู้สวมใส่ได้ไม่มาก เพราะเพียงแค่ปลดกระดุมออกอีกสามเม็ดก็จะเป็นการปลดพันธนาการออกจากเรือนร่างขาวผ่องนี้
   

พรึ่บ!!


ผมพลิกร่างอีกคนให้กลับมาอยู่ใต้เรือนร่างของผม บีทส์จ้องหน้าผม ดวงตากลมโตที่เคยมองผม บัดนี้กลายเป็นดวงตาสวยหยาดเยิ้ม จมูกโด่งรั้นที่เคยเชิ่ดขึ้นอย่างไม่ยอมใครกลับมีสีแดงจางอยู่ปลายจมูกคล้ายกับผลสตอเบอรี่ ปากเล็กๆ แดงๆ ที่เคยพูดอยู่ไม่หยุดเผยอขึ้น...เหมือนรอรับสัมผัส
   

“อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ถ้ามึงอยากกูก็จะสนองให้”
   

“อื้อ...!!” ผมก้มลงครอบครองริมฝีปากแดงสดของคนด้านล่าง ไล่เลียเล็มไปรอบๆ ริมฝีปากและขบเม้ม ก่อนที่บีทส์จะเป็นฝ่ายเปิดริมฝีปากออก ผมไม่รอช้าส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปสำรวจโพรงปากของคนใต้ร่างอย่างหื่นกระหาย
   

เสียงจูบกันยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง...ต่างคนต่างแลกสัมผัสกันอย่างเมามัน จนหลงลืมสิ่งที่เคยคิดว่าควรหรือไม่ควร
    

“อ่ะ...อื้อ พะ...พี่ซัน” เสียงครางกระเส่าที่ถูกส่งออกมาจากปากของคนใต้ร่างทำให้ผมที่คร่อมอยู่ด้านบนยิ่งได้ใจ ตวัดเรียวลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของอีกคนอย่างร้อนแรง มันเองก็พยายามจูบตอบผมกลับมาเหมือนกันจนหยาดน้ำใสเปรอะเปื้อนไปรอบริมฝีปากสีสวย
   

ผมพยายามสอนบทจูบให้อีกคนอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป บีทส์ได้แต่จูบตอบผมอย่างเงอะงะ มือเรียวทั้งสองข้างของมันทำได้แค่โอบรอบคอผมไว้


“แค่ตามเกมของกูก็พอ ไม่ต้องคิดอะไร โอเคมั้ย” ผมกระซิบรอดไรฟัน เพราะมัวแต่ไล่ต้อนลิ้นเล็กไม่ประสีประสาของอีกคน ที่เหมือนจะตอบรับแต่ก็หลีกหนีอยู่ในที มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวผม


“อื้อ ตะ...แต่ ผมกลัว” บีทส์เอ่ยออกมาเสียงอู้อี้ ผมยอมปล่อยปากอีกคนให้เป็นอิสระ และเปลี่ยนเป็นพรมจูบลากวนตั้งแต่ใบหน้าเลื่อนมาที่ใบหูขาว ก่อนจะหยุดขบติ่งหูของมันเบาๆ จนมันครางฮือแถมยังแอ่นอกขึ้นรับสัมผัสของผมที่ซุกอยู่ตรงซอกคอของมันไม่ห่าง


“แค่มึงเชื่อกูก็พอ แล้วมึงจะไม่เป็นอะไร” ผมพูดออกมาเสียงกระเส่า จนแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงได้อยากลิ้มลองร่างเล็กตรงหน้านัก หากจะอ้างว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ก็คงไม่ถูก เขาเพียงแค่ ‘กึ่มๆ’ แต่ไม่ได้เมาถึงขนาดทำอะไรโดยไม่รู้ตัว


“อ๊ะ อื้อ ยะ...อย่ากัดสิครับ ผมอึกจักจี้ อื้อ”
ก็ถ้าจะน่ารักขนาดนี้…


ความคิดแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของผม บีทส์พยายามเอียงหนีสัมผัสการรุกรานของผมที่ตามขบเม้มอยู่ตรงซอกคอ ลากวนลงมาถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า


ผมเงยหน้ามองเรือนร่างขาวผ่องของคนใต้ร่างที่ส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้ ชวนให้ดูเซ็กซี่และเชิญชวนที่สุดในสายตาผม อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ร่างเล็กดื่มเข้าไปในปริมาณมาก ผมแทบอดใจไม่ไหวอยากจะฉีกร่างกายตรงหน้าออกสำรวจให้ครบทุกซอกทุกมุม


“หึ กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะยังไม่เคย ดูจากปฏิกริยาตอบรับของร่างกายมึงสิ แค่กูลูบ น้องชายมึงก็ลุกขึ้นสู้มือกูแล้ว” ผมยิ้มเยาะ


"อ๊ะ...อือ" คนใต้ร่างเอ่ยออกมาเสียงสะท้าน เมื่อผมสอดมือเข้าไปในกางเกงนอนตัวโคร่งแล้วกอบกุมอวัยวะส่วนนั้นของมันไว้เต็มมือ


"หึ เห็นมั้ยว่ามันสู้มือกูด้วย" ผมยิ้มหื่นกระหาย อีกคนบิดตัวหนี


"อือ มะ...ไม่เอานะ อ๊ะ เอามือออกไป อื้อ..." บีทส์พยายามปัดมือผมออก


"ไม่ทันแล้วบีทส์"


พรึ่บ!


ผมถอดกางเกงตัวโคร่งของคนตัวเล็กออก ก่อนลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองออกบ้างเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่า เผยให้เห็นหน้าอกแกร่งที่มีกล้ามเนื้อแบบคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ


"จะไปไหน" ผมคว้าไหล่บางไว้สองมือ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อคนที่กำลังนอนอ่อนระทวยอยู่บนเตียง ขยับตัวจะลงจากเตียง


"ผม อึก...อึดอัด" ใบหน้าสวยบิดเบี้ยว โดยที่มืออีกข้างชี้ไปที่ไอ้ตัวต้นเหตุที่อยู่ภายใต้กางกางในตัวจิ๋วสีเทา ที่กำลังชูคอท้าทายสายตาคนมอง


'เหมือนกับมังกรของผม' ที่ข้างในมันปวดตุบๆ พร้อมจะออกรบเต็มที่ จนอยากจะรีบทำให้เสร็จๆ ให้ตัวเองได้หายทรมาร
   

'ถ้าหากได้กระแทกเข้าไปแรงๆ ก็คงจะดี'



หมับ!


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันจะดีเอง” ผมพูดเสียงพร่า ก่อนจะคว้าเอาร่างบีทส์มาพรมจูบ ผมใช้มือสองข้างประคองหน้าของน้องมันไว้ เราสองคนเหมือนมีแรงดึงดูดต่อกัน ต่างคนต่างแลกจูบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมผละออกจากริมฝีปากของบีทส์ ค่อยๆ ไล่เล็มลงมาที่แผงอกขาว


ก่อนจะใช้ปากครอบครองยอดอกสีสวย มืออีกข้างก็กอบกุมอยู่ที่ยอดอกข้างที่เหลือแล้วใช้ปลายนิ้วบดขยี้ คนใต้ร่างเริ่มส่งเสียงคราง บีทส์ดิ้นเร่าด้วยความทรมาน ใช้มือครอบครองส่วนอ่อนไหวของตัวเอง


“อ่าส์~ อื้อ อ”


ผมละมือออกจากยอดอกสีสวย แล้วลากวนลงไปที่ส่วนอ่อนไหวของอีกคนไม่ลืมแตะมือขาวนั่นเบาๆ เลื่อนผ่านไปที่ส่วนด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ สอดนิ้วกลางเข้าไปหยอกเย้า ทำให้คนใต้ร่างสะดุ้งเฮือก


“เฮือก! อ๊ะ...อื้อ เอาออกไป!” บีทส์พยายามขยับหนี ผมรีบถอนมือออกก่อนจะเลื่อนตัวไปครอบครองริมฝีปากบางของอีกคนไว้เพื่อเบี่ยงความสนใจแล้วเอ่ยปลอบอีกคนจนยอมสงบ ในตอนแรกบีทส์พยายามปฏิเสธ แต่ผมก็อาศัยประสบการณ์ทำให้มันยอมเปิดปากให้อีกครั้งแล้วเพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองและสามในที่สุด


“อื้อ จะ...เจ็บ!” บีทส์สะดุ้งเฮือกเมื่อผมเริ่มขยับนิ้ว


“หายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นๆ อย่าเกร็งไม่งั้นมึงจะเจ็บ แบบนั้นแหละเด็กดี” ผมพยายามพูดโน้มน้าว บีทส์พยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ทำตามคำแนะนำ


“ยกขาขึ้น อีกนิด...อื้ม จะรัดแน่นไปไหนวะ ผ่อนคลายหน่อย” ผมขยับแทรกตัวเข้าไปแนบชิดคนตัวขาว ร่างกายเปลือยเปล่าของเราสองคนเสียดสีกันไปมา ก่อนที่ผมจะฉวยโอกาส...


สวบ!


“โอ๊ย!! พะ...พี่ ผมเจ็บ” น้องมันสะดุ้งเฮือกเมื่อผมเอามือออกจากส่วนด้านหลังแล้วแทนที่ด้วยส่วนกลางกายที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว


“ชู่ว เงียบๆ อย่าร้อง พี่บอกให้หายใจเข้าลึกๆ อ่า...อย่าเกร็งไงครับ” ผมกัดฟันพูดบอกเสียงนุ่ม พยายามจูบซับน้ำตาออกจากหางตาคู่สวย มือข้างซ้ายประสานไว้กับมือข้างขวาของบีทส์ ส่วนด้านล่างยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ สัมผัสได้ถึงของเหลวสีสดที่ไหลออกมา


ผมขบกรามแน่น ตอนนี้เดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดแล้ว


“จะเริ่มขยับแล้วนะ” ผมกระซิบบอกรอดไรฟัน ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมส่วนออกไหวทางด้านหน้าของอีกคนแล้วขยับมือเข้าออกเป็นจังหวะ บีทส์ทำได้แค่พยักหน้ากัดฟันแน่น ก่อนจะเริ่มครางในลำคอเมื่อผมขยับมือชักเข้าออกเร็วขึ้นสอดรับกับจังหวะการขยับสะโพกของผม


“อ๊ะ...อื้อ อ่าส์”


เสียงเนื้อกระทบกันดังต่อเนื่องเป็นระยะ พร้อมกับเสียงครางกระเส่าของเราทั้งคู่ที่ดังอยู่ไม่ขาด


“ตะ...ตรงนั้น อื้อ ผมมะ...ไม่ไหวแล้ว อ๊าส์~” ริมฝีปากสีแดงสดทำได้แค่ส่งเสียงครางออกมา ผมยิ้มมุมปากเมื่อรู้ว่ากระแทกโดนจุดกระสันของอีกคน ร่างเล็กสั่นไหวไปตามแรงกระแทกยิ่งผมออกแรงมากเท่าไหร่ร่างเล็กก็ยิ่งตอดรับผมถี่ขึ้นจนในที่สุดน้องมันก็ร้องออกมาก่อนน้ำขาวขุ่นจะทะลักออกมาเต็มมือผม


เมื่อคนด้านล่างถึงจุดหมายผมเองก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไป เร่งจังหวะกระแทกสะโพกถี่รัว พอใกล้ถึงจุดหมายผมก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ไม่ยอมเสร็จง่ายๆ


“อ่าส์~ สัส เพิ่งรู้ว่าข้างหลังมันจะรัดแน่นขนาดนี้ แค่ยัดเข้าก็แทบแตก” ผมพูดอย่างใจคิด ช่องทางด้านล่างของเรายังคงเชื่อมกันอยู่ บีทส์สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะขยับตัวใช้มือนวดที่หลัง เดาว่ามันคงปวดหลังเพราะกิจกรรมรักครั้งแรกของเรามันเกิดที่ ‘โซฟา’ ดีที่เป็นโซฟาขนาดไม่เล็กมาก ไม่งั้นคงได้กอดกันร่วง


“เอ่อ คือ...” น้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะช่องทางด้านล่างยังคงเชื่อมกันอยู่จึงขยับไปไหนไม่ได้มาก


พรึ่บ!


“อ๊ะ!” น้องมันร้องด้วยความตกใจผวากอดหมับเข้าที่คอผม เมื่อผมรวบร่างเล็กขึ้นมาแนบอก ขาทั้งสองข้างของบีทส์ก็รัดแน่นที่เอวผมเพราะกลัวตก จังหวะการเคลื่อนไหวของเราทำให้ผมเสียวจนขนลุก แต่พยายามกัดฟันเดินต่อ


ยิ่งเดิน...มันก็ยิ่งลึก


“อื้อ...” น้องมันหลับตากัดปาก พยายามกลั้นเสียงครางของตัวเองไว้


“หึๆ ไม่ต้องกลั้น กูอยากได้ยินเสียงมึง ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ขออีกรอบที่เตียงก็แล้วกัน” ผมกระซิบที่ข้างหูน้อง ก่อนจะใช้ริมฝีปากเลียติ่งหูของอีกคน บีทส์พยายามร่นคอหนี


“หว๊า~! มะ เหวอ~!” ยังไม่ทันที่อีกคนจะได้เอ่ยปากปฏิเสธก็ถึงเตียง ผมปล่อยน้องมันลงกลางที่นอนหนานุ่ม ก่อนจะตามเข้าไปทาบทับโดยไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่าง
แน่นอนว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล…


+++++++++++++++++


ผมกระพริบตาเพื่อปรับแสงก่อนจะตื่นเต็มตา เมื่อได้ยินเสียงครางอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดหัวไล่อาการมึน มองเลยไปยังคนข้างตัว


เฮ้ย!!!


“อื้อ…” หมดเวลาตะลึงแล้วครับ เมื่อคนข้างๆ เริ่มขยับตัวพลิกหน้าไปมาเหมือนกำลังไม่สบายตัว เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าสวย เชี่ยแล้วไอ้ซัน!


ผมวางมือลงบนหน้าผากของบีทส์ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงอุณภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ มันไม่สบายแน่ๆ แบบนี้ กว่าเมื่อคืนจะจบลงก็สองรอบ สองรอบของผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คงไม่ใช่กับคนที่เพิ่งเสียตัว...ครั้งแรก


เมื่อคืนเสร็จสิ้นจากกิจกรรมเอ่อ นั่นแหละครับในรอบที่สอง(ของผม) บีทส์ก็สลบเหมือดคาอก ผมเองก็ทั้งเมาทั้งเหนื่อยก็หลับไปเลยเหมือนกัน ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำความสะอาดให้มันเหมือนที่ควรจะทำ


คิดได้ดังนั้นเลยคลำหาผ้าเช็ดตัวก่อนจะพันไว้รอบเอว ลุกขึ้นไปใส่กางเกงแล้วหยิบกะละมังกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดตัวให้กับคนที่นอนซมอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า


แม่งเอ้ย แล้วทำยังไงต่อวะเนี่ย!?!


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 13 : ถ้าอยากนัก... NC (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 25-06-2018 18:02:08
เหนื่อยจัง 2รอบ อยากเหนื่อยอีกจัง
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 13 : ถ้าอยากนัก... NC (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-06-2018 04:02:08
เม้นท์ไม่ออก  :m25:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 13 : ถ้าอยากนัก... NC (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-06-2018 14:15:41
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : ยอมรับว่าหลวมตัว แต่...
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 27-06-2018 15:34:09

ตอนที่ 14 :: ยอมรับว่าหลวมตัว แต่ไม่ยอมรับว่าหลวมใจ


[ซัน]


ผมวิ่งเข้าออกระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเป็นว่าเล่น เพราะไอ้คนที่นอนครางฮืออยู่บนเตียงเริ่มเพ้อ ผมเดินเข้าไปเอามืออังหน้าผากมันดูอีกรอบ...ชักไม่ดีแล้วสิ


สีหน้ามันแย่กว่าเดิมผมรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันอย่างไว พร้อมทั้งทำความสะอาดส่วนนั้นให้แบบลวกๆ ก่อน ด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลังจากที่เอ่อ...นั่นแหละจะต้องดูแลอีกคนยังไง จึงได้แต่ทำไปด้วยสัญชาตญาณ


สีหน้าวิตกกังวลที่ไม่ค่อยจะได้แสดงออกมานักกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผมอย่างชัดเจน ผมลองพลิกร่างเล็กของอีกคนให้นอนหงาย แล้วเลิกเสื้อตัวโคร่งที่ตนเองเป็นคนสวมให้อีกคนขึ้นเพื่อตรวจดูช่องทางด้านล่าง


เชี่ยเอ้ย!! แดงจนเกือบคล้ำ!


กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง


ผมเงยหน้าไปมองที่ประตู


ใครมาหาแต่เช้า…


ผมเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะจัดเสื้อของบีทส์ให้เรียบร้อย ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยเขียวเป็นจ้ำๆ อยู่ตรงหว่างขาเรียวขาว อดคิดไม่ได้ว่าทำรุนแรงไปหรือเปล่าเมื่อคืน ผมส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง แล้วดึงห่มผ้าขึ้นมาห่มให้บีทส์จนร่างโปร่งนั่นจมไปกับกองผ้าห่มเหลือเพียงแค่หัวทุยๆ ของอีกคนที่เอียงใบหน้าแนบกับหมอนใบโตหลับตาพริ้ม


คงต้องให้นอนคว่ำหน้าอย่างนี้ไปก่อน เพราะถ้าขืนให้นอนหงายหน้าเหมือนเมื่อกี้ ส่วนด้านล่างของอีกคนอาจจะเสียดสีกันจนเกิดอาการระบมได้


หวังว่าความคิดของผมจะถูกต้อง...


ผมก้มดูบุคคลที่มากดกริ่งรบกวนตั้งแต่เช้าผ่านช่องตาแมว และต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นบุคคลที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง ก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดออก บุคคลตรงหน้ายืนยิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก ผมยกยิ้มมุมปากตอบกลับไป


“เข้ามาก่อนสิ”


“ขอบคุณค่ะ” ร่างสวยระหงษ์ของอีกคน เบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งก้มถอดรองเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ใส่ในห้องแทน


ผมเดินนำอีกฝ่ายไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวกว้าง ฟ้าที่เดินตามมาจึงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยเปิดประเด็น


“ฟ้ามารบกวนรึเปล่าคะ” ฟ้าเอ่ยถามอย่างเกรงใจ ใบหน้าสวยส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับผมคนที่เธอสนิทสนมด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง แถมยังเป็น ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ที่เตรียมจะหมั้นกัน...หลังจากที่ผมเรียนจบ


“คิดมาก มาหาพี่แต่เช้ามีอะไรพิเศษรึเปล่า” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ เสียงอ่อนโยน


“คือฟ้าจะมาชวนพี่ซันไปใส่บาตรทำบุญที่วัดด้วยกันน่ะค่ะ เขาว่ากันว่าทำบุญในวันเกิดจะส่งผลทำให้ชีวิตเราพบเจอแต่เรื่องดีๆ อะไรที่ไม่ดีก็จะได้เลี่ยงได้ ผ่อนสิ่งที่หนักให้กลายเป็นเบา แล้วก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีด้วยนะคะ” ฟ้าเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตัวเองออกมายาวเหยียด ผมนิ่งไปนิดเมื่อฟังคนข้างๆ เอ่ยจบ


จะให้ผมไปไหนได้ยังไง ในเมื่อยังมี ‘อีกคน’ ที่นอนป่วยอยู่ในห้อง จะให้ผมไปไหนได้ยังไงถ้าอีกคนยังไม่ดีขึ้น และต้นเหตุที่ทำให้คนข้างในป่วยก็มาจากผม...เต็มๆ


แต่จะให้ปฏิเสธคำชวนของคนตรงหน้าตรงๆ ก็ทำไม่ได้อีกอยู่ดีนั่นแหละ


“พี่ขอโทษนะน้องฟ้า พอดีพี่ติดธุระด่วนจริงๆ เอาไว้วันหลังได้มั้ย พี่สัญญาว่าจะไม่เบี้ยว” ผมพูดบอกเสียงนุ่ม พร้อมกับยื่นมือไปกุมหลังมือของฟ้าไว้หลวมๆ ผมคิดอย่างที่บอกไปจริงๆ นะ ก็ทำบุญ...มันทำวันไหนก็ได้ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำเฉพาะวันเกิดที่ไหนกัน


“ไม่ต้องขอโทษฟ้าหรอกค่ะ ฟ้าสิต้องขอโทษพี่ซัน คิดแค่ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์ให้พี่แปลกใจเลยไม่ได้โทรมาบอกก่อน คิดว่าวันเกิดทั้งทีพี่ซันจะคิวว่างซะอีก” ฟ้าพูดบอกหน้ามุ่ยอย่างคนผิดหวัง


“ไว้วันหลังพี่ไปรับที่บ้านเลยดีมั้ย” ผมยื่นข้อเสนอ


“คิคิ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะห้ามเบี้ยวฟ้าอีกนะ อ่อ...พี่ซันอย่าลืมนะคะว่าเย็นนี้เรามีปาร์ตี้กันที่ห้องนี้ คิดว่าตอนบ่ายพวกพี่ๆ คงทยอยกันเข้ามาเตรียมของ งานนี้ฟ้าก็ไปช่วยเหมือนกัน ดังนั้นพี่ซันต้องกลับห้องไวๆ นะ” ฟ้าบอกงอนๆ แต่ก็พึงพอใจกับข้อเสนอใหม่ของผม ก่อนจะเอ่ยเตือนถึงปาร์ตี้วันเกิดที่จะจัดขึ้น ผมนิ่งเมื่อนึกได้ว่าเย็นนี้นัดพวกเพื่อนๆ กับรุ่นน้องคนสนิทที่แข่งรถด้วยกันมาฉลองวันเกิดกันที่ห้องนี้ ซวยแล้วดิ


“ไม่ลืมครับ สัญญาว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมารอที่ห้อง” ผมยิ้มรับ พร้อมทั้งยื่นมือไปยีหัวฟ้าอย่างเอ็นดู


“งั้นเดี๋ยวฟ้าไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะพี่ซัน” ฟ้าพูดบอก ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกมาส่งฟ้าที่หน้าห้อง


“ครับ ขอโทษอีกครั้งนะที่ไปด้วยไม่ได้” ผมพูดบอกอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องโกหก อีกทั้งยังเริ่มกังวลกับปาร์ตี้เย็นนี้ขึ้นมา


ฟอด~


ผมยืนค้าง เมื่อฟ้าเป็นฝ่ายเขย่งตัวขึ้นมาหอมแก้มผม ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ ก่อนจะหลบสายตาผม แล้วหันหลังเดินออกไป
ผมยกมือขึ้นมาลูบตรงแก้มข้างที่โดนฟ้าขโมยหอม สัมผัสยังคงบางเบาและกรุ่นอยู่ในความรู้สึก ผมยกยิ้มก่อนจะปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองอีกรอบ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างของใครบางคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งร้องไห้ตาแดงอยู่บนที่นอนของผม


“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม พลางก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกคน จับไหล่เล็กที่สั่นไหวเพราะยังร้องไห้อยู่ไว้ทั้งสองมือ
มันไม่ยอมตอบ แต่เบือนหน้าหนี


“ว่าไง...กูถามว่าร้องไห้ทำไม” ผมถามย้ำ


“...” คนดื้อยังเงียบ พยายามที่จะแกะมือผมออกจากไหล่ของตัวเอง


“มึงอยากได้อะไรก็บอกสิวะ กูจะได้หาให้เงียบแบบนี้แล้วกูจะรู้เรื่องมั้ย” ผมพูดเสียงอ่อนใจ เมื่อบีทส์ยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ เป็นอย่างนี้มาเกือบห้านาที มากไปแล้วนะมึง


“ฮึก...” เป่าปี่ใส่กูอีก


“บีทส์...มึงฟังกูนะ” ผมปรับอารมณ์แล้วพูดเสียงนิ่ง ก่อนจะเว้นจังหวะ เมื่ออีกคนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา จมูกมันแดงมากครับ คงเพราะมันใช้มือขยี้แรงๆ ปาก...เอ่อ ‘เจ่อ’ แดงช้ำ อันนี้น่าจะเพราะเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ตอนที่เจ้าตัว...กัดปากกลั้นเสียงครางของตัวเอง


“เรื่องนี้กูยอมรับว่ากูผิด ไม่สิ...ก็มีส่วนผิด มึงจะโทษกูคนเดียวไม่ได้นะ เพราะกูเตือนมึงแล้ว เข้าใจที่กูพูดมั้ย” ผมถาม บีทส์กัดปากตัวเองแน่น เล่นเอาผมเองก็เกร็งไปเลยเหมือนกัน


ปึ่ก!


สัส! ทุบลงมาได้ ผมรวบข้อมือเล็กไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะขบกรามแน่นเพื่อระงับอาการเจ็บและจุกสัสๆ!


“ฮึก...ฮือ ไอ้พี่นิสัยเสีย!” บีทส์ด่าผมทั้งน้ำตา ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว เพราะอันนี้ผมก็ผิดจริงที่ไป เอ่อ พรากพรมจรรย์ของเจ้าตัวมา ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของมัน คำตอบคือ


ถ้าไม่ใช่ครั้งแรก...เลือดคงไม่เยอะขนาดนี้หรอก


แต่ผมเองก็คิดอะไรไม่ออก จะให้ผมรับผิดชอบเหรอ ในฐานะอะไรล่ะครับ อีกอย่างมันก็เป็นผู้ชาย
คงไม่เสียหายอะไรเหมือนผู้หญิงเสียพรมจรรย์หรอก


“กูก็ไม่เคยบอกว่ากูเป็นคนดีมาตั้งแต่แรก เอาเป็นว่าเรื่องนี้เก็บไว้ก่อนค่อยคุยกัน หยุดร้องไห้แล้วมานั่งกินข้าวดีๆ จะได้กินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ” ผมพูดสั่ง แต่บีทส์ยังไม่ยอมฟัง พยายามที่จะดิ้นหนีผม


“ปล่อย! ผม จะ กลับห้อง!” มันสะบัดมือผมออก ผมกัดฟันเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช่อะไรครับแค่กลัวเผลอทำอะไรรุนแรงเดี๋ยวได้ไปกันใหญ่


“กินข้าว” ผมย้ำอีกครั้ง


“ไม่!”


“สัส! เดี๋ยวได้กลับแน่ห้องมึงน่ะ ตอนนี้มึงไม่สบายต้องกินข้าวจะได้กินยา แล้วก็หยุดดื้อสักที! ทำตัวเป็นเด็กสาวโดนพรากพรมจรรย์ไปได้ แม่ง!” ในที่สุดก็เผลอตะคอกใส่มันจนได้ บีทส์กัดฟันแน่น ก่อนจะก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา ผมถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกมาสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้อง


ยืนนิ่งอยู่ได้สักพัก จึงตัดสินใจเดินไปหยิบโทรศัพท์ ก่อนจะกดโทรออกไปยังเบอร์ของใครบางคนที่ผมคิดว่า มันน่าจะช่วยผมได้มากกว่าที่ผมทำอยู่ตอนนี้ ก็นะ...มันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้นี่หว่า


“อาร์ต...”


++++++++++++++



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : ยอมรับว่าหลวมตัว แต่...
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 27-06-2018 15:38:31
[ต่อ]

“มึงทำอะไรลงไปไอ้เหี้ย!?” ไอ้อาร์ตถามอย่างหัวเสีย หลังจากที่เปิดประตูเข้ามาในห้องผม มันมีกุญแจห้องผมอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องออกไปเปิดประตูให้มันครับ โทรไปเรียกมันเมื่อยี่สิบนาทีก่อน มาไวเหมือนกัน

“ไปดูมันให้กูก่อนไอ้สัส! ไม่รู้ป่านนี้หยุดร้องไห้รึยัง” ผมไม่ตอบ แต่ไล่ให้มันเข้าไปดูอาการของคนในห้องนอนผมแทน ส่วนผมเลือกที่จะนั่งรออยู่ข้างนอก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...แต่ผมเกลียดน้ำตาของมันชะมัด

“เออ! เดี๋ยวมึงได้เคลียร์กับกูแน่ซัน” ไอ้อาร์ตรับคำ ก่อนจะถือกระเป๋าพยาบาลใบเล็กก้าวไปยังห้องนอนผม
ผมกุมขมับหน้าเครียด เชี่ยเอ้ย เผลอกินมันไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เมื่อคืนนี้ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะครับว่ารู้สึกดี อืม...มากซะด้วย ถ้าถามว่าผมจะทำยังไงต่อไป คำตอบของผมก็คงเป็นคำตอบเดียวคือ

ไม่รู้...

แกรก~

ผมมองไปที่ประตูห้องนอนที่เปิดออก ตามมาด้วยร่างของเพื่อนสนิทที่เดินหน้าเครียดออกมาหลังจากที่เข้าไปในห้องนอนผมได้เกือบๆ ครึ่งชั่วโมง มึงจะเครียดทำสากกระเบืออะไรวะ กูไหม...ที่ควรเครียด!!

“ไอ้สัสก็รู้ว่าครั้งแรกมันเจ็บยังเสือกใส่ไม่ยั้ง!” ไอ้อาร์ตพูดหลังจากนั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้าม คือสภาพมันตอนนี้เรียกว่าเสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกจากบ้านมาเลยครับ คนเห็นคงได้แปลกตาดีพิลึก มาดเพล์บอยเชี่ยๆ แต่เสือกถือกระเป๋าเครื่องมือพยาบาล

“กูเมา” ผมตอบเสียงเรียบ ไอ้อาร์ตส่ายหน้าอย่างหนักใจ

“แล้วมันเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย” ผมถามต่อ ไอ้อาร์ตเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“ฉีก”

อื้ม...คำเดียว แต่อธิบายได้ทุกอย่าง เรียกว่าได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งไปถึงก้นบึ้งของทุกประสาทสัมผัส!!

“กูดูอาการเบื้องต้นให้แล้วแต่กว่าบีทส์จะยอมให้กูตรวจ เล่นเอากูแทบเอาตีนก่ายหน้าผาก บทจะดื้อก็พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง นี่กูก็ฉีดยาบำรุงกับยาคลายเครียดให้น้อง ตอนนี้หลับไปแล้ว อีกสักชั่วโมงคงจะตื่นจากนั้นค่อยให้กินข้าวกินยา ส่วนการดูแลต่อจากนี้คือต้องกินยาและก็มั่นทายาควบคู่ไปด้วย ให้นอนพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวไข้ก็คงลดไปเอง แต่แม่งสภาพน้องดูแทบไม่ได้ เชี่ยทำอะไรไม่คิด!” ไอ้อาร์ตพูดต่อ เมื่อเห็นอาการอึ้งไม่เลิกของผม ด่าทิ้งท้ายกูอีกไอ้นี่

“ลองมึงมาเป็นกูดูมั้ย แล้วมึงจะไม่พูดคำนี้เลยไอ้ห่า” ผมเถียงกลับอย่างหัวเสีย ไอ้อาร์ตจิ๊ปากเถียงผมกลับไม่ออก

“กูโทรหาไอ้สองให้แล้ว อีกสักพักคงซื้อของกินเข้ามาให้ ให้น้องทานแล้วจะได้ทานยา พักผ่อนเยอะๆ มึงเองก็อย่าไปพูดอะไรให้เขาเสียใจ ไม่งั้นจะไปกันใหญ่ เออแล้วปาร์ตี้วันเกิดมึง น้องฟ้าบอกมึงรึยัง” ไอ้อาร์ตถาม ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดอะไรยุกยิก แต่ปากยังถามผมต่อ

“อืม…” ผมพยักหน้า ก่อนจะทิ้งตัวเอนลงนอนที่โซฟา เอามือก่ายหน้าผาก

“แต่บีทส์ยังนอนอยู่ในห้องนอนมึงนะ” ไอ้อาร์ตสงสัย

“ก็แค่ย้ายมันกลับห้องตัวเองก่อนก็จบ” ผมตอบอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้

“มึงจะบ้ารึไงวะ น้องเขาไม่สบายอยู่นะเว้ย แถมสภาพจิตใจยังย่ำแย่เพราะโดนมึงขยี้อีก ยังจะกล้าปล่อยเขากลับห้องตัวเองโดยไม่ยอมทำเหี้ยอะไรเลยอ่ะนะ” ไอ้อาร์ตโวยวาย ผมยกมือขึ้นมาบีบขมับเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

“มึงพูดมากเกินไปแล้วอาร์ต” ผมด่า

“ถ้าไบร์ทรู้ว่ามึงทำอะไรพี่เขา กูนึกภาพไม่ออกเลยว่าไอ้ตัวเล็กของกูจะว่ายังไง ถ้าน้องพาลโกรธกูไปด้วยมึงต้องรับผิดชอบ ห่า หางานให้กู!” ไอ้อาร์ตเลยพูดต่อ นี่ตกลงมึงห่วงบีทส์หรือห่วงว่าตัวเองจะโดนน้องของเขาโกรธกันแน่วะ

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงวะ” ผมถามเสียงเครียด

“กูสิต้องถามมึง ไม่ใช่ให้มึงมาถามกู กูไม่ใช่คนเสียบนะเว่ย!” ไอ้อาร์ตรีบออกตัว

“สัส!” ผมด่า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมกับไอ้อาร์ตหันไปที่ประตูพร้อมกัน “พวกไอ้สองมั้ง” ไอ้อาร์ตเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปที่ประตูแล้วก้มส่องตาแมว พวกมันนั่นแหละ ไอ้สองตัวนี้ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ คนหนึ่งออกแนวตัวโตคมเข้ม ปากหมาแต่จริงใจ อีกคนก็ผอมสูงผิวขาวตามสไตล์ลูกคนจีน แต่โคตรกวนส้นตีน

ผมเปิดประตู ก่อนจะเบี่ยงตัวให้เพื่อนรักกับน้องรหัสตัวเองเดินเข้ามาในห้อง ไอ้สองพยักหน้าทักทายผมก่อนเดินเข้ามา ส่วนไอ้น๊อตก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะเดินตามไอ้สองเอาของเข้าไปเก็บในครัว ผมเองก็เดินกลับมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม

สักพักไอ้สองก็เดินออกมาพร้อมกับน้องรหัสผม มันเดินมานั่งที่โซฟาตัวข้างๆ ผม ส่วนไอ้น๊อตเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามไอ้สองแต่หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผม ไอ้อาร์ต ไอ้สองนั่งทำหน้าเครียดเอามือประสานกันแล้ววางไว้บนหน้าตัก

“กูถามจริงๆ นะซัน มึงชอบน้องมันรึเปล่า” ไอ้สองเป็นคนเปิดประเด็น ผมหันไปมองหน้ามันนิ่งๆ ไอ้อาร์ตเองก็มองมาที่ผมเหมือนกัน ห่า อย่ามารุมกู

“กูไม่รู้” ผมตอบไปตามตรง

“ไม่รู้แต่ดันเสียบเขาไปแล้วนี่นะ?”

“เออ! แล้วมึงจะย้ำเพื่อ” ผมด่า ไอ้สองร้อง ‘หึ’ ในลำคอ ก่อนจะยิ้มกวนๆ ผมเลยยื่นขาไปเตะน่องมันแก้อาการหมั่นไส้

“อ้าวเฮ้ย อย่ามาพาลเชี่ยนี่!” ยื่นขาหลบเป็นพัลวัน ผมแสยะยิ้ม

“มัวแต่ลังเล ระวังจะโดนคาบไปแดกนะพี่” ไอ้น๊อตพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนตีน ผมปรายตาไปมองมันด้วยใบหน้านิ่งๆ

“อยากกินตีนมั้ย?” ผมเลิกคิ้ว

“ผมไปหาอะไรกินดีกว่า เชิญตามสบายนะครับพี่ๆ” ไอ้น๊อตรีบขยับหนี

“แล้วนี่ไอ้วิทย์ไปไหน กูไม่เห็นมันโผล่หัวมาเลยนะช่วงนี้” ผมเอ่ยถามไอ้น๊อตที่กำลังจะเดินออกไป มันหันมาเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงถาม

‘วิทย์’ เป็นน้องรหัสของไอ้น๊อต แล้วก็เป็นพี่รหัสของไอ้ออย มันเรียนวิศวะควบคู่ไปกับการลงเรียนบริหารฯ ที่รามคำแหง นอกจากมาเรียนแล้ว ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรที่บังคับจริงๆ มันไม่โผล่หัวมาหรอก วิทย์มันหัวดีแล้วก็ขยันเกินกว่าคนธรรมดามากครับ

“เห็นว่าช่วงนี้มันต้องเร่งทำรายงานส่งน่ะพี่ มาเรียนเสร็จก็รีบกลับ แต่งานกีฬาสีวันศุกร์นี้พี่คงได้เจอมัน มันฝากขอโทษพี่ด้วยที่วันนี้มันปลีกตัวมาไม่ได้” ไอ้น๊อตตอบ ผมพยักหน้ารับ

“แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง” ไอ้สองดึงเข้าประเด็นอีกครั้ง กูอุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วนะ ยังจะวกมา

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ผมหันหน้าไปมองที่ประตูห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“แล้ววันนี้มึงต้องไปรับน้องฟ้ามาที่นี่รึเปล่า หรือว่าต้องยกเลิก” ไอ้สองถามต่อ ผมส่ายหัว ขืนยกเลิกไปจะให้ผมตอบน้องว่ายังไง

“ไม่...กูคงรออยู่ที่นี่ พวกมึงก็ทำตัวให้เป็นปกติก็แล้วกัน ส่วนมึง...กูวานไปรับฟ้ากับเพื่อนของเขาแทนกูหน่อย มึง...อาร์ตอยู่ช่วยกูที่นี่ยังไงก็ต้องย้ายมันกลับห้องตัวเองไปก่อน กูยังไม่อยากตอบคำถามคนอื่นตอนนี้ ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ห้องกู” ผมตอบ ก่อนจะหันไปสั่งไอ้สองให้มันไปรับฟ้าแทน ส่วนไอ้อาร์ตมันไปไหนไม่ได้หรอกครับต้องช่วยผมดูแลคนป่วยที่นอนอยู่ในห้อง

“นี่มึงยังจะยืนยันคำเดิมอีกเหรอวะซัน ให้เขาไปอยู่ห้องเขาแล้วใครจะดูแล มึงกับกูต้องอยู่ในงานวันเกิดนะเว้ย ใครจะปลีกตัวไปดูน้อง” ไอ้อาร์ตถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมจิ๊ปาก แล้วจะให้กูทำยังไง ถ้ากูสามารถแยกร่างได้ก็คงทำไปแล้ว อีกอย่างทุกๆ ปีก็จัดแบบนี้อยู่แล้ว ยกเลิกไม่ได้เด็ดขาด

อีกอย่างผมก็เป็นห่วงคนป่วยในห้องด้วย ถ้ามันอยู่ในห้องนี้ก็คงไม่ได้นอนดีหรอกครับ เวลาคนเมามันก็ต้องส่งเสียงดังเป็นธรรมดา สู้ย้ายมันขึ้นไปบนห้องแล้วค่อยแอบขึ้นไปดูอาการยังดีกว่าเสียอีก

“กูคิดดีแล้ว” ผมตอบเสียงเข้ม

“มึงคิดจะปล่อยเลยตามเลยเหรอวะ” ไอ้สองถาม ผมนิ่ง ความหมายมันเหมือนกับคำว่าฟันแล้วทิ้งหรือเปล่าวะ

“ไม่รู้ ขอเวลากูหน่อย อีกอย่างกูก็ขอเคลียร์กับมันก่อน เมื่อเช้าแม่งก็คุยไม่รู้เรื่องเอาแต่เงียบใส่กู เสียงดังใส่หน่อยก็น้ำตาร่วงแล้ว” ผมพูดบอก ไอ้สองพยักหน้ารับ มันเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายครับ ที่จริงก็พอๆ กับไอ้อาร์ตที่ไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัวของผม แต่เพราะคนที่ผมมีปัญหาด้วยตอนนี้เป็นพี่ของคนที่มันตามจีบอยู่ มันเลยต้องออกตัวแทนเป็นธรรมดา อันนี้ผมพอจะเข้าใจ

“งั้นก็ตามนั้น กูซื้อกับข้าวเข้ามาให้วางอยู่ในครัว จัดการให้เรียบร้อย อ่อ กูซื้อโจ๊กกับข้าวต้มมา ไม่รู้ว่าน้องชอบกินอันไหน มึงก็เลือกเอาเองแล้วกัน ไม่มีอะไรแล้วกูคงต้องขอตัว ไว้เจอกันตอนบ่าย” ไอ้สองพูด พลางยื่นมือมากุมที่ไหล่ขวาของผมแล้วบีบเบาๆ ผมพยักหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากส่งให้มัน

“กูขอถามอีกคำถามเดียว” ไอ้อาร์ตโพล่งขึ้น

“ว่ามา” ผมตอบรับ

“มึงรังเกียจรึเปล่าตอนมีอะไรกับน้อง”

เชี่ย ถามอะไรออกมาวะ จะให้กูตอบว่าไม่รังเกียจ แถมยังโคตรจะรู้สึกดีหรือยังไงวะ!?! เดี๋ยวมึงก็หาว่ากูเป็นเกย์อีก ใครมันจะกล้าพูด!!

ผมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เอนตัวทิ้งหลังลงพิงพนักโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ (เดี๋ยวแม่งรู้ว่ากูประหม่า) ก่อนจะเอ่ยตอบไอ้อาร์ตด้วยน้ำเสียงมึนๆ ไปว่า...

“ไม่รู้...กูเมา”

สิ้นคำตอบของผม ทั้งไอ้อาร์ตกับไอ้สองก็พากันมองหน้าผมอึ้งๆ ผมยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาอีกครั้ง โดยยกเท้าขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะ

“หึ ฮ่าๆ กูเชื่อมึงเลย เอาเถอะอาร์ต กูว่าปล่อยให้ไอ้ซันได้ทบทวนความรู้สึกของตัวมันเองก่อน บางทีมันอาจจะฉุกละหุกเกินไป คงตัดสินอะไรยังไม่ได้ กูเชื่อว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง” ไอ้สองเป็นคนพูดขึ้น ผมขมวดคิ้ว จะต้องให้กูต้องทบทวนอะไรอีกวะ

“หึ กูก็จะรอดูวันนั้น” ไอ้อาร์ตพูดต่อ

“เอาน่า ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงไอ้ซันมันก็เป็นเพื่อนของมึงกับกูไม่ใช่รึไง” ไอ้สองเลิกคิ้วถามไอ้อาร์ต ผมยิ้มให้กับคำพูดของมัน ก่อนที่เราสามคนจะเงียบกันไปพักหนึ่ง

“พวกมึง...รังเกียจกูมั้ยวะ” ผมถามเปิดประเด็น โดยที่ยังนอนเอาขาพาดโต๊ะอยู่เหมือนเดิม ไม่ยอมสบตากับพวกมันทั้งสองคน
“เรื่องอะไร” ไอ้สองเป็นฝ่ายถามผมกลับ

“ก็เรื่องที่กูมีอะไรกับผู้ชาย” ผมตอบ แล้วทำหน้าหนักใจ ได้ยินเสียงหัวเราะจากไอ้อาร์ตไม่ดังมาก

“มึงคิดอะไรอยู่ล่ะซัน มึงคิดว่ากว่าพวกเราจะคบกันมาได้ถึงจุดนี้ ผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเท่าไหร่ จะมานึกผิดใจกันกับไอ้เรื่องแค่นี้น่ะเหรอ อีกอย่างนะ น่ารักขนาดนั้นเป็นกู...กูก็ไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรกับผู้ชายว่ะ ถึงแม้ว่าจะมีงูเหมือนๆ กันก็เถอะ” ไอ้สองตอบ ผมคิ้วกระตุกนี่มึงคงไม่ได้คิดอะไรกับมันหรอกนะ

“ถ้ามึงไปมีอะไรกับผู้ชายอกสามศอก กล้ามปูตัวใหญ่สิว่าไปอย่าง” เสียงไอ้อาร์ต “แค่คิดกูก็จะอ้วก” ผมตอกกลับ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งทำท่าขนลุก ไอ้สองหัวเราะ ไอ้อาร์ตหรี่ตามอง

“มึงจะไปมีอะไรกับใครที่ไหนไม่ใช่เรื่องที่กูจะเข้าไปยุ่ง คิดเอาง่ายๆ ถ้ากูรังเกียจจริง ป่านนี้กูคงเลิกคบกับไอ้อาร์ตมันไปนานแล้ว” ไอ้สองพูดขึ้นอีก ผมหัวเราะ ถูกของมัน

“อ้าวไอ้สัส! พาดพิงกู” ไอ้อาร์ตโวยใส่ไอ้สอง ผมยิ้ม ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคน มันเกินคำว่าเพื่อนไปแล้วครับ เราเป็นเหมือน ‘ครอบครัว’ ของกันและกันมากกว่า

“ฮ่าๆ กูพูดเรื่องจริง หรือมึงจะเถียง” ไอ้สองถามไอ้อาร์ตอย่างเป็นต่อ ไอ้อาร์ตทำได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เถียงไม่ออก

“กูว่ากูไปดีกว่า อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไว้เจอกันตอนบ่ายเลยแล้วกัน ไอ้น๊อต!!” ไอ้สองแสยะยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับผม แล้วลุกออกไป พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อไอ้น๊อต ไอ้ตัวดีนั่นก็รีบเก็บข้าวของวิ่งตามไอ้สองไปเหมือนหมาวิ่งตามเจ้านายไม่มีผิด

“คร้าบ เฮ้ย รอผมด้วยสิ!! ผมไปนะพี่ หวัดดีครับ” ไอ้น๊อตยกมือไหว้ก่อนจะวิ่งตามไอ้สองออกไป ผมกับไอ้อาร์ตเพียงพยักหน้าให้

“มึงจะไปไหน” ผมถาม เมื่อไอ้อาร์ตลุกขึ้นยืน มันเลิกคิ้ว

“จะไปดูน้อง” ไอ้อาร์ตตอบ

“เข้าไปดูอะไรบ่อยๆ วะ นั่งอยู่นี่แหละเดี๋ยวกูเข้าไปดูเอง” ผมตอบ ก่อนจะเดินเบี่ยงแซงหน้าไอ้อาร์ตที่ยืนเอียงข้างอยู่ มันเบ๋ปาก ยักไหล่ แล้วนั่งลงที่เดิม

ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีก แต่เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง ทำใจอยู่สักพักว่าจะเคาะประตูก่อนหรือเปิดเข้าไปเลยดี แต่เดี๋ยวนะ…

ได้ข่าวว่านี่ก็ห้องกู แล้วกูจะเคาะหาสวรรค์วิมานอะไร

ผมเปิดประตูเข้ามาก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับผู้ร่วมห้องที่จ้องมองมาที่ผมเหมือนกัน ใบหน้าคนป่วยเบิกตากว้างอย่างตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ทำไมวะก็นี่ห้องกู

ผมเดินเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงขอบเตียง บีทส์หันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้

“ตื่นขึ้นมาทำไมหรือว่าเจ็บตรงไหน” ผมถาม

“…” บีทส์เม้มริมฝีปากล่างของตัวเอง แต่ไม่ยอมเอ่ยปากตอบในสิ่งที่ผมถาม

เงียบใส่กูอีกแล้ว ต้องเป็นไอ้หมอคนเดียวหรือไงถึงจะยอมเปิดปากบอกอะไรออกมาน่ะฮะ

“บีทส์”

“…” ผมเรียกอีกครั้ง โดยใช้สายตากดดันอีกคนไปด้วย แต่ก็ยังได้รับการตอบสนองเหมือนเดิม ผมถอนหายใจ

“โอเค บีทส์ครับ...เป็นอะไรไหนลองบอกพี่หน่อยสิ”

ผมเปลี่ยนน้ำเสียง ก่อนจะใช้สรรพนามที่ไม่ค่อยได้ใช้แทนตัวเองกับใครนอกจากฟ้า และดูเหมือนจะได้ผล เมื่ออีกคนหันมามองผมตาโตอย่างคาดไม่ถึง ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีเลือดฝาดไหลห่อมารวมกันที่ใบหน้า

เพิ่งเคยเห็นผู้ชายเขิน...แล้วน่าจับกดแบบนี้

เอ้ย! ไม่ใช่ละ คิดซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรไปก่อนหน้านี้ก็แล้วกันนะครับ

“ผมแค่อยากเข้าห้องน้ำ แต่พยายามจะลุกหลายครั้งก็ยังลุกไม่ได้สักที” บีทส์ตอบเสียงอ่อย ผมถอนหายใจอีกครั้ง

“แล้วทำไมไม่เรียก” ผมดุ บีทส์เม้มปากแล้วก้มหน้างุดเหมือนเด็กกำลังโดนผู้ใหญ่ดุ

“คราวหลังก็เรียกสิ ก็รู้นี่ว่ากลั้นบ่อยๆ มันไม่ดี” ผมอธิบายต่อ บีทส์ช้อนตาขึ้นมามองผม ปากเล็กๆ เม้มเข้าหากัน ผมลุกขึ้นยืน บีทส์มองตามตาละห้อย แล้วบิดตัวไปมาเล็กน้อย คงจะปวดมากจริงๆ นั่นแหละครับ

“มาเดี๋ยวช่วย” ผมยื่นมือไปหาอีกคน บีทส์ทำหน้าแปลกใจ คงคิดว่าผมจะทิ้งตัวเองอีกแล้วแน่ๆ

“เร็วสิ” ผมเร่ง เมื่ออีกคนยังลังเล บีทส์เลยรีบส่งมือมาให้ผม ผมค่อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อช่วยพยุงอีกคนให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ เลิกผ้าห่มออกไปกองไว้อีกฝั่ง เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อยืดของผมที่พอไปอยู่บนร่างของบีทส์กลับหลวมโคร่งอย่างไม่น่าเชื่อ

“อ่ะ...โอ๊ย!” ผมชะงัก เมื่อบีทส์ร้องเสียงหลง

“ไหวมั้ย” ผมถาม เจ้าตัวช้อนตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำใส

“ผมเจ็บ” บีทส์ตอบผมเสียงสั่น เลยต้องปล่อยให้อีกคนลงไปนอนท่าเดิม สงสัยจะเป็นเพราะแผลนั่น เวลาขยับมันคงกระทบกระเทือน เฮ้อ ยังไงก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

พรึ่บ!

“เฮ้ยพี่! จะทำอะไรครับ!?!” บีทส์ร้องถามเสียงหลง เมื่อผมใช้มือสองข้างช้อนไปที่ใต้ร่างของเขา

“ก็พาไปเข้าห้องน้ำไง” ผมตอบ

“แต่ว่า...” บีทส์ทำท่าจะท้วง

“แค่เกาะกูไว้แน่นๆ มันจะตายรึไง ตกลงไปนี่กูไม่ช่วยแล้วนะ จะเหยียบซ้ำให้ด้วย เลิกโวยวายได้แล้ว เดินไม่ได้แล้วยังจะเก่ง” ผมดุไปอีก บีทส์ทำหน้างอ ก่อนมือเล็กจะขยับมาจับที่แขนของผมเพื่อหาที่ยึด

ผมช้อนร่างอีกคนขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนจะรวบชายเสื้อของบีทส์ไว้ในกำมือให้กระชับคือชายเสื้อมันเลิกขึ้นสูงน่ะครับ แล้วด้านล่างของน้องมันก็...ไม่ได้ใส่อะไรเลย

“อึ๊!”

ผมชะงัก เมื่อบีทส์ส่งเสียงตอนผมอุ้มเขาขึ้นมา บีทส์เองก็ชะงักก่อนที่เจ้าตัวจะส่งยิ้มแหยๆ ให้ผม แล้วก้มหน้างุด ส่วนนั้นคงเสียดสีกันทำให้มันเจ็บ เมื่อเห็นอีกคนไม่ได้ว่าอะไรอีก ผมจึงก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ ใช้ขาดันประตูห้องน้ำให้เปิดออก แล้ววางคนในอ้อมแขนให้นั่งลงตรงชักโครก

“โอ๊ะ!” บีทส์ทำหน้าแหย แล้วโอบรอบคอผมแน่นขึ้นเมื่อก้นเจ้าตัวสัมผัสกับชักโครก ผมจึงยังไม่ปล่อยมือแต่เลือกที่จะพยุงรับน้ำหนักของเจ้าตัวไว้ก่อน

“ไหวมั้ยหรือจะให้กูช่วยพยุงไว้แล้วมึงค่อยจัดการธุระของมึง” ผมถามแล้วออกความเห็น ทีแรกคิดว่าจะให้เจ้าตัวเขานั่งพักก่อน แล้วผมค่อยออกไปให้เขาได้จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ อย่างน้อยๆ มันก็ยังสามารถเอามือค้ำกับกำแพงเพื่อพยุงตัวเองได้ แต่ดูท่าแล้วคงจะลำบากเอาการอยู่เหมือนกัน

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรครับ!! พี่ออกไปเถอะ ผมจัดการเองได้” บีทส์รีบปฏิเสธ หน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด

“อายอะไรวะ ก็เห็นมาหมดแล้ว” ผมแกล้งพูดเสียงเรียบ กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย จะคิดก็เพราะอาการของมึงนี่แหละ

“พี่ซัน!!!”

บีทส์ร้องเสียงหลง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน หน้าเห่อแดงมากกว่าเดิม มือเล็กเปลี่ยนมากำไหล่ผมไว้แน่น จะเขินหรือโกรธเลือกเอาสักทาง ผมเลิกคิ้วยิ้มๆ

“เอาเป็นว่าเสร็จแล้วเรียกกูก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดเล่นอะไรแผลงๆ นะ ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าเจ็บตัวขึ้นมาไม่ช่วยมีแต่จะเหยียบซ้ำ” ผมขู่ บีทส์ทำปากยื่น ก่อนจะพยักหน้ารับ ผมเลยค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมัน ไอ้ดื้อเกร็งตัวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือสองข้างกำรอบโถชักโครกพยุงน้ำหนักของตัวเอง

ผมมองน้องมันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกคนพยุงตัวได้แล้ว จึงเดินออกมารอที่หน้าห้องน้ำ รออยู่สักพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนข้างในจะออกมา เลยส่งเสียงเรียก

“บีทส์”

“ครับ!” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงตื่น เป็นอะไรวะ

“กูรอนานแล้วนะเมื่อไหร่จะเสร็จ” ผมถาม

“เอ่อ...พี่เข้ามาเลยครับ ผมเสร็จแล้ว” บีทส์ตอบ ผมเปิดประตูเข้าไป มันนั่งอยู่ที่เดิม อากาศมันร้อนรึไงวะถึงได้ขยันหน้าแดงแบบนี้ ผมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะช้อนใต้ร่างอีกคนขึ้น บีทส์ช่วยเอามือที่ว่างอยู่ดันประตูออกให้ ผมเดินไปที่เตียงแล้วค่อยๆ วางอีกคนลงอย่างเบามือ

ผมจัดการเอาหมอนมารองไว้ที่หลังของคนป่วย ช่วยพยุงอีกคนให้นั่งในท่าที่สบาย สีหน้าของน้องยังไม่ดีขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ก็ดูดีกว่าเมื่อเช้า

“นั่งไปก่อน เดี๋ยวกินข้าวจะได้กินยา” ผมพูดบอกแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ คนตัวขาวก่อนจะหันไปมองที่ประตู เมื่อมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

“เป็นยังไงบ้างบีทส์” ไอ้อาร์ตเดินฉีกยิ้มเข้ามา ในมือถือถาดข้าวต้มกับน้ำส้มมาด้วย แล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง มันหันมายืนเอามือล้วงกระเป๋ายิ้มๆ ให้คนป่วย

“ก็ดีครับ” บีทส์ตอบเสียงอ่อย

“เอาหมอนรองสะโพกหน่อยมั้ยเผื่อจะสบายตัวขึ้น” ไอ้อาร์ตถาม ผมเลิกคิ้ว มันต้องใช้ด้วยเหรอวะ

“ได้ก็ดีครับแต่ผมยังไม่อยากขยับมาก” บีทส์ตอบ ช่วยสังเกตหน่อยว่ามีกูนั่งอยู่ตรงนี้อีกคน

“หิวมั้ย พี่ว่าทานข้าวสักหน่อยดีกว่าจะได้ทานยาด้วย เราทานข้าวต้มได้ใช่มั้ย” ไอ้อาร์ตถาม บีทส์พยักหน้า ทีกูถามนี่กว่าจะตอบได้แต่ละคำ

“ซันมึงเป็นต้นเหตุทำให้น้องเจ็บ กูว่ามึงต้องรับผิดชอบหน่อยนะ ป้อนข้าวน้องแล้วก็ให้กินยาด้วยนะมึง” ไอ้อาร์ตหันมาพูดกับผม ผมเลิกคิ้วแล้วชี้เข้าหาตัวเอง

“กูเนี่ยนะ” ไอ้อาร์ตพยักหน้า

“เอ่อ ผมไม่รบกวนพี่ซันหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” บีทส์พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก อะไรวะกูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่ถามซ้ำแต่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่ทำ

“ถ้ามันไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ป้อนให้เองก็ได้” ไอ้อาร์ตอาสา ก่อนจะยื่นมือไปยีหัวบีทส์ เจ้าตัวฉีกยิ้มให้ไอ้อาร์ต

“ขอบคุณครับ” ไอ้อาร์ตขยับจะไปหยิบชามข้าวต้ม แต่ไม่ทันผมหรอกครับ
พรึ่บ!

“กูพูดสักคำรึยังว่าจะไม่ทำ” ผมพูดเสียงเรียบ แล้วตีหน้าขรึม ไอ้อาร์ตยิ้มกริ่ม แต่ไม่พูดอะไร บีทส์เองก็ช้อนตากลมโตมองมาที่ผม

“ก็แค่เนี้ย กูไปดีกว่าไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค. อย่ามัวแต่จู๋จี๋กันจนลืมให้น้องกินยา อีกอย่างจะทำอะไรก็อย่าลืมว่าน้องมันยังไม่สบายอยู่นะครับ” ไอ้อาร์ตเอ่ยปากแซ็ว ผมอ้าปากด่ามันโดยไร้เสียง
 
“ไอ้สัส” แทงใจดำกู

ไอ้อาร์ตเดินผิวปากออกไปจากห้อง แม่งล็อกกลอนให้ด้วยเสร็จสรรพ มึงคิดว่าพวกกูจะทำอะไรกันไอ้เชี่ย!

ผมหันกลับมาที่บีทส์อีกครั้ง ก่อนจะเห็นเจ้าตัวเอามือกำมือห่มไว้แน่น ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากัน มึงอย่าประหม่าได้ไหม...เห็นแบบนี้ กูก็ทำอะไรไม่ถูกได้เหมือนกันนะครับ!

“เอ้า! กินซะ” ผมตักข้าวต้มในชามขึ้นมา ก่อนจะยื่นไปที่ปากเล็ก

“อ๊ะ! แค่ก ก ร้อน!” บีทส์ร้องออกมาหลังจากอ้าปากรับข้าวต้มที่ผมป้อน เชี่ยเอ้ย ผมรีบวางชามข้าวต้มก่อนจะรีบยื่นน้ำไปให้อีกคน น้องสำลักก่อนจะไอออกมา ผมยื่นผ้าไปให้อีกคนเช็ดปาก มือขาวรับไปก่อนจะแลบลิ้นออกมาเพราะยังร้อนอยู่ เข้าใจว่ามันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัตินะครับ แต่ผมต้องรีบหันหนี ดูนานๆ มันไม่ดีต่อตัวผมเท่าไหร่

“โทษที ลืมไปว่ามันร้อน กินต่อได้รึเปล่า” ผมพูดบอกอย่างที่ใจคิด ไม่ง่ายเลยนะครับที่ต้องดูแลใครสักคนโดยเฉพาะคนอย่างผม เกิดมายังไม่เคยดูแลใครหลังจากเสร็จจากกิจกรรมในเรื่องอย่างว่าเลยสักครั้ง น้องมันยิ้มรับ แล้วพยักหน้าให้ผม

“ครับ”

ผมตักข้าวต้มขึ้นมาใหม่ ก่อนจะใช้ปากตัวเองเป่าไปที่ข้าวต้มในช้อนก่อน แล้วใช้ลิ้นแตะสัมผัสกับข้าวต้มว่ามันยังร้อนอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่ามันไม่ร้อนมากแล้วจึงยื่นไปส่งที่ริมฝีปากอีกคน

“จ้องตาไม่กระพริบ อยากจะกินกูแทนข้าวขึ้นมารึไง” ผมพูดแซ็ว น้องมันทำหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อโดนผมจับได้ ก็เล่นจ้องผมตาโต ขนาดช้อนข้าวที่ผมยื่นไปยังไม่คิดจะอ้าปากรับเลย

“ขอโทษครับ” บีทส์พูดก่อนจะอ้าปากงับช้อนข้าว แล้วก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอย่างตั้งใจ ฟังไม่ผิดหรอกครับ ก็พอผมแซ็วเจ้าตัวก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย หึๆ

“นี่ยา” ผมยื่นยาไปให้ หลังจากที่น้องทานข้าวจนอิ่มแล้ว กินได้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เจ้าตัวบอกทานไม่ลงแล้วเลยต้องเลยตามเลย บีทส์รับยาไปก่อนจะใช้ริมฝีปากคาบเม็ดยาไว้ มือเล็กยื่นมือมารับแก้วน้ำจากผม แล้วจัดการกลืนยาลงไปพร้อมกับน้ำแก้วใหญ่ที่ตามกันไปติดๆ

ผมเหลือบไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงฝาผนัง เพิ่งจะสิบโมง ให้น้องมันนอนพักอยู่ในห้องผมอีกสักหน่อยก็ยังทัน

“นอนพักอีกสักหน่อยแล้วกัน ตอนบ่ายกูคงต้องพามึงกลับห้องไปก่อน” ผมพูดบอก บีทส์พยักหน้ารับ

“อ่าครับ ผมลืมไป พี่คงต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของพี่สินะครับ” น้องพูดแล้วขยับตัวลงนอน ผมเลยต้องรีบไปช่วยพยุง แต่เจ้าตัวส่งสายตาขุ่นมาให้อย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมเลยเปลี่ยนไปช่วยขยับผ้าห่มแทน

“เรื่องของมึงกับกู...รอให้มึงหายดีก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน” ผมพูดออกมาลอยๆ น้องใช้หางตามองผม แล้วเบือนหนีไปอีกทางไม่สนใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เหมือนที่พี่พูดไง ผมเป็นคนผิดเอง พี่ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรหรอก” บีทส์พูดตัดบท ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งสองข้าง แต่เรียวปากสีซีดยังเม้มเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งเคยเห็นไอ้ดื้อพูดจาประชดประชัน แปลกที่เมื่อก่อนเคยนึกรำคาญ แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับมองว่ามันน่ารัก น่าดีดปากเล็กๆ เชิ่ดๆ นั่นด้วยปากจริงๆ ครับ

ผมปล่อยให้คนที่ ‘แกล้ง’ หลับ ได้จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ลุกขึ้นรวบเอาถาดข้าวมาไว้ในมือ แล้วเดินไปที่ประตู หันกลับมามองอีกคน ไอ้คนแสนดื้อดึงเอาผ้าห่มมาคลุมโปงจนร่างเล็กจมหายไปกับที่นอนของผม

...เดี๋ยวได้ร้อนตาย

ผมส่ายหัว ก่อนจะใช้มือหมุนลูกบิดเปิดประตูออกมา มองหาไอ้อาร์ตปรากฏว่าตอนนี้มันหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ลาเจ้าของห้องเขาสักคำน่ะเป็นไหมวะ ผมเดินเข้าไปในห้องครัวก่อนจะวางพวกถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำไว้ที่ซิงค์ล้างจาน เดี๋ยวคงมีแม่บ้านเข้ามาจัดการต่อเอง

เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุก ตั้งเผื่อให้คนที่นอนไม่พอใจอยู่ในห้องได้นอนพักผ่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยไปปลุก หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วยแล้วเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง

ไอ้ดื้อหลับไปแล้วครับ สงสัยจะเพราะฤทธิ์ยานั่นแหละ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่หลับอยู่ ยื่นมือไปจัดผ้าห่มให้น้องใหม่ก็เล่นห่มผ้าโผล่ออกมาแค่ตากับจมูก ผมนั่งพิจารณาโครงหน้าของบีทส์อีกครั้ง ส่งนิ้วไปไล่วนตรงหว่างคิ้วของอีกคนที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมจนมันเริ่มคลายออกจากกัน ผมยิ้มขำ

ขนาดหลับยังไม่วายเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องไปคิดด้วยสินะ...

แผ่นอกของอีกคนกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ผมจับมือเรียวทั้งสองข้างของคนหลับมาประสานกันไว้ที่บริเวณท้องน้อยของเจ้าของร่างแล้วลูบไปมา เหมือนคนบ้านะครับ นั่งมองหน้าคนกำลังหลับ

นั่งอยู่ได้สักพักจึงขยับลุกไปนั่งที่โซฟา เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า ตื่นมาก็วิ่งวุ่นเพราะอีกคนไม่สบาย ไหนจะเรื่องปาร์ตี้คืนนี้อีก เอาเป็นว่าตื่นขึ้นมาค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน

แต่...เหมือนผมจะลืมอะไรไปอีกอย่าง

ได้ข่าวว่าไอ้อาร์ตมันก็เป็นเกย์ แล้วเมื่อเช้าแม่งก็มาตรวจร่างกายให้บีทส์ งั้นมันก็ต้องเห็นหมดแล้วสิวะ!?!

ห่าเอ้ย!!


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : หลวมตัว (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 27-06-2018 19:03:21
หวงน้องช้าไปมั้ง แหม ไม่รอให้น้องหายค่อยคิดอะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : หลวมตัว (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 28-06-2018 00:50:59
ถ้าเราเป็นบีทส์แล้วโดนพูดขนาดนี้แล้วหนะนะ บอกตรงๆ จะรีบลากสังขารตัวเองกลับหอเลยอ่ะ ให้คลานไปก็ยอม ทั้งหมดที่เราทำเขาอาจไม่รู้สึกดีเท่า โดนหอมแก้มจากผู้หญิงที่เขารักก็ได้  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : หลวมตัว (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-06-2018 01:40:29
บีสท์ให้พี่มันวิ่งตามบ้างดีมะ เราถอยห่างมาบ้าง
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : หลวมตัว (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-06-2018 02:02:20
ทำไมทำรุนแรงจังเลย ทั้งทางใจ และทางกาย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 14 : หลวมตัว (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 28-06-2018 10:21:35
อ่านรวดเดียวยาวเลย ซันแน่ใจนะว่าเกลียดยังไงก็รีบจัดการตัวเองให้ดีนะ :hao3:
สนุกค่ะหวังว่าคงไม่มีมาม่าชามโตนะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 05-07-2018 17:32:21

ตอนที่ 15 :: สำรวจความเสียหาย


[บีทส์]


“อื้อ...” ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนที่นอนของตัวเอง พี่ซันคงเป็นคนพาขึ้นมาส่ง ผมพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่แค่กระดิกปลายตีน เอ้ย ปลายเท้าก็ปวดร้าวไปทั่วร่างแล้วครับ นอกจากจะเสียซิงแล้วยังต้องทนอึ๊ไม่ได้ไปอีกหลายวัน แย่ชะมัด!


ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง ก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างจับยึดกับที่นอนไว้ แล้วดันตัวเองลุกขึ้น


“อึก!”


เจ็บเชี่ยๆ!!


ผมจัดระเบียบร่างกายใหม่ให้อยู่ในท่าที่สบายเพื่อจะขยับไปพิงหัวเตียง พูดง่ายๆ คือทำยังไงก็ได้ให้น้ำหนักไม่ต้องลงไปที่ก้นน่ะครับ ผมเอื้อมมือไปหยิบเอาหมอนอีกใบที่วางอยู่ข้างๆ มาสอดไว้ที่ใต้สะโพก


รู้สึกชุ่มแปลกๆ ผมสอดมือไปแตะที่ช่องทางด้านหลังของตัวเองเพราะคิดว่าเลือดไหลออกมาอีก แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมันไม่ใช่เลือดอย่างที่คิด อะไรวะ ขาวๆ ใสๆ ลองดมดูก็ต้องรีบหันหน้าหนีแทบไม่ทัน กลิ่นฉุนเป็นบ้า!


มองไปที่โต๊ะวางของข้างเตียง เห็นมีถาดอาหารที่มีขนมปังสองแผ่นกับนมและที่ขาดไม่ได้เลยก็คือยาวางอยู่คู่กัน มีกระดาษโน๊ตสีขาวแปะไว้ที่แก้วน้ำด้วยนะครับ


“ตื่นมาแล้วก็กินให้หมด ยาลืมกินยา กินเสร็จก็นอนซะ อยากได้อะไรก็โทรมา”


ผมยิ้ม คนอะไรสั่งได้สั่งดี เจ้ากี้เจ้าการจริงๆ ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ ยิ่งพี่มันแสดงออกว่าเป็นห่วงมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยได้เลยล่ะครับ มันรู้สึกดีมากๆ เลย


จริงๆ นะ...


เมื่อเช้าหลังจากที่โดนพี่ซันบังคับให้กินข้าวกินยา ผมก็เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมท่าเดียว ก็คนมันเสียใจนี่ครับ ถึงจะไม่ใช่เด็กสาวโดนพรากพรมจรรย์ครั้งแรก แต่ผมก็เป็นเคะหน้าตาดีที่โดนพี่พรากพรมจรรย์เหมือนกันนะ! แถมยังพูดจาเหมือนจะไม่รับผิดชอบกันนั่นอีก ฮึ่ย! ได้เค้าแล้วก็พูดได้สิ!!


พอพี่ซันออกไปจากห้อง ผมก็นั่งน้ำตาไหลในห้องอยู่คนเดียว มันเจ็บใจนี่ครับ แถมยังเจ็บตัวสุดๆ ไม่รู้ว่าผมนั่งร้องไห้อยู่นานเท่าไหร่ พอได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาผมก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงทันที


“บีทส์ เป็นไงบ้าง” แต่พอคนที่เข้ามาเอ่ยพูดกับผม จึงได้รู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่ซัน แต่เป็นพี่หมอ ผมยังนอนนิ่งอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ไม่ยอมออกมาสู้หน้ากับพี่หมอ


จนพี่หมอเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมเองนั่นแหละครับ ไม่ได้อยากงอแงนะ แต่ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน แถมด้านล่างยังไม่ได้ใส่อะไรเลยด้วย มีแค่เสื้อของพี่ซันตัวเดียว


“ได้ยินพี่ใช่มั้ย หยุดร้อง...แล้วก็หันมาคุยกับพี่ดีๆ นะครับ” พี่หมอพูดเสียงนุ่มและพยายามที่จะทำให้ผมหยุดร้องไห้ แต่ผมยังสะอื้นอยู่ หยุดไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าต่อจากนี้อนาคตของผมกับพี่ซันจะเป็นยังไง จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวร้ายลงไปอีกก็ยากที่จะคาดเดา


“ร้องมากๆ เดี๋ยวตาบวมหมด หยุดร้องนะครับ บีทส์ไม่ต้องกลัวนะ ไว้ใจพี่ได้ พี่แค่จะเข้ามาดูอาการของเราว่าเป็นยังไงบ้าง เห็นไอ้ซันบอกว่ามีไข้แถม เอ่อ ตรงนั้นยังช้ำอีก แต่มันไม่อยากพาบีทส์ไปหาหมอ” พี่อาร์ตพูดต่อ


“เขาคงอาย” ผมพยายามเปล่งเสียงออกไป


“เฮ้ย! ไม่ใช่!?!” พี่หมอปฏิเสธเสียงหลง


“มันแค่อยากจะแน่ใจว่าบีทส์ยังโอเคอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ไหวมันจะได้พาไปหาหมอ จริงๆ คงไม่อยากจะให้บีทส์ไปไหนมาไหนด้วยสภาพนี้มากกว่า” พี่หมอแก้ตัวให้เพื่อน ผมกัดปาก แม้แต่หัวผมพี่ยังไม่เห็นเลยแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสภาพของผมตอนนี้มันเป็นยังไง


“...” ผมปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว


“พี่ขอแค่ให้บีทส์เชื่อใจพี่ ถึงพี่จะนิยมชมชอบเด็กผู้ชายอยู่บ้าง แต่พี่ไม่นิยมคนของเพื่อนนะครับ ให้พี่ตรวจดูหน่อย” พี่หมอกล่อม แต่ถึงยังไงผมยังอายอยู่ดี พี่แกเป็นหมอก็จริงแต่ก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่ซันนะ


“แต่...”


“ถ้าเราไม่ยอมให้พี่ตรวจ ไอ้หมาบ้าข้างนอกมันได้เข้ามาลากคอพี่ออกไปแน่ครับถ้าพี่เข้ามานานเกินไป” พี่หมอพูดดักคอ ผมคิดหนัก ก่อนจะพยายามข่มความอายไว้ แล้วค่อยๆ เปิดผ้าห่มออก พี่หมอส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผม


“ตาบวมหมดแล้วเห็นมั้ย” พี่หมอพูด ก่อนจะเอื้อมมือมาวัดไข้ที่หน้าผากผม


“…” ผมเม้มปาก


“พี่ว่าผมง่ายไปมั้ย” ผมพยายามเปล่งเสียงถามพี่หมอ พี่หมอแค่ส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนเดิมก่อนจะยีหัวผมอย่างเอ็นดู


“มันเป็นความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายต่างหาก” พี่หมอตอบ ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าของตัวเองที่ถือเข้ามา ผมคิดว่าคงเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ของพี่เขานั่นแหละครับ


ผมเงียบไม่ได้ถามอะไรไปอีก จริงๆ มันอาจจะเป็นความต้องการแค่ของผมคนเดียวมากกว่า ก่อนที่พี่หมอจะขอตรวจร่างกายของผม ผมอิดออดจะไม่ยอมแต่พี่หมอสัญญาว่าจะขอดูแค่ไม่นาน และขอดูแค่ส่วนนั้นส่วนเดียว โดยให้ผมพลิกตัวแล้วเอาผ้าห่มปิดส่วนอื่นไว้ หลังจากตรวจเสร็จ พี่หมอก็ฉีดยาให้ผมไปหนึ่งเข็ม หลังจากนั้นก็หลับยาว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนอยากเข้าห้องน้ำนั่นแหละครับ


นอนบิดอยู่ตั้งนาน ก่อนจะลองพยายามขยับด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องร้องซี้ด แม้แต่ขมิบยังไม่ได้เลยครับพี่น้อง! ไอ้บีทส์จะสิ้นฤทธิ์ก็คราวนี้แหละ!! ผมลองกัดฟันลองขยับอยู่หลายครั้งจนยอมแพ้นอนอยู่เฉยๆ


เริ่มมีความหวังอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู แต่ก็ต้องผงะเมื่อคนที่เปิดเข้ามาเป็นพี่ซัน มาถึงก็ดุเอาดุเอา ผมนี่หน้างอจนไม่รู้จะงอยังไง ขี้บ่นชะมัด! แล้วผมก็ร้องเสียงหลงเมื่อพี่ท่านเล่นยกผมขึ้นทั้งอย่างนั้น กลิ่นตัวพี่มันนี่ติดจมูกผมมาเลย แง๊ มันใกล้มากจริงๆ ครับ เลยได้แต่ก้มหน้างุดยอมให้พี่มันอุ้มไปส่งที่ห้องน้ำ


อายก็อาย เขินก็เขิน เจ็บก็เจ็บ มึงช่วยมากันคนละทีจะได้ไหม!?!


กว่าจะนั่งลงได้ก็ทุลักทุเลด้วยกันทั้งคู่ เชื่อแล้วล่ะครับว่ามันลำบากจริงๆ จะเดินจะเหินก็ลำบากไปหมด แต่ไอ้พี่ซันนี่ดันเห็นเป็นเรื่องตลกครับ แซ็วมาได้ ถึงจะมั่นหน้าแต่ก็เสียเซลฟ์และเขินเป็นนะครับ!!


หลังจากไล่พี่ซันออกไปจากห้องน้ำได้แล้ว ผมก็ใช้เวลาไม่นานในการจัดการกิจส่วนตัว ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระจกที่วางอยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาเช็ดดูสภาพของตัวเองตอนนี้ เคยเป็นไหมครับ ‘โรคติดกระจก’ เห็นไม่ได้ต้องยกมาส่อง ที่จริงห้องน้ำพี่ซันมีกระจกบานใหญ่นะครับ


แต่ผมฝืนยืนส่องไม่ไหวน่ะ


อื้อหือ...นั่นคอหรืออะไรวะนั่น เบิกตาค้างกันตั้งแต่จุดแรกที่ใช้กระจกส่องกันเลยทีเดียว รอยเขียวช้ำ เป็นจ้ำๆ มีอยู่ทั่วคอ เรื่อยลงมาจนถึงแผงอก ผมเลิกเสื้อขึ้นก่อนจะมองเห็นรอยที่มีลักษณะคล้ายๆ กันเรียงรายอยู่ตามต้นขา


นี่พี่มันทิ้งรอยไว้เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?!


ก้มสำรวจร่างกายตัวเองอยู่ได้ไม่นาน ก็สะดุ้งกระจกแทบหลุดจากมือ เมื่อคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำส่งเสียงเรียก คงสิ้นสุดความอดทนในการรอแล้ว ผมขานรับก่อนจะเรียกพี่ซันเข้ามา ผมยอมรับอยู่อย่างหนึ่งนะครับว่าถึงแม้พี่มันจะปากไม่ค่อยดี...


แต่อย่างน้อยก็คอยช่วยป้อน(ยัด)ข้าว ป้อน(บังคับ)ยา ผมไม่รู้หรอกครับว่าที่พี่ซันทำเป็นเพราะโดนบังคับ อยากช่วย หรือรู้สึกผิด แต่ผมบอกตามตรงว่ามันทำให้ผม ‘ชอบ’ พี่ซันมากขึ้นอีกแล้วล่ะ


เป็นไงโคตรนางเอก!


ผมขยับไปหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดดูปรากฏว่ามันปิดเครื่องอยู่ เลยเปิดเครื่องก่อนจะเห็นข้อความเข้ามาว่ามีคนพยายามติดต่อผมอยู่สามสายคือ ‘อิพิงค์’ ครับ เลยกดโทรออกไปหามัน เผื่อว่าจะมีธุระสำคัญอะไร


ตู๊ด...ตู๊ด…


ขนาดเสียงรอสายยังเข้าข้างมึงเลยพิงค์ รอสายอยู่สักพักก็มีเสียงกดรับสาย อิพิงค์นั่นแหละ


“โอ๊ย อิบีทส์ กูโทรไปตั้งหลายสาย ไม่รู้จักเปิดเครื่อง! โดนเอาอยู่รึไงวะอินี่!” บ๊ะ ทักได้แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจกูเลยเพื่อนยาก


“แบตมันหมดเว้ย มึงโทรมามีอะไร” ผมถาม


“ก็ไม่มีอะไรกูแค่อยากโทรมาถามว่ามึงให้ของขวัญพี่ซันไปเรียบร้อยดีใช่มั้ย แหม กูเห็นหายเงียบ นึกว่าเขาถีบหัวส่งออกมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหนีไปกินเหล้าย้อมใจคนเดียว ฮ่าๆ” อิพิงค์พูดติดตลก แต่มึงช่วยดูน้ำเสียงกูหน่อยได้ไหมแหบแห้งขนาดนี้ จะเอาแรงที่ไหนออกไปตะลอนแบบมึงครับ


“เออ ให้ไปแล้ว พี่มันก็รับไปแล้วกูก็กลับห้องมาตั้งแต่ เอ่อ เมื่อคืน...แล้วแบบรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยนอน จนตื่นมาโทรหามึงนี่แหละ” ผมพูดบอกไปอีก ไม่อยากให้พวกมันเป็นห่วงผม


“แล้วตอนนี้ดีขึ้นยังวะ” อิพิงค์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ถ้ากูไม่กลัวว่าเรื่องจะแดงขึ้นมา คนแรกที่กูอยากจะปรึกษาก็คือมึงนี่แหละพิงค์ แต่ถ้ากูบอกมึง...คนทั้งกลุ่มได้รู้กันหมดแน่ๆ


“ก็ดีว่ะแต่ยังปวดหัวอยู่ อ๊ะ! เอ่อ เดี๋ยวกูนอนต่อก่อนนะ จะไปแรดที่ไหนก็ระวังตัวด้วยนะมึง” ผมตอบ ก่อนจะร้องออกมาเพราะขยับตัว เมื่อไหร่จะหายวะเนี่ย ผมรีบตัดบทกับอิพิงค์เพราะเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้วจริงๆ


“โอ๊ย...ระดับกู ‘สวยเลือกได้ แรดแต่เลือกจ้ะ’ อีกอย่างนี่มันยังไม่หนึ่งทุ่มเลยค่ะอิบีทส์” อิพิงค์พูดเสียงแหลมอย่างมั่นใจ ผมหัวเราะมั่นจริงๆ เพื่อนผม จะว่าไปวันนี้มันก็ยังอยู่ในช่วงวันเกิดของพี่ซัน สงสัยคืนนี้พี่มันคงออกไปปาร์ตี้กันยาว เหอะๆ


“ของแบบนี้มัน ‘พลาด’ กันได้น่า” ผมเถียง


“พูดจาแปลกๆ นะมึง เออๆ พักผ่อนเยอะๆ เพื่อนสุดที่เลิฟของกู บ๊ายบายค่ะ” อิพิงค์ถามขึ้นเหมือนผิดสังเกต แล้วก็วางสายไป ผมวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ตัว ก่อนจะตั้งปิดเสียงเอาไว้ ค่อยๆ ไถลตัวลงนอนต่อ ตื่นอีกครั้งค่อยลุกมากินยาก็แล้วกันตอนนี้ปวดหัวไม่ไหวจริงๆ ครับ


++++++++++++++++


ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ผมขมวดคิ้วรู้สึกเหมือนมีอะไรเย็นๆ ไล่วนอยู่ตามแขนตามขา แล้วก็เหมือนมีอะไรหนักๆ วางไว้อยู่บนหน้าผาก ใครแกล้งคนหลับวะเฮ้ย!?!


ผมขยับตัวอย่างรำคาญ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา อยากด่าครับ ไม่ใครสักคนก็คงเป็นผีอำแล้วล่ะครับ ผีก็ผีเถอะเดี๋ยวเจอไอ้บีทส์กระโดดถีบขาคู่!


กึก


พี่ซันนี่หว่า! มาอยู่ในห้องผมได้ยังไง!?! มองเลยไปเห็นพี่หมอ ยืนส่งยิ้มเหมือนโล่งใจอะไรสักอย่างมาให้ผม และที่สำคัญ...
...นั่นมันอิพิงค์!! ใครหอบมันมา!!!?


“ทำไมไม่กินของที่เตรียมไว้ให้ ยาก็ไม่กิน ไข้ขึ้นเลยเห็นมั้ย?!” พี่ซันพูดเสียงดุ ในขณะที่มือยังถือผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่ พี่มันนั่งข้างๆ ผมนี่แหละครับ


“...” ยังงงอยู่ หาเสียงไม่เจอ เถียงไม่ออก ประมวลผลออกมาเป็นคำไม่ได้ ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ มองเลยไปยังอิพิงค์อีกครั้ง สายตาแม่งโคตรอยากรู้อยากเห็น!


“ใจเย็นๆ” พี่หมอพูดกับพี่ซัน ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ช็อกครับบอกตรง! ช็อกตั้งแต่มองเห็นอิพิงค์เพื่อนรักแล้วครับ!


“มึงดูแม่งสิ!” พี่ซันสบถอย่างหัวเสีย


“เออๆ กูว่ามึงออกไปก่อนดีกว่า ให้กูตรวจอีกหน่อยแล้วมึงค่อยเข้ามา” พี่หมอว่า พี่ซันพยักหน้ารับนิดๆ ก่อนจะลุกแล้วเดินออกไป เหลือแต่เพื่อนผมที่ยังยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่


“พิงค์ด้วยครับ” พี่หมอว่า อิพิงค์เลิกคิ้วแล้วชี้เข้าหาตัวเอง


“พิงค์ก็ต้องออกไปด้วยเหรอคะพี่หมอ” อิพิงค์พูดเสียงอ้อน พี่หมอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักหน้ายืนยันคำพูดเดิม อิพิงค์เลยสะบัดหน้าเดินบิดตูดออกไป


“อย่าไปถือสาไอ้ซันเลยนะ มันหัวเสียตั้งแต่เข้ามาเห็นเรานอนเหงื่อท่วมแล้วล่ะ” พี่หมออธิบาย ผมพยักหน้าให้น้อยๆ พี่หมอนั่งลงจับชีพจรดูที่ข้อมือผม แล้วยื่นมือมาวัดไข้เหมือนที่เคยทำ


“เรานี่น๊า รู้มั้ยว่าทำวันเกิดไอ้ซันล่ม” พี่หมอพูดกลั้นขำ ผมเลิกคิ้ว


“ทำไมล่ะครับ แค่ก...” ผมถาม


“ก็วันนี้เรานัดว่าจะมาปาร์ตี้กันที่ห้องไอ้ซันเหมือนที่เคยทำกันทุกปี พอถึงเวลาจะเป่าเค้ก ไอ้ซันมันออกไปโทรศัพท์หาเรา ปรากฎว่าโทรมายังไงเราก็ไม่ยอมรับสาย มันเลยพุ่งออกมาจากห้อง มาหาเราไง...” พี่หมออธิบายต่อ ผมนอนฟังนิ่งๆ อย่างไม่ออกความเห็น


“แล้วที่พี่หมอว่ามันล่ม คืออะไรครับ แค่กๆ” ถามต่อด้วยความอยากรู้


“ก็มันมาเห็นคนบางคนที่นอนอยู่ในห้องนี้ตัวร้อนจี๋เลย เหงื่องี้ท่วมตัว ข้าวปลาไม่ยอมกิน แถมยังเบี้ยวไม่กินยาอีก จำได้ว่ามันโทรตามพี่เสียงเข้มเลย ปาร์ตี้ก็ให้ไปจัดกันวันหลัง ไอ้สองเลยต้องเป็นคนเคลียร์พื้นที่แทน” พี่หมอพูดต่อรวดเดียว


“แสดงว่าพี่ซันยังไม่ได้แม้แต่จะเป่าเค้กวันเกิดเลยน่ะสิครับ” ผมพูดต่อด้วยความรู้สึกผิด


“เฮ้ย อย่าคิดแบบนั้นสิ ที่พี่เล่าให้ฟังก็เพราะอยากให้บีทส์รู้ว่าเพื่อนพี่มันเป็นห่วงเราแค่ไหน ไม่ได้พูดให้เรารู้สึกผิดเลยนะ” พี่หมอรีบพูด จริงๆ ก็แอบรู้สึกดีนะครับที่พี่มันยังเป็นห่วงผมอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีทั้งกับตัวพี่ซันและพี่ฟ้า แน่นอนว่าปาร์ตี้วันเกิดของพี่ซัน ว่าที่คู่หมั้นเขาก็ต้องมาอยู่แล้ว


“มันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีนี่ครับ”


“หึๆ อย่าคิดอะไรมากเลย ตอนพี่มาถึง ก็ฉีดยาลดไข้ให้เราไปอีกหนึ่งเข็มนะ ยังปวดหัวหรือปวดตัวอยู่มั้ย” พี่หมอถาม


“ก็นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” ผมยิ้มเขินๆ ฉีดตรงไหนวะ คงไม่ใช่…


“ไม่ต้องห่วง ขืนพี่ฉีดที่อื่นที่ไม่ใช่แขนไอ้ซันได้ฆ่าพี่แน่ๆ เล่นนั่งเฝ้าไม่ยอมไปไหนเลย” พี่หมอพูดกลั้นขำ


“ขอบคุณนะครับพี่หมอ” ผมยกมือไหว้ พี่หมอส่งยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะส่งมือมายีหัวผมเบาๆ พี่มันเป็นคนอบอุ่นจังเลยครับ นี่แหละน๊า...คนเจ้าชู้ย่อมรู้จักวิธีเอาใจผู้อื่น


“ไม่เป็นไรหรอก บีทส์ก็เหมือนน้องพี่คนหนึ่ง แค่นี้ไม่ถือเป็นบุญคุณอะไร ว่าแต่เราชอบไอ้ซันมันจริงๆ ใช่มั้ย” พี่หมอถามเสียงนุ่ม ผมมองหน้าพี่มันก่อนจะก้มหน้า แล้วพยักหน้าเบาๆ มาถึงขนาดนี้โกหกไปเขาก็คงไม่เชื่อแล้วล่ะครับ


“หึๆ อยากให้พี่ช่วยอะไรรึเปล่า” พี่หมอถาม ผมขมวดคิ้ว


“พี่หมอจะอยากช่วยผมทำไมล่ะครับ ในเมื่อพี่หมอเองก็น่าจะรู้ว่าพี่ซันเขามีพี่ฟ้าอยู่แล้ว” ผมถามด้วยความสงสัย


“ก็นะ...มาถึงขั้นนี้แล้วพี่คงห้ามอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” พี่หมอพูดแล้วก็หัวเราะ


“ผมไม่ได้หวังให้พี่ซันเขาหันมาตอบแทนความรู้สึกที่ผมมีให้หรอกนะครับ แต่ขอแค่ให้ผมได้รักเขาข้างเดียวอยู่แบบนี้โดยที่พี่เขาไม่รังเกียจ ผมก็ดีใจแล้ว จริงๆ นะ” ผมย้ำคำกับพี่หมอ


“เอาเถอะ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้ พี่คงต้องไปแล้วนะ มีอะไรด่วนก็ให้ไอ้ซันโทรหาพี่ก็แล้วกัน หายไวๆ นะ” พี่หมอพูดบอก ผมพยักหน้ารับ พี่หมอเลยเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง แล้วลุกออกไป


ผมหันไปที่ประตูอีกครั้ง ก่อนจะรีบหันหน้าหนี แล้วไถลตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมโปง โอ๊ย กูนึกว่ามึงจะกลับไปแล้วซะอีก!


“หยุดเลยนะอิบีทส์ ลุกมาพูดกับกูให้รู้เรื่อง!” อิพิงค์ตรงเข้ามานั่งข้างๆ ผม แล้วพยายามดึงผ้าห่มออก อ๊าก มึงอย่าดึงได้ไหม กูขยับมากไม่ได้!!


พรึ่บ!


เสร็จมันจนได้!!


“หึๆ ทำไมมึงไม่ยอมบอกกูฮะ!?!” อิพิงค์แสยะยิ้ม ผมทำหน้าเหรอหรา


“อะ...อะไร กูไม่มีอะไรจะบอกว้อย!” ผมเถียง


“ก็เรื่องที่มึงได้กับพี่สุดหล่อของกูแล้วไง!” อิเชี่ย พูดตรงเกินไปแล้ว T^T


“มึงรู้ได้ไง” ผมถามเสียงอ่อย อิพิงค์แสยะยิ้มเย็น ก่อนจะมองสำรวจร่างกายของผมอีกครั้ง จนต้องยกเอามาห่มมาปิดตัวเองไว้ถึงคอ อิพิงค์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนต้องย่นคอหนี


“อิบีทส์~ กูมองปร้าดเดียวก็รู้แล้ว รอยเต็มคอขนาดนั้น พี่ซันแม่งร้อนแรง อร๊าย กูอยากได้ กูอยากโดน!” อิพิงค์พูดเสียงตื่นเต้น ถามเขาก่อนไหมว่าอยากได้มึงหรือเปล่าอิพิงค์!


“พูดอะไรของมึง” ผมพูดเฉไฉ แล้วเบือนหน้าหนีอิพิงค์ที่จ้องมาอย่างคนรู้ทัน


“กูพูดเรื่องจริงบ้างเหอะ สรุปเป็นไง พี่สุดหล่อของกูตอนอยู่บนเตียง เล่าให้กูฟังบ้างสิ อย่าเก็บไว้กินคนเดียวนะเว้ย!” อิพิงค์โวยวาย มึงคิดว่าเพื่อนมึงจะอายเป็นไหมฮะ!?!


“มึงจะบ้าเหรออิพิงค์ ถามมาได้ มึงไม่อายแต่กูอายนะเว้ย!” ผมท้วง


“ก็กูอยากรู้! ถ้าเป็นไปได้กูอยากลองเองด้วยซ้ำ อร๊าย กูอยากโดนๆ มึงรีบบอกมาเลย ไม่งั้นกูประจานมึงแน่!” อิพิงค์ขู่ ผมส่ายหัว มันจะมาอะไรกับกูนักหนา


“มันใช่เรื่องที่ต้องมาเล่าสู่กันฟังมั้ยเนี่ยห๊า” ผมบ่ายเบี่ยง อิพิงค์ลุกขึ้นยืนท้าวเอวด้วยแววตามุ่งมั่น


“ถ้ามึงไม่บอก กูจะโทรฟ้องไอ้นัท! เอาดิ!!” มันชูโทรศัพท์ขึ้นมาขู่ ผมอ้าปากค้าง มึงอย่าเอาไอ้นัทมาขู่กูได้ไหม!?


“โอเค มึงอยากรู้อะไรถามมา!?!” ผมขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ


“พี่สุดหล่อ...เร่าร้อนมั้ยวะ?” อิพิงค์ขยับหน้าเข้ามาใกล้เอ่ยปากถามเสียงเจ้าเล่ห์ ผมกลั้นอายใจ


“เออ!!!!”


สิ้นสุดคำตอบผม ก็มีเสียงหัวเราะอันสะใจของอิพิงค์ตามมาติดๆ อาเมน~


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 05-07-2018 17:42:42
[ต่อ]


“กลับได้แล้วมั้ง”


ผมกับอิพิงค์หันไปทางผู้มาใหม่ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดประตูเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง พี่ซันเปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีนิ่งๆ ใบหน้าหล่อเดินเข้ามาในห้อง แล้วยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงที่ผมนอนอยู่


“อะไรกันคะพี่สุดหล่อ มาถึงก็ไล่กันเลยนะ แหม~” อิพิงค์ว่าเสียงแหลม ก่อนจะกระโดดไปเกาะแขนพี่ซันไว้ข้างหนึ่ง ด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้


“ดึกแล้ว รบกวนคนป่วยเปล่าๆ” พี่ซันพูดเสียงนิ่ง แต่ตามองตรงมาที่ผม ผมเลี่ยงที่จะไม่สบตากับแววตาคู่คมของเขา แล้วเลือกที่จะหันหนีไปอีกทาง


“แหม พิงค์กลับก็ได้ค่ะ พี่สุดหล่อพูดมาขนาดนี้อยู่ต่อก็คงด้านเต็มทนแล้ว คิคิ กูไปก่อนนะบีทส์ ไว้โทรคุยกัน” พิงค์พูดกับพี่ซันด้วยสีหน้าดี๊ด๊า ก่อนจะหันกลับมาพูดลาผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมพยักหน้าให้มันส่งๆ


“กลับดีๆ นะมึง”


“ไม่ต้องห่วง กูบอกให้ไอ้หมอไปส่งเพื่อนมึงด้วย มันเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน” พี่ซันหันมาพูดกับผม ส่วนอิพิงค์พอได้ยินแบบนั้นก็รีบเก็บของแล้วออกไปนอกห้องเลย บ๊ะ อิเพื่อนทรยศ เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน!


พออิพิงค์ออกไปพี่ซันก็ขยับมานั่งลงข้างๆ ผม ความเงียบเริ่มมาเยือนเราสองคนอีกครั้ง ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร พี่ซันเองก็คงเหมือนกัน ผมก้มลงมองมือที่ประสานกันอยู่ของตัวเอง


“เมื่อกี้...” พี่ซันเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน ผมเลิกคิ้วเมื่อคนตรงหน้าหยุดประโยคไว้เพียงแค่นั้น


“ครับ?”


“คือเมื่อกี้กู ขะ.. เอ่อ ขะ..” พี่ซันเหมือนลำบากใจที่จะพูด ร่างสูงสบถกับตัวเองหลายครั้ง เมื่อไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้
“หื้ม...” ผมครางในลำคอ เมื่อพี่ซันยังพูดไม่จบอีกรอบ จะบอกว่าขอโทษก็บอกมาเด่ะ อ้ำอึ้งอยู่ได้เน๊าะคนเรา


“กูแค่จะบอกว่ามึงจะกินข้าวเลยมั้ย เดี๋ยวกูไปเอาเข้ามาให้” พี่ซันเปลี่ยนเรื่องพูด ผมยู่ปากใส่ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเมื่ออีกคนมองผมด้วยสายตาดุๆ


“ผมนอนเลยได้มั้ย ไหนๆ พี่หมอก็ฉีดยาให้แล้ว ผมกินอะไรไม่ค่อยลงอ่ะครับ” ผมตอบไปตามตรง มันดึกแล้วอย่างที่พี่มันบอก แล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว ถ้าต้องมากินข้าวกินยา คงเสียเวลากันไปอีกเยอะ แล้วพรุ่งนี้ก็วันจันทร์ด้วย


“เอางั้นก็ได้ แต่ไอ้หมอมันย้ำว่ายังไงก็ต้องทายา” พี่ซันพูด ก่อนจะลุกไปหยิบถุงยา แล้วกลับมานั่งที่เดิม ผมขมวดคิ้วจะให้ทายายังล่ะเฮ้ย แค่ขยับก็สัมผัสได้แล้วนะไอ้คำว่าเจ็บเนี่ย


“แล้วเอ่อ...ยังไงครับ”


“นอนคว่ำหน้าลงได้มั้ย” พี่ซันเอ่ยถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ ผมทำหน้าเลิ่กลั่กทันที


“อย่าบอกนะ ว่า...” ผมทำตาโต พี่ซันก็เริ่มประหม่าเมื่อเห็นท่าทางของผม


“ก็เออไง” พี่ซันบอกย้ำ ผมร้องเฮ้ยในใจ เริ่มทำหน้าไม่ถูกแล้วครับ


“ให้ผมทำเองก็ได้นะพี่!?!” ผมต่อรอง พี่ซันส่ายหัวไปมา


“มึงมองเห็นรึไงว่าต้องทาตรงไหน” พี่ซันปรับน้ำเสียงเป็นจริงจัง แต่เลิกคิ้วกวนได้น่าหมั่นไส้มว๊าก


“กะ...ก็” ไปไม่เป็นเลยกู


“เห็นมาหมดแล้วจะอายอะไรว๊า~ เร็วๆ ดิ๊” พี่ซันพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วยิ้มมุมปาก เป็นปฏิกิริยาที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็น กวนชะมัด…


 “ชิส์!” ผมจิ๊ปาก ก่อนจะเอนตัวลงแล้วพยายามพลิกตัวให้นอนคว่ำหน้า แล้วนอนทิ้งหน้าแนบไปกับหมอนใบโตที่ผมชอบมันเป็นพิเศษ คือมันนุ่มมากครับ พอนอนคว่ำหน้าเสร็จผมก็หลับหูหลับตา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น โอ๊ย อายจริงๆ ครับ ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ไหน


“หันหน้ามานี่ เดี๋ยวได้ตายหรอก” พี่ซันว่าเสียงเข้มก่อนจะใช้มือสองข้างยกหัวผมขึ้นแล้วจัดให้อยู่ในท่าหันข้างไปทางฝั่งที่เขานั่งอยู่


“ฮึ่ย! จะทำอะไรก็รีบทำได้ปะ ผมก็อายเป็นนะพี่!!” ผมแว้ดใส่ แล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้าทั้งสองข้าง พี่ซันหัวเราะ
ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อสัมผัสได้ว่าพี่ซันเริ่มเลิกผ้าห่มขึ้นจากทางด้านล่างขึ้นมาด้านบน พี่มันคงจะเลิกขึ้นให้ถึงสะโพกเพราะไม่งั้นจะมองไม่เห็น เอ่อ ตรงนั้น... แบบนี้พี่มันก็ต้องเห็นตั้งแต่ปลายตีนจนถึง โอย ไม่อยากจะคิดภาพ ผมหลับตาแน่น


“เอ่อะ...พี่ซันครับ!!” ผมร้องขึ้นเสียงหลง พยายามร้องหาโอกาสสุดท้าย


“วะ...ว่าไง” พี่ซันตอบรับ เสียงสั่นแปลกๆ


“ปิดไฟได้มั้ยพี่...ผมอาย” ผมพูดเสียงอ่อย


“สมองน่ะคิดมั้ย กูเป็นคนนะไม่ใช่สัตว์กลางคืนจะได้มองเห็นในที่มืดได้น่ะ” พี่ซันเริ่มดุอีกครั้ง อ้าว นึกว่าเป็นผีดูดเลือด เห็นดูดกูจัง!!


ผมเงียบปาก แต่หลับตาแน่น เอาวะ...จะได้ไม่อายไปมากกว่านี้ พี่ซันเลิกผ้าห่มขึ้น แต่ผมสัมผัสได้ว่ามีผ้าห่มอีกผืนมาปิดบริเวณต้นขาผมไว้ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ก่อนที่ผมจะสะดุ้งเมื่อมือหนาของพี่ซันสัมผัสตรงบริเวณสะโพกของผม พี่มันใช้มือเปิดเสื้อตัวใหญ่ของตัวเองที่อยู่บนร่างของผมขึ้นช้าๆ งื้อ อายว้อย ไม่ได้ใส่อะไรเลยนะนั่น!


“มึง...เอ่อ ยกสะโพกขึ้นอีกนิดได้มั้ย” พี่ซันพูดบอก ผมกัดปากตัวเองแน่น ก่อนจะพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วพยายามยกสะโพกขึ้น พี่ซันใช้มือสอดหมอนมารองไว้ใต้สะโพกผมพอดีเหมือนรอจังหวะ ตอนนี้เลยเหมือนผมกำลังนอนทับหมอนอยู่


“อ๊ะ!!” ผมร้องขึ้น เมื่อสัมผัสแรกของพี่ซันปะทะเข้ากับเนื้ออ่อนของผม พี่ซันชะงักมือไปทันทีที่เห็นผมร้อง


“โทษที...เจ็บเหรอ” พี่ซันถามขึ้นด้วยเสียงอึ้งๆ อย่าทำเสียงแบบนี้ดิ…


“อ๊ะ~! “


“อื้อ!”


ผมร้องขึ้นอีกเมื่ออีกคนลงน้ำหนักมากไป ฮือ อายก็อาย เจ็บก็เจ็บ เกร็งไปหมด มือทั้งสองข้างกำผ้าห่มแน่น


“อึ๊!...”


มันเจ็บจริงๆ นะครับ T^T


“เชี่ย!! มึงหยุดทำเสียงแบบนี้สักทีได้มั้ยฮะ!!?” พี่ซันร้องขึ้นเมื่อหมดความอดทน ผมกัดปากฉับทันที เมื่ออีกคนเริ่มโมโห
นั่นจึงเป็นเสียงสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากผม เพราะทำได้แค่กัดฟันแน่น กว่าจะทายาเสร็จ เล่นเอามือผมแดงไปหมด พอทายาเสร็จพี่ซันก็จัดการเอาเสื้อลง แล้วห่มผ้าให้เหมือนเดิม พูดกับผมสั้นๆ ว่า


“จะออกไปนอนข้างนอก มีอะไรก็เรียก”


ก่อนจะไปปิดไฟให้เรียบร้อยจากนั้นก็เดินทำหน้าเรียบออกไป ผมทำได้แค่ซ่อนใบหน้าไว้กับหมอนแล้วพยักหน้ารับเป็นสัญญาณว่ารับรู้ในสิ่งที่พี่มันบอก


+++++++++++++++++++++++++


ตื่นมาในตอนเช้าก็โดนสั่งห้ามไม่ให้ไปมหาลัยจากคุณชายเขานั่นแหละครับ บอกให้ผมนอนอยู่ห้องเฉยๆ ห้ามออกไปไหน พอผมเถียงว่าใครจะเช็คชื่อให้พี่ซันก็บอกหน้าตายว่า…


‘เพื่อนมึงไง กูให้ไอ้หมอจัดการแล้ว’


ผมเลยเงียบไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย พี่ซันออกไปซื้อข้าวมาไว้ให้ผมก่อนจะออกไปอีกรอบ กำชับนักกำชับหนาว่าห้ามลืมกินไม่งั้นโดน เออ เอากับพี่แกสิครับ อีกอย่างที่ผมไม่รู้ว่าจะขำหรืออายดีก็คือ


‘เดี๋ยวตอนพักเที่ยงกูจะแวะมาหา ส่วนยาทา ถ้าทาไม่ได้ก็รอเดี๋ยวกูกลับมาทาให้ เอ้อ ถ้าไอ้หมอมันแวะมาก็ไม่ต้องสะเออะให้มันทาให้ เดี๋ยวกูมาทาให้เอง...’


ไอ้พี่บ้า! พูดมาได้เนอะคนเรา ใครเขาจะกล้า พูดจบพี่ซันก็ออกไปเรียน ผมเองก็นอนอืดอยู่ในห้องต่อจนตื่นมาอีกทีก็เกือบๆ จะเที่ยงแล้วนี่ล่ะครับ ลองขยับเดินไปเรื่อยๆ ก็ยังดีกว่าเมื่อวานนิดหน่อย ยังพอขยับไปห้องน้ำได้บ้าง เลยจัดการล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่เสื้อยืดกับกางเกงนอน (ไร้อันเดอร์แวร์)


มองดูนาฬิกาก็เกือบจะได้เวลาแล้วครับ ผมนั่งดูหนังรอพี่ซันอยู่ในห้อง ดีเนอะอย่างกับคุณชาย โฮะๆ มีคนดูแลหาข้าวหาน้ำให้กิน


กว่าสองวันเต็มๆ ที่ผมต้องหยุดเรียนไปโดยปริยาย สองวันที่ผมรู้สึกว่ามันมีค่ามากๆ เพราะพี่ซันเองก็คอยดูแลผมอยู่ไม่ห่าง หน้าที่ซื้อข้าวซื้อน้ำก็เป็นของพี่ซันนี่แหละครับ


และเพราะผมยังไปไหนมาไหนไม่ได้เลยยังทำอาหารกินเองไม่ได้ ต้องพึ่งข้าวกล่องจากพี่ซันตลอด แต่ก็ยังดีนะครับ ที่พี่มันยังพอจะรู้ว่าถ้าซื้อมาแต่แบบเดิมๆ ผมอาจจะเบื่อ เพราะบางมื้อพี่ซันก็ซื้ออาหารญี่ปุ่นมากินที่ห้อง ถัดไปอีกวันก็เปลี่ยนเป็นอาหารเกาหลี บางมื้อก็เป็นแค่ก๊วยเตี๋ยวข้างทางหรือข้าวกล่องธรรมดา ผมค่อนข้างแปลกใจที่อาหารธรรมดาแบบนี้พี่ซันก็กินเป็นด้วย


ตลอดสองวันที่ผ่านมาพี่ซันไม่ได้นอนข้างนอกเหมือนวันแรกนะครับ เพราะผมบังคับ ไม่สิ เรียกว่าบีบน้ำตาหมดไปเป็นลิตร กว่าพี่มันจะยอมเข้ามานอนข้างในด้วยกัน เพียงแต่มีหมอนข้างกั้นเป็นสองฝั่ง แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันพอตื่นขึ้นมาทีไร ผมก็มักพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายใต้อ้อมกอดของพี่ซันไปซะได้ สงสัยผมจะนอนดิ้นเกินไป พี่มันเลยจับมัดด้วยวงแขนแกร่งของตัวเองซะเลย แล้วก็...ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้นหรอกครับ ฮั่นแน่ คิดอะไรกันอยู่...


วันนี้พี่ซันบังคับให้ผมติดรถมากับเขาด้วย ผมปฏิเสธเท่าไหร่พี่มันก็ไม่ยอมท่าเดียว พอผมยอมมาด้วยก็ดันปล่อยให้ลงตรงหน้ามอซะอย่างนั้น ไม่รู้จะให้ติดรถมาด้วยทำไม เราเลยทะเลาะกันนิดหน่อย เดี๋ยวผมจะย้อนเหตุการณ์ให้ฟังนะครับ


‘อ้าวพี่ จอดทำไมครับ’ ผมถามเมื่อเห็นพี่ซันจอดรถเยื้องๆ ตรงป้ายรถเมล์ที่อยู่หน้ามอ


‘มึงลงตรงนี้แหละ เดินเข้าไปได้ใช่มั้ย’ พี่ซันตอบ ผมขมวดคิ้วมุ่น เริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วนะครับ


‘ก็ได้! แต่คราวหลังถ้าจะมาส่งแค่นี้ไม่ต้องเอาผมติดรถมาด้วยหรอกนะครับ เกรงใจ!!’ ผมตะคอกใส่หน้าพี่ซัน ก่อนจะก้าวเท้าลงรถอย่างเร็ว


‘เฮ้ย! ฟังก่อนดิ’ พี่ซันคว้าข้อมือผมเอาไว้ แต่ผมสะบัดออก ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพี่มันอย่างแรง คงกลัวมีใครเห็นล่ะมั้งครับว่ามีผมมาด้วย ที่สำคัญคงไม่อยากตอบคำถามพี่ฟ้า ไม่สิ คงไม่อยากโกหกพี่ฟ้ามากกว่า เหอะ!


เหตุการณ์ทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ หงุดหงิดชะมัด ดีแล้วทำไมไม่ดีให้สุดก็ไม่รู้ ผมเดินเข้ามาในมหาลัยเรื่อยๆ ก่อนจะเดินผ่านหน้าตึกคณะเข้ามาด้านใน แล้วเดินตรงไปยังที่นั่งประจำที่กลุ่มผมชอบมานั่ง


“อ้าวบีทส์!” เสียงไอ้นัทร้องทักเมื่อมองมาเห็นผมพอดี มันนั่งอยู่กับมีนครับ แฟนสาวคนสวยของมัน ผมยิ้มให้มันก่อนจะนั่งลงตรงข้าม


“หวัดดีมีน” ผมเอ่ยทัก มีนยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะก้มลงทำการบ้านต่อ


“แหม ทักแต่แฟนกู เพื่อนนั่งหัวโด่อยู่นี่ไม่มีทักสักคำ” ไอ้นัทกัดครับ ผมยักคิ้วกวนๆ ให้มัน


“กูก็พยักหน้าให้แล้วไง คนอื่นไปไหนหมด หรือยังไม่มา” ผมถาม คือเห็นกระเป๋าวางอยู่แต่เจ้าของมันไม่อยู่น่ะครับ


“ไปหาของกิน เดี๋ยวคงมา แล้วนี่กินอะไรมายัง” ไอ้นัทตอบแล้วถามผมกลับ ผมพยักหน้าให้ ก่อนออกมาพี่ซันพาแวะกินข้าวแล้วครับ จริงๆ ผมหายดีแล้วนะ แต่พี่มันก็ยังบังคับให้ผมกินยาต่ออีก ส่วนยาทา...เอ่อะ ไม่ได้ทาแล้วล่ะครับ แต่เปลี่ยนมาเป็นกินยาบำรุงแทน พวกบำรุงผิวพรรณอะไรแบบเนี้ย


อย่ามองผมแบบนั้นครับ ปกติผมก็มีพวกวิตามินกินบ้างอยู่แล้ว แต่นี่ของพี่ซันเขาให้มาครับ พี่มันให้เหตุผลว่า ไอ้พวกรอยต่างๆ ในตัวผมมันจะได้จางไปไวๆ


“มีงานอะไรที่กูต้องตามบ้างมั้ย” ผมถาม ไอ้นัทเงยหน้าขึ้นมาจากการช่วยมีนทำการบ้าน ก่อนจะยักไหล่


“ไม่มีนะ มีแต่งานกลุ่มแต่พวกกูทำไปแล้ว ว่าแต่ไปเดินยังไงให้ตกบันไดวะ” ไอ้นัทถามขึ้นขำๆ แต่ผมไม่ขำด้วยครับ กูไปตกบันไดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมกูไม่รู้ตัว


“เอ่อ แฮ่ๆ” รับมุกไปก่อนครับ ไม่รู้ก่อนหน้านี้อิพิงค์มันมาเริ่มเรื่องไว้ยังไง เดี๋ยวต่อเรื่องไม่ถูกจะได้ถูกไอ้นัทนี่แหละซักแทน


“จะทำอะไรก็ระวังๆ หน่อยดิว๊า มึงยิ่งซุ่มซ่ามอยู่ด้วย” ไอ้นัทมันบ่นต่อครับ กูไม่ได้ตกบันไดนะนัท แต่กูแค่ตกกระไดพลอยโจรไปเป็นเมียพี่ซันมัน


“ว๊าย! อิบีทส์ โผล่หัว เอ้ย! มาเรียนไหวแล้วเหรอค่า~” อิพิงค์ เสียงสิบแปดหลอดมาแต่ไกลเลยครับ ในมือถือถุงเซเว่นมาเต็มมือ เดินนำหน้ามาก่อนเพื่อน ตามด้วยไอ้ตี๋แล้วก็เนม


“กูก็บอกแล้ว จะทำอะไรก็ให้ระวัง เป็นไงล่ะมึง ‘โดน’ เลย” อิพิงค์พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะเน้นคำๆ หนึ่งที่มันโคตรกระแทกใจ ผมมองมันตาขวาง แต่มันไม่สนใจอะไรหรอกครับ กระแทกตูดลงนั่งข้างๆ ผมนี่แหละ


“เงียบปากไปเลยมึง” ผมด่า


“เป็นไงบ้างบีทส์ เห็นพิงค์บอกว่าตกบันไดหายดีแล้วเหรอ” เนมเป็นฝ่ายถามผมบ้าง ผมยิ้มแหยๆ ได้ยินอิพิงค์หัวเราะคิกคัก ผมเลยส่งเท้าไปทักทายมันแต่เช้า


“ดีขึ้นแล้วล่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ผมตอบ


“ปล่อยให้เราเป็นห่วงแทบแย่” ไอ้ตี๋พูดต่อ ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่


“คนอย่างไอ้บีทส์ไม่ตายง่ายๆ หรอกเว้ย” ผมพูดกวนๆ พวกมันเลยส่ายหัวเอือมๆ


“วันนี้เอาเครื่องคิดเลขมารึเปล่า” ไอ้นัทหันมาถามผม ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหยิบกระเป๋าออกมาค้น


“ลืมหยิบมาว่ะ” ค้นเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สงสัยหยิบออกจากกระเป๋าแล้วลืมหยิบเข้าแน่ๆ ผมทำหน้าเซ็งทันที โอย ชีวิตไอ้บีทส์ฉิบหายละ วันนี้มีเรียนบัญชีเบื้องต้น 2 ครับ จำเป็นต้องใช้


“ตลอดอ่ะอิบีทส์ กูไม่เห็นว่ามึงจะเคยหยิบมาสักคาบ” อิพิงค์ด่าผมแบบจีบปากจีบคอ หน้าตบจริงๆ นะเพื่อนกู


“เกินไปมึง ก็กูลืมนี่หว่าพวกมึงมีสำรองมั้ย” ผมเถียง


“คนบ้าที่ไหนจะแบกมาตั้งสองอัน มึงโดนอาจารย์ป้าสั่งเก็บแน่อิบีทส์ โฮะๆ ” อิพิงค์พูดขู่ ผมทำหน้าแหยๆ ถ้าไม่โดนประณามให้อายก็คงโดนอาจารย์แกเรียกตอบคำถามบ่อยๆ แน่ครับ อาจารย์ป้าแกจะให้บวกลบด้วยกระดาษนะครับ ห้ามยืมเครื่องคิดเลขคนอื่นเด็ดขาด อาจารย์ป้าแกให้เหตุผลว่า


‘เรียนบัญชีต้องมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง’ โอเคครับอาจารย์ป้า T^T


“เดี๋ยวกูไปส่งมีนก่อน พวกมึงขึ้นห้องไปเลยนะ จองเก้าอี้ไว้ให้กูด้วย” ไอ้นัทพูดบอกพวกผม แล้วรวบอุปกรณ์การเรียนของมีนมาถือไว้ ส่วนของมัน...วางไว้ให้พวกผมถือ ขอบคุณมาก!


“เดี๋ยวเรากับตี๋ก็จะไปแล้วเหมือนกัน” เนมเป็นฝ่ายพูดบ้าง ไอ้ตี๋ทำหน้าเซ็งไปแล้วครับ เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักหัดขี้เกียจเรียน ไอ้นี่! กร๊าก แค่คิดในใจครับไม่กล้าพูดออกมากลัวมันเตะเอา


“เจอกันตอนเที่ยงนะ” ไอ้ตี๋หันมาพูดกับผม ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะโบกมือให้เนมยิ้มๆ รายนั้นก็โคตรน่ารัก ไอ้ตี๋มันไม่ยอมไปสักทีครับเนมเลยลากกระเป๋ามันให้เดินตามไปด้วย


“เนมแม่งน่ารักว่ะ” ผมพูดกับอิพิงค์มองตามคนตัวเล็กไปเคลิ้มๆ


“อะไรอิบีทส์ทีกูไม่เห็นชมบ้าง แหม อย่านะมึงมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ” อิพิงค์หันมาพูดก่อนจะจิ้มหน้าผากผมซะหน้าหงาย อินี่!


“อย่ามามั่ว ครั้งเดียวเองเหอะ” ผมเถียง


“เชื่อกูสิ กูถือคติถ้ามีครั้งแรกต้องมีครั้งที่สอง!” อิพิงค์พูดเหมือนเจอเรื่องสนุก


“คติบ้าคติบออะไรของมึงวะ เออว่าแต่...มึงไปบอกพวกไอ้นัทอิท่าไหน เรื่องถึงได้กลายเป็นกูตกบันไดไปได้ ดีนะกูฉลาด” ผมบ่น


“ขอโทษนะคะอิโง่ แล้วมึงจะให้กูบอกพวกมันว่าอะไรฮะ ‘อ๋อ อิบีทส์มันโดนเอา เลยมาเรียนไม่ได้’ แบบนี้เหรอ” อิพิงค์เลิกคิ้วขึ้น ผมทำหน้างอทันที


“รีบๆ แดกไป! จะได้ไปเรียน” ผมเปลี่ยนเรื่อง อิพิงค์แสยะยิ้มสะใจที่ต้อนผมให้จนมุมได้

++++++++++++++
   
“นนทพัทธ์...ลองตอบอาจารย์มาสิว่าสมการบัญชีที่อาจารย์สอนไปเมื่อตอนต้นคลาสประกอบไปด้วยอะไรบ้าง” สิ้นสุดคำสั่งของอาจารย์ป้าทุกสายตาก็มองตรงมาที่ผมทันที นี่ผมโดนเรียกเป็นรอบที่ห้าแล้วนะครับ!!


“เอ่อ” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ โต๊ะ ที่มีอิพิงค์กับไอ้นัทนั่งประกบอยู่สองข้าง ถามผมก็เหมือนถามมันสองคนด้วย


สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
   

ไอ้นัทเขียนคำตอบลงในเศษกระดาษแบบเนียนๆ แล้วใช้เท้าด้านล่างแตะขาผมเป็นการให้สัญญาณ ผมแค่เพียงเหลือบไปมองเหมือนกำลังคิดคำตอบอยู่ ไอ้นัทมันฉลาดครับใช้ปากกามีสีเขียนทำให้ผมเห็นคำตอบชัดเจน
   

ถ้าถามว่าทำไมสมการง่ายๆ แค่นี้ผมถึงไม่รู้ จริงๆ มันก็ง่ายนะครับแต่จะจำได้เฉพาะตอนที่เพิ่งเรียนไปหมาดๆ ถ้าท้ายคาบมาแล้วแบบนี้บอกตามตรงว่าลืม!
   

“ถ้านายนนทพัทธ์ตอบไม่ได้ อาจารย์จะให้พวกเธอทุกคนทำรายงานส่งอาจารย์เย็นนี้” อาจารย์ป้าเริ่มขู่เมื่อเห็นผมยังยืนเงียบ ถามจริงๆ เถอะครับอาจารย์ ตอนเรียนอาจารย์เคยโดนอาจารย์ของอาจารย์กดดันมาแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม ตอนนี้ถึงได้มาลงกับผมแทน ผมเหลือบตามองเพื่อนร่วมห้อง ตอบผิดมีสิทธิ์ได้ยำตีนเป็นของแถมนะครับเนี่ย
   

“เอ่อ...สินทรัพย์ เท่ากับ...หนี้สิน...บวกทุน ครับอาจารย์” ผมตอบ
   

“นับว่ายังโชคดีที่เพื่อนคนข้างๆ ยังนั่งฟังอาจารย์อยู่บ้าง วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน คลาสหน้าถ้ายังมีคนลืมเครื่องคิดเลขมาอีกคงไม่ต้องบอกนะว่าอาจารย์จะทำยังไง” อาจารย์ป้าพูดเสียงเรียบ ผมนี่รีบยิ้มอย่างเอาใจเลยครับ นี่ผมอุตส่าห์มองอย่างเนียนๆ แล้วนะ อาจารย์ป้าแกจับได้เฉยเลย พูดจบอาจารย์ก็ปรายตามาส่งยิ้มให้ผมอย่างจิกกัดสุดฤทธิ์ โธ่ อาจารย์ครับอย่าเอ็นดูผมขนาดน๊าน
   

พออาจารย์เดินออกไปพวกผมก็เก็บอุปกรณ์เตรียมไปกินข้าวกันที่โรงอาหารอยู่ข้างๆ คณะของผมนี่แหละครับ จริงๆ แล้วแต่ละคณะก็จะมีโรงอาหารหรือไม่ก็ซุ้มอาหารประจำการอยู่ แต่พอดีว่าคณะของผมเป็นคณะที่มีคนเรียนค่อนข้างเยอะ พวกเราจึงมีโรงอาหารเป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนะครับ อาศัยว่ามีอาหารขายถ้าในโรงอาหารที่นั่งไม่พอก็ต้องยกมากินกันที่ใต้ตึก
   

“กูหิวไส้จะขาดแล้ว” ผมหันไปหาอิพิงค์ที่ออกปากบ่น
   

“อาจารย์ป้าดิ เล่นกูซะอย่างโกรธกันมาแล้วเป็นสิบชาติ” ผมบ่นบ้าง
   

“เอาน่า ไปเหอะ มีนมาจองโต๊ะรอสักพักแล้ว” ไอ้นัทพูดแล้วตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าพวกเราออกไป
   

ผมกับอิพิงค์เลยต้องรีบเดินตามมันมาที่โรงอาหาร ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีร่างเล็กของมีนนั่งอยู่ ตอนนี้เรียกว่าคนเริ่มซาไปบ้างแล้วครับเพราะตอนนี้เกินเวลาเที่ยงมานิดหน่อยแล้ว คิดว่าห้องอื่นคงพักกันไปแล้วก่อนหน้านี้
   

“อ้าวบีทส์!!” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเกิดอาการปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อคนที่เรียกผมคือ ‘พี่ฟ้า’
   

พี่ฟ้านั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ของพี่เขาประมาณสามสี่คนอยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกผมนั่งประมาณสองตัวได้ โอ้ว เรียกว่าอยู่กันครบองค์ประชุมทันทีเมื่อผมเหลือบไปเห็นลุงรหัสกับยายรหัสของผมนั่งรวมอยู่ด้วย
   

“หวัดดีครับพี่ฟ้า หวัดดีครับพี่จ๊ะ หวัดดีครับพี่อ้น” ผมยกมือไว้สายรหัสของตัวเองที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ จริงๆ เป็นกลุ่มพี่ฟ้าครับ ลุงรหัสผมคือพี่อ้น กับยายรหัสผมคือพี่จ๊ะแกแค่มานั่งแจม ผมหันไปพยักหน้าให้กับอิพิงค์ส่งสัญญาณให้มันเดินนำไปก่อน
   

“ไม่เจอกันนานเลยนะคะน้องบีทส์ของพี่” พี่จ๊ะยิ้มรับ ก่อนจะเอ่ยแซ็วผม คือพี่แกเป็นกะเทยที่ยังคงแต่งตัวแบบผู้ชายน่ะครับ เป็นพี่ปีสี่แล้วก็เป็นคนนำเชียร์ของคณะเราด้วย
   

“ครับ ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะพี่” ผมแซ็ว พี่จ๊ะอายม้วนไปเลย เราชอบแซ็วกันแบบนี้แหละครับ


“เรียนเป็นไงบ้างเรา” ลุงรหัสผมเป็นฝ่ายถามบ้าง


“ก็ดีครับพี่ ว่าแต่พวกพี่ๆ มารวมตัวทำอะไรกันเหรอครับ” ผมถาม
   

“อ๋อ ก็เรื่องกีฬาสีวันศุกร์นี้ไง พี่มานัดแนะกับพี่รหัสของบีทส์ให้ไปเป็นดรัมเมเยอร์ประจำคณะของเรา” พี่จ๊ะเฉลยคำตอบ ผมพยักหน้าเออออ
   

“อ๋อครับ เดี๋ยวผมไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนนะพี่ พอดีบ่ายผมมีคลาสต่อ” ผมรีบเอ่ยลา ก่อนจะเดินกลับโต๊ะของตัวเองเพราะเริ่มเห็นไอ้พวกพี่เจเดินเข้ามาในโรงอาหาร ทำเอาเสียงซุบซิบดังขึ้นทันที ก็แหม ไม่บ่อยนะครับที่พี่ปีห้าวิศวะจะมาเดินเล่นที่คณะบริหารฯ
   

พรึ่บ!
   

“กูไปซื้อข้าวนะ” ผมรีบวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะก่อนจะเดินเลี่ยงไปซื้อข้าว หวังว่าไอ้พวกพี่เจจะไม่ทันได้สังเกตเห็นผมก่อนหรอกนะครับ
   

“เฮ้ยบีทส์” ผมเซไปตามแรงดึงจากคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะ
   

“เราซื้อมาให้แล้ว” ไอ้ตี๋บอก ก่อนจะชี้ไปที่จานข้าว มีน้ำแดงตั้งอยู่ข้างๆ ของโปรดกูเลย ผมจำใจต้องนั่งข้างๆ มันทันทีเมื่อเจอของฟรี
   

“อ้าวบีทส์ ขอพวกพี่นั่งด้วยคนนะครับ” กูว่าแล้ว
   

พี่เจกับพี่ไลท์เดินมาหยุดที่โต๊ะที่พวกผมนั่ง ผมรีบหันไปมองหน้าอิพิงค์ทันที เสียงซุบซิบในโรงอาหารเริ่มดังขึ้น คือโต๊ะที่พวกผมนั่งมันนั่งได้แปดคนครับ ว่างเห็นๆ
   

“เอ่อ เอาดิพี่ พอดีเลย” เป็นไอ้นัทครับ ที่เอ่ยปากชวน แล้วแบบทีแรกคนที่นั่งตรงกับผมเป็นอิพิงค์ไง มันเลยต้องเดินถือจานข้าวเปลี่ยนมานั่งข้างๆ ผมแทน กลายเป็นว่าพวกเรานั่งฝั่งละสี่คน ฝั่งผมมีเนม ไอ้ตี๋ ผม แล้วก็อิพิงค์
   

“แหม มากินข้าวไกลจังเลยนะคะพี่เจ” อิพิงค์เอ่ยแซ็ว พี่เจมองหน้าผมยิ้มๆ
   

“พอดีที่วิศวะไม่มีคนน่ารักให้มองเวลากินข้าวน่ะ เลยชวนไอ้ไลท์มากินแถวนี้ดีกว่า ‘คนน่ารัก’ เยอะดี” เอ่อ พูดเฉยๆ ไม่ต้องใช้สายตากรุ้มกริ่มมองผมขนาดนั้นก็ได้ครับพี่
   

“อุ๊ยตาย พิงค์ว่าสาวๆ คณะบริหารฯ คงกำลังเป็นที่นิยมสำหรับหนุ่มๆ วิศวะนะคะ อร๊าย” สิ้นคำพูดของอิพิงค์เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอีก และเหมือนจะดังมากกว่าตอนที่พี่เจกับพี่ไลท์เดินมาอีกนะครับ ผมหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่กำลังเป็นจุดสนใจในขณะนี้เดินเข้ามา
   

ผมไม่แปลกใจที่ทุกคนฮือฮากันขนาดนี้ ก็นะ...อดีตเดือนมหาวิทยาลัยเดินมาถึงคณะทั้งที


ไม่ตกใจก็แย่แล้วครับ...


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 05-07-2018 22:47:31
เอาแล้วๆ เดียวเฮียซันหึงอีก
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-07-2018 23:08:14
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-07-2018 02:56:21
วอนพี่ซัน ก็จะมีครั้งหน้าเพลา ๆ ให้น้องมันด้วยนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 15 : สำรวจความเสียหาย (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: fammi50 ที่ 08-07-2018 11:15:21
พี่ซันอาจจะไปนั่งกับพี่ฟ้ามากกว่ามั้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 16 : คณะบริหารฯ...สุดฮอต
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 10-07-2018 15:39:01
ตอนที่ 16 : คณะบริหารฯ...สุดฮอต

[บีทส์]

พี่ซันเดินเข้ามาในโรงอาหารพร้อมๆ กับพวกพี่สอง พี่น๊อต อีกคนผมไม่ค่อยแน่ใจเหมือนจะเคยเจอบ้าง แต่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้า แล้วก็มีพวกไอ้ออยไอ้ปริ้นเดินมาในกลุ่มด้วย เรียกว่าใส่ช็อปบ่งบอกที่มาของตัวเองกันทั้งกลุ่ม อ่อ ยกเว้นปีหนึ่งอย่างไอ้ออยกับไอ้ปริ้นนะครับ เวลาอยู่ในชุดนักศึกษาพวกมันดูหล่อแมนขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะไอ้ปริ้น หล่อกลบรัศมีผมมิดเลย


เสียงฮือฮาดังไปทั่วโรงอาหาร ขนาดพี่เจเองก็ยังหันไปมอง แค่หันไปมองจริงๆ ครับเพราะพอเห็นว่าสาเหตุของเสียงฮือฮานั่นเป็นเพราะอะไร พี่มันก็หันหน้ากลับมาเหมือนเดิมแต่หันมายิ้มให้ผมนะครับ ผมไม่สนใจแต่เอียงตัวไปมองกลุ่มของพวกพี่ซัน ซึ่งพี่มันก็มองมาที่กลุ่มของผมเหมือนกัน


เราสบตากันนิ่ง ก่อนที่พี่มันจะเบือนสายตาไปรอบๆ ตัวผม ผมเองก็ละสายตาจากพี่มันเหมือนกัน ไม่สนใจครับ...เคืองอยู่


“ว๊าย พี่ซันน่ารักอ่ะเธอ ดูสิมาทานข้าวกับพี่ฟ้าด้วย คู่นี้ฉันเชียร์มานาน อิจฉาพี่ฟ้าชะมัด” เสียงลอยมาจากโต๊ะข้างๆ เหอะ ที่แท้ก็มาหาพี่ฟ้า


“จะเขี่ยอีกนานมั้ยบีทส์ ข้าวเขามีไว้กินนะไม่ได้มีไว้เขี่ย” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่เจที่แซ็วผมเมื่อกี้


“ผมเขี่ยเอาผักออกต่างหาก” ผมแถ พี่เจมองผมยิ้มๆ


“หื้ม บีทส์ไม่กินผักเหรอ ปกติเห็นชอบกินจะตาย” ไอ้ตี๋ครับ เออ กูพลาดเองแหละ


“หมายถึงกระเทียม กลิ่นมันฉุนไม่ค่อยชอบ!” ผมแถไปอีกรอบ ไอ้ตี๋หัวเราะขำๆ กับเหตุผลของผม


ผมหันไปหาอิพิงค์ที่สะกิดผม แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มันขยับมาพูดข้างหู


“มึงดูดิ กูว่าพี่สุดหล่อของกูกำลังหึง” อิพิงค์ว่า ผมหันไปย่นคิ้วใส่


“หึงใคร พี่ฟ้าอ่ะนะ” ผมถามกลับเสียงเบา กลัวคนอื่นได้ยิน


“โอ๊ยอิโง่ มึงรอดูต่อไปเถอะ” อิพิงค์กระซิบด่า ผมเลยส่ายหัวไปให้มัน อะไรวะก็กูไม่เข้าใจ กูถามก็หาว่ากูโง่


“ขยับๆ กูนั่งด้วย” เสียงไอ้ออยครับ มาถึงก็วุ่นวายชาวบ้านเขาเลย เดือดร้อนไอ้ ปริ้นต้องหาเก้าอี้มาเสริมให้คุณชายเขานั่ง


“ปริ้นจะไปไหน มานั่งนี่!!” ทุกสายตาที่อยู่ในโต๊ะจ้องไปที่คู่ของมันทันที คือพอมาถึงไอ้ออยก็โวยวายให้คนอื่นขยับแต่มึงช่วยดูหน่อยได้ไหมว่ามีมันส่วนเกินมาด้วย โต๊ะมันเต็มแล้วจะให้พวกกูนั่งตักกันเลยหรือไง ไอ้ปริ้นก็นะครับ เดินไปหยิบเก้าอี้เสริมมาให้มันนั่งหัวโต๊ะ ส่วนมันก็กำลังจะเดินไปนั่งอีกฝั่งของหัวโต๊ะ แต่ไอ้เพื่อนผมมันไม่ยอมครับ ชี้ไปตรงที่นั่งข้างๆ คือคุณมึงช่วยดูพื้นที่หน่อยได้ไหมว่ามันนั่งได้แค่คนเดียว


แล้วไอ้คนที่นั่งข้างโต๊ะคนแรกตรงข้ามกับอิพิงค์ก็เป็นพี่ไลท์เพื่อนของประธานปกครองปีห้าอย่างพี่เจนะเฮ้ย มึงรีบๆ มองให้เห็นหัวพี่เขาหน่อย


“แฮ่ม...!” พี่ไลท์แกล้งกระแอม ไอ้ออยถึงกับสะดุดเลยครับ


“เฮ้ย!! สวัสดีครับพี่” ไอ้ออยรีบยกมือไหว้ทันที พี่ไลท์ไม่ได้ว่าอะไรแค่พยักหน้าให้ไอ้ออย ไอ้ปริ้นก็ยกมือไหว้ตามด้วยท่าทีนิ่งๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร มันนิ่งได้ทุกสถานการณ์จริงๆ เว้ย


“ทำไมมากินข้าวที่นี่ได้วะ กูเห็นกว่าจะแวบมากินที่นี่ได้แต่ละทีโคตรยากโคตรเย็น” ผมแซ็ว


“ก็ปู่รหัสกูน่ะสิอยู่ดีๆ ก็ลากพวกกูมา ขนาดพี่วิทย์ก็ยังไม่รอด” ไอ้ออยตอบ ไอ้ปริ้นมันเดินไปซื้อข้าวแล้วครับ


“พี่วิทย์ไหน” ผมถาม ไม่เคยได้ยินมันพูดถึง


“อ๋อ มึงคงยังไม่เคยเจอพี่เขาแบบเป็นทางการอ่ะดิ อย่าว่าแต่มึงเล้ยขนาดน้องรหัสอย่างกูยังไม่ค่อยจะได้เจอพี่มันเลย พี่วิทย์อ่ะพี่รหัสกูเอง โน่นไง นั่งข้างๆ พี่น๊อต” ไอ้ออยชี้ให้ผมดู ผมหันไปตามมือก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจอกับสายตาดุๆ ของพี่ซัน ผมเบ๋ปาก ก่อนจะนั่งก้มหน้ากินข้าวต่อ


“อุ๊ยเธอ พี่ซันแบ่งกับข้าวให้พี่ฟ้าด้วย ฉันอิจฉาอ่ะ โอ๊ยแก~” เสียงจากโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า ผมทำเป็นไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจะได้รีบไปให้พ้นๆ เอ้ย รีบขึ้นไปเรียน


“กินลูกชิ้นมั้ยบีทส์ อ่ะ...กินช่วยหน่อยดิ” ไอ้ตี๋ตักลูกชิ้นของตัวเองมาให้ผมหน้าตาเฉย ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ อิพิงค์ก็สะกิดยิกๆ มึงคันรึไงห๊า สะกิดกูจัง!


“อะไรของมึง!?” ผมกระซิบ


“หึๆ เดี๋ยวมึงรอดูอะไรดีๆ” อิพิงค์แสยะยิ้ม ก่อนจะหันไปหาพี่เจ


“พี่เจคะ อิบีทส์มันบอกว่าอยากกินไข่...พะโล้อ่ะค่ะ” อิพิงค์หันไปว่ายิ้มๆ ผมหันขวับไปหามันทันที มึงจะตะโกนทำไมครับเพื่อน แล้วกูไปบอกมึงตอนหน๊าย


“หื้ม ไม่บอกละพี่จะได้แบ่งให้” พี่เจรับมุก ก่อนจะยกไข่พะโล้ของตัวเองมาให้ผมทั้งฟอง อิพิงค์ต้องสะกิดให้ผมยกจานส่งให้พี่เจ


“น้องฟ้าทานนี่มั้ยมีประโยชน์นะ” เสียงพี่ซันลอยมาเข้าหู จนต้องหันไปชำเลืองมอง พี่มันนั่งหันหน้ามาทางผมครับ พี่ซันยักหิ้วให้ผมก่อนจะหันไปคุยกับพี่ฟ้าต่อ


“ทานยังไงให้ข้าวเลอะปากน่ะบีทส์ เหมือนเด็กๆ เลย หึๆ” พี่เจพูดขึ้น ผมละสายตามาเลิกคิ้วให้พี่เจตื่นๆ ก่อนจะพยายามเช็ดปากตัวเอง แต่ต้องสะดุ้งเมื่อพี่เจส่งมือมาแตะริมฝีปากของผม ท่ามกลางสายตาอึ้งๆ ของคนทั้งโต๊ะ


เคล้ง!!


เพราะเกิดเสียงเหมือนมีอะไรตกลงพื้นอย่างแรง ทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะผละออกจากพี่เจ พี่เจยิ้มมุมปากเหมือนพอใจอะไรสักอย่างแต่ผมไม่ได้สนใจพี่มันหรอกนะครับ ตอนนี้กำลังมองไปที่ต้นเหตุของเสียง เรียกได้ว่าเขามองกันทั้งโรงอาหารเลยจะดีกว่า


“โทษที...มือเผลอไปโดน”

พี่ซันลุกขึ้นพูดเสียงนิ่ง แต่ดวงตาคมดุปราดมองมาที่ผม อย่างจงใจไม่ปิดบัง ผมรีบหลบสายตาแทบไม่ทันเลยครับ นั่งนิ่งไม่กล้าขยับ


พี่ฟ้าเองก็ดูตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรีบลุกไปตรวจดูเสื้อผ้าของพี่ซันว่ามีเลอะตรงไหนหรือเปล่า มือเรียวสวยของพี่ฟ้าจับมือหนาของพี่ซันขึ้นมาสำรวจแต่พี่น๊อตกับพี่สองนี่ยังนั่งกินข้าวอย่างสบายใจนะครับ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย พี่วิทย์เองก็แค่เลิกคิ้วมองพี่ซันนิ่งๆ แล้วก้มลงกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ


“ปู่รหัสกูเป็นอะไรอีกแล้ววะนั่น ก่อนมายังดีๆ อยู่เลย” ไอ้ออยบ่นคนเดียวเบาๆ ไอ้ปริ้นเลยยกมือขึ้นมายีหัวมัน แล้วยิ้มมุมปาก


“รีบกินเถอะ เดี๋ยวไม่ทันพวกเฮียๆ เขาอีก” ไอ้ปริ้นมันหันไปพูดกับไอ้ออยครับ แน่นอนว่าพวกมันเข้าไปอยู่ในโลกของพวกมันสองคนแล้วเรียบร้อย


“กูว่ามึงกลับไปต้องโดนแน่ๆ อิบีทส์” อิพิงค์หันมากระซิบ ผมเลิกคิ้ว


“มึงช่วยพูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ยวะ” ผมบ่น ก่อนจะหันไปมองพี่ซันอีกรอบ ชิส์! ยังไม่เลิกปัดโน่นปัดนี่ให้กันอีก ผมแอบเบ๋ปาก ก่อนจะหันมาเขี่ยข้าวในจานของตัวเองต่อ ไม่หลงเหลืออาการหิวแล้ว


“พูดอะไรหงุงหงิงกันอยู่สองคนฮะพวกมึง” ไอ้นัทครับ มันมาแล้ว สงสัยจะทนอยู่นานคงเกรงใจพวกพี่เจ แต่คงจะเก็บอาการอยากรู้ไว้ไม่ไหวแล้ว


“เปล่าซะหน่อย” ผมหันไปปฏิเสธเสียงอ่อย ไอ้นัทถลึงตามองผมดุๆ มันคงไม่เชื่อครับ บอกแล้วไอ้นี่มันฉลาด


“พูดไม่เพราะกับเพื่อนอีกแล้วนะนัท” มีนพูดดุไอ้นัทครับ นานๆ ทีจะเห็นไอ้นัทมันหงอนะเนี่ย โอ๊ย กูอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น!


“มีนก็ดูพวกมันดิ” ไอ้นัทเถียงครับ แต่แบบลดเสียงลงประมาณห้าสิบเปอร์เซ็น สงสัยต้องตีซี้กับมีนไว้เยอะๆ เวลาโดนไอ้นัทบ่นจะได้มีคนเข้าข้าง


“เกรงใจพวกพี่ๆ เขาบ้างสิ” มีนยังดุต่อครับ ไอ้นัทได้แต่ฮึดฮัด ไม่วายยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าพวกผมนะครับ ส่วนผมเหรอแลบลิ้นใส่เลยครับ ว๊าย! มีคนเข้าข้างกูแล้ว ฮ่าๆ


ผมหันไปมองพี่ซันอีกรอบ ก่อนจะร้องเหอะในลำคอ เมื่อพี่ฟ้าแสนสวยของผมกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหน้าให้พี่ซันอยู่ บ๊ะ ไปสวีทกันไกลๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง


“กูไปเข้าห้องน้ำนะ” ผมพูดบอกคนในโต๊ะอย่างไม่เจาะจง ก่อนจะรีบลุกออกมาทันที ไม่ปล่อยให้ใครได้เอ่ยปากถามอะไร


เมื่อเช้าก็ปล่อยให้เราเดินเข้ามาในมหาลัยเอง มื้อเที่ยงก็ยังไม่วายมาสวีทหวานให้ดูกันถึงที่ เจอหน้าพี่ฟ้านี่ยิ้มปากจะฉีกไปถึงรูหู แต่พอเจอหน้าผมปุ๊บอย่างกับกินรังแตนมาอย่างไรอย่างนั้น!!


ผมเลือกที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ห่างจากโรงอาหาร ก็ห้องน้ำในตึกบริหารนี่ล่ะครับ คนไม่ค่อยพลุกพล่านดีแถมยังเหมาะแก่การนั่งสมาธิอีกต่างหาก คณะนี้ดีนะครับ มีแม่บ้านดูแลความสะอาดทุกๆ ชั่วโมง เรื่องกลิ่นนี่ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าคณะอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่านะ อย่างวิศวะผมเคยเข้าไม่กี่ครั้งถามว่าสะอาดไหม ก็ใช้ได้นะครับ แต่ไม่เท่าคณะของผม


เดินเข้ามาในห้องน้ำ ชะโงกหน้าดูจำนวนประชากรก่อนเลย ดีหน่อยที่ตอนนี้ยังปลอดคน ผมเลือกที่จะเข้าห้องในสุด เข้ามาก็เอาฝาชักโครกลงแล้วก็นั่งทับ แลดูเหมือนตัวเองเป็นราชาแห่งชักโครกอย่างไงอย่างงั้น


ผมหยิบโทรศัพท์ออกมานั่งเล่นเกม ก่อนจะไลน์ไปบอกเพื่อนๆ ว่าให้เจอกันที่ห้องเลย รออีกสักพักค่อยขึ้นไปรอพวกมันที่ห้อง
 

แกรก~


หืม เหมือนได้ยินเสียงคนล็อกประตูห้องน้ำเลย หรือจะเป็นห้องข้างๆ เออ จะใครก็ช่างเถอะ! ผมส่ายหัว ก่อนจะก้มลงเล่นเกมในมือถือต่อไม่ลืมหยิบหูฟังออกมาฟังเพลงฆ่าเวลาเล่นๆ หรอกนะครับ เป็นไงผมฉลาดใช่ปะ รอบคอบฉิบหาย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมถอดหูฟังออกจากหู ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องน้ำ ห้องที่ผมนั่งอยู่นั่นแหละครับ ได้ข่าวว่าห้องน้ำมีตั้งสี่ห้อง แล้วเมื่อกี้ก็เหมือนจะได้ยินคนเข้ามาแค่คนเดียวเอง ใครมาขัดขวางความสุขของราชาชักโครก!?


ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก


มีเร่งจังหวะเคาะด้วย! อย่าให้รู้นะว่ามีใครเข้ามาแกล้ง พ่อจะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย บ๊ะ! รบกวนเวลาคนเล่นเกม


“รอแป๊บ” ผมส่งเสียงบอกคนข้างนอก ก่อนจะเก็บหูฟังไว้ในกระเป๋า


“เฮ้ย!!!!!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อเปิดประตูออกมาเจอกับร่างสูงของพี่ซันที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตู ในขณะที่ผมชะงักพี่มันก็พลักผมเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งก่อนจะตามเข้ามาแล้วล็อกประตูไว้ทันที


“พี่เข้ามาทำไม!?” ผมถาม แล้วพยายามขยับออกห่างร่างพี่ซันที่เบียดเข้ามาชิดตัวผมไว้


“ทำไมกูจะเข้ามาไม่ได้ นี่มันห้องน้ำสาธารณะ” พี่ซันพูดเสียงเรียบ แต่แววตาไม่ได้เรียบด้วยนะครับ วาวโรจน์เลย


“ก็ใช่ นี่มันห้องน้ำสาธารณะ แล้วพี่จะเข้ามาห้องเดียวกับผมทำไมเล่า!?!” ผมโวย พยายามใช้มือดันอกพี่ซันไว้ จะเบียดทำไม นี่ก็แทบจะสิงผนังห้องน้ำแล้วนะ


“ทีเมื่อกี้ไม่เห็นจะสะดีดสะดิ้งหนีแบบนี้ มีผู้ชายอยู่ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดชอบนักรึไง เห็นฉีกยิ้มหวานให้เขาไปทั่ว ทำไมไม่รู้จักเก็บอาการบ้างฮะ!?!” พี่ซันพูดตะคอกในลำคอ ผมแอบกลืนน้ำลายเมื่อพี่มันจับไหล่ผมสองข้างเขย่า เจ็บนะ!


“ผมไม่เคยทำแบบที่พี่ว่า!!” ผมตะคอกกลับบ้าง


“หึ!! กูเห็นกับตามึงยังกล้าปฏิเสธอีกรึไงฮะ!?” พี่ซันตะคอกผมเสียงดัง


“พี่ไม่อายเขารึไง นี่มันห้องน้ำนะ ถ้ามีใครมาเห็นเข้าเขาจะคิดยังไง!?” ผมพยายามจะเตือนสติ แต่เหมือนตอนนี้พี่มันไม่พร้อมจะรับฟังอะไรทั้งนั้น ก็เล่นจ้องหน้าผมไม่วางตาด้วยแววตาดุๆ แบบนี้


“กูไม่โง่ก่อนเข้ามากูล็อคประตูแล้วครับ! ทำไม?! รึว่ามึงเกิดอายขึ้นมา มากกว่านี้กูก็เคยมาแล้ว...รึว่ามึงลืม?”


“หยุดพูดนะ!!!” ผมตะคอก เริ่มโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ พี่มันพูดเหมือนผมเป็นตัวอะไรสักอย่าง คอยแต่ตอกย้ำว่าผมเคยเป็นของพี่มัน แต่ไม่เคยมีฐานะอะไรที่ชัดเจน แล้วจะมาพูดให้ได้อะไรขึ้นมา


“ทำไม!? อ๋อ...พอเอากับกูเสร็จ รายต่อไปก็คงเป็นไอ้เจใช่มั้ย!?” พี่ซันพูดเสียงเข้ม มือสองข้างบีบไหล่ผมแน่น


“พี่ซัน!!! อื้อ!!!” ผมร้องเรียกชื่อพี่ซันด้วยความตกใจ เปิดโอกาสให้พี่ซันคว้าท้ายทอยของผมเข้าไปจูบ ผมพยายามกัดฟันไว้ ก่อนจะร้องด้วยความตกใจเมื่อพี่มันยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบบริเวณยอดอกข้างขวาของผม


“อ๊ะ!!” ผมเผลออ้าปากด้วยความตกใจ ส่งผลให้พี่ซันใช้โอกาสนี้ส่งลิ้นเข้ามาสำรวจในโพรงปากผม ผมพยายามจะผลักอกพี่มันออกไป แต่ด้วยความแคบของห้องน้ำ ทำให้พี่มันใช้แรงที่มีมากกว่าดึงท้ายทอยของผมเข้าไปรับจูบของพี่มันแน่นมากกว่าเดิม รสจูบหนักหน่วงที่บดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างแรงเหมือนเป็นการลงโทษ


เรียวลิ้นหนาที่พยายามกอบโกยเอาความหวานออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ผมแทบยืนไม่อยู่ จนพี่มันต้องขยับลงนั่งกับฝาชักโครกแล้วดึงร่างของผมให้นั่งลงบนตักของพี่มันแทน


“อื้อ...~ อ่อยอ๊ะ! อื้อ”


พี่ซันปล้ำจูบผมอยู่นานจนผมเริ่มจะหมดอากาศหายใจ ทำให้เริ่มได้สติ เฮ้ย! ทำไมมือผมไปโอบรวบคอพี่ซันไว้อย่างนั้นล่ะ เมื่อนึกได้จึงกำกำปั้นแล้วทุบลงไปที่อกอีกคนให้รู้ตัวว่าผมใกล้จะไม่ไหวแล้ว


“แฮ่กๆ~” ผมพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะนั่งหอบแฮ่กๆ อยู่บนตักพี่ซันนั่นแหละครับ


“หึๆ” พี่ซันหัวเราะในลำคอ ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ซันด้วยแววตาแค้นเคือง พี่ซันมองสบตากับผมก่อนจะยิ้มล้อๆ


ปึ่ก!


ผมใช้กำปั้นทุบลงไปที่อกแกร่งอย่างแรงอีกที จนพี่มันแอ่นตัวขึ้นเลยล่ะครับ ฮึ่ม!! สมน้ำหน้า!! อยากขำคนอื่นดีนัก


“อ๊ะ...อื้อ!” พี่ซันปล่อยให้ผมโกยอากาศเข้าปอด ก่อนจะคว้าท้ายทอยผมเข้าไปจูบอีกรอบ เรียวลิ้นหน้าพยายามไล่ต้อนลิ้นของผมที่พยายามถอยหนี ยิ่งหนีพี่มันก็ยิ่งตามและยิ่งบดขยี้ริมฝีปากของผมหนักขึ้น


จุ๊บ


พี่มันจูบทิ้งท้าย ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากปากของผมอย่างเชื่องช้า สายตาของพี่มันเริ่มปรับอยู่ในสภาพปกติแล้วครับ ไม่มีวี่แววแห่งความไม่พอใจอยู่แล้ว เหลือแค่แววตาเข้มที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จ้องมองผมอยู่ตอนนี้


“ไม่พอใจอะไร มึงควรดีใจนะที่กูช่วยลบรอยนิ้วสกปรกของไอ้เจออกให้” พี่ซันพูดเสียงเรียบ ผมเลิกคิ้ว


“รอยบ้าอะไรของพี่!?!”


“ก็ที่มันใช้นิ้วแตะปากมึงไง” พี่ซันใช้มือผลักหัวผมอย่างไม่จริงจัง ผมพยายามประมวลผลในสิ่งที่พี่มันพูด ตอนไหนวะ


“อ่อ...เอ๊ะ แต่พี่เจเขาแค่ช่วยเอาข้าวที่ติดอยู่ออกให้ผม ไม่ได้ตั้งใจเอามือมาโดนปากผมสักหน่อย! พี่แม่งมั่ว!!” ผมเถียง


“มึงนี่นะ!!” พี่ซันพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง ผมยังมองเขาด้วยสายตาไม่ยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวหา


“อะไรเล่า!!”


“เฮ้อ ช่างแม่ง! ไปเรียนได้แล้วไป!” พี่ซันถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยไล่ให้ผมไปเรียน ผมเบ๋ปากก่อนจะมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ มาหาเรื่องคนอื่น ปล้ำจูบ พอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็ไล่ไป ไอ้พี่เลว!!


“มองกูด้วยสายตาแบบนี้หมายความว่าไง” พี่ซันถาม


“…”


ผมเงียบก่อนจะค่อยๆ ลุกออกจากตั้งพี่มันแล้วสำรวจตัวเอง ไอ้ฉิบหาย!!! พี่มันดึงเสื้อออกจากกางเกงผมตั้งแต่เมื่อไหร่!?! ก็ว่าแล้วว่าทำไมมันหวิวๆ มือไวชะมัด!


“บีทส์...” พี่ซันเรียกชื่อผมอย่างกดดัน ผมหันไปมองพี่มันตาขวาง


“ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้ดิ ไม่อยากรู้เหมือนกัน!!” ผมเปิดประตูออกมา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหน้าตาตัวเองในกระจก


ไอ้พี่ซัน!!!!


ปากกูเจ่อหมดเลย เชี่ยแม่ง!!


“หึๆ อย่าคิดไปอ่อยใครซี้ซั้วอีกนะมึง อะไร...มองกูแบบนี้มึงอย่างโดนอีกใช่มั้ย” พี่ซันเดินตามผมออกมาหยุดยืนที่หน้ากระจก ผมมองมันด้วยแววตาแห่งความไม่พอใจสุดๆ ไอ้พี่บ้า กูมีเรียนตอนบ่ายนะเว้ย ไปเรียนปากเจ่อแบบนี้คนได้นินทากูตายเลย


อ๊าก!!


“ไม่ต้องเข้ามาใกล้เลยนะ!!” ผมขยับหนีเมื่อพี่มันเดินเข้ามาใกล้


“คิดว่ากูกลัวมึงรึไงหะ” พี่ซันพูดยิ้มๆ เดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปยืนพิงตรงอ่างล้างหน้า คิดว่าเท่มากใช่ปะ!?


“จะอะไรก็ช่างพี่เหอะ” ผมเหวี่ยง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาอิพิงค์


“โทรหาใคร”


พี่ซันถามเสียงเข้ม บ๊ะ ไอ้พี่นี่ยุ่งจริงเว้ย! ผมเงยหน้าขึ้นไปทำตาดุใส่พี่ซันพร้อมกับรอสายอิพิงค์อยู่ มันยังไม่ยอมรับครับ


“ว่าไง” อิพิงค์กดรับสาย


“ช่วยอะไรกูหน่อยดิ” ผมพูดเสียงเครียด


“อยากได้อะไรล่ะ พลาสเตอร์ ผ้าคาดปากหรือว่าเจล” อิพิงค์ถามกวนๆ ผมอ้าปากค้าง อิพิงค์!!!


“จะบ้าเรอะ!! คิดอะไรของมึง” ผมด่าเสียงหลง อิพิงค์หัวเราะร่าเลยครับ แม่ง มันรู้ได้ยังไง อินี่มันต้องเล่นของแน่ๆ เลยครับ


หลายครั้งแล้วนะ


“กูอยู่หน้าห้องน้ำเนี่ย เมื่อไหร่จะออกมาสักทีวะ รอนานแล้วนะเว้ย เสร็จกันไปกี่รอบ!?!” อิพิงค์ว่าเสียงกลั้นหัวเราะ ผมหันขวับไปที่หน้าประตูทันที พี่ซันเองก็เลิกคิ้วมองตามผมเหมือนกัน


ผมหันขวับมามองพี่มันอย่างคาดโทษ ฮือ กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


“เพราะพี่คนเดียวเลย!! ออกไปเลยนะ!” ผมไล่


“อะไร มึงนัดคนอื่นไว้อีกรึไง” พี่ซันขยับเข้ามาใกล้ผม มันมาอีกแล้วครับ ไอ้บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนก่อนหน้านี้


“พี่จะบ้าเหรอ ก็เพราะพี่ไงผมถึงต้องโทรหาอิพิงค์ให้มันมาช่วย เป็นแบบนี้แล้วผมจะออกไปข้างนอกได้ยังไงเล่า!!?” ผมโวยออกมาอย่างหงุดหงิดแล้วชี้ไปที่ปากตัวเอง พี่ซันชะงักไป ก่อนจะจ้องหน้าผม


“หึๆ แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยวะ ครั้งนี้กูจะยอมให้ก่อนก็ได้ เย็นนี้เลิกเรียนแล้วไปรอกูหน้ามอด้วยแล้วกัน” พี่มันพูดสั่ง ผมก้มหน้างุดไม่ยอมตอบอะไรออกไป เจ็บใจๆๆ อย่าหวังว่าครั้งนี้ผมจะยอมทำตามคำสั่งพี่มันน่ะครับ


พี่ซันเดินอมยิ้มออกไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่อิพิงค์มันจะเดินสวนเข้ามา ผมยืนทำหน้าหงิกอยู่ตรงหน้ากระจก ดูเหมือนอิพิงค์มันจะค่อนข้างประเมินสถานการณ์ด้านอารมณ์ของผมผิดไปเยอะนะครับ


“อุ๊ยตาย! ปากเจ่อเลย!!” ผมชักสีหน้าทันทีที่มันพูดจบ


“แหมทำเป็นหน้าหงิกนะอิบีทส์ กูรู้หรอกน่าว่ามึงก็ชอบ อ่ะ ใส่ซะ!” อิพิงค์มันเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยื่นหน้ากากอนามัยให้ผม


“พี่มันตามกูมาได้ยังไง” ผมถาม


“ก็พอมึงลุกปุ๊บ พี่ซันก็ลุกตามเลยนะสิมึง กูนี่แทบกรี๊ดอยู่ตรงนั้น เสียแต่ว่ามีคนเยอะไปหน่อย เลยรีบกินแล้วรีบตามออกมายืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำให้มึงเนี่ย เป็นไงกูนี่เพื่อนแสนประเสริฐเลยใช่มั้ย” อิพิงค์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“แล้วคนอื่นล่ะ” ผมถามไม่สนใจแววตาเป็นประกายของมัน


“ขึ้นห้องไปแล้ว ดีนะที่กูเลือกตามมา กูว่าแล้วว่ามันต้องไม่ธรรมดา อร๊าย ฟินอ่ะมึง กูอยากได้กูอยากโดน!” ผมส่ายหัวเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนตัวเอง


“ฟินบ้านมึงสิ กูเจ็บปากไปหมดแล้วเนี่ย” ผมบ่น ก่อนจะสวมผ้าคาดปาก เป็นมาสก์ปิดปากแบบคนไม่สบายเขาชอบใช้กันน่ะครับ ไอ้สีขาวๆ ฟ้าๆ อ่ะ ดีเลยจะได้มีข้ออ้างเวลาคนถามได้ง่ายหน่อย เอาอะไรดีวะ แพ้ฝุ่นในห้องน้ำดีไหม เออ พอฟังเข้าท่า


“เป็นกู...กูยอม เจ็บแต่ฟิน!” อิพิงค์พูดด้วยเสียงเคลิ้มๆ ผมส่ายหัว ก่อนจะใช้มือผลักหน้าผากมันจนเซถอยหลัง


“ไปเรียนได้แล้ว มัวแต่เพ้อไร้สาระนะมึง” ผมเดินนำก่อนจะเปิดประตูออกมา


“คิคิ แค่นี้ก็ต้องเขินด้วย พี่ซันหึงแล้วน่ารักอ่ะ อร๊าย ฟินๆๆ มึงอ่ะอ้อนๆ เขาหน่อย ลองมึงอ้อนนะกูว่าเดือนกับดาวเขายังจะหามาให้มึงเล้ย” อิพิงค์บ่นมาตามหลัง


“กูว่าเขาก็แค่หวงของมากกว่า” ผมเถียง


“ฮั่นแน่ งอนพี่เขาเหรอ”


“บ้าดิ กูพูดเรื่องจริงต่างหาก” ผมเถียง ก่อนจะเดินนำหน้าอิพิงค์ขึ้นไปเรียนในคลาสบ่าย ไอ้นัทมันก็ถามแหละครับว่าไปทำอะไรมา ก็ได้อิพิงค์นั่นแหละครับที่ใช้ทักษะการเนียนแบบน้ำไหลไฟดับของมันจนไอ้นัทเลิกซักไปเอง


พอเลิกคลาสผมก็เนียนกลับกับพวกไอ้ตี๋ต่อโดยไม่รอพี่ซัน แน่นอนว่าพอเกินเวลาปุ๊บพี่มันก็กระหน่ำโทรมาหาผม อืม สามสายได้มั้ง (กระหน่ำตรงไหนของเอ็ง) แล้วก็เลิกโทร ผมเองก็ตั้งโทรศัพท์ให้เป็นระบบสั่นไว้ แล้วก็เริ่มปฏิบัติการหลบหน้าพี่ซันอีกครั้งโดยการไปนอนกับอิพิงค์แทน เฮ้อ...ยังไงวันกีฬาสีก็คงหลบพี่มันไม่พ้นอยู่ดี

แต่อย่างน้อยๆ ก็ขอผมได้ตั้งตัวก่อนสักวันเถอะครับ

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 16 : คณะบริหารฯ...สุดฮอต
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 10-07-2018 15:39:56
[ต่อ]


“มึงจะหลบพี่สุดหล่อของกูไปได้สักกี่น้ำ” อิพิงค์พูด ขณะที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปมหาลัยในช่วงเช้าวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันงานกีฬาสีของมหาลัยเราครับ


“อย่างน้อยๆ ก็หลบไปได้ตั้งวันหนึ่ง” ผมหันไปตอบ ก่อนจะทำหน้ายุ่งเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้


ก็พี่ซันนะสิครับมาดักรอผมตอนเช้าที่หน้าคณะ ทีแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับเพราะเห็นเขานั่งอยู่กับพี่ฟ้า แต่พอผมจะเดินไปหาพวกเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าพี่ซันโผล่มาจากไหนเหมือนกัน ผมนี่ตกใจแทบสะบัดมือหนี ดีที่ไอ้ตี๋มันเดินมาพอดี พี่ซันเลยทำอะไรผมไม่ได้ หลังจากนั้นผมก็ตัวติดกับพวกไอ้นัทไอ้ตี๋ เมื่อคืนก็แอบไปนอนกับอิพิงค์มันอีกรอบ


วันนี้ดูท่ายังไงก็คงจะหนีไม่พ้น ก็วันงานกีฬาสียังไงผมก็ต้องนั่งประจำที่แสตนเชียร์อยู่แล้ว ภาวนาขอให้พี่มันยุ่งจนไม่มีเวลามาสังเกตเห็นผมนะครับ


วันนี้ผมใส่เสื้อยืดคอปกเป็นเสื้อสีประจำคณะกับกางเกงยีนต์สีซีดของผม แล้วก็สะพายกระเป๋าเป้มาด้วยครับ พรุ่งนี้ผมต้องกลับบ้านเลยเตรียมของใช้ส่วนตัวมาด้วย จะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา เสร็จจากงานกีฬาสีก็จะได้กลับไปนอนบ้านเลย


“มึงจะกินอะไรมั้ย เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้” อิพิงค์ถาม ตอนนี้เราอยู่หน้าคณะแล้วครับ พวกพี่ๆ เขานัดพวกผมไว้ตอนเจ็ดโมงครึ่งตอนนี้เพิ่งจะหกโมงนิดๆ ยังมีเวลาให้เราหาอะไรมารองท้องก่อนขึ้นแสตนเชียร์


“อะไรก็ได้มึงซื้อมาเหอะ เดี๋ยวกูไปจองโต๊ะรอ” ผมพูดบอกอิพิงค์ มันพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกตัวไปซื้อของที่โรงอาหารด้านใน ส่วนผมก็เดินไปหาโต๊ะนั่ง ปกติเราจะมีโต๊ะประจำ แต่ตั้งแต่ผมตั้งท่าหลบหน้าพี่ซัน เราเลยต้องหามุมที่อยู่ห่างไกลผู้คนและหลบมุมที่สุดเท่าที่จะหาได้นั่ง ตำแหน่งคนจองโต๊ะเลยตกมาเป็นของผมโดยปริยาย


“ได้ๆ”


ผมมองหาโต๊ะว่าง ก่อนจะได้มุมที่ตัวเองพึงพอใจไม่รอช้าที่จะก้าวเท้าเข้าไปจับจองอย่างรวดเร็ว คนเริ่มมาบ้างแล้วนะครับประปรายส่วนใหญ่ก็พวกปีหนึ่งทั้งนั้นที่อยู่ในโรงอาหาร พวกพี่ปีสูงคงช่วยกันเตรียมงานจนวุ่นกันไปหมดแล้วมั้งครับ
ล้วงมือหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะเลื่อนหาเบอร์ที่ตั้งใจจะโทรออก อยู่คนเดียวไม่ปลอดภัยครับ ผมต้องหาตัวช่วย


“ว่าไงบีทส์” ปลายสายกดรับ


“อยู่ไหนแล้ววะ” ผมถามไอ้นัท คิดว่าตอนนี้มันคงไปส่งมีนที่คณะ


“อยู่กับมีน กำลังจะไปคณะ แล้วมึงอยู่ไหนแล้วล่ะ” นั่นไง ผมเดาผิดซะที่ไหน


“อยู่ที่คณะ รีบๆ มานะมึง” ผมพูดบอกมันเสียงอ่อย


“เออๆ แป๊บเดียว แค่นี้นะ” ไอ้นัทรับคำ ก่อนจะกดวางสายไป ผมถอนหายใจ ก่อนจะหยิบเอาหูฟังมากดเล่นเพลง แล้วก้มหน้าฟุบหลับกับโต๊ะ


ตึก...ตึก...ตึก


ผมขยับเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาที่โต๊ะแล้วนั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามกับผม คิดว่าน่าจะเป็นอิพิงค์เลยไม่ได้สนใจอะไร


“คิดจะหลบหน้ากูไปถึงเมื่อไหร่” เสียงพูดเรียบนิ่งที่เพียงแค่ได้ยิน ก็ทำให้ผมตัวแข็งทื่อ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหาเจ้าของเสียงแล้วกรอกตาไปมา


“ใครหลบหน้าพี่” ผมพยายามปรับน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น พี่ซันมองหน้าผมนิ่งๆ แถมยังมาคนเดียวด้วยครับ วันนี้พี่มันใส่เสื้อประจำคณะแล้วก็มีป้ายสต๊าฟแขวนไว้ที่คอ อย่างเท่เลยอ่ะ


“หึ แสบนักนะมึง” พี่มันพูดก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมมายืนข้างๆ ผม แล้วฉุดมือผมให้ลุกขึ้น


“เฮ้ยพี่ปล่อย!!” ผมพยายามแกะมือออก แต่พี่ซันจับข้อมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


“ไปคุยกันหน่อย คิดว่าหลบหน้ากูแล้วจะรอดเหรอ” พี่ซันพยายามฉุดมือผมให้ลุกขึ้นแต่ผมฝืนไว้


“อะไรเล่า ปล่อย!” ผมพยายามดิ้นสุดฤทธิ์ แล้วมองหาทางหนีทีไล่


“อย่าทำให้กูโมโหได้มั้ย” พี่ซันตะคอกเสียงเข้ม ผมหันไปค้อนให้พี่มันก่อนจะมองเห็นตัวช่วยคนสำคัญที่กำลังเดินเข้าคณะมา


“ไอ้ตี๋ทางนี้!!!!” ผมเรียกไอ้ตี๋สุดเสียง ส่งผลให้พี่ซันหันมามองผมตาเขียวปั๊ดก่อนจะรีบปล่อยมือที่จับผมอยู่ออก


“ฝากไว้ก่อนเถอะ” พี่ซันก้มหน้ามากระซิบข้างหูผมเสียงเข้มแล้วผละเดินออกไปจากโต๊ะก่อนที่ไอ้ตี๋จะเดินมาถึง ผมขนลุกซู่ มองตามพี่มันหวาดๆ


“มีอะไรรึเปล่าบีทส์ นั่นมันปู่รหัสออยนี่” ไอ้ตี๋เอ่ยถามผมเมื่อมันเดินมานั่งที่โต๊ะ ผมส่งยิ้มแหยๆ ไปให้มัน


“เขามาหาไอ้ออยน่ะ พอกูบอกไม่รู้เขาเลยขอตัว” ผมแถ ไอ้ตี๋พยักหน้ารับ รออยู่สักพักอิพิงค์ก็หอบเอาของกินมา พวกเราจึงไม่ได้พูดอะไรกันอีก


เวลาล่วงเลยมาจนถึงคิวที่พวกเราเหล่าเฟรชชี่จะต้องขึ้นแสตนเชียร์ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปเดินขบวนพาเหรดแต่ให้นั่งประจำที่แสตนเชียร์แทน ตอนเช้าพวกเรามีกิจกรรมเดินขบวนพาเหรดที่พี่ฟ้าได้เป็นตัวแทนดรัมเมเยอร์นั่นแหละครับ


ผมยกมือไหว้ลุงรหัสตัวเองก่อนจะขึ้นแสตนด์เชียร์ เห็นลุงอ้นบอกว่าพี่จ๊ะรับหน้าที่ในการดูแลขบวนพาเหรดของคณะเราเลยต้องประจำอยู่ที่ด้านล่าง พวกผมทุกคนที่อยู่ปีหนึ่งก็โดนบังคับให้ขึ้นแสตนเชียร์ตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง จนตอนนี้แปดโมงกว่าแล้วขบวนยังไม่เริ่มเลยครับ


วันนี้คุณพระอาทิตย์ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมไม่ขาดตกบกพร่อง เล่นเอาทุกคนมีอาการเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน ร้อนถึงพวกพี่ๆ ต้องคอยหาน้ำมาให้พวกเราดื่มแก้กระหายอยู่เป็นระยะเพื่อช่วยดับความร้อนในร่างกายของพวกเรา


“มึงๆ ดูพี่รหัสมึงดิ โคตรสวยเลยอ่ะ สวยเหมือนนางฟ้าเลยว่ะ โอ๊ย กูอิจฉาแฟนเขา!” ผมหันไปตามแรงสะกิดที่ต้นแขน เป็นเพื่อนร่วมห้องกับผมเองครับ ไอ้นี่มันปลื้มพี่รหัสผมเป็นการส่วนตัว


พี่ฟ้าเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านล่างของแสตนเชียร์ ถ้าเดาไม่ผิดคงเพิ่งมาจากร้านเสริมสวยแน่ๆ วันนี้พี่ฟ้าสวยมากจริงๆ ครับ ผิวขาวผ่องตัดกับชุดสีเขียวอ่อน ยิ่งทำให้พี่ฟ้าดูโดดเด่นขึ้นจนทุกคนต้องมองตาค้าง


ผมชะงักเมื่อเห็นพี่ซันกับพี่สองเดินเข้ามาหาพี่ฟ้า อยู่อีกแสตนแต่ยังอุตส่าห์เดินอ้อมมาหากัน แล้วเมื่อเช้าจะมาหาเรื่องผมทำไม


“อร๊ายแก~ ฉากเลิฟซีน” ผมหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนผู้หญิงร้องขึ้น ก่อนจะตะลึงค้างเมื่อเห็นพี่ซันโอบกอดพี่ฟ้าอยู่ในท่าเจ้าชายโอบกอดเจ้าหญิง เสียงฮือฮาตรงแสตนเชียร์ผมดังขึ้นทันที


หมับ…


ผมหันไปมองหน้าคนที่วางมือบนบ่าผมไว้แล้วบีบเบาๆ อิพิงค์หันมายิ้มให้ผมอย่างให้กำลังใจ ผมจับมือมันไว้แล้วบีบเบาๆ ก่อนจะหันหน้าหนีจากภาพตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้ายังไงเหมือนกัน


รออีกสักพักพวกเจ้าหน้าที่ก็เริ่มแจ้งกำหนดการ ทุกอย่างจึงเริ่มขึ้นและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเที่ยง พวกพี่ๆ ถึงปล่อยให้พวกผมพัก โดยแจกอาหารให้พวกผมคนละชุด ก็มีข้าวแล้วก็กระเพราไก่ไข่ดาว บวกกับน้ำอีกหนึ่งแก้ว แต่ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ อยากกินอาหารจำพวกเส้นมากกว่า อา~ ถ้าได้ก๋วยเตี๋ยวสักชามก็คงดี


“พิงค์...ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับกูปะ” ผมหันไปสะกิดอิพิงค์ หลังจากที่คนรอบข้างพวกเรากำลังทยอยลงจากแสตนเชียร์เพื่อพักทานข้าว


“อะไรของมึงข้าวฟรีก็มี” อิพิงค์หันมาว่า ผมทำหน้าเซ็ง ก็มันไม่อยากกินนี่หว่า แบบเหนื่อยๆ แล้วมากินอะไรที่แห้งๆ แบบนี้ ทำเอาความอยากอาหารลดลงเข้าขั้นติดลบ


“เดี๋ยวกูพาไปก็ได้” ผมหันไปยิ้มแฉ่งให้ไอ้นัททันทีที่มันเสนอตัวเข้ามา อิพิงค์ถอนหายใจเซ็งๆ ที่มีคนเข้าข้างผม(อีกแล้ว)


“งั้นกูไปหาโต๊ะนั่งรอก็แล้วกัน แดดร้อนฉิบหาย ผิวกูเสียหมดแล้วเนี่ย” อิพิงค์บ่นด้วยความหงุดหงิด หน้าขาวๆ ของมันเริ่มมีอาการแดงขึ้นมานิดๆ เมื่อเจอกับแดดแรงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ารู้ไส้รู้พุงกันผมคงจีบมันนี่แหละครับ เสียดาย…


...ปากหมาไปหน่อย


เราสามคนแยกกันไปสองทาง ผมกับไอ้นัทเดินไปทางโรงอาหาร ส่วนอิพิงค์ก็ไปจองโต๊ะแทน อิพิงค์มันเดินสะบัดตูดงอนๆ ไปหาที่นั่งด้วยใบหน้าบูดบึ้งเพราะพวกผมเล่นฝากของทุกอย่างที่มีให้มันถือ มีคนอาสาจะช่วยมันเยอะนะครับแต่อินี่มันหยิ่ง ไม่สิ มันเลือก!!


“กูจะแวะเข้าห้องน้ำก่อน มึงจะเข้าด้วยมั้ย” ไอ้นัทหันมาถามผม หลังจากที่เดินแยกออกมาจากอิพิงค์ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินแยกไปเข้าห้องน้ำอีกฝั่งที่เป็นของผู้ชาย


ผมเปิดประตูเข้าไปห้องน้ำ ตอนนี้คนน้อยครับเพราะมัวแต่โซ้ยข้าวกระเพราไก่กันอยู่ ผมหันไปส่องกระจกเช็คความหล่อของตัวเอง ก่อนจะเข้าไปทำธุระส่วนตัว หลังจากเสร็จจากภารกิจกู้ชาติก็ออกมายืนล้างมืออยู่หน้ากระจก เช็คความหล่อของตัวเองอีกครั้ง อืม...หล่อไม่สร่างเลยเว้ย ยืนยิ้มให้ตัวเองอยู่หน้ากระจกเรียบร้อยก็เตรียมจะก้าวออกไปทางประตูทางออก


‘เดี๋ยวกูตามไป’


ผมได้ยินเสียงคนพูดกันด้านนอก แต่ได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ ก่อนจะใช้มือผลักประตูออก แต่เหมือนจะมีคนที่อยู่ด้านนอกใช้แรงเปิดประตูเหมือนกัน จึงส่งผลให้ผมเซไปตามแรงดึงเล็กน้อย ผมชะงักกึกเมื่อเห็นผู้ชายร่างสูงโปร่งใส่ชุดนักกีฬาประจำคณะทำหน้าอึ้งเล็กๆ ที่เจอผมเหมือนกัน


“ขอทางด้วยครับ” ผมพูดเมื่ออีกคนยังยืนขวางทางออกไม่ยอมขยับไปไหน


“กำลังตามหาตัวอยู่พอดี” พี่ซันพูดแล้วยิ้มกริ่ม ผมกัดปากตัวเองแล้วมองพี่มันเขม็ง คดีเก่ายังไม่เคลียร์ นี่มีคดีใหม่อีกแล้วนะไอ้พี่บ้า!


พี่ซันคว้าข้อมือผมไว้ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในห้องน้ำ แล้วกดล็อกประตู ผมเซขยับออกจากประตู เมื่อพี่มันดันเข้ามาทำให้หมดสิทธิ์ที่จะแทรกผ่านตัวพี่มันออกไปได้ อาเมน ทำไมคุณนายไม่ยอมประทานร่างกายอันสูงใหญ่และบึกบึนเหมือนพี่ซันมาให้ผมบ้างนะ


“พี่คิดจะทำอะไร” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหาเรื่องสุดๆ อารมณ์มันค้างหลายอย่างครับ แล้วดูพี่มันทำสิ หน้าหล่อๆ เนี่ยจะเอามาผ่านหูผ่านตาผมบ่อยๆ ทำไมก็ไม่รู้


“อย่าดิ้นนักได้มั้ย กูก็แค่มาหากำลังใจ” พี่ซันตอบ ผมเลิกคิ้วงง มาหากำลังใจในห้องน้ำเนี่ยนะ ประหลาด!!


“จะหาก็หาไปดิ มาดึงผมไว้ทำไม” ผมถามต่อ แล้วพยายามแกะมือพี่มันที่กำข้อมือผมไว้อยู่ออก แต่แม่งแกะไม่ออกนี่สิ!


“พูดมาก” พี่ซันพูดเหมือนไม่ใส่ใจกับอาการพาลของผม ผมกำลังจะอ้าปากค้านถ้าไม่ใช่เพราะ…


จุ๊บ


พี่ซันยื่นหน้าเข้ามาจูบปากผมเบาๆ แล้วผละออก พี่มันขมวดคิ้วเหมือนไม่แน่ใจก่อนจะก้มจูบผมอีกครั้งแล้วกดปากแช่ไว้ให้นานกว่าครั้งแรก ผมใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากล่างของผมเบาๆ ค่อยผละออกด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความพอใจ ส่วนผมนะเรอะ!! ยืนอ้าปากค้าง มือไม้สั่นทันทีด้วยอาการหัวใจเต้นเร็วรัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาทันที


“อย่าลืมเชียร์กูด้วย” พี่ซันเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปที่ประตู ปล่อยให้ผมยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเฉยเลย โอ๊ย ทำไมทำกับผมแบบนี้!!


ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยอาการไม่ปกติจนไอ้นัทเอ่ยทัก ก็...โธ่ ใครมันจะไปมีสติ ผมพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติแล้วเดินตามไอ้นัทไปซื้อของที่อยากกิน กลับมาที่โต๊ะก็ได้แต่เขี่ยลูกชิ้นเล่น กินได้ไม่กี่คำก็ยกมือขึ้นริมฝีปากตัวเองซ้ำไปซ้ำมา โว้ย จะตามาหลอกหลอนกันทำไม


“ชิงกับวิศวะใช่มั้ยตี๋” ผมหันไปมองคู่สนทนาตรงหน้าที่กำลังสนทนากันอยู่ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘วิศวะ’ เพิ่งสังเกตแหะว่าตอนนี้ไอ้ตี๋เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักกีฬาแล้ว แต่เฮ้ย มันเล่นกีฬาด้วยเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย


“อืม...ใช่” ไอ้ตี๋หันไปตอบก่อนจะหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก


“อย่าลืมไปเชียร์เราด้วยนะ” ไอ้ตี๋พูด ผมเลิกคิ้ว ไอ้นี่ก็ซื่อบื้อ มึงกับกูอยู่คณะเดียวกันกูก็ต้องเชียร์มึงสิวะ พูดจาแปลกๆ


“อื่อ!” ผมตอบไปปัดๆ แล้วเข้าสู่โลกความคิดของตัวเองอีกครั้ง จนกระทั่งอิพิงค์มันสะกิดเรียกนั่นแหละครับ ถึงลุกแล้วเตรียมตัวกลับไปประจำที่แสตนเชียร์ต่อ เห็นไอ้ตี๋บอกว่ามันมีชิงชนะเลิศฟุตบอลชายตอนบ่าย ก็แสดงว่าคู่แข่งของมันก็คือพวกพี่ซันสินะ


โอ๊ะ!!


แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะพลิกตัวเดินไปอีกทางกลับชนเข้ากับใครสักคนที่เดินผ่านมาพอดี ส่งผลให้ผมเสียหลักเกือบจะล้มก้นจำเบ้า แต่ดีที่ประสาทสัมผัสของคนที่อยู่ข้างๆ ผมไวกว่าคว้าตัวผมเอาไว้ได้ทัน


ผมหันไปหาคู่กรณีด้วยความรู้สึกผิดเพราะเธอเป็นผู้หญิง แถมผมยังไม่คุ้นหน้าเธออีกต่างหาก สงสัยจะเป็นรุ่นพี่ต่างคณะ พี่เขาสวยมากครับ


“เอ่อะ...ขอโทษครับพี่” ผมผละออกจากตัวไอ้ตี๋ก่อนจะรีบเดินเข้าไปขอโทษผู้หญิงตัวเล็กที่เพื่อนๆ เธอกำลังรุมช่วยกันพยุงอยู่ ผมผละถอยห่างทันทีที่กำลังจะเดินไปถึงตัวพี่ผู้หญิงที่ว่า เมื่อมีคนในกลุ่มสะบัดหางตามาทางผมด้วยความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด


“เจ็บตรงไหนมั้ยคะพี่แนน” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น สังเกตจากป้ายแขวนคอแล้ว...คงจะเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนผม แล้วก็พี่คนนี้ก็คงชื่อ ‘แนน’ สินะ


ไอ้ตี๋เดินมาประกบผมไว้ทันที ผมหันไปส่ายหัวให้มันเบาๆ แล้วรีบเอ่ยปากขอโทษพี่แนนอีกครั้งทันที


“ผมขอโทษนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมผิดเองที่ไม่ดูทางให้ดี” ผมยกมือไหว้


“เกิดอะไรขึ้นแนน” ผมหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เมื่อคนที่เข้ามาใหม่เป็นคนเดียวกับคนที่เข้าไปขโมยจูบผมในห้องน้ำเมื่อตอนเที่ยง


“ไม่มีอะไรหรอกซัน อุบัติเหตุนิดหน่อย” พี่แนนหันไปพูดกับพี่ซัน แล้วหันไปสำรวจร่างกายตัวเอง ผมยืนนิ่งเมื่อพี่ซันจับตัวพี่แนนพลิกไปมาแล้วช่วยสำรวจด้วยความเป็นห่วง แล้วหันมามองผม พี่ซันหรี่ตาลงสำรวจผมเล็กน้อยก่อนจะมองเลยไปยังคนที่ยืนช้อนหลังผมอยู่ ผมรู้สึกตัวจึงผละตัวออกจากไอ้ตี๋อัตโนมัติ


“ทำไมไม่รู้จักระวัง” พี่ซันพูดเสียงนิ่งมองผมด้วยสายตากดดัน ผมนิ่งไม่ตอบ


“ไม่เป็นไรหรอกซัน ไปเถอะ ต้องวอร์มร่างกายอีกไม่ใช่เหรอ” พี่แนนจับแขนพี่ซันเขย่าเล็กน้อย พี่ซันหันไปพยักหน้า ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้ง


ผมเม้นปากมองหน้าพี่ซัน แล้วจ้องไปที่แขนที่มีมือพี่แนนจับอยู่ พวกไอ้นัท อิพิงค์ก็ยืนนิ่งไม่ยอมไปไหน มันคงอยากถามแต่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา


“ไปเถอะซัน จ้องน้องเขาจนกลัวหน้าซีดแล้วนั่น พี่ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องคิดมาก” พี่แนนว่าด้วยเสียงกลั้นขำ ก่อนจะหันมาพูดกับผม


“อืม” พี่ซันตอบรับในลำคอ ก่อนจะเดินนำพี่แนนและชาวคณะออกไป


“ไปเถอะบีทส์” ไอ้ตี๋ใช้มือแตะที่ข้อศอกผมเบาๆ


“ทำไมปู่รหัสไอ้ออยถึงต้องทำหน้ายังกับจะกินหัวไอ้บีทส์ขนาดนั้นวะ” ไอ้นัทถามขึ้น ผมหันไปมองหน้าอิพิงค์


“ก็คงเพื่อนสนิทโกรธแทนกันล่ะมั้ง อย่าไปสนใจเลยกูว่า” อิพิงค์ช่วยแก้ต่างให้ ผมหันไปสบตาขอบคุณมัน


“อืม เดี๋ยวเราก็จะไปวอร์มแล้วเหมือนกัน แยกกันตรงนี้นะ ฝากไอ้เนมด้วย อย่าลืมเชียร์เราด้วยนะ” ไอ้ตี๋หันมาพูด ก่อนจะหันมามองผมเอ่ยย้ำเป็นครั้งที่สอง ผมพยักหน้าให้มันแล้วฉีกยิ้มไปให้ ไอ้ตี๋ยิ้มแล้วยีหัวผมเบาๆ อย่าทำให้กูอยากร้องไห้สิวะ


...อย่าลืมเชียร์กูด้วย…


จะอยากให้ผมเชียร์พี่ทำไม ในเมื่อพี่ก็มีคนคอยเชียร์ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แล้ว เลิกทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองสักทีเถอะครับพี่ซัน


มันเจ็บนะ...ที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองชอบคอยทำดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 11-07-2018 00:59:35
คนพี่จะรู้ตัวไหมว่าปั่นคนอื่นอยู่เนี่ยยยย แล้วคนน้องน้อยใจ เสียใจหมดแล้วเนี่ย งื้อออออ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-07-2018 02:21:12
ซันทำอะไรของแกฟ่ะ ดีแต่โทษน้องอย่างเดียว  :m16:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-07-2018 03:54:05
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 11-07-2018 14:46:01
มันน่านักนะซัน โดด :z6: สักทีดีมั้ย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-07-2018 23:36:44
เฮ้ออออออออออออ
ยาวๆ

ปวดตับ กระเทือนไต
ไปกับพระเอกเรื่องนี้


เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย
หุหุ มือลั่น
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 12-07-2018 18:25:58
น้ำตาคลอเบ้า ง่อ หน่วงสุดๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 12-07-2018 22:13:42
เบื่ออิพี่ซันอ่ะ หมาหวงก้างมาก แต่ตัวเองมีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังได้ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 14-07-2018 06:27:26
รอติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP16 : บริหารสุดฮอต (วิศวะ x บริหาร)
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 15-07-2018 01:42:06
จััดด
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 16-07-2018 17:20:34

ตอนที่ 17 :: ทำโทษเด็กดื้อ


[บีทส์]


“เฮ้ย!!!” ผมร้องเสียงหลง พร้อมๆ กับทุกคนที่ลุกฮือขึ้นทันทีหลังจากที่ไอ้ตี๋เข้าปะทะกับพี่ซันแล้วล้มลงไปกุมข้อเท้าตัวเอง เป็นจังหวะสองแง่สองง่ามที่พี่ซันซึ่งเป็นกองหน้าวิ่งลงมาช่วยคุมแผงกองหลัง เข้าไปสกัดบอลจากไอ้ตี๋ที่ลากบอลไปถึงเขตกรอบเขตโทษ


พวกผมที่นั่งอยู่บนแสตนเชียร์ทำได้แค่ลุกขึ้นยืนลุ้นด้วยหัวใจระทึก เพราะเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าโอกาสนี้มันต้องได้ฟาล์ว แต่กรรมการที่อยู่เยื้องจากเหตุการณ์ในสนามกลับไม่มีการเป่านกหวีดเพื่อหยุดเวลาอะไรทั้งสิ้น พี่ซันที่เป็นฝ่ายได้เปรียบจึงเลี้ยงส่งบอลให้เพื่อนในทีมต่อทันที ไอ้ตี๋ยังคงนอนกุมข้อเท้าสีหน้าเจ็บปวดจากจังหวะเมื่อกี้ พวกเราชาวคณะได้แต่ส่งเสียงโห่จนอีกฝ่ายต้องเตะบอลออกนอกสนามให้


พวกอาจารย์ที่รับหน้าที่ฝึกซ้อมและแพทย์สนามจึงวิ่งกรูเข้าไปเพื่อดูอาการไอ้ตี๋ ผมลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่หลากหลาย ก่อนเกมจะเริ่มพี่ซันเดินเข้าไปพูดอะไรกับไอ้ตี๋ก็ไม่รู้ ก่อนจะแยกย้ายไปประจำตำแหน่ง ผมนี่อยากจะวิ่งลงไปถามไอ้ตี๋ซะเดี๋ยวนั้น ติดที่ต้องอยู่บนแสตนแล้วไอ้ตี๋ก็ต้องลงแข่ง จึงต้องเก็บความอยากรู้ไว้ก่อน


แล้วพอเกมเริ่มทุกครั้งที่พี่ซันหรือไอ้ตี๋เข้าใกล้กันต้องมีคนใดคนหนึ่งที่เล่นแรงให้อีกฝ่ายเจ็บ ผมนึกเคืองกรรมการอยู่ในใจ ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นไปซะอย่างนั้น (ในจังหวะเข้าหนักของพี่ซัน)


ยิ่งพอเกมตอนนี้ที่สกอร์เสมอกันอยู่ที่ 2 - 2 ก็ยิ่งทำให้เกมดุเดือดขึ้นกว่าครึ่งแรกมาก นี่ก็ใกล้จะหมดเวลาอยู่แล้วจึงทำให้ทุกอย่างตึงเครียดกันไปหมดตั้งแต่ตัวผู้เล่น ไปจนถึงกองเชียร์อย่างพวกเรา


อย่างที่รู้ๆ กันนะครับว่าถ้วยกีฬาอย่างฟุตบอลเป็นรางวัลใหญ่ ได้ถ้วยกีฬารวมยังไม่น่าภาคภูมิใจเท่ากับการคว้าถ้วยชนะเลิศฟุตบอลนะครับจะบอกให้


ผมหันไปมองที่สนามอีกครั้ง ตอนนี้ไอ้ตี๋ถูกหามออกมาข้างนอกสนามแล้วครับ ฝั่งบริหารของเราจึงขอเปลี่ยนตัวเอาคนอื่นลงไปแทน ไอ้เนมที่นั่งอยู่ถัดไปหันมามองผมด้วยใบหน้าเหมือนใกล้จะร้องไห้


“บีทส์...เนมอยากลงไป” เนมหันมาเกาะแขนผมด้วยสีหน้าอ้อน ผมถอนหายใจก่อนจะส่ายหัวให้เบาๆ


“ลงไปไม่ได้หรอกเนม ให้พวกอาจารย์เขาดูอาการนั่นแหละ ใกล้จะหมดเกมแล้ว ค่อยลงไปนะ” ผมหันไปบอกเสียงนุ่ม


“นั่นสิ รอก่อนนะเนม” อิพิงค์พูดขึ้นอย่างเห็นด้วยกับความคิดผม


ผมหันไปมองเกมที่ยังเป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนจะเห็นกรรมการชูป้ายบ่งบอกว่าครบเวลาเก้าสิบนาทีแล้ว ที่เหลือคือการทดเวลาสามนาที ผมลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อผู้รักษาประตูของวิศวะส่งบอลไปให้กองหน้าเบอร์สิบได้อย่างเหมาะเจาะ พอเบอร์สิบได้บอลก็เลี้ยงบอลหลบกองหลังของฝั่งบริหาร กองหลังของบริหารที่เหลือห้อยอยู่สามคนพยายามช่วยกันยื้อแย่งบอลมาจากวิศวะที่เลี้ยงบอลเข้ากรอบเขตโทษ


พวกเราที่เหลือนั่งลุ้นกันตัวเกร็งก่อนที่เบอร์สิบวิศวะจะส่งบอลให้กับเพื่อนที่อยู่หน้ากรอบเขตโทษที่ไม่เหลือตัวประกบแล้ว ผมคิดว่าเขาจะง้างเท้ายิงเลยเหมือนกับผู้รักษาประตูของบริหารที่คงจะคิดเหมือนผมถึงได้ขยับออกมานอกกรอบเขตโทษเพื่อออกมาช่วยเพื่อนร่วมทีมสกัดบอลและปิดมุม


แต่เปล่าเลยครับเขาหลอกสับไก แล้วส่งบอลไปให้คนที่วิ่งแทรกกองหลังเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซัดเข้าเต็มข้อเท้า ลูกบอลกลมๆ จึงพุ่งเข้าไปตุงตาข่ายของประตูฝั่งบริหารได้อย่างสวยงาม


ปี้ดดดดดดดดดด....


ผู้ตัดสินเป่านกหวีดยาวหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีประตูเกิดขึ้นแล้วอีกหนึ่งประตู และคนที่เป็นฮีโร่ของฝั่งวิศวะก็เป็นกองหน้ารูปหล่อและเส้นใหญ่เบอร์สิบเอ็ดอย่างพี่ซัน...


ฝั่งบริหารของเราได้เป็นฝ่ายส่งลูกจากกลางสนามอีกครั้ง กองหน้าคนที่ได้ลงไปเล่นแทนไอ้ตี๋ได้เป็นคนเขี่ยลูกให้เพื่อนร่วมทีมก่อนจะเตะโด่งไปยังหน้าประตูอีกฝ่าย ทุกอย่างเหมือนจะได้ลุ้นขึ้นถ้าไม่มีเสียงเป่านกหวีดแทรกเข้ามาซะก่อน


ปี้ด ปี้ด ปี้ดดดดดดดด...


สัญญาณเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันจากผู้ตัดสินดังขึ้น ทำให้ฝ่ายวิศวะวิ่งกรูกันเข้าไปที่พี่ซัน แล้วยกพี่ซันขึ้นเหมือนเป็นฮีโร่ของทีม เสียงเฮจากฝั่งวิศวะก็ดังขึ้นกระหึ่มไปทั่วสนาม นักกีฬาฝั่งบริหารของเราจึงทำได้แค่เดินคอตกออกมาอย่างเสียดาย บ้างก็โค้งขอบคุณคนเชียร์ บ้างก็เดินถอดเสื้อออกมาด้วยสีหน้าเซ็งๆ กองเชียร์อย่างพวกผมจึงทำได้เพียงแค่ปรบมือให้กำลังใจ


“กรรมการแม่งโคตรลำเอียงอ่ะ” อิพิงค์ว่าขึ้น ผมหันไปพยักหน้าเห็นด้วย


“ก็ยังดีที่เข้าข้างแค่จังหวะของพี่ซันอ่ะนะ คนอื่นกูว่าเขาก็เป็นกลางดี ซวยของไอ้ตี๋มัน” ไอ้นัทว่าขึ้นบ้าง ผมหันไปมองเนม จะร้องไห้แล้วครับ


“กูก็พอเข้าใจนะ ก็พี่สุดหล่อของกูใหญ่ใครจะกล้าแหยม ที่สำคัญกูว่าคนที่เข้าไปยุ่งกับ ‘ของ’ ของพี่มันก็คงจะซวยโคตรๆ

เหมือนกัน ท่าทางจะหวงของมว๊าก~” อิพิงค์พูดต่อ แล้วหันมามองผมอย่างมีความหมาย ผมถลึงตาดุใส่มันทันที


เมื่อผลการแข่งขันกีฬาทุกชนิดออกมาแล้ว ก็ถึงเวลาของการประกาศผลรางวัลต่างๆ ก่อนท่านประธานในพิธีจะมากล่าวปิดงาน ผลสรุปคือถ้วยขบวนพาเหรดและกองเชียร์ คณะบริหารของเราซิวมาทั้งสองถ้วย ส่วนถ้วยกีฬารวมก็เป็นไปตามคาดคือคณะวิศวะซิวไปแดก นักกีฬาชายยอดเยี่ยมก็แน่นอนล่ะครับ พี่ซันได้ไปตามความคาดหมายอีกเช่นกัน ส่วนนักกีฬาฝ่ายหญิงเป็นของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้


หลังจากนั้นประธานในพิธีก็คือท่านอธิการบดีก็ขึ้นมากล่าวปิดงานก็เป็นอันเสร็จพิธี พวกผมจึงได้รับอนุญาตให้แยกย้ายกันกลับบ้านได้ แต่ในตอนเย็นพวกเรามีนัดกินเลี้ยงชัยชนะของทั้งสองถ้วยกันที่คณะนะครับ


“บีทส์! บีทส์!” ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นพี่จ๊ะยืนกวักมือเรียกอยู่ ข้างๆ ก็มีพี่อ้นกับพี่ฟ้ายืนอยู่ด้วยแล้ว ผมก้าวยาวๆ ไปหาพี่จ๊ะทันที


“ครับพี่” ผมหยุดยืนตรงหน้าพี่จ๊ะ ก่อนจะโดนคว้าหมับเข้าที่ต้นคอ พี่จ๊ะคว้าคอผมไว้ก่อนจะดันให้ไปหาตากล้องประจำคณะของเรา


“เฮ้ย ถ่ายรูปให้เจ้หน่อย” พี่จ๊ะหันไปเรียก พี่ตากล้องก็รีบยกกล้องขึ้นทันที พี่จ๊ะจึงยกมืออีกข้างไปกอดเอวพี่ฟ้าที่ยืนอยู่ถัดไป พี่อ้นเองก็ยกมือขึ้นกอดเอวพี่ฟ้าไว้เหมือนกัน


“สายรหัสของเจ้มีแต่แหล่มๆ ใช่มั้ยล่ะ” พี่จ๊ะหันไปพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ พี่ตากล้องแกก็เอากับเขาด้วยนะครับ พยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วยก่อนจะมองพี่ฟ้าแล้วยิ้มเขินๆ


“ยิ้มสิหลานรัก” พี่จ๊ะหันมาพูดกับผม


“ป้าแกสั่งแล้ว ยิ้มสิ” พี่อ้นชะโงกหน้ามาคุยกับผม พี่ฟ้าได้แต่หัวเราะด้วยความชอบใจ ตอนนี้พี่เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดประจำคณะกับกางเกงยีนส์แล้วครับ หุ่นดีชะมัด


“เจ้! แค่มีน้องฟ้าคนเดียวผมก็อิจฉาพี่จะแย่ นี่ยังมีน้องบีทส์เข้ามาอีก เจ้ทำบุญด้วยอะไรครับ ผมอยากมีสายรหัสหน้าตาจิ้มลิ้มแบบนี้บ้าง!!” พี่อีกคนตะโกนขึ้นมา


“สวยเหมือนกันถึงจะคบกันได้ย่ะ!!” พี่จ๊ะให้ไปยิ้มให้เชิ่ดๆ ทุกคนเลยหลุดหัวเราะ พอถ่ายรูปเสร็จผมก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อนๆ
จริงๆ จะไปดูอาการไอ้ตี๋มันด้วย


“ไอ้ตี๋มันอยู่ไหนวะ” ผมกลับมาที่กลุ่มแล้วเอ่ยถามพวกมันที่เหลือ


“กูไปถามพี่นักฟุตบอลร่วมทีมมันมา เห็นว่าอยู่ห้องพยาบาล” ไอ้นัทเอ่ยขึ้น ผมพยักหน้ารับ พวกเราเลยเคลื่อนพลไปที่ห้องพยาบาลทันที


อิพิงค์เป็นคนแรกที่เปิดประตูเข้าไปในห้องพยาบาลเห็นไอ้ตี๋นั่งเล่นมือถืออยู่ มันหันมายิ้มเมื่อเห็นพวกผม


“นึกว่าจะลืมกันซะแล้ว” มันพูดขึ้นด้วยเสียงดีใจ เนมขยับไปนั่งข้างๆ มัน ผมยืนอยู่ที่ปลายเตียงครับ


“ก็ยังไม่ตายนี่หว่า” ผมเอ่ยแซ็ว ไอ้นัทหันมาตบหัวเบาๆ จนผมหันไปค้อนให้มัน


“ยังตายไม่ได้หรอก ยังไม่มีแฟนเลย” ไอ้ตี๋หันมาตอบเสียงกรุ้มกริ่ม ผมส่ายหัวให้มันหน่ายๆ เท่าที่กรี๊ดกันอยู่ตอนนี้ยังไม่พอใช่ไหม


“เดี้ยงแบบนี้มึงจะไปกินเลี้ยงได้เหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไอ้ตี๋ทำหน้าสลด จริงๆ ผมก็ไม่อยากไปหรอกนะครับ เหนื่อยมาทั้งวัน อีกอย่างวันนี้แดดแรงด้วย อยากกลับไปนอนเอาแรงมากกว่า ที่วางแผนเอาไว้ว่าอยากกลับไปนอนบ้านคืนนี้ คงต้องเปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้เช้าแทนแล้วล่ะ


“ตี๋ไม่ไปเนมก็ไม่ไปนะ” เนมพูดขัดขึ้นมาบ้าง ผมหันไปพยักหน้ารับ


“กูก็ว่าจะไม่ไปว่ะ ค่อยโทรบอกพี่อ้นว่าไม่สบายเอา” ผมแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง ไอ้ตี๋ทำหน้าสดชื่น เมื่อรู้ว่าผมก็จะไม่ไปเหมือนกัน


“อ้าว พวกมึงไม่ไปแล้วกูจะไปทำไม ไปก็กร่อยเปล่าๆ กูไปหามีนดีกว่า” ไอ้นัทพูดขึ้น พวกเราที่เหลือเลยหันไปมองหน้าอิพิงค์
“เฮ้ยๆ อย่ามองหน้ากูแบบนั้น กูเป็นคนรักเพื่อนรักฝูงนะเว้ย ไม่ไป...เอ้อ ก็ไม่ไปวะ!!” อิพิงค์ทำหน้าเสียดาย แต่ก็จำยอมเมื่อพวกผมถือเสียงข้างมากกว่า


“มึงเดินไหวมั้ย”


ผมหันไปถาม ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วให้ผม ก่อนจะส่ายหัวทำหน้าสลดประกอบ


“ช่วยพยุงหน่อยสิ” มันหันมาขอความช่วยเหลือ


ผมพยักหน้ารับ “มึงด้วยพิงค์” ก่อนจะหันไปกัดอิพิงค์ที่ยืนหน้างออยู่


ผมช่วยพยุงไอ้ตี๋คนละข้างกับอิพิงค์ออกมาหน้าคณะ จริงๆ ผมว่ามันก็คงพอจะเดินได้อยู่นะครับ แต่มันคงอยากจะสำออย


เออ...ช่างมัน เห็นว่าโดนรังแกมาตอนอยู่ในสนามหรอก มันก็นะครับ คว้าหมับเข้าที่เอวผมไม่ยอมปล่อย อย่าลูบนะมึง ถ้าลูบกูถีบ
“อ้าวบีทส์” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก่อนจะหลุบตามองพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นปั้นรอยยิ้มตรงมุมปากอีกครั้ง


“ยังไม่กลับเหรอครับพี่ฟ้า” ผมเอ่ยถาม ทำไมโลกมันกลมจังเลยวะวันนี้


บ๊ะ!! ยิ่งไม่อยากเจอยิ่งได้เจอ


“รอพี่ซันน่ะ นี่ก็เพิ่งมา ไม่รู้ว่าแอบไปเถลไถลที่ไหน แล้วนั่นเป็นอะไรมากหรือเปล่า” พี่ฟ้าบ่นพี่ซันขำๆ แล้วหันไปถามไอ้ตี๋ ผมฝืนส่งยิ้มให้พี่ฟ้า ไม่ได้เบือนสายตาไปหาพี่ซันมันเลยครับ


“โอ๊ยมันสำออยค่ะพี่ฟ้า เดี๋ยวพวกเราขอตัวก่อนนะคะ พิงค์หนักจะไม่ไหวแล้ว ไว้เจอกันนะคะ สวัสดีค่ะ” อิพิงค์หันไปตอบแทน แล้วรีบเอ่ยตัดบทพร้อมกับกึ่งลากกึ่งพยุงไอ้ตี๋ให้ออกมาจากตรงนั้นทันที พี่ฟ้ายิ้มรับก่อนจะบอกให้พวกเราระมัดระวัง ผมจึงหันไปโค้งให้พี่ฟ้าแล้วเดินออกมาตามแรงลากของอิพิงค์ เนมเองก็เดินตามพวกผมมาไม่ห่าง ส่วนไอ้นัท...แยกไปตั้งนานแล้วครับ


แม่งเร็วเกิ๊น…


ส่งไอ้ตี๋ขึ้นรถเสร็จผมก็แยกกลับมาที่ห้อง โดยไม่ลืมซื้อข้าวเข้ามาด้วย กินเสร็จก็อาบน้ำใส่ชุดนอนลายหมีพูห์ แล้วมานั่งดูทีวีฆ่าเวลากล่อมตัวเองให้ง่วง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ดึกป่านนี้ ใครมา…


ผมเดินไปที่ประตู ตัดสินใจส่องลอดช่องตาแมวไปดูผู้บุกรุกยามวิกาล ก่อนจะเบิกตากว้างทันทีที่เห็นคนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่หน้าประตูด้วยหัวใจเต้นรัว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกระรอก ผมส่องดูที่ช่องตาแมวอีกครั้ง พี่ซันยังไม่ขยับหนีไปไหน ยังยืนหน้านิ่งอยู่ที่หน้าประตูเหมือนเดิม


“มาทำไมครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปในที่สุด


“จะเปิดดีๆ หรือจะให้พังประตูเข้าไป” พี่ซันเอ่ยพูดเสียงเรียบ ไอ้โหด!! นี่มันคอนโดส่วนบุคคลนะครับพี่ จะมาทำลายข้าวของชาวบ้านเขาไม่กลัวตำรวจจะจับเอาหรือไง!! อ่อ ลืมไปว่าพี่เขาใหญ่


“แล้วพี่มาทำไม ถ้าจะมาหาเรื่องก็กลับไปเถอะครับ” ผมพูดออกไปอีก โดยไม่ลืมส่องลอดช่องตาแมวนะครับ พี่มันขบกรามแน่นแล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนกอดอก


“ถ้ายังไม่ยอมเปิดได้มีจริงๆ แน่” พี่ซันพูดเสียงเข้ม ผมยืนเม้มปากแน่นอย่างคิดไม่ตก


แกรก~


ผมยืนอ้าปากค้าง ถอยร่นออกจากประตูทันทีที่ประตูบานกว้างเปิดออก พร้อมกับคนร่างสูงที่ก้าวแทรกเข้ามาด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ


เชี่ยเอ้ย นี่กูลืมล็อคกลอนประตูเหรอ!!


พี่ซันยืนยิ้มแล้วแกว่งลูกกุญแจในมือไปมาเย้ยๆ ผมถลึงตาโตขึ้นไปอีก เฮ้ย!! ไปได้มาจากไหนห๊า!?!


“พี่ไปได้มันมาจากไหน!?” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น อย่าบอกนะว่า แอบไปปั้มไว้ตั้งแต่คราวที่แล้ว!?


“หึๆ เรื่องของกู ชอบจังนะ เวลาได้เข้าใกล้ผู้ชายเนี่ย” พี่ซันเก็บกุญแจใส่กระเป๋ากางเกงไว้เหมือนเดิม ก่อนจะก้าวเนิบนาบเข้ามาหาผม ผมเองก็ถอยหลังหนีพี่มันเรื่อยๆ เหมือนกัน


“เอาอะไรมาพูด!!” ผมเถียงเสียงดัง พี่ซันยิ้มเยาะ แล้วก้าวยาวๆ เข้ามาหา ผมถอยร่นก่อนจะ...


“เฮ้ย!!” ล้มลงโซฟา ผมตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น แต่ไม่ทันพี่ซันที่ตามมาคร่อมทับผมไว้ทันที


“ยังจะเถียงอีกเหรอ กูเห็นหลายครั้งแล้วนะกับไอ้เด็กหน้าอ่อนนั่น” พี่ซันกดเสียงต่ำพูดกับผม ผมเลิกคิ้วอย่างใช้ความคิด ถ้าวันนี้ที่ผมใกล้ชิดนอกจากพวกอิพิงค์ก็...ไอ้ตี๋


“เราเป็นเพื่อนกัน!”


ผมพยายามตะคอกกลับไปบ้าง ทีตัวเองโดนคนโน่นคนนี้เกาะทำไมไม่ดูตัวเองบ้าง


“เพื่อนห่าอะไรถึงต้องสนิทสนมกันขนาดนั้น คราวที่แล้วก็ไอ้เจ คราวนี้ไอ้เหี้ยหน้าอ่อน กูถามจริงมึงอ้าให้ทุกคนเลยหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้ติดใจมึงนัก!?” ผมอ้าปากค้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่พี่ซันกล่าวหา


“ไอ้พี่บ้า!! ถึงผมจะเป็นแบบนี้แต่ผมก็เลือกนะ! พี่เองก็เหมือนกัน ไหนบอกว่าไม่อยากมาเกี่ยวข้องกับผม แล้วมายุ่งกับผมอีกทำไมฮะ!?!” ผมเอ่ยถามออกไปเสียงดัง แล้วพยายามดิ้นหนีมือใหญ่ที่จับไหล่ผมไว้แน่นทั้งสองข้าง พยายามดมหาแอลกอฮอล์จากตัวพี่ซันก็ไม่มีนะ...


“อ่อ สงสัยมึงคงจะลืมไปแล้วว่าเป็นอะไรกับกู” พี่ซันพูดเสียงเข้ม ก่อนจะก้มลงไซร้ซอกคอผมด้วยความรุนแรง ไม่รู้เลยว่าเพราะโกรธ โมโห ไม่พอใจ หรือว่าทั้งหมดรวมกันกัน


“อื้อ...พี่ปล่อยนะ!!” ผมพยายามดิ้นหนีคนด้านบนที่ก้มลงไซร้คอไม่ห่าง แต่ก็สู้แรงพี่ซันไม่ได้ทำได้เพียงใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดขืนไหล่อีกคนไว้ ซึ่งเหมือนจะไม่ได้ผลอย่างที่ใจนึกสักเท่าไหร่


“ทำไม กูก็จะช่วยฟื้นความทรงใจให้ไง” พี่ซันเอ่ยพูดเสียงพร่า เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลัง ‘ต้องการ’ ผมเม้มปากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้นของเรา


“แต่ครั้งนี้พี่ไม่ได้เมา!!”


“ก็มึงพูดเองว่าไม่ได้เป็นอะไรกับกู...กูก็แค่จะ ‘ตอกย้ำ’ ให้ชัดๆ” พี่ซันเลิกคิ้วก่อนจะก้มหน้าลงชิดกับใบหน้าผม


“มันก็แค่เซ็กส์ครั้งเดียว” ผมเชิ่ดหน้าเถียงอีกคนอย่างไม่ลดละ


“งั้นก็มาทำให้มันเป็นสองครั้งกันเถอะ”


พูดจบก็ช้อนตัวผมขึ้นมาในท่าเจ้าสาว ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะคว้าหมับเข้าที่คออีกคนด้วยความกลัวว่าตัวเองจะหล่นลงที่พื้น


“พี่พูดบ้าอะไร!?” เมื่อตั้งสติได้ ผมก็ถามอีกคนออกไปเสียงเลิ่กลั่ก ดูเหมือนผมจะคิดช้าไปแล้วเมื่อแผ่นหลังแตะลงพื้นที่นอนหนานุ่มของตัวเอง


“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เด็กนิสัยไม่ดีต้องโดนทำโทษ”


พี่ซันไม่สนเสียงโวยวายของผม ร่างสูงถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นแผ่นอกและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้าม ผมเองก็มองอีกคนอย่างตกตะลึงไม่คิดว่าพี่ซันจะทำแบบที่พูดจริงๆ


“ดะ...เดี๋ยว เฮ้!!” ผมพยายามขัดขืน ยกมือขึ้นยันอีกคนที่โถมร่างเข้ามาหา


“อื้อ...” ผมครางอู้อี้เมื่อพี่ซันก้มลงปิดปากผมด้วยปากของตัวเอง ก่อนที่มือหนาจะล้วงเข้าไปใต้สาบเสื้อนอนของผมแล้วสะกิดติ่งเล็กใต้ร่มผ้าเพื่อเร้าอารมณ์ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมบิดเร่าด้วยความเสียวได้แล้ว แม้จะเคืองตัวเองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้


พี่ซันตวัดเรียวลิ้นของตัวเองเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของผมที่ตื่นกลัวเขาอยู่ในที ริมฝีปากหนาเริ่มปรับองศาให้อยู่ในท่าที่ถนัดก่อนจะก้มลงครอบครองริมฝีปากของผมอีกครั้ง ผมทำได้แค่ส่งเสียงครางในลำคอ มือที่ผลักไสคนตัวสูงก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นโอบรอบคออีกคนไว้แทน


ผมเชิ่ดหน้าขึ้นใช้เรียวขาของตัวเองเกี่ยวพันไว้ที่เอวอีกคนด้วยความเสียว


เมื่อพี่ซันแกล้งใช้ปลายนิ้วของตัวเองขยี้ยอดติ่งอกของผมแล้วดึงสลับน้ำหนักเบาบ้าง แรงบ้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากที่นัวเนียอยู่ที่ปากผมไล่เลียลงมาเรื่อยๆ ตามลำคอและแผงอก มือหนาแกล้งใช้นิ้วปัดป่ายไปมาบนอกของผม


“อื้อ...ซี้ด พะ...พี่มันเสียว” ผมได้แต่เอ่ยปากห้ามอีกคนเสียงกระเส่า พี่ซันมีสีหน้าหึกเหิมขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเลิ่กเสื้อผมขึ้นแล้วถอดออกพรวดเดียวเขวี้ยงทิ้งไปที่หัวเตียง ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดตัวไว้ตามสัญชาตญาณ ดวงตาคมเข้มของพี่ซันมองผมด้วยสายตาวาววับ แล้วคว้ามือผมยกไว้เหนือศรีษะทั้งสองข้าง


สัมผัสนุ่มลื่นครอบครองยอดอกของผมที่ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าสลับซ้ายขวา ผมกลั้นเสียงตัวเองไว้เมื่อพี่ซันเกร็งลิ้นของตัวเองแล้วเลียตวัดยอดอกที่แข็งขืนขึ้นเป็นไตของผมไม่หยุด ไม่ได้รับรู้เลยว่ากางเกงนอนตัวโคร่งก็โดนคนตัวสูงดึงร่นลงมากองไว้ที่ตาตุ่มแล้ว


“อ๊ะ! อย่านะครับ!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนด้านบนใช้มือกอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมไว้ในขณะที่ยังมีกางเกงในตัวจิ๋วปิดกั้นไว้อยู่ พี่ซันแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเริ่มขยับมือตัวเองช้าๆ ส่งผลให้แก่นกายเล็กของผมที่มีน้ำเชื่อมไหลออกมาเลอะส่วนปลายเริ่มแข็งขืนสู้มือคนสัมผัส พี่ซันไม่รอช้าใช้มือเกี่ยวกางเกงในตัวจิ๋วของผมออกแล้วเขวี้ยงไปอีกทาง ผมพยายามจะดึงมือตัวเองกลับเพื่อปกปิดส่วนอ่อนไหว แต่พี่ซันไม่ยอมปล่อยแถมยังเริ่มขยับมือทั้งที่ปากยังสนุกอยู่บนยอดอกของผม


“อ่า~ อื้ม…ซี้ด เร็วอีก อ่า!” ผมออกปากขออย่างลืมอาย พี่ซันทำตามคำขอ เร่งจังหวะมือชักเข้าออกเร็วรัวจนผมกระตุกอยู่สองสามครั้งถึงฝั่งฝันไปได้ในเวลาไม่นาน ผมพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดด้วยความเหนื่อยอ่อนมองตามพี่ซันที่ขยับตัวออกจากผมหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมหรี่ตามองคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความแปลกใจ


“พี่จะทำอะไร”


“ไว้คราวหลังจะซื้อเจลมาทิ้งไว้ ครั้งนี้คงต้องใช้ไอ้เจ้านี่ไปก่อน” พี่ซันยิ้มมุมปาก เอ่ยบอก แล้วชู ‘ขวดโลชั่น’ ขึ้นมา ผมขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตากว้าง


“เฮ้ย!!!” ผมขยับหนีเมื่อพี่ซันวางขวดโลชั่นไว้ที่เตียง แล้วถอดกางเกงของตัวเองออก เผยให้เห็นแก่นกายที่นูนพองจนเห็นเป็นรูปร่างภายใต้กางเกงในสีเข้ม


“ตกใจอะไร เคยเห็นแล้วนี่” ผมมองการกระทำของพี่ซันตาค้าง เมื่ออีกคนก้มถอดกางเกงในออกอย่างไม่อาย จนต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเมื่อรับรู้ได้ว่าหน้าร้อนเห่อจนทนมองดูการกระทำของอีกคนไม่ได้


พี่ซันจับตัวตนของตัวเองขึ้นมา ก่อนจะเทโลชั่นลงบนฝ่ามือแล้วละเลงทาจนชุ่มไปทั่วลำ ร่างสูงค่อยๆ ก้าวขึ้นเตียงโดยแทรกตัวเข้ามาตรงหว่างขาของผม ผมเบือนหน้าของตัวเองไปอีกทางเมื่อรู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


แม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่ผมก็ยังตกใจอยู่ดี เมื่อพี่ซันใช้มือของตัวเองละเลงไปที่ช่องทางด้านหลังของผม ผมเกร็งท้องทันทีที่รับรู้การลุกล้ำของอีกคน เม้มปากตัวเองแน่น แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ความกลัวสลัดทิ้งมันไปตั้งแต่ขึ้นสวรรค์ไปแล้วในรอบแรก หลงเหลือไว้แต่ความตื่นเต้นในทุกการกระทำของคนที่ตรงหน้า


“พร้อมมั้ย” พี่ซันเลิกคิ้วถาม ผมได้แต่ค้อนขวับให้เจ้าของคำถาม


รู้ทั้งรู้ว่าผมอาย ก็ยังจะแกล้ง!!


พี่ซันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกขาของผมขึ้นพาดไว้ที่บ่าตัวเอง หยิบหมอนมารองไว้ใต้สะโพกของผมพร้อมกับจ่อตัวตนของตัวเองไว้ที่ปากทางเข้า แล้วก้มลงครอบครองปากของผมอีกครั้งขบเมมไปทั่วเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ผมกลั้นหายใจไปชั่วขณะ เมื่อส่วนปลายแก่นกายของพี่ซันค่อยๆ ผ่านรอยแยกเข้ามาจนเริ่มขับแน่นตรงช่องทางด้านหลังจึงใช้มือดันหน้าท้องอีกคนไว้แล้วเชิ่ดหน้าขึ้นด้วยความจุกเสียด


“อื้อ บะ...เบาครับ” ผมพยายามผ่อนลมหายใจ พยายามปรับสภาพรับความใหญ่โตของอีกคน พี่ซันส่งมือหนามายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบที่ปากผมหนักๆ หนึ่งที


ผมพยักหน้าให้ พี่ซันจึงเริ่มปลุกเร้าอารมณ์ผมด้วยการก้มลงดูดดุนยอดอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะแทงพรวดเข้ามาในตัวผมครั้งเดียว


ผมกัดริมฝีปากทันทีที่รับตัวตนของอีกคนเข้ามาได้ทั้งลำ มือกำผ้าปูเตียงไว้แน่นจนยับ ผมจ้องมองไปที่ร่างกายสมบูรณ์แบบของพี่ซันที่เชิ่ดใบหน้าหล่อของตัวเองขึ้นครางฮึมฮัมในลำคอด้วยความหลงใหล พี่ซันใช้สองมือประคองสะโพกของผม ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าออกช้าๆ ผมเผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นระยะ ก่อนจะเริ่มส่งเสียงครางหนักขึ้นเมื่ออีกคนเริ่มปรับจังหวะความเร็ว แล้วร่อนสะโพกเป็นวงกลมเหมือนหาจุดไคลแม็กซ์ของผม


ผมครางลั่นเมื่ออีกคนกระแทกโดนจุดกระสัน เชิ่ดใบหน้าขึ้นด้วยความสุขสม เมื่อคนด้านบนกระแทกตรงจุดนั้นซ้ำๆ จนทำให้น้ำขาวขุ่นไหลเปรอะเปื้อนออกมาไม่หยุด


“อ่า...” เจ้าของใบหน้าหล่อครางเสียงต่ำอย่างพอใจ เร่งจังหวะขยับสะโพกถี่รัว ก่อนจะถึงฝั่งฝันเช่นกัน ผมรับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนที่อยู่ด้านในก่อนจะค่อยๆ ไหล่ย้อนออกมาตามง่ามขา
ใช่แล้ว...พี่ซันปล่อยข้างใน


เหงื่อของเราสองคนเริ่มผุดออกมาตามร่างกาย พี่ซันก้มลงจูบที่หางตาของผม ก่อนจะถอนกายออกมาช้าๆ แล้วจับผมให้พลิกหันหลังในลักษณะโก่งโค้ง ผมแนบใบหน้านอนราบไปกับเตียง มีเพียงสะโพกที่ลอยเด่นกว่าส่วนอื่นๆ


ผมสะดุ้งเฮือกกำผ้าปูแน่น ก้มหน้าแนบลงไปกับที่นอนเพื่อปกปิดเสียงครางแผ่ว เมื่อพี่ซันก้มลงใช้ลิ้นของตัวเองไล่เลียเล็มไปรอบๆ ช่องทางด้านหลังของผมอย่างไม่รังเกียจ ไม่รอให้ผมได้ทำใจ พี่ซันถอนลิ้นของตัวเองออก ก่อนจะใช้แท่งร้อนของตัวเองแทงเข้ามาแทนที่ช่องทางด้านหลังของผม แล้วขยับเข้าออก


“อื้อ...”


“พี่ซันบะ...เบาๆ สิ!!” ผมร้องประท้วง แต่มีหรือที่อีกคนจะฟัง พี่ซันหัวเราะในลำคอ แล้วใช้มือตีไปที่สะโพกของผมดังเพี้ยะ! แล้วก้มลงพูดข้างหูผม ทั้งที่แก่นกายยังเชื่อมกันอยู่


“ทำโทษเด็กดื้อ”




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-07-2018 17:33:19
เลววววววววว โคตรรรรรรรรรร  :fire:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 16-07-2018 19:03:48
……


ไม่เอาอ่ะ บีทส์ยอมพี่ซันง่ายไปละ

ถ้าช้ำใจภายหลังจะไม่ให้ยืมไหล่ซบนะ…อีพิงค์กล่าว


 :m16:  :m16:  :m16:  :m16:  :m16:  :m16:


………



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-07-2018 15:08:08
ไม่มีไรจะพูด :ling2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-07-2018 15:31:33
 :hao4:


ได้เหรอ ?
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 17 : ทำโทษเด็กดื้อ [NC]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-07-2018 22:31:56
หล่อตายห่า!!!!!


RIP ให้กับความเชี้ยยยยยยของพระเอกเรื่องนี้



ไปตายห่าให้หนอนแดก
ไป๊!!!!!!!
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : เผลอตัวหรือเผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 18-07-2018 18:17:14

ตอนที่ 18 :: เป็นฉันที่เผลอตัวหรือเป็นเธอที่เผลอใจ


[บีทส์]


“อื้อ...” ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนจะหันไปมองที่นาฬิกาที่วางอยู่ตรงหัวเตียง อ่า สิบโมงเช้าแล้ว


ผมพยายามจะขยับตัวลงเตียง ปากก็ร้องโอย เมื่อรู้สึกเมื่อยตัวไปหมด โดยเฉพาะช่วง ‘เอว’ ไอ้พี่ซันไม่สงสารกันบ้างเลย เมื่อคืนกว่าพี่มันจะยอมให้ผมนอนก็เล่นเอาเสร็จไปสามรอบ!!


สามรอบที่ว่านี่คือของพี่มันนะครับ ส่วนของผมน่ะเรอะ ไม่ได้นับ!!


ผมพยายามขยับไปนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะเริ่มสำรวจความเสียหายของตัวเอง ตอนนี้ผมอยู่ในสภาพสวมแค่กางเกงตัวเดียว แต่คนละตัวกับที่ผมใส่ก่อนหน้านี้ สงสัยพี่ซันจะเป็นคนเปลี่ยนให้


ผมส่ายหัวไล่ความมึน ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง สายป่านนี้แล้ว ผมไม่คิดว่าพี่มันจะยังอยู่ในห้องของผมหรอกนะครับ หึๆ ใจอ่อนให้เขาเอง ก็ช่วยไม่ได้


ผมค่อยๆ ขยับตัวไปที่ปลายเตียง ก่อนจะก้าวขาลงไปยืนทีละข้าง


โอย ขามึงจะสั่นทำไมล่ะเฮ้ย!


ผมใช้มือพยุงตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรง ก่อนจะหน้าเบ๋เมื่อรู้สึกเจ็บเสียดตรงบริเวณช่องทางด้านหลัง โชคดีที่ยังพอยืนได้ ไม่เหมือนครั้งแรกที่แม้แต่ขยับตัวยังทำไม่ได้


ผมกัดฟันค่อยๆ ฝืนความเจ็บเดินไปที่ห้องน้ำด้วยความทุลักทุเล แล้วจัดการอาบน้ำชำระร่างกายโดยไม่ลืมจะสำรวจร่างกายของตัวเองในกระจก


เชี่ย!! แม่งจะชอบทำรอยไว้ทำไม ไอ้คนซาดิสต์!!


ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าชั่วโมง รู้สึกไม่สบายตัวเลยนอนแช่น้ำอุ่น แช่ไปแช่มาดันหลับไปอีกรอบ ดีนะครับที่ผมยังโชคดี เรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่หลับแล้วหัวผงกไปโดนขอบอ่าง ตาสว่างกันเลยทีเดียว


เพราะได้แช่น้ำอุ่นจึงทำให้ผมรู้สึกสบายตัวกว่าในตอนแรก เดินได้สะดวกมากขึ้นแต่ก็ยังขัดๆ อยู่ ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำ สิบโมงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ตอนนี้พยาธิในท้องมันเริ่มส่งเสียงเกรียวกราวประท้วงผมกันแล้ว


ผมเดินออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวเปียก ก่อนจะมองหาใครอีกคน ในใจก็ยังแอบหวังเล็กๆ ว่าพี่มันจะยังอยู่ในห้องนี้ แต่ก็ไม่มีแม้เงา...


ผมส่ายหัว ถอนหายใจแล้วเดินต่อ ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับกระเป๋าเป้ใบโตที่วางอยู่ตรงโซฟา กระเป๋าใบนั้น...มันไม่ใช่ของผม


แกรก~


ผมเลื่อนสายตาไปที่ประตูทันที ก่อนจะสบตาเข้ากับร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามา พี่ซันเลิกคิ้วมองผมด้วยความแปลกใจ ผมมองสำรวจพี่มันที่ตอนนี้อยู่ในชุดใหม่เป็นกางเกงยีนส์เสื้อยืด ไม่ใช่เสื้อสต๊าฟเหมือนเมื่อคืน ในมือมีถุงของกินติดมือมาด้วย แสดงว่าพี่มันคงขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องตัวเองมาแน่ๆ


“ลุกออกมาทำอะไร”


“ผมหิว จะไปหาอะไรกิน” ผมเองก็ตอบกลับไปเสียงห้วนเหมือนกัน


พี่มันก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ไม่ต้อง!! กูลงไปซื้อมาให้แล้ว” พี่ซันตอบกลับมาเสียงเข้มเมื่อเห็นท่าทางของผม


“ไม่กิน” ผมมองหน้าพี่ซัน


พี่ซันแสยะยิ้มยื่นมือข้างหนึ่งมาจับแขนผมไว้แล้วออกแรงบีบจนผมนิ่วหน้า


“อยากให้กูจับกรอกปากก็ตามใจ”


“ปล่อยนะ ผมเจ็บ” ผมพยายามแกะมือของพี่ซันออก พี่ซันก้มมองมือที่จับผมอยู่ก่อนจะคลายแรงลง กำไว้แค่หลวมๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนผมอยู่ดี


“แล้วจะเดินออกมาทำไม ไม่เจ็บแล้วหรือไง ไปนั่งรอเลยไป เกะกะ! ” พี่ซันพูดเสียงดังกึ่งตะคอก ผมทำหน้างอใส่ ก่อนจะสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของพี่ซัน พี่ซันถลึงตาใส่ผม แต่ผมเองก็ไม่สนใจพี่มันเหมือนกัน


ผมเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหารหน้างอ เสียงกระทบของจานชามดังออกมาจากห้องครัวอยู่เป็นระยะ พร้อมกับเสียงสบถของพี่ซันจนผมต้องมองเข้าไปในห้องครัวอยู่หลายครั้ง นั่งรออยู่สักพักพี่ซันก็ออกมาพร้อมกับถาดอาหารแล้วก็น้ำส้ม


“กินซะ” พี่ซันวางถาดข้าวต้มไว้ตรงหน้าผม ก่อนจะหยิบเอาถ้วยข้าวต้มกับน้ำส้มมาวางไว้คู่กันแล้วขยับไปนั่งอีกฝั่ง ผมเงียบไม่พูดอะไร


“กินดิ” พี่ซันเอ่ยย้ำอีกครั้ง ผมเงยหน้ามองพี่มันนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเริ่มลงมือตักกิน เอาวะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง!!


“ยังโกรธอยู่หรือไง”


พี่ซันเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ ผมเลื่อนสายตาไปมองหน้าพี่มันนิ่งๆ ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ตักข้าวต้มกินต่อ


“บีทส์” พี่ซันเร่งเอาคำตอบ ผมแอบเบ๋ปาก แล้วแกล้งถอนหายใจดังๆ


“ก็...เปล่า”


“เปล่าแล้วทำไมถึงเงียบ” พี่ซันซักต่อ จ้องหน้าผมเขม็ง ผมเองก็จ้องกลับเหมือนกันครับ ทำไมทีแบบนี้มาขึ้นเสียงใส่ เรื่องนี้ผมไม่ผิดนะบอกเลย


“ก็พี่บอกให้ผมกินข้าว นี่ผมก็กินอยู่ไง ถ้ากินไปคุยไปเข้าติดคอตายขึ้นมาจะทำยังไง” ผมเถียง แล้วก้มกินข้าวต้มต่อไม่สนใจอาการฟึดฟัดของคนตรงหน้า รู้ตัวครับว่าเริ่มรวน


“ปากดีนักนะ” พี่ซันดุ ผมทำปากยู่ใส่แล้วตักเข้าต้มกินต่อ


เมื่อเห็นผมไม่สนใจพี่ซันก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมอีก แต่เพราะพี่มันไม่เซ้าซี้นี่แหละครับ ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก คนบ้าอะไรมานั่งมองคนกินข้าวอยู่ได้


“แล้วพี่ล่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ อยากจะตบปากตัวเอง จะชวนเขาคุยทำไมวะ


“หื้ม” พี่ซันครางรับในลำคอ เหมือนไม่แน่ใจในประโยคคำถามของผม


“ผมถามว่าให้ผมกินคนเดียว แล้วพี่ล่ะไม่กินหรือไง”


เกือบจะแว้ดใส่หน้าแล้วครับ แค่นี้ก็ต้องอึนด้วย!! ทีเรื่องอื่นล่ะเห็นฉลาดจัง!


“อ่อ กูไม่กินข้าวเช้า มึงกินเถอะ” พี่ซันตอบผมยิ้มๆ ผมเบ๋ปากใส่ ก่อนจะรวบช้อนไว้ในถ้วยข้าวต้ม แล้วเลือกทานน้ำเปล่าแทนน้ำส้ม


“กินน้ำส้มดิ มันดีต่อสุขภาพแถมยังช่วยบำรุงด้วย” พี่ซันบอก ก่อนจะดันแก้วน้ำส้มมาใกล้ผม


ผมส่ายหัว


“ผมไม่ชอบกินน้ำส้ม” ผมดันแก้วน้ำส้มออกไปไว้ที่เดิม


“เอ๊ะ ก็กูเพิ่งบอกไปเมื่อกี้ว่ามันดีต่อร่างกายไง” พี่ซันดันกลับมาให้ผมอีกครั้ง


“เอ๊ะ ก็ผมบอกว่าไม่ชอบกินไง!” ผมดันแก้วน้ำส้มออกไปอีกครั้ง


“ทำไมมึงดื้อแบบนี้ฮะ!?” พี่ซันพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด เสียงดังจนผมเผลอสะดุ้งเลยครับ ผมเม้มปาก แล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง


“...”


“เฮ้อ...อิ่มแล้วใช่มั้ย” พี่ซันถาม ผมพยักหน้ารับทั้งที่ยังหันหน้าหนีพี่มันอยู่ แต่ก็ยังมองเห็นพี่มันได้จากหางตา พี่ซันมองหน้าผมแล้วส่ายหัวยิ้มๆ


“หึๆ”


“อะไรเล่า!”


พี่ซันหยิบทิชชู่ ก่อนจะยื่นมือมาเช็ดที่มุมปากของผม ผมย่นคอด้วยความตกใจ ทำให้ทั้งผมและพี่ซันชะงักเมื่อสายตาของเราประสานกันพอดี


“เรื่องเมื่อคืน...”


พี่ซันเอ่ยปากพูดถึงเรื่องเมื่อคืน โดยไม่ยอมละสายตาไปจากผม เป็นผมเองที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง พี่ซันเอื้อมมือมายีหัวผม ก่อนจะถอยไปนั่งเหมือนเดิม


“กูยอมรับว่ากูผิดเต็มๆ”


“...”


“กูก็ไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับกูตอนนี้มันคืออะไร ไม่รู้ว่าทั้งๆ ที่กูก็เกลียดเกย์จะเป็นจะตาย แต่ทำไมถึงสัมผัสมึงได้หน้าตาเฉย”


“มึงคงสงสัย...ว่าทำไมอยู่ๆ กูถึงได้บ้ามาเคาะประตูห้องมึง แถมยังทำอะไรต่อมิอะไรกับมึงอีก มันไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ” พี่ซันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วหัวเราะในลำคอ เหมือนถามผมพร้อมกับถามตัวเองไปด้วย


“มึงคงต้องสงสัยแน่ๆ เพราะขนาดกู...กูยังสงสัยเลยว่าทำไมต้องทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ ทำไมถึงต้องหงุดหงิดเวลามึงอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่กู” พี่ซันพูดจบก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง


ผมเบิกตากว้าง


หงุดหงิดเวลาที่เห็นผมอยู่กับคนอื่นงั้นเหรอ...


“แต่กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทั้งๆ ที่นมก็ไม่มี เรียวขาสวยๆ สะโพกกลมกลึงแบบผู้หญิงมึงก็ไม่มี แล้วทำไมกูถึงเอามึงได้วะ”


“แค่ก...” ผมสำลักน้ำทันทีที่พี่มันพูดประโยคนั้นออกมา ไอ้พี่บ้า!!


“ระวังหน่อย สรุปมึงจะหายโกรธกูได้มั้ย” พี่ซันดุ ก่อนจะถามประโยคที่ทำให้ผมต้องรีบเงยหน้ามองพี่มันทันที นี่มันประโยคขอร้อง คำสั่ง หรือบอกเล่ากันแน่!?! ผมเริ่มประเมินในใจ


“ผมถามจริงๆ นะ” ผมนั่งตัวตรง ก่อนจะเอ่ยถามพี่ซันเสียงเรียบ ในแบบที่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้


“พี่...เห็นผมเป็นตัวอะไรกันแน่”


“กู...”


“เห็นผมเป็นแค่ไอ้คนใจง่ายคนหนึ่งที่พี่อยากเมื่อไหร่ก็แวะมาหรือเปล่า” ผมพูดขัดพี่ซันต่อ พี่มันเงียบก่อนจะมองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมคาดเดาไม่ได้


“...”


“ผมรู้นะว่าพี่เป็นแฟน ไม่สิ...เป็นคู่หมั้นพี่ฟ้าพี่รหัสของผม”


ไอ้ฉิบหาย...พูดเองก็เจ็บเอง


“มึงจะพูดถึงคนอื่นทำไม” พี่ซันพูดขัดขึ้นบ้าง ผมมองหน้าพี่มันด้วยความไม่เข้าใจ จะนับพี่ฟ้าเป็นคนอื่นได้ยังไงก็ในเมื่อเขาเป็นคู่หมั้นของพี่ คู่หมั้นก็คือว่าที่ภรรยาของพี่ในอนาคตเลยนะ


“คะ...”


ครืด...ครืด…


ผมกำลังจะเอ่ยปากเถียง แต่มีสัญญาณเตือนสายเรียกเข้าของพี่ซันขึ้นมาซะก่อน ผมเลยนั่งกอดอกทำปากยื่นเบือนหน้าไปทางอื่น พี่ซันมองหน้าผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์สายเรียกเข้า ผมแอบหันไปมอง เห็นพี่มันขมวดคิ้วทันทีที่เห็นเบอร์ของคนที่โทรเข้ามา พี่ซันมองมาที่ผมอีกครั้ง ผมเลิ่กลั่กหันหน้าหนีแทบไม่ทัน


“ครับน้องฟ้า”


พี่ซันกดรับสาย ก่อนจะลุกเดินไปที่ระเบียง ผมมองตามด้วยหางตา ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องนอนตัวเองไปเตรียมของกลับบ้านเหมือนกัน


ครืด...ครืด…


ผมหันไปมองที่โทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะเดินไปหยิบมาดูเบอร์ แล้วต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่เป็นเบอร์ของพี่ชายสุดที่รัก


‘พี่ไม้สุดหล่อ’


“สวัสดีครับพี่ไม้” ผมกดรับ


“สวัสดีเจ้าตัวเล็ก ทำอะไรอยู่เรา” พี่ไม้เอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี จนทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้


“กำลังเตรียมของกลับบ้านครับ พี่ไม้ล่ะ เป็นไงมาไงถึงโทรหาบีทส์ได้” ผมตอบก่อนจะเอ่ยแซ็วพี่ไม้ขำๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายเตียง


“เฮ้ยจริงเหรอ พี่กะว่าจะชวนบีทส์ไปเยี่ยมคุณน้าอยู่พอดีเลย ช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้แวะเข้าไปเยี่ยมท่านเลย พอดีวันนี้พี่ว่าง งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับบีทส์ที่คอนโดเลยก็แล้วกัน” พี่ไม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ได้เลยครับ มาถึงแล้วโทรหาบีทส์นะ เดี๋ยวบีทส์ลงไป” ผมนัดแนะ


“โอเคครับ” พี่ไม้ตอบตกลง ก่อนจะวางสายไป ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะหันไปจัดกระเป๋าเสื้อผ้าต่อ จริงๆ ก็มีบางส่วนที่จัดไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกระจัดกระจายออกมานอกกระเป๋าได้ยังไง


“เตรียมของจะไปไหน แล้วเมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับใคร” พี่ซันเดินเข้ามาในห้องก่อนจะเอ่ยถามผม ผมนิ่งไม่ตอบแต่จัดกระเป๋าต่อ


“กูถามว่าเมื่อกี้คุยกับใคร” พี่ซันเดินตรงเข้ามาจับไหล่ผมไว้แล้วเขย่าจนตัวผมโอนเอน ผมปัดมือพี่มันออกก่อนจะมองด้วยสายตาแข็งกร้าว


“ผมจะคุยกับใครมันก็เป็นเรื่องของผมหรือเปล่าครับ พี่เป็นใครทำไมผมต้องบอกด้วยไม่ทราบ!?” ผมตอบด้วยท่าทีกวนๆ พี่ซันอึ้งในท่าทีของผม ผมแสยะยิ้ม ก่อนจะรูดซิบกระเป๋า


“บีทส์อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” พี่ซันดุเสียงแข็ง


“ผมไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แต่ผมกำลังพูดความจริง เมื่อกี้พี่ฟ้าโทรมาไม่ใช่เหรอครับ รีบไปหาพี่เขาสิ เดี๋ยวเขาจะรอนาน”


“ทำไมต้องดึงฟ้าให้เข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้ด้วย” พี่ซันเลิกคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ ผมหัวเราะในลำคอ มันจะไม่เกี่ยวได้ยังไงวะ มึงช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหมว่ามึงไม่ใช่คนโสด!! แล้วตัวกูเนี่ยเป็นอะไรสำหรับมึง!!


“นี่พี่บ้าไปแล้วเหรอ ก็พี่ฟ้าเขาเป็นแฟนพี่จะไม่ให้เกี่ยวได้ยังไง” ผมจ้องหน้าพี่ซันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะถอนหายใจแล้วตัดบท


“ช่างเถอะ พี่อย่ามาสนใจคนนอกอย่างผมเลยครับ”


“กูก็แค่อยากให้เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องของเราสองคน” พี่ซันอธิบายต่อ อ๋อ ที่พูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเราใช่ไหม ต้องการให้ผมเก็บไว้เป็นความลับใช่หรือเปล่า


“กลัวผมจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นสินะ” ผมเค้นเสียงพูด


“มันไม่ใช่แบบนั้น!”


“แล้วแบบไหนครับ!?” ผมตะคอกกลับทันที ก่อนจะเสียวจี๊ดที่ช่องทางด้านล่างเมื่อใช้แรงมากเกินไป


“...”


พี่ซันเงียบ ผมเองก็เงียบใส่พี่มันเหมือนกัน เอาดิ ถามอะไรก็ตอบไม่ชัดเจนสักอย่าง ทำเหมือนผมเป็นเมียน้อยไปได้


“ตกลงจะไปไหนเดี๋ยวกูไปส่ง บ้านใช่มั้ย” พี่ซันพยายามรวบรวมสติ แล้วกัดฟันถาม ผมแสยะยิ้มเพื่อกวนโมโหพี่มัน หึๆ อารมณ์นี้ผมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนแล้ว หงุดหงิดโว้ย!!


“ขอบคุณที่กรุณานะครับ แต่ไม่ต้อง” ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อยเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลา


“แล้วมึงจะไปยังไง” พี่ซันถามขึ้นอีก ผมเลิกคิ้วยิ้มๆ


“มีคนมารับ”


“ใคร…คนที่โทรมาเมื่อกี้ใช่มั้ย” พี่ซันตะคอกถาม


“ใช่แล้วจะทำไมครับ สนใจด้วยเหรอ” ผมต่อปากต่อคำ


“กูไม่ให้ไป” พี่ซันพูดเสียงเรียบ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพี่มัน


“พี่มีสิทธิ์อะไรมาห้ามผม” ผมถามยิ้มๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปชิดตัวพี่ซันแล้ววางมือไว้บนแผงอกข้างซ้ายแล้วลูบไปมาเป็นการยั่ว


“อย่าลืมนะว่ากูเป็นอะไรกับมึงแล้ว” พี่ซันเค้นเสียงพูดออกมาจากลำคอบ้าง มือหนาเอื้อมมาโอบรอบเอวผมไว้หลวมๆ


ผมแสยะยิ้ม “อะไรของพี่ที่ว่าคืออะไรล่ะครับ คู่นอน? ชู้? ก็แค่มีอะไรกัน แต่พี่ไม่มีสิทธิ์ในตัวผม อย่าลืมนะครับ” ผมยั่วต่อ


“บีทส์” พี่ซันเรียกชื่อผมเสียงเข้ม


ครืด...ครืด…


เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมละสายตาจากพี่ซันก่อนจะเดินมากดรับ คนที่โทรเข้ามาเป็นพี่ไม้


“ครับพี่ไม้” ผมกดรับด้วยรอยยิ้ม พี่ซันขมวดคิ้วมุ่น


“โอเคครับ เดี๋ยวบีทส์จะลงไปเดี๋ยวนี้” พี่ไม้บอกว่าตัวเองรออยู่ที่หน้าตึกแล้ว ผมจึงตอบรับกลับไป ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้พี่ซัน


“ไม่ต้องไปกับใครทั้งนั้น!! กูบอกว่ากูจะไปส่ง!!” พี่ซันคำรามในลำคอ แล้วคว้าข้อมือผมไว้ ผมบิดข้อมือตัวเองให้ออกจากการเกาะกุมของพี่ซัน


“ถ้าผมไปกับพี่ มันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยครับว่าพี่อาจจะปล่อยผมไว้ข้างถนนอีกหรือเปล่า” ผมพูดอย่างเป็นต่อ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมดื้อกับพี่มันวันนี้เหมือนกันนะครับ แต่เพราะเมื่อคืนคำพูดทุกคำของพี่มันยังดังก้องอยู่ในหัว ทำเหมือนผมง่ายกับทุกคน ทั้งๆ ที่พี่มันก็น่าจะรู้ว่าผมคิดยังไงกับพี่มันแท้ๆ


“อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” พี่ซันเถียงขึ้นมา


ครืด...ครืด…


เสียงโทรศัพท์พี่ซันเตือนเข้ามาอีกรอบ ผมแสยะยิ้ม เมื่อพี่มันหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ผมเห็นแวบๆ ว่าเป็นชื่อพี่ฟ้า ผมเลิกคิ้วทำหน้ายียวนใส่ทันที


“ผมไปนะครับ ฝากล็อกห้องให้ด้วยก็แล้วกัน” ผมหันไปคว้าเอากระเป๋าเป้ของตัวเองมาสะพายบ่า ก่อนจะหันมาเอ่ยกับอีกคน พี่ซันกดรับสายพี่ฟ้าอยู่แต่คว้าข้อมือผมไว้อีกผมสะบัดออกทันที


“ปล่อย!” ผมพูดขึ้นโดยไร้เสียง


“ฮะ อะไรนะครับ!? น้องฟ้ารอพี่อยู่ที่นั่นก่อนพี่จะไปเดี๋ยวนี้!!” พี่ซันปล่อยมือผมทันที ก่อนจะหันไปพูดสั่งคนในสายเสียงเข้ม แล้วหันมาหาผม


“น้องฟ้ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย คือกู...เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูโทรหานะ” พี่ซันอธิบาย ก่อนจะถอนหายใจพรืดใหญ่แล้วพูดจนจบประโยคพร้อมกับก้มลงหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“…”


ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของร่างสูงที่วิ่งออกไปคว้าเอากระเป๋าเป้ใบโตของตัวเอง แล้ววิ่งออกไปจากห้องด้วยท่าทีรีบร้อน


สุดท้าย…
   

คนที่พี่มันเลือกก็ไม่ใช่ผมอยู่ดี...




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-07-2018 19:48:21
เลิกเหอะ  :seng2ped:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 18-07-2018 20:33:00
อึนจัง ความรู้สึกแบบ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่มึงอะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-07-2018 21:43:10
 :hao4:



ไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 18-07-2018 22:25:22
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: ไม่อยากเจ็บมากไปกว่านี้ก็ตัดใจ ทำใจแข็งเหอะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 19-07-2018 00:54:25
น้องมันคงแบบ ฉันงงว่าฉันเป็นใครสำหรับพี่มัน อึดอัดมากใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: fammi50 ที่ 19-07-2018 13:13:44
ตัดใจเหอะบีทส์ เข็ดสักที
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 19-07-2018 21:04:08
……


บีทส์เข้มแข็งไว้ เชิดหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี อย่าหักหลังพี่ฟ้า ถ้าเขายังไม่เลิกกัน

อย่าเป็นมือที่สามนะ




 :a5:  :a5:  :a5:  :a5:  :a5:  :a5:

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-07-2018 06:07:58
ทำไมเราเชียร์ตี๋วะ 5555555
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-07-2018 16:53:45
ตอนที่ 19 : พูดดีๆ ไม่ฟังก็ต้องฉุด


[บีทส์]

“สวัสดีครับคุณนาย” ผมเดินเข้ามาสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง แล้วเอ่ยทักทายผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แม่สะดุ้งเอี้ยวตัวมาหาผม

“แม่ตกใจหมดเลย อ้าว…ตาไม้ มาด้วยเหรอเรา” แม่หันมาตีแขนผมเบาๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยทักทายพี่ไม้ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง

“สวัสดีครับคุณน้า สบายดีไหมครับ” พี่ไม้ยกมือไหว้แม่ผม ก่อนจะเอ่ยทักยิ้มๆ พร้อมกับเดินเอาของฝากไปวางไว้ที่โต๊ะอาหาร

“สบายดีจ้า หิ้วอะไรมาเยอะแยะน่ะ” แม่ตอบรับ ก่อนจะเอ่ยแซ็วพี่ไม้ ผมก็เห็นด้วยกับคุณนายเขานะครับ ก็พี่ไม้น่ะสิ พาผมแวะซื้อของที่ห้าง ผมบอกว่าไม่ต้องๆ พี่มันก็ไม่ฟัง บอกว่าจะไปเยี่ยมแม่ผมมือเปล่าได้ยังไง น่าเกลียดแย่ ผมเลยได้แต่ยอมๆ

“ของคนข้างๆ คุณน้านั่นแหละครับ ไม่รู้ไปอดยากมาจากที่ไหน” พี่ไม้ตอบแม่แล้วหันมายิ้มล้อผม แหะๆ ทีแรกก็อิดออดว่าไม่เอานั่นแหละครับ แต่พอเห็นของกินปุ๊บ ไอ้นั่นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่ากิน เผลอแป๊บเดียวพี่ไม้ได้ของเต็มมือเลย ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงจริ๊ง!!

“ไปรบกวนพี่เขาอีกแล้ว” แม่เอ็ดเบาๆ ผมทำปากยื่น

“บีทส์เปล่าซะหน่อย”

“แล้วนี่สอบเมื่อไหร่เรา” แม่หันมาถามผมต่อ ขณะที่พี่ไม้ขยับไปช่วยแม่หยิบนู่นหยิบนี่เรียบร้อยแล้วครับ แม่ะ ช่างเป็นบุคคลที่เพอร์เฟ็คจริงๆ ครับผู้ชายคนนี้

“อาทิตย์หน้าอ่ะคุณนาย นี่บีทส์ก็เริ่มอ่านหนังสือแล้ว อาจจะไม่ค่อยได้กลับบ้านนะช่วงนี้” ผมหันไปตอบ ก่อนจะรีบออกตัวก่อนว่าเริ่มอ่านหนังสือไปก่อนแล้ว เราต้องชิงตอบก่อนที่จะโดนถามนะครับจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก

“อืม...แล้วอยากได้อะไรไปตุนไว้ที่หอไหม แม่จะได้เตรียมไว้ให้” แม่พยักหน้ารับ ก่อนจะถามกลับ ผมส่ายหัว

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวบีทส์ไปซื้อเองดีกว่า”

“จ้าๆ พ่อลูกชาย อยากได้อะไรก็บอกแม่แล้วกันนะ” แม่ตอบกลับยิ้มๆ ผมพยักหน้ารับก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มแม่เบาๆ

“แล้วนี่น้องไปไหนครับ” ผมถามหาน้อง

“มาเช้าแบบนี้ คิดว่าจะตื่นหรือยังล่ะหื้ม” แม่ตอบกลับขำๆ เล่นเอาผมกับพี่ไม้ขำพรืดเลยครับ เจ้าน้องตัวดียังขี้เซาเหมือนเดิม เป็นปกติของไบร์ทน่ะครับถ้าเป็นวันหยุดรายนั้นจะไม่ตื่นจนกว่าจะหิว

“งั้นบีทส์ขึ้นไปหาน้องดีกว่า ฝากด้วยนะครับพี่ไม้” ผมหันไปบอกแม่ ก่อนจะหันไปโยนงานให้พี่ไม้แล้วรีบเผ่นขึ้นชั้นบน พี่ไม้ส่ายหัวขำแต่ก็พยักหน้ารับ น่ารักจริงๆ พี่ชายผม

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องน้อง ก่อนจะเห็นร่างของน้องที่นอนจมผ้าห่มอยู่ ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ ไบร์ทนอนกอดตุ๊กตาอยู่ครับ แต่เอ...ตัวนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยจะได้มาใหม่ ผมส่ายหัว ก่อนจะยื่นมือไปยีหัวเจ้าตัวเบาๆ แล้วเดินเข้าไปเก็บกองเสื้อผ้าและกองสมุดให้เงียบๆ

“อื้อ...” ไบร์ทขยับตัว งัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหันมามองทางผม

“อ้าวพี่บีทส์มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไบร์ททัก ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวพิงกับผนักเตียงเอาตุ๊กตามากอดแนบอก แม่ะ อยากให้พี่หมอมาเห็นสภาพตอนนี้จริงๆ น่าฟัดโคตร

“มาสักพักแล้ว พี่ไม้ก็มาด้วย ช่วยคุณนายทำกับข้าวอยู่ข้างล่าง ตื่นไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ลงไปกินข้าวพร้อมกัน” ผมหันไปตอบก่อนจะเก็บตะกร้าเสื้อผ้าให้เข้าที่ ปกติมันอยู่หน้าห้องน้ำนะครับ แต่ตอนที่ผมเดินเข้ามามันดันย้ายตัวเองมาอยู่ตรงโต๊ะหนังสือน้องเฉยเลย แม่งมีล้อปะวะเนี่ย


“โอเคๆ เอ๊ะ...คอไปโดนอะไรกัดมาอ่ะดูดิเป็นรอยแดงเลย ไหนมาให้ไบร์ทดูใกล้ๆ ดิ๊” น้องร้องทักในจังหวะที่ผมก้มหยิบหนังสือรถที่หล่นอยู่ข้างเตียง


“อ๋อ...น่าจะรอยยุงกัดอ่ะ พอดีว่าเมื่อวานมีงานกีฬาสีที่มหาลัย กว่าจะเสร็จงานก็ดึกแล้ว ยุงมันเยอะ” ผมแถข้างๆ คูๆ ใช้มือเกาไปด้วย


ยุงยักษ์ซะด้วยสิ...


“แล้วทายายัง เดี๋ยวก็เป็นรอยหรอก” ไบร์ทบ่น ก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดบ่า


“นี่ใส่กางเกงกีฬานอนอีกแล้วเหรอ” ผมถาม เมื่อเห็นกางเกงที่น้องใส่ อื้ม เป็นกางเกงกีฬาที่คาดว่าน่าจะใส่มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ได้ถอด พูดง่ายๆ คือยังไม่อาบน้ำอ่ะครับพี่น้อง


“เมื่อคืนเล่นเกมเพลินอ่ะ กว่าจะเสร็จก็เกือบตีสาม ไอ้หมอ...เอ่อ ไบร์ทหมายถึงพวกไอ้แจ็คไล่ไปนอนซะก่อน แต่ไบร์ทขี้เกียจเลยนอนทั้งแบบนี้” ไบร์ทตอบก่อนจะสะดุดที่เผลอเรียกชื่อใครสักคนออกมา หึๆ พี่หมออีกแล้ว


“ซกหมกแบบนี้เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาซะที” ผมเอ่ยแซ็วน้องขำๆ ก่อนจะเดินมานั่งที่ปลายเตียง ไบร์ทเดินสวนไปจะเข้าห้องน้ำ น้องหันมาเลิกคิ้ว


“ไม่ต้องห่วงไบร์ทหรอกน่า พี่บีทส์เถอะไปเรียนมหาลัยมีใครมาแจกขนมจีบบ้างรึเปล่า” ไบร์ทมองอย่างจับผิด เล่นเอาผมเกาหัวแกรกๆ เหมือนเดินมาอยู่ดีๆ แล้วโดนเบรกหัวทิ่มอ่ะครับ


“บ้าน่า ใครจะมาชอบพี่กันล่ะ” ผมยกมือขึ้นมาเกาแก้ม ไบร์ทหัวเราะ


“เอาเถ๊อะ ไว้มั่นใจค่อยพามาแนะนำกับไบร์ทก็ได้ แต่เตือนไว้ก่อนเลยนะพี่บีทส์ ถ้าคนไหนที่ไบร์ทบอกว่าไม่โอเค พี่บีทส์ต้องเลิกนะบอกไว้ก่อน” ไบร์ทพูดเสียงจริงจัง ก่อนจะยักคิ้วให้ผมทันทีแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ผมยิ้มแหยๆ อย่างพี่ซันเนี่ยคงจะผ่านหรอกนะ


ผมหลบลงมาข้างล่างก่อนจะช่วยคุณนายกับพี่ไม้จัดโต๊ะ วันนี้มีแต่เมนูโปรดของผมทั้งนั้นเลยครับ ได้ยินเสียงใครแว่วๆ ว่ามีอะไรบ้างที่แกกินแล้วไม่อร่อย ป๊าด ใส่ร้ายป้ายสีกันอย่างร้ายกาจ


“ทานเยอะๆ นะบีทส์ แม่ว่าเราผอมลงนะช่วงนี้ เรียนหนักเหรอลูก” แม่ตักยำลูกชิ้นมาให้ผม แล้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ผมยิ้มแหยๆ ก่อนจะตักกินไปบางส่วน คือจริงๆ ยังอิ่มข้าวต้มอยู่เลยครับ


“นิดหน่อยครับคุณนาย แต่ไม่ต้องห่วงหรอก สอบเสร็จเดี๋ยวบีทส์จะกินให้เป็นหมูเลยดีมั้ยครับ” ผมตอบขำๆ ก้มลงกินข้าวต่อ


“เอาไว้น้องๆ สอบเสร็จแล้วเราปิดบ้านไปเที่ยวกันดีมั้ยครับคุณน้า” พี่ไม้เป็นฝ่ายพูดขึ้น ผม คุณนาย ไบร์ทหันไปมองพี่ไม้ตาเดียว


“หื้ม ไม่ดีเหรอ” พี่ไม้หันมามองผมที ไบร์ทที ผมหันไปสบตากับน้อง ก่อนจะคุยกันผ่านสายตา


“ดี!!/ดี!!” ผมกับไบร์ทตอบออกมาพร้อมกัน พี่ไม้ทำหน้าโล่งอก


“แกล้งพี่นี่หว่า” พี่ไม้โอด ผมกับไบร์ทระเบิดหัวเราะออกมาทันที ก็พี่ไม้โคตรน่าแกล้งเลย


“เอ้า รีบๆ ทานข้าวกันเด็กๆ อย่ามัวแต่คุย” แม่เอ็ดขึ้นเบาๆ พวกเราเลยรีบก้มหน้าทานข้าวแต่ก็ยังมิวายส่งสายตาหากันยิ้มๆ
พอทานข้าวเสร็จพี่ไม้ก็ขอตัวกลับไปทำธุระต่อ แม่เองก็เหมือนกันครับ เห็นบอกว่าวันนี้ต้องไปติดต่อลูกค้า ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด ทั้งบ้านเลยเหลือแค่ผมกับน้องสองคน ไบร์ทนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่างส่วนผมก็ขึ้นมานอนเล่นอยู่ที่ห้องของตัวเอง


ครืด...ครืด…


ผมหันไปมองที่โทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา โทรมาทำไมกันนะ


“ครับ” ผมกดรับ


“ทำอะไรอยู่” พี่ซันถามขึ้น ผมขยับไปนอนราบกับเตียง


“นอนครับ” ผมตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบโน๊ตบุ๊คมาเปิดเครื่อง


“ทำไมถึงบ้านแล้วไม่โทรบอกกู ไปส่งกันถึงไหน” พี่ซันถามขึ้นอีก ผมเบ๋ปาก ทำไมต้องโทรบอกด้วย


“…” ผมเงียบไม่ตอบ หันไปเล่นเกมแทน


“บีทส์” พี่ซันเรียกย้ำ


“ไม่ใช่ธุระอะไรของพี่นี่ครับ” ผมตอบ


“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”


พี่ซันถามขึ้นเสียงอ่อนลงกว่าเดิม ผมเม้มปาก ถามมาได้เนอะ


“พี่ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยครับ ผมอยากพักผ่อน” ผมตัดบท


“เฮ้ย มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน เรื่องเมื่อคืนกูขอโทษก็ได้ เมื่อไหร่จะหายโกรธวะ” พี่ซันถามขึ้นอย่างมีอารมณ์ ผมกรอกตาขึ้นฟ้าก่อนจะเค้นยิ้มกับตัวเอง


“พี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับว่าผมจะรู้สึกยังไง แค่นี้นะครับ” พูดจบผมก็กดตัดสายไปทันที พี่ซันโทรเข้ามาอีกรอบ ผมกดปิดเครื่องหนีแม่งเลย


ไอ้พี่บ้า!!


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมงัวเงียลุกขึ้นมาเปิดประตูห้อง หลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะอยู่หน้าห้อง เหลือบไปมองนาฬิกา หลับไปนานเหมือนกัน


“อื้อ ว่าไง” ผมเปิดประตูก่อนจะเห็นไบร์ทยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า


“อ้าว หลับอยู่เหรอ ไบร์ทนึกว่านั่งทำอะไรอยู่ซะอีก พอดีจะมาชวนไปกินข้าวข้างนอกอ่ะ วันนี้อยากกินอาหารญี่ปุ่น ไปห้างกัน” ไบร์ทเอ่ยชวน ผมเลิกคิ้ว


“คุณนายกลับมาแล้วเหรอ”


“ยัง...ไปกันสองคนนี่แหละ อีกยี่สิบนาทีเจอกันข้างล่างนะ” ไบร์ทตอบก่อนจะนัดเวลา แล้วเจ้าตัวก็วิ่งหายเข้าไปในห้องของตัวเอง ผมส่ายหัวยิ้มๆ แล้วเข้าไปล้างหน้าล้างตาพร้อมกับเปลี่ยนชุดใหม่ลงไปรอน้องข้างล่าง


“ปะ...พี่บีทส์” ผมหันไปหาไบร์ทที่เดินลงบันไดมา น้องใส่เสื้อยืดกับกางเกงผ้าสามส่วนสีเข้ม ส่วนผมก็ใส่คล้ายๆ น้องครับ ช่วงนี้บ้านเราอากาศร้อนไม่สงสารคนเดินดินกินข้าวแกงกันบ้างเลย


“ไปไง” ผมหันไปคว้ากระเป๋าเป้มาสะพายแล้วหันไปถามน้อง


“รถแท็กซี่แล้วกัน วันนี้ร้อนไบร์ทขี้เกียจขึ้นรถเมล์” น้องตอบหน้างอ ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกทั้งวันนี้ก็วันหยุดน่าจะมีคนใช้บริการรถสาธารณะเยอะ


“งั้นปะ”


ผมกับน้องเลยรวมใจกันขึ้นพี่วินแล้วไปโบกพี่แท็กซี่ต่อที่หน้าปากซอย อากาศก็ร้อนมากครับ เล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน กว่าจะได้ขึ้นพี่แท็กก็ปาไปครึ่งชั่วโมง ผมก็ไม่เข้าใจนะครับโบกพี่แท็กตั้งหลายคันกว่าจะมีคนใจดีรับเราขึ้นไปด้วย ส่วนใหญ่เห็นว่าระยะทางใกล้ๆ ก็พาลปฏิเสธผู้โดยสารกันหมด


นี่ขนาดไม่มีพี่ม๊อบแล้วนะครับ ยังปฏิเสธกันหน้าตาเฉย บอกจะรีบเอารถไปคืนบ้างล่ะ พี่จะกลับบ้านแต่มันคนละทางกับที่น้องจะไปบ้างล่ะ ฮ่วย! อย่าให้ถอยป้ายแดงมาขับนะบ่องตง!


“โอ๊ะ แป๊บนึงพี่บีทส์” ผมชะงักก่อนจะหันไปเลิกคิ้วให้น้อง ไบร์ทหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดรับ หลังจากที่เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่น


“เออว่าไง” ไบร์ทกดรับ ส่วนโทรศัพท์ของผมเหรอครับ ทุกคนไม่ต้องห่วงครับไม่ได้โดนล้วงหรือหล่นหายไปไหนแต่อย่างใด ตอนนี้กำลังนอนชาร์ตแบตอยู่ในห้องนอนผมนั่นแหละ


“อยู่ห้าง” ไบร์ทตอบปลายสาย ผมเลิกคิ้ว มีโทรเช็คกันด้วย


“ไม่ต้อง! เข้าเวรไม่ใช่ไง๊ อย่าลืมนะว่าเราตกลงอะไรกันไว้ โอเค้?” ไบร์ทตอบกลับเสียงฉุน


“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ต้อง...ฮะ...ยังไม่ได้กินข้าว แล้วไม่หาแดกล่ะ พยาบาลก็มีเยอะแยะ ใช้ไปสักคนสิ เออ...มีเลขาแล้วนี่ ปากมีก็บอกเขาสิ พอๆ ไม่อยากฟัง แค่นี้นะ” ไบร์ทกดวางสายด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้าที่แล้วหันมาพยักหน้าให้ผมเดินต่อ


“ใครโทรมาเหรอ” ผมหันไปถาม


ไบร์ททำหน้าปะหลับปะเหลือกเหมือนไม่อยากบอก


“ความลับ?”


“ก็ไม่ได้ลับหรอก พี่บีทส์ก็รู้ว่าไบร์ทชอบใคร แต่ไม่รู้ดิ...ไบร์ทว่าช่วงนี้ไบร์ทไม่ค่อยรู้สึกอะไรเวลาเห็นแจนไปคุยกับคนอื่นแล้ว แต่ไบร์ทก็ยังไม่กล้าฟันธงความรู้สึกของไบร์ทหรอก...เร็วเกินไป”


ไบร์ทหันมาพูดกับผม ผมพยักหน้ารับ ผมเข้าใจที่น้องจะสื่อนะครับ ก็กิตติศัพท์ไอ้พี่หมอน้อยซะที่ไหน อีกอย่างผมมั่นใจว่าน้องผมจะไม่มีวันลุกขึ้นมาใส่กระโปรงอย่างแน่นอน ที่ผมห่วงคือไอ้พี่หมอซะอีก คิดยังไงถึงมาจีบทอมวะ กูละงง


“พี่เข้าใจ ไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก” ผมพูดปลอบแล้วตบบ่าน้อง ไบร์ทหันมายิ้มให้ผมก่อนจะจูงมือผมเดินเข้าไปยืนต่อคิวอยู่หน้าร้านอาหาร


“อ้าวบีทส์ ใช่จริงๆ ด้วย” ผมหันไปตามเสียงเรียกเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกชื่อตัวเอง ก่อนจะปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อหันไปเจอเข้าของเสียงที่ยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า


“สวัสดีครับพี่ฟ้า” ผมรีบยกมือไหว้ ไบร์ทเลยยกมือไหว้ตาม น้องเคยเจอพี่ฟ้าแล้วครับ ตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลตอนนั้น อืม...พี่ซันก็ด้วย


“บังเอิญจังเลย เห็นมั้ยคะพี่ซัน ฟ้าบอกแล้วว่าเป็นบีทส์จริงๆ” พี่ฟ้าพูดกับผม ก่อนจะหันไปต่อว่าพี่ซันขำๆ พี่มันหันมามองหน้าผมก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง


นั่นสิครับอะไรจะโคตรบังเอิญขนาดนี้


“มีอะไรกันเหรอครับ” ผมถามพี่ฟ้ากลับยิ้มๆ


“ก็พี่ซันน่ะสิ พี่บอกว่านั่นน่ะบีทส์ แต่พี่ซันบอกว่าไม่ใช่แถมยังจะลากพี่ไปอีกทาง พี่เลยวิ่งมาดูให้แน่ใจไง” พี่ฟ้าตอบยิ้มๆ


“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวนะฮะ” ไบร์ทเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งคล้องแขนผมออกแรงกึ่งลากกึ่งจูง ผมยิ้มแหยๆ ให้พี่ฟ้า แล้วโค้งให้อย่างขอโทษ


“เดี๋ยวสิคะพี่ว่าไหนๆ เราก็เจอกันแล้ว ไปด้วยกันเลยดีมั้ย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่ฟ้าร้องเรียก แล้ววิ่งมาคว้าแขนที่ว่างของผมไว้พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ้อนๆ


ผมทำหน้าลำบากใจ “เราไม่กวนดีกว่า พวกพี่ไปกินกันเถอะครับ”


“นั่นสิน้องฟ้า พี่ว่าอย่าไปกวนพวกน้องๆ เขาเลยดีกว่า” พี่ซันออกความเห็น ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายพี่ฟ้า


“ให้พี่เลี้ยงข้าวมื้อนี้นะ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว” พี่ฟ้าพูดเสียงอ้อนพร้อมกับเขย่าแขนผมไปด้วย


“เป็นอันตกลงนะคะ...ไปบีทส์ วันนี้มีเมนูใหม่เข้ามาด้วย พี่รู้ว่าบีทส์ต้องชอบ!” ผมยิ้มเหวอ เมื่อพี่ฟ้าลากแขนผม เดินนำเข้าร้านไปด้วยรอยยิ้ม ผมแอบถอนหายใจเบาๆ


กูเกลียดโรคปฏิเสธคนไม่เป็นจริงๆ เลย


“ทานนี่สิ” พี่ซันตักเนื้อมาให้ผม ผมเหลือบมองเนื้อปลาที่พี่ซันตักมาไว้ในจาน แล้วตักกินข้าวปั้นในจานก่อน เหลือของพี่ซันไว้กินตอนท้าย


พี่ซันคอยดูแลพี่ฟ้าอยู่ไม่ห่าง ไบร์ทนั่งกินอาหารไปเงียบๆ ใบหน้าสวยค่อนไปทางหล่อบูดบึ้ง แต่ก็อดทนนั่งกินโดยไม่พูดอะไร พลางหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดเล่นเป็นพักๆ ผมสังเกตเห็นว่าน้องกำลังคุยกับเดอะแก๊งอยู่ แต่ถ้าให้เดาอีกคนที่ไม่พลาดก็น่าจะเป็นพี่หมอ


“ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วเรา” พี่ฟ้าเป็นฝ่ายเปิดประเด็น พร้อมกับคอยตักอาหารส่งให้พี่ซัน ผมหันไปยิ้มแหยๆ


“ยังไม่เริ่มเลยครับ แต่เห็นพวกไอ้นัทบอกว่าจะนัดติวก่อนสอบ ผมมันพวกความจำไม่ค่อยดีอ่ะครับพี่ฟ้า ติวก่อนอาจจะลืมก่อน” ผมตอบขำๆ ได้ยินเสียงพี่ซันแอบขำในลำคอ ผมตวัดสายตาดุๆ ไป พี่ซันเลยเบือนหน้าอมยิ้มไปอีกทาง


“มีอะไรไม่เข้าใจโทรหาพี่ได้ตลอดเลยนะ ความรู้ตอนปีหนึ่งพี่ยังพอจำได้” พี่ฟ้าพูด พลางตักอาหารเข้าปาก ผมซ่อนรอยยิ้มไว้เมื่อเห็นท่าทางของพี่ฟ้า ไม่แปลกใจที่ใครๆ ก็ต่างตกหลุมรักเธอ


ยิก ยิก


ผมหันไปตามแรงสะกิดข้างๆ


“พี่บีทส์อิ่มยัง” ไบร์ทกระซิบถาม ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะสบตากับพี่ซันที่มองมาพอดี


“งั้นไปเหอะ” ไบร์ทกระซิบชวน


ผมหันไปหาพี่ฟ้า “เอ่อ...พี่ฟ้าครับ พอดีพวกผมต้องไปธุระต่อ คงต้องขอตัวไปก่อนนะครับ”


พี่ฟ้าพยักหน้ารับ “เจอกันที่คณะนะ”


“ครับ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะครับ อร่อยมาก” ผมยกมือไหว้แล้วขอตัวออกมา


“ไปกินไอติมกันมั้ยพี่บีทส์” ไบร์ทเอ่ยชวนในขณะที่เราเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่น ผมพยักหน้ารับ ก่อนไบร์ทจะเป็นฝ่ายเดินนำผมเข้าไปในร้านสเวนเซ่น


“สองคนฮะ” ไบร์ทหันไปคุยกับพนักงานในร้าน ก่อนจะพยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปนั่ง สั่งไอติมของโปรดทั้งของตัวเองและของผมให้เสร็จสรรพ


“ไบร์ทถามจริงๆ นะพี่บีทส์ กับคนเมื่อกี้...มันยังไงกัน” ไบร์ทเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำถามของน้อง


“คนไหน”


“ผู้ชายคนเมื่อกี้ไง ที่เคยบุกมาหาพี่บีทส์ที่โรงพยาบาล ที่หน้าตากวนตีนๆ ขี้เก๊กๆ เมื่อกี้อ่ะ” ไบร์ทอธิบาย ทำให้ผมถึงบางอ้อ ผมเหลือบมองหน้าน้องพร้อมกับเคาะนิ้วกับโต๊ะ ไบร์ทมองหน้าผมด้วยความจริงจัง


“ก็ไม่มีอะไรนี่ เขาก็เป็นแฟนของพี่รหัสพี่ไง” ผมตอบ ก่อนจะยื่นมือไปรับเมนูโปรดจากพนักงานมาตักกินเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากมายกับคำถามน้อง แต่ในใจนี่เต้นตุบๆ เลยครับ


“แต่ไบร์ทว่าเขามองพี่บีทส์แปลกๆ”


“ยังไง”


“อืม...ไม่รู้สิ มันไม่เหมือนกับตอนนั้น มันดูแบบ...อยากคุยด้วย อื้ม เหมือนเป็นห่วง อยากเคลียร์อะไรแบบเนี้ย”


“แค่ก...” โอย ไอติมติดคอ ผมสำลัก ไบร์ทลนลานรีบยื่นทิชชู่กับน้ำเปล่ามาให้  ผมรับมาก่อนจะเช็ดไอติมที่เลอะขอบปากแล้วดื่มน้ำตาม


“คิดไปถึงไหน”


“จริงๆ นะพี่บีทส์ ไม่งั้นไบร์ทจะถามพี่บีทส์เหรอ มันไม่เหมือนสายตาที่เขาใช้มองแฟนเขาอ่ะ” ไบร์ทพูดต่อด้วยความสงสัย


ผมส่ายหัว “มันไม่มีอะไรหรอกน่า คิดมาก” ผมพยายามตัดบทให้น้องเลิกถาม ถ้าไบร์ทรู้ว่าผมกับพี่ซันมีซัมติงกัน ต้องแย่แน่


“ขอให้มันเป็นแค่สิ่งที่ไบร์ทคิดเหอะพี่บีทส์ เพราะถ้าพี่บีทส์ชอบเขาจริงๆ มันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ” ไบร์ทพูดขำๆ แล้วก้มลงกินไอติมของตัวเอง ผมเงียบไม่พูดอะไร ก้มทานไอติมของตัวเองต่อเหมือนกัน หลังจากนั้นบทสนทนาของเราก็เงียบไป


ต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง...


“พี่บีทส์กลับเองได้แน่นะ” ไบร์ทถามย้ำ เพราะเราแยกกันกลับ


ไบร์ทบอกว่าต้องไปจัดการธุระกับเดอะแก๊งที่กำลังเดินทางมาที่นี่ ผมเลยขอแยกกับน้องที่หน้าห้าง เพราะอยากกลับไปนอนที่บ้านมากกว่า


“ไอ้นี่ พี่โตแล้วนะ” ผมว่าขำๆ ก่อนกระชับเป้ตัวเอง


“เผื่อใครมาฉุดไปจะทำไง เดี๋ยวนี้สังคมมันอยู่ยากนะพี่” ไบร์ททำเสียงทะเล้น ผมหัวเราะ


“บ้าน่า ดูหนังเยอะเกินไปแล้ว ส่งพี่แค่นี้แหละเดี๋ยวพี่เดินไปขึ้นรถเอง” ผมตอบแล้วดันหลังน้องให้กลับเข้าไปในห้างพร้อมกับยืนโบกมือส่ง


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 18 : ฉันที่เผลอตัวหรือเธอที่เผลอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 20-07-2018 16:54:34
[ต่อ]



“เฮ้อ...เซ็งว่ะ” ผมบ่นกับตัวเอง ก่อนจะหันหลังเตรียมเดินออกไปยังป้ายรถเมล์หน้าห้าง วันหยุดแบบนี้คนมาเดินห้างกันเยอะมากครับ คงมาพึ่งแอร์ฟรีในห้างแบบผมกัน


ร้อนชะมัด...


หมับ!


“เฮ้ย!!” ผมหันไปร้องอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆ มือข้างขวาก็ถูกดึงเอาไว้ ก่อนจะเบิกตากว้าง เมื่อเห็นใบหน้าหงุดหงิดของคนตัวสูงกว่า


“ตกใจอะไรนักหนา”


พี่ซันว่าแค่นั้นก่อนจะฉุดแขนผมไปอีกทาง ผมขืนตัวเองไว้โดยอัตโนมัติ


“ปล่อย!!” ผมร้องบอก พยายามแกะมือพี่ซันออก คนเริ่มมองเราทั้งคู่ด้วยความแปลกใจ แต่พี่ซันมันไม่สนใจอะไรเลยครับ


“ไปคุยกันหน่อย” พี่ซันหันมาสั่งหน้าดุ ผมเม้มปากส่ายหัว


“ไม่!” ผมร้องบอกแต่ก็ต้องก้าวไวๆ ตามแรงลากของพี่ซัน


พี่ซันลากผมไปตรงบริเวณที่จอดรถแท็กซี่ก่อนจะยัดผมเข้าไปในรถแล้วรีบก้าวตามขึ้นมาปิดประตูทันที


“อย่าดื้อ!! ไปสุขุมวิทซอยยี่สิบสี่” พี่ซันดุพร้อมกับหันไปบอกคนขับรถ ผมทำหน้าเหวี่ยง พยายามเปิดประตูอีกด้านเพื่อหนีออกไป แต่พี่มันดันรู้ทัน พี่ซันจับสะโพกผมไว้ทั้งสองข้างก่อนจะยกผมขึ้นมานั่งที่ตักตัวเอง ทำให้หัวผมโขกกับหลังคารถ จนผมต้องปล่อยมือจากประตูรถมากุมหัวตัวเอง


“เจ็บมั้ยน่ะ” พี่ซันว่าเสียงกลั้นขำ ใช้สองมือกอดเอวผมไว้ ผมฮึดฮัด ก่อนจะนึกได้ว่าตอนนี้ดันลงเรือมากับพี่มันแล้วเรียบร้อย หาทางเผ่นสิครับ


“พี่ครับช่วยผมด้วย ไอ้พี่คนนี้เขาบังคับผมมา!!” ผมพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพี่คนขับ พี่เขามองผมผ่านกระจกหลังก่อนจะทำหน้าตกใจ พี่ซันรีบเอามือมาอุดปากผมไว้ ผมได้แต่ร้องอื้อๆ แล้วดิ้นอย่างไม่ยอม


“ไอ้ดื้อ! ขับต่อไปเลยพี่ พอดีเมียผมเขางอนที่ผมไม่ยอมซื้อของที่เขาอยากได้ให้ เด็กน้อยชะมัด ฮ่ะๆ” พี่ซันหันไปพูดกับคนขับเสียงกลั้นขำ ดูก็รู้ว่าพี่มันกำลังสะตอ แง๊... ผมร้องผ่านลำคอ อย่าไปฟังไอ้พี่บ้านี่นะเว้ย!!


“อื้อ! อ่อยอ่มอ๊ะ!!!” ผมพยายามร้อง พี่ซันหันมามองผมหน้าดุ แม่งน่ากลัวว่ะ ผมพยายามไม่สบตาก่อนจะหันไปขอร้องพี่คนขับที่หันมามองผมเป็นระยะ


“พี่ซัน!!” ผมร้องตกใจเมื่อพี่ซันพลิกตัวผมให้หันหน้าไปหาพี่มันแทน


พี่ซันยิ้ม ส่งเสียงขู่รอดไรฟัน “ถ้ายังไม่นั่งนิ่งๆ อย่าหาว่ากูไม่เตือนนะ” 


ผมกัดริมฝีปากล่างมองหน้าพี่มันเขม็ง


“พี่จะพาผมไปไหน พี่ไม่มีสิทธิ์มาบังคับผมนะ” ผมพยายามใช้เหตุผล


“กูมีสิทธิ์แน่ ต้องให้ย้ำมั้ยล่ะว่าสิทธิ์อะไร” พี่ซันตอกกลับมา


“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมเถียง พี่ซันยิ้มก่อนจะดึงตัวผมเข้าหาตัวเอง ผมรีบเอามือดันไหล่พี่มันไว้สองข้างทันที


“สงสัยมึงจะเป็นโรคขี้ลืม สองครั้งที่ผ่านมามันยังไม่ชัดเจนพอใช่มั้ย” พี่ซันตอบเสียงเหี้ยมเหมือนกำลังไม่พอใจ ผมแสร้งยิ้มแล้วทุบอกพี่มันดังอั๊ก


“ก็แค่เซ็กส์ นั่นไม่ได้แปลว่าผมเป็นอะไรกับพี่”


พี่ซันหุบยิ้ม หน้าแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ ผมแอบยิ้มในใจที่ได้ตอกกลับพี่มันบ้าง


“อื้ออ!!” ผมร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ พี่ซันก็จับหน้าผมเข้าไปจูบ ผมพยายามดันหน้าออกแต่พี่ซันกลับดึงท้ายทอยของผมไว้แถมยังบังคับให้ผมเอียงรับจูบอีกต่างหาก


พี่ซันพยายามจะสอดลิ้นเข้ามาในปากผม แต่ผมไม่ยอมกัดฟันไว้แน่น มือสองข้างก็ระดมทุบไปที่หน้าอกพี่ซัน


ผมเบิกตากว้างเมื่อพี่ซันเล่นตุกติกด้วยการล้วงมือที่ว่างเข้าไปในเสื้อผมก่อนจะใช้นิ้วบีบยอดอกจนผมเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บ นั่นเป็นสิ่งที่ผิดถนัดเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้พี่มันสอดลิ้นเข้ามาไล่ต้อนลิ้นของผม


พี่ซันพยายามจูบแล้วใช้มือบี้ยอดอกของผมไปด้วยจนผมกลั้นเสียงไว้ไม่อยู่
จากมือที่ทุบพี่มันอยู่ก็กลายเป็นต้องมาจับไหล่พี่มันเพื่อพยุงตัวเองแทน พี่ซันกดจูบย้ำๆ อีกครั้งก่อนจะผละออก


“เคลิ้มเชียว หึๆ อย่าไปทำหน้าแบบนี้กับใครนะ ไม่งั้นกูเอาตาย”


พี่ซันพูดยิ้มๆ แล้วยื่นมือมาดันหัวผมให้ซบไหล่ของตัวเอง ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ หัวใจผมเต้นแรงมากตอนเห็นรอยยิ้มพี่ซัน โอย เมา!!


“จอดหน้าบ้านธีรไชยบดินร์เลยพี่ ประตูสีขาวซ้ายมือ” พี่ซันเอ่ยปากบอกพี่คนขับแท็กซี่ ไอ้เชี่ยกูลืม!! ผมอยู่บนรถแท็กซี่ แล้วเมื่อกี้…


ไอ้ฉิบหาย!!!!!


ผมรีบดีดตัวออกจากตักพี่ซัน ก่อนจะค่อยๆ ไถลตัวเองลงไปนั่งเบาะด้านข้างแล้วกระเถิบไปชิดประตูอีกฝั่ง ไม่ลืมยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะ ‘หึๆ’ อยู่ข้างหู


“นี่ครับ...ที่เหลือไม่ต้องทอน” พี่ซันพูดกับพี่คนขับ


“ไม่ลงรึไง” พี่ซันพูด ผมยอมเปิดนิ้วชี้ออกเพื่อมองหน้าพี่ซัน ก่อนจะส่ายหัว


“ผมจะกลับบ้าน! ถึงจุดหมายของพี่แล้ว พี่ก็ลงไปเซ่!!”


“เฮ้อ ดื้อไม่เลิกสินะ” พี่ซันพูดขึ้นหน่ายๆ ผมกัดปากตัวเอง


พี่ซันเปิดประตูลงจากรถ ผมแอบใจเสีย แต่อีกใจหนึ่งก็โล่งใจ


ดีใจได้ไม่นาน ประตูฝั่งที่ผมนั่งอยู่ก็ถูกเปิดออก ผมรีบลดมือตัวเองลงก่อนจะหันไปมองผู้บุกรุก


“เฮ้ย!!!!!!!!” ผมร้องลั่นเมื่อโดนพี่ซันอุ้มขึ้นพาดบ่า ก่อนจะปิดประตูให้พี่แท็กซี่ ผมตั้งสติได้ก่อนจะแหกปากร้องเสียงดัง


“ปล่อยผมนะไอ้พี่บ้า!! ปล่อยโว้ย!!!”


“บอกให้ลงดีๆ ไม่ยอม กูก็ต้องอุ้ม นี่บ้านกูเองไม่ต้องกลัวว่ากูจะเอามึงไปขายน่า” พี่ซันพูด


“ฮึ่ย!! มันไม่ใช่แบบนั้น! สนุกนักหรือไงวะ ผมไม่สนุกด้วยนะ!!” ผมโวยวายเสียงดังเลยครับ ไม่องไม่อายมันแล้ว


เพี้ยะ!


“โอ๊ย! ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้พี่ซันซาดิสม์!!” ไอ้พี่ซันตีก้นผม ไม่แรงแต่เจ็บมากครับ


ไอ้เหี้ย เมื่อคืนก็เพิ่งโดนมานะเว้ย!! เจ็บน้ำตาเล็ด


“โทษที ยังเจ็บอยู่เหรอ” พี่ซันน้ำเสียงอ่อนลง ยอมปล่อยผมลงจากบ่า


แต่อุ้มต่อในท่าเจ้าสาว!!! หนีบผมไว้กับอก


“มาลองโดนเสียบดูบ้างมั้ยล่ะ!?” ผมแหวขึ้น ไม่กล้าดิ้นแรงเพราะกลัวตก พี่ซันยิ้มกริ่ม


“ไม่ล่ะ กูชอบเป็นคนเสียบมากกว่า” เขาก้มมองหน้าผม “โดยเฉพาะ...เสียบมึง” ตอบยิ้มๆ แล้วยักคิ้วให้ อ๊าก!! ไอ้ๆๆ ฮึ่ย คิดคำด่าไม่ทัน!!


“อ้าวคุณหนู” ผมหุบปากฉับ รีบซ่อนหน้าไว้กับอกพี่ซัน ผู้ชายอุ้มผู้ชายเข้าบ้าน สภาพมันไม่ได้น่าดูเลยนะครับพี่น้อง!!


“ครับนม” พี่ซันตอบรับ
   

“แล้วนั่น...ทำไมอุ้มเพื่อนแบบนั้นคะ หรือว่าเพื่อนไม่สบาย ให้นมเรียกเด็กในบ้านมาช่วยไหม”
   

“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเอง นมช่วยให้เด็กเตรียมรถไว้ให้ผมด้วยนะ พอดีรถผมให้น้องฟ้ายืมใช้” พี่ซันตอบกลับ ผมดิ้นเบาๆ ส่งสัญญาณให้พี่มันปล่อยผมลง จะอุ้มอีกนานไหมเฮ้ย!!
   

“อะไร ดิ้นทำไมไอ้ดื้อ” พี่ซันก้มหน้าถาม
   

ใครชื่อดื้อไม่ทราบ!! ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ซัน บ่งบอกความไม่พอใจ พี่ซันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมปล่อยผมลง
   

“ชื่อน่ารักจังค่ะคุณหนู” คุณนมพูด พลางมองผมยิ้มๆ
   

“ผมบีทส์ครับคุณป้า เอ่อ...เป็นรุ่นน้องของพี่ซัน” ผมยกมือไหว้คุณนมของพี่ซันก่อนจะรีบเอ่ยแนะนำตัวเอง
   

“โถ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียวค่ะ” คุณนมหันไปพูดกับพี่ซัน ผมยิ้มเขินๆ พี่ซันยกมือขึ้นมายีหัวผมแรงๆ
   

“ไม่ต้องแกล้งชมมันครับนม เดี๋ยวเด็กมันจะเหลิง”
   

“แหมคุณหนูก็...ไปเรียกน้องว่ามันได้ยังไงคะ ไม่น่ารักเลย” คุณนมว่าพี่ซันไม่จริงจัง ผมแอบขำ พี่ซันหันมามองหน้าดุ ผมเลยย่นจมูกใส่
   

“เดี๋ยวผมไปก่อนนะนม ต้องขึ้นไปเอาของ” พี่ซันเอ่ยตัดบท คุณนมพยักหน้ารับยิ้มๆ พี่ซันเลยลากแขนผมให้เดินตาม
   

“คุณหนูคะแล้วเย็นนี้จะกลับมาทานอาหารที่บ้านหรือเปล่าคะ คุณพ่อกับคุณแม่ถามถึงคุณหนู นมก็ไม่รู้จะตอบคุณท่านเขาว่ายังไง”
   

พี่ซันชะงัก ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคุณนม
   

“ฝากบอกพวกเขาด้วยนะครับว่าผมยังสบายดี” พูดจบก็ลากแขนผมต่อ
   

“แล้วจะลากทำไมเล่า” ผมเอ็ดเบาๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามพี่มันขึ้นบันไดไปชั้นบน
   

“เฮ้ย!! ลากเข้าห้องคิดอะไรปะเนี่ย!!”
   

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องของพี่ซัน
   

พี่ซันหันมาเลิกคิ้ว “คิดอะไรของมึง”
   

ผมสะบัดมือพี่มันออก “ก็เนี่ย! อยู่ดีๆ ลากผมออกมา แถมยังพามาที่บ้าน ยัง! ยังไม่พอ ยังจะลากผมเข้าห้องนอนอีก!!”
   

“คิดเรื่องทะลึ่งอยู่ล่ะสิ” พี่ซันหัวเราะ ก่อนจะเขกหัวผม “กูแค่จะมาเอาเสื้อผ้า”


“ที่คอนโดพี่ก็มี แล้วจะพาผมมาด้วยทำไม” ผมถาม


“ถามเยอะว่ะ สมองก็มีทำไมไม่คิด ถ้ากูจะกลับคอนโดจะแวะมาเอาเสื้อผ้าเพื่อ?” พี่ซันยืนท้าวเอวอยู่ในห้อง ส่วนผมยืนอยู่หน้าห้อง มีประตูห้องคั่นอยู่ตรงกลางทำหน้าที่เป็นกรรมการ


“แล้วพี่จะไปไหน”


“เดี๋ยวก็รู้” พี่ซันตัดบท ก่อนจะกระชากเอวผมเข้าห้องนอนตัวเอง


“พี่ซัน!” ผมดิ้นโวยวาย ก่อนจะโดนพี่ซันเหวี่ยงลงเตียง จิตตกสิครับพี่น้อง ผมถอยร่นไปอีกฝั่งทันที


“ห้ามลงจากเตียงนะมึง” พี่ซันขู่


“ถ้าผมลง พี่จะทำไม”


“กูก็จะทำให้มึงเดินไม่ได้ไปอีกหลายวัน จะลองดูมั้ย” พี่ซันยิ้มหื่นสื่อความหมาย


“แล้วมันจะต่างอะไรกับที่ผมรออยู่บนเตียงนี่เล่า!!?” ผมโวยวายเตรียมลุกหนี พี่ซันเดินมาขวาง


“กูสัญญาว่าถ้ามึงอยู่เฉยๆ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอกูแค่แป๊บเดียว ทำได้หรือเปล่า” ผมมองหน้าพี่ซัน เขามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมเม้มปากทำท่าคิด ก่อนจะยอมคลานถอยหลังไปนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียงนอนของพี่ซัน


“ไอ้คนเผด็จการ”


พี่ซันชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ ก่อนจะเดินหายเข้าไปอีกห้อง


ผมนั่งอยู่บนเตียงพยายามมองหาทางหนีที่ไล่รอบๆ ห้อง ก่อนสายตาจะไปป๊ะเข้ากับโทรศัพท์บ้านของพี่ซันที่วางอยู่ตรงหัวเตียง ผมรอจังหวะ เหลือบมองไปยังทางที่พี่ซันเดินหายไป เมื่อเห็นว่าทางโล่งจึงค่อยๆ คลานไปหาเป้าหมาย ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู


พยายามเค้นสมองนึกเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนที่รู้จัก ใครก็ได้...


ไอ้ฉิบหาย...จำได้แต่เบอร์ตัวเอง!!


ผมยกมือขึ้นตบหน้าผาก รู้งี้หยิบน้องโฟนมาด้วยก็ดี


เพิ่งเห็นข้อเสียของเทคโนโลยีก็ตอนนี้ สะดวกก็เพราะมีมัน แต่พอไม่มีมันเหมือนคนขาดแขนขาดขา


“โทรหาใคร” เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมค่อยๆ หันไปทางต้นเสียงแบบสโลวโมชั่น เห็นพี่ซันยืนอยู่ข้างๆ


มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?


“เฮ้ยพี่!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อพี่ซันแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปวางกระแทกลงที่เดิม อ๊าก เบาๆ! เดี๋ยวมันพัง พี่ซันมองหน้าผมสลับกับโทรศัพท์ ก่อนที่เขาจะก้มกระชากสายโทรศัพท์ออก


พี่ซันเสยผมหงุดหงิดก่อนจะก้าวขึ้นมาบนเตียง ผมถอยร่นไปจนชิดหัวเตียง พี่ซันตามคว้าหมับเข้าที่ไหล่ผม ผมกลัวเลยเบี่ยงหน้าหนีไม่กล้าสบตากับพี่ซัน แต่เขากลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าผมเรื่อยๆ จนตัวผมที่พยายามเอนหนี นอนราบไปกับเตียง สองมือของพี่ซันคร่อมตัวผมเอาไว้ ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบ หัวใจผมเต้นรัว ไม่กล้าต่อปากต่อคำ


เมื่อเห็นผมเงียบ พี่ซันจึงเอ่ยปากขู่เสียงเย็นเฉียบ


“ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว...ขอเตือนว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ”


เขายื่นมือมาเขี่ยแก้มผม


“แต่ถ้าอยากเสียตัวตอนนี้เมื่อไหร่...ฤทธิ์เดชอะไรก็จัดมา”


พูดจบก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนหันหลังเดินกลับไปทางเดิม ฮือ...อยู่เฉยๆ มึงก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังจะตีหน้ายักษ์ใส่กูอีก โอ๊ย ไอ้บีทส์จะทำยังไงล่ะทีนี้!! มือถือก็นอนนิ่งอยู่ที่บ้าน จำเบอร์ใครก็ไม่ได้ แล้วจะติดต่อใครได้ยังไง


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 20-07-2018 19:54:32
ซันนิสัยเห็นแก่ตัวคือที่สุดจริงความสุขตัวเองต้องมาก่อนใครจะเป็นยังไงไม่สน เคยคิดถึงคนอื่นนอกจากตัวเองบ้างไหม หลายใจอีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-07-2018 20:19:04
 :fire:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-07-2018 21:40:02
คนอะไรเฮี่ยได้เสมอ ตั้งแต่ต้นยันท้าย สม่ำเสมอความเฮี่ยได้จริงๆ
ถ้าคนแต่งจะบอกว่า เฮี่ยซัน ไม่ใช่พระเอกหรอก

..เราจะเชื่อนะ..
หุหุ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-07-2018 22:10:36
ทำไมเราไม่ชอบซันเลย ขอพี่ไม้เป็นพระเอกแทนได้ปะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-07-2018 23:13:21
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 20-07-2018 23:42:27
ซัน ถ้ามันถึงวันที่สายไป จะโทษใครไม่ได้เลยนะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-07-2018 01:13:05
นอกจากจะเกลียดกับความโลเลเห็นแต่ได้ของซันแล้วก็เริ่มจะรำคาญบีทส์แล้วเหมือนกัน โดนเขาด่าว่าเสียๆหายๆมาตั้งเยอะทำไมยังไม่ตัดใจจริงๆสักที ทำเหมือนจะใจแข็งสุดท้ายก็อ่อนให้อยู่ดี ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอตอนนี้อิพี่ซันมันทำเหมือนบีทส์เป็นบำเรอนะ อยากเมื่อไหร่ก็มาหา บีทส์ควรเข้มแข็งกว่านี้อะ อิพี่ซันก็นิสัยเลวได้โล่อะ ตัวเองก็มีแฟนยังมาตามหึงหวงเขาอีก เป็นอะไรกันละหืม?ตัวเองยังบอกไม่ได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ความสัมพันธ์มันชวนคลุมเครืออยู่แบบนี้ก็ต้องโทษเพื่อนของแต่ละฝ่ายด้วยแหละ ไม่มีใครห้ามจริงๆจังๆเลย มีแต่ช่วยสนับสนุนซึ่งมันผิดมากนะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 21-07-2018 08:07:19
……


ซันเอาแต่ใจอ่ะ. รักเขาหวงเขาแล้วแสดงออกไม่เป็น

นี่ก็คงจะบุกไปนอนบ้านน้องเขาด้วยแน่เลย

น้องบีทส์ใจกล้าๆนะ.  ถ้าพี่ซันไม่ชัดเจน อย่ายอมเด็ดขาด

อ่ะ.   สงสารน้องบีทส์ โดนมัดมือชก

……


 :z10:  :z10:  :z10:  :z10:  :z10:  :z10:


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 19 : ฉุด
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-07-2018 08:57:59
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 23-07-2018 19:10:46

ตอนที่ 20 :: พี่น้อง ท้องติดกัน


[บีทส์]


ผมนั่งกอดเข่ารอพี่ซันอยู่บนเตียง


พี่ซันเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเป้ “ไปกันได้แล้ว”


ผมหันไปถาม “ไปไหนครับ”


“ถามอีกแล้ว ช่วยอยู่นิ่งๆ แล้วทำตามดีๆ หน่อยจะได้มั้ยวะ” พี่ซันทำหน้าเบื่อหน่าย เดินมาคว้าแขนผมให้ลงจากเตียง


“เจ็บ” ผมท้วง


พี่ซันหยุดเดิน ก่อนจะหันมามองหน้าผม ผมรีบหุบปาก


“ถ้าไม่อยากให้กูทำรุนแรงก็ทำตัวให้มันดีๆ แค่เชื่อฟังและทำตาม แค่นี้ทำได้มั้ย” พี่ซันถาม ผมกระพริบตาปริบๆ
   

“หึ เอาเถอะ...แค่อยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งถามอะไรก็พอ”
   

ผมจับชายเสื้อพี่ซันไว้แล้วขยับปากเถียงเสียงเบา “แต่ผมมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอ ผมก็เป็นคนนะ มีชีวิต มีหัวใจ ผมพูดรู้เรื่อง”
   

พี่ซันถอนหายใจก่อนจะยอมพูด “กูแค่จะพาที่ที่หนึ่ง แล้วไม่ต้องถามว่าที่ไหนและทำไม ถึงเวลากูจะเป็นคนบอกเอง”  ผมทำตาโต


“แล้วที่เตรียมเสื้อผ้าไปด้วย พี่จะพาผมไปกี่วัน วันจันทร์ผมมีเรียนนะ”


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กูพามึงไปเรียนทันแน่ หมดคำถามหรือยัง จะได้ไปกันสักที” พี่ซันเลิกคิ้วถาม ผมทำท่าคิดหนัก
สัมผัสอบอุ่นที่หัวทำให้ผมต้องเงยหน้ามองพี่ซันอึ้งๆ


พี่ซันมองหน้าผมแล้วพูดเสียงจริงจัง “กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรมึงเลย...ถ้ามึงไม่อนุญาต” ผมหลบสายตาคู่นั้น ไม่เข้าใจพี่ซันเลยสักนิด ถ้าไม่ชอบผมแล้วจะมายุ่งกับผมอีกทำไม จิตใจเขาทำด้วยอะไร ตัวเองก็มีพี่ฟ้าอยู่แล้ว


อยากถาม...แต่กลัวพี่มันไม่ตอบ


“ถ้าผมปฏิเสธ พี่จะยอมปล่อยผมไปมั้ย” ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไป


“ไม่”


พี่ซันตอบกลับมาในทันที ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเบือนหน้าหนีเป็นการยุติบทสนทนา

“ซื้ออะไรหน่อยมั้ย?”


พี่ซันสะกิดแขนผมให้ตื่นแล้วถาม ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ปั๊มขนาดใหญ่สัญลักษณ์รูปดอกบัวมีวงกลมสีแดงตรงกลาง พี่มันคงจอดพักเพื่อเติมน้ำมัน


ระหว่างเดินทาง มันทำให้ผมได้มีเวลาคิด ตัวผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่มันจะทำอะไร ถ้าการคุยกันครั้งนี้สามารถเคลียร์ทุกอย่างให้มันเข้าที่เข้าทางได้ ก็คุ้มกับการลองเสี่ยง


ผมรู้ว่าการที่เรามีอะไรกัน มันเป็นอะไรที่ดูจะผิดขั้นตอนและผิดศีลธรรมไปสักหน่อย ถ้าเกิดพี่ซันจะขอยุติความสัมพันธ์กับผมโดยการพามาเที่ยวชดเชยแล้วบอกเลิก ผมก็จะได้รีบตัดใจ...


ก่อนที่พวกเราจะออกมา ผมขอร้องให้พี่ซันโทรหาพี่อาร์ตและขอคุยเป็นการส่วนตัวเพราะผมรู้ว่าพี่อาร์ตน่าจะติดต่อกับไบร์ทได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่พี่ซันก็ไม่ยอม


‘ถ้าจะคุยก็เปิดลำโพง ไม่งั้นก็ไม่ต้องคุย’


นี่เป็นคำพูดของพี่มัน บอกตามตรงนะครับ วันนี้ผมเหนื่อยจนไม่อยากจะทำอะไรเลย ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนล่วงเลยจนมาถึงตอนเช้า
เหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่เราไปเจอกันที่ห้าง


ที่หนักสุดคือเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่ผมถูกพี่มันลากขึ้นรถมาด้วย รวมเวลากว่าสองชั่วโมง


ผมแสร้งหลับตั้งแต่ก้าวขึ้นรถมา จนถึงที่ปั้มนั่นแหละครับ


“ไม่ครับ”


ผมตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนถามแล้วแกล้งข่มตาหลับต่อ พี่ซันไม่ได้พูดอะไร แต่ผมได้ยินเสียงเปิดประตูรถลงไปโดยที่ยังติดเครื่องไว้อยู่


พี่ซันหายไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะกลับมา ผมยังแกล้งหลับอยู่อย่างนั้นเพราะยังไม่อยากสนทนากับพี่มันตอนนี้


“ตื่นมากินอะไรหน่อยบีทส์ นี่มันจะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว” พี่ซันสะกิดแขนผมเบาๆ แล้วเอ่ยเรียก ผมยังหลับตานิ่งไม่ขยับ


“ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็หยิบเอาได้ที่เบาะหลัง กูซื้อมาหลายอย่างไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไรบ้าง” พี่ซันพูดต่อ ผมเม้มปากจะไปรู้ได้ยังไงพี่เคยสนใจผมซะที่ไหนล่ะ


โครกกกกก~


ไอ้กระเพาะทรยศ!!


“หึๆ ลุกขึ้นมากินเถอะ รองท้องไว้ก่อน ไว้ถึงเมื่อไหร่กูจะพาไปกินอะไรที่มันอร่อยกว่านี้” พี่ซันยั่วน้ำลาย ผมกัดปากฉับ ค่อยๆ ลืมตา เหลือบมองพี่ซันที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ ด้วยหางตา


พี่ซันเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมมายื่นให้ผม “รับไปสิ” ผมรับมาก่อนจะมองลงไปในถุงเซเว่น นมช็อกโกแลต ขนมปัง เลย์รสสาหร่ายที่ผมชอบ แต่เดี๋ยวนะนี่พี่มันเหมามาทั้งเซเว่นเลยหรือเปล่าวะเนี่ย!?


นมมีทุกรส ขนมปังมีทุกยี่ห้อ ยิ่งเลย์นะครับครบทุกรส!!


ผมนั่งแกะเลย์กินเงียบๆ ดูดนมไปด้วย ก่อนจะชำเลืองมองพี่ซันที่ขับรถอยู่ เบนหน้าหันไปมองนอกหน้าต่างแล้วสะดุดกับป้ายข้างทาง ‘จังหวัดประจวบคีรีขันธ์’ ผมหันไปมองพี่ซันอีกครั้งก่อนจะแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปมองวิวข้างทางอีก


ชวนหรือไม่ชวนดี…


“ฟังเพลงหน่อยมั้ย” พี่ซันถามขึ้น ผมทำปากยื่นแล้วส่ายหัว
   

ไอ้บีทส์มึงจะไปสนใจทำไมวะ ‘คนใจร้ายใจดำแบบนั้น!’ ความคิดด้านมืดก่อตัวขึ้น ‘แต่เขาขับรถมานานแล้วนะเหว่ย ป้อนน้ำเขาหน่อยก็ยังดี’ ความคิดด้านสว่างดังแทรกเข้ามาอีก ฮ่วย!! เวลาต้องการความคิดเห็นแบบนี้เสือกคิดไม่ตรงกันอีก ไม่ได้เรื่อง!


“เป็นอะไร”


“เปล่าครับ”


แล้วเราสองคนก็ต่างคนต่างเงียบ


“เฮ้ยพี่ ทะเล!!!” ผมร้องบอกพี่ซันเสียงหลงเมื่อเริ่มมองเห็นทะเลกว้างปรากฏอยู่ทางซ้ายมือฝั่งผมพอดี


“ตื่นเต้นอะไร ทำอย่างกับไม่เคยเจอทะเล”


ผมเบ๋ปากแล้วหันไปมองทะเลตาเป็นประกาย ไม่เจอทะเลมานานแค่ไหนแล้ววะกู สรุปคือที่ที่พี่มันจะพาผมมาก็คือทะเลใช่ไหมครับ โคตรถูกใจเลย


พี่ซันขับรถไปตามเส้นทางเรื่อยๆ


ผมเริ่มสังเกตเห็นโรงแรมที่ตั้งเรียงรายอยู่ในตัวเมือง บางแห่งก็ทำเป็นเหมือนคอนโดที่กรุงเทพนะครับ บางที่ก็คล้ายบ้านพัดทางฝั่งยุโรปออกไปทางแนววินเทจ สวยมาก


“สวยมั้ย” พี่ซันถามขึ้นลอยๆ หลังจากขับรถเข้าบริเวณที่มีชายหาดสีขาวปรากฏต่อสายตา ข้างๆ ชายหาดมีโต๊ะคอยให้บริการนักท่องเที่ยววางอยู่เรียงรายแต่ไม่มากเกินไปจนทำให้เสียบรรยากาศ คนเล่นน้ำก็ไม่เยอะนะครับ ที่สำคัญน้ำทะเลเป็นสีฟ้าเลย น่าเล่นมาก


“ก็...งั้นๆ”


ผมตอบเหมือนไม่สนใจ แต่มองชายหาดจนลับตา จึงกลับมานั่งกินขนมเหมือนเดิม


“เฮ้ยพี่ มีเครื่องบินด้วย” ผมถามพี่ซันเสียงตื่นเต้นเมื่อพี่ซันกำลังขับผ่านป้อมยามที่มีเครื่องบินหลายลำวางอยู่เรียงราย แต่ละลำสวยคลาสสิกมากครับ มันใช่ที่จอดเครื่องบินไหมวะ ทำไมไม่มีลานจอด


“สัส! หัดดูป้ายบ้างสิวะ กองบินห้า กองทัพอากาศ” พี่ซันพูดกลั้วเสียงหัวเราะ  ผมเลิกคิ้วก่อนจะมองหาป้ายที่ว่าจนเหลียวหลัง
ไหนวะ…


 โอ๊ะ จริงด้วย!


“ก็ป้ายมันอยู่ข้างบนอ่ะ” ผมเถียงเบาๆ กันตัวเองหน้าแตก โดยไม่หันไปมองพี่ซันอีก ต้องแอบยิ้มอยู่แน่ๆ!


‘ยินดีต้อนรับสู่อ่าวมะนาว’


ผมเลิกคิ้ว มองป้ายต้อนรับที่ตั้งอยู่ อ่าวมะนาวเหรอ…เพิ่งเคยได้ยิน ยังมีอ่าวมะกรูด มะพร้าว ส้มโออีกหรือเปล่า ทะเลที่คนไทยอย่างผมไม่รู้จัก


พี่ซันขับรถมุ่งหน้าไปตามถนน สองข้างทางเป็นต้นมะพร้าว ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินะครับ เพราะแม่งโคตรไม่เป็นระเบียบเลย ผมพยายามสังเกตรีสอร์ทแต่ละที่ที่คาดว่าพี่ซันจะเลี้ยวเข้าและคอยชำเลืองท่าทีพี่ซันไปด้วย แต่ผ่านไปไม่รู้กี่สิบรีสอร์ทก็ไม่มีทีท่าว่าพี่ซันจะจอดแวะ จนผมหมดอารมณ์ที่จะลุ้น


“ข้างหน้านั่นบ้านพักของครอบครัวกูเอง” พี่ซันเอ่ยบอกผมก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในบ้านพักหลังหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองยังทิศทางนั้นทันที


ผมเริ่มตื่นตัวเมื่อรถพี่ซันค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้บ้านพัก ก่อนจะค่อยๆ เลี้ยวเข้าไปจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่


คือทุกคนครับ...เอาจริงๆ นะ


ผมเพิ่งเห็นข้อดีของการมีคนรู้จักเป็นคนรวยก็วันนี้ บ้านหลังนี้มันสวยมากๆ ครับ อย่างกับบ้านในฝันเลย


“ลงมาสิ” พี่ซันเปิดประตูรถลงไป แล้วอ้อมมาเคาะประตูฝั่งที่ผมนั่ง


“ดื้อ” พี่ซันเรียกย้ำ ผมขมวดคิ้ว


“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้พี่เรียกผมว่าอะไรนะ” ผมเปิดประตูรถลงไปโดยไม่ลืมถุงขนมของตัวเอง เหมือนผมจะได้ยินชื่อนี้บ่อยขึ้นนะ


“กูก็เรียกชื่อมึงไง แล้วนั่นจะเอาลงมาด้วยทำไม” พี่ซันตอบแล้วมองไปที่ถุงขนมพะรุงพะรังในมือผม


“ก็…” ผมกำลังจะเอ่ยปากค้านสิ่งที่ตัวเองได้ยิน


“สวัสดีค่ะคุณซัน” ผมกับพี่ซันหันไปตามเสียงเรียก เป็นผู้หญิงวัยกลางคน ดูจากชุดแล้ว ป้าเขาน่าจะเป็นคนดูแลที่นี่


“อืม...เตรียมของไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” พี่ซันตอบรับในลำคอ แล้วเอ่ยถามต่อ


“เรียบร้อยดีค่ะ แล้วคุณซันจะมาอยู่กี่วันคะ ป้าจะได้บอกเด็กให้อยู่ดูแลได้ แล้วนี่เพื่อนใหม่หรือคะ” คุณป้าแม่บ้านถามพี่ซันต่อด้วยกิริยานอบน้อม แล้วหันมาทางผมในท้ายประโยค ผมยิ้มตอบน้อยๆ พี่ซันหันมามองหน้าผมก่อนจะหันกลับไปทางคุณป้าแม่บ้านอีกครั้ง


“ไม่ต้อง บอกให้ทุกคนออกไปให้หมดในระหว่างที่ฉันอยู่ เรื่องนี้ไม่ต้องรายงานใครเพราะฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” พี่ซันพูดสั่ง ก่อนจะเน้นยำในท้ายประโยคเสียงเรียบ ผมแอบกลืนน้ำลาย ไอ้โหด ไอ้ร็อคไวเลอร์!


“ทราบแล้วค่ะ” คุณป้าแม่บ้านรับคำ


“เข้าใจแล้วก็ไปสิ” พี่ซันเอ่ยไล่ออกมาตรงๆ จนผมต้องยื่นมือไปสะกิดแขนเขาแล้วแอบกระซิบ “พูดกับป้าเขาดีๆ หน่อยสิ”


พี่ซันหันมามองตาดุ ก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้ใบหน้าของผม “กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกัน...แค่กูกับมึงเท่านั้น” ผมย่นคอหนี ผลักอกพี่มันออก


“อย่ามาฉวยโอกาสนะโว้ย” ผมแหวเข้าให้


พี่ซันหัวเราะเบาๆ


“โทษที...มันลืมตัว”


พูดจบก็คว้าข้อมือผมให้เดินตาม ผ่านบ้านพักหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่โคตรจะหรูหรา ลัดเลาะไปตามทางก่อนจะถึงบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ใหญ่เท่ากับบ้านหลังแรก ข้างๆ มีสระว่ายน้ำเล็กๆ ติดกับตัวบ้าน


ส่วนที่ดึงดูดใจผมมากที่สุดก็คือบ้านหลังนี้...ติดกับทะเล


พี่ซันจูงมือผมเข้าไปในตัวบ้าน ผมมองสำรวจด้วยความตะลึง ทุกคนครับ บ้านหลังนี้ไม่ได้ดูหรูหราเหมือนกับบ้านหลังแรก แต่บ้านหลังนี้กลับทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นแฝงไปด้วยความโหยหายังไงก็ไม่รู้ โซฟาสีดาตัวใหญ่ที่ตั้งไว้กลางบ้าน มีทีวีจอแบนและเครื่องเสียงครบชุดติดฝาผนัง บาร์เล็กๆ ก็ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วผมก็สังเกตเห็นว่ามีรูปพี่ซันกับเพื่อนๆ ตั้งอยู่รอบๆ บ้านเต็มไปหมด
บ้านหลังนี้...คงเป็นบ้านส่วนตัวของพี่ซันสินะ


“บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่กูออกแบบเองเป็นครั้งแรก” พี่ซันเกริ่น ผมหันไปเลิกคิ้วแปลกใจ เก่งว่ะ


เขาระบายยิ้ม “เป็นที่เดียวที่กูอยู่แล้วสบายใจที่สุด เพราะไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาในเขตบ้าน ถ้ากูไม่อนุญาต” ดูลึกลับชะมัด


“มึงจะอาบน้ำก่อนมั้ย” พี่ซันถาม ผมเบิกตาโตแล้วสะบัดแขนให้หลุดจากมือพี่มัน “ทำไมต้องอาบ”


“เฮ้ยเดี๋ยวๆ กูหมายถึงว่าอาบน้ำก่อนมั้ยจะได้สดชื่น มึงนั่งรถมาไกลเผื่อไม่สบายตัว” พี่ซันรีบอธิบายแล้วรีบคว้ามือผมไว้
ผมขมวดคิ้ว “ค่อยอาบหลังจากเล่นน้ำเสร็จได้มั้ย”


พี่ซันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ชอบทะเลเหรอ”


ผมพยักหน้ารับ


“เมื่อก่อนตอนที่พ่อผมอยู่พวกเราไปเที่ยวทะเลกันบ่อยมาก”


“แล้วตอนนี้ล่ะ”


“พ่อผม...เสียไปแล้ว พวกเราเลยไม่ค่อยได้ไปทะเลเพราะแม่ยุ่งมาก ไม่นับตอนที่มาเข้าค่ายครั้งก่อนนะครับ” ผมตอบ ก่อนจะหันไปมองวิวชายทะเลสวยงามผ่านประตูบานใหญ่ที่เปิดอยู่ ผมว่านอกจากทะเลจะให้ความเค็มแล้ว มันยังช่วยทำให้คนใจเย็นลงได้นะครับ


“ขอโทษที่ถาม” ผมขนลุกซู่ เมื่อพี่ซันกอดผมจากทางด้านหลัง ลมหายใจของพี่มันเป่ารถต้นคอ

   
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันนานมาแล้ว”


พี่ซันวกเข้ากลับเรื่องเดิม “มึงจะเล่นน้ำเลยก็ได้นะ ตอนนี้ไม่ค่อยมีแดดแล้ว”


“แต่ผมไม่มีชุดเปลี่ยน” ผมขัด


“เออว่ะ งั้นไปกินข้าวก่อนก็แล้วกัน เสร็จแล้วค่อยไปซื้อเสื้อผ้าในตัวเมืองกัน” พี่ซันบอกทางเลือกใหม่ ผมแกะมือพี่มันออก แล้วก้าวถอยห่างออกมา หันหน้าเข้าหาพี่ซัน


“ผมอยู่แค่วันสองวัน ให้ใช้ของพี่ก่อนก็ได้นะครับ ไม่ต้องซื้อให้ผมหรอกมันเปลือง ซื้อแค่เอ่อะ...ชิ้นน้อยก็พอ” ผมอึกอัก เบือนหน้าหนีไปอีกทาง อยากตบปากตัวเองจริง ๆ ก็แค่กางเกงในทำไมถึงพูดไม่ได้


พี่ซันแสร้งมองสำรวจผม แล้วพูดกลั้นขำ “จริงๆ กูซื้อสำรองไว้เยอะ แต่ดูท่า....มึงคงใส่ไม่ได้แน่เลยว่ะ ขนาด...มันต่างกันเยอะ” ผมเบิกตากว้างเมื่อเข้าใจคำพูดที่พี่ซันต้องการจะสื่อ


“ไอ้พี่ซัน!!!!!!”


อ๊ากกกกกกกก


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 23-07-2018 19:11:54
[ต่อ]


“เลิกทำหน้างอได้แล้วน่า เห็นแล้วหมดอารมณ์” พี่ซันพูดขึ้นขณะขับรถพาผมออกมาหาอะไรกิน เห็นพี่มันบอกว่าเป็นอาหารทะเลร้านประจำที่พี่มันชอบไปนั่งกินทุกครั้งที่มีโอกาสมาที่นี่


“เฮอะ” ผมยกเท้าขึ้นมานั่งท่าขัดสมาธิบนเบาะ จริงๆ แค่อยากจะเปลี่ยนท่าครับ เก๊กนานมันเมื่อย


“กูก็แค่พูดความจริง ทำไมต้องงอนด้วยวะ” พี่ซันหันมาถามเป็นรอบที่ห้า อ๊าก! จะย้ำทำไมนักหนา


“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้งอน”


“เสียงก็ยังสูงอยู่ดี เด็กขี้โกหก” พี่ซันพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆ ผมถลึงตาใส่พี่มัน


“ก็อย่ามายุ่งกับเด็กขี้โกหกสิ”


“ว่าไงนะ” พี่ซันถามย้ำ เหมือนไม่มั่นใจในคำพูดของผม


ผมยักไหล่ “เปล๊า”


แล้วเราสองคนก็ยุติบทสนทนากันไว้แค่นั้น ตอนนี้ตะวันตกดินแล้วครับเรียกว่ามืดแล้วจะดีกว่า มาต่างจังหวัดแบบนี้ผมว่าตอนกลางคืนมันอากาศดีนะครับ เพราะอากาศจะเย็นกว่าช่วงตอนกลางวันมาก เดินเล่นชิวๆ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ


พี่ซันเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่งที่อยู่ย่านในเมือง เป็นร้านอาหารทะเล ผมแอบเห็นป้ายของช่องโทรทัศน์หลายช่องติดอยู่ แสดงว่าร้านนี้คงขึ้นชื่อไม่เบาเลย พี่ซันจอดรถก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม ผมเอื้อมมือไปปลดที่คาดเข็มขัดเตรียมลง


หมับ!


ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าพี่ซัน เมื่อพี่มันเอามือมาวางทับมือผมไว้ พี่ซันมองหน้าผมเหมือนกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี


“ในเมื่อกูพามาหาของกินแล้วก็ช่วยยิ้มหน่อยไม่ได้รึไง” พี่ซันพูดขึ้นเสียงเรียบ ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงกว่าเดิม


“ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อผมอยากยิ้ม บังคับผมมาแล้วยังจะบังคับให้ผมยิ้มอีกเหรอครับ” ผมทำหน้าซื่อถามออกไป พี่ซันหน้าเสีย ยอมปล่อยมือผม ผมรีบปลดสายคาดเข็มขัดออก ก่อนจะเปิดประตูรถออกไปอย่างตื่นเต้น แค่เห็นรูปที่ติดอยู่หน้าร้านน้ำลายก็สอแล้วครับ


พี่ซันเปิดประตูรถออกมาก่อนจะจัดการปิดล๊อกรถ แล้วเดินมาหาผม ผมมองเข้าไปในร้านก่อนจะเห็นว่ามีลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็มร้าน โห...นี่มันเพิ่งจะเย็นเองนะโว้ย แม่เจ้าจะมีที่นั่งไหม


“เข้าไปสิ” พี่ซันแตะมือที่เอวผม


“นี่ขนาดผมว่าเราออกมาเร็วกันแล้วนะ พี่ดูดิคนเต็มร้านเลยแล้วเราจะมีที่นั่งมั้ยเนี่ย” ผมบ่น พี่ซันเลิกคิ้วแล้วหันหน้ามองเข้าไปในร้าน ก่อนจะยื่นมือมาคว้ามือผมไว้แล้วออกแรงรั้งเบาๆ พาเดินไปยังประตูทางเข้า


“เฮ้ยพี่ ปล่อยดิผมเดินเองได้ นี่...ปล่อยสิ คนมอง!” ผมเอ็ดเบาๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าคนเริ่มมองกันแล้ว ไอ้พี่นี่มันไม่อายเขาบ้างหรือไง ถึงตอนนี้โลกจะเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว แต่ทำแบบนี้มันท้าทายสายตาคนอื่นเขาเกินไปนะโว้ย


“มองก็มองไปสิ” ไอ้คนหน้าหนา


ผมกรอกตามองฟ้า เอ่ยปากถามต่อ “แล้วไม่กลัวคนอื่นเขาจะเข้าใจผิดรึไงเล่า” พี่ซันไม่ตอบแต่เดินไปยังมุมๆ หนึ่งที่มีโต๊ะจัดไว้แยกส่วน


ปัดโธ่...โทรมาจองไว้ก่อน แล้วก็ไม่บอก!


“สวัสดีครับคุณซัน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ผมมองคนที่เดินเข้ามาทักตาโต ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาทักทายแล้วหันมายิ้มให้ผม เล่นเอาส่งยิ้มกลับให้แทบไม่ทันเลยครับ ที่ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้จัดการ ก็เพราะป้ายชื่อที่ติดอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายของพี่เขานั่นแหละครับ ‘Manager’ เป็นยังไงครับเห็นแบบนี้ความรู้ผมไม่ใช่ขี้ๆ นะเออ (มีแต่ขี้เลื่อย)


ผมเหลือบมองพี่ซัน รู้จักผู้จัดการร้านซะด้วย


“อืม แล้วสบายดีนะครับ” พี่ซันพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยถาม


“สบายดีครับ คุณพ่อคุณแม่ก็คงจะสบายดีใช่มั้ยครับ” พี่ผู้จัดการร้านถามต่อด้วยรอยยิ้ม ผมเห็นพี่ซันแสยะยิ้มแล้วหันไปตอบเสียงเย็น


“ก็คง...สบายดีมั้งครับ”


“ถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้ก็เรียกได้เลยนะครับ ผมขอตัวไปดูแลลูกค้าทางนู่นต่อ ทานให้อร่อยนะครับ” พี่ผู้จัดการรีบพูดตัดบทก่อนจะรีบเดินก้าวออกไปอีกทาง ผมหันไปมองพี่ซัน


“พี่ไปดุเขาทำไม”


“กูเปล่า” พี่ซันปฏิเสธแล้วนั่งไขว่ห้างมองหน้าผม ผมเบ๋ปากใส่ร่างสูงตรงหน้า


เรานั่งเงียบกันอยู่สักพัก ก่อนที่ผมจะพูดเปิดประเด็น “ที่จริง...” พี่ซันเลิกคิ้ว ผมสูดลมหายใจเข้าแรงๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ตัดสินใจพูดต่อ


"ที่จริงแล้วพี่ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้นะครับ”


“เรื่อง?”


“ก็ที่พาผมมาเที่ยวนี่ไง” ผมอธิบาย


“ทำไม” พี่ซันถามต่อ


“ผมรู้ว่าที่พี่ทำก็คงเพราะสงสาร แต่ผมไม่ได้ต้องการความสงสารจากพี่ ผมอยากให้พี่เข้าใจตรงนี้ไว้ด้วย” ผมขยายความแล้วมองหน้าพี่ซันอย่างจริงจัง พี่ซันเลิกคิ้วขึ้นอีก


“แล้วยังไงต่อ” ถามต่อหน้าซื่อ โว๊ะ! ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้ไหมเนี่ย


ผมทำหน้างอ


“กินก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน” พี่ซันพูด ก่อนจะลุกขึ้นนั่งในท่าใหม่ พร้อมกับมองไปยังพนักงานเสิร์ฟที่เดินเรียงรายกันมาที่โต๊ะของพวกผม เหย้ด แต่ละอย่างมีแต่น่ากินๆ ทั้งนั้นเลย


มากินอาหารทะเลถึงที่นี่มันดีจริงๆ นะครับพี่น้อง มีแต่ปูตัวโตๆ เลย โอ้โห นั่นก้ามปูรึกล้ามคน คึคึ เวอร์เนอะ


“โอ๊ะ” ผมร้องขึ้นเมื่อมือบาดกับก้ามปู เจ็บ!


“ซุ่มซ่าม ยื่นมือมาให้กูดูสิ” พี่ซันพูดขึ้น ก่อนจะคว้ามือผมไปดูแทน แล้วใช้นิ้วโป้งลูบคลึงปลายนิ้วที่โดนบาด ผมร้องซี้ดด้วยความเจ็บ


พี่มันมองผมตาดุ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอาขวดน้ำเปล่าข้างตัวมาเทราดที่แผลของผม แล้วล้างทำความสะอาดให้ก่อนจะยอมปล่อยมือ


“มันลื่นต่างหาก” ผมเถียงงึมงำ ไม่ยอมมองหน้าพี่ซันที่จ้องมองมา แล้วแกล้งสนใจอาหารตรงหน้าแทน


“ไม่ต้องมาเถียง แค่เรื่องของกินมึงยังทำให้ตัวเองเจ็บตัวได้เลย นับประสาอะไรกับเรื่องอื่น” พี่ซันพูดต่อ ผมยู่ปากใส่ โธ่ ช่างหาเรื่องมาด่านะคนเรา มันก็ต้องมีพลาดกันบ้าง จริงไหมครับ อ่อ มีอยู่อีกทางถ้าไม่อยากพลาดโดนมันบาดก็คือใช้คนอื่นแกะให้กิน!!
   

“ตั้งใจจะด่าก็บอกมาเถอะ ไม่เห็นจะต้องหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างเลย”
   

“อยู่เฉยๆ เดี๋ยวกูแกะให้”
   

ผมทำตาโต เมื่อกี้นี้สงสัยจะหิวมากไปเลยหูฝาด อย่างพี่ซันเนี่ยนะจะแกะปูให้ผมกิน โอ้วพระเจ้าจอร์จ ประเทศไทยจะหิมะตกไหม


“ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า”


พี่ซันส่ายหัวเอือมๆ


“พูดมาก”


ผมอมยิ้ม ก่อนจะนั่งเท้าคางมองหน้าพี่ซัน ถ้าผมกำลังฝันอยู่จริงๆ ก็คงเป็นฝันที่ผมไม่อยากตื่น


“ขอโทษนะคะ”


ผมกับพี่ซันละสายตาไปมองผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งที่เดินเข้ามาที่โต๊ะของเรา ดูเหมือนเธอจะอายุมากกว่าผมนะ เธอคนนั้นใส่

เสื้อเกาะอกสีแดงสดพร้อมด้วยกระโปรงตัวบางสีสดใสมีกางเกงยีนส์ขาสั้นสีน้ำเงินตัวจิ๋วซ่อนอยู่ภายใน ดูเซ็กซี่ไม่หยอก พลางทำให้นึกถึงอิพิงค์เพื่อนรักขึ้นมาตะหงิดๆ ทว่าเพื่อนผมมันขาวกว่า


หน้าอกเธอคนนี้ใหญ่กว่าเพื่อนผมนิดหน่อย แต่ผมพอจะมองออกว่าคงผ่านเทคนิคเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเองที่เขาเรียกกันว่า ‘การดัน’ เธอกำลังมองหน้าพี่ซันอย่างเอียงอาย


พี่ผู้หญิงหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปหาพี่ซันอีกครั้ง ผมเหลือบมองหน้าพี่ซันก่อนจะวางช้อนลงกับจาน เอนหลังลงพิงเก้าอี้เอามือกอดอกมองดูนิ่งๆ


“ครับ”


พี่ซันตอบรับแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จิบเบียร์ในมือไปด้วย ทีผมจะกินกลับห้ามนะไอ้คนลำเอียง!


“ฉันโรสนะคะ คุณ...มาเที่ยวกับน้องชายเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นพูดแนะนำตัว ก่อนจะเอ่ยถามพี่ซัน พี่มันหันมามองหน้าผมแล้วแอบ
ยิ้มในตา ผมพ่นลมหายใจออกมา เบือนหน้าหนีเซ็งๆ


...ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพี่มันก็ยังฮอตเสมอ


“ครับ มาเที่ยว” พี่ซันตอบ ผมเอียงหูฟัง แต่ทำเป็นไม่สนใจ


“แล้วไม่ทราบว่ามาอยู่กันกี่วันคะ เผอิญโรสมาคนเดียวจะเป็นการรบกวนมั้ยถ้าโรสจะขอไปจอยด้วยอีกคน” พี่โรสเอ่ยเข้าประเด็น ผมแอบชำเลืองมองด้วยหางตา เห็นพี่โรสยื่นมือมาเขี่ยหลังมือพี่ซันไปมา


“เรามากันแค่สองวัน คิดว่าคงไม่สะดวกเท่าไหร่” พี่ซันเอ่ยตอบ ผมแอบยิ้มอย่าง โล่งอก อย่างน้อยๆ พี่มันก็ไม่ได้เออออห่อหมกไปกับเขาด้วยอีกคน


“น่าเสียดายนะคะ ยังไงโรสขอเบอร์คุณไว้หน่อยได้มั้ย เผื่อโรสกลับกรุงเทพจะได้แวะไปเยี่ยมคุณบ้าง แล้วนี่คุณจะใจร้ายไม่บอกชื่อโรสหน่อยเหรอ” ผมหันไปมองหน้าพี่ซัน เมื่อพี่โรสเอ่ยขอในสิ่งที่ต้องการน้ำเสียงออดอ้อน เนียนจริงๆ


พี่ซันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะดังมือกลับมากอดอกยิ้มๆ


“ถ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับผม ลองถามเขาดูสิ ถ้าเขายอมบอก...ก็ตามนั้น” พี่ซันหันไปพูดกับพี่โรส ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางผม พี่โรสเลิกคิ้ว แล้วรีบเดินมานั่งข้างผมทันที


“พี่ชื่อโรสนะคะ น้องชื่ออะไรเอ่ย” พี่โรสแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงน่าฟัง ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ผม ผมมองพี่ซันด้วยหางตา นึกหมั่นไส้ที่เขาผลักภาระมาหล่นใส่หัวผม


เฮอะ...เดี๋ยวได้รู้


ผมหันไปมองหน้าพี่ซันตรงๆ แล้วเลิกคิ้วถามเพื่อความแน่ใจ


“ผมตอบอะไรก็ได้ใช่มั้ย”


พี่ซันยักไหล่ คล้ายกับจะบอกว่าจะทำอะไรก็ทำ


“จะมาว่าผมทีหลังไม่ได้นะ”


ผมหันไปยิ้มหวานให้พี่โรส พี่เขารีบยิ้มตอบให้ผมอย่างมีความหวัง


“เมื่อกี้...พี่ถามเขาว่ามาเที่ยวกับน้องรึเปล่าใช่มั้ยครับ” พี่โรสพยักหน้ารับ ฉีกยิ้มให้ผม ผมโน้มลำตัวเข้าไปหาเธอแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ


“ผมขอตอบแทนเลยว่า...ไม่ใช่” ผมยิ้มนัยน์ตา เน้นย้ำในคำสุดท้าย พี่โรสเลิกคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมบอก ไม่หรอก...ผมว่าเขาแค่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินมากกว่า


“ผมกับเขา...เราไม่ใช่พี่น้องกัน แต่ถ้าอยากให้ผมตอบแบบที่พี่ฟังแล้วสบายใจก็ได้นะครับ จะเรียกว่าเราเป็นพี่น้องกันก็คงพอได้ แต่เผอิญว่าเราเป็นพี่น้อง ‘ท้องติดกัน’ ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา” ผมยิ้มแล้วตอบหน้าซื่อก่อนจะตักยำห้ารสเข้าปาก พี่โรสยิ้มค้างไปเลย


“หมายความว่าน้องกับเขา เอ่อ เป็น...” พี่โรสพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะทำมือเอานิ้วชี้สองข้างมาวางคู่กัน ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับพร้อมกับพูดต่อ


“แล้วผมก็ชื่อบีทส์ ส่วนนั่น...พี่ไม่ต้องรู้จักหรอกครับ ผมไม่สะดวกจะให้เขารู้จักกับใคร...” ผมไม่อยากให้ใครเอาชื่อพี่ซันไปพูดในทำนองที่ไม่ดี


“ไม่จริงชะ...” พี่โรสเตรียมจะหันหน้าไปถามพี่ซัน แต่ผมไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ รีบแทรกขึ้นมาตัดบทซะเลย “หมดธุระแล้วก็เชิญครับ รู้มั้ยว่าขัดคนอื่นตอนกำลังจะกินมันบาป ยินดีที่ได้รู้จักนะครับพี่โรสคนสวย สวัสดีครับ” พูดจบก็ยกมือไหว้เพื่อไล่ทางอ้อมยิ้มๆ พี่โรสหันมามองผมตาขวาง ทำท่าจะเข้าไปเกาะแขนพี่ซัน


“หมดธุระแล้วก็เชิญครับ” พี่ซันรีบพูดเสริมตัดบท ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงตัว เล่นเอาพี่เขาชะงักหน้าเหวอไปเลย ผมยิ้มกว้างแล้วยกมือขึ้นโบกมือไปมา โดยไม่ลืมที่จะยักคิ้วส่งท้ายให้เธอ


“อ๊าย ไอ้พวกเกย์น่าเกลียด!!!” พี่โรสกรี๊ดขึ้นแล้วยกมือมาทางผม พี่ซันตวัดสายตาไปมองเป็นการเตือน ทำให้พี่โรสสะบัดหน้าหนีแล้วเดินกลับไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนๆ ของเธอนั่งรอดูสถานการณ์อยู่


...ไหนว่ามาคนเดียวไง


“หึๆ” ผมหุบยิ้มแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม


“ขี้หึง ร้ายไม่เบานะมึง” พี่ซันว่าขำๆ


“ใครไปหึงพี่กัน ผมก็แค่ไม่ชอบที่เขามากวนเวลาผมกินก็แค่นั้นเอง” ผมแถแล้วก้มหน้าตักนู่นนี่ใส่ปากมั่วไปหมด เพื่อไม่ให้ปากตัวเองว่าง


“เหรอ แล้วที่นั่งหน้าบึ้งกำมือแน่นไม่ยอมปล่อยก่อนหน้านี้มันเพราะอะไร” พี่ซันถามขึ้นอย่างเป็นต่อ ผมเหวอไปชั่วขณะ นี่ผมทำอย่างที่พี่มันบอกจริงๆ เหรอ


“ช่างผมเถอะ ว่าแต่พี่น่ะให้ผมพูดไปแบบนั้นโดยที่พี่ไม่ขัดอะไรเลย มันจะดีเหรอ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง เกลียดสายตารู้ทันของพี่มันชะมัด ไปหัดทำสายตาวับๆ แวมๆ แบบนี้มาจากที่ไหนกัน


พี่ซัน ‘หึ’ ในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ “ใครจะมารู้จักกูเท่ากับตัวกูเอง”


ผมเลิกคิ้ว อะไรของพี่มัน คิดอยากจะสำบัดสำนวนขึ้นมาหรือไง “ช่วยพูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยไม่ได้รึไง” ผมบ่น แต่เฮ้ยยำห้ารสมันอร่อยจริงๆ นะครับผมชอบ ยิ่งแบบเม็ดมะม่วงนะกรอบมาก!


เออ ผมเคยบอกทุกคนไปหรือยังครับว่าผมแพ้มัน จริงๆ ไม่เรียกว่าแพ้หรอกครับแต่ถ้ากินมันเข้าไปในปริมาณเยอะๆ แล้วกินพวกแอลกอฮอล์ตามลงไปมากๆ จะทำให้ผมเมาไม่ได้สติมากกว่ากินเหล้าธรรมดาหลายเท่า


ผมไม่รู้ตัวหรอกครับ จริงๆ พวกไอ้ปริ้นกับไอ้ออยมันบอกมา แต่ผมว่ากินนิดกินหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา กินเหล้าเขาก็ต้องกินให้เมาไม่ใช่เรอะ พวกมันน่ะวิตกกังวลมากเกินไป พอผมบอกว่าไม่เป็นไรมันก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่ห้ามท่าเดียว ไปกินเหล้ากับพวกมันเลยโดนห้าม ทั้งๆ ที่มันเป็นอาหารเลิศรสแท้ๆ


“ความหมายมันก็ตรงตัว มึงน่ะโง่เองต่างหาก” พี่ซันพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากผมย้ำๆ ผมขมวดคิ้ว อะไรวะก็คนมันไม่เข้าใจอ่ะ


“ไม่อยากรู้ก็ได้วะ งั้นผมกินเบียร์ได้มั้ย” ผมเอ่ยขออีกครั้งอย่างเซ็งๆ ไม่ถามแล้วก็ได้วะ ฮึ่ย หมั่นไส้ไอ้คนฉลาด!!


“เดี๋ยวก็เมา” พี่ซันห้ามอีก


ผมส่ายหัว “เบียร์แค่กระป๋องสองกระป๋องทำอะไรผมไม่ได้หรอกน่า” ผมทำหน้าอ้อนขอ แต่พี่ซันก็ยังส่ายหัว


“เรายังคุยธุระกันไม่เสร็จ ถ้ามึงเมาไม่ได้สติแล้วจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย” พี่ซันอธิบาย ผมเบ๋ปาก นั่งหูลู่หางตกด้วยความห่อเหี่ยว


“แก้วเดียวก็ได้เอ๊า!” ผมชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วเอียงหน้ากระพริบตาปริบๆ ให้พี่ซัน หวังจะให้พี่มันใจอ่อน


“...”


“นะ”


“เฮ้อ แค่แก้วเดียวนะ” ในที่สุดพี่ซันก็ยอมถอยให้ผมก้าวหนึ่ง โดยรินเบียร์จากกระป๋องที่พี่มันดื่มมาเทใส่แก้วให้ผม ผมยิ้มอย่างดีใจ โฮะๆ


“ขอบคุณครับ” พี่ซันยื่นแก้วเบียร์มาให้ผม ผมรับมายกซดก่อนเลยหนึ่งอึกใหญ่ๆ


“พี่...จะคุยเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราใช่มั้ย” ผมถามเปิดประเด็น พี่ซันเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็พยักหน้ารับ ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะเพื่อรอให้พี่ซันพูดต่อ


“คือกู...ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน” พี่ซันเสยผม


“ผมว่าจริงๆ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเคลียร์นะ พี่ก็เคยบอกผมตั้งหลายครั้งว่ามีคู่หมั้นแล้ว ตอนเข้าค่ายผมก็แอบได้ยินว่าพี่จะแต่งงานกับพี่รหัสของผมด้วย” ผมออกความเห็น ก็พูดไปตามเนื้อผ้าแหละครับ ทั้งที่จากที่ได้ยินและได้ฟังมา


จริงๆ ผมก็อยากให้เรื่องระหว่างเรามันเคลียร์เหมือนกันถึงได้ยอมมากับพี่ซัน ถ้าเราไม่เปิดอกคุยกัน ทุกอย่างก็คงจะคลุมเครืออยู่แบบนี้


“ไหนว่าบังเอิญผ่านไง แอบฟังชัดๆ”


ผมร้องโอ๊ย เมื่อพี่ซันใช้ช้อนตักน้ำแข็งเคาะหัวผม


“นั่นก็บังเอิญได้ยินเถอะ!” ผมแก้ตัว ลูบหน้าผากตัวเองไปด้วย ไม่น่าพลั้งปากบอกพี่มันเลย ไอ้คนนิสัยไม่ดี! ชอบทำร้ายร่างกายคนอื่น!


“แก้ตัวน้ำขุ่นๆ อย่ามาเนียน” พี่ซันหัวเราะในลำคอ


“เออ ผมจำได้ว่าพี่เคยบอกผมว่าเกลียดเกย์ ทำไมพี่ถึงได้เกลียดเกย์ล่ะ” ผมถาม เมื่อนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่พี่มันเคยตั้งแง่กับผมตอนเจอกันแรกๆ พี่ซันชะงักแล้วมองหน้าผม ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม มองแก้วเบียร์ในมือ


“กูเคยมีพี่ชายคนหนึ่ง เราสนิทกันมาก แต่แล้ววันหนึ่งมันกลับ...ฆ่าตัวตาย โดยที่กูไม่เคยระแคะระคายมาก่อน” พี่ซันเล่าด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ผมนั่งฟังด้วยความตั้งใจ ทีแรกผมก็นึกว่าจะเป็นพี่เจซะอีก


“ต้นเหตุเป็นเพราะเกย์เหรอครับ” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย พี่ซันปรายตามามองหน้าผม ก่อนจะพยักหน้ารับ


“เพราะกูไม่เคยเห็นด้วยกับมันมาตั้งแต่แรก...กูก็เลยไม่คิดจะสนใจ แต่พอคิดได้มันก็สายไปแล้ว...” พี่ซันเว้นคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซด


“พี่ซัน...” ผมครางเรียกชื่อพี่มันในลำคอ


“ทั้งๆ ที่พี่กูรักมันมาก แต่มันกลับหักหลังพี่กู มันเห็นความรักของพี่กูเป็นแค่เศษดิน เป็นบ่อเงินบ่อทองให้มันมีกินมีใช้ และพอได้ทุกอย่าง...มันก็จากไป ไม่ต่างจากที่เพื่อนกูเจอ” พี่ซันพูดเสียงเข้ม มือกำกระป๋องเบียร์แน่น จนผมอดไม่ได้ต้องยื่นมือไปกุมมือพี่มันไว้


“กูไม่เคยเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย มันจะมั่นคงยาวนานไปได้ตลอดรอดฝั่ง” ผมแอบกลืนน้ำลาย


“พี่ก็เลยฝังใจสินะครับ”


พี่ซันพยักหน้ารับน้อยๆ แล้วกระดกเบียร์เข้าปากไปอีกกระป๋อง


ผมมองหน้าพี่ซันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หลังจากได้ฟังความจริงที่ออกมาจากปากพี่มัน ความรู้สึกด้านลบที่ซับซ้อน ความเกลียดชังที่ไม่ได้เกิดจากตัวผม แสดงว่าพี่มันก็ไม่ได้เกลียดผมมาตั้งแต่แรกน่ะสิ


“แล้วตอนนี้...”


ผมเว้นวรรคคำถามไว้แค่นั้น พี่ซันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ผมเม้มปากรอคอยคำตอบ


“กับเกย์...ก็ยังเหมือนเดิม”


“...”


ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้ามาในอก รู้สึกได้เลยว่ามือตัวเองสั่น ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอก แต่พอมาได้ยินกับหูมันก็ยังเจ็บอยู่ดี ผมถอนมือออกมาจากมือพี่มัน ไม่รู้เลยว่าควรจะวางมือไม้ไว้ที่ไหน ก่อนจะคว้าแก้วเบียร์ขึ้นยกซดจนหมดแก้ว แล้วใช้หลังมือเช็ดที่ขอบปากตัวเอง


“แต่กับมึง...มันเปลี่ยนไป”



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 23-07-2018 21:42:15
งือ ความรู้สึกเปลี่ยนไป แล้ว
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-07-2018 21:56:55
 :katai2-1:


กลัวใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 23-07-2018 22:33:28
……


เงี่ยหูฟัง………พี่ซันรู้สึกยังไงนะ……

ขอตามเผือกอย่างด่วนเลยอ่ะ


 :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:


……
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-07-2018 23:27:12
ยังไงก็คิดว่าตราบใดที่ซันยังไม่เคลียร์เรื่ิงฟ้าให้จบก็ไม่ควรจะมายุ่งกับบีทส์นะ ตัวบีทส์เองก็เหมือนกันยิ่งเป็นพี่รหัสน้องรหัสกันอีกมันจะมองหน้ากันติดเหรอ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-07-2018 02:22:24
 :m28: รอฟังคำตอบจ้า รอจนหูกระดิ้กแล้ว
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 24-07-2018 09:38:46
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 24-07-2018 12:31:14
ทำไมตอนนี้เราอ่านแล้วรู้สึกว่าเลวทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 20 : พี่น้องท้องติดกัน
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 24-07-2018 15:54:33
รอสิ่งที่พี่ซันจะบอกกับน้องนะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-07-2018 16:30:32

ตอนที่ 21 : ทางแยก


[บีทส์]


ผมเงยหน้ามองพี่ซันค้าง หมายความว่ายังไง หัวใจผมเต้นรัวจนแทบออกมาเต้นข้างนอก ผมยกมือขึ้นกุมหัวใจของตัวเองเพื่อไม่ให้มันสั่นมากเกินไป กลัวหัวใจจะวายตายไปซะก่อน
   

“พี่หมายความว่ายังไง” ผมถามพี่ซันเสียงสั่น กลัวว่าจะฟังเพี้ยนไปเอง อย่าพูดให้คิดไปเองคนเดียวจะได้ไหม
   

“ความหมายมันก็แค่นั้น” พี่ซันยักไหล่ ไม่สบตาผม
   

ผมกัดริมฝีปากล่าง “ผมก็แค่อยากฟังให้แน่ใจ ไม่อยากคิดไปเองคนเดียว”
   

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจ
   

“ฟังนะ...มันไม่ใช่เรื่องที่กูจะเอามาพูดได้บ่อยๆ แต่อย่างน้อยมึงก็มั่นใจได้เลยว่ากูไม่ได้เกลียดมึง” พี่ซันยื่นมือมาจิ้มหน้าผากผม จนหน้าผมหงายไปตามแรงมือ
   

“ผมรู้หรอกน่า ไม่งั้นพี่จะลากผมมาด้วยแบบนี้เหรอ” ผมบ่น ที่อยากได้ยินมันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย
   

“แล้วแบบไหน” พี่ซันเลิกคิ้วถามแล้วยิ้มกวน ผมพ่นลมหายใจหงุดหงิดกับท่าทีกวนประสาทนั่น ก่อนทำท่าลุกหนี
   

“จะไปไหน”
   

พี่ซันตามมาคว้ามือผมไว้ ก่อนจะเอ่ยถาม ผมพยายามบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของพี่มัน
   

“ห้องน้ำ” ผมตอบเสียงห้วน
   

“กูก็กำลังจะไปเหมือนกัน”
   

“พี่จะกวนประสาทผมเหรอ”
   

“นี่มึงงอนอะไรกูอีกเนี่ยฮะ” พี่ซันเอ่ยถามหน้ายุ่ง ไม่ยอมปล่อยข้อมือผม ผมหันไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมายังพวกผมสองคน
   

“ผมไม่ได้งอน แต่ผมถามจริงๆ นะที่ลากผมมาไกลขนาดนี้ ก็แค่จะพามานั่งกินปูและพูดคำว่าไม่ได้เกลียดผมแล้ว แค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ” ผมถามเสียงขุ่น
   

“...”
   

“ปล่อย”
   

พี่ซันไม่ยอมปล่อย ผมเลยสะบัดข้อมือแรงๆ แต่มันไม่ยอมหลุดแถมยังเจ็บอีกต่างหาก “ทำไมมึงถึงชอบหนีนักวะ” พี่ซันถามขึ้นเสียงฉุน
   

“ผมไม่ได้หนี อย่างผมมันจะหนีไปไหนได้” ผมตอบกลับทันควัน มาก็มากับมันจะให้หนีไปได้ยังไง เงินก็พกมานิดเดียว
   

“แล้วอย่างก่อนหน้านี้ที่เอาแต่หลบหน้า ไม่ยอมรับโทรศัพท์ของกูนั่นล่ะมันเพราะอะไร?!” พี่ซันหาเหตุผลมาอ้าง
   

“ก็เพราะพี่นั่นแหละ!” ไอ้คนเฮงซวย
   

“เพราะกู?” พี่ซันชะงัก
   

“ก็ใช่นะสิ!” ผมย้ำคำ
   

“งั้นกลับ!” พี่ซันเอ่ยบอกเสียงเรียบ
   

“ฮะ!?”
   

“กลับไปเคลียร์กันที่บ้าน ยื่นเซ่ออยู่ทำไม” พี่ซันล้วงเงินในกระเป๋าออกมาวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะฉุดแขนผมให้เดินตาม ผมสะบัดหัวมึนๆ นี่พี่มันพูดไม่เคลียร์หรือเพราะผมโง่จริงๆ กันแน่วะ
   

“อะ!” ผมร้องขึ้นเมื่อเดินชนกับพนักงานในร้านที่เดินสวนมา เพราะพี่ซันเอาแต่ลากแขน ด้วยช่วงตัวที่ต่างกันทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำพรวดตาม ไม่ทันได้มองดูทางให้ดี ทั้งยังเริ่มมึนๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
   

“ขอโทษนะครับ! คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พนักงานคนนั้นถามเสียงร้อนรนก่อนจะมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ ก่อนจะสังเกตคนตรงหน้าด้วยความทึ่ง ใบหน้าใสเกลี้ยงเกลาหล่อขนาดไปเป็นนายแบบได้สบาย ดูจากทรงผมแล้วน่าจะอยู่ประมาณมอปลาย แต่ทำไมมันสูงแบบนี้วะ
   

เด็กสมัยนี้พ่อแม่ให้อะไรกินเป็นอาหาร ผมจะได้ไปหามากินบ้าง!!
   

ผมหันไปมองหน้าพี่ซันที่ก้าวเข้ามาปัดมือน้องออกจากแขนผม ก่อนจะเข้ามากอดเอวผมไว้หลวมๆ เพื่อช่วยพยุง น้องเขาทำหน้าเหวอ แต่ขยับตัวออกห่างจากผมสองก้าว
   

ผมขอโทษน้องเขาทางสายตา กำลังจะเอ่ยขอบคุณ
   

“ไปกันได้แล้ว” แต่พี่ซันพูดตัดหน้าผมเสียงเข้ม แล้วรั้งแขนผมให้เดินออกจากร้านเล่นเอาเกือบหน้าหงายเพราะพี่มันเดินจ้ำไวๆ ออกมา
   

พี่ซันหยุดยืนที่ข้างรถ คว้าหน้าผมไปจูบที่ขมับหนักๆ หนึ่งที
   

ผมดันตัวออกใช้กำปั้นทุบไปที่อกพี่ซัน “อะไรเล่า!?” ผีเข้าหรือไง!
   

“ต่อหน้าต่อตากูเลยนะ” พี่ซันว่าเสียงนิ่ง ผมขมวดคิ้วงง
   

“เรื่อง?”
   

พี่ซันไม่ตอบ หันไปกดปลดล็อกรถ แล้วก้าวไปเปิดประตูฝั่งที่ผมนั่ง จับยัดผมเข้าไปในรถ ปิดประตูดังปังแล้วเดินกลับไปยังฝั่งตัวเอง
   

เขาเปิดประตูรถเข้ามานั่ง มองหน้าผมแล้วเอ่ยคาดโทษ “มองผู้ชายตาหวานเยิ้ม เดี๋ยวมึงจะโดน” ผมกระพริบตาปริบๆ ไม่ได้เถียงกลับไปเพราะกำลังพยายามจับสายคาดเข็มขัดไปเสียบกับขั้ว แต่ไม่ว่าจะเสียบกี่ทีมันก็ไม่ยักจะเข้าล็อก
   

แต่ผมยังไม่ได้เมานะ สาบานได้
   

“อยู่เฉยๆ” พี่ซันหันมามองด้วยสายตาหงุดหงิด ผมหันไปค้อนขวับก่อนจะยอมปล่อยสายคาดเข็มขัดแล้วนอนเอนราบไปกับเบาะเพื่อหลีกทางให้ พี่ซันเอื้อมมือมาคว้าสายเข็มขัด
   

ทว่า...
   

“อื้อ~!”
   

พี่มันดันแกล้งเอนตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าหน้าผมเข้าไปจูบ ผมทุบอกพี่ซันให้พี่มันปล่อย
   

พี่ซันผละหน้าออกน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงรอดไรฟัน
   

“ทำโทษ” 
   

ผมขมวดคิ้ว นี่กู...อื้อ!!
   

ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่พี่ซันดันกดหน้าลงครอบครองริมฝีปากผมอีกครั้ง ผมพยายามดันพี่มันออก แต่พี่ซันดันใช้มือข้างหนึ่งรวบมือผมไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างดันท้ายทอยของผมเข้าไปรับจูบให้ถนัดขึ้น
   

พี่ซันใช้ลิ้นแตะที่รอบริมฝีปากของผม เพราะผมไม่ยอมให้พี่มันสอดลิ้นเข้ามาในปาก ก่อนจะกดจูบย้ำๆ วนรอบไม่ห่าง
   

แต่พี่มันขี้โกง กดปุ่มดันเบาะให้เอนลง ส่งผลให้ผมลืมป้องกันปากตัวเอง เปิดโอกาสให้พี่ซันรีบสอดลิ้นเข้ามาในปากของผมก่อนจะเริ่มทำการสำรวจพื้นที่อย่างช่ำชอง แล้วผมจะทำอะไรได้ละครับนอกเสียจาก…
   

“อื้อ”
   

นั่นแหละครับ
   

ผมทุบอกพี่ซันเพื่อส่งสัญญาณว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ พี่ซันกดจูบย้ำๆ อีกหลายครั้ง ก่อนจะยอมผละห่างจากปากผมอย่างอ้อยอิ่ง แต่ก็ยังเว้นระยะห่างจากหน้าผมไปแค่คืบ
   

ผมเม้มปากก่อนจะแกล้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เมื่อทนไม่ไหวกับสายตาที่จ้องมองมาของพี่ซัน รอบๆ ข้างไร้เสียงเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่ดังออกมาถึงข้างนอก
   

ผมสะดุ้ง เมื่ออยู่ดีๆ พี่ซันก็คว้าเอามือผมไปวางทาบลงบนอกข้างซ้ายของตัวเอง ผมหันมาเลิกคิ้ว
   

“ชู่ว”
   

“ลองตั้งใจฟังดีๆ สิ” พี่ซันพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
   

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
   

ผมเบิกตากว้างขึ้นเมื่อรับรู้ถึงจังหวะการเต้นหัวใจของพี่ซัน ก่อนจะยกมือข้างที่เหลือขึ้นมากุมที่หัวใจของตัวเองแล้วพบว่า


...มันเต้นเร็วเหมือนกับของผมเลย…


“นานแล้ว...ที่กูไม่ได้ใจเต้นแรงแบบนี้”


พี่ซันเอ่ยบอกท่ามกลางความเงียบ ผมกัดปากฉับด้วยความเขินที่แล่นไปทั่วทั้งใบหน้า รู้สึกขอบคุณที่ตรงนี้มีเพียงแสงสลัวๆ ไม่


งั้นพี่มันคงได้เห็นหูแดงจัดของผมแน่ๆ


“พี่เมาแล้วใช่มั้ย” ผมบอกปัด ทั้งที่ใจเต้นแรงไปกับคำพูดของพี่มัน


“หึ กลับกันเถอะ” พี่ซันยอมผละออกจากตัวผม กลับไปนั่งยังตำแหน่งคนขับตามเดิม ผมค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น


“นอนไปเลย มึงน่าจะเมาแล้ว ทั้งที่กินไปแค่นิดเดียวแท้ๆ” พี่ซันยกมือขึ้นยีหัวผมก่อนจะเอ่ยบอก ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย นั่นสิ เบียร์แค่แก้วเดียวไม่น่าทำให้ผมแข้งขาอ่อนได้ขนาดนี้นะ


แถมยัง...รู้สึกอยากอ้อนคนแปลกๆ


“อือ ผมก็แปลกใจ” ผมพูดเสียงเบา


“หน้ามึงแดง ตาเยิ้มเหมือนกำลัง..(ยั่วกู)...อยู่รู้ตัวบ้างหรือเปล่า ห่าเอ้ย เก็บๆ ไปบ้างเถอะอย่าทำหกเรี่ยราด” พี่ซันส่ายหน้า ก่อนจะหันมาพูดกับผม แล้วหันไปบ่นกับตัวเองในประโยคท้ายๆ ผมเองก็ได้ยินไม่ถนัด


“หลับไปเลย ก่อนที่จะโดนกิน...” พี่ซันยื่นมือมายีหัวผมอีกครั้งจนยุ่ง ผมโยกตัวหนี ยกมือขึ้นมาปัดป้องมือพี่ซัน
ว่าแต่พี่มันว่าอะไรนะครับเมื่อกี้เหมือนหูผมมันจะไม่ค่อยดี พี่ซันจะมาหิวอะไรตอนนี้ เพิ่งกินไปเมื่อกี้เองแท้ๆ เฮ้อ


“ครับน้องฟ้า พี่มาทำธุระที่ต่างจังหวัดน่ะ” ผมค่อยๆ ลืมตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ข้างๆ ไม่สิ คุยอยู่คนเดียวต่างหาก
ผมลุกขึ้นนั่งก่อนจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก มีพี่ซันนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ พี่มันหันมาเลิกคิ้วให้ผมก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะปากตัวเอง ผมมองพี่มันมึนๆ แล้วสะบัดหัวเรียกสติให้ตัวเอง


หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย


แล้วตอนนี้...อ่า สี่ทุ่มแล้วเหรอ น้ำยังไม่ได้อาบเลยครับ เน่าชะมัด


“ครับกลับพรุ่งนี้ โอเค...ได้เลยเดี๋ยวพี่จะแวะซื้อกลับไปให้นะ” พี่ซันพูดโทรศัพท์ยิ้มๆ พลางลูบขาผมไปด้วย ผมกัดปากฉับแล้วขมวดคิ้วก่อนจะถอนขาออกมานั่งกอดเข่าไว้


“หื้ม...อะไรนะครับ” เพราะมัวแต่หันมามองผมทำให้พี่ซันไม่ได้ฟังพี่ฟ้าพูดจึงถามย้ำ ผมยิ้มก่อนจะค่อยๆ คลานไปหาพี่มัน พี่ซันหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ


ผมไม่สนใจสายตาที่มองมา แต่ค่อยๆ คลานขึ้นไปนั่งบนตักพี่ซันในสภาพหันหน้าเข้าหากัน พี่ซันมองการกระทำของผมไม่วางตา แถมยังช่วยอำนวยความสะดวกให้แล้วกอดเอวพยุงผมไว้อีกต่างหาก


ผมยิ้มเผล่ ก่อนจะเอื้อมมือไปแกะกระดุมเสื้อของพี่ซันออกอย่างช้าๆ เป็นการยั่ว อยากรู้เหมือนกันว่าพี่มันจะทำยังไง หึๆ ทำหน้าตลกชะมัด
   

พี่ซันคว้าข้อมือผมไว้ข้างหนึ่งแล้วปรามด้วยสายตา ผมทำคอตก พี่ซันเลยพ่นลมหายใจออกมาปลงๆ ก่อนจะยอมปล่อยมือผม ร่างสูงหลับตาแน่น เมื่อผมเริ่มรุกล้ำติ่งหูข้างที่ว่างอยู่ด้วยลิ้นของตัวเอง
   

ผมดูดเม้มติ่งหูของพี่ซันสะเปะสะปะ เพราะจำมาจากหนังเอวีที่เคยยืมมาจากไอ้ออย ยิ่งพอได้ยินเสียงครางเบาๆ มาจากลำคอของพี่ซัน ผมก็ยิ่งสนุก
   

“อืม...เอ่อครับ ว่าไงนะน้องฟ้า”
   

“อึ๊! เอ่อะ เปล่าครับพอดีแมวแถวนี้มันงับมือเอานะ ใช่เลยของแม่บ้านน่ะ น้องฟ้าครับ พี่ว่าตอนนี้ดึกแล้วเราเข้านอนเถอะ พี่ต้องไป ‘จัดการ’ ธุระต่อ ครับ...ฝันดีครับ” ผมแกล้งดูดเม้มที่คอของพี่ซันอย่างแรง แล้วกัดจนคิดว่ามันต้องเป็นรอยฟันแน่ๆ พี่ซันร้องขึ้นด้วยความเจ็บ ก่อนจะรีบแก้ตัวกับคนในปลายสายเมื่อเผลอหลุดเสียงแปลกๆ นั่นออกไป


ผมสะดุ้ง เมื่อพี่ซันฟาดมือหนาลงที่บั้นท้ายผมเป็นการเตือน ผมมองอีกคนเคืองๆ ยกมือตีแขนพี่ซันคืนดังเพี้ยะ พี่ซันมองผมดุๆ เมื่อผมแกล้งกดบั้นท้ายลงไปบดกับตักของคนด้านล่างแล้ววนสะโพกเล่นเบาๆ จนพี่ซันรีบพูดตัดบทแทบไม่ทัน


หึๆ เสร็จไอ้บีทส์!!


พอพี่ซันกดวางสายแล้วหันเอาโทรศัพท์ไปวางที่โต๊ะข้างตัว ผมยิ้มกว้างก่อนจะรีบคลานลงจากตักพี่ซัน เมื่อคิดว่าปฏิบัติการก่อกวนสำเร็จดั่งใจแล้ว


“เหวอ~!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อมือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวแล้วยกตัวผมไปนั่งแมะที่ตักของตัวเองตามเดิม ผมมองหน้าพี่ซันเหวอๆ


“คิดจะหนีไปไหน” พี่ซันถามเสียงนิ่ง


“ก็...จะไปอาบน้ำ” ผมทำใจดีสู้เสือเอ่ยตอบออกไป


“แล้วเมื่อกี้...คิดจะทำอะไรไม่ทราบครับไอ้น้องบีทส์” พี่ซันเอ่ยถาม พร้อมกับทำสายตาวิบวับเหมือนรู้ทัน ผมหุบยิ้มแกล้งตีเนียน
ไม่รู้ไม่ชี้ พยายามดิ้นหนี แต่มือหนาของพี่ซันก็ยึดเอวผมไว้แน่นกับตักเหมือนกัน แม่ง นั่นมือหรือกาว!


“ก็ไม่ได้จะทำอะไร ปล่อยดิ”


“อะไรกูพูดแค่นี้ต้องตาแดงด้วย” พี่ซันเลิกคิ้ว ฮะ...ตาแดงอะไร อ๊าก ไม่นะไม่ ไอ้บีทส์ อย่ามาทำออเซาะที่นี่นะเว้ย มันไม่ปลอดภัยต่อประตูหลัง!


“ผมเปล่า” ตอบให้มันหนักแน่นกว่านี้หน่อยสิเว้ย


“หึๆ เมาแล้วสินะ ดีล่ะ ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยเข้านอนพร้อมกันทีเดียว วันนี้กูเต็มใจบริการ” พี่ซันพูดเสียงกรุ้มกริ่มก่อนจะอุ้มผมขึ้นทั้งที่ยังนั่งอยู่บนตัก ส่งผลให้ผมต้องเกาะพี่มันเอาไว้เป็นหมีโคอาล่า


แต่เดี๋ยวนะ…


ไปอาบน้ำ?


แล้วทำไมต้องลากกูมาด้วย


ม่าย!!!!!!!!!!!!!!!!


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-07-2018 16:31:29
[ต่อ]


[ซัน]


“อือ...”
   

ผมนอนมองคนข้างตัว ที่เริ่มขยับตัวยิ้มๆ และแม้จะขยับตัวไปมาอีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักทีจนผมต้องหาอะไรมาแกล้งเพื่อทำให้เจ้าตัวตื่น
   

จุ๊บ จุ๊บ
   

ผมแกล้งก้มลงจูบใบหน้าของบีทส์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าตัวก็ทำเพียงแค่ใช้มือเล็กปัดป่ายให้พ้นออกจากใบหน้าตัวเองด้วยความหงุดหงิดคิ้วเล็กขมวดเข้าหากันแล้วคลายออกช้าๆ ก่อนที่จะซุกใบหน้าเล็กเข้ามาที่อกผมเหมือนเดิม


ไอ้เด็กขี้เซา...


ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะขยับออกห่างจากน้องเล็กน้อย แล้วใช้มือไล่เกลี่ยไปตามโครงหน้าหวานของอีกคน
   

“เมื่อไหร่วะที่ความรู้สึกของกูมันเปลี่ยนไป” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนจะนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อวานตอนค่ำที่ร้านอาหาร
ผมรู้ว่าตัวเองไม่ชัดเจนพอ แต่จะให้ผมปล่อยมือเล็กนี้ไป ผมก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งพอได้อยู่ใกล้ยิ่งรู้ว่ามันเองก็มีคนสนใจอยู่ ขนาดเมื่อวานที่อยู่ร้านอาหาร ยังมีสายตาหลายคู่ที่มองมาที่มันด้วยความสนใจ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า


ผมหงุดหงิดสายตาทั้งหลายที่มองมาที่มันอย่างเปิดเผย ทั้งๆ ที่ผมเองก็จ้องตอบกลับไปด้วยสายตาดุๆ มีหลายคนที่รู้สึกตัวแล้วไม่หันมามองอีก แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่มองตอบกลับมาด้วยความท้าทาย
   

“ตื่นได้แล้วไอ้ดื้อ ถ้ายังไม่ตื่นอย่าหาว่ากูไม่เตือน” ผมแกล้งก้มกระซิบที่ข้างใบหูเล็ก แล้วกดจูบไปที่ขมับของอีกคน ถ้ามันยังไม่ตื่นแบบนี้เกรงว่าตัวเองจะห้ามใจไม่ไหว รังแกเขาไปอีกรอบไม่ใช่อะไร


ผมตื่นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนเช้าตรู่ ลุกขึ้นมาจัดการหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้น้อง เข้าไปค้นหาเสื้อผ้าในตู้ก็ไม่มีขนาดที่เจ้าตัวพอจะใส่ได้เลย จึงหยิบมาแค่เสื้อเชิ้ตกับบ๊อกเซอร์ตัวเก่าของบีทส์มาสวมใส่ให้ก่อน
   

เมื่อคืนนอนกันทั้งๆ ที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ติดตัวสักชิ้น ด้วยความที่ผมเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแค่ทำความสะอาดให้อีกคนเสร็จก็หลับไปทั้งอย่างนั้น


จะออกไปซื้อมาให้ใหม่ก็เกรงว่าหากเขาตื่นมาแล้วไม่เจอใคร พาลจะน้อยใจหาเรื่องงอนผมอีก จึงทำได้แค่สั่งให้คนในบ้านทำอาหารเช้าสำหรับคนสองคนมาให้ พร้อมกับสั่งให้เอาชุดของน้องไปซักรีดให้เรียบร้อย


“งืม...พอได้แล้ว” ผมเลิกคิ้ว เมื่อบีทส์ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมางึมงำ แต่พอจับใจความได้ “ไม่ไหวแล้ว” ผมหลุดขำอีกรอบเมื่อเจ้าตัวดีแค่ละเมอแล้วหลับหน้าตาเฉย เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็กินเวลาไปเกือบครึ่งคืน จึงปล่อยให้นอนต่อ ส่วนตัวเองทำได้แค่นอนกอดคนตัวเล็กไว้


จนเมื่อถึงเวลาที่ควรตื่นก็เริ่มปลุก แต่ปลุกมาเกือบครึ่งชั่วโมงมันก็ไม่ยอมตื่นสักทีเนี่ยสิ มันน่าตีไหมล่ะครับ


เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่ายอมตื่นแถมยังซุกหน้าเข้าไปหลบภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ผมจึงทำได้แค่ส่ายหัวให้กับตัวเอง
เมื่อวานผมหงุดหงิดแทบบ้าที่ติดต่อเขาไม่ได้


ช่วงเช้าที่เรามีปัญหากันยังไม่ได้เคลียร์ รถของน้องฟ้าก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ผมจำเป็นต้องปลีกตัวไปก่อน เพราะฟ้ากำลังขวัญเสีย เลยรีบบึ่งออกไปอย่างไม่ทันได้คิดอะไร ทิ้งอีกคนที่มองผมด้วยสายตาน้อยใจไว้ข้างหลัง


เป็นผมเองที่คิดน้อยเกินไป ลืมไปว่ามันเองก็มีความรู้สึกเหมือนกัน...


พอจัดการธุระให้น้องฟ้าเสร็จ น้องบอกว่ายังไม่ได้ทานอะไร ผมเลยพาน้องแวะที่ห้างสรรพสินค้า โดยไม่ลืมที่จะโทรเช็คบีทส์อยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ติดสักที


หงุดหงิด...จนน้องฟ้าต้องเอ่ยถาม


ผมแสร้งทำเป็นยิ้มเหนื่อยๆ บอกว่าเครียดกับเรื่องงาน น้องฟ้าก็ทำได้แต่ยิ้มแล้วปลอบอย่างให้กำลังใจ ด้วยความที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงเป็นทุกอย่างให้ผมได้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน น้องสาว แฟน


เธอรู้ว่าผมเป็นคนยังไง พอๆ กับที่ผมรู้ว่าเธอเป็นคนยังไงและรู้สึกยังไงกับผม


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะตกลงหมั้นกับเธอตามที่พ่อกับแม่เอ่ยขอ  ถึงจะยังไม่ได้จัดพิธีหมั้นกันอย่างเป็นทางการ แต่ทางบ้านของผมกับเธอก็รับรู้ถึงสถานะของเราทั้งคู่ว่าเป็น ‘ว่าที่คู่หมั้น’ กัน


เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและเพอร์เฟค ไม่เคยถามว่าผมอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรกับใคร ให้อิสระกับผมเต็มที่ไม่เคยคิดก้าวก่าย ไม่ว่าผมจะทำตัวแย่แค่ไหน มีเรื่องทะเลาะกับใคร น้องฟ้าก็ไม่เคยกล่าวโทษหรือตำหนิผม


เมื่อก่อนนี้ผมเคยคิดว่าถ้าเราได้ใช้อยู่ชีวิตอยู่ด้วยกันขึ้นมาสักวัน...อาจจะทำให้ผมรักเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งได้


“แจ่บๆ แจ่บ~” ผมก้มมองคนข้างตัวที่เริ่มทำปากขยุกขยิกแล้วยิ้มกว้างเหมือนกำลังฝันหวาน อดใจไม่ได้ที่จะก้มฟัดแก้มขาวนั่นอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว


ผม...ไม่ใช่คนดีอะไร


ยอมรับอย่างหน้าด้านๆ เลยว่า ‘มันเป็นของผม’ ถ้าใครคิดจะมาลองดีในช่วงที่ความสัมพันธ์ของเรายังไม่ชัดเจน ก็คงต้องมาคุยกันสักหน่อย


หลายครั้งที่มันเคยถาม ว่าสำหรับผมแล้ว มันอยู่ในฐานะอะไร

หลายครั้งที่มันพร่ำบอกผมตอนมีอะไรกันว่าผมมีเจ้าของอยู่แล้ว

หลายครั้งที่มันทำหน้าน้อยใจใส่ผมโดยไม่รู้ตัว


จะให้พูดคำว่า ‘ชอบ’ มันก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก ผมเป็นผู้ชายจะให้มาบอกชอบผู้ชายด้วยกันมันก็แปลกๆ แต่ถ้าถามว่ารู้สึกดีไหม...นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว


ยิ่งพอหลังจากเหตุการณ์ที่ผมเข้าไปปลุกปล้ำเขาถึงในห้องยิ่งปฏิเสธไม่ออก ไม่อยากยอมรับเลยว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้ ผมได้แต่พร่ำถามกับตัวเองในใจว่า ‘จริงๆ แล้วผมไม่พอใจอะไรมันกันแน่’


ยากจะยอมรับ...แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี


พอมาเจออาการแปลกๆ จากมัน ที่เอาแต่หลบหน้า ปิดโทรศัพท์ ปิดช่องทางการสื่อสารของผมทุกทาง ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ตัวผมหงุดหงิดได้ขนาดนี้


ตอนที่เราบังเอิญเจอกันที่ห้าง สายตาที่มันมองผมกับฟ้าทำให้ผมไม่สบายใจ ไม่ได้กลัวว่าความลับระหว่างเราจะทำให้ผมกับฟ้ามีปัญหากัน


แต่ที่ผมห่วง...ก็คือตัวมันเองนั่นแหละ


พยายามสะบัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปจากสมอง พยายามไม่คิด ไม่สนใจ เพราะผมมีอีกคนที่ต้องดูแล แต่ก็อดห่วงไม่ได้เวลาหันไปเจอสายตาเศร้าๆ ของมันที่นั่งหลุบตากินไม่พูดไม่จา


แต่ถึงกระนั้นก็ต้องคอยระแวดระวังสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนใกล้ตัวมันอย่างเด็กของเพื่อนสนิท หรือก็คือน้องของไอ้ดื้อนั่นแหละ


หลายครั้งที่แววตาแสนรั้นนั่นเมียงมองมาด้วยความสงสัยปนกดดัน หลายครั้งที่เราจ้องตอบกันตรงๆ ดวงตาที่กลมโตเหมือนกับคนพี่แต่แฝงความดุดันมองจ้องตอบอย่างเอาเรื่อง


เด็กไอ้อาร์ต แสบเอาเรื่อง


จนเมื่อน้องขอตัวออกไปก่อน ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องอยากตามไปกระชากไอ้คนแสนดื้อนั่นมาคุยให้รู้เรื่อง หรือเพราะรำคาญใบหน้าเศร้าสร้อยที่มันแสดงออกมากันแน่


ทำไมผมต้องห่วงด้วยว่ามันจะเป็นตายร้ายดียังไง


ทำไมถึงไม่ตีตัวออกห่างจากมัน หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ตั้งใจนั่น ทำไมถึงต้องอยากให้มันมาอยู่ใกล้ๆ ตัว


ร่างเพรียวของฟ้าก็ดูอารมณ์ดีที่ได้เจอน้องรหัสของตัวเอง เธอบอกว่าน้องรหัสเป็นคนน่ารัก เธอชอบในความน่ารักสดใสนั่น บ่อยครั้งที่ผมได้ฟังเรื่องราวของบีทส์ผ่านน้องฟ้า ก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกเช่นกันที่พอได้ฟังเรื่องเขา ริมฝีปากของผมถึงต้องยกยิ้มตาม


ผมได้แต่มองรอยยิ้มหวานนั่นจนเผลอคิดไปว่าถ้าในวันหนึ่ง...ต้องเลือก


ผมจะจัดการกับปัญหานี้ยังไง ไม่อยากยกข้ออ้างของคำว่า ‘ติดใจ’ มาใช้กับบีทส์ เพราะนั่นอาจจะเป็นข้ออ้างที่ดูเลวร้ายมากที่สุด เขาคงไม่ดีใจหรอกถ้าได้ยินมันเข้า


น้องฟ้า...หญิงสาวผู้แสนดีที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโตความผูกพันระหว่างเรามีอยู่มากเกินกว่าที่ผมจะทำร้ายเธอได้ลงคอ


ผมอยากให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ขอโอกาสให้ผมได้พิสูจน์อะไรบางอย่างให้แน่ใจซะก่อน


แล้วผมจะไม่ลังเลอีกแล้ว


“อ๊ะ พี่...” ผมก้มมองบีทส์ทันที เมื่อได้ยินเสียงเรียกเบาๆ เจ้าตัวทำหน้ายุ่งก่อนจะค่อยๆ ขยับหนีผมด้วยใบหน้างอง้ำ
 

“หน้างอแบบนี้ กูจับกดอีกทีให้หายงอดีมั้ย” ผมแกล้งขู่ น้องทำเสียงฮัดฮัดในลำคอ ผมกลั้นยิ้มรีบกลบเกลื่อนสีหน้า เมื่อเห็นท่าทีโวยวายแต่โครตน่ารักในสายตาผม


“ขู่ตลอดไอ้พี่บ้า!”


ผมหันหน้าหนีไปซ่อนรอยยิ้มเมื่อทนไม่ไหว ก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วให้คนที่กล่าวหาตัวเอง “ตื่นแล้วก็ลุกสิ สายแล้ว...หรือรอให้กูอุ้ม”


ไอ้ดื้อรีบส่ายหน้าให้ผมทันที


“ยังเมื่อยอยู่เลย” น้องบ่นหน้างอ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วชะงักเมื่อมองเห็นเสื้อของผมที่เขาสวมใส่อยู่


“เสื้อพี่เหรอ”


ผมพยักหน้ารับ


“ตัวใหญ่ชะมัด คนหรือควายเนี่ย”


น้องบ่น แต่แอบเนียนด่าผมไปด้วย ผมแสยะยิ้ม


“อยากโดนควาย ‘ขวิด’ บนเตียงอีกสักรอบมั้ยล่ะ” ผมพูดขึ้นเสียงนิ่ง บีทส์รีบหันมายิ้มอย่างเอาใจ หึๆ


“โธ่ ผมก็แค่แซ็วเล่น ทำเป็นงอนไปได้” บีทส์บ่น ผมยื่นมือไปยีหัวเจ้าตัวเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะทำท่าลุกออกจากเตียง
ผมหันไปเลิกคิ้วเมื่อชายเสื้อถูกดึงเอาไว้ด้วยบุคคลที่นั่งอยู่บนเตียง


“พี่อย่ามาเนียน”


ผมเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ


น้องเงยหน้าขึ้นมาถาม “ก็จุดประสงค์ที่พี่พาผมมานี่ไง หรือแค่อยากจะพามาเอานอกสถานที่” ผมขมวดคิ้วกับความคิดของคนตัวเล็ก


“คิดอะไรของมึง”


“ก็มันจริงมั้ยเล่า!”


ผมส่ายหัว ถอนหายใจ แล้วนั่งลงข้างๆ เขาตามเดิม


“ถ้าจะแค่เอา กูเอาให้เสร็จๆ ไปที่กรุงเทพไม่ดีกว่าเหรอ” ผมถาม ก่อนจะยกเจ้าตัวเล็กมานั่งบนตัก บีทส์ทำท่ากระฟัดกระเฟียดไม่ยอมแต่สู้แรงผมไม่ได้


“จะไปรู้เหรอ”

ผมยิ้มแล้วกดจูบขมับเขาไปอีกหนึ่งที


“ถ้าจะแค่ ‘เอา’ จะพามาไกลขนาดนี้ทำไม ขับรถไม่ใช่ใกล้ๆ” ผมพูดต่อแล้วแกล้งเน้นคำ ไอ้ดื้อบนตักกัดปากฉับ


ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามไปตรงๆ


“มึงยังชอบกูอยู่มั้ย”


มือขวาที่ว่างก็ลูบสะโพกคนในอ้อมกอดไปพลาง บีทส์เงยหน้าขึ้นมองหน้าผมหลังจากที่ฟังคำถามจบ ริมฝีปากแดงเผยอขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ จนอดไม่ได้ที่จะก้มจูบลงไปแรงๆ


บีทส์ร้องท้วงในลำคอ ก่อนจะดันหน้าผมออก


“เรื่องอะไรมาถามผม!” บีทส์ตอบแล้วสะบัดเสียงห้วนในตอนท้าย ผมยิ้มรับคำตอบ ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ คำตอบก็คง...ผมยกยิ้มอย่างพอใจ


“มึงอยากถามอะไรกูมั้ย กูให้โอกาสถามมาหนึ่งคำถาม ยกเว้น...ถามว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง” บีทส์นั่งฟังผมอย่างตั้งใจ ก่อนจะหน้างอเมื่อผมดักคำถามที่เจ้าตัวตั้งใจจะถามไว้เป็นข้อห้าม


“ขี้โกงนี่”


ผมยิ้มรับ


น้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม “ผมอยากรู้เรื่องพี่ฟ้า ผมไม่เคลียร์และไม่อยากทำร้ายเธอ มันดูเลวมากเลยนะครับ”


ผมลูบมือน้อง มาถึงขนาดนี้ไม่พูดอะไรเลยก็คงไม่ได้


“ฟ้าเป็นให้กูได้ทุกอย่าง คนรัก เพื่อน น้องสาว ครอบครัว” ผมเว้นจังหวะการพูดไปเรื่อยๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของคนที่นั่งอยู่บนตัก


“อะ...อันนั้นผมรู้”


ผมยื่นมือไปลูบหัวเขา “มึงคงรู้อยู่แล้วว่ากูกับพี่รหัสมึงต้องหมั้นกัน”


น้องพยักหน้ารับ ใบหน้าหวานไร้รอยยิ้ม แววตาหม่นลง ผมอาจจะบอกมันไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเพื่อรักษามันไว้...ผมก็ควรจะพูดในสิ่งที่ควรพูด


 “กูกับฟ้าเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เราสองครอบครัวเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ มึงคงพอจะเคยได้ยินเรื่องดองกันทางธุรกิจของพวกเหล่าคนมีอันจะกินใช่มั้ย”


“ผมเคยดูในหนัง”

ผมเกือบจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่ทัน “นั่นแหละ เรื่องของกูกับฟ้าก็ประมาณนั้น” ผมไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อหรือเปล่านะครับ


“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกัน”


ผมกรอกตาขึ้นฟ้า กูว่าแล้ว…ผมยกมือขึ้นดีดหน้าผากอีกคนไม่แรงมาก “ซื่อบื้อ กูกับฟ้าเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขาสำคัญ แต่กูไม่ได้รักเขา”


สัส...ทำหน้าเอ๋อใส่อีก


“เดี๋ยวนะครับ พี่กำลังจะบอกผมว่าที่คบกันก็เพราะโดนจับคู่กันมาตั้งแต่เด็กอย่างนั้นเหรอ”


“จะว่าแบบนั้นก็ได้ เมื่อก่อน...กูเคยมั่นใจว่าเขาคือคนที่ใช่ แต่มาวันนี้กูก็ชักจะไม่มั่นใจแล้วเหมือนกัน”


“หมายความว่ายังไง”


ผมมองสบตากับน้อง


“ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยรู้จักคำว่ารักจริงๆ เลยว่ะ กับฟ้ากูเคยเรียกมันว่าความรัก แต่กูกลับไม่เคยมีอาการหึงหวงเขา เหมือนที่กูเคยหวงมึง”


“คำถามข้อนี้ กูก็กำลังหาคำตอบให้ตัวกูเองอยู่เหมือนกัน” ผมต่อประโยคจนจบ บีทส์นั่งเงียบเม้มปากเป็นเส้นตรง
   

น้องเงียบไปสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามผม
   

“พี่...คงไม่คิดจะควบสองหรอกใช่มั้ย”
   

ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัว
   

“ถึงกูจะเหี้ยไปบ้าง แต่กูก็ไม่อยากให้คนที่รักกูต้องมาเสียใจเพราะกู”
   

บีทส์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นไม่พูด
   

“จะปฏิเสธเหรอว่ามึงไม่ได้รักกู” ผมพูดดักทาง น้องหันมาชะงักหน้าแดงแล้วเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นว่าผมจ้องตอบด้วยสายตาวาววับ
   

“ก็แล้วไงล่ะ พี่แคร์ด้วยเรอะ” บีทส์บ่นพึมพำจนผมต้องเอียงหูฟัง
   

“บีทส์”
   

“หื้อ?”
   

ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ตั้งใจไว้ว่าจะพูดกับเขาให้ได้ออกมา
   

“กูอยากขอโทษสำหรับทุกอย่าง”


ผมอยากขอโทษสำหรับการกระทำที่ไม่ดีของผม ทั้งทางร่างกายและจิตใจของมัน รวมไปถึงความชัดเจนของความสัมพันธ์ที่พัวพันกันอยู่อย่างแก้ไม่ตก


...ให้ความชัดเจนไม่ได้ยังเห็นแก่ตัวรั้งให้มันอยู่…


“ครับ?”


“ทุกอย่างที่กูเคยทำเลวๆ กับมึง”


“เพื่ออะไรล่ะครับ” เขาถามกลับน้ำเสียงยียวน


ผมเริ่มฉุน เมื่อน้องทำเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ


“มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูไม่ใช่คนดี กูไม่เคยบังคับให้มึงเข้ามาในชีวิตกูนะ”


“พี่จะโทษว่าเป็นความผิดผม” เขาเลิกคิ้วถาม


“ใช่ มึงก็มีส่วน แต่กูถามจริงๆ นะ คิดว่าพอเข้ามาในชีวิตกูได้แล้วอยากจะออกก็ออกไปง่ายๆ หรือไง มันไม่ง่ายขนาดนั้น!” มันคิดจริงๆ เหรอว่าอยากไปก็ไปได้เลย


“ผมไม่อยากเป็นตัวสำรองของใคร แล้วแฟนพี่นั่นก็เป็นพี่รหัสของผม พี่ได้ยินมั้ยว่านั่นคือพี่รหัสของผม!” บีทส์พูดก่อนจะใช้มือเล็กสองข้างทุบหน้าอกผม


“พี่มันเห็นแก่ตัว!”


“กูรู้”


“พี่ไม่เคยนึกถึงใจใครเลย!”


“...”


“พี่มันเลว!!”


“แล้วมึงจะยอมอยู่ข้างๆ คนเลวๆ อย่างกูได้มั้ยล่ะ?”


“...”


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 25-07-2018 23:05:20
ไม่รู้จะสงสารพี่หรือน้องมากกว่ากันดี
รอให้พี่แก้ปัญหาให้ได้เร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-07-2018 00:19:22
ไปเคลียร์กับฟ้าก่อนดีไหม สงสารบีทส์อ่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 26-07-2018 09:15:58
ยอม ยอมอยู่กับคนเลวเลย 55555
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-07-2018 09:48:22
อิพี่ซันแกควรไปแก้ปัญหาส่วนตัวให้จบก่อนดีกว่ามั้ย รั้งบีทส์ไว้แบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไปมั้ง
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 26-07-2018 19:28:32
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 21 : ทางแยก
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-07-2018 14:13:06
เคลียร์ๆซะทีเหอะพี่ซัน เซ็งอ่ะ ลองห่างๆ กันดูดิ เวลาจะให้คำตอบได้
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 22 : ความแตก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 28-07-2018 15:27:32

ตอนที่ 22 : ความแตก


[บีทส์]


อ๊าก!!!


ผมจะทำยังไงดีๆ ประโยคนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เช้า ไม่ยอมหลุดออกไปจากสมอง


“หึ เป็นอะไรของมึงอีก ทำหน้าแปลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว” พี่ซันเอ่ยแซ็วขึ้นมาขำๆ ขณะที่กำลังขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันในช่วงสายๆ ของวัน


“เพราะพี่นั่นแหละ”


ผมโวยกลับหน้ายุ่ง ไอ้พี่บ้า!! มาทำให้คนเขาคิดมากยังมาหน้ามาทำหน้าระรื่นอีก! ผมจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้ฟังนะครับ แบบ...นึกแล้วอยากเอาหัวโขกหน้ารถจริงๆ


กลับไปที่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากที่พี่ซันพูดประโยคชวนสั่นสะท้านโลกานั่นมา ผมก็ได้แต่เบิกตากว้างมองหน้าพี่มันด้วยความตกใจจนพี่ซันต้องเอื้อมมือมาเขย่าตัว


‘เฮ้ย บีทส์มึงโอเคมั้ย?’


‘พี่พูดอะไรออกมา คนข้างๆ อะไรกันผมไม่เข้าใจ’


พี่ซันถอนหายใจ แล้วพูดต่อด้วยแววตาจริงจัง ‘มันไม่มีสถานะตายตัว กูแค่ขอให้มึงช่วยอยู่ข้างๆ กูก่อน อย่าผลักไสให้กูไปไกลๆ อย่าเพิ่งหนีกูไปไหนจะได้มั้ยวะ’ ผมพยายามหรี่ตามองอย่างจับผิด ผมยังไม่อยากไว้ใจแต่ก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้


‘แต่พี่มีพี่ฟ้าอยู่แล้วนะ แล้วเขาก็เป็นพี่รหัสของผมด้วย มันจะไม่โหดร้ายเกินไปเหรอ’


‘เขาก็อยู่ส่วนเขา กูรู้จักฟ้าดีพอๆ กับที่รู้จักตัวเองดี เดี๋ยว! อย่าเพิ่งเถียง ฟังกูพูดให้จบ อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่มันไม่เหมือนกันเข้าใจมั้ย กูสัญญาว่ากลับไปกูจะพยายามทำทุกอย่างให้ฟ้าเข้าใจ’


‘จะให้ผมอยู่ในฐานะอะไร แฟนเก็บ คนคั่นเวลา หรือแค่ตัวสำรอง รอให้พี่เหงาแล้วมาหา จากนั้นก็กลับไปหาคนของพี่’


‘ไม่ใช่ แต่เป็น...คนข้างๆ กูต่างหาก’


‘แล้วมันต่างอะไรกับเมียน้อยเล่า!’


‘กูเพิ่งจะรู้ตัวได้ไม่นานมานี้...ว่ามึงมีอิทธิพลกับตัวกูมากแค่ไหน” เขาเหลือบมองหน้าผมแล้วเว้นวรรคคำพูด “ไม่เจอมึงก็ร้อนรน เจอมึงอยู่กับคนอื่นก็หงุดหงุด มันเหมือนยาเสพติดนะว่ามั้ย รู้ว่าไม่ดียังคิดอยากจะลองซ้ำๆ’


!!!


‘พี่ซัน...’ ผมครางเรียกชื่อเขา


‘ขอเวลาให้กูได้เคลียร์ตัวเองก่อนได้มั้ย?’


‘แต่พี่รู้ใช่มั้ยว่าถ้าอยู่กับผม พี่จะโดนคนอื่นมองว่าเป็นเกย์...พี่ยอมได้เหรอ’ ผมถามกลับด้วยความคาใจ เป็นจุดที่ผมเองก็เป็นห่วงพี่ซัน


‘กูไม่ได้เป็น กูรู้อยู่แก่ใจ แค่มึงคนเดียวเท่านั้นบีทส์’


‘แต่...’


‘ลองเสี่ยงกับกูสักครั้งได้หรือเปล่า’


สายตาเคร่งขรึมถูกปรับลงให้เหลือไว้แต่ความอ่อนโยนและเว้าวอน พี่ซันกระชับมือผมขึ้นสองข้าง แล้วมองตรงมาที่ผม สายตาทั้งสองข้างสะท้อนแค่เงาของผม…


“กูทำไม” พี่ซันถามกลับอารมณ์ดี สายตาโฟกัสอยู่ที่ถนน


“ผมถาม ทำไมไม่ยอมตอบเล่า!”


พี่ซันหันมาเลิกคิ้ว


“ตอบอะไร”


“พี่รู้ความหมายของคำถามพี่ดีใช่มั้ย...ว่ามันสื่อว่าอะไร” ผมหันไปถาม พี่ซันหรี่ตาลงก่อนจะหันไปขับรถต่อ ผมทำปากยู่


“รู้”


“นั่นมันคำบอก...บอกชอบทางอ้อมแท้ๆ เลยนะ!?” ผมถามย้ำขึ้นอีกรอบ จริงๆ เป็นคำถามที่ผมเคยถามไปตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากพี่มันก็แค่ยิ้มแล้วยีหัวผม ไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธอะไรเลย แค่บอกว่าชอบว่ารักแค่นี้มันลำบากมากเลยหรือยังไงห๊า!!!?


“มึงก็ยังไม่ได้ตอบอะไรกูเลยเหมือนกัน” พี่ซันแย้ง


“ก็มันยังไม่เคลียร์เลยนี่”


“กูรู้ว่ามึงคงรู้สึกไม่ดีเรื่องฟ้า...ความผิดนั้นกูขอเก็บไว้แค่คนเดียว ขอแค่มึงเชื่อในตัวกู และอยู่ข้างๆ กูแบบนี้ กูสัญญาว่าจะเป็นคนเคลียร์ทุกอย่างด้วยตัวกูเอง” พี่ซันพูดขึ้น


“แต่...”


“กูพอจะเดาคำตอบของมึงได้ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ที่มึงอยากถามเอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะ” พี่ซันพูดแล้วฉีกยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะหันไปขับรถต่อ


ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าเคร่งขรึมของพี่ซันที่มองตรงไปข้างหน้า มันเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ ความรู้สึกค้างคายังเกาะกินในใจผม แต่ผมขอแค่ครั้งนี้ให้ผมได้ลองทำตามหัวใจตัวเองสักครั้ง ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ผมจะยอมรับความผิดบาปนี้ไว้และถอนตัวออกมา


ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปกอบกุมมือหนาที่จับอยู่ที่พวงมาลัยแล้วบีบเบาๆ พี่ซันหันมาส่งยิ้มมุมปากให้ เราเพียงแค่ยิ้มเพื่อเติมกำลังใจให้แก่กันและกัน


...ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ


“มึงจะแวะซื้ออะไรเข้าคอนโดมั้ย” พี่ซันหันมาถาม


ผมส่ายหัว ยังจมอยู่กับความคิด


ให้อยู่ข้างๆ กันงั้นเหรอ


แล้วถ้าสักวันพี่มันมีคนข้างๆ ที่เป็นตัวจริงเข้ามาล่ะ


ผมก็ต้องเป็นคนถอยหรือเปล่า…


ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาอีกรอบหลังจากเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ อุตส่าห์คุยโวไว้ว่าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนคนข้างๆ จนถึงกรุงเทพแท้ๆ ก่อนจะหันไปถามร่างหนาของคนคุ้นเคยที่หันมามองด้วยแววตาขบขัน


“พี่หมอนัดที่คอนโดใช่มั้ยครับ”


“อืม...เพราะมันคนเดียวทำทุกอย่างพลาดไปหมด ไม่รู้ว่ามีธุระด่วนอะไรถึงเคลียร์กันไม่ได้ ต้องโทรตามตัวกูให้กลับ” พี่ซันตอบอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกไปถึงต้นเหตุที่ทำให้เราต้องรีบกลับกรุงเทพกันตั้งแต่ตอนสายของวัน


ผมพยักหน้ารับก่อนจะถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของพี่ซันขึ้นมาเล่นเกมอีกรอบหลังจากที่พี่เขาคงเห็นผมนั่งว่างเบื่อๆ เลยหยิบโทรศัพท์ของตัวเองยื่นให้ผม บอกว่าเอาไปเล่นปากจะได้ไม่ว่าง…


จะว่าไปโทรศัพท์ของพี่มันก็แทบไม่มีแอพลิเคชั่นอะไรเลย ผมลองแอบกดเข้าไปดูในกล่องข้อความก็ไม่มีอะไร จะมีก็แต่กล่องข้อความเข้าจากพี่ฟ้าทั้งนั้น แต่กล่องข้อความออกกลับมีแต่พวกวันเวลา สถานที่ ถึงใครก็ไม่รู้ แถมยังมีตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นจำนวนเงินอะไรสักอย่างที่พี่มันส่งออกไป เป็นมูลค่าที่เยอะทีเดียวครับ


พอจะลองกดเข้าไปเช็คเฟสบุ๊คส่วนตัวของพี่มัน ก็ดันไม่ล๊อกอินไว้อีก คนหล่อเซ็ง เอาง่ายๆ เลยครับ พี่มันมีโทรศัพท์ไว้แค่โทรเข้ากับโทรออกจริงๆ ไอ้พวกโซเชียลนี่คงจะไม่เคยแตะ


ผมเล่นเกม (ที่เพิ่งโหลดใหม่เอง) ไปได้สักพักใหญ่ ก่อนจะเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับเส้นทางเมื่อพี่มันเลี้ยวเข้าซอยคอนโด ผมหันไปหยิบเป้ของตัวเองที่วางอยู่ตรงท้ายเบาะหลังมากอดไว้ ก่อนจะกดออกจากเกมยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของเครื่อง


“พรุ่งนี้มึงมีเรียนเช้าใช่มั้ย” พี่ซันเอ่ยปากถามก่อนจะวนหาที่จอดรถ ผมเลิกคิ้ว แต่ก็กดหน้าลงหงึกหงักเป็นเชิงตอบรับ
“เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่ซันหันมาเฉลย ก่อนจะจอดรถนิ่งสนิท


ผมขมวดคิ้ว “เดี๋ยวพี่ก็ปล่อยผมลงหน้ามหาลัยอีกอ่ะ ไม่เอาด้วยหรอก”


พี่ซันทำหน้าแหยแกด้วยความไม่ชอบใจ


“อะไรที่มันผ่านมาแล้วมึงจะปล่อยผ่านมันไปไม่ได้เหรอวะ” เขาถามเสียงอ่อน ผมทำหน้าช่วยไม่ได้ ก็คนมันกลัวนี่หว่า พี่แม่งยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้อยู่ด้วย


“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”


“เออ กูจะส่งมึงให้ถึงหน้าคณะเลยพอใจมั้ย พูดมากลงไปได้แล้ว จะได้อาบน้ำ เหนียวตัวฉิบหาย” พี่ซันพูดเสียงฉุนที่ผมตอกย้ำการกระทำของเขาในอดีต ผมหัวเราะคิกคักก่อนจะก้าวลงจากรถตามร่างสูงที่เปิดประตูรถออกไปก่อนแล้ว


“อ้าวน้องบีทส์”


พี่รปภ. หน้าคอนโดเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นผม ผมหันไปยิ้มทักทายให้อย่างเป็นกันเอง คุยกันตั้งหลายครั้งไม่เคยได้ถามชื่อสักที คุณนายเขาชอบฝากของกินมาให้พี่แกนะครับ เลยสนิทกันโดยปริยาย จำได้กันไหมครับตอนที่ผมย้ายมาอยู่แรกๆ ที่คุณนายฝากฝังผมไว้กับพี่แกไง


“พี่เห็น...”


“ยืนทำอะไร ทำไมไม่ขึ้นห้อง”
   

พี่รปภ. หน้าเหวอเมื่อคนที่เดินถือถุงของฝากตามผมมาเอ่ยขัดขึ้นเสียงเข้ม ผมหันไปมองหน้าพี่ซันก่อนจะรีบฉีกยิ้มประจบเมื่อเจ้าตัวหันมามองผมหน้าดุ ชิส์ เห็นว่าขับรถมาเหนื่อยหรอกนะ
   

“เดี๋ยวว่างๆ ผมมาคุยด้วยนะพี่ พอดีพี่ผมเขาขับรถมาเหนื่อย” ผมรีบหันไปกระซิบพี่เขาทันที ก่อนจะรีบเดินเข้าไปกดลิฟท์ให้พี่ซันที่ถือของฝากมาเต็มสองมือ ให้พี่ฟ้านั่นแหละครับ อ่อ แต่มีของผมด้วยนะ
   

“เดี๋ยว” ผมชะงักมือที่กำลังจะกดชั้นที่จะให้ลิฟท์จอดไปมองหน้าพี่ซัน


“ครับ?”


“จอดแค่ชั้นของมึงพอ” พี่ซันต่อคำ


ผมเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “อ้าว แล้วพี่จะไม่ไปห้องพี่รึไง ของผมมีไม่เยอะ เดี๋ยวผมถือไปเองได้ ไหนว่าพี่อาร์ตรออยู่” ไม่เห็นต้องถือของไปให้เลย ตัวเองก็มีธุระด่วนแท้ๆ


“เออน่า”


ติ้งงงง


ผมเดินนำพี่ซันออกมาจากลิฟท์ก่อนจะล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋าออกมา เฮ้อ สงสัยพรุ่งนี้คงต้องแวะไปเอาโทรศัพท์ที่บ้านหลังเลิกคลาสซะแล้ว หวังว่าไบร์ทคงจะไม่สงสัยอะไรหรอกนะ


แกรก~


ผมไขประตูเข้ามาในห้อง โดยมีร่างสูงของพี่ซันเดินตามเข้ามาด้วย รอให้เขาเข้าห้องผมถึงปิดประตูแล้วเดินตามร่างสูงเข้าไปในห้อง แต่ต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นพี่ซันยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน


“มี...ไบร์ท!!!?”


ผมกำลังจะเอ่ยถามพี่ซัน แต่ก็ต้องร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างของคนคุ้นเคยนั่งอยู่บนโซฟา ตรงข้ามกับพี่อาร์ตที่ยิ้มน้อยๆ ให้พวกผมอย่างลำบากใจ


“ใช่...ไบร์ทเอง”


ไบร์ทหันมาตอบรับแล้วแสยะยิ้มให้น้อยๆ ผมทำหน้าอึกอัก เชี่ยแล้วไง พี่ซันหันมามองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจเหมือนเริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ เขาเดินเลี่ยงเอาของไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วเดินกลับมาคว้าเอาข้อมือผมให้เดินตามไปนั่งที่โซฟา พี่อาร์ตขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง


“พี่บีทส์มานั่งนี่”


ผมกำลังจะนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับน้องเด้งตัวขึ้นยืนตัวตรง เตรียมขยับไปนั่งตามคำขอแต่พี่ซันคว้าข้อมือผมไว้ รู้สึกว่าอากาศในนี้ร้อนทั้งๆ ที่เปิดแอร์อยู่ ไบร์ทเม้มปากมองหน้าผม ก่อนจะตวัดดวงตากลมโตกลับไปมองกดดันคนข้างตัวผมแทน


พี่ซันมองหน้าผมนิ่ง แล้วหันไปมองหน้าน้องผม


“ตรงนี้ก็ว่าง” พี่ซันพูดขึ้นเสียงเรียบไม่สะทกสะท้าน ผมทำหน้าอึกอัก


“เอ่อ พะ.../ พี่บีทส์จะนั่งตรงนี้” ผมกำลังจะเอ่ยปากท้วงพี่ซัน แต่โดนใครบางคนพูดแทรกขึ้นก่อนจนต้องเก็บคำไว้ในปาก บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที ผมมองหน้าน้องสลับกับพี่ซันก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


เอาวะ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด


“พี่เขาแค่พามาส่งน่ะไบร์ท” ผมเอ่ยแก้ตัว แต่แอบเอานิ้วไข่วไว้ด้านหลัง


ขอโทษนะไบร์ท


ไบร์ทลุกขึ้นยืนมองหน้าผม พี่หมอลุกตามแล้วก้าวมายืนขนาบข้าง


 “พี่บีทส์ไม่เคยโกหกไบร์ทแบบนี้เลยนะ” ผมเม้มปาก พี่ซันลุกขึ้นยืนซ้อนหลังผม กระชับแรงที่มือส่งกำลังใจให้ผมโดยไร้คำพูด
ไบร์ทเหลือบมองมือพี่ซันที่จับข้อมือผมไว้ “ปล่อยมือ” น้องบอกพี่ซัน แต่เขาไม่ยอมปล่อย ผมเม้มปาก ส่งสายตาให้พี่ซันปล่อย แต่พี่ซันยืนกรานความคิดเดิม


“พี่บีทส์ทำแบบนี้ได้ยังไง!”


“พี่ว่าเราคุยกับพี่เขาดีๆ ดีกว่านะไบร์ท” พี่หมอเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง ไบร์ทตวัดสายตาใส่อย่างเคืองจัด แต่พี่หมอก็ไม่ยอมปล่อยมือจากข้อศอกของไบร์ท คงกลัวหลุดมาเสยคางเพื่อนตัวเอง ขนาดผมยังแอบหวั่นในใจ ไบร์ทค่อนข้างใจร้อนและรั้นมากด้วย


“มึงไม่ต้องยุ่ง เรื่องของคนในครอบครัว!!” ไบร์ทตะคอกใส่พี่หมอหน้าแดง พี่หมอหน้าเสียไปเลย แต่ยังยืนนิ่งไม่มีการขยับหนี ผมขยับเข้าไปใกล้น้องแต่ก็ถูกพี่ซันรั้งแขนไว้


“พี่แค่อยากให้เราใจเย็นๆ” พี่หมออธิบาย


“กูเย็นมานานแล้ว แต่นี่มันลากพี่กูไปไหนก็ไม่รู้แถมยังไม่ให้ติดต่อกับกู มึงจะให้กูคิดยังไง!?” ไบร์ทหันไปตะคอกถามต่อแล้วมองพี่ซันอย่างเคืองจัด


“คนเราทุกคนก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง พี่ไม่อยากให้เราใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหา” พี่หมอพูดต่ออย่างใจเย็น


“ไบร์ทใจเย็นๆ” ผมออกปากห้ามเมื่อเหตุการณ์เริ่มจะบานปลาย มือสั่นทั้งสองข้าง ไม่รู้จะแก้ไขกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไง ไม่รู้ว่าน้องรู้อะไรบ้าง หรือรู้ไปถึงขั้นไหน


“มึงปล่อยมือพี่กูเลยนะ!” ไบร์ทตะคอกใส่หน้าพี่ซัน แล้วทำท่าจะเข้ามาดึงมือพี่ซันออกจากผม พี่หมอรีบเกี่ยวเอวเล็กแล้วจับยึดไว้สองมือ ส่วนผมตอนนี้ถูกพี่ซันรั้งไปยืนอยู่หลังร่างหนาแทน


“พี่ซันปล่อยผม นั่นน้องผมนะ!” ผมทำหน้าจะร้องไห้ เมื่อเห็นอาการหัวเสียของน้อง ไบร์ทเองก็ไม่ต่างกัน คงโมโหที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ


“แต่...” พี่ซันทำท่าจะท้วง


ผมส่ายหัวแล้วตะคอกย้ำคำพูดของตัวเอง “ปล่อย!” 


พี่ซันส่งเสียงหึในลำคอ แต่ก็ยอมปล่อยมือผม ผมเดินขาสั่นเข้าไปหาน้อง ไบร์ทเม้มปากแน่นก่อนจะคว้าข้อมือผมไปยืนข้างหลัง


“พูดความจริงมาให้หมด” ไบร์ทยื่นคำขาด ผมเบิกตากว้าง หมายความว่ายังไง ไบร์ทรู้เรื่องของผมกับพี่ซันแล้วอย่างงั้นเหรอ!?


“ไบร์ท” ผมครางเรียกชื่อน้องเสียงสั่น แล้วหันไปมองหน้าพี่ซัน พี่มันหรี่ตาลง อย่างใช้ความคิด ก่อนจะปรับสายตาให้เรียบนิ่งเหมือนเดิม


ไบร์ทไม่ฟังเสียงผม แต่เลือกหันไปพูดกับพี่ซันแทน “ถ้าไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าคนรู้จักกับพี่บีทส์ก็แค่พูดมา แต่ถ้ามี...ก็บอกมาให้หมด”


ผมจับมือน้องไว้แล้วดึงไว้เบาๆ พยายามจะเรียกน้อง


“คะ...คือไบร์ท”


พอเจอผมรบเร้ามากๆ ไบร์ทก็หันมาพูดกับผมแล้วจับมือผมไว้เบาๆ เป็นการขอร้อง “พี่บีทส์ตอนนี้ไบร์ทขอให้พี่บีทส์อยู่เฉยๆ ก่อนนะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน”


ผมทำหน้าลำบากใจแล้วหันไปมองหน้าพี่ซัน พี่มันพยักหน้าให้ผม


“พาพี่บีทส์เข้าไปในห้องก่อนอย่าเพิ่งให้ออกมา” ไบร์ทหันไปสั่งพี่หมอ รายนั้นก็พยักหน้าตอบรับคำขออย่างดีเยี่ยม ผมส่ายหัวไม่ยอม


“พี่จะอยู่ด้วย” ผมต่อรอง


ไบร์ทส่ายหัว “ไบร์ทจะคุยเองและต้องคุยแค่กับเขา”


“ไปเถอะบีทส์ ไม่มีอะไรหรอกเชื่อพี่นะ” พี่หมอเอ่ยสำทับ ทั้งๆ ที่ก็มีสีหน้าเป็นห่วงทั้งเพื่อนตัวเองและน้องผม ผมหันหน้าไปมองพี่ซัน เขาส่งยิ้มให้ผม


“ไม่มีอะไรให้มึงต้องห่วง เข้าไปข้างในก่อนไป”


ผมรู้ว่าพี่ซันก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่ทำอะไรรุนแรงแน่นอน แต่ที่ผมห่วงคือน้องผม ไบร์ทใจร้อนและเคยมีเรื่องกับเด็กผู้ชายบ่อย เขาเรียนการต่อสู้ เคยล้มผู้ชายตัวโต แล้วยิ่งอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยากที่จะควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะปกติ


“ไปเถอะ” พี่ซันสำทับ


“อือ”


ผมครางรับในลำคอ ยอมเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง พี่หมอเดินตามเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายเตียงในท่านั่งชันเข่า
“ไม่ต้องกังวลหรอก” พี่หมอพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ


“ไม่ให้ผมกังวลได้ยังไงล่ะพี่” ผมค้านแล้วใช้หลังมือปาดหางตา ซบหน้าลงกับเข่าของตัวเอง คนหนึ่งเป็นน้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา กับอีกคนที่มีน้ำหนักในหัวใจของผมไม่แพ้กัน


คนสำคัญของผมทั้งคู่…



Talk :: ถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำยังไง


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) อีพี 22 : ความแตก (P5)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 28-07-2018 15:37:49
จากใจเลยนะก็ในเมื่อซันยังเคลียร์ปัญหาส่วนตัวไม่ได้ว่าจะเอายังไงบีทส์ควรถอยออกมาก่อน การที่ไปรวมกันตรงนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยออกจะมองว่าเด่นแล้วเรียกปัญหาเข้าตัวซะมากกว่า รอให้ทางซันชัดเจนจริงๆไม่มีปัญหากวนใจแล้วค่อยกลับมาคบกันจริงๆก็ได้นี่
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) อีพี 22 : ความแตก (P5)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-07-2018 18:18:02
เอาให้เคลียร์เลยนะ ไบร์ท  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) อีพี 22 : ความแตก (P5)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 28-07-2018 19:55:18
 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) อีพี 22 : ความแตก (P5)
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 29-07-2018 15:01:28
น้องหวงพี่สุด งือ อะไรกันมีอะไรกันเนี้ย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 23 : คำตอบ...ก็อยู่ในสิ่งที่สงสัย
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 30-07-2018 17:37:54

ตอนที่ 23 :: คำตอบ...ก็อยู่ในสิ่งที่สงสัยอยู่แล้ว


[ซัน]


ผมได้แต่มองตามร่างเล็กที่เดินปาดน้ำตาเข้าไปในห้อง ยังไม่วายมันยังหันหน้ามามองผมด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะโดนไอ้อาร์ตดันหลังเล็กให้เข้าห้องตามคำสั่งของคนตัวเล็กที่สุดในห้องแต่นิสัยไม่เล็กตามตัว


“เมื่อไหร่จะตอบ” เสียงแข็งๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นเพื่อกดดัน ผมเหลือบมองเด็กของเพื่อนนิ่งๆ ถึงแม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าเด็กคนนี้กำลังถือไพ่เหนือกว่าอยู่ก็ตาม


“ตอบคำถามมา ถ้าไม่ตอบก็กลับไปแล้วไม่ต้องมายุ่งกับพี่บีทส์อีก!” เจ้าตัวเน้นย้ำน้ำเสียงในท้ายประโยคพร้อมกับใช้ดวงตากลมโตนั่นมองผมเขม็ง ผมส่งเสียงหึในลำคอแล้วมองไปอีกทาง ก่อนจะหันกลับมาจ้องตอบดวงตากลมโตนั่นด้วยความดุดัน


“ไม่มีอะไรจะตอบ” ตอบกลับไปเสียงเข้มพอๆ กับสีหน้าในตอนนี้


ไบร์ทมองผมสายตาวาววับ “หึ! ก็คิดไว้อยู่แล้ว กล้าทำไม่กล้ารับ” เขาชี้ไปที่ประตู “ออกไปจากห้องนี้ แล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก พี่บีทส์ไม่ใช่ของเล่นของใคร”


ผมยกมือขึ้นมาเสยผม ขับรถมาเหนื่อยๆ คิดว่าจะรีบไปเคลียร์ธุระกับไอ้อาร์ตให้เสร็จไวๆ แล้วรีบกลับมานอนกอดคนที่อยู่ด้านในเอาแรงสักหน่อย กลับต้องมาเจอเรื่องให้ปวดหัว


ให้ตายเถอะ…


ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา ก่อนจะหลับตาข่มกลั้นอารมณ์ที่เดือดในอกอยู่ตอนนี้และเรียกสติของตัวเองกลับมาให้ได้มากที่สุด กับคนตรงหน้าถ้าขืนใช้แต่อารมณ์คงจะพูดกันไม่รู้เรื่องแน่


ถ้าหากผมเผลอทำอะไรรุนแรงไปละก็...ผมอาจจะเจอสองเด้ง


เฮ้อ…


ทั้งๆ ที่ตอนแรกคิดไว้แล้วว่าจะขอจัดการกับปัญหาของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยบอกความจริงกับทุกคน เพราะถ้ายิ่งรู้กันมากเท่าไหร่ปัญหามันก็จะยิ่งลุกลามตามไปด้วย ผมไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้


เหมือนอย่างตอนนี้ไง


แต่จะโทษใครได้ ก็ต้องโทษที่ตัวของผมเอง ก็เหมือนกับที่ไอ้อาร์ตเคยบอกกับผมเมื่อนานมาแล้ว


ยิ่งหนี...ทุกอย่างกลับยิ่งชัดเจน


ทั้งๆ ที่เคยปฏิเสธอย่างไม่ใยดีว่าไม่ได้คิดอะไร แต่ทำไมถึงได้ตามติดไอ้คนจอมยุ่งที่ชอบมาก่อกวนในความคิดอยู่เรื่อยแบบนี้
บางที...ยังเคยหึงหวงแม้กระทั่งตอนมันอยู่กับเพื่อนในกลุ่มด้วยซ้ำ


ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยต่อจนจบประโยค “ที่บอกว่าไม่มีอะไรจะตอบก็เพราะคำตอบมันก็อยู่ในสิ่งที่สงสัยอยู่แล้ว” เอาเถอะไม่ว่าจะยังไงก็คงต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วผมก็มีทางเดียวคือต้องเผชิญหน้ากับมัน


“มึง!!”


“ก็แบบที่มึงสงสัยและถ้าให้กูเดาก็คงเป็นคำตอบที่มึงคงไม่อยากได้ยิน” ผมพูดดักทาง


“เฮอะ กล้าเนอะ! ลืมไปแล้วเหรอว่าเคยทำอะไรกับพี่บีทส์ไว้บ้างน่ะฮะ!?” ไบร์ทตะคอกถามเสียงดัง ผมเลิกคิ้วแล้วแกล้งยกมือขึ้นมาแคะหู


จะอะไรนักหนากับเรื่องในอดีตวะ


“ไม่ได้ลืม แต่แค่ไม่ได้จำ” ผมตอบเสียงเรียบ


“พูดง่ายนี่ ลืมไปแล้วเหรอว่าเคยทำท่ารังเกียจพี่บีทส์ไว้ยังไง ทิ้งไว้ข้างถนนยังทำมาแล้ว อยู่ๆ คนที่เคยเกลียดกันจะมาชอบกัน มันง่ายขนาดนั้นเลยรึไง!”


“นั่นมันเมื่อก่อน” ผมแย้ง


“แล้วมั่นใจแค่ไหนว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีก บอกตรงๆ นะว่าไม่เชื่อ!” ไบร์ทโต้กลับอย่างไม่ลดละแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


“มั่นใจก็แล้วกัน!” ผมเผลอตัวตะคอกกลับ เพราะเริ่มยัวะแล้วเหมือนกัน


“คิดว่าอะไรๆ มันจะง่ายไปตามใจตัวเองทุกอย่างเลยเหรอ” ไบร์ทถามเสียงฉุน
 

“เรื่องนี้กูจัดการเองได้” ผมตอบ


“แต่กูไม่ให้!!” ไบร์ททำเสียงขึ้นจมูกแล้วยื่นคำขาด
    

“อะไรคือไม่ให้” ผมถาม


“คุณคงคิดว่าเพราะพี่บีทส์รักคุณ คุณเลยไม่กลัวอะไรสินะ” ไบร์ทพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขบขัน


“...”


“คิดว่าแค่ความรักที่มึงได้ไปจากพี่กู มันจะทำให้มึงได้หลอกฟันพี่กูฟรีไปเรื่อยๆ หรือไง” ไบร์ทพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน
    

ผมหรี่ตา นึกไม่ชอบใจในคำพูดของคนตัวเล็ก “กูไม่ได้จะหลอกฟัน” ใครจะหลอกฟันวะ ถ้าอยากฟันเล่นๆ แค่กูกระดิกนิ้วเรียกก็รังแต่จะมีคนแย่งกันเข้ามาหากูหรือเปล่าครับ


“ไม่ได้หลอกฟันแล้วมันคืออะไร คุณชอบพี่บีทส์งั้นเหรอ” ไบร์ทเลิกคิ้วถาม


“...”


“หึ! แค่นี้ยังตอบไม่ได้เลย” ไบร์ทเอาลิ้นเดาะกระพุ้งแก้ม แล้วหัวเราะในลำคอ ผมมองดูท่าทางนั้นนิ่งๆ


“ถ้าให้คำตอบไม่ได้ก็เชิญออกไปได้เลย ที่นี่ไม่ต้อนรับ” ไบร์ทเชิ่ดปลายคางเป็นเชิงไล่ผมไปทางประตู


ผมถอนหายใจหนักๆ


“กูชอบบีทส์”


“ตอแหล!” ไบร์ทตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงดูแคลนที่แสดงออกชัดเจน


“งั้นกูต้องทำยังไงมึงถึงจะเชื่อ” ผมถาม


“ไม่มีวัน” ไบร์ทตอบ


“มันไม่แฟร์นี่” ผมจ้องมองหน้าไบร์ท แล้วพูดเสียงเข้ม


“สิ่งที่คุณทำอยู่ก็ไม่แฟร์สำหรับพี่บีทส์เหมือนกัน อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้เลิกแล้วกันไป ถือเสียว่าพี่บีทส์ทำบุญทำทาน ต่อจากนี้
แค่กลับไปหาคนของคุณซะ”


เขาเว้นวรรค


“พี่กู...กูดูแลเองได้”


“หมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้วถาม


“ก็ตามนั้น คุณก็แค่กลับไปหาคนของคุณ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำ” ไบร์ทว่าต่อ


“ไม่มีทาง” ผมตอบออกไปในทันทีเหมือนกัน ไบร์ทตวัดสายตามามอง ผมเองก็มองไปที่น้องเหมือนกัน เราสองคนจ้องตากัน
อย่างไม่มีใครยอมใคร


ไบร์ทละสายตาจากผมไปคว้าเอาแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างๆ


“เฮ้ยอย่า!!” ผมร้องห้ามแต่ไม่ทัน เขาสาดน้ำเข้าที่หน้าผม ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้า


“ไอ้ผู้ชายไร้ยางอาย” ไบร์ทมองหน้าผม ผมเบิกตากว้างเมื่อเขาทำท่าจะเขวี้ยงแก้วมายังพิกัดที่ผมนั่งอยู่


เพล้ง!!


“เฮ้ย!!” ผมร้องขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับรีบเคลื่อนตัวหนีวัตถุชนิดหนึ่งที่ลอยมาเฉียดหัว นี่ถ้าไม่หลบคงโดนหัวผมเต็มๆ


“ออกไป!!” ไบร์ทลุกขึ้นชี้หน้าด่า ผมขบกรามแน่นข่มความโกรธ สัสเอ้ย! ถ้ากูไม่หลบคิดบ้างมั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น!!?


“ไบร์ท!! เกิดอะไรขึ้น!?” บีทส์วิ่งออกจากห้องมาถามหน้าตื่น เขามองสำรวจที่น้องของตัวเองก่อน แล้วหันมามองหน้าผม แววตาที่เคยสดใสไหวระริก ยังมีร่องรอยของหยาดน้ำตาเปรอะอยู่ที่หางตาคู่สวย


ผมส่ายหัว ก่อนจะมองเลยไปยังวัตถุต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงเมื่อสักครู่นอนแน่นิ่งแตกกระจายอยู่ด้านหลังผมเพราะฟาดเข้ากับกำแพง แม่งไวชิบ!


“พี่ซัน...” บีทส์เรียกเสียงสั่น


“เลือด...” บีทส์พูดต่อแล้วชี้ที่คอผม ผมขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะบริเวณเดียวกับที่บีทส์ยกมือขึ้นมาแตะที่ลำคอของตัวเอง


“ไม่เป็นไร เศษแก้วคงกระเด็นมาโดน” ผมตอบเมื่อเห็นเลือดติดมือมาด้วย แค่แสบๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร มีเรื่องกับคนอื่นเจ็บกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว


“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ” ไอ้อาร์ตเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง


“ไม่มีอะไร”


“ออกไปจากห้องพี่กูทั้งมึงและก็มัน” ไบร์ทพูดแทรกขึ้นมา โดยที่ใบหน้าเล็กหันไปพูดกับไอ้อาร์ต เพื่อนผมเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วหันกลับมาหาผมเป็นเชิงถาม


“ไบร์ท...” บีทส์หันไปมองหน้าน้องตัวเองแล้วจับแขนเบาๆ


“พี่ว่า...” ไอ้อาร์ตอ้าปากจะพูดด้วยความหนักใจ


“ถือว่าขอนะ” ไบร์ทไม่ฟังแต่หันไปพูดย้ำกับไอ้อาร์ตอีกรอบ เล่นเอามันเก็บคำพูดไปเลย แล้วหันมามองหน้าผมแทน


“แต่กูยังพูดไม่จบ” ผมค้าน


“มันจบแล้ว” ไบร์ทหันมาตอบ


“เอ่อ...ไบร์ทงั้นเอางี้มั้ย ให้พี่ทำแผลให้พี่ซันเสร็จก่อนแล้วค่อยให้กลับ” บีทส์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันไปอ้อนวอนน้องตัวเอง


“ไม่ต้องหรอกพี่บีทส์ เพื่อนเขาเป็นหมอก็ให้ดูแลกันไปสิ พี่บีทส์เดินทางมาเหนื่อยๆ ไบร์ทว่าพี่บีทส์พักผ่อนดีกว่า ไม่งั้นไบร์ทจะโทรให้พี่ไม้มารับเรากลับบ้านเดี๋ยวนี้แหละ” ไบร์ทส่ายหัวปฏิเสธแล้วเอ่ยถึงบุคคลที่สาม เล่นเอาผมคิ้วกระตุก

“ไบร์ท...พี่ว่าเราค่อยๆ คุยกันดีกว่านะ” บีทส์ครางเรียกชื่อน้องในลำคอ น้ำตารื่นมาที่ขอบตาอีกรอบ ผมถอนหายใจ


“ไม่ต้อง!” ผมตัดบท “ครั้งนี้กูจะยอมถอยก่อนก็ได้”


“ไม่ใช่แค่ครั้งนี้” ไบร์ทแสยะยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “แต่หวังว่าคุณจะยอมถอยไปซะตั้งแต่วันนี้” ไอ้อาร์ตถึงกับแอบยืนกลั้นขำผมตวัด
สายตาไปด่ามัน แล้วกำมือข่มกลั้นอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง


“เราจะได้เจอกันอีกแน่” ผมเค้นเสียงออกมาผ่านลำคอ แล้วหันไปพยักหน้าให้ไอ้อาร์ตแล้วเดินนำออกไป


หมับ!


“พี่…” บีทส์ครางเรียกผมแล้วคว้าแขนไว้ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่าน ผมชะงักหันมามองคนขี้แยที่ยืนทำหน้าจะร้องไห้


ผมยิ้มให้มันนิดๆ แล้วยกมือขึ้นเพื่อจะยีหัวเพื่อปลอบไม่ให้มันคิดมาก แต่ก็ต้องยกมือค้างเมื่อโดนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ บีทส์ยื่นมือมาปัดออกแล้วถลึงตาใส่ ผมเพียงแค่ปรายตาไปมองเรียบๆ แล้วหันกลับไปหาคนขี้แยอีกครั้ง


“อย่าลืมทานขนมที่มึงงอแงจะซื้อด้วยนะ ทุกอย่างมันจะโอเค ไม่ต้องกลัว” ผมยิ้มน้อยๆ แล้วพูดสั่งคนตัวเล็ก บีทส์ยกมือขึ้นมาปาดหางตาตัวเองแล้วพยักหน้ารับ


“อื้อ”


“แล้วกูจะกลับมา” ผมกระซิบรอดไรฟัน บีทส์ยิ้มตอบ ผมพยักหน้ารับ พร้อมกับ หันหลังกลับเดินออกมาจากห้องของบีทส์ แล้วเดินตรงไปที่ลิฟท์โดยมีไอ้อาร์ตเดินตามหลังมาไม่ห่าง สีหน้าของผมตอนนี้คงทำให้มันรู้สึกรื่นรมย์ใจเสียเหลือเกินเพราะผม
ได้ยินเสียงมันแอบหัวเราะมาหลายครั้งแล้ว


“มึงจะกลับห้องเลยรึเปล่า” ไอ้อาร์ตถาม


ผมส่ายหัว


“หึๆ”


“ขำอะไรของมึง” ผมหันไปถามเพื่อนด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยื่นมือไปกดลิฟท์เพื่อลงไปชั้นล่าง คืนนี้คงต้องไปกกอยู่ที่คอนโดของไอ้สองแทนการนอนห้องตัวเอง ขืนผมยังอยู่คอนโดคืนนี้คงได้ฟุ้งซ่านหาเรื่องเข้าไปหาไอ้ตัวแสบที่ห้องแน่ๆ


“ขำมึงไง ทีแรกเคยปฏิเสธพวกกูเสียงแข็งแล้วตอนนี้เป็นไงล่ะมึง” ไอ้อาร์ตทำเสียงล้อผมแบบไม่จริงจัง มันคงไม่อยากให้ผมเครียดมั้งครับ


หรือมึงอยากซ้ำเติมกูจริงๆ วะ


“สัส! แล้วทำไมไม่บอกกูก่อน กูยังไม่ได้คิดบัญชีกับมึงนะไอ้อาร์ต” ผมหันไปพาลเพื่อน ห่าเอ้ย แทนที่กูจะได้นอนกอด ‘เมีย’ สบายใจอยู่ที่ทะเล


ถามว่าผมโกรธไหมที่โดนมันหลอก ก็ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจว่ามันเองก็คงเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน ของแรงขนาดนั้นมันเองก็คงลำบากใจ แต่ผมก็แค่เคืองอยู่นิดหน่อย ทำไมมึงไม่ยืดเวลาให้กูอีกหน่อยวะ


“ไบร์ทไม่ใช่คนโง่...อีกอย่างพี่เขาเปลี่ยนไปยังไงทำไมเขาจะไม่สังเกต” ไอ้อาร์ตหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผม


ผมเลิกคิ้ว “แล้วพอมึงโทรไปบอกเขาตามที่กูขอ เขาก็เลยตามไปคาดคั้นเอากับมึงสินะ ห่า อย่าคิดว่ากูไม่รู้ คนอย่างมึงถ้าจะโกหกมีเหรอว่าเขาจะจับได้ แล้วคนดีอย่างมึงก็ได้ของขวัญเป็นหมัดสวยๆ เป็นการตอบแทนงั้นใช่มั้ย” ผมถามอย่างรู้ทัน เพื่อนผมก็หน้าด้านนะครับ เสือกพยักหน้ารับกูอีก


“จริงๆ กูเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ไบร์ททำ” ไอ้อาร์ตว่าต่อ ผมส่งเสียงหึในลำคอแล้วเดินล้วงกระเป๋ากางเกงออกจากลิฟท์


“ไม่งั้นมึงคงไม่ตัดสินใจบอกเรื่องของกูไปหรอกใช่มั้ย” ผมกัด


“เวลามึงมีไม่มาก กูแค่ช่วยทำให้มันเร็วขึ้น” ไอ้อาร์ตตอบพลางใช้ลิ้นกระทุ้งแก้มไปด้วย ก่อนจะล้วงเอากุญแจรถของตัวเองออกมากดปลดล๊อก


ผมหยุดเดินก่อนจะนึกตามเหตุผลที่ไอ้อาร์ตยกมาอ้าง แล้วถอนหายใจอย่างหน่ายๆ นั่นสินะ…


เวลาของผมมีไม่มากแล้ว


“แล้วมึงจะเอาไงต่อ” ไอ้อาร์ตถาม


“ทีแรกกูตั้งใจจะเคลียร์ตัวเองก่อน แต่ตอนนี้กูมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปจัดการ” ผมหันไปตอบ ไอ้อาร์ตพยักหน้ารับช้าๆ


“กูก็ว่างั้น...ต่อจากนี้ไบร์ทคงกันมึงออกจากพี่เขาทุกทางแน่” ไอ้อาร์ตว่าต่อ ผมถอนหายใจ มึงจะย้ำทำไมไอ้เพื่อนเวร มันก็เพราะมึงไม่ใช่รึไงวะ!


“กูต้องขอบคุณคำแนะนำของมึงด้วยรึเปล่า ว่าแต่นั่นน่ะ...มึงจีบลงไปได้ยังไงวะ ดุเป็นบ้า พูดจาหมาไม่แดก” ผมถาม ไอ้อาร์ตหัวเราะเบาๆ


“กูชินแล้ว”


“มึงดูจริงจังมากกว่าที่กูคิด” ผมหันไปเลิกคิ้วขณะที่กำลังเปิดประตูรถ โดยมีไอ้อาร์ตยืนพิงรถตัวเองมองผมอยู่


“ทำไมวะ” ผมถาม


“มึงแน่ใจแล้วเหรอเรื่องน้องฟ้า”


“...”


“ถ้ามึงเดินหน้าเรื่องนี้...มึงจะกลับมายากแล้วนะซัน” ไอ้อาร์ตว่าต่อ ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด


“มึงเคยบอกกูเองไม่ใช่เหรอวะ ว่าอยากให้กูลองทำตามใจตัวเองบ้าง” ผมหันไปตอบแล้วจ้องตาไอ้อาร์ตกลับ


“แสดงว่ามึงก็คงเตรียมตัวรับมือไว้แล้ว หึ...ได้ยินแบบนี้กูก็สบายใจ” ไอ้อาร์ตตอบ


“หึ ขอบใจ”


“เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน เจอกันที่ห้องไอ้สอง” ไอ้อาร์ตว่าต่อแล้วเปิดประตูขึ้นรถ ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเอง
นั่นสินะ...ทุกปัญหาย่อมมีทางออก เพียงแค่บางปัญหามันอาจจะยุ่งยากซับซ้อนในการหาทางออก แต่ถ้าเราลองมองไปให้ถึงต้นตอของมัน แล้วค่อยๆ แก้ไปทีละอย่าง ยังไงซะมันก็ต้องเจอทางออก อยู่แค่ว่าอาจใช้เวลามากน้อยต่างกันไป


แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ปัญหาที่เราปล่อยค้างไว้ก็อาจจะรัดคอเราจนตายได้สักวัน


...ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ



“มานอนหมดอาลัยตายอยากทำไมที่ห้องกู” เสียงไอ้สองบ่น ผมเพียงแค่เลิกคิ้วก่อนจะนอนหลับตาเอาขาพาดโต๊ะอยู่บนโซฟาห้องไอ้สอง


กว่าสามวันแล้วครับที่ผมมาขลุกอยู่ที่ห้องมัน ไม่ได้ก้าวย่างออกไปไหน จนไอ้สองต้องเป็นคนไปหอบเอาโปรเจ็คที่ผมทำอยู่จากที่คอนโดมาให้ทำจะได้ไม่ว่าง มีแต่มันที่คอยซื้อข้าวซื้อน้ำเข้ามาให้ พร้อมกับไอ้หมอที่วนเวียนเข้ามาหาผมที่นี่ในเวลาที่มันว่าง
หลังจากวันนั้นที่ผมออกมาจากห้องของบีทส์และมุ่งหน้ามาที่ห้องไอ้สอง ผมเพียรพยายามมากกว่าสิบๆ ครั้งเพื่อโทรไปหาบีทส์
หลายต่อหลายครั้งที่โดนปิดมือถือใส่


หลายต่อหลายครั้งที่โดนด่าและตะคอกกลับมาเพื่อบอกให้หยุดสิ่งที่ทำ


หลายต่อหลายครั้งที่ปลายสายก็ยังไม่ใช่คนที่ผมต้องการจะได้ยินเสียง...


ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเจออุปสรรคอะไรแบบนี้ในชีวิต ตั้งแต่เกิดมาอยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อ สิ่งเหล่านั้นก็จะมากองให้เลือกสรรตรงหน้าโดยไม่ต้องออกแรง


กฎหมู่ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขสั้นๆ ที่เรียกว่า ‘เงิน’


ตลอดหลายวันที่ผ่านมาแค่เพียงหลับตาก็เห็นแต่หน้าไอ้คนหัวดื้อ ปากแดงๆ จมูกเล็กๆ น่ากัดของมันฉายซ้ำๆ อยู่ในหัว ไม่ว่าจะสลัดความคิดทิ้งไปสักกี่ครั้งมันก็ยังวนเวียนกลับมาจบที่เรื่องของไอ้เด็กนั่นอยู่ดี


“มึงจะเอายังไงต่อ มานอนตายอยู่แบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น” ไอ้สองพูดต่อ ก่อนที่มันจะเดินมานั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้ามกับผมแล้วยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ


“ก็พวกมึงไม่ใช่เหรอที่ห้ามไม่ให้กูออกไปไหน” ผมตอบเสียงเรียบ ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งแล้วส่ายหัวไปมาช้าๆ ไล่ความมึน เมื่อคืนไม่น่าดื่มหนัก มึนหัวฉิบหาย


“มึงดูสภาพตัวเองก่อนห่า สภาพเหมือนหมาแบบนี้ออกไปไหนอายเขาตาย” ไอ้สองตอกกลับพร้อมกับโยนผ้าขนหนูผืนเล็กมาใส่ผม


“ทำไมวะ สภาพอย่างกูมันเป็นยังไง” ผมขมวดคิ้วถามเพื่อนรักตรงหน้า ไอ้สองยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะทำท่ารังเกียจใส่ผม


“สภาพอย่างมึงน่ะเหรอ ก็แค่...น้ำไม่อาบ แดกแต่เหล้า ข้าวไม่กิน นอนทำหน้าเหมือนใกล้ตายมาสามวันแล้วไงพอมั้ย” ไอ้สองเชือดกลับมานิ่มๆ ผมถอนหายใจก่อนจะเอนตัวลงพิงผนักโซฟานอนมองเพดานห้องนิ่งๆ


“คิดถึงทำไมไม่ไปหาเขาเลยล่ะ” ไอ้สองถาม


“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นกูไปหาเขาตั้งแต่วันแรกแล้วสัส น้องเขาแทบจะแดกหัวกูทุกครั้งที่กูโทรไป ไอ้อาร์ตแม่งก็พึ่งพาไม่ได้” ผมบ่น ไอ้สองหัวเราะ เมื่อผมเอ่ยถึงเพื่อนรักอีกคนที่ผมบังคับให้มันติดต่อบีทส์ให้อย่างลับๆ แต่มันกลับตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า


‘ไบร์ทสั่งห้ามกูเด็ดขาด ถ้ากูช่วยมึงเขาไม่เอากูไว้แน่’


“แล้วความยากมันอยู่ตรงไหนล่ะ ปกติมึงไม่เคยกลัวอะไรแบบนี้นี่ซัน จะกลัวทำไมวะ ไม่ว่ามึงจะเลือกทางไหนคนที่รับผลของการตัดสินใจของมึงก็มีแค่มึง เจ็บมึงก็เป็นคนรับ สุขมึงก็เป็นคนรับไปอยู่ดี ความสุขของมึง มึงก็ต้องเลือกเองสิเพื่อน องค์ประกอบรอบๆ น่ะ มันก็แค่เหตุผลที่ช่วยให้มึงตัดสินใจแค่นั้นแหละ” ไอ้สองถามต่อ


“กู...”


“หรือว่ามึงยังลังเล” ไอ้สองเดา


“ไม่ใช่” ผมส่ายหัว


กูเลือกแล้ว ความจริงกูอาจจะเลือกแล้วมาตั้งแต่แรก ความผิดกูเองที่รู้ตัวช้าว่าตัวเองต้องการอะไร พอรู้ตัวก็สายไปแล้ว เชือกที่รัดอยู่พันกันยุ่งเหยิงไปหมด มันไม่มีเวลาให้กูแก้เชือกพวกนั้นให้ออกไปได้หมดภายในเวลาแค่นี้


“แล้วมึงจะทำยังไงเรื่องฟ้า ผู้ใหญ่ฝั่งนั้นเขาเร่งมึงแล้วนี่” ไอ้สองไล่จี้ทีละประเด็น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มันเองก็เพิ่งไปเคลียร์ปัญหาทางบ้านมา ไปกลับระหว่างบ้านมันกับคอนโด


“ก็คงทำเหมือนอย่างที่เคยทำ” ผมตอบ ไอ้สองพยักหน้ารับ ‘อย่างเดิม’ ที่ผมบอกมันก็คือการให้ผู้ใหญ่ฝั่งผมขอเลื่อนไปก่อนด้วยเหตุผลที่ผมใช้มาตลอดนั่นก็คือ ‘ยังไม่พร้อม’ และเราทั้งคู่ยังเด็กเกินไป


“มึงใกล้จะเรียนจบเข้าไปทุกทีจะทำอะไรก็รีบทำ ฟ้ามาถามกูเรื่องมึงทุกวันยังไงก็โทรหาเขาหน่อย” ผมพยักหน้ารับคำ


“อ่อ วันนี้กูเห็นมีผู้ชายมารับบีทส์ที่คณะด้วยนะ ระวังจะโดนคาบไปแดก” ไอ้สองลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยบอกผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมเลิกคิ้ว


“ใคร?”


“กูจะรู้เหรอ แค่เห็นเลยคาบมาบอกก็แค่นั้น ดูท่าสนิทสนมกันน่าดูจับมือถือแขนกันได้เป็นปกติ ดูแล้วสูสีกับมึงนะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว” ไอ้สองตอบกลับกวนๆ ผมขบกรามแน่น รู้สึกเหมือนร้อนรุ่มไปทั่วอก พยายามนึกหาคนที่ไอ้ดื้อมันสนิทด้วยแล้วลองไล่รายชื่อที่มีอยู่ในหัว


ชักไม่ได้การ ยิ่งแต่ละคนที่คอยตามมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ บีทส์ยิ่งไม่น่าไว้ใจ แม่งชอบมองคนของผมด้วยสายตาอ่อนโยนเกินกว่าที่คนรู้จักจะแสดงอาการแบบนั้นออกมา ปล่อยไว้นานไม่ได้


มึงต้องไว้ใจเขาสิวะซัน...ความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในสมอง


"อาจจะแค่คนรู้จักกันล่ะมั้ง" ผมตอบไอ้สองเสียงเรียบพยายามท่องประโยคก่อนหน้าซ้ำๆ ในหัว


"คนรู้จักที่ไหน ทำไมต้องมีลูบแก้มกันด้วย" ไอ้สองเลิกคิ้วถามต่อ ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


"เมื่อกี้มึงว่าไงนะ?"


"หวงเหรอวะ" ไอ้สองทำเสียงล้อแล้วยิ้มกลุ้มกริ่ม ผมจิ๊ปากด้วยความขัดใจ แม่งมึงอย่าเพิ่งมาเล่นตัวตอนนี้ได้ไหมไอ้เพื่อนเวร


"เปล๊า กูก็แค่ถาม" ผมกัดฟันตอบ ไอ้สองหลุดขำเบาๆ


"ยังไม่พอนะมึง กูยืนมองอยู่ตั้งนานมีกระซิบกระซาบข้างหูกันอีกต่างหาก เฉียดแก้มไปเฉียดแก้มมา ถ้าเป็นไอ้หมอกูคงคิดว่ามันกำลังหลอกแต๊ะอั๋งเด็กอยู่"


พรึ่บ!


ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเซน้อยๆ เพราะเสียการทรงตัว


“อ้าวเฮ้ยระวัง แล้วนี่มึงจะไปไหน” ไอ้สองร้องถาม เมื่อเห็นผมเดินไปคว้าเอากุญแจรถและกระเป๋าเงินส่วนตัวที่วางอยู่บนโต๊ะ


“กลับบ้าน” ผมตอบเสียงหงุดหงิด


“หื้ม กลับบ้าน? กูฟังผิดปะวะนึกว่ามึงจะไปหาเมียมึงซะอีก” ไอ้สองถามกลับด้วยความแปลกใจ เพราะปกติถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะไม่ค่อยกลับไปเหยียบที่บ้านหลังนั้น


“เรื่องฟ้ากูคงต้องเข้าไปคุยเองที่บ้าน ส่วนเมียกู กูไปหาแน่ คิดถึงแม่งจะตายห่าแล้ว” ผมขยายความ ไอ้สองทำหน้าสยองเมื่อฟังประโยคหลังจบ รอกูไปหาเจ้าตัวเขาก่อนเถอะ กูจะถามให้รู้กันไปเลย ถ้าเขาบอกว่ามึงพูดอะไรเกินจริงล่ะก็ กูจะกลับมาเหยียบมึงถึงที่ไอ้สอง!


“ไอ้สัสเต็มปากเต็มคำ ทีเมื่อกี้ยังทำหน้าหมดอาลัยตายยากอยู่เลย” ไอ้สองทำท่าขนลุกประกอบคำพูด


“ต้องขอบใจมึงที่ช่วยเตือนสติ” ผมเอ่ยขอบคุณประชดเพื่อนแล้วแสยะยิ้มเย็น ไอ้สองหันมาเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะน้อยๆ


“โชคดีมึง”


ผมออกจากห้องไอ้สองด้วยสภาพแบบเดียวกับเมื่อสามวันก่อน แล้วขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านของผม สถานที่ที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เด็ก บ้านหลังโตที่หากใครๆ ได้เข้าไปก็ต้องพูดถึงความหรูหราของมัน แต่กลับไม่มีใครเคยรับรู้เลยว่า
ท่ามกลางบ้านหลังใหญ่นั้น มันเงียบเหงามากแค่ไหน...


แปลกนะครับ อยู่กับเพื่อนผมยังสัมผัสกับคำว่าอบอุ่นได้มากกว่าอยู่ที่บ้านซะอีก


“ป้านม! วันนี้คุณซันกลับบ้าน! ป้าน๊ม ม ม~”


ผมเปิดประตูรถ ก่อนจะก้าวลงมายืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่แล้วส่งกุญแจรถให้กับคนขับรถที่วิ่งมารับตามปกติ พร้อมกับได้ยินเสียงเด็กในบ้านเรียกหานม หญิงสูงวัยที่คอยดูแลผมแทนแม่แท้ๆ มาตั้งแต่เด็ก


“คุณหนู...” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเจอร่างของคนที่ผมคุ้นเคยเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มใจดีที่มีให้ผมไม่เคยจาง


“ครับนม พ่อกับแม่อยู่มั้ยครับ” ผมตอบรับก่อนจะหยุดยืนรอนมอยู่ตรงบันได แล้วถามหาคนที่ผมตั้งใจจะมาหาในวันนี้


“คุณท่านทั้งสองไปทานข้าวที่บ้านคุณฟ้าค่ะ นมพยายามติดต่อคุณซันเท่าไหร่ก็ติดต่อไม่ได้ คุณผู้ชายบ่นใหญ่เลยค่ะ” นมตอบพร้อมกับบ่นผมกลายๆ ผมพยักหน้ารับอย่างเสียดาย


คงต้องรอให้กลับมาก่อน


“แล้วนี่คุณหนูไปทำอะไรมาคะ ทำไมโทรมอย่างนี้ กลิ่นเหล้าหึ่งเลย ถ้าคุณผู้หญิงมาเห็นเข้าจะได้โดนเรียกเข้าไปต่อว่าอีก ไปอาบน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวนมจะทำของโปรดไว้รอ” นมพูดกับผมอย่างใจดี ผมยิ้มน้อยๆ ให้กับความใส่ใจของคนตรงหน้า


ถ้าเป็นแม่ผมจริงๆ ก็คงหาว่าผมเอาแต่เกเรไม่ยอมหยิบจับอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับพ่อแน่ๆ ไม่เคยคิดจะถามผมสักนิดว่าที่ผมต้องเป็นแบบนี้มันเกิดจากอะไร พวกเขาก็แค่สนใจว่าผมต้องทำในสิ่งที่เขาสั่งให้ทำก็แค่นั้น


“ครับ เออนม...” ผมตอบรับแล้วหันหลังกลับเตรียมเดินขึ้นไปยังชั้นบนที่หมายของห้องนอน แต่รีบหันกลับเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง


“ว่าไงคะคุณหนู” นมเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ


“นมว่าถ้าเกิดเรารักคนที่ไม่ควรรักขึ้นมา มันผิดรึเปล่า” ผมถามในสิ่งที่กำลังติดค้างอยู่ในใจ นมเพียงแค่ทำหน้าแปลกใจกับคำถามของผมอยู่แค่ครู่เดียว ก่อนร่างเล็กของคนชรากว่าจะฉีกยิ้มใจดีส่งมาให้ผมอีกเช่นเคย


“ควรหรือไม่ควรแล้วคุณหนูของนมมีความสุขที่ได้รักเขาคนนั้นมั้ยล่ะคะ” นมไม่ตอบแต่ถามผมกลับยิ้มๆ ก่อนที่มือเล็กป้อมของเธอจะยื่นมาจับมือผมแล้วตบที่หลังมือเบาๆ


“...”


“ถ้าอะไรที่คุณหนูทำแล้วมีความสุข นมก็ว่ามันดีทั้งหมดแหละค่ะ” เสียงนุ่มว่าต่อยิ้มๆ ผมยิ้มแล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นตามวัยเบาๆ


“ขอบคุณนะครับนม เดี๋ยวตอนเย็นผมจะกลับมาทานข้าวที่บ้าน ขอไปทำธุระสำคัญก่อน” ผมเอ่ยขอบคุณผู้หญิงตรงหน้า พลางนึกไปถึงบุพการีอีกสองคนที่ให้กำเนิดผมมา จะดีไม่น้อยถ้าเขาจะยอมรับฟังความเห็นของผมบ้าง


“จะไปทำธุระสำคัญหรือว่าไปหาคนสำคัญคะคุณหนู” นมเอ่ยแซ็วยิ้มๆ ผมเลิกคิ้วก่อนจะยกยิ้ม “ไว้จะพามาทำความรู้จักกับนมแน่ๆ” ผมตอบ ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปยังห้องส่วนตัวที่นานๆ ครั้งจะได้กลับมานอนที่นี่


หวังว่ามึงจะยังรอกูอยู่นะบีทส์ รอกูก่อนนะ...


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 23 : คำตอบอยู่ใน...
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 30-07-2018 18:19:09
เรื่องมันก็จะแก้ยากหน่อยนะ สู้ๆหล่ะพี่ซัน
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 23 : คำตอบอยู่ใน...
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-07-2018 18:37:55
เจอหลายด่านเลย ซัน  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 23 : คำตอบอยู่ใน...
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 30-07-2018 19:04:11
ปล่อยไว้ซะนาน งี้แหละ กว่าจะเคลียได้
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) ep 23 : คำตอบอยู่ใน...
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 04-08-2018 05:46:50
พยายามเข้าพี่ซัน :a2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 24 : ฟังเสียงของใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 04-08-2018 16:06:56

ตอนที่ 24 :: ฟังเสียงของใจ

[ซัน]


“มาทำไม” เสียงทักทายจากคนตัวเล็กกว่าที่ยืนเลิกคิ้วท้าวสะเอวจ้องผมอยู่ในรั้วประตูบ้านของตัวเอง


“มาหาเมีย” ผมตอบเสียงเรียบในขณะที่ยืนอยู่นอกรั้วประตูบ้านอีกฝั่ง


“ไม่อยู่” ไบร์ทตอบลอยตาลอยตาพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่ายผมอย่างชัดเจน ผมเลือกที่จะมองข้ามการกระทำเหล่านั้นแล้วสะกดจิตใจของตัวเองให้สงบนิ่ง ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากเจ้าของบ้านคนนี้


“ไม่อยู่แล้วไปไหน” ผมจำได้ว่าวันนี้บีทส์ไม่มีเรียน ไปรอที่คอนโดก็ไม่มีคนอยู่ แล้วนี่ที่บ้านก็ไม่อยู่ หรือว่าไปไหนกับคนอื่น


“ไปไหนแล้วเกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ” ไบร์ทถามกลับพลางเลิกคิ้วให้ผมกวนๆ ร่างเล็กกว่าใช้ลิ้นเดาะโพรงแก้มตัวเอง ผมคำรามอยู่ในใจกับอาการของคนตรงหน้า มึงชอบเข้าไปได้ยังไงวะอาร์ต


“...”


“แล้วก็ไม่ต้องมาอีกนะ จำไว้ด้วยว่าพี่บีทส์ไม่อยากเจอหน้าคุณแล้ว! คนจับปลาสองมือแบบคุณอ่ะโดนเกลียดแล้ว?!”


“อย่าเสียเวลาพูดให้ยาก”


“จะไม่เชื่อก็ได้ แต่จะบอกให้เอาบุญนะว่าพี่บีทส์มีแฟนแล้ว ได้ยินมั้ยว่าพี่บีทส์เขามีแฟนแล้ว”


“บอกแล้วไงว่าอย่าเสียเวลาพูดให้ยาก”


“คิดว่ามีแค่ตัวเองรึไงที่มีแต่คนมาชอบ เหอะ! ไม่มีคุณก็มีอีกตั้งหลายคนที่ต่อคิวเข้ามาจีบพี่บีทส์” ไบร์ทยืนยันคำพูดตัวเองก่อนที่ร่างเล็กจะเบ๋ปากใส่ผม ผมมองคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด


มึงจะไม่รอกูจริงๆ เหรอวะ


“อีกอย่างนะ พี่บีทส์รักกูจะตายถ้ากูบอกว่าไม่ พี่บีทส์ก็พร้อมจะถอยห่างให้ คราวนี้คุณก็ตัดใจไปซะเถอะ กรรมมันติดจรวดเนอะมึงว่ามั้ย” ไบร์ทขยับไบร์ทหน้าเข้ามาแล้วพูดเสียงกระซิบ หัวใจผมกระตุกวูบ


ผมหลับตาช้าๆ อย่างข่มกลั้นอารมณ์เพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงอาการอ่อนไหวออกไปมากกว่านี้เมื่ออยู่ตรงหน้าคนๆ นี้ ก่อนจะรวบรวมสติลืมขึ้นมาใหม่แล้วเอ่ยถามออกไป


“กูมีอะไรไม่คู่ควรกับพี่มึงตรงไหน”


“หึ! ถามมาได้ รู้เอาไว้เลยว่าคนอย่างคุณ มันก็ไม่ดีทุกตรงนั่นแหละ!”ไบร์ทมองหน้าผมเขม็ง ตากลมโตจ้องตอบมาด้วยความขึงขัง


“เอาอะไรมาตัดสิน” ผมขมวดคิ้วถาม มันไม่แฟร์ถ้าหากคนที่ไม่รู้จักผมดีจะมาตัดสินผมเพียงแค่สิ่งที่ได้ยินหรือได้เห็นมาเพียงผิวเผิน


“ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายให้ใครฟัง กลับไปได้แล้วบ้านนี้ไม่ต้อนรับ ไป๊!” ไบร์ทไล่ใบน้าสวยเริ่มบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ ผมส่ายหัวอย่างไม่ยอม มาถึงขนาดนี้แล้วจะยอมกลับง่ายๆ ได้ยังไง


“กูจะรอ” ผมยังยืนยันคำเดิมไม่ยอมขยับหนีไปไหน ไบร์ทส่งเสียงหึในลำคอแล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจ


“ก็ตามใจ”


เจ้าตัวเอ่ยแค่นั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านผมยืนมองจนร่างเล็กหายไปแล้วจึงเดินกลับไปยืนรอที่รถของตัวเองที่จอดอยู่อีกฝั่งของถนน


ครืด...ครืด…


เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่พกติดตัวอยู่ตลอด ส่งสัญญาณเตือนสายเรียกเข้า ผมล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กๆ เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา


‘น้องฟ้า’


“ครับน้องฟ้า” ผมกดรับ


“อ่า ติดสักที” น้องฟ้าบ่นกับตัวเอง


“ฟ้าติดต่อพี่ซันไม่ได้เลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงปลายสายตอบกลับมาด้วยความเป็นห่วง


“ช่วงนี้พี่ยุ่งนิดหน่อยน่ะ ขอโทษนะ” ผมตอบกลับ พร้อมกับพยายามใช้สายตาสอดส่องเข้าไปในตัวบ้านของบีทส์ กว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ผมได้แต่นั่งคอยอยู่ที่รถของตัวเองไม่กล้าขยับไปไหนเพราะกลัวว่าหากบีทส์กลับมา ผมจะไม่เจอ


อีกอย่างก็กลัวคลาดกับคนที่ไอ้ดื้อของผมออกไปข้างนอกด้วย ถ้าเป็นผู้ชายจริงก็สันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นบุคคลที่เรียกว่า ‘แฟน’ ของบีทส์ ตามที่ไบร์ทกล่าวอ้างมาก็เป็นได้


...ผมต้องเจอบีทส์ให้ได้


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ ฟ้าแค่เป็นห่วงช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอพี่ซันเลย ไปติดสาวที่ไหนหรือเปล่าคะเนี่ย” น้องฟ้าถามเสียงเง้างอน


“อย่างที่บอกนั่นแหละ เราล่ะเป็นยังไงบ้างสบายดีใช่มั้ย เรียนยุ่งรึเปล่า” ผมไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปถามเจ้าตัวกลับ


“สบายดีค่ะ เมื่อตอนเย็นคุณลุงกับคุณป้ามาทานข้าวที่บ้านฟ้าด้วยนะคะ เสียดายพี่ซันน่าจะมาด้วย คุณพ่อกับคุณแม่บ่นถึง ฟ้าต้องช่วยแก้ตัวให้ ต้องหาอะไรมาตอบแทนฟ้าด้วยนะถ้าไม่ได้ฟ้า พี่ซันแย่แน่” น้องฟ้าบ่นทีเล่นทีจริง ผมยิ้มน้อยๆ จะไปได้ยังไงขืนไปก็คงหนีไม่พ้นถูกถามเรื่องแต่งงานที่ต้องถูกขุดขึ้นมาพูดระหว่างโต๊ะอาหาร


“ยังมีอะไรที่น้องฟ้าอยากได้แล้วไม่ได้อีกล่ะหื้ม” ผมเอ่ยเย้า คนปลายสายหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ


“อืม...ขอเป็นตัวพี่ซันได้มั้ยคะ มารับฟ้าไปทานข้าวบ้างสิ” น้องฟ้าส่งเสียงอ้อน ผมขมวดคิ้ว ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ


“ถ้าเสร็จธุระเมื่อไหร่พี่จะไปรับถึงบ้านเลย โอเคนะ” ผมตอบ ก่อนจะหรี่ตาลง เมื่อเห็นไฟในบ้านของบีทส์ปิดมืดสนิท เหลือไว้เพียงดวงไฟตรงประตูหน้าบ้าน


เพิ่งจะสามทุ่มเองนี่หว่า…


แล้วคนที่ผมเฝ้ารอมันมาตั้งหลายชั่วโมงล่ะ


อย่าบอกนะว่าไม่กลับ…


“รีบทำตัวให้ว่างด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้ฟ้ารอเก้อ” น้องฟ้าตอบรับอย่างดีใจ ผมพยายามหายใจเข้าปอดลึกๆ


“น้องฟ้าพี่ต้องไปทำธุระต่อแล้วไว้เดี๋ยวพี่โทรหานะ” ผมรีบตัดบท แล้วกดวางสาย เปิดประตูลงรถ ก้าวยาวๆ ไปยังประตูบ้านของบีทส์ทันที


ออดๆๆ


ผมกดออดหน้าบ้านบีทส์อย่างไม่รีรอ บีทส์ยังไม่กลับทำไมปิดไฟในบ้าน หรือว่ากลับมาแล้วโดยที่ผมไม่เห็น ไม่สิก็ผมเฝ้าอยู่ตลอดนี่หว่า


ออดๆๆ


ผมกดออดรัวด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ภายในบ้านแม้แต่นิดเดียว หูแตกหรือไงวะ


“โอ๊ย พ่อคู๊นจะกดออดให้มันพังคามือเลยรึยังไง! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ถ้ายังไม่หยุดฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!” ผมหันขวับไปมองยังทิศทางของเสียงที่ดังอยู่ข้างบ้านของบีทส์ ป้าแก่ๆ ที่ไว้ผมทรงหยิกใส่ชุดนอนลายดอกไม้ทำหน้าบูดบึ้งยืนท้าวสะเอวอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้นสอง


บ้าอะไรอีกวะเนี่ย!


“ผมกดออดที่บ้านหลังนี้เกี่ยวอะไรกับป้า” ผมเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงหงุดหงิด


“หน๊อย มาเรียกใครว่าป้าไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนเขาเตือนดีๆ ยังกล้ามาทำกิริยาต่ำๆ ใส่ พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้เคารพคนที่แก่กว่ารึไง!” ผมหลับตานิ่ง ก่อนจะหันไปยืนกอดอกมองบุคคลที่ยืนด่าผมอยู่อย่างไม่ลดละ


“มองหน้าแบบนี้มีปัญหาเหรอ เจอกันที่ศาลเลยมั้ยยะ!?” ป้าคนนั้นยืนท้าวสะเอวมองผมอย่างหาเรื่อง ผมจิ๊ปากด้วยความขัดใจก่อนจะหันหลังให้คู่กรณี แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้งพร้อมกับต่อสายไปยังเบอร์ของบีทส์


หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้...


โธ่เว้ย!


ผมมองเข้าไปในตัวบ้านน้องอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับมาที่รถตัวเองอีกครั้ง


“เออ...” ผมกดรับสายไอ้อาร์ต


“ไอ้นี่หงุดหงิดอะไรกู กลับบ้านกลับช่องก่อนเถอะมึง แล้วค่อยว่ากันใหม่” ไอ้อาร์ตบอกผมอย่างอารมณ์ดีผมขมวดคิ้วถ้ามันพูดแบบนี้แสดงว่าตอนนี้มันคงรู้แล้วว่าผมทำอะไรอยู่ ไอ้เพื่อนเวรเวลาอย่างนี้ไม่เคยเห็นหัว


“กูไม่กลับ มึงรู้มั้ยเมียกูออกไปข้างนอกป่านนี้ยังไม่กลับ กูจะอยู่รอจนกว่ามันจะกลับ”


“มึงคิดว่าไอ้การที่มึงไปยืนรอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วไบร์ทจะยอมให้มึงได้เจอกับพี่เขาง่ายๆ มั้ยซัน” ไอ้อาร์ตถามกลับ


“ไอ้เด็กบ้า คนพูดด้วยมาหันหลังใส่หน๊อย!! แน่จริงหันกลับมาคุยกันให้รู้เรื่องสิแม่จะด่าให้เสียหมาเลย!” เสียงที่ลอยมาเข้าหูทำให้ผมต้องหันขวับไปมองตาขวาง เล่นเอาป้าแกหยุดชะงักแล้วทำทีเป็นมองไปทางอื่นแทน


“เสียงอะไรวะ มึงไปบ้านเขาแล้วทะเลาะกับคนข้างบ้านเขาเนี่ยนะ” ไอ้อาร์ตถามต่อ ผมยืนมองป้าคนนั้นด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนที่ป้าคนข้างบ้านจะเบ๋ปากใส่ผมแล้วหันหลังกลับเข้าไปในตัวบ้าน ผมถอนหายใจเซ็งๆ ระวังคอจะเคล็ดเอานะครับป้า


“เรื่องของกู” ไอ้อาร์ตหัวเราะ


“กลับไปตั้งหลักก่อนดีมั้ย พรุ่งนี้ มะรืนนี้มึงค่อยมาอีกเรื่อยๆ ก็ได้นี่หว่า”


“อย่าบอกนะว่ามีคนให้มึงมากล่อมให้กูกลับ” ผมดักทาง ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าอย่าให้กูเจอตัว ไม่ช่วยยังขวางทางกูอีก มึงอยู่ข้างใครกันแน่ ไม่สิ มึงแสดงตัวออกจะชัดเจนว่าอยู่ข้างใคร


“ก็ไม่ขนาดนั้น...เมื่อกี้กูเพิ่งคุยกับไบร์ทมา เขาก็แค่ด่ากูแทนด่ามึงแล้วบอกว่าให้กูทำยังไงก็ได้ให้มึงกลับไปซะ ดูสิกูเสียสละแค่ไหน” ไอ้อาร์ตสารภาพ ผมกุมขมับนี่มึงเชื่องกับเมียขนาดนี้เลยเหรอวะ


“มึงก็เลยโทรมาไล่กูเอาดื้อๆ แบบนี้เหรอไอ้อาร์ต” ผมถามต่อ


“แล้วทำไมกูต้องอ้อมค้อมด้วยล่ะวะ” ไอ้อาร์ตตอบกลับ มึงจะหน้าด้านไปไหนวะหมอ กูเพื่อนมึงนะ


“สัส” ผมด่า


“ฮ่าๆ เอาเถอะมึง ยังไงก็เชื่อกูเถอะ ต่อให้มึงอยู่ต่อไปก็ไม่มีทางได้เจอบีทส์หรอกน่า กลับไปตั้งหลักก่อน ถ้าให้กูเดามึงก็ยังไม่ได้กินอะไรใช่มั้ยล่ะ”


“เออสิวะ ออกจากห้องไอ้สองมากูก็แวะเข้าบ้านไปแป๊บเดียวแล้วก็ออกมานี่เลย”


“นั่นไง กลับไปแดกข้าวแดกปลาก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ช่วงนี้มึงว่างแล้วนี่ โปรเจ็คก็เกือบสมบูรณ์แล้ว เห็นไอ้สองบอก” ไอ้อาร์ตออกความเห็น


“สรุปยังไงกูก็ต้องกลับใช่มั้ย” ผมถามย้ำ ก่อนปลายสายจะตอบรับกลับมาแล้วกดวางสายไป ผมหันไปที่บ้านของบีทส์อีกครั้งก่อนจะสังเกตเห็นเงาบางอย่างอยู่ที่หน้าต่างแล้วผลุบหายไป
    

ไอ้เด็กตัวแสบ…
   

ผมตัดสินใจขับรถกลับบ้านแทนกลับคอนโด ถึงบ้านก็อาบน้ำนอนเลยเพราะไม่รู้สึกหิวอะไรแล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนแล้วถอนหายใจ
   

...พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน


+++++++++++++++++++++++++++


“กลับบ้านถูกแล้วรึไง” ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะดึงสายตากลับ ใช้มือปิดประตูห้องนอนด้วยท่าทีสบาย แล้วหันไปตอบเสียงนิ่ง


“ไม่คิดว่าจะมีคนเสือก”


“หึ เห็นคุณน้าบ่นเรื่องของมึงบ่อยๆ ระวังจะโดนแย่งพ่อกับแม่ไม่รู้ตัวนะน้องชาย” ไอ้เจกอดอกพูดยิ้มๆ ผมส่งเสียงหึในลำคอ


“ของๆ กูก็ยังเป็นของๆ กูอยู่วันยังค่ำ ‘ตัวสำรอง’ ก็ยังคงเป็นได้แค่ตัวสำรองอยู่ดี” ผมเปรยลอยๆ ไอ้เจยิ้มค้างก่อนที่คนที่ได้ชื่อว่ามีศักดิ์เป็นพี่ชายจะหรี่ตามองผมด้วยความไม่ชอบใจ


“ก็ระวังตัวไว้ให้ดีว่าไอ้ ‘ของ’ ที่คิดว่าเป็นของตัวเองมันจะตกไปเป็นของคนอื่นก็แล้วกัน กูเตือนด้วยความหวังดี” ไอ้เจพูดเน้นย้ำในน้ำเสียง ผมคิ้วกระตุกเมื่อเข้าใจในความหมายที่มันต้องการจะสื่อ


“มึงก็อย่ามั่นใจไป ของบางอย่าง...ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้เสมอไป” ผมต่อคำอย่างมีความหมายแล้วยิ้มเยาะเย้ยไปให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ


“ก็รอดูแล้วกัน” ไอ้เจคิ้วกระตุก พูดเสียงรอดไรฟัน ก่อนที่ร่างสูงพอๆ กับผมจะเดินผ่านตัวผมไปพร้อมกับใช้ไหล่ของมันชนกับไหล่ของผมอย่างจงใจ ผมขบกรามอย่างข่มกลั้นอารมณ์ก่อนจะหันหลังเดินตามมันลงไปด้านล่างของบ้านแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหาร


“โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ” เสียงของบิดาเอ่ยทักในขณะที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ประจำตัว ผมหันไปมองพ่อนั่งตักอาหารโดยไม่แม้แต่จะมองมาที่ผมด้วยซ้ำ


“ครับ” ผมตอบรับสั้นๆ


“คุณน้าเขาเร่งเรื่องงานแต่งมาแน่ะซัน ลูกจะว่ายังไงจ๊ะ” แม่เอ่ยขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศ ใบหน้าเล็กที่เริ่มมีรอยย่นไปตามวัยแต่ก็ยังถือว่ายังสาวกว่าคนวัยเดียวกันถามผมยิ้มๆ ผมเงยขึ้นไปมองหน้ามารดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“ผมยังเรียนไม่จบ อีกอย่างผมก็มีอะไรจะปรึกษาพ่อกับแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย” ผมตอบกลับนิ่งๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวให้นมตักข้าวให้


“แกจะรอทำไม หนูฟ้าทั้งสาวทั้งสวยแถมครอบครัวยังอยู่ในระดับเดียวกับเรา เหมาะสมกับแกทุกอย่างจะรอให้มีคนมาคว้าเอาไปก่อนหรือยังไง” พ่อเอ่ยถามเสียงเข้ม ผมก้มหน้าตักกับข้าวใส่จาน


ถ้าให้มันเป็นแบบอย่างหลังที่พ่อว่ามันก็คงดี


“นั่นสิ แม่เห็นด้วยกับพ่อนะซัน” แม่สมทบ


“ผมก็เห็นด้วยกับคุณน้านะครับ น้องฟ้าเธอทั้งสวยทั้งเก่งที่มหาลัยผมเห็นมีแต่คนรุมล้อมเธอ ใครๆ ก็อยากได้เธอเป็นแฟนกันทั้งนั้น พี่ว่าแกดูแลเขาดีๆ หน่อยนะซัน เกิดเขาน้อยใจแกแล้วไปคว้าเอาใครที่ไหนมาแทนแกขึ้นมาจะหาว่าพี่ชายคนนี้ไม่เตือน” ไอ้เจออกความเห็นพร้อมกับแสร้งหัวเราะ


ผมหัวเราะในลำคอ ‘ไอ้จอมสร้างภาพ’


“หัดฟังพี่เขาซะบ้าง ตัวอย่างดีๆ มีให้ดูทำไมแกถึงไม่ดู ฉันล่ะไม่เข้าใจแกเลยจริงๆ” พ่อเอ่ยขึ้นต่อ ผมวางช้อนลงกับจานนิ่งๆ แล้วเอามือมาประสานกัน วางไว้บนโต๊ะ


“พ่อก็รู้ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับน้องฟ้าในเชิงนั้นทำไมถึงยังเร่งให้ผมรีบแต่งงานกับเธอนัก ธุรกิจของเราก็กำลังไปได้ดีผมไม่เห็นว่าจะต้องรีบเร่งรัดทุกอย่างให้มันเร็วขึ้น” ผมถามแล้วหันไปมองสบตากับบิดา


“หึ แกไม่ต้องเอาเหตุผลบ้าบอคอแตกอะไรนั่นมาอ้าง การแต่งงานก็เป็นการต่อยอดทางธุรกิจอย่างหนึ่ง ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเสียหายตรงไหนเพราะทางฝ่ายนั้นก็ยินดีและเต็มใจทุกอย่าง หรือที่แกปฏิเสธฉันคอแข็งเพราะว่าตอนนี้แกมีคนที่คิดจะจริงจังด้วยแล้วกันแน่”


“...”


“ตายจริงทำไมแม่ไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลย จริงเหรอลูก” แม่หันมามองผมตาโตด้วยความตกใจ แล้วเอามือทาบอก


“เอ่อ นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวผมขอตัวก่อนดีกว่านะครับคุณน้า” ไอ้เจเอ่ยขอตัวออกไป แล้วลุกขึ้นขยับเก้าอี้ช้าๆ


“เจแกไม่ต้องลุกไปไหน แกก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวของเราคนหนึ่งอย่าพูดแบบนั้นอีก” พ่อผมหันไปรั้งไอ้เจ มันทำหน้าเจียมตัวแล้วยิ้มให้พ่อผมแสร้งว่ากำลังซึ้งใจกับคำพูดใจดีของพ่อ ผมขมวดคิ้วมองการกระทำเหล่านั้นอย่างไม่ชอบใจ ไอ้เจค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วหันมายักคิ้วให้ผมน้อยๆ ก่อนจะหันไปตักอาหารเข้าปาก


“ว่าไงตาซัน” แม่ถามย้ำ ผมหันไปมองหน้ามารดาแล้วถอนหายใจ


“ผมจะมีใครหรือไม่มีใครพ่อกับแม่เคยสนใจด้วยเหรอครับ” ผมถามแล้วเค้นรอยยิ้ม


“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก” แม่ถามผมกลับเสียงสั่น


“เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าจะทำตามที่พ่อต้องการทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้เพื่อตอบแทนบุญคุญ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอะไรที่ผมควรทำและอะไรที่ผมไม่ควรทำ ไม่ใช่ว่าการแต่งงานกับน้องฟ้าไม่ดี น้องเป็นคนดี สวย เก่ง แต่ผมเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น วันนี้ความรู้สึกผมชัดเจนแล้วและผมก็หวังว่าพ่อกับแม่จะเข้าใจ” ผมเน้นย้ำในน้ำเสียงบ่งบอกให้รู้ว่าครั้งนี้ผมจริงจัง


“แกเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล แกลืมนึกถึงข้อนี้ไปแล้วหรือยังไง” พ่อถามผมกลับด้วยความไม่พอใจ


“ผมทราบดีถึงข้อนั้น กรุณาทำตามที่ผมขอด้วยนะครับแล้วเรื่องนี้ผมจะคุยกับเธอด้วยตัวเอง” พูดจบผมวางช้อนลงกับจานแล้วลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ออกจากตัว


“ผมอิ่มแล้วขอตัวนะครับ” ผมเอ่ยขอตัวก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู


“ไอ้ซัน! กลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง! ไอ้ซัน!” พ่อตะโกนตามไล่หลัง ส่วนแม่...ผมว่าคงช็อกกับคำพูดผมอยู่เลยไม่พูดอะไรปล่อยให้พ่อผมที่โกรธจัดเป็นฝ่ายออกเสียงแทน แม่ก็เป็นแบบนี้เสมอไม่เคยปกป้องแต่ก็ไม่เคยขัดขวางไม่ว่าผมจะทำอะไร ผมมุ่งหน้าเดินออกไปจากตัวบ้านโดยมีเป้าหมายคือโรงจอดรถ


“คุณหนู!” เสียงเรียกของนมทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถส่วนตัวไว้แล้วหันกลับไปยังร่างท้วมของคนที่ดูแลผมมา


ผมเลิกคิ้วถาม


“ทำแบบนี้จะดีเหรอคะ มันอาจจะไม่เป็นผลดีกับตัวคุณได้นมว่า...” หญิงสูงวัยเอ่ยถามผมด้วยความเป็นห่วง


“ผมคิดดีแล้ว” เมื่อเห็นผมตัดบทเสียงจริงจัง นมจึงหยุดคำพูดไว้แค่นั้น


“นมเชื่อว่าคุณหนูต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองค่ะ แล้วนี่จะออกไปไหนคะนมเห็นทานข้าวไปแค่นิดเดียว” นมพูดต่ออย่างใจดี ผมยิ้มแล้วส่ายหัว


“ผมอิ่มแล้ว อีกอย่าง ‘จะไปตามหาหัวใจ’ กลัวว่าถ้าหายไปนานๆ จะแย่ซะก่อน ไปนะครับคงไม่ได้กลับบ้านอีกสักพักใหญ่ๆ ถ้าทางนี้มีอะไรนมโทรหาผมได้ตลอด” ผมเอ่ยบอก นมพยักหน้ารับก่อนที่ร่างท้วมจะขยับออกห่างจากตัวรถเพื่อเปิดทางให้ผมเคลื่อนรถออกไป


บางทีผมก็อยากเป็นแค่เพียงนายศิวานนท์ คนธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตได้ตามใจชอบ ไม่ต้องร่ำรวยและสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป


แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเลือกไม่ได้ ผมก็คงต้องเดินหน้าต่อไป


มันคงไม่มีอะไรที่ยากเกินไปกว่าความตั้งใจและความจริงใจของผม...




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 24 : ฟังเสียงของใจ [P5]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-08-2018 18:53:07
ซวยแล้วซัน เจอศึกสองด้านเลย.  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 24 : ฟังเสียงของใจ [P5]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 06-08-2018 09:36:59
กูเหนื่อยแทนเลยซัน เพลียจริงๆ ศึกบ้านโน้น ศึกบ้านนี้
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 24 : ฟังเสียงของใจ [P5]
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 06-08-2018 12:44:21
สู้เยอะๆนะ จัดการปัญหาให้ได้เร็วนะซัน
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 25 : เดินหน้าเคลียร์
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-08-2018 15:52:25

ตอนที่ 25 :: เดินหน้าเคลียร์


[ซัน]


“ทำไมสภาพมันกลายเป็นแบบนี้อีกแล้ววะ” เสียงไอ้อาร์ตถามไอ้สอง


“ก็มีอยู่เรื่องเดียว” ไอ้สองตอบเสียงเรียบเหมือนเริ่มปลงตกกับปัญหาของผม ผมมองพวกมันด้วยหางตาแล้วหันกลับมานอนมองเพดานต่อ


ไอ้อาร์ตเดินถือแก้วเหล้าตามไอ้สองไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับผม


“ไงมึง”


ผมเลื่อนสายตามองไอ้สองที่เอ่ยปากทัก ก่อนจะส่ายหัว ตลอดหลายวันที่ผ่านมาได้แต่เฝ้าเพียรพยายามไปดักรอคนที่อยากเจอ แต่นอกจากจะไม่ได้เจอแล้วยังต้องทนให้ใครบางคนโขกสับอย่างไม่เป็นธรรม


เหตุการณ์แรก...


‘พี่บีทส์อยากกินข้าวหลามหนองมน’


จำได้ว่าได้ยินประโยคนี้หลุดออกมาจากปากน้องคนรักที่ยืนกอดอกมองเขาอยู่ภายในรั้วบ้าน เขาเลิกคิ้วถามก่อนจะทวนคำ เจ้าตัวพยักหน้ารับเพื่อย้ำคำตอบเดิม ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยที่อย่างน้อยความพยายามในช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็เป็นผล จึงได้ตกปากรับคำและรีบขับรถไปหาซื้อมาให้ด้วยตัวเองใช้เวลากว่าหลายชั่วโมงกว่าจะกลับมาถึง


‘ไปนานเอง มีคนรับพี่บีทส์ไปกินข้าวแล้ว ส่วนข้าวหลามนั่น...เก็บไว้กินเหอะ’


ไบร์ทบอกหลังจากที่ผมหอบหิ้วข้าวหลามนั่นมาเต็มสองมือ ผมยังจำได้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก มันร้อนรุ่มไปหมด ได้แต่กัดฟันยืนมองอีกฝ่ายด้วยความคับแค้นใจ เพราะทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่กลับไปนั่งรออยู่ในรถตัวเอง


ทุกๆ วันถ้าหากไม่มีธุระที่ไหนหรือว่างเว้นจากการเคลียร์งานเมื่อไหร่ ผมก็จะตรงดิ่งมาที่บ้านหลังนี้เป็นที่แรก


‘ช่วยไปซื้อของตามรายการที่จดให้หน่อยดิ’


นี่เป็นอีกเหตุการณ์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ ไอ้ตัวแสบตรงหน้ายื่นกระดาษรายการที่ยาวเป็นหางว่าวมาให้ ได้แต่ยื่นมือรับมาด้วยความไม่เต็มใจ ให้กูคอยส่งข้าวส่งน้ำทุกมื้อโดยที่ไม่ยอมให้ได้เจอหน้าเมียยังพอทน แต่ไอ้การส่งข้อความมาเรียกตัววันละหลายๆ รอบนี่มันดูจะเกินไปหน่อยแล้วนะเว้ย!


‘ซื้อน่ะซื้อได้ แต่นี่เหรอ...ธุระสำคัญที่ว่า’
   

ผมถามออกไปเสียงฉุนด้วยความไม่พอใจ เมื่อคืนต้องทำแลปกว่าจะเสร็จก็ปาไปตีสาม เพิ่งได้นอนแค่สามชั่วโมงก็ได้รับข้อความจากทางนี้ให้รีบมาด่วนจึงกระเสือกกระสนมาแต่เช้า


‘ก็พอใจจะให้ตอนนี้นี่ ทำม่ะ...มีปัญหาเหรอ ไม่พอใจก็หันหลังกลับไป เห็นมั้ยง่ายจะตาย ชิ่วๆ’


เสียงกวนประสาทว่ากลับกวนๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านทั้งที่ยังใส่ชุดนอนลายหมี ไอ้เด็กนี่กวนประสาทฉิบหายเลยเว้ย!


แล้วก็ตามมาด้วยสารพัดวิธีกวนประสาทที่อีกคนจะคิดได้ ทั้งให้ช่วยแบกของ ส่งของ ซื้อของ น้ำไม่ไหล ไฟดับ ผมก็ต้องมาตามที่อีกฝ่ายเรียกตัว


“คราวนี้อะไรอีกล่ะ” ไอ้อาร์ตถาม


“มึงจำผู้ชายที่ชื่อไม้ได้มั้ย” ผมไมตอบแต่ถามพวกมันกลับ ไอ้อาร์ตเลิกคิ้วแล้วนึกตาม ส่วนไอ้สองมันคงจะจำไม่ได้เพราะไม่เคยเจอ


“คนที่เคยช่วยบีทส์ไว้ตอนนั้นเหรอ” ไอ้อาร์ตเดา


“อืม”


“โปรไฟล์ดีซะด้วย”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับมึง” ไอ้สองถาม


“วันนี้บีทส์ออกไปดูหนังกับไอ้หมอนั่น กูก็เพิ่งรู้ว่าทุกครั้งที่น้องไม่อยู่บ้านก็ไปกับไอ้หมอนี่เหมือนกัน” ผมยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง


“ฮ๊า ศัตรูหัวใจ” ไอ้สองทำหน้าเข้าอกเข้าใจ


“อ้าว ก็ไหนว่าไปเฝ้าเขาตั้งแต่เช้าแล้วไง” ไอ้อาร์ตถาม ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่เพิ่งผ่านมา ไอ้วีรกรรมแสบๆ ของใครบางคนที่ดันมีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับไอ้เจ้าของคำถาม คนที่นั่งทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยอยู่ตรงหน้านี่


“จะทันได้ยังไง กูไปสระบุรีมา”


“ไปทำอะไร” ไอ้อาร์ตเลิกคิ้ว


“ไปซื้อกะหรี่ปั๊บ” ผมอธิบายพาลๆ ไอ้สองทำหน้าเหวอคงจะงงว่าอย่างผมเนี่ยนะจะกินกะหรี่ปั๊บสระบุรี ถ้ากูอยากกินเองกูไม่ถ่อไปซื้อเองถึงที่หรอก ที่ไหนๆ มันก็รสชาติเหมือนกัน!


“อย่างมึงอ่ะนะกินกะหรี่ปั๊บ ไอ้ซันมึงไม่สบายรึเปล่า” ไอ้สองถามด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึง หน้าแม่งโคตรตลก


“อย่างกูไม่กินอะไรแบบนั้นหรอก ก็ไอ้ตัวแสบมันใช้ให้กูไปซื้อกะหรี่ปั๊บตั้งแต่กูเพิ่งเหยียบหน้าบ้าน ส่งข้อความมาด้วยนะมึง ไม่ยอมออกมาเอง แถมมีระบุด้วยว่าถ้าไม่ใช่กะหรี่ปั๊ปเจ้าเก่าแห่งสระบุรีจะไม่กิน แล้วพอกูกลับมาแม่งก็ออกมารับหน้าบานแถมยังบอกกูว่าบีทส์ไม่อยู่แล้ว แสบมั้ยล่ะเด็กมึงไอ้สัส” ผมระเบิดอารมณ์ออกมารวดเดียว


“พรวดแค่ก...มึงว่าอะไรนะ คิก ฮ่าๆ พาดพิงถึงกู แค่ก” ไอ้อาร์ตสำลักเหล้า ก่อนจะถามผมเสียงกลั้วหัวเราะ ด้วยความที่หงุดหงิดอยู่แล้วเลยคว้าเอาหมอนที่อยู่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงไปใส่มันทั้งสองคนเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ


“เฮ้ยๆๆ อย่าพาลไอ้สัส” ไอ้อาร์ตขยับหลบไม่ทันร้องห้ามผมเสียงหลง ทำให้ไอ้สองที่นั่งใกล้กันต้องขยับหลบตามเป็นพัลวัน
ผมวางหมอนในมือลงแล้วบ่น “มึงแม่งทนได้ยังไงวะ กูยอมเลย” ยกแก้วเหล้าเข้าปากด้วยความหงุดหงิด


“ตีนหนักมือหนักด้วย...โคตรสเปค” ไอ้อาร์ตออกความเห็นบ้าง ทั้งที่ยังหลบอยู่หลังโซฟาตัวใหญ่ ผมทำท่าจะเขวี้ยงแก้ว


“ไอ้ซัน! อย่าโยนมานะเว้ยเจ็บจริงไม่ใช้แสตนอินนะมึง!!” ไอ้สองกับไอ้อาร์ตร้องห้ามผมแทบจะพร้อมๆ กัน ผมแสยะยิ้ม กูยิ่งหงุดหงิดอยู่


“เสือกกวนตีนกูทำไม”


ผมวางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะ แล้วทิ้งตัวเอนหลังลงกับโซฟาเหมือนเดิม ยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากหน้าเครียด จะตามไปไบร์ทก็ไม่ยอมบอกว่าสองคนนั่นไปกันที่ไหน ต่อให้ตามหากว่าจะเจอก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วป่านนี้แม่งไปดูหนังกันถึงไหนแล้ววะ ข้างในนั่นยิ่งมืดๆ แล้วถ้าเกิดมันเผลอทำอะไรบีทส์ขึ้นมาล่ะ


“กูว่าเราต้องใช้ตัวช่วยแล้วว่ะ” เสียงไอ้สองโพล่งขึ้นมา ผมขมวดคิ้วแล้วหันไปเลิกคิ้วถาม ไอ้สองปีนข้ามโซฟากลับมานั่งที่เดิมด้วยความทุลักทุเล


“ยังไงวะ” ไอ้อาร์ตเป็นฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ แต่ยังแอบหันมาระแวงผมอยู่เป็นระยะ ผมมองหน้ามันเป็นเชิงด่า ถ้ากูจะทำจริงๆ มึงได้ไปเย็บหัวเล่นที่โรงพยาบาลตัวเองแล้ว


++++++++++++++++++


“...”


ผมนั่งสบตากับเจ้าของร่างสองคนที่นั่งติดกันอยู่ตรงข้ามเพื่อเค้นเอาคำตอบ ไอ้ออยเพียงแค่ชำเลืองมองมานิดๆ แล้วก้มหน้าชิดคางเหมือนเดิม ส่วนคู่หูที่มาด้วยกันอย่างไอ้ปริ้นก็นั่งเงียบอยู่ด้านข้างคนร่างเล็กกว่าด้วยแววตาเรียบนิ่ง


“ว่าไง” ผมถามย้ำ ไอ้ออยเงยหน้าขึ้นมายู่ปากใส่ผมแล้วทำหน้าอ้อนเพื่อเรียกคะแนนสงสาร ไอ้สองที่นั่งข้างผมหันมามองหน้าผมเป็นเชิงขอความคิดเห็น ผมส่งสายตาหามัน ชำเลืองไปทางไอ้ปริ้น


“ปริ้นออกไปข้างนอกกับกูหน่อย” ไอ้สองลุกขึ้นยืนก่อนจะเรียกหลานรหัสของมันเสียงเข้ม เจ้าของชื่อเพียงขมวดคิ้วเงยหน้ามองคนที่เรียกตัวเอง


“เออมึงนั่นแหละ” ไอ้สองย้ำคำ


“แง๊...เฮีย อย่าทำแบบนี้สิ” ไอ้ออยทำหน้าจะร้องไห้ พร้อมยื่นมือไปรั้งชายเสื้อไอ้ปริ้นไว้ไม่ให้มันลุกขึ้น ไอ้ปริ้นหันไปมองหน้าลุงรหัสของมันสีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ถ้ามองเข้าไปในตาของมัน จะเห็นว่ามันกำลังลำบากใจที่จะต้องห่างคนใกล้ตัวของมัน และกำลังขอร้องไม่ให้ลุงรหัสของมันลากตัวมันไป แม้ปากจะไม่กล้าเอ่ยปฏิเสธแต่การกระทำแสดงออกชัดเจนว่าพร้อมปกป้องคนของตัวเอง


ที่สำคัญกว่านั้น...ผมรู้ว่ามันหวงมากกว่าห่วง


“อย่าชักช้า ถ้ากูเรียกซ่อมทั้งสาย อย่ามาโอดครวญทีหลัง” ไอ้สองขู่ต่อ ได้ผล...ไอ้ปริ้นถอนหายใจอย่างจำยอม ก่อนจะหันไปหาคนของมัน


“ไปไม่นานหรอกอยู่กับพวกเฮียนี่แหละ” ไอ้ออยเบ๋ปากแล้วทำหน้าหงอยด้วยความผิดหวัง ไอ้ปริ้นยกมือขึ้นยีหัวทุยนั่นเบาๆ แล้วยกยิ้ม มึงจะสวีทอะไรกันต่อหน้ากูก็หัดเกรงใจพวกกูบ้างนะ


“แต่ว่า...”


“กูไม่ทำอะไรมึงหรอกสัส อย่าสะดิ้งให้มันมาก เป็นผู้ชายประสาอะไร ห่างกันแค่นี้ทำเหมือนจะเป็นจะตาย” ผมพูดขัดขึ้นก่อนที่ไอ้ออยจะหาเรื่องอ้อนให้ไอ้ปริ้นอยู่ต่อ ไอ้ออยหันมาค้อนขวับให้ผม ก่อนจะรีบก้มหน้าแล้วเม้มปากขัดใจเมื่อเจอผมถลึงตาใส่ดุๆ ไอ้สองเดินนำไอ้ปริ้นออกไป


“เฮียมีอะไรจะถามเหรอ” ไอ้หลานรหัสมันโพล่งถามเมื่อเห็นผมเงียบ ไอ้อาร์ตแสร้งตีสีหน้าดุใส่ มันถึงหงอตัวหดอีกครั้ง ผมยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ไอ้เด็กคนนี้มันตัวติดกับไอ้ปริ้นเลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนเข้ามาตีสนิท แต่พออยู่คนเดียวก็ฮอตในหมู่สาวๆ ไม่หยอกหรอกนะครับ


“เรื่องเพื่อนมึง”


ไอ้ออยเงยหน้าขึ้นสบตาผม “เพื่อนผม...ไอ้บีทส์...ทำไมครับ” ดวงตาเรียวรีมองผมด้วยความสงสัย ไอ้อาร์ตยื่นมือมาตบบ่าผม ยกมือทำสัญญาณคุยโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอีกทาง
   

“เพื่อนผมมันทำไม อย่าบอกนะว่ามันเผลอไปทำอะไรอ้อนตีนเฮียเข้า” ไอ้ออยเดาใบหน้าฉายแววกังวล ผมส่ายหัวก่อนที่มันจะคิดไปไกล


“ก็ไม่เชิง” ผมตอบ ไอ้ออยขมวดคิ้วรอฟัง
   

“กูจะไม่อ้อมค้อม เข้าเรื่องเลยก็คือกูกับเพื่อนมึง เรากำลังคบกันอยู่” ผมต่อประโยคที่คิดว่าสั้นและกระชับเนื้อหาที่สุด ทันทีที่ผมต่อประโยคจบไอ้ออยก็อ้าปากค้างดวงตาเรียวรีเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด
   

“เฮีย...กับไอ้บีทส์อ่ะนะ!?” คนตัวเล็กถามผมเลิ่กลั่ก
   

“อืม”
   

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเอามือสองข้างมาประสานกันไว้บนเข่า แล้วเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่แรกให้เจ้าตัวได้ฟังก่อน เพราะหากอยากได้ความช่วยเหลือจากมันผมเองก็ต้องเล่าทุกอย่างให้มันเข้าใจสถานการณ์ของผม ถึงแม้จะแอบใส่ไข่ไปบ้างให้มันรู้สึกเอนเอียงมาทางผมบ้างก็เถอะ
   

เมื่อเล่าจนมาถึงสถานการณ์ปัจจุบันคนตัวเล็กตรงหน้าก็เอ่ยถามผมเคืองๆ
   

“แล้วเฮียจะให้ผมช่วยอะไร”
   

ผมพอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของหลานรหัสตัวเองตอนนี้ บีทส์เป็นเพื่อนสนิทของมัน และคงรู้สึกไม่ปลื้มที่เพื่อนของตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำจากผม สังเกตได้จากในระหว่างที่ผมเล่าเรื่องราวให้ฟังไอ้ออยก็มักจะมองค้อนให้ผมอยู่เป็นระยะ
   

“ไม่ต้องกลัว กูไม่ทำให้มึงเดือดร้อนหรอก”
   

ผมเดาความลังเลจากสีหน้าของมันออก
   

“บอกตรงๆ นะเฮีย...ผมโคตรลำบากใจ”
   

“กูเข้าใจ”
   

“ผมถามได้มั้ย เฮียแน่ใจเหรอว่าเฮียจัดการทุกอย่างได้”
   

มันคงหมายถึงเรื่องน้องฟ้า
   

“กูจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
   

“เฮียอยากให้ผมช่วยอะไร”
   

“ก็แค่ช่วยสร้างโอกาสให้กูนิดหน่อย” ผมตอบ ไอ้ออยเม้มปากอย่างชั่งใจว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยผมดี ผมรู้...เพราะยังมีอีกคนที่ต้องนึกถึง ก็คือน้องของบุคคลที่อยู่ในบทสนทนานั่นเอง
   

“กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้มึงต้องผิดใจกับใครเพราะกู” ผมให้คำยืนยัน ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไอ้ออยมองหน้าผมสลับกับหน้าตักตัวเอง
   

“เฮ้อ ผมก็ว่าแล้วว่าทำไมช่วงนี้บีทส์มันดูซึมๆ ที่แท้ก็เพราะเฮียนี่เอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยเฮียได้มากน้อยแค่ไหนนะ เพราะผมมั่นใจว่าไบร์ทคงไม่ปลื้มแน่ถ้ารู้ว่าผมร่วมมือกับเฮีย”
   

“แค่นี้กูก็ขอบคุณมากแล้ว”
   

“ฮื่อ ว่าแต่เฮียเถอะ รักเพื่อนผมจริงหรือเปล่า ไม่ใช่แค่อยากลองนะ” ไอ้ออยยู่ปาก ผมหันไปมองหน้าคู่สนทนาอย่างจริงจังเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของผม แล้วก็หวังลึกๆ ว่าจะได้พูดคำนี้ต่อหน้าบีทส์สักครั้งเหมือนกัน
   

ตลอดหลายวันที่ผ่านมาทุกเหตุการณ์ที่ผมได้เจอและได้พิสูจน์ มันทำให้ผมเริ่มเข้าใจและมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง อะไรที่เคยสับสนและคั่งค้างอยู่ในใจผมก็คิดไต่ตรองจนได้คำตอบ ผมก็เพิ่งรู้ว่า ‘การเหงาเพราะเคยมี’ กับ ‘การเหงาเพราะไม่เคยมี’ มันต่างกันมากแค่ไหน
   

“กูรักมัน”
   

โคตรรักโคตรหลงเลยไอ้เหี้ย



“พี่ซัน”


เสียงหวานใสเอ่ยทัก ก่อนจะเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม วันนี้น้องฟ้าแต่งตัวได้น่ารักสดใสตามสไตล์ของเจ้าตัว ผมยิ้มรับ หลังจากที่ตกลงเรื่องภารกิจกับหลานรหัสของตัวเองเสร็จ ผมก็โทรไปนัดน้องฟ้าออกมาทานข้าวด้วยกันในตอนเย็นเพราะต้องการเคลียร์ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่และมีแค่ผมที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้


“วันนี้แต่งสวยเชียว” ผมเอ่ยแซ็ว


“ชมกันแบบนี้ ฟ้าก็แย่สิคะ” น้องฟ้าส่งยิ้มเขิน


ผมยิ้มเนือยๆ รอยยิ้มสดใสที่เคยมีมาให้ผมเสมอมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะยังมีโอกาสได้เห็นมันอีกหรือเปล่า ผมแค่หวังว่าอย่างน้อยน้องจะไม่ต้องทนเสียใจเพราะผมอีก และถ้าผมจะโดนเกลียดจริงๆ


มันก็สมควรแล้ว…


“พี่สั่งอาหารที่ฟ้าชอบไว้ รีบทานเถอะเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน” น้องฟ้ายิ้มตาหยี แล้วย่นจมูกใส่ผมก่อนที่จะหันไปมองอาหารตรงหน้าอย่างสนใจ


“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”


“ยุ่งนิดหน่อยค่ะแต่ก็สนุกดี พี่ซันเรียนหนักใช่มั้ย ดูสิหน้าหล่อๆ โทรมลงไปตั้งเยอะเลย” น้องฟ้าตอบพลางเอ่ยแซ็วผม เรื่องเรียนไม่ค่อยหนักหรอก แต่เรื่องที่หนักกว่าก็น่าจะเป็นเรื่องของคนตรงหน้านี่แหละ ผมยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่ามีคราบซอสเลอะขอบริมฝีปากบาง กินเลอะตั้งแต่เล็กจนโต


“เออใช่ พี่ซันได้ยินข่าวลือแปลกๆ บ้างมั้ยคะ” มือที่กำลังจะยื่นไปเช็ดคราบซอสที่ปากให้อีกคนคนหยุดชะงักกลางอากาศ


“ไปได้ยินอะไรมางั้นเหรอ” ผมยื่นกระดาษทิชชู่ให้น้องฟ้าแก้ขัดแล้วใช้นิ้วชี้ที่ขอบปากตัวเองเป็นการบอกกลายๆ น้องฟ้าเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มเขินพลางยื่นมือมารับทิชชู่จากมือผมไปเช็ดปากตามที่ผมบอก


น้องเงียบไปสักพักก่อนจะฉีกยิ้มให้ผม “ฟ้าว่ามันไร้สาระมากและฟ้าก็เชื่อใจพี่ซัน” ตอบแล้วหลบสายตา แสดงๆ ว่าคงได้ยินข่าวลือแปลกๆ ของผมเข้าแล้วสินะ


“ฟ้า…” ผมเรียก


“คะ”


ผมสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ “พี่รู้ว่าสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้อาจทำให้ฟ้าเสียใจ แต่พี่ต้องพูด” เราสองคนหันมาสบตากัน สายตาผมเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ดวงตากลมโตคู่นั้นฉายแววกังวลขึ้นมา


“หมายความว่ายังไงคะ” น้องฟ้าถามกลับเสียงสั่น ผมกำมือแน่น ในอกรู้สึกปวดหนึบที่ต้องทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอดสิบกว่าปี


“ยังจำที่เราเคยสัญญากันไว้ได้มั้ย” ผมถามเธอกลับ ฟ้าเริ่มตาแดงผมต้องเบือนหน้าลงมองแก้วน้ำข้างมือเมื่อนึกถึงสัญญาที่ผมกับเธอเคยให้กันไว้ว่าถ้าหากคนใดคนหนึ่งเจอคนที่ตัวเองรักก็สามารถยกเลิกสัญญาการหมั้นหมายได้ แต่ถ้าวันไหนที่ผมเรียนจบแล้วยังไม่เจอใครเราถึงจะแต่งงานกัน


นี่เป็นข้อตกลงระหว่างผมกับเธอ


“พี่ซัน...” น้องฟ้าครางเรียกชื่อผม


“พี่...เจอเขาคนนั้นแล้ว” ผมเลื่อนสายตากลับมาโฟกัสที่หญิงสาวตรงหน้า น้องฟ้าเบิกตากว้างขึ้น ตาคู่สวยสั่นระริก ก่อนที่มือเล็กจะเลี่ยงไปหยิบแก้วน้ำข้างมือขึ้นมาดื่ม ผมนั่งเงียบและปล่อยให้เธอจมอยู่กับความคิดตัวเอง


“เขาเป็นใครคะ ฟ้ารู้จักหรือเปล่า” น้องฟ้าถามหลังจากเงียบไปพักใหญ่


“พี่ขอโทษนะ” ผมเลี่ยงคำถาม ฟ้าฉีกยิ้มให้ผมก่อนจะเบือนหน้าไปใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกจากหางตา ถ้าเป็นปกติผมคงต้องคว้าตัวอีกคนมากอดปลอบ แต่ถ้าผมยังทำเหมือนเดิมมันอาจเป็นการทำร้ายเธอทางอ้อม ผมต้องแข็งใจเข้าไว้เพื่อที่จะไม่ทำร้ายเธอไปมากกว่านี้


“อย่าขอโทษฟ้าเลยค่ะ พี่ซันเจอคนที่ใช่ ฟ้าก็ดีใจด้วย พี่คงรักผู้หญิงคนนั้นมาก” ถึงปากจะพูดออกมาอย่างนั้นแต่ทั้งสีหน้าและแววตามันช่างชัดเจนเหลือเกินว่าเจ้าของใบหน้าสวยนั้นกำลังเสียใจมากแค่ไหน


“ฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อม...ดีมาก ทุกอย่างเป็นความผิดของพี่เอง เรื่องคุณน้าทั้งสองพี่จะหาโอกาสไปพบกับท่านด้วยตัวพี่เอง ที่พี่นัดเจอกับฟ้าก่อนก็เพราะไม่อยากให้ฟ้ามารู้ทีหลัง”


“ฟ้ามีโอกาสจะแก้ตัวมั้ยคะ”


“อย่าคาดหวังอะไรจากพี่จะดีกว่า”


คนถามเม้มริมฝีปาก "..."



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 25 : เดินหน้าเคลียร์
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-08-2018 19:34:10
นางฟ้าจะกลายพันธุ์เป็นนางมารไหมนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 25 : เดินหน้าเคลียร์
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 10-08-2018 21:45:40
เด็ดดวงดี ตรงๆ แน่นอน ไม่ต้องมายื้อ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 25 : เดินหน้าเคลียร์
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 10-08-2018 23:10:46
กลัวใจฟ้า อารมณ์ผู้หญิงอะไรก็เกิดขึ้นได้ :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 26 : เราจะได้เจอกันอีกมั้ย
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 13-08-2018 11:13:28

ตอนที่  26  :: เราจะได้เจอกันอีกมั้ย


[บีทส์]


“ทำไมช่วงนี้น้องมึงมารับมาส่งทุกวันเลยวะ เมื่อก่อนไม่เห็นมา” เสียงไอ้นัทถามขึ้นขณะที่เรานั่งพักเที่ยงกันที่ใต้ตึก ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถามก่อนจะส่ายหัว แล้วซุกหน้าลงกับกระเป๋าสะพายตัวเองตามเดิม


จริงอย่างที่ไอ้นัทมันสงสัย เพราะตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องไบร์ทก็ไม่ยอมให้ผมอยู่ที่คอนโดอีก ผมเลยต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านตัวเองสลับกับไปนอนที่บ้านพี่ไม้ในเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน จนคุณนายเองก็ชักสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ น้องผมถึงลุกขึ้นมาทำอะไรแปลกๆ แต่ไบร์ทก็ไหลลื่นเอาตัวรอดไปได้ทุกที


ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่ผมไม่ได้เจอพี่ซัน ตลอดเวลาที่พี่มันมาที่บ้านไบร์ทจะให้ผมคอยหลบพี่ซันเสมอ เลยต้องแอบมองพี่มันผ่านม่านหน้าต่างแทน แรกๆ พี่มันก็แอบโทรมาที่เบอร์ผมนะแต่เพราะไบร์ทเกาะติดผมตลอดเวลาแถมยังแลกเอาโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผมใช้อีก ทำให้เวลาพี่ซันโทรมาไบร์ทจะเป็นฝ่ายรับสาย


“นั่นดิ หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติของพวกมึงสองพี่น้องวะ” ไอ้นัทถามต่อ


“...”


“เอ้า ถามไม่ตอบไอ้นี่หยิ่ง ข้าวปลาก็กินแค่แมวดม จะผอมไปถึงไหน” ไอ้นัทดุ ก่อนจะหันไปหงุงหงิงกับแฟนมันเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากปากผม ผมรู้ครับว่ามันก็แค่เป็นห่วง


“ยังไม่ได้คุยกันอีกเหรอ” เสียงอิพิงค์กระซิบถาม เพราะมันก็แกล้งนอนฟุบอยู่ข้างๆ ผมเหมือนกัน


“อืม” ผมครางตอบในลำคอ


ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ซันจะเป็นยังไงบ้าง จะยังคิดถึงผมไหม ยังสบายดีหรือเปล่า


“อ้าวไบร์ท ทำไมวันนี้มาเร็ว” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงไอ้นัทเอ่ยทักชื่อน้องผม ไบร์ทเดินตรงเข้ามาหาพวกผมด้วยชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดสีหม่นเคียงคู่มากับคนคุ้นเคยอีกคนที่เพิ่งเจอกันมาเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว


พี่ไม้...


“พอดีวันนี้ไบร์ทไปติดต่อเรื่องเรียนมาอ่ะพี่นัท ขากลับเจอพี่ไม้พอดีเลยกะว่าจะอยู่รอรับพี่บีทส์ด้วยกันเลย” ไบร์ทตอบกลับยิ้มๆ แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ ผม ส่วนอิพิงค์มันเคลิ้มไปแล้วครับ อินี่เห็นผู้ชายไม่เคยได้


“ว่าไงเรา” พี่ไม้เดินมายืนอยู่ข้างหลังผมแล้วยื่นมือมาวางไว้บนหัวผม ผมทำหน้ายุ่ง แล้วส่ายหัวหนีมือใหญ่ พี่ไม้หัวเราะก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม หลังจากอิพิงค์มันขยับที่ให้ พวกเพื่อนผมก็ยกมือไว้พี่มันใหญ่เพราะรู้จักกันดี


“กินอะไรมารึยังไบร์ท” ผมหันไปถามน้อง


“ยังเลยพี่บีทส์ พอดีไบร์ทรีบมากลัวพี่บีทส์รอ” น้องหันมาตอบผมยิ้มๆ ผมพยักหน้ารับ แล้วฟุบหน้าลงกับกระเป๋าตัวเองอีกรอบ ทำไมจะไม่รู้ว่าที่ไบร์ทมาหาผมทุกครั้งที่มีโอกาสก็เพื่อป้องกันไม่ให้พี่ซันเข้าใกล้ผมได้


เฮ้อ…


ไม่ใช่แค่ไบร์ทที่คอยตามติดผม ยังมีพี่ไม้อีกคนที่ไม่รู้ครึ้มอกครึ้มใจอะไรมานั่งรอผมแทนไบร์ทในวันที่ไบร์ทไม่ว่างได้ตลอด ไม่รู้ไอ้งานที่ทำอยู่น่ะไม่มีใครจ้างหรือว่ามันสบายถึงขนาดไม่ต้องเข้าออฟฟิศกันแน่


ยังมีไอ้นัทอีกคนที่ถูกฝากฝังจากน้องผมด้วยเหตุผลว่าช่วงนี้รู้สึกเหมือนมีไอ้บ้าโรคจิตสะกดรอยตามผมอยู่กลัวว่าผมจะเป็นอันตรายยิ่งทำให้มันตามคุมผมแจเลย



ไอ้นี่เชื่อฟังน้องกูดีจริงๆ กับกูไม่เคยจะเห็นหัว


“นึกว่าจะไม่เจอพวกมึง ทำไมยังไม่ขึ้นเรียนวะ” เสียงไอ้ออยถามขึ้น ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปยังทิศทางของเสียงที่กำลังมุ่งหน้าเดินเข้ามาที่โต๊ะพวกผมช้าๆ ก่อนจะต้องลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นแค่ไอ้ออยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาพร้อมกับเงาตามตัวมันอย่างไอ้ปริ้นที่เดินตามมาเงียบๆ


“อ๊าย ปริ้น...นั่งค่ะนั่ง ที่ว่างมีโดยเฉพาะหัวใจพิงค์ตอนนี้ว่างมาก” อิพิงค์หูกระดิกหางกระดิกทันทีที่เห็นไอ้ปริ้น ผมส่ายหัวน้อยๆ กับท่าทางของเพื่อนตัวเอง


ฟึ่บ!


ผมกลั้นขำ เมื่อที่นั่งที่อิพิงค์มันขยับให้ปริ้นถูกคนที่มากับเจ้าของชื่อนั่งลงหน้าตาเฉย อิพิงค์หน้าเหวอไปสักพักก่อนจะจิ๊ปากใส่ไอ้ออยอย่างขัดใจ


“ยัง...อาจารย์ป้ามีประชุมเรื่องสอบปลายภาคที่คณะเลยขอเลื่อนเวลาสอน” ผมตอบ ไอ้ออยพยักหน้ารับ ก่อนที่มันจะหันไปทักทายพี่ไม้


“พี่ไม้สวัสดีครับ” ไอ้ออยทักทายพร้อมกับยิ้มกว้าง ก่อนหันไปทักทายน้องผม ผมเหลือบมองไอ้ปริ้นเห็นมันแอบคิ้วกระตุกอยู่ข้างๆ กอดอกมองไอ้ออยด้วยสายตาเรียบเฉย


“ครับ สบายดีนะออย ดูหน้าตาสดใส มีแก้มออกมาหน่อยๆ น่ารักดี” พี่ไม้ตอบรับแล้วถามกลับ ไอ้ออยเลิกคิ้วก่อนจะใช้สองมือประกบใบหน้าตัวเองหน้าตาเหรอหรา


“จริงดิ ผมอ้วนขึ้นเหรอ ไม่น่าล่ะช่วงนี้สาวๆ ในสต๊อกหายหมด ปั๊ดโธ่ ทำไมไม่เตือนออยฮะปริ้น!!?” ไอ้ออยโวย แต่ไอ้คนโดนโวยมันทำเพียงเลิกคิ้วรับเล็กน้อย ย้ำ!! ว่าแค่เล็กน้อยเท่านั้น พี่ไม้มันพูดตอนไหนว่ามึงอ้วน เขายังไม่ได้พูดสักคำ จริงๆ มันก็ไม่ได้อ้วนอะไรหรอกครับ แต่ไม่รู้สิผมว่ามันดูน่ารักขึ้นแล้วก็ดูเหมือนมีออร่ามากกว่าแต่ก่อน


“เขาพูดสักคำรึยังว่ามึงอ้วน เอ๊ะหรือช่วงนี้ได้น้ำดี” อิพิงค์แซ็วขึ้นพร้อมกับจีบปากจีบคอ ไอ้ออยถลึงตาโตเขียวปั๊ด สังเกตได้เลยว่าคนในโต๊ะกลั้นยิ้มกันใหญ่ ไอ้ปริ้นมึงเก็บอาการดีอกดีใจไว้หน่อยก็ได้นะ เห็นแล้วหมั่นไส้ไอ้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของมึงน่ะ!


“ฮ่าๆ ไม่ใช่แบบนั้น แค่รู้สึกว่าช่วงนี้เราน่ารักขึ้นเท่านั้นเอง” พี่ไม้หัวเราะแล้วรีบแก้คำ ก่อนที่ไอ้ออยมันจะวิตกจริตไปมากกว่านี้


“โห่ พี่ไม้ทำผมตกใจหมดเลย” ไอ้ออยถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปตัดพ้อพี่ไม้ต่อ ผมยิ้มขำแต่ไม่ได้ออกปากเตือนเพื่อน มึงจะทำอะไรช่วยมองหน้าไอ้เงาตามตัวหน้านิ่งของมึงหน่อยได้ไหม


“แล้วทำไมโผล่หัวมานี่ได้” ผมถาม


“ทำไม...มาหาไม่ได้เหรอ” ไอ้ออยเลิกคิ้วถามหาเรื่อง ผมถอนหายใจเซ็งๆ กับอาการกวนตีนของเพื่อนรัก


“กล้าทำหน้าแบบนี้ใส่กูเหรอไอ้ออย นี่แน่!” ผมยื่นมือไปเคาะกบาลเพื่อนรักอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่พี่ไม้ลุกขึ้นขยับเปลี่ยนที่นั่งให้ไอ้ออยมานั่งติดผมแทน แล้วตัวพี่ไม้ก็ขยับไปนั่งใกล้กับอิพิงค์ ฟินไปสิเพื่อนผม


“เชี่ย เจ็บนะเว้ย!” ไอ้ออยโวยวายพร้อมกับลูบหน้าผากตัวเอง ผมหัวเราะ


“ออยบ่นอยากมาหามึงตั้งหลายวันแล้ว ไม่ได้เจอมึงเลยตั้งแต่ช่วงรับน้อง มึงเองก็ไม่ยอมติดต่อมาหาพวกกู คาบนี้ว่างเลยลองเดินมาหาดู” ไอ้ปริ้นเอ่ยปากอธิบาย


พูดเฉยๆ ไม่ได้ ทำไมต้องทำหน้าเก็กหล่อเห็นแล้วหมั่นไส้อยากกระโดดถีบยอดหน้า หล่อไม่เกรงใจสาวๆ คณะกูเลย ยิ่งพวกพี่ๆ มึงนะ หึ๋ย พูดแล้วอยากหล่อขึ้นมาตะหงิดๆ


“โทรมาก็ได้ปะ ไม่เห็นต้องหอบสังขารมาถึงนี่” ผมกลั้นยิ้ม เมื่ออิพิงค์มันเอ่ยแขวะไอ้ออย แล้วเบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้


“โทรได้! แต่อยากเจอตัวเป็นๆ ของมันมากกว่า มึงจะทำไมชาติชาย!” ไอ้ออยตอกกลับทันควัน ด้วยคำเรียกขานสุดจี๊ด แถมเป็น
คำต้องห้ามที่อิพิงค์ได้ยินทีไรต้องกรี๊ดมหาลัยแตก


“ชาติชายพ่อง กูเปลี่ยนชื่อแล้วโว้ย อิคนไม่พัฒนา!” อิพิงค์ยืนขึ้นท้าวสะเอวด่าเสียงแหลม เล่นเอาพี่ไม้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม คือเราก็รู้ๆ กันครับว่าพวกมันก็กัดกันไปตามประสาเจอกันเป็นต้องไฝว้


“ก็กูจะเรียกชาติชายมึงจะทำไม” ไอ้ออยเลิกคิ้วมองตอบอิพิงค์แล้วเบ๋ปากใส่อย่างจงใจ เล่นเอาอิพิงค์ถลึงมองมันตาโต


“กรี๊ด...เจอตุ๊ดตบปากสักทีมั้ย! หน๊อย ถ้ากูไม่เกรงใจแฟนกูนะ จะตบสั่งสอนให้รู้ฤทธิ์เดชฝ่ามือมิสพิงค์เรนเจอร์สักที!!” อิพิงค์ตอกกลับ ผมเลิกคิ้ว


“ไหนแฟนมึง! ลากมันออกมาซิ! กูจะถีบให้รู้จักรสชาติของฝ่าตีนไร้เงาเลย!” ไอ้ออยตอกกลับพร้อมยกเท้าขึ้นส่ายไปมา เออเว้ยคนล่ะเรื่องพวกมึงก็ลากเข้ามาอยู่ในเรื่องเดียวกันได้เน๊าะ


“ปริ้นไงแฟนกู!!” อิพิงค์เนียนได้โล่


“สัส นั่นแฟน ก…!!” ไอ้ออยตอกกลับทันควัน ก่อนจะสะดุดเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ผมกลั้นขำท้องแข็ง พร้อมกับหันไปเหล่ไอ้ปริ้นที่ยืนอมยิ้มอยู่ แม่ะ...ไอ้ออยมึงจะรู้ตัวไหม ถ้ามึงกลับไปบ้านอาจจะได้รางวัลใหญ่จากคนข้างตัวมึงก็ได้ ในฐานะที่มึงหลุดบ่อยมาก
วันนี้!


“อะไร! แฟนใคร!?” อิพิงค์ถลึงตาต้อนไอ้ออย ส่วนเพื่อนผมเหรอครับมันกัดปากฉับเลยเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเกือบหลุดพูดอะไรออกมา


“ไม่ใช่แฟนมึงก็แล้วกัน!!” ไอ้ออยแถกลับอย่างไม่ยอม อิพิงค์เบ๋ปาก


“พอๆ เลยพวกมึงกัดกันเหมือนหมา” ไอ้นัทเอ่ยขัดเป็นการปราม พร้อมปรายตามองไปยังตัวก่อเหตุทั้งสอง


“กูไม่ใช่หมา!” พวกมันสองคนหันมาประสานเสียง ทีอย่างนี้ล่ะปรองดองกันขึ้นมาเชียวนะพวกมึง


สวบ...


ผมเลิกคิ้ว เมื่ออยู่ๆ ไอ้ออยก็แอบสอดอะไรบางอย่างเข้ามาในกระเป๋ากางเกงผม ผมเตรียมจะหันไปถามแต่ก็ต้องเก็บคำไว้เมื่อเจอสายตาปรามๆ จากไอ้ปริ้น ก่อนที่ไอ้ออยจะหันไปคุยกับไบร์ทยิ้มๆ เหมือนเหตุการณ์ทะเลาะกันคอแตกกับอิพิงค์เมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น


“เรียนเป็นไงบ้างไบร์ท ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะไปหาเลยแหะ” ไอ้ออยพูดยิ้มๆ ผมละสายตาจากมันแล้วค่อยๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะสัมผัสได้ถึงกระดาษแผ่นเล็กที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง


เปิดอ่านที่นี่คงไม่ได้สินะ


ผมแอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปหาไอ้ปริ้น มันส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผม เจิดจรัสมากเพื่อนกู


“ทักทายกันได้ดุเดือดมาก ฮ่าๆ สบายดีพี่ออย แต่ช่วงนี้ยุ่งๆ กับเรื่องเรียนนิดหน่อย นี่ก็เพิ่งไปสอบตรงมาแค่รอผลน่ะ” ไบร์ทแซ็วขำๆ เมื่อก่อนนี้ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นก็เคยไปค้างที่บ้านผมบ่อยๆ นะครับในช่วงที่มีรายงานด่วนๆ หรือไม่ก็เป็นผมที่ไปค้างกับพวกมันแทนจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


“ใครอยากจะทักทายกับคนปากแบบมัน ดีแล้วๆ จะเรียนหมอใช่มั้ย ขอให้ติดจะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาไม่เหมือนกับไอ้เพื่อนไม่เอาไหนของพี่ เรียนก็ไม่ค่อยจะสนใจแถมยังขี้เกียจอีกจะรอดปีหนึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้…” ไอ้ออยตอบกลับ ผมหันขวับไปมองมันเคืองๆ ไอ้เพื่อนเวรกัดกูทำไม


“ไม่ต้องโยนขี้มาให้กู” ผมโวย


“เอ้า กูแค่ให้กำลังใจน้องมึงอย่าเพิ่งขัดสิวะ” ไอ้ออยแก้คำให้แล้วหัวเราะ


“ห่า ไม่ต้องลากกูเข้าไปเกี่ยวเลย” ผมขมวดคิ้วบ่น ไอ้พวกในโต๊ะก็หัวเราะกันใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่พี่ไม้ที่กำลังกลั้นยิ้มสุดกำลัง อย่าให้ไอ้บีทส์เรียนเก่งขึ้นมาบ้างนะเว้ย


“กูพูดเรื่องจริงทำเป็นรับไม่ได้” ไอ้ออยแขวะต่อ


“ชิส์ กูไปห้องน้ำดีกว่าพี่ไม้ไปห้องน้ำกัน” ผมยู่ปากใส่งอนๆ แล้วแกล้งลุกหนีพร้อมกับหนีบเอาองครักษ์ประจำตัวไปด้วยไม่ให้เป็นที่สงสัยหรือมีคนตามไปเป็นขบวน พี่ไม้พยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วลุกตาม


“พี่รอข้างนอกนะ” พี่ไม้เอ่ยบอกหลังจากที่เราเดินมาถึงห้องน้ำใต้ตึกคณะของผม ผมหันไปพยักหน้ารับ


ผมรีบเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วสอดสายตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครจึงล้วงเอากระดาษแผ่นเล็กที่ไอ้ออยสอดเข้ามาในกระเป๋าออกมาเปิดดู ก่อนที่จะขมวดคิ้วมุ่น อะไรของมัน


“...”


กระดาษเปล่าเนี่ยนะ!? โอ๊ย กูก็ลุ้นแทบตายนึกว่าไอ้ออยจะมาส่งข่าวแทนใครบางคนที่ผมคิดถึง ไอ้เพื่อนเวร มาทำให้กูตื่นเต้นฟรีทำไม


“จิ๊ ไม่น่าเสียเวลาเดินเข้ามาอ่านเลยเว้ย” ผมทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะรีบปรับสีหน้าแกล้งก้มล้างมือกับอ่างน้ำเมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูห้องน้ำ


ไอ้ออยนะไอ้ออย กลับไปจะเฉ่งให้เสียหมาเลยคอยดู๊ ทำเป็นมีลับลมคมในไอ้เราก็คิดไกลไปนู้นนนนนน


หมับ!


“เฮ้ย!!” ผมใจหายวาบเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้กอดผมจากทางด้านหลัง ก่อนจะสติแตกเข้าไปอีกเมื่อเห็นหน้าไอ้คนที่กอดผมอยู่จากกระจกตรงหน้า


“พี่ซัน”


ผมครางเรียกชื่อพี่มันในลำคอ ร่างสูงกว่ากระชับมือที่กอดเอวผมไว้แน่นขึ้น ผมแอบกลืนน้ำลายลงคอ ถ้ามีใครสักคนเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วเห็นผู้ชายสองคนยืนกอดกันกลมนี่คงไม่ใช่เรื่องดีนะครับ


“คิดถึง”


“...”


สายตาเราทั้งคู่สอดประสานกันในกระจก พี่ซันเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน หนวดเคราเริ่มขึ้น คงไม่ดูแลตัวเองอีกตามเคย ไม่รู้ทำไมแค่เห็นหน้าพี่ซันผมก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าความคิดถึงมันมีมากแค่ไหน คิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนกอดผมอยู่ตรงนี้


ผมเม้มปากแน่น มือหนาของพี่ซันคลายออกจากเอวผมเปลี่ยนมากำข้อมือผมกุมไว้หลวมๆ แล้วลากเข้าไปในห้องน้ำด้านในสุด


“พี่มาได้ไง...ไม่กลัวคนอื่นเห็นเหรอครับ” ผมถาม


“กูรออยู่ในนี้นานแล้ว จะเข้าถึงตัวมึงได้มันไม่ง่ายเลย คนรอบข้างมึงตามติดมึงแจ กูแค่อยากเห็นกับตาว่ามึงยังสบายดี...แค่อยากมาดูให้แน่ใจ” พี่ซันตอบ พร้อมกับยกมือขึ้นมาวางแนบกับแก้มของผมแล้วลูบเบาๆ


“แผนของพี่สินะ ผมสบายดี แต่พี่นั่นแหละทำไมถึงโทรมแบบนี้ ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง” ผมพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง พี่ซันยิ้มรับแล้วเลื่อนมือขึ้นไปยีหัวผม


“แค่เห็นหน้ามึงกูก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” พี่ซันตอบ


ผมหลุดยิ้มกับคำตอบของพี่มัน


“ผมนึกว่าพี่จะถอดใจไปแล้วซะอีก”


“กูไม่ยักรู้ว่ารอบๆ ตัวมึงมีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังเยอะขนาดนี้” พี่ซันไม่ตอบแต่เบี่ยงไปอีกประเด็นแทน


“เอ้า ก็ผมเป็นผู้ชาย”


“ช่างเถอะ มึงสบายดีก็ดีแล้ว กูแค่มาขอกำลังใจ” ผมเลิกคิ้วก่อนจะหลุดขำเมื่อพี่ซันเอียงแก้มโน้มลงมาให้ผม


จุ๊บ


ผมยื่นหน้าไปกดจูบที่แก้มสากเบาๆ “พอใจยัง”


พี่ซันยักไหล่


ฟอด~


ก่อนจะยื่นหน้ามากดจูบที่แก้มซ้ายผมหนักๆ


“ออกไปได้แล้ว ไม่อยากให้มึงทะเลาะกับน้อง” พี่ซันบอกผมยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือไปหมุนลูกบิดประตูแล้วเปิดให้ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจไม่รู้ว่าเมื่อไหร่น้องผมจะยอมใจอ่อน แล้วผมก็เข้าใจว่าที่น้องทำไปก็เพราะรักผม


ผมชะงักเท้าของตัวเองไว้ก่อนจะก้าวพ้นประตูแล้วหันกลับมาถามอีกคนด้วยความไม่มั่นใจ


“ผมจะได้เจอพี่อีกมั้ย”


พี่ซันส่งยิ้มอบอุ่นแล้วพยักหน้ารับ


“แน่นอน”


+++++++++++++++++++++++


“ไอ้พี่ซันบ้า ไอ้พี่ซันเฮงซวย ไหนบอกว่าจะได้เจอกันอีกไง ผ่านมาเป็นอาทิตย์ยังไม่โผล่หัวมาเลย ไอ้คนหลอกลวง!” ได้แต่นั่งหงุดหงิดกับตัวเองอยู่ในห้องนอนคนเดียวก่อนจะคว่ำหน้าฟุบลงกับหมอนใบใหญ่ตามเดิม


ตั้งแต่ที่เจอกับพี่ซันคราวก่อนผมยังไม่ได้เจอกับพี่มันอีกเลยครับ ได้แต่นั่งสอดส่องมองหาร่างสูงของใครบางคนก็ไม่เจอแม้แต่เงา คิดถึงก็คิดถึงพอไปบ่นกับไบร์ท ไอ้น้องตัวดีก็ได้แต่ยิ้มด้วยความสุขพร้อมกับบอกผมว่า ‘ก็ดีแล้วนี่’


มันดีตรงไหนวะ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“พี่บีทส์แม่ให้มาเรียกไปกินข้าว” เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องตามมาด้วยเสียงไอ้น้องตัวดี ผมค่อยๆ ไถลตัวเองลงจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู


“อื้อ”


“ดูทำหน้าดิ อาบน้ำหรือยังเนี่ย” ไบร์ทถามผมขำๆ ระหว่างที่ยืนรอผมอยู่ที่หน้าห้อง ผมทำหน้างอกระเง้ากระงอด


“ได้ข่าวพี่ซันบ้างมั้ย” ผมถามแล้วทำปากยื่น ไบร์ทเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ


“ก็พอมีบ้าง เห็นไอ้หมอบอกว่าทางนั้นทะเลาะกับที่บ้านใหญ่โต มีเรื่องวุ่นๆ นิดหน่อยแต่เดี๋ยวก็คงโอเคมั้ง” ไบร์ทตอบ ผมขมวดคิ้วในใจเริ่มเป็นห่วงพี่ซัน


“เป็นห่วงเขาเหรอ” ไบร์ทชะโงกหน้าเข้ามาใกล้


“ก็...นิดหน่อย” ผมตอบเสียงอ่อย


“รักแท้มันก็ต้องมีอุปสรรคกันบ้างสิพี่บีทส์ แล้วไบร์ทก็ไม่อยากให้บีทส์จะต้องเป็นฝ่ายยอมอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นไบร์ทเชียร์ฝั่งพี่ตี๋ยังจะดีกว่า พี่บีทส์ก็รู้ว่าถึงแม้โลกจะเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะรับมันได้เหมือนกับแม่ของเรา” ผมคิดตาม ในใจรู้สึกหนักอึ้ง เพื่อผมพี่ซันต้องลำบากอะไรบ้าง ว่าแต่...เมื่อกี้อะไรตี๋ๆ นะครับ


“เชื่อไบร์ทดิ อย่าใจร้อน ปล่อยให้เวลามันเดินทางของมัน”


“เป็นอย่างนี้ มันดีแล้วใช่มั้ย” ผมก้มมองมือตัวเอง


“เรื่องของความรู้สึกอ่ะมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะพี่บีทส์ อีกอย่างนะพี่บีทส์ก็ไม่ได้ผิดฝ่ายเดียวด้วย ไอ้พี่นั่นต่างหากที่ทำอะไรไม่คิดให้ดี ฉกฉวยโอกาสจากความรู้สึกของพี่บีทส์” น้องบอก ผมเม้มปากจะโทษให้เป็นความผิดของพี่ซันทั้งหมดก็ไม่ถูก ผมเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้พี่มันต้องมีปัญหากับคนที่บ้านแถมยังต้องมีปัญหากับพี่ฟ้าอีก บางทีผมอาจจะเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่มันจริงๆ


“ไบร์ทจะยอมให้พี่เจอกับพี่ซันเมื่อไหร่ ปล่อยให้พี่มันเจอปัญหาอยู่คนเดียวแบบนี้มันจะดีเหรอ พี่รู้สึกไม่ดีเลย”


“ถามเหมือนไอ้หมอเปี๊ยบ” ไบร์ทย่นจมูก


“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่อาร์ตแบบนั้นสักที” ผมแซ็ว ไบร์ทเบ๋ปากเมื่อถูกถามถึงพี่อาร์ตผมยิ้มอย่างเอ็นดู กว่าจะลงตัวได้ก็ทำเอาพี่อาร์ตเกือบแย่ไปเลยเหมือนกันครับก็ไบร์ทน่ะเคยยอมใครซะที่ไหน


“ทำไมอ่ะเรียกแบบนี้แหละดีแล้ว พี่บีทส์ล่ะพร้อมจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคความรักของพี่บีทส์รึยัง” น้องตอบขำๆ แล้วถามกลับพร้อมกับทำท่ากำมือดึงเข้าหาตัวเอง ผมสูดลมหายใจ


ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมละวะ


“ไบร์ทไม่ได้ใจอ่อนหรอกนะแต่มีคนบางคนเขาบอกว่าอยากขอโอกาสให้เพื่อนเขาสักครั้ง ครั้งนี้ไบร์ทจะยอมหลีกให้ก็ได้เห็นแก่พี่บีทส์หรอก ไม่อยากเห็นพี่บีทส์ทำหน้าเศร้าแล้ว” ไบร์ทยิ้มให้ผม


“สงสัยพี่ต้องไปขอบคุณคนๆ นั้นของไบร์ทหน่อยแล้วล่ะ” ผมแซ็วอย่างสื่อความหมาย ไบร์ทหลุดขำแล้วเฉไฉมองไปทางอื่น


“คุยอะไรกันอยู่จ้ะ ทำไมไม่ลงไปข้างล่าง” ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงของคุณนายดังแทรกเข้ามาก่อน ผมกับไบร์ทหันไปยิ้มก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปกอดคุณนายอ้อนๆ ไบร์ทเดินเข้ามากอดด้านหลังผมอีกชั้นคุณนายหัวเราะ


“อะไรกัน อยู่ดีๆ ก็เข้ามากอดแม่ มีอะไรหรือเปล่าบอกแม่ได้นะ” คุณนายเลิกคิ้วแปลกใจ ผมส่ายหัวแล้วหัวเราะ


“แค่อยากเติมพลังนิดหน่อยครับคุณนาย” ผมฉีกยิ้มแฉ่งแล้วฉวยหอมแก้มที่ยังเต่งตึงไม่หย่อนยานไปตามวัยเหมือนคนทั่วไปที่อายุรุ่นราวเดียวกัน แม่ยื่นมือมาเคาะหน้าผากผมเบาๆ


“ไปทานข้าวกันได้แล้ว แม่ให้มาตามพี่บีทส์เขาตั้งนาน เห็นไม่ยอมลงไปสักทีเลยขึ้นมาตาม” คุณนายหันไปดุไบร์ทน้อยๆ เจ้าตัวฉีกยิ้มแฉ่งอย่างเอาใจก่อนจะเนียนเข้าไปกอดเอวคุณนายอ้อนๆ


“ช่วงนี้คุณนายไม่ได้ออกไปติดต่องานกับลูกค้าแล้วเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัยขณะที่กำลังตักกุ้งตัวโตเข้าปาก ไบร์ทหันมาพยักหน้าสมทบกับคำพูดผมก่อนจะหันไปหาคุณนายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม


เพราะปกติแม่ผมไม่ค่อยจะอยู่ติดบ้านหรอกครับ ต้องออกไปพบลูกค้าหรือไม่ก็นั่งออกแบบนู่นนี่ตามคำสั่งของลูกค้า บางทีก็ต้องไปสำรวจสถานที่จริงกับที่ทำงานเก่าบ้างแล้วแต่กรณีเพราะแม่ผมจะรับงานเป็นจ๊อบๆ ไม่ได้ทำประจำ


มีแค่ช่วงหลังๆ นี้ที่ผมเห็นคุณนายมีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากการขีดๆ เขียนๆ แบบแปลนเหมือนแต่ก่อน


“งานที่มีตอนนี้แม่ส่งงานให้ลูกค้าเขาไปหมดแล้วจ้ะ พอมีคนมาช่วยคิดช่วยออกความเห็นงานก็เลยเดินไว” คุณนายหันมาตอบยิ้มๆ แล้วตักผักใส่จานให้ผม ผมยู่ปาก ผักเต็มจานเลยโว้ย


“พี่ไม้เหรอ” ไบร์ทถามทั้งที่ข้าวเต็มปาก คุณนายส่ายหัวยิ้มๆ


“ผู้ช่วยของแม่เขาขอไว้ไม่ให้แม่บอกใคร แต่เป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลยนะแม่ว่า หน้าตาก็หล่อเหลาเข้าขั้น ถ้าเจอกันสมัยแม่สาวๆ คงกรี๊ดเขาน่าดู แรกๆ แม่ก็ไม่คิดว่าจะช่วยงานแม่ได้นะ แต่พอให้ลองออกแบบกลับทำได้ดีทีเดียว” คุณนายพูดยิ้มๆ ผมขมวดคิ้วทำไมต้องทำมีลับลมคมในด้วยล่ะ โว๊ะ หรือจะเป็นพวกอินดี้อยากแสดงความสามารถของตัวเองเพื่อเอาไปต่อยอดทางธุรกิจ


“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะพี่บีทส์”


“ห๊ะ” ผมเลิกคิ้ว “เปล่า...แค่สงสัยน่ะ”


“ไว้แม่จะแนะนำให้รู้จักนะ เอ๊ แต่ว่าเขาเป็น...”


ครืด...ครืด…

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาของไบร์ทหยุดสนทนาไว้แค่นั้น เจ้าตัวเสียดายแต่ก็ต้องหยิบมือถือคู่ใจขึ้นมากดรับ


“ว่า” ไบร์ทกดรับ เจ้าตัวทำหน้าหงุดหงิดอย่างขัดใจ ก่อนจะลุกออกไปคุยข้างนอก คุณนายมองตามน้องยิ้มๆ


“มีความรักแล้วสินะน้องเรา” ผมอมยิ้มให้กับคำพูดของคุณนาย ถ้าตัดเรื่องนิสัยความเจ้าชู้ของพี่อาร์ตออกไป สำหรับผมพี่มันก็เป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเลย


“แล้วบีทส์ล่ะลูกกับคนๆ นั้นเป็นยังไงบ้าง” แม่หันมาถามผมต่อ ผมชะงักช้อนที่กำลังจะตักแกงค้างกลางอากาศก่อนจะหันไปมองหน้าคุณนายแล้วหัวเราะแห้งๆ


“ก็...เหมือนจะดีมั้งครับ” ผมตอบแล้วตักข้าวเข้าปากช้าๆ


“อะไรกันลูกคนนี้มีแฟนก็ไม่คิดจะพามาแนะนำให้แม่รู้จักบ้างเลยทั้งพี่ทั้งน้อง” แม่พูดขำๆ ผมยิ้มแหยถ้าพามาจริงๆ คุณนายจะว่ายังไงบ้างนะ แต่อย่างพี่ซันจะยอมมาเจอแม่ผมเหรอ


ไม่มั้ง...



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 26 : เราจะได้เจอกันอีกไหม
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 13-08-2018 13:45:00
………


เป็นห่วงพี่ซันอ่ะ. ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคให้ได้นะ น้องบีทส์รออยู่

อยากให้มีโมเม้นท์ที่บีทส์เห็นความพยายามของพี่ซัน


……

 :katai4:  :katai4:  :katai4:   :katai4: :katai4:  :katai4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 26 : เราจะได้เจอกันอีกไหม
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 13-08-2018 18:37:59
ความรักย่อมมีอุปสรรคเสมอ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 26 : เราจะได้เจอกันอีกไหม
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-08-2018 18:55:57
สู้ตาย ซัน.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 26 : เราจะได้เจอกันอีกไหม
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 15-08-2018 08:45:05
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 27 : Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 15-08-2018 18:21:41
ตอนที่ 27 ::  Begin Again


[ซัน]


“ออกไปไหนได้ทุกวัน” ขาที่กำลังก้าวออกจากบ้านชะงัก ผมถอนหายใจก่อนจะหันไปสบตากับคนถาม


“ไม่ยักรู้ว่าพ่อสนใจเรื่องของผมด้วย” ถามกลับพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงกวนๆ พ่อหรี่ตามองผมแล้วขบกรามเมื่อเห็นปฏิกิริยาอวดดีของผม ก่อนที่คนสูงวัยกว่าจะวางหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ


“ฉันถามดีๆ”


ผมยักไหล่


“ถ้าพ่อไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ พอดีมีธุระ” พูดอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหันหลังกลับ


“เรื่องหนูฟ้า”


พ่อเกริ่นมาลอยๆ ผมชะงักแล้วหยุดรอฟัง


“ถ้าแกตัดสินใจแล้วฉันก็จะไม่ว่าอะไร แต่แกต้องพาแฟนของแกมาให้ฉันดูตัวก่อน” พ่อพูดต่อ ผมลอบยิ้มหันกลับมาเผชิญหน้ากับพ่ออีกครั้ง


“ถ้าหน้าตาและชาติตระกูลดีพอๆ กับเรา” ผมขมวดคิ้วเครียดเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “ฉันก็จะไม่ขัดขวางถ้าแกจะคบหากัน”


จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อ…


“ฉันมาคิดๆ ดูแล้วที่ตาเจพูดก็ถูก เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้” ผมแสยะยิ้ม หึ ก็ว่าแล้วอย่างพ่อจะสนใจเรื่องผมได้ยังไงถ้าไม่มีไอ้บ่างช่างยุมันคอยเป่าหู


"เรื่องของผม ผมจัดการเองได้ ไม่รบกวนพ่อให้เสียเวลากับเรื่องของผมหรอกครับ" ผมตอบ พูดกันท่าไว้กลายๆ


"จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ยังไงในเมื่อแกเป็นลูกฉัน!" นายใหญ่ของบ้านตวาดเสียงดัง ผมยิ้มยียวน ลูกที่เกิดมาโดยไม่เคยได้รับความรักจากคนที่เรียกว่าพ่อหรือแม่ ลูกที่เป็นแค่คำเรียกหาของผู้ให้กำเนิดอย่างพ่อล่ะสิไม่ว่า


“พ่อจะมาคาดหวังอะไรกับลูกนอกคอกอย่างผม ทรัพย์สมบัติของพ่อทำไมไม่ยกให้กับไอ้ลูกชายคนโปรดนั่นให้หมดไปเลยล่ะครับ”


“ไอ้ซัน!”


“ผมว่าเราพูดกันรู้เรื่องตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วนะครับ ชีวิตผม ผมขอเลือกเอง อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังเรียนไม่จบพ่ออย่าลืมว่าเรายังอยู่ในข้อตกลง” ผมทำเสียงจริงจัง “เรื่องที่บริษัทผมก็เข้าไปดูงานตามตารางที่เลขาพ่อยัดเยียดมาให้แล้ว หวังว่าพ่อเองก็จะเคารพกติกา” ผมพูดต่อแล้วหันหลังกลับก่อนจะชะงักขาเมื่อหันมาเจอกับแม่ทื่ยืนฟังอยู่ แม่ฝืนยิ้มให้ผม ผมแกล้งมองเลยผ่านเดินเลี่ยงออกมา ได้ยินเสียงพ่อเรียกชื่อตัวเองดังลั่นตามหลัง


“คุณซันคะ”


เสียงเรียกดังมาจากอีกทาง เป็นเสียงที่ผมคุ้นหูมาตั้งแต่เด็กเรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง


"ทะเลาะกับคุณท่านแบบนี้จะดีเหรอคะ" นมถามต่อด้วยสีหน้าหนักใจ


"ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอนม อย่าสนใจเลยครับ" ผมตอบแล้วยักไหล่


“แล้วนี่จะไปไหนแต่เช้าคะ นมเห็นช่วงนี้ออกจากบ้านแต่เช้าหน้าตายิ้มแย้มผิดปกติ” คนตรงหน้ารีบเปลี่ยนเรื่องแล้วเอ่ยแซ็วผมยิ้มๆ


ผมกระแอมหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยตอบ “ไปธุระปกตินั่นแหละครับ”


นมพยักหน้ารับคำพูดผมยิ้มๆ เหมือนรู้ทัน


ครืด...ครืด…


“เออว่าไง” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับ โดยมีนมยืนอยู่ข้างๆ ไม่ขยับไปไหน


“วันนี้เหรอวะเออๆ แล้วเจอกัน” ผมเลิกคิ้วก่อนจะตอบรับ เมื่อไอ้อาร์ตโทรมาชวนไปเจอกันที่ร้านประจำ ไอ้สองกับไอ้น๊อตก็จะมาด้วย


“นมมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่า” ผมหันไปถามนมหลังจากวางสายจากไอ้อาร์ต


“นมแค่จะมาบอกคุณซันว่าช่วงนี้คุณฟ้าเธอมาหาคุณท่านบ่อยๆ นมไม่แน่ใจว่ามาติดต่อเรื่องอะไรนะคะ นมแค่ไม่สบายใจคิดว่าบอกคุณซันไว้ก่อนดีกว่าเผื่อว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ” ผมขมวดคิ้ว


“ขอบคุณครับนม เอาไว้ผมจะถามน้องฟ้าเอง” นมพยักหน้ารับแล้วขอตัวออกไป


หลายอาทิตย์มานี้ผมแทบจะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลยจนพวกไอ้สองมันบ่น อยากตบปากตัวเองที่ไปสัญญากับไอ้ตัวแสบน้องของบีทส์ไว้ว่าจะไม่โผล่หน้าไปให้บีทส์เห็นอีกหลังจากโดนจับได้ว่าผมแอบไปหาพี่มัน ไม่งั้นก็อย่าหวังว่ามันจะยอมให้โอกาสอีก


ตกปากรับคำไปด้วยความเจ็บใจโดยมีไอ้อาร์ตยืนรออยู่ไกลๆ ไม่กล้าสบตากับผม แถมมันยังมีหน้ามาบอกอีกว่าให้ทำตามที่แฟนมันบอกน่ะดีแล้ว ตกลงมึงจะไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของกูแล้วใช่ไหมไอ้สัส!


จนกระทั่งหลังๆ มานี้…


นึกถึงเรื่องนั้นทีไรก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง ต้องขอบคุณความฉลาดของไอ้น้องรหัสของผม ไม่คิดว่ามันจะคิดแผนนี้ขึ้นมาได้ ปกติเห็นลอยไปลอยมากับเพื่อนผมเป็นเงาตามตัวไปวันๆ


ผมขับรถวนหาที่จอดหน้าสถานเริงรมย์ชื่อดังย่านรัชดาที่ผมกับเพื่อนมักมานั่งดื่มกันบ่อยๆ พร้อมกับกดโทรศัพท์หาไอ้อาร์ต


“อยู่ไหนกันวะ”


“อยู่ข้างในแล้ว มึงเข้ามาเลยโต๊ะเดิม” เสียงไอ้อาร์ตตอบกลับมาเสียงดังเพื่อให้กลบเสียงเพลงด้านในที่ดังเข้ามาในสาย ผมตอบรับก่อนจะวนรถไปจอดแล้วเดินเข้าไปด้านใน


“ซันทางนี้!!” เสียงไอ้สองเรียก ก่อนที่ไอ้น๊อตจะลุกขึ้นโบกมือให้ผม ผมส่ายหัวยิ้มๆ กับอาการของน้องรหัส บ้าจี้จริงๆ มัน


“พี่สวัสดีค๊าบ” ไอ้น๊อตลุกขึ้นยกมือไหว้ผมทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้สอง ผมเหล่มองไอ้สอง นี่มึงมอมเหล้ามันรึเปล่าวะ


“ไอ้อาร์ตล่ะ” ผมถามหาไอ้อาร์ต


“ออกไปคุยโทรศัพท์เดี๋ยวเข้ามา” ไอ้สองตอบ พลางยื่นแก้วเหล้าให้ผม


“มีอะไรวะอยู่ดีๆ เรียกกูออกมา” ผมถามก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบ แล้วมองบรรยากาศรอบๆ ผู้คนมากหน้าหลายตายืนโยกไปตามจังหวะเพลง บางคนก็ยืนเบียดเสียดกันจนแทบจะสิงร่าง มีตั้งแต่วัยสาวน้อยไปจนถึงสาวใหญ่ที่นิยมใส่เสื้อตัวจิ๋วกับกระโปรงสั้นรัดรูปมาเที่ยวสถานที่เริงรมย์


“เห็นมันบอกว่ามีข่าวดี” ไอ้สองยักไหล่ตอบ ก่อนจะยื่นแก้วเหล้าให้ไอ้น๊อตยิ้มๆ ดูจากสายตามันคงกำลังสนุกที่ได้แกล้งน้องรหัสผม ไอ้สัสแก้วนั้นเหล้าเพียวๆ เลยนะ


“ปวดฉี่ว่ะพี่” เสียงไอ้น๊อตบอกเสียงยาน ไอ้สองขำท้องแข็ง ก่อนจะลุกขึ้นช่วยพยุงไอ้น๊อตไปเข้าห้องน้ำ ผมมองตามน้องรหัสตัวเองที่เดินเซไปมาโดยมีไอ้สองช่วยพยุงอย่างทะลักทุเลทั้งขาไปและขากลับ


“อ้าวซัน” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเจอกับร่างเล็กที่วันนี้แต่งตัวเซ็กซี่แปลกตา ผมยิ้มเมื่อแนนเดินตรงมาหาผมพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคน


“มาเที่ยวเหรอแนน” ผมถาม ร่างเล็กทิ้งตัวลงนั่งข้างผมแล้วยิ้มพยักหน้ารับ ไอ้สองเลยขยับไปนั่งติดกับไอ้น๊อตแทนเพื่อขยับที่ให้


ยังจำแนนกันได้ไหมครับ สาวสวยที่อยู่คณะเดียวกับผม คนที่บีทส์เคยเดินชนเมื่องานกีฬาสีมหาวิทยาลัยจนเกือบจะมีเรื่องมีราว แล้วผมต้องเข้าไปช่วยกันแนนออกมาไง ลำพังตัวแนนน่ะผมไม่ห่วงไม่เท่าไหร่หรอกแต่ผู้พิทักษ์แนนน่ะสิครับ มีแต่มือตบทั้งนั้นไม่รู้ไปคบกันได้ยังไง


“ขอแนนกับเพื่อนนั่งด้วยได้มั้ย” แนนหันมาถามผมแล้วยิ้มหวาน ผมเห็นว่าที่นั่งของเรายังว่างเลยพยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต


แนนยิ้มรับแล้วหันไปบอกเพื่อนให้หาที่นั่ง


กึก…


สายตาผมสะดุดเข้ากับร่างบางของใครบางคน ผมลุกขึ้นยืนในทันที ถ้าใช่มันจริงๆ ล่ะก็…


หมับ


ผมหันกลับไปหาเจ้าของมือที่คว้าแขนผมเอาไว้ ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แนนยิ้มเขินๆ ยอมปล่อยแขนผม


ขาที่กำลังจะก้าวออกไปต้องหยุดชะงักอีกรอบ เมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตากลมโตที่จ้องมองผมเขม็ง ข้างๆ มันมีร่างสูงของรุ่นพี่คนสนิทที่ผมไม่ค่อยอยากให้มันเข้าใกล้ก็คือไอ้สถาปนิกนั่น


คนตัวเล็กมองค้อนให้ผมวงใหญ่ก่อนจะหันหนีเดินเลี่ยงไปอีกทาง โดยมีร่างสูงเดินตามไปติดๆ ก่อนเอามือวางพาดที่เอวคอดของน้อง ผมกัดกรามข่มอารมณ์หงุดหงิดมาเห็นได้ถูกจังหวะจริงๆ


“บีทส์!” ผมตะโกนเรียก แล้ววิ่งตามคนสองคนไปโดยไม่ได้สนใจเสียงเรียกที่ดังมาตามหลัง คิดถึงแทบตายอย่ามาเดินหนีกันแบบนี้สิวะ


ผมวิ่งตามไปคว้าเอาข้อมือเล็กนั่นไว้ บีทส์สะบัดข้อมือหนีแล้วหันมามองผมเขม็งด้วยท่าทางเอาเรื่อง


"อื้อ..." ก่อนที่จะพูดอะไรกัน ผมยื่นมือสองข้างไปคว้าเอาต้นคอขาวไว้ ดึงรั้งมากดจูบที่ปากเล็กหนักๆ อาศัยว่าด้านในผับมีเพียงแสงไฟสลัวผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจว่าใครจะทำอะไร ทำให้ผมกล้าที่จะดึงไอ้คนตัวเล็กกว่ามาจูบอย่างไม่แคร์ใคร


ปึ่กๆ


เสียงข้อมือเล็กทุบเข้ากับหน้าอกผม ทำให้ต้องถอยออกมาอย่างเสียดาย


"ทำบ้าอะไรของพี่!"


บีทส์ตะโกนถามสุดเสียง ข้อมือเล็กถูกยกขึ้นมาเช็ดที่ปากแดงของตัวเอง ตาโตถลึงมองผมด้วยความโมโห ร่างสูงกว่า(มาก)ที่อยู่ข้างๆ มันก็ขยับเข้ามายืนขวางผมไว้แล้วปรามผมด้วยสายตา


"คิดถึง"


ผมตอบหน้าตาย เนื้อในอกมันสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้สัมผัสกับคนตัวขาวเมื่อกี้ ไอ้ซันมึงอย่าทำเหมือนกับไม่เคยได้ไหมวะสงบสติอารมณ์หน่อยไอ้เหี้ย


"คิดถึงแล้วมาจูบผมเพื่อ!?" บีทส์ยังถามกลับด้วยสายตาเคืองๆ พร้อมกับขยับไปเกาะแขนพี่คนสนิทที่มันเคยบอกผม
มึงจะชิดเกินไปละ


"คิดถึงมึงก็ต้องจูบมึงสิวะ" ผมตอบ


คนถามกัดปากฉับ


"ไอ้คนหน้าด้าน!"


ผมยักไหล่ อยากด่าอะไรก็ด่าไปก็กูจะจูบซะอย่าง


"จะทำอะไรก็คิดให้มากหน่อย ถ้าใครมาเห็นเข้าน้องจะเสียหาย" เสียงปรามดังขึ้นนิ่งๆ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าไอ้คนที่ยืนเงียบมานาน ยืนเงียบไปก็ไม่มีใครว่าอะไรมึงหรอก คอยเป็นเงาตามติดเมียกูไม่ห่างกูยังไม่ได้คิดบัญชีเลย ว่าแต่…


"น้องมึงยอมปล่อยให้มาที่แบบนี้ได้ไง" ผมหันไปถามบีทส์ ปกติน้องมันเคยปล่อยให้ห่างตัวได้ที่ไหนยิ่งมาสถานที่แบบนี้ หรือว่าที่มันเคยบอกว่าไอ้สถาปนิกนี่จีบพี่มันจะเป็นเรื่องจริงวะ ถึงได้ยอมปล่อยให้มาด้วยกัน


"สนใจทำไม กลับไปหาคนของพี่นู่น!" ปากเล็กประชดประชัน


ผมมองหน้ามันดุๆ ด้วยความไม่ชอบใจ มันน่าปิดด้วยปากจริงๆ ปากแดงๆ นั่นน่ะ


"กูก็มาหาอยู่นี่ไง"


ผมตอบก่อนจะเริ่มสังเกตได้ว่าพวกเรากำลังกายเป็นจุดสนใจจากกลุ่มคนรอบข้างเลยจะขยับไปคว้าแขนของบีทส์พาไปคุยยังห้องที่มิดชิดกว่านี้ แต่กลับมีร่างสูงของใครบางคนขยับมาขวางไว้


"ถอยให้ห่างจากเมียกู" ผมพูดขู่เสียงรอดไรฟัน แต่คู่สนทนากลับไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนที่ออกไปตามคำขู่


"คิดจะทำอะไร" มันถามเสียงนิ่ง


"เรื่องของผัวเมีย ‘คนอื่น’ อย่าเสือก" ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่มีความสูงไล่เลี่ยกับผมแล้วกระซิบตอบเสียงเน้น


ผลั่วะ!


"พี่ซัน!" แวบแรกได้ยินแต่เสียงเรียกของบีทส์ พร้อมกับร่างเล็กที่วิ่งมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงแตกตื่นเมื่อสังเกตได้ว่ามีเรื่องชกต่อยกันเกิดขึ้นพร้อมกับตีวงรอบเป็นวงกลมมองดูพวกเราสามคน


"หัดรู้จักใช้สติยับยั้งอารมณ์ซะบ้าง แล้วก็หัดให้เกียรติคนที่คุณรักด้วย!" ไอ้เวรนั่นชี้หน้าผมแล้วพูดสั่งสอน


ผมฉุนขาดเดินหน้าจะเข้าไปเอาคืนไอ้คนที่ชอบยุ่งกับเมียชาวบ้านเขาแล้วยังมีหน้ามาสั่งสอนคนอื่นหน้าตาเฉย แต่กลับมีแขนเล็กสองข้างฉุดรั้งแขนผมเอาไว้แน่นแล้วร้องห้าม


"พี่ซันอย่านะ!"


"อ้าวเฮ้ยไอ้ซัน!" ไอ้อาร์ตวิ่งเข้ามาห้ามผมอีกคน


"ดีนะที่กูนึกเอะใจ ได้ยินว่ามีคนต่อยกันเลยรีบเดินมาดู ไอ้สัสเข้าไปหาห้องดีๆ คุยกันข้างในดีกว่า" ไอ้อาร์ตหันมากระซิบกับผมหน้ายุ่ง ก่อนจะหันไปชวนคู่กรณีของผมให้เดินตามมา


"สัสเอ้ย!" ผมเอามือแตะที่ขอบปากตัวเองแล้วร้องซี้ด หมัดหนักชะมัด ใครบางคนขยับมาเดินข้างๆ ผมแล้วยื่นมือมาแตะที่แขน


"เจ็บมากมั้ย" เจ้าตัวถามเสียงเบา ผมเหลือบมองคู่กรณีก่อนจะหันมาพยักหน้ารับกับน้อง


"พี่ไม้นะพี่ไม้" น้องทำหน้ามุ่ยแล้วบ่น ผมยิ้มรู้สึกหัวใจมันกระชุ่มกระชวย ก่อนจะเดินตามไอ้อาร์ตเข้าไปในห้องทำงานของใครสักคน


"กูยืมใช้ห้องชั่วคราว" ไอ้อาร์ตหันมาบอก ผมพยักหน้ารับ


ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณห้อง ไอ้อาร์ตได้แต่กรอกตาไปมาแล้วขยับเข้ามาใกล้ผม ในขณะที่บีทส์นั่งเอามือจับสายกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง


"มึงจะไปมีเรื่องกับพี่เมียทำไมวะไอ้โง่ เขาอุตส่าห์พาเมียมาส่งยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ" เสียงไอ้อาร์ตกระซิบเสียงรอดไรฟันแล้วยื่นเท้ามาเตะขาผม ผมมองมันด้วยหางตา พามาส่งบ้าไรวะ ก็เห็นอยู่ว่ามันพาเมียกูมาเที่ยวแล้วถ้ามันไม่คิดแค่พี่น้องกับเมียกูล่ะ มึงจะรับผิดชอบไหวไหม


พูดถึงเมียก็เพิ่งจะสังเกตการแต่งตัวของน้องในวันนี้


กางเกงขาเดฟ…


เสื้อยืดสีเทาแขนสามส่วน…


รองเท้าผ้าใบ…


ก็แต่งธรรมดาแต่ทำไมรู้สึกว่ามันน่าฟัดแปลกๆ หรือว่ากูหื่น


"เอ่อ พี่ไม้...ขอบีทส์คุยกับพี่ซันสองคนได้มั้ย" บีทส์เอ่ยทำลายความเงียบ ผมเลยถือโอกาสใช้ขาสะกิดไอ้อาร์ตเป็นเชิงไล่ด้วยเหมือนกัน


"ก็ได้ ถ้าสัญญากับพี่ว่าจะไม่ทำอะไรมากกว่าคุย" ได้ยินเสียงกลั้นขำของไอ้เพื่อนรักที่หันมาทำหน้าล้อ ผมทำหน้าเซ็งๆ


ไอ้สัส...แม่งดักทาง


"บ้าเหรอพี่ไม้!" บีทส์แหวหน้าแดง ก่อนจะหันมาตีหน้าดุใส่ผมที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ แมวน้อยช่างกล้าดุราชสีห์นะ


“แล้วนายล่ะ ฉันจะเชื่อใจนายได้หรือเปล่า” ไอ้หมอนั่นหันมาเลิกคิ้วถามคาดคั้นเอาคำตอบ และต้องเป็นคำตอบที่มันอยากฟังเท่านั้นด้วย ผมเอาลิ้นเดาะกระพุ้งแก้มกวนๆ จนไอ้อาร์ตเอาขาสะกิด


“กูมีศักดิ์ศรีพอ” ผมจ้องหน้าคนถาม อีกฝ่ายเพียงแค่ยักไหล่ให้ ไอ้อาร์ตถึงกับก้มหน้าขำแล้วพยักหน้าสมทบเป็นการช่วยยืนยัน


"งั้นพี่ไปรอข้างนอกนะ อย่านานนักล่ะ" คนแทนตัวเองว่าพี่ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นมือไปยีหัวทุยๆ นั่น เกรงใจเจ้าของเขาที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้บ้างสิวะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะเว้ย


"..."


ทั้งห้องเหลือผมกับน้องสองคน


"ไม่ต้องทำหน้าแบบนี้เลยนะครับ" คนหน้าหวานพูดเสียงงอน


"มากับมันได้ไง" ผมเปิดประเด็นเสียงแข็ง


"ผมอ่ะไม่แปลกที่จะมากับพี่ไม้ แต่พี่อ่ะเอาเวลาที่บอกให้ผมรอมาเที่ยวกับผู้หญิงได้อย่างสบายใจแบบนี้หมายความว่าไง ไอ้พี่เฮงซวย!" เจ้าตัวหันมาถามผมเสียงแข็งไม่แพ้กัน ก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วหันหน้าหนี ผมจิ๊ปากอย่ามายัดเยียดความผิดที่กูไม่ได้ก่อเชียวครับ


"บอกแล้วไงว่าไม่ได้มากับแนน เขามากับเพื่อนเขา กูก็มากับเพื่อนกู" ผมอธิบาย


"อ๋อ แล้วก็นัดมาเจอกันที่นี่ใช่มั้ยครับ" ปัดโธ่ ยังจะอุตส่าห์โยงไปได้ต่อ นี่ดูหนังเยอะเกินไปหรือเปล่าเมียกู ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองด้วยความคิดไม่ถึง


"กูมาเพราะไอ้อาร์ตมันบอกให้มา ไม่เชื่อมึงก็ลองถามมันดู เลิกหึงได้แล้วน่า" ผมพูดต่อก่อนจะขยับไปนั่งข้างๆ น้อง


“ไม่ได้หึง!” ปฏิเสธแล้วขยับหนีหน้ายุ่ง


"ทีมึงยังมากับคนอื่นที่ไม่ใช่กูได้เลย" ผมแกล้งทำไม่พอใจ พลางเหล่มองอีกคนเพื่อรอจังหวะ บีทส์ฟึดฟัดไม่พอใจทำท่าจะเถียง


"กะ...อึก"


จมูกเราสองคนชนกัน


"ก็อะไร" ผมเลิกคิ้วถาม ก่อนจะขยับไล่ต้อนอีกคน บีทส์ถอยหนีจนตอนนี้นอนราบกับโซฟาไปแบบไม่รู้ตัว เข้าทางผมพอดี


"ก็...บอกแล้วไงว่าพี่ไม้เป็นพี่" บีทส์บอกผมเสียงอ่อย พร้อมกับหันหน้าหลบเมื่อโดนผมจู่โจม


ว๊า พลาดเป้าไปหน่อยแต่ตรงนี้ก็นิ่มดี พอชดเชยกันได้


"งื้อ...อย่าแกล้งกันเซ่!" บีทส์พยายามดิ้นหนีแล้วโวยวายใส่ผมหน้ามุ่ย ผมหัวเราะก่อนจะยื่นมือไปยีหัวทุยๆ นั่น น้องยู่ปากใส่ผมแต่ไม่ได้ดิ้นหนี


“ไม่ได้แกล้ง” ผมแกล้งทำเสียงเข้ม


“อะไรเล่า” บีทส์บ่นพึมพำในลำคอพลางหดตัวหนีใบหน้าผม ที่ตามไปคลอเคลียลำคอเขาไม่ห่าง


“กูไม่ชอบเลยเวลาเห็นมึงไปไหนมาไหนกับคนอื่น” ผมบอกไปตามความรู้สึกด้วยสายตาจริงจัง บีทส์เม้มปากยื่นมือขาวมาลูบที่แก้มด้านซ้ายของผมเบาๆ


“อย่าบอกนะว่าหึงผมกับพี่ไม้”


“เออ...หึง”


ผมตอบรับในลำคอ บีทส์เม้มปากแล้วยิ้มเขิน


“หน้าไม่อาย”


“อายแล้วจะได้เหรอ”


ผมแหย่ เจ้าตัวอ้าปากมองผมอึ้งๆ สงสัยยังคิดคำพูดไม่ออก


“หึๆ” ผมหลุดขำ “โอ๊ย ฮ่าๆ อะไรวะ นี่จะใช้กำลังสู้กับกูเหรอ ระวังกูสู้กลับนะ” ผมแกล้งร้องเมื่อมือเล็กฟาดลงที่ต้นแขนผมอย่างไม่จริงจังแก้เขิน บีทส์กัดปากฉับเมื่อเจอสายตากรุ้มกริ่มของผม


“ก็พี่อ่ะ พูดอะไรเล่า!” ผมยื่นมือไปเขี่ยแก้มขาวนั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว บีทส์ส่ายหัวแล้วจะขยับหนีมือผมหน้ายุ่ง


“กูพูดอะไรครับหื้มไอ้น้องบีทส์”


“เชอะ ไอ้เราก็อุตส่าห์ตั้งใจมาหา รู้งี้นอนอยู่บ้านก็ดีหรอก” น้องบ่น ผมขมวดคิ้ว


“หมายความว่าไงตั้งใจมาหากู” ก็ในเมื่อน้องมันห้ามนักหนาไม่ให้มาเจอผม แล้วไอ้คนที่อยู่ใต้ร่างผมดันบอกว่าตั้งใจมาหาผม หูฝาดหรือเปล่าวะกู


“ก็ใช่น่ะสิ ผมตั้งใจมาหาพี่” บีทส์ย้ำคำ นิ้วเล็กจิ้มลงที่หน้าอกผมย้ำๆ


“แล้ว...”


“ไบร์ทให้ผมมาหาพี่” ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยถาม บีทส์ก็เฉลยขึ้นมาก่อนเจ้าตัวย่นจมูกใส่ ยังไม่หายงอน


“ฮะ...ได้ไง” ผมถามต่ออึ้งๆ


“ลุกไปก่อนได้มั้ยเล่า! มันหนักนะ” บีทส์ดิ้นประท้วงพร้อมกับหายใจฟึดฟัดสองมือเล็กดันหน้าอกผมไว้


“ก็ได้ๆ ไหนลองเล่ามาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง” ผมยักไหล่ ยอมลุกขึ้นนั่งโดยดี พอน้องลุกขึ้นนั่งผมก็คว้าเอวอีกคนมานั่งตักตัวเอง ยึดเอวเล็กไว้กับตัก


“นั่งดีๆ อย่าดิ้น ไม่งั้นกูทำมากกว่ากอดจริงๆ นะ” ผมแกล้งขู่


“จิ๊!” บีทส์ฟึดฟัดแล้วเอนหลังลงมากระแทกกับอกผมแรงๆ ประท้วง


“โอเค งั้นไว้คุยทีหลัง” ผมแกล้งพูดแล้วดันน้องลงไปนอนราบกับโซฟา ใช้ร่างตัวเองคร่อมอีกฝ่ายไว้เหมือนเดิม พลางยื่นหน้าไปชิดใบหูเล็กอีกคนแล้วเริ่มขบเม้มติ่งหูขาว


“แง๊...ผมยอมแล้ว!!” คนใต้ร่างร้องเสียงหลง ผมกลั้นหัวเราะ


“หึ ก็นึกว่าอยาก ‘ทำ’ อย่างอื่นมากกว่าคุย” ผมแหย่ บีทส์กัดริมฝีปากล่างก่อนจะย่นจมูกรั้นๆ นั่นประท้วงผม


“บ้า!”


“งั้นมาคุยกัน นอนคุยนี่แหละอบอุ่นดี” ผมยิ้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนเบียดคนด้านล่าง มือหนึ่งสอดเข้าไปที่ท้ายทอยอีกคนแล้วดึงคนตัวเล็กมาหนุนแขนแล้วกระชับกอด น้องแทบจะจมหายไปกับอกผม


“เอาแต่ใจชะมัด”


ผมก้มลงยื่นหน้าไปจูบผมอีกคนหนักๆ เมื่อได้ยินเสียงบ่นด้วยความหมั่นเขี้ยว คนตัวเล็กก็ยิ่งมุดหนีเข้าไปในอก


“ชอบเอามึงด้วยถ้ามึงยังไม่รู้” แกล้งแหย่ไปลอยๆ ก่อนจะร้องโอ๊ยเพราะขนมตุบตั๊บจากอีกคน


“ไอ้พี่บ้า! จะคุยมั้ยเนี่ย!!” ใบหน้าเล็กขัดเขิน ผมหัวเราะก่อนจะก้มลงกดจูบไปที่ริมฝีปากแดงอีกคนหนักๆ แล้วผละออก


“เล่ามาสิ” สองมือกระชับกอดคนร่างเล็กให้เข้ามาแนบอก


“ไบร์ทบอกว่ายอมให้เราคบกันแล้ว”


บีทส์เริ่มเล่า ผมพยักหน้ารับฟังโดยไม่เอ่ยถามอะไร


“ตอนน้องถามว่าผมพร้อมมั้ยที่จะเดินไปกับพี่ ทีแรกผมก็ไม่มั่นใจ แต่พอนึกถึงคำที่พี่บอกผมว่าให้เชื่อใจพี่ มันทำให้ผมฮึดสู้”
น้องเงยหน้าขึ้นมองผม


“ผมมีอะไรจะขอ”


“หื้ม” ผมครางรับในลำคอ


“ถ้าพี่รู้สึกว่าทางเลือกที่พี่เลือกมันผิด บอกผมตรงๆ นะ”


ผมผละออกจากคนในอ้อมกอด ยื่นมือไปดีดหน้าผากมันด้วยแรงพอเหมาะ


“ไร้สาระ”


“ผมก็แค่พูดเผื่อไว้”


“งั้น...ถ้ากูเป็นฝ่ายบอกบ้างล่ะว่าถ้ามึงหมดรักกูเมื่อไหร่ให้บอกกู แล้วกูจะเป็นคนไปเองมึงจะรู้สึกยังไง” ผมถามกลับ


“ไม่มีทาง ผมเหรอจะทิ้งพี่” ผมกลั้นยิ้มเมื่อบีทส์ส่ายหัวขวับ ปฏิเสธผมหน้ามุ่ย นิ้วเล็กจิ้มลงที่หน้าอกด้านซ้ายของผม


“เพราะงั้นคำขอนี้ก็ตกไป บอกเลยนะถึงกูจะไม่ใช่คนดีแต่กูก็ไม่ชอบเห็นน้ำตาของมึง ถ้ายิ่งร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องของกู กูก็ยิ่งไม่ชอบ”


“อนาคตมันไม่แน่นอนนี่”


“อนาคตมันก็มาจากวันนี้นั่นแหละ” ผมบีบจมูกเล็ก ชอบเถียงดีนัก


“น้องบอกให้ผมทำตามหัวใจตัวเอง ฝากมาบอกพี่ด้วยว่าถ้าครั้งนี้พี่ทำผมเสียใจจะไม่ยอมให้ผมชอบพี่อีกแล้ว แล้วก็ขอบคุณสำหรับของโปรดที่ซื้อมาให้กิน น้องชอบมาก” ตากลมโตมองผมยิ้มๆ


ผมหลุดขำแล้วพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”


จะว่าไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเด็กนั่น เขาก็คงจะปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะทำให้คนในอ้อมกอดผมต้องเสียน้ำตาไปอีกเท่าไหร่


ผมนึกภาพไม่ออกเลย…


“ผมยังมีครอบครัวที่เข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น แต่พี่…” ผมยื่นมือไปแตะที่ริมฝีปากเล็กเพื่อหยุดคำพูดของน้องไว้แล้วใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ เจ้าตัวกระพริบตาขึ้นลงมองผมด้วยความกังวล


“กูก็มีมึงไง”


“มันไม่ใช่...”


“สำหรับกู...กูไม่สามารถบังคับให้ใครมาชอบมึงเหมือนที่กูชอบมึงได้ แต่ไม่ว่าคนอื่นจะบอกกูว่ามันดีหรือไม่ดียังไง ถ้ากูเลือกแล้ว...กูจะไม่มีวันเปลี่ยนใจเพราะคำพูดของคนอื่น"


ผมไม่เคยสนใจเลยถ้าใครจะคัดค้านหรือบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ดียังไง ตัวผม ผมตัดสินใจเองได้ และถึงแม้จะมีปัจจัยอื่นมาทำให้เราต้องห่างกันในอนาคต


...ถ้าเราหนักแน่น ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว…


“ต่อจากนี้มันต้องยุ่งยากแน่ๆ”


คนตัวเล็กบ่นพึมพำ ผมยิ้มแล้วจับหัวทุยของอีกคนมาซุกหน้าอกตัวเอง ยกมือลูบไปตามไรผมสีน้ำตาลอ่อน มืออีกข้างเลื่อนไปสอดนิ้วประสานเข้ากับมือเรียวแล้วกระชับเบาๆ


“เราต้องผ่านมันไปได้”


...ผมไม่รู้หรอกว่าทางข้างหน้าถ้าเดินไปแล้วจะเจออะไร ต้องลำบากแค่ไหน แต่ผมสัญญากับตัวเองไปแล้วว่าจะไม่ทำให้มันต้องเสียน้ำตา สัญญาไปแล้วว่าต้องปกป้องดูแล เพราะถ้าแม้แต่คนรักตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ธุรกิจหมื่นล้านลูกน้องหลายพันคนผมจะดูแลได้ยังไง


ผมรู้ว่าความรักครั้งนี้มันไม่ง่าย


แต่ถ้าไม่กล้าเดินไปข้างหน้า


แล้วจะพบกับความสุขหรือความสำเร็จได้อย่างไง


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ep 27 : Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 15-08-2018 18:24:01
[ต่อ]


++++++++++++++++++++++++++++


“สวัสดีครับคุณน้า”


ผมเอ่ยทักทายคนสูงวัยกว่าที่เดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมขมวดคิ้วมองผม ก่อนใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเมื่อเดินเข้ามาหาผมในระยะใกล้


“สวัสดีจ้ะ ทำไมวันนี้มาช่วงที่เด็กๆ อยู่บ้านได้ล่ะพ่อซัน”


คุณน้าพยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเอ่ยแซ็วผม


“ผมแวะเอาขนมมาให้ครับ” ผมชูถุงในมือ


“ใครมาอ่ะแม่!!” เสียงใสร้องมาจากตัวบ้านก่อนร่างโปร่งของเจ้าของเสียงจะชะโงกหน้ามาขมวดคิ้วมอง ก่อนเจ้าตัวจะทำหน้าตื่น


“เฮ้ยมึง!!” เจ้าของเสียงตาโตก่อนจะชี้นิ้วมาทางผม


“อะไรกันลูกคนนี้ ปะพ่อซันเข้ามากินน้ำกินท่าก่อนจ้ะ” ใช่ครับ...คุณน้าที่ผมบอก เป็นมารดาของคนที่ทักทายผมด้วยเสียงตื่นๆ เมื่อกี้ เสียงใครน่ะเหรอครับ ก็...


...เด็กไอ้อาร์ตไง


“นี่แม่รู้จักมะ...เอ่อ หมอนี่ได้ไง” ไบร์ทกระซิบถามแม่ตัวเอง ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปในครัวอย่างคุ้นเคยพร้อมกับเอาของฝากที่

ผมตั้งใจบังคับไอ้สองซื้อมาให้ถึงคอนโด ส่วนผมก็แค่รับต่อแล้วรีบตรงดิ่งมาที่บ้านหลังนี้แทน


มันก็ของฝากเหมือนกันนี่หว่า…


ฝากไอ้สองซื้ออ่ะครับ ฮ่าๆ


“ก็ตาซันน่ะเพื่อนของตาอาร์ตรุ่นพี่ของไบร์ทไม่ใช่เหรอลูก” ได้ยินเสียงคุยกันแว่วอยู่ด้านนอก ผมยิ้มเมื่อนึกถึงแผนของไอ้น๊อตที่มันเสนอความคิดนี้ให้ผม


‘เข้าทางแม่ยาย’


เพราะไอ้ออยเป็นคนให้ข้อมูลพวกผมมาว่าแม่ของบีทส์เป็นสถาปนิกที่รับวาดแปลนโครงสร้างอาคารที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง
พอดีกับโรงพยาบาลของไอ้อาร์ตกำลังจะต่อเติมอาคารผมเลยข่มขู่แกมบังคับให้มันมาขอคำปรึกษาจากแม่ของบีทส์แล้วให้แนะนำว่าผมเป็นผู้ช่วยที่มีความรู้ทางวิศวกรก่อสร้างเพราะกิจการที่บ้านผมก็รับเหมาก่อสร้าง


ซึ่งเพื่อนของผมมันก็ดูเหมือนโคตรจะเต็มใจฉิบหายเพราะมันก็เอาตัวเองเข้าไปร่วมโปรเจ็คนี้ด้วยโดยให้เหตุผลว่างานนี้มันต้องควบคุมเพราะบ้านมันบังคับ อย่างที่รู้ว่าถึงแม้โครงการนี้จะไม่ใหญ่มากแต่มีรายละเอียดยิบย่อยเยอะ ทำให้ผมได้มีโอกาสเทียวไล่เทียวขื่ออยู่นาน


โดยส่วนใหญ่เราจะนัดคุยกันที่ร้านอาหารหรือไม่ก็นอกบ้านตลอด จวบจนได้รับความไว้วางใจให้ช่วยงานคุณน้าหลายต่อหลายชิ้น ซึ่งผมก็เต็มใจช่วยงานท่านทุกชิ้นจนเข้านอกออกในบ้านคุณน้าได้ แรกๆ ท่านก็เกรงใจครับแต่เพราะผมบอกกับท่านไปว่ากำลังจะจบเลยรู้สึก ‘ร้อนวิชา’ ที่บ้านไม่ค่อยเห็นด้วยอยากให้ทำด้านบริหารมากกว่าเลยทำให้ท่านค่อนข้างเห็นใจผมอยู่เหมือนกัน ฮ่าๆ


ส่วนเวลาที่ผมมาตามง้อบีทส์หรือจะเรียกว่ามาให้ ‘เด็กเพื่อน’ โขกสับก็จะเฉพาะเวลาที่คุณน้าไม่อยู่บ้านเท่านั้นแหละ ซึ่งปกติท่านก็ไม่ค่อยได้อยู่หรอกครับต้องไปศึกษาพวกรายละเอียดปลีกย่อยและควบคุมการก่อสร้างให้ตรงตามแบบแปลนในแต่ละหน้างาน


ผมก็เพิ่งรู้นะครับว่าท่านรับงานหลายที่ บางที่ต้องออกต่างจังหวัดครั้งละหลายๆ วันก็มี


เวลาไอ้อาร์ตว่างมันก็จะมาแจมด้วยตลอด แอบถามเรื่องเด็กมันกับแม่เขาทุกครั้ง ไอ้นี่มันปล่อยผ่านไม่ได้เลยครับอะไรที่เกี่ยวกับคนของมันแม้จะเป็นแค่ข้อมูลยิบย่อยมันจดใส่สมองหมด แม่เขาก็ใจดีนะครับถามอะไรตอบหมดออกจะภูมิใจด้วยซ้ำนะครับเวลาเอ่ยถึงลูกทั้งสองคน


แน่นอนว่าทุกครั้งที่พบกัน ผมก็มักจะปรึกษาเรื่องของบีทส์อยู่เสมอโดยไม่บอกว่าเป็นใคร และมันทำให้ผมรู้ว่าคุณน้าไม่ได้คัดค้านหรือต่อต้านเพศทางเลือกอื่นๆ ตรงกันข้ามท่านกลับมองว่าความรักเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคน ไม่ใช่เรื่องของเพศใดเพศหนึ่ง


“ไปตามพี่บีทส์ลงมาหน่อยลูก” ผมเดินออกมาจากห้องครัว ได้ยินเสียงมารดาของคนรักเอ่ยสั่งคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คนโดนสั่งทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมเดินขึ้นไปตามคำบอก


“มานั่งนี่สิจ้ะ”


คุณน้าหันมาเห็นผม เอ่ยเรียกให้ไปนั่งด้วยกัน ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะเคลื่อนกายไปนั่งลงตรงข้ามกับคนสูงวัยกว่า


“คงไม่ได้แค่จะเอาขนมมาฝากน้าใช่มั้ย” คุณน้าถามผมยิ้มๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจ


“ครับ”


“พี่ซัน!” ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ลงมาจากชั้นบนก่อนจะตามด้วยเสียงเรียกชื่อผมตื่นๆ ผมหันไปยิ้มให้บีทส์ เจ้าตัวก้าวไวๆ เข้ามาหาก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง


“พี่มาได้ไงอ่ะ” เจ้าตัวกระซิบถามด้วยท่าทีลนลาน ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปยีหัวมัน วันนี้มันใส่กางเกงกีฬายืดๆ กับเสื้อยืดสีดำตัดกับผิวทรงผมฟูๆ เหมือนเพิ่งโผล่ออกจากผ้าห่มมาเมื่อกี้


“ขับรถมา” เจ้าของคำถามขมวดคิ้วฉับ


“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”


“อ่ะแฮ่ม” เสียงกระแอมดังๆ ทำให้บีทส์ละความสนใจออกจากการซักไซ้ผม


“แหะๆ คุณนายรู้จักพี่ซันด้วยเหรอ” คนถูกถามยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ ได้ยินคนข้างๆ มันบ่นกับตัวเอง ‘ไปรู้จักกันตอนไหนวะ’ ผมก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม


“ตอนแรก...ก็รู้จักในฐานะเพื่อนของรุ่นพี่เจ้าไบร์ทน่ะแหละแต่สงสัยวันนี้แม่จะได้รู้จักในฐานะใหม่”


บีทส์ตาโตทันทีเมื่อมารดาเอ่ยขึ้นมาลองเชิงด้วยประโยคสองแง่สองง่ามแต่ชวนเข้าประเด็น คนข้างๆ เหลือบมองผมแล้วเม้มปาก มือสองข้างประสานกันไว้


“ใช่มั้ยจ๊ะ”


“คืองี้แม่...”


“ไบร์ทไปเอาขนมที่พี่เขาเอามาจัดใส่จานให้แม่ทีสิจัดมาหลายๆ ชุดเลยนะ” คนที่กำลังจะเอ่ยขัดเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์เป็นอันต้องเก็บคำไปเมื่อโดนใช้ให้เข้าไปเอาของที่ห้องครัว แม้เนื้อความจะเป็นเพียงการใช้งานธรรมดาแต่ความจริงก็คือกันออกไปนั่นแหละครับ


“เฮ้อ โอเค ยอมก็ได้” คนโดนใช้จำใจต้องรับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้สองมือเรียวยกขึ้นชูแสดงอาการยอมแพ้มารดา ไม่วายส่งสายตาเฉือดเฉือนมาให้ผมก่อนจะเบนสายตาไปที่พี่ตัวเองแล้วยิ้มอย่างให้กำลังใจ ผมมองคนข้างๆ แล้วยิ้มออกมาไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา


...คนที่ต้องกลัวมันทางนี้ไม่ใช่เหรอวะ


“ค...คืองี้นะคุณนาย” พอไบร์ทเดินผละออกไป บีทส์จึงเอ่ยปากเรียกมารดาตัวเอง ผมยื่นมือไปแตะที่แขนเล็ก เจ้าตัวหันมาเลิกคิ้วให้ ผมส่ายหัวและเป็นฝ่ายเข้าเรื่องเอง


“ถ้าคุณน้าถามผมมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าวันนี้ก็คงรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมมาในฐานะอะไร” บีทส์มองผมอึ้งๆ แล้วกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง


“อยากให้น้าทำเป็นปิดหูปิดตาไปเหมือนเดิม...หรือว่าเปิดหูเปิดตารับรู้เรื่องนี้ดีล่ะจ๊ะ” คุณน้าพูดเสียงนิ่มแล้วส่งยิ้มให้ผม


“ผมไม่เคยคิดอยากจะปิดบังคุณน้าอยู่แล้วครับ” ผมตอบเสียงหนักแน่น คุณน้ารับฟังโดยไม่เอ่ยขัดอะไร ผมยื่นมือไปกุมมือบีทส์ไว้แล้วบีบเบาๆ สายตายังคงมองตรงไปที่คนสูงวัยกว่าที่นั่งมองการกระทำของผมอยู่


“ผมกับน้อง...เรากำลังคบกันอยู่ครับ”


“พี่ซัน!!” บีทส์หันขวับมามองผม


“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่กู มึงอยากได้ความมั่นใจไม่ใช่เหรอ” ผมถามมัน รวมถึงเป็นการบอกคนที่นั่งตรงข้ามกลายๆ บีทส์กลืนน้ำลายลงคอ ตากลมโตยังมองผมไม่ละสายตาไปไหน


“แต่ว่า...”


“ชู่ว...บอกแล้วไงว่าอยู่เฉยๆ” ผมบอกมันด้วยเสียงจริงจังพร้อมกับกระชับมือเล็ก บีทส์เม้มปากแล้วพยักหน้ารับ


“แต่นี่ลูกชายน้านะ” เสียงคุณน้าเอ่ยขัด


“ผมทราบข้อนั้นดีครับ ผมเองก็ลูกชายคนเดียวแต่ผมอยากให้คุณน้ามั่นใจว่าผมจะดูแลลูกของคุณน้าให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำได้เพื่อคนที่ผมรัก”


“แล้วไม่กลัวคนอื่นประณามว่าเป็นพวกรักร่วมเพศเหรอจ๊ะ น้าว่าอย่างซันคงมีผู้หญิงเข้ามาให้เลือกเยอะแยะอยู่แล้ว รู้ใช่มั้ยว่าฐานะของซันกับน้องต่างกันมากแค่ไหน” คุณน้าถามต่อ คนข้างๆ เกร็งตัวขึ้นเมื่อได้ยินคำถามของมารดาตัวเอง ผมกระชับมือน้อง


“เมื่อก่อนผมอาจจะเคยทำไม่ดีเอาไว้เยอะ แต่ตอนนี้ผมมีแค่ลูกชายของคุณน้าผมไม่สนใจหรอกครับว่าใครจะมองว่าเราเป็นยังไง มันไม่มีผลอะไรกับผม ไม่ว่าคนอื่นจะบอกว่ามันผิดปกติจะวิจารณ์กันไปยังไงก็ช่างเขา เพราะผมมองว่าความรักของเราไม่ใช่สิ่งที่ผิดและผมก็สนใจความรู้สึกของผมมากกว่าแคร์คำพูดของคนอื่นอยู่แล้ว”


ผมค่อยๆ เลื่อนตัวลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้ามารดาของคนรักพร้อมกับเอามือสองข้างวางไว้ที่หน้าตัก ก้มหน้าลงเป็นการสำนึกผิด


“ผมขอโทษนะครับที่รังแกน้อง”


“...”


“ความผิดนี้ผมขอรับไว้คนเดียวครับคุณน้า” ผมบอกต่อแล้วเงยหน้าสบตามองตรงคนสูงวัยกว่าที่จ้องหน้าผมนิ่ง ใบหน้าสวยที่ดูอ่อนกว่าวัยได้แต่มองผมสลับกับคนที่นั่งก้มหน้าอยู่ที่เดิมสองมือประสานกันไว้ที่หน้าตัก


เงียบไปอึดใจ


“แน่ใจใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่แค่อยากลองเล่นๆ ตามสมัยนิยม”


“ไม่ใช่แน่นอนครับ” ผมตอบเสียงหนักแน่น


“บีทส์”


คุณน้าไม่ได้พูดอะไรกับผมต่อ แต่หันไปเอ่ยเรียกคนที่นั่งอยู่ด้านหลังผมแทน


“อือ” เจ้าตัวครางรับได้ลำคอ


“รักพี่เขามั้ยลูก” คุณน้าเอ่ยถาม ผมหันไปสบตากับน้องที่เม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงรับคำ


“แล้วซันล่ะ ช่วยตอบน้าอีกทีได้มั้ยว่านี่มันคือความรัก...ไม่ใช่แค่อาการหลงชั่วครั้งชั่วคราวเพราะยังใหม่” คุณน้าถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะถามผมต่อ ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อโดนคำถามที่ตรงจุดไม่อ้อมค้อมเหมือนในตอนแรก


“ผมขอโทษนะครับ” ผมเกริ่น ก่อนจะหันไปมองด้านหลังเมื่อบีทส์ครางเรียกชื่อผมอย่างไม่เชื่อหู ผมหันไปขึงตามองดุใส่มันให้ฟังผมให้จบ เจ้าตัวเม้มปากแน่นก่อนจะเริ่มสะอื้นขึ้นอีก ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ


“บีทส์มานั่งข้างแม่ก่อน” บีทส์เม้มปากแล้วลุกขึ้นไปนั่งตามคำสั่ง ผมเริ่มไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นน้ำตาของมันเริ่มหล่นลงมาที่แก้มขาว


“ฟังผมให้จบก่อนครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองเหมือนในตอนแรก ที่ผมเคยสับสนว่าไอ้อาการที่ผมเป็นมันเรียกว่าแค่ติดใจหรือผมเริ่มชอบน้องขึ้นมาแล้วจริงๆ แต่คุณน้าครับ เวลาที่ผ่านมามันทำให้ผมได้รู้ว่ามันสำคัญสำหรับผมแค่ไหน ผมไม่เคยถูกใจใครถึงแม้ว่าแรกๆ อาจจะเกิดจากความติดใจหรือพลั้งเผลอ แต่ตอนนี้หัวใจของผมๆ ยกให้ลูกคุณน้าไปแล้ว” ผมกล่าวออกไปเสียงหนักแน่น


“แล้วที่ผมขอโทษเพราะผมอยากจะขอโทษที่ผมเคยทำร้ายความรู้สึกของเขากับคุณน้า ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดีร้อยเปอร์เซ็น ผมเคลียร์ตัวเองยังไม่ได้ แต่ผมขอสัญญาว่าตั้งแต่วันนี้ผมจะทำทุกอย่างให้ชัดเจน”


“แล้วที่มาวันนี้ซันต้องการอะไร” คุณน้าเอ่ยถามต่อ


“ผมแค่อยากขอโอกาสจากคุณน้าสักครั้ง…” คุณน้าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


“...ขอโอกาส...”


“ให้ผมได้ดูแลลูกคุณน้าได้มั้ยครับ”


“...”


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 27 : Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 15-08-2018 20:35:37
ขอโอกาส สู้ๆ เดียวรบกับที่บ้านต่อ สู่ตายๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 27 : Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-08-2018 00:44:50
นายแน่มาก  o13
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 27 : Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-08-2018 17:47:21
ตั้งแต่อ่านมารักพี่ซันมากสุดตอนนี้ แมนมาก o13
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 28 : Begin Again -2
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 21-08-2018 13:34:47

ตอนที่ 28 :: Begin Again -2 (NC)


[บีทส์]


ผมหันไปมองคนที่เดินมากอดผมจากข้างหลัง แล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนฉวยหอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่


“คุยอะไรกับคุณนายครับ” ผมถาม หลังจากที่โดนคุณนายไล่ออกมาเพราะต้องการคุยกับพี่ซันแค่สองคน ทำให้ผมต้องเดินออกมายืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่สวนหน้าบ้านแทน


บอกตรงๆ นะครับว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่หายช็อค ไม่คิดว่าพี่มันจะทำเพื่อผมขนาดนี้ ตอนที่ไบร์ทวิ่งขึ้นมาบอกว่าพี่ซันมา ใจผมหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถ้าพี่มันเจอกับแม่ผมขึ้นมาจะทำยังไง คิดได้ก็รีบสลัดผ้าห่มวิ่งออกมาจากห้อง


แล้วก็ต้องช็อคอีกรอบเมื่อเห็นพี่มันนั่งอยู่กับคุณนายยิ้มๆ ในขณะที่คุณนายของผมหน้านิ่งไปแล้ว


ซวยแน่ๆ


ยังไม่ทันได้เอ่ยถามถึงสาเหตุที่อยู่ดีๆ คนตัวโตก็มาโผล่กลางบ้านก็ต้องช็อคอีกรอบเมื่อคุณนายเอ่ยปากถามพี่ซันเหมือนกำลังระแคะระคายเรื่องของเราอยู่


เหมือนรู้อะไรบางอย่าง…


“ก็ไม่มีอะไรนี่”


พี่ซันตอบยิ้มๆ ผมหมั่นไส้กับอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของพี่มันเลยฟาดไปที่แขนแรงๆ หนึ่งที พี่ซันร้องโอ๊ยก่อนจะยื่นหน้ามากัดแก้มผมจนต้องเอียงหน้าหลบ เผลอไม่ได้จริงๆ ไอ้คนแสนดีต่อหน้าแม่ผมเมื่อกี้หายไปไหน


“ตีกูทำไมเนี่ย”


“ผมซีเรียสเหอะ” พี่ซันขำเมื่อโดนผมค้อน


“เขาก็แค่ฝาก...ให้กูดูแลมึงให้ดีๆ” พี่ซันบอกก่อนจะกระชับกอดผม ผมดิ้นเบี่ยงตัวหนีวงแขนหนาที่กำลังกอดรัดผมอยู่


“เดี๋ยวมีคนเห็น” ผมเอ็ด พี่ซันทำหน้ากวน


“ไม่มีหรอกน่า ทั้งคุณน้ากับน้องมึงอยู่ในครัว กูดูมาแล้ว” ผมจิ๊ปาก ทั้งที่ผมกำลังเครียด แล้วดูพี่มันสิครับ


“ผมเครียดจริงๆ นะ”


“มึงจะเครียดทำไม ยังมีกูอยู่ทั้งคน” พี่ซันพูดก่อนยื่นมือมาขยี้หัวผม ผมเอียงหัวหนีมือพี่มันงอนๆ


“มันไม่ใช่อย่างนั้น”


“แล้วอย่างไหน”


“ผมกำลังเป็นห่วงพี่ต่างหาก”


“ไม่เห็นมีอะไรต้องห่วง กูอยากให้มึงอยู่กับปัจจุบันและอยากให้มึงเชื่อใจกู” พี่ซันโน้มตัวมาพูดชิดริมหู “กูรู้มึงกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ แต่กูเลือกแล้ว แน่ะ ไม่ต้องดิ้น กูไม่ได้หมายความว่ามึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกของกู ถึงก่อนหน้านั้นจะใช่ก็เถอะ” ผมกลั้นยิ้มไว้สุดกำลังเมื่อได้ยินประโยคหลัง


ฟอด~


คนตัวโตกว่ากดจูบลงมาที่แก้มผมหนักๆ


“นี่ผม...กำลังจะมีแฟนจริงๆ เหรอเนี่ย”


นี่ผมกำลังจะเป็นแฟนพี่ซันจริงๆ ใช่ไหม


ผู้ชายที่ผมรักเขารักผมจริงๆ เหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย


“ใครบอก” พี่ซันทำเสียงกวน ผมหันขวับไปเผชิญหน้ากับพี่ซัน ไอ้พี่บ้า!! นี่จะแกล้งทำให้ผมดีใจเล่นๆ แล้วจะทิ้งใช่ป๊ะ!!


“...มึงไม่ได้กำลังจะมีแฟน...”


“แต่กำลังจะมีผัวต่างหาก...”


“...”


ไอ้!!!


โว๊ะ!


ไอ้คนหน้าด้าน!!


+++++++++++++++++++++++++


“อ่าฮะ...เออดิ” ผมตอบเสียงตื่นเต้น


“กรี๊ด...กูอิจฉามึงจริงๆ อิบีทส์ พี่ซันของกูเสร็จมึงจนได้ อินี่บอกกูทีว่าทำบุญด้วยอะไรกูจะได้ไปทำบ้าง อร๊าย กูอยากได้อยากโดนสักทีอ่ะ!” ปลายสายตอบรับกลับมาด้วยความตื่นเต้นปนหมั่นไส้ ผมหัวเราะกับอาการโอเวอร์แอคติ้งของมัน เพื่อนผมมันเอาทุกเม็ดจริงๆ


“ของกูบ้างเหอะ” ผมแหย่


“แหม...เต็มปากเต็มคำเลยนะมึง”


ผมยิ้มเขินเมื่อโดนอิพิงค์แซ็วเข้าให้ กล้าแค่กับมันนี่แหละครับ ฮ่าๆ


“ขอบใจมึงมากว่ะพิงค์” ผมพูดออกมาจากใจจริง ในบรรดาเพื่อนมีมันคนเดียวที่รู้เรื่องของผมกับพี่ซัน ไม่นับไอ้ออยกับไอ้ปริ้นที่ช่วงนี้ดูเหมือนจะยุ่งเหลือเกินจนไม่ค่อยได้มีเวลาออกมาพบปะเพื่อนเก่าต่างคณะอย่างผม


“กองไว้ตรงนั้นเถอะย่ะ เปลี่ยนจากคำขอบคุณของมึงเป็นเพื่อนพี่ซันหล่อๆ สักคนให้กูได้ม่ะ” อิพิงค์ว่าต่อ ผมขำก๊ากนี่มึงจะเอาให้ได้เลยใช่ปะ


“คุยกับใครยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” เสียงเรียบนิ่งที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมเอี้ยวตัวไปมอง ก่อนจะยิ้มตาปิดให้คนที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่


“โอ้โหเสียงเพื่อนเขยกูนิ่งซะไม่มี” อิพิงค์ร้องแซ็วมาตามสาย ผมยิ้มขำมองตามพี่ซันที่เดินเข้ามานั่งตรงขอบเตียง ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายพลิกตัวกลิ้งไปหาอีกคนที่นั่งอยู่อีกฟาก


อิ พิ ง ค์


ผมเปิดปากพูดแบบไร้เสียงให้พี่ซันรับรู้ว่าคู่สนทนาของผมคือใคร พี่ซันเลิกคิ้วก่อนจะพยักหน้ารับรู้ พร้อมยื่นมือมายีหัวผม แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมของผมไปมา มืออีกข้างคร่อมอยู่ที่เอวผม


“พิงค์เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ พี่ซันมาตามแล้ว”


“แหม...ผัวมาแล้วทิ้งกูเลยนะ” อิพิงค์บ่นขำๆ ผมรู้ว่ามันไม่ถือสาผมหรอกครับ พิงค์มันรู้ความเคลื่อนไหวของคู่ผมมาตลอดนั่นแหละ


“ไม่ใช่เว้ย” ผมท้วง มันหัวเราะร่าอย่างถูกใจ


“อื้อ...” ผมย่นคอหนี เมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นชื้นและนุ่มนิ่มบริเวณต้นคอ


...พี่ซันก้มลงจูบที่หลังคอผม…


“กรี๊ด…เสียงอะไรอ่ะอิบีทส์ พี่สุดหล่อกูกำลังทำมิดีมิร้ายมึงอยู่ใช่มั้ย!?” อิพิงค์กรี๊ดมาตามสาย


“หึ...” พี่ซันหึในลำคอเมื่อแกล้งผมได้ ผมหันไปค้อนให้พี่มันไม่จริงจัง


“ชิส์! เชิญคู่ข้าวใหม่ปลามันสวีทกันให้พอใจ! เอาให้สำลักความรักตายไปเลยนะมึง” อิพิงค์ประชดด้วยเสียงจีบปากจีบคอให้รู้ว่ามันยังอยู่ในสาย ผมหัวเราะก่อนจะกดวางสาย


จุ๊บ


“อื้อ...” ผมครางรับในลำคออีกเมื่อโดนคนตัวโตโน้มหน้ามากดจูบที่ปากผมแล้วดูดคลึงเบาๆ ก่อนจะผละออก


“ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเขาเป็นยังไง กูคงให้มึงเลิกคบไปแล้ว” พี่ซันว่าขึ้นมาเสียงเรียบพร้อมกับดึงมือผมไปเล่น ผมเลิกคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่มันพูด


“หมายถึงใครครับ” ผมถาม พี่ซันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก โอ้โห...นี่คิดจะปล่อยพีโรโมนออกมาให้ผมสำลัdความหล่อของแฟนตัวเองตายเลยใช่ปะ


“เพื่อนมึงเมื่อกี้ไง เห็นมึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วกูหวง” พี่ซันพูดต่อ ผมอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะก้มหน้ายิ้มเขินหนีสายตาที่พี่มันส่งมา


“บ้าเหอะ”


ผมงึมงำแล้วยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนใกล้ตัว พี่ซันเวอร์ชั่นนี้ผมจะไม่ทนจริงๆ ครับ


อยากระเบิดตัวเองวันละหลายๆ รอบ


“หึๆ ไปซื้อของกัน” พี่ซันเอ่ยชวน ผมโผล่หน้าออกมาทำตาโต พี่ซันกำลังชวนผมออกไปข้างนอกเหรอ


“พี่ชวนผมเหรอ” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ พี่มันพยักหน้ารับ


“อยู่กันสองคนไม่ชวนมึงแล้วจะให้กูชวนหมาที่ไหน” ผมทำปากยื่นเมื่อโดนพี่มันหลอกด่ากลายๆ ว่าถามไม่คิด


“เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก ผู้ชายสองคนไปซื้อของใช้เข้าบ้านด้วยกันมันแปลกๆ นะ” ผมท้วง ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรับได้แล้วก็เถอะครับ ผมยังไม่ไว้ใจอยู่ดีอีกอย่างถ้าไปเจอคนที่รู้จักกับเราจะให้ตอบว่ายังไงถ้าเขาถามว่าทำไมมาด้วยกัน


สุดท้าย ผมก็โดนพี่มันลากออกไปด้วยอยู่ดี...

 
“เลิกทำหน้างอใส่กูสักทีเถอะ เห็นแล้วอยากลากขึ้นเตียง” พี่ซันแกล้งบ่นลอยๆ ขณะที่สองมือเข็นรถที่บรรจุของใช้ไว้ครึ่งตะกร้าเดินตามหลังผม


“เหอะ” ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับพี่ซันแล้วกอดอกทำหน้าหมั่นไส้


“เขาก็แค่อยากรู้จักเฉยๆ มึงจะอะไรนักหนา”


“ชอบอ่ะดิ อึ๋มๆ แบบนั้นอ่ะ” ผมยกมือสองข้างขึ้นทำมือบีบหน้าอกประชด


“เออชอบ” พี่ซันตอบกลับทันควัน ผมเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนี ถามเองเจ็บเองอีกกู ถ้าเกิดวันหนึ่งพี่มันเปลี่ยนใจกลับไปนิยมชมชอบนมตู้มๆ เหมือนเดิมขึ้นมาจริงๆ ผมก็แย่สิ


พี่ซันเข็นรถเข้ามายืนข้างผม พร้อมยื่นหน้ากระซิบข้างหูของผมอย่างจงใจ


“...แต่ชอบมึงมากกว่า”


ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าคนพูดก่อนจะเป็นฝ่ายหันหน้าหนีเขินๆ เมื่อทนสายตากรุ้มกริ่มของคนตัวโตกว่าไม่ไหว


“หึ มึงนี่น๊า งอนอะไรไร้สาระ” พี่ซันพูดต่อขำๆ มือหนายื่นมายีหัวผม


“ใช่ซี้ผมมันไร้สาระ” ผมพูดพลางทำปากยื่นใส่พี่ซัน แต่แทนที่พี่มันจะมีอารมณ์ร่วมกับการงอแงของผมกลับเห็นเป็นเรื่องขำขันอยู่นั่นแหละ


ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เมื่อกี้นี้น่ะสิมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนเลือกของอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ผมกับพี่ซันยืนอยู่ซุบซิบนินทากันใหญ่ แต่คงจะเพลินกับการกระซิบมากไปหน่อยจนลอยเข้ามาในหูของผม


‘ชอบก็เข้าไปขอเบอร์เลยสิย่ะ’ ผมชะงักมือที่กำลังหยิบดูถุงข้าวสารมากมายหลายยี่ห้อที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอียงหูฟัง ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกครับ ถ้าก่อนหน้านี้สายตาผมไม่หันไปมองตามว่าคนที่สาวๆ กำลังซุบซิบกันอยู่น่ะเป็นใคร


แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อสายตาของผมไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงของคนคุ้นเคยที่กำลังยืนดูของใช้ส่วนตัวอยู่ตรงหัวมุมทางเดิน ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ประมาณสามสิบเมตรเห็นจะได้
    

‘บ้าเหรอแก...ถ้าเขามากับแฟนเขาล่ะ’ เธอตอบกลับเพื่อนเขินๆ ก่อนจะหันไปมองพี่ซันอีกที


‘ก็เห็นอยู่ว่าเขามาคนเดียว’


ผมหันไปเหล่มองกลุ่มสาวกลุ่มนั้น


เขามากับผมเว้ยพี่!!
 

ตะโกนบอกออกไปผ่านทางสายตา แล้วหันไปมองพี่ซันเหวี่ยงๆ ทำไมกูไม่เกิดมาหล่อแบบพี่มันบ้างวะ อย่างน้อยจะได้ดึงดูดสายตาคนอื่นให้ห่างออกจากพี่มันได้บ้าง อ๊าก เซ็ง!


‘มีอะไรทำไมมองกูแบบนั้น’ ผมสะดุ้ง หันไปมองหน้าคนถามที่เดินมาถึงตัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่ซันเลิกคิ้วรอคำตอบมือหน้าขยับไปจับที่รถเข็นเพื่อขยับเลื่อนให้คนที่เดินผ่านเราเดินได้สะดวกมากขึ้น


‘เปล่าครับ’ ผมตอบ รู้หรอกว่าพี่มันอยู่ของมันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร คนอื่นต่างหากที่ไปชอบพี่มันเองอันนี้ผมพอเข้าใจนะเพียงแค่อดที่จะไม่พอใจไม่ได้เท่านั้นเอง


‘เปล่า...แล้วทำหน้าแบบนั้นทำไม’ พี่ซันถามต่อพร้อมกับเลิกคิ้วยิ้มๆ ก่อนจะแกล้งมายืนช้อนหลังผมไว้ทำทีเหมือนกำลังยืนดูสินค้า แต่มืออีกข้างกำลังยกขึ้นมาแตะที่สะโพกของผมเนียนๆ จนผมหลุดยิ้มออกมาจนได้


ไอ้พี่บ้า…


‘เอ่อ...ขอโทษนะคะ’ ผมขยับออกห่างจากพี่ซัน เมื่อมีเสียงบุคคลที่สามเอ่ยขึ้นมา ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพี่ซัน ผมหันไปมองหน้าพี่มันก่อนจะกลั้นขำเมื่อเห็นพี่มันทำหน้ายุ่งยากใส่บุคคลใหม่ที่เข้ามาทัก


หญิงสาวที่ยืนกระซิบกระซาบเรื่องพี่ซันกันก่อนหน้านี้นั่นแหละครับ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่ดูทะมัดทะแมงกว่า ผมแอบเห็นเพื่อนที่เหลืออีกสองคนของเธอกำลังยืนหลบมุมแอบเชียร์อยู่ใกล้ๆ จุดที่พวกเธอยืนอยู่ครั้งแรก


‘ครับ’


ผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยรับแทนเนื่องจากพี่ซันมันไม่แม้แต่จะหันไปมองเธอเลย


‘คือว่า...เพื่อนฉันอยากจะรู้จักกับพี่ชายของคุณน่ะค่ะ” ผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยเอ่ยขึ้นมาติดขัดใบหน้าหวานก้มงุด ก่อนที่เพื่อนสาวของเธอที่มาด้วยกันจะเป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาแทนแบบตรงประเด็น...โคตรๆ
    

ผมยิ้มค้าง พร้อมกับเบนสายตาขึ้นไปมองคนข้างกายที่มองมาที่ผมเหมือนกัน ผมเลื่อนจากสายตาพี่ซันหันไปมองกลุ่มพี่สาวกลุ่มนั้น รอฟังว่าพี่ซันจะตอบพวกเธอกลับไปยังไง


‘ขอโทษที่เสียมารยาทนะแต่ผมคงไม่สะดวก’


ผมก้มหน้าอมยิ้ม แกล้งมองดูสินค้าข้างๆ เหมือนไม่ได้ฟัง


‘ไม่เป็นไรค่ะฉันเข้าใจ แต่...แค่อยากรู้จักชื่อไว้แค่นี้พอจะได้มั้ยคะ’ ผมจ้องป้ายฉลากสินค้าตรงหน้าเขม็ง นับถือในความพยายามของพี่สาวคนนั้น
    

‘พี่ ผมไปดูของตรงนั้นนะครับ’ ผมชี้ไปทางช่องผลิตภัณฑ์ทำความสะบาดหน้า


‘ไม่ต้อง ไม่ได้จะคุยอะไรนานขนาดที่มึงจะทนรอไม่ได้’ พี่ซันรั้งข้อศอกผมไว้ ผมทำหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมยืนรอตามที่พี่มันบอก พี่ซันหันกลับไปอยู่พี่ผู้หญิงกลุ่มเดิมอีกครั้ง


‘ไม่เข้าใจคำว่าไม่สะดวกเหรอครับ...ขอตัวนะครับ’ พี่ซันจ้องหน้ากลุ่มพี่ผู้หญิงแล้วพูดออกมาเสียงเรียบด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายสุดๆ


‘เอ่อะ ขะ...เข้าใจค่ะขอตัวนะคะ’ พี่คนที่เป็นแกนนำในครั้งแรกหน้าเจื่อนทันทีที่พี่ซันพูดจบก่อนจะรีบปรับสีหน้าเหวอๆ ของตัวเองเพื่อตั้งสติแล้วพูดขอโทษพี่ซันพร้อมกับลากเอาเพื่อนสาวอีกสองคนที่ยังยืนหน้าเหวออยู่กลับไปที่เดิม ได้ยินเสียงบ่นที่ผมได้ยินถึงกลับกลั้นขำไม่อยู่


‘ดุอย่างกับหมา’


‘พอใจยัง’ พี่ซันหันกลับมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามกวนๆ ผมกลั้นยิ้มแล้วย่นจมูกใส่คนตัวสูงกว่าแสร้งเดินหนีไปดูของต่อ ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ตามหลังมาไม่ห่าง


จะงอนทั้งทีก็ต้องเอาให้ถึงที่สุดสิครับไม่งั้นเสียฟอร์มแย่ดิ…


กลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบัน


“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”


ผมหันไปแลบลิ้นใส่พี่มันเพราะไม่ได้เคืองอะไรแล้ว


“เฮ้ยระวัง! / โอ๊ะ!!”


ผมร้องด้วยความตกใจ เมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านหน้า ด้วยความไม่ระวังตัวทำให้ผมเซจะล้ม ผมหลับตาคิดว่าต้องล้มแน่ๆ แต่กลับมีมือหนาสอดเข้ามารับสะโพกของผมทั้งสองข้างแล้วช่วยพยุงไว้ไม่ให้ล้มหน้าทิ่ม


“แฮ่ๆ ขอโทษครับ” เมื่อทรงตัวได้ผมรีบหันไปหาผู้ช่วยเหลือ แล้วโค้งหัวขอโทษคู่กรณีที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ล้มไปนี่...ปูนทั้งนั้นเลยนะเว้ย


“ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายยิ้มรับด้วยความเป็นมิตร


“ไปกันเถอะ” พี่ซันยื่นมือมาแตะที่ข้อศอกผมเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบบอก ตาคมปรายตามองคู่กรณีผมนิดๆ ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“เดี๋ยวครับ!!” ผมชะงักขา หันกลับไปที่คู่กรณี


“ครับ?”


“คือน้องพอจะมีเบอร์โทรมั้ยครับ พี่ชื่อพฤษนะ” ผมเลิกคิ้ว เมื่อโดนอีกฝ่ายขอเบอร์เอาซึ่งๆ หน้า อย่าบอกนะว่าพี่เขา…


หมับ!


“ขอโทษครับ พอดีเรามีธุระต่อ ไม่ว่าง” พี่ซันเดินเข้ามือมาพาดไหล่ผมไว้ข้างหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายตอบแทนผม


ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้อีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ แล้วเดินตามแรงลากของพี่ซันที่มือหนึ่งเข็นรถและอีกมือยังพาดอยู่ที่ไหล่ผมไม่ยอมเอาออกจนเป็นผมต้องยื่นมือไปช่วยบังคับรถเข็นแทน


กึก...


ขาผมชะงักอยู่กับที่อีกครั้งเมื่อแขนข้างหนึ่งโดนรั้งเอาไว้ ผมหันกลับไปก่อนจะเหวอเมื่อไอ้คนที่ชื่อพฤษอะไรนั่นตามมาเกี่ยวแขนผมไว้อีก ไม่ลืมที่จะหันไปชำเลืองสีหน้าพี่ซันที่ตอนนี้เรียบสนิทไปแล้ว


“ผมขอแค่เบอร์น้องชายของคุณเองครับไม่เสียเวลามากหรอก” ชายคนเดิมหันไปพูดกับพี่ซันยิ้มๆ พร้อมกับคว้าโทรศัพท์ของตัวเองออกมายื่นให้ผมด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนกับสายตาของพี่ซัน


“ต้องขอโทษด้วยครับพี่ ผมคงให้ไม่ได้จริงๆ” ผมตอบพลางยิ้มแหยส่งไปให้เขา มึงช่วยสังเกตสีหน้าของไอ้คนข้างๆ ตัวกูหน่อยสิโว้ย มันจะกินหัวมึงกับกูอยู่แล้วเนี่ย!!


“ไปเหอะพี่” ผมหันไปหาพี่ซันแล้วกระตุกแขนเร่ง ไม่ลืมหลบสายตาคมกริบที่กำลังหงุดหงิด เสียวไส้แวบเลย


“ว๊า ที่เขาบอกว่าคนน่ารักมักใจร้ายสงสัยจะจริง” ขาสองข้างของผมหยุดกึกอีกครั้งเมื่อคนด้านหลังยังส่งเสียงกวนมาอีก ผมเห็นพี่ซันขบกรามแน่น


“ไอ้เวรนั่นมันจะเอาให้ได้ใช่มั้ย”


พี่ซันพูดกระซิบเสียงรอดไรฟันแล้วปรายตาดุมาหาผมอย่างขอความคิดเห็น ผมรีบยิ้มเอาใจ


“รีบไปเถอะครับ อย่าไปสนใจเลย” ผมกระซิบกลับไปเบาๆ แล้วลากแขนพี่ซันไปอีกด้าน เพราะกลัวว่าเขาจะได้ยินเหมือนกัน ถ้าเรามองข้ามไปซะ เดี๋ยวเขาก็คงเลิกไปเอง โชคดีที่พี่เขาไม่ได้ตามเรามา


++++++++++++++++++++++


“อ๊ะ”


ทันทีที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของห้องนอนส่วนตัวพี่ซันก็เหวี่ยงผมไปที่กำแพงทางเดินติดผนังห้องแล้วตามมาคร่อมไว้ด้วยข้อมือหนาทั้งสองข้าง สายตาของพี่ซันยังหงุดหงิดไม่หาย


ตอนขับรถกลับมาก็ทำเอาผมใจหายใจคว่ำเพราะพี่มันเล่นเหยียบแล้วแซงเหยียบแล้วแซงพอไม่ได้ดั่งใจก็สบถเป็นคำหยาบออกมา ผมปิดปากเงียบสนิทเพราะไม่อยากโดนลูกหลงจากพายุบ้าของพี่มัน


พอพี่มันจอดรถได้ก็รีบเก็บของใส่มือแล้วเดินก้าวไวๆ ขึ้นห้องไม่พูดไม่จา ผมต้องรีบวิ่งตามมาพอเปิดประตูเข้ามาเท่านั้นแหละ พี่มันวางของลงพื้นก่อนจะเดินกลับมาจับข้อมือผมเหวี่ยงใส่กำแพงเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้


“พี่จะทำอะไร” ผมถามออกไปพยายามไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นเมื่อสบตาเข้ากับสายตาคมดุที่จ้องมองผมเหมือนเสือรอขย้ำเหยื่อ


“ลงโทษ”


“ละ...ลงโทษอะไร”


“ลงโทษที่มึงยอมให้ไอ้เหี้ยนั่นแตะมึงไง” อื้ม เหตุผลงี่เง่าสิ้นดี พี่ซันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ผมต้องยกมือสองข้างขึ้นดันอกพี่มันไว้เกร็งๆ


หวังว่าคงจะไม่ฆ่าผมหมกห้องหรอกนะ


“อ๊ะ...อื้อ เดี๋ยว ผมยังไม่ได้ทำอะไรแบบที่พี่ว่าเลยนะ” ผมท้วงเสียงหลงพร้อมกับพยายามหดคอหนีการรุกล้ำของริมฝีปากคนเอาแต่ใจ


“เจ็บนะ!” ผมร้องอีกครั้ง เมื่อพี่ซันไม่ยอมเอ่ยปากตอบอะไรกลับมา แต่กลับยื่นหน้ามากัดแก้มขาวของผมเต็มแรงเจ็บจนน้ำตาเล็ด ผมยกมือขึ้นมาลูบที่แก้มของตัวเองก่อนจะฟาดมือลงไปที่อกแกร่งแรงๆ เพื่อระบายความเจ็บ


“ก็ตั้งใจทำให้เจ็บ”


“ฮะ” บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจพี่ซันเลยสักนิด “อื้อ!” ยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรริมฝีปากหนาของพี่ซันก็โฉบลงมากดจูบที่ปากผมหนักๆ อีกครั้งแล้วผละออก


“จำไว้ว่าคนเดียวที่แตะต้องมึงได้...คือกู”


ผมกำลังจะอ้าปากทักท้วงก็ต้องปิดปากสนิทเมื่อริมฝีปากหนาก้มลงมาปิดปากผมอีกรอบทันที พี่ซันสอดมือมารองต้นคอผมดึงเข้าไปรับจูบ


“อื้อ...พี่ซัน อ๊ะ นี่มันยังกลางวันอยู่เลยนะ” ผมพยายามดันอกคนที่กำลังฉกฉวยจูบตัวเองให้ออกห่างแล้วพูดเสียงกระเส่าปนหอบ เพราะโดนขโมยอากาศหายใจ


“คิดว่ากูแคร์มั้ย”


ผมอ้าปากค้างกับคำตอบที่ได้รับ พี่ซันยกมือขึ้นมาเสยผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่ผมเอาแต่หลบเลี่ยง เขาถอยหนึ่งก้าวคว้าแขนผมลากเข้าไปในห้อง


พี่ซันเดินนำเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขก ก่อนจะออกแรงกระตุกมือผมให้เซไปนั่งลงบนตักกว้างในสภาพหันหน้าเข้าหากัน


ผมเบิกตากว้างรีบคว้าจับไหล่ของคนตัวโตกว่าไว้มั่น ใจสั่นกับการกระทำที่แสนจะดุดันในครั้งนี้ของพี่ซัน รู้สึกเหมือนมีคนตีกลองอยู่ข้างหู ใบหน้าหล่อเหลาของพี่ซันดูหงุดหงิดและแฝงไปด้วยความดุดันแต่กลับดูมีเสน่ห์น่าหลงไหลไปอีกแบบ


ทุกการกระทำของคนตรงหน้าตอนนี้บอกเลยว่ามันกำลังให้ผม...ตื่นเต้น!


“อื้อ...” พี่ซันสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาวของผม ปลายนิ้วร้อนค่อยๆ บรรจงลูบไล้ไปที่ยอดอก เคล้นคลึงอย่างเอาแต่ใจ


“ชอบมั้ย”


ผมกัดริมฝีปาก


เมื่อเห็นผมไม่ตอบ พี่ซันเคลื่อนริมฝีปากหนาไปที่ข้างหูผมก่อนจะเริ่มขบเม้มติ่งหูราวกับหยอกเย้าให้ผมคลั่งกับบทเรียนครั้งใหม่นี้ ผมค่อยๆ เบียดสะโพกของตัวเองบดคลึงไปกับตักหนาโดยไม่รู้ตัว ก่อนเริ่มสัมผัสได้กับอาวุธที่ซ่อนอยู่ใต้สะโพกเริ่มขยับขยายเบียดกับช่องทางรักที่ยังมีกางเกงกั้นอยู่


“อ๊ะ” ผมกัดฟันแอ่นอกรับด้วยความเสียว เมื่อยอดอกกำลังถูกรุกล้ำด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนที่กำลังฉกฉวยลงดูดยอดอกที่กำลังแข็งขืนเป็นไตผ่านเนื้อผ้า โดยคนคุมเกมเป็นคนปลุกปั่นมันขึ้น


“อื้อ...อย่ากัด”


“ล้วงมันออกมาสิ” พี่ซันกระซิบชิดใบหูผม มือข้างหนึ่งคว้ามือผมไว้แล้วจับไปวางบริเวณแก่นกายของตัวเองที่คับแน่นดุนเนื้อผ้าออกมาจนเห็นได้ชัด


ฉ่า…


ผมเม้มปากแน่นถึงแม้ว่าจะเคยทำเรื่องอย่างว่ากันมาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ตะวันยังไม่ตกดินแถมห้องยังสว่างขนาดนี้จะไม่ให้เขินได้ยังไง นี่มันแกล้งกันชัดๆ เลย


“เร็วสิ ‘ชัก’ ช้า อย่าหาว่ากูใจร้ายนะ” พี่ซันมองหน้าผมด้วยสายตากรุ้มกริ่มในระยะประชิด


“พะ...พี่ ผมอาย”


ผมบอกเสียงสั่น


“คนทำผิดไม่มีสิทธิ์ต่อรอง” ประโยคเดียวทำให้ผมปิดปากสนิท พี่ซันมองผมด้วยสายตาตื่นเต้นและเฝ้ารอการตอบรับจากผม
ผมค่อยๆ ยื่นมือสั่นๆ ไปที่ซิบกางเกงของพี่ซัน ได้ยินเสียงขำอยู่ใกล้หู


ฟึ่บ!


ฉ่า…


พอรูดซิบกางเกงลงเท่านั้นความใหญ่โตของอีกคนก็โผล่พ้นออกมาจากกางเกงแถมตอนนี้มันยังกำลังชี้หน้าผมอยู่อย่างเยาะเย้ยจนต้องเบือนหน้าหนี โอ๊ย จะบ้าตายอยู่แล้ว


หมับ!


“อะ” พี่ซันคว้าหมับเข้าที่สะโพกผม แล้วยกตัวผมขึ้นก่อนที่จะกระซิบบอกผมชิดหูว่าให้รั้งกางเกงของพี่มันลง


รู้ว่าอายก็ยังจะแกล้ง!


แล้วนี่กางเกงผมหลุดตั้งแต่เมื่อไหร่!!


พี่ซันคว้ามือผมไปกอบกุมแก่นกายใหญ่ของพี่มันไว้อีกครั้ง พร้อมกับช่วยขยับมือผมขึ้นลงเป็นการสอน ผมเม้มปากแล้วค่อยๆ ทำตาม


“อ่า...ลองขยับมือเองสิ ทำเหมือนที่มึงทำให้ตัวเอง” พี่ซันครางเบาๆ แล้วร้องสั่ง พร้อมกับยื่นหน้ามาบดจูบกับริมฝีปากผมพลางสอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวพันดูดดุนกับลิ้นของผม


ผมเริ่มขยับมือขึ้นลงช้าๆ แล้วเร่งจังหวะสลับหนักเบา


“อืม...ซี้ด พอแล้ว อ่ะนี่...ทาให้หน่อยถ้าไม่อยากเจ็บ” มือที่กำลังขยับหยุดชะงัก “ไม่ต้องเถียงอย่าลืมนะว่ามึงมีความผิดอยู่” แม้จะไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ผมก็ยื่นมือไปรับเจลหล่อลื่นจากอีกคนมาด้วยใบหน้างอง้ำที่รู้ตัวว่าโดนแกล้งเป็นครั้งที่สอง
   

ผมเทเจลลงบนฝ่ามือด้วยอาการสั่นๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบไล้แก่นกายอีกคนสะเปะสะปะไปทั่ว โดยเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
พี่ซันไม่ได้ว่าอะไร แต่เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายกลับไปเล่นที่ยอดอกชูชันของผม ลิ้นหนาค่อยๆ กวาดต้อนไปรอบๆ จนผมเผลอคราง มือหนาของพี่ซันข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมแก่นกายของผมแล้วเริ่มขยับมือให้เป็นจังหวะ


มือผมที่อยู่บนแก่นกายเขาขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ แต่คนขี้แกล้งก็ยังเป็นคนขี้แกล้งอยู่วันยังค่ำเมื่อพี่ซันหยุดมือทำให้ผมล่มปากอ่าวกะทันหัน


ผมชะงักกึก ลืมตาโพรงเห็นใบหน้ายียวนของพี่ซัน เลยฟาดมือไปที่ไหล่กว้างของพี่มันเต็มแรง พี่ซันหัวเราะ “กูไม่ยอมให้มึงถึงเพราะไอ้นี่หรอก” พูดจบก็ยกมือขึ้นมาชูว่าไอ้นี่น่ะคืออะไร ทำเอาผมฉุนกึก


“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเซ่! แกล้งกันอยู่ได้!”


มันน่าฟาดให้ปากแตกสักที เมื่อกี้ผมเกือบจะถึงอยู่แล้ว


“อ๊ะ!”


ผมจับบ่าพี่ซันแน่น เมื่อพี่มันใช้สองมือยกตัวผมขึ้นจากตัก ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยน้ำหนักผมลง


“อื้อ...พี่จะทำ อึก...อะไร” ผมร้องถามเสียงสั่นเมื่อช่องทางด้านหลังกำลังถูกจับกดให้นั่งลงไปทับแก่นกายอีกคนที่ตั้งรออยู่เบื้องล่าง ผมบีบไหล่พี่ซันข่มกลั้นความเจ็บไว้เมื่อช่องทางด้านหลังเริ่มกลืนกินแก่นกายอีกคนทีละนิด


“ซี้ด...อย่าเกร็ง ผ่อน อื้ม...ผ่อนคลายหน่อย”


พี่ซันบอกทั้งๆ ที่ใบหน้าหล่อกำลังบิดเบี้ยว ผมพยายามพ่นลมหายใจเข้าออก ก่อนจะค่อยๆ กดตัวลงไป นิ้วจิกลงไปที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าของพี่ซันเพื่อระบายความเจ็บ แต่ก็เข้าไปได้แค่ครึ่งเดียว


“อึก...ผมไม่ไหวแล้ว...เจ็บ” ผมบอกเสียงสั่น พี่ซันฉีกยิ้มมุมปากเป็นการปลอบ


“ไม่เป็นไร ชู่ว เด็กดีไม่ต้องร้อง” พี่ซันกระซิบบอกเสียงพร่า ยื่นหน้ามาจูบซับที่หางตาผม ขณะสองมือช่วยประคองสะโพกผมไว้ ก่อนจะขยับที่นั่งหามุมใหม่เพื่อช่วยให้ผมนั่งสบายมากขึ้น ผมรู้ว่าพี่มันก็เจ็บเหมือนกัน


“ซี้ด...”


เพราะการขยับส่งผลให้เกิดการเสียดสีของช่องทางที่ฉ่ำไปด้วยเจลหล่อลื่นทำให้ผมเริ่มขยับได้มากขึ้น
“ค่อยๆ ขยับนะ”


พี่ซันพูดบอกเสียงอบอุ่น ผมพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกของตัวเองเข้าออกช้าๆ แม้จะเจ็บจากการเสียดสีของช่องทางด้านหลังแต่เมื่อเห็นสีหน้าทรมานของพี่ซัน ผมก็ได้แต่กัดฟันค่อยๆ ขยับสะโพกลากวนไปรอบๆ


“อื้อ...พะ...พี่ซัน”


“ซี้ด...เก่งมากครับ อืม...แบบนั้น”


“อื้อ ขะ...เข้าได้แล้ว”


พี่ซันหลุดขำยื่นมือมายีหัวผม


ก่อนที่จะ…


“อื้อ!!!” กระแทกสะโพกสวนขึ้นมาจนผมถึงกับมือไม้อ่อน ตามด้วยจังหวะช้าๆ เนิบๆ มือหนาสองข้างจับยึดสะโพกของผมเพื่อคุมจังหวะ ไม่รอให้ผมได้ตั้งตัวก็ต้องครางเสียงหวานเพราะความคับแน่นที่เสียดสีกัน


“ซี้ด...ตอดแบบนี้เดี๋ยวไม่ได้นอน” เราสองคนช่วยกันขยับเข้าออกสวนรับกันเป็นจังหวะ ผมรู้สึกมวลในท้องน้อยจนกลั้นเสียงครางไม่อยู่ ขยับเอววนรอบอย่างได้ใจ


“แม่งรัดดีจริงๆ”
   

“ย อย่าพูด...อื้อ” ผมร้องบอกเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะการอยู่ด้านบนทำให้ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ แต่ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าอยู่ในท่านี้แล้วมันทำให้
    

…รู้สึกมากกว่าทุกที…


“ซี้ด...” เสียงเข้มครางเสียงพร่าในลำคอมือหนาที่กอบกุมอยู่ที่ส่วนอ่อนไหวผมขยับเข้าออกเป็นจังหวะถี่รัว ในขณะที่สะโพกหนาก็เด้งกลับสวนรับผมไม่ขาดตอน เหงื่อเม็ดโตผุดเกาะไปตามลำตัวและใบหน้า


“อื้อ...พี่ ผมรักพี่นะ” เมื่อหนทางใกล้จะสิ้นสุดผมเอ่ยปากบอกคนด้านล่างเสียงสั่น สองมือยังคงเกาะยึดอยู่ที่ไหล่หนา พร้อมกับขยับจังหวะสะโพกถี่เร็วขึ้นจนน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมาเลอะเต็มบริเวณหน้าท้องแกร่งแล้วหอบแฮ่ก
พี่ซันครางรับในลำคอ มือหนาสองข้างจะเลื่อนลงไปที่สะโพกผมเพื่อจับยึดแล้วพลิกร่างผมให้นอนราบไปกับโซฟา ก่อนจะกดตัวเข้ามาที่ช่องทางด้านหลังของผมอีกครั้งแล้วเริ่มขยับสะโพกเข้าออกเป็นจังหวะปลุกอารมณ์ของผมให้ติดเครื่องอีกครั้ง
   

และอีกครั้ง...




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 28 : Begin Again (NC)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 22-08-2018 05:40:56
 :m25: :m25: ขี้หึงแล้วหื่นอ่ะอิพี่ซัน
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? (ดราม่า x คอมเมดี้) 28 : Begin Again (NC)
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 22-08-2018 09:07:34
 :katai1: ไม่ใช่ตอนต่อไปมาม่าชามโตนะอยากให้ซันกับบีทส์หวานกันก่อนอุตส่าห์ตกลงคบกันแล้วยังไม่อยากกินมาม่า
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 29 : ของฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 23-08-2018 19:02:19

ตอนที่ 29 :: ของฝาก


[บีทส์]


ครืด...ครืด…


ผมหยุดมือที่กำลังตัดขนมปังอยู่วางมีดไว้บนเขียงไม้ ก่อนจะยื่นมือไปล้างเศษขนมออกที่ซิงค์น้ำเช็ดผ้ากันเปื้อนลวกๆ ตอนนี้ผมกำลังทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ สำหรับเราสองคนอยู่น่ะครับ ส่วนพี่ซันน่าจะอาบน้ำอยู่ผมได้ยินเสียงอาบน้ำแว่วๆ


“ครับ”


ผมกดรับ ก่อนจะเอาแก้มแนบไปกับโทรศัพท์ ใช้ไหล่ประคองโทรศัพท์ให้แนบไปกับหู แล้วเดินกลับมาที่ครัวขนาดเล็กในห้องพี่ซัน


“อรุณสวัสดิ์ครับบีทส์”


เสียงหล่อดังมาตามสาย ผมขมวดคิ้วเพราะจำเสียงของปลายสายได้


“ครับพี่เจ”


ตอบรับพลางหั่นขนมปังจัดใส่จานเหมือนที่เคยทำประจำ อาหารง่ายๆ แบบนี้ไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรมากมาย แถมยังประหยัดได้อีกด้วยนะครับ เหมาะสำหรับคนที่อยู่หอหรือมีเวลาทานอาหารเช้าไม่มาก ใส่พวกผักไปด้วยก็ได้สารอาหารที่ทรงคุณค่าแล้ว จริงๆ ผมก็พูดโม้ไปแบบนั้นล่ะครับ พอดีเมื่อเช้าผมตื่นสายเลยทำข้าวต้มไม่ทัน แหะๆ


“ทำอะไรอยู่เรา พี่โทรมากวนรึเปล่า” พี่เจถามต่ออย่างอารมณ์ดี ผมหัวเราะแห้งๆ ยกจานขนมปังมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วกลับไปชงกาแฟให้กับคนที่อยู่ในห้อง


พี่ซันทานกาแฟดำครับ ส่วนผมก็นี่เลย ‘นมสด’ คุณนายบอกว่านมดีต่อสุขภาพครับ ผมเคยชวนให้พี่ซันทานนมแทนกาแฟนะแต่พี่มันบอกว่าแค่นี้มันก็สูงจะแย่แล้วให้ผมกินน่ะดีแล้ว (พอโดนพี่มันหลอกด่าผมก็เลยเลิกเซ้าซี้)


“กำลังนั่งกินขนมปังอยู่ครับ เดี๋ยวก็ไปมหาลัยแล้ว” ผมตอบ พลางเหลือบมองพี่ซันที่กำลังก้าวออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวเปียก มือหนากำลังวุ่นวายอยู่กับการถูผ้าขนหนูไปกับผมเปียกหยาบๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วแกล้งสลัดน้ำใส่ ผมเอียงหน้าหลบเพราะกลัวน้ำจะโดนโทรศัพท์ พี่ซันหัวเราะหึๆ เดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง (พอใจเหลือเกินที่ได้แกล้งผม)


“ใคร”


พี่ซันเปิดปากถามแบบไร้เสียงแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ ผมยิ้มแหยๆ ก่อนจะยื่นหน้าจอไปให้พี่มันดูรายชื่อคนที่โทรเข้ามา ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเพราะผมเมมชื่อไว้ว่า ‘พี่เจ’


พี่มันเลิกคิ้วถาม “ไอ้เจ?”


ผมพยักหน้ารับ พี่ซันเฮอะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ผมทำท่าจะเรียกตามแต่ก็ไม่กล้าออกเสียงเพราะกลัวว่าคนที่อยู่ในสายจะได้ยินแล้วสงสัย


“มีอะไรรึเปล่าบีทส์” ปลายสายถามกลับมา


“เอ่อ...เปล่าครับ ว่าแต่พี่โทรหาผมทำไม” ผมถามกลับ แต่สายตาผมมองไปที่ประตูห้องนอน


“พี่แค่อยากเจอเราน่ะ พอดีไปเที่ยวมา เลยซื้อขนมมาฝากเยอะเลย” พี่เจเอ่ยบอกพร้อมกับหัวเราะ ได้ยินเสียงเอ่ยแซ็วแทรกเข้ามา...น่าจะเป็นพี่ไลท์มั้งครับ


ผมหันไปมองที่ประตูห้องนอนอีกทีหลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู เห็นพี่ซันเดินออกมาโดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้ที่บ่า ผมมองตามร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาก่อนจะลากเก้าอี้ตัวข้างๆ มานั่งติดกับผม มือหนาเอื้อมมาแย่งโทรศัพท์ที่ผมถืออยู่


“เฮ้ยพี่…” ผมร้องห้ามแบบไร้เสียง พี่ซันปรายตามองผมดุๆ ก่อนที่มือหนาจะหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบ ข้างหนึ่งเสียบใส่หูตัวเองส่วนอีกข้างที่มีไมค์พี่มันยื่นมาเสียบไว้ที่หูผมก่อนที่มือข้างหนึ่งของพี่ซันจะวางเท้าเก้าอี้ผมไว้ แล้วขยับเอียงตัวมาแนบติดกับตัวผมเพราะกลัวหูฟังจะหลุด


โอ๊ย มุมนี้เล่นเอาผมใจสั่นแต่เช้าเลยครับ!


“พูดไปสิ”


พี่ซันเอียงหน้ามามองผมแล้วออกคำสั่งกับผมอีกครั้ง คือหูฟังมันก็ไม่ได้ยาวมากไงครับทำให้ตอนนี้ผมกับพี่ซันแทบจะสิงกันอยู่แล้ว


“คือผมเกรงใจอ่ะพี่ ไม่น่าซื้อมาเลยเสียดายตังค์” ผมเกรงใจจริงๆ นะ แม้จะรู้อยู่นิดนึงก็เถอะว่าพี่มันอยากจะเต๊าะผม เลยซื้อของมาให้


“เกรงใจทำไม คนกันเองน่า ว่าแต่จะเข้ามากี่โมงพี่จะได้แวะเอาไปให้” พี่เจถามต่อ ผมหันไปมองหน้าพี่ซันเพื่อถามความเห็น พี่มันจ้องหน้าผมเขม็งแล้วส่ายหัว มือหนาเลื่อนมาเกาะอยู่ที่สะโพกผมแล้วออกแรงลูบ ผมตีมือพี่มันเป็นการปรามถามว่าพี่มันสลดไหม


...ไม่เลยครับ…หน้าโคตรด้าน


“ว่าไงบีทส์ จะเข้ามากี่โมง”


“ไม่แน่ใจเลยพี่ ถ้าพี่เจอเพื่อนผมก็ฝากพวกนั้นไว้ก่อนได้นะครับ” ผมอึกอัก ตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้


“ได้ไง...บอกแล้วไงว่าอยากเจอ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับไม่ได้เจอหน้าบีทส์เลย รู้มั้ยว่าพี่คิดถึง” พี่เจหัวเราะแล้วตอบกลับ ผมยิ้มแหยๆ ไอ้พี่คนนี้หยอดได้เป็นหยอดเลยเว้ย


“วู้ว คิดถงคิดถึงอะไรกัน จั๊กจี้” ผมหัวเราะขำๆ กับคำหยอดของพี่เจ แล้วเปลี่ยนประเด็น “ขอบคุณนะครับสำหรับของฝากแต่คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ อ๊ะ ผมต้องรีบไปแล้วกลัวตกรถ แค่นี้ก่อนนะพี่ สวัสดีครับ” ตอบกลับพลางเอี้ยวตัวหนีมือไอ้คนหน้าด้านข้างๆ ที่ฉวยสอดมือเข้ามาในเสื้อผม ก่อนเลื่อนมือสูงขึ้นเรื่อยๆ ใช้ปลายนิ้วสะกิดยอดอกจนผมตัวงอเลยต้องรีบตัดบท เพราะมือที่เหลืออยู่ข้างเดียวของผมไม่สามารถปัดป้องมือที่กำลังกลายร่างเป็นปลาหมึกของพี่ซันได้เลย แม่ง...


ผมรีบกดวางสายแล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนจะยื่นมือไปตีมือที่กำลังรุ่มร่ามอยู่บนตัวผมของพี่ซันแรงๆ จนพี่มันหดมือกลับ แต่เสือกขยับตัวมาใกล้ โดยที่ผมนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะส่วนพี่มันหันเก้าอี้เข้าหาผม เท้าทั้งสองข้างของพี่มันก็วางพาดอยู่ที่เก้าอี้ของผมเช่นกัน


“บีทส์” พี่ซันเรียกพลางเลื่อนมือไปถอดหูฟังจากหูตัวเองยื่นให้ผม


“ครับ”


ผมขานรับพลางเก็บโทรศัพท์กับหูฟังไปไว้ข้างๆ ตัว


“รู้ใช่มั้ยว่ามันสนใจมึง”


ผมกระพริบตาขึ้นลงปริบๆ ก็พอรู้อยู่หรอกเพราะพี่มันชอบมาวอแวตั้งแต่ไปเข้าค่ายแล้วก็ตามผมมาตลอด แต่ผมไม่คิดว่าพี่เจจะจริงจังอะไรนี่


“ผมไม่แน่ใจ...เพราะไม่คิดว่าพี่เขาจะชอบผมจริงๆ” พี่ซันเลิกคิ้ว “เก๊าะ...พี่เขาแมนออก” ผมเสียงอ่อยท้ายประโยค พี่ซันเฮอะในลำคอ ยื่นมือมาดีดหน้าผากผม


“โอ๊ย...ทำร้ายร่างกายเค้าเหรอ~” ผมแสร้งโอดโอย ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเอง


พี่ซันยิ้มเย็นๆ “มึงบอกไม่แน่ใจว่ามัน ‘เป็น’ แล้วอย่างกูเนี่ย...” เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “น่าเป็นนักรึไง”


ผมหลุดยิ้ม “ฮั่นแน่...หึงก็บอก”


พี่ซันส่ายหัว “กูแค่เสียดาย เซ่อๆ อย่างมึง...ไม่รู้จะไปคลำหาที่ไหนได้อีก” ตอบพลางแกล้งยื่นขาเตะเก้าอี้ผมสะเทือน ชิส์ ไอ้คนปากแข็ง!!


“อย่าเข้าใกล้มันถ้าไม่จำเป็น ถือว่าทำเพื่อความสบายใจของกูก็แล้วกัน”


พี่ซันพูดเสียงเรียบ ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มนั่น พี่ซันเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตา ผมยิ้มเอาใจ พลางยื่นนิ้วไปจิ้มไหล่


“นี่...”


พี่ซันหันกลับมามองหน้าผม


“เชื่อเถอะครับ ผมไม่เคยวิ่งเข้าหาเขา...เหมือนที่วิ่งเข้าหาพี่” ผมพูดติดตลก


“กูไม่ได้พูดเล่น”


พี่ซันบอกเสียงจริงจังก่อนจะลุกกลับไปนั่งที่เดิมแล้วลงมือกินกาแฟกับขนมที่ผมทำให้เงียบๆ ผมแกล้งยื่นขาไปเตะพี่มันใต้โต๊ะ ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมาเลิกคิ้วให้


“ผมเองก็จริงจังนะ” ผมบอกเสียงดังฟังชัด


พี่ซันมองหน้าผมนิ่ง ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม พร้อมยื่นมือมายีหัวผม


“หึ รีบกินเถอะเดี๋ยวจะสาย”


ผมยิ้มรับก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวไปมหาลัยพร้อมพี่ซัน


+++++++++++++++++++++++++


“กดอะไรนักหนา” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์พร้อมกับหันไปหาคนข้างๆ ที่กำลังขับรถอยู่ ตอนนี้รถติดไฟแดงอยู่ครับพี่มันเลยหันมาจ้อง(จับผิด) ผมได้


“อะไรเล่า” ผมยู่ปาก


“ผัวมึงนั่งหัวโด่อยู่นี่” พี่ซันว่าต่อไม่จริงจัง แหมๆ เดี๋ยวนี้ผัวเมียนี่หลุดออกมาจากปากบ่อยซะเหลือเกินนะ


“ชิส์...ทำเป็นบ่น เอ้อ ของขวัญที่ผมเคยให้พี่ ยังอยู่หรือเปล่าครับ” ผมกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะหันไปถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยให้ของขวัญวันเกิดพี่ซัน ไม่เคยเห็นเลย แอบเสียใจนะเนี่ย พี่ซันเลิกคิ้วพร้อมกับพยายามนึก


“อย่าบอกนะว่าทิ้งไปแล้วอ่ะ”


“แล้วถามถึงทำไม” พี่ซันถามกลับไม่ตอบ


“นึกว่าพี่จะเอามาใช้ซะอีก” ผมอ้อมแอ้มตอบ


“แล้วให้อะไรกูมาล่ะ” พี่ซันถามต่อ ชิส์ แม้แต่แกะก็ยังไม่ได้แกะหรอกเหรอเนี่ย บ๊ะ ไอ้พี่บ้านี่ไม่คิดจะสนใจของขวัญที่ผมให้เลยใช่ป๊ะ ใช่ซี้ตอนนั้นมันไม่เหมือนตอนนี้นี่!


“จ้างให้ก็ไม่บอก” ผมตอบ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแกล้งไม่สนใจคนข้างๆ พี่ซันขำในลำคอ กระดิกนิ้วขับรถอย่างอารมณ์ดี


“เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมหันไปบอกคนขับรถที่วนมาจอดส่งผมที่ตึกคณะข้างๆ กับตึกที่ผมเรียน


“อย่าลืมเรื่องที่กูบอกนะ” พี่ซันเอ่ยปากบอก ผมเลิกคิ้วเรื่องไหนอีกล่ะก็รู้อยู่ว่าผมความจำไม่ค่อยดีแต่ก็ชอบพูดสั้นๆ ไม่มีประธาน กิริยา กรรม อะไรเล้ย แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง


“เรื่องไอ้เจ” ไอ้คนหน้าหล่อจิ๊ปาก พร้อมกับเอ่ยบอกในเรื่องที่ต้องการจะย้ำ ผมร้องอ๋อ ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูลงจากรถ


“ไปนะครับ” ผมเดินอ้อมมาที่ประตูฝั่งขนขับแล้วบอกพี่ซันที่เปิดกระจกลง


“มานี่ดิ๊อะไรติดหน้า” พี่ซันเอ่ยเรียกพลางกระดิกนิ้ว ผมเลยยื่นหน้าเข้าไปหาเพื่อให้อีกคนช่วยหยิบออกให้สงสัยเศษขนมปังจะติดหน้า


“อื้อ!...” ผมตกใจเมื่ออยู่ๆ พี่ซันก็คว้าหน้าผมเข้าไปใกล้มือหนาเลื่อนมาดึงท้ายทอยผมเข้าไปในตัวแล้วบังคับจูบ ริมฝีปากผมทาบทับลงไปที่ริมฝีปากอีกคนก่อนที่พี่ซันจะเอียงหน้าปรับองศาแล้วค่อยๆ สอดลิ้นเข้ามาเกี่ยวพันกับลิ้นผม ผมกระชับมือสองข้างที่เกาะอยู่ที่ขอบประตูรถแน่น พี่ซันผละหน้าออกห่างผมเว้นระยะห่างแค่คืบ ก่อนจะกดจูบย้ำมาที่ริมฝีปากผมอีกครั้ง


“ไปเรียนได้แล้ว”


มือหนาตบมาที่แก้มผมเบาๆ เพื่อเรียกสติ ผมสะดุ้งพลางลืมตา ก่อนจะถอยออกจากตัวรถแล้วเม้มปาก


เวร...


นี่กูเผลอเคลิ้มไปกับพี่มันอีกแล้วใช่ไหม พี่ซันยิ้มขำก่อนจะกดปิดกระจกรถพร้อมกับเคลื่อนตัวรถออกไป ผมมองตามตัวรถพร้อมกับหลุดยิ้ม


ไอ้พี่บ้า


ผมเดินมาคณะที่ตัวเองเรียนประจำ ‘ตึกบริหารฯ’ คือชื่อเรียกของสถานที่ที่ผมสิงสถิตย์อยู่ประจำครับ ปีหนึ่งทางมหาลัยจะให้เรียนวิชาพื้นฐานก่อน ดังนั้นในแต่ละเซควิชา จึงเป็นการเรียนรวมคละกันในหลายๆ สาขา และจะมีการหมุนเวียนเรียนไปในแต่ละตึกที่เป็นเจ้าของวิชา งงไหมครับถ้างงก็กลับไปอ่านใหม่อีกทีถ้ายังไม่เข้าใจก็กลับไปอ่านอีกสักทีนะครับ ฮ่าๆ


เอ๊ะ นั่นมันอิพิงค์นี่ ยืนคุยกับใครวะ


ผมรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เมื่อเห็นอิพิงค์กำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่ที่ข้างตึก ผู้ชายที่ไหนวะ อิพิงค์ดูซีเรียสมากเพราะผมเห็นมือไม้มันออกอาการชัดเจนก่อนจะสะบัดมือที่อีกคนเกาะกุมอยู่ที่แขนมันออกแรงๆ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนจะเจ็บใจตัวเองเมื่ออิพิงค์มันหันมาเจอผมก่อน เหมือนมันจะเอ่ยปากไล่คนที่ยืนคุยกับมันอยู่แล้วเดินเลี่ยงมาหาผม


ผมรู้ว่ามันแค่มารับหน้าผมไม่ให้เดินไปถึงคนของมันต่างหาก มันไม่ได้ใจดีถึงกับเดินมารับหน้าผมหรอกครับ


“คุยกับใครวะท่าทางซีเรียส” ผมเอ่ยปากถามทันทีพลางชะเง้อคอมองตามหลังผู้ชายคนนั้นไป เห็นแต่หลังไวๆ สูงพอๆ กับไอ้ตี๋เลยนะน่ะ หุ่นก็พอๆ กันเสียดายไม่เห็นหน้า


“ก็คนรู้จักแหละ” อิพิงค์กระชับกระเป๋าสะพายข้างใบโปรดของมันแล้วยักไหล่ตอบ ผมหรี่ตาแล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันเพื่อหวังจับผิด อิพิงค์หดคอหนี มึงมีความลับกับกูใช่ไหมฮะอิพิงค์


โป๊ก!


“โอ๊ย เคาะหัวกูทำไมวะ!” ผมโวยเมื่อไอ้คนที่กำลังโดนผมไล่ต้อนยื่นมือมาฟาดหัวเข้าให้ อิพิงค์ยืนเท้าสะเอว


“เอาเรื่องของมึงให้รอดก่อนเหอะก่อนที่จะมาเสือกเรื่องของกู” มันด่าเข้าให้ ผมยู่ปาก แหมทีเรื่องของกูไม่ต้องเชิญมึงก็เสือกเหมือนกันนั่นแหละครับเพื่อน


“เอ๊ะ...แล้วนี่มาเรียนยังไงพี่สุดหล่อของกูมาส่งใช่มะ ปากเจ่อๆ นะมึง แบบนี้โดนจูบก่อนลงรถชัวร์เลย แหมๆๆ ร้อนแรงแต่เช้า” ผมกำลังจะเอ่ยปากค้าน แต่โดนอิพิงค์เอ่ยสวนกลับมาด้วยหมัดฮุกตรง เล่นเอาผมหุบปากแทบไม่ทัน


เพื่อนเวรเล่นกูแต่เช้า T^T


“อะไร นี่กูกำลังถามมึงอยู่นะเว้ย”


“สรุปคือพี่สุดหล่อกูมาส่งจริงๆ แสดงว่าเมื่อคืนโดนไปหลายยกเขาเลยต้องมาส่ง ว๊าย มีผัวดีแบบนี้มึงหาให้กูสักคนสิกูอยากได้ กูอยากโดน~!” อิพิงค์เข้ามาเกาะแขนผมก่อนจะเขย่าพลางกรี๊ดใส่หูผม


“โว๊ะ มึงอย่าเวอร์ทางเดียวกันเหอะเลยมาด้วยกัน อย่าไปพูดแบบนี้ที่ไหนนะมึงคนอื่นได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง” ผมตอบพลางสั่งมันในขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปใต้ตึกคณะแล้วมุ่งไปที่โต๊ะประจำของเรา มันหัวเราะคิกคักแล้วพยักหน้าเออออ


“อ้าวบีทส์” เสียงไอ้ตี๋ร้องทัก นี่มึงจะมาทำไมแต่เช้าวะเนี่ยขยันเกินหน้าเกินตากูไปล่ะนะ (ทำไม่ได้เหมือนมันไง) ผมยิ้มรับวางกระเป๋าบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ มัน


“มาทำไมแต่เช้า” ว่าแล้วก็เอาซะหน่อยคันปากยิบๆ


“ก็มารอไง” ไอ้ตี๋ตอบ ผมหรี่ตารอใครของมึง


“แหมตี๋ มารอเราก็บอกอิบีทส์มันไปสิ ไม่รู้เหรอว่าอิบีทส์มันโง่ คิดเองไม่เป็นหรอก” อิพิงค์เอ่ยปากกัดผมพลางหัวเราะคิกคัก ผมขมวดคิ้วมองมองมันหน่ายๆ นี่มึงจะกัดกูไปถึงไหนฮะ ไอ้ตี๋กูเห็นนะว่ามึงแอบขำกู


“ทานข้าวกันมายัง” ไอ้ตี๋ถาม ผมพยักหน้ารับส่วนอิพิงค์ส่ายหัวพลางกระพริบตาปริบๆ อ้อนไอ้ตี๋ มีใครเคยบอกมึงไหมว่ามึงทำแล้วมันไม่ได้ดูน่ารักเลยพิงค์ ผมส่ายหัวกับอาการของเพื่อนตรงหน้า


“อ้าวเนม” ผมเอ่ยทัก เมื่อเนมเดินเข้ามาใกล้ถึงโต๊ะที่เรานั่ง เนมยิ้มให้ผมก่อนจะ เดินไปนั่งลงข้างๆ อิพิงค์ที่นั่งอยู่คนละฝั่งกับผม


“มาถึงกันนานแล้วเหรอ” เนมเอ่ยถามพวกเราเนิบๆ


“ไม่นานหรอก เราก็เพิ่งมาถึง” ผมหันไปตอบ


“เอาน้ำมั้ยเราไปซื้อให้” ไอ้ตี๋เอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืน อย่างที่ทุกคนคิดครับอิพิงค์ลุกตามทันที โอ๊ยเพื่อนกู ฮ่าๆ


“เลี้ยงด้วย” ผมบอกพร้อมกับยิ้มแฉ่งไปให้มันหนึ่งที ไอ้ตี๋ส่ายหัวขำๆ แล้วพยักหน้ารับ ผมหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเกมรอพลางๆ ส่วนเนมก็หยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ


ผมเงยหน้าขึ้นไปหาคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างตัวเอง ก่อนจะพบกับใบหน้าคมเข้มของคนที่ผมไม่อยากจะเจอตัวมากที่สุด


“เจอตัวจนได้”


พี่เจพูดกับผมยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับถุงขนมอีกถุงจากพี่ไลท์ที่ยืนพิงโต๊ะข้างๆ อยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย


“มาแต่เช้าเลยพี่” ผมทัก พี่เจวางถุงขนมไว้บนโต๊ะ


“พี่เอาขนมมาให้” อีกคนบอกผมพลางยักคิ้ว


“ว๊ายนึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็พี่เจของพิงค์นี่เอง” เสียงมาแต่ไกลทั้งๆ ที่ตัวอยู่ห่างไปกว่ายี่สิบเมตร ผมแอบเห็นพี่เจถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อิพิงค์ตามเสียงเรียก ส่วนไอ้ตี๋เดินไปนั่งข้างเนมเพราะที่ของมันโดนพี่เจจับจอง ส่วนด้านข้างผมพี่ไลท์ก็เดินมานั่งแล้วเรียบร้อย


“ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะพิงค์” พี่เจเอ่ยแซ็ว อิพิงค์อายม้วนเลยครับ ก่อนที่สายตามันจะเจอเข้ากับถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตาโต


“พอดีพี่ไปช่วยงานคุณพ่อที่ฮ่องกงมา เลยซื้อขนมมาฝาก” พี่เจเห็นสายตาของอิพิงค์เลยอธิบายกับมันยิ้มๆ ผมยิ้มแหยๆ เมื่ออิพิงค์ยิ้มแซ็วมาทางสายตา


“แหม...แล้วมีของพิงค์บ้างบ้างมั้ยคะพี่เจ” อิพิงค์จีบปากจีบคอพูด ผมเบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้มัน พี่เจหัวเราะยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเขินๆ


“ขนมนี่พี่ก็เอามาฝากน้องๆ ทุกคนแหละครับแต่ถุงนี้แค่บีทส์นะ” พี่เจส่งยิ้ม พร้อมกับเลื่อนถุงกระดาษที่แยกไว้ต่างหากมาให้ผม


“ไม่เห็นต้องลำบากเลยพี่ ผมเกรงใจ”


ถึงผมจะเห็นว่าของฟรีมันสำคัญก็เถอะแต่ไม่รู้ทำไม ของฟรีจากไอ้พี่เจเนี่ยไม่อยากรับไว้เลย เหมือนต้องตามไปชดใช้ยังไงก็ไม่รู้
“อ้าวนัท...” เสียงเนมเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนผม พอหันไปมองทางด้านหลังของตัวเองเจอไอ้นัทที่เดินสะพายเป้เข้ามา มันหยุดยืนที่หัวโต๊ะเพราะไม่มีที่นั่งแล้ว พลางปรายตามองพี่เจกับพี่ไลท์แวบหนึ่งแล้วค่อมหัวให้เป็นมารยาทด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมเห็นมันสบตากับพี่เจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่เจจะหันมายิ้มให้ผม


“งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ ไว้พี่โทรหา”


ผมพยักหน้ารับคำ พี่เจหันไปยิ้มให้เพื่อนๆ ผมในโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปกับเพื่อนสนิทอย่างพี่ไลท์ ไอ้นัททิ้งตัวลงนั่งข้างผม


“ไหนอิบีทส์ เอามาดูสิว่าเขาให้อะไรมึง” อิพิงค์โพล่งขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือมาหยิบกล่องกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าผมไปแกะ นี่มึงไม่คิดจะขออนุญาตกูเลยใช่ไหมเพื่อนเวร ถึงกูจะไม่ได้อยากรับแต่มึงก็ช่วยรักษามารยาทหน่อยสิเว้ย!


“มึงนี่” ผมบ่น ก่อนจะหันไปเจอไอ้ตี๋ที่เขี่ยข้าวในจานเล่นไม่ยอมตักกินสักที ผมเลยแกล้งยื่นขาไปเตะที่ขามัน มันสะดุ้ง ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้ผม


“ข้าวมีไว้แดกไม่ใช่มีไว้เขี่ย” ผมด่าพร้อมกับหัวเราะ ไอ้นัทที่นั่งข้างๆ หาวปากกว้างพลางยกแขนขึ้นยืดเส้นยืดสาย


“ต๊ายอิบีทส์!!” เสียงของอิพิงค์เรียกความสนใจจากพวกเราทุกคนรวมไปถึงบรรดาเพื่อนร่วมคณะที่นั่งอยู่บริเวณใกล้เคียง


“มึงจะเสียงดังทำซากอะไรฮะ!” ผมด่ามันแบบไม่เต็มเสียง เหมือนมันจะเพิ่งรู้ตัวเพราะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ ก่อนที่มันจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบกลางวง


“พี่เจให้สร้อยข้อมือมึงอ่ะ ดูสิสวยมาก!” อิพิงค์เฉลยก่อนจะยื่นกล่องสี่เหลี่ยมมาให้ผมดู ไอ้นัทเลิกคิ้วหันมามองผม แม้แต่เนมเองยังชะโงกหน้ามาดู ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวแรงๆ


“พี่มันชอบมึงสินะ” ไอ้นัทถาม ผมถอนหายใจ กูก็ไม่แน่ใจว่ะ


“กูสังเกตตั้งแต่ไปเข้าค่ายครั้งนั้นแล้วมึง” อิพิงค์ออกความเห็น ผมถลึงตาปรามมันดุๆ แต่อินี่มันยักไหล่ไอด้อนแคร์ใส่ผม ผมเลยไม่สนใจยกแก้วน้ำแดงขึ้นมาดูด!


“กูก็บอกไม่ถูกวะ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างอิตานี่กับลุงรหัสไอ้ออยกูว่าคนหลังนี่ภาษีดีกว่าเยอะ”


“พรวด!!”


ผมสำลักน้ำก่อนจะไอค่อกแค่กหลังากที่ไอ้นัทพูดจบ มันยื่นมือมาช่วยทุบหลังให้ก่อนจะบ่นตามมาว่าผมจะรีบกินไปไหน โอ๊ยแล้วมึงพูดอะไรของมึงล่ะวะ กูรู้ว่ามึงพูดเพราะมึงไม่รู้ แต่บ้านมึงเป็นหมอดูเหรอจะตรงประเด็นไปไหม!!


“พูดบ้าอะไรของมึง!” ผมทำเป็นไม่พอใจไอ้นัท ก้มหน้าก้มตาตักน้ำแข็งใส่ปาก


ไอ้นัททำหน้าเหรอหราแล้วพูดแก้คำ “อะไร กูก็แค่เปรียบเทียบให้ฟัง ลุงรหัสไอ้ออยเขาก็เป็นแฟนพี่รหัสไอ้บีทส์ เมื่อเช้ากูยังเห็นพี่เขาขับมาส่งแฟนเขาอยู่เลยกูเห็นแวบๆ” ผมชะงักกึก


“ก็มึงไปพูดถึงพี่สุดหล่อเขาทำไมละนัท” อิพิงค์ช่วยพูด


ไอ้นัทจิ๊ปากแล้วขมวดคิ้ว “กูว่านะ ถึงพี่แกจะชอบทำหน้าเหมือนไม่ถูกใจใคร แต่กูว่าคนแบบนี้ดูง่ายไม่ชอบก็แสดงออกมาตรงๆ แต่กับพี่เจกูว่าเขาแปลกๆ กูคงคิดมากไปว่ะ” ไอ้นัทว่าต่อ ผมพยักหน้ารับ


จริงของมัน อย่างพี่ซันไม่ชอบก็บอกแถมยังออกอาการให้เห็นแบบจะๆ แต่กับพี่เจ...มันเป็นแบบที่ไอ้นัทบอกจริงๆ นะครับ ผมก็อธิบายไม่ถูกแต่มันรู้สึกได้อ่ะ


“เออมึงอ่ะคิดมาก” อิพิงค์รับคำ


“กูล่ะไม่ค่อยชอบขี้หน้าไอ้พี่เจนั่นเลย ตอนแรกกูเฉยๆ นะ พอเจอบ่อยๆ เห็นสิ่งที่เขาแสดงออกกับมึง กูว่ามันไม่ใช่อ่ะ” ไอ้นัทบ่นต่อหน้านิ่วคิ้วขมวด นี่มึงจริงจังใช่ไหมเพื่อน ผมยิ้มแหยๆ ให้ไอ้นัทก่อนจะมองเลยไปยังอิพิงค์ที่กำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนรู้กัน


“นั่นสิ เราเองยังเกร็งๆ เลยเวลาเจอพี่เขา” เนมที่นั่งเงียบมานานออกความเห็นบ้าง


“เออ...กูจำได้ว่าอาจารย์ป้าแกสั่งการบ้านเมื่อคืน ลืมทำเลยว่ะดีนะเข้ากรุ๊ปไลน์แล้วมีคนส่งเฉลยมาให้ลอกไม่กันกูแย่แน่ๆ โจทย์ว่ายาวแล้ว แต่วิธีทำแม่งยาวกว่าเยอะ!” ไอ้นัทบ่นขึ้นมาอีกเหมือนเพิ่งนึกได้ ผมขมวดคิ้ว


“ฮะ! มีการบ้านด้วยเหรอ” อิพิงค์เป็นคนแรกที่ถามขึ้น ไอ้นัทหันหน้าไปมองอิพิงค์หน่ายๆ “ไม่มีกูจะบ่นเหรอ อย่าบอกนะว่า…”


“เชี่ยแล้วมึง!!” ผมกับอิพิงค์โพล่งขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนสถานการณ์จะเข้าขั้นโกลาหลเมื่อต่างคนต่างหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วกดเข้ากรุ๊ปไลน์


เวรเอ้ย ลืมลอกการบ้าน!!


“เป็นอะไรทำไมทำหน้าแบบนั้น” ผมหันไปตามเสียงที่เอ่ยทัก พี่ซันเลิกคิ้วถามผมที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ปลายเตียง พี่มันกำลังนั่งขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างลงในกระดาษมาตั้งแต่เช้า


“วันนี้ผมได้ยินเพื่อนที่คณะคุยกันว่าไปเที่ยวสวนสัตว์เขาดินมา” ผมเกริ่น


“แล้ว?”


“พี่ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ ผมอยากไปบ้างอ่ะ” ผมทำตาเป็นประกาย เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้พี่ซันก็น่าจะหยุดเหมือนผม พอดีว่ามันเป็นวันหยุดของทางมหาลัยที่ประกาศหยุดน่ะครับ พี่มันขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะหันไปดูปฏิทินแวบหนึ่ง


“ไม่ได้จริงๆ ว่ะ กูต้องเคลียร์งาน” พี่ซันหันมาทำหน้าลำบากใจกับผมก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ ผมทำหน้าเสียดายก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ช่วงนี้ผมเห็นพี่ซันยุ่งมากทั้งเตรียมสอบอ่านหนังสือ เคลียร์งาน ผมเห็นพี่มันนอนดึกตลอด แต่ช่วงนี้ดูเพลาๆ ลงแล้วเลยอยากจะพาพี่มันไปพักผ่อนสมองบ้าง อีกอย่างผมเสียดายบัตรฟรีที่ขอได้จากเพื่อนมา ฮ่าๆ


“งั้นพี่อยากได้อะไรมั้ย” ผมกดปิดทีวีแล้วหันไปถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืน ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือของตัวเองติดมือมาด้วย ร่างสูงของพี่ซันไม่ตอบเพราะมัวแต่ก้มหน้าอ่านเอกสารในมือ ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกแล้วยิ้มให้กำลังใจตัวเอง


“โอเค งั้นผมไปหาอะไรทำข้างนอกดีกว่าอยู่ในนี้ก็กวนพี่เปล่าๆ” ผมบอกแล้วเดินออกมานั่งเล่นที่โซฟาห้องรับแขกก่อนจะหยิบมือถือออกมากดเล่นฆ่าเวลา พอดีกับที่ไอ้ตี๋ทักมาถามว่าตื่นหรือยัง



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 29 : ของฝาก [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-08-2018 19:42:26
สงสัยได้ไปกับเจ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 29 : ของฝาก [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 23-08-2018 21:22:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 30 : เขาดิน...อินแฟนเดย์
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 28-08-2018 16:28:00

ตอนที่ 30 : เขาดิน...อินแฟนเดย์


[ซัน]
   

“ฮะๆ”


ส่ายหัวขำๆ เมื่อเห็นร่างผอมบางของอีกคนเปิดประตูออกไปนอกห้องนอน ผมวางดินสอในมือก่อนจะหยิบมือถือมากด


ที่ผมบอกกับบีทส์ไปว่ามีงานจะต้องเคลียร์นั่นคือผมพูดจริงนะครับ งานวิจัยก็ใกล้ครบกำหนดส่งเข้ามาทุกทีเลยต้องอยู่เคลียร์เอกสารและหาข้อมูลดึกดื่นทุกวัน บางทีก็ต้องออกไปนอกพื้นที่กับพวกไอ้สอง หรือไม่พวกมันก็ต้องหอบโน๊ตบุ๊คมานอนที่คอนโดผม ถึงจะเป็นโปรเจคเดี่ยวแต่เพราะงานของมันกับของผมคล้ายๆ กัน เราเลยต่างคนต่างช่วยดูงานและกรองงานให้กัน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ที่สำคัญมันก็ช่วยทำให้เรามีโอกาสได้คะแนนมากขึ้นด้วยครับ


ประกอบกับตอนนี้ถึงแม้ว่าตัวผมเองจะยังเรียนไม่จบแต่พ่อก็เริ่มให้เลขาเอางานมาให้ผมศึกษาดูคร่าวๆ เพื่อเป็นการปูพื้นฐานเริ่มต้น พวกเอกสารการประชุมต่างๆ คุณทวีหรือเลขาของพ่อผมนั่นแหละครับก็จะนำมาให้ผมศึกษา ก่อนที่จะเสนอไปให้พ่อผมดู พลอยทำให้ผมยุ่งมากขึ้นไปอีกเท่าตัว


เมื่อสี่วันก่อนก็เพิ่งโดนคนหน้าขาวข้างนอกห้องงอน เพราะอีกคนอยากไปดูหนังเรื่องมินเนี่ยนที่เพิ่งเข้าฉายในช่วงนี้ พอผมบอกว่าไปไม่ได้เพราะงานยังไม่เสร็จอีกคนทำหน้าผิดหวังนิดหน่อยแต่ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ แต่เป็นผมนั่นแหละที่ได้ยินอีกคนคุยโทรศัพท์กับเพื่อน(ที่เจ้าตัวเคยบอก) ซึ่งผมว่ามันไม่น่าจะคิดกับคนของผมแค่เพื่อน เฮอะ เพื่อนบ้าอะไรจะส่งสายตาหวานเชื่อมให้กัน สรุปคือเมียผมจะไปดูหนังกับไอ้เด็กหน้าอ่อนเพื่อนร่วมคณะ ผมเลยออกปากห้ามเด็ดขาดแม้บีทส์จะยืนยันแค่ไหนก็ตามว่าผมแค่คิดมากไปเอง


แม้ไอ้คนดื้อจะยอมอยู่ห้องตามที่ผมต้องการ แต่ตลอดทั้งวันใบหน้าหวานนั่นก็ไม่ยอมเฉียดเข้าใกล้ผมเลย งานก็เข้าสิครับ คิดอยู่ตั้งนานว่าจะง้ออีกคนยังไง สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องของขวัญที่วางอยู่บนชั้นวาง บีทส์เคยบอกผมว่ามีคนให้มาแต่ไม่ยอมบอกว่าใครให้


ผมเคยแอบเปิดดูแล้วครับมันคือสร้อยข้อมือ


หึๆ แล้วผมก็คิดออกว่าจะซื้ออะไรเพื่อง้อมันดี


“สวัสดีครับคุณทวี”” ผมรอสายสักพัก ปลายสายก็กดรับ


“ครับคุณซัน”


“ช่วงนี้มีเอกสารด่วนอะไรที่ผมต้องดูไหมครับ” ผมถามเพื่อที่จะได้วางแผนการทำงานถูก ยังดีหน่อยที่พ่อไม่เข้ามายุ่งในส่วนนี้แต่ติดต่อผ่านมาทางคุณทวีทำให้ผมไม่ค่อยอึดอัดใจเท่าไหร่กับการเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องของบริษัท


“ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรสำคัญครับคุณซัน” ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ ผมตอบรับในลำคอก่อนจะขอตัวแล้วกดวางสาย
อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็ยังว่าง


ผมตัดสินใจวางงานในมือไว้ก่อน แล้วลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาเพื่อขับไล่ความเมื่อยหลังจากนั่งจมกับกองชีทและกองหนังสือมานานหลายชั่วโมง


“งอนอะไรกู”


ผมเดินออกมาจากห้องก่อนจะอ้อมไปทางด้านหลังคนที่ก้มกดมือถือตัวเอง พร้อมก้มลงจูบที่หลังคอขาวอีกคนเบาๆ เจ้าตัวสะดุ้งแต่ไม่ได้ขยับหนี ก่อนใบหน้าขาวจะเอียงขึ้นมาย่นจมูกใส่ผม


“ผมไม่ได้งอนพี่สักหน่อย” เอ่ยปากปฏิเสธแต่หน้ามุ่ย ผมยิ้มก่อนจะก้มลงกดจูบไปที่แก้มขาวอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วผละออกเดินอ้อมมานั่งข้างอีกคน น้องค่อยๆ ไถลตัวมาพิงแขนผมแล้วเล่นโทรศัพท์


“ว่างมากเหรอมึง ถึงได้จะชวนกูไปเที่ยว” ผมถามยิ้มๆ ก่อนจะขยับมือขึ้นไปเล่นผมอีกคน ทำให้เจ้าตัวค่อยๆ เอียงหัวมาซบที่อกผม


“หนังสือไม่ยอมอ่าน จะสอบแล้วไม่ใช่รึไง” ผมถามต่อ ก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นสร้อยข้อมือสีดำเด่นหราอยู่บนข้อมือขาวของอีกคน ผมเป็นคนใส่ให้เองกับมือ


“พี่รู้ได้ไงอ่ะ” บีทส์เงยหน้าขึ้นมาถาม ผมยักไหล่


“เพื่อนมึงบอก” บีทส์ยู่ปากเหมือนจะรู้ว่าเพื่อนที่ว่าน่ะคนไหน


“ผมก็แค่อยากหาอะไรทำคลายเครียดก่อนอ่านหนังสือสอบ ปกติผมก็อ่านหนังสือก่อนสอบแค่วันเดียวนะ เดี๋ยวค่อยให้ไอ้นัทมันติวให้ก็ได้” ปากเล็กขยับบอก ผมยีหัวน้องขำๆ ไม่แปลกใจกับผลการเรียนของน้องที่พิงค์เคยบอกปนบ่นกับผม


“งั้นไปแต่งตัว” ผมบอก บีทส์ผละออกจากอกผม แล้วหันมามองตาโต


“เอาจริงเหรอ”


“อ่าฮะ ไปมั้ยล่ะเพิ่งจะบ่ายโมงคงมีเวลาเดินได้สักพักใหญ่ๆ ” ผมพยักหน้ารับ บีทส์ยิ้มตาปิดพร้อมกับวางมือถือของตัวเองไว้บนโต๊ะ


“ไปอยู่แล้ว”


น้องวิ่งเข้าไปเปลี่ยนชุด ผมส่ายหัวยิ้มๆ กับอาการตื่นเต้นของอีกคน


“พี่ซันตรงนั้นว่างครับ”


มือเล็กชี้ไปทางที่ตัวเองบอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ วนรถไปจอดในที่จอดรถที่ทางสวนสัตว์เขาจัดไว้ บีทส์ดูตื่นเต้นเพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้มานานแล้ว ปากเล็กขยับตลอดทางตั้งแต่ออกมาจากคอนโด


“อ่ะ” ผมเลิกคิ้วเมื่อคนข้างตัวยื่นหมวกมาให้ผม


“ผมรู้ว่าอากาศมันร้อนพี่ใส่ไว้เหอะ” เจ้าตัวอธิบาย พลางยื่นมือไปดึงหมวกที่อยู่ติดกับเสื้อฮู้ดของตัวเองมาสวมบ้าง ผมยิ้มขำๆ มองอีกคนที่ดูน่ารักไปอีกแบบแล้วสวมหมวกให้ตัวเองบ้าง ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินตามอีกคน


“คนเยอะฉิบหาย” ผมบ่นในขณะที่ยืนซ้อนหลังอีกคนที่กำลังชะโงกหน้าไปดูยีราฟในคอก บีทส์หันมาย่นจมูกให้ผม ก่อนจะเดินเรื่อยๆ ไปตามทาง


“ส่วนใหญ่เขามากันเป็นครอบครัวครับ พวกเด็กๆ จะเยอะ อีกอย่างช่วงนี้เด็กๆ ปิดเทอมแล้วด้วยก็เลยจะเยอะเป็นพิเศษ” คนตัวเล็กหันมาอธิบายกับผม พลางหยุดอยู่ที่กรงลิงที่กำลังนั่งหลับข้างๆ กันสามสี่ตัว เขาหัวเราะขำๆ ก่อนจะหันมาพูดกับผมเชิงกระซิบในท้ายประโยค “อ่า...แต่พี่ใส่หมวกแบบนี้แล้วโคตรหล่อเลย สาวๆ งี้มองตามเพียบ”


“แสนรู้” ผมแซ็ว บีทส์มองผมกลับเคืองๆ แล้วฟาดมือลงบนท่อนแขนผม “พันธุ์นี้หายากนะบอกไว้ก่อน” บอกก่อนจะชี้เข้าหาตัว
ผมหัวเราะขำๆ


“พี่ดูดิน่ารักมากเลย” บีทส์หันมากวักมือเรียกให้ผมดูลิงที่กำลังห้อยโหนอยู่ในกรงโดยมีลูกมันกอดอยู่ด้านหน้า ก่อนจะควักมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วก้มลงกดมือถือยิกๆ


“ทำอะไร” ผมถามพลางก้มลงมอง


บีทส์เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม “ส่งให้น้องดูครับ”


ผมพยักหน้ารับ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เจอไอ้อาร์ตเพราะช่วงนี้มันติดเด็ก บีทส์เองก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องน้องให้ฟังส่วนใหญ่เจ้าตัวจะออกแนวบ่นให้ฟังมากกว่า


ผมมองบรรยากาศรอบๆ ถึงแม้บรรยากาศจะค่อนข้างร้อนแต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ส่วนมากจะมากันเป็นครอบครัวใหญ่ๆ เหมือนที่บีทส์บอก มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงคนแก่ที่นั่งรถเข็น ครอบครัวคงอยากพามาเปิดหูเปิดตาในสถานที่ที่มีต้นไม้ล้อมรอบเป็นขนาดกว้างแถมยังไม่ต้องเดินทางไกลและไม่ต้องพาไปถึงนอกเมือง อ่อ พวกนักเรียนนักศึกษาก็มากันเยอะนะครับบีทส์บอกผมว่าถ้าใส่ชุดนักเรียนนักศึกษามาจะได้ส่วนลดอีกราคา


ถ้าถามว่าผมเคยมาไหมต้องบอกว่าไม่เคยครับ ชีวิตในวัยเด็กของผมเมื่อก่อนก็ตามพ่อกับแม่ไปติดต่องานตลอดไม่เคยได้ไปเที่ยวที่ไหนกันแบบครอบครัวหรอก แม้แต่วันเกิดผมยังต้องอยู่กับป้านมและพวกพี่ๆ แม่บ้าน ปิดเทอมพ่อกับแม่ก็จะส่งผมไปเรียนพิเศษที่ต่างประเทศแทน


ไม่รู้ว่าหวังดีหรือแค่อยากส่งผมให้ไปไกลๆ หู ไกลๆ ตา


ผมเดินตามคนตัวเล็กไปเรื่อยๆ บีทส์ยกกล้องมือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายบรรยากาศรอบด้านรวมถึงยกกล้องขึ้นมาถ่ายตัวเองแล้วยิ้มกว้างให้กล้อง ผมยิ้มกับท่าทางของอีกคนก่อนจะล้วงมือถือของตัวเองออกมาแอบถ่ายรูปน้องเนียนๆ แล้วเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม


“พี่รอผมอยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ” บีทส์หันกลับมาบอก ผมพยักหน้ารับมองตามร่างบางของอีกคนที่วิ่งไปต่อแถวซื้อบัตรอะไรสักอย่าง ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อพบว่ามันคือการแสดงโชว์แมวน้ำของสวนสัตว์ ไม่น่าล่ะแถวยาวเป็นบ้า


“ทันรอบการแสดงสุดท้ายพอดีเลยครับ ฮ่าๆ” บีทส์วิ่งกลับมาหลังจากผมยืนรอได้สักพัก เจ้าตัวชูบัตรที่อยู่ในมือยิ้มๆ ผมยื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้อีกคน บีทส์ยิ้มเขินๆ ก่อนจะเอ่ยบอกผมเบาๆ ว่าให้ตามมา


“โอ๊ะทางนั้นเลยครับ” บีทส์หันมาบอกก่อนมือเรียวจะยื่นมาแตะที่แขนผม ก่อนจะค่อยๆ เดินแทรกผู้คนที่นั่งอยู่ใกล้ทางเข้าไปยังตำแหน่งว่างที่คนตัวเล็กบอก


บีทส์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนมือเรียวจะตีมือลงกับที่นั่งข้างๆ ตัวเองเพื่อบอกให้ผมนั่ง ผมส่ายหัวขำๆ เหมือนพาลูกมาเที่ยว ก่อนจะนั่งผมชะงักไปนิดเมื่อสบตาเข้ากับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ คนของผม หึ


“หือ...” บีทส์หันมาเลิกคิ้ว เมื่อสัมผัสถึงมือของผมที่แตะลงสะโพกของตัวเอง ผมแกล้งก้มกระซิบข้างหูบีทส์แต่ตามองไปยังคนข้างเจ้าตัว


“เฉยๆ เถอะน่า” ผมกระซิบบอก บีทส์พยักหน้ารับขึ้นลง ก่อนใบหน้าหวานจะเบนความสนใจไปที่การแสดงของสองแมวน้ำที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระตามคำสั่งของผู้ฝึกสอน


“พี่ดูสิน่ารักมากเลย” บีทส์หันมาพูดกับผม


“ไม่เท่ามึงหรอก” ผมแกล้งตอบหน้าตาย คนข้างตัวผมชะงักหน้าขึ้นสีพร้อมกับกลั้นยิ้ม “รู้ตัว”


บีทส์เชิ่ดจมูกรั้นๆ ขึ้นแล้วตอบ ก่อนที่เราสองคนจะหลุดยิ้มพร้อมกัน แล้วหันไปดูการแสดงด้านหน้าต่อ


“ปะ” ผมหันไปชวนอีกคน เมื่อเสียงปรบมือกำลังดังกึกก้องไปทั่วบริเวณเพราะการแสดงในรอบนี้จบลงแล้ว ผมมองตามสายตาของคนข้างตัวเจ้าแมวน้ำสองตัวกำลังใช้ครีบของมันปรบกันจนเกิดเสียง บีทส์ยิ้มก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม มือเรียวยื่นมาจับเสื้อผมไว้แล้วเดินตามเพราะคนอื่นก็กำลังทยอยเดินลงบันไดเหมือนกัน


ผมถามทำไมไม่จับมือเจ้าตัวก็ได้แต่บอกว่าอายเวลาที่คนอื่นมอง


“พี่ซันกินมั้ย” น้องกระตุกชายเสื้อผมไว้ ผมหันไปเลิกคิ้วถาม บีทส์ชี้ไปที่รถเข็นสีฟ้า ‘ไอติมวอลล์’ ผมส่ายหัวเพราะไม่ชอบ


“ลุงครับเอาอันนี้” บีทส์เดินไปหยุดที่รถไอติมก่อนมือเรียวจะชี้สั่งไปที่รูปไอติมสุดฮิตยิ้มๆ คนขายล้วงเอาไอติมส่งมาให้ คนข้างตัวผมรับมายิ้มๆ แล้วยื่นเงินกลับไป


“ไม่กินจริงเหรอ” บีทส์หันมาถามพลางแกะถุงพลาสติกออก ผมส่ายหัว บีทส์ย่นจมูกใส่ก่อนที่เรียวลิ้นเล็กจะค่อยๆ เลียไปตามแท่งไอติมพร้อมกับทำหน้าพึงพอใจในรสชาติของมัน ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปมองอย่างอื่น


บีทส์เดินนำผมเข้าไปในกรงนก ผมเห็นป้ายเขียนว่ามีนกหางนกยูงที่เป็นจุดเด่นของที่นี่ พวกเราเดินสวนกับกลุ่มคนที่ทยอยเดินออกมาเป็นระยะ บีทส์หันมามองผมแล้วเดินต่อ เล่นเอาผมชะงักเมื่ออีกคนอมไอติมไว้ในปาก ส่วนมือกำลังพยายามถ่ายรูปนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ ผมทอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อสังเกตว่าไม่มีใครเดินตามพวกเรามา


“อะไรติดเสื้อ”


ผมก้าวไปยืนชิดอีกคนแล้วพูดบอก บีทส์หันมาทำหน้าตกใจก่อนจะเอี้ยวตัวมองด้านหลังเสื้อ


“หื้ม...อะไรอะ” มือเรียวหยิบไอติมในปากไปถือ พยายามเอี้ยวตัวมองเสื้อ ผมเข้าไปยืนซ้อนด้านหลังอีกคนที่ยืนนิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมกับแกล้งใช้มือปัดเสื้อให้ ก่อนจะแกล้งโน้มหน้าไปกระซิบข้างใบหูเล็ก


“กูพามาเที่ยวแล้วกลับห้องไป อย่าลืม...เลียไอติมให้กูบ้างนะ”


พูดเสียงกรุ้มกริ่มแล้วเน้นคำอย่างจงใจ น้องหันขวับมามองผมหน้าแดง ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากัน


“จิตอกุศล!!”


ผมหลุดหัวเราะ เมื่อโดนอีกคนโวยใส่แล้วเดินหนีไปอีกทาง


“พี่ซันมาถ่ายรูปกัน ผมอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก” ร่างเล็กที่ยืนรอผมอยู่เอ่ยบอกไม่ยอมสบตา ผมยิ้มคงเพราะที่นี่คนน้อยล่ะมั้งครับเจ้าตัวเลยกล้าเอ่ยปากชวน


“อะไร เมื่อกี้ยังไล่” ผมกวน


“อะไรเล่า”


“หายเขินแล้ว?”


บีทส์ทำหน้าเหมือนจะกลั้นใจตายใส่ผม


“หนึ่งรูปแลกหนึ่งจูบ” ผมต่อรอง บีทส์หันขวับมาถลึงตาโต


“พี่จะบ้าเหรอคนเยอะ ผม...หื้ม” เจ้าตัวโวยวายก่อนจะชักงักพร้อมกับคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมยิ้มก่อนจะยื่นมือไปแตะที่หว่างคิ้วอีกคนแล้วลากวนไปมา


“มีอะไร”


“พี่...เมื่อกี้เหมือนผมจะเห็นพี่เจ” แววตาตะหนกหันมาตอบผม พร้อมกับหันมองไปรอบๆ ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองทางที่บีทส์มองเช่นกัน


“อยู่กับกู แต่คิดถึงชู้?” ผมแกล้งแหย่ ไอ้เจมันจะมาทำอะไรที่สวนสัตว์นี่ อย่างมันป่านนี้คงเข้าไปประจบพ่อผมที่บริษัทสวมบทหลานชายที่แสนดีอยู่ที่นั่นต่างหากไม่มาเดินแถวนี้หรอก


“บ้า! ผมเห็นพี่เจจริงๆ นะ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” บีทส์หน้าเสียพร้อมกับหันมาบอกผมด้วยน้ำเสียงลนลาน


“อย่างมันคงไม่มาเดินเล่นที่นี่หรอกน่า อยากแกล้งให้กูหึงรึไง” เลิกคิ้วถามกวนๆ


“พี่อ่ะ แล้วถ้าเมื่อกี้เป็น...”


“พอเถอะ จะพูดถึงมันทำไม” ผมตัดบทเสียงเรียบ บ่งบอกว่ากำลังจะหงุดหงิดถ้ามันยังไม่หยุดพูด บีทส์มองผมตาละห้อย


“ก็ได้…งั้นเรามาถ่ายรูปกันนะ น๊า” น้องเอ่ยบอกเสียงอ้อนก่อนจะกลับไปพูดเรื่องเดิม พลางขยับมาเกาะแขนผม ผมแกล้งตีหน้าเรียบเหมือนเดิมพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอกอย่างเป็นต่อ


“งั้นคืนนี้...” ผมแกล้งลากเสียง เพื่อสื่อถึงบางอย่างเป็นนัย บีทส์กัดปากฉับ


“แล้วผมจะพูดอะไรได้เล่า...พี่อ่ะ! ติดนิสัยหน้าด้านแบบนี้มาจากใคร เรื่องแบบนี้ก็พูดออกมาได้หน้าตาเฉย” คนข้างตัวงอแง ก่อนจะบ่นพึมพำ ผมขยับตัวเข้าไปยืนซ้อนหลังอีกคนแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้เมื่ออีกคนยกกล้องในมือขึ้นมา ก่อนจะขยับปากบอกกลั้นขำเมื่ออีกคนเปลี่ยนท่า


“มึงไง”


“ง่ะ”


ฮ่าๆ


ผมยื่นขวดน้ำที่เดินไปซื้อจากร้านสะดวกซื้อมีชื่อใกล้ๆ จุดให้บริการให้คนหน้าขาว ผมเห็นว่าเราเดินกันมาสักพักแล้วจึงชวนน้องออกมาหาที่นั่งหลังจากที่เราออกมาจากจุดเยี่ยมชมนก ก่อนจะบอกให้เจ้าตัวเขานั่งอยู่แถวๆ กรงหมีที่มีน้ำพุอยู่ใกล้ๆ นั่นแหละครับ


“ขอบคุณครับ” มือเรียวยื่นมารับขวดน้ำไปดูด ก่อนจะเอ่ยบอกยิ้มๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างน้องก่อนจะคว้ามือถือที่วางอยู่บนตักเจ้าของมาดูบ้าง เพราะน้องกำลังนั่งดูรูปถ่ายค้างไว้อยู่


“พี่ได้คุยกับพี่ฟ้าบ้างมั้ย”


ผมหันไปเลิกคิ้วเมื่ออยู่ดีๆ อีกคนก็ถามถึงน้องฟ้าขึ้นมา


“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้หึงหรือว่ารู้สึกไม่ดีอะไร ที่ผมถามก็เพราะผมแค่อยากรู้” เจ้าตัวอธิบายเมื่อเห็นผมมองอย่างชั่งใจ ผมแค่กลัวว่าอีกคนจะคิดมากแล้วเก็บเรื่องนี้ไปคิดเองจนไม่ไว้ใจในตัวผม มากกว่าจะคิดว่าผมจะเข้าใจในสิ่งที่เขาคิดผิด


“ไม่ ทำไม” ผมตอบแล้วถามกลับ


“ช่วงนี้ผมเจอพี่ฟ้าที่คณะบ่อยๆ แล้วพี่เขาชอบถามอะไรผมแปลกๆ” น้องทำหน้าอึกอัก ก่อนจะเอ่ยบอกผมด้วยความไม่สบายใจ


“แล้วก็อย่างที่พี่รู้ ช่วงนี้พี่เจรุกผมหนักมาก มาหาที่คณะบ่อยๆ บางทีก็มาพร้อมกับพี่ฟ้าทำให้ผมไม่ค่อยกล้าปฏิเสธ ถึงจะมีพวกเพื่อนๆ คอยช่วยกันพี่เขาให้ แต่ถ้ามีพี่ฟ้าอยู่ผมก็ไม่ค่อยกล้าอ่ะ”


ผมหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิดเมื่อฟังสิ่งที่น้องกำลังหนักใจ อย่างไอ้เจเนี่ยนะสนิทกับน้องฟ้า เป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะน้องฟ้ารู้ดีว่าผมกับมันไม่ค่อยกินเส้นกันหรือว่ามัน...ไปรู้อะไรมา


“แล้วน้องฟ้ามีท่าทียังไง”


“พี่เขาเหมือนจะเชียร์ผมกับพี่เจ ทีแรกผมก็คิดว่าผมคิดไปเองนะแต่ว่า...แม้แต่อิพิงค์หรือไอ้นัทยังเคยบอกผมในทำนองเดียวกันเลย” บีทส์บอกพลางก้มดูดน้ำในขวด


“แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” ผมถามต่อ บีทส์หัวเราะแห้งๆ


“ทีแรกผมก็คิดว่าจะไม่บอกพี่อยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่ผมอึดอัดเพราะหลังๆ พี่เจจะชวนผมไปไหนมาไหนด้วย อิพิงค์เลยแนะนำให้ผมบอกพี่” ผมคิดว่าอีกสาเหตุที่น้องไม่อยากบอกผมก็คงเพราะกลัวว่าผมจะคิดว่าน้องรู้สึกไม่ดีกับน้องฟ้ามั้งครับถึงเลือกปิดเรื่องนี้


“คอยดูท่าทีไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องน้องฟ้าถ้าเขาให้มึงไปไหนกับไอ้เจมึงต้องบอกกูทันทีเข้าใจมั้ย” ผมยื่นมือไปลูบน้องก่อนเอ่ยสั่ง คนข้างตัวพยักหน้ารับแล้วฉีกยิ้มให้ผม


ครืด...ครืด…


มือถือของน้องสั่นเห็นชื่อคนโทรเข้ามาแวบๆ เป็นเพื่อนสนิทของบีทส์ ผมเลยยื่นโทรศัพท์กลับไปให้น้องกดรับ


“เออว่าไง”


ผมยื่นมือไปรับขวดน้ำจากน้องมาปิดฝาแล้วนั่งฟังเงียบๆ


“กูอัพรูปสวนสัตว์กูก็ต้องอยู่สวนสัตว์สิวะ” บีทส์ขมวดคิ้วตอบเพื่อนก่อนจะเริ่มมองซ้ายมองขวาลนลาน


“มึงบอกว่ามึงอยู่ที่ไหนนะ” น้องหันขวับมามองผม ก่อนจะร้องถามเพื่อนด้วยความตกใจ “เฮ้ย! กูกำลังกลับแล้วเนี่ยมึงหากูไม่เจอหรอก โอ๊ะ...รถมาแล้วว่ะเจอกันพรุ่งนี้เว้ยมึง” บีทส์ถลึงตาโตก่อนจะรับก้มหัวลงพลางเอ่ยปฏิเสธเพื่อน ผมหลุดขำฟังแค่นี้ยังรู้เลยครับว่าปลายสายพูดอะไรบ้าง


“ซวยแล้วพี่ ไอ้นัทมันก็อยู่ที่นี่ด้วย” บีทส์กดวางสายก่อนจะหันมาบอกผมพลางเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า


“กลับเลยมั้ยล่ะ” ผมถาม


“ไม่น่าอัพรูปลงเฟสบุ๊คเลย ยังไม่ได้ไปป้อนนมแพะเลยอ่ะ” บีทส์บ่นพลางทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด


“มึงจะอยู่รอเจอเพื่อนมึงก็ได้นะ เดี๋ยวกูรอแถวๆ นี้” ผมบอกทางเลือกให้น้อง บีทส์ส่ายหัวขวับ


“พรุ่งนี้ก็ต้องเจอมันอยู่แล้ว ผมกลับไปดูหนังที่ห้องดีกว่า อีกอย่างพี่จะได้กลับไปทำงานต่อด้วย” บีทส์เอ่ยบอก ผมยิ้ม ดีใจที่มันยังนึกถึงเรื่องของผม


ผมลุกขึ้นตามร่างเล็กของอีกคน ก่อนจะเดินตามเจ้าตัวที่พยายามเดินไวๆ พลางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวงว่าจะเจอเพื่อนตัวเองแล้วยิ้มขำ


จะผิดไหมถ้าคนเห็นแก่ตัวอย่างผม อยากจะรักษารอยยิ้มของมันเอาไว้ ผมรู้ว่าความลับมันไม่มีในโลก ถ้าวันหนึ่ง...ความลับของเรามันไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ไม่รู้ว่าสองมือของผมจะปกป้องคนสำคัญของตัวเองไว้ได้จริงๆ ไหม


ไม่รู้ว่าถ้าถึงวันนั้น ‘มัน’ จะยังยืนยันที่จะอยู่ข้างผมหรือเปล่านะ






หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 30 : เขาดิน in แฟนเดย์ [28/08/61] P6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-08-2018 03:24:06
สนุกไหมล่ะ เที่ยวไป ระแวงไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 30 : เขาดิน in แฟนเดย์ [28/08/61] P6
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 30-08-2018 14:37:24
คนอ่านก็ระเวง :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 31 : เค้าลาง
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-09-2018 16:32:35
ตอนที่ 31 เค้าลาง


[บีทส์]


“พี่ซัน”
   

ไม่มีสัญญาณตอบรับ


“พี่ซันครับ”


เงียบ


“พี่ซันโว้ย!!”


แน่ะ ตื่นแล้วยังจะนิ่ง


ผมกำลังจะเรียกอีกครั้ง “พี่...”


“โวยวายอะไรแต่เช้า” พี่ซันบ่นขึ้นมาซะก่อน
   

“ตื่นแล้วก็ลุกสิครับ อ๊า...ตื่นเดี๋ยวนี้” ผมผวาเข้าไปดึงผ้าห่มที่พี่ซันดึงขึ้นมาคลุมร่างของตัวเอง พร้อมกับออกแรงดึง พี่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยครับยึดไว้แน่น
   

ผมนั่งจมปุกอยู่ข้างๆ ร่างหนาที่นอนคว่ำหน้าไปกับหมอนในสภาพไม่ใส่เสื้อ ทรงผมที่เคยเนี๊ยบดูยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้าหล่อหลับสนิทไม่รับรู้การก่อกวนของผม
   

คือผมพยายามปลุกพี่มันตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วๆ นะครับ
   

จนตอนนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วพี่มันยังไม่ยอมขยับลงจากเตียงไม่แม้จะตื่นลืมตาด้วยซ้ำ ผมถึงต้องเดินเข้ามาปลุกถึงเตียงนี่ไง
   

“วันนี้ผมต้องไปอ่านหนังสือบ้านไอ้นัทนะ” ผมบอก พี่ซันเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับคำพูดของผม เมื่อร่างสูงค่อยๆ ขยับแล้วพลิกตัวมานอนหงาย มือหนายกขึ้นปิดตาก่อนจะขยี้เบาๆ พร้อมกับลุกขึ้นนั่งท่อนบนเปลือยเปล่า

   
“ไม่ค้างไม่ได้เหรอ” พี่ซันขยี้หัวตัวเองเบาๆ หันมาถาม ผมยิ้มแล้วส่ายหัว
   

“ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมอ่านหนังสือก่อนสอบคืนหนึ่ง แล้วมันก็คือคืนนี้ด้วย พี่บอกเองนะว่าจะเป็นคนไปส่งผมอ่ะ” ผมบอก พี่ซันจิ๊ปาก


“เดี๋ยวกูไปรับเองก็ได้” พี่มันต่อรอง


“ไม่ได้ ผมกลัวพวกนั้นสงสัยด้วย” ผมอธิบาย
   

“ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า เชื่อกูสิ” พี่ซันพยายามโน้มน้าว ผมส่ายหัวปฏิเสธ หนึ่งคือผมไม่รู้ว่าจะติวกันเสร็จกี่โมง สองคือไม่อยากให้พี่มันเหนื่อยต้องรอผม ผมนอนค้างที่บ้านไอ้นัทง่ายกว่า
   

“ยังไงก็จะไม่ยอม?”


“อื้อ!”


“งั้นต้องจ่ายค่าชดเชย”
   

ผมขมวดคิ้ว โดยไม่ทันระวังตัว ไม่ทันแม้แต่จะได้ส่งเสียงร้องว๊าก เมื่อพี่มันโถมแรงทั้งหมดมาคร่อมตัวผมไว้พร้อมกับเอาผ้าห่มมาคลุมร่างเราสองคน แล้วก็นั่นแหละครับ..
   

ไม่ถามความสมัครใจกูสักนิด แม่ง T^T

   
“พี่จอดให้ผมลงแค่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็พอนะครับ เดี๋ยวผมนั่งวินเข้าซอยไปเอง” ผมหันไปบอกคนขับรถจำเป็นแล้วยื่นแขนไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ด้านหลังและหนังสือบัญชีเบื้องต้นเล่มหนา ไม่ใช่แค่หนานะครับต้องบอกว่าโคตรหนาขนาดปาหัวหมาแตก ไหนจะพวกชีทงานในแต่ละคาบอีกเรียกว่าไหล่แทบหลุด


ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังบ่นเวลาต้องแบกหนังสือไปเรียนทุกคาบพอจะนึกออกไหมครับหนังสือบัญชีมันเล่มใหญ่โคตร พี่ซันหันมาพยักหน้ารับก่อนจะปัดไฟเลี้ยวเคลื่อนรถไปจอดยังตำแหน่งที่ผมบอก


“ตอนเย็นกูไปทำงานต่อห้องไอ้สองนะ” พี่ซันบอกขณะที่ผมกำลังจะก้าวลงรถ วันนี้พี่มันสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เน้นความสบาย แต่ไม่ว่าพี่มันจะใส่อะไรก็ดูดีไปหมดแหละครับก็เล่นหุ่นอย่างกับนายแบบขนาดนั้น ผมยังอิจฉาเลยนะบางที


“ครับ” ผมรับคำยิ้มๆ พร้อมกับก้าวเท้าลงจากรถก่อนจะยืนโบกมือให้พี่ซันอยู่ข้างฟุตบาท แล้วยืนมองรถยนต์คันสวยค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจนลับตาถึงค่อยเลี่ยงออกมาโบกมือเรียกพี่วินในชุดสีแสบตาที่ยืนรออยู่อย่างรู้หน้าที่


“สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่ออกมาเปิดประตูรับผมด้วยรอยยิ้มใจดี แม่ไอ้นัทยกมือขึ้นรับไหว้ผม เราเคยเจอกันหลายครั้งครับเพราะไอ้นัทมักลากพวกผมมาที่บ้านมันเวลามีรายงาน


“สวัสดีจ้ะ หนักมั้ยน้องบีทส์”


‘แม่นัน’ แม่ไอ้นัทหันมาถามผมด้วยรอยยิ้มพลางเดินนำผมเข้าบ้าน


“นิดหน่อยครับแม่ พวกเสื้อผ้าไม่เท่าไหร่แต่หนังสือกับชีทนี่สิครับทั้งหนาทั้งเยอะเลย เรียนเสร็จบีทส์จะเอาไปชั่งกิโลขายคงได้หลายตังค์” ผมตอบพลางเล่นมุก แม่ไอ้นัทนี่หัวเราะชอบใจใหญ่เลยครับ ฮ่าๆ ผมว่าหนังสือมีประโยชน์นะครับพวกชีทด้วย เราสามารถกลับไปค้นอ่านได้ตลอดเวลา อีกอย่างเก็บไว้ให้รุ่นน้องลอกได้ เหมือนที่พวกผมได้มาจากพี่ๆ ก๊าก ฮ่าๆ


“อุ๊ยตาย ดีเลยลูก แม่จะได้เก็บของนัทไปขายบ้างคงได้ราคาดี แต่ไม่ใช่หนังสือเรียนนะคะ พวกหนังสือการ์ตูนที่เจ้าตัวเขาขนมานั่นแหละ” แม่ไอ้นัทตบมุก ผมหัวเราะด้วยความพอใจ แอบสงสารไอ้นัทคือมันรักหนังสือการ์ตูนมันยิ่งชีพเลยนะครับ พวกผมขออ่านบางทีมันยังหวงเพราะกลัวทำหนังสือการ์ตูนของมันยับอ่ะคิดดู


“มาแล้วเหรอ” เสียงไอ้นัทเอ่ยทัก ผมหันไปยักคิ้วให้มันหนึ่งทีก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาพลางกัดชมพู่เข้าปาก


“มาแล้วดิ ไม่มาจะเห็นเหรอ” ผมกวน ไอ้นัทเลยปาชมพู่ที่มันกัดกินเหลือแค่ส่วนท้ายมาโดนหัวผมจังๆ


“เหี้ยเจ็บนะเว้ย!” ผมโวย ไอ้นัทนอนหัวเราะเอิ้กอ้าก ถูกใจมันละ


“เล่นอะไรหื้อเรา เจ็บมั้ยคะลูก” เสียงแม่ไอ้นัทบ่น ผมหันไปยิ้มเมื่อแม่นันยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้


“ไอ้นัทมันซาดิสต์ครับแม่” ผมฟ้อง


“อ้าว เดี๋ยวกูจับทุ่มเลย” ไอ้นัทลุกขึ้นโวยที่โดนรุม ผมกับแม่นันเลยหันไปหัวเราะพร้อมกัน


“แล้วนี่มาไง” ไอ้นัทเปลี่ยนประเด็น


“รถดิ” ผมตอบเลี่ยงๆ พลางหยิบขนมมาใส่ปาก


“หึ เหรอ” ไอ้นัทหัวเราะในลำคอ ผมยักคิ้วกวนๆ เป็นเชิงตอบรับกลับไป


“กวนตีนว่ะ” ไอ้นัทจิ๊ปากด่าเอือมๆ ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจผม


“อิพิงค์ยังไม่มาเหรอ” ผมถาม ไอ้นัทส่ายหัวเป็นเชิงตอบเพราะมันกำลังก้มลงกดมือถือหยิกๆ สงสัยกำลังแชตกับมีน ผมยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา อิพิงค์...แม่นางสายเสมอ นัดทีไรพวกผมต้องมานั่งรอมันประจำ ไม่ว่าพวกผมจะด่าแค่ไหนมันก็ไม่สะเทือนอะไรเลยครับ แม่งหน้าหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์


“มึงเอาของไปเก็บก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูโทรตามให้” ไอ้นัทละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มามองผมแล้วเอ่ยบอก


“บอกมันให้มาไวๆ ด้วย” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะตอบกลับเซ็งๆ พร้อมกับก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน


บ้านไอ้นัทเป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีสบายตา มันอยู่กับพ่อแม่มันนั่นแหละครับ ไอ้นัทมันเป็นลูกคนเดียวของบ้าน พ่อแม่เลยค่อนข้างตามใจ มันเคยบอกผมว่าพ่อกับแม่มันให้อิสระในการตัดสินใจมาตั้งแต่เด็ก ผมเคยถามว่าพ่อแม่มึงไม่โกรธเหรอที่มึงคบผู้หญิง มันส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะตอบผมว่า


‘พ่อกูสอนว่าเกิดมาชาติหนึ่งแค่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ เป็นคนดีและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ’


ผมไม่แปลกใจที่ไอ้นัทมันถึงเป็นคนที่มีน้ำใจคอยช่วยเหลือเพื่อนไม่เอาไหนอย่างผมกับอิพิงค์ในเรื่องของการเรียนโดยไม่บ่นสักคำ


ผมเดินเลี้ยวขวาไปยังห้องไอ้นัทที่เคยมาประจำ ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปทรุดนั่งตรงปลายเตียงแล้ววางกระเป๋าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดไลน์ส่งบอกคนที่มาส่งผมก่อนหน้านี้


“ผมอยู่บ้านไอ้นัทแล้วนะครับ”


กดส่งเรียบร้อย ผมยิ้มให้กับหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองน้อยๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนราบไปกับเตียงขนาด 6 ฟุตของไอ้นัท


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดู


“ตั้งใจอ่านหนังสือ”


พี่ซันตอบกลับมาสั้นๆ ผมยิ้มให้กับข้อความของพี่มัน เมื่อก่อนพี่ซันไม่ค่อยเล่นโซเชียลครับพี่มันบอกว่าไร้สาระ แต่พอเห็นผมชอบหมกมุ่นอยู่กับมือถือพี่มันเลยเล่นบ้างเพราะอยากรู้ว่าทำไมผมถึงได้ติดมันนัก


โซเชียลจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราเอาไว้ใช้ติดต่อกัน


แกรก~


ผมหันไปตามเสียงพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง เห็นหน้าอิพิงค์โผล่เข้ามาก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง


“แอบคุยกับผัวอยู่เหรอมึง” อิพิงค์แซ็วเสียงแหลม ผมจิ๊ปาก


“ผัวเหี้ยอะไร เดี๋ยวไอ้นัทได้ยิน” ผมด่าเสียงกระซิบ อิพิงค์หัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องแล้ววางกระเป๋าของตัวเองลงที่โต๊ะหนังสือของไอ้นัทพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่ง


“มันเล่นโทรศัทพ์อยู่ข้างล่าง กูดูแล้ว” อิพิงค์หัวเราะพลางเอ่ยบอก ผมถอนหายใจหน่ายๆ กับอาการของเพื่อนสนิท


“แล้วทำไมมันไม่ขึ้นมาพร้อมมึงวะแล้วให้กูรีบมา”


“มึงคิดจะมาขยันอะไรตอนนี้ ทีตอนเรียนกูเห็นมึงแอบหลับตลอด” ผมจิ๊ปากขัดใจเมื่อเจอมันด่ากลับ ถึงแม้มันจะด่าเรื่องจริงก็เถอะครับ…


“กูก็มาติวแล้วไงเนี่ย แม่งโคตรกลัวเลยว่ะ” ผมว่าต่อ


“เอาน่า ไอ้นัทมันเก่งอยู่แล้วเชื่อมือมัน คราวหลังมึงก็ตั้งใจหน่อยดิวะ ดูอย่างกูถึงกูจะเที่ยวกลางคืนแต่กูก็มาเรียนได้โดยไม่หลับในคาบนะ” ผมเบ๋ปาก ทำมาเป็นคุยมึงก็หลับพอๆ กับกูแหละอิพิงค์ดีกว่ากูหน่อยก็แค่มึงทำเทสได้


“กูไม่เข้าใจเลย ตอนเรียนกูก็พยายามฟังอาจารย์นะมึง แต่พอกูเริ่มไม่เข้าใจมันก็เริ่มทำให้กูตามในสิ่งที่อาจารย์เขาสอนไม่ทัน แล้วกูก็พาลจะหลับกับเสียงอาจารย์ป้าตลอด” ผมบอกต่อ อิพิงค์หัวเราะคิกคักเหมือนเห็นด้วยในสิ่งที่ผมพูด


จริงๆ นะครับคือเข้าใจไหมอาจารย์มักชอบตั้งคำถามยากๆ ให้พวกเก่งๆ ตอบ แล้วมันก็ทำให้ไอ้พวกโง่ๆ อย่างผมรู้สึกโง่หนักเข้าไปอีก เพราะไอ้แค่คำถามง่ายๆ ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย ผมว่าถ้าอาจารย์เปลี่ยนเป็นถามคำถามง่ายๆ ที่พวกผมพอจะทำได้ก่อนบ้าง มันอาจจะทำให้ผมอยากเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ มากกว่าหลับในคาบก็ได้นะ นี่ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้โบ้ยนะ


“เออกูเห็นด้วย ฟังทีไรพาลจะหลับกับเสียงอาจารย์ป้า” อิพิงค์พูดพลางหัวเราะ พลอยทำให้ผมหัวเราะไปด้วยกับท่าทางหัวเราะของมัน


แกรก...


ผมกับอิพิงค์หันไปทางต้นเสียง ปรากฎร่างไอ้นัทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมเราสองคนจึงเงียบกริบไปตามระเบียบ แม่งมานานยังวะ...


“ไงพวกมึง พร้อมมั้ย” ไอ้นัทถามยิ้มๆ ผมกับอิพิงค์หันมามองหน้ากันเหมือนรู้คำตอบ ถ้ากูบอกว่าไม่พร้อม มึงจะถีบกูไหม T^T


+++++++++++


“อ่า...ปวดหลังชิบ” ผมบ่นพลางยืดแขนบิดขี้เกียจไล่อาการเมื่อยขบแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงไอ้นัท อิพิงค์ทิ้งตัวนอนราบไปกับพื้นท่ามกลางกองหนังสือและชีทที่กระจายไปทั่วบริเวณห้อง หลังจากที่พวกเราเริ่มติวกันมาตั้งแต่บ่ายไอ้นัทมันก็เพิ่งยอมให้พวกผมได้พัก ประกอบกับมันเริ่มบ่นว่าเจ็บคอจากการใช้เสียงในการติวให้ผมกับอิพิงค์เป็นเวลานานเลยพักหาน้ำกินแก้กระหาย


“กูปวดหัวไปหมด” อิพิงค์เปิดปากบ่นเสียงยาน ผมถอนหายใจอย่างปลงตกกับเนื้อหาที่ไอ้นัทพยายามเคี่ยวเข็นใส่สมองของเราทั้งคู่ แม่งยาก!!


ครืด...ครืด…


ผมควานมือไปตามเตียงเพื่อหาโทรศัพท์ก่อนจะคว้ามากดรับเสียงงัวเงีย


“ครับ”


“บีทส์...” พี่ซันเอ่ยเรียก ผมยิ้มเมื่อคนที่กำลังคิดถึงอยู่พอดีโทรเข้ามา ดีที่ไอ้นัทลงไปคุยโทรศัพท์กับมีน


“ครับ ว่าไง”


อิพิงค์ลุกขึ้นนั่งพลางทำหน้ากรุ้มกริ่มมองผมเหมือนรู้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา


“แหม...ทำเสียงแปลกใจ จริงๆ ก็แอบรออยู่ กูรู้ค่ะเพื่อน” อิพิงค์จีบปากจีบคอแซ็ว ผมถลึงตาใส่ก่อนจะแกล้งโยนหมอนเฉียดหัวมันจนร้องโวยวาย ผมหัวเราะไม่ได้ตั้งใจจะให้โดนมันหรอกครับ


“มึง...” พี่ซันเรียกผมอีกครั้ง


“ว่าไงครับ” ผมถามกลับยิ้มๆ


“คือว่า...เชี่ยแค่บอกไปตรงๆ ยากอะไรวะ” ผมขมวดคิ้วที่พี่ซันอึกอักไม่ยอมพูดพร้อมกับได้ยินคนในสายก่นด่าตัวเอง


“มีอะไรรึเปล่าครับ อึกอักแบบนี้ผมไม่เข้าใจนะ พี่ก็รู้ว่าผมโง่”


“อ่านหนังสือเป็นไงบ้าง”


ผมยู่ปากจะถามแค่นี้ทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไปได้ ไอ้เราก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย ผมบ่น (ในใจ) ก่อนจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อนึกถึงบทเรียนที่เพื่อนรักพร่ำสอนให้ก่อนหน้านี้


“ผมจะตายอยู่แล้ว พี่รู้ปะ ไอ้นัทมันเป็นโหดกว่าอาจารย์ป้าอีกอ่ะ” ผมถอนหายใจพร้อมกับรีบฟ้องคนในสาย


“ตั้งใจอ่านให้ดี จะได้ทำข้อสอบได้มึงยิ่งฉลาดๆ อยู่ด้วย” พี่ซันแขวะ


“เข้าใจแล้วน่า” ผมตอบรับด้วยเสียงงอนๆ


“อืม...เข้าใจก็ดี” ปลายสายตอบรับกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเงียบไป ผมยกมือขึ้นวาดไปในอากาศเป็นรูปหัวใจเกี่ยวกันสองดวงแล้วยิ้มให้กับตัวเอง


“พี่ก็ตั้งใจทำงานด้วยเหมือนกันนะ อย่าลืมหาอะไรทานด้วย” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาบ้าง ผมจำได้ว่าอีกฝ่ายบอกไว้ตอนมาส่งว่าจะไปทำงานต่อที่ห้องพี่สอง ตอนนี้พี่มันก็คงจะอยู่ที่ห้องพี่สองนั่นแหละครับ


“หึ เข้าใจแล้ว” พี่ซันตอบรับแล้วเงียบไปอีก


“พี่จะโทรมาแค่นี้ใช่เปล่า” ผมเอ่ยปากถาม


“...”


ผมเงียบเพื่อรอให้อีกฝ่ายพูดเมื่อเห็นเจ้าตัวยังเงียบก็แสดงว่าคงไม่มีอะไรจะพูดแล้วจึงเป็นฝ่ายเอ่ยตัดบท


“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมจะวางแล้วนะครับ เดี๋ยวไอ้นัทเข้ามา ผมไม่อยากโกหกเพื่อน อีกอย่างพี่จะได้ไปทำงานต่อด้วยอย่าอู้หรือแอบหนีไปเที่ยวด้วยไม่งั้นผมโกรธพี่แน่ แล้วก็คืนนี้ไม่ต้องคิดถึงผมนะครับ เพราะผมจะเป็นฝ่ายคิดถึงพี่เอง” ผมบอกขำๆ


“แล้วก็...”


“บีทส์”


ผมชะงักเมื่อปลายสายเรียกชื่อผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมจึงตั้งใจฟังพี่ซัน


“น้องฟ้ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย กูว่าจะออกไปดูเขา”


ผมนิ่งไป เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ


“แต่ถ้าทำให้มึงไม่สบายใจ กูไม่ไปก็ได้นะ แต่อยากให้คิดให้ดีๆ ว่ามึงต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า” พี่ซันบอกต่อเมื่อเห็นผมเงียบ


“แล้วตอนนี้พี่อยู่ที่ไหนครับ” ผมกลั้นใจเอ่ยถาม


“เอ่อ...”


ผมเดาว่าพี่มันคงออกจากห้องพี่สองมาแล้ว


“กูพูดจริงๆ ถ้ามึงไม่อยากให้ไปกูก็จะกลับ” พี่ซันพูดเสียงจริงจัง ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างข่มกลั้นอารมณ์กับอาการขับแน่นในอก พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ เมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มเต้นเร็วผิดปกติเกินไปเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก อิพิงค์ลุกขึ้นจากกองหนังสือแล้วเดินมานั่งข้างๆ พลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


"ผมไม่ใช่คนใจดำขนาดนั้นถ้าพี่คิดว่าผมจะห้าม นั่นก็พี่รหัสผม ผมก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน พี่ไปเถอะ จะกลับก็อย่าลืมโทรบอกผมด้วยนะ” ผมเปล่งเสียงบอกอีกคนออกไปแบบนั้น ในเมื่อพี่ซันบริสุทธิ์ใจถึงขนาดโทรมาบอกผมก่อน ผมก็ควรจะเชื่อใจพี่มันให้มากๆ ใช่ไหม? พี่ซันกับพี่ฟ้าโตมาด้วยกันก็ไม่แปลกถ้าพี่ซันจะเป็นห่วงหรือร้อนรนเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเกิดอุบัติเหตุ


“มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ” พี่ซันถามย้ำ


“งั้นไม่ให้ไปละ” ผมแหย่


“เฮ้ยได้ไง!? กูออกมาแล้วครับเมีย ไม่ทันแล้ว” พี่ซันโวย ผมหลุดขำที่แกล้งอีกฝ่ายได้ ถ้าถามว่าผมคิดอะไรไหมที่รู้ว่าพี่ซันจะออกไปหาพี่ฟ้า และถ้าผมบอกว่าไม่เลยก็คงเป็นการโกหกอีกเหมือนกัน


แต่ผมก็ไม่เคยลืมนะว่าก่อนที่พี่ซันจะเจอผมเขาก็มีพี่ฟ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขามาก่อน ผมไม่ควรเห็นแก่ตัวดึงพี่ซันไว้กับตัวเองเป็นสิทธิ์ขาด อย่าถามว่าเอาความคิดนี้มาจากไหน ผมเคยฟังมาจากไอ้นัท


“ล้อเล่นน่า...พี่ขับรถดีๆ นะ ผมต้องวางแล้ว แค่นี้นะครับ” ผมกดตัดสายหลังจากที่พูดจบ สายตายังคงมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ยังสว่างจ้าเป็นรูปตัวเองยิ้มแป้นให้กับกล้อง คนถ่ายคือไอ้คนที่เพิ่งวางสายไปนั่นแหละครับ


“มึงไม่คิดอะไรเลยจริงดิ” เสียงคนข้างๆ เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจเหมือนกับเห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก ผมยักไหล่แล้วทิ้งตัวลงนอนราบไปกับเตียง


“กูถามคนนะไม่ใช่ถามตอไม้ อย่าบอกนะว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างล่องลอยตามผัวไปแล้วอ่ะ” อิพิงค์ถามเสียงแหลม พลางใช้มือพลิกไหล่ผมที่แกล้งนอนคว่ำหน้าไปกับเตียง


ผมกัดปากฉับเมื่อหันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทที่แม่งเรด้าดียิ่งกว่ายานรบ


“ยังจะมามองหน้าอีก” อิพิงค์เร่ง


ผมจิ๊ปากแสร้งว่ารำคาญเพื่อนแล้วตอบในสิ่งที่คิดไปครึ่งหนึ่ง “ก็ในเมื่อพี่ซันบอกว่าไม่มีอะไร เขาบริสุทธิ์ใจถึงโทรบอกก่อน กูก็จะพยายามไม่คิดอะไร” อิพิงค์เบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้


“อย่ามัวแต่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องนะมึง กูจะบอกให้ว่าไอ้พวกนั้นเริ่มสงสัยมึงแล้วโดยเฉพาะไอ้นัท มึงอ่ะ...ช่วงนี้ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ มึงก็รู้ว่ามันฉลาด คิดจะบอกมันเมื่อไหร่” อิพิงค์มองหน้าผมพลางถาม


ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ถามยากกว่าข้อสอบอีกว่ะ จะให้บอกได้ยังไงก็ในเมื่อพวกมันเข้าใจว่าพี่ซันเป็นแฟนของพี่ฟ้า


พวกมัน...คงรับไม่ได้หรอก


“กูไม่กล้าว่ะ” ผมหันไปบอกอิพิงค์ มันพยักหน้ารับเนือยๆ อย่างเข้าใจ


“มีอะไรให้กูช่วยก็บอก” อิพิงค์ว่าต่อ ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ


“ว่าแต่เรื่องของกู แล้วเรื่องของมึงล่ะ” ผมเป็นฝ่ายถามอิพิงค์กลับบ้าง เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมั่นอย่างมันทำหน้าเหรอหรา


“เรื่องของกู? มีอะไร...ก็ไม่มีอะไรนี่” อิพิงค์ตอบหน้าซื่อ


“เหร๊อ...แล้วไอ้คนที่กูเจอวันนั้นล่ะมันยังไง” ผมทำเสียงล้อเลียน อิพิงค์ทำหน้าเหมือนจะกลั้นใจตายก่อนจะเม้มปากแล้วเบือนหน้าไปมองผนังห้องเหมือนไม่อยากตอบคำถาม


“ว่าไงมึง” ผมต้อน


“กูไม่อยากเล่าว่ะ” อิพิงค์หันมาทำเสียงอ้อน พลางหันไปหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างตัวมาดูเมื่อมีสัญญาณเตือนว่ามีสายเข้า ผมเห็นมันทำหน้ากลั้นใจก่อนจะกดตัดสายไม่ยอมรับ ทำให้ผมมั่นใจว่าต้องเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเห็นวันนั้นแน่ๆ แม่ะ เพื่อนกูมันร้ายไม่เบา


“ทีเรื่องของกู กูยังเล่าให้มึงฟังได้เลย ทีเรื่องของมึงดันบอกว่าไม่อยากเล่าให้กูฟังซะงั้น เฮ้อ กูเป็นเพื่อนมึงป๊ะเนี่ย แค่นี้มึงยังไม่ไว้ใจกูเลย” ผมแกล้งทำเสียงตัดพ้อมันสุดฤทธิ์แล้วตีหน้าเศร้าประหนึ่งเหมือนเข้าใจว่าผมไม่สำคัญพอที่มันจะเล่าเรื่องส่วนตัวของมันให้ฟังได้


“เล่นใหญ่มาก” อิพิงค์แขวะกลับด้วยความหมั่นไส้ ผมหัวเราะ


“คนที่มึงเจอวันนั้น...กูไปเจอเขาที่ผับ ก็ผับที่กูไปเที่ยวประจำนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจจะรู้จักหรอก แต่เพราะวันนั้นกูเมามาก แดนซ์หนักไปหน่อยเลยน็อค เขาเลยใจดีหิ้วกูกลับไปที่ห้องเขาด้วย” อิพิงค์เริ่มเปิดปากเล่า คิ้วเรียวของมันขมวดเข้าหากันเมื่อพูดถึงตอนที่มันเจอกับผู้ชายคนนั้นด้วยความไม่ตั้งใจ ยังจำสโลแกนประจำตัวของมันได้ไหมครับ ‘สวยเลือกได้ แรดแต่เลือก’


“อย่าบอกนะว่ามึงเสียท่า...หลวมตัวเสร็จเขาไปแล้วอ่ะ” ผมถามกลับตาโต เพราะรู้ว่าอิพิงค์มันจะยอมใครก็ต่อเมื่อเกิดจากความเต็มใจของมันเท่านั้น แต่นี่มันบอกว่ามันไม่ได้ตั้งใจ หรือว่า…


“ไม่ใช่ย่ะ! ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะดีกว่านี้ น้ำแตกแล้วแยกทางกันไป แต่มันไม่ใช่แบบนั้นดิวะ” อิพิงค์รีบปฏิเสธ ก่อนจะยกมือขึ้นมาทึ้งหัวตัวเองเครียดๆ


“เอ้า...แล้วมันยังไง” ผมถามต่อ


“เขาพากูไปที่ห้องเขาใช่ปะ แล้วกูก็เสือกอ้วกเลอะห้องเขา แทนที่เขาจะถีบส่งกูออกจากห้องแต่มันตรงกันข้าม เสือกช่วยเช็ดอ้วกกู เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ไม่ทำอะไรกูเลยสักนิด โคตรเหลือเชื่อ” อิพิงค์หันหน้ามาสบตากับผม แล้วบอกเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่มันกำลังโพล่งบอกผม


“พูดจริง?”


“เออสิวะ” อิพิงค์โอดครวญ


“แล้วไงต่อ”


“จากนั้นแม่งก็ตามติดกูแจ กูไปเที่ยวที่ไหนแม่งก็เจอมันจนกูหลอน ใครเข้ามาจีบกู แม่งก็ตามมากวนจนผู้ชายกูหนีหมด กูจะเป็นบ้าแล้วเนี่ย” อิพิงค์ว่าต่อ ผมพยักหน้ารับ เออกูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงทำหน้าเหมือนเจอโรคจิตตาม


“แล้วเขารู้ได้ไงว่ามึงเรียนที่นี่” ผมถามต่อ


“กูเพิ่งรู้ว่ามันเรียนมอเดียวกับเราก็วันที่มึงเจอแหละ ทุกวันนี้กูประสาทจะกินวันละหลายๆ รอบเพราะกลัวเจอมัน ฮือ คนสวยมากอย่างกูก็กลุ้มได้นะมึง” อิพิงค์จิ๊ปากตอบคำถาม ผมหัวเราะหนักกว่าเดิมเมื่อมันตบท้ายประโยคด้วยการอวยตัวเอง จะว่าไปก็ชักอยากเจอคนที่ทำให้อิพิงค์วิ่งหนีได้ แม่งเก่งจะไปขอวิชา


“แล้วมึงไม่ชอบเหรอ คนดีๆ ไม่ฉวยโอกาสตอนเมานี่หายากนะเว้ย” ผมเอ่ยเย้าเพื่อนสนิทขำๆ


“ไม่เอา กูไม่ชอบคนดี คนดีแม่งชอบผูกมัด ไม่ใช่แนวกู” อิพิงค์ส่ายหัวตอบพลางทำหน้าสยดสยอง ผมถึงบางอ้อ ลืมไปเพื่อนผมมันเป็นพวกรักอิสระไม่ชอบให้ใครมากำหนดกรอบชีวิต แต่ผมว่ามันแค่ยังไม่เจอใครที่ทำให้มันหยุดได้มากกว่าเลยไม่ยอมลงเอยกับใครจริงๆ จังๆ


“พอๆ เลิกพูดถึงมัน ว่าแต่มึงเถอะกับพี่เจนี่ยังไง” อิพิงค์ตัดบท แล้วถามผมกลับ ผมเลิกคิ้ว พี่เจทำไม


“อะไร” ผมถาม


“ก็เขามาถามเรื่องมึงกับกู แล้วก็ถามว่ามึงสนิทกับพี่ซันรึเปล่า มันไม่แปลกเหรอวะ” อิพิงค์ตอบ ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ อย่าบอกนะว่าพี่เจสงสัยความสัมพันธ์ของผมกับพี่ซัน


“มึงว่าเขาจะรู้เรื่องของกูกับพี่ซันมั้ยวะ” ผมถามอิพิงค์เลิ่กลั่ก


“กูแม่งก็เดาใจพี่มันไม่ถูกเหมือนกัน ชอบทำหน้ายิ้มๆ ท่าทางดูใจดีเหมือนพ่อพระมาโปรด แต่ถ้าสังเกตสายตาดีๆ จะรู้ว่ามันโคตรเจ้าเล่ห์ อร๊าย ถูกใจกู! แต่เสียดายยังไงก็ยังน้อยกว่าพี่สุดหล่อของกูรายนั้นกูยกไว้บนหิ้ง” ผมส่ายหัวปลงกับอาการของเพื่อนสนิท รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ครับ จะว่าไปผมกับพี่ซันก็ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันในมหาลัยเลยนะ ข้างนอกก็ไม่เท่าไหร่ยกเว้นแค่ตอนไปซื้อของเข้าห้องในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ คอนโด


“กู...”


แกรก~


ผมหุบปากเมื่อมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ไอ้นัทโผล่หน้าเข้ามาตามด้วยลำตัวของมันครึ่งท่อน ผมหันไปเลิกคิ้ว


“คุยไรกัน แม่ให้มาตามไปกินข้าว” ไอ้นัทบอก ผมหันไปมองหน้าอิพิงค์ แม่งมันแอบฟังอยู่หรือเปล่าวะ T^T


“เรื่องเด็กกู ทำไม...มึงอยากฟังด้วยเหรอ” อิพิงค์หันไปตอบพลางแกล้งบิดขี้เกียจไปมา ไอ้นัทส่ายหัวพรืด ผมถอนใจหายใจด้วยความโล่งอกแล้วขยับลุกขึ้นจากเตียง


“กูแม่งเริ่มง่วงแล้วด้วยเนี่ย” ผมบ่น


“กูด้วย” อิพิงค์เสริมคำ


“ทีตอนเที่ยวกลางคืน ไม่เคยนึกจะง่วง กูเห็นโต้รุ่งตลอด” ผมหันไปแขวะ อิพิงค์เบ๋หน้า


“แหมอินี่มันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้างปะวะ” อิพิงค์แก้คำ ผมกับไอ้นัทหลุดหัวเราะพร้อมกันอย่างรู้ทัน ก่อนที่ไอ้นัทจะเริ่มเคี่ยวเข็ญพวกผมต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึงตีสองเราถึงแยกย้ายกันอาบน้ำและเข้านอน


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? EP 31 : เค้าลาง
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 06-09-2018 16:33:26
[ต่อ]


“หมดเวลาแล้วค่ะนักศึกษา ส่งกระดาษคำตอบได้แล้ว”


เสียงระฆังที่บ่งบอกว่าขณะนี้มึงหมดเวลางมเข็มในมหาสมุทรแล้วดังขึ้น ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะวางปากกาลงกับโต๊ะอย่างตัดใจ พลางไล่สายตาสำรวจชื่อและรหัสนักศึกษาของตัวเองอีกทีกันพลาด เผื่อว่าตัวเองจะเมาขี้ตาแล้วลืมรหัสนักศึกษาของตัวเอง


เมื่อคืนพี่ซันส่งข้อความมาหาผมเกือบๆ จะเที่ยงคืนได้ เพื่อบอกว่าตัวเองกำลังกลับคอนโดพี่สองหลังจากไปส่งพี่ฟ้าที่บ้านแล้ว ผมอ่านข้อความนั่นช้าๆ ก่อนจะตัดใจวางโทรศัพท์ลงแล้วไม่ตอบกลับ


จนสักพักใหญ่ๆ พี่ซันส่งข้อความมาบอกผมอีกว่าถึงห้องพี่สองแล้ว แถมยังบอกอีกว่าโดนฝนเปียกไปหมด ผมเป็นห่วงแต่ก็พยายามแข็งใจไม่ตอบข้อความกลับแล้วหันไปฟังไอ้นัทติวหนังสือแทน


ผมก็แค่หวังว่าพี่มันจะร้อนใจขึ้นมาบ้าง


แต่ก็...เงียบสนิทอ่ะครับ ฮ่าๆ


ผมเดินออกมาจากห้องสอบในสภาพอิดโรยเนื่องจากการใช้เซลล์สมองคิดวิเคราะห์สูตรอาจารย์ป้าที่มันตีกันอยู่ในหัว ยิ่งกับคนเมมโมรี่ต่ำอย่างผมแล้วด้วยคือเกือบตายครับ นี่ถ้าไม่ได้ไอ้นัทช่วยติวมีหวังไอ้บีทส์ต้องวิ่งหายาแก้ไอวิชาของอาจารย์ป้าให้วุ่น พุฮ่าๆ


ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดเครื่องก่อนจะโทรหาใครบางคนที่สั่งผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าหากสอบเสร็จแล้วให้โทรบอก เจ้าตัวจะมารับ


ผมขมวดคิ้วเมื่อฟังเสียงรอสายอีกคนจนระบบมันตัดไปเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝั่งจะรับสาย ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้งพลางมองหาอิพิงค์กับไอ้นัทที่ออกจากห้องสอบก่อนผมมาแล้ว


ตู๊ดดดดดดด ตู๊ดๆๆๆๆๆๆ


ผมกดวางสาย ไอ้พี่ซันบ้า! ไหนว่าจะมารับไงจะโกรธแล้วนะเว้ย! มีธุระอะไรทำไมไม่บอกดีๆ มากดตัดสายกันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนวะ


“บีทส์”


ผมหันขวับไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนเปิดบทสนทนา คนทักโบกมือยิ้มมาแต่ไกลแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาหาผมในระยะใกล้จนถึงตัว


“สอบเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม อีกฝ่ายยักคิ้วให้ยิ้มๆ ก่อนจะเดินตามผมที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ (จริงๆ คือรัวสติกเกอร์พ่นไฟใส่พี่ซันอยู่) อย่างเอาเป็นเอาตาย


“อ๊ะ” ผมร้องขึ้นเบาๆ เมื่อข้อมือถูกรั้งไว้โดยคนที่เดินตามมาทำให้ผมเซเล็กๆ เพราะไม่ทันได้ระวังตัว


“โทษที...แต่มึงจวนจะชนป้ายอยู่แล้ว เดินระวังหน่อยสิ” ไอ้ตี๋ดุเสียงเข้ม ผมหันไปมองยังป้ายที่ไอ้ตี๋มันว่าก่อนจะเจอป้ายฟิวเจอร์บอร์ดขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ด้านข้างของมันมีป้ายยื่นออกมา ถ้าชนเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่เจ็บตัวไม่พอแถมยังซวยหมาถ้าป้ายของคณะเป็นอะไรไป T^T


“เออขอบใจ” ผมหันไปยิ้ม


“หิวว่ะ” ไอ้ตี๋บ่นพลางลูบหน้าท้องตัวเองแล้วเหล่มาหาผม ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามึงจะบอกกูเพื่อ?


“เห็นเพื่อนกูบ้างปะ” ผมถามเมื่อพยายามมองหาเพื่อนตัวเอง แต่ก็ไม่มีวี่แวว หายหัวกันไปไหนไม่บอกไม่กล่าว


“นัทบอกว่ามีธุระต้องรีบไป ส่วนพิงค์โดนใครลากไปก็ไม่รู้แต่เขาบอกให้เรามารอบีสท์แทน กลัวออกมาแล้วไม่เจอใคร” ไอ้ตี๋ทำหน้าเซ็งก่อนจะเอ่ยตอบ พลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม


“แล้วเนมอะ” ผมถามต่อโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาเพราะกำลังก้มเล่นเกมแคนดี้ครัชอย่างเมามันส์


“กลับไปแล้ว”


“งืมๆ งั้นกูไปละ” ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าพลางลุกขึ้นยืน
   

ไอ้ตี๋คว้าข้อมือของผมไว้ก่อนจะเอ่ยชวน “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยดิ เนมไม่อยู่ไม่อยากกินข้าวคนเดียว...นะ” ทำหน้าหมาหงอยใส่กูอีก รู้นะครับว่ามันกวนตีน ผมขมวดคิ้ว ไอ้ตี๋ทำเป็นมองฟ้ามองลม เอาวะอย่างน้อยก็จะได้มีที่ไป ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องพี่ซัน
   

“เลี้ยงใช่ปะ” ผมเลิกคิ้วถาม
   

“ฮ่าๆ พูดเหมือนเคยควักตังค์จ่าย” ไอ้ตี๋หัวเราะพลางเอ่ยแหย่ ผมย่นจมูกใส่มันอย่างหมั่นไส้ คนชวนก็ต้องเป็นคนจ่ายสิวะถูกแล้ว
   

“มึงมีเหรียญสิบบาทปะ”
   

ผมหันไปถามร่างสูงกว่าที่เดินนำหน้าผมไปประมาณสามก้าว ไอ้ตี๋หันมามองพลางเลิกคิ้วแล้วเดินกลับมาหาผมที่ยืนอยู่หน้าตู้เกมกดตุ๊กตา
   

ไอ้ตี๋มันพาผมมาที่ห้างใกล้ๆ มหาลัยนี่แหละครับเพราะผมบอกว่าอยากกินชาบู มันเลยออกความเห็นว่ามาที่นี่จะได้ไม่ต้องนั่งรถไกล นั่งรถเมล์มาไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว วันนี้เห็นนักศึกษามาจับจองพื้นที่ในร้านอาหารหนาตาเพราะตารางสอบของวันนี้เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว จะมีสอบอีกทีก็วันจันทร์
   

หลังจากมาถึง ผมกับไอ้ตี๋ก็มุ่งหน้าไปยืนต่อคิวหน้าร้านชาบูชิทันที จากตอนแรกที่บอกมันไปว่าแค่จะมาเป็นเพื่อนแต่พอมาถึงกลายเป็นผมซะอีกที่มาถึงก็จ้วงเอาจ้วงเอาจนไอ้ตี๋ถึงกับเอ่ยปากแซ็วว่าโยนลงหม้อให้ไม่ทันแล้ว กว่าจะกินเสร็จก็ปาไปห้าโมงกว่า
   

ไอ้ตี๋ก็ยังเป็นไอ้ตี๋มันเป็นคนคุยสนุกนะครับ ถ้าไม่ติดว่ามันชอบกวนตีนมันก็เป็นคนที่น่าคบมากคนหนึ่ง ตอนอยู่กับเนมก็ไม่เห็นมันจะกวนตีนเขาเหมือนตอนเจอผมนะ ไม่รู้ว่าชาติก่อนผมเคยกวนตีนมันไว้หรือเปล่า ชาตินี้มันถึงตามมากวนตีนผมคืน
   

แต่ไม่อยากบอกเลยนะครับว่าตอนมันเล่นฟุตบอล ไอ้ตี๋แม่งหล่อมาก สาวๆ ตามกรี๊ดจนติดท็อปยี่สิบหนุ่มน่าคบของมหาวิทยาลัย ถึงมันจะไม่ได้หล่อมากมายอะไรแต่การเป็นนักกีฬาของมันโกยคะแนนความนิยมจากสาวๆ ไปได้เยอะ (แต่ผมยังไม่เคยเห็นมันเอ่ยปากบอกถูกใจใคร หรือมันมีแฟนของมันอยู่แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้ครับเพราะไม่ค่อยได้เผือกเรื่องของมัน)
   

“อ่ะ” ไอ้ตี๋ควักเงินมายื่นให้ ผมยื่นมือไปรับพร้อมกับก้มมององศาของตุ๊กตาในตู้เกม เหล่ซ้ายเหล่ขวาวัดระดับความเป็นไปได้ด้วยสายตาว่าหมาตัวไหนที่ผมน่าจะมีโอกาสหยิบติดขึ้นมาบ้าง
   

“โอ๊ะๆๆ นั่นล่ะๆ” ผมยื่นหน้าเข้าไปชิดตู้กด งอตัวลุ้นไอ้ไม้คีบที่กำลังทำท่างับตุ๊กตาที่นอนคว่ำหน้าอยู่
   

“โอ๊ยแม่ง!” ผมโวยเสียงดังเมื่อตุ๊กตาที่ผมหมายตาไว้หลุดออกจากไม้คีบ ได้ยินเสียงขำของคนข้างตัว ผมหันขวับไปถลึงตาใส่ที่มันบังอาจหัวเราะเยาะ มึงไม่เคยเหรอวะ ใครมันจะไปคีบได้ตั้งแต่ตัวแรก นั่นเขาเรียกเทพแล้วโว้ย
   

“อะไร...เหวี่ยงผิดคนแล้วไอ้หนู” ไอ้ตี๋ทำหน้ากวนตีน ผมจิ๊ปาก เงินมึงโดนกินเรียบแน่ครับเพื่อน
   

“อดเลย”
   

ผมบ่น ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปยังตู้โยนลูกบาสที่อยู่ไม่ไกล เล่นไอ้นี่ก็ได้วะ
   

“แข่งกันมั้ย” คนที่เดินตามมาเอ่ยถาม
   

ผมหันไปเลิกคิ้ว “ที่ถามนี่คิดยัง”
   

กูจะไปสู้มึงได้ยังไง มึงมันไอ้นักกีฬาถึงจะไม่ได้เป็นตัวแทนแข่งบาสแต่มึงก็นักกีฬา ส่วนกูน่ะเหรอ เล่นเป็นก็บุญหัวแล้วเว้ย ผมก้มล้วงหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงนักศึกษาของตัวเอง
   

ไอ้ตี๋เดินมายืนล้วงกระเป๋ากางเกงยิ้มๆ
   

ผมเบะปากเมื่อมันยักคิ้วให้ผมแทนคำตอบ



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 31 : เค้าลาง [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-09-2018 18:06:42
ทำไมไม่รับสายนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 31 : เค้าลาง [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 09-09-2018 11:39:40
เจกับฟ้าร่วมมืออะไรกันป่ะ :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 32 : ผิดแผน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 14-09-2018 17:58:58

ตอนที่ 32 : ผิดแผน

[ซัน]
   

“เอ๊ะ...พี่ซันคะ นั่น...บีทส์หรือเปล่า” ผมหันไปตามเสียงทักของคนข้างตัว เลื่อนสายตาไปยังทางที่ฟ้ากำลังมองอยู่แล้วเผลอขมวดคิ้วเมื่อเจอคนที่น้องฟ้าเอ่ยถามจริงๆ แถมไม่ได้มาคนเดียวหรือมากับเพื่อนสนิทของมันแต่เป็นไอ้เด็กนั่น


ทำไมต้องมากับไอ้หน้าอ่อนนั่นด้วยวะ


“คนข้างๆ นั่น น้องที่คณะฟ้านี่คะ ชื่ออะไรน๊า...ที่เป็นนักกีฬา ฟ้าจำได้” น้องฟ้ายังคงเอ่ยถามอย่างสนใจ


คนสองคนที่กำลังยืนเล่นเกมอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสที่เคยเป็นของผม กำลังมีคนอื่นได้รับมันเช่นกัน ผมขบกรามไม่พอใจแล้วเบือนหน้าหนี


เมื่อคืนหลังจากที่ส่งบีทส์เสร็จ ผมก็กลับมานอนต่อที่ห้อง ตื่นมาอาบน้ำอีกรอบในตอนเย็น แล้วออกไปหาไอ้สองโดยไม่ลืมแวะซื้อของเซ่นมาให้เจ้าของห้องด้วย    

‘ห่างจากเมียมาได้แล้วเหรอมึง’ ไอ้สองที่กำลังนั่งจ้องโน๊ตบุ๊คอย่างขมักเขม้นเอ่ยแซ็วขำๆ ผมหัวเราะหึหึ ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของมันเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าทีวี เป็นมุมประจำของผมซึ่งมีโน๊ตบุ๊คสีดำและกองหนังสือเล่มหนาวางอยู่
   

‘เอ้าไอ้นี่ กูถามไม่ตอบ’ ไอ้สองท้วงเอาคำตอบ
   

ผมหันไปเลิกคิ้วให้มัน


‘เสือก’


ไอ้สองจิ๊ปาก


‘ทีงี้มาด่าว่ากูเสือกนะไอ้สัส’


ผมหัวเราะ
   

‘แดกไรยัง กูซื้อข้าวมาให้’ ผมชี้มือ


‘เออขอบใจ แวะมานอนนี่น้องไม่งอแงเหรอ’


‘ไม่อยู่...ไปติวหนังสือบ้านเพื่อน’ ผมตอบพลางเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองขึ้นมาทำงานที่ทำค้างไว้ต่อ


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้วเมื่อโทรศัทพ์ที่วางอยู่ข้างตัวสั่นครืดแจ้งเตือน นึกเดาในใจว่าเจ้าของข้อความนั้นคือใคร พอหยิบขึ้นมากดอ่านก็อมยิ้ม


“ฮือ ยากมากอ่ะผมตกแน่เลย T^T”


บีทส์ส่งข้อความมาพร้อมกับสติ๊กเกอร์แพนด้าร้องไห้ หึๆ


“ถ้าตกกูเหยียบซ้ำนะ”


ผมกดส่งข้อความกลับไปพลางบิดตัวซ้ายขวาขับไล่อาการเมื่อยล้าจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ข้อความที่ส่งไปจริงๆ ก็แค่แกล้งขู่เจ้าตัวเขาไปอย่างนั้น ป่านนี้คงทำหน้ายุ่งใส่โทรศัพท์


‘เดี๋ยวนี้หัดรู้จักยิ้มคนเดียวแล้วเหรอมึง’ เสียงแซ็วลอยมาตามลม ผมหันไปเลิกคิ้วให้เพื่อนสนิท นี่มึงคิดจะจ้องจับผิดกูอยู่ตลอดเวลาเลยหรือเปล่าวะ


‘กูไม่ใช่คนบ้า’ ผมตอบกลับไปกวนๆ หยิบหนังสือเพื่อเปิดดูเนื้อหาเพิ่มเติม แล้วดึงดินสอที่เหน็บไว้กับหูมาวงข้อความที่ต้องการไว้


ไอ้สองเบ๋หน้าหมั่นไส้กับคำตอบของผมพร้อมทำท่าขนลุก แล้วตอบกลับด้วยประโยคประชดประชัน ‘แล้วหมาตัวไหนมันยิ้มใส่หน้าจอโทรศัพท์อยู่ตั้งนานสองนาน ทำตัวอย่างกับคนเพิ่งมีความรักครั้งแรก’


‘กูดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ’


‘เออไอ้สัส’


ไอ้สองจิ๊ปากที่แซ็วผมไม่ขึ้นก่อนจะก้มหน้าก้มตาจดจ่อไปที่จอโน๊ตบุ๊คของตัวเองต่อ ผมส่ายหัวยิ้มๆ


ครืด...ครืด…


ผมเลิกคิ้วเมื่อมีสายเรียกเข้า บีทส์ไม่น่าจะโทรหาผมเพราะเจ้าตัวอยู่กับเพื่อน...


หรือจะเป็นไอ้อาร์ต ผมหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรายชื่อเบอร์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ


เบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ


‘ครับ’


‘พี่ซัน’ ปลายสายเรียกผมด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ


‘ว่าไง’


‘ฟ้าโทรมากวนหรือเปล่าคะ’


‘ถ้าบอกว่ากวนเราจะยอมวางสายเหรอ’ ผมแกล้งแหย่ ไอ้สองที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เดินมานั่งบนโซฟาใกล้ๆ ผม ในมือถือกล่องข้าว มันตักกินพลางเหลือบมองผมที่คุยโทรศัพท์อยู่


‘โธ่พี่ซัน ฟ้าเกรงใจจริงๆ นะคะ แต่ว่ารถฟ้าโดนชนท้าย แล้ว...ที่นี่ก็เปลี่ยวด้วย ฟ้ากลัวแล้วก็ตกใจมากเลย’ ผมขมวดคิ้วทันทีที่ฟังปลายสายบอกสิ่งที่ต้องการจบ


‘โทรเรียกประกันหรือยัง โอเค แล้วตอนนี้น้องฟ้าอยู่ที่ไหน’ ผมถามพลางยื่นมือไปหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจรถมาถือพร้อมเอียงหูฟังปลายสายบอกตำแหน่งที่อยู่


‘ตอนนี้ฟ้าอยู่...’ น้องฟ้าเอ่ยบอกเสียงสั่นๆ


‘โอเคงั้นรอพี่อยู่ที่นั่นนะ นั่งอยู่ในรถนั่นแหละไม่ต้องลงมา พี่จะรีบไป’ ปลายสายตอบรับก่อนจะกดวาง


‘จะไปไหนวะ’ ไอ้สองถามขณะยกแก้วน้ำขึ้นซด


‘รถน้องฟ้าโดนชนท้ายว่ะ กูว่าจะไปดูสักหน่อย’ ผมตอบพลางลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาพาดบ่า
   

‘ซัน’
   

ขาที่กำลังจะก้าวออกจากห้องหยุดชะงัก ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพื่อนสนิท ไอ้สองลุกขึ้นยืน เอามือล้วงกระเป๋าแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผม
   

‘อย่าลืมโทรบอกน้องด้วยล่ะ’
   

ผมชะงักเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้สองยักคิ้วก่อนจะเดินกลับไปยังตำแหน่งที่มันนั่งอยู่ตอนแรก ผมยิ้มเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนสนิทเอ่ยเตือน
   

‘ขอบใจ’
   

ผมเดินออกจากห้องพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดนน้องมันกวนนิดหน่อยแต่เขาก็ไม่งี่เง่า
   

กว่าจะกลับถึงห้องไอ้สองก็ใช้เวลาค่อนคืน รู้อยู่เต็มอกว่ามันคงจะไม่พอใจเพราะส่งข้อความไปหางหลายข้อความแต่อีกคนก็ไม่มีวี่แววว่าจะตอบกลับมา เลยตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามานั่งทำงานต่อ
   

รุ่งเช้าก็ได้รับโทรศัพท์ด่วนจากคุณทวีให้ผมเข้าร่วมประชุมผู้บริหารในตำแหน่งผู้สังเกตการณ์ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและปูทางขยายเครือข่ายให้ผม ทั้งการประชุมวันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับผู้บริหาร หัวข้อหลักคือกลยุทธ์การรับมือกับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท
   

อ่า...ผมพลาดอีกแล้ว
   

ผมสัญญากับน้องเอาไว้ว่าวันนี้จะไปรับหลังสอบเสร็จ
   

ไม่น่าล่ะ...
   

มันถึงได้โทรหาผมหลายสายตอนที่ผมกำลังอยู่ในห้องประชุมจนผมต้องกดตัดสาย หลังจากออกจากห้องประชุมกำลังจะโทร.กลับ ครอบครัวน้องฟ้าที่มาเข้าร่วมประชุมเช่นกันก็เดินมาหาผม
   

ผมไม่แน่ใจว่าทำไมน้องฟ้าถึงมาเข้าร่วมการประชุมนี้ด้วยด้วย แต่สุดท้ายก็ได้รับการไหว้วานให้พาน้องฟ้าออกมาหาอะไรทาน แล้วค่อยไปส่งน้องฟ้าเพราะรถของเธอยังจอดอยู่ในอู่
   

ผมอึกอักแต่ก็ไม่อยากหักหน้าผู้ใหญ่ น้องฟ้าเองก็ทำหน้าลำบากใจ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการตอบรับ จนบีทส์โทรมาอีกครั้งผมก็กดตัดสายเพราะไม่อยากโกหกอีกฝ่ายว่าตอนนี้อยู่กับใคร
   

ผมไม่อยากให้มันไม่สบายใจจนลืมไปเลยว่า...สัญญาอะไรไว้กับมัน
   

“เราเข้าไปทักทายน้องหน่อยดีมั้ยคะพี่ซัน” น้องฟ้าหันมาถาม ใบหน้าสวยยิ้มจนตาปิด เดาว่าคงอยากแซ็วน้องรหัสตัวเอง ผมพยายามเก็บอาการ เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ค่อยชอบคำว่า ‘โลกกลม’
   

“พี่ว่าอย่าไปกวนเขาสองคนเลย”
   

“โอ๊ยไอ้สัสเบาเบ๊า!”
   

ผมหันไปมองบีทส์ เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายด่าทอคนที่กำลังยืนหัวเราะสะใจ มองบีทส์เอามือกุมหน้าผากตัวเองร้องโอดโอย
   

“กวนที่ไหนกันคะ บีทส์!” ยังไม่ทันที่ผมจะพาคนข้างตัวออกห่างจากจุดที่อยู่ในสายตาบีทส์ ฟ้าก็เป็นฝ่ายส่งเสียงเรียกน้องรหัสของตัวเองจนเจ้าของชื่อหันมายิ้มค้างเมื่อเห็นว่าใครที่ส่งเสียงเรียกตัวเอง แวบหนึ่งผมเห็นมันทำหน้าผิดหวังเมื่อเห็นผม ผมจิ๊ปากในลำคออย่างไม่สบอารมณ์
   

“สอบเป็นไงบ้าง” ฟ้าเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปถึงตัวบีทส์ก่อน คนถูกถามทำหน้าอึกอัก ผมสบตากับคนที่อยู่ข้างๆ บีทส์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้จะรู้ว่าครั้งนี้เป็นผมอีกแล้วที่ทำให้บีทส์ไม่พอใจ แต่จะให้ผมเฉยๆ ที่เขามาเที่ยวกับใครผมคงทำไม่ได้
   

บีทส์ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยตอบโดยไม่มองหน้าผม “ก็ดีครับพี่ฟ้า เพื่อนช่วยติวให้เลยพอทำได้บ้าง”
   

ต่อให้อยากยกมือขึ้นมาลูบหน้าแค่ไหนแต่ผมก็ทำได้แค่ยืนนิ่ง
   

ทุกอย่างผิดแผนไปหมด
   

ทีแรกผมตั้งใจพาน้องฟ้ามาทานข้าวใกล้กับมหาลัยเพื่อที่จะได้ปลีกตัวไปหาบีทส์ ที่ไหนได้...แม่ง
   

“ไปกินไอติมกันมั้ยพี่ซันเลี้ยง” ฟ้าหันไปถามบีทส์ ก่อนจะหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม เนื่องจากก่อนหน้านี้เรายังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะแวะที่ไหนเพราะผมบอกว่ามีธุระต้องไปต่อ
   

“เอ่อ” บีทส์ทำหน้าอึกอัก พร้อมกับหันไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างตัวที่ยืนหน้านิ่ง ผมกำหมัดเพื่อข่มกลั้นอารมณ์หึงหวง เมื่อบีทส์ยื่นมือไปดึงชายเสื้อนักศึกษาของไอ้หน้าอ่อนนั่นแล้วขยับกายเข้าไปแนบชิด


“ขอโทษด้วยครับพี่ พอดีพวกผมตกลงกันว่าจะไปที่อื่นต่อแล้ว” ไอ้หน้าอ่อนนั่นปฏิเสธ ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางที่ไหล่บีทส์ด้วยท่าทีสนิทสนม
   

ผมมองอาการนั้นด้วยใบหน้าเรียบตึงพลางส่งสายตาบอกบีทส์ว่ามันมากเกินไปแล้ว แต่เจ้าตัวเบือนหน้าหนี แล้วหันไปพยักหน้ายืนยันคำพูด
   

หึ คิดจะชิ่งหนีไปกันสองคน...ฝันไปเถอะ
   

“อยู่ด้วยกันก่อนสิ พี่เขาอุตส่าห์ชวน...จะปฏิเสธเหรอ”
   

บีทส์หันมามองหน้าผมเมื่อประโยคที่ผมพูด สื่อไปในทำนองเชิงตำหนิรุ่นน้องที่ปฏิเสธคำชวนรุ่นพี่ เจ้าตัวเม้มปาก
   

“พี่ซันอย่าดุน้องสิ” ฟ้าหันมาดุผมไม่จริงจัง ผมหัวเราะเป็นเชิงบอกว่าพูดเล่น น้องฟ้าเลยยู่ปากใส่ผมด้วยความหมั่นเขี้ยว
   

“ก็ได้ครับ ถ้าพี่ขอ...ผมก็จะไม่ปฏิเสธ”
   

ผมรู้ว่ามันไม่พอใจ นี่ผมพูดแรงไปเหรอ ผมก็แค่ไม่อยากให้เขาสองคนอยู่ด้วยกันอย่างน้อยขอแค่เขายังอยู่ในสายตาผม ต่อให้ทำแล้วเจ้าตัวจะไม่ชอบใจ ผมก็จะทำ
   

น้องฟ้าหันไปยิ้มดีใจก่อนจะเป็นฝ่ายเดินไปจูงมือบีทส์ให้เดินไปกับตัวเอง
   

“พี่คิดจะทำอะไร”
   

ขาที่กำลังจะก้าวตามคนสองคนที่เดินนำไปก่อนหยุดชะงัก
   

ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนสบตามองผมอย่างไม่คิดจะหลบตา
   

แล้วแสยะยิ้มเย็น
   

“อย่าเสือก”

   
“แลกกันค่ะ” ฟ้าพูดพลางตักช็อกโกแลตมาให้ผมแล้วตักสตรอเบอรี่ของผมไปไว้ในถ้วยของตัวเองแทน เธอรู้ว่าผมไม่ชอบกินสตอเบอรี่ เนื่องจากความหวานของมัน ผมยิ้มรับพลางมองไปยังคนที่นั่งตรงข้ามกับผม ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนจะตักไอติมใส่ปากโดยไม่พูดอะไร
   

“กินปะ”
   

ไอ้หน้าอ่อนตักสตรอเบอรี่ของตัวเองไปใส่ถ้วยคนตัวเล็กยิ้มๆ
   

...กวนส้นตีน…
   

“พี่ซันจะรีบไปธุระหรือเปล่าคะ เดี๋ยวฟ้าอยู่กับน้องๆ ก็ได้นะ” ฟ้าหันมาถาม
   

ผมแสร้งยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เพราะธุระของผมก็คือไปรับคนที่นั่งตรงข้ามผมนี่ยังไงล่ะครับ
   

“ผมอิ่มแล้ว ต้องขอตัวก่อนนะครับพี่ฟ้า พอดีต้องรีบไปธุระแล้วด้วย” บีทส์เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจพลางหยิบกระเป๋ามาสะพาย ผมเหลือบมองถ้วยไอติมที่เหลืออยู่ค่อนถ้วย เดาว่ามันคงพยายามยัดลงท้องให้ดูไม่น่าเกลียดเพื่อจะขอตัวออกไปได้อย่างไม่เสียมารยาท
   

เมื่อเห็นบีทส์ขยับตัว คนข้างตัวมันก็ขยับตัวบ้างเหมือนกัน แวบหนึ่งผมเห็นมันปรายตามามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
   

“จ้ะ เอาไว้เจอกันที่คณะนะบีทส์” ฟ้าเอ่ยบอกออกไปเสียงใส พลางยกมือขึ้นโบกไปมา บีทส์ยิ้มรับก่อนจะโค้งหัวให้แล้วก้าวออกไปเลย ผมหุบยิ้มก่อนจะวางช้อนลงหลังจากที่แผ่นหลังบางเคลื่อนตัวหายไปจากสายตา
   

“อิ่มแล้วเหรอคะ” น้องฟ้าหันมาถาม
   

ผมยิ้ม ไม่ตอบอะไร



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 32 : ผิดแผน 14/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-09-2018 04:46:24
ตัวเองผิดเองนะซัน ห้ามว่าหรือทำอะไรน้องนะ  :m16:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 32 : ผิดแผน 14/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 16-09-2018 16:22:13
ผิดแผนจริงนั้นแหละ ผิดไปหมด
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 32 : ผิดแผน 14/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 17-09-2018 21:46:17
ฟ้าน่าจะรู้อยู่แล้วเรื่องซันกับบีสท์ แต่ก็ยังพยายาม :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 32 : ผิดแผน 14/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 18-09-2018 12:29:50
ไม่มีเวลาติดต่อน้องขนาดนั้นเลยเหรอซันมีไรก็บอกน้องสิทำแบบนี้คนมันคิดมากนะ :angry2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 19-09-2018 19:11:29
ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า


[บีทส์]


“ไปไหนต่อปะ”
   

ไอ้ตี๋เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา หลังจากเราเดินเงียบๆ มาด้วยกันตั้งแต่ออกมาจากร้านไอติมยอดนิยมที่คู่รักมักมาเดทกัน


“ไม่ว่ะ...เดี๋ยวกลับเลย” ผมหันไปตอบ พลางควักมือถือออกมากด


“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ไอ้ตี๋ทำตัวป๋าอาสาไปส่ง


ผมพยักหน้า “เอาดิ”


ครืด...ครืด…
   

“ครับแม่” ผมหันหน้าไปอีกทางเมื่อไอ้ตี๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับเพื่อเป็นการรักษามารยาท แต่จริงๆ ก็ตั้งใจฟังครับ…
   

“อ้าว...แล้วพ่อล่ะ”
   

“ครับๆ ผมจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” เป็นอันเข้าใจว่ามันไปส่งผมไม่ได้แล้ว
   

ไอ้ตี๋กดวางสาย ก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยความเสียดาย
   

ผมหัวเราะ “ทำหน้าเหมือนจะตาย บ้านกู...กูกลับถูก”
   

ไอ้ตี๋จิ๊ปาก
   

“งั้นกลับดีๆ นะ”
   

ผมพยักหน้ารับคำ เพราะบ้านผมกับบ้านมันอยู่คนล่ะทางกัน เราแยกทางกันหน้าห้างสรรพสินค้า ผมหยิบหูฟังออกมาเสียบหูแล้วเปิดเพลง ก่อนจะเดินไปที่ป้ายรถเมล์แล้วตัดสินใจส่งไลน์ไปหาพี่ซัน เพื่อบอกอีกฝ่ายไว้ก่อน
   

“ผมกลับไปนอนบ้านนะ”
   

เรื่องเมื่อคืน ที่พี่ซันไม่โทรหาผม ผมเข้าใจว่าเขาคงเกรงใจและไม่อยากให้ผมลำบากใจเพราะผมติวหนังสืออยู่กับเพื่อน เขาคงรู้ว่าผมเองก็คงไม่อยากพูดเรื่องของพี่ฟ้า
   

แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ พี่มันลืมได้ยังไงว่าสัญญาจะมารับผม แถมผมยังต้องมาเจอเขาอยู่กับพี่ฟ้าอีก พี่มันเห็นผมเป็นไอ้โง่คนเดิมของพี่มันหรือไง
   

ไอ้บีทส์คนโง่!
   

ครืด...ครืด…
   

ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูสายที่โทรเข้ามาแล้วถอนหายใจ
   

“ครับ”
   

“ทำไมไม่กลับห้อง” พี่ซันถาม น้ำเสียงไม่พอใจ
   

ผมเม้มปากเงียบ
   

“เงียบทำไม”
   

“ผมไม่อยากทะเลาะ”
   

“กูถามหน่อยเถอะ กูผิดนักเหรอที่เป็นห่วงความรู้สึกของมึง ไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ ถ้ารู้ว่ากูต้องพาฟ้าไปกินข้าว กูแค่...”
   

ผมตัดบท “ไม่อยากให้ผมไม่สบายใจหรือว่าพี่กลัวผมรู้กันแน่ ว่าพวกพี่กลับไปมีความสัมพันธ์อะไรกันอีก”
   

“มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร ทำไมถึงไม่เชื่อใจกู”
   

ผมเงียบเมื่ออีกฝ่ายถามกลับ ไม่ใช่เพราะผมเชื่อใจพี่เหรอ พี่ถึงทำกับผมแบบนี้
   

“วันนี้...” ผมเม้มปาก “พี่ลืมนัดผม”
   

“...”
   

“พี่ปล่อยให้ผมรอ”
   

“ผมโทรไปพี่ก็ไม่รับ แถมยังตัดสายทิ้ง ผมพยายามคิดว่าพี่คงติดธุระสำคัญ แต่ว่า... เฮอะ จะว่าไปก็อาจจะสำคัญกับพี่จริงๆ เพราะธุระที่ว่านั่นมันสำคัญกว่าผม แค่สละเวลาโทรมาหรือส่งข้อความมาบอกผมหน่อยก็ได้ว่ามาไม่ได้แล้ว ติดปัญหาอะไรทำไมถึงไม่มา ผมจะได้ไม่ต้องรอเก้อ ไม่ใช่ลืมไปเลยแบบนี้!”
   

“ฟังนะ...กูขอโทษก็ได้ แต่เลิกงี่เง่าแล้วกลับไปคุยกันที่ห้องจะได้มั้ย” พี่ซันถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คนฟังอย่างผมถึงกับน้ำตาร่วง งี่เง่างั้นเหรอ ผมงี่เง่าตรงไหน ที่ผมยอมเป็นไอ้โง่ยอมให้พี่มันจูงไปไหนมาไหนนี่ยังไม่พอใจใช่ไหม
   

ผมเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยบอกอีกคนอย่างอ่อนใจ “นี่ไง...ผมถึงไม่อยากกลับห้อง เพราะรู้ว่ากลับไปต้องทะเลาะกัน ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่ ผมเหนื่อยที่ต้องทะเลาะในเรื่องที่ผมไม่มีวันชนะ พี่ไม่ต้องห่วงนะ พรุ่งนี้ผมจะกลับไปนอนที่คอนโดเหมือนเดิมแน่นอน” ผมยังไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่มันตอนนี้ ให้ผมอยู่กับตัวเองสักคืนเพื่อเรียกกำลังใจของตัวเองคืนมา
   

“งั้นก็ตามใจ”
   

พี่ซันตอบรับเสียงเรียบแล้วกดวางสาย ผมเม้มปากแน่นมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ว่างเปล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วเดินไปยืนรอขึ้นรถเมล์สายประจำที่ผ่านหน้าบ้านตัวเอง
   

ผมอุตส่าห์เชื่อใจพี่ซัน ไม่คิดมาก พยายามคิดในทางที่ดีแล้วแท้ๆ แต่พอเห็นกับตา มันก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันนะครับ ผมอาจจะงี่เง่ากับเรื่องพวกนี้ ผิดไหมที่ผมจะเรียกร้องในสิทธิ์ของผมบ้าง แม้มันจะมีอยู่แค่น้อยนิด
   

ผมอยากโวยวายใส่เขาที่ทำเหมือนผมไม่มีหัวใจ แต่ผมก็อดทนอดกลั้นเพราะผมเป็นผู้ชาย แล้วผมก็กลัว...กลัวว่าจะทำให้เขารำคาญ กลัวว่าเขาจะหมดความอดทน และทุกอย่างจะกลับไปเป็นศูนย์
   

“เหนื่อย...แต่ยังไม่ท้อหรอกว่ะ”
   

ผมหยิบมือถือออกมากดโพสระบายลงเฟสบุ๊คส่วนตัวของตัวเอง
   

“เป็นอะไรเด็กน้อย” ไม่นานพี่ไม้ก็มาโพสต่อผม
   

“เป็นคนหล่อไง” ผมกดตอบกลับคอมเม้นท์ของพี่ไม้
   

“หล่อตายเลยสัส” ไอ้ออยครับ
   

“มาแดนซ์กับกูหน่อยมั้ยเพื่อน เดี๋ยวพาเมาให้ลืมโลกไปเลย อิอิ” ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใคร อิพิงค์เจ้าเก่า นี่มึงหลุดจากคู่กรณีมึงแล้วเหรอถึงมาโพสกวนกูได้
   

“ไม่เอา กลัวเจอสตอล์กเกอร์” ผมกดตอบ
   

“กรี๊ดดดด อิปากไม่เป็นมงคล!” อิพิงค์ตอบกลับทันควัน ผมหลุดขำ
   

ปกติใช้เวลากลับบ้านเพียงไม่นานแต่วันนี้รถกลับติดแหง๊กค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปทีละนิดทำให้ต้องใช้เวลานาน กว่ายานพาหนะคันสีน้ำเงินจะแล่นมาใกล้ถึงที่หมาย
   

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเพื่อเตรียมลง ก่อนจะยกมือเรียกพี่วินหน้าปากซอยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะใช้บริการมาตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องเอ่ยปากบอกที่หมายพี่แกก็จำได้ครับว่าผมจะลงที่ไหน
   

กึก…
   

ผมชะงักเมื่อเห็นว่ามีรถคุ้นตาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง และก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อพี่วินพาผมมาจอดหน้าบ้าน ร่างสูงของพี่ซันเปิดประตูลงจากรถยนต์ส่วนตัว ผมยื่นเงินส่งให้พี่วิน แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่
   

พี่ซันก้าวลงจากรถมายืนล้วงกระเป๋ามองผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมหลุบตามองพื้น ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศรอบด้านนิ่งงัน ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตก
   

พี่ซันถอนหายใจก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวมาหาผม แต่ผมกลับเป็นฝ่ายถอยหนี
   

พี่มันก้าวมาหนึ่งก้าว ผมก็ถอยหนีหนึ่งก้าว
   

“หยุดหนีแล้วฟังกู” พี่ซันเอ่ยปากแกมสั่ง ผมเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนี
   

ไม่อยากเห็นหน้าโว้ย
   

เจ้าของใบหน้าหล่อเสยผมขึ้นพลางเอ่ยถาม “ถามจริงๆ นะ ทำไมถึงได้ชอบหนีนักวะ” ผมรู้ว่าพี่มันคงหงุดหงิดและที่ถามก็ไม่ได้จะต้องการคำตอบหรอก
   

“...”
   

พี่ซันก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผมแล้วกอดอก “ไม่คิดบ้างเหรอว่าหนีมาแบบนี้ แล้วกูจะเป็นห่วง” ใบหน้าหล่อจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผม แต่ผมยังยืนใจแข็งไม่ขยับหนีและไม่มองหน้าอีกฝ่าย
   

เขาดีดนิ้วตรงหน้าผม “จะมากเกินไปมั้ยถ้ากูจะขออะไรสักอย่าง”
   

ผมเบนหน้ากลับไปก่อนจะผงะถอยห่าง เมื่อจมูกเราชนกัน พี่ซันยิ้มนิดๆ เหมือนชอบใจ แต่ผมยังทำหน้าตึง เขาเลยใช้นิ้วผลักหน้าผากผม
   

“เวลาที่เรามีปัญหากัน...อย่าหนีออกมาโดยที่เรายังไม่ได้เคลียร์กัน กูเคยบอกแล้วไงว่าจะไม่ปล่อยมือมึง” สายตาของพี่ซันอ่อนลง “ไม่ว่าเรื่องที่เราทะเลาะกันจะใหญ่แค่ไหน ถ้าคิดจะคบกันต่อเราก็ควรกลับไปเคลียร์กันให้รู้เรื่องไม่ใช่เหรอ”
   

ผมยิ้มเยาะ
   

เฮอะๆ ถ้าพี่มันไม่มองข้ามความรู้สึกของผม เราก็คงไม่ต้องทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ ถ้าจะมาเพื่อจะบอกว่าผมไม่มีเหตุผลไม่ต้องเสียเวลามาหรอก ปล่อยให้ผมอยู่กับตัวเองสักพัก เดี๋ยวผมก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ
   

ผมเงยหน้าขึ้นสบตามองตรงกับร่างสูง “พี่กลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมมันก็แค่คนงี่เง่าไม่มีเหตุผลเหมือนอย่างที่พี่ว่า แต่บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้ผมจะกลับไปที่คอนโดเหมือนเดิม เข้าใจแล้วนะครับ”
   

ผมเบี่ยงตัวหนีเพื่อเดินเลี่ยงเข้าบ้าน
   

หมับ!
   

พี่ซันยื่นมือมารั้งแขนผมไว้
   

“ดื้อฉิบหาย”
   

ผมสะดุ้งขยับออกห่างจากพี่ซันด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายแกล้งโน้มหน้ามากระซิบข้างหู พร้อมกับรั้งแขนผมให้เข้าไปชิดตัว
   

“ปล่อย!” ผมพยายามดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงพี่มันไม่ไหวเมื่อพี่มันกระชับร่างของผมเข้าไปกอดแน่นขึ้น
   

ผมดิ้นคลุกขลักอยู่ในวงแขนเขา แต่เขากดแขนผมทั้งสองข้างไว้
   

“เพราะกูรู้ไง”
   

พี่ซันออกแรงดันหัวผมไปซบกับอก
   

“...ว่าถ้าปล่อยให้มึงนอนที่นี่ มึงต้องแอบร้องไห้ สู้พามึงกลับไปร้องไห้ให้กูกอดปลอบสบายๆ ไม่ดีกว่าเหรอ หรือถ้ามึงอยากนอนที่นี่จริงๆ” เขาลูบหัวผม “ก็ได้...เพราะกูก็จะนอนที่นี่ด้วย” ผมดิ้นขัดขืน แต่พี่ซันกดผมไว้แนบอก
   

“กูไม่มีปัญหา ที่ไหนมีมึง กูนอนได้ทั้งนั้น”
   

ผมเม้มปาก พยายามกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้ากรุ้มกริ่มนั่น
   

“เงียบทำไม กูตามมาง้อแล้วนะเนี่ย” พี่ซันแกล้งเย้า
   

“ผมไม่ยกโทษให้”
   

ผมแกล้งพูดเสียงแข็งพลางขืนตัวดิ้นหนี ให้รู้ว่าถ้าไม่เคลียร์ก็ไม่ยอมจบ
   

“กูจะเล่าในสิ่งที่กูเล่าได้...พอใจยัง” พี่ซันต่อรอง
   

“มาทางไหนกลับไปทางนั้น”
   

“ไม่มีใครบอกเหรอว่ากูหน้าด้าน”
   

พี่ซันตอบกลับมาด้วยใบหน้าทะเล้นพลางยักคิ้วกวน
   

ผมหลุดยิ้ม
   

อย่างน้อย...พี่มันก็ยังแคร์ผม แค่นี้ผมก็พอใจแล้วล่ะ
   

เรื่องอื่น...เดี๋ยวค่อยไปถามทีหลังก็ได้วะ
   

“โอ๊ะโอ วันนี้บ้านเรามีแขก”
   

ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านก็ได้รับเสียงแซ็วจากไอ้น้องตัวแสบที่ใส่ชุดนอนลายหมีทั้งตัว ผมย่นจมูกใส่น้องก่อนจะหันไปยกมือไหว้คุณนายที่นั่งดูทีวี พี่ซันเองก็ยกมือไหว้แม่ผม
   

“เงียบไปเลย” ผมบอกไบร์ท ก่อนจะก้าวเข้าไปกอดแม่อ้อนๆ
   

“ทำไมมาถึงนี่ได้ล่ะไอ้ลูกชาย” แม่ถามด้วยความแปลกใจ
   

ผมกระพริบตาปริบๆ เพื่อนึกหาเหตุผล จะบอกแม่ว่าไงดีวะ จะบอกว่างอนไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เลยหนีกลับมานอนบ้านก็ไม่ได้ มีหวัง...โดนน้องล้อไปอีก
   

“คิดถึงคุณนายไง” ผมตอบแล้วพยายามฉีกยิ้มเอาใจแม่ แอบเห็นพี่ซันยิ้มมุมปากแล้วก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม อย่าล้อกันเองเด้
   

“มีพิรุธนะเรา” คุณนายพูดเหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนจะหันไปถามบุคคลที่มากับผม “มีชุดมาเปลี่ยนหรือเปล่าตาซัน”   
   

“ไม่ให้นอนนะคุณนาย ไล่กลับไปเลย” ผมหันไปฟ้อง
   

“ผมมีเสื้อผ้าติดรถไว้ประจำอยู่แล้วครับ” พี่ซันไม่ได้ใส่ใจในคำพูดผมแต่หันไปเอ่ยตอบคุณนายสั้นกระชับ แม่ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ
   

“งั้นแม่ขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า” คุณนายหันมาบอกผม ผมพยักหน้ารับก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มคุณนายฟอดใหญ่
   

แม่ผมทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาหรอกครับ บางทีวันหยุดก็ยังต้องไปทำงาน
   

“เดี๋ยวไบร์ทก็จะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน” ไบร์ทเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นบ้าง ผมรู้ว่าน้องเองก็คงทำตัวไม่ถูกเมื่อพี่ซันนั่งอยู่ด้วย ไบร์ทหยิบมือถือพร้อมกับแก้วนมขึ้นมาถือไว้สองมือ
   

“ฝันดีนะพี่บีทส์” น้องหันมาส่งยิ้มให้ผม
   

“ฝันดีไบร์ท”
   

“เอ้อ...พี่บีทส์” ไบร์ทที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดหันมาเรียก
   

“ว่า” ผมหันไปเลิกคิ้ว
   

ไบร์ทยิ้มเจ้าเล่ห์ “คืนนี้อย่าทำอะไรเสียงดังนะ เกรงใจคนที่นอนห้องข้างๆ บ้าง” ผมอ้าปากพะงาบๆ ไอ้คนแซ็วหัวเราะก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดหนีหายไป ได้ยินเสียงขำจากไอ้คนต้นเหตุ
   

“ขำอะไรของพี่เนี่ย แล้วใครบอกว่าผมจะให้ค้าง มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย” ผมหันไปดุใส่ แทนที่จะช่วยกันแก้ตัว เอ้อ!
   

“ไม่กลับ ถ้ามึงจะนอนที่นี่กูก็จะนอนด้วย บอกแล้วไงว่าเราต้องคุยกัน” พี่ซันตอบเสียงเรียบ สายตาบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดไปพี่มันเอาจริง ผมแกล้งเชิ่ดหน้าเพราะไม่กล้าสบตาเขา
   

“ไม่ต้องดื้อ มึงอยากฟังคำอธิบายไม่ใช่เหรอ หรือว่าอยากโดนกูจับปล้ำก่อนถึงจะยอมฟัง” พี่ซันทำหน้ากวนตีนแล้วเอ่ยทีเล่นทีจริง ผมตาโตอ้าปากพะงาบๆ
   

นี่บ้านกูนะโว้ย ไอ้พี่ซันหน้าด้าน!
   

“เขินแล้วหนีขึ้นห้อง แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยนะ”
   

ขาที่กำลังก้าวขึ้นบันไดชะงักกึก ผมหันขวับไปมองคนแซ็วที่นั่งเอนตัวไปกับเก้าอี้พลางอมยิ้มมองผม
   

“ใครเขาจะไปอ่อยพี่กันเล่าโว๊ะ!”
   

พูดจบก็รีบสะบัดหน้าหนีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นทันที เออ! รู้แล้วว่าหล่อ แต่รอยยิ้มที่ผมเห็นที่ไรก็รู้สึกแพ้น่ะ อย่าทำบ่อยนักจะได้ไหมเล่า!


+++++++++++++++   


“ตื่นแต่เช้าเลยวะ” ผมหันไปตามเสียงทัก เห็นใบหน้าหล่อยืนพิงกรอบประตู ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนเขาแค่ใช้มือสางๆ แล้วเดินออกมา
   

“ทำไมรีบลงมาล่ะครับ”
   

“คิดถึง”
   

หื้ม...
   

“อยากกอดเมีย”
   

“...”
   

“แต่เมียหาย”
   

ผมหลุดยิ้ม สองมือกำลังสาละวนอยู่กับกระทะใบพอดีมือ พี่ซันขยับเข้ามายืนซ้อนหลังผม ก่อนสองมือหนาจะค่อยๆ สอดมารอบเอว ใบหน้าอีกฝ่ายก็สอดมาวางที่ไหล่ผม
   

ผมดิ้นหนี “พี่...ผมทำกับข้าวอยู่นะ” พูดกับคนหน้าด้าน เหมือนพูดกับกำแพงห้อง ไม่ถอยไม่พอ ยังชะโงกหน้ามามองอีก
   

“แม่กับน้องมึงล่ะ”
   

“ออกไปแล้วครับทั้งคู่” ผมหันไปตอบ
   

เมื่อเช้าตอนลงมาเห็นโน๊ตติดไว้ที่ตู้เย็นเลยเข้าครัวมาทำข้าวเช้าง่ายๆ สำหรับเราสองคน มันไม่ยากนะครับ ผมทำกินบ่อยๆ
   

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่ ให้กูช่วยมั้ย”
   

ผมส่ายหัว แค่พี่ช่วยยืนอยู่เฉยๆ ผมก็ดีใจแล้วเหอะ
   

“ข้าวห่อไข่ กินได้มั้ย”
   

พี่ซันพยักหน้ารับ
   

ฟอด~
   

“งั้นกูไปอาบน้ำรอ เดี๋ยวมาช่วย” พี่ซันยื่นหน้ามากดจูบที่แก้มผมหนักๆ แล้วเดินออกไป ผมมองตามแผ่นหลังหนาที่เดินออกจากครัวไป
   

เมื่อคืน...พี่ซันยอมเปิดปากบอกทุกเรื่องที่ผมสงสัยและเขาสามารถตอบได้ แลกกับการนั่งให้ไอ้พี่บ้านั่นกอด แล้วคิดว่าคนอย่างที่ซันจะนั่งพูดเฉยๆ ไหมครับ กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง เปลืองตัวจริงๆ
   

พอได้หันหน้าคุยกัน สิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจผมก็ได้รับการปลดปล่อย มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งที่พี่มันพูดคือ ‘ถ้าปล่อยให้ผมกลับมานอนบ้าน ผมคงนอนร้องไห้คนเดียวในห้อง’ พี่ซันก็พูดถูกนะครับ มีหลายอย่างที่ผมอาจจะคิดไปเอง แล้วเอามาบั่นทอนกำลังใจ ทำให้ความสัมพันธ์ของเราย่ำแย่
   

เขาเลยขอคำสัญญาจากผม
   

‘ตราบใดที่เรายังมีโอกาสที่จะคุยกัน ก็ต้องหันหน้ามาคุยกัน’
   

ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ในแบบของเราอาจจะไม่ยั่งยืนนัก แต่ผมก็อยากจะเก็บเกี่ยวทุกช่วงเวลาแห่งความสุขของเราไว้ให้นานที่สุดเพราะเขาคือคนที่ผมรัก
   

++++++++++++++++


“หิวมั้ย” ผมหันไปถามคนข้างๆ พลางกัดแซนวิชในมือ พี่ซันหันมาส่ายหัว
   

เมื่อเช้าผมตื่นสายครับเลยทำแซนวิชใส่กล่องมากินรองท้องบนรถ วันนี้ซวยแต่เช้า ใกล้ถึงมหาวิทยาลัยอยู่แล้วแต่ดันมาเจอรถติด อาจเพราะเมื่อคืนฝนตกหนักทำให้รถยิ่งติดหนักเข้าไปอีก
   

มิน่า...ตาขวากระตุกยิกๆ
   

“เมื่อคืนพี่นอนดึกอีกแล้วใช่มั้ย” ผมชวนคุย
   

พี่ซันทำท่าหาว พลางพยักหน้ารับเนือยๆ
   

“แค่ทบทวนเอกสารโปรเจ็คนิดหน่อย มันเยอะเกินกว่าจะอ่านทำความเข้าใจได้แค่รอบสองรอบ” เจ้าของใบหน้าคมหันมาตอบ ผมยู่ปากพยักหน้ารับ เพราะเมื่อคืนโดนพี่มันไล่ให้นอนก่อน เลยไม่รู้ว่าดึกที่ว่าน่ะ กี่โมง
   

หลังจากสอบเสร็จผมเองก็ยุ่งๆ อยู่กับงานประจำคณะ ถึงแม้พวกผมจะยังไม่มีหน้าที่อะไรมากเหมือนพวกพี่ๆ ปีสูงเขา แต่ปีหนึ่งก็ต้องตามไปช่วยพวกพี่ๆ ตามที่แต่ละคนจะได้รับมอบหมาย ผมกับอิพิงค์ได้อยู่ฝ่ายเสบียงครับ สบายท้องไปหลายวัน ฮ่าๆ
   

งานประจำคณะปีนี้ เห็นพี่ๆ เขาพูดกันว่ามาในคอนเซ็ปต์ ‘เด็กบัญชียุคใหม่ไม่ป้า’ แค่คอนเซ็ปต์ก็น่าสนใจแล้วครับ นำเสนอผลงานโดยลุงอ้นแอนด์เดอะแก๊ง ลุงรหัสและบรรดาเพื่อนสนิทของแก ไม่อยากบอกเลยครับว่าแค่ได้ยินก็รู้สึกได้ถึงความแซ่บ
   

พรีเซนเตอร์งานนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่รหัสของผมเองครับ
   

“พี่ส่งผมแค่หน้าม.ก็ได้นะ” ผมเอ่ยบอกคนข้างตัว พลางใช้หลอดเจาะกล่องนมดูดเหมือนทุกวัน
   

“ฝนยังตกอยู่เดี๋ยวไม่สบาย ให้กูส่งที่เดิมนั่นแหละ ไม่มีคนเห็นหรอก ไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถกู นอกจากพวกไอ้สอง” จริงอย่างที่พี่มันบอกแหละครับ คันนี้เป็นรถรุ่นฮอนด้าแจ๊สที่พี่ซันยืมมาจากพี่หมอ พี่ซันบอกว่าพี่หมอให้ยืมมาขับเพื่อรับส่งผมจะได้ไม่มีคนสงสัย
   

ตอนแรกที่ผมได้ยินว่าพี่มันจะซื้อคันใหม่ไม่ให้ใครรู้ ผมนี่ห้ามหัวชนฝาเลยครับ เสียดายเงิน แต่พี่ซันก็บอกนะว่าเงินก็เงินที่พี่มันทำงานได้มาเอง แต่ผมก็ยังเสียดายอยู่ดีอ่ะ
   

“คราวหลังผมจะขอมาเองบ้างนะ ไม่อยากให้เพื่อนสงสัย”
   

พี่ซันหันมามองหน้าผม
   

“อยากให้กูบอกเพื่อนมึงมั้ย”
   

นมแทบพุ่ง ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
   

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ” เอ่ยปฏิเสธแล้วก้มหน้าดูดนมต่อจนหมด พี่ซันถอนหายใจปลงๆ เพราะผมเอาแต่ปฏิเสธเวลาพี่มันถามถึงเรื่องนี้
   

จะให้พี่ซันไปบอกไอ้นัทว่าอะไรเหรอครับ ‘กูกับเพื่อนมึงคบกัน’ หรือว่า ‘กูชอบเพื่อนมึง’ ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น ยิ่งเป็นไอ้นัทด้วยแล้ว ผมไม่แน่ใจเลยว่ามันจะรับได้ ผมกลัวว่าสักวัน ถ้ามันรู้ ผมอาจจะเสียเพื่อนดีๆ แบบมัน
   

ผมคงจะโลภมากไปจริงๆ
   

“พี่อย่าลืมกินแซนวิชด้วยนะครับ” ผมหันไปบอกพี่ซัน พลางปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว หยิบกระเป๋ามาวางไว้บนตัก
   

“ถ้าจะกลับดึกโทรบอกนะ กูจะมารอรับที่เดิม” พี่ซันสั่ง ผมหันไปยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ที่เดิมของพี่มันคือห้างใกล้ๆ มหาลัยนี่แหละครับ พี่มันจะให้ผมไปรอที่นั่นแล้ววนรถไปรับ ถ้าดึกมากห้างปิดพี่มันจะขับรถมาจอดรอที่หน้าห้างให้ผมนั่งแท็กซี่ไปเจอ ยกเว้นวันไหนอิพิงค์หรือไอ้นัทไปส่งพี่มันถึงจะยอมนอนรออยู่ที่ห้อง
   

“รู้แล้วค๊าบ” ผมรับคำแล้วก้าวลงจากรถโดยไม่ลืมกางร่มเพราะฝนยังตกปรอยๆ พี่ซันส่ายหัวขำๆ
   

“ดื้อ” ผมหันขวับ พี่ซันกวักมือเรียก ผมส่ายหัวแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างรถฝั่งคนขับ พี่ซันลดกระจกลง
   

พี่ซันยื่นมือมาเขี่ยแก้มผมแล้วใช้นิ้วโป้งคลึงโหนกแก้มผมเบาๆ ผมอมยิ้ม
   

เป๊าะ
   

“โอ๊ย” ผมอุทาน พลางยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเอง ตรงรอยที่ไอ้คนนิสัยไม่ดีดีดนิ้วประทุษร้ายหน้าผากผม
   

“หึ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” พี่ซันส่งยิ้มพอใจ โรคจิตจริงๆ
   

“ไปไหนก็ไปเลยไม่รักแล้ว” ผมแสร้งทำหน้างอนแล้วถอยออกจากตัวรถ
   

“บีทส์”
   

ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ไม่ได้เปล่งออกมาจากปากของคนที่นั่งอยู่ในรถ พี่ซันมองหน้าผมพลางขมวดคิ้วแค่เสี้ยววินาที เขาลดสายตามองบุคคลที่เรียกผมผ่านกระจกหลัง ก่อนใบหน้าหล่อจะปรับเป็นเรียบเฉย ผมลอบกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆ หันไปตามเสียงเรียก
   

ผมพยายามตั้งสติ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนสนิท
   

“น...นัท มาทำอะไรแต่เช้าวะ”
   

“ใครมาส่ง” มันถาม พลางเดินเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งถือร่ม
   

“มากับพี่ที่คอนโด พอดีฝนตก พี่เขาเลยอาสาให้ติดรถมาด้วย” ผมพยายามฉีกยิ้ม รีบสาวเท้าเข้าไปหาเพื่อน เพื่อไม่ให้มันเดินเข้ามาถึงตัว พยายามคิดว่ามันอาจจะแค่เดินเข้ามาทักก็ได้
   

ใจเย็นๆ อย่าแสดงพิรุธอะไรให้มันจับได้เด็ดขาดนะไอ้บีทส์
   

“เหรอ...” ไอ้นัทเลิกคิ้ว ก่อนจะถามต่อ “กูรู้จักรึเปล่า”
   

ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ปากสั่น
   

“ไม่ต้องสนใจหรอกมึง ว่าแต่มึงไม่ไปส่งมีนเหรอทำไมมาเช้าได้” ผมเบี่ยงประเด็น ไอ้นัทไม่เคยมามหาลัยโดยที่ไม่มีมีน หรือถ้าไม่...มันก็จะไปส่งมีน แล้วกลับมาอีกทีในช่วงก่อนเข้าเรียน
   

ไอ้นัทยิ้มเยาะ “วันนี้กูให้มีนมาเรียนเอง ส่วนกู...มาจับโจร”
   

ผมสะอึกกับคำตอบของเพื่อน แต่พยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงพูดเล่น


“โจรอะไรของมึง แถวนี้มันมีที่ไหนล่ะ เข้าตึกเหอะปะ ฝนยิ่งตกๆ อยู่ เดี๋ยวไม่สบาย” ผมแกล้งบ่นก่อนจะเดินไปลากแขนเพื่อนแล้วพาเดินไปยังตึกเรียน แต่ไอ้นัทขืนตัวไว้


"กูบอกแล้วไงว่ามาจับโจร” ไอ้นัทพูดเสียงเข้มอย่างข่มกลั้นอารมณ์เหมือนกำลังโกรธอะไรอยู่ ผมลอบกลืนน้ำลาย แต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ


“มึงเห็นมั้ยเนี่ยว่าฝนมันตก ถ้าไม่สบายขึ้นมาอย่ามาโทษ...เฮ้ยไอ้นัท” ผมร้องห้าม เมื่อมันเดินผ่านผมไปยังรถพี่ซัน ที่ยังจอดสนิทอยู่ริมฟุตบาท
   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   

ไอ้นัทเดินไปเคาะประตูรถพี่ซัน ผมทำหน้าเหวอเลิ่กลั่ก ไม่อยากให้มันเจอว่าใครเป็นคนมาส่ง ผมไม่อยากให้มันรู้ ผมกลัว กลัวว่าเพื่อนจะสงสัย
   

ผม...ผมจะทำยังไงดี
   

“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ก็เปิด”
   

ผมสอดตัวเข้าไปยืนบังประตูรถพี่ซันไว้ เพื่อไม่ให้พี่ซันเปิดกระจก
   

“กูว่าเราเข้าตึกกันเหอะ”
   

“ทำไม เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูแล้วเหรอ” ไอ้นัทถามเสียงเหวี่ยง
   

ผมอึกอัก “ไม่ใช่แบบนั้น”
   

ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากบอก กูไม่ได้อยากมีความลับ แต่มันยังบอกไม่ได้


แกรก~
   

ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูจากด้านในรถ


พี่ซัน...อย่านะ
   

ร่างสูงของพี่ซันค่อยๆ ก้าวลงจากรถมายืนข้างผม ไอ้นัทเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นพี่ซัน ผมเม้มปากพยายามรวบรวมสติก่อนจะค่อยๆ ขยับออกห่างพี่ซัน ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างตัว ผมเม้มปากอย่างรู้สึกผิด
   

พี่ซันก้าวถอยห่างออกจากตัวผม แล้วขยับไปยืนพิงรถโดยไม่มีร่มบังฝน ผมเลยขยับเข้าไปยืนกางร่มเผื่อเขา แต่เขาดันร่มออก ให้บังฝนให้ผมคนเดียว ก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้นัทประมาณว่าพอใจมึงหรือยัง
   

“พี่คิดจะทำอะไร” ไอ้นัทถาม
   

“แล้วกูทำอะไรล่ะ”
   

พี่ซันถามกลับหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับอาการของเพื่อนผม
   

“พี่ซันเขาอยู่คอนโดเดียวกับกู เขาบังเอิญเจอกู เลยให้ติดรถมาด้วย” ผมหันไปอธิบายให้เพื่อนฟังแล้วปั้นยิ้ม พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด แต่รู้สึกว่ามันจะไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่
   

“หึ พี่เหรอ...แค่พี่เหรอวะบีทส์” ไอ้นัทถามผมด้วยใบหน้าเรียบตึง
   

ผมค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วเหล่มองพี่ซัน เมื่อกี้ไอ้นัทคงเห็น แต่...ผมยังอยากเข้าข้างตัวเอง อาจจะไม่ใช่แบบที่ผมคิด ไอ้นัทอาจจะแค่แกล้งก็ได้
   

“ใช่...พี่ไง จะเป็นอย่างอื่นได้ไงล่ะ ไปเหอะฝนตก กูหนาว” ผมพยักหน้าขึ้นลง พยายามลากไอ้นัทเข้าตึก
   

“ขอบคุณนะครับพี่ที่มาส่ง ไว้ผมจะซื้อขนมไปฝากนะ” ผมหันไปยกมือไหว้พี่ซันลวกๆ พลางส่งสายตาบอกให้เขายอมกลับไปก่อน พี่ซันทำหน้าหงุดหงิด เขายกมือขึ้นมาเสยผม ก่อนจะเปิดประตูรถ
   

“เดี๋ยว!” ไอ้นัทร้องเรียกพี่ซันเสียงเข้ม
   

คนถูกเรียกหันกลับมาเลิกคิ้ว
   

“อย่าคิดว่าทำอะไรไว้แล้วจะไม่มีใครรู้ ถ้าพี่หยุดตั้งแต่ตอนนี้ นัทจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น กลับไปอยู่ในที่ของพี่ดีกว่า ทำแบบนี้มันเห็นแก่ตัวเกินไป” ไอ้นัทโพล่งออกไปด้วยเสียงจริงจัง
   

อ่า ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเลยครับ
   

“อย่ายุ่งจะดีกว่า”
   

พี่ซันเอ่ยเตือนสั้นๆ พลางเลื่อนสายตามาทางผม สีหน้าอ่อนลง “อย่าปิดเครื่อง” พูดจบก็หันหลังกลับไปก้าวขึ้นรถ แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์เคลื่อนรถออกไป
   

“มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่บีทส์”
   

ผมเงียบ
   

“นั่นแฟนพี่รหัสมึงนะเว่ย มึงทำแบบนี้ได้ยังไงวะ ตอบดิ เงียบทำไม”
   

“กู...” ผมพูดไม่ออก
   

“กูไม่เข้าใจ มึงทำแบบนี้ได้ไง มึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไงบีทส์” ไอ้นัททำหน้าผิดหวัง พลางส่ายหน้าเหมือนรับไม่ได้เลยกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ
   

“...”
   

ไอ้นัทเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้แล้ว “มึงไม่เห็นว่ากูเป็นเพื่อนมึงแล้วใช่มั้ย” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน
   

“หรือว่ามึงเห็นว่ากูเป็นแค่เพื่อนโง่ๆ ที่หลับหูหลับตาไม่รับรู้การกระทำของมึง มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนประเภทเพื่อนทำเลวก็บอกว่าทำดีเหรอวะ บอกตรงๆ กูแม่งช็อคว่ะ” ไอ้นัทพูดต่อด้วยเสียงขื่นๆ
   

“รู้ป๊ะ กูสงสัยพฤติกรรมของมึงมาสักพักแล้ว ก่อนหน้านี้มึงไม่ใช่คนมาเรียนเช้า มึงดูไม่เหมือนเดิมและกูก็อยากรู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุทำให้มึงไม่เหมือนเดิม” มันเว้นจังหวะ “แล้วกูก็ได้คำตอบ...คำตอบที่ชัดเจนที่สุดในวันนี้”
   

“กะ...กูอธิบายได้” ผมพยายามเปล่งเสียง
   

ให้กูอธิบายก่อนสิ อย่าเพิ่งเกลียดกู ขอร้องล่ะ
   

“พอเหอะ กูไม่อยากฟัง” ไอ้นัทตัดบท แล้วหันหลังเดินจากไป

   
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 19-09-2018 19:12:50
[ต่อ]



ครืด...ครืด…
   

สายเรียกเข้าส่งสัญญาณว่ามีคนกำลังโทรเข้ามาสั่นไม่หยุด ผมยกมือถือขึ้นมาดูก่อนจะวางลงที่เดิม แล้วซุกหน้ากับฝ่ามือ
   

‘My Son’
   

ชื่อของคนที่ผมรัก ชื่อที่ผมใช้คำออกเสียงที่คล้ายกันมาตั้งเป็นชื่อประจำตัวของเขา ผมรู้ว่าพี่ซันคงเป็นห่วง แต่ผม...ยังไม่อยากรับสายตอนนี้
   

ติ๊งๆ
   

เสียงแอพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้นมารัวๆ จนอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมากดดูข้อความมากมายที่ถูกส่งเข้ามาไม่หยุด ข้อความเหล่านั้นสื่อถึงอารมณ์ของคนส่งได้เป็นอย่างดี
   

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”
   

“รับสายกูสักที”
   

“เหี้ยเอ้ย นี่มึงอยู่ที่ไหนกันแน่วะ!”
    

“มึงอยากให้กูโผล่ไปหาที่คณะใช่มั้ย?! ”


“บีทส์ขอร้องล่ะ... ”



...ขอโทษนะครับพี่ซัน


“โอ๊ยอิบีทส์ ยอมคุยกับกูแล้วเหรอ!!” เสียงปลายสายกดรับ พร้อมส่งเสียงแว้ดมาตามสาย ผมโทรหาอิพิงค์


“อื้ม…”


“กูอยู่คณะแล้ว นี่มึงอยู่ที่ไหน บอกมา...เดี๋ยวกูเดินไปหา ผัวมึงแทบจะแดกหัวกูอยู่แล้ว โทรจิกกูไม่หยุดเลยค่า” อิพิงค์บ่น ผมยิ้มเนือย ดูออกมันแกล้งบ่นกลบเกลื่อนความร้อนใจ


“กูอยู่ในห้องน้ำตึก...”


แกรก~


นั่งรออิพิงค์ได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาตามด้วยเสียงเรียกคุ้นหู “บีทส์...”


ผมปาดน้ำตาลวกๆ “อยู่นี่”


“เรื่องมันเป็นมายังไงวะ เล่าให้กูฟังดิ๊” หลังจากอิพิงค์เดินไปหาผม มันก็ลากผมออกมานั่งที่ใต้ตึกคณะ ฝนยังไม่หยุดตก มันจึงเลือกมุมที่ไม่ค่อยมีคนนั่ง


“ไอ้นัท...มันมาดักรอกู”


อิพิงค์มองหน้าผม


“เจอกูกับพี่ซัน”


“อ่อ กูเข้าใจแล้ว มึงไม่ต้องเล่า” อิพิงค์ทำหน้าถึงบางอ้อ ไม่ต้องพูดอะไรมากมันก็พอจะเดาออกว่าไอ้นัทคงรู้เรื่องแล้ว มันยื่นมือมาตบไหล่ผม


“บอกกูได้มั้ย ว่าตอนนี้มึงกำลังคิดอะไรอยู่” อิพิงค์เอ่ยถามเมื่อผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง


ผมขมวดคิ้ว “...”


“มันไม่แปลกหรอกที่มึงจะรู้สึกแย่ แล้วมันก็ไม่แปลกถ้าไอ้นัทมันจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นเหมือนกัน แต่ที่กูอยากบอกมึงก็คือ อย่าลืม...ว่ากว่ามึงกับพี่ซันจะผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องเจออะไรมาบ้าง มันไม่ง่ายเลยนะ”


ผมเงยหน้าขึ้นถามมันเสียงอ่อน “กูจะทำยังไงดีวะ”


“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”


ผมส่ายหัวเมื่ออิพิงค์ถามถึงไอ้นัท “กูไม่รู้”


“กูว่าให้เวลามันสักพักเถอะ มันคงกำลังช็อคหรืออาจจะแบบสับสน ตั้งตัวไม่ทัน คงไม่มีอะไรหรอก มึงอย่าเพิ่งคิดมาก” อิพิงค์พยายามปลอบ ผมซุกหน้าลงแนบกับกระเป๋าเป้ ใช่...ไอ้นัทมันกำลังช็อค ดูจากสีหน้าของมันก็รู้ ที่สำคัญ ‘มันรับไม่ได้’ กับสิ่งที่เกิดขึ้น


“ค่า...หยุ๊ดดๆๆๆ หยุดก่อนค่ะพี่สุดหล่อ” เสียงอิพิงค์เบรกคนในสาย


ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อโดนอิพิงค์สะกิดแขน


“พี่ซัน”


อิพิงค์ขยับปากบอกสั้นๆ ผมทำหน้าลำบากใจ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของพี่ซัน แต่ว่าผม...


“รับเหอะมึง พี่เขาเป็นห่วงมึงนะ” อิพิงค์กล่อม


“ครับ” ผมรับโทรศัพท์จากอิพิงค์มาแนบหูแล้วเปล่งเสียงออกไป


ปลายสายเงียบ เราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กัน


“โอเคมั้ย” พี่ซันเปิดปากถามก่อนด้วยความเป็นห่วง ไม่มีการดุ ไม่มีการต่อว่าใดๆ จากเขา แค่คำพูดสั้นๆ ของพี่ซัน กลับส่งผลต่อความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้


“ผม...”


ผมกำลังสับสน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมกับพี่ซันไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเรายังเป็นแค่คนรู้จักกัน ไอ้นัทก็คงไม่โกรธผมมากขนาดนี้ พี่ซันเองก็คงไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาของผม


ผมกำลังมีคำถามในใจว่าเป็นแบบนี้...มันดีแล้วใช่ไหม


“กำลังเสียใจที่เลือกทางนี้ใช่มั้ย”



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า 19/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-09-2018 04:45:45
เลือกไม่ถูกเลย นั่นก็เพื่อน นี่ก็หลัว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า 19/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 20-09-2018 14:04:48
เอ้าๆ นี่ก็เสียใจนะ ที่ไม่มีตอนใหม่
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า 19/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 20-09-2018 14:59:44
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า 19/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-09-2018 14:56:12
ตามอ่านตอนหลังๆจนทันแล้ว
เอาใจช่วยนะ พี่ซัน+น้องบีทส์

สองคนช่วยกันรับมือให้ได้กับเรื่องแบบนี้
แม้มันจะหนักหนาสาหัสมากกกกก

ใจนะ..คนแต่ง
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 33 : เสียใจใช่หรือเปล่า 19/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 22-09-2018 12:07:12
เอาใจช่วยบีสท์ ขอให้เพื่อนรับฟังและเข้าใจที :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 34 : ถึงเวลาชดใช้
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 24-09-2018 18:26:38
ตอนที่ 34 :: ถึงเวลาก็ต้องชดใช้


[บีทส์]
    

“พร้อมนะ”


อิพิงค์หันมาถาม ขณะที่เรายืนอยู่หน้าประตูห้องเรียนประจำ ซึ่งวันนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องประชุมเรื่องงานประจำคณะที่กำลังจะถึงนี้


หลังจากได้คุยกับพี่ซันและได้รับคำเทศนาจากอิพิงค์ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย พี่ซันบอกผมว่า ‘เวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น’ เราจะอยู่ข้างๆ กันจนกว่าจะถึงวันนั้น


“เออ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมล่ะวะ” ผมหันไปยักคิ้วกวนให้อิพิงค์ มันเบ๋ปากใส่


“ทีแบบนี้ทำเก่งนะคะอิบีทส์ เก่งให้ตลอดนะมึง” อิพิงค์ด่า ผมหัวเราะก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด เดินตามอิพิงค์เข้าห้องเรียน
เพื่อนๆ ในคลาสร้องทักทายตามปกติ ผมหันไปกวนตีนคนนั้นที คนนี้ทีตามนิสัยก่อนสายตาจะหยุดที่ร่างเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างไอ้นัท มันมองผมด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้มลงจรดปากกาลงในสมุดโน้ตของตัวเอง


ผมหันไปหาอิพิงค์ มันหันมายิ้มอย่างให้กำลังใจ ผมยิ้มตอบ ก่อนจะก้าวตามมันไปจนถึงโต๊ะที่ว่างอยู่ข้างๆ ไอ้นัท แน่นอนว่าไอ้นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมเพราะโต๊ะประจำที่เรานั่งผมจะเป็นคนนั่งคั่นกลางระหว่างมันกับอิพิงค์อยู่แล้ว


“...”


“เอ้า...นั่งสิ” เสียงอิพิงค์เร่ง ส่วนตัวมันนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากผม ผมเม้มปากก่อนจะตัดใจทิ้งตัวลงนั่ง


พรึ่บ!


“เฮ้ยนัท” เสียงอิพิงค์เรียกตามไอ้นัทที่รวบเอาชีทกับกระเป๋าลุกขึ้นทันทีที่ผมนั่งลง ผมเม้มปาก แล้วเลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งเก้าอี้ที่ว่างลง


“ไม่เป็นไรนะมึง” อิพิงค์เอ่ยปลอบ ผมฝืนยิ้มแล้วกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก้มหน้าแกล้งจดอะไรลงบนสมุดเมื่ออาจารย์เข้าสอน แต่คนข้างๆ ผมอย่างอิพิงค์คงเห็นว่าปากกาที่จรดลงไปในกระดาษนั้นยิ่งกว่าลายแทงมหาสมบัติ เพราะมันอ่านไม่ออกเลยสักคำ
จวบจนเลิกคลาส อิพิงค์เดินแยกไปคุยกับไอ้นัท ผมไม่รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันเพราะอิพิงค์เดินกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจแล้วชวนผมกลับ ส่วนไอ้นัทก็เดินแยกออกไปเลยเหมือนกัน


ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องที่คุ้นตา ไฟในห้องปิดสนิท ไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่ร่วมห้องอีกคนยังอยู่ในห้องหรือเปล่า หรือว่าเขาอาจจะกลับไปที่ห้องแล้วเพราะเห็นว่าผมไม่กลับสักที


เอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาตรงฝาผนัง ตอนนี้ตีหนึ่งแล้วครับ ถ้าถามว่าทำไมผมถึงกลับดึกขนาดนี้ได้โดยที่พี่ซันไม่โวยวาย นั่นก็เพราะเราคุยกันแล้วและพี่ซันก็อนุญาต เขาให้เวลาผมได้อยู่กับตัวเอง


“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ผมเบนสายตาไปมองที่โซฟาเห็นร่างสูงของพี่ซันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าหล่อระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาผม


“...”


“ดีขึ้นรึยัง” พี่ซันเอ่ยถามต่อ แล้วหยุดยืนตรงหน้าผม ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากตัว ผมรู้ว่าไม่ได้มีแค่ผมที่เครียด คนตรงหน้าเองก็คงกังวล และความกังวลของพี่ซันก็เกิดจากตัวผมนั่นแหละ
   

จุ๊บ


ใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้ามาประทับริมฝีปากลงบนมุมปากของผมอย่างเชื่องช้า ก่อนที่มือหนาจะยื่นมากุมมือผมข้างหนึ่งไว้ แล้วกอบกุมไว้ด้วยสองมือหนา


พี่ซันลูบหลังมือผมเบาๆ
   

“ไม่ตอบกูปล้ำ”
   

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อ
   

ผมหลุดยิ้ม “รอผมเหรอ”
   

“ไม่รอมึงจะให้กูไปรอใคร” พี่ซันตอบกลับในทันที สายตาคมส่อแววจริงจังมากกว่าคำพูด ใบหน้าหล่อเคร่งขรึมลงเหมือนกำลังมีเรื่องมากวนใจ ผมบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมของมือหนาแล้วเลื่อนมือไล่ไปตามโครงหน้าหล่อ พี่ซันยืนนิ่ง
   

“พี่คิดว่าถ้าเราห่างกันสักพัก ทุกอย่างมันจะดีขึ้นมั้ย” ผมเปิดปากพูด พี่ซันยิ้ม ก่อนจะเอียงแก้มแนบไปกับฝ่ามือของผม
   

“ไม่”
   

คำตอบจริงจังทั้งเสียงและสายตา จนคนถามอย่างผมปิดปากสนิท
   

“แล้วนี่ไปไหนมา” พี่ซันเปลี่ยนเรื่อง
   

“ไปนั่งเฝ้าอิพิงค์แหกปากร้องคาราโอเกะครับ ปวดหูไปหมด” ผมตอบขำๆ แล้วปัดคำถามเมื่อกี้ออกจากสมอง
   

หลังจากประชุมเสร็จอิพิงค์ก็ชวนผมไปร้องคาราโอเกะเพื่อปลดปล่อย มันบอกว่าถ้าได้แหกปากผมอาจจะดีขึ้น แต่รู้สึกจะมีแค่มันที่ได้แหกปาก แถมยังมีไอ้ตี๋ติดสอยห้อยตามไปกวนประสาทด้วยอีกต่างหาก
   

“ก็ดีแล้ว”
   

“ทำไมตัวรุมๆ ล่ะครับ” ผมถามอย่างแปลกใจเมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิที่ผิดปกติของคนตรงหน้า พี่ซันยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัว
   

“ปวดหัวนิดหน่อยแต่กินยาไปแล้ว”
   

“ก่อนกินยาพี่กินข้าวไปแล้วใช่มั้ยครับ ไม่ใช่กินแต่ยาเลยนะ กระเพาะพังแย่” ผมบ่น พลางเลื่อนมือลงมาที่ลำคอพี่ซันแล้วใช้หลังมือวัดอุณหภูมิ
   

“เรียบร้อย” เขาตอบมาสั้นๆ
   

“ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบายพี่ก็ต้องพักผ่อนนะ ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ผมก็เป็นห่วงพี่เหมือนกันนะ” ใบหน้าหล่อพยักหน้ารับเนือยๆ ผมเลิกคิ้วเมื่อสองมือของพี่ซันเลื่อนขึ้นมาล็อกหน้าผมไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะโน้มตัวลงมากดจูบที่ริมฝีปากผมช้าๆ แล้วกดแช่ไว้
   

“เติมพลัง”
   

พี่ซันอธิบายการกระทำสั้นๆ ไม่รู้เติมให้ผมหรือเติมให้ตัวเองกันแน่
   

“บ้า…ใครเขาอยากได้กันเล่า พี่อ่ะไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำแล้วจะตามไป” ผมบอกปัดเขินๆ ก่อนจะดันหลังพี่ซันไปทางห้องนอน
   

“เดี๋ยวกูนอนที่โซฟานี่แหละ กลัวมึงติดไข้” เขาหันมาบอก ผมส่ายหัว
   

“นอนในห้องนั่นแหละครับ ผมแข็งแรงไม่ติดไข้ง่ายๆ หรอก” ผมยกแขนขึ้นมาเรียกกล้ามโชว์พี่ซัน ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ผมทำปากยู่ แบบนี้ดูถูกกันชัดๆ เลย
   

“หรือพี่จะกลับไปนอนที่ห้องมั้ย” ผมยื่นข้อเสนอ
   

“มึงจะไปด้วยมั้ยล่ะ” พี่ซันถามกลับแทบจะทันที ผมส่ายหัวอยากนอนที่ห้องตัวเองมากกว่า
   

“งั้นก็ไม่ไป” เป็นอันว่าตกลงตามนี้จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้…
   

“พี่ซัน” ผมเรียกพี่ซันเบาๆ แต่คนป่วยนอนนิ่งไม่ขยับ ผมเลยตัดสินใจวางกะลังมังใบเล็กลงข้างเตียงแล้วขยับไปนั่งข้างๆ ร่างสูงที่นอนอยู่ พลางยื่นมือไปแตะที่หน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดอุณภูมิ
   

“ยังร้อนอยู่เลย” ผมดึงมือออกหน้าหน้าผากพี่ซัน ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสที่ฝ่ามือหนารับรู้อุณภูมิความร้อนที่สูงกว่า ผมบิดผ้าขนหนูที่อยู่ในกะละมังหมาดๆ มาเช็ดที่ฝ่ามือหนาสองข้างหวังให้อุณภูมิอีกคนลดลงบ้าง ถึงจะไม่รู้สึกตัวแต่คงนอนไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก
   

“แม่...”
   

ผมชะงัก เมื่อพี่ซันบ่นพึมพำในลำคอ ผมค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้พี่ซันแล้วเอียงหูเพื่อรอฟังคำพูด เผื่อว่าพี่ซันจะต้องการอะไร
   

“พ่ออย่า...” ผมขมวดคิ้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมต้องทำสีหน้าเจ็บปวดขนาดนั้นด้วย ผมสลัดความคิดออกจากหัวก่อนลุกนั่งตัวตรงเอาผ้าไปชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ อีกครั้งนำมาซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามไรผมและใบหน้าของพี่ซันออก ท่าทางจะปลุกให้ลุกขึ้นมากินยาลำบากแล้วล่ะครับ
   

หลังจากเช็ดตัวให้พี่ซันเสร็จ ก็นั่งพิงหัวเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอยู่ข้างๆ ร่างสูงที่นอนหลับตาพริ้ม
   

“ฝันดีนะพี่บีทส์”
   

ผมอมยิ้ม กดส่งสติ๊กเกอร์ไลน์กลับไปให้ไบร์ทแล้วกดออกจากห้องแชท ก่อนสายตาจะเลื่อนไปเห็นห้องแชทรวมระหว่างผม ไอ้นัทและอิพิงค์ ปกติกรุ๊ปแชทจะไม่เคยเงียบขนาดนี้เนื่องจากเราสามคนต้องทำงานด้วยกันตลอดทำให้มีเรื่องให้คุยกันเสมอ แต่วันนี้แชทกลับเงียบสนิท ผมเลยตัดสินใจกดเข้าแชทอิพิงค์แทน
   

“ทำอะไรอยู่วะ”

   

คู่สนทนาไม่มีทีท่าว่าจะเปิดอ่าน ป่านนี้คงแดนซ์อยู่ที่ไหนสักแห่งล่ะมั้ง เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
   

ครืด...ครืด…
   

ผมเลิกคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเมื่อมีสัญลักษณ์กล่องข้อความปรากฏขึ้นที่หน้าจอ สงสัยจะเป็นพวกคอลลิ่งเมโลดี้ หรือไม่ก็พวกโฆษณาโปรโมชั่นที่ชอบส่งมาจากการสุ่มเบอร์
   

“หน้าด้าน”
   

ผมยืนนิ่ง จ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองด้วยมือสั่นๆ ก่อนจะวางมันลงที่เดิมแล้วนั่งกอดเข่ามองมันอยู่อย่างนั้น ข้อความนั้น...อาจจะส่งมาผิดเบอร์หรือไม่ก็คงมีใครสักคนอยากแกล้งผมเล่น
   

ใช่ๆ ต้องเป็นแบบนั้น ผมพร่ำบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา
   

หลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยครับ...


“ทำอะไรอยู่”
   

เสียงเรียบดังขึ้นใกล้ๆ ตามมาด้วยอ้อมกอดที่คุ้นเคย พี่ซันกอดผมจากทางด้านหลังก่อนจะเอาคางวางบนไหล่ผม ผมหันไปส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปแกะถุงข้าวต้มกับโจ๊กใส่ชามต่อ
   

“ผมลงไปซื้อมาเมื่อกี้”


เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ เลยถือโอกาสลงไปหามื้อเช้าสำหรับเราทั้งสองคนตั้งแต่ไก่โห่


“คิดอะไรอยู่ ดูมึงใจลอยนะ” พี่ซันถามต่อ ผมห่อไหล่เมื่อมืออีกคนอยู่ไม่สุข เริ่มเลื้อยเข้ามาในเสื้อของผมแล้ว ไอ้พี่นี่...


“เช้านี้มีไข้มั้ยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วตีมือพี่ซัน ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนข้างหลังเบาๆ
   

“ไม่มีแล้วล่ะ”
   

“แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อให้เรียบร้อยล่ะครับ พี่เพิ่งหายไข้นะ” ผมวางมือหันไปเผชิญหน้ากับพี่ซัน ใบหน้าหล่ออมยิ้ม มือหนาวางบนสะโพกผมทั้งสองข้าง
   

“ขี้บ่นจริงๆ” ปากว่าแต่ยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่งเลย ผมย่นจมูกใส่
   

ครืด...ครืด…
   

“ของพี่อ่ะ” ผมหันไปพยักพเยิดหน้าให้พี่ซันเพราะโทรศัพท์ผมอยู่ในกางเกงครับเลยมั่นใจว่าของเขาแน่ๆ พี่ซันยอมปล่อยมือผมก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วนิดนึงก่อนจะหันมามองผมแล้วยกมือถือขึ้นส่งสัญญาณว่าจะไปคุยโทรศัพท์
   

“บีทส์” พี่ซันเรียก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
   

“มีเรื่องด่วนว่ะ กินไปก่อนเลยนะ” พี่ซันบอกพลางสวมเสื้อคลุมด้วยท่าทางรีบๆ ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะมองตามอีกคนที่หยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ออกไปจากห้อง
   

สองมือที่กำลังแกะข้าวต้มหยุดชะงัก ผมมัดมันไว้เหมือนเดิมแล้วเก็บเข้าที่พร้อมกับถุงโจ๊กของตัวเองที่ยังไม่ได้แกะ
   

ผมไม่รู้สึกหิวเลย…
 


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 34 : ถึงเวลาชดใช้
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 24-09-2018 18:27:18
[ต่อ]



+++++++++++++++++
   

ผมลงจากรถเมล์สายประจำที่ใช้โดยสารมามหาลัย เดินทอดน่องเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ก่อนจะถอนหายใจทิ้งยาวๆ เมื่อคืนผมกับพี่ซันทะเลาะกันนิดหน่อยครับ เช้านี้ผมเลยหนีออกมาก่อน
   

‘พี่มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกผมล่ะ’
   

‘กูบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรกูจัดการได้’
   

‘ไม่มีแล้วทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ล่ะ’ ผมตะโกนถามเสียงดัง พี่ซันยกมือนวดขมับด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย


‘เมื่อวานมีคนบอกผมว่าพี่ไปกินข้าวกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้พี่จะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง?’
    

‘กูไปคุยเรื่องงาน’
   

‘...’


‘เชื่อใจกูบ้างสิ บอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร’

   

เฮ้อ ช่วงนี้ผมกับพี่ซันทะเลาะกันบ่อยมาก ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยขนาดนี้ หลังๆ พี่ซันยุ่งมากแถมยังกลับไปนอนที่บ้านบ่อยขึ้น ไปไหนไม่บอก นานๆ ถึงจะโทรหาผมทีด้วย
   

ก่อนหน้าโน่นผมบอกว่าอยากไปดูหนังพี่ซันก็ทำท่าอึกอักเหมือนไม่อยากไป ผมก็เลยประชดพี่มันด้วยการไปกับไอ้ตี๋ซะเลย ทำเอาพี่ซันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปหลายวัน อยากไม่สนใจผมดีนัก!
   

ณ ตึกคณะบริหารฯ
   

“อิบีทส์ไปซุ้มนั้นกันมั้ยมึงน่าสนุกอ่ะ” เสียงอิพิงค์เดินเข้ามาเรียกพลางดึงผมให้ลุกขึ้นยืน วันนี้เป็นงานประจำคณะของเราครับแต่ละคณะก็มีคอนเซ็ปต์แตกต่างกันไปแล้วแต่ว่ารุ่นพี่คนไหนจะเห็นว่าแซ่บที่สุด


ส่วนคอนเซ็ปต์คณะของผมยังจำกันได้ไหม ‘บัญชียุคใหม่ไม่ป้า’ ผมไปดูซุ้มมาแล้วครับเพราะเด็กปีหนึ่งต้องไปลงชื่อที่ซุ้มเอก ส่วนคนที่อยู่ประจำซุ้ม รุ่นพี่ก็คัดเลือกเอาจากคนที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาของเอกเราไปยืนประจำซุ้ม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีพี่รหัสของผมรวมอยู่ด้วย เสร็จงานนี้ก็ปิดเทอมแล้วล่ะ


“มึงจะพากูไปไหนเนี่ย” ผมโวยเมื่อโดนเพื่อนกึ่งลากกึ่งจูง แถมยังต้องคอยหลบเพราะกลัวจะเดินชนคนอื่นเขาอีก ถึงแม้ว่านี่จะเป็นงานประจำคณะแต่ก็เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมชมงานได้ครับ แถมยังเปิดให้เขาชมฟรีด้วย
   

“ซุ้มตลาดไงมึง มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย” อิพิงค์ตอบโดยไม่หันกลับมามองผม แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาลากผมไม่เลิก จะไปหาผู้ชายล่ะสิ รีบขนาดนี้
   

“นั่นไงกูว่าละ” ผมยืนมองเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่หน้าซุ้ม อิพิงค์กำลังยืนเกาะแขนไอ้ตี๋อยู่ในซุ้มไม่ห่าง
   

“เข้ามาสิบีทส์” ไอ้ตี๋เรียก
   

“หวัดดีเนม” ผมหันไปทักเนมที่ก้มๆ เงยๆ ย่างบาร์บีคิวอยู่หน้าเตา เจ้าตัวหันมายิ้มกว้างให้ผม วันนี้แต่งตัวน่ารักเชียวครับ มาในชุดพ่อครัวญี่ปุ่นมีผ้าพันหัวสีขาวพร้อมติดตราสัญลักษณ์ประจำร้าน ผมยกมือไหว้พี่ๆ ที่พอจะรู้จักกันบ้าง พี่รหัสไอ้ตี๋กับเนมน่ะครับ
   

“ปีหนึ่งก็ให้ขายของแล้วเหรอ” ผมหันไปถามไอ้ตี๋
   

“จริงๆ ก็เปล่า แต่พี่รหัสเราบังคับ” ผมหัวเราะ เมื่อไอ้ตี๋แกล้งพูดเสียงดังแขวะพี่มัน ก่อนจะร้องโอดโอยเมื่อพี่มันหันมาเอาขวดเคาะหัว สมน้ำหน้า!
   

“กินอะไรมั้ยเราเลี้ยง” ไอ้ตี๋หันมาถามหลังจากที่ขอโทษขอโพยพี่รหัสมันเสร็จ มืออีกข้างก็มีปลิง เอ้ย! อิพิงค์เพื่อนผมเกาะอยู่เหมือนเดิม
   

“แหม...มากันสองคนนะคะ ชวนแค่อิบีทส์แบบนี้ พิงค์น้อยใจ” อิพิงค์แกล้งแซ็วแล้วทำหน้างอนไอ้ตี๋ แม่ะ น่าถีบมากเพื่อนกู
   

“แล้วนี่นัทไม่มาด้วยกันเหรอ เนมไม่ค่อยเจอเลย” ผมชะงักเมื่อคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเนม เอ่ยถามหาไอ้นัท
   

“โอ๊ย มันจะอยู่ไหนได้ล่ะก็อยู่กับแฟนมันนั่นแหละ มา....เนม เดี๋ยวพิงค์ช่วย อุ๊ย คุณลูกค้าอยู่คณะอะไรคะ...” อิพิงค์หันไปตอบแทน เมื่อเห็นผมเงียบ ก่อนจะปล่อยแขนไอ้ตี๋เข้าไปคุยกับเนมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ผมมองมันอย่างขอบคุณ
   

“ว่าไง...กินอะไรมั้ยเราเลี้ยงเอง” ไอ้ตี๋กันมาเอ่ยเหย้า ผมย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้ ริอยากจะเป็นป๋าเหรอมึง
   

“ไม่อยากกินไอ้นี่อ่ะ เหม็นพริกหยวก” ผมขยับเข้าไปกระซิบ เพราะกลัวพี่ๆ เขาจะได้ยิน เดี๋ยวเขาจะหาว่าสำออยครับ (มันเหม็นจริงๆ นะ)
   

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงอันนี้สักหน่อย บีทส์อยากกินอะไรเราเลี้ยงได้หมดแหละ” ไอ้ตี๋หัวเราะ ก่อนจะเอ่ยบอกยิ้มๆ พลางถอดผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ออก
   

“อ้าว...แล้วมึงไม่ช่วยพี่รหัสมึงขายของแล้วเหรอ” ผมถาม มันหันมาส่ายหัวครับ
   

“นั่นไงตัวแทน” ก่อนจะหันไปหาอิพิงค์แล้วหันมากระซิบผม โอ้ว ไอ้นี่! หลอกใช้เพื่อนกู!! มึงมันร้ายไอ้ตี๋
   

“กินบ้างดิ” เสียงไอ้ตี๋ครับ ผมหันไปเลิกคิ้วให้มันงงๆ กินอะไร กูมีแค่แก้วเป็บซี่ที่กำลังดูดอยู่เนี่ย
   

“กินไร”
   

“ก็ที่ดูดอยู่นั่นไง หิวน้ำอ่ะ” ไอ้ตี๋ตอบ อ้าวไอ้นี่ ก็เมื่อกี้กูถามว่าเอาไหมจะได้สั่งให้เสือกส่ายหัว แล้วนี่จะมาขอกิน บ๊ะ
   

“แต่กูดูดแล้วนะ” ผมบอก ไอ้ตี๋พยักหน้ารับว่ารู้แล้ว ผมเลยต้องจำใจยื่นแก้วน้ำไปให้มันแทน
   

“อ้าวเฮ้ย ทำไมมึงไม่ยกซดเอาล่ะ หลอดนั้นกูดูดแล้วนะเว้ย” ผมโวย ไอ้นี่แทนที่จะคิดเป็น ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เหอะ มึงไม่ถือหรือไงวะ
   

“เพื่อนกันน่า” ไอ้ตี๋บอกแล้วดูดน้ำในหลอดต่อ ผมส่ายหัวปลงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในซุ้มหนังสือที่มีขายพวกชีทแล้วก็การ์ตูน คงไม่ต้องให้ผมบอกนะครับว่าผมจ้ำอ้าวไปมุมไหน
   

“เฮ้ยแก...เมื่อกี้ฉันเห็นพี่ซันด้วย” เสียงของสองสาวที่อยู่ข้างๆ ผมคุยกัน
   

ซันไหนวะ
   

“สวีทหวานกับพี่ฟ้าน่าดูเลยแก ฉันล่ะอิจฉา เกิดกี่ชาติถึงจะมีแฟนหล่อแล้วก็เทคแคร์ดีแบบนี้บ้าง” สาวคนเดิมยังคงพูดต่อ ผมขมวดคิ้ว พี่ซันมาเหรอ ไหนตอนที่ผมชวน บอกว่าไม่ว่างนี่...
   

“แต่ที่ฉันได้ยินมามันไม่ใช่นะแก” เสียงของผู้หญิงอีกคน
   

“ไม่ใช่อะไรยะ”
   

“ก็ฉันได้ข่าวมาว่าพี่ซันกับพี่ฟ้าอ่ะเลิกกันแล้ว ได้ยินว่ามีมือที่สามนะแก” ผมชะงัก มะ...มือที่สามเหรอ
   

“ต๊าย...ใครอ่ะช่างกล้า” คนที่ได้รับข่าวใหม่ถึงกับกรี๊ดให้กันเบาๆ เหมือนไม่เชื่อข่าวลือที่ได้ยินมา
   

“บีทส์”
   

“หื้ม! ว่าไง” ผมหันมามองคนเรียกหน้าตื่น เพราะเมื่อกี้มัวแต่ตั้งใจฟังเลยไม่ได้สนใจคนข้างตัว ไอ้ตี๋หัวเราะขำๆ
   

“เห็นเงียบไปเลยเรียกเฉยๆ” ไอ้ตี๋ตอบ ผมจิ๊ปาก
   

“กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาเล่มไหนไง” ผมทำเป็นเลือกหนังสือที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเทียบกันให้ไอ้ตี๋ดู จนมันขยับเข้ามาช่วยดูใกล้ๆ
   

ทำไมอยู่ดีๆ ถึงมีข่าวเรื่องพี่ซันกับพี่ฟ้าออกมา ไหนจะเรื่องข่าวลือว่าเลิกกันเพราะมือที่สามนั่นอีก พี่ซันจะรู้เรื่องนี้หรือยัง แล้วพี่ฟ้าล่ะ...จะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า
   

ครืด...ครืด…
   

“ครับ” ผมล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
   

“บีทส์มาช่วยลุงหน่อย” เสียงลุงอ้นพูดมาตามสายด้วยอาการหอบ ผมขมวดคิ้ว ลุงอ้นกับทวดผมอยู่ที่ซุ้มคณะ แทบจะเป็นแม่งานเลยล่ะครับ
   

“ครับ” ผมตอบรับ ก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ ที่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
   

“ลุงรหัสโทรมาตามไปช่วยงานว่ะ” ผมตอบ ไอ้ตี๋พยักหน้ารับ
   

“ดีเลย เราก็ยังไม่ได้เดินไปซุ้มบัญชี เดี๋ยวเราไปช่วยดู น่าจะสนุกกว่ายืนย่างบาร์บีคิวเยอะ” ไอ้ตี๋พูดยิ้มๆ ผมเบ๋ปาก ใช่สิก็บัญชีผู้หญิงเยอะนี่ครับ อย่าๆ กูรู้ทันไม่ต้องมาทำเป็นคนดี
   

“อ้าวบีทส์” ลุงรหัสกวักมือเรียก ผมชะงักเมื่อเห็นพวกพี่ซันกำลังช่วยพวกเจ้ๆ เสิร์ฟน้ำอยู่หน้าซุ้ม พี่ซัน พี่สอง ไอ้ออย ไอ้ปริ้น ครบเลย ขาดก็แต่พี่อาร์ต อ่อ พี่น๊อตด้วย
   

“ครับ” ผมตอบรับ ไอ้ตี๋ยกมือไหว้ลุงรหัสผม
   

“พาเพื่อนมาด้วย ดีเลย...มาช่วยขายบัตรหน่อย” ลุงรหัสผมบอกพลางยื่นกล่องลังที่บรรจุบัตรสอยดาวมาให้ผม
   

“คนไม่พอเหรอ” อดจะเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้ ผมหันไปมองกลุ่มที่ซันที่ช่วยกันเสิร์ฟน้ำอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าระดับเดือนวิศวะมาเองขนาดนี้ ซุ้มบัญชีของเราต้องฮอตเป็นพิเศษ สาวน้อยสาวใหญ่มารุมถ่ายรูปและอุดหนุนบัตรสอยดาวจนขายไม่ทัน
   

“อื้อ พวกที่เหลือต้องไปช่วยทีมสต๊าฟใหญ่น่ะ” อย่างที่รู้ๆ กันว่าคนเรียนบัญชีส่วนใหญ่จะมีแต่ผู้หญิงและก็มีสัดส่วนประชากรน้อยกว่าคณะอื่น ทำให้คนที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยเข้าไปอีก
   

“มา...เราถือให้” ไอ้ตี๋แย่งกล่องไปถือเอง ผมหันไปมองพี่ซัน เหมือนเขาจะจ้องผมอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน ผมเลยเบือนหน้าไปทางอื่นทำไม่สนใจอีกฝ่าย
   

“เฮ้ย...น้องคนนี้หน้าคุ้นๆ ว่ะ” ผมหันมาเลิกคิ้วเมื่อมีพี่วัยรุ่นสามสี่คนเดินมาทักผมพลางชี้หน้า ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมส่ายหัวงงๆ
   

“ไม่อยากจะเชื่อว่าเรียนที่นี่จริงๆ ด้วย” ผมทำหน้างงหนักเข้าไปอีกเมื่อพี่คนเดิมหันไปคุยกับคนในกลุ่มเหมือนรู้จักผมอย่างไรอย่างนั้น
   

“ขายเท่าไหร่อ่ะน้อง” พี่หน้าโหดคนที่สูงที่สุดในกลุ่มเดินเข้ามาใกล้พลางถามยิ้มๆ
   

“บัตรละสิบบาทครับพี่” ผมตอบ
   

“โอ๊ยเชี่ย...ยิ้มละลายใจกูมาก น่ารักกว่าที่ไอ้พวกนั้นบอกอีกว่ะ ฮิ้ว~” ผมขมวดคิ้ว เมื่อคนในกลุ่มนั้นแซ็วรับเสียงดัง ทำให้กลุ่มของเรากลายเป็นจุดสนใจทันที ไอ้ตี๋ขยับมายืนชิดผม ขณะเดียวกันลุงอ้นก็เดินเข้ามาหาเรา พวกพี่ฟ้ากับพี่ซันก็มองมาเช่นเดียวกัน
   

“ขายถูกจัง พี่ให้พันหนึ่งแต่ขอเหมาคนขายด้วยสักคืนได้ป๊ะ” ไอ้พี่หน้าโหดพูดยิ้มๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาถามกวนๆ ไอ้ตี๋เลยดึงผมไปยืนหลังมัน
   

“เราขายแค่บัตรสอยดาวครับ” ไอ้ตี๋ตอบ


“ใช่พี่ พี่คงเป็นคนนอกใช่มั้ย ถ้าอยากซื้อบัตรมาซื้อกับหนูดีกว่าพี่” ลุงอ้นเป็นฝ่ายออกตัวบ้าง หลังจากยืนฟังอยู่นาน


“ไม่ต้องมาเสือก กูจะซื้อกับน้องเขา พวกชอบแย่งแฟนชาวบ้านต้องเจอกับพี่ถึงจะถึงใจน้องเขา ใช่มั้ยวะ” ไอ้คนตัวโตกว่ากันไปตวาดใส่ลุงอ้นก่อนจะหันมาพูดกับผมต่อ


"ใช่ครับลูกพี่ ฮ่าๆ”


ผมใจเสียก่อนจะหันไปมองรอบตัว เห็นหลายคนกระซิบกระซาบกันในเรื่องที่ได้ยินพลางมองผมด้วยสายตาสงสัย ผมเม้มปาก พวกพี่มันเล่นบ้าอะไรวะ หรือใครกำลังวางแผนเล่นละครเรียกคนเข้าซุ้มโดยไม่บอกผมหรือเปล่าเนี่ย


“เฮ้ยพี่ ถ้าจะมาหาเรื่องก็ออกไป ก่อนที่พวกเราจะแจ้งรปภ. ให้มาเชิญพี่ออกไปจากมหาลัย” ลุงอ้นเริ่มโมโห


“ก็มีคนเขาบอกพี่มาว่าหน้าตาแบบน้องเนี่ยทั้งขายตัว แล้วก็ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน พี่ก็แค่อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าตัวจริงจะดูดีเหมือนที่เขาลือหรือเปล่า แต่จากที่เห็น...บอกเลยว่าเด็ดว่ะ มิน่า...” พี่คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนพลางจ้องสำรวจผมด้วยสายตาหื่นๆ


พรึ่บ!


ผมเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนร่างสูงที่เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างไอ้พวกกลุ่มวัยรุ่นกับไอ้ตี๋ที่ก่อนหน้านี้ยืนบังผมอยู่ ไอ้ตี๋หลีกทางถอยหลังให้พี่ซัน ส่วนไอ้ออยกับไอ้ปริ้นเดินมายืนข้างผม


“จะไปเองดีๆ หรือต้องรอให้เรียกรปภ.” พี่ซันถามพวกนั้นเสียงนิ่ง


“มีอะไรวะ” ไอ้ออยกระซิบถาม ผมส่ายหัว งงอยู่เหมือนกัน


“เรียกทำไม พวกกูทำอะไรผิด หรือว่าคนที่เลี้ยงมัน...คือมึง” คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มยื่นหน้ามาถามพี่ซันกวนๆ แล้วยักคิ้วก่อนจะหันไปรับกระดาษแผ่นหนึ่งจากสมุนของตัวเองเขวี้ยงใส่หน้าพี่ซัน


พี่มันก้มลงไปเก็บมาเปิดอ่านแล้วทำหน้าตึงกำเศษกระดาษไว้ในมือแน่น ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่สอง สื่อสารกันผ่านสายตา


 “เฮ้ยพี่!” ผมตกใจที่อยู่ๆ พี่ซันก็หันมาคว้าข้อมือผมแล้วลากออกมาจากบริเวณนั้นโดยไม่พูดไม่จาหลังจากอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ไม่วายคนที่ปากระดาษใส่หน้าพี่ซันยังตะโกนเรียกชื่อผม


“มีอะไรงั้นเหรอครับ”


พี่ซันจิ๊ปากก่อนจะพาผมไปนั่งบริเวณม้านั่งในตึกเรียน


“ไม่รู้ว่ามีไอ้เหี้ยตัวไหนกำลังเล่นตลกอะไรอยู่” เขาทำสีหน้าหงุดหงิดแล้วยื่นกระดาษที่โดนขยำจนยู่ยี่ไปหมดแล้วมาให้ผม


“นี่มัน...” ผมถามหน้าตื่นหลังจากอ่านสิ่งที่อยู่ในมือจบ ในนั้นนอกจากจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมแล้ว ยังมีรูปของผมในอิริยาบถต่างๆ แนบมาด้วยอีกต่างหาก


...หวังว่าคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ส่งข้อความมาหาผม


ผมถือกระดาษมือสั่น นึกไปถึงเรื่องที่มีคนส่งข้อความมาหาผม ไหนจะข่าวลือเรื่องที่ผมได้ยิน แล้วยังจะมาเรื่องนี้อีก ต้องมีใครสักคนพยายามจะบอกอะไรผม…


“อย่าให้กูจับได้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องบ้าๆ นี่ ถ้าเจอตัวกูยำมันแน่” พี่ซันสบถด้วยความโกรธ ผมเม้มปากนึกถึงเรื่องที่เราทะเลาะกัน ในขณะที่พี่ซันยอมปกป้องผมต่อหน้าทุกคน ที่สำคัญพี่ฟ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย


“โอเคมั้ย” พี่ซันหันมาถาม ผมประสานมือวางไว้บนหน้าตักแล้วบีบมือตัวเองไว้


“ผม...”


ผมเม้มปากพูดอะไรไม่ออกมองหน้าพี่ซันที่ยืนอยู่ตรงหน้า หวั่นใจว่าเรื่องนี้จะทำให้ผมกับพี่ซันต้องยุติทุกอย่างลง แม้พี่ซันจะหงุดหงิดที่ผมคอยพูดจาประชดประชันไม่รักษาน้ำใจพี่มัน แต่พอเกิดเรื่องพี่ซันก็ไม่เคยทิ้งผมเลย ปีนี้มันปีชงของผมหรือยังไงกัน


“ไม่ต้องคิดมาก” พี่ซันปลอบ


“แล้วเรื่อง...” ผมอึกอัก อยากถามว่าแล้วเรื่องเมื่อกี้จะทำยังไงดี ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้พี่ซันเดือดร้อน


“มึงไม่ได้เป็นอย่างที่ในนั้นเขียนสักหน่อย...เพราะคนที่เลี้ยงมึงน่ะ” พี่ซันมองตาผม


“มีแค่กู...ไม่ใช่ป๋าที่ไหน”


ผมยู่ปาก ไอ้พี่นี่...จริงๆ เลย ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย


ครืด...ครืด…


“เออว่าไง” พี่ซันยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ


พี่ซันหันมามองผม “งั้นก็เอาตามนั้น” เอ่ยตอบแล้วกดวาง


“เดี๋ยวกูไปส่งมึงก่อน” พี่ซันหันมาบอก ผมเม้มปากแล้วพยักหน้ารับ พี่ซันถอนหายใจก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมเป็นการปลอบแทนคำพูด


ผมไม่ได้อยากงอแง เพราะผมรู้ว่าใครจะไปส่งก็คงเหมือนกัน แต่ว่า…


“ผมกลับเองได้ครับ ไม่เป็นไร” ผมกลั้นใจปฏิเสธพี่ซัน ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามผมว่าทำไม


“แค่พี่ลากผมออกมามันก็แปลกมากแล้วนะครับ ยิ่งผมเห็นสายตาของพี่ฟ้าที่เต็มไปด้วยคำถามตอนที่พี่ลากผมออกมาผมก็ยิ่ง...” ผมเม้มปาก พี่ซันถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากฟังจบ


ผมเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ตามมาจากสิ่งที่ผมทำมันทำให้ผมเริ่มไม่มีความสุข ความหวาดระแวงกำลังกัดกร่อนหัวใจผม


“ไปกันเถอะครับ” ผมตัดบทก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายเดินนำพี่ซันกลับมายังซุ้มจัดงานเหมือนเดิม มีหลายสายตาที่มองผมแปลกๆ และเต็มไปด้วยความสงสัย ผมก้มหน้าก้มตาเดินไปหาไอ้ตี๋กับอิพิงค์ที่ยืนรออยู่พร้อมกับพวกพี่สอง ส่วนลุงอ้นกับพี่ฟ้าก็ช่วยกันต้อนรับแขก เหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ


“เป็นยังไงบ้าง” พี่ฟ้าเดินมาหาผมทันทีที่เห็นผม ผมยิ้มแล้วส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นไร พี่ฟ้ายิ้มอย่างให้กำลังใจ


“ไม่รู้ใครเล่นบ้าอะไร แบบนี้มันเกินไปจริงๆ” ลุงอ้นบ่น ผมยิ้มเจื่อน แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นพูดทั้งหมด แต่หลายคนคงเกิดข้อสงสัยในตัวผมไปแล้ว


“นั่นสิบีทส์ มึงไม่ต้องคิดมากนะ อาจจะมีใครเอารูปมึงไปแปะติดเพื่อแกล้งเล่นก็ได้ทางที่ดีกูว่ามึงเปลี่ยนเบอร์หนีไปเลยก็ดีนะ ไม่รู้ใครเล่นพิเรนทร์ใส่เบอร์มึงจริงๆ เข้าไปอีก” อิพิงค์เดินมากอดคอผมแล้วออกความเห็นไม่พูดถึงอีกประเด็นที่ผมโดนกล่าวหา


“อ่ะนี่กระเป๋า” ไอ้ตี๋ยืนกระเป๋าส่งคืนมาให้ผม


“โอเคมั้ย” ไอ้ออยถาม


ผมพยักหน้า


“พี่สองไปแจ้งความเอาไว้แล้ว ไม่ต้องกลัวนะ” ไอ้ปริ้นเอ่ยปาก ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย


“วันนี้กลับไปก่อน ไม่มีอะไรแล้วแหละ เดี๋ยวเปิดเทอมมาเรื่องก็ซาไปเอง เที่ยวให้สนุกแล้วค่อยกลับมาลุยกันใหม่เทอมหน้าหลานรัก” ลุงอ้นหันมาพูดยิ้มๆ


“งั้นเดี๋ยวฟ้าขอไปส่งน้องเองนะคะพี่” พี่ฟ้าหันไปพูดกับลุงอ้น ผมกับพี่ซันหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย


“เอ่อ...พี่ฟ้าครับเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้พี่ ผมไม่อยากรบกวน” ผมพูดพลางสะกิดอิพิงค์ให้มันช่วยพูดให้


“พี่ฝากด้วยนะฟ้า” ลุงอ้นออกความเห็นบ้าง ผมเม้มปากลำบากใจ ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีกับพี่ฟ้านะครับ แต่ทุกครั้งที่ผมเจอพี่ฟ้ามันทำให้ผมหายใจไม่ออก แม้พี่ซันจะบอกว่าเลิกกับพี่ฟ้าแล้ว แต่เพราะพี่ฟ้ายังไม่รู้เรื่องของผม ถึงจะบอกว่าเคลียร์แต่ความจริงคือมันก็ยังค้างคาอยู่ในใจเราทั้งคู่


“เดี๋ยวพิงค์ไปกับอิบีทส์ก็ได้ค่ะ พอดีว่าบ้านอยู่ใกล้กันพอดี” อิพิงค์ช่วยพูด ว่าแต่บ้านกูกับบ้านมึงนี่อยู่ใกล้กันตอนไหน


“พิงค์อยู่ช่วยพี่อ้นเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งบีทส์แป๊บเดียวไม่ต้องเป็นห่วงนะ เอาเป็นว่าตามนี้นะคะ...ปะบีทส์” พี่ฟ้าส่ายหัวพลางยิ้มให้อิพิงค์ พร้อมขยับตัววางของในมือลง อิพิงค์หันมายิ้มแหยๆ ขอโทษที่ช่วยพูดไม่สำเร็จ ไอ้ออยยื่นมือมาตบบ่าผม


ตอนนี้ผมกำลังนั่งเกร็งอยู่ในรถยนต์คันสวยของพี่รหัสตัวเองครับ ระหว่างเรามันมีแต่ความอึดอัดจนผมสัมผัสได้ ไร้ซึ่งบนสนทนาใดๆ ตั้งแต่ผมก้าวขึ้นรถคันนี้มา จนตอนนี้รถคันสวยจอดเทียบที่หน้าบ้านผมแล้ว


“บีทส์มีอะไรอยากบอกพี่มั้ย” พี่ฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนในขณะที่ผมกำลังปลดสายคาดเข็มคัดนิรภัย ผมชะงักมือก่อนจะหันไปเลิกคิ้วให้พี่ฟ้า


“เรื่องอะไรเหรอครับ”


พี่ฟ้าเม้มปาก สองมือจับพวงมาลัยไว้ไม่หันมามองหน้าผม


“เรื่องที่ผู้ชายพวกนั้นพูด พี่ไม่รู้นะคะว่าบีทส์ตั้งใจจะทำอะไร แต่ถ้ายังเห็นพี่เป็นพี่ พี่อยากขอร้องให้เราช่วยอยู่ห่างๆ พี่ซันได้มั้ย ถ้าบีทส์รักพี่ซันจริง ทำเพื่อพี่ซันได้หรือเปล่า” พี่ฟ้าเกริ่นเสียงเรียบ ใบหน้าสวยหวานที่เคยส่งยิ้มสดใสเรียบตึงไม่บ่งบอกความรู้สึก


“ผม...”


เพี้ยะ!


“...”


มือขาวเหวี่ยงตบมาที่หน้าผมหนึ่งที ใบหน้าซีกซ้ายผมชาไปทั้งแถบ ผมกุมแก้มมองใบหน้าซีกขวาของพี่ฟ้าแล้วก้มหน้าลง รู้สึกเจ็บไปทั้งหัวใจ... พี่ฟ้าโยนซองสีน้ำตาลมาใส่ตักผม ผมเม้มปากมือไม้สั่น หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาคลี่ดูแล้วช็อคนิ่ง


“คุณป้า…” พี่ฟ้าเปลี่ยนคำเรียก “คุณแม่พี่ซันน่ะรู้เรื่องนี้แล้วนะ”


“...”


“คุณป้าโกรธพี่ซันมาก นี่ขนาดแค่คุณป้าคนเดียวพี่ซันยังตกที่นั่งลำบาก ถ้าเป็นคุณลุงอีกคนที่รู้เรื่องนี้ พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง เรามั่นใจแล้วเหรอว่านี่มันคือความรักจริงๆ พี่ไม่คิดว่าคนอย่างพี่ซันจะมาจริงจังอะไรกับน้องของพี่หรอกนะ”


“พี่ซันควรจะได้เจอสิ่งที่ดีกว่านี้ คนที่เหมาะสมกับพี่ซันจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่ดีนะ แต่พี่รักบีทส์ถึงมาเตือนด้วยตัวเอง บีทส์เองก็ควรจะได้เจอคนที่เหมาะสมเหมือนกัน พี่จะไม่โกรธบีทส์ก็ได้กับเรื่องที่ผ่านมา พี่เข้าใจนะคะว่าพี่ซันเป็นคนดีใครอยู่ใกล้ก็ต้องเผลอตัว เราจะคิดว่าพี่ใจร้ายก็ได้ แต่พี่ขออย่างเดียว...เพื่อแลกกับทุกสิ่งที่ผ่านมา”


“แต่ว่า...”


“เราไม่สังเกตเลยเหรอว่าช่วงนี้พี่ซันเขาไม่ค่อยกลับห้อง รู้อะไรมั้ยว่าถ้าให้เลือกจริงๆ พี่ซันเขาก็ต้องเลือกคุณป้าอยู่แล้ว ไม่คิดว่าพี่เขาจะลำบากใจเหรอคะที่ต้องคอยวิ่งดูทางนั้นที...ทางนี้ที”


พี่ก็เลยจะบอกผมว่าพี่ซันเป็นคนให้พี่มาบอกผมแทนอย่างนั้นเหรอครับพี่ฟ้า ผมเม้มปากพลางส่ายหัว มือกุมกันไว้ที่หน้าตักแน่นเพื่อลดอาการสั่น พี่ฟ้าทำหน้าเศร้าเหมือนเห็นใจผม


“พี่กับพี่ซันน่ะ มีอะไรเราก็บอกกันทุกเรื่อง บีทส์จะไม่เชื่อพี่ก็ได้นะคะพี่เข้าใจว่าเราคงหาคนที่ดีอย่างพี่ซันได้ยาก แต่พี่ไม่อยากให้บีทส์หลอกตัวเอง”


“ผม...”


“คิดบ้างมั้ยว่าพี่ซันจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า เราไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาเลยใช่มั้ย ทั้งเรื่องธุรกิจและสิ่งที่คนอื่นจะมอง เห็นตัวอย่างของวันนี้หรือยัง...”


“สายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม…” พี่ฟ้ายกเอาประเด็นที่คอยตามหลอกหลอนผมขึ้นมาพูด ผมสะอึกพูดไม่ออก


“...ความผิดชอบชั่วดีจากเราพี่คงไม่ต้องถามถึง แต่เก็บเอาสิ่งที่พี่พูดวันนี้ไปคิดให้ดีก็แล้วกันนะคะ เพราะมันเป็นความหวังดีจากคนที่โดนหักหลังอย่างพี่”


เป็นอีกครั้งที่คำพูดของพี่ฟ้าทำให้ผมพูดไม่ออก ผมได้แต่ก้มหน้านิ่งยกมือไหว้พี่ฟ้าแล้วเปิดประตูลงจากรถ เดินเข้าบ้านอย่างไร้สติ


มันไม่มีทางออกแล้วจริงๆ เหรอ


“อ้าวพี่บีทส์ ไม่รับโทรศัพท์ล่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วให้กับไบร์ท ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่กำลังแจ้งเตือนสายโทรเข้า


“เดี๋ยวค่อยโทรกลับ”


ผมตอบน้อง ก่อนจะทำเป็นนั่งดูจอภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า แล้วหัวเราะให้กับมุกตลกๆ ของพี่โหน่งชะชะช่า ทั้งๆ ที่ในใจกลับไม่ขำเลยสักนิด


“เดี๋ยวก็กลายเป็นหมาบ้าหรอก” ไบร์ทว่าขำๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว


ในหัวผมตอนนี้มีแต่ฉากบนรถพี่ฟ้าฉายซ้ำไปซ้ำมา สลัดยังไงก็สลัดไม่ออก ทุกอย่างมันกำลังกัดกินความเข้มแข็งของผมไปทีละนิดๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่ซันต้องแบกรับอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ผมเองเอาแต่งอแงเรียกร้องจากพี่มันอยู่ฝ่ายเดียว


เพิ่งจะเริ่มตระหนักว่าตัวเองกำลังกลายเป็นภาระ…


หลังจากลงจากรถพี่ฟ้าได้ไม่นานก็มีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา เป็นเหมือนภาพฉายซ้ำที่ยิ่งฟังยิ่งเจ็บปวด ผมแทบไม่ต้องปริปากพูดแก้ตัวหรือออกความเห็นใดๆ


นี่สินะความจริง…


แม้จะรู้และเคยทำใจไว้แล้วว่าคงเป็นเรื่องยากที่พ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนปกติ จะทำใจยอมรับได้ในเรื่องความสัมพันธ์พิเศษนี้ของเรา แล้วทางออกของปัญหานี้ล่ะ ผมควรจะทำยังไงกับมันดี


ผมจะรักษารอยยิ้มของเราเอาไว้ได้ยังไง…


‘ถ้าหนูรักลูกชายป้าช่วยปล่อยลูกชายป้าไปจะได้มั้ย…’


‘ให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เขาควรจะเป็น…’


‘ซันคือความหวังของครอบครัวเรา’


‘ถ้าหนูรักพี่เขาหนูต้องไม่ทำให้พี่เขาลำบากเพราะมาคบกับหนูนะจ๊ะ’


‘ถือว่าเป็นคำขอร้องจากแม่ที่รักลูกคนหนึ่งมากเถอะนะ’



“พี่บีทส์ร้องไห้ทำไม”
   

“หื้อ” ผมเงยหน้าไปมองน้อง ก่อนจะใช้หลังมือปาดแก้มตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจที่มีคราบน้ำใสติดอยู่ที่หลังมือ ผมรีบปั้นหน้ายิ้มให้น้องแล้วส่ายหัว


“ไม่ได้เป็นอะไร พี่ขำจนน้ำตาไหลเลย ดูดิพี่โหน่งแกโดนพี่เท่งเอาเค้กป้ายหน้าอีกแล้ว ฮ่าๆๆ” ใช้คำอธิบายโง่ๆ เพื่อหาทางเลี่ยงอีกกู


“ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่มั้ย” ไบร์ทถามด้วยความเป็นห่วงแล้วนั่งลงข้างๆ ผม


“ไม่มี จะมีได้ไงปิดเทอมแล้ว...นี่แหละสวรรค์ของไอ้บีทส์” ผมพูดพลางทำท่าทางเพ้อฝัน จนไบร์ทขำตาม


“เออ...แล้วนี่คุณนายไปไหน” ผมถามหาแม่ เพราะตั้งแต่กลับมาก็ไม่เจอ สงสัยออกไปข้างนอก


“อ๋อ...ไปกับพวกคุณป้าแก๊งเดิมแหละ อีกสองวันกลับ” ไบร์ทละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มาตอบผม


“พี่นัดกับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดนะ กลับเมื่อไหร่พี่จะโทรบอกอีกที” และในวินาทีนั้นผมก็ตัดสินใจได้ อย่างน้อยผมก็ควรไปให้ไกลจากที่นี่สักพัก


“ฮั่นแน่ ไปฮันนีมูนเหรอ อย่าลืมของฝากนะ ไบร์ทขึ้นห้องละเดินทางปลอดภัยนะพี่บีทส์ รักพี่นะ” ไบร์ทแซ็วยิ้มๆ ตามปกติ ก่อนจะกอดผมแล้วขอตัวขึ้นห้อง ผมมองตามหลังน้องจนสุดสายตา


เอาล่ะถ้าจะไปก็ต้องไปตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่พี่ซันจะตามกลับมาที่บ้าน ถ้าอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมผมก็คงจะใจอ่อนอีก ท่องไว้ว่านี่เป็นการทำเพื่อพี่ซัน ห้ามร้องไห้และต้องเข้มแข็ง ไม่มีใครอกหักแล้วตายสักหน่อย




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 34 : ถึงเวลาชดใช้ 24/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-09-2018 19:00:52
จากนางฟ้า กลายเป็นชะนีมาร ร้ายไม่เบา  :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 34 : ถึงเวลาชดใช้ 24/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 28-09-2018 08:05:21
สงสารเลยอะ ทำไมโดนจุกงี้
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 34 : ถึงเวลาชดใช้ 24/9/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 01-10-2018 09:14:42
ถามว่าบีทส์ผิดมากเหรอถึงโดนอะไรแบบนี้มันแรงไปนะ ถ้าอย่างนั้นบีทส์เลิกกับอิพี่มันไปเถอะให้อิพี่มันกลับไปอยู่กับคนพวกนั้นตามเดิม บีทส์กลับมาเป็นตัวเองอยู่กับเพื่อนๆกับคนที่รักและเช้าใจเราดีกว่า ไม่อยากคิดว่าที่บีทส์โดนแบบนี้นัทจะเป็นคนทำอย่าเป็นแบบนั้นเลยเข้าใจนัทนะว่าเสียความรู้สึกแต่ก็เพื่อนนะผิดหวังกับเพื่อนที่เพื่อนเป็นแบบนี้แต่ทำไมไม่ถามก่อนว่าเพราะอะไรถ้าอิพี่มันไม่เล่นด้วยมันจะเป็นแบบนี้ไม :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 02-10-2018 18:20:49
ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน


[ซัน]


“ยังติดต่อน้องไม่ได้อีกเหรอ” ไอ้อาร์ตถาม ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านของไอ้ตัวแสบที่อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปไม่บอกไม่กล่าว เล่นเอาวุ่นกันไปหมด


“ยัง”


ผมตอบ มือยังพยายามกดเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง ทั้งฝากข้อความไว้เป็นสิบๆ ข้อความ พยายามโทรหามันไม่รู้กี่สิบสายก็ยังไม่สามารถติดต่อมันได้


ตอนแรกก็คิดว่ามันอาจจะหนีไปหาเพื่อนสนิทที่มีอยู่ไม่กี่คนแต่ก็ยังไร้วี่แวว ยิ่งมันหายไปนานมากเท่าไหร่ หัวใจผมก็เริ่มทำงานไม่ปกติ ยิ่งได้ฟังจากปากของน้องมันว่าไอ้ตัวแสบมันเอาเสื้อผ้าไปด้วยก็ยิ่งทำให้ผมเป็นห่วง


เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆ มันจะหายตัวไปแบบนี้


“มึงบอกกูว่าก่อนหน้านี้น้องมันยังดีๆ อยู่ใช่มั้ย” ไอ้อาร์ตถามต่อ มันเองก็เพิ่งออกเวรมายังไม่ได้นอน แต่เพราะเป็นห่วงแฟนมันที่ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ผมที่เขาคิดว่าไปเที่ยวกับบีทส์โผล่มาถามหาพี่ชายเขาที่บ้าน เรื่องก็เลยโป๊ะแตก


“เออ...แต่กูไม่รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อวันก่อนนั่นด้วยหรือเปล่า” ผมตอบก่อนจะทิ้งตัวเอนราบไปกับโซฟาอย่างเหนื่อยล้า อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้รับรู้ว่ามันยังปลอดภัยดี หรือตอนนี้อยู่ที่ไหน ขอแค่นั้นจริงๆ


“มึงคงไม่คิดว่า...” ไอ้อาร์ตถามเปรยๆ ผมส่ายหัว


“กูก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็อย่างที่มึงรู้ แม่กูรู้แล้ว” ผมเดาะลิ้น ใช้ความคิดในหัว ผมยังอยากเชื่อใจว่าฟ้าจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลเสียต่อผม แม้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวรับรู้จะทำให้ตัวเองนั้นรู้สึกแย่สักแค่ไหน สำหรับฟ้าผมก็เหมือนข้อยกเว้นของทุกอย่าง


มันเป็นไปได้ยาก…


“อ้าวตัวเล็ก” เสียงไอ้อาร์ตทักเด็กมัน


ไบร์ททิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้อาร์ต


“พี่บีทส์ทิ้งนี่ไว้...ของนาย” ไอ้ตัวแสบพูดพลางยื่นกระดาษสีขาวมาให้ผม

   
พี่ซัน
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาขอบคุณมากนะครับ สำหรับความทรงจำต่าง ๆ ที่พี่ทำให้ผม ทุกอย่างที่ผมทำมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมต้องการให้มันเกิดขึ้น เพื่อต้องการพิสูจน์ให้พี่เห็นว่าเกย์อ่ะไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนที่พี่เข้าใจ ตอนนี้ผมก็ทำสำเร็จแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ค้นพบว่าเริ่มเบื่อกับสิ่งที่ทำและเหนื่อยแล้วกับความสัมพันธ์หลบๆ ซ่อนๆ ที่เราทำอยู่ ต่อจากนี้ไป ผมหวังว่าเราจะต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องตามหาผมแล้วกลับไปใช้ชีวิตของพี่ให้เหมือนกับตอนที่ยังไม่เจอผม ขอโทษและขอบคุณ



“เหี้ยอะไรวะ”


ผมสบถคำหยาบออกมาทันทีที่อ่านจบ ไอ้อาร์ตเลยดึงไปอ่านพร้อมๆ กับคนข้างตัวของมัน


เหตุการณ์ต่างๆ กำลังไหลเข้ามาในหัวผม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอคนตัวขาว รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่ครั้งแรกของเรา ทุกอย่างมันยังแจ่มชัดอยู่ในหัว และจดหมายฉบับนี้กำลังบอกผมเป็นนัยๆ ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คนเขียนตั้งใจจะสอนผมที่ตอนแรกเคยปฏิเสธเสียงแข็งว่าเกลียด ไม่สนใจ ไม่ต้องการ ให้ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสและเปลี่ยนความคิด


ซึ่งตอนนี้มันก็ทำสำเร็จ


ก่อนหน้านี้ผมสู้อุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับโปรเจ็คที่ได้รับมอบหมายจากบริษัทชิ้นแรก ซึ่งผมกับไอ้เจต้องแข่งกันเพื่อให้ได้โปรเจ็คนี้ ถ้าทำแค่เพียงเพราะอยากเอาชนะไอ้เจผมคงไม่สนใจและทุ่มเทขนาดนี้ แต่ที่ทำก็เพื่ออยากพิสูจน์ให้แม่ผมได้เห็นว่าถึงแม้ผมจะมีแฟนเป็นมัน เป็นไอ้ผู้ชายหน้าขาวๆ ปากรั้นๆ นั่น ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ผมตั้งใจทำเพื่อบริษัทลดน้อยลงไป


กลับกัน...มันกลับสร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้ผม


ผมยอมเหนื่อยออกไปคุยงานเองทุกวัน แทบลงมือคุมเองในทุกขั้นตอนการทำงาน วันๆ ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ยังฝืนตัวเองกลับไปนอนกอดมันทุกวันเพื่อชดเชยเวลาที่หายไป ผมไม่อยากบอกปัญหาที่เกิดขึ้นให้มันรู้ เพราะกลัวว่ามันจะคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร


ผมยอมขัดใจกับแม่เพื่อที่จะฟังคำบอกเลิกจากมันอย่างนั้นเหรอ


“มึงเชื่อในสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมายนั่นเหรอ” ไอ้อาร์ตเปิดปากถาม


“ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ ไว้กูลากตัวมันกลับมาได้เมื่อไหร่ เดี๋ยวก็รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง” ผมตอบไปตามความรู้สึก


“ไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวบีทส์ก็คงติดต่อมาเอง” ไอ้อาร์ตหันไปบอกเด็กมันเสียงอบอุ่น ไอ้ตัวแสบพยักหน้ารับ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน


“มึงจะไปไหน” ไอ้อาร์ตหันมาถาม


“กูไม่คิดจะรอ”


“แต่มึงทิ้งงานที่นี่ไปไม่ได้ มึงก็รู้ว่ามันสำคัญ” ไอ้อาร์ตเตือนสติ


ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ผมรู้ว่ามันเป็นห่วง รู้ดีว่าหวังดี สุดท้ายผมได้แต่ขับรถคอนโด แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้นเป็นวันๆ
 

++++++++++++++++++


“ไอ้ซันมึงเห็นรึยัง” เสียงไอ้สองดังมาตามสาย


“เห็นอะไร” ผมขมวดคิ้ววางดินสอในมือ แล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ เนื่องจากใช้สายตาเป็นเวลานาน


“เฟสบุ๊คน้อง” ไอ้สองอธิบายแค่นั้น ผมจึงรีบกดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เฟสบุ๊คส่วนตัวของใครบางคนตามที่เพื่อนสนิทบอก ก่อนจะกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันพาลทำให้ผมนึกถึงปัญหาที่ผมยังแก้ไม่ตก


‘ซัน’ เสียงที่นานๆ จะได้ยินเอ่ยเรียกชื่อผม


‘...’


‘แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยลูก แวะเข้ามาหาแม่หน่อยจะได้มั้ย’ แม่พูดต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนผมยังอดแปลกใจไม่ได้


‘แม่มีธุระอะไรก็คุยทางโทรศัพท์ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องไปรบกวนนมแบบนั้น’ ผมเปิดปากพูดกับมารดาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องปกติที่แม่จะติดต่อหาผมแถมยังใช้ให้นมเป็นคนต่อสายให้ กลิ่นชักแปลกๆ


‘แม่ก็ไม่ได้อยากรบกวน ถ้าลูกจะเสียสละเวลารับสายของแม่บ้าง’ ผมเงียบ


‘เรื่องเด็กคนนั้น...’ แม่เกริ่นเสียงอึกอัก


ผมขมวดคิ้ว
   

‘ที่อยู่คอนโดเดียวกับลูก...’
   

‘ผมจะเข้าไปหาแม่เดี๋ยวนี้แหละครับ’
   

หลังวางสายจากแม่ ผมก็ขับรถตรงดิ่งกลับมาที่บ้านทันที ไม่มีแม้แต่เวลาได้อธิบายกับเพื่อนสนิทที่มันถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผมได้แต่หวังว่าเรื่องนี้คงมีแม่คนเดียวที่รู้เพราะถ้าหากพ่อรู้เรื่องนี้แล้วล่ะก็...เรื่องคงไม่จบง่ายๆ
   

‘สวัสดีครับนม’ ผมหันไปทักทายป้านม หลังจากก้าวเข้ามาในตัวบ้าน หญิงท่าทางใจดียืนรอรับผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย
   

‘คุณผู้ชายออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนคุณผู้หญิงรออยู่ที่ห้องคุณซันนะคะ’ ป้านมเอ่ยบอกเบาๆ ผมพยักหน้ารับ แล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
   

ผมเปิดประตูเข้าไปห้องนอนของตัวเองก่อนจะเจอร่างของมารดาตัวเองนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ปลายเตียง ข้างตัวมีซองสีน้ำตาลวางอยู่ ผมปิดประตูห้องนอนพร้อมปิดล็อกห้องก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งอีกฝั่งของเก้าอี้
   

‘มาแล้วเหรอ’ แม่เป็นฝ่ายเปิดปากทัก
   

ผมพยักหน้ารับ ‘เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ’
   

‘ที่แม่ไม่อยากคุยกับลูกทางโทรศัพท์เพราะแม่อยากฟังจากปากของลูกตรงๆ มากกว่าฟังทางโทรศัพท์’ แม่หันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ผมรับฟังด้วยท่าทีนิ่งๆ รอให้แม่เอ่ยเข้าประเด็น
   

‘แม่ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง แม่สับสน แม่กังวลและแม่กลัว’ แม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
   

‘เรื่องเด็กคนนั้นที่อยู่หอเดียวกับลูก เด็กคนที่หน้าตาน่ารัก ตัวขาวๆ และแม่ก็เคยได้ยินว่าลูกเคยพาเขามาที่บ้านของเรา เด็กคนนั้นที่ลูกไปค้างที่ห้องเขา’
   

‘ไม่ใช่แค่รุ่นน้องธรรมดาใช่มั้ย’
   

แม่กลั้นใจถามต่อจนจบ แล้วจ้องหน้าผมเหมือนรอคอยคำตอบ ผมยังคงทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกตกใจกับคำถาม ทั้งที่จริงในหัวผมกำลังตีกันไปหมด แค่ให้มาหาก็นับว่าไม่ใช่เรื่องปกติแล้วนี่ยังถามถึงความสัมพันธ์ของผมกับคนตัวเล็กอีก แบบนี้คงไม่ธรรมดาจริงๆ แล้วล่ะ
   

‘ตอบแม่มาสิว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่แค่รุ่นน้องธรรมดาใช่มั้ยลูก’
   

‘...’
   

‘มีคนส่งรูปพวกนี้มาให้คุณพ่อ โชคดีที่แม่ไปเจอเข้าซะก่อน’ แม่พูดพลางยื่นซองสีน้ำตาลมาให้ผม ผมรับมาเปิดก่อนจะขบกรามอย่างโมโหเพราะสิ่งที่อยู่ในซองคือรูปของผมกับบีทส์ในอิริยาบถต่างๆ ถ้าใครเห็นก็คงรู้ว่าคงไม่ใช่แค่คนรู้จักธรรมดา
   

‘แม่ไม่รู้ว่าลูกคิดจะทำอะไรอยู่ อาจจะหลงผิด อยากลองหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในฐานะที่แม่เป็นแม่ แม่อยากให้ซันคิดดูให้ดี ซันเป็นลูกชายคนเดียวที่เรามี ถ้าเกิดว่าลูก...’ แม่ดูกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดต่อ
   

ผมแสยะยิ้มเย็นฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดแล้วนึกสะอิดสะเอียนกับคนที่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่ ก็แค่อุ้มท้องผมมาเก้าเดือน หลังจากคลอดผมออกมาแล้วผมก็เป็นเพียงลูกแค่ในนามของเขาเท่านั้นแหละ
   

‘ถ้าเกิดว่า...’
   

‘ถ้าผมเป็นเกย์ แม่จะพูดแบบนั้นใช่มั้ย’ ผมต่อคำให้แล้วยิ้มเหยียดๆ แม่เม้มปาก
   

‘มันไม่ใช่ว่าที่แม่มาพูดเพราะแม่รับไม่ได้ที่ลูกมีรสนิยมแบบนี้นะซัน แต่แม่อยากให้ซันคิดดูให้ดีว่ามันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพ่อกับแม่และบริษัทของเราแค่ไหน คนอื่นเขาจะคิดยังไงถ้าคนที่จะขึ้นมาเป็นประธานบริษัทมีความบกพร่องทางเพศน่ะลูก’
   

หึ บกพร่องทางเพศอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากเชื่อว่าผมจะได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากคนที่คลอดผมออกมา
   

‘แม่รู้ว่าลูกของแม่เป็นคนที่คิดอะไรได้ไกลเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม่หวังว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่เป็นห่วง เพราะถ้าคุณพ่อรู้เรื่องนี้เข้ามันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ลูก’ แม่พูดต่อเมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ ใบหน้าสวยมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
   

ก็รู้...ว่าแม่คงห่วงหน้าตาและภาพลักษณ์มากกว่าลูกในไส้อยู่แล้ว
   

‘บอกสิ่งที่แม่ต้องการมาเลยดีกว่าครับ’
   

‘เลิกกับเด็กคนนั้นได้มั้ยลูก แม่รู้ว่ามันอาจจะฟังดูโหดร้ายเกินไป แต่แม่ไม่เคยขออะไรจากซันเลยนะไม่ว่าลูกจะทำอะไร ครั้งนี้...’
   

‘...ทำเพื่อแม่ได้มั้ยซัน’


“ไอ้ซัน” ไอ้สองเรียกเมื่อเห็นผมเงียบ


“ไว้กูติดต่อกลับไปอีกที” ผมตอบรับก่อนจะกดวางสาย แล้วจ้องมองไปยังบุคคลในรูปที่ปรากฏอยู่ในจอ


รูปบีทส์ที่ยืนยิ้มเคียงคู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก


ผมยื่นมือไปลูบที่หน้าจอบริเวณใบหน้าขาวที่ยิ้มอย่างมีความสุข นี่มึงคิดจะไปจากกูจริงๆ เหรอวะ สามวันที่กูกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงมึง แต่มึงกลับอยู่อย่างมีความสุขแล้วยังมีหน้ามาโพสว่าขอบคุณไอ้ผู้ชายหน้าเหี้ยที่ทำให้มึงมีความสุข


...มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง…


ผมหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดต่อสายหาคนที่ช่วงนี้ผมติดต่อหาทุกวัน ในแต่ละวันผมจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเพื่อมากดต่อสายหาคนที่รู้จักบีทส์ทุกวันจนเพื่อนๆ พากันเป็นห่วง แต่ผมก็ยังเป็นผม จนเวลาล่วงเลยมากว่าสามอาทิตย์ คนรอบข้างจึงเริ่มปล่อยให้ผมจมอยู่กับงานเพราะไม่อยากให้ผมทำอะไรวู่วาม


“สวัสดีค่า” ปลายสายตอบรับเสียงใส


“ติดต่อบีทส์ได้บ้างรึเปล่า” ผมถาม


“เอ่อ ยังเลยค่ะพี่สุดหล่อนี่พิงค์ก็พยายามติดต่อหามันตลอดเลยนะคะ” คำตอบก็ยังเหมือนเดิมกับทุกๆ วันที่ผมโทรถามความคืบหน้าจากคนใกล้ตัวบีทส์


ไม่ใช่แค่คนรอบข้างบีทส์ที่ผมขอให้ช่วย แต่คนรอบข้างผมก็ช่วยกันตามข่าวของบีทส์เช่นกัน บีทส์อัพรูปลงเฟสบุ๊คของตัวเองนานๆ ครั้งแต่ไม่เคยระบุสถานที่ วันแรกที่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกคนจากโซเชี่ยลยอดฮิตนั่น ผมกระหน่ำทักข้อความไปไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแต่เจ้าตัวไม่แม้จะเปิดอ่านข้อความของผมเลยสักครั้งและสุดท้ายก็บล็อคผมในที่สุด


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมหันไปยังประตูที่มีใบหน้าของผู้ให้กำเนิดยืนอยู่ ก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วกดวางสายจากคู่สนทนา ช่วงนี้ผมกลับมาอยู่บ้านเพราะทนอยู่ที่คอนโดและทนความฟุ้งซ่านของตัวเองไม่ไหว


“ครับ”


“มีประชุมตอนบ่ายใช่มั้ย” ร่างเพรียวเดินเข้ามาถาม ผมพยักหน้ารับพลางเก็บเอกสารใส่กระเป๋าสำหรับการประชุม จริงๆ ก็แค่การประชุมฟังผลว่าลูกค้าจะเลือกโปรเจ็คไหนเพราะผ่านการพรีเซ้นท์ให้ลูกค้าดูมาแล้วสองวัน


“เห็นลูกเป็นแบบนี้แล้วแม่ไม่สบายใจเลยนะซัน” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมหยุดมือที่กำลังจัดของอยู่ หันไปมองหน้าแม่นิ่งๆ ก่อนจะเก็บของต่อโดยไม่พูดอะไร


“แม่ได้ยินว่าพ่อเขาจะเข้าไปฟังผลด้วย” แม่บอกต่อ


“คงจะไปรอดูความพ่ายแพ้ของลูกนอกไส้อย่างผมมากกว่า” ผมต่อคำ


“แม่ไม่อยากให้ลูกอคติกับพ่อนะซัน พ่อกับแม่สร้างทุกอย่างมาก็เพื่อลูก ลูกคือความหวังเดียวของเรา แม่รักซันนะ”


“...”


“ถ้ากลับมาแล้วแม่จะให้ป้านมทำอาหารที่ลูกชอบไว้ให้ แม่ดีใจที่ช่วงนี้ลูกกลับมานอนที่บ้านเรานะ” ใบหน้าสวยพูดต่อ


“ผมถามได้มั้ยว่าระหว่างความสุขของผมกับความสบายใจของแม่”


ผมเว้นวรรค แล้วสบตาผู้ให้กำเนิด


“แม่จะเลือกอะไร”


แม่ชะงักอึ้งกับคำถามของผม


“แม่บอกผมว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ใช่มั้ยครับ” บอกไม่ถูกว่าผมอยากได้คำตอบแบบไหนมากกว่ากัน


“แม่ไม่กวนลูกแล้วดีกว่า ขอให้ชนะนะลูก วันนี้แม่มีประชุมที่สมาคมคงไปด้วยไม่ได้ แล้วแม่จะเอาใจช่วยนะ” แม่เม้มปากก่อนจะเอ่ยตัดบท ผมหัวเราะในลำคอขื่นๆ มองตามร่างเพรียวที่เดินออกจากห้องไป


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมนั่งตรวจความเรียบร้อยของเอกสารและความเรียบร้อยของตัวเอง เมื่อเห็นว่าจวนจะได้เวลาจึงคว้าเอาทุกอย่างมาไว้ในมือพร้อมกับกดปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ตัวเอง ที่เปิดค้างไว้ที่หน้าเฟสบุ๊คส่วนตัวของไอ้คนที่มันหายไป


“พี่ซัน” เสียงหวานร้องทักเมื่อเห็นผม พลางลุกขึ้นเดินมาหายิ้มๆ


“อ้าวมาได้ไง” ผมถาม ฟ้าในชุดทำงานสบายๆ เดินมาหยุดตรงหน้าผม ใบหน้าหวานถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบางเบาจนเหมือนไม่ได้แต่งแต่กลับขับให้ใบหน้าหวานดูมีชีวิตชีวาน่ามองกว่าวันธรรมดา


ฟ้าย่นจมูกงอนๆ แล้วตอบ “วันนี้เป็นวันสำคัญฟ้าจะพลาดได้ไงล่ะคะ อีกอย่างคุณป้าบอกว่าอยากให้ฟ้าไปเป็นตัวแทนคุณป้าเพราะวันนี้ท่านติดธุระ พี่ซันไม่ต้องห่วงนะจากที่ฟ้าฟังจากคุณพ่อเล่า งานของพี่ซันน่ะถูกใจคุณอาวินิตมากเลยค่ะ วันนี้พี่ซันของฟ้าต้องชนะแน่ๆ” พ่อของฟ้าเป็นเพื่อนกับคุณวินิตว่าที่ลูกค้าของผม


“เวอร์แล้วเรา” ผมตอบขำๆ


“เวอร์ตรงไหน ดูพี่ซันสิ เห็นว่าปิดเทอมก็โหมงานหนักเลยนะคะหมดหล่อแล้วเนี่ย เพื่อเป็นการให้รางวัลวันนี้ฟ้าจะเสียสละให้ยืมควงหนึ่งวันด้วยความเต็มใจ อ่อ คุณลุงท่านล่วงหน้าไปก่อนแล้วนะคะ” น้องฟ้าพูดพลางยืดแขนตัวเองมาให้ผมคล้องแขนตัวเอง ผมพยักหน้ารับคำแล้วยีหัวเขาอย่างเอ็นดู


“คุณซันจะทานอะไรหน่อยมั้ยคะ ป้าจะได้ให้เด็กๆ เตรียมให้” นมเดินเข้ามาถามพลางยื่นมือมาช่วยถือของในมือผมตามปกติ


“ไม่ล่ะครับคิดว่าจะออกไปเลย” ผมส่ายหัวแล้วตอบ ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีอีกคนที่ยังไม่ได้ถาม


“เอ้อ...น้องฟ้าจะทานก่อนมั้ย”


“โธ่นึกว่าลืมฟ้าไปแล้ว ไม่ล่ะค่ะพี่ซันไม่ทานฟ้าก็ไม่ทานเหมือนกัน เมื่อเช้าตุนไว้เยอะแล้วค่ะสบายมาก” น้องฟ้าตอบผมงอนๆ เลยได้แต่หัวเราะเป็นการขอโทษเธอแทน


“งั้นไปกันเลยดีกว่า” ผมเอ่ยชวนคนข้างตัว ก่อนจะเดินนำไปที่รถคันโปรดของตัวเองที่ไม่ค่อยได้เอาออกมาใช้เลยตั้งแต่อยู่กับบีทส์


“สวัสดีค่ะคุณอา” ฟ้าเอ่ยทักคุณวินิตพร้อมกับยกมือไหว้ ขณะที่เราเจอกับคณะของคุณวินิตที่หน้าลิฟท์สำหรับแขกสำคัญหรือสำหรับผู้บริหารเท่านั้น


คุณวินิตคือเจ้าของโปรเจ็คที่จะมาจ้างบริษัทของผมไปก่อสร้างอาคารสาขาใหม่ที่เวียดนาม โดยให้โจทย์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของท่านมาให้เรา ทางคณะกรรมการบริษัทจึงมีความเห็นว่าอยากให้ผมลองแสดงฝีมือ เพราะประจวบเหมาะกับช่วงที่ผมกำลังว่าง


“อ้าวหนูฟ้า มาได้ยังไงลูก” คุณวินิตหันมารับไหว้ก่อนจะเอ่ยทักคนข้างตัวผม พลางหันมามองผมกับน้องฟ้ายิ้มๆ ผมจึงยกมือไหว้บ้าง


“ฟ้ามากับพี่ซันค่ะ นี่พี่ซันค่ะคุณอา ลูกชายคนเดียวของคุณลุงศิระคุณอาคงได้เจอกับพี่ซันแล้วใช่มั้ยคะ” ฟ้าแนะนำผมอย่างคล่องแคล่ว


“แน่นอนสิ อาชอบงานของเขามาก หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะเจ้าหลานชาย” คุณวินิตตอบรับยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวไปยังห้องรับรองที่คุณอาทวีเตรียมไว้เพราะยังไม่ถึงเวลานัด


“พี่ซันคะเดี๋ยวฟ้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฟ้าหันมากระซิบบอกผมขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรอง เพราะผมยังไม่มีตำแหน่งแน่นอนเลยยังไม่มีห้องประจำเป็นของตัวเอง
   

“ให้พี่ยืนรอมั้ย”
   

ฟ้าส่ายหัว “เดี๋ยวฟ้าถามพี่ๆ เอาก็ได้ค่ะว่าพี่ซันอยู่ห้องไหน”
   

ผมยิ้มรับ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง


“โอ๊ะโอ ดูสิกูเจอใคร” เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินเอ่ยทักกวนๆ ไอ้เจยืนกอดอกมองผมยิ้มๆ ก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลังที่ผมเพิ่งเดินจากมาแล้วเลิกคิ้วเยาะเย้ย


“...”


“เส้นใหญ่ไม่เบาเลยนี่หว่า” ไอ้เจยั่วต่อเมื่อเห็นผมเงียบไม่สนใจมัน


“ถ้าครั้งนี้กูแพ้กูจะไม่แปลกใจเลยนะเนี่ย ฮ่ะๆ คราวนี้เลือกได้หรือยังล่ะว่าใครที่ช่วยให้งานของมึงก้าวหน้าได้มากกว่า” ไอ้เจแสยะยิ้ม แล้วเข้ามากระซิบด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามเหมือนมันไปรู้อะไรมา ผมขมวดคิ้วไปกับคำพูดของมัน


เป็นธรรมดาที่เวลาเจอกันมันต้องปล่อยคำพูดเน่าๆ ออกมาสาดใส่ผม อย่างเรื่องที่ว่าเมื่อกี้นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มันชอบเอามาหยิบยกเป็นประเด็น แต่เรื่องอย่างหลังนั่นมันหมายความว่ายังไง


“มึงหมายความว่าไง”


“หึ ก็หมายความตามที่พูด มึงควรขอบคุณพี่ชายอย่างกูไว้นะซันที่ช่วยเร่งให้มึงเลือกได้เร็วขึ้น ฮะๆ” ไอ้เจหัวเราะพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะเดินมาตบไหล่ผมแล้วเดินเลยไป


ผมหันไปมองไอ้เจจนสุดสายตาก่อนจะส่ายหัวไล่ความคิดออกไป เพราะตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ ผมไม่อยากพลาด เพราะอย่างน้อยถ้าผมทำได้ดีในงานแรก แม่ผมอาจจะมองผมต่างออกไปก็ได้


“ผมขอเปิดประชุมเลยนะครับถึงแม้ว่าครั้งนี้ผมจะเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ก็ตาม คุณวินิตไม่ต้องเกรงใจอะไรผมนะครับ ว่าไปตามเนื้องานได้เลยเพราะยังไงทั้งสองก็ถือเป็นลูกผมทั้งคู่” ผมนั่งนิ่งฟังผู้เป็นบิดากล่าวต้อนรับและเปิดบทสนทนา อย่างที่ทุกคนรู้งานนี้ไม่ใช่โปรเจ็คใหญ่ แต่ก็มีความสำคัญในเรื่องของอำนาจภายในของบริษัท


“ครับคุณศิระ หลังจากที่ทางเราได้ร่วมปรึกษาหารือกันมาแล้ว เรามีความสนใจในเนื้องานของคุณเจติวัฒน์ในเรื่องของโครงสร้างที่มีความก้าวล้ำทันสมัยและแปลกใหม่” น้องฟ้าหันมามองหน้าผมหลังจากฟังคำพูดของคุณวินิตที่มีความเอนเอียงไปทางอีกฝ่ายที่ไม่ใช่ผม ก่อนที่มือนุ่มจะยื่นมือจับมือผมที่วางอยู่บนหน้าตักพลางบีบเบาๆ ให้กำลังใจ ผมเลื่อนสายตาไปที่ไอ้เจที่เลิกคิ้วมองผมยิ้มๆ แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างมั่นใจ


ผมไม่เก็บมาใส่ใจ เหลือบมองหัวเรือใหญ่ของธีระกรุ๊ป ที่กำลังนั่งยิ้มฟังคุณวินิตพูดอย่างอารมณ์ดี หึ


“ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้คุณเจติวัฒน์ที่ออกแบบมาได้สวยงามมาก คุณสอนลูกมาได้ดีจริงๆ” คุณวินิตพูดต่อยิ้มๆ ไอ้เจยกมือไหว้ขอบคุณคำชม คุณลุงที่นั่งข้างๆ ลูกชายตัวเองยกมือขึ้นมาตบบ่ามันอย่างชื่นชมในผลงานของลูกชายตัวเอง


“แต่เพราะงานชิ้นนี้คอนเซ็ปต์ของเราต้องการงานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ประยุกต์เข้ากับความโมเดิร์นแบบสมัยเก่าที่เน้นไปที่ความเรียบง่าย หรูหรา” คุณวินิตส่งยิ้มให้ทุกคน “ผมและทีมงานจึงขอเลือกงานของคุณศิวานนท์ที่สามารถผสมผสานทั้งสองอย่างให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนตรงกับคอนเซ็ปต์ ที่สำคัญลูกค้าของเราชอบมาก ทางเราเลยต้องการเซ็นสัญญาเลยภายในวันนี้ ยินดีด้วยนะคุณศิระลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ” คุณวินิตเอ่ยชมพ่อ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปรบมือดังลั่น ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งตัวให้กับทุกคนเล็กน้อยแล้วนั่งลงตามเดิม คุณอาทวียิ้มให้ผมอย่างภูมิใจ


“ยินดีด้วยนะคะพี่ซัน เล่นเอาตกใจหมดเลย” น้องฟ้าขยับมากระซิบด้วยความตื่นเต้น ผมยิ้มรับคำยินดี ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้ไอ้เจที่มองมาอย่างหัวเสีย เพราะมันเองก็หวังกับงานนี้ไว้สูงเหมือนกัน


“ต้องขอบคุณคุณวินิตครับที่เอ็นดูลูกชายผม” พ่อหันไปรับคำชม ก่อนจะตอบกลับอย่างถ่อมตัวตามมารยาท


“ไม่ได้ๆ ความสามารถของเขาทั้งนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเลย” คุณวินิตตอบ


“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้ฝ่ายกฏหมายจัดการเรื่องสัญญาต่อเลย หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะคุณวินิต” พ่อพูดต่อก่อนหัวเรือใหญ่ทั้งสองจะยกไวน์ขึ้นมาชนกัน ตามด้วยทุกคนในห้องที่ปรบมือเสียงดังก้องไปทั่วห้อง


ผมลุกขึ้นเมื่อทุกคนเริ่มทยอยออกจากห้องประชุมก่อนจะเซน้อยๆ น้องฟ้าเข้ามาช่วยประคอง


“ฟ้าก็ว่าแล้วทำไมหน้าซีดๆ ไม่สบายทำไมไม่บอกคะ” น้องฟ้าเอ็ดเบาๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบเล็กมาถือ ผมนวดขมับเพราะรู้สึกปวดจี๊ดมาตั้งแต่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้แล้ว


“พี่ไม่เป็นไร”


หมดเวลาสนุกของมึงแล้วบีทส์


[มีต่อหน้า 7]

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 02-10-2018 18:21:50
[ต่อ]


[พิงค์]
   

“จะนั่งมองอีกนานมั้ย ไม่รับให้มันจบๆ ไปวะ” เสียงห้าวๆ เอ่ยถามพลางยื่นเท้ามาเขี่ยขาพิงค์อย่างหยาบคาย หันไปมองหน้ามันค้อนๆ แล้วสะบัดหน้าใส่มันหนึ่งที
   

“กูเครียดอยู่นะโว้ย ประสาทกูจะแดกแล้วเนี่ย” นั่งมองจอโทรศัพท์ที่ดับไปอีกครั้ง ก่อนจะสั่นอีกครั้งด้วยเบอร์เดิมๆ ที่โทรเข้ามา อ๊าย ช่วงนี้ชีวิตพิงค์มันอยู่ในเกณฑ์ดวงตกรึยังไง!
   

“เงียบๆ ดิจะอ่านการ์ตูน” กรี๊ด พิงค์อยากจะกรี๊ด อิคนใจดำ!!
   

“มึงไม่คิดจะช่วยกูเลยนะนัท ไม่ช่วยแล้วยังจะซ้ำเติม” ค่ะ ได้ยินไม่ผิดหรอก ตอนนี้พิงค์นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงไอ้นัท ถ้าถามว่าคืนดีกันได้ยังไงต้องยกความดีความชอบให้กับมีน สาวสวยสุดที่รักของไอ้นัทที่เป็นคนเข้ามาประสานรอยร้าวระหว่างเรา เอ้ย ระหว่างพวกเราสามคนให้
   

แต่ไอ้นัทก็ยังเป็นไอ้นัท มันไม่หือไม่อือกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่ซันกับอิบีทส์ แต่จะเลิกโกรธเกลียดในสิ่งที่อิบีทส์ทำ หลังจากที่มันยอมรับฟัง ย้ำ!! ยอมรับฟังความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากพี่ซัน
   

“มึงคิดว่ามันจะเลิกแน่เหรอ” ไอ้นัทเปิดปากถาม คนสวยได้แต่ส่ายหัวส่งไปให้ กูไม่รู้โว้ย ถ้ารู้กูจะกลุ้มแบบนี้มั้ย ตอบ!!
   

“มันตั้งใจว่าจะเลิก”
   

“แล้วอีกฝ่ายเขายอมเหรอ” ไอ้นัทถามต่อพลางลดหนังสือการ์ตูนลงแล้วมองพิงค์ลอดแว่น โอ๊ย ถ้ายอมเลิกดีๆ จะโทรจิกกูทุกวันแบบนี้มั้ยคะเพื่อน!!
   

“กูไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน นั่นก็เพื่อน นี่ก็สุดที่รักกู” พิงค์ตอบเสียงเครียด เรื่องที่เพื่อนตัวเองเจอมาเกี่ยวกับพี่รหัสมันกับคุณนายแม่ผัว พิงค์ก็ไม่กล้าเล่าให้พี่ซันฟังเพราะอิเพื่อนรักมันสั่งนักสั่งหนาว่าห้ามบอกเด็ดขาด แล้วแบบนี้กูควรทำยังไง หนีไปอีกคนซะเลยดีไหม
   

“ฮะๆ พี่มันกัดไม่ปล่อยเลยว่ะ” ไอ้นัทพูดขำๆ
   

“เออ กูก็ไม่คิดว่าพี่ซันจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่พี่มันจะไปหาคนดีๆ กว่าอิบีทส์ก็ได้ ทั้งคนใกล้ตัวและคนไกลตัวอื่นๆ อีกเยอะแยะ” ที่พูดไปนั้นไม่ได้เป็นการประชดประชันแต่อย่างใด แต่กลั่นออกมาจากใจล้วนๆ ค่ะ
   

“คนของเราก็คงสับสนน่าดู กว่าจะตัดสินใจทำแบบนี้ได้” ไอ้นัทออกความเห็นบ้าง พิงค์ยิ้มเมื่อเห็นแววตาหวั่นไหวจากมัน ก็เมื่อก่อนคนที่คอยปกป้องบีทส์มันก็ไอ้นัทนี่แหละโอ๋ยิ่งกว่าลูก
   

“เออเนี่ยมีแต่เรื่อง กูล่ะกลุ้มแทน” พิงค์บ่นหน้าเครียด
   

“มันอาจจะเป็นผลจากการกระทำของมันก็ได้ บีทส์มันแย่งของๆ คนอื่นมานะมึง อีกอย่างมันก็เข้าข่ายทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ถ้ามันจะโดนคืนบ้างก็คงต้องยอมรับตามนั้น แต่นี่ก็ยังถือว่าโชคดีที่คนของมันยังมั่นคงไม่ยอมปล่อยให้จบง่ายๆ” ไอ้นัทออกความเห็น พิงค์พยักหน้ารับเนือยๆ แม้จะนึกแย้งอยู่ในใจว่าเวรกรรมบ้าบออะไร เรื่องของความรักมันบังคับให้ใครรักใครไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจอคนที่ใช่กว่าแล้วเลิกรากันไปเพื่อมาคบอีกคนมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ
   

“ก็คงจะอย่างนั้น แต่กูก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้หรอกนะเว่ยเพื่อนทั้งคน”
   

“แล้วน้องมันว่าไงบ้าง” ไอ้นัทถามต่อพิงค์ถอนหายใจอีกครั้ง ไบร์ทจะว่าอะไรได้
   

“อีกไม่กี่วันบีทส์มันก็ต้องกลับมาเผชิญความจริงอยู่ดี” ไอ้นัทว่าเสียงเรียบ พลางหยิบคุกกี้ใส่ปากชิวๆ แล้วใช้หลังมือดันแว่น
   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
   

“ไปเปิดดิ” ไอ้นัทเอาขาเขี่ยตัวพิงค์อีกที โอ๊ยอินี่กูเพื่อนมึงนะ!
   

“นัทมีรุ่นพี่มาหา” หลังจากเดินไปเปิดประตู แม่ไอ้นัทก็ยื่นหน้ามาบอก พิงค์กับไอ้นัทหันมามองหน้ากันงงๆ รุ่นพี่ที่ไหนวะ รู้จักบ้านไอนัทด้วย
   

“ซวยแล้วมึง” หลังจากก้าวขาเดินนำไอ้นัทลงบันไดไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นก็ต้องรีบถดขากลับ หลังจากเห็นบุคคลที่เป็นรุ่นพี่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกอยู่สองคน เก่งจังเลยตามหากูเจอด้วย ไม่ๆๆ ไม่ใช่เวลามาชื่นชม กรี๊ด!!
   

“พิงค์” ฮือ อย่าเรียกพิงค์...พิงค์ไม่รู้ พิงค์ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อุตส่าห์หนีมาอยู่บ้านไอ้นัทแล้วยังตามเจออีก โอ๊ย คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย
   

“มีอะไรวะ” ไอ้นัทเลิกคิ้วถาม
   

“นัทถ้ากูโดนบีบจนตาย มึงอย่าลืมเผารูปผู้ชายส่งไปให้กูด้วยนะ” พิงค์บอกมันเสียงสั่นๆ ไอ้นัทส่ายหัวหน่ายไม่สนใจ
   

“อ้าวพี่ซันมาได้ยังไงพี่” ไอ้นัทชะเง้อมองไปทางด้านหลังของพิงค์แล้วร้องทัก ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังพิงค์ หนีไม่ทันแล้ว ฮือ ตายแน่กู
   

“เอาล่ะ...มานั่งคุยกันดีๆ นะ” พี่ซันเกริ่นเสียงเข้ม หลังจากที่พิงค์ทำท่าจะนั่ง โอ๊ย ตูดยังไม่ถึงพื้นเก้าอี้เลยค่ะ จะทำเสียงโหดไปไหนพ่อสุดหล่อ!
   

“เอ่อ...พี่ซัน สวัสดีค่ะ พี่หมอสวัสดีค่ะ แหม...ยกกันมาถึงบ้านไอ้นัทขนาดนี้แสดงว่ามีธุระสำคัญกับไอ้นัทใช่มั้ยคะ เชิญเลยค่ะเชิญคุยกันตามสบายพิงค์จะไม่อยู่กวนให้รกหูรกตาเลยแม้แต่นิด” พิงค์ส่งยิ้มเกรงอกเกรงใจเตรียมถอนทัพ
   

“สามอาทิตย์มาแล้วนะ”
   

พิงค์ชะงักขา เหลือบมองพี่ซันแล้วก็ต้องหดหัว  สายตาพี่ซันบ่งบอกว่าความอดทนของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว ถ้ายังเล่นตัว อาจจะไม่ได้ตายดี หนาวสันหลังเลยค่ะแม่ขา ฮือ อ ยอมแล้วค่ะพิงค์ยอมนั่งแล้ว
   

“กว่าสามอาทิตย์ที่พี่ยอมอดทนรอเฉยๆ มันหมดเวลาแล้วพิงค์” พี่ซันขยายความ พี่หมอที่มาด้วยกันตบไหล่พี่ซันก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้นัทเลยทำท่าจะลุกตาม
   

หมับ!
   

“ปล่อยกู” ไอ้นัทกระซิบรอดไรฟัน เชี่ย อย่าทิ้งกูสิ กูเพื่อนมึงนะเว้ย ไอ้นัทพูดพลางแกะมือพิงค์ออกจากเสื้อมัน
   

“เอ่อ...แฮ่ๆ” ได้แต่หันมามองพี่ซันด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยน ไม่ตลกเลยเหรอ โอ๊ย กูไม่เอาแล้วนะอิบีทส์โหมดนี้ของพี่ซันมึงมาเจอเอง กูไม่เอาแล้ว
   

“พี่ไม่ได้มาคาดคั้นอะไรแค่ตอบคำถามของพี่ตรงๆ ก็พอ”


++++++++++++++++++++++++


[ซัน]
   

“มึงจะไปคืนนี้เลยเหรอ” เสียงไอ้อาร์ตถาม ผมพยักหน้ารับขณะกำลังจัดของใส่กระเป๋าลวกๆ ไม่ได้คิดจะเอาไปเยอะ กะว่าถ้าเจอตัวก็จะลากกลับมาเคลียร์กันที่กรุงเทพทีเดียวเลย
   

“ถ้าน้องมันเซย์โนขึ้นมาอีกล่ะ” ไอ้อาร์ตตั้งคำถาม มือที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ชะงักพร้อมกับใจที่หล่นฮวบไปอยู่ปลายตีน
   

“ถ้ามันมีเหตุผลมากพอกว่าที่มันเขียนลงในกระดาษหยาบๆ ใบนั้น กูอาจจะยอมฟังก็ได้” ผมหันไปตอบ
   

“หึ ไอ้คนดี ปากพูดดี แต่ตามึงไม่ได้บอกกูแบบนั้นเลย มึงพร้อมจะฟัดน้องมันทันทีที่เจอตัวด้วยซ้ำ” ไอ้อาร์ตดักทาง ผมแสยะยิ้มแล้วยักไหล่
   

“มึงจะขับรถไหวเหรอวะอดหลับอดนอนมาหลายวัน กูว่ามึงพักสักวันแล้วค่อยไปมั้ย กูไปด้วยไม่ได้เพราะมีเข้าเวร ไอ้สองก็ไปเฝ้าไอ้น๊อตมันเป็นไข้เลือดออก” ไอ้อาร์ตท้วง ผมส่ายหัวเพราะรู้ว่าตัวเองยังไหว อีกอย่างระยะทางจากกรุงเทพไปราชบุรีไม่ได้ไกลมากขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง
   

“ไม่เป็นไร กูขับไหว”
   

“งั้นถึงแล้วโทรบอกกูด้วยแล้วกัน ไบร์ทฝากบอกว่าถ้าเจอพี่เขาอย่าทำอะไรรุนแรง” ไอ้อาร์ตพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเอ่ยบอกถึงคำฝากฝังของแฟนมัน


“ทำไมทุกคนถึงพูดเหมือนกันขนาดนี้” ผมพูดขำๆ พลางนึกไปถึงคนที่ผมพึ่งไปคาดคั้นเอาคำตอบมา ก็พูดแบบนี้ก่อนที่ผมจะออกมา พิงค์ไม่ได้บอกอะไรมาก เจ้าตัวเพียงแค่ให้ที่อยู่ผมมาแล้วบอกว่าอยากรู้อะไรให้ไปถามกับบีทส์เอง


ผมได้แต่พยักหน้ารับส่งๆ โดยไม่รับปากหรือตอบรับคำขอ


“มึงรู้ตัวมั้ยว่ามึงหน้าโหดแค่ไหนตอนนี้” ไอ้อาร์ตชี้หน้าผม


“หึ…”


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน 02/10/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-10-2018 18:41:00
หึงโหดนะอีพี่   :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน 02/10/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 02-10-2018 19:11:15
หึอาราย พี่ซัน ใจเย็นๆน้า
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน 02/10/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 04-10-2018 00:59:59
รู้สึกอ่านตอนนี้แล้วกลัวคนพี่จังเลย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 35 : คนหายอยากได้คืน 02/10/61 [P6]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 06-10-2018 12:41:43
แล้วไง ถ้าพี่ซันไปเจอบีสท์แล้วจะทำไง ถ้ารู้ว่านังฟ้างูพิษทำยังไงกับบรสท์แล้วจะจัดการได้ป่ะ ไปจัดการให้ได้ก่อนเหอะ :hao3:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 09-10-2018 11:38:06
ตอนที่ 36 หนีแค่ไหนก็ไม่พ้นใจตัวเอง


[บีทส์]

   

ครืด...ครืด…


ผมมองสายเรียกเข้าที่ดังต่อเนื่องกันจนดับไปแล้วสองรอบ ก่อนจะดังขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สาม มีอยู่ไม่กี่คนหรอกครับที่รู้เบอร์ใหม่ของผม


เอาไว้ค่อยโทร.กลับก็แล้วกัน...


ตอนนี้ผมอยู่ที่รีสอร์ทแถวๆ จังหวัดราชบุรี เป็นกิจการส่วนตัวของ ‘เด็ก’ อิพิงค์ แน่นอนครับว่าการหายตัวไปของผมมีอิพิงค์เป็นผู้ร่วมขบวนการ! ที่จริงมันก็ไม่เห็นด้วย แต่เพราะเห็นว่าผมไม่มีที่ไป มันถึงแนะนำสถานที่แห่งนี้มา


ส่วนคนที่มาส่งผมน่ะเหรอครับ ก็...พ่อเทพบุตรสุดเวหาของผมไง ‘พี่ไม้’


ถึงจะเป็นคนรู้จักแนะนำมา แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ฟรีนะครับ ผมช่วยทำงานให้โดยไม่คิดค่าแรง ขอแค่ที่ซุกหัวนอนกับข้าวสามมื้อตอบแทนเท่านั้น


“เฮ้ย!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนจี้เอวจากทางด้านหลัง ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่ประทุษร้ายตัวเองอย่างเอาเรื่อง
พอเห็นหน้าคนทำก็รีบวางไม้ที่อยู่ในมือลงอย่างไว


เกือบซวยล่ะ!


“โอ้โห…นี่กะจะฟาดให้ล้มตั้งแต่ครั้งแรกเลยใช่มั้ย” บุคคลที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพูดแซ็วขำๆ ผมยู่ปาก ก็กะจะฟาดอยู่เหมือนกันกวนตีนดีนัก


“มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง


“อยู่ที่นี่มาสามอาทิตย์แล้วนะ ยังไม่ชินอีกเหรอเรา” เขาทำสายตาวิบวับ “เมื่อไหร่จะแทนตัวเองด้วยชื่อสักทีล่ะ พี่บอกว่าให้แทนตัวเองว่ายังไง”


เมื่อเห็นผมเงียบไม่ตอบ ก็เอานิ้วมาสะกิดไหล่ผม “แน่ะ...พูดด้วยแล้วยังจะมาทำหูลู่หางตกใส่อีก” โว๊ะ กูไปทำหน้าแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่โว้ย!


พี่เอก เป็นพี่ชายของพี่พีแฟนอิพิงค์ พี่แกอายุสามสิบแต่หน้ายังเด็กอยู่เลย พี่เอกเป็นผู้จัดการรีสอร์ท ความจริงก็เป็นเจ้าของน่ะแหละ ได้ยินจากพี่พีว่าพี่เอกจบเอ็มบีเอ ก็กลับมาดูแลธุรกิจครอบครัว ซึ่งก็คือรีสอร์ทที่นี่ต่อจากรุ่นพ่อแม่


หลังจากที่ผมคิดดีแล้วว่าจะถอยห่างออกมาจากพี่ซันแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมก็ตัดขาดจากทุกโซเชี่ยล มีส่งข้อความไปหาไบร์ทบ้างบางครั้งเพราะไม่อยากให้น้องเป็นห่วง


ครั้งแรกที่ผมติดต่อไป น้องดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ


...ไบร์ทจึงเป็นอีกคนนอกจากอิพิงค์ที่ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง


พอไม่ได้เจอ ไม่ได้อยู่ใกล้ ปิดการติดต่อทุกช่องทางกับพี่ซัน บอกตามตรงมันก็พอจะช่วยให้ผมเข้มแข็งขึ้น มือที่เคยชินกับการนอนกอดใครสักคนก็หันไปกอดหมอนข้างแทน ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่นะ (แม้จะไม่อุ่นเท่ากอดคนก็ตาม)


“ลองแทนตัวเองว่าบีทส์สิ”


ผมเงยหน้ามองเจ้านายตัวเอง แสร้งฉีกยิ้มกว้างๆ ให้


“ถ้าไม่มีอะไร ผมไปช่วยพี่ๆ เขายกกระเป๋าก่อนนะครับ ได้ยินว่ามีกรุ๊ปทัวร์มาลงนี่” ผมรีบชิ่ง อยู่กับพี่แกประสาทจะแดกครับพูดเก่งเกิ๊น ถามอยู่นั่นแหละขนาดคนพูดมากอย่างผมยังดูพูดน้อยไปเลยเมื่ออยู่กับพี่แก


ด่านะครับ ไม่ได้ชม


พี่เอกรั้งแขนผมไว้ “เดี๋ยวๆ มีสิ พี่ว่าจะให้ไปช่วยเลือกต้นไม้มาปลูกที่สวน ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย”


ผมรีบออกตัว “แต่ผมเลือกไม่เป็นนะพี่” คือมันไม่ถนัด ไม่ใช่ทางของผมเลย ถ้าให้ใช้แรงงานอะไรแบบนี้พอได้


“เออน่า เดี๋ยวพี่สอน”


พี่เอกรั้งแขนผมให้เดินตามไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้ารีสอร์ท


พอขึ้นรถได้ผมก็ได้แต่มองออกไปทางนอกหน้าต่าง การมองวิวข้างทางแล้วนั่งเงียบๆ มันก็ผ่อนคลายดีเหมือนกันนะครับ ถ้าไม่มี…


“เออบีทส์ พี่ถามเราหลายครั้งแล้วว่าเรียนที่กรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้างที่คณะมีคนมาจีบเราบ้างมั้ยไหนๆ ก็จะอยู่อีกแค่ไม่กี่วันตอบพี่หน่อยเถอะ”


นั่นแหละครับ เสียงพี่เอกที่คอยถามนู่นนี่ การเจอพี่แกทำให้ผมกลับมามองตัวเองเลยว่าเคยทำให้ใครรำคาญเหมือนพี่แกบ้างไหม


“ไม่หรอกครับ” ผมตอบแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ รอบแล้วจริงๆ นะ


“ทำไมคนน่ารักถึงชอบใจร้ายกันนักน๊า” พี่เอกทำเสียงเสียอกเสียดาย จนน่าหมั่นไส้ก่อนจะหัวเราะชอบใจเมื่อผมทำหน้าปะหลับปะเหลือกใส่ ผมถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะปลดที่คาดเข็มขัดเมื่อถึงร้านขายต้นไม้ร้านใหญ่ พี่เอกก็ตบไฟเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้าน


“วันนี้อยากได้ต้นอะไรครับ” พี่คนขายรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นผมกับพี่เอกเดินไปด้อมๆ มองๆ ตรงสวนดอกไม้ที่มีอยู่หลากหลายพันธุ์


“ขอเดินดูก่อนแล้วกันครับ” พี่เอกตอบยิ้มๆ แล้วเดินดูอย่างที่ว่า ผมเลยหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปดอกไม้ที่ตัวเองไม่เคยเห็น


“บีทส์...ดอกนี้สวยมั้ย” พี่เอกเรียกผม พลางยกต้นดอกไม้ขึ้นมาชู ผมเลยเดินเข้าไปหาพี่เอกเพื่อดูใกล้ๆ


“สวยดีครับ ถ้าปลูกเยอะๆ คงจะสวย” ผมออกความเห็น


“รู้มั้ยว่าดอกไม้ชนิดนี้มันหมายถึงอะไร” พี่เอกถาม จะวัดความรู้ผมเหรอครับพี่ บอกเลยนะว่าไม่มี


“ใครจะไปรู้ล่ะ พี่รู้เหรอ” ผมถาม พี่เอกพยักหน้ารับอวดๆ


“ดอกลาเวนเดอร์หมายถึงการรอคอยอย่างมีความหวัง” พี่เอกตอบ ผมชะงักแล้วเม้มปากเมื่อฟังความหมายของดอกไม้ชนิดนี้จบ
‘พี่ซันออกตามหามึงทุกที่ ที่คิดว่ามึงจะไป’


‘...ถามทุกคนที่รู้จักมึง...’


มันทำให้ผมคิดถึงใครบางคนที่ผมหนีเขามา


“บีทส์...บีทส์” พี่เอกเรียกผมแล้วยื่นมือมาแตะที่ไหล่


“เอ่อ...ครับ”


“เหม่ออีกแล้ว” พี่เอกแซ็วยิ้มๆ แล้วยื่นมือมายีหัวผม จนผมต้องเอียงคอหนี


ไม่ใช่เด็กนะเว้ย!


“พี่คิดว่าความรักมันมีอยู่จริงมั้ย” ผมถามคนข้างๆ ที่กำลังเลือกพันธุ์ดอกไม้อยู่ พี่เอกหันมาเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าคิด


“ถ้าถามพี่…พี่ว่ามันมีอยู่จริงนะ แต่จะเจอเมื่อไหร่คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วเราล่ะที่หนีมาแบบนี้หวังให้ใครสักคนตามหาอยู่รึเปล่า”


“...”


ผมเงียบ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะใช่ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้หนีเพื่อให้พี่มันตามหา แต่ผมไม่อยากเป็นตัวปัญหาของพี่ซัน ทั้งเรื่องงานเรื่องครอบครัวของพี่ซัน ถ้าไม่มีผมสักคน พี่ซันจะก้าวหน้าได้มากกว่านี้


ความรักที่ไร้สาระกับผมมันคงไม่จำเป็น ถ้ามีผมคนเดียวที่เจ็บ แล้วทำให้ปัญหาของพี่ซันหมดไปผมก็จะยอมแลกมัน


“พี่ครับเอาลาเวนเดอร์ห้าร้อยต้น” เมื่อเห็นผมเงียบ พี่เอกเลยหันไปสั่งต้นไม้แทน ก่อนที่พี่มันจะยอมเงียบไม่ถามอะไรอีก


“กินมั้ย” พี่เอกถามพลางยื่นไอติมโคนมาให้ผม หลังจากเดินไปจ่ายค่าต้นไม้ที่พี่มันสั่งแล้วเดินกลับมาพร้อมไอติมโคนสองมือ ผมยกมือไหว้ก่อนจะลงมือจัดการเขมือบลงท้องเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวซะเหลือเกินชักไม่แน่ใจว่านี่ประเทศไทยหรือกระทะทองแดง


“นี่จะไม่บอกพี่จริงๆ เหรอว่าหนีอะไรที่กรุงเทพฯ มา” พี่เอกหันมาถามระหว่างรอให้ร้านขนต้นไม้ขึ้นท้ายรถ ผมใช้หมวกใบใหญ่พัดไปมาเพื่อไล่ความร้อน


“พี่เอกเคยรักใครสักคนมั้ย...ความรักจริงๆ มันเป็นยังไงเหรอ”


+++++++++++++++++++


“อ้าวพี่...มีแขกเข้ามาพักด่วนเหรอ” ผมเอ่ยปากถามพี่พนักงานที่กำลังจะเดินสวนทางกับผมก่อนจะชะเง้อมองไปยังเค้าเตอร์ ที่มีพี่เอกประจำการอยู่


วันนี้ผมช่วยพี่เอกลงแปลงดอกไม้ทั้งวันก่อนจะแยกไปอาบน้ำ แอบงีบได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ตื่น เพราะใกล้ได้เวลาอาหารเย็น


รีสอร์ทของพี่เอกไม่ใหญ่มากครับ มีบ้านแยกเป็นสัดส่วนประมาณสิบหลังได้แบ่งตามราคา อยู่ส่วนตัวหน่อยก็แพงกว่าหลังที่อยู่ด้านหน้า ส่วนผมพักที่ห้องคนงานครับอยู่ลึกเข้าไปอีกนู่นแน่ะ


ห้องครัวของรีสอร์ทจะอยู่ถัดจากเรือนรับรองไป สะดวกต่อการทำอาหารให้ลูกค้าที่มาเข้าพัก


“ใช่จ้ะ มาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้จองไว้ ดีนะที่ยังมีห้องว่าง กำลังจะไปทานข้าวเหรอบีทส์” พี่สาตอบผมยิ้มๆ หัวใจผมกระตุกวูบเมื่อได้ยินคำว่ากรุงเทพ


แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจผมสั่นไหวขนาดนี้ แล้วถ้าอีกไม่กี่วันต้องกลับไปเผชิญหน้ากันจะไหวเหรอวะไอ้บีทส์เอ้ย


“ครับพี่สา งั้นผมไปนะ”


ผมเดินเลี่ยงไปยังห้องครัว ซึ่งเป็นที่สิงสถิตย์ของเหล่าคนงาน ทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อกินข้าวพร้อมกันตามเวลา พวกพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ ที่เป็นคนงานต่างก็เป็นคนในละแวกนี้ทั้งนั้นครับ เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครนอนค้างที่รีสอร์ท บ้านพักคนงานเลยค่อนข้างเงียบเหงา แต่ปลอดภัยนะ ฮ่าๆ


“โห...วันนี้มีแกงสายบัวด้วยเหรอครับเนี่ย น่ากินมาก” ผมทำตาโตหลังจากที่ไปช่วยป้าๆ เขายกกับข้าวออกมาตักวางเรียงกันไว้ที่โต๊ะกินข้าวขนาดสำหรับสิบคน พี่สาที่เดินตามมาสมทบหัวเราะกับความโอเวอร์แอคติ้งของผม


“ชอบก็ทานเยอะๆ นะพ่อหนุ่ม ตัวเล็กเหลือเกิน ป้าล่ะหวั่นใจกลัวจะปลิวไปกับลม” ป้าแม่ครัวแซ็ว ทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะเฮฮา เห็นด้วยกับสิ่งที่ป้าบอก


ผมยู่ปาก


 “ผมทานเยอะนะครับป้าแต่ไม่อ้วน ไม่รู้ทไมเหมือนกัน” ผมแก้คำ ก่อนจะนั่งหัวเราะไปกับมุกตลกๆ ของพี่ๆ ที่คุยกันไปกินข้าวกันไป บางคนก็หยิบเอาเรื่องของเจ้านายอย่างพี่เอกมาเล่ากันขำๆ ในวงข้าว


“ขอบคุณนะครับป้า” ผมบอกหลังจากกินข้าวอิ่ม แรกๆ ที่ผมมาอยู่ที่นี่ผมอาสาที่จะล้างจานให้ทุกคน แต่พอล้างทีไรก็ทำให้ทรัพยากรจานชามร่อยหรอเพราะใจลอยทำจานชามหลุดมือ พี่สาถึงกับออกปากว่าขอให้กินเสร็จแล้วผมเดินกลับห้องไปซะจะเป็นบุญคุณมาก ผมเลยจำใจต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับจานชามที่เสียไปผมก็ทำงานชดใช้ให้นะครับเพราะพี่เอกแกตามมาบ่นทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน จู้จี้สุดๆ เลย


ผมมองบ้านพักหลังวีไอพีที่เปิดไฟสว่างจ้า เป็นบ้านที่อยู่ห่างออกมาจากทุกหลัง แถมยังหลังใหญ่กว่าเพื่อนมีสระว่ายน้ำขนาดเล็กด้วย ผมเคยถามพี่เอกเขาบอกว่าคืนล่ะเป็นหมื่นแน่ะ ‘แขกใหม่น่าจะกระเป๋าหนักอยู่’


“ทานข้าวแล้วเหรอ” เสียงคุ้นหูทัก ผมหันไปยิ้มก่อนจะลูบท้องโชว์พี่เอกที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงสามส่วน เดินมาจากเรือนรับรอง


“ครับ…อยู่ที่นี่นานๆ ผมคงอ้วนเข้าสักวัน” ผมตอบยิ้มๆ


“รู้มั้ยว่าเราทำให้พี่นึกถึงใครบางคน” พี่เอกถาม ก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ผมหันไปเลิกคิ้ว คงกำลังนึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่ล่ะสิ นี่แหละน๊า…อารมณ์เปลี่ยวของผู้ใหญ่วัยสามสิบ ฮ่าๆ


“เขาเป็นคนยังไงเหรอครับ”


“เหมือนเราเลย” เขาหันมายิ้ม “ชอบวิ่งหนีปัญหาแล้วก็ชอบตัดสินใจเอง คิดเองเออเองอยู่คนเดียว แต่ก็เป็นคนที่สดใส ใครเจอก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ”


“ไปฟังเรื่องผมมาจากอิพิงค์ล่ะสิ” ผมแกล้งย่นจมูก พี่เอกหลุดขำ แสดงว่าจริง


อิพิงค์เพื่อนรักเผากูให้คนอื่นฟังเหรอ!


ผมได้แต่แอบก่นด่าเพื่อนในใจ เอาไว้กลับไปเจอตัวเป็นๆ ค่อยจัดการ ผมยืนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศกับพี่เอกสักพัก ก่อนจะขอตัวแยกออกมาเพราะอากาศเริ่มเย็น


ผมเดินทอดน่องกลับห้องพักไปเฉี่อยๆ อยู่ที่นี่ทำให้ผมมองเห็นดาวกับพระจันทร์ชัดมาก อากาศก็บริสุทธิ์ คนก็ใจดี ชักไม่อยากกลับแล้วสิ


“อ๊ะ!”


ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเมื่ออยู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้ สอดตัวเข้ามาทางด้านหลังเพื่อประชิดตัวผมแล้วใช้มือปิดปากผมไว้แน่น มืออีกข้างรวบเอวผมไว้ไม่ให้วิ่งหนี


“อื้อ!! อ่อยอ๊ะ!!!!” ผมร้องสุดเสียงแล้วดิ้นสุดแรงหวังให้หลุด ใครมันเล่นบ้าอะไรวะ กลัวนะเว้ย!!


“คิดว่าจะหนีกูพ้นรึไง”


กึก…


น้ำเสียงเหยียบเย็นที่ข้างหูทำให้อาการดิ้นของผมหยุดชะงัก ก่อนจะรีบหันขวับไปมองด้านหลัง ไฟทางเดินที่เปิดไว้เพื่อนำทางทำให้ผมเห็นใบหน้าบุคคลที่ถือวิสาสะกอดผมอยู่ชัดเจน


ใบหน้าผมห่างกับเขาไม่ถึงคืบ


“...”


“เห็นหน้ากูถึงกับช็อคพูดไม่ออกเลยเหรอหื้ม...ไอ้น้องบีทส์” พี่ซันยิ้มเยาะ


“กล้ามากนะที่หนีกูมาแบบนี้”


“อื้อ!!” ผมร้องประท้วงในลำคอให้อีกคนปล่อยทั้งที่หัวใจแทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่ผมกำลังตกใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอพี่มันที่นี่


“ถ้ามึงแหกปาก กูจะปล้ำมึงตรงนี้ให้คนอื่นเขาเห็นกันไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน ไม่ว่าใครหน้าไหน...จะเป็นชู้หรือกิ๊กของมึง กูก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!” พี่ซันกระซิบชิดใบหูผมเสียงเหี้ยม ก่อนจะลากให้ผมขยับตามไปทางบ้านที่เขาเปิดเข้าพัก


เมื่อถึงบ้านพักก็เปิดประตูในเสี้ยววินาที ก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปในตัวบ้านที่ผมเพิ่งจะชมไปหยกๆ ว่าแม่งสวยมากและเป็นส่วนตัวโคตรๆ


“มีอะไรจะพูดมั้ย?” พี่ซันถามเสียงเข้ม มุมปากอมยิ้มจนคล้ายแสยะยิ้ม ตาเข้มที่ปกติก็ดุอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งฉายชัดถึงความไม่พอใจ อาการหายใจแรงๆ ชี้ชัดว่าพี่มันกำลังโกรธมากแค่ไหนกับการกระทำของผม


“ม ไม่มีครับ ผมพูดไปหมดแล้ว” ผมกัดฟันตอบ ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างขึ้นมาพังหมดแล้วอย่างไม่มีชิ้นดีตั้งแต่เจอหน้าพี่ซัน


ผมตอกย้ำตัวเองในใจว่าห้ามอ่อนแอ ถ้าเลือกที่จะเดินออกมาแล้วก็ต้องไปให้สุดทาง อย่าลังเลให้ใครต้องเสียใจมากไปกว่านี้
พี่ซันต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่


“อยากจะเลิกกับกูอย่างงั้นเหรอ” พี่ซันเลิกคิ้วถาม


“...”
   

“มีคนใหม่แล้วอย่างงั้นเหรอ?” เขากดเสียงต่ำข่มขู่ “เงียบทำไม ตอบกูมาสิวะ!”
   

“พี่ก็เห็นแล้วนี่!!” ผมตอบกลับเสียงดังจนแสบคอ
   

“สะใจมั้ย”
   

ผมชะงัก ไม่เข้าใจคำถาม
   

“กูถามว่าสะใจมั้ย! ที่ทำให้กูรักแล้วมาปั่นหัวกูเล่นแบบนี้!!”
   

“ผม...” ผมอึกอัก ความเสียใจเต็มตื้นอยู่ในอก
   

พี่ซันเดินไล่ต้อนผมจนตอนนี้ยืนชิดกับผนังบ้าน ก่อนที่เขาจะถอดเข็มขัดหนังของตัวเองออก ตาจ้องผมเขม็ง
   

“พี่จะทำอะไร อย่าทำอะไรผมเลยนะ” ผมพูดขอร้องพี่ซันเลิ่กลั่กด้วยความกลัว พลางยกมือขึ้นมาไหว้คนตรงหน้าหวังเพื่อให้พี่มันใจเย็นขึ้นบ้าง “ผมขอร้องล่ะ”
   

“ฮ่ะๆ กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัว!”
   

“อ๊ะ!!” ผมร้องด้วยความเจ็บเมื่อพี่ซันรวบมือผมไว้ทั้งสองข้างก่อนจะออกแรงลากผมเข้าไปในห้องนอน แล้วเหวี่ยงร่างผมลงไปนอนตัวงออยู่บนเตียงขาวขนาดใหญ่ที่กินบริเวณเกือบทั้งห้อง นัยน์ตาคมดุของพี่ซันไม่มีวี่แววล้อเล่นจนผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ พยายามคิดหาวิธีให้อีกคนใจเย็นลง
   

ทำยังไงดี!
   

“พะ...พี่จะทำอะไร” ผมถอยกรูดเมื่อพี่ซันค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วก้าวขึ้นเตียงมา “เราอย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลยนะครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้นเรามาคุยกันดีๆ ดีกว่านะครับ!” ผมขยับถอยหนีจนชิดหัวเตียง
   

“โอ๊ย...พี่ผมเจ็บ อึก...” ผมร้องเสียงหลงเมื่อพี่ซันคว้าข้อเท้าผมไว้ข้างหนึ่งแล้วลากเข้าหาตัวจนลำตัวผมครูดไปกับเตียง เขาอาศัยช่วงที่ผมกำลังตกใจก้าวมานั่งคร่อมตัวผมไว้ด้วยขาสองข้าง มือหนารวบมือผมสองข้างขึ้นไว้เหนือศีรษะด้วยมือเดียวแล้วใช้มืออีกข้างมือผมไว้ด้วยเข็มขัด
   

“พี่ซัน!!!”
   

คนโดนเรียกไม่สนใจ เขารวบมือผมไว้แล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ “พูดอีกทีสิ มึงจะเลิกกับกูจริงๆ งั้นเหรอ?!” พี่ซันถามเสียงเข้มใบหน้าหล่อก้มลงมาแทบชิดกับหน้าผม หางตาผมเปียกชื้น พี่มันทำให้ผมกลัว
   

“บอกกูอีกทีซิ ว่าทำไมถึงอยากเลิก! ถ้ามึงมีเหตุผลที่ดีกว่าการปล่อยให้กูกลับไปมีชีวิตเหมือนอย่างที่ผ่านมา กูอาจจะยอมฟังมึงก็ได้” พี่ซันจ้องตาผมแล้วเค้นเสียงพูด  มือที่รวบข้อมือผมอยู่กำแน่น
   

“อย่าทำแบบนี้เลยนะ ผมกลัวแล้ว” ผมพยายามเอ่ยขอร้อง
   

“หึ ที่ผ่านมากูคงใจดีกับมึงเกินไปจริงๆ” พี่ซันบีบหน้าผมแน่นแล้วก้มลงกระซิบรอดไรฟัน “ถามกูสิว่าความหวังดีโง่ๆ ของมึง กูต้องการรึเปล่า!!”   
   

“ฮึก...พี่ หยะ...อย่าทำนะ” ผมร้องบอกเสียงสั่นเมื่ออีกคนใช้มือปลดกางเกงผมแล้วรูดลงไปกองที่หัวเข่า
   

“ฮะๆ ไม่ต้องกลัว ห้องมันเก็บเสียงกูเช็คแล้ว”
   

ผมเม้มปาก ข่มความกลัว แล้วพยายามกลั้นน้ำตาไว้   
   

“กูเคยบอกแล้วใช่มั้ย ถ้าอยากให้กูใจดีด้วยมึงต้องทำตัวยังไง สุดท้ายมึงก็ชอบให้กูร้ายใส่อยู่ดี มันก็ช่วยไม่ได้!” พี่ซันตะคอกก่อนจะยื่นมือไปรั้งกระเป๋าเป้ของตัวเองที่วางอยู่หัวเตียงมาค้นหาสิ่งที่ต้องการ แล้วเขวี้ยงกระเป๋าทิ้งไปอีกทาง
   

ผมส่ายหน้า “ฮึก...ไม่เอานะ”
   

พี่ซันจับผมนอนคว่ำโดยไม่ฟังคำร้องขอจากผม เขารั้งเอวผมขึ้นด้วยสองมือก่อนจะแยกขาผมให้กางออก ส่วนตัวเขาคุกเข่าตัวอยู่ตรงกลาง หน้าขาพี่ซันสัมผัสกับขาอ่อนของผม ผมสะอึกสะอื้นนอนแนบหน้าไปกับหมอนด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย
   

อย่างแรก...ผมรับรู้แล้วว่าพี่ซันเสียใจมากแค่ไหน
   

อย่างที่สอง...สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ผม...ไม่ได้เต็มใจ
   

“พี่ซัน ขอร้อง...ผมไม่เอาแบบนี้ อึก...” ผมเอ่ยขอร้องเสียงสั่น ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นกายที่ปัดป่ายอยู่บริเวณสะโพก พี่ซันเลิกเสื้อผมขึ้น ต่อด้วยสัมผัสหยาบโลนที่ลูบไล้และไล่ขบไปตามแผ่นหลังผมอย่างจาบจ้วง
   

“โอ๊ย!” ผมร้องด้วยความเจ็บ เมื่ออีกคนกัดเข้าที่แผ่นหลังของผมจมเขี้ยว ก่อนผู้สร้างรอยแผลจะใช้ลิ้นเลียวนไปรอบๆ รอยกัดจนผมรู้สึกวูบวาบที่หน้าท้อง
   

พี่ซันหัวเราะในลำคอ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งฟาดไปที่สะโพกของผม แล้วค่อยๆ แยกช่องทางด้านหลังของผมด้วยสองมือ
   

“พี่ซันไม่เอานะ ปล่อย!!” ผมร้องเสียงหลง แล้วดิ้นเท่าที่แรงของผมจะเอื้อ แต่พี่ซันจับยึดเอวผมไว้แน่น แล้วกดขาผมไว้กับเตียง
   

“กูจะทำให้มึงรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของมึง! จำเอาไว้ว่ามีแค่กูเท่านั้นที่มีสิทธิ์ ส่วนคนอื่น...อย่าหวัง!!”
   

“เฮือก! อื้อ...ไม่เอา โอ๊ย!” ผมเจ็บจนเกร็งไปทั้งร่าง รู้สึกเจ็บเสียดไปทั่วแผ่นหลังเพราะพี่ซันไม่ได้เปิดทางให้เหมือนอย่างเคย
   

พี่ซันค่อยๆ กดแก่นกายของตัวเองเข้ามาลุกล้ำบริเวณด้านหลังของผมแล้วถอนออกก่อนจะกดตัวเข้ามาใหม่ แต่เพราะผมเกร็งจนตอดรัดพี่มันแน่นจึงไม่ได้ดั่งใจคนเฮงซวย
   

“อย่าเกร็ง!” พี่ซันขู่รอดไรฟัน ก่อนจะก้มลงใช้ลิ้นไล่เลียไปตามแผ่นหลังผม มือหนาขยับมากอบกุมแก่นกายของผมไว้แล้วลูบวนส่วนปลาย พร้อมกับค่อยๆ ออกแรงขยับมือชักเข้าออกให้ผม
   

แม้จะไม่ได้ต้องการให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายผมก็ส่งเสียงน่ารังเกียจออกไปอยู่ดี ร่างกายของผมไม่เคยปฏิเสธพี่ซัน
   

“อื้อ...”
   

เมื่อเห็นว่าผมผ่อนคลายมากขึ้น พี่ซันจึงกดตัวเข้ามาแบบทีเดียวมิดด้ามแล้วแช่ไว้ไม่ขยับ ผมกัดฟันพลางสะอื้นเพราะเจ็บ เจ็บเหมือนจะตาย โดยเฉพาะตรงก้อนเนื้อที่ยังเต้นอยู่
   

“ข้างในของมึงนี่มันฆ่ากูชัดๆ เลย” พี่ซันพูดเสียงพร่า ก่อนจะเริ่มขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ เขาไม่ลืมกระตุ้นด้วยการใช้นิ้วบีบขยี้หัวนมผม ส่วนมืออีกข้างก็กำลังชักแก่นกายของผมที่ขยายตัวไปตามแรงชักจูงของมือหนา
   

พี่ซันเร่งขยับเอวสอบแล้วโถมแรงใส่ผมถี่รัว “ซี้ด...” ผมพยายามกัดฟันกลั้นเสียงครางของตัวเองเท่าที่จะทำได้ ดูเหมือนพี่ซันจะรู้เมื่ออยู่ๆ อีกคนก็พลิกตัวผมให้นอนหงายก่อนจะจับขาผมพาดบ่าสองข้าง พร้อมจับแก่นกายมาจ่อบริเวณช่องทางด้านหลังแล้วแทงแก่นกายใหญ่เข้ามาแรงๆ จนตัวผมสะดุ้งโยน
   

“อื้อ...” ผมครางยาวเมื่อจุดที่โดนกระแทกใส่เมื่อกี้โดนจุดกระสันของผมเหมือนรู้ตำแหน่งดีอยู่แล้ว พี่ซันยิ้มกริ่มก่อนจะทาบทับตัวลงมาครอบครองริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วง เอวหนาขยับเข้าออกเป็นจังหวะถี่รัว มือสองข้างของผมจากที่เคยใช้ดันอกพี่ซันออกเริ่มขยับไปคล้องคออีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
   

ผมดิ้นประท้วงเมื่อพี่ซันจูบผมนานจนเริ่มขาดอากาศหายใจจากการที่อีกคนแกล้งดูดอากาศไปจากตัวผมด้วยการจูบครั้งละนานๆ เลยทำให้ผมต้องจูบอีกคนกลับเพื่อแย่งเอาอากาศเข้าปอด ลิ้นหนาของพี่ซันเกี่ยวพันลิ้นของผมแล้วดูดดุนกลับอย่างไม่ยอม
   

“อ่า...” ยิ่งเสียวมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตอดรัดความอุ่นร้อนของอีกฝ่าย
   

พี่ซันกระแทกกระทั้นใส่ผมไม่ออมแรงเหมือนต้องการระบายความโกรธและความไม่พอใจทั้งหมดส่งผ่านเซ็กส์ จนผมเสร็จไปก่อนหนึ่งรอบอย่างเหนื่อยหอบ
   

“พะ...พอแล้ว” ผมร้องบอกเสียงอ่อน ซบหน้าไปกับแขนที่ถูกมัดติดกันไว้ พี่ซันไม่หือไม่อือกับคำขอของผม มือหนาเลื่อนมาจับเอวผมพลิกตะแคงก่อนจะยกขาผมขึ้นพาดบ่าข้างหนึ่งแล้วเริ่มขยับอีกครั้ง


“ซี้ด...” พี่ซันเสียงครางทุ้มลำคอ เอวสอบขยับเข้าออกแล้วเริ่มเร่งจังหวะ ผมกัดปากจนห่อเลือด เมื่อหูได้ยินเสียงเตียงขยับตามแรงของพี่ซัน


พี่ซันเร่งจังหวะถี่รัวจนตัวผมโคลงไปตามแรงเขาเอวแทบหัก ผมมุดหน้าเข้าไปซุกหมอนแล้วใช้ปากกัดหมอนปิดเสียงของตัวเอง


“อ๊ะ...อึก อื้อ”


“ฮึ่ม...” พี่ซันครางในลำคอแล้วกระแทกแรงๆ อีกสองสามครั้งก่อนจะปล่อยของเหลวเข้าไปในตัวผม เขาถอนแก่นกายออกพร้อมกับทิ้งร่างลงมากอดผมไว้ มือหนาคว้าเอาผ้าห่มผืนใหญ่มาคลุมร่างเราสองคนไว้
ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ผมเริ่มสะอื้น
   

“มึงอยากเลิกกับกูนักใช่มั้ย” พี่ซันถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ มือหนาเลื่อนมาเขี่ยแก้มผมจากทางด้านหลัง ผมสะดุ้งกับสัมผัสของเขาก่อนจะนอนขดตัวเข้าหากัน


“ทั้งที่กูพยายามทำเพื่อมึง พยายามที่จะรักษาสัญญาระหว่างเรา แต่ทำไมมึงถึงชอบผลักไสให้กูไปไกลๆ” คนรักของผมตัดพ้อ


“มึงไม่เคยคิดอะไรกับกู อย่างที่บอกในจดหมายนั่นจริงเหรอ” พี่ซันขยับมาถามข้างหูแล้วเลื่อนมือมาถอดเข็มขัดที่มัดมือผมอยู่ออกเขวี้ยงไปอีกทาง ก่อนจะสอดมือเข้ามาใต้สะโพกผมเพื่อดึงตัวผมเข้าไปกอด ผมหันหน้าเข้ามาซุกที่อกเขาแล้วปิดตาร้องไห้


“พี่ฟ้ารู้ ฮึก...หมดแล้ว” ผมเปล่งเสียงอู้อี้กับอกพี่ซัน


“แม่พี่ก็รู้แล้ว” ผมบอกต่อเหมือนเด็กกำลังฟ้องผู้ใหญ่ พี่ซันลูบหัวปลอบผม


“พี่ทำผมเจ็บด้วย”


“ขอโทษ...แต่ถ้าไม่ทำอะไรมึงบ้างกูคงคลั่ง ครั้งนี้มึงทำกูโกรธแทบบ้า” พี่ซันปลอบต่อลูบหัวผมไม่หยุด ริมฝีปากหนาประทับลงมาที่หัวผมแล้วจูบหนักๆ


แปลก...ที่แค่ได้ยินคำขอโทษ ความรู้สึกเจ็บหนึบในใจของผมกลับคลายลง ผมเม้มปากกลั้นสะอื้นแล้วแนบหน้าไปกับแผ่นอกกว้าง


“นอนเถอะตื่นมาค่อยคุยกัน” พี่ซันบอก มือหนาลูบหลังผมอย่างเบามือ ผมพยักหน้าเคลิ้มๆ ก่อนจะหลับไปในที่สุด



หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 09-10-2018 11:39:14
[ต่อ]


+++++++++++++++++++++


“ผมไม่เชื่อ! น้องอยู่ที่นี่ใช่มั้ย!?”


ผมงัวเงีย ค่อยๆ ขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก กระพริบเปลือกตาขึ้นลงเพื่อปรับสายตา แล้วเริ่มประติดประต่อเรื่องเมื่อวานในหัวอย่างนึกขึ้นได้


เชี่ยแล้วสายหรือยังเนี่ย!


ผมดันตัวเองเพื่อลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะร้องโอยเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณด้านหลังเหมือนร่างจะฉีกออกจากกัน ผมพยายามทิ้งขาลงจากเตียงแม้จะยังสั่นๆ แต่ก็ยังพอยืนไหว พลางก้มสำรวจตัวเอง พี่ซันน่าจะช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ผม แม้จะไม่ใส่ชิ้นล่างให้แต่เสื้อพี่มันตัวเดียวก็ปิดไปถึงหน้าขาผมแล้ว


“น้องไหน” เสียงคุ้นหูของผมตอบกลับเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ ผมบุ้ยปาก เมื่อนึกถึงสีหน้าของอีกคนออก ก็พี่ซันน่ะ เวลาทำหน้านิ่งๆ ดูกวนจะตายไป


“คุณรู้อยู่แก่ใจ” ผมถึงบ้างอ้อเมื่อได้ยินเสียงคู่สนทนาชัดขึ้น พี่เอกคงมาตามหาผม เพราะผมไม่ไปทำงาน ผมโผล่หัวออกไปจากห้องเห็นพี่ซันยืนบังประตูอยู่


“ไม่มีใครเคยสอนหรือไงว่าต้องดูแลลูกค้ายังไง ถึงจะเป็นเจ้าของก็เถอะ มายืนส่งเสียงดังหน้าบ้านพักลูกค้าอย่างนี้มันเหมาะสมแล้วเหรอครับ ถ้าผมเอาเรื่องนี้ไปโพสลงโซเชียลคงงามหน้าน่าดู” พี่ซันตอบกลับด้วยเสียงตำหนิ ผมไม่รู้ว่าพี่เอกแสดงสีหน้ายังไง แต่ผมไม่อยากให้เขาเดือดร้อน เขาดูแลผมอย่างดีตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ เพราะผมเป็นเพื่อนกับน้องชายเขา


“ผมบอกแล้วไงว่าผมมาตามหาน้องผม” พี่เอกยังเถียงกลับอย่างไม่ยอม


“พี่...” ผมส่งเสียงเรียก พี่ซันแย้มประตูลงแล้วหันมาเลิกคิ้ว


ก่อนจะเปิดปากบอกไร้เสียงแววตาข่มขู่


“เข้า ห้อง ไป”


ผมพยักหน้ารับแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้พี่เอกเห็นตัวเองในสภาพนี้เหมือนกัน ผมเดินเข้ามานั่งรออีกฝ่ายอยู่ปลายเตียง ไม่นานพี่ซันก็ตามเข้ามา


“หิวมั้ย” ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงประตูห้องนอนแล้วเอ่ยถาม ผมส่ายหัวอยากกลับห้องตัวเองมากกว่า


“สายแล้วผมต้องไปทำงาน” ผมก้มหน้าบอก


“ถ้าไม่หิวงั้นก็มาคุยเรื่องของเราต่อ” พี่ซันไม่ฟังที่ผมบอก ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้ากับผม ผมกัดปากฉับ เริ่มหงุดหงิดเหมือนกัน


“พี่หาผมเจอได้ไง”


“ใครแนะนำมึงมาล่ะ” พี่ซันเลิกคิ้วถามกลับ ผมเบือนหน้าหนี


“อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่ามึงหนีกูมาทำไม” พี่ซันถามต่อเมื่อเห็นผมเงียบ ผมเม้มปากแล้วหันกลับไปจ้องหน้าเขา สายตาคมที่เคยมองผมอย่างอ่อนโยนจ้องหน้าผมนิ่งแสดงให้เห็นว่าคำถามนี้สำคัญและห้ามเลี่ยง ผมสังเกตเห็นแววตาสั่นไหวเพียงครู่เดียวจากร่างสูง พี่ซันเป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี


“จริงรึเปล่าที่บอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับกู” ใจของผมวูบไหวเมื่ออีกคนเปิดปากถามต่อด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ผมจำได้ดีเนื้อความที่ผมเขียนลงในจดหมายฉบับนั้น ผมข่มความเจ็บช้ำลงไป ท่องไว้สิว่าเรากำลังทำเพื่อใคร มึงเห็นแล้วนิบีทส์ว่าใครที่พี่ซันควรจะอยู่ด้วย อย่าทำให้เขาแปดเปื้อนเลย


“...”


“โอเค...กูเคยรู้สึกไม่ดีกับเกย์นั่นก็คือจริง แต่รู้อะไรมั้ย มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่กูไม่เคยสนใจว่าเขาจะเป็นอะไรเพราะกูรักเขา แล้วรู้มั้ยว่าเขาคนนั้นเป็นใคร คงไม่ต้องให้กูบอกหรอกใช่มั้ยเพราะกูว่ามึงนั่นแหละ...ที่รู้ดีที่สุด”


ผมจุกจนพูดไม่ออก


“กูไม่เคยต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ เพราะคนพวกนั้นเติมเต็มในสิ่งที่กูขาดไม่ได้” ผมก้มหน้าหลบสายตาคมที่กำลังพร่ำบอกความในใจ สายตาของพี่ซันแสดงให้เห็นว่าเจ็บปวดกับทางที่ผมยัดเยียดให้พี่มันเดิน


“กูไม่รู้ว่ามีใครมาพูดอะไรกับมึง แต่มึงมีความสุขจริงๆ เหรอที่อยู่โดยไม่มีกู รู้มั้ยว่ากูคิดถึง...คิดถึงรอยยิ้มสดใส คิดถึงริมฝีปากนุ่มๆ คิดถึงคนที่ทำกับข้าวรอกูกลับไปกินทุกวัน คิดถึงคนที่กูนอนกอดเขาทุกคืน คิดถึง...”


“พอเถอะครับ!”


ผมโพล่งออกไปเมื่อทนฟังต่อไปไม่ไหว ผมกำลังจะใจอ่อน พี่ซันเขาต้องมีชีวิตที่ดีสิ ครอบครัวเขา ธุรกิจของเขาต้องการเขา มันก็เหมือนที่พี่ฟ้าพูดกับผม ถ้าผมยังดึงดันที่จะฝืนยืนอยู่ข้างพี่ซัน พ่อแม่พี่ซันคงจะรับไม่ได้ คนรักของผมต้องเดือดร้อน ถ้ามีเพียงผมคนเดียวที่เจ็บปวดก็ไม่เป็นไร ผมจะทนให้ได้


“พี่ก็เห็นแล้วว่าตอนนี้ผมมีความสุขดี แล้ว ‘เขา’ ก็ให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้มากกว่าพี่” ผมกัดฟันบอกออกไปแบบนั้น ขอโทษนะพี่เอกที่แอบเอาชื่อพี่มาอ้าง


“กับใคร…คนเมื่อกี้นั่นเหรอ” พี่ซันขมวดคิ้วเข้ม


“...” ผมเม้มปากเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพื่อให้พี่ซันคิดว่าผมยอมรับ


“ฮะๆ คิดว่ากูจะยอมเชื่อมึงเหรอ” พี่ซันถามกลับเสียงเย็น เขายื่นมือมาบีบแขนผมแน่น จนผมร้องครางเพราะเจ็บ ทำยังไงคนตรงหน้าถึงจะยอมเชื่อ ผมอยากให้เขากลับไปมีชีวิตที่ดี ผมรักเขามากเกินกว่าจะดึงให้เขาตกต่ำลงมา


ผมรักเขามากจริงๆ นะ เมื่อก่อนผมไม่ทันได้คิดให้ซับซ้อนกว่านี้ เพราะผมรักพี่มันมาก ผมถึงได้กังวลแทนพี่มันไปเสียทุกอย่าง


“พี่จะไม่เชื่อก็ได้แต่ผมกับเขา...” ผมเชิ่ดหน้าขึ้น “เรามีอะไรกันแล้ว” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกกับเขาไปแบบนั้น พี่ซันนิ่งค้างหลังจากฟังจบ มือหนาตกลงข้างตัว เขามองหน้าผมนิ่ง ผมเม้มปากพยายามรักษาสีหน้าเอาไว้


“ลองคิดดูสิครับจะมีเจ้านายคนไหนที่วิ่งตามหาผมแต่เช้าเมื่อพบว่าผมไม่ได้ไปทำงานตามปกติแบบนี้” ผมอ้าง


พี่ซันทำสีหน้าเจ็บปวด “บอกกูสิว่ามึงต้องการให้กูทำอะไร บอกกูสิว่ากูต้องทำยังไงมึงถึงจะยอมกลับมาเป็นเหมือนเดิม! มึงอ้างว่ากูทำให้เราต้องคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ นั่นก็เป็นเพราะมึงเองไม่ใช่เหรอที่ห้ามกูบอกคนอื่น”


ผมส่ายหัว “ผมกับพี่เราต่างกันมากเกินไป ผมอยากให้พี่เข้าใจผม ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมคิดว่าคนธรรมดากลับทำให้ผมมีความสุขมากกว่า ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ทิ้งทุกอย่างเพื่อผมเพราะมันเป็นวิธีของคนขี้แพ้ ผมรู้ดีว่าพี่ไม่ใช่ สิ่งที่ผมทำมันดีที่สุดแล้ว...เพื่อเราทุกคน”


“หึ”


พี่ซันหึในลำคอ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ ก่อนจะยกขึ้นสองมือมาปิดใบหน้าใช้ปลายนิ้วปาดน้ำใสออกจากหางตา หัวใจผมหล่นวูบ


พี่ซัน...ร้องไห้


ผมเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ผมเลือกใช้คำพูดแสนร้ายกาจ ไม่นึกถึงจิตใจของคนฟัง แค่เพียงต้องการที่จะประชดเขา ความปากไวขาดความยั้งคิดของผมสร้างรอยแผลเหวอะหวะในใจพี่ซัน


ผมเชือดหัวใจเขาด้วยคำพูด แค่เพียงเพราะอยากให้เขากลับไปอย่างที่ใจต้องการ ทั้งที่เขาแสดงความต้องการชัดเจนว่ารักผม


“พี่...” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะแขนของพี่ซัน แต่เขาปัดมือผมทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือผมยังลอยค้างอยู่ในอากาศ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเขา


“กูเป็นลูกผู้ชายพอ ถ้ามึงเลือกแล้ว กูก็ขอให้มึงโชคดี” พี่ซันพูดอยู่ในลำคอ แต่กลับดังชัดทุกคำในหัวของผม ร่างสูงก้าวไปหยิบเป้ของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก


ผมตั้งสติได้ก่อนจะลุกตามอีกฝ่ายที่เปิดประตูบ้านพักออกไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะวิ่งตามเขาไปทำไมในเมื่อเขาก็ทำในสิ่งที่ผมต้องการแล้ว แต่ขาของผมกลับสั่งการเร็วกว่าสมอง


ผมมองหารองเท้ากับกางเกงแล้วคว้ามาใส่ลวกๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวออกจากห้อง ผมก็ต้องนิ่งงันเมื่อสายตาผมเหลือบไปเห็นถุงกับข้าวพร้อมกับดอกไม้หนึ่งช่อที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร


ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยหัวใจสั่นสะท้าน หยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วพลิกการ์ดสีแดงขึ้นมาอ่าน


“...กลับไปด้วยกันเถอะนะ กูรักมึงมากจริงๆ...”


หัวใจผมสั่นไหวอย่างหนัก นี่ผมกำลังทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยใช่ไหม


ผมมันบ้า!!!



-----------------------------
Talk :: เยลกำลังเปิดให้จองนิยายเลิฟชัค ท่านใดสนใจสามารถสั่งจองได้ในเพจนะคะ


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 09-10-2018 14:30:35
งื้อออออ...สงสารพี่ซันอ่ะ   
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-10-2018 19:15:09
ฟ้าคงไม่ยอมจบเรื่องหรอกนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 10-10-2018 08:17:56
เจ็บอ่ะ.  :mew6:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 11-10-2018 15:25:19
บททดสอบของความรัก อ่อนแอก็แพ้ไป :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 11-10-2018 18:53:01
เจ็บ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 36 : หนี 09/10/61 [P7]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-10-2018 05:21:14
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 15-10-2018 14:39:37
ตอนที่ 37 :: เจ็บพอกัน


[ซัน]


   
“เฮ้ยไอ้ซัน เบามึงเบา เหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า” เสียงไอ้สองร้องห้าม พลางยื่นมือมาดึงแก้วเหล้าออกจากมือผม ผมยื้อไว้ไม่ยอม แล้วยกขึ้นซด
   

“เชี่ยฟังกูบ้าง ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง ตั้งแต่กลับมามึงก็ไม่ยอมเปิดปากพูด  เอาแต่ลากกูออกมาซัดเหล้าเข้าปากไม่หยุดแบบนี้เป็นอาทิตย์แล้วนะ” ไอ้สองบ่น พลางหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก คงจะโทรหาไอ้อาร์ต
   

“หึ...”
   

รู้อะไรไหม ถึงแม้ไอ้คนดื้อด้านนั่นจะทำกับผมขนาดนี้ ผมก็ยังโกรธมันไม่ลงอยู่ดี ตอนนี้ก็แค่เจ็บที่ใจสัสๆ ตอนที่ได้ยินว่ามันมีคนอื่น ยอมรับเลยว่าเหมือนหัวใจมันโดนกระชากออกจากร่างไปทั้งๆ ที่ยังหายใจ พยายามยื้อทุกวิธีทั้งอ้อนวอนทั้งอธิบายในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะพูด เพียงเพื่อหวังว่ามันจะฟังแต่ก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี


เจ็บฉิบหาย...


สิ่งเดียวที่ผมรับไม่ได้สำหรับการคบใครสักคนก็คือการนอกใจ ผมเห็นคนรอบข้างของผมหลายคนต้องล้มเหลวในชีวิตคู่ สาเหตุก็มาจากความไม่ซื่อสัตย์ ผมเคยเชื่อว่าถ้าผมทำให้ดีที่สุด ใส่ใจมันให้มากๆ และทำให้มันเห็นว่าผมจริงใจ
จะทำให้มันรักได้แค่ผม...แต่ผมอาจจะคิดผิด
   

มหาลัยเปิดเรียนภาคการศึกษาใหม่ ชั้นปีของผมอยู่ในช่วงเริ่มฝึกงาน แน่นอนว่าผมเข้าไปฝึกที่บริษัทของตัวเอง ตกเย็นก็ลากพวกไอ้สองออกมากินเหล้า เมาก็ให้พวกมันลากกลับด้วย ไม่ยอมให้พวกมันลากกลับไปนอนคอนโดตัวเอง ถ้าไม่สะดวกจริงๆ พวกมันก็แค่ลากผมกลับไปนอนที่บ้าน
   

ผมยอมอึดอัดใจดีกว่าต้องทรมานใจนอนในห้องที่เคยมีมันอยู่
   

“สรุปว่าไงวะ ต้องให้กูเอาอะไรมาง้างปาก” ไอ้สองหันมาถามต่อ ผมวางแก้วเหล้าก่อนจะเอนตัวพิงราบไปกับที่นั่ง หมดอาลัยตายอยาก
   

“น้องอยากเลิกว่ะ” ผมตัดสินใจพูดออกไปแค่นั้นและไม่คิดจะอธิบายต่อว่าทำไม ไอ้สองชะงักก่อนจะหันมาเลิกคิ้วเหมือนคาดไม่ถึง “แล้วมึงว่าไง”
   

“หึ กูจะทำอะไรได้” ผมเค้นยิ้มกับตัวเองแล้วเงยหน้ากลั้นน้ำใสๆ ให้ไหลกลับเข้าไป ไอ้สองมองหน้าผมสักพักก่อนจะทำเป็นไม่สนใจชงเหล้าให้ผมต่อ
   

ผมยกเหล้าขึ้นซดโดยไม่พูดอะไรโดยมีไอ้สองนั่งอยู่ข้างๆ ผมรู้...ว่าเรื่องที่ตัวเองเจอตอนนี้มันจะไม่สร้างปัญหาถ้ารู้วิธีรับมือและหาวิธีการจัดการความรู้สึกของเราให้ถูกที่ถูกทาง
   

มีใครบ้างไม่เคยผิดหวัง...
   

มีใครบ้างไม่เคยโดนปฏิเสธ...
   

ผมจะยอมทำความเข้าใจกับสัจธรรมนี้
   

ถ้าคนมันไม่ใช่คู่กัน ต่อให้รักแค่ไหนก็คงเดินไปด้วยกันได้ไม่นาน
 
 
++++++++++++++++++++++


[บีทส์]

   
เป๊าะ


ผมสะดุ้ง หันไปมองหน้าคนที่ดีดนิ้วตรงหน้า
   

อิพิงค์ทำหน้าเอือมๆ แล้วถามผม “จะนั่งเขี่ยข้าวเล่นอีกนานมั้ยคะหนู”
   

ผมยิ้ม อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อน พี่ไม้เป็นคนไปรับผมจากรีสอร์ทพี่เอก
   

หลังจากกลับมา อิพิงค์ก็ตามมาหาผมถึงบ้านพร้อมกับลากไอ้นัทมาด้วย มันเล่าให้ผมฟังเรื่องที่พี่ซันตามไปล้วงความลับจากมัน รวมถึงไอ้นัทที่ส่งยิ้มให้ผมแต่ยังยอมพูดดีด้วย ผมขอโทษมันอีกครั้ง มันเองก็ขอโทษผมกลับ
   

ไอ้ออยกับไอ้ปริ้นเองก็มาหาผมที่บ้าน ผมไม่แน่ใจว่าพวกมันรู้อะไรแค่ไหน พวกมันไม่ถามแต่มักซื้อขนมนมเนยเข้ามาฝาก ไอ้ออยคอยนั่งเล่นเกมเป็นเพื่อนผม แต่ผมว่ามันคงเหงาปากมากกว่าเลยมาตีฝีปากกับผมเล่น ส่วนไอ้ปริ้นก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน
   

ผมเป็นห่วงพี่ซัน แต่ไม่กล้าแม้จะเปิดปากถามใคร น้ำท่วมปาก รู้สึกเจ็บหัวใจจนชา หลายครั้งที่ผมต้องใช้กำปั้นทุบหน้าอกด้านซ้ายให้รับรู้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่
   

“กินอะไรหน่อยเถอะ มึงไม่จำเป็นต้องผอมไปมากกว่านี้แล้ว ไม่ต้องหาวิธีลดน้ำหนักทางอ้อมนะคะเชื่อกู” อิพิงค์กัดมาหนึ่งที ผมเหลือบมองหน้าเพื่อนพลางถอนหายใจ ยอมกลั้นใจตักพะโล้เข้าปากเคี้ยวให้อิพิงค์ดู แล้วกลืนลงคอฝืดๆ
   

อ่อกกก
   

ผมคว้าถุงพลาสติกมากำไว้ในมือแล้วคลี่ออก โก่งคอปล่อยทุกอย่างที่ขย้อนออกมาลงถุง อิพิงค์ร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาช่วยลูบหลังให้
   

“มึงเริ่มไม่ไหวแล้วนะบีทส์ หน้ามึงซีดมากไม่สบายเหรอวะ ทำไมไม่บอกพวกกู” อิพิงค์ลูบหลังผมไปพลางบ่นไป มือเรียวของมันยกขึ้นมาวัดไข้ที่ลำคอและใบหน้าของผม “ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า”
   

“เฮ้ย...นี่ไม่สบายเหรอ” เสียงลุงอ้นร้องถาม ผมเงยหน้าขึ้นไปส่ายหัว พี่แกหยุดยืนมองผมกันทั้งกลุ่ม ในมือถือจานข้าวกับแก้วน้ำ
   

“ผมไม่ค่อยหิวแต่ฝืนกิน กระเพาะเลยปฏิเสธความหวังดีของผมอ่ะพี่” ผมเล่นมุก แล้วคลี่ยิ้มให้ลุงรหัส
   

ลุงอ้นพยักหน้ารับพลางบ่นแกมสั่งสอน “เออ...เห็นทำหน้าเครียดๆ มาหลายวัน ไม่สบายก็กลับบ้านไปพักผ่อนเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก ต้องรู้จักประมาณตัวเอง” เขาหันไปหาอิพิงค์ “พวกเราก็ดูแลเพื่อนด้วย” เพื่อนผมมันรีบพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ
   

“มีอะไรกันเหรอคะ” เสียงหวานของผู้มาใหม่ถามขณะเดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคน ผมนั่งตัวเกร็ง แล้วหลุบตามองต่ำ
   

“อ๋อ เมื่อกี้พี่เห็นน้องมันอ้วกน่ะเลยเข้ามาถามดู ไม่มีอะไรหรอก” ลุงอ้นหันไปตอบพี่ฟ้า ส่วนเพื่อนๆ เดินไปนั่งที่โต๊ะว่างกันแล้ว พี่ฟ้าพยักหน้ารับคำแล้วปรายตามองผม
   

“ไหวมั้ย” พี่ฟ้าถามผมสั้นๆ ผมจำต้องเงยหน้าไปยิ้มให้แทนคำตอบ
   

“งั้นลุงไปกินข้าวล่ะบ่ายมีควิซวิชาต้นทุน เดี๋ยวไม่มีแรงค้นรอยยักในสมอง” ลุงอ้นหันมาบอกก่อนจะเดินกลับไปหาเพื่อน แกนั่งโซ้ยข้าวบ่นเรื่องควิซด้วยใบหน้ายุ่งๆ
   

“ไปหาหมอมั้ย พี่จะไปเยี่ยมพี่ซันพอดีจะได้ไปด้วยกัน” พี่ฟ้าถามต่อแล้วยิ้มอย่างใจดี ผมหันไปขมวดคิ้วมองหน้าอิพิงค์ มันทำหน้าอึกอัก
   

พี่ซันเป็นอะไร
   

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก” ผมหันไปปฏิเสธ ก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วถามอิพิงค์
   

พี่ฟ้าคลี่ยิ้ม “ดูแลตัวเองดีๆ นะ พี่เชื่อว่าบีทส์เป็นคนเข้มแข็ง” มือเรียวยกขึ้นมาบีบบ่าผมเบาๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนก่อนจะเดินนำออกไป
   

“นี่ตกลงเขาจะเป็นห่วงหรือมาเพื่อส่งข่าวเอาสักทาง” อิพิงค์บ่นไล่หลัง
   

“สรุปว่าเขาเป็นอะไร มึงรู้รึเปล่า” ผมหันไปถามเสียงเบาโดยไม่ได้เอ่ยชื่อเป้าหมาย อิพิงค์ทำหน้าลำบากใจที่จะพูด แสดงว่ามันรู้แต่ปิดไม่อยากให้ผมรู้ ไอ้นัทยกหูฟังขึ้นมากดฟังเพลงเลี่ยงการสนทนา
   

“คือกูก็ไม่รู้ว่าข่าวมันจริงมั้ยอ่ะนะ...แบบว่าได้ยินมาอีกที เขาบอกว่าพี่ซันแกออกไปฝึกงาน ที่บริษัทพ่อเขานั่นแหละ ตกเย็นก็ออกเที่ยว เมาให้เพื่อนลากกลับทุกวัน บางครั้งก็มีเรื่องกลับมาเพราะเอ่อ...” อิพิงค์อึกอัก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามให้มันพูดต่อ
   

“ก็พอพี่แกเมา เวลาเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายมึงก็เข้าไปกอดหมับเดือดร้อนเพื่อนๆ ต้องไปลากออกมา ไอ้กอดคนโสดก็ไม่เท่าไหร่ แต่บางคนเขามากับแฟน มึงเข้าใจปะว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น” อิพิงค์ทำหน้ายุ่ง


“ก่อนหน้านั้นมันก็แค่ชกต่อยกันธรรมดา แต่ครั้งนี้ได้ยินว่าคู่กรณีใช้ขวดเหล้าฟาดเปรี้ยงลงกระหม่อม พี่แกเลยต้องไปนอนเล่นที่โรงพยาบาลเมื่อวาน มึงอย่าไปสนใจเลยเนอะ” ผมเม้มปากแล้วพยักหน้ารับ อิพิงค์มองผมห่วงๆ แล้วลูบไหล่ปลอบ
   

“โอ๊ะ...เจอตัวแล้ว” ผมเงยหน้าไปมองผู้มาใหม่ยืนยิ้มใจดีอยู่กับเพื่อนสนิทอย่างพี่ไลท์ ได้ยินเสียงแอบกรี๊ดอยู่จากโต๊ะข้างๆ
   

“เจออะไรคะพี่เจ แหม...มาถึงก็ไม่คิดจะมองคนข้างๆ อิบีทส์บ้างเหรอคะ นี่นั่งกันอยู่สามคนนะ มันน่าน้อยใจจริงๆ เลย” อิพิงค์แกล้งทำเสียงงอน พี่เจหัวเราะ ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าผม พี่ไลท์เดินไปนั่งรอเพื่อนตัวเองที่โต๊ะว่างๆ
   

นี่ถ้าไม่รู้จักจะคิดจริงๆ แล้วนะว่าสองคนนี้แอบมีซัมติงรองอะไรหรือเปล่า ไปไหนมาไหนเห็นตัวติดกันตลอด
   

“เป็นอะไร หน้าซีดเชียว” พี่เจหันมาถามผม พลางยกหลังมือขึ้นมาแตะหน้าผากผม ผมตกใจผงะออกพี่เจเลยชักมือกลับแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
   

“พี่มาที่นี่ได้ไงครับ” ผมเปิดปากถาม เพราะเหมือนได้ยินว่าพี่เขากำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน ก่อนหน้านั้นแรกๆ ที่ผมไม่ค่อยพูดกับใครก็ได้พี่แกนี่แหละคอยมาแหย่มากวน ทั้งมาแบบแค่เสียง บางทีก็โผล่มาให้เห็นตัวเป็นๆ
   

ตอนแรกผมก็ไม่ยอมคุยกับพี่เจหรอกเพราะยังเคืองเรื่องที่ชอบแกล้งผมไม่หาย แต่ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมยอมให้พี่เจเข้าใกล้ อาจเพราะพี่เขาไม่ได้รุกมากเหมือนแต่ก่อน ได้แค่มาแป๊บๆ แล้วก็ไป
   

“มาส่งงานน่ะเลยแวะมา คิดว่าเห็นหน้าคนแถวนี้สักเดี๋ยวก็จะกลับ” พี่เจหยอดมาหนึ่งทีแล้วยิ้มเขินๆ ผมยิ้ม แม่ะคนเรา…เล่นเองเขินเอง!
   

“อ่ะนี่เค้ก พี่ซื้อมาฝาก” พี่เจชูถุงขนมในมือแล้วยื่นมาให้ผม แต่อิพิงค์เป็นฝ่ายยื่นมือไปรับแทน แล้วกราบสวยๆ เหมือนนางงาม พี่เจชะงักไปนิดแล้วหลุดขำ ยอมปล่อยให้อิพิงค์มันถือ
   

“ขอบคุณครับพี่ ไม่เห็นต้องลำบากเลย” ผมบอกด้วยความเกรงใจ พี่เจแค่ยิ้มรับ
   

“หมดธุระแล้วพี่ไปดีกว่า ปะไอ้ไลท์”
   

ผมส่ายหัวปลงๆ กับร่างสูงที่เดินไปลากคอเพื่อนเดินออกไปจากโรงอาหาร


“อย่าใจอ่อนนะมึง คนนี้ของกู” อิพิงค์ขยับมากระซิบริมหู ผมส่ายหัวด้วยความหมั่นไส้ เดี๋ยวกูโทรไปฟ้องแฟนมึงซะเลยดีไหม
   

“ให้มึงหลุดจากพ่อพระอย่างพี่พีซะก่อนเถอะ” ผมแขวะ แล้วก้มฟุบหน้ากับกระเป๋า อิพิงค์ทำหน้าเบื่อหน่ายทันทีที่ได้ยินชื่อนื้


++++++++++++++++++++++

 
[อาร์ต]


ผมหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เจ้าของร่างเพรียวเล็กที่ผมคุ้นตาเดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าเยี่ยมคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง


น้องฟ้าวางของไว้บนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม


“เพิ่งหลับน่ะ” ผมหันไปบอกอาการเพื่อนสนิทของตัวเอง เมื่อคืนไอ้สองกับไอ้น๊อตเป็นคนนอนเฝ้าไอ้ซัน ส่วนผมเพิ่งมาเปลี่ยนเวรกับไอ้สองเมื่อสาย ๆ นี่เอง เราต้องผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนของไอ้ซัน จะให้คนที่บ้านมันมาเฝ้าก็กลัวว่าเพื่อนตัวเองจะอึดอัดแล้วชิ่งออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันแรก เลยต้องผลัดกันมาเฝ้า


เพื่อนกันก็ต้องดูแลกันไป...


“อาการพี่ซันเป็นยังไงบ้างคะ” น้องฟ้าถามผมต่อ สายตาจ้องมองคนที่นอนหลับตาพริ้ม บนหัวมีผ้าพันอยู่รอบศีรษะ อาการไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับเพราะไอ้คนฟาดมันก็เมาเลยไม่ได้ฟาดเต็มแรง ถ้าอยู่ในเวลาปกติที่ไอ้ซันมีสติสัมปชัญญะครบก็คงไม่ต้องเสียเลือดแบบนี้ ไอ้ผมก็เข้าไปช่วยไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว เผลอแปบเดียวฝั่งนั้นก็ฟาดเปรี้ยง ไอ้ซันสลบเหมือด ไม่รู้สลบเพราะโดนฟาดหรือเมาหลับ


“พรุ่งนี้เช้าก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ผมตอบยิ้มๆ พลางมองสำรวจใบหน้าสวยที่ผมเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ผมเห็นเธอมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกวิ่งตามไอ้ซันต้อยๆ ผู้หญิงที่แอบหลงรักไอ้ซันมาตลอดแม้จะเป็นรักข้างเดียวก็ตาม บัดนี้เธอโตขึ้น สวยสมวัย และยังคงมีความรู้สึกนั้นให้ไอ้ซันเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเธอจะรู้ตัวไหมว่าสายตาที่เธอมองไปที่พี่ชายของเธอมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย


“เอ่อ...พี่หมอคะ”


“ครับ”


น้องอึกอักก่อนจะบอกจุดประสงค์ “ฟ้ามีเรื่องจะปรึกษาค่ะ” ผมเลิกคิ้วแล้วละสายตาไปมองเพื่อนสนิทตัวเอง ก่อนจะพยักหน้ารับ


“งั้นไปข้างนอกดีกว่าพี่อยากได้กาแฟอยู่พอดี” ผมเดินนำร่างผอมเพรียวลงมาที่ฟู้ดคอร์ดแล้วเลือกเก้าอี้ด้านในสุด


“ว่ามาได้เลยครับ”


“คือ...ฟ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง” น้องกุมมือสองข้างบีบเข้าหากันแล้วเม้มปาก


“พูดมาได้เลยครับ” ผมยิ้มเพื่อรอฟัง


“คือเพื่อนฟ้าเขากำลังเจอปัญหานี้อยู่ แล้วเขาก็ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไง ฟ้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงดีเลยอยากปรึกษาพี่หมอ” เธอเกริ่น แววตากลมโตมีร่องรอยของความกังวล


ผมพยักหน้ารับเงียบๆ รู้ดีว่าสิ่งที่คนตัวเล็กเจอ คงหนักอึ้งสำหรับเธอ


ผมไม่เคยบอกว่าสิ่งที่เพื่อนผมทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยุติธรรมสำหรับใคร ผมไม่เคยสนใจ เพราะถ้าเพื่อนผมทำแล้วมีความสุข ในฐานะเพื่อน...ผมก็ยินดีกับทุกทางอยู่แล้ว ยกเว้นว่าจะหลุดกรอบไปไกล อันนั้นก็ต้องคอยดึงกลับมาหรือเตือนสติกันพอเป็นพิธี


“เพื่อนฟ้าเขาคบอยู่กับแฟนค่ะ คบกันมานานมาก รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนเขาคิดว่าชีวิตนี้คงจะฝากทุกอย่างไว้ที่แฟนคนนั้นได้ จนเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อนฟ้าเขาก็ค้นพบความจริงว่าแฟนของเขาไม่ได้เป็นแค่ของเขาคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เลยพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่จะให้แฟนคนนั้นกลับมาหาเขา” น้องมองไปยังเบื้องหน้า ดวงหน้าสวยเหม่อลอย ปากเล็กขยับพูดช้าๆ


ผมฟังแล้วคิดตามในสิ่งที่น้องฟ้าเล่า ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงถึงเอาเรื่องนี้มาปรึกษาผม


อาจจะวัดใจผมอยู่หรือเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจ


“มันผิดมั้ยคะ ถ้าเพื่อนฟ้าเขาจะดิ้นรนเพื่อตัวเองบ้าง คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาทุกวัน ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พยายามทำดีทุกอย่างแล้ว ทำไมแฟนเขาถึงมีคนอื่นได้เหรอคะ หรือว่าผู้ชายเขาไม่ชอบผู้หญิงดีๆ กันแล้วคะ” เธอตัดพ้อ ก่อนจะหันมายิ้มฝืดให้ผม เป็นยิ้มที่แม้แต่คนฟังยังรู้สึกลำบากใจ


“น้องฟ้ารู้จักไอ้ซันมาก่อนพี่อีกนะ” ผมเกริ่น


เธอชะงัก ก่อนจะหลบสายตาผม


ผมอยากบอกเธอว่าจริงๆ ไม่ต้องเอาเรื่องของเพื่อนมาอ้างหรอก ผมเห็นเธอเป็นน้องสาวอีกคน ถ้ากล้าถามผมตรงๆ ผมก็จะตอบไปแบบตรงๆ เหมือนกัน


“คือฟ้า...”


“พี่ไม่รู้ว่าเรารู้เรื่องนี้จากปากใคร แต่ถ้าเราอยากรู้ความจริงทั้งหมด พี่ว่า..ถามจากตัวต้นเรื่องน่าจะได้ความจริงมากกว่านะ” ผมพูดต่อหว่านแหไปกว้างๆ


น้องเม้มปาก “พี่หมอรู้มานานแล้วเหรอคะ”


ผมพยักหน้ารับ


“มันอยู่ที่น้องฟ้าจะเลือกครับ ว่าจะเลือกทำเพื่อความสุขของตัวเองหรือจะยอมทำเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข มันไม่มีอะไรผิดหรอก อยู่ที่มุมที่เราจะยืนมากกว่า มันไม่แปลกถ้าน้องฟ้าจะทำเพื่อตัวน้องฟ้าเอง หรือไอ้ซันจะเลือกทำเพื่อความสุขของตัวเอง มันไม่ผิดทั้งคู่” ผมเว้นจังหวะ “ความรักกับความถูกต้องบางทีก็เอามาใช้ด้วยกันไม่ได้เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่ความถูกต้องคือบรรทัดฐานของสังคมที่มีมานานจนกลายเป็นความเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่ผิด สำหรับพี่มันมีแค่นี้” ผมพูด ตามสิ่งที่คิด


จะให้ผมตัดสินใจแทนใครก็คงดูไม่เหมาะ ผมเข้าใจว่าการเป็นคนที่ถูกรักหรือได้รักมันเป็นยังไง มนุษย์เกิดมาก็ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ พวกนี้ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ของแบบนี้ต้องเจอเองถึงจะเข้าใจ


เธอเงียบไปอึดใจก่อนจะเงยหน้าถามผมกลับเสียงสั่นๆ “พี่ซันรักเขามากมั้ยคะ”


ผมเงียบ ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของสองคนนั่นคาราคาซังจนน่าอึดอัด ไอ้ซันก็ปิดปากเงียบบอกแต่ว่ายอมถอยเอง ส่วนบีทส์ก็ปิดปากเงียบเหมือนกัน


“พี่เป็นห่วงฟ้านะและพี่ก็เชื่อว่าไอ้ซันก็คงเหมือนกัน มันรักฟ้า เพียงแต่...สถานะที่มันให้ฟ้าได้ เป็นแค่อีกสถานะหนึ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ฟ้าคาดหวังจากมันก็เท่านั้น” ผมเลี่ยงจะตอบคำถาม อาจจะฟังดูใจร้ายแต่ผมก็อยากจะพูดแทนเพื่อนตัวเอง สิ่งที่ฟ้าได้จากไอ้ซันเป็นความรักที่จะไม่มีวันสิ้นสุด ผมไม่รู้ว่าฟ้าทำอะไรลงไปบ้างก่อนหน้านี้ แต่คิดว่าก็คงไม่น้อยและส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ของไอ้ซันกับบีทส์มากพอสมควร เล่นเอาชีวิตเพื่อนผมเป๋ไปเลยก็ว่าได้


น้องฟ้าเชิ่ดหน้าขึ้นเล็กน้อยหลังจากผมพูดจบ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ เรากลับกันเถอะค่ะ เผื่อว่าพี่ซันจะตื่นแล้ว”
อ่า โดนโกรธซะแล้ว...


ผมพยักหน้ารับ สุภาพสตรีหนึ่งเดียวเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปก่อน ผมมองตามร่างเล็กของคู่สนทนาที่เดินกระชับสายกระเป๋าของตัวเองก้าวเดินไปโดยไม่รอผม เส้นผมตรงสลวยปลิวไปตามแรงลม


ผมยกมือขึ้นเสยผมตัวเองลวกๆ อย่างลำบากใจ เพื่อนก็ห่วง พี่แฟนก็ห่วง คนที่คุยอยู่เมื่อกี้ก็ห่วง เป็นหมอรักษาคนยังไม่ลำบากใจขนาดนี้เลยให้ตาย!


“ช้านะมึง” ผมเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้าไป ไอ้ซันก็ทักมากวนๆ ข้างเตียงมีฟ้านั่งปอกผลไม้อยู่ ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา


“ปวดแผลมั้ย” ผมถาม


ไอ้ซันเลิกคิ้วแล้วยักไหล่ ถ้าบอกว่าไม่เจ็บจะเดินไปฟาดกบาลสักที เย็บเป็นสิบเข็มขนาดนั้นไม่เจ็บก็ไม่ใช่คนแล้ว


“กูไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ” ไอ้ซันบอกเซ็งๆ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่ามันไม่ชอบนอนโรงพยาบาล


“เออ” ผมรับคำ “เย็นนี้ก็กลับได้ละ”


“อ้าวม๊า” ผมหันไปทักผู้มาใหม่ที่เดินมากับป๊าผมยิ้มๆ ไอ้ซันหันไปมองก่อนจะยกมือไหว้ น้องฟ้าวางมีดลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ม๊ากับป๊าผมเหมือนกัน


“มาได้ไง” ผมถาม ม๊าเดินมาหาผมก่อนจะยกมือฟาดไหล่ผมหนึ่งที ส่วนป๊าเดินไปหาไอ้ซันที่เตียงคนไข้


“เจ้าลูกคนนี้ยังไงกัน เพื่อนเข้าโรงพยาบาลไม่คิดจะบอกม๊าบ้างรึไงหื้อ” ม๊าบ่น ผมรีบส่งยิ้มประจบ


“หมดหล่อเลยเจ้าหลานชาย” ป๊าทักไอ้ซันยิ้มๆ


“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับคุณลุง ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม” ไอ้ซันยิ้มน้อยๆ ม๊าผมขยับเข้าไปข้างเตียง ก่อนจะจับหัวมันพลิกดูซ้ายขวา ก้มเป่าหัวให้หนึ่งที


“เมื่อกี้ม๊าเจอน้องคนหนึ่ง ตัวสูงประมาณเนี้ย” ม๊าทำมือประกอบ “ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้อง ม๊าชวนเข้ามาก็ไม่ยอมมา แถมยังรีบเดินกลับไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นคนรู้จักของเรารึเปล่า” ม๊าผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้ซันขมวดคิ้วก่อนจะหันมามองผมทันที ผมสบตามันครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ มัน น้องฟ้าก้มหน้าเม้มปากไม่พูดอะไร คงสังเกตเห็นปฏิกริยาไอ้ซันเมื่อกี้แล้ว


“เดี๋ยวผมมานะม๊า” ผมหันไปบอกก่อนจะเดินออกมาเลยได้ยินเสียงม๊าเรียกตามหลังไวๆ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังหน้าโรงพยาบาลแล้วเดินไปหารปภ. ที่ยืนอยู่หน้าประตู


“เห็นเด็กหน้าตาแบบนี้เดินผ่านไปบ้างมั้ยครับ” ผมหยิบมือถือออกมากดหารูปของบีทส์ที่เคยเซฟเก็บไว้ออกมายื่นให้รปภ. ดูเผื่อจะเห็นน้องบ้าง


“เดินออกไปเมื่อกี้เลยครับ” ผมขอบคุณก่อนจะวิ่งออกไปมองหาร่างเล็กของน้องแต่ก็ไม่เจอ เลยวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์แทน อากาศเมืองไทยตอนนี้ไม่ธรรมดานะครับ ผมปาดเหงื่อลวกๆ แล้วใช้สายตามองหาน้อง ก่อนจะสะดุดกับร่างเล็กที่นั่งเหม่อลอย


“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ บีทส์สะดุ้งหันขวับมามองผมด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานเลิ่กลั่กแล้วขยับออกห่างตัวผม


“เข้าไปอะไรครับ พี่เข้าใจผิดแล้วล่ะผมมาเยี่ยมคนรู้จัก เยี่ยมเสร็จก็จะกลับแล้ว” ปฏิเสธแต่ไม่ยอมสบตาแหะ


“ไปหาอะไรเย็นๆ กินดับความร้อนกันหน่อยมั้ย” ผมชวน


น้องส่ายหัว “ไม่ล่ะครับ ไว้โอกาสหน้าดีกว่ารถมาแล้วผมไปนะครับพี่หมอ” เขายกมือไหว้ผมลวกๆ ก่อนจะวิ่งไปขึ้นรถเมล์ที่วิ่งมาจอดเทียบท่า ผมลุกขึ้นยืนในท่ายกมือค้างข้างหนึ่งจะห้ามก็ไม่ทัน ได้แต่ส่ายหัวยืนมองร่างเล็กหายขึ้นไปบนรถ


ไอ้ที่วิ่งขึ้นไปน่ะมันไม่ได้วิ่งผ่านบ้านเขาสักหน่อย


ไม่รู้ว่าทันได้สังเกตหรือเปล่า ผมหันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง


“ใคร” เดินเข้ามาในห้องก้าวแรกก็ได้ยินคำถามของเพื่อนสนิทถามขึ้นมาเหมือนรออยู่แล้ว ผมหันไปเลิกคิ้วแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ทำไมเหลือมันอยู่คนเดียว


“คนที่มึงคิด เจอ...แต่หนีไปแล้ว” ผมตอบสั้นๆ


“...”


“คนอื่นล่ะ” เห็นมันไม่พูดอะไรผมเลยถามกลับ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมไม่ลืมหยิบรีโมทมาปรับแอร์ให้เย็นกว่าเดิม


“กูอยากนอน”


ไอ้ซันไม่ตอบ แต่พูดตัดบทเหมือนต้องการให้ผมหุบปาก ไอ้เพื่อนเวร! พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ผมจิ๊ปากให้ความกวนตีนของเพื่อน เห็นมันแกล้งหลับ ผมเลยเงียบบ้าง เพื่อนกันไม่พูดก็เข้าใจ


ปล่อยให้มันคิดอะไรของมันไปเถอะ...





-----------------------------
Talk :: เยลกำลังเปิดให้จองนิยายเลิฟชัค ท่านใดสนใจสามารถสั่งจองได้ในเพจ FB เบบี้เยลโล่นะคะ (แค่ 20 ชุด)


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-10-2018 19:59:32
ฟ้า. คิดได้ยัง.  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-10-2018 21:52:43
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-10-2018 06:33:26
 :เฮ้อ: เหนื่อยแทน
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-10-2018 11:12:11
เจ็บไม่ต่างกัน
ทำร้ายจิตใจคนรัก

ซาดิสต์
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-10-2018 18:52:09
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 18-10-2018 16:51:43
ยังไงวะเนี้ย ยังไง หน่วงสุดๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 21-10-2018 05:32:16
เจ็บไปหมดเลย หน่วงๆ
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 37 : เจ็บพอกัน [P7] 15.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 21-10-2018 18:29:26
รอติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณ  o13
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-10-2018 22:38:41
ตอนที่ 38 เจ็บที่ยังหายใจ


[บีทส์]
    

“พี่บีทส์อยู่ไหน” เสียงร้อนรนถามมาตามสาย
   

ผมกำลังหัวเราะให้กับความซื่อบื้อของตัวเอง
   

“กำลังกลับ พอดีพี่นั่งรถผิดสาย” ผมตอบ ไบร์ทถอนหาย ก่อนจะบ่นผมตามเคย ตบท้ายด้วยการบอกให้ผมกลับดีๆ น้องรออยู่ที่บ้าน ผมรับคำแล้วกดวางสาย
   

ผมหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้ทิศทาง ตัดสินใจเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ต้องนั่งรถย้อนกลับทางเดิม เมื่อกี้ไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าขึ้นรถเมล์สายไหนมา ขึ้นรถเมล์ร้อนบ้านเรามันราคาเดียวนี่ครับ ตอนขึ้นมาผมเลยไม่ทันได้ดู ได้สติอีกทีก็อยู่ที่ไหนแล้วไม่รู้
   

บอกตามตรงครับว่าผมโคตรตกใจตอนมีคุณลุงกับคุณป้าเดินเข้ามาทักตอนผมด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยของพี่ซัน ถ้าถามว่าผมรู้ได้ไงก็ต้องขอบคุณอิพิงค์ครับที่สืบมาให้ ทีแรกมันก็ถามว่าจะให้พามาไหม ผมก็ปฏิเสธไป แต่สุดท้ายก็ตัดใจที่จะไม่มาไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มาก็ยังดี พอโดนทักผมเลยตกใจวิ่งหนีออกมาเลย
   

ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีกที่เห็นพี่หมอ ไม่คิดว่าพี่เขาจะตามออกมา ต้องเป็นคุณลุงคุณป้าที่ผมเจอหน้าห้องพี่ซันบอกแน่ๆ พอพี่หมอถาม ผมก็ไม่กล้าแม้แต่จะตอบ เลยวิ่งหนีขึ้นรถเมล์ที่เข้ามาจอดส่งคนซะเลย
   

ผมไม่มีหน้าไปเจอพี่ซันหรอกครับ เพราะผมเป็นคนเลือกเองที่จะให้เราจบกัน
   

ครืด...ครืด…
   

“ครับ” ผมรับสาย
   

“อยู่ไหนเรา” พี่เจถาม ผมเงียบไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบอะไรดี
   

“แค่กๆ” ผมเสียงไอดังลอดมาตามสาย
   

“พี่ไม่สบายเหรอ” ผมถาม แม้ว่าพี่เจจะชอบแกล้งแต่เขาก็คอยเป็นห่วงผมอยู่ตลอดไม่ได้รุกเอารุกเอาเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ผมสบายใจ ผมก็ควรจะมีน้ำใจกับพี่มันบ้าง
   

“นิดหน่อยครับ ว่าจะถามบีทส์ว่าอยู่ข้างนอกมั้ย พี่อยากได้ยาแก้ไข้แต่โทรหาใครก็ไม่มีใครว่างเลย พี่รบกวนเกินไปรึเปล่า” พี่เจถามอย่างเกรงใจ
   

ผมขมวดคิ้ว “แล้วนี่พี่อยู่ที่ไหนครับ”
   

“คอนโดพี่นั่นแหละ อยู่แถวๆ XX เรารู้จักมั้ย” พี่เจตอบกลับมาแล้วไอค่อกแค่กต่อ ผมก้มมองดูนาฬิกา ถ้าถึงขนาดลงมาซื้อยากินไม่ไหวก็คงจะอาการหนักจริงๆ เอาไงดีวะ คอนโดพี่มันก็อยู่ไม่ไกลจากที่ผมอยู่ด้วย
   

“โอเคครับ เดี๋ยวผมแวะเอาเข้าไปให้” ผมตอบรับในที่สุด แล้วกดโทรศัพท์หาไอ้ออยเผื่อมันจะอยู่แถวๆ นี้อย่างน้อยมีเพื่อนไปด้วยกัน อุ่นใจกว่าไปคนเดียว
   

“ฮัลโหลมึง”
   

“เออว่าไง” ไอ้ออยกดรับ
   

“อยู่ไหนวะ กูอยู่แถวๆ คอนโดพี่เจ มีธุระนิดหน่อยมึงว่างมั้ยมาหากูหน่อย”
   

“ไปทำอะไรที่นั่น กูออกมาซื้อของเดี๋ยวแวะไปหา อยู่แถวๆ ที่มึงอยู่แหละ รอแป๊บหนึ่ง” ไอ้ออยบ่น ก่อนจะตอบรับคำขอของผม ผมเลยเดินเข้าร้านขายยารอไอ้ออย
   

“นั่งแท็กซี่มาเลยเหรอวะ” ผมถามเพื่อนสนิทตัวเอง ไอ้ออยยักคิ้วกวนๆ ให้หนึ่งที แปลก...ทำไมวันนี้ไปไหนมาไหนคนเดียว ไอ้ปริ้นไปไหน
   

“ทำไมมาคนเดียวอ่ะ” ผมถาม
   

“อ๋อ ปริ้นไปธุระกับที่บ้านอ่ะกูขี้เกียจไป” มันตอบ
   

“ขอบใจที่มาไอ้เพื่อนรัก” ผมยิ้มอย่างขอบคุณ
   

มันยิ้มก่อนจะยกแขนขึ้นกอดคอผม
   

“ไปเหอะเดี๋ยวมืดพ่อกูโทรตามจะเป็นเรื่อง” มันบอกขำๆ ผมเลยหัวเราะเมื่อนึกถึงพ่อที่มันเอ่ยถึง ไอ้ปริ้นน่ะดุมันยิ่งกว่าพ่อตัวจริงซะอีก โคตรหวงโคตรห่วง กับผมนี่คุยกันทีน้ำตาแทบจะไหลไม่รู้กลัวดอกพิกุลจะร่วงหรือเปล่า ไม่รู้จะประหยัดคำพูดไปไหน
   

“โอเค”
   

ผมยัดถุงยาไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินเข้าซอยไปยังคอนโดที่พี่เจบอก กว่าจะเดินถึงเล่นเอาปาดเหงื่อเลย ดีที่เริ่มเย็นแล้วแดดเลยไม่แรงเหมือนตอนกลางวัน มาถึงหน้าคอนโดผมก็ต่อสายหาพี่เจอีกรอบ ไอ้ออยก็ยืนอยู่ข้างๆ ตอนแรกมันก็ถามครับเพราะกลัวเจอพี่ไลท์ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา
   

“ครับ” ปลายสายตอบรับ
   

“ผมมาถึงคอนโดพี่แล้ว พี่ลงมาเอาได้มั้ยครับ” ผมถาม ได้ยินเสียงตะกุกตะกักจากอีกฝ่าย ผมพยายามเงี่ยหูฟัง
   

“เราขึ้นมาเลยครับ พี่บอกข้างล่างไว้แล้ว บอกเขาว่าห้อง 1302 นะ” พี่เจบอกต่อ ผมอึกอักไม่ได้คิดว่าจะขึ้นไปหาถึงห้องซะหน่อย ไอ้ออยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไร
   

ผมเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยบอกเลี่ยงๆ “พอดีผมมีธุระต่ออะครับ เดี๋ยวผมฝากพี่รปภ. ให้เอาขึ้นไปให้แทนก็แล้วกันนะ”
   

พี่เจเงียบไปอึดใจ
   

“โอเคครับ พี่คงจะรบกวนมากเกิน...เพล้ง!!!”
   

“พี่เจ!!” ผมร้องเรียกเสียงดัง เมื่อได้ยินเสียงอะไรตกแตก พยายามเรียกอีกฝ่ายซ้ำๆ
   

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับผมเลยวิ่งเข้าไปด้านในอาคาร ก่อนจะบอกพี่รปภ. ตามที่พี่เจบอก เขาแนะนำทางไปขึ้นลิฟท์ ผมรีบขอบคุณแล้ววิ่งไปขึ้นลิฟท์โดยมีไอ้ออยวิ่งหน้าตื่นตามมา

   
“มึงกูยืมโทรศัพท์หน่อย ต้องโทรบอกปริ้นก่อน” ไอ้ออยหันมาถามผม ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ข้างสนามแข่งรถที่ติดสอยห้อยตามมากับพี่เจ   
   

ขณะที่พวกผมกำลังช่วยทำแผลให้พี่เจที่โดนเศษของแจกันบาดขา (ไอ้ออยที่ช่วยผมเก็บเศษแจกันก็ซวยโดนบาดอีก) พี่ไลท์ก็โทรเข้ามา


ผมเห็นพี่เจทำหน้าลำบากใจ ดูจากสภาพตอนนี้คงไปแข่งตามที่ตกลงกับคู่แข่งไม่ไหวอีกทั้งยังมีอาการปวดหัวหลงเหลืออยู่ พอเห็นพี่มันลำบากก็อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ครับ พี่เจเลยหันมาอธิบายว่า ถ้าหากรับนัดแข่งแล้วเกิดไปไม่ได้ ต้องโดนปรับสองเท่าจากราคาที่ตกลง


สุดท้ายไอ้ออยก็เป็นคนอาสาช่วยขับรถมาส่งพี่เจ ส่วนผมก็ต้องตามเพื่อนมาด้วยเพราะคงไม่ปล่อยให้มันมาส่งพี่เจคนเดียว ไอ้ปริ้นรู้เข้าคือผมมีสิทธิ์โดนมันเหยียบแน่ๆ


พอไอ้ออยขับรถเข้ามาในสนาม อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา เหมือนพี่เจมันจะรู้เลยปลอบผมเบาๆ ว่าไม่ต้องกลัว เขาขอโทษขอโพยพวกผมตั้งหลายครั้งที่ทำให้ต้องลำบาก


พี่เจบอกให้ไอ้ออยวนรถหาที่จอด ไอ้ออยถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอพี่ไลท์ยืนโบกมือเรียกให้เข้าไปจอดรถตรงที่พี่มันยืนพิงรถอยู่ ผมไม่รู้ว่าทำไมไอ้ออยถึงกลัวพี่ไลท์ เคยจะถามหลายครั้งก็ลืมทุกที ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจเพื่อนนะครับ แต่ลืมจริงๆ


พอส่งพี่เจเสร็จเรียบร้อยพวกเราจะขอตัวกลับ พี่ไลท์กลับห้ามไว้ แล้วบอกว่ามันอันตรายให้รอกลับพร้อมกัน


แต่นี่กูรอมาหลายชั่วโมงแล้วนะเว้ย!!


“แบตหมด” ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาก่อนจะกดดู ปรากฏว่าเครื่องดับไปแล้ว เลยค้นหาที่ชาร์ตแบตสำรองที่พกไว้ประจำ แต่ผมดันลืมหยิบสายชาร์ตใส่กระเป๋าซะงั้น!!


“ปริ้นเอากูตายแน่ มึงไปบอกพี่เจให้ที กูต้องกลับแล้ว” ไอ้ออยบอกเสียงร้อนรนพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือไม่หยุด ผมหันไปมองพี่เจที่กำลังยืนคุยกับพี่ไลท์หน้าเครียดด้านนอก ก่อนจะหันไปพยักหน้ารับคำเพื่อน


“งั้นมึงนั่งรอตรงนี้แหละ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปยังประตูห้องที่ปิดกั้นไว้ระหว่างห้องที่ผมอยู่กับห้องเครื่องยนต์ที่พี่เจยืนอยู่กับพี่ไลท์


“จะไปไหน” เสียงคนที่นั่งเฝ้าประตูถามเสียงเข้ม (หน้าโคตรดุ) พลางยื่นมือมากั้นผมไว้ไม่ให้ออกไปจากห้อง


ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะบอกความต้องการของตัวเอง


“ผมขอคุยกับพี่เจหน่อยได้มั้ยครับ”


เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“จะบอกให้”

 

+++++++++++++++++++++++++


[ซัน]


“จะให้กูไปส่งที่ไหน” เสียงไอ้สองหันมาถามขณะขับรถออกจากห้าง มันมารับผมออกจากโรงพยาบาลและพาผมแวะกินข้าวที่ห้างสรรพสินค้า ไอ้อาร์ตมีธุระส่วนไอ้น๊อตเห็นบอกว่าพี่สาวมีปัญหานิดหน่อยเลยกลับบ้าน
   

“คอนโดมึง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด ไอ้สองส่ายหัวหน่ายๆ
   

“คอนโดมึงก็มีทำไมไม่ไปวะ ห้องกูไม่ใช่โรงแรมนะไอ้ห่า” มันบ่น
ผมไม่สนใจตอบคำถามมัน แต่จงใจกวนตีนกลับ


“ทำไม? หรือมึงซุกใครไว้ที่ห้อง”


ไอ้สองทำเสียงจิ๊จ๊ะ “กูจะซุกใครได้ก็มีแต่น้องมึงนั่นแหละมานอน” มันหลุดปาก ก่อนจะเงียบเหมือนนึกขึ้นได้ ผมหันไปเลิกคิ้วให้มัน ปกติก็เข้าใจว่ามันสนิทกับน้องรหัสผมมากเพราะไอ้น๊อตมันเป็นลูกคนเล็ก ส่วนไอ้สองน่ะลูกคนเดียวเลยเอ็นดูน้องผมเหมือนน้อง แต่ไอ้มานอนด้วยกันที่ห้องนี่มันยังไง


“คือ?” ผมเลิกคิ้ว


“คืออะไร” ไอ้สองถามกลับ จงใจไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมถาม มันอึกอักเหมือนไม่อยากให้ผมเซ้าซี้ต่อ ผมขมวดคิ้ว แม้จะเคยแอบตะหงิดในพฤติกรรมของพวกมันสองคนที่ชอบทำตัวติดกันเป็นคู่ปาท่องโก๋ แต่ก็ไม่เคยคิดไปในทางอย่างว่า


แล้วนี่อย่าบอกกูนะว่า..


“อย่าบอกกูนะว่าที่ไอ้น๊อตหายหัวไปบ่อยๆ ก็เพราะมึง” ผมถามออกไปตรงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่อยากให้ถาม


“...”


ผมถอนหายใจเมื่อมันเงียบ ก็แสดงว่าไม่ปฏิเสธ


“เอาเถอะ...เรื่องของมึงกูจะไม่ยุ่ง แต่นั่น...ไข่ในหินเลยนะมึง” ผมเตือนเพื่อนกลายๆ เพราะรู้ดีว่าที่บ้านไอ้น๊อตโคตรพ่อโคตรแม่หวงลูกชายคนเล็กแค่ไหน แม้ว่ามันจะมีพี่ชายสองคนพี่สาวอีกหนึ่งคนก็เถอะครับ ไอ้นี่มันกวนตีนขี้อ้อน ที่บ้านเลยรักมากโดยเฉพาะพ่อมัน อาจจะทั้งหวงทั้งห่วงทั้งตามใจมากกว่าลูกสาวคนเดียวซะอีก


แล้วนี่...เพื่อนผมไปสอยลูกเขามาแบบนี้ ชีวิตมึงเสี่ยงลูกปืนมากเลยไอ้เพื่อนรัก!!


“กูรู้น่า” ไอ้สองตอบปัด ผมยังไม่หายอึ้ง ก็เพื่อนผมมันลูกเสี้ยว มีเชื้อไทยไต้หวันออสเตรเลีย ตัวก็โคตรใหญ่ที่สำคัญแมนฉิบหาย เทียบกันระหว่างมัน ผม ไอ้อาร์ต ไอ้สองตัวใหญ่กว่าพวกผมสองคน


ส่วนไอ้น๊อตก็ตามมาตรฐานชายไทยปกติ เพียงแต่ว่ามันมีเชื้อจีนเลยตัวขาว แล้วแม่งไปปิ๊งปั๊งกันตอนไหน ทำไมกูไม่เคยรู้วะ


ครืด...ครืด…


เสียงโทรศัพท์เข้า ผมเลยยอมถอยจากการคาดคั้นเพื่อนสนิท หน้าจอโทรศัพท์กำลังโชว์เบอร์ไอ้อาร์ตอยู่


“ว่าไง” ผมกดรับ


“พวกมึงอยู่ไหนกัน” ไอ้อาร์ตถามเสียงร้อนรน


“กำลังกลับ...เพิ่งแวะกินข้าว”


ไอ้สองหันมาเลิกคิ้ว


“ไบร์ทติดต่อบีทส์ไม่ได้ ไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหน ทั้งที่บอกว่ากำลังจะกลับตั้งนานแล้ว พยายามโทรถามคนใกล้ตัวก็ไม่มีใครรู้ แต่สันนิษฐานได้ว่าอาจจะหายไปพร้อมกับไอ้ออยหลานรหัสมึงเพราะติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”


“เดี๋ยวกูโทรกลับ” ผมตอบรับสั้นๆ แล้วกดวางสาย ก่อนจะต่อสายหาเพื่อนสนิทของไอ้ออยหลานรหัสผม


“ครับ” ปลายสายตอบรับ


“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม


“ผมก็ไม่รู้ว่าที่คิดจะถูกมั้ย แต่ตอนนี้ผมติดต่อออยไม่ได้ บีทส์ก็ด้วย ออยบอกว่าจะไปซื้อของ เขาทิ้งข้อความในไลน์ไว้ว่าจะไปหาบีทส์แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับ ผมพยายามโทรหาทุกคนที่คิดว่าทั้งสองคนจะไปหาแต่ไม่มีใครเจอ ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านเพราะกลัวทุกคนจะกังวลกันเกินไป เลยมารอที่บ้านบีทส์ก่อน” เสียงเรียบที่นานๆ ครั้งจะได้ยินเอ่ยออกมา น้ำเสียงแม้จะนิ่งแค่ไหน ผมกลับจับสังเกตความกังวลในน้ำเสียงได้


ผมกำมือตัวเองแน่น เริ่มเป็นห่วงไอ้ดื้อขึ้นมาบ้าง แม้จะโกหกตัวเองและพยายามไม่รับรู้เรื่องราวของมันแค่ไหน แต่พอรู้ว่ามันเกิดเรื่อง ผมก็ร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติดแล้ว


ทำไมชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงนักวะ!


“ว่าไง”


ผมหันไปถามไอ้อาร์ตเสียงเครียด หลังจากมันวางสายจากคนของมัน


ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านบีทส์ มีไอ้สอง ไอ้ปริ้น ไอ้อาร์ต ผม ไบร์ท และก็เพื่อนในกลุ่มผมอีกสองสามคนที่ตามไอ้อาร์ตมาหลังจากรับรู้เรื่องราวจากกลุ่มไลน์ มีทั้งรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน และรุ่นน้อง รู้จักกันเพราะเคยแข่งรถอยู่ทีมเดียวกัน มีพี่เมฆ ไอ้โต้ง แล้วก็ไอ้บาส สองคนหลังอายุเท่าผม พวกมันเป็นลูกนักการเมืองท้องถิ่นเลยตามมาเผื่อช่วยอะไรได้ ส่วนพี่เมฆแกเป็นรุ่นพี่ของพวกผม อายุย่างเข้าสามสิบแล้วเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ


“มีคนเจอน้องที่สนามเถื่อน” ไอ้อาร์ตตอบเสียงเครียด พวกเราทุกคนหันมามองหน้ากัน ไอ้ปริ้นนี่กำมือจนเส้นเลือดขึ้น ผมเข้าใจว่ามันคงเป็นห่วงทั้งเพื่อนที่เป็นเพื่อนสนิทและ ‘เพื่อนคนสำคัญ’ ของมัน แต่เพราะมันไม่รู้ต้องไปตามหาที่ไหน เลยทำได้แค่รอข่าว แน่นอนว่าแม่งโคตรจะหงุดหงิดที่ทำได้แค่รอ


“กับใคร” ผมออกปากถาม


รู้สึกจี๊ดที่แผล เดาว่าคืนนี้คงไข้ขึ้นเพราะแม่งแน่ ซวยฉิบหายเลย


“ไอ้เจ” ไอ้อาร์ตตอบเสียงนิ่ง


“...”


“พี่เจคนเดียวเหรอครับ” ไอ้ปริ้นที่นั่งเงียบถามขึ้น ผมเลยหันไปเลิกคิ้วให้ไอ้อาร์ตบ้าง


“ไอ้ไลท์กับกลุ่มมันไปด้วย”


“...”


“มีอะไรวะ” ผมถามกลับเมื่อเห็นแววตาคลุกกรุ่นจากหลานรหัสไอ้สองที่เปลี่ยนจากท่าทางหงุดหงิดธรรมดาเป็นโกรธจัดทันทีที่ไอ้อาร์ตตอบคำถามจบ
   

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เหมือนพี่ไลท์จะชอบออย” ไอ้ปริ้นตอบเสียงเรียบ ปกติมันก็ไม่ค่อยชอบพูดอยู่แล้ว ผมไม่ค่อยสนิทกับมันเพราะวันๆ มันก็ตัวติดกับเพื่อนสนิทไม่เคยสุงสิงกับใคร
   

ไอ้สองหันมามองหน้าผม
   

“จะลองไปตามดูมั้ยล่ะ กูพอรู้จักคนที่สนาม” ไอ้โต้งถาม เพื่อนอีกสองคนขอตัวไปสูบบุหรี่ข้างนอก
   

“ก็ดีกว่ารออยู่ที่นี่” ผมยักไหล่ตอบ พวกมันพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ้อาร์ตหันไปคุยกับเด็กมัน ดูเหมือนอีกคนงอแงจะตามไปด้วย แต่มันไม่ยอมให้ไป ส่วนไอ้สองกับไอ้ปริ้นเดินนำไปก่อนแล้ว
   

แต่ยังไม่ทันที่พวกผมจะก้าวออกจากประตูหน้าบ้านไปขึ้นรถของแต่ละคน ก็มีรถคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าบ้านของบีทส์ซะก่อน พวกเราจึงหยุดรอ
   

ผมชะงักกึก เมื่อเห็นร่างของใครบางคนเดินลงจากรถโดยมีไอ้เจก้าวตามลงมา  ไอ้ไลท์เป็นคนขับ อ่อ มีไอ้ออยตามมาด้วยอีกคน ผมเริ่มหน้าตึงเมื่อบีทส์มองผมอึ้งๆ ส่วนไอ้เจยิ้มมุมปาก แล้วยักคิ้วส่งให้ผม
   

“เอ่อ...พวกพี่มาทำอะไรกันเหรอครับ?”
   

เจ้าของบ้านถาม
   

“ออยมานี่” ไอ้ปริ้นที่ยืนอยู่ข้างหลังผมสั่งคนของตัวเองเสียงเข้มสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้ไอ้ออยวิ่งเข้ามาหามันทันทีเหมือนจะร้องไห้ ส่วนบีทส์ยังทำหน้าตื่นอยู่ เขาก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม
   

“…”
   

“ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ ไว้ผมจะมาขอบคุณทีหลังนะเฮีย” ไอ้ปริ้นพึมพำอยู่ด้านข้าง ผมพยักหน้ารับ ไอ้ปริ้นเลยกระชากแขนคนข้างตัวให้เดินตามออกไปทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มขั้น
   

“พี่บีทส์!” เสียงไบร์ทเรียกพี่ชาย ก่อนจะวิ่งออกมาจากบ้าน
   

ผมยังคงนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้ โกรธฉิบหายแต่ทำอะไรไม่ได้! บีทส์ยังคงยืนเกร็งอยู่ตรงหน้าผม มือเล็กกำเข้าหากันสั่นๆ
   

“ขอโทษนะที่ถาม แต่...มาทำอะไรกันที่บ้านคนอื่นตอนดึกๆ ดื่นๆ เหรอ” เสียงไอ้เจถามขึ้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์ ผมเลื่อนสายตาไปจ้องหน้ามัน ส่วนเพื่อนมันเดินไปยืนข้างรถแล้ว
   

“มาเดินเล่น”
   

ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินผ่านบีทส์ออกไปโดยไม่มองหน้ามันสักนิด
   

ไอ้เหี้ย! ที่กูเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ตั้งนาน คือกูเป็นบ้าไปเองใช่มั้ย!!? ทำให้กูห่วงแต่ตัวเองดันเต็มใจไปกับเขา ทั้งที่กูเคยบอกว่าอย่าไว้ใจมัน!!? บอกเลิกกูไปแล้วมึงยังปั่นหัวกูได้ขนาดนี้ เหี้ยเอ้ย!!!
   

“เลิกซะเถอะไอ้สิ่งที่ทำอยู่ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันไม่คุ้ม”
   

ในช่วงที่ผมกำลังจะเดินผ่าน ไอ้เจพูดเตือนออกมาลอยๆ ผมไม่ได้สนใจที่จะฟังต่อ เปิดประตูรถเข้าไปนั่งก่อนจะสตาร์ทแล้วขับพุ่งออกมาเลย มองที่กระจกหลังเห็นเพื่อนของผมขับรถตามมาสามคัน ผมหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาไอ้สอง
   

“แยกย้าย...กูไม่พร้อมจะคุยกับใคร”
   

ไอ้สองรับคำแล้ววางสายไป ผมเองก็โยนมือถือไปที่เบาะข้างตัว คิดว่าไอ้สองคงโทรบอกพวกไอ้โต้งเอง ผมขับรถไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย เพราะจิตใจของผมตอนนี้ไม่สงบมากพอที่จะจอดที่ไหนสักที่
   

ขับแม่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบ คงมีที่ไหนสักที่ ที่พอจะทำให้ผม
   

...สงบลงได้...

   
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 25-10-2018 22:40:59

[ต่อ]


[ซัน]



“จะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน” ร่างสูงพอๆ กับผม เดินออกมาเปิดประตูบ้านให้ในสภาพเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น ผมที่เคยเป็นทรง ตอนนี้กลับยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง พี่ภัทรยกมือขึ้นเสยผมลวกๆ
   

“โทษทีพี่ แค่ขับมาเรื่อยๆ แล้วมาโผล่ที่นี่” ผมบอกก่อนจะเดินกุมขมับเข้ามาในบ้าน เริ่มปวดแผลหนักขึ้นเรื่อยๆ พี่ภัทรปิดบ้านเสร็จก็เดินตามผมเข้ามาในบ้าน ผมมองสำรวจไปรอบๆ พลางทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา
   

“ไปโดนใครเขาฟาดมาล่ะ” พี่ภัทรถามนิ่งๆ แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ผมยิ้มไม่ตอบแต่รับแก้วน้ำมาวางไว้ หยิบยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบออกมายัดเข้าปากแล้วยกแก้วซดน้ำตามรวดเดียว ได้ยินเสียงหึจากพี่ภัทร
   

“อยากได้อะไรก็บอก กูจะไปนอนห้องไอ้ภาม ส่วนมึง...ก็นอนห้องกูอย่างเคยนั่นแหละ” พี่ภัทรลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางบิดขี้เกียจ
   

ผมพยักหน้ารับอย่างขอบคุณ ก่อนจะหยิบมือถือเดินขึ้นไปชั้นสอง ห้องพี่ภัทรอยู่ด้านขวาของบ้าน ที่เหลือเป็นที่ว่างโล่งๆ ส่วนภามอายุน้อยกว่าผม ตอนนี้เรียนอยู่ปีสองนอนอยู่ชั้นล่าง
   

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาไอ้อาร์ต รอสายไม่นานมันก็กดรับเสียงนิ่ง สงสัยยังไม่ตื่นดี “เออ”
   

“...”
   

“ว่าไงไอ้ห่าโทรมาไม่พูด แล้วนี่อยู่ไหน” ไอ้อาร์ตพูดเสียงเข้มขึ้น ผมทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงสีเข้มของพี่ภัทร มีหมอนกับผ้าห่มผืนใหญ่พร้อมอุณภูมิในห้องเย็นเฉียบ
   

“บ้านพี่ภัทร” ผมตอบสั้นๆ ได้ยินเสียงขยับจากฝั่งไอ้อาร์ตก่อนจะเงียบไป มันคงลุกขึ้นนั่งเพื่อเรียกสติ แต่ผมหมดธุระแล้วนี่สิ...
   

“กูโทรมาบอกแค่นี้” ผมบอกก่อนจะตัดสายทิ้ง ไม่ต้องเดาว่าไอ้อาร์ตมันคงสรรเสริญผมอยู่
   

ผมกดปุ่มโฮมที่หน้าจอมือถือ ก่อนจะลูบใบหน้าของใครบางคนที่ตั้งไว้เป็นภาพหน้าจอหลักเมื่อนานมาแล้ว
   

มึงแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ
   

ผมตัดใจกดเปลี่ยนหน้าจอเป็นรูปรถยนต์คันโปรดที่ชอบตั้งเป็นประจำ ก่อนจะเขวี้ยงมือถือทิ้งไปข้างตัว ล้มตัวนอนแล้วปิดสวิตช์ตัวเองทันที
   

“อ้าวตื่นแล้วเหรอพี่”
   

เสียงไอ้ภามถาม ขณะผมกำลังเดินลงบันได ผมตอบรับในลำคอ พลางเดินเช็ดหน้าลงมา ทั้งตัว...ใส่แต่กางเกง ไม่ได้ใส่เสื้อ
   

“ผมออกไปซื้อข้าวมาให้ มากินด้วยกันดิ” ไอ้ภามเอ่ยชวนพลางแกะถุงกับข้าวใส่จาน ผมเดินไปหามันแล้วนั่งลงบนโต๊ะ เอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดไว้ที่ผนักเก้าอี้
   

“พี่ภัทรไปทำงาน เย็นๆ กลับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงวันนี้ผมหยุด” ไอ้ภามบอกต่อเมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร ไอ้ภามมันเป็นเด็กนิ่งๆ ครับ เคยได้ยินว่าอยู่โรงเรียนเก่ามันมีเรื่องประจำ จนพี่ภัทรต้องลากมันมาอยู่ที่ชลบุรีด้วยเพราะไม่มีใครเอามันอยู่ อย่าได้หลงรอยยิ้มจอมปลอมของมันเชียว
   

นิสัยมันถอดแบบพี่ภัทรมาครึ่งหนึ่งเรื่องนิสัย ส่วนอีกครึ่งได้มาจากฝั่งแม่ ผมว่ามันไม่ค่อยเหมือนพ่อมัน เอาจริงๆ แม้แต่พี่ภัทรก็ได้มาแต่ความเก่งเท่านั้นครับ นิสัยนี่คนละทาง


ครืด...ครืด…


ผมหยิบมือถือออกมาก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นเบอร์ที่นานๆ จะได้เห็น นอกจากมีเรื่องด่วนจริงๆ ถึงจะติดต่อหาผม ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งสัญญาณบอกไอ้ภามว่าจะออกไปคุยโทรศัพท์


“ครับ”


“ขอโทษที่โทรมารบกวนแต่เช้านะซัน แต่อาจะโทรมาบอกเรื่องที่ซันเคยขอให้อาตรวจสอบ” อาทวีบอกกับผมน้ำเสียงราบเรียบ


“ไม่เป็นไรครับ ที่อาโทรมาคงมีเรื่องคืบหน้าใช่มั้ย”


“ครับ...คุณซันเดาถูก มีเบาะแสบางอย่างที่น่าสงสัย อาจจะเกี่ยวกับคนใน” เลขาคนสนิทของพ่อผมเฉลย ผมยิ้มมุมปาก คิดไว้อยู่แล้วเชียว


“ครับ อาตรวจสอบต่อได้เลย สาวให้ถึงต้นตอให้ได้ ระหว่างนี้ระวังด้วยนะครับ อาจจะไม่ได้มีแค่คนสองคนที่รู้เห็น ถ้าข่าวรั่ว เราอาจจะคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง” ปลายสายรับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะขอวางสายไป ผมเก็บโทรศัพท์ไว้แล้วเดินกลับเข้าบ้านอีกครั้ง เห็นภามนั่งอ่านหนังสืออยู่


“ผมทานแล้ว พี่ทานเลย เสร็จแล้วก็เก็บจานไว้ที่ซิงค์เหมือนเดิมนะ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” ไอ้ภามบอกต่อทั้งๆ ที่ยังก้มอ่านหนังสืออยู่ ผมพยักหน้ารับเรียบๆ ก่อนจะกินโจ๊กที่ถูกแกะใส่ถ้วยไว้ให้แล้วเรียบร้อย ไม่ลืมกินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ


ผมหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ออกมา ก่อนจะบอกไอ้ภามไว้ว่าจะออกไปข้างนอก มันทำเพียงพยักหน้ารับ แล้วอ่านหนังสือที่โซฟาต่อโดยไม่พูดอะไร ผมเลยออกมาแล้วสตาร์ทรถขับออกมาจนถึงชายหาด วนหาที่จอดไม่นาน จากนั้นก็เดินเข้าเซเว่นได้เบียร์เย็นๆ มาสามกระป๋อง


ผมนอนหลับตานิ่งๆ หลังจากซัดเบียร์ไปหลายกระป๋อง ปล่อยวางความคิดของตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงทักขัดจังหวะ “นั่งด้วยได้มั้ย”


ผมลืมตา หันไปเลิกคิ้วมองคนที่ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้ผ้าใบข้างๆ ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตใดๆ จากผม


“ทำหน้าแบบนี้ผมน้อยใจนะเนี่ย อุตส่าห์ทำใจกล้าขอนั่งด้วย” ใบหน้าหวานงอง้ำของผู้มาใหม่ ซ้อนทับกับหน้าของใครบางคน จนต้องส่ายหัวเพื่อเรียกสติ


“...”


“มาคนเดียวเหรอ” เสียงหวานใสยังถามต่อ


กึก…


ผมยกมือขึ้นจับไหล่เล็กไว้แน่น เมื่ออีกคนพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้ครึ่งตัว ใบหน้าหวานห่างจากผมไม่ถึงคืบ เจ้าตัวยิ้มกว้างก่อนจะทำจมูกฟุบฟิบ


“เหม็นอ่ะ” เจ้าตัวบ่น แล้วใครขอให้ดมวะ


“ถอยออกไป” ผมทำเสียงดุแล้วดันอีกคนออก


“นี่...ผมชื่อริวนะ” เจ้าตัวเอ่ยแนะนำตัวยิ้มๆ


“บ้านผมอยู่แถวนี้ ถ้าเหงาๆ อยากมีเพื่อนคุย โทรมานะ ผมจะไม่บอกหรอกนะว่ารอให้พี่โทรมา” ปากเล็กขยับไปมา ขณะที่นิ้วเรียวค่อยๆ จดปากกาลงบนกระดาษโน๊ตใบเล็กแล้วยื่นมาให้ผม


เมื่อเห็นผมยังเฉย เจ้าของเบอร์เลยยื่นมือมาจับมือผม แล้วยัดกระดาษใส่มือให้


“ไม่ได้ขอ” ผมปฏิเสธ แล้วยัดกระดาษกลับไปให้เจ้าของ ใบหน้าขาวย่นจมูกใส่ผม เพิ่งสังเกตว่าข้างตัวอีกคนมีกระเป๋าเป้ด้วย


“หยิ่งจัง...แต่ไม่เป็นไร แบบนี้ริวชอบ!” มือเล็กของอีกคนจับยึดมือผมไว้แน่นก่อนจะยิ้มกว้างให้ผมอย่างสดใส เฮ้อ วุ่นวายจริง ผมส่ายหัวก่อนจะดึงมือกลับ อีกคนดื้อดึงไม่ยอมปล่อย ผมเลยออกแรงกระตุกแขนอีกครั้ง จนเขาต้องยอมปล่อย เมื่อเป็นอิสระผมก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งโดยไม่สนใจคนที่ไม่รู้จัก


ได้ยินเสียงฟึดฟัดจากอีกคน เงียบไปหลายอึดใจ


“นี่พี่ชาย...ริวไม่รู้หรอกนะว่าพี่ไปเจออะไรมา แต่อย่าทำร้ายตัวเองนะ พี่ชายต้องรักตัวเองให้มากๆ แผลที่หัวนั่นต้องไปให้หมอดูด้วยนะ ไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีไปกว่าตัวเราเองหรอก ริวเป็นห่วง” ผมเงียบเพื่อฟังอีกคนพูด แต่ยังแกล้งหลับตาอยู่


ไม่รู้ว่าอีกคนมองผมด้วยสีหน้ายังไง แต่แววตาสดใสนั่นมันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนจนไม่อยากจะเห็นอีก ตัวเล็กๆ ขาวๆ เหมือนกันด้วย ไม่รู้ผู้ชายสมัยนี้เขานิยมลดหุ่น ลดความสูงของตัวเองแล้วหันมาสนใจเรื่องดูแลผิวพรรณกันหมดแล้วหรือไง จับแต่งหญิงสักหน่อย คงแยกไม่ออกแล้วว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย


“อ่ะนี่ริวให้ หวังว่าจะได้เจอพี่ชายอีกนะ ริวต้องไปก่อนล่ะ” เสียงใสเอ่ยบอก
ผมยังคงนอนนิ่ง ยกมือขึ้นมากอดอก ไม่สนใจอีกคนจนเจ้าตัวเขายอมถอยออกไป จนเงียบสนิทนั่นแหละครับผมถึงลืมตาขึ้นมาแล้วลุกขึ้นนั่ง


อมยิ้มสีชมพูวางทับอยู่บนกระดาษ ใกล้กับกระป๋องเบียร์ มีลายมือน่ารักเขียนกำกับไว้พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ ผมหยิบอมยิ้มมาสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ ปล่อยให้ลมพัดกระดาษไปโดยไม่ใส่ใจแล้วนอนทอดอารมณ์มองท้องทะเลสลับกับยกเบียร์ขึ้นจิบเหมือนเดิม


ครืด...ครืด…


“ครับ” ผมหยิบมือถือขึ้นมากดรับ เมื่อเห็นรายชื่อคนโทรเข้า


“อยู่ไหนน่ะซัน ทำไมไม่กลับบ้านเลยล่ะลูก” เสียงสั่นเครือจากปลายสายเอ่ยถาม ผมยกมือขึ้นมานวดขมับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนไปของแม่หรอกนะครับ ว่าทำไมถึงได้ขยันโทรหาผมทุกครั้งที่มีโอกาส


ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ผมคงไม่สนใจและกดตัดสายทิ้งไป แต่ตั้งแต่ที่แม่รู้เรื่องนั้นเข้า ผมก็พยายามที่จะกดรับทุกครั้ง เพื่อคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพ่อที่อาจจะระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับบีทส์


ผมไม่วันรู้เลยว่าถ้าเรื่องเกิดแดงขึ้นมาจนไปถึงหูพ่อเข้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมถึงทำได้แค่ป้องกันไม่ให้เรื่องนี้หลุดรอดไป สองมือของผมคงทำเพื่อคนที่ผมรักได้เท่านี้ แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ อาจจะไม่จำเป็นแล้วที่ผมต้องทำอะไรเพื่อ ‘ใคร’ อีก


“มีอะไรเหรอครับ”


“แม่รู้เรื่องที่ลูกเข้าโรงพยาบาลจากหนูฟ้า ทำไมซันไม่บอกแม่ล่ะลูก แม่จะได้ไปเยี่ยมกับคุณพ่อ ซันไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม แม่ไม่เข้าใจลูกเลย ทำไมต้องทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นเพื่อคนที่ไม่รักซันด้วย ไหนซันบอกแม่ว่าจะเลิกติดต่อกับเขาแล้ว ก่อนหน้านั้นแม่ก็เห็นว่าซันไม่ได้สนใจอะไรเขา ซันอย่าลืม...เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกลูกเอง แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้จริงใจกับลูก”


“แม่ครับ ผมไม่ได้โง่” ผมตัดสินใจโพล่งออกไปในที่สุด ได้ยินเสียงครางเรียกชื่อผมเบาๆ จากปลายสาย


“...”


ผมถอนหายใจหนักๆ


“ผมรู้ว่าแม่หวังดี...ทุกอย่างที่แม่ทำ แม่คงคิดว่ามันดีกับผม เพราะฉะนั้น...ผมไม่เป็นไร” ผมหยุดหายใจ “แปลกนะครับที่คนบอกว่ารักผม หวังดีกับผม กลับเป็นคนที่คอยเอาแต่บอกว่า...ผมต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำเพื่อรักษาหน้าตาของครอบครัวเรา แต่อีกคนที่แม่บอกว่าเขาไม่เหมาะสมกับผม...กลับบอกให้ผมหันหน้าเข้าหาแม่ก่อน เพราะยังไง ‘แม่ก็คือแม่’ มันน่าขำไหมล่ะครับ” ผมไม่เคยรู้ว่าครอบครัวที่สงบสุขเป็นยังไง ผมไม่เคยรู้ว่าความอบอุ่นของครอบครัวหน้าตาเป็นแบบไหน ผมไม่เคยรู้ว่าบ้านที่เราจะกลับไปได้ทุกครั้งที่เราไม่มีที่ยืนมันคือที่ไหน เพราะตั้งแต่เด็ก ‘บ้าน’ ในความหมายของผมก็เป็นแค่ที่ซุกหัวนอน


“ร้องไห้ทำไมคุณ” เสียงพ่อแทรกเข้ามาในสาย ผมได้ยินเสียงแม่ปฏิเสธเสียงสั่น


“ไอ้ซัน! นั่นแกใช่มั้ย!?” ผมยกโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหู เมื่อพ่อแย่งโทรศัพท์จากแม่แล้วเรียกชื่อผมลั่น ผมยิ้มเยาะ ก่อนจะเป็นฝ่ายกดตัดสาย


มีสายเรียกเข้าจากอาทวีพอดี


“ครับ”


“คุณซันเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ มีคนบุกรุกห้องเก็บเอกสารที่โรงงาน เอกสารสำคัญเกี่ยวกับการประมูลโครงการหายไป”


“อะไรนะครับ! เป็นไปได้ยังไง!?” ผมถามกลับด้วยความตกใจ มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อโรงงานก็มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี


“ทางเรากำลังตรวจสอบครับ คาดว่าคงเป็นคนใน” ผมขมวดคิ้ว ก็แน่ล่ะจะเป็นคนนอกไปได้ยังไง ที่ผมสงสัยคืออาจจะมีคนร่วมมือกันหลายกลุ่ม เพราะคนที่สามารถเข้านอกออกในได้โดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตต้องรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี ต้องมากพอ...ที่จะเข้าไปได้โดยไม่มีใครเห็น


“แล้วกล้องวงจรปิดล่ะ” ผมถาม


“อาให้ภีมตรวจสอบแล้ว กล้องที่อยู่บริเวณนั้นเสียหมดเลยทุกตัวพร้อมๆ กัน” ผมจิ๊ปากอย่างเจ็บใจ แสดงว่าพวกนั้นคงรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนตรวจสอบ อุตส่าห์คิดว่าระวังตัวมากแล้วซะอีก


“ช่วยตรวจสอบความเสียหายด้วยนะครับว่ามีอย่างอื่นหายไปอีกหรือเปล่า แล้วนี่แจ้งท่านประธานรึยัง” ผมสั่งงานแล้วถามต่อ เพราะเมื่อกี้ผมก็เพิ่งตัดสายจากพ่อ ไม่รู้ทางนั้นรู้เรื่องหรือยัง


“เอ่อ...ยังเลยครับ จะให้อาแจ้งท่านประธานไปทั้งหมดพร้อมกันเลยมั้ย”


“ยังไม่ต้องครับ รอตรวจสอบให้แน่ใจก่อน แล้วผมจะเป็นคนเรียนท่านประธานเอง” ผมบอกเสียงเรียบ ปลายสายตอบรับแล้ววางสายไป


เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ใจจนกว่าจะจับตัวการใหญ่ได้ ผมไม่ได้อยากสร้างผลงานเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การขึ้นตำแหน่งในอนาคตหรืออะไรทำนองนั้นหรอก แต่เพราะบริษัทนี้เป็นเหมือนทุกอย่างของครอบครัวผม ถ้าผมเห็นของเน่าในบ้านก็สมควรที่จะตัดทิ้งก่อนที่มันจะลุกลาม


กว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ บรรพบุรุษของผมต้องลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ถึงผมจะยังเด็กในสายตาของทุกคน แต่อย่าลืมว่าเด็กอย่างผมก็โตมากับบริษัทแห่งนี้



Talk :: บี้เปิดจองนิยาย หากใครสนใจติดตามได้ที่เพจเบบี้เยลโล่นะคะ (ใกล้ครบจำนวนแล้ว)




หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ [P7] 25.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-10-2018 01:58:43
ไหวป่ะเนี่ย มีแต่เรื่องเข้ามาประดังไปทุกทิศ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ [P7] 25.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-10-2018 11:53:28
สู้ๆนะพี่ซัน ค่อยๆแก้ปัญหาทีละอย่าง บีสท์รอได้แหละไม่ไปไหนหรอก
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ [P7] 25.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 26-10-2018 20:32:15




เขาว่า Unlucky in love จะ Lucky in game

แต่พี่ซัน Unlucky in love and game เลยนะ.

เอาใจช่วยพี่ซันนะ. ปัญหารุม3ด้าน ความรัก ครอบครัว การงาน

คนหนึ่งคน จะสู้ไหวไหม เอาวะ อย่างน้อยก้อมีเพื่อนดีนะ

เฮ้อ ………


 :z3:  :z10:  :z13:  :z3:  :z10:  :z13:  :z3:  :z10:  :z13:


หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 38 : เจ็บที่ยังหายใจ [P7] 25.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: SHmnex ที่ 27-10-2018 00:48:42
สู้ๆนะพี่ซัน
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตัวล่อ
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 31-10-2018 19:25:04

ตอนที่ 39 :: ตัวล่อ

[บีทส์]



“พี่บีทส์ออกไปข้างนอกกันมั้ย” ผมหันไปหาน้องที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน ก่อนจะส่ายหัว เบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างเหมือนเดิม

   
“หลายวันมานี้ก็กินได้นิดเดียวเอง ออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่าเผื่อจะเจริญอาหาร หรืออยากไปเที่ยวมั้ย เดี๋ยวไบร์ทชวนพี่ไม้ไปด้วย”
   

ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกครั้ง
   

ไบร์ทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงแล้วบ่น “งั้นออกไปแค่สวนในหมู่บ้านก็ได้ อยู่แต่ในบ้านมันร้อนจะตาย” ผมลอบถอนหายใจ แล้วนึกตำหนิตัวเอง
   

ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้น้องเป็นห่วง คุณนายก็ด้วย ไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล ผมแค่กำลังต้องการเวลาฟื้นฟูตัวเอง แต่กระนั้นคุณนายก็คอยมาคุยเล่นด้วยไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว จนผมปฏิเสธไม่ลง (แม่รู้แล้วครับว่าผมเลิกกับพี่ซัน แต่ไม่ได้พูดอะไร บอกแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ผมควรจะตัดสินใจเอง)
   

“เอางั้นก็ได้ ไบร์ทไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก พี่โอเค” ผมคลี่ยิ้มให้ดู ไบร์ทตาแดง น้องขยับเข้ามาหาผมแล้วสวมกอด ผมเม้มปากแน่น พยายามที่สุดที่จะไม่ร้องไห้
   

“ถ้าพี่บีทส์ตัดสินใจแล้ว ไบร์ทก็ไม่อยากให้พี่บีทส์เสียใจกับสิ่งที่พี่บีทส์เลือกนะ แบบนั้นมันไม่แฟร์ทั้งต่อพี่และก็คนๆ นั้นด้วย” ไบร์ทบอกพลางลูบหลังผม
   

นั่นสิ...นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่งั้นเหรอ
   

“จะไปไหนกันลูก” คุณนายที่นั่งทำงานอยู่ชะโงกหน้ามาถาม
   

“ไปแว๊นน่ะคุณนาย ไปด้วยกันมั้ย” ผมตอบขำๆ แม่มองผมสลับน้อง ก่อนจะถอดแว่นวางไว้ จะไปด้วยจริงดิ
   

คุณนายยศสินีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงและตัดพ้อ “บีทส์ยังมีแม่กับน้องนะ อย่าคิดว่าตัวเองเหลือตัวคนเดียวสิ” หญิงแกร่งในบ้านบอกดุๆ พลางยื่นมือมายีหัวผมจนยุ่ง ผมยิ้มฝืด
   

“ขอโทษครับแม่” เสียงสั่นจนต้องเม้มริมฝีปาก
   

“ไปกันเถอะ ใกล้เย็นแล้ว อากาศกำลังดีไม่ร้อนมาก ขับรถกันดีๆ ล่ะ กลับมาให้ทันข้าวเย็นกันด้วย” คุณนายบอก ก่อนจะหันไปหาไบร์ท ไอ้น้องตัวดีทำมือตะเบะรับคำเหมือนตำรวจแล้วเดินไปเตรียมรถ
   

“เดี๋ยวพี่ขับเอง” ผมบอก ก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจจากเจ้าของรถ
   

ไบร์ทยื่นกุญแจให้ผม ก่อนจะขยับออกจากตำแหน่งคนขับ แบมือรับเสื่อที่ผมถืออยู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านรอ ผมขยับเข้าไปแทนที่ ก้าวขาขึ้นแล้วสตาร์ทรถด้วยความชำนาญ
   

ขับไปถึงที่หมาย ผมก็ปล่อยให้น้องลงจากรถก่อน ส่วนผมมองหาที่จอด ไบร์ทเดินไปปูเสื่อที่ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ พอเรียบร้อยก็กวักมือเรียกผม เจ้าตัวแสบยิ้มทะเล้นก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับตาพริ้ม
   

ผมตามไปนอนลงข้างน้อง แล้วปิดเปลือกตาลงช้าๆ
   

พี่เป็นยังไงบ้าง
   

สบายดีไหม
   

ผมโคตรคิดถึงพี่เลย


+++++++++++++++++++++++++


[เจ]
   

“เจ...มึงอยู่ที่ไหน” เสียงไอ้ไลท์ถามมาตามสายนิ่งๆ ผมลุกขึ้นไปตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องพักในโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง แล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งตรงปลายเตียง
   

“โรงแรม” ผมตอบกวนๆ ไอ้ไลท์จิ๊ปาก มันคงอยากด่า เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะเล่น มันเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของผม
   

“ให้ช่วยอะไรมั้ย กูมีที่ดีๆ ให้มึงใช้หลบซ่อนตัวได้พักใหญ่ๆ หรือจะเป็นต่างประเทศก็ได้ เดี๋ยวกูช่วย” ไอ้ไลท์เสนอทางเลือกให้ ผมยิ้มเยาะ ทำไมกูต้องหนีด้วย พวกแม่งทำอะไรกูไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานอะไรก็ไม่มี กูเผาไปหมดแล้ว
   

เหลืออยู่แค่อย่างเดียวนี่แหละ...
   

“ทำไมกูต้องไป”
   

“แล้วที่หนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตอนนี้คืออะไร” ไอ้ไลท์ถามกลับ ผมเป็นฝ่ายจิ๊ปากหงุดหงิดบ้าง ไอ้พวกขี้ขลาดกลัวความผิด แค่ไอ้ซันขู่นิดหน่อยทำเป็นกลัว แล้วโยนความผิดทุกอย่างมาให้ผมแทน หึ!
   

หมาจนตรอกแว้งกัดพวกเดียวกัน!!!!
   

“แค่กูได้หลักฐานชิ้นสุดท้ายจากไอ้ซัน กูก็รอดแล้ว” ผมตอบ
   

“ยังไง” ไอ้ไลท์ถามต่อ
   

“หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีกูและหลักฐานการช้อนซื้อหุ้นของบริษัท”
   

หลักฐานที่ว่าคือคลิปเสียงที่ไอ้เวรนั่นแอบอัดเสียงผมไว้ตอนตกลงเรื่องผลประโยชน์กัน ผมชะล้าใจเอง ไม่คิดว่าจะโดนหักหลัง ตอนนี้หลักฐานชิ้นนั้นอยู่ในมือไอ้ซัน ถ้าหลักฐานชิ้นนั้นถึงมือตำรวจผมเสร็จแน่ เรื่องอะไรผมจะอยู่เฉยให้พวกมันมาลากเข้าคุก
   

“มึงสินะที่ปล่อยข่าว”
   

“ใช่แล้วจะทำไม” ผมตอบอย่างไม่เดือดร้อน ผมเป็นคนแกล้งปล่อยข่าวลือเรื่องความลับรั่วไหลออกไป ทำให้ราคาหุ้นตกอย่างหนัก
   

“มึงทำแบบนี้มันเสี่ยงมากนะเจ แล้วที่นี้มึงจะเอาหลักฐานที่ว่านั่นมาได้ยังไง” ไอ้ไลท์ถามด้วยความเป็นห่วง ผมซาบซึ้งในน้ำใจของมันชะมัด
   

แต่ขอโทษทีว่ะเพื่อน กูถอนตัวไม่ได้แล้ว
   

“หาตัวล่อ”
   

ผมกดวางสายจากเพื่อนสนิท ทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด มันคือความตั้งใจมาตั้งแต่แรก!
   

พ่อผม...ผู้ชายที่ทุ่มเทเพื่อธีระกรุ๊ปมาครึ่งชีวิต ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ แต่กลับได้เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยระดับผู้จัดการ พ่อเป็นเขยที่แต่งเข้ามา จึงไม่มีทั้งศักดิ์และสิทธิ์ในการยืดอกรับอำนาจ ตัวผมเองก็เป็นแค่หลานต่างสายเลือด!!
   

ผมอาศัยความฉลาดและการรู้จักวางตัว พยายามทำให้พ่อไอ้ซันเอ็นดู ทำให้เขาเกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างผมกับลูกชายของเขา โดยอาศัยช่องโหว่ที่มันไม่ค่อยสนใจงานด้านบริหารและชอบทำอะไรขัดใจผู้ให้กำเนิด ผมวางแผนมานาน ทั้งที่เกลียดแสนเกลียดที่ต้องคอยประจบประแจงไอ้คนพ่อ!!
   

สุดท้ายผมก็พลาด!!
   

ก่อนไอ้ซันจะเรียนจบและไปเรียนต่ออเมริกา พ่อมันกลับให้มันเข้ามาเรียนรู้การบริหารงาน ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่เคยสนใจใยดีบริษัทเลยแม้แต่นิดเดียว! พอเรียนจบกลับบอกว่าจะกลับมารับตำแหน่ง บ้าหรือเปล่า!!
   

ผมทนมองมันได้ทุกอย่างไปง่ายๆ ไม่ได้ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง!
   

หลังจากได้รับความพ่ายแพ้จากโปรเจ็คคุณวินิต ผมก็กลับมานั่งทบทวนตัวเอง ผมจะแพ้ไม่ได้ ไอ้ซันต้องมีจุดอ่อน และผมจะเหยียบจุดอ่อนนั่นให้จม!!!!!!
   

ผมแค่ต้องรอเวลา...
   

ผมส่งคนไปตามสืบเรื่องของมันจนค้นพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ไอ้ซันพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งไปที่บ้านพักส่วนตัวของมันที่ประจวบฯ บ้านที่มันหวงนักหวงหนา มันทำให้ผมมั่นใจว่าเด็กนี่แหละ ที่จะกลายเป็นจุดอ่อนของไอ้ซัน!
   

โอกาสของผมมาถึงแล้ว!
   

ผมส่งรูปความสัมพันธ์ที่ดูเกินรุ่นพี่รุ่นน้องไปให้พ่อมันเพื่อหวังให้สองพ่อลูกแตกหัก น่าเสียดายที่ซองเอกสารไปไม่ถึงมือคนที่ผมต้องการ แต่โชคก็ยังเข้าข้างผม ที่แม่ไอ้ซันรู้และเริ่มกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเด็กนั่นโดยที่ผมไม่ต้องเปลืองแรงกวนน้ำให้ขุ่น
   

ส่วนผม...ก็จะทยอยช้อนซื้อหุ้นเรื่อยๆ อย่างใจเย็น กว่าพวกนั้นจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว! เพื่อพ่อ…ที่โดนเหยียบจมดินมาตลอด ผมต้องเอาคืนพวกมันให้สาสม! ไอ้พวกธีระกรุ๊ปต้องได้รับบทเรียน!!!
   

“บีทส์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ตอนนี้ซันกำลังแย่ พี่กำลังจะไปช่วย ถ้าพี่เป็นอะไรไปหรือถ้าพี่ไม่ติดต่อกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง ช่วยโทรแจ้งความกับตำรวจด้วยนะ”
   

ผมส่งข้อความไปหาใครบางคนและรอคอยอย่างใจเย็น
   

ครืด...ครืด…
   

ผมมองสายที่โทรเข้ามา พลางยิ้มเยาะในใจ ฮะๆ ติดกับซะแล้ว


“พี่จับผมมาทำไม!!?” เสียงหวานใสตะโกนถามผมด้วยใบหน้าโกรธจัด ผมแสยะยิ้ม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่โดนมัดมือไพร่หลังและมัดขาไว้ ทั้งที่โดนมัดแน่นขนาดนี้ยังพยายามดิ้นหนี
   

ผมยื่นมือไปจับคางเขาไว้แล้วก้มลงกระซิบรอดไรฟัน “ก็ช่วยไม่ได้ แต่ไม่ต้องกลัวไปหรอก ถ้าแฟนเราเล่นตามกติกา พี่ก็กล้ารับรองว่าจะไม่ฆ่าเราทิ้ง ของดีๆ แบบนี้ พี่ไม่ปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก”
   

คนโดนขู่ขมวดคิ้วมองหน้าผม ทั้งที่ตัวสั่นจนน่าสงสาร
   

“แฟนไหน ผมไม่มีแล้ว!”
   

ผมเลิกคิ้ว “ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แฟนแล้ว แต่ลองวัดกันมั้ยล่ะว่าไอ้ซันมันจะเลือกอะไร ระหว่างหลักฐานที่มันมีกับชีวิตของเราน่ะหื้ม”
   

ใจจริงแล้วผมก็สนใจเด็กนี่นะ น่ารัก ตัวขาวๆ ตรงสเป็คผม ยิ่งเป็นของๆ ไอ้ซัน ผมก็ยิ่งอยากได้ แต่เด็กนี่กลับเล่นตัวจนผมชักโมโห ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน ผมก็คิดว่าจะลากไปปล้ำที่ไหนสักที่อยู่เหมือนกัน ยิ่งได้ยินว่าไม่มีไอ้ซันคอยตามติดแล้ว ยิ่งง่ายต่อการโยนขึ้นรถ!


ผมวางแผนเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่ายโดยการไม่รุกหนักอย่างเคย ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี ใส่หน้ากากคนดีเข้าหา แค่นี้ก็สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เด็กนี่ไว้ใจคนง่าย แถมยังหัวอ่อน คิดไม่ค่อยทันเวลามีหลายเรื่องให้คิดพร้อมๆ กัน บอกตามตรงว่าผมไม่ถือหรอกว่าอีกฝ่ายจะเคยผ่านมือใครมา แค่ได้ลิ้มลองก็ถือว่ากำไรแล้ว
   

“ผมทำกับพี่ซันขนาดนั้นแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาไม่สนใจชีวิตผมหรอก พี่อย่าทำแบบนี้เลยนะ ผมขอร้อง...ผมสาบานว่าถ้าพี่ปล่อยผมไป ผมจะไม่เอาเรื่อง ไม่แจ้งความ ไม่บอกใครเด็ดขาดว่าพี่จับผมมา นะพี่เจ ผมขอร้องอย่าทำอะไรผมเลย” เสียงหวานพร่ำขอร้องผมไม่ขาดสาย ยิ่งพูดก็ยิ่งสั่นเครือ
   

ยิ่งฟังยิ่งได้อารมณ์…
   

“ถ้าคิดจะปล่อยไปง่ายๆ จะไปตามจับมาให้ลำบากทำไมล่ะครับน้องบีทส์ ดูสิ...ตัวสั่นเหมือนลูกนกเลย รู้มั้ย...ยิ่งเราเป็นแบบนี้พี่ยิ่งตื่นเต้น อยากสัมผัสเราจะแย่” ผมค่อยๆ ลากมือไปตามโครงหน้าหวานของอีกคนช้าๆ
   

“ฮึก...ไม่เอา อย่าทำผมเลย ผมเคยทำอะไรให้พี่เหรอ” เสียงกลั้นสะอื้นค่อยๆ เปล่งถามผม น้ำตาเริ่มหยดลงใบหน้า
   

ผมส่ายหัวยิ้มๆ “ไม่...ไม่เคย แต่มันผิดที่เราเป็นของๆ ไอ้ซันและมันทำให้พี่อยากได้” ผมตอบหื่นๆ กดอีกคนนอนราบกับเตียง ก่อนจะก้มลงกัดซอกคอขาวจมเขี้ยว แน่นอนว่าบีทส์ดิ้นพล่านเลย
   

“ไม่!! อย่าโอ๊ย! พี่ทำแบบนี้ทำไม” ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาสบตาผม แล้วตะโกนบอกเสียงดังด้วยน้ำตานองหน้า “ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมเลิกกับพี่ซันแล้ว! เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันและผมทำร้ายความรู้สึกเขา! พี่เข้าใจมั้ยวะ!!”   
   

“เดี๋ยวก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง” ผมขู่ แล้วก้มลงดมซอกคออีกคน ไล้ปลายจมูกสูดความหอมเข้าเต็มปอด อ่า...ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ทำไมหอมขนาดนี้
   

“พ...พี่เกลียดอะไรพี่ซันนักหนา ผมก็เห็นว่าพ่อแม่เขาก็รักพี่” คนใต้ร่างดิ้นรนหนี แต่ผมกดแขนเขาไว้แน่น “พวกเขาเลี้ยงดูพี่อย่างดีไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพี่ถึง...”
   

ผมตัดบท “เฮอะ! มันก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ หน้ากากที่พวกมันสวมทำไมกูจะดูไม่ออก กูกับพ่อก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง พ่อกูทุ่มเททุกอย่างเพื่อธีระกรุ๊ปมาตลอด แต่สิ่งที่พ่อกูได้รับ มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับหยาดเหงื่อทุกหยดที่พ่อกูทุ่มลงไป คำพูดดูถูกเหยียดหยามที่พวกมันใช้กับพ่อกู! คือสิ่งตอบแทนความตั้งใจของพ่อกูสินะ” ผมบอกเสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งกระชากผมตรงท้ายทอยอีกคนขึ้นมา
   

ขัดขืนอีกสิ ใช้แล้ว...ดิ้นหนีแบบนี้แหละ ตะเกียกตะกายให้สุดใจไปเลย
   

“ม ไม่จริงหรอก...พี่ซันยังเคยบอกผมเลยว่า อึก ก พ่อพี่ซันรักพี่มากแค่ไหน”
   

“หึ! ตั้งแต่เด็ก...มันก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แล้วจะเคยสนใจอะไร แค่มันเอ่ยปากอยากได้อะไร ทุกคนก็แข่งกันประเคนให้มันแล้ว ทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำอะไรดีหรือสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง แต่ทุกคนก็เข้าข้างมัน แล้วกูล่ะ กูพยายามทำดีทุกอย่างแต่ไม่เห็นว่ากูจะได้อะไรตอบแทน” ผมหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง
   

ชีวิตผมลำบากตั้งแต่เกิด พ่อเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดา ได้เป็นผู้จัดการก็เพราะความอาวุโส แม่เป็นเพียงพนักงานบัญชี ไร้ซึ่งความโดดเด่น สุดท้ายก็จากไปด้วยโรคมะเร็งตอนผมอายุห้าขวบ


ผมได้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ เงินรายวันที่ได้ก็ต้องพยายามอดออม อยากกินของอร่อยเหมือนเด็กวัยเดียวกันได้กินก็ต้องตัดใจ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องเหนื่อย


แต่นับว่าผมยังมีโชคอยู่บ้าง เมื่อพ่อพบรักกับป้าไอ้ซันและแต่งงานกัน


ในที่สุด...ผมก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของไอ้ซัน


ผมวาดฝันว่าตัวเองจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ เจอเพื่อนดีๆ และได้กินอาหารดีๆ


ผมยังจำสายตาดูถูกเหยียดหยามของคนบ้านนี้ได้โดยเฉพาะ...ไอ้ซัน มันไม่ยอมรับผมเป็นญาติอีกคน และพูดตอกหน้าผมว่ามีพี่ชายแค่คนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าพี่ชายคนนั้นไม่ใช่ผม


มันมองผมต่ำชั้นกว่ามันเสมอ


ถึงต่อมาคนในบ้านจะให้ความเอ็นดูและนับถือผมมากขึ้นเพราะไม่สร้างปัญหาเหมือนลูกชายเจ้าของบ้านทั้งยังเรียนเก่ง แต่ความทรงจำในวัยเด็ก...ผมไม่เคยลืม!


“พี่ซันเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันหรอก คุณลุงโอ๋พี่มากไม่ใช่เหรอ พี่ซันถึงต้องทำตัวประชดพ่อแม่แบบนั้น ที่พี่ซันไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านมันเพราะอะไร แค่นี้พี่ยังคิดไม่ได้อีกเหรอครับ!?”


“มึงจะไปรู้อะไร”
   

“ไม่! ปล่อยกู!!!” บีทส์ดิ้นพล่านเมื่อผมมือข้างหนึ่งเลิกเสื้อยืดเขาขึ้น แต่ผมใช้ลำตัวกดเขาไว้ อยากรู้นักว่าฤทธิ์จะเยอะแค่ไหน เอาเลยหนูน้อย ดิ้นให้แรงและร้องไห้ดัง!
   

ผมมองหน้าท้องแบนราบของอีกคน ค่อยๆ ใช้หลังมือไล้ไปตามหน้าท้องขาวอย่างเบามือแล้วก้มดอมดมด้วยความหื่นกระหาย


“กลัวทำไม ไม่ใช่ว่าไม่เคยนี่”
   

บีทส์ซุกหน้าลงเตียง กลั้นเสียงสะอื้นจนตัวโยน
   

หึๆ นี่มันแค่น้ำจิ้ม



Talk :: ซวยจริงบีทส์เอ้ย

หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 31-10-2018 21:54:37
ซวยจริงๆด้วย :katai1:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-11-2018 02:43:02
ใครซวย เจหรือเปล่านะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-11-2018 20:36:03
โอ้ยยยยย ทำไมพวกมึงไม่ไปเคลียร์กันเอง เอาบีสท์มาเกี่ยวด้วยทำไมไอ้เลววววว :serius2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 02-11-2018 10:01:34
ซวยของแท้เลยหนู จะมาชวนทันมั้ยเนี้ย
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-11-2018 05:54:24
พิสูจน์ความรักอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 26-11-2018 12:12:09
 :L2:
หัวข้อ: Re: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 40 : ข้อแลกเปลี่ยน 1/2 [P8]
เริ่มหัวข้อโดย: เบบี้เยลโล่ ที่ 08-05-2020 12:05:04

ตอนที่ 40 :: ข้อแลกเปลี่ยน พาร์ท 1




#นิยาย Love Suck! เปิดให้จับจองเป็นเจ้าของแล้วเน้อ ตั้งแต่วันนี้ - 15 พ.ค. 63#

 

[ซัน]

 


“มึงจะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ เหรอวะซัน”

 

ผมหันไปเลิกคิ้วให้ไอ้อาร์ต มันมาหาผมที่บ้าน ทำไมกูต้องทำอะไรด้วย ในเมื่อเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว หายไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง เดี๋ยวก็คงกลับมาเหมือนเดิมนั่นแหละ

 

“ไอ้ซัน”

 

ผมถอนหายใจ

 

“แล้วกูต้องทำอะไร”

 

ถามมันกลับเสียงฉุน ก่อนจะก้มอ่านเอกสารในแฟ้มต่อ

 

ช่วงนี้ผมต้องอ่านเอกสารทำความเข้าใจกับเนื้องานแต่ละโครงการอย่างละเอียดเพื่อศึกษาโครงสร้างงานและลักษณะการบริหารจัดการงาน ดังนั้นจึงต้องอ่านให้มากเข้าไว้ โทษใครไม่ได้ด้วย ก็ตัวเองดันไม่ได้สนใจที่จะเข้ามาดูแลตั้งแต่แรกนี่นะ

 

“เหี้ย...นิ่งเกินไปแล้ว” ไอ้อาร์ตด่า

 

ผมยักไหล่

 

“เรื่องไอ้เจเป็นไงบ้าง กูได้ยินว่ายังตามตัวไม่ได้” มันเปลี่ยนเรื่องพลางปลดเนกไทออกจากคอ แล้วยกเบียร์ขึ้นจิบ

 

มันยังอยู่ในชุดทำงานเต็มยศด้วยซ้ำ ออกเวรสี่ทุ่มก็ตรงดิ่งมาหาผมเลย



“หมาจนตรอกอย่างมันหนีไปไหนได้ไม่นานหรอก” ผมตอบนิ่งๆ ปล่อยให้มันได้หนีเท่าที่มันจะหนีได้ มีพ่อมันอยู่ในมือ มันไม่กล้าทำอะไรวู่วามแน่

 

ทีนี้ก็รอดูกันว่า ‘ไพ่ใบสุดท้าย’ ของมันคืออะไร

 

“แล้วพ่อมึงว่ายังไงบ้าง” ไอ้อาร์ตถามต่อ

 

“กูยังไม่ได้บอก”

 

“เอ้าไอ้ห่า แล้วมึงดันสั่งคนไปเฝ้าลุงเจตไว้แล้วเนี่ยนะ” ไอ้อาร์ตเลิกคิ้ว

 

ผมยิ้ม ก็แค่อยากให้อะไรมันเข้าที่เข้าทางก่อน ค่อยบอกทีเดียว ถึงบอกไปตอนนี้พ่อก็คงไม่เชื่ออยู่ดีว่าหลานชายสุดที่รักของพ่อ ร่วมมือกับเลขาฯ ลุงเจตยักยอกเงินบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเอง แถมยังค่อยๆ ช้อนซื้อหุ้นบริษัทตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้าไปทำงานโดยไม่มีใครรู้

 

โชคดีที่ผมนึกสนุกค้นเอกสารเก่าๆ ออกมาจำลองเส้นทางเดินของงานจนตรวจพบความผิดปกติ จึงได้เริ่มตรวจสอบเงียบๆ

 

ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็สาวถึงตัวการ

 

“ก็แค่กันไว้ก่อน” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ไอ้ซัน นี่มึงจะไม่สนใจจริงๆ ใช่ไหม” ไอ้อาร์ตเริ่มหมดความอดทน วกกลับเข้ามาถามเรื่องเดิม

 

ผมถอนหายใจหนักๆ แล้ววางปากกาลงบนโต๊ะ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นมากอดอกมองเพื่อนสนิทที่จ้องผมอยู่เหมือนกัน จากนั้นเอ่ยถามมันเสียงเข้มบ่งบอกความไม่พอใจ

 

“มึงจะให้กูสนใจเขาอีกทำไมวะ เพื่ออะไร?” ผมเลิกคิ้ว “มึงลองตอบให้กูฟังสิอาร์ต” กูอุตส่าห์หันเหความสนใจทั้งหมดมาที่งานเพื่อจะได้ลืมมัน! แล้วมึงจะตามมาย้ำเรื่องของมันทำไม

 

ไอ้อาร์ตทำหน้ารู้สึกผิด

 

“โทษทีว่ะ มึงไม่ไปเจอน้องเขาเหมือนที่กูเจอนี่หว่า” มันทึ้งหัวตัวเอง “ปกติผอมแห้งแรงน้อยอยู่แล้ว ที่กูเจอล่าสุดยิ่งแย่...จนกูอดสงสารไม่ได้ ถึงกูจะไม่เข้าใจความคิดเขา แต่กูว่าเขาคงมีเหตุผล” มันมองหน้าผม “มึงรู้ไหม รอยยิ้มเขามันทำให้กูเศร้าตาม”

 

ผมยักไหล่ ทำเป็นไม่ใส่ใจ

 

ครืด... ครืด…

 

ไอ้อาร์ตเลิกคิ้วถาม เมื่อเห็นผมขมวดคิ้วมองดูเบอร์ที่โทร.เข้ามา

 

เบอร์ที่ผมอยากลบออกไปจากความทรงจำ แต่ดันจำได้ขึ้นใจ...

 


“ใคร?” มันออกปากถาม เมื่อเห็นผมไม่รับสายสักที


 

“คนที่มึงบ่นถึงเมื่อกี้” ผมตอบแล้วกดตัดสาย วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม

 

“ใจแข็งมากเพื่อน!” มันประชด ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ถ้ามึงไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปหาไบร์ทก่อนแล้วกัน”

 

“ไปเอาป่านนี้?”

 

“แค่แวะไปดูหลังคาบ้าน” มันตอบกวนๆ

 

ผมหัวเราะ


         
ไอ้ห่า...อาการหนัก

 

           
มีสัญญาณเตือนข้อความเข้า ผมหลุบตามอง ก่อนจะหยิบมาเปิดอ่าน นึกสงสัยขึ้นมาว่ามันจะมาไม้ไหนอีก แต่...

 

“อาร์ต!!!!” ผมเรียกชื่อเพื่อนตัวเองเสียงดัง มันชะงักที่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วแล้วเดินกลับมาหาผม ผมกำมือแน่น ไอ้อาร์ตชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมส่งให้มัน ก่อนจะเบิกตากว้างเช่นกัน

 

รูปที่โชว์อยู่บนหน้าจอ เป็นรูปบีทส์กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงสองมือโดนมัดไพล่หลัง สองขาก็ถูกมัดไว้ เบอร์ที่ส่งมาก็เป็นเบอร์ของคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง ผมกับไอ้อาร์ตมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลาย

 

ขออย่าให้เป็นแบบที่ผมคิด ขอร้องล่ะ!

 

“มึงอยู่ที่ไหน!!?” ผมกดรับสาย แล้วโพล่งถามออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน เมื่อมีสายเรียกเข้าจากเบอร์เดิม

 

ไอ้อาร์ตยื่นมือมาคว้าโทรศัพท์ไปจากผมแล้วกดเปิดลำโพง

 

“โอ๊ะโอ...ใจเย็นๆ น้องรัก”

 

ผมชะงัก ไอ้เหี้ยเจ…



ไอ้อาร์ตมองหน้าผมด้วยความกังวล

 

“มึงทำเหี้ยอะไร” ผมถามเสียงลอดไรฟัน

 

ไอ้เจหัวเราะขำๆ

 

ไอ้สัส กูไม่ตลก!

 

“ไม่ได้ทำอะไรนี่ กูแค่พาน้องเขามาพักผ่อนนอกสถานที่ เห็นว่าเคยรักกันมาก่อน เลยส่งรูปให้ดูเล่นๆ กูเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมมึงถึงติดใจเด็กนี่นัก”

 

ผมกัดฟัน พยายามควบคุมเสียงตัวเองให้นิ่งที่สุด “มึงต้องการอะไร”

 

“อยากได้คืนไหม”

 

“...”

 


“ถ้าไม่อยากได้คืนก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าจะส่งกลับไปในสภาพเดิมรึเปล่า เด็กมันน่ากินว่ะ ชิมนิดชิมหน่อยคงไม่ว่ากันใช่ไหม แบ่งๆ กันนะน้องชาย” มันเว้นวรรค ก่อนจะต่อประโยคด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “บอกก่อนนะว่าถ้าเรื่องนี้ถึงหูตำรวจเมื่อไหร่ มึงอาจจะได้ร่างไร้วิญญาณของไอ้เด็กนี่กลับไปแทน อย่าลืม...ว่ากูไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”

 

“มันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมันสิ ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับกูแล้ว” ผมเสี่ยงบอกปัดความเกี่ยวข้องทันที

 

“งั้นก็น่าเสียดายนะ ฮะๆ” ไอ้เจพูดแค่นั้นก่อนจะกดตัดสายไป

 

ไอ้เหี้ย! มึงจะเล่นกับกูแบบนี้ใช่ไหมไอ้สัส! ผมพยายามกดต่อสายกลับไปหามัน แต่มันไม่ยอมรับสาย และกดปิดเครื่องในที่สุด

 

“เชี่ยแม่ง!!”

 

“ใจเย็นๆ ก่อน มึงก็รู้ว่ามันต้องการอะไรจากมึง กูคิดว่าตอนนี้มันคงยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็ติดต่อมา” ไอ้อาร์ตบอกเสียงเครียด ผมกุมมือตัวเองไว้เพื่อลดอาการสั่น โกรธจนสั่นไอ้เหี้ย!!

 

ไม่คิดเลยว่าไพ่ใบสุดท้ายของไอ้เจจะเป็นบีทส์

 

หากผมแสร้งทำเป็นเฉย ปล่อยให้ไอ้เจตายใจ ก็กลัวว่าคนที่ผมไม่เคยนิ่งเฉยต่อมันได้จะเป็นอันตรายไปซะก่อน แค่จินตนาการว่ามันจะกลัวแค่ไหน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายแม่งก็เต้นรัวจนยืนอยู่เฉยๆ ไม่ได้! ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ต้องไปช่วยออกมาให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน!!!

 

“มึงโทร.บอกแฟนมึงก่อน บอกว่ารู้แล้วว่าพี่มันอยู่ที่ไหน แล้วโทร.ตามพวกเรามาที่คอนโดกู และถ้าจะให้ดี...อย่าเพิ่งบอกคุณน้า กูจะไปคุยกับพ่อ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน”

 

“โอเค” ไอ้อาร์ตรับคำ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป

 

ผมกดต่อสายหาพ่อตัวเองในรอบหนึ่งเดือน

 

“มีอะไร”

 

“เกิดเรื่องแล้วครับ ตอนนี้พ่ออยู่ไหน” ผมถาม

 

“ฉันจะถึงบ้านแล้ว ตอนนี้อยู่กลางซอย มีอะไรด่วนหรือไง” พ่อตอบแล้วถามกลับ

           


“หลานชายสุดที่รักของพ่อ จับคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปเพื่อเอามาต่อรองกับผม” ผมตอบคำถามให้สั้นและกระชับที่สุด

 

           
พ่อเงียบไปอึดใจ


 

“ฉันถึงแล้ว มาคุยต่อที่ห้องทำงานฉัน”

 

 

++++++++++++++++++++

 

 

“เรื่องเป็นมายังไง” พ่อเอ่ยปากถามทันทีที่มาถึง ผมเล่าเรื่องความบาดหมางของผมกับไอ้เจ รวมทั้งการทุจริตที่เกิดขึ้นให้พ่อฟัง โดยเลี่ยงกล่าวถึงความสัมพันธ์ซับซ้อนของผมกับบีทส์

 

“จะทำอะไรก็ทำ แต่ฉันขออย่างเดียว...อย่าให้เรื่องถึงตำรวจ” พ่อบอกเสียงเฉียบขาด ผมกัดฟันด้วยความโมโห

 

“มันทำถึงขนาดนี้ พ่อยังจะปกป้องมันอีกเหรอ!?”

 

“ฉันมีเหตุผลของฉัน แกจัดการในสิ่งที่แกต้องทำไป อยากได้อะไรก็แจ้งทวีหรือไม่ก็เจ้าภีม พวกเขาจะสแตนด์บายรอคำสั่งแกทุกเมื่อ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าแกสั่งให้คนคุมตัวเจตไว้ จะทำอะไรคิดให้รอบคอบ ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ทำอะไรปรึกษาทวีก่อน” พ่อไม่คิดจะอ่อนข้อ

 

“...หรือถ้าแกอยากให้ตำรวจเข้ามายุ่งก็บอกฉัน” พ่อสบตาผมด้วยสายตาสื่อความนัย “แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อคือแลกกับการที่แกจะเลิกยุ่งกับ ‘คนไม่เกี่ยวข้อง’ คนนั้น ฉันไม่เข้าใจ ทำไมแกจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น ชีวิตแกมีค่ามากกว่าจะเอาไปทิ้งด้วยเรื่องขี้เล็บที่แกสั่งให้คนอื่นทำแทนได้ ถ้าเจเขาทำผิดจริง ฉันจะจัดการด้วยวิธีของฉันเอง”

 

ผมจ้องหน้าพ่อนิ่ง

 

“เลือกเอา”

 

นายใหญ่ของธีระกรุ๊ปยื่นคำขาด

 

ผมสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ จ้องตาพ่อแล้วพูดช้าๆ ชัดๆ

 

“พ่อยุ่งแค่เรื่องที่พ่อควรยุ่งก็พอครับ เรื่องของผมไม่ต้องยุ่ง”

 

พ่อหรี่ตามองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก นั่นทำให้ผมตัดสินใจเดินออกจากบ้านมาขึ้นรถ และสตาร์ตเครื่องขับออกมาทันที

 

“อาร์ต กูอาจไปถึงช้าหน่อย”

 

ผมส่งข้อความบอกเพื่อน ก่อนจะหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านผม

 

“สวัสดีครับคุณซัน” คนของผมร้องทัก ก่อนจะเปิดประตูบ้านให้

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้านแล้วเปิดประตูลงรถก้าวเข้าตัวบ้าน

 

“อ้าวซัน” เสียงลุงเจตทักผม ขณะกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในบ้าน ไม่มีท่าทีเคืองโกรธที่โดนผมสั่งให้คนคุมตัวเขาไว้ไม่ให้ออกไปไหน หรือถ้าจะไปก็ต้องมีคนของผมไปด้วย

 

ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม แล้วเอ่ยเข้าเรื่องทันที “ผมเข้าเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้ลูกของลุงกำลังทำให้ผมลำบากใจ เขาจับคนของผมไปเพื่อหวังต่อรองให้ผมส่งหลักฐานเกี่ยวกับการยักยอกเงินบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวให้เขา ผมต้องการให้ลุงช่วย”

 

ลุงเจตขมวดคิ้วก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ลงทันที ผมลอบสังเกตอาการอย่างจับพิรุธ

“เจจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”

 

“เรื่องนั้นลุงคงต้องไปถามลูกชายของลุงเอง แต่ที่ผมต้องการรู้ก็คือ...มีที่ไหนบ้างที่ลูกของลุงจะไปซุกหัวอยู่นอกจากที่นี่ และมีที่ไหนที่มันจะหนีไปกบดานถ้าหลุดจากการตามล่าของผม ถ้าหากลุงรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนให้บอกผมมา ผมจะไปเอา ‘คนของผม’ คืน” ผมบอกออกไปตรงๆ วัดใจกันไปเลย

 

“...”

 

“ถ้าจะถามหาหลักฐาน ผมมีให้ลุงแน่ แต่ตอนนี้ผมต้องช่วยคนของผมก่อน หวังว่าลุงจะเข้าใจและให้ความร่วมมือ ถ้าคนของผมปลอดภัย ผมก็รับประกันได้ว่ามันก็จะรอดเหมือนกัน”

 

 

++++++++++++++++++

 

 

ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องพัก แล้วเปิดประตูเข้าไป คนที่อยู่ในห้องหันมามองผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัด



“เป็นไงวะ” ไอ้อาร์ตเป็นคนเดินมาหาผมก่อน

 

“ไม่คิดว่าพวกเฮียๆ จะมาด้วย” ผมไม่ตอบแต่หันไปถามมันกลับ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้เฮียอั๊ตพี่ชายไอ้อาร์ต พี่เมฆ แล้วไล่ทักเพื่อนสนิทของตัวเองทางสายตา ไอ้โต้ง ไอ้บาส ไอ้สอง คนที่อายุน้อยกว่าก็ยกมือไหว้ผมไล่ๆ กัน ไอ้น๊อต ไอ้ปริ้น ไอ้ออย แล้วก็ไบร์ท ผมหันไปเลิกคิ้วเมื่อเห็นพิงค์กับนัทมาด้วย น้องๆ ยกมือไหว้ผมเช่นกัน

 

“นี่เฮียแทนกับเฮียปลื้มเป็นเพื่อนเฮียอั๊ต สองคนนี้เส้นสายเยอะเผื่อช่วยอะไรได้ เฮียอั๊ตเป็นคนตามมา” ไอ้อาร์ตแนะนำผมให้รู้จักเพื่อนของเฮียมัน หน้าโหดฉิบหาย เป็นเพื่อนเฮียอั๊ตได้ไงวะ

 

ผมยกมือไหว้เฮียทั้งสองคน เขาพยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่พูดอะไร

 

“เราต้องแบ่งทีมออกเป็นสามทีม สองทีมไปซุ่มรอไอ้เจไว้ เผื่อว่ามันหนีรอดไปได้แล้วอาจจะหนีไปกบดานในที่ที่กูได้ข้อมูลมา” ผมบอกพลางหันไปถามเฮียแทนกับเฮียปลื้ม “พวกเฮียมีคนอยู่แล้วใช่ไหมครับ”

 


ทั้งสองคนพยักหน้ารับ ผมเลยยื่นแผนที่ให้

 


“นี่เป็นที่อยู่บ้านของไอ้ไลท์เพื่อนไอ้เจ มันมีพวกเยอะเพราะพ่อมันมีกิจการหลายอย่าง ผมอยากให้พวกเฮียไปดักซุ่มไอ้เจที่บ้านเพื่อนมันและคอยตามดูความเคลื่อนไหวของไอ้ไลท์ไว้ มันไม่เคยเห็นพวกเฮีย อีกอย่างที่นั่นเป็นบ้านพักส่วนตัวของมัน ผมอยากให้เฮียคุมพื้นที่ไว้ ถ้าคนไม่พอบอกผมนะครับ”

 


คนชื่อแทนเป็นคนรับไปดูแล้วยื่นให้เพื่อนตัวเอง เฮียปลื้มแค่ปรายตามองแวบเดียว ก่อนจะหันมาตอบผม

 


“เหลือเฟือ”

 


ผมหันไปบอกพี่เมฆแล้วยื่นแผนที่ให้ “อีกทีมต้องแยกกันไปสองที่คือบ้านเก่าของไอ้เจกับบ้านที่มันเคยซื้อไว้ ผมอยากให้พี่เมฆกับไอ้โต้งไปด้วยกัน” ผมหันไปหาไอ้โต้ง “กูรู้ว่าพื้นที่นี้ญาติมึงดูแลอยู่ ฝากด้วย”

 


ไอ้โต้งรับไปดู ก่อนจะส่งยิ้มกวนตีน

 


“อยากกลับไปเยี่ยมญาติอยู่พอดี”

 


“ที่เหลือส่วนหนึ่งไปกับกู อีกส่วนคอยประสานงานอยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้สถานการณ์ได้ทัน เป้าหมายก็แค่ช่วยคนของกูออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย และห้ามใครเป็นอะไรเด็ดขาด” ผมสั่งการต่อเสียงเข้ม

 


ทุกคนพยักหน้ารับ ไม่มีใครถามหรือออกความเห็นอะไรอีก

 


ครืด... ครืด…

 


ทุกคนมองผมเป็นตาเดียว เมื่อมีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของผม

 


“ว่ายังไง” ผมกดรับ ไม่ลืมเปิดลำโพงด้วย

 


“กูมีของขวัญมาให้” ไอ้เจตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ผมกัดฟัน มือสองข้างกำเข้าหากันแน่น

 

“ฮึก...” มาแล้วฮึกแรก ผมพยายามตั้งสติ ห่วงแม่งจะตายแล้วเหี้ย!

 

“ร้องทำไม พี่ดูแลเราไม่ดีเหรอหืม” เสียงไอ้เจคุยกับบีทส์

 

“ไม่!! อย่าแตะกู!”

 

“มึงทำอะไรมัน!!!” ผมตะคอกถามเสียงดังลั่น หันไปเห็นไอ้อาร์ตปลอบคนของมันอยู่ พิงค์ก็เหมือนจะโกรธเลือดขึ้นหน้ามีนัทคอยจับไว้แน่น ส่วนไอ้ออยร้องไปแล้วเรียบร้อยมีไอ้ปริ้นลูบหัวปลอบอยู่

 

ไอ้สองกับไอ้น๊อตนั่งฟังเงียบๆ อยู่ที่โซฟา แต่นั่งติดกันแทบจะสิงร่าง

 

“จุ๊ๆๆ ไหนว่าไม่สนใจแล้วไง” มันถามกลับกวนๆ

 

ผมเงียบ

 

เออไอ้สัส! มันบอกเลิกกู! มันอยากเลิก! แต่กูเองนี่แหละที่ไม่อยากเลิก กูยังรักมันอยู่ นี่แหละที่ทำให้กูหงุดหงิด!!

 

“กูจี้ใจดำสินะ หึๆ ทีนี้มึงฟังกูให้ดี ถ้าอยากได้คนของมึงคืน ตีหนึ่งคืนนี้เอาแฟรชไดร์ฟกับคลิปเสียงนั่นมาให้กูที่โกดังโรงงานเก่าติดกับท่าเรือชลบุรี อย่าเล่นตุกติก เพราะกูทำอะไรได้มากกว่าที่มึงคิด”

 

“มึงทำแบบนี้ทำไม” ผมถาม

 

“เพื่อความสะใจของกูไง” มันตอบกลับเสียงเข้มแล้วกดวางสายไป


“.....”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

ไอ้น๊อตเป็นคนวิ่งไปเปิดประตู

 

“สวัสดีครับ” ผู้มาใหม่เอ่ยทักทาย ทั้งร่างยังสวมชุดทำงานเต็มยศ มีเพียงเนกไทที่โดนปลดออกหลวมๆ เขาเดินเข้ามาในห้องเงียบๆ พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ก่อนจะหยุดตรงหน้าผม “ท่านประธานส่งผมมาคอยช่วยประสานงานครับ”

 

เขารู้ว่าผมต้องไม่พอใจแน่ที่เห็นเขา





----------------------------------------

คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย?
ท่านใดที่สนใจอยากเก็บนิยายไว้เป็นรูปเล่ม เบบี้เยลโล่เปิดให้โอนเงินแล้วนะคะ
(เปิดพรีออเดอร์ตั้งแต่วันนี้ - 15 พฤษภาคม 63)

ช่องทางติดต่อ FB  : เบบี้เยลโล่  Twitter @babyyellowriter