☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☼ Love Suck! เกลียดนัก...รักดูไหม? ตอนที่ 39 : ตั ว ล่ อ [P7] 31.10.61  (อ่าน 43733 ครั้ง)

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ยิ่งอ่านยิ่งจุกในอก จุกแบบ อธิบายไม่ถูดเลย 5555

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 10 :: รางวัลของคนเก่ง



[บีทส์]


ผ่านมาจะสามอาทิตย์แล้วครับตั้งแต่พวกผมไปเข้าค่ายมา นับๆ ดูก็เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่ผมได้เข้ามาเป็นนักศึกษาของที่นี่ ด้วยเอกที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร และเพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่าหน้าตาหล่อเหลาอย่างผมจะเรียนบัญชี ทำให้ผมกลายเป็นจุดเด่นของคณะคนหนึ่งไปโดยปริยาย เวลาเดินไปไหนมาไหนในมหาลัยก็จะแขวนป้ายชื่อสีเขียวที่บ่งบอกถึงเอกที่เรียน คนมองเหลียวหลังกันจนคอแทบเคล็ด

 
ตั้งแต่วันกลับจากการเข้าค่ายที่ผมได้นั่งคู่กับพี่เจ พี่มันก็ชวนผมคุยตลอดทางนั่นแหละครับ คอยวัดไข้ผมเป็นระยะๆ  ให้อีกต่างหาก ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่มันต้องมาทำดีกับผมด้วย ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ผมก็พยายามที่จะบอกให้พี่มันกลับไปนั่งกลับเพื่อนซะ เพื่อนผมมันดูแลผมได้ แต่พี่มันดันเอ่ยปากบอกว่า


'พี่เต็มใจ'
 

แล้วใครจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับ ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย อ่อ พี่มันขอโทษเรื่องที่แกล้งผมด้วยนะครับ ยังจำกันได้ไหม ผมเลยถามพี่มันไปว่าคนอื่นก็คุยกันแต่ทำไมถึงเรียกทำโทษแค่ผม...พี่มันหัวเราะก่อนจะตอบด้วยประโยคที่สุดแสนจะขนลุกว่า

 
'บีทส์น่ารักไง พี่เลยแกล้ง อีกอย่างแค่อยากให้บีทส์จดจำพี่ได้ก็เท่านั้นเอง...แล้วมันก็ได้ผลดีซะด้วย'

 
มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละครับที่เชื่อ ผมเบ๋ปากให้พี่มันด้วยท่าทีที่ไม่เชื่อสุดๆ พี่มันหัวเราะก่อนจะยีหัวผม ผมสะบัดหัวหนีก่อนจะทิ้งหัวลงไปเอียงซบกระจกเพื่อข่มตาหลับ ไม่อยากจะคุยกับพี่มัน พี่เจเลยบอกให้ผมนอนพักผ่อนซะ แต่ทำไมต้องมากระซิบใกล้ๆ หูผมด้วยละพี่!!


ผมยกเอาเสื้อที่พี่เจยื่นให้ห่มก่อนหน้านี้มาปิดคลุมหัวมิด ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึ ใกล้ๆ ก่อนที่ผมจะหลับๆ ตื่นๆ จนมาถึงกรุงเทพ


ก็ตื่นเฉพาะเวลาเขาแวะปั้มกันเท่านั้นแหละครับ รู้สึกไม่สบายตัวเลยได้แต่นอน โดยมีไอ้พี่เจเป็นคนรับใช้ส่วนตัว สบายชะมัด!  อ่อ ระหว่างที่เขาจอดปั้ม  ผมก็แอบเหล่มองหาพี่ซันอยู่นะครับ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาสงสัยจะเปลี่ยนไปนั่งคันอื่น...

 
...ทั้งกลุ่มเลย

 
“มึงมีอะไรอยากบอกกูไหมบีทส์” ผมหันไปตามเสียงพูดของคนที่นั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเลิกคิ้วถามมันงงๆ อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมา คนฉลาดๆ อย่างกูก็งงเป็นนะพิงค์


“อะไรของมึง” ผมถาม แต่อิพิงค์มันยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือการ์ตูนของมันเหมือนเดิม นั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ มือหนึ่งถือหนังสือการ์ตูน อีกมือก็หยิบขนมใส่ปาก สบายไปไหมเพื่อนกู


“เรื่องพี่ซัน” 


ผมนิ่งเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคน นี่ผมเผลอไปแสดงอาการอะไรให้มันสงสัยตอนไหนหรือเปล่า ผมว่าผมยังไม่เคยพูดเรื่องพี่ซันกับใครเลยสักครั้งแม้แต่กับน้องก็ยังไม่เคย แล้วไอ้คนที่มันนั่งอ่านการ์ตูนตรงหน้ามันรู้ได้ยังไง เอ๊ะ หรือมึงจะมีญาณทิพย์วะพิงค์ ไอ้ฉิบหาย!! เพื่อนกูมีองค์เหรอเนี่ย


“ไม่มีนี่ กูจะไปปิดบังมึงเรื่องอะไรครับ” ผมพยายามปรับเสียงตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะก้มลงเอาหนังสือมาเปิดทำเนียนเป็นทบทวนบทเรียน ทั้งที่ในหัวกำลังคิดถึงใบหน้าของใครบางคน ที่พิงค์มันพูดถึง


“บีทส์” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอิพิงค์ด้วยใบหน้าหงุดหงิด อยู่ดีๆ ก็เรียก เรียกแล้วก็ไม่พูด!


“เรียกทำไมอีก!?!” ผมตะคอกใส่หน้าเพื่อนสนิททันที ตอนนี้อยู่กันสองคนครับ ไม่รู้จะไปลงที่ใคร ไอ้นัทไปหามีนที่คณะในระหว่างพัก ผมกับอิพิงค์ก็นั่งรอไอ้ปริ้นกับไอ้ออยให้เดินมาหาพวกผมที่คณะนัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวพร้อมกัน
 

“มึงอ่านหนังสือกลับด้าน”


หื้ม?  ผมก้มลงมองหนังสือในมือก่อนที่จะ...

 
เพล้งงงงงงง
 

ได้ยินเสียงหน้าตัวเองหล่นแตกกระจาย เชี่ยเอ๊ย จริงด้วย!! ผมรีบกลับหัวหนังสือให้ถูกที่ถูกทาง ก่อนจะนั่งตีหน้านิ่งท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอิพิงค์ที่ตอนนี้ลงไปนอนราบกับเก้าอี้แล้วกุมท้องหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย อินี่!! เดี๋ยวกระโปรงเปิดเก็บชายกระโปรงหน่อยสิโว้ย เดี๋ยวกูได้เห็นอะไรๆ ที่มันไม่เจริญหูเจริญตา!
 

ไอ้ฉิบหาย อายมาก!!


“หยุดเลยพิงค์ เมื่อกี้กูแค่ทดสอบความสามารถของตัวเอง ลองอ่านหนังสือกลับหัวดูบ้าง เผื่อกูจะจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น!” แถไปก่อนเรื่องเสียหน้ายอมไม่ได้ อิพิงค์มันพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง หน้ามันแดงไปหมด พยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ ฮึ่ม มึงอย่าพลาดบ้างนะโว้ย
 

“อ๋อเหรอ กูเพิ่งรู้ว่าอ่านหนังสือกลับหัวจะทำให้เราจำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น ทริกมึงนี่น่าเอามาลองนะบีทส์ ฮ่าๆๆ” ยังครับ มันยังไม่หยุด เอ้อ! กูรู้ว่ากูพลาด แต่อย่าย้ำนักได้ไหม เห็นด้านๆ แบบนี้กูก็อายเป็นนะมึง


“เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวกูเสกหนังควายเข้าท้อง” ผมชี้หน้ามัน


“ฮ่าๆ อะไรวะ กูก็แค่แซว สรุปคือมึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอ มีอะไรมึงปรึกษากูได้นะ เห็นกูแบบนี้ แต่กูมั่นใจว่าฉลาดกว่ามึง” พิงค์มันพูดขำๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังในตอนท้าย แต่จะว่าไปก็จริงของมัน เอ๊ะ มึงหลอกด่ากูหรือเปล่าเนี่ยพิงค์!?!
 

“ไม่ต้องกลั้นขำเลยมึง กูรู้หรอกว่าหลอกด่ากู” ผมพูดเซ็งๆ หรือว่าจะลองปรึกษากับมันดูเผื่อมันจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยๆ มันก็คงจะคุ้นเคยกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าผม แต่เห้ย บอกมันจะดีเหรอวะยิ่งปากสว่างอยู่ด้วย แต่พอคิดดูอีกที...พิงค์มันก็เพื่อนผมนี่หว่า เพื่อนย่อมไม่ขายเพื่อน!! 


อย่าครับอย่ามองผมด้วยสายตาประมาณว่า มึงอย่าโง่นะบีทส์ ผมมีเหตุผลของผมนะ อย่างน้อยๆ พิงค์มันก็ดูเป็นคนจริงใจกับเพื่อนกับฝูง จริงๆ นะ อีกอย่างผมว่าประสบการณ์เรื่องความรักมันคงผ่านมาโชกโชน อย่าเพิ่งคิดลึกผมหมายถึง หน้าตาดีๆ อย่างมันก็น่าจะมีคนมาชอบเยอะใช่ไหมล่ะ มันก็น่าจะมีแนวคิดดีๆ ให้ผมได้เอามาประยุกต์ใช้บ้าง! ฉลาดคิดฉิบหาย


“ว่าไงบีทส์” อิพิงค์ยักคิ้ว ผมเหล่ไปมองหน้ามัน อย่าเพิ่งเร่งได้ไหม กูกำลังประเมินถึงผลดีผลเสียอยู่ เรื่องนี้มันปัญหาใหญ่ระดับชาติเลยนะเว้ย

 
“อย่าเร่งดิ” ผมตอบ พลางขมวดคิ้วเป็นปม ขาล่างก็กระดิกยิกๆ ไปพร้อมๆ กับนิ้วชี้ พิงค์มันเบ๋หน้าให้พลางก้มดูนาฬิกาสีชมพูที่ข้อมือมัน จะว่าไปไอ้ออยกับไอ้ปริ้นมันก็ช้าไปนะ เดี๋ยวหมดเวลาพักก่อนที่จะได้กินข้าว ผมนี่แหละจะงาบหัวมันเป็นอาหารเที่ยง!!

         
“ห่า เดี๋ยวไอ้พวกนั้นมามึงก็ไม่ได้เล่าพอดี เร็วๆ ดิ กูอยากรู้” สรุปคือมึงแค่อยากเสือกสินะ ผมมองหน้ามัน

 
“มึงเคยแอบชอบใครไหมพิงค์”

 
“เอ้า อินี่!! ถามคำถามได้ปัญญาอ่อนมากค่ะ สวยๆ อย่างกูมันก็ต้องสนใจคนหล่อๆ อยู่แล้ว มึงถามทำไม” อิพิงค์จีบปากจีบคอพูด น่าถีบจริงๆ


“มึงก็ฟังกูให้จบก่อนเซ่! กูหมายถึงแบบ...แอบชอบใครสักคน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบเรา ออกจะเกลียดกู เอ้ย ไม่ใช่! ออกจะเกลียดเราด้วยซ้ำ คือกูจะพูดยังไงดีวะ คล้ายๆ กับการแอบชอบเขาข้างเดียว ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ประมาณนั้นอ่ะ” ผมเล่าพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาแก้มด้วยความไม่แน่ใจ พิงค์มันพยักหน้ารับคิดตาม
 

“ที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ก็เพราะทั้งเขาและมึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่ไหม?”

 
“ใช่!! เอ้ย ไม่ใช่โว้ย!! มึงจะบ้าเหรอ” ผมรีบโวยวาย อิพิงค์หัวเราะ
 

“หึหึ มึงมีเรื่องต้องคุยกับกูยาวเลยนะบีทส์ มึงปรึกษาคนถูกแล้วเพื่อนยาก”       
 

“กูบอกว่าไม่ใช่ไง มึงอย่ามั่วพิงค์ กูยิ่งเครียดๆ อยู่” ผมพยายามปฏิเสธ ทำไมเหมือนผมสังเกตเห็นแววตาที่กำลังพบเจอเรื่องสนุกเรืองแสงออกมาจากตาของไอ้คนที่มันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังไงก็ไม่รู้ครับ คิดถูกหรือคิดผิดว่ะเนี่ยมาปรึกษามัน


“เอาเถ๊อะ มึงยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่กูอยากแนะนำอะไรมึงสักอย่างนะบีทส์ ในฐานะที่กูก็เจอคนมาเยอะ” แน่ใจนะว่ามึงแค่เจออย่างเดียว ผมแอบแย้งในใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ เพื่อรอฟังว่าพิงค์มันจะพูดอะไรต่อ
 

“อย่าเพิ่งยอมแพ้...ถ้ามึงยังไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด” อิพิงค์มองหน้าผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“หมายความว่าไงวะ”


“มึงเอากฎเกณฑ์จากที่ไหนมาวัดว่าความรักของมึงมันเป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเท่านั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วทุกวันนี้มันจะมีกระเทย ทอม เกย์เดินกันให้ควักหรอบีทส์ สำหรับคนอื่นกูไม่รู้ แต่กับพี่ซัน...กูว่าไม่แน่ ห้าสิบห้าสิบ” ผมเลิกคิ้ว มึงจะไปรู้อะไรพิงค์ ถ้ามึงรู้ว่าพี่มันพูดตอกหน้ากูมาว่าเขาชอบผู้หญิงจนเพื่อนมึงหน้าหงาย มึงจะไม่พูดคำนี้เลย
 

“มึงเอาอะไรมาพูด พี่มันชอบผู้หญิงเหอะ”
 

“ฮั่นแน่ มึงยอมรับแล้วใช่ไหมว่าชอบพี่สุดหล่อของกูอ่ะอิบีทส์!?!” ฮะ กูพูดตอนไหน เฮ้ย!! นี่มึงหลอกถามกูอีกแล้วเหรอพิงค์ เลวมาก!!!

           
“อะไรเล่า มึงมั่วแล้วพิงค์ กูจะไปชอบพี่สุดหล่อของมึงได้ไง คือมึงพูดชื่อพี่ซันขึ้นมาใช่ไหมล่ะ กูเลยแบบคิดว่ายังไงพี่เขาก็ชอบผู้หญิงไม่มีทางมาชอบผู้ชาย” ผมเถียง

 
“ ไม่ต้องตอบกูหร๊อก ตอบใจตัวมึงเองก็พอ บีทส์...ลองเสี่ยงอีกสักครั้งก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ กูยอมลดตัวลงมาช่วยมึงเลยก็ได้นะถ้ามึงยอมรับว่าชอบพี่สุดหล่อของกูจริงๆ” ผมชะงักไปในประโยคแรกของมัน แต่ประโยคสุดท้ายนี่อดหมั่นไส้มันไม่ได้ครับ อย่ามาหลอกกูซะให้ยาก กูไม่หลงกลมึงเป็นครั้งที่สามแน่!

 
“ทำไมมึงถึงได้ยัดเยียดกูให้พี่ซันจังวะ นี่กูเพื่อนมึงนะเว้ย” ผมชี้เข้าหาตัวเอง
 

“ลองดูไหมล่ะ เท่าที่กูประเมินดูพี่สุดหล่อของกูน่าจะชอบคนอ้อนๆ หน่อย เชื่อฟังเขา เอาอกเอาใจ เหมือนลูกแมวตัวน้อยของราชสีห์ผู้เย่อหยิ่ง มารยาร้อยเล่มเกวียนที่มึงซ่อนไว้อ่ะเอาออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามึงทำได้ พี่ซันก็พี่ซันเห๊อะ ไม่พ้นมือเพื่อนกูหร๊อก” อิพิงค์มันว่า
 

ผมถอนหายใจ ทุกวันนี้หน้าผมพี่มันยังไม่อยากมองเลยนะ แล้วจะให้ผู้ชายมาดแมนแฮนด์ซั่มอย่างกูไปอ้อนพี่ซัน นอกจากจะไม่ได้ความเอ็นดูจากเขาแล้วเพื่อนมึงอาจจะได้กินตีนพี่มันมากกว่าพิงค์
 

“มึงลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ซันน่ะ แฟนพี่ฟ้านะเว้ย พี่ฟ้าพี่รหัสของกูด้วย!” ผมเอ่ยขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้กับความจริงบางอย่าง


“เขายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย อีกอย่างมึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าเขาคบกันเพราะที่บ้าน มึงจะกลัวอะไรของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย” กูชักจะหนาวๆ ร้อนๆ แล้วนะพิงค์ นี่มึงเพื่อนกูจริงๆ ใช่ไหม
 

“เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นกันด้วยซ้ำ” ผมพูดเสียงสลด


“ว่าที่ก็ว่าที่สิ เชื่อกูเถอะว่าพี่ซันไม่ได้รักพี่ฟ้าจริงๆ หรอก มองตาดูก็รู้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโดนจับหมั้นกันตามประสาคนรวยแต่งกับคนรวยก็ได้”

มึงไปจ้องตากับพี่ซันตั้งแต่ตอนไหน แล้วไอ้การโดนจับคลุมถุงชนขนาดนั้น ครอบครัวเขาก็ต้องรู้เห็นเป็นใจด้วยอยู่แล้ว แล้วกูจะเอาอะไรไปสู้กับเขา


“บาปน่ะสิมึง”

 
“โลกของเรามันไม่ได้สวยงามอย่างที่มึงคิดนะบีทส์ เอาเถอะ มึงก็คิดซะว่าแค่ทำให้คนที่เรารักมีความสุขก็ได้ ถ้าจนถึงที่สุดแล้วพี่ซันเขาไม่สามารถหันกลับมาชอบมึงได้จริงๆ ก็ถือว่ามึงได้ทำเต็มที่แล้ว มึงก็แค่ ‘ตัดใจ’ แต่ถ้าเขาเกิดชอบมึงขึ้นมาจริงๆ มันก็คุ้มกับการเสี่ยงไม่ใช่เหรอวะ” แค่ได้ยินคำว่าตัดใจก็จุกแล้วครับ

 
“เห้ยแต่ว่าไม่ใช่พี่ซันจริงๆ นะเว่ย” คุยกับมันมาตั้งนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ โอ๊ย พลาดอีกแล้วกู อิพิงค์ทำหูทวนลม

 
“ถ้างั้นมึงก็เลิกหน้าแดงให้กูดูก่อนสิ แล้วกูจะยอมโง่เชื่อมึงก็ได้ โอ๊ะ นั่นพี่เจของกูนี่หว่า” ฉิบ นี่กูหน้าแดงเหรอ! ไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้ล่ะเว้ย!! ผมเอามือแนบแก้มตัวเองทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปตามทิศทางที่พิงค์มันมอง


พี่เจจะแวะมาหาผมตอนพักเที่ยงของทุกๆ วันเลยครับแต่ตั้งกลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละ ผมรีบเก็บข้าวของส่วนตัวของตัวเองรวบๆ ใส่กระเป๋า ก่อนจะหันไปสั่งอิพิงค์

 
“พิงค์ๆ ถ้าพี่มันถามหากู บอกว่ากูไปขี้นะไม่ต้องรอ” อิพิงค์ทำหน้างงเหรอหรา ผมรีบหันไปทางพี่เจอีกรอบ พี่มันมุ่งตรงมาทางนี้เหมือนมีเป้าหมาย จะไม่อะไรเลยนะถ้าเป้าหมายที่ว่า..ไม่ใช่ผม

           
“เห้ยเดี๋ยว!!” เสียงอิพิงค์เรียกตามไล่หลัง ไม่ทันแล้วโว้ย!!


ผมรีบจ้ำอ้าวออกมาจากหน้าคณะทันทีด้วยท่าทางเร่งรีบ กระชับกระเป๋าเป้สีดำของตัวเอง มองซ้ายมองขวาไปไหนดีวะ กลับไปกินข้าวที่คณะก็ไม่ได้เดี๋ยวได้ป๊ะกับไอ้พี่เจ พี่มันหล่อนิสัยดีนะครับ แต่ผมมันนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือ…
 

ยิ่งมีใครวิ่งไล่ตาม...ผมก็ยิ่งวิ่งหนี
 

ผมตัดสินใจว่าจะโทรหาไอ้ออยกับไอ้ปริ้น ชวนไอ้พวกนั้นไปกินข้างนอกก็ได้วะ ส่วนอิพิงค์ก็ปล่อยให้มันรับหน้ากับพี่เจไป...มันคงชอบ
 

"อ้าวบีทส์ จะไปไหนน่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะยิ้มกว้างให้กับคนคุ้นหน้าที่เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนสนิทมันอีกคน

 

“ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะโทรหาไอ้ออยแล้วชวนมันไปกินข้าวข้างนอก” ผมตอบก่อนจะก้มลงกดไล่รายชื่อหาเบอร์ไอ้ออยในโทรศัพท์ต่อ


“เราว่าไม่ต้องโทรแล้วล่ะ พวกนั้นมีควิซจนป่านนี้ยังไม่เสร็จเลย” ไอ้ตี๋ตอบ ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์เครื่องโปรด ไปมองหน้าคนตอบแทน
 

“ไม่เห็นไอ้พวกนั้นบอกเลย” ผมถาม จริงๆ ครับ ก็นัดกันไว้แล้วว่าจะไปกินข้าวด้วยกัน ปล่อยให้กูหิ้วท้องรออีกแล้วเรอะไอ้พวกนี้ ชิช๊ะ ลืมกู!!

 
“ฮ่าๆ บีทส์ชอบทำหน้าตลกเหมือนที่ตี๋มันบอกเลย” หา!?! ผมทำหน้าตาเหรอหราหนักกว่าเดิม อะไรวะ ผมออกจะหล่อมาบอกตลก ไม่ใช่พี่หม่ำนะ
 

“ไอ้ตี๋มันบอกเนมแบบนั้นเหรอ” ผมถาม พลางส่งสายตาหาเรื่องไปทางไอ้คนที่ตัวสูงกว่าผม

 
“เห้ย เราเปล่า” ไอ้ตี๋รีบปฏิเสธ หนอยแน่ะ กล้านินทาไอ้บีทส์ลับหลังเรอะ

           
“ฮ่าๆ เนมว่าเราไปกินข้าวกันเถอะ บีทส์ยังไม่ได้ทานเหมือนกันใช่ไหม เนมกับตี๋กำลังจะไปกินข้าวตรงหน้ามอพอดี ไปด้วยกันไหม” หูย คนอะไร วันแรกพูดเพราะยังไง...วันต่อมาก็ยังพูดเพราะอย่างนั้น!! ยิ่งรู้จักกันยิ่งรู้สึกว่าเนมมันแตกต่างจากคู่แฝดมันลิบลับ เรียกชื่อตัวเองแทนตัวทู๊กคำ อะไรจะน่ารักขนาดนี้
 

ผมยิ้มให้เนมก่อนจะพยักหน้าตกลง เลื่อนสายตาไปหาอีกคนที่ยังยืนทำหน้าอ้อนอยู่ข้างๆ เกือบจะหลุดขำแต่เก็บอาการไว้ได้ทัน  ผมสะบัดหน้างอนใส่ไอ้ตี๋ ก่อนจะเดินตามเนมไปติดๆ


“บีทส์!!”  ผมชะงัก แล้วหันหลังกลับไปตามเสียงเรียก

 
“อ้าวพี่หมอ มาทำอะไรแถวนี้ครับ” คือนี่มันหน้าตึกคณะวิศวะนะครับพี่ ได้ข่าวว่าเรียนหมอ แถมยังต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาลไม่ใช่เร๊อะ  พอผมหยุดเดินอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ กันก็พลางหยุดเท้าไปด้วย พวกผมเดินออกมาน่ะครับ กะว่าจะหาอะไรกินกันหน้ามอเพราะกลัวว่าจะกลับมาเข้าเรียนคลาสบ่ายไม่ทัน พ้นจากวิศวะก็เจอประตูแล้วครับ
 

“เอารายงานของไอ้ซันมาฝากไว้กับไอ้สองน่ะ งานด่วนต้องส่งอาจารย์วันนี้” อ่อ มาหาพี่สอง เอ้า แล้วทำไมพี่ซันไม่มาเองล่ะ มหาลัยกับหอก็อยู่กันแค่นี้ จะว่าไปผมก็ไม่เจอพี่ซันเลยตั้งแต่กลับมาจากเข้าค่ายนั่นแหละครับ เลยพอทำให้ใจผมสงบลงได้บ้าง .. ได้ยินเสียงแว่วๆ ตอบกลับมาว่า ‘เหร๊อ??’ จริงๆ นะเออ นั่งยันนอนยันเลย


“อ้าว แล้วทำไมพี่ซันไม่มาส่งเองล่ะครับ” อดไม่ได้ที่จะอ้าปากถาม ไม่เจอหน้าขอรู้ข่าวบ้างก็ยังดี...อาการหนักนะกู


“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” หื้ม พี่ซันน่ะเหรอ!?!


“เฮ้ย จริงหรอพี่ แล้วพี่ซันเป็นอะไรมากไหม อยู่โรงพยาบาลไหนครับ!?! เผื่อผมจะแอบไปเยี่ยมได้ แล้ว แล้วตอนนี้ปลอดภัยดีใช่ไหม เอ่อ พี่หมอ ละ..” ผมเอ่ยถามพี่หมอเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าเอื้อมมือไปคว้าแขนพี่หมอมาเขย่าเร่งตั้งแต่ตอนไหน ก่อนจะหยุดถามเมื่อพี่หมอเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน


“บีทส์ใจเย็นๆ มันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เลือดร้อนไปหน่อยเลยพลาดน่ะ ตอนนี้พี่ก็บังคับให้มันนอนพักอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ” ผมพรูลมหายใจออกมาทางจมูกเฮือกใหญ่ อยากไปเห็นกับตาว่าพี่มันไม่เป็นอะไรมากจริงๆ แอบไปเคาะที่หน้าห้องจะโดนถีบออกมาไหมวะเนี่ย


“ขอโทษครับ” ผมยิ้มแห้งๆ ลืมตัวไปหน่อย


“ไม่ต้องห่วงมันหรอก เดี๋ยวพี่จะกลับไปดูมันอีกสักรอบ แล้วจะไปเข้าเวรต่อ” พี่หมอเอื้อมมือมายีหัวผมแล้วส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ เฮ้อ พี่ซันน่าจะได้มุมนี้ของพี่หมอมาบ้าง ว่าแต่ทำไมใครๆ ถึงชอบเล่นหัวผมกันจั๊ง!! 

           
ผมยังยึดชายเสื้อพี่หมอไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเห็นผมเงียบพี่หมอก็เงียบด้วย เออจริงสิ ถ้าไปกับพี่หมอพี่ซันคงไม่กล้าไล่ผมออกมาแน่ เสี่ยงต่อการโดนด่านิดหน่อยดีกว่ากลับไปแล้วนอนไม่หลับล่ะวะ แล้วก็ถ้าพี่มันถามค่อยบอกว่ามากับพี่หมอก็แล้วกัน

 
“เอ่อ พี่หมอผมขอตามกลับไปที่คอนโดด้วยได้ไหมครับ?” ผมถาม พี่หมอทำสีหน้าแปลกใจ ผมเลยส่งยิ้มประจบไปให้

 
“แล้วเพื่อนเราล่ะ” พี่หมอถาม


เออว่ะ ลืม!!! 


ผมหันขวับไปส่งยิ้มแหยๆ ให้กับทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

           
“คือ...พอดีเรามีธุระด่วนต้องไปทำกับพี่หมออ่ะ คือแบบว่ามันเป็นธุระที่ด่วน ด่วนมากๆ เนมไปกินข้าวกับไอ้ตี๋กันสองคนก็แล้วกันนะ แหะ ๆ ขอโทษด้วย ไว้วันหลังเราจะไปให้ตี๋เลี้ยงข้าว ไปล่ะ!” ผมรีบหันไปพูดกับเนม ก่อนจะเหมารวมเองเสร็จสรรพว่าครั้งหน้าไอ้ตี๋จะเป็นเจ้ามือ เจ้าตัวทำหน้าตาเลิ่กลั่กเหมือนคิดไม่ทัน ผมยิ้มขำแล้วสะกิดแขนพี่หมอให้เดินออกมาทันที

 
“เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะบีทส์” พี่หมอหันมาพูดหันผมพลางหัวเราะขำๆ ผมหันไปยิ้มเขินๆ ก่อนจะก้าวตามไปขึ้นรถกับพี่หมอ

 
ผมนั่งรถมากับพี่หมอ โดยแวะซื้อของกินกับผลไม้ติดมือมาด้วย ตอนนี้ยืนอยู่หน้าห้องพี่ซันแล้วครับ พี่หมอกำลังไขกุญแจห้องอยู่ สนิทกันน่าดูเลยมีกุญแจสำรองด้วย ได้ยินเสียงดังกริ๊ก ใจผมสั่นระรัวทันที พี่หมอหันมาพยักหน้าให้ผมแล้วเปิดประตูเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
 

เชี่ย!!

 
เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม!?!!!!







ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]



หมับ!


ผมหันหลังกลับไปหาคนที่ดึงคอเสื้อของผมเอาไว้ พี่หมอทำหน้าแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่ยอมตามเข้าไป ผมเลยยิ้มแฉ่งไปให้หนึ่งที


“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”  พี่หมอถาม

 
“เอ่อ คือ ผมนึกได้ว่าลืมเก็บผ้าน่ะครับพี่หมอ เมื่อกี้สังเกตเห็นฟ้าครึ้มๆ เหมือนฝนจะตก เดี๋ยวผมขึ้นไปเสื้อผ้าก่อนดีกว่า” ผมตอบ  พี่หมอเลิกคิ้ว


“หึหึ ตอนเข้ามาพี่เห็นว่าฟ้ายังโปร่งอยู่เลยนะ กลัวเหรอ ไหนๆ ก็อาสาช่วยถือของมาให้แล้ว ก็เข้าไปเยี่ยมเพื่อนพี่สักหน่อย ไม่แน่นะถ้าไอ้ซันได้เจอหน้าบีทส์มันอาจจะอาการดีขึ้นก็ได้” ผมทำตาโต อื้อหือ สมกับเป็นหมอ เห็นตั้งหน้าตั้งตาขับรถก็ไม่นึกว่าจะสนใจสิ่งรอบข้างด้วย แล้วไอ้คำว่ากลัวน่ะ คร๊าย ใครกลัวครับพี่ ระดับไอ้บีทส์พร้อมจะพุ่งชนทุกอย่าง


“มีอะไรให้กลัวล่ะพี่ วู้ว ป่ะๆ ไหนครับให้วางของตรงไหน เสร็จแล้วผมจะได้รีบกลับห้องของผมบ้าง มีคลาสบ่ายคร้าบ” ผมเดินเลี่ยงพี่หมอเข้ามาในห้อง ห้องที่ผมเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน


ทุกอย่างยังคงวางอยู่เหมือนเดิมเป๊ะ เปลี่ยนไปก็แค่ตรงห้องรับแขกที่สภาพเหมือนผ่านสนามรบมาอย่างไงอย่างงั้น ทั้งแผ่นเกม แผ่นหนัง กระจายเต็มไปหมด


“วางไว้ในครัวเลย บีทส์เคยเข้ามาแล้วนี่” พี่หมอตอบ พลางเดินตามผมเข้ามาในห้อง พี่มันถอดรองเท้าหนังสีดำของตัวเองแล้วเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ ส่วนผมเปลี่ยนเรียบร้อยตั้งแต่เข้ามาแล้ว


ผมก้มจัดผลไม้เข้าตู้เย็นโดยแบ่งออกมาล้างเพื่อจัดไว้ให้คนป่วยได้หยิบกินเล่นได้สะดวก ก้มๆ เงยๆ อยู่สักพัก ไม่อยากบ่นเลยครับว่าในตู้เย็นของพี่มันมีแต่น้องแอลทั้งนั้นเลย แอลกอฮอล์น่ะครับ ของกินที่มีประโยชน์แทบไม่มีอยู่ในนี้สักอย่างเลยครับ เอาง่ายๆ นะครับ ทั้งห้องเนี่ยมีน้องแอลเพียงอย่างเดียวที่พอจะกินได้ ขนาดอาหารติดห้องยอดฮิตอย่างมาม่ายังไม่มีแม้เงา


ชักสงสัยแล้วครับ ว่าวันๆ พี่มันบริโภคอะไรเข้าไปบ้างนอกจากน้องแอลเนี่ย...


“บีทส์” เสียงพี่หมอเรียก ผมหันไปเจอร่างสูงของพี่หมอที่สวมเสื้อกาวน์รองเท้าหนังเรียบร้อยเหมือนตอนมา เอ่อ ไปเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่


“ครับ?” 


“พี่มีเคสต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน ฝากบีทส์ดูแลไอ้ซันหน่อยได้ไหม” ห๊ะ อะไรนะ!?! ใครจะอยู่ล่ะ!! โกยละโว้ย


พรึ่บ!


โป๊ก!
 

“โอ๊ย!!..” ผมร้อง


เชี่ย หัวโขกกับประตูตู้เย็น


“เป็นอะไรไหมล่ะนั่น ฮ่าๆ ซุ่มซ่ามจังเลย” พี่หมอรีบก้าวเข้ามาช่วยพยุงผมลุกขึ้น ผมลูบหน้าผากตัวเอง อ๊าก มีรอยนูนขึ้นมาเลย
 

“ไม่เป็นอะไรครับ ถ้าพี่หมอกลับผมก็ไม่อยู่นะ!” ผมร้องบอก


“ตอนนี้ไอ้ซันมันไข้ขึ้น พี่เป็นห่วงมัน จะโทรหาเพื่อนก็ดันมีควิซกันหมด จะเหลือก็แค่บีทส์ ช่วยเพื่อนพี่หน่อยไม่ได้เหรอ ทีตอนบีทส์ไม่สบายเพื่อนพี่มันยังอยู่ดูแลเราโดยไม่เกี่ยงงอนเลยนะ พี่ขอล่ะ อย่างน้อยก็รอให้พี่เลิกเวรก่อนก็ยังดี” ผมอ้าปากค้าง ถ้าพี่หมอจะใช้ไม้นี้ล่ะก็นะ! ฮึ่ม เอาไงดี


“แล้วคลาสบ่ายผมล่ะ” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง
 

“พี่จะโทรไปบอกพิงค์ให้ว่าเราต้องอยู่ดูแลไอ้ซัน เอาแบบนั้นดีไหม” พี่หมอถาม


“เห้ยไม่ต้องเลยพี่ เดี๋ยวผมจัดการเอง พี่หมอรีบไปเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมดูแลให้ก็ได้” ผมรีบห้าม ขืนให้พี่หมอบอกอิพิงค์ไปแบบนั้น รับรองว่าอิพิงค์คงกระหน่ำโทรมาถามความเคลื่อนไหวแบบเกาะติดสถานการณ์ผมอีกแน่ๆ ครับ


“โอเค ขอบคุณครับ เอ้อ บีทส์ไอ้ซันยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้าพี่ฝากด้วยนะ” พี่หมอรับคำ แล้วก้าวออกไปทันที แต่เห้ย!! แบบนี้ผมก็ต้องอยู่กับพี่ซันแค่สองคนดิ ฉิบหายแล้วไง!!


โอเค  คงต้องทำใจผมต้องพยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนอื่นคงต้องจัดของเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อยก่อน ผมจัดของเข้าตู้เย็นพร้อมทั้งจัดผลไม้ใส่จาน ยังดีที่ผมซื้อของมาเตรียมทำข้าวต้มให้คนป่วยทานด้วย เสียเวลาไปกับการทำอาหารซะเกือบชั่วโมง…


ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของพี่ซัน ร่างสูงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ดูเหมือนพี่มันจะหายใจลำบาก ได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดค่อนข้างดังเลยครับ บนหน้าผากพี่ซันมีเจลลดไข้แปะอยู่ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ วางถาดอาหารไว้ข้างๆ หัวเตียง
 

ผมก้มลงไปมองหน้าพี่ซันใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวเลยล่ะครับ ไปทำอิท่าไหนมาก็ไม่รู้ เห็นพี่หมอบอกว่าได้แผลมาด้วยจนส่งผลให้ไข้ขึ้นแบบนี้ ผมอยากรู้จริงๆ นะ แต่ไม่กล้าถาม


“พี่ซัน...พี่ซันครับ พี่ซัน” ผมเรียกพลางเขย่าตัวพี่ซันไปด้วย

เงียบ


“พี่ซัน ตื่นมากินข้าวก่อนครับจะได้กินยา พี่ซัน” ผมเรียกอีกครั้ง พี่ซันเริ่มขยับตัว ผมเงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยา


พี่มันลืมตาขึ้นมองเพดาน กวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก่อนสายตาคมจะหยุดนิ่งจ้องใบหน้าผม ผมเงียบ พี่ซันเงียบ ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไร เกร็งตั้งแต่ปลายเท้ายันปลายเส้นผมกันเลยทีเดียว


“มึง..มาได้ไง?” นั่นไง! ทำไมซื้อหวยไม่ถูกบ้าง


“มากับพี่หมอน่ะครับ เขาฝากผมให้ช่วยดูแลพี่แทนในระหว่างที่เขาไปเข้าเวร” ผมตอบ พี่ซันถอนหายใจเฮือกใหญ่ อื้อหือ ร้อนมาถึงนี่!


“มึงกลับไปเถอะ กูไม่ได้เป็นอะไร ไอ้อาร์ตแม่งยุ่งฉิบ” พี่ซันตอบเสียงแหบแห้ง พลางเลิกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงปิดหน้าตัวเอง ป่วยขนาดนี้ยังเล่นตัวอีก ไม่ห่วงเนี่ยไม่มาให้โดนด่าเล่นหรอกนะครับ


“ครับๆ ไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร ตื่นมาทานอะไรหน่อยนะ พี่หมอฝากยาไว้พี่ต้องกินยา ข้าวต้มกำลังร้อนๆ เลยนะ” ผมรีบอธิบาย


“...”


เอ้า เงียบ คนพูดด้วยก็ไม่พูด


“พี่ซันทานหน่อยสิครับ ทานแล้วผมถึงจะกลับ” ผมบอก พลางขยับไปหยิบถาดอาหารมาวางไว้บนตัก พี่ซันยังนิ่ง


จึก จึก


ผมกระตุกผ้าห่มสองสามที


พรึ่บ!


เห้ย!!


พี่ซันถลกผ้าห่มขึ้นพร้อมทั้งลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อบึ้งตึงแสดงออกว่าหงุดหงิดผมเต็มที่ ผมเองก็จ้องที่แขนพี่ซันตาค้าง นี่ถึงกับต้องใส่เผือกกันเลยเหรอวะเนี่ย แล้วนั่นอะไร!?! ทำไมหน้าช้ำแบบนั้นล่ะ!!! เมื่อกี้เพราะพี่มันเอาแต่หันหนีเลยไม่ทันได้สังเกต
 

“ออกไป ก่อนที่กูจะโยนมึงออกไป” พี่ซันพูดขึ้นมาพูดเสียงเรียบ จ้องหน้าผมเขม็ง เช๊อะ รู้หรอกว่าไม่อยากเห็นหน้ากันน่ะ แต่ใครเขาสนกันล่ะ!


...พี่สุดหล่อของกูน่าจะชอบคนอ้อนๆ หน่อย เชื่อฟังเขา เอาอกเอาใจ เหมือนลูกแมวตัวน้อยของราชสีห์ผู้เย่อหยิ่ง มารยาร้อยเล่มเกวียนที่มึงซ่อนไว้อ่ะเอาออกมาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามึงทำได้ พี่ซันก็พี่ซันเห๊อะ ไม่พ้นมือเพื่อนกูหร๊อก...


กูเชื่อคำพูดมึงได้ใช่ไหมพิงค์
 

“ทานหน่อยนะครับ จะได้กินยา สัญญาเลยว่าถ้าพี่ทานข้าวต้มเสร็จแล้วผมจะเลิกเซ้าซี้อีก อ่ะ ถ้ายอมกินข้าว ทานยาแล้วก็ทายาผมยอมให้หอมแก้มหนึ่งทีเลยเอ้า!” ผมปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงของไอ้คนป่วยแต่ขี้เก็ก พลางยื่นถ้วยข้าวต้มเข้าไปหาอีก นี่กูเปลืองตัวสุดๆ แล้วนะครับ


“...”  พี่ซันมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาลุกวาว อย่า..อย่าเพิ่งสาปผมนะครับ ผมยังไม่อยากแข็งตาย ผมยิ้มให้พี่มันอย่างเอาใจพลางตักข้าวต้มยื่นไปที่ปาก


“มาเดี๋ยวผมป้อนให้ก็ด่ะ..”


เพล้ง!!!


“...”
 

“โอเค ผมไม่ยุ่งแล้วก็ได้ครับ” ผมพูดพลางถอยร่นลงจากเตียง วางถาดข้าวต้มไว้ที่เดิม โมโหแล้วนะเว้ยคนอุตส่าห์ ‘เป็นห่วง’ เสียเวลาจริงๆ แม่ง น้ำข้าวต้มหกใส่มือกูด้วย!!


ผมหันไปมองหน้าพี่ซันอีกรอบ พี่มันสลดไปครู่หนึ่งแต่ก็หันหน้าหนีไปทางอื่นโดยไม่สนใจผม วิธีอิพิงค์ไม่เห็นจะได้ผลเลย ฮือ แสบมืออ่ะ
 

แกรก

 
“เดี๋ยว!”

 
ผมหันกลับไปที่พี่ซันอีกครั้ง เรียกกูไว้ทำไม เรียกไว้แล้วจ้องหน้าไม่พูดไม่จา จะด่าอะไรอีก เอาเลยตามสบาย!!


“...”


“งอนเป็นตุ๊ดเลยนะ อ่อ กูลืมไปว่ามึงเป็นอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ เสร็จแล้วก็ไปซะ พอใจมั้ย” พี่ซันพูดขึ้น ยังมีแอบจิกกัดผมอีกนะ ผมเม้มปาก เกือบจะร้องไห้จริงๆ ฮึ! ต้องให้เจ็บตัวก่อน ถึงจะยอม


ผมรีบซ่อนรอยยิ้มดีใจ แล้วตีหน้าเรียบรีบเดินไปหยิบช้อนมาใหม่แล้วหยิบชามข้ามต้มมาถือไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมเก็บคำพูดคำจา พยายามพูดให้น้อยที่สุด


“พอทานได้ไหมครับ” ผมถาม หลังจากที่ป้อนข้าวต้มให้ไอ้คนขี้เก็กตรงหน้า ถ้าทุกคนคิดว่าพี่มันจะยอมให้ผมป้อนได้ง่ายๆ ตั้งแต่แรกละก็ ผมว่าคงเป็นพี่ซันตัวปลอมแน่ๆ แต่เพราะมือข้างที่เข้าเฝือกดันเป็นข้างที่พี่มันถนัด พอคนตัวโตๆ อย่างพี่มันลองตักข้าวต้มด้วยมืออีกข้างด้วยอาการสั่นๆ ยังไม่ถึงปากดีน้ำข้าวต้มก็ไม่เหลือถึงปากแล้วครับ ผมกลั้นขำแทบตาย สุดท้ายเลยเอ่ยปากอาสา
 

'ให้ผมช่วยไหมครับ' ผมถาม


'เหอะ!!'

 
แน่ะ คนอุตส่าห์หวังดี ยังทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเยาะเย้ยกันอีก


'งั้นเอางี้ พี่ก็คิดซะว่ามีสาวๆ สวยๆ มานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำพี่อยู่ก็ได้นะครับ ไม่ต้องคิดว่าเป็นผมเดี๋ยวจะพาลไม่เจริญอาหารเอาเปล่าๆ' พูดเองก็เจ็บจี้ดไปถึงกระดองใจ ฮึ่ม อดทนนะไอ้บีทส์
 

'รู้ตัวก็ดี'


แร๊ง คำเดียวสั้นๆ


เช๊อะ ถ้าคิดว่าการพูดจาร้ายๆ กับผม แล้วผมจะยอมถอยฝันไปเถอะ หน้าผมเพิ่งไปราดคอนกรีดเสริมใยเหล็กมาด้วย หนามาก!! อีกอย่าง..เดี้ยงๆ แบบนี้จะทำอะไรผมได้ เห๊อะ


"ก็พอกินได้...ถามเหมือนทำเอง" พี่ซันเบ๋ปากนิดๆ ก่อนจะร้องซี้ดเพราะเจ็บปาก สมน้ำหน้า!
 

"ชิส์ ก็ทำเองน่ะสิ ถึงได้ถาม" ผมทำปากยื่น พี่ซันมองหน้าผมอึ้งๆ หึหึ เงิบเลยอ่ะเด้ มาดแมนแฮนซั่มอย่างผมทำอะไรได้มากกว่าที่พี่คิดนะครับ
 

“พูดจริง?”

 
“แล้วผมจะโกหกพี่ทำไมเล่า!?!” ผมโวย ไอ้พี่บ้านี่ พูดความจริงยังจะไม่เชื่อกันอีก นี่ขนาดไม่สบายอยู่นะ แน่ะ ยังจะมายักคิ้วกวนตีนอีก เชี่ย นึกว่าหล่อเหรอ เออ! หล่อ!


“แค่ก บ่นอะไรวะ พอๆ รำคาญ ไหนล่ะยา” พี่ซันยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ ผมชะงักมือค้าง ก่อนจะลดมือลงรวบช้อนไว้ในชามข้าวต้มเหมือนเดิม แล้วหยิบเอาถุงยาออกมานั่งดู แยกใส่แก้วไว้ให้พี่ซัน ก็มียาลดไข้ แก้อักเสบ แก้ปวด ดูแลดีซะยิ่งกว่าเมียเขาอีกนะกูเนี่ย


“นี่ครับ”


พี่ซันยื่นมือมารับยา ก่อนจะส่งเข้าปาก ตามด้วยน้ำที่ผมยื่นให้อีกอึกใหญ่

 
“ไม่มีเรียนรึไง แล้วหน้าผาก..ไปโดนอะไรมา” พี่ซันถาม


 “มีครับ แต่พอดี...เอ่อ โดด แหะ แหะ ส่วนไอ้นี่...ผมซุ่มซ่ามนิดหน่อย” ผมตอบ พลางลูบไปที่รอยตรงหน้าผาก โห คนอุตส่าห์ลืม จะได้ลืมความเจ็บ จะถามขึ้นมาทำไม ตู้เย็นห้องพี่ทำร้ายร่างกายผม
 

“หึ”
 

“...”


“มึงโอเคใช่ไหม” พี่ซันพูดขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่ซันที่จ้องมองมาก่อนอยู่แล้ว

 
“เรื่องอะไรครับ” ผมถาม


“ช่างเถอะ” พี่ซันจ้องหน้าผมนิ่ง ก่อนจะเอ่ยตัดบท เมื่อผมไม่มีทีท่าจะเข้าใจในสิ่งที่พี่มันสื่อเรียกว่า ‘จงใจ’ ที่จะไม่เข้าใจจะดีกว่าครับ บั่นทอนกำลังใจตัวเองเปล่าๆ


“เอาล่ะ ในเมื่อพี่ทำตามที่ตกลงกันแล้วก็ไปพักผ่อนเถอะครับ จะได้หายไวๆ มาผมช่วย จะได้เดินง่ายขึ้น” ผมส่งยิ้มอ้อนๆ ให้พี่ซัน แล้วลุกขึ้นไปประชิด เอ้ย ช่วยพยุง
 

“เออ สัด! ได้ทีแล้วสั่งนะ!” โว้วว คนเขาเป็นห่วงหรอก ยังมีหน้ามาผลักหน้าผากเค้าอีกนะ เดี๋ยวไม่ช่วยเลย!!
 

“เห็นแก่ที่พี่เคยช่วยผมไว้หรอก ไม่ได้พิศวาสอะไรพี่เลยสักนิ๊ด!!” ผมเบ๋ปากงอนๆ


“หึ เป็นแบบนั้นก็ดี..มึงจะได้ไม่เจ็บ เสียเวลาเปล่า” ผมชะงักไปนิดเมื่อฟังจบ ก่อนช่วยประคองพี่ซันให้ไปนอนบนเตียง แล้วจัดผ้าห่มให้เข้าที่


ไอ้บ้า!! ย้ำอยู่ได้ รู้แล้วโว้ยว่าชอบผู้หญิง ไม่เคยได้ยินหรือไงสมัยนี้เขาว่ากันว่าผู้ชายกว่าร้อยละสามสิบเป็นเกย์นะครับ!! (เคยอ่านเจอในหนังสือ)



“พี่ซันครับ”


“?”
 
จุ๊บ


“รางวัลที่ตกลงกันไว้ผมทำตามสัญญาแล้วนะ มีอะไรเรียกผมได้ เดี๋ยวผมจะนั่งเล่นอยู่ข้างนอก ฮ่าๆหน้าพี่โคตรตลกเลยเมายาเหรอครับ พักผ่อนเยอะๆ นะครับ อ๊ะ ให้อีกข้างก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าผมลำเอียง ฮ่ะๆ อึ้งเลย” พูดจบก็เผ่นแน่บ กร๊าก ขำหน้าพี่ซันว่ะ อ้าปากค้างไปเลย


ผมออกมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วค้นหากล่องยามาทำแผลให้ตัวเอง พูดซะหรูเลยกู ฮ่าๆ ก็แค่หลอดยาสีฟันแหละครับ เอามาป้ายๆ ตรงที่โดนลวก ทากันไว้เฉยๆ เพราะมันแสบร้อนจนหายไปแล้ว

 
“อู้ย จะเป็นรอยมั้ยวะ” ผมบ่น ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเรียกเข้าที่แผดเสียงขึ้นพร้อมกับแรงสั่นครืดในกระเป๋ากางเกง


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


“คุณนาย”


“ฮัลโหลค้าบคุณนายสุดที่รัก” ผมรับสาย


“ปากหวานจริงๆ ลูกคนนี้ อยู่ไหนน่ะบีทส์” แม่ถาม
 

“เอ่อ อยู่ห้องรุ่นพี่ครับ พอดีพี่เขาไม่สบายบีทส์เลยแวะมาดู อีกเดี๋ยวก็จะกลับห้องแล้ว ว่าแต่คุณนายโทรมามีอะไรให้ลูกชายคนนี้รับใช้เหรอครับ” เออน่ะ พี่ซันก็รุ่นพี่คนหนึ่งผมไม่ได้พูดปดนะครับแม่ ก็แค่...บอกไม่หมดเอง


“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่แค่คิดถึงเห็นช่วงนี้หายหน้าหายตาไป นึกว่าลืมแม่คนนี้ไปแล้วซะอีก” แม่พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ ผมหัวเราะ

 
“โธ่คุณนายคร้าบ บีทส์แค่ยุ่งๆ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรหาเลย” พูดเอาใจคุณนายเขาหน่อยครับคนแก่ขี้งอน


“จ้ะ วันหยุดนี้กลับบ้านมั้ยบีทส์”


“กลับซี”


“จ้ะ แม่โทรมาถามแค่นี้แหละ ไว้เจอกันจ้ะลูก” 
 

“เอ่อ แม่ครับ!” ผมเรียก คุณนายดูชะงักไปกับสรรพนามที่ผมใช้เรียก ปกติผมจะเรียกเฉพาะตอนที่ผมจริงจังหรือกำลังซีเรียสอยู่เท่านั้น


“ว่าไงจ้ะ บีทส์มีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกแม่ได้นะ” แม่พูดเสียงอ่อนโยน จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
 

“มันจะผิดมั้ยครับ ถ้าเราแอบชอบคนที่เขามีแฟนแล้ว เอ่อ คือไม่ใช่บีทส์นะ พอดีเพื่อนบีทส์มันมาปรึกษา บีทส์เลยมาถามแม่ต่อ บีทส์ว่าแม่น่าจะมีคำตอบที่ดีให้กับบีทส์ เอ้ย บีทส์หมายถึงบีทส์จะเอาไปบอกเพื่อนต่อน่ะ” คุณนายจะจับได้ไหมเนี้ย อ๊าก ไม่น่าเอ่ยปากถามเลย
 

“ฮ่าๆ เพื่อนก็เพื่อนจ้ะ แล้วบีทส์ อุ้ย เพื่อนของบีทส์เขารู้ไหมว่าคนๆ นั้นมีแฟนอยู่แล้ว แล้วแน่ใจไหมว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่าน่ะชอบเขาจริงๆ หรือว่าแค่หลง หรือว่าตอนนี้กลายเป็นความรักไปแล้วจ้ะ” นั่นสิความรู้สึกของผมตอนนี้มันอยู่ในขั้นไหนกันแน่


"..."
 

“…ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามนะบีทส์ มันเป็นเรื่องของการให้และให้ ไม่ใช่การให้และรอรับ เราจะรู้ว่ากำลังรักคนที่ใช่อยู่หรือเปล่าก็ต่อเมื่อเขาให้เราเท่ากับที่เราให้เขา และแน่นอนว่าความรักมันไม่ใช่แค่การมองหาคนที่ใช่อย่างเดียว แต่เราต้องทำตัวเองให้เป็นคนที่ใช่สำหรับใครสักคนด้วย แม่เชื่อว่าคนเราไม่สามารถรักคนสองคนมากเท่ากันในเวลาเดียวกันได้ มันต้องมีคนที่รักที่สุดและรักน้อยกว่า ถ้าอยากรู้เราก็ต้องใช้เวลา แล้วสักวันทุกอย่างมันก็จะชัดเจนขึ้นมาเอง ไม่ว่าลูกแม่จะอยู่ฝั่งไหนก็จงจำไว้ว่าลูกสำคัญที่สุดในชีวิตแม่ ขอแค่ลูกของแม่มีความสุขนั่นคือทางที่ถูกต้องสำหรับแม่”


“รักแม่ที่สุดในโลกเลยครับ แต่เอ้ย คุณนายบีทส์บอกแล้วไงว่าไม่ใช่บีทส์น่ะ โธ่ ไม่คุยกับคุณนายแล้วไว้บีทส์โทรหาใหม่นะครับ อ่อ บีทส์ดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่นะครับ จุ๊บครับ” แม่หัวเราะร่า ก่อนจะเอ่ยให้กำลังใจแล้ววางสายไป


นั่นสินะ


ไม่ลองก็ไม่รู้สิ…




ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอแค่คนเราทำมันไม่สวยเท่านั้น

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อีพี่ซันเขาไปสะดุดอะไรเข้าให้ล่ะเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 11 :: แกงจืดสูตรพิเศษ



[บีทส์]


ผมงัวเงียตื่นขึ้นมานั่ง ก่อนจะใช้สายตาเพ่งมองไปที่นาฬิกาเรือนหรูที่ติดอยู่ข้างฝาผนัง อื้ม หกโมงเย็น...หลับไปนานเหมือนกัน ไม่ใช่ผมนะครับ หมายถึงเจ้าของห้องนี้ต่างหาก


ผมเพิ่งจะได้นอนพักสายตาไปก่อนหน้านี้ไม่นาน หลังจากที่ผันตัวเองไปทำหน้าที่เป็นแม่บ้านจำเป็นชั่วคราว ทั้งเก็บกวาดพวกแผ่นหนัง แผ่นเกม หนังสือแต่งรถ และอะไรต่อมิอะไรที่วางเกลื่อนอยู่เต็มห้องนั่งเล่นให้เข้าที่ เสร็จแล้วก็เข้าไปเก็บห้องครัวต่อ สลับกับการเข้าไปดูอาการคนป่วยที่นอนนิ่งอยู่ในห้องเป็นระยะ โดยก่อนหน้านั้นผมก็เพิ่งจะย้อนกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเฝ้าคนป่วยจนเผลอหลับไปนี่แหละครับ


บิดตัวซ้ายที ขวาทีก็ลุกไปเข้าครัวอีกรอบ ได้เวลาทานอาหารของคนป่วยแล้วครับ คิดว่าแค่แกงจืด ผัดผัก หมูทอดกับข้าวสวยก็น่าจะพอ เดินวนหาข้าวสารอยู่หลายนาทีก่อนจะพบว่ามันถูกซ่อน ครับถูกซ่อนอยู่จริงๆ นะ เล่นเก็บไว้ในลิ้นชักชั้นในสุดขนาดนั้น ตาไม่ดี...มีสิทธิ์หาไม่เจอได้ครับ


ผมตวงข้าวสารออกมาใส่หม้อประมาณสามกำมือ แค่นี้ก็เหลือแล้วครับสำหรับสามคน นี่ผมกะปริมาณเผื่อพี่หมอด้วยอีกคนแล้วนะครับ ลำพังผมกับคนป่วยอย่างเก่งก็คนละจานนั่นแหละ ผมนำข้าวมาซาวน้ำออกหนึ่งครั้งก่อนจะวัดปริมาณน้ำให้ห่างจากข้าวที่อยู่ใต้น้ำประมาณหนึ่งข้อของนิ้วชี้ เสร็จแล้วก็เสียบปลั๊กรอแค่เวลาเท่านั้น


ผมเปิดตู้เย็นเอาพวกผัก เนื้อ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงออกมาวางไว้บนโต๊ะสีขาวสะอาดตา โดยหั่นผักให้ได้ชิ้นพอดีคำไม่เล็กหรือใหญ่มาก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกเวลากินและเพื่อความสวยงามด้วยครับ คุณนายเขาสอนมา เมื่อเครื่องปรุงทุกอย่างพร้อมจึงเริ่มนำหม้อมาตั้งไฟ เอ่อ หม้อมีน้ำนะครับ ไม่ใช่หม้อเปล่าๆ ขืนตั้งไฟด้วยหม้อเปล่าๆ หม้อไหม้พอดี ตลกไหมครับ ฮ่าๆ


รอน้ำเดือดจึงเริ่มนำเนื้อหมูลงก่อนเลย ตามด้วยผักทุกชนิดที่ผมชอบ คึคึ ที่ขาดไม่ได้เลยคือเต้าหู้ไข่ ผมชอบมากครับใส่ไปตั้งเยอะ เอาไว้ค่อยเลือกตักเฉพาะเต้าหู้ไว้กินเอง ส่วนคนป่วยเอาแค่ปกติพอครับ


“ไอ้ฉิบหาย!!! โธ่ ไอ้พี่บ้า! มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมตกใจหมดเลย” ผมยกมือขึ้นทาบอก จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะครับ พอหันกลับมาหยิบเครื่องปรุงรส ดันเจอพี่ซันยืนพิงกรอบประตูห้องครัวด้วยรอยยิ้มมุมปากอยู่ มองเพลินเลยนะครับ


“หึ แค่นี้ทำเป็นขวัญอ่อน” พี่มันว่า


“ผมไม่เขวี้ยงทับพีใส่หัวพี่ก็บุญเท่าไหร่แล้วครับ มาไม่ให้สุ่มให้เสียง” ผมตอบพลางทำปากยื่น พี่ซันเดินเข้ามา แล้วเลิกคิ้วมองผมกวนๆ “ทำอาหารเป็นด้วย?” พี่ซันเลิกคิ้ว ไม่อยากจะโม้เลยว่าไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ทำอร่อยด้วยเหอะ


“อื่อ แม่ผมชอบลากเข้าครัวบ่อยๆ เลยพอได้วิชาติดตัวมาบ้าง” ผมตอบพลางชิมอาหารในหม้อไปด้วย


“แล้วนี่อะไร” พี่ซันถามต่อ พลางชี้นิ้วไปที่หม้อแกงจืดที่ผมกำลังสาละวนอยู่ ฮึ่ย จะมาป่วนกันใช่ไหมครับเนี่ย ทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมไปได้ ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นแกงจืด!


“อาหารสูตรพิเศษ...แกงจืดต้นตำรับจากเจ้าคุณปู่ตกทอดผ่านมาทางคุณยายทวด แล้วคุณยายทวดก็ถ่ายทอดวิชามาให้คุณยายของผม คุณยายของผะ...”


"พอ!! สัส ก็แค่แกงจืดธรรมดา กวนตีนนะมึง” ง่ะ!! ล้อเล่นนิดเดียวเอง หงุดหงิดไปได้ แล้วมือน่ะจะไวไปไหมครับ ดีดมาได้ หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ลูกแก้ว จะได้ดีดเอาๆ


“ใครบอกว่าแกงจืดธรรมดากันล่ะ” ผมยักคิ้ว พลางหรี่ตากอดอกเหมือนรู้อะไรดีๆ พี่ซันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามันไม่ธรรมดาตรงไหน ผมยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงอีกนิดเพื่อลดช่องว่าง แล้วเอ่ยตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ


“ก็แกงหม้อเนี้ย...ผมใส่ความรักทั้งหมดของผมเข้าไปด้วย มันเลยพิเศษกว่าแกงจืดธรรมดาหม้ออื่นไงครับ” เอ่ยจบก็ฉีกยิ้มกว้างๆ ไปให้พี่ซันอีกหนึ่งที ฮ่าๆ ช็อคเลยดิ ค้างไปเลย เหมือนจะสตั๊นไปสิบวิ ผมหัวเราะร่าก่อนจะหันไปสนใจอาหารรสเลิศของผมต่อ เมื่อกี้ทอดหมูค้างไว้ครับพอตักขึ้นจากกระทะเราต้องพักไว้ก่อนให้มันสะเด็ดน้ำมันนิดหนึ่งแล้วค่อยเอาไปจัดใส่จาน เหลือแค่ปิดเตาแก๊สแล้วยกลงจากเตาแล้วครับ


“เล่นด้วยแล้วลามปามนะ” พี่ซันบ่นพึมพำ แต่ไม่รู้ทำไมผมฟังแล้วกลับหลุดยิ้มออกมาดื้อๆ ก็น้ำเสียงมันไม่ได้บ่งบอกเลยนิครับว่ากำลังตำหนิผมอยู่จริงๆ


พี่ซันน่ารักอ่ะ!


“แล้วนี่ทำไมยังไม่กลับห้องมึงอีก อยู่ทำไมวะรกหูรกตา” พี่ซันถาม ผมเบ๋ปาก เอะอะก็ไล่ จ้างให้ก็ไม่ไปง่ายๆ หรอก


“ก็พี่อยู่คนเดียวอ่ะ อีกอย่างผมแวบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้วด้วย เห็นไหมเนี่ย ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแล้ว” ผมหันไปอวดชุดนอนของตัวเอง กางเกงเป็นกางเกงขายาวหุ้มข้อหลวมๆ สีเทาตัวไม่ใหญ่มาก ส่วนเสื้อเป็นเสื้อคล้ายๆ เสื้อยืดนั่นแหละครับ เนื้อผ้าไม่หน้ามาก ใส่สบาย แล้วก็ไม่ร้อนด้วย


ติดแค่ว่าตรงด้านหน้ามันมีรูปหมีพูห์ที่ผมโคตรจะเทิดทูนเคารพบูชาอยู่หนึ่งตัวตรงอกด้านซ้าย อ่อ มีกระดุมตรงอกอยู่สองสามเม็ดเผื่อตอนถอดจะได้ถอดง่ายๆ อะไรครับ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมหมายถึงเวลาจะอาบน้ำอยากถอดจะได้ถอดออกง่ายๆ ใครคิดเป็นอย่างอื่นไอ้บีทส์ไม่รับผิดชอบความคิดนั้นนะครับ


“สัส กูก็อยู่คนเดียวของกูทุกวัน นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรฮะ” โว้ว ขนาดมือข้างที่ถนัดเดี้ยงอยู่ ยังไม่วายมายืนเท้าสะเอวด้วยใบหน้ากวนๆ ใส่ผมอีก รู้แล้วว่าถึงจะเดี้ยงก็ยังหล่อ! ไม่ต้องแสดงท่าทางตอกย้ำความหล่อของตัวเองก็ได้มั้งหมั่นไส้


“เออน่ะ! จะอะไรก็ช่างผมเถอะ เอาเป็นว่าต่อให้พี่ไล่ยังไงผมก็ยังกลับไม่ได้ (พี่หมอขอไว้) พรุ่งนี้วันหยุดด้วย ไม่ต้องมาไล่ให้เสียเวลาเลย ยังไงก็ไม่ไป! โอเคมั้ยครับ เข้าใจตรงกันแล้วนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็เชิญคุณเจ้าของห้องออกไปนั่งรอด้านนอกเลยครับ เกะกะ!” ผมพูดพลางดันหลังพี่ซันออกไป


“เฮ้ยๆ กูเป็นเจ้าของห้อง อย่ามาเนียน” พี่ซันว่าพลางยื้อไม่ยอมออกไปง่าย แล้วผมจะไปสู้แรงอะไรเขาได้ล่ะครับ


“พี่อ่ะ!!” ผมพูดหน้างอ แบบใส่อารมณ์สุดๆ


“อะไรของมึงครับ” จิ๊! ทำหน้าเยาะเย้ยอีก


“ผมก็แค่อยากช่วย ทำไมต้องไล่ด้วย” ผมพูดเสียงสั่นๆ  พี่ซันหรี่ตาสังเกตท่าทีผม เหมือนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


“ถ้าการที่ผมอยู่มันทำให้พี่ไม่สบายใจ ผมไปก็ได้นะครับ” ผมพูดพลางทำหน้าเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าโอเวอร์แอคติ้งเกินไปหรือเปล่า แต่พี่ซันถึงกับหันหน้าหนีไปอีกทางเลยครับ มีถอนหายใจด้วยนะเออ!


ผมวางอุปกรณ์ที่อยู่ในมือก่อนจะเดินก้มหน้างุด เพื่อเดินออกไปนอกห้อง ทำถึงขนาดนี้ถ้าไม่เรียกกูไว้นะ กูจะถือว่ามึงโคตรใจดำ!! ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร่างสูงของพี่ซัน ผมเชิดหน้าหนีไปอีกทางบ่งบอกถึงความไม่พอใจ ไม่ได้สนใจเลยว่ามีอะไรวางขวางทางเท้าอยู่...และกูก็เตะเข้าไปเต็มๆ


หวืด!!


อ๊าก!!


รู้สึกเหมือนกำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ผมหลับตาปี๋ ไว้อาลัยให้กับตัวเอง


หมับ! 


อ๊ะ


ผมสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดอยู่บริเวณหน้าท้อง แขนสองข้างของผมจับยึดแขนแกร่งของพี่ซันไว้แน่น เมื่อตั้งสติได้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเจ้าของร่างที่ตัวเองเกาะไว้ แล้วยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ พี่ซันถอนหายใจ


“ซุ่มซ่าม” ชิส์!


“แล้วจะกอดกูอีกนานมั้ย จะทำอะไรก็รีบทำเข้า” พี่ซันบอกเสียงรำคาญ ผมเลยเด้งตัวออกจากอ้อมแขนพี่ซันอย่างเร็ว แต่เฮ้ย!


“พี่ให้ผมอยู่ด้วยแล้วใช่ป่ะ” ผมถามอย่างมีความหวัง


“เออ! สัส!”


เยส!! ถ้าไม่เกรงใจว่ากำลังทำหน้าเรียกคะแนนสงสาร จะแถมท่าทางประกอบให้ด้วยอีกหนึ่งดอก


“งั้นพี่รอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมเตรียมของเรียบร้อยแล้วจะยกออกไปให้ ถ้าอยากได้อะไรเรียกผมได้เลยนะครับ ผมเต็มใจ”  รีบบอกไว้ก่อน ก่อนที่พี่ซันจะเปลี่ยนใจ พี่มันพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินหันหลังกลับออกไป


“บีทส์!!” สะดุ้งกันเลยทีเดียว


“ครับ พี่จะเอาอะไรเหรอ” ผมขานรับ


“น้ำ!! ไวๆ เลย” วุ๊ย มีเร่ง ผมวางภารกิจที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว ยกออกไปให้คุณชายที่นั่งดูทีวีรออยู่ด้านนอก อื้อหือ นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์


“นี่ครับ จริงๆ พี่เดินไปเอาเองก็ได้นะครับกับไอ้แค่น้ำแก้วเดียวเนี่ย พี่ก็รู้ว่าผมทำกับข้าวอยู่” ผมบ่น


“อะไร ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากได้อะไรให้เรียก แล้วจะบ่นเพื่อ” โอเค!! กูพลาดเอง!! พี่ซันเลิกคิ้วถามกวนๆ แต่คว้าแก้วน้ำจากมือผมไปกินหน้าตาเฉย มือแตะกันด้วยแหละ!


“ครับๆ ไม่บ่นแล้วก็ได้ ไอ้บีทส์คนนี้เต็มใจบริการ” สงสัยทำหน้าน่ารักเกินไปหน่อย พี่ซันถึงกับยกเท้าให้ผมดูด้วยความรักกันเลยทีเดียว


ผมกลับมาตักแกงจืดใส่ถ้วยแบ่งออกเป็นแบบธรรมดาของพี่ซันและแกงจืดเต้าหู้ไข่ (เต็มถ้วย) ของผม พร้อมกับจานข้าวอีกสองจาน ผัดพักและหมูทอดที่ผมจัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม แล้วยกออกมาวางที่โต๊ะอาหาร พี่ซันคงนั่งหัวโต๊ะส่วนผมก็คงข้างๆ ฝั่งขวามือ (คิดเองจัดเองเสร็จสรรพ) อ่อ ลืมบอกไปครับว่าโต๊ะอาหารเป็นแบบขนาดเล็กนั่งได้ประมาณห้าคน


“พี่ซันเสร็จแล้วครับ” ผมเรียก รอสักพักพี่ซันก็เดินออกมานั่งประจำที่พลางมองหน้าตาของอาหารที่ผมทำ


“กู...กินได้แน่นะ” พี่ซันถามเหมือนไม่แน่ใจ


“รับรองว่ากินแล้วไม่ท้องเสียแน่นอน ถ้ากินแล้วท้องเสียผมนี่แหละจะเป็นคนพาพี่ไปหาหมอเอง ไม่ต้องห่วง!!” ผมประชดกลับ พี่ซันทำหน้าเอือมๆ หยิบช้อนมาตักแกงจืดเพื่อชิมดู แล้วก็ตักชิมอีกครั้ง ก่อนจะหันมาตักผัดผักและหมูทอดไปกินอย่างละคำ


“เป็นไงครับ พอกินได้ป่ะ” ผมถาม พี่ซันเลิกคิ้ว ก่อนจะตักกับข้าวกินต่อโดยไม่ตอบ ผมทำหน้ามุ่ย พี่ซันอาการดีขึ้นมากแล้วครับ ดูจากที่มือข้างซ้ายตักข้าวได้โดยไม่มีอาการมือสั่น แต่แค่คงใช้งานได้ไม่ถนัดเหมือนมือข้างขวา ผมเลยลงมือทานอาหารบ้าง


“ก็...ไม่ได้แย่อย่างที่คิด” พี่ซันพูดลอยๆ ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวตรงหน้า มองคนที่เพิ่งเอ่ยประโยคจบ


“ก็ยังดีที่พี่ชอบ” ผมยิ้มตอบ พี่ซันหันมาเลิกคิ้วใส่


“กูพูดสักคำรึยังว่าชอบ เนียนตลอดนะมึง” พี่ซันพูด ผมสะบัดค้อนให้วงเล็กๆ ปากปฏิเสธแต่เห็นตักไม่หยุดเลยนะครับ ยังจะมาปากแข็งอีก


“อ๊า อิ่มชะมัด~ โอ๊ะ เดี๋ยวผมไปเอาผลไม้มาให้นะ” ผมพูดขึ้น หลังจากที่เราสองคนต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารของตัวเองเงียบๆ เรียกว่าซัดเรียบกันเลยจะดีกว่า


“ไม่ต้อง แค่นี้กูก็อิ่มจะแย่แล้ว ขืนกินเข้าไปอีกคงได้อ้วกใส่หน้ามึง”


“งั้นเดี๋ยวผมไปเอายามาให้เลยดีกว่าจะได้กินแล้วก็พักผ่อน แล้วแผลที่หน้านั่น ให้ผมทายาให้ดีมั้ยครับจะได้หายไวๆ” ผมเสนออีกทางเลือก ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตคุณชายเขาทายาที่หน้าให้ ใบหน้าหล่อๆ พอมีแผลประดับแล้วมันดูเท่ไม่ยอกเลยครับ


ผมยกจานเข้าไปเก็บก่อนจะเดินเลยไปหยิบถุงยาในห้องนอนของพี่ซันที่วางกองรวมกันไว้ โดยไม่ลืมบอกให้พี่ซันมานั่งรอผมที่ห้องนั่งเล่นก่อน หยิบถุงยาได้ผมก็เดินออกมา


“เฮ้ยพี่ ทำอะไรอ่ะ!!” ผมร้องถามเสียงหลงก่อนจะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังจะถอดผ้าคล้องคอออกด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว


เฮ้ย!!


ตุบ!


โอ๊ย!


“สัส! ทำอะไรของมึง!?!” พี่ซันตะคอกเสียงดัง เหวอแดกสิครับ


“เอ่อ คือ กะ...ก็พี่จะทำอะไรเล่า!!?” ผมตอบ ทั้งๆ ที่ก็ยังนอนเกยอยู่บนตักพี่ซัน อ่านไม่ผิดหรอกครับ ‘เต็มๆ ตักเลย’ ก็พอเห็นพี่ซันจะเอาผ้าที่คล้องคอออก ผมก็พุ่งตัวเข้ามาเลย แต่มันดันสะดุดขาโซฟาล้มคว่ำก่อนจะพุ่งไปถึงตัวพี่ซัน สภาพมันเลยเป็นอย่างที่เห็น


จะอะไรซะอีกล่ะครับก็ตอนนี้ผมล้มทับตักพี่ซันที่นั่งรออยู่บนโซฟาในสภาพคว่ำหน้าแถมยังโดนแขนพี่ซันซ้ำเข้าให้อีกน่ะสิ!
“กูทำอะไร กูก็แค่ขยับให้มันเข้าที่ สัส! เสือกพุ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือ” พี่ซันว่า ผมกำลังจะเถียง


“กูมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”


ผมกับพี่ซันหันขวับไปยังเจ้าของเสียงที่ยืนเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ แต่หรี่ตามองมาอย่างจับผิด ผมเด้งตัวออกจากตักพี่ซันอย่างเร็ว โดยขยับไปนั่งที่โซฟาตัวถัดไป


“เอ่อะ...คือ แหะๆ พี่หมอมาก็ดีแล้วครับ จะได้ดูแขนให้พี่ซัน อ่อ พี่ซันยังไม่ได้ทานยาหลังอาหารนะครับ แผลที่หน้าก็ยังไม่ได้ทาเหมือนกัน” ผมรีบรายงานอาการให้พี่หมอฟัง พี่หมอหันมาพยักหน้ายิ้มๆ ให้ผม ส่วนพี่ซันมองแขกผู้มาใหม่ด้วยหางตาแล้วก็หันกลับไปดูทีวีต่อ


“คงไม่ต้องให้พี่ดูแล้วมั้ง มีพยาบาลคอยป้อนข้าวป้อนน้ำดีขนาดนี้ รังแต่จะไม่อยากหายน่ะสิครับ” พี่หมอพูดขำๆ แต่ผมขำไม่ออกนะครับพี่ ดูหน้าเพื่อนพี่นิดนึง จะกินหัวพี่อยู่แล้ว


“พูดมาก มึงมาก็ดีเอาไอ้นี่ติดมือกลับไปด้วย กูรำคาญ” พี่ซันหันไปกัด เอ้ย ตำหนิพี่หมอ แล้วพาลมาลงที่ผม ไอ้พูดไม่เท่าไหร่ครับ สายตานี่แบบหงุดหงิดสุดๆ


“อ้าว แล้วเมื่อกี้ไม่ได้กำลัง..." พี่หมอ ยังคงพูดต่อด้วยท่าทางสบายๆ แต่กลับทำให้พี่ซันโมโหมากขึ้น “ไอ้อาร์ต...อย่ากวนตีน”
ผมนี่ตัวลีบแทบติดโซฟาครับ กูควรจะหนีเพื่อรักษาชีวิตไว้หรืออยู่รอเก็บศพคนใดคนหนึ่งก่อนดี


พี่หมอเลิกคิ้ว ก่อนจะเอ่ยตอบพี่ซันด้วยคำถาม “หึ กูก็แค่แซ็วเล่นขำ ๆ มึงจะซีเรียสทำไม” พี่ซันไม่ตอบอะไรเพียงแค่ส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา


“ให้กูดูแขนดิ๊” พี่หมอยกยิ้มมุมปากไม่ถือสาอาการไม่พอใจของพี่ซัน ก่อนจะหันมาพูดกับผม “ไม่ต้องกลัวนะบีทส์ พวกพี่ก็ชอบคุยเล่นกันแบบนี้ประจำ นานๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเอง”


ผมเห็นด้วยกับพี่หมอนะครับ เรื่องแค่นี้จะซีเรียสไปทำไม ก็แค่เพื่อนสนิทแซ็วกันเล่นๆ
เพียงแต่มันเป็นเรื่องของ ‘ผม’ ก็แค่นั้นเอง


แต่ไอ้เรื่องจะให้ชินน่ะ ผมว่าคงอีกนานครับ ผู้ชายตัวใหญ่สองคนมายืนตะคอกใส่กันแบบนี้  ผมคงโดนลูกหลงตกลงใส่หัวไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะครับ


“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง” พี่ซันหันมาพูดกับพี่หมอ ในขณะที่พี่หมอกำลังตรวจดูผ้าพันแขนพี่ซัน จับพลิกไปพลิกมา พี่ซันหรี่ตาลงเหมือนกำลังเจ็บ ผมเองก็ได้แต่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ อย่างห่วงๆ ครับ


พี่หมอถอนหายใจเมื่อเห็นแววตาคาดคั้นของพี่ซัน “คิดว่าน่าจะเป็นพวกไอ้เจ” ผมเลิกคิ้ว ไอ้เจงั้นเหรอ...หวังว่าคงไม่ใช่คนเดียวกันกับพี่เจหรอกนะ แต่ถ้าเป็นพี่เจพี่หมอต้องเรียกพี่เจว่าพี่สิ เหมือนกับเมื่อตอนไปเข้าค่ายนั่นยังไงล่ะครับ


“หึ ไอ้เหี้ยนั่นมันหาเรื่องกูตั้งแต่ตอนไปเข้าค่ายแล้ว สงสัยเห็นกูไม่ตอบโต้อะไรเลยได้ใจ มึงมั่นใจใช่มั้ยว่าเป็นคนของมันจริง” พี่ซันพูดออกมาเสียงเย็น ส่วนผมเบิกตากว้างไปแล้วครับ อย่าบอกนะว่าเป็นพี่เจจริงๆ


“อืม คนของเฮียอั๊ตเป็นคนตามเรื่อง กูว่าไม่น่าจะพลาด” พี่หมอตอบพลางพันผ้าให้พี่ซันเหมือนเดิม เสร็จแล้วจึงเก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าตามเดิม อ้าวพี่หมอ แผลที่หน้านั่นล่ะครับ พี่ยังไม่ได้ดูให้พี่ซันเลยนะ ถ้าเกิดมันอักเสบขึ้นมาจะทำยังไง


“งั้นกูคงต้องจัดการอะไรสักอย่างให้มันรู้สำนึกซะบ้างว่าที่มันมีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะใคร” พี่ซันพูดออกมาเสียงเหี้ยม จนผมอดเอ่ยปากแย้งไม่ได้


“แต่ผมว่าพี่เจเขาก็ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นไปได้นะครับ ผมว่ามันอาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ได้ อะไรเล่า! ทำไมต้องมองผมแบบนั้นด้วย” ไอ้พี่ซันครับ ตวัดสายตามามองผมเหมือนจะฟันให้ร่างผมขาดออกเป็นสองท่อน ผมก็แค่ออกความคิดเห็นเผื่อว่าถ้ามันผิดพลาดจริงๆ พี่ซันจะได้ไม่ต้องไปทำร้ายคนอื่น มันบาปนะครับ


“หึ เป็นอะไรกับมันหรือไงถึงได้ปกป้องมันนัก! คิดว่ามึงรู้จักมันดีแค่ไหนกันเชียว มึง...ที่เพิ่งเจอมันแค่ไม่กี่เดือน กับกูที่อยู่กับมันมาเกือบสิบปี!! คิดว่ากูอคติจนต้องหาเรื่องใส่ร้ายมันเหรอ ถามจริง...โดนมันเป่าหูอะไรมาถึงได้เข้าข้างมันไม่ลืมหูลืมตา”
พี่ซันสบตาผม นัยน์ตามีแววเยาะเย้ย


“มึงมันก็ไม่ได้ต่างจากที่กูคิดไว้สักเท่าไหร่”


“ไอ้ซัน พอ!!!!! ห่า หงุดหงิดแล้วอย่าพาล” พี่ซันหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเองดุๆ ส่วนพี่หมอมองตรงมาที่ผมอย่างเป็นห่วง ผมมองพี่ซันอึ้งๆ คือกำลังช็อคครับ รู้ว่าพี่มันกำลังโมโห แต่ที่ผมพูดเพราะผมหวังดีกับพี่มันนะ
ธรรมโม พุธโธ สังโฆ... ฮึ่ม เย็นไว้ไอ้บีทส์


“เอาเป็นว่าเคลียร์กันเองก็แล้วกัน เรื่องนี้กูไม่ยุ่ง อาการทั่วไปปกติดี สองสามวันก็เอาผ้าคล้องคอกับเผือกออกได้แล้ว พูดกับน้องดีๆ นะไอ้ซันเขาอุตส่าห์มีน้ำใจ” พี่หมอสั่งเพื่อนเสร็จก็หันมาหาผม


“พี่ไปนะบีทส์ พอดีมีเข้าเวรต่อ” ผมพยักหน้า ยกมือไหว้ลาพี่หมอ ก่อนจะมองเลยไปยังพี่ซันที่ยังคงมีอาการฟึดฟัดให้เห็น ผมเงียบไม่พูดอะไร ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว


ไม่ได้เดินหนี


ผมแค่เดินมาเอาน้ำ ก็… พี่มันยังไม่ได้กินยา


ผมเดินถือแก้วน้ำออกมา จังหวะที่ผมเดินผ่านเข้าไปในห้องนั่งเล่นเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ซันมองมาทางนี้พอดี เราสองคนสบตากันนิ่ง พี่ซันเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด ผมเองก็รอฟังว่าพี่มันจะพูดอะไร เป็นแบบนั้นอยู่สองครั้ง ก่อนที่พี่ซันจะเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมเลยเดินถือแก้วน้ำพร้อมกับเหยือกน้ำขนาดไม่ใหญ่มากมาวางไว้ที่โต๊ะ และจัดยาใส่แก้ว ยื่นส่งให้พี่มันเงียบๆ


พี่ซันเองก็รับไปกินเงียบๆ เหมือนกัน พอกินยาเสร็จเรียบร้อย พี่ซันทำท่าจะลุกผมเลยคว้าหมับเข้าที่แขน และรั้งให้พี่ซันนั่งลงโดยไม่ปริปากพูด พี่ซันเองก็เลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม ผมเลยยกตลับยาป้ายแก้รอยฟกช้ำให้พี่มันดู


พี่มันรั้งแขนออกจากมือผม มีหรือที่ผมจะยอม ส่งใบหน้าหงอยๆ ไปให้สองสามที ก่อนจะก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา (แต่มือนี่จับแขนพี่มันยึดไว้แน่น) พี่ซันถอนหายใจก่อนจะยอมนั่งลง


ผมนั่งทายาให้พี่ซันเงียบๆ ไล่ตั้งแต่ตรงหางคิ้ว โหนกแก้ม แล้วก็มุมปาก ผมขนลุกซู่ทุกครั้งที่ลมหายใจของพี่ซันเป่ารดโดนมือของผม พยายามเก็บอาการไม่ให้มือสั่น แต่มันทำ ‘ยาก’จริงๆ ครับ


“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมขอนอนอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน พี่เข้าไปนอนเถอะ วันนี้ผมกวนพี่มาเยอะแล้ว” ผมพูดหลังจากที่ทายาให้พี่มันเสร็จ (เกือบหัวใจวายตาย)


พี่ซันมองหน้าผม ก่อนจะแล้วเดินเข้าห้องไปเลย พอบานประตูห้องพี่ซันปิดสนิท ผมก็ลุกเอาของไปเก็บ จัดที่นอนตัวเองให้เข้าที่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้ผมยังไม่มีผ้าห่มนี่หว่า จะเดินเข้าไปถามเดี๋ยวคนในห้องก็จะหาว่าเข้าไปก่อกวนอีก เอาไงดีวะ จะกลับไปที่ห้องก็ขี้เกียจเดี๋ยวรออีกสักพักรอให้พี่มันหลับก่อนค่อยย่องเข้าไปหา (ผ้าห่ม) ก็แล้วกัน


ผ่านไปเกือบชั่วโมงผมถึงได้ย่องมาแอบเปิดประตูเข้ามาในห้องของคนป่วย ผมยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงของคนที่ผมแอบคิดเกินเลยด้วยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่มันร้ายกับผมมาก็ตั้งหลายอย่าง แต่ทำไมผมถึงจำได้แต่สิ่งดีๆ ที่พี่มันเคยทำให้ผม


ผมนั่งลงข้างๆ เตียงก่อนจะเอาคางวางบนมือสองข้างที่ประสานกันไว้ และแอบมองหน้าคนป่วยที่นอนหลับตาพริ้มด้วยรอยยิ้ม
จนไม่รู้ตัวเลยว่า ‘หลับ’ ไปตั้งแต่ตอนไหน…


+++++++++++++++++
 
 
 [ซัน]


ผมกระพริบตาเพื่อปรับแสงให้คุ้นชินอยู่สองสามที ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอานาฬิกาที่วางอยู่หัวเตียงมาดูเวลา…ตีหนึ่ง
“ตัวอะไรวะเนี่ย” ผมพยายามเพ่งสายตาไปมองกลุ่มผมสีเข้ม ที่นอนเอียงซบไปกับหลังมือของตัวเอง ผมลุกนั่งก่อนจะนึกไปถึงไอ้เด็กกวนประสาทที่มาหาผมตั้งแต่เมื่อบ่าย


เด็กอะไร ทั้งรั้น ทั้งขยันกวนโมโห ไม่รู้ไปฝึกไอ้นิสัยพวกนี้มาจากไหน และไม่รู้ว่าทำไมอีกเหมือนกันที่เมื่อมันทำหน้าหงอยๆ ใส่จะต้องเป็นใจอ่อน


ผมเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงวีรกรรมของมัน ที่ทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าครัวทำอาหาร ฝีมือเทียบเท่ากับแม่บ้านของผมด้วยซ้ำ


‘อร่อย’ มากทีเดียว


แถมยังลงมือเก็บกวาดห้องให้โดยที่ผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากขอเลยสักนิด  คอยดูแล หาข้าวหาน้ำให้กินโดยไม่เกี่ยงงอน คอยกำชับให้กินยา ทายาให้โดยไม่รังเกียจ มันทำให้ผม…


‘ประทับใจ’ โดยไม่รู้ตัว


วันนี้ที่ผมเผลอตะคอก เผลอด่ามันไปก็เพราะกำลังโมโหไอ้ญาติผู้พี่ แถมยังหงุดหงิดสุดๆ ตอนได้ยินประโยคที่มันเอ่ยออกมาเหมือนปกป้องกันเสียเต็มประดา เหอะ ไหนเคยบอกว่าชอบผมกัน! หรือมันจะเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชายบุคลิกดีแต่เปลือกนอกอย่าง ‘ไอ้เจ’ เข้า


ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด


มองไปที่ไอ้ตัวแสบอีกครั้ง ก็หลุดยิ้มออกมา


“แจ๊บๆ อื้อ อิพิงค์นั่นเค้กกู!”


ก็เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่ค่อยอยากให้มันอยู่ใกล้ตัว ยิ่งผมอยู่ใกล้มันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น


เพราะมัน...


ทำให้ผมยิ้มบ่อยขึ้น


อันตรายกับหัวใจเกินไป...


“บีทส์ๆ ไอ้ดื้อ ตื่น…นอนแบบนั้นไม่ปวดคอรึไง” เรียกชื่อมันให้ตื่น ทั้งเรียกทั้งเขย่า แทนที่จะตื่น เสือก ‘เกาแก้มแล้วหลับต่อหน้าตาเฉย’ ไอ้เด็กนี่... หึๆ


“งือ...จะนอน” มันทำเสียงรำคาญ ผมหลุดหัวเราะ


“ตื่นแล้วลุกขึ้นมานอนข้างบนด้วยกัน ลืมไปว่ามึงไม่มีผ้าห่ม คืนนี้นอนในนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ถือซะว่าขอบคุณสำหรับอาหาร บีทส์...”


เหมือนกูกำลังพูดกับตัวเอง


...ไร้เสียงตอบรับ...
 

“กูจะนับหนึ่งถึงห้า ถ้าไม่ขึ้นมากูไม่สนแล้วนะ ปล่อยให้แม่งนอนอยู่แบบนี้ ตื่นขึ้นมาจะได้ปวดคอปวดหลัง แล้วอย่ามาบ่นให้กูได้ยิน กูถีบแน่”
           

“หนึ่ง”
           

“สอง”


“สะ...หื้ม” ผมหยุดนับ เมื่อร่างเล็กของคนที่นอนข้างเตียงเริ่มขยับ ก่อนจะนั่งตัวตรง แต่ดวงตายังปิดสนิท


“ฮึ่ย! บอกว่าอย่ากวนไง!! เอาผ้าห่มพี่คืนมาเลย อยากโดนแย่งขนมอีกเหรอฮะ!” อุ๊บส์ ฮ่าๆๆ แม่งพูดทั้งที่ยังหลับตาได้ด้วยเว้ย!
 

“งืมๆ” ผมขยับขาหนี เมื่ออีกคนใช้มือคลำๆ หาทาง ทั้งที่ดวงตากลมโตยังปิดสนิท ผมยังคงเงียบสังเกตอาการ  บีทส์ค่อยๆ ใช้มือคลำที่นอนแล้วคลานขึ้นมาเรื่อยๆ จนผมต้องเขยิบหนีไปอีกฝั่ง นี่มึงกำลังจะทำอะไรครับ


“งือ...หมอน” บีทส์พูดขึ้น ในขณะที่มือขาวคลำเจอหมอนที่ผมเพิ่งหนุนไปก่อนหน้านี้ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างถูกใจ (แต่ตายังปิดสนิท) เหมือนเด็กได้ของเล่น ก่อนจะล้มตัวลงนอน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมต้องยกยิ้มตาม


“หึๆ วันนี้มึงทำให้กูหลุดหัวเราะกี่ครั้งแล้วฮะไอ้ดื้อ” ผมพูดพลางใช้มือจิ้มไปที่หน้าผากของคนที่หลับสนิท ก่อนจะตวัดผ้าห่มขึ้นห่มให้อีกคน และสอดตัวลงนอนต่อ 


หมับ!


สะดุ้งสิครับ นอนยังไม่สนิทดี กลับมีอะไรบางอย่างหล่นมาใส่เอว ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเห็นลำแขนเรียวขาวพาดอยู่ตรงช่วงเอว มองไล่ตามเรียวแขนขึ้นมาก็พบกับใบหน้าขาวใสที่อยู่ห่างจากใบหน้าผมไปไม่กี่คืบ แถม...


กระดุมคอเสื้อหลุดไปหนึ่งเม็ด...


ทำเอาผมหันหน้าหนีแทบไม่ทัน


เมื่อกี้นอนห่างกันเป็นคืบ นี่คงจะกลิ้งมาอีกสินะ ไอ้เด็กคนนี้นี่มัน...เฮ้อ จริงๆ เลย ผมยกมือขึ้นขยี้หัวทุยๆ ของคนตัวเล็ก ก่อนจะผละออกเมื่ออีกคนขยับตัว แต่...


ซุกหัวมาที่อกผมแทน...มีการขยับตัวจัดระเบียบร่างกายให้ตัวเองนอนในท่าสบายด้วยนะ แต่กูนี่แทบจะเกร็งไปหมดทุกส่วน!!


ตึก ตึก ตึก ตึก...


เสียงกลองเร็วระรัวดังขึ้นในหัว ผมยกมือข้างขวาขึ้นมากุมหัวใจตัวเอง


“เต้นเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ”





ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
หัวใจเต้นจะทะลุออกมาจากอกแล้ว ใจบางเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พยายามจะใจแข็งจังเลยนะพี่ซัน ทั้งๆที่ใจอ่อนกับบรสท์ตลอด

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
รู้ว่ารักแล้วก็ต้องเจ็บ
รักแล้วยังไงก็ต้องยอม..เจ็บ

ดูๆแล้วรักนี้ไม่น่าจะรุ่งซักเท่าไหร่
มีแต่ใจจะขาด..รุ่งริ่ง

แต่ถ้าจะ S&M ก็ไม่ห่วงนะ
ตามใจเลย..พระเอก นายเอก
หุหุ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ดูซิว่าพี่ซันจะทนความน่ารักของน้องบีทส์ไปได้ซักกี่น้ำ

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 12 :: ให้หัวใจเป็นคนเลือก


[บีทส์]


“อื้อ...หาว” ผมลืมตาขึ้นมา เจอเพดานสีขาวสะอาด ผมขยับตัวไล่ความขบเมื่อยก่อนจะกระพริบตาสองสามครั้งปรับสายตาให้เป็นปกติ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง


จำได้ว่าเมื่อคืนผมแค่เข้ามา เอ่อ นั่งมองหน้าพี่ซัน แล้วคงจะเผลอหลับไป ไม่รู้ว่าขึ้นมานอนบนเตียงได้ยังไง แล้วเจ้าของห้องเขาไปนอนที่ไหนล่ะ ผมใช้มือคลำข้างตัว


ห้องพี่ซันหมอนข้างมันใหญ่แปลกๆ นะ ลองลูบๆ ดู ก็แน่นแปลกๆ  ด้วย มันเหมือนกับ…


เฮ้ย!!!!


อกพี่ซัน!!


ไอ้ฉิบหาย!!!!!!!!!!!!!!!!!!


นี่กูทำอะไรลงไป ไม่รักนวลสงวนตัวยังไม่พอ ดันมาเสนอให้เขาถึงที่ แบบนี้เขาจะมองว่าผมเป็นคนยังไงล่ะครับ!?! ดีนะที่ผมเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขา ไม่งั้นล่ะก็ โอย ไม่อยากจะคิดภาพตามเลยครับ โดนพี่มันถีบหัวส่งกลับห้องตัวเองแน่ๆ
พระเจ้า!!


แบบนี้ก็แสดงว่าเมื่อคืนนี้ผมนอนกอดพี่ซันทั้งคืนเลยดิ แง๊ง ฟิน!! อยากนอนต่อ แต่ลองคิดดูอีกทีเกิดพี่มันตื่นมาเจอผมนอนอยู่ข้างๆ ชีวิตผมแลดูจะไม่ปลอดภัย แอบกิน เอ้ย แอบฟินวันละนิดวันละหน่อยก็แล้วกัน


หันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง หกโมงกว่าแล้ว ต้องรีบทำอาหารเช้าไว้ให้คนป่วย วันนี้ผมต้องกลับบ้าน คงต้องลงไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วออกไปเลย หันไปมองพี่ซันอีกครั้ง
เขียนโน๊ตบอกไว้แล้วกัน...


จุ๊บ


“อรุณสวัสดิ์นะครับพี่ซัน วันนี้ผมต้องกลับบ้านอยู่เป็นเพื่อนพี่ไม่ได้ อยู่ห้องคนเดียวทานข้าวทานยาให้ตรงเวลานะครับ อ่อ อย่าลืมทายาด้วยล่ะ ผมจะเตรียมไว้ให้ เอาไว้ผมจะมากวนใหม่นะ” ผมหอมแก้มพี่ซันข้างละที ก่อนจะพูดถึงข้อความที่จะเขียนโพสอิทติดไว้ให้ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะหลับแล้วไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด เพราะผมฉลาดพอที่จะเขียนโพสอิทติดไว้ให้คนหลับได้อ่านข้อความที่ผมพูด


เป็นไงล่ะ ไอ้บีทส์ฉลาดที่สุดในสามโลก


ผมก้าวลงจากเตียงช้าๆ ก่อนจะจัดผ้าห่มให้พี่ซันอีกรอบ แล้วหันหลังเดินฮัมเพลงออกไปจากห้องอย่างมีความสุข
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่(คิดว่า)นอนหลับอยู่บนเตียงกำลังนอน(หลับตา) ยกยิ้มอยู่เหมือนกัน...


++++++++++++++


“อ้าวพี่บีทส์” ผมหันไปตามเสียงเรียกในขณะที่กำลังยืนหันหลังปิดประตูบ้าน ก่อนจะพบกับไบร์ทนั่งใส่ถุงเท้าอยู่ เห็นข้างๆ เป็นกระเป๋าสะพายเป้คู่ใจของเจ้าตัว คงเตรียมตัวไปเรียนพิเศษอีกแล้ว


“อื้อ จะไปเรียนพิเศษเหรอ” ผมถาม พลางเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ  ไบร์ทหันมายิ้มแล้วพยักหน้าให้ผม


“เรียนพิเศษเป็นไงบ้าง” ผมถามต่อ เป็นจังหวะที่น้องใส่ถุงเท้าเรียบร้อยแล้ว ไบร์ทหันตัวมาเผชิญหน้ากับผม พลางยกเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิ มือสองข้างวางบนตักตัวเอง ผมยิ้มกับท่าทางของไบร์ท


...จะแมนไปไหน...


“ก็ดีนะพี่บีทส์ ยิ่งเรียนเนื้อหาที่ต้องจำก็เยอะ มีการบ้านมาทำทุกอาทิตย์เลยนะ ดีหน่อยที่โรงเรียนไม่ค่อยมีอะไรแล้ว เหลือแค่เคลียร์เรื่องงานอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อย พร้อมลุยสอบตรง ยังพอมีเวลาให้ติวเข้มอ่ะ” ไบร์ทตอบออกมายาวเหยียด พอพูดถึงการบ้านก็ขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมั่นใจเมื่อพูดถึงการสอบตรงที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า น้องเป็นคนหัวดีมากครับ เห็นซนๆ แบบนี้แต่เรียนเก่งเอาเรื่องเหมือนกัน ผมสู้ไบร์ทไม่ได้เลยในเรื่องนี้ สอบติดบริหารฯ ก็เป็นบุญหัวแล้วครับ


“แล้วที่สถาบันฯ เป็นยังไง สอนดีใช่มั้ย ไม่ได้เครียดเกินไปนะ ถ้าไม่ดีก็ลองหาที่ใหม่ดู เอามั้ยเผื่อพี่จะถามพวกไอ้นัทให้” ผมถามขึ้นอย่างเป็นห่วง พลางวางมือลงบนมือขาวของน้อง


“โห ขืนไบร์ทย้ายตอนนี้มีหวังเรียนไม่ทันเพื่อนแหงเลยพี่บีทส์ ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่สอนดีมาก พี่ปลั๊กเอ่อ...ติวเตอร์ของไบร์ทอ่ะสอนดีมาก พวกเนื้อหายากๆ เลยซอล์ฟๆ ลงมา แถมยังมีไอ้หมอ เอ๊ย รุ่นพี่ที่รู้จักกันคอยสอนให้อีก พี่มันโคตรเนี๊ยบเลยนะพี่ แถมยังขู่อีกว่าถ้าสอบไม่ติดจะพาไปปล่อยลงอ่าว เหอะ!” ไบร์ทโอดครวญเมื่อผมบอกให้ย้ายที่เรียนพิเศษ ผมยิ้มขำ จริงๆ ก็แกล้งแซ็วไปอย่างนั้นแหละครับ ก่อนจะสะดุดกึก เมื่อน้องเอ่ยถึงรุ่นพี่ที่ว่า


ไอ้หมอที่ว่า...คนเดียวกันใช่ไหม


แปลก...ถึงพี่หมอจะช่วยเป็นพี่ติวเตอร์ให้ก็เถอะ ผมพอจะรู้ว่าพี่หมอเหมือนจะสนใจน้องผมมาก ก็ตั้งแต่แย่งโทรศัพท์ผมไปคุย แล้วก็ถามเรื่องสิ่งที่ไบร์ทชอบ ผมไม่คิดว่าพี่ติวเตอร์จะต้องสนใจคนที่ตัวเองสอนขนาดนี้หรอกนะครับ เอ่อ ถึงแม้จะเป็นอิพิงค์ที่เป็นคนบอกให้ผมฉุกคิดประเด็นนี้ก็เถอะ  ผมไม่ได้เป็นคนเอาความลับน้องมาเปิดเผยนะครับ จริงๆ แล้วผมไม่คิดว่าไบร์ทจะยอมลงให้กับพี่หมอง่ายๆ ไง หรือว่าพี่หมอจะใช้เล่ห์กลอะไรมาหลอกล่อน้องผมกัน แต่...อย่างไบร์ทจะยอมหลงกลง่ายๆ เหรอ


ไม่มีทาง!!! นอกเสียจากว่าจะยอมเดินเข้าไปในวังวนพี่หมอด้วยความเต็มใจหรือโดยไม่รู้ตัวล่ะก็นะ...


“คิดอะไรอยู่พี่บีทส์คิ้วขมวดเชียว” ผมตื่นจากภวังค์ เมื่อไบร์ททำมือโบกไปมาตรงหน้าผม น้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมยิ้มก่อนจะส่ายหัว


“แล้วกับน้องแจน...ยังไปเรียนด้วยกันปกติใช่มั้ย” ผมถาม ไบร์ทหน้าเจื่อนไปเลย ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


ผมรู้เรื่องนี้มาสักพักแล้วล่ะครับว่าน้องชอบแจน เพื่อนสนิทของเจ้าตัวเขานั่นแหละ ไบร์ทไม่ได้เป็นคนบอกผมเองหรอกนะครับ แต่พอดีวันนั้นผมนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรได้ก็ไม่รู้ เข้าไปเล่นห้องน้องแล้วเจอ ‘ไดอารี่’ เล่มหนึ่งวางอยู่ตรงหัวเตียง


ไอ้ผมก็เป็นคนมีมารยาทครับ ‘เปิดอ่าน’ มันซะเลย หน้าแรกๆ ก็ไม่มีอะไร ไบร์ทบันทึกเรื่องราวในแต่ละวันที่ไปเจอมา ผมเลยเปิดอ่านผ่านๆ จนไปสะดุดกับรูปภาพรูปหนึ่งที่เหน็บอยู่ในไดอารี่ ผมค่อนข้างแปลกใจที่รูปๆ นั้นเป็นรูปของเพื่อนสนิทไบร์ท


‘แจน’


ไบร์ทพาแจนมาเที่ยวที่บ้านบ่อย ทำให้เราค่อนข้างสนิทกันในระดับหนึ่ง ผมตัดสินใจเปิดหน้าถัดไป ก่อนจะเห็นถึงเรื่องราวมิตรภาพระหว่างไบร์ทกับแจน มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีในมุมของน้องผม ไอ้เรื่องดีก็คือไบร์ทเป็นคนที่แจนสนิทมากที่สุดในโรงเรียน ตัวติดกันอย่างกับคู่แท้ปาท่องโก๋ เลยสบโอกาสของคน ‘แอบรัก’ ได้อยู่ใกล้คนที่ตัวเองแอบหลงรักมาตลอด


ส่วนเรื่องไม่ดีก็คือแจนเป็นผู้หญิงสวยหวาน น่ารักๆ ตัวเล็กๆ เหมาะกับการทนุถนอมดูแล คนละเรื่องกับไบร์ทเลยครับ รายนั้นทอมจ๋า...


แต่น้องผมก็น่ารักนะเออ...


“ก็...เหมือนเดิมแหละ” น้องตอบเสียงเบา  ผมแอบถอนหายใจ จะช่วยจีบก็ยังไงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าแจนจะชอบเพศเดียวกันไหม ถ้าหากว่าแจนชอบผู้ชายขึ้นมา ก็จะกลายเป็นว่าทำให้สองเพื่อนสนิทมองหน้ากันไม่ติด นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่น้องผมไม่กล้าทำอะไรไม่มากกว่าการเป็น ‘คนข้างๆ’


จะยุให้ไปหาพี่หมอ ก็ไม่ได้อีก...


ผมยังไม่ไว้ใจพี่หมอหรอก รายนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้พอๆ กับพี่ซันเลย สองเพื่อนสนิท นิสัยเหมือนกันเด๊ะ เรื่องดีๆ ทั้งนั้น พูดถึงก็แอบเป็นห่วงคนที่นอนป่วยอยู่เหมือนกันนะครับ ไม่รู้ว่าป่านนี้ตื่นขึ้นมาทานข้าวทานยาบ้างหรือยัง


“แล้วพี่บีทส์ล่ะ เรียนเป็นยังไงบ้าง ไปอยู่คนเดียวแบบนั้นไบร์ทก็ยิ่งเป็นห่วง” น้องเป็นฝ่ายถามผมบ้าง ผมเลิกคิ้ว จะว่าดีก็ดีอยู่หรอก จะว่าไม่ดีมันก็มีบ้าง ตอบไม่ถูกเลย แรกๆ ก็แย่หน่อย แต่ตอนนี้อะไรๆ มันก็เริ่มดีขึ้น ล่ะมั้ง...


“ก็เรื่อยๆ ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วด้วย” ผมตอบยิ้มๆ


“อ่าฮะ แล้วกับคนที่ชื่อซันนี่มันยังไง” อื้อหือ ดีนะไม่ได้กินน้ำอยู่ ไม่งั้นงานนี้มีพุ่งกันบ้างล่ะครับ อะไรจะตรงขนาดน๊าน


“อะไร ไปรู้อะไรมาไม่มีอะไรนี่..!” ผมรีบปฏิเสธ อย่าบอกนะว่าอิพิงค์มันโรคปากสว่างกำเริบ


ไบร์ทหรี่ตามอง


“ไบร์ทรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่บีทส์หมดนั่นแหละ แต่ที่ไบร์ทไม่พูดเพราะไบร์ทคิดว่าพี่คงไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง เลยรอดูอยู่ห่างๆ นี่ไง แล้วก็เรื่องที่ร้องไห้เสียน้ำตาเพราะผู้ชายคนนั้น...ไบร์ทก็รู้อีกเหมือนกันนั่นแหละ”


อะไรนะ!!! ผมอ้าปากค้าง นี่น้องผมมีสายรายงานความเคลื่อนไหววนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมหรือยังไงกัน!?!


“เอ่อ...ก็” ผมพยายามจะอธิบาย แต่ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอเลยครับ


“หึๆ ไบร์ทไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เรื่องของหัวใจน่ะ ไบร์ทรู้ว่ามันบังคับกันไม่ได้หรอก ไม่งั้น...” ไบร์ทพูดก่อนจะหยุดเอาดื้อๆ ผมยิ้มให้น้องอย่างให้กำลังใจ  คงจะคิดเรื่องของแจนอยู่ล่ะสิ


“นี่ไบร์ท พี่เคยอ่านเจอในหนังสือ เขาว่ากันว่า…”


“...บางครั้งเราอาจจะเลือกรักคนผิด ร้องไห้ให้กับเหตุผลผิดๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราจะได้จากมันแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว รู้มั้ยว่าอะไร” ผมเว้นจังหวะ ไบร์ทมองหน้าผมก่อนจะส่ายหัว


ผมยิ้ม “ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวคนฉลาดจะเฉลยให้ฟัง”  ฮุๆ  ไม่บ่อยที่ผมจะได้เอ่ยปากสอนใคร แอบเขินเหมือนกันวุ๊ย
“ความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันจะช่วยทำให้เราค้นพบคนที่ใช่”


ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะผมเองก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกันถึงได้ลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง ผิดก็แค่คนที่ผมลองที่จะเสี่ยงดันเป็นคนที่ทำให้ผมอกครั้งไปแล้วครั้งหนึ่ง


“...”


ผมเงียบเพื่อรอฟังคนตรงหน้า น้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อผมพูดจบอึ้งอ่ะเด่ะ อย่างพี่ก็มีสาระนะน้อง
“หึๆ ฮ่าๆๆ  พี่บีทส์ไปอ่านเจอมาจากไหนเนี่ย อย่างพี่บีทส์อ่านหนังสือด้วย พุฮ่าๆๆ” คิ้วกระตุกกันเลยทีเดียว อะไรวะเฮ้ย!


“ลามปามละๆ ยอมรับก็ได้ว่าฟังจากไอ้นัทมันมาอีกที แค่จำได้ก็นับว่าดีสุดๆ แล้วนะเว้ย” ผมท้วง ไบร์ทพยายามหยุดขำเมื่อเห็นผมทำปากยื่นงอนๆ


“ฮ่าๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้  พอมีความรักก็เริ่มมีสาระเลยนะพี่เรา” ไบร์ทแซ็ว ผมยิ้มเขินๆ ก็ไม่รู้สิ ผมแค่อยากพยายาม พี่ซันไม่ต้องรักผมตอบก็ได้ ขอแค่ยอมให้ผมได้ทำอะไรให้พี่มันบ้าง แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว


“บ้าน่า...รักเริ่กอะไรไม่มีหรอก แล้วนี่จะไปเรียนยังไง” ผมเอ่ยปากปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยถามน้องกลับ ตอนนี้มันก็แค่รักข้างเดียวของผม จะสมหวังหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ แต่ไม่เป็นไรถ้าในที่สุดแล้วมันยังไม่ใช่ ผมก็จะคิดซะว่าได้พยายามเต็มที่แล้ว


“พี่บีทส์จะรักใครชอบใครไบร์ทไม่ว่าอะไรหรอก แค่รักตัวเองให้มากๆ ก็พอ ส่วนเรื่องไปเรียน ก็...พอดีรุ่นพี่เขาต้องผ่านมาทางบ้านเราพอดีเลยจะแวะรับไบร์ทก่อน ทางเดียวกันไปด้วยกัน  ช่วยชาติประหยัดน้ำมันอ่ะพี่บีทส์”


ครืด ครืด...


เสียงโทรศัพท์ของไบร์ทสั่นครืด เราจึงหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น ไบร์ทหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามา ก่อนจะเลิกคิ้วพร้อมกับทำปากยื่น อ้าว แล้วทำไมไม่รับ


ไบร์ทกดตัดสาย ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าใครโทรเข้ามา น้องยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไร พลางมองเลยไปทางหน้าบ้าน ผมจึงมองตามบ้าง เห็นรถคันหรูสีดำจอดอยู่ข้างๆ บ้าน หน้าบ้านก็มีนะคนเราดันไม่จอด กลัวใครเห็น


“รุ่นพี่มาแล้ว ไบร์ทไปก่อนนะพี่ อ่อ แม่อยู่ในครัวนะ แล้วนี่กุญแจไอ้น้องน้ำตาล ไบร์ทไปล่ะ~!” ไบร์ทหันมาตอบ พลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ผมพยักหน้าเออออ แล้วยื่นมือไปรับกุญแจรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจ ที่ตอนนี้ยกให้ไบร์ทไปเป็นการถาวรแล้ว
‘น้องน้ำตาล’ เป็นรถมอเตอร์ไซต์คันแรกที่คุณนายซื้อให้ผมตอนอายุครบสิบห้าปีพอดิบพอดี...กว่าจะได้มาเรียกว่าอ้อนวอนคุณนายเลือดตาแทบกระเด็นเลยล่ะครับ


ผมเดินตามมาส่งน้องที่หน้าบ้าน เห็นไบร์ทเดินอ้อมไปยังที่นั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ สักพักรถก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ รถพี่หมอหรือเปล่านะ ผมพยายามเค้นความจำ รถพี่หมอที่ผมเคยนั่งมันสี่ประตูไม่ใช่เหรอ ทำไมคันนี้มันสองประตู...หรือว่าจะไม่ใช่


ผมส่ายหัวกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าบ้านหยิบเอากระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นพาดบ่า ไปทักทายคุณนายหน่อยดีกว่า ได้กลิ่นหอมของอาหารลอยเข้าสองรูจมูกเมื่อเดินเข้าใกล้ห้องครัว


หมับ!


“ตาเถร!!! บีทส์~! แม่ตกใจหมดเลย ทำไมมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” แม่สะดุ้งเฮือกใหญ่ เมื่ออยู่ดีๆ ผมก็คว้าหมับเข้าที่เอวก่อนจะซุกหน้าไปกับซอกคอของคุณนาย ดีนะทัพพีไม่หล่น ไม่งั้นผมคงโดนบ่นยาว ฮ่าๆ คุณนายเอี้ยวตัวมามองด้านหลัง ผมเลยแจกจูบไปให้หนึ่งฟอด ก่อนจะโดนตีเข้าที่มือไม่แรงมากนัก


“ฮ่าๆ ขอโทษครับคุณนาย ไม่นึกว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้นะเนี่ย ทำอะไรอยู่ครับคนสวย” ผมแซ็วขำๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูผลงานของคุณนาย อ่า ข้าวต้มปลาน่ากินสุดๆ ผมทำท่าซี้ดปาก คุณนายส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้าทำอาหารต่อไม่สนใจหมีอะโคล่าอย่างผม


“เดี๋ยวบีทส์เอาของไปเก็บแล้วจะลงมาช่วยนะครับ น่ากินมาก” ผมบอก ก่อนจะฉวยหอมแก้มคุณนายเขาไปอีกหนึ่งที โวยวายใหญ่เลยครับ ฮ่าๆ


เปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะวางกระเป๋าไว้บนที่นอนของตัวเอง โดยหยิบเอาโทรศัพท์ติดมือมาด้วย แล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงนอน โทรหาพี่ซันหน่อยดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้จะตื่นหรือยัง คนป่วยต้องทานข้าวทานยาให้ตรงเวลา กลัวว่าพี่ซันจะนอนเพลินจนไม่ตื่นมาทานยาน่ะสิครับ


ตู๊ด...ตู๊ด


กดต่อสายไปยังปลายทาง ได้ยินเสียงรอสายนานอยู่สักพักแต่ก็ไม่มีคนรับ เลยตัดสินใจกดโทรออกอีกครั้ง         

                 
“…” กดรับแต่ไม่ยอมพูด


“เอ่อ พี่...ตื่นรึยังครับ” ผมตัดสินใจเอ่ยปากถามก่อน


...เงียบ นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่ตื่น???


“นี่พี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอครับ นี่!! อย่าบอกนะว่ายังนอนอยู่บนที่นอนอ่ะ!! เอ๊ะ รับแล้วทำไมไม่พูดครับ พี่ซัน พี่ซัน ไอ้พี่ซันโว้ย!! พี่ซันครับยังอยู่มั้ย พี่ซัน~” ผมเรียกคนในปลายสายหลายครั้ง ตะโกนเรียกก็ไม่ตอบ เลยลองลดน้ำเสียงลง  ยอมลงให้ก็ได้วะ!


“อืม...” กูอยากจะกรี๊ด ตอบมาแค่เนี้ย!?!


“พี่ตื่นหรือยังครับ” ผมปรับเสียงลงมาให้อยู่ในระดับปกติ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง


“คิดว่าไงล่ะ” แน่ะ! กวนตีนกูอี๊ก!! ตอบดีๆ เลยไม่ได้หรือยังไงหื้อไอ้คนขี้เก็ก!!


“พี่ยังไม่เห็นโน๊ตของผมเหรอ ผมตื่นมาทำกับข้าวไว้ให้ตั้งแต่เช้า เตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหาร ยาก่อนและหลังอาหารก็เตรียมไว้ให้ ไหนจะยาที่ต้องทาผมก็วางไว้ใกล้ๆกัน ทำไมพี่ถึงไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีก พี่จะนอนให้ร่างกายมันรักษาตัวเองรึยังไงครับ” ผมบ่น คนอุตส่าห์เป็นห่วงตื่นมาทำอาหารให้ แต่ไอ้พี่บ้านี่ไม่ห่วงตัวเองเลยสักนิดมันน่าโมโหจริงๆ


“พูดจบยัง” พี่ซันถามด้วยน้ำเสียงปกติไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรที่โดนผมบ่น ฮึ่ย ด้านจริงๆ ไอ้คนไม่มีหัวใจ!!


“ยัง!!! คอยดูนะคราวหลังผมจะไม่ยอมทำอะไรให้พี่กินอีก ห้องก็จะไม่ยอมไปเก็บกวาดให้ จะไม่ยอมไปเป็นนางทาสในเรือนเบี้ยพี่อีกเลย คอยดู๊!!” พูดเยอะก็เหนื่อย ดูพี่มันสิครับ โดนผมด่ายังมาหัวเราะอีก บ๊ะ!!


“นี่!! ขำอะ...”


“สัส! เงียบ!! บ่นอย่างกับเป็นเมียกู กูพูดสักคำรึยังว่ายังไม่ตื่น” พี่ซันพูดแทรกขึ้นมาเมื่อผมกำลังจะจัดมาม่าชุดเล็ก ผมนี่อ้าปากค้างไปเลยครับ ชิส์! ถ้าได้เป็นเมียนะจะบ่นยิ่งกว่านี้อีก ตื่นแล้วก็ไม่ยอมบอก ปล่อยให้พูดอยู่ได้ตั้งนาน!


“ก็ใครจะไปรู้เล่า! ก็พี่ไม่ยอมพูดเองนี่ ผมก็คิดว่ายังไม่ตื่นน่ะสิ” ผมเถียง


“หึ  มึงก็หัดรอฟังคนอื่นเขาพูดบ้างสิวะ ไม่ใช่เอะอะก็เอาแต่โวยวาย” พี่ซันพูดขึ้น ผมได้แต่ฟึดฟัดอยู่คนเดียว ก็ผมได้ยินเสียงพี่มันหัวเราะเยาะผมด้วยอ่ะ


“เออน่า ช่างผมเถอะ ว่าแต่ตื่นแล้วพี่ทานข้าวรึยังครับ” ผมเปลี่ยนประเด็น โอ๊ะ แอบได้ยินเสียงทีวีด้วยอ่ะ ทำไมตอนแรกกูไม่ได้ยินวะ!?!


“อืม”


“แล้วยาล่ะ” ถามต่อทันที


“กำลัง”


“อ่า โอเค พี่อย่าลืมทายาด้วยนะครับ จะได้หายไวๆ ผมไม่กวนแล้วดีกว่า พี่จะได้พักผ่อนเยอะๆ” ผมพูดตัดบท จริงๆ เท่าที่ดูอาการจากเมื่อวานพี่มันก็ดีขึ้นมากแล้วครับ แต่ก็นะ...


“มึงอย่าเวอร์ ข้อมือเคล็ดไม่ได้แขนขาด”


เชอะ ก็คนเขาเป็นห่วงนี่ “เป็นมากเป็นน้อยผมก็ยังห่วงอยู่ดีนั่นแหละ”


“…” ปลายสายเงียบ อ้าว ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ


“วางๆ ไปสักที ไหนบอกอยากให้นอนเยอะๆ ไง” แบบนี้เขาเรียกว่าไล่ทางอ้อมหรือเปล่าครับ


“ไม่ต้องรีบไล่ก็จะวางแล้วครับ แม่ะ ที่นอนไม่หายไปไหนหรอก ไว้ผมจะโทรไป ‘จีบ’ เอ้ย โทรไปถามอาการใหม่นะครับ บ๊ายบาย” ผมหยอด แล้วรีบกดวางสายทันที ไม่ต้องเดาก็รู้ครับว่าพี่มันคงกำลังด่าผมอยู่แหงๆ


ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เตียงก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อยืดตัวโคร่งที่ผมชอบใส่เล่นอยู่บ้านมาหนึ่งตัวพร้อมกับกางเกงขาสามส่วนมาด้วยอีกหนึ่งตัว กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนใจเดินกลับมาที่เตียงเหมือนเดิม ไม่ได้ลีลาครับ พอดีโทรศัพท์ผมมีสายเข้า


บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ บีทส์สุดหล่อ รับโทรศัพท์ด้วยคร้าบ~


‘พี่นางฟ้า’


ผมสะดุดกึก เมื่อเห็นเบอร์คนที่โทรเข้ามา


“ครับพี่ฟ้า” ผมกดรับสาย


“เอ่อบีทส์ พี่ฟ้ารบกวนหรือเปล่าคะ” พี่ฟ้าเอ่ยถาม


“ไม่ครับ พี่ฟ้ามีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามกลับ ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนะครับ แต่ถามเพราะสงสัยจริงๆ ตั้งแต่กลับมาจากเข้าค่ายผมก็แทบไม่เจอพี่ฟ้าเลย คือคณะของเราไม่ค่อยเคร่งครัดในระบบโซตัสไงครับ เจอกันก็ทักทายปกติไม่ได้ชวนกันไปดริ๊งก์บ่อยเหมือนพวกวิศวะเขา อะไรนะครับ ผมเปล่าพาดพิงใครนะ ไม่มี๊


“พอดีพี่มีเรื่องรบกวนบีทส์นิดหน่อย คือพี่ไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครว่างเลยสักคน”  พี่ฟ้าพูดเกริ่นๆ ผมเงียบเพื่อรอฟังต่อ


“เอ่อ...ครับ”


“พอดีพี่อยากซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่ซัน แต่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี บีทส์ไปช่วยพี่เลือกหน่อยได้มั้ยคะ ไปคนเดียวพี่คงซื้อไม่ถูกแน่ๆ”


“…”


ผมเงียบ ไม่ยักรู้ว่าพี่ซันเกิดช่วงนี้ แล้วทำไมจะต้องเป็นผมด้วยล่ะครับ แอบชอบแฟนเขายังไม่พอ นี่กูต้องไปช่วยเขาเลือกของขวัญให้คนที่กูชอบอีก เจริญล่ะ!


“เอ่อ ถ้าบีทส์ไม่ว่าง ไม่เป็นไรนะคะ” พี่ฟ้าพูดเสียงหงอยๆ ผมนี่แทบกุมขมับ ถ้าปฏิเสธก็จะหาว่าเป็นการแล้งน้ำใจอีก เอาวะ อย่างน้อยไปกับพี่ฟ้าก็จะได้รู้ว่าพี่ฟ้าซื้ออะไรให้พี่ซัน


ผมจะได้ไม่ซื้อซ้ำ!!!


“ตกลงครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าเองให้เจอกันที่ไหนดีครับ” ผมตัดสินใจตอบรับคำชวน ก่อนจะนัดแนะสถานที่กับพี่ฟ้า ก็ห้างใหญ่ใจกลางเมืองนั่นแหละครับ เรานัดเจอกันตอนเที่ยง พี่ฟ้าบอกว่าอยากหาอะไรทานรองท้องก่อน ค่อยไปเดินดูของทีหลัง  ผมก็ตอบตกลงไป ยังไงก็ได้ครับ...ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว


ผมเก็บเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเข้าตู้ไว้เหมือนเดิม ก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้แล้วเดินลงไปข้างล่างทันที ทานข้าวต้มปลาของคุณนายรองท้องกันไว้ก่อนดีกว่าครับ กินข้าวที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณนาย ถ้าหากว่าผมไม่กินตั้งแต่ตอนนี้เผื่อกลับมาแล้วมันหมดผมก็อดน่ะสิ!


‘ถ้าน้องเมล์จะแน่นขนาดนี้...’


ผมกดอัพเดทสถานะเฟสบุ๊คขณะยืนห้อยโหนอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง ยังดีนะครับที่เป็นรถเมล์ปรับอากาศ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่ อากาศบ้านเรามันไม่ต่างจากเดินอยู่บนทะเลทรายเลย


‘หาผัวรวยๆ สิมึง มีรถรับ-ส่งทุกวัน วินๆ’


คนที่คุณก็รู้ว่าใครครับ อิพิงค์มึงเล่นกูหน้าทามไลน์เลยนะ คิดว่าเพื่อนมึงจะอายเป็นไหมเนี่ย


‘ไปไหนน่ะบีทส์?’


ผมยิ้มเมื่อมีคนมาโพสต่อคอมเม้นท์อิพิงค์ พี่ไม้ครับเทพบุตรสุดหล่อ ที่ฟ้าส่งมาโปรดชาวโลก


‘สยามครับ’  ผมกดตอบ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์เมื่อพี่พนักงานเก็บเงินตะโกนบอกว่าป้ายหน้าเป็นจุดหมายที่ผมจะต้องลงแล้ว


“สวัสดีครับพี่ฟ้า” ผมยกมือไหว้พี่ฟ้า หลังจากที่เดินเข้ามาในร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่เรานัดกันไว้ พี่ฟ้าหันมายิ้มก่อนจะยกมือขึ้นรับไหว้ผม


“สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเห็นบีทส์แต่งตัวแบบนี้ น่ารักจนพี่ชักจะอิจฉาแล้วนะเนี่ย” พี่ฟ้าแซ็ว แล้วทำแก้มพองลม โอย น่ารักมากไปแล้วนะครับ


“ไม่เท่าพี่ฟ้าหรอกครับ สวยขนาดนี้ผมไม่กล้าเดินด้วยเลย” ผมตอบ วันนี้พี่ฟ้าใส่เดรสสั้นประมาณเข่าโทนขาวน้ำตาลอ่อน ปล่อยผมสลวยที่ดัดเป็นลอนใหญ่ๆ สยายไปทั่วแผ่นหลัง


“ปากหวานนะเรา คงใช้จีบสาวๆ บ่อยละซี เอ้านี่ค่ะ สั่งอาหารเลย มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่ฟ้าพูดพลางยื่นเมนูให้กับผม เปิดเมนูไปเรื่อยๆ ทำไมอาหารมันถึงได้หน้าตาแปลกประหลาดแบบนี้ล่ะครับ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ (ไม่รู้จักจริงๆ)


“ขอเป็นอันนี้ก็แล้วกันครับ” ผมชี้ไปที่รูปสปาเก็ตตี้หน้าอะไรสักอย่าง ชื่อแม่งจะยาวไปไหน อ่านก็ยาก ขืนออกเสียงผิดอายเขาตาย พี่ฟ้าหันไปสั่งอาหารกับพนักงานที่มารอรับออเดอร์ก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไปให้เหมือนกัน
อย่าดีกับผมมากไปกว่านี้เลยครับพี่


“เรียนเป็นยังไงบ้างบีทส์” พี่ฟ้าชวนคุย เราคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และเป็นผมซะส่วนใหญ่ที่เล่าวีรกรรมต่างๆ ให้พี่ฟ้าฟัง ดูเหมือนพี่ฟ้าจะไม่ค่อยได้ทำอะไรที่อยากจะทำเท่าไหร่ครับ ชีวิตอยู่แต่ในกรอบมาตลอดอะไรแบบนั้น คุยกันไปได้สักพักผมก็นึกอะไรขึ้นได้ก่อนที่ผมจะเอ่ยถามออกไปเนียนๆ


“พี่ฟ้าชอบทานอาหารอิตาเลี่ยนเหรอครับ แสดงว่าก็ต้องมากับพี่ซันบ่อย” ผมถาม


“ค่ะ พี่มาทานบ่อยมากจนพนักงานข้างหน้าจะจำหน้าได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนเขาก็มากับพี่บ่อยๆ แต่ช่วงหลังๆ มานี้เขาไม่ค่อยว่าง เราจะเจอกันก็เฉพาะตอนที่มีนัดทานข้าวระหว่างครอบครัวมากกว่า” ผมพยายามเก็บข้อมูล แสดงว่าก็ต้องชอบทานอาหารอิตาเลี่ยนเหมือนกันสิถึงได้ชวนกันมากินบ่อยๆ แอบเคืองพี่ซันนิดๆ เป็นแฟนกันภาษาอะไรวะเนี่ย จะว่าไม่มีเวลาก็ไม่น่าจะใช่ ผมก็เห็นพี่ซันลอยไปลอยมากับคนอื่นอยู่บ่อยๆ


“ดูพี่ฟ้ารักพี่ซันมากเลย” ผมถามยิ้มๆ แล้วรวบช้อนไว้ที่เดิม อิ่มแล้วครับ พี่ฟ้ายิ้มเขินๆ ก่อนจะรวบช้อนไว้ในจานเหมือนกัน


“พี่ก็ตอบไม่ได้นะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่รู้คือ...พี่ซันเป็นทุกอย่างให้พี่ได้ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ และก็เป็นคนรัก เราโตมาด้วยกันด้วยแหละมั้ง มันเลยกลายเป็นความผูกพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน บีทส์เชื่อมั้ยจนถึงทุกวันนี้เรายังไม่เคยพูดคำว่ารักกันเลยสักครั้ง” พี่ฟ้าพูดเสียงเศร้าๆ ผมอ้าปากพะงาบๆ


“อ้าวน้องบีทส์” ผมหันขวับไปยังต้นทางของเสียง ก่อนจะหันหน้ากลับแทบไม่ทัน โลกมันจะกลมไปไหมครับ!?!


“พี่เจสวัสดีค่ะ” ผมหันไปมองพี่ฟ้า ที่เอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้พี่เจ ตอนนี้พี่มันจรลีตัวเองมานั่งข้างๆ ผมแล้วครับ ไวมากครับพี่


“สวัสดีครับน้องฟ้า มาทานข้าวกันเหรอครับ” พี่เจเป็นฝ่ายชวนคุย


“ค่ะ พอดีฟ้าชวนน้องออกมาเดินช้อปปิ้งน่ะค่ะ” พี่ฟ้าตอบ พลางขยิบตาให้ผม อ่า อยากให้เก็บเป็นความลับ ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบ


“อ่อครับ หน้างอเชียวเรา ยังไม่หายงอนพี่อีกเหรอ” พี่เจหันมาคุยกับผม เหวอสิครับ ผมไปงอนอะไรพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่!?! ทำไมกูไม่เห็นรู้ตัว


“ดูสนิทกันจังเลยนะคะ” พี่ฟ้าเอ่ยล้อ ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่พี่เจยิ้มรับหน้าบานไปแล้วครับ


“ครับ พอดีพี่จีบน้องรหัสของฟ้าอยู่ ไม่ยอมใจอ่อนให้พี่สักที”


พี่เจพูดก่อนจะดึงมือผมไปกุมไว้ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พี่มันบอกว่าจีบผมอยู่? เอ่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?! นี่มึงจะขี้ตู่เกินไปแล้วนะ! ละ...แล้วมือ


“เฮ้ยพี่ ปล่อย!” ผมบอกเสียงแข็ง


“คึคึ พี่เจอย่าแกล้งน้องฟ้าสิคะ ดูสิ น้องหน้างอใหญ่แล้ว” ผมจิ๊ปาก พี่เจยอมปล่อยมือผม พลางยกมือขึ้นเหนือหัวทั้งสองข้างล้อๆ พี่ฟ้าหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ


“หึๆ เอาเป็นว่าพี่ขอตัวก่อนดีกว่า พอดีพี่มาทำธุระต้องไปแล้ว จริงๆ อย่างอยู่คุยด้วยนานๆ แอบเสียดายนะเนี่ย” พี่เจพูดพลางมองหน้าผมอย่างมีความหมาย ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ ก่อนจะขยับปากพูดแบบไร้เสียงว่า


‘ชิ่วๆ’


พี่เจหัวเราะ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป ผมหันกลับมาเจอสายตาล้อเลียนของพี่ฟ้า อยากจะบอกเหลือเกินครับ
ที่ผมอยากได้อ่ะไม่ใช่คนนี้...


ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]




“กูให้มาช่วยเลือกของ ไม่ได้ให้มาเดินอ่อยผู้ชายนะเว้ย!” ผมแหวขึ้น หลังจากทนมองพฤติกรรมของไอ้คนข้างตัวไม่ไหว
“อะไรเล่า นี่กูก็ช่วยมองหาอยู่ไง” อิพิงค์เถียง ผมถอนหายใจเซ็งๆ


ก็ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ที่ออกไปเป็นเพื่อนพี่ฟ้าช่วยเดินเลือกของตั้งนานกว่าจะถูกใจทั้งพี่เขาและผมก็เสียเวลาไปจนตะวันตกดิน พี่ฟ้าซื้อกระเป๋าสตางค์ให้พี่ซัน ราคาก็หลายหมื่นครับ ผมนี่ถึงกับซี้ดปากเมื่อเห็นราคา
ก็ตอนเลือกไม่คิดว่ามันจะแพงขนาดนี้นี่ครับ


พอได้ของที่ต้องการแล้วทั้งผม พี่ฟ้า ก็แยกย้ายกันกลับ พี่ฟ้าบอกว่าจะไปส่งแต่ผมปฏิเสธไปเพราะเกรงใจ ถ้าพี่ฟ้าต้องขับรถไปส่งผมกว่าจะวนรถกลับก็คงดึก ตัดปัญหาง่ายๆ คือผมกลับเองน่าจะดีกว่า นั่งน้องเมล์จนชิน ไม่เหนือบากกว่าแรงผมหรอก
กลับมาถึงบ้านก็แทบจะหมดแรง ไม่รู้ว่ารถจะติดอะไรนักหนา เปิดประตูเข้ามาเจอคุณนายนั่งดูทีวีอยู่ตรงห้องรับแขกพร้อมทั้งถักไหมพรมไปด้วย ผมยิ้ม วางกระเป๋าเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง คุณนายสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวมาหาผม


ฟอด~


'กลับมาแล้วครับ' ผมบอก คุณนายรั้งคอผมไปหอมแก้มคืน


'ไปไหนมาลูก แล้วทานอะไรมารึยัง' แม่ถาม


'แหะๆ รุ่นพี่ชวนออกไปซื้อของเป็นเพื่อนนะครับ' ผมตอบพลางทิ้งตัวนั่งข้างๆ คุณนาย


เรานั่งดูทีวีกันไปได้สักพักคุณนายก็ขึ้นไปนอนก่อน ผมนั่งดูทีวีไปสักพักไบร์ทก็กลับเข้ามา เราทักทายกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นห้องของตัวเอง


ผมอาบน้ำแต่งตัวออกมานั่งทาครีมอยู่ที่เตียงนอนของตัวเอง ก่อนจะล้มตัวนอน ไม่ได้นอนให้หลับหรอกครับ แต่ตอนนี้กำลังเป็นกังวลอยู่นิดหน่อย พี่ฟ้าชวนผมออกไปซื้อของให้พี่ซัน ก็ย่อมแสดงว่าเร็วๆ นี้ต้องถึงวันเกิดพี่มันแน่ๆ แต่วันไหนนี่สิ ตอนไปกับพี่ฟ้าก็ลืมถามซะได้


แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะครับ ในบรรดาเพื่อนสนิทของผมก็คงจะไม่มีใครรู้รายละเอียดลึกขนาดนั้น แม้แต่อิพิงค์ผู้รอบรู้ก็คงไม่รู้ นอนพลิกบนเตียงไปมาหลายรอบก็ยังคิดไม่ออก


ถ้าต้องการรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวพี่มัน ก็ต้องถามเอากับคนใกล้ตัว และจะเป็นใครดี เอ้อ! พี่หมอไง!!! แต่ผมไม่มีเบอร์พี่หมอ แล้วจะถามใครได้ล่ะเนี่ย


ไอ้น้องไบร์ท!!!


คิดได้แบบนั้นก็รีบพุ่งไปเคาะประตูห้องน้องทันที ไบร์ททำหน้าแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็ตื่นมาเคาะประตูห้อง


'มีอะไรเหรอพี่บีทส์' น้องถาม


'เอ่อคือ ไบร์ท พี่รบกวนอะไรหน่อยสิ ไบร์ทพอจะมีเบอร์พี่หมอมั้ย' ผมถาม ไบร์ทเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อฟังคำถามผมจบ


'หมอไหนอ่ะพี่บีทส์ หมอฟัน หมอหมา หรือว่าหมอตำแย' น้องตอบหน้ากวน หนอย กวนใครไม่กวนนะน้องรัก


'หึๆ หมอคนเดียวกับที่เทียวมารับมาส่งน้องของพี่ยังไงล่ะ อ๊ะ! อย่าปฏิเสธนะ ไม่งั้นฟ้องแม่จริงๆ ด้วย' ผมดัก น้องทำหน้างอ แน่ะๆ แอบเห็นนะว่าหน้าแดง โว้ว น้องผมหน้าแดงเป็นกับเขาด้วยครับพี่น้อง!


'อะ...อะไรเล่า! ก็บอกว่าเขาต้องผ่านทางนี้พอดีไงพี่บีทส์ ไม่ได้ตั้งใจไปด้วยกันซะหน่อย แล้วจะเอามั้ยเบอร์ ไม่เอาไบร์ทจะได้กลับไปนอนต่อ' น้องทำปากยื่น ผมขำ น่ารักจริงๆ


'เอาดิ' ผมตอบ แล้วเดินตามเข้ามาในห้องของไบร์ท อื้อหือชุดกางเกงกีฬา เสื้อยืดสีดำ มันช่างเข้ากับโทนสีห้องของน้องผมที่สุดเลยครับ ชุดนอนลายหมีพูห์ของผมนี่โคตรขัดกับบรรยากาศในห้องนอนห้องนี้เลย


'เดี๋ยวไบร์ทโทรให้ แล้วก็คุยกันในนี้แหละ ไม่ต้องกลับห้อง ไอ้...เอ่อ รุ่นพี่คนนี้ยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้ แถมมันเอ้ย เขายังชอบคนหน้าตาน่ารักแบบพี่บีทส์ด้วย ไม่น่าไว้ใจๆ' น้องพูดพลางเดินมานั่งข้างๆ ผม ผมยิ้มแหยๆ คืออยากจะบอกว่าไม่ทันแล้วล่ะมั้งไบร์ท

 
'อือ...มีคนจะคุยด้วย' ไบร์ทพูดขึ้นเมื่อปลายสายกดรับ เอ่อ คือ ฮัลลงฮัลโหล นี่ไม่คิดจะพูดเลยใช่มั้ยน้องกู


'อ่ะ พี่บีทส์' น้องยื่นโทรศัพท์ตัวเองมาให้


ผมรับโทรศัพท์มาก่อนจะเอ่ยทักทายพี่หมอ ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับพี่มันก็แปลกใจว่าทำไมผมถึงอยากจะคุยด้วย ผมก็ตอบไปตามตรงว่าอยากรู้ว่าพี่ซันเกิดวันไหน เพราะวันนี้พาพี่ฟ้าไปซื้อของขวัญให้พี่มัน แต่ก็ลืมถามว่าวันไหน พี่มันดีกับผมหลายอย่างเลยอยากจะตอบแทนพี่มันบ้าง พี่หมอแกเลยแซ็วเล่นๆ กลับมาว่า


'ถ้าน้องของบีทส์ได้นิสัยแบบนี้มาจากบีทส์บ้างก็คงดี...'


ผมนี่ขำก๊ากเลยครับ แต่ไม่กล้าแซ็วอะไรกลับไป ก็เจ้าของเรื่องเขานั่งอยู่ข้างๆ นี่ครับ ขืนแซ็วไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ได้เป็นเรื่องกันพอดี


…3 พฤศจิกายน…


คือคำตอบของพี่หมอ ผมหันไปดูปฏิทินก็พบว่ามันตรงกับวันอาทิตย์หน้า ก็ยังพอมีเวลา กล่าวขอบคุณพี่หมอเสร็จก็คืนโทรศัพท์ให้เจ้าของเครื่องแล้วก็เดินกลับห้องตัวเอง


นอนคิดทั้งคืนก็ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้พี่มันดี...พอถึงเช้าวันจันทร์กลับมานอนที่หอก็มัวแต่ยุ่งๆ กับเรื่องเตรียมสอบไฟนอล แถมยังมีกิจกรรมกีฬาสีที่ผมต้องเข้ากิจกรรมซ้อมเชียร์กับพวกพี่ๆ ปีสอง แถมยังต้องไปช่วยพี่จ๊ะยายรหัสแบกพวกอุปกรณ์เชียร์ไปเก็บหลังเลิกซ้อม คือพี่จ๊ะแกเป็นรองประธานสีน่ะครับ เลยยุ่งกันหมด กลับมาถึงห้องก็หลับเป็นตาย จนเวลาผ่านมาถึงวันนี้วันสุดท้าย


พรุ่งนี้ก็วันเกิดพี่ซันแล้วครับ ถ้าวันนี้ยังหาของขวัญให้พี่มันไม่ได้ผมคิดว่าจะเอาตัวเองนี่แหละผูกโบว์เป็นของขวัญให้พี่ซันแทน ฮ่าๆ ผมล้อเล่นขืนทำแบบนั้นยังไม่ได้ทันได้ก้าวเข้าห้องพี่มันหรอกครับ โดนเตะออกมาแน่ๆ


“มึง...กูว่าซื้ออันนี้ดีกว่า” อิพิงค์มันว่าพร้อมกับยิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุก


“อะไรวะ” ผมหันไปเลิกคิ้ว


“ถุงยางอนามัย” มียักคิ้วแถมให้อีกหนึ่งที ผมนี่ค้างไปแล้วครับ


“เชี่ย นี่มึงคิดหรือยังก่อนจะตอบกู สมองมึงนี่นะ!” ผมโวย แต่ก็แอบคิดตามมันนิดนึง แต่ว่า...ถ้าซื้อให้จริง ๆ แล้วพี่มันจะมองผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย ไม่ได้ๆ


“เป็นเทียนดีมั้ยมึง แส่ก็ได้ ไม่ก็กางเกงใน เฮ้ย ชุดนางแมวยั่วสวาทดีกว่า เงี้ยววว เริ่ด!!” อิพิงค์มันว่า แถมทำท่าทางนางแมวให้ผมดูด้วย โอ๊ย ความคิดมันแต่ละอย่าง คิดผิดหรือคิดถูกวะเนี่ยที่ลากมันมาเป็นเพื่อน!


“พอๆๆ ไอ้ของขวัญพิเศษๆ แบบนั้นมึงเก็บไว้ใช้เองเหอะพิงค์ กูขอแบบธรรมดาสามัญเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอ่ะ มีมั้ย!?” พูดจบก็จิ้มหน้าผากมันไปที อิพิงค์บ่นหงุงหงิงลูบหน้าผากตัวเองปอยๆ ผมเลยเดินหนีมันออกมา


“โหย กูล้อเล่น เห็นทำหน้าเครียดๆ” พิงค์พูดพลางเดินมาเกาะแขนผม


“หรือกูจะซื้อนาฬิกาให้พี่มันดีวะ” บ่นกับตัวเองครับ อิพิงค์กำลังจะอ้าปากออกความเห็น


“ไม่ดีกว่ามีคนซื้อเรือนแพงๆ ให้พี่มันแล้ว ดังนั้นกูควรจะแตกต่าง” ผมตอบพลางทำปากยื่น ได้ยินเสียงไอ้คนข้างๆ หัวเราะเยาะ เชอะ!


“ตกลงคิดได้ยัง” อิพิงค์ยื่นหน้าเข้ามาถาม ผมส่ายหัว


“พี่ซันชอบขับรถ เออใช่ อะไรที่เกี่ยวกับรถไงพิงค์!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อิพิงค์เลิกคิ้วถาม ประมาณว่า ‘แล้วไงต่อ’


“ก็...อะไรที่เกี่ยวกับรถไง!?!” ผมตอบพลางคิดไปถึงส่วนประกอบของรถ


“มึงจะซื้อเบาะรถให้พี่ซันใหม่เลยเรอะ!?” อิพิงค์ถามด้วยท่าทางตกใจ เอ่อ จะพูดจะจาอะไรมึงช่วยดูเงินในกระเป๋าเพื่อนมึงหน่อยได้ไหม


“สัส! คิดหรือยังที่พูดเนี่ยห๊า กูหมายถึงพวกสายคาดเบลล์ ไม่ก็ที่หุ้มพวงมาลัยโน่น!” ผมด่า คือจริงๆ ผมอยากได้อะไรที่มันใช้งานได้จริงมากกว่าน่ะครับ ไม่ได้สักแต่ว่าซื้อของให้ส่งๆ


“โห แค่นี้ต้องด่ากูด้วย กูก็แค่อยากช่วย ถ้ามึงอยากได้แบบนั้นกูว่าเอาพวกสายคาดเบลล์ดีกว่ามั้ย” อิพิงค์บ่น แต่ก็ยังช่วยออกความคิดเห็น ผมเห็นด้วยกับมันนะครับ จริงๆ ผมก็อยากได้สายคาดเบลล์


“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ผมตอบ เราสองคนเลยเดินหาร้านแต่งรถ เดินจนขาจะลากกว่าจะเจอร้านที่อยากได้ ระหว่างเดินหาผมก็เสริชหาลายที่อยากได้ไปด้วย แน่นอนว่าผมมีลายที่อยากได้อยู่ในใจแล้วครับ


“พี่ครับ ผมอยากได้สายคาดเบลล์ลายไนท์แมร์ เอ่อ พอจะมีมั้ยครับ?” ผมเดินเข้าไปถามกับพี่พนักงานในร้าน พลางมองดูสายคาดเบลล์ที่วางอยู่หลากหลายลาย มีลายหมีพูห์ด้วยอ่ะ!


“เดี๋ยวพี่ลองเช็คให้นะครับ เอ่อ หน้าตาอย่างน้องน่าจะลองหาลายน่ารักๆ ไปใช้งาน น่าจะดีกว่านะ” พี่พนักงานถามผมยิ้มๆ ผมยิ้มตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป


“อะไรวะ ไนท์แมร์...กูไม่เห็นรู้จัก” อิพิงค์กระซิบถาม ผมยิ้ม เดี๋ยวมึงได้เห็น ขอให้มีทีเถอะ เพี้ยง!


“รอดู” ผมตอบ รอไม่นานพี่พนักงานก็เดินออกมา ผมสังเกตเห็นถุงอะไรบางอย่างสีดำๆ ติดมือพี่แกมาด้วย เอาล่ะเว้ย มีชัวร์!


“อ่ะ นี่ครับ อันสุดท้ายพอดี” พี่พนักงานยื่นให้ ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ พลางยื่นมือไปรับ แต่พี่ครับจะลูบมือผมทำไมไม่ทราบ!


“เอ่อ ขอบคุณครับ” ผมพยายามดึงเอาของจากมือพี่เขา จนอิพิงค์ต้องเข้ามาช่วยดึง พี่เขาถึงยอมปล่อยมือ แล้วยิ้มเขินๆ ให้ผม แต่ ณ ตอนนั้นผมมีสิ่งที่ผมสนใจกว่าเลยไม่ได้ยิ้มตอบ หรือแสดงอาการไม่พอใจอะไร


“ทำไมไม่เอาลายที่มันน่ารักๆ หน่อยวะ” อิพิงค์ยื่นหน้ามาถาม ผมส่ายหัว


“ชื่อกูแปลว่าอะไร” ผมถาม ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ ตอนนี้กำลังเดินไปที่เค้าเตอร์จ่ายเงิน


“บีทส์ไง ที่แปลว่าอสูร” อิพิงค์ตอบ แต่ยังทำหน้างง เหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ


“เออ ก็รู้นี่ อสูร แล้วไอ้เจ้านี่มันก็คล้ายๆ อสูรนั่นแหละ อีกอย่างที่กูอยากได้คือสิ่งที่สามารถมองเห็นแล้วสื่อถึงตัวกูได้เลย ไอ้เจ้านี่แหละมองเห็นคงนึกถึงกูได้ พี่ซันชอบขับรถดังนั้นถ้าพี่มันหยิบไปใช้ก็จะเหมือนกับว่าพี่มันไปไหนกูก็จะไปด้วยทุกที่ยังไงล่ะ” ผมตอบ พลางยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง


“โอ้โห มึงคิดการณ์ไกลมากบีทส์ โคตรร้าย” อิพิงค์พูดด้วยความตะลึง ผมหัวเราะหึๆ


พอได้ของที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เดินออกจากร้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อิพิงค์บ่นว่าหิว พวกผมเลยตัดสินใจว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับจะได้ไม่ลำบากตอนกลับหอ ตกลงกันว่าจะไปกินซิสเลอร์เล่นเอาอิ่มจนจุกกันไปเลย จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับโดยอิพิงค์ขับรถมาส่งผมที่หน้าคอนโด


ผมทักทายพี่รปภ. เช่นเคย แล้วเดินขึ้นลิฟท์มาอย่างอารมณ์ดี ก่อนอื่นผมต้องขึ้นไปห่อของขวัญก่อนครับ ซื้อมายังไม่ได้ห่อเลย แวะซื้อกระดาษกับกล่องก่อนเข้าคอนโดมาแล้วด้วย เห็นอย่างนี้ผมทำเป็นนะครับ เคยห่อเองตั้งแต่อยู่มัธยมต้น คุณนายสอนนะครับ


ห่อของขวัญเสร็จเลยจรลีตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดเตรียมเข้านอน แต่ไม่ว่าจะนอนพลิกไปมากี่สิบตลบก็ยังนอนไม่หลับ ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้วครับ ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรวันเกิดตัวเองก็ไม่ใช่


สุดท้าย...รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้องพี่ซันแล้วครับ เห็นกุญแจหน้าห้องล็อกอยู่แสดงว่าพี่ซันยังไม่กลับ รออีกหน่อยก็แล้วกัน...
คือทุกคนอาจจะหาว่าผมเวอร์นะครับ แต่ผมขอสารภาพเลยว่าไม่ได้เวอร์


ก็แค่...อยากเป็นคนแรกที่ให้ของขวัญพี่ซัน...เท่านั้นเอง


ครืด...ครืด...


ผมสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์เครื่องเล็กส่งสัญญาณว่ามีสายโทรเข้า ล้วงมือหยิบเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกางเกงออกมากดรับ ‘อิพิงค์’ มันโทรมาครับ อ่อ ผมบอกทุกคนหรือยังว่าเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าแล้ว ฮิฮิ


“อือ ว่าไง” ผมถาม


“อยู่ไหนน่ะอิบีทส์ นอนหรือยังมึง” พิงค์ถาม ผมเปลี่ยนท่านั่งเมื่อรู้สึกเมื่อย ก็นั่งท่าเดิมมากว่าชั่วโมงแล้วนี่ครับ


“หน้าห้องพี่ซัน” ผมตอบ


“เฮ้ย ทำไมไม่หลับไม่นอนวะ” อิพิงค์ถามเสียงตกใจ ก็นอนไม่หลับนี่หว่า โทรมาทำไมตอนนี้วะ คนยิ่งตื่นเต้นอยู่ ไม่รู้ว่าพี่ซันจะโผล่มาตอนไหน แล้วถ้าพี่มันถามว่ามาทำไม กูจะตอบว่าอะไร เครียด!


“เออน่า กูกะว่าให้ของพี่ซันเสร็จก็จะขึ้นไปนอนแล้ว แต่พี่มันยังไม่กลับห้องเลย กูรอจนรากงอกแล้วเนี่ย” ผมบ่น อิพิงค์หัวเราะขำๆ ก่อนจะบอกให้ผมดูแลตัวเองดีๆ แล้ววางสายไป


ครืด...ครืด…


ใครขยันโทรมาอีกเนี่ย ผมพ่นลมหายใจออกมาหน่ายๆ แล้วขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา เป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่ได้บันทึกไว้


“สวัสดีครับ” ผมกดรับสาย


“บีทส์นี่พี่เอง” พี่ไหนล่ะเฮ้ย ผมเงี่ยหูฟังอีกทีก่อนจะถึงบางอ้อ ‘พี่หมอ’ นั่นเองครับ ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน


“ครับพี่หมอ” ผมตอบรับ


“พี่แค่จะโทรมาถามว่าหาของขวัญได้หรือยัง” ทำไมน้ำเสียงมันดูเจ้าเล่ห์ชอบกล สงสัยผมจะคิดไปเอง


“แหะๆ ก็ได้แล้วล่ะครับ เอ่อ พี่หมอ...พอจะรู้มั้ยครับว่าพี่ซันจะกลับคอนโดกี่โมง” ผมตอบพลางกระชับกล่องของขวัญไว้แน่นเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเองก่อนจะเอ่ยถามพี่หมอ พี่มันเงียบไปนิด หรือว่าผมจะก้าวก่ายเกินไป แค่คิดก็จิตใจห่อเหี่ยวแล้วครับ


“นี่อย่าบอกนะว่าเราจะรอเอาของขวัญให้ไอ้ซัน” พี่หมอถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ผมยู่หน้าไม่น่าถามเลยกู


“ก็...เอ่อครับ” ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รับๆ ไปเถอะครับ ยังไงถึงปฏิเสธไปก็โดนคนฉลาดไล่เขาต้อนให้ยอมรับอยู่ดี


“เฮ้ย! จริง?” พี่หมอถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผมเงียบ
 

“คือ...เห็นมันบอกว่าจะเข้าบ้านใหญ่ พี่คิดว่าน่าจะกลับดึกๆ เพราะมันบอกว่าแม่โทรตามตัว พี่ว่าบีทส์ขึ้นไปนอนก่อนดีกว่ามั้ย พรุ่งนี้ค่อยเอาของขวัญไปให้มันก็ได้ยังทันนะ” พี่หมอพูด ผมก้มดูนาฬิกา เที่ยงคืนกว่า รออีกสักนิดก็ได้มั้ง


“เอ่อครับ ขอบคุณครับพี่หมอ งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ” ผมตัดบท ก่อนจะรีบกดตัดสายพี่หมอ


แล้วนั่งรอพี่ซันอยู่ที่เดิม...



Talk :: ใกล้แล้ว...


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ใกล้อะไรใครก็ได้ช่วยบอกที อยากรู้ 5555

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ใจสลาย..ใช่ม่ะ
พอจะเดาได้อยู่
หุหุ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ netich

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ AutoAngels

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากเลยมาต่ออีกนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ 13 : NC


[ซัน]


กึก


เดินออกจากลิฟท์ กำลังจะก้าวไปทางห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง ก็สะดุดกึกเมื่อมองเห็นใครบางคนนอนหลับอยู่หน้าห้อง


วันนี้แม่โทรมาหาผมตั้งแต่เช้า บอกให้เข้าไปหาที่บ้าน ผมตอบตกลงก่อนจะอาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปที่บ้าน ถ้าแม่ไม่โทรมาเองผมก็คงไม่เข้าบ้านตัวเองง่ายๆ หรอกครับ กลับไปก็มีแต่ปัญหาเดิมๆ พาลจะทะเลาะกับพ่อให้แม่ไม่สบายใจเปล่าๆ และก็เป็นไปตามคาด ก้าวเข้าไปในบ้านได้ไม่ทันไรก็เจอพ่อนั่งกินกาแฟอยู่ในห้องรับรอง


‘โผล่หัวมาได้แล้วรึไง’ ผมถอนหายใจ นี่คือคำทักทายแรกของคนเป็นพ่อ?


‘ครับ สวัสดี...’ ผมเอ่ยตอบ พลางยกมือไหว้ พ่อไม่ตอบรับอะไร ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาเจอแม่ที่เดินออกมาจากห้องครัวพอดี


‘สวัสดีครับแม่’ ผมยกมือไหว้ แม่ยิ้ม เดินเข้ามากอดผม


‘พรุ่งนี้วันเกิด ซันอยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยจ้ะ’ แม่ถาม ผมส่ายหน้า สิ่งที่ผมอยากได้พ่อกับแม่คงให้ผมไม่ได้หรอกครับ


แม่จูงมือผมเข้ามาในห้องอาหาร สักพักพ่อก็เดินตามเข้ามา จากที่เรานั่งคุยหยอกล้อกันอยู่ก็กลายเป็นอึมครึม ผมนั่งทานอาหารไปเงียบๆ ทีแรกคิดว่าจะนอนค้างที่บ้านสักคืน ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจกลับไปนอนที่คอนโดคงจะสะดวกกว่า


‘เมื่อไหร่แกจะกลับมาอยู่บ้าน’ พ่อเปิดประเด็น ผมถอนหายใจ คิดว่าคุยเรื่องนี้กันจบไปแล้วซะอีก


‘เราเคยคุยกันแล้วนะครับ’ ผมตอบ


พ่อรวบช้อนลง ก่อนจะเงยหน้ามามองผมตรงๆ แม่เองก็หันมามองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเช่นกัน ผมส่งยิ้มให้แม่ ก่อนจะรวบช้อนตัวเองเหมือนกัน แล้วหันไปประจันหน้ากับบุคคลที่ได้ชื่อว่าพ่อ


‘ทำตัวผลาญเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ มีความสุขนักรึไง!?! ทำไมไม่เอาแบบอย่างเหมือนตาเจบ้าง รายนั้นเรียนหนักแค่ไหนก็เข้าไปช่วยงานคุณลุงที่บริษัท ไม่เหมือนแกวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นสำมะเลเทเมา คอยหาแต่เรื่องมาให้แม่แกปวดหัวเล่น! เคยคิดจะตอบแทนบุญคุณพ่อกับแม่บ้างมั้ย!?!’ พ่อเริ่มขึ้นเสียง แม่ทำหน้าจะร้องไห้ ผมกัดกรามตัวเองแน่น ก็บอกแล้ว...ถ้ากลับมาบ้านก็คงมีแต่เหตุการณ์เดิมๆ


‘เอาเป็นว่าผมยังยืนยันคำเดิม เหมือนที่เราเคยตกลงกันเอาไว้ วันนี้ผมแค่แวะมาเยี่ยมแม่ ตอนนี้ผมหมดธุระแล้วคงต้องขอตัว ผมกลับนะครับแม่...’ ผมเอ่ยตัดบท ก่อนจะหันไปยกมือลาแม่ที่พยักหน้าน้อยๆ ให้ผม พ่อมองผมตาขวาง แต่ผมไม่สนใจหรอกครับ เรื่องนี้มันไม่อยู่ในข้อตกลง...


ออกมาจากบ้าน ผมก็แวะไปที่ผับของคนรู้จัก จริงๆ ผมก็มีหุ้นส่วนอยู่ในนี้แต่ไม่มากเท่าไหร่ครับ แค่ลงขันช่วยกันเอาไว้เป็นที่เมาเล่นๆ ให้เป็นที่เป็นทาง นั่งจิบเล่นๆ พอกึ่มๆ ก็กลับ ไม่ได้กะเอาเมาหรอกครับ


ก่อนถึงคอนโดผมแวะซื้อกับแกล้มติดมือมาด้วย ถ้าจะเมาก็ขอกลับมาที่รังของตัวเองดีกว่า เดินถือของออกจากลิฟท์ก็มาเจอไอ้เด็กดื้อนอนหลับอยู่หน้าห้อง


ผมนั่งลงข้างๆ มันก่อนจะพิจารณาโครงหน้าสวยของคนตรงหน้า มานั่งหน้าห้องคนอื่นในชุดนอนลายปัญญาอ่อน


กึก…


กล่องของขวัญ? ของผมงั้นเหรอ มันรู้ได้ยังไง


ไม่รู้ทำไมผมถึงหลุดยิ้มออกมาง่ายๆ เพียงแค่เห็นของขวัญกับใบหน้ายามหลับของคนตรงหน้า จมูกรั้นๆ กับริมฝีปากเรียวเล็กนั่น ตอนตื่นกับตอนนอนต่างกันลิบลับ


“บีทส์ บีทส์...ตื่น” ผมเรียกพลางเขย่าตัวไปด้วย อีกคนแค่งัวเงียแล้วปัดมือผมออก ไม่ตื่นแต่เสือกหลับต่อ


“จะตื่นดีๆ มั้ย” ผมขู่ แต่ยังใช้มือเขย่าแขนอีกคนไปด้วย


“อือ...” บีทส์งัวเงีย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ ผมลุกขึ้นไปไขประตูเมื่อคนตรงหน้าทำท่าว่าจะตื่น...แต่คงตื่นยังไม่เต็มที่ ก็เล่นนั่งไม่ขยับไปไหน ผมแอบขำ แต่ก็หันมาตีหน้าขรึม


“เข้ามาก่อนสิ” ผมชวน บีทส์จึงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเดินตามผมเข้ามา กอดกล่องของขวัญไม่ยอมปล่อย สัส! โคตรน่าฟัด


ผมวางถุงของกินไว้ที่โต๊ะรับแขกก่อนจะเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนกางเกงขาสามส่วนที่ชอบใส่อยู่ห้อง พอดีกางเกงที่ใส่อยู่มันเลอะเหล้าน่ะครับ ได้ยินเสียงบีทส์ตะโกนเข้ามาว่าจะแกะใส่จานให้


“พี่จะเอาอะไรเพิ่มมั้ยเผื่อผมทำให้” บีทส์ถาม ผมเงียบ ก่อนจะเดินออกมาเห็นร่างบางก้มๆ เงยๆ อยู่กับตู้เย็น คงเช็คว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง ทำตัวเป็นเมียกูขึ้นทุกวัน


“เมื่อไหร่จะซื้อของสดมาติดห้องไว้บ้าง มีแต่เบียร์สดมันอยู่ท้องที่ไหนกัน” บีทส์บ่น ผมเลิกคิ้ว


“ซื้อมาแล้วใครจะทำ หรือมึงจะทำ?”


ผมถามเสียงนิ่ง บีทส์สะดุ้ง ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้ผม


“ได้มั้ยล่ะ?” บีทส์ถามยิ้มๆ


“…” เป็นฝ่ายผมที่ชะงักไปบ้าง เคยกลัวอะไรบ้างไหมเนี่ยฮะไอ้ดื้อ!


“โอ๊ะ!! มีเม็ดมะม่วงด้วย ของโปรดผมเลย!” บีทส์ร้องขึ้นเมื่อเจอของที่ถูกใจ ผมส่ายหัว ก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น จิบเหล้าไปพลางๆ รออีกคนที่อยู่ในครัว


นั่งรอสักพักน้องมันก็ถือเอากับแกล้มออกมาวางไว้ให้ แล้วก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่พูดอะไร จนเป็นผมที่เอ่ยปากถามออกไป ไม่งั้นมันคงนั่งเงียบอยู่แบบนี้จนถึงเช้าล่ะครับ เอากับมันสิ


“มานั่งรอกูมีอะไรรึไง”


“เอ่อ...คือ นี่ครับ สุขสันต์วันเกิดนะพี่ซัน ตีหนึ่งพอดีเลย” บีทส์หันซ้ายหันขวา ก่อนจะยื่นเอากล่องของขวัญมาให้ผม กล่องไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ผมรับแล้วเขย่าไปมา


“ไม่เห็นจะต้องลำบาก” ผมพูดนิ่งๆ มันหน้าจ๋อยไปเลย อะไรวะผมพูดอะไรผิด จริงๆ ผมอยากได้อะไรก็หาซื้อเองได้ ปกติผมไม่ค่อยรับของขวัญจากใครหรอกครับ นอกจากฟ้าที่ดื้อให้ผมทุกปี เพื่อนๆ จะรู้ดี สำหรับบรรดาเพื่อนสนิทแค่มีปาร์ตี้กันนิดหน่อยในแต่ละปีก็เพียงพอแล้วล่ะครับ


“เอาสักหน่อยมั้ย” ผมถาม พลางยื่นแก้วเหล้าให้ มันยื่นมือมารับ ก่อนจะนั่งกินเงียบๆ


ครืด...ครืด…


ผมหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเป็นไอ้อาร์ตที่โทรเข้ามา ดึกดื่นขนาดนี้ โทรมาทำไมวะ ผมกดรับก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาคุยที่ระเบียง


“มีอะไรวะ” ผมถาม


“แค่จะถามว่ามึงเจอน้องมันรึยัง” ไอ้อาร์ตถาม ผมเลิกคิ้ว น้องที่มันหมายถึงคงจะเป็นคนๆ เดียวกันคนที่นั่งอยู่ในห้องผม


“อืม มึงใช่มั้ยที่บอกน้องมัน ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” ผมบ่น


“หึๆ มึงเมารึเปล่า” ไอ้อาร์ตถาม


“ไม่...แค่กึ่มๆ แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนไม่เมาที่ไหนหรือว่าเข้าเวร” ผมตอบ แล้วถามมันกลับไปบ้าง


“มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ ไบร์ทแม่งซ่าส์ไม่เข้าเรื่อง หาเรื่องให้กูเป็นห่วงตลอด อยู่เฉยๆ แบบพี่มันบ้างก็ได้แม่ง กูประสาทจะแดกวันละหลายๆ รอบ” ไอ้อาร์ตบ่น ผมยิ้มขำ อย่าว่าแต่คนน้องเลย คนพี่แม่งก็ทำผมประสาทกินเหมือนกัน ใครสั่งใครสอนให้มาหาผู้ชายตอนดึกๆ ดื่นๆ วะ


“อืม...ฝากด้วย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบไอ้อาร์ตไปแบบนั้น


“หึ...เหมือนกัน” ไอ้อาร์ตตอบกลับมา ผมยิ้มก่อนจะกดวางสายไป แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะตะลึงค้าง


“เฮ้ย!! ทำไมสภาพมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ!” ผมหัวเสีย ก็จะอะไรซะอีก ก่อนออกไปคุยโทรศัพท์ก็ยังปกติดีอยู่ นี่หายไปแป๊บเดียว สภาพมันตอนนี้…


กระดุมเสื้อหลุดไปสองเม็ด!! เผยให้เห็นแผงอกขาวๆ กระเพื้อมไปตามจังหวะหายใจ ปากแดง จมูกแดง หน้าแม่งยิ่งแดง เชี่ยเอ้ย แล้วนั่นเม็ดมะม่วงมึงจะกินให้อิ่มแทนข้าวเลยใช่ไหม เหลืออยู่สองสามเม็ด!!


เดี๋ยวได้ท้องอืดตายกันพอดี!


“บีทส์ เฮ้ย!!”
   

ผมเกือบคว้าคนตัวบางเอาไว้ไม่ทัน เมาขนาดนี้ยังจะกล้าเดินมาหาผมอีก ล้มหัวทิ่มไปได้หัวร้างค่างแตก ทำอะไรไม่เคยระวัง ผมส่ายหัว ก่อนจะดันบีทส์ให้ออกห่างจากตัวผม เมื่อกี้โถมมาซะเต็มแรง เลยทำให้ล้มคว่ำทับกัน
   

“คิคิ ทำไมวันนี้พี่หล่อจังเลยอ่า~” ผมอึ้งเมื่อคนตัวบางที่นอนทับผมอยู่เอามือข้างหนึ่งมาลากวนที่ใบหน้าผม ก่อนจะหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ไล่ตามลงมาก็...เฮือก!! ขะ...ขาวจั๊วะ!! ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้งก็ห้ามไม่ให้ใจสั่นไม่ได้ ผมพยายามส่ายหัว สลัดความคิดด้านลบออกไป
   

“อื้อ...ร้อน” เหยด ด !!! เม็ดบัวสีสวยลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เอ้ย อย่าๆ ผมรีบคว้ามือเรียวของบีทส์ไว้เมื่ออีกคนทำท่าจะถอดชุดนอนของตัวเองออก ตอนนี้ก็เท่ากับว่าผมนอนราบอยู่บนโซฟา โดยมีบีทส์นั่งทับอยู่ที่หน้าท้อง
   

...ท่าแม่งล่อแหลมสุดๆ…
   

“เอ่อ ลงไปก่อนขืนอยู่แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ” ผมพูด แล้วลุกขึ้นนั่งพลางรั้งเอวอีกคนให้ออกห่าง แต่กลายเป็นว่าบีทส์ยกมือสองข้างขึ้นมาโอบรอบคอผมไว้ เหงื่อตกสิครับงานนี้
   

“ไม่ดี...ยังไงอ่ะ” ทำหน้าซื่อตาใส เอียงคอถามไปมา...คิดว่าทำแล้วน่ารักใช่ไหม เออ!! น่ารักเชี่ยๆ
   

ทำไมมันเป็นแบบนี้อีกแล้ววะ ทีเมื่อตอนไปเข้าค่ายมันก็เมาหนักเหมือนกันไม่เห็นว่ามันจะมีอาการแบบนี้ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่คนตรงหน้ากินเข้าไปแล้วเกิดอาการ
   

...ยั่วชาวบ้านชาวช่องเขาแบบไม่รู้ตัว…
   

“ไม่ดีก็คือไม่ดี ลงไปก่อนที่จะโดนจับโยนออกไปนอกห้อง” ผมขู่ บีทส์เบ๋ปาก ก่อนจะขยับเข้ามาหาผมอีก ส่วนผมก็ทำได้แค่พยุงเอวบางๆ ของเขาไว้ไม่ให้เจ้าตัวตกลงไปหน้าทิ่มพื้นซะก่อน จะเอาอะไรกับคนเมาไม่รู้เรื่องล่ะครับ
   

จุ๊บ~

   
“...”
   

“ฮ่าๆ หน้าพี่ตลกจัง ปากพี่นุ๊ม...นุ่ม เนอะ~” ยังจะมีหน้ามาถามเจ้าของปากเขาอีก ไอ้เด็กคนนี้ หมดคำจะพูด
   

ฟอด~ ฟอด~
   

“อ๊ะ แถมให้อีกก็ด่ะ~” ถามกูสักคำไหมว่าอยากได้หรือเปล่า แล้ว...อย่าขยับสิเฮ้ย อ่า ก็บอกว่าอ่า~อย่าขยับ!
   

“บีทส์ กูขอเตือน...ว่าลุกออกไปแล้วกลับห้องมึงไปซะ!” เสียงเตือนที่เปล่งออกมาคล้ายเสียงคำราม ผมบอกบีทส์ด้วยสีหน้าลำบากใจ
   

“อึก...ไม่ ทำไมล่ะ พี่รังเกียจผมใช่มั้ย” ร่างบางกอดคอผมแน่นไม่ยอมปล่อย แถมยังเบียดสะโพกเข้าหาผม แน่นอนว่าผมเป็นคนไม่ใช่พระอิฐพระปูน
   

แถมยังเป็นคนที่ติดง่าย...ซะด้วย
   

ผมกัดฟันแน่น ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการแต่ผมแค่ไม่อยากทำร้ายมันในขณะที่คนตรงหน้าเมาไม่รู้เรื่อง ยิ่งปากแดงๆ นั่นขยับพูด ผมก็ยิ่งอยากจะครอบครอง อยากลิ้มลองอยากสัมผัสมากกว่าที่เคยได้ลองมาแล้ว
   

“ไม่ใช่!! แต่บีทส์กูไม่เคยเอากับผู้ชาย!” ผมร้องบอก เมื่ออีกคนทำท่าจะเป่าปี่ ไม่รู้ว่าเพราะเรือนร่างที่เย้ายวนตรงหน้าหรือเพราะแอลกอฮอล์ทำให้ผมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ผม...ไม่รู้อะไรเลย
   

“อึก แค่พี่...แค่พี่คนเดียวที่ผมยอม นะ~” ผมตะลึงค้างเมื่ออีกคนเอ่ยปากออกมา ใบหน้าสวยมองผมด้วยสายตาออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อยในกำมือ ดวงตาของมันหวานฉ่ำ เสื้อที่สวมอยู่ก็ปกปิดเรือนร่างผู้สวมใส่ได้ไม่มาก เพราะเพียงแค่ปลดกระดุมออกอีกสามเม็ดก็จะเป็นการปลดพันธนาการออกจากเรือนร่างขาวผ่องนี้
   

พรึ่บ!!


ผมพลิกร่างอีกคนให้กลับมาอยู่ใต้เรือนร่างของผม บีทส์จ้องหน้าผม ดวงตากลมโตที่เคยมองผม บัดนี้กลายเป็นดวงตาสวยหยาดเยิ้ม จมูกโด่งรั้นที่เคยเชิ่ดขึ้นอย่างไม่ยอมใครกลับมีสีแดงจางอยู่ปลายจมูกคล้ายกับผลสตอเบอรี่ ปากเล็กๆ แดงๆ ที่เคยพูดอยู่ไม่หยุดเผยอขึ้น...เหมือนรอรับสัมผัส
   

“อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ถ้ามึงอยากกูก็จะสนองให้”
   

“อื้อ...!!” ผมก้มลงครอบครองริมฝีปากแดงสดของคนด้านล่าง ไล่เลียเล็มไปรอบๆ ริมฝีปากและขบเม้ม ก่อนที่บีทส์จะเป็นฝ่ายเปิดริมฝีปากออก ผมไม่รอช้าส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปสำรวจโพรงปากของคนใต้ร่างอย่างหื่นกระหาย
   

เสียงจูบกันยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง...ต่างคนต่างแลกสัมผัสกันอย่างเมามัน จนหลงลืมสิ่งที่เคยคิดว่าควรหรือไม่ควร
    

“อ่ะ...อื้อ พะ...พี่ซัน” เสียงครางกระเส่าที่ถูกส่งออกมาจากปากของคนใต้ร่างทำให้ผมที่คร่อมอยู่ด้านบนยิ่งได้ใจ ตวัดเรียวลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของอีกคนอย่างร้อนแรง มันเองก็พยายามจูบตอบผมกลับมาเหมือนกันจนหยาดน้ำใสเปรอะเปื้อนไปรอบริมฝีปากสีสวย
   

ผมพยายามสอนบทจูบให้อีกคนอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป บีทส์ได้แต่จูบตอบผมอย่างเงอะงะ มือเรียวทั้งสองข้างของมันทำได้แค่โอบรอบคอผมไว้


“แค่ตามเกมของกูก็พอ ไม่ต้องคิดอะไร โอเคมั้ย” ผมกระซิบรอดไรฟัน เพราะมัวแต่ไล่ต้อนลิ้นเล็กไม่ประสีประสาของอีกคน ที่เหมือนจะตอบรับแต่ก็หลีกหนีอยู่ในที มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ดิบในตัวผม


“อื้อ ตะ...แต่ ผมกลัว” บีทส์เอ่ยออกมาเสียงอู้อี้ ผมยอมปล่อยปากอีกคนให้เป็นอิสระ และเปลี่ยนเป็นพรมจูบลากวนตั้งแต่ใบหน้าเลื่อนมาที่ใบหูขาว ก่อนจะหยุดขบติ่งหูของมันเบาๆ จนมันครางฮือแถมยังแอ่นอกขึ้นรับสัมผัสของผมที่ซุกอยู่ตรงซอกคอของมันไม่ห่าง


“แค่มึงเชื่อกูก็พอ แล้วมึงจะไม่เป็นอะไร” ผมพูดออกมาเสียงกระเส่า จนแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงได้อยากลิ้มลองร่างเล็กตรงหน้านัก หากจะอ้างว่าเป็นเพราะแอลกอฮอล์ก็คงไม่ถูก เขาเพียงแค่ ‘กึ่มๆ’ แต่ไม่ได้เมาถึงขนาดทำอะไรโดยไม่รู้ตัว


“อ๊ะ อื้อ ยะ...อย่ากัดสิครับ ผมอึกจักจี้ อื้อ”
ก็ถ้าจะน่ารักขนาดนี้…


ความคิดแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของผม บีทส์พยายามเอียงหนีสัมผัสการรุกรานของผมที่ตามขบเม้มอยู่ตรงซอกคอ ลากวนลงมาถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า


ผมเงยหน้ามองเรือนร่างขาวผ่องของคนใต้ร่างที่ส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้ ชวนให้ดูเซ็กซี่และเชิญชวนที่สุดในสายตาผม อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ร่างเล็กดื่มเข้าไปในปริมาณมาก ผมแทบอดใจไม่ไหวอยากจะฉีกร่างกายตรงหน้าออกสำรวจให้ครบทุกซอกทุกมุม


“หึ กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะยังไม่เคย ดูจากปฏิกริยาตอบรับของร่างกายมึงสิ แค่กูลูบ น้องชายมึงก็ลุกขึ้นสู้มือกูแล้ว” ผมยิ้มเยาะ


"อ๊ะ...อือ" คนใต้ร่างเอ่ยออกมาเสียงสะท้าน เมื่อผมสอดมือเข้าไปในกางเกงนอนตัวโคร่งแล้วกอบกุมอวัยวะส่วนนั้นของมันไว้เต็มมือ


"หึ เห็นมั้ยว่ามันสู้มือกูด้วย" ผมยิ้มหื่นกระหาย อีกคนบิดตัวหนี


"อือ มะ...ไม่เอานะ อ๊ะ เอามือออกไป อื้อ..." บีทส์พยายามปัดมือผมออก


"ไม่ทันแล้วบีทส์"


พรึ่บ!


ผมถอดกางเกงตัวโคร่งของคนตัวเล็กออก ก่อนลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองออกบ้างเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่า เผยให้เห็นหน้าอกแกร่งที่มีกล้ามเนื้อแบบคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ


"จะไปไหน" ผมคว้าไหล่บางไว้สองมือ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อคนที่กำลังนอนอ่อนระทวยอยู่บนเตียง ขยับตัวจะลงจากเตียง


"ผม อึก...อึดอัด" ใบหน้าสวยบิดเบี้ยว โดยที่มืออีกข้างชี้ไปที่ไอ้ตัวต้นเหตุที่อยู่ภายใต้กางกางในตัวจิ๋วสีเทา ที่กำลังชูคอท้าทายสายตาคนมอง


'เหมือนกับมังกรของผม' ที่ข้างในมันปวดตุบๆ พร้อมจะออกรบเต็มที่ จนอยากจะรีบทำให้เสร็จๆ ให้ตัวเองได้หายทรมาร
   

'ถ้าหากได้กระแทกเข้าไปแรงๆ ก็คงจะดี'



หมับ!


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันจะดีเอง” ผมพูดเสียงพร่า ก่อนจะคว้าเอาร่างบีทส์มาพรมจูบ ผมใช้มือสองข้างประคองหน้าของน้องมันไว้ เราสองคนเหมือนมีแรงดึงดูดต่อกัน ต่างคนต่างแลกจูบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผมผละออกจากริมฝีปากของบีทส์ ค่อยๆ ไล่เล็มลงมาที่แผงอกขาว


ก่อนจะใช้ปากครอบครองยอดอกสีสวย มืออีกข้างก็กอบกุมอยู่ที่ยอดอกข้างที่เหลือแล้วใช้ปลายนิ้วบดขยี้ คนใต้ร่างเริ่มส่งเสียงคราง บีทส์ดิ้นเร่าด้วยความทรมาน ใช้มือครอบครองส่วนอ่อนไหวของตัวเอง


“อ่าส์~ อื้อ อ”


ผมละมือออกจากยอดอกสีสวย แล้วลากวนลงไปที่ส่วนอ่อนไหวของอีกคนไม่ลืมแตะมือขาวนั่นเบาๆ เลื่อนผ่านไปที่ส่วนด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ สอดนิ้วกลางเข้าไปหยอกเย้า ทำให้คนใต้ร่างสะดุ้งเฮือก


“เฮือก! อ๊ะ...อื้อ เอาออกไป!” บีทส์พยายามขยับหนี ผมรีบถอนมือออกก่อนจะเลื่อนตัวไปครอบครองริมฝีปากบางของอีกคนไว้เพื่อเบี่ยงความสนใจแล้วเอ่ยปลอบอีกคนจนยอมสงบ ในตอนแรกบีทส์พยายามปฏิเสธ แต่ผมก็อาศัยประสบการณ์ทำให้มันยอมเปิดปากให้อีกครั้งแล้วเพิ่มจำนวนนิ้วขึ้นเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสองและสามในที่สุด


“อื้อ จะ...เจ็บ!” บีทส์สะดุ้งเฮือกเมื่อผมเริ่มขยับนิ้ว


“หายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นๆ อย่าเกร็งไม่งั้นมึงจะเจ็บ แบบนั้นแหละเด็กดี” ผมพยายามพูดโน้มน้าว บีทส์พยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ทำตามคำแนะนำ


“ยกขาขึ้น อีกนิด...อื้ม จะรัดแน่นไปไหนวะ ผ่อนคลายหน่อย” ผมขยับแทรกตัวเข้าไปแนบชิดคนตัวขาว ร่างกายเปลือยเปล่าของเราสองคนเสียดสีกันไปมา ก่อนที่ผมจะฉวยโอกาส...


สวบ!


“โอ๊ย!! พะ...พี่ ผมเจ็บ” น้องมันสะดุ้งเฮือกเมื่อผมเอามือออกจากส่วนด้านหลังแล้วแทนที่ด้วยส่วนกลางกายที่เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว


“ชู่ว เงียบๆ อย่าร้อง พี่บอกให้หายใจเข้าลึกๆ อ่า...อย่าเกร็งไงครับ” ผมกัดฟันพูดบอกเสียงนุ่ม พยายามจูบซับน้ำตาออกจากหางตาคู่สวย มือข้างซ้ายประสานไว้กับมือข้างขวาของบีทส์ ส่วนด้านล่างยังคงเชื่อมต่อกันอยู่ สัมผัสได้ถึงของเหลวสีสดที่ไหลออกมา


ผมขบกรามแน่น ตอนนี้เดินมาไกลเกินกว่าจะหยุดแล้ว


“จะเริ่มขยับแล้วนะ” ผมกระซิบบอกรอดไรฟัน ก่อนจะเอื้อมมือไปกอบกุมส่วนออกไหวทางด้านหน้าของอีกคนแล้วขยับมือเข้าออกเป็นจังหวะ บีทส์ทำได้แค่พยักหน้ากัดฟันแน่น ก่อนจะเริ่มครางในลำคอเมื่อผมขยับมือชักเข้าออกเร็วขึ้นสอดรับกับจังหวะการขยับสะโพกของผม


“อ๊ะ...อื้อ อ่าส์”


เสียงเนื้อกระทบกันดังต่อเนื่องเป็นระยะ พร้อมกับเสียงครางกระเส่าของเราทั้งคู่ที่ดังอยู่ไม่ขาด


“ตะ...ตรงนั้น อื้อ ผมมะ...ไม่ไหวแล้ว อ๊าส์~” ริมฝีปากสีแดงสดทำได้แค่ส่งเสียงครางออกมา ผมยิ้มมุมปากเมื่อรู้ว่ากระแทกโดนจุดกระสันของอีกคน ร่างเล็กสั่นไหวไปตามแรงกระแทกยิ่งผมออกแรงมากเท่าไหร่ร่างเล็กก็ยิ่งตอดรับผมถี่ขึ้นจนในที่สุดน้องมันก็ร้องออกมาก่อนน้ำขาวขุ่นจะทะลักออกมาเต็มมือผม


เมื่อคนด้านล่างถึงจุดหมายผมเองก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไป เร่งจังหวะกระแทกสะโพกถี่รัว พอใกล้ถึงจุดหมายผมก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ไม่ยอมเสร็จง่ายๆ


“อ่าส์~ สัส เพิ่งรู้ว่าข้างหลังมันจะรัดแน่นขนาดนี้ แค่ยัดเข้าก็แทบแตก” ผมพูดอย่างใจคิด ช่องทางด้านล่างของเรายังคงเชื่อมกันอยู่ บีทส์สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะขยับตัวใช้มือนวดที่หลัง เดาว่ามันคงปวดหลังเพราะกิจกรรมรักครั้งแรกของเรามันเกิดที่ ‘โซฟา’ ดีที่เป็นโซฟาขนาดไม่เล็กมาก ไม่งั้นคงได้กอดกันร่วง


“เอ่อ คือ...” น้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะช่องทางด้านล่างยังคงเชื่อมกันอยู่จึงขยับไปไหนไม่ได้มาก


พรึ่บ!


“อ๊ะ!” น้องมันร้องด้วยความตกใจผวากอดหมับเข้าที่คอผม เมื่อผมรวบร่างเล็กขึ้นมาแนบอก ขาทั้งสองข้างของบีทส์ก็รัดแน่นที่เอวผมเพราะกลัวตก จังหวะการเคลื่อนไหวของเราทำให้ผมเสียวจนขนลุก แต่พยายามกัดฟันเดินต่อ


ยิ่งเดิน...มันก็ยิ่งลึก


“อื้อ...” น้องมันหลับตากัดปาก พยายามกลั้นเสียงครางของตัวเองไว้


“หึๆ ไม่ต้องกลั้น กูอยากได้ยินเสียงมึง ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ขออีกรอบที่เตียงก็แล้วกัน” ผมกระซิบที่ข้างหูน้อง ก่อนจะใช้ริมฝีปากเลียติ่งหูของอีกคน บีทส์พยายามร่นคอหนี


“หว๊า~! มะ เหวอ~!” ยังไม่ทันที่อีกคนจะได้เอ่ยปากปฏิเสธก็ถึงเตียง ผมปล่อยน้องมันลงกลางที่นอนหนานุ่ม ก่อนจะตามเข้าไปทาบทับโดยไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่าง
แน่นอนว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล…


+++++++++++++++++


ผมกระพริบตาเพื่อปรับแสงก่อนจะตื่นเต็มตา เมื่อได้ยินเสียงครางอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดหัวไล่อาการมึน มองเลยไปยังคนข้างตัว


เฮ้ย!!!


“อื้อ…” หมดเวลาตะลึงแล้วครับ เมื่อคนข้างๆ เริ่มขยับตัวพลิกหน้าไปมาเหมือนกำลังไม่สบายตัว เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าสวย เชี่ยแล้วไอ้ซัน!


ผมวางมือลงบนหน้าผากของบีทส์ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงอุณภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ มันไม่สบายแน่ๆ แบบนี้ กว่าเมื่อคืนจะจบลงก็สองรอบ สองรอบของผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คงไม่ใช่กับคนที่เพิ่งเสียตัว...ครั้งแรก


เมื่อคืนเสร็จสิ้นจากกิจกรรมเอ่อ นั่นแหละครับในรอบที่สอง(ของผม) บีทส์ก็สลบเหมือดคาอก ผมเองก็ทั้งเมาทั้งเหนื่อยก็หลับไปเลยเหมือนกัน ไม่ได้ลุกขึ้นมาทำความสะอาดให้มันเหมือนที่ควรจะทำ


คิดได้ดังนั้นเลยคลำหาผ้าเช็ดตัวก่อนจะพันไว้รอบเอว ลุกขึ้นไปใส่กางเกงแล้วหยิบกะละมังกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดตัวให้กับคนที่นอนซมอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า


แม่งเอ้ย แล้วทำยังไงต่อวะเนี่ย!?!



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เหนื่อยจัง 2รอบ อยากเหนื่อยอีกจัง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0

ตอนที่ 14 :: ยอมรับว่าหลวมตัว แต่ไม่ยอมรับว่าหลวมใจ


[ซัน]


ผมวิ่งเข้าออกระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเป็นว่าเล่น เพราะไอ้คนที่นอนครางฮืออยู่บนเตียงเริ่มเพ้อ ผมเดินเข้าไปเอามืออังหน้าผากมันดูอีกรอบ...ชักไม่ดีแล้วสิ


สีหน้ามันแย่กว่าเดิมผมรีบเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันอย่างไว พร้อมทั้งทำความสะอาดส่วนนั้นให้แบบลวกๆ ก่อน ด้วยความที่ไม่รู้ว่าหลังจากที่เอ่อ...นั่นแหละจะต้องดูแลอีกคนยังไง จึงได้แต่ทำไปด้วยสัญชาตญาณ


สีหน้าวิตกกังวลที่ไม่ค่อยจะได้แสดงออกมานักกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผมอย่างชัดเจน ผมลองพลิกร่างเล็กของอีกคนให้นอนหงาย แล้วเลิกเสื้อตัวโคร่งที่ตนเองเป็นคนสวมให้อีกคนขึ้นเพื่อตรวจดูช่องทางด้านล่าง


เชี่ยเอ้ย!! แดงจนเกือบคล้ำ!


กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง


ผมเงยหน้าไปมองที่ประตู


ใครมาหาแต่เช้า…


ผมเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะจัดเสื้อของบีทส์ให้เรียบร้อย ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยเขียวเป็นจ้ำๆ อยู่ตรงหว่างขาเรียวขาว อดคิดไม่ได้ว่าทำรุนแรงไปหรือเปล่าเมื่อคืน ผมส่ายหัวให้กับความคิดตัวเอง แล้วดึงห่มผ้าขึ้นมาห่มให้บีทส์จนร่างโปร่งนั่นจมไปกับกองผ้าห่มเหลือเพียงแค่หัวทุยๆ ของอีกคนที่เอียงใบหน้าแนบกับหมอนใบโตหลับตาพริ้ม


คงต้องให้นอนคว่ำหน้าอย่างนี้ไปก่อน เพราะถ้าขืนให้นอนหงายหน้าเหมือนเมื่อกี้ ส่วนด้านล่างของอีกคนอาจจะเสียดสีกันจนเกิดอาการระบมได้


หวังว่าความคิดของผมจะถูกต้อง...


ผมก้มดูบุคคลที่มากดกริ่งรบกวนตั้งแต่เช้าผ่านช่องตาแมว และต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นบุคคลที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง ก่อนจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปหมุนลูกบิดให้ประตูเปิดออก บุคคลตรงหน้ายืนยิ้มกว้างให้อย่างน่ารัก ผมยกยิ้มมุมปากตอบกลับไป


“เข้ามาก่อนสิ”


“ขอบคุณค่ะ” ร่างสวยระหงษ์ของอีกคน เบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้อง พร้อมทั้งก้มถอดรองเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ใส่ในห้องแทน


ผมเดินนำอีกฝ่ายไปที่ห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวกว้าง ฟ้าที่เดินตามมาจึงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยเปิดประเด็น


“ฟ้ามารบกวนรึเปล่าคะ” ฟ้าเอ่ยถามอย่างเกรงใจ ใบหน้าสวยส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับผมคนที่เธอสนิทสนมด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง แถมยังเป็น ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ที่เตรียมจะหมั้นกัน...หลังจากที่ผมเรียนจบ


“คิดมาก มาหาพี่แต่เช้ามีอะไรพิเศษรึเปล่า” ผมเอ่ยถามคนข้างๆ เสียงอ่อนโยน


“คือฟ้าจะมาชวนพี่ซันไปใส่บาตรทำบุญที่วัดด้วยกันน่ะค่ะ เขาว่ากันว่าทำบุญในวันเกิดจะส่งผลทำให้ชีวิตเราพบเจอแต่เรื่องดีๆ อะไรที่ไม่ดีก็จะได้เลี่ยงได้ ผ่อนสิ่งที่หนักให้กลายเป็นเบา แล้วก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีด้วยนะคะ” ฟ้าเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตัวเองออกมายาวเหยียด ผมนิ่งไปนิดเมื่อฟังคนข้างๆ เอ่ยจบ


จะให้ผมไปไหนได้ยังไง ในเมื่อยังมี ‘อีกคน’ ที่นอนป่วยอยู่ในห้อง จะให้ผมไปไหนได้ยังไงถ้าอีกคนยังไม่ดีขึ้น และต้นเหตุที่ทำให้คนข้างในป่วยก็มาจากผม...เต็มๆ


แต่จะให้ปฏิเสธคำชวนของคนตรงหน้าตรงๆ ก็ทำไม่ได้อีกอยู่ดีนั่นแหละ


“พี่ขอโทษนะน้องฟ้า พอดีพี่ติดธุระด่วนจริงๆ เอาไว้วันหลังได้มั้ย พี่สัญญาว่าจะไม่เบี้ยว” ผมพูดบอกเสียงนุ่ม พร้อมกับยื่นมือไปกุมหลังมือของฟ้าไว้หลวมๆ ผมคิดอย่างที่บอกไปจริงๆ นะ ก็ทำบุญ...มันทำวันไหนก็ได้ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำเฉพาะวันเกิดที่ไหนกัน


“ไม่ต้องขอโทษฟ้าหรอกค่ะ ฟ้าสิต้องขอโทษพี่ซัน คิดแค่ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์ให้พี่แปลกใจเลยไม่ได้โทรมาบอกก่อน คิดว่าวันเกิดทั้งทีพี่ซันจะคิวว่างซะอีก” ฟ้าพูดบอกหน้ามุ่ยอย่างคนผิดหวัง


“ไว้วันหลังพี่ไปรับที่บ้านเลยดีมั้ย” ผมยื่นข้อเสนอ


“คิคิ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะห้ามเบี้ยวฟ้าอีกนะ อ่อ...พี่ซันอย่าลืมนะคะว่าเย็นนี้เรามีปาร์ตี้กันที่ห้องนี้ คิดว่าตอนบ่ายพวกพี่ๆ คงทยอยกันเข้ามาเตรียมของ งานนี้ฟ้าก็ไปช่วยเหมือนกัน ดังนั้นพี่ซันต้องกลับห้องไวๆ นะ” ฟ้าบอกงอนๆ แต่ก็พึงพอใจกับข้อเสนอใหม่ของผม ก่อนจะเอ่ยเตือนถึงปาร์ตี้วันเกิดที่จะจัดขึ้น ผมนิ่งเมื่อนึกได้ว่าเย็นนี้นัดพวกเพื่อนๆ กับรุ่นน้องคนสนิทที่แข่งรถด้วยกันมาฉลองวันเกิดกันที่ห้องนี้ ซวยแล้วดิ


“ไม่ลืมครับ สัญญาว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมารอที่ห้อง” ผมยิ้มรับ พร้อมทั้งยื่นมือไปยีหัวฟ้าอย่างเอ็นดู


“งั้นเดี๋ยวฟ้าไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะพี่ซัน” ฟ้าพูดบอก ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกมาส่งฟ้าที่หน้าห้อง


“ครับ ขอโทษอีกครั้งนะที่ไปด้วยไม่ได้” ผมพูดบอกอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องโกหก อีกทั้งยังเริ่มกังวลกับปาร์ตี้เย็นนี้ขึ้นมา


ฟอด~


ผมยืนค้าง เมื่อฟ้าเป็นฝ่ายเขย่งตัวขึ้นมาหอมแก้มผม ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ ก่อนจะหลบสายตาผม แล้วหันหลังเดินออกไป
ผมยกมือขึ้นมาลูบตรงแก้มข้างที่โดนฟ้าขโมยหอม สัมผัสยังคงบางเบาและกรุ่นอยู่ในความรู้สึก ผมยกยิ้มก่อนจะปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอนตัวเองอีกรอบ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างของใครบางคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งร้องไห้ตาแดงอยู่บนที่นอนของผม


“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม พลางก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกคน จับไหล่เล็กที่สั่นไหวเพราะยังร้องไห้อยู่ไว้ทั้งสองมือ
มันไม่ยอมตอบ แต่เบือนหน้าหนี


“ว่าไง...กูถามว่าร้องไห้ทำไม” ผมถามย้ำ


“...” คนดื้อยังเงียบ พยายามที่จะแกะมือผมออกจากไหล่ของตัวเอง


“มึงอยากได้อะไรก็บอกสิวะ กูจะได้หาให้เงียบแบบนี้แล้วกูจะรู้เรื่องมั้ย” ผมพูดเสียงอ่อนใจ เมื่อบีทส์ยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรกับผมสักคำ เป็นอย่างนี้มาเกือบห้านาที มากไปแล้วนะมึง


“ฮึก...” เป่าปี่ใส่กูอีก


“บีทส์...มึงฟังกูนะ” ผมปรับอารมณ์แล้วพูดเสียงนิ่ง ก่อนจะเว้นจังหวะ เมื่ออีกคนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา จมูกมันแดงมากครับ คงเพราะมันใช้มือขยี้แรงๆ ปาก...เอ่อ ‘เจ่อ’ แดงช้ำ อันนี้น่าจะเพราะเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ตอนที่เจ้าตัว...กัดปากกลั้นเสียงครางของตัวเอง


“เรื่องนี้กูยอมรับว่ากูผิด ไม่สิ...ก็มีส่วนผิด มึงจะโทษกูคนเดียวไม่ได้นะ เพราะกูเตือนมึงแล้ว เข้าใจที่กูพูดมั้ย” ผมถาม บีทส์กัดปากตัวเองแน่น เล่นเอาผมเองก็เกร็งไปเลยเหมือนกัน


ปึ่ก!


สัส! ทุบลงมาได้ ผมรวบข้อมือเล็กไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะขบกรามแน่นเพื่อระงับอาการเจ็บและจุกสัสๆ!


“ฮึก...ฮือ ไอ้พี่นิสัยเสีย!” บีทส์ด่าผมทั้งน้ำตา ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว เพราะอันนี้ผมก็ผิดจริงที่ไป เอ่อ พรากพรมจรรย์ของเจ้าตัวมา ถ้าถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของมัน คำตอบคือ


ถ้าไม่ใช่ครั้งแรก...เลือดคงไม่เยอะขนาดนี้หรอก


แต่ผมเองก็คิดอะไรไม่ออก จะให้ผมรับผิดชอบเหรอ ในฐานะอะไรล่ะครับ อีกอย่างมันก็เป็นผู้ชาย
คงไม่เสียหายอะไรเหมือนผู้หญิงเสียพรมจรรย์หรอก


“กูก็ไม่เคยบอกว่ากูเป็นคนดีมาตั้งแต่แรก เอาเป็นว่าเรื่องนี้เก็บไว้ก่อนค่อยคุยกัน หยุดร้องไห้แล้วมานั่งกินข้าวดีๆ จะได้กินยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบ” ผมพูดสั่ง แต่บีทส์ยังไม่ยอมฟัง พยายามที่จะดิ้นหนีผม


“ปล่อย! ผม จะ กลับห้อง!” มันสะบัดมือผมออก ผมกัดฟันเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช่อะไรครับแค่กลัวเผลอทำอะไรรุนแรงเดี๋ยวได้ไปกันใหญ่


“กินข้าว” ผมย้ำอีกครั้ง


“ไม่!”


“สัส! เดี๋ยวได้กลับแน่ห้องมึงน่ะ ตอนนี้มึงไม่สบายต้องกินข้าวจะได้กินยา แล้วก็หยุดดื้อสักที! ทำตัวเป็นเด็กสาวโดนพรากพรมจรรย์ไปได้ แม่ง!” ในที่สุดก็เผลอตะคอกใส่มันจนได้ บีทส์กัดฟันแน่น ก่อนจะก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา ผมถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกมาสงบสติอารมณ์อยู่หน้าห้อง


ยืนนิ่งอยู่ได้สักพัก จึงตัดสินใจเดินไปหยิบโทรศัพท์ ก่อนจะกดโทรออกไปยังเบอร์ของใครบางคนที่ผมคิดว่า มันน่าจะช่วยผมได้มากกว่าที่ผมทำอยู่ตอนนี้ ก็นะ...มันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้นี่หว่า


“อาร์ต...”


++++++++++++++




ออฟไลน์ เบบี้เยลโล่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
[ต่อ]

“มึงทำอะไรลงไปไอ้เหี้ย!?” ไอ้อาร์ตถามอย่างหัวเสีย หลังจากที่เปิดประตูเข้ามาในห้องผม มันมีกุญแจห้องผมอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องออกไปเปิดประตูให้มันครับ โทรไปเรียกมันเมื่อยี่สิบนาทีก่อน มาไวเหมือนกัน

“ไปดูมันให้กูก่อนไอ้สัส! ไม่รู้ป่านนี้หยุดร้องไห้รึยัง” ผมไม่ตอบ แต่ไล่ให้มันเข้าไปดูอาการของคนในห้องนอนผมแทน ส่วนผมเลือกที่จะนั่งรออยู่ข้างนอก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน...แต่ผมเกลียดน้ำตาของมันชะมัด

“เออ! เดี๋ยวมึงได้เคลียร์กับกูแน่ซัน” ไอ้อาร์ตรับคำ ก่อนจะถือกระเป๋าพยาบาลใบเล็กก้าวไปยังห้องนอนผม
ผมกุมขมับหน้าเครียด เชี่ยเอ้ย เผลอกินมันไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เมื่อคืนนี้ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะครับว่ารู้สึกดี อืม...มากซะด้วย ถ้าถามว่าผมจะทำยังไงต่อไป คำตอบของผมก็คงเป็นคำตอบเดียวคือ

ไม่รู้...

แกรก~

ผมมองไปที่ประตูห้องนอนที่เปิดออก ตามมาด้วยร่างของเพื่อนสนิทที่เดินหน้าเครียดออกมาหลังจากที่เข้าไปในห้องนอนผมได้เกือบๆ ครึ่งชั่วโมง มึงจะเครียดทำสากกระเบืออะไรวะ กูไหม...ที่ควรเครียด!!

“ไอ้สัสก็รู้ว่าครั้งแรกมันเจ็บยังเสือกใส่ไม่ยั้ง!” ไอ้อาร์ตพูดหลังจากนั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้าม คือสภาพมันตอนนี้เรียกว่าเสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกจากบ้านมาเลยครับ คนเห็นคงได้แปลกตาดีพิลึก มาดเพล์บอยเชี่ยๆ แต่เสือกถือกระเป๋าเครื่องมือพยาบาล

“กูเมา” ผมตอบเสียงเรียบ ไอ้อาร์ตส่ายหน้าอย่างหนักใจ

“แล้วมันเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย” ผมถามต่อ ไอ้อาร์ตเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“ฉีก”

อื้ม...คำเดียว แต่อธิบายได้ทุกอย่าง เรียกว่าได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งไปถึงก้นบึ้งของทุกประสาทสัมผัส!!

“กูดูอาการเบื้องต้นให้แล้วแต่กว่าบีทส์จะยอมให้กูตรวจ เล่นเอากูแทบเอาตีนก่ายหน้าผาก บทจะดื้อก็พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง นี่กูก็ฉีดยาบำรุงกับยาคลายเครียดให้น้อง ตอนนี้หลับไปแล้ว อีกสักชั่วโมงคงจะตื่นจากนั้นค่อยให้กินข้าวกินยา ส่วนการดูแลต่อจากนี้คือต้องกินยาและก็มั่นทายาควบคู่ไปด้วย ให้นอนพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวไข้ก็คงลดไปเอง แต่แม่งสภาพน้องดูแทบไม่ได้ เชี่ยทำอะไรไม่คิด!” ไอ้อาร์ตพูดต่อ เมื่อเห็นอาการอึ้งไม่เลิกของผม ด่าทิ้งท้ายกูอีกไอ้นี่

“ลองมึงมาเป็นกูดูมั้ย แล้วมึงจะไม่พูดคำนี้เลยไอ้ห่า” ผมเถียงกลับอย่างหัวเสีย ไอ้อาร์ตจิ๊ปากเถียงผมกลับไม่ออก

“กูโทรหาไอ้สองให้แล้ว อีกสักพักคงซื้อของกินเข้ามาให้ ให้น้องทานแล้วจะได้ทานยา พักผ่อนเยอะๆ มึงเองก็อย่าไปพูดอะไรให้เขาเสียใจ ไม่งั้นจะไปกันใหญ่ เออแล้วปาร์ตี้วันเกิดมึง น้องฟ้าบอกมึงรึยัง” ไอ้อาร์ตถาม ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดอะไรยุกยิก แต่ปากยังถามผมต่อ

“อืม…” ผมพยักหน้า ก่อนจะทิ้งตัวเอนลงนอนที่โซฟา เอามือก่ายหน้าผาก

“แต่บีทส์ยังนอนอยู่ในห้องนอนมึงนะ” ไอ้อาร์ตสงสัย

“ก็แค่ย้ายมันกลับห้องตัวเองก่อนก็จบ” ผมตอบอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้านี้

“มึงจะบ้ารึไงวะ น้องเขาไม่สบายอยู่นะเว้ย แถมสภาพจิตใจยังย่ำแย่เพราะโดนมึงขยี้อีก ยังจะกล้าปล่อยเขากลับห้องตัวเองโดยไม่ยอมทำเหี้ยอะไรเลยอ่ะนะ” ไอ้อาร์ตโวยวาย ผมยกมือขึ้นมาบีบขมับเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

“มึงพูดมากเกินไปแล้วอาร์ต” ผมด่า

“ถ้าไบร์ทรู้ว่ามึงทำอะไรพี่เขา กูนึกภาพไม่ออกเลยว่าไอ้ตัวเล็กของกูจะว่ายังไง ถ้าน้องพาลโกรธกูไปด้วยมึงต้องรับผิดชอบ ห่า หางานให้กู!” ไอ้อาร์ตเลยพูดต่อ นี่ตกลงมึงห่วงบีทส์หรือห่วงว่าตัวเองจะโดนน้องของเขาโกรธกันแน่วะ

“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงวะ” ผมถามเสียงเครียด

“กูสิต้องถามมึง ไม่ใช่ให้มึงมาถามกู กูไม่ใช่คนเสียบนะเว่ย!” ไอ้อาร์ตรีบออกตัว

“สัส!” ผมด่า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมกับไอ้อาร์ตหันไปที่ประตูพร้อมกัน “พวกไอ้สองมั้ง” ไอ้อาร์ตเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปที่ประตูแล้วก้มส่องตาแมว พวกมันนั่นแหละ ไอ้สองตัวนี้ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ คนหนึ่งออกแนวตัวโตคมเข้ม ปากหมาแต่จริงใจ อีกคนก็ผอมสูงผิวขาวตามสไตล์ลูกคนจีน แต่โคตรกวนส้นตีน

ผมเปิดประตู ก่อนจะเบี่ยงตัวให้เพื่อนรักกับน้องรหัสตัวเองเดินเข้ามาในห้อง ไอ้สองพยักหน้าทักทายผมก่อนเดินเข้ามา ส่วนไอ้น๊อตก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะเดินตามไอ้สองเอาของเข้าไปเก็บในครัว ผมเองก็เดินกลับมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม

สักพักไอ้สองก็เดินออกมาพร้อมกับน้องรหัสผม มันเดินมานั่งที่โซฟาตัวข้างๆ ผม ส่วนไอ้น๊อตเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามไอ้สองแต่หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผม ไอ้อาร์ต ไอ้สองนั่งทำหน้าเครียดเอามือประสานกันแล้ววางไว้บนหน้าตัก

“กูถามจริงๆ นะซัน มึงชอบน้องมันรึเปล่า” ไอ้สองเป็นคนเปิดประเด็น ผมหันไปมองหน้ามันนิ่งๆ ไอ้อาร์ตเองก็มองมาที่ผมเหมือนกัน ห่า อย่ามารุมกู

“กูไม่รู้” ผมตอบไปตามตรง

“ไม่รู้แต่ดันเสียบเขาไปแล้วนี่นะ?”

“เออ! แล้วมึงจะย้ำเพื่อ” ผมด่า ไอ้สองร้อง ‘หึ’ ในลำคอ ก่อนจะยิ้มกวนๆ ผมเลยยื่นขาไปเตะน่องมันแก้อาการหมั่นไส้

“อ้าวเฮ้ย อย่ามาพาลเชี่ยนี่!” ยื่นขาหลบเป็นพัลวัน ผมแสยะยิ้ม

“มัวแต่ลังเล ระวังจะโดนคาบไปแดกนะพี่” ไอ้น๊อตพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกวนตีน ผมปรายตาไปมองมันด้วยใบหน้านิ่งๆ

“อยากกินตีนมั้ย?” ผมเลิกคิ้ว

“ผมไปหาอะไรกินดีกว่า เชิญตามสบายนะครับพี่ๆ” ไอ้น๊อตรีบขยับหนี

“แล้วนี่ไอ้วิทย์ไปไหน กูไม่เห็นมันโผล่หัวมาเลยนะช่วงนี้” ผมเอ่ยถามไอ้น๊อตที่กำลังจะเดินออกไป มันหันมาเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงถาม

‘วิทย์’ เป็นน้องรหัสของไอ้น๊อต แล้วก็เป็นพี่รหัสของไอ้ออย มันเรียนวิศวะควบคู่ไปกับการลงเรียนบริหารฯ ที่รามคำแหง นอกจากมาเรียนแล้ว ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไรที่บังคับจริงๆ มันไม่โผล่หัวมาหรอก วิทย์มันหัวดีแล้วก็ขยันเกินกว่าคนธรรมดามากครับ

“เห็นว่าช่วงนี้มันต้องเร่งทำรายงานส่งน่ะพี่ มาเรียนเสร็จก็รีบกลับ แต่งานกีฬาสีวันศุกร์นี้พี่คงได้เจอมัน มันฝากขอโทษพี่ด้วยที่วันนี้มันปลีกตัวมาไม่ได้” ไอ้น๊อตตอบ ผมพยักหน้ารับ

“แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง” ไอ้สองดึงเข้าประเด็นอีกครั้ง กูอุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วนะ ยังจะวกมา

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ผมหันหน้าไปมองที่ประตูห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“แล้ววันนี้มึงต้องไปรับน้องฟ้ามาที่นี่รึเปล่า หรือว่าต้องยกเลิก” ไอ้สองถามต่อ ผมส่ายหัว ขืนยกเลิกไปจะให้ผมตอบน้องว่ายังไง

“ไม่...กูคงรออยู่ที่นี่ พวกมึงก็ทำตัวให้เป็นปกติก็แล้วกัน ส่วนมึง...กูวานไปรับฟ้ากับเพื่อนของเขาแทนกูหน่อย มึง...อาร์ตอยู่ช่วยกูที่นี่ยังไงก็ต้องย้ายมันกลับห้องตัวเองไปก่อน กูยังไม่อยากตอบคำถามคนอื่นตอนนี้ ว่าทำไมมันถึงมาอยู่ห้องกู” ผมตอบ ก่อนจะหันไปสั่งไอ้สองให้มันไปรับฟ้าแทน ส่วนไอ้อาร์ตมันไปไหนไม่ได้หรอกครับต้องช่วยผมดูแลคนป่วยที่นอนอยู่ในห้อง

“นี่มึงยังจะยืนยันคำเดิมอีกเหรอวะซัน ให้เขาไปอยู่ห้องเขาแล้วใครจะดูแล มึงกับกูต้องอยู่ในงานวันเกิดนะเว้ย ใครจะปลีกตัวไปดูน้อง” ไอ้อาร์ตถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ผมจิ๊ปาก แล้วจะให้กูทำยังไง ถ้ากูสามารถแยกร่างได้ก็คงทำไปแล้ว อีกอย่างทุกๆ ปีก็จัดแบบนี้อยู่แล้ว ยกเลิกไม่ได้เด็ดขาด

อีกอย่างผมก็เป็นห่วงคนป่วยในห้องด้วย ถ้ามันอยู่ในห้องนี้ก็คงไม่ได้นอนดีหรอกครับ เวลาคนเมามันก็ต้องส่งเสียงดังเป็นธรรมดา สู้ย้ายมันขึ้นไปบนห้องแล้วค่อยแอบขึ้นไปดูอาการยังดีกว่าเสียอีก

“กูคิดดีแล้ว” ผมตอบเสียงเข้ม

“มึงคิดจะปล่อยเลยตามเลยเหรอวะ” ไอ้สองถาม ผมนิ่ง ความหมายมันเหมือนกับคำว่าฟันแล้วทิ้งหรือเปล่าวะ

“ไม่รู้ ขอเวลากูหน่อย อีกอย่างกูก็ขอเคลียร์กับมันก่อน เมื่อเช้าแม่งก็คุยไม่รู้เรื่องเอาแต่เงียบใส่กู เสียงดังใส่หน่อยก็น้ำตาร่วงแล้ว” ผมพูดบอก ไอ้สองพยักหน้ารับ มันเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายครับ ที่จริงก็พอๆ กับไอ้อาร์ตที่ไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัวของผม แต่เพราะคนที่ผมมีปัญหาด้วยตอนนี้เป็นพี่ของคนที่มันตามจีบอยู่ มันเลยต้องออกตัวแทนเป็นธรรมดา อันนี้ผมพอจะเข้าใจ

“งั้นก็ตามนั้น กูซื้อกับข้าวเข้ามาให้วางอยู่ในครัว จัดการให้เรียบร้อย อ่อ กูซื้อโจ๊กกับข้าวต้มมา ไม่รู้ว่าน้องชอบกินอันไหน มึงก็เลือกเอาเองแล้วกัน ไม่มีอะไรแล้วกูคงต้องขอตัว ไว้เจอกันตอนบ่าย” ไอ้สองพูด พลางยื่นมือมากุมที่ไหล่ขวาของผมแล้วบีบเบาๆ ผมพยักหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากส่งให้มัน

“กูขอถามอีกคำถามเดียว” ไอ้อาร์ตโพล่งขึ้น

“ว่ามา” ผมตอบรับ

“มึงรังเกียจรึเปล่าตอนมีอะไรกับน้อง”

เชี่ย ถามอะไรออกมาวะ จะให้กูตอบว่าไม่รังเกียจ แถมยังโคตรจะรู้สึกดีหรือยังไงวะ!?! เดี๋ยวมึงก็หาว่ากูเป็นเกย์อีก ใครมันจะกล้าพูด!!

ผมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เอนตัวทิ้งหลังลงพิงพนักโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ (เดี๋ยวแม่งรู้ว่ากูประหม่า) ก่อนจะเอ่ยตอบไอ้อาร์ตด้วยน้ำเสียงมึนๆ ไปว่า...

“ไม่รู้...กูเมา”

สิ้นคำตอบของผม ทั้งไอ้อาร์ตกับไอ้สองก็พากันมองหน้าผมอึ้งๆ ผมยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับโซฟาอีกครั้ง โดยยกเท้าขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะ

“หึ ฮ่าๆ กูเชื่อมึงเลย เอาเถอะอาร์ต กูว่าปล่อยให้ไอ้ซันได้ทบทวนความรู้สึกของตัวมันเองก่อน บางทีมันอาจจะฉุกละหุกเกินไป คงตัดสินอะไรยังไม่ได้ กูเชื่อว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง” ไอ้สองเป็นคนพูดขึ้น ผมขมวดคิ้ว จะต้องให้กูต้องทบทวนอะไรอีกวะ

“หึ กูก็จะรอดูวันนั้น” ไอ้อาร์ตพูดต่อ

“เอาน่า ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงไอ้ซันมันก็เป็นเพื่อนของมึงกับกูไม่ใช่รึไง” ไอ้สองเลิกคิ้วถามไอ้อาร์ต ผมยิ้มให้กับคำพูดของมัน ก่อนที่เราสามคนจะเงียบกันไปพักหนึ่ง

“พวกมึง...รังเกียจกูมั้ยวะ” ผมถามเปิดประเด็น โดยที่ยังนอนเอาขาพาดโต๊ะอยู่เหมือนเดิม ไม่ยอมสบตากับพวกมันทั้งสองคน
“เรื่องอะไร” ไอ้สองเป็นฝ่ายถามผมกลับ

“ก็เรื่องที่กูมีอะไรกับผู้ชาย” ผมตอบ แล้วทำหน้าหนักใจ ได้ยินเสียงหัวเราะจากไอ้อาร์ตไม่ดังมาก

“มึงคิดอะไรอยู่ล่ะซัน มึงคิดว่ากว่าพวกเราจะคบกันมาได้ถึงจุดนี้ ผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเท่าไหร่ จะมานึกผิดใจกันกับไอ้เรื่องแค่นี้น่ะเหรอ อีกอย่างนะ น่ารักขนาดนั้นเป็นกู...กูก็ไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรกับผู้ชายว่ะ ถึงแม้ว่าจะมีงูเหมือนๆ กันก็เถอะ” ไอ้สองตอบ ผมคิ้วกระตุกนี่มึงคงไม่ได้คิดอะไรกับมันหรอกนะ

“ถ้ามึงไปมีอะไรกับผู้ชายอกสามศอก กล้ามปูตัวใหญ่สิว่าไปอย่าง” เสียงไอ้อาร์ต “แค่คิดกูก็จะอ้วก” ผมตอกกลับ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งทำท่าขนลุก ไอ้สองหัวเราะ ไอ้อาร์ตหรี่ตามอง

“มึงจะไปมีอะไรกับใครที่ไหนไม่ใช่เรื่องที่กูจะเข้าไปยุ่ง คิดเอาง่ายๆ ถ้ากูรังเกียจจริง ป่านนี้กูคงเลิกคบกับไอ้อาร์ตมันไปนานแล้ว” ไอ้สองพูดขึ้นอีก ผมหัวเราะ ถูกของมัน

“อ้าวไอ้สัส! พาดพิงกู” ไอ้อาร์ตโวยใส่ไอ้สอง ผมยิ้ม ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคน มันเกินคำว่าเพื่อนไปแล้วครับ เราเป็นเหมือน ‘ครอบครัว’ ของกันและกันมากกว่า

“ฮ่าๆ กูพูดเรื่องจริง หรือมึงจะเถียง” ไอ้สองถามไอ้อาร์ตอย่างเป็นต่อ ไอ้อาร์ตทำได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เถียงไม่ออก

“กูว่ากูไปดีกว่า อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไว้เจอกันตอนบ่ายเลยแล้วกัน ไอ้น๊อต!!” ไอ้สองแสยะยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับผม แล้วลุกออกไป พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อไอ้น๊อต ไอ้ตัวดีนั่นก็รีบเก็บข้าวของวิ่งตามไอ้สองไปเหมือนหมาวิ่งตามเจ้านายไม่มีผิด

“คร้าบ เฮ้ย รอผมด้วยสิ!! ผมไปนะพี่ หวัดดีครับ” ไอ้น๊อตยกมือไหว้ก่อนจะวิ่งตามไอ้สองออกไป ผมกับไอ้อาร์ตเพียงพยักหน้าให้

“มึงจะไปไหน” ผมถาม เมื่อไอ้อาร์ตลุกขึ้นยืน มันเลิกคิ้ว

“จะไปดูน้อง” ไอ้อาร์ตตอบ

“เข้าไปดูอะไรบ่อยๆ วะ นั่งอยู่นี่แหละเดี๋ยวกูเข้าไปดูเอง” ผมตอบ ก่อนจะเดินเบี่ยงแซงหน้าไอ้อาร์ตที่ยืนเอียงข้างอยู่ มันเบ๋ปาก ยักไหล่ แล้วนั่งลงที่เดิม

ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีก แต่เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตัวเอง ทำใจอยู่สักพักว่าจะเคาะประตูก่อนหรือเปิดเข้าไปเลยดี แต่เดี๋ยวนะ…

ได้ข่าวว่านี่ก็ห้องกู แล้วกูจะเคาะหาสวรรค์วิมานอะไร

ผมเปิดประตูเข้ามาก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับผู้ร่วมห้องที่จ้องมองมาที่ผมเหมือนกัน ใบหน้าคนป่วยเบิกตากว้างอย่างตกใจที่อยู่ดีๆ ผมก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ทำไมวะก็นี่ห้องกู

ผมเดินเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงขอบเตียง บีทส์หันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใกล้

“ตื่นขึ้นมาทำไมหรือว่าเจ็บตรงไหน” ผมถาม

“…” บีทส์เม้มริมฝีปากล่างของตัวเอง แต่ไม่ยอมเอ่ยปากตอบในสิ่งที่ผมถาม

เงียบใส่กูอีกแล้ว ต้องเป็นไอ้หมอคนเดียวหรือไงถึงจะยอมเปิดปากบอกอะไรออกมาน่ะฮะ

“บีทส์”

“…” ผมเรียกอีกครั้ง โดยใช้สายตากดดันอีกคนไปด้วย แต่ก็ยังได้รับการตอบสนองเหมือนเดิม ผมถอนหายใจ

“โอเค บีทส์ครับ...เป็นอะไรไหนลองบอกพี่หน่อยสิ”

ผมเปลี่ยนน้ำเสียง ก่อนจะใช้สรรพนามที่ไม่ค่อยได้ใช้แทนตัวเองกับใครนอกจากฟ้า และดูเหมือนจะได้ผล เมื่ออีกคนหันมามองผมตาโตอย่างคาดไม่ถึง ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีเลือดฝาดไหลห่อมารวมกันที่ใบหน้า

เพิ่งเคยเห็นผู้ชายเขิน...แล้วน่าจับกดแบบนี้

เอ้ย! ไม่ใช่ละ คิดซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรไปก่อนหน้านี้ก็แล้วกันนะครับ

“ผมแค่อยากเข้าห้องน้ำ แต่พยายามจะลุกหลายครั้งก็ยังลุกไม่ได้สักที” บีทส์ตอบเสียงอ่อย ผมถอนหายใจอีกครั้ง

“แล้วทำไมไม่เรียก” ผมดุ บีทส์เม้มปากแล้วก้มหน้างุดเหมือนเด็กกำลังโดนผู้ใหญ่ดุ

“คราวหลังก็เรียกสิ ก็รู้นี่ว่ากลั้นบ่อยๆ มันไม่ดี” ผมอธิบายต่อ บีทส์ช้อนตาขึ้นมามองผม ปากเล็กๆ เม้มเข้าหากัน ผมลุกขึ้นยืน บีทส์มองตามตาละห้อย แล้วบิดตัวไปมาเล็กน้อย คงจะปวดมากจริงๆ นั่นแหละครับ

“มาเดี๋ยวช่วย” ผมยื่นมือไปหาอีกคน บีทส์ทำหน้าแปลกใจ คงคิดว่าผมจะทิ้งตัวเองอีกแล้วแน่ๆ

“เร็วสิ” ผมเร่ง เมื่ออีกคนยังลังเล บีทส์เลยรีบส่งมือมาให้ผม ผมค่อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อช่วยพยุงอีกคนให้ลุกขึ้น แล้วค่อยๆ เลิกผ้าห่มออกไปกองไว้อีกฝั่ง เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อยืดของผมที่พอไปอยู่บนร่างของบีทส์กลับหลวมโคร่งอย่างไม่น่าเชื่อ

“อ่ะ...โอ๊ย!” ผมชะงัก เมื่อบีทส์ร้องเสียงหลง

“ไหวมั้ย” ผมถาม เจ้าตัวช้อนตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมโตคลอไปด้วยหยาดน้ำใส

“ผมเจ็บ” บีทส์ตอบผมเสียงสั่น เลยต้องปล่อยให้อีกคนลงไปนอนท่าเดิม สงสัยจะเป็นเพราะแผลนั่น เวลาขยับมันคงกระทบกระเทือน เฮ้อ ยังไงก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

พรึ่บ!

“เฮ้ยพี่! จะทำอะไรครับ!?!” บีทส์ร้องถามเสียงหลง เมื่อผมใช้มือสองข้างช้อนไปที่ใต้ร่างของเขา

“ก็พาไปเข้าห้องน้ำไง” ผมตอบ

“แต่ว่า...” บีทส์ทำท่าจะท้วง

“แค่เกาะกูไว้แน่นๆ มันจะตายรึไง ตกลงไปนี่กูไม่ช่วยแล้วนะ จะเหยียบซ้ำให้ด้วย เลิกโวยวายได้แล้ว เดินไม่ได้แล้วยังจะเก่ง” ผมดุไปอีก บีทส์ทำหน้างอ ก่อนมือเล็กจะขยับมาจับที่แขนของผมเพื่อหาที่ยึด

ผมช้อนร่างอีกคนขึ้นมาอย่างเบามือ ก่อนจะรวบชายเสื้อของบีทส์ไว้ในกำมือให้กระชับคือชายเสื้อมันเลิกขึ้นสูงน่ะครับ แล้วด้านล่างของน้องมันก็...ไม่ได้ใส่อะไรเลย

“อึ๊!”

ผมชะงัก เมื่อบีทส์ส่งเสียงตอนผมอุ้มเขาขึ้นมา บีทส์เองก็ชะงักก่อนที่เจ้าตัวจะส่งยิ้มแหยๆ ให้ผม แล้วก้มหน้างุด ส่วนนั้นคงเสียดสีกันทำให้มันเจ็บ เมื่อเห็นอีกคนไม่ได้ว่าอะไรอีก ผมจึงก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ ใช้ขาดันประตูห้องน้ำให้เปิดออก แล้ววางคนในอ้อมแขนให้นั่งลงตรงชักโครก

“โอ๊ะ!” บีทส์ทำหน้าแหย แล้วโอบรอบคอผมแน่นขึ้นเมื่อก้นเจ้าตัวสัมผัสกับชักโครก ผมจึงยังไม่ปล่อยมือแต่เลือกที่จะพยุงรับน้ำหนักของเจ้าตัวไว้ก่อน

“ไหวมั้ยหรือจะให้กูช่วยพยุงไว้แล้วมึงค่อยจัดการธุระของมึง” ผมถามแล้วออกความเห็น ทีแรกคิดว่าจะให้เจ้าตัวเขานั่งพักก่อน แล้วผมค่อยออกไปให้เขาได้จัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ อย่างน้อยๆ มันก็ยังสามารถเอามือค้ำกับกำแพงเพื่อพยุงตัวเองได้ แต่ดูท่าแล้วคงจะลำบากเอาการอยู่เหมือนกัน

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรครับ!! พี่ออกไปเถอะ ผมจัดการเองได้” บีทส์รีบปฏิเสธ หน้าขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด

“อายอะไรวะ ก็เห็นมาหมดแล้ว” ผมแกล้งพูดเสียงเรียบ กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย จะคิดก็เพราะอาการของมึงนี่แหละ

“พี่ซัน!!!”

บีทส์ร้องเสียงหลง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน หน้าเห่อแดงมากกว่าเดิม มือเล็กเปลี่ยนมากำไหล่ผมไว้แน่น จะเขินหรือโกรธเลือกเอาสักทาง ผมเลิกคิ้วยิ้มๆ

“เอาเป็นว่าเสร็จแล้วเรียกกูก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดเล่นอะไรแผลงๆ นะ ขอย้ำอีกครั้งว่าถ้าเจ็บตัวขึ้นมาไม่ช่วยมีแต่จะเหยียบซ้ำ” ผมขู่ บีทส์ทำปากยื่น ก่อนจะพยักหน้ารับ ผมเลยค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมัน ไอ้ดื้อเกร็งตัวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือสองข้างกำรอบโถชักโครกพยุงน้ำหนักของตัวเอง

ผมมองน้องมันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกคนพยุงตัวได้แล้ว จึงเดินออกมารอที่หน้าห้องน้ำ รออยู่สักพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนข้างในจะออกมา เลยส่งเสียงเรียก

“บีทส์”

“ครับ!” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงตื่น เป็นอะไรวะ

“กูรอนานแล้วนะเมื่อไหร่จะเสร็จ” ผมถาม

“เอ่อ...พี่เข้ามาเลยครับ ผมเสร็จแล้ว” บีทส์ตอบ ผมเปิดประตูเข้าไป มันนั่งอยู่ที่เดิม อากาศมันร้อนรึไงวะถึงได้ขยันหน้าแดงแบบนี้ ผมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะช้อนใต้ร่างอีกคนขึ้น บีทส์ช่วยเอามือที่ว่างอยู่ดันประตูออกให้ ผมเดินไปที่เตียงแล้วค่อยๆ วางอีกคนลงอย่างเบามือ

ผมจัดการเอาหมอนมารองไว้ที่หลังของคนป่วย ช่วยพยุงอีกคนให้นั่งในท่าที่สบาย สีหน้าของน้องยังไม่ดีขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ก็ดูดีกว่าเมื่อเช้า

“นั่งไปก่อน เดี๋ยวกินข้าวจะได้กินยา” ผมพูดบอกแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ คนตัวขาวก่อนจะหันไปมองที่ประตู เมื่อมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

“เป็นยังไงบ้างบีทส์” ไอ้อาร์ตเดินฉีกยิ้มเข้ามา ในมือถือถาดข้าวต้มกับน้ำส้มมาด้วย แล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง มันหันมายืนเอามือล้วงกระเป๋ายิ้มๆ ให้คนป่วย

“ก็ดีครับ” บีทส์ตอบเสียงอ่อย

“เอาหมอนรองสะโพกหน่อยมั้ยเผื่อจะสบายตัวขึ้น” ไอ้อาร์ตถาม ผมเลิกคิ้ว มันต้องใช้ด้วยเหรอวะ

“ได้ก็ดีครับแต่ผมยังไม่อยากขยับมาก” บีทส์ตอบ ช่วยสังเกตหน่อยว่ามีกูนั่งอยู่ตรงนี้อีกคน

“หิวมั้ย พี่ว่าทานข้าวสักหน่อยดีกว่าจะได้ทานยาด้วย เราทานข้าวต้มได้ใช่มั้ย” ไอ้อาร์ตถาม บีทส์พยักหน้า ทีกูถามนี่กว่าจะตอบได้แต่ละคำ

“ซันมึงเป็นต้นเหตุทำให้น้องเจ็บ กูว่ามึงต้องรับผิดชอบหน่อยนะ ป้อนข้าวน้องแล้วก็ให้กินยาด้วยนะมึง” ไอ้อาร์ตหันมาพูดกับผม ผมเลิกคิ้วแล้วชี้เข้าหาตัวเอง

“กูเนี่ยนะ” ไอ้อาร์ตพยักหน้า

“เอ่อ ผมไม่รบกวนพี่ซันหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” บีทส์พูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก อะไรวะกูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่ถามซ้ำแต่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะไม่ทำ

“ถ้ามันไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ป้อนให้เองก็ได้” ไอ้อาร์ตอาสา ก่อนจะยื่นมือไปยีหัวบีทส์ เจ้าตัวฉีกยิ้มให้ไอ้อาร์ต

“ขอบคุณครับ” ไอ้อาร์ตขยับจะไปหยิบชามข้าวต้ม แต่ไม่ทันผมหรอกครับ
พรึ่บ!

“กูพูดสักคำรึยังว่าจะไม่ทำ” ผมพูดเสียงเรียบ แล้วตีหน้าขรึม ไอ้อาร์ตยิ้มกริ่ม แต่ไม่พูดอะไร บีทส์เองก็ช้อนตากลมโตมองมาที่ผม

“ก็แค่เนี้ย กูไปดีกว่าไม่อยากอยู่เป็น ก ข ค. อย่ามัวแต่จู๋จี๋กันจนลืมให้น้องกินยา อีกอย่างจะทำอะไรก็อย่าลืมว่าน้องมันยังไม่สบายอยู่นะครับ” ไอ้อาร์ตเอ่ยปากแซ็ว ผมอ้าปากด่ามันโดยไร้เสียง
 
“ไอ้สัส” แทงใจดำกู

ไอ้อาร์ตเดินผิวปากออกไปจากห้อง แม่งล็อกกลอนให้ด้วยเสร็จสรรพ มึงคิดว่าพวกกูจะทำอะไรกันไอ้เชี่ย!

ผมหันกลับมาที่บีทส์อีกครั้ง ก่อนจะเห็นเจ้าตัวเอามือกำมือห่มไว้แน่น ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากัน มึงอย่าประหม่าได้ไหม...เห็นแบบนี้ กูก็ทำอะไรไม่ถูกได้เหมือนกันนะครับ!

“เอ้า! กินซะ” ผมตักข้าวต้มในชามขึ้นมา ก่อนจะยื่นไปที่ปากเล็ก

“อ๊ะ! แค่ก ก ร้อน!” บีทส์ร้องออกมาหลังจากอ้าปากรับข้าวต้มที่ผมป้อน เชี่ยเอ้ย ผมรีบวางชามข้าวต้มก่อนจะรีบยื่นน้ำไปให้อีกคน น้องสำลักก่อนจะไอออกมา ผมยื่นผ้าไปให้อีกคนเช็ดปาก มือขาวรับไปก่อนจะแลบลิ้นออกมาเพราะยังร้อนอยู่ เข้าใจว่ามันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัตินะครับ แต่ผมต้องรีบหันหนี ดูนานๆ มันไม่ดีต่อตัวผมเท่าไหร่

“โทษที ลืมไปว่ามันร้อน กินต่อได้รึเปล่า” ผมพูดบอกอย่างที่ใจคิด ไม่ง่ายเลยนะครับที่ต้องดูแลใครสักคนโดยเฉพาะคนอย่างผม เกิดมายังไม่เคยดูแลใครหลังจากเสร็จจากกิจกรรมในเรื่องอย่างว่าเลยสักครั้ง น้องมันยิ้มรับ แล้วพยักหน้าให้ผม

“ครับ”

ผมตักข้าวต้มขึ้นมาใหม่ ก่อนจะใช้ปากตัวเองเป่าไปที่ข้าวต้มในช้อนก่อน แล้วใช้ลิ้นแตะสัมผัสกับข้าวต้มว่ามันยังร้อนอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่ามันไม่ร้อนมากแล้วจึงยื่นไปส่งที่ริมฝีปากอีกคน

“จ้องตาไม่กระพริบ อยากจะกินกูแทนข้าวขึ้นมารึไง” ผมพูดแซ็ว น้องมันทำหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อโดนผมจับได้ ก็เล่นจ้องผมตาโต ขนาดช้อนข้าวที่ผมยื่นไปยังไม่คิดจะอ้าปากรับเลย

“ขอโทษครับ” บีทส์พูดก่อนจะอ้าปากงับช้อนข้าว แล้วก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอย่างตั้งใจ ฟังไม่ผิดหรอกครับ ก็พอผมแซ็วเจ้าตัวก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย หึๆ

“นี่ยา” ผมยื่นยาไปให้ หลังจากที่น้องทานข้าวจนอิ่มแล้ว กินได้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เจ้าตัวบอกทานไม่ลงแล้วเลยต้องเลยตามเลย บีทส์รับยาไปก่อนจะใช้ริมฝีปากคาบเม็ดยาไว้ มือเล็กยื่นมือมารับแก้วน้ำจากผม แล้วจัดการกลืนยาลงไปพร้อมกับน้ำแก้วใหญ่ที่ตามกันไปติดๆ

ผมเหลือบไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงฝาผนัง เพิ่งจะสิบโมง ให้น้องมันนอนพักอยู่ในห้องผมอีกสักหน่อยก็ยังทัน

“นอนพักอีกสักหน่อยแล้วกัน ตอนบ่ายกูคงต้องพามึงกลับห้องไปก่อน” ผมพูดบอก บีทส์พยักหน้ารับ

“อ่าครับ ผมลืมไป พี่คงต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของพี่สินะครับ” น้องพูดแล้วขยับตัวลงนอน ผมเลยต้องรีบไปช่วยพยุง แต่เจ้าตัวส่งสายตาขุ่นมาให้อย่างไม่ทราบสาเหตุ ผมเลยเปลี่ยนไปช่วยขยับผ้าห่มแทน

“เรื่องของมึงกับกู...รอให้มึงหายดีก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน” ผมพูดออกมาลอยๆ น้องใช้หางตามองผม แล้วเบือนหนีไปอีกทางไม่สนใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เหมือนที่พี่พูดไง ผมเป็นคนผิดเอง พี่ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรหรอก” บีทส์พูดตัดบท ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งสองข้าง แต่เรียวปากสีซีดยังเม้มเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งเคยเห็นไอ้ดื้อพูดจาประชดประชัน แปลกที่เมื่อก่อนเคยนึกรำคาญ แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับมองว่ามันน่ารัก น่าดีดปากเล็กๆ เชิ่ดๆ นั่นด้วยปากจริงๆ ครับ

ผมปล่อยให้คนที่ ‘แกล้ง’ หลับ ได้จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ลุกขึ้นรวบเอาถาดข้าวมาไว้ในมือ แล้วเดินไปที่ประตู หันกลับมามองอีกคน ไอ้คนแสนดื้อดึงเอาผ้าห่มมาคลุมโปงจนร่างเล็กจมหายไปกับที่นอนของผม

...เดี๋ยวได้ร้อนตาย

ผมส่ายหัว ก่อนจะใช้มือหมุนลูกบิดเปิดประตูออกมา มองหาไอ้อาร์ตปรากฏว่าตอนนี้มันหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ลาเจ้าของห้องเขาสักคำน่ะเป็นไหมวะ ผมเดินเข้าไปในห้องครัวก่อนจะวางพวกถ้วยข้าวต้มกับแก้วน้ำไว้ที่ซิงค์ล้างจาน เดี๋ยวคงมีแม่บ้านเข้ามาจัดการต่อเอง

เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุก ตั้งเผื่อให้คนที่นอนไม่พอใจอยู่ในห้องได้นอนพักผ่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยไปปลุก หยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วยแล้วเดินเข้าไปในห้องอีกครั้ง

ไอ้ดื้อหลับไปแล้วครับ สงสัยจะเพราะฤทธิ์ยานั่นแหละ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่หลับอยู่ ยื่นมือไปจัดผ้าห่มให้น้องใหม่ก็เล่นห่มผ้าโผล่ออกมาแค่ตากับจมูก ผมนั่งพิจารณาโครงหน้าของบีทส์อีกครั้ง ส่งนิ้วไปไล่วนตรงหว่างคิ้วของอีกคนที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมจนมันเริ่มคลายออกจากกัน ผมยิ้มขำ

ขนาดหลับยังไม่วายเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องไปคิดด้วยสินะ...

แผ่นอกของอีกคนกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ผมจับมือเรียวทั้งสองข้างของคนหลับมาประสานกันไว้ที่บริเวณท้องน้อยของเจ้าของร่างแล้วลูบไปมา เหมือนคนบ้านะครับ นั่งมองหน้าคนกำลังหลับ

นั่งอยู่ได้สักพักจึงขยับลุกไปนั่งที่โซฟา เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้า ตื่นมาก็วิ่งวุ่นเพราะอีกคนไม่สบาย ไหนจะเรื่องปาร์ตี้คืนนี้อีก เอาเป็นว่าตื่นขึ้นมาค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน

แต่...เหมือนผมจะลืมอะไรไปอีกอย่าง

ได้ข่าวว่าไอ้อาร์ตมันก็เป็นเกย์ แล้วเมื่อเช้าแม่งก็มาตรวจร่างกายให้บีทส์ งั้นมันก็ต้องเห็นหมดแล้วสิวะ!?!

ห่าเอ้ย!!



ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
หวงน้องช้าไปมั้ง แหม ไม่รอให้น้องหายค่อยคิดอะ

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ถ้าเราเป็นบีทส์แล้วโดนพูดขนาดนี้แล้วหนะนะ บอกตรงๆ จะรีบลากสังขารตัวเองกลับหอเลยอ่ะ ให้คลานไปก็ยอม ทั้งหมดที่เราทำเขาอาจไม่รู้สึกดีเท่า โดนหอมแก้มจากผู้หญิงที่เขารักก็ได้  :hao5:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
บีสท์ให้พี่มันวิ่งตามบ้างดีมะ เราถอยห่างมาบ้าง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำไมทำรุนแรงจังเลย ทั้งทางใจ และทางกาย  :hao5:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านรวดเดียวยาวเลย ซันแน่ใจนะว่าเกลียดยังไงก็รีบจัดการตัวเองให้ดีนะ :hao3:
สนุกค่ะหวังว่าคงไม่มีมาม่าชามโตนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด